เห็นความจริงภายในใจ และปล่ อยวาง บรรลุธรรมขันสูงด้ วยหยดนํายามฝนพรํา https://www.youtube.com/watch?v=ZoEQEf5srOU&fea ture=youtu.be ความจริงของธรรมชาติ https://www.youtube.com/watch?v=k1FI5ReZIsA&feat ure=youtu.be
ผู้ถาม : ทีบ้ านโยมฝนกําลังตกพรํา ๆ พอดี เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ให้ เห็นความจริงภายในใจ และปล่ อยวางตามไปเลย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
ทังอดีต ปั จจุบัน อนาคต ไม่ มีผ้ ยู ดึ ถือ ... วาง ผู้ถาม : หลวงตาครับ พอผมลองฟั งคลิปของหลวงตา จบแล้ ว ธรรมเค้ าก็สรุ ปออกมาว่ า เพราะมันไม่ มี .... มันจึงไม่ มี และมันก็คงเป็ นความไม่ มีตลอดไป มันจึงไม่ ต้องไปแสวงหาอะไร .... ไปทําอะไร มันเพียงแค่ รับรู้รับทราบตามธรรมชาติ ตามปกติ ของสังขารกาย และของสังขารจิตเค้ าไป
เราเพียงแค่ อยู่กับเค้ า รับรู้รับทราบเค้ าไปจนตาย โดยไม่ ยึดถือซึงกันและกัน จนถึงทีสุดท้ าย ต่ างคนต่ างแยกย้ าย ต่ างธาตุต่างแยกย้ าย กลับคือสู่สงที ิ เราไปยืมเขามา ทังร่ างกาย : ดิน นํา ลม ไฟ ทังจิตใจ : เวทนา สัญญา ธรรมารมณ์ ทัง ผู้ร้ ู : วิญญาณ ต่ างคนต่ างแยกย้ ายจากกัน ตามธรรมชาติ ... ตามธรรมดาของเขา
เราไม่ มีอะไรเลย แม้ แต่ ความไม่ มี .... มันก็ไม่ มี ..... ไม่ มีอะไรเลย ไม่ มีอะไรจริง ๆ ทังผู้ทรูี ้ แล้ ว ผู้ทเข้ ี าใจแล้ ว ผู้ทอ๋ี อแล้ ว ผู้ทชัี ดเจนแล้ ว ล้ วนออกมาจากความไม่ มี อะไรเลยจริ ง ๆ ครั บ หลวงตา มันเอาอะไรไม่ ได้ เลยจริ ง ๆ ครับ หลวงตา
หลวงตา : อะไรทีรู้ แล้ วเห็นแล้ ว (อดีต) ก็วางไป อะไรทียังไม่ ร้ ู ไม่ เห็นแต่ มีความอยาก ความปรารถนา ความกังวล (อนาคต) ก็วางไป อะไรทีรู้ ทีเห็นในปั จจุบันขณะ แม้ แต่ ความว่ าง โล่ ง โปร่ ง เบา สบาย ก็วางไป ไม่ มีผ้ ูยึดถืออะไรเลย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
ทังรู้เห็นและปล่ อยวาง ผู้ถาม : สาธุค่ะหลวงตา ขอบพระคุณองค์ หลวงตา ทีเมตตาเน้ นยําถึง คลิปนีนะคะ ก่ อนฟั งคลิปก็เห็นว่ า เวลาสังเกตใจในชีวติ ประจําวัน มันจะเห็นสังขารเกิด พร้ อมกับเห็นวิสังขารร่ วมอยู่เป็ นฉากหลัง จนรู้ สึกว่ า ช่ วงหลัง ๆ เราอยู่กับวิสังขารเป็ นหลัก แล้ วก็เห็น สังขารต่ าง ๆ เกิดไปเรือย ๆ ก็ไม่ แน่ ใจว่ านีถูกต้ องหรื อไม่ มันกลายเป็ น ประคองหรือเพ่ งหรื อไม่ ก็เลยสังเกตไปก่ อนเรื อย ๆ ... จนได้ ฟังคลิปหลวงตาอันทีสอง ทีหลวงตาบอกว่ า "ตังพุทธะไว้ " ก็เลยรู้สึกเหมือนว่ าเราก็ตงวิ ั สังขารเอาไว้ พอเห็นใจก็เห็นวิสังขารยืนพืนอยู่ค่ะ
ก็เลยสังเกตต่ อว่ าเราตังวิสังขารไว้ ไหม เราเห็นวิสังขารเพือให้ ตัวเรารู้ อะไรไหม ก็เห็นว่ าเรา เห็นวิสังขารเพือทีจะรู้ให้ ชัด เพือทีจะไม่ หลงเป็ นสังขาร จึงเห็นว่ าเป็ นการกระทําเพือตัวเราได้ ร้ ู ได้ เห็น ได้ เข้ าใจอยู่ดีค่ะ ขออนุญาตกราบเรี ยนถามหลวงตาว่ า เข้ าใจ แบบนีถูกผิดอย่ างไรหรือเปล่ าคะ ขอบพระคุณค่ ะ
หลวงตา : รู้เห็นอย่ างนันนันแหละ แต่ ปล่ อยวาง ผู้ร้ ูวิสังขาร และผู้ร้ ูสังขาร ผู้ยดึ วิสังขารอีกที ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
ไม่ ยึดถืออาการหรืออารมณ์ ทถูี กรู้ และไม่ ยดึ ถือผู้ร้ ู ผู้ถาม : น้ อมจิตกราบหลวงตาด้ วยความเคารพ อย่ างสูงยิงเจ้ าค่ ะ หลวงตาเจ้ าคะเมือเดือนมกราคมที ลูกไปกราบหลวงตาครั งแรกทีสถานธรรมบ้ านบางบอน หลวงตาเมตตาชีแนะ ให้ อยู่กับ กายเนือ กาย จิต พุทธะ โดยพิจารณาวางตลอดสายแม้ นิพพาน (โดย ให้ ช่ างมัน ตลอดสาย) ทุกวันนี ตลอดเวลาได้ ยินเสียง กายจิตตลอดเวลาแม้ ยามหลับ
กายเนือ และกายจิต แยกกันชัดเจนเวลาหลับ และกายจิตมักจะตืนก่ อนกายเนือ แล้ วพูดพากษ์ ตลอด คือเวลานี ไม่ ว่าจะหลับ จะตืน จะภาวนา จะมีค่า เท่ ากันคือได้ ยินเสียงพูดตลอด ถ้ ามันคิดดี จะเชือมัน ถ้ าคิดชัว ลูกไม่ ตามมัน พุทธะ เกิดเป็ นช่ วง ๆ ไม่ ตังใจ ไม่ สนใจเจ้ าค่ ะ เพราะ หลวงตาสอนลูกวันนัน ว่ า แม้ แต่ นิพพาน ก็ช่างมัน ก็ไม่ เหลืออะไรแล้ วเจ้ าค่ ะ
หากลูกจะภาวนากรรมฐานใด ยกตัวอย่ าง เช่ น อานาปานสติ ลูกจะได้ ยินแต่ เสียงกายจิตตลอดเวลา ไม่ สามารถมีสติจดจ่ อต่ อเนืองได้ ทจุี ดสัมผัสได้ ตลอดเวลา อย่ างนีแล้ ว รบกวนหลวงตาเมตตาชีแนะลูก ด้ วยนะเจ้ าคะ หรือว่ าไม่ จาํ เป็ นต้ องภาวนาแล้ วเจ้ าคะ ลูกต้ องกราบขอโทษทีรบกวนเรี ยนถามหลวง ตาด้ วยนะเจ้ าคะ
หลวงตา : เพียรสักแต่ ว่ารู้เห็นอย่ างนันให้ ต่อเนือง ไม่ อยาก ไม่ หวัง ไม่ ปรารถนา ไม่ เอาอะไรในการรู้ เห็น ไม่ ยึดถืออาการหรืออารมณ์ ทถูี กรู้และไม่ ยึดถือผู้ร้ ู ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
ปล่ อยวางผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้ถาม : วันนีมันมีสังขารตัวหนึงขึนมาแล้ วชวนหนู สงสัยตามเจ้ าค่ ะ คือมันสงสัยว่ า.... ในเมือจิตทุกตัวทีพูดทีคุย ทีรู้ มันเป็ นสังขารหมด แล้ วตัวไอ้ ใบ้ ทีเห็นอย่ างเดียว เป็ นผู้เห็น, ผู้ดูอย่ างเดียวนีมันเป็ นอะไรคะ มันเป็ น วิญญาณขันธ์ ทเป็ ี นต้ นสายใช่ ไหมคะ
หลวงตา : ปล่ อยวางไอ้ ใบ้ ทีเป็ น ผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น อย่ างเดียวนันไปเสียให้ หมด อย่ าไปอะไรอะไรกับมัน แค่ รับรู้ รับทราบทุกปั จจุบันขณะ ให้ ร้ ูเท่ าทันความคิดปรุงแต่ ง อย่ าหลงไปคิดปรุ งแต่ ง สงสัย หรือ ไปอะไรอะไรกับสิงทีเห็น ทีได้ ยิน ได้ กลิน รู้รส รู้ สัมผัส รู้ อารมณ์ ทุกปั จจุบันขณะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
“เกิด” ย่ อมเป็ นทุกข์ ผู้ถาม : ธรรมชาติคือการหมุนเวียน เปลียนผัน เกิด ดับ เป็ นแบบนีมานานหนักหนาแล้ ว ใครฤา จะมา ยึดถือ เปลียนแปลง ธรรมชาติ นันคือการหลงผิดอย่ าง มหันต์ ให้ เห็นความจริง ตามความเป็ นจริง เห็นการ เกิดขึน การเปลียนแปลง เกิด ดับ เป็ นของคู่กับโลกนี ทังธรรมชาติภายนอก และธรรมชาติภายใน เหมือนกัน ลมทีมากระทบต้ นไม้ ใหญ่ มีความแรง เบา แค่ ไหน การไหว ของใบไม้ มีมากแค่ นัน
นําทีตกลงมาจากทีสูง มีความรุนแรง หนักเบา แค่ ไหน เมือมากระทบกับพืนนําข้ างล่ าง ย่ อมเกิด ต่ อมนํา เป็ นฟองฝอย มากน้ อย ใหญ่ เล็ก ตามแรง กระทบ แค่ นัน ย้ อนกลับเข้ ามาดูภายในใจก็เช่ นกัน เมือเกิด การกระทบกัน ระหว่ างธรรมชาติสองสิง มันก็เกิดการ สันไหว มากน้ อย ตามแรงกระทบ เป็ นธรรมชาติ เป็ น ธรรมดา เพียงแต่ ร้ ู และเข้ าใจว่ า ธรรมชาติเป็ นของมันอย่ างนัน เห็นทุกอย่ างเป็ นธรรมดา เมือใจยอมรับ ธรรมชาติ สินการยึดถือ ก็สนทุ ิ กข์ หมดภาระทีต้ อง แบกของหนักอีกต่ อไป
หลวงตา : สังขารไม่ เทียงหนอ .... ไม่ ช้าหรอก สังขารทุกชีวติ ต้ องดับลาลับโลก ล้ วนเศร้ าโศก เมือประสบกับความตาย ความผิดหวัง ความไม่ สมหวัง ความไม่ สมปรารถนา ความประสบกับ สิงไม่ เป็ นทีรักทีพอใจ ความทุกข์ ใจ ความเหียวแห้ งใจ ความพลัดพรากจากคนทีรัก สิงทีรั ก เป็ นทุกข์ ในโลก เกิดเพือตาย มีเพือจาก พบกันเพือพลัดพราก เป็ นธรรมดาของโลก
ผู้ใดไม่ มีสติ ปั ญญา รู้เห็นและยอมรับตามความเป็ น จริง เขาย่ อมเศร้ าโศก เกิด ย่ อมเป็ นทุกข์ อยู่รําไป ไม่ เกิด จึงพ้ นจากทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
GPS ทางธรรม ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ คําเทศน์ สอนของหลวงตาในช่ วงปี นี มีความเข้ มข้ น และชัดเจนยิง เปรี ยบเหมือน "คู่มือรู้เท่ าทันอวิชชา" ซึงมีรายละเอียด ครอบคลุมเส้ นทางของอวิชชาทําได้ อย่ างชัดเจน เข้ าถึงทุกถนน ตรอก ซอกซอย ของ อวิชชา ช่ วยให้ ผ้ ูภาวนา รู้ ละ ปล่ อยวาง ไม่ หลง เดินทางในเส้ นทางอวิชชาซําซ้ อน วกวนไปมา เพียรศึกษาและทําความเข้ าใจให้ ถึงใจ ในคู่มือ นีก็จะช่ วยเติมเต็มปั ญญาเพือไม่ หลงไปกระทํา และ หลงเดินทางผิดเส้ นทาง เมือรู้ เห็น เข้ าใจถึงใจใน เส้ นทางธรรม
จากความจําก็จะพบความจริงของธรรมชาติและเป็ นใจ นันทุกปั จจุบันขณะ กราบขอบพระคุณในความเมตตาของหลวงตาครั บ
หลวงตา : google map หรื อ gps ทางธรรม … 555 มาถึงวันนีได้ เพราะทุกคนมีส่วนร่ วมด้ วยช่ วยกัน “สอนเขาอย่ างไร ทําให้ ได้ อย่ างนัน ทําได้ อย่ างไร สอนเขาอย่ างนัน” สาธุ อนุโมทนามิ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
ธรรมชาติทแท้ ี จริ ง ผู้ถาม : กราบเท้ านมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ... ปั จจุบันใช้ ชีวิต ... อุปมาเหมือนกับลูกจัณฑาล ... ปรากฏการณ์ แห่ งความรู้สกึ นึกคิด แห่ งตน เป็ นไร้ ซึงความหมาย ไร้ ค่าใด ทังต่ อมันเอง หรื อ แม้ แต่ จะพึงแสดงสิงใดออกมา รั บรู้รับทราบ ... มายาแห่ งใจ เพลงทีเล่ นเอง ... ดับเอง ไม่ ว่ามัน จะปรากฏด้ านใด มันก็เป็ นของมันอยู่นัน ... และมันขาดไปเอง ... แต่ ละขณะ ปราศจาก ... สิงเดียวคือ เจ้ าของ ... ปรากฏการณ์
เจ้ าไม่ มี ... ตนหรือ จริงหรือ ต้ องทําสิงใดหรือ จะเป็ นอะไรสิงใดหรื อ ???? จึงไม่ มีการหาคําตอบทีจะกระทําอะไร ให้ เป็ นอะไร รู้ ... ทีไม่ ผ้ ูกระทํา ความอยากเห็น อยากได้ อยากดับ อยากเป็ น ... ในสิงใด จึงขาดไป ๆ แต่ ละขณะ ... เหมือนที ... มันไม่ เคยมีมา และอิสระต่ อกัน อิสระต่ อทุกข์ และสุข กราบเท้ านมัสการพ่ อแม่ ครูอาจารย์ ด้วยความ นอบน้ อม กราบ กราบ กราบ เป็ นธรรมชาติเจ้ าค่ ะ หลวงตา
หลวงตา : ธรรมชาติแท้ ๆ ไม่ มีใคร อะไรกับอะไร ธรรมชาติแท้ ทงภายในและภายนอก ั มันก็เป็ นธรรมชาติเช่ นนันเอง ไม่ มีตัวตนของผู้ยดึ ถือ มันจึงเป็ นธรรมชาติที “ว่ างเปล่ า” อย่ างยิง เพราะเป็ นธรรมชาติทไม่ ี มีตัวตน ไม่ มีเรา ตัวเรา ของเรา ซึงเป็ นส่ วนเกินธรรมชาติ “เงียบ สงบ สงัด สันติ” อย่ างยิง เพราะ เป็ น วิสังขาร หรือ อสังขตธาตุ อสังขตธรรม คือ ธรรมชาติทไม่ ี ปรุ งแต่ ง
“อิสระ” เพราะไม่ มีความผูกพัน “บริสุทธิ” เพราะไม่ มีใครหลงขีตู่ยึดถือเขา ให้ แปดเปื อนมลทิน สูงสุด กลับคืนสู่สามัญ ยิงดิน ยิงทุกข์ ยิงหนาว “ความสงบสุขทีแท้ จริง อยู่ตรงทีสุดของความปรุงแต่ ง” ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
หลงยึดถือย่ อมเป็ นทุกข์ ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ แล้ วลูกรู้ว่า กายมันเป็ นสังขาร รู้ กป็ ล่ อย แล้ วอย่ างไรต่ อเจ้ าคะ งงเจ้ าค่ ะ กราบขอ โทษทีถามโง่ ๆ ๆ เจ้ าค่ ะหลวงตา
หลวงตา : พิจารณาให้ ต่อเนืองว่ า “กาย” ไม่ เทียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ยึดถือไม่ ได้ “จิต” ไม่ เทียง เกิดขึนแล้ วดับไป มีแล้ วหายไป เป็ นทุกข์ ไม่ อาจจะมีสภาวะทีถูกใจอย่ างเดียวได้ จึงเป็ นอนัตตา
“ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้ร้ ูแจ้ ง” ก็ไม่ เทียง เป็ นทุกข์ ทนอยู่ไม่ ได้ คือ รู้ว่าอะไรเป็ นอะไร ถูกใจ ไม่ ถูกใจ เอามาคิดปรุ งแต่ งแล้ วดับไป แล้ วก็ไปรู้อย่ างอืน เอามาคิดปรุ งแต่ ง แล้ วดับไป อย่ างนีเรื อย ๆ ไม่ อาจยึดถือได้ ขืนหลงยึดถือ ในสิงทีไม่ เทียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ย่ อมเป็ นทุกข์ จนตาย ตายแล้ วก็ไม่ สนยึ ิ ดให้ เป็ นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
เพียรเดินทาง อย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย
ผู้ถาม : กราบเจ้ าค่ ะ อ่ านบทความนีแล้ ว พิจารณาดู จิตถามว่ าง่ ายขนาดนีเลย เหรอเจ้ าคะ เพียง "ไม่ ส่งจิต ออกนอก"
หลวงตา : ทางเดินใด เข้ าใจถ่ องแท้ ได้ ถงึ ใจ ให้ เพียรเดินทางนันอย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย ด้ วยสติ ปั ญญา ศรัทธา ความเพียร ก็จะสินหลงยึดมันถือมันไปทีละน้ อย ๆ ๆ ๆ ๆ .... จนหมดสิน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
พ้ นจากสมมติ และ วิมุติ ผู้ถาม : มีคนบอกว่ า "ถ้ าลอกจอกแหนออกหมด คง จะดีเนอะ จะได้ นําใส ๆ" ธรรมมันขึนมาถึงใจเจ้ าค่ ะหลวงตาว่ า ตัวเรา ไม่ ใช่ จอกแหน ตัวเราไม่ ใช่ พืนนํา มีแต่ จอกแหนและ พืนนํา มันอยู่ด้วยกัน
ถ้ าเราไม่ ได้ ไปเป็ นจอกแหน ก็ไม่ ต้องควานหาพืนนํา ถ้ าเราไม่ ได้ ไปเป็ นพืนนํา ก็ไม่ ต้องลอกจอกแหนออก เพือให้ เหลือพืนนําทีบริสุทธิ พืนนําและจอกแหน ย่ อมเป็ นไปตามธรรมชาติทมัี นเป็ น
หลวงตา : ทังจอกแหนและนํา ก็เป็ นเพียงสังขารปรุ ง แต่ ง ... ต้ องเลยขึนไป ... จนไม่ มีทหมาย ี ไม่ มีเราเป็ นอะไร..... ไม่ มีอะไรเป็ นเรา ... มันพ้ นจากสมมติ และ วิมุติ
ผู้ถาม : สาธุ เข้ าใจแล้ วเจ้ าค่ ะ เลย "ความเป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติ เลยความว่ างอันเป็ นพืนไปด้ วย" ใช่ ไหมเจ้ าคะ
หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
ธาตุร้ ู ทีสินอวิชชา ผู้ถาม : กราบนมัสการครับหลวงตา เรืองทีส่ งมานีผม คิดเองเออเองนะครั บ ไม่ ร้ ูว่าถูกไหมครับ ขอโอกาส หลวงตาพิจารณาครับ ธรรมชาติ มีธรรมอยู่ ชนิดคือ ธรรมปรุ งแต่ ง กับธรรมไร้ การปรุ งแต่ ง ธรรมปรุงแต่ ง เกิดจากการรวมตัวของธาตุต่าง ๆ ซึงมี ธาตุ คือ ธาตุดนิ ธาตุนาํ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศ ธาตุ วิญญาณธาตุ ... ธรรมปรุงแต่ งมีหลายชนิด พอแบ่ งแยกได้ ชนิด คือ สิงมีชีวติ กับสิงไม่ มีชีวติ ขึนอยู่กับกฎแห่ งกรรม
โดยสิงใดทีมีวญ ิ ญาณธาตุไปปฏิสนธิกับธาตุ ต่ าง ๆ ก็เป็ นสิงทีมีชีวติ ก็ไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ ตามกรรมของวิญญาณธาตุนัน ส่ วนสิงไม่ มีชีวิต ก็จะปราศจากวิญญาณธาตุ ก็จะมีการรวมตัวของทุก ๆ ธาตุ เป็ นนําบ้ าง ดินบ้ าง หินบ้ าง ต้ นไม้ บ้าง และอืน ๆ อีกมากมาย เมือรวมตัว กันแล้ วก็เกิดขึนมา เมือถึงเวลาก็แตกสลายกลับคืนสู่ ธรรมชาติอันว่ างเปล่ ากลายเป็ น ธาตุดิน ธาตุนํา ธาตุ ลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ตามเดิม ซึงธาตุ ต่ าง ๆ เหล่ านีเป็ น "ธรรมชาติฝ่ายไม่ ปรุ งแต่ ง" สรุป ธรรมชาติทงั ชนิดอยู่ร่วมกัน เป็ นอิสระ ต่ อกัน แต่ ไม่ สามารถแยกออกจากกันได้ เป็ นไปตาม กฎแห่ งกรรมและกฎไตรลักษณ์ กราบสาธุครับ
หลวงตา : ธาตุดิน นํา ลม ไฟ อากาศ มีการ เปลียนแปลง เป็ นของใช้ สนเปลื ิ อง จึงต้ องมีการกิน ซากพืช ซากสัตว์ ซึงเป็ นธาตุดิน กินธาตุนาํ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ ซึงมีก๊าซออกซิเจน เติมเข้ าไปอยู่ เสมอ เหมือนกับรถทีต้ องเติมนํามัน เพราะเป็ นของใช้ สินเปลือง ส่ วนจิตหรื อวิญญาณธาตุทยัี งมี “อวิชชา” อยู่ ยังมี ตัวตน เกิดดับ ครั นเมือ ธาตุแตก ขันธ์ ดบั ก็เปลียนรูป ไปตามร่ างทีเกิดใหม่ ยกเว้ น วิญญาณธาตุ หรือ ธาตุร้ ู ทีสินอวิชชา แล้ ว จะเป็ นธรรมธาตุ หรือ ใจ หรือ จิตเดิมแท้ ซึง ไม่ เกิด ไม่ ดับ ไม่ ตาย ไม่ มีการเปลียนแปลงอีก ต่ อไป
เพราะไม่ มีตัวตน ไม่ มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่ อาจคิดหรือปรุงแต่ งได้ เป็ นวิสังขาร หรือ อสังขตธาตุ อสังขตธรรม อมตธาตุ อมตธรรม รวมเข้ ากับจักรวาลเดิม ไม่ มีการเปลียนรูปไปตามร่ างทีเกิดใหม่ อีกต่ อไป เรี ยกว่ า “นิพพาน” ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
พิจารณาให้ ถงึ ใจ ผู้ถาม : กราบขอโอกาสครับหลวงตา กราบหลวงตา ด้ วยความสํานึกในบุญคุณเป็ นอย่ างสูง ตลอดเวลาเกือบ ปี ทีได้ รับความเมตตาจากหลวงตา เป็ นช่ วงเวลาที เปลียนชีวติ ทีโง่ งมดินรนแสวงหาของตนเองอย่ างทีสุด ภูมิธรรมทีรู้ เพิมเติมมากมายมหาศาล และสิงที สูญหายไปก็มากมาย ผมรู้ว่า "ความโง่ " สูญหายไปจาก ใจมากเหลือเกิน กราบขอบพระคุณเป็ นทีสุดครั บหลวงตา และขอโอกาสกราบขอขมาในสิงทีอาจพลาดพลังทัง ทางกาย วาจา ใจต่ อหลวงตาทังหมดทังสินด้ วยครั บผม กราบเท้ าหลวงตาครับ
หลวงตา : สาธุ อโหสิ อโหสิ ธรรมทีส่ งไปวันนี อ่ านและฟั งให้ ละเอียด ๆ พิจารณาให้ ถงึ ใจนะ เพราะละเอียด ลึกซึงมาก ๆ ๆ.... ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
แฟนพันธุ์แท้
ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะหลวงตา ลูกฟั งพระ ธรรมคําสอนของหลวงตาอย่ างต่ อเนือง ก็น้อม พิจารณาตามไปด้ วยเจ้ าค่ ะ อยู่กับธรรมเมือมีอะไรเข้ ามาก็คิดพิจารณาจน แตกเป็ นปั ญญา ยังไม่ ติดขัด ไม่ มีสงสัย เพราะเหตุเกิด เหตุกด็ ับ ไม่ มีผ้ ูเสวย อยู่กับรู้ เมือคิดปรุ งแต่ งก็ร้ ูเห็นว่ า สังขารมันก็ดับ
คิดก็ดีนะเจ้ าคะหลวงตา คิดทีไม่ ใช่ หลง คิดอยู่กับรู้ ก็เป็ นปั ญญา ก่ อนหน้ านีจะใช้ คาํ ว่ าวาง (คือปลดปล่ อยจากความยึดมันตัวตน) แต่ มาตอนนี เข้ าใจจากทีหลวงตาสอนชีมาอย่ างต่ อเนือง จนตัวตนนี มันไม่ มี ยอมรับตามความเป็ นจริงคํานีก็เปลียนไป มันไม่ ต้องวาง เพราะไม่ มีใครจึงไม่ ต้องไปวาง พูดหรือเขียน โพสต์ อะไรออกไป ก็ร้ ูว่าเขียน ว่ าพูด แต่ ไม่ มีตัวตน ไม่ มีเรา จึงจบ
เป็ นเกิดดับในทุกขณะ ๆ นัน ๆ เจ้ าค่ ะ บางครั งเห็นการอ่ าน ว่ านีชอบหรื อไม่ ชอบ แต่ ก็ ธรรมชาติทมีี อยู่ในขันธ์ ห้านี ก็ไม่ ใช่ เรา รู้ปุ๊บ มันดับ ไปเลย จึงมองโลกนีตามธรรมชาติ กราบขอโอกาสหลวงตาชีแนะกับลูกด้ วยเจ้ าค่ ะ หากว่ ายังมีอะไรทีไม่ ใช่ ทางหรื อพลาดไป นมัสการเจ้ าค่ ะ หลวงตา ฟั งธรรมหลวงตาวันนีกล่ าวกับธรรมชาติออกไป ว่ า หลวงตาสอนใช้ คําสุดยอดปรมาจารย์ เจ้ าค่ ะ เกิดมา ชาตินีไม่ เสียชาติเกิดทีได้ รับฟั งธรรมทีหลวงตาสอนเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ สมกับทีติดตามเป็ นแฟนพันธุ์แท้ กันมาอย่ างต่ อเนือง ต่ อไปปั ญญาทีรู้ แจ้ งก็จะยิงละเอียด ชัดเจน คม ชัด ลึก ทังเฉพาะ และกว้ างขวางมากยิงขึนไปเรือย ๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
ปั จจุบันเท่ านัน ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ โยมขออนุญาตเรียน หลวงตาว่ าวันนีฟั งธรรมจากยูทูป พอจะเปลียนเรื อง ใหม่ กบ็ ังเอิญมีรูปนีขึนมาเจ้ าค่ ะ โยมเคยเล่ าให้ หลวง ตาฟั งแล้ วเมือสองวันก่ อนเจ้ าค่ ะ โยมพอรู้ คร่ าว ๆ ว่ า โยมมีหน้ าทีบางอย่ างแต่ บอกเล่ า ไปเกรงว่ าหลวงตาต้ องดุแน่ ๆ กราบหลวงตาช่ วย ชีแนะโยมด้ วยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : อดีต เหมือนความฝั น ฝั นดี ฝั นร้ าย ตืนมาแล้ วก็หายไป อย่ าจมกับอดีต อย่ าเพ้ อฝั นอนาคต ปั จจุบันเท่ านัน ทีสามารถมีสติ ปั ญญา ศรั ทธา ความ เพียร ให้ มีปัญญารู้แจ้ ง สินยึดถือ เป็ นธรรมแท้ ได้ ปั จจุบัน เรายังทุกข์ อยู่ อย่ าใส่ ใจเรื องอืน ๆ อย่ าเอาคนอืน สิงอืน ๆ มากลบความทุกข์ ไว้
ให้ ใส่ ใจในพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้ า ทีเพียรสอนตลอดชีวิตของพระองค์ ด้วยความเมตตา อันไม่ มีทสุี ด ไม่ มีประมาณ ในเรือง “อริยสัจ 4” คือ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค
ขอให้ ใส่ ใจกัดติดจดจ่ อทุกปั จจุบันขณะ ว่ าเหตุใด จึงทําให้ เป็ นทุกข์ อยู่ เมือรู้ เหตุแห่ งทุกข์ หรือ เหตุททํี าให้ ไม่ พ้นทุกข์ ในปั จจุบันแล้ ว ก็ดับเหตุแห่ งทุกข์ นันเสีย ด้ วยอริยมรรค ความทุกข์ ก็จะดับไป
ผู้ถาม : สาธุ ๆ ๆ เจ้ าค่ ะหลวงตา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
เกลียดทุกข์ รักสุข ดีรัก ชัวชัง ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ ความผ่ องใส ความบริสุทธิ มันทําให้ เกิดไม่ ได้ เลยหรือ ไม่ ว่าขณะจิตนันจะไม่ มีกิเลส จะรู้ สึกตัวอยู่กับ ปั จจุบันไม่ ได้ เอาอะไรเข้ ามาไว้ ในใจ แล้ วทําไมมันไม่ ผ่องใสบริสุทธิอย่ างเดิมได้ เลย เจ้ าคะ นีดูมาเป็ นวันแล้ ว มันไม่ คืนมาสักที แล้ วอย่ างนี จะเอา สิงนันไปใช้ อย่ างไร
หลวงตา : มันยึดถือ อย่ าให้ อะไรมีค่าต่ อใจ ไม่ ว่าจะทุกข์ หรื อสุข เศร้ าหมองหรื อผ่ องใส ให้ ร้ ูเท่ าทันเหตุ คือ มีตัวเราเกลียดทุกข์ รักสุข ดีรัก ชัวชัง ความคิดปรุ งแต่ งทีเป็ นความรู้สึกว่ า เรา ตัวเรา ของเรา จิตหรือใจของเราเศร้ าหมอง อยากให้ จติ ใจ ของเราผ่ องใส มันเดินทางในทางของกิเลส (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) ซึงตรงข้ ามพระนิพพาน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
เพียรอบรมปั ญญา ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะหลวงตา โยมได้ ร้ ู จักและ ได้ รับฟั งธรรมะของหลวงตาโดยได้ รับคําแนะนําจาก พีท่ านหนึงทางตอนเหนือของอังกฤษค่ ะ ... ก่ อนอืน ลูกขอกราบขอขมาต่ อหลวงตาก่ อน นะคะ ไม่ ว่าจะด้ วยกาย วาจา ใจ ทีคิดลงทีตํา คิดไม่ ดี ขอหลวงตาโปรดเมตตาอโหสิกรรมให้ ด้วยนะเจ้ าคะ และขอกราบฝากตัวเป็ นลูก (ศิษย์ หลวงตา) ขอหลวงตา เมตตา ชีแนะการปฏิบัติให้ ด้วยนะเจ้ าคะ
หนูได้ ฟังธรรมะหลวงตามาสักพัก - เดือน ได้ ฟั งมาเรือย ๆ แล้ วก็ดูจติ ดูใจมาสักพัก ก็ร้ ูตัวเร็วขึน เห็นจิตฟุ้งซ่ าน เห็นความเกิดดับ ความคิดในใจเกิดเอง ดับเอง เห็นจิตมันจุ๊กจิก ๆ ๆ เหมือนหลวงตาบอกเลย ค่ ะ ซ้ อนทับกับ ทับจนมองไม่ เห็นความว่ าง แต่ มองลงไปไอ้ ทมัี นคิดซ้ อนทับกัน มันไม่ มีอะไรเลย … รู้ แล้ ววางปล่ อยมันไปใช่ ไหมเจ้ าคะ วันนีตอนเช้ าตืนมานังสมาธิฟังธรรมหลวงตา เรื อง นรก สวรรค์ นิพพานเลือกเองได้ เห็นใจทีพยายาม ให้ จิตหยุดฟุ้งซ่ านเพือให้ ได้ ฟังธรรมะหลวงตา หวังว่ า จะให้ ลงสู่จติ สู่ใจ รู้ว่ายิงพยายาม กด ปรุงแต่ ง เป็ น สังขาร ห้ ามไม่ ได้
หลวงตาเจ้ าคะ ถ้ ารู้นีเป็ นทุกข์ ทาํ แล้ วทุกข์ เรา พยายามเอาตัวเราออกจากกรรม พยายามหนี ออก ห่ างทําไมมันยิงทุกข์ เจ้ าคะ จะจัดการอย่ างไรกับตัว พยายาม เหมือนทีหลวงตาว่ าอย่ าไปพยายาม รู้ว่าตัว พยายามมันก็เป็ นสังขาร มันวนไปวนมาค่ ะหลวงตา ขอหลวงตาเมตตา สังสอนชีแนะแนวทางการปฏิบัติลูก ด้ วยเจ้ าค่ ะ กราบนมัสการเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ให้ อโหสิกรรมทังหมด จงรู้แจ้ ง พ้ นทุกข์ เทอญ อธิษฐานให้ ธรรมลงทีใจ แล้ วเพียรอบรมปั ญญาในการ ฟั งไฟล์ ใหม่ แล้ วพิจารณาตามให้ ร้ ู แจ้ งขึนทีใจ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
สังขารปรุงแต่ งไม่ ใช่ กิเลส ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าด้ วยเศียรเกล้ าเจ้ า ค่ ะ ขอโอกาสส่ งการบ้ านเป็ นครั งแรกค่ ะ หลังจากทีได้ อ่ านหนังสือจบทีใจไปหลายรอบ ค่ อย ๆ อ่ าน ค่ อย ๆ ทําความเข้ าใจ สังเกตท้ ายบทแต่ ละบทมีตัวการ์ ตูนที สือความหมาย เลยนํามาทําเป็ นรูปภาพให้ เข้ าใจง่ าย ตามนีค่ ะ ศิษย์ มีความรู้ สึกว่ าโง่ มานานแล้ วกับการปรุ ง แต่ งของตัวเอง เห็นโทษภัยของความคิดปรุ งแต่ ง ซึง เมือก่ อนทีจะได้ อ่านหนังสือและฟั งธรรมของหลวงตา ศิษย์ มีความเข้ าใจคลาดเคลือน คิดว่ าสังขารปรุ งแต่ ง นันคือกิเลส คือตัวทีเราต้ องทําให้ มันไม่ มี
แต่ เมือได้ ฟังธรรมจากหลวงตาแล้ ว จึงเข้ าใจ ว่ าสังขารปรุ งแต่ งไม่ ใช่ กเิ ลส มันคือขันธ์ ห้าทีมีอยู่ตาม ธรรมชาติ เราไม่ อาจหยุดการปรุงแต่ งได้ เพราะเค้ าทํา หน้ าทีของเค้ า ส่ วนหน้ าทีของเราคือมีสติร้ ูตัวอยู่ ว่ านีคือ ธรรมชาติ คือขันธ์ ห้าทีเค้ าทํางาน เราไม่ มีหน้ าทีไป จัดการเค้ า ต่ อเมือเรามีสติร้ ู ทันแล้ ว เราจะปล่ อยวาง ไปเอง ปล่ อยวางด้ วยความเข้ าใจ ปล่ อยวางไปเองโดย ทีไม่ ต้องเอาตัวเราไปปล่ อยวางค่ ะ
ในช่ วงเริมต้ นการปฏิบัติในแนวทางขององค์ หลวงตานี ศิษย์ ต้องค่ อย ๆ อ่ านหนังสือและฟั งซีดี เพือ ทําความเข้ าใจให้ ถูกต้ อง ให้ มีสัมมาทิฏฐิ ให้ เห็น ถูกต้ องจากเดิมทีเคยเห็นผิดหลาย ๆ อย่ าง แต่ อาศัย แสงธรรมของหลวงตา จากสือธรรมต่ าง ๆ ศิษย์ มีความรู้ สึกว่ าอาศัยสือธรรมเหล่ านี ทุกคนทุกท่ านเป็ นครู น้ อมเอาเข้ ามาสอนตัวเอง ค่ อย ๆ ฝึ ก ค่ อย ๆ ขัดเกลาไป ติดขัดอย่ างไรแล้ วค่ อย เรี ยนถามองค์ หลวงตา
แต่ เมือได้ ฟังเรืองเหตุแห่ งความเนินช้ า ... หลวงตาได้ พูดถึงการเร่ งสงเคราะห์ โลก เหมือนมีอะไร เร่ งองค์ หลวงตาด้ วย เหมือนจะมีเหตุการณ์ อะไร ฯลฯ และคนทีติดขัดหลวงตาสามารถแก้ ไขให้ ผ่านพ้ นได้ หากขยันส่ งการบ้ าน ศิษย์ เลยมาน้ อมพิจารณาไม่ อยาก ปล่ อยโอกาสให้ ผ่านเลยไป อนาคตไม่ แน่ นอน ศิษย์ ขอปฏิบัตใิ นปั จจุบันไม่ ทอดธุระต่ อไป ขอ ทําความเพียรเต็มกําลังความสามารถ ขอองค์ หลวงตา เมตตาชีแนะค่ ะ
หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
ใครเป็ นผู้ร้ ู ผู้ถาม : ฟั งไฟล์ สักแต่ ว่ารู้แจ้ ง เข้ าใจแล้ วเจ้ าค่ ะว่ า จะปล่ อยวางความผ่ องใสบริสุทธิได้ อย่ างไร เข้ าหาผู้ร้ ู ใช่ ไหมเจ้ าคะ ใครเป็ นผู้ร้ ู ความผ่ องใสเศร้ าหมองนัน ใครเป็ นผู้ร้ ู ว่ าใจเป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติ ใครเป็ นผู้ร้ ู ความจริงของโลก ใครเป็ นผู้มีปัญญา เห็นความจริงว่ าธรรมทังหมดยึดถือไม่ ได้ ใครเป็ นผู้ร้ ู ว่ าตัวเราไม่ ยดึ ถือโลกนีแล้ ว ใครเป็ นผู้ร้ ู ว่ ากิเลสเบาบาง แม้ แต่ ร้ ู ว่ากิเลสตรงไหนหมดไปแล้ ว
คําทีบอกว่ า "ตัวเราย่ อมรู้ตัวเราเอง " คน ๆ นัน ทีรู้ ตัวเอง คือใคร ? มันถึงใจแล้ วเจ้ าค่ ะ ว่ าสิงนันก็เป็ นสังขาร เมือหลับหรือเมือตาย สิงนันย่ อมดับคาไว้ ไม่ ได้ เจ้ าค่ ะ กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
ให้ ร้ ูแจ้ งทีใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาด้ วยความเคารพและ ศรัทธาเจ้ าค่ ะ และขอกราบขอขมาต่ อองค์ พระรัตนตรัย ต่ อองค์ หลวงตา ด้ วยกาย วาจา ใจ หากได้ ประมาท พลาดพลัง ล่ วงเกินไปด้ วยความโง่ เขลามาหลายภพ หลายชาติแล้ ว ขอท่ านได้ โปรดงดโทษ อดโทษให้ แก่ ข้ าพเจ้ า เพือความบริสุทธิ เพือมรรคผลนิพพาน เพือ ปั ญญาญาณ ตัดสินซึงอาสวะกิเลส สินภพชาติเทอญ ตังแต่ ได้ แผ่ นซีดีของหลวงตามา แผ่ นแรก เปรี ยบเหมือนได้ สมบัติมีค่ามาเลยคะ หยิบฟั ง นอนฟั ง ขับรถฟั ง จิตเอิบอิม จิตตืนเต้ น ดีใจลึก ๆ ข้ างในบอก ว่ าใช่ เลยคะ คิดในใจว่ าต้ องไปกราบหลวงตาค่ ะ
ว่ าง = ผู้ร้ ู เข้ าใจได้ เลยว่ าคือ ธรรมชาติบริสุทธิ การว่ าง คือว่ าง ทีไม่ มีอุปาทาน เป็ นอิสระต่ อกัน ทุกธรรมธาตุ ไม่ มีการยึดไว้ ไม่ ข้องเกียวกัน ว่ างทีไม่ มีประธาน ไม่ มีกริยา อาการ แต่ เป็ นเพียง ผู้ร้ ูดูอยู่ เฉย ๆ ๆ แค่ นัน หมัน รู้ สังเกต อย่ ารู้ผิดตัว การทีเรามีอุปาทานตัวยึดตัวนีแหละ ทีทําให้ เราเกาะเกียว ทังบุญและบาปเชือมโยงกันจนหา ทางออกไม่ ได้ เลย น่ ากลัวยิงนัก
ขอกราบหลวงตาเมตตาศิษย์ ด้วย แนะนําสอน สังชีแนะต่ อดวงจิตนีด้ วยนะคะ หากมีอะไรทียัง ผิดพลาดหลงทางผิดอยู่อีกค่ ะ ขอโอกาสหลวงตา แนะนําค่ ะ กราบนมัสการหลวงตาด้ วยความเคารพยิงค่ ะ จะพยายามค่ ะ ด้ วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สาธุ สาธุ สาธุ ขอกราบหลวงตาเป็ นสรณะ
หลวงตา : ให้ อโหสิกรรมทังหมดถ้ าหากมีความเห็น ตรง เห็นถูกต้ องแล้ ว เหลือเพียงแค่ เพียรอย่ างต่ อเนือง ไม่ ขาดสาย ให้ ร้ ูแจ้ งทีใจ เป็ นธรรมจริ ง เป็ นธรรมแท้ เท่ านัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
เพราะสิงนีมี สิงนีจึงมี ผู้ถาม : ขอโอกาสเจ้ าค่ ะ ... ศิษย์ น้อมคําสอนใน หนังสือจบทีใจมาลองปฏิบัติ ขณะทีจิตฟุ้งซ่ านเข้ าไปพัวพันกับอารมณ์ ไม่ พอใจกับสถานการณ์ ทต้ี องอดทน ใช้ คาํ บริ กรรมว่ า "รู้ ตะพึดตะพือ - ช่ างมันตะพึดตะพือ" โดยไม่ ไปใส่ ใจ อาการของจิต ไม่ ไหลไปกับอารมณ์ แต่ พยายามตัดให้ มันสันโดยแค่ ร้ ู ว่าสิงนีผุดขึนในใจ ไม่ ไปคิดต่ อ ไม่ ไปไล่ ดับอาการ แต่ ด้วยความเคยชินจิตก็คิดไป ก็ได้ แต่ บริกรรมคํานี ตังสติไม่ ให้ ไหลไปตามความเคยชิน ก็ ได้ ผลค่ ะ จิตค่ อย ๆ หดเข้ ามา
และเมืออ่ านจบทีใจหลายรอบเข้ า ใจมันก็ ประมวลความเข้ าใจเองอย่ างปะติดปะต่ อว่ า เหตุคือ การกระทบทางทวารต่ าง ๆ จึงทําให้ การสืบต่ อของแต่ ละขันธ์ เป็ นไปโดยอัตโนมัติ จากความเข้ าใจนัน ปาก มันพูดออกมาเองว่ า อ๋ อ ... เกิดสิงนี แล้ วเกิดสิงนีขึน เหมือนมันไม่ ได้ พดู จากปาก แต่ พดู จากใจ ไหล ออกจากใจแบบม้ วนเดียวเลย จําไม่ ได้ ด้วยซําว่ าพูดกับ ตัวเอง (เชิงรําพึง) ว่ าอย่ างไร รู้แต่ ว่าพูดจบก็คือจบเลย ไม่ เอามาคิดต่ อ แล้ วก็วางความเข้ าใจนันไปด้ วย ไม่ ไป คิดค้ นวิเคราะห์ ตามนิสัยเดิมทีมันเป็ นมาอย่ างนัน อย่ างนีเรียกว่ ามัน "ลงแก่ ใจ" มัยคะ ... กราบนมัสการ เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ เช่ นนันเอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
เพียรให้ ถึงทีสุดแห่ งทุกข์ ในปั จจุบัน ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ ขอถามคําถามเจ้ าค่ ะ เพราะยังมืดบอดอยู่ ถ้ าขณะมีชีวติ อยู่เป็ นผู้ปฏิบัติธรรมใฝ่ ธรรมทํา กุศลมาตลอด แต่ ยังไม่ ถึงขัน ละอวิชชาจนเป็ นหนึง เดียวกับธรรมชาติ ยังไม่ หมดสินเชือเกิด ถ้ าตาย จะทํา อย่ างไรทีจะไม่ ต้องไปนังร้ องไห้ ในงานศพของตัวเอง หรื อต้ องไปอบายภูมิ หรือต้ องไปเกิดเป็ นสัตว์ เดรัจฉาน เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : จะเพียรให้ ถงึ ทีสุดแห่ งทุกข์ ในปั จจุบันนีให้ ได้ แผ่ นดินยังไม่ กลบหน้ า จะไม่ มีวันทีจะท้ อถอยและคิด แบบนีเป็ นอันขาด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
จิตรวม ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ มีอาการขณะ นังสมาธิ คือ เหมือนคนสัปหงก เหมือนใจจะขาด เหมือน เวลาจะหลับ แต่ มันไม่ ใช่ เพราะไม่ ได้ ง่วงนอนแต่ ตกใจ มาก เพราะเหมือนจิตจะหลุดออกไป มันคืออะไรคะ กราบหลวงตาด้ วยความเคารพค่ ะ
หลวงตา : จิตจะรวม
ผู้ถาม : หลวงตาโปรดอธิบาย จิตจะรวม หมายถึงอะไรคะ โปรดชีแนะด้ วยค่ ะ อาทิตย์ ทแล้ ี ว นังทํางาน เขียนหนังสือ มีอาการหวิว ๆ วืด ๆ ลึก ๆ เหมือนจะ เป็ นลม เหมือนใจจะขาด
หลวงตา : ก็อย่ างทีเป็ นนันแหละ เวลาเกิดขึนอีก ให้ ปล่ อยขาดไปเลย ไม่ ตายหรอก อย่ ายือ อย่ าเอะอะ อย่ างลังเล สงสัย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที เมษายน
อย่ าให้ เสียโอกาส ทีได้ เกิดเป็ นมนุษย์ ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา พอฟั งไฟล์ ผู้ใด สงสัยผู้นันเป็ นอวิชชา ก็เข้ าใจค่ ะเพราะตัวเองไม่ ค่อย สงสัยแต่ พอไปฟั งไฟล์ “มันเป็ นของมันเองด้ วยตัวมัน เอง” ใจยิงโล่ งค่ ะเพราะยิงเข้ าใจ คําพูดหลวงตาเข้ ามา สู่ใจเลยว่ ามันเป็ นสังขารไม่ มีใครไปทําอะไร ก็มายําความคิดเดิมทีกราบเรียนหลวงตาว่ า ต่ อไปจะไม่ ทาํ อะไรแค่ ดูและรู้ธรรมชาติในตัวและอยู่กัน อย่ างสงบ ไม่ ผลักไม่ ยดึ ให้ เขาเกิดดับของเขาเอง แต่ ก็ จะเจริ ญสติให้ ต่อเนืองไม่ งนจะหลงค่ ั ะ และจะรั กษาศีล กับเดินทางมรรคมีองค์ ให้ ดียงขึ ิ นตลอดไปค่ ะ
กราบเท้ าหลวงตาและกราบในธรรมทีให้ ศิษย์ ทุ่มเท ตอกยําจนกระจ่ างขึนเรื อย ๆ ค่ ะ เหลือแต่ ต้อง เพียรอย่ างต่ อเนืองเองค่ ะ
หลวงตา : สาธุ เราแม้ จะมีอทิ ธิฤทธิมาก แต่ เรามี ประการทีทําไม่ ได้ ลูกศิษย์ ถามพระพุทธองค์ ว่า “ในเมือท่ านเป็ นผู้ทมีี ความเมตตา และอิทธิฤทธิ แล้ ว ทําไมยังมีคนทีลําบากอยู่ ?”
พระพุทธองค์ ตอบว่ า “เราแม้ จะมีอทิ ธิฤทธิมาก แต่ เรามีสประการที ี ทําไม่ ได้ ” . ไม่ สามารถเปลียนแปลงวิบากกรรมได้ ใครสร้ าง กรรมเอาไว้ ไม่ มีใครรั บแทนได้ คนนันต้ องรั บเอง . ปั ญญาให้ กันไม่ ได้ ต้ องฝึ กฝนเอาเองถึงจะเกิดปั ญญา ได้ . ความศรีวิไล ของ ธรรมะ ไม่ สามารถสือทางภาษาได้ ความจริ งแท้ ในจักรวาลต้ องใช้ การปฏิบตั ิหนทางเดียว เท่ านันเพือพิสูจน์ ความจริง . คนทีไม่ มีวาสนาทีดี กับเราจะฟั งไม่ เข้ าถึงใจเขา เรา จึงโปรดเขาไม่ ได้ ฝนแม้ จะตกทัวฟ้ า ก็ยังไม่ เกิด ประโยชน์ กับหญ้ าทีไร้ ราก พระธรรมแม้ จะกว้ างใหญ่ ไพศาล ก็ยากทีจะโปรดคนไร้ วาสนา
พระพุทธเจ้ าตรั สไว้ ว่า “เป็ นการยากทีได้ เกิดเป็ นมนุษย์ เป็ นการยากทีชีวติ สัตว์ จะได้ อยู่สบาย เป็ นการยากทีจะได้ ฟังธรรมของสัตบุรุษ เป็ นการยากทีพระพุทธเจ้ าจะอุบัตมิ า”
เมือรู้ เช่ นนีแล้ ว เราจึงควรเห็นคุณค่ าของ การเกิดเป็ น มนุษย์ อย่ าให้ เสียโอกาส เสียเวลา ไปโดยเปล่ า ประโยชน์ เอาใจใส่ รักษาความเป็ นมนุษย์ ไว้ ให้ มันคง ถึงจะเกิดมาเป็ นมนุษย์ แล้ วก็ตาม แต่ จิตใจก็เป็ นไปได้ ใน ๒ ทาง คือ ใจตํา เป็ นอกุศลจิต ใช้ ชีวิตอย่ างประมาท ขาดสติ เป็ น ทางของสัตว์ เดรัจฉาน เปรต ยักษ์ สัตว์ นรก ใจสูง เป็ นกุศลจิต ดําเนินชีวติ อย่ างมีสติ ปั ญญา ไม่ ประมาท สร้ างกุศลกรรมความดี สร้ างบารมี เป็ น ทางของมนุษย์ เทวดา พรหม อริยมรรค อริ ยผล นิพพาน
ดังนันสําหรั บการเกิดเป็ นมนุษย์ ในชาติหนึง การเลือก ทางดําเนินชีวติ ของเราจึงเป็ นสิงสําคัญทีสุด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
ให้ ตงใจว่ ั าชีวิตทีเหลือ จะเพียรให้ พ้นทุกข์ ในปั จจุบัน ผู้ถาม : คุณนรินทร์ ตังแต่ ผมได้ ขอคําแนะนําจากคุณ และได้ รับคําแนะนําและได้ รับคลิปรวม ทังหนังสือธรรม จนถึงบัดนี ผมรู้ สึกอาการดีขนมาก ึ อย่ างคาดไม่ ถงึ ผมรู้ สึกว่ าสุขภาพ ร่ างกายไม่ เจ็บปวดเท่ าไร และรู้สึกกระฉับกระเฉงอย่ าง ไม่ เคยเป็ นมาก่ อนในรอบ ปี ทีป่ วยมา รู้ สกึ อยากอยู่ต่อไป ไม่ เหมือนเมือก่ อนไม่ อยากอยู่เพราะมันทรมานมาก ผมคิดว่ าตัวเองมโนเอง แต่ มันไม่ ใช่ เพราะผมรู้สึกมีความสุข อยากอยู่ไปนาน ๆ คุณว่ าผมคิดไปเองหรือเปล่ า ผมขอบคุณมากทีคุณ ช่ วยเหลือผม อย่ างไม่ มีความรั งเกียจใด ๆ ท้ ายนีผมขอให้ คุณส่ งคลิปของหลวงตามาให้ ผมอีก แล้ วแต่ คุณจะเห็นสมควร สวัสดี
หลวงตา ครับข้ างบนคือเพือนทีเป็ นมะเร็ง และผมได้ ช่วยเค้ าตามคําแนะนําหลวงตา
หลวงตา : สาธุ ให้ เขาตังใจว่ าชีวติ ทีเหลือ จะเพียรให้ พ้ นทุกข์ ในปั จจุบัน และจะทําประโยชน์ ท่านไม่ ว่าจะ เป็ นมนุษย์ หรือมิใช่ มนุษย์ ไม่ ว่าจะอยู่ภพภูมิใด ไม่ ว่า จะอยู่ใกล้ หรื อไกลเพียงใด ให้ แผ่ เมตตาออกไปทุกทิศ ไม่ มีทสุี ดไม่ มีประมาณ ทุกวัน อย่ าได้ เว้ น
ผู้ถาม : ผมส่ งต่ อคําแนะนําไปให้ เค้ าแล้ วครับ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
ให้ สักแต่ ว่ารู้อยู่ทใจ ี ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะหลวงตา โยมขอโอกาสเจ้ า ค่ ะ ชือส้ มเจ้ าค่ ะ เคยไปกราบหลวงตาทีโคราชเดือน มีนาคมตอนทีโยมมาเมืองไทยนะคะ แต่ ตอนนีก็กลับมาที อังกฤษแล้ วค่ ะ แต่ ก็ตดิ ตามไลน์ เป็ นแฟนพันธุ์แท้ อยู่เจ้ าค่ ะ คือเมือวันก่ อนโยมได้ อ่านเรื องของผู้หญิงคน หนึงทีเขาถามหลวงตาว่ าเขามีอาการสัปหงกตอนเขา นังสมาธิ และเหมือนจะหายใจไม่ ออกอะไรทํานองนัน หลวงตาบอกว่ าถ้ าเกิดขึนอีกก็ให้ ดูมัน ๆ ไม่ ตายหรอก โยมจําคําสอนของหลวงตาไว้ เผือมันเกิดกับตัวเอง
แต่ ของโยมแรก ๆ ก็มีอาการซู่ ๆ ซ่ า ๆ ไป ตามขาตามตัวเจ้ าค่ ะ ต่ อมาเกิดอาการใจมันหวิว ๆ และสัน ๆ แต่ แรงขึน ๆ เหมือนตอนเครืองบินจะลงพืน เจ้ าค่ ะ ทีนีโยมเลยลืมตาแต่ มีความรู้สึกว่ าไม่ เห็นตัวเอง โยมเลยลองหลับตาอีกทีและลืมตาใหม่ อีกครั ง แต่ ยัง เหมือนเดิมคือเหมือนไม่ มีตัวตนเจ้ าค่ ะ ทีนีก็มีอาการเริมจะกล้ า ๆ กลัว ๆ แต่ ก็ตัดสินใจ มองรอบตัวเอง แต่ เหมือนว่ าเห็นขาตัวเองขาว ๆ แปลก ๆ
ในขณะจิตนันกลัวมากเจ้ าค่ ะ แต่ ก็ยังจําคํา หลวงตาว่ าไม่ ตายหรอก แต่ ยอมรั บว่ าใจสันมาก แต่ ก็ บอกกับตัวเองว่ าถ้ าไม่ มีตัวตนแล้ ว จะกลัวอะไร เลย ยอมเอาหละตายเป็ นตาย ถึงตอนนีเหมือนเจอพายุ กระหนําหนักเลยเจ้ าค่ ะ ทังตัวทังใจสันสะท้ านไปหมด โยมทําได้ คําเดียวไม่ ตายหรอก ทัง ๆ ทีกลัวเกือบตาย สักพักทุกอย่ างก็สงบลงเหมือนไม่ มีอะไรเกิดขึนเลยเจ้ า ค่ ะหลวงตา ขอความเมตตาชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ ขอบพระคุณ หลวงตาอย่ างยิงเจ้ าค่ ะ สาธุ
หลวงตา : ไม่ ตายหรอก อย่ าตืนเต้ นตกใจ อย่ าหลงไปตามนิมิต หรื ออาการของกายทีสันหรือเคลือนไหว ให้ สักแต่ ว่ารู้อยู่ทใจ ี เมือทุกอย่ างสงบลงแล้ ว ก็สักแต่ ว่ารู้ อยู่ทใจ ี อย่ าไปรบกวนเขา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
ผู้ร้ ู ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ ฟั งเรืองปรากฏการณ์ ธรรมชาติแล้ วชัดเจนมากเจ้ าค่ ะ ลูกมีความสงสัยอยากถามองค์ หลวงตา แต่ กน็ ึกถึงที องค์ หลวงตาบอกว่ าผู้ใดสงสัยผู้นันเป็ นอวิชชา แต่ ก็ ต้ องถามเพือความเข้ าใจทีตรงตามความเป็ นจริง ลูก อยากถามองค์ หลวงตาว่ า ผู้ร้ ู ทคิี ดนึกตรึกตรองปรุ งแต่ ง ได้ มันเป็ นแค่ ปรากฏการณ์ หรือเปล่ าเจ้ าคะ ใช้ หลักนี มาพิจารณาได้ ไหมเจ้ าคะ กราบองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : “ผู้ร้ ู” ทีคิดปรุงแต่ งได้ เป็ นสังขาร เป็ น ปรากฏการณ์ ธรรมชาติฝ่ายปรุ งแต่ ง แต่ ถ้าหากไปหลง ยึดว่ าเราเป็ น “ผู้ร้ ู ” หรื อ “ผู้ร้ ู” เป็ นเรา จะเป็ นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึงเป็ นกิเลส ส่ วน “ผู้ร้ ู ” ทีเป็ นธรรมธาตุ หรื อ อสังขตธาตุ หรือ วิ สังขาร ทีไม่ มีตัวตน และไม่ มีปรากฏการณ์ ตาม ธรรมชาติขนมาเลยนั ึ น ก็ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา หรือ ของเรา หากยึดถือ เป็ นเรา “รู้” หรื อ “รู้” เป็ นเรา ก็จะเป็ น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึง เป็ นกิเลส
หากมีผ้ ูหลงยึดถือ “ผู้ร้ ู” ทังทีเป็ นสังขาร และวิสังขาร จะทําให้ จิตหรื อวิญญาณเป็ นตัวเป็ นตนขึนมาทันที และเมือธาตุแตกขันธ์ ดับ (ตาย) ในขณะทียังยึดอยู่ ก็จะเหลือจิตหรื อวิญญาณเป็ นตัวตนไปเวียนว่ ายตาย เกิดตามกรรมต่ อไป
จิตหรือวิญญาณ จะสินตัวตน มีเพียงกรณีเดียวเท่ านัน คือ สินหลงคิดปรุงแต่ ง โดยอยู่กบั “รู้ ” หรื อ ไม่ มีผ้ ูหลงยึดถือ ทังสังขาร และวิสังขาร ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
จิตไม่ ใช่ เรา เราไม่ ใช่ จติ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาด้ วยความเคารพยิง อ่ านคําตอบทีหลวงตาตอบคําถามเมือตอนเช้ า ว่ า "อย่ าไปรบกวนเขา" หลวงตาช่ วยชีแนะด้ วยค่ ะ ว่ าเขาคือใคร เพราะ หนูเห็นเขาคนนันเช่ นกัน เขาทีไม่ ใช่ ตัวตนของเรา เขา ทีเราไม่ สามารถบังคับอะไรเขาได้ เขาทีชอบสําแดง อะไรแปลก ๆ ทีทําให้ เราต้ องหวันใจ ไม่ มีใครสามารถตอบคําถามนีได้ นอกจาก หลวงตาเท่ านันเจ้ าค่ ะ กราบขอบพระคุณค่ ะ
หลวงตา : เขานัน คือ จิตปรุ งแต่ ง ทีพระพุทธเจ้ า ตรั สว่ าเป็ นลิงป่ า ไม่ ใช่ จิตเรา ไม่ ใช่ จติ ของเรา ไม่ ใช่ เราเป็ นจิต หรื อ จิตปรุ งแต่ งนันไม่ ได้ เป็ นเรา สินยึดถือจิต ก็จะสินยึดถือกายด้ วย
เมือสินยึดถือ ก็จะสินกิเลส คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ...ภพ ชาติ .... และความทุกข์ ก็ดับพร้ อม หรื อ สินยึดถือ ... จิตเขาก็คิด หรื อ แสดงกริ ยาอาการ อย่ างเก้ อ ๆ โดยไม่ มีผ้ ูรองรับ หรือผู้เสวยจิตหรือ อาการของจิต
สินผู้ยึดถือ .... จิตหรือวิญาณก็จะสินตัวตน ตลอดกาล อย่ างเป็ นอมตะนิรันดร์ หรื อเมือธาตุแตกขันธ์ ดับ (ตาย) จิตหรือวิญญาณจะดับไปเหมือนเปลวไฟทีสินเชือ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
ความหลงดับ อวิชชาดับ ผู้ถาม : กราบสาธุเจ้ าค่ ะทีองค์ หลวงตาให้ ทบทวนใน วันนัน ความรู้ สึก คือ "สินหลงตัวเดียวทุกอย่ างก็ดับ หมด" เพราะมันเห็นความจริงต่ อหน้ าต่ อตาว่ าทุกอย่ าง มันไม่ มีอยู่จริง มันเป็ นแค่ มายา มันมีตัวมีตนขึนมาได้ เพราะหลงคิดปรุงแต่ งไป เมือ "ความหลง" ดับ อวิชชาก็ดับ ทุกอย่ างดับ หมด แต่ ความสินหลงก็ทาํ ขึนมาไม่ ได้ เจ้ าค่ ะ เป็ นแบบนี ถ้ าอย่ างนันการจะสินหลงอย่ างถาวรก็ต้องอาศัย มีสติปล่ อยวาง "ตัวเรา" ไปทุก ๆ ขณะ โดยไม่ ต้องสนใจ รู้ ทเป็ ี นวิสังขารหรือธรรมธาตุเลยได้ ใช่ ไหมเจ้ าคะ
เพราะรู้ ทเป็ ี นธรรมธาตุมันหาไม่ เจออยู่แล้ ว เพราะถ้ าไปหาว่ าอันไหนรู้จริงอันไหนรู้ปลอม มันก็เป็ น อวิชชาไปแล้ ว ก็ปล่ อยวางผู้ร้ ูทเป็ ี นตัวเราไป ทุกขณะ โดยรู้ว่าเขาเป็ นตัวสมมุตทิ ต้ี องเกิดตายไปในทีสุด เขามี หน้ าทีปรุงไปตามหน้ าทีเขาจนกว่ าจะแตกดับตายไป เช่ นนีนะเจ้ าคะองค์ หลวงตา เมตตาชีแนะด้ วย เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ เช่ นนัน นันแหละ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
"อวิชชาซ้ อนอวิชชา" ผู้ถาม : จริง ๆ จะว่ าไป ตรงทีมันพ้ นทุกข์ นีก็สัมผัส มาแล้ ว ตรงทีไม่ มีตัวเรามาตังแต่ แรก ก็สัมผัสมาแล้ ว แต่ แค่ ไม่ นาน ก็ขาดสติ ไปรู้ เรืองอืนแทน มันต้ องมีทงั “สติ” ทีรู้ อยู่เห็นอยู่ “ปั ญญา” ทีเห็น ความจริงนันอย่ างแจ่ มแจ้ ง และ "เป็ นจริ งทีใจ" รวมลงในขณะจิตเดียวกัน มันถึงจะสะบันอวิชชา สินเชิงถาวร ในขณะจิตนันใช่ ไหมเจ้ าคะ
หลวงตา : ภาพธรรมนี คือ คําตอบ ข้ อธรรมในภาพธรรม "อวิชชา" ก็เป็ น "ธรรมชาติฝ่ายปรุ งแต่ ง" ใยเลยต้ องพยายามดับอวิชชา ถ้ ามี "ผู้พยายามไปดับมัน" ก็เป็ น "อวิชชาซ้ อนอวิชชา" เพียงแค่ เห็นว่ าอวิชชาทีเกิดขึนเป็ น "สังขาร" ก็ "พ้ นจากสังขาร" แล้ ว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
“โลกบังธรรมมิด” ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ เมือสักครู่ ลูกฟั งธรรมทีหลวง ตาเล่ าถึงการเปลียนสไตล์ การสอนในช่ วง ปี นี ส่ งผลให้ คนส่ วนหนึงหลุดขบวนไป หลวงตาจึงแนะนํา ให้ เป็ นกัลยาณมิตรกัน พีสอนน้ อง ไม่ ใช่ คุยเรืองโลก จึงลองเรียก ... และ ... มาเพือเล่ าสิงทีหลวงตา แนะนํา และน้ องต้ องมีความศรั ทธาในผู้ทสอน ี
น้ อง ... จึงยอมรั บว่ า ตนก็ร้ ูสึกว่ าตนตกขบวน ตามไม่ ทัน ฟั งไฟล์ ตามไม่ ทัน คงไม่ ใช่ สไตล์ ของตนเอง คงไม่ เหมาะกับตน แต่ เค้ าก็ไม่ ได้ ศรัทธาในสิงทีหนู แนะนําเจ้ าค่ ะ ก็ไม่ ร้ ูจะทําอย่ างไรดีเจ้ าค่ ะ รู้เพียงคง ต้ องกราบเรี ยนหลวงตา ขอความเมตตาหลวงตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : น้ องเขายังต้ องการมีแฟนหรือมีสามีอยู่ ฟั ง ธรรมแท้ เพือความพ้ นทุกข์ เข้ าไม่ ถึงใจ เพราะ “โลกบังธรรมมิด”
เราเองประสบกับความทุกข์ มามากแล้ ว เพียรให้ พ้นทุกข์ ในปั จจุบันเสีย แล้ วจะเป็ นประโยชน์ ต่ อผู้อืนเอง โดยรู้เท่ าทันในปั จจุบันขณะทีหลงมีตัวเราไปหลงคิด หลงปรุ งแต่ ง หลงสังขาร หลงยึดถือ หลงมีผ้ ูเสวย หรื อ หลงไปมีตัวเราไปรองรับจิตทีคิด หรื ออาการของจิต
ถ้ าสินผู้เสวย สินผู้ยึดถือ ก็จะสินตัวตน หรื อ จิต วิญญาณไม่ มีตัวตนในปั จจุบัน เมือธาตุแตก ขันธ์ ดับ (ตาย) จิตวิญญาณจะดับไป เหมือนเปลวไฟทีสินเชือ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
ฟุ้งซ่ านก็เอา สงบก็เอา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ลูกฝึ กความเพียรมา ทังฟั งและเดินจงกรม นังสมาธิ จิต มันน้ อมธรรม สงบ พอรู้ทนั บ้ าง หลงบ้ าง คิดว่ ามา ถูกทางเจ้ าค่ ะ แต่ พออาทิตย์ ทผ่ี านมา ลูกได้ ไปกินบ้ าน เพือน เขาไม่ ได้ ฝึกภาวนา มีแต่ ทาํ บุญทานถือศีลตาม กาลลูกคุยกับเขา จิตตกเลยค่ ะ มีความรู้ ว่าจิตฟุ้งซ่ าน ร้ อนในใจ พอตกเย็น มานังภาวนา จิตไม่ ยอมนิงมันฟุ้งซ่ านเจ้ าค่ ะหลวงตา ฟุ้งซ่ านก็นัง ดูเขาทําเจ้ าค่ ะ น้ อมกราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ฟุ้งซ่ าน ... ก็เอา สงบ ... ก็เอา เอามันทังนันแหละ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
ถอนคําอธิษฐานและแผ่ เมตตา
ผู้ถาม : หลวงตาคะ ได้ อ่านไลน์ แล้ วค่ ะ แต่ กย็ ังไม่ เห็น ว่ าตอนนีเราติดตรงนี เข้ าใจว่ าหลุดไปแล้ วค่ ะ จากนีจะแก้ ไขตรงนี ต้ องทําอย่ างไรคะ ขอคําแนะนําจากหลวงตาค่ ะ ขอบพระคุณค่ ะ
หลวงตา : ให้ อธิษฐานบวชใจ ถอนคืนคําอธิษฐาน ถอนคําสาปแช่ ง ขอขมา ให้ ขาดทีใจ และแผ่ เมตตาให้ ออกจากใจบ่ อย ๆ ๆ ๆ โดยเฉพาะขณะทีใจสงบ แล้ ว..ติดตามเป็ นแฟนพันธุ์แท้ อย่ างต่ อเนือง ... ก็จะรู้ ธรรม เห็นธรรม ดาวน์ โหลดบทถอนอธิษฐาน, บทสวดมนต์ และบทแผ่ เมตตา (PDF) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
สัพเพ ธัมมา อนัตตา ผู้ถาม : ขอโอกาสเจ้ าค่ ะ ... ศิษย์ นังสมาธิเช้ านี ได้ พิจารณาข้ อธรรม หากมีความเข้ าใจคลาดเคลือน จากสัจธรรมความจริง ขอองค์ หลวงตาเมตตาชีแนะ เจ้ าค่ ะ ความรู้ ความเห็น ความเข้ าใจทังหลายทังปวง เป็ นสังขาร เกิดขึนเมือเหตุถึงพร้ อม ตังอยู่ภายในใจ เพือให้ รับรู้ สภาวธรรมนัน แล้ วดับไปสลายไป ไม่ ควร ยึดมันถือมันว่ า "เราเป็ นผู้ร้ ู" เพราะเราไม่ มีมาแต่ แรก
มีแต่ "ความรู้" แต่ ไม่ มี "ผู้ร้ ู" รู้แล้ ว เห็นแล้ ว เข้ าใจแล้ ว ก็เป็ นสักแต่ ว่ากิริยาจิตทีปรุ งแต่ งมาจากเหตุทงสิ ั น ไม่ ต้องไปเข้ าใจเหตุ สิงใดเกิดขึน สิงนันดับไป รู้ แล้ ว วางไปทุกขณะจิต ... นีเองคือ "สัพเพ ธัมมา อนัตตา"
หลวงตา : สาธุ ถูกแล้ ว เพียรให้ ต่อเนือง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
สินยึดถือจึงจะสินอวิชชา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ หนูกาํ ลังจะทําภาพธรรม แต่ เนือหายาวมาก เลยขออนุญาตส่ งข้ อธรรมให้ หลวงตาตรวจสอบก่ อน เจ้ าค่ ะหลวงตา ................................................ พ่ อแม่ ทแท้ ี จริงของเราคือใคร ??? อวิชชา ความยึดมันถือมันเป็ นตัวเป็ นตน เป็ นพ่ อแม่ ของการเวียนว่ ายตายเกิด ในสังสารวัฏ อาสวะหรื ออนุสัยกิเลส กิเลสเครื องดองสันดาน คือ ความเคยตัว เคยใจ เป็ นพ่ อแม่ ของอวิชชา
ความคิดหรือดําริ เป็ นพ่ อแม่ ของอาสวะกิเลส เพราะความคิดนัน เป็ นได้ ทงเหตุ ั ให้ สนทุ ิ กข์ และเป็ น เหตุให้ ทุกข์ ถ้ าเป็ นเหตุให้ สนทุ ิ กข์ สินผู้ยึดถือ สินผู้เสวยหรือสิน หลง ใจก็จะว่ างเปล่ า ไปเป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติ ถ้ าเป็ นเหตุให้ ยดึ มันถือมัน เป็ นตัวเป็ นตน ก็คงต้ อง เวียนตายเวียนเกิดอยู่ในสังสารวัฏ พระพุทธองค์ ทรงสอนให้ สาํ รวมระวัง การคิด การพูด การกระทํา ให้ รอบคอบ ให้ ร้ ู เท่ าทันความคิดในทุก ขณะปั จจุบัน เพราะการพูด การกระทํา มาจาก ความคิด
เมือคิดบ่ อย ๆ พูดบ่ อย ๆ ทําบ่ อย ๆ ก็จะกลายเป็ นความเคยชิน เคยชินบ่ อย ๆ ก็จะกลายเป็ นอนุสัยหรื อสันดาน ผู้ปฏิบัติพงึ รู้ได้ ด้วยตนเอง ว่ าปฏิบัตไิ ปในทางใด เพือความสินกิเลสหรื อกิเลส เพือความสินทุกข์ หรื อเพือทุกข์ เพือวิชา หรือ อวิชชา ความยึดมันถือมัน เป็ นตัวเป็ นตน เป็ นอวิชชา ... พ่ อแม่ ทแท้ ี จริงของเรา ................................................
หลวงตา : สาธุ ทีเขียนมาทังหมด ถูกต้ องตามธรรม แล้ ว แต่ เพือให้ เกิดความเข้ าใจชัดเจน และให้ สนกระแส ิ ความ จึงขออธิบายเพิม ดังนี เพือความสินกิเลส (สินอวิชชา ตัณหาอุปาทาน) หรือ เพิมกิเลส (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) เพือความพ้ นทุกข์ (สินอวิชชา ตัณหา อุปาทาน) หรือ เป็ นเหตุให้ เกิดทุกข์ (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) สินกิเลส (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) ก็ พ้ นทุกข์ กิเลส ก็มาจาก “อวิชชา” เป็ นตัวเริมต้ น จึงเกิด ตัณหา อุปาทาน
“อวิชชา” ก็มาจาก ความไม่ ร้ ู เท่ าทัน จึงหลงคิดปรุงแต่ ง ไปความเคยตัวเคยใจในการคิด การพูด การกระทําไป ด้ วยความยึดถือเพิมมากขึนเรื อย ๆ มาหลายภพชาติ จนถึงปั จจุบัน เป็ นเหมือนดอกเบียทบต้ น การพูด การกระทําหนักไปในทางยึดถือ ก็มาจาก ความคิด
เพราะไม่ มี “สติ” รู้ เห็น หรื อ รู้เท่ าทัน “จิต” ทีคิดปรุ ง แต่ งในปั จจุบันขณะ และไม่ มี “ปั ญญา” เห็นตามความ เป็ นจริ งว่ า “จิต” ทีกําลังคิดปรุ งแต่ งอยู่ในปั จจุบัน ขณะนัน ๆ เป็ นเพียง “สังขาร” หรือเป็ นมายา เป็ นเพียงความปรุงแต่ ง ไม่ ได้ มีตัวตนอยู่จริง เกิดขึนแล้ วก็ดับไป มีแล้ วก็หายไป ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา หรือ ของเรา (เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมือไม่ มี สติปัญญา จึงหลงคิด ปรุ งแต่ งหรือหลงยึดถือ “จิต” ทีกําลังคิดปรุงแต่ งในปั จจุบันขณะว่ าเป็ นตัวเป็ น ตน เป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรือ เป็ นของเรา
ดังนัน; จึงต้ อง “เพียรอย่ างหนัก” ฝึ กให้ มี “สติ ปั ญญา” รู้ เห็นหรื อ รู้เท่ าทัน “จิต” ทีกําลังคิดปรุ ง แต่ งในทุกปั จจุบันขณะ และ มีสติ ปั ญญา รู้เห็นหรือรู้ เท่ าทัน “จิต” ทีกําลังคิด ปรุงแต่ งในทุกปั จจุบันขณะว่ า “จิต” ทีกําลังคิดปรุงแต่ ง ในทุกปั จจุบันขณะ ไม่ ใช่ ตัวตน หรื อ ไม่ มีตัวตน เป็ นเพียงมายา ปรุงแต่ งขึนมา แล้ วก็ดับไป ไม่ ใช่ เป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรือ เป็ นของเรา
เมือมี “สติ ปั ญญา” รู้ เท่ าทัน และ รู้เห็นตามความเป็ นจริง จนใจยอมรับตามความเป็ นจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ) ว่ า “จิต” ไม่ มีตัวตน ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา หรือ ของเรา เขาเป็ น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หลังจากนัน ก็ได้ แต่ สักแต่ ว่ารู้ เห็น “จิต” หรื อ ไม่ มีผ้ ูยึดถือจิตทีกําลังคิดปรุ งแต่ ง ในทุกปั จจุบันขณะนันอีกต่ อไป
เมือสินผู้หลงยึดถือ ก็จะสิน “อวิชชา” เมือไม่ เป็ น “อวิชชา” ก็จะไม่ เป็ น ตัณหา อุปาทาน ... ภพ ชาติ..และทุกข์
แม้ จะไม่ มีผ้ ูยึดถือกาย (รูป) และจิต (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) แต่ ถ้า..... หลงยึดถือ “ผู้ร้ ู” ทังผู้ร้ ูทเป็ ี นสังขาร และวิสังขาร ก็ยังเป็ น “อวิชชา ตัณหา อุปาทาน” ... ภพ ชาติ ... ทุกข์ จิต หรือ วิญญาณ ก็จะเป็ นตัวตน ในขณะทีหลงยึดหรื อ เป็ นอวิชชา แม้ ธาตุแตก ขันธ์ ดับ (ตาย) ถ้ ายังไม่ สนหลงยึ ิ ด จิตหรื อวิญญาณ ก็จะเหลือตัวตน ไปรับกรรมในภพ ใหม่ ต่อไป
“ผู้ร้ ู ” ทีเป็ นสังขาร คือ วิญญาณขันธ์ ทีทํางานร่ วมกับ เจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร ทุกปั จจุบันขณะ หรื อ “ผู้ร้ ู ” ทีปรุงแต่ ง เกิดดับได้ เป็ นขันธ์ ห้า มีความถูกใจ ไม่ ถูกใจ จําได้ หมายรู้ คิดปรุ งแต่ งได้
ส่ วน “ผู้ร้ ู ” ทีเป็ นวิสังขาร คือ วิญญาณธาตุ หรื อ ธาตุร้ ู ทีมาผสมกับธาตุดนิ ธาตุนาํ ธาตุลม ธาตุไฟ แล้ วเกิด เป็ นนามรู ป หรือ ขันธ์ ห้าขึนมา มีชือสมมติว่า “ใจ หรื อ จิตเดิมแท้ ”
ถ้ าหลงยึดถือว่ า เราเป็ น “ผู้ร้ ู” หรือ “ผู้ร้ ู ” เป็ นเรา ก็จะเป็ น “อวิชชา”..... หรื อ หลงยึดถือ “ผู้ร้ ู” ซึงเป็ น “ใจ” หรื อ “จิตเดิมแท้ ” ว่ าเราเป็ นผู้ร้ ู หรือ ผู้ร้ ูเป็ นเรา หรือ เมือมีอาการของใจอย่ างไร ก็หลงยึดถือเอาอาการ เหล่ านัน เป็ นใจของเรา เช่ น ใจของเรา โปร่ ง โล่ ง เบา สบาย หรื อใจของเราว่ าง หรื อ เราสบายใจ เราไม่ สบายใจ อย่ างทีกล่ าวนี ก็ไม่ พ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ... ทุกข์
ต้ องสินยึดถือโดยถาวรสินเชิง ในสิงเหล่ านี คือ ... .รู ป เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ หรือสิงทีสัมผัสกาย และ ธรรมารมณ์ คืออารมณ์ ทถูี กรู้ .จิตทีกําลังคิดปรุงแต่ งในทุกปั จจุบันขณะ ซึงเป็ นสิง ทีถูกรู้ และ . สินยึดถือ “ผู้ร้ ู ” ทังผู้ร้ ูทเป็ ี นสังขาร และผู้ร้ ูทเป็ ี น วิสังขาร จึงจะสิน “อวิชชา”..ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ..ทุกข์ โดยถาวรสินเชิง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
เมือเข้ าใจถึงใจ ใจถึงปล่ อยวาง ผู้ถาม : กราบสาธุเจ้ าค่ ะ ทีองค์ หลวงตาให้ ทบทวนใน วันนัน ความรู้ สึก คือ "สินหลงตัวเดียวทุกอย่ างก็ดับหมด" เพราะมัน เห็นความจริงต่ อหน้ าต่ อตาว่ าทุกอย่ างมันไม่ มีอยู่จริ ง มันเป็ นแค่ มายา มันมีตัวมีตนขึนมาได้ เพราะหลงคิด ปรุ งแต่ งไป เมือ"ความหลง"ดับ อวิชชาก็ดับ ทุกอย่ างดับ หมด แต่ ความสินหลงก็ทาํ ขึนมาไม่ ได้ เจ้ าค่ ะ เป็ นแบบ นี ถ้ าอย่ างนันการจะสินหลงอย่ างถาวรก็ต้อง อาศัยมีสติปล่ อยวาง"ตัวเรา" ไปทุก ๆ ขณะโดยไม่ ต้อง สนใจ รู้ ทเป็ ี นวิสังขารหรือธรรมธาตุเลยได้ ใช่ มยเจ้ ั าคะ
เพราะรู้ ทเป็ ี นธรรมธาตุมันหาไม่ เจออยู่แล้ ว เพราะถ้ าไปหาว่ าอันไหนรู้จริงอันไหนรู้ปลอมมันก็เป็ น อวิชชาไปแล้ ว ก็ปล่ อยวางผู้ร้ ูทเป็ ี นตัวเราไป ทุกขณะ โดยรู้ว่าเขาเป็ น ตัวสมมุตทิ ต้ี องเกิดตายไปในทีสุด เขามีหน้ าทีปรุงไป ตามหน้ าทีเขาจนกว่ าจะแตกดับตายไป เช่ นนีนะเจ้ าคะ องค์ หลวงตา เมตตาชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : อ่ านถามตอบวันนี ให้ ถึงใจนะ เมือเข้ าใจถึงใจแล้ ว ใจเขาถึงจะปล่ อยวางความหลงยึดถือของเขาเอง
ผู้ถาม : น้ อมรั บธรรม น้ อมรั บคําสังสอนเจ้ าค่ ะองค์ หลวงตา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
จาก “จิตหนึง” สู่ “จิตหนึง” ผู้ถาม : กราบองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ ใจลูกมันเหมือนจะ ต้ านทานความจริงนีไม่ ไหวแล้ วมันสะเทือนใจยิงนัก ตอนนี มันรู้สกึ ว่ ากองทัพธรรมของพระพุทธ องค์ ธรรมจักรนันกําลังตีโอบล้ อมข้ าศึกใกล้ เข้ ามาทุก ทีแล้ วเจ้ าค่ ะ ลูกรู้สึกแบบนีจริง ๆ
[๑๑๒๕] ข้ าพระองค์ มีปัญหาทีจะทูลถามจึงมา เฝ้ าพระองค์ ผ้ ทู รงมีปกติเห็นธรรมอันงามอย่ างนีบุคคล พิจารณาเห็นโลกอย่ างไร มัจจุราชจึงไม่ เห็น [๑๑๒๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบดังนี) โมฆราช เธอจงพิจารณาเห็นโลกโดยความว่ าง เปล่ า มีสติทุกเมือ พึงถอนอัตตานุทฏิ ฐิเสีย เป็ นผู้ข้าม มัจจุราชเสียได้ ด้ วยอาการอย่ างนี บุคคลพิจารณาเห็น โลกอย่ างนี มัจจุราชจึงไม่ เห็น โมฆราชมาณวกปั ญหาที ๑๕
หลวงตา : “ใจ” มีแต่ ชอื แต่ ไม่ มีตัวจิต ตัวใจ แล้ วจะมีตัวใจของลูกไปต้ าน ไปค้ านพระธรรม ที ออกมาจากธรรมธาตุ หรื อ ใจอันบริ สุทธ์ ของ พระพุทธเจ้ าได้ อย่ างไร แม้ ตัวจิตหรื อตัวใจของพระพุทธเจ้ าก็ไม่ มีตัว เมือจิตหรื อใจ ไม่ มีตัวตน และ ไม่ อาจแสดงกริยาหรื อ อาการใดได้ เพราะเขาเป็ น วิสังขาร หรือ อสังขตธาตุ
ดังนัน จึงไม่ อาจมีใจของลูก ไปแสดงกริยา หรือ อาการต้ านทานพระธรรมทีออกจากใจทีว่ างเปล่ าจาก ตัวตนของพระพุทธเจ้ า มายังใจทีว่ างเปล่ าจากตัวตน ของเรา เป็ นการถ่ ายทอดพระธรรมทีว่ างเปล่ าจากตัวตน ออกจากใจทีว่ างเปล่ าจากตัวตนของพระพุทธเจ้ า มายังใจทีว่ างเปล่ าจากตัวตนของเราเท่ านัน หรื อ เป็ นการส่ งต่ อพระธรรม จาก “จิตหนึง” สู่ “จิตหนึง” คือพุทธะ เท่ านัน มันจึงเป็ นความบริสุทธิหมดจดของธรรมชาติจริง ๆ คือ ทังพระธรรมก็ว่างเปล่ าจากตัวตน ว่ างเปล่ าจากความปรุ งแต่ ง
พระธรรมนัน ก็ออกจากใจของพระพุทธเจ้ าทีว่ างเปล่ า จากตัวตน ว่ างเปล่ าจากความปรุงแต่ ง ใจของผู้รับ ก็เป็ นธรรมชาติทว่ี างเปล่ าจากตัวตน ว่ าง เปล่ าจากความปรุ งแต่ ง จึงเป็ นความว่ างอย่ างบริสุทธิเสียจริง ๆ สมดังที พระพุทธเจ้ าตรั สกับโมฆราชว่ า “เธอจงพิ จารณาเห็นโลกโดยความว่างเปล่า........ พึงถอนอัตตานุทิฏฐิ เสีย....” คื อ ถอนความเห็นผิด ว่า โลก คือ ขันธ์ หา้ ทังร่างกาย และ จิ ตใจ ว่ามี ตวั ตน เป็ นตัวเป็ นตน เป็ นเรา เป็ นตัวเรา เป็ นของเราเสีย เธอจงพิ จารณาให้เห็นว่าโลก คื อ ขันธ์ หา้ หรื อ ร่างกาย และจิ ตใจ เป็ นความว่างเปล่า จากตัวตน
ดังนัน “ใจ” ของลูกจึงเป็ นความว่ างเปล่ า ไม่ มีตัวตนที จะไปต้ านพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้ าได้ หรอก
ผู้ถาม : ถ้ าเช่ นนันสิงทีปรากฏและต้ านทานธรรมได้ มีเพียงสังขารทีต้ องทิงไว้ ในโลกนีใช่ มยเจ้ ั าคะองค์ หลวงตา ไม่ ใช่ ตัวเราไม่ ใช่ ตัวตนของเรา ปล่ อยเขาทิงคืนโลกไปเสียเท่ านัน ไม่ เหลืออะไรให้ ยึดถือ ไม่ มีอะไรให้ นึกถึง ไม่ มีอะไรทีต้ องห่ วงใยกังวลอีกต่ อไปใช่ มยเจ้ ั าคะ เริมมาจากความไม่ มีกด็ ับกลับคืนไปสู่ความไม่ มีดังเดิม ใช่ มยเจ้ ั าคะ น้ อมกราบแทบเท้ าพระพุทธองค์ น้ อมกราบแทบเท้ าองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ บัดนี จงเป็ น “ผู้ร้ ู ” ใจเป็ นธรรมแท้ ทีสินตัวตน สินหลงปรุ งแต่ ง สินหลงยึดมันถือมัน “ผู้ตืน” จากหลับไหลมานาน (ตืนจากความหลง คือ อวิชชา) “ผู้เบิกบาน” ไม่ หลงมีตัวตน ยึดถือสิงใดให้ เป็ นความ ทุกข์ อีกต่ อไป เรี ยกว่ า เป็ น “พุทธะ พุทธะ พุทธะ”
ผู้ถาม : ลูกขอกล่ าวคํานีออกจากใจของลูก พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
หลวงตา : สาธุ ขอให้ ท่านจงจําไว้ ว่า ท่ านได้ เปล่ งวาจาออกมาจากใจ เป็ นสัจจะบารมี อธิษฐานบารมีแล้ วว่ า นับแต่ นีเป็ นต้ นไป ขอพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ จงจําไว้ ว่า ใจของข้ าพระพุทธเจ้ าได้ ตายจากโลกแล้ ว เป็ นผู้เกิดใหม่ เป็ นลูกของพระพุทธเจ้ าเป็ นผู้บวช (บวชใจ) แล้ ว สาธุ สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
มีแต่ ปรากฏการณ์ ไม่ มีเรา ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ หลังจากทีไม่ ได้ ส่งการบ้ านมาเกือบ เดือนแต่ โยม ติดตามธรรมทางไลน์ ฟั งไฟล์ เสียงทุกไฟล์ และฟั งซําใน ไฟล์ ทคิี ดว่ ายังไม่ ชัดแจ้ งในความเข้ าใจ ทีผ่ านมานีก็มีกลับไปแช่ อยู่ครังหนึงประมาณ วัน ก็เข้ าหาผู้ร้ ู ก็หลุดออกมา ต่ อมาก็ชัดเจนในเรือง ของสังขารกายและจิตไม่ ใช่ เรา มีทุกข์ กายใจก็เห็นว่ า เป็ นทุกข์ ของขันธ์ พอระยะหนึงก็มาหลงอีกระยะหนึง ว่ า มีเราทุกข์ แล้ วมามีการกระทําทางใจ แต่ พอเริมไป กระทําก็จะเห็นกระบวนการทุกข์ ทันที เลยหยุดการ กระทํา
และฟั งไฟล์ เสียงระยะหลัง ๆ นีเข้ มข้ น ก็ชัดเจนใน ความรู้ แล้ ว และเข้ าใจเรื องสัพเพ ธัมมา อนัตตา ก่ อน หน้ ามีไปยึดวิสังขารด้ วยเจ้ าค่ ะ เมือ วัน เดินจงกรมแล้ วไปนังสมาธิภาวนา ต่ อ แต่ อยู่ ๆ จิตก็เข้ าฌานไปและถอย รอบพิจารณา อะไรไม่ ทราบทัง รอบ และสุดท้ ายเห็นกายละเอียด แยกออกไป ตอนนีไปเอ๊ ะนิดนึงแล้ วออกจากสมาธิเร็ว ไปนิด ก็เลยปวดหัวแป๊ บหนึง พอลุกจากทีนังเพราะเริม จะสายแล้ ว เดินออกมาเห็นเหมือนร่ างกายเป็ นกระดูกขาว ไปทังตัวแต่ ก็ไม่ ให้ ค่ากับสิงทีเห็นทีเป็ น แต่ ร้ ู ว่ามันไม่ เห็นมีความรู้ความเข้ าใจอะไร พิจารณาสงสัยไปมาแล้ ว ก็ไม่ ร้ ู เลยปล่ อยวางความสงสัยไป
มันก็มีความคิดขึนมาว่ าแล้ วจะไปรู้อะไร จะให้ เป็ นอะไร แล้ วก็วางผู้นึกตรึกตรองไปก็ว่าง ว่ างก็ไม่ เอา วันนีฟั งไฟล์ ทหลวงตาสอนคุ ี ณจันทิมาก็เข้ าใจ ชัดแจ้ งแล้ ว กราบส่ งการบ้ านช่ วงทีผ่ านมาถึงวันนีอย่ าง นีเจ้ าค่ ะ ศิษย์ ขอกราบนอบน้ อมองค์ หลวงตาด้ วยเศียร เกล้ าเจ้ าค่ ะ(โยมส่ งการบ้ านครั งสุดท้ ายทีหนองนําเขียว เจ้ าค่ ะ)
หลวงตา : เพียรเห็นสังขารกาย สังขารจิต และผู้ร้ ู รวมทังความรู้ สึกว่ าเราเป็ นผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้ร้ ูแจ้ ง เป็ นเพียงสังขารปรุงแต่ ง เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ ต่อเนืองไม่ ขาดสาย ไม่ มีตัวเรา ไม่ มีตัวตนของเรา ไม่ มีจติ หรือใจของเรามี แต่ ปรากฏการณ์ หรือกริ ยาอาการทีปรากฏขึนมาตาม ธรรมชาติ ไม่ ว่าจะดี ไม่ ดี ถูกใจ ไม่ ถกู ใจ กุศล หรือ อกุศล อวิชชา หรือแม้ แต่ วิชชา ความว่ าง ไม่ มีเรา ตัวเรา ของเราเลยแม้ แต่ น้อยหนึง นิดหนึง หรื อสักปรมาณูหนึงเลย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
เหตุเพราะไม่ กัดติดจดจ่ อในธรรม ผู้ถาม : กราบหลวงตาค่ ะ ตอนแรกวันที - จะไป เเดรีฮัทกับคุณจันทิมา เผอิญเกิดอุบัติเหตุ ล้ มทีถนน เลยไม่ ได้ ไป เสียดายมากค่ ะ ไว้ คอยตามใน line ว่ า หลวงตาจะไปแดรี ฮัทเมือไร จะลาพักร้ อนไปค่ ะ ยังคง ฟั ง file เสียงหลวงตาอยู่ค่ะ แต่ คล้ ายกับยังเพียรไม่ พอ ค่ ะ อยากไปเดินจงกรมทีเเดรี ฮัทและอยากกราบ หลวงตาค่ ะ
หลวงตา : สาธุ ชดใช้ กรรมแล้ ว น่ าจะเป็ นธรรมดีขนึ ให้ อธิษฐานและแผ่ เมตตาบ่ อย ๆ เราไม่ ค่อยกัดติดจดจ่ อในธัมมวิจยะ เพลินไปในโลก เขาจึงมาทวงคืน
ผู้ถาม : คิดว่ าใช่ ค่ะ เหตุเพราะไม่ กัดติดจดจ่ อธรรมที หลวงตาสอน ส่ งจิตออกนอก ไม่ ปล่ อยวางงาน ตัวตนโผล่ ต้ องปฏิบัติให้ มาก และต้ องหาหนทางไป กราบหลวงตาให้ ได้ ค่ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
อธิษฐานและแผ่ เมตตาให้ ถึงใจ ผู้ถาม : อันนี พิมพ์ หลังจากคุยกะเจ้ แล้ วค่ ะ กว่ าทีเจ้ จะมีวันนี ... เดิม เล็กเข้ าใจว่ าทุกคนทีไม่ หนามากที อาจารย์ ช่วยจีให้ จะพบจิตเดิมแท้ เป็ นเรืองปกติ ธรรมดาอยู่แล้ ว ... แต่ กจ็ ะเกิดเฉพาะขณะต่ อหน้ า อาจารย์ เท่ านัน ... ไม่ ใช่ อริยทรัพย์ แท้ ของคน ๆ นัน จริง ๆ ... พอมาพบความเปลียนแปลงของเจ้ และการทีเจ้ ช่วย ตักเตือน ถึงทราบว่ าตัวเองตกขบวนแล้ ว และวิธีของ อาจารย์ กไ็ ด้ ผลรวดเร็วและจริงจังค่ ะ ...
เล็กก็กราบขอขมาหลวงตาไม่ ว่าด้ วยกายวาจาใจ ... ขอขมาต่ อพระพุทธ พระธรรม พระอริ ยสงฆ์ ... ขอกราบหลวงตาเป็ นพ่ อแม่ ครูอาจารย์ ... ให้ หลวงตาว่ ากล่ าวได้ ตักเตือนได้ ค่ะ
หลวงตา : สาธุ ให้ อโหสิกรรมทังหมดนะ อธิษฐานและแผ่ เมตตาตามแผ่ นอธิษฐานให้ ถึงใจ ฟั งธรรมก็จะเป็ นธรรม
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
น้ อมอธิษฐานและแผ่ เมตตาให้ ถึงใจ ผู้ถาม : น้ อมกราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ลูกได้ อ่าน คําอธิษฐานบวชใจวันนี ลูกนําตาไหล มันซาบซึงในบุญคุณของพระพุทธเจ้ า อันหาประมาณมิได้ ครูบาอาจารย์ ทุกแผ่ นมี ความหมายหมดทุกประโยคเจ้ าค่ ะ ลูกเดินจงกรมเสร็ จ น้ อมกราบลงในพืนดิน เจ้ าค่ ะ มันซาบซึงมากเจ้ าค่ ะ ในใจข้ างนอกและข้ างในมันเหมือนกันหมด มันเป็ น ธรรมชาติเจ้ าค่ ะ
อ่ าน Sms ทีหลวงตาส่ งมาให้ มันถึงใจเจ้ าค่ ะ ลูกรู้ว่าจะ ไม่ ทาํ ให้ หลวงตาได้ เหนือยเปล่ าเจ้ าค่ ะ สงสารหลวงตา ทีพูดใช้ พลังมาก ๆ ๆ มาสอนอธิบาย ถ้ ามีสิงใดลูกได้ กระทําผิดพลังเผลอ ลูกขอขมา ต่ อองค์ หลวงตาด้ วยเจ้ าค่ ะ น้ อมกราบนมัสการเจ้ าค่ ะ หลวงตา
หลวงตา : สาธุ ให้ อโหสิกรรมทังหมดนะ อธิษฐานและแผ่ เมตตาตามแผ่ นอธิษฐานให้ ถึงใจ ฟั งธรรมก็จะเป็ นธรรม ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการ ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ วันนีเพือนเค้ ามาบอก ว่ าเจ้ ทาํ อะไร เค้ าจะทําตาม เมือคืนลูกลองชีให้ เค้ าเห็น ว่ าสิงทีเค้ าทําคือ สติตัวปลอม เค้ ากําลังตังสติเค้ ากลัวว่ าจะหลง กลัวจะ เผลอเห็นไหมนัน เห็นไหมว่ ายึดตรงนีมาหลายปี แล้ วก็ อยู่แค่ ตรงนี และเชือว่ ามันถูกต้ องแล้ ว ... เค้ าทบทวนตัวเองแล้ วจึงถามลูกหลาย อย่ าง ไม่ ตังสติแล้ วจะอยู่อย่ างไร ให้ ทาํ อะไร อะไรเป็ น เครื องอยู่ แล้ วเวลาจงกรมทําอะไร ทําเหตุอันใด จึง กลายเป็ นแบบนีได้ ในเวลาแค่ ไม่ กีเดือน
ลูกบอกเค้ าว่ า ไม่ ต้องทําอะไรเลย ขอให้ ร้ ู สัจจะความจริง ลูกยังไม่ ได้ บรรลุอะไรเลยนะ รู้แค่ ว่า ความทุกข์ มีอยู่ ... มันไม่ ทุกข์ ก็ได้ หลวงตาชีแนะสิงใดให้ ทาํ เรียนแบบโง่ ๆ ไม่ ต้ องฉลาด พ่ อแม่ ครู อาจารย์ สรุปมาด้ วยชีวติ ให้ มาแบบ สําเร็จรู ป ราวกับแค่ อ่านสลาก ฉีกซอง ชงนํา ท่ านให้ มาหมดทุกอย่ างแล้ ว เราหล่ ะจะเอาอย่ างไร จะ เลือกอะไร สงสัยก็ถามได้ เลย ไฟล์ เสียงมีให้
กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการ.. ลูกบอกเค้ าว่ า ลูกไม่ เห็นว่ ามีสงใดที ิ จะยับยัง เค้ าจากการบรรลุธรรมเลย ไม่ ว่าจะเป็ นบุญบารมี ความเพียรทีสังสมมา ขอแค่ เพียงมีความเห็นทีถูกต้ อง และเอาเสียนหนามทีขวางอยู่ออกไป ก็เพียงพอเเล้ ว ให้ กราบหลวงตาเป็ นพ่ อ เป็ นแม่ เป็ นครูบาอาจารย์ ให้ หลวงตาชีแนะสังสอนได้ ทงหมด ั ท่ านเป็ นผู้มีพระคุณ
ส่ วนตัวลูกเอง ... ทีหลวงตาตอบวันก่ อน มัน แจ้ งในใจขึนมาเลย มันเคลียร์ อะไรหลายอย่ างในใจ แต่ ละคนมีเส้ นทางของตนเอง น้ องเค้ าติดโลกอยู่จงึ มี เส้ นทางของเค้ า.. สามีลูกเค้ าปรารถนาพุทธภูมิเจ้ าค่ ะ เค้ าก็มีเส้ นทางของเค้ า.. ลูกก็เหมือนกัน ต่ างคนต่ างเส้ นทาง มันเข้ าใจ เคลียร์ ไปถึง เวลาเราแนะนําคนไข้ แล้ วเค้ าไม่ เข้ าใจใน สิงทีเราสือด้ วยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ให้ ช่วยเขาแต่ อย่ าไปห่ วงกังวลกับเขา มันจะกลายเป็ นความหลงยึดถือกันให้ เป็ นทุกข์ ทุกคนมีบุญบาปเป็ นของ ๆ ตน เขาจะเลือก ทางของตนเอง หากเคยมีวาสนาต่ อกัน อย่ างไรเสียย่ อมพบกัน ได้ ฟังธรรมกัน ย่ อมฟั งธรรมกันรู้เรือง จนรู้ แจ้ งธรรม ธรรมเป็ นใจ ใจเป็ นธรรม ขอเป็ นกําลังใจ ให้ ร้ ูแจ้ งธรรม ธรรมเป็ นใจ ใจ เป็ นธรรมในปั จจุบัน ด้ วยเทอญ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
เพียรต่ อเนือง ไม่ ประมาท ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ โยมไม่ ได้ ส่ง การบ้ านมานาน แต่ ก็ตดิ ตามอ่ านธรรมมาตลอด เมือวานนีเดินจงกรม เสร็จก็ไปกวาดใบไม้ ระหว่ างนัน ก้ มตัวลงเก็บบางสิง มันไปเห็นความคิดเกิดขึน มีการที จะเข้ าไปกระทํา มันจีดขึนมาเลย เหมือนคุณหมอคน หนึง ต้ องถอยออกมาไม่ เข้ าไปกระทํา เห็นเลยว่ า ความ เกิด เป็ นทุกข์ โยมเคยเห็นแบบนีหลายครั งแต่ มันจะ เป็ นเวลาทีเราไม่ ตงใจที ั กระทํา เราเคยชินกับการที กระทําโดยไม่ ร้ ู ตัว เมือวานนีฟั งไฟล์ อัตตา อนัตตา จึงเข้ าใจว่ าคน โดยส่ วนใหญ่ มีธงหมายไว้ ในใจ และทําโดยไม่ ร้ ู ว่าเป็ น อัตตา โยมได้ คาํ นึงของน้ องกีวี เตือนเสมอว่ า ก็เราไม่ มีตัวตนแต่ แรก
แล้ วเราจะไปเอาอะไร ไปได้ อะไร อย่ างทีหลวงตาเตือน บอกเสมอ เห็นครั งหนึงก็เข้ าใจทีหนึง สติและปั ญญา จึงเป็ นเรืองสําคัญทีเราจะเท่ าทันและ มีปัญญาสอนจิต ให้ เข้ าใจความจริง วิชชาจึงเกิด กราบขอบคุณมาก ๆ ค่ ะ สุดจะพรรณนาใน ความเมตตาของหลวงตา ศิษย์ จะเพียรต่ อไปค่ ะ
หลวงตา : สาธุ มีความเพียรต่ อเนือง ไม่ ประมาท นะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
เมษายน
ในธรรมชาติไม่ มีเรามาแต่ เดิม ผู้ถาม : กราบนมัสการครับหลวงตา ขอโอกาสเรียน ถามคําถามดังนีครั บ กายจิต, กายทิพย์ และ วิสังขารที มีอวิชชาห่ อหุ้ม คือสิงเดียวกันหรือเปล่ าครั บ ถ้ าเป็ น สิงเดียวกัน เราปล่ อยวางสิงนี ก็เหมือนกับเราปล่ อย วางทังสังขารและวิสังขารหรือเปล่ าครับ และปล่ อยวาง ผู้ทรูี ้ ผู้ทเห็ ี น กายจิตด้ วยใช่ ไหมครับ
หลวงตา : “รู ป” มีทงรู ั ปกาย และรูปจิต หรื อ รูปหยาบ และรูป ละเอียด “รู ปหยาบ” ได้ แก่ รู ป เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ ทีรั บรู้ หรื อสัมผัสได้ ทางประตูตา หู จมูก ลิน ร่ างกาย รวมทัง ร่ างกายเรา
“รู ปละเอียด” ได้ แก่ ธรรมารมณ์ สัมผัสหรือรั บรู้ได้ ทาง ประตูใจ หรือ มโนวิญญาณ “รู ปทิพย์ ” หรือ ทีโยมเรี ยกกายทิพย์ หรือกายจิต นันแหละ รั บรู้ได้ ด้วย จิตทิพย์ หรือจิตพิเศษ หรือ เรียกว่ าผู้มี ตาทิพย์ หรือ ผู้มีอภิญญาทางจิตเท่ านัน เกิดจากจิต ทีมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือ ยังมีความหลงยึดมัน ถือมัน จิตหรือวิญญาณ ขณะจิตทียึดถือ จะมีตัวตนทีสร้ างไว้ ในจิต ทีเกิดจากผลกรรมของการคิด การพูด การ กระทําไปตามอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ทีเป็ นกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง หรือ ราคะ โทสะ โมหะใน ปั จจุบันขณะนัน ๆ
เช่ น ถ้ าขณะจิตปั จจุบันขณะนัน เป็ นความโลภหรื อราคะ จิต หรื อวิญญาณในขณะจิตนัน ก็จะสร้ างตัวตนเป็ นภพ ชาติของเปรต อสุรกาย ถ้ าจิตปั จจุบันขณะนันเป็ นโทสะ หรือ ความโกรธ ฝั ง แน่ นในจิตทียึดมันถือมัน จิตหรื อวิญญาณในขณะจิต นัน ก็จะสร้ างตัวตนเป็ นภพ ชาติของสัตว์ นรก ถ้ าขณะจิตปั จจุบันขณะนัน เป็ นโมหะ คือ เป็ นนันทิ ได้ แก่ ความเพลินใจติดใจยินดีในกามคุณห้ า คือ รู ป เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ จิตหรือวิญญาณในขณะจิต นันก็จะสร้ างตัวตนเป็ นภพ ชาติของสัตว์ เดรั จฉาน
ถ้ าจิตขณะปั จจุบันขณะนัน อิมเอิบในบุญกุศลทีเป็ น ทาน ศีล ภาวนา ในกุศลกรรมบทสิบ จิตหรือวิญญาณ ในขณะจิตนันก็จะสร้ างตัวตนเป็ นเทวดาในภพที ต่ างกันขึนไป หรื อ เป็ นมนุษย์ ผ้ ปู ระเสริฐ ผู้มรี ั งสีสว่ างไสว หรื อ ทีคนทัวไปเรียกว่ ามีแสงออร่ าสว่ างไสว หน้ าตาดูผุด ผ่ อง ถ้ าจิตหรื อวิญญาณในขณะจิตนันอิมเอิบในรู ปฌาน จิต หรื อวิญญาณในขณะจิตนันก็จะสร้ างตัวตนเป็ นรูป พรหม ถ้ าจิตขณะปั จจุบันขณะนันอิมเอิบในอรูปฌาน จิตหรือ วิญญาณในขณะจิตนันก็จะเป็ นอรู ปพรหม (มีแต่ จติ ไม่ มีรูป)
ซึงรู ปทังในอดีต ปั จจุบัน และอนาคต หรือ รูปที เปลียนไปในภพทัง ก็ล้วนเกิดจากจิตทีหลงยึดถือ เป็ น อวิชชา ตัณหา อุปาทานในปั จจุบัน ถ้ าสินความยึดมันถือมัน คือ สิน “อวิชชา” อย่ างถาวร สินเชิงแล้ ว ก็จะไม่ มีตัณหา อุปาทาน เรียกว่ า “สิน กิเลส” และเมือไม่ มีตัวตนของผู้ยดึ มันถือมันอย่ างถาวร ก็ไม่ มี ผู้ทุกข์ อย่ างถาวร หรือเรี ยกว่ า “พ้ นทุกข์ ” หรื อ นิพพาน
หลังจากนันธาตุร้ ู หรื อ ผู้ร้ ู หรือ วิญญาณธาตุ หรือ จิต หรื อ ใจ หรือ มโน หรือ พุทธะ หรือวิสังขาร หรื อ อสังขตธาตุ หรื อ ธรรมธาตุ หรื อ ...... ฯลฯ ก็จะไม่ มีอวิชชาห่ อหุ้มอีกต่ อไป เป็ นแต่ ความรู้ทไม่ ี มีตัวตน ไม่ มีสัญลักษณ์ หรือเครืองหมาย หรื อทีหมาย ไม่ มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่ มีแสงสี ไม่ มีกริยาหรืออาการใดปรากฏ มันเหมือนเป็ นความว่ างเปล่ าของธรรมชาติหรื ออวกาศ หรื อจักรวาล แต่ แตกต่ างกัน ตรงที ความว่ างของธรรมชาติ จะไม่ มีความรู้ แต่ ธาตุร้ ู ซึงเป็ นธรรมชาติ หรือธรรมธาตุ ... ฯลฯ มี ความรู้
แต่ ถ้ายึดถือ “ผู้ร้ ู ” โดยรู้ สึกว่ า “เราเป็ นผู้ร้ ู” หรื อ “ผู้ร้ ูเป็ นเรา” หรื อรู้ สึกว่ ากริยาหรื ออาการต่ าง ๆ มีทงถู ั กใจ ไม่ ถูกใจ หรื อจําได้ หมายรู้อะไรเป็ นอะไร หรือรู้แจ้ งว่ าอะไรเป็ น อะไร แต่ กลับยึดมันถือมันในความรู้ ในความเห็น ในความเข้ าใจ ยังถูกใจเรา ไม่ ถูกใจเรา หรื อเราเป็ นผู้ร้ ูแจ้ ง รู้จริง รู้พ้น เราพ้ นทุกข์ เรานิพพาน เราว่ างเปล่ า เราเป็ นพระอรหันต์ เราเป็ นนัน ... เราเป็ นนี ... เหล่ านี ยังเป็ น “อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ... และทุกข์ ”
ปล่ อยวาง; ปล่ อยวางทังสิงทีถูกรู้และผู้ร้ ูนัน จิตหรื อผู้ร้ ู จะค่ อย ๆ ปล่ อยวางความยึดถือทังภายในและภายนอก ปล่ อย วางทัง “ผู้ร้ ู ” ปล่ อยวางทังผู้ปล่ อยวางไปเรือย ๆ แต่ ในทีสุด “จิต” ก็ยังคงหลงมีความยึดถือตัวมันเองอยู่ จนถึงจุดหนึงจิตจะเข้ าใจด้ วยตัวมันเองว่ า จิตก็ไม่ ใช่ จิต ทุกอาการทางกายและความเปลียนแปลงในจิต ล้ วนเป็ นแค่ ปรากฏการณ์ ธรรมชาติเท่ านัน เมือนันจิตจะสินหลงความยึดมันถือมันในตัวมันเอง เรี ยกว่ า “สินอวิชชา” ซึงจะไม่ มีการหลงยึดถือสิงใด ๆ อีกต่ อไป เพราะจิตก็ไม่ ได้ มีอยู่จริง
เมือนันก็ไม่ มีจิตทิพย์ กายทิพย์ อีกต่ อไปเช่ นกัน เพราะ ทังจิตทิพย์ กายทิพย์ ล้วนมาจาก อวิชชา ตัณหา อุปาทาน แม้ กระทังการเกิดใหม่ การไม่ เกิดใหม่ ความมีอะไร ความไม่ มีอะไร ก็ไม่ ได้ มีอยู่ในความไม่ ยดึ ถือ แม้ แต่ ความยึดถือ หรือความไม่ ยึดถือ ก็ไม่ ได้ มีอยู่ในความไม่ ยดึ ถือ ถ้ ายังยึดถือความไม่ ยดึ ถือ ก็คือความยึดถือ เมือสินความยึดถือ จะไม่ มีความพยายามปล่ อยวาง ความยึดถือไปสู่ความไม่ ยดึ ถือ หรื อเพือไปเป็ นความไม่ มีอะไร
ธาตุทุกธาตุไม่ ว่าจะเป็ น ดิน นํา ลม ไฟ ธาตุร้ ู ล้ วนเป็ นธรรมชาติททํี าหน้ าทีของตัวมันเอง ไม่ ได้ เป็ นใคร ไม่ ได้ เป็ นอะไร ไม่ ได้ เป็ นของใคร ไม่ ได้ เป็ นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มันไม่ ได้ เรี ยกตัวมันเองว่ ามันคืออะไร มันก็ไม่ ได้ เรียกตัวมันเองว่ า “จิต” หรือ “ผู้ร้ ู” หรือ “พุทธะ” มันก็ไม่ ได้ บอกว่ ามันเป็ นสิงทีมีอยู่หรื อไม่ มีอยู่ มันไม่ ใช่ ทงการพยายามกระทํ ั าอะไร หรื อพยายามไม่ กระทําอะไร เพืออะไร จึงไม่ มีความพยายามทีจะปล่ อยวาง หรื อความพยายามทีจะไม่ ยดึ ถือ
“จิต” มันเป็ นธาตุตามธรรมชาติทมีี คุณสมบัตริ ้ ู จึงเรียกว่ าธาตุร้ ู ธรรมชาติมันจึงไม่ มีการยึดถือตัวมัน เอง หรื อพยายามทีจะช่ วยตัวมันเองให้ พ้นทุกข์ นิพพาน หรือไปเป็ นพระอรหันต์ จงปล่ อยให้ ธาตุทุกธาตุทาํ หน้ าทีตามธรรมชาติของมัน ไปเท่ านัน ก็จะไม่ มีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ไปเป็ นส่ วนเกินของธรรมชาติ เป็ นเหตุให้ ไม่ เป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติ
คําถาม; เมืออ่ านจบแล้ วหรือฟั งจบแล้ วมีคาํ ถามว่ า “เข้ าใจ หมดแล้ ว แต่ บางครั งเราเห็นว่ าใจเราไม่ ปล่ อยวางไป ตามความเข้ าใจ … ความเข้ าใจก็ส่วนหนึง แต่ ใจเราไม่ ปล่ อยวาง บางครั งก็ร้ ู บางครั งก็ไม่ ร้ ู ” ตอบ… เพราะยังหลงมีความยึดถือว่ ามีเราหรื อมีตัวตน ของเรา หรือหลงยึดถือจิตหรื อใจว่ าเป็ นเรา หรื อเป็ นของเรา จึงมีความรู้ สึกว่ าเราหรือใจของเราไม่ ปล่ อยวาง เพราะมีความคิดหรือความรู้สึกหลงปรุงแต่ งไว้ ในใจว่ า ถ้ าเราสามารถปล่ อยวางได้ ใจของเราจะว่ างเปล่ า มีแต่ ความสุข หรือ ตัวเราจะพ้ นทุกข์ หรือนิพพาน
ความจริง จริง ๆ แล้ ว ต้ องมีสติ ปั ญญา รู้เห็นว่ า ความคิดหรือความรู้สึกว่ าเรา ตัวเรา หรือของเรา เป็ นเพียงสังขาร หรือ สิงปรุ งแต่ ง เป็ นมายาหลอกลวง ให้ ล่ ุมหลง เหมือนภาพยนตร์ หรือละคร หากไม่ หลง ยึดถือเป็ นจริงจัง มันก็ปรุ งแต่ งของมันเก้ อ ๆ อย่ างนัน แล้ วมันก็ดับไปเป็ นธรรมดา มันจึงเป็ นแค่ ปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติ เหมือนฟ้ าแลบ ฟ้ าร้ อง ฟ้ าผ่ า ไม่ มีผ้ ูไปให้ ค่าอะไรกับปรากฏการณ์ เหล่ านัน เห็นเป็ นเเค่ เรืองปกติ เพราะถ้ าให้ ค่าก็คือการยึดถือให้ เป็ นทุกข์
ไม่ ต้องพยายามคิดปรุงแต่ ง หรื อพยายามทําอะไรให้ มันจบ เพราะธรรมชาติไม่ มีใครต้ องจบ ถ้ ามีอยากจบก็เป็ นอวิชชา หรื อมีความคิดปรุงแต่ งเป็ นความรู้สึกว่ าเรายังไม่ จบ ก็เป็ นอวิชชา หรื อพยายามจะทําให้ มันจบ ก็คืออวิชชาอยู่ดี เพราะความจบ ความไม่ จบก็ไม่ ได้ มีค่า หรื อมีความหมายอะไร เพราะถ้ าสิงใดมีค่า ก็จะเป็ น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรื อความยึดมันถือมัน
ถ้ าในใจไม่ มีความคิด หรือความรู้สึกว่ ามีตัวเรา ก็ไม่ มีใครทุกข์ และจะไม่ มีการกระทําเพือตัวเรา เพียงแต่ มีปัญญาสูงสุดว่ า ในธรรมชาติไม่ มีเราหรื อ ตัวตนของเรามาแต่ เดิม เมือใจยอมรับตามความเป็ นจริงของธรรมชาติเช่ นนี ก็จะไม่ มีตัวเรา หรื อตัวตนของเราอยู่ในจิตหรื อใน ความรู้ สกึ และแม้ แต่ ตัวจิตหรือตัวใจก็จะไม่ มีอยู่ในใจ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
แม้ “ปั ญญา” ก็ ... วาง ผู้ถาม : กราบหลวงตาครับ วันนีผมได้ มีโอกาสดี ได้ มีเวลาส่ วนตัวมากหน่ อย ได้ พิจารณาธรรมในใจของตัวเองคนเดียวเงียบ ๆ ต่ อเนืองกัน เดินจงกรมไปฟั งไฟล์ เสียงไป ได้ ต่อเนือง นานพอควรครับ มาสะดุดอยู่ตรงจุดหนึงทีหลวงตาบอก โยมใน CD ว่ าให้ อ่านใจตัวเองให้ ขาด ... ผมก็เลยได้ ลองหยุดฟั งไฟล์ เสียงแล้ ว พิจารณาตัวเอง เงียบ ๆ จนไปถึงจุดหนึง มันก็เห็นความหนัก ๆ แน่ น ๆ ในใจทีเหมือนเป็ นส่ วนเกินของธรรมชาติ
จึงได้ ร้ ู ว่าทีเดินมานานก็ยังมีหลงอยู่ คือเดินมา ตลอด ก็หลงเอาตัว "ปั ญญา" ทีละเอียดเป็ นตัวเรา เอา ความรู้ ความเข้ าใจทีว่ าลึกซึงนันมาเป็ นตัวเราจริง ๆ เหมือนมี "กรอบ" ของความรู้ความเข้ าใจ สร้ างขึนมา เป็ นกรอบล้ อมใจคือความไม่ มีอะไรเอาไว้ แท้ จริ งคือ เราหลงเอาความรู้ความเข้ าใจนันเป็ นความถูก และยึด ความถูกนีมาล้ อมเป็ นกรอบของตัวตนขึนมา คือมันยึด ความรู้ ความเห็น พอเห็นตรงนีมันก็เลยค่ อย ๆ คลายออก เหมือนใจทีมันหลุดออกจากกรอบของความรู้ ความเห็น หลุดออกจากความถูกความผิด ออกมารั บรู้ ธรรมชาติปกติ เลยเหมือนรับรู้ ภายนอก เสียงจิงหรีด ลมพัดผ่ าน เป็ นปกติธรรมชาติ ใจเบาไม่ มีความหนักว่ า มีอะไรมาหุ้มอีก ไม่ ต้องทําอะไร ไม่ ต้องรักษาอะไร....
ตรงนีเลยเข้ าใจทีหลวงตาเคยบอกผมทีศรีราชาว่ า ผม ยังติดปั ญญาละเอียด ๆ ว่ าเป็ นตัวเรา ซึงสิงทีหลวงตาบอกผมก็ไม่ ทอดทิงเฝ้ าดูอยู่ เพียงแต่ ที ผ่ านมายังไม่ เห็นแบบชัด ๆ แบบนีครั บ เมือกีเลย กลับมาอ่ านของหลวงปู่ ชาทีหลวงตาเคยส่ งให้ มาอ่ าน ใหม่ ความหลุดพ้ น..ปล่ อยวางแม้ กระทังสิงทีถูก ... ”อย่ าปล่ อยวาง” ... โดย … “ความยึดมันถือมัน” อย่ ายึดมันถือมัน แม้ กระทังในสิงทีถูกต้ อง ไม่ ยอม เรืองทีมันยอม ถ้ ามันไม่ ยอม มันตังตัวขึนมาเป็ นก้ อน เป็ นตัวอุปาทาน นักบวชนักพรตเราโดยมากก็ชอบเป็ นอย่ างนัน เห็นว่ าเราถูกแล้ ว ก็เห็นว่ าเราไม่ ผิด
แต่ ความเป็ นจริง ความผิด มันฝั งอยู่ในความถูก แต่ เราไม่ ร้ ู จักนี ทิฐิมานะ ทิฐิคือความเห็น มานะคือความยึดไว้ ถือไว้ ถ้ าเรายึดในสิงทีถูก ก็เรี ยกว่ ามันผิด ถือถูกนันแหละ ยึดมันถือมันในความถูก ไม่ เป็ นการปล่ อยวาง เมือปั ญญา รู้ แจ้ งเห็นจริงแล้ ว ... “วางทันที” ... วางตัวปั ญญานันอีกทีเข้ าสู่ความว่ าง อยู่กับความว่ าง (จิตหนึง) หลวงพ่ อชา สุภัทโท วัดหนองป่ าพง อ.วารินชําราบ จ.อุบลราชธานี
มันโดนใจตังแต่ คําแรกจนคําสุดท้ ายเลยครับ มันตรงเป๊ ะ ๆ ทุกพยางค์ เลยครั บ ... มันยึดความถูก ยึดปั ญญาไว้ และถึงใจทีสุดตรงทีบอกว่ า "ปั ญญาก็ปล่ อยวางไป เข้ าสู่ความว่ าง อยู่กับความว่ าง" สิงทีหลวงตาเคยทักไว้ บอกไว้ ตอนนีศิษย์ เริมมองเห็น มันชัดเจนขึนมากเลยครั บ กราบในความเมตตาของหลวงตาครั บ ตรงกับตัวเองทุกคําตังแต่ ต้นจนจบครับ
อีกอย่ างไม่ ร้ ู เป็ นเพราะจากการตังจิตอธิษฐานด้ วยหรือ เปล่ า ว่ าจะขอตังใจจะเขียนบทความธรรมถวายพ่ อแม่ ครู อาจารย์ เพือเป็ นประโยชน์ ต่อโลก ขอให้ ธรรมแท้ ไหลผ่ านใจเพือให้ เขียนธรรมได้ อย่ างสมบูรณ์ ครั บ
หลวงตา : เป็ นเช่ นนันเอง ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
เมือเราไม่ ทงธรรม ิ ธรรมก็จะไม่ ทงเรา ิ ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะหลวงตา ครังนีทีโยมไป หาหลวงตาทีแดรีฮัท โยมได้ ตังจิตอธิฐานฝากไว้ กับ พุทธเจ้ า แม่ พระธรณี พ่ อแม่ ครู บาอาจารย์ ทุกรูปทุก นาม โดยมีองค์ หลวงตาเป็ นประธาน ถ้ าแผ่ นดินยังไม่ กลบหน้ าจะไม่ ขอหยุดความเพียรเพือ ความสินกิเลสสินความยึดมันถือมัน จะมีศรัทธา อันหยังลงมันไม่ หวันไหวต่ อพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ ทุกขณะปั จจุบัน วางความปรารถนาลงทุก ขณะปั จจุบัน หยุดความดินรนหยุดไขว่ คว้ าลงใน ปั จจุบัน
เพราะธรรมแท้ จบลงในปั จจุบันธรรมไม่ ใช่ เป็ นของใคร แต่ เป็ นสมบัตขิ องโลกเราตู่เอาธรรมหรือใจมาเป็ น สมบัติของเรา มันก็ยังมีตัวทียึดธรรมหรื อใจไว้ แค่ ยอมรับความจริ งคืน ทุกอย่ าง ให้ โลกทังกายและใจและธรรม เราใช้ เขามา นาน จนลืมไปไว้ เรายืมเขามาใช้ ต่ วู ่ าทุกสิงทุกอย่ าง มันเป็ นตัวเราของเรา มันเลยทุกข์ ทีจริงแล้ วไม่ มีอะไร ทีเป็ นตัวเราของเราเลยมีแต่ ปรากฏการณ์ ทมัี นเป็ น เช่ นนันของมันเอง เราตู่ธรรมชาติว่าเป็ นเราของเรา ยอมรั บแล้ วอยู่กับมันไป ทุกอย่ างมันชัวคราวหมด มันเป็ นของใช้ ไม่ ใช่ ของฉัน มีไว้ ใช้ ไม่ ได้ มีไว้ ยึดถือ
เมือวางความปรารถนาความพ้ นทุกข์ ลง ความกลัวทีจะไม่ พ้นทุกข์ ก็หมดไปด้ วย เหมือนวางภาระหนักลงไปทังหมด โยมกราบองค์ หลวงตาทีเมตตาอบรมสังสอนโยม หลวงตาเคยบอกว่ าธรรมทังหมดรวมลงทีศรัทธา ถ้ ามีศรั ทธาทุกอย่ างจะตามมาเองทังวิริยะ สติ สมาธิ ปั ญญาถึงพร้ อมด้ วยศรัทธา พละ อินทรีย์ อิทธิบาท ศีล สมาธิ ปั ญญา
วันนีสิงเหล่ านีประจักษ์ และลงแก่ ใจว่ าทุกอย่ างต้ อง เริมจากศรั ทธา และการตังจิตอธิษฐานสําคัญมาก มันเป็ นการให้ คาํ มันสัญญาว่ าจะต้ องทําและทําให้ ได้ ทําให้ มีหริ ิ และโอตตัปปะทีจะรั กษาสัจจะอธิษฐาน เหมือนให้ เหล่ าสัตว์ ทงหลายรั ั บทราบ และเมือเราทํา อย่ างทีตังจิตไว้ ด้วยศรัทธา มีหลายสิงหลายอย่ างเขา มาคอยช่ วยเหลือเราสนับสนุนเราและร่ วมอนุโมทนา กับเรา ทําให้ ไม่ มีอุปสรรคในการทําความเพียร นีคือ สิงทีโยมได้ ประจักษ์ กับความจริงเจ้ าค่ ะหลวงตา
เมือเราไม่ ทงธรรม ิ ธรรมก็จะไม่ ทงเรา ิ ธรรมทังหลายจบลงทีใจทีสินยึด สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทังหลายทังสังขารและวิสังขารไม่ ใช่ เป็ นเรา ไม่ ใช่ ของเรา และไม่ ใช่ ตัวตนของเรา กราบองค์ หลวงตาเจ้ าคะ
หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ปล่ อยวาง ปล่ อยวาง และปล่ อยวาง ผู้ถาม : ขณะนีเหมือนเรื อกําลังฝ่ าพายุโหมกระหนํา อย่ างแรง ล่ องไปแบบสะบักสะบอม เอียงซ้ ายก็ถูกด่ า เอียงขวาก็ถูกด่ า จอดนิง ๆ ว่ าง ๆ ก็ถูกด่ า เห็นจิตระมัดระวังจนไม่ เป็ นธรรมชาติ ทําอะไรดูจะผิด ไปหมด ทําถูกก็อัตตา ทําผิดก็อัตตา จะพูดอะไรจะทํา อะไรจะออกความคิดเห็นอย่ างไร มันก็เห็นแต่ อัตตา ๆ เจ้ าของ จนอยากจะร้ องไห้ แต่ ก็ร้องไม่ ออก ได้ แต่ เห็น ได้ แต่ บอกว่ ามันไม่ ใช่ เรา ไม่ มีเราทําตัวไม่ ถูกเมืออยู่กับ หมู่คณะ เพราะทําก็ผิด ไม่ ทาํ ก็ผิด
ขอกราบเรี ยนองค์ หลวงตา มันเกิดความเบือหน่ ายใน สังขาร ความปรุ งคิด คําพูด ความเห็นทีตนเองคิด และ พูดออกมา มีแต่ อัตตา สุดท้ ายก็ถูกครูบาอาจารย์ เทศน์ สอนอย่ างแรง ผิดด้ วยหรือในเมือสังขารไม่ ใช่ เรา บังคับไม่ ได้ เดียวคิด ดี เดียวคิดชัว แต่ ทุกครั งทีคิด ท่ านก็ร้ ูและเทศน์ สอน แรง ๆ ทุกครั ง ธรรมชาติสงั ขารห้ ามมันได้ หรือ ปั ญหาอยู่ทว่ี า ไม่ สามารถบังคับความคิดได้ มันเป็ น ของมันอย่ างนัน ถามว่ า เมือเราอยู่ต่อหน้ าผู้ร้ ู ต้ องทํา ข้ อวัตร ต้ องฟั งเทศน์ ต้ องทํากิจกรรมร่ วมกันกับบุคคล อืน ๆ ควรจะพิจารณาธรรมอย่ างไร จึงจะเป็ นหนทาง แห่ งมรรค..
เพราะมันไม่ มีทางไป ไม่ มีทางมา.อึดอัด..เหมือนลูกโป่ ง ใกล้ จะระเบิดแล้ ว ... หลวงตาเมตตาลูกด้ วยเจ้ าคะ
หลวงตา : ปล่ อยวาง ปล่ อยวาง และปล่ อยวาง มันเป็ นอย่ างไร มันก็เป็ นธรรมชาติตามความเป็ นจริ ง ในทุกปั จจุบันขณะ ไม่ มีตัวเรา มันไม่ ได้ เป็ นตัวเรา ไม่ ได้ เป็ นของเรา ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
มีความพยายามปล่ อยวาง เท่ ากับไม่ ปล่ อยวาง ผู้ถาม : ขอกราบท่ านอาจารย์ ผ่านทางไลน์ ครั บ ท่ าน อาจารย์ ครับวันนีมีอาการแปลกกว่ าทุกวัน เหมือนจิต มันหยุดการปล่ อยวาง จากทีปกติถ้าเราจะรู้สึกตัวมี อะไรเกิดขึนในจิตก็จะรู้แล้ วก็ปล่ อยวาง และกําหนด ปล่ อยวางถีมาก แต่ อยู่ ๆ มันหยุดเฉย ๆ เราก็ได้ แต่ ร้ ู ว่ ามันเฉย ๆ ไม่ ทาํ อะไรไม่ ค้นหาอะไร ดูไม่ เห็นความเคลือนไหวของ จิต ดูเหมือนเราไม่ เคยทําอะไรเกียวกับจิตเลย พยายามสังเกตดูกไ็ ม่ มีความคิดปรุงแต่ งใด ๆ เหมือน เมือก่ อนครั บ จะไม่ ถามก็กลัวหลงทําผิด กราบขอคําแนะนําจากท่ านอาจารย์ ด้วยครับ
หลวงตา : ตอนแรกทีบอกว่ าปกติแล้ ว ถ้ าจิตรู้อะไร แล้ วก็ปล่ อยวาง อย่ างนีเท่ ากับมีความพยายามปล่ อยวาง เท่ ากับไม่ ปล่ อยวาง “....... แต่ วันนีมันแปลก คือ ได้ แต่ ร้ ู เฉย ๆ ไม่ ทาํ อะไร ไม่ ค้นหาอะไร ไม่ เห็นความไหวของจิต แต่ เหมือนไม่ เคยทําอะไรกับจิต ... ” วันนีนีแหละ คือ ธรรมชาติของจิตเขาปล่ อยวางของเขา เอง และจิตนันก็ไม่ ใช่ เป็ นเรา หรือเราไม่ ได้ เป็ นจิตนัน ดังนัน จึงไม่ ใช่ เราเป็ นผู้ปล่ อยวาง ... ถูกต้ องตามธรรม แล้ ว ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ปล่ อยวางตลอดเวลา ผู้ถาม : กราบนมัสการพ่ อแม่ ครู บาอาจารย์ ท่ านหลวงตาทีเคารพบูชา เลือมใสในปฏิปทาของหลวง ตาอย่ างสูงครับ กระผมเป็ นแฟนพันธุ์แท้ ของหลวงตาครับ อยู่ ในกลุ่มไลน์ ตดิ ตามโดยตลอด อ่ านไลน์ ฟังซีดี และ บันทึกไฟล์ เสียงทีหลวงตาได้ กรุ ณา (สัตว์ โลกทียังลุ่ม หลงลงในวัฏสงสาร) ได้ นําลงไลน์ กลุ่มทัง กลุ่มมาโดย ตลอด มีความตังใจมาตังแต่ เด็กแล้ ว เห็นว่ า โลกนีไม่ เทียงมีแต่ ทุกข์ ได้ เสาะหาวิธีการขันตอนการปฏิบัตเิ พือ ความพ้ นทุกข์ มาหลายแห่ ง จนได้ มาฟั งซีดีของหลวงตา "ชุดทางพ้ นทุกข์ " ได้ อธิษฐานบวชใจถอดถอนคํา อธิษฐาน ขอขมา ฯลฯ
จึงได้ ข้อสรุปแนวทางแห่ งการพ้ นทุกข์ ได้ ว่า คือ การปล่ อยวาง สิงเหล่ านี . สังขาร "สิงทีถูกรู้" หรื อขันธ์ ๕ หรื อสิงปรุงแต่ ง ตามแต่ ระดับทีจะใช้ เรียกกัน . วิสังขาร "ผู้ร้ ู" หรือ ใจ หรือ จิตเดิมแท้ หรือพุทธะ ทียังไม่ หมดอวิชชา จึงยังต้ องมาเกิดดับ ๆ ๆ ตามแต่ ระดับทีจะใช้ เรียกกัน และหรื อ ตัวผู้ร้ ูผ้ ูปล่ อยวาง ,ความรู้ ,ความว่ างที เกิดขึนภายหลังการปล่ อยวาง ทีเราคิดว่ าได้ ปล่ อยวาง มาหมดแล้ ว มีเรื องขอความกรุ ณากราบเรี ยนถามหลวงตา ดังนี ครับ
คําถาม: ขณะเดินจงกรม เมือก้ าวเท้ าแล้ วลงปลายเท้ าไปบนพืนบ้ าน เกิดเสียงดัง เห็นความหงุดหงิดเกิดขึน ความหงุดหงิด นีเป็ นอาการ ของขันธ์ ๕ หรือจิตสังขาร หรื อเกิดสังขารปรุ งแต่ งขึน ใช่ ไหมครั บ และในขณะเดียวกันผมเห็นว่ า มีความรู้ เกิดขึนอีกตัวหนึง ว่ า ไม่ ไปหงุดหงิดตามสิงทีเกิดขึน ความรู้ ตัวหลังทีเกิดขึน มันเป็ นสังขารด้ วยหรือเปล่ า ครั บ หรือเป็ น ใจทีรู้ อาการหงุดหงิดนีครับ และมันคือ จิตเห็นจิตหรือเปล่ าครับ และมันคือ การไม่ ปรุ งแต่ งต่ อ เหมือนกับทีพ่ อแม่ ครู บาอาจารย์ ท่านบอกกับผู้ทถามว่ ี า หลวงปู่ ยังมีการโกรธอยู่หรื อไม่ ซึงท่ านได้ ตอบว่ า มีแต่ ไม่ เอา.
ขอกราบรบกวนเวลาอันมีค่าเพียงเท่ านีก่ อนครับ ขอกราบหลวงตาเป็ นพ่ อแม่ ครูบาอาจารย์ กระผมตังใจ จะทําการใดใด (หยุดทํา หรื อปล่ อยวาง) เพือความถึง ทีสุดแห่ งทุกข์ ในภพภูมินีให้ ได้ ต่อไปครับ.
หลวงตา : รู้เห็นสิงใด อาการใดทุกปั จจุบันขณะ ก็ให้ ปล่ อยวางไปตลอดเวลา อย่ าไปสําคัญมันหมายว่ า อะไรเป็ นอะไร เดียวเข้ าใจเอง สิงใดทีรู้ เห็นแล้ วในอดีต ก็วางไป สิงใดมีความอยาก ความปรารถนาในอนาคต ก็วาง ในปั จจุบัน ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
เพียรให้ ต่อเนือง ผู้ถาม : ส่ งการบ้ านค่ ะ เช้ านีขณะสวดมนต์ เห็นอาการกาย.มันเกิด แล้ วมันก็ ดับเอง.มันเป็ นของมันเองไม่ ใช่ เราตัวเรา.. เดินจงกรมไปเห็นจิตเดียวออกไปคิด..เดียวความคิด เกิด คําสอนหลวงตามาสอนยาวเลย.เห็นความดับชัด. ดับไปต่ อหน้ าต่ อตา..ความเงียบมาแทน..ได้ แต่ รู้.. รู้ เงียบ ... สักพักความเงียบหายไป..ตาไปกระทบรูป. เห็นความไม่ ชอบเกิด..รู้..ความไม่ ชอบดับ..ไม่ มีเรา..มี แต่ รู้..ไม่ ได้ ต้องทําอะไร ... ก่ อนหน้ านีสับสน.มัวไปหมด มีแต่ การกระทํา เข้ าไปทํา ... แต่ เช้ านีมีแต่ ร้ ู
อย่ างหลวงตาสอนให้ อยู่เงียบ ๆ แล้ วเฝ้ าสังเกต ... โยมเอามาลองทําหลังจากเห็นบ่ อย ๆ ว่ ามีแต่ เราเข้ า ไปกระทํา.. กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : เพียรให้ ต่อเนือง ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
รู้เห็น และไม่ ยึดถือ ตลอดเวลา ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา หนูมีข้อสงสัยค่ ะ คือก็ร้ ู อยู่ว่าสงสัยก็เป็ นสังขาร แต่ จะไม่ ถามเลยก็กลัว ว่ าจะหลง เพราะหนูไม่ เคยพบหลวงตา และหนูอยู่ ต่ างประเทศไม่ ค่อยมีโอกาสกลับไทยค่ ะ ก่ อนหน้ านีหนูกเ็ จอเจ้ าตัวพากย์ ตัวพูดจนหนู รําคาญมาก นอนไม่ หลับอยู่หลายวันจนวันหนึง หนูก็ บอกกับมันว่ าฉันจะไม่ ย่ งุ กับแกแล้ วนะ ทีนีมันก็ กลายเป็ นว่ าอยู่ด้วยกันได้ ยังได้ ยินมันอยู่ แต่ ก็แค่ ร้ ู เลยเข้ าใจเลยว่ าทีฟั งหลาย ๆ ท่ านพูดว่ าแค่ ร้ ูเป็ นไง
จากนันใจก็เริมสบาย ทีนีติดสบายเลยค่ ะ มาเอะใจ ตอนแม่ ป่วยใครพูดอะไรเหมือนจะหงุดหงิดไปหมด เลยมานึกถึงคําหลวงตาว่ าให้ เข้ าหาผู้ร้ ู คราวนีก็ร้ ู ไป เรื อย ๆ บางครั งก็ได้ ยินเสียงความเงียบแม้ จะมีเสียง ต่ าง ๆ ดังอยู่ก็ตามในทีทํางาน ทีบ้ านมีเสียงรถไฟ เสียงคนคุยกันแต่ ก็มีเสียงเงียบอยู่ด้วยเสมอ ๆ แต่ คราวนีเหมือนเจ้ าตัวพูดตัวพากษ์ มันก็สงบ ไปด้ วยค่ ะ แต่ มันก็พูดอยู่นะคะ มันสงบ ๆ ยังไงไม่ ร้ ู บางทีมันก็นิง ๆ ค่ ะ แต่ ว่าหนูไม่ ว่างนะคะ ยังรู้อยู่
ขอหลวงตาโปรดแนะนําสังสอนด้ วยค่ ะหนูกลัว ว่ าจะไปติดแช่ (ทัง ๆ ทีรู้ ว่ากลัวว่ าจะ ... ก็เป็ นสังขาร) กราบในความเมตตาของหลวงตาค่ ะ และขอ โอกาสนีกราบขอขมาหลวงตาด้ วยค่ ะ ถ้ าหนูเคย ล่ วงเกินทังกาย วาจา ใจ โดยตังใจหรื อไม่ ก็ตาม หนูขอ กราบขอขมาค่ ะ
หลวงตา : รู้เห็น และไม่ ยึดถือ ตลอดเวลา (ปล่ อย วาง) อย่ างนันนันแหละ ... ถูกต้ องแล้ ว ... สาธุ สาธุ ถ้ าหากมีสงใดล่ ิ วงเกิน ก็ให้ อโหสิกรรมทังหมด ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ทําให้ ดู ดีกว่ าพูดให้ ฟัง ผู้ถาม : ขอคําแนะนําจากหลวงตาค่ ะ หนูจะดูแล พ่ อแม่ อย่ างไรดีคะ คือพ่ อแม่ เป็ นชาวพุทธแบบสวด มนต์ ขอพร ไม่ ได้ รักษาศีล เคยเปิ ดไฟล์ เสียงหลวง ตาให้ ฟัง แต่ เขาเป็ นพวกนําเต็มแก้ วค่ ะ ก็เลยไม่ สนใจ ฟั ง แล้ วปั ญหาคือ พ่ อแม่ ชอบไปเทียวในทีอโคจร ถ้ าหนูไม่ ไปด้ วยกับพ่ อแม่ เขาก็จะเป็ นห่ วงถ้ าหนูต้อง อยู่บ้านคนเดียว หนูไปกับพวกเขาหลายครั งแล้ ว ยิงไป ก็ยงกลั ิ วว่ าพวกเขาจะยิงจมอยู่ในกิเลส หนูควรทําใจ อย่ างไรดีค่ะ
หลวงตา : เราเร่ งเพียรติดตามเป็ นแฟนพันธุ์แท้ หลวงตา ให้ พ้นทุกข์ ในปั จจุบันเสีย เดียวพ่ อแม่ เห็น เราเปลียนแปลงไปในทางพ้ นทุกข์ ท่ านก็จะรู้เอง ทําให้ ดู ... ดีกว่ าพูดให้ ฟัง ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ผู้พยายามปล่ อยวางจิต นันแหละคือจิต ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา เจอความทุกข์ หนักมากค่ ะในช่ วงสามปี ทีผ่ านมา ใจมันหนักมาก ทุกข์ เจ็บปวด ศึกษาธรรมะมาตลอดจนได้ เจอหลวงตาเมือ หนึงเดือน รู้ ว่าทีสุดของทุกข์ ออกจากทุกข์ คือการ ปล่ อยวาง แต่ มันทําได้ ยากมาก โดยเฉพาะการให้ คาย จากจิตทีหนัก ในส่ วนตัวคิดว่ ามีการพัฒนาในทางทีดีขนึ ยอม ปล่ อยจากบางอย่ างได้ มากขึน แต่ การจะปล่ อยจิตซะทีนี ควรทําอย่ างไรคะหลวงตา
หลวงตา : ผู้พยายามปล่ อยวางจิต นันแหละคือจิต ทีต้ องถูกรู้ เห็นและปล่ อยวางตัวมันเอง ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ปล่ อยให้ มันเป็ นอย่ างทีมันเป็ น ผู้ถาม : กราบสาธุค่ะ รู้เห็นอยู่ตลอดว่ าทุกข์ แล้ วไป ยังไงต่ อคะ ปล่ อยมันยังไง
หลวงตา : ปล่ อยให้ มันเป็ นอย่ างทีมันเป็ น ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ไม่ มีตัวจิตไปอะไรกับอะไร ก็ไม่ มีใครทุกข์ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตา ด้ วยความเคารพอย่ าง สูงค่ ะ หนูฝากตัวเป็ นลูกศิษย์ ของหลวงตา ด้ วยค่ ะ คําสอนทุกอย่ างของหลวงตา ทําให้ เข้ าใจ กระจ่ างทุกเรือง และเป็ นไปเพือความพ้ นทุกข์ อย่ าง แท้ จริง เรียกว่ า ธรรมแท้ พบผู้สอนธรรมแท้ และตรงตามทีประสบพบ เจอกับตนเองเกือบทุกเรือง ทีหลวงตาบรรยาย ตอนนี เพียรปฏิบัติ อย่ างต่ อเนืองทุกวัน ค่ ะ
วันนีมีคาํ ถามทีเกิดขึนกับตนเองมานาน แต่ ก็ อดทน และรู้ บางคราวสงสัย แต่ ก็ปล่ อยผ่ าน แต่ คราว นีรู้ สึกมีอาการมาก คือ หนูไปวัดเมือวันที เม.ย. ทําบุญบรรพบุรุษ แล้ วกลับมาเจ็บหน้ าอก โดยไม่ ทราบ สาเหตุ เหมือนหอกปั ก ทีหน้ าอก อยู่ ๆ ก็เจ็บ จึก ๆ หายใจลึก ๆ เจ็บมาก แน่ น มีลมออกตลอดเวลา เรอ แน่ น อึดอัด ไปเอกซเรย์ ปกติทกุ อย่ าง หมอบอกไม่ มี อะไร แต่ เจ็บอยู่หลายวัน แบบนีเรี ยกว่ า ไปชน กับอะไรใช่ ไหมค่ ะ หนู รู้ สึกแบบนัน และเป็ นแบบนีหลายครัง หลายหน มีวธิ ี แก้ ปัญหา แบบนี อย่ างไรบ้ าง รู้สึกว่ าตนเองเจ็บตัว หลายครังแล้ วค่ ะ กับสิงทีมองไม่ เห็น กราบขอบพระคุณหลวงตา ทีเคารพค่ ะ
หลวงตา : สาธุ อนุโมทนามิ ทีเป็ นเช่ นนี เพราะเมือเกิดสภาวะใดขึนในปั จจุบันขณะ ยังมี “อวิชชา” หลงมีเรา ตัวเรา หรือใจหรือจิตของเรา เป็ นนัน เป็ นนี แล้ วดินรนค้ นหาเหตุผลว่ ามันเกิดจาก อะไร ทําอย่ างไรเราอยากให้ มันหายไป เท่ ากับยังหลง ยึดถืออยู่
ทุกสภาวะจะเป็ นอย่ างไรก็ตาม ไม่ ว่าจะเป็ นสุข ทุกข์ ผ่ องใส หรื อเศร้ าหมอง มีอาการถูกใจ หรือไม่ ถูกใจ ล้ วนเป็ นสภาวะธรรมทีไม่ เทียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ไม่ ใช่ เราเป็ นอย่ างนัน หรื อสภาวะอย่ างนันเป็ นของเรา ไม่ มีใครไปอะไรกับอะไร หรื อไม่ มีตัวจิตไปอะไรกับอะไร ก็ไม่ มีใครทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
รู้ทกุ อย่ างแต่ ไม่ ยึดถือ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ พอเข้ าหาผู้ร้ ูแล้ ว ปล่ อยวางผู้ร้ ู ไม่ ยดึ ถือ ไม่ มีอะไร ว่ างเปล่ า แล้ วเราก็ร้ ู ว่าว่ างเปล่ าสงสัยจะแช่ แล้ วก็ร้ ูอีกว่ าแช่ ทุกอย่ างเกิด ๆ ดับ ๆ โยนิโสว่ า มันเป็ นปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติ ไม่ มีตัวเรา ใช้ ขันธ์ ไปเรื อย ๆ เช่ นนี ใช่ ไหมคะหลวงตา ขอให้ หลวงตาชีแนะด้ วยค่ ะ ขอกราบขอขมา หลวงตาในสิงทีเคยผิดพลาดด้ วยค่ ะ
หลวงตา : รู้ทุกอย่ าง แต่ ไม่ ยึดถือสักอย่ าง ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
รู้ทกุ อย่ าง แต่ ไม่ ยึดสักอย่ าง ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ เดิมยังติดอยู่ว่า ทําอย่ างไร ความรู้สึก ว่ ามี "ตัวเรา จะพ้ นทุกข์ สนเชิ ิ งในอนาคต" จะหายไป ทําอย่ างไร จึงจะไม่ ร้ ูสึก ว่ าวันนึง จะเป็ นมะม่ วงสุกทีร่ วงหล่ นเอง มันเห็นว่ า ถึงแม้ ว่าจะไม่ ได้ ทาํ อะไรเลย แต่ การรอคอยทีจะบรรลุธรรมในอนาคตข้ างหน้ า แค่ รอ !!! มันก็เป็ นอวิชชาแล้ ว รู้ ทงรู ั ้ ว่ามันขวาง แต่ ไม่ ร้ ู จะล้ างมันอย่ างไรเจ้ าค่ ะ
แท้ จริ งลูกเข้ าใจผิดใช่ ไหมเจ้ าคะ มันเอา 'ตัวเอง' ไปล้ าง อวิชชา เพือ 'ตัวเอง' จะได้ ไม่ มีอะไรขวาง เพือ 'ตัวเอง' จะได้ บรรลุธรรมเสียที เห้ อ. "ความมีตัวตน" ซ่ อนเร้ นอยู่ ยิงความรู้ ความเห็น ละเอียด ตัวนียิงละเอียดตาม พอเห็นมันถึงเข้ าใจ ว่ า ไม่ มีใครเอาตัวเองไปล้ าง อวิชชาได้ หรอก ทําให้ ตายก็ทาํ ไม่ ได้ จริง ๆ
ของมันเป็ นอย่ างไร มันก็เป็ นอย่ างนันแหละ ไอ้ "ตัวเอง" ทีเห็น มันก็ปรุ งแต่ งของมันไปเอง มันไม่ ร้ ู ตัวมันหรอก ว่ ามันเป็ นอวิชชา มันไม่ ร้ ู ตัวมันหรอก ว่ ามันไปขัดมือขัดเท้ า ไปขวางธรรมใคร แต่ มีคนไปขีตู่ใส่ ความมัน ว่ ามันมาขวางธรรมเจ้ าของ มันก็เลยเป็ นแพะไป มันต้ อง "ปล่ อยแพะ" แต่ "จับโจรขีตู่" ถูกไหมเจ้ าคะ
หลวงตา : รู้ทุกอย่ าง แต่ ไม่ ยึดถือสักอย่ าง ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ไม่ มีเราอยู่ในธรรมชาติ ผู้ถาม : มีสติมากขึนค่ ะหลวงตา ดูความหวันไหวของใจ มันควบคุมไม่ ได้ ยิงอยาก ควบคุมก็ยิงทุกข์ ขนาดใจทีคิดว่ าของเราทีจริงมัน ไม่ ใช่ เเล้ วนับประสาอะไรกับสรรพสิงรอบตัวเล่ า เราไม่ สามารถควบคุมสิงใดได้ ปล่ อยให้ มันเป็ นไป ทุกสิง ล้ วน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ค่ ะ เเต่ บางครังก็ยังมีทฐิ ิมานะ เราจะเเก้ ได้ อย่ างไรคะ ทีเรามี เพราะเรายึดติดตัวตน ขอคําเเนะนําจากพระอาจารย์ ค่ะ
หลวงตา : มีอะไร เป็ นอะไร ธรรมชาติปัจจุบันมันก็ เป็ นข้ อเท็จจริงทีมีอยู่จริงในปั จจุบันขณะนัน แต่ มันไม่ มีเรา ตัวเรา หรือ ของเราอยู่จริงในนัน ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ธรรมจากใจสู่ใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะ ฟั งแล้ วค่ ะ และก็ร้องไห้ ตอนทีหลวงตากล่ าวว่ า ธรรมผ่ านจากนําพระทัยอันบริ สุทธ์ ของพระ พุทธองค์ มายังหลวงตา และผ่ านมายังใจอันบริสุทธิ ทุกดวง ไม่ มีของใคร คิดว่ าโชคดีทได้ ี ฟัง ได้ รับสิงทีบริสุทธ์ จาก พระพุทธองค์ ผ่านมายังหลวงตา และเข้ าใจทีหลวงตา พรําสอน และตอนนีเพียรมากขึนค่ ะ ความอยากน้ อยลง คอยอยู่กับผู้ร้ ู และฟั งธรรมหลวงตาตลอด ก็ร้ ู สึกว่ า ปฏิบัติดีขนึ ไม่ ตงึ ไม่ ต้องทําอะไรเพืออะไร
แต่ ไฟล์ ไหนทีกระแทกลงสู่ใจก็จะฟั งบ่ อย ๆ เช่ น “สติตังทีใจ รู้ทใจ” ี พอถึงตอนทีต้ องเวียนว่ ายตายเกิด ลงอบาย สะอืนเลยค่ ะ ทัง ๆ ทีฟั งบ่ อยมาก ๆ ๆ ค่ ะ อีกไฟล์ คือ “พึงรู้ธรรมด้ วยใจตน” กับ “ธรรมชาติทบริ ี สุทธิ” จะน้ อมลงสู่ใจค่ ะ ขอกราบขอบพระคุณหลวงตา และถือโอกาสขออโหสิกรรมด้ วยค่ ะ
หลวงตา : สาธุ ให้ อโหสิกรรมทังหมด ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
รู้ไม่ ใช่ จิต จิตไม่ ใช่ ร้ ู ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ หลวงตา เจ้ าคะ รู้ อยู่ในทุกสิง อยู่ในต้ นไม้ ธรรมชาติ รู้ อยู่ในจิต รู้อยู่ในกาย จิตก็ไม่ ใช่ ร้ ู รู้ กไ็ ม่ ใช่ จติ รู้ อยู่ในสิงทีเกิดดับ รู้ อยู่ในสิงทีไม่ เกิดไม่ ดับ รู้ อยู่ในความว่ าง แต่ ความว่ างไม่ ใช่ ร้ ู
ทุกสรรพสิงมีร้ ูอยู่ในนัน แต่ อิสระจากสิงนัน สิงนันก็ไม่ ใช่ รู้ ไม่ ใช่ ทุกสิง ถ้ าบอกได้ ว่า รู้ คือสิงไหนอะไร แสดงว่ าไม่ ใช่ ร้ ู มันยึดใจ พอรู้สงที ิ หลวงตาบอก มันร้ องไห้ ว่ามันไม่ ใช่ อะไรเลย ลูกขอกราบแทบเท้ าหลวงตาเมตตาชีแนะดุด่าว่ ากล่ าว ด้ วยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
อยู่กับรู้ แต่ ไม่ ยดึ รู้ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ การปฏิบัตทิ ถูี กต้ อง คือ รู้อย่ างทีมันเป็ น ถึงแม้ ว่าบาง สภาวะจะเกิดเหตุการณ์ ทแปลก ี และมหัศจรรย์ สาํ หรับ เราแค่ ไหน ก็ให้ ร้ ูซือซือใช่ ไหมเจ้ าคะ หนูขอกราบสอบถาม หลวงตาว่ า กรณีสภาวะ บางอย่ างทีตัวเรา (รู้ ว่ายังมีตัวตนผู้สงสัย) แต่ มันติดค้ าง ในใจ มันอยากรู้ (เต็ม ๆ) ว่ าสิงนัน สิงนี เรี ยกว่ าอะไร อันนีถือว่ าปกติของผู้ปฏิบัติ หรือ ควร วางไปให้ หมด ไม่ ต้องสงสัยใด ๆ ทังสิน หนูเจอครบทุกอย่ าง สภาวะ ของสมาธิ ปี ติ นิมิต แล้ วมันข้ องอยู่ในใจนิดนึงเจ้ าค่ ะ กราบหลวงตาด้ วยความนอบน้ อม
หลวงตา : ปล่ อยให้ ทุกอย่ างมันเป็ นอย่ างทีมันเป็ น ทุกปั จจุบันขณะ เพราะสิงนันหรืออาการนัน หรื อ อารมณ์ นันไม่ ได้ เป็ นเรา ตัวเรา หรือของเรา เขาเป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ ธรรมชาติของรู้ทไม่ ี มีตัวตน อยู่แทรกซึมไปในทุกสิง จึงไปรู้ สงนั ิ น หรืออาการหรื อสภาวะนันได้ แต่ ร้ ู นันก็ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา หรือของเรา เขาเป็ นอนัตตา อยู่กับรู้ แต่ ไม่ ยึดรู้ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
สังขาร ผู้ถาม : กราบนมัสการ พ่ อแม่ ครูบาอาจารย์ หลวงตา ทีเคารพยิงครับ ขอกราบเรียนถามหลวงตา ดังนี ครั บ คําถาม: ในขณะเดินจงกรม เกิดอาการทางร่ างกายขึน เป็ นอาการทีเราไม่ ได้ ตังใจหรือพยายามให้ มันเกิดขึน จึงกราบเรี ยนถามว่ า สังขาร (การปรุ งแต่ ง) มี ประเภท ใช่ ไหมครั บ คือ .สังขาร ทีเขาเป็ นไปตามทีธรรมชาติเขาปรุงแต่ ง เอง โดยไม่ มีเราเข้ าไปยุ่งเกียว ถึงแม้ จะเกิดจากการ กระทําของร่ างกายเราก็ตาม สังขารประเภทนีไม่ ถือว่ า เป็ นกิเลส . สังขาร อีกประเภท ทีเกิดจากเราอยากเข้ าไป ปรุ งปรับแต่ ง คือเมือเกิดอาการกับร่ างกายขณะเดิน จงกรม
เราเกิดการอยากจะปรับแต่ งให้ ดเี พือมิให้ เป็ น อุปสรรคต่ อการกําลังเดินจงกรม อย่ างหลังนี เรียกว่ า สังขาร(ปรุ งแต่ ง) ทีมีเราเข้ า ไปกระทํา และจะเข้ ากระบวนการเกิดทุกข์ (ปฏิจจสมุปบาท) เป็ นกิเลส ตัณหา ทีเราต้ อง "ปล่ อยวาง" ปล่ อยวาง ทังสังขารหรือเหตุการณ์ ทเกิ ี ดขึน มาแล้ วและสังขารทีเรากําลังจะเข้ า ไปแทรกแซง ปรั บแต่ ง ซึงรวมทังสังขารหรือเหตุการณ์ อืน ๆ ทีมี ลักษณะเดียวกัน หรือ ก็คือ ปล่ อยวางทัง อดีต อนาคต และปั จจุบันขณะ อย่ างนีถือว่ าศิษย์ เข้ าใจถูกต้ องไหมครับ
กราบขอบพระคุณหลวงตาทีกรุ ณาต่ อลูกศิษย์ ต่ อสัตว์ ผ้ ยู ากครับ หากศิษย์ ใช้ ถ้อยคําทีไม่ เหมาะสม หรือกระทํา การรบกวนล่ วงเกินหลวงตาด้ วยกายวาใจ ในกาลไหนก็ ตาม ศิษย์ ขอกราบขมาอภัยด้ วยครั บ
หลวงตา : สังขารทังในอดีต สังขารในปั จจุบันขณะ และสังขารในอนาคต ล้ วนแต่ เป็ นสังขารตามปกติหรื อ เป็ นปรากฏการณ์ ธรรมชาติ เหมือนฟ้ าแลบ ฟ้ าร้ อง ฟ้ าผ่ า ไม่ ได้ เป็ นของใคร ไม่ มีใครบังอาจยึดถือเอาเป็ น เจ้ าของทีแท้ จริงได้
ล้ วนแต่ ต้องจากไป ดับไป หมดสิน เป็ นธรรมดาของ ธรรมชาติอย่ างนันเอง เรี ยกว่ า เป็ นอนิจจัง ไม่ เทียง เป็ นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ ได้ เป็ นอนัตตา ไม่ ได้ เป็ นตัวตน เป็ นเรา ตัวเรา หรื อของ เรา มันจึงเป็ นมายา เหมือนภาพยนตร์ หรื อละคร หลอกลวงให้ คนไม่ ร้ ู (อวิชชา) เกิดความลุ่มหลงยึดถือ ให้ เป็ นทุกข์ โศก เศร้ า คับแค้ นใจเป็ นจริงเป็ นจังได้ สําหรั บผู้ร้ ู ความจริงเช่ นนันแล้ ว (วิชชา) ก็จะไม่ มีตัวตน ของผู้ไปหลงยึดถือเอามาเป็ นเจ้ าของ เป็ นเรา ตัวเรา หรื อ ของเราให้ เป็ นทุกข์ ในปฏิจจสมุปบาท ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
สังขาร เกิดทีใจ ดับทีใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ โยมเพียรดูใจในชีวติ ประจําวัน ตอนนีรู้ สกึ เหมือน ตัวเองคิดในใจตลอดเวลา บางทีกเ็ หมือนคนไม่ ติด อะไรเลย ใจนิง ๆ อยู่ข้างในกายตรงกลางตัว รู้สึกโหวง ๆ กลวง ๆ เคลือนไปตามทีต่ าง ๆ เช่ น สันหลัง บนหัว ในโพรงจมูก มันทําให้ โยมไม่ อยากพูดกับใครเลย อยากดูไปเรือยแบบนี แต่ บางขณะก็ร้ ูสึกอึดอัด แน่ น หนักในกายในใจ อยากพัก ไม่ อยากฝึ กแล้ ว ก็หาทาง ไปทําอย่ างอืน ได้ ไม่ นาน จิตก็หวนมารู้สึกกายใจอีก มันต้ องมีอะไรผิดซักอย่ างไหมคะ โยมพยายาม บังคับเกินไปใช่ ไหมเจ้ าคะ
พอได้ เขียนถามหลวงตา แล้ วรู้สึกโล่ งใจขึนมา ทันทีว่าจะได้ คําตอบทีช่ วยให้ โล่ งโปร่ งสบายขึนเจ้ าค่ ะ โยมวนเวียน แช่ อยู่กับความคิด ความกังวล สับสน จน ปวดหัวตลอดเลยค่ ะ
หลวงตา : ทุกสภาวะ ทุกอาการ ล้ วนเป็ นสังขาร เกิด ทีใจ ดับทีใจ แต่ ไม่ ปรากฏตัวจิตตัวใจ อยู่กับใจ เป็ นใจ ปล่ อยวางสังขารทุกปั จจุบันขณะ
ผู้ถาม : คือให้ เพียงรู้ ๆ แล้ วปล่ อยไป ใช่ ไหมคะ แต่ กแ็ ปลกใจทีบางทีเดิน ๆ ไปทังทีเหนือยหนัก แต่ ใจมีฮาํ เพลงเบา ๆ ด้ วยค่ ะ อาการเหนือย หนักใจ มันทําให้ ล้าและท้ อบ่ อยมากค่ ะ
หลวงตา : เห็นความสุข ... ในท่ ามกลางความทุกข์ เห็นความสงบ…ในท่ ามกลางความวุ่นวาย เห็นความหยุดนิง…ในท่ ามกลางความไหล เห็นความไม่ เกิดดับ…ในท่ ามกลางความเกิดดับ เห็นความไม่ มี…ในท่ ามกลางความมี แล้ วสินหลงปรุ งแต่ งก็สนิ “อวิชชา” สินตัวตน สินผู้เสวย สินผู้ยึดถือ สินกิเลส พ้ นทุกข์ (นิพพาน) ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
หลงยึดถือตัวตน เป็ นอวิชชา ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาอีกครังเจ้ าค่ ะ โยมยังมีความสงสัยอีกนิดหนึงค่ ะ ห้ องทีโยม เดิน จงกรมและนังสมาธินันเป็ นห้ องกระจก ซึงมองออกไป ข้ างนอกก็จะเป็ นสวนค่ ะ ระหว่ างทีเดินนัน โยมจําคํา สอนของหลวงตาทีว่ าร่ างกายเราเหมือนลูกโป่ ง ข้ าง ในมีความว่ าง ซึงเป็ นความว่ าง เดียวกันกับธรรมชาติ ข้ างนอก แต่ ลูกโป่ งก็คืออวิชชาทีห่ อหุ้มอยู่ ถ้ าระเบิด ลูกโป่ งแล้ วความว่ าง ข้ างในก็จะ ไปเป็ นหนึงเดียวกัน กับธรรมชาติข้างนอก
ในตอนทีโยมเดินจงกรมอยู่ในห้ องกระจกนัน โยมคิดว่ าถ้ าลูกโป่ งระเบิดออก ความว่ างในลูกโป่ งก็ แค่ มารวมกับความว่ างในห้ องกระจกทีโยมกําลังเดินอยู่ โยมต้ องระเบิดห้ องกระจกก่ อน ดังนัน ความว่ างทังข้ าง ใน กับ ความว่ างข้ างนอกทีอยู่ในสวน ถึงจะมารวมกัน เป็ นธรรมชาติเดียวกันได้ ค่ะ แต่ ในอีกความคิดหนึงว่ า ถ้ าหากตัวเราไม่ มี ดังนันจึงไม่ มีลูกโป่ ง แต่ มีเพียงแค่ ห้องกระจกทีจะต้ อง ระเบิด เพือให้ ความว่ างทังสองมารวมเป็ นอันหนึงอัน เดียวกันค่ ะ ไม่ ทราบว่ าแล้ วเราแค่ ระเบิดห้ องกระจก อย่ างเดียวหรือเปล่ าคะ
โยมเข้ าไปฟั งประวัติของหลวงปู่ บุดดาช่ วง ระหว่ างปฏิบตั ิค่ะ ในชาติหนึงท่ านไปหลงรักผู้หญิงคน หนึง แต่ ผ้ ูหญิงปฏิเสธเพราะผู้หญิงจําได้ ว่า ในชาติที เกิดเป็ นสุนัขตัวเมียและไปขโมยอาหารท่ าน ตอนท่ าน เป็ นสมภาร ท่ านสังให้ เด็กวัดไล่ หมา แต่ เด็กวัดจับ หมาไปผูกไว้ และลืมจนหมาอดตาย แต่ หมาเข้ าใจผิด ว่ าสมภารสัง พอท่ านมองเห็นอดีตว่ าผู้หญิงทีตนหลง รั กเคยเกิดเป็ นสุนัขตัวเมีย ท่ านก็เกิดความรู้สึกว่ าท่ าน เกือบเอาอดีตสุนัขตัวเมียมาเป็ นภรรยาแล้ ว โยมเลยมานึกถึงคําสอนที องค์ หลวงตาเคย สอนว่ าถ้ าพวกเราระลึกชาติได้ เราอาจจะไม่ อยาก อยู่ด้วยกับคนทีเรารั กและคนทีอยู่ด้วยกันในขณะนีค่ ะ และโยมก็ฟังตอนทีท่ านต้ องไปเกิดเป็ นสมภารถึงสาม ชาติ เพราะ ความยึดมันถือมันในวัดทีท่ านอยู่
จุดนีก็ทาํ ให้ โยมมองเห็นโทษของความยึด เหนียวค่ ะ เพราะโยม เคยยึดวัดทีโยมอุปัฏฐากมากค่ ะ ห่ วงทังวัด ห่ วงทังพระ ถึงแม้ ว่าจะเข้ าโรงพยาบาล ผ่ าตัดใหญ่ โยม ยังสังวิสัญญีแพทย์ ว่าฉันยังตายไม่ ได้ นะ งานฉันยังไม่ เสร็จ เค้ าก็งงกัน โยมบอกเค้ าว่ าฉัน ยังเย็บผ้ า ให้ วัดไม่ เสร็จ เพราะทีบ้ านมีผ้าสําหรับ เอาไว้ เย็บให้ พระมากอยู่ค่ะ สงสัยถ้ าโยมต้ องตายใน ตอนนัน โยมคงแย่ แน่ ๆ ค่ ะ โยมฟั งอีกตอนค่ ะ ตอนทีโยมพ่ อตาขององค์ หลวงตาได้ สละทุกอย่ าง ก่ อนทีท่ านจะเสียชีวติ ลงค่ ะ คุณตาท่ านไม่ ยึดติดในทรั พย์ สมบัติ และสิงต่ าง ๆ ท่ าน ถึงไปดี
สิงทีองค์ หลวงตายกมาเป็ นตัวอย่ างให้ พวกโยม ได้ ฟังนัน เป็ นประโยชน์ กับพวกโยมอย่ างมหาศาลค่ ะ เพราะบางครังถ้ าเราไม่ เห็นโทษและผลเสียหายอย่ าง ใหญ่ หลวง ทีจะเกิดขึนจากการยึดถือ เราก็ยังจะคงไม่ ปล่ อยวางค่ ะ ไม่ เห็นทุกข์ ก็ไม่ เห็นธรรมเจ้ าค่ ะ โยมขอเอาการปฏิบัตขิ องโยม น้ อมถวายแด่ องค์ หลวงตาเพือเป็ นอาจาริ ยบูชาค่ ะ นับตังแต่ บัดนีไป โยมจะทําความเพียรโดยต่ อเนืองค่ ะ จะทําประโยชน์ ตนประโยชน์ ท่าน จนกว่ าชีวิตจะหาไม่ ค่ะ กราบ สาธุเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ความหลงผิดยึดถือว่ ามีตัวตนของเราอยู่ ในความรู้ สึก จึงเป็ น “อวิชชา” แท้ ทจริ ี งในความรู้สึกหรือในใจไม่ มีตัวตนของเรา เมือสินอวิชชา ความเป็ นตัวตนในความรู้สึกดับไป “อวิชชา” เปรียบเหมือนห้ องกระจกทีมาหุ้มใจหรือจิต เดิมแท้ ๆ ก็ระเบิดออกทังหมด ใจหรือจิตเดิมแท้ ๆ ทีเป็ นเหมือนความว่ างของ ธรรมชาติหรือจักรวาลก็รวมเข้ ากับความว่ างของ จักรวาลเดิม ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ไม่ มีอะไร ... ให้ ยดึ ถือได้ จริง ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ..ทุกครังทีหลับตานัง สมาธิจะเห็นความคิดฟุ้งซ่ านออกมาทีละเรืองค่ ะ เมือก่ อนจะทุกข์ กับมันมาก เพราะพยายามจะดึงกลับ แต่ ตอนนีได้ แต่ เฝ้ ามอง รู้ ช่ างมัน ถ้ าเผลอก็ติดเข้ าไป กับความคิดนัน พอรู้ ตัวก็จะเป็ นแค่ ร้ ู จะไม่ ทุกข์ เหมือน เมือก่ อน ทําไมความคิดถึงมีมากมาย ไม่ ร้ ูจบ เรื องนัน มา เรื องนีไป รู้บ้าง หลงบ้ าง บางครั งตัวรู้ดับ มีตัวรู้ ตัวใหม่ ขนมา ึ จะซ้ อนแบบนีไปเรื อย ๆ ไม่ จบ แต่ ยังไม่ เห็นความว่ างทีแท้ จริ ง เห็นแต่ ความไม่ เทียงตลอดเจ้ าค่ ะ อยากจะเล่ าอะไรอีกมากค่ ะ แต่ สุดท้ ายมันก็ กลายเป็ นความไม่ มีอะไรค่ ะ คือรู้ว่าไม่ มีอะไรเลยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ทีมีปัญญารู้เห็นตามความเป็ นจริงแล้ วว่ า “ ... สุดท้ ายแล้ ว มันก็กลายเป็ นความไม่ มีอะไร ....” นีแหละ คือ ความว่ างทีแท้ จริงแล้ ว ... แต่ ไม่ ร้ ู จักเขาเอง ความว่ างทีแท้ จริ ง ไม่ ใช่ ความรู้สึกว่ างเปล่ า อย่ างที หลายคนเข้ าใจผิด แล้ วพากันอยากได้ อยากเอา อยากพบ อยากเห็น อยากเป็ น ...... แต่ ความว่ างทีแท้ จริง ซึงเป็ นสัจธรรม ความจริง คือ มีสติ ปั ญญา รู้แจ้ ง หรือ รู้เห็นและยอมรับตามความ เป็ นจริ งจนถึงใจว่ า “ ....สุดท้ ายแล้ ว มันก็กลายเป็ นความไม่ มีอะไร ... ให้ ยดึ ถือได้ จริง” ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ไม่ ยึดถือ ก็พ้นกรรม
ผู้ถาม : หลวงตาคะ อาการเจ็บของจิตมันเกิดจาก กรรมเก่ าใช่ ไหมคะ หมดตัวกูกห็ มดกรรม การวางจิต ควรทําอย่ างไรได้ อีกบ้ างคะ
หลวงตา : ไม่ ยึดถือ ก็พ้นกรรม ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ปล่ อยวาง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ หนูได้ น้อมนํา คําสังสอน ทีหลวงตาเมตตาแนะนํา ให้ เล่ น "เกมส์ สังขารแพ้ คัดออก" และสุดท้ ายให้ คัดผู้เล่ นออกด้ วย หนูได้ นํามาพิจารณาเช่ นนัน โดยการปล่ อยวาง ตัวตนและความคิดปรุงแต่ งไป การวางเป็ นไปเอง ไม่ มี ผู้กระทํา เพราะไม่ มีผ้ ูยึดติด เพราะล้ วนเป็ นสังขาร ทังสิน สิงทีเกิดขึนคือ แรก ๆก็ร้ ู สลับหลง แล้ วก็หลง น้ อยลงเรือย ๆ รู้ สึกร่ างกายเบาขึน จิตตืน และพ้ นจาก สภาวะที ติดสงบ ติดความว่ าง โล่ ง โปร่ ง เบาสบาย ( ซึงติดตรงนีมานานค่ ะ) กลับมารู้ตัวอย่ างปกติธรรมดา เป็ นธรรมชาติ รู้สึกหนักแน่ น แต่ เบาสบายมากขึนค่ ะ ขอหลวงตาเมตตาชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ปล่ อยวางตัวเราผู้ร้ ู ปล่ อยวางตัวเราผู้เบาสบายยิงขึน เมือปล่ อยวาง จะว่ างเปล่ า ปล่ อยวางความว่ าง ปล่ อยวางผู้ร้ ู ปล่ อยวางผู้ปล่ อยวาง ปล่ อยวางแม้ ผ้ ูนิพพาน ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ไม่ มีตัวจิต ตัวใจ
ผู้ถาม : ระยะนีโยมได้ มีโอกาสฟั งธรรมหลวงตาทังเช้ า และก่ อนนอน มาหลายวัน เมือเช้ านีได้ เห็นสังขาร ความคิดนึกปรุงแต่ งต่ าง ๆ ไหลผ่ านไปมา ในท่ ามกลางใจทีสงบนิง แต่ ยังรู้ สึกถึงมีความหนัก ๆ แน่ น ๆ ติดอยู่ในใจเจ้ าคะ
เมือเย็นโยมเดินจงกรม ฟั งธรรมของหลวงตา เรื อง มันอยู่นอกเหนือวิสัย เห็นสังขาร ความคิดนึกปรุ ง ต่ าง ๆไหลผ่ านไปมา ท่ ามกลางใจทีสงบนิงแต่ แน่ น ๆ เช่ นช่ วงเช้ า แต่ พอได้ ยนิ เสียงหลวงตาเทศน์ ถงึ จุดเรา ไม่ มี และ เรื องใจทีเป็ นวิสังขารตัวปลอม กับ ใจทีเป็ นวิ สังขารตัวจริง มันก็เกิดเสียงขึนในใจว่ า มันไม่ มีเรามา ตังแต่ แรก เรามันอยู่ตรงไหน โยมก็เห็นใจทีมันแน่ น ๆ อยู่ค่อย ๆ คลีออก ๆ จนมันเป็ นใจทีว่ าง ๆ เหมือน แบบไม่ มีอะไร เห็นสังขารต่ าง ๆ ผ่ านมาด้ วยใจทีนิง ๆ เฉย ๆ ไม่ มีอะไร กราบเรียนขอคําแนะนําหลวงตาเจ้ าคะ
หลวงตา : “ใจ”ทีนิง ๆ เฉย ๆ ไม่ มีอะไร....นัน เป็ น ตัวการหลอกลวงให้ หลงโลก หลงธรรม
ผู้ถาม : แสดงว่ า โยมปฏิบัตไิ ม่ เห็นถึงใจเลยใช่ ไหม เจ้ าคะ. ทีว่ าเห็นสังขารในท่ ามกลางใจทีสงบนิงยังเป็ น ธรรมหลงโลกอยู่หรือเจ้ าคะ กราบขอความเมตตา หลวงตาได้ โปรดชีแนะโยมด้ วยเจ้ าคะ กราบ ๆ ๆ หลวงตาเจ้ าคะ
หลวงตา : ไม่ ใช่ อย่ างนัน ให้ ปล่ อยวางไปให้ หมด ให้ ปล่ อยวางความรู้สึกว่ าตัวเรามาปฏิบัติก็เพือจะให้ ตัว เราได้ อะไร ทําลายเป้ าหมายหรือธงทีปั กไว้ ในใจ “ใจ”ทีสงบนิง หรือ ว่ างเปล่ า นัน เป็ นเหยือทีหอมหวน ยิงนัก เป็ นเหมือนเหยือล่ อปลา ทีทําให้ ผ้ ยู ังหลงอยู่มา กินเหยือ ตัวตนของเราไม่ มีมาแต่ แรกแล้ ว จึงไม่ มีตัวเราจะไป เอา ไปได้ ไปเป็ นอะไร ส่ วนจิตเดิมแท้ หรือใจ ก็มีแต่ ชือ แต่ ไม่ มีตัวจิต ตัวใจ แล้ วจะมีใครยึดถือใจได้ แม้ แต่ “ใจ ยัง ไม่ มีตัวใจ” ทีจะยึดถือตัวมันเองเลย ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ธรรมชาติมีแค่ นีจริ ง ๆ
ผู้ถาม : กราบขอโอกาสส่ งการบ้ านค่ ะ อะไรที กระดุกกระดิกในจิตได้ แสดงอาการต่ าง ๆ ได้ คือผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เป็ นอาการต่ าง ๆ ผู้ดินรน ผู้ค้นหา ล้ วน ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ถ้ าหลงไปตามมัน ทังหมดนี ก็คือเรากระโดดเข้ าไปเป็ นสังขารนันเอง เพราะตัวเราไม่ เคยมี ไม่ เคยตาย ไม่ เคยดับ
ถ้ าเราเข้ าใจผิดว่ าเรามีตัวตน สังขารจะกลายเป็ น อวิชชา ส่ งผลให้ จติ คิดว่ ามีตัวเราเป็ นตัวเป็ นตนจริ ง ๆ จึงมีเราเข้ าไปยุ่งวุ่นวาย ปรั บแต่ ง แก้ ไขกับสังขาร กับ อาการของสังขาร โดยไม่ ร้ ูเลยว่ านันคือการพยายาม หนีออกจากสภาวะหนึงไปหาอีกสภาวะหนึง เพือหวัง ผลให้ ตัวเราเป็ นอย่ างนันอย่ างนี สุดท้ ายก็คือการ วนเวียนอยู่กับสังขารนันเอง ทีถูกคือให้ เห็นว่ าอาการต่ าง ๆ ของใจ ผู้ร้ ู อาการของใจ ผู้เฝ้ าดู ผู้หวังผล ผู้อยาก ไม่ อยาก ล้ วนเป็ นแค่ สังขาร ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา ตัวตนของเรา เพราะตัวเราไม่ เคยมี
สิงทีมีทงหมดล้ ั วนไม่ ใช่ เรา แม้ แต่ ความว่ าง โปร่ ง โล่ ง เบา สบาย แน่ น ทึบ อึดอัด ก็ไม่ ใช่ เรา ทังหมดเป็ น สังขารเท่ านัน แม้ แต่ วิสังขารซึงเป็ นความไม่ มี ไม่ ปรากฏก็ไม่ ใช่ เรา เราจึงไม่ ใช่ ทงสิ ั งทีมี ไม่ ใช่ ทงสิ ั งทีไม่ มี ไม่ ใช่ ทงสมมุ ั ติ และ วิมุติ เมือเข้ าใจว่ าไม่ มีตัวตนเราจริง ๆ เรี ยกว่ าอวิชชาได้ กลายเป็ นวิชชา จึงไม่ มีใครไปยุ่งเกียวอะไรกับสภาวะ ต่ าง ๆ หรื อสังขารทีเปลียนแปลงอีก แต่ ไม่ ว่าจะอวิชชา หรื อวิชชามันก็ไม่ ใช่ เราอีกเหมือนกัน
เพราะจริง ๆ แล้ วไม่ เคยมีตัวเราเลย การทีมีร่างกาย และจิตใจในชาตินี มันคือการมาปรากฏตัวท่ องเทียว แค่ ชัวคราวเท่ านัน เพียงแต่ ขณะทีเรามาปรากฏตัว เรากลับหลงผิดยึดว่ ากายหยาบ กายละเอียดทีเรา ขอยืมมาใช้ ชัวคราวนีเป็ นของเรา ซึงเมือหมดเวลา ก็ต้องหายไปกลับคืนสู่ธรรมชาติ ดังนันในทุกปั จจุบันขณะ ต้ องมีสติ เห็นว่ าทุกสิงในโลก นีมีแค่ สังขารทีเกิด ๆ ดับ ๆ ไปตามเหตุปัจจัย ซึงการ เกิดดับของสังขารก็เกิดดับอยู่ในความว่ างเปล่ า ความ ไม่ มีอะไรของวิสังขาร ทังหมดไม่ มีอะไรทีบ่ งบอกว่ ามี ตัวตนของเราอยู่ตรงไหน ทีไหนเลย
หลวงตา : สาธุ สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
รู้ เห็น เข้ าใจ แต่ ไม่ ยึด ผู้ถาม : ความเข้ าใจว่ า รู้เห็น หรื อไม่ ร้ ู ไม่ เห็น ก็เป็ นสังขาร ใต้ สังขารทีปรุงแต่ ง มีตัวเรารอรับผล ยังมีความเข้ าใจผิด ว่ า "ตรงนี" มันเป็ นขันต่ อไป ของเรา ถ้ าเราเห็น ก็จะไปต่ อได้ มันก็จะไปหาทางทําอะไรให้ มันเห็น "ตรงนี" ขึนมา ต่ อให้ สงที ิ เข้ าใจ ขันตอนต่ าง ๆ มันเป็ นจริงตามนัน ทางเดินมันเป็ นทางจริง พ่ อแม่ ครูอาจารย์ ท่านเดินผ่ าน ทางนีจริง และได้ รับผลนันจริ ง
แต่ สงที ิ มัน "ไม่ พ้นทุกข์ " จริ ง คือ การมีตัวเรา รอรั บผล จากการผ่ านลําดับขันของการปฏิบัติ มันต้ องรู้ และยอมรับ ว่ า มี "ตัวเราผู้รับผล" เกิดขึน เสียก่ อนเป็ นลําดับแรก มันจึงวางสิงนีไป เพราะเห็นว่ า ความยึดถือ "เชือในสิงหลอกลวง" มันเป็ นเหตุแห่ งทุกข์ นันเสียเอง
หลวงตา : ทุกปั จจุบันขณะมีไว้ ให้ จติ ได้ ศึกษาเรียนรู้ ทําความเข้ าใจว่ า ถ้ าเป็ นอกุศล จะก่ อให้ เกิดกิเลสและความทุกข์ ก็อย่ า หลงติดไป ให้ ร้ ูเท่ าทัน ละเสียทันใด ถ้ าเป็ นกุศล ทําให้ เกิดความสุข ความเจริญรุ่งเรื อง ในทางโลกและทางธรรม ก็ เพียรคิด พูด กระทําให้ มาก ๆ
รู้ อยู่ เห็นอยู่ เข้ าใจอยู่ รู้แจ้ งทุกขณะจิตปั จจุบัน แต่ ไม่ ยดึ ติดสิงใด พ้ นทุกข์ ทังปั จจุบัน และตลอดกาล ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ธรรมชาติ คือ ธรรม ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาด้ วยใจเคารพนอบ น้ อมเจ้ าค่ ะ เป็ นลูกศิษย์ หลวงตามาครบหนึงปี แล้ วเจ้ าค่ ะ ขอโอกาสส่ งรายงานการปฏิบัตินะเจ้ าคะ วันก่ อนมีปัญหาเข้ ามากระทบใจ เป็ นปั ญหา เดิมทีมีมาต่ อเนืองตังแต่ ปฏิบัติธรรม ทําให้ เกิดทุกข์ ก็ ได้ แต่ พจิ ารณาทุกข์ ทเกิ ี ดขึน รู้และเห็นนะเจ้ าคะว่ ามัน เป็ นธรรมชาติของความมีทเกิ ี ดขึนเพียงชัวคราว เดียว ก็ต้องดับไป ก็ไม่ ได้ ยดึ เอาไว้ แต่ ก็เห็นว่ าปั ญหานีเดียว ก็มาอีก วนเวียนไม่ ร้ ู จบแน่ จะแก้ ปัญหาอย่ างไรดี พิจารณาและถามหลวงตาอยู่ในใจทังวันว่ าควร ทําอย่ างไรดีเจ้ าคะหลวงตา
สุดท้ ายตอนคําระหว่ างเดินจงกรมอยู่ จิตมัน เกิดปิ งคําตอบขึนมาว่ าให้ เมตตา และ รู้สึกขึนมาในใจ ว่ าปรารถนาให้ เค้ าพ้ นทุกข์ ตอนนันรู้ และเห็นการ ทํางานของจิต เห็นความคิด เกิด ดับ ของเค้ าเอง ชัดเจนมาก เห็นจิตเกิดดับอยู่ในความว่ างทีเป็ นเหมือน ความว่ างของธรรมชาติ ช่ วงเวลานันเหมือนจิตเค้ าทํางาน รู้ ละ ปล่ อย วางอยู่ในตัวของเค้ าเองเจ้ าค่ ะ และ มีความรู้ สึกตืนตัว เบิกบานใจกว่ าปกติ ทําให้ นึกถึงคําทีว่ า ''เป็ นผู้ร้ ู ผู้ตนื ผู้เบิกบาน''
แต่ กม็ านึกถึงคําสอนของหลวงตามหาบัว ที หลวงตาเพิงโพสต์ มาให้ อ่าน ... ประมาณว่ า ความชัว เป็ นอวิชชาอย่ างหยาบทีรู้ ได้ ง่าย แต่ ความดีหรืออะไรที เป็ นสิงทีดี ทีถูกใจเป็ นสิงทีละเอียด เป็ นอวิชชาตัวใหญ่ ทีมักจะถูกมองข้ ามไป ก็เลยมาพิจารณาซําเข้ าไปอีกว่ า..มีใครทีรู้ สึก ว่ าเห็นการทํางานของจิตชัดมาก ใครเห็นความว่ างที เป็ นพืนอยู่ ใครรู้สึกว่ าตืนตัว ใครรู้ สึกเบิกบานใจ ... ชัด เจ้ าค่ ะ ... ตัวเรานันเอง ขวางอยู่ในห้ องว่ าง ... ก็เลยวาง เจ้ าค่ ะ แต่ มันก็ยังเบิกบานไม่ เลิกนะเจ้ าคะ ก็ไม่ ได้ ไป ให้ ค่าอะไรกับความรู้ สึกนัน ปล่ อยให้ เป็ นไปตาม ธรรมชาติ แค่ ร้ ู เท่ าทันเท่ านันเจ้ าค่ ะ
วันรุ่งขึนก็เป็ นปกติเจ้ าค่ ะ สภาวะแบบเมือคืน หายไป ก็ปฏิบัตสิ ังเกต รู้ ละ ปล่ อยวาง เหมือนเดิมต่ อ เจ้ าค่ ะ ขอความเมตตาหลวงตาช่ วยชีแนะเจ้ าค่ ะ กราบ กราบ กราบหลวงตา พ่ อแม่ ครูอาจารย์ ด้ วยใจเคารพนอบน้ อมเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ธรรมชาติ คือ ธรรม ทุกอย่ างผ่ านมาให้ ศึกษาเรี ยนรู้ ว่ าอะไรเป็ นอะไร ทําได้ ใช้ เป็ น แล้ วก็ผ่าน ไป ไม่ สามารถยึดถืออะไรได้ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ให้ ติดตามเป็ นแฟนพันธุ์แท้ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ เมือคืนนีขณะทีนึก ถึงการเกิดดับและวัฏสงสารอยู่ ๆ ก็ร้ ู สึกเบือหน่ ายและ สะท้ อนใจมากจนร้ องไห้ ออกมา ซึงไม่ เคยเป็ นอย่ างนี มาก่ อนเลย คิดว่ าส่ วนหนึง คงเป็ นเพราะได้ ฟังไฟล์ เสียง ของหลวงตาบ่ อย ๆ ติดต่ อกันมา - เดือน รวมทัง ได้ กล่ าวถอนคําอธิษฐาน ถอนคําสาปแช่ งและขอ อโหสิกรรม ตามแผ่ นทีหลวงตาให้ .... รู้สึกซาบซึงและ ขอกราบขอบพระคุณหลวงตามาก ๆ ค่ ะ รู้ สึกได้ ว่าใจพัฒนาขึนแต่ กีเปอร์ เซ็นต์ ก็ไม่ ร้ ู ขอหลวงตาช่ วยชีแนะด้ วยค่ ะ
หลวงตา : ให้ ตดิ ตามเป็ นแฟนพันธุ์แท้ นะ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
พบผู้ร้ ู ปล่ อยวางผู้ร้ ู ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาคะ หนูได้ มีเวลาปลีก วิเวกไปภาวนามา วัน เห็นความจริงของธรรมชาติ ของ กายใจนีว่ ามันไม่ ใช่ เราเลย เห็นกาย เวทนา ใจ แยกกันว่ านีไม่ เรา กายเห็นเป็ นเปลือก ๆ ท่ อน ๆ พอนังไปเห็นเวทนาก็เห็นว่ าเวทนาก็เป็ นแค่ เวทนา ไม่ ใช่ เรา เราเข้ าไปเห็นคุณลักษณะของเวทนา มันก็เป็ นเหมือนสักแต่ ว่า ... ในนันไม่ มีเราเลย
เราคอยมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวในการทํา อิริยาบถต่ าง ๆ เห็นไปเรื อย ๆ เห็นจิตทํางานไปทางตา หู จมูก ลิน กาย ใจ จิตคอยทํางานรู้ไปเรือย ๆ ตาม หน้ าทีของมันในการรู้ แต่ พอเรามีสติ จะมีจิตผู้ร้ ูอีกตัว ทีไปรู้ การทํางานของจิตหรือวิญญาณ เห็นจนจิตเข้ าใจ แล้ วว่ าการทํางานของกายกับใจ นันมันเป็ นธรรมชาติ ของมัน
เราเป็ นแค่ ผ้ ูดู ดูอย่ างเป็ นกลางไม่ ยินดีหรือยิน ร้ ายเพราะมันเกิดการกระทบแล้ วจิตก็พอใจ ไม่ พอใจ มันก็ทาํ งานของมันเอง ตอนนีหนูเข้ าใจและรู้ว่าเราเดินอยู่บนทางเดิน ทีจะเดินไปตามกระแสแล้ ว ถ้ าเรามันใจไม่ ลดความ เพียรก็จะสามารถถึงจุดหมายได้ หนูมันใจว่ าเราเดินมา ถูกทางแล้ วค่ ะ จะออกจากขันธ์ นีได้ ไม่ มีทางอืน นอกจากจะเข้ ามาดูกายกับใจนีเท่ านันค่ ะ ขอบคุณหลวงตามาก ๆ เลยค่ ะทีเมตตาสัง สอนให้ ได้ เข้ าใจธรรมชาติของกาย ใจ นีค่ ะ ... หลวงตา มีอะไรแนะนําหนูเพิมเติมไหมคะ
หลวงตา : พบผู้ร้ ู ปล่ อยวางผู้ร้ ู ผู้ถาม : ปล่ อยผู้ร้ ูนีแหละค่ ะ ยากมากเลยค่ ะ หลวงตา : รู้อยู่ แต่ ไม่ หลงยึดถือว่ า เราเป็ นผู้ร้ ู หรือ ผู้ร้ ูเป็ นตัวเรา
ผู้ถาม : อ่ อค่ ะ ... เข้ าใจแล้ วค่ ะ .... ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
เห็นทุกข์ ก็ได้ ชอว่ ื าเห็นทุกขสัจจ์ ผู้ถาม : ขอกราบเรี ยนถามอาจารย์ ครับว่ า วันนีเกิด ทุกขเวทนาแรงมาก ก็ได้ แต่ ดูและรู้อยู่ จนมันหายไป เอง ปั ญหามันเกิดขึนอีกหลังจากทุกขเวทนาสงบลง มันเกิดเวทนาตัวใหม่ คือ อทุกขมสุขเวทนา และเริม ชัดเจนมากขึนอีก จนเกิดความคิดว่ า เราจะแช่ อยู่ใน อทุกขมสุขเวทนาหรือเปล่ า จึงพยายามดูผ้ ูทไปรู ี ้ อทุกขมสุขเวทนา แล้ วปล่ อยวาง
แต่ มันเหมือนไม่ วาง เป็ นอยู่นาน หลงอยู่นานเป็ น ชัวโมง ๆ คือหลงพยายามปล่ อยวาง มันก็ไม่ ยอมวาง จนนึกถึงคําสอนอาจารย์ ทสอนว่ ี า เป็ นอะไรก็ช่างมัน แค่ ร้ ูก็พอ ปล่ อยมันไป เรื องของมันเท่ านันเอง มันก็เลิก พยายาม มันจะคงอยู่หรื อหายไป เราไม่ เกียว แค่ ร้ ู อย่ าง เดียวอะไรจะเกิด จะเป็ นก็ช่างมัน ขอกราบเรี ยนถามอาจารย์ ว่าทําแบบนีถูกต้ อง หรื อไม่ ครับ
หลวงตา : โอวาทธรรม หลวงปู่ ขาว อนาลโย ให้ พิจารณาเอาเวทนาเป็ นอารมณ์ ของสติ เวทนาเป็ นสุข เกิดขึนแล้ วก็ดับไป เวทนาเป็ นทุกข์ เกิดขึนแล้ วก็ดับไป เวทนาเฉย ๆ เกิดขึนแล้ วก็ดับไป ไม่ ใช่ คน ไม่ ใช่ สัตว์ เวทนาเป็ นตัวทุกข์ เราไม่ ได้ ทุกข์ เราไปยึดเอาเวทนาทังหลายมันก็ทุกข์ ดวงจิตไม่ ได้ ทกุ ข์ กับเวทนา เมืออย่ างนันก็เอาจิต เอาใจนีแหละเป็ นอารมณ์ ของสติ เอาสติไปจับอยู่กับจิตนัน นีให้ เอาอย่ างใดอย่ างหนึง
ถ้ าไม่ พิจารณากาย เอาสติไปไว้ กายจับเอากาย ก็ต้องเอาเวทนา ความเป็ นทุกข์ มีแต่ ทุกข์ นีแหละแสนทุกข์ ให้ พิจารณาทุกข์ จนใจเห็นชัดจริงลงไป ท่ านหมายความว่ า ถ้ าเห็นทุกข์ ก็ได้ ชือว่ าเห็นทุกขสัจจ์ มันเป็ นทุกขสัจจ์ นันแหละเรื องภาวนา
ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ผู้ร้ ูทกุ ตัวเป็ นตัวปลอม ผู้ถาม : นมัสการค่ ะหลวงตา วันนีฟั งไฟล์ สัจอธิษฐาน จําได้ ว่า ครังแรกทีได้ อธิษฐาน ร้ องไห้ โฮออกมาเลยค่ ะ ลองปฏิบัติตามหลวงตา แล้ วหลวงตาบอกหนูว่าให้ อธิษฐานใหม่ ให้ ลงสู่ใจ ก็ทาํ ตาม ฟั งหลวงตาไฟล์ ทงใน ั ยูทปู และไลน์ ค่ะ ตอนนีเห็นผู้ร้ ู แล้ ว ตัวทีคิดจุกจิกนันคือตัว ปลอมใช่ ไหมคะ แล้ วอีกตัวทีเห็นว่ ามันนึกคิดตรึกตรอง พูดคนเดียว นีคือผู้ร้ ู ตัวจริงไหมค่ ะ แล้ วต้ องทําอย่ างไร ต่ อคะ ขอความเมตตาจากหลวงตาแนะนําสังสอนด้ วย ค่ ะ กราบสาธุค่ะ
หลวงตา : ผู้ร้ ูทุกตัวเป็ นตัวปลอมหมด ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
รู้เท่ าทันสังขาร ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ หนูพอจะทําถูกทาง บ้ างรึยังคะ หนูละลดความอยากในระหว่ างวัน เข้ าใจว่ าความ อยากจะไปกระตุ้นความมีตัวตน ทีปรุงเเต่ งอัตตาให้ ชัดเจน ในทุก ๆ ความรู้ สกึ หนูรับรู้ยอมรับตาม ธรรมชาติของมัน ไม่ ได้ ไปบังคับให้ ว่างเหมือนเมือก่ อน เเละรู้ สึกว่ าบางครั งจะวางได้ เอง ไม่ ต้องไปดินรนกดดัน อะไร มีเผลอไผลหลุดบ้ างเจ้ าค่ ะ เเค่ อยากทราบว่ า พอจะถูกทางบ้ างมัยเจ้ าคะ นอกจากเร่ งเพียร ยังต้ อง ปรั บปรุ งเรื องอะไรบ้ างเจ้ าคะ
หลวงตา : หลงว่ าเรามีตัวตน มีตัวเราพยายามดินรน ค้ นหา พยายามกระทําอะไร..เพืออยากได้ อยากเอา อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็ นอะไร ให้ ร้ ูเท่ าทัน มิฉะนันจะหลงคิดปรุ งแต่ งหลงสังขาร ไม่ อาจเป็ น “วิสังขาร” ได้ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
หลงสังขาร หลวงตา : ยังหลงยึดถือ เป็ น “อวิชชา” แอบซ่ อนอยู่ รู้ สึกว่ า “เรา หรือ ตัวเรา จะอ่ านอย่ างไรให้ ดี ให้ ผ่าน” ทําให้ เกิดความกังวลละเอียดภายในใจลึก ๆ ซึงเป็ นความทุกข์ ความกังวลให้ เห็นได้ ชัด ความจริงตามธรรมชาติ ตัวตนของเราไม่ มีมาตังแต่ แรก ในปั จจุบัน และอนาคต มีแต่ ธาตุและอวิชชา (ความไม่ ร้ ูเห็นตามความเป็ นจริ ง หรื อความโง่ ) มาผสมกัน จึงหลงรู้สึกว่ ามีเรา ตัวเรา หรื อของเรา
สังเกตให้ ดี ๆ จะเห็นว่ าถ้ าหลวงตาชม จะรู้ สึกยินดี พอใจแอบแฝงในใจ ถ้ าถูกหลวงตาตําหนิ จะรู้สกึ ว่ า เสียใจ ท้ อใจ หรื อนอย หน่ อย ๆ อย่ างนี ซิดี!..จะได้ เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง ว่ ายังปล่ อย วางไม่ หมด ยังเห็นไม่ หมดว่ าความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุ งแต่ ง อารมณ์ หรือความรู้ สึกทุกปั จจุบันขณะ เป็ นเพียง ปรากฏการณ์ ธรรมชาติ เหมือนฟ้ าแลบ ฟ้ าร้ อง ฟ้ าผ่ า ไม่ มีใครเป็ นเจ้ าของ ไม่ ใช่ ของเรา ไม่ ใช่ เรา ไม่ ใช่ ตัวเรา
ผู้ถาม : หนูขอบพระคุณหลวงตาอย่ างทีสุดค่ ะ เป็ น อย่ างทีหลวงตาบอกทุกอย่ างเลยค่ ะ หนูคิดว่ าจะอ่ านให้ ดีต้องทําอย่ างไร เลยไปปรุงแต่ งว่ ามันควรจะเป็ นอย่ าง นัน อย่ างนี ตอนนีเข้ าใจแล้ วว่ า ทีจริงตัวเราไม่ มีมาแต่ แรก รวมทัง ตอนทีคิดว่ ามีตัวเราด้ วยซํา หลวงตาจึงให้ อ่านไปตาม ธรรมชาติแบบเดิมของตนเอง เพราะมันไม่ ต้องปรุ ง แต่ งอะไร มันเป็ นความไม่ มีอยู่ตลอดอยู่แล้ ว หนูจะเพียรต่ อไปค่ ะ ขอให้ สัญญากับหลวงตาว่ าจะทํา ประโยชน์ ตน ประโยชน์ ท่านให้ ถงึ ทีสุด เป็ นการตอบ แทนพระคุณพระพุทธเจ้ า พระธรรม และ หลวงตา ทีสุดของทีสุดคือ หนูมาถึงตรงนีได้ เพราะความเมตตา อย่ างทีสุดของหลวงตาเท่ านันจริง ๆ ค่ ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ เมือรู้ เท่ าทันความหลงไปคิดไปปรุงแต่ ง เท่ ากับหลงไป เป็ น “สังขาร” หรือ หลงเอาจิตตสังขารมาเป็ นตัวเรา จึงยังหลง หรือเป็ น “อวิชชา” เพราะความไม่ ร้ ูเท่ าทัน เมือสินหลงสังขาร หรือสินหลงเอาสังขารมาเป็ นตัวเรา ก็สนิ “อวิชชา” กลายเป็ น “วิสังขาร” คือ เตสัง วูปสะโม สุโข คือ ดับความหลงปรุ งแต่ งเสียได้ สนิท หรือสินหลงเอาความปรุ งแต่ งมาเป็ นเรา หรื อเป็ น ตัวเราเสียได้ อย่ างถาวรสินเชิง ด้ วยความรู้ คือ วิชชา ไม่ ใช่ ด้วยความไม่ ร้ ู
ขณะจิตเดียว ทีหลงปรุ งแต่ งอย่ างใด ๆ แม้ พยายามจะ ไม่ ปรุ งแต่ ง หรือพยายามจะไปเป็ นวิสังขาร เพียงแค่ เสียววินาทีเดียว หรือหลงเพียงขณะจิตปรมาณูเดียว ก็ ได้ ชือว่ าหลงสังขารหรือหลงไปเป็ นสังขาร จะไม่ เป็ น “วิสงั ขาร” โดยธรรมชาติของเขาเอง เพราะ ไม่ อาจปรุ งแต่ งให้ เป็ น “วิสังขาร” ทีเป็ นธรรมชาติแท้ ๆ ของเขาเองได้ ถึงแม้ จะพยายามปรุ งแต่ งให้ เป็ น วิสังขารอย่ างไร ก็คงหลงเป็ นสังขารเรื อยไป
เมือไม่ เป็ น “วิสังขาร” ทีเป็ นธรรมชาติแท้ ๆ ไม่ อาจปรุงแต่ งได้ ก็จะไม่ เป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติได้ เพราะความไม่ มีตัวตน และไม่ ปรุ งแต่ งเท่ านัน จึงเป็ น หนึงเดียวกับธรรมชาติได้ ทุกอย่ าง คือ สามารถอยู่ได้ ในทุกที ในทุกสิง เช่ นเป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติฝ่ายปรุ งแต่ ง ซึงเป็ นสังขารหรืออยู่ในสังขารทังหมด เป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติของความว่ าง หรื ออยู่ในความว่ าง ** มันจึงไม่ ใช่ ความว่ าง** ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
รู้แต่ ไม่ ยึด ... พ้ นทุกข์ ผู้ถาม : ฟั งไฟล์ สัจธรรมของธรรมชาติ ใจมันสงบจาก ความคิด หันไปมองเห็นต้ นไม้ ในห้ องทีเราลืมรดนํา ใบมันเป็ นสีเหลืองเหียว มันเข้ าใจ “เหตุปัจจัย” และ “ความเป็ นไปของธรรมชาติ” ทีมันย่ อมต้ องเป็ นไป ตามเหตุปัจจัยนัน มันพิจารณาเรื องทีผ่ านมา มันไม่ มีปัญญาเห็น ต่ อเนือง ไม่ ถึงฐาน ไม่ ได้ เห็นและวางสังขารในทุกขณะ ปั จจุบัน แต่ กลับหลงไปในฝั งสังขารนัน ไปตามกิเลส และความปรุ งแต่ งทังหลาย หลวงตาบอกหลายที มันก็ ไม่ เห็นต่ อเนือง วัน ๆ หนึงชัวโมงบินมันน้ อยจริง ๆ
มันก็คิดอยู่ หาทางทําให้ ชัวโมงบินมากขึน เข้ า หาผู้ร้ ู มากขึน แต่ มันรู้ สึกเหมือนวางไม่ หมด ยังไงก็ไม่ ร้ ู เหมือนยังยึดอะไรไว้ บอกไม่ ถูก วันนีเพิงเข้ าใจ ว่ าจริง ๆ ลึก ๆ จิตมันยึดถือ “ความต่ อเนืองของการมีสติ มีปัญญา” มันยึดว่ า ทํา อย่ างไรให้ มันต่ อเนือง ไปทําให้ มันต่ อเนือง มันจึง เพียรเดินปั ญญาเข้ าหาผู้ร้ ู ซึงเข้ าใจว่ าเป็ นการเพียร ปฏิบัติอยู่ แต่ แท้ จริ งแล้ ว กริยาอาการ “เดินปั ญญาเข้ าหา ผู้ร้ ู ” กลับเป็ นสังขารทีละเอียด ตัวเจ้ าของเองก็มองไม่ เห็น
เมือเห็นต้ นไม้ เสือมจากเหตุปัจจัยตาม ธรรมชาติ จึงเข้ าใจ ว่ า “ปั ญญาต่ อเนือง” ทีตนยึดอยู่ เป็ นเพียงผล อันเกิดจากเหตุปัจจัย ทีเอือให้ มันเกิด ปั ญญาตามธรรมชาติเท่ านัน ถ้ ามีเหตุมันก็เกิดเอง เมือ สินเหตุมันก็ดับเอง และตัว “ปั ญญาต่ อเนืองไม่ ขาดสาย” ก็เป็ น เพียงเหตุปัจจัย ทีส่ งต่ อให้ เกิดผลแห่ งการปล่ อยวาง เพียงแค่ นัน “ความปล่ อยวาง” “ความสินยึด” “ความ พ้ นทุกข์ ” ก็เป็ นแค่ ผล อันเกิดจากเหตุอันเป็ นกลไกใน ธรรมชาติอย่ างจริงแท้ ไม่ มอี ะไรพิสดารไปจาก ธรรมชาติธรรมดาเลย
และในธรรมชาติ มันมี “ความเคยตัวเคยใจ” อยู่ เคยชินทีจะไปคว้ าสังขารมากอดไว้ ไม่ ว่าอะไรตก กระทบ มันก็ไปคว้ าจับมารวมกับตัวมันเอง ความเคย ตัวเคยใจ มันก็เป็ นเหตุปัจจัยแห่ งการยึดถือ เป็ นเหตุ ให้ มันปรุ งแต่ ง สู่ฝังสมุทยั และทุกข์ จริง ๆ มันก็เป็ น ธรรมชาติเช่ นกัน เหมือนไม่ รดนํา ต้ นไม้ ย่อมตายลงไป ตามธรรมชาติของมันเอง ถ้ าเห็นทุกอย่ างเป็ นแค่ ส่วนหนึงของเหตุปัจจัย ตามธรรมชาติ มันก็ไม่ ร้ ู จะยึดถือสิงนันไว้ ทาํ ไมอีก เพราะรู้ แล้ ว ว่ ามันเกิด-ดับ ของมันเอง ก็ “แค่ นันเอง” เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : รู้ ได้ ทุกอย่ าง ถ้ าไม่ ตดิ ยึด (อุปาทาน) ก็พ้นทุกข์
ผู้ถาม : กราบเจ้ าค่ ะ นําตาร่ วง ในความเมตตา พยายามสอนศิษย์ ทุกวิถีทาง กราบเจ้ าค่ ะ เข้ าใจแล้ วเจ้ าค่ ะ หลวงตา รู้ ได้ ทุกอย่ าง ถ้ าไม่ ยดึ ทุกอย่ างมันก็ดับไปของมันเอง ไม่ มีอะไรเหลือคาไว้ ได้ เลย ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ไม่ มี “ตัวเรา” พ้ นทุกข์ ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ วันนีมันได้ เจอสิงตกกระทบ คุยกับคนทีเราเคยพยายามจะเปลียนแปลงเขา เขาพูดแหย่ มามันอารมณ์ ขนึ อยากจะไปพูดแก้ เปลียน ทุกอย่ างให้ เป็ นอย่ างใจอยาก แบบทีเคยทํา แต่ มันเห็นว่ ามีตัวเราจะไปเปลียนสิงนัน มันวางตัวเรา ทีจะไปเปลียน ผลคือ ใจสงบท่ ามกลางอารมณ์ ทขึี น ๆ และท่ ามกลางความคิดทีมันคิดอยู่ ใจมันก็สนความ ิ อยาก ไม่ อยากได้ สงนั ิ นอีกแล้ ว มันเห็นความสงบท่ ามความเคลือนไหว สักพัก มันก็เห็นว่ ามันมีตัวเราไปสงบ มีคนยึดถือความสงบอยู่ มันจึงวางผู้ร้ ูนีอีกครั ง แต่ ก็ยังมีตัวเราปล่ อยวางผู้ร้ ู และ ยังมีตัวเราไปปล่ อยวางผู้ปล่ อยวางอีก
มันจึงเข้ าใจว่ า เมือใดทีมีเป้ าหมาย จะ 'วาง' จะ 'ว่ าง' จะ... อะไรก็ตามแต่ เมือนันก็จะยังมีกริยาของจิตไปกระทํารําไปอย่ างไม่ มี จุดสินสุดเลย จิตมันหนีจากการกระทําหยาบ ไปสู่การ กระทําอันละเอียดขึนเรื อย ๆ อยู่ดี มันเห็นมันทําจนมันท้ อ มันร้ องไห้ จนยอมรับ ว่ า "แบบนี ... ไม่ พ้นทุกข์ หรอกนะ" ร้ องแล้ วร้ องอีกจริง ๆ นะเจ้ าคะหลวงตา
หลวงตา : ไม่ ติด ไม่ ยึดสิงใด ปล่ อยให้ มันเป็ นอย่ างทีมันเป็ น ไม่ มีตัวเราหลงสังขารความคิดปรุ งแต่ งยึดถือ ไม่ มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ว่ าเรากําลังเป็ นผู้ร้ ู กําลังเป็ นผู้เห็น กําลังเป็ นผู้มีอาการนัน กําลังเป็ นผู้มีสภาวะนัน ไม่ หลงพยายามเป็ นผู้ปล่ อยวาง แต่ ไม่ มีผ้ ยู ดึ ถืออะไรมาเป็ นเรา ตัวเรา หรือ ของเราเลย มันทุกข์ เพราะมันมีตัวเราพยายามปล่ อยวาง เพือให้ ตัวเราพ้ นทุกข์ เมือทําไม่ ได้ อย่ างใจ เลยเป็ นทุกข์ มาก ... ร้ องไห้ แง ๆ ๆ ...
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้ าค่ ะ อ๋ อ เข้ าใจ แล้ วเจ้ าค่ ะ มีตัวเราพ้ นทุกข์ และมีตัวเรา ... ไม่ อาจพ้ นทุกข์ ได้ มันเลยทุกข์ อยู่นีไง เส้ นผมบังภูเขา ... เขียเองไม่ ออก ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ธรรมชาติทแท้ ี จริงไม่ มีตัวเรา ผู้ถาม : ทําไมเป็ นแบบนีเจ้ าคะ หลวงตา เพียงแค่ เกิดความรู้ความเข้ าใจ ว่ า "ไม่ มีตัวเรา ... ไปพ้ นทุกข์ " และ "ไม่ มีตัวเรา ... ไม่ พ้นทุกข์ " มันเหมือนหมดภาระ ... เห็นแค่ ธรรมชาติของสิงปรุง แต่ ง เกิดเองดับเอง และธรรมชาติร้ ู .... “มันรู้ ของมันเอง” มันรู้ทุก สิง แต่ ตัวมันกลับไม่ สามารถปรุงแต่ ง ดัดแปลง แก้ ไข สิงทีรู้ ได้ เลย ตัวมันได้ แต่ ปล่ อยให้ สงที ิ ถูกรู้ ... มัน เป็ นไป แต่ ตัวทีไปแก้ ไข ดัดแปลง ... กลับเป็ นเพียงสิง ปรุ งแต่ ง เป็ นสิงทีถูกรู้ทงหมดทั ั งสินเลยเจ้ าค่ ะ
ลูกเห็นแล้ วว่ า "ความเข้ าใจว่ าพ้ นทุกข์ " "ความ เพียรจะพ้ นทุกข์ " ก็เป็ นสิงปรุ งแต่ ง เพราะมันไม่ ได้ "สักแต่ ว่ารู้ " เพราะมันมีการแก้ ไข มีการดัดแปลง เพือ เปลียนบางสิง สิงนีเป็ น "ธรรมชาติของสังขาร" มันก็ เป็ นของมันแบบนัน มันก็ไม่ ต้องทําอะไรให้ มันหนักหรือเป็ นภาระ เลยนะ เจ้ าคะ ไม่ ต้องมีวิธีการอะไรด้ วย ก็แค่ เรียนรู้ ธรรมชาติของสังขารและวิสังขารในทุกขณะปั จจุบัน ก็ แค่ นันเอง
หลวงตา : สาธุ สาธุ ในธรรม เพราะธรรมชาติของ สังขาร และ วิสังขาร เขาเป็ นธรรมชาติของเขาอย่ าง นันเอง *****ธรรมชาติทแท้ ี จริงไม่ มีตัวตนของเรา มีเรา หรื อ ของเรา อยู่ในธรรมชาตินันเลย
ขอให้ ความรู้ ความเห็น ความเข้ าใจถึงใจในธรรมอย่ าง นีอย่ าได้ หลงไปจากใจให้ เป็ น โมหะ หรือ อวิชชา อีก ก็จะไม่ หลงมีตัวเราขึนมาแล้ วหลงเอาตัวเราไปมีตัณหา ต่ ออาการใดหรือสิงใด ๆ ให้ เป็ นกิเลสอีกต่ อไป ก็จะไม่ มีผ้ ทู ุกข์ หรือ พ้ นทุกข์ เรียกว่ า นิพพาน ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ทีสุดแห่ งทุกข์ คือ ไม่ มีผ้ ทู กุ ข์ ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา ดูวงจรปฏิจจสมุปบาทแล้ วค่ ะ สุดยอดมากค่ ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาทีถ่ ายทอดพระธรรม อันบริสุทธิมาสู่ลูกศิษย์ และขออนุโมทนา กับคณะผู้ทาํ ทุกท่ าน ขอให้ ทุกท่ านถึง “ทีสุดแห่ งการพ้ นทุกข์ คือไม่ มีผ้ ูทุกข์ ” ได้ น้อมประโยคนีมาสู่ใจ แล้ วค่ ะ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
หลวงตา : สาธุ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ผู้ถาม : ขอบคุณเหลือเกินหลวงตา ลูกขอกราบแทบ เท้ าหลวงตา ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ไม่ มีตัวตนของผู้ยดึ ก็ไม่ มีผ้ ูทุกข์ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ หนูขอส่ ง การบ้ านเจ้ าค่ ะ หนูปฏิบัติดูตัวเราหรือวิญญาณขันธ์ หนูเห็นว่ าตัวเราหรือวิญญาณขันธ์ มันอยู่ในความรู้ สึก มันกระทบอะไรมันก็จะรู้ สกึ ว่ าตัวเราได้ ตัวเราเป็ น และ คิดบ่ นพอใจไม่ พอใจ บางทีก็ไม่ เห็นมันบ่ นแต่ มันก็ แสดงอาการยุกยิกตรึกตรอง แต่ หนูกไ็ ม่ ได้ เห็นมัน ตลอดเวลา ก็มีหลงบ้ าง ส่ วนมากหนูจะใช้ คาํ บริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็ น เครื องล่ อให้ เห็นผู้ทกํี าลังบริ กรรม บางทีก็ เหมือนมีอีกตัวทีพยายามจ้ อง พยายามทําอะไร ๆ อยู่ ซ้ อนขึนมานะคะ แต่ หนูเห็นมันเป็ นสังขาร ทีกล่ าวมานีไม่ ร้ ูหนูปฏิบัตถิ ูกหรือผิดอย่ างไร จึงขอความเมตตาจากหลวงตาชีแนะลูกเพือจะได้ ปฏิบัติให้ ถูกต้ องต่ อไปเจ้ าค่ ะ ลูกขอกราบ ๆ ๆ หลวง ตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ปฏิบัติถูกแล้ ว รู้เห็นทุกปั จจุบันขณะ ก็ เพียงเกิดมา ได้ ร้ ู ทาํ ความเข้ าใจให้ ร้ ูแจ้ งว่ าอะไรเป็ น อะไร อะไรดีอะไรชัว อะไรเป็ นกุศลอกุศล อะไรเป็ นสุข เป็ นทุกข์ ถ้ าขณะจิตใดเราหลงมีความรู้สึกว่ ามีเรา ตัวเรา หรื อ ของเรา ไปยึดติดยึดถือสิงใด(อุปาทาน) แม้ ยึดผู้ร้ ูว่า เป็ นเราหรื อเราเป็ นผู้ร้ ู แล้ วอยากให้ เป็ นอย่ างไรตามใจ อยาก ก็จะเป็ นสมุทยั เป็ นเหตุให้ เกิดทุกข์ ถ้ าไม่ มีตัวตนของผู้ยดึ ก็ไม่ มีผ้ ูทุกข์ เรี ยกว่ านิพพาน ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ความจริ งไม่ มีตัวตนของเรา ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาค่ ะ เมือวานมี ความทุกข์ ซึงเกิดจากคนใกล้ ตัว แล้ ววันนีได้ ฟังไฟล์ ของหมอกอล์ ฟซึงตรงสิงทีเพิงเกิดพอดี ( ถ้ าฟั งก่ อนหน้ านีอาจไม่ ถงึ ใจเท่ าวันนีค่ ะ) หลวงตาให้ ขอบคุณอวิชชา, ความทุกข์ และคนรอบข้ าง ทีทําให้ เราได้ เห็นทุกข์ เลยทําให้ เข้ าใจธรรม เข้ าใจตามทีหลวงตากล่ าวเลยค่ ะว่ า ทุกข์ มีอยู่ แต่ ไม่ มีผ้ ูทุกข์ ถ้ าผลักไสทุกข์ ก็จะยิงทุกข์ ทุกข์ สุขก็มีค่าเท่ ากัน แต่ ถ้าไม่ เห็น เรามักจะเกลียดทุกข์ รั กสุข เข้ าไปกระทํา มีผ้ ูเสวยอยู่ตลอดเวลา ไม่ ได้ เห็น ตามความเป็ นจริงว่ ามันก็เป็ นของเกิด ๆ ดับ ๆ.. ทําให้ ต้ องการวิสังขาร ผลักไสสังขาร โดยบางทีกไ็ ม่ ร้ ู ตัวค่ ะ
คราวก่ อนติดอาการโปร่ งโล่ ง ก็ได้ อ่านคําสอน ของหลวงตาเพือช่ วยนําทางเช่ นกันค่ ะ แม้ จะอยู่ห่างไกลหลวงตา แต่ ก็ได้ คาํ สอนของ หลวงตาผ่ านทางไลน์ คอยชีแนะประคองไม่ ให้ ตกทาง และรู้สึกมีกาํ ลังใจมากเมือได้ ฟังคําสอนของหลวงตาค่ ะ ไม่ ทราบว่ าหลวงตามีอะไรแนะนําเพิมเติมมัยคะ กราบขอบพระคุณในความเมตตาไม่ มีทสุี ดไม่ มีประมาณขององค์ หลวงตาทีมีต่อเหล่ าลูกศิษย์ ทุกคน นะคะ อนุโมทนากับทีมงานทีทําให้ เข้ าถึงคําสอนของ หลวงตาผ่ านสือต่ าง ๆ ได้ ง่าย ๆ เลยค่ ะ ขอให้ ธาตุขันธ์ องค์ หลวงตาแข็งแรง ๆ นะคะ กราบนมัสการองค์ หลวงตาค่ ะ
หลวงตา : ยังหลงยึดถือสังขาร หรือขันธ์ ห้า ว่ าเป็ น เรา ตัวเรา หรือของเรา มีความพยายามจะเอาตัวเรา ออกจากทุกข์ หรือหนีทุกข์ ไปหาความสุขอยู่ ในปั จจุบันนีให้ มีสติปัญญารู้เท่ าทันความหลงไปเป็ น สังขารในขณะจิตปั จจุบันนี ถ้ าหลงไปตามสังขารคือ ความคิดปรุ งแต่ ง จะหลงว่ ามีตัวเราติดอยู่ในทุกข์ และ จะมีความพยายามทีจะเอาตัวเราออกจากทุกข์ ยิงเป็ น อวิชชาซ้ อนอวิชาไปเรือย ๆ มันจะยิงทําให้ เป็ นทุกข์ ใหญ่ ความจริ งไม่ มตี ัวตนของเราตังแต่ แรก จึงไม่ มีตัวตน ของเราติดอยู่ในทุกข์ หรือความทุกข์ มีอยู่แต่ ไม่ มีตัวเรา เป็ นทุกข์ หรือไม่ มีตัวเราไปยึดถือความทุกข์ นันให้ เป็ น ความทุกข์ ขนมาอี ึ ก
ถ้ ายังมีความเห็นผิดว่ ามีตัวเราอยู่ในความรู้สึก ก็จะมี ตัวเราออกไปรับการกระทบ เรียกว่ าไปยึดถือให้ เป็ น ทุกข์ ทุกอย่ างทีเป็ นอยู่นันต้ องสินตัวตนของเราในความรู้สึก จึงไม่ มีตัวเราออกรับการกระทบให้ เป็ นทุกข์ ให้ มันรู้ ให้ มันเห็น แต่ อย่ าพยายามทําให้ มันเป็ น เรี ยกว่ า "สักแต่ ว่า" ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
หลงยึดถือเป้ าหมาย จึงไม่ สนอวิ ิ ชชา ผู้ถาม : รู้ ... ไม่ ใช่ คิด ให้ ร้ ู ... โดยไม่ คิด ตราบใดทียังรู้แล้ วคิด ตราบนันยังไม่ สนตั ิ วเรา (อวิชชา) โยมเข้ าใจข้ อธรรมตามทีเขียนมาด้ านบน กราบขอ โอกาสหลวงตาเมตตาชีแนะ ว่ าผิดถูกอย่ างไรเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ข้ อความนี ยังไม่ ถูกต้ องตามธรรม รู้ ...ไม่ ใช่ คดิ อันนีถูกต้ อง ให้ ร้ ู ... โดยไม่ คิด (มันมีตัวเราเป็ นผู้กระทํา ผู้พยายาม .. เพือ ผลประโยชน์ ของตัวเรา เพือให้ เราเป็ นรู้ ทีไม่ คิด) ตราบใดทียังรู้แล้ วคิด ตราบนันยังไม่ สนตั ิ วเรา (อวิชชา) (มันจะมีตัวเราเป็ นผู้กระทํา เพือให้ เป็ นรู้ อย่ างเดียว ไม่ มีคิด ทังนี ก็เพือผลประโยชน์ ของตัวเรา จะได้ เป็ นรู้ที ไม่ คิด
.. ความจริ งก็หมายหรือปั กธงไว้ ในใจ ว่ าถ้ าเราปฏิบัติ เป็ น รู้ ทไม่ ี คิดเมือใด จะเป็ นพระนิพพาน มันมีตัวเรา หลงยึดถือเป้ าหมายหรือธงทีปั กไว้ ในใจตลอด จะเป็ น อวิชชา หรื อ อวิชชาจะไม่ ดับไป จนกว่ าเป้ าหมายหรื อ ธงทีปั กไว้ จะดับ เหลือแต่ สกั แต่ ว่ารู้ทุกปั จจุบันขณะ หรื อ รู้ อะไรได้ ทงหมด ั เป็ นอะไรได้ ทงหมด ั ถ้ าไม่ มีผ้ ยู ดึ ถือ ก็ไม่ เป็ นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรื อ เป็ นกิเลส ซึงเป็ นเหตุให้ เกิดภพ ชาติ .. และความทุกข์ )
“แม้ จะรู้ แล้ วคิด" ... ถ้ าไม่ มีผ้ ูยึดถือ คือ ไม่ หลงเพลินไป ตามเขา หรือ ไม่ หลงเป็ นมิจฉาทิฏฐิไปพยายามดับเขา เพราะไปโทษว่ าเขาไม่ ดี ก็จะไม่ เป็ นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรื อไม่ เป็ นกิเลส จะไม่ มีผ้ ูทุกข์ ถ้ าบอกว่ า “ให้ ร้ ู โดยไม่ คิด และ ตราบใดทีรู้ แล้ วคิด ... ” จะหลงมีการกระทํา เป็ นความพยายามให้ ร้ ู โดยไม่ คิด
ธรรมทีถูกต้ อง ..... สังขารเขาเป็ นอย่ างไร ไม่ ว่าจะเป็ น ...กุศล หรือ อกุศล อวิชชา หรื อ วิชชา สมมติ หรื อ วิมุติ อาการถูกใจหรื อไม่ ถูกใจ กิเลส หรือว่ างเปล่ า ........ เขาก็คงเป็ นสังขาร คือ ธรรมชาติฝ่ายปรุ งแต่ ง ทังนัน แม้ แต่ วิสังขาร ซึงเป็ นธรรมชาติทไม่ ี ปรุ งแต่ ง ก็คงเป็ น ธรรมชาติของเขาอย่ างนัน
ถ้ าไม่ หลงมีตัวเรา ไปยึดถือ ทังสังขารและวิสังขาร ก็จะไม่ เป็ นอวิชชาขึนมาอีก ส่ วนอวิชชาตัวเดิมก็ปล่ อย เขาให้ เป็ นปลาเน่ าแล้ ว ก็เน่ าไปเสีย ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ธรรมแจ้ งแก่ ใจ เพราะไม่ หลงยึดถือ ผู้ถาม : ขอกราบเรี ยนถามหลวงตาค่ ะ ประสบการณ์ ธรรมไหลสู่ใจนันจะเกิดขึนแค่ ครั งเดียว หรื อว่ าสามารถเกิดขึนได้ อีกคะ.... เพราะ หลังจาก ผ่ าน ไป - วันรู้สึกว่ าไม่ เหมือนเดิม เปรียบเหมือนกับว่ า ตอนแรกเราอยู่ชันประถม หรืออนุบาล แล้ วก็กระโดด ขึนไปชันปริญญาตรี แล้ วก็เรียนไม่ ไหว ตกลงมาชัน มัธยมปลาย ... ก็คิดว่ า ความอยากให้ เหมือนเดิมนัน เป็ นอวิชชา และรู้สึกใจเสีย.... เลยตังสติใหม่ เวลาคิด อะไรพอคิดเสร็จแล้ ว ก็พยายามม้ วนใจเข้ าสู่ภายใน ขอหลวงตาช่ วยชีแนะด้ วยค่ ะ
หลวงตา : สําหรับผู้มีสติ ปั ญญา ศรัทธา ความเพียร อย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย ธรรมทีปรากฏแจ้ งแก่ ใจก็จะ พัฒนาขึน ละเอียดขึนเลย แต่ มีข้อแม้ ว่าทุกปั จจุบัน ขณะ ได้ แต่ แค่ สักแต่ ว่ารู้ ไม่ หลงยึดมันถือมันอะไร (อุปาทาน) แม้ ธรรมนันเองก็ไม่ เทียง ต้ องละเอียดไป เรื อย ๆ เมือสักแต่ ว่ารู้ ไม่ ยดึ ถือ ธรรมจึงจะแจ้ งแก่ ใจทีละเอียด มากขึนเรื อย ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
แค่ สักแต่ ว่ารู้ทกุ ขณะจิตปั จจุบัน ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาทีเคารพศรัทธา ... ทางเดินธรรมนีจะขอเดินต่ อไป ด้ วยสติ ปั ญญา ศรัทธา ความเพียร ... และจะคอยตรวจสอบตัวเองว่ าเป็ น อย่ างไร เพราะเมือธรรมสู่ใจใหม่ ๆ รู้ สึกว่ าความคิด อารมณ์ ต่าง ๆ ทีเกิดขึนไม่ ต้องปล่ อยวาง เพราะใจ ไม่ ได้ เข้ าไปยึดถือ และเมือหลับตาลงนอนใจนันสงบ สงัดเงียบลมหายใจแผ่ วเบา แต่ เมือรู้ สกึ ว่ าความสงบนันด้ อยลง ... ด้ วยไม่ มี ประสบการณ์ มาก่ อนเลยรู้สึกกดดัน และลองทบทวน ความรู้ สกึ ตอนทีปล่ อยวางแต่ มันไม่ เหมือนเดิม ... เลยรู้ว่าเมือเราตังใจมันจะไม่ ได้ ... คิดว่ าเมือไหร่ ทใจเราไม่ ี ต้องการสิงใดเลยใน โลกนีอีกแล้ ว ธรรมจะปรากฏแจ้ งแก่ ใจเอง แต่ มันก็ ยากนะหลวงตา ลูกจะฝึ กไปเรือย ๆ ให้ ใจไม่ ห่างธรรม เลย
หลวงตา : สงบ หรือไม่ สงบ เงียบ หรื อ ไม่ เงียบ ว่ าง หรือ ไม่ ว่าง .................. ซึงมีอาการทีมีอาการคู่ตรงกันข้ าม ล้ วนเป็ นสังขาร คือ ความปรุ งแต่ ง ตกอยู่ใต้ กฎธรรมชาติ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ ปล่ อยวาง หรือสักแต่ ว่ารู้ทงหมด ั ได้ แต่ แค่ สักแต่ ว่ารู้ทุกขณะจิตปั จจุบัน หรื อ สินผู้เสวย ก็จะพ้ นจากทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
ต้ องเอาชนะใจตนเอง ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา โอ๋ มีคาํ ถามจะ กราบเรี ยนถามหลวงตาค่ ะ เดิม หลวงตาแนะนําให้ โอ๋ พิจารณาร่ างกาย แต่ ช่วงหลังโอ๋ จะเห็นความคิดเกิดดับ อยู่ในใจ ก็เลยไม่ ค่อยได้ พิจารณาร่ างกาย แต่ เมือคืนขณะกําลังนอนฟั งเทศน์ หลวงตา อยู่ ๆ ก็เห็นว่ า ร่ างกายเป็ นกระดูกแล้ วแตกออกเป็ น เสียง ๆ แล้ วก็เลยน้ อมพิจารณากลับไปกลับมาก็เห็น ว่ าตัวตนเราไม่ มี นอนไม่ ค่อยหลับกระสับกระส่ ายทัง คืน ตอนแรกคิดจะลุกขึนมาเดินจงกรมแต่ ขเกี ี ยจ เลย นอนต่ อแล้ วเผลอหลับไป เลยจะขอคําแนะนําหลวงตาว่ าควรจะกลับมา พิจารณากายแทนการดูความคิดเกิดดับรึเปล่ าคะ หรื อ อะไรจะเกิดก็ให้ มันเกิด ไม่ ต้องไปสนใจให้ ค่าให้ ความสําคัญ ...
หลวงตา : ถ้ าเห็นร่ างกายของตนเองเป็ นของไม่ เทียง ไม่ มีตัวตน ไม่ ใช่ ตัวตนชัดเจนอย่ างนัน ต้ องน้ อม พิจารณาให้ ต่อเนืองไม่ ขาดสาย แสดงว่ าเคยมีอุปนิสัย วาสนามาทางนีมาก่ อน ยากนักทีจะเห็นได้ ต้ องเพียรพิจารณาให้ เห็นความจริงในร่ างกาย ตนอย่ างนันอย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสายนะ ถ้ าพิจารณาไม่ ต่ อเนืองทังคืนทังวัน ต่ อไปจะเห็นยากมาก ๆ ๆ ๆ...... จะสูญเสียโอกาสทองไป Youtube ตราบลมหายใจสุดท้ าย https://youtu.be/Oo4hXkdLlV4
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณค่ ะหลวงตา ปั ญหาคือโอ๋ พิจารณาไม่ ค่อยต่ อเนืองค่ ะ ตอนทํางานพิจารณาไม่ ค่ อยได้ และก็จะเพลินไปกับการเล่ นแชทเล่ นไลน์ เลยมาสู่คาํ ถามทีสองค่ ะ โอ๋ ร้ ูสึกว่ าช่ วงนี ค่ อนข้ างจะเพลินไปกับทางโลก เล่ นแชทเล่ นไลน์ ไม่ ได้ สวดมนต์ เดินจงกรม ฟั งเทศน์ หลวงตาบ้ าง พอดีมีเวลาว่ างช่ วงวันที ถึง พฤษภาคม ตอนแรก อยากจะไปกราบหลวงตาแต่ ไม่ แน่ ใจว่ าหลวงตาไป เทศน์ ทไหน ี ก็เลยคิดจะไปปฏิบัติธรรมเพือให้ ห่างจาก การเล่ นแชทเล่ นไลน์ แต่ ทเราไปเพราะเราหวั ี งผลหรือมี เป้ าหมายเหมือนกับทีหลวงตาเคยเทศน์ ไว้ หลาย ๆ ครั ง แต่ อีกใจก็คิดว่ าดีกว่ าเราเหม่ อเผลอเพลินไปวัน ๆ ก็ เลยอยากให้ หลวงตา ชีแนะว่ าควรจะทําอย่ างไรดีคะ
หลวงตา : ให้ เอาชนะใจตัวเอง ให้ เห็นโทษของการเวียนว่ ายตายเกิดในภพชาติต่าง ๆ ให้ ต้องรับกรรมเป็ นทุกเดือดร้ อนแสนสาหัส ซึงมันเป็ น เรื องยิงใหญ่ สาํ คัญอย่ างยิง ถ้ าเทียบกับความสุขเล่ นมือ ถือนัน เทียบไม่ ตดิ เลย ซึงยากนักทีจะมีผ้ ูใดเกิด “อุคหนิมติ ” คือ เห็นร่ างกาย ตนเองเป็ นอสุภกรรมฐานและมรณานุสติ แล้ วเป็ น “ปฏิภาคนิมิต” ขยายความเน่ าเปื อยผุพัง ติดตาติดใจได้ ถ้ าหลังจากเห็นชัดเป็ นอุคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตแล้ ว ถ้ ามีความเพียรต่ อเนืองไม่ ขาดสาย ไม่ กีเดือนใจจะรู้ แจ้ งถึงสัจธรรมความจริงนันจนถึงใจ แล้ วใจเขาจะ ปล่ อยวางความหลงยึดมันถือมันจนหมดสินจากใจ ทัว สามแดนโลกธาตุกจ็ ะอัศจรรย์ ไหวไหวไปหมด ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
เพียรปล่ อยวางทุกขณะปั จจุบัน ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตาทีเคารพอย่ างสูงคะ ขออนุญาตหลวงตาค่ ะว่ าเมือช่ วงเช้ านีรู้ สึกตัวก็เปิ ด ธรรมะหลวงตาฟั งต่ อค่ ะ เผลอหลับไป ฝั นว่ าไปกราบหลวงตาทีวัดอยู่บนเขา วัดมี ความสวยงาม คนเยอะค่ ะ ท่ านเมตตาให้ ธรรมะแก่ ศิษย์ ทุกคน โดยเหมือนหลวงตาจับศีรษะศิษย์ ไล่ ๆ ๆ มา จนมาถึงตัวของข้ าพเจ้ า ท่ านให้ ข้อแนะนําว่ า ยังอยากอยู่นี หยุดเลย อยากนีไปไม่ ได้ อยากพระนิพพาน แก้ ๆ ๆ ท่ านยิมและหัวเราะแก่ ข้าพเจ้ าค่ ะ ตืนมานึกถึงเลยค่ ะ พิจารณาว่ าแอบอยากไปตอนไหน
ขอสอบถามหลวงตานะคะ ในการทําทานทุกครั ง การอธิษฐานเพือมรรคผลนิพพาน ถือว่ าเราควร อธิษฐานแบบนีหรื อไม่ คะ หลวงตาช่ วยแนะให้ ปัญญาแก่ ลูกศิษย์ ด้วยค่ ะ อธิษฐานอย่ างไร หรือไม่ ต้องอธิษฐาน อะไรเลยคะ อย่ างไรเป็ นสิงทีถูกต้ องคะ วางจิตอย่ างไรคะหลวงตา แต่ มาเห็นข้ อธรรมะทีหลวงตาจากไลน์ ค่ะว่ า ถ้ ายังมี เป้ าหมาย ก็ยังมีตัวผู้เดินทาง เป็ นอวิชชาเรือยไป กับ อ่ านใจตัวเองให้ ขาด ปฏิบัติจะเอาอะไร? ไม่ ต้องเอาอะไร เพราะไม่ มีอะไรมาตังแต่ ต้นแล้ ว ขอหลวงตาเมตตาชีแนะความถูกต้ องเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ตังใจเพียรให้ สนผู ิ ้ เสวย หรือ สินผู้ยึดมัน ถือมันทังหมดในทุกขณะจิตปั จจุบันเสีย นันแหละเป็ น การตังสัจจะอธิษฐานแก่ ตัวเอง โดยมีพระพุทธเจ้ า พระ ธรรม พระอริยสงฆ์ ทีมีมาแล้ วทังหมดจนถึงปั จจุบัน และเทพเทวดาทังหมดรวมเป็ นสักขีพยานและ อนุโมทนาบุญกับท่ านแล้ ว ทีเหลือ ก็มีแต่ สติ ปั ญญา ศรั ทธา ความเพียรปล่ อยวาง ทุกปั จจุบันขณะ จนกว่ าจะสินหลงยึดถือสังขาร หรื อ สินหลงเอาสังขาร เป็ นตัวเรา แล้ วเอาตัวเราไปหลงเป็ นคิดปรุงแต่ ง พ้ นสังขารก็เป็ นธรรมทีมันคง นีแหละองค์ ธรรมเอกวิเวกจริง (หลวงปู่ มัน ภูริทัตโต พ่ อแม่ ครู อาจารย์ ทเคารพนั ี บถือ ยิง)
ผู้ถาม : คําสังสอนของหลวงตานีทําให้ ใจของศิษย์ รู้ สึกสบายขึนมาทันทีเลย สรรพสิงทีเป็ นของคู่ล้วนเป็ น สังขาร เป็ นอนิจจัง .... จะไม่ กังวลอีกต่ อไปแล้ วว่ า ใจ จะสงบหรือไม่ สงบ ( ทีแรกคิดว่ าถ้ าใจไม่ สงบ แสดงว่ า เราทําได้ แย่ ลง) .... ให้ สักแต่ ว่ารู้ กราบขอบพระคุณ หลวงตาอย่ างยิงค่ ะ ค่ ะหลวงตา แสดงว่ าจิตละเอียดของศิษย์ ยังมีสังขาร ทีแอบยึดปรุ งแต่ งแบบไม่ ทนั ค่ ะหลวงตา จะเพียรมีสติ ให้ มันในปั จจุบัน ปล่ อยวางทุกขณะปั จจุบันค่ ะ รู้สึก เอิบอิมในจิตค่ ะ สาธุค่ะหลวงตา หนูจะน้ อมเอา คําแนะนําสังสอนของหลวงตาเป็ นเครื องเตือนสติทุก ขณะจิตค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน
พิจารณากายหรือพิจารณาจิต ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ อ่ านของคุณโอ๋ ทส่ี ง การบ้ านบอกว่ าพิจารณาร่ างกาย ในส่ วนของโยม ก่ อนทีจะพบหลวงตาก็พิจารณาร่ างกายเช่ นกัน พิจารณาเห็นธาตุดิน นํา ลม ไฟในร่ างกาย ยืนหรือเดิน เห็นร่ างตัวเองเป็ นโครงกระดูก แล้ วผุพังลงมากอง สลายปลิวไปเป็ นอากาศธาตุ และอยู่กับรู้ ไม่ ใช้ คาํ บริกรรม หลังจากมาพบหลวงตาก็หยุดพิจารณากาย มาพิจารณาสังขาร เห็นทุกอย่ างเป็ นสังขาร ๆ ๆ แล้ ววาง
ขอคําแนะนําจากหลวงตาว่ าควรจะพิจารณากาย เหมือนทีหลวงตาแนะนําคุณโอ๋ หรือพิจารณาสังขารดี คะ ขอบพระคุณค่ ะ กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : เหมือนกันเลย แสดงว่ ามีอุปนิสัยวาสนา อย่ างเดียวกัน ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
เมษายน