การประชุมวิชาการ และนิทรรศการ ระดับชาติ การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย
๔ ภาค
สนับสนุนโดย ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ ภาคเหนือ
คณะศิลปกรรมและสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน
ภาคกลาง
คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร
ภาคใต
คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 1
9/6/2558 1:14:33
ขอมูลทางบรรณานุกรม สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค กรุงเทพฯ: คณะสถาปตยกรรมศาสตร ม.ศิลปากร . 2557. 168 หนา 1. สถาปตยกรรมพื้นถิ่น 2. สภาพแวดลอมสรรคสราง 2. ภาคเหนือ 3. ภาคกลาง 3. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4. ภาคใต ISBN 978-974-641-521-7
ชื่อหนังสือ: โครงการวิจัย:
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น ภาคเหนือ: คณะศิลปกรรมและสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน ภาคกลาง: คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ภาคใต: คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร ผูสนับสนุนการวิจัย: ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ เผยแพรโดย: ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ บรรณาธิการ: ดร. เกรียงไกร เกิดศิริ กองบรรณาธิการ: อิสรชัย บูรณะอรรจน, กุลพัชร เสนีวงศ ณ อยุธยา, ธนกฤต ธัญญากรณ, อิษฏ ปกกันตธร, วศิน วิเศษศักดิ์ดี จํานวนพิมพ: 500 เลม ISBN: 978-974-641-521-7 ภาพปก: วิษณุ หอมนาน รูปเลม: อิสรชัย บูรณะอรรจน, กุลพัชร เสนีวงศ ณ อยุธยา, ธนกฤต ธัญญากรณ สํานักพิมพ: คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร ถ.หนาพระลาน เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 2
9/6/2558 1:14:47
การประชุมวิชาการ และนิทรรศการ ระดับชาติ การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย
๔ ภาค
ผูทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ
รองศาสตราจารย วิวัฒน เตมียพันธ ศาสตราจารย เกียรติคุณ อรศิริ ปาณินท ศาสตราจารย ดร. วีระ อินพันทัง รองศาสตราจารย ดร. ชัยสิทธิ์ ดานกิตติกุล ผูชวยศาสตราจารย ดร. โชติมา จตุรวงศ ที่ปรึกษาโครงการ
รองศาสตราจารย ดร. ชัยสิทธิ์ ดานกิตติกุล นางสาวสมดี เบ็ญจชัยพร อาจารย ดร. ปรมพร ศิริกุลชยานนท
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 3
9/6/2558 1:14:47
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 4
9/6/2558 1:14:47
โ ค ร ง ก า ร ศึ ก ษ า วิ จั ย เพื่ อ จั ด การความรู ที่ อ ยู อ าศั ย
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 5
9/6/2558 1:14:48
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 6
9/6/2558 1:14:48
กลาวนํา
ผูวาการ การเคหะแหงชาติ
การเคหะแหงชาติ เปนหนวยงานหลักของประเทศที่มีพันธกิจดานการ พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนดานที่อยูอาศัย และจากยุทธศาสตรชาติเพื่อการ พัฒนาที่อยูอาศัยยุทธศาสตรที่ 5 คือ การสรางองคความรูเรื่องที่อยูอาศัยตอทุก ภาคสวนของสังคม ในการนี้ การเคหะแหงชาติจึงเล็งเห็นความสําคัญ และความ จําเปนอยางเรงดวนที่ตองดําเนินการศึกษาวิจัยเพื่อรวบรวมองคความรูเรื่องที่อยู อาศัยในทองถิ่นในภูมิภาคตางๆอยางเปนระบบ เพื่อเก็บรักษาองคความรู นําไปสู การสืบสาน และนําไปสูกระบวนการตอยอดตลอดจนเปนการผลิตเปนสื่อในรูปแบบ ตางๆ เพื่อเผยแพรใหสาธารณชนไดเรียนรู และนําไปพัฒนาการตอยอดเพื่อสืบสาน ภูมิปญญาใหคงอยูคูกับประเทศไทยตอไป การเคหะแหงชาติจงึ ไดสนับสนุนทุนวิจยั ใหสถาบันการศึกษาตางๆ ศึกษา วิจัยใน “โครงการศึกษาวิจัยเพื่อจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค” โดยมอบหมายให “คณะศิลปกรรม และสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา” ศึกษา “ภาคเหนือ” “คณะ สถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน” ศึกษา “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” “คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร” ศึกษา “ภาคกลาง” และ “คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร” ศึกษา “ภาคใต” ซึ่งการวิจัย ไดเสร็จสิ้นแลว และคณะผูวิจัยไดเรียบเรียงผลลัพธของการวิจัยเปนบทความวิจัย เพื่อเผยแพรในการประชุมวิชาการ และนิทรรศการระดับชาติวาดวย “การจัดการ ความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น” เรื่อง “สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค” ในนามของการเคหะแหงชาติ ขอแสดงความชื่นชมตอคณะผูวิจัย และมี ความภาคภูมิใจอยางยิ่งที่เปนกําลังหลักที่ผลักดันใหเกิดการศึกษาวิจัยเพื่อพิทักษ รักษา ตลอดจนการพัฒนาองคความรูเรื่องที่อยูอาศัย ภูมิปญญาทองถิ่น และวิถีชีวิต ที่สัมพันธกับที่อยูอาศัย อันจะนําพาใหเกิดความรูความเขาใจ ความตระหนักรูใน คุณคาของมรดกสิ่งกอสรางพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยในแตละภูมิภาค อันจะเปนตนทุน ในการตอยอดองคความรู และประยุกตไปสูการพัฒนาที่อยูอาศัยที่เหมาะสม และ สอดคลองกับทองถิ่นตางๆ ตอไป นายกฤษดา รักษากุล ผูวาการ การเคหะแหงชาติ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 7
9/6/2558 1:14:49
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 8
9/6/2558 1:14:49
คํานิยม
อธิการบดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
“สถาปตยกรรมพื้นถิ่น” หรือ “สิ่งกอสรางพื้นถิ่น” เปนผลงานสรรสราง ที่สําคัญของมวลมนุษยชาติ เนื่องจากกอตัวขึ้นภายใตสภาพแวดลอมและบริบท ที่เปนภาวะจํากัดนานัปการ ทําใหสถาปตยกรรมพื้นถิ่นในแตละภูมิภาคมีความ แตกตางกัน และเปนสิ่งที่สะทอนใหเห็นถึงภูมิปญญาในการสรางสรรคที่อยูอาศัย อันอุดมไปดวยสรรพองคความรูนานา อาทิ สภาพภูมิศาสตร นิเวศวิทยาวัฒนธรรม วัสดุกอสราง ตลอดจนมิติทางวัฒนธรรมทั้งศาสนา คติความเชื่อ ประเพณี ฯลฯ ทวาภาวการณปจจุบันที่ความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี สภาพสังคม และเศรษฐกิจไดสรางความเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว จนทําใหภูมิความรูของสังคม ในเรื่องสถาปตยกรรม และสภาพแวดลอมพื้นถิ่นไดรับผลกระทบ จนอยูในภาวะ วิกฤติที่อาจทําใหภูมิปญญาที่มีคาตองลมสลายลง ซึ่งหากเปนเชนนั้นยอมสงผล ตอความมั่นคงของอนาคตของมนุษยชาติทั้งปวง ในโอกาสนี้ ขอแสดงความชื่นชมตอการเคหะแหงชาติ ที่ดําเนินพันธกิจที่ สําคัญดานที่อยูอาศัยของประชาชนมาอยางยาวนาน และมีวิสัยทัศนที่เล็งเห็น ประโยชนของประเทศชาติในการรักษาองคความรูทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ ทีอ่ ยูอ าศัยของทองถิน่ อันเปนมรดกทางวัฒนธรรมทีส่ าํ คัญของชาติดว ยมุง เปาหมาย สูการพัฒนาอยางยั่งยืน ขอชื่นชมคณะผูวิจัยจากสถาบันการศึกษาตางๆ ที่ไดศึกษาวิจัยรวบรวม องคความรูเกี่ยวกับสถาปตยกรรมพื้นถิ่น และสภาพแวดลอมทางวัฒนธรรม และ วิถีชีวิตของผูคนในหลากมิติ ตลอดจนพัฒนาเปนสื่อสารสนเทศตางๆ ที่จะนําไปสู การสื่อสารกับนิสิตนักศึกษาและประชาชนผูที่สนใจทั่วไป ใหเกิดความตระหนักรูใน คุณคาของมรดกทางวัฒนธรรมที่อยูอาศัย อันจะนําพาสังคมไปสูสังคมแหงการ เรียนรูการพัฒนาอยางยั่งยืนบนรากฐานของการพึ่งพาตนเองไดอยางยั่งยืนตอไป
ผูชวยศาสตราจารย ชัยชาญ ถาวรเวช อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 9
8 9
9/6/2558 1:14:50
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 10
9/6/2558 1:14:50
คํานิยม “สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย 4 ภาค” เปนหนังสือที่รวบรวมผลงาน วิจัย ภายใต “โครงการศึกษาวิจัยเพื่อการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการ อยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น” ซึ่งการเคหะแหงชาติไดใหทุนสนับสนุนสถาบัน การศึกษาทั้ง 4 สถาบัน คือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน และมหาวิทยาลัยศิลปากร ดวยเห็นความ สําคัญในภูมิปญญาของบรรพบุรุษที่สรางมรดกทางวัฒนธรรม “เรือนพื้นถิ่น” ไวให ลูกหลานไดอยูอาศัยสืบมาจนถึงปจจุบัน วัตถุประสงคของโครงการศึกษาวิจัย เพื่อสํารวจ และเก็บขอมูลที่อยูอาศัย และวิถีชีวิตการอยูอาศัยที่ใชภูมิปญญาทองถิ่นในการดํารงชีวิตที่กลมกลืนกับสภาพ แวดลอม และนําขอมูลมาจัดทําเปนสื่อเพื่อเผยแพรใหแกสาธารณชนใหไดเรียนรู ผลงานของทัง้ 4 ทีมวิจยั สามารถดําเนินการไดอยางครบถวนสมบูรณแบบ มีขนั้ ตอน การดําเนินงานที่ชัดเจน ดวยความมานะพากเพียรของทีมงาน การใสใจรายละเอียด ในทุกมิติ ทําใหผลงานดังกลาวสะทอนใหเห็นถึงคุณคามรดกทางวัฒนธรรมในทุก มิติของที่อยูอาศัยและการอยูอาศัยที่สอดคลองกับสภาพแวดลอมในแตละพื้นที่มี ประโยชนสําหรับนักศึกษา นักวิชาการ และคนทั่วไปที่สนใจเรื่องสถาปตยกรรม เรือนพื้นถิ่นอยางมาก และยังเปนบทเรียนที่สามารถนํามาประยุกตใชไดอยางดียิ่ง เพื่อใหเกิดการธํารงรักษาอัตลักษณของทองถิ่นไวใหยั่งยืนตอไป ดิฉันขอแสดงความชื่นชมยินดีกับ อาจารยสืบพงศ จรรยสืบศรี ผศ.ดร. นพดล ตั้งสกุล ผศ.ดร.วันดี พินิจวรสิน ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ และคณะผูวิจัยทุกทาน ที่ไดทุมเทสรางผลงานที่มีคาในครั้งนี้ โอกาสนี้ ขออํานาจคุณพระศรีรัตนตรัย และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทานเคารพนับถือโปรดประทานพร ใหทุกๆทาน และครอบครัวประสบ แตความสุขความเจริญตลอดไป นางสาว สมดี เบ็ญจชัยพร
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 11
10 11
9/6/2558 1:14:50
บทบรรณาธิการ “หนังสือสถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค” เปนหนังสือรวมบท ความวิจัยอันเปนสวนหนึ่งของการวิจัยในชุดโครงการ “วิจัยเพื่อจัดการความรูเรื่อง ที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น” ที่การเคหะแหงชาติ โดย ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย ไดมอบหมายใหสถาบันการศึกษาตางๆ จํานวน ๔ สถาบัน คือ คณะศิลปกรรมและสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลลานนา, คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน, คณะ สถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร และคณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร และไดผลิตผลงานวิจัยจํานวน ๔ โครงการ ซึ่งนอกจาก การจัดทํารายงานวิจัยฉบับสมบูรณ รายงานสรุปผูบริหาร ทั้งภาษาไทย และภาษา อังกฤษแลว ทุกๆโครงการยังไดผลิตสื่อสารสนเทศประเภทตางๆ คือ ภาพยนตสั้น, โปสเตอร, เว็บไซต เพื่อการเผยแพรองคความรูทางวิชาการ และขอคนพบของ โครงการวิจัยดังกลาว อีกทั้งยังบริการวิชาการผานระบบสารสนเทศในเครือขายทาง สังคม (Social Network) และเพื่อใหการนําขอคนพบ และองคความรูเผยแพรสู วงวิชาการจึงไดจัดกิจกรรมประชุมวิชาการ และนิทรรศการ ระดับชาติ “การจัดการ ความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมปิ ญญาทองถิ่น: สถาปตยกรรม พื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค” ซึ่งไดจัดทําหนังสือรวมบทความวิจัย “สถาปตยกรรม พื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค” เพื่อเผยแพรทั้งในรูปแบบของ “หนังสือ” และ “หนังสือ อิเล็กทรอนิกส (E-Book)” เพือ่ ใหสามารถเผยแพรผลงานวิชาการออกไปสูส าธารณะ ไดอยางกวางขวาง และนอกจากนี้ ยังจัดนิทรรศการระดับชาติเพื่อแสดงผลงานวิจัย สรางสรรคที่คัดเลือกผลงานวิจัยมานําเสนอในรูปแบบของ “ผลงานสรางสรรค” และเผยแพรผลงานในหนังสือสูจบิ ตั รนิทรรศการรูปแบบของ “หนังสืออิเล็กทรอนิกส (E-Book)” สําหรับบทความวิจัยที่ตีพิมพในหนังสือนี้ประกอบดวย ๔ โครงการ คือ บทความที่ ๑ “การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญา ทองถิ่น พื้นที่ภาคเหนือ” โดย อาจารย สืบพงศ จรรยสืบศรี, อาจารย อิศรา กันแตง, รองศาสตราจารย สุรพล มโนวงศ, อาจารย ธนิตพงษ พุทธวงศ จากคณะศิลปกรรม และสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ซึ่งมีพื้นที่ ศึกษาในแถบลุมแมนํ้าปงตอนลางในเขตจังหวัดเชียงใหม และลําพูน โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 12
9/6/2558 1:14:51
บทความที่ ๒ คือ “การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรณีศึกษาพื้นที่ลุมนํ้าเลย” โดยผูชวยศาสตราจารย ดร. นพดล ตั้งสกุล, ผูชวยศาสตราจารย ดร. ทรงยศ วีระ ทวีมาศ, อาจารย สุกัญญา พรหมนารท, ผูชวยศาสตราจารย อธิป อุทัยวัฒนานนท, และผูชวยศาสตราจารย กุลศรี ตั้งสกุล คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัย ขอนแกน ที่ทําการศึกษาในพื้นที่ลุมนํ้าเลย ในจังหวัดเลย บทความที่ ๓ คือ “การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคกลาง กรณีศึกษา เรือนไทยพื้นถิ่นเมืองเพชรบุรี” ผูชวยศาสตราจารย ดร. วันดี พินิจวรสิน, อาจารย จตุพล อังศุเวช และสุภางคกร พนมฤทธิ์ คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ซึ่งทําการศึกษา ในเขตอําเภอบานลาด จังหวัดเพชรบุรี บทความที่ ๔ คือ “การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคใต: เรือนแตแรกเมืองพัทลุง” โดยอาจารย ดร. เกรียงไกร เกิดศิริ, อาจารยอิสรชัย บูรณะอรรจน และอาจารยสกนธ มวงสุน ซึ่งทําการศึกษาในพื้นที่ลุมนํ้าทะเลสาบสงขลา ในเขตจังหวัดพัทลุง คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร ในฐานะเจาภาพในการ จัดกิจกรรมประชุมวิชาการ และนิทรรศการระดับชาติ ขอขอบพระคุณ การเคหะ แหงชาติ ที่สนับสนุนใหเกิดการวิจัย ขอบพระคุณหอศิลป มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่เอื้อเฟอสถานที่ในการจัดกิจกรรม และขอขอบพระคุณ นักวิจัยจากทุกสถาบัน มา ณ โอกาสนี้ กองบรรณาธิการ หนังสือสถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 13
12 13
9/6/2558 1:14:51
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 14
9/6/2558 1:14:51
สารบัญ บทความ
หนาที่
การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคเหนือ
17
การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรณีศึกษาพื้นที่ลุมนํ้าเลย
51
การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัย ผานภูมปิ ญ ญาทองถิน่ พืน้ ทีภ่ าคกลาง: กรณีศกึ ษา เรือน ไทยพื้นถิ่นเมืองเพชรบุรี
81
การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคใต: เรือนแตแรกเมือง พัทลุง
131
Download
หนั ง สื อ สถาป ต ยกรรมพื้ น ถิ่ น
ที่อยูอาศัย ๔ ภ าค สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 15
14 15
9/6/2558 1:14:51
โปสเตอร: สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยภาคเหนือ
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 16
9/6/2558 1:14:51
การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น
พื้นที่ภาคเหนือ
1
อาจารย สืบพงศ จรรยสืบศรี อาจารย อิศรา กันแตง รองศาสตราจารย สุรพล มโนวงศ อาจารย ธนิตพงษ พุทธวงศ
คณะศิลปกรรมและสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา
บทคัดยอ
งานวิจัยนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการเคหะแหงชาติไดตระหนักถึงความสําคัญที่ ตองสํารวจศึกษาเก็บรวบรวมองคความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยที่เปน ภูมิปญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษมาจัดเก็บในฐานขอมูลและผลิตสื่อสารสนเทศใน รูปแบบตางๆ เผยแพรใหสาธารณชนไดเรียนรูและนําไปพัฒนาตอยอดเพื่อสืบสาน ภูมิปญญาใหคงอยูตอไป การดําเนินงานวิจัยใชแนวทางจากโครงการนํารองที่ดําเนิน การไปแลวคือ โครงการศึกษารูปแบบและวิธีการจัดทําชุดองคความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัย กรณีศึกษา อําเภอแมแจม จังหวัดเชียงใหม โดยศึกษาสํารวจรัง วัด เก็บขอมูลเพื่อจัดการความรูจากเรือนพื้นถิ่นแบบประเพณีดั้งเดิมจํานวน 18 หลัง จาก 15 ชุมชนใน 10 อําเภอของจังหวัดเชียงใหมและจังหวัดลําพูน ผลการศึกษา
บทความวิจัยสรุปผลโครงการวิจัย อาจารยสืบพงศ จรรยสืบศรี และคณะ. โครงการ ศึกษาวิจัยเพื่อจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคเหนือ. สนับสนุนทุนวิจัยโดย การเคหะแหงชาติ ประจําป พ.ศ. 2556.
1
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 17
16 17
9/6/2558 1:14:52
พบวาดานการตั้งถิ่นฐาน มีปจจัย 4 ดานที่ทําใหเกิดลักษณะเฉพาะของพื้นที่ ไดแก ปจจัยดานการเมืองการปกครอง ปจจัยดานกายภาพ ปจจัยดานสังคม และปจจัย ดานเศรษฐกิจ สวนดานรูปแบบเรือน พบเรือน 4 ประเภท ไดแก เฮือนบะเกาจั่วแฝด เฮือนบะเกาจั่วเดี่ยว เฮือนสมัยกลาง และเฮือนกาแล โดยเรือนสวนใหญถึงรอยละ 72 เปนเฮือนบะเกาจั่วแฝด และพบเฮือนกาแลซึ่งเปนเอกลักษณเฮือนลานนาที่สําคัญ เพียงหลังเดียว องคประกอบในบริเวณบาน และองคประกอบทางสถาปตยกรรมของ เรือนที่สํารวจยังคงมีหลงเหลือใหเห็นและบางอยางยังคงใชงานอยูในชีวิตประจําวัน หลายอยาง แตพบการเปลี่ยนแปลงบางตามวิถชี ีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ผลการจัดการความรู ไดจัดทําสื่อสารสนเทศใน 4 รูปแบบ ไดแก สื่อสิ่งพิมพ ประเภทโปสเตอรขนาด 24”x 36” จํานวน 20 แผน เพื่อใชสําหรับการนําเสนอขอมูล องคความรูที่เปนรายละเอียดของชุมชนในพื้นที่โครงการในภาพรวม วิถีการอยูอาศัย และเรือนไมในแตละหลัง ใชสําหรับการจัดแสดงหรือติดแสดง การจัดนิทรรศการเพื่อ การเผยแพร สื่อวีดิทัศน จํานวน 3 เรื่อง เพื่อการนําเสนอขอมูลที่เปนภาพเคลื่อนไหว ประกอบเสียงบรรยาย สื่อเว็บไซต จํานวน 1 เว็บไซต เพื่อการจัดเก็บรวบรวม องคความรูขอมูลรายละเอียดทั้งหมดของโครงการ และนําเสนอรายละเอียดของ องคความรูทั้งหมด ประกอบดวยภาพถาย, ภาพกราฟฟก, ตัวหนังสือบรรยาย, ภาพ เคลื่อนไหวพรอมเสียงบรรยาย รวมถึงภาพเคลื่อนไหวที่เปนภาพ 3 มิติ และเชื่อมโยง เขากับระบบฐานขอมูลสารสนเทศขององคกร สะดวกตอการสืบคนขอมูล และสื่อ หนังสืออิเล็กทรอนิกส จํานวน 1 เลม นําเสนอขอมูลอยางละเอียดของขอมูลทั้งหมด เพื่อการจัดแสดงทั้งในระบบออนไลนผานระบบอินเทอรเน็ต เเและการจัดแสดงใน หองนิทรรศการ คําสําคัญ
- เรือนพื้นถิ่น (vernacular house) - ภาคเหนือ (northern region) - การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย (knowledge management)
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 18
9/6/2558 1:14:52
ความเปนมาและความสําคัญของปญหา
การเคหะแหงชาติ โดยฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย ไดตระหนักถึงคุณคา ของภูมิปญญาทองถิ่นของบรรพบุรุษดานการสรางที่อยูอาศัย อันเปนหนึ่งในปจจัยสี่ ที่มีความจําเปนตอการดํารงชีวิตของมนุษย และเปนปจจัยสําคัญที่กอใหเกิดเปน สถาปตยกรรมทีส่ ะทอนความเปนเอกลักษณของพืน้ ที่ ตลอดจนบงบอกถึงวิวฒ ั นาการ ของรูปแบบที่อยูอาศัย และวัสดุที่ใชในการกอสรางเรือนที่แตกตางกันตามยุคสมัย ตามสภาพพื้นที่และวัฒนธรรม ที่ไดสรางสรรคใหสวยงาม มีความสอดคลองกลมกลืน กับธรรมชาติ มีความเปนอยูที่พอเพียง ใชทรัพยากรอยางประหยัด เปนองคความรู ที่มีคุณคาทั้งดานศิลปวัฒนธรรม และเอกลักษณที่หลากหลายกําลังถูกผลกระทบ จากความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี สภาพเศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีการกอสรางทีพ่ ฒ ั นาไปใชวสั ดุกอ สรางในระบบอุตสาหกรรม ทําใหสามารถ กอสรางทีอ่ ยูอ าศัยในรูปแบบเดียวกันจํานวนมากในเวลารวดเร็ว เกิดปญหาดานรูปแบบ และเอกลักษณของทีอ่ ยูอ าศัยทีเ่ ปลีย่ นแปลงไป จึงเห็นความจําเปนตองศึกษาวิจยั เพือ่ รวบรวมองคความรูร ปู แบบทีอ่ ยูอ าศัยและวิถกี ารอยูอ าศัยของคนไทย มาจัดการความรู ประมวลเปนชุดองคความรูแ ลวผลิตเปนสือ่ ในรูปแบบตางๆเผยแพรใหสาธารณชนได เรียนรู และนําไปพัฒนาตอยอดเพื่อสืบสานภูมิปญญาใหคงอยูคูกับประเทศไทย ตลอดไป และไดจัดทําโครงการศึกษาวิจัยเพื่อจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถี การอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น โดยมอบใหคณะศิลปกรรมและสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ดําเนินการวิจัยในพื้นที่ภาคเหนือ วัตถุประสงคของการวิจัย
- เพื่อสํารวจเก็บขอมูลที่อยูอาศัย และวิถีชีวิตการอยูอาศัยในทุกมิติ - เพือ่ จัดการความรูเ รือ่ งทีอ่ ยูอ าศัย และวิถกี ารอยูอ าศัยดานมรดกภูมปิ ญ ญา ทองถิ่นในมิติของชาติพันธุ การตั้งถิ่นฐาน สถาปตยกรรม ศิลปวัฒนธรรม โดยสราง สรรคสื่อเปนชุดองคความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีชีวิตการอยูอาศัยดานภูมิปญญา ทองถิ่นอยางเปนรูปธรรม - เพื่อสํารวจ และจัดเก็บขอมูลที่อยูอาศัยตําแหนงตางๆในทางแผนที่ เปน ชั้นขอมูลภูมิสารสนเทศของที่อยูอาศัยและองคประกอบอื่นที่เกี่ยวของ - เพื่อเปนสวนหนึ่งของการเรียนการสอน การทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 19
18 19
9/6/2558 1:14:52
การสรางจิตสํานึกในการหวงแหนศิลปวัฒนธรรมของทองถิ่นใหแกนักศึกษา ชุมชน หนวยงานทองถิ่น ตลอดจนการสรางเครือขายการทํางานดานการวิจัย การทํานุบํารุง ศิลปวัฒนธรรม ขอบเขตของการศึกษา
ขอบเขตดานเนื้อหา - เนื้อหาดานสถาปตยกรรม ทําการศึกษา สํารวจ รูปแบบที่อยูอาศัย และ วิถีการอยูอาศัยบริเวณพื้นที่โครงการ จํานวนไมนอยกวา 15 หลังในทุกมิติ วิเคราะห และประมวลขอมูลเปนชุดองคความรูเรื่องรูปแบบที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยซึ่ง สะทอนคุณคาทางศิลปวัฒนธรรม เอกลักษณและภูมิปญญาทองถิ่น และคัดเลือก บานที่มีรูปแบบสวยงาม สมบูรณ และโดดเดนในเอกลักษณและภูมิปญญาทองถิ่น จัดทําเปนรูปแบบ 3 มิติ เพื่อการจัดเก็บขอมูลและจัดทําเปนสื่อองคความรูฯ จํานวน 5 หลัง - เนื้อหาดานสื่อสารสนเทศ สังเคราะหองคความรูที่ไดเพื่อพัฒนาสื่อสาร สนเทศสําหรับการเรียนรูเกี่ยวกับรูปแบบที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัย จัดทําเปน ฐานขอมูลและสื่อประสมในรูปแบบตางๆ ที่มีทั้งขอมูลที่เปนขอความตัวอักษร ภาพ ถายภาพเคลื่อนไหวและเสียงบรรยาย ภาพกราฟฟก 2 มิติ และ 3 มิติ เพื่อการนําไป เผยแพรในลักษณะแบบออนไลนที่มีความสะดวกตอการสืบคน และมีขอดีสําหรับ การมีปฏิสัมพันธกับผูใชในการนําเขาขอมูลใหมหรือการแกไขปรับปรุงขอมูลเดิมให มีความทันสมัย โดยใชเทคโนโลยีที่เหมาะสมในลักษณะรวมสมัย - เนื้อหาดานขอมูลสารสนเทศ ศึกษา สํารวจ และจัดเก็บขอมูลที่อยูอาศัย เพื่อการจัดเก็บลงระบบฐานขอมูลสารสนเทศ ดังตอไปนี้ 1. ขอมูลพื้นฐานบาน ประกอบดวย ชื่อเรือน ที่ตั้ง พิกัด รูปแบบ เรือน ปที่สราง ระยะเวลาการกอสราง ชื่อสลา แรงงาน คาใชจาย ประวัติการ ซอมแซม/ตอเติม และเอกลักษณหรือจุดเดน 2. ขอมูลสมาชิกในครัวเรือน ประกอบดวย ชื่อ-นามสกุล เพศ อายุ อาชีพ และทําเนียบเจาของบาน 3. ขอมูลวัสดุกอสราง ประกอบดวย หลังคา โครงสรางหลังคา โครงสรางผนัง คาน/ตง/พื้น เสา และฐานราก ฯลฯ
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 20
9/6/2558 1:14:52
4. ขอมูลองคประกอบผังบริเวณบาน ประกอบดวย ตัวเรือน หลองขาว ครัวไฟ หองนํ้า บอนํ้า คอกสัตว และตูบผี ฯลฯ - เนื้อหาดานขอมูลภูมิสารสนเทศ ศึกษา สํารวจ หาขอมูล จัดทําและจัด เก็บขอมูลภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดเก็บลงในระบบสารสนเทศ ดังตอไปนี้ ขอบเขต การปกครองประกอบดวย จังหวัด อําเภอ ตําบลเสนทางคมนาคมเสนทางนํ้า แหลงนํ้า (กรณีมีขอมูลจากหนวยงานที่เกี่ยวของ) ขอบเขตของพื้นที่ศึกษาตําแหนงที่ตั้งของ อาคาร ที่อยูอาศัย และสถานที่สําคัญในพื้นที่ศึกษา ขอบเขตพื้นที่ศึกษา พื้นที่แถบอําเภอทางใตของจังหวัดเชียงใหม กลุม อ.หางดง อ.สันปาตอง อ.ดอยหลอ อ.จอมทอง อ.ฮอด ยกเวน อ.อมกอย และ อ.ดอยเตา เนื่องจากการสํารวจ เบื้องตนพบวา 2 อําเภอนี้ ไมปรากฏที่อยูอาศัยแบบประเพณีลานนาประเภทเรือนไม ซึ่งเปนขอบเขตการศึกษาของโครงการนี้ และพื้นที่แถบอําเภอทางตะวันตกของ จังหวัดลําพูน กลุม อ.เมืองฯ (นอกเขตเมืองดานใต) อ.ปาซาง อ.เวียงหนองลอง อ.บานโฮง และ อ.ลี้ ดังแสดงในภาพที่ 1
ภาพที่ 1: แผนที่แสดงพื้นที่ศึกษาเก็บขอมูล จังหวัดเชียงใหม และลําพูน
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 21
20 21
9/6/2558 1:14:52
ผลผลิตของโครงการ
- รายงานฉบับสมบูรณ เปนเอกสารแสดงขอมูลที่ทําการศึกษา จัดเก็บ ในพืน้ ทีโ่ ครงการ บทสรุป และขอเสนอแนะสําหรับการพัฒนาตอยอดงานวิจยั ในระยะ ตอไป - สื่อสารสนเทศแบบออนไลน เพื่อการเผยแพรตอสาธารณะ - ขอมูลสารสนเทศ และภูมิสารสนเทศ เพื่อการจัดเก็บขอมูลลงระบบฐาน ขอมูลดานที่อยูอาศัยของการเคหะแหงชาติตอไป
กระบวนการศึกษาและระยะเวลาทําการวิจัย
ในการศึกษาวิจัยนี้ ใชกระบวนการศึกษาการตามแบบโครงการศึกษาที่ได ดําเนินการเปนตนแบบไวแลว มุงเนนการเก็บขอมูลทุกมิติมาจัดการความรู ดวยสื่อ หลายชนิดสําหรับการเผยแพร และเตรียมจัดเก็บขอมูลในระบบฐานขอมูลที่ไดออก แบบสรางขึ้นไวแลว ดังแสดงในแผนภูมิ (ดูภาพที่ 2)
ภาพที่ 2: กระบวนการศึกษาเพื่อจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 22
9/6/2558 1:14:52
ประโยชนที่ไดรับจากโครงการ
- ไดขอมูลความรูดานรูปแบบที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยของคนไทยซึ่ง รวบรวมศิลปวัฒนธรรม สถาปตยกรรม และเอกลักษณของชาติที่ใชภูมิปญญาทองถิ่น - ไดขอมูลสารสนเทศและภูมิสารสนเทศรูปแบบที่อยูอาศัย และวิถีการอยู อาศัยของคนไทย เพื่อประโยชนในการใชตอยอดองคความรูในการวิจัยตอไป - ไดสื่อสําหรับเผยแพรความรูรูปแบบที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยของ คนไทยใหแกหนวยงาน สถาบันการศึกษา นักเรียนนักศึกษา และผูสนใจทั่วไป - ไดแนวทางในการเผยแพรองคความรู โดยใชเครือขายเชื่อมตอกับพื้นที่ ที่เปนแหลงเรียนรู
ขอมูลทั่วไปของพื้นที่ศึกษา
พื้นที่ศึกษา ไดแก พื้นที่แถบอําเภอทางตอนใตของจังหวัดเชียงใหม และ แถบเขตอําเภอทางทิศตะวันตกของจังหวัดลําพูน หรือพื้นที่สองฝงลุมนํ้าแมปงชวงใต เมืองเชียงใหม และสองฟากฝงของลุมนํ้าลี้ อันประกอบดวย อ.หางดง อ.สันปาตอง อ.ดอยหลอ อ.จอมทอง และอ.ฮอด ในเขต จ.เชียงใหม อ.เมืองลําพูนตอนใต อ.ปาซาง อ.เวียงหนองลอง อ.บานโฮง และอ.ลี้ ในเขต จ. ลําพูน รวม 10 อําเภอ ซึ่งพื้นที่ศึกษา ที่ครอบคลุมใน 2 จังหวัด มีพื้นที่รวมกันมากกวา 5,500 ตร.กม. และมีประชากรรวม กันมากกวา 443,000 คน โดยมี อ.ฮอด ใน จ.เชียงใหม และ อ.ลี้ ใน จ.ลําพูน เปน อําเภอที่มีพื้นที่มากที่สุด แตพื้นที่สวนใหญเปนพื้นที่ภูเขาสูง
ผลการศึกษา : ชุมชน
ผลการศึกษาชุมชน พบวา ภูมิปญญาในการตั้งถิ่นฐานหมูบานและเมืองใน พื้นที่แองเชียงใหม-ลําพูน ตอนลางนั้น มีความสัมพันธกับปจจัยดานตางๆ จนเกิดเปน ลักษณะเฉพาะ ดังนี้ - ปจจัยดานการเมืองการปกครอง ภาพปรากฏของหมูบาน และเมืองในพื้นที่แองเชียงใหม-ลําพูน ตอนลาง ในปจจุบันสืบยอนไปไดไกลถึงสมัย 200 กวาป ที่พญากาวิละชนะศึกพมาและได รวบรวมผูคนจากดินแดนใกลเคียง มาตั้งหมูบาน และเมืองขึ้นใหมแทนของเดิมที่ถูก ทิ้งรางไป ผูคนหลากหลายชาติพันธุ อันไดแก “ลัวะ” ซึ่งเปนชนพื้นเมืองที่อยูอาศัย ในพื้นที่มาแตเดิม “ไตยวน” หรือที่เรียกกันวา “คนเมือง” “ไตลื้อ” ที่มีถิ่นฐานดั้งเดิม สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค
4
.indd 23
22 23
9/6/2558 1:14:52
อยูที่แควนสิบสองปนนา “ไตเขิน” ที่มีถิ่นฐานเดิมอยูที่เชียงตุง “ไตยอง” ที่มีถิ่นฐาน ดั้งเดิมอยูที่เมืองยอง “ไตใหญ” หรือ “เงี้ยว” จากรัฐฉาน ผูคนเหลานี้ ไดถูกจัด แบงใหอยูตามพื้นที่ตางๆ ถาเปนระดับเจานาย ชางฝมือก็ใหอยูในพื้นที่เมืองหรือใกล เมือง ถาเปนระดับชาวบาน ก็ใหออกไปตั้งหมูบานทามกลางพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่ง มักตั้งถิ่นฐานอยูรวมกันเปนกลุม ตามหมูบานหรือเมืองเดิมที่ถูกเทครัวมา โดยนํา ภูมิปญญาและคติความเชื่อจากถิ่นเดิม มาปรับใชในสภาพแวดลอมใหม - ปจจัยดานกายภาพ สภาพภูมิประเทศของหมูบานและเมืองในพื้นที่แองเชียงใหม-ลําพูนตอน ลางนั้นมีที่ราบลุมแมนํ้าที่กวางใหญ และอุดมสมบูรณกวาพื้นที่ตอนบนของแอง และ มักเลือกตั้งถิ่นฐานอยูบนพื้นที่ที่มีลักษณะเปน “สัน” อยูริมแมนํ้าปง แมนํ้ากวง และ แมนํ้าสาขาตางๆ ขนาดชุมชนจะสัมพันธกับขนาดของพื้นที่ ถาเปนที่สันตอเนื่องกัน เปนผืนใหญก็จะมีหลายหมูบานและรวมกันขึ้นเปนเมือง แตถาที่สันนั้นขนาดเล็กก็จะ เปนเพียงหมูบานสลับกับทุงนาแลวจึงเปนหมูบานอื่นๆ เรียงตอกันไปเปนแนวยาว ดวยพื้นที่สันนั้นเกิดจากการทับถมของดินตะกอนบริเวณริมแมนํ้า เมื่อนํ้าหลากทวม จนกลายเปนเนินดินที่นํ้าทวมไมถึง เหมาะแกการตั้งถิ่นฐานในวิถีชีวิตแบบสังคม เกษตรกรรมซึ่งมีถึงรอยละ 80 ของพื้นที่ รูปแบบการตั้งถิ่นฐานของบานสัน แบงออก เปน 2 ลักษณะ ไดแก “บานสันแบบเกาะกลุม (Cluster)” และ “บานสันแบบเกาะ ตัวเปนแนวยาว (Linear)” มีเพียงรอยละ 20 ของพื้นที่ที่เปนบานเชิงดอยที่ตั้งอยู บริเวณขอบของที่ราบ เพื่อรักษาที่ราบลุมแมนํ้าที่มอี ยูจํากัดนั้นไวทํานา หมูบานและ เมืองประเภทนี้สวนใหญอยูในบริเวณหุบเขาทางตอนลางสุดของแอง เชน เมืองฮอด เมืองลี้ มีรูปแบบการตั้งถิ่นฐานของบานเชิงดอยแบงออกเปน 2 ลักษณะ ไดแก “บาน เชิงดอยแบบเกาะกลุม (Cluster)” และ “บานเชิงดอยแบบเกาะตัวเปนแนวยาว (Linear)” - องคประกอบหมูบาน ประกอบดวย “บานหลวง” หรือ “บานเกา” เปนหมูบานที่ตั้งอยูใจกลาง เปนทั้งนามธรรมและรูปธรรมในพื้นที่ โดยจัดวางใหบานหลวงอยูในตําแหนงที่สําคัญ ที่สุด บานหลวงจะตั้งอยูบนขอบที่ราบของ “ทุงหลวง” ซึ่งอยูสูงกวาระดับนํ้าทวมถึง
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 24
9/6/2558 1:14:52
และอยูใ กลกบั “เหมืองหลวง” บานหลวงเปนหมูบ า นแรกๆทีก่ อ ตัง้ ขึน้ กอนหมูบ า นอืน่ จึงมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจเปนหลักที่พึ่งพาของลูกหลานซึ่งขยายออกไปตั้งบาน เรือนในหมูบานใหมๆ นอกจากนี้ บานหลวงยังมีวัดหลวง ชางฝมือ หมอพื้นบาน ฯลฯ สําหรับ “ทุงหลวง” นั้นหมายถึงทุงที่ใหญที่สุดของหมูบานหรือเมือง ใหผลผลิต จํานวนมากหลอเลี้ยงผูคน นอกจากนี้ องคประกอบของหมูบานยังประกอบดวย “ฝายหลวง” และ “เหมืองหลวง” ซึ่งหมายถึง ระบบการจัดการนํ้าของชาวลานนา เพือ่ นํานํา้ จากตนนํา้ ไปหลอเลีย้ งไรนา โดยมีฝายทําหนาทีเ่ ปนตัวกัน้ ลํานํา้ เพือ่ ยกระดับ นํ้าเหนือฝายใหสูงขึ้นและจายนํ้าเขาไปยังเหมืองซึ่งทําหนาที่เปนคลองลําเลียงนํ้า ซึ่ง ตองอาศัยภูมิปญญาในการจัดการและความรวมมือกันภายในชุมชน นอกจากนี้ ยังมี “ดอยหลวง” ซึ่งหมายถึง ภูเขาลูกสําคัญที่เปนฉากหลัง ของหมูบานและเมือง โดยดอยทําหนาที่เปนภูเขาแหงความศักดิ์สิทธิ์ และมักเปนที่ตั้ง ของ “วัดพระธาตุ” และ “วัดพระบาท” มีตํานานเลาเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของดอย ผูกโยงเขากับตํานานพระเจาเลียบโลก เมืองในความเขาใจของชุมชนมักมีเขตแดนทาง ภูมิศาสตร คือ พื้นที่ในหุบที่ลอมรอบดวยภูเขาและกั้นอาณาเขตไว ทําใหเกิด “พื้นที่” ในมโนสํานึกวาพวกตนอยูแยกตางหากจากอีกพวกหนึ่ง บางทีเรียกดอยที่กั้นอยูนี้วา “ดอยแดน” สําหรับ “ใจเมือง” หรือ “เสาหลักเมือง” มีอยูทุกเมืองในแองเชียงใหม และลําพูน เชน “เสาอินทขิล” ซึ่งเปนเสาใจเมืองเชียงใหม ในหลายพื้นที่ที่ชุมชน ขยายตัวมากขึ้น หรือมีความหลากหลายของชาติพันธุที่เขามาใชพื้นที่ทางภูมิศาสตร ที่ซับซอนมากขึ้น ใจเมืองชวยเชื่อมโยงใหหลากหลายกลุมชาติพันธุเขามาอยูภายใต “กฎเกณฑอันศักดิ์สิทธิ์” รวมกัน นอกจากนี้ในระดับชุมชนยังมี “ใจบาน” ซึ่งมี ลักษณะ และมีหนาที่เชนเดียวกับใจเมือง แตเปนศูนยรวมจิตใจในระดับหมูบาน สําหรับ “หอเสื้อเมือง” หรือ “ผีควบเมือง” คือ ผีวีรบุรุษประจําเมือง เรียกวา “เสื้อเมือง” เกิดเมื่อชุมชนไดพัฒนาจากหมูบานเขาสูความเปนเมืองแบบรัฐเจาฟา กลาวคือ เสื้อเมืองจะถูกอัญเชิญใหมาอยู ณ หอผีที่ดงหรือที่ดอนประจําเมือง ที่ถือวา เปน “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์” หรือ “ที่หนาหมู” (ที่สาธารณะ) ทําหนาที่เปนศูนยรวมพลัง ทางจิตใจของผูคนในเมือง “หอเสื้อบาน” มีลักษณะและหนาที่เชนเดียวกับหอเสื้อเมือง แตเปนศูนย รวมจิตใจในระดับหมูบาน
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 25
24 25
9/6/2558 1:14:52
“วัด” วัดสําคัญระดับเมืองของแองเมืองเชียงใหม-ลําพูน ในพื้นที่ศึกษา คือ วัดจอมทอง วัดลี้หลวง วัดบานโฮงหลวง วัดพระบาทตากผา นอกนั้น เปนวัดประจํา หมูบาน เชน วัดพระเจาเหลื่อม วัดหัวริน วัดปาลาน วัดตนแหนหลวง วัดบานแม วัด หนองเตา วัดฉางขาวนอยใต เปนตน โดยมีผูคนในหมูบานรวมกันเปน “ศรัทธาวัด” หรือหากเปนหมูบานขนาดเล็กก็จะรวมกัน 2-3 หมูบานเปนศรัทธาวัดรวมกัน วัดมัก ใชชื่อเดียวกับชื่อหมูบานซึ่งเปนไปตามลักษณะภูมิประเทศ และลักษณะเดนที่สังเกต เห็นไดชัดเจน เชน วัดปาลาน-บานปาลาน (ปาตนลาน) วัดตนแหนหลวง-บานตน แหนหลวง (ตนแหน หรือตนสมอพิเภก) วัดหัวริน-บานหัวริน (ตนนํ้า) เปนตน “โบสถคริสตจักร” มีอยูทั่วไปตามหมูบานในแองเมืองเชียงใหม-ลําพูน การ นับถือศาสนาคริสตในลานนา เริ่มจากการเดินทางเขามาเผยแพรศาสนาคริสตของ ดร. แดเนียล แมคกิลวารี ตั้งแตป พ.ศ.2410 เปนตนมา “ที่วางสาธารณะประโยชน” ของเมืองและหมูบาน ที่สํารวจพบสวนใหญ คือ ทีว่ า งของวัด “ขวงวัด” วัดนอกจากจะถูกใชเปนพืน้ ทีป่ ระกอบพิธกี รรมทางศาสนาแลว ยังเปนพื้นที่สาธารณะที่สําคัญ สําหรับงานวัฒนธรรม ประเพณีตางๆอีกดวย “สุสาน” หรือ “ปาชา” มักตั้งอยูทายหมูบานในดงไมใหญเลยกลุมบานออก ไป เพื่อกรองฝุนควันและนิยมอยูใกลแมนํ้า ชาวลานนาไมเผาศพที่วัด บางหมูบานมี สุสานทั้งสองแบบสําหรับเผาศพหรือฝงศพตามความเชื่อของแตละชาติพันธุ หมูบาน ขนาดใหญจะมีปาชาของตนเอง เชน บานศรีเตี้ย บานฉางขาวนอยใต สวนหมูบาน ขนาดเล็กหลายหมูบานจะใชปาชารวมกันกัน “กาด” หรือ ตลาด มีหลายประเภท อาทิเชน “กาดกอม” หมายถึง ตลาด ขนาดเล็กใชเวลาชวงสั้นๆ ในการขาย แบงออกเปน 3 ประเภท คือ “กาดเชา” ขาย เฉพาะชวงเชาประมาณ ตี 5 – 8 โมงเชา “กาดแลง” ขายชวงบายประมาณ 3 โมง – 6 โมงเย็น และ “กาดยอย” ตั้งขายเฉพาะหนาบาน “ตลาดประจําโหลง” เปนตลาด ทีต่ งั้ อยูร ะหวางชุมชน หรือระหวางโหลงและเมืองตางๆ ทําหนาที่เปนตัวกลางรับซื้อ สินคาจากทองถิ่นเพื่อสงตอไปยังจังหวัด และซื้อของจากตลาดใหญในตัวจังหวัดมา “ขายยอย” หรือ “ขายปลีก” ใหแมคารายยอยจากหมูบาน “กาดนัด” สําคัญในแอง เชียงใหม-ลําพูนตอนลาง ไดแก กาดนัดทุง ฟาบด อ.สันปาตอง จ.เชียงใหม ติดตลาดใน เชาวันเสาร เดิมเปนกาดที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนวัว-ควาย แตปจจุบันกลายเปนตลาดนัด ขนาดใหญที่มีสินคาเพื่อการอุปโภค และบริโภคที่จําเปนตอชีวิตประจําวัน
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 26
9/6/2558 1:14:52
“สถานที่ราชการ” ตั้งอยูบริเวณศูนยกลางหมูบานหรือเมือง เชน สํานักงาน เทศบาล สถานีตํารวจ โรงเรียน สถานสงเสริมสุขภาพระดับตําบล เปนตน “พื้นที่เกษตรกรรม” เดิมชาวบานทํานาเปนหลัก และปลูกพืชหมุนเวียน เชน กระเทียม หอมแดง ทําสวนในพื้นที่รอบบาน เชน สวนหมาก มะพราว สมโอ ขนุน ฯลฯ ไวสําหรับกินในครอบครัวเหลือจึงนําออกขาย แตตอมาสวนใหญไดปรับ เปลี่ยนที่นาเปนสวนลําไย เนื่องจากมีราคาดี และดูแลไดงาย อีกทั้งยังขาดแรงงาน เพราะลูกหลานซึ่งเปนคนรุนใหมไมนิยมทําเกษตรกรรม - ปจจัยดานสังคม คติความเชื่อเรื่องผีและพุทธศาสนา เปนสิ่งสําคัญที่มีผลตอการจัดวางองค ประกอบทางกายภาพของหมูบานและเมือง คติความเชื่อเรื่องผีของคนลัวะและคนไต ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทําหนาที่ดูแล และปกปกรักษาหมูบานและเมืองใหรมเย็นเปนสุข อยูรอดปลอดภัย ในนามของ “เสื้อบาน” “เสื้อเมือง (ผีควบเมือง)” “ใจบาน” “ใจเมือง” เพื่อยึดโยงผูคนหลากหลายชาติพันธุใหอยูรวมกันได สวนคติความเชื่อ ในพุทธศาสนา ไดปรากฏวัดระดับหมูบาน วัดระดับเมือง รวมทั้งวัดสําคัญของแองที่ ผูค นจํานวนมากใหความเคารพนับถือ ความเชือ่ นีอ้ า งอิงไดจากตํานานพระเจาเลียบโลก ซึ่งกลาวถึงการเสด็จมาของพระพุทธเจาในดินแดนลานนา ที่ไดทรงประทาน พระธาตุ และรอยพระบาทไวตามหมูบานและเมืองสําคัญ ทําใหผูคนมีตัวตนรวมกัน มีสิ่ง ยึดเหนี่ยวจิตใจและศรัทธารวมกัน อันนํามาซึ่งความสงบสุขของคนในสังคม การ กําหนดตําแหนงของ “เสื้อบาน” และ “เสื้อเมือง” จะเลือกที่ตั้งในดงไมใหญ เพราะ เปนที่สถิตของเทวดาอารักษ สําหรับ “ใจบาน” และ “ใจเมือง” จะเลือกที่ตั้งบริเวณ ศูนยกลางหมูบาน หรือศูนยกลางเมือง สวนวัดประจําหมูบานจะเลือกตั้งบนที่เนิน ที่สะดวกแกการเขาถึง หรืออยูบริเวณ “หัวบาน” ซึ่งเปนมงคล โดยนิยมหันหนาวัดไป ทางทิศตะวันออก ถาเปนวัดประจําเมืองจะเลือกตั้งบนพื้นที่บริเวณบานหลวงของ เมืองนั้น สําหรับ “วัดพระธาตุ” หรือ “วัดพระบาท” มักเลือกที่ตั้งบริเวณ “บาน หลวง” หรือบริเวณ “ดอยหลวง” ซึ่งถือวาเปนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ บางหมูบ า น และบางเมืองยังคงรักษาคติความเชือ่ ในการกําหนด ตําแหนงของหมูบานและเมืองเรื่อง “หัวบาน-หัวเวียง” “หางบาน-หางเวียง” “ใจบาน ใจเมือง” “ประตูหมูบาน-ประตูเวียง” อีกดวย
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 27
26 27
9/6/2558 1:14:52
- ปจจัยดานเศรษฐกิจ วิถีชีวิตในสังคมเกษตรกรรม ที่มีระบบเศรษฐกิจแบบพอยังชีพ ทําใหผูคน สวนใหญมีชีวิตที่เรียบงายแบบสังคมชนบท ดวยการทํานาเพื่อใหมีขาวกินตลอดป ปลูกพืชผักสวนครัวและเก็บของปาเปนอาหาร มีสวนไมผลไวกินและขาย เลี้ยงไก หมู วัว ควาย ไวบริโภค ใชแรงานและขาย ทํางานหัตถกรรมไวใชงาน ซึ่งหมูบานและเมือง ในพื้นที่ไดถูกออกแบบเพื่อรองรับวิถีชีวิตในสังคมเกษตรกรรมอยางลงตัว สรุปไดวา รูปแบบการตั้งถิ่นฐานของหมูบานและเมืองในพื้นที่แองเชียงใหม -ลําพูนตอนลาง เปนผลจากปจจัยทั้ง 4 ดาน ดังนั้น ถาปจจัยดังกลาวเปลี่ยนแปลง ก็ จะมีผลถึงรูปแบบการตั้งถิ่นฐานดวยเชนกัน ผลการศึกษา: บาน และเรือน
คณะผูวิจัยไดเขาพื้นที่ทําการสํารวจเบื้องตนตามขอบเขตของการศึกษา ในชวงเดือนพฤศจิกายน 2555 ถึงมีนาคม 2556 ผลการสํารวจ ไดขอมูลเบื้องตน ประกอบดวยพิกัดที่ตั้ง ภาพถาย และขอมูลเบื้องตนของเจาของเรือน ทั้งนี้ เรือนไม แบบประเพณีที่ทําการสํารวจขอมูลเบื้องตนจํานวน 38 หลัง จาก 35 ชุมชน ใน 9 อําเภอ สวนใหญจะพบในชุมชนเกาที่ตั้งอยูในลุมแมนํ้าปง และแมนํ้าลี้ทั้งสองฝง แลวคัดเลือกเรือนไดจํานวน 18 หลัง เพื่อดําเนินการเก็บขอมูลรายละเอียด เพื่อ บันทึกลงฐานขอมูล จากนั้นจึงไดดําเนินการเขียนแบบสถาปตยกรรมทั้ง 2 มิติ และ 3 มิติ เพื่อนําไปจัดทําสื่อเผยแพรองคความรูตอไป ในการสํารวจพื้นที่เบื้องตนนั้น คณะผูวิจัยไดสํารวจอีก 2 อําเภอตอนใต ของเชียงใหม คือ อ.ดอยเตา และ อ.อมกอย เพื่อใหครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของพื้นที่ ตอนใตเชียงใหม แตไมพบวามีเรือนไมแบบประเพณีลานนา ซึ่งเปนขอบเขตการศึกษา ของโครงการนี้เลย พื้นที่บางสวนของบริเวณนี้ เปนชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานใหมเพื่อหนี นํ้าทวมจากการสรางเขื่อนภูมิพลในป พ.ศ.2507
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 28
9/6/2558 1:14:52
ภาพที่ 3: ที่ตั้งเรือนที่คัดเลือกเพื่อทําการศึกษา จํานวน 18 หลัง
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 29
28 29
9/6/2558 1:14:52
การคัดเลือกเรือนไมเพื่อที่ทําการสํารวจเก็บขอมูลรายละเอียดดังนี้
หลังที่ 1 รหัส CM-002-H01
หลังที่ 2 รหัส CM-002-S01
หลังที่ 3 รหัส CM-002-S02
หลังที่ 4 รหัส CM-002-S03
หลังที่ 5 รหัส CM-002-S04
หลังที่ 6 รหัส CM-002-D01
หลังที่ 7 รหัส CM-002-C01
หลังที่ 8 รหัส CM-002-C02
หลังที่ 9 รหัส CM-002-HT01
หลังที่ 10 รหัส CM-002-HT02 หลังที่ 11 รหัส CM-002-HT03 หลังที่ 12 รหัส LN-001-W01
หลังที่ 13 รหัส LN-002-M01 หลังที่ 14 รหัส LN-001-M02 หลังที่ 15 รหัส LN-001-P01 โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 30
9/6/2558 1:14:53
หลังที่ 16 รหัส LN-001-B01
หลังที่ 17 รหัส LN-001-B02
หลังที่ 18 รหัส LN-001-L01
ภาพที่ 4: ผลการคัดเลือกเรือนไมที่ทําการสํารวจและเก็บขอมูล
ทั้งนี้ การกําหนดรหัส ใหความหมายไวคือ จังหวัด – แหลงเรียนรู – เรือน ตัวอยางรหัสเรือน CM-001-S04 CM หมายถึง จังหวัดเชียงใหม, LN หมายถึง จังหวัดลําพูน 001, 002 หมายถึง แหลงเรียนรูแหลงที่ 1 หรือ 2 ของจังหวัดนั้นๆ S04 หมายถึง เรือนหลังที่ 4 ของอําเภอสันปาตอง H = อําเภอหางดง, S = อําเภอสันปาตอง, D = อําเภอดอยหลอ, C = อําเภอ จอมทอง, HT= อําเภอฮอด, W = อําเภอเวียงหนองลอง, M = อําเภอเมือง, P = อําเภอปาซาง, B = อําเภอบานโฮง, L = อําเภอลี้ โดยมีเกณฑการคัดเลือกสําหรับการสํารวจเขียนแบบ 2 มิติ ดังนี้ 1. การกระจายตัวทั่วถึงครอบคลุมพื้นที่เปาหมายโครงการ 2. มีแบบแผน รูปแบบ ลักษณะเดน เปนแบบประเพณีลานนา 3. เปนตัวแทนของชาติพันธุ ชุมชน อําเภอ และประเภทของเรือนแบบ ประเพณี 4. ไมถูกตอเติมหรือดัดแปลงจนทําใหเสียรูปเมื่อพิจารณาในองครวม 5. มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกรื้อถอนหรือพังทลาย ควรเก็บขอมูลอยางเรงดวน สวนเกณฑการคัดเลือกเพิ่มเติมสําหรับการเขียนแบบ 3 มิติ คือ 1. มีเอกลักษณโดดเดนดานใดดานหนึ่ง เชน ระบบโครงสราง รูปแบบ ประเพณี องคประกอบเรือน สามารถใชเปนแบบอยางสําหรับการศึกษาเรียนรู รายละเอียด 2. มีรูปทรงและสัดสวนสวยงาม ใชเปนแบบอยางในการศึกษาได สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 31
30 31
9/6/2558 1:14:53
การสํารวจรังวัดและเก็บขอมูลดานสถาปตยกรรม บานและเรือน ผังบาน ตัวเรือน และรายละเอียดองคประกอบทางสถาปตยกรรม ขอมูลทางสังคม เศรษฐกิจ การกอสรางซอมแซม สลา และรายละเอียดอื่นๆ ทําการสํารวจรังวัดโดยละเอียด ทั้งผังบาน ตัวเรือน และรายละเอียดองคประกอบทางสถาปตยกรรม ตลอดจนเก็บ ขอมูลดานตางๆ ประกอบดวย 1. ขอมูลที่ตั้ง ไดแก บานเลขที่ และพิกัดทางภูมิศาสตร 2. ขอมูลทางสังคม ไดแก เจาของเดิมหรือผูสราง เจาของปจจุบัน สมาชิก ในครอบครัว อายุ อาชีพ 3. ขอมูลการกอสราง ไดแก ปที่สราง ระยะเวลาที่ใชกอสราง สลา วิธีการ กอสราง วัสดุกอสราง และการซอมแซม 4. แบบทางสถาปตยกรรม ไดแก ผังบริเวณ ผังหลังคา ผังพื้น รูปดาน รูป ตัด แบบขยายประตูหนาตาง ชองลม ราวระเบียง ฯลฯ 5. องคประกอบอื่นในบาน ไดแก หลองขาว ครัวไฟ บอนํ้า ตูบไฟ หองนํ้า ฯลฯ 6. ขอมูลอื่นๆ เชน คติความเชื่อ เอกลักษณ ความเปนมา ฯลฯ มีรูปแบบการเก็บและบันทึกขอมูลสําหรับเรือนแตละหลัง ซึ่งประกอบดวย ตารางขอมูล ภาพถาย และแบบแปลนและรายละเอียด (ดูตัวอยางจากภาพที่ 5)
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 32
9/6/2558 1:14:53
ภาพที่ 5: รูปแบบการเก็บและบันทึกขอมูลสําหรับเรือนแตละหลัง สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 33
32 33
9/6/2558 1:14:54
ภาพที่ 5: (ตอ) รูปแบบการเก็บและบันทึกขอมูลสําหรับเรือนแตละหลัง
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 34
9/6/2558 1:14:54
แบบ 3 มิติ (รูป 3 มิติมีแสดงเฉพาะเรือนหลังที่คัดเลือกไวจํานวน 5 หลัง)
ภาพที่ 5: (ตอ) รูปแบบการเก็บและบันทึกขอมูลสําหรับเรือนแตละหลัง
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 35
34 35
9/6/2558 1:14:54
ผลการศึกษา: องคความรูเกี่ยวกับเรือน
เรือนที่คัดเลือกและสํารวจรังวัดเก็บขอมูลเพื่อศึกษาวิจัยในโครงการนี้ จํานวน 18 หลังนั้น สามารถนํามาวิเคราะหในประเด็นตางๆ เพื่อประมวลเปนขอมูล ในการจัดทําชุดองคความรูได ดังนี้ 1. อายุเรือน อายุเฉลี่ยของเรือนที่ทําการสํารวจ 58.9 ป อายุนอยที่สุด 45 ป มากที่สุด 87 ป 2. เจาของเรือนหรือผูครอบครอง พบวา เรือนที่เจาของเรือนไมที่ทําการ สํารวจ มีเจาของเรือนอยู 2 กลุม คือ - กลุมที่เปนเจาของเดิมเปนผูสรางเรือน และครอบครองมาจนถึง ปจจุบัน สวนใหญเปนผูสูงอายุ - กลุมที่เปนทายาทโดยตรงจากกลุมแรก สวนใหญเปนบรรพบุรุษ ของฝายหญิง เพราะประเพณีของลานนาเดิม การแตงงานจะเปนการแตงเขาบาน ฝายหญิง ผูชายจะเปนเขย ในเรือนที่สํารวจ ซึ่งเปนเรือนแบบประเพณีดั้งเดิม ไมพบเจาของที่เปนผูมา ซื้อเรือนพรอมที่ดินจากเจาของเดิมเพื่อยายถิ่นฐานมาอยูอาศัยในชุมชนเลย แตพบ การขายเรือนเพื่อรื้อยายออกไปจากที่ดินเดิม เพราะเจาของเรือนตองการปลูกเรือน ใหม 1 หลัง พบการขายเรือนเพราะไมใชแลว ไมมีคนอยูอาศัยแลว 1 หลัง และพบ การขายที่ดินใหคนกรุงเทพฯ 1 หลัง เปนการประสงคตอที่ดินริมนํ้าอันเปนที่ตั้งของ เรือนจึงไดเรือนติดไปดวย เปนการซื้อเพื่อเปนทรัพยสิน ไมใชเพื่อการอยูอาศัยเมื่อซื้อ แลวไมไดยายเขามาอยู และไมไดทําประโยชนกับที่ดินแปลงนั้น ปลอยเรือนใหผุพัง ไปตามกาลเวลา เปนเวลากวา 10 ปแลว 3. รูปแบบเรือน จากการศึกษาพบ รูปแบบทางสถาปตยกรรมของเรือน 4 รูปแบบ คือ - แบบที่ 1 เฮือนกาแล จํานวน 1 หลัง เฮือนกาแลเปนเรือนไมแบบประเพณีดั้งเดิมของลานนา เอกลักษณสําคัญ คือ ไมประดับยอดจั่วที่เรียกวา “กาแล” ลักษณะเปนเรือนไม ยกใตถุนสูง ทําเปน เรือนแฝด หันหนาเรือนไปทางใต หลังคาจั่วผสมปนหยา แตสวนที่เปนจั่วจะมีสัดสวน มากจนดูคลายเปนหลังคาจั่ว ทําเปนหลังคาแฝด ทําเรือนขวางขนาดเล็กคลุมครัวไฟ ดานหลัง และชานหนา สวนหลังคาคลุม บันไดทําเปนมุขยื่นออกมาตรงๆ จึงมีเสาสูง คูหนา 2 ตนวิ่งขึ้นไปหลังคาหนามุข โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 36
9/6/2558 1:14:55
ฝาเรือนดานขางผายออกดานนอก มีปลองหรือหนาตางขนาดเล็กบานเปดเดี่ยวตาม ตํารา ผสมผสานหนาตางบานเปดคู โครงสรางพืน้ มีลกั ษณะทีแ่ ปลกตา ดวยการวางตง ขนาด 2” x 4” ตามแนวนอน เพราะตั้งเสาถี่ คานวางถี่ตามแนวเสา ตงจึงวางแนวนอน จะไดรับนํ้าหนักไดดี โครงสรางตัวเรือนและหลังคาเปนไปตามประเพณีของการปลูก เรือนกาแล เชน การวางขื่อนอน ไมขัวยาน ไมแปนตอง ฯลฯ หลังคามุงกระเบื้อง ดินขอแบบโบราณ แตกหักเสียหายมากแลว ทําใหนํ้าฝนรั่วเขาสูตัวอาคาร สรางความ เสียหายใหกับตัวเรือน องคประกอบเรือนเปนตามแบบประเพณี คือ มีชาน ระเบียง เติ๋น หองนอน ฮอมริน ครัวไฟ ฮานนํ้า หํายนต หิ้งพระ ฯลฯ ทุกประการ เปนเรือน กาแลตามตําราที่ทรงคุณคาหลังหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู
ภาพที่ 6: เฮือนกาแล บานขวงเปา อ.จอมทอง จ.เชียงใหม
- แบบที่ 2 เฮือนบะเกาจั่วแฝด จํานวน 13 หลัง สําหรับเรือนแบบนี้เรียกในภาษาทองถิ่นวา “เฮือนสองจอง” (จองแปลวา สันหลังคาหรือจั่ว) ลักษณะเปนเรือนไม ยกใตถุนสูง หลังคาแฝด หันหนาเรือนไปทาง เหนือ-ใต “หลังคาจั่วผสมปนหยา” หรือที่เรียกวา “ทรงมนิลา” มีรางนํ้าฝนอยูตรง กลางเรือน ทางดานตะวันออกเปนเรือนประธานจะเปนหองนอนของพอแม สวน เรือนดานตะวันตกเปนหองโถง หรือหองนอนหองที่ 2 (หรือ 3) สําหรับลูกสาว ระหวางหองนอน 2 ขางจะมีทางเดินผานกลางเพื่อเชื่อมไปยังดานหลังเรือน เรียกวา “ฮอมริน” ดานหนาหองนอน จะเปนพื้นที่ของเติ๋น เปนพื้นที่กึ่งเปดโลง เปนพื้นที่ หลักสําหรับการใชงานบนเรือน ใชงานเอนกประสงค ทั้งนั่งเลน รับแขก เย็บปก ถักรอย และทําการงานอาชีพ จนถึงเปนที่นอนของลูก สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 37
36 37
9/6/2558 1:14:55
ภาพที่ 6: เฮือนสองจองจั่วแฝดที่ทําการสํารวจ
นอกจากหลังคาจั่วแฝดคลุมตัวเรือนแฝดซึ่งเปนเรือนหลักแลว เรือนครัวไฟ ดานทายเรือนมักจะทําเปนเรือนขวาง หลังคาจั่วมนิลาหลังเล็กสวนของหลังคาคลุม บันได ชาน หรือระเบียงดานหนาบานนั้น มักทําเปนปกนกกันสาดออกมา ทําเปน หลังคาลดระดับลงประมาณ 8 นิ้ว เรือนครัวไฟดานหลัง ใชสําหรับหุงหาอาหาร มีเติ๋นนอยหรือเติ๋นเล็ก สําหรับ เตรียมอาหารและนั่งลอมวงกินขาวแลวก็มีนอกชาน สําหรับซักลางทําความสะอาด โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 38
9/6/2558 1:14:55
ปจจุบันสวนใหญจะยายครัวไฟลงไปปลูกเปนเรือนแยกตางหากดานหลังเรือนให หองนี้ก็จะใชเปนหองเก็บของ ครัวไฟที่สรางเปนเรือนแยกนี้ มักจะทําเปนเรือนขนาด เล็ก ปลูกติดดินไมยกพื้น ผนังโปรงเพื่อการระบายควัน ใตถุนเรือนนั้นเปนพื้นที่สําหรับการใชงานกันในชวงกลางวัน ทําเปนแคร เปนตั่งขนาดใหญไวใชงานเอนกประสงค ทั้งนั่งนอน รับแขก ทําการงานอาชีพ หรือ อื่นๆ ใตถุนนี้แตเดิมจะไมทําพื้น ปลอยเปนพื้นดิน แตปรับเรียบบดอัดแนน ปจจุบัน หลายหลังเทพื้นคอนกรีตเต็มพื้นที่ใหใชงานไดดีขึ้น ปจจุบันมีการใชงานใตถุนมากขึ้น บางหลังใชเปนที่จอดรถหรือมอเตอรไซค บางหลังตอเติมเปนหองเก็บของ หรือแมแต เปนหองนอน - แบบที่ 3 เฮือนบะเกาจั่วเดี่ยว จํานวน 2 หลัง ลักษณะเปนเรือนแบบเดียวกับเฮือนจั่วแฝด มีองคประกอบตางๆ ของเรือน เหมือนกัน ตางกันที่เปนเรือนที่ใชหลังคาจั่วเดี่ยว เพราะมีขนาดเล็กกวา หรือใชจั่ว สูงใหญคลุมเรือนทั้งหลัง
ภาพที่ 7: เฮือนจั่วเดี่ยวที่ทําการสํารวจ
- แบบที่ 4 เฮือนสมัยกลาง จํานวน 2 หลัง เฮือนสมัยกลางเปนเรือนไมที่มีพัฒนาการตอจากเฮือนบะเกา ผังพื้นและ องคประกอบเรือนไมเปนแบบประเพณีเฮือนบะเกา หองนอนและหองตางๆ วางตาม แบบเรือนสมัยใหม บางหลังยังมีเติ๋นใชงาน บางหลังไมมีเติ๋นใหเห็นแลว แตมีหอง รับแขก หองรับประทานอาหารมาแทนที่ หลังคาซับซอนมากขึ้น ไมเปนหลังคาจั่วแฝด หรือจั่วเดี่ยว ไมวางแนวจั่วตามแบบประเพณี คือ แนวเหนือใต แมเรือนสมัยกลาง ที่บานปาลาน และบานขวงเปาที่ทําการเก็บขอมูลในโครงการนี้จะมีอายุเกาแกกวา สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 39
38 39
9/6/2558 1:14:56
เฮือนบะเกาแบบประเพณีหลังอื่นๆ แตดวยรูปแบบผังพื้นที่ไมเปนแบบประเพณีใน เฮือนบะเกา จึงนับเปนเรือนรูปแบบใหมที่มีพัฒนาการตอจากเฮือนบะเกาที่เรียกวา “เฮือนสมัยกลาง”
ภาพที่ 8: เรือนสมัยกลางที่ทําการสํารวจ
ผังพื้นเรือนที่สํารวจสวนใหญเปนแบบเฮือนบะเกา ซึ่งเปนแบบประเพณี ลานนา มีองคประกอบหลัก คือ พื้นที่วาง ไดแก ชาน เติ๋น และระเบียงทางเดิน หองนอน 1–2 หอง ครัวไฟ มีบันไดหนา-หลัง มีเพียงเรือนแมอุยเชื้อ กองบุปผา บานขวงเปาเพียงหลังเดียว ซึ่งเปนเรือนสมัยกลาง ที่ไมใชผังพื้นแบบประเพณี แมแต เรือนพออุยชื่น บานปาลานที่ใชรูปหลังคาแบบเรือนสมัยกลาง คือ ไมเปนจั่วแฝด หรือจั่วเดี่ยว แตผังพื้นก็ยังเปนแบบประเพณี และมีเพียงเรือนกาแล บานขวงเปา เพียงหลังเดียวที่เปนเรือนกาแลตามแบบประเพณีลานนา ซึ่งเปนเรือนแบบประเพณี ดั้งเดิมกอนจะพัฒนาเปนเฮือนบะเกาในยุคตอมา รูปทรงหลังคาของเรือนไมที่ทําการสํารวจทั้งหมดเปนทรงจั่วผสมปนหยา หรือเรียกวา ทรงมนิลา นํามาประกอบกันขึ้นเปนเรือน ทั้งการทําเรือนแฝด เรือนขวาง หนาจั่วตีไมฝาปดแบบงายๆ ไมมีลวดลาย หรือมีเพียงเล็กนอยในบางหลัง เชน เรือน ยายบัวเทพที่บานตนแหนนอย ตกแตงลวดลายดวยไมแกะสลักเปนรูปราง และป พ.ศ.ที่สราง บางหลังเขียนสีเปนป พ.ศ.ที่สราง บางหลังเจาะชองระบายลม วัสดุมุง หลังคาของเรือนสํารวจทั้งหมด เปนวัสดุแบบที่นิยมใชในพื้นที่ลานนาในอดีต 4 แบบ คือ กระเบื้องดินขอพื้นเมืองกระเบื้องคอนกรีตหางวาว (แผนเรียบ) กระเบื้องคอนกรีต หางตัด (แผนเรียบ) และกระเบื้องคอนกรีตแบบลอน (กระเบื้องวิบูลยศรี)
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 40
9/6/2558 1:14:56
ทั้งนี้ ในจํานวนนี้ มีเรือนที่ไดเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาไปแลว เพราะชํารุด เสียหายมาก โดยเปลี่ยนเปนกระเบื้องลอนคู กระเบื้องลอนเล็ก และกระเบื้องลอน รุนใหม (กระเบื้องพรีมา) จํานวน 4 หลัง และพบสวนประดับยอดจั่ว 4 แบบ คือ 1. แบบกาแล ไมคูไขว แกะสลักอยางประณีต พบ 1 หลังในเรือนกาแล ที่บานขวงเปา จ.เชียงใหม 2. แบบแมแจม สวนตกแตงยอดจั่วหลังคาแบบแมแจม เปนเอกลักษณ เฉพาะพื้นที่ แถบอําเภอทางตอนใตของจังหวัดเชียงใหม โดยเฉพาะที่อําเภอแมแจม ลักษณะเปนไมฉลุลายติดตั้งสวนยอดจั่ว ติดประกับดานบนดวยไมกระดานทอนสั้นๆ พบในเรือนสํารวจที่บานตาลเหนือ อ. ฮอด จ.เชียงใหม 3. แบบไมฉลุลาย สวนตกแตงยอดจั่วที่ใชไมฉลุลายเปนลวดลายตางๆ คลาย กับแบบแมแจม แตไมมีไมทอนสั้นติดประกับดานบน พบที่บานปาลาน อ.สันปาตอง จ.เชียงใหม 4. แบบสรไน มีไมประดับหลังคาที่เรียกวา “สรไน” ประดับอยูที่ยอดจั่ว บางหลังก็ใชไมฉลุลายแบบลานนาประกอบเขาดวยกันกับไมสรไนที่ยอดจั่วคลาย เรือนขนมปงขิง พบในเขต จ. ลําพูนเปนสวนใหญ
ภาพที่ 8: “ปลายจอง” องคประกอบยอดจั่วของเรือนไมที่ทําการศึกษา
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 41
40 41
9/6/2558 1:14:56
วัสดุหลักที่ใชในการกอสรางเรือนที่ทําการสํารวจ คือ ไม โดยใชไมแงะ (เต็ง) ทําเสา ใชไมทอนกลม แปรรูปอยางงาย หรือถากใหเปนสี่เหลี่ยม แตพบวามีการใช เสาคอนกรีตเสริมเหล็กแบบโบราณ (ชาวบานเรียกเสาสะตาย) ใชเปนเสาชั้นใตถุน ของเรือน สวนเสาชั้นบนเปนไม สวนอื่นๆ ไดแก คาน ตง พื้น โครงหลังคา ฝา และ องคประกอบเรือนอื่นๆ จะใชไมสัก ไมแดง แปรรูปโดยการจางคนเลื่อย ฝาเรือนทีท่ าํ การสํารวจ มีเพียงหลังเดียวทีเ่ ปนฝาไมไผขดั แตะ และใชเฉพาะ ฝาภายใน นอกนั้นจะเปนฝาไมจริงทําเปนไมกระดานขนาดกวางประมาณ 6” หนา ประมาณ ½” หรือบางกวานั้น บางหลังบางมากจนบิดงอ วิธีการตีฝานั้นพบทั้งการ ตีฝาแนวตั้งและตีในแนวนอน หรือผสมกัน พบทั้งการตีบังใบ การตีซอ นเกล็ด และการ ตีชิดอัดแนน เจาของเลาถึงวิธีการกอสรางไปในทางเดียวกันวา เจาของจะเตรียมวัสดุ กอสรางไวใหพรอมกอน เชน การตัดไม จางเลื่อย ซื้อดินขอ จางปูกระเบื้องคอนกรีต ฯลฯ แลวจางสลามาทํางาน 1 - 4 คน แตใชแรงงานชาวบานในหมูบานจํานวนมาก ชวยในการกอสรางชวงโครงสรางหลัก คือการปรับผัง ขุด หลุม ตั้งเสา ติดขื่อ ติดแป (อะเส) เจาของจะเตรียมอาหารไวเลี้ยงผูที่มาชวยเอาแรง สวนงานอื่นๆ สลาจะทํางาน ไปกับลูกมือ ใชเวลา 2 – 4 เดือน บางหลังเปนสวนนอยไมไดใชแรงงานชาวบาน ใชสลา กับลูกมือเทานั้น แตไมใชการจางเหมาเหมือนปจจุบัน เปนการจางแรงงานพรอมเลี้ยง อาหาร แตเจาของเปนผูจัดหาและเตรียมวัสดุกอ สราง โดยเฉพาะกระเบื้องคอนกรีต แบบทําเอง ทีใ่ ชสลาอีกชุดหนึง่ และใชเวลาพอสมควร ในเรือนทีท่ าํ การสํารวจสวนใหญ จะพบฮานนํ้า แตพบวาบางหลังไมมีการใชงานแลว เพียงไมไดรื้อถอนออกไป หรือ ใชงานอยางอื่นแทน เชน ใชเปนชั้นวางของ นอกนั้นยังมีการใชงานฮานนํ้าอยู ทั้งการ ดืม่ กิน การทําอาหาร ครัวไฟแบบประเพณีดงั้ เดิมทีย่ งั คงใชงานอยูบ นเรือนทีส่ าํ รวจใน โครงการเหลือเพียงไมกี่หลัง โดยเฉพาะที่ยังใชแมเตาไฟเปนกระบะไมอัดดินเหนียว ไวกอไฟตามแบบประเพณีนั้น แทบไมเหลือใหเห็น บางหลังยังคงมีครัวไฟอยูบนเรือน แตไมใชงานแลว บางหลังปรับเปลี่ยนเปนหองเก็บของหรือใชประโยชนอยางอื่นไป เรือนสวนใหญจะยายครัวลงจากเรือนไปสรางเปนเรือนแยกไวตางหาก
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 42
9/6/2558 1:14:56
4. องคประกอบตามความเชื่อ พบหํายนตเพียง 2 หลังที่เรือนกาแล บานขวงเปา และเรือนพอชื่น บาน ปาลาน พบหิ้งพระที่เติ๋นทุกหลังที่ทําการสํารวจ ยกเวนเรือนแมอุยเชื้อที่บานขวงเปา เพราะนับถือศาสนาคริสต การประดับฝาเรือนดวยพระบรมฉายาลักษณ รูปพระ รูปบรรพบุรุษ และรูปสมาชิกในครอบครัวนั้น พบทุกหลัง รวมทั้งเรือนแมอุยเชื้อ บาน ขวงเปาที่นับถือศาสนาคริสต เวนแตไมมีรูปพระ ผลการศึกษา: เรื่องผังบริเวณบาน
การวางผังบริเวณบานทัง้ หมดทีท่ าํ การสํารวจ จะวางตัวเรือนแบบขวางตะวัน หรือวางเรือนตามแนวทิศเหนือ-ใต โดยการพิจารณาจากแนวจั่ว หรือแนวสันหลังคา มีองคประกอบตางๆตามแบบประเพณีในบริเวณบาน ดังนี้ “นํ้าบอ” หรือ “บอนํ้า” พบแทบทุกหลัง เพราะเปนแหลงนํ้าใชสําคัญในอดีต หลังที่ไมพบนํ้าบอเพราะใชรวมกับเพื่อนบาน และเปนพื้นที่ที่ไมมีนํ้าบาดาล ขุดเจาะ แลวไมไดนํ้า “หลองขาว” มีหรือเคยมีอยูในทุกบานที่เปนเรือนดั้งเดิม แสดงถึงความเปน ชาวนาปลูกขาว ทั้งเพื่อเก็บไวกินเองในอดีตและเพื่อเปนอาชีพในเวลาตอมา “รั้วบาน” ตามแบบประเพณีพบเพียงสวนนอย สวนใหญเปลี่ยนเปนรั้ว กอบล็อกทึบ หรือมีรั้วเหล็กโปรงชวงบนตามสมัยนิยมแลว “หองสวม” ตามแบบประเพณีที่สรางเปนหลังโดดๆ แยกจากเรือนใหญ พบเพียงไมกี่หลัง แตพบการตอเติมหองนํ้าสวมบนเรือนมากกวา โดยเฉพาะเรือนของ ผูสูงอายุมากๆ ที่ลูกหลานมาตอเติมใหเพื่อความสะดวกของพอแม สวน “ตอมนํ้า” หรือที่อาบนํ้าสําหรับหญิงสาวพบจํานวน 5 แหง ทุกแหงไมมีการใชงานแลว “ศาลผี” หรือ “หอผี” พบ 3 หลัง เฉพาะบานเกา หรือบานลูกสาวคนโตที่ เปนผูสืบทอดผีปูยาตายาย สวนศาลเจาที่ หรือศาลพระภูมินั้นพบในหลายหลัง
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 43
42 43
9/6/2558 1:14:56
ผลการศึกษา: รูปแบบสื่อสารสนเทศ
ไดนําแนวทางการจัดทําสื่อสารสนเทศจากโครงการตนแบบมาพิจารณา ประเมินและปรับใช และจัดทําเปนสือ่ หลากหลายชนิดเพือ่ ตอบสนองในแตละโอกาส ไดเหมาะสม ประกอบดวย 1. สื่อสิ่งพิมพประเภทโปสเตอรขนาด 24” x 36” จํานวน 20 แผน เพื่อใช สําหรับการนําเสนอขอมูล องคความรูที่เปนรายละเอียดของชุมชนในพื้นที่โครงการ ในภาพรวม วิถีการอยูอาศัย และเรือนไมในแตละหลัง ใชสําหรับการจัดแสดงหรือ ติดแสดง การจัดนิทรรศการเพื่อการเผยแพร 2. สื่อวีดีทัศน จํานวน 3 เรื่อง เพื่อการนําเสนอขอมูลที่เปนภาพเคลื่อนไหว ประกอบเสียงบรรยาย ประกอบดวยเรื่องเมืองและชุมชนหมูบาน เรื่องบาน และเรือน และเรื่องวิถีชีวิต ใชประกอบการนําเสนอในการจัดนิทรรศการ หรือการเผยแพรผาน ในระบบสื่อออนไลน 3. สื่อเว็บไซต จํานวน 1 เว็บไซต เพื่อการจัดเก็บรวบรวมองคความรู ขอมูล รายละเอียดทั้งหมดของโครงการ และนําเสนอรายละเอียดขององคความรูทั้งหมด ประกอบดวยภาพถาย ภาพกราฟฟก ตัวหนังสือบรรยาย ภาพเคลื่อนไหวพรอมเสียง บรรยาย รวมถึงภาพเคลื่อนไหวที่เปนภาพ 3 มิติ เชื่อมโยงเขากับระบบฐานขอมูล สารสนเทศขององคกร สะดวกตอการสืบคนขอมูล 4. สื่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส จํานวน 1 เลม นําเสนอขอมูลอยางละเอียด ของขอมูลทั้งหมด เพื่อการจัดแสดงทั้งในระบบออนไลนผานระบบอินเทอรเน็ต และ การจัดแสดงในหองนิทรรศการ ผลการศึกษา: ระบบฐานขอมูลสารสนเทศ
ไดวิเคราะห และออกแบบระบบสารสนเทศใหเหมาะสมกับขอบเขต และ ประเภทของขอมูลที่ทําการเก็บขอมูล ตลอดจนลักษณะการเขาไปใชงานระบบ โดย คํานึงถึงการคนหาขอมูลที่อาจมีเปนจํานวนมากเมื่อโครงการไดรับการตอยอดไป ศึกษาเก็บขอมูลในพื้นที่อื่นๆตามวัตถุประสงคหลักของโครงการตอไป และไดระบบ ฐานขอมูลสารสนเทศที่มีคุณสมบัติ ดังนี้ 1. เปนระบบทีเ่ รียกใชงานผาน Web browser ไมตอ งมีการติดตัง้ โปรแกรม ใดๆ เพิ่มเติมบนเครื่องผูใช
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 44
9/6/2558 1:14:56
2. มีระบบการจัดการขอมูลการศึกษาทีส่ ามารถจัดการไดทงั้ ขอมูลขอความ ตัวอักษร ภาพถาย ภาพเคลื่อนไหว และเสียงบรรยายภาพกราฟฟก 2 มิติ และ 3 มิติ 3. มีการกําหนดสิทธิ์ผูใชงานในการจัดการขอมูลในระบบ 4. มีระบบการแสดงผลขอมูลสารสนเทศ และสารสนเทศภูมิศาสตร 5. การแสดงผลขอมูลสารสนเทศภูมิศาสตร สามารถเปด-ปดชั้นขอมูลได มีการแยกสีและสัญลักษณของขอมูลอยางชัดเจน และแสดงขอมูลเชิงบรรยาย หรือ แอตทริบิวต (Attribute) ได โดยระบบฐานขอมูลสารสนเทศนี้เปนระบบที่ออกแบบ มารองรับการบรรจุขอ มูลทีอ่ ยูอ าศัยไดไมจาํ กัด เปนระบบใหญทรี่ องรับโครงการจัดทํา ชุดความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอาศัยของคนไทย ตามนโยบายและวัตถุประสงค ของการเคหะแหงชาติไดในระยะยาว โดยมีขอมูลของเรือนไมแมแจมซึง่ เปนโครงการ ตนแบบของโครงการนี้ เปนขอมูลกลุม แรกทีน่ าํ รองปอนขอมูลจากงานวิจยั โครงการนี้ และโครงการอืน่ ๆ เปนชุดขอมูลทีไ่ ดปอ นลงระบบเพิม่ เติมตามลําดับ ปญหา และอุปสรรค
1. การเก็บขอมูลเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัย เปนการดําเนินการ ทีต่ อ งการการยอมรับและใหความรวมมือจากเจาของบาน เพราะเปนการละเมิดพืน้ ที่ สวนบุคคล รบกวนเวลาทํางานหรือพักผอนของเจาของบาน ซึ่งอาจตองใชเวลาใน การสรางความสัมพันธ หรือตองการบุคคลที่เจาของบานใหการยอมรับเปนผูนําทาง 2. การเก็บขอมูลเรือนและวิถกี ารอยูอ าศัยเพือ่ การนําเสนอประเภทภาพถาย ภาพเคลื่อนไหว สําหรับเรือนบางหลังที่เจาของเรือนไมมีเวลาหรือกําลังพอจะจัดการ ใหเปนระเบียบเรียบรอยในชีวิตประจําวัน จําเปนตองมีการเตรียมการบางบางอยาง เชน การเก็บกวาดหรือเก็บของเพื่อใหภาพที่ปรากฏนั้นมีคุณภาพสําหรับการเผยแพร สาธารณะ 3. ขอมูลที่เปนภาพถายและวีดิทัศน ในการเก็บขอมูลเรือนที่เปนเปาหมาย และการบันทึกขอมูลโดยรวมมีจํานวนมาก และจําเปนตองใชสื่อในการบันทึกขอมูล ที่มีความจุสูงในการบันทึกขอมูล และจําเปนตองมีการทําสําเนา เพื่อปองกันความ เสียหายที่อาจเกิดขึ้น 4. ในสื่อวีดิทัศน หากพิจารณาถึงมาตรฐานการนําเสนอในระดับรายการ โทรทัศน จําเปนตองใชเครื่องมือ และกําลังคนมากกวาโครงการนี้ ซึ่งมีคาใชจายสูง
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 45
44 45
9/6/2558 1:14:56
5. ในการสํารวจขอมูลสารสนเทศภูมิศาสตร ไมสามารถสํารวจขอมูลถนน และทางนํ้าของพื้นที่ศึกษาได เนื่องจากขอมูลดังกลาวเปนขอมูลเชิงเสน ตอง Digitize ขอมูลจากภาพถายทางอากาศ หรือภาพถายดาวเทียม ซึ่งมีหนวยงานที่เกี่ยวของจัด ทําไวอยูแลว จึงไดทําการขอและใชขอมูลของหนวยงานนั้น 6. ระบบอางอิงในตัวขอมูลที่สํารวจ และขอมูลจากแหลงภายนอกไมตรงกัน ทําใหตําแหนงของขอมูลแตละชั้นขอมูลมีความคลาดเคลื่อน ตองแกไขโดยการปรับ ระบบอางอิงของชั้นขอมูลแตละชั้นใหตรงกัน คือ ระบบอางอิงแบบ WGS 84 ตาม มาตรฐานระบบอางอิงขอมูลสารสนเทศภูมิศาสตรของประเทศไทยโดยใชโปรแกรม QGIS ในการปรับระบบอางอิง ขอเสนอแนะ
1. ในการดําเนินการวิจัย นักวิจัยเห็นถึงสถานการณที่เรือนไมทรงคุณคา กําลังเสื่อมโทรม และสูญหายไปตามระยะเวลา และกําลังของผูเปนเจาของ การ อนุรักษตองการสํานึกของเจาของพื้นที่ที่เห็นคุณคาในเรือนไมพื้นถิ่นเหลานี้ ดังนั้น การนําเสนอขอมูลการวิจัยที่ดําเนินการเสร็จแลวกลับไปยังเจาของเรือน เจาของพื้นที่ องคกร หรือหนวยงานในพื้นที่ หรือการเผยแพรองคความรูและคุณคาของเรือนพื้นถิ่น ตอเยาวชนและคนทั่วไปในทองถิ่น จะเปนสวนหนึ่งที่ชวยใหเกิดสํานึกในคุณคาของ ภูมิปญญาทองถิ่นเหลานี้ได 2. ในการสํารวจเบื้องตนของโครงการวิจัยนี้ พบวาเรือนไมพื้นถิ่นลานนา ยังมีอยูใหศึกษาจํานวนมากใน 2 พื้นที่ คือ พื้นที่ อ.สันปาตอง และอ.ดอยหลอ จ.เชียงใหม โดยเฉพาะที่บานยางคราม อ.ดอยหลอ ยังเปนชุมชนที่มีบริบทแบบชุมชน เกาดั้งเดิม และมีเรือนไมเกาหลงเหลืออยูจํานวนมาก แตมีสัญญานการเปลี่ยนแปลง ทีค่ วรทําการศึกษาเก็บขอมูลไวกอ นทีจ่ ะเกิดการเปลีย่ นแปลงของสภาพแวดลอมชุมชน 3. โครงการศึกษาและจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัย ที่ไดริเริ่มดําเนินการแลว การเคหะแหงชาติควรดําเนินการอยางตอเนื่องในพื้นที่อื่นๆ ตอไป ดวยเครื่องมือ วิธีการ และระบบฐานขอมูลที่ไดจัดทําขึ้นแลวในโครงการที่ได ริเริ่มขึ้น เพื่อใหไดภูมิปญญาในภาพรวมของประเทศไทย และควรดําเนินการอยาง เรงดวนในสวนของการอยูอาศัยที่เปนเรือนพื้นถิ่น เพราะสวนใหญมีสภาพทรุดโทรม ถูกรื้อถอนและเปลี่ยนแปลงไปจนแทบไมเหลือรูปแบบและวิถีการอยูอาศัยแบบไทย
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 46
9/6/2558 1:14:56
4. การเคหะแหงชาติ มีผลการศึกษา และสือ่ ทีเ่ ปนองคความรูเ รือ่ งทีอ่ ยูอ าศัย และวิถีการอยูอาศัยอยูระดับหนึ่งแลว ควรไดรวบรวมผลงานและดําเนินการเผยแพร อยางเปนรูปธรรม ทั้งในลักษณะสื่อสารสนเทศแบบ online และการจัดแสดงถาวร ที่มีสถานที่รองรับทั้งในสวนภูมิภาค และสวนกลาง เพื่อเปนแหลงศึกษาเรียนรูเรื่อง ที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยของชุมชน เมือง และประเทศไทยตอไป 5. การเคหะแหงชาติ ในฐานะองคกรหลักดานการอยูอาศัย ควรเพิ่มบทบาท ดานการอนุรักษ โดยเฉพาะอาคารพักอาศัยและรานคาซึ่งเปนมรดกทางวัฒนธรรม ที่ยังไมมีหนวยงานหรือมาตรการใดมาดําเนินการอนุรักษอยางชัดเจน โดยดําเนินการ ไดในหลายระดับ เชน การใหความชวยเหลือทางวิชาการ ความชวยเหลือทางเงินทุน การยกยองใหรางวัลเชิดชูคุณคา ฯลฯ บรรณานุกรม จูเหลียงเหวิน. ชนชาติไต สถาปตยกรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีไตในสิบสองพันนา. กรุงเทพฯ: โอ เอสพริ้นติ้งเฮาส, 2536. พรพิไล เลิศวิชา และคณะ. เชียงใหม–ลําพูน เขตเศรษฐกิจวัฒนธรรม พลวัต และพัฒนาการ. กรุงเทพฯ: บริษัทธารปญญา จํากัด, 2552. พิชัย จันทรจรัสทอง. คูมือ Oracle 8. กรุงเทพฯ:ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2542. รังสรรค จันตะ. บาน โหลง และเมือง เขตความสัมพันธบนฐานเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมชุมชน ในแองเชียงใหม-ลําพูนตอนบน. กรุงเทพฯ: ฐานปญญา, 2552. สมคิด จิระทัศนกุล. “เรือนลานนา”, ใน เอกสารประกอบการประชุมวิชาการความหลากหลาย ของเรือนพื้นถิ่นไทย. กรุงเทพฯ: คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร. 2543. สืบพงศ จรรยสืบศรี. เรือนลานนา. [ออนไลน]. เขาถึงไดจาก http://suebpong.rmutl.ac.th/. (วันที่ 2 มิถุนายน 2556) สุรชัย รัตนเสริมพงศ. ความกาวหนาเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ. [ออนไลน]. เขาถึงไดจาก http: //kmcenter.rid.go.th/. (วันที่ 20 มิถุนายน 2556). อนุวิทย เจริญศุภกุล และวิวัฒน เตมียพันธ. เรือนลานนาไทยและประเพณีการปลูกเรือน. พิมพครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สมาคมสถาปนิกสยาม, 2539. โอภาส เอี่ยมสิริวงศ. การวิเคราะห และออกแบบระบบ. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2548. อัน นิมมานเหมินท. วาระครบหกรอบของ ศ.อัน นิมมานเหมินท. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ สุขภาพใจ, 2532.
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 47
46 47
9/6/2558 1:14:57
A Study on the Explicit Knowledge and Local Wisdom in the Field of Housing for Knowledge Management in the North of Thailand Suebpong Chansuebsri Isara Guntang Associate Professor Surapon Manowong Tanitpong Puttawong
Faculty of Art and Architecture Rajamangala University of Technology Lanna Abstract
This study was initiated by the National Housing Authority by its awareness of the significance of the survey to collect the knowledge on the habitation and way of life of the ancestor’s wisdom. The knowledge was to be installed in a database and information distribution schemes were to be set up to disseminate the knowledge for the public to learn and further develop it to preserve and pass on the respective local wisdom. This research adopted and continued the previous pilot project studying the formats and knowledge management method on the habitation and way of life, the Mae Chaem District, Chiang Mai Province case study. This survey and data collection was conducted for knowledge management of 18 traditional houses in 15 communities of 10 districts in Chiang Mai and Lamphun Provinces. The study results show 4 factors that created the specific characteristics of a settlement in the area, namely political and administrative factors, physical factors, social factors and economic factors. As for the styles, there were four of them: the twin-roof house, the single roof โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 48
9/6/2558 1:14:57
house, the middle period house and the Kalae house. Most of them (72%) were of the twin roof style. Some of the house elements including the surrounding structures and architectural elements could be found and some were used in the people’s daily lives. The changes were due to the change in the lifestyle. The outcomes of knowledge management were the production of four types of information media. One of these was 20 posters 24” X 36” for the presentation of the information on detailed knowledge about the communities in the project area to give an overall picture concerning the people’s way of living and each of the wooden houses for display. There were also three videos for moving pictures and sound narration as well as one website for collecting all the knowledge and information of the project through photographs, graphic pictures with captions, moving pictures with narration and three dimensional pictures linking to the information database of the organization for convenient access. Moreover, one e-book containing all the detailed information was produced to be displayed online via the Internet as well as an exhibition.
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 49
9/6/2558 1:14:57
โปสเตอร: สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 50
9/6/2558 1:14:57
การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น
พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 กรณีศึกษาพื้นที่ลุมนํ้าเลย
ผูชวยศาสตราจารย ดร. นพดล ตั้งสกุล ผูชวยศาสตราจารย ดร. ทรงยศ วีระทวีมาศ อาจารย สุกัญญา พรหมนารท ผูชวยศาสตราจารย อธิป อุทัยวัฒนานนท ผูชวยศาสตราจารย กุลศรี ตั้งสกุล บทคัดยอ
คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน
เรือนพื้นถิ่นเปนสถาปตยกรรมเพื่อการอยูอาศัยที่มีความสอดคลองกับ สภาพแวดลอมในแตละภูมิภาค การศึกษาที่อยูอาศัยเพื่อทําความเขาใจกับสภาพ แวดลอม ธรรมชาติของทีต่ งั้ ตัง้ แตระดับชุมชน จนถึงระดับบานพักอาศัยทําใหทราบถึง ความสัมพันธ และความสอดคลองกันของที่อยูอาศัยกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และเขาใจการปรับตัวและยอมรับเงื่อนไขอันเกิดจากสภาพแวดลอม การ เปลีย่ นแปลงรูปแบบทีอ่ ยูอ าศัยและเทคนิคในการกอสรางในปจจุบนั ทําใหเอกลักษณ ของที่อยูอาศัยเปลี่ยนแปลงและไดสงผลกระทบตอองคความรูเกี่ยวกับภูมิปญญาใน การกอสรางบานเรือนซึ่งนับวันก็จะสูญหายไป ดังนั้น โครงการศึกษาวิจัยเพื่อการ จัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ กรณีศึกษาพื้นที่ลุมนํ้าเลย จึงจัดทําขึ้นโดยมีวัตถุประสงคเพื่อ บทความวิจยั สรุปผลโครงการวิจยั นพดล ตัง้ สกุล และคณะ. โครงการศึกษาวิจยั เพือ่ จัดการ ความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ. สนับสนุนทุนวิจัยโดย การเคหะแหงชาติ ประจําป พ.ศ. 2556. คณะผูวิจัย ขอขอบพระคุณ ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ ที่เล็งเห็นความสําคัญของ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นในภูมิภาคที่นับวันจะลดจํานวนลงไปทุกขณะ
1
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 51
50 51
9/6/2558 1:14:57
รวบรวมองคความรูดานรูปแบบที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยของคนอีสาน โดยการ จัดการความรูในรูปแบบสื่อลักษณะตางๆ เพื่อใหพรอมในการนําไปใชสําหรับเผยแพร ใหสาธารณชนไดเรียนรู นําไปใชประโยชน รวมทัง้ พัฒนาตอยอดเพือ่ สืบสานภูมปิ ญ ญา ทองถิ่นเกี่ยวกับที่อยูอาศัย โครงการจึงทําการเก็บตัวอยางเรือนพื้นถิ่นที่ถือไดวาเปน เอกลักษณและเปนสวนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งสะทอนถึงพัฒนาการในการ อยูอาศัยในพื้นที่ลุมนํ้าเลย ซึ่งถือไดวาเปนพื้นที่ที่ยังคงเหลือรูปแบบเรือนอันเปน เอกลักษณสาํ คัญแหงหนึง่ ในภาคอีสาน การสํารวจภาคสนามเลือกสํารวจเรือนทัง้ หมด จํานวน 15 หลัง กระจายตัวอยูตลอดแนวที่ราบลุมนํ้าในพื้นที่ 4 อําเภอ ไดแก อ.ภูหลวง อ.วังสะพุง อ.เมืองเลย และ อ.เชียงคาน ผลผลิตที่ไดจากงานวิจัย เปนไปตามวัตถุประสงคหลักของโครงการที่เนน การนําเสนอผลการศึกษาในลักษณะที่เปนขอมูลสารสนเทศและสื่อในรูปแบบตางๆ โดยที่มีการนําเสนอขอมูลจากสัมภาษณเจาของเรือนและคนในพื้นที่และขอมูลเรือน ตัวอยางจากการสํารวจทั้งในลักษณะที่เปนแบบทางสถาปตยกรรมแบบสองมิติและ สามมิติ รวมทั้งการนําเสนอในรูปแบบภาพจําลองแบบเคลื่อนไหวในลักษณะสามมิติ มีการบันทึกวิถีชีวิตและการใชพื้นที่ภายในเรือน นําเสนอประกอบรายละเอียดทาง สถาปตยกรรมผานสื่อสิ่งพิมพแบบโปสเตอร เว็บไซต หนังสืออิเล็กทรอนิกส รวมทั้ง สื่อวีดิทัศน เพื่อใหสามารถที่จะนําไปใชในการเผยแพรไดหลายรูปแบบและสอดคลอง กับความสนใจของผูชมที่หลากหลาย ผลการศึกษาพบวา การตั้งถิ่นฐานของชุมชนบริเวณลุมนํ้าเลยยังคงมีที่อยู อาศัยที่มีเอกลักษณที่สะทอนถึงภูมิปญญาทองถิ่นที่สามารถพบรูปแบบที่อยูอาศัย ที่สะทอนถึงการดําเนินชีวิตของผูคนที่สัมพันธกับสภาพแวดลอมกายภาพและดาน สังคม-วัฒนธรรม พื้นที่ดังกลาวยังเปนที่รวมของกลุมชาติพันธุที่หลากหลาย ไดแก ไทเลย ไทดําและไทพวน ซึ่งมีพัฒนาการอยางตอเนื่อง จากการศึกษาพบวา มีทั้ง เรือนพื้นถิ่นที่มีรูปแบบตามแบบประเพณีตามแบบแผนของภาคอีสาน เชน เรือนเซีย หรือเรือนเกย และเรือนรูปแบบที่มีการปรับตัวผสมผสานกับวัฒนธรรมในชุมชนเมือง ทีม่ รี ปู แบบเปนเรือนมุขหลังคาปน หยาและเรือนใตถนุ ตํา่ เปนตน ขณะทีว่ ธิ กี ารกอสราง และที่มาของวัสดุสะทอนใหเห็นถึงความสัมพันธในการจัดสรรและใชทรัพยากรที่อยู ในทองถิ่นที่เปนการประสานความสัมพันธประเด็นทางสังคม และการกอรูปของ กายภาพที่อยูอาศัยผานภูมิปญญาชางในทองถิ่นไดอยางพอดีและมีความยั่งยืน
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 52
9/6/2558 1:14:57
คําสําคัญ (keyword) ของงานวิจัย
- สถาปตยกรรมพื้นถิ่น (Vernacular House) - ภูมิปญญาทองถิ่น (Local wisdom) - ลุมนํ้าเลย (Loei Watershed) - ภาคอีสานของประเทศไทย (Northeastern region of Thailand)
ความสําคัญและที่มาของการวิจัย
เรือนพืน้ ถิน่ เปนสถาปตยกรรมเพือ่ การอยูอ าศัยทีม่ คี วามสอดคลองสัมพันธ กับสภาพแวดลอมในแตละภูมิภาค การศึกษาที่อยูอาศัยเพื่อทําความเขาใจกับสภาพ แวดลอมของชุมชน และธรรมชาติของที่ตั้ง ตั้งแตระดับชุมชน จนถึงหนวยยอยใน ระดับของบานพักอาศัย เพื่อใหทราบถึงความสัมพันธและความสอดคลองกันของ ที่อยูอาศัยกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม-วัฒนธรรม ทําใหเขาใจตอการปรับตัวที่ ผูอยูอาศัยไดกระทําผานการกอสรางบานเรือนเพื่อตอบสนองความตองการตามยุค สมัยที่เปลี่ยนไป จนกอใหเกิดสถาปตยกรรมที่สะทอนถึงอัตลักษณของแตละพื้นที่อัน เกิดจากปจจัยแวดลอมดังกลาว พัฒนาการของรูปแบบทีอ่ ยูอ าศัย และวัสดุทใี่ ชกอ สรางเรือนมีความแตกตาง กันไปตามยุคสมัย ตามสภาพเศรษฐกิจ และปจจัยที่หลากหลายที่สงผลตอรูปแบบ ของที่อยูอาศัย เชน สภาพภูมิศาสตร วัฒนธรรม ภูมิอากาศ ภูมิทัศนวัฒนธรรม วัสดุ กอสรางในทองถิ่น คติความเชื่อ ประเพณี รวมถึงแนวคิดในการดําเนินวิถีชีวิตตาม วิถีทางสังคม-วัฒนธรรม ปจจุบันความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี สภาพเศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การกอสรางที่อยูอาศัยมีการพัฒนาและใชวัสดุกอสราง ในระบบอุตสาหกรรมเพื่อทดแทนวัสดุทองถิ่น จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่อยู อาศัยและเทคนิคในการกอสรางอยางรวดเร็ว ทําใหเอกลักษณของทีอ่ ยูอ าศัยในปจจุบนั เปลี่ยนแปลงไปดวย และไดสงผลกระทบตอองคความรูเกี่ยวกับภูมิปญญาในการ กอสรางบานเรือนซึ่งนับวันก็จะสูญหายไป ดังนั้น ดวยการเล็งเห็นความสําคัญของ ปญหาดังกลาว และเนื่องจากเปนหนึ่งในพันธกิจสําคัญของการเคหะแหงชาติ ที่ตอง มีการถายทอดองคความรูเกี่ยวกับการอยูอาศัยของคนในสังคมไทย เพื่อใหประชาชน ไดมีความตระหนักรูถึงคุณคาของภูมิปญญาทองถิ่นที่บรรพบุรุษใชในการสรางที่อยู อาศัย ตลอดจนการดํารงวิถีชีวิตใหมีความสอดคลองกับสภาพแวดลอมทองถิ่น และ
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 53
52 53
9/6/2558 1:14:57
หากไมมีการจัดการองคความรูเหลานี้ อาจทําใหภูมิปญญาทองถิ่นขาดการสืบสานและปรับใช ใหเหมาะสมกับสภาพบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปในปจจุบัน ภาคอีสานเปนหนึ่งในภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ มีประวัติศาสตรการ ตั้งถิ่นฐานมายาวนาน ประชากรในภาคอีสานมีการอพยพมาตั้งถิ่นฐานจากประเทศเพื่อนบาน เชน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และจาก ภาคกลางของประเทศไทย ทําใหเกิดการปรับตัวทางวัฒนธรรมหลายครั้ง รูปแบบที่อยูอาศัย นอกจากแบบแผนเดิมที่กลุมชาติพันธุตางๆไดปลูกสรางขึ้นตามลักษณะทางสังคม-วัฒนธรรม ของตนแลว ยังไดรับอิทธิพลจากภายนอกดวย การปรับตัวรับเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงจากปจจัย ตางๆ จึงจําเปนตองมีการศึกษาเพือ่ ทําความเขาใจ และนําความรูเ หลานีเ้ ปนบทเรียนในการพัฒนา เกี่ยวกับที่อยูอาศัย และถายทอดใหคนในทองถิ่นไดตระหนักถึงความสําคัญของเอกลักษณของ ที่อยูอาศัยในทองถิ่น โครงการศึกษาวิจยั เพือ่ จัดการความรูเ รือ่ งภูมปิ ญ ญาทองถิน่ ดานทีอ่ ยูอ าศัย และวิถชี วี ติ ในภาคอีสาน จึงมีความสําคัญและจําเปนตองมีการดําเนินการ เพื่อรวบรวมองคความรูดาน รูปแบบทีอ่ ยูอ าศัยและวิถกี ารอยูอ าศัยของคนอีสาน เพือ่ การจัดการความรูใ นรูปแบบสือ่ ลักษณะ ตางๆ มีความพรอมในการนําไปใชสําหรับเผยแพรตอสารธารณะ อันจะเปนประโยชนในการ พัฒนาตอยอดเพื่อสืบสานภูมิปญญาทองถิ่นเกี่ยวกับที่อยูอาศัยในภาคอีสานทั้งในทางกวาง และทางลึกตอไป วัตถุประสงคของการศึกษา
1. เพื่อสํารวจและเก็บขอมูลที่อยูอาศัยและวิถีชีวิตการอยูอาศัยในภาคอีสาน 2. เพื่อจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีชีวิตในภาคอีสานในฐานะที่เปนมรดกและ ภูมิปญญาทองถิ่นที่ถายทอดผานงานสถาปตยกรรมและสภาพแวดลอมการอยูอาศัยดวยสื่อ รูปแบบตางๆ 3. เพื่อจัดทําขอมูลแผนที่ภูมิสารสนเทศของครัวเรือนหรือที่อยูอาศัย เพื่อที่การเคหะ แหงชาติจะสามารถนํามาจัดการเผยแพรในระบบสารสนเทศ
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 54
9/6/2558 1:14:57
ขอบเขตการศึกษา
1. ขอบเขตดานพื้นที่ จากขอมูลประวัติศาสตรการโยกยายถิ่นฐานของชุมชนสวนใหญในภาค อีสานที่มีการตั้งถิ่นฐานแบบดั้งเดิมนั้น ปรากฏหลักฐานวามีพื้นที่หลักสองแหงไดแก พื้นที่แองโคราชและแองสกลนคร ซึ่งจากการสํารวจภาคสนามของพื้นที่ทั้งสองแหง ในปจจุบนั พบวา ชุมชนบริเวณดังกลาวมีการเปลีย่ นแปลงสภาพแวดลอมและภูมทิ ศั น วัฒนธรรมเปนอันมาก ทั้งนี้เนื่องจาก การตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ราบที่เหมาะแกการปลูก ขาวและทําการเกษตรนัน้ สามารถเขาถึงพืน้ ทีไ่ ดโดยสะดวกทําใหมกี ารพัฒนาโครงสราง พื้นฐานเชน ถนนและสิ่งอํานวยความสะดวกเขาถึงเกือบทุกพื้นที่ การเปลี่ยนแปลง ดังกลาวทําใหชุมชนโดยรอบไดรับผลกระทบจากการพัฒนาสูความเปนเมืองอยาง รวดเร็ว และที่อยูอาศัยก็เปนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงเหลานั้นดวย ดังนั้น เพื่อใหบรรลุ ตามวัตถุประสงคในการศึกษาภูมิปญญาและพัฒนาการของที่อยูอาศัยและการปรับ ตัวของผูคนในพื้นที่ การเลือกพื้นที่ศึกษาจําเปนตองเลือกพื้นที่ที่ยังคงมีเอกลักษณที่ สะทอนถึงภูมิปญญาทองถิ่นที่ยังคงพบเห็นและสะทอนในการดําเนินชีวิตของชุมชน การศึกษาภาพรวมทั้งดานสภาพแวดลอมกายภาพ และดานสังคม-วัฒนธรรม จึงเลือก ศึกษาชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานบริเวณลุมนํ้าเลย ซึ่งเปนการตั้งถิ่นฐานทางตอนเหนือของ พื้นที่แองสกลนคร โดยแมนํ้าเลยมีตนกําเนิดจากภูหลวงแลวไหลขึ้นไปทางทิศเหนือ ลงสูแมนํ้าโขงบริเวณอําเภอเชียงคาน จากขอมูลเบื้องตนพบวา ชุมชนในลุมนํ้าเลย สวนใหญตงั้ ถิน่ ฐานอยูบ ริเวณทีร่ าบระหวางหุบเนินเขา เปนทีอ่ ยูอ าศัยของกลุม ชาติพนั ธุ ทีห่ ลากหลายซึง่ อพยพมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไดแก ชาติพนั ธุ ไทเลย ชุมชนบานนาออ อ.เมืองฯ, ไทดํา ชุมชนบานนาปาหนาด อ.เชียงคาน และ ไทพวน ชุมชนบานกลาง อ.เชียงคาน จังหวัดเลย เปนตน ชุมชนบริเวณนี้มีพัฒนาการ ตอเนื่อง มีทั้งเรือนพื้นถิ่นที่มีรูปแบบตามแบบประเพณีและที่มีการปรับตัวผสมผสาน กับวัฒนธรรมภายนอก อยางกรณีของชางญวนที่อพยพขามแมนํ้าโขงมาจากประเทศ เวียดนาม หรือการผสมผสานกับไทใตซงึ่ เปนไทลาวในภาคอีสานซึง่ อพยพไปตัง้ ถิน่ ฐาน ในแถบจังหวัดเลยในระยะหลัง จึงเกิดการผสมผสาน และมีความหลากหลายทาง วัฒนธรรม ดังนั้น ความสมบูรณของรูปแบบที่พักอาศัยบริเวณลุมนํ้าเลย จึงยังคง สามารถพบเห็นอยูในปจจุบัน ทําใหพื้นที่นี้เปนเพียงชุมชนในภาคอีสานไมกี่แหงที่ยัง คงพบรูปแบบที่อยูอาศัยดั้งเดิมที่เปนภูมิปญญาพื้นถิ่นภาคอีสาน มีเอกลักษณทั้งใน
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 55
54 55
9/6/2558 1:14:57
ดานกายภาพ สภาพแวดลอม วิถีชีวิต และวัฒนธรรม ที่ควรคาแกการบันทึก และ เผยแพรเพื่อใหบรรลุวัตถุประสงคดานการนําไปใหสาธารณชนไดเรียนรูและนําไปใช ประโยชน ดานภูมิปญญาดานที่อยูอาศัยในภาคอีสาน ซึ่งบางชุมชนไดรับการยกยอง ใหเปนชุมชนอนุรักษวัฒนธรรมทองถิ่นโดยหนวยงานในพื้นที่อีกดวย การสํารวจภาคสนามในพื้นที่ลุมนํ้าเลยจึงดําเนินการในพื้นที่ 4 อําเภอซึ่ง กระจายตัวอยูตลอดแนวที่ราบลุมนํ้าในพื้นที่ 4 อําเภอ ไดแก อ.ภูหลวง อ.วังสะพุง อ.เมืองเลย และ อ.เชียงคาน
ภาพที่ 1: ขอบเขตพื้นที่ศึกษาในลุมนํ้าเลย โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 56
9/6/2558 1:14:57
2. ขอบเขตดานเนื้อหา 1. ดานสถาปตยกรรม ศึกษา สํารวจ เก็บขอมูล รูปแบบที่อยูอาศัยแบบ ประเพณี และวิถีการอยูอาศัย วิเคราะหและประมวลขอมูลเปนชุดองคความรูเรื่อง รูปแบบทีอ่ ยูอ าศัยและวิถกี ารอยูอ าศัยซึง่ สะทอนคุณคาทางศิลปวัฒนธรรม เอกลักษณ และภูมิปญญาทองถิ่น 2. สํารวจและเก็บขอมูล บานตัวอยาง ทําการบันทึกขอมูลเกี่ยวกับรูปแบบ และวิถีชีวิตที่สัมพันธกับการใชพื้นที่ในแตละหลัง 3. ดานสื่อสารสนเทศ เปนการสังเคราะหองคความรูที่ไดจากภาคสนาม เกี่ยวกับรูปแบบที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัย พัฒนาเปนสื่อรูปแบบตางๆเพื่อใชใน การเผยแพรและสืบคนที่หลากหลาย เชน โปสเตอร เว็บไซต และวีดิทัศน 4. ดานขอมูลสารสนเทศ ศึกษา สํารวจและจัดเก็บขอมูลที่อยูอาศัย และ ขอมูลภูมิศาสตร สารสนเทศของครัวเรือนหรือที่อยูอาศัยตําแหนงตางๆ ในทางแผนที่ สงเปนชั้นขอมูลภูมิสารสนเทศของครัวเรือนหรือที่อยูอาศัย ขั้นตอนการดําเนินงาน
โครงการศึกษาวิจยั เพือ่ การจัดการความรูเ รือ่ งทีอ่ ยูอ าศัยและวิถกี ารอยูอ าศัย ผานภูมปิ ญ ญาทองถิน่ พืน้ ทีภ่ าคตะวันออกเฉียงเหนือ กรณีศกึ ษาในลุม นํา้ เลย มีขนั้ ตอน การศึกษา ดังนี้ 1. ศึกษา รวบรวม ขอมูลทุติยภูมิจากแหลงขอมูลจากเอกสารทางวิชาการ และสิ่งพิมพของหนวยงานตางๆ เชน ผลการศึกษาวิจัยหรือรายงานผลการสํารวจ ระดับพื้นที่ 2. ศึกษาสํารวจเบือ้ งตนพืน้ ทีศ่ กึ ษาดานสภาพกายภาพของทีอ่ ยูอ าศัย สภาพ ทางสังคม วัฒนธรรม 3. สํารวจและคัดเลือกตัวอยางเรือนกรณีศกึ ษา รวมกับตัวแทนจากการเคหะ แหงชาติ 4. สํารวจภาคสนาม สัมภาษณ เก็บรวบรวมขอมูลทีอ่ ยูอ าศัยทีเ่ ปนเรือนพืน้ ถิน่ ที่มีอยูในปจจุบัน จําแนกรูปแบบสถาปตยกรรม รวมถึงปจจัยอื่นที่มีผลตอวิถีชีวิตของ ผูอยูอาศัย
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 57
56 57
9/6/2558 1:14:58
5. รวบรวมองคความรู และภูมิปญญาทองถิ่นเกี่ยวกับการปลูกสราง ปรับเปลี่ยน ที่อยูอาศัยเพื่อใหสอดคลองกับวิถีชีวิตในทองถิ่น 6. พัฒนารางสื่อแบบออนไลนและแบบทางสถาปตยกรรมทั้งสองมิติ และสามมิติ เพื่อ รับฟงความคิดเห็นจากทองถิ่น และผูที่มีสวนเกี่ยวของกับการจะใชประโยชนจากผลการศึกษา 7. จัดประชุมรับฟงและระดมความคิดเห็นกับทุกภาคสวนที่เกี่ยวของ เชน ประชาชน องคกรทองถิ่น 8. พัฒนาสื่อสารสนเทศสําหรับการเรียนรูจากผลการศึกษา จัดทําเปนสื่อเพื่อจัดแสดง ในรูปแบบนิทรรศการทั้งสื่อสิ่งพิมพ (โปสเตอร) สื่อวีดิทัศน และสื่อแบบออนไลน (Website) ที่พรอมในการนําไปเผยแพรและสืบคน 9. นําเสนอผลการศึกษาในที่ประชุมจังหวัดเลย เพื่อสรางเครือขายความรวมมือในการ ใชประโยชนขอมูลจากการศึกษากับหนวยงานทองถิ่นที่เกี่ยวของทุกภาคสวน การสํ า รวจเบื้ อ งต น และการคั ด เลื อ กตั ว อย า งเรื อ นเพื่ อ จั ด ทํ า แบบทาง สถาปตยกรรม
การสํารวจภาคสนามเพื่อรวบรวมขอมูลรูปแบบและวิถีการอยูอาศัยแบบประเพณีใน พื้นที่อีสานบริเวณลุมแมนํ้าเลย ใน 4 อําเภอ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ อ.ภูหลวง อ.วังสะพุง อ.เมืองเลย และอ.เชียงคาน คณะวิจัยเลือกชุมชนกรณีศึกษาเพื่อสํารวจภาคสนามจากการทบทวนเอกสารที่ เกี่ยวของกับพัฒนาการดานประวัติศาสตรการตั้งถิ่นฐานอันเนื่องมาจากลักษณะภูมิประเทศ โดยเฉพาะการพักอาศัยแถบทีร่ าบลุม นํา้ เลย ประกอบกับการพิจารณาขอมูลจากเอกสารทุตยิ ภูมิ เกีย่ วกับทีอ่ ยูอ าศัยโดยเฉพาะรูปแบบทีเ่ ปนแบบประเพณี อันจะเปนหลักฐานสําคัญในการบันทึก องคความรูดานภูมิปญญาทองถิ่น การสํารวจภาคสนามเบื้องตนในพื้นที่ศึกษา พบวา มีเรือน พื้นถิ่นที่มีรูปแบบที่สะทอนถึงความสัมพันธกับวิถีวัฒนธรรมและภูมิปญญาทองถิ่นในการใชวัสดุ และการกอสราง จํานวน 69 หลัง โดยกระจายตัวในพื้นที่ลุมนํ้าเลยบริเวณ อ.ภูหลวง จํานวน 4 หลัง อ.วังสะพุง จํานวน 9 หลัง อ.เมืองเลย จํานวน 25 หลัง และ อ.เชียงคาน จํานวน 31 หลัง จึงไดทําการคัดเลือกเรือนตัวอยางกรณีศึกษาโดยกําหนดเกณฑในการพิจารณาเรือนพื้นถิ่น ที่เปนลักษณะเฉพาะอันเปนเอกลักษณของพื้นที่ โดยที่เกณฑที่ทําการคัดเลือกมีดังตอไปนี้ 1. รูปแบบเรือนมีเอกลักษณตามแบบประเพณีและเปนพัฒนาการสําคัญในพื้นที่ 2.รูปแบบการใชที่วางภายในเรือนที่เปนตัวแทนแบบแผนของเรือนแบบประเพณีที่ยัง คงเหลือหลักฐานในการศึกษาภูมิปญญาทองถิ่น
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 58
9/6/2558 1:14:58
3. เปนตัวแทนกลุมชาติพันธุที่สําคัญในลุมนํ้าเลย 4. มีความเสี่ยงในการที่จะไมสามารถรักษาหรืออนุรักษไวได เชน มีโอกาส ที่จะถูกรื้อถอนสูง 5. การกระจายตัวของเรือนตัวอยางมีความครอบคลุมอําเภอสําคัญที่เปน ตัวแทนพื้นที่ศึกษา ลุมนํ้าเลย 6. รูปแบบเรือนยังคงสภาพเรือนแบบประเพณีที่เปนเอกลักษณของพื้นที่ ศึกษา 7. สภาพของเรือนยังมีความสมบูรณ มีสิ่งแวดลอมการอยูอาศัยที่เชื่อมโยง กับแบบแผนการใชชีวิตที่สะทอนถึงภูมิปญญาทองถิ่น จากเกณฑทั้ง 7 ขอขางตน คณะวิจัยไดประชุมและสํารวจภาคสนามรวมกับ คณะกรรมการจากการเคหะแหงชาติเพื่อทําการคัดเลือกเรือนตัวอยางในการศึกษา เชิงลึก และทําการสํารวจเรือนตัวอยางจํานวน 15 หลัง กระจายอยูในพื้นที่ 4 อําเภอ ตลอดแนวลุมแมนํ้าเลย โดยแบงเปนอําเภอภูหลวง จํานวน 1 หลัง อ.วังสะพุง จํานวน 1 หลัง อ.เมืองเลย จํานวน 5 หลัง (ทําแบบสามมิติ 2 หลัง) และ อ.เชียงคาน จํานวน 8 หลัง (ทําแบบสามมิติ 3 หลัง) การสํารวจภาคสนามดําเนินการ 2 ลักษณะ ไดแก 1. การสังเกตและบันทึกกายภาพและสภาพแวดลอมของชุมชนและเรือน ทําการรังวัดและบันทึกพฤติกรรมการใชพื้นที่ระดับครัวเรือนเชิงลึก โดยพิจารณาจาก รูปแบบบาน การใชพื้นที่ภายในและภายนอกอาคาร รวมถึงการใชวสั ดุที่มีในทองถิ่น ทั้งนี้เพื่อทราบถึงวิถีชีวิตในการใชพื้นที่ทั้งในระดับเรือน บริเวณโดยรอบเรือนและ การใชพื้นที่ในระดับชุมชน เพื่อทําความเขาใจถึงความสัมพันธของผูคนในพื้นที่กับ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นในการปรับตัวใหเขากับสภาพแวดลอมโดยรอบที่มีผลตอการ สรางสรรครูปแบบที่เปนเอกลักษณของทองถิ่นที่มีความสัมพันธอยางแนบแนนกับ บริบทของพื้นที่ ทั้งดานกายภาพ เศรษฐกิจและสังคม-วัฒนธรรม 2. การสัมภาษณแบบมีโครงสรางโดยใชแบบสํารวจทําการสัมภาษณผเู ปน เจาของอาคารและประชาชนในพื้นที่ โดยที่เจาของเรือนจะเปนผูใหขอมูลเกี่ยวกับ ประวัติและอธิบายถึงการใชพื้นที่สวนตางๆภายในตัวเรือนและบริเวณโดยรอบ เพื่อ ใหทราบถึงขอมูลที่เกี่ยวของกับวัฒนธรรมการอยูอาศัย โดยมีแบบสํารวจที่ทําการ ออกแบบตามโครงสรางฐานขอมูลดานที่อยูอาศัยของการเคหะแหงชาติที่มีการ ดําเนินการโครงการเดียวกันนี้ในพื้นที่ 4 ภาคทั่วประเทศไทย และไดทําการสัมภาษณ
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 59
58 59
9/6/2558 1:14:58
เชิงลึกดานภูมิปญญาทองถิ่นเกี่ยวกับตัวเรือน และสภาพแวดลอมในการอยูอาศัยใน ระดับชุมชน รวมถึงวิถีชีวิตและประเพณีที่เกี่ยวของกับที่อยูอาศัยในลุมนํ้าเลย โดยทํา การสัมภาษณกลุม ประชากรทีม่ อี งคความรูแ ละเปนผูท มี่ สี ว นเกีย่ วของกับกระบวนการ ปลูกสรางทีอ่ ยูอ าศัยแบบประเพณี เชน ชางปลูกสรางเรือนโบราณ พราหมณผปู ระกอบ พิธี ผูสูงอายุ พระภิกษุ รวมถึง ผูนําของชุมชน
ภาพที่ 2: เรือนตัวอยางที่ศึกษา จํานวน 15 หลัง ผลจากการดําเนินโครงการ
โครงการศึกษาวิจยั เพือ่ การจัดการความรูเ รือ่ งทีอ่ ยูอ าศัย และวิถกี ารอยูอ าศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น (พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กรณีศึกษาพื้นที่ลุมนํ้าเลย ได ดําเนินการผลิตฐานขอมูลและสื่อรูปแบบตางๆเพื่อใหสอดคลองกับวัตถุประสงคใน การศึกษา ดังนี้ 1. สื่อสิ่งพิมพ ประเภทโปสเตอร เปนการสรุปผลจากการศึกษาทั้งในสวนที่ ทบทวนวรรณกรรมทีเ่ กีย่ วของกับเรือนพืน้ ถิน่ ในภาคอีสานในภาพกวาง และสวนทีเ่ ปน ขอมูลภาคสนามจากการสํารวจในพืน้ ทีล่ มุ นํา้ เลย โปสเตอรเปนสือ่ ทีจ่ ะใชประชาสัมพันธ และจัดแสดงนิทรรศการ เพื่อเผยแพรองคความรูที่ไดจากการศึกษาใหบุคคลสนใจ ทั่วไปเขาใจงายขึ้น โปสเตอรจํานวน 18 แผน เนื้อหาประกอบดวย ขอมูลพื้นฐานเกี่ยว กับการตั้งถิ่นฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รูปแบบเรือนอีสานและพัฒนาการที่อยู อาศัยในลุมนํ้าเลย จํานวน 3 แผน ซึ่งนําเสนอขอมูลในภาพกวางตั้งแตระดับมหภาค
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 60
9/6/2558 1:14:58
สูร ะดับพืน้ ทีศ่ กึ ษาในลุม นํา้ เลยและระดับชุมชน ซึง่ เนือ้ หาจะแสดงความเชือ่ มโยงและ สัมพันธกันของสภาพแวดลอมการตั้งถิ่นฐานที่มีผลตอวัฒนธรรมการอยูอาศัยของ ชาวอีสานอันเกิดจากภาพกวาง และโปสเตอรอีก 15 แผน เปนการนําเสนอขอมูล เรือนแตละหลัง ทั้งขอมูลเรือนและขอมูลสมาชิกในครัวเรือน รวมทั้งรายละเอียดทาง สถาปตยกรรมดานการใชวัสดุ โครงสรางและองคประกอบของเรือนในผังบริเวณโดย จะเนนเนื้อหาสวนที่เปนแบบรังวัดทางสถาปตยกรรมเพื่อใหเกิดความเขาใจเกี่ยวกับ รูปแบบเรือนทั้งในดานของสัดสวนทางสถาปตยกรรมที่เปนผลจากปจจัยแวดลอม ในพื้นที่ โดยเฉพาะการเลือกใชวัสดุและวิธีการกอสรางเรือนที่เปนทั้งศักยภาพ และ ขอจํากัดในการสรางสรรครูปแบบเรือนลักษณะตางๆ 2. สื่อวีดีทัศน จํานวน 4 เรื่อง นําเสนอเปนภาพเคลื่อนไหว เนนขอคนพบ ที่เปนผลจากการวิจัยภาคสนาม โดยเฉพาะวิถีชีวิตและการใชพื้นที่ในเรือน ประกอบ กับการสัมภาษณปราชญทองถิ่นที่เปนชางปลูกเรือนแบบโบราณ รวมทั้งนําเสนอภาพ เรือนในลักษณะสามมิติประกอบคําบรรยายเนื้อหาพื้นที่และองคประกอบสวนตางๆ ของเรือนพื้นถิ่นในลุมนํ้าเลย รวมถึงขั้นตอนในการกอสรางเรือน เนื้อหาวีดิทัศนทั้ง 4 เรื่อง ประกอบดวย 1. การตั้งถิ่นฐานและสภาพแวดลอมที่อยูอาศัยในลุมนํ้าเลย 2.รูปแบบและพัฒนาการที่อยูอาศัยในลุมนํ้าเลย 3. ภูมิปญญาในการปลูกสรางเรือน พืน้ ถิน่ ไทเลย 4. ภูมิปญญาและวิถีชีวิตไทเลย 3. สื่อเว็บไซต จํานวน 1 เว็บไซต เปนการสรุปขอมูลจากการศึกษาวิจัยเพื่อ นํามาเผยแพร ประกอบดวย 1. ความเปนมาและวัตถุประสงคของโครงการ 2. สภาพ แวดลอมการตั้งถิ่นฐาน 3. ขอมูลเรือนทั้ง 15 หลัง 4. สื่อวีดิทัศน จํานวน 4 เรื่อง 5. การเชื่อมโยงขอมูลสวนตางๆที่เกี่ยวของ เชน งานวิจัยเกี่ยวกับที่อยูอาศัยในภาค อีสาน ประเพณีและวิถีชีวิตชาวอีสาน เปนตน โดยที่สวนขอมูลเรือนประกอบไปดวย ขอมูลพื้นฐานของครัวเรือน และรายละเอียดทางสถาปตยกรรมดานการใชวัสดุ โครงสรางและองคประกอบของเรือนในผังบริเวณ ภาพถายสภาพแวดลอมบริเวณโดย รอบเรือน และองคประกอบเรือนทั้งภายใน และภายนอก รวมถึงแบบรังวัดทาง สถาปตยกรรมจากการสํารวจภาคสนาม
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 61
60 61
9/6/2558 1:14:58
ภาพที่ 3: แบบสํารวจภาคสนามเรือนตัวอยาง โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 62
9/6/2558 1:14:58
ภาพที่ 4: ภาพสามมิติ เรือนตัวอยาง
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 63
62 63
9/6/2558 1:14:58
ภาพที่ 5: ภาพสามมิติแสดงเรือนตัวอยาง
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 64
9/6/2558 1:14:59
องคความรูเรือนพื้นถิ่นในลุมนํ้าเลยจากการสํารวจภาคสนาม
จากขอมูลประวัติศาสตรการโยกยายถิ่นฐานของชุมชนสวนใหญในภาค อีสานที่มีการตั้งถิ่นฐานแบบดั้งเดิมนั้น ปรากฏหลักฐานวามีพื้นที่หลักสองแหงไดแก พื้นที่แองโคราชและแองสกลนคร ซึ่งจากการสํารวจภาคสนามของพื้นที่ทั้งสองแหง ในปจจุบนั พบวา ชุมชนบริเวณดังกลาวมีการเปลีย่ นแปลงสภาพแวดลอมและภูมทิ ศั น วัฒนธรรมเปนอันมาก ทั้งนี้เนื่องจากการตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ราบที่เหมาะแกการ ปลูกขาวและทําการเกษตรนั้น สามารถเขาถึงพื้นที่ไดโดยสะดวก ทําใหมีการพัฒนา โครงสรางพื้นฐาน เชน ถนนและสิ่งอํานวยความสะดวกเขาถึงเกือบทุกพื้นที่ การ เปลี่ยนแปลงดังกลาวทําใหชุมชนไดรับผลกระทบจากการพัฒนาสูความเปนเมือง อยางรวดเร็ว และที่อยูอาศัยก็เปนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงเหลานั้นดวย อยางไรก็ตาม พื้นที่ชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานบริเวณแถบลุมนํ้าเลย ถือไดวายังคงมี เอกลักษณที่สะทอนถึงภูมิปญญาทองถิ่น ยังสามารถพบรูปแบบที่อยูอาศัยที่สะทอน ถึงการดําเนินชีวิตของผูคนที่สัมพันธกับสภาพแวดลอมทางกายภาพ และทางสังคม วัฒนธรรม นอกจากนั้นยังเปนที่รวมของกลุมชาติพันธุที่หลากหลาย ซึ่งสวนใหญมี การอพยพมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไดแก กลุมชาติพันธุไทเลย ชุมชนบานนาออ อ.เมืองเลย, ไทดํา ชุมชนบานนาปาหนาด อ.เชียงคานและไทพวน ชุมชนบานกลาง อ.เชียงคาน จังหวัดเลย เปนตน ชุมชนบริเวณนี้มีพัฒนาการตอเนื่อง มี ทั้ ง เรื อ นพื้ น ถิ่ น ที่ มี รู ป แบบตามแบบประเพณี แ ละที่ มี ก ารปรั บ ตั ว ผสมผสานกั บ วัฒนธรรมภายนอก ดวยความหลากหลายและความสมบูรณของรูปแบบที่พักอาศัย บริเวณลุมนํ้าเลยจึงเปนพื้นที่ที่ยังคงพบรูปแบบที่อยูอาศัยดั้งเดิมที่เปนภูมิปญญา พื้นถิ่นภาคอีสานหลงเหลืออยู มีเอกลักษณทั้งในดานกายภาพ สภาพแวดลอม วิถีชีวิต และวัฒนธรรม จากการสํารวจภาคสนามในพื้นที่ศึกษาประกอบดวย ลักษณะทางกายภาพ ของที่พักอาศัย เชน รูปแบบ วัสดุและวิธีการกอสราง การตอเติม ซอมแซม และ ปรับปรุงอาคาร องคประกอบพืน้ ทีส่ ว นตางๆ รวมถึงขอมูลพืน้ ฐานดานสังคม-วัฒนธรรม ของครอบครัวที่เปนเจาของเรือนตัวอยาง เรือนที่ทําการสํารวจทั้งหมด มีจํานวน 15 หลัง มีรายละเอียดสําคัญที่พบจากการสํารวจดังนี้
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 65
64 65
9/6/2558 1:14:59
1. รูปแบบเรือน รูปแบบบานที่ทําการสํารวจ พบวา สวนใหญมีลักษณะเปน “เรือนจั่วเดียว” มากที่สุด จํานวน 4 หลัง คิดเปนรอยละ 27 ซึ่งพบวา มีการกระจายตัวอยูทางตอนใต ของพื้นที่ศึกษา โดยเฉพาะ อ.ภูหลวง และ อ.วังสะพุง เนื่องจากรูปแบบเรือนจั่วเดียว มีหลังคาคลุมชาน เปนรูปแบบที่ไดรับอิทธิพลจากกลุมไทลาวซึ่งเปนกลุมหลักในพื้นที่ ภาคอีสาน มีความเปนไปไดที่เปนรูปแบบของที่พักอาศัยของกลุมชาติพันธุชาวไทใต ซึ่งอพยพมาตั้งถิ่นฐานในจ.เลย และจาก จ.อุบลราชธานี จ.กาฬสินธุ จ.ยโสธร รูปแบบรองลงมาที่พบจะเปนแบบ “เรือนปนหยาและแบบเรือนมุข” ที่ผังพื้นเปน รูปตัวแอล (L) จํานวนรูปแบบละ 3 หลัง คิดเปนรอยละ 20 ทั้งสองรูปแบบ รูปแบบ ที่เปนเรือน “ปนหยาแบบเรือนสองมุข” ที่ผังพื้นเปนรูปตัวยู (U) จํานวน 2 หลัง คิดเปนรอยละ 13 “รูปแบบเรือนแถว” แบบมีระเบียงดานหนา จํานวน 2 หลัง คิดเปนรอยละ 13 ใชงานสําหรับการพักอาศัยเปนหลัก จากการสํารวจภาคสนาม พบวา รูปแบบเรือนแถวเปนรูปแบบที่ไดรับอิทธิพลจากการที่ชางผูกอสรางไปทํางาน กอสรางในพื้นที่เมือง โดยเฉพาะเมืองคาขายหลักอยาง เชียงคาน แลวจดจํารูปแบบ นําไปใชในการกอสรางในชุมชนและหมูบานที่อยูในชนบท โดยที่ไมไดมีกิจกรรม การคาขายอยางเชนในเมือง นอกจากนี้ ยังพบรูปแบบ “เรือนเหยา” ซึ่งเปนเรือน ชั่วคราวสําหรับครอบครัวใหมที่แยกออกมาจากครอบครัวพอแม จํานวน 1 หลัง คิดเปนรอยละ 7 ซึ่งรูปแบบที่พักอาศัยชั่วคราว ถือไดวาเปนแบบแผนการอยูอาศัย ที่สําคัญของครอบครัวชุมชนในภาคอีสาน และเปนรูปแบบเรือนที่หาไดยากแลวใน ปจจุบัน จึงไดทําการคัดเลือกเปนตัวอยางเพื่อจะไดสะทอนถึงภูมิปญญาและวิถีชีวิต ในการอยูอาศัยของคนอีสาน
ภาพที่ 6: เรือนจั่วเดียว (เรือนเซียหรือเรือนเกย)
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 66
9/6/2558 1:14:59
ภาพที่ 7: เรือนมุขหลังคาปนหยา ผังพื้นรูปตัวแอล
ภาพที่ 8: เรือนแถว (เรือนใตถุนตํ่า)
2. อายุเรือน เรือนตัวอยางเปนเปนสองกลุมใหญๆ หากจะจําแนกตามชวงอายุ เรือน รุนเกา อายุ 60 ป ขึ้นไป และเรือนรุนกลาง อายุตํ่ากวา 60 ปลงมา ซึ่งพบวา เรือนใน กลุมนี้มีจํานวนคอนขางกระจายตัว ตั้งแตอายุ 56 ป จนกระทั่งถึง 41 ป พบในพื้นที่ บานกลาง บานนาบอน บานนาปาหนาด และบานศรีโพนแทน ซึ่งตามประวัติการตั้ง ถิ่นฐานจะเปนหมูบานรุนหลัง และพบวา มีรูปแบบเรือนที่หลากหลาย และมีอิทธิพล ของรูปแบบเรือนกลุมคนจากที่อื่นเชน เรือนแถว เรือนมุขผังพื้นเปนรูปตัวยูและตัว แอล เปนตน โดยที่เรือนแถวจะเปนอิทธิพลของรูปแบบที่อยูอาศัยจากชาวจีนและชาว เวียดนามที่อพยพขามฝงแมนํ้าโขง ขณะที่เรือนมุข จะเปนรูปแบบเรือนในระยะหลังที่ เริ่มมีการกอสรางรูปแบบหลังคาที่มีความซับซอนเนื่องจากมีวสั ดุใหมๆ อยางสังกะสี ในการทํารางนํ้า และรูปแบบนี้ ถือไดวาเปนอิทธิพลที่ถายทอดมาจากรูปแบบบานพัก ขาราชการในชวงที่มีการกระจายอํานาจสูทองถิ่น ซึ่งเปนแบบแผนที่ไดรับอิทธิพล มาจากตะวันตกในชวงสมัยรัชกาลที่ 4 และ 5 รวมถึงอิทธิพลที่มาจากสถาปตยกรรม ยุคอาณานิคม (Colonial style) ของฝรั่งเศส จากสปป.ลาวและเวียดนาม สําหรับเรือนรุนเกา ที่มีอายุ 60 ปขึ้นไป พบรูปแบบเรือนซับซอนนอย โดยมากมักจะเปนรูปแบบจั่วเดียวและแบบปนหยา ซึ่งเปนรูปทรงหลังคาที่มีความ ซับซอนนอยกวาแบบมุข ทีม่ กี ารยืน่ รูปทรงหลังคาตามแบบแผนของผังพืน้ แบบจัว่ เดียว สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 67
66 67
9/6/2558 1:15:00
เปนแบบที่เรียบงาย กอสรางไมยาก เปนแบบแผนที่ถือไดวา เปนรูปแบบของเรือน ในภาคอีสานที่ไดรับอิทธิพลจากไทลาวซึ่งเปนกลุมชาติพันธุหลัก รูปแบบทั้งสองพบ กระจายตัวอยูตาม อ.ภูหลวง อ.วังสะพุง และบานนาออ อ.เมืองเลย 3. องคประกอบการใชพื้นที่ภายในเรือน แมวา รูปแบบเรือนมีความหลากหลาย แตจากผลการศึกษาภาคสนาม พบวา เรือนเหลานี้มีผังพื้นเรือนที่มีลักษณะคลายคลึงกัน ทั้งในพื้นที่ลุมนํ้าเลย และพื้นที่อื่น ในภาคอีสาน ซึง่ มีความเปนไปไดทวี่ ฒ ั นธรรมการอยูอ าศัยของชาวอีสานมีความสัมพันธ กับสิ่งแวดลอมในลักษณะเดียวกัน ตั้งแตระดับการเลือกที่ตั้งในระดับชุมชน จนกระทั่ง ถึงระดับเรือน ทั้งนี้เกิดคติความเชื่อทางสังคมที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมเดียวกัน โดย เฉพาะคติในการใชพื้นที่ของวัฒนธรรมกลุมไท-ลาว ทั้งที่อยูในภาคอีสานและที่อยูใน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อันเปนพื้นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวอีสานใน ลุมนํ้าเลยกอนที่จะอพยพเขาสูประเทศไทย กลาวคือ แบบแผนการใชพื้นที่ภายใน เรือนลุมนํ้าเลยมีองคประกอบหลัก ไดแก สวนเรือนนอน ชาน (เซีย หรือเสี่ย) และ เรือนครัว (เรือนไฟ) โดยที่ภายในสวนเรือนนอน มักจะเปนพื้นที่โลง ไมกั้นผนัง ประกอบดวยพื้นที่สวนฮองและสวมนอน “สวนฮอง” เปนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเปนที่ตั้งของหิ้งพระและหิ้งบรรพบุรุษ ใชประกอบพิธีทางศาสนาและบางครั้งมีการใชงานเพื่อรับรองแขกที่เปนญาติสนิท โดยมากจะเปนเครือญาติที่นับถือผีเดียวกันของครอบครัว ประกอบดวยพื้นที่ 1 หอง เสา และโดยมากมักจะเปนสวนที่ติดกับดานหนาเรือน และเปนดานทิศตะวันออก “สวมนอน” เปนพื้นที่โลง ไมมีการกั้นหอง มักจะใชตูหรือเครื่องเรือนเปน ตัวแบงพื้นที่กําหนดอาณาเขตสวนนอนของแตละครอบครัวดวยชวงเสา 1 ชวงเสา เปน 1 หองนอน ซึ่งคลุมพื้นที่นอนดวยมุง ภายในสวนเรือนนอน อาจประกอบดวย สวมนอนหลายหอง หากเปนเรือนที่มีผังพื้นเปนสี่เหลี่ยม มักจะประกอบดวย 2 หอง แตสวนใหญจากการสํารวจเรือนในพื้นที่ที่มักจะมีลักษณะผังพื้นเปนรูปตัวแอล หรือ ตัวยู จึงมักจะประกอบดวยจํานวนหองมากกวาสองหองขึ้นไป
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 68
9/6/2558 1:15:01
4. วัสดุและวิธีการกอสราง วัสดุที่ใชในการกอสราง เปนทรัพยากรที่หาไดในพื้นที่ชุมชนและบริเวณปา และภูเขาใกลหมูบาน เชน ทรายจากแมนํ้าเลย ปูนขาวจากการเผาหินปูนโดยนํามา จากภูเขาใกลๆหมูบาน รวมถึงดินจอมปลวกผสมดินเหนียวที่ใชทําแผนหลังคา และ อิฐดิน (ดินจี่) ก็มาจากบริเวณรอบตัวบาน โดยจะเผาจากเตาที่ทําขึ้นเองภายในบริเวณ บาน ซึ่งในปจจุบันมีการใชวัสดุจากทองถิ่นลดลงมาก ทั้งนี้เนื่องจากความสะดวก สบายในการเขาถึงวัสดุที่ผลิตในระบบอุตสาหกรรมที่จําหนายในรานคาใกลๆชุมชน จากการสํารวจเรือนตัวอยางพบวา การกอสรางจะใชชางที่มีในหมูบานที่มีการสอน สืบตอกันมา กอสรางโดยใชแรงงานของญาติพนี่ อ งและการลงแขกจากสมาชิกในชุมชน ชางจะเปนผูเตรียมวัสดุแตละสวน ตั้งแตเสา คาน หลังคาและผนัง โดยที่รูปแบบของ เรือนสวนใหญจะกําหนดโดยชางและผูเปนเจาของ ยังพบวามีการใชชางที่อพยพมา จากเวียดนามซึ่งหนีภัยสงคราม โดยคาจางแรงงานจะเปนการสนับสนุนดานอาหาร และที่พักอาศัยแกผูที่อพยพ สําหรับระยะเวลาในการกอสรางขึ้นอยูกับความพรอม ในการเตรียมวัสดุของเจาของเรือนวาจะเก็บสะสมไม และเขาไปตัดไมในปามาได มากนอยเพียงใด ซึ่งอาจจะใชเวลาในการกอสรางตั้งแต 2 เดือน จนถึง 4 ป แตระยะ เวลาในการยกเรือนจากการลงแขกของแรงงานญาติมิตรและอาสาสมัครในชุมชน มักจะใชเวลาไมเกิน 1 สัปดาห 5. การปรับปรุงและตอเติม การตอเติมและปรับเปลี่ยนพื้นที่ใชงาน สวนใหญเปนการแกปญหาในการ อยูอ าศัย เนือ่ งจากวิถกี ารดําเนินชีวติ ของผูค นเปลีย่ นไปจากเดิม ทัง้ ทีเ่ ปนผลจากปจจัย ทางเศรษฐกิจ สังคม และการผสานกลมกลืนทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะจากการที่มี ผูค นหลากหลายเชือ้ ชาติและหลากหลายกลุม ชาติพนั ธุอ ยางพืน้ ทีล่ มุ นํา้ เลย ทีอ่ ยูอ าศัย จึงจําเปนตองมีการปรับเปลี่ยนใหเหมาะสมและสอดคลองกับเงื่อนไขที่เปลี่ยนไป ตัวอยางเชน พื้นที่ชาน (เซีย) มีการตอเติมหลังคาคลุมเพื่อลดภาระในการซอมบํารุง จากการผุกรอนของพื้นไม สวนหองนํ้า-สวมมีการตอเติมเพื่อความสะดวกในการ ใชงานโดยเฉพาะในพื้นที่บนเรือน ทั้งนี้เนื่องจากการใชงานหองนํ้า-สวมนอกตัวเรือน อาจไมสะดวก โดยเฉพาะสําหรับผูสูงอายุ
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 69
68 69
9/6/2558 1:15:01
พัฒนาการเรือนพื้นถิ่นในลุมนํ้าเลย
จากการสํารวจเรือนพักอาศัยในลุมนํ้าเลยตั้งแตตอนตนนํ้าจนถึงปลาย สายนํ้าเลยที่ไหลลงแมนํ้าโขงที่อําเภอเชียงคาน อาจสรุปไดวา ลักษณะเรือนพักอาศัย มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาจนกระทั่งมีลักษณะรวมอันอาจกลาวไดวาเปนลักษณะ เฉพาะที่นิยมในแถบลุมนํ้าเลย ซึ่งแตกตางไปจากแถบอีสานตอนกลางบริเวณแอง สกลนคร โดยมีระยะการเปลี่ยนแปลงดังนี้ 1. ระยะเริ่มตน: เรือนแบบดั้งเดิม จากการศึกษากรณีตัวอยางเรือนในเขตลุมนํ้าเลย ที่แยกตามกลุมชาติพันธุ คือ ไทเลยที่บานนาออ ตําบลนาออ อําเภอเมือง ไทดําที่บานนาปาหนาด ตําบลเขา แกว อําเภอเชียงคาน และไทพวนที่บานกลาง ตําบลปากตม อําเภอเชียงคาน พบวา ในระยะแรก เรือนของแตละกลุมมีการรักษาลักษณะเฉพาะตามแบบแผนของกลุม ชาติพันธุ โดยเฉพาะในเรือนของชาวไทดํา ซึ่งยังคงมีการปลูกสรางเรือนที่มักเรียกกัน วาเปนทรงกระดองเตา อันถือวาเปนเรือนแบบดั้งเดิมของไทดํา ที่พบทั้งในเวียดนาม ในทางภาคกลางของประเทศไทย (วีระและคณะ, 2551:139-143) ซึ่งที่บานนา ปาหนาดก็ปลูกเรือนทรงกระดองเตาในระยะแรก เรือนประเภทนี้เปนเรือนที่ปูพื้น ดวยฟากและฝาเรือนก็เปนฟากดวยเชนเดียวกัน ภายในเรือนมีเตาไฟ ในขณะที่ที่ บานกลางที่เปนกลุมไทพวนและบานนาออที่เปนกลุมไทเลย ก็พบวา ในระยะแรกก็มี การปลูกเรือนแบบเกา ซึ่งในบานนาออ เรียกวา “เรือนกันสาด” หรือ “เรือนเซีย” ใน บานกลางก็ปลูกเรือนที่มีลักษณะคลายกัน เรียกวา เรือนเกาะเซีย ลักษณะเรือนเซีย หรือเรือนเกาะเซีย เปนเรือนในผังสี่เหลี่ยมผืนผา มีสวนของ “หนาคอง” หรือ “ฮอง” อันเปนทีต่ งั้ หิง้ พระหรือหิง้ ผีเรือนทีด่ า นหัวเรือน ถัดจากฮองเปนหองสวมนอนของพอแม สวนหองสวมนอนทายสุดเปนหองของลูกสาว ดานขางเรือนเปนระเบียงมีหลังคาลาด ลงมาคลุม เรียกวา เซีย ในเรือนเซียของบานนาออ พบวาในระยะแรกไมมีเรือนครัวแยก ออกมา แตจะวางเตาไฟไวบริเวณเซีย หลังคามุงดวยหญา พื้นและฝาเรือนเปนฟาก ไมไผ สวนเรือนเกาะเซียในบานกลางจะมีครัวไฟ โดยมีชานเชื่อมกับเรือนนอน ลักษณะ เรือนเซียนี้คลายกับเรือนแบบเกาในหลวงพระบางและเรือนในแถบอีสานตอนกลาง
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 70
9/6/2558 1:15:01
ภาพที่ 9: เรือนระยะแรกในลุมนํ้าเลย (จากซายไปขวา เรือนเซียในหลวงพระบาง (ที่มา: โซฟ และปแอร, 2003: 129, 143), เรือนกระดองเตา และเรือนเซียใน อ.วังสะพุง)
2. ระยะที่สอง: การเปลี่ยนแปลงแบบเรือนจากเรือนดั้งเดิม การเปลี่ยนแปลงแบบเรือนของหมูบานในลุมนํ้าเลย เกิดขึ้นในราวป พ.ศ. 2480 ลงมา ภายหลังจากที่อาคารจํานวนหนึ่งในจังหวัดเลยไดกอสรางอาคารหลังคา ทรงปนหยามีมุขและมุงหลังคากระเบื้องซีเมนตสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน เชน อาคาร ที่วาการอําเภอเมืองเลย ซึ่งเดิมคือ ศาลากลางจังหวัด สรางเสร็จในป พ.ศ. 2476 และ ยังมีอาคารสุขศาลาจังหวัดเลย สรางขึ้นในป พ.ศ.2479 ลักษณะอาคารเปนอาคารชั้น เดียวกอดวยอิฐฉาบปูน หลังคาทรงปนหยามีมุขสองขางเชนเดียวกัน และยังมีอาคาร พาณิชยที่อยูใกลๆกัน สรางในป พ.ศ. 2476 เปนอาคารสองชั้นหลังคามุงกระเบื้อง ซีเมนตรปู สีเ่ หลีย่ มขนมเปยกปูน (วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัตศิ าสตรฯ จังหวัดเลย, 103-104) ซึ่งอาคารพาณิชยทําประตูช้นั บนเปนบานเฟยม การกอสรางอาคารทางราชการซึง่ แสดงใหเห็นถึงความมัน่ คงทางการปกครอง ทําใหเมืองเลยเริม่ พัฒนาโดยมีการสรางอาคารพาณิชยมากขึน้ รวมทัง้ ในเชียงคานดวย ชางพื้นบานในหมูบานชนบทออกไปรับจางกอสรางในเมือง จึงไดเรียนรูรูปแบบทาง สถาปตยกรรมใหมๆ และเริ่มนําเขามาเผยแพรในหมูบาน หลัง พ.ศ. 2480 เปนตนมา ตามหมูบานเริ่มมีการรื้อถอนเรือนแบบเกาที่ไมคอยถาวรนักมาเปนเรือนไมทั้งหลัง ทํารูปลักษณะหลังคาเปนทรงปนหยาและจั่วปนหยาหักฉากตามแบบสถาปตยกรรม ในเขตเมืองทั้งในเชียงคานและเมืองเลย เปลี่ยนแปลงวัสดุมุงจากหญาเปนกระเบื้อง ดินเผาที่ชาวบานทําไดเองเพื่อใหเขากับรูปแบบเรือนแบบใหม นอกจากนั้นในระยะนี้ ชางในหมูบานยังนําเอาแบบพิมพกระเบื้องซีเมนตเขามา ทําใหรูปแบบเรือนมีทั้งมุง กระเบื้องดินเผาและมุงกระเบื้องซีเมนต เรือนเหลานี้จํานวนมากนิยมทําบานประตู สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 71
70 71
9/6/2558 1:15:01
เปนบานเฟยมเลียนแบบลักษณะของเรือนแถวหรืออาคารรานคาในเมืองที่ตองการ เปดดานหนาอาคารตลอดแนวเพือ่ คาขาย ลักษณะเรือนเชนนีพ้ บแพรกระจายอยูท วั่ ไป ในแถบลุมนํ้าเลย ตั้งแตอ.ภูหลวง อ.วังสะพุง ไปจนถึง อ.เชียงคาน แบบเรือนเชนนี้ จึงถือวาเปนแบบเฉพาะที่เปนเอกลักษณและนิยมกันมากทั้งเขตลุมนํ้าเลย ในชวง พ.ศ. 2480 ซึ่งพบเรือนลักษณะเชนนี้ทั้งในบานกลาง ต.ปากตม บานนาปาหนาด ต.เขาแกว อ.เชียงคาน และบานนาออใน อ.เมืองเลย อยางไรก็ตาม ลักษณะทางพลวัตที่มีกระแสการรับรูปแบบเรือนจากในเมือง ทําใหมเี รือนแบบทีร่ บั อิทธิพลจากแบบเรือนแถวหรือเรือนรานคาในเมืองในเวลาตอมา ไมนาน ซึ่งมักหันหนาเรือนหาทางสัญจรและเอาเรือนครัวไฟไวดานหลัง โดยมีการ ลําดับจากหัวเรือนที่เปนหองฮอง หองสวม และมีครัวไฟอยูตอนทายเรือนตามแบบ ประเพณีของภาคอีสาน 3. ระยะที่สาม: พัฒนาการตอเนื่องของเรือน ตั้งแตพ.ศ. 2495 เปนตนมา การคมนาคมเขาสูจังหวัดเลยมีความสะดวก มากขึ้น มีทางลัดจากกรุงเทพฯ โดยแยกจากอําเภอชุมแพ-ภูเขียว-ไปบรรจบถนน มิตรภาพที่อําเภอสีคิ้ว (เติม. 2530: 326) นอกจากนั้นมีการขนสงสินคามาทางรถไฟ ลงที่ขอนแกนแลวขนสงตอเขามาในจังหวัดเลยมากขึ้น ซึ่งสังกะสีก็เปนวัสดุที่ขนสง เขามาในจังหวัดเลยและกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเรือนในระยะเวลาตอมา ซึ่ง เรือนในรุนที่เปนเรือนหลังคาปนหยาหรือจั่วปนหยาที่มุงดวยกระเบื้องดินเผาหรือ กระเบื้องซีเมนตที่มีหลังคาสูงชัน ตอมาแมวาจะรักษาแบบแผนผังของเรือนไว แตสวน หลังคาก็มีการทําใหมีความลาดชันนอยลง เนื่องจากสังกะสีไมตองการความชันมาก เหมือนการมุงกระเบือ้ งแผนเล็ก และยังมีแบบเรือนทีร่ บั อิทธิพลจากเรือนแถวมุงหลังคา ดวยสังกะสี นิยมทําใตถุนเรือนตํ่าลงมาก เพื่อใหสวนระเบียงตอเนื่องกับลานดาน หนาที่ติดกับทางสัญจร ทําใหมีลักษณะคลายเรือนชั้นเดียว นิยมเอาครัวไฟไวดานหลัง โดยมีหลังคาจั่วเชื่อมกับจั่วของเรือนนอน ลักษณะหลังคาลาดตํ่ากวาแบบเดิม เชน เรือนที่บานศรีโพธิ์แทน ต.นาซาว อ.เชียงคาน อยางไรก็ตามเรือนเชนนี้ที่ทําเปนเรือน สองชั้นก็มีเชนเดียวกัน โดยชั้นลางจะตีฝาปดทั้งหมด ทําใหไมมีลักษณะของเรือนแบบ มีใตถุนโลง และหันหนาเรือนหาทางสัญจร มีครัวไฟอยูทางดานหลังเรือน ในระยะแรก มักวางหลังคาจั่วไปตามเสนทางสัญจร แตตอมาก็วางจั่วโดยหันหนาจั่วเขาหาถนน
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 72
9/6/2558 1:15:01
ภาพที่ 10: พัฒนาการรูปแบบเรือนในลุมนํ้าเลย (จากซายไปขวา เรือนเกยหรือเรือนเซีย เรือนปนหยาหักฉาก เรือนแบบเรือนแถว (เรือน ใตถุนตํ่า)) ขอเสนอแนะจากการศึกษา
จากการรับฟงความคิดเห็นจากภาคประชาชน หนวยงานทองถิ่น และภาค เอกชนที่เกี่ยวของพบวา โครงการรวบรวมองคความรูดานที่อยูอาศัยที่เนนการจัดทํา ฐานขอมูลเพื่อนําไปเผยแพรใหเกิดความรูความเขาใจในลักษณะพรอมใชงานอยาง โครงการวิจัยนี้ จะมีการนําไปสูการใชประโยชนอยางจริงจังเพื่อสรางความตระหนักรู และเขาใจถึงภูมิปญญาเกี่ยวกับการกอสรางที่อยูอาศัย ทําใหเกิดความภาคภูมิใจและ เปนประโยชนตอการอนุรักษเรือนแบบโบราณในการที่จะเปนหลักฐานสําคัญสําหรับ การซอมแซม และนําไปประยุกตใชใหเกิดประโยชนสําหรับการปลูกสรางที่อยูอาศัย ที่มีเอกลักษณในทองถิ่น โดยเฉพาะรูปแบบเรือนอันมีเอกลักษณที่เกิดจากภูมิปญญา ของชางและทรัพยากรที่มีอยูในทองถิ่นประเด็นที่นาสนใจ ไดแก การนําขอมูลแบบ เรือนจากการสํารวจไปตอยอดเพื่อจัดทําเปนแบบบานสําหรับประชาชนในพื้นที่โดย หนวยงานทองถิ่น ซึ่งปจจุบันกระบวนการในการขออนุญาตปลูกสรางอาคารนั้น ชาวบานในพื้นที่ ตองมีการจัดทําแบบและยื่นตอเทศบาล และเนื่องจากการดําเนิน การเปนกระบวนการที่ยุงยากในการที่ตองหาผูออกแบบ เขียนแบบบาน รวมถึงการ ดําเนินการขออนุญาตปลูกสรางอาคาร ดังนั้น การเตรียมแบบบานสําหรับประชาชน จึงเปนทางออกที่นาสนใจในการที่ประชาชนจะสามารถนําแบบไปกอสรางไดใน วงกวาง ทั้งยังเปนการนํารูปแบบที่อยูอาศัยที่มีเอกลักษณของทองถิ่นสําหรับใน เชิงเทคนิคนัน้ การกอสรางทีอ่ ยูอ าศัยในทองถิน่ ควรมีการกระตุน ใหเกิดการจัดการ และ สรางแหลงทรัพยากรธรรมชาติในทองถิ่นใหเอื้อตอการเปนวัสดุทางเลือกในพื้นที่เพื่อ ความยัง่ ยืนในการกอสรางทีอ่ ยูอ าศัยในระยะยาว รวมทัง้ ประชาชนในพืน้ ทีส่ ามารถมี สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 73
72 73
9/6/2558 1:15:01
ที่อยูอาศัยเปนของตนเองไดในงบประมาณที่มีความเหมาะสม จากทรัพยากรที่มีอยู ในทองถิ่น ซึ่งในอนาคตเทคนิคและวิธีการในการกอสราง คนในพื้นที่จะมีสวนสําคัญ อยางยิ่งในการที่จะสรางสรรครูปแบบที่อยูอาศัยที่เปนเอกลักษณและสอดคลองกับ สภาพแวดลอมและวัฒนธรรมการใชชีวิต นอกจากนี้ ในดานการรวบรวมองคความรูเกี่ยวกับภูมิปญญาทองถิ่นดาน ที่อยูอาศัย ถือวามีความจําเปนอยางยิ่งทั้งนี้ เนื่องจากที่อยูอาศัยแบบประเพณีไดลด จํานวนลงไปอยางรวดเร็วจากการเสื่อมสภาพและขาดการใหความสําคัญซึ่งสาเหตุ หลักเกิดจากการขาดองคความรูแ ละการถายทอดขอมูลอยางเปนระบบ จากการศึกษา ภาคสนามครั้งนี้พบวา ยังพอมีรูปแบบเรือนพื้นถิ่นอีกจํานวนมากที่ยังสามารถเปน ตัวอยางสําหรับการศึกษาเอกลักษณทอ งถิน่ และนําไปเปนตนแบบสําหรับการประยุกต รูปแบบที่อยูอาศัยที่สะทอนอัตลักษณของทองถิ่น ตลอดจนมีความสอดคลองกับ สภาพแวดลอมทั้งดานกายภาพและดานสังคม-วัฒนธรรมในภูมิภาคได ซึ่งการสราง องคความรูเ รื่องที่อยูอาศัยสูทุกภาคสวนถือเปนบทบาทสําคัญของการเคหะแหงชาติ ในฐานะองคกรหลักที่ดําเนินนโยบายดานที่อยูอาศัยโดยตรง ดังนั้น จึงจําเปนตองมี การดําเนินการอยางตอเนื่อง กิตติกรรมประกาศ
คณะวิจัย ขอขอบคุณเจาของเรือนทุกหลังที่ใหขอมูลเกี่ยวกับเรือนพื้นถิ่น และใหการตอนรับคณะวิจัยระหวางการสํารวจภาคสนามเปนอยางดี ขอขอบคุณฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติผูสนับสนุนทุน ในการวิจัย ขอขอบคุณทีมงานสํารวจภาคสนาม จัดทําแบบสถาปตยกรรมและทีมงาน ผลิตสื่อรูปแบบตางๆ ประกอบดวย: เถลิงรัฐ ทีคําแกว, นันทศักดิ์ สิริเสน (FinView Studio), พิมพชนก ศรีสุริยะมาตย นักศึกษาหลักสูตรสถาปตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต: ชายชาญ ดานสวัสดิกลุ , ธวัชชัย ศรีแกว, และชินวัฒน มนัสมาศเจริญ นักศึกษาหลักสูตร สถาปตยกรรมศาสตรบัณฑิต: ดุษฎี สุมมาตย, เฉลิมวัฒน วงศชมภู, ภาคยพงศ งอยผาลา, จักรี ชูศรีทอง, จตุพล หาญโสภา, อายุสต ศรีจินดา, อภิสิทธิ์ สายเนตร, ฉัตริน ปญญาพูนตระกูล, พิพัฒน อุปาจันโท โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 74
9/6/2558 1:15:02
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
คณะกรรมการฝายประมวลเอกสาร และจดหมายเหตุ. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร เอกลักษณและภูมิปญญาจังหวัดเลย. จัดพิมพเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542. คณะกรรมการหมูบาน อพป. บานกลาง. เอกสารบรรยายสรุป โครงการประกวดหมูบานอาสา พัฒนาและปองกันตนเอง (อพป.) หมูบานกลาง หมูที่ 3 ต.ปากตม อ.เชียงคาน จ.เลย, 11 ก.ค. 2546. จันทนีย วงศคํา. ชุมชนและเรือนไทเลย. ขอนแกน: คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัย ขอนแกน. 2548. เชี่ยวชาญ ชิตชม. สถาปตยกรรมบานไทเลย: ศึกษากรณีบานนาออ ตําบลนาออ อําเภอเมือง จังหวัดเลย. วิทยานิพนธศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาไทยศึกษาเพื่อการพัฒนา. สถาบันราชภัฏเลย. 2546. เติม วิภาคยพจนกิจ. ประวัตศิ าสตรอสี าน. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. 2530. ทรงยศ วีระทวีมาศ, นพดล ตั้งสกุล, สุดจิต สนั่นไหว และจันทนีย วงศคํา. สถาปตยกรรม สิ่งแวดลอมในเรือนพื้นถิ่นไท-ลาวในภาคอีสานของประเทศไทย และในสปป.ลาว. ในชุดโครงการวิจัยภูมิปญญา พัฒนาการ และความสัมพันธกันระหวางเรือนพื้นถิ่นไทไทย: ลักษณะของสถาปตยกรรมสิ่งแวดลอมในเรือนพื้นถิ่น (เมธีวิจัยอาวุโส สกว. 2545) ทุนอุดหนุนจากสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. 2548. ทวี พรมมา. เรือนไทดําบานนาปาหนาด ตําบลเขาแกว อําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย, วิทยานิพนธ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 2541. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานสถาน พ.ศ. 2525. กรุงเทพ: ราชบัณฑิตย สถาน. พิมพครั้งที่ 5. (หนา 254). 2525. เรืองเดช ปนเขื่อนขัติย. ภาษาถิ่นตระกูลไทย (พรอมทั้งภาษาตระกูลตางๆ ในประเทศไทย). ฉบับเพิ่มเติมแกไข. กรุงเทพฯ: โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. 2531. วารุณี (ภูสนาม) หวัง. “การศึกษารูปแบบและการกอสรางบานพักอาศัยทีเ่ หมาะสมสําหรับเกษตรกร ในชนบทของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”. ใน การพัฒนาชนบททีย่ งั่ ยืน. เอกสารประกอบ การประชุมทางวิชาการป 2552. ขอนแกน: โรงพิมพคลังนานาวิทยา, หนา 264-270. 2552. วีระ อินพันทัง, ตนขาว ปาณินท, อภิรดี เกษมศุข และโชติมา จตุรวงศ, “โลกของไทดํา”, ใน เรือนพื้นถิ่นไทย-ไท, กรุงเทพฯ: สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 125-158. 2551. ศรีศักร วัลลิโภดม. แองอายธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพมติชน, 2533.
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 75
74 75
9/6/2558 1:15:02
ศูนยวัฒนธรรมจังหวัดเลย. สมบัติเมืองเลย. เลย: รุงแสงธุรกิจการพิมพ, 2541. สาขาการออกแบบอุตสาหกรรม คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน. โครงการศึกษา สังเคราะหและนําอัตลักษณทางวัฒนธรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อนํา มาใชเปนทุนในการสรางสรรคใหสามารถประยุกตใชในการพัฒนาสรางคุณคา และ มูลคาเพิ่มใหกับผลิตภัณฑ. เสนอตอ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดยอม (ISMED). ขอนแกน: คณะสถาปตยกรรมศาสตร, 2555. สมชาย นิลอาธิ. “เรือนอีสานและประเพณีการอยูอาศัย”. ใน สถาปตยกรรมอีสาน. เอกสาร ประกอบการสัมมนา เอกลักษณสถาปตยกรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: เมฆาเพรส, หนา 137-140. 2530. สมนึก พลซา. เลาขาวกับวิถีชุมชน: กรณีศึกษาบานนาออ ตําบลนาออ อําเภอเมือง จังหวัดเลย. วิทยานิพนธศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยศึกษาเพื่อการพัฒนา. สถาบันราชภัฏ เลย. 2546. สุจินต เพชรดี. 300 ปแหงการตั้งถิ่นฐานบานนาออ อําเภอเมือง จังหวัดเลย (2536-2543). ม.ป.ท. 2543. สุวิทย ธีรศาศวัต และดารารัตน เมตตาริกานนท. ประวัติศาสตรอีสานหลังสงครามโลกครั้ง ที่สองถึงปจจุบัน. ขอนแกน: โรงพิมพคลังนานาวิทยา. 2541. อรศิริ ปาณินท. "เรือนพื้นถิ่นไทย-ไท" ใน เรือนพื้นถิ่นไทย-ไท. กรุงเทพฯ: สํานักงานกองทุน สนับสนุนงานวิจัย (สกว.) 2551. ภาษาตางประเทศ Fathy, H. (1976). Architecture for the poor. Chicago: The University of Chicago Press. 2nd edition. Ilbery, B. (1998). “Dimensions of Rural Changes”. in The Geography of rural change. London: Addison Wesley Longman Limited. Janssen, J. J.A. (2003). Building with bamboo: A handbook. Warwick shire: ITDG Publishing. 2nd edition. Oliver, P. (1987). Dwelling: the house across the world. Austin: University of Texas Press. Rudofsky, B. (1981). Architecture without architects: A short introduction to non-Pedigreed architecture. Hong Kong: Fifth impression. Schliesinger, J. (2001). Tai Groups of Thailand, Volume 2, Profile of the Existing Groups, Bangkok: White Lotus. สุนันทา กันละยา กัดติยะสัก และคณะ. แปล. จาก Sophie Clement–Charpentier และ Pierre Clement. เฮือนลาวในเขตเวียงจันและหลวงพระบาง. เหลม ที่ 1, เวียงจัน: จําปา กานพิม. 2003.
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 76
9/6/2558 1:15:02
A Study for Knowledge Management on Local Wisdom through Traditional Housing and People’s Way of Life in the Northeastern Region: Case Study of the Loei River Basin Assistant Professor Dr. Nopadon Thungsakul Assistant Professor Dr. Songyot Weerataweemat Sukanya Prommanart Assistant Professor Atip Utaiwattananond Assistant Professor Kunlasri Thungsakul
Faculty of Architecture Khon Kaen University Abstract
Vernacular house is the architecture for living that has been created harmoniously with its local environments. Consequently, the study of housing styles and settlements in each region can manifest an understanding of the relations and adaptations to their natural settings, living environments, economic conditions and socio-cultural contexts. Presently, housing style and construction methods have been changed from time to time, therefore a current condition of the transformation of house style has accelerated the loss of cultural identity and the decline of local wisdom. This research, “A Study for Knowledge Management on Local Wisdom through Traditional Housing and People’s Way of Life in the Northeastern Region”, has been conducted aiming to collect local ways in constructing traditional house style and people’s lifestyle in order to dissimilate the knowledge from research findings in a various forms of medias for public to learn in accordance with their interests. Field research conducted in 4 districts along the Loei River Basin where traditional houses that have reflected Isan identity can still be found,
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 77
9/6/2558 1:15:02
Vernacular house is the architecture for living that has been created harmoniously with its local environments. Consequently, the study of housing styles and settlements in each region can manifest an understanding of the relations and adaptations to their natural settings, living environments, economic conditions and socio-cultural contexts. Presently, housing style and construction methods have been changed from time to time, therefore a current condition of the transformation of house style has accelerated the loss of cultural identity and the decline of local wisdom. This research, “A Study for Knowledge Management on Local Wisdom through Traditional Housing and People’s Way of Life in the Northeastern Region”, has been conducted aiming to collect local ways in constructing traditional house style and people’s lifestyle in order to dissimilate the knowledge from research findings in a various forms of medias for public to learn in accordance with their interests. Field research conducted in 4 districts along the Loei River Basin where traditional houses that have reflected Isan identity can still be found, including Phuluang district, Wangsapung district, Muang district and Chiangkhan district through 15 various house styles selected as house samples that reflected the development of housing style in the focused area. Research outputs are pursuing the main objective which has emphasized on dissimilating research findings in the form of information technology database and various forms of media. Information from the house’s owners and locals’ interview along with the measurement of selected house samples from field research are displayed in twodimensional and three-dimensional drawing including the animation of three-dimension model. People way of life and their use of interior spaces were also recorded. Architectural drawings are presented through variety forms of media including printed media in a poster format, website, electronic book and video since the viewer’s interests are varied. โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 78
9/6/2558 1:15:02
The results reveal that the community settlements along the Loei River Basin have maintained traditional housing styles that reflected local wisdom in accordance with people’s way of life, sociocultural factors and their living environments. Moreover, this area has also the melting pot for the settlement of diverse ethnicities including Tai Loei, Tai Dam and Tai Phouane. Housing styles have indicates a continuous development from various factors in the area, from the one that indicate the traditional Northeastern housing style, the Sae House or the Koei House, to the recently developed style which has influenced from row house in urban area, the Gable-roofed and the Low-under floored-space Style. Housing construction methods and materials have show a harmonious relationship between the management and the use of available local resources associated with social and physical dimensions through the creation of local craftsmanship that built up on the concepts of appropriateness and sustainability
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 79
9/6/2558 1:15:02
โปสเตอร: สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยภาคกลาง
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 80
9/6/2558 1:15:02
การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น
พื้นที่ภาคกลาง1
กรณีศึกษา เรือนไทยพื้นถิ่นเมืองเพชรบุรี ผูชวยศาสตราจารย ดร. วันดี พินิจวรสิน อาจารย จตุพล อังศุเวช สุภางคกร พนมฤทธิ์
คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร บทคัดยอ
จากการที่การเคหะแหงชาติ โดยฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย ตระหนักถึง คุณคาของภูมิปญญาในบานเรือนที่เปนอยูอาศัยในแตละทองถิ่น ซึ่งกําลังมีจํานวน ลดลงอยางมากและเกิดปญหาดานการเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่สงผลตอการสูญเสีย อัตลักษณของทองถิ่นในหลายทองที่ จึงไดกําหนดใหมีศึกษาวิจัยเพื่อจัดการความรู เรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่นขึ้น ทั้งนี้เพื่อรวบรวมองค ความรูรูปแบบที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยของคนไทย มาจัดการความรู ประมวล เปนชุดองคความรูแลวผลิตเปนสื่อในรูปแบบตางๆเผยแพรใหสาธารณชนไดเรียนรู และนําไปพัฒนาตอยอดเพื่อสืบสานภูมิปญญาใหคงอยูคูกับประเทศไทยตลอดไป งานวิจัยนี้มุงเนนศึกษาบานเรือนไทยพื้นถิ่นในภูมิภาคภาคกลาง และบทความนี้มุง เนนนําเสนอผลการศึกษาสวนของการรวบรวมองคความรูรูปแบบที่อยูอาศัยและวิถี การอยูอาศัยของทองถิ่นในภูมิภาคนี้
บทความวิจัยสรุปผลโครงการวิจัย วันดี พินิจวรสิน และคณะ. โครงการศึกษาวิจัยเพื่อ จัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคกลาง. สนับสนุนทุนวิจัยโดย การเคหะแหงชาติ ประจําป พ.ศ. 2556.
1
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 81
80 81
9/6/2558 1:15:02
พื้นที่เลือกสรรสําหรับการศึกษานี้อยูในบริเวณชุมชนบานละหานใหญ (หมู 5) ตําบลตําหรุ และบานไรสะทอน (หมู 4) ตําบลถํ้ารงค อําเภอบานลาด จังหวัด เพชรบุรี เนือ่ งจากเปนพืน้ ทีศ่ กึ ษาทีย่ งั คงบานเรือนทีม่ ศี กั ยภาพการดํารงอยูข องคุณคา ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปญญาที่สัมพันธกับสภาพแวดลอมและวิถีชีวิตของทองถิ่น การศึกษาไดทําการเลือกศึกษาและสํารวจบานเรือนไทยพื้นถิ่น ในเบื้องตนจํานวน 30 หลัง และในรายละเอียดจํานวน 15 หลัง และ 5 หลัง โดยวิธีการสังเกต และ สัมภาษณ จากการศึกษาพบขอคิดสําคัญที่สามารถกลาวไดเปน 2 สวน สวนแรก คือ ลักษณะและองคประกอบในภูมิทัศนของบานในพื้นที่ศึกษา ซึ่งแสดงใหเห็นถึงความ สัมพันธกับระบบนิเวศ ทรัพยากร และวิถีชีวิตของทองถิ่น องคประกอบเหลานี้ นอกจากจะสะทอนถึงความสัมพันธเชิงสังคมของชุมชน อันสงผลตอภาพลักษณของ ทองถิ่นแลว ยังแสดงใหเห็นถึงการปรับตัวที่ยังคงรักษาความสัมพันธของวิถีชวี ิตและ สภาพแวดลอม โดยเฉพาะการประกอบอาชีพทางการเกษตรตามแนวคิดเศรษฐกิจ พอเพียง สวนที่สองเปนสวนของลักษณะเรือน เรือนไทยเมืองเพชรในพื้นศึกษา สวนใหญยังคงมีลักษณะตามแบบแผนประเพณีของทองถิ่น ซึ่งเปนเรือนไมยกพื้นสูง หลังคาจั่วคูทรงสูงของเรือนประธานและหอหนา ลอมรอบดวยระเบียงขาง และบาง องคประกอบที่แสดงออกถึงอัตลักษณเฉพาะตามวิถีในการอยูอาศัยและความเชื่อ ของทองถิ่นและของบรรพบุรุษตามแตละครัวเรือน อยางไรก็ตาม เรือนเหลานี้มี การเปลี่ยนแปลงอยางตอเนื่อง ซึ่งสามารถแบงไดเปน 2 สวน สวนแรก คือ การ เปลี่ยนแปลงในเรือนชั้นบน ซึ่งมักเปนในแนวทางอนุรักษ และสรางความสอดคลอง กับลักษณะทางสถาปตยกรรมในรูปแบบประเพณีของทองถิ่น ยังผลใหเกิดสัดสวน ของเรือนที่มีอัตลักษณเฉพาะและเกิดสุนทรียภาพของความลดหลั่นของรูปทรงเรือน กับสภาพแวดลอม สวนที่สองคือการตอเติมบริเวณใตถุนเรือน ซึ่งพบไดโดยทั่วไปใน ชุมชน แมวาการตอเติมนี้สงผลตอการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณของทองถิ่น แตก็ยัง แสดงใหเห็นถึงความเคารพตอสิ่งที่มีคุณคาดั้งเดิม จากการศึกษาพบวาแมวาวิถีชีวิต ที่สัมพันธกับเรือนในพื้นที่ศึกษามีการเปลี่ยนแปลงไป แตเรือนเหลานี้ยังคงสะทอน ใหเห็นทั้งการอนุรักษความเปนประเพณีและการปรับตัวตามวัสดุและเทคโนโลยีที่ เปลี่ยนแปลงไป โดยยังสามารถสรางใหเกิดสุนทรียภาพทางสถาปตยกรรม วิถีชีวิต และสภาพแวดลอมของทองถิ่นไดอยางลงตัว
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 82
9/6/2558 1:15:02
คําสําคัญ
- ภาคกลาง (Central region) - เรือนพื้นถิ่น (vernacular house) - เรือนไทยเมืองเพชร (traditional house in Phetchaburi) - ภูมิปญญาทองถิ่น (local wisdom) - การจัดการความรู (knowledge management) - สื่อสารสนเทศ (communication media)
ความนํา
เนื้อนาแหง “เมล็ดชีวิต” ที่สุดก็คือบานของมนุษยในโลก ทิพยสุดา ปทุมานนท. 2539. กําเนิดสถาปตยกรรม.
บานเรือนพื้นถิ่นเปนสถาปตยกรรมเพื่อการอยูอาศัยที่มีรูปแบบ และวัสดุ ที่ใชในการกอสรางที่แตกตางกัน ตามแตละสังคมวัฒนธรรม ทองที่ และยุคสมัย บานเรือนเหลานีม้ วี วิ ฒ ั นาการทีก่ ารตกทอดกันมาจากรุน สูร นุ เปนแหลงขององคความรู ที่มีคุณคาดานศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลาย และนับเปนมรดกทางวัฒนธรรมที่สําคัญ ที่สะทอนความเปนเอกลักษณของทองถิ่น อยางไรก็ตาม บานเรือนเหลานี้ไดรับผลก ระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดลอม สังคม และเศรษฐกิจ และความ เจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีการกอสรางที่พัฒนาไปใชวัสดุ กอสรางในระบบอุตสาหกรรมและสามารถกอสรางที่อยูอาศัยในรูปแบบเดียวกัน จํานวนมากในเวลารวดเร็ว กอใหเกิดปญหาดานรูปแบบและเอกลักษณของทีอ่ ยูอ าศัย ของทองถิ่นเปลี่ยนแปลงไป การเคหะแหงชาติ โดยฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย ได ตระหนักถึงคุณคาของภูมิปญญาทองถิ่นในบานเรือนเหลานี้ จึงเห็นความจําเปนตอง ศึกษาวิจัยในการรวบรวมองคความรูรูปแบบที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยของ คนไทย เพือ่ มาจัดการความรูแ ละประมวลเปนชุดองคความรูแ ลวผลิตเปนสือ่ ในรูปแบบ ตางๆ เผยแพรใหสาธารณชนไดเรียนรูและนําไปพัฒนาตอยอดเพื่อสืบสานภูมิปญญา ใหคงอยูคูกับประเทศไทยตลอดไป
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 83
82 83
9/6/2558 1:15:02
ในภูมิภาคภาคกลางเปนพื้นที่หนึ่งที่มีการพัฒนาสูความเปนเมืองอยางมาก ซึง่ สงผลกระทบตอบานเรือนพืน้ ถิน่ หรือทีอ่ ยูอ าศัยในรูปแบบเรือนไทยของหลายชุมชน มีจาํ นวนลดลงอยางมากตามไปดวย อยางไรก็ตามบานเรือนทีส่ ะทอนความสําคัญของ ทองถิ่นและสัมพันธไปกับวิถีชีวิตความเปนอยู และสภาพแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงไปก็ ยังคงมีหลงเหลืออยูในหลายทองที่ ที่อยูอาศัยในรูปแบบเรือนไทยของชุมชนชาวบาน ที่ยังคงหลงเหลือในแถบภาคกลางเหลานี้จะมีลักษณะอยางไร บานเรือนที่เปนมรดก ทางวัฒนธรรมเหลานีม้ กี ารเปลีย่ นแปลงและสะทอนใหเห็นภูมปิ ญ ญาของการปรับตัว ของทองถิ่นอยางไรบาง แมวาในปจจุบันมีการศึกษาเรือนไทยพื้นถิ่นในภูมิภาคภาค กลางอยางกวางขวาง แตก็ยังคงมีเรือนไทยพื้นถิ่นในอีกหลายทองถิ่นของภูมิภาคนี้ที่ สมควรไดรับการศึกษาคนควา ตลอดจนการประมวลขอมูล จัดทําเปนชุดความรู และ ขอมูลสารสนเทศ ภายใต “โครงการศึกษาวิจัยเพื่อจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และ วิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น” การเคหะแหงชาติ โดยฝายวิชาการพัฒนา ที่อยูอาศัย จึงมอบใหคณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ได ดําเนินการวิจัยในภูมิภาคภาคกลางนี้ โครงการศึกษาวิจัยฯนี้สามารถแบงการดําเนินการไดเปน 2 สวนหลัก สวน แรกเปนการศึกษาและรวบรวมองคความรู และภูมปิ ญ ญาของเรือนไทยพืน้ ถิน่ ในพืน้ ที่ เปาหมายของการศึกษาที่ครอบคลุมทั้งมิติทางกายภาพ และมิติทางวัฒนธรรม และ สวนที่สองเปนการจัดทําสื่อชุดองคความรูในรูปแบบตางๆ รวมทั้งการจัดเก็บขอมูล เปนชั้นขอมูลภูมิสารสนเทศของที่อยูอาศัยและองคประกอบที่เกี่ยวของ บทความนี้ มุงเนนนําเสนอผลการศึกษาตอภูมิปญญาในการปรับเปลี่ยนสภาพแวดลอมในการ อยูอาศัยที่สัมพันธกับวิถีในการอยูอาศัยของชาวบานในพื้นที่ศึกษา นอกจากนี้ ยังมี การกลาวถึงผลการจัดทําชุดสื่อความรูโดยสังเขปดวย การศึกษานี้เปนงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเนนการศึกษาภาคสนามในพื้นที่ เลือกสรรเพื่อการศึกษา ซึ่งจะมีการอธิบายในรายละเอียดตอไป วิธีการเก็บขอมูลใช การสังเกต การสัมภาษณ และการศึกษาภาคเอกสารที่เกี่ยวของ ขอมูลที่ไดรับทั้งหมด ถูกวิเคราะหดวยวิธีการวิเคราะหขามกรณีศึกษา (Cross-case analysis) และการ จัดกลุม (Classification) เพื่อใหเกิดความเขาใจถึงลักษณะและการเปลี่ยนแปลงของ บานเรือนที่สัมพันธกับปจจัยทางสังคมวัฒนธรรมและสภาพแวดลอมของทองถิ่น จากนัน้ จึงนําขอมูลจากการศึกษาทัง้ หมดมาประมวล และจัดทําเปนชุดสือ่ ความรู และ สื่อสารสนเทศเพื่อการเผยแพรสูสาธารณะตอไป โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 84
9/6/2558 1:15:02
พื้นที่เลือกสรรเพื่อการศึกษา
บานเรือนพืน้ ถิน่ ในรูปแบบเรือนไทยทีย่ งั คงสะทอนคุณคาทางศิลปวัฒนธรรม เอกลักษณ และภูมิปญญาทองถิ่นนั้น ยังคงมีหลงเหลืออยูในหลายทองที่ของภูมิภาค ภาคกลาง อยางไรก็ตาม บานเรือนทีม่ คี ณ ุ คาเหลานีต้ า งมีลกั ษณะและการเปลีย่ นแปลง ที่แตกตางกันออกไปตามเงื่อนไขของสภาพแวดลอมและความซับซอนของสังคม และ วัฒนธรรมของแตละทองถิ่น (วันดี พินิจวรสิน 2547) ประกอบกับการศึกษานี้มี เปาหมายในการเก็บขอมูลทั้งลักษณะสถาปตยกรรมและวิถีชีวิตที่สัมพันธกับบริบท สภาพแวดลอมโดยละเอียด พืน้ ทีศ่ กึ ษาสําหรับงานวิจยั นีจ้ งึ ควรมีบริบททางสังคมและ สภาพแวดลอมทีใ่ กลเคียงกัน คณะผูว จิ ยั พิจารณาเห็นวาบานเรือนทีย่ งั คงลักษณะไทย ในจังหวัดเพชรบุรี มีเอกลักษณที่มีความโดดเดน มีคุณคาที่จะทําการศึกษา เก็บขอมูล และจัดทําเปนสื่อชุดความรูในอันดับแรกของภูมิภาคนี้ จังหวัดเพชรบุรีนับเปนเมืองที่มีประวัติศาสตรความเปนมาที่ยาวนาน จาก หลักฐานทางประวัตศิ าสตรชใี้ หเห็นวาบริเวณเมืองโบราณของจังหวัดมีอายุตงั้ แตสมัย ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) ขอบเขตธรณีสัณฐานของจังหวัดมีการเปลี่ยนแปลง อยางตอเนือ่ งโดยเฉพาะการกัดเซาะและการทับถมของดินตะกอนบริเวณชายฝง ทะเล ที่เดนชัดที่สุดคือพื้นที่ในเขตอําเภอบานแหลม ซึ่งคาดวานาจะเกิดขึ้น และมีการตั้ง ถิ่นฐานชุมชนตั้งแตในสมัยรัตนโกสินทรเปนตนมา (นิพัทธพร เพ็งแกว 2550) จังหวัด เพชรบุรีนอกจากจะเปนเมืองที่เคยรุงเรืองและมีความสําคัญมาในกลุมหัวเมือง ตะวันตกตั้งแตสมัยอดีต ยังเปนจังหวัดที่มีแมนํ้าเพชรบุรี ซึ่งเปนสายนํ้าที่ผานจังหวัด เพชรบุรีเพียงจังหวัดเดียว และมีความหลากหลายของระบบนิเวศตั้งแตภูเขาจนถึง ทะเล แมนํ้าเพชรบุรีจึงทําใหพื้นที่ของจังหวัดนอกจากจะมีความหลากหลาย และ อุดมสมบูรณดวยทรัพยากรธรรมชาติแลว ยังเปนแหลงในการตั้งถิ่นฐานที่สําคัญของ ผูคนมาอยางตอเนื่องและมีความหลากหลายทางชาติพันธุ บานเรือนสวนใหญมกั ตัง้ อยูส องฟากของลํานํา้ เพชรบุรี โดยเฉพาะในบริเวณ เขตลุม นํา้ ตอนลาง จากอําเภอทายางไปจนถึงอําเภอบานแหลม ในปจจุบนั ทีอ่ ยูอ าศัย ในรูปแบบเรือนไทยที่ยังแสดงศักยภาพที่สัมพันธกับการดํารงชีวิตของทองถิ่นยัง ปรากฏใหเห็นอยูใ นหลายทองทีข่ องจังหวัด และไดถกู ทําการศึกษาในเชิงสถาปตยกรรม ไปแลวในหลายสวน การศึกษาที่สําคัญ ไดแก โครงการวิจัย เรื่อง “ภูมิปญญาและ พัฒนาการของเรือนพื้นถิ่นลุมนํ้าเพชรบุร”ี โดย อรศิริ ปาณินท และคณะฯ (2551)
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 85
84 85
9/6/2558 1:15:02
ในชุดโครงการวิจัย เรื่อง “การศึกษาเพื่ออนุรักษและพัฒนาสิ่งแวดลอมสรรคสรางลุม นํ้าเพชรบุรี” โครงการวิจัยนี้ไดมุงเนนและศึกษาความสัมพันธของเรือนพื้นถิ่นบริเวณ ลุมนํ้าเพชรบุรีกับภูมิปญญาในการดํารงชีพตามประเภทของสภาพแวดลอมที่มีความ หลากหลาย อันไดแก ชาวสวน (กรณีศึกษาในตําบลบานกุม อําเมืองจังหวัดเพชรบุรี) ชาวไร (ในตําบลไรมะขาม อําเภอบานลาด) ชาวนาหรือการทํานาขาว (ในตําบลยาง หยอง อําเภอทายาง) การทํานาเกลือ (ในตําบลบานแหลม อําเภอบานแหลม) และ ชาวประมง (ตําบลบางขุนไทร อําเภอบานแหลม) งานวิจัยนี้มิไดเจาะจงเฉพาะที่อยู อาศัยในรูปแบบเรือนไทยเพียงอยางเดียว แตมีการศึกษาเรือนที่มีลักษณะพื้นถิ่นและ องคประกอบสถาปตยกรรมอื่นๆที่สัมพันธกับสภาพแวดลอม และวิถีในการดํารงชีวิต อีกดวย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเรื่อง “ความหลากหลายทางวัฒนธรรมการปลูกสราง เรือนไทยแหงลุมนํ้าเพชรบุรี” โดย วีระ อินพันทัง (2553) ซึ่งแสดงใหเห็นถึงความเปน ทวิลกั ษณของทีอ่ ยูอ าศัยในรูปแบบเรือนไทย อันมีลกั ษณะทีส่ อดคลองกับวัฒนธรรม ความเชื่อของกลุมชน สําหรับการศึกษานี้ มุงเนนกรณีศึกษาในกลุมชาติพันธุไทย (ในบริเวณตําบลทาชาง อําเภอบานลาด) จีน (ในบริเวณตําบลบานแหลม อําเภอ บานแหลม) และมุสลิม (ในบริเวณตําบลทาแรง อําเภอบานแหลม)
ภาพที่ 1: แผนที่แสดงเขตลุมนํ้าของจังหวัดเพชรบุรี ที่มา: กรมสงเสริมคุณภาพสิ่งแวดลอมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 86
9/6/2558 1:15:02
จากการศึกษาตอชุมชนพื้นถิ่นของจังหวัดทําใหพบวายังมีอีกหลายพื้นที่ ของจังหวัดเพชรบุรีที่ยังคงมีที่อยูอาศัยในรูปแบบเรือนไทยที่เกาะกลุมในลักษณะ ชุมชนมีความสัมพันธไปกับวิถชี วี ติ ในการทํากินภายใตระบบนิเวศของตนเองอีกหลาย พืน้ ที่ และมีความเหมาะสมในการศึกษาสําหรับงานวิจยั นี้ คณะผูว จิ ยั จึงนําเสนอพืน้ ที่ ศึกษาในบริเวณอําเภอบานลาดใน 2 พื้นที่ คือ บานละหานใหญ (หมู 5) ตําบลตําหรุ อําเภอบานลาด จังหวัดเพชรบุรี และบานไรสะทอน (หมู 4) ตําบลถํ้ารงค อําเภอบาน ลาด จังหวัดเพชรบุรี
ภาพที่ 2: พื้นที่ศึกษาในตําบลถํ้ารงคและตําบลตําหรุ ในอําเภอบานลาด จังหวัดเพชรบุรี ที่มา: ปรับปรุงจากแผนที่ภูมิศาสตรจังหวัดเพชรบุรี กรมแผนที่ทหาร
บานและเรือนไทยพื้นถิ่นในชุมชนบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ และบาน ไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค หรือเรียกวาเรือนไทยเมืองเพชร จัดเปนลักษณะหนึ่งของ เรือนไทยภาคกลาง ซึ่งมีลักษณะตามแบบแผนเฉพาะของจังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากมี สกุลชางเปนของตนเอง หรือที่เรียกวาสกุลชางเมืองเพชร เรือนไทยเมืองเพชรเหลานี้ ไดรับการยกยองวาเปนเรือนที่มีรูปทรงที่งดงามและมีความประณีตทางฝมือชาง
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 87
86 87
9/6/2558 1:15:03
(ฤทัย ใจจงรัก 2518; สมภพ ภิรมย 2531; วีระ อินพันทัง 2553) แมวาในภาพรวม เรือนไทยเมืองเพชรมีลักษณะคลายเรือนไทยภาคกลาง คือ มีลักษณะเปนเรือนไม ชั้นเดียว ยกพื้นสูง ทรงเรือนสอบเขา มีหลังคาทรงสูงจอมแหที่มีปนลมปดหัวและทาย และมีรายละเอียดองคประกอบทางโครงสรางพื้นฐานที่คลายคลึงกัน แตมีลักษณะ บางสวนที่แตกตางออกไป (ฤทัย ใจจงรัก 2518; วีระ อินพันทัง 2553) บริบทสภาพแวดลอมของพื้นที่ศึกษา
จังหวัดเพชรบุรีมีหลักฐานการอยูอาศัยของผูคนมาอยางตอเนื่อง และมี ความหลากหลายทางชาติพันธุ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่เขตลุมนํ้าตอนกลาง และเขต ลุมนํ้าตอนลางของแมนํ้าเพชรบุรี ในบริเวณพื้นที่อําเภอทายาง และอําเภอบานลาด ซึ่งเคยเปนปาสมบรูณและถูกทําใหเปนพื้นที่ปาเปด จึงทําใหมีประชาชนเขาไปจัดตั้ง บานเรือนและสรางพื้นที่ทํากินจํานวนมาก และสวนใหญมักตั้งอยูสองฟากของลํานํ้า เพชรบุรี (กรมสงเสริมคุณภาพสิ่งแวดลอม 2546) โดยเฉพาะอําเภอบานลาด ซึ่งใน ปจจุบันมีพื้นที่ทั้งหมด 298,138 ตารางกิโลเมตร ประกอบดวย 18 ตําบล 95 หมูบาน นับเปนพืน้ ทีท่ มี่ คี วามสําคัญทีม่ แี หลงโบราณคดีอยูม าก และในปจจุบนั ยังคงมีบา นเรือน ที่อยูอาศัยในรูปแบบเรือนไทยและยังแสดงศักยภาพที่สัมพันธกับการดํารงชีวิตของ ทองถิ่นปรากฏใหเห็นอยูมากมาย
บานละหานใหญ ตําบลตําหรุ
ตําบลตําหรุ เปน 1 ใน 18 ตําบลที่ตั้งอยูในเขตการปกครองของอําเภอ บานลาด ครอบคลุมพื้นที่ 5,768 ไร ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปของตําบลตําหรุ เปนที่ราบลุมเหมาะสมกับการทําเกษตรกรรม โดยมีแมนํ้าเพชรบุรีไหลผานจากตอน เหนือลงสูตอนใต ตลอดแนวทางทิศตะวันออกของตําบลและเปนเสนเขตติดตอกับ ตําบลถํ้ารงค สวนทางตะวันตกของตําบลมีหวยมะกอกไหลผานตลอดแนวเปนเสน เขตติดตอกับตําบลไรสะทอน ภายในตําบลมีหวยละหานใหญไหลผานบริเวณทาง ตอนบนลงมาบรรจบกับหวยมะกอก นอกจากนี้ ภายในตําบลยังมีทางหลวงจังหวัด หมายเลข 3179 ตัดเลียบขนานกับคลองชลประทานสายใหญฝงซาย 1 สาย ซึ่งถนน สายนี้ตัดผานกลางตําบล เดิมตําบลตําหรุ ประกอบดวย 12 หมูบาน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ ตําบลถํ้ารงคดวย แตภายหลังไดแยกออกไป ในปจจุบันตําบลตําหรุ ประกอบดวย
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 88
9/6/2558 1:15:03
6 หมูบาน มีจํานวนประชากร 2,866 คน 812 ครัวเรือน ประชากรของตําบล สวนใหญประกอบอาชีพเกษตรกรรม และแตละครัวเรือนมักประกอบอาชีพมากกวา หนึง่ อาชีพขึน้ ไป หรือทําควบคูก นั ไป เชน ทํานา ทําไร ทําสวน เลีย้ งสัตว และรับจางทัว่ ไป สวนบานละหานใหญ (หมูที่ 5) ที่ถูกเลือกเพื่อทําการศึกษานั้น ชื่อของหมูบานมีการ สะกดในลักษณะอื่นๆ ดวย เชน บานละหานใหญ บานหานใหญ และบานระหารใหญ เปนตน โดยถูกเรียกมาจากลักษณะสภาพภูมปิ ระเทศทีต่ งั้ อยูร มิ แองนํา้ หรือลําละหาน ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตรวาละหานนี้เคยเปนสายนํ้าเกาของแมนํ้าเพชรบุรี (แสนประเสริฐ ปานเนียม 2550) ลําละหานนี้เปนแหลงนํ้าจืดที่มีความอุดมสมบูรณ และมีความสําคัญตอการดํารงชีวิตของชาวบานเปนอยางมาก
ภาพที่ 3: ขอบเขตและสภาพแวดลอมบริเวณตําบลตําหรุ ที่มา: ปรับปรุงจาก http://www.earth.google.com
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 89
88 89
9/6/2558 1:15:03
การตั้งถิ่นฐานของชุมชนบานละหานใหญมีมาตั้งแตสมัยอยุธยาตอนกลาง (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 19-21) สภาพแวดลอมของชุมชนเปนที่ราบลุม มีกลุมบาน ที่ถูกโอบลอมดวยพื้นที่ในการทําการเกษตรกรรม โดยมีแองนํ้าหรือลําละหานซึ่งเปน แหลงนํ้าที่สําคัญสําหรับชุมชนอยูทางดานทิศตะวันออก ควบคูไปกับการมีระบบ ชลประทานไหลผานดานทิศตะวันตกของชุมชน ซึง่ เปนพืน้ ทีท่ าํ การเกษตรกรรมหลัก ของชาวบาน การตั้งบานเรือนมีลักษณะเกาะกลุมของเครือญาติ กระจายตัวบริเวณ โดยรอบแองนํ้า และถนนที่ตัดเขาพื้นที่ชุมชน ภายในชุมชนมีศาลากลางบาน (ชื่อวา “ศาลาประกาศวชิรธรรม”) ไวเปนที่ประกอบพิธีกรรมประเพณีที่สําคัญของชุมชน และมีโรงสีชุมชนอยูดวย ในปจจุบันบานละหานใหญมีจํานวนประชากรทั้งสิ้น 471 คน 128 ครัวเรือน ชาวบานสวนใหญประกอบอาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร เชน การทํานาและการขึ้นตาล การทําพืชสวน และพืชไร และการทําการเกษตรแปรรูป อื่นๆ
ภาพที่ 4: สภาพแวดลอมและวิถีชีวิตของชาวบานในชุมชนบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 90
9/6/2558 1:15:03
บานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค
ตําบลถํ้ารงค อําเภอบานลาด มีพื้นที่ครอบคลุมทั้งหมดประมาณ 6,438 ไร (10.3 ตารางกิโลเมตร) พื้นที่สวนใหญของตําบลเปนที่ราบลุมนํ้าทวมถึง มีภูเขา ขนาดเล็ก 5 แหง มีแมนํ้าเพชรบุรีไหลผานทางทิศตะวันตก และมีลําหวยไหลผาน ทุกหมูบาน ทําใหเปนพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณเหมาะแกการทําการเกษตรกรรม พื้นที่ของตําบลมีถนนสายบานลาด–พุกาม เปนสายหลักภายในตําบล และมีถนน เพชรเกษม และถนนเรียบคลองชลประทานตัดผาน เสนทางสัญจรเหลานี้ทําใหตําบล มีการคมนาคมที่สะดวก ซึ่งทําใหเกิดการขนสงสินคาพืชผลออกสูภายนอกไดรวดเร็ว จากความเกาแกของหลวงพอดํา ซึ่งเปนพระพุทธภาพที่ชุมชนชาวบานเคารพศรัทธา มาชานาน ทําใหคาดวาชุมชนในบริเวณตําบลถํ้ารงคนาจะมีอายุหลายรอยป หรือ เกือบพันป ในอดีตสภาพแวดลอมของตําบลถํ้ารงคนั้นมีสภาพเปนปา และมีบาน เรือนตั้งอยูประปราย ตําบลถํ้ารงค ซึ่งแยกออกมาเขตพื้นที่ของตําบลตําหรุในป พ.ศ. 2522 ปจจุบันแบงเขตการปกครองออกเปน 6 หมูบาน มีจํานวนประชากรทั้งสิ้น 3,427 คน 951 ครัวเรือน ประชากรของตําบลสวนใหญประกอบอาชีพที่หลากหลาย เชน เกษตรกรรม คาขาย รับจางทั่วไป และรับราชการ ชาวบานจะมีการจัดกิจกรรม การละเลนตามประเพณีทกี่ ระจายไปตามหมูต า งๆของตําบลในทุกๆป และมีการจัดตัง้ กลุมพิพิธภัณฑพื้นบานที่เปนการรวบรวมมรดกทางวัฒนธรรมและการจัดแสดง ความเปนมาทางประวัติศาสตรของทองถิ่นของตําบลอีกดวย สวนบานไรสะทอน (หมู 4) ในปจจุบันประกอบดวย 163 ครัวเรือน และ มีประชากร 469 คน สภาพแวดลอมชุมชนมีทั้งที่เปนภูเขาสูงและที่ราบ โดยมีแมนํ้า เพชรบุรีไหลผานบริเวณที่ราบเปนที่ตั้งของบานเรือนที่อยูอาศัยในลักษณะของเกาะ กลุมกันของเครือญาติและถูกโอบลอมดวยพื้นที่ในการทําการเกษตร ในละแวกชุมชน ที่อยูอาศัยนอกจากจะมีบานเรือนเรียงตัวไปตามถนนของชุมชนที่สามารถเชื่อมตอ กับถนนเพชรเกษม (ถนนหลวงสาย 35) ยังมีองคประกอบอื่นๆ เชน วัด โรงเรียน และ ที่ทําการองคบริหารสวนตําบลถํ้ารงคซึ่งตั้งอยูนอกเขตพื้นที่ตั้งของกลุมบานเรือน อีกดวย ในบริเวณชุมชนที่อยูอาศัยประกอบดวย เรือนคาขาย โรงสีชุมชน และบาน เรือนที่สวนใหญยังคงมีลักษณะไทยที่สอดคลองไปกับวิถชี ีวิต และแสดงศักยภาพของ ความเปนพื้นถิ่น โดยเฉพาะบานเรือนที่อยูริมถนนจะมีกฎเกณฑในการจัดระบบ ภูมิทัศนรวมกันของชุมชนจึงทําใหเกิดบรรยากาศในการอยูอาศัยที่มีลักษณะเฉพาะ ที่รมรื่นและเปนระเบียบ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 91
90 91
9/6/2558 1:15:03
ภาพที่ 5: ขอบเขตและสภาพแวดลอมบริเวณตําบลถํ้ารงค ที่มา: ปรับปรุงจาก Google earth
ภาพที่ 6: สภาพแวดลอมและวิถีชีวิตของชาวบานในชุมชนบานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 92
9/6/2558 1:15:04
การเลือกสรรบานเรือนในการศึกษา
การศึกษานี้เนนการศึกษาและสํารวจลักษณะเรือนไทยพื้นถิ่นและวิถีชีวิต การอยูอาศัยในชุมชนบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ และบานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค ซึ่งมีการดําเนินการเก็บขอมูลตั้งแตเดือนเมษายน 2555 จนถึงมกราคม 2556 ทั้งนี้ มีการศึกษา และสํารวจเรือนไทยเมืองเพชรของทั้งสองชุมชนในเบื้องตนจํานวน 30 หลัง จากนั้นทําการคัดเลือกบานจํานวน 15 หลัง (10 หลัง ในบานละหานใหญ ตําบล ตําหรุ และ 5 หลัง ในบานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค) เพื่อจัดทําแบบทางสถาปตยกรรม 2 มิติ และคัดเลือกใหเหลือ 5 หลัง เพื่อจัดทําแบบ 3 มิติ บานจํานวน 15 หลังที่ถูก คัดเลือกเพื่อทําการศึกษาโดยละเอียด ถูกนํามาวิเคราะหและประมวลขอมูล เพื่อการ จัดเก็บและนําเขาระบบฐานขอมูล และจัดทําชุดองคความรูสื่อสารสนเทศเพื่อการ เผยแพรตอไป ทั้งนี้ มีเกณฑในการคัดเลือกเรือนจํานวน 15 หลัง ดังนี้ - เรือนที่ศึกษามีการกระจายตัวทั่วถึงครอบคลุมพื้นที่เปาหมายโครงการ - เปนเรือนที่มีลักษณะรูปแบบตามแบบแผนภูมิปญญาทองถิ่น - เปนเรือนที่ไมถูกตอเติมหรือดัดแปลงจนเสียรูปเมื่อพิจารณาในองครวม - ประวัติความเปนมาของเรือน และความสําคัญตอพื้นที่ - เปนเรือนที่แสดงใหเห็นความสัมพันธของวิถีชีวิตและอาชีพในทองถิ่น จากการศึกษาในเบื้องตนพบวา เรือนสวนใหญมีการปรับปรุงตอเติมเพื่อ สนองตอบความตองการในการใชสอยเรือนที่เปลี่ยนแปลงไป มีเพียงสวนนอยที่ยังคง แบบแผนของเรือนในรูปแบบดั้งเดิมของชุมชน และบางหลังมีการเปลี่ยนแปลง โครงสรางเรือนโดยใชโครงสรางสมัยใหม ดังนั้นเกณฑในการพิจารณาเลือกเรือน จํานวน 5 หลัง นอกจากจะคํานึงถึงลักษณะเรือนที่มีความโดดเดนและเปนไปตาม แบบแผนประเพณีของชุมชนแลว ยังคํานึงถึงลักษณะการเปลี่ยนแปลงของเรือน การ เลือกเรือนจํานวน 5 หลัง จึงครอบคลุมทั้งเรือนที่มีอายุเกาแกและยังคงลักษณะตาม แบบแผนดั้งเดิม และเรือนที่สรางขึ้นใหม โดยมีการประยุกตใชวัสดุและอุปกรณสมัย ใหมในการปลูกสรางเรือนอีกดวย ทั้งนี้ตําแหนงเรือนที่ถูกคัดเลือกเพื่อการศึกษาใน จํานวน 30, 15 และ 5 หลัง ดังแสดงในภาพ
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 93
92 93
9/6/2558 1:15:05
ภาพที่ 7: ตําแหนงเรือนที่การศึกษาจํานวน 30 หลัง (ซาย) เรือนที่ศึกษาจํานวน 17 หลัง ในบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ (ขวา) เรือนที่ศึกษาจํานวน 13 หลัง ในบานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค
นอกจากนี้เนื่องจากโครงการวิจัยฯนี้มีการดําเนินการคูขนานใน 4 ภูมิภาค และเพือ่ ใหเกิดมาตรฐานในการดําเนินงานจึงมีการกําหนดรหัสตอเรือนทีท่ าํ การศึกษา โดยมีความหมาย คือ จังหวัด – แหลงเรียนรู – เรือน ตัวอยางรหัสบาน PBI-Tar-001 มีความหมาย ดังนี้ PBI หมายถึง จังหวัดเพชรบุรี Tar หมายถึง แหลงเรียนรูในตําบลตําหรุ และ Thr หมายถึง แหลงเรียนรู ในตําบลถํ้ารงค 001 หมายถึง เรือนหลังที่ 1
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 94
9/6/2558 1:15:05
เรือนหลังที่ 1 รหัสเรือน PBI-Tar-001
เรือนหลังที่ 2 รหัสเรือน PBI-Tar-002
เรือนหลังที่ 3 รหัสเรือน PBI-Tar-004
เรือนหลังที่ 4 รหัสเรือน PBI-Tar-005
เรือนหลังที่ 5 รหัสเรือน PBI-Tar-006
เรือนหลังที่ 7 รหัสเรือน PBI-Tar-013
เรือนหลังที่ 8 รหัสเรือน PBI-Tar-014
เรือนหลังที่ 9 รหัสเรือน PBI-Tar-015
เรือนหลังที่ 10 รหัสเรือน PBI-Tar-016
เรือนหลังที่ 10 รหัสเรือน PBI-Tar-016
เรือนหลังที่ 11 รหัสเรือน PBI-Thr-018
เรือนหลังที่ 12 รหัสเรือน PBI-Thr-020่่
เรือนหลังที่ 13 รหัสเรือน PBI-Thr-026
เรือนหลังที่ 14 รหัสเรือน PBI-Thr-027
เรือนหลังที่ 15 รหัสเรือน PBI-Thr-030
ภาพที่ 8: เรือนที่พิจารณาเลือกเพื่อศึกษาในรายละเอียดจํานวน 15 หลัง
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 95
94 95
9/6/2558 1:15:05
วัฒนธรรมความเปนอยูและการปรับเปลี่ยนในบานละหานใหญและ บานไรสะทอน
ทุงนาและตนตาลนับเปนภูมิทัศนที่สําคัญของบริเวณที่ราบลุมนํ้าเพชรบุรี โดยเฉพาะในพื้นที่อําเภอบานลาด ในอดีตอาชีพหลักของชาวบานในบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ และบานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค คือ การทํานา การขึ้นตาล การทํา ผลผลิตจากตนตาลโตนด โดยเฉพาะนํ้าตาล และบางสวนมีการทําเครื่องจักสาน การ ทํานาในอดีตเปนการทํานาปและจะใชวัวเปนหลักในการทํานา และใชเกวียนในการ ขนขาว เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวชาวบานก็จะขนขาวเพื่อมาทําขาวโดยการใชวัวยํ่าและ เดิน วนรอบเสาเปนวงกลม ในการยํา่ ขาวนีช้ าวบานมักมีการลงแรงวัวเอามาชวยกันอีกดวย เมือ่ ไดขา วแลวก็นาํ มาตากบริเวณปาละเมาะหลังบาน โดยแตละบานจะมีลานตากขาว เปนของตนเองจากนัน้ จึงนําขาวมาเก็บในยุง ขาว (ชาวบานเรียก ฉางขาว) หรือโรงเรือน กะลอมขาวในบานของตนเอง เพื่อเอาไวใชกิน ใชปลูก และที่เหลือจึงนําไปจําหนาย ในบางบานหากไมใชใตถุนเรือนเปนที่อยูอาศัยของวัว ก็จะมีการปลูกสรางโรงเรือน สําหรับเปนที่อยูอาศัยของวัวในเขตบาน นอกจากนี้ บางบานจะมีโรงเรือนในการเคี่ยว นํ้าตาลโตนด ทําขนม และมีเตาเผาถานเพื่อเอาไวใชและเพื่อจําหนายในละแวกบาน อีกดวย
ภาพที่ 9: โรงเรือนเคี่ยวนํ้าตาลโตนดในอดีตในบริเวณบานของเรือนรหัส PBI-Tar-001
อยางไรก็ตามในอดีตชาวบานในจังหวัดประสบปญหาทัง้ สภาวะความแหงแลง และนํา้ ทวมหนักในบางป และบอยครัง้ แตในชวงหลายสิบปทผี่ า นมาจังหวัดเพชรบุรี มีการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ดานทั้งทางสภาพแวดลอม สังคม และ เศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ ระบบ
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 96
9/6/2558 1:15:07
เขื่อนและการชลประทาน และการสงเสริมการเกษตรในโครงการพระราชดําริในการ ปรับโครงสรางระบบการผลิตทางการเกษตร รวมถึงการจัดตั้งและการดําเนินการ ของกลุมคนรักเมืองเพชร ปจจัยเหลานี้ในดานหนึ่งสงผลใหชาวบานในจังหวัดมีการ ปรับวิถีในการทําการเกษตรที่มีความหลากหลายมากขึ้น ในชุมชนบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ และบานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค นอกจากจะยังคงมีการแปรรูปผลผลิตตาลโตนด ทําขนมแบบดั้งเดิม และการทํานา ซึ่งมีการเปลี่ยนจากการทํานาปมาเปนนาปรังแลว ยังมีการทําการเกษตรในรูปแบบ ไรนาสวนผสม บางสวนมีการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรที่มีความทันสมัยมากขึ้น ในชุมชนบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ ในปจจุบันมีชื่อเสียงเรื่องการทํานํ้าพริกแกง ตางๆ โดยกลุมแมบานเกษตรกรละหานใหญสามัคคี ซึ่งมีโรงเรือนผลิตตั้งอยูบริเวณ ริมละหานใหญ สวนชุมชนบานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค มีสวนตาลของกํานันถนอม ภูเงิน ซึ่งเปนการทําการเกษตรแบบพอเพียงที่เกิดจากสั่งสมประสบการณเกี่ยวกับ ทรัพยากรของทองถิ่น และความมุงหมายที่นอกจากจะสรางใหเปนแหลงทรัพยากร ตนตาลที่สําคัญในเชิงเศรษฐกิจแลว ยังเปนแหลงในการรวบรวมองคความรู และ เปนสถานที่ศึกษาที่สําคัญเกี่ยวกับระบบนิเวศตนตาล ทั้งนี้มิใชเพียงแคเพื่อครอบครัว ตนเอง แตยังเพื่อทองถิ่นและสังคมในภาพกวางอีกดวย
ภาพที่ 10: การแปรรูปผลผลิตทางเกษตรและการเกษตรพอเพียง (ซาย) อาคารทํานํ้าพริกของกลุมแมบานเกษตรกรละหานใหญสามัคคี ในบานละหานใหญ (ขวา) สวนตาลกํานันถนอม ในบานไรสะทอน
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 97
96 97
9/6/2558 1:15:07
นอกจากการประกอบอาชีพแลว ชาวบานของทั้งสองชุมชนยังมีการทํา กิจกรรมทางประเพณีวัฒนธรรมตางๆ รวมกันเปนประจํา งานประเพณีวัฒนธรรมของ ทั้งชุมชนบานละหานใหญและบานไรสะทอนแบงไดเปน 2 ระดับ คือ ระดับครัวเรือน และระดับชุมชน ประเพณีในระดับครัวเรือนทีม่ กี ารทําพิธกี รรมในบานเรือนมักเปนไป ตามความเชื่อของบรรพบุรุษที่ตนเองสืบเชื้อสาย ซึ่งพบทั้งไทย ลาว จีน และมุสลิม โดยชาวบานสวนใหญเปนคนไทย สวนผูสืบเชื้อสายชาติพันธุอื่นๆ พบในจํานวน ไมมากนัก ชาวบานมักมีประเพณีที่จัดขึ้นที่บานตามเทศกาลของตนที่แตกตางกันตาม การปฏิบัติของบรรพบุรุษ เชน การไหวเจาจีน การไหวผีลาว เปนตน นอกจากนี้ ยังพบการประกอบพิธีกรรมในบานเรือนตามความเชื่อสวนบุคคลอื่นๆ ดวย เชน การ รับขันธ 5 และการตั้งหิ้งแมตะเคียนในเรือน เปนตน สวนประเพณีในระดับชุมชน จะพบเพียงงานทายกรานต ในบานละหาน ใหญ ตําบลตําหรุ ซึ่งเปนงานทําบุญสงทายเทศกาลสงกรานต ซึ่งจะมีการทําพิธีสงฆ ตอนชวงเชา มีพิธีกรรมสงวัวควายที่ทายบานตอนชวงบาย แลวจึงกลับมาทําบุญที่ ศาลากลางบาน งานทายกรานตเปนประเพณีทมี่ คี วามเฉพาะและยึดโยงกับคติความเชือ่ ของสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิท์ ยี่ งั คงยึดถือปฏิบตั มิ าอยางยาวนาน สวนงานประเพณีอนื่ ๆ โดยเฉพาะ งานบุญในวันสําคัญทางพุทธศาสนา ชาวบานมักจัดขึน้ ทีว่ ดั ในละแวกชุมชนของตนเอง นอกจากนี้ ยังพบการสรางประเพณีหรือกิจกรรมขึน้ ใหมเพือ่ เปนการรวมใจ ของชาวบาน อาทิ การแขงเรือในละหานใหญ ของทุกวันที่ 5 ธันวาคม ในตําบลตําหรุ ซึ่งมีชุมชนบานละหานใหญรวมดวย และงานรดนํ้าดําหัวผูใหญ ในชวงวันสงกรานต ของบานไรสะทอน เปนตน
ภาพที่ 11: งานทายกรานต ในบานละหานใหญ ที่มา: อนุเคราะหโดย อ.แสนประเสริฐ ปานเนียม โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 98
9/6/2558 1:15:07
บานและเรือนในอดีต
บานและเรือนในอดีตของทั้งชุมชนบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ และบาน ไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค ซึ่งโดยมากมีอายุมามากกวา 100 ป เปนเรือนไทยยกเสาสูง ที่มีการเกาะกลุมกันของเครือญาติ และกระจายตัวตามแนวเสนทางสัญจรของชุมชน โดยมีแหลงนํ้าเปนศูนยกลางของการอยูอาศัย มีพื้นที่ปาละเมาะและพื้นที่ในการทํา นาลอมรอบ ชาวบานกลาววาในอดีตชุมชนจะมีกลุมบานหลักๆ ในชุมชนไมมากนัก เมื่อมีสมาชิกในครอบครัวแตงงานมักมีการออกเรือนและปลูกสรางเรือนขึ้นใหม ยกเวนลูกคนสุดทองซึง่ จะเปนผูท รี่ บั ทอดเรือนของพอ-แมเปนมรดกตอไป เรือนทีป่ ลูก สรางขึ้นใหมมักอยูในละแวกบานของพอแม และเนื่องจากในอดีตบริเวณพื้นที่มักมี นํ้าหลากเปนประจําเกือบทุกป จึงมักมีการเชื่อมกันดวยนอกชานหรือทําทางเชื่อมกับ เรือนของพอ-แมในระดับชั้นบนของเรือน ในอดีตลักษณะของเรือนเปนเรือนไมชั้นเดียวยกพื้นสูง ใตถุนเรือนเปดโลง เอาไวเปนสวนอาศัยของวัว บริเวณบานอาจมีโรงเรือนขนาดเล็กในการทํานํา้ ตาลโตนด รวมถึงเตาเผาถานมักไมมีตนไมในบริเวณบาน แตอาจมีการปลูกพืชผักสวนครัวที่ สามารถเก็บเกี่ยวในระยะสั้น ตนไมสวนใหญมักเปนตนไมที่ทนสภาวะนํ้าทวมได และ มักขึ้นอยูในบริเวณปาละเมาะทายบาน ในชั้นบนเปนเรือนหลังคาทรงสูง ซึ่งมีตั้งแตหลังคาจั่วเดียวไปจนถึงหลังคา สามหนาจั่ว เรือนหลังคาจั่วเดียวจะมีลักษณะคลายเรือนไทยภาคกลางทั่วไปที่มีสวน ตัวเรือนประธานและระเบียง อาจมีและไมมีนอกชาน เรือนหลังคาจั่วคูนับเปนเรือน ที่เปนแบบแผนประเพณีโดยทั่วไปของชุมชน สวนเรือนที่มีหลังคาสามหนาจั่วมักเกิด จากการนําเรือนอีกหนึ่งหลังมาตอเขากับเรือนจั่วคู เรือนหลังคาจั่วคูมักประกอบดวยองคประกอบพื้นฐาน 3 สวน คือ เรือน ประธาน หอหนา และพื้นที่ครัว โดยมีชานหนาเรือนและมีบันไดขึ้นลงจากภายนอก เรือนประธานมีทั้งขนาด 2 และ 3 หองเสา วางตามยาวในแนวทิศตะวันออก และ ตะวันตก และมักหันดานสกัดใหกับเสนทางสัญจรของชุมชน ภายในตัวเรือนแบงพื้นที่ ออกเปน 2 สวนหลักๆ คือ หองในเรือน และหองโถงดานหนา หรือหองเปด หองใน เรือนมักมีขนาด 1 หองเสา เปนหองที่มีการปดลอมมิดชิด โดยมากเปนฝาสําหรวด หรือฝาปะกน ในอดีตหองในเรือนมักไวเปนที่นอนของลูกสาวและเปนหองทําคลอด และอยูไฟหลังคลอดบุตร หองในเรือนนี้จะมีหนาตาง 2 ดานที่ตอเนื่องกับภายนอก
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 99
98 99
9/6/2558 1:15:07
สวนดานที่ติดกับหองโถงดานหนาจะมีประตูสําหรับเขา-ออกที่อยูดานขางที่ติดกับ หอหนา ฝาของหองในเรือนที่ติดกับหอหนามักเปนฝาทึบที่ไมมีหนาตาง และจะมีการ ยื่นฝาออกมาเล็กนอย (โดยมากเปนฝาปะกน 2 ชอง) เพื่อบังสายตาบริเวณประตูทาง เขา-ออกจากหองในเรือน ฝาบริเวณนี้เรียกวา ฝาบังเคียน หรือฝาบังเชี่ยน ชาวบาน กลาววาฝาบังเคียนนี้เปนพื้นที่เตรียมตัวของลูกสาวที่ออกมาจากหองในเรือนกอน ออกสูหอหนา ซึ่งอาจมีผูคนมองมาเห็นไดจากภายนอก นอกจากนี้ พื้นที่ถูกเรียกวา “บังเชี่ยน” อาจเปนเหตุผลเนื่องมาจากในอดีตชาวบานมักจะมีการกินหมากและจะ มีเชี่ยนหมากประจําตัว แตพอมาในสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เปนนายก รัฐมนตรี (16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 – 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487) มีนโยบายการสราง ชาติดวยวัฒนธรรมใหม โดยมุงเนนการจัดระเบียบการดําเนินชีวิตของคนไทยให เปนแบบอารยประเทศ จึงไดมีนโยบายในการหามกินหมากแตชาวบานสวนใหญไม สามารถปฏิบัติตามได จึงไดใชพื้นที่บริเวณฝาที่ยื่นออกมานี้เปนที่วางหรือที่ซอนเชี่ยน หมากของผูเฒาผูแกไปดวย จากเรือนประธานจะมีการลดระดับสูพื้นหอหนา ซึ่งมีความตางระดับมาก โดยบริเวณรอยตอระหวางเรือนประธานและหอหนาจะมีโครงสรางที่ชาวบานเรียก วา “กระดานเรียบ” ซึ่งมีลักษณะคลายขั้นบันได วางขนานไปตลอดแนวของเรือน ประธาน ขนาดของกระดานเรียบมีความกวางในชวง 17 – 44 เซนติเมตร ชาวบาน กลาววากระดานเรียบนอกจากจะเปนพื้นที่นั่งสําหรับผูอาวุโสในครอบครัว โดยผูที่มี อายุนอยกวาก็จะนั่งในระดับที่ตํ่ากวาเพื่อเปนการแสดงความเคารพแลว ยังทําหนาที่ ชวยอํานวยความสะดวกตอการกาวออกจากเรือนประธาน เพราะเนื่องจากบริเวณ รอยตอของเรือนประธานและหอหนาจะมีพรึงสูงขึ้นจากระดับพื้นเรือนประธาน และ พื้นเรือนประธานและหอหนามักมีความตางระดับ ซึ่งในบางเรือนมีความตางระดับกัน ประมาณ 37.5 เซนติเมตร กระดานเรียบจะเปนเสมือนพื้นที่เปลี่ยนถายและทําให การกาวเทาออกจากเรือนประธานสูหอหนาไดอยางสะดวกและไมสะดุด หอหนามีลักษณะเปนหองโถงโลงและในบางเรือนจะมีนอกชานเปดโลงตอ ออกจากหอหนาอีกสวนหนึ่ง หอหนาจะมีหลังคาคลุมเฉพาะ แตโครงสรางสวนหลังคา จะตอเนือ่ งและฝากนํา้ หนักไวทเี่ สาของเรือนประธานทีอ่ ยูต ดิ กับหอหนา โดยโครงสราง เสาบริเวณเรือนประธานและหอหนามีลักษณะเปนเรือน 2 หลัง 9 เสา (ในกรณีเรือน ประธานเปนเรือน 2 หองเสา) หรือเรือน 2 หลัง 12 เสา (ในกรณีเรือนประธานเปน
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 100
9/6/2558 1:15:07
เรือน 3 หองเสา) หลังคาหนาจั่วของเรือนประธานและหอหนาเปนจั่วทรงสูง ซึ่งมีทั้ง ที่มีและไมมีตัวเหงา การคลุมหลังคาของเรือนประธาน และหอหนาทําใหเกิดเปน ลักษณะหลังคาคู โดยที่หลังคาบริเวณหอหนาจะมีขนาดเล็กกวาเรือนประธานเสมอ และมีรางนํ้าอยูระหวางกลาง วัสดุมุงหลังคาในอดีตมักเปนหลังคาจากและกระเบื้อง ดินเผา รางนํ้าทําดวยไมหรือสังกะสี สวนวัสดุและโครงสรางในสวนเรือนประธาน และ หอหนาจะเปนการใชไมและการเขาไมดวยสลักเดือยไม
ภาพที่ 12 ลักษณะภายในของเรือนไทยเมืองเพชรในพื้นที่ศึกษา (ก) และ(ข) เรือนประธาน หอหนา และกระดานเรียบ (ค) ฝาบังเคียนที่ยื่นออกมาจากฝาเรือนประธานที่ตอเชื่อมกับหอหนา
พื้นที่ครัวเปนอีกองคประกอบของเรือนชั้นบน โดยมากมักตั้งอยูดานสกัด ของเรือนประธานทางทิศตะวันตก พื้นที่ครัวมักมีการสรางผนังปดลอมและมีการคลุม หลังคาลาดเอียงที่ตอออกจากตัวเรือน เนื่องจากในอดีตการปลูกเรือนสําหรับชาวบานมักเริ่มตนดวยเรือนประธาน จากนั้นจึงปลูกสรางหอหนา และองคประกอบอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นมา แตละสวนของเรือน มักมีระบบโครงสรางเสาทีแ่ ยกจากกัน และมักใชเปนระบบเสาหลักและเสาคํา้ เสาหลัก จะเปนเสาทีย่ าวตรงจากพืน้ ชัน้ ลางจนถึงหลังคาของเรือน และเสาคํา้ จะอยูเ พียงเฉพาะ ในพืน้ ทีใ่ ตถนุ เรือน โดยไมปรากฏขึน้ มาในพืน้ ทีใ่ ชสอยบนเรือน ทัง้ นีเ้ ปนการเสริมความ แข็งแรงใหกับโครงสรางของเรือนในแตละสวน ลักษณะโครงสรางในระบบเสาหลัก และเสาคํ้านี้ทําใหบริเวณใตถุนบานมีจํานวนเสามาก นอกจากนี้พื้นเรือนนิยมปูขวาง กับตัวเรือนบนตงที่ทับบนหลังรอดอีกทีหนึ่ง จํานวนตงมักเปนเลขคี่ โดยเฉพาะ 7 หรือ 9 ซึง่ ถือเปนมงคลตอการอยูอ าศัยเชนเดียวกับคติความเชือ่ ทีม่ ตี อ จํานวนขัน้ บันได สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 101
100 101
9/6/2558 1:15:07
ภาพที่ 13: ลักษณะเสาหลักและเสาคํ้าในบริเวณใตถุนเรือนของเรือนรหัส PBI-Tar-006
ในอดีตการปลูกเรือนจะเริ่มดวยการเตรียมไมที่จะใชในการปลูกเรือนเอา ไวกอน ไมที่ใชก็มักมาจากในบริเวณพื้นที่ปาที่อยูใกลเคียงของชุมชน โดยเฉพาะปา มะขามโพง บริเวณแกงกระจาน และปาบริเวณทายาง โดยสวนใหญชาวบานมักชัก ลากกันมาเอง หรือบางสวนอาจซื้อหามา ไมที่ใชเปนไมเนื้อแข็งและมีหลายชนิด เชน ไมมะคา ไมเต็ง ไมสัก เปนตน นอกจากนี้ จะมีการใชไมยาง และไมตาล หรือไมจาก ตนตาลโตนดรวมดวย แตการใชไมทั้งสองชนิดนี้มักมีการใชเฉพาะบางบริเวณเทานั้น กลาวคือ ไมยางมักนํามาทําเปนไมพื้น ในขณะที่ไมตาลจะนํามาใชเปนไมโครงสราง สําหรับรับพื้น เชน ตง คาน เปนตน โดยเฉพาะไมตาลแมวาจะมีความแข็งแกรงมาก แตไมนิยมนํามาทําเปนพื้น หรือเครื่องบนของหลังคา เนื่องจากในอดีตชาวบานมัก แปรรูปไมกันเอง ไมมีอุปกรณที่จะทําใหไมตาลมีผิวที่เรียบไดและมักเต็มไปดวยเสี้ยน ไม การปลูกสรางเรือนมักมีชา งของชุมชนเปนผูน าํ และสอน โดยเจาของบานจะ ทําหนาที่เปนชางรวมดวย ซึ่งทําใหเกิดการถายทอดความรูดานฝมือชางในการปลูก เรือนไปดวย และในอดีตมักมีการลงแขกลงแรงของชาวบานในการปลูกสรางบานอีก ดวย การปลูกเรือนจะเริ่มดวยการเตรียมไมและองคประกอบเรือนใหพรอมกอนการ ปรุงเรือน การปลูกเรือนมักเริ่มดวยการสรางเรือนประธาน ซึ่งในชวงเริ่มตนของการ ปลูกสรางเรือนประธานนี้จะตองมีผาสีขาวและสีแดงที่มีการลงอาคมวางเอาไวบนหัว เสาและทับดวยขื่อ ผาหัวเสานี้เปนองคประกอบที่สําคัญที่จําเปนตองมีในทุกเรือน ซึ่งเปนที่เชื่อวาจะทําใหเกิดการอยูอาศัยอยางรมเย็นเปนสุขและสามารถปองกัน อันตรายตางๆที่จะเกิดขึ้นกับเรือน เชน วาตภัย อัคคีภัย และอุทกภัย เปนตน
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 102
9/6/2558 1:15:08
ภาพที่ 14: ผาหัวเสา (ผาสีขาวและสี แดง) บนหัวเสาของเรือนประธาน
การปรับเปลี่ยนของบานและเรือน
จากการศึกษาเรือนไทยเมืองเพชรในชุมชนบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ และ บานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค ในเบื้องตนจํานวน 30 หลัง และที่พิจารณาเลือกเพื่อ ทําการศึกษาในรายละเอียดจํานวน 15 หลัง จะพบวาบานและเรือนเหลานี้มีการ เปลี่ยนแปลงมาอยางตอเนื่อง ซึ่งสามารถกลาวไดเปน 2 สวน คือ การวางผังและ องคประกอบบริเวณบาน และลักษณะเรือนและองคประกอบ การปรับเปลี่ยนการวางผังและองคประกอบบริเวณบาน ในปจจุบันเรือนที่ถูกศึกษาของทั้งสองชุมชนสวนใหญมีลักษณะรวมกลุม ของเครือญาติ การกระจายตัวไปตามแนวของเสนทางสัญจรของชุมชน ซึง่ ถูกพัฒนามา โดยลําดับจากทางเดินของคนและเกวียนมาสูถนนคอนกรีต เรือนที่ถูกศึกษาทั้งหมด ยังคงเปนเรือนไมยกพื้นสูง โดยวางตัวตามยาวของเรือนประธานไปในแนวทิศทาง ตะวันออกและตะวันตก และสวนใหญหันดานสกัดหรือดานหนาจั่วของเรือนประธาน เขาสูเสนทางสัญจร จากการศึกษาพบเพียงเรือน 2 หลังที่ยังคงมีทางเชื่อมที่ไปมาหา สูก นั ไดในระดับพืน้ ชัน้ บน ในปจจุบนั บานเรือนโดยสวนใหญมลี กั ษณะทีแ่ ยกเปนหลังๆ เปนปจเจกของแตละครัวเรือน และมีอาณาเขตแบงกั้นอยางชัดเจนดวยการลอมรั้ว รอบบริเวณบาน ภายในบริเวณบานสวนใหญจะมีพื้นที่สวนที่เปนพืชผักสวนครัวและ บางสวนเปนสวนผลไมที่ปลูกเพื่อขาย ตัวเรือนของบานสวนใหญมักตั้งหางจากทาง สัญจรหลัก และการเขาถึงมักตองผานลานโลงหนาบาน หรือเปนลักษณะทางเดิน โลงที่นําเขาสูทางเขาของตัวเรือน มีเพียงบางบานเทานั้นที่จะพบบริเวณบานที่มีพื้นที่
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 103
102 103
9/6/2558 1:15:08
โดยรอบตัวเรือนที่จํากัด อยางไรก็ตาม ในบริเวณบานสวนใหญจะพบการตอเติมของ ใตถุนบาน และพบองคประกอบอื่นๆในบริเวณบานดวย เชน ฉางขาวหรือเรือนกะลอม ขาว ศาลหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตางๆ หองนํ้า และโรงเรือนและองคประกอบอื่นๆ ซึ่งมีดังนี้
ภาพที่ 15: เรือนที่ยังคงมีทางเชื่อมระหวางกันในระดับพื้นชั้นบน
• รั้วบาน ในอดีตชุมชนบานละหานใหญและบานไรสะทอนจะไมปรากฏรั้วบาน ใน ปจจุบันบริเวณบานที่ทําการศึกษาสวนใหญจะปรากฏรั้วเพื่อแสดงขอบเขตของแต ละบาน รั้วบานเหลานี้จะพบการใชวัสดุและมีลักษณะที่หลากหลาย ไดแก รั้วตนไม รั้วเหล็กลวดหนามที่มีการปลูกตนไมแซม รั้วทําจากไม และรั้วคอนกรีต อยางไรก็ตาม การใชรั้วเหลานี้ในบานละหานใหญและบานไรสะทอนมีความแตกตางกันและสงผล ตอภาพรวมของบรรยากาศการอยูอาศัยของชุมชนที่แตกตางกันตามไปดวย ในบาน ละหานใหญจะพบการลอมการลอมรั้วบานที่เปนไปตามความตองการของแตละ ครัวเรือนที่เปนปจเจก มีผลทําใหเกิดภาพลักษณของชุมชนบางสวนมีความรมรื่น บางสวนแข็งกราว และบางสวนขาดความตอเนื่อง ในขณะที่การลอมรั้วบานในชุมชน บานไรสะทอน โดยเฉพาะบริเวณถนนของชุมชนที่มีความตอเนื่อง และสรางใหเกิด สุนทรียภาพความรมรืน่ ตอผูผ า นไปมา อันเนือ่ งมากจากการสรางกฎเกณฑในการจัดการ รวมกันของชุมชน โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 104
9/6/2558 1:15:08
ภาพที่ 16: การใชรั้วบานบริเวณถนน ในบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ
ภาพที่ 17: การใชรั้วบานบริเวณถนน ในบานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค
• สวน ชาวบานกลาววาภูมทิ ศั นบริเวณบานในอดีตมีลกั ษณะแตกตางจากในปจจุบนั ในอดีตแตละกลุม บานมักมีเพียงกลุม เรือนของแตละครัวเรือนทีเ่ ชือ่ มกันดวยทางเชือ่ ม และรอบบริเวณบานและกลุมบานจะมีลักษณะโลง ไมคอยมีตนไม ทั้งนี้เนื่องจากใน อดีตชุมชนมักมีนํ้าทวมบอยครั้ง โดยเฉพาะในบริเวณบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ การปลูกพืชในบริเวณบานกระทําไดยาก โดยมากเปนการปลูกพืชผักสําหรับใชใน ครัวเรือนที่สามารถปลูกและเก็บเกี่ยวในชวงเวลาสั้น ตนไมในบริเวณบานสวนใหญ ตองเปนพืชทีส่ ามารถทนตอสภาวะนํา้ ทวมได และโดยมากเปนตนไมทขี่ นึ้ อยูท า ยบาน และเปนปาละเมาะถัดออกไปจึงเปนทุงนาที่มีตนตาลขึ้นสลับไปดวย อยางไรก็ตาม ภายหลังจากการสรางเขื่อนแกงกระจานและเขื่อนเพชรบุรี รวมถึงการพัฒนาระบบ ชลประทานมีผลทําใหไมเกิดนํ้าทวมบริเวณชุมชนเปนประจําอีก (ยกเวนในป พ.ศ. 2539 ป พ.ศ. 2540 และป พ.ศ. 2546 ที่ชุมชนประสบสภาวะนํ้าทวมอยางรุนแรง) ชาวบานจึงสามารถปลูกพืชอื่นๆในบริเวณบาน นอกจากนี้ เนื่องจากการพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะการมีถนนทําใหเกิดการขยับขยายเรือน และมีการแบงแปลงที่ดินแยกออก จากกันและเกิดการกัน้ รัว้ บาน รวมถึงผลจากการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตร การ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 105
104 105
9/6/2558 1:15:08
สนับสนุนทางการเกษตรโดยกรมสงเสริมการเกษตรของจังหวัดเพชรบุรี และโครงการ ปรับโครงสรางระบบการผลิตทางการเกษตร (คปร.) ในโครงการพระราชดําริ ใน ละแวกชุมชนจึงมีการปลูกพืชสวนและพืชไรขึ้นตั้งแตชวงประมาณ 40 กวาปที่ผานมา การปลูกพืชสวนและพืชไรในบริเวณบานและชุมชนจึงมีมากขึ้น สวนในบริเวณบานที่ ถูกทําการศึกษามักมีขนาดและลักษณะที่แตกตางกัน ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดที่ดิน และการ ประกอบอาชีพของแตละบาน ซึ่งจะพบสวนใน 2 ลักษณะหลักๆ คือ สวนที่ปลูกพืช ผักสวนครัวเพื่อใชบริโภคในครัวเรือน และสวนที่ปลูกผักและผลไมเพื่อจําหนาย
ภาพที่ 18: การปลูกพืชสวน-พืชไรในบริเวณบานเรือนที่อยูอาศัย
• ฉางขาว หรือเรือนกะลอมขาว เนื่องจากในอดีตทุกบานมีการทํานา โรงเรือนในการเก็บขาวจึงเปนองค ประกอบสําคัญในบริเวณบาน โรงเรือนในการเก็บขาวของชุมชนนี้มี 2 ลักษณะ คือ ยุงขาวหรือฉางขาว และเรือนกะลอม เรือนทั้ง 2 ลักษณะนี้มีความคลายคลึงกัน คือ ตําแหนงที่ตั้งของเรือนเหลานี้จะอยูไมไกลจากตัวเรือนและมีโครงสรางแยกออกจาก ตัวเรือนที่อยูอาศัย ลักษณะของเรือนเปนเรือนไมชั้นเดียวยกพื้นสูง มีลักษณะผังพื้น อาคารเปนรูปสี่เหลี่ยมพื้นผาและมีหลังคาทรงจั่ว แตจะมีการปดลอมของพื้นชั้นบนที่ แตกตางกัน ในปจจุบันยังคงมีฉางขาวและเรือนกะลอมอยูในบานหลายหลังที่ทําการ ศึกษา ซึ่งสวนใหญเปนฉางขาว อยางไรก็ตามฉางขาวและเรือนกะลอมมักไมไดใชใน การบรรจุขาวแลว พบเพียงสวนนอยที่ยังมีการใชงานในการเก็บขาว นอกจากนี้ยังพบ โครงสรางฉางขาวที่ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อใชเปนหองนอน เปนที่จอดรถและสวนพักผอน เอนกประสงค และเพื่อใชเปนสวนคาขาย โดยมีการปรับปรุงใหตอเชื่อมกับตัวเรือน โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 106
9/6/2558 1:15:10
ภาพที่ 19: เรือนกะลอมขาว (แถวบน) และฉางขาว (แถวลาง) ในบริเวณบานที่ยังคง หลงเหลือในชุมชน
• หองนํ้าในบริเวณบาน ในอดีตแตละบานจะไมมหี อ งนํา้ แตจะไปในปาละเมาะหรือทุง นา ในปจจุบนั ในทุกบานจะพบหองนํ้า แตหองนํ้าสวนใหญหรือเกือบทั้งหมดจะอยูในบริเวณบาน ชั้นลาง มักไมปรากฏในเรือนชั้นบน เนื่องจากชาวบานเชื่อวาหองนํ้าถือเปนของตํ่า ที่ไมควรนําขึ้นมาไวในเรือนชั้นบน นอกจากนี้ หองนํ้าในชั้นลางของบานสวนใหญมัก ถูกสรางดวยการกออิฐถือปูนและมีคลุมหลังคา และเปนสวนแยกออกจากขอบเขต โครงสรางของเรือนชั้นบน มีเพียงบางบานที่หองนํ้าถูกรวมเขาไปในสวนของหองหรือ พื้นที่ใชสอยที่ถูกตอเติมในพื้นที่ใตถุนเรือน แตในบานเหลานี้หองนํ้าจะไมอยูตรงแนว หรืออยูในขอบเขตของโครงสรางเรือนชั้นบน โดยเฉพาะบริเวณโครงสรางของเรือน ประธานและหอหนา ซึ่งถือเปนสวนสําคัญของบานที่ตองใหความเคารพ • ศาล/สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศาลหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เปนองคประกอบที่สําคัญในบริเวณบานที่มีปรากฏ ในทุกบาน ศาลพระภูมิและศาลเจาที่จะพบไดในทุกบาน สวนใหญบานหนึ่งๆ จะมี ศาลพระภูมิและศาลเจาที่ในบริเวณบานของตนเอง มีเพียงสวนนอยที่มีการตั้งศาล พระภูมิ และศาลเจาที่รวมกัน ในกรณีนี้มักพบในบริเวณบานของกลุมเครือญาติ แต สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 107
106 107
9/6/2558 1:15:10
ก็มีแนวโนมที่จะตั้งศาลพระภูมิและศาลเจาที่แยกจากกัน นอกจากนี้ ยังพบศาล สักการะอื่นๆ ตามความเชื่อของการสืบเชื้อสายของแตละครัวเรือน เชน ศาลแม ทองคํา-ทองดี ซึ่งเปนศาลที่ตั้งขึ้นตามความเชื่อของบรรพบุรุษซึ่งมีเชื้อสายชาติพันธุ ลาว
(ข) (ก) ภาพที่ 20: ศาลหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณบาน (ก) ศาลพระภูมิในบริเวณบานทั่วไป (ข) ศาลแมทองคํา-ทองดีในบริเวณบานของเรือนรหัส PBI-Tar-002
• โรงเรือนและองคประกอบอื่นๆ ในอดีตบริเวณบานมักมีเพียงตัวเรือน และฉางขาวหรือเรือนกะลอม ใตถุน บานที่ยกพื้นสูงใชเปนที่เก็บอุปกรณในการทํานาและเปนที่อยูของวัวเพื่อชวยในการ ทํานา ซึง่ ในบางบานมีการเลีย้ งวัวเพือ่ วิง่ วัวลานอีกดวย อยางไรก็ตาม ในบางครัวเรือน อาจมีการสรางโรงเรือนสําหรับเปนที่อยูอาศัยของวัวแยกออกไป แตก็ยังคงอยูใน บริเวณบานนอกจากนี้ชาวบานยังมีอาชีพที่สําคัญอีกประการ คือ การขึ้นตนตาลโตนด เพื่อนําผลผลิตตาลมาขายสดหรือแปรรูปทําเปนนํ้าตาล ขนมหวาน และอาหาร โดย เฉพาะในการแปรรูปเปนนํ้าตาล ดังนั้นหากบานใดที่มีการทํานํ้าตาลก็มักมีโรงเรือนที่ มีเตาสําหรับเคี่ยวนํ้าตาลอยูดวย ในปจจุบันวิถีชีวิตของชาวบานไดเปลี่ยนแปลงไป หลายบานที่ยังคงมีการ ทํานาก็จะไมไดใชวัวในการทํานาแลว แตเปลี่ยนไปใชเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น ทดแทน การเลี้ยงวัวจึงมีจํานวนนอยลง ในปจจุบันบานที่ยังคงมีการเลี้ยงวัวสวนใหญ เลี้ยงไวเพื่อการวิ่งวัวลานและเพื่อขายทั้งตัวหรือขายเนื้อ การเลี้ยงวัวในบานเหลา นี้มักแยกโรงเรือนสําหรับการเลี้ยงวัวออกมาเปนโรงเรือนเฉพาะ ซึ่งมีทั้งที่อยูภายใน และที่อยูภายนอกขอบเขตรั้วบาน โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 108
9/6/2558 1:15:11
ภาพที่ 21: โรงเรือนในการเลี้ยงวัวในบริเวณบาน
สวนโรงเรือนในการเคี่ยวนํ้าตาลโตนดในบริเวณบานในปจจุบันมีจํานวน ลดลงเชนกัน ทั้งนี้เนื่องจากชาวบานที่สามารถขึ้นตนตาลโตนด เพื่อนํานํ้าตาลโตนด ลงมาไดมีอายุมากขึ้นและมีจํานวนลดนอยลง ในบางบานที่ยังคงมีการทํานํ้าตาลก็จะ มีเพียงเตาเคีย่ วตาล โดยไมปรากฏในลักษณะโรงเรือน นอกจากนีเ้ นือ่ งจากวิถชี วี ติ ของ ชาวบานมีการเปลี่ยนแปลงไป ตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคม สภาพแวดลอมและ เศรษฐกิจ ชาวบานมีการประกอบอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น โรงเรือนในบริเวณบาน จึงมีหลายลักษณะตามแตวัตถุประสงคของการใชสอย แตสวนที่เพิ่มขึ้นมาในปจจุบัน ในบานหลายหลังสวนใหญ คือ โรงเรือนสําหรับเก็บของ และจอดรถ การปรับเปลี่ยนลักษณะเรือนและองคประกอบ
จากการศึกษาพบวาเรือนสวนใหญหรือประมาณรอยละ 80 ในชุมชนบาน ละหานใหญ ตําบลตําหรุ และบานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค มีอายุมากกวารอยป สวน ที่เหลือมีอายุในชวงประมาณ 40-60 ป เรือนที่มีอายุมากกวา 100 ป พบเปน จํานวนมากในพืน้ ทีข่ องทัง้ สองชุมชนนี้ เรือนเหลานีส้ ว นใหญยงั คงมีลกั ษณะในรูปแบบ ประเพณีโดยเฉพาะบริเวณเรือนประธานและหอหนา แตมกั มีการปรับปรุงเปลีย่ นแปลง ในหลายสวน เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตและความตองการที่เปลี่ยนแปลงไป จึงทําใหเรือน แตละหลังมีลกั ษณะทีแ่ ตกตางกันออกไปในรายละเอียด การเปลีย่ นแปลงมีทงั้ ทีม่ กี าร ลดขนาดเรือนใหเล็กลง การปรับพื้นที่ใชสอยภายใน การตอเติมเพิ่มสวนใชสอยอื่นๆ โดยเฉพาะการตอเติมหองบริเวณใตถุนบาน นอกจากนี้ ยังมีบางเรือนที่มีการโยกยาย ที่ตั้งของเรือนจากบริเวณที่ตั้งเดิมมาอยูตําแหนงที่ตั้งในปจจุบัน โดยมีการลดจํานวน เรือนลง และมีการปรับเปลี่ยนลักษณะพื้นที่ใชสอยของเรือนทั้งชั้นบนและชั้นลางไป พรอมๆกัน สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 109
108 109
9/6/2558 1:15:11
สวนเรือนที่มีอายุในชวง 40-60 ป เรือนเหลานี้มีทั้งที่ปลูกสรางขึ้นใหม โดยใชลักษณะแบบแผนดั้งเดิมของชุมชน หรือใชรูปแบบประเพณีผสมกับแบบแผนที่ ตอบสนองตอวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป และใชทั้งเทคโนโลยีการปลูกสรางในรูปแบบ ดัง้ เดิมและสมัยใหมรว มกัน และทีม่ กี ารนําเอาเรือนไทยเกาดัง้ เดิมมาปลูกสรางรวมกับ โครงสรางใหมแตยังคงรักษาลักษณะรูปแบบที่เปนประเพณีของชุมชน เรือนในกลุมนี้ แมวาจะมีการปรับเปลี่ยนเรือนบางสวน แตในภาพรวมของเรือนยังคงสะทอนใหเห็น ถึงภูมิปญญาของบานเรือนในชุมชนไดเปนอยางดี ลักษณะของเรือนที่ถูกศึกษาสวนใหญเปนเรือนไมยกพื้นสูง และหลังคาทรง สูง ซึ่งยังคงพบใน 3 รูปแบบ โดยจําแนกจากลักษณะของหลังคา คือ เรือนจั่วเดี่ยว เรือนจั่วคู และเรือนสามหนาจั่ว เรือนจั่วเดี่ยวพบเพียง 1 หลัง ซึ่งมีเปนลักษณะของ เรือนทรงไทยที่พบเห็นไดโดยทั่วไปในภาคกลาง แตจากการศึกษาจะพบวาเปนเรือน ที่มีอายุเกาแกมากกวา 100 ป และเคยมีลักษณะเปนเรือนคู แตถูกทําการปรับลด จํานวนเรือนลง เรือนจั่วคูของเรือนประธานและหอหนายังคงพบไดโดยทั่วไปในพื้นที่ ศึกษา สวนเรือนสามหนาจั่วโดยมากเปนเรือนจั่วคูที่มีการตอเรือนเพิ่มขึ้นอีก 1 หลัง ซึ่งเรือนที่ตอเพิ่มขึ้นนี้โดยมากเปนเรือนที่เรียกวา “หอพระ” การตอหอพระสามารถ แบงออกไดเปน 2 ลักษณะ คือ 1) การตอแบบเรียงตอเนื่อง ทําใหเกิดเปนเรือนที่ มีหนาจั่วดานสกัดเรียงตอกัน 3 หนาจั่ว และ 2) การตอแบบขวางกับเรือนประธาน และหอหนา แมวาเรือนทั้ง 3 รูปแบบนี้จะมีลักษณะของหลังคาและรายละเอียดบาง สวนที่แตกตางกันออกไป แตในภาพรวมจะมีลักษณะของการวางผังพื้นชั้นบน และมี องคประกอบหลักที่คลายคลึงกัน คือ มีเรือนประธาน หอหนา และพื้นที่ระเบียง ขาง (หรือเฉลียงขาง) ยกเวนในเรือนสามหนาจัว่ จึงมีหอพระดวย จากการศึกษาจะพบ เพียงเรือนหลังเดียวที่ยังมีลักษณะที่ยังคงมีครัวไฟอยูบนเรือน และยังคงแบบแผน ดั้งเดิมทางสถาปตยกรรมของชุมชนไวไดมากที่สุด อยางไรก็ตาม ในเรือนสวนใหญจะ พบการปรับเปลี่ยนในหลายองคประกอบซึ่งสามารถประมวลไดดังนี้ • เรือนประธาน เรือนประธานของเรือนทีศ่ กึ ษาทัง้ หมดยังคงวางตามยาวในแนวทิศตะวันออกตะวันตก และหันดานสกัดใหกับทางสัญจรของชุมชน สวนใหญรอยละ 80 เปนเรือน ขนาด 2 หองเสา และบางสวนเปนเรือนขนาด 3 หองเสา ตัวเรือนยังคงแบงออกเปน
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 110
9/6/2558 1:15:12
หองในเรือน 1 หองเสา และหนาหอง ในปจจุบันพบเพียง 2 เรือน ที่ยังคงมีการ ใชงานหองในเรือนเปนหองนอนของลูกสาวตามแบบประเพณี เรือนที่ทําการศึกษา สวนใหญจะพบวาหองในเรือนจะถูกทิ้งวางเอาไวโดยไมมีการใชงาน และพบเพียง จํานวน 2 เรือน ที่มีการใชเปนหองเก็บของ รูปทรงของเรือนประธานของเรือนทีศ่ กึ ษาสวนใหญยงั คงมีลกั ษณะตามแบบ ประเพณี โดยเฉพาะรูปทรงและโครงสรางหลังคา ฝาเรือน การใชประตู-หนาตาง และการเขาไม หลังคาของเรือนประธานเปนจั่วทรงสูงซึ่งพบทั้งจั่วพรหมพักตรและ จั่วใบปรือ จั่วพรหมพักตรมักพบรวมกับการใชปนลมตัวเหงา สวนจั่วใบปรือมักพบ รวมกับการใชปน ลมหางปลา สวนวัสดุมงุ หลังคาในอดีตมีความหลากหลาย เชน หลังคา ใบจาก สังกะสี กระเบื้องดินเผา และกระเบื้องซีเมนต หรือกระเบื้องวาว ในปจจุบัน จะพบเพียงบางเรือนที่ยังคงมีการใชกระเบื้องวาว แตสวนใหญจะมีการเปลี่ยนแปลง การใชวสั ดุมุง ซึ่งโดยมากพบการใชกระเบื้องลูกฟูกลอนเล็ก ผลจากการเปลี่ยนแปลง วัสดุมงุ หลังคา มีผลทําใหโครงสรางหลังคารับนํา้ หนักนอยลง และเปนผลทําใหสามารถ ลดโครงสรางและองคประกอบหลังคาของกลอนและระแนง โดยเปลี่ยนมาใชแป และ การยึดดวยสกรูแทนได ฝาเรือนประธานของเรือนที่ศึกษาเกือบทั้งหมดยังคงมีรูปแบบ และราย ละเอียดตามแบบแผนประเพณีของชุมชน โดยเฉพาะการมีฝาบังเคียนบริเวณประตู หองในเรือน การใชประตู-หนาตาง และการยึดและการเขาไม ฝาเรือนที่พบไดแก ฝาสําหรวด ฝาปะกน และฝาสายบัว การใชฝาสําหรวดและฝาปะกนพบไดโดยทั่วไป สวนฝาสายบัวพบในเรือนหลังเดียว และปจจุบันถูกปรับลดเหลือเพียงการใชที่ฝา ประจันหนาหอง การใชฝาสําหรวดจะพบวามักละเวนสําหรับบริเวณฝาประจันหนา หอง โดยมักใชเปนฝาปะกน จากการศึกษาพบวา การใชฝาเรือนมีความสัมพันธกับ ลักษณะหนาจั่วของหลังคา โดยเฉพาะหลังคาจั่วใบปรือมักนิยมใชกับเรือนประธาน ที่มีฝาสําหรวด แตเรือนที่มีฝาสําหรวดอาจมีการใชกับหลังคาจั่วพรหมพักตรดวย
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 111
110 111
9/6/2558 1:15:12
(ก) (ข) (ค) (ง) ภาพที่ 22: ฝาบริเวณเรือนประธาน (ก) ฝาปะกน (ข) ฝาสายบัว (ค) ฝาสําหรวดมุม มองจากภายในเรือน (ง) ฝาสําหรวดมุมมองจากภายนอก หมายเหตุ: ภาพ (ก) และ (ข) แสดงใหเห็นฝาบังเคียนที่ยื่นออกมาจากฝาเรือนประธาน ที่ตอเชื่อมกับหอหนา
สวนของการปรับเปลี่ยนที่พบในเรือนประธานที่สําคัญ คือ การปรับระบบ โครงสรางพื้นไปสูระบบคาน ตง และพื้นในรูปแบบใหม ในอดีตพื้นของเรือนประธาน จะปูขวางกับตัวเรือน ขนาดไมที่ใชอยูในชวงประมาณ 1” x 10” – 13” บนตงไมที่มี ขนาดโดยประมาณ 2 1/2”x 3” - 3”x 4” การศึกษาจะพบวา มีเรือนบางสวน หรือประมาณรอยละ 30 มีการปรับเปลี่ยนระบบโครงสรางพื้น เจาของเรือนเหลานี้ กลาววาเดิมเรือนประธานเคยมีระบบโครงสรางพื้นตามแบบแผนดั้งเดิมของชุมชน แตเนือ่ งจากโครงสรางสวนนีม้ กี ารผุพงั จึงไดมกี ารซอมแซมและเปลีย่ นระบบโครงสราง พื้นใหม โดยมีการลดคานตามขวางใหเหลือเฉพาะคานตามยาว เปลี่ยนการวางตงไม มาเปนวางตามแนวขวางของเรือน และเปลี่ยนการปูพื้นของเรือนประธานจะเปลี่ยน มาวางตามแนวยาวของเรือน ระบบพื้นในรูปแบบใหมนี้จะพบการใชขนาดกวางของ พื้นไมท่ีเล็กลง 1” x 5”-8” รวมถึงขนาดตงไมและคานไม ซึ่งสวนมากมีขนาดโดย ประมาณ 1” หรือ 1 1/2” x 6” นอกจากนี้ ในเรือนที่ปลูกสรางขึ้นใหมซึ่งมีอายุในชวงประมาณ 40 ป จะ พบวาในภาพรวมมีการรักษาลักษณะรูปทรงโครงสรางและการใชฝาเรือนของเรือน ประธาน รวมถึงการเขาไมในรูปแบบประเพณี แตจะพบการประยุกตใชประตู-หนาตาง ในรูปแบบใหม รวมถึงมีการใชวัสดุและอุปกรณในการติดตั้งสมัยใหม โดยเฉพาะ บานพับเหล็กรวมดวย
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 112
9/6/2558 1:15:12
ภาพที่ 23: การประยุกตใชประตู-หนาตางในรูปแบบใหม และบานพับเหล็กในเรือนประธาน ของเรือนรหัส PBI-Tar-013
• หอหนา หอหนาซึ่งมีลักษณะเปนโถงโลงมีขนาดชวงเสาจากเรือนประธานโดย ประมาณ 2.85 – 3.90 เมตร และมีการคลุมหลังคาเฉพาะ โดยที่โครงสรางหลังคา หอหนามักมีการใชขื่อกวาน (ขื่อคัด) และตั้งเสาตุกตารับโครงสรางหลังคา และถาย นํ้าหนักสวนหนึ่งลงเสาดานในของเรือนประธาน หลังคาของหอหนาสวนใหญเปนจั่ว ทรงสูง แตมีขนาดเล็กกวาเรือนประธานเสมอ และมักพบการใชจั่วพรหมพักตรรวม กับปนลมตัวเหงา มีเพียงบางเรือนที่หอหนาเปนหนาจั่วหลังคาลาดเอียงตํ่า อยางไร ก็ตามเนื่องจากหอหนามีลักษณะเปนโถงโลง การปรับเปลี่ยนบริเวณหอหนาพบมาก ทีบ่ ริเวณโครงสรางหลังคาของเกือบทุกเรือนทีท่ าํ การศึกษา ทัง้ นีเ้ นือ่ งจากมีการเปลีย่ น การใชวัสดุมุงมาเปนกระเบื้องลูกฟูกลอนเล็ง จึงพบการปรับลดโครงสรางและการใช องคประกอบหลังคาของกลอนและระแนง และเปลี่ยนมาใชแป และการยึดดวยสกรู แทนเชนเดียวกับที่พบในหลังคาเรือนประธานในบางหลัง • ระเบียงขาง ระเบียงขาง หรือที่ชาวบานเรียกวา พื้นที่โถง หรือเฉลียงขาง เปนองค ประกอบของเรือนในชั้นบนที่ถูกเพิ่มเติมขึ้นมา ระเบียงขางนี้เกิดขึ้นในชวงใด และ เพราะสาเหตุใดนั้นชาวบานไมสามารถระบุได หากแตเพียงเปนรูปแบบที่ไดรับความ นิยมสําหรับการปรับปรุงเรือนที่มีมากกวา 40 ป ระเบียงขางมีลักษณะเปดโลงโดยมี ผนังปดลอมที่เชื่อมตอกับภายนอก และมีการปกคลุมดวยหลังคาลาดเอียงตํ่า ระดับ พื้นของระเบียงขางจะมีความแตกตางกันไปในแตละเรือน บางเรือนอยูในระดับเดียว กันกับพื้นหอหนา บางเรือนอยูสูงกวา หรือบางเรือนอยูระดับตํ่ากวา ระเบียงขางมัก สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 113
112 113
9/6/2558 1:15:12
ถูกวางใหโอบลอมหอหนาและบางสวนของเรือนประธาน ซึ่งมีทั้งที่โอบลอม 2 ดานใน ลักษณะตัว L ซึ่งพบเปนสวนใหญ บางสวนมีการโอบลอม 3 ดานในลักษณะตัว U และ มีนอยหลังที่มีการโอบลอมทั้ง 4 ดาน โดยที่เรือนประธานและหอหนาอยูตรงกลาง ระเบียงขางจะถูกปดลอมดวยผนังและหลังคา ผนังบริเวณระเบียงขางเปนผนังใน รูปแบบใหม เชน ผนังเกล็ดไมตีตามนอนหรือตามตั้ง ตีทแยงใหเปนชองลม เปนตน สวนการคลุมหลังคามักมีลักษณะที่กดลงและผนังของพื้นที่นี้มักมีขนาดไมสูงมากนัก ประมาณ 1.60 - 2.10 เมตร รวมถึงการทําชองเปดหรือหนาตางที่อยูสูงจากพื้น ประมาณ 30 - 45 เชนติเมตร หรืออยูในระดับการนั่งกับพื้น จึงทําใหเรือนไทยเมือง เพชรในพื้นที่ศึกษามีลักษณะของรูปทรงในภาพรวมไมสูงมากนัก และเกิดสุนทรีภาพ ของสัดสวนที่มีความเฉพาะและลดหลั่นไปกับสภาพแวดลอม
เรือนประธาน
หอหนา
หอพระ
ภาพที่ 24: ลักษณะระเบียงขาง (ซาย) โอบลอม 2 ดาน-รูปตัว L (กลาง) โอบลอม 3 ดาน-รูปตัว U (ขวา) โอบลอม 4 ดาน โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 114
9/6/2558 1:15:12
• หอพระ หอพระเปนอีกองคประกอบหนึ่งที่ถูกเพิ่มเติมเขามา แตพบเพียงบางหลัง เทานั้น ซึ่งมีการสรางตั้งแตในชวง 60 กวาปที่ผานมา เรือนที่พบหอพระมักเปนเรือน สามหนาจั่ว และโดยมากหอพระเปนเรือนที่วางขวางกับเรือนประธานและหอหนา หอพระที่พบมักถูกสรางขึ้นเมื่อจะมีการบวชลูกชาย และใชเปนที่นั่งของพระสงฆใน ชวงเวลาทีม่ กี ารทําพิธกี รรมในบาน หอพระมักมีลกั ษณะเปนเรือนไมยกพืน้ สูงแยกออก จากเรือนประธานและหอหนา เชื่อมกันโดยระเบียงขาง หอพระมักคลุมหลังคาจั่ว ทรงสูง และมักเปนจั่วพรหมพักตรที่มีปนลมตัวเหงา บางเรือนเปนจั่วพระอาทิตย หรือ หลังคาลาดเอียงตํ่า วัสดุมุงหลังคาพบทั้งที่เปนกระเบื้องวาวและกระเบื้องลูกฟูกลอน เล็ก หอพระมักมีการปดลอมดวยผนัง 3 ดาน สวนดานที่เปดโลงจะหันเขาหา และเชื่อมตอกับพื้นที่เปดโลงภายในเรือน ผนังของหอพระมีทั้งที่เปนฝาเฟยม และ เปนผนังในรูปแบบใหม เชน ผนังเกล็ดไมตีตามนอนผสมการตีตามตั้ง บางเรือนมีการ ทําชองลมระบายอากาศบริเวณปลายผนังใตหลังคา และมีการใชประตู-หนาตางใน รูปแบบใหม รวมถึงมีการใชวัสดุและอุปกรณในการติดตั้งสมัยใหม ระบบโครงสราง พื้นของหอพระมักเปนระบบคาน ตง และพื้นในรูปแบบใหม โดยที่แผนกระดานพื้น ของหอพระจะปูวางตามแนวยาวของเรือน • ชานและบันได ในอดีตจากภายในเรือนชั้นบนจะมีชานรองรับบันไดกอนลงสูชั้นลาง ชานนี้ มักเปดโลงไมมหี ลังคาคลุมและไมมรี าวกันตก สวนบันไดจะมีลกั ษณะโปรง โดยมีเพียง ลูกตั้งตามแนวนอนตอกับแมบันไดตามแนวตั้ง 2 ดานดวยระบบการเขาไมโดยไมใช ตะปู บันไดจะวางพาดกับพืน้ และยึดโยงกับโครงสรางพืน้ ของชาน โดยทางลงของบันได จะพบในเกือบทุกทิศทาง ยกเวนทางดานทิศตะวันตก ในปจจุบันทางขึ้นลงเรือนโดยบันได ซึ่งพบใน 2 รูปแบบ คือ บันไดภายนอก และบันไดภายใน ในเรือนที่ทําการศึกษาสวนใหญ หรือประมาณรอยละ 85 ยังคงมี ชานและบันไดอยูภายนอก แตบริเวณชานมักมีการปรับเปลี่ยนดวยการสรางหลังคา คลุม โดยมากเปนการยื่นหลังคาตอออกมาจากโครงสรางหลังคาของเรือน บางเรือนมี การใชไมคาํ้ ยันหลังคากับโครงสรางเสาทีร่ บั พืน้ ชาน และบางสวนมีการทําเสาตอเนือ่ ง
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 115
114 115
9/6/2558 1:15:13
จากพื้นชั้นลางขึ้นไปรับหลังคา ชานในเรือนที่ไดทําการศึกษาโดยสวนใหญยังคงมี ลักษณะโลง บางเรือนมีการสรางดานหนึ่งของชานเปนที่นั่ง ซึ่งเปนสวนที่ใชในการ กันตกไปดวย และบางเรือนมีการกัน้ ดวยราวกันตกโดยรอบและอาจมีหรือไมทนี่ งั่ อยูด ว ย โดยเฉพาะเรือนทีม่ กี ารกัน้ ราวกันตกนีม้ กั พบในเรือนทีม่ เี สาขึน้ ไปรองรับหลังคาบริเวณ ชานนี้ ซึ่งทําใหมีลักษณะเปนระเบียง นอกจากนี้ บริเวณทางขึ้นบันไดในพื้นชั้นลาง ยังพบที่ลางเทาในบางเรือน ซึ่งมีทั้งที่เปนบอนํ้าขนาดเล็กสําหรับลางเทาและที่เปน พื้นที่ลางเทาที่มีการระบายนํ้าที่พื้น โดยการตักนํ้าราด ทั้งนี้จะตองมีภาชนะบรรจุนํ้า ตั้งอยูดวย สวนบันไดภายในพบจํานวน 5 หลัง หรือประมาณรอยละ 30 ในจํานวนนี้ มีบางเรือนที่ยังบันไดภายนอกเอาไวดวย แตมักไมไดถูกใชในชีวิตประจําวัน บันได ภายในสวนใหญเกิดจากการปรับปรุงเรือนและเปลี่ยนการสัญจรขึ้นลงจากภายนอก ใหมอยูภายในเรือน ตําแหนงของบันไดภายในนี้มักอยูในพื้นที่บริเวณระเบียงขาง บันไดเหลานี้โดยทั้งหมดเปนบันไดไม และมีจํานวนเปนเลขคี่ ซึ่งโดยมากมี 7 หรือ 9 ขั้น ทางลงของบันไดยังคงหลีกเลี่ยงทิศตะวันตก
ภาพที่ 25: ลักษณะชานหรือระเบียงและบันไดภายนอก (แถวบน) ลักษณะบันไดภายใน เรือน (แถวลาง)
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 116
9/6/2558 1:15:13
• หองนํ้าในชั้นบนเรือน หองนํ้าในชั้นบนเรือนซึ่งเปนโครงสรางคอนกรีตพบเปนจํานวนนอยหลังใน บานละหานใหญ หองนํ้าในชั้นบนพบในเรือนที่ไดรับการตอเติมในชวงประมาณ 25 ปที่แลว ซึ่งเปนเรือนของชางที่ปลูกสรางเรือนที่สําคัญของในอดีตชุมชน (ชางเชื่อมปจจุบนั ถึงแกกรรม) และเรือนของเครือญาติ ตําแหนงของหองนํา้ ในชัน้ บนอยูต อ เนือ่ ง จากระเบียงขางทางทิศใตของเรือน และหางจากเรือนประธานและหอหนา • การตอเติมบริเวณใตถุนเรือน ในอดีตระบบเสาโครงสรางในชุมชนพืน้ ทีศ่ กึ ษา โดยเฉพาะในบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ มักเปนระบบเสาหลักและเสาคํ้า อยางไรก็ตาม ในปจจุบันจะพบวาเรือน ตางๆ ในชุมชนที่ทําการศึกษามีการปรับปรุงระบบโครงสรางเสาเรือน การปรับปรุง โครงสรางในสวนนี้เกิดเนื่องจากเรือนสวนใหญมีอายุมาก เสาไมเดิมจึงผุกรอน และ ในอดีตมีนํ้าทวมทุกป ซึ่งไดพัดพาดินตะกอนมาทับถมในบริเวณใตถุนบานเพิ่มขึ้นเมื่อ เวลาผานไปในหลายป จึงมีผลทําใหความสูงของใตถุนเรือนเตี้ยลงไปดวย นอกจากนี้ เนื่องจากการสรางถนนภายในชุมชนที่จากเดิมเคยอยูในระดับตํ่ากวาระดับพื้นดิน ของบาน แตภายหลังถนนไดรับการพัฒนาดวยการถมดินใหมีระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงมี ผลทําใหบา นทีเ่ คยอยูส งู กวาถนนกลายมาเปนอยูใ นระดับทีต่ าํ่ กวาพอถึงในชวงฤดูฝน นํ้าฝนก็มักไหลลงมาในเขตบานของชาวบาน จึงเปนเหตุผลใหตองมีการดีดบานและ ถมดินใหสูงกวาระดับถนน ชาวบานกลาววา ในชวงของการปรับปรุงเรือนมักมีการ ปรับลดจํานวนเสา โดยการเอาเสาคํ้าออกและปรับระบบโครงสรางพื้น ซึ่งมีผลทําให ใตถุนเรือนมีความโลงมากขึ้น บางสวนมีการตัดเสาเรือนสวนที่ผุออกและทําการตอ เสาเรือนใหมไปในคราวเดียวกันดวย ในบางเรือนหลังจากปรับปรุงโครงสรางเสาเรือน ก็จะมีการตอเติมใตถุนเรือนเพื่อกั้นเปนหองไปในคราวเดียวกัน จากการศึกษาจะพบวาในปจจุบนั เรือนเกือบทัง้ หมด มีการตอเติมใตถนุ เรือน ทั้งนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงความตองการในการอยูอาศัย โดยเฉพาะหองที่ปด เปนสวนตัว ประกอบกับในบางครัวเรือนมีผูสูงอายุและสุขภาพไมแข็งแรง การขึ้นลง เรือนจึงกระทําไดไมสะดวก จึงสรางเปนพื้นที่ใชสอยบริเวณใตถุนเรือน การตอเติม ใตถุนเรือน โดยมากเปนการสรางหองที่มีการปดลอม และมักเปนผนังกออิฐฉาบปูน บนโครงสรางเสาไม โดยอาจมีบางสวนเปนเสาคอนกรีต การตอเติมพื้นที่ใตถุนเรือน
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 117
116 117
9/6/2558 1:15:13
มีลักษณะที่แตกตางกันออกไปในแตละครัวเรือน ซึ่งมีทั้งที่อยูภายใตโครงสรางเสา เรือนที่ตอเนื่องมาจากชั้นบน และสวนที่อยูนอกเขตเสาเรือน รูปแบบของการปดลอม ของการใชงานของบริเวณใตถุนบานจะมีการเวนวางพื้นใตถุนบานไวบางสวน หรือ เปนสวนใหญในบางเรือน โดยสัดสวนการตอเติมพื้นที่อยูภายใตโครงสรางเสาเรือนที่ ตอเนื่องมาจากชั้นบนมีตั้งแตรอยละ 13 จนถึงรอยละ 95 หรือเกือบเต็มพื้นที่ และ มีสวนที่ตอเติมออกไปนอกเขตโครงสรางเสาเรือน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตั้งแตประมาณ 5 – 100 ตารางเมตร โดยมีการสรางหลังคาคลุมเชื่อมตอกับตัวเรือน สวนที่ปดลอม หรือหองที่ถูกสรางขึ้นมักใชเปนสวนนอน/หองนอน สวนพักผอนเอนกประสงค สวน ครัว และหองนํ้า นอกจากนี้ บางเรือนมีการใชพื้นที่ใตถุนบานโดยการกั้นพื้นที่แบง สัดสวนการใชสอยที่ชัดเจนเพื่อประกอบอาชีพ เชน รานทําผม เปนตน อีกดวย
ภาพที่ 26: ลักษณะการตอเติมหองบริเวณใตถุนเรือน (ซาย) การตอเติมหองนอกเขต เรือนชั้นบน (กลาง) การตอเติมหองที่โอบลอมพื้นที่เอนกประสงค (ขวา) การตอเติมหอง ที่แบงระหวางพื้นที่ภายนอกและภายใน
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 118
9/6/2558 1:15:13
ภาพที่ 27: การตอเติมหองบริเวณใตถุนบานและการสรางหองนํ้าในบริเวณบาน
การตอเติมพื้นที่ใตถุนบานในบางครัวเรือน มีองคประกอบที่สามารถตอบ สนองการอยูอาศัยในชีวิตประจําวันไดโดยไมตองขึ้นไปใชพื้นที่ชั้นบนเรือน ดังนั้น ในชั้นบนเรือนของครัวเรือนเหลานี้มักไมมีการใชงานในชีวิตประจําวัน แตจะมีเพียง การขึน้ ไปไหวเคารพสิง่ สักการะบนเรือน โดยผูส งู อายุในครัวเรือนเปนครัง้ คราวเทานัน้ องคประกอบทางความเชื่อในเรือน
จากการศึกษาพบวานอกจากศาลพระภูมิ และศาลเจาทีท่ พี่ บในบริเวณบาน ของเกือบทุกบานดังทีก่ ลาวไปแลว ยังพบองคประกอบทีเ่ กีย่ วเนือ่ งกับความเชือ่ ภายใน เรือน โดยเฉพาะในชั้นบนที่สัมพันธกับวิถีในการอยูอาศัยซึ่งมีทั้งที่มีลักษณะรวมเดียว กันและที่แตกตางกันไปตามความเชื่อและความเปนมาของแตละครัวเรือน ในเกือบ ทุกครัวเรือนจะพบโตะหมูบูชาพระ ยกเวนในบางเรือนที่เจาของเรือนมีเชื้อสายมุสลิม โตะหมูบ ชู าพระในเรือนสวนใหญจะอยูใ นบริเวณหองโถงหนาหองในเรือน บางสวนอยู บริเวณระเบียงขาง และบางสวนอยูในหอพระ (สําหรับเรือนที่มีหอพระ) นอกจากนี้ มีเพียงบางเรือนที่มีหิ้งผีบรรพบุรุษ ซึ่งสวนใหญจะอยูในหองในเรือนซึ่งมีตําแหนงที่ตั้ง ที่ฝาเรือนโดยหันหนาหิ้งไปทางหอหนา และอยูที่เสาเรือนบริเวณประตูทางเขาของ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 119
118 119
9/6/2558 1:15:13
หองในเรือน เรือนที่มีหิ้งผีบรรพบุรุษในหองในเรือนเหลานี้ โดยมากเจาของบานเปน ผูที่มีเชื้อสายชาติพันธุลาว นอกจากนี้ ในบางเรือนจะพบหิ้งผีบรรพบุรุษในหอง โถงหนาหอง ซึ่งตั้งอยูบริเวณเสาหนาประตูของหองในเรือนหรือที่บริเวณมุมเสาของ ฝาบังเคียนอีกดวยในหลายเรือนจะพบสิ่งเคารพสักการอื่นๆ ตามความเชื่อของ เจาของเรือน ไดแก ตี่จูเอี๋ย ศาลเจา โตะหมูบูชาแมตะเคียน และรูปเคารพรัชกาลที่ 5 สวนใหญหิ้งเคารพสักการะเหลานี้ซึ่งพบในเพียงบางเรือนเทานั้น และมักพบอยูใน บริเวณหองโถงดานหนาหองในเรือน โดยหันหนาออกสูหอหนา นอกจากนี้ ยังพบ ตีจ่ เู อีย๋ ในพืน้ ชัน้ ลางดวย ซึง่ พบในเรือนทีเ่ จาของเรือนทําการคา ชาวบานมีการไหวบชู า และทําพิธีกรรมเพื่อเคารพสักการะตอองคประกอบตางๆ ตามความเชื่อของตนอยาง สมํ่าเสมอตามชวงเวลาที่สําคัญที่แตกตางกันไปในแตละครัวเรือน นอกจากนี้ ที่ฝาของ เรือนประธาน โดยเฉพาะดานที่ติดกับหอหนาและบริเวณหนาหองเปดดานที่หันออก สูหอหนา มักพบพระบรมฉายาลักษณของพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว และพระบาทสมเด็จพระนางเจาพระบรมราชินีนาถ รูปพระ รวมถึงภาพบุคคลสําคัญ หรือ สมาชิกของครอบครัวติดเอาไวดวย องคประกอบเหลานี้เปนสวนหนึ่งที่แสดงให เห็นถึงวิถีและคติความเชื่อในการอยูอาศัยของชาวบานในชุมชน
ภาพที่ 28: หิ้งผีบรรพบุรุษในหองในเรือน (ซาย) และหองเปด (ขวา)
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 120
9/6/2558 1:15:13
ภาพที่ 29: สิ่งเคารพสักการะอื่นๆในหองเปดหนาหองในเรือน
ภาพที่ 30 รูปภาพตางๆ บริเวณฝาเรือนประธาน
การจัดทําชุดความรูสื่อสารสนเทศและสารสนเทศภูมิศาสตร
การจัดทําชุดความรูสื่อสารสนเทศและสารสนเทศภูมิศาสตรเปนสวนของ การจัดการความรูท ไี่ ดจากการศึกษา เพือ่ การเผยแพรสสู าธารณะทัง้ นีโ้ ครงการวิจยั ฯนี้ ไดมีการจัดทําชุดความรูสื่อสารสนเทศ อันประกอบดวยสื่อทั้งหมด 5 รูปแบบ ดังนี้ 1. สื่อสิ่งพิมพประเภทโปสเตอร นําเสนอในขนาด 24 x 36 นิ้ว จํานวน 18 แผน ที่เลาเรื่องราวภาพรวมของพื้นที่ศึกษา (จํานวน 3 แผน) และขอมูลและลักษณะ บานและเรือนที่ทําการสํารวจจํานวน 15 หลัง (จํานวน 15 แผน)
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 121
120 121
9/6/2558 1:15:14
2. สื่อวีดิทัศน นําเสนอจํานวน 3 เรื่อง ประกอบดวย เรื่องที่หนึ่ง “ชุมชนแหงลุมนํ้าเพชรบุรี-บานละหานใหญ และ บานไรสะทอน อําเภอบานลาด” เรื่องที่สอง “วิถีชีวิตและวัฒนธรรมในบานละหานใหญ และบาน ไรสะทอน ลุมนํ้าเพชรบุรี” เรือ่ งทีส่ าม “บานและเรือนในบานละหานใหญและบานไรสะทอน ลุมนํ้าเพชรบุรี” 3. สื่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส ซึ่งเปนรายะเอียดของการศึกษาของโครงการ วิจัยโดยทั้งหมด 4. สื่อเว็บไซต จํานวน 1 เว็บไซต เชื่อมตอเขากับระบบฐานขอมูลสารสนเทศ ของการเคหะแหงชาติ สื่อเว็บไซตนี้นําเสนอองคความรู และขอมูลรายละเอียด ทั้งหมดของการศึกษาผานการบรรยายดวยตัวหนังสือ ภาพถาย ภาพกราฟฟก แบบ ทางสถาปตยกรรม ภาพเคลื่อนไหว 3 มิติ ภาพเคลื่อนไหวและสื่อวีดิทัศน 5. สื่อบริการบนเครือขายสังคม โดยเฉพาะการสราง Facebook Page ซึ่ง จะสามารถชวยใหการเผยแพรองคความรูและสรางเครือขายของนักวิชาการและผู สนใจมีความกวางขวางมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ขอมูลที่ไดจากการศึกษาทั้งหมดไดถูกนําเขาสูระบบฐานขอมูล สารสนเทศภูมิศาสตรที่พัฒนา และดําเนินการโดยการเคหะแหงชาติ รวมกับคณะ ศิลปกรรม และสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา เพื่อ ใหเกิดการตอยอด และสืบสานภูมิปญญาดานที่อยูอาศัยในพื้นที่ศึกษาใหคงอยูคูกับ ประเทศไทยตลอดไป
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 122
9/6/2558 1:15:14
สรุปผลการศึกษา
การดําเนินงานโครงการวิจยั นีม้ วี ตั ถุประสงคเพือ่ ศึกษา สํารวจ และรวบรวม ภูมิปญญาของเรือนไทยพื้นถิ่นในหลายมิติ ในพื้นที่เปาหมายของการศึกษา และนํา ความรูที่ไดรับมาจัดทําเปนสื่อชุดองคความรูสารสนเทศเพื่อการเผยแพร การศึกษานี้ ไดเลือกศึกษาเรือนไทยพื้นถิ่นหรือเรือนไทยเมืองเพชร ในชุมชนบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ และบานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค อําเภอบานลาด จังหวัดเพชรบุรี เปน พื้นที่ศึกษานํารองในภูมิภาคภาคกลางนี้ จากการศึกษาพบวา ที่อยูอาศัยในรูปแบบ เรือนไทยเมืองเพชรของทั้งสองชุมชนนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยางตอเนื่อง โดยสัมพันธ ไปกับความตองการและวิถีชีวิตของชาวบานที่ปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลงของ เงื่อนไขทางสภาพแวดลอม เศรษฐกิจ และสังคม การดําเนินวิถีชีวิตการอยูอาศัยของ ชาวบานทําใหเห็นถึงการปฏิบัติตนที่เปนไปในแนวทางทั้งแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และการพัฒนาในเชิงอนุรักษ ซึ่งสะทอนตอทั้งลักษณะสภาพแวดลอมของชุมชนและ บานเรือนที่เปนที่อยูอาศัย ในดานสภาพแวดลอมบริเวณบานและชุมชนจะพบภูมิปญญาที่สําคัญใน หลายสวนซึ่งกลาวอยางนอยใน 3 ประการดังนี้ ประการแรก คือ การธํารงไวซึ่ง ประเพณีที่สําคัญของชุมชนและการสรางประเพณีใหมเพื่อเปนการยึดโยงชาวบาน ในชุมชนใหเกิดความรวมใจกัน ประการที่สอง คือ การสรางกฎเกณฑในการจัดการ ชุมชนรวมกันของชาวบาน โดยเฉพาะการจัดทํารั้วบานบริเวณถนนหลักของชุมชน ในบานไรสะทอนทําใหภูมิทัศนของชุมชนที่มีความตอเนื่องและเกิดสุนทรียภาพตอ ผูคนที่ผานไปมา ประการที่สาม คือ การปรับตัวของการทํากิน โดยเฉพาะการปลูก พืชไรและสวนผสมที่สอดแทรกไปกับสภาพแวดลอมในการอยูอาศัยอันสงผลให ภาพลักษณของชุมชนมีความรมรื่น ในดานบานเรือนที่เปนที่อยูอาศัยจะพบวาในปจจุบันวิถีในการอยูอาศัย ของชาวบานโดยเฉพาะในชั้นบนเรือนนั้นลดนอยลง ซึ่งในบางเรือนไมไดถูกใชในชีวิต ประจําวัน แตสําหรับชาวบานเรือนในชั้นบนก็ยังคงจะถูกเก็บรักษาเอาไว นอกจากนี้ จะพบการเปลี่ยนแปลงของบานเรือนในลักษณะที่เปนปจเจกของแตละครัวเรือน ซึ่ง ภาพรวมการเปลี่ยนแปลงของเรือนไทยของทั้งชุมชนบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ และบานไรสะทอน ตําบลถํ้ารงค สามารถแบงไดเปน 3 สวน
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 123
122 123
9/6/2558 1:15:14
สวนแรกเปนสวนของการอนุรักษ และสงวนไวในลักษณะที่เปนแบบแผน ประเพณี ซึ่งจะพบที่บริเวณเรือนประธาน และหอหนา โดยจะพบจากการคงไวของ ลักษณะผังเรือนประธานที่แบงออกเปนหองในเรือน และหองโถงหนาหอง ลักษณะ รูปทรงเรือนและหลังคา และการใชไมเปนวัสดุหลัก และวิธีการเขาไมแบบสลักเดือย ในบริเวณเรือนประธานและหอหนา สวนที่สองเปนสวนยอมใหปรับเปลี่ยนแตสามารถสรางความสอดคลองกับ ลักษณะที่เปนแบบแผนประเพณี ในสวนที่ปรับเปลี่ยนนี้พบไดจากหลายสวนในเรือน ชั้นบน ไดแก - บริเวณเรือนประธาน เชน การใชวัสดุมุงหลังคา ระบบโครงสรางคาน-ตงพื้น และรูปแบบและวัสดุอุปกรณในการติดตั้งประตู-หนาตาง - องคประกอบการปดลอมอื่นๆ บริเวณหอพระ ระเบียงขาง และระเบียง หรือชานหนาเรือน เชน การใชวัสดุมุงหลังคา รูปแบบผนังและประตู-หนาตาง รวมถึง การใชวัสดุและอุปกรณในการติดตั้ง สวนที่สามเปนสวนที่พัฒนา และเปลี่ยนแปลงได โดยเฉพาะบริเวณใตถุน เรือนที่จะพบจากการตอเติมหองหรือสวนตางๆที่สรางดวยการกออิฐฉาบปูนและมี การใชวัสดุ-อุปกรณสมัยใหม การเปลี่ยนแปลงของเรือนในพื้นที่ศึกษาทั้งสองชุมชนนี้สะทอนใหเห็นทั้ง การอนุรกั ษสว นทีเ่ ปนประเพณี และการปรับตัวตามวัสดุและเทคโนโลยีทเี่ ปลีย่ นแปลง ไป แมวาในภาพรวมความประณีตของฝมือชางดูประหนึ่งจะลดลงไป โดยเฉพาะใน สวนที่มีพัฒนาและเปลี่ยนแปลงของเรือน แตในภาพรวมขององคประกอบตางๆ ใน เรือนเหลานีม้ กี ารประสานกันอยางกลมกลืนและสรางสุนทรียภาพทางสถาปตยกรรม วิถีชีวิต และสภาพแวดลอมไดอยางลงตัว
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 124
9/6/2558 1:15:14
กิตติกรรมประกาศ
คณะผูวิจัยใครขอขอบพระคุณการเคหะแหงชาติที่ใหการสนับสนุนทุนใน การศึกษา โดยมีคณะกรรมการตรวจการจางจากการเคหะแหงชาติเปนผูใหมุมมอง และขอคิดเห็นที่เปนประโยชนตอการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ ชาวบานในบานละหานใหญ ตําบลตําหรุ และในบานไรสะทอน ตําบลถํา้ รงค และอาจารยแสนประเสริฐ ปานเนียม ผูใ หความชวยเหลือและอนุเคราะห ขอมูลที่มีสวนสําคัญอยางมากตอการศึกษาในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ คณะที่ปรึกษาทุกทาน อาจารยอนันต ทับเกิด และนาย นเรศ ปณทะศรีวิชัย ผูเชี่ยวชาญดานสื่อสารสนเทศ นายกิติศักดิ์ ชาวไรเงิน และ ทีมงานผูใหคําแนะนําดานเทคนิค และเขียนโปรแกรมเว็บไซต นางสุนิสา จุลไพบูลย ที่ปรึกษาเทคนิคการผลิตสื่อวีดิทัศน นายปรีชา ยงคเจริญ และทีมงาน ผูตัดตอวีดิทัศน คุณอนุสรณ อุทัยพงษ และทีมงานจาก บริษัทไวส เอ็นจิเนียริ่ง เซอรวิส จํากัด ที่ชวยเก็บขอมูลภาคสนามโดยใชระบบ 3D Scan ขอขอบพระคุณ คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ผูรวมวิจัย และผูชวยวิจัยทุกๆ ทาน ในการดําเนินงานโครงการวิจัยนี้ใหสําเร็จลุลวง เปนอยางดี เอกสารอางอิง กรมสงเสริมคุณภาพสิ่งแวดลอม. 2546. แมนํ้าเพชรบุรี แมนํ้า 1 สาย ใน 1 เมือง. กรุงเทพฯ: กรมสงเสริมคุณภาพสิ่งแวดลอม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม. ฤทัย ใจจงรัก. เรือนไทยเดิม. กรุงเทพฯ: คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร. 2518. ทิพยสดุ า ปทุมานนท. กําเนิดสถาปตยกรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพจฬุ าลงกรณมหาวิทยาลัย. 2539. นิพัทธพร เพ็งแกว. เลาเรื่องเมืองเพชร. กรุงเทพฯ: พิมพคํา. 2550. วันดี พินิจวรสิน. “ความภูมิใจในตน: ความธํารงของบานและเรือนไทยพื้นถิ่น”. ใน รายงานการ ประชุมทางวิชาการสถาปตยกรรมศาสตร ครั้งที่ 3: สถาปตยปาฐะ’ ๔๖–กระแส ทรรศน: สถาปตยสะทอนสังคม. คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร. 18-19 มีนาคม 2547. วีระ อินพันทัง. ความหลากหลายทางวัฒนธรรมการปลูกสรางเรือนไทยแหงลุมแมนํ้าเพชรบุร,ี วิทยานิพนธ ปริญญาดุษฎีบัณฑิต (สิ่งแวดลอมสรางสรรค) คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. 2553.
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 125
124 125
9/6/2558 1:15:14
สมภพ ภิรมย. บานไทยภาคกลาง. พิมพครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: องคการคาของคุรุสภา. 2531. แสนประเสริฐ ปานเนียม. “ทายกรานต: งานบุญสงทายสงกรานตของชาวเพชรบุรี”. ใน วารสาร เมืองโบราณ. ปที่ 33 ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2550). อรศิริ ปาณินท มนทัต เหมพัฒน จรูญพันธ บรรจงภาค และจตุพล อังศุเวช. 2551. ภูมิปญญา และพัฒนาการของเรือนพื้นถิ่นลุมแมนํ้าเพชรบุรี. โครงการวิจยั ในกลุมวิจัย โครงการ การศึกษาเพื่ออนุรักษและพัฒนาสิ่งแวดลอมสรรคสรางลุมนํ้าเพชรบุรี. ทุนอุดหนุนวิจัย จากคณะกรรมการวิจัยแหงชาติ 2550.
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 126
9/6/2558 1:15:14
A Study on the Explicit Knowledge and Local Wisdom in the Field of Housing for Knowledge Management in the Northeast of Thailand: the Settlement in Loei Watershed Assistance Professor Dr. Wandee Pinijvarasin Jatuphon Angsuved Supangkorn Phanomridh
Faculty of Architecture Kasetsart University
Abstract
The National Housing Authority (NHA) through the works of Department of Housing Development Studies has realized the values of local wisdom in vernacular houses, which have been disappearing, changing and losing local identity in a particular place. Thus, “a Study on the Explicit Knowledge and Local Wisdom in the Field of Housing for Knowledge Management” was inaugurated with aiming to compile knowledge of vernacular houses and people’s ways of life, and to manage all data gained to express in various types of communication media that can be disseminated to the public realms for learning, and thus making all precious local wisdoms to remain and to continue with the development of Thailand. Vernacular houses exist in many local places of the country, and thus this study emphasizes mainly on vernacular houses in the central region. Because the study can be divided into 2 main procedures: understanding vernacular houses in various dimensions, and managing all knowledge to be in various communication media types. Thus, this paper aims to illustrate the study results in the first part. 2 main locations at Ban La-Han-Yai
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 127
9/6/2558 1:15:14
(Moo 5) of Tambon Tamru and Ban Rai-Sathon (Moo 4) of Tambon Thamrong, Ban Lat district, Phetchaburi province were selected because they still express a wonderful array of vernacular houses, maintaining craftsmanship, culture and wisdom of the locality and their environment. 30 households were selected and surveyed in preliminary. Then, 15 houses and 5 houses remained in traditional patterns of the communities were selected, and further examined in details using methods of observation and interviews. This study found two important aspects. First, characteristics and elements of landscape around the houses in the studied areas always reflect their relationship with ecological system, resources and ways of life of the locality. They not only reflect social relation that has resulted in the images of the community, but also express the adaptation of the local residents towards changing environment. This has manifested with their agricultural occupations emphasizing self-sufficient economy. Second, most vernacular houses (or Reun Thai Meung Phetch) of the studied villages have remained in traditional patterns of the community. These houses are wooden, built on stilts with high-pitched roofs, which usually appear with a pair roof of a main house and a front hall (or Hor Nha), surrounded by a space resembling verandah (or Rabeng Khang). These studied traditional houses also consist of the elements reflecting a specific identity in accordance with local people’s ways of living and beliefs of a particular family. Though mostly remaining in traditional patterns, these vernacular houses have constantly changed, which can be mentioned into 2 parts. The first part is the changes on the upper floor of the houses, which usually express in both of conservation and modification in harmony with local tradition of architecture. This,
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 128
9/6/2558 1:15:14
to some extent, has resulted in the appearance of the houses with modest proportion, and thus generating a peculiar aesthetic quality of the relationship between the house and environment. The second part is the modification around the space underneath the houses, which is generally found within the communities. Although this modification has resulted in changing living atmosphere of the locality, it still expresses some respectfulness to the valuable elements of the past. This study found that even though the residents’ ways of living the house in the studied area have changed, these houses have expressed both conservative and flexible parts. The flexible part of those houses has been evolved with the changes of materials and technology available in the society. This, however, has expressed appropriate blending between architectural aesthetics, lives, and local environment.
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 129
9/6/2558 1:15:14
โปสเตอร: สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยภาคใต
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 130
9/6/2558 1:15:14
การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น
พื้นที่ภาคใต
1
กรณีศึกษา เรือนแตแรกเมืิองพัทลุง อาจารย ดร. เกรียงไกร เกิดศิริ อาจารย อิสรชัย บูรณะอรรจน อาจารย สกนธ มวงสุน
มหาวิทยาลัยศิลปากร บทคัดยอ
“โครงการศึกษาวิจัยเพื่อการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการ อยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคใต” เปนสวนหนึ่งของชุดโครงการวิจัยที่ มุง หมายเพือ่ ทําการศึกษาขอมูลภูมปิ ญ ญาทองถิน่ และวิถชี วี ติ ของผูค นในทองถิน่ ตางๆ ที่มีตอสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัย ตลอดจนปฏิสัมพันธระหวางวิถีชีวิต และ นิเวศวิทยาสิ่งแวดลอมซึ่งหลอหลอมใหแตละพื้นที่มีการสรางสรรคสถาปตยกรรม พื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยที่มีความแตกตางกันไปตามบริบทแวดลอม กอตัวเปนภูมิทัศน วัฒนธรรมเฉพาะทองถิน่ ทีม่ เี อกลักษณ และทรงคุณคาตอการเรียนรูเ พือ่ นําองคความรู มาประยุกตสูการพัฒนาอยางยั่งยืน และการธํารงรักษาอัตลักษณของทองถิ่นไวเปน ตนทุนทางวัฒนธรรมในการพัฒนาในมิติตางๆ ตอไป
บทความวิจัยสรุปผลโครงการวิจัย เกรียงไกร เกิดศิริ และคณะ. โครงการศึกษาวิจัยเพื่อ จัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคใต. สนับสนุนทุนวิจัยโดย การเคหะแหงชาติ ประจําป พ.ศ. 2556. ขอขอบพระคุณ ฝายวิชาการ พัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ ที่เล็งเห็นความสําคัญกับมรดกทางสถาปตยกรรม พื้นถิ่นที่อยูอาศัย และผลักดันใหเกิดการศึกษาวิจัยที่เปนรูปธรรมมาอยางตอเนื่อง 1
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 131
130 131
9/6/2558 1:15:14
การศึกษาวิจัยนี้เนนกระบวนการวิจัยภาคสนามในพื้นที่ศึกษา ใน 9 ตําบล คือ ต.ทะเลนอย ต.พนางตุง อ.ควนขนุน, ต.ลําปา อ.เมืองฯ, ต.หานโพธิ์ ต.จองถนน อ.เขาชัยสน, ต.นาปะขอ อ.บางแกว, ต.ปากพะยูน ต.ฝาละมี ต.เกาะนางคํา อ.ปากพะยูน ครอบคลุมทุกอําเภอในลุมนํ้าทะเลสาบสงขลาในเขตการปกครอง ของจังหวัดพัทลุง ทั้งนี้ เนื่องจากวัตถุประสงคในการวิจัยที่ตองการทราบขอมูลในลักษณะ ของภาพรวมอันเปนเอกลักษณทางสถาปตยกรรมของพื้นที่จึงจําเปนตองใชเรือน กรณีศึกษามากที่สุดเทาที่เปนไปได เพื่อใหเกิดความหลากหลายของกรณีศึกษา และ รูปแบบทางสถาปตยกรรมกอนที่จะนํามาสูขั้นตอนการอภิปราย วิเคราะหผล และ สรุปเปนองคความรูว า ดวยพัฒนาการ และรูปแบบของสถาปตยกรรมพืน้ ถิน่ ทีอ่ ยูอ าศัย ทรงคุณคาในจังหวัดพัทลุง โดยมีเรือนทีท่ าํ การศึกษา สํารวจรังวัด บันทึกภาพ ตลอดจน การสัมภาษณเจาของเรือน รวมทั้งสิ้น 58 หลัง โดยจําแนกเปนกรณีศึกษาใน อ.ควนขนุน คือ ต.พนางตุง 9 หลัง, ต.ทะเลนอย 3 หลัง, อ.เมือง คือ เทศบาลลําปา 19 หลัง, ต.ลําปา 3 หลัง, อ.เขาชัยสน คือ ต.หานโพธิ์ 8 หลัง, ต.จองถนน 7 หลัง, อ.บางแกว คือ ต.นาปะขอ 3 หลัง, อ.ปากพะยูน คือ ต.ฝาละมี จํานวน 6 หลัง ในการวิจัยไดพบองคความรูใหมจํานวนมากที่เกี่ยวเนื่องกับสถาปตยกรรม พื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัย และสภาพแวดลอมสรรคสรางอันเปนเอกลักษณของพื้นที่ และ ไดสรุปผลการวิจัยเปนลักษณะของรายงานวิจัยฉบับสมบูรณตามธรรมเนียมปฏิบัติ แลว โครงการวิจัยยังไดจัดทําฐานขอมูลสารสนเทศ ซึ่งประกอบไปดวยขอมูลตางๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยในพื้นที่ศึกษา ตลอดจนวิถีชีวิต การอยูอาศัย ระบบพิกัดทางภูมิศาสตร การสํารวจรังวัด สถาปตยกรรมโดยละเอียด เพื่อนํามาจัดทําแบบสถาปตยกรรม 2 มิติ และ 3 มิติ เพื่อจัดทําฐานขอมูลอันจะนํา ไปสูการพัฒนาตอยอดองคความรู นอกจากนี้ เพื่อใหงานวิจัยที่ดําเนินการนั้นเปน ประโยชนสูสาธารณะอยางแทจริง ทั้งในวงการวิชาการ วงการวิชาชีพ ตลอดจนผู ทีส่ นใจ ในการนี้ ผูว จิ ยั จึงไดผลักดันใหนาํ ไปสูก ารเผยแพรในลักษณะบทความวิจยั เพือ่ การเผยแพรความรูในวงวิชาการและวิชาชีพ และมีการจัดทําสื่อการเรียนรูประเภท ตางๆ อาทิ เว็บไซต สื่อผสม (Multimedia) ประเภทสื่อวีดิทัศน นิทรรศการ โปสเตอร หนังสือ และหนังสืออิเล็กทรอนิกส เพื่อการเผยแพรสูสังคมและสาธารณะ อยางแพรหลาย
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 132
9/6/2558 1:15:15
คําสําคัญ (keyword) ของงานวิจัย
- สถาปตยกรรมพื้นถิ่น (Vernacular Architecture) - สถาปตยกรรมพอเพียง และยั่งยืน (Sufficiency and Sustainable Architecture) - วัสดุกอสรางพื้นถิ่น (Local Materials) - เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสถาปตยกรรม (Appropriate Technology) - เทคนิคการกอสรางพื้นถิ่น (Vernacular Construction Technique)
ความสําคัญ และที่มาของการวิจัย
ในสถานการณปจ จุบนั ความเปลีย่ นแปลงสภาพแวดลอมทางธรรมชาติ และ วัฒนธรรมเกิดขึน้ ตามกระแสโลกาภิวตั นในทุกหัวระแหงของพืน้ ที่ โดยเฉพาะในชุมชน ชนบทที่เคยดําเนชีวิตใกลชิด และสัมพันธกับสภาพแวดลอมอยางแนบแนนความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นเปนไปอยางรวดเร็ว และสงผลกระทบโดยตรงกับวิถีชีวิต และสถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยอันเปนหนึ่งในปจจัยสี่ที่มีความจําเปนตอการ ดํารงชีวิตของมนุษย นอกจากนี้ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยในแตละทองถิ่นยัง เปนภาพสะทอนถึงความเปนเอกลักษณเฉพาะของแตละชุมชนที่มีพัมนาการขึ้นมา อยางสอดคลองกับสภาพแวดลอมอันเปนเอกลักษณเฉพาะตัว เต็มเปย มไปดวยคุณคา ของภูมปิ ญ ญาในการอยูอ าศัย และภูมปิ ญ ญาเชิงชางในการปลูกสราง ตลอดจนบงบอก ถึงวิวัฒนาการของรูปแบบที่อยูอาศัย และวัสดุที่ใชกอสรางเรือนที่พักอาศัยที่แตกตาง กันไปตามยุคสมัย ตามสภาพเศรษฐกิจ ตามระดับฐานะและตามอิทธิพลตางๆ ที่สงผล ตอการสรางที่อยูอาศัยรูปแบบตางๆ รวมถึงแนวคิดในการดําเนินวิถชี ีวิตของคนไทย ในแตละภูมิภาค จากความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี สภาพเศรษฐกิจ และสังคมที่ เปลี่ยนแปลงไป การกอสรางที่อยูอาศัยมีการพัฒนา และใชวัสดุกอสรางในระบบ อุตสาหกรรมเพื่อใชกอสรางขึ้นทดแทน ทําใหสามารถกอสรางที่อยูอาศัยในรูปแบบ เดียวกันจํานวนมากในระยะเวลาที่รวดเร็วปญหาที่เกิดขึ้นคือรูปแบบและเอกลักษณ ของที่อยูอาศัยในปจจุบันเปลี่ยนแปลงไป จึงสงผลใหความรูภูมิปญญาการกอสราง บานเรือนไทยในอดีตนับวันก็จะสูญหายไป
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 133
132 133
9/6/2558 1:15:15
การเคหะแหงชาติ จึงเปนหนวยงานที่มีหนาที่โดยตรงในการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของประชาชนดวยการจัดการที่อยูอาศัย จึงเปนหนวยงานที่มีความเกี่ยวของ และ ตองสงเสริมใหผูคนตระหนักถึงคุณคาของภูมิปญญาทองถิ่นที่บรรพบุรุษใชในการ สรางที่อยูอาศัยตลอดจนการดํารงชีวิตใหมีความสอดคลองกลมกลืนกับธรรมชาติ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยจึงเกิดขึ้นจากองคความรูของบรรพชนในอดีตที่ มีการตั้งคําถาม และการแกปญหาเพื่อใหสามารถสรางสรรคที่อยูอาศัยที่มีทําใหเกิด คุณภาพชีวิตที่ดี ทวาสะทอนถึงการบริหารจัดการไดดวยความสามารถของเจาของ เรือน (Self Sufficiciency) การผลิตซํ้ารูปแบบของสถาปตยกรรมพื้นถิ่นดังกลาว กลายมาเปนแบบแผน และเอกลักษณของสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเฉพาะพื้นที่ที่มีคุณคา ทั้งดานศิลปวัฒนธรรม และเปนตัวแทนของรูปแบบทางสถาปตยกรรมของพื้นที่ ซึ่ง หากไมมีการจัดการองคความรูในเรื่องรูปแบบที่อยูอาศัย และวิถีชีวิตของคนไทยแลว อาจทําใหภูมิปญญาที่มีคาตองสูญหายประเทศไทยจะขาดศิลปวัฒนธรรมของที่อยู อาศัยที่มีเอกลักษณเหลานั้นไป ซึ่งนานาอารยประเทศใหความสําคัญกับเรื่องการ อนุรักษภูมิปญญาเปนอยางมาก จากปญหาที่กลาวขางตน และจากยุทธศาสตรเพื่อการพัฒนาของชาติ ใน ประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาที่อยูอาศัยในยุทธศาสตรที่ 5 วาดวยการสรางองค ความรูเ รือ่ งทีอ่ ยูอ าศัยตอทุกภาคสวนของสังคม ทางการเคหะแหงชาติซงึ่ เปนหนวยงาน หลักของรัฐทีม่ ภี ารกิจดานการพัฒนาทีอ่ ยูอ าศัยจึงเห็นความสําคัญวา ในการแกปญ หา ดานที่อยูอาศัยจําเปนตองนําวิถีชาวบาน ภูมิปญญาทองถิ่น ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ คานิยมที่ดี ลักษณะพิเศษที่ดีของแตละชุมชนทองถิ่น ความสามารถของ ชาวบานมาประยุกตใชรวมกับเทคโนโลยีสมัยใหม และการรวบรวมองคความรูทั้ง ดานวัสดุกอสรางพื้นถิ่นและวิธีการกอสรางพื้นถิ่น รวมทั้งการจัดการองคความรูที่ ตอบสนองโดยตรงทางดานทีอ่ ยูอ าศัย ใหแกชาวชนบทอยางเปนระบบ มีความเหมาะสม ในมิติตางๆ เกิดกระบวนการเรียนรูและความรวมมือจากภาคสวนตางๆ ของสังคม ในการนี้ จะเห็นไดวา จําเปนตองทําการศึกษาสถาปตยกรรมในทองถิน่ เชิงลึก โดยศึกษาจากตัวแทนของกรณีศึกษาชุมชนชนบทตางๆ ที่ตั้งถิ่นฐานอยูในลุมนํ้า ทะเลสาบสงขลาในเขตพื้นที่จังหวัดพัทลุง เพื่อศึกษาลักษณะดั้งเดิมของรูปแบบทาง สถาปตยกรรม และวัสดุกอสรางพื้นถิ่น รวมไปถึงความสัมพันธกับบริบทแวดลอม เพือ่ การวางแนวทางในการปรับปรุงบานเรือนทีอ่ ยูอ าศัยทีเ่ หมาะสมทัง้ ในประเด็นของ
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 134
9/6/2558 1:15:15
การใชสอยพื้นที่ และวัสดุกอสราง และแนวทางในการพัฒนาที่แตกตางกันของที่อยู อาศัยของชุมชนชนบทซึ่งตั้งถิ่นฐานในภาคใต ในชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ลุมนํ้า ทะเลสาบสงขลา ซึ่งเปนมีการตั้งถิ่นฐานมาอยางยาวนาน อีกทั้งมีสภาพแวดลอมทาง ธรรมชาติที่มีเอกลักษณเฉพาะตัว และมีความเปราะบางสูง การตั้งถิ่นฐาน และการ กอรูปขึ้นของสถาปตยกรรมพื้นถิ่นในพื้นที่ดังกลาวจึงมีความนาสนใจอยางยิ่ง ดังนั้น จึงมีความสําคัญ และความจําเปนอยางเรงดวนที่ตองดําเนินการ ศึกษาวิจัยเพื่อรวบรวมองคความรูเรื่องรูปแบบที่อยูอาศัยของคนไทยในภาคใต กรณี ศึกษา ชุมชนละแวกทะเลนอย และละแวกทะเลสาบสงขลาในพื้นที่เขตจังหวัดพัทลุง อยางเปนระบบเพื่อนําไปสูการเก็บรักษาองคความรู นําไปสูการสืบสาน และนําไปสู กระบวนการตอยอด ตลอดจนเปนการผลิตเปนสื่อในรูปแบบตางๆ เพื่อเผยแพรใน สาธารณชนไดเรียนรู และนําไปพัฒนาการตอยอดเพื่อสืบสานภูมิปญญาใหคงอยูคู กับประเทศไทยตลอดไป วัตถุประสงคของการศึกษา
1. เพื่อสํารวจเก็บขอมูลที่อยูอาศัยและวิถีชีวิตการอยูอาศัยในมิติตางๆ เพื่อ จัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัย และวิถีชีวิตการอยูอาศัยดานมรดกภูมิปญญาทองถิ่น อยางเปนรูปธรรมในมิติของชาติพันธุ การตั้งถิ่นฐาน สถาปตยกรรม ศิลปวัฒนธรรม ดวยสื่อรูปแบบตางๆ 2. เพื่อสํารวจและจัดเก็บขอมูลที่อยูอาศัยตําแหนงตางๆ ในทางแผนที่สง เปนชั้นขอมูลภูมิสารสนเทศของครัวเรือนหรือที่อยูอาศัย เพื่อการเคหะแหงชาติ สามารถนํามาจัดการเพือ่ เผยแพรในระบบสารสนเทศทีอ่ ยูอ าศัยของการเคหะแหงชาติ 3. เพื่อศึกษาแนวทางสรางเครือขายโดยการมีสวนรวมของชุมชน หนวย งานทองถิ่น และสถาบัน การศึกษา เพื่อเปนเครือขายการเชื่อมโยงขอมูลสําหรับ เผยแพรความรูที่ครบวงจรอยางบูรณาการ
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 135
134 135
9/6/2558 1:15:15
ขอบเขตการศึกษา
1. ขอบเขตดานพื้นที่ “ภาคใต” เปนคาบสมุทรทีท่ อดตัวยาวในแนวเหนือใต และขนาบดวยทะเล อาวไทย และทะเลอันดามัน โดยมีแนวเทือกเขาทอดตัวเปนแนวยาวอยูตรงกลาง นอกจากสภาพแวดลอมที่มีความหลากหลายสูง ทําเลที่ตั้งทําใหภาคใตเปนศูนยกลาง การติดตอคาขาย และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมมาตั้งแตโบราณจึงเปนมูลเหตุให ภาคใตเปนพืน้ ทีท่ มี่ คี วามหลากหลายทางวัฒนธรรม และศาสนามากกวาพืน้ ทีอ่ นื่ ๆ จาก ขอมูลตางๆ ที่กลาวมาขางตนจึงทําใหสถาปตยกรรมพื้นถิ่นภาคใต มีความโดดเดนทั้ง ในแงตางๆ ที่เปนผลมาจากปจจัยแวดลอมที่หลากหลาย การเลือกกรณีศึกษาในการวิจัยชิ้นนี้ ไดคัดสรรพื้นที่มีสถาปตยกรรมเรือน พื้นถิ่นที่พักอาศัย ตลอดจนองคความรูที่เกี่ยวเนื่องกับการอยูอาศัย ทั้งในประเด็นของ การใชวัสดุกอสราง เทคโนโลยีในการกอสราง รวมไปถึงภูมิปญญาในการสรางสรรค ที่อยูอาศัยที่เกื้อกูลกับสภาพแวดลอมจนกลายเปนภูมิทัศนวัฒนธรรมของภาคใตที่มี เอกลักษณโดดเดน โดยมีเกณฑเบื้องตน ดังตอไปนี้คือ “เปนชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู ในลุมนํ้าทะเลสาบสงขลาในเขตจ.พัทลุง” ในที่นี้ จึงกําหนดพื้นที่สําหรับการสํารวจได 9 ตําบล คือ ต.ทะเลนอย ต.พนางตุง อ.ควนขนุน, ต.ลําปา อ.เมืองฯ, ต.หานโพธิ์ ต.จองถนน อ.เขาชัยสน, ต.นาปะขอ อ.บางแกว, ต.ปากพะยูน ต.ฝาละมี ต.เกาะนางคํา อ.ปากพะยูน ครอบคลุ ม ทุ ก อํ า เภอที่ สั ม พั น ธ กั บ ทะเลสาบสงขลาในเขตจั ง หวั ด พั ท ลุ ง
อาวไทย
เหนือ ภาพที่ 1: แผนที่แสดงพื้นลุมนํ้าทะเลสาบสงขลา โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 136
9/6/2558 1:15:15
เหนือ
อาวไทย
ภาพที่ 2: แผนที่แสดงพื้นลุมนํ้าทะเลสาบสงขลา และพื้นที่กรณีศึกษาที่มีที่ตั้งสัมพันธอยู ติดกับทะเลสาบสงขลา
2. ขอบเขตดานเนื้อหา - ดานสถาปตยกรรม ทําการศึกษา สํารวจ เก็บขอมูลรูปแบบที่อยูอาศัย แบบประเพณี และวิถีการอยูอาศัยในทุกๆ มิติ นํามาวิเคราะห และประมวลขอมูลเปน องคชุดองคความรูเรื่องรูปแบบที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัย ซึ่งสะทอนคุณคาทาง ศิลปวัฒนธรรม เอกลักษณและภูมิปญญาทองถิ่น - คัดเลือกบานที่มีความสมบูรณโดดเดนในเอกลักษณที่เปนไปตามเกณฑ การคัดสรรเพื่อนํามาจัดทําเปนแบบสถาปตยกรรม 2 มิติ และ 3 มิติ - ดานสื่อสารสนเทศ สังเคราะหองคความรูที่ไดเพื่อพัฒนาสื่อสารสนเทศ สําหรับการเรียนรูเกี่ยวกับที่อยูอาศัย จัดทําเปนสื่อเพื่อการจัดแสดงในรูปแบบของ นิทรรศการทั้งสื่อสิ่งพิมพ สื่อวีดิทัศน และสื่อแบบออนไลนที่มีความสะดวกตอการ เผยแพร และสืบคน - ดานขอมูลสารสนเทศ ศึกษาสํารวจและจัดเก็บขอมูลทีอ่ ยูอ าศัยและขอมูล ภูมศิ าสตรสารสนเทศของครัวเรือนหรือทีอ่ ยูอ าศัยตําแหนงตางๆ ในทางแผนทีส่ ง เปน ชั้นขอมูลสารสนเทศของครัวเรือนที่อยูอาศัย สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 137
136 137
9/6/2558 1:15:15
ขั้นตอนการดําเนินงาน
การศึกษาเพื่อสรางองคความรูเกี่ยวกับรูปแบบของสถาปตยกรรมพื้นถิ่น ที่อยูอาศัยในจังหวัดพัทลุง เพื่อนําไปสูการพัฒนาและการออกแบบระบบสารสนเทศ และการนําเสนอสูสาธารณะ และชุมชนเพื่อสรางจิตสํานึกในการอนุรักษ และฟนฟู สถาปตยกรรมพืน้ ถิน่ ทีอ่ ยูอ าศัยทรงคุณคาทางวัฒนธรรมตอไป มีขนั้ ตอนการดําเนินการ 10 ขั้นตอนหลัก คือ 1. การทบทวนวรรณกรรม และสารสนเทศประเภทตางๆ ที่เกี่ยวของใน สวนที่วาดวยเรื่องสถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยภาคใต และในจังหวัดพัทลุง เพื่อ ใหไดสถานภาพการศึกษา และความเขาใจเบื้องตนในสิ่งที่มีผูคนความากอนหนาแลว 2. สรุปคุณลักษณะสําคัญของสถาปตยกรรมพืน้ ถิน่ ทีอ่ ยูอ าศัยทีม่ คี ณ ุ คาทาง วัฒนธรรมภาคใต และนํามาสูการออกแบบกระบวนการดําเนินงาน 3. การศึกษาแผนที่ และภาพถายดาวเทียมเพือ่ วิเคราะหลกั ษณะภูมปิ ระเทศ ที่คาดวามีการตั้งถิ่นฐานยาวนานตามลักษณะของชุมชนภาคใตที่กลาวถึงจากการ ทบทวนวรรณกรรม และสารสนเทศในขอที่ 1 เพื่อกําหนดพื้นที่เปาหมายใหกระชับ ขึ้น 4. การสํารวจภาคสนามในพื้นที่ จ.พัทลุงโดยละเอียด โดยใชทําการสํารวจ ตามสมมติฐานตามประมวลไดจากการทบทวนสารสนเทศ และเอกสารตางๆ รวม กับการประมวลขอมูลจากการศึกษาแผนที่ และภาพถายดาวเทียม ตลอดจนการ ประสานงานกับหนวยงานสวนทองถิ่น ผูทรงคุณวุฒิทางวิชาการในทองถิ่น ปราชญ ทองถิ่น องคกรบริหารสวนทองถิ่น และเครือขายของผูสูงอายุที่ตั้งถิ่นฐานอยูในพื้นที่ ศึกษา 5. การออกแบบแบบฟอรมการเก็บขอมูล และการสํารวจเบื้องตน (Walk Through Survey) โดยคณะนักวิจัย ผูชวยวิจัย และผูชวยวิจัยภาคสนาม เพื่อศึกษา ภาพรวมของสถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยทรงคุณคาทางวัฒนธรรม พรอมกับการ ทําฐานขอมูลระบบพิกัดทางภูมิศาสตรของเรือนกรณีศึกษาตางๆ ที่พิจารณาเห็นวา ควรคาแกการนํามาศึกษาเชิงลึก โดยทําการศึกษาในพื้นที่ตางๆ รอบลุมนํ้าทะเลสาบ สงขลาในขอบเขตจังหวัดพัทลุง จํานวน 4 ครั้ง 6. การประชุมรวมกับคณะกรรมการจากการเคหะแหงชาติ เพื่อนําเสนอ ขอมูลเบื้องตนจากการเก็บขอมูล และสํารวจเบื้องตนประกอบการพิจารณากําหนด เกณฑในการคัดเลือกกรณีศึกษา โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 138
9/6/2558 1:15:15
7. การสํารวจพื้นที่เพื่อการคัดเลือกบานกรณีศึกษามาเพื่อทําการสํารวจเชิง ลึกในดานสถาปตยกรรม และลักษณะการอยูอาศัย ตลอดจนประวัติความเปนมา และ สภาพแวดลอมของชุมชน รวมกับคณะกรรมการจากการเคหะแหงชาติ 8. การลงภาคสนามสํารวจรังวัด และเก็บขอมูลสถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยู อาศัยกรณีศึกษาที่ถูกคัดเลือกวาเปนเรือนที่ทรงคุณคาที่จะนํามาพัฒนาตอเปนแบบ สถาปตยกรรม และแบบคอมพิวเตอรสามมิติ 9. นําผลการศึกษา และขอคนพบเบื้องตนเสนอตอผูทรงคุณวุฒิทางวิชาการ ดานสถาปตยกรรมพื้นถิ่น และที่ประชุมวิชาการเพื่อรับฟงความคิดเห็น และขอเสนอ จากผูทรงคุณวุฒิ และผูฟง ในหัวขอ “เรือนแตแรกเมืองพัทลุง” ใน “งานสรรสาระ สถาปตยกรรมพืน้ ถิน่ และสภาพแวดลอมทางวัฒนธรรม” ทีค่ ณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556 10. การวิเคราะห และสังเคราะหขอมูล เพื่อนํามาสูการถอดรหัส และ องคความรูที่แฝงอยูในสถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ตลอดจนขอมูลจากผูอยูอาศัย ในเรือน เพื่อนําเสนอรายงานสรุปผลการศึกษา และการพัฒนาและการออกแบบ ระบบสารสนเทศ และการนําเสนอสูสาธารณะ และชุมชนเพื่อสรางจิตสํานึกในการ อนุรักษ และฟนฟูสถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยทรงคุณคาทางวัฒนธรรมตอไป
ภาพที่ 3: การลงสํารวจภาคสนามในพื้นที่ศึกษา รวมกับที่ปรึกษา และคณะกรรมการจาก การเคหะแหงชาติ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 139
138 139
9/6/2558 1:15:15
การสํารวจสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยกรณีศึกษาขั้นตน
ในการศึกษาวิจัยในลักษณะองครวม และการสรางบทสังเคราะหเพื่อให เห็นภาพรวมของลักษณะทีอ่ ยูอ าศัยภาคใต ในการนีจ้ งึ มีจาํ เปนตองใชเรือนกรณีศกึ ษา มากที่สุดเทาที่เปนไปได เพื่อใหเกิดความหลากหลายของกรณีศึกษา และรูปแบบ ทางสถาปตยกรรมกอนที่จะนํามาสูขั้นตอนการอภิปราย การวิเคราะหผล และสรุป เปนองคความรูวาดวยพัฒนาการและรูปแบบของสถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ทรงคุณคาในจังหวัดพัทลุง โดยมีเรือนที่ทําการศึกษา สํารวจรังวัด บันทึกภาพ ตลอด จนการสัมภาษณเจาของเรือน รวมทั้งสิ้น 58 หลัง โดยจําแนกเปนพื้นที่ศึกษาดังนี้ คือ อ.ควนขนุน คือ ต.พนางตุง 9 หลัง, ต.ทะเลนอย 3 หลัง, อ.เมือง คือ เทศบาลลําปา 19 หลัง, ต.ลําปา 3 หลัง, อ.เขาชัยสน คือ ต.หานโพธิ์ 8 หลัง, ต.จองถนน 7 หลัง, อ.บางแกว คือ ต.นาปะขอ 3 หลัง, อ.ปากพะยูน คือ ต.ฝาละมี จํานวน 6 หลัง
ภาพที่ 4: แผนที่แสดงที่ตั้งของสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยกรณีศึกษา
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 140
9/6/2558 1:15:15
องคความรูจากการศึกษาสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยใน เขตจังหวัดพัทลุง
จากผลการสํารวจพื้นที่ขั้นตนที่คัดเลือกสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยู อาศัย กรณีศึกษาทั้งสิ้น 58 หลัง จากพื้นที่ศึกษาลุมนํ้าทะเลสาบสงขลาในเขตจังหวัด พัทลุง เพื่อทําการศึกษาภาพรวม และสังเคราะหความรูที่เกี่ยวเนื่องกับสถาปตยกรรม พื้นถิ่นที่อยูอาศัยเปนผลผลิตทางวัฒนธรรมที่สัมพันธกับการดําเนินชีวิตของผูคน ทั้งนี้ในแตละพื้นที่เมื่อผูวิจัยไดรับการบงชี้แหลงที่มีการตั้งถิ่นฐานเกาแก และตอเนื่อง ซึ่งไดรับขอมูลดังกลาวจากการทบทวนวรรณกรรม และสารสนเทศตางๆ ผสานกับ การศึกษาผานแผนที่ และภาพถายดาวเทียมเพือ่ วิเคราะหลกั ษณะภูมปิ ระเทศทีค่ าดวา มีการตั้งถิ่นฐานยาวนาน และประสานงานกับหนวยงานสวนทองถิ่น ผูทรงคุณวุฒิใน ทองถิ่น ปราชญทองถิ่น องคกรปกครองทองถิ่น และเครือขายของผูสูงอายุ จนไดมา ถึงแหลงที่มีการตั้งถิ่นฐานเกาแกและตอเนื่อง ซึ่งในการศึกษาดังกลาวจําเปนตองใช เรือนกรณีศึกษาในการทําวิจัยจํานวนมากที่สุดเทาที่จะทําได เพื่อใหครอบคลุมความ หลากหลายทางวัฒนธรรมตลอดจนรูปแบบทางสถาปตยกรรม เพื่อใหการวิเคราะห การสังเคราะห และสรุปผล คนพบองคความรูวาดวยพัฒนาการ และรูปแบบของ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยทรงคุณคาในจังหวัดพัทลุง ทั้งนี้ ในการวิจัยมีกระบวนการคัดสรรกรณีศึกษา “สถาปตยกรรมพื้นถิ่น เรือนที่อยูอาศัยทรงคุณคา” ตามเกณฑ 6 ขอ ซึ่งกรณีศึกษาที่ไดรับการคัดสรรเพื่อ ทําการศึกษาเชิงลึกนั้นก็คือ “เรือนเกา” ในภาษาถิ่นใตวา “เรินแตแรก” ซึ่งเต็มไป ดวยคุณคาในหลากมิติ ในการศึกษานี้ยังมุงศึกษา “ที่อยูอาศัย หรือบานที่แสดงออก ถึงความสัมพันธระหวางมนุษยดวยกันเอง มนุษยกับสังคม และมนุษยกับธรรมชาติ รวมไปถึงเปนภาพสะทอนใหเห็นสภาพแวดลอม เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม ของ ชุมชนนั้นๆ” การลงภาคสนามแตละชุมชนในพื้นที่ลุมนํ้าทะเลสาบสงขลาในเขตจังหวัด พัทลุง แมวาจะไมไดทําการศึกษาเชิงลึกดวยวิธีการสํารวจรังวัด และการสัมภาษณ เจาของเรือนทุกหลังในชุมชน แตผูวิจัยคัดสรรดวยการประเมินดวยเครื่องมือสํารวจ ขั้นพื้นฐาน (Basic Survey) กอนที่จะใชเกณฑ 6 ขอมาเปนตัวบงชี้เพื่อคัดเลือกกรณี ศึกษาสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยทรงคุณคาเพื่อทําการศึกษาเชิงลึก ทั้งนี้ มีเรือนที่ไดรับการคัดเลือกทั้งสิ้น 58 หลัง ที่มีคุณคาตามเกณฑขอใดขอหนึ่ง หรือ
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 141
140 141
9/6/2558 1:15:16
หลายขอ จากเกณฑรวมทั้งสิ้น 6 ขอ ดังรายละเอียดตอไปนี้ คือ เรือนใน อ.ควนขนุน คือ ต.พนางตุง 9 หลัง, ต.ทะเลนอย 3 หลัง, อ.เมือง คือ เทศบาลลําปา 19 หลัง, ต.ลําปา 3 หลัง, อ.เขาชัยสน คือ ต.หานโพธิ์ 8 หลัง, ต.จองถนน 7 หลัง, อ.บางแกว คือ ต.นาปะขอ 3 หลัง, อ.ปากพะยูน คือ ต.ฝาละมี จํานวน 6 หลัง จากการวิจยั ยังมีขอ สังเกตวา อาชีพของเจาของเรือนกรณีศกึ ษามีทงั้ การทํานา การทําสวนผลไม การทําสวนยาง การประมง การคา ซึ่งในอดีตนั้นแตละครัวเรือนจะมี อาชีพหลักที่คอนขางชัดเจน โดยเฉพาะ “เรือนชาวนา” ซึ่งจากการศึกษาพบวาเปน อาชีพทีส่ มั พันธกบั เรือนทีม่ แี บบแผนทีช่ ดั เจน แตในสถานการณปจ จุบนั นัน้ ไมสามารถ จําแนกเรือนออกเปนอาชีพไดอยางตรงไปตรงมานัก เนื่องจากแตละครัวเรือนนั้นได ประกอบอาชีพที่หลากหลายแตกตางไปจากบริบทของอดีตโดยสิ้นเชิงและจากการ ศึกษาวิจยั ไดจาํ แนกเรือนตามบริบทแวดลอมทีส่ ง ผลตอพัฒนาการทางสถาปตยกรรม ไดดังตอไปนี้ คือ “สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยที่แสดงความสัมพันธกับสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนไทยภาคกลาง” และ “รูปแบบสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัย ที่มีพัฒนาการของรูปแบบภายใตบริบทแวดลอมของพื้นที่” ทั้งนี้ สามารถจําแนก พัฒนาการของรูปแบบทางสถาปตยกรรมโดยสังเขปไดดังตอไปนี้ คือ 1. เรือนอายุประมาณ 140 ป ดังตัวอยาง “เรือนเจาเมืองพัทลุงหลังเกา (เรือนหมายเลข 1 ภาพที่ 4)” ไดรับอิทธิพลจากเรือนไทยภาคกลางอยางชัดเจน ดังที่ปรากฏเปนรูปแบบทางสถาปตยกรรม 2. เรือนอายุประมาณ 120 ป ดังตัวอยาง “เรือนเจาเมืองหลังใหม (เรือน หมายเลข 2 ภาพที่ 4)” แมวาจะมีอายุในการกอสรางหลังจากเรือนเจาเมืองหลังเกา ไมนานนัก แตทวามีพัฒนาการปรับเปลี่ยนรูปทรง และวัสดุกอสรางใหเหมาะสมกับ ภูมิประเทศที่มีฝนชุกและลมแรง ดวยลดความสูงของหนาจั่วลง ใชฝาผนังไมไผสาน ฉาบปูน และทําชานเปนเครื่องกอเพื่อความทนทานกวาชานไมเคี่ยมที่เปนที่นิยม รูปแบบสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยที่มีพัฒนาการของรูปแบบภายใตบริบท แวดลอมของพื้นที่ 3. เรือนอายุประมาณ 80-100 ป ดังตัวอยาง “เรือนคุณประภาส หัสนันท (เรือนหมายเลข 3 ภาพที่ 4)” เปนเรือนชาวนา ยังใหความสําคัญของทิศตะวันออก ตามคติความเชื่อ ทางขวามือหรือทางทิศใต คือ เรือนนอน หลังคาเรือนนอน และ เรือนรองเปนหลังคาทรงจั่ว แตลดความสูงของหนาจั่วลงมาก เพื่อลดการตานแรงลม
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 142
9/6/2558 1:15:16
ฝาผนังสวนเรือนนอนใชสงั กะสีทนี่ าํ เขามาจากเกาะปนงั และนํามาขายตอทีเ่ มืองสงขลา และเจาของเรือนในอดีตไดซื้อหามาใชเปนวัสดุผนังเรือนนอนมาตั้งแตแรกสราง 4. เรือนอายุประมาณ 60-80 ป ดังตัวอยาง “เรือนคุณสําราญ พุดคํา (เรือน หมายเลข 3 ภาพที่ 4)” เปนตัวอยางของเรือชาวประมง จะเห็นไดวายังใหความสําคัญ ของทิศตะวันออกตามคติความเชื่อ ทางซายมือหรือทางทิศใตเปนเรือนนอน ทางทิศ เหนือเปนเรือนรองซึ่งทั้งสองเรือนมีหลังคาทรงจั่ว แตทวาเรือนมีขนาดเล็กลงมาก เพราะไมไดเปนเรือนสําหรับครอบครัวขยายเชนครอบครัวชาวนา แตมีการตอเติม พื้นที่นั่งเปนชานที่มีหลังคาทรงเพิงคลุม 5. เรือนอายุประมาณ 50-60 ป ดังตัวอยาง “เรือนคุณแจง สังขทิพย (เรือน หมายเลข 5 ภาพที่ 4)” เปนตัวอยางเรือนที่แสดงใหเห็นถึงบริบทของการแสวงหาที่ ทํากินใหม เนื่องจากที่ราบลุมสําหรับการทํานา และที่ริมทะเลสาบสงขลาถูกจับจอง ไปจนหมดสิน้ จึงผลักดันใหมกี ารเขาไปตัง้ ถิน่ ฐานตรงทีล่ าดเชิงเขาเพือ่ ประกอบอาชีพ ทําสวนเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากการทํานา ยังมีคอกโค-กระบืออยูดานขางเรือนนอน ซึ่งเปนพัฒนาการในชั้นหลังที่คํานึงถึงสุขลักษณะ ตลอดจนบานเมืองมีความสงบ เรียบรอยมากขึ้นโดยไมมีการลักวัวควายมากเชนในอดีต นอกจากนี้ จะเห็นวาสัดสวน ของเรือนจะดูแปลกตามากขึ้น เนื่องจากยกใตถุนสูงมากขึ้นไปตามสํานึกเรื่องความ ปลอดภัย 6. เรือนอายุประมาณ 40-50 ป จะมีความหลากหลายของตัวอยางเนื่อง จากระบบสังคมวัฒนธรรมในพื้นที่ศึกษามีความซับซอนมากขึ้น เนื่องจากการเพิ่ม จํานวนประชากรและการพัฒนาที่เปนไปอยางรวดเร็ว สงผลใหเกิดความหลากหลาย ของรูปแบบทางสถาปตยกรรมมากขึ้น ดังตัวอยางของ “เรือนคุณพวน กรกฎ (เรือน หมายเลข 6 ภาพที่ 4)” เปนตัวอยางของเรือนที่ผูอยูอาศัยที่แมวาจะมีการทํานาอยู บางแตไมมากนัก เนื่องจากมีเศรษฐกิจรูปแบบใหม คือ การทําสวนยางคูไปดวยจึง เปนเหตุใหมีการไปบุกเบิกพื้นที่เพื่อการตั้งถิ่นฐานหางไปจากทะเลสาบมากขึ้นโดย ขยับเขาไปยังที่ลาดเชิงเขาที่อยูตอนใน ทําใหเรือนกลุมนี้จะมีการยกใตถุนที่สูงมาก ดวยสํานึกเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสิน และมีความนิยมในการสราง หลังคาเรือนนอนเปนหลังคาแบบปนหยามากขึ้น สําหรับ “เรือนของคุณสําลี ไผทอง (เรือนหมายเลข 6 ภาพที่ 4)” เปนเรือนที่สะทอนใหเห็นความนิยมในการใชหลังคา ปนหยาเปนหลังคาสวนเรือนนอน และมีชานนั่งเลนหนาบาน และ “เรือนของคุณลี่
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 143
142 143
9/6/2558 1:15:16
แดงปรด(เรือนหมายเลข 6 ภาพที่ 4)” มีประวัติวาเปนเรือนของผูนําชุมชน ทําใหมี การกอสรางเรือนมีลักษณะพิเศษ คือแมวาจะมีหลังคาแบบปนหยา แตยกมุขดาน หนาเพื่อแสดงใหเห็นถึงรูปลักษณของเรือนที่ซับซอนขึ้นตามศักดิ์ของเจาของเรือนใน ฐานะของผูนําชุมชนนั่นเอง 7. เรือนอายุประมาณ 30-40 ป ในชวงเวลาดังกลาวชุมชนทองถิ่นมีความ เปลี่ยนแปลงมากขึ้นตามบริบทแวดลอมทั้งภายใน และภายนอกชุมชนที่เชื่อมโยง สัมพันธกัน ในชวงเวลานี้เริ่มมีการยายถิ่นฐานขามพื้นที่ไปแสวงหาที่ทํากินใหมๆ ทําให มีเรือนเกาถูกขายดวยเจาของยายถิ่นฐานใหม หรือมีการฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นก็ จะปลูกเรือนใหมตามสมัยนิยม กรณีศึกษาที่นาสนใจดังตัวอยางของ “เรือนคุณสุนีย ขุนพล (เรือนหมายเลข 7 ภาพที่ 4)” ซึ่งเรือนที่นํามาปลูกสรางนั้นไปซื้อเรือนเกา มาจากแหลงอื่นๆ ซึ่งทั้งสองหลังตางเปนเรือนนอน เมื่อนํามาปลูกสรางเปนเรือนใหม จึงมีการกลับผังเรือนใหมใชชานรวมกันนับวาเปนกรณีศึกษาที่นาสนใจอยางยิ่ง นอกจากนี้ ในชวงเวลาดังกลาวมีการพัฒนาพื้นที่ดวยการตัดถนนเพื่อเชื่อมโยงชุมชน ตางๆ ที่ตั้งกระจายตัวอยูริมทะเลสาบเขาดวยกัน ทําใหเปนจุดเริ่มตนใหกลุมคนไทย เชื้อสายจีนเขามาจับจองพื้นที่ริมถนนเพื่อปลูกเรือนที่เปนทั้งที่อยูอาศัยและคาขาย ซึง่ เมือ่ มองรูปแบบทางสถาปตยกรรมเพียงภายนอกจะดูประหนึง่ วาเปนสถาปตยกรรม พื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยที่พัฒนาการขึ้นจากบริบทดั้งเดิม หากแตเมื่อพิจารณาในผัง ของเรือนจะพบวาเปนเรือนในวัฒนธรรมจีน ดังตัวอยางของ “เรือนคุณแปลก แกว มรกต (เรือนหมายเลข 7 ภาพที่ 4)”
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 144
9/6/2558 1:15:16
ภาพที่ 4: ภาพสามมิติแสดงเรือนกรณีศึกษาที่ยกมาเปนตัวอยางในการ อธิบายเรื่องพัฒนาการทางสถาปตยกรรมของเรือนพื้นถิ่นในลุมนํ้าทะเล สาบสงจลา ในพื้นทื่จังหวัดพัทลุง สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 145
144 145
9/6/2558 1:15:16
ภาพที่ 5-1: แสดงเรือนที่มีอายุประมาณ 140 ป
ภาพที่ 5-2: แสดงเรือนที่มีอายุประมาณ 120 ป
ภาพที่ 5-3: แสดงเรือนที่มีอายุประมาณ 100 ป โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 146
9/6/2558 1:15:16
ภาพที่ 5-4: แสดงเรือนที่มีอายุประมาณ 80 ป
ภาพที่ 5-4: แสดงเรือนที่มีอายุประมาณ 60 ป
ภาพที่ 5-4: แสดงเรือนที่มีอายุประมาณ 40 ป สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 147
146 147
9/6/2558 1:15:16
ภาพที่ 5-4: แสดงเรือนที่มีอายุประมาณ 40 ป
ภาพที่ 5-4: แสดงเรือนที่มีอายุประมาณ 30 ป
ภาพที่ 5-4: แสดงเรือนที่มีอายุประมาณ 30 ป โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 148
9/6/2558 1:15:17
ภาพที่ 6: แผนภูมแิ สดงพัฒนาการของรูปแบบสถาปตยกรรม และลักษณะการใชสอยของสถาปตยกรรม พื้นถิ่นลุมนํ้าทะเลสาบสงขลา จ.พัทลุง
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 149
148 149
9/6/2558 1:15:17
การคัดเลือกกรณีศึกษาเพื่อทําการศึกษาละเอียดเพื่อจัดทําแบบ คอมพิวเตอร 2 มิติ และ 3 มิติ
หลังจากการประมวลผลการศึกษาสํารวจภาคสนามเพื่อทราบถึงขอมูล เบื้องตนของสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยที่มีศักยภาพในการทําการวิจัย ตอเนื่อง จึงนําผลลัพธดังกลาวมาประชุมรวมกับผูทรงคุณวุฒิ และคณะกรรมการ จากการเคหะแหงชาติ เพื่อพิจารณากําหนดเกณฑในการคัดเลือกกรณีศึกษา ได กําหนดเกณฑเพือ่ ใชในการพิจารณาคัดสรรสถาปตยกรรมพืน้ ถิน่ ทีอ่ ยูอ าศัยทรงคุณคา ที่เหมาะแกการนํามาศึกษาเชิงลึก ทั้งการศึกษาบริบทแวดลอมตางๆ ที่เกี่ยวของกับ เรือนกรณีศึกษา ตลอดจนการสํารวจรังวัด เพื่อจัดทําแบบสถาปตยกรรม และแบบ คอมพิวเตอรสามมิติ ทั้งนี้สถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่พักอาศัยที่เลือกเปนกรณีศึกษา จะตองมีคุณสมบัติเขาเกณฑขอใดขอหนึ่ง หรือหลายขอ ตามหลักเกณฑการคัดเลือก ดังตอไปนี้ เกณฑขอที่ คําอธิบายเกณฑ 1 เปนสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่พักอาศัยที่มีอายุการกอสรางเกาแก และเปนตัวอยางที่หาไดยากยิ่ง (Rarity) ซึ่งเปนตัวแทนของรูปแบบ และพัฒนาการของที่อยูอาศัยของภาคใต 2 เปนสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่พักอาศัยที่เปนตัวอยางอันโดดเดน หรือมีเอกลักษณทางสถาปตยกรรมที่เปนตัวแทนของเรือนพื้นถิ่น ภาคใต 3 เปนสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่พักอาศัยที่สะทอนถึงการปรับตัวให สอดคลองสัมพันธกับระบบนิเวศ และภูมิประเทศ ภูมิอากาศอันมี ลักษณะเฉพาะของภาคใต 4 เปนสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่พักอาศัยที่สะทอนถึงความสัมพันธ กับวิถีทางวัฒนธรรมของภาคใต 5 เปนสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่พักอาศัยที่สะทอนถึงความสัมพันธ กับอาชีพอันเปนเอกลักษณของภาคใต 6 เปนสถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่พักอาศัยที่สะทอนถึงภูมิปญญาในการ กอสราง และการใชวัสดุกอสรางพื้นถิ่น อันเปนลักษณะเฉพาะของ ภาคใต โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 150
9/6/2558 1:15:17
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัยที่นาสนใจและเปนไปตามเกณฑ การคัดสรรกรณีศึกษา
จากเกณฑขางตนทั้ง 6 ขอ ทางผูวิจัยไดประชุมรวมกับคณะกรรมการจาก การเคหะแหงชาติ และที่ปรึกษาโครงการ ไดรวมการคัดสรรกรณีศึกษาเพื่อทําการ ศึกษาเชิงลึก โดยพิจารณาจากการเฉลี่ยคานํ้าหนักที่คิดจากเกณฑขอตางๆ ตามเกณฑ จํานวน 27 หลัง และคณะกรรมการจากการเคหะแหงชาติ และที่ปรึกษาโครงการได คัดสรรเรือนกรณีศึกษาเพื่อทําแบบสถาปตยกรรม 2 มิติ จํานวน 16 หลัง และแบบ สถาปตยกรรมคอมพิวเตอร 3 มิติ จํานวน 7 หลัง ดังตารางแสดงรายละเอียดดังตอไปนี้
ลําดับ ที่
เจาของเรือน กรณีศึกษา
ที่อยู
เกณฑขอที่ 1
2
3 X
X
4
แบบ แบบ 2 มิติ 3 มิติ
5
6
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
1
แจง เวชมงคล
เลขที่ 71 เทศบาลเมืองพัทลุง ต.ลําปา อ.เมืองฯ จ.พัทลุง
X
2
สมศรี กิ้มมวง
เลขที่ 79เทศบาลเมืองพัทลุง ต.ลําปา อ.เมืองฯ จ.พัทลุง
X
3
เมียน เดชเอี่ยม
เลขที่ 98 เทศบาลเมืองพัทลุง ต.ลําปา อ.เมืองฯ จ.พัทลุง
4
สนาน อินทฤทธิ์
เลขที่ 39 เทศบาลเมืองพัทลุง ต.ลําปา อ.เมืองฯ จ.พัทลุง
X
X
5
วังเจาเมือง
เทศบาลเมืองพัทลุง ต.ลําปา อ.เมืองฯ จ.พัทลุง
X
X
6
จันทรเพ็ญ หมวดจันทร เลขที่ 7 หมูที่ 5 ต.ลําปา อ.เมืองฯ
X
X
7
งามพิศ ทับทิม
เลขที่ 175 หมูที่ 6 ต.ลําปา อ.เมืองฯ จ.พัทลุง
X
X
X
X
X
8
ประภาส หัสนันท
เลขที่ 58 หมูที่ 6 ต.หานโพธิ์ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง
X
X
X
X
X
X
9
สําราญ พุดคํา
เลขที่106 หมูที่ 6 ต.หานโพธิ์ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง
X
X
X
10
แจง สังขทิพย
เลขที่26 หมูที่ 7 ต.หานโพธิ์ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง
X
X
X
X
X
11
พวน กรกฏ
เลขที่93 หมูที่ 7 ต.หานโพธิ์ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง
X
X
X
X
X
12
แคลว สะอาด
เลขที่32 /2 หมูที่ 3 ต.จองถนน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง
X
X
X
X
X
X
X
X
จ.พัทลุง
X
X
X
X
X
X
X
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 151
150 151
9/6/2558 1:15:17
ลําดับ ที่
เจาของเรือน กรณีศึกษา
เกณฑขอที่
ที่อยู 1
2
5
6
แบบ แบบ 2 มิติ 3 มิติ
3
4
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
13
อารีย เปลงมาก
เลขที่ 64 หมูที่ 3 ต.จองถนน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง
14
ลั่น ทระเกิด
เลขที่ 68 หมูที่ 3 ต.จองถนน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง
15
เขียว เนียมฮะ
เลขที่ 86 หมูที่ 3 ต.จองถนน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง
16
สุนีย ขุนพล
เลขที่ 76 หมูที่ 8 ต.หานโพธิ์ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง
17
ลี่ แดงปรด
เลขที่ 40 หมูที่ 2 ต.นาปะขอ อ.บางแกว จ.พัทลุง
18
วิลาวรรณ คงอินทร
เลขที่ 41 หมูที่ 2 ต.นาปะขอ อ.บางแกว จ.พัทลุง
19
เสรี รักดํา
เลขที่ 52 หมูที่ 2 ต.นาปะขอ อ.บางแกว จ.พัทลุง
20
สมพิศ ทองพูลเอียด
เลขที่ 47 หมูที่ 2 ต.ทะเลนอย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
X
X
X
X
X
X
X
X
21
ลําดวน แกวเศส
เลขที่ 46 หมูที่ 2 ต.ทะเลนอย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
X
X
X
X
X
X
X
X
22
เปอน แกวบุญสง
เลขที่ 65/1 หมูที่ 1 ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
X
X
X
X
X
23
บัว ซุนเซง
เลขที่ 55 หมูที่ 2 ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
X
X
X
24
อุนจิต ฉางดํา
เลขที่ 57 หมูที่ 2 ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
X
X
X
25
หวง หนูขาว
เลขที่ 71 หมูที่ 1 ต.ฝาละมี อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง
X
X
X
X
26
เพรียงศักดิ์ ทองโอ
เลขที่ 347 หมูที่ 1 ต.ฝาละมี อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง
X
X
X
X
27
มูฮัมหมัด โยบ สมัด
เลขที่ 100 หมูที่ 3 ต.ฝาละมี อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง
X
X
X
X
X
X
X
X
X
X
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 152
9/6/2558 1:15:17
ผลลัพธการดําเนินการของโครงการ
โครงการศึกษาวิจยั เพือ่ การจัดการความรูเ รือ่ งทีอ่ ยูอ าศัยและวิถกี ารอยูอ าศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น (พื้นที่ภาคใต) นอกจากจะผลิตรายงานวิจัยฉบับสมบูรณเพื่อ เผยแพรแลว ในโครงการยังดําเนินการผลิตสื่อประเภทตางๆ ดังนี้ 1) สื่อสิ่งพิมพ ประเภทโปสเตอร จํานวนอยางนอย 18 แผน เพื่อใชสําหรับ การนําเสนอขอมูลองคความรูเกี่ยวกับสถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย กรณีศึกษา ภาคใต เพื่อเปนสื่อประชาสัมพันธ และจัดแสดงนิทรรศการ ตลอดจนนําไปติดตั้งใน หนวยงานทองถิ่นตอไป โดยมีรายละเอียดพอสังเขป ดังตอไปนี้ - โปสเตอรแสดงขอมูลสรุปภาพรวมของโครงการ - โปสเตอรแสดงขอมูลลักษณะการตั้งถิ่นฐาน และองคประกอบของชุมชน ทองถิ่นภาคใต จังหวัดพัทลุง - โปสเตอรแสดงขอมูลพัฒนาการทางสถาปตยกรรมเรือนพักอาศัยพื้นถิ่น จังหวัดพัทลุง - โปสเตอรแสดงขอมูลเรือนกรณีศึกษาทั้ง 18 หลัง 2) สื่อวีดิทัศน จํานวน 3 เรื่อง เพื่อการนําเสนอขอมูลที่เปนภาพเคลื่อนไหว ประกอบของขอมูล องคความรูของเรือนในพื้นที่ศึกษา วิถีชีวิต ภูมิปญญาในการอยู อาศัย ประเพณีวัฒนธรรม และสภาพแวดลอมสรรคสราง ตลอดจนการสัมภาษณ เจาของบาน หรือคนในชุมชน เนื่องจากสื่อวีดิทัศนมีทั้งภาพเคลื่อนไหวประกอบกับ เสียงบรรยาย โดยมีรายการวีดิทัศน ดังตอไปนี้ - วีดิทัศนเรื่อง “องครวมภูมิทัศนวัฒนธรรมชุมชน และสถาปตยกรรมพื้น ถิ่นเรือนที่อยูอาศัยในลุมนํ้าทะเลสาบสงขลา” - วิีดิทัศนเรื่อง “เรือนแตแรกเมืองพัทลุง” - วีดิทัศนเรื่อง “เรือนแตแรกภาคใตกับวิถีชีวิตชาวสวนยาง” 3) สือ่ เว็บไซต จํานวน 1 เว็บไซต เพือ่ รวบรวมองคความรู ขอมูลรายละเอียด โครงการ และนําเสนอรายละเอียดขององคความรูโ ดยสามารถเชือ่ มโยงไดทงั้ ภาพถาย, ภาพกราฟฟก, ตัวหนังสือบรรยาย, ภาพเคลื่อนไหวพรอมเสียงบรรยาย รวมถึงภาพ เคลื่อนไหวที่เปนภาพ 3 มิติ สามารถเชื่อมโยงเขากับระบบฐานขอมูลสารสนเทศของ องคกร ซึ่งจะทําใหสะดวกตอการสืบคนขอมูลของผูที่สนใจ
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 153
152 153
9/6/2558 1:15:17
4) สื่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส จํานวน 2 เลม เพื่อนําเสนอขอมูลอยาง ละเอียดของขอมูลทั้งหมดที่ทําการสํารวจเก็บขอมูล และการวิเคราะห สําหรับผูที่ ตองการศึกษาขอมูลอยางละเอียด หรือขอมูลวิชาการสถาปตยกรรม เชน นักศึกษา นักวิชาการ นักออกแบบ และสถาปนิก เนือ่ งจากสือ่ ประเภทหนังสืออิเล็กทรอนิกสใช ตนทุนไมมากนัก และสามารถบรรจุเนือ้ หาหรือขอมูลและรูปภาพไดมากไมจํากัดคลาย สื่อเว็บไซต แตควบคุมรูปแบบรูปเลมไวเปนชุดไดดีกวา เปนสื่อที่รวบรวมขอมูลตางๆ ในการศึกษาวิจัยโครงการนี้ไวมากที่สุด ทั้งนี้ในโครงการวิจัยฯ จึงจะจัดทําสื่อหนังสือ อิเล็กทรอนิกส ดังตอไปนี้ - สื่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ - สื่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส แบบสถาปตยกรรมเรือนกรณีศึกษา
ภาพที่ 7: แผนภูมิแสดงแนวคิดในการผลิตสื่อเพื่อการเผยแพร
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 154
9/6/2558 1:15:17
ผลสรุปการศึกษาเรื่องสถานภาพของสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือน ที่อยูอาศัยในพื้นที่ศึกษา
จากการศึกษาพบวา สถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนกรณีศึกษาเปนเรือนที่อยู อาศั ย ที่ ท รงคุ ณ ค า ที่ เ ต็ ม ไปด ว ยภู มิ ป ญ ญาที่ ส ะท อ นให เ ห็ น ถึ ง วิ ถี ท างวั ฒ นธรรม ตลอดจนการสรางสรรคที่อยูอาศัยที่เหมาะสมกับบริบทแวดลอมของทองถิ่น อยางไร ก็ตาม ในสถานการณปจจุบันสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยเหลานี้เริ่มประสบ ปญหาเนื่องจากมีระยะเวลาในการกอสรางมาอยางยาวนาน ตลอดจนในพื้นที่ศึกษา นั้นมีภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สงผลกระทบตอสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัย ทรงคุณคา ทั้งปญหาอุทกภัย และวาตภัยอยูบอยครั้ง นอกจากนี้ จากสถานการณ ปจจุบันที่การพัฒนาไดไหลบาเขาไปยังทุกแหลงแหงที่ แตทวาการพัฒนาที่เกิดขึ้น กับทองถิ่นนั้นเปนการเปลี่ยนแปลงที่ไมไดเอาทองถิ่นเปนตัวตั้ง หากแตเปนการหา ประโยชนจากทองถิ่น ทําใหเกิดชองวางทางสังคม และเศรษฐกิจ และทําใหโครงสราง ทางสังคม และกฎเกณฑตางๆ ของทองถิ่นตองลมสลายลงมาดวยปรับตัวไมทัน จากการศึกษาพบวาในที่อยูอาศัยในชุมชนชนบทที่คัดสรรเปนกรณีศึกษา ประสบปญหาที่เกี่ยวเนื่องกับการอยูอาศัย ทั้งในระดับมหภาค และระดับครัวเรือน ซึ่งปญหาเหลานี้ลวนแตเกี่ยวพันกันไปมา เพราะฉะนั้นการแกปญหาเรื่องที่อยูอาศัย ในชุมชนชนบท จึงไมอาจแกที่ปญหาระดับใดระดับหนึ่งเพียงอยางเดียวได หากแต ในการแกปญหาตองพิจารณาปญหาและปจจัยแวดลอมทั้งหมดอยางเปนองครวม จึงจะสามารถแกปญหาเรื่องที่อยูอาศัยในชุมชนชนบทไดอยางสมบูรณ และจะไมเปน การกอปญหาใหมที่ซับซอนใหแกชุมชนทองถิ่น อยางไรก็ตาม จากการสืบคนขอมูลเชิงลึกดวยเทคนิควิธีในการเก็บขอมูล ภาคสนามเพื่อวิเคราะหถึงศักยภาพในแงมุมตางๆ โดยนักวิชาการ ผูเชี่ยวชาญ และที่ ปรึกษา ทําใหพบตนทุนแฝงของทองถิ่น และศักยภาพดานตางๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู ที่สามารถฟนฟู และนํามาสูกระบวนการประยุกต และสรางสรรคแนวทางเรื่องที่อยู อาศัยที่เหมาะสมกับทองถิ่นได ผานกระบวนการสานเสวนา และชวนคิดใหทองถิ่นที่ เคยมีอดีตอันดีงาม ไดรวมเสวนาหาปญหาที่แทจริง ศักยภาพที่มีอยู ความตองการที่ พอเพียง และขอมูลเรื่องตางๆ ที่เกี่ยวของกับแนวทางการพัฒนาที่อยูอาศัยที่เหมาะ สมกับทองถิ่น นอกจากนี้ ตนทุนทางสังคมวัฒนธรรมของพื้นที่ภาคใตยังทําใหเกิด
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 155
154 155
9/6/2558 1:15:17
ความผูกพันกับเรือนที่ตนอยูอาศัยสูงมาก ซึ่งนับวาเปนจุดแข็งที่สําคัญตอการพัฒนา สงเสริมใหเกิดการอนุรักษตัวเรือนสถาปตยกรรมทรงคุณคาเพื่อใหเปนแหลงการ เรียนรู ในขณะเดียวกันก็สามารถเปนที่อยูอาศัยที่เหมาะสม และทําใหผูอยูอาศัยมี คุณภาพชีวิตที่ดีไดดวย โดยในการศึกษานี้ มีแนวทางหลักของการพัฒนาเรื่องที่อยูอาศัยในทอง ถิ่นจากองคความรูจากการวิจัยดังนี้ กลาวคือ ในอดีตที่มีการบริหารและการจัดการ ในสังคมแบบสั่งการจากยอดสูฐาน (Top Down) และการหยิบยื่นสิ่งตางๆ เขาไป ในทองถิ่นที่มาจากภาครัฐโดยใชวาทกรรมการพัฒนาไดสงผลกระทบใหเห็นอยาง ชัดเจนวา แทนที่ชุมชนทองถิ่นจะเขมแข็ง ชุมชนทองถิ่นกลับมีความออนแอลง ทั้ง ที่แตเดิมเคยมีศักยภาพในการจัดการชีวิตความเปนอยูดวยตนเอง เนื่องมาจากการ หยิบยื่นใหจากรัฐโดยปราศจากการใหแสวงหาดวยตนเองตามแนวทางที่เหมาะสมที่ มีกระบวนการทางความคิด และการตัดสินใจที่รองรับอยูบนขอมูล และหลักฐานทาง วิชาการ หรือใหชุมชนเปนสวนหนึ่งของการไดมาซึ่งความตองการนั้นดวยตนเอง ในที่นี้ จึงมีความจําเปนเรงดวนที่ตองสงเสริมใหทองถิ่นมีกระบวนการวิจัย ดานที่อยูอาศัยเพื่อชุมชนโดยชุมชนเอง โดยที่มีหนวยงานรัฐ และหนวยงานวิชาการ เปนพี่เลี้ยง หรือเปนไปในลักษณะการดําเนินการรวมกัน เพื่อฝกฝนกระบวนการ ทางความคิด ตรรกะวิธีในการแกปญหา รวมทั้งเพิ่มมุมมองที่แตกตางหลากหลายให เพื่อที่วาเมื่อภาครัฐ และภาควิชาการถอนตัวออกไปจากพื้นที่ ชุมชนเหลานั้นก็จะ สามารถหยัดยืนไดดวยตนเอง ขอเสนอแนะ และความตองการของชุมชนทองถิ่น
จากการศึกษาพบวา ความตองการของทองถิ่นยังขาดในแงของขอมูลเพื่อ ประกอบการตัดสินใจในประเด็นตางๆ รวมทั้งขาดการสนับสนุนดานตางๆ ในขั้นตน เพื่อใหทองถิ่นสามารถวางแผนการดําเนินการระยะยาวของตนเองไดตอไป แตใน ขั้นตอนแรกนั้น การเคหะแหงชาติ ในฐานะหนวยงานภาครัฐที่ทําหนาที่เรื่องการสง เสริมใหประชาชนมีที่อยูอาศัยที่มีคุณภาพ ควรหาแนวทางการสนับสนุนในประเด็น ดานตางๆ ดังตอไปนี้ ดานวัสดุกอสราง - ทําหนาที่เปนสื่อกลางในการเจรจาระหวางผูประกอบการกับทองถิ่นใน การจัดหาวัสดุกอสรางที่มีราคาสมเหตุสมผลเพื่อใหชาวบานนําไปประยุกตใชกับ โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 156
9/6/2558 1:15:17
การสราง ซอมแซม ปรับปรุงที่อยูอาศัยใหไดมาตรฐาน แตเคารพตอบริบทของความ สัมพันธกับสภาพแวดลอม - ทําหนาที่สงเสริมใหเกิดกระบวนการทางความคิดเรื่องที่อยูอาศัยที่เหมาะ สม และใหความชวยเหลือในการกอตั้งสหกรณออมทรัพยเปนกองทุนเพื่อการพัฒนา ปรับปรุงที่อยูอาศัยที่เหมาะสมกับบริบทของทองถิ่น - สงเสริมใหมีการผลิต และการใชวัสดุกอสรางของทองถิ่นที่มีศักยภาพ สะทอนถึงภูมิปญญาทองถิ่น สามารถใชหมุนเวียนได ตลอดจนการสรางเอกลักษณ ทางสถาปตยกรรม และสือ่ ความหมายถึงวิถวี ฒ ั นธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และสภาพ แวดลอมของทองถิ่น ซึ่งสําหรับในพื้นที่ศึกษา พบวา วัสดุมุงหลังคาประเภทกระเบื้อง ดินเผาเปนวัสดุที่มีคุณภาพ ทวาปจจุบันประสบปญหาการขาดแคลนเนื่องจากไมมี ผูผลิตทําใหมีราคาแพง นอกจากนี้ การมุงกระเบื้องดินเผายังสิ้นเปลืองไมระแนง สําหรับเกี่ยวกระเบื้อง ทั้งนี้ ควรสงเสริมใหเกิดการผลิตกระเบื้อง และการปลูกไม เนื้อแข็งสําหรับใชสอยควบคูกันไป - สงเสริมใหมกี ารเรียนรู และการพัฒนาทักษะการผลิตวัสดุกอ สรางทองถิน่ โดยประยุกตใชเทคโนโลยีทเี่ หมาะสม ไมตอ งซือ้ หาเครือ่ งไมเครือ่ งมือราคาสูง ใหเปนไป ในลักษณะที่ชาวบานสามารถดําเนินการไดดวยตนเอง - เปนสื่อกลางใหเกิดกระบวนการคาแบบแลกเปลี่ยนไมตองใชเงินเปนสื่อ กลางในการแลกเปลี่ยน ทําใหชุมชนที่สามารถผลิตวัสดุกอสรางที่แตกตางกันนํามา แลกเปลี่ยนกันไดโดยตรงโดยไมตองผานคนกลาง - การจัดทําฐานขอมูลแหลงวัสดุกอสราง และราคา เพื่อทําใหเกิดการกระ จายขอมูลอยางทั่วถึง ทําใหเกิดการคาที่เปนธรรม ไมมีการผูกขาดสินคา และทําให ทองถิ่นสามารถซื้อหาวัสดุกอสราง ตางๆไดดวยราคาที่สมเหตุสมผล - ประสานความรวมมือกับหนวยงานภาครัฐที่เกี่ยวของในการสงเสริมการ ผลิตวัสดุกอสรางตางๆที่สามารถหมุนเวียนได เชน การปลูกตนไมเนื้อแข็งสําหรับการ กอสราง และปรับปรุงที่อยูอาศัย เปนตน - สนับสนุนใหเกิดการวิจัย และพัฒนา (Research and Development) วัสดุ โดยมีรากฐานจากวัสดุตั้งตนการผลิต (Raw Material) ที่หาไดในทองถิ่น รวม ทั้งเมื่อไดรับผลการวิจัยที่เปนรูปธรรมแลวจึงนําสูกระบวนการถายทอดเทคโนโลยี และองคความรู
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 157
156 157
9/6/2558 1:15:18
ดานการซอมแซม ตอเติม และปรับปรุงที่อยูอาศัยเกาใหมีคุณภาพ และการสราง ที่อยูอาศัยใหม - จัดทําคูมือการซอมแซม การปรับปรุงบานดวยตนเอง เพื่อเปนการฟนฟู ศักยภาพของทองถิ่นที่ภูมิปญญาเชิงชางเคยอยูคูกับคนทุกคน - สงเสริมใหเกิดผูประกอบการในทองถิ่นเพื่อรับงานซอมแซม ปรับปรุงที่อยู อาศัย เนื่องจากชางในทองถิ่นยอมเขาใจลักษณะตางๆที่เกี่ยวเนื่องกับทองถิ่นไดเปน อยางดี โดยสงเสริมใหมีหลักสูตรชางฝมือทองถิ่น โดยปฏิบัติงานรวมกับสถาบันการ ศึกษาทางดานวิชาชีพในแตละทองถิ่น เชน วิทยาลัยเทคนิค ซึ่งมีแผนกชางกอสราง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัยราชภัฏ ที่มีการเรียนการสอน ดานสถาปตยกรรมศาสตร และวิศวกรรมศาสตร - สงเสริมใหเกิดการฝกอบรมพัฒนาฝมือแรงงาน และชางในทองถิ่น เพื่อ ใหบุคลากรเหลานี้ยังประโยชนสูงสุดในทองถิ่น โดยมีหัวขอในการฝกอบรมตามความ ตองการของทองถิ่น และตามความตองการของชางในประเด็นที่ตนเองขาด - การยกยองปราชญทองถิ่นดานการกอสรางใหเกิดความภาคภูมิใจในการ สืบทอดการทํางาน รวมทั้งการถายทอดใหแกเยาวชนรุนหลัง ตลอดจนสงเสริมให เกิดกระบวนการทํางานรวมกันของคนหลากวัยในหนาที่ที่แตละคนจะเปนสวนหนึ่ง ของการทํางานได เพื่อสรางกระบวนการถายทอดการทํางานผานการสาธิตโดย ผูเชี่ยวชาญ และการสังเกตจดจําเพื่อนําไปพัฒนายกระดับฝอของชางรุนเล็กตอไป ดานทุนทรัพย - การสนับสนุนใหเกิดสหกรณออมทรัพยเพื่อที่อยูอาศัย ทั้งที่เปนการสราง ที่อยูอาศัยใหม และการปรับปรุงที่อยูอาศัยใหมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น - การสนับสนุนใหเกิดระบบการคาแบบแลกเปลี่ยนที่ไมตองใชเงินเปนสื่อ การในการซื้อขายแลกเปลี่ยน หากแตนําวัสดุที่ผลิตไดของชุมชนมาแลกกันโดยตรง ในที่นี้ รวมถึงวัสดุกับแรงงานก็สามารถเปนสิ่งที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได - สงเสริมใหเกิดผูป ระกอบการของทองถิน่ เพือ่ การซอมแซม บูรณปฏิสงั ขรณ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยทรงคุณคา ทั้งในแงของการผลิตวัสดุกอสราง และชางฝมือ
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 158
9/6/2558 1:15:18
ดานการบริหารจัดการ สงเสริมใหเกิดความเขมแข็งของชุมชนผานกระบวนการวิจัยโดยสถาบัน ทางวิชาการ รวมกับภาคสวนอื่นๆ ในทองถิ่น ที่มุงเปาประสงคของการพัฒนาพื้นที่ อยางยั่งยืนในทุกๆ ประเด็น ทั้งดานที่อยูอาศัย วิถีชีวิต อาชีพการงาน สภาพแวดลอม เนื่องจากเมื่อเรียนรูผานกระบวนการวิจัย จะทําใหทองถิ่นมีตรรกะวิธีคิดที่เหมาะสม และสามารถนําไปใชแกปญ หาดานตางๆ ไดอยางเหมาะสมตอไป นอกจากนี้ ทีอ่ ยูอ าศัย เกาที่เปนมรดกทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ หากมีการบริหารและการ จัดการอยางเหมาะสม มีการอนุรักษ ซอมแซมใหคงสภาพดี และเหมาะสมกับการอยู อาศัย ที่อยูอาศัยเหลานี้มักมีขนาดใหญโต ซึ่งหากรัฐมีนโยบายในการสงเสริมใหเกิด การกลับถิ่นฐานดวยการสงเสริมใหเกิดอาชีพที่เหมาะสมในแตละทองถิ่นแลว ที่อยู อาศัยเหลานี้สามารถทําหนาที่เปนที่อยูอาศัยสํารอง (Housing Stock) ของสังคมได อยางเต็มภาคภูมิ เนื่องจากอุดมไปดวยบริบททางวัฒนธรรม อีกทั้งไมตองสรางที่อยู อาศัยใหมที่จะกอใหเกิดปญหาดานสภาพแวดลอมที่จะตามมาใหแกปญหาอีกมาก ข อ เสนอแนะด า นการจั ด การองค ค วามรู เ กี่ ย วกั บ สถาป ต ยกรรม พืน ้ ถิน ่ เรือนที่อยูอาศัย
จากการศึกษาวิจัยในโครงการฯ พบวา ในสถานการณปจจุบันสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยในพื้นที่ศึกษา อยูในสภาวะถูกคุกคามตอการดํารงอยู เพื่อเปนแหลงเรียนรูของคนไทยที่มีมาในอดีต ตลอดจนองคความรูที่แฝงฝงอยูใน สถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยเปนสิ่งที่ทรงคุณคาอยางยิ่ง เนื่องจากเปนตน ทุนทางวัฒนธรรมที่สําคัญของประเทศชาติ ตลอดจนเปนองคความรูที่สําคัญของ มนุษยชาติเพื่อทําความเขาใจตอลักษณะการอยูอาศัย วิถีวัฒนธรรม ตลอดจนทัศนคติของผูคนในอดีตที่มีความเคารพนบนอบตอสภาพแวดลอม ซึ่งสิ่งตางๆ เหลานี้ ไดฉายภาพผานสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัย ดวยคุณคาที่มีมากมายเหลานี้ จึงสามารถจัดสิ่งกอสรางเหลานี้วาเปน “มรดกทางวัฒนธรรมดานที่อยูอาศัย” นอกจากนี้ องคการวิทยาศาสตร และวัฒนธรรมแหงสหประชาชาติ ยังได ใหความสําคัญมรดกสถาปตยกรรมพื้นถิ่นนี้ท้ังในฐานะองคประกอบของ “ภูมิทัศน วัฒนธรรม (Cultural Landscape)” สําหรับชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยูใกลชิดกับสภาพ แวดลอมทางธรรมชาติ และในฐานะองคประกอบของ “ภูมิทัศนยานประวัติศาสตร
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 159
158 159
9/6/2558 1:15:18
(Urban Historic Landsape)” และมีหลายๆแหงไดรับการประกาศยกยองใหเปน “แหลงมรดกโลกทางวัฒนธรรม (World Cultural Heritage)” ดวยมีเจตจํานงที่จะ ยกยอง และสงเสริมใหเกิดกระบวนทัศนดานการอนุรักษ และพัฒนาอยางยั่งยืนตอ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยของมนุษยชาติในภาวการณที่แหลงมรดกทาง วัฒนธรรมเหลานี้กําลังอยุในภาวะเสี่ยงตอการสูญสลาย ในที่นี้ การเคหะแหงชาติ ซึ่งเปนหนวยงานหลักของชาติที่มีหนาที่พัฒนา คุณภาพชีวิตของประชาชนดวยการจัดการที่อยูอาศัย จึงมีหนาที่สําคัญในการสงเสริม ใหเกิดการเรียนรูตอสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัย เพื่ออนุรักษและสงเสริมให เกิดการเรียนรู เพือ่ ความตระหนักถึงคุณคาของภูมปิ ญ ญาทองถิน่ ทีบ่ รรพบุรษุ ใชในการ สรางที่อยูอาศัย ตลอดจนการดํารงชีวิตใหมีความสอดคลองกลมกลืนกับธรรมชาติ มี ความเปนอยูที่พอเพียงใชทรัพยากรอยางประหยัด รูปแบบที่อยูอาศัยทั้งในเมือง และ ชนบทลวนเกิดจากองคความรูที่มีคุณคาทั้งดานศิลปวัฒนธรรม และเอกลักษณที่ หลากหลาย หากไมมีการจัดการองคความรูในเรื่องรูปแบบที่อยูอาศัย และวิถีชีวิตของ คนไทยแลว อาจทําใหภมู ปิ ญ ญาทีม่ คี า ตองสูญหายประเทศไทยจะขาดศิลปวัฒนธรรม ของทีอ่ ยูอ าศัยทีม่ เี อกลักษณเหลานัน้ ไป ซึง่ นานาอารยประเทศใหความสําคัญกับเรือ่ ง การอนุรักษภูมิปญญาเปนอยางมาก โดยการรวบรวมองคความรูทั้งดานวัสดุกอสราง พื้นถิ่น และวิธีการกอสรางพื้นถิ่น รวมทั้งการจัดการองคความรูที่เกี่ยวเนื่องกับ สถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัยใหแกประชาชน ผูสนใจ นักวิชาการ นักวิจัย นักเรียน นักศึกษา อยางเปนระบบดวยการสงเสริมการวิจัยอยางตอเนื่อง ตลอดจน ผลักดันใหมีการจัดการความรู และเผยแพรสูสาธารณะเพื่อเปนตนทุนในการเรียนรู อันเปนรากฐานที่สําคัญตอการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผูคนดานที่อยูอาศัยตอไป
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 160
9/6/2558 1:15:18
กิตติกรรมประกาศ ขอขอบพระคุณ ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ ผูสนับสนุนทุนในการวิจัย ขอขอบพระคุณ คุณสมดี เบ็ญจชัยพร, คุณราเชน ผินประดับ, คุณนภดล วองเวียงจันทร, คุณชลธร นนทิดุริยงค, คุณดุลมลชัย วิวัฒนขวรวงษ, คุณปนัดดา กิตติวรภูมิ, คุณธิดารัตน ศรีอรรคจันทร, คุณปรัชญ เดือนสวาง, คุณธีระ แกงทองหลาง, คุณอนุสรณ ชวนานนท, คุณมนัสสวี พรหมพุฒ, คุณสุทัศน อินทุราม, คุณจงจิตร วิทยประเสริฐกุล, คุณมงคล จันทษี, คุณวิมลรัตน ยิ้มสวัสดิ์, คุณสุรีวัลย ภูแจง ขอขอบพระคุณ เจาของ, ผูอยูอาศัย และบรรพชนผูสรางสรรคสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเรือนที่อยูอาศัย ทรงคุณคาทางวัฒนธรรมทุกๆ ทาน ขอขอบพระคุณ “นักวิจัยโครงการศึกษาวิจัยเพื่อจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัย ผานภูมิปญญาทองถิ่น พื้นที่ภาคใต” สมชาย เชื้อชวยชู, ธนกฤต ธัญญากรณ, สิริรัตน เพชรรัตน, กุลพัชร เสนีวงศ ณ อยุธยา “นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรปริญญมหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา สถาปตยกรรมพื้นถิ่น บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร” : อ.อดิศร ศรีเสาวนันท, อ.เจนยุทธ ลอใจ, อ.กฤษฎา อานโพธิ์ทอง, อ.ธนวดี ละมอม, พรนิภา วงศพราวมาศ, ณัฐพล พวงมาลา, พัชรียา คําดี, ภูมิภัค บุญถนอม, อาทิตย จันทรเปลี่ยน, นิชนันท สุวรรณะ, ณัฐวดี สัตนันท “นักศึกษาฝกงานจากคณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยนเรศวร” : วิศษิ ย ศรีพรม สุรเชษฐ แกวสกุล “อาจารย และนักศึกษาฝกงานจากคณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยสุภานุวงศ หลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” อ.จันเพ็ง ถอ, อ.คําซาย พันทะวง, อ.นวลแสง โพนสาลี, กิมทอง สอบุนทอง, คัมภีรพัน คําชมพู, คําเลียน สีจันทะวีไซ, สาคอน จันทะวง, นิดถา บุนปานี, ทองคูน แสงมะนี
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 161
160 161
9/6/2558 1:15:18
บรรณานุกรม เอกสารภาษาตางประเทศ Magellan, Translated by Lord Stanley of Alderley. The First Voyage Round the World. (Translated from the accounts of Pigafetta and other contemporary writers.) 1874. Oliver, Paul. Built to meet needs: Cultural Issues in Vernacular Architecture. Amsterdam: Elsevier. 2006. Oliver, Paul. Dwelling: the Vernacular House World Wide. New York: Phaidon Press Limited. 2003. Rapoport, Amos. House Form and Culture. Englewood cliffs: Prentice-hall. 1969. Rudofsky, Bernard. Architecture without Architects. Garden City: Doubleday. 1964. Stuart Munro-Hay. Nakhon Sri Thammarat the Archeology, History and Legends of a Southern Thai Town. BKK: White Lotus. 2001. เอกสารภาษาไทย เกรียงไกร เกิดศิริ. รายงานวิจัยการจัดการองคความรูการใชวัสดุกอสรางพื้นถิ่น และเทคโนโลยี กอสรางในพื้นที่ภาคกลาง. กรุงเทพฯ: การเคหะแหงชาติ. 2554. เลิศชาย ศิริชัย และนฤทธิ์ ดวงสุวรรณ. ประมงพื้นบานลุมทะเลสาบวิถีและการเปลี่ยนแปลง. กรุงเทพฯ: สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) 2552. เอกวิทย ณ ถลาง. "ภูมิปญญาทักษิณ" ใน หนังสือชุดภูมิปญญาชาวบานกับกระบวนการเรียนรู และการปรับตัวของชาวบานไทย. 2545. กชร. ร.5. ม.2/50/2 (ม47/19) รายงานราชการมณฑลนครศรีธรรมราชของพระยาสุขุมนัยวินิต ร.ศ.117. กิติ ตันไทย. หนึ่งศตวรรษเศรษฐกิจของคนลุมทะเลสาบสงขลา. กรุงเทพฯ: สํานักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย (สกว.) 2552. ขมิ้นศรี. (นามปากกา). เรื่องเลารอบทะเลสาบ. กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ. 2543. ชวลิต อังวิทยาธร. การแลกเปลี่ยนและการคาขาวบริเวณชุมชนรอบทะเลสาบสงขลา. กรุงเทพฯ: สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) 2544. ทิวา ศุภจรรยา. "สภาพภูมิศาสตรและการตั้งถิ่นฐานชุมชนโบราณบริเวณลุมทะเลสาบสงขลา", สัมมนาทางวิชาการ พัทลุงศึกษา: พัฒนาการสังคมวัฒนธรรมบริเวณลุมทะเลสาบ สงขลา. 23-25 สิงหาคม 2536. ศูนยวัฒนธรรม จ.พัทลุง. นิพัทธพร เพ็งแกว. "เกาะยอ" ใน อนุทินทะเลสาบ บันทึกจากแผนดินของปู-ทะเลของยา. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพสุขภาพใจ. 2544.
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 162
9/6/2558 1:15:18
นิพัทธพร เพ็งแกว. "ขาว: หญามหัศจรรย ในหนึ่งเมล็ดมีทุกสิ่งที่ชีวิตตองการ" ใน อนุทินทะเลสาบ บันทึกจากแผนดินของปู-ทะเลของยา. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพสุขภาพใจ. 2544. นิพัทธพร เพ็งแกว. "บันทึกทะเลนอย" ใน อนุทินทะเลสาบ บันทึกจากแผนดินของปู-ทะเลของ ยา. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพสุขภาพใจ. 2544. นุกูล ชมภูนิช. บานไทยเอกลักษณของชาติ. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร. 2530. ปนัญญา ธเนศวร และคณะ. แผนการใชที่ดินลุมนํ้าทะเลสาบสงขลา. (เอกสารทางวิชาการ เลข ที่ 02/07/41, กองวางแผนการใชที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ, 2541. ประทุม ชุมเพ็งพันธุ. ศิลปวัฒนธรรมภาคใต. กรุงเทพฯ: สุรีวิริยะสาสน. 2548. พระบาทสมเด็จ. "พระราชหัตเลขาฉบับที่ 2 วันที่ 29 กรกฎาคม รัตนโกสินทรศก 108". ใน พระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ 5 เรื่องเสด็จประพาสแหลมมาลายู รวม 4 คราว (รศ.108, 109, 117, 120). กรุงเทพฯ: สมาคมนิสิตเกาจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยฯ. ภิญโญ สุวรรณคีรี. "เรือนภาคใต" ใน วารสารวิชาการคณะสถาปตยกรรมศาสตร จุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัย. ฉบับที่ 1 (2537). มโน พิสุทธิรัตนานนท และครื่น มณีโชติ. เรือนไทยภาคใต. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรนครินทรวิโรฒ. 2535. ยงยุทธ ชูแวน, ประมวล มณีโรจน, วินัย สุกใส และพิเชษฐ แสงทอง. บทสังเคราะหเศรษฐกิจ ชุมชนหมูบานบริเวณลุมทะเลสาบสงขลาในมิติประวัติศาสตร. กรุงเทพฯ สํานักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.). 2546. ยงยุทธ ชูแวน. "ลักษณะทางดานสังคมและเศรษฐกิจของชุมชนชาวนาบริเวณรอบทะเลสาบสงขลา สมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร" ใน ยงยุทธ ชูแวน บรรณาธิการ, โลกของลุมทะเลสาบ รวมบทความวาดวยประวัติศาสตร และวัฒนธรรมทองถิ่นลุมทะเลสาบสงขลา. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพนาคร, 2541. ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม. เรือนไทยบานไทย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. 2549. สงบ สงเมือง. "ประวัติศาสตรภาคใต". ใน สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต เลมที่ 5. กรุงเทพฯ: อมรินทรการพิมพ. 2529. สุทธิวงศ พงศไพบูลย. โครงสรางและพลวัตวัฒนธรรมภาคใตกับการพัฒนา. กรุงเทพฯ: สํานักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย. 2544. สุธิวงศ พงศไพบูลย. "เรือนทรงไทยภาคใต" ใน หนังสืออนุสาวรียวิภาวดีรังสิต. กรุงเทพฯ: บูรพา ศิลปการพิมพ. 2522. สุนีย ทองไซร. สถานภาพและบทบาทหนังตะลุง จ.พัทลุง. พัทลุง: ศูนยวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง โรงเรียนสตรีพัทลุง. มปป.
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 163
162 163
9/6/2558 1:15:18
สุภาวดี เชื้อพราหมณ. พลวัตวิถีชีวิตของชุมชนและเรือนในลุมทะเลสาบสงขลา. ดุษฎีนิพนธสาขา สภาพแวดลอมสรรคสราง, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. 2555. อมรา ศรีสุชาติ และธราพงษ ศรีสุชาติ, "ชุมชนสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตรและประวัติศาสตรรัฐ โบราณในภาคใต" , สารานุกรมภาคใต 5. อมรา ศรีสุชาติ. สายรากภาคใต: ภูมิลักษณ รูปลักษณ จิตลักษณ. กรุงเทพฯ: สํานักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย, 2544. อมฤต หมวดทอง. รายงานวิจัยเรือนพื้นถิ่นรอบทะเลนอย จ.พัทลุง และนครศรีธรรมราช. มหา สารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (เอกสารอัดสําเนา). 2553. อรศิริ ปาณินท. "เรือนพื้นถิ่นไทย-ไท" ใน เรือนพื้นถิ่นไทย-ไท. กรุงเทพฯ: สํานักงานกองทุน สนับสนุนงานวิจัย (สกว.) 2551.
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 164
9/6/2558 1:15:18
A Study on the Explicit Knowledge and Local Wisdom in the Field of Housing for Knowledge Management in the South of Thailand
พื ้นที่ภKirdsiri, าคใต Kreangkrai Ph.D.
Isarachai Buranaut, Ph.D. Candidate. Sakon Muangsun
Silpakorn University
Abstract
“A Study on the Explicit Knowledge and Local Wisdom in the Field of Housing for Knowledge Management in the South of Thailand” is a part of the research project aiming at studying the local wisdom and ways of life along with vernacular architecture, and relationship with ecology and surroundings. These factors lead to different types of valuable vernacular architecture which own its identity. The knowledge from the studies can be adapted for sustainable development and, moreover, is still the resource for cultural development in a long run. This is a holistic research, as a result, a large number of houses are selected so as to find out different forms which then lead to analysis and conclusion. The process includes taking photos, measurement, and interview. There are 58 houses: 9 houses in Phanang Toong Subdistrict, 3 houses in Talay Noi Subdistrict, 19 houses in Lumpum Municipality, 3 houses in Lumpum Subdistrict, 7 houses in Haan Pho Subdistrict, 1 house in Khlong Khud Subdistrict, 7 houses in Jong Thanon Subdistrict, 3 houses in Na Pa Kho Subdistrict, and 6 houses in Falamee Subdistrict.
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 165
165
9/6/2558 1:15:18
The deep investigation in the areas of the study brings about sources of knowledge in terms of vernacular architecture and built environment. The outcome of the study is the knowledge concluded in the final report, with the IT database about vernacular architecture, ways of life, GIS, architectural measurement which then leads to 2D and 3D architectural models. This research is also prepared in forms of a website and multimedia, including VDOs, posters, books, and e-book so that the knowledge can be spread and acquired by various groups of people.
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 166
9/6/2558 1:15:18
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย ๔ ภาค 4
.indd 167
167
9/6/2558 1:15:18
การประชุมวิชาการ และนิทรรศการ ระดับชาติ การจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น
สถาปตยกรรมพื้นถิ่นที่อยูอาศัย
๔ ภาค
ในความรวมมืิอ
โครงการวิจัยการจัดการความรูเรื่องที่อยูอาศัยและวิถีการอยูอาศัยผานภูมิปญญาทองถิ่น 4 ภาค ฝายวิชาการพัฒนาที่อยูอาศัย การเคหะแหงชาติ 4
.indd 168
9/6/2558 1:15:19