ʾھ·Ò¹í ¸ÁÚÁ·Ò¹í ªÔ¹ÒµÔ ¡ÒÃãËŒ¸ÃÃÁÐ໚¹·Ò¹ ª¹Ð¡ÒÃãËŒ·Ñ駻ǧ ¢ÍÁͺ˹ѧÊ×Í
á´‹ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................
“¡ÃÃÁÁÕ¨ÃÔ§ ¼Å¢Í§¡ÃÃÁÁÕ¨ÃÔ§ ¡ÃÃÁ´ÕãËŒ¼Å´Õ¨ÃÔ§ ¡ÃÃÁªÑèÇãËŒ¼ÅªÑèǨÃÔ§ ¼ÙŒã´·Ó¡ÃÃÁã´äÇŒ ¨Ñ¡à»š¹¼ÙŒÃѺ¼Å¢Í§¡ÃÃÁ¹Ñé¹ ¼ÙŒã´äÁ‹ä´Œ·Ó ËÒµŒÍ§ÃѺäÁ‹” ÊÁà´ç¨¾ÃÐÞÒ³ÊѧÇà ÊÁà´ç¨¾ÃÐÊѧ¦ÃÒª Ê¡ÅÁËÒÊѧ¦»ÃÔÔ³Ò¡
สร างสุขสู โลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กมฺมุนา วตฺตตี โลโก : สัตวโลก ยอมเปนไปตามกรรม คำว่า กรรม ตามพระดำรัสนี้ แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ อดีตกรรม คือกรรมที่สร้างไว้ในอดีต และปจจุบันกรรม คือกรรมที่สร้าง ขึ้นในปจจุบัน ดังนั้น คำว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จึงมี ๒ ความหมาย คือเป็นไปตามกรรมในอดีตที่ตนสร้างไว้อย่างหนึ่ง และเป็นไปตามกรรม ที่ตนสร้างขึ้นในปจจุบันนี้อย่างหนึ่ง รวมความก็คือว่าสัตว์โลกทั้งหลาย เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่าอย่างหนึ่งและสร้างกรรมใหม่อย่างหนึ่ง พระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมก็จริง แต่มิได้หยุดไว้ แค่นั้น คือสอนให้ยอมรับว่ากฎแห่งกรรมมีจริง แต่มิใช่งอมืองอเท้ารอรับ แต่ผลกรรมเก่าอย่างเดียว การยอมจำนนต่อกฎแห่งกรรมโดยไม่ทำอะไร นั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นความเห็นผิด ความเห็นที่ถูกต้องคือ “เรามี กรรมเกาติดตัวแลว เราจะทำอยางไรตอไป อดีตก็ผานมาแลวจะกลับ ไปแกไขไมได แตสามารถแกไข ณ ปจจุบันได” การสร้างความดีในปจจุบันแบบง่ายๆ ที่พระพุทธองค์สรรเสริญ คือการให้ธรรมะเป็นทาน ยิง่ ในปจจุบนั ภาวะโลกร้อน ภาวะโลกขาดธรรมะ ส่งผลให้จิตใจของมนุษย์ถูกแผดเผาด้วยกิเลส ขาดความชุ่มชื้น แห้งแล้ง เป็นทุกข์ ไร้ชีวิตชีวา การช่วยให้ผู้คนในโลกได้เข้าถึงและสัมผัสกับธรรมะ เท่ากับคืนความสุขความสดชื่นแก่คน แก่สังคม และแก่โลก
ÊѾ¾Ð·Ò¹Ñ§ ¸ÑÁÁзҹѧ ªÔ¹ÒµÔ ¡ÒÃãËŒ¸ÃÃÁÐ໚¹·Ò¹ ª¹Ð¡ÒÃãËŒ·Ñ駻ǧ
โดย พระราชปฏิภาณมุนี (บุญมา อาคมปฺุโ ป.ธ.๘) ผูชวยเจาอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร นำเสนอสาระ บรรณาธิการสาระ บรรณาธิการศิลปะ ภาพประกอบ รูปเลม/จัดอารต
: : : : :
มนิจ ชูชัยมงคล ศักดิ์สิทธิ์ พันธุสัตย อนุชิต คำซองเมือง สมควร กองศิลา ทศพร ธรรมกุล
คำนำสำนักพิมพ์ กรรม คือการกระทำ เป็นคำกลางๆ ถาทำดี ทำบุญ ก็เป็น กรรมดี เปนกุศลกรรม ถาทำไมดี ทำชั่ว ทำบาป ก็เป็นกรรมชั่ว เปนอกุศลกรรม ซึ่งหลายๆ ท่านคงเคยได้ยินได้ฟงหรือได้อ่านจาก หนังสือต่างๆ มาบ้าง และเพื่อความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกรรม ในแง่ต่างๆ มากยิ่งขึ้น สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จึงได้ขออนุญาตนำผลงานของท่านเจ้าคุณพระราชปฏิภาณมุน ี (บุญมา อาคมปฺุโ) มาจัดพิมพ์เพื่อเผยแผ่ธรรมะในเรื่องการรู้ทันกรรม อีกแง่มุมหนึ่ง ในการจัดพิมพ์ครั้งนี้ ได้จัดวรรคตอน ทอนย่อหน้า จัดหา ภาพประกอบ เสริมกรอบธรรม เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง คำสอนทางพระพุทธศาสนานั้นบอกไว้เป็นสัจธรรมข้อหนึ่งว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตวโลกนั้นยอมเปนไปตามกรรม” ใครทำ อะไรย่อมได้รับผลเช่นนั้นเอง ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าได้กลัวอดีตที่ ผ่านไปแล้ว แต่ให้ระวังปจจุบันกรรม และระวังใจ ตั้งใจให้มั่นไว้ใน ธรรม เพราะธรรมย่อมจะรักษาผู้ประพฤติธรรมให้มีความสุขสวัสดี ทุกกาล ทุกสถาน ขอความสุขสวัสดีจงมีแดทุกทาน
คำนำผู เขียน คนทั่วไป ที่ไม่ใช่อริยบุคคล มักจะสงสัยในเรื่องกรรมว่า ทำชั่ว ได้ชั่ว ทำดีได้ดี มีจริงหรือไม่ ได้ยกเรื่องทำนองนี้ขึ้นถามบ่อยมาก โดยส่วนตัวเชือ่ ว่ากรรมและผลกรรมมีจริง เพราะสังเกตเห็นว่า ทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว คราวใดใจตกทุกที ตรงข้ามกัน ทำดี พูดดี คิดดี คราวใดใจสูงทุกที วัดด้วยความรู้สึกภายในโดยไม่หวังผลภายนอกเช่นนี้ จึงเชื่อว่ากรรมนี้มีผล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคลายสงสัยให้แก่คนที่สนใจไต่ถาม เพราะความอยากรู้ จึงได้ค้นคว้าจากพระไตรปฎกเป็นเบื้องต้น และ ค้นหา ข้อเขียนเรื่องกรรมสำนวนต่างๆ ของท่านผู้คงแก่เรียน พออ่าน แล้ว ถูกใจก็บันทึกไว้ แล้วนำมาเรียงร้อยเป็นเรื่องดังที่ท่านสัมผัสอยู่ บุญกุศลอันใดที่เกิดเพราะการรวบรวมเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ ขออุทิศให้โยมพ่อ โยมแม่ และครูอาจารย์ ท่านผู้คงแก่เรียน รวมถึง ผู้ทำคุณประโยชน์แก่ชาติ พระศาสนา และประชาคมโลก
(พระราชปฏิภาณมุนี) ผูชวยเจาอาวาส/ประธานองคเผยแผ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร โปรดใชเลมนี้ใหคุมสุดคุม & อานแลว -> แบงกันอานหลายทานนะจะ
อานสิบรอบ ระดมสมองคิดสิบหน ฝกฝนปญญา พัฒนาการประยุกตใชในชีวิตประจำวัน จิตรูเทาทันสรรพสิ่ง ฉลาดใช เฉลียวคิด ชีวิตจักสนุก สงบ เย็น สำนักพิมพเลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน ปรารถนาใหทุกครอบครัวมีความสุข
¡ÁÚÁØ¹Ò ÇµÚµµÕ âÅâ¡ ÊÑµÇ âš‹ÍÁ໚¹ä»µÒÁ¡ÃÃÁ¹Ð¤ÃѺ
รู้ซึ้งถึงกรรม รู้ทันตนเอง ÃÑ¡ÉÒµÑÇ¡ÅÑÇ¡ÃÃÁÍ‹ҷӪÑèÇ ¨ÐËÁͧÁÑÇËÁ‹¹äËÁŒä»àÁ×ͧ¼Õ ¨§àÅ×Í¡·Óᵋ¡ÃÃÁ·Õè´Õ´Õ ¨Ðä´ŒÁÕ¤ÇÒÁÊØ¢¾Œ¹·Ø¡¢ ÀÑÂ
(อุทานธรรม)
เรื่องกรรมเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนา เพราะ พุทธศาสนาได้ชื่อว่าเป็น “กัมมวาทะ” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้ ชื่อว่าเป็น “กัมมวาที” เรื่องกรรมนอกจากจะเป็นเรื่องใหญ่ในวงการพระพุทธศาสนา แล้ว ยังเป็นเรื่องสำคัญในลัทธิศาสนาอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษา ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จะได้ “รูทันกรรม” เมื่อรู้ทันกรรม จะทำให้ “รูทันตัวเอง” รู ��งถึงกรรม รู ทันตนเอง ๖
“กรรม” ในศาสนาพราหมณ์ และศาสนาเชน ศาสนาพราหมณ์และศาสนาเชนก็มีสอนเรื่องกรรม แต่ไม่เหมือน กรรมในพระพุทธศาสนา
ÈÒʹҾÃÒËÁ³ ´Ñé§à´ÔÁÊÍ¹Ç‹Ò “¡ÃÃÁ¤×Í¡ÒûÃСͺ¾Ô¸Õ¡ÃÃÁµ‹Ò§æ” ãËŒ¤ÃºáÅÐãËŒ¶Ù¡µŒÍ§ µÒÁ·Õè¾ÃÐÁ¹Ù¡Ó˹´änj㹤ÑÁÀÕà Á¹ÙÈÒʵà ลักษณะพิธีกรรมของพราหมณ์มีหลายอย่าง เช่น พิธีที่ต้องทำ เวลามารดาตั้งครรภ์, พิธีที่ต้องทำเมื่อทราบว่าเด็กในท้องเป็นชาย, พิธีหวีผมให้มารดาเมื่อตั้งครรภ์ได้ ๔, ๖, ๘ เดือน, พิธีเอาน้ำผึ้งและ นมเปรี้ยวแตะลิ้นทารกแรกเกิด ๓ ครั้ง, พิธีตั้งชื่อให้ทารกในวันที่ ๑๐ หรือ ๑๒ หลังคลอด, พิธีนำทารกไปดูพระอาทิตย์ในเดือนที่ ๔, พิธีปอนข้าวในระหว่างเดือนที่ ๕ หรือ ๘, พิธีไว้จุกที่กลางกระหม่อม ในปที่ ๓, พิธีอภิเษกให้เป็นพราหมณ์คล้องสายสะพาย, พิธีตัดจุก กระทำระหว่างอายุ ๑๖ หรือ ๒๕ ป, พิธีกลับบ้านหลังจากจบ การศึกษา, พิธีแต่งงาน เป็นต้น พิธีกรรมเหล่านี้ พราหมณ์ ถือว่าเป็น “บุญกรรม” ที่จะนำ ไปสู่การหลุดพ้น บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด
๗
ÈÒʹÒહ Ê͹ËÅÑ¡¡ÃÃÁ¤ÅŒÒÂæ ËÅÑ¡¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò áµ‹Ê͹à¤Ã‹§¡Ç‹Ò ¨¹¡ÅÒÂ໚¹ “¡ÃÃÁÅÔ¢Ôµ” ¤×ÍàÁ×èÍà¡Ô´ÍÐäâÖé¹ã¹ªÕÇÔµ¡çàËÁÒàÍÒÇ‹Ò à»š¹à¾ÃÒСÃÃÁà¡‹Òä»·Ñé§ËÁ´ เช่น สอนว่า ๑) การกระทำทางกายสำคัญกว่าทางวาจา และทางใจ ๒) การกระทำจะมีเจตนา หรือไม่มีเจตนา จัดเป็นกรรมทั้งนั้น เช่น ทำบาปโดยไม่มีเจตนาก็เป็นบาป เหมือนไฟจะตั้งใจจับหรือไม่ ก็ร้อนทั้งนั้น ๓) ความสุขความทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ใดๆ ที่คนได้รับอยู่ ในปจจุบัน ล้วนเป็นผลแห่งกรรมที่คนกระทำไว้ในชาติก่อนทั้งสิ้น ª‹Ç´ŒÇ¤ÃѺ·‹Ò¹ÍÒ¨ÒàÅÙ¡¼Á໚¹ÍÐäáçäÁ‹ÃÙŒ µÑÇÌ͹¨ÕëàŤÃѺ !
๘
รู ��งถึงกรรม รู ทันตนเอง
໚¹à¾ÃÒÐ ¡ÃÃÁࡋҢͧà´ç¡
ทุกชีวิตที่เป็นไป ไม่ใช่เพราะกรรมเก่าอย่างเดียว แต่หลัก ๓ ประการนี้ พระพุทธเจ้าทรงคัดค้าน พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า การกระทำทางใจหรือมโนกรรมสำคัญกว่ากายกรรม การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนาเท่านั้นจัดเป็นกรรม และความสุข ความทุกข์ทค่ี นได้รบั อยูใ่ นปจจุบนั เป็นผลกรรมจากชาติกอ่ นก็ม ี กรรม ในชาตินี้ก็มี เกิดจากเหตุอื่นๆ ก็มี การเชื่อว่าชีวิตเป็นไปตามกรรมเก่า ทุกอย่าง ถูกกรรมลิขิตมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น ชื่อว่าเชื่อผิด
¤ÇÒÁ¨ÃÔ§ªÕÇÔµ¤¹¨Ð໚¹Í‹ҧäà äÁ‹ãª‹à¾ÃÒÐÍÔ·¸Ô¾Å¡ÃÃÁà¡‹ÒÍ‹ҧà´ÕÂÇ ¢Öé¹ÍÂÙ‹¡Ñº»˜¨¨ØºÑ¹¡ÃÃÁ´ŒÇ ¶ŒÒÁÕ¤ÇÒÁ¾Ò¡à¾ÕÂþÂÒÂÒÁáÅФÇÒÁà©ÅÕÂÇ©ÅÒ´ ‹ÍÁÊÒÁÒöà»ÅÕè¹á»Å§ªÕÇÔµä»ã¹·Ò§´Õä´Œ เช่น หากคนเกิดมาจน แต่รู้จักเจียมตัว ไม่มั่วอบายมุข มี ความขยันหมั่นเพียร ก็ตั้งตัวให้มีฐานะร่ำรวยได้ ปจจุบันกรรมสามารถ เปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ ดังพระพุทธพจน์ ว่า “ยสฺส ปาป กตํ กมฺมํ กุสเลน ปหียติ (อ่านว่า ยัสสะ ปาปง กะตัง กัมมัง กุสะเลนะ ปะฮียะติ) แปลว่า บาปอกุศลที่คนทำ ยอมลดละไดดวยกุศล” บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด
9
กรรมคืออะไร ? ¢âÁÂà¹×éÍ ¢ŒÒàËÃÍ
ÃÐÂйÕé äÁ‹ÁÕ¾ÅÒ´
໚¹¨Ñ§ä´ŽÊÙ áÁ‹¹º‹æ
คำว่า “กรรม” แปลว่า “การกระทำ” หมายถึง การ เคลื่อนไหวเพื่อทำการอยางใดอยางหนึ่ง การกระทำทีจ่ ดั เป็นกรรมอย่างสมบูรณ์นน้ั จะต้องมีองค์ประกอบ ต่อไปนี้ ๑. กิเลส หมายถึง แรงกระตุ้นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งเร้า แรงกระตุ้นที่สำคัญมี ๓ คือ โลภ โกรธ หลง การกระทำที่ไม่มีกิเลส เป็นแรงกระตุ้น ไม่จัดเป็นกรรมตามความหมายอันแท้จริง ๒. เจตนา หมายถึง ความตั้งใจ ความจงใจ มีเจตจำนง มีความประสงค์ มีความมุ่งหมาย เช่น เกิดความโกรธขึ้นมาแล้ว (กิเลส) ตั้งใจจะฆ่าเขาให้ตาย (เจตนา) การกระทำที่ไม่มีเจตนา หรือ ผิดเจตนา ไม่จัดเป็นกรรมโดยสมบูรณ์ ๓. การเคลื่อนไหว ทางกาย วาจา ใจ (ประโยค) เพื่อกระทำ ตามความตั้งใจนั้น ๔. เกิดผลสำเร็จตามที่ตั้งใจ เช่น โกรธขึ้นมา ตั้งใจจะฆ่าเขา ลงมือฆ่า และคนที่ถูกฆ่าตายลงตามความตั้งใจ อย่างนี้จัดเป็นกรรม ที่สมบูรณ์ รู ��งถึงกรรม รู ทันตนเอง ๑๐
“กรรม” กับ “กิริยา” ต่างกันอย่างไร ? 㹺ÃôÒͧ¤ »ÃСͺ·Ñé§ ô ¹Ñé¹ Í§¤ »ÃСͺÍѹáá¤×Í ¡ÔàÅÊ ¨Ñ´Ç‹ÒÊÓ¤ÑÞ·ÕèÊØ´ ¶ŒÒ¢Ò´¡ÔàÅÊ ¶Ö§áÁŒ¨ÐÁÕਵ¹Ò ÁÕ¡ÒÃŧÁ×Í·Ó áÅÐÁÕ¼ÅÊÓàÃ稵ÒÁਵ¹Ò ¡çäÁ‹¨Ñ´à»š¹¡ÃÃÁ·ÕèÊÁºÙó ¨Ñ´à»š¹à¾Õ§ “¡ÔÃÔÂÒÍÒ¡ÒÔ à·‹Ò¹Ñé¹ ตัวอย่าง เช่น พระอรหันต์ สิ้นกิเลสอาสวะแล้ว แต่ยังมีเจตนา มีการกระทำทางกาย วาจา ใจ และมีผลสำเร็จเช่นเดียวกับงานทั้งหลาย ที่คนอื่นทำ แต่การกระทำของท่านไม่จัดเป็นกรรม เป็นเพียงกิริยา เท่านั้น แม้คนธรรมดา ก็อาจเป็นกิริยา ไม่ใช่กรรม เช่นเดียวกับพระอรหันต์ก็ได้ เช่น คนใช้ ถูกเจ้านายบังคับให้กระทำกรรมบางอย่าง ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วย และไม่เคยอยากทำเลย แต่จำเป็นต้องทำเพราะ ถูกบังคับ คนคนนั้นจิตใจไม่มีกิเลสเป็นพื้นฐาน แม้จะมีเจตนา มีการ ลงมือทำ และเกิดผลสำเร็จขึ้นตามเจตนา ก็ไม่จัดเป็นกรรมที่สมบูรณ์ เป็นเพียงกิริยาเท่านั้น ทหารเข้าสู่สนามรบ เพราะถูกแม่ทัพบังคับให้ฆ่าฟนข้าศึก โดยไม่โลภ โกรธ หลง โดยไม่เห็นแก่ตัว ก็ไม่จัดเป็นกรรมที่สมบูรณ์ บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด ๑๑
บางท่านอาจสงสัยว่า เพชฌฆาตประหารชีวติ นักโทษตามคำสัง่ ของนาย โดยเขาไม่มีความโกรธเคืองต่อนักโทษแต่อย่างใด ทำไป เพราะหน้าที่บังคับ อย่างนี้ก็ไม่จัดเป็นกรรมหรืออย่างไร ? ตอบว่า “เปนกรรม” เพราะถึงแม้จะไม่มีความโกรธ แต่ก็ยัง มีความโลภ อยากได้ความดี อยากก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าทีก่ ารงาน แม้ทหารที่ออกรบก็เช่นกัน ถ้าออกรบด้วยความอยากลอง ยุทธวิธี อยากมีชื่อเสียง อยากมียศ อยากได้เงิน หรือเพราะความรัก หวงแหนอะไรบางอย่าง ก็จัดว่า “มีกิเลสเปนพื้นฐาน” เป็นกรรม เช่นกัน เจตนาหรือความตั้งใจ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญรองลงมา แต่ สำหรับปุถุชนเมื่อมีกิเลสก็มักมีเจตนาตามมาเสมอ บางกรณีอาจไม่มี กิเลสมาก่อน แต่พอตั้งเจตนาลง กิเลสบางอย่างก็เกิดขึ้นตามมา อย่างน้อยที่สุดก็เป็น “ความโลภ” หรือความต้องการให้งานนั้น สำเร็จตามเจตนา
¶ŒÒÁÕ¡ÔàÅÊ ÁÕਵ¹Ò ¤×ÍÁÕ¤ÇÒÁ¤Ô´·Ó¡ÃÃÁ ᵋäÁ‹ä´ŒÅ§Á×Í·Ó ¡ç໚¹¡ÃÃÁ·Ò§ã¨ ¤×Í໚¹ “Á⹡ÃÃÁ” àÎŒÂ...ã¤ÃÁÒà»ÅÕè¹ ´Òº¢Í§àÃÒà¹ÕèÂ
๑๒
รู ��งถึงกรรม รู ทันตนเอง
เมื่อมีกิริยาย่อมมีปฏิกิริยาเป็นผล ¡ÒáÃзӷÕèäÁ‹ÁÕ¡ÔàÅÊ໚¹¾×é¹°Ò¹ ·ÕèàÃÕÂ¡Ç‹Ò “¡ÔÃÔÂÒ” ¹Ñé¹ ¡‹ÍãËŒà¡Ô´¼ÅàËÁ×͹¡Ñ¹ ᵋ¼Å¹Ñé¹à»š¹áµ‹à¾Õ§»¯Ô¡ÔÃÔÂÒ «Öè§à¡Ô´¢Öé¹µÒÁÊÁ¤ÇÃá¡‹¡ÔÃÔÂÒ¹Ñé¹æ áÅÐà¡Ô´¢Öé¹µÒÁ¸ÃÃÁªÒµÔ ตัวอย่างเช่น ฝนตกลงมาเป็นกิริยาอย่างหนึ่งในธรรมชาติ ปฏิกิริยาต่างๆ ย่อมจะเกิดขึ้น เช่น ทำให้พืชพันธุ์ต่างๆ เจริญงอกงาม การเจริญงอกงามของพืชเป็นเพียงปฏิกิริยาตามธรรมชาติของฝน เท่านั้น ในกรณีอย่างนี้เราจะถือว่าฝนทำกรรมดีไม่ได้ ปรากฏการณ ตางๆ ในธรรมชาติลวนดำเนินไปในแบบกิริยา และปฏิกิริยาทั้งนั้น ไมมีกิเลสและความตั้งใจใดๆ อยูเบื้องหลัง การดึงดูดและการผลักไสกันระหว่างโปรตอนและอิเล็กตรอน การที่ปรมาณูรวมกันเป็นอณูแล้วคลายพลังงานออกมา การดึงดูดกัน ระหว่างวัตถุต่างๆ การขยายพันธุ์ของเซลล์ การเต้นของหัวใจ ตลอด ถึงการเกิดขึ้นและการดับไปของโลกล้วนเป็นแบบกิริยาและปฏิกิริยา ทั้งนั้น ไม่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ใดๆ สร้างสรรค์บันดาล บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด ๑3
การทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายของคน ล้วนเป็น กิริยาและปฏิกิริยาทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น กล้ามเนือ้ ในกายของคนจะมีการสัน่ สะท้านในอัตรา ๗-๑๓ ครั้งต่อ ๑ วินาทีเป็นประจำ และการสั่นสะท้านแต่ละครั้ง ก่อให้เกิดความร้อนจำนวนหนึ่ง ทำให้อุณหภูมิของร่างกายสม่ำเสมอ มีอวัยวะส่วนหนึ่งในสมอง เรียกว่า ไฮโปธาลามัส (HYPOTHALAMUS) อยู่ที่ฐานของสมองส่วนหน้าเป็นตัวควบคุมการสั่นสะท้านของ กล้ามเนื้อ ถ้าอุณหภูมิของร่างกายลดลง เลือดที่ไหลเวียนไปยังสมอง จะแจ้งไฮโปธาลามัส แล้วมันจะสั่งการให้กล้ามเนื้อสั่นสะท้านในอัตรา สูงขึ้น ดูคนที่มีอาการสั่นเพราะหนาวจัด
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ·Ø¡Í‹ҧ ‹ÍÁÁÕ¡ÒÃà¤Å×è͹äËÇ ·Ñé§ÀÒÂã¹ÀÒ¹͡µÅÍ´àÇÅÒ ¡ÒÃà¤Å×è͹äËǢͧÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¹Ñè¹àͧ ¨Ð·ÓãËŒÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ¹Ñé¹à¨ÃÔÞàµÔºâµáÅÐá¾Ã‹¾Ñ¹¸Ø ¡ÒÃà¤Å×è͹äËǢͧËҧ¡Ò Ōǹ໚¹¡ÔÃÔÂÒáÅл¯Ô¡ÔÃÔÂÒ µÒÁ¸ÃÃÁªÒµÔ¹Ð¤Ð ËÁÑè¹à¤Å×è͹äËÇËҧ¡Ò ¨Ðä´Œá¢ç§áç¹Ð¤ÃѺ
๑๔
รู ��งถึงกรรม รู ทันตนเอง
กุศลกรรม = กรรมเกิดจากเจตนาดี
กรรมแบ่งเป็น ๓ ลักษณะ คือ ๑. กุศลกรรม การกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่เกิดจาก คุณธรรม เช่น เมตตา กรุณา จาคะ หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น เกิด จากเจตนาดี มีผลสำเร็จเป็นประโยชน์และสันติสุขแก่ตนและคนอื่น จัดเป็นกุศลกรรม
¶ŒÒ¼ÙŒ¡ÃзӤÇÒÁ´Õ ·Ó´ŒÇÂ㨻ÃСͺ´ŒÇ¡ÔàÅÊ áÁŒ¨ÐÁÕਵ¹Ò´Õ ÁÕ¼ÅÊÓàÃ稴ŒÇÂ´Õ ¡çËҨѴ໚¹¡ØÈÅ¡ÃÃÁ·ÕèÊÁºÙó äÁ‹ การทำบุญประกอบด้วยคุณธรรม ด้วยเจตนาดี แต่ทำไปแล้ว กลับเกิดทุกข์โทษแก่ผู้อื่น ไม่จัดเป็นบาป เช่น หมอฉีดยาคนปวย ด้วยใจเมตตากรุณา มีเจตนาจะให้หายโรค แต่พอฉีดยาเสร็จ คนปวย กลับตาย อย่างนี้ไม่บาปสำหรับหมอ แต่หมออาจได้รับทุกข์บ้าง อัน เป็นปฏิกิริยาจากการตายของคนปวย ไม่ใช่เป็นผลของการกระทำ โดยตรง การที่คนจะช่วยขอทาน จึงให้เงินขอทานไปด้วยใจเมตตา กรุณา เมื่อเห็นเงินตกอยู่ในมือขอทาน เกิดความสุขใจ โดยไม่คิด ไปถึงว่าการให้ของตนจะทำให้ขอทานเป็นคนเกียจคร้าน หรือนำเงิน ของตนไปใช้จ่ายในทางที่ไม่ดี อย่างนี้ก็จัดเป็นกุศลกรรม เพราะมี เจตนาดี บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด
๑๕
อกุศลกรรม = กรรมเกิดจากเจตนาไม่ดี ๒. อกุศลกรรม ได้แก่ การกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่เกิด จากเจตนาร้าย เกิดจากจิตใจที่ประกอบด้วยโลภ โกรธ หลง กระทำ ไปแล้วก็ให้เกิดทุกข์โทษแก่ตนและคนอื่น
¡ÒáÃзӷÕèà¡Ô´¨Ò¡à¨µ¹ÒÌҠ·ÕèÁÕ âÅÀ â¡Ã¸ Ëŧ º§¡Òà áÁŒ¡ÒáÃзӹÑ鹨С‹ÍãËŒà¡Ô´»ÃÐ⪹ Êآᡋµ¹áÅФ¹Í×è¹ ¡çÂѧ¨Ñ´à»š¹Í¡ØÈÅ¡ÃÃÁ เช่น คนเลี้ยงปลาไว้ดู เลี้ยงหมู่ไว้ฆ่า เลี้ยงวัวไว้ฆ่า มีความ โลภเป็นมูล มีเจตนาจะฆ่า แม้จะปฏิบัติบำรุงพวกสัตว์ให้อยู่ดีกินดี ให้อาหารอย่างอิ่มหนำสำราญ ทำให้อยู่ดีมีสุขในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็ตาม ก็จัดเป็นอกุศลกรรม มีปญหาที่คนถกเถียงกันอยู่ว่า สัตวฆาสัตว เช่น แมวกินหนู งูกินกบ เสือกินเนื้อ เปนบาปหรือไม ? ปญหานี้ตอบได้ยาก เพราะเราไม่รู้จิตใจและเจตนาของสัตว์ แต่เท่าที่สังเกตดู สัตว์ทั้งหลายมี “จิตใจ” เช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ จิตใจมีคุณภาพต่ำ ความโลภของสัตว์อาจมีน้อยกว่ามนุษย์ เพราะ สัตว์กินอาหารพออิ่มท้องเท่านั้น ไม่มีการเก็บสะสมเหมือนมนุษย์ âµäÇæ ¹Ð
๑๖
รู ��งถึงกรรม รู ทันตนเอง
การทำลายชีวิต จะคนหรือสัตว์ก็จัดเป็นบาป ฉะนั้น การที่เสือฆ่าเนื้อกินเป็นอาหาร อาจจะฆ่าเพราะความ หิวเท่านั้น ไม่ใช่ฆ่าเพราะความโลภ เท่าที่สังเกตดูสัตว์พอกินอิ่มแล้ว มันจะไม่ฆ่าอะไรอีก หรือเราจะคิดว่าสัตว์ฆ่ากันด้วยความโกรธ ก็คง จะไม่ใช่เพราะมันจะโกรธอาหารของมันทำไม คงไม่ทำด้วยความโกรธ เป็นแน่ แต่เราอาจกล่าวได้อย่างเต็มที่ว่า สัตวมีความหลง (โมหะ) เปนพื้นฐานของจิตอย่างแน่นอน เพราะจิตของสัตว์มีคุณภาพต่ำ ไม่มี ปญญา ไม่มีเหตุผล ไม่มีหิริโอตตัปปะ มีแต่ความมืดมัวด้วยโมหะ เพราะฉะนั้นสัตว์จึงทำบาป คือการฆาสัตวอื่นกินเปนอาหารดวยโมหะ เมื่อกระทำด้วยอำนาจโมหกิเลส การฆ่าสัตว์อื่นเป็นอาหารก็จัดเปน อกุศลกรรมเหมือนกัน อาจมีผู้สงสัยว่า พวกสัตวฆาสัตวดวยกันเปนอาหารดวยโมหะ เป็นบาปเป็นปกตินิสัย ถ้าสัตว์พวกนี้ตายแลวจะไปเกิดเปนอะไร ? ตอบได้ว่า ตามปกติโมหะเป็นกิเลสละเอียด ซึ่งไม่มีลักษณะ ฟุงขึ้นเหมือนโลภะและโทสะ คงสภาพตกตะกอนเป็นพื้นของจิตใจ ซึ่งท่านบอกว่า “โมหะใหผลเบาๆ แตใหผลนาน หรือผูกหยอนๆ แตคลายยาก” พฤติกรรมที่เกิดจากโมหะก็มักจะดำเนินไปเรื่อยๆ เป็น ปกตินิสัย ฉะนั้น สัตวที่ทำอกุศลดวยอำนาจโมหะ จึงทำเป็นปกติ นิสัย เช่นเดียวกับแมวกินหนู งูกินกบ ผลของกรรมจึงมีไมมากนัก แตก็มีมากพอที่จะใหเกิดเปนสัตวชนิดนั้นๆ บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด ๑๗
รักษาศีลเป็นนิจ ชีวิตจะพ้นจากอบายภูมิ มนุษย์ที่ไปเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉานแล้ว จึงมักจะหลง เพลิดเพลินด้วยอำนาจโมหะ อยู่ในกำเนิดนั้นนานแสนนานยากที่จะ ก้าวขึ้นสู่ระดับมนุษย์ได้อีก การที่สัตว์เดรัจฉานจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้น มาได้ด้วย หลายสาเหตุด้วยกัน เช่น เมื่อเกิดมาเป็นสัตว์ยังไม่มีโอกาสทำบาป กรรม แต่มีอันต้องตายลงไปเสียก่อน แล้วไปเกิดเป็นสัตว์ที่กินพืชผัก เป็นอาหาร ครั้นตายจากกำเนิดนั้นแล้วอาจจะไปเกิดเป็นมนุษย์ชั้น ต่ำๆ เป็นคนโง่เขลาเบาปญญาเสียก่อน หรือบางทีอาจมีจิตเป็นกุศล ก่อนตาย ด้วยอำนาจกุศลที่สั่งสมไว้ในอดีตจึงช่วยให้เกิดมาเป็นมนุษย์ หรือเป็นเทวดา
Í‹ҧ¹Ò§ÊتҴÒ໚¹µÑÇÍ‹ҧ ¹Ò§µÒÂä»à¡Ô´à»š¹¹¡ÂÒ§ ¡ÓÅѧËÒ»ÅÒ¡Ô¹ ¾ÃÐÍÔ¹·Ã ÁÒàµ×͹ãËŒÃÑ¡ÉÒÈÕÅ ¨Ö§äÁ‹ÂÍÁ¨Ñº»ÅÒ໚¹æ ¡Ô¹à»š¹ÍÒËÒà äÁ‹¹Ò¹¹¡ÂÒ§¡çµÒÂä»à¡Ô´à»š¹à·¾¸Ô´Ò
¼Å¢Í§¡ÒÃÃÑ¡ÉÒÈÕÅ ·Óãˌ䴌ÁÒà¡Ô´à»š¹¹Ò§¿‡Ò
¨ŒÐ
ÃÑ¡ÉÒÈÕÅäÇŒ ãËŒÁÑ蹹Ш Ð
๑๘
รู ��งถึงกรรม รู ทันตนเอง
ÁØ¡äÁ‹ÎÒ ¾Ò͌ǡ
àÍŒÒ...ÃÐÂͧ
ª¹µ‹Ò§ËÒ¡
»˜§..ÂÔ§¡Ãе‹Ò 䴌¡ÕèµÑÇà¾×è͹ ¾Ç¡Ë¹ŒÒ¤¹
อัพยากตกรรม = กรรมไม่มเี จตนา ๓. อัพยากตกรรม หมายถึงกรรมที่ไม่ดีไม่ชั่ว โดยมากเป็น พฤติกรรมธรรมดาของสิ่งมีชีวิต เพื่อให้ชีวิตคงอยู่ เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน กิน ถ่าย เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติไม่มีกิเลสเจตนา ใดๆ บงการ แต่ถ้ามีกิเลสมีเจตนาอาจจะเป็นอกุศลกรรมได้ เช่น คนถ่มน้ำลายรดหน้าบ้านคนอื่น อุจจาระปสสาวะรดข้าวของผู้อื่น
ÍѾÂÒ¡µ¡ÃÃÁ ÁÕÅѡɳФŌÒ “¡ÔÃÔÂÒ” ©Ð¹Ñé¹ ¼Å·Õèà¡Ô´¢Ö鹨֧໚¹áºº “»¯Ô¡ÔÃÔÂÒ” ÁÒ¡¡Ç‹Ò¨Ð໚¹ “ÇÔºÒ¡¡ÃÃÁ”
บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด
๑9
ทำกรรมมากเท่าไร
ผลที่ได้ย่อมเท่ากับหรือมากกว่าเสมอ การกระทำกรรมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา ใจ เป็น ความ “เคลื่อนไหวเพื่อกระทำการ” และการกระทำทุกชนิดเป็นการ ออกแรงไปจำนวนหนึ่ง
µÒÁ¸ÃÃÁ´ÒàÁ×èͤ¹àÊÕÂáÃ§ä» ¸ÃÃÁªÒµÔ‹ÍÁÊÌҧáç·´á·¹¢Öé¹à·‹Ò¡Ñ¹ ËÃ×ÍÁÒ¡¡Ç‹Òáç·ÕèàÊÕÂä»àÊÁÍ ·Ñ駹Õéà¾×èÍ¡ÒÃÍÂÙ‹ÃÍ´¢Í§ÊѵÇ
เปรียบเหมือนคนที่ออกแรงไปในการยกน้ำหนัก เมื่อเสียแรง ไปมากๆ เขาจะรู้สึกเหนื่อยอ่อน ต้องหยุดพักผ่อน ในระหว่างที่หยุด นี้เอง ร่างกายของเขาจะสร้างแรงขึ้นทดแทนแรงที่เสียไป และสร้างไว้ มากกว่าแรงที่เสียไปอีก แขนเขาจะมีกำลังมากกว่าเดิม
à¾ÃÒЩйÑé¹ ¡ÒÃàÊÕÂä» ¨Ö§ËÁÒ¶֧ ¡ÒáÅѺ¤×¹ÁÒà·‹Òà´ÔÁ ËÃ×ÍÁÒ¡¡Ç‹Òà´ÔÁ ËÅÑ¡áË‹§¡ÃÃÁ¡çãËŒ¼ÅµÒÁËÅÑ¡¡Òà ·ÕèàÊÕÂä»áÅŒÇä´Œ¡ÅѺÁÒ·´á·¹¹Õéàͧ ÊÙŒàÇŒÂ...ÍÂҡ໚¹ ¹Ñ¡¡ÕÌÒ¡¹éÓ˹ѡ¤‹Ð
·Ó¡ÃÃÁઋ¹äà ‹ÍÁ䴌ઋ¹¹Ñé¹
·Ó´Õä´Œ´Õ
๒๐
·ÓªÑèÇä´ŒªÑèÇ
รู ��งถึงกรรม รู ทันตนเอง
©Ñ¹¨Ð໚¹¤¹ÅçÍ¡¤Í á¡à»š¹¤¹¢Ù‹àÍÒà§Ô¹¹Ð §Ñè¡... §Ñè¡...
ä´ŒàÅÂà¾×è͹ 䴌෋ÒäÃËÒÃÊͧ¹Ð §Ñè¡... §Ñè¡...
ÍÒÂػٹ¹ÕéáÅŒÇ ¹‹Ò¨ÐࢌÒÇÑ´¿˜§¸ÃÃÁ ¡Ñ¹ºŒÒ§¹Ðà¹ÕèÂ
ความคิดหรือจิตใจ เป็นแรงผลักให้ทำกรรม ตามปกติ เมื่อคนมีกิเลสและมีเจตนาพรอมแลว จะเริ่มทำ กรรมทางใจ คือมโนกรรมก่อน การทำกรรมทางใจก็คอื การคิดนัน่ เอง เช่น คนจะโกง เขาจะคิดขึ้นมาก่อน คิดเตรียมแผนการโกง คิดไปได ระยะหนึ่ง จะหยุดคิด ในขณะทีห่ ยุดคิดนัน้ พลังความคิดใหมๆ จะเกิดขึน้ มาทดแทน กำลังที่เสียไป พอคิดเรื่องโกงขึ้นมาอีกจะมองเห็นวิธีที่แยบยลกว่าเดิม พลังใจที่มีเพิ่มขึ้นนี้เองจะผลักดันใหเขาเห็นช่องทางและหาวิธีโกง ทางกายต่อไป กลายเปนกายกรรมขึ้น คอย ๆ อาน คอย ๆ คิด
คราคิดติดขัด หยุดพักสักนิด ทำจิตใหสงบ จักพบทางออก บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด
๒๑
การทำกรรมทุกชนิด บอกถึงคุณภาพจิตของผู้กระทำ
พลังที่ไดทดแทนพลังที่เสียไปนั้น ยอมจะเปนพลังชนิดเดียว กับพลังที่เสียไปเสมอ เช่น คนมีความโกรธ และมีเจตนาร้ายคิดที่จะ ฆ่าเขา เขาย่อมเสียพลังร้ายๆ ไปในขณะคิด เมื่อหยุดพักผ่อนเป็น เวลาพอสมควร เขาจะได้พลังกลับคืนมา และพลังนั้นจะเป็นพลัง ร้ายเช่นเดียวกับที่เสียไป ทำให้เขามีพลังร้ายเพิ่มขึ้นในจิต เมื่อพลัง ร้ายมีมากพอ จะบังคับให้เขาทำการร้ายต่อไป ในทางตรงกันข้าม คนทีม่ คี วามเอือ้ เฟอ เป็นพืน้ ฐานและมีเจตนา ที่จะเสียสละเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น ครุ่นคิดแต่ในทางที่จะบำเพ็ญ ประโยชน์ เขาจะได้พลังในทางดีทดแทน ถ้าคิดในทางดีต่อไป จิตใจ ของเขาจะเต็มไปด้วยพลังฝายดี จนกลายเป็นจิตใจที่ดีมีคุณภาพสูง
©Ð¹Ñé¹ ¡Ò÷ӡÃÃÁ·Ø¡ª¹Ô´ äÁ‹Ç‹Ò¨Ð·Ò§¡Ò ÇÒ¨Ò ËÃ×Í㨠‹ÍÁ໚¹¡ÒÃÊÌҧ¤Ø³ÀÒ¾ãˌᡋ¨Ôµã¨¢Í§µ¹â´ÂµÃ§ ๒๒
รู ��งถึงกรรม รู ทันตนเอง
สิ่งที่คล้ายคลึงกัน ย่อมดึงดูดกัน ตามหลักธรรมดา สิ่งที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน ย่อมจะดึงดูด กันเอง ฉะนั้น เราจะเห็นได้ทั่วไปว่า ในระหว่างมนุษย์คนที่มีรสนิยม อุปนิสัย จิตใจ และฐานะคล้ายกัน ย่อมไหลไปรวมอยู่ที่เดียวกัน โดย ไม่มีใครบังคับ การที่คนตายแล้วไปเกิดในภพภูมิต่างๆ กัน ก็เป็นไปตามหลัก สิ่งที่คล้ายคลึงกันดึงดูดกัน เช่น แมลงผึ้งเข้าหาของหวาน แมลงวัน เข้าหาของเหม็น
¤¹àÃÒàÁ×è͵ÒÂŧ ¨Ôµ¢Í§à¢Ò¨Ðä»à¡Ô´ã¹ÀÙÁÔã´ÀÙÁÔ˹Öè§ µÒÁÊÀÒ¾áË‹§¨Ôµã¨·Õèà¢ÒÊÌҧäÇŒ เปรียบเหมือนเราปล่อยปุยนุ่นไปตามลม ปุยนุ่นเปยกชื้น มีน้ำหนักมากจะตกลงในที่ใกล้ ปุยนุ่นขนาดกลางจะตกไกลออกไป ปุยนุ่นที่เบาจะถูกพัดไปตกไกลที่สุด เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัส ไว้ว่าคนที่จะไปเกิดในภพต่างๆ ต้องประกอบด้วยองค์ ๓ คือ วิาณพีชํ มีวิญญาณ หรือปฏิสนธิจิต เป็นเหมือนเมล็ดพืช ตณฺหาสิเนหํ มีตณ ั หาเป็นยางเหนียว คือเป็นเชือ้ ชีวติ ในเมล็ดพืช กมฺมกฺเขตฺตํ มีกรรมเป็นผู้กำหนดเขตแดนว่าจะไปเกิดในภพใด บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด
๒3
ผลกรรมชนิดต่างๆ กรรมที่บุคคลกระทำลงไปแล้ว ย่อมแสดงผลออกมาในระดับ ต่างๆ ดังนี้ ๑. ผลโดยตรง คือสภาพใหมของจิต กรรมทุกชนิดเป็นการ สร้างสภาพใหม่ เช่น ความสะอาดหรือความสกปรกให้แก่จิต ถ้า เป็นอกุศล ก็ให้สภาพเลว สภาพสกปรก ถ้าเป็นกุศล ก็ให้สภาพดี สภาพสะอาด สภาพของจิตนี้เองจะเป็นสิ่งกำหนดอนาคตของบุคคล นั้นๆ ๒. ผลคือความคงอยูแ หงระบบชีวติ การกระทำกรรมทุกชนิด เป็นการเพิ่มพลังให้แก่ชีวิต ทำให้กระบวนการชีวิตดำรงอยู่ และ ดำเนินไปไม่ขาดสาย ๓. ผลทางใจ คือความรูสึกเปนสุข หรือเป็นทุกข์ ก่อนแต่ จะทำ ขณะที่กำลังทำ หรือทำกรรมนั้นเสร็จแล้ว ๔. ผลทางกาย หมายถึงสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปตาม สภาพจิตใจ ๕. ผลทางสังคม หมายถึง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ อันเป็นผลเกิดขึ้นจากการที่เขาอยู่ใน สังคมมนุษย์ ผลทางสังคมถือว่าเป็นผลพลอยได้ ไม่ถือเป็นสำคัญนัก อาจจะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ๒๔
รู ��งถึงกรรม รู ทันตนเอง