สวดมนต์คาถาเสริมบารมี หลีกหนีภัยพิบัติ เสกชีวิตเป็นสุข ร่ำรวย ปลอดภัย
เมตตา มหานิยม
พาสุข ร่ำรวย ทันใจ โดย...ศักดิ์สิท ธิ์ พันธุ์สัตย์
เรียบเรียง : ศักดิ์สิทธิ์ พันธุ์สัตย์ ออกแบบปก : อนุชิต คำซองเมือง ภาพประกอบ : สมควร กองศิลา, ธนรัตน์ ไทยพานิช, ชิชกาน ทองสิงห์ รูปเล่ม/จัดอาร์ต : วันดี ตามเที่ยงตรง
คำนำ ศาสตร์แห่งมนต์คาถาเป็นศาสตร์แห่งความเชื่อ มีความ ลึกลับ ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล มีอายุเก่าแก่และสืบทอด มาอย่างยาวนานก่อนแต่พระพุทธศาสนาจะอุบัติขึ้น คือมากกว่า ๒,๕๐๐ ปี มนต์คาถาจำแนกออกเป็น ๒ ประเภทหลักๆ คือ ๑. มนต์คาถาที่เป็นไปในฝ่ายดี เกิดแต่อำนาจแห่ง คุณงามความดีและจิตที่ประกอบด้วยเมตตาธรรม ได้แก่ มนต์ ที่เกิดแต่อำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มีผลในทางที่เป็นคุณ เช่น ใช้ปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายแก่ตนและผู้อื่น ใช้รักษาโรค ภัยไข้เจ็บและขับไล่เสนียดจัญไรต่างๆ ตลอดถึงใช้เพื่อสนับสนุน คนดี ให้มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม ๒. มนต์คาถาที่เป็นไปในฝ่ายชั่ว เป็นมนต์ที่เกิดแต่ อำนาจจิตที่ประกอบด้วยความโลภ โกรธ หลง เช่น มนต์ที่เกิด จากอำนาจจิตของหมอผีหรือผู้ที่เรียนคุณไสย ซึ่งเป็นมนต์คาถา ที่เป็นไปเพื่อทำร้ายและเบียดเบียนผู้อื่น หรือให้ตนได้สมหวังโดย
ไม่สนใจว่าเรื่องที่ทำนั้นผิดหลักศีลธรรมหรือไม่ เช่น มนต์สำหรับ ปล่อยของไปทำร้ายผู้อื่น มนต์ทำเสน่ห์ยาแฝด เป็นต้น มนต์ คาถาประเภทนี้จัดอยู่ในพวกเดรัจฉานวิชา มีคุณน้อย มีโทษมาก
มนต์คาถา ๒ ประเภทนั้น พระพุทธเจ้าทรงยกย่องมนต์ คาถาประเภทแรกว่าเป็นสิ่งดีและสนับสนุนให้พุทธบริษัทท่องบ่น ศึกษา ดังปรากฏในพระสูตรหลายแห่ง เช่น ธชัคคสูตร กรณียเมตตสูตร รัตนสูตร เป็นต้น ในสูตรเหล่านั้นพระองค์ทรงเป็นผู้ ประทานมนต์คาถาให้แก่เหล่าภิกษุด้วยพระองค์เอง และยังตรัส ย้ำให้ท่องบ่นเป็นประจำ ทั้งนี้เพื่อป้องกันภัยอันตรายและขจัด ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ที่สำคัญคือ เพื่อฝึกอบรมจิตของตนให้แก่กล้า เป็นฐานให้เกิดปัญญาและก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือ พระนิพพาน ดังนั้น คุณค่าของการเรียนมนต์คาถาตามหลักของ พระพุทธศาสนา ก็คือ เพื่อบำบัดทุกข์และปัดเป่าอุปสรรค ที่คอยขัดขวางไม่ให้ทำความดี และเป็นเครื่องมือก้าวถึงความ หลุดพ้น พระพุทธองค์จึงทรงเน้นย้ำไม่ให้หลงงมงายในมนต์ คาถา แต่จงใช้อย่างมีสติพินิจด้วยปัญญาให้เห็นคุณค่าอันแท้จริง และนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ถ้าทำได้ อย่างนี้ ความสุข ความเจริญ ความร่ำรวย จะบังเกิดขึ้นอย่าง แท้จริง หนังสือ เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ เล่มนี้ มิได้มุ่งหวังที่จะปลูกฝังความเชื่อที่ผิดๆ ให้แก่ท่านผู้ใด แต่สิ่งที่ มุ่งหวังคือการนำเสนอข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีสำหรับ ท่านที่ยังมีความคิดในแง่ลบเกี่ยวกับศาสตร์แห่งมนต์คาถา และ
เพื่อให้ทุกท่านมองเห็นประโยชน์และคุณค่าอันแท้จริงของมนต์ คาถา จะได้ไม่ดูถูกหรือดูหมิ่นผู้ที่สนใจศึกษาในด้านนี้ ซึ่งแท้จริง แล้วเป็นศาสตร์ที่ควรศึกษาและอนุรักษ์ไว้ ในฐานะที่เป็นศาสตร์ แห่งภูมิปัญญาเก่าแก่ และเป็นศาสตร์แห่งการพัฒนาจิตเพื่อเป็น อุบายสู่ความพ้นทุกข์ตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา ถือเป็นสิ่งที่ มีค่าสูงยิ่ง ความดีที่เกิดจากการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ ขอน้อมถวาย เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และมอบเป็นกตเวทิตาคุณ แด่บิดา มารดา ครูอาจารย์ และผู้มีพระคุณทุกท่าน ขอขอบคุณ ทีมงานทุกฝ่ายที่ช่วยกันคิด สร้างสรรค์ และลงมือทำด้วยความ เอาใจใส่พิถีพิถันทุกขั้นตอน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จัก เอื้อประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกท่านเป็นอย่างดี ฐาตุ จิรํ สตํ ธมฺโม ขอพระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงดำรงอยู่สิ้นกาลนาน
โปรดใช้เล่มนี้ให้คุ้มสุดคุ้ม & อ่านแล้ว -> แบ่งกันอ่านหลายท่านนะจ๊ะ
อ่านสิบรอบ ระดมสมองคิดสิบหน ฝึกฝนปัญญา พัฒนาการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน จิตมีสติสัมปชัญญะ รู้เท่าทันสรรพสิ่ง ฉลาดใช้ เฉลียวคิด ชีวิตจักสนุก สุข สงบ เย็น เฉกเช่นพระนิพพาน สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ ปรารถนาให้ทุกครอบครัวมีความสุข
สารบัญ ภาคที่ ๑ รู้ก่อนเสก ความหมายของมนต์คาถา ความเป็นมาของมนต์คาถา รูปแบบของมนต์คาถา คุณค่ามนต์คาถา ประโยชน์ของการเรียนมนต์คาถา เรียนคาถาอย่างไรให้ขลัง องค์ประกอบของการเรียนคาถา มนต์คาถาพาเฮงร่ำรวย สวดมนต์เพิ่มบารมี เรียนคาถา รักษาศีลช่วย รวยเร็ว วิธีฝึกจิต สร้างฤทธิ์ให้คาถา
ภาค ๒ เรียนมนต์คาถา
๙ ๑๑ ๒๐ ๒๒ ๒๗ ๓๐ ๓๕ ๔๑ ๔๓ ๔๔ ๔๕
กับพระพุทธเจ้า บรมครูผู้เป็นเอกแห่งมนต์คาถา ๕๐ ไหว้ครูก่อนเรียน ๕๑ คาถามงคลสูตร ๖๔ (เสกลูกดี เสกชีวีให้สูงส่ง) คาถากรณียเมตตสูตร ๖๘ (เสกศัตรูเป็นมิตร ผูกจิตให้ลุ่มหลง) คาถารตนสูตร ๗๒ (เสกขับไล่ปัดเป่าเสนียดจัญไร) คาถาขันธปริตร ๗๖ (เสกป้องกันสัตว์มีพิษ) คาถาพญานกยูง ๗๙ (คุ้มครองตนพ้นภัยร้าย) คาถานกคุ้มโพธิสัตว์ ๘๒ (ป้องกันอัคคีภัย)
คาถายอดธง ๘๕ (แคล้วคลาดกลางสนามรบ) คาถาท้าวจาตุมหาราช ๘๘ (ป้องกันขับไล่ภูตผีปีศาจ) คาถาอังคุลิมาลปริตร ๙๑ (คลอดลูกง่าย ได้บุตรดังใจ) คาถาโพชฌังคปริตร ๙๓ (กำจัดโรคภัยไข้เจ็บ) คาถาอภยปริตร ๙๖ (เสกแก้ลางร้ายให้กลายเป็นดี) คาถาพุทธชัยมงคล ๙๘ (ชนะอุปสรรคทุกอย่าง) คาถาธรรมจักร ๑๐๘ (เทพรักษา, พ้นทุกข์ทั้งปวง)
ภาค ๓ เรียนมนต์คาถา
กับพระอริยะ พระอริยะคือใคร ๑๑๘ ไหว้ครูก่อนเรียนกับพระอริยะ ๑๒๐ คาถาพระสารีบุตร ๑๒๖ (เรียนเก่ง, ความจำเป็นเลิศ) คาถาพระมหาโมคคัลลานะ ๑๒๘ (ดับพิษไฟ, ต่อกระดูก) คาถาพระสีวลี ๑๓๑ (บังเกิดลาภผล ร่ำรวยเงินทอง) คาถาพระสังกัจจายน์ ๑๓๔ (เรียกทรัพย์ อุดมสมบูรณ์) คาถาพระอุปคุต ๑๓๖ (บันดาลความเจริญรุ่งเรือง)
คาถาหลวงปู่ทวด ๑๓๘ (ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขเพิ่มทวี) คาถาสมเด็จโต ๑๓๙ (มหานิยม, แคล้วคลาด, โชคลาภ) คาถากันภัย หลวงปู่มั่น ๑๔๘ (กันภัยได้ทุกอย่าง) คาถามหาลาภ หลวงปู่ศุข ๑๔๙ (มหาโชค มหาลาภ ร่ำรวย) คาถาหลวงพ่อโอภาสี ๑๕๑ (รุ่งโรจน์ ปลอดโรค ปลอดภัย) คาถามหาสำเร็จ หลวงพ่อสด ๑๕๒ (สำเร็จผลในสิ่งที่ต้องการ) คาถาเสริมลาภ หลวงพ่อปาน ๑๕๓ (เสริมลาภ, ทรัพย์, อำนาจ) คาถาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ๑๕๕ (ร่ำรวยเป็นล้าน) คาถาพญาไก่เถื่อน ๑๕๗ (เจริญทรัพย์, ปัญญา, มหานิยม) คาถาหลวงพ่อเกษม เขมโก ๑๕๙ (ขอสิ่งใดได้ตามที่ขอ) คาถามหาอุด หลวงปู่เผือก ๑๖๐ (คุ้มครองป้องกันภัยสารพัด) คาถามหาสำเร็จ เจ้าคุณนรฯ ๑๖๒ (ทำสิ่งใดสำเร็จทุกอย่าง) คาถาหลวงพ่อเงิน ๑๖๓ (เรียกเงิน, เรียกทรัพย์) คาถามหาอุด หลวงปู่ทอง ๑๖๕ (กันภัยพิบัติทุกอย่าง) คาถาป้องกันภัย หลวงพ่อคูณ ๑๖๖ (ปลอดภัยมีโชคมีชัย ๑๐ ทิศ)
คาถามหาลาภ หลวงพ่ออุตตมะ ๑๖๗ (อุดมลาภสักการะ) คาถามหาเมตตา หลวงพ่อแช่ม ๑๖๘ (คนเมตตา ผู้ใหญ่เอ็นดู) คาถามัดใจ หลวงปู่ขาว ๑๗๐ (เทพ มนุษย์ สัตว์รักใคร่) คาถาคุ้มภัย หลวงปู่แหวน ๑๗๑ (อันตรายใดๆ ทำร้ายไม่ได้) คาถาหลวงพ่อปาน ๑๗๒ (เสริมเดช เสริมอำนาจ) คาถาพ่อท่านคล้าย ๑๗๓ (มีวาจาสิทธิ์) คาถาหลวงพ่อจรัญ ๑๗๔ (ความจำดี ขับขี่ปลอดภัย) ภาค ๔ มนต์คาถาน่าใช้ คาถาหมวดเกี่ยวกับเด็ก คาถาขอลูก ๑๗๘ คาถาแก้ลูกดื้อ ๑๘๒ คาถาเรียนเก่ง ๑๘๔ คาถาหมวดรักษาโรค คาถารักษามะเร็ง ๑๘๖ คาถาเสกอาหารรักษาโรค, ๑๘๗ รักษาผื่นแดง, ฝี คาถาสมานแผล ต่อกระดูก, ๑๘๘ ห้ามเลือด, รักษาโรคตา คาถาหมวดเมตตามหานิยม โชคลาภ ๑๙๐ คาถาหมวดแคล้วคลาดป้องกันภัย ๑๙๙ คาถาหมวดทั่วไป ๒๐๖
“ภิกษุทั้งหลาย
หากว่าความกลัว ความหวาดสะดุ้ง หรือความขนพองสยองเกล้า พึงเกิดขึ้นแก่พวกเธอ ผู้อยู่ในป่าช้าก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี เมื่อนั้นเธอทั้งหลายพึงระลึกถึงเราเนืองๆ นั่นแลว่า อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าเมื่อเธอทั้งหลายระลึกถึงเราอยู่อย่างนี้ ความกลัว ความหวาดสะดุ้ง หรือความขนพองสยองเกล้าที่เกิดขึ้น จักหายไป.”
ธชัคคสูตร พระไตรปิฎกบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม ๑๕ หน้า ๒๖๓ มีพระพุทธเจ้า อยู่ในใจ อันตรายใดๆ และภัยน้ำท่วม ไม่อาจกล้ำกราย
ภาค ๑
รู้ก่อนเสก
ความหมายของมนต์คาถา เมื่อพูดถึงคำว่า มนต์คาถา หรือ คาถาอาคม แล้ว คนไทย ส่วนใหญ่มักจะรู้จักและคุ้นเคยกับคำนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ จากหนังหรือจากละครทีวีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ ข้าพเจ้ายังจำได้ว่า เมื่อสมัย ๓๐ กว่าปีที่แล้ว เด็กแถว หมู่บ้านใกล้เคียงเมื่อเล่นต่อสู้กัน ก็มักจะมีการสวดคาถา ทำท่า ทำทางอย่างตัวละครในหนังหรือละครที่ดูมา แม้ปัจจุบันจะเป็น ยุคสมัยใหม่ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ และเห็นเป็นเรื่องหลอกเด็กก็ตาม แต่ละครที่มีเนื้อหา เกี่ยวกับคาถาอาคม ฟันแทงไม่เข้า ก็ยังได้รับความนิยมจากคน สมัยใหม่ในระดับต้นๆ จะเห็นว่าเรื่องมนต์คาถาอาคม เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์นี้ อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน และฝังรากลึก จนยากที่จะปฏิเสธว่าไม่มีจริง ในบางครั้งมีเหตุให้ชวนคิดว่าเป็น เรื่องงมงายไร้สาระก็ตามที แต่ในส่วนลึก ของจิตใจแล้วยังมีความเชื่อสิ่งเหล่านี้อยู่ แม้อาจจะไม่เต็มร้อยก็ตาม มนต์คาถา ในพจนานุกรมได้ให้ความหมายไว้ว่า มนต์ คือ คำศักดิ์สิทธิ์ คำสำหรับสวด คำสำหรับเสกเป่า สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
9
ส่วนคำว่า คาถา มีความหมาย ๒ อย่าง คือ เป็นคำเรียก บทประพันธ์ประเภทกาพย์กลอนในภาษาบาลี เช่น เรียกบท ประพันธ์ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แต่งขึ้นว่า คาถาชินบัญชร หรือเรียกบทสวดพาหุงมหากาว่า พุทธชัยมงคลคาถา เป็นต้น อีกความหมายหนึ่ง หมายถึง คำเสกเป่า ที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีความหมายเหมือนกับคำว่า มนต์ ดังนั้น จึงมักใช้รวมกันว่า มนต์คาถา นอกจาก ๒ คำนี้แล้วยังมีคำอื่นๆ อีกที่ใช้ในความหมาย เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่นคำว่า มนตรา อาคม เวทมนตร์ เป็นต้น อาจมีคำถามตามมาว่า มนต์คาถาหรือคำศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เอาไว้ทำอะไร คำตอบก็คือ เอาไว้สำหรับสวดบริกรรมภาวนา เสกเป่า เพื่อให้เกิดฤทธิ์บันดาลผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ ต้องการ โดยผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจะเหนือความคาดหมาย อธิบายด้วยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ มนต์คาถา เช่น ทำให้หนังเหนียว ยิงฟันแทงไม่เข้า ของดีมีมา แต่โบราณ ทำให้ปืนยิงไม่ออก เป็นต้น ดังนั้น มนต์คาถา ก็คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการ สร้างฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ด้วยการเสกเป่านั่นเอง 10 เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ
ความเป็นมาของมนต์คาถา ศาสตร์ ว่ า ด้ ว ยการสร้ า งฤทธิ์ ป าฏิ ห าริ ย์ ด้ ว ยมนต์ ค าถา เป็นศาสตร์เก่าแก่ เกิดขึ้นและมีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาอย่าง ยาวนานไม่แพ้ศาสตร์แขนงอื่นๆ ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ คือ
๑ มนต์คาถาดั้งเดิม ศาสตร์แห่งการใช้มนต์คาถานี้ ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด ว่าเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไร แต่มีมาก่อนที่พระพุทธศาสนาจะอุบัติ ขึ้นอย่างแน่นอน ดังจะเห็นได้จากศาสนาพราหมณ์ซึ่งเป็นศาสนา ที่เกิดก่อนพระพุทธศาสนาเป็นพันๆ ปี มีการเรียนมนต์คาถา อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ถึงกับมีตำราหลักสูตรการเรียนมนต์คาถา เอาไว้เรียกว่า คัมภีร์พระเวท ซึ่งถือเป็นตำราที่เก่าแก่ของศาสนา พราหมณ์ และยิ่งกว่านั้น ในคัมภีร์พระไตรปิฎกก็มีหลักฐานที่ชี้ชัด ไว้ว่า ศาสตร์แห่งการเสกเป่านี้มีมาก่อนศาสนาพราหมณ์เสียอีก ดังเช่น ในคัมภีร์พระสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงชาดก (เรื่อง ในอดีตชาติของพระองค์) หลายชาดกมีการพูดถึงการเรียนมนต์ คาถาหรือการใช้มนต์คาถา เช่นในอัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ ทรงเล่าถึงอดีตชาติเมื่อครั้งพระองค์เสวยชาติเป็นคนยากจน สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
11
มีมนต์คาถาที่สามารถเสกมะม่วงให้ ออกผลสุกได้ในทันที และใช้วิชานี้ หาเลี้ยงครอบครัว ต่อมามีเด็กหนุ่ม คนหนึ่ ง เห็ น เขากำลั ง ร่ า ยมนต์ เ สก มะม่วง จึงเข้าไปอ้อนวอนขอเรียน มนต์ แรกๆ เขาไม่ยอมสอนให้ แต่ อาศัยที่เด็กหนุ่มคนนี้ยอมเป็นทาส ปรนนิบัติรับใช้ จึงยอมสอนให้ และได้ย้ำกับเด็กหนุ่มว่า เมื่อ เรียนมนต์คาถานี้ไปแล้ว สิ่งที่ต้องปฏิบัติคือ ห้ามพูดโกหก เป็นอันขาด หากโกหกเมื่อใด มนต์นี้ก็จะเสื่อมทันที ต่อมา เด็กหนุ่มได้ไปทำงานที่สวนมะม่วงของพระราชา วันหนึ่งพระราชาอยากจะเสวยมะม่วง แต่หาที่ใดไม่ได้เพราะเป็น ช่วงนอกฤดูที่มะม่วงจะออกผล เด็กหนุ่มจึงแอบร่ายมนต์ที่ตน เรียนมา เสกมะม่วงให้ออกผลแล้วให้คนนำไปถวายพระราชา ครั้นพระราชาเสวยมะม่วงแล้ว ทรงมีพระประสงค์จะ พระราชทานรางวัลแก่เขาจึงรับสั่งให้นำตัวมาเข้าเฝ้าและซักถาม ว่าได้มะม่วงจากที่ใด ชายหนุ่มแจ้งตามความเป็นจริงว่า มะม่วง ได้มาจากการเสกมนต์คาถา พระราชาถามอีกว่าได้เรียนมนต์นั้น มาจากใคร เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งเพราะรู้สึกละอายที่จะบอกว่าอาจารย์ ของตนเป็นคนยากจน จึงกราบทูลว่ามนต์นี้ตนได้ร่ำเรียนมาจาก สำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ อาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองตักสิลา 12 เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ
เมื่อพูดจบ มนต์ก็เสื่อมทันทีโดยที่เขาไม่รู้ตัว ครั้นพระราชารับสั่ง ให้เขาแสดงมนต์เสกมะม่วงให้ดู เขาก็ร่ายมนต์ตามที่ได้เรียนมา แต่ไม่ว่าเขาจะร่ายเวทเสกเป่าสักเท่าไร มะม่วงก็ไม่ออกผล เมื่อ เขาไม่สามารถเสกมะม่วงให้ออกผลได้ พระราชาจึงรับสั่งให้จับ และลงโทษเขาด้วยการโบยหลังและขับไล่ออกจากเมือง โทษฐาน บังอาจพูดโกหกต่อหน้าพระพักตร์ นอกจากอัมพชาดกแล้วยังมี ชาดกอีกหลายเรื่อง ที่กล่าวถึงการ ใช้เวทมนต์คาถา เช่น ภูริทัตตชาดก ที่ ก ล่ า วถึ ง พระชาติ ที่ พ ระพุ ท ธเจ้ า เกิดเป็นนาค ชื่อว่า ภูริทัตต์ ถูก นายพรานร่ายทิพยมนต์แล้วจับตัว
ไปทำการแสดงเพื่อหาเงิน เป็นต้น มนต์คาถาที่เกิดก่อนพระพุทธศาสนาเช่นนี้เรียกว่า มนต์คาถา ดั้งเดิม มนต์คาถาดั้งเดิมนี้ยังรวมถึงมนต์คาถาที่เป็นของชนชาติ ของกลุ่มชนในแต่ละท้องถิ่นอีกด้วย เช่น มนต์คาถาของขอม ไทย ลาว ชนเผ่าต่างๆ เป็นต้น ซึ่งชนชาติหรือกลุ่มชนเหล่านี้
จะเรียนมนต์คาถามาจากบรรพบุรุษ และสืบทอดกันมายาวนาน โดยเฉพาะชนชาติขอมนั้นมีประวัติศาสตร์ความเป็นมานับพันปี และได้ชื่อว่าเป็นชนชาติเจ้าตำรับแห่งไสยเวท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
13
มนต์คาถาดั้งเดิมในแต่ละท้องถิ่นแต่ละเชื้อชาตินี้ จะมี เอกลักษณ์ที่สังเกตได้ง่าย คือ เนื้อความแห่งมนต์คาถาจะกล่าวถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเทพเทวดาที่ตนนับถือ เพื่อขอให้สิ่งเหล่านั้น บันดาลผลสำเร็จในสิ่งที่ตนต้องการ เช่นมนต์คาถาว่า โอม ปู่เจ้าสมิงพราย กูจะใช้ให้พระนารายณ์ไปร้องเรียก กูจะใช้พระลำเจียกให้ไปหา กูจะใช้ปูนพลูให้ไปพามา คาถาผูกนี้ มึงรักกูเสมือนหนึ่งช้างรักงา สมบัติปู่ของปู่ เป็เชียนวนะเจ้ มึงรักกูเสมือนหนึ่งปลารักน้ำ าเหมียว แม่มึงจะร้องไห้มาหากู โอมสิทธิคุณาครู สะวาหะ มนต์คาถาบทนี้ ได้กล่าว ขออำนาจของปู่เจ้าสมิงพราย ช่วยดลจิตดลใจ ให้หญิงมาหลงรักตน เหมียว เป็นมนต์คาถามหาเสน่ห์ มนต์คาถาแบบดั้งเดิมนี้ ยังมีการสืบทอดต่อกันมาถึงปัจจุบัน แต่คงเหลือน้อยมาก 14 เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ
๒ มนต์คาถายุคพระพุทธศาสนา มนต์คาถาที่เกิดในพระพุทธศาสนานั้นถือว่ามีความเก่าแก่ น้อยกว่ามนต์คาถาดั้งเดิม แต่ถึงกระนั้นก็เกิดขึ้นและสืบทอดมา ไม่ต่ำกว่า ๒,๕๐๐ ปี ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น ๒ ช่วงเวลา คือ ๑. มนต์คาถาที่เกิดในช่วงพุทธกาล ๒. มนต์คาถาที่เกิดในช่วงหลังพุทธกาล
๑. มนต์คาถาที่เกิดในช่วงพุทธกาล
หมายถึง มนต์คาถาที่เกิดขึ้นในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรง พระชนม์อยู่ แบ่งเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ ๑) มนต์คาถาที่พระพุทธเจ้าประทาน หรือแนะนำให้ สวดด้วยพระองค์เอง บางบทเป็นมนต์คาถาที่ทรงแต่งขึ้นเอง เช่น คาถามงคลสูตร คาถาเมตตสูตร คาถารัตนสูตร เป็นต้น บางบทเป็นคาถาเก่าที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทรงเห็นว่าเป็นคาถาที่ดี และมีอานุภาพ ก็นำมาประทานให้สวด เช่น คาถาขันธปริตร คาถาวัฏฏกปริตร คาถาโมรปริตร บางบทก็มีผู้แต่งขึ้นถวายแด่ พระองค์ อาทิเช่น คาถาอาฏานาฏิยปริตร ที่ท้าวจตุโลกบาล แต่งขึ้นน้อมถวาย เพื่อประทานให้ภิกษุได้นำไปสวดป้องกันพวก อมนุษย์ที่ไม่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไม่ให้เข้ามาทำ อันตราย สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
15
๒) มนต์คาถาที่เป็นของพระอรหันตสาวก เป็นมนต์ คาถาที่พระอรหันตสาวกแต่งขึ้นใช้เฉพาะกิจ เฉพาะท่าน เช่น มนต์คาถาของพระองคุลิมาลเถระ ที่เสกเป่าช่วยให้หญิงท้องแก่ คนหนึ่งคลอดง่าย เป็นต้น มนต์คาถาที่พระพุทธเจ้าประทานให้ก็ดี พระอรหันตสาวก แต่งขึ้นใช้ก็ดี ทั้งหมดสามารถสืบค้นที่ไปที่มาได้จากคัมภีร์พระไตรปิฎก
๒. มนต์คาถาที่เกิดในช่วงหลังพุทธกาล
มนต์คาถากลุ่มนี้แต่งขึ้นโดยคณาจารย์ผู้ทรงความรู้ หลัง พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ซึ่งมนต์คาถาเหล่านี้จะไม่มีปรากฏใน พระไตรปิฎก บางบทสามารถค้นหาที่ไปที่มาได้ เช่น บทโพชฌังคปริตร บทอภยปริตร เป็นต้น แต่บางบทก็ไม่สามารถหาที่ไป ที่มาได้ มนต์คาถาในพระพุทธศาสนานั้น เป็นมนต์คาถาที่มีความ ขลังความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ผู้ใดนำไปสวดภาวนาย่อมจะบังเกิด ฤทธิ์บันดาลผลให้ประสบผลสำเร็จตามต้องการ และที่สำคัญคือ มนต์คาถาที่พระพุทธเจ้าประทานให้นั้น เป็นมนต์อันเกิดจาก ความเมตตาของพระองค์ ที่ต้องการให้ผู้นั้นพ้นจากความทุกข์ เดือดร้อน และเมื่อพ้นจากความทุกข์เดือดร้อนแล้ว จะได้ตั้งใจ ประกอบคุณงามความดีต่อไป อนึ่ง มนต์คาถาบางบทยังประกอบ 16 เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ
ด้วยคำสอนที่ผู้สวดอาจนำไปพิจารณาและปฏิบัติให้เกิดความสุข ทั้งระดับโลกิยะและโลกุตระได้ ดังนั้น เมื่อว่าโดยหลักการแล้ว พระพุทธศาสนาไม่ได้ ปฏิเสธการใช้คาถาอาคม ในทางกลับกันทรงสนับสนุนให้ศึกษา เล่าเรียนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แก่นแท้ของมนต์คาถา มนต์คาถาที่เรียนต้องเป็นไป คือปัญญาพาพ้นทุกข์ เพื่ออนุเคราะห์แก่ผู้ที่เดือดร้อน และสนับสนุนให้คนทำดี และที่สำคัญคือ เป็นตัวเชื่อมให้เกิดปัญญา สามารถเข้าถึงแก่นธรรม นำตนให้พ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
๓ มนต์คาถาประยุกต์ หมายถึง มนต์คาถาที่นำความเชื่อทางพระพุทธศาสนา มาประยุกต์เข้ากับความเชื่อดั้งเดิม กล่าวคือ มนต์คาถาที่เป็น ของศาสนาพราหมณ์ก็ดี ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นก็ดี ที่นับถือมา แต่เดิมนั้น เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นและมีความเจริญรุ่งเรือง แผ่ขยายออกไปสู่อาณาประเทศและกลุ่มชนต่างๆ ผู้คนที่เคย นับถือเทพเจ้า ผีสางเทวดา หันมานับถือพระพุทธศาสนามากขึ้น สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
17
จึงได้มีการประยุกต์มนต์คาถา ที่แต่เดิมเป็นบทกล่าวนอบน้อม
ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพนับถือ เช่น ปู่เจ้าสมิงพราย มาเป็น นอบน้อมพระรัตนตรัยแทน เพราะเมื่อได้ศึกษาหลักคำสอนทาง พระพุทธศาสนาแล้วก็ได้ตระหนักว่า บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในโลก ๓ นั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิ่งที่มีอำนาจ เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง จึงได้มีการประยุกต์มนต์คาถา ที่แต่เดิม
อิงแอบอยู่กับอำนาจของผีสางเทวดา มาเป็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณแทน แต่การนำเอาพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เข้ามาแทรก
ในมนต์คาถานั้น มีการปรับประยุกต์รูปแบบให้แตกต่างออกไป เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน เช่น มีการตัดทอนศัพท์หรือเนื้อความ ให้เหลือเพียงหนึ่งคำ ในทำนองสร้างเป็นกลอักษรให้นำไปตีความ อีกทอดหนึ่งว่าคำดังกล่าวหมายถึงอะไร และมีความหมายว่า อย่างไร เช่นคำว่า มะอะอุ ที่ปรากฏในมนต์คาถาหลายบท ก็เป็นคำที่ย่อ
มาจากคำว่ า มะหาสั ง โฆ, อะระหั ง สั ม มาสั ม พุ ท โธ และ อุตตะมะธัมโม ซึ่งก็หมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นเอง หรือคำว่า อิส๎วาสุ ก็ย่อมาจากบทสวดสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ที่ว่า อิติปิโส ฯลฯ ภะคะวาติ, ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ฯลฯ วิญญูหีติ, สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ฯลฯ โลกัสสาติ. 18 เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ
ซึ่งคำย่อเหล่านี้ บางครั้งจะนำไปเป็นมนต์คาถาโดยตรง ไม่ประสมกับคำท้องถิ่นก็มี บางครั้งก็ผสม จะออก ปนกับคำท้องถิ่นก็มี เช่น มนต์คาถาอุดปืน ปราบยาบ้า สวดคาถา กันไว้ก่อน นะบังดิน โมบังไฟ พุทบังลูก ธามิให้ออก ยะปิดปากกระบอก อะนุตตะรัง ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณา ฆะเฏสิ อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ. จากเนื้อความของคาถาอุดปืนนี้ จะเห็นได้ว่ามีการผสม ผสานกันระหว่างคำไทยซึ่งเป็นคำภาษาท้องถิ่นกับคำบาลีที่เป็น ภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้ประกาศพระศาสนา และนอกจากจะใช้ ถ้อยคำผสมผสานกันระหว่างไทยกับบาลีแล้ว ยังมีการวางกลอักษร นะโม พุทธายะ แยกวางเป็นจุดๆ อีกด้วย ซึ่งการใช้
คำย่อก็ดี การใช้คำท้องถิ่นผสมบาลีก็ดี การวางกลอักษรก็ดี
จัดเป็นเอกลักษณ์ของมนต์คาถาประยุกต์ที่สังเกตได้ง่าย และ
ในปัจจุบันหากเปิดหนังสือที่รวบรวมมนต์คาถาต่างๆ อาทิเช่น หนังสือตำราพระเวท หนังสือพระคาถา ๑๐๘ เป็นต้น มนต์ คาถาต่างๆ ที่ปรากฏในหนังสือเหล่านั้น โดยมากเป็นมนต์คาถา แบบประยุกต์มากกว่ามนต์คาถาแบบดั้งเดิมและแบบพระพุทธศาสนา สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
19
รูปแบบของมนต์คาถา มนต์คาถาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ด้วยกัน แต่หากจำแนกเป็นกลุ่มตามวัตถุประสงค์ที่ใช้ พอจะ จำแนกได้เป็น ๘ ประเภทดังนี้ คือ ๑. คงกระพัน คือ มนต์คาถาที่ทำให้หนังเหนียว ฟันแทง ไม่เข้า ทนต่ออาวุธทุกอย่าง ๒. ชาตรี คือ มนต์คาถาที่ทำให้หนังเหนียว ฟันแทง
ไม่เข้าเหมือนกับประเภทคงกระพัน ต่างกันตรงที่พวกคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้าก็จริง แต่อวัยวะภายในจะบอบช้ำ ส่วนพวกชาตรี จะมีความแข็งแกร่งทั้งภายนอกภายใน มีร่างกายดุจเพชร ๓. มหาอุด คือ มนต์คาถาที่ทำให้กลไกอาวุธของฝ่าย ตรงข้ามไม่ทำงาน เช่น ทำให้กระสุนด้าน กระสุนขัดลำกล้อง
ส่งผลให้ปืนยิงไม่ออก กระบอกปืนแตก เป็นต้น ๔. แคล้วคลาด คือ มนต์คาถาที่สวดเพื่อป้องกันไม่ให้
สิ่งใดทำอันตรายแก่ตน เช่น คาถากำบังกายทำให้ศัตรูมองไม่เห็น คาถาที่ทำให้ศัตรูชกต่อยไม่ถูก จะเรียนคาถาไหนดีล่ะ คาถาที่ทำให้อาวุธยิงมาไม่โดน หรือคาถานะจังงัง ที่ทำให้ ศัตรูหยุดค้างอยู่กับที่ ทำอันตรายไม่ได้ เป็นต้น 20 เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ
๕. เมตตามหานิยม คือ มนต์คาถาประเภทที่ใช้สวดเพื่อ ให้ตนเองมีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่และนิยมชมชอบของคนทั่วไป เช่น คาถาสาลิกาลิ้นทอง คาถาปู่เจ้าสมิงพราย คาถามัดใจ คาถา ขุนแผน เป็นต้น ๖. มหาลาภ คือ มนต์คาถาที่เสกเป่าเพื่อให้เกิดลาภ ค้าขายร่ำรวย ประสบโชคดี เช่น คาถาเงินล้าน คาถามหาลาภ คาถาค้าขายดี เป็นต้น ๗. ปัดเป่าบรรเทาทุกข์ คือคาถาที่เสกเป่าเพื่อจะรักษา หรือบรรเทาความเจ็บไข้ได้ป่วย ขจัดปัดเป่าเสนียดจัญไร ขับไล่ ภูตผีปีศาจ และไถ่ถอนคุณไสยต่างๆ ๘. คุณไสยมนต์ดำ คือ มนต์คาถาประเภทเดรัจฉานวิชา มีไว้เพื่อทำร้ายเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น เช่น คาถาทำเสน่ห์ยาแฝด คาถาเสกของ เช่น ตะปู หนังสัตว์ เข้าร่างคนอื่น เป็นต้น มนต์คาถาทั้ง ๘ ประเภทที่กล่าวมานี้ พระพุทธเจ้าทรง ตำหนิมนต์คาถาประเภทเดรัจฉานวิชา และห้ามไม่ให้ภิกษุศึกษา เล่าเรียน เพราะมนต์คาถาประเภทนี้ไม่มีคุณ มีแต่โทษ เป็นไป เพื่อทำร้ายและเบียดเบียนผู้อื่น และยังเป็นการก่อเวรสร้างกรรม แก่ผู้เรียนอีกด้วย
สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
21
คุณค่ามนต์คาถา ๑ คุณค่าในฐานะเป็นภูมิปัญญารักษาโรค
มนต์คาถารักษาโรคงูสวัด
เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เขียน
มีโอกาสได้คุยกับน้องคนหนึ่ง ซึ่งป่วยเป็นโรคงูสวัด คือเกิด เป็ น แผลคล้ า ยกั บ ถู ก ไฟไหม้
ที่บริเวณเอวด้านหลัง และจะลุกลามเป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆ จน รอบเอว เหมือนเอางูมาพันไว้ ซึ่งมีความเชื่อกันว่า หากเชื้อ ลุกลามจนจรดเป็นวงกลมรอบตัว จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต น้องเล่าให้ฟังว่า แรกเริ่มที่เป็นได้ไปรับการรักษาที่คลินิก หมอวินิจฉัยว่าติดเชื้อราและให้ยามาทา (หลอดละ ๕๐๐ บาท) บอกว่าทาไม่เกินสัปดาห์ก็จะหาย แต่เมื่อทายาแล้วปรากฏว่า
ยิ่งลุกลามหนักขึ้น ต่อมามีผู้แนะนำให้ไปรักษาด้วยการเป่าที่
วัดหลวงพ่อโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเมื่อเป่าแล้วปรากฏว่า อาการดีขึ้น หลังจากนั้นได้เดินทางกลับบ้านที่จังหวัดนครสวรรค์ คุณพ่อพาไปรักษากับหมอพื้นบ้านในหมู่บ้าน ซึ่งการรักษาจะใช้ เหล้าขาวกับปูนแดง เป่าด้วยคาถา ไม่ถึง ๓ วัน อาการของงูสวัด ก็หายขาด 22 เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ
น้องยังเล่าให้ฟังอีกว่า หมอท่านนี้เป็นหมอประจำหมู่บ้าน จะใช้วิธีเสกเป่าบวกกับยาสมุนไพรรักษาคนไข้ บางครั้งการรักษา ก็ดูแปลก และไม่น่าเชื่อว่าจะรักษาหาย เช่น คนที่เป็นคางทูม ท่ านก็จะใช้ปูนเขียนเป็นรูปเสือ เป่าด้วยคาถา ไม่เกิน ๓ วันหาย
มนต์คาถารักษาพรายเลือด
มนต์คาถารักษากระดูกหัก
อีกคนหนึ่งอายุ ๓๒ ปี มีอาการผิดปกติคือ ประจำเดือน มาไม่หยุดร่วม ๒ เดือน เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล คุณหมอ ตรวจร่างกายไม่พบอะไรผิดปกติ และแนะนำให้รอดูอาการ ๒-๓ วัน อาการปวดประจำเดือนจะหายไปเอง มนต์คาถา ทุกบท คือ ผ่านไปเป็นสัปดาห์ก็ยังไม่หาย เธอได้เล่า พุทธคุณ อาการดังกล่าวให้แม่ที่อยู่ต่างจังหวัดฟัง คุณแม่บอกว่าอาการเช่นนี้ทางบ้านเรียกว่า เป็นพรายเลือด คือเป็นอาการที่เกิดจาก ผีกระทำ ให้ไปรักษากับหลวงลุงที่บ้านด่วน เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อพาไปพบหลวงลุงที่วัด หลวงลุงรักษาให้ด้วยการเป่า ๓ วันติดต่อกัน ปรากฏว่าอาการ ปวดประจำเดื อนของเธอหายเป็นปลิดทิ้ง เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า หลานชายประสบ อุบัติเหตุทางรถยนต์ กระดูกขาแตกละเอียด หมอวินิจฉัยว่าต้อง สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
23
ตัดขาทิ้ง หลานชายไม่ยอมให้หมอตัด ญาติจึงนำตัวมารักษากับ หมออาคมในหมู่บ้าน หมอได้รักษาด้วยการเสกน้ำมันงาชโลมขา ทุกวัน รักษาอยู่ไม่ถึงเดือน กระดูกที่แตกกลับคืนต่อกันและเดิน ได้เป็นปกติ จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่ามนต์คาถาไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระ หรือเป็นเรื่องงมงาย แต่มนต์คาถาเป็นศาสตร์แห่งภูมิปัญญา ที่สืบทอดมายาวนานในฐานะเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าและช่วยขจัด ปัดเป่าความทุกข์ของคนทุกยุคทุกสมัย โรคบางอย่างที่แพทย์ ในโรงพยาบาลไม่สามารถรักษาให้หายได้ เช่น งูสวัด, ต่อกระดูก, พรายเลือด แต่กลับรักษาให้หายขาดได้ง่ายๆ ด้วยมนต์คาถาตาม ภูมิปัญญาชาวบ้าน และยิ่งกว่านั้นโรคบางอย่าง อาทิเช่น โรคไข้หมากไม้ (เรียกตามภาษาอีสาน) โรคนี้หากไปกินผลไม้ หรือเข้าน้ำเกลือ จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต หมอสมัยใหม่อาจไม่รู้จักโรคนี้ แต่หมอ พื้นบ้านทั่วไปกลับรู้จักดี และรักษาให้หายขาดได้ตามเทคนิควิธี ที่ได้รับถ่ายทอดมา จะน่าเสียดายเพียงไร หากภูมิปัญญาที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ จะสูญหายไป เพราะคนรุ่นใหม่อย่างเราๆ มองไม่เห็นคุณค่าและ ปล่อยปละละเลยให้สูญหาย หันไปบูชาวัตถุนิยมที่นับวันรังแต่จะ สร้างปัญหาและนำความทุกข์มาสู่ตนมากขึ้นๆ
24 เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ
๒ มนต์คาถากับคุณค่าทางพระพุทธศาสนา ความเสื่อมถอยของมนต์คาถา เป็นสุขๆ นะโยม สาเหตุหลักไม่ได้อยู่ที่ความเจริญ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ปัจจัยที่แท้จริงอยู่ที่ คนยุคใหม่มองไม่เห็นคุณค่า อันแท้จริงของมนต์คาถา และเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ เหมือนกับเด็กในยุคนี้ ที่มองไม่เห็น คุณค่าของการละเล่นพื้นบ้านของเด็กสมัยก่อน เช่น มอญซ่อนผ้า หมากเก็บ และการละเล่นอื่นๆ ที่สอนให้รู้จักความมีน้ำใจ ความ รัก ความสามัคคีต่อกัน มองเห็นเป็นของเก่าที่ไร้ประโยชน์ แล้ว หันไปหมกมุ่นอยู่กับเกมคอมพิวเตอร์ที่มีแต่เรื่องฆ่าฟันและการ ใช้ความรุนแรง ซึ่งทำให้เด็กๆ มีอุปนิสัยก้าวร้าว นิยมใช้ความ รุนแรง ขาดจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม ถ้าหากเราศึกษาและให้ความสนใจอย่างจริงจัง จะเห็น
ได้ว่าศาสตร์ที่ว่าด้วยมนต์คาถา หรือการเสกเป่านั้น เป็นไปเพื่อ อนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนเป็นสำคัญ ดังจะเห็นได้จาก หมอพื้นบ้านที่ช่วยทำการรักษา ไม่มีการเรียกเก็บค่ารักษาที่แพง เกินจริง จะมีบ้างก็เพียงค่าบูชาครูที่เป็นเงินเพียงไม่กี่บาท หมอ บางคนมีค่าครูเพียงแค่ ๖ สลึง (๑ บาท ๕๐ สตางค์) เท่านั้น เห็นได้ว่าเป็นวิชาที่เป็นไปเพื่ออนุเคราะห์ผู้ที่เดือดร้อนจริงๆ สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
25
และเมื่อหันมามองมนต์คาถาที่เป็นของพระพุทธศาสนา อย่างลึกซึ้งแล้ว จะยิ่งปรากฏชัดถึงคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของมนต์ คาถา กล่าวคือ การเรียนมนต์คาถาตามหลักพระพุทธศาสนานั้น นอกจากจะมีจุดประสงค์เพื่ออนุเคราะห์แก่คนอื่นแล้ว ยังเป็น อุบายในการฝึกอบรมจิตตามหลักของสมถกัมมัฏฐาน เพื่อยก ระดับของจิตให้พร้อมแก่การฝึกวิปัสสนา อบรมปัญญาให้ก้าวสู่ หนทางแห่งความพ้นทุกข์ต่อไป ดังเช่นครูบาอาจารย์หลายท่าน ที่เรียนมนต์คาถาฝึกอบรมจิตจนถึงขั้นแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ และ ใช้จิตที่ฝึกอบรมจากการเรียนมนต์คาถานี้เป็นฐานบ่มเพาะปัญญา จนเข้าถึงความเป็นพระอริยบุคคล ดั ง นั้ น คุ ณ ค่ า อั น แท้ จ ริ ง ของมนต์ ค าถาตามหลั ก ของ
พระพุทธศาสนา คือ ใช้เป็นเครื่องในการช่วยเหลือผู้อื่น และ
เป็นอุบายในการฝึกจิต เพื่อเป็นทางให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง
ในธรรม และถึงความสิ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงนั่นเอง ตัวมนต์คาถาจึงเปรียบเหมือนมะพร้าว ที่ห่อหุ้มด้วยเปลือกและกะลา ซึ่งผู้ที่ต้องการกะทิ จำต้องปอกเปลือกและกะเทาะกะลาให้แตกออกเท่านั้น จึงจะพบเนื้ออันโอชะ ฉันใด การเรียนมนต์คาถาก็ฉันนั้น ผู้สวดจำต้องใช้สติปัญญา พิจารณาเจาะลึกให้ถึงแก่นธรรมที่ซ่อนอยู่ให้ได้ จึงจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเรียนมนต์คาถา
26 เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ
ประโยชน์ของการเรียนมนต์คาถา ประโยชน์ของการเรียนมนต์คาถามีอยู่มากมายทั้งในด้าน ประโยชน์ส่วนตัว และประโยชน์แก่ผู้อื่น จำแนกเป็นข้อๆ ดังนี้ ๑. เป็นผู้มีฤทธิ์ คำว่า ฤทธิ์ หมายถึง พลังอำนาจพิเศษ ที่สามารถบันดาลให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ต้องการ ซึ่ง ฤทธิ์ที่ว่านี้สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้หลายวิธี และวิธีหนึ่งที่นิยม ใช้กันก็คือ เสก เป่า บริกรรมคาถาอาคม ผู้ที่มีฤทธิ์ย่อมสามารถ ทำอะไรได้สำเร็จตามต้องการ แม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่เหลือวิสัย ก็ตาม ๒. ได้ฝึกจิตให้เข้มแข็ง การสวดมนต์หรือบริกรรมคาถา เป็นอุบายในการฝึกจิตให้เป็นสมาธิอย่างเลิศ ซึ่งการฝึกจิตให้เกิด สมาธินี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาตนให้เข้าถึงความ หลุดพ้นตามหลักไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังที่กล่าว มาแล้วว่าการเรียนมนต์คาถาให้ได้ผลนั้น ผู้เรียนจะต้องมีพลังจิต ที่เข้มแข็ง ดังนั้น ผู้เรียนมนต์คาถาจึงจำต้องเรียนรู้และฝึกสมาธิ ก่อนเป็นอันดับแรก อนึ่ง การสวดหรือบริกรรมคาถาเป็นประจำทุกวัน ย่อม เป็นอุบายฝึกจิตให้เป็นสมาธิไปในตัว ยิ่งทบทวนบ่อย สวดบ่อย บริกรรมบ่อย สมาธิย่อมแก่กล้า จิตก็มีพลังมากขึ้น เกจิอาจารย์ ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชน จึงนิยม สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
27
เรียนคาถาอาคมกันมาก เพราะการเรียนและท่องบ่นคาถานั้น เป็นอุบายฝึกจิตให้มีพลังเป็นฐานนำไปสู่ความหลุดพ้นนั่นเอง ๓. เป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือ อนุเคราะห์ผู้อื่น การ เรียนมนต์คาถานอกจากจะเกิดประโยชน์แก่ตนตามที่กล่าวมา แล้วใน ๒ ข้อเบื้องต้น ผู้เรียนยังสามารถนำความรู้ไปช่วยเหลือ คนอื่นได้ด้วย เห็นได้จากการทำศึกสงครามสมัยก่อน พระสงฆ์ จะใช้มนต์คาถาเสกเป่าเพื่อทำเครื่องรางของขลังแจกเหล่าทหาร หาญที่ออกรบเพื่อปกป้องบ้านเมือง หรือพระเกจิอาจารย์ที่ออก ธุดงค์ตามป่าตามเขา เมื่อพบกับชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนหรือ เจ็บไข้ได้ป่วย ท่านก็ใช้คาถาอาคมนี้ช่วยปัดเป่าให้คลายทุกข์ เดือดร้อน หายเจ็บไข้ได้ป่วย อันเป็นการบำเพ็ญบารมีธรรม คือ เมตตาบารมีไปพร้อมกันด้วย ๔. เปิดโอกาสให้ตนก้าวสู่ความหลุดพ้น พระพุทธเจ้า ตรัสทางแห่งการหลุดพ้นไว้ในวิมุตตายนสูตร๑ ๕ ประการ ว่า บุคคลจะหลุดพ้นเข้าถึงนิพพานได้ ๑) เมื่อฟังธรรม ๒) เมื่อแสดงธรรม ๓) เมื่อสาธยายธรรม (ท่องมนต์) ๔) เมื่อพิจารณาธรรม ๕) เมื่อปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ๑
พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๒ หน้า ๓๒
28 เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า บทสวดหรือมนต์คาถาโดยมากจะ แฝงไว้ด้วยหลักธรรมคำสอนอันลึกซึ้ง ซึ่งหากผู้สวดเข้าใจและ หมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ย่อมมีโอกาสรู้แจ้งในธรรม และเข้าถึง ความพ้นทุกข์ได้ เช่น คำว่า นะโม พุทธายะ ซึ่งแปลได้ว่า
ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า (นะโม ขอนอบน้อม พุทธายะ
แด่พระพุทธเจ้า) คำว่า พระพุทธเจ้า นั้นหมายถึงพระพุทธเจ้า
๕ พระองค์ที่เกิดในภัทรกัปนี้ ได้แก่ พระกกุสันธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสปะ, พระโคตมะ (องค์ปัจจุบัน) และพระศรี-
อาริยเมตไตรย (ที่จะอุบัติขึ้นในอนาคต) นะโม พุทธายะ นี้นอกจากจะเป็นคำกล่าวความนอบน้อม พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์แล้ว ยังหมายถึง ธาตุ ๕ ที่เป็นต้น ธาตุก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งมวลด้วย กล่าวคือ นะ คือธาตุน้ำ, โม คือธาตุดิน, พุท คือธาตุไฟ, ธา คือธาตุลม, ยะ คือธาตุอากาศ ซึ่งใช้เป็นหลักพิจารณาได้ว่า สรรพสิ่งทุกอย่างล้วนเกิด จากธาตุทั้ง ๕ ประชุมกัน ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แม้แต่พระพุทธเจ้า ทั้ง ๕ พระองค์ ก็เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งธาตุเช่นเดียวกัน การ พิจารณาให้ลึกซึ้งเช่นนี้จะทำเกิดปัญญาเห็นแจ้งความจริง และ คลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายว่าเป็นเราของเรา เป็นทาง ให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
29
เรียนคาถาอย่างไรให้ขลัง ๑ ต้องมีศรัทธา ความเชื่อ
มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งว่า พลทหารคนหนึ่งจะออกรบใน สงคราม ได้ตะกรุดจากหลวงพ่อที่วัดมาอันหนึ่ง หลวงพ่อกำชับ ว่าเมื่อเผชิญกับข้าศึกให้อมไว้ในปาก เมื่อกองกำลังทหาร ๒ ฝ่าย เข้าปะทะกัน เขาอมตะกรุดไว้ในปาก และต่อสู้กับข้าศึกอย่าง กล้าหาญ เพราะมีความเชื่อในตะกรุดที่ได้มา แต่ในขณะที่กำลัง ยิงต่อสู้และร้องตะโกนให้ฝ่ายตนบุก ตะกรุดได้หลุดจากปาก เขารีบคลำหาแล้วจับยัดเข้าปากอมไว้ ปรากฏว่า สิ่งที่เขายัดเข้าปากนั้นไม่ใช่ตะกรุด แต่เป็นเขียด เมื่ออมเข้าไป เขียดมันก็ดิ้น สงสัยของขึ้น เขานึกว่าตะกรุดสำแดงฤทธิ์ จึงบุกไล่ยิงข้าศึก จนแตกกระเจิงหนีไป บุกเข้าไปเลย ครั้นสถานการณ์ปกติ จึงได้คายตะกรุดออกมาดู แทนที่จะเป็นตะกรุดกลับกลายเป็นเขียด ก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ตะกรุดหลุดจากปากเขาได้หยิบเขียดเข้าปากแทน เรื่องที่เล่ามานี้ อยากสื่อให้เห็นว่าการเรียนมนต์คาถานั้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดความขลัง คือความเชื่อ ความศรัทธาที่มี 30 เมตตามหานิยม พาสุข ร่ำรวย ทันใจ