Dhamma Guide : D.G. ณัฐพันธ ปนทวีเกียรติ บรรณาธิการสาระ : ศักดิ์สิทธิ์ พันธุสัตย ออกแบบปก : อนุชิต คำซองเมือง บรรณาธิการศิลปะ : อนุชิต คำซองเมือง ภาพประกอบ : สมควร กองศิลา รูปเลม/จัดอารต : วันดี ตามเที่ยงตรง
ÃдÁ¸ÃÃÁ ¹ÓÊѹµÔÊØ¢ “¢ÍãËŒ¤Ô´´Ùà¶Ô´ âÅ¡»˜¨¨ØºÑ¹¹Õé¡ÓÅѧ໚¹Í‹ҧäà ¶ŒÒàËç¹Ç‹ÒâÅ¡¡ÓÅѧà»ÅÕè¹ä»ÊÙ‹¤ÇÒÁÇÔ¹ÒÈáÅŒÇ àÃÒ¡ç¨ÐµŒÍ§¹Ö¡¡Ñ¹¶Ö§¡ÒÃá¡Œä¢ ¶ŒÒÁѹà´Ô¹ä»¼Ô´ àÃҡ経ͧ¶ÍÂËÅѧÁÒËÒ¤ÇÒÁ¶Ù¡ ÂÔè§à´Ô¹ä»Áѹ¡çÂÔ觼ԴÁÒ¡ä» ËÃ×ͨÐÍÍ¡¢ŒÒ§æ ¤Ùæ Áѹ¡ç¤§¨ÐäÁ‹¶Ù¡ä´Œ ¶ŒÒàÁ×èÍ ÊÁÑÂâºÃҳᵋ¡ÒÅ¡‹Í¹Áѹ¶Ù¡ ¤×ÍÁѹäÁ‹ÁÕà˵ءÒó àÅÇ·ÃÒÁÍ‹ҧ¹Õé ¡ç¨Ó໚¹ ÍÂÙ‹àͧ ·Õè¨ÐµŒÍ§¶ÍÂËÅѧࢌҤÅͧä»ËÒ¤ÇÒÁ¶Ù¡¹Ñé¹ à´ÕëÂǹÕéÁѹÁÕ¤ÇÒÁà»ÅÕè¹á»Å§ 㹡ÒÃÁÕ¸ÃÃÁТͧᵋÅФ¹ ·Õ¹ÕéàÃÒ ¡ç¨ÐÃдÁ¸ÃÃÁ¹Õé ¡çà¾×èÍâÅ¡»˜¨¨ØºÑ¹¹Õé Í‹Òä´ŒàÅǵ‹Íä»ÍÕ¡ à¾ÃÒÐÁѹàÅÇÁÒ¡ ¾ÍáÅŒÇ ÂŒÍ¹¡ÅѺÁÒËÒ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ à¾×èͨÐ䴌໚¹âÅ¡·ÕèÍÂÙ‹ã¹ÃٻẺ·Õè ÊÁºÙó ·Õè¾Ö§»ÃÒö¹Ò àÃÕ¡NjÒ໚¹âÅ¡·ÕèÁѹÁÕ¤ÇÒÁÊÐÍÒ´ ÁÕ¤ÇÒÁÊÇ‹Ò§ ÁÕ¤ÇÒÁʧº ÍÂً㹨Ե㨢ͧÁ¹ØÉ µÒÁÊÁ¤Çà ¶ŒÒ¤¹áµ‹ÅФ¹ÁÕ¤ÇÒÁÊÐÍÒ´ ÊÇ‹Ò§ ʧº ÊÒÁÍ‹ҧ¹ÕéÍÂً㹨Եã¨áÅŒÇ âÅ¡¹Õé¡ç໚¹âÅ¡áË‹§¤ÇÒÁÊÐÍÒ´ ÊÇ‹Ò§ ʧº â´ÂäÁ‹µŒÍ§Ê§ÊÑ àÃÒÍÂÒ¡¨ÐÁÕâÅ¡ã¹ÃٻẺ·Õ蹋Ҫ×è¹ã¨ ¹‹Ò»ÃÒö¹Ò àÃÒ¨Ö§µŒÍ§ÁÕ¡ÒÃᡌ䢔
พุทธทาส จักอยูไป ไมมีตาย ชาตกาล ๒๗ พ.ค. ๒๔๔๙ มรณกาล ๘ ก.ค. ๒๕๓๖
¤Ó¹ÓÊӹѡ¾ÔÁ¾ ธรรมบรรยายชุ ด “คู มื อ มนุ ษ ย ” ของพระเดชพระคุ ณ พระธรรมโกศาจารย (พุทธทาส อินฺทปฺโ) หรือหลวงปูพุทธทาสภิกขุ แหงสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎรธานี เปนหนึ่งใน ผลงานซึ่งถือวาเปนเพชรน้ำเอกที่ไดรับการยอมรับและเปนที่นิยมชมชอบ จากชาวพุทธอยางกวางขวางจนมีการนำไปแปลเปนภาษาตางๆ ในหลาย ประเทศ ทั้งนี้ก็เพราะหลวงปูพุทธทาสภิกขุไดบรรยายเรื่องสำคัญที่สุด ที่มนุษยทุกคนควรจะตองรู และควรจะตองปฏิบัติตามใหจงได เพื่อ ความเปนมนุษยที่สมบูรณแบบอยางแทจริง ธรรมบรรยายชุดนี้ หลวงปูพุทธทาสไดบรรยายอบรมผูที่จะรับ การโปรดเกลาฯ เปนตุลาการ รุนป ๒๔๙๙ ณ หองบรรยายของเนติบัณฑิตยสภา ระหวางวันที่ ๒-๒๒ พฤษภาคม ๒๔๙๙ รวมทั้งหมด ๑๐ ครั้ง ๑๐ หัวเรื่อง ดังนี้ ครั้งที่ ๑ : ใจความสำคัญของพุทธศาสนา (พุทธศาสนามุงชี้อะไรเปนอะไร) (๒ พ.ค. ๒๔๙๙) ครั้งที่ ๒ : ไตรลักษณ (ลักษณะสามัญของสิ่งทั้งปวง) (๔ พ.ค. ๒๔๙๙) ครั้งที่ ๓ : อุปาทาน ๔ (อำนาจของความยึดติด) (๗ พ.ค. ๒๔๙๙) ครั้งที่ ๔ : ไตรสิกขา (ขั้นของการปฏิบัติศาสนา) (๘ พ.ค. ๒๔๙๙) ครั้งที่ ๕ : เบญจขันธ (คนเราติดอะไร) (๙ พ.ค. ๒๔๙๙) ครั้งที่ ๖ : สมาธิและวิปสสนาตามธรรมชาติ (๑๑ พ.ค. ๒๔๙๙) (การทำใหรูแจงตามวิธีธรรมชาติ)
ครั้งที่ ๗ : สมาธิและวิปสสนาตามหลักวิชาในรูปเทคนิค (การทำใหรูแจงตามหลักวิชา) (๑๔ พ.ค. ๒๔๙๙) ครั้งที่ ๘ : อริยบุคคลกับการละกิเลส (ลำดับแหงความหลุดพนจากโลก) (๑๗ พ.ค. ๒๔๙๙) ครั้งที่ ๙ : พุทธศาสนากับคนทั่วไป (พุทธศาสนาสอนศิลปะการเปนคน) (๑๗ พ.ค. ๒๔๙๙) ครั้งที่ ๑๐ : ตุลาการตามอุดมคติแหงพระพุทธศาสนา (ภาคสรุปความ) (๒๒ พ.ค. ๒๔๙๙) ดวยทาง สำนักพิมพเลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน ไดเล็งเห็น คุณคาและประโยชนสุขที่ผูอานจะพึงไดรับ จึงไดนำธรรมบรรยายชุด “คูมือมนุษย” ทั้ง ๑๐ หัวเรื่องมาจัดพิมพใหม โดยจัดแยกเปน ๑๐ เลม ตามหัวขอ เนนใหเปนฉบับที่อานงาย เขาใจงาย เพื่อความสะดวกในการ ศึกษาแกผูอาน โดยไดเพิ่มภาพประกอบพรอมคำการตูน ชูคำเดน เนน ขอความ ตั้งหัวขอใหญ หัวขอยอย แบงวรรคตอน ซอยยอหนาใหม ใสสีสัน เสริมธรรมใหผูอานอานไดเขาใจงายยิ่งขึ้น เมื่ออานไปทีละเลม ทีละหัวเรื่องแลว จะทำใหเราเขาใจหลักธรรมคำสั่งสอนและหลักปฏิบัติ ที่ถูกตองทางพุทธศาสนาเพิ่มมากขึ้น หนังสือ “คูมือมนุษย ฉบับอานงาย เขาใจงาย เรื่อง เบญจขันธ (คนเราติดอะไร)” เลมนี้ จัดเปนธรรมบรรยายลำดับที่ ๕ มีเนื้อหาสาระ สำคัญที่มุงเนนใหผูอานไดเห็นชัดวา เพราะอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ในเบญจขันธ หรือขันธ ๕ นี้เอง เปนเหตุใหเกิดทุกข หากมองเห็นความ วางของสิ่งทั้งปวงแลวทำการเพิกถอนความยึดถือดวยหลัก “ไตรสิกขา” ศีล สมาธิ ปญญา จะไมตกเปนทาสของเบญจขันธและไมมีความทุกข อีกตอไป
ดังคำกลาวของทานพุทธทาสภิกขุที่วา...
“ÊÔ觷Ñ駻ǧã¹âÅ¡ ËÃ×ÍâÅ¡·Ñé§ËÁ´ ÊÃØ»ÃÇÁÍÂً㹤ÓÇ‹Ò ‘àºÞ¨¢Ñ¹¸ ’ ¤×Í ÃÙ» àÇ·¹Ò ÊÑÞÞÒ Êѧ¢Òà ÇÔÞÞÒ³ ᵋÅÐʋǹ໚¹ÁÒÂÒ äÃŒµÑǵ¹ ᵋ¡çÁÕàËÂ×èÍÅ‹ÍãËŒà¡Ô´Íػҷҹ¡ÒÃÂÖ´¶×Í ¨¹à»š¹·ÕèµÑ駢ͧ¤ÇÒÁÍÂÒ¡ä´Œ ÍÂÒ¡ÁÕ ÍÂҡ໚¹ ÍÂÒ¡äÁ‹ãËŒÁÕ äÁ‹ãˌ໚¹ «Öè§ÅŒÇ¹áµ‹¨Ð·ÓãËŒà¡Ô´·Ø¡¢ äÁ‹Í‹ҧ໠´à¼Â ¡çÍ‹ҧàÃŒ¹ÅѺ” ดังนั้นจึงหวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือเลมนี้จะเปนคูมือชวยชี้ทาง ใหเราทุกคนไดพบเจอแสงสวางแหงชีวิต เพื่อมุงสูเสนทางแหงการดับทุกข อยางสิ้นเชิง สมกับที่ไดเกิดมาเปนมนุษยในที่สุด ขออนุโมทนา สำนักพิมพเลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน
โปรดใชเลมนี้ใหคุมสุดคุม & อานแลว -> แบงกันอานหลายทานนะจะ
อานสิบรอบ ระดมสมองคิดสิบหน ฝกฝนปญญา พัฒนาการประยุกตใชในชีวิตประจำวัน จิตมีสติสัมปชัญญะ รูเทาทันสรรพสิ่ง ฉลาดใช เฉลียวคิด ชีวิตจักสนุก สุข สงบ เย็น เฉกเชนพระนิพพาน สำนักพิมพเลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน ปรารถนาใหทุกครอบครัวมีความสุข
¡ÃÒº¹ÁÑÊ¡ÒÃáÅСÃÒºÊÇÑÊ´Õ ¼ÙŒÁÕºØÞ·Ø¡·‹Ò¹ “มนุษยจำตองมี ‘คูมือมนุษย’ ดวยหรือ ??” หลายๆ ทานอาจจะเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ เมื่อไดเห็นหนังสือ ชื่อแปลกๆ เลมนี้นะครับ “เอะ !! แลว มนุษย คืออะไร ??” “แลวเราเปน มนุษย หรือเปลา ??” “เราไมใช มนุษย หรือ ??” “คนคือมนุษย ?? มนุษยก็คือคนนี่ ??” หากคุณเขาใจงายๆ แบบนี้แลวละก็... “หนังสือคูมือมนุษย” ของทานพุทธทาสภิกขุ ฉบับอานงาย เขาใจงาย โดย สำนักพิมพเลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน ที่คุณถืออยูในมือเลมนี้จะทำใหคุณไดรับความกระจางชัดมากขึ้น เรื่อยๆ จนคุณตองอุทานออกมาวา... “เราตองกลับไปเปน มนุษย ใหได !!” ในที่สุด
ÊÒúÑÞ พุทธศาสนาสอนใหดู “โลก” ตามเปนจริง เพื่อละทิ้งอุปาทาน
ø
มนุษยมีสวนประกอบครบ ๕ ขันธ
òö
ñö
เพราะหลงยึดในขันธ ๕ จึงเกิดทุกข ทุกขดับเพราะรูแจงขันธ ๕
ถารูแจงตามเปนจริง อุปาทานก็สลาย ตัณหาก็ไมเกิด ทุกขก็ดับ
ô÷
เพิกถอนความยึดมั่นโดยสมมติ โดยบัญญัติ โดยปรมัตถได ใจก็ไมเปนทาสกิเลส สิ้นทุกข
ôù
öñ
แวะเลาชาดก : “ความลับ” ไมมีในโลก ธรรมะสวัสดี : ปาก ๓ ประเภท
รูทันทุกข แลวไมทุกข
÷ù
÷ó
ñ. ¾Ø·¸ÈÒʹÒÊ͹ãËŒ´Ù “âÅ¡” µÒÁ໚¹¨ÃÔ§ à¾×èÍÅзÔé§Íػҷҹ ¾Ø·¸ÈÒʹÒÊ͹ãËŒ´ÙâÅ¡ Í‹ҧääÃѺËÅǧ»Ù†
¾Ø·¸ÈÒʹÒÊ͹ãËŒ´ÙâÅ¡ µÒÁ¤ÇÒÁ໚¹¨ÃÔ§ à¾×èÍÅзÔé§Íػҷҹ
ทานที่จะเปนผูพิพากษาทั้งหลาย อาตมาไดบรรยายหลักของ พระพุทธศาสนามาโดยลำดับ นับตั้งแตวา
“¾Ø·¸ÈÒʹҔ ¤×Í ÇÔªÒËÃ×ÍËÅÑ¡»¯ÔºÑµãÔ ËŒÃٌNjÒÍÐäÃ໚¹ÍÐäÃò áÅзÕèÇ‹ÒÍÐäÃ໚¹ÍÐäùÑé¹ ¡ç¤×Í Êѧ¢Ò÷ءÊÔ觷ءÍ‹ҧäÁ‹à·Õè§ ໚¹·Ø¡¢ ໚¹Í¹ÑµµÒó äÁ‹Ç‹ÒÍÐä÷Ñé§ËÁ´ ๑
บรรยายอบรมผูที่จะเปนผูพิพากษา ณ หองบรรยายของเนติบัณฑิตยสภา ๙ พ.ค. ๒๔๙๙ ขณะนั้นทานพุทธทาสภิกขุดำรงสมณศักดิ์ที่ พระอริยนันทมุนี ๒ ติดตามอานหัวขอนี้ไดใน คูมือมนุษย ฉบับอานงาย เขาใจงาย เลม ๑ : ใจความสำคัญของพุทธศาสนา (พุทธศาสนามุงชี้อะไรเปนอะไร) โดย สำนักพิมพเลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน ๓ ติดตามอานหัวขอนี้ไดใน คูมือมนุษย ฉบับอานงาย เขาใจงาย เลม ๒ : ไตรลักษณ (ลักษณะสามัญของสิ่งทั้งปวง) โดย สำนักพิมพเลี่ยงเชียง
8
¤Ù‹Á×ÍÁ¹ØÉ õ ©ºÑºÍ‹Ò¹§‹Ò ࢌÒ㨧‹Ò àÃ×èͧ “àºÞ¨¢Ñ¹¸ ” : ¾Ø·¸·ÒÊÀÔ¡¢Ø
·Ñé§æ ·Õè·Ø¡ÊÔ觷ءÍ‹ҧ໚¹Í¹ÑµµÒ ÊÑµÇ ËÃ×ͤ¹·ÑèÇæ 仡çÂѧËŧÂÖ´¶×ͼ١¾Ñ¹ã¹ÊÔè§àËÅ‹Ò¹Ñé¹ ¹Ñè¹à»š¹à¾ÃÒÐÍÓ¹Ò¨¢Í§ “Íػҷҹ·Ñé§ ô”ñ »˜ÞËÒ¡çà¡Ô´¢Ö鹤×Í ¤ÇÒÁ·Ø¡¢ à¹×èͧÁÒ¨Ò¡Íػҷҹ·ÕèࢌÒä»ÂÖ´¶×Íã¹ÊÔ觷Ñ駻ǧ àÃÒ¨Ö§µŒÍ§ÁÕÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔà¾×èͨеѴÍػҷҹ «Öè§à»š¹à¤Ã×èͧ¼Ù¡Å‹ÒÁÊÑµÇ ãËŒµÔ´¡Ñº¤ÇÒÁ·Ø¡¢ ÍغÒÂÇÔ¸Õ¹Ñ鹡ç䴌ᡋ ÊÔ觷ÕèàÃÕÂ¡Ç‹Ò “äµÃÊÔ¡¢Ò”ò «Öè§ÁÕÍÂÙ‹ ó ªÑé¹ ä´Œá¡‹ ÈÕÅ ÊÁÒ¸Ô »˜ÞÞÒ “ศีล” เปนเครื่องปรับปรุงในเบื้องตนใหมีความเปนอยูที่ผาสุก และเหมาะที่จะมีจิตเปนสมาธิ จิตเปน “สมาธิ” หมายถึง มีกำลัง มีสมรรถภาพเพียงพอในการที่จะทำงานทางจิต ซึ่งไดแก “ปญญา” ทำการรูแจงแทงตลอดในสิ่งที่จะตองรูแจงโดยเฉพาะ คือ ความทุกขหรือ สิ่งที่ผูกพันมนุษยใหติดอยูกับความทุกข อันไดแก อุปาทาน ๑
ติดตามอานหัวขอนี้ไดใน คูมือมนุษย ฉบับอานงาย เขาใจงาย เลม ๓ : อุปาทาน ๔ (อำนาจของความยึดติด) โดย สำนักพิมพเลี่ยงเชียง ๒ ติดตามอานหัวขอนี้ไดใน คูมือมนุษย ฉบับอานงาย เขาใจงาย เลม ๔ : ไตรสิกขา (ขั้นของการปฏิบัติศาสนา) โดย สำนักพิมพเลี่ยงเชียง Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
9
“âÅ¡” ¤×Í ÊÔ觷Õè¨ÔµÂÖ´ÁÑè¹ÁÒ¡·ÕèÊØ´ แตวายังมีเรื่องที่เราจะตองเขาใจอยางมีความสำคัญเทากันอีก เรื่องหนึ่ง คือวา อะไรเลาที่เปนที่ตั้งที่ยึดถือ หรือที่เกาะเกี่ยวของจิตดวย อำนาจของอุปาทานนั้น ? เพราะฉะนั้น เราจะตองรูเรื่องนั้นหรือรูเรื่องราว ตางๆ ของสิ่งนั้น สำหรับเรื่องของสิ่งซึ่งเปนที่ตั้งของอุปาทานนั้น ถาจะชี้กันงายๆ ตรงๆ ก็คือสิ่งที่เราเรียกกันวา โลก นี่เอง คำวา “โลกๆ” นี้ ในทางธรรม มีความหมายอีกอยางหนึ่ง ซึ่งกวางกวาความหมายตามธรรมดา
àÁ×èÍ¾Ù´Ç‹Ò “âÅ¡” ·Ò§¸ÃÃÁÐ ËÁÒ¶֧ÊÔ觷Ñ駻ǧ·Ñé§ËÁ´·Ñé§ÊÔ鹡ѹ·Õà´ÕÂÇ äÁ‹Ç‹Ò¨Ðà¡ÕèÂǡѺâÅ¡Á¹ØÉ ¹Õé ËÃ×ÍâÅ¡Í×è¹ àª‹¹ à·ÇâÅ¡ ¾ÃËÁâÅ¡ ËÃ×ÍâÅ¡·ÕèàÅÇ·ÃÒÁ ઋ¹ âÅ¡ÊÑµÇ à´ÃѨ©Ò¹ âÅ¡¹Ã¡ âÅ¡»‚ÈÒ¨ à»Ãµ ÍÊØáÒ ÍÐäáçÊش᷌ᵋ¨ÐÁÕ ÃÇÁáŌǡçàÃÕÂ¡Ç‹Ò “âÅ¡” âš໚¹·ÕèµÑ駢ͧÍػҷҹ¹Õèàͧ ࢌÒ㨤ÓÇ‹ÒËŧâÅ¡áÅŒÇ
㪋áÅŒÇ ¤ÓÇ‹ÒâÅ¡ ã¹·Ò§¸ÃÃÁÂѧËÁÒ¶֧ ÊÔ觷Ñé§ËÅÒ·Ñ駻ǧ´ŒÇ¹Ð
“âÅ¡” ໚¹ÊÔ觷ÕèࢌÒã¨ÂÒ¡ â´ÂÁÒ¡ÃÙŒà¾Õ§¼ÔÇà¼Ô¹ แตการรูจัก โลก นี้ มีความยากลำบากอยูอยางตรงที่วา มันมี ความลึกลับเปนชั้นๆ ที่เรารูจักกันโดยมากนั้น มักจะรูจักกันแตชั้นนอกๆ หรือที่เรียกวา “ชั้นสมมติ” เราไมอาจจะรูจักใหลึกไปกวาชั้นสมมติ นี้หมายถึง ตามลำพังสติปญญาของคนทั่วๆ ไป หรือตามที่ปรกติวิสัย ของคนทั่วไปจะรูได โดยเหตุนี้ ในทางพุทธศาสนาจึงมีการสอนใหดูโลก กันหลายๆ ชั้น ¾Ø·¸ÈÒʹÒÊ͹ãËŒ à¨ÃÔÞÊµÔ à¨ÃÔÞ»˜ÞÞÒ à¾×èÍãËŒàËç¹âÅ¡ µÒÁ¤ÇÒÁ໚¹¨ÃÔ§
คำวา “ปญญา” ในทางธรรมกับทางโลกก็มีความหมายที่ตางกัน ปญญาในทางธรรม คือ การรูแจงตามความเปนจริงในสิ่งทั้งปวงเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ “ไตรลักษณ” สามารถทำใหพนทุกขหรือคลายความ ยึดมั่นถือมั่นใหเบาบางลงได เพราะความรูแจงในสรรพสิ่งตามความเปนจริง สวน ปญญาในทางโลกนั้น หมายเอาเพียงแควิชาความรูในทางโลก ปริญญาบัตร สถาบัน การศึกษา ฯลฯ แลวนำสิ่งเหลานี้มายึดมั่นถือมั่น อวดเบงกัน จนเปนทุกข และ ไมสามารถเอาตัวรอดจากความทุกขได เหมือนกับสุภาษิตที่กลาววา “ความรูทวมหัว เอาตัวไมรอด” ดังที่จะเห็นไดตามขาวหนาหนึ่งทั่วไป เชน นายแพทยกอคดีฆาตกรรม คุณครูกอคดีฉอโกงหรือทุจริต นักศึกษาปริญญาตรี โท เอก เครียดเรื่องเรียน จนฆาตัวตาย หรือคายาบา ติดหนี้การพนัน ขายตัวแลกเงินซื้อของแบรนดเนม ฯลฯ Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
11
“âÅ¡” ¨Óṡ໚¹ ò ¤×Í âÅ¡·Õè໚¹Çѵ¶Ø áÅÐ âÅ¡·Õè໚¹¹ÒÁ ¢Ñ¹¸ õ ¤×Í Ã‹Ò§¡Ò áÅÐ㨠¾Ø·¸ÈÒÊ¹Ò µŒÍ§ÈÖ¡ÉÒáÅл¯ÔºÑµÔ ·Õè¡ÒÂáÅÐ㨹Ð
ÊÒ¸Ø ¾Ç¡àÃҨеÑé§ã¨ÈÖ¡ÉÒáÅÐ »¯ÔºÑµÔ¸ÃÃÁà¾×èͤÇÒÁ¾Œ¹·Ø¡¢ ¤ÃѺ
ÊÒ¸Ø ¢Íº¤Ø³¤‹Ð ËÅǧ»Ù†
·‹Ò¹á¹ÐÇÔ¸ÕãËŒ´Ù ´ŒÇ¡ÒèÓṡâÅ¡Í͡໚¹ ò ½†Ò ¤×Í·Õè໚¹½†ÒÂÇѵ¶Ø àÃÕÂ¡Ç‹Ò ÃÙ»* Í‹ҧ˹Öè§ ½†Ò·ÕèäÁ‹ãª‹Çѵ¶Ø 䴌ᡋ ½†Ò·Õè໚¹¨Ôµã¨ àÃÕÂ¡Ç‹Ò ¹ÒÁ¸ÃÃÁ ÍÕ¡Í‹ҧ˹Öè§ ถาเราฟงคนโบราณพูด หรืออานขอความในหนังสือโบราณๆ เราจะไดยินคำวา “รูปธรรม นามธรรม” นี้บอยๆ นั่นแหละ ขอใหเขาใจวา การใชคำวา รูปธรรม นามธรรม นั้น ก็คือการที่ทานแบงโลกออกเปน ๒ ฝาย หรือแบงสิ่งทั้งหมดที่มีอยูใน โลกออกเปน ๒ ประเภท คือ... * รูป (รูปธรรม) = รางกาย, คูกับ นาม (นามธรรม) = ความคิด, จิตใจ
12 ¤Ù‹Á×ÍÁ¹ØÉ õ ©ºÑºÍ‹Ò¹§‹Ò ࢌÒ㨧‹Ò àÃ×èͧ “àºÞ¨¢Ñ¹¸ ” : ¾Ø·¸·ÒÊÀÔ¡¢Ø
ประเภทที่เปน รูปธรรม ไดแก วัตถุ หรือสวนที่ไมใชจิตใจ
สวนอีกพวกหนึ่งเปนสวนที่เปนจิตใจ หรือรูสึกไดแกทางใจ ทานรวมเรียกวา นามธรรม แตเพื่อใหละเอียดยิ่งไปกวานั้นอีก ทานไดแบงสวนที่เปนนามธรรม หรือจิตใจนี้ออกเปน ๔ สวน เรียกวา...
àÇ·¹Ò ÊÑÞÞÒ Êѧ¢Òà áÅÐ ÇÔÞÞÒ³ คำวา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เปนคำที่ใชกันดื่น ในวงพุทธบริษัท เชื่อวาคงไดยินไดฟงกันอยูมากแลว Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
13
Á¹ØÉ ÊÑµÇ ¤×ÍâÅ¡·Õè»ÃСͺÃÙ» ¹ÒÁ ¤Ãº õ เมื่อเอาสวนที่เรียกวา “รูป” อีกหนึ่ง ซึ่งเปนประเภทรูปธรรม มารวมเขากับ ๔ สวนที่เปนนามธรรม หรือเปนจิตใจ ก็ไดเปน ๕ สวน ทานเลยนิยมเรียกวา “สวน ๕ สวน” ถาเรียกเปนภาษาบาลีก็เรียกวา...
“àºÞ¨¢Ñ¹¸ ” ËÃ×Í “¢Ñ¹¸ õ” á»ÅÇ‹Ò Ê‹Ç¹ õ ʋǹ·Õè»ÃСͺ¡Ñ¹¢Öé¹à»š¹âÅ¡ â´Â੾ÒСç¤×Í໚¹ÊÑµÇ à»š¹¤¹àÃÒ¹Õéàͧ Á¹ØÉ Áդú·Ñé§ÃÙ»áÅÐ ¹ÒÁ ÁÕ·Ñé§Ã‹Ò§¡ÒÂáÅÐ ¨Ôµã¨¹Ð¤ÃѺ
ÊÑµÇ ¡çÁÕ·Ñé§Ã‹Ò§¡ÒÂáÅÐ ¨Ôµã¨àËÁ×͹Á¹ØÉ ¹Ð¤ÃѺ àÁµµÒ¡ÃسҡѺÊÑµÇ ÁÒ¡æ à¾ÃÒÐàÃÒ¡çÁÕªÕÇÔµ¨Ôµã¨ àËÁ×͹¡Ñ¹¤ÃѺ
นาม (นามธรรม) คือ จิตใจ แบงเปน ๔ สวน คือ เวทนา (อานวา เว-ทะ-นา) คือ ความรูสึก ไดแก ความรูสึกสุข ทุกข เฉยๆ สัญญา คือ ความจำ สังขาร คือ ความคิด การปรุงแตง วิญญาณ คือ การรับรูทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พระพุทธองคสอนใหคอยระมัดระวังรักษาใจเมื่อเกิดการกระทบ (ใหมีสติ) คอยดูจิตตนเองวากำลังรับรูหรือรูสึกอะไรอยู ถารับรูแลวเกิดการปรุงแตงดีหรือเลว เราจะสามารถวางเฉยตอการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นๆ แลวหยุดสราง กรรมหรือตอกรรมได (โดยเฉพาะกรรมชั่ว) เพราะทุกสิ่งฝนบังคับไมได เปนเรื่อง ธรรมดา เราจะไปปรุงแตงหรือตอกรรมทำไม ดังนี้แลว สติจึงเปรียบเสมือนบอดี้การด ที่คอยระมัดระวังปองกันใจของเรา และทำใหเราใชปญญาพิจารณาตามความเปนจริง จนพนทุกขไดนั่นเอง
14 ¤Ù‹Á×ÍÁ¹ØÉ õ ©ºÑºÍ‹Ò¹§‹Ò ࢌÒ㨧‹Ò àÃ×èͧ “àºÞ¨¢Ñ¹¸ ” : ¾Ø·¸·ÒÊÀÔ¡¢Ø
¤¹¤×͵Œ¹µÍ»˜ÞËҢͧâÅ¡ ÈÖ¡ÉÒ¤¹Í‹ҧà´ÕÂÇ ¡ç¨ÐࢌÒã¨âÅ¡·Ñé§ËÁ´ ¡Ò÷Õè¨Ð´ÙâÅ¡ ¡çËÁÒ¶֧ ¡Ò÷Õè¨Ð´ÙÊÑµÇ âÅ¡ÁÒ¡¡Ç‹ÒÍ‹ҧÍ×è¹ áÅÐâ´Â੾ÒÐÍ‹ҧÂÔ觡ç¤×ͤ¹ à¾ÃÒÐÇ‹Ò»˜ÞËÒ¹Ñé¹ÍÂÙ‹·ÕèàÃ×èͧ¢Í§¤¹ âÅ¡ÁÕ»˜ÞËÒ·Õ赌ͧÃÙŒÁÒ¡ÁÒ »˜ÞËÒÊÓ¤ÑÞÍÂÙ‹µÃ§·Õ褹 การศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับคนนับวาเปนเรื่องที่เพียงพอ ถาพูด ใหละเอียด เราจะไมพูดเปน คน จะพูดเปน สวน ๕ สวน ก็ได เพราะวา สวนประกอบตางๆ ที่ประกอบเปนโลกนี้ จะไมมีอะไรมากไปกวาสวน ๕ สวนนี้ àÃÒ»¯ÔºÑµÔ¸ÃÃÁ ´ŒÇ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¾Ô¨ÒÃ³Ò แลวเผอิญสวน ๕ สวนนี้ Ëҧ¡ÒÂáÅШԵã¨ä´Œ·Ø¡·Õè มีพรอมอยูในคน ·Ø¡àÇÅÒ ·Ø¡ÍÔÃÔÂÒº¶ ¹Ð¤ÃѺ มันประกอบกันเขา เปนคนพรอมกัน อยูในคนหนึ่งๆ แลว
การศึกษาคนเพียงคนเดียว มีความหมายเทากับการศึกษาโลก ทั้งหมดเพราะปญหาสำคัญนั้นอยูตรงที่คน ความทุกขที่เกิดขึ้นนั้น เกิดที่ ใจคนเปนหลัก เมื่อศึกษาคนเพียงคนเดียวคือ “ตัวเอง” แลว เราจะรูจักคนทุกคนและ โลกทั้งหมด เพราะทุกคนลวนมีสวนประกอบที่เหมือนกันคือ ขันธ ๕ (กายและใจ) ดังนี้แลว พระพุทธเจาจึงทรงใหเราศึกษาธรรมะในกายในใจของตัวเราเอง ศึกษา กระบวนการและองคประกอบที่ทำใหเกิดความทุกขในกายใจ คนเราศึกษาอะไรกัน ก็มากแลว แตเราไมเคยเขามาศึกษากายและใจของตนเองเลย Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
15
ò. Á¹ØÉ ÁÕʋǹ»ÃСͺ¤Ãº õ ¢Ñ¹¸ ¡ÒÃÈÖ¡ÉҢѹ¸ õ ¢Í§¨ÃÔ§ ãËŒÈÖ¡ÉÒ㹡ÒÂáÅÐ㨢ͧµ¹àͧ ¨¹à¡Ô´»˜ÞÞҹРáŌǨÐ䴌ࢌҶ֧ ¸ÃÃÁзÕè¾Ãоط¸à¨ŒÒµÃÑÊÊ͹
ในคนคนหนึ่งๆ นั้น มีการจำแนกเปน ๕ สวน สวนที่เปนรางกาย เปนวัตถุ เรียกวา รูป หรือ รูปขันธ สวนที่เปนรูป
ÊÇÑÊ´Õ¤ÃѺ ¼ÁàÍÅÇÔÊàÁ×ͧä·Â¤ÃѺ ¼ÁÃÙ»ËÅ‹ÍäËÁ¤ÃѺ ? ÍÔÍÔ ËÅǧ»Ù†¡ÓÅѧÊ͹àÃ×èͧÃÙ» ËÃ×ÍËҧ¡ÒÂ㹢ѹ¸ õ ¾Í´ÕàÅ ¹Õè¤×Í Ê‹Ç¹áá¹Ð¤ÃѺ
à´ÕëÂǼÁ¨ÐàÅ‹ÒàÃ×èͧµÍ¹à´ç¡æ ãËŒ¼ÙŒÍ‹Ò¹à¢ŒÒ㨢ѹ¸ õ ʋǹ·ÕèàËÅ×͹ФÃѺ
สวนที่เปนจิตใจอีก ๔ สวนนั้น อาจจำแนกออกไปได คือ... 16 ¤Ù‹Á×ÍÁ¹ØÉ õ ©ºÑºÍ‹Ò¹§‹Ò ࢌÒ㨧‹Ò àÃ×èͧ “àºÞ¨¢Ñ¹¸ ” : ¾Ø·¸·ÒÊÀÔ¡¢Ø
“àÇ·¹Ò” ¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡ÊØ¢ ·Ø¡¢ à©Âæ ‹ÍÁà¡Ô´¡Ñº·Ø¡¤¹·Ø¡¢³Ð äÁ‹Í‹ҧ㴡çÍ‹ҧ˹Öè§ Ê‹Ç¹·Õè ñ àÃÕÂ¡Ç‹Ò “àÇ·¹Ò” ¹Ñé¹ ËÁÒ¶֧ ¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡·Õè໚¹¤ÇÒÁÊØ¢ËÃ×Í໚¹¤ÇÒÁ·Ø¡¢ ËÃ×ÍÃÙŒÊÖ¡·ÕèÂѧäÁ‹ÍÒ¨¨ÐàÃÕ¡NjÒÊØ¢ËÃ×Í·Ø¡¢ ความรูสึกที่คนเราจะรูสึกกันไดโดยทั่วๆ ไป ที่จะทำใหเปนผล หรือที่เปนเหตุใหเกิดผลตางๆ ขึ้นนั้น ยอมมีเพียง ๓ ประการนี้ คือ สุขหรือพอใจอยางหนึ่ง ทุกขหรือไมพอใจอยางหนึ่ง อีกอยางหนึ่งอยูใน ลักษณะที่ไมอาจจะเรียกไดวาสุขหรือทุกข คือเปนเรื่องที่ยังเฉยๆ อยู แตก็เปนความรูสึกเหมือนกัน ความรูสึกทั้งหมดนี้ยอมมีประจำอยูในคนเราเปนปรกติ วันหนึ่งๆ ยอมเต็มไปดวยความรูสึกสุข หรือทุกข หรือไมสุขไมทุกข อยางนี้ทั้งนั้น ทุกคนมีเวทนาอยางใดอยางหนึ่งอยูเปนปรกติ เชนวา เรามานั่งที่นี่ เกิด เมื่อย นี่ก็เรียกวาเปน ทุกขเวทนา µÍ¹à´ç¡æ ¼ÁÁÕ¤ÇÒÁÊØ¢º‹ÍÂæ àÇÅÒä´Œ¢Í§àÅ‹¹
áŌǵ͹à´ç¡æ ¼ÁµÑÇ͌ǹÁÒ¡ á¶ÁÁÕÊÔÇ àÅÂâ´¹à¾×è͹á¡ÅŒ§ º‹ÍÂæ àÈÃŒÒÁÒ¡æ ¤ÃѺ
ËÅÒÂæ ¤ÃÑ駼ÁÃÙŒÊÖ¡à©Âæ ¼Áä´Œ¤Œ¹¾ºÇ‹Ò ·Ñé§ÊØ¢ ·Ø¡¢ à©Âæ ¡çªÑèǤÃÒÇ·Ñé§ËÁ´ ºÑ§¤ÑºãËŒÊØ¢ Í‹ҧà´ÕÂÇäÁ‹ä´Œ
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
17
ÊØ¢ ·Ø¡¢ à©Âæ ¡ç໚¹äµÃÅѡɳ ·Ñ駹Ñé¹ àË繤ÇÒÁ¨ÃÔ§º‹ÍÂæ 㨨ФÅÒ¤ÇÒÁÂÖ´ÁÑè¹ ¶×ÍÁÑè¹ä´Œàͧ
àÇ·¹Ò·Ò§¡Ò ¡çʋǹ¡Ò àÇ·¹Ò·Ò§ã¨ ¡çʋǹ㨠á¡ãˌ䴌 ´ŒÇ»˜ÞÞÒ Í‹ÒÂÖ´ÁÑè¹ ¶×ÍÁÑè¹àÇ·¹Ò·Ñé§ËÁ´
ที่ไมเปนทุกข เชน เราไดรูสึกพอใจ เพราะไดยินไดเห็นบางสิ่ง บางอยางในที่นี้ เรียกวากำลังมีสุขเวทนา หรือความรูสึกที่เปนสุข สวนความรูสึกที่เฉยๆ นั้น เรามีในขณะที่รูหรือสัมผัสสิ่งบางสิ่ง แตอยูในลักษณะที่เรากำลังสงสัยวาอะไรเปนอะไรกันแน แลวก็ตัดสินใจ ไมถูก วาจะชอบหรือจะชัง จะรักหรือจะเกลียด จะพอใจหรือไมพอใจ ยังเปนปญหาอยู อยางนี้เกิดเปนความรูสึกอันใดขึ้นมา เราก็นิยมเรียกวา ๑ อทุกขมสุขเวทนา คือเวทนาที่ยังไมกลาววาเปนสุขหรือเปนทุกขชัดลงไป
àÃҨ֧䴌»ÃÐÁÇÅáË‹§¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡·Ñé§ËÁ´à»š¹ ó ¾Ç¡ ¤×Í ÊØ¢ ·Ø¡¢ ËÃ×ÍäÁ‹ÊØ¢äÁ‹·Ø¡¢ ¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡·Õèà¡Ô´¢Öé¹à»š¹»ÃШÓ㹨Ե㨢ͧ¤¹àÃÒ à»š¹¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡¢Í§ã¨·ÕèÁÕ»ÃШÓã¨ÍÂÙ‹¹Õé ·‹Ò¹¶×ÍÇ‹Ò໚¹Ê‹Ç¹æ ˹Öè§ ·Õè»ÃСͺ¡Ñ¹à»š¹¤¹àÃÒ´ŒÇ¡ѹ áÅÐàÃÕ¡ʋǹ¹ÕéÇ‹Ò “àÇ·¹Ò” ËÃ×Í “àÇ·¹Ò¢Ñ¹¸ ” นับเปนสวนที่ ๑ หรือสวนแรกของฝายจิต แตก็เปนสวนที่ ๒ ของทั้งหมด ๑
อทุกขมสุขเวทนา อานวา อะ-ทุ-กะ-ขะ-มะ-สุ-ขะ-เว-ทะ-นา
18 ¤Ù‹Á×ÍÁ¹ØÉ õ ©ºÑºÍ‹Ò¹§‹Ò ࢌÒ㨧‹Ò àÃ×èͧ “àºÞ¨¢Ñ¹¸ ” : ¾Ø·¸·ÒÊÀÔ¡¢Ø
“ÊÑÞÞÒ” ¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡µÑÇ ¡Ó˹´ÊÔ觵‹Ò§æ 䴌NjÒÍÐäÃ໚¹ÍÐäà สวนที่ ๒ ถัดไป เรียกวา “สัญญา” คำวา สัญญา นี้ ตามตัว หนังสือแปลวา รูพรอม เปนความรูสึกเหมือนกัน แตไมใชรูสึกอยางที่ กลาวมาแลวขางตน รูสึกอยางที่กลาวมาแลวขางตนนั้น รูไปในทางที่วา เปนสุข หรือเปนทุกข หรือไมสุขไมทุกข
ʋǹ “ÊÑÞÞÒ” ¹Õé ໚¹¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡µÑÇÍÂÙ‹ àËÁ×͹ÍÂ‹Ò§Ç‹Ò àÃÒ¡ÓÅѧÃÙŒÊÖ¡µ×è¹ÍÂÙ‹ ¤×ÍäÁ‹ËÅѺ äÁ‹Êź äÁ‹µÒ ËÃ×ÍàÃÕÂ¡Ç‹Ò ÁÕÊÁ»Ä´Õ ÁÕʵÔÊÁ»Ä´Õ เราจะรูจักตัวสติสมปฤดีหรือสัญญานี้ได โดยเปรียบเทียบดูวา ขณะที่เราไมหลับ ไมสลบ ไมตาย หรือไมเมาจนเสียสติ อยางนี้เปนตน สัญญาในที่นี้ยังมี คือ ยังกำหนดสิ่งตางๆ ไดวาอะไรเปนอะไร อยางเรา ทุกคนที่นั่งอยูที่นี่เดี๋ยวนี้ไมเมา Çѹ˹Öè§ ¼Á仵ÅÒ´«×éͧ͢ãËŒáÁ‹ ไมสลบ ไมหลับ ไมตาย ¼Á¨Ó䴌NjҵŒÍ§«×éÍà¹×éÍ ¹Á 䢋 ก็กำหนดไดวาอะไรเปนอะไร ความมีสมปฤดี หรือ ความมีสัญญาอยู ทำใหเราไมเมา ไมสลบ ไมหลับ ไมตาย âÍठà¹×éÍ ¹Á 䢋 ¨Óä´Œ¤Ãº¶ŒÇ¹ äÁ‹ËŧÅ×Á Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
19
ขอใหพยายามคำนึงถึงตัวจริงของมันดีกวาที่จะไปกำหนดเอาแต ตัวหนังสือหรือเสียงที่เรียกวา สัญญา คำวา สัญญา ที่แท หมายถึงสิ่งที่ กลาวมาแลว แตโดยมากทั่วๆ ไป ทานมักจะชอบพูดอธิบายกันวาเปน ความจำหรือความจำไดหมายรู นั้นก็ถูกเหมือนกัน ไมใชวาไมถูกที่จะแปล สัญญาวาความจำไดหมายรู เพราะวาถาเรายังจำไดหมายรูอยู ก็คือเรา ยังไมเมา ไมสลบ ไมหลับ ไมตาย ดังที่กลาวมาแลว
¤ÇÒÁ·ÕèàÁ×èÍ¡ÃзºÍÐä÷ҧµÒ ·Ò§ËÙ ·Ò§¨ÁÙ¡ ·Ò§ÅÔé¹ ·Ò§¡Ò ¡çÃÙŒÊÖ¡ËÃ×ͨÓ䴌NjÒ໚¹ÍÐäà ઋ¹ ÃٌNjҢÒÇ Ç‹Òà¢ÕÂÇ Ç‹Òá´§ Ç‹ÒÊÑé¹ Ç‹ÒÂÒÇ Ç‹ÒÊÙ§ Ç‹ÒµèÓ Ç‹Ò¤¹ Ç‹ÒÊÑµÇ µÒÁᵋ¨Ð¨Óä´Œ ¹Ñè¹áËÅР໚¹¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡¢Í§ÊÁ»Ä´ÕËÃ×ÍÊÑÞÞÒã¹·Õè¹Õé ความรูสึกสวนที่ทำใหเรายังคงเปนอยางนี้อยูนั่นแหละ เรียกวา สัญญา จัดเปนสวนประกอบสวนที่ ๒ ของพวกที่เรียกวานามธรรม หรือ จิต ¡ÃÕê´ ! ¹Ñè¹¾ÕèÍÑéÁ ¾ÑªÃÒÀó ·ÕèàÃҪͺ¹Õè ©Ñ¹¨Ó併çÃÙ¨ÁÙ¡ºÒ¹æ ä´Œ‹
20 ¤Ù‹Á×ÍÁ¹ØÉ õ ©ºÑºÍ‹Ò¹§‹Ò ࢌÒ㨧‹Ò àÃ×èͧ “àºÞ¨¢Ñ¹¸ ” : ¾Ø·¸·ÒÊÀÔ¡¢Ø
“Êѧ¢ÒÔ ÁÕËÅÒ¤ÇÒÁËÁÒ ᵋ㹢ѹ¸ õ ËÁÒ¶֧ µÑǤÇÒÁ¤Ô´
ÍÂÒ¡¶‹ÒÂÃÙ»¤Ù‹¨Ñ§
ä´ŒÊÔ¨ Ð
¾ÕèÍÑéÁ¤ÃѺ ¼Á¢Í¶‹ÒÂÃÙ»¤Ù‹¡Ñº¾Õè ä´ŒäËÁ¤ÃѺ ?
สวนที่ถัดไป สวนที่ ๓ เรียกวา “สังขาร” คำวาสังขารนี้ มีความ หมายมากที่สุด จนมันปนเปกันยุงไปหมด คำวา สังขารๆ นั้น มีอยูหลาย คำดวยกัน ฉะนั้นอยาเพอไปพูดไปนึกกันถึงคำวาสังขารในพวกอื่น หรือ หมูอื่น เราพูดสังขารในที่นี้กันกอน
“Êѧ¢ÒÔ ã¹Ê‹Ç¹·Õè໚¹Ê‹Ç¹»ÃСͺʋǹ˹Öè§ ¢Í§¾Ç¡¹ÒÁ¸ÃÃÁ ã¹·Õè¹Õé 䴌ᡋ µÑǤÇÒÁ¤Ô´ คำวา สังขารๆ นี้แปลวา ปรุง คำวา ปรุง ทานทั้งหลายคงจะ เขาใจไดวา มันตองหลายๆ อยางมารวมกันเขาดวยกัน แลวเกิดเปนผล อันใดอันหนึ่งขึ้น จึงเรียกวาปรุง คำวาสังขารนี้ ตัวหนังสือแปลวา ปรุง แตกิริยาอาการของมันที่เปนอยูหรือเปนไปในคนคนหนึ่งนั้น ไดแก การคิดหรือความคิด Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
21
¤Ô´¶Ö§¸ÃÃÁÐ ¤Ô´¶Ö§¤Å×è¹ä·¸ÃÃÁ FM 95.25 MHz. ¹Ð¤Ð ãËŒ¤Ô´´Õ »Ãا´Õ ´Õ¡Ç‹Ò¤Ô´ªÑèÇ »ÃاªÑèÇ ¹Ð¤ÃѺ ÊÒ¸Ø à´ÕëÂÇ¢Í ÅÒÂà«ç¹´ŒÇ ´Õ¡Ç‹Ò
¤ÇÒÁÃÙŒÊ֡ʋǹ·Õè໚¹¤ÇÒÁ¤Ô´ ઋ¹ ¤Ô´¨Ð·Ó¹Ñè¹ ¤Ô´¨Ð¾Ù´¹Õè ¤Ô´Í‹ҧ¹Ñé¹Í‹ҧ¹Õ«é Ö觨Ѵẋ§à»š¹¤Ô´´Õ ¤Ô´àÅÇ ¤Ô´ªÑèÇÌҠ¤Ô´ã¹·Ò§ä˹¡çµÒÁ àËÅ‹Ò¹Õé¨Ñ´à»š¹¤ÇÒÁ¤Ô´·Ñ駹Ñé¹ ¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡·Õè໚¹¤ÇÒÁ¤Ô´¾ÅØ‹§¢Öé¹ÁÒ¨Ò¡¡ÒûÃاã¹ÀÒÂã¹¹Õé àÃÒàÃÕÂ¡Ç‹Ò Êѧ¢Òà ¨Ó¡Ñ´¤ÇÒÁŧä»Ç‹Ò໚¹¤ÇÒÁ¤Ô´ คำวาสังขารในที่อื่นนั้น หมายถึง บุญกุศลที่ปรุงแตงคนใหเกิด ก็มี ในที่อื่นอีก หมายถึง รางกาย หรือโครงรางโครงสรางสิ่งทั้งปวง ที่มี จิตใจครอง ไมมีจิตใจครอง ดังนี้ก็มี คำวาสังขารนี้มีความหมายหลายๆ ชนิด หลายทาง แตวามันตรงกันทั้งนั้น โดยเหตุที่มันมีความหมายทาง ตัวหนังสือที่แปลวาปรุงนั่นเอง อะไรที่มีการปรุงก็เรียกวามีสังขารได แตใน องคประกอบของการประกอบ ๕ สวน ที่ประกอบกันเปนคนนี้ หมายถึง ความคิด นี่จัดเปนสวนที่ ๓ ของนามธรรม ถานับรวมทั้งหมดก็เปนสวนที่ ๔ เพราะนับมาตั้งแตรูป 22 ¤Ù‹Á×ÍÁ¹ØÉ õ ©ºÑºÍ‹Ò¹§‹Ò ࢌÒ㨧‹Ò àÃ×èͧ “àºÞ¨¢Ñ¹¸ ” : ¾Ø·¸·ÒÊÀÔ¡¢Ø
“ÇÔÞÞÒ³” ¤×Í ¨Ôµ·Õè·Ó˹ŒÒ·ÕèÃѺÃÙŒÍÒÃÁ³ ·Ò§µÒ ËÙ ¨ÁÙ¡ ÅÔé¹ ¡Ò 㨠ทีนี้ สวนที่ ๔ ซึ่งเปนสวนสุดทายของฝายนามธรรม เรียกวา “วิญญาณ”
“ÇÔÞÞÒ³” ã¹·Õè¹ËÕé ÁÒ¶֧ µÑǨԵ·Õè·Ó˹ŒÒ·ÕèÃÙŒÊÖ¡ ·ÕèµÒ ·ÕèËÙ ·Õè¨ÁÙ¡ ·ÕèÅÔé¹ ·Õè¡Ò·ÑèÇæ ä» áÅеÅÍ´¶Ö§·ÕèÁâ¹·ÇÒà ¤×Í ·Õè㨠àͧ´ŒÇ ศัพทวา วิญญาณ นี้ แปลวา รูแจง ก็จริง แตในที่นี้หมายถึง เทาที่รูตามธรรมชาติ ไมไดหมายความวารูถูกตองก็หามิได เพียงแตรู ชนิดที่เมื่อมีอะไรมากระทบทางตาก็มารับอารมณทางตาจนรูสึกวามันเปน รูปนั้นรูปนี้ เมื่ออะไรกระทบทางหูจะรูสึกวาเปนเสียงนั้นเสียงนี้ขึ้นมา ถากระทบทางจมูกก็รูสึกวาเปนกลิ่นขึ้นมา ดังนี้เปนตน จิตที่ทำหนาที่รู อารมณทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ตลอดจนถึงทางใจ นี้เอง เรียกวา วิญญาณ àËç¹¾ÕèÍÑéÁ ä´ŒÂÔ¹àÊÕ§¾ÕèÍÑéÁ áÅŒÇã¨ÁÕ¤ÇÒÁÊØ¢¨ÃÔ§æ ÍÔÍÔ ¢Íº¤Ø³¤ÃѺ¾ÕèÍÑéÁ
´ŒÇ¤ÇÒÁÂÔ¹´Õ¨ŒÒ
¤ÓÇ‹Ò “âÅ¡” äÁ‹ÁÕÍÐäÃÁÒ¡¡Ç‹Ò¢Ñ¹¸ õ ในที่สุดเราก็ไดสวนประกอบทางจิตเปน ๔ สวน คือ...
àÇ·¹Ò ¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡ÊØ¢·Ø¡¢ ÊÑÞÞÒ ¤×ÍÊÁ»Ä´Õ·Õè·ÓãËŒÂѧ¤§ÃÙŒÊÖ¡µÑÇËÃ×ͨÓÍÐäÃä´Œ Êѧ¢Òà ¤×ͤÇÒÁ¤Ô´ ÇÔÞÞÒ³ ¤×ͤÇÒÁÃٌᨌ§ ô ʋǹ¹ÕéàÃÕÂ¡Ç‹Ò ¹ÒÁ¸ÃÃÁ ¤Ù‹¡Ñ¹¡ÑºÃ‹Ò§¡ÒÂÅŒÇ¹æ ·ÕèàÃÕÂ¡Ç‹Ò ÃÙ»¸ÃÃÁ จึงเปนอันวาถาจำแนกละเอียดออกไปก็เปน ๕ ถาจำแนกยอๆ ก็เปน ๒ ที่เปนนามธรรมมี ๔ รวมกันกับรูปธรรม ๑ จึงจะเปน ๕ “เบญจขันธ” หรือ “ขันธ ๕” รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ขอใหจำไวเปนพิเศษวา คำวา “โลก” ในพระพุทธศาสนา ทานจำแนกกันอยางนี้ เพราะวาไมมีอะไรมากไปกวานี้ ในการที่จะ เปนโลก หรือเปนที่ตั้งของความทุกขก็ตาม ในสวนของรูป (รูปธรรม หรือ รางกาย วัตถุ) เชน รางกายของมนุษย ประกอบขึ้นจากธาตุ ๔ ที่มารวมตัวกัน คือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หากขาดธาตุใด ธาตุหนึ่งแลว รางกายจะทนอยูไมได เชน หากขาดธาตุลมก็จะไมมีลมหายใจ หากขาดธาตุไฟก็จะไมมีการยอยสลายอาหาร หากขาดธาตุน้ำก็จะไมมีเลือดและน้ำหลอเลี้ยง รางกาย หากขาดธาตุดินก็จะไมมีโครงกระดูกและเนื้อหนังที่คงรูปรางของรางกายเอาไวได พระพุทธเจาจึงตรัสสอนใหเราหมั่นพิจารณากายเปนไตรลักษณ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อ กำจัดความยึดมั่นถือมั่นในรางกาย เพราะรางกายมันไมใชเรา ไมใชของเรา ฝนบังคับให ไมแก ไมเจ็บ ไมตายไมได และมีความเสื่อมสลายไปในที่สุด
24 ¤Ù‹Á×ÍÁ¹ØÉ õ ©ºÑºÍ‹Ò¹§‹Ò ࢌÒ㨧‹Ò àÃ×èͧ “àºÞ¨¢Ñ¹¸ ” : ¾Ø·¸·ÒÊÀÔ¡¢Ø
Ãٌᨌ§¢Ñ¹¸ õ ¨Ö§Ãٌᨌ§·Ø¡¢ à˵Øà¡Ô´·Ø¡¢ áÅÐÇԸմѺ·Ø¡¢ เราอยาไปดูหมิ่นในคำที่เราไมเขาใจ เชน คำวา ขันธหา เปนตน แลวจะไมสนใจเสียเลย การทำเชนนี้มันจะทำใหเราไมอาจจะเขาใจ พุทธศาสนาได ถาเรายังมีความประสงคจะเขาใจพระพุทธศาสนา ขอให สนใจคำเหลานี้ไวกอน อยาเห็นเปนคำนอกเรื่องนอกราว หรือเปนคำที่ มีไวสำหรับพระ หรือคนแกคนเฒาพนสมัย เพราะวา...
µ‹ÍàÁ×èÍä»ÈÖ¡ÉÒÊÔè§àËÅ‹Ò¹ÕéãˌࢌÒ㨪Ѵਹ Ç‹ÒÍÐäÃ໚¹ÍÐäÃáÅŒÇà·‹Ò¹Ñé¹ àÃÒ¨Ö§¨ÐࢌÒ㨵ÑǤÇÒÁ·Ø¡¢ à˵ØãËŒà¡Ô´·Ø¡¢ áÅÐÇԸըдѺ·Ø¡¢ àÊÕÂä´Œ «Öè§à»š¹µÑǾط¸ÈÒʹҨÃÔ§æ เพราะฉะนั้น เราจึงตองสนใจในสิ่งที่เรียกวา รูปธรรม นามธรรมนี้ หรือขันธหานี้ใหมากตามสมควร ¤ÇÒÁ·Ø¡¢ àÃÒµŒÍ§¡Ó˹´ÃÙŒ à˵ØáË‹§·Ø¡¢ àÃÒµŒÍ§ÅÐ
¶ŒÒࢌҶ֧·Ø¡¢ áŌǨÐࢌҶ֧¸ÃÃÁ ¸ÃÃÁÐÍÂÙ‹·Õè¡ÒÂáÅÐ㨠ËÃ×͢ѹ¸ õ ¢Í§àÃÒ·Ø¡¤¹¹Ð¤ÃѺ
ÊÒ¸Ø
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
25
ó. à¾ÃÒÐËŧÂִ㹢ѹ¸ õ ¨Ö§à¡Ô´·Ø¡¢ ·Ø¡¢ ´Ñºà¾ÃÒÐÃٌᨌ§¢Ñ¹¸ õ ¶ŒÒàË繢ѹ¸ õ µÒÁ¤ÇÒÁ໚¹¨ÃÔ§ ¤×ÍàËç¹Ç‹Ò äÁ‹ÁÕÍÐä÷Õ蹋ÒàÍÒ äÁ‹ÁÕÍÐä÷Õ蹋Ò໚¹áÅŒÇ ¨Ðà¡Ô´»˜ÞÞÒ ÅÐÍػҷҹ ¢Ñ¹¸ õ ä´Œ
ขันธ ๕ หรือสวน ๕ สวนนี่แหละ เปนที่เกาะยึดของอุปาทาน ทั้ง ๔ ที่ไดอธิบายแลววันกอน ขอใหยอนไปนำมาคิดใหเขาใจกันใหดี เสียใหม ใหรูวา...
“Íػҷҹ” ¹Ñé¹ à»š¹ÊÔ觷Õè¼Ù¡¾Ñ¹ËÃ×Íà¡ÒШѺÍÂÙ‹¡ÑºÊ‹Ç¹ õ ʋǹ ËÃ×ÍàºÞ¨¢Ñ¹¸ ÅŒÇ¹æ ¹Õé Áѹ¨Ö§¨Ðà¡Ô´ÁÕàºÞ¨¢Ñ¹¸ ËÃ×Íʋǹ õ ʋǹ ·ÕèàµçÁṋ¹ÍÂÙ‹´ŒÇÂÍػҷҹ â´Â੾ÒСç䴌ᡋ ¤¹àÃÒ¤¹Ë¹Öè§æ ¹Ñè¹àͧ ¤ÇÒÁࢌÒ㨼ԴËÃ×ÍÍػҷҹ·Õè¡Å‹ÒǹÕé ÍÒ¨ÂÖ´¶×ÍàÍÒ·Ø¡æ ʋǹËÃ×ÍᵋÅÐʋǹ Ç‹Ò໚¹µÑǵ¹¡çä´Œ áÅŒÇᵋ¤ÇÒÁ⧋¢Í§àÃÒ อุปาทาน คือ ลักษณะของกิเลสอยางหนึ่งที่แนบแนนอยูภายใน จิตใจ ทำใหเกิดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งตางๆ อันเปนเหตุใหเกิดทุกข มากมาย ดูรายละเอียดในหนังสือ คูมือมนุษย ฉบับอานงาย เขาใจงาย เลม ๓ : อุปาทาน ๔ (อำนาจของความยึดมั่น) โดย สำนักพิมพเลี่ยงเชียง
26 ¤Ù‹Á×ÍÁ¹ØÉ õ ©ºÑºÍ‹Ò¹§‹Ò ࢌÒ㨧‹Ò àÃ×èͧ “àºÞ¨¢Ñ¹¸ ” : ¾Ø·¸·ÒÊÀÔ¡¢Ø
¡ÒÃÂÖ´ÃÙ»¢Ñ¹¸ ໚¹µÑǵ¹ ¨Ñ´à»š¹Íػҷҹ¢Ñé¹µèÓÊØ´ การที่ยึดเอาสวนรูปรางกายลวนๆ เปนตัวตนนั้นก็มีได เหมือนอยางเด็กเล็กๆ ที่เซไปโดนประตูเจ็บ ไดเตะประตูเขาให ทีหนึ่ง แลวก็หายโกรธและหายเจ็บ อยางนี้หมายความวายึดเอารูปลวนๆ ไมเกี่ยวกับจิตใจ คือประตู ซึ่งเปนไมแทๆ วาเปนตัวเปนตน อยางนี้ก็มีได และพึงเขาใจวา นั้นเปนอุปาทานในขั้นต่ำที่สุด สำหรับคนโตๆ เชนพวกเรา ถาหากไปเขาใจผิดมีอุปาทานใน รางกาย เชน โกรธรางกายจนถึงกับไปทุบตีรางกายหรือโขกศีรษะตัวเอง เหลานี้ ถาใครเคยมีบางก็ไปคิดดูเอาเองวาเปนเพราะอะไร ที่แทก็เพราะ เหตุอยางเดียวกันกับเด็กที่กลาวแลว คือ ไปยึดถือเอาสวนที่เปนรูปธรรม นั้นวาเปนตัวตน แลวจะใหไดอยางใจ äÍŒàµÕ§ºŒÒ ! ·Ó©Ñ¹à¨çºà·ŒÒàÅ Î×Íæ ¾ÃØ‹§¹Õ鵌ͧä»àµÐºÍÅâªÇ ÊÒÇæ ´ŒÇ ¹ÕèṋÐææ µÑÇàͧà´Ô¹àµÐàµÕ§àͧ á·Œæ ¡çÂѧä»â·ÉàµÕ§ ¹ÕèáËÅÐ ËŧÂÖ´ÁÑè¹ã¹ÃÙ» ¢¹Ò¹á·Œ
âÍŽææ ෌ҷͧ¤Ó¢Í§©Ñ¹ ËÒÂäÇæ ¹Ð ¾ÃØ‹§¹Õé¨Ðä´Œ àµÐºÍÅÍÇ´ÊÒÇæ
à´ÕëÂÇ仫×éÍ Ë¹Ñ§Ê×ًͤÁ×ÍÁ¹ØÉ ãËŒ¾Õèà¢ÒÍ‹Ò¹´Õ¡Ç‹Ò ¨Ðä´ŒµÒÊÇ‹Ò§
ถาหากวาฉลาดขึ้นไปกวานั้น ก็จะไปยึดถือที่เวทนา หรือสัญญา หรือสังขาร หรือวิญญาณ สวนใดสวนหนึ่งวาเปนตัวตน ถาไมอาจจะแยก ออกไดก็ยึดถือทั้งกลุมเปนตัวตน คือเอาทั้ง ๕ สวนรวมกลุมเปนตัวตน อยางนี้ก็ได มันเปนเรื่องของสิ่งแวดลอมและสติปญญาความรูของแตละ คนๆ ไป แตเรื่องที่ยึดถือเอารูปหรือวัตถุเปนตัวเปนตน แลวโกรธได รักไดนั้น เปนเรื่องขั้นตนหรือขั้นต่ำที่สุด พระพุทธเจาตรัสสอนใหเราพิจารณารางกายใหเห็นตามความเปนจริง วารางกายนี้ไมใชเรา ไมใชของเรา เราไมใชรางกาย รางกายไมใชเรา เพราะ รางกายเมื่อถึงคราวเสื่อมสลายหรือถึงแกความตายแลว รางกายที่ประกอบ ดวยธาตุ ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ก็สลายกลับคืนสูธรรมชาติเดิม ฝนบังคับไมได เปนเรื่อง ธรรมดา การพิจารณารางกายดวยความเปนธาตุ ๔ ประกอบไปดวยอาการ ๓๒ เต็มไปดวยสิ่งปฏิกูลโสโครก และมีความตายอยูเสมอ จึงเปนอุบายคลายจิตที่เกาะ ยึดวารางกายนี้เปนเรา เปนของของเรา เพราะ “จิต” (นามธรรม) คือผูที่เดินทางไปจุติ ตามภพภูมิที่เหมาะสมกับกรรมที่ตนไดทำไว ไมใชรางกาย รางกายเปรียบเสมือน แคเปลือกที่หอหุมชั่วคราวเทานั้น
28 ¤Ù‹Á×ÍÁ¹ØÉ õ ©ºÑºÍ‹Ò¹§‹Ò ࢌÒ㨧‹Ò àÃ×èͧ “àºÞ¨¢Ñ¹¸ ” : ¾Ø·¸·ÒÊÀÔ¡¢Ø
¤ÇÒÁÂÖ´ÁÑè¹ã¹àÇ·¹Ò ¤×Í ÂÖ´ÁÑè¹ã¹ÍÒÃÁ³ ·Õè໚¹ÊØ¢
àµÐºÍÅáÅŒÇËҧ¡Ò »Ç´àÁ×èÍ 仹Ǵ ãËŒÁÕ¤ÇÒÁÊØ¢´Õ¡Ç‹Ò ÍÔÍÔ
ถัดมาจากรูปก็คือเวทนา ความรูสึกวา สุขหรือทุกข หรือไมสุข ไมทุกข อยางที่กลาวมาแลวนั้น มีทางที่จะถูกยึดเปนตัวเปนตนไดมาก ที่สุดเหมือนกัน เราจะมองดูตัวอยางในเรื่องนี้ ตรงที่เราหลงใหลในกามสุข โดย เฉพาะก็คือ ความเอร็ดอรอย ความถูกอกถูกใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสตางๆ ที่ไดรับอยู
µÑÇàÇ·¹Òã¹·Õè¹Õé ËÁÒ¶֧ ¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡àÍÃç´ÍËÍÂâ´Â੾ÒÐ «Öè§à»š¹¤ÇÒÁÊØ¢ª¹Ô´·ÕèªÒÇâÅ¡ÊÁÁµÔàÍÒàͧ áÅÐàÃÕÂ¡Ç‹Ò ¤ÇÒÁÊØ¢ ã¹·Õè¹Õé¨Ö§à»š¹ÍÑ¹Ç‹Ò ¡ÒõԴã¹àÇ·¹Ò¡ç¤×Í àÃҵԴ㹤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡·Õè໚¹¤ÇÒÁÊØ¢ËÃ×ͤÇÒÁÍË͹Ñè¹àͧ อาตมาตองขออภัย ถาใชคำๆ นี้ มันไมตรงกับความหมายที่ทาน เขาใจ หรือจะรูสึกวาเปนคำที่หยาบโลนโสกโดกไปบาง แตไมทราบวาจะ ใชคำอะไรดี Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
29