พุทธฤทธิ์ชินบัญชรและคำสอนสมเด็จโต

Page 1


สุภาพ หอมจิตร (น.ธ.เอก, ป.ธ.๗, ร.บ.) รวบรวมเรี ยบเรียง

บรรณาธิการ : ศักดิ์สิทธิ์ พันธุ์สัตย์ ออกแบบปก : จิระพัฒน์ ยังโป้ย ภาพประกอบ : สมควร กองศิลา รูปเล่ม/จัดอาร์ต : จิระพัฒน์ ยังโป้ย


ÃÇÁ¾ÅѧàµÔÁàª×éÍ

ãËŒâÅ¡Ê´ãÊã¨à»š¹ÊØ¢

สังคมมนุษยยุคปจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก จนเกินกวาที่จะปรับตัวทัน ทั้งนี้เกิดจากตัวเราเอง สังคม และ สิง่ แวดลอมที่สูญเสียความสมดุลในการอยูรวมกัน ชองวางทาง สั ง คมเกิ ด ขึ้ น มากมาย รวมทั้งปญหาตางๆ ในหลายดาน เชน อาชญากรรม ยาเสพติด โรคระบาด สิ่งแวดลอมเปนพิษ การมี ความคิดเห็นไมตรงกัน กอใหเกิดการแบงฝกแบงฝายรบราฆาฟนกัน ไม มี ที่ สิ้ น สุ ด โรคภั ย ไข เ จ็ บ และมหันตภัยตางๆ คราชีวิตผูคน ไมหยุดไมหยอน สภาวการณเชนนี้หากปลอยไวก็จักเปนอันตรายและกอให เกิดความเสียหายทั้งแกตนเองและประเทศชาติโดยรวม แตก็ถือ วาเปนโชคดีของประเทศไทยทีม่ พี ระพุทธศาสนาเปนหลักยึดเหนีย่ ว จิตใจ หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาทุกขอ สามารถนำมาประยุกต์ใชในชีวิตประจำวัน เพื่อพัฒนาตนใหเปนคนสมบูรณ์แบบได นั่นคือ การเขาถึงเหตุผลโดยใชปญญา ความเพียรพยายาม ทำใหสำเร็จอย่างจริงจัง พึ่งตนเองไดโดยไม่ตองรองขอจากคนอื่น ดังนั้น ควรที่จะชวยกันสรางธรรมะนิวเคลียร์ (DNC) ดวยการ มอบหนังสือธรรมะเปนธรรมทาน อันเปนการสรางปญญานำพาชีวิต ใหงอกงามและรุงเรือง และเปนจุดเริ่มตนในการพัฒนาตนตามหลัก ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปญญา นำพาตนใหพนจากความทุกข์ พบ สันติสุขไดในปจจุบันชาตินี้


¤Ó¹Ó การสวดมนต์ เปนอุบายวิธีฝกจิตใหสงบเยือกเย็น คราวใดที่มี ปญหาหรืออุปสรรคถาโถมเขามาในชีวิต ก็จะไดตั้งรับอยางมีสติ เพราะ พระพุทธมนต์ทุกบทนั้นเปนพุทธพจน์ของพระพุทธเจา จึงมีความขลัง และศักดิ์สิทธิ์อยูในตัว ขอเพียงแตผูสวดสวดภาวนาดวยใจที่ศรัทธา เลื่อมใสในพลังแหงพระพุทธคุณ หนั ง สื อ พุ ท ธฤทธิ์ ชิ น บั ญ ชร และคำสอนสมเด็ จ โต เล ม นี้ ประกอบดวยบทสวดพระคาถาชินบัญชร และคำสอนทานเจาประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เกี่ยวกับวิธีการสวดมนต์ใหมี พลานุภาพ เปนการสรางบุญบารมีดวยตัวเอง ซึ่งบุญบารมีในที่นี้ก็คือ ความดี นั่นเอง เพราะความดีที่เราทำนั้นจะเปนเกราะกันภัยไดดีที่สุด ขอใหพลังแหงการสวดมนต์ตามหนังสือพุทธฤทธิ์ชินบัญชรและ คำสอนสมเด็จโตเลมนี้ นำพาใหทา นมีสขุ ภาพกายแข็งแรง และสุขภาพใจ เขมแข็งตลอดไป ขอบารมีธรรมสมเด็จโตจงคุมครองใหทุกท่านมีแต่ความสุข (น.ธ.เอก, ป.ธ.๗, ร.บ.) รวบรวมและเสริมสารธรรมในนามคณาจารย์สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง โปรดใชเล่มนี้ใหคุมสุดคุม & อ่านแลว -> แบ่งกันอ่านหลายท่านนะจะ อ่านสิบรอบ ระดมสมองคิดสิบหน ฝกฝนปญญา พัฒนาการประยุกต์ใชในชีวิตประจำวัน จิตมีสติสัมปชัญญะ รูเท่าทันสรรพสิ่ง ฉลาดใช เฉลียวคิด ชีวิตจักสนุก สุข สงบ เย็น เฉกเช่นพระนิพพาน สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ ปรารถนาใหทุกครอบครัวมีความสุข


ÍÁµ¸ÃÃÁ¤ÓÊ͹ÊÁà´ç¨âµ “หมั่นสรางบารมีไว...แลวฟาดินจะช่วย” “ลูกเอย... ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีจากหลวงพ่อองค์ใด เจาจะตองมีทุนของตัวเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจาไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีของคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจาจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมเขามาจนลนตัว เมื่อทำบุญกุศลไดบารมีมา ก็ตองเอาไปผ่อนใชหนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว แลวเจาจะไม่มีอะไรไวในภพหนา หมั่นสรางบารมีไวแลวฟาดินจะช่วยเจาเอง จงจำไวนะ... เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจาองค์ใดจะคิดช่วยเจาไม่ได ครั้นถึงเวลาทั่วฟาจบดินก็ตานเจาไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟาดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสรางไวเลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจา...” คำวา บารมี มี ค ำแปลหลายนั ย เป น ต น ว า ปฏิ ป ทาเครื่ อ งให ถึ ง ฝ ง , ปฏิ ป ทาเป น เครื่องใหถึงที่สุด, ขอปฏิบัติที่เปนเหตุใหถึงความประเสริฐ, ขอปฏิบัติ เปนไปเพื่อประโยชน์สุขอันยิ่งใหญ หมายถึงคุณความดีที่ไดบำเพ็ญมาอยางยิ่งยวด ในอดีต ใชเรียกความดีในอดีตของพระพุทธเจาครั้งเสวยพระชาติเปนพระโพธิสัตว์ ซึ่ ง ทรงบำเพ็ ญ มาอย า งยิ่ ง ยวดติ ด ต อ กั น มาหลายร อ ยหลายพั น ชาติ บารมี ที่ พระพุทธเจาทรงบำเพ็ญนั้นมี ๑๐ อยาง เรียกวา ทศบารมี คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา


ÍÒ¹ÔÊ§Ê ¢Í§¡ÒÃÊÇ´Á¹µ ñ ÊÁà´ç¨¾ÃоزҨÒà(âµ ¾ÃËÁÃѧÊÕ) คนส ว นมากที่ เข า ใจว า การสวดมนต์ มีประโยชน์นอย และเสียเวลามากหรือฟงไมรู เรื่ อ ง ความจริ ง แล ว การสวดมนต์ มี ป ระโยชน์ มากมาย เพราะการสวดมนต์เปนการกลาวถึง คุณความดีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาวา พระองค์มีคุณวิเศษเชนไร พระธรรมคำสอนของ พระองค์มคี ณ ุ อยางไร และพระสงฆ์อรหันตอริยเจา มีคุณเชนไร การสวดมนต์ดว ยความตัง้ ใจจนจิตเปนสมาธิ แลวใชสติพจิ ารณา จนเกิดปญญาและความรูค วามเขาใจ ประโยชน์สงู สุดของการสวดมนต์ นั่นคือจะทำใหท่านบรรลุผลจนสำเร็จเปนพระอรหันต์ ที่ อ าตมากล า วเช น นี้ มี ห ลั ก ฐานปรากฏในพระธรรมคำสอน ทีก่ ลาวไววา โอกาสทีจ่ ะบรรลุธรรมเปนพระอรหันต์ มี ๕ โอกาสดวยกัน คือ ๑. เมื่อฟงธรรม ๒. เมื่อแสดงธรรม ๓. เมื่อสาธยายธรรม นั่นก็คือการสวดมนต์ ๔. เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น ๕. เมื่อเจริญวิปสสนาญาณ ๑

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เทศน์ที่บานของเจาพระยาสรรเพชรภักดี มหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัว (รัชกาลที่ ๔) (คัดจากหนังสือ อมตธรรมสมเด็จโต : บานธรรมะโต)


ÊÇ´Á¹µ ¤×Í¡ÒÃࢌÒཇҾÃоط¸à¨ŒÒ การสวดมนต์ คือการทำจิตใหมีที่พึ่ง เบิกบาน สงบ ผ่องใส

การสวดมนต์ทั้งในตอนเชาและตอนเย็น เปนประเพณีที่ปฏิบัติ มาตั้งแตสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจาทรงประกาศพระพุทธศาสนา บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายตางพากันมาเขาเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบง เวลาเขาเฝ้าเปน ๒ เวลา นั่นคือ ตอนเชา เขาเฝ้าพระพุทธเจาเพื่อฟงธรรม ตอนเย็น เขาเฝ้าพระพุทธเจาเพื่อฟงธรรม การฟงธรรมเปนการชำระลางจิตใจที่เศราหมองใหหมดไป เพื่อ สำเร็จสูมรรค ผล พระนิพพาน การสวดมนต์นับเปนการดีพรอม ซึ่งประกอบไปดวยองค์ทั้ง ๓ นั่นคือ กาย มีอาการสงบเรียบรอยและสำรวม วาจา เปนการกล่าว ถอยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ใจ มีความเคารพนบนอบ ต่อคุณพระรัตนตรัย ในพระคุณทั้ง ๓ พรอมทั้งเปนการขอขมาในความ ผิดพลาดหากมี และสักการะเทิดทูนสิ่งที่สูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกไดวาเปนการ สรางกุศลซึ่งเปนมงคลอันสูงสุดทีเดียว


»ÃÐ⪹ ¢Í§¡ÒÃÊÇ´Á¹µ อาตมภาพขอรั บ รองแก ท า นทั้ ง หลายว า ถ า หากบุ ค คลใด ไดสวดมนต์เชาและเย็นไมขาดแลว บุคคลนั้นยอมเขาสูแดนพระอรหันต์ แนนอน การสวดมนต์นี้ควรสวดใหมีเสียงดังพอสมควร ยอมกอใหเกิด ประโยชน์แกจิตตน และประโยชน์แกจิตอื่น ที่ว่าเปนประโยชน์แก่จิตตน คือเสียงในการสวดมนต์จะกลบ เสียงภายนอกไมใหเขามารบกวนจิต ก็จะทำใหเกิดความสงบอยูกับ บทสวดมนต์นั้นๆ ทำใหเกิดสมาธิและปญญาเขามาในจิตใจของผูสวด ที่ว่าเปนประโยชน์แก่จิตอื่น คือผูใดไดยินเสียงสวดจะพลอยให เกิดความรู เกิดปญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปดวย ผูสวดก็เกิดกุศล โดยการใหทานทางเสียง เหลาพรหมเทพที่ชอบฟงเสียงการสวดมนต์ มีอยูจำนวนมาก ก็จะมาชุมนุมกันฟง เมื่อ มี เหลาพรหมเทพเขามาลอมรอบตัวของผูสวดอยูเชนนั้น ภั ย อั น ตรายต า งๆ ก็ ไ ม ส ามารถกล้ ำ กรายผู ส วดมนต์ ไ ด ตลอดจน อาณาเขตและบริเวณบานของผูที่สวดมนต์ ยอมมีเกราะแหงพรหมเทพ และเทวดาทั้งหลายคุมครองภัยอันตรายไดอยางดีเยี่ยม ...การสวดมนต์ เปนการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ เมื่อจิตมีที่พึ่งคือคุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุงกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกลาก็ดี ภัยอันตรายใดๆ ก็ดี จะไม่มีแก่ผูสวดมนต์นั่นแล... จิตมีที่พึ่งจึงไม่กลัวภัย ตั้งใจทำตามคำสวดจึงรวยทรัพย์ ปญญาฉลาดดี มีเงินทองเหลือกินเหลือใช ไดเพื่อนๆ มากมาย ความเลวรายจางหายไป และไม่เขามาง่ายหรือมาก


»ÃÐÇѵԤÇÒÁ໚¹ÁÒ ¾ÃФҶҪԹºÑުà พระคาถาชิ น บั ญ ชรนี้ ก ล า วกั น ว า ท า นเจ า ประคุ ณ สมเด็ จ พระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สุดยอดพระมหาเถราจารย์ ๕ แผนดิน แหงกรุงรัตนโกสินทร์ คนพบจากคัมภีร์ใบลานที่ตกทอดมาจากประเทศ ศรีลังกา ตนฉบับเดิมจารึกเปนภาษาสิงหล ทานเจาประคุณสมเด็จฯ พิจารณาเห็นวาเปนคาถาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และทรงพลานุภาพมาก สุดที่จะพรรณนาได จึงนำมาดัดแปลงแกไขเพิ่มเติมเนื้อหาใหสมบูรณ์ ถูกตองตามฉันทลักษณ์ภาษาบาลี และมีความหมายที่ทำใหเกิดสิริมงคล แกผูสวดภาวนาทุกประการ คำว า ชิ น บั ญ ชร แปลว า กรง หรื อ เกราะป อ งกั น ภั ย ของ พระพุทธเจา มาจากคำวา ชิน หมายถึง พระชินสีห์ คือพระพุทธเจา บัญชร แปลวา กรง หรือเกราะ เนื้อหาในบทสวดชินบัญชรนั้น เปนการ อัญเชิญพระพุทธเจา ๒๘ พระองค์ เริ่มตั้งแตพระพุทธเจาพระนามวา ตัณหังกร เปนตน มาสถิตอยูในทุกอณูของรางกาย เพื่อเปนการเสริมพลังพุทธคุณใหยิ่งใหญ กอเกิดคุณานุภาพแกผู สวดภาวนา จึ ง อั ญ เชิ ญ พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจา ๘๐ องค์ ซึ่งเปนผูมีบารมีธรรมยิ่งใหญ ตลอดทั้งอาราธนาพระสูตรอันศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอานุภาพในดานตางๆ มาสถิตทุกสวนของรางกาย รวมกันสอดคลอง เปนกำแพงแกวคุมกัน ตั้งแตกระหมอมจอมขวัญลงมา หอมลอมรอบตัว ของผูสวดภาวนาพระคาถา จนกระทั่งหาชองโหวใหอันตรายสอดแทรก มิได


การสวดมนต์หรือบริกรรมมนต์คาถานั้น มีจุดมุงหมายที่สำคัญ ขอหนึ่ง ก็คือเพื่อใหเกิดบุญกุศล มีความสุขสงบแหงจิตใจ และดวย อานุ ภ าพแห ง การสวดมนต์นั้น จะทำใหจิตเบิกบาน อารมณ์แจมใส กอใหเกิดอานุภาพในการปกป้องคุมครองชีวิตใหแคลวคลาดปลอดภัย จากอันตรายทุกอยาง ผูใดไดสวดภาวนาพระคาถาชินบัญชรนี้เปนประจำทุกวัน จะทำ ใหเกิดสิริมงคลสมบูรณ์พูนผล ศัตรูหมูพาลไมกลากล้ำกราย ไปที่ไหน ก็เกิ ด เมตตามหานิยม เกิดลาภผลพูนทวีขึ้น ขจัดภัยจากภูตผีปศาจ ตลอดจนคุณไสยตางๆ ทำน้ำมนต์รดแกวิกลจริต แกสรรพโรคภัยหายสิ้น เปนสิริมงคลแกชีวิต มีคุณานุภาพตามแตจะปรารถนา ดังคำโบราณวา “ฝอยท่วมหลังชาง” จะเดินทางไปที่ไหนๆ สวด ๑๐ จบแลวอธิษฐาน จะสำเร็จดังเจตนาแล ฝกใจใฝทำดี ดวยการสวดมนต์ จะมีสติปญญา แกปญหาได ทุกอย่าง

การไหว พ ระสวดมนต์ คื อ การอั ด ฉี ด พระพุ ท ธคุ ณ พระธรรมคุ ณ พระสังฆคุณ เขาสูจิตใจเพื่อหลอเลี้ยงและเสริมสรางจิตใจใหเกิดคุณธรรม เปนการ ปดโอกาสความชั่วรายตางๆ มิใหออกมาอาละวาด กอใหเกิดผลดีอื่นๆ อีกนานัปการ การสวดพระคาถาชิ น บั ญ ชร เป น การน อ มนำเอาพลั ง แห ง พระพุ ท ธคุ ณ พระธรรมคุ ณ และพระสั ง ฆคุ ณ มาเสริ ม สร า งขวั ญ และกำลั ง ใจในการดำเนิ น ชี วิ ต ดวยความสำนึกและตระหนักรูในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจา นำมาปฏิบัติเปน หลักชัยของชีวติ เปนการเสริมเพิม่ พลังใจใหมชี วี ติ ชีวา ไมหวาดหวัน่ พรัน่ พรึงตออุปสรรค ปญหาตางๆ เกิดความเปนสิริมงคล ปราศจากทุกข์ โศก โรคภัย สติปญญาผองใส


¡ÒÃàÃÔèÁµŒ¹áÅÐÇÔ¸Õ¡ÒÃÊÇ´ ¾ÃФҶҪԹºÑުà การสวดมนต์จะสำเร็จประโยชน์แกผูสวดภาวนาอยางแทจริง นั้น ตองเตรียมความพรอมทั้งทางรางกายและจิตใจ คือ อาบน้ำชำระ รางกายใหสะอาด แตงกายใหเรียบรอยเหมาะสมที่จะทำความดี และ ที่ ส ำคั ญ คื อ มี ค วามตั้ ง ใจจริ ง ในการสวดมนต์ เพื่ อ ให เ กิ ด ความสงบ แก จิ ต ใจพร อ มที่จะเผชิญกับสถานการณ์ตางๆ อีกสิ่งหนึ่งที่จะตอง จัดเตรียม คือพานดอกไมหรือพวงมาลัยบูชาพระ แตถาไมสามารถ หาไดก็ไมเปนไร เมื่อตระเตรียมเรียบรอยแลว นำพานดอกไมหรือพวงมาลัย ขึ้ น บูชาพระรัตนตรัย แลวกราบลง ๓ ครั้ง ตั้งจิตระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และดวงวิ ญ ญาณของท า นเจ า ประคุ ณ สมเด็ จ พระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ครั้นจิตสงบนิ่งพรอมที่จะสวดแลว ใหเริ่มสวดมนต์ไปตั้งแต บทกราบพระรัตนตรัย ไปตามลำดับจนจบ ขอสำคัญขณะสวดมนต์ใหเปลงเสียงดังพอประมาณ ออกเสียง ชัดเจน มีสติจดจออยูกับบทสวด แลวสวดภาวนาชาๆ ไมตองรีบสวด ใหจบ ขณะสวดก็นึกภาพตามบทสวดไปดวย เชน บทสวดกลาวถึง พระพุ ท ธเจ า ๒๘ พระองค์ ม าสถิ ต อยู ที่ ก ลางกระหม อ มของตน ใหระลึกนึกถึงพระพุทธเจาทั้งหมดมาสถิตที่กลางกระหมอม จะทำใหมี สติปญญาและพลังแหงความคิดเจิดจาสวางไสว รุงเรืองดวยรัศมีแหง พระพุทธคุณ เมื่อทำไดดังนี้ก็จะเกิดผลดีแกตัวเองเปนที่สุด

10

¾Ø·¸Ä·¸ÔìªÔ¹ºÑÞªÃáÅФÓÊ͹ÊÁà´ç¨âµ


ñ. º·¡ÃÒº¾ÃÐÃѵ¹µÃÑ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา,

พระผูมีพระภาคเจา เปนพระอรหันต์, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ สิ้นเชิง, ตรัสรูชอบไดโดยพระองค์เอง ;

พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. ขาพเจาอภิวาทพระผูมีพระภาคเจา, ผูรู ผูตื่น ผูเบิกบาน. (กราบ)

การไหว พ ระเป น ประเพณี ที่ มี ม าตั้ ง แต ส มั ย พุ ท ธกาล มี เรื่ อ งเล า ว า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจาประทับ ณ ถ้ำอินทสาลคูหา ทาวโกสีห์พรอมกับเทพบริวาร มาเขาเฝ้าถามปญหาจนหมดความสงสัย เกิดปติปราโมทย์ความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ทรงลูบแผนดิน ๓ ครั้งพรอมกับเปลงคำวา นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส โดยมิไดกลาวถึงพระสงฆ์ ตอมารัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชนิพนธ์บทกราบ พระรัตนตรัยขึ้นใหม โดยเพิ่มบทธรรมคุณ และสังฆคุณเขามาเพื่อใหสมบูรณ์แบบครบ ทั้ง ๓ รัตนะ Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ

11


ส๎วากขาโต๑ ภะคะวะตา ธัมโม,

พระธรรม เปนธรรมที่พระผูมีพระภาคเจา, ตรัสไวดีแลว ;

ธัมมัง นะมัสสามิ.

ขาพเจานมัสการพระธรรม. (กราบ)

สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,

พระสงฆ์สาวกของพระผูมีพระภาคเจา, ปฏิบัติดีแลว ;

สังฆัง นะมามิ.

ขาพเจานอบนอมพระสงฆ์. (กราบ) กราบพระพุทธ ตองรูพระธรรม ฟงคำพระสงฆ์ ชีวิตมั่นคง ปลอดภัย

กิจ สำคัญอันหนึ่งที่ชาวพุทธพึงปฏิบัติจะละเลยมิ ได คื อการสวดมนต์ ไหวพระประจำวัน การสวดมนต์นนั้ อยาเขาใจวาเปนการสวดออนวอนเหมือนศาสนาอืน่ แต เ ป น อุ บ ายทำจิ ต ของเราให ส งบ เยื อ กเย็ น มั่ น คง และเปลื้ อ งทุ ก ข์ อ อกจากใจ ทั้ ง ยั ง เป น วิ ธี ก ารหนึ่ ง ที่ ท ำให เราเข า ถึ ง พระรั ต นตรั ย ได พ ร อ มกั น ๓ ทาง คื อ ๑) ทางกาย ดวยการกราบไหวบชู าสักการะ ๒) ทางวาจา ดวยการสวดสรรเสริญเจริญ พระพุ ท ธคุ ณ ๓) ทางใจ ด ว ยการน อ มเอาคุ ณ พระรั ต นตรั ย มาเป น สรณะไว ใ นใจ ๑

อานวา สะหวาก-ขา-โต

12

¾Ø·¸Ä·¸ÔìªÔ¹ºÑÞªÃáÅФÓÊ͹ÊÁà´ç¨âµ


ò. º·¹Íº¹ŒÍÁ¾Ãоط¸à¨ŒÒ (สวด ๓ จบ)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ.

ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา พระองค์นั้น, ซึ่งเปนผูไกล จากกิเลส, ตรัสรูชอบไดโดยพระองค์เอง. ของพระพุทธเจา บทนี้เปนบทกลาวแสดงความนอบนอมบูชาพระคุณของ เหมื อ นบทไหว ค รู คำว า นะโม มาจากศั พ ท์ ว า นม แปลว า ความนอบน อ ม มีเรื่องเลาวา เทวดา ๕ องค์ไดเขาเฝ้าพระพุทธเจาแลวเกิดความเลื่อมใส จึงเปลงวาจา คนละวรรค ดังนี้ สาตาคีรายักษ์กลาวคำวา นโม (ความนอบนอม), อสุรินทราหูกลาว คำวา ตสฺส (นั้น), ทาวมหาราชกลาวคำวา ภควโต (พระผูมีพระภาคเจา), ทาวสักกะ กลาวคำวา อรหโต (เปนพระอรหันต์), ทาวมหาพรหมกลาวคำวา สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส (พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า ) แปลความว า ขอนอบน อ มแด ส มเด็ จ พระทรงพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจาพระองคนั้น ดังนั้น เมื่อกลาวบทนี้จึงเปนการพรรณนาคุณ ของพระพุทธเจาครบทัง้ ๓ ขอ คือ ๑) พระปญญาคุณ ทรงตรัสรูช อบดวยพระองค์เอง ๒) พระวิสุทธิคุณ ทรงเปนผูบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ๓) พระกรุณาคุณ ทรงพระกรุณาสงสารสัตวโลกใหรูแจงเห็นจริง และไดนอมระลึกนึกถึงคุณงามความดี ของพระองค์ แลวเกิดความเอิบอิ่มใจ นอมใจฝกใฝในการทำความดีตลอดไป Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ

13


ó. º·äµÃÊó¤Á¹ ñ

ทุติยัมป ทุติยัมป ทุติยัมป ตะติยัมป ตะติยัมป ตะติยัมป

พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พุทธัง ธัมมัง สังฆัง

สะระณัง สะระณัง สะระณัง สะระณัง สะระณัง สะระณัง สะระณัง สะระณัง สะระณัง

คัจฉามิ, คัจฉามิ, คัจฉามิ, คัจฉามิ, คัจฉามิ, คัจฉามิ, คัจฉามิ, คัจฉามิ, คัจฉามิ.

ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ์ เปนที่พึ่ง แมครั้งที่สอง ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ์ เปนที่พึ่ง แมครั้งที่สาม ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ์ เปนที่พึ่ง. ๑

อานวา ไตร-สะ-ระ-นะ-คม แปลวา การถึงพระรัตนตรัยวาเปนที่พึ่งที่ระลึก, ไตร = สาม, สรณะ = ทีพ่ งึ่ ทีร่ ะลึก หมายถึง การยึดเอาพระรัตนตรัยวาเปนสรณะ ที่พึ่งที่ระลึก คือ พระพุทธเจาชื่อวาเปนที่พึ่ง เพราะกำจัดภัยของสัตว์ทั้งหลาย ดวยการใหถึงสิ่งที่เปนประโยชน์ (ความดี) และนำออกจากสิ่งที่ไมเปนประโยชน์ (ความชัว่ ) พระธรรมชือ่ วาเปนทีพ่ งึ่ เพราะชวยรักษาคุม ครองผูป ฏิบตั มิ ใิ หตกไปในที่ ชั่ว นำใหพนจากสังสารวัฏ (การเวียนวายตายเกิด) และพระสงฆ์ชื่อวาเปนที่พึ่ง เพราะเปนผูป ฏิบัติดีปฏิบัติชอบแลวนำมาแนะนำสอนใหผูอื่นรูตามไปดวย

14

¾Ø·¸Ä·¸ÔìªÔ¹ºÑÞªÃáÅФÓÊ͹ÊÁà´ç¨âµ


ô. º·ÊÃÃàÊÃÔÞ¾Ãоط¸¤Ø³ñ อิติป โส ภะคะวา, พระผูมีพระภาคเจา พระองค์นั้น ; อะระหัง,1 เปนผูไกลจากกิเลส ; สัมมาสัมพุทโธ,2 เปนผูตรัสรูชอบไดโดยพระองค์เอง ; วิชชาจะระณะสัมปนโน,3 เปนผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ๒ ; สุคะโต,4 เปนผูไปแลวดวยดี ; โลกะวิทู,5 เปนผูรูโลกอยางแจมแจง ; อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ,6 เปนผูสามารถฝกบุรุษที่สมควรฝกไดอยางไมมีใครยิ่งกวา ;

สัตถา เทวะมะนุสสานัง,7

เปนครูผูสอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ; พุทโธ,8 เปนผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานดวยธรรม๓ ; ภะคะวาติ.9 เปนผูมีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์. ๑ ๒

บทนีเ้ ปนบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ๙ ประการ เรียกวา นวหรคุณ (ดูตามเลขอารบิค) วิชชา แปลวา ความรูแ จง มี ๓ คือ ความรูแ จงทีท่ ำใหระลึกชาติได, ความรูแ จงทีท่ ำให รูการเกิดและตายของสัตว์โลกวาเปนไปตามกรรม, ความรูแจงที่ทำใหพระองค์ สิน้ จากอาสวกิเลส จรณะ แปลวา ความประพฤติ หมายถึงขอปฏิบตั ทิ นี่ ำไปสูก ารบรรลุ วิชาความรูแ จงนัน้ ๓ ผูรู หมายถึง ทรงเปนผูรูแจงในธรรมอันเปนเครื่องตรัสรู คืออริยสัจ ๔ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ผูตื่น หมายถึง ทรงเปนผูตื่นจากความหลับดวยอำนาจของกิเลส, ผูเบิกบาน หมายถึง ทรงเปนผูมีความสุขความเบิกบาน ความอิ่มใจในภาวะที่พน จากกิเลสนัน้ Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ

15


õ. º·ÊÃÃàÊÃÔÞ¾ÃиÃÃÁ¤Ø³ñ ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,1

พระธรรม เปนธรรมที่พระผูมีพระภาคเจา ตรัสไวดีแลว ; สันทิฏฐิโก,2 เปนสิง่ ทีผ่ ศู กึ ษาและปฏิบตั พิ งึ เห็นไดดว ยตนเอง ; อะกาลิโก,3 เปนสิ่งที่ปฏิบัติได และใหผลไดไมจำกัดกาล ; เอหิปส สิโก,4 เปนสิง่ ทีค่ วรกลาวกะผูอ นื่ วาทานจงมาดูเถิด๒ ; โอปะนะยิโก,5 เปนสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว๓ ; ปจจัตตัง เวทิตพั โพ วิญูหตี .ิ ๔,6 เปนสิง่ ทีผ่ รู กู ร็ ไู ดเฉพาะตน. คำสั่งสอนของพระพุทธเจายอใหเหลืออยางเดียวคือ “ความไม่ประมาท” หรือ “สติ” สติ คือความระลึกได ความนึกได ความไมเผลอ ไมหลงลืม แบงเปน ๒ อยาง คือ นึกไดก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิดในกิจการต่างๆ หากคนมีสตินึกได อยางนี้ ยอมทำงานไมผิดพลาด ไมขาดตกบกพรอง ทำงานไดเรียบรอย นึกได ภายหลัง คือนึกถึงงานที่ทำคำที่พูดไวแลวได ไมลืมเลือน ระลึกอยูเสมอเพื่อหาขอ บกพรอง เพื่อหาทางแกไข หรือเพื่อดำรงความดีไว ใชคูกับ สัมปชัญญะ ความรูตัว คือรูตัวเองอยูเสมอขณะที่ทำ ขณะที่พูด ขณะที่เปนอะไรอยู รูตัวไดอยางนี้ยอมทำ ใหไมลืมตัว ไมหลงงมงาย รูจักหนาที่ รูจักรับผิดชอบ ทำงานดวยความมีเหตุผล ไมทำตามอารมณ์ ทำงานไดรวดเร็ว คลองตัวและไมผิดพลาด ๑ บทนีเ้ ปนบทสวดสรรเสริญธรรมคุณ ๖ ประการ (ดูตามเลขอารบิค) ๒ หมายถึง เปนคำสอนทีเ่ ปนความจริง พรอมใหเขามาพิสจู น์และปฏิบตั ดิ ว ยตนเองกอนจึงเชือ่ ๓ หมายถึง พระธรรมทีเ่ ปนสัจธรรมและความดีนนั้ ควรเขาไปศึกษาและนอมนำมาปฏิบตั ิ ๔

อานวา วิน-ยู-ฮี-ติ แปลวา ผูร ู

16

¾Ø·¸Ä·¸ÔìªÔ¹ºÑÞªÃáÅФÓÊ͹ÊÁà´ç¨âµ


ö. º·ÊÃÃàÊÃÔÞ¾ÃÐÊѧ¦¤Ø³ñ พระสงฆ์คือ สาวกของพระพุทธเจา ผูปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สืบทอดพระพุทธศาสนา ใหอยู่คู่กับคนไทยตลอดกาล

สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,1

สงฆ์สาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติดีแลว๒;

อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,2

สงฆ์สาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด, ปฏิบัติตรงแลว๓;

ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,3 สงฆ์สาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด, ปฏิบัติเพื่อรูธรรม เปนเครื่องออกจากทุกข์แลว๔;

สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,4

สงฆ์สาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด, ปฏิบัติสมควรแลว ;

บทนี้ เปนบทสวดสรรเสริญคุณของพระสงฆ์ ๙ ประการ (ดูตามเลขอารบิค) พระสงฆ์ เปรียบเหมือนดอกไมทมี่ าจากทีต่ า งๆ เมือ่ เราบูชาพระดวยดอกไมกเ็ ทากับวาเราบูชา พระสงฆ์ ๒ หมายถึง ปฏิบตั เิ พือ่ บรรลุมรรค (๔) ผล (๔) และพระนิพพาน ๓ หมายถึง ปฏิบตั ติ ามพระธรรมวินยั ทีพ่ ระพุทธเจาบัญญัตไิ ว และไมปฏิบตั เิ พือ่ หวังลาภ สักการะ ๔ หมายถึง ปฏิบตั เิ พือ่ ใหรแู จงเห็นจริงในสัจธรรมทัง้ ปวงทีท่ ำใหหมดจากทุกข์ Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ

17


ยะทิทัง, ไดแกบุคคลเหลานี้คือ :จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, คูแหงบุรุษ ๔ คู๑ นับเรียงตัวบุรุษได ๘ บุรุษ ;

เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,

นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผูมีพระภาคเจา ; อาหุเนยโย,5 เปนสงฆ์ควรแกสักการะที่เขานำมาบูชา ; ปาหุเนยโย,6 เปนสงฆ์ควรแกสักการะที่เขาจัดไวตอนรับ ; ทักขิเณยโย,7 เปนผูควรรับทักษิณาทาน๒; อัญชะลิกะระณีโย,8 เปนผูที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี๓;

อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ.9 เปนเนื้อนาบุญของโลก๔ ไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา.

คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ คือ คูที่ ๑ เรียกวา พระโสดาบัน แปลวา ผูถึงกระแสแหงพระ นิพพาน มี ๓ ประเภท คือ ผูเกิดอีกชาติเดียว, ผูเกิดอีกเพียง ๒-๓ ชาติ, และผูเกิด อีกไมเกิน ๗ ชาติ ก็บรรลุเปนพระอรหันต์ คูที่ ๒ เรียกวา พระสกทาคามี แปลวา ผูกลับมาสูโลกนี้อีกครั้งเดียว คือเกิดอีกชาติเดียวก็บรรลุเปนพระอรหันต์ คูที่ ๓ เรียกวา พระอนาคามี แปลวา ผูไมมาสูโลกนี้อีก คือ ผูเปนพระอนาคามีหลังจาก ตายไปแลวจะไปเกิดในพรหมโลกและบรรลุเปนพระอรหันต์ในที่นั้น คูที่ ๔ เรียกวา พระอรหันต์ (อานวา อะระหัน) แปลวา ผูหางไกลจากกิเลส. (ถาอานวา ออระหัน แปลวา ความเปนพระอรหันต) ๒ แปลวา การใหของทำบุญ หมายถึง เปนผูสมควรรับของที่เขานำมาถวาย ๓ แปลวา การประนมมือ หมายถึง เปนผูสมควรรับการยกมือขึ้นกราบไหวจากผูอื่น ๔ เนื้อนาบุญของโลก หมายถึง เปนแหลงเพาะปลูกและเผยแพรบุญคือความดี ที่ยอดเยี่ยมของโลก

18

¾Ø·¸Ä·¸ÔìªÔ¹ºÑÞªÃáÅФÓÊ͹ÊÁà´ç¨âµ


÷. ¤Ó͸ÔÉ°Ò¹¨ÔµÀÒÇ¹Ò อุกาสะ อุกาสะ ขาพเจาจะเจริญสวดมนต์ภาวนาธรรมบูชาคุณ พระรัตนตรัย เพื่อสรางสมทศบารมีธรรมในจิต มีทาน ศีล เนกขัมมะ ปญญา วิรยิ ะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เจริญอิทธิบาททัง้ ๔ ด ว ยความพอใจในความเพี ย ร ให ค วามสนใจและความใคร ค รวญ พิจารณา ใหสงั หารนิวรณ์ทงั้ ๕ อันมีกามฉันทะ ความพยาบาท ความงวง ขณะปฏิบัติ ความคิดฟุ้งซาน ความลังเลสงสัย ใหมันมลายหายออกไป มีวิตก วิจารณ์ ปติ สิริรวมสุขเอกัคตาเขามาแทนที่ ใหถึงฌานสมาบัติ จนเดินทางเขาสูม รรคาพระอริยบุคคล ลางธุลกี เิ ลสใหสญ ู ตัดมูลอาสวะ ใหสิ้น หางไกลสังโยชน์ทั้งปวง ลวงถึงพระนิพพานที่ยิ่งใหญ ขาพเจาขออาราธนาบารมีพระพุทธเจา พระธรรมเจา และพระ อริยสงฆ์ทุกพระองค์ มีสมเด็จโตแหงวัดระฆังเปนที่สุด จงมาเปนที่พึ่ง แกขาพระพุทธเจา ทำลายทุกข์กายทุกข์ใจใหเหือดหาย ทำลายมาร ตั ณ หาให พิ น าศ ขอให พ น เคราะห์ ปราศจากทุ ก ข์ โ ศกโรคภั ย และ อันตรายภัยพิบัติทั้งปวง ขอใหขาพเจามีอายุยืนยาว มีโชคลาภ มีความ สุ ข สิ ริ ส วั ส ดิ์ เจริ ญ ต อ ไปทั้ ง ในป จ จุ บั น กาลอนาคต และภพหน า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เทอญ ฯ บทนี้ เ ป น การตั้ ง จิ ต อธิ ษ ฐานในการเริ่ ม ต น ทำความดี คื อ การสวดมนต์ เพื่ อ ให จิ ต นิ่ ง การสวดมนต์ ที่ จ ะสำเร็ จ ประโยชน์ นั้ น ต อ งมี ค วามพร อ มด ว ยกาย วาจา ใจ กลาวคือ กายตองสำรวมเรียบรอยสงบ วาจา ขณะสวดก็สวดใหถูกตอง ทั้งอักขระและทำนอง ใหมีเสียงดังพอประมาณ และใจตองจดจออยูกับบทสวดนั้น อย า คลอนแคลน เมื่ อ ทำได เช น นี้ ชื่ อ ว า เป น การดี พ ร อ ม คุ ณ ความดี ต า งๆ ก็ จ ะ เกิดมีขึ้นอยางแนนอน Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ

19


ø. ¾ÃФҶҪԹºÑުà ÊÁà´ç¨¾ÃоزҨÒà(âµ ¾ÃËÁÃѧÊÕ) คำอธิษฐานกอนสวดภาวนา

ปุตตะกาโม ละเภ ปุตตัง ธะนะกาโม ละเภ ธะนัง อัตถิ กาเย กายะญายะ เทวานัง ปยะตัง สุตะวา. คำแปล : ผูปรารถนาบุตร พึงไดบุตร ผูปรารถนาทรัพย์ พึงได ทรัพย์ บัณฑิตไดฟงมาวา ความเปนที่รักที่ชอบใจของเหลาเทวดาและ มนุษย์มีอยูในกาย (เรา) เพราะเรารูไดดวยกาย. สวดมนต์ตองอธิษฐาน ใหทานตองตั้งใจ คำวา “อธิษฐาน” หมายถึง การตั้งใจมุงผลอยางใดอยางหนึ่ง การตั้งจิตรองขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งตอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ การนึกปรารถนาสิ่งที่ตองการจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชน ตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากพระ นึกอธิษฐานในใจขอใหเดินทางแคลวคลาด เปนตน การใหทานก็เชนกันตองตั้งใจให ดวยความจริงใจ ไมใชใหอยางเสียไมได การสวดพระคาถาชินบัญชรนั้น ก็เพื่อตองการความศักดิ์สิทธิ์เขมขลังมาเปน พลังใหใจคิดดีคิดชอบ ความจริงนั้นสิ่งศักดิ์ตางๆ ไมจำเปนที่จะตองอยูนอกตัวเรา เสมอไป พระพุ ท ธเจ า ตรั ส ว า ตนแลเป น ที่ พึ่ ง แห ง ตน เราสามารถเสกมนต์ ใ ส ใจ ดวยตัวเอง ดวยความตระหนักรูและนอมนำคุณของพระรัตนตรัยเขามาไวในตน แลว ทำตนใหเปนสิ่งรองรับพระคุณดังกลาว หรือทำตัวใหเปนเหมือนแทนบูชา ดังคำ กลาวในคาถานำของพระคาถาชินบัญชรที่วา อัตถิ กาเย กายะญายะ.. ซึ่งแปลวา มีอยูในกาย รูไดดวยกาย นี้เปนเครื่องแสดงใหเห็นวาความศักดิ์สิทธิ์หรือพลานุภาพ อันยิ่งใหญของพระรัตนตรัยนั้น เราสามารถเสกสรางใหเกิดขึ้นไดจริงๆ

20

¾Ø·¸Ä·¸ÔìªÔ¹ºÑÞªÃáÅФÓÊ͹ÊÁà´ç¨âµ


ÀÒǹÒÁ¹µ ¤Ò¶ÒÇ‹Ò อิติป โส ภะคะวา ยะมะราชาโน ทาวเวสสุวัณโณ มะระณัง สุขัง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธายะ.

บทนีเ้ ปนมนต์คาถาทีแ่ ตงขึน้ มาเพือ่ ใชสวดภาวนาใหจติ สงบนิง่ กอนทีจ่ ะสวด พระคาถาชินบัญชร เพราะตามธรรมชาตินนั้ จิตของคนเรามักจะดิน้ รนกวัดแกวงเหมือน ลิงที่วิ่งซุกซนไปโนนมานี่ตลอดเวลา หากเรายังไมมีความพรอมในจิตใจ การสวด ภาวนาพระคาถาชินบัญชรก็ไมสำเร็จผลได ถึงจะสำเร็จแตก็ยังไมเต็มเม็ดเต็มหนวย เพื่อใหการดำเนินชีวิตในแตละวันราบรื่น ไรอุปสรรคขวากหนาม เบื้องตนตองมีจิตใจ ที่มั่นคงไมหวั่นไหว การที่จะมีใจมั่นคงนั้นตองสรางศรัทธาคือความเชื่อมั่นขึ้นในใจ ใหไดกอ น ดังพุทธภาษิตวา ศรัทธาทีต่ งั้ มัน่ ย่อมสำเร็จประโยชน์ และศรัทธาทีจ่ ะสำเร็จ ประโยชน์อยางแทจริงนั้นตองเปนศรัทธาที่ประกอบดวยปญญา กอนที่จะออกจากบานไปเผชิญกับสิ่งตางๆ ภายนอก หากมีเวลาวางควร เสียสละเวลาสักนิด เพือ่ ทำจิตใจใหมนั่ คงเปนสมาธิ เสริมสรางพลังใจใหแข็งแกรงดวยการ สวดมนต์ อานิสงส์จากการสวดมนต์จะทำใหสมองปลอดโปรงโลงใจ พรอมที่จะเผชิญ กับสิ่งตางๆ อยางมีสติ Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ

21


๑. ชะยาสะนาคะตา๑ พุทธา เชตะวา มารัง สะวาหะนัง จะตุสจั จาสะภัง ระสัง เย ปวงิ สุ นะราสะภา. คำแปล : พระพุทธเจาผูองอาจ ในหมูชนประทับนั่ง ณ ชัยอาสน์บัลลังก์๒ ทรงชนะพญามาร ผูพ รัง่ พร อ มด ว ยเสนามารแล ว เสวย อมตรส๓ คืออริยสัจ ๔ ประการ อันทำใหผูรูแจงขามพนจากทุกข์ ทั้งปวงได. ปญหาอุปสรรคตางๆ ทีถ่ าโถมเขามาหาเรานัน้ ถามองกันใหดๆี ก็คอื มารราย ทีจ่ ะเขามาบัน่ ทอนกำลังใจทำใหเราทอแท เพือ่ ไมใหเราทำความดีสำเร็จ แมพระพุทธเจา ก อ นที่ จ ะตรั ส รู พ ระอนุ ต รสั ม มาสั ม โพธิ ญ าณ ก็ ถู ก พญามารและเสนามารเข า มา ขั ด ขวางเพื่ อ มิ ใ ห ต รั ส รู แต พ ระพุ ท ธองค์ ก็ ท รงชนะด ว ยการระลึ ก ถึ ง บารมี ๑๐ ประการ ทำใหนางวสุนธราแมพระธรณีมาเปนพยาน จนพญามารและเสนาตอง พายแพกลับไป คำวา มาร ในทางพุทธศาสนาแปลวา ผูท ำใหตาย, ผูฆ า หมายถึงผูข ดั ขวาง มิ ใ ห มี โ อกาสทำความดี ไ ด โ ดยสะดวก หรื อ ผู ข จั ด คุ ณ งามความดี ใ นบุ ค คลออกไป มี ๕ อย า ง ได แ ก ๑) ขั น ธมาร มารคื อ ร า งกาย ๒) กิ เ ลสมาร มารคื อ กิ เ ลส ๓) อภิสังขารมาร มารคืออกุศลกรรม ๔) เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร ๕) มัจจุมาร มารคือความตาย ๑ บางฉบับเปน ชะยาสะนากะตา แปลไดความเหมือนกัน ๒ หมายถึง ที่ประทับใตตนพระศรีมหาโพธิ์ในวันตรัสรูของพระพุทธเจา ๓

อานวา อะ-มะ-ตะ-รด หมายถึง รสแหงธรรมที่เปนอมตะคืออริยสัจ ๔ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)

22

¾Ø·¸Ä·¸ÔìªÔ¹ºÑÞªÃáÅФÓÊ͹ÊÁà´ç¨âµ


๒. ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนสิ สะรา. คำแปล : พระพุทธเจา ๒๘ พระองค์๑ มีพระพุทธเจาทรงพระนามวาตัณหังกร เปนตนเหลานัน้ ขออัญเชิญพระพุทธเจา ผูเ ปนจอมมุนที กุ พระองค์มาประดิษฐาน ณ กลางกระหมอมของขาพเจา.

กลางกระหมอมเปนศูนย์กลางแหงชีวิต เปนสวนที่เปนสุดยอดของรางกาย ถื อ เป น อวั ย วะที่ สู ง ที่ สุ ด อี ก นั ย หนึ่ ง จึ ง เป น ที่ ตั้ ง ของเป้ า หมายสู ง สุ ด แห ง ชี วิ ต ด ว ย คนเราตองมีเป้าหมายและตองไปถึงเป้าหมายทีต่ งั้ ไวใหได ในทางพระพุทธศาสนาสอน ไววา คนที่จะทำอะไรสำเร็จนั้นตองตั้งอยูในคุณธรรมที่เรียกวา อิทธิบาท แปลวา คุณเครือ่ งหรือขอปฏิบตั ทิ นี่ ำไปสูค วามสำเร็จ มี ๔ อยาง คือ ๑) ฉันทะ คือ ความพอใจ รักใครในงานทีท่ ำ ๒) วิรยิ ะ ความเพียร ลงมือทำดวยความหมัน่ ขยันอดทน ๓) จิตตะ ความเอาใจใส ไมทอดทิ้งธุระในกิจการงานที่ทำ ๔) วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณา หาเหตุ แ ละผลในงานที่ ท ำว า ดี ห รื อ ไม อ ย า งไร เมื่ อ ทำได ทั้ ง หมดนี้ ย อ มมี ค วาม สำเร็จเปนเบือ้ งหนา ๑

คือ ๑. พระตัณหังกร ๒. พระเมธังกร ๓. พระสรณังกร ๔. พระทีปง กร ๕. พระโกณฑัญญะ ๖. พระมังคละ ๗. พระสุมนะ ๘. พระเรวตะ ๙. พระโสภิตะ ๑๐. พระอโนมทัสสี ๑๑. พระปทุมะ ๑๒. พระนารทะ ๑๓. พระปทุมตุ ตระ ๑๔. พระสุเมธะ ๑๕. พระสุชาตะ ๑๖. พระปยทัสสี ๑๗. พระอัตถทัสสี ๑๘. พระธัมมทัสสี ๑๙. พระสิทธัตถะ ๒๐. พระติสสะ ๒๑. พระผุสสะ ๒๒. พระวิปสสี ๒๓. พระสิขี ๒๔. พระเวสสภู ๒๕. พระกกุสันธะ ๒๖. พระโกนาคมนะ ๒๗. พระกัสสปะ ๒๘. พระโคตมะ (องค์ปจจุบัน) Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ

23


๓. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร. คำแปล : ขออัญเชิญพระพุทธเจา ประดิษฐานบนศีรษะของขาพเจา พระธรรมประดิ ษ ฐานที่ ด วงตา ทั้งสองของขาพเจา พระสงฆ์ผูเปน อากรบอเกิดแหงคุณความดีทั้งปวง อยูที่อกของขาพเจา.

ศีรษะเปนที่บรรจุสมองซีกซายใชขบคิดพิจารณาเหตุและผล สวนสมอง ซีกขวาใชคิดจินตนาการสรางสรรค์สิ่งตางๆ เปนศูนย์กลางแหงการคิด การวางแผน การสรางเป้าหมาย และวิธีการที่จะทำใหบรรลุเป้าหมายนั้น บทนี้เปนการอัญเชิญ พระพุทธเจามาประดิษฐานบนศีรษะเพื่อใหเกิดความคิดแตกฉาน คิดดี มีเป้าหมาย การอัญเชิญพระธรรมประดิษฐานที่ดวงตาทั้งสองขาง ธรรมชาติสรางดวงตา ใหเรามา ๒ ขางนั้นเพื่อจะใหมองดูสิ่งตางๆ ใหไดมาก แบงออกเปน ๒ อยาง คือ ๑) ตานอก หมายถึงดวงตาคือตาเนื้อ ๒) ตาใน หมายถึงความรูและสติปญญา ดวงตา สองประเภทนี้ มี ค วามสำคั ญ มากในการดำเนิ น ชี วิ ต ของแต ล ะคน ตานอกใช ม อง สิ่งตางๆ สวนตาในสำคัญที่สุด เพราะแมจะมีตาเนื้อมองเห็นทุกอยาง แตถาขาดสติ ปญญาแลวไมสามารถดำเนินชีวิตใหดีได แตคนตาบอดหากมีปญญาก็เลี้ยงชีวิตได ไมยากนัก การอัญเชิญพระสงฆ์ประดิษฐานอยูที่อก แสดงถึงความฮึกเหิมกลาหาญ สามารถตอสูกับอุปสรรคปญหาตางๆ ได เมื่อคบเพื่อนฝูงก็ตองมีความเขาอกเขาใจกัน

24

¾Ø·¸Ä·¸ÔìªÔ¹ºÑÞªÃáÅФÓÊ͹ÊÁà´ç¨âµ


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.