àÃÕ¹ÃÙŒ·Õè¨ÐÍÂً໚¹Êآ㹷ءÊÀÒ¾ÍÒ¡ÒÈ äÁ‹Ç‹Ò¨ÐÌ͹ ½¹ ËÃ×Í˹ÒÇ
โดย
พระราชธรรมวาที
(ชัยวัฒน์ ธมฺมวฑฺฒโน)
วัดประยุรวงศาวาส กรุงเทพฯ
นำเสนอสาระ : มนิจ ชูชัยมงคล บรรณาธิการสาระ : ศักดิ์สิทธิ์ พันธุสัตย ออกแบบปก : อนุชิต คำซองเมือง บรรณาธิการศิลปะ : อนุชิต คำซองเมือง ภาพประกอบ : ภัทฬศิลปธอน โกศัลวัรณ รูปเลม/จัดอารต : กัญนัฐ ทองโสม
¤Ó¹ÓÊӹѡ¾ÔÁ¾ ช่วงนี้ เป็นช่วงที่โลกกำลังอยู่ในภาวะโลกร้อน อากาศร้อนอบอ้าว ที่สุดแทบจะตับแตกเลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เพราะ ธรรมดาของธรรมชาตินั้นต้องมีร้อน มีหนาว มีฝนก็ต้องมีลม ฉันนั้น ทางที่ ดี ที่ สุ ด คื อ ต้ อ งพยายามปรั บ ตั ว ปรั บ ใจให้ เ ข้ า กั บ ภาวะตามปกติ ธรรมดาของธรรมชาตินั้นๆ หนังสือ สุขทุกฤดู เล่มนี้ เป็นปาฐกถาธรรมของพระเดชพระคุณ พระราชธรรมวาที (ชัยวัฒน ธมฺมวฑฺฒโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด ประยุรวงศาวาสวรวิหาร ซึ่งได้แสดงไว้ในโอกาสที่ได้รับพระราชทาน สมณศักดิ์ที่ พระพิจิตรธรรมพาที เพื่อเป็นธรรมะคู่มือของนักสู้ชีวิต โดยคณะทำงานสำนักพิมพ์เลี่ยงเชียงได้สรรค์สาระ จัดหัวข้อ ซอยย่อ หน้า ใส่ศิลปะและภาพประกอบสวยงาม หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้ จักเป็นเสมือนแสงเทียนที่ส่อง สว่างทางปัญญาสำหรับผู้ที่ต้องการมีความสุขทั้งทางกาย และจิตใจได้ ไม่มากก็น้อย ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระเดชพระคุณ ที่ได้กรุณามอบต้นฉบับหนังสือดีๆ ให้จัดพิมพ์เผยแผ่ในครั้งนี้ โดยไม่คิด ค่าลิขสิทธิ์ใดๆ ขอให้ทุกท่านอยู่อย่างเปนสุขใจตลอดไป
Á¹Ô¨ ªÙªÑÂÁ§¤Å ผู้นำเสนอสาระในนามคณาจารย สำนักพิมพเลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน โปรดใชเลมนี้ใหคุมสุดคุม & อานแลว -> แบงกันอานหลายทานนะจะ
อานสิบรอบ ระดมสมองคิดสิบหน ฝกฝนปญญา พัฒนาการประยุกตใชในชีวิตประจำวัน จิตรูเทาทันสรรพสิ่ง ฉลาดใช เฉลียวคิด ชีวิตจักสนุก สงบ เย็น สำนักพิมพเลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน ปรารถนาใหทุกครอบครัวมีความสุข
¤Ó͹ØâÁ·¹า บัณฑิตแต่โบราณกล่าวไว้ว่า “มีลูกไว้พึ่งพา มีศาสนาไว้พึ่งใจ” ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้ชีวิตได้มีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว ศีลธรรมทางศาสนา คือธรรม โอสถหรืออาหารใจที่จะหล่อเลี้ยงใจให้มีความหวัง พร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหา และอุปสรรคของชีวิตให้หมดไป อย่ามัวแต่เพลิดเพลินแสวงหาอาหารมาบำเรอกาย จนลืมเติม อาหารบำรุงใจ จะเข้าทำนองที่ว่า “อิ่มเพียงท้อง แต่พร่องทางใจ” แสดงว่าจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น หากผู้ใดฉีดวัคซีนทางศาสนาเข้าไป ภายในจิตใจได้มาก ชีวิตของผู้นั้นก็ย่อมจะมีความบริสุทธิ์ผ่องใส เป็น วิตามินบำรุงใจอย่างดีที่จะช่วยให้ชีวิตมีความสุข ดังคำกล่าวว่า “เปน อะไรก็ดี มีอะไรก็สวย แม้เมื่อม้วยก็สุข” ขออนุโมทนา คุณมณฑนจติ ตเกษม จงพิพฒ ั นยงิ่ ผูอ้ ำนวยการ สำนักพิมพเลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน และคณะผู้จัดทำทุกท่าน ที่ช่วยกันคิด ทำ นำเสนอหนังสือเล่มนี้จนสำเร็จเป็นรูปเล่มสวยงาม น่าอ่านยิ่ง เป็นที่ถูกใจของคนทุกๆ วัย เรียกว่า เด็กก็อ่านได้ ผู้ใหญ่ ก็อ่านดี มีสาระ พระราชธรรมวาที
(ชัยวัฒน์ ธมฺมวฑฺฒโน)
๒๔/๘ วัดประยุรวงศาวาส (เชิงสะพานพุทธ) แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
เดือนเมษายนของทุกป เป็นช่วงที่ อุณหภูมิร้อนรุ่มเป็นที่สุด หากร้อนแต่เพียงภายนอก คือ ร้อนกายอันเกิดจากธรรมชาติ ก็พอทนไหว แต่ถ้าร้อนภายใน คือร้อน ใจอันเกิดจากไฟกิเลส ก็เป็นเหตุให้บางคนบางท่าน ถึงกับมีอันเป็นไป ต่างๆ นานา เข้าลักษณะว่า “อยู่ร้อนนอนทุกข์” กระสับกระส่ายวุ่น วายทางจิตใจ ถึงกับโรคภัยแทรกแซง âä¹Ñé¹ÁÕ ò ª¹Ô´ คือ âä·Ò§¡Ò กับ âä·Ò§ã¨ ผู้ที่มีทุกข์มีปัญหาทางกาย ก็เพราะถูกโรคภัยเบียดเบียน ผู้ที่มีทุกข์มีปัญหาทางใจ ก็เพราะถูกกิเลสเบียดเบียน หากท่านทั้งหลายศึกษาหาทางยับยั้งปองกันสรรพกิเลสน้อยใหญ่ มิให้มีโอกาสแสดงบทบาทหรือประกาศอิทธิพลได้แล้ว ท่านก็จะพ้นจาก สภาพ “อยู่ร้อนนอนทุกข” หันมา “อยู่สุขเย็นใจ” เมื่อนั้น
âäÎÔµ...µÔ´Íѹ´Ñº เป็นที่น่าสังเกตว่าโรคที่บั่นทอนพลานามัยและเป็นภัยต่อสังคม อยู่ขณะนี้มี ๓ โรค เรียกว่า โรค ๓ อ. คือ โรคอด... ไม่มีจะกินจะใช้ โรคเอดส... เพราะสำส่อน โรคอิจฉ... คือโรคตาร้อนตาลุก เป็นอาการไม่ปกติทางจิต ชนิดหนึ่ง คือ อิจฉาริษยา เห็นใครดี ใครเด่น ใครดังเกินหน้าเกินตา แล้วอดรนทนไม่ไหวทำใจไม่ได้ กลายเป็นคนเจ้าทุกข์ จ้องหาจังหวะที่ จะทำลายผู้อื่นให้พินาศด้วยอุบายวิธีต่างๆ ดังพระบาลีที่ว่า “อรติ โลกนาสิกา (อะระติ โลกะนาสิกา) ความริษยายังโลกาให้พินาศ” นี่แหละที่ทา่ นเรียกว่าโรค “อิจฉาตา ร้อน”
ÊØ¢·Ø¡Ä´Ù
5
µÔ´áÍà ËÑÇ㨠ปาฐกถาธรรมเรื่อง “สุขทุกฤดู หรือ อยู่อย่างไรให้ใจเปนสุข” ของอาตมภาพวันนี้ หวังที่จะเชิญชวนทุกท่านหันมาติดแอร์ให้แก่หัวใจ มุ่งสลายคลายความร้อน ทั้งร้อนนอกร้อนใน ให้กลับกลายเป็นความ ร่มเย็นเป็นสุขแก่ทุกท่าน หากท่านทั้งหลายยินดีพลีหัวใจ ให้ศีลธรรมทางศาสนาได้มีโอกาส ชำแรกเข้าไปสมานเยียวยาบ้าง ชีวิตก็จะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ มิใช่ ภายนอกสดใสแต่ภายในฟอนแฟะ อย่างนี้เห็นทีจะเข้าตำราว่า “มีเกลือ แต่ปล่อยให้เนื้อเน่า” เหมือนมีโอสถพิเศษ คือธรรมะ แต่กลับปล่อยให้โรคร้ายคือกิเลส รุมกัดรุมเกาะ ก็ไม่ต่างอะไรกับยาที่อยู่ในตู้แต่โรคอยู่ในตัว ซึ่งช่วยอะไร ไม่ได้ ไร้ประโยชน์
6
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
ÇѤ«Õ¹¸ÃÃÁ ¡Ñ¹·Ø¡¢ บัณฑิตแต่โบราณท่านกล่าวไว้น่าคิดตอนหนึ่งว่า “มีลูกไว้พึ่งพา มีศาสนาไว้พึ่งใจ” ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้ชีวิตมีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว ศีลธรรมทาง ศาสนานั่นแหละ คือยอดของโอสถหรืออาหารใจ ท่านทั้งหลายอย่าเพลินแต่แสวงหาอาหารบำเรอกาย จนลืมเติม อาหารบำรุงใจ มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า “อิ่มเพียงท้องแต่พร่องทางใจ” ตรงกันข้าม ผู้ใดฉีดวัคซีนทางศาสนาเข้าสู่จิตใจได้มาก ชีวิตก็มีความ ผ่องแผ้วบริสุทธิ์ ประดุจปุยที่ช่วยบำรุงชีวิตให้งอกงาม ช่วยบันดาลให้ เป็นอะไรก็ดี มีอะไรก็สวย แม้เมื่อม้วยก็สุข ดังบทประพันธ์ที่ว่า ÍÂÙ‹àÃ×͹᤺Âѧ´ÕäÁ‹ÁÕ·Ø¡¢ ¨¹¡çÁÕÈÕŸÃÃÁ»ÃШÓ㨠Íѹà§ÒËÁªÒÂàÃ×͹àËÁ×͹ÊÇÃä ¨Ö§¨ÐÍÂÙ‹ÊØ¢·Ø¡·ÔÇÒáÅÐÃÒµÃÕ
´Õ¡Ç‹Ò¤Ø¡µÐÃÒ§·Õè¡ÇŒÒ§ãËÞ‹ ÁÕËÇѧ䴌ÊØ¢ÒäÁ‹ÃÒ¤Õ µŒÍ§àÊ¡ÊÃÃãËŒºÃÔÊØ·¸ÔìÈÃÕ ¡çµŒÍ§ÁÕÈÕŸÃÃÁ¹Ó¾Òä»
ÊØ¢·Ø¡Ä´Ù
7
à˵ØÊÌҧ¤ÇÒÁÊØ¢ ó Ẻ แบบ·Õè ñ ¤วาÁÊØ¢ä´้จา¡à§Ô¹ ท่านสาธุชนทุกท่าน ความสุข...เป็นยอดปรารถนาของชีวิต ทุกคน จึงดิ้นรนไขว่คว้า บางคนต้องการเงิน บางรายต้องการเกียรติ บางท่าน ต้องการคำชม บางคนนิยมให้คนเอาอกเอาใจ หรือไม่ก็ต้องการไปจาก เสียสิ่งที่ตนไม่ต้องการ ที่ยกตัวอย่างมานี้ ล้วนแต่ปรารภเหตุขึ้นมากล่าวทั้งสิ้น แท้จริง ความสุขนั้น เป็นผล... หาใช่ตัวเหตุไม่ แต่เมื่อกล่าวถึงผลที่ต้องการแล้วก็ตรงกันคือ “ความสุข” เช่น ต้องการเงิน ต้องการไปทำไม ถ้าไม่ใช่เพื่อจะใช้ซื้อความสุขให้แก่ตน เงินจึงเป็นเหตุของความสุข ดังคำขวัญสมัยหนึ่งซึ่งซู่ซ่ามาก คือ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวมันเองแล้ว คนอยากได้เงิน ชอบ เงิน ก็ต้องทำงาน ถ้าไม่ทำงานแล้ว ไหนเลยจะมีเงิน ในทำนองกลั บ กั น ถ้าไม่มีหวังได้เงินแล้ว ก็คง ไม่มีใครยอมทำงานเช่นกัน ฉะนั้น จึงมีคำพูดว่า “เงินดีงานเดิน เงินเกิน งานวิ่ง เงินนิ่งงานชะงัก” หรือ... “งานเดินเงินดี เงินมีงานวิ่ง เงินนิ่งงานก็หยุด” 8
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
นี้ล้วนแต่เน้นเรื่องเงิน เน้นจนคนงกเงินกันไปหมด ใจจดใจจ่อ อยู่กับเงิน มีคนไม่น้อยหลงเงิน จนลืมความหมายของเงิน เอาแต่มุ่งหา มุ่งเก็บ เก็บเท่าไรมีเท่าไร ก็หาได้รับประโยชน์อันแท้จริงจากเงินไม่ ประโยชน์อันแท้จริงของเงิน ก็คือซื้อหาสิ่งที่จะให้เกิดความสะดวก สบาย เรียกง่ายๆ ว่า ความสุข...
แบบ·Õè ò ¤วาÁÊØ¢ä´้จา¡ ¡าÃÈÖ¡Éา à§Ô¹ ¤วาÁäÁ‹ÁÕâä คำขวัญอีกคำหนึ่งที่เคยฟังกันทั่วไป ซึ่งเป็นคำขวัญที่แสดงถึง การมุ่งเอาความสุขเป็นที่หมาย คือคำว่า “ศึกษาดี มีเงินใช้ ไร้โรคา พาให้สุขสมบูรณ” การศึกษาก็ดี การหาเงินก็ดี การทำตัวให้สมบูรณ์ด้วยพลานามัย ก็ดี ล้วนแต่เป็นเหตุที่จะช่วยให้ชีวิตมีความสุขทั้งนั้น
แบบ·Õè ó ¤วาÁÊØ¢ä´้จา¡¡าÃÁÕบ้า¹ ÁÕ¤Ù‹ ÁÕ¡Ô¹ ÁÕãª้ อีกคำหนึง่ แสดงถึงความต้องการของคนทัว่ ๆ ไปตามวิสยั โลกียชน แต่คงไม่ได้ยินกันหนาหูนัก นั่นคือคำว่า “มีบ้านอยู่ มีคู่เคล้า มีข้าว กิน มีสินใช้” นี่ก็เป็นเหตุของความสุขเฉพาะอย่าง
มีบ้านอยู่ เป็นความสุข ก็เพราะไม่ต้องระเหเร่ร่อน นั่งไม่เป็น บ่อน นอนไม่เป็นที่ เพื่อความสุขในแง่นี้ จึงจำต้องมีบ้านอยู่ มีคู้เคล้า เป็นความสุขทางเพศ ทางมิ่งขวัญเพื่อนร่วมทุกข์ มีข้าวกิน ก็เป็นสุขในด้านความอิ่ม มีสินใช้ ก็เพื่อความสุขเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ มาสนองความปรารถนา ของตน สรุปแล้ว บ้านก็ดี คู่ครองก็ดี ข้าวปลาอาหารก็ดี เงินทองทรัพย์สิน ก็ดี เป็นปัจจัยหรือเป็นสะพานเพื่อให้ชีวิตผ่านไปสู่ความสุขทั้งสิ้น 10 Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
ËÒ¤ÇÒÁÊØ¢ ¤×Í §Ò¹ãËÞ‹¢Í§Á¹ØÉ ว่าถึง “งานหาความสุข” แล้ว ต้องถือว่าเป็นงานที่จำเป็นรีบด่วน และสำคัญมาก เรียกได้ว่างานอะไรจะสำคัญเท่ากับงานหาความสุขเป็น ไม่มีแล้ว งานหาความสุขเป็นเรื่องที่หนักและเหน็ดเหนื่อย เพื่อจะได้ความสุข คนเราก็ยอมยากยอมเหนื่อย ดังคำที่ว่า µÍ¹µŒ¹ÊÙŒ·¹·Ø¡¢ µÍ¹µŒ¹ªÍºÊºÒÂ
¨Ðä´ŒÊØ¢àÁ×è͵͹»ÅÒ ¨Ð䴌ÌÒÂàÁ×èÍ»ÅÒÂÁ×Í
หรือ “¨Ð໚¹ÊØ¢¡çµŒÍ§·Ø¡¢ ŧ·Ø¹¡‹Í¹ ¨Ð໚¹¡ŒÍ¹·ÕÅйŒÍ¤‹Í¼ÊÁ”
ที่ว่างานหาความสุขเป็นงานใหญ่ ก็จะเห็นได้จากการบริหารบ้าน เมืองของรัฐบาล ที่แยกเป็นกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ยังได้ถือเอาความสุข นั้นเป็นกระทรวงกระทรวงหนึ่ง เรียกว่า “กระทรวงสาธารณสุข” มีกิจที่ ต้องปฏิบัติเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนมากมาย
àÊÃÔÁ¸ÃÃÁ
¤ÇÒÁÊآẋ§ä´Œà»š¹ ó ÃдѺ ¤×Í ¤ÇÒÁÊØ¢à¡Ô´¨Ò¡¡ÒÃä´Œ, ¤ÇÒÁÊØ¢à¡Ô´¨Ò¡ ¡ÒÃãËŒ ¡ÒÃẋ§»˜¹, ¤ÇÒÁÊØ¢à¡Ô´¨Ò¡¡ÒûŋÍÂÇÒ§ äÁ‹ÂÖ´¶×Í, ä´ŒÊÔè§ã´¡çäÁ‹à·‹Ò¡Ñºä´Œ¸ÃÃÁÐ áÅÐãËŒÊÔè§ã´¡çäÁ‹à·‹ÒãËŒ¸ÃÃÁÐ à¾ÃÒиÃÃÁÐ àÁ×èͼٌã´ÁÕáÅл®ÔºÑµÔµÒÁáŌNjÍÁÁÕªÕÇÔµ·Õè໚¹ÊØ¢·Ø¡ÃдѺ ÊѾ¾Ð·Ò¹Ñ§ ¸ÑÁÁзҹѧ ªÔ¹ÒµÔ ¡ÒÃãËŒ¸ÃÃÁÐ ª¹Ð¡ÒÃãËŒ·Ñ駻ǧ ÊØ¢·Ø¡Ä´Ù 11
¤ÇÒÁÊØ¢µÒÁÁµÔâÅ¡ แต่เมื่อสรุปความหมายให้แคบเข้า ก็ได้ความสุขเป็น ๒ ประการ คือ สุขกายและสุขใจ ดูเหมือนว่ากระทรวงสาธารณสุขนี้ จะมีหลักบริหาร เน้นไปทางสุขกายมากกว่า โดยเฉพาะมุ่งหมายด้านปลูกฝังสุขภาพอนามัย ของประชาชน โดยถือเอาความไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นความสุข ตามทัศนะของโลกถือว่า ใจ ขึ้นอยู่กับ กาย ถ้าร่างกายดี ใจก็ สดชื่น ปัญหาว่า ความสุขอยู่ที่ไหน ? ถ้าจะตอบโดยมติโลกแล้วก็ตอบว่า อยู่ที่เงิน อยู่ที่ศึกษาดี มี เงินใช้ ไร้โรคา อยู่ที่มีบ้านอยู่ มีคู่เคล้า มีข้าวกิน มีสินใช้ ...มีปัญหาแทรกเข้ามาอีกว่า คนมีเงินมาก มีบ้านเรือนใหญ่โต มี คู่เคล้า มีข้าวกิน มีร่างกายแข็งแรง และมียศมีเกียรติ อะไรๆ อีก เยอะแยะนั้น มีความสุขไปทุกคนจริงหรือ ?
12 Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
Êآ䴌¨Ò¡ Ò¡·ÃѾ ท่านผู้ที่มั่งมีดังกล่าว... หากท่านไม่มีความสุขทั้งๆ ที่ท่านมีอะไรๆ มากมาย แต่หาความสุขไม่เจอ อยากจะขอเสนอให้ท่านหันมาสน ใจวิธีหาความสุขในทางธรรมดูบ้าง การหาความสุขทางธรรมนี้ จะหาได้โดยท่านไม่ต้องทอดทิ้งสละ ละวางสิ่งที่ท่านมีอยู่แล้ว ขอให้ท่านเข้าใจว่า วิธีทางธรรมจะช่วยทำให้ท่านอยู่กับความมั่งมี โดยที่มันจะไม่เป็นอันตรายต่อตัวท่านเอง อันการแสวงหาความสุขโดยธรรมวิธีนี้ พระพุทธองคก็ตรัส สอนและรับรองมติทางโลกไว้เหมือนกัน ไม่ได้ทรงปฏิเสธเหตุแห่งความสุข ทางโลกแต่อย่างใด ดังที่ตรัสเรื่องความสุขของฆราวาสไว้ด้วยหลักธรรม ๔ ประการ คือ ๑. ๒. ๓. ๔.
สุขเกิดจากการมีทรัพย สุขเกิดจากการใช้ทรัพย สุขเกิดจากการไม่เปนหนี้ สุขเกิดจากการประกอบ การงานที่ปราศจากโทษ
ÊØ¢·Ø¡Ä´Ù 13
Ëาä´้...จ‹าÂ໚¹...àว้¹Ë¹Õé...ÁÕÊØ¢ นี่จะเห็นได้ว่า พระองค์ตรัสรับรองอำนาจทรัพย์ไว้ แต่จะต้อง เป็นทรัพย์ที่จ่ายเพื่ออำนวยความสะดวกสบาย มิใช่มีแล้วก็เอาแต่นั่งเฝา นอนเฝา เป็นทาสของทรัพย์เหมือนปู่โสม อย่างนี้ถึงจะเป็นความสุข ก็สุขแบบลมๆ แล้งๆ เท่านั้น จึงตรัสถึงสุขจากการใช้จ่ายทรัพย์ไว้ด้วย อนึ่ง คนที่มีทรัพยแล้วแต่ไม่ยอมใช้ทรัพยให้เปนประโยชน แก่ตน เขาเรียกว่า คนโกงตัวเอง ใช้ตัวของตัวเที่ยวเสาะแสวงหาและ สะสมไว้ แล้วก็ปล่อยให้ตัวอดๆ อยากๆ แร้นแค้น เอาแต่กลัว จะหมดจะเปลือง คนอย่างนี้น่าสงสาร ฉะนั้น ความสุขจะเกิดมีได้ ก็ต้องใช้ทรัพย์ที่มีอยู่ตามสมควรตามโอกาส สุขอีกอย่างหนึ่งคือการไม่เป็นหนี้ “คนเปนหนี้ต้องเปนทุกข” จิตใจถูกกระตุก ถูกทักถูกทวงอยู่เรื่อย ต้องกังวลอยู่ตลอดเวลา
14 Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
§า¹·ØจÃÔµ ¾าªÕวÔµµÔ´àª×éÍâä อีกอย่างหนึ่ง สุขอันเกิดจากงานที่ปราศจากโทษ เปนความ สุขที่สนิทใจ เงินที่หาได้ด้วยงานสุจริตเป็นเงินบริสุทธิ์ เป็นทางแห่ง ความสุขอีกทางหนึ่ง ซึ่งไม่ได้กล่าวว่าผลจากงานทุกอย่างจะเป็นทางให้ สุขเสมอไปแต่ตรัสว่า เปนสุขเฉพาะผลงานที่สุจริตเท่านั้น ส่วนผลงานที่ได้จากความทุจริต ไม่รับรองว่าเปนทางแห่ง ความสุข แต่เปนทางแห่งความทุกข ผลงานที่ได้จากทางมิจฉาชีพ เมื่อ นำมาบำรุงชีวิตแล้ว จะมีผลเช่นเดียวกับบริโภคอาหารที่สกปรก มีเชื้อโรค แม้ขณะบริโภคจะเอร็ดอร่อยเพียงใด แต่สุดท้ายปลายเหตุก็ท้องเสีย เพลียแรง ฉันใด ผลงานจากความทุจริตผิดศีลธรรม ถือว่าเป็นที่โสโครกสกปรก นำมา บริโภคบำรุงตน เลือดเนื้อที่เกิดจากการบำรุงด้วยผลงานทุจริต ก็ เจริญเยี่ยงเดียวกับภูตผีปศาจ ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ความสุขอันอิงทรัพย์นั้น ต้องมีข้อแม้ว่า ต้อง เป็นทรัพย์ที่บริสุทธิ์ อันได้มาจากงานที่ปราศจากโทษด้วย
ÊØ¢·Ø¡Ä´Ù 15
¶×ͤµÔ " ä´้໚¹´Õ" ªÕวÕ»ลÍ´ÊØ¢ คำสอนของพระ...สำหรับคนบางคนสมัยนี้ฟังแล้วอาจหัวเราะ เพราะถือมติว่า “ได้เปนดี ส่วนวิธีนั้นไม่คำนึง” หากมัวคำนึงปฏิบัติ ตามเงื่อนไขของพระแล้ว เมื่อไรจะรวยขึ้นมาได้เล่า ? หากคนส่วนใหญ่คิดกันเสียอย่างนี้แล้ว ท่านสาธุชนก็โปรดตรอง ดูเถิด มนุษย์จะเบียดเบียนกัน เอารัดเอาเปรียบกันมากเพียงใด หาก ทุกคนต่างก็มุ่งถือมติว่า “ได้เป็นดี” มือใครยาวสาวได้สาวเอา ท่านนึก วาดภาพตามดูเถิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ในด้านส่วนตัวนั้นเล่า คนเราจะมีสุขได้อย่างไร ในเมื่อตัวเอง รู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่ได้มาบำรุงชีวิตและครอบครัวนั้น ตัวไปแย่งไปปล้น ไปฉ้อฉลหลอกลวงมา แล้วถ้าไม่ละอายข้อนี้ก็เรียกว่าแววจิต หรือสกุล รุนชาติของความเป็นมนุษย์ได้หมดไป 16 Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
แต่แท้ที่จริงนั้น ความถือตัวของคนเราย่อมจะมีอยู่ด้วยกัน ยาม นั้นแหละ หมายถึงยามหันมาเคารพตัวเองด้วยความสำนึกใฝ่สูงนั้นแหละ จะหมดความสุข... à¾ÃÒÐàË繤ÇÒÁàÅÇ àË繤ÇÒÁÊ¡»Ã¡ÅÒÁ¡¢Í§µ¹ ÂÔè§àË繪ѴÁÒ¡¡çÂÔè§à´×ʹÌ͹ÁÒ¡ áŌǤÇÒÁÊØ¢¨ÐàËÅ×ͤŒÒ§ÍÂÙ‹ 㹪ÕÇÔµ¨Ôµã¨ä´ŒÍ‹ҧäà ฉะนั้น การหาความสุขด้วยวิธีพึ่งทรัพย์ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ จึง เป็นสัจธรรม ควรแก่การประพฤติปฏิบัติอย่างยิ่ง พร้อมกันนี้ ก็น่าจะรู้ไว้ ด้วยว่า มติที่ว่า “ได้เปนดี” นั้น เป็นวิธีที่น่าอับอายอย่างยิ่งเช่นกัน คนดีมีหัวคิดมีความสำนึกของสาธุชนเขาไม่ทำกันหรอก
ªÇ¹¤Ô´
ÁÒª‹Ç¡ѹź¤ÇÒÁ¤Ô´ “䴌໚¹´Õ” ´ŒÇ¡ÒþÔÁ¾ ˹ѧÊ×ÍàÅ‹Á¹Õéᨡ ໚¹¸ÃÃÁ·Ò¹ãËŒ¤¹ä´ŒÍ‹Ò¹¡Ñ¹à¶ÍÐ ÊØ¢·Ø¡Ä´Ù 17
Êآ䴌¨Ò¡ºØÞ ทางหาความสุขอีกประการหนึ่ง ซึ่งจะเสนอต่อไป เป็นเรื่องเก่า อาจจะฟังเชยๆ ไปหน่อย ความสุขอยู่ที่ไหน ? ตอบว่า อยู่ที่บุญ... เป็นมติทางศาสนาที่ปรากฏในตำราธรรมะมากแห่ง เป็นต้นว่า “มา ปฺุานํ ภายิตฺถ สุขสฺเสตํ อธิวจนํ” (มา ปุญญานัง ภายิตถะ สุขัสเสตัง อะธิวะจะนัง) แปลว่า... ท่านทั้งหลายอย่ากลัวบุญ เลย เพราะคำว่าบุญเปนชื่อของความสุข ข้อนี้ชัดมากบอกว่าบุญกับ ความสุขเป็นเรื่องเดียวกัน การหาความสุขก็ต้องหาที่บุญ อีกแห่งหนึ่งได้ยินกันชินหู คือ “สุโข ปฺุสฺส อุจฺจโย” (สุโข ปุญญัสสะ อุจจะโย) แปลว่า... การสั่งสมบุญ นำมาซึ่งความสุข ข้อนี้ก็ ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายว่า บุญมีส่วนแห่งชีวิตอย่างไร โบราณท่าน กล่าวไว้ว่า “ยามบุญมากาไก่กลายเปนหงส ยามบุญลงหงสกลาย เปนไก่”
18 Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
ท่านพระครูพิศาลธรรมโกศล “หลวงตาแพรเยื่อไม้” วัดประยุรวงศาวาส ท่านได้ประพันธ์ไว้ว่า... ÂÒÁºØÞÁÒÇÒʹҪ‹Ç ÂÒÁºØÞäÁ‹ÁÒÇÒʹÒäÁ‹ª‹ÇÂ
·Õ軆Ç¡çËÒ·Õè˹‹Ò¡çÃÑ¡ ·Õ軆Ç¡ç˹ѡ·ÕèÃÑ¡¡ç˹‹ÒÂ
ปัญหาในข้อนี้มีอยู่ว่า ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่รู้จักบุญในแง่ที่ทำให้ สิ้นเปลือง พูดถึงทำบุญแล้วต้องนึกถึงการเสียเงินกันละ จนอาจจะทำให้ ไม่เห็นด้วยกับภาษิตที่ว่าบุญเป็นชื่อของความสุข มันน่าจะเป็นชื่อของ ความทุกข์มากกว่า และหลายคนก็ทุกข์เพราะบุญ ถึงกับหนีบุญก็มี
Âาµา... ¼วาบØÞ มีเรื่องขำๆ เล่าไว้ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องจริงอยู่มากว่า หญิงคนหนึ่ง อยู่บ้านริมคลองกับลูกหลานซึ่งเป็นเด็กเล็กๆ พอได้ยินเสียงเรือบอกบุญ โฆษณาด้วยเครื่องขยายเสียงผ่านมาทางบ้าน แกก็ลนลานปดประตูหน้า บ้าน พาลูกหลานเล็กๆ หลบออกหลังบ้าน กะประมาณเวลาว่ า พอเรื อ เรี่ ย ไร เลยไปก็หันกลับ พอเปด ประตูหน้าบ้านมองไป ที่ หั ว ตะพานตี น ท่ า ก็ถึงกับผงะ เพราะ พบตั ว บุ ญ วางพาด อยู่สะพานท่าน้ำ คือ ถุงข้าวเปลือก... ÊØ¢·Ø¡Ä´Ù 19
¾Íจ้Ð... ¶้า¾ÃÐäÁ‹¡ว¹ อีกเรื่องหนึ่งมีว่า ผู้เฒ่าสองตายายเกี่ยวข้าวอยู่ที่กลางทุ่งนา แดด เปรี้ยงๆ ตาเงยหน้ามองเห็นพระองค์หนึ่งเดินตรงมาที่แกทั้งสอง ตาจึง กระซิบบอกยายว่า “แกอย่าเงยหน้านะ เราทำมองไม่เห็นเสีย” แล้วทั้งสองก็ ก้มหน้าเกี่ยวข้าวต่อไป ฝ่ายพระสงฆ์องค์นั้นเดินเข้ามาใกล้เห็นคนแก่ทำงานเกี่ยวข้าว กลางแดดให้รสู้ กึ สงสาร นึกตำหนิลกู หลานว่าปล่อยคนแก่ให้ตอ้ งตรากตรำ ลำบาก พอมาถึงก็เอ่ยปากทักถามด้วยความอยากจะแสดงน้ำใจว่า “โยมทั้งสอง ปนี้พอจะได้ดีอยู่หรอกหรือ ?” ฝ่ายตาได้ยิน ก็ชักฉุนนึกว่า หน็อย ย ย...! เราอุตส่าห์ไม่เงยหน้าแล้วยังดันทักออกมา ได้ จึงตอบบอกไปว่า “ครับ..! ปนี้ก็ได้พอสมควร ถ้าพระไม่มากวน ก็คงจะพอ กินพอใช้...” อย่ า งนี้ ก ระมั ง ที่ ใ คร คนหนึ่งบอกว่า พระนี้ข้าฯ ไม่กลัว ไม่วา่ จะเป็นสมเด็จ, เจ้าคุณ, พระครู, มหา, สมุห์, ปลัดฯ ไม่กลัว ทั้งนั้น กลัวแต่ใบฎีกา
20 Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
บØÞบÔ´àบ×͹ มีกลอนพ้อบุญอยู่กลอนหนึ่ง เล่ากันว่าเขียนไว้ที่ศาลา “ดู่หก” เมืองนครศรีธรรมราชว่า บานก็ขัดวัดก็ขูดพูดไมออก วัดก็บอกบานก็บนทนไมไหว บานไดบุญสวนวัดไดปจจัย สักเมื่อไรจะเลิกบุญพอคุณเอย. การที่ทุกวันนี้พากันกลัวบุญด้วยอาการต่างๆ ก็เพราะหัวหน้า นักบุญพวกหนึ่ง พากันบิดเบือนความหมายของบุญอย่างร้ายแรง โดย ที่พากันเน้นเรื่องบุญเฉพาะการให้ทานอย่างเดียว ถึงกับเกิดสำนวนไทย ขึ้นประโยคหนึ่งว่า “ทำบุญให้ทาน” และทำให้ฟังดูกลายเป็นว่า บุญ นี้เหมาะแก่คนมีสตางค์มากๆ หรือเงินเดือนเยอะๆ เท่านั้น คนจนคน สตางค์น้อย หรือคนขี้เหนียวก็เลยพากันกลัว แต่ต่อมากลอนตัดพ้อบุญ ดังว่าก็ถูกแก้ไขใหม่ให้เกิดคุณเห็นค่าของบุญว่า บานก็ขัดวัดก็ขูดครูดกิเลส วัดเปนเหตุบานเปนผลพนทุกขได บุญชวยคนใหพนทุกขเปนสุขใจ หากเมื่อไรขืนเลิกบุญโลกวุนเอย. กลอนบทนี้ ท่านเจ้าคุณพระธรรมทัศนาธร อดีตเจ้าอาวาสวัด ชนะสงคราม ได้แต่งแก้ไว้เมื่อหลายสิบปมาแล้ว
ÊØ¢·Ø¡Ä´Ù 21
บØÞà赯 บØÞ¼ล แท้จริง บุญ๑ มีสองตอน คือ โดยผลกับโดยเหตุ
บริสุทธิ์
โดยผล ก็คือ ใจที่ร่าเริงเบิกบาน เป็นสุข ปลอดโปร่งแจ่มใส อันเป็นสำนึกที่ได้มาจากการได้ทำความดี คือ บุญ โดยเหตุ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง มิใช่เฉพาะต้องการให้ทาน เท่านั้น เช่น รักษาศีล เจริญภาวนา ขวนขวาย ช่วยเหลือ งานที่มีประโยชน์ของเพื่อน... การนอบน้อมคารวะสิ่งที่ ควรคารวะ การพลอยยินดีกับกิจที่ดีของผู้อื่น เป็นต้น แต่ละเรื่องมุ่งให้เกิดผลที่จิตใจ คือสภาพจิตที่ดี แจ่มใสสะอาด
๑
คำว่า บุญ มาจากคำบาลีว่า ปฺุ แปลว่า ความดี, หรือเครื่องชำระใจให้สะอาดปราศจากกิเลส อนึ่ง หมายถึง ความสุขที่ได้จากการทำดี บุญเกิดได้ ๓ ทาง คือ ๑. การให้ ทาน ๒. รักษาศีล ๓. เจริญภาวนา
22 Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
บØÞà¤Ã×èͧªÓÃÐãจ รวมความว่า บุญเป็นเครื่องชำระใจ ใจที่ถูกชำระอย่างถูกวิธี ก็สะอาด ผ่องใส เป็นสาเหตุสำคัญที่จะบันดาลให้ชีวิตพบกับความสุข ถ้าเราจะระดมปลูกฝังสร้างความเข้าใจแก่ปวงชนดังนี้เสมอๆ แล้วคน กลัวบุญก็จะไม่มี แล้วจะทำบุญได้เสมอหน้ากัน ไม่ว่าจะจนหรือรวย ต่อคำถามที่ว่า ความสุขอยู่ที่ไหน ? ก็ตอบได้อีกตอนหนึ่ง ว่า สุขอยู่ที่จิตอันผ่องใส ใจที่สะอาด เพราะตามพุทธทัศนะมีว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีใจเป็นหัวหน้า ถ้าจิตใจใสสะอาด ผ่องแผ้วแล้วไซร้ จะทำ จะพูด หรือจะคิด ฉายาวะ อนุปายินี ความสุข ย่อมติดตาม เสมือนเงาติดตามตน ฉะนั้น
àÊÃÔÁ¸ÃÃÁ
ã¹ã¨Á¹Ø É Â ÁÕ ¡Ô à ÅʡͧãËÞ‹ ó ¡Í§à¢Œ Ò â¨ÁµÕ ¤× Í âÅÀ â¡Ã¸ Ëŧ ¾Ãоط¸à¨ŒÒá¹Ð¹ÓãËŒàÍÒª¹ÐâÅÀдŒÇ·ҹ ¡ÒÃãË,Œ ª¹Ð¤ÇÒÁâ¡Ã¸´ŒÇÂÈÕÅ, ª¹Ð ¤ÇÒÁËŧ´ŒÇÂÀÒÇ¹Ò ÊØ¢·Ø¡Ä´Ù 23
Êآ䴌¨Ò¡¤ÇÒÁʧº บางท่านบอกว่าสุขอยู่ที่ ชอบ... ก็ถูกเหมือนกัน แต่สุขอย่างนี้ อันตราย เพราะใครชอบอะไรก็มักจะอ้างว่า สิ่งที่ตนชอบนั่นแหละสุข เช่น ชอบเหล้า ก็อ้างว่าเหล้าดีทำให้มีสุข, ชอบเที่ยว, ชอบหุ้น, ชอบ หวย, ชอบมวย, ชอบม้า, ชอบไพ่, ไฮโล, ถั่วโป, ลูกเตา ก็อ้างว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสุข แล้วสุขจริงๆ อยู่ที่ไหน ? ในเรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ (นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง) แปลว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี พระองค์ ทรงชี้ไปที่ความสงบว่าเป็นบรมสุข พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรง พระราชนิพนธ์โคลงสี่สุภาพไว้บทหนึ่งว่า สุขใดไม่มาตรแม้น มนุษยจะประสบ ต่อเมื่อทุกขภัยลบ ยามสุขสราญแม้
ความสงบ สุขแท้ สูญหมด นั้นแล ทุกขกลั้ว สุขไฉน
มีปัญหาว่า สงบจากอะไรจึงจะเป็นบรมสุข ท่านอธิบายว่า ต้องสงบให้ได้ ๔ ชั้น คือ ชั้นที่ ชั้นที่ ชั้นที่ ชั้นที่
๑ ๒ ๓ ๔
ต้องสงบจน ต้องสงบใจ ต้องสงบเวรภัย ต้องสงบกิเลส
24 Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
จนเปนทุกข
¢Ñé¹·Õè ñ µ้ͧʧบจ¹
ขึ้นชื่อว่าจนแล้วไม่มีใครปรารถนา เพราะความจนทำให้เป็นทุกข์ ชีวิตขาดความสุข ไม่ว่าจะจนทรัพย์ จนปัญญา ล้วนทำให้ขัดสน พ่ายแพ้ หมดหวัง หนทางตัน ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ¨¹·ÃѾ äÁ‹ÁÕà§Ô¹ãªŒ ¨¹µÃÍ¡äÁ‹ÁÕ·Ò§ä» ¨¹ã¨äÁ‹ÁÕ·Ò§¤Ô´ ¨¹áµŒÁäÁ‹ÁÕ·Ò§à´Ô¹ ¨¹ÁØÁäÁ‹ÁÕ·Ò§Ë¹Õ มีพระบาลีรับรองบทหนึ่งว่า ทลิทฺทิยํ ทุกฺขํ โลเก (ทะลิททิยัง ทุกขัง โลเก) ความจนเปนทุกขให้โลก โดยเฉพาะจนทรั พ ย์ ต้ อ งดิ้ น รนแสวงหา “ไม่มีก็ต้องหา ไม่มาก็ต้องไป” แม้จะกู้หนี้ ยืมสินก็จำยอม ว่าถึงความมีความจนแล้ว มิใช่แต่เฉพาะความจนเท่านั้น ที่เป็น ทุกข์ แม้เศรษฐีผู้มีอันจะกิน ก็ทุกข์เหมือนกัน คนจน... เปนทุกขเพราะไม่มีกิน แต่ ค นรวย...เป น ทุ ก ข เพราะไม่มีที่จะเก็บ มันต่างกันตรงนี้
ÊØ¢·Ø¡Ä´Ù 25
เปนหนี้ก็เปนทุกข อนึ่ง การกู้ยืมทรัพย์สินของผู้อื่นท่านก็บอกว่าเป็นทุกข์อีก ดัง พระบาลีว่า อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก (อิณาทานัง ทุกขัง โลเก) เปนหนี้ เขา ก็เปนทุกขในโลก ไหนจะคำนึงถึงต้น ไหนจะพะวงถึงดอก ครั้นไม่มีจะคืนให้ตาม กำหนด เขาก็ฟองร้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องเสียใจ เสียหน้า เสียเกียรติ เสียเปรียบไปทุกอย่าง เพราะเหตุนี้ ท่านจึงบอกว่า เงินนั้น “เปนมิตรเมื่อกู้ แต่เปน ศัตรูเมื่อทวง” มีเงินเขาก็นับว่าน้อง มีทองเขาก็นับว่าพี่ ไม่มีเงินไม่มี ทอง ไม่มีน้องไม่มีพี่ มีเงินมีทองเจรจาได้ มีไม้มีไร่ปลูกเรือนงาม
àÊÃÔÁ¸ÃÃÁ
¾Ãоط¸à¨ŒÒµÃÑÊÇ‹Ò ¤ÇÒÁÊØ¢¢Í§ªÒÇâÅ¡¹Ñé¹ ÁÕ ô »ÃСÒà ¤×Í ñ. ÊØ¢¨Ò¡¡ÒÃÁÕ·ÃѾ ò. ÊØ¢¨Ò¡¡ÒÃ㪌¨‹Ò·ÃѾ ó. ÊØ¢¨Ò¡¡ÒûÃСͺ¡Òçҹ·Õè ÊبÃÔµ ô. ÊØ¢¨Ò¡¡ÒÃäÁ‹à»š¹Ë¹Õé ´Ñ§¹Ñé¹¼ÙŒ·ÕèäÁ‹ÁÕ·ÃѾ ÁÕ·ÃѾ ᵋäÁ‹ãªŒ¨‹Ò »ÃСͺ ÍÒªÕ¾·Õè¼Ô´¡®ËÁÒ ໚¹Ë¹Õé ¨Ö§ª×èÍÇ‹Ò à»š¹·Ø¡¢ ã¹âÅ¡ 26 Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
จนแล้วต้องเจียม ในเรื่องจนนี้ก็น่าคิด บางคนจนเพราะไม่มี น่าเห็นใจ บางพวกจนเพราะไม่พอ น่าสงสาร บางท่านจนเพราะไม่เจียม น่าเศร้า... ทำหน้าใหญ่ใจเติบ “ตัวเท่าเสา เงาเท่าพ้อม๑” เข้าตำราที่ท่านกล่าวว่า มีเงินเพลินจ่ายสบายจิต บทมีไม่คิดแลหลังหน้า ทำตนใหญ่ใจกว้างทางช้างม้า พอเงินหมดง้ำหน้าอุราโรย ให้ภาวนาไว้เสมอๆ ว่า “ทุกขแล้วต้องทน จนแล้วต้องเจียม” ต้องรู้จักพอดี พอเหมาะ พอควร แล้วจะพอกินพอใช้
๑
âลÀ
äÁ‹âลÀ
จ¹
ÃวÂ
พ้อม หรือ กระพ้อม เป็นภาชนะสานขนาดใหญ่ สำหรับบรรจุข้าวเปลือก
ÊØ¢·Ø¡Ä´Ù 27