ว่าด้วยความขอบคุณจงงดงาม วัฒนา ธรรมกูร กวีนิพนธ์ ทางใบไม้, กากะเยียส�ำนักพิมพ์ สุพัฒน์ ค�ำย้าว กวีนิพนธ์ ขอเป็นกวี, บทเพลงลมบ้าหมู, หัวใหม่ และ ข้ามกาลเวลา, ส�ำนักพิมพ์ใต้ดินศยาม นักเขียนน้อยโรงเรียนศีขรภูมพ ิ สิ ยั จ. สุรนิ ทร์ วิลาวัณย์ นึกดี, ณรงค์ฤทธิ์ แดงงาม, ธิดามาส มะลัยทอง, ราตรี ดวงศรี, ฐิตกิ านต์ ศรีชยั ชนะ, วิชยั จันทร์สอน และคนอืน่ ๆ เรื่องเล่าคัดสรรใน รอบ 1 ทศวรรษ : ฤดูกาลที่ฉันชอบ ทรงพล สุขเรือน คณะนกน้อยหัดบิน อัลบั้มเพลง เสือฟันหลอ มิ่งมนัสชน จังหาร ความเรียงอันเกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์ นิตยสาร กลางแปลง ภพ เบญญาภา รวมเรือ่ งสัน้ พ่อผูไ้ ม่อยากเดินทางไปรัสเซีย และ หน้าต่าง, ศิราภรณ์บคุ๊ ส์ ภู กระดาษ กวีนิพนธ์ ไม่ปรากฏ, ส�ำนักพิมพ์ชายขอบ มาโนช พรหมสิงห์ นวนิยาย สายรุ้งกลางซากผุกร่อน, ส�ำนักพิมพ์ Way of Book และสมัครสมาชิก วารสาร อ่าน ระยะเวลา 1 ปี (4 ฉบับ) สมัครสมาชิก นิตยสาร WRITER ระยะเวลา 1 ปี (12 ฉบับ) แก่คณะผู้เขียนจดหมาย ฮอยล้อ กวีนิพนธ์ ฝั่งปรารถนา, กากะเยียส�ำนักพิมพ์ รวมเรื่องสั้น พ่อใหญ่ปุ่ย, ส�ำนักพิมพ์ค�ำโบราณ แสงดาว ศรัทธามั่น, ภาณุพงษ์ คงจันทร์ และ วิชัย จันทร์สอน ที่มอบดวงตราไปรษณีย์ แก่คณะผู้เขียนจดหมาย ภาพปกโดย ประกิต กอบกิจวัฒนา
สารบัญ
จ�ำปา วงศ์สง่า บทกวีแปล A Poem I didn’t Name 4 อรอาย อุษาสาง ถึง ภูมิชาย คชมิตร 9 วิชัย จันทร์สอน ถึง คณะผู้เขียนจดหมาย 10 ชามกลางคืน ถึง ภูมิชาย คชมิตร 11 มาโนช พรหมสิงห์ ถึง คณะผู้เขียนจดหมาย 13 บุญทม วันสูง ถึง คณะผู้เขียนจดหมาย 16 นฤมิตร ประพันธ ถึง คณะผู้เขียนจดหมาย 17 วิรัช ขันทอง ถึง คณะผู้เขียนจดหมาย 18 จารุพัฒน์ เพชราเวช ถึง ภูมิชาย คชมิตร 20 ภูมิชาย คชมิตร ถึง รน บารนี 21 อนุสรณ์ ติปยานนท์ จดหมายถึงเพื่อน 26 รน บารนี บทกวีแปล Standing on Earth 29 ภู กระดาษ เรื่องสั้น นายแปลกและนายปรีดีไปอุจจาระ 31 แนะน�ำหนังสือ 34
บทกวีรับเชิญ บทกวีที่ข้าพเจ้ามิได้ตั้งชื่อ* ขณะนี้ชาติเราไว้ทุกข์ มิใช่เพื่อความตายของกษัตริย์ที่เราไม่เคยเห็น ขณะนี้ชาติเราร่วมไว้ทุกข์ และหมู่เราจะค้อมศีรษะลง สู่ก้นทะเล แห่งที่ชีวิตราวบุปผาเหล่านั้น ชีวิตแรกผลิของลูกหลาน เราเพิ่งเห็นอยู่หลัดหลัด ถูกกระชากไปจากพวกเขา ฆาตกรรมบ้าบอแท้ เห็นแก่ศีลธรรมด้วยเถอะ ! โปรดเห็นแก่ศีลธรรม ! ชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน ที่เรายังต้องอยู่กันต่อไป โดยลูกหลานที่สดใสแข็งแรง ล่วงหน้าไปก่อนเราเสียแล้ว สิบวันให้หลังผ่านมา เกินกว่าสิบวัน มารดาต่างเพรียกหาชื่อลูกน้อย แทบเสียสติไป ขอเพียงแต่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ เมตตาด้วยเถิด กลับขึ้นมาในกลีบบัว เช่นนางซิมจอง ผู้ที่ราชามังกรช่วยส่งกลับสู่ผืนดิน ขณะบิดาต่างผุดลุกนั่ง ร้องตะโกนใส่ท้องทะเลแห่งเกาะจินโด กระแสความโศกเศร้าซัดกลับขึ้นฝั่งแล้ว ถ้วนทั่วทุกซอกมุมในประเทศนี้ 4
ทุกคนเจ็บแค้น หมัดก�ำแน่น ไม่เพียงโกรธ ทั้งมิใช่แค่โศกเศร้า หากเป็นลิ่มเลือดสีด�ำ ที่แทบกระอักอยู่ในทุกหัวอก ท่านกล่าวถึงประเทศเช่นนั้นหรือ ? นี่มันประเทศพรรค์ไหน ? เราเพิ่งได้ตระหนัก สิ่งที่เราเรียกว่ามนุษยธรรม หรือยุติธรรม ในประเทศเยี่ยงนี้ มันคลอนแคลนเพียงใด เป็นที่หนึ่งในโลก เรื่องนั้นเรื่องนี้ ? อัตราการฆ่าตัวตายยิ่งกว่าเป็นที่หนึ่งน่ะสิ อันดับสิบในโลกเรื่องนั้นเรื่องนี้ ? สิ้นหวังยิ่งกว่าอันดับสิบต่างหากเล่า พูดถึงสังคมงั้นหรือ ? สังคมพรรค์ไหนกัน ไม่มีตรอกซอยที่ไหนแล้ว ที่คนมาอยู่ร่วมกันจริงๆ พูดถึงความเชื่อใจงั้นหรือ ? ยังจะมีความเชื่อใจอะไรหลงเหลืออยู่อีก ? ร่องรอยมิตรภาพก่อนเก่า ที่เราเคยยินดีเชื่อใจกัน ได้สูญไปจากถนนสูงชันทุกสายแล้ว บ่อยไปที่พูดกันว่า ไม่มีอะไรต้องเปิดเผย มีแต่ความเป็นส่วนตัวในประเทศนี้ ไม่เช่นนั้น ไม่มีความเป็นส่วนตัวด้วยซ�้ำ ความเป็นส่วนตัวที่แท้จริงเท่านั้น จึงจะท�ำสิ่งที่เป็นสาธารณะให้ปรากฏ ความเป็นส่วนตัวอันศักดิ์สิทธิ์ เน่าเปื่อยไปหมดแล้ว 5
ในห้วงเวลาของความตายเช่นตอนนี้ อ�ำนาจถูกช่วงชิง ความมั่งคั่งสั่งสม ด้วยความเป็นส่วนตัวพรรค์นี้ วันนี้พวกเขาก็มานั่งมองทะเลใต้อีกครั้ง แม้จะชกต่อยผืนดินด้วยมือเปล่าสักกี่หน ก็ได้มาแค่รอยช�้ำและเลือดอาบมือ ไม่มีวันได้เห็นลูกหลานวิ่งเริงร่าอีกต่อไป กระนั้นพวกเขาก็ยังคงจ้องผืนทะเลเช้าที่ว่างเปล่า และตื่นตนอยู่ตลอดคืน ใช่แต่เพียงพ่อแม่เท่านั้น ผู้คนทั้งสูงวัยและอ่อนวัย ผู้เป็นดังผืนหญ้าและหมู่ไม้แห่งประเทศนี้ ต่างไม่อาจละสายตาจากรายงานข่าว นับแต่ชั่วขณะที่ตัวเรือเพียบน�้ำหนักเริ่มเอียงล้ม หลายวันมาแล้วที่เราคร�่ำครวญ ตั้งแต่เรือจมมิดน�้ำ เหลือแต่ปลายกระดูกงูเรือโผล่มาให้เห็น เฝ้ามองขณะที่ความหลอกลวงและเสื่อมทรามของประเทศนี้ และชีวิตของเรา เผยเปิดออกมาทีละอย่าง เผชิญภัยพิบัติราวกับถูกทรยศ ถูกปล้น เราจึงสงสัยว่าประเทศนี้มันใช่ประเทศแน่ล่ะหรือ ต้องมีเหยื่อของการกระท�ำที่ป่าเถื่อนไร้ความเมตตา เราจึงสงสัย ว่าสังคมนี้เคยมีความพิสุทธิ์บ้างหรือไม่ เราได้ส�ำนึกบ้างไหม ว่าคนแต่ละคน แสดงความเป็นคนกับคนอื่นเพียงใด 6
เราคงจะโง่มาก จนไม่รู้เสียเลยว่า ค�ำว่าจิตวิญญาณ และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เกิดขึ้นมาด้วยเหตุผลใด ลูกรักของฉัน ! ลูกรักของฉัน ! ลูกที่รักของฉัน ! มวลดอกไม้ ! กล้าอ่อนทั้งหลาย ! ร้องออกมาดังนั้น เราควรกระโจนลง กลับไปที่ศูนย์ เริ่มใหม่ จากหนึ่ง สอง คุณ ฉัน และ ประเทศชาติของเรา ทุกสิ่งทุกอย่าง ควรพยายามเริ่มก้าวแรกใหม่อีกครั้ง สิ่งที่ต้องหยุดชะงักไปด้วยโลภต่อการเติบโตรวดเร็ว สิ่งที่ท�ำให้เราบ้าคลั่งไปด้วยการแข่งขันที่ไร้ควบคุม สิ่งที่ปนเปื้อนไปด้วยอ�ำนาจรุ่นแล้วรุ่นเล่า ควรต้องก�ำจัดไปทีละอย่าง ไปจนหมด ด้วยความปวดร้าวที่ขีดเขียนไว้เสียดแทงกระดูกของเรา ที่เลือดเนื้อเราถูกฉีกกระชากไป ควรต้องมีชัยชนะให้คนนับหมื่น แทนที่โถงโอฬารให้เพียงหนึ่งหรือสิบคน ให้เราต่างไม่ลืมเหตุครั้งนี้ ตอกย�้ำเตือนให้ดี นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกกลบฝัง ภายในฤดูใบไม้ร่วงนี้ หรือใบไม้ผลิปีหน้า ให้เราต่างเสียใจกันต่อไปอีกนับร้อยปี เราจักระลึกถึง 7
ดอกไม้ที่ตายไปเหล่านั้น กล้าอ่อนเหล่านั้น ลูกหลานแห่งน�้ำตาที่ขื่นขมของเรา อย่าลืม แต่ตอนนี้ อา.. ประเทศนี้ร�่ำรวยแล้วด้วยเสียงร้องไห้คร�่ำครวญ ประเทศนี้ร�่ำรวยแล้วด้วยความโกรธ ลูกรักของฉัน ! ลูกที่รักของฉัน ! เด็กๆ ที่รักของเรา ! Ko Un ประพันธ์ จ�ำปา วงศ์สง่า แปล
* แปลจาก “A Poem I didn’t Name” ประพันธ์โดย Ko Un กวีชาวเกาหลีใต้, http ://wordswithoutborders. org/article/a-poem-i-didnt-name บทกวีนี้เขียนขึ้นหลังโศกนาฏกรรมเรือ Sewol จมลงสู่ก้นทะเลเกาหลีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 มีผเู้ สียชีวติ กว่า 300 รายซึง่ เกือบทัง้ หมดเป็นเด็กนักเรียน Danwon High School ผูร้ อดชีวติ มีทงั้ สิน้ 172 คน (นับรวมรองครูใหญ่ของโรงเรียนผู้กระทำ�อัตวินิบาตกรรมในเวลาต่อมา) 8
อรอาย อุษาสาง แผนที่ตกสำ�รวจ เหลือเพียงร่องรอยของเงาแดดสนธยา คุณ... คุณนักเขียนแผนที่ หมุดและหมุด จากการปักปันเขตแดนด้วยแถบสีและทิวธง สัมปทานที่ไร้วันสิ้นสุดในสัญญาตัวเลข ราวกับสายแร่เปิดเส้นทางเปลือกตาขยับขยาย และสร้างโรงงานถลุงตัวเองด้วยโพรงของแผ่นหิน คุณเคยเดินเท้า อาจใช่... คุณเดินเท้ากับนักส�ำรวจ เส้นคอนทัวร์ไม่เคยเหยียดตรงในแผนที่ ดวงตาของคุณพร่าเลือนบนภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ที่ยังไม่ได้คำ�นวณ หนึ่งร้อยหนึ่งมิลลิเมตรของปรอทกับแรงประทุภายในตัวคุณ โอบกอด และจุมพิตในราตรีที่คุณข่มตาหลับ หลับฝันในเต็นท์สนาม... ลูกชายของคุณร้องขอจักรยานเสือภูเขา รองเท้าปีนหน้าผา คุณอยากให้เขารู้จักล้อวัดระยะทาง เข็มทิศ หรือกระทั่งการคิดคำ�นวณทางดาวเทียม แต่เขาซ่อนเร้น เร้นลึกราวกับเล่นซ่อนหาในแผนที่ตกสำ�รวจ สว่างอยู่ไกลโพ้นดุจเดียวเพลิงอาทิตย์แผดเผาเช้ารุ่ง มันอาจเป็นแสงเดียวกับที่คุณรอคอยการสะท้อนกลับจากเป้าปริซึ่มเพื่ออ่านค่าพิกัด เหลือเพียงร่องรอยของเงาแดดสนธยา คุณทบทวน ตัวเลขจากการสำ�รวจอาจผิด การเดินทางของคุณอาจแปรเปลี่ยน หมุดและหมุดของแผนที่ภายในแก่นสารภูเขาตัวเลข มุมในวงรอบ และพื้นที่แท้จริง คุณกำ�ลังลากแผนที่เพื่อลูกชาย 9
อ้ายเต็นครับ ผมพยายามเขียน และกำ�ลังรวบรวมงานชิน้ เล็กๆ ไว้เป็นชุด เผือ่ มีเรีย่ วแรงจะทำ�มันเป็น เล่ม ชิ้นนี้เป็นหนึ่งในชุดบทกวีนั้นครับ ผมคิดถึงมิตรสหาย การอ่านเขียนมากเท่าๆ กับการ เดินทาง แต่หลายปีมาแล้วที่สหายท่านหนึ่งบอกผมเรื่องรองเท้านักเรียนของลูกซึ่งผมไม่สะดวก เล่าเลยในตอนนี้ ผมดีใจที่เห็นหนังสือดู่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง และหวังจะเห็นของคนอื่นๆ ตามมาครับ อรอาย
วิชัย จันทร์สอน 17 ธันวาคม 2555 ถึง คณะผู้เขียนจดหมาย มองดูเวลาที่ ได้อ่านจดหมายวรรณกรรมจาก พื้นที่ที่ ไม่มี ใครอยู่-สุดแท้แต่วาสนา (กรกฎาคม-ตุ ลาคม 2554) ผ่ า นไปรวดเร็ ว ราวกั บ ซามู ไ รควบม้ า ฝ่ า ทุ ่ ง ดงดอกมั น ปลา เกินจักกลั้นน�้ำหูน�้ำตาเอาไว้อยู่ ในบรรดาจดหมายทั้งมวล มีจดหมายวรรณกรรมเป็นยาขม สมานบาดแผลทางความคิดตลอดทั้งปี แม้ว่าจะขมปร่าจนน�้ำหูน�้ำตาแทบเล็ด แต่ก็ท�ำให้รู้ว่า มิตรสหายสายธารน�้ำหมึกมีอยู่จริง จงสุขังพลัง ทั่วหน้าในวาระปีใหม่ที่ก�ำลังเดินทางมาถึงในอีกในไม่ช้า ด้วยความระลึกถึงเสมอ วิชัย จันทร์สอน
10
ชามกลางคืน แดดยังส่อง ลมยังพัด ก้าวย่างแสนทรมา
ภูมิชาย ยินดีด้วยกับเพื่อนทั้งชีวิตคู่ การเรียน การงาน และทีนี้คงมาถึงงานเขียนอันเป็นที่รัก 12/5/ ถึง xxxx เราเข้าโรงพยาบาล เพื่อนเอ๋ย เพิ่งออกมาดูฟ้าชมเมฆเห็นเดือนดาวแสงตะวันเมื่อสี่วันมานี้เอง ไม่อยากกลับไปในนรกแห่งนั้นอีกแล้ว ก็อย่างว่าแหละนะ เริ่มเข้าสู่ชีวิตใหม่ วันหนุ่มช่วงสุดท้าย ฮา เราก็ได้แต่หวังว่าวันเวลาที่เหลือจะเป็นการใช้ช่วงเวลาที่ีดีที่สุดของชีวิต แต่การตกนรกด้วยการเข้าไปนอนในโรงพยาบาลเกือบเดือนนั้นก็คือ เราได้อ่านหนังสือ มากมายว่ะ ได้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามา และผ่านเลยมาในชีวิต ได้ทบทวนและเรียนรูก้ นั ใหม่อกี ครัง้ ว่า มิตรภาพน�ำ้ ใจระหว่างคนเรานัน้ จัดวางตรงไหนใน ช่วงชัน้ ของชีวติ จึงเป็นการพอเหมาะพอดี ไม่ขาดเกิดจนบกพร่องและไม่แร้นแค้นจนเดียวดาย... เพื่อนบางคนเพียงรู้ข่าวก็บึ่งไปทันที ในขณะที่อีกบางคน ทักมาทางสายโทรศัพท์ว่า “มึงยังไม่ตายอีกหรือไอ้โต้ง” แต่นั่นไม่ใช่สาระส�ำคัญ เจตนาของการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบที่เราพึงแสดงต่อกัน ในแบบที่ตัวเองถนัดเป็นสิ่งไม่ยากเกินความเข้าใจ เราไม่ได้เขียนงานอะไรเลย แต่เราดูดซับรับทราบไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งและห่วงใยที่ทุกคนมีให้กัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ ญาติสนิทมิตรสหาย หลั่งไหลกันมาเยี่ยมทักในแบบวิถีของตน ดีนะ ชีวิตมีเรื่องให้อบอุ่นใจเหมือนกัน 11
และรู้ว่ามีคนรักเราแคร์เรามากแค่ไหน รอดชีวิตมาครั้งนี้เราตั้งใจจะเป็นคนดีให้ได้ ดีในแบบของเรา นะเพื่อนนะ เอาละเพื่อน ขอให้มีความสุขในชีวิตสมรส ประสบความส�ำเร็จในหน้าที่การงานและอาชีพ พร้อมทั้ง สมหวังในสิ่งที่รักบนทางศิลปะ ความรักของเธอ เขียนสิ เขียนมันลงไปในสมุดจดถ้อยค�ำของชีวิต ถึงสิ่งที่เธอจะพึงท�ำ เพื่อหว่านโปรยเมล็ดพันธุ์แห่งรักให้ปรากฏ แบบที่อีฟเคยท�ำไว้กับอาดัม เดินทางไปในสายน�้ำของความรัก หวังเพื่อ ตักตวงและเผื่อแผ่ แบบที่เธอเคยแบ่งปันให้กับเด็กน้อยบนดอยสูง กวาดสรรพสิ่งสวยงามจากชายหาดและเก็บเศษซากปะการัง เปลือกหอย และแม้แต่เศษมุก เพื่อไปเป็นของขวัญให้วัยเยาว์ที่ไม่อาจหวนหา ช่อดอกไม้ทเี่ ธอสวมใส่ จะคงสวยงามคงคูก่ ารสดสะพรัง่ เนิน่ นานและตราประทับอยู่ในความทรงจ�ำ และเส้นทางแสนงาม ยิ้มเถิด ยิ้มรับคืนวันที่ก่อนนี้เป็นเพียงปลายปีกและปริศนาที่รอคอยคืนวันเผยตัว และบอกกล่าวความจริง ที่รับรู้ได้เพียงโสตประสาทของเธอและคู่รักของเธอ ว่ามันไม่ใช่สิ่งสมมติอีกต่อไป ก้าวเดินของเธอจะไม่รีบร้อน เรียวปีกของเธอยังไม่ผลัดขน นกน้อยของความรัก ขอให้ฟากฟ้านี้เป็นการบ่ายบินเพื่อตรวจสอบมากกว่าแสวงหาความหมายอันไกลโพ้น... ด้วยรักเสมอ ชามกลางคืน 12
มาโนช พรหมสิงห์ บ้านสวน/อุบลราชธานี 9 สิงหาคม 2556 ภูมิชาย คชมิตร และ คณะผู้เขียนจดหมาย ที่รัก ต้องขอโทษด้วยที่ผมเงียบหายไปเสียนาน ครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว มัววุ่นๆ อยู่กับนวนิยายเรื่องแรกของตัวเอง/คอยลุ้นให้ก�ำลังใจอนุสรณ์ ติปยานนท์ เป็นบรรณาธิการ ชายคาเรื่องสั้น ล�ำดับที่ 4 : โลกสันนิวาส ของคณะเขียน ของเราให้สำ� เร็จลุลว่ งวางแผงทักทายคนอ่านให้เร็ววัน/และรูส้ กึ จะเบือ่ ๆ ตัวเอง... ก่อนทีค่ วามเบือ่ จะเจริญงอกงามไปไกล ก็พอดีได้ลกู สาวคนโตมาช่วยกอบกูไ้ ว้ นัน่ คือแกเปิดเทอม เป็นการก้าวหน้า จากชัน้ อนุบาลไปอยูช่ นั้ ประถมเป็นปีแรก แทนทีจ่ ะนัง่ เบือ่ ๆ ก็เลยมายุง่ นุงนังกับการเตรียมเสือ้ ผ้า อุปกรณ์นกั เรียน เตรียมกายใจและการเรียนรูเ้ บือ้ งต้นให้กบั ลูก ตามประสาครูเก่า และคนแก่ทเี่ คยโง่ และยังโง่อยู่เหมือนเดิมคนหนึ่ง–เช่นนี้ชีวิตมันก็เลยพอถูไถมาได้จนบัดนี้แหละครับ... พอลูกเปิดเรียนไม่เท่าไหร่ ฝนต้นฤดูกแ็ วะย่างกรายมาเยือน วันหนึง่ ลมฝนก็หอบน้องชาย นักเขียน/กวีรนุ่ ใหม่คนหนึง่ มาด้วย หลังหอบลูกสาววัยไล่เลีย่ กับลูกคนโตของผมไปส่งถึงมือครูสอน ศิลปะแล้ว จึงแวะมานั่งคุยกันใต้ร่มไม้กับผม คุยกันไปคุยกันมาสักครู่เขาทำ�สีหน้าจริงจัง พลาง หลุดปากโพล่งออกมาว่า “ไม่รู้เป็นไง ผมรู้สึกกลัวตายหนักข้อขึ้นทุกที...” ผมก็เลยซักไซ้ไล่เรียง พลางปลอบประโลมอยู่พักใหญ่ (ยังกะว่าผมมิได้เกรงกลัวความตายเลยแม้แต่น้อย) คุยกันไม่นาน นักหรอกเขาก็ยกมือไหว้ลา รีบไปรับลูกสาว แล้ววันวารก็คืบคลานไปข้างหน้า ฝนมั่ง แดดมั่ง-น้องชายคนนั้น/ความกลัว/ความตาย ก็ ค่อยเลือนไปจากสมองชราของผม กระทัง่ ตอนสายของวันหนึง่ ขณะทีผ่ มนัง่ ดูคอนเสิรต์ Heart of Gold ของ Neil Young พลางคิดถึงตัวเองในช่วงวัยรุ่นสงครามเวียดนาม (ซึ่งความจริงมันเป็น สงครามของทุกประเทศในอินโดจีนรวมถึงประเทศไทยด้วย) พอมาถึงเพลง It’s a dream พลัน ผมก็ฉุกคิดถึงน้องชายคนนั้น/ความกลัว/ความตาย ขึ้นมาอีกครั้ง... แล้วมันก็เด่นชัดอยู่ในหัว คอยรบกวนให้ผมหาคำ�ตอบให้กบั มันเรือ่ ยมา ค่อยๆ ปะติดปะต่อ คำ�ตอบพอเป็นรูปร่างที่สมเหตุสมผลขึ้นมาชุดหนึ่งนั่นแหละซึ่งค่อยหายจากอาการนอนไม่หลับ (ก็การช่วยเหลือน้องนุง่ สักคนทีอ่ ตุ ส่าห์ตากหน้ามาหาไม่ได้ไม่สำ�เร็จนัน้ มันบ่งชีถ้ งึ ความไม่ได้เรือ่ ง ของเราเอง) 13
พอหาคำ�ตอบได้ ผมก็หยิบโปสการ์ดมาเขียนถึงเขาทันที ผมเขียนว่า... ‘ความจริงคุณไม่ ได้กลัวว่า อีกไม่นานตัวคุณจะหยุดหายใจหรอก คุณกลัวความฝันตั้งแต่วัยหนุ่มของคุณนั้น มันจะ ตายต่างหาก ฝันอะไรหรือก็ฝนั ว่าจัดเป็นนักเขียนนัน่ ไง คุณกำ�ลังนัง่ มองมันค่อยๆ เหีย่ วเฉา ขณะที่ คุณไม่ใช่ตวั คนเดียว ลูกค่อยๆ โต ตำ�แหน่งหน้าที่ในงานประจำ�ค่อยๆ โตและรัดรึงขึน้ เงินเดือนคุณ มากขึ้น ค่าใช้จ่ายมากขึ้น แต่คุณยังไม่ลืมความฝันของคุณ ทว่า-มันกำ�ลังจะตาย...’ เป็นไงครับ ถึงไม่ถูกต้องนัก ไม่แหลมคมเท่าไหร่ แต่ก็คงเฉียดๆ พอใช้ได้นะคุณว่าไหม? ถัดจากนั้นมาไม่เท่าไหร่ ผมก็ได้ข่าวจาก ‘ปานศักดิ์ นาแสวง’ นักเขียนหนุ่มผมยาวชาว ลพบุรวี า่ เขาได้งานเขียนนวนิยายจากโครงการของ สสส. ในรุน่ ที่ 3 ต่อจากรุน่ ของผม ว่าไปแล้ว เขาได้ชื่อว่าเป็น ‘นักเขียนที่แท้’ คนหนึ่ง เขามุ่งมั่นเขียนงานในแนวทางที่ตนเชื่อ โดยไม่ยี่หระต่อ สิ่งใดๆ ท่ามกลางความป่วยไข้จากโรคหัวใจที่รุมเร้า หัวใจที่ผ่าตัดเมื่อสองปีมาแล้ว และกำ�ลังเริ่ม ทรุดโทรม ออกอาการวูบหรือล้มฟุบอยู่บ่อยๆ ทว่าสิ่งเดียวที่สร้างความเด็ดเดี่ยวให้หัวใจยืนยาว นานมาได้กค็ อื การได้เขียนหนังสือ ได้เขียนงานวรรณกรรม ได้จบั ปากกาเขียนต้นฉบับด้วยลายมือ ตัวเล็กจิ๋วบนกระดาษ A 4 พับครึ่งเป็นเล่มสมุด (ฟังเขาเล่าชีวิต/การทำ�งานแล้ว ผมล่ะอายตัวเอง) หลังจากลงพื้นที่ แล้วเริ่มสร้างสรรค์นวนิยาย เขาหยุดพักผ่อนบ้าง ด้วยการเดินเมียงมองหา หนังสือดี เพื่อซื้อเก็บไว้อ่าน เจอหนังสือสะดุดตาคราใด ถ้าไม่โทรศัพท์มาบอกเล่าให้คนไม่ค่อย เดินจับหนังสืออย่างผมให้รีบไปเดินซื้อหาก็จะส่งมาทางไปรษณีย์แบ่งปันให้ผมได้อ่านด้วย ด้วย จริตการอ่านบ้าๆ บอๆ ตรงกันคือหนังสือแปลกๆ /ศาสตร์ทกุ ชนิดไม่แค่เรือ่ งสัน้ หรือนวนิยายเท่านัน้ (ก็คนมันโง่ไง) ล่าสุด เขาส่งหนังสือแปลกๆ มือ้ เช้ากับโสเครติส (Breakfast with Socrates) ของ Robert Rowland Smith แปลโดย ศิระประภา ธนากิจ, เชน อภิชน สนพ. ยิปซี ที่ ‘รน บารนี’ มิตรสหาย ของผองเราเป็น บ.ก. นัน่ แหละ ส่งให้ผมก็เปิดอ่านจนตัวสัน่ ทันที มันกล่าวถึงกิจวัตรประจ�ำวันใน 1 วันของคน ตัง้ แต่ตนื่ นอน/ไปท�ำงาน/อาบน�ำ้ /กินข้าว/ดูทวี /ี มีเซ็กซ์/หลับฝัน (ความจริงมีรายละเอียด ของชีวติ ในหนังสือมากกว่าทีผ่ มยกมานีเ้ ยอะเลยแหละ) แยกเป็นบทๆ ไป แต่ละบทแต่ละกิจกรรม ก็จะหาปรัชญา/แนวคิดเกี่ยวกับกิจกรรมนั้น มาใส่ไว้ให้เห็นนัยยะบางอย่าง แง่มุมแปลกๆ ของ กิจกรรมนั้น เช่น บทที่ 14 ปรุงอาหารและทานมื้อค�่ำ ก็เอาเนื้อหาย่อย่อยของหนังสือ The Raw and the Cooked (แบบดิบและแบบสุก) ของ Claude Levi-Strauss มาวางไว้ให้พินิจพิเคราะห์ แล้วในทันใดนั้นจู่ๆ ก็เห็น WRITER 15 วางแผง ผมเปิดคอลัมส์มันๆ –‘เสียง-เสนาะ’ ของ เสนาะ เจริญพร ทันที...อะไรจะประจวบเหมาะเช่นนี้... ได้เห็นภาพหน้าปกหนังสือ The Raw and the 14
Cooked เป็นบุญตา ได้อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกับบุหรี่ (ที่กินพรมแดนกว้างไปกว่าอาหารอย่างที่ เห็นชื่อหนังสือแต่แรก) ได้อ่านทัศนะแนวคิดที่เสนาะ เจริญพรน�ำมาเรียบเรียงไว้ ท�ำให้สมองได้ เปิดพื้นที่กว้างขวางขึ้น (ไม่ว่าคุณจะเป็นขี้ยา หรือคนดีที่มือไม่เคยคีบบุหรี่มาเลยก็ตาม) เหมือนการอ่านเป็นป่า เป็นต้นไม้ใบหนา กิ่งก้านแต่ละต้นสานไปมาให้ไต่ข้ามถึงกันได้ อ่านแบบนี้ ไต่ข้ามจากเล่มหนึ่งเชื่อไปเล่มหนึ่งแบบนี้ นานๆ จะมีครั้ง สนุกดีและมันมาก เหมือน ล้อมวงกินข้าวเย็นอิม่ หนำ� แล้วมาชันเข่าสูบบุหรีท่ ชี่ านบ้าน แหงนดูเดือนดูดาวดูแสงหิง่ ห้อย เคล้า เสียงกบเขียดหลังฝนยังไงยังงั้น เป็นบุญ เป็นผล และเกิดความปรารถนาอยากอ่านงานของ เลวี-สโทรส เล่มนี้ ในพากย์ ภาษาไทย ขึน้ มาตะหงิดๆ ใครก็ได้ชว่ ยแปลเอาบุญแล้วพิมพ์วางขายตามร้านหนังสือทีเถอะ... สาธุ พูดถึงเสนาะ เจริญพรแล้ว ก็อดจะพูดถึง–ธีร์ อันมัย–คู่หูคู่กิ๊กของเขาไม่ได้ คนนี้แหละ คอยอุปถัมภ์ค�้ำชูพอให้ผมยืนอยู่ได้ คอยหางานจิปาถะมาป้อน มิให้ผมเงียบเหงาและเบื่อตัวเอง เกินไป ให้ผมได้ท�ำงาน/ขบคิด/ขีดเขียน/มีรายได้ พอได้หยิบจับใช้สอยอย่างไม่หิวโซเกินไปนัก นี่ ก็เพิ่งจะได้ข่าวกระซิบเว่วๆ มาว่าคู่หูทั้งสองท่านก�ำลังมองหาลู่ทางจะเข้ามาแบกรับภาระช่วยให้ ‘ชายคาเรื่องสั้น’ ของคณะเขียน ได้มีลมหายใจต่อจาก 5 ปี ที่ให้ค�ำมั่นกับสังคมไว้ ให้มีก้าวย่าง ที่ดูดี มั่นคงแข็งแรงกว่ากองโจรจรยุทธ์ในแบบเดิม... จบแค่นี้นะ ขออนุญาตออกไปรับลูกสาวที่ โรงเรียนก่อน มีความสุขกับชีวิต การงานและความใฝ่ฝันกันทุกคนครับ รัก มาโนช พรหมสิงห์
15
บุญทม วันสูง ใกล้เที่ยง พฤหัสฯ 28 มิถุนายน 2555 ถึง คณะผู้เขียนจดหมาย ที่รักทุกคน โทษตัวเองว่าเป็นคนใจด�ำ และค่อนไปทางไม่มีมารยาท ได้รับจดหมายจากพวกคุณ สม�่ำเสมอ แต่ไม่เคยตอบรับ ไม่เคยส่งสัญญาณจากเลขหมายที่ท่านเรียกไปยังข้อความ (เขียนให้ งงไปอย่างนั้นแหละ) นั่นแหละ ผมจึงลงมือเขียนจดหมายฉบับนี้ ฝนก�ำลังพร�ำที่บ้านไร่ บนดอยวาวี ว่างจากอ่านหนังสือ แม้เรื่องสั้นและนิยายที่คิดไว้จะ ยังไม่ขยับตอนนี้ แต่ผมก็หมายมั่นปั้นมือว่า ก่อนสิ้นปีน่าจะจบนิยายสักเรื่อง พร้อมกันนี้ผมส่ง ลูกชายคนโตมาให้พวกคุณรู้จัก เขาชื่อออกศึกครับ ในนิยาย “เสียงที่ดังก้องอยู๋ในหัว” ขอบคุณดังๆ ส�ำหรับจดหมายทุกฉบับ มันปลุกเร้าผมได้ดียิ่ง และมันท�ำให้ผมเห็นว่า มิตรภาพของพวกคุณทุกคนงดงามยิง่ กว่าดอกไม้ใดใด ความงดงามนัน้ มันอาบใจผม และเบ่งบาน อยู่เต็มใจ มีความสุขครับ ผมถือว่าพวกคุณคืออีกมือหนึง่ ทีช่ ว่ ยประคองฝันให้ผมกับพีก่ บั เพือ่ นหลายๆ คน ทีม่ คี วาม ฝันเหมือนๆ กันพวกเราได้แต่ช่วยกันประคับประคอง ให้ก�ำลังใจกัน มันก็ท�ำให้เราไม่เหงาจนเกิน ไปนัก แม้ว่าเมื่อถึงเวลาท�ำงานจริงๆ มันจะโดดเดี่ยวก็ตาม ขอบคุณอีกครั้งครับ ผมขอจบจดหมายฉบับนี้เพียงแค่นี้ หัวมันตื้อคิดอะไรไม่ค่อยออก ปริมาณเลือดใน แอลกอฮอล์ของร่างกายผมเริม่ จะมีมากขึน้ คงใกล้ถงึ เวลาเติมแอลกอฮอล์อกี แล้ว ว่าแล้วก็เปรีย้ วปาก มีความสุขกันทุกคนครับ ด้วยรัก บุญทม วันสูง – แก้มหอม
16
นฤมิตร ประพันธ์ บ้านริมทุ่ง 17 สิงหาคม 2556 ภูมิชาย คชมิตร ที่คิดถึง ได้รับ จดหมายวรรณกรรม ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 ล�ำดับที่ 15 ประจ�ำเดือนเมษายน 2555 - เมษายน 2556 แล้ว ชื่อฉบับ “จงกลับมา (หา) ข้าพเจ้า” แล้วครับ ผมสงสัยยิง่ นักว่า หนังสือของคุณนีม่ นั รายอะไรกันแน่ (น่าจะเป็นรายสะดวก หรือค่อนข้าง) แต่ในเมื่อวันนี้ยังออกมาได้ ทั้งๆ ที่รู้กันว่าหนังสือของพวกคุณ หาใช่หนังสือที่ท�ำเพื่อหวังการขาย หรือหวังการยอมรับมากนัก (แล้วท�ำท�ำไมวะ?) ก็ดีใจด้วยก็แล้วกันทีม่ นั ยังอยูม่ าได้อย่างไม่นา่ เชือ่ ในฐานะนักอ่านหนังสือฟรี จ�ำเป็นต้องขอบคุณงามๆ อย่างน้อยก็ยังท�ำให้พอรู้ว่าตอนนี้มีนักเขียน กวี ซุ่มๆ ซ่อนๆ ท�ำงานวรรณกรรมกันอยู่ (เหมือนแอบขายยาบ้านะ) ผมตอนนี้หลังจากพิมพ์บทกวีส่งซีไรต์ตกรอบแล้ว ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรดี เฮ้อ.. อายุก็มากขึ้นทุกวัน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ก็ยังเป็นนักเขียนผลงานน้อยและไม่ดีอยู่ดังเดิม ไม่เป็นไรครับ ผมปลอบใจตัวเองก็ได้ ถ้าไม่ดังก็ไม่ต้องดังมันก็ได้ อยู่ยังงี้ก็พอหาข้าว (ไม่เน่า) กินได้ เห็นด้วยกับคุณเรวัตร พันธุ์พิพัฒน์ว่า นักเขียนทุกวันนี้กลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกัน และกันมากขึ้น ถามหาประชาธิปไตยมากขึ้น แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยแบบเดียวกับที่กูเห็นว่าใช่ นะโว้ย ! ผมไม่ค่อยได้เขียนกลอนลงเว็บไซต์อะไรนัก กลัวว่าจะเขียนแรงเกินไปเบื่อ... ตอนนี้อ่าน หนังสือเก่ๆ (รวมเรื่องสั้นของ “เรียมเอง” ) เฒ่าโพล้ง เฒ่าหนู ของมนัส จรรยงค์ 4 เล่ม คุณ อาทรแห่งประพันธ์สาส์นให้มานานแล้วเพิ่งตั้งใจอ่านใหม่ อ้อ ! แล้วยังมีหนังสือใหม่ของซีไรต์ คนแคระ ชื่อ “วิภาส ศรีทอง” แล้วก็ไปขอหนังสืออาจารย์ธีรทาส (ธีระ วงศ์โพธิ์พระ) มาอ่าน ศิษย์ โง่ไปเรียนเซ็น เล่ม 1-2 ก็อ่านไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อใด นอกจากการอ่านแล้ว การเขียนก็ยงั ไม่ทงิ้ นะ ตอนนีเ้ รือ่ งสัน้ 25 เรือ่ งของผมค้างอยู่ สนพ. แห่งหนึ่ง แต่ดูๆ ไปแล้วเขาคงไม่เอาหรอก เพราะผมดังไม่พอ เรื่องสั้นบางเรื่องก็ยังไม่ดีพอ ไม่ เป็นไรว่างๆ จะซีร็อกซ์มาให้คุณภูมิชาย อ่านเล่นๆ ผมก็เลยลองเขียนนวนิยายเรือ่ งใหม่อยูน่ ะ ไม่รวู้ า่ มันเป็นแนวอะไร จะเรือ่ งคนก็ไม่ใช่ เรือ่ ง ผีก็ไม่เชิง ได้ไป 40 หน้า เขียนลงคอมฯ เลยนะ (สมาธิดีมาก) ถ้าบุญมีก็คงจะจบ (คิดพล็อตออก 17
ไปจนได้ตลอดฝั่ง) เรื่องสุขภาพของผมก็ส�ำคัญอยู่ ไม่รู้ว่าท�ำไมอดหลับอดนอนเขียนเหมือนตอน อายุ 20 กว่าๆ ไม่ไหว เป็นโน่น เป็นนี่ ทั้งๆ ที่สุราก็เลิกกิน (เข้าพรรษา) นี้อยู่ ยาวมากแล้ว ลายมือผมก็ไม่สวย คงล�ำบากสายตาคุณพิลึก ไม่ใช่อะไรหรอก อยากเขียน ด้วยลายมือ ไม่อยากใช้พิมพ์ดีดหรือคอมฯ มันเป็นงานเป็นการเกินไป ผมไม่ชอบ สุดท้ายนีผ้ มไม่ได้สง่ หนังสือหรือแสตมป์มาให้อกี ตามเคย (ขอให้คณ ุ ไปหาคนทีเ่ ห็นแก่ตวั ขีเ้ หนียวคนอืน่ ด่าแทนผมบ้าง) ประเทศไทยมันอยูล่ ำ� บากเข้าทุกที จะไปหาใครก็กลัวเขาคุยมีสาระ มากกว่าเรา เดี๋ยวเขาก็จะว่าเราโง่ ไม่รักประชาธิปไตยแล้วก็ยังเสือกออกมาจุ้นจ้านวุ่นวาย ไม่ต้องตอบจดหมายผมหรอก เพราะเพื่อนๆหลายคนมันก็ ไม่ตอบเหมือนกัน เช่น คุณ ย., คุณ ส , (ต้องใช้ตัวย่อกลัวผิดกฎหมายหมิ่นฯ) “วันเวลาข้างหน้ายังอีกยืนยาวนัก ผมขอให้คุณเลือกท�ำในสิ่งที่ตัวเองท�ำแล้วมีความสุข ไม่เดือดร้อนมากนัก เชื่อมั่นในความคิดของตนเอง..” รัก นฤมิตร ประพันธ์ ป.ล. ส่งบทกวีมา ถ้าชอบก็เอาลงได้ ไม่ชอบก็เอาไว้อ่านเล่นนะ
ในโลกที่มีกวีมาก เป็นกวีต้องกล้าท้าให้คิด ถูกหรือผิดจะให้ใครตัดสิน ถ้าคนโง่ยังมีหูอยู่ได้ยิน แล้วร้องสิ้นว่าไร้ค่าอนาคต กวีคืออารมณ์ที่บ่มเพาะ จนพอเหมาะพอได้ความใสสด จะคมข�ำสุขครบทุกรส ดีทุกบทมีที่ไหนใครหนอท�ำ กวีคือนักฝันแสนบรรเจิด ต่างเคยเพริศกับใครใจกล�่ำ เจอโฉมตรูพรูงามตามร�ำพัน ให้หยุดฝันถึงไม่ได้ใจร้ายเกิน 18
กวีไมใช่ตลกโกหกด้าน ต้องทนอ่านตนเขียนคัดไม่ขัดเขิน ท�ำอย่างนี้เพราะว่าค่าของเงิน หรือเพราะเพลินหลงทิศจึงผิดทาง กวีไม่ใช่กวีก็มีอยู่ แต่ท�ำเท่ห์ท�ำหรูดูกว้างขวาง เพลินลูกยอปอปั้นไร้วันวาง ยามอ้างว้างก็หาว่าเขาทารุณ
วิรัช ขันทอง 11 มีนาคม 2555 แกลง, ระยอง ถึง คณะผู้เขียนจดหมาย กระผมเป็นนักอ่านคนหนึง่ มีความสนใจจดหมายวรรณกรรมของท่าน ต้องทำ�อย่างไรบ้าง ครับถึงจะได้อ่าน ความจริงแล้วก็ทราบข้อมูลจากทางหน้าหนังสือบางฉบับมาระยะหนึ่งแล้วครับ แต่ยงั ไม่มโี อกาส... ชอบอ่านบทกวีเป็นพิเศษครับ ฝึกเขียนบ้างนิดหน่อย บทกวี 2-3 บรรทัดอะไร ประมาณนั้น ด้วยความรื่นรมย์เล็กๆ น้อยๆ ... คำ�ว่า หนังสือทำ�มือ ก็คงไม่มีขายทั่วไปอยู่นอกระบบ นอกกระแส เป็นทางเลือกของคน อ่าน-คนเขียน ก็ดีนะครับ กระผมใคร่ขอรายละเอียดการช�ำระเงินหรือข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือของทางคณะด้วยครับ ด้วยความนับถือ วิรัช ขันทอง
19
จารุพัฒน์ เพชราเวช ถึง ภูมิชาย คชมิตร สวัสดีสายฝนคลุม้ คลัง่ ของวันคืนประหลาด จดหมายหลักกิโลสิบหกเดินทางท่ามกลางความ หวาดผวาของความเป็นอยู่และเป็นไปทั้งผอง สายๆ ของวันที่ท้องฟ้าเงียบเหงา ข้าพเจ้าเหยียบ ย่างบนพื้นดินทุ่งนาทราย ฟังเสียงจีดแจดขับขานเสียงเพลงท่อนสุดท้ายก่อนทิ้งร่างอ�ำลาต้นไม้ ที่พวกมันตั้งวงดนตรีสายลม จักจั่นโหยไห้ ลาดงดอน ปีนี้น�้ำโขงไม่พร่องลด สายน�้ำดันขึ้นสูง หาดทรายเหือดหาย สันดอนสงบเงียบ เรือประมง เริงร่า หมู่ปลาเต็มล�ำเรือ เสียงรถอีแต๊กว่อนวุน่ ชาวนาผูถ้ กู ย�ำ้ ความต�ำ่ ค่า แต่ไม่วา่ อะไรจะเกิดขึน้ รอยยิม้ ของพวกเขา ยังคงงดงามเสมอ ข้าพเจ้าชื่นใจเสมอ เมื่อได้ยินเสียงทักอันเป็นกันเองกับพวกเขา วันนี้ไม่มีบทกวี เรื่องเล่า แต่ไม่เป็นไร พื้นที่แห่งความรักความสัมพันธ์นี้แม้จะน้อยลง ทว่า ความงดงามก็ยังคงอยู่ เล่มสิบหก ถ้าเป็นหญิงสาวก็ก�ำลังเติบโตและสวยงาม มีบางคนเถียงว่ามันก�ำลังหาผัวต่างหาก หึๆ ไม่เถียง หาก็เรือ่ งของมัน ฮาไหม หรือมุกฝืด สัน้ ๆ ครับ จดหมายวรรณกรรม จงงดงาม หอมหวานเหมือนความรักของพีช่ ายแสนดีทเี่ พิง่ ผ่านประตูวิวาห์มาใหม่หมาด จารุพัฒน์ เพชราเวช 18 พฤษภาคม 2557 danchondaw dongen
20
ภูมิชาย คชมิตร รน บารนี ที่คิดถึง พายุฝนก�ำลังมาเยือนมณฑลต้นไม้อย่างหนักหน่วง ในขณะทีข่ า้ ฯ ก�ำลังบ�ำเพ็ญเพียร โรมรัน พันตูอยู่กับจินตนาการใหม่อันแสนหฤหรรษ์ในลุ่มน�้ำโขง (ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา และจีน) ซึ่งมีนามว่า “การประกอบสร้างอัตลักษณ์ของคนทวายในพื้นที่ชายแดนฝั่งตะวันตกของ รัฐไทย” ที่ก�ำลังอยู่ในวาระเร่งพัฒนาให้เป็นรูปธรรม
อัตชีวประวัติของพรมแดนประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ยุคใกล้ ไม่ใกล้ ไม่ไกล อยู่ในช่วงระยะคะนึง … ที่ผ่านมาจากสถานการณ์ ใกล้ตัวที่ข้าฯ พบ, ข้าฯ ได้จดจารเป็นเรื่องสั้น เนื้อหาทั้งหมดมี ดังต่อไปนี้
นกเค้าบักกอก* และนักพนัน :
ความค�ำนึงอันงดงามอย่าง ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้
ภาค 1 เนือ้ เรือ่ งทีข่ า้ ฯ จะเล่ามีดงั นี ้ : เขาวางหนังสือนิยาย “นักพนัน” ของ ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ นักเขียนชาวรัสเซียไว้บนโต๊ะ
เขาวางหนังสือนิยาย “นักพนัน” ของฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ นักเขียนชาวรัสเซียไว้บนโต๊ะ เพื่อนั่งพักสายตาหลังจากที่มีอาการนอนไม่หลับติดต่อกันมาหลายคืน ดึกๆ เช่นนี้ เขามักมานั่ง ที่โต๊ะข้างหน้าต่างและฟังเสียงนกกลางคืน ดังหวีดหวิวในช่วงระยะคะนึง เสียงนกแต่ละชนิดนั้น ผิดแผกแตกต่างกัน แม้จะไม่ใช่นักนิยมไพร แต่เขาก็สามารถจ�ำแนกแยกแยะเสียงของนกบาง อย่างบางจ�ำพวกได้ จากประสบการณ์บางอย่างที่ได้ผ่านมาแล้ว แม้ดนิ แดนแถบนีจ้ ะถือว่าเป็นเขตทีแ่ ห้งแล้ง เป็นพืน้ ทีท่ ี่ไม่มคี วามอุดมสมบูรณ์ แต่ทงั้ หมด ก็ถือว่าเป็นธรรมชาติของพื้นที่แห่งนี้ซึ่งเป็นป่าโคกแถบเทือกเขาภูพานค�ำ ในหน้าแล้งป่าจะแล้ง 21
จนกลายเป็นสีน�้ำตาล ชาวบ้านท�ำมาหากินสุดแท้แต่วาสนาไปนาไปไร่ ช่วงเช้าๆ เด็กมัธยมฯ จะ นั่งรถสองแถวโดยสารนั่งไปเรียนที่โรงเรียนในตลาด บางคนก็ต่อรถที่ตลาดต่อรถอีกครั้งเพื่อไป ให้ถึงโรงเรียนที่อยู่ในเมือง และเดินทางกลับในช่วงเย็น ในช่วงวันหยุด เด็กมัธยมฯ ก็จะขับรถ มอเตอร์ไซค์ ไปยิงนก ยิงหนู ยิงกิ้งก่า ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากของการด�ำรงชีวิตในทุกวันนี้ แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มเหล่านั้นว่าถ้าหากเทียบกับค่าน�้ำมันมันจะคุ้มกันไหม ขณะที่ ราคาน�้ำมันทะยานสู่เพดานลิตรละสี่สิบกว่าบาทเข้าไปแล้ว
ภาค 2 เนือ้ เรื่องต่อมาที่ลุงจะเล่ามีดังนี้ : เต็น, ดู่, จ๊อก, โต้ง, ต้อม และมะสัง เด็กหนุ่มวัยรุ่นจับ กลุ่มไปยิงนก ยิงหนู ยิงกิ้งก่า เป็นเด็กวัยรุ่นที่อยู่บ้านนอกบ้านนาก็อย่างนี้แหละ เต็น, ดู,่ จ๊อก, โต้ง, ต้อม และมะสัง เด็กหนุม่ วัยรุน่ จับกลุม่ ไปยิงนก ยิงหนู ยิงกิง้ ก่า เป็นเด็ก วัยรุ่นที่อยู่บ้านนอกบ้านนาก็อย่างนี้แหละเวลาว่างก็มักจะจับกลุ่มกันไปล่าสัตว์ป่าโคกป่าทาม มา ท�ำอาหารเป็นกับแกล้มรสแซบ ริหดั กินเหล้ากินยาประสาวัยคะนอง มีบา้ งเหมือนกันทีล่ กู กระสุน ลูกปืนจะไปท�ำความรบกวนแก่ชาวบ้านชาวช่อง บางครั้งก็เสี่ยงต่อการท�ำให้กระจกแตก ถ้าพวก เขาใช้หนังสะติ๊ก การล่ามีไปตั้งแต่ใช้หนังสะติ๊ก รวมทั้งปืนแก็ป “ไอ้เต็น ! ไอ้โต้ง ! ออกไปยิงไกลๆ หน่อย ป้าเขาป่วยไม่เห็นหรือไง” ลุงตะโกนไล่หนุม่ กระทง ที่ก�ำลังเฝ้าเมียที่ป่วยกระเสาะกระแสะ
ภาค 3 เนือ้ เรื่องทั่วไปที่ใครคนหนึ่งจะเล่ามีดังนี้ : คืนฤดูร้อนแม้ดึกสงัดอากาศก็ไม่มีทีท่าว่าจะ หนาวเย็น คืนนั้นมีเสียงแหวกอากาศเหมือนเสียงกรีดเฉือนฟ้ามืดขาดด้วยมีดบิน ! คืนฤดูร้อนแม้ดึกสงัดอากาศก็ไม่มีทีท่าว่าจะหนาวเย็น คืนนั้นมีเสียงแหวกอากาศเหมือน เสียงกรีดเฉือนฟ้ามืดขาดด้วยมีดบิน ! นกชนิดนี้คนแถวนี้เรียกว่า นกเค้าบักกอก ถ้ามันร้องแล้ว เชื่อว่าเป็นลางร้ายจะมีคนตาย และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในช่วงเช้าคนในหมู่บ้านก็เสียชีวิต “เห็นไหมเต็น ลุงว่าแล้ว ถ้านกเค้าบักกอกมันร้องก็จะมีคนตาย” งานศพ ผ่านไปอย่างเศร้าสร้อยในเวลากลางวัน แต่ในเวลากลางคืนนี่สิ กลับเป็นช่วงเวลา ชั่วโมงทองของพวกชอบเสี่ยงโชคเสี่ยงทายถ้าใครดวงดีก็สามารถเล่นไฮโล เล่นไพ่ได้หลายบาท แต่ในหมูบ่ า้ นไม่เคยมีใครเล่นไฮโลได้เงินเป็นกอบเป็นก�ำสักที เล่นได้กเ็ สียไปพอหอมปากหอมคอ ก็มีแต่ท่าน ผอ. โรงเรียนประจ�ำหมู่บ้านคนเดียวที่เล่นไฮโลได้เงินเป็นหมื่น และ ผอ. หนุ่มคนนี้ก็ 22
กลายเป็นผู้สร้างต�ำนานแห่งท้องทุ่ง เพราะแกเล่นได้แล้วกลับบ้านไปนอนเฉยเลย แบบไม่ยอม ให้นักพนันคนใดได้แก้ไม้แก้มือ ให้หายข้องใจเลยสักคน “น้าอยากให้นกเค้าบักกอกมันร้องทุกคืนเหลือเกินจะได้มีงานศพให้คนเล่นไฮโลทุกคืน” ใครคนหนึ่งในวงพนันพูดขึ้น ฟังดูเหมือนค่อนข้างใจจืดใจจาง แต่มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย เพราะทุกครั้งที่นกมรณะตัวนั้นมันมาร้องคนในหมู่บ้านก็ตาย ไม่ด้วยสาเหตุใดก็สาเหตุหนึ่ง ไม่ ป่วยตายก็ประสบอุบัติเหตุ ไม่ถูกตีหัว ก็ถูกยิงด้วยปืนสไนเปอร์ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ในหมู่บ้านมีคน ตายเกือบสัปดาห์ละคน ชนิดที่เรียกได้ว่าต้องใส่เสื้อผ้าสีด�ำ เมาน�้ำหูน�้ำตาเจิ่งนองใบหน้าโศกตรม ทุกวันตลอดทั้งเดือน
ภาค 4 เนือ้ เรื่องจากเสียงแหบโหยที่น่าสงสารของป้าจะเล่ามีดังนี้ : วันหนึ่งเสียงแหบโหยของป้า เรียกลุงให้มาอยู่ใกล้ๆ แต่บนท้องฟ้ามีจุดด�ำจุดหนึ่งแหวกว่ายอากาศมาใกล้ๆ และมาหยุด อยู่ที่กิ่งไม้ใกล้บ้าน “นกเค้าบักกอก” วันหนึง่ เสียงแหบโหยของป้าเรียกลุงให้มาอยู่ใกล้ๆ แต่บนท้องฟ้ามีจดุ ด�ำ จุดหนึง่ แหวกว่าย อากาศมาใกล้ๆ และมาหยุดอยู่ที่กิ่งไม้ใกล้บ้าน “นกเค้าบักกอก” เจ้านกมรณะมันมาแล้ว! “แขวก แขวก !!!” เสียงนกเค้าบักกอกร้องกรีดเฉือนความรู้สึกแต่ครั้งนี้ค่อนข้างแปลกที่มัน มากรีดร้องไม่รู้เวล�่ำเวลา ในช่วงปิดเทอมเด็กมัธยมฯ ก็ยังออกไปยิงนกยิงกิ้งก่าเหมือนเดิม “พวกเองมานี่หน่อย” ลุงเรียก เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นเดินไปยังต้นเสียงชรา “มีอะไรครับลุง”
ภาค 5 เนือ้ เรื่องไม่ปกติที่นกเค้าบักกอกจะเล่ามีดังนี้ : หลายวันผ่านไป นกลึกลับสัญลักษณ์แห่ง ความตายนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ ไม่บินมาเกาะกิ่งไม้บนต้นไม้ใกล้บ้านหลังที่ป้านอนป่วย อยู่อีกเลย หลายวันผ่านไป นกลึกลับสัญลักษณ์แห่งความตายนัน้ ก็หายเข้ากลีบเมฆ ไม่บนิ มาเกาะกิง่ ไม้ บนต้นไม้ใกล้บ้านหลังที่ป้านอนป่วยอยู่อีกเลย และนับจากที่ไม่ได้ยินเสียงนกเค้าบักกอก อาการ ป่วยของป้าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเกิดปริศนาของการจากไปของนกเค้าบักกอกตัวนั้น กระทั่งนับ 23
จากวันนัน้ อาการป่วยของป้าก็หาย ร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ พอกันทีกบั วันทีแ่ สนเหน็ดเหนือ่ ยจาก อาการเจ็บป่วยที่สุด แต่วันนั้นก็กลายเป็นอดีตที่ไม่พึงปรารถนาซึ่งผ่านมาหลายปีแล้ว พร้อมกับค�ำถามที่ก่อเกิดขึ้นในใจและความสงสัยนั้นยังคงซึ้งซ่านล่องลอยเหมารวมอยู่ใน ซอกอณูอากาศ ขณะทีเ่ ขานัง่ รับอากาศคลายร้อนข้างหน้าต่างในเวลาดึกดืน่ แสนวิเวกวังเวง ลมพัด ดังหวูห่ วิว หวูห่ วิว บางครัง้ ก็คล้ายดัง ห้าเก้า ห้าเก้า... หรือไม่ก็ หกสาม หกสาม...ฯลฯ (คล้ายดัง ว่าสายลมร้อนผะผ่าวล่องลอยเข้าใกล้พรมแดนสาธารณรัฐก้อนเมฆนัน้ เป็นสายลมแห่งคณิตศาสตร์ ปวารณาการหยั่งรู้ผืนดิน และน่านฟ้ามหาสารประเทศเขตคาม)
ภาคส่งท้าย เนือ้ เรื่องบางประการที่ข้าฯ จะเล่ามีดังนี้ : คือข้าฯ มีข้อสงสัยอยู่สามข้อดังนี้ หนึ่ง จริง หรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ลุงจะจ้างเด็กวัยรุ่นพวกนั้นไปยิงนก สอง คนที่ชอบท�ำบุญท�ำทานเช่นลุง นั่นหรือจะท�ำอย่างนั้นได้ สาม ก็ป้าเป็นเมียของลุงนี่นะ ท�ำไมลุงจะท�ำไม่ได้หละ แค่นี้ก็ ถือว่าน้อยไป เขาพยายามจะสลัดค�ำถามเหล่านัน้ ออกจากความคิด แม้เสียงวังเวงวิเวกของนกเค้าบักกอก จะน�ำมาซึง่ ความโศกเศร้ารันทด แต่เขาก็แค้นเคืองใจแทบทุกครัง้ เมือ่ นึกถึงแววตาเสียดเย้ยแทงใจ ของท่าน ผอ. ที่แสนแช่มชื่น เริงร่าหอบเงินก้อนโต เดินหันหลังออกจากวงไฮโลในคืนนั้น กลับ บ้านไปต่อหน้าต่อตา ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายเหมือนนกเค้าบักกอกถูกเชือดของนักพนัน.
หญ้าหนาม ดื่มน�้ำมากๆ เพิ่มสีเขียว และหนามแหลม … มีหลายสิ่งที่ใครๆ ไม่มีวันรู้ไปตลอดกาล ภาระหน้าที่ที่ข้าฯ หมายมั่นได้ผ่านพ้นไป เหมือน พายุฝน และไร้ค�ำตอบใดๆ ทุกวันนี้ไม่มีการเล่นพนันในงานแห่งการอ�ำลาในละแวกนี้อีกแล้ว (?) ในเช้าวันหนึ่งที่ข้าฯ เดินฝ่าหญ้าหนาม กลางพื้นดินฉ�่ำชื้นอยู่ในไร่หลังจากที่ข้าฯ เพิ่งขับ มอเตอร์ ไซค์กลับจากวัดเพื่อไปหาแม่ของข้าฯ ขณะที่ทัศนียภาพบนฟากฟ้าพร่าเลือนท่ามกลาง สายฝนโปรยปราย-ปรายโปรย รน บารนี ข้าฯ ก�ำลังจะออกเดินทางฝ่าพายุฝนไปส่งจดหมายที่ ส�ำนักคิดในป่ากว้างใหญ่ 24
สุดท้ายนี้ขอให้ รน บารนี มีแต่ความสุข และความเบิกบานยังคงอยู่เคียงข้างเช่นเดิม โอมฤดูฝนจงงดงาม ภูมิชาย คชมิตร มอดินแดง 1 สิงหาคม 2556 kraten_kraten@yahoo.com
25
อนุสรณ์ ติปยานนท์ จดหมายถึงเพื่อน ถึง มะสัง คงถึงเวลาเสียทีที่ผมจะได้คุยถึง โรลองด์ บาร์ท–Roland Barthes เจ้าพ่อด้านสัญศาสตร์ หรือ Semiotics คนนั้น ไหนๆ ปีนี้ก็เป็นปีครบรอบหนึ่งร้อยปีแห่งชาตกาลของเขา และเมื่อต้อง เขียนถึงเขาก็ไม่มีอะไรดีกว่าการพูดถึงเรื่องเมืองไทยของเราผ่านมุมมองของเขาดู ในหนังสือ Empire of Signs (1982) ของบาร์ทซึง่ กล่าวถึงสัญลักษณ์มากมายทีเ่ ขาได้พบใน ขณะเดินทางอยู่ในประเทศตะวันออก บทที่ว่าด้วยตะเกียบ–Chopsticks นั้นบาร์ทเล่าว่า เขาได้ มีโอกาสมาชมตลาดน�ำ้ ในกรุงเทพฯ และสิง่ ทีเ่ ขาตกใจก็คอื ขนาดของเรือขายสินค้าในตลาดน�ำ้ นัน้ รวมถึงขนาดของสินค้าที่มีอยู่ในเรือด้วย ทุกสิ่งล้วนมีขนาดเล็กเกินไปในสายตาคนตะวันตกอย่าง เขา จนท�ำให้บาร์ทอดคิดไม่ได้ว่า การแสดงออกของอาหารตะวันออกนั้นอาจไม่ได้มีวัตถุประสงค์ เพื่อการบริโภค หากแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดทางสายตา และเป้าหมายของมันจริงๆ อาจหวัง ผลในสิ่งที่กว้างใหญ่กว่าการกินเพื่อระงับความโหยหิวนั้น ข้อสังเกตของบาร์ทนัน้ น่าสนใจ (แน่ละ บาร์ทน่าจะเป็นคนไม่กคี่ นในโลกนีท้ มี่ มี มุ มองอันน่า สนใจต่อสรรพสิง่ นับแต่ วรรณกรรม ภาพถ่าย กีฬา หรือแม้แต่อาหาร) ดังนัน้ เราจะลองพิจารณา บทความนี้ของบาร์ทอย่างตั้งใจดู บาร์ทบรรยายท่อนที่ว่าการใช้ตะเกียบ There is a convergence of the tiny and the esculent : things are not only small in order to be eaten, bur are also comestible in order to fulfill their essence, which is smallness. The harmony between Oriental food and chopsticks cannot be merely functional, instrumental; the foodstuffs are cut up so they can be grasped by the sticks, but also the chopsticks exist because the foodstuffs are cut into small pieces ; one and the same movement, one and the same form transcends the substance and its utensil : division. (15-16)
การบรรยายดังกล่าว ท�ำให้บาร์ทมองว่าการทีอ่ าหารในตะวันออกมีขนาดเล็กส่วนหนึง่ มันเป็น เพราะการใช้ตะเกียบเป็นหลัก และการที่อาหารมีขนาดเล็กท�ำให้ไม่อาจใช้อุปกรณ์อื่นได้นอกจาก ตะเกียบ บาร์ทมองว่า ทัง้ สองสิง่ นีล้ ว้ นอิงอาศัยกัน กล่าวง่ายๆ เพราะมีตะเกียบจึงท�ำให้อาหารต้อง มีขนาดเล็ก และเพราะมีอาหารขนาดเล็กเราจึงต้องผลิตสิ่งที่เรียกว่าตะเกียบขึ้น 26
สิง่ ทีบ่ าร์ทดูเหมือนจะมองข้ามไปในอาหารไทยก็คอื ไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ใช้ตะเกียบเป็น หลัก ในอดีตคนไทยใช้สิ่งที่คล้ายตะเกียบคือนิ้วนั่นเองในการหยิบจับอาหาร อย่างไรก็ตามข้อ สังเกตของบาร์ททีว่ า่ ตะเกียบไม่ได้มคี ณ ุ สมบัตแิ ค่การคีบสิง่ นัน้ สิง่ นีเ้ ท่านัน้ หากแต่ยงั มีคณ ุ สมบัติ ในการบ่งบอกว่าผูท้ านอาหารต้องการหรือพึงใจอาหารชนิดใด แบบใดเป็นพิเศษเฉพาะ การชึ้ไปที่ อาหารด้วยปลายของตะเกียบแสดงถึงการเลือก และการเลือกย่อมแสดงถึงความต้องการบริโภค ข้อสังเกตแบบนี้ประยุกต์ได้กับการกินอาหารของไทยที่ใช้นิ้ว นิ้วของตนเองเป็นหลักด้วยเช่นกัน ผมโตมาในครอบครัวทีญ่ าติขา้ งพ่อเป็นไทยปนมอญ ส่วนญาติขา้ งแม่นนั้ เป็นไทยปนจีน ทัง้ ย่าและยายของผมนั้นล้วนเป็นคนที่ทานอาหารไทยด้วยวิธีที่เรียกว่าเปิบข้าวคือการใช้นิ้วมือแทน ช้อนส้อม แม้ว่าย่าจะไปใช้ชีวิตในต่างแดนนานพอควรแต่ทุกครั้งที่ทานอาหารแบบสบายๆ ย่าก็ จะใช้นิ้วแทนวัตถุตะวันตกแบบนั้นเสมอๆ อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างอยู่บ้างพอควรในการใช้ นิ้วเปิบข้าวระหว่างย่ากับยาย ย่าผู้มาจากตระกูลขุนนางจะใช้นิ้วเพียงสองนิ้วคือนิ้วชี้กับนิ้วโป้งใน การจับอาหารขึ้นใส่ปาก เหลือบ่ากว่าแรงสุดๆ ย่าจึงจะใช้สามนิ้ว แต่ก็แบบกระมิดกระเมี้ยนเต็มที การใช้นวิ้ ทีน่ อ้ ยท�ำให้ยา่ ไม่จำ� เป็นต้องอ้าปากกว้าง ขบเคีย้ วแต่ละครัง้ ย่าก็ทำ� เหมือนกลัวดอกพิกลุ จะร่วง ย่าจะใช้มอื เปิบอาหารเข้าปากไม่กคี่ ำ� แล้วดืน่ น�ำ้ ฝนต่างก่อนจะลุกไปล้างมือ เป็นอันเสร็จพิธ ี 27
ในขณะที่ยายผู้มาจากครอบครัวพ่อค้าจะใช้นิ้วสาม สี่ หรือทั้งหมดในการเปิบอาหารเข้าปาก ยาย ไม่สนความงามในการเปิบเท่ากับรีบกินให้อมิ่ ๆ ท้องเสียจะได้ไปท�ำงานทีค่ งั่ ค้างให้เสร็จๆ ในเวลาต่อ ไป ข้างตัวของยายมีทั้งน�้ำดื่มและน�้ำล้างมือ โดยเฉพาะเมื่อยายต้องจัดการกับกุ้งตะกังบีบน�้ำปลา ใส่มะนาวของโปรดของยายเมนูนั้น ยายจะทั้งใช้นิ้วแกะเปลือกกุ้ง จิ้มน�้ำปลา และเอาเข้าปากไป พร้อมๆ กับการตะโกนสัง่ งานหรือการด่าคนงานในบานทีท่ ำ� งานไม่ได้ดงั ใจ ก่อนจะล้างคราบน�ำ้ ปลา ด้วยน�ำ้ ทีล่ อยมะนาวแว่นไว้นยั เพือ่ ให้มอื นุม่ ผมชอบความแตกต่างระหว่างบุพการีอาวุโสสองท่านนี้ ของผมมาก แม้วา่ พวกเขาจะได้รว่ มวงกันครัง้ แรกและครัง้ เดียวในงานบวชของน้าคนหนึง่ ของผม คนที่ไม่ชินกับการใช้มือเปิบอาหารแบบไทย อาจสงสัยว่าถ้าเช่นนั้นหากเราไปเจออาหาร ที่เป็นซุปหรือแกง เราจะมีวิธีการจัดการมันเช่นไร ทั้งย่าและยายตอบผมว่า ซุปหรือแกงนั้น หากไม่ตักราดข้าวจนชุ่มก็ใช้วิธีซดน�้ำแกงตาม ซึ่งทั้งย่าและยายแสดงให้ผมดูอย่างเชี่ยวชาญ แกงเขียวหวานที่รู้จักกันดี ย่าจะซดน�้ำไปอย่างเพลิดเพลินหรือหาขนมจีนมาแกล้ม แต่หากไม่มี ย่าก็จะเทแกงใส่ใบผักสักชนิดและมวนมันเหมือนมวลพลูกอ่ นเอาใส่ปากอย่างช�ำนาญ ส่วนยายจะ ซดน�ำ้ แกงแต่เพียงน้อยสลับกับการกัดก้อนข้าว จนท�ำให้ผมเข้าใจส�ำนวนว่ากัดก้อนเกลือกิน คือกัด ก้อนข้าวสลับกับการกินเกลือหรือเหยาะเกลือใส่กอ้ นข้าวก่อนกลืนกินเท่านัน้ เอง เนือ้ หาต่อไปใน Empire of Signs ทีน่ า่ สนใจคือ บาร์ทยกตัวอย่างการกินสุกยี้ ากีว้ า่ คนตะวันออกมีแนวโน้มจะชอบ ทานอาหารที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงมากกว่าอาหารที่ถูกท�ำส�ำเร็จแล้ว ซึ่งเป็น ประเด็นทีน่ า่ สนใจอีกเช่นกัน แต่ดเู หมือนว่ากระดาษจดหมายก�ำลังจะหมด ด้วยความเคารพ มะสัง ผมขอยกมันไปเล่าต่อในจดหมายฉบับต่อไปแทน ด้วยความระลึกถึง ต้น ติปยานนท์
28
รน บารนี Standing on Earth* หยัด 9 ใจถูกพร่า นาฬิกาหมุนเดิน นี่คือความตาย ใจกระสับกระส่าย นาฬิกานิ่งเนา นั่นคือความรัก อาจบางที ค�ำเปรียบนี้ง่ายดายเกินไป คุณจึงแค่เหลือบมองกลอกตา แทนเพ่งมอง คุณรู้ดีถึงการรอคอย มันคือความทานทนอันทึบแน่นของนิรันดรกาล และรู้ซึ้งถึงสิ่งรัก–มหัศจรรย์แห่งเลือดเนื้อ ล้วนตีตราให้นิรันดรกาลรู้ละอาย แต่ก็นะ ความตายมันไม่รีรอใด ไม่ใครทั้งนั้น บ่ายฤดูร้อนอันยาวนาน ก�ำลังโบกมือลาหีบศพและลับเหลี่ยมนาฬิกาประจ�ำเมือง ซากปรักหักพังล้วนเข้าใจ และคุณไม่ประสา สงครามสร้างการรอคอยที่ปลาสนาการ ขณะพยุงชีวิตไว้ด้วยความจริงห่มคลุมนั้นๆ เธอตายแล้ว ? เธอหลบลี้ล�ำพัง ? หรือคุณมิอาจรักใครได้อีก ? ศพไม่ตอบค�ำถามพรรค์นี้ คนเป็นยังคงยักย้าย และถัดจากนี้ ความรัก จักเต้นละลุมโบยตีนาฬิกา *บทกวีภาษาฟาร์ซีโดย Mohsen Emadi พากษ์อังกฤษโดย Lyn Coffin พากย์ ไทยงมๆ ซาวๆ แปลจาก http:// www.worldliteraturetoday.org/2015/march/two-poems-standing-earth-mohsen-emadi#.VXnBqPntmko
10 จันทร์ทอแสงเปล่าดายบ่อยไป และสงครามไม่เคยอุบัติโดยปราศจากสาเหตุ ทว่า ใครยังคงจากไปและคนด�ำรงคงอยู่ สองผู้พ่ายแพ้ต่ออุปัทวเหตุทั้งนั้น โปรดจ้องในตาข้าฯ ขณะท่านรวบเก็บสัมภาระลงกระเป๋า และกล่าวอ�ำลา ปราศไปจากความเศร้า ท่านคงแบกสุขไปกับยาสูบมวนสุดท้าย กระทั่งรถไฟเริ่มเคลื่อนขบวน เพราะความจริงคือเด็กผู้โศกตรม และข้าฯ ไม่ต้องการเป็นความจริงของท่านเช่นนั้น โปรดหลับตา จูบจุมพิตข้าฯ จนกว่าความเย็นชาแห่งจูบคุณหลอมละลายปนเปในเส้นเลือดข้าฯ โปรดค�ำนวณถึงความไม่แยแสใดๆ ของพระจันทร์ด้วย เพราะรถไฟก�ำลังเทียบชานชาลาแล้ว มันจ�ำนรรจ์–ความงดงามคือเยาวชนของความเป็นไปได้ ผู้ซึ่งรับเอาเพียงหนอนคูถแห่งความสิ้นหวัง ที่ซึ่งผิวหนังของข้าฯ คือจินตนาการของโลก ณ ชั่วขณะของคุณ บดขยี้บุหรี่ของคุณด้วยฝ่าตีนของคุณ และกลับลับลากัลปาวสาน ยั้งโคมฉายไว้ก่อน ประดับประติมาแห่งจันทร์ทอดวงเต็มฟ้า ในสถานีที่ถูกละทิ้งหมางเมิน ณ ชั่วขณะ ระเบิดปูพรม. 30
ภู กระดาษ อ้ายเต็นครับ, บนฝั่งแม่น�้ำตะวันออกสายเดิม ยังอยู่ที่นั่นใช่ไหมครับ หากยังอยู่ที่นั่น ก็ควรปลูกพริกปลูก ผักบริเวณนัน้ เสียนะ พอได้กนิ ได้คา้ ได้ขาย กินผักกินหญ้าและพอได้คา่ น�ำ้ ปลาค่าเกลือ เลีย้ งปาก เลีย้ งท้องไปบนฝัง่ แม่นำ�้ ตะวันออกสายเดิมนะครับ อย่าได้เทียวไปเพ่นพ่านในแหล่งชุมชนคนแออัด หากวันร้ายคืนทรามมีคนมาวางระเบิดไว้ อ้ายเต็นอาจจะตายเอาได้นะครับถ้าอยู่ในรัศมีทำ� การของ ระเบิดนัน่ ผมเองก็ไม่เหยียบกรายไปในทีแ่ บบนัน้ หรอกครับ ผมกลัวน่ะแหละ และจึงได้แต่ใช้ชวี ติ อยู่แต่บนฝั่งแม่น�้ำตะวันออกสายเดิม ปลูกผักปลูกพริก ปลูกข้าว พอได้เลี้ยงตัวให้รอดวันไปครับ บนฝั่งแม่น�้ำตะวันออกสายเดิม ผมเคลิ้มทุกคราที่ได้ยิน อ้ายเต็นก็คงจะไม่ต่างกันใช่ไหม ครับ ผมเชื่อว่านักเขียน กวี นายแบบแนวเกาหลีเหนืออย่างอ้ายเต็น ไม่น่าจะพลาดอะไรอย่าง นี้ไปได้ เคลิ้มท�ำให้เรามีความสุขดีนะครับ อ้ายเต็นว่าไหม ความสุขเหมือนในตอนนี้ที่ผมนั่งมอง ทุง่ ข้าวทีอ่ ยูร่ ายรอบบ้าน สีเขียวหม่นของใบข้าวท�ำให้ผมมีความสุขครับ เสียงหมาเห่า เสียงไก่ขนั เสียงเป็ดร้อง ก็ท�ำให้มีความสุขเช่นกัน ชีวิตของชาวเราก็เท่านี้แหละ ใช่ไหมครับอ้ายเต็น กลาง วัน กลางคืนท�ำงาน สลับกับพักผ่อนบ้าง เล็กๆ น้อยๆ พอให้ได้ชุ่มชื่นใจ มีพละก�ำลังท�ำงานต่อ ไป มีความสุขมากๆ ครับ พูดถึงเกาหลีเหนือแล้ว ขณะที่ผมนั่งพิมพ์จดหมายฉบับนี้อยู่นั้น อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ก�ำหนดการห้าโมงเย็นของวันนี้คือ เส้นตายที่ท่านผู้น�ำเกาหลีเหนือของชาวเราจะเปิดฉากรบกับ เกาหลีใต้แหละครับ แต่ถึงเวลานั้นจริงๆ จะเป็นอย่างไรก็มิอาจจะทราบได้หรอกครับ ท่านผู้น�ำ ของชาวเราจะท�ำอย่างที่ขู่ไว้หรือเปล่า ก็ต้องรอดูรอชมกันแหละครับ รอที่ตรงฝั่งแม่น�้ำตะวันออก สายเดิมของชาวเรานั่นแหละ ที่ผมกล่าวถึงท่านผู้น�ำเกาหลีเหนือว่าเป็นผู้น�ำของชาวเรานั้น ก็เพราะว่า ประเทศของชาว เรา ท่านผู้น�ำของชาวเรานั้นเป็นญาติสนิทมิตรสหายกับเกาหลีเหนือนั่นแหละครับ ไม่ใช่อะไร ตั้งแต่ประเทศของชาวเราอยู่ภายใต้คณะปกครองทหาร ดูเหมือนว่าการเจริญสัมพันธ์ระหว่างทั้ง สองประเทศจะรุดหน้าและเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากแหละครับ ซึ่งท่านผู้น�ำของชาวเราพาพวก เรามายังบนแม่น�้ำตะวันออกสายเดิมอย่างถูกทางแล้วครับ อ้ายเต็นอย่าลืมให้การสนับสนุนท่าน ผูน้ ำ� คณะปกครองทหารของชาวเราด้วยนะครับ รายการทีวที กุ คืนวันศุกร์ รายการทีช่ าวเราทุกคน ทุกเพศทุกวัยต่างก็เฝ้ารอคอย รายการคืนความสุขให้คนในชาตินนั่ แหละครับ ผมดูเป็นประจ�ำ รวม 31
ถึงรายการเดินหน้าประเทศไทยในช่วงหลังเคารพธงชาติหกโมงเย็นของทุกวันด้วยครับ ผมคิดว่า อ้ายเต็นคงไม่พลาดสักคราใช่ไหมครับ ผมหวังใจเช่นนั้นนะ และด้วยที่อ้ายเต็นเป็นนักเขียน กวี นายแบบแนวเกาหลีเหนือ ผมหวังใจกับอ้ายเต็นเป็นอย่างมากแหละครับในเรื่องนี้ จงเป็นแบบ อย่างที่ดีงามให้กับน้องๆ ด้วยนะครับ ผมขอฝากไว้ดว้ ยนะครับอ้ายเต็น นักเขียน กวี นายแบบเกาหลีเหนือบนฝัง่ แม่นำ�้ ตะวันออก สายเดิม และขอจงภาคภูมิใจในผู้น�ำของชาวเราและชาวเราทุกคนด้วยนะครับ ด้วยฮักแพง ภู กระดาษ 22/08/2015 ศรีสะเก๊ษ
นายแปลกและนายปรีดีไปอุจจาระ เช้าวันหนึ่ง นายปรีดี นามสกุล ปรีดาปราโมทย์ ไปขี้ในป่ากล้วย ขี้ไปด้วยผิวปากไปด้วย ลมเย็นวอยๆ พัดดากเย็นจ้อยๆ ห�ำก็หด เบ่งขี้ก็หนัก ขี้ออกมาได้เพียงแต่หัวขี้ ก็ไม่อยากขี้ต่อ นายปรีดีก็เลยเลิกขี้ เขารูดดึงเอาใบกล้วยมาเช็ดขี้ออกจากรูดาก ท�ำความสะอาดเอี่ยมอ่อง และ ก็ไปท�ำไร่ไถนา นายปรีดีเป็นชาวไร่ชาวนา เช้าวันนั้นเป็นวันลงนา ไถนาวันแรก เขาก็ไถนา ไถนาไปได้บิ้ง หนึ่งเขาก็ปวดขี้อีก นายปรีดีจึงไปขี้ในโคกป่าละเมาะ เขาเบ่งขี้ ลมเย็นวอนวอยพัดห�ำเย็นจ้อยๆ แดดก็แกร่งกล้าเผาสุม คราวนี้นายปรีดี นามสกุล ปรีดาปราโมทย์ ก็ขี้ได้แต่เพียงน้อย ออกแต่ เพียงหัวๆ ก็เลิกขี้เช่นเดิม ที่เลิกขี้ก็เพราะเขาไปขี้ใกล้รังแตน แม่แตนฝูงใหญ่จึงรุมตอดรุมกัดเขา จนเขาต้องเลิกขี้ วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ก่อนจะกลับไปไถนาเช่นเดิม ทหารหาญที่ลาดตระเวนอยู่ บริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์โดยตลอดก็ได้แต่หัวเราะเยาะเขาอย่างสนุกสนานเบิกบานใจ นายปรีดีไถนาต่อไปจนสายเกือบจะเพล เสือเหลืองกระสับกระส่ายอยากลั่นกลองเพล แต่ ก็ยังรั้งรอ ระหว่างที่ไถนาอยู่นั้น เพื่อนของนายปรีดี ชื่อนายแปลก นามสกุล แลกเลือด ก็มาหา มาบอกนายปรีดีว่า “เฮ้ย ปรีดี เฮาเป็นเพื่อนกันอยู่นะ” นายปรีดีก็งง “เป็นเพื่อนอะไรวะ” 32
นายแปลกก็ว่า “เพื่อนกันไง จ�ำบ่ได้หรือ” นายปรีดีว่า “จ�ำได้สิ แล้วยังไงหรือ” นายแปลกว่า “ก็เพื่อนกันไง” นายปรีดีว่า “โอเค เพื่อนกัน แล้วมีธุระอะไร” นายแปลกทันทีว่า “เฮาปวดขี้” นายปรีดีก็ว่า “เฮาก็ปวดขี้เหมือนกัน แต่ขี้บ่สุดสักที” นายแปลกว่า “ไป ไปขี้ด้วยกัน” สิ้นเสียงนายแปลกชวนไปขี้อีกครั้ง นายปรีดีก็ทรุดกายลงขดงอปวดท้อง และดิ้นเกลือกลง กับก้อนขี้ไถ นายแปลกเขาก็ตะลึงงัน แต่จะช่วยอะไรได้ นายแปลกเขาก็ปวดขี้เหมือนกัน เขาจึง ทิ้งนายปรีดีให้นอนขดงอปวดท้องอยู่อย่างนั้น และนายแปลกเขาก็ไปขี้ในป่าโคกป่าละเมาะ แต่ทว่าก�ำลังถอดกางเกงอยู่นั้น นายแปลกเขาก็ถูกแม่แตนฝูงใหญ่ถลาเข้าใส่ และรุมตอด รุมกัดเขายุบยับจนต้องทิง้ กางเกง วิง่ หางจุกตูดออกมาจากป่าโคก ห�ำยานๆ ของนายแปลก นามสกุล แลกเลือด ไกว่โต้นเต้นไปมาตามจังหวะวิง่ ปวดขีก้ ด็ เู หมือนจะหายสนิทแล้ว แต่กระนัน้ นายแปลก ก็เป็นโรคไส้เลื่อนตามมา จนเขาวิ่งมาถึงตรงที่นายปรีดีนอนดิ้นเพราะปวดท้องอยู่ นายแปลกเขา จึงได้ทรุดลงไปดิ้นอยู่ใกล้ๆ นายปรีดี ทั้งปวดท้องขี้ก็ตามมา ทั้งปวดไส้เลื่อนก็สุมรุม ทั้งสองคน นอนดิ้นกันละวืนละวาย แต่ไม่มีใครร้องเสียงโอดโอยออกมา นอนดิ้นจนตระเว็นคล้อยค�่ำ นายปรีดี นามสกุล ปรีดาปราโมทย์ และนายแปลก นามสกุล แลกเลือด ก็จงึ ได้ขาดใจตาย บ้านช่องห้องหอก็ไม่ได้กลับ ทัง้ สองคนตายอยูบ่ นบิง้ นาคาก้อนขี้ไถ โดยที่ทหารหาญที่ลาดตระเวนอยู่แถวนั้นเดินมาดู เอาพานท้ายปืนตีตั้งแต่หัวยันปลายตีนราวๆ สิบ-ยี่สิบครั้ง ก็ไม่มีไหวติงกาย พวกเขาก็จึงได้หัวเราะงอหงายเบิกบานใจออกมา และประทับ พานท้ายปืนขึ้นบนร่องไหล่ เล็ง ยิง กระหน�่ำยิงแบบออโต้ สลับกับยิงทีละนัดจนร่างของนายปรีดี และนายแปลกพรุนไปทั้งร่าง จึงได้ผละไปท�ำหน้าที่ออกลาดตระเวน รักษาความสงบ ความมั่นคง ของชาติต่อไป นายแปลกและนายปรีดีไปขี้ และก็ตายในคราวนั้น และไม่ได้เป็นที่สนใจมากนักของไทบ้าน และทุกอย่างก็เริ่มเลือนรางจางหายไปในท้ายที่สุด.
33
ขอแนะน�ำ บางส่วนจากค�ำประกาศของบรรณาธิการ ... เมื่อพินิจพิเคราะห์เนื้อหาของทุกผลงาน แล้ว ผนวกเข้ากับบรรยากาศของบริบททาง สังคม/การเมืองในปัจจุบัน จึงท�ำให้คิดถึง นิทานที่เล่าสืบต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย ว่ากาลครั้งหนึ่ง ณ ใจกลางยุคมืด ยังมีดอก ไม้กลุ่มกอเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ชูช่อเผยอกลีบผลิ บาน...ด้วยเหตุนี้ จึงขอตัง้ ชือ่ ปก ชายคาเรือ่ ง สั้น ล�ำดับที่ 6 นี้ว่า ‘มวลดอกไม้ในยุคมืด’... ชายคาเรื่องสั้น ล�ำดับที่ 6 โดย คณะเขียน มาโนช พรหมสิงห์ บรรณาธิการ ส�ำนักพิมพ์เขียน จัดพิมพ์ 200 หน้า ราคา 200 บาท บางส่วนจากค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ / ไอดา อรุณวงศ์ โดยฉันทาคติอนั ไม่อาจปิดบังได้ ดิฉนั ออกจะ รู้สึกมีก�ำลังใจ ที่ได้เห็นว่าโจทย์ของความขัด แย้งในโลกของชุดค�ำใหญ่ๆ เหล่านี้ กลั่นมา จากนักรัฐศาสตร์ที่อ่านวรรณกรรมทั้งอย่าง ออกรสและอย่างจริงจัง อย่างพ้นไปจากฐานะ คู่ตรงข้ามของ ‘ความบันเทิงไร้สาระ’ กับ ความ ‘มีประโยชน์’ ดังที่โลกวิชาการในสังคม ไทยมักจัดวางต�ำแหน่งให้ ทักษ์ เฉลิมเตียรณ เขียน พงษ์เลิศ พงษ์วนานต์ แปล ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ค�ำน�ำ ส�ำนักพิมพ์อ่าน จัดพิมพ์ ปกอ่อน 400 บาท ปกแข็ง 500 บาท 34
เกี่ยวกับเรา คณะผู้เขียนจดหมาย : ก�ำเนิดขึ้นด้วยมิตรภาพทางวรรณกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่งานวรรณกรรม ในรูปแบบจดหมายวรรณกรรม
คณะผู้เขียนจดหมาย : ภูมิชาย คชมิตร ภู กระดาษ อรอาย อุษาสาง ชามกลางคืน จารุพัฒน์ เพชราเวช รน บารนี สร้อยสัตบรรณ ฯลฯ
ศิลปกรรม : คนเก็บฝัน จ�ำปา วงศ์สง่า ป.ล. 1. รายชื่อที่ปรากฏแปลกไปจากฉบับก่อนหน้า : จ�ำปา วงศ์สง่า, วิชัย จันทร์สอน, มาโนช พรหมสิงห์, บุญทม วันสูง, นฤมิตร ประพันธ์, วิรัช ขันทอง, อนุสรณ์ ติปยานนท์ 2. คณะผู เ ขี ย นจดหมายมีความยินดีรับพิจารณาตน ฉบั บ เรื่ อ งสั้ น บทกวี ความเรี ย ง บทสัมภาษณ หรืออื่นๆ ที่มีความยาวไมเกิน 10 หนากระดาษเอสี่ โดยปราศจากคาตอบแทนเปน เงินหรือสิ่งอื่นใดที่เกินกวาวาสนา 3. คณะผู้เขียนจดหมายขอบคุณทุกท่านที่เขียนจดหมายและส่งโพสท์การ์ดไปถึง และ ทุกท่านที่เกื้อหนุนในด้านต่างๆ เสมอมา ขอบคุณเป็นอย่างสูงยิ่ง
ส�ำหรับท่านที่สนใจหรือสงสัย โปรดติดต่อได้ที่ : 173 หมู่ 10 บ้านโพธิ์ตาก ต.บ้านผือ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น 40240 email : letterliterature@yahoo.com, facebook : จดหมาย วรรณกรรม 35
36