-0-
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-1-
อารัมภกถา-พุทธโฆสุปปตติ คัมภีรพระวิสุทธิมรรคนี้ บัณฑิตทั้งปวงพึงรูวาพระคันถรจนาจารย ผูมีนามปรากฏวา พระ พุทธโฆษาจารย ซึ่งไดจตุปฏิสัมภิทาญาณรูแตกฉานชํานาญในพระไตรปฎก ผูมีปญญาวิสารทะแกลว กลา ไดรจนาตกแตงไว เพื่อใหประโยชนแกพระพุทธศาสนา จะกลาวความอุบัติบังเกิดขึ้นแหงพระพุทธโฆษาจารย เลือกคัดขอความตามนิทานประวัติ ที่มีมาในคุมภีรพุทธโฆสุปปตติ แลคัมภีรญาโณทัยปกรณแตโดยสังเขป มีความวา พระผูเปนเจาพระพุทธโฆษาจารยพระองคนี้ แตปุเรชาติปางกอนไดบังเกิดเปน เทพบุตร มีนามวาโฆสเทวบุตร เสวยทิพยสมบัติอยูในดาวดึงสเทวโลก ครั้นเมื่อพระพุทธศาสนากาลลวงได ๒๓๖ พรรษา นับตั้งแตสมเด็จพระผูมีพระภาค เสด็จ ดับขันธปรินิพพาน พระมหินทเถรเจาผูเปนองคพระอรหันตผูวิเศษ ไดออกไปประดิษฐานพระปริยัติ ธรรมศาสนาไวในลังกาทวีป ครั้นลวงกาลนานมาในภายหลังกุลบัตรในชมพูทวีปนี้ จะเรียนรูพระปริยัติ ธรรมไดโดยยากในกาลใดในกาลนั้น จึงมีมหาเถระองคหนึ่ง เปนพระมหาขีณาสพ มีนามวาพระธรรม โฆษาจารย อีกนามหนึ่งเรียกวา พระเรวัตมหาวเถระเปนผูมีฤทธิ์ คิดจะบํารุงพระปริยัติศาสนาของ สมเด็จพระบรมศาสดาใหถาวรรุงเรื่อง จึงเขาสูฌานสมาบัติ สําแดงฤทธิ์ขึ้นไปปรากฏอยูเฉพาะพระ พักตรสมเด็จทาวสักกะเทวราช ในดาวดึงสพิภพ ขอใหอาราธนาโฆสเทวบุตร ผูมีสมภารบารมีไดสราง สมอบรมมาในสํานัก พระพุทธเจาแตปางกอนหลายพระองคเปนผูมีไตรเหตุกปฏิสนธิปญญาอันแก กลา ใหจุติลงมาบังเกิดในมนุษย ชวยบํารุง พระปริยัติศาสนา ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาให ถาวรรุงเรืองสืบไป ครั้นในโฆสเทวบุตร รับอาราธนาสมเด็จทาวเทวามินทรเทวราชแลวก็จุติลงมาเกิดในครรภ นางเกสินีพราหมณี ผูเปนภรรยาเกสิพราหมปุโรหิตาจารย ผูรูชํานาญในไตรเพท อยูในบานโฆสคาม เปนที่ใกลตนพระมหาโพธิ์ในพระนคร อันเปนแวนแควนแผนดินมัชฌิมประเทศ ในชมพูทวีป ขณะเมื่อทารกนั้นบังเกิด เสียงคนในบานตลอดถึงทาสกรรมกรเปนตน กลาวคํามงคลแกกัน และกัน ดังแซซองกึกกองไป มารดาบิดาแลญาติญึงใหนามแกทารกนั้นวา โฆสกุมาร เพราะเหตุเสียง กลาวมงคลกถาอันดังกึกกองนั้น ครั้นโฆสกุมารมีวัยวัฒนาการอายุได ๗ ขวบ ก็มีสติปญญาสามารถเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ได เลาเรียนรูคัมภีรไตรเพทแตกฉานแตภายในอายุ ๗ ขวบ ฝายพราหมณปุโรหิตบิดาโฆสกุมาร เปนพระมหาราชครูผูสั่งสอนไตรเวททางคศาสตร แด สมเด็จบรมกษัตริยในพระนครนั้น แลไดพาบุตรเขาไปในพระราชวังดวยเปนนิตย ในเวลาวันหนึ่ง พราหมณปุโรหิต บอกสอนไตรเพทแดพระมหากษัตริยถึงบทคัมภีรคัณฐี ใน ไตรเพทบทหนึ่ง ก็มีความสงสัยคิดอรรถาธิบายไมออกได จึงทูลลาพาบุตรกลับมาบาน คิดตรึกตรอง อยูเนือง ๆ ก็ยังไมลงเห็นอรรถาธิบายนั้นได ฝายโฆสกุมารรูวา บิดาคิดอรรถาธิบายแหงบทไตรเพทนั้นติดตัน จึงเขียนขออธิบายแหง บทคัณฐีในเตรเพทลงไวในใบลาน ครั้นบิดาออกมาไดเห็นอักษร ก็เขาใจในอรรถาธิบายนั้น แลวรูวา บุตรของตนมีปรีชาเชี่ยวชาญเลียวฉลาดยิ่งนัก มาเขียนอรรถาธิบายแหงขอสงสัยนั้นไวให ก็ชื่นชมดี ใจหาที่สุดมิได จึงพาบุตรเขาไปเฝาพระมหากษัตริยกราบทูลประพฤติเหตุนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-2สมเด็จบรมขัตติยราชก็ทรงพระโสมนัส ชอบพระราชหฤทัยยิ่งนัก จึงสวมกอดเจาโฆสกุมาร ใหนั่งขึ้นนั่งเหนือพระเพลา จุมพิตศิรเกลา แลมีพระราชดํารัสวา แตนี้ไปเจาจงเปนบุตรบุญธรรมของ เรา แลตรัสสรรเสริญปญญาโฆสกุมารเปนอันมาก ครั้นโฆสุกุมาร มีวัยวัฒนาการเจริญขึ้น ไดมาบรรพชาในสํานักพระธรรมโฆษาจารย ผูเปน พระอุปชฌายาจารย ไดเลาเรียนพระธรรมวินัยไตรปฎก (เอามาเรเนว) ในประมาณเดือนเดียวเทานั้นก็ ไดสําเร็จรูพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม ทั้งสามปฎก ครั้นไดอุปสมบทบวรเปนภิกษุภาพใน พระพุทธศาสนาแลว ก็มีปญญาวิสารทะแกลวกลา ไดสําเร็จจตุปฏิสัมภิทาญาณ รูแตกฉานชํานาญใน บาลีแลอรรถกถา แลนิรุติ บทวิคคหะแลปฏิภาณ การกลาวโตตอบโดยคลองแคลว พรอมองคแหง ปฏิสัมภิทาญาณทั้งสี่ มากิตติคุณสรรเสริญปญญา เลื่องลือกึกกองแผไปในสกลชมพูทวีป จึงมีนาม ปรากฏวา พระพุทธโฆสภิกษุ และพระพุทธโฆษาจารยเปรียบปานดุจดังสมเด็จพระพุทธองค ยังทรง ทรมานมีพระชนมอยู ซึ่งมีพระกิตติศัพท แลพระกิตติคุณแผฟุงเฟองไปในพื้นมหิดล หาที่สุดมิได ครั้นอยูมาถึงเวลาสมควร พระมหาเถระผูเปนพระอุปชฌายจึงมีเถรศาสนสั่งสอนพระพุทธ โฆษาจารย ใหไปแปลพระพุทธวจนะปริยัติธรรมไตรปฎกในลังกาทวีป ออกจากสีหฬภาษากลับขึ้นมา สูมคธภาษามายังชมพูทวีป เพื่อประโยชนแกพระพุทธศาสนาใหถาวรสืบไป ฝายพระพุทธโฆษาจารย รับอุปชฌายศาสน จึงขอผลัดเวลาไปทรมานบิดาซึ่งยังเปน มิจฉาทิฏฐิอยู ใหกลับเปนสัมมาทิฏฐินับถือเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จนไดสําเร็จพระโสดาปตติผลแลว พระผูมีพระเปนเจาก็กลับมานมัสการลาพระอุปชฌาย ลงสูสําเภากับดวยพวกพาณิชสําเภาก็แลนออก ไปสูมหาสมุทร ในขณะนั้น ดวยเดชะวิสุทธิมรรคศีลาทิคุณ แลอํานาจบุญเจตนาของพระพุทธโฆษ จารย ซึ่งตั้งจิตจะแปลพระปริยัติธรรม ชวยบํารุงพระพุทธศาสนาใหถาวรสืบไปนั้น เปนบุญกิริยาวัตถม หากุศล บังเกิดเปนทิฏฐธรรมเวทนีย ผลจึงมีเทวราชานุภาพของทาวสักกะเทวราช แลพรหมานุภาพ ของพระพรหมผูมีมหิทธิฤทธิ์ มาชวยพิทักษรักษาสําเภาพระพุทธโฆษาจารยใหแลนไปในมหาสมุทร โดยสวัสดี ไมมีภัยอันตราย เมื่อสําเภาพระพุทธโฆษาจารยแลนไปได ๓ วัน ไดพบสําเภาพระพุทธทัตตเถระองคหนึ่ง ซึ่งแลนออกจากทาลังกาทวีปาในมหาสมุทร พระเถระทั้ง ๒ ไดออกมาปฏิสันถารไตถามถึงกิจตอกัน ครั้นพระพุทธทัตตะทราบวา พระพุทธโฆษาจารยจะออกไปแปลพระปริยัติธรรมในลังกาทวีป ดังนั้น ก็ ยินดีเลื่อมใสยิ่งนัก จึงแจงวาทานไดแปลพระปริยัติธรรมไว ๓ คัมภีร คือบาลีชินาลังกา ๑ บาลีทันต ธาตุ ๑ บาลีพุทธวงศ ๑ แตยังหาไดรจนาคัมภีรอรรถกถา แลคัมภีรฎกีกาไม จึงอาราธนาพระพุทธ โฆษาจารยใหชวยตกแตงคัมภีรอรรถกถา แลคัมภีรฎีกาสําหรับบาลี ๓ คัมภีรนั้น เพื่อใหเปนประโยชน แกพระพุทธศาสนาสืบไป แลวพระพุทธทัตตเถระ จึงถวายผลสมอเปนยาฉันแกโรค ๑ เหล็กจารมีดาม ๑ ศิลาลับเหล็กจาร ๑ แกพระพุทธโฆษาจารย สิ่งของทั้ง ๓ สิ่งนี้ สมเด็จทาวสุชัมบดีเทวราชไดถวาย แกพระผูเปนเจามาแตกอน ในคัมภีรญาโณทัยปกรณกลาววา สมเด็จทาวสักกะเทวราชก็ไดถวายผล หริตกี คือสมอไทยฉันเปนยาแกโรคกับเลขณี กับเหล็กจาร แกพระพุทธโฆษาจารยดุจเดียวกัน ใน วันที่พระผูเปนเจาลงสูทาสําเภา ออกมาจากชมพูทวีปนั้น ครั้นแลวสําเภาพระพุทธทัตตเถระ ก็แลนเขามาสูชมพูทวีปนี้ สําเภาพระพุทธโฆษาจารย ก็ แลนออกไปถึงทาที่จอดในลังกาทวีป ครั้นไดเวลาสมควร พระพุทธโฆษาจารย จึงไปสูสํานักสมเด็จพระสังฆราชาธิบดีผูมีนามวา พระสังฆบาล ผูเปนจอมสงฆในลังกาทวีปซึ่งสถิตในมหาวิหาร นั่งอยูเบื้องหลังศิษยผูมาเรียนพระ ปริยัติธรรมในเวลานั้น สมเด็จพระสังฆราช บอกพระอภิธรรมแลพระวินัยแกศิษยสงฆ ถึงบทคัณฐีพระ อภิธรรมก็ไมไดเขาใจความอธิบาย จึงสงสงฆศิษยทั้งหลายใหกลับไปก็เขาสูหองคิดตรึกตรอง อรรถาธิบายในบทคัณฐีพระอภิธรรมนั้นอยู ฝายพระพุทธโฆษาจารยรูวา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
สมเด็จพระสังฆราชไมทราบอรรถาธิบายในบทคัณฐีพระ
-3อภิธรรม จึงเขียนความอธิบายแลอรรถกถาลงไวในแผนกระดานใกลอาศรมสมเด็จพระสังฆราช แลวก็ กลับมาสูที่อยู ครั้นสมเด็จพระสังฆราชออกมาจากหองไดเห็นอักษร ก็เขาใจความอธิบายในบทคัณฐีพระ อภิธรรมนั้น โดยแจงชัด จึงใชคนปฏิบัติไปถามอาราธนาพระพุทธโฆษาจารยมาไตถาม ครั้นไดทราบ ความวาพระพุทธโฆษาจารย เปนผูบอกกลาวสั่งสอนพระไตรปฎก พระพุทธโฆษาจารยไมรับ จึงแจง กิจแหงตนอันพระอุปชฌายสงมาใหแปลพระปริยัติธรรมออกจากสีหฬสภาษา ขึ้นสูมคธภาษา ฝายสมเด็จพระสังฆราชก็มีความยินดียิ่งนัก รับคําวาสาธุดีแลวจึงอาราธนาพระพุทธโฆษา จารย ใหรจนาตกแตงคัมภีรพระวิสุทธิมรรคซึ่งเปนยอดธรรมสั่งสอนของสมเด็จพระผูมีพระภาค ใหดู คัมภีรหนึ่งเพื่อเห็นปญญาสามารถกอน ฝายพระพุทธโฆษาจารย รับคําอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช แลวจึงรจนาตกลงแตงคัมภีร พระวิสุทธิมรรคซึ่งเปนยอดธรรมสั่งสอนของสมเด็จพระผูมีพระภาค ใหดูคัมภีรหนึ่งเพื่อเห็นปญญา สามารถกอน ฝายพระพุทธโฆษาจารย รับคําอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช แลวจึงรจนาตกลงแตงคัมภีร พระวิสุทธิมรรคปกรณ ตั้งคาถาพระพุทธฎีกาวา (สีเล ปติฏาย นโร สปฺโญ)เปนอาทิ ลงเปน หลักสูตร จึงรจนาตกแตงอรรถกถาไดโดยรวดเร็วยิ่งนัก ครั้นสําเร็จจบพระคัมภีรแลวก็ตั้งไว จึงจําวัด หลับไป พระคัมภีรนั้นก็หายไป ดวยสักกะเทวราชานุภาพ ครั้นพระผูเปนเจาตื่นขึ้นไมเห็นคัมภีรของตน ก็จารคัมภีรพระวิสุทธิมรรคขึ้นอีก เปนคัมภีร คํารบสองโดยรวดเร็วยิ่งนัก ดวยแสงสวางแหงประทีป ครั้นสําเร็จแลวก็วางคัมภีรนั้นไว และจําวัดหลับ ไปอีก พระคัมภีรนั้นก็หายไปดวยเทวราชานุภาพแหงทาวสักกะเทวราชอีกเลา ครั้นพระผูเปนเจาตื่นขึ้นไมเห็นคัมภีรเปนคํารบสองนั้นแลว ก็รีบดวนจารคัมภีรพระวิสุทธิ มรรคขึ้นอีก เปนคัมภีรคํารบสาม ดวยแสงประทีปอันสวาง ครั้นจารเสร็จแลว จึงผูกคัมภีรพระวิสุทธิ มรรคคํารบสามนั้นไวกับจีวร พอเวลารุงเชา พระผูเปนเจาตื่นขึ้น เห็นในพระคัมภีรพระวิสุทธิมรรคทั้งสองคัมภีร ที่พระผู เปนเจาไดรจนาและจารซึ่งหายไปนั้นอันทาวสักกะเทวราชนํามาคืนใหตั้งไวในที่ดังเกา พระผูเปนเจา ก็มีความโสมนัสชื่นชม ตามพระคัมภีรญาโณทัยปกรณกลาววา ซึ่งสักกะเทวราชานุภาพบันดาลใหเปนไปทั้งนี้ เพื่อใหเกิดบุญกิริยาวัตถุแกมหาชน เพื่อไดถวายใบลานใหม ใหพระผูเปนเจาจารพระวิสุทธิมรรคเปน ประโยชนแกพระพุทธศาสนาไดหลายคัมภีร แตบัณฑิตทั้งปวงอนุมานวา “ซึ่งสักกะเทวราชานุภาพใหเหตุเปนไปทั้งนี้ เพื่อแสดง ความสามารถแหงปญญาวิสารทะ แลวิริยะอุตสาหะของพระผูเปนเจาใหปรากฏแกชนชาวลังกาทวีป ทั่วไป” ครั้นแลว พระผูเปนเจาจึงนําพระวิสุทธิมรรคทั้งสามพระคัมภีรนั้นไปแจงเหตุตอสมเด็จ พระสังฆราช ๆ ก็มีความพิศวง จึงใหชุมนุมสงฆผูรูชํานาญในพระปริยัติธรรม ชวยตรวจสอนทานพระวิ สุทธิมรรคทั้งสามคัมภีร ศัพทอันมีนิบาตแลอุปสรรคเปนตน อันพระผูเปนเจาไดรจนาตกแตงแลจารใน บทใด ๆ ก็เสมอสมานกัน เปนอันดีในบทนั้น ๆ ตั้งอยูเหมือนดังพระผูเปนเจาไดตกแตงแลจารไวแต แรกสิ้นทั้งสามคัมภีร แลคัมภีรพระวิสุทธิมรรคนี้มี ๒๓ ปริจเฉท
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-4ปริจเฉทเปนปฐมนั้น ชื่อศีลนิเทศ แสดงดวยศีลมีประเภทตาง ๆ ปริจเฉทเปนคํารบ ๒ ชื่อธุงดงคนิเทศ แสดงดวยธุดงควัตร ๑๓ ประการ ๔๐ ประการ
ปริจเฉทเปนคํารบ ๓ ชื่อกัมมัฏฐานคหณนิเทศ แสดงดวยวิธีเลาเรียนพระสมถกรรมฐาน
ปริจเฉทเปนคํารบ ๔ ชื่อปถวีกสิณนิเทศ แสดงดวยปถวีกสิณเปนตนที่ ๑ ปริจเฉทเปนคํารบ ๕ ชื่อวาอวเสสกสิณนิเทศ แสดงดวยกสิณที่เหลือลง ๙ ประการ รวม กับปถวีกสิณเปน ๑๐ ประการ ปริจเฉทเปนคํารบ ๖ ชื่ออศุภนิเทศ แสดงดวยอศุภ ๙ ประการ ปริจเฉทเปนคํารบ ๗ ชื่อฉานุสสตินิเทศ แสดงดวยอนุสสติ ๖ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ ปริจเฉทเปนคํารบ ๘ ชื่อเสสานุสสตินิเทศ แสดงดวยอนุสสติ ๔ ที่เหลือลงคือ มรณานุสส ติ กายคตาสติ อานาปานสติ อุปมานุสสติ รวมกับอนุสสติ ๖ จึงเปนอนุสสติ ๑๐ ประการ ปริจเฉทเปนคํารบ ๙ ชื่อพรหมวิหารนิเทศ แสดงดวยพรหมวิหารทั้ง ๔ คือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปริจเฉทเปนคํารบ ๑๐ ชื่ออรูปนิเทศ แสดงดวยอรูปสมาบัติ ๔ คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญายตนะสมาบัติ ปริจเฉทเปนคํารบ ๑๑ ชื่อสมาธินิเทศ แสดงดวยสมาธิกับทั้งปฏิกูลสัญญาธาตุววัตถาน นิเทศ ปริจเฉทเปนคํารบ ๑๒ ชื่ออิทธิวิธีนิเทศ แสดงดวยฤทธิ์วิธีตาง ๆ ปริจเฉทเปนคํารบ ๑๓ ชื่ออภิญญานิเทศ แสดงดวยอภิญญา ๕ มีทิพพโสต ทิพพจักษุ และเจโตปริยญาณ คือรูวารจิตแหงผูอื่นเปนตน ปริจเฉทเปนคํารบ ๑๔ ชื่อขันธนิเทศ แสดงดวยปญจขันธ และวิเศษนามแหงขันธตาง ๆ ปริจเฉทเปนคํารบ ๑๕ ชื่ออายตนธาตุนิเทศ แสดงดวยอายตนะ ๒๑ และธาตุ ๑๘ ปริจเฉทเปนคํารบ ๑๖ ชื่ออินทรียสัจจนิเทศ แสดงดวยอินทรีย ๒๒ และอริยสัจ ๔ ปริจเฉทเปนคํารบ ๑๗ ชื่อภูมินิเทศ แสดงดวยธรรม ๖ คือขันธอายตนะ ธาตุ อินทรีย อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท อันเปนภูมิภาพพื้นแหงวิปสสนากัมมัฏฐาน ปริจเฉทเปนคํารบ ๑๘ ชื่อวิสุทธินิเทศ แสดงดวยความบริสุทธิ์แหงทิฏฐิคือความเห็น ปริจเฉทเปนคํารบ ๑๙ ชื่อกังขาวิตรณวิสุทธินิเทศ แสดงดวยความบริสุทธิ์ที่ลวงขามความ กังขาสงสัยเสียได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-5ปริจเฉทเปนคํารบ ๒๐ ชื่อมัคคามัคญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ แสดงดวยความบริสุทธิ์ในการ เห็นอริยมรรคดวยญาณปญญาวา สิ่งนี้เปนอริยมรรคสิ่งนี้มิใชอริยมรรค ปริจเฉทเปนคํารบ ๒๑ ชื่อปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิเทศแสดงดวยความบริสุทธิ์ในการ เห็นดวยปญญาวา มรรคควรปฏิบัติสืบตอขึ้นไป ปริจเฉทเปนคํารบ ๒๒ ชื่อญาณทัสสนนิเทศ แสดงดวยความบริสุทธิ์ในการเห็นอริยสัจและ นิพพาน ดวยปญญาอันรูเห็นจริงแจงชัด ปริจเฉทเปนคํารบ ๒๓ ชื่อภาวนานิสังสนิเทศ แสดงดวยอานิสงสผลแหงการภาวนาในพระ วิปสนากัมมัฏฐาน รวมเปน ๒๓ ปริจเฉทบริบูรณ สมเด็จพระสังฆราชาธิบดี ไดเห็นคัมภีรพระวิสุทธิมรรค มีบทอันสม่ําเสมอกันเปนอันดี ไมมี วิปลาสคลาดเคลื่อนแตอยางหนึ่งอยางใด ดังนั้นแลว ก็บังเกิดโสมนัสยิ่งนัก จึงอนุญาตใหพระพุทธ โฆษาจารยแปลพระปริยัติธรรมจากสีหฬภาษาขึ้นสูมคธภาษา และอนุญาตใหเสนาสนะที่อยูในโลห ปราสาทชั้นเปนปฐม เพื่อใหพระผูเปนเจาทํากิจปริวรรตพระปริยัติไดโดยสะดวกดี ในคัมภีรญาโณทัย ปกรณกลาววา สมเด็จบรมกษัตริยผูทรงพระนามวาพระเจามหานามขัตติยราชผูครอบครองในลังกา ทวีป ไดเสด็จมาดวยราชบริพาร ตรัสปวารณาถวายภิกขาหาร บิณฑบาตแกพระผูเปนเจา พระพุทธ โฆษาจารย จนตลอดเสร็จการปริวรรตพระปริยัติธรรม แตนั้น พระพุทธโฆษาจารยก็ตั้งปณิธานวิริยะอุตสาหะแปลพระปริยัติธรรมพุทธวจนะ จาก สีหฬภาษาขึ้นสูมคธภาษา พรอมทั้งบาลีและอรรถกถาฎีกา และอนุฎีกา สิ้นไตรมาสก็สําเร็จการ ปริวรรต แตในคัมภีรญาโณทัยปกรณกลาววา สิ้นสมพัตสรหนึ่งจึงสําเร็จ ฝายสมเด็จพระสังฆราชผูเปนจอมสงฆ ก็ใหอนุโมทนาชื่นชมกลาวคาถาสรรเสริญคุณของ พระพุทธโฆษาจารยเจาเปนอเนกปริยาย ครั้นการปริวรรตพระปริยัติธรรมสําเร็จแลว พระผูเปนเจาพระพุทธโฆษาจารย ก็นมัสการลา สมเด็จพระสังฆราชาธิบดี และพระสงฆเถรานุเถระลงสูสําเภากับดวยพาณิช กลับเขามาสูชมพูทวีป นมัสการแจงเหตุแกพระอุปชฌายใหทราบสิ้นทุกประการ เรื่องนิทานประวัติแหงพระพุทธโฆษาจารย มีพิสดารในคัมภีรพุทธโฆสุปปตติ และคัมภีร ญาโณทัยปกรณ และในที่อื่นอีกตาง ๆ ซึ่งเลือกคัดมากลาวในอารัมภกถานี้แตโดยยอ พอประดับ สติปญญา และความศรัทธาเลื่อมใสของสาธุชนเพียงเทานี้ อนึ่ง คัมภีรพระวิสุทธิมรรคนี้ แปลวาเปนพระคัมภีรแสดงทางของธรรมอันบริสุทธิ์ คือพระอม ตมหานิพพาน ตั้งแตพระพุทธโฆษาจารยไดรจนาตกแตงขึ้น ก็เปนประโยชนอยางยิ่งแก พระพุทธศาสนาทั้งในการเลาเรียนพระปริยัติธรรม และการแสดงพระธรรมเทศนาเปนที่ปลูกศรัทธา พุทธศาสนิกชนทั้งคฤหัสถและบรรพชิต ใหตั้งจิตบําเพ็ญรักษาศีลบริสุทธิ์ และเลาเรียนพระสมถ กัมมัฏฐาน และพระวิปสสนากัมมัฏฐาน แผไพศาลรุงเรืองไปทั้งชมพูทวีปและลังกาทวีปหาที่สุดมิได สืบ ๆ มาจากปรัตยุบันกาลนี้ คัมภีรพระวิสุทธิมรรคนี้ พระพุทธโฆษาจารยเจาผูรจนาตกแตงพระคัมภีร ไดนําพระคาถาพระ พุทธฎีกาซึ่งมีคําวา “สีเล ปติฏาย นโร สปฺโญ จิตตํ ปฺญฺเจ ภาวยํ อาตาป นิปโก ภิกฺขุ โส อิมํ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-6วิชฏเย ชฏนฺต”ิ ดังนี้ อันพระธรรมสังคาหกาจารย ผูเปนพระอรหันตผูวิเศษทั้งหลายผูรวบรวมรอยกรอง พระไตรปฎก ตั้งแตกระทําสังคายนามาในปฐมสังคีติกาล ไดยกขึ้นตั้งไวในชฏาสูตรที่ ๓ ตติยวรรค ซึ่งเปนวรรคคํารบ ๓ หมวดเทวดาสังยัตต ในคัมภีรสังยุตตนิกายสคาถวรรคฝายพระสุตตันตปฎกมาตั้ง ลงเปนหลักสูตร ในเบื้องตนคัมภีรพระวิสุทธิมรรคขั้นตนนี้แลว สังวรรณนาอรรถกถาพระวิสุทธิมรรค ตามนัยแหงคาถาพระพุทธฎีกานี้โดยพิสดาร แตพระผูเปนเจาไมไดประพันธปณามคาถา นมัสการพระรัตนตรัยขึ้นใหมไวในตนคัมภีร เหมือนอยางคัมภีรอื่น ๆ พระผูเปนเจานําบาลีปณามเดิมวา “นโม ตสฺส ฯลฯ” ดังนี้มาตั้งไวในพระ คัมภีรบาลีปณามเดิมนี้ สําหรับนมัสการพระรัตนตรัย ใชเริ่มตนในสถานตาง ๆ ซึ่งเปนธรรมเนียมสืบมา ในพระพุทธศาสนาแตสมัยพุทธกาลชานาน ขอนี้ นักปราชญในภายหลังอนุมานเห็นวาพระพุทธโฆษาจารยเจาไมนิพนธปณามคาถาขึ้น ใหมไวในตนคัมภีรนี้ เพราะพระผูเปนเจาเปนอติธัมมครุ ผูเคารพยิ่งนักตอพระสัทธรรมของสมเด็จพระ ผูมีพระภาค หวังในคาถาพระพุทธฎีกา ที่องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาวาดวยศีลสมาธิ ปญญา เปนอรรถสารบริบูรณในพระคาถาบทเดียวเทานี้ เชิดชูปรากฏอยูในเบื้องตนพระคัมภีรไมใหมี สํานวนคาถาของตนอยูเบื้องตนปกคลุมสํานวนคาถาพระพุทธฎีกาไปดังนั้น และพระผูเปนเจาเห็นสมควรยิ่งนัก ที่จะแสดงคํานมัสการพระรัตนตรัยดวยพระบาลีปณาม เดิมวา “นโม ตสฺส” เปนตน ไวในเบื้องตนคัมภีรพระวิสุทธิมรรคนี้ แตนอกนั้น พระผูเปนเจาไดนิพนธคาถาแกไขขอธรรมตาง ๆ เปนอรรถกถา ตามนัยแหงพระ พุทธฎีกา ในคัมภีรพระวิสุทธิมรรคทั้งสองบั้นนี้มีอเนกประการ และในคัมภีรอื่น ๆ นั้น พระผูเปนเจาไดนิพนธปณามคาถาไวตนคัมภีรก็มีเปนอเนกวิธาน มี คัมภีรพระปฐมสมันตปาสาทิกาอรรถกถาพระวินัย ฝายพระวินัยปฎก และคัมภีรพระธรรมปทัฏฐกถา ในขุททกนิกาย ฝายพระสุตตันตปฎกเปนตน เพราะฉะนั้น ฉบับบาลีคัมภีรพระวิสุทธิมรรคซึ่งสืบ ๆ กันมาในประเทศสยามจึงมีแตบาลี ปณามเดิมวา “นโม ฯลฯ” อยูเบื้องตนพระคัมภีรโดยมาก ไมพบฉบับที่มีปณามคาถาในที่แหงหนึ่ง แหงใดเลยบัณฑิตควรพิจารณาในเหตุนี้ ในบาลีปณามเดิมวา “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทธสฺส” นั้น ประกอบบท แปลตามโบราณจารยวา “โย ภควา” สมเด็จพระผูมีพระภาคพระองคใด “อุปฺปนฺโน โลเก” บังเกิด ขึ้นแลวในโลก “นโม” ขาพระองคขอนอบนอมถวายนมัสการ “อตฺถ”ุ ขอจงมี “ตสฺส ภควโต” แต องคพระผูทรงพระภาคพระองคนั้นผูบริบูรณ ดวยพระบารมีธรรม และทรงจําแนกแลว คือพระสัทธรรม ใหแกเวไนยสัตว “อรหโต” พระองคเปนผูไกลจากกิเลส สมควรจะรับซึ่งเครื่องสักการบูชาพิเศษของ เทพามนุษยทั้งปวง “สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส” ตรัสรูดวยพระองคเอง โดยอาการอันชอบ มิไดวิปริต เนื้อความดังนี้ อนึ่ง คัมภีรพระวิสุทธิมรรคบางฉบับ บูรพาจารยเติมบาลีสังเขปปณามวา “นมตฺถุ รตนตฺตยสฺส” ซึ่งแปลวา “นโม อตฺถุ” ขอความนอบนอมนมัสการ ของพระองคจงมี “รตนติตยสฺส” แกประชุมสามแหงพระรัตนะ ดังนี้ สีเล ปติฏาย นโร สปฺโญ จิตตํ ปฺญฺเจ ภาวยํ อาตาป นิปโก ภิกฺขุ โส อิมํ วิชฏ เย ชฏนฺติ อิติหิทํ วุตฺตํ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-7วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนาในศีลนิเทศ ในคัมภีรพระวิสุทธิมรรคปกรณ อันพระ พุทธโฆษาจารยเจาจารึกรจนาไว เพื่อเปนประโยชนจะยังสาธุชนใหมีตรุณปติปราโมทย มีเนื้อความในศีลนิเทศ ปริทเฉทเปนปฐมนั้นวา “สีเล ปติฏาย นโร สปฺโญ” องค สมเด็จพระผูทรงพระภาค คือพระบารมีธรรมทรงพระมหากรุณาตรัสเทศนาไววา นรชนใดประกอบดวย ปญญาเปนไตรเหตุ มีเพียรยังกิเลสใหมีปญญาอันแกกลาเห็นภัยในสังสารวัฏ “โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ” นรชนนั้นอาจจะสางเสียซึ่งชัฏ คือตัณหา มีคําปุจฉาวา “กสฺมา ปเนตํ วุตฺตํ” เหตุดังฤๅ องคสมเด็จพระผูมีพระภาค จึงตรัสพระ สัทธรรมเทศนาพระคาถานี้ มีคําอาจารยวิสัชนาวา “ควนตํ กิร สาวตฺถิยํ วิหรนฺต”ํ ดังไดสดับมาใน เพลาราตรีหนึ่งถึงทุติยยาม เทวบุตรองคหนึ่งมิไดปรากฏโดยนามและโคตร เขาสูสํานักองคสมเด็จ พระผูทรงพระภาคอันเสด็จอยูในพระเชตวนาราม มีนครสาวัตถีเปนที่โคจรคาม ทูลถามอรรถปญหา เพื่อจะถอนเสียซึ่งวิกิจฉาความสงสัยของตน ดวยคํานิพนธคาถาวา “อนฺโตชฎา. พาหิชฏา ชฏายชฏิตา ปชา” ดังขาพระองคจะขอทูลถาม “ภนฺเต ภควา” ขาแตพระองคผูทรงพระภาค ตัณหา มี ๒ ประการ คือตัณหาอันชัฏอยูในภายใน และตัณหาอันชัฏอยูภายนอก สัตวทั้งหลายที่เกิดมาใน โลกนี้ ยอมมีจิตอันตัณหาชฏามีอุปมาดังขายแหงนายพราน ครอบงําปกคลุมหุมหอไว มีอรรถสังวรรณนาพระคาถาที่เทพยดาทูลถามปญหานั้นวา คํากลาววาชฏานั้น เปนชื่อของ ตัณหา มีอุปมาดังขาย แทจริง ตัณหานั้นไดนามชื่อวา “ชฏา” เพราะเหตุวาตัณหานั้นยอมบังเกิดแลว บังเกิดเลา โดยประเภทที่จะประพฤติเปนไปในเบื้องต่ําและเบื้องบน ยึดหนวงเอาอารมณมีรูปารมณ เปนอาทิ ดวยอรรถวาตัณหานั้นรอยกรองไว เกี่ยวประสานไว ดุจดังวาแขนงแหงกิ่งไมทั้งหลายมี สุมทุมพมไมไผเปนประธาน อนึ่ง ตัณหานั้นชื่อวาชัฏในภายใน และชัฏในภายนอก เพราะเหตุวาตัณหานั้นบังเกิดขึ้นใน บริขารของตน และบริขารของบุคคลผูอื่นบังเกิดขึ้นในอายตนะภายในและอายตนะภายนอก สัตว ทั้งหลายในโลกนี้ ยอมมีจิตสันดานอันตัณหาภายในและตัณหาภายนอกบังเกิดขึ้นเนือง ๆ ดังนี้แลว ก็ กระทําใหฟนเฟอเหลือที่จะสางได มีคําอุปมาวา “ยถา นาม เวฬุชฏทีหิ เวฬุอาทโย” ตนไมในแผนปฐพีมีตนไมไผเปนอาทิ เมื่อวัฒนาเจริญขึ้นมาแลวเปนแขนงหนามของตนที่เจริญขึ้นมานั้น พาใหรกเลี้ยวปกคลุมหุมหอซึ่งลํา ตนไวมิใหสละสลวยได อันนี้แลมีอุปมาฉันใด ก็มีอุปไมยเหมือนดวยหมูสัตวที่เกิดมา ตัณหาที่เปนผู ชักนําใหมาเกิดเปนกายก็ยอมกระทําใหฟนเฝอเหลือที่จะสางยังจิตสันดานใหซาน ไปในรูปแลเสียง แลกลิ่นแลรสแลโผฏฐัพพะสัมผัสถูกตองดังนี้ “ตํ ตํ โคตม ปุจฺฉามิ” เพราะเหตุการณนั้น ขาแต พระองคผูทรงพระนามวาโคตมะ ขาพระองคจะขอถามวา “โก อิมํ วิชฏเย ชฏํ” บุคคลดังฤๅจะสามารถ อาจเพื่อจะสางเสียไดซึ่งชัฏ คือตัณหาอันหุมหอครอบงําเกี่ยวประสานจิตสันดานแหงสัตวไว ให ประพฤติเปนไปดังนี้ เมื่อเทพยดาทูลถามอรรถปญหาดังนี้ “สพฺพธมฺเมสุ อปฺปฏิหตณาณจาโร” องคสมเด็จ พระผูทรงพระภาคพระผูมีพระญาณหาสิ่งจะกําจัดมิได พระญาณของพระองคนั้น ยอมสัญจรจาริกไป ในไทยธรรมทั้งปวง มีธรรมอันเปนไปในอดีตกาลเปนอาทิ “เทวานํ อติเทโว” พระพุทธองคเปนวิสุทธิ เทวดาอันเลิศลวงเสียซึ่งเทพยดาทั้งปวงและเปนวิสุทธิสักกะเทวราชอันลวงเสียซึ่งสักกะเทวราชใน โลกธาตุทั้งปวง “พฺรหฺมานํ อติพรหมา” เปนวิสุทธิมหาพรหมอันลวงเสียซึ่งพรหมทั้งปวง พระองค แกลวกลาในจตุเวสารัชญาณทั้งสี่ แลทรงซึ่งพลญาณมีประการสิบ แลมีพระญาณหาสิ่งจะกั้นมิได มา พรอมดวยพระจักขุ กลาวคือปญญาสามารถอาจเห็นประจักษดวยอาการทั้งปวง เมื่อพระองคจะตรัส วิสัชนาอรรถปญหานี้จึงกลาวพระคาถาวา “สีเล ปติฏาย นโร สปฺญ” เปนอาทิโดยนัยที่กลาว มาแลวในหนหลัง “อิมิสฺสาทานิ คาถาย” ในกาลบัดนี้ขาพระองคผูมีนามชื่อวา พุทธโฆษาจารยจะ ยังอรรถแหงพระคาถาที่องคสมเด็จพระบรมศาสดาผูทรงแสวงหาศีลขันธาทิคุณ ตรัสวิสัชนาจําแนก ศีล แลสมาธิปญญา เปนอาทิ อันมิไดวิปริตใหพิสดาร จักกลาวพระคัมภีรชื่อวาพระวิสุทธิมรรค มีคํา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-8ตัดสินหมดจดดีไมมีเศษ เพราะเหตุวาพระคัมภีรพระวิสุทธิมรรคนี้มิไดเจือดวยลัทธิอันมีในนิกายอื่น ๆ ซึ่งอาศัยในเทศนาแหงพระมหาเถระทั้งหลายอันอยูในมหาวิหาร คัมภีรพระวิสุทธิมรรคนี้ สามารถอาจจะกระทําปราโมทยกลาวคือตรุณปติอันออน ใหบังเกิด มีแกพระภิกษุทั้งหลายอันไดบรรพชาในพระพุทธศาสนา อันสัตวโลกทั้งหลายไดดวยยาก พระผูเปน เจายังมิไดรูจักหนทางพระนิพพานวา หนทางนี้ เปนหนทางตรง เปนหนทางมิไดผิด เปนหนทางอัน เกษม สงเคราะหเขาในศีลขันธคือกองแหงศีล สมาธิขันธ กองแหงสมาธิ ป ญญาขันธ กองแหงปญญา เมื่อยังไมรูจักหนทาง ถึงวาจะปรารถนาพระนิพพานก็ดี จะพยายามกระทําเพียรก็ดี ก็มิไดสําเร็จแกพระ นิพพาน “สาธโว” ดูกรสาธุสัปบุรุษทั้งหลาย ทานทั้งปวงปรารถนาวิสุทธิกลาวคือพระนิพพาน จงเงี่ยโสตสดับพระคัมภีรพระวิสุทธิมรรคแตสํานักแหงเรา ผูจะกลาวอรรถสังวรรณนา พระพุทธโฆษาจารยเจานิพนธพระบาลี แปลเปนภาษาสยามไดเนื้อความดังนี้ จึงดําเนิน อรรถสังวรรณนาในบทคือวิสุทธินั้นวา “สพฺพมลวิรหิตํ อจฺจนตปริสุทฺธ”ํ พระนิพพานเวนจากมลทิน ทั้งปวงบริสุทธิ์โดยแทบัณฑิตพึงรูดังนี้ หนทางพระนิพพานนั้น ชื่อวาวิสุทธิ อุบายที่จะตรัสรูนั้นชื่อวา มรรค ขาพระพุทธเจา จักกลาวซึ่งพระคัมภีรชื่อวาวิสุทธิมรรคนั้นมีอรรถคือแปลวา ขาพระองคจะ กลาวซึ่งอุบายที่จะตรัสรูพระนิพพาน “โส ปรนายํ วิสุทธิมคฺโค” อนึ่งพระวิสุทธิมรรคคืออุบายที่จะ กระทําพระนิพพานนั้นใหแจง ในพระสูตรบางแหง องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาแสดง วิปสสนาลวน มิไดเจือดวยสมถะ “ยถาห ภควา” พระผูทรงพระภาค ตรัสเทศนาไวเปนดังฤๅ พระผูมีพระภาคตรัสเทศนาไว ดวยพระบาทพระคาถาวา “สพฺเพ สงฺขารา นิจฺจาติ, ยทา ปฺญาย ปสฺสติ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใน กาลใดภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ พิจารณาเห็นดวยปญญาวา ธรรมอันยุติในภูมิ ๓ คือ กามาวจรภูมิ รู ปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ ทั้ง ๓ นี้เปนอนิจจังมิไดเที่ยง ในกาลนั้นคือกาลอันมีในภายหลัง ตั้งแตบังเกิด ขึ้นแหงญาณทั้งหลาย มีอุทยัพพยญาณ คือปญญาอันพิจารณาเห็นซึ่งความดับเปนอาทิ พระภิกษุนั้น ก็จะเหนื่อยหนายในกองทุกข คือปญจักขันธ อันเวียนตายเวียนเกิดอยูในภพทั้ง ๓ นี้ กามาวจรภพเปน อาทิ “เอส มคฺโค วิสุทธิยา” ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรมกลาวคือนิพพานญาณปญญาที่เหนื่อยหนายใน กองทุกข กลาวคือปญจักขันธนี้ ชื่อวาเปนอุบายที่จะใหตรัสรูพระนิพพาน “กตฺถจิ ฌานปฺญาวเสน” อนึ่งวิสุทธิมรรค คืออุบายที่จะใหตรัสรูพระปรินิพพานนั้น ใน พระสูตรบางแหง องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไวดวยสามารถแหงฌานแลปญญา “ยถาห ภควา” พระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไวเปนดังฤๅ สมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัส เทศนาไววา “นตฺถิ ฌานํ อปฺญสฺส, นตฺถิ ปฺญา อฌายิโน” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฌานไมมีแก ภิกษุอันหาปญญามิได ปญญาไมมีแกภิกษุอันหาฌานมิได ฌานแลปญญาทั้ง ๒ นี้มีแกภิกษุรูปใด ภิกษุรูปนั้นก็จะตั้งอยูในที่ใกลพระนิพพานโดยแท อนึ่งพระวิสุทธิมรรคนี้ สัมมากัมมันตะเปนอาทิ
ในพระสูตรบางแหง
องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาดวย
“ยถาห ภควา” พระผูมีพระภาคตรัสเทศนาไวเปนดังฤๅ พระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไว วา “กมฺมํ วิชฺชา จ ธมโม จ สีลํ ชีวิตมุตฺตมํ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตวทั้งปวงยอมจะบริสุทธิ์ดวย กรรม คือมรรคเจตนา ๑ ดวยวิชชาคือสัมมาทิฏฐิ ๑ ดวยศีลคือสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ ๑ ดวยอุดม ชีวิตคือสัมมาอาชีวะ ๑ ดวยธัมมะ คือสัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ๑ ดังนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-9บางแหงวาดวยธรรม ๔ ประการ คือ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาวาจา ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ “น โคตฺเตน ธเนน วา” สัตวทั้งหลายจะบริสุทธิ์ดวยโคตรแลบริสุทธิ์ดวยทรัพยก็หาไม “กตฺถจิ สีลาทิวเสน” อนึ่งพระวิสุทธิมรรคนี้ ในพระสูตรบางแหงองคพระผูทรงพระภาค ตรัสเทศนาแสดงดวยศีลเปนอาทิ “ยถาห ภควา” องคพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไวเปนดังฤๅ องคพระผูทรงพระภาค ตรัสเทศนาไววา “สพฺพทา สีลสมฺปนฺโน ปฺญวา สุสมาหิโต” พระภิกษุในพระศาสนานี้ ถึงพรอมดวย จตุปาริสุทธิศีลมาแลวเนือง ๆ ดวยปญญาอันเปนโลกิยะแลปญญาอันเปนโลกุตตระ มีจิตอันตั้งมั่นดวย สมาธิอันประกอบดวยประการเสมอ ดวยปญญาอันเปนโลกิยะแลเปนโลกุตตระ กระทําความเพียรเพื่อ วาจะสละอกุศลธรรม จะยังกุศลธรรมใหบังเกิดในตน มิไดเอื้อเฟออาลัยในกายแลชีวิต “โอฆํ ตรติ ทุตฺตรํ” พระภิกษุนั้นสามารถอาจจะเขาโอฆะทั้ง ๔ มีกามโอฆะเปนประธานอันสามัญสัตวทั้งปวงมี อาจจะขามได “กตฺถจิ สติปฏานาทิวเสน” พระวิสุทธิมรรคนี้ ในพระสูตรบางแหง องคสมเด็จพระผู ทรงพระภาคตรัสพระสัทธรรมเทศนาดวยโพธิปกขิยธรรม มีพระสติปฏฐานทั้ง ๔ เปนอาทิ “ยถาห ภควา” พระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไว เปนดังฤๅ พระผูทรงพระภาคตรัสเทศนา ไววา “เอกายโน ภิกฺขเว อยํ มคฺโค” ดูกรภิกษุทั้งหลาย มรรคมรรคานี้ เปนหนทางอันบุคคลผูเดียว พึงสัญจรยอมประพฤติเปนไปเพื่อจะยังสัตวทั้งหลายใหบริสุทธิ์ แลจะยังสัตวทั้งหลายใหลวงเสียซึ่ง ทุกขแลโทมนัส ใหตรัสรูพระนิพพานกระทําพระปรินิพพานใหแจง หนทางซึ่งบุคคลผูเดียวพึงสัญจร นั้นคือ พระสติปฏฐานทั้ง ๔ แลพระสัมมัปปธาน ๔ เปนอาทิ อนึ่ง ในปญหาพยากรณที่องคสมเด็จพระบรมศาสดาทรงพยากรณกลาวแก แกเทพยดาอัน ลงมาทูลถามปญหานี้ พระพุทธองคทรงแสดงศีลเปนอาทิ อรรถสังวรรณนาโดยสังเขป ในคาถาเทพยดาถามปญหา ก็ยุติการแตเพียงเทานี้ ในกาลนี้ พระพุทธโฆษาจารยเจาจะสังวรรณนาอรรถพระคาถาที่องคสมเด็จพระบรม ศาสดาตรัสวิสัชนา จึงดําเนินเนื้อความวา “สีเล ปติฏาย นโร สปฺโญ” สัตวโลกที่มีปญญา อันมา พรอมดวยปฏิสนธิ อันเปนไตรเหตุ อันบังเกิดแกกุศลธรรม ปฏิบัติบําเพ็ญศีลกระทําใหศีลของตน บริบูรณมิใหดางพรอย จึงไดชื่อวาตั้งอยูในศีล เมื่อตั้งอยูในศีลแลว ก็อุตสาหะกระทําความเพียร ที่จะยังกิเลสทั้งหลายใหรอนจําเดิมแต ตน แลใหรอนไปโดยภาคทั้งปวง อนึ่งสัตวผูนั้นมีปญญาอันแกกลาชื่อวา เนปกปญญา ในบทคือเนปกปญญานี้ คือองค สมเด็จพระศาสดาตรัสเทศนา ประสงคเอาปญญา อันประกอบดวยวิธีจะรักษาพระกรรมฐาน แทจริงใน ปญหาพยากรณนี้พระพุทธองคประสงคเอาปญญา ๓ ประการ ปญญาที่หนึ่งนั้น ประสงคเอาปญญาที่มาพรอมดวยปฏิสนทธิอันเปนไตรเหตุ ปญญาที่สองนั้น ประสงคเอาวิปสสนาปญญา อันพิจารณาเห็นพระไตรลักษณ ปญญาที่สามนั้น ประสงคเอาปริหาริกปญญา อันกําหนดกิจทั้งปวงมีกิจที่จะเลาเรียนพระ กรรมฐานทั้งสอง คือพระสมถกรรมฐานและพระวิปสสนากรรมฐาน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 10 สัตวนั้นไดนามชื่อวา ภิกษุ เพราะเหตุวาเห็นภัยในสังสารวัฏประกอบดวยโยนิโสมนสิการ เจริญพระสมาธิ คือเลาเรียนกสิณบริกรรม แลเจริญวิปสสนาใหเห็นวา ปญจวิธขันธทั้ง ๕ เปนอนิจจัง เปนทุกขังเปนอนัตตา “โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ” สัตวที่ไดนามชื่อวาภิกษุนั้นยอมประกอบดวยธรรม ๖ ประการ คือ ศีล ๑ สมาธิ ๑ ปญญาทั้ง ๓ มีสหชาติปญญาอันเปนไตรเหตุเปนอาทิ แลความเพียรยัง กิเลสใหรอน ๑ เปน ๖ ประกอบดวยกันดังนี้ พึงถางชัฏคือตัณหานี้ มีคําอุปมาวา บุรุษอันประกอบดวยกําลัง ยืนอยูเหนือพื้นปฐพียกขึ้นซึ่งศาสตราอันตนลับ อานไวเปนอันดี พึงถางเสียซึ่งพุมไมไผอันใหญอันชัฏไปดวยหนามหนา “เสยฺยถาป นาม” ชื่อวามี อุปมาฉันใด ก็มีอุปไมยเหมือนหนึ่งสัตวคือภิกษุในพระพุทธศาสนายืนอยูเหนือปฐพี กลาวคือศีล ยกขึ้นซึ่งศาสตรา กลาวคือวิปสสนาอันตนลับอานแลวเปนอันดี เหนือศิลากลาวคือความเพียรพึงดัด เสียแหงตน อนึ่งพระภิกษุจะถางเสียไดซึ่งชัฏคือตัณหา ก็ถางเสียไดในขณะแหงตนไดพระ อรหัตตมรรค ในขณะที่ไดสําเร็จแกพระอรหัตตผลแลว พระภิกษุนั้นก็ไดชื่อถางชัฏคือตัณหาสําเร็จ แลว เปนอัคคทักขิไณยบุคคล ควรจะพึงรับทานอันเลิศแหงสัตวอันอยูในมนุษยโลก กับดวยสัตวอัน อยูในเทวโลกเหตุการณดังนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาค จึงโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาแก เทพยดานั้นดวยบาทพระคาถามีคํากลาววา “สีเล ปติฏาย นโร สปฺโญ” เปนอาทิ เอวํ ก็มีดวย ประการฉะนี้ “ตตฺรายํ ยาย ปฺญาย สปญโญติ วุตฺโต ตตฺรายสฺส กรณียํ นตฺถิ ปุริมกมมานุภา เวเนว หิสฺส สา สิทฺธา” “อาตาป นิปโกติ เอตฺถ วุตฺติวริยวเสน ปน เตน สาตจฺจ การินา ปฺญาวเสน จ สม ปชานการิน หุตฺวา สีเล ปติฏาย จิตฺตปฺญาวเสน วุตฺตา สมถวิปสุสนา ภาเวตพฺพาติ” “อิมํ ตตฺร ภควา สิลสมาธิปฺญามุเขน วิสุทฺธิมคคํ ทสฺเสติ” พระสัทธรรมเทศนาสืบลําดับวาระพระบาลีมา มีเนื้อความวาองคสมเด็จพระศาสดา ตรัส เทศนาในพระคาถาวา “สปฺโญ” พระโยคาวจร ภิกษุประกอบดวยปญญาอันใด กิจที่พระโยคาวจร ภิกษุจะพึงกระทําในปญญานั้นบมิไดมี เหตุดังฤๅ เหตุวา ปญญานั้นยอมสําเร็จแกพระโยคาวจรภิกษุนี้ ดวยอานุภาพแหงกุศลกรรม ที่พระโยคาวจรภิกษุสันนิจจยาการกอสรางมาแลวแตปุริมภพปางกอน ในบทคือ “อาตาป นิปโก” องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาดวยสามารถ ศีล สมาธิ ปญญา หวังจะใหพระโยคาวจรเจามีความอุตสาหะกระทําเนือง ๆ กระทําใหมากดวยวิริยะ พยายาม แลกระทําตนใหรูรอบคอบดวยปญญา แลวพึงเจริญสมถะแลวิปสสนา ในพระคาถานี้ องคพระผูมีพระภาค ปรินิพพาน ดวยศีล สมาธิ แลปญญาเปนประธาน
ตรัสเทศนาชื่อวาพระวิสุทธิมรรค คือหนทางพระ
“เอตฺตา หิ ติสฺโส สิกฺขา” แทจริง สิกขาทั้ง ๓ คืออธิศีล สิกขา อธิจิตตสิกขา อติปญญา สิกขา องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคทรงแสดงดวยเทศนามีประมาณเทานี้ อนึ่ง “ติวิธกลฺยาณสาสนํ” คําสั่งสอนที่จะใหปฏิบัติ แลคําสั่งสอนที่จะใหตรัสรูธรรมวิเศษ มีคุณอันบัณฑิตพึงนับ ๓ ประการ คือมีคุณอันบัณฑิตนับในตน แลทามกลางแลที่สุด แลอุปนิสัยแหง ไตรวิชชา แลการที่จะเวนจากลามกทั้ง ๒ คือกามสุขัลลิกานุโยคกระทําความเพียรใหติดอยูในกามสุข อัตตกิลมถานุโยคกระทําความเพียรใหตนไดความลําบาก แลการที่พึงเสพซึ่งมัชฌิมปฏิบัติอันเปนทามกลาง องคสมเด็จพระบรมศาสดา ก็ทรงแสดง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 11 ดวยเทศนามีประมาณเทานี้ อนึ่ง “อปายาทิสมติกฺกมนุปาโย” อุบายที่จะลวงเสียซึ่งเตภูมิกวัฏมีบังเกิดในจตุราบาย เปนอาทิ แลสละกิเลสดวยอาการทั้ง ๓ มีวิขัมภนปหานเปนประธาน แลธรรมอันเปนขาศึกแกวิตก แลวิจารเปนอาทิ แลการที่จะชําระเสียซึ่งสังกิเลสทั้ง ๓ แล จะประพฤติปฏิบัติใหเปนอุปนิสัยแกมรรค แลผลมีพระโสดาปตติมรรคเปนตน องคสมเด็จพระบรม ศาสดาก็ทรงแสดงดวยเทศนามีประมาณเทานี้ มีคําปุจฉาถามวา ธรรมทั้งหลายมีสิกขาทั้ง ๓ เปนอาทินั้น องคสมเด็จพระบรมศาสดาทรง แสดงดวยเทศนามีประมาณเทานี้ คือทรงแสดงดวยพระคาถา มีคํากลาววา “สีเล ปติฏาย นโร สปฺ โญ” เปนอาทิฉะนี้ ดวยประการดังฤๅ มีคําวิสัชนาวา องคพระบรมศาสดาตรัสเทศนาพระวิสุทธิมรรคหนทางพระนิพพานดวยศีล นั้น คือพระองคทรงแสดงดวยอธิศีลสิกขา พระบรมศาสดา ตรัสเทศนาพระวิสุทธิมรรคหนทางพระนิพพานดวยสมาธินั้น คือพระพุทธ องคทรงแสดงดวยอธิจิตตสิกขา พระบรมศาสดาตรัสเทศนาพระวิสุทธิมรรค หนทางพระนิพพานดวยปญญานั้น คือพระพุทธ องคทรงแสดงดวยอธิปญญาสิกขา แทจริง “สาสนสฺส อาทิกลฺยาณตา” ศาสโนวาทคําสั่งสอนแหงพระบรมศาสดา ไพเราะ ในเบื้องตนนั้น องคพระผูทรงพระภาคทรงแสดงศีล ศีลนั้นชื่อวาเปนเบื้องตนพระศาสนา เพราะเหตุวา พระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาเปฯปุจฉาวา “โก จาทิ กุสลานํ ธมฺมานํ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ดังฤๅ เปนเบื้องตนแหงธรรมทั้งหลายอันเปนกุศล แลทรงวิสัชนาวา “สีลฺจ วิสุทธํ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลที่บุคคลรักษาไวใหบริสุทธิ์นั้นนั่น แล เปนเบื้องตนแหงกุศลธรมคําสั่งสอนแหงเรา อนึ่งศีลนั้นชื่อวาเปนเบื้องตนพระศาสนา เพราะเหตุวาพระผูทรงพระภาค ตรัสเทศนาไว โดยนัยเปนอาทิวา “สพฺพปาปสฺส อกรณํ” ภิกษุในศาสนานี้ อยาพึงกระทํากรรมอันลามกดวยตน แลอยาพึง ยังบุคคลอื่นใหกระทํากรรมอันลามกดวยวาจา แทจริงศีลนั้นชื่อวากัลยาณะ แปลวามีคุณอันปราชญพึงนับเพราะเหตุวา ศีลนั้นจะนํามาซึ่ง คุณ มีคุณคือมิไดเดือดรอนกินแหนงเปนอาทิ “สมาธินา มชฺเฌ กลฺยาณตา” อนึ่งพระศาสนาคือคําสั่งสอนของพระบรมศาสดามีคุณ อันนักปราชญพึงนับในทามกลางนั้น องคพระผูทรงพระภาค ทรงแสดงดวยสมาธิ แทจริงสมาธินั้น เปนคําสั่งสอนแหงองคพระบรมศาสดาอันเปนทามกลาง เพราะเหตุวาพระ พุทธองคตรัสเทศนาไว โดยนัยเปนอาทิวา ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระภิกษุในพระศาสนานี้ พึงยังกุศล ธรรมใหสําเร็จ แทจริงสมาธินั้น อิทธิฤทธิ์เปนอาทิ
ชื่อวามีคุณอันนักปราชญพึ่งนับ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
เพราะเหตุวาสมาธินั้นจะนํามาซึ่งคุณมี
- 12 อนึ่ง “ปริโยสานกลฺยาณตา” พระศาสนาคําสั่งสอนของพระบรมศาสดา นักปราชญพึงนับในที่สุดนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาดวยปญญา
มีคุณอัน
แทจริงปญญานั้น ชื่อวาเปนที่สุดพระพุทธศาสนา เพราะเหตุวา พระผูทรงพระภาคตรัส เทศนาไววา “สจิตฺตปริโยทปนํ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระภิกษุในศาสนานี้ พึงยังจิตใหผองใสชําระใจ ใหบริสุทธิ์ตัดเสียซึ่งกิเลสโดยอาการทั้งปวงดวยปญญา “เอตํ พุทฺธานสาสนํ” พระภิกษุในศาสนา ปฏิบัติดังนี้ชื่อวาตั้งอยูในโอวาท รักษาพระ ศาสนาคําสั่งสอนแหงองคสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจา ปญญานี้เปนที่สุดแหงพระศาสนา แทจริงปญญานั้น ชื่อวามีคุณอันปราชญจะพึงนับ เพราะเหตุวาจะนํามาซึ่งตาทิคุณมิให หวั่นไหว ในอิฏฐารมณคือลาภแลอนิฏฐารมณคือ หาลาภไมไดเปนอาทิ เพราะเหตุนั้น องคสมเด็๗ พระผูทรงพระภาค จึงโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาไววา “เสโล ยถา เอกฆโน, วาเตน น สมิรติ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภูเขาอันแลวดวยศิลาแทง เดียว ยอมมิไดหวั่นไหวดวยกําลัง “ยถา” อันนี้มีอุปมาฉันใด ก็มีอุปไมยเหมือนพระอริยเจา อันดําเนิน ดวยญาณคติ กลาวคือปญญาอันเปนปริโยสานที่สุดพระพุทธศาสนา ยอมมีจิตมิไดหวั่นไหวในโลก ๘ ประการ มีนินทาแลสรรเสริญเปนอาทิ “ตถา สีเลน เตวิชฺชตาย” อนึ่งธรรมเปนอุปนิสัย ที่จะใหพระภิกษุไดสําเร็จแกไตรวิชชา มี ทิพพจักษุญาณเปนประธานองคพระบรมศาสดาก็ตรัสเทศนาแสดงดวยศีล แทจริง พระโยคาวจรภิกษุจะบรรลุถึงวิชชาทั้ง ๓ ก็อาศัยที่รักษาศีลของตนไวใหบริบูรณ “น ตโต ปรํ” อภิญญาทั้ง ๖ ประการ
พระภิกษุนั้นก็ไมอาจสามารถจะบรรลุถึงธรรมอันอื่นยิ่งกวานั้น
คือพระ
ธรรมอันเปนอุปนิสัยที่จะใหพระโยคาวจรภิกษุ บรรลุถึงฉฬภิญญาทั้ง ๖ นั้น องคพระบรม ศาสดาตรัสเทศนาดวยพระสมาธิ แทจริงพระโยคาวจรภิกษุในพระศาสนา จะบรรลุถึงอภิญญาทั้ง ๖ ก็อาศัยแกสมาธิมี บริบูรณอยูในสันดานแหงตน “น ตโต ปรํ” พระภิกษุนั้นก็อาจจะบรรลุถึงธรรมอันอื่น อันยิ่งกวานั้น คือพระปฏิสัมภิทา ญาณ “ปฺญาย ปฏิสมฺภิทาย เภทสสฺส” ธรรมอันเปนอุปนิสัยที่จะใหพระโยคาวจรภิกษุ แตกฉานในปฏิสัมภิทานั้น องคสมเด็จพระมหากรุณาตรัสแสดงดวยปญญา แทจริง พระภิกษุจะบรรลุถึงพระปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ก็อาศัยแกปญญาบริบูรณอยูในจิต สันดาน มิไดบรรลุถึงดวยเหตุอันอื่น อนึ่ง “สีเล กามสุขลฺลิกานุโยคสงฺขาตสฺส” การที่จะละเสียเวนเสียซึ่งธรรมอันลามก กลาวคือประกอบเนือง ๆ ดวยสามารถยินดีในกามสุข องคพระบรมศาสดาตรัสเทศนาดวยศีล การที่เวนเสียซึ่งธรรมอันลามก กลาวคือประกอบเนือง ๆ ที่จะยังตนใหไดความลําบากนั้น องคพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาแสดงดวยสมาธิ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 13 การที่จะเวนสองเสพมัชฌิมปฏิบัติ เปนสวนอันมีในทามกลางองคสมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสเทศนาแสดงดวยปญญา “สีเลน อปายสมติกฺกมนุปาโย” อนึ่งอุบายที่จะลวงเสียซึ่งจตุราบายทั้ง ๔ มีนรกเปนอาทิ องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาแสดงดวยศีล กิริยาที่ลวงเสียซึ่งกามธาตุ คือมิไดบังเกิดใน กามาวจรภพ องคพระบรมศาสดาตรัสเทศนาแสดงดวยสมาธิ “สพฺพภวสมุติกฺกมนุปาโย” แสดงดวยปญญา
อุบายที่ลวงเสียซึ่งภพทั้งปวง
องคสมเด็จพระบรมศาสดา
อนึ่งกิริยาที่จะละกิเลสดวยสามารถตทังคปหาน คือการที่จะละเสียซึ่งองคแหงอกุศลนัน ๆ ดวยองคแหงกุศลนั้น ๆ คือบุญกิริยาวัตถุเหมือนหนึ่งกําจัดซึ่งมืด ดวยแสงแหงประทีป องคสมเด็จ พระบมศาสดาตรัสเทศนาดวยศีล กิริยาจะสละละกิเลสดวยวิกขัมภนปหาน สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาแสดงดวยสมาธิ
ขมขี่ธรรมทั้งปวงมีนิวรณธรรมเปนอาทิ
องค
กิริยาที่จะสละละกิเลส ดวยสามารถสมุจเฉทปหาน ละกิเลสแลวกิเลสไมกลับมา องค สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาแสดงดวยปญญาอันเกิดกับดวยพระอริยมรรค “ตถา สีเลน กิเลสานํ” อนึ่งธรรมอันเปนขาศึกแกการที่จะลวงเสียซึ่งกิเลส องคสมเด็จพระ บรมศาสดาตรัสเทศนาแสดงดวยศีล ธรรมอันเปนขาศึกแกกลา ที่จะลวงเสียซึ่งกิเลส องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนา แสดงดวยสมาธิ “อนุสยปฏิปกฺโข” ธรรมอันเปนปฏิปกษแกอนุสัยมีตัณหานุสัยเปนอาทิ องคพระผูทรงพระ ภาคตรัสแสดงดวยปญญา อนึ่งกิริยาที่จะชําระเสียซึ่งธรรมอันเศราหมองคือทุจริต แสดงเทศนาดวยศีล
องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัส
การที่จะสละละสังกิเลสคือทิฏฐิ ๖๒ ประการ องคสมเด็จพระบรมศาสดาจารยตรัสเทศนา แสดงดวยปญญา “สีเลน โสตาปนฺนสกิทาคามิภาวสฺส” อนึ่งเหตุที่จะใหไดเปนพระโสดาบันบุคคล และ เปนพระสกิทาคามิบุคคลนั้น องคสมเด็จพระผูมีพระภาคตรัสเทศนาแสดงดวยศีล เหตุที่จะใหไดเปนพระอนาคามีอริยบุคคลนั้น องคสมเด็จพระผูมีพระภาคตรัสเทศนาแสดง ดวยสมาธิ เหตุที่จะใหพระอรหัตตเปนองคพระอรหันตนั้น องคสมเด็จพระผูทรงสวัสดิภาคตรัสเทศนา แสดงดวยปญญา “เอวํ เอตฺตาวตา ติสฺโส สิกฺขา” พระคุณทีละสาม ๆ ถึงเกาครั้ง คือสิกขาทั้ง ๓ คืออธิศีล สิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปญญาสิกขา ๑ เปนสิกขาทั้ง ๓ ประการนับเปน ๑ “ติวิธกลฺยาณสาสนํ” คือคําสั่งสอนของพระบรมศาสดา มีไพเราะ ๓ ประการดังกลาวแลว
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 14 ๑ คือ ธรรมอันเปนอุปนิสัยแกพระคุณทั้ง ๓ มีไตรวิชชาคุณเปนอาทิ ๑ กิริยาที่จะเวนจากธรรมทั้ง ๒ แลเสพมัชฌิมปฏิบัติ ๑ เขากันเปน ๓ ประการ ๑ คืออุบายที่ลวงจตุราบายภูมิเปนอาทิ ๑ สละกิเลสดวยอาการ ๓ ประการ ๑ คือธรรมอันเปนขาศึกที่จะลวงกิเลสเปนอาทิ ๑ จะชําระสังกิเลสทั้ง ๓ ประการ ๑ เหตุที่จะ ใหไดเปนพระโสดาบันเปนอาทิ ๑ นับพระคุณทีละ ๓ ๆ ถึง ๕ ครั้งนี้ แลประมาณ ๓ แหงพระคุณอันอื่น องคสมเด็จพระผูทรง พระภาคตรัสเทศนาแสดงดวยศีลแลสมาธิแลปญญา มีประมาณเทานี้ อนึ่งพระวิสุทธิมรรคนี้ องคสมเด็จพระผูมีพระภาคตรัสเทศนาแสดงศีล แลสมาธิ แลปญญา เปนประธาน อันสงเคราะหเอาพระคุณเปนอันมากดังนี้ ไดชื่อวาพระพุทธองคทรงแสดงโดยยอยิ่งนัก ไมสามารถอาจใหเปนอุปการแกกุลบุตรทั้งหลาย อันเปนวิปจจิตัญูบุคคลแลไนยบุคคล อันชอบใน พระธรรมเทศนามิไดยอยิ่งนักแล มิไดพิสดารยิ่งนัก ในการนี้ขาพระองคผูมีนามชื่อวา พุทธโฆษาจารยจะปรารภศีลประกอบคําปุจฉาถามอรรถ ปญหา เพื่อจะแสดงคัมภีรวิสุทธิมรรคนี้ใหพิสดารโดยนัยจะแสดงดังนี้ ในปญหาปุจฉกนัยนั้น มีวาระพระบาลรจนาไวถามวา “กึ สีลํ” วัตถุสิ่งดังฤๅ เรียกวา ศีล คํา เรียกวา ศีลนั้นดวยอรรถดังฤๅ ธรรมดังฤๅเปนลักษณะเปนกิจเปนผล เปนอาสันนเหตุแหงศีลนั้น ศีลมีธรรมดังฤๅเปนอานิสงส ศีลมีกี่ประการ ธรรมดังฤๅเปนธรรมอันเศราหมองของศีลนั้น มีธรรมดังฤๅเปนธรรมบริสุทธิ์ของศีล เมื่อพระพุทธโฆษาจารย กลาวปญหาปุจฉกนัยดังนี้แลว จึงกลาวคําวิสัชนาในปญหานั้น โดยพระวาระพระบาลตั้งบทปุจฉาขึ้นไวทีละบท ๆ แลวก็กลาวคําวิสัชนาไปทีละขอ ๆ ในปุจฉาถามวา สิ่งดังฤๅชื่อวาศีลนั้น มีคําวิสัชนาวา ธรรมทั้งหลายมีเจตนาเปนอาทิของบุคคล ที่ละเวนจากบาปธรรมมี ปาณาติบาตเปนตน และยังวัตตปฏิบัติ มีอุปชฌายวัตรเปนประธานใหบริบูรณ มีคํากลาวรับวาจริง วิสัชนาอยางนี้ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกลาวไวคัมภีรพระปฏิสัมภิทา มรรควา “กึ สีลนฺติ” ในบทปุจฉาสถามวา วัตถุสิ่งดังฤาชื่อวาศีลนั้น อาจารยวิสัชนาวา เจตนาชื่อวาศีล เจตสิกชื่อวาศีล สังขารชื่อวาศีล มิไดกระทําใหลวง สิกขาบท ชื่อวาศีล อรรถาธิบายวา เจตนาของบุคคลที่เวนจากบาปธรรม มีปาณาติบาตเปนตน และปฏิบัติยัง อุปชฌายวัตรเปนประธานใหบริบูรณดังนี้ ชื่อวาเจตนาศีล วิรัติแหงบุคคลอันเวนจากบาปธรรม มีปาณาติบาตเปนอาทิ ชื่อวาเจตสิกศีล
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 15 นัยหนึ่งกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ของบุคคลที่จะละเสียซึ่งบาปธรรมมีปาณาติบาตเปน อาทิ ชื่อวาเจตนาศีล ธรรม ๓ ประการ คืออนภิชฌาไมโลภ คืออพยาบาทไมพยาบาทคือสัมมาทิฏฐิ ที่องคพระผู ทรงพระภาคตรัสเทศนาไวโดยนับเปฯอาทิวา “อภิชฺฌํ ปหาย” พระภิกษุในพระพุทธศาสนาละ อภิชฌาเสียแลว มีจิตปราศจากอภิชฌา อยูเปนสุขในอิริยาบถทั้ง ๔ ธรรม ๓ ประการนี้ชื่อวา เจตสิก ศีล เอวังก็มีดวยประการดังนี้ “สํวโร สีลนฺติ เอตฺถ ปฺจวิเธน สํวโร เวทิตพฺโพ ปาฏิโมกฺข สํวโร สติสํวโร ญาณสํวโร ขนฺติสํวโร วิรียสํวโรติ ตตฺถ อิมินา ปาฏิโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโตติ อยํ ปาฏิโมกฺขสํวโรติ รกฺขติ จกฺขุนทฺริเย สํวรํ อาปชฺชตีติ อยํ สติ สํวโร ยานิ โสตานิ โสกสฺมึ อชิ ตาติ ภควา สตี เตสํ นิวารณํ โสตานํ สํวรํพรูมิ ปฺญาเยเตป ถิยเรติ อยํ ญาณสํวโร” แปลเนื้อความวา วินิจฉัยในบทคือ “สํวโร สีลํ” สังวรชื่อวาศีลนี้ พระพุทธโฆษาจารยเจา นิพนธพระบาลีวา “ปฺจวิเธน สํวโร เวทิตพฺโพ” นักปราชญพึงรู สังวรมี ๔ ประการ คือ ปาฏิโมกข สังวร ๑ สติสังวร ๑ ญาณสังวร ๑ ขันติสังวร ๑ วิริยสังวร ๑ เปนสังวร ๕ ประการดวยกันดังนี้ สังวรที่องคสมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสเทศนาโดยนัยเปนอาทิวา “อิมินา ปาฏิโมกฺขสํ วเรน” พระภิกษุในพระศาสนานี้ ประกอบแลวแลประกอบแลวดวยดี ดวยพระปาฏิโมกขสังวรชื่อวา ปาฏิโมกขสังวรเปนปฐมที่ ๑ สังวรที่ ๒ นั้น องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาไวโดยนัยเปนอาทิ วา “รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริย”ํ ภิกษุในพระศาสนายอมรักษาซึ่งจักขุนทรีย ถึงซึ่งสังวรในจักขุนทรีย สังวรดังนี้ชื่อวา สติ สังวรเปนคํารบ ๒ ญาณสังวรเปนคํารบ ๓ นั้น พระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาโดยนัยเปนอาทิวา อชิต ดูกรภิกษุชื่อวาอชิต “ยานิ โสตานิ” กระแสแหงตัณหา แลกระแสแหงทิฏฐิ แลกระแสแหงอวิชชา แล กระแสแหงกิเลสอันเหลือลงจากทุจริตอันใด แลมีกิริยาที่จะหามเสียไดซึ่งกระแสแหงธรรมทั้งปวง ก็ อาศัยสติอันประกอบดวยเอกุปปาทาทิประการ เสมอดวยสมถะแลวิปสสนาญาณ พระตถาคตกลาวซึ่ง สังวรคือกิริยาที่พระโยคาวจรภิกษุจะหามเสีย ซึ่งกระแสแหงธรรมทั้งปวงนั้นดวยอริยมรรคญาณ สังวร ดังนี้ ชื่อวาญาณสังวรเปนคํารบ ๓ ใชแตเทานั้น กิริยาอาการที่พระภิกษุจะเสพปจจัยนั้น ก็ถึงซึ่งประชุมลงในญาณสังวรนี้ ขันติสังวรเปนคํารบ ๔ นั้น ก็มาแลวแตพระบาลีมีนัยเปนอาทิวา “โย ปนายํ ขโม โหติ” พระภิกษุในพระศาสนายอมจะอดกลั้นซึ่งเย็นรอน สังวรนี้ชื่อวาขันติสังวรเปนคํารบ ๔ วิริยสังวรเปนคํารบ ๕ ก็มาแลวแตวาระพระบาลีมีนัยเปนอาทิวา “โยจายํ อุปฺปนฺนํ กาม วิตกกํ” พระภิกษุในพระศาสนานี้ มิไดยังกามวิตกอันบังเกิดขึ้นในอารมณนัน ๆ ในแรมอยูในจิตแหง ตน สังวรนี้ชื่อวาวิริยสังวรเปนคํารบ ๕ อาชีวปาริสุทธิศีลนั้นเลา ก็ถึงซึ่งประชุมลงในสังวรศีลนี้ สังวรมี ๕ ประการก็ดี วิรัติคือเจตนาที่จะเวนจากสัมปตตวัตถุของกุลบุตรทั้งหลาย ที่มี ความขลาดแตบาปก็ดี ธรรมทั้งปวงก็ดี สังวร ๕ ประการเปนอาทินี้ บัณฑิตพึงรูเรียกวาสังวรศีล ในบทคือ “อวิติกฺกโม สีลํ” นั้นมีอรรถสังวรรณนาวา การที่มิไดลวงซึ่งศีลที่ตนสมาทาน อันยุติในกายแลยุติในวาจา ชื่อวาอวิตกกมศีล
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 16 วิสัชนาปญหาในบทปุจฉาถามวา วัตถุสิ่งดังฤๅ ชื่อวาศีลก็ยุติเพียงนี้ แตนี้จะไดวินิจฉัยในบทปุจฉาอันเศษสืบตอไปวา “เกนตฺเถน สีลํ” วัตถุที่เรียกวาศีลนั้น ดวยอรรถดังฤๅ อาจารยวิสัชนาวา อรรถที่เรียกวาศีลนั้นดวยอรรถวา สีลนะ สิ่งที่ตั้งไวเปนอันดี มีตั้งไวซึ่ง กายสุจริตเปนอาทิ เรียกวา สัจนะ เปนอรรถแหงศีล มีอรรถาธิบายวา บุคคลที่ยังกุศลธรรมีกายกรรมเปนตน มิใหเรี่ยรายดวยสามารถประมวลไว เปนอันดีนั้น ชื่อวาสีลนะ “อุธาณํ วา” อนึ่งการที่บุคคลทรงไว ชื่อวาสีลนะ มีอรรถาธิบายวา สภาวะที่บุคคลทรงไว สามารถอาจยังกุลศลธรรมทั้งหลายใหตั้งอยูในตนชื่อวาสีลนะ เปนอรรถแหงศีล แทจริงอาจารยทั้งหลายที่รูลักษณะแหงศัพท ยอมอนุญาตอรรถทั้ง ๒ ที่กลาวมาแลว ให เปนอรรถในบทคือ สีลํ อนึ่งอาจารยทั้งหลายอื่น ยอมสังวรรณนาอรรถในบท สีลํ นี้โดยนัยเปนอาทิวา “สีรตฺโถ สีตตฺโถ สีตลตฺโถ สีววตฺโถ” ศีลนั้นมีอรรถคือแปลวาอุดม ศีลนั้นมีอรรถคือแปลวาเปนที่ตั้ง แปลวา ระงับเสียซึ่งกระวนกระวาย แลมีอรรถคือแปลวา อันปราชญพึงเสพ ในกาลบัดนี้ จะวินิจฉัยในปญหากรรม ที่พระพุทธโฆษาจารยเจาตั้งปุจฉาถามวา สิ่งดังฤๅ เปนลักษณะ เปนกิจ เปนผล เปนอาสันนเหตุแหงศีล วิสัชนา “สีลนํ ลกฺขณนฺตสมฺภินฺนสฺสาป อเนกธา” กิริยาที่ตั้งไว แลสภาวะที่ทรงไว ชื่อ วาเปนลักษณะแหงศีล อันมีประเภทตาง ๆ โดยประการเปนอันมาก เหมือนดวยจักษุวิญญาณจะพึง เห็นเปนลักษณะที่กําหนดของรูปายตนะ อันมีประเภทตาง ๆ โดยประการเปนอันมาก มีคําอุปมาวา กิริยาที่จะเปนไปกับดวยจักษุวิญญาณ จะพึงเห็นก็เปนลักษณะที่กําหนดของ รูปายตนะ อันมีประเภทตาง ๆ โดยประการเปนอันมาก คือรูปมีวรรณอันเขียวบาง คือรูปมีวรรณอัน เหลืองบาง เปนอาทิดังนี้ เพราะเหตุวาไมลวงเสียซึ่งสภาวะ ที่จะเปนไปกับดวยการที่จักษุวิญญาณ จะ พึงเห็น เปนลักษณะที่กําหนดของรูปายตนะมีสีเขียวเปนอาทิ “ยถา” อันนี้แลมีอุปมาฉันใด ก็มี อุปไมยเหมือนดวยกิริยาที่แสดงสภาวะแหงศีลมีประเภทตาง ๆ มีเจตนาศีลเปนประธาน อรรถคือสีลนะอันใด ที่เราจะกลาววาเปนที่ทรงไวซึ่งกุศลธรรมทั้ง ๓ คือกายกรรม แล วจีกรรม แลมโนกรรม แลกลาวไววาเปนที่ตั้งไวซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย อรรถคือศีลนั้น ชื่อวาเปน ลักษณะที่กําหนดแหงศีล เพราะเหตุวาไมลวงเสียไดซึ่งสภาวะแหงศีลอันมีประเภทตาง ๆ มีเจตนาศีล เปนตน เปนที่ทรงไวซึ่งกุศลธรรมทั้ง ๓ มีกายกรรมเปนประธาน แลเปนที่ตั้งไวซึ่งธรรมอันเปนกุศล อนึ่ง ศีลมีลักษณะที่จะทรงไว ตั้งไวซึ่งกรรมอันเปนกุศล แลธรรมอันเปนกุศลดังนี้แลว ศีล นั้นก็กําจัดเสียซึ่งสภาวะไมมีศีล ศีลนั้นก็ปราศจากโทษ จะประกอบดวยคุณ อาจารยจึงกลาววาชื่อวา รสดวยอรรถวาเปนกิจแลถึงพรอม เพราะเหตุการณดังนัน นักปราชญพึงรูวาศีลนั้นมีการที่จะกําจัดเสีย ซึ่งภาวะทุศีลเปนกิจ แลโทษหามิไดเปนกิจ ศีลนั้นมีสภาวะสะอาดดวยกายแลวาจาแลจิตเปนผล การที่กลัวแตบาป ละอายแตบาป นักปราชญทั้งหลายกลาวคําเรียกชื่อวาอาสันนเหตุแหงศีล แทจริง ในเมื่อหิริโอตตัปปะ ละอายแตบาปกลัวแตบาปมีอยูแลว ศีลก็บังเกิดมี ศีลก็ตั้งอยู
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 17 เมื่อหิริโอตตัปปะ ละอายแตบาปกลัวแตบาป ไมมีแลว ศีลก็มิไดบังเกิด ศีลก็มิไดตั้งอยู เพราะเหตุการณดังนั้น ศีลจึงมีหิริโอตัปปะ เปนอาสันนเหตุ ลักษณะแลกิจ แลผล แลอาสันนเหตุแหงศีล บัณฑิตพึงรูดวยพระบาลีมีแตประมาณเทานี้ ในบทปุจฉาถามวา “กึ อานิสํสํ” ศีลนั้นมีสิ่งดังฤๅเปนอานิสงส อาจารยวิสัชนาวา ศีลนั้นมีกิริยาที่จะไดซึ่งคุณเปนอันมากมีมิไดเดือดรอนกินแหนงเปนอาท เปนอานิสงส สมดวยพระบาลีที่องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนา แกพระอานนทเถรเจาวา “อวิปฺปฏิสารตฺถานิ โข ปนานนฺท” ดูกรภิกษุชื่อวาอานนท ศีลทั้งหลายนี้เปนธรรมอันมิไดมีโทษ มี ความระลึกถึงกรรมแหงตนที่รักษาศีล เปนธรรมอันนักปราชญ ไมพึงติเตียนไดเปนประโยชนและมิได เดือดรอนกินแหนง เปนอานิสงส ใชแตเทานั้น องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสพระสัทธรรมเทศนาอันอื่นอีกเลาวา “ปฺจิเม คหปตโย อานิสํส”ํ ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส ๕ ประการนี้ มีแกบุคคลอันมีศีล ยังศีลที่ตนรักษา ใหบริบูรณ อานิสงส ๕ ประการนั้นเปนดังฤๅ ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ มีศีล รักษาศีลบริบูรณบุคคลนั้นยอมจะไดกองสมบัติ เปนอันมาก บังเกิดขึ้นแกตน เพราะตนมิไดประมาท อานิสงสนี้ เปนอานิสงสปฐมที่ ๑ ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ รักษาศีล ยังศีลใหบริบูรณกิตติศัพทกิตติคุณอัน สุนทรภาพไพบูลยของกุลบุตรนั้นยอมจะฟุงเฟองไปในทิศานุทิศทั้งปวง อานิสงสนี้เปนอานิสงสที่ ๒ ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ มีศีล แลยังมีศีลใหบริบูรณนั้น จะไปสูทามกลาง บริษัท คือขัตติยบริษัท คือพราหมณบริษัท คือคฤหบดีบริษัท แลสมณบริษัท กุลบุตรผูนั้นก็ยอม องอาจแกลวกลา เหตุวากุลบุตรนั้นปราศจากโทษ มิไดประกอบดวยโทษมิควรที่บุคคลจะพึงติเตียน ตน จะไดเปนชนนั่งกมหนา เกอเขินหามิได อานิสงสนี้เปนอานิสงสที่ ๘ ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ มีศีล แลบริสูทธิ์ดวยศีลนั้นยอมประกอบดวยความ เลื่อมใน มิไดหลงลืมสติ อานิสงสนี้เปนอานิสงสที่ ๔ ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ มีศีล แลบริบูรณดวยศีล ครั้นทําลายกาย กลาวคืออุ ปาทินนกรูปเบื้องหนาแตมรณะ จะไดไปบังเกิดในมนุษยสุคติ แลสวรรคสังคเทวโลก อานิสงสนี้เปน อานิสงสที่ ๓ ของบุคคลที่มีศีลบริบูรณดวยศีล ใชแตเทานั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาอีกอยางหนึ่งเลาวา “อากงฺเขยฺย เจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ” ดูกรภิกษุทั้งหลายถาแลวาภิกษุในพระศาสนานั้น ปรารภวาในตนเปนผูที่รักแก สมณพรหมจรรยทั้งปวง และจะยังตนใหเปนที่เลื่อมใส เปนที่เคารพ เปนที่สรรเสริญแหงพระสหพรหม จรรยทั้งหลาย ภิกษุนั้นพยายามกระทําตนใหตั้งอยูในศีล รักษาศีลใหบริบูรณ อานิสงสศีลนั้น องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาไวในเบื้องตนนั้น คือจะใหเปนที่รัก เปนที่เจริญใจ เปนที่เคารพ เปนทีส ่ รรเสริญแหงสหพรหมจรรย โดยนัยเปนอาทิดังนี้ ไปในอปรภาค อานิสงสศีลนี้จะใหกุลบุตรในพระศาสนา ไดสําเร็จแกพระอริยมรรคและพระ อริยผล จะยังตนใหสําเร็จแกอาสวักขยะญาณเปนที่สุด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 18 ศีลนี้มีอานิสงสคุณเปนอันมากมี มิไดเดือดรอนกินแหนงเปนอาทิ ดังนี้ นัยหนึ่งที่ตั้งแหงตน กุลบุตรทั้งหลายในพระศาสนานี้ ถาเวนจากศีลแลวก็มิไดมี เมื่อ กุลบุตรมีศีลบริสุทธิ์ในพระศาสนา บุคคลดังฤๅจะสามารถอาจเพื่อจะแสดงอานิสงสศีลแหงกุลบุตรนั้น ได มหานที น้ําในแมน้ําใหญทั้ง ๕ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี มหิมหาสรภู ก็มิอาจสามารถจะ ชําระราคามลทินแหงสัตวทั้งหลายในโลกนี้ใหบริสุทธิ์ได “ยํ เว สีลชํ มลํ” อุทกธารามหานที กลาวคือบริสุทธิ์ ศีลสังวรนี้แล สามารถอาจชําระราคามลทินโทษ อันหมนหมองดองอยูในจิตสันดาน แหงสัตวทั้งหลายในโลกใหบริสุทธิ์ได "น ตํ สชลชา วาตา” อนึ่งลมแลฝนระคนกัน บันดาลตกลงมายังแผนพสุธาใหชุมไปดวย ธาราวารี ยังคณานิกรสรรพสัตวโลกทั้งปวงนี้ใหเย็นทรวงดวงหฤทัย ระงับเสียไดซึ่งกระวนกระวายใน ภายนอกก็ไมอาจระงับดับกระวนกระวาย กลาวคือราคาทิกิเลสในกายในไดดุจดังวาสังวรศีลแหง กุลบุตรในพระพุทธศาสนา “นจาป หริจนฺทนํ” อนึ่งแกนจันทนมีพรรณอันแดงแลสัตตรตนะ มีแกวมุกดาหารเปนอาทิ แลรัศมีจันทรพิมานอันออน อันอุทัยขึ้นมาในปาจีนโลกธาตุ สรรพสิ่งทั้งปวงมีสัมผัสอันเย็นนี้ก็อาจ ระงับกระวนกระวาย กลาวคือ ทุจริตได “ยํ สเมติทํ อริย”ํ ศีลอันใดที่พระโยคาวจรเจารักษาดี เปนศีล อันบริสุทธิ์ ศีลนั้นแลเย็นโดยแทสามารถอาจระงับกระวนกระวาย กลาวคือทุจริตได “สีลคนฺธสโม คนฺโธ กุโต ภวิสฺสติ” อนึ่งกลิ่นอันใดอาจฟุงซานไปตามลม และจะฟุงไป ในที่ทวนลม กลิ่นอันนั้นจะเสมอดวยกลิ่นศีล จักมีแตที่ดังฤๅ อนึ่ง “สคฺคาโรหณโสปฺาณํ” สิ่งอื่นจะเปนบันไดใหสัตวขึ้นไปสูสวรรค แลจะเปนประตูเขา ไปสูมหานคร คือพระอมตมหานิพพานเสมอดวยศีลนั้นมิไดมี “โสภนฺเตว น ราชาโน” อนึ่งบรมขัตติยเจาทั้งหลาย มีพระวรกายประดับดวยอลังการ วิภูษิต อันแลวดวยแกวมุกดาหารรสสรรพรตนาภรณทั้งปวง ก็ไมงามเหมือนพระยัติโยคาวจรภิกษุ อัน ทรงศีลวิภูษิตอาภรณ กลาวคือศีลอันบริสุทธิ์ “อตฺตานุวาทาทิ ภยํ” อนึ่งพระภิกษุในพระพุทธศาสนาทีทรงศีลบริสุทธิ์นั้นจะกําจัดเสีย ซึ่งภัย คือตนก็จมิไดติเตียนซึ่งตน บุคคลผูอื่นก็จะมิไดติเตียนพระภิกษุนั้น พระภิกษุนั้นก็ยอมยังความ สรรเสริญปติโสมนัสใหบังเกิดมีแกตน บัณฑิตพึงรูเถิดวา อานิสงสแหงศีลนี้ มีคุณสามารถจะฆาเสียซึ่งหมูแหงอกุศลกรรม อัน ประกอบไปดวยโทษมีทุจริตเปนมูลโดยนัยวิสัชนามา ดังนี้ เอวํ ก็มีดวยประการดังนี้ “อิทานิ ยํ วุตฺตํ กติวิธฺเจตํ สีเลนฺต,ิ ตตฺริทํ วิสชฺชนํ, สพฺพเมว ตาว ทิทํ สีลํ อตฺตโน สีลลกฺขเณน เอกวิธํ. จาริตฺต วารีตฺตวเสนทุวิธํ. ตถา อภิสมาจาริกอาทิพฺรหฺมจริยกวเสน วิรติอ วิรติวเสน กาลปริยนฺตาอาปาณโกฏิกวเสน สปริยนฺตา ปริยนฺตวเสน โลกิยโลกุตฺตรวเสน จ ติ วิธํ หีนมชฺฌิมปณีตวเสน ฯลฯ ปาริสุทฺธสีลนฺติ” มีเนื้อความวา “อิทานิ ยํ วุตฺต”ํ ปญหากรรมอันใด ที่เรากลาวไวแลววา ศีลมีประมาณเทา ดังฤๅ เราจะวิสัชนาในปญหากรรมนั้น ณ กาลบัดนี้ ศีลทั้งปวงนั้นมีประการเดียว คือศีลนะ มีอรรถวาทรงไวตั้งไว
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 19 ศีลทั้งปวงนั้นมีประเภท ๒ ประการ คือจาริตศีล ศีลที่กุลบุตรในพระพุทธศาสนาประพฤติ ๑ คือวาริตศีล สิกขาบทที่พระพุทธเจาทรงหาม ๑ เปน ๒ ประการนี้ ภิกษุที่จะกระทําอภิสมาจาริกวัตร มีถือเอาบาตรแลจีวรเปนอาทิ ๑ คืออาทิพรหมจริยกศีล ศีลที่พระภิกษุประพฤติเปนเบื้องตนแหงมรรคพรหมจรรย ๑ เปน ๒ ประการดังนี้ แลศีล ๒ ประการ คือวิรติศีล ศีลที่เวนจากบาปธรรม ๑ คือ อวิรติศีล ๑ เปน ๒ ประการนี้ แลศีล ๒ ประการ คือนิสสิตศีล อาศัยตัณหาและทิฏฐิ ๑ คือ อนิสสิตศีล มิไดอาศัยตัณหา แลทิฏฐิ เปนศีลอาศัยพระนิพพาน ๑ เปน ๒ ประการดังนี้ แลกาลปริยันตศีล รักษาศีลกําหนดกาล ๑ คืออาปาณโมฏิกศีล รักษาศีลมีชีวิตเปนที่สุด ๑ เปน ๒ ประการดังนี้ แลสปริยันตศีล ศีลมีที่สุด ๑ คืออปริยันตศีล ศีลไมมีที่สุด ๑ เปน ๒ ประการดังนี้ แลศีลมี ๒ ประการ คือโลกิยศีล ๑ คือโลกุตตรศีล ๑ เปน ๒ ประการดังนี้ “ติวิธํ สีลํ” อนึ่งศีลมี ๓ ประการ คือหีนศีล อยางต่ํา ๑ คือ มัชฌิมศีล อยางกลาง ๑ คือ ปณีตศีล อยางยิ่งอยางอุดม ๑ เปน ๓ ประการดังนี้ ใชแตเทานั้น ศีลมี ๓ ประการ คืออัตตาธิปติศีล มีตนเปนใหญ ๑ คือโลกาธิปติศีล มีโลก เปนใหญ ๑ คือธัมมาธิปติศีล มีธรรมเปนใหญ ๑ เปน ๓ ประการดังนี้ แลศีลมี ๓ ประการ คือปรามัฏฐิศีล อันตัณหาธิธรรมถือเอา ๑ คือ อปรามัฏฐศีล อันธรรม ทั้งหลาย มีตัณหาเปนอาทิ มิไดถือเอา ๑ คือปฏิปสสัทธิศีลคือ ศีลอันเปนที่ระงับดับกิเลส ๑ เปน ๓ ประการดังนี้ แลศีลมี ๓ ประการ คือเสขศีลของพระเสขบุขบุคคล ๑ คืออเสขศีลของพระอเสขบุคคล ๑ คือเนวเสขานาเสขศีล ศีลขอปุถุชน ๑ เปน ๓ ประการดังนี้ อนึ่งศีลมี ๔ ประการ คือหายนภาคิยศีล เปนสวนจะใหเสื่อม ๑ คือฐิติภาคิยศีล เปนสวนที่ จะใหตั้งมั่น ๑ คือเวเสสภาคิยศีล เปนสวนที่จะใหวิเศษ ๑ คือนิพเพธภาคิยศีล เปนสวนที่จะใหเหนื่อย หนายชําแรกออกจากกิเลส ๑ เปน ๔ ประการดังนี้ ใชแตเทานั้น ศีลมีประเภท ๔ ประการ คือศีลพระภิกษุ ๑ พระภิกษุณี ๑ ศีลอนุปสัมบัน ๑ ศีลคฤหัสถ ๑ เปน ๔ ประการดังนี้ แลศีลมี ๔ ประการ คือปกติศีล ๑ อาจารศีล ๑ ธรรมดาศีล ๑ บุพพเหตุกศีล ศีลที่เคย รักษามาแลวแตกาลกอน ๑ เปน ๔ ประการดังนี้ แลศีลมี ๔ ประการคือปกฏิโมกขสังวรศีล ๑ คืออินทริยสังวรศีล ๑ คืออาชีวปาริสุทธิศีล ๑ คือปจจัยสินนิสสติศีล ๑ เปน ๔ ประการ “ปญจวิธํ สีลํ อนึ่งศีลมี ๕ ประการ โดยประเภทแหงศีลทั้งหลาย มีปริยันตปาริสุทธิศีล เปนประธาน อันพระธรรมเทสนาบดีสารีบุตรกลาวไวในปกรณชื่อวาปฏิสัมภิทาวา ปฺจสีลานิ ประยนฺต ปาริสุทฺธิสีลํ ฯลฯ”
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 20 ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ศีลมี ๕ ประการ คือปริยันตปาริสุทธิศีล ๑ คืออปริยันตปาริสุทธิศีล ๑ คือปริปุณณปาริสุทธิศีล ศีลที่พระภิกษุกระทําใหเต็มโดยสวนทั้งปวง ๑ คืออปรามัฏฐปาริสุทธิศีล ศีล ที่พระภิกษุรักษาอันตัณหาทิธรรมไดถือเอา ๑ คือปฏิปสสัทธิปาริสุทธิศีลอันเปนที่ระงับดับราคาทิ กิเลส ๑ เปน ๕ ประการดังนี้ ใชแตเทานั้น ศีลยังมีอีก ๕ ประการ คือปหานศีล อันจะสละซึ่งบาปธรรม ๑ คือเวรมณีศีล และเวนจากบาปธรรม ๑ คือ เจตนาศีล ๑ รักษาดวยเจตนา ๑ คือสังวรศีล รักษาดวยสังวร ๑ คืออวิตก กมศีล รักษามิไดใหลวงสิกขาบท ๑ เปน ๕ ประการดังนี้ อรรถสังวรรณนาในสวนแหงศีลมีประการอยางเดียวนั้น แลวแตหนหลัง
บัณฑิตพึงรูโดยนัยวิสัชนามา
“ทุวิธโกฏฐาเส” จะวินิจฉัยตัดสินในศีลมีประเภท ๒ ประการ คือ จาริตศีล แลวาริตศีลนั้น มีเนื้อความวา “ยํ ภควา อิทํ กตฺตพฺพํ” พระภิกษุรักษาสิกขาบท ที่องคสมเด็จพระผูทรงพระภาค บัญญัติไววา พระภิกษุพึงกระทําอภิสมาจาริกวัตร ดังนี้ชอว ื่ า จาริตศีล “ยํ อิทํ น กตฺตพฺพํ” กิริยาที่พระภิกษุมิไดกระทําใหลวงสิกขาบทที่พระองคพระบรม ศาสดาตรัสหามวากรรมอันเปนทุจริตนี้ ภิกษุทั้งหลายอยาพึงกระทํา ดังนี้ชื่อวาวาริตศีล มีอรรถวิคหะวา พระภิกษุทั้งหลายประพฤติกระทําใหบริบูรณในศีลทั้งปวง ชื่อวา จาริตศีล มีอรรถาธิบายวา สิกขาบทที่ภิกษุจะพึงใหสําเร็จดวยศรัทธาแลความเพียร ชื่อวา จาริตศีล พระภิกษุรักษาสิกขาบทที่พระพุทธองคทรงหาม ชื่อวา วาริตศีล มีอรรถาธิบายวา สิกขาบทที่พระภิกษุจะพึงใหสําเร็จดวยศรัทธาแลสติชื่อวา วาริตศีล ศีลมี ๒ ประการ คือจาริตศีล แลวาริตศีล บัณฑิตพึงรูดังนี้ มีคําตัดสินในทุกกะที่ ๒ นั้นวา ศีลมี ๒ ประการ คืออภิสมาจาริกศีล แลอาทิพรหมจริยกศีล มีอรรถาสังวรรณนาในบทคืออภิสมาจารนั้นวา การที่ภิกษุประพฤติอุดม ชื่อวา อภิสมาจาริก ศีล นัยหนึ่ง ศีลที่องคสมเด็จพระผูมีพระภาค เฉพาะมรรคแลผล เปนประธานแลว แลบัญญัติ ไว ชื่อวาอภิสมาจาริกศีล ๆ นี้ เปนชื่อแหงศีลอันเหลือลงจากศีลมีอาชีวะเปนคํารบ ๘ แลอาทิพรหมจริยกศีลนั้น มีอรรถวา ศีลอันใดเปนเบื้องตนแหงมรรคพรหมจรรย ศีลอันนั้น ชื่อวา อาทิพรหมจริยกศีล อาทิพรหมจริยกศีลนี้ เปนชื่อแหงศีลมีอาชีวะเปนคํารบ ๘ ศีลนี้เปนตนแหงมรรค พรหมจรรย เพราะเหตุวาศีลนั้น พระภิกษุจะพึงชําระในสวนแหงขอปฏิบัติอันเปนเบื้องตน เพราะเหตุการณนั้น องคพระผูทรงพระภาคจึงตรัสเทศนาวา “ปุพฺเพว โข ปนสฺส กา ยกมฺมํ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายกรรมของพระภิกษุนี้ยอมจะบริสุทธิ์ในเบื้องตน วจีกรรมแลอาชีวะการ ที่จะเลี้ยงชีวิตพระภิกษุนี้ ก็ยอมจะบริสุทธิ์ในเบื้องตน อนึ่งสิกขาบททั้งหลาย ที่พระองคตรัสเรียกวา ขุททานุขุททกสิกขาบท นอยแลนอยตาม
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 21 ลงมา สิกขาบททั้งปวงนี้ก็ไดนามชื่อวา อภิสมาจาริกศีล โลกิศีลอันเศษชื่อวา อาทิพรหมจริยกศีล อนึ่งศีลอันนับเขาในวิภังคทั้ง ๒ คือภิกขุวิภังค แลภิกขุนีวิภังค ชื่อวา อาทิพรหมจริยกศีล ศีลนับเขาในขันวรรค ชื่อวา อภิสมาจาริกศีล “ตสฺสา สมฺปตฺติยา” เมื่อสมาจาริกศีลนั้น พระภิกษุกระทําใหบริบูรณแลว อาทิพรหมจริย กศีลก็สําเร็จมิไดวิกล “เตเนวาห” เพราะเหตุการณนั้น องคพระผูทรงพระภาค จึงตรัสเทศนาวา “ภิกฺขเว” ดูกอนภิกษุทั้งหลาย “โส อภิสมาจารีกํ” พระภิกษุนั้นมิไดยังขออภิสมาจาริกศีลใหสมบูรณกอน แลว แลจะยังอาทิพรหมจริยกศีลใหบริบูรณ ไดดวยเหตุอันใด เหตุอันนี้ จะเปนที่ตั้งแหงผลหามิได ศีลมี ๒ ประการ คืออภิสมาจาริกศีลแลอาทิพรหมจริยกศีลดังนี้ มีคําวินิจฉัยตัดสิน ในทุกกะเปนคํารบสามนั้นวา ศีลมี ๒ ประการ คือวิรัติศีล แลอวิรัติศีล วิรัติศีลนั้น คือกิริยาที่จะเวนจากบาปธรรมทั้งหลายมีปาณาติบาตเปนตน อวิรัติศีลนั้น คือศีลอันเศษมีเจตนาศีลเปนตนเปนอาทิ เปน ๒ ประการดังนี้ ในจตุตถะทุกกะที่ ๔ นั้น มีคําวินิจฉัยวา ศีลมี ๒ ประการคือ นิสสิตศีล แลอนิสสิตศีล นิสสิตศีลนั้น มีอรรถวา นิสสัยนั้นมี ๒ ประการ คือตัณหานิสสัยแลทิฏฐินิสสัย ตัณหานิสสัยนั้น ไดแกศีลที่บุคคลรักษา ดวยความปรารถนาสมาบัติในภพวา เราจะบังเกิด เปนเทวดา แลจะเปนเทวบุตร เทวธิดาองคใดองคหนึ่งดวยศีลนี้ ศีลนั้นชื่อวา ตัณหานิสสิตศีล ศีลอันใดที่บุคคลรักษาไวดวยคิดเห็นวา เราจะบริสุทธิ์ดวยศีลนี้ศีลนั้น ชื่อวา ทิฏฐินิสสิตศีล “ยมฺปน โลกุตฺตรํ” อนึ่งศีลอันใดเปนโลกุตตรศีล แลเปนโลกิยศีลที่บุคคลรักษา หมายวา จะไดเปนเหตุที่จะไดโลกกุตตรสมมบัติคือ มรรค ๔ ผล ๔ ศีลนั้นชื่อวา อนิสสิตศีล ศีลมี ๒ ประการ คือนิสสิตศีล แลอนิสสิตศีลดังนี้ มีคําวินิจฉัยตัดสิน ในทุกกะเปนคํารบ ๕ นั้นวา ศีลมี ๒ ประการ คือกาลปริยันตศีล ไดแก ศีลที่บุคคลกระทํากาลปริจเฉทกําหนดกาลแลว แลสมาทาน ๑ อปาณโกฏิกศีล ไดแกศีลที่บุคคลสมาทานตราบเทาสิ้นชีวิตแลว แลรักษาไปสิ้นชีวิต ๑ เปน ๒ ประการดังนี้ วินิจฉัยในทุกกะเปนคํารบ ๖ นั้นวา ศีลมี ๒ ประการ คือสปริยันตศีล ไดแกศีลอันฉิบหาย ดวยลาภแลยศ แลญาติ แลอวัยวะแลชีวิต ๑ คือ อปริยันตศีล ไดแกศีลอันมิไดฉิบหาย ดวยลาภแลยศ แลญาติ แลอวัยวะแลชีวิต ๑ เปน ๒ ประการดังนี้ สมดวยพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกลาวไววา ในปฏิสัมภิทาวา “กตมนฺติ สีลํ สปริยนตํ”
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 22 คือชื่อวาสปริยันตะนั้น คือ ศีลฉิบหายดวยลาภ แลฉิบหายดวยยศ และฉิบหายดวยญาติ และอวัยะ แล ชีวิต “กตมนติ สีลํ ลาภปริยนตํ” ศีลฉิบหายดวยลาภนั้นเปนดังฤๅ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ในโลกนี้ ประพฤติลวงสิกขาบทที่ตนสมาทานเพราะเหตุลาภ เพราะ ปจจัยคือลาภ เพราะการณคือลาภศีลนั้นชื่อวา ลาภปริยันตศีล สปริยันตศีล อื่นจากลาภรปริยันตศีล มียศปริยันตศีลเปนอาทิ อาจารยพึงใหพิสดาร โดย อุบายที่กลาวแลวนี้ เปนดังฤๅ
เมื่อพระธรรมเสนาบดี จะวิสัชนาในอปริยันตศีลตอไปนั้น จึงกลาววา นลาภอปริยันตศีลนั้น
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย บุคคลจําพวกหนึ่ง ในพระพุทธศาสนานี้มิไดยังจิตใหบังเกิดขึ้นในการ ที่จะลวงสิกขาบท เพราะเหตุลาภแลยศแลญาติ และอวัยวะ และชีวิต ศีลนี้ชื่อวา อปริยันตศีล ๑ เปน ๒ ประการดังนี้ วินิจฉัยในทุกกะ เปนคํารบ ๗ นั้นวา ศีลมี ๒ ประการ คือโลกิยศีล แลโลกุตตรศีล ศีลที่ประกอบดวยอาสวะมีตัณหาสวะเปนอาทิ ของอยูในสันดาน ชื่อวาโลกิยศีล ศีลที่ปราศจากอาสวะชื่อวาโลกุตตรศีล แทจริงโลกิยศีลนั้น ยอมจะนํามาซึ่งสมบัติอันวิเศษในภพ กับประการหนึ่ง โลกิยศีลนี้ จะ เปนสัมภารเหตุ ที่จะรื้อตนออกจากภพ “ยถาห ภควา” องคสมเด็จพระผูทรงพระภาค ตรัสพระสัทธรรมเทศนาไวเปนดังฤๅ องคพระผูทรงภาคตรัสเทศนาไววา “วินโย สํวรตถาย” กริริยาที่จะเลาเรียนพระวินัยปริยัติ นี้ ยอมจะประพฤติเปนไปเพื่อประโยชนจะใหสังวร การที่สังวรนั้น นักปราชญจะพึงติเตียน
จะประพฤติเปนไปเพื่อประโยชนจะมิไดระลึกถึงกรรมแหงตนควรที่
การที่จะไมระลึกถึงกรรมแหงตน ที่บัณฑิตจะพึงติเตียนนั้นยอมจะประพฤติเปนไปเพื่อ ประโยชนจะใหไดความปราโมทย คือตรุณปติอันออน การที่ไดรับความปราโมทยนัน ยอมจะประพฤติเปนไปเพื่อประโยชนจะใหไดพระนิพพาน อันธรรมทั้งหลายมีตัณหาเปนอาทิ มิไดเขจาไปถือเอาได “เอตทตฺถกถา” การที่จะกลาวถึงพระวินัย แลการที่จะพิจารณาซึ่งอรรถแหงพระวินัย แล การที่จะปฏิบัติสืบ ๆ ตามเหตุที่กลาวมา แลจะเงี่ยลงซึ่งโสตประสาทสดับฟงซึ่งธรรม ก็ยอมมีอนุ ปาทานปรินิพพานเปนที่ประสงค “ยทิทํ วิโมกฺโข” วิโมกขคือกิริยาที่จะพนโดยวิเศษของจิตที่ อุปาทานทั้งหลายมิไดเขาไปใกลถือเอาซึ่งธรรม อนึ่งวิโมกขนั้น ก็มีอุปาทานปรินิพพานเปนประโยชน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 23 อนึ่งโลกุตตรศีลนี้ ยอมจะนําซึ่งกิริยาที่จะรื้อตนออกจากภพ แลจะเปนภูมิคือจะเปนที่เขา ไปอาศัยแหงปจจเวกขณญาณ บัณฑิตพึงรูวา ศีลมี ๒ ประการ คือโลกิยศีล ๑ โลกุตตรศีล ๑ เปน ๒ ประการดังวิสัชนามา นี้ เอวํ ก็มีดวยประการฉะนี้ “ติกฺเกสุ ปมติกฺเก หีเนน ฉนฺเทน จิตฺเตน วิริเยน วีมํ สายวา ปวตฺติตํ หีนํ มชฺฌิเมหิ ฉนฺทาทีหิ ปวตฺติตํ มชฺฌิมํ ปณีเตหิ ปณีตํ ยสกามยตาย วา สนาทินนํ หีนํ ปฺุญผลกามตาย มชฺฌิมํ กตฺตพฺเพเมวิทนฺติ อริยภาวนิสสาย สมาทินฺนํ ปณีตํ อหมสฺมิ สีลสมปนฺโน อิเม ปนฺ เญ ภิกขู ทุสฺสีลา ปาปธมฺมาติ เอวํ อตฺตุกํ สนปรวมฺภนาทีหิ อุปกิลิฏฺ วา อนุปกิลิฏํ โลกิยสีลํ มชฺฌิมํ โลกุตฺตรํ ปณีตนฺติ" วาระนี้จะไดวิสัชนา ล้ําติกกะทั้งหลาย ในติกกะประมาณ ๓ แหง ศีลเปนปฐม มีเนื้อความวา ศีลมี ๓ ประการ คือหีนศีล ๑ มัชฌิมศีล ๑ ปณีตศีล ๑ เปน ๓ ประการดังนี้ หีนศีลเปนปฐมนั้นวา “หีเนน ฉนฺเทน จิตฺเตน” ศีลที่บุคคลใหประพฤติเปนไป ดวยฉันทะ ปรารถนาที่จะรักษา แลจิต แลความเพียร แลปญญาอันต่ําชา ศีลนั้นชื่อวาหีนศีล ๑ “มชฺฌิเมหํ ฉนฺทาทีหิ” ศีลที่บุคคลใหเปนไปดวยฉันทะแลจิต แลวิริยะความเพียร แล ปญญาอันเปนทามกลาง ชื่อวามัชฌิมศีล ๑ “ปณีเตหิ ปวตฺติตํ” ศีลที่บุคคลใหเปนไปดวยฉันทะ แลจิต แลวิริยะความเพียร แล ปญญาอันอุดม ชื่อวาปณีตศีล ๑ เปน ๓ ประการดังนี้ วา หีนศีล
นัยหนึ่ง “ยสกามยตาย สมาทินฺน”ํ ศีลที่บุคคลสมาทาน ดวยมีความปรารถนาจะมียศชื่อ ศีลที่บุคคลสมาทาน ดวยความปรารถนาจะใหเปนบุญ ชื่อวามัชฌิมศีล
ศีลที่บุคคลสมาทาน อาศัยจะใหตนเปนบุคคลละบาปประเสริฐ โดยวิเศษวาของสิ่งนี้ควรที่ จะพึงกระทํา ชื่อวาปณีตศีล อนึ่ง ศีลที่บุคคลรักษาเศราหมอง หมายวาจะยกแลขมขี่บุคคลผูอื่น ดวยความปริวิตกวา อาตมาจะเปนบุคคลประกอบดวยศีลพรหมจรรยอื่น ๆ นั้นเปนบุคคลไมมีศีล มีแตธรรมอันลามก ชื่อ วาหีนศีล โลกิยศีลที่บุคคลรักษา มิไดกระทําใหมัวหมองดวยอัตตุกังสนะ ยกยอตน ขมขี่บุคคลผูอื่น ชื่อวา มัชฌิมศีล ศีลที่เปนโลกุตตระนั้น ชื่อวา ปณีตศีล ศีลที่บุคคลรักษา เพื่อประโยชนจะไดสมบัติในภพ เปนไปดวยสามารถแหงตัณหา ชื่อ วาหีนศีล ศีลที่บุคคลรักษา เพื่อประโยชนจะเปนสาวก และเปนพระปจเจกโพธิ์ชื่อวา มิชฌิมศีล ศีลที่บุคคลรักษา เพื่อประโยชนจะยังสัตวโลกใหพนจากสังสารวัฏชื่อวา ปณีกศีล ศีลมี ๓ ประการดังนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 24 วินิจฉัยในศีล ๓ ประการในติกกะที่ ๒ นั้นวา ศีลที่บุคคลรักษาแรารถนาจะละเสียซึ่งกรรม อันมิไดสมควรแกตน มีตนเปนอธิบดี เคารพในตน ศีลนั้นชื่อวา อัตตาธิปไตย ๑ ศีลที่บุคคลรักษา มีความปรารถนาจะหลีกหนีความครหาของสัตวโลกตนก็เปนคนเคารพ ในโลก รักษาดวยความคารวะในโลกดังนี้ ชื่อวา โลกาธิปไตยศีล ๑ ศีลที่บุคคลรักษา เพื่อประโยชนจะบูชาซึ่งพระธรรมเปนใหญเคารพในธรรม มีศรัทธาและ ปญญาเปนประธาน การรักษาดวยความเคารพในพระธรรมดังนี้ ชื่อวาธรรมาธิปไตยศีล ๑ เปน ๓ ประการดังนี้ ในติกกะที่ ๓ มีเนื้อความวา ศีลอันใดที่เรากลาวแลว ชื่อวานิสสิตศีลในทุกกะ ในติกกะนี้ ชื่อวาปรามัฏฐศีล ๑ เพราะเห็นวาศีลนั้น อันตัณหาแลทิฏฐิถือเอาดวยสามารถจะใหวิบัติฉิบหาย ศีลที่ ๒ ชื่อวา อปรามัฏฐศีล คือศีลที่ปุถุชนรักษาใหเปนสัมภารเหตุแกที่จะไดมรรค แลศีล ของพระเสขริยบุคคล ๗ จําพวก อันประกอบดวยเอกุปปาทาทิประการ เกิดกับดับพรอมดวยมรรคชื่อ วาอปรามัฏฐศีลที่ ๒ ศีลที่ ๓ ชื่อวา ปฏิปสสัทธิศีล ศีลนี้เปนของพระเสขบุคคลแลพระอเสขบุคคล เกิดกับดับ พรอมดวยผล ศีลมี ๓ ประการดังนี้ ในติกกะเปนคํารบ ๔ นั้น “ยํ อาปตฺตึ อาปชฺชนฺเตน” ศีลที่พระภิกษุรักษาไวมิใหตอง อาบัติ แลพระภิกษุตองอาบัติแลว แลเทศนาบัติเสีย ศีลนั้นชื่อวาวิสุทธิศีลที่ ๑ ศีลที่ ๒ นั้นชื่อวา อวิสุทธิศีล คือศีลของพระภิกษุที่ตองอาบัติแลว แลมิไดออกจากอาบัติ ดวยเทศนาเปนอาทิ ศีลนั้นชื่อวา อวิสุทธิศีล “วตฺถุมฺหิ วา อาปตฺติยา วา” ศีลพระภิกษุที่มีความสงสัยในวัตถุ แลอาบัติ แลอัชฌาจารย ประพฤติลวงสิกขาบท ชื่อวา เวมติกศีลที่ ๓ ในเวมติศีลนั้น มีเนื้อความวา พระภิกษุมีความสงสัยวาศีลของตนไมบริสุทธิ์ ก็พึงชําระเสีย ใหบริสุทธิ์ อยาประพฤติลวงในความสงสัย พึงบรรเทาเสียซึ่งความสงสัย ความผาสุกแหงพระภิกษุนั้น จะพึงบังเกิดมี ศีลมี ๓ ประการ มีวิสุทธิศีลเปนประธานดังกลาวมานี้ วินิจฉัยในศีล ๓ ประการในติกกะที่ ๕ นั้นวา “จตูหิ อริยมคฺเคหิ” ศีลอันประกอบดวยเอ กุปปาทาทิประการ เกิดในขณะเดียวกัน ดับในขณะเดียวกัน กับดวยพระอริยมรรคทั้ง ๔ มีพระโสดา ปตติมรรคเปนอาทิ แลวเกิดดับกับพรอมดวยสามัญผลทั้ง ๓ คือพระโสดาปตติผล พระสกิทาคามิผล พระอนาคามิผล ศีลนี้ชื่อวาเสขศีลที่ ๑ “อรหตฺตผลสมฺปยุตฺต”ํ ศีลอันประกอบดวยเอกกุปาทาทิประการ เกิดกับดับพรอมเสมอ ดวยพระอรหัตตผล ชื่อวา อเสขศีลที่ ๒ ศีลอันเศษจากเสขศีลแลอเสขศีลทั้ง ๒ นั้น คือโลกิยศีลทั้งปวง ชื่อวา เนวเสขานาเสขศีล ที่ ๓ รวมเขาดวยกันเปนศล ๔ ประการดังนี้ “ปฏิสมฺภิทายมฺปน” ทั้งหลายนั้น ๆ ในโลก ชื่อวาศีล
อนึ่งพระธรรมเสนาบดี
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
กลาวไวในปฏิสัมิภทาวา
ปกติของสัตว
- 25 ปกติของสัตวนั้น คือคําวา “อยํ สุขสีโล” บุคคลผูนั้นมีสุขเปนปกติ บุคคลผูนี้ มีเฉพาะเปน ปกติ บุคคลผูนี้มีตกแตงประดับประดากายเปนปกติ เพราะเหตุการณดังนั้น ศีลจึงมีประเภท ๓ ประการ คือกุศลศีล ๑ อกุศล ๑ อพยากตศีล ๑ เปน ๓ ประการดังนี้ ในอรรถอันนี้ องคสมเด็จพระบรมศาสดามิไดประสงคเอาอกุศลศีล เพราะเหตุวาอกุศลศีล นั้น ไมสมดวยอาการทั้ง ๔ มีลักษณะของศีลเปนอาทิ จึงมิไดนับเขาในศีลนิเทศนี้ นักปราชญพึงรูวา ศีลมี ๓ ประการดังกลาวมาแลว “จตุกฺเกสุ ปมจตุกฺเก” จะวินิจฉัยในปฐมจตุกกะ คือจะวาดวยศีลมี ๔ ประการเปนปฐม หนึ่งกอน มีเนื้อความวา พระภิกษุรูปใดศาสนา เสพซึ่งบุคลทั้งหลายที่ไมมีศีล ไมเสพบุคลทั้งหลายที่ มีศีล ไมเห็นโทสที่ตึวกระทําใหลวงวัตถุที่จะยังตนใหตองอาบัติเปนคนไมรู มากไปดวยความดําริผิด ไมรักษาอินทรีย “เอวรูปสส สีลํ” ศีลของพระภิกษุจําพวกนี้ ชื่อหายนภาคิยศีล เปนสวนที่ จะใหเสื่อม สูญ เปนศีลที่ ๑ อนึ่งพระภิกษุรูปใดในพระศาสนานี้ มีศีลบริบูรณแลว ก็กระทําความเพียรเรียนพระกรรมฐาน สืบตอขึ้นไป เพื่อประโยชน จะใหไดสมาธิศีลแหงพระภิกษุนั้น ชื่อวา วิเลสภาคิยศีล เปนสวนจะให วิเศษเปนศีลที่ ๓ “จตุตฺโถ สีลมตฺเตน” อนึ่งพระภิกษุรูปใดในพระศาสนานี้ไมยินดีอยูดวยศีลสิ่งเดียว มี อุตสาหะเจริญเรียนพระวิปสสนา ศีลพระภิกษุนั้นชื่อวา นิพเพทภาคิยศีล เปนสวนที่จะเหนื่อยหนาย เปนศีลที่ ๔ ศีลมี ๔ ประการดวยกันดังนี้ วินิจฉัยในศีล ๔ ประการที่ ๒ นั้นวา “ภิกฺขู อารพฺภ ปฺญตตสิกฺขาปทานิ” สิกขาบทอัน ใดที่องคพระผูทรงพระภาคปรารภพระภิกษุทั้งหลายแลว แลบัญญัติไว สิกขาบทนั้น พระภิกษุพึง รักษาเปนอสาธารณบัญญัติเฉพาะใหพระภิกษุรักษา ศีลนั้นชื่อวาพระภิกษุศีลที่ ๑ สิกขาบทอันใด ที่พระองคผูทรงพระภาค ปรารภพระภิกษุณีแลว แลตั้งไวเปนสิกขา ควร พระภิกษุณีจะพึงรักษา ศีลนั้นชื่อวาภิกษุณีศีลที่ ๒ อนึ่ง “สามเณสามเณรีน”ํ ศีลของสามเณรแลสามเณรีมี ๑๐ ประการ ศีลนี้ชื่อวา อนุปสัมบันศีล เปนศีลที่ ๓ “อุปาสกอุปาสิกานํ” ศีล ๕ ประการที่อุบาสกอุบาสิกา มีอุตสาหะจะรักษาใหยิ่งขึ้นไป ศีล ๘ ประการก็ยอมจะประพฤติเปนไปแกอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายนั้น ดวยสามารถเปนองคอุโบสถ อุบาสกศีลมี ๔ ประการดวยกันดังนี้ ศีล ๔ ประการที่ ๓ นั้นวา “อุตฺตรกุรุกานํ มนุสฺสานํ” การที่มิไดประพฤติลวงสิกขาบททั้ง ๕ แหงมนุษยทั้งหลาย อันอยูในอุตตรกุรุทวีปชื่อวาปกติศีลที่ ๑ อนึ่ง มนุษยทั้งหลายมีพราหมณเปนประธาน ไมดื่มกินซึ่งสุราเปนอาทิ มนุษยทั้งหลายอยู ในชนบทบางแหงไมเบียดเบียนสัตวเปนอาทิ แลลัทธิอันตั้งไวซึ่งปวงมิใหกระทําบาปตามจารีต บุรพ บุรุษคือมารดา บิดาในตระกูลนั้น อันเปนตนบังเกิดแหงตน แลตนประพฤติมาแลว ศีลนี้ชื่อวาอาจารศีล ที่ ๒ “เอวํ วุตฺตํ โพธิสตฺตมาสุสีลํ” อนึ่ง ศีลของมารดาพระโพธิสัตว ที่องคสมเด็จพระผูทรง พระภาคโปรดประทานเทศนาไววา ดูกรอานนทในกาลใด พระโพธิสัตวลงสูครรภแหงมารดา ในกาล นั้นจิตของมารดาพระบรมโพธิสัตว จะประกอบดวยความยินดี ในกามโกฏฐาสสวนแหงกามคุณ บังเกิด ขึ้นในบุรุษทั้งหลายหามิได ศีลแหงพระพุทธมารดาดังกลาวมานี้ ชื่อวาธรรมดาศีลที่ ๓
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 26 อนึ่ง ศีลแหงสัตวทั้งหลายที่เปนสัตวอันบริสุทธิ์ มีพระมหากัสสปะเปนประธาน แลศีลของ พระโพธิสัตวอันบําเพ็ญศีลบารมีในชาตินั้น ๆ ชื่อวาบุพพเหตุศีลที่ ๔ ศีลมี ๔ ประการดังนี้ ศีลมี ๔ ประการในที่ ๔ นั้นวา “เอวํวุตฺตํ สีลมิทํ” ศีลอันใดที่องคสมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสเทศนาไววา พระภิกษุในพระศาสนานี้สังวรในพระปาฏิโมกขสังวรศีล ถึงพรอมดวยอาจาระแล โคจรประพฤติอยูเปนนิจ เห็นภัยในโทษทั้งหลายมีอณูเปนประมาณ สมาทานแลว แลศึกษาใน สิกขาบททั้งปวง ศีลนี้ชื่อวา ปาฏิโมกขสังวรศีลที่ ๑ อนึ่ง ศีลอันใดที่องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไววา พระภิกษุในพระศาสนานี้ เห็นซึ่งรูปดวยจักษุก็ถือเอาซึ่งนิมิต แลถือเอาโดยอนุพยัญชนะวา เกศงามเปนอาทิ อกุศลธรรม ทั้งหลาย อันลามก คือ โลภแลโทมนัสพึงติดตามพระภิกษุนั้น เพราะเหตุไมสํารวมจักษุอินทรียแลว แลยับยั้งอยู พระภิกษุที่ตั้งอยูในพระปาฏิโมกขสังวรศีล ก็ยอมปฏิบัติเพื่อจะรักษาจักษุอินทรีย ถึงซึ่ง สังวรในจักษุอินทรีย พระภิกษุนั้นไดฟงเสียงดวยโสต แลไดสูดดมซึ่งกลิ่นดวยฆานะ แลไดลิ้มเสียซึ่ง รสดวยชิวหา ไดสัมผัสถูกตองซึ่งโผฏฐัพพะดวยกาย แลรูธรรมารมณดวยจิต ก็มิไดถือเอาซึ่งนิมิตแล มิไดถือเอาโดยอนุพยัญชนะวา เสียงนี้ไพเราะเปนอาทิแลวแลยับยั้งอยู พระภิกษุนั้นก็ยอมปฏิบัติ เพื่อ จะสังวรโสตอินทรียเปนประธาน รักษาโสตอินทรียเปนอาทิ ศีลนี้ชื่อวาอินทรียสังวรศีลที่ ๒ “ปฺญตฺตานํ ฉนฺนํ สิกฺขาปทานํ” อนึ่ง พระภิกษุในพระศาสนานี้จะประพฤติลวง สิกขาบททั้ง ๖ประการ ที่องคพระผูมีพระภาคบัญญัติไว เพราะเหตุจะเลี้ยงชีวิตนั้น คือการทําอาการ กลาวใหทายกพิศวงดวยกุหนวัตถุ เหตุที่ตนโกหก ๓ ประการ มีเจรจากระซิบในที่ใกลเปน อาทิแล กลาวยกยองตนตอทายกใหทายกถวายวัตถุปจจัยอันหนึ่ง แลกระทํานิมิตกรรมแลกลาวปดใหทายก ถวายของดวยคําดา แลปรารถนาจะนํามาซึ่งลาภดวยลาภเปนอาทิดังนี้ เมื่อพระภิกษุเวนจากมิจฉาชีวะ เลี้ยงชีวิตผิดดวยประเภทแหงกรรมอันลามกดังนี้ ศีลของพระภิกษุนั้นก็บริสุทธิ์ชื่อวา อาชีวปาริสุทธิศีล ที่ ๓ “จตุปจฺจยปริโภโค” อนึ่งพระภิกษุบริโภคจตุปจจัยทั้ง ๔ บริสุทธิ์ ดวยกิริยาที่พิจารณาที่ องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไวโดยนัยเปนอาทิวา “ปฏิสงฺขา โยนิโส จีวรํ ปฏิเสวามิ” ใหพระภิกษุกระทํามนสิการวา อาตมาจะพิจารณาดวยปญญาเสียกอนแลวจึงจะนุงหมจีวรปจจัยเปน อาทิ ศีลของพระภิกษุนั้นก็บริสุทธิ์ ชื่อวาปจจัยสันนิสสิตศีลที่ ๔ จําเดิมแตนี้ ขาพระองคผูมีนามชื่อวาพุทธโฆษาจารย จะกลาววินิจฉัยตัดสินกับจะสังวรรณ นาไปตามลําดับบท ในพระจตุปาริสุทธิศีลทั้ง ๔ มีพระปาฏิโมกขสังวรศีลเปนประธานวา “อิทานิ อิมสมึ” “สาสเน” บุคคลบวชดวยศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนานี้ มีนามชื่อวาภิกษุ เพราะเหตุวาเห็น ภัยในสังสารวัฏ นัยหนึ่งชื่อวา ภิกษุ เพราะเหตุทรงไวซึ่งผาอันทําลาย ทรงไวซึ่งพระปาฏิโมกข คือ สิกขาบทศีล ในบทคือปาฏิโมกขนั้น แปลวาสิกขาบทศีลยอมจะรักไวซึ่งพระภิกษุผูรักษาศีล อันนับเขา ในพระวินัย จะใหพระภิกษุนั้นพนจากทุกขทั้งหลายมีอบายทุกขเปนอาทิ เพราะการณนั้นเองสมเด็จ พระบรมศาสดาจึงเรียกสิกขาบทศีลนั้น ชื่อวาปาฏิโมกข แลสังวโรนั้น แปลวาภิกษุกั้นไวปดไว ซึ่งกายทวาร แลวจีทวาร บทคือสังวโรนั้นเปนชื่อ ของสิ่งที่ไมลวงดวยกาย ไมลวงดวยวาจา สังวรนั้นก็คือพระปาฏิโมกข จึงไดชื่อวาพระปาฏิโมกขสังวร พระภิกษุในพระศาสนา ประกอบดวยปาฏิโมกขสังวรศีลแลว ใหประกอบดวยอาจาระแล โคจรดวย เพราะเหตุการณนั้น พระธรรมสังคาหกเถระเจาทั้งหลาย จึงกลาวอรรถสังวรรณนาวา “อตฺถิ อาจาโร อตฺถิ อนาจาโร” อาจารก็มี อนาจารก็มี อนาจารนั้นเปนดังฤๅ อนาจารนั้นคือพระภิกษุประพฤติอนาจารใชการที่จะประพฤติ กระทํา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 27 ใหลวงสิกขาบทดวยกาย กระทําใหลวงสิกขาบทดวยวาจา กระทําใหลวงสิกขาบททั้งกายทั้งวาจา ดังนี้ชื่ออนาจาร สภาวะหาศีลสังวรมิไดทั้งปวง ชื่อวาอนาจาร “อิเธกจฺโจ เวฬุทาเนน วา” พระภิกษุจําพวกหนึ่ง ในพระศาสนานี้ยอมเลี้ยงชีวิตดวยให ไมไผ ใหใบไม ใหดอกไม ใหผลไม ใหเครื่องอบ ใหไมสีฟน และตั้งตนไวในที่อันต่ํา แลวยกยอทายก ปรารถนาจะใหรัก และกลาวถอยคําเสมอดวยแกงถั่ว และอุมทารกแหงสกุลดวยสะเอว และเปนคนใช ไปดวยกําลังแขง และเลี้ยงชีวิตดวยมิจฉาชีพอยางใดอยางหนึ่ง ที่พระพุทธเจากลาวติเตียนหามมิให กระทํา ดังนี้ชื่อวาอนาจาร “ตตฺถ กตโม อาจาโร” อาจาระนั้นเปนดังฤๅ อาจารนั้น คือพระภิกษุรักษาสิกขาบท มิไดประพฤติใหลวงสิกขาบทดวยกาย ไมลวง สิกขาบทดวยวาจา ไมลวงสิกขาบทดวยกาย และวาจาดังนี้ชื่ออาจาระ การที่วาพระภิกษุสํารวมศีลไวมิใหลวงสิกขาบททั้งปวง ชื่อวาสังวร “อิเธกจฺโจ น เวฬุทาเนน วา” พระภิกษุจําพวกหนึ่งในพระศาสนานี้ ไมเลี้ยงชีวิตดวยให ไมไผ ใหใบไม ใหดอกไม ใหผลไม ใหเครื่องอบ ใหไมสีฟน ไมเลี้ยงชีวิตดวยตั้งตนในที่อันต่ําแลว และไมยกยอทายกจะใหรัก และไมกลาวถอยคําเสมอดวยแกงถั่ว และไมอุมทารกดวยสะเอว และไม เปนคนใชไปดวยกําลังแขง ไมเลี้ยงชีวิตดวยมิจฉาชีวะอยางใดอยางหนึ่ง ที่พระพุทธเจาทรงติเตียน หามมิใหกระทําอยางนี้ชื่อวาอาจาระ อนึ่ง ในบทคือ โคจร นั้น มีอรรถกถาสังวรรณนาวา “อตฺถิ โคจโร อตฺถิ อโคจโร” โคจรก็ มี อโคจรก็มี “ตตฺถ กตโม อโคจโร” อโคจรนั้นเปนดังฤๅ “อิเธกจฺโจ ภิกขุ” ภิกษุจําพวกหนึ่งในพระพุทธศาสนานี้ สกุลหญิงแพศยาเปนที่ไปสูมา หา ดวยสามารถมิตรสันถวะ และมีหญิงหมาย หญิงสาวใหญ ละบัณฑกะ และภิกษุณี และโรงสุราเปน ที่โคจรเปนภิกษุอันระคนกับดวยพระยาและมหาอํามาตยแหงพระยาและติตถีย และสาวกแหงติตถีย ดวยสังสัคคะระคนดวยกายและวาจา อันมิไดประพฤติเปนไปตาสิกขาบททั้ง ๓ มีอธิศีลสิกขาเปนอาทิ อนึ่ง สกุลอันใดมิไดศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนา ดาและบริภาษพระภิกษุสงฆ ไม ปรารถนาจะใหเปนประโยชน เปนคุณปรารถนาแตจะใหมีความสบายแกพระภิกษุสงฆ ปรารถนาจะ ไมใหเกษมจากโยคะแกพระภิกษุ พระภิกษุณีอุบาสกอุบาสิกา พระภิกษุนั้นก็เขาไปสูมาหาสองเสพ สกุลทั้งหลายนั้น พระภิกษุโคจรเที่ยวไปดังนี้ ชื่อวาอโคจร เอวํ ก็มีดวยประการดังนี้ “ตตฺถ กตโม โคจโร อิเธกจฺโจ น เสวิยโคจโร โหติ ฯลฯ น ปานาคารโคจโร โหติ อสํสฏโ วิหรติ ราชูหิ ฯลฯ ติตฺถิยสาวเกหิ อนนุโลมิเกน สํสคฺเคน ยานิ วาปน ตานิ กุลานิ สทฺธาปสนฺนานิ โอปานภูตานิ กาสาปปโชตานิ อวาตปฏิวาตานิ อตฺถกามานิ ฯลฯ โยคกฺเขม กามานิ ภิกฺขูนํ ภิกขูนีนํ อุปาสกานํ อุปาสิกานํ ตถารูปานิ กุลานิ เสวติ ภชติ ปยิรุปาสติ อยํ วุจฺจติโคจโรติ” วาระนี้ จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนาในโคจร สืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลี มี เนื้อความในโคจรนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจากลาวคําปุจฉาวา “ตตฺถ กตโม โคจโร” ถาธรรมทั้ง ๒ ประการคือ โคจร และอโคจรนั้น โคจรนั้นเปนดังฤๅ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 28 “อิเธกจฺโจ น เสวิยโคจโร” พระภิกษุบางจําพวกในพระพุทธศาสนานี้ มิไดมีสุกลหญิง แพศยาเปนที่โคจร มิไดมีหญิงหมายเปนที่โคจร มิไดมีสกุลหญิงสาวใหญและสกุลหญิงกุมารี และบัณฑกะและพระภิกษุณี และโรงเปนที่ดื่มกินสุราเปนที่โคจร “อสํสฏโฐ วิหรติ ราชูห”ิ ไมระคนกับ พระยามหาอํามาตยของพระยา ไมระคนกับดวยติตถีย และสาวกของติตถีย ไมระคนดวยกายและวาจา อันเปนขาศึกแกสิกขาทั้ง ๓ มีอธิศีลสิกขาเปนอาทิ “ยานิ วาปน กุลานิ” อนึ่ง สกุลทั้งหลายใด ไมศรัทธา ไมเลื่อมใส ยอมดาปริภาสนาการ พระภิกษุและพระภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และปรารถนาจะไมใหประโยชน จะไมใหเปนคุณ จะไมให สบายจะไมใหเกษมจากกามาทิโยคแกพระภิกษุ และพระภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระภิกษุก็บมิได เสพ มิไดเขาไปสูมหาสกุลทั้งหลายนั้น “ยานิ วาปน ตานิ กุลานิ” อนึ่ง สกุลทั้งหลายนั้นมิไดมี ศรัทธาเลื่อมใส ปรากฏดุจดังวาสระโบกขรณีอันมีบัวที่บุคคลขุดไวในที่ประชุมใหญทั้งสี่ และสกุลนั้น รุงเรืองเปนอันหนึ่งอันเดียว ดวยรัศมีกาสาวพัตรผานุงผาหมแหงพระภิกษุและพระภิกษุณี และฟุงตลบ ไปดวยลมสรีระ พระภิกษุและพระภิกษุณี อันเปนอิสีแสวงหาสีลักขันธาทิคุณและกุศลทั้งหลาย ปรารถนาจะใหเปนประโยชน ปรารถนาจะใหอยูเปนผาสุก จะใหเกษมจากโยคะแกภิกษุและพระ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระภิกษุก็เสวนะคบคาเขาไปสูหาสกุลทังหลายนั้น พระภิกษุประพฤติเปน ดังนี้ ชื่อวาโคจร พระภิกษุในพระศาสนานี้ ประกอบและประกอบดี ถึงพรอมมาพรอมดวยอาจารและโคจร ดังนี้ จึงไดชื่อวาอาจารโคจรสัมปนโน อนึ่ง อาจาระและโคจรในปาฏิโมกขสังวรศีลนี้ นักปราชญพึงรูโดยนัยอันเราจะแสดงดังนี้ “ทุวิโธ หิ อนาจาโร” แทจริงอนาจารมี ๒ ประเภท คืออนาจารประกอบในกาย ๑ คือ อนาจารประกอบในวาจา ๑ เปน ๒ ประการ ดังนี้ อนาจารอันยุติในกายนั้นเปนดังฤๅ “อิเธกจฺโจ สงฺฆคโตป”พระภิกษุจําพวกหนึ่ง ในพระพุทธศาสนานี้ อยูในที่ประชุมสงฆ ไมเคารพแกสงฆ ยืนเสียดสีพระภิกษุทั้งหลายที่เปนพระเถระดวยสรีระ และจีวร นั่งเสียดสีพระภิกษุที่ เปนพระเถระดวยสรีระและจีวร ยืนในเบืองหน ้ านั่งในเบื้องหนาพระภิกษุที่เปนพระเถระนั่งอยูในอาสนะ อันสูง คลุมศีรษะ ยืนเจรจา ไกวแขน เจรจา พระภิกษุทั้งหลายเปนพระเถระมิไดขึ้นสูรองเทา เดินเทา เปลาตนก็ขึ้นสูรองเทาเดิน พระภิกษุที่เปนเถระจงกรมในที่จงกรมต่ํา ตนก็จงกรมในที่จงกรมอันสูง พระภิกษุเถระจงกรมในแผนดิน ตนก็จงกรมในที่จงกรมยืนแทรกนั่งแทรกพระภิกษุทั้งหลายที่เปนเถระ ในที่คับแคบ หามพระภิกษุบวชใหมดวยที่นั่งมิไดบอกกลาวพระภิกษุเปนเถระเสียใหรูกอน ใสฟนเขา ในกองไฟในโรงไฟ มิไดบอกพระภิกษุเปนเถระกอน เปดประตูโรงไฟพระทบกระทั่งพระภิกษุเปนเถระ แลวลงสูทาน้ําลวงลงไปในเบื้องหนาพระเถระอาบน้ํา กระทบกระทั่งพระเถระ อาบน้ําในเบื้องหนา พระภิกษุอันเปนเถระ เมื่อขึ้นจากน้ํามีกระทบกระทั่งพระภิกษุเปนเถระขึ้นในเบื้องหนา “อนุตร”รํ ปวิสนฺโตป” เมื่อจะเขาไปสูโคจรคาม ก็ครึดครือเสียดสีพระภิกษุที่เปนเถระเดินไปในหนทาง แทรก ไปโดยตาง ๆ แลวก็เดินลวงขึ้นไปในเบื้องหนาพระภิกษุทั้งหลายอันเปนเถระ อนึ่ง หองทั้งหลายในเรือนสกุลเปนหองอันลับ เปนหองอันกําบัง หญิงสกุลกุมาริกาแหง สกุลนั่งอยูในหอง พระภิกษุที่ประพฤติอนาจารก็เขาในหองนั้นโดยเร็วโดยพลัน ปรามาสเขาไปลูบคลํา ศีรษะลูกเล็กเด็กทารก พระภิกษุประพฤติอนาจารดังนี้ชื่อวาประพฤติอนาจารดวยกาย “ตตฺถ กตโม วาจสิโก” พระภิกษุพระพฤติอนาจารดวยวาจานั้นเปนดังฤๅ พระภิกษุจําพวกหนึ่งในพระศาสนานี้ ตนตั้งอยูในที่ประชุมสงฆ ไมกระทําเคารพสงฆ มิได บอกกลาวพระภิกษุเปนเถระกอน ก็กลาวพระธรรมวิสัชนาอรรถปญหา แสดงพระปาฏิโมกข ยืนเจรจา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 29 ไกวแขนเจรจา อนึ่ง “อนุตรฆรํ ปวิฎโป” พระภิกษุนั้นเขาไปสูโคจรคาม แลวก็กลาววาจาแกหญิง และ หญิงกุมารีวา ดูกอนหญิงชื่อนี้ โคตรนี้ ขาวยาคูมีอยูหรือ ขาวสวย และขาทนียะ และโภชนียะ ของ เคี้ยว ของบริโภคมีอยูหรือ เราจักกินหรือจักกัดกินหรือจะบริโภค ทานจะใหแกเราหรือ “อยํ วุจฺจติ วาจสิโก อนาจาโร” พระภิกษุประพฤติดังนี้ ชื่อวาอนาจารอันประกอบในวาจา เปนอนาจาร ๒ ประการดังนี้ พระภิกษุประพฤติอนาจารนั้น บัณฑิตพึงรูดวยสามารถแหงพระบาลี อันเปนปฏิปกษแกคํา ที่กลาวมานี้ อนึ่ง พระภิกษุในพระศาสนานี้ ประกอบดวยยําเยงมาพรอม ถึงพรอมดวยหิริและโอตตัปปะ “สุนิวตฺโถ สุปาริโต” นุงผาเปนปริมณฑลงาม หมผาเปนปริมณฑลงาม จะยางกาวเขาไปและกาว ถอยออกไป และจะเดินไปเบื้องหนา และจะแลไปขางโนนขางนี้ และจะคูแขนเขาและจะเหยียดแขน ออก ก็ยอมจะนํามาซึ่งความเลื่อมใส มีจักษุทอดลงไปในเบื้องต่ํา ถึงพรอมดวยอริยาบถ รักษาอินทรีย สํารวมทวาร รูประมาณในโภชนะประกอบเนือง ๆ ในชาคริยธรรม ตื่นอยูในกุศลสิ้นกาลเปนนิจพรอม ดวยสติสัมปชัญญะ มีความปรารถนานอย ยินดีดวยปจจัยแหงตน ไมระคนดวยคฤหัสถและบรรพชิต กระทําเคารพในอภิสมาจาริกวัตร มากไปดวยเคารพคารวะในบุคคลจะเคารรพพระภิกษุประพฤติดังนี้ ชื่อวาประพฤติอาจาระ วาดวยอนาจาร บัณฑิตพึงรูดังนี้กอน แตนี้จะวาดวยโคจรตอไป โคจรนั้นมี ๓ ประการ คืออุปนิสยโคจร ๑ อารักขโคจร ๑ อุปนิพันธโคจร ๑ เปน ๓ ประการ ดังนี้ “ตตฺถ กตโม อุปนิสสยโคจโร” ล้ําโคจรทั้ง ๓ นั้น อุปนิสยโคจรนั้นเปนดังฤๅ วิสัชนาวา พระภิกษุอาศัยกัลยาณมิตร ซึ่งประกอบดวยคุณ คือ ไดเลาเรียนและทรงไวซึ่ง กถาวัตถุ ๑๐ ประการ ก็ยอมจะไดฟงนวังคสัตถุศาสนา อันประกอบดวยองค ๙ มีสุตตะและเคยยะเปน อาทิ จะไดสั่งสมไวซึ่งสูตร ลวงขามซึ่งความสงสัย กระทําปญญาใหเห็นตรงยังจิตใหเลื่อมใสในพระ รัตนตรัย ศึกษาตามภิกษุที่เปนกัลยาณมิตรตน ก็เจริญดวยศรัทธาและศีลและสดับและบริจาคและ ปญญา พระภิกษุประพฤติโคจรดังนี้ ชื่อวา อุปนิสยโคจรที่ ๑ “กตโม อคคกฺขโคจโร” อารักขโจรที่ ๒ นั้นเปนดังฤๅ อารักขโคจรนั้นวา พระภิกษุในพระศาสนานี้เขาไปในโคจรคามเดินไปตาสกุลก็มีจักษุทอด ลงในเบื้องต่ํา เล็งแลดูไปชั่วแอกหนึ่งเปนประมาณ สํารวมเปนอันดี “น หตฺถึ โอโลเกนโต” ไมแลดู ชาง ไมแลดูมา ไมแลดูรถ ไมแลดูพลเดินเทา ไมแลดูสตรี ไมแลดูบุรุษ ไมแลดูในเบื้องบน ไมแลดูใน เบื้องต่ํา ไมแลดูสระใหญ และที่สระนอย พระภิกษุประพฤติดังนี้ชื่อวาอารักขโคจรที่ ๒ อุปนิพันธโคจรนั้น เปนดังฤๅ อุปนิพันธโคจรนั้นวา พระภิกษุในพระศาสนานี้ ผูกจิตไวในพระสติปฏฐานทั้ง ๔ ใหสมดวย วาระพระบาลีที่องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาวา “โก จ ภิกฺขเว ภิกฺขุโน โคจโร” ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดังฤๅ ในสติปฏฐานทั้ง ๔ ชื่อวาโคจร คือเปนอารมณแหงพระภิกษุเปนอารมณ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 30 ของพระสัมมาสัมพุทธเจาผูเปนพระบิดา พระสติปฏฐานทั้ง ๔ มีกายานุปสสนาสติปฏฐานเปนอาทินี้ ชื่อวาเปนโคจรแหงพระภิกษุ พระภิกษุประพฤติดังนี้ชื่อวาอุปนิพันธโคจรที่ ๒ พระภิกษุประกอบแลว และประกอบดวยดี ดวยอาจาระนี้ก็ดีดวยโคจรนี้ก็ดี ชื่อวาอาจาร โคจรสัมปนโน ในบทคือ “อนุมตฺเตสุ วชฺเชสฺ ภยทสฺเสวี” นั้นวา พระภิกษุถึงพรอมดวยโคจรและอาจาระ แลว ก็เห็นภัยในโทษมีประประมาณนอย คือตนไมแกลงแลวและตองอาบัติ และบังเกิดแหงอกุสศล จิต ในธรรมอันชื่อเสขิยะ เปนอาทิ สิกขาบทอันใดที่ตนจะพึงศึกษา ก็สมาทานสิกขาบทนั้น ศึกษา สําเหนียกในสิกขาบทที่ตนสมาทาน องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาพระปาฏิโมกขสังวรศีล ดวยปุคลาธิษฐาน มีบุคคลคือพระภิกษุเปนที่ตั้ง ในบทคือปาฏิโมกขสังวรสังวุโต มีประมาณเทานี้ อนึ่ง บทพระบาลีวา “อาจารโคจรสมฺปนโน” แปลวาภิกษุถึงพรอมดวยวาจาและโคจร เปนตนนั้น องคพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาปฏิบัติทั้งปวงที่พระภิกษุยังศีลใหสมบูรณ บัณฑิตพึงรู ดังนี้ “ยมฺปเนตํ ตทนนฺตรํ” ในลําดับพระปาฏิโมกขสังวรศีลนี้องคพระผูทรงพระภาคตรัส เทศนาอินทรียสังวรศีล โดยพระบาลีคํากลาววา “โส จกขุนา รูปทิสวา” เปนอาทิ ดังนี้ วินิจฉัยในอินทรียสังวรนั้นวา พระภิกษุที่ตั้งอยูแลวในพระปาฏิโมกขสังวรศีลนั้น เห็นซึ่งรูป ดวยจักษุวิญญาณ อันสามารถจะเห็นรูปเรียกชื่อวา จักขุ ดวยเหตุกลาวคือจักขุประสาท อนึ่ง โบราณจารยทั้งหลายกลาววา “จกฺขุ รูป น ปสฺสติ” จักษุไมเห็นรูป เพราะเหตุจักษุ นั้นใชจิต “จิตฺตํป ปูป น ปสฺสติ” อนึ่ง จิตก็มิไดเห็นรูป เพราะเหตุวาใชจักษุ เมื่ออารมณกระทบจักษุ ทวารแลว บุคคลก็เห็นรูปดวยรูปดวยจิตตวิญญาณอาศัยจักขุประสาท การที่จะกลาวซึ่งสัมภารเหตุ คือจะเห็นรูปจักขุวิญญาณนั้นมีอุปมาเหมือนนายพรานยิงเนื้อ ดวยธนู ตองประกอบกันทั้ง ๓ อยางเหตุการณนั้นนั้น พระอาจารยเจาจึงสัวรรณนาอรรถวา พระภิกษุ เห็นรูปดวยจักษุวิญญาณแนแลว ก็มิไดถือเอาซึ่งนิมิต วาเปนสตรีบุรุษ และมิไดถือเอาซึ่งนิมิตบังเกิด เปนเหตุแกกิเลสวาเกศางามโลมางามเปนอาทิ เพราะภิกษุนั้นก็กําหนดไววาเห็นเปนประมาณ แลมิได ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ คือกระทําใหปรากฏแกกิเลสทั้งหลายไมถือเอาซึ่งอาการ มีมือแลเทาแลยิ้ม แยมแลกลาวเล็งแลไปแตขาง ๆ นี้ เปนอาทิ สวนอันใดมีเกศาแลโลมาเปนอาทิมีในสรีระ ก็ถือเอา โกฏฐาสนั้นวาเปนปฏิกูลเหมือนพระมหาติสสเถระเจาอันอยูในเจติยบรรพตวิหาร ดังไดสดับมา หญิงสะใภแหงสกุลอันหนึ่ง ทะเลาะกันกับสามี แลวตกแตงสรีรกาย งามดุจ ดังเทวกัญญา ออกจากเมืองอนุราธแตเพลาเชาจะไปเรือนญาตคิ ไดเห็นมหาติสสเถรเจา อันออกเจ ติยบรรพตวิหารจะเขาไปบิณฑบาตในอนุราธนคร ณ ทามกลางมรรค มีจิตอันวิปลาสหัวเราะดัง พระ มหาติสสเถรเจาจึงแลดวยนสิการกระทําไวในใจวา เสียงนี้เปนเสียงดังฤๅ จึงแลเห็นกระดูกคือฟนของ หญิงนั้น พระผูเปนเจาก็ไดอสุภสัญญาในอัฏฐิคือฟนของหญิงนั้นบรรลุถึงพระอรหัตต เพราะเหตุการณ นั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย จึงนิพนธพระคาถาวา “ตสฺสา ทนตฏิกํ ทิสวา ปพฺพสฺญํ อนุสฺสริ” แปลเนื้อความวา พระมหาเถรเจาเห็นอัฏฐิ คือฟนของหญิงนั้น ก็ระลึกถึงบุพพสัญญายืนอยู ในประเทศที่นั้นบรรลุถึงพระอรหันต “สามิโกป โข มนุสฺโส” ฝายบุรุษสามีของหญิงติดตาภรรยาไปพบพระมหาเถรเจา ถามวา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 31 พระผูเปนเจาเดินมา ไดเห็นหญิงคนหนึ่งเดินไปทางนี้บางหรือวาหามิได พระมหาเถรเจาจึงบอกวา รูปไมรูวาหญิงวาชายเดินไปทางนี้เห็นแตรางกระดูกเดินไปใน หนทางอันใหญ ในบทคือ “ญตฺวาธิกรณเมนํ” นั้นมีอรรถวา พระภิกษุไมสํารวมจักษุอินทรีย ไมปด จักษุทวยารดวยใบบานคือสติแลวแลดูอยูบาปธรรมทั้งหลาย มีอภิชฌาเปนอาทิ ก็ติดตามพระภิกษุนั้น เพราะเหตุไมสํารวมอินทรีย พระภิกษุรูดังนี้แลวเรงปฏิบัติปดจักษุอินทรียไวดวยใบบานคือสติ “เอวํ ปฏิปชฺชนฺโต” เมื่อพระภิกษุปฏิบัติดังนี้องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคก็ตรัสวา พระภิกษุนั้นรักษาจักขุ นทรียถึงซึ่งสังวรในจักขุนทรียไว การที่ไดสังวรแลมิไดสังวร มิไดมีในจักขุนทรียโดยแท สติตั้งมั่นแล หลงลืมสติจะอาศัยจักขุประสาทแลวแลบังเกิดขึ้นนั้นก็หามิได นัยหนึ่ง อารมณคือรูปมาสูโยคประเทศคลองจักขุในกาลใด กาลนั้นภวังจิตก็บังเกิดขึ้นสอง ขณะแลวก็ดับไป กิริยามโนธาตุก็ยังอาวัชชนะกิจคืพิจารณาใหสําเร็จ บังเกิดขึ้นแลวก็ดับไปในลําดับ นั้นจักขุวิญญาณก็ยังทัสสนกิจ คือกระทําใหเห็นใหสําเร็จบังเกิดขึ้นแลวก็ดับไป ในลําดับนั้น วิปากมโนธาตุก็ยังสัมปฏิจฉันนกิจ คือการทํารับรองไวใหสําเร็จบังเกิดขึ้นแลว ก็ดับไป ในลําดับนั้น วิปากเหตุกมโนวิญญาณธาตุ ยังสันติรณกิจคือกระทําใหลวงเสียซึ่งความ สงสัย ใหสําเร็จบังเกิดขึ้นแลวก็ดับไป ในลําดับนั้น กิริยาเหตุมโนวิญญาณธาตุ ก็ยังโผฏฐัพพนกิจคือ กระทําใหกําหนดไวได ให สําเร็จบังเกิดขึ้นแลวก็ดับไป ในลําดับนั้น ชวนจิตก็เสวยอารมณ สํารวมแลไมไดสํารวมก็มิไดมีในภวังคทั้งปวง และมิได มีในสมัยแหงวิถีจิต อาวัชชนจิตเปนอาทิต เมื่อขณะชวนจิตเสวยอารมณนั้น ถาวาทุศีลคือหาศีลมิไดแลมีสติอันหลง แลอญาณคือ อวิชชาและขันติคือไมอดใจ แลสภาวะเกียจครานบังเกิดมีในจิตสันดานแลว องคสมเด็จพระผูทรงพระ ภาคก็ตรัสพระสัทธรรมเทศนาวา พระภิกษุนั้นไมสํารวมในจักขุนทรีย มีคําปุจฉาถามวา “กสฺมา การณา” เหตุดังฤๅ องคสมเด็จพระผูทรงพระภาค จึงตรัสเรียก พระภิกษุนั้นวา ไมสังวรในจักขุนทรีย มีคําอาจารยวิสัชนาวา “ตสฺมึ สติ ทฺวารมฺป อคุตฺตํ” ในเมื่อเหตุทั้งปวง มีสภาวทุศีลเปน อาทิ บังเกิดแกพระภิกษุนั้นแลวภิกษุนั้นก็มิไดรักษาทวาร มิไดรักษาภวังค มิไดรักษาวิถีจิตทั้งหลายมี อาวัชชนวิถีจิตเปนอาทิ เหตุใดเหตุดังนั้น องคพระผูทรงพระภาคจึงตรัสเรียกพระภิกษุนั้นชื่อวา ไม สังวรในจักขุนทรีย มีอุปมาเปรียบเทียบในอธิการนี้วา “นคเร จตูสุ อสํวฺเตสุ” ประตูเมืองทั้ง ๔ ประตู ผูรักษา ทวารหาไดปดไม มนุษยทั้งหลายที่อยูในพระนครตางคนตางรักษาแตบานเรือนของตน ปดประตูเรือน ปดประตูซุมปดประตูหองไวใหดีโดยแท ในเมื่อประการฉะนั้นแลมีหองเรือนอันเปนที่อยูของมนุษยทั้ง ปวงที่ปดนั้น ก็เหมือนมิไดปดมิไดรักษา แทจริงโจรทั้งหลายเขาไปโดยประตูเมืองทั้ง ๔ ที่มิไดปด ปรารถนาจะกระทํากิจอันใด ก็กระทํากิจอันนั้นไดดังความปรารถนา “เสยฺยถา” อันนี้แลมีอุปมาฉันใด ก็มีอุปไมยเหมือนทุศีลกรรมเปนอาทิบังเกิดขึ้นแลวภิกษุนั้นก็ตั้งอยูในอสังวร เมื่ออสังวรมีแลวก็ไดชื่อ วา ไมรักษาทวาร ไมรักษาภวังค ไมรักษาวิถีจิตทั้งปวงมีอาวชชวิถีจิตเปนประธาน ก็มีอุปไมยเหมือน ดังนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 32 อนึ่งในเมื่อธรรมทั้งหลายมีศีลเปนตน มีบริบูรณบังเกิดพรอมอยูแลว พระภิกษุนั้นก็ไดชื่อวา รักษาทวารรักษาภวังค รักษาวิถีจิตทั้งปวง มีอาชชนวิถีเปนอาทิ มีคําอุปมาวา ประตูนครทั้ง ๔ ประตู ปดไวดีแลว แทจริงเมื่อประตูเมืองปดแลว โจรทั้งหลายก็ไมมีอโกาสที่จะเขาไปประทุษรายได “ยถา” อันนี้แลมีอุปมาฉันใดก็มีอุปไมยเหมือนธรรมทั้งหลาย คือศีล แลสติ แลปญญา แลขันติแลความเพียร บังเกิดในชวนวิถีจิตแลวทวารแลภวังคแลวิถีจิตทั้งหลาย มีอาวัชชวิถีจิตเปนอาทิก็ไดชื่อวารักษาไว แลว เหตุใดเหตุดังนั้น ครั้นธรรมทั้งปวงมีทุศีลธรรมเปนอาทิบังเกิดในขณะชวนะแลว องคสมเด็จพระ ผูทรงพระภาคก็ตรัสเรียกชื่อวาสังวรในจักขุนทรีย สังวรในโสตินทรีย แลฆานินทรียเปนอาทินั้น อันมี ในบทบาลีมึคํากลาววา “โสเตน สทฺทํ สุตฺวา” เปนประธาน ก็มีนัยดุจเดียวกัน ดังวิสัชนาในจักขุนทรีย สังวรนี้ บัณฑิตพึงรูวา อินทรียสังวรศีล มีเวนจากอันถือเอาซึ่งนิมิตอันเปนที่ติดตามซึ่งกิเลสเปนอาทิ เปนลักษณะที่กําหนดของอินทรียสังวรศีล ดังรับพระราชทานถวายวิสัชนามาดังนี้ เอวํก็มีดวยประการ ดังนี้ อิทานิ อินฺทริยํวรสีลานนฺตรํ วุตเต อาชีวปาริสุทฺธสิเล อาชีวเหตุ ปฺญตตานิ ฉนฺนํ สิกฺขาปทานนฺติ ยาติ ตานิ อาชีวเหตุ อาชิวการณา ปาปจโฉ อิจฺฉาปกโต อสนฺตํ อนฺภูตํ อุตฺต ริมนุสสมฺมํ อุลลปติ อาปตติ ปาราชิกสฺส อาชีวเหตุ อาชีวการณา สฺจริตตฺ สมาปชฺชติ อา ปาตตฺ สงฺฆาทิเสสสฺส อาชีวเหตุ อาชีวการณา โย เต วิหาเร โส ภิกฺขุ อรหาติ ภณติ ปฏิวิชา นนฺตสส อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺส” ในการนี้ จะวินิจฉัยตัดสินในอาชีวปาริสุทธิศีล ที่องคสมเด็จพระผูทรงพระภาค ทรงแสดง ในลําดับอินทรียสังวรศีล มีกระแสเนื้อความวาสิกขาบททั้ง ๖ ประการ ที่องคพระผูทรงพระภาค บัญญัติไมเปนปฐมนั้นวา พระภิกษุองคใดในพระศาสนานี้มีความปรารถนาลามก อันอิจฉาครอบงํา กลาวอวดอุตตริมนุสสธรรม คือธรรมอันเปนของแหงพระอริยเจามิไดมีในตนวามีในตน มิไดมีบังเกิดใน ตนวาบังเกิดมีในตน เพราะเหตุที่จะเลี้ยงชีวิต เพราะการณคือจะเลี้ยงชีวิตกองอาบัติชื่อปาราชิก ก็มีแก พระภิกษุนั้น อนึ่งพระภิกษุใด ถึงซึ่งภาวะสัญจรเที่ยวไป ชักหญิงใหแกบุรุษชักบุรุษใหแกหญิงจะเปน สามีภรรยากัน เพราะเหตุจะเลี้ยงชีวิตแหงตนกองอาบัติชื่อวาสังฆาทิเสส ก็มีแกภิกษุนั้น “โย เต วิหาเร วสติ” อนึ่งพระภิกษุใดกลาวถอยคําแกอุบาสกเจาอาวาสวา พระภิกษุองค ใดอยูในวิหารของทาน พระภิกษุองคนันเปนพระอรหันต กลาวคําดังนี้ เปนเหตุจะเลี้ยงชีวิต เมื่อ อุบาสกรูวาพระภิกษุลวงดังนั้นแนแลว กองอาบัติชื่อวาถุลลัจจัย ก็มีแกพระภิกษุนั้น อนึ่งพระภิกษุรูปใด ตนมิไดเปนไข ขอโภชนะอันประณีตแตสกุล เพื่อประโยชนแกตนจะ บริโภค เพราะเหตุแกอาชีวะเลี้ยงชีวิตกองอาบัติชื่อวาปาจิตติยะ ก็มีแกพระภิกษุนั้น อนึ่งพระภิกษุองคใด ตนมิไดเปนไข ขอโภชนาะอันประณีต เพื่อประโยชนแกตนแลว บริโภค เพราะเหตุแกอาชีวะเลี้ยงชีวิตกองอาบัติชื่อวาปาฏิเทสนียะ ก็มีแกพระภิกษุนั้น อนึ่งพระภิกษุใดมิไดเปนไขขอดวยตน และยังบุคคลใหขอสูปะโอนทะ เพื่อประโยชนแก ตนบริโภคเพราะเหตุอาชีวะเลี้ยงชีวิต กองอาบัติชื่อวาทุกกฏ ก็มีแกพระภิกษุนั้น สิกขาบทที่ ๖ องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคบัญญัติอยางนี้ บัณฑิตพึงรูวา วาระพระบาลีที่เรากลาวตอไป ในบทคือกุหนะ เปนอาทิ ของพระภิกษุที่ ประพฤติลวงสิกขาบททั้ง ๖ นั้นวา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 33 “ตตฺถ กตมา กุหนา” ล้ําบททั้งหลายมีกุหนะเปนตนนั้น บทคือกุหนะเปนดังฤๅ “ลาภสกฺการสิโลกสนฺตินิสฺสิตสฺส” พระภิกษุในพระศาสนานี้มีความปรารถนาลามก อัน อิจฉาครอบงํา อาศัยแกลาภสักการะ แลกิตติศัพทตั้งไวแลตั้งไวดวยดี และกระทําหนาสยิ้ววาตน กระทําเพียรอันยิ่ง และกระทําใหทายกพิศวงดวยอาการดังกลาว “ตตฺถ กตมา ลปนา” บทคือลปนาเปนดังฤๅ มีคําบริหารวา พระภิกษุในพระศาสนานี้ ปรารถนาลามก มีจิตสันดานอันอิจฉาครอบงํา อาศัยแกลาภสักการ แลกิตติศัพท กลาวคําของตนขึ้นกอน แลยังทายกใหกลาวถนอมกลาวคํากระทํา ในเบื้องบน กลาวคําโอบออม กลาวเกี่ยวพันในเบื้องบน กลาวเกี่ยวพันโดยภาคทังปวง ยกยอเสียกอน แลวจึงกลาวโดยภาคทั้งปวง กลาวใหรักเนือง ๆ ทําอาการประพฤติตัวต่ํากลาวถอยคําเหมือนแกงถั่ว แลภักดี แลอารีอารอบดังนี้ ชื่อวาลปนา “กตมา เนมิตฺตกตา” สภาวะที่ภิกษุกระทําซึ่งนิมิตนั้นเปนดังฤๅ พระภิกษุในพระศาสนานี้ ปรารถนาลามก อันอิจฉาครอบงํา อาศัยแกลาภสักการ แล กิตติศัพทกระทําซึ่งนิมิตที่จะยังทายกใหถวายจตุปจจัยและกระทําโอกาสกลาวถวอยคําดวยจตุปจจัย แลกลาวคํากระซิบ แลกลาวคําเปรียบปรายดังนี้ ชื่อวา เนมิตตกตา “กตมา วิปฺเปสิกตา” สภาวะที่พระภิกษุกลาวถอยคํา ชื่อวานิปเปสิกตานั้นเปนดังฤๅ พระภิกษุในพระศานนานี้ มีความปรารถนาลามก อันอิจฉาครอบงํา อาศัยแกลาภแลสักการ แลกิตติศัพท กลาวคําดา กลาวคําครอบงํา กลาวคําติเตียนบุคคลผูอื่น เพื่อใหทายากถวายจตุปจจัย แลกลาวคํายกยอแลยอโดยรอบคอบ แลกลาวคําเยยแลเยยโดยรอบคอบ แลกลาวถอยคํานําเสียซึ่ง คุณ แลกลาวถอยคําเหมือนไดกินเนื้อกินหนังทายกดังนี้ ชื่อวานิปเปสิกตา “กตมา ลาเภน ลาภํ นิชิคึสนฺตา” พระภิกษุปรารถนาลามกดวยลาภนั้นเปนดังฤๅ พระภิกษุในพระศาสนานี้ มีความปรารถนาลามก อันอิจฉาครอบงํา อาศัยแกลาภแลสักการ แลกิตติศัพท ไดอามิสแตเรือนนี้นําไปใหในเรือนโนนนําไปใหในเรือนนี้ เที่ยวแลกเปลี่ยนอามิสดวย อามิส แสวงหาอามิสดวยอามิสดังนี้ ชื่อวา “ลาเภน ลาภํ นิชิคึสนฺตา” วาระพระบาลองคสมเด็จพระ บรมศาสนาตรัสเทศนาไวดังนี้ มีเนื้อความวินิจฉัยในกุหนนิเทศดังนี้กอน ในบทคือ “ลาภสฺการสี โลกสนฺนิสฺสิตสฺสํ” นั้นวา พระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ ปรารถนาลาภ ๑ ปรารถนาสักการ ๑ ปรารถนากิตติศัพท ๑ แลมีปรารถนาลามก คือแสดงซึ่งคุณมิไดมี ในวามีคุณในตน ความปรารถนาจะใครไดจตุปจจัยมาครอบงําจิตสันดานแหงตน จึงไดทํากลอุบาย โกหกดังนี้ ในคัมภีรมหานิเทศนันวา “ติวิธํ กุหนวตฺถุ” เหตุจะใหไดโกหกนั้นมี ๓ ประการ คือ พระภิกษุจะเสพปจจัย ๑ คือพระภิกษุกลาวคําในที่ใกล ๑ คือปรารถนาจะตั้งไวซึ่งอริยาบถ ๑ เพราะ เหตุการณดังนั้น พระอาจารยเจาจึงปรารภวาระพระบาลีมีคํากลาววา “ปจฺจยํ ปฏิเสธนสงฺขาเตน” เปน อาทิฉะนี้ เพื่อจะแสดงซึ่งกุหนวัตถุทั้ง ๓ ประการนั้น มีความวินิจฉัยวา พระภิกษุโกหกนั้น คฤหบดี นิมนตใหรับจตุปจจัยทั้ง ๔ มีจีวรปจจัยเปนอาทิ ตนก็ปรารถนาจะใครไดจตุปจจัยทั้ง ๔ นั้นก็หามเสีย ไมรับ เพราะปรารถนาอันลามก ครั้นรูวาคฤหบดีศรัทธาตั้งอยูในตนแลว เมื่อภายหลังคฤหบดีมีความ ปริวิตกวา “อโห อยฺโย อปปจฺโฉ” ดังเราสรรเสริญพระผูเปนเจามีความปรารถนานอย ไมปรารถนา เพื่อจะรับจตุปจจัยอันใดอันหนึ่ง พระผูเปนเจาปฏิบัติมักนอยดังนี้เราทั้งหลายไดปฏิบัติทาน เราเกิดมา เปนมนุษยชาตินี้ ชื่อวาไดชาติมนุษยก็ดี ถาแลวาพระผูเปนเจาจะพึงรับจตุปจจัยอันใดอันหนึ่ง บุญ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 34 ลาภก็จะพึงมีแกเราคฤหบดีปริวิตกดังนี้แลว ก็นําปจจัยทั้งหลาย มีจีวรปจจัยเปนตนภิกษุนั้นก็กระทํา ใหแจงวาตนปรารถนาจะอนุเคราะหคฤหบดี จึงรับจตุปจจัยของคฤหบดี จําเดิมแตนั้นมา พระภิกษุก็ กลาววาจาใหคฤหบดีพิศวงเปนเหตุที่จะใหคฤหบดีนอมนําจตุปจจัยใสใหเต็มเลมเกวียนเขาไปใหแก ตน พระภิกษุปรารถนาลามกปฏิบัติดังนี้ บัณฑิตพึงรูวากุหนวัตถุแปลวาเหตุที่จะโกหก กลาวคือจะเสพ ซึ่งจตุปจจัย อนึ่ง พระธรรมเสนาบดี กลาวไวในคัมภีรมหานิเทศนั้นวา “กตมํ ปจฺจยปฏิเสวนสงฺขาตํ กุ หนวตฺถุ” ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เหตุที่พระภิกษุโกหกกลาวคือปรารถนาจะเสพซึ่งปจจัยเปนดังฤๅ พระผูเปนเจากลาวคําปุจฉาแลว จึงกลาวคําวิสัชนาวา “อิธคหปติกา ภิกฺขุ นิมนฺเตนฺติ” คฤหบดีทั้งหลายในคําเปนเหตุสั่งสอนแหงพระบรมครูนี้ ยอมนิมนตพระภิกษุดวยจีวรปจจัย แล บิณฑบาตแลเสนาสนะแลคลานปจจัยบริขาร พระภิกษุที่ปรารถนาลามกอันความอิจฉาครอบงํา ตนก็มี ประโยชนดวยจีวรเปนปจจัยเปนอาทิ ก็หามเสียไมรับจีวรไมรับบิณฑบาตแลเสนาสนะแลคิลานปจจัย เภสัชบริขาร เพราะเหตุปรารถนาจะใครไดใหมาก พระภิกษุนั้นจึงกลาวคําตอบแกคฤหบดีวา “กึ สมณสฺส สหคฺเฆน จีวเรน” สมณะจะมีประโยชนดังฤๅดวยจีวรอันถึงซึ่งคาเปนอันมาก พระสมณะจะ บริโภคนุงหมจีวรอันใด คือผาที่ตนแสวงหาไดในสุสานะประเทศปาชา แลที่ตนแสวงไดที่กอง หยากเยื่อ แลผาอันตกอยูที่ตลาด เปนผาอันหาชายมิได มากระทําเปนผาสังฆาฏิบริโภคทรงไว ผานั้น สมควรแกสมณะจะนุงหมจะบริโภค “กึ สมณสฺส สหคฺเฆน ปณฺฑปาเตน” อันหนึ่งพระสมณะจะมีประโยชนสดังฤๅ ดวย บิณฑบาตอันถึงซึ่งคาเปนอันมาก พระสมณะจะสําเร็จเลี้ยงชีวิตดวยคาแหงโภชนะ ที่ตนแสวงหาดวย บิณฑบาตอันใดบิณฑบาตนันสมควรแกพระสมณะ กึ สมณสฺส สหคฺเฆน เสนาสเนน” พระสมณะจะมีประโยชนดังฤๅ ดวยเสนาสนะอันถึงซึ่ง คาเปนอันมาก พระสมณะอยูรุกขมูลเปนวัตร และอยูอัพโภกาสเปนวัตร ดวยปฏิบัติอันใด ปฏิบัติอันนั้น สมควรแกพระสมณะ อนึ่ง พระสมณะจะมีประโยชนดังฤๅ ดวยคิลานปจจัยเภสัชบริขารอันถึงซึ่งคาเปนอันมาก พระสมณะจะพึงกระทําโอสถดวยมูตรเลาแลชิ้นแหงผลเสมอ ดวยปฏิบัติอันใด ปฏิบัติดังนี้สมควรแก สมณะภิกษุกลาวแกคฤหบดี ดังนี้แลว ก็บริโภคนุงหมจีวรอันเศราหมอง บริโภคบิณฑบาตอันเศรา หมองอยูในเสนาสนะอันเศราหมอง เสพเภสัชอันเปนปจจัยแกความไขอันเปนบริขาร แหงชีวิตอันเศรา หมอง เพราะเหตุปรารถนาจะใหไดจีวรแลบิณฑบาต แลเสนาสนะ แลคิลานปจจัยเภสัชบริขารใหได มาก ๆ “ตเมนํ คหปติกา” คฤหบดีทั้งหลายรูวาพระภิกษุปฏิบัติดังนี้ก็ยินดีเลื่อมใสวา พระะสมณนี้มี ความปรารถนานอยถือสันโดษยินดีในสงัดมิไดสัคคะระคนดวยคฤหัสถแลบรรพชิต ปรารภความเพียร กลาวคําชําระกิเลสแกบุคคลทั้งหลายอื่น แลวก็นิมนตพระภิกษุนั้นดวยปจจัยทั้ง ๔ มีจีวรปจจัยเปน อาทิ พระภิกษุนั้นจึงกลาววา กุลบุตรมีศรัทธายอมจะไดเสวยซึ่งบุญมาก เพราะเหตุมีหนาเฉพาะตอ วัตถุทั้งสาม กุลบุตรมีศรัทธาจะไดเสวยบุญเปนอันมากก็เพราะเหตุมีหนาเฉพาะตอไทยธรรม กุลบุตรมี ศรัทธายอมจะไดเสวยซึ่งบุญเปนอันมากก็เพราะเหตุมีหนาเฉพาะตอไทยธรรม กุลบุตรมีศรัทธายอมจะ ไดเสวยซึ่งบุญเปนอันมากก็เพราะเหตุมีไทยธรรมตั้งอยูในที่เฉพาะหนาศรัทธาของทานก็มี แลวไทย ธรรมคือวัตถุที่ทานจะพึงใหมีอยูแลวตัวของรูปก็เปนปฏิคคาหก ผูจะถือเอาก็มีอยูแลว ถาแลวารูปจะ ไมรับ ทานก็จะไมไดสวนบุญ “น มยฺหํ อิมินา อตฺโถ” รูปจะมีประโยชนจะมีปจจัยนี้ก็หามิไดรูปรับครั้งนี้ก็อาศัยเพราะ อนุเคราะหแกทานผูมีศรัทธา พระภิกษุโกหกกลาวดังนี้แลวก็ถือเอาจีวรเปนอันมาก ถือเอาซึ่ง บิณฑบาตแลเสนาสนะและคิลาน ปจจัยเภสัชบริขารเปนอันมาก เพราะเหตุตนมีความปรารถนาอัน ลามกอยากจะใครไดมาก อนึ่ง อาการที่พระภิกษุกลาวสยิ้วหนา แลกลาวใหทายกพิศวงกลาวโกหกดังนี้ ชื่อวากุหน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 35 วัตถุ กลาวคือจะเสพซึ่งปจจัย อนึ่ง พระภิกษุปรารถนาลามก กลาวคําใหทายกพิศวงดวยประการนั้น ๆ ดวยวาจาแสดงวา ตนไดอุตตริมนุสสธรรม คือมรรคแลผลเปนของแหงพระอริยบุคคล ก็ไดชื่อวากุหนวัตถุ เหมือนวาระ พระบาลีวา “กตมํ สามนฺตชปฺปนสงฺขาตํ กุหนวตฺถํ” องคสมเด็จพระมหากรุณาตรัสเทศนาเปนกเถตุ กามยตาปุจฉาวากุหนวัตถุ กลาวคือพระภิกษุกระซิบเจรจาในที่ใกลนั้นเปนดังฤๅ จึงทรงวิสัชนาวา “อิเธกจฺโจ ปาปจฺฉาปกโต” พระภิกษุจําพวกหนึ่งในพระศาสนานี้ มี อิจฉาลามก อันอิจฉาครอบงําปรารถนาจะกลาวคําสรรเสริญตนใหชนทั้งปวงรูวาตนไดธรรมวิเศษ หรือ อุตริมนุสสธรรม ยอมกลาวถอยคําอันอาศัยธรรมเปนของพระอริยบุคคล “โย เอวรูป จีวรํ ธาเรติ” พระสมณะองคใดทรงจีวรอยางนี้พระสมณะองคนั้นมีศักดานุภาพมาก พระสมณะองคใดทรงบาตร อยางนี้ ทรงภาชนะอันบุคคลกระทําใหแลวโดยโลหะอยางนี้ ทรงธรรมกรกผากรองน้ํา ลูกกุญแจ ทรง กายพันธน ทรงรองเทาอยางนี้ ๆ พระสมณองคนั้นมีศักดานุภาพมาก อนึ่ง พระภิกษุนั้นกลาววา พระอุปชฌายของพระสมณะองคใดปฏิบัติอยางนี้ พระสมณะนี้มี ศักดามาก พระภิกษุมีพระอุปชฌายเสมอกันกับพระสมณะองคใด พระสมณะองคนั้นมีศักดามาก พระภิกษุเปนมิตรอันเปนทามกลาง และเปนมิตรอันเห็นกองของพระสมณะองคใด พระสมณะองคนั้นมี ศักดามาก “โย เอวรูเป วิหาเร วสติ” พระสมณะใดอยูในวิหารมีดังนี้เปนรูป คือปราสาทยาว และ ปราสาทสี่เหลี่ยม แลปราสาทมีสัณฐานอันกลม ดุจดวงพระจันทรในวันเพ็ญแลอยูในคูหา แลที่เรนแล กุฎีแลเรือนยอด แลหอรบ แลปอม แลศาลาอันยาวแลอุปฏฐานศาลาแลมณฑป แลรุกขมูล พระสมณะ นั้นมีศักดามาก นัยหนึ่ง พระภิกษุมีคารมดุจธุลีอันบุคคลพึงเกลียด มีหนาสยิ้วยิ่งนักทักทายยิ่งนัก คน ทั้งหลายอื่นกลาวคําสรรเสริญดวยปากแหงตนเปนประมาณ พระภิกษุนี้ยอมจะกลาวคําใหชนสําคัญตน วาไดโลกุตตรคุณ อันลึกอันกําลังอันไพบูลย ควรจะปกปดไววาพระสมณะนี้ไดผลสมาบัติอันละเอียด ดังนี้ ๆ อาการที่พระภิกษุสยิ้วหนากลาวคํากระซิบในที่ใกล เอวํก็มีดวยประการฉะนี้ “ปาปจฺฉสฺเสว ปน สดต สมฺภาวนาธิปฺปายา เตน อิริยาปเถน วิมฺหาปนํ อิรยาปถสงฺ ี ขาตํ กุหนวตฺถุ อิเธกจฺโจ ปาปจฺโฉ อิจฺฉาปกโต สมฺภาวนาธิปฺปาโย เอวํ มํ ชโน สมฺภาเวสฺสตีติ คมนํ สฌฺเปติ ปณิธาย คจฺฉติ ปณิธาย ติฏติ ปณิธาย นิสีทติ ปณิธาย เสยยํ กปฺเปติ สมาหิ โต วิย คจฺฉติ สมาหิโต วิย ติฏติ เสยฺยํ นิสีทติ เสยฺยํ กปฺเปติ อาปาถกฌายี จ โหติ” พระบาลีมีเนื้อความวา “ปปปจุฉสฺเสว ปน สโต” พระภิกษุมีความปรารถนาลามกอันอิจฉา ครอบงํา ยอมกระทําใหผูอื่นพิศวงดวยอิริยาบถที่ตนกระทําปรารถนาจะยังบุคคลผูอื่นใหสรรเสริญดังนี้ บัณฑิตพึงรูชื่อวา กุหนวัตถุ อาศัยซึ่งอิริยาบถเหมือนดวยวาระพระบาลีที่องคสมเด็จพระผูมีพระภาค ตรัสเทศนาเปนคําปุจฉาวา “กตมฺ อิริยาปถสงฺขาตํ กหนวตฺถุ” เหตุที่พระภิกษุโกหก กลาวคือตั้งไว ซึ่งอิริยาบถนั้นเปนดังฤๅ จึงทรงวิสัชนาวา พระภิกษุจําพวกหนึ่งในพระศาสนานี้ มีความปรารถนาลามกอันอิจฉา ครอบงํา ปรารถนาจะใหชนทั้งปวงสรรเสริญจึงวิตกวา มหาชนจักสรรเสริญเราก็เพราะเหตุอยางนี้ จึง ตั้งไวซึ่งอิริยาบถคือจะเดินไปนั้นก็เดินไปดุจดังวามีธรรมวิเศษตรัสรูแลว อนึ่งเมื่อเดินไปก็ตั้งจิตไววา ชนทั้งหลายจงรูวาเราเปนพระอรหันต เมื่อจะยืนก็ตั้งจิตไวเหมือนดังนี้ เมื่อจะนั่งจะนอนก็ตั้งจิตไว เหมือนดังนั้น อนึ่งเมื่อจะเดินจะยืนจะนั่งจะนอน กระทําอาการดุจดังวามีจิตอันตั้งมั่นไวในอิริยาบถดุจ เขาสูสมาธิในที่ปรากฏมหาชนทั้งปวงกิริยาที่จะตั้งไวซึ่งอิริยาบถทั้ง ๔ ดวยเอื้อเฟอ แลอาการที่ตั้งไว ซึ่งอิริยาบถทั้ง ๔ แลดัดแปลงอิริยาบถทั้ง ๔ ใหนํามาซึ่งความเลื่อมใส แลกระทําสยิ้วหนา ดวยจะ แสดงซึ่งสภาวะแหงตนตั้งไวยิ่งซึ่งความเพียร แลมีปกติสยิ้วหนา แลสภาวะสยิ้วหนา แลกระทําให
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 36 พิศวง แลยังโกหกใหประพฤติเปนไป แลสภาวะโหกดังนี้ ชื่อวากุหนวัตถุ กลาวคือ ตั้งไวซึ่งอิริยาบถ วินิจฉัยในลปานานิเทศ คือแสดงอาการที่พระภิกษุมีความปรารถนาลามก จะวากลาวแก คฤหบดี “อาลปนาติ วิหารํ อาคเต” จะสังวรรณนาอรรถในบทคืออาลปนานั้นกอน มีเนื้อความวา ภิกษุปรารถนาธรรมอันลามก เห็นมนุษยทั้งหลายออกมายังวิหารก็ทักทาย กอนวา “โภนฺโต” ดูกรอุบาสกผูเจริญทานทั้งปวงพากันออกมาสูอาราม เพื่อประโยชนสิ่งอันใด ทาน จะมานิมนตพระภิกษุทั้งหลายหรือ “ยทิ เอวํ คจฺฉถ” ถาทานจะนิมนตจะพระภิกษุแลวจงไปกอนเถิด เราจึงจะพาพระภิกษุทั้งหลายเขาไปในบานเมื่อภายหลัง พระภิกษุกลาวคําดังนี้ ชื่อวา อลปนา แปลวา ทักทายกอน นัยหนึ่งพระภิกษุนอมนําเขาไปถึงตนกลาววา “อหํ ติสฺส ราชา มยิ ปสนฺโน” มีนาม ปรากฏชื่อวา พระติสสเถร บรมกษัตริยเลื่อมใสในเรา มหาอํามาตยชื่อนั้นเลื่อมใสในเรา พระภิกษุ กลาวถอยคําดังนี้ ก็ไดชื่อวา อาลปนา ในบทคือ “ลปนา” ไมมีอาศัพทอยูในเบื้องตนนั้น มีเนื้อความนุษยทั้งหลายออกไปยัง อารามถามวา “ติสฺโส นามโก” พระภิกษุดังฤๅชื่อวาติสสะ พระภิกษุนั้นก็กลาวคําตอบวา อาตมานี้แล ชื่อติสสะบรมกษัตริยเจาพระนครนี้เลื่อมใสในเรา ใชแตเทานั้น มหาอํามาตยผูใหญมีนามชื่อนั้น ชื่อนี้ก็ เลื่อมใสในเรา ดังนี้ชื่อวาอาลปนา ในบทคือ “อุลฺลปนา” นั้น มีคําศัพทตั้งอยูในเบื้องตนนั้นมีอรรถสังวรรณนา แปลใน เนื้อความ “คหปติกานํ อุกฺกณฺเน” พระภิกษุกลัววาคฤหบดีทั้งหลายจะมีความกระสัน ใหโอกาส กลาวถอยคําเอาเนื้อเอาใจคฤหบดีดังนี้ ชื่อวา สลลปนา ในบทคือ “อุลฺลปนา” แปลวากลาวยกยอนั้น คือพระภิกษุกลาววา “มหากุฏมฺพิโก มหา นาวิโก” ทานผูนี้เปนกุฏพีผูใหญ ทานผูนี้เปนนายสําเภาผูใหญ ทานผูนี้เปนทานบดีผูใหญ พระภิกษุ กลาวคํายกยอดังนี้ ชื่อวา อุลฺลปนา ในบทคือ “สมุลฺลปนา” แปลวาภิกษุกระทํายกยอโดยสวนทั้งปวงชื่อวา สมุลฺลปนา ในบทคือ “อุนฺนหนา” นั้นวา พระภิกษุกลาวเกี่ยวพันดูกรอุบาสกทั้งหลาย แตปางกอนถึง เทศกาลนี้แลว อุบาสกเคยถวายทานใหญไทยธรรมตาง ๆ มาในกาลบัดนี้ เหตุไฉนจึงไมกระทําทาน เหมือนอยางนั้นเลา กลาวเกี่ยวพันไปกวาอุบาสกทั้งหลายจะกลาวตอบ วาขาแตพระผูเปนเจา ขาพเจาทั้งปวงจะใหอยู แตทวายังหาโอกาสมิได “อถวา อุจฺฉุหตฺถํ ทิสฺวา” นัยหนึ่งพระภิกษุเห็นอุบาสกถือออยเดินมาถามวา ดูกรอุบาสก ออยนี้ทานนํามาแตดังฤๅ อุบาสกก็กลาวคําตอบวา ออยนี้ขาพเจานํามาแตไรออย ดูกรอุบาสก ออยใน ไรออยนั้นหวานอยูหรือ ขาแตพระผูเปนเจา ออยนี้กินเขาไปดูจึงจะรูวาหวานหรือไมหวาน ดูกรอุบาสก พระภิกษุจะกลาววา ทานทั้งหลายจงใหแกภิกษุนั้นไมควร พระภิกษุกลาวเกี่ยวพันเบื้องตนดังนี้ ชื่อวา อุนฺนหนา พระภิกษุกลาวยกยอแลว ๆ เลา ๆ โดยภาคทั้งปวงชื่อวา สมุนฺนหาน ในบท “อุกฺกาปนา” นั้นวา พระภิกษุยกยอตนแลวแสดงวา “เอตํ กุลํ มํ เอว ชานาติ” ตระกูลนี้รูจักเราผูเดียว ถาแลวาไทยธรรมบังเกิดขึ้นในตระกูลนี้ก็จะถวายแกเรา มีอรรถรูปวา ภิกษุยก ยอตัว ชื่อวา อุกกาปนา บัณฑิตพึงกลาวนิทานอุบาสิกา ชื่อวา เตลกัณฑริกา สาธกเขาในบทคือ อุกกาปนา นี้ พระภิกษุกลาวยกยอตนแลว ยกยอตนเลา โดยสวนทั้งปวง ชื่อวา สมุกฺกาปนา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 37 ในบทคือ “อนุปฺปยภาณิตา” นั้นวา ภิกษุไมแลดูการที่จะประกอบดวยประโยชน มีรูปอัน เปนไปตามสัตยสมควรแกคําสัตยแลสมควรแกธรรมที่ตนประพฤติ กลาวถอยคําที่จะทายารักใครตน แลว ๆ เลา ๆ ชื่อวา อนุปฺปยภาณิตา พระภิกษุประพฤติตนตั้งตนไวในเบื้องต่ํา แลวแลประพฤติเปนไปชื่อวา ปาตุกามยตา พระภิกษุกลาววาจาเหมือนดวยแกงถั่ว ชื่อวา มุคฺคสุปปนา มีคําอุปมาวา เมื่อบุคคลแกง ถั่วนั้น ประเทศขางหนึ่งไมสุก ประเทศขางหนึ่งสุก ดิบบางสุกบาง อันนี้แลมีอุปมาฉันใด ก็มีอุปไมย เหมือนวาจาที่ภิกษุกลาวนั้นจริงบาง เท็จบาง เท็จระคนกับจริง จริงระคนกับเท็จ สภาวะที่ภิกษุกลาว ถอยคําเหมือนแกงถั่วนั้น ชื่อวา มุคฺคสุปฺปตา สภาวะที่ภิกษุบําเรอนั้น ชื่อวา ปาริภฏยตา ที่จริงพระภิกษุรูปหนึ่งอุมทารกตระกูลดวยสะเอว แลทรงทารกแหงตระกูลไวดวยบา การที่ ภิกษุอุมทารกแหงตระกูลนั้น ชื่อวา ปาริภฏยตา สภาวะที่พระภิกษุอุมทารกนั้น ชื่อวา ปาริภฏยตา วินิจฉัยในเนมิตติกตานิเทศนั้นวา “ยํกิฺจิ กายวจีกมฺม”ํ พระภิกษุกระทําดวยกายแล วาจา อันประกอบดวยประโยชน ที่จะยังชนทั้งหลายอื่น ๆ ใหปจจัยแกตน ชื่อวา นิมิต อนึ่ง พระภิกษุเห็นชนทั้งหลายถือเอาซึ่งขาทนียะทั้งหลายแลวแลเดินไป ตนก็กระทํานิมิต โดยนัยเปนอาทิวา ทานทั้งหลายไดขาทนียะของกันมาหรือดังนี้ ชื่อวา นิมิตกรรม พระภิกษุกลาวถอยคําอันประกอบดวยปจจัย ชื่อวา โอภาส อนึ่งพระภิกษุเห็นทารกเลี้ยงโค ถามทารกเลี้ยงโคนั้นวา “กึ อิเม วจฺฉา” ลูกโคทั้งปวงนี้ เปนลูกโคนมหรือ ๆ วาเปนลูกโคเปรียง ทารกเลี้ยงโคก็กลาวตอบวา “ภนเต” ขาแตพระผูเปนเจาผูเจริญ ลูกโคทั้งหลายนี้เปนลูก โคนม พระภิกษุจึงกลาววา “นขีรโควจฺฉา” ลูกโคทั้งปวงนี้มิใชลูกโคนม ถาแลวาลูกโคเหลานี้เปนลูก โคนมแลว พระภิกษุทั้งหลายก็จะไดนมโค พระภิกษุกลาวคําโดยนัยเปนอาทิดังนี้ แลวเด็กเลี้ยงโค ทั้งหลายนั้นก็ไปบอกบิดามารดา ยังมารดาแลบิดาให ๆ น้ํานมโคแกภิกษุกลาวถอยคําดังนี้ ชื่อวา โอภาสกรณกระทําโอภาส อนึ่ง พระภิกษุกลาวกระทําใหใกลกลาวกระซิบ ชื่อวา สามันตชัปปนา เรื่องราวพระภิกษุอันเขาไปสูตระกูล บัณฑิตพึงกลาวในบท คือ สามันตชัปปนา นี้ “กิร” ดังไดสดับมา พระภิกษุรูปหนึ่ง เขาไปสูตระกูลแลวปรารถนาจะบริโภค จึงเขาไปนั่ง อยูในเรือน อุบาสิกาเจาของเรือนเห็นภิกษุนั้นแลวปรารถนาจะไมใหไทยธรรม จึงกลาวถอยคําวา ขาวสารไมมีกระทําอาการ ดุจดังวาจะไปเที่ยวแสวงหาขาวสารแลวก็ไปสูเรือนที่คุนเคยพระภิกษุนั้นก็ เขาไปในหองเล็งแลดูที่ขางนั้นขางนี้ จึงเห็นออยที่อุบาสิกาพิงไวที่แงมประตู ดูไปอีกก็เห็นน้ําออยที่ อุบาสกใสไวในภาชนะเห็นปลาตําแบอยูในตะกรา เห็นขาวสารอยูในกระออม เห็นเปรียงในหมอ พระภิกษุก็ออกมานั่งอยูอุบาสิกาก็รองวาหาขาวสารไมไดแลวก็กลับมา พระภิกษุจึงวา ดูกรอุบาสิกา “อชฺช ภิกฺขา น สมฺปชฺชิสฺสติ” รูปเห็นเหตุเสียกอนแลววา วันนี้มีภิกขาหารจะไมสําเร็จแกอาตมา อุบาสิกาจึงถามวาพระผูเปนเจาเห็นเหตุเปนดังฤๅ พระภิกษุจึงกลาวคําในที่ใกลอุบาสิกาวา อาตมา เห็นอสรพิษเหมือนลําออยที่อุบาสิกาพิงไวที่แงมประตู “ตํ ปหริสสามิ” อาตมาก็คิดวาจะประหาร
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 38 อสรพิษจึงจับเอากอนศิลาเหมือนหนึ่งน้ําออยที่อุบาสิกาใสไวในภาชนะ อสรพิษก็ทําพังพานเหมือน ปลาตําแบที่อุบาสิกาใสไวในตะกรา เหมือนอสรพิษดูดเอากอนศิลานั้น อาตมาก็เห็นฟนอสรพิษ เหมือนขาวสารที่อุบาสิกาใสไวในกระออมในขณะนั้นอสรพิษโกรธก็พนพิษออกจากปาก เขฬะที่เจือ ดวยพิษก็ไหลออกจากปากอสรพิษ อาตมาแลเห็นเหมือนเปรียงที่อุบาสิกาใสไวในหมอ อุบาสิกา เจาของเรือนไดฟงดังนั้นก็คิดวาเราไมอาจลวงพระสมณะที่มีศีรษะอันโกน จึงเอาออยออกมาถวาย แลวก็หุงโภชนะนําเขาไปถวายกับปลาตําแบปง บัณฑิตพึงรูวากิริยาที่พระภิกษุกระซิบกลาวในที่ใกลดังนี้ ชื่อวาสามันตชัปปนา ในบทปริกถานั้น มีอรรถสังวรรณนาวา พระภิกษุไดวัตถุมีอโทนะ เปนอาทิแลว ก็เจรจาให แลกเปลี่ยนดวยวัตถุอื่น ๆ ที่ตนปรารถนา ชื่อวาปริกถา กลาวโอบออมไปโดยภาคทั้งปวง วินิจฉัยใน นิปเปสิกตานิเทศนั้นวา พระภิกษุดากลบเอาของดวยอักโกสวัตถุ ๑๐ ประการ ชื่อ วา อักโกสนา พระภิกษุกลาวครอบงํา ชื่อวา อัมภนา พระภิกษุกลาวยกโทษโดยนัยเปนอาทิ “อสทฺโธ อปฺปสนฺโน” คฤหบดีนี้ไมมีศรัทธา ไมมี ความเลื่อมใส ชื่อวา ครหนา พระภิกษุกลาวยกยอดวยวาจาวา ทานอยากลาวคําอยางนี้ ๆ แตตระกูลนี้ชื่อวา อุกเขปนา พระภิกษุกลาวคํายกยอ กระทําใหะเปนไปกับวัตถุ กระทําใหเปนไปกับดวยเหตุโดยภาคทั้ง ปวง ชื่อวา สมุกเขปนา นัยหนึ่งพระภิกษุเห็นคฤหบดีไมใหแลว ก็กลาวยกยอวา “อโห ทานปติ” ดังเราสรรเสริญ คฤหบดีนี้เปนผูใหญในทานดังนี้ ชื่อวา อุกเขปนา พระภิกษุเห็นวาคฤหบดีไมใหแลว ก็กลาวคํายกยอใหยิ่งขึ้นไปวา “อโห มหาทานปติ” ดัง เราสรรเสริญ ทานคฤหบดีนี้เปนมหาทานบดีเปนใหญในมหาทาน ชื่อวา สมุกเขปนา พระภิกษุกลาวคําเยยยุใหคฤหบดีวา ชีวิตของทานนี้หาประโยชนมิได ทานนี้เปนคนบริโภค พืชกินบุญหนหลังดังนี้ ชื่อวาขิปปนา พระภิกษุกลาวคําเยยยิ่งขึ้นไปกวานั้นวา ชนทังหลายกลาววาทานผูนี้เปนทายกเพื่อเหตุดัง ฤา ทานผูนี้ยอมกลาวแตคําวา ไมมีแกพระภิกษุทั้งหลายสิ้นกาลเปนนิจดังนี้ ชื่อวา สังขัปปนา อนึ่ง พระภิกษุยังโทษคือมิไดเปนทายกใหถึงแกคฤหบดี ชื่อวา ปาปนา พระภิกษุยังโทษคือมิไดเปนทายกใหถึงแกคฤหบดี โดยภาคทั้งปวงชื่อวา สัมปาปนา พระภิกษุออกจากเรือนนี้ไปสูเรือนโนน ออกจากบานนี้ไปสูบานโนนออกจากชนบทนี้ไปสู ชนบทโนน เที่ยวกลาวโทษไปทุกแหงวาคฤหบดีนี้ทําบุญใหทานแกเรา เพราะเหตุกลัวเราจะติเตียน กลัววาเราจะไมสรรเสริญ ดังนี้ ชื่อวา อวัณณหาริกา อนึ่ง พระภิกษุกลาวคําไพเราะในที่ตอหนา กลาวโทษในที่ลับหลังชื่อวา ปรปฏฐิมังสิกตา แทจริงวาจานั้นเปนวาจาของบุคคล ไมอาจจะแลดูในที่เฉพาะหนาปรากฏดุจดังวา จะกัด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 39 กินซึ่งเนื้อหนังแหงชนทั้งหลาย อันตั้งอยูในที่ลับหลังเพราะเหตุการณนั้น องคพระผูทรงพระภาคจึง ตรัสวา ปรปฏฐิมังสิกตา วาจาทั้งปวงที่กลาวมา มีครหนาวาจาติเตียนเปนอาทิ ยอมเช็ดเสียซึ่งคุณแหงบุคคลผูอื่น เหมือนซีกไมไผที่บุคคลเช็ดเสีย ครูดเสียซึ่งน้ํามันอันแปดเปอนในสรีระ นัยหนึ่ง วาจาชื่อวา “นิปฺเปติกตา” นี้ ยอมกระทําซึ่งคุณทั้งหลายแหงบุคคลอื่น ใหเปน จุณแลวแลแสวงหาลาภ มีอุปมาเหมือนบุคคลกําจัดเสียซึ่งคันธชาติแลว แลแสวงหาคันธชาติ เหตุใด เหตุดังนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคจึงตรัสวา นิปเปสิกตา ดังนี้ วินิจฉัยในบทคือ “ลาเภน ลาภํ นิชิคึสนตา” นิเทศนั้นวากิริยาที่ภิกษุแสวงหา ชื่อวา “นิชิคึสนตา” พระภิกษุไดภิกขาในเรือนนี้นําไป ใหในเรือนโนน เที่ยวแลกเปลี่ยนไปกวาจะไดวัตถุที่ชอบใจตนในอธิการนี้ พระอาจารยนํานิทาน พระภิกษุซึ่งไดภิกขาในเรือนเดิมแลว แลนําไปใหแกทารกทั้งหลายในเรือนนั้น ๆ ครั้นไดขีรยาคูของ ชอบใจแลวก็ไป มาสาธกเขาในบทคือ “ลาเกน ลาภํ นิชิคึสนตา” นี้ ในบทคือ “เอวมาทีนฺจ ปาปธมฺมานํ” นั้น พระพุทธโฆษาจารยเจากลาววา บัณฑิตพึงรู วา กิริยาที่สมณะแลพราหมณจะถือเอาซึ่งธรรมอันลามกนั้น สมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไวใน พรหมชาลสูตรโดยนัยเปนอาทิวา “โภนฺโต สมณพฺราหมณา” ดูกรทานผูเจริญทั้งหลาย สมณะแล พราหมณจําพวกหนึ่งบริโภคโภชนาหารอันบุคคลมีศรัทธาคือเชื่อซึ่งกรรมแลผลแหงกรรมแลวแลพึง ใหแกสมณะแลพราหมณะทั้งหลายนั้น เลี้ยงชีวิตเปนมิจฉาชีพ คือวิชาที่เลี้ยงชีวิตดวยติรัจฉานวิชชา “เสยฺยถีท”ํ สมณะแลพราหมณะเลี้ยงชีวิตดวยติรัจฉานวิชานั้นเปนอยางไร มีคําวิสัชนาวา สมณแลพราหมณะเลี้ยงชีวิตดวยติรัจฉานวิชานั้นคือวิชาที่วาชั่วแลดีแหง อวัยวะนอยใหญทั้งหลาย แลวิชานั้นอันหนึ่งกอบดวยอันบังเกิดขึ้นแหงเหตุทั้งหลาย มีอุกกาบาตแล ไฟไหมในทิศแลแผนดินไหว เปนอาทิ แลวิชาสุบินศาสตรทายสุบินแลวิชาทายลักษณะหญิงแลบุรุษ แลวิชาหนูกัดผา แลวิชาวิธีบูชาเพลิง แลวิชาวิธีบังหวนควันตาง ๆ กันดังนี้ มิจฉาชีพนั้นพระภิกษุใน พระศาสนานี้ ยอมใหประพฤติเปนไปดวยสามารถที่ตนลวงสิกขาบททั้ง ๖ ประการ ที่กลาวมาแลวใน หนหลัง แลประพฤติเปนไปดวยสามารถแหงธรรมอันลามกทั้งหลาย แลโกหกแลกระทําผิดซึ่งนิมิต แลกําจัดเสียซึ่งคุณแหงบุคคลผูอื่นแลว แลแสวงหาลาภดวยลาภเปนอาทิ “ตสฺมา สพฺพปฺปการา มิจฺฉาชีวา” เมื่อภิกษุเวนจากมิจฉาชีวะมีประการดังกลาวแลวทั้งปวงนั้น อาชีวิปาริสุทธิศีลของ พระภิกษุนั้นก็บริสุทธิ์ มีบทวิคคหะในอาชีวปาริสุทธิศีลนั้นวา “เอตํ อาคมฺม ชีวติติ อาชีโว” คือดังฤๅ
พระภิกษุทั้งหลายอาศัยซึ่งสภาวะอันใดแลวแลมีชีวิตอยูสภาวะนั้น ชื่อวา อาชีวะ สภาวะนั้น
สภาวะนั้นคือความเพียรที่จะแสวงหาปจจัยทั้ง ๔ สภาวะบริสุทธิ์นั้นชื่อวา บริสุทธิ์แหงอาชีวะ จึงไดนามชื่อวา อาชีวปาริสุทธิศีล เอวํ ก็มด ี วยประการดังนี้
“ปาริสุทธิ”
“ยมฺปเนตํ ตทนนฺตรํ ปจฺจยสนฺนิสฺสิตสีลํ วุตฺตํ ตตฺถ ปฏิสงฺขาโยนิโสติ อฺปาเยน ปเถน ปฏิสงฺขาย ญตฺวา ปจฺจเวกขิตฺวาติ อตฺโถ เอตฺถ จ สีตสฺส ปฏิฆาฏายาติ อาทินา นเยน วุตฺตํ ปจฺจเวกฺขณเมวโยนิโส ปฏิสงฺขาติ เวทิตพฺพํ ตตฺถ จีวรนฺติ อนฺตรวาสกาทีสุ ยํกิฺจิ ปฏิ เสวตีติปริภฺุชติ นิวาเสติ วา ปารุปติ วา ยาวเทวาติ ปโยชนาวธิปริจฺเฉทนิยมวจนํ เอตฺตกเมว หิ โยคิโน จีวรปฏิเสวเน ปโยชนํ ยิททํ สีตสฺส ปฏิฆาฏยาติ อาทิ” วาระนี้จะไดวิสัชนาในปจจัยสันนิสสิตศีล สืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลี มีเนื้อความวา ปจจัยสันนิสสิตศีลอันใด อันเรากลาวแลวในลําดับแหงอาชีวปาริสุทธิศีล เราจะวินิจฉัยตัดสินไปใน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 40 ปจจัยสินนิสสิตศีลนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจาดําเนินวาระพระบาลีดังนี้ แลวจึงสังวรรณนาในบทคือ “ปฏิสงฺขา โยนิโส” อันเปนเบื้องตนแหงปจจัยสันนิสสิตศีลนี้กอนวา พระภิกษุรูดวยอุบายปญญาปจ จเรกขณะวิธีที่องคสมเด็จพระผูมีพระภาคตรัสเทศนาไว โดยนัยเปนอาทิ “สีตสฺส ปฏิฆาฏาย” นี้ บัณฑิตพึงรูชื่อวา “โยยิโสปฏิสงฺขา” แปลวาภิกษุรูดวยอุบายปญญา เห็นดวยปญญาแลว แลบริโภค นุงหมจีวรมีผาอันตรวาสกเปนอาทิ ในบทคือ “ยาวเทว” นั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคกลาวกําหนดอันประพฤติเปนไป ดวยสามารถ จะกําหนดแดนประโยชนแทจริง “ยํ อิทํ ปโยชนํ” ประโยชนอันใดที่พระองคสมเด็จพระ ผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไวเปนอาทิวา พระภิกษุนุงหมจีวรอันจะบําบัดเสียซึ่งเย็นแลรอน ประโยชน นั้นก็เปนประโยชนของพระภิกษุ มีประมาณเทานี้ “น อิโต ภิยฺโย” ประโยชนอันอื่นจะยิ่งกวา ประโยชนอันนี้ก็มิไดมี ในบทคือ “สีตสฺส” นั้นวา พระภิกษุบริโภคนุงหมจีวร เพื่อจะบําบัดเสียซึ่งหนาว อันบังเกิด ขึ้นดวยสามารถธาตุภายในกําเริบแลบังเกิดขึ้น ดวยสามารถแปรปรวนแหงฤดูอันมีภายนอก ความ อาพาธที่ปวยไขมิไดบังเกิดขึ้นในสรีระฉันใดก็จะบรรเทาเสียอาพาธปวยไขฉันนั้น เมื่อสรีระของภิกษุนั้น อันอาพาธหากรันทําย่ํายีอยูแลวพระภิกษุผูมีจิตกําเริบ ไมอาจตั้งสติ ไวซึ่งความเพียรใหประพฤติเปนไปดวยอุบายปญญาได เพราะเหตุการณนั้น พระภิกษุจึงบริโภคนุงหม จีวรเพื่อบําบัดเสียซึ่งหนาว องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสอนุญาตไวดังนี้ “เอส นโย สพฺพตฺถ” นัยหนึ่งบัณฑิตพึงรูในประโยชนอันเศษมีจะบําบัดเสียซึ่งรอนเปน อาทิ แตนี้จะวินิจฉัยตัดสินในประโยชนทั้งหลาย มีประโยชนคือจะบําบัดเสียซึ่งรอนเปนอาทิ มี เนื้อความวา พระภิกษุที่จะนุงหมจีวรเพื่อจะบําบัดเสียซึ่งรอนอันบังเกิดแตกองแหงอัคคี มีรอนบังเกิด แตไฟไหมปาเปนประธาน อนึ่ง พระภิกษุจะพึงเสพคือนุงหมจีวรนั้น เพื่อจะบําบัดเสียซึ่งแมลงวันเหลือบ แลยุง แลลม แลแดด แลทีฆชาตินอยแลใหญเปนอันมาก ในบทคือ “ฑํสา” นันแปลวา แมลงเหลือบ บางอาจารยกลาววา แมลงวันสีขาวนั้นชื่อวา ฑํสา “มกสา” ศัพทนั้นแปลวายุง ลมทั้งหลายอันประพฤติเปนไปกับดวยธุลี แลลมอันหาธุลีบมิไดเปนอาทิ ชื่อวา วาตา รอนรัศมีวิมานสุริยเทวบุตรนั้นชื่อวา อาตปะ สัตวทั้งหลายมีชาติสรีสะอันยาวมีงูเปนตน อันสัญจรเลื้อยไปในปฐพี ชื่อวา สิริสัปปะ สัมผัสถูกตองแหงสัตวทั้งหลาย มีแมลงเหลือบเปนอาทินั้นมี ๒ ประการคือ ทิฏฐสัมผัส ถูกตองดวยจักษุเห็นประการหนึ่ง คือผุฏฐสัมผัสถูกตองดวยตัวสัตวประการหนึ่ง "โสป จีวรํ ปารุปตฺวา นิสินฺโน” เมื่อภิกษุนุงหมจีวร คลุมจีวรแลวแลนั่งอยู สัมผัสแหง แมลงเหลือบเปนอาทิ ก็มิไดเบียดเบียนพระภิกษุนั้น เพราะเหตุการณนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระ ภาคจึงตรัสอนุญาตใหพระภิกษุนุงหมจีวร เพื่อจะปองกันเสียซึ่งสัมผัสทั้งหลายในที่เห็นปานดังนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 41 พระบาลีกลาวซ้ําวา “ยาว” ใหมเลา เพื่อจะแสดงซึ่งปริจเฉท กําหนดแดนแหงประโยชนอัน เที่ยง แทจริงกิริยาที่พระภิกษุจะปกปดไวซึ่งที่คับแคบ ควรที่จะพึงละอายนั้น เปนประโยชนอัน แท ประโยชนอันอื่นนอกจากประโยชนนี้มีจะบําบัดเสียซึ่งหนาวเปนอาทินั้น ก็เปนประโยชนแตละครั้ง ในบทคือ “หิริโกปน” นี้ แปลวา ที่คับแคบนั้น ๆ “ยสฺมึ ยสฺมึ หิ องฺเค วิวริยมาเน” แทจริงเมื่อองคาพยพใด ๆ พระภิกษุมิไดเปดปดไวแลว ความที่ละอายก็ตั้งอยู อวัยวะนั้น ๆ องค สมเด็จพระศาสดาจึงตรัสเรียกชื่อวา หิริโกปนะ ยังความละอายใหกําเริบ จึงทรงอนุญาตไวให พระภิกษุบริโภคนุงหมจีวร เพื่อจะปกปดเสียซึ่งกริยาที่จะยังความละอายใหกําเริบ เพราะเหตุดังนี้จึง ตรัสเทศนาวา “หิริโกปน ปฏิจฺฉาทนตถํ" ดังนี้ บางบาลีวา “หิริโกปนํปฏิจฺฉาทนตฺท”ํ วิสัชนามาใน ปฏิสงฺขา โยนิโส จีวรํ ตงฺขณิกปจฺจเวกฺขณ เปนตน ก็ยุติแตเพียงเทานี้ ในบทคือ “ตํขณิกปจฺจเวกฺขณ” เปนคํารบสองนั้น พระพุทธองคทรงอนุญาตไวให พระภิกษุ พิจารณาบิณฑบาตดวยปญญาและบริโภคซึ่งวัตถุสิ่งของอันใดอันหนึ่ง ที่พระภิกษุจะพึง กลืนกินชื่อวาบิณฑบาต แทจริง อาหารทั้งปวงนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเรียกชื่อวา บิณฑบาต เพราะ เหตุวาอาหารตกลงแลวในบาตรดวยภิกขาจารวัตรของพระภิกษุ นัยหนึ่ง ประชุมพรอมแหงภิกษาหาร พระภิกษุไดในเรือนนั้น ๆ ชื่อวาบิณฑบาต ในบทคือ “เนว ทวาย” นั้น อรรถกถาสังวรรณนาวา พระภิกษุบริโภคอาหารทั้งปวงเพื่อ ประโยชนจะคะนองเลนดุจชนทั้งหลาย มีทารกแหงมนุษยอันในบานเปนอาทิก็หามิได มีอรรถรูปวา “กีฬานิมิตฺตํ” พระภิกษุจะบริโภคบิณฑบาตมีกิจที่จะเลนเปนนิมิตก็หามิได ในบทคือ “น มทาย” นั้นวา พระภิกษุจะบริโภคบิณฑบาตเพื่อมัวเมา เหมือนหนึ่งคนมวย แลคนปล้ําเปนอาทิก็หามิได มีอรรถวา พระภิกษุจะบริโภคบิณฑบาต เพราะเหตุมัวเมาอันบังเกิดขึ้นอาศัยแกกําลัง และ เพราะเหตุมัวเมาอันเปนของแหงบุรุษก็หามิไดในบทคือ “น มณฺฑนาย” นั้น พระภิกษุจะบริโภค บิณฑบาต เพื่อประโยชนจะแตงตนใหงามดุจดังวาสาวสนมของบรมกษัตริย และนางนครโสเภณีเปน อาทิก็หามิได มีอรรถรูปวา พระภิกษจะบริโภคบิณฑบาต เพราะเหตุวาจะยังอวัยวะนอยใหญอันบกพรอง ใหเต็มก็หามิได ในบทคือ “น วิภูสนาย” นั้นวา พระภิกษุจะบริโภคบิณฑบาตเพื่อประดับกาย ดุจคนฟอน คนรําเปนอาทิก็หามิได มีอรรถรูปวา พระภิกษุจะบริโภคบิณฑบาต เพราะเหตุวาจะใหฉวีวรรณะบริสุทธิ์ผองใสก็หา มิได “เอตถ จะเนว ทวาย” อนึ่งในบทคือ “เนว ทวาย” ที่แปลไดความวา พระภิกษุจะบิรโภค บิณฑบาตเพื่อประโยชนจะคะนองเลนหามิได องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาเพื่อประโยชน จะใหพระภิกษุสละเสียซึ่งอุปนิสัยแหงโมหะมิไดหลงเลน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 42 ในบทคือ “น มทาย” นั้นมีอรรถวา พระภิกษุจะพึงบริโภคบิณฑบาตเพื่อประโยชนจะมัว เมาก็หามิไดนั้น พระสรรเพชญพุทธเจาตรัสเทศนาเพื่อจะใหพระภิกษุละเสียซึ่งเหตุมีกําลังแหงโทษ มิไดประทุษรายดวยความโกรธ ในบทคือ “น มณฺฑนาย น วิภูสนาย” มีอรรถวา พระภิกษุไมพึงบริโภคบิณฑบาตเพื่อจะ แตงตนใหงาม และจะยังที่พรองแหงสรีระใหเต็มก็หามิไดนั้น องคสมเด็จพระสัพพัญูบรมศาสดาตรัส เทศนา เพื่อจะใหพระภิกษุละเสียซึ่งเหตุมีกําลังแหงราคะ คือจะใหหนายจากราคะ อีกอยางหนึ่ง ในบทคือ “เนว ทวาย น มทาย” มีอรรถดังกลาวแลว องคสมเด็จพระบรม ศาสดาตรัสเทศนาเพื่อจะหามซึ่งสังโยชนมีกามสังโยชนเปนอาทิ มิไดบังเกิดแกตนของพระภิกษุ ในบทคือ “น มณฑนาย น วิภูสนาย” มีอรรถดังกลาวแลว พระผูทรงพระภาคตรัสเทศนา เพื่อจะหามซึ่งกิริยาที่จะบังเกิดขึ้นแหงสังโยชนแกตน แหงพระภิกษุและบุคคลผูอื่น อีกประการหนึ่ง บททั้ง ๔ มี “เนว ทวาย” เปนอาทินี้ องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาเพื่อจะใหละเสีย ซึ่ง ปฏิบัติดวยหาอุบายปญญามิได และจะใหละเสียซึ่งการที่กระทําความเพียรอันติดเนื่องอยูในกามสุข อนึ่ง พระภิกษุบริโภคบิณฑบาตินั้นเพื่อจะยังรูปกาย กลาวคือ มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวี อาโป เตโช วาโย ใหประพฤติเปนไปอยาใหขาด นัยหนึ่ง พระภิกษุบริโภคบิณฑบาตนั้น เพื่อตั้งอยูสิ้นกาลนานตราบเทากําหนดอายุขัย มีคํา อุปมาวา “ชณฺณฆรสามิโก” บุรุษเจาของเรือนที่คร่ําคราเกาลงแลวก็ยอมจะอุปถัมภบํารุงซอม แปลงที่ทรุดทําลาย “ยถา” อันนี้แลมีอุปมาฉันใด ก็มีอุปไมยเหมือนพระภิกษุบริโภคบิณฑบาตเพื่อจะ ยังกาย กลาวคือมหาภูตรูปทั้ง ๔ ใหตั้งอยูสิ้นกาลนานตราบเทาอายุขัยฉันนั้น “อกฺขพฺภฺชนมิว” อนึ่ง มีคําวา บุรุษเจาของเกวียน เมื่อขับเกวียนไปนั้นยอมจะเทน้ํามัน ออกทางเพลา เพื่อประโยชนจะใหจักรเกวียนนั้นประพฤติเปนไปโดยสะดวก “ยถา” อันนี้แลมีอุปมาฉัน ใดก็ยังมีอุปไมยเหมือนพระภิกษุบริโภคบิณฑบาต เพื่อจะยังรูปกายใหตั้งอยูและจะใหประพฤติเปนไป สิ้นกลาลปริจเฉทกําหนดอายุขัยฉันนั้น “น ทวมทมณฺฑนวิภูสนตฺถํ” พระภิกษุจะบริโภคบิณฑบาต เพื่อจะคะนองเลนมัวเมาและ จะตกแตงตนใหงาม และจะยังที่แหงสระระใหเต็มก็หามิได นัยหนึ่ง บทคือ “ิต”ิ นั้น เปนชื่อแหงชีวิตอินทรียเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังนั้นบัณฑิตพึงรูอรรถ รูป เนื้อความในบทคือ “อิมสฺส กายสฺส ิติยา ยาปนาย” นี้วา พระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ บริโภค บิณฑบาต เพื่อจะยังชีวิตอินทรียแหงกายของพระภิกษุนี้ใหประพฤติเปนไป ในบทคือ “วิหึสุปรติยา” นั้นวา พระภิกษุเสพซึ่งอาหารบิณฑบาต เพื่อจะระงับเสียซึ่ง ความอยาก ความอยากนั้นชื่อวา วิหิงสา เพราะเหตุแหงความอยากนั้นเปนที่เบียดเบียน และเปนที่ เสียดแทงกายแหงพระภิกษุ พระภิกษุบริโภคบิณฑบาตนั้น มีอุปมาดุจยาพอกแผลแหงบุคคลอันมีบาด แผดแผลในสรีรกาย และจะปองกันเสียซึ่งรอนและเย็นเปนอาทิ ในกาลเมื่อรอนและเย็นครอบงําเปน อาทิ กระทําอันตรายกายแหงพระภิกษุนี้ ในบทคือ “พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย” นั้น มีอรรถสังวรรณนาวาพระภิกษุบริโภคอาหาร บิณฑบาตนั้น เพื่อจะยังศาสนพรหมจรรย คือประพฤติซึ่งธรรมอันประเสริฐตามศาสโนวาท คําสั่งแหง องคสมเด็จพระบรมศาสดาทั้งสิ้น และจะยังมรรคพรหมจรรยคือประพฤติซึ่งธรรมอันประเสริฐเปนอุบาย ที่จะใหไดธรรมวิเศษคืออรหัตตมรรคและพระอรหัตตผล และพระนิพพานใหสําเร็จ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 43 แทจริง พระภิกษุอาศัยซึ่งกําลังกายอันบังเกิดมี เพราะเหตุบริโภคซึ่งอาหารบิณฑบาต จึง สามารถอาจปฏิบัติเพื่อจะรื้อออกซึ่งตนจากภพกันดารขามสังสารสาครได เมื่อลําดับความเพียร ประกอบเนือง ๆ ซึ่งสิกขาบท ๓ มีอธิสีลสิกขาเปนประธาน จึงบริโภคอาหารบิณฑบาตที่อุปมาดุจดังวา สามีและภรรยาทั้งสอง ปรารถนาจะรื้อตนใหพนจากหนทางกันดารตองบริโภคเนื้อบุตรที่ตายลงเปน อาหาร ไมฉะนั้นอุปาดุจดังวาบุรุษปรารถนาจะขามแมน้ําตองแสวงหาซึ่งพวงและแพ ไมฉันนั้นมีอุปมา ดุจดังพวกพาณิชคิดคาขายขามสมุทรก็ตองแสวงหาสําเภา พระภิกษุบริโภคบิณฑบาตนั้นพึงมนสิการ กําหนดวา อาตมาจะบําบัดเสียซึ่งเวทนาอันมีในกอน และจะยังเวทนาอันใหมมิใหบังเกิดขึ้นได มีอรรถสังวรรณนาในบทคือ “อิติ ปุราณฺจ เวทนํ ปฏิหํขามิ” นี้วา พระภิกษุบริโภค บิณฑบาตดวยวิตกวา “อิมินา ปณฺฑปาตปฏิเสวเนน” อาตมาจะบําบัดเสียซึ่งเวทนา คือความอยาก มีในกอนดวยกิริยาที่จะเสพอาหารบิณฑบาตนี้ ในบทคือ “น วฺจ เวทนํ น อุปปาเทสฺสามิ” นั้น มีเนื้อความวา พระภิกษุบริโภค บิณฑบาตดวยมนสิการกระแสจิต อาตมาจะยังเวทนาอันใหมมีบริโภคพนประมาณ เปนเหตุปจจัยให ไดพนเวทนาเหมือนอาหารหัตถกพราหมณ และอลังสาฏกพราหมณ และตัดถวัฏฏกพราหมณ และ กากมากพราหมณ และภูตตวัมิกพราหมณคนใดคนหนึ่ง ไมใหบังเกิดมี จะบริโภคบิณฑบาตนั้น เหมือนหนึ่งคนไขบริโภคบําบัดไข มีเนื้อความในอปรนัยวา พระภิกษุบริโภคบิณฑบาตดวยดําริจิตคิดวา เวทนาใดในกาลบัดนี้ ที่องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเรียกชื่อวาปุราณเวทา เพราะเหตุวาเวทนานั้นอาศัยบริโภคโภชนะ พนประมาณอันมิไดเปนที่สบาย บังเกิดขึ้นดวยสามารถปจจัย คือกรรมในกาลกอน เมื่ออาตมาบริโภค บิณฑบาตควรแกประมาณอันเปนที่สบาย ยังเหตุยังปจจัยแหงปุรเวทนานั้น ใหพินาศฉิบหายเสียแลว ก็จะบําบัดเสียไดซึ่งปุรานเวทนา อนึ่ง เวทนาใดที่อาตมากระทํามาแลวในกาลอันเปนปจจุบันนั้น เวทนานั้นชื่อวา นวเวทนา แปลวาเวทนาใหม เพราะเหตุเวทนานั้นจะบังเกิดในอนาคตกาล เหตุอาศัยกรรมปจจัย คือมิได พิจารณาแลว และบริโภคปจจัย ไมใหบังเกิดขึ้นได ดวยสามารถที่เราพิจารณาแลว และบริโภคซึ่ง ปจจัย ก็จักยังเวทนาอันใหมนั้นไมใหบังเกิดขึ้น อรรถในบททั้ง ๒ มี “อิติ ปุราณํ” เปนอาทิ บัณฑิตพึงรูโดยนัยดังแสดงมาแลวนี้ “ยุตฺตปริโภคสงฺคโห” บัณฑิตพึงรูวากิริยาที่จะถือเอาโดยสังเขป ซึ่งบิรโภคบิณฑบาติ ปจจัยอันควร และจะสละเสียซึ่งอัตตกิลมถานโยค ประกอบเนือง ๆ ใหลําบากตน และมิไดเสียซึ่งสุข ในกายอันบังเกิดเปนปจจัยแกฌาน องคสมเด็จพระบรมศาสดาจารยทรงแสดงไวดวยพระบาลีมี ประมาณเทานี้ ในบทคือ “ยาตรา จ เม ภวิสฺสติ” นั้นวา พระภิกษุบริโภคบิณฑบาต ดวยปริวิตกวา กิริยา ที่จะยังอัตตภาพนี้อันประพฤติเนื่องดวยปจจัยใหประพฤติเปนไปสิ้นกาลชานาน เพราะเหตุหามิไดแหง อันตราย คือโรคที่ตัดซึ่งชีวิตอินทรีย และจะหักเสียซึ่งอิริยาบถ ๔ จัดมิไดมีแกอาตมาก็เพราะบริโภค ซึ่งบิณฑบาตอันควรแกประมาณ พระภิกษุบริโภคบิณฑบาตนั้น มีอุปมาดุจดังวาบุคคลมีโรคอยูสิ้นกาลเปนนิจ ตองบริโภค ยา มียานั้นเปนปจจัยไดบําบัดโรค ในบทคือ “อนวชฺชตา จ ผาสุวิหาโร” นั้นวา พระภิกษุบริโภคบิณฑบาตดวยปริวิตกวา สภาวะจะหาโทษมิได จักไดมีแกอาตมา เพราะเหตุเวนจากกิริยาที่แสวงหาจตุปจจัยดวยมิจฉาชีพ อัน องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสติเตียน และเวนจากกิริยาที่จะรับ ไมรูประมาณแหงไทยธรรมของ ทายกและประมาณตน และเวนจากบริโภคซึ่งปจจัยอันมิควร
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 44 อนึ่ง กิริยาที่จะอยูสบาย จักมีแกอาตมา ก็เพราะเหตุบริโภคพอประมาณ นัยหนึ่ง โทษทั้งหลายมี มิไดยินดีในเสนาสนะอันสงัด และมิไดยินดีในกุศลธรรมอันเที่ยง และนอนหลับซบเซางวงงุนและครานกาย อันบัณฑิตทั้งหลายพึงติเตียน จึงบังเกิดมีแกอาตมา ก็ เพราะเหตุบริโภคบิณฑบาตพนประมาณอันมิไดเปนที่สบาย สภาวะที่จะหาโทษมิไดมีก็จักมีแกอาตมา ก็เพราะเหตุปราศจากโทษที่กลาวแลวนั้น อนึ่ง กิริยาที่จะอยูสบายก็จะบังเกิดมีแกอาตมา ก็เพราะเหตุกําลังกายบังเกิดแกอาตมา เหตุบริโภคโภชนะควรแกประมาณอันเปนที่สบาย นัยหนึ่ง เมื่ออาตมาบริโภคบิณฑบาตควรแกประโยชน ยังอุทรประเทศใหพรองอยู สภาวะ ที่หาโทษมิไดก็บังเกิดมีแกอาตมา เพราะเหตุละเสียซึ่งสุขที่เราจะพึงไดดวยกิริยาอันนอน และสุขที่ เรานอนกลับขางทั้ง ๒ และสุขอันบังเกิดขึ้นดวยอันประพฤติซึ่งถิ่นมิทธะ คืองวงเหงาหาวนอน อนึ่ง เมื่อเราบริโภคหยอนประมาณอาหารลงมา ๔ - ๕ คํา อาการอยูสบายก็จักบังเกิดมีแก เรา เพราะเหตุปฏิบัติสมควรแกอิริยาบถทั้ง ๔ “วุตฺตมฺป เจตํ” สมดวยพระบาลีที่องคพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไววา “จตฺตาโร ปฺจ อาโรเป อภุตวา อุทกํ ปเว” พระภิกษุบริโภคอาหารบิณฑบาต ยังอีก ๔ – ๕ คําจะพอประโยชน ก็ อยาพึงบริโภค พึงดื่มกินอุทกัง เมื่อพระภิกษุมีจิตอันประพฤติเปนไปในพระกัมมัฏฐานปฏิบัติดังนี้แลว ก็ควรที่จะอยูเปนผาสุกได “ปโยชนปริคฺคโห” กิริยาที่จะกําหนดซึ่งประโยชน และปฏิบัติเปนมัชฌิม ปฏิบัติทั้ง ๒ ประการ บัณฑิตพึงรูวา องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคทรงแสดงแลวดวยบททั้ง ๓ มี “ยาตรา จเม ภวิสสฺสติ” เปนอาทิ เอวํ ก็มีดวยประการฉะนี้ “เสนาสนนฺติ สยนฺจ ยตฺถ หิ เสติ วหาเร วา อฑฺ ฒโยคาทิมฺหิ วา ตํ ตํ เสนํ ยตฺถ อา สติ นิสีทติ ตํ ตํ อาสนํ ตํ เอกโตกตฺวา เสนาสนนฺติ วุจฺจติ อุตุปริสฺสยวิโนทนปฏิสลฺลานา รามตฺถนฺติ ปริสหนตฺเถน อุตุเยว อุตุปริสฺสโย อุตุปริสฺสยวิ โนทนตฺถญจ ปฏิสลฺลานา รามตฺถณฺจ โย สรีราพาธจิตฺตวิกฺเขปกโร อสปฺปาโย อุตุเสนาสนปฏิเสวเนน วิโนเทตพฺโพ โหติ ตสฺส วิโนทนตฺถ”ํ วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนา ในปจจัยสันนิสสิตศีล สังวรรณนาในบทคือ “ปฏิสงฺขา โยนิโส เสนาสนํ” เปนอาทิสืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลี มีเนื้อความวา พระภิกษุ เสพซึ่งเสนาสนะนั้นดวยมนสิการกําหนดจิตวา “ปฏิสงฺขา โยนิโส” อาตมาพิจารณาแลวดวยอุบายปญญา จะบริโภคเสนาสนะ มีอรรถสังวรรณนาในบทคือ “เสนาสนํ” นั้นวา “สยนฺจ อาสนฺจ” ที่อันเปนที่นอนแลที่ อันเปนที่นั่ง ชื่อวาเสนาสนะ แทจริงพระภิกษุนอนอยูในที่ใด ๆ คือวิหารก็ดี แลนอนอยูในที่มีปราสาทมีสวนหนึ่ง อัน บุคคลประกอบแลวเปนอาทิก็ดี ที่นั้น ๆ ชื่อวาที่นอน “ยตฺถ ยตฺถ อาสติ นิสีทติ” พระภิกษุนั่งอยูในที่ใด ที่นั้นชื่อวาที่นั่ง “ตํ เอกโต กตฺวา” องคพระผูทรงพระภาคกระทําซึ่งศัพททั้งสองคือ “สยน แล อาสน” ในที่อันเดียวกัน จึงตรัสเทศนาวา เสนาสนัง ดังนี้ ในบทคือ “อุตุปริสุสยวิโนทนปฏิสลฺลานารามตฺถํ” นั้นมีอรรถวาพระภิกษุกําหนดจิตคิด วา อาตมาจะเสพเสนาสนะนั้น เพื่อจะครอบงําเสียซึ่งอันตรายคือฤดู แลจะเสพซึ่งเสนาสนะนั้น เพื่อจะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 45 ยินดีในกิริยาที่จะหลีกออกจากอารมณตาง ๆ แลว เรนอยูดวยสามารถแหงพระกรรมฐาน ฤดูอันใดมิได เปนที่สบาย กระทําใหสรีรกายไดความอาพาธเจ็บไข แลกระทําใหจิตกําเริบตาง ๆ พระภิกษุก็จะพึง บรรเทาเสียได ดวยการจะเสพซึ่งเสนาสนะ เพื่อวาจะบรรเทาเสียซึ่งฤดูอันมิไดเปนที่สบาย จะกระทํา อันตรายตาง ๆ อยางนั้น มีอรรถรูปวา พระภิกษุเสพเสนาสนะเพื่อจะอยูผูเดียวใหเปนสุข อนึ่งกิริยาที่จะบรรเทาเสีย ซึ่งอันตรายคือฤดู องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาแลวดวยบท มิคํากลาววา “สีตสฺส ปฏิ ฆาฏาย” คือวาเพื่อจะบําบัดเสียซึ่งความหนาวในจีวรปจจัยโดยแท ถึงประการฉะนั้นก็ดี ในบท เสนาสนะปจจัยนี้ องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาดวยคําอุปมาดวยจีวรปจจัยวา “หิริ โกปนปฏิจฺฉาทนตฺถ”ํ พระภิกษุจะปกปดไวไดซึ่งอวัยวะที่จะยังความละอายใหกําเริบ ก็เพราะเหตุ เสพซึ่งจีวรปจจัย ตองนุงหมไวใหเปนประโยชนอันเที่ยง ประโยชนอื่น ๆ ก็มีแตละครั้งแตละที “ยถา” อันนี้แลมีอุปมาฉันใดก็มีอุปไมยเหมือนพระภิกษุจะอยูในเสนาสนะก็เปนประโยชนอันเที่ยง คือจะ บรรเทาเสียซึ่งอันตราย ประโยชนอื่น ๆ นั้น ก็มีแตละครั้งแตละที บัณฑิตพึงรูดวยประการดังนี้ มีเนื้อความในอปรนัยวา “อยํ วุตฺตปฺปกาโร อุตุ” ฤดูที่มีประการอันองคสมเด็จพระผูทรง พระภาคตรัสเทศนาแลวนี้ ชื่อวาอุตุแทจริง “ปริยสฺสโย ปน ทุวิโธ” อนึ่งอันตรายมี ๒ ประการคือ ปรากฏปริสสัย แปลวาอันตรายอัน ปรากฏประการ ๑ ปฏิจฉันนปริสสัยคืออันตรายอันกําบังปกปดอยูประการ ๑ อันตรายอันปรากฏคือ อันตรายจะบังเกิดมีแตเนื้อรายมีไกรสรราชสีห และเสือโครงเปนอาทิ อันตรายอันกําบังปกปดอยูนั้น มีอันตรายคือราคะ แลอันตรายคือโทสะเปนประธาน ยอม กระทําใหไดความเดือดรอน ดวยแรงราครสฤดี แลกระทํารายใหน้ําใจขึ้งโกรธ ประทุษทารุณเรารอน ปกปดปวนอยูในสันดาน อันตรายทั้ง ๒ ประการ มิไดกระทําอันตรายใหไดความอาพาธ อันยุติในกายแหงพระภิกษุ อันอยูในเสนาสนะอันใด แลมิไดกระทําอันตรายใหไดความอาพาธอันยุติในจิต เพราะเหตุเห็นซึ่งรูปา รมณ อันมิไดเปนที่สบายเปนอาทิแกพระภิกษุอันอยูในเสนาสนะอันใด พระภิกษุรูวาเสนาสนะนั้น ปองกันเสียซึ่งอันตรายไดดังนี้แลว ก็บริโภคเสนาสนะนั้นปฏิบัติไปตามพระบาลี ที่องคสมเด็จพระบรม ศาสดาตรัสเทศนาไว วา “ปฏิสงฺขา โยนิโส เสนาสนํ” พระภิกษุพิจารณาดวยอุบายปญญาแลว แล เสพเสนาสนะเพื่อประโยชนจะบรรเทาเสียซึ่งอันตรายคือฤดู บัณฑิตพึงรูดวยประการดังนี้ มีคําวินิจฉัยตัดสินในบทคือ “คิลานปจฺจยเภชฺชปริกฺขารํ”นั้นวาวัตถุชื่อวาปจจัย เพราะ เหตุวาเปนขาศึกแกโรค มีอรรถสังวรรณนาวา วัตถุชื่อวาปจจัยนั้น เพราะเหตุยังโรคใหระงับ คํากลาววาปจจัยนี้ เปน ชื่อแหงความสบาย วัตถุอันใดเปนการแหงบุคคลอันมีวิชา คําไทยเรากลาววาหมอ เพราะเหตุวัตถุนั้น อันหมอจะพึงตกแตง เหตุใดเหตุดังนั้น วัตถุอันนั้นจึงมีนามชื่อวา เภสัชชะ วัตถุที่เปนกรรมแหงหมอ คือปจจัยอันเปนขาศึกแกโรค ชื่อวา คิลานปจจัยเภสัชชะ มีอรรถรูปวา การแหงหมออันเปนที่สบาย แกภิกษุอันเปนไขนั้น มีน้ํามันแลน้ําอึ้งน้ําออยเปน อาทิ อนึ่งเครื่องแวดลอมอันมาแลวในพระบาลี มีคํากลาววา “นครํ สุปริกฺขิตตํ” เมื่อนายชาง สรางพระนครนั้นยอมกระทํากําแพงแวดลอมพระนครนั้นถึง ๗ ชั้นเปนอาทิ องคสมเด็จพระบรมศาสดา ก็ยอมตรัสเทศนาเรียกวา ปริกขาโร อนึ่งเครื่องประดับอันมาในพระบาลี มีคํากลาววา “รโถ เสตปริกฺขาโร” รถคือพระอริยมรรค
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 46 มีปริขารเครื่องประดับ คือศีลอันบริสุทธิ์ มีฌานเปนเพลา มีความเพียรเปนจักรเปนอาทิดังนี้ สมเด็จ พระผูทรงพระภาค ก็ยอมตรัสเทศนนาเรียกชื่อวา ปริกขาโร ใชแตเทานั้นสัมภาระอันมาแลวในพระบาลีวา “เยเกจิ ชีวิตปริกฺขารา” ปริขารเครื่อง สัมภาระอันจะยังชีวิตใหประพฤติเปนไปอันใดอันหนึง บรรพชิตพึงแสวงหาเปนอาทิ องคสมเด็จพระผู ทรงพระภาคก็ตรัสเทศนาเรียกวา ปริกขาโร ในบทคือ “เภสชฺชปริกฺขรํ” องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาประสงคเอาปริขาร ศัพทนี้ ใหแปลวาสัมภาระ ใหแปลวาบริวารเครื่องแวดลอมจึงจะควรในอธิการนี้ แทจริง วัตถุอันเปนการแหงหมอ อันเปนที่สบายของพระภิกษุอันเปนไขขึ้น ชื่อวาสัมภาระ บาง ชื่อวาบริวารบางนั้น เพราะเหตุวาวัตถุที่เปนการแหงหมอ เปนที่สบายของภิกษุไขนี้ เปนเครื่อง แวดลอมของชีวิต แลชื่อวาสัมภาระนั้น เพราะเหตุวัตถุที่เปนการของหมอนี้ ไมใหชองไมใหโอกาสที่ จะยังอาพาธกระทําใหพินาศแกชีวิตบังเกิดขึ้นได ยอมปกครองรักษาชีวิต จะประพฤติเปนไปสิ้นกาล ชานานฉันใด ก็เปนเหตุเปนปจจัยที่จะยังชีวิตใหประพฤติเปนไปสิ้นกาลชานานฉันนั้น เพราะเหตุการณนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคจึงตรัสเทศนาวา ปริกขาโร ดังนี้ มีอรรถวิคคหะวา วัตถุที่เปนการแหงหมอเปนที่สบายของภิกษุเปนไข เปนเครื่องแวดลอม ของชีวิต วัตถุนั้นชื่อวา คิลานปจจัยเภสัชบริขาร มีอรรถรูปวา เครื่องของชีวิตมีน้ํามันแลน้ําผึ้งแลน้ําออยเปนอาทิ ที่หมออนุญาตตกแตงไว ใหเปนที่สบาย ของชนอันเปนไข ชื่อวาคิลานปจจัยเภสัชบริขาร บัณฑิตพึงรูวา พระภิกษุพิจารณาดวยอุบายปญญา แลวแลเสพซึ่งคิลานปจจัยเภสัชบริขาร อันมีนัยดังกลาวมาแลวนี้ เพื่อบรรเทาเสียซึ่งความเวทนาทั้งหลาย มีโรคเรื้อน แลเปนฝ แลเปนตอม เปนอาทิ อันบังเกิดขึ้นเพราะเหตุกําเริบแหงธาตุ และจะใหปราศจากทุกขเปนประมาณ มีอรรถาธิบายวา ทุกขมีโรคเปนเหตุใหไดเวทนา เสวยผลแหงอกุศลกรรมทั้งปวง พระภิกษุ จะละเสียไดตราบใด พระภิกษุนั้นก็บริโภคคิลานปจจัยเภสัชบริขารไปตราบนั้น “เอวมิทํ สงฺเขปโต” ศีลอันนี้มีกิริยาที่พระภิกษุพิจารณาดวยอุบายปญญา แลวบริโภคซึ่ง ปจจัย เปนลักษณะที่กําหนดบัณฑิตพึงรูชื่อวาปจจัยสันนิสสิตศีลโดยสังเขปดังวิสัชนามาฉะนี้ ในบทคือ “ปจฺจยสนฺนิสฺสิตสีล”ํ นี้มีอรรถแหงพระบาลีวาแทจริง “จีวราทโย” วัตถุสิ่งของ ทั้ง ๔ มีจีวรเปนตน องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเรียกชื่อวา ปจจัย เพราะเหตุวาพระภิกษุ ทั้งหลายอาศัยซึ่งวัตถุทั้ง ๔ สิ่งนั้น แลวบริโภคจึงไดประพฤติเปนอยู เหตุใด เหตุดังนั้นวัตถุทั้ง ๔ จึง มีนามชื่อวาปจจัย จีวรก็ชื่อวาปจจัย บิณฑบาตแลเสนาสนะ แลคิลานปจจัยเภสัชบริขาร ก็มีนาม บัญญัติชื่อวา ปจจัย “เต ปจฺจเย สทฺนิสฺสิตํ” ศีลอันใดอาศัยซึ่งปจจัยทั้ง ๔ มีจีวรปจจัยเปนอาทิ ศีลนั้นชื่อวา ปจจัยสันนิสสิตศีล ล้ําศีลทั้ง ๔ ประการนี้ อันวาพระปาฏิโมกขสังวรศีลนั้นพระภิกษุทั้งหลายพึงใหสําเร็จดวย ศรัทธา แทจริง พระปาฏิโมกขสังวรศีลนั้น “สทฺธสาธโน” มีศรัทธาเปนเหตุที่จะใหสําเร็จ เพราะ เหตุวาสิกขาบทที่องคพระผูทรงพระภาคทรงบัญญัติไวนั้น ลวงเสียซึ่งวิสัยแหงสาวก พระสาวก
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 47 บัญญัติมิได เมื่อกุลบุตรบวชในพระพุทธศาสนา มีศรัทธาเชื่อฟงพระพุทธวจนะคําของพระผูมีพระภาค เจา พึงปฏิบัติตามพระพุทธบัญญัติกระทําใหบริบูรณ เนื้อความที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรทูลอาราธนา ขอใหพระพุทธองคทรงบัญญัติ สิกขาบท พระบรมศาสดาตรัสหาม ขอความอันนี้มีพิสดารอยูในพระวินัยปฎก อาจารยพึงสาธกยกมา กลาวในอธิการคือวินัย อันเปนที่กลาวซึ่งสิกขาบทบัญญัติลวงเสียซึ่งวิสัยแหงพระสาวกนี้ เพราะเหตุการณนั้น อันวาพระปาฏิโมกขสังวรศีลนี้ พระภิกษุมีศรัทธาสมาทานสิกขาบทที่ พระพุทธองคทรงบัญญัติไว ดวยประการใดอยาใหเหลือแลว อยากระทําความอาลัยในชีวิต พึงมีจิต จํานงปลงรักเรงปฏิบัติกระทําใหบริบูรณ “วุตฺตํ เหตํ” คําที่กลาวมานี้ก็จริงเหมือนพระบาลี ที่พระองคผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไว เปนคําอุปมาวา “กิกีว อณฺฑํ จามรีว พาลธี” นางนกกระตอยตีวิดรักษาฟอง ทรายจามรีรักษาขน มารดาบิดารักษาบุตรของตนเปนบุตรผูเดียว บุรุษมีจักษุขางเดียว ขางหนึ่งบอดเสียแลว ก็รักใคร หวงใยดวงจักษุแหงตน สัตว ๔ จําพวกนี้ ปฏิบัติฉันใด พระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ เรงปฏิบัติรักษา ศีลแหงตนโดยเคารพคารวะ จงรักภักดีตอสิกขาบทบัญญัติใหจงได มีอุปไมยเหมือนสัตว ๔ จําพวก นั้น “อปรมฺป วุตตํ” ใชแตเทานั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไวเปนอุปมาวา “มหาสมุทฺโท ถีติธมฺโม” มหาสมุทรเปนถีติธรรมตั้งอยูเปนปกติ ไมไหลลวงซึ่งฝงได “ยถา” อันนี้ แลมีอุปมาฉันใด สิกขาบทที่เราบัญญัติแกสาวกทั้งหลาย สาวกแหงเราก็ไมประพฤติลวงสิกขาบท เพราะเหตุชีวิตแหงตน “เอวเมวโข ตถาเอว” อันนี้ก็มีอุปไมยเหมือนดังนั้น “โจเรหิ พนฺธเถรานํ” วัตถุนิทานแหงพระเถระทั้งหลายที่โจรผูกไวในอรัญราวปา บัณฑิต พึงรูในอรรถ คือพระสาวกมิไดลวงสิกขาบทบัญญัติเพราะเหตุชีวิตนี้ “กิร” ดังไดสดับมา โจรทั้งหลายอยูในดงใกลหนทางอันใหญ จับพระเถระนั้นใหนอนอยูใน ปา พระมหาเถระนอนอยูดวยประการนั้น เจริญพระวิปสสนาเจ็ดทิวาราตรี บรรลุถึงพระอนาคามิผล กระทํากาลกิริยาตายในสถานที่นั้น ไดไปบังเกิดในพรหมโลก “อปริป เถรํ พนฺธิตฺวา” ใชแตเทานั้น โจรทั้งหลายในตามพปณณิทวีป ผูกพระมหาเถรเจา องคหนึ่งไวดวยปูติลดาเถาวัลยเนาใหนอนอยูในปา เมื่อไฟปามาถึงพระผูเปนเจาก็มิไดตัดปูติลดา เจริญพระวิปสสนาไดสําเร็จพระอรหัตตเปนองคพระอรหันต ชื่อสมสีสีแลวก็ปรินิพพาน พระฑีฆภาณก อภัยเถรเจาไปในสถานที่นั้นกับดวยพระภิกษุหารอย ไดเห็นแลวก็เผาสรีระใหไหมไดพระธาตุ จึงให ชนทั้งหลายกระทําพระเจดีย บรรจุพระธาตุไวในพระเจดีย เพราะเหตุการณนั้น กุลบุตรผูบวชในพระ ศาสนาประกอบดวยศรัทธาอื่น ๆ นั้นเมื่อจะชําระพระปาฏิโมกขสังวรศีล ก็พึงละเสียซึ่งชีวิต อยาพึง ทําลายศีลสังวรที่องคพระบรมโลกนาถบัญญัติไวโดยแทจริง อนึ่งพระภิกษุในพระศาสนานี้ ยังพระปาฏิโมกขสังวรศีลใหบริบูรณดวยศรัทธาฉันใด ก็พึงยัง อินทรียสังวรศีลใหบริบูรณดวยสติฉันนั้น อินทรียสังวรศีลนี้สําเร็จดวยสติ เพราะเหตุอินทรียทั้งหลายมีจักษุอินทรียเปนอาทินั้น พระภิกษุตั้งไวยิ่งรักษาไวใหดีดวยสติแลวบาปธรรมทั้งหลายมีอภิชฌา เปนประธานก็มิอาจติดตาม ครอบงําไดเหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุพึงมีจิตคิดคํานึงถึงพระอาทิตตปริยายสูตรที่องคสมเด็จพระผู ทรงพระภาคตรัสเทศนาไวโดยนัยเปนอาทิวา “ภิกฺขเว” ดูกอนภิกษุทั้งหลาย จักษุอินทรียที่บุคคล แทงเขาดวยซี่เหล็กอันไฟไหมแลวลุกรุงเรืองจําเดิมแตตน แลมีเปลวไฟรุงเรืองไปโดยรอบคอบ ก็ ประเสริฐกวาอนุพยัญชนะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 48 “โส นิมิตฺตคาโห” การที่พระภิกษุถือเอาซึ่งนิมิตโดยอนุพยัญชนะวา เกศางามเปนอาทิใน รูปทั้งหลาย อันพระภิกษุจะพึงเห็นนั้นมิไดประเสริฐโดยแท เมื่อพระภิกษุ อนุสสร คํานึงถึงพระธรรมเทศนาพระอาทิตตปริยายสูตรดังนี้แลว หามเสีย ซึ่งนิมิตโดยอนุพยัญชนะ อันบาปธรรมทั้งหลาย มีอภิชฌาเปนตน จะพึงติดตามครอบงําเปนของขวน แหงวิญญาณ อันประพฤติเปนไปดวยทวารทั้งหลายมีจักษุทวารเปนอาทิ ในอารมณเปนประธาน ดวย สติอันไดหลงลืมแลว แลพึงชําระอินทรียสังวรศีลนั้นใหบริสุทธิ์ เอวํ ก็มีดวยประการดังนี้ เอวํ อสมฺปาทิเตหิ เอตสมึ ปาฏิโมกฺขสีลํป อนทฺธนียํ โหติ อจิรฏฐิติกํ อสํ วิหิตสาขา ปริวารมิว สสฺสํ หฺญเต จายํ กิเลสโจเรหิ วิวฏทฺวาโร วิย คาโม ปรสฺสหารีภี จิตฺตฺจสฺส ราโค สมติ วิชฺฌติ ทุจฺฉนฺน อคารํ วุฏิ วิย วุตฺตมฺปเจตํ รูเปสุ สทฺเทสุ อโถ รเสสุ คนฺเธสุ ผสฺเสสุ จ น รกฺขตินฺทฺริยํ เอเต หิ ทฺวารา วิวฏา อรกฺขิตา หินนฺติ คามํว ปรสฺส หาริโน ยถา อคารํ ทุจฉนฺนํ วุฏฐิ สมติวิชฺฌติ เอวํ อภาวิตํ จิตฺติ ราโค สมติวิชฺฌตีติ วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนาในจตุปาริสุทธิศีลสืบ อนุสนธิตามกระแสวาระพระ บารมี มีเนื้อความวา “เอวํ อสมฺปาทิเตหิ” แทจริงในเมื่ออินทรียสังวรศีล อันพระภิกษุมิไดกระทําให บริบูรณแลวพระปาฏิโมกขสังวรศีลนั้นก็ไมควรแกกาล ไมตั้งอยูสิ้นกาลชานาน มีอุปมาดุจดังขาวกลา อันชาวนามิไดลอมรั้ว ไมฉะนั้น โจรทั้งหลายกลาวคือราคาทิกิเลส ก็จะเบียดเบียนพระภิกษุมีอุปมาดุจดังวาประตู บานอันบุคคลมิไดปด โจรทั้งหลายก็เขาไปฉกลักสรรพพัสดุขาวของเงินทองทั้งปวง “จิตฺตฺจสฺส ราโค” ใชแตเทานั้น ราคาทิกิเลสก็จะรันทําย่ํายีจิตสันดานแหลงพระภิกษุนี้มีอุปมาดุจดังวาหยาด น้ําฝนอันรั่วลงมาสูเรือนอันบุคคลมุงหาง “วุตตมฺป เจตํ” นัยหนึ่ง องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไววา “รูเปสุ สทเทสุ อโถ” อนึ่งโยคาวจรภิกษุไมรักษาอินทรียใหปราศจากการที่จะถือเอาซึ่งนิมิตเปนอาทิ ในรูปแลเสียง แลกลิ่น แลรส แลโผฏฐัพพะสัมผัสถูกตอง ไมรักษาทวารทั้งหลายมีจักษุทวารเปนอาทิ เปนทวารไม สังวร โจรทั้งหลายคือราคาทิกิเลสก็จะเบียดเบียนจิตสันดานแหงพระภิกษุนั้น มีอุปมาดังวาโจร ทั้งหลายอันเบียดเบียนชาวบาน อนึ่ง หยาดน้ําฝนยอมรั่วลงมาสูเรือนอันบุคคลมุงมิไดดี “ยถา” อันนี้แลมีอุปมาฉันใด ก็มี อุปไมยเหมือนหนึ่งราคะ ยอมรับทําจิตสันดานแหงบุคคลอันเวนแลวจากโลกุตตรภาวนา “สมฺปาทิเต ปน ตสฺม”ึ ในเมื่ออินทรียสังวรศีลนั้น อันพระภิกษุกระทําใหบริบูรณแลว พระปาฏิโมกขสังวรศีลควร แกกาลนาน และจะตั้งแวดลอมไวเปนดี กิเลสโจรทั้งหลายก็มิไดเบียดเบียนพระภิกษุนี้มีอุปมาดุจดัง บานมีทวารอันบุคคลปดดีแลว โจรทั้งหลายก็มิไดเบียดเบียนได “น จสฺส จิตฺตํ ราโค” อนึ่งราคะก็มิไดรันทําย่ํายีจิตแหงพระภิกษุนี้ มีอุปมาดุจดังวาหยาด น้ําฝนอันมิไดตกลงมาสูเรือนอันบุคคลมุงดีได “วุตฺตมฺป เจตํ” นัยหนึ่ง องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาไววา พระภิกษุรักษา อินทรีย ใหเวนจากกิริยาที่จะถือเอาโดยนิมิตเปนอาทิ ในรูปเสียงแลกลิ่นแลรส แลโผฏฐัพพะสัมผัส ถูกตอง ปดทวารมีจักษุทวารเปนอาทิไว โจรทั้งหลายคือกิเลสก็มิไดเบียดเบียนจิตสันดานของ พระภิกษุ มีอุปมาดุจดังวาโจรทั้งหลายไมเบียดเบียนได ซึ่งบุคคลทั้งหลายอันปดประตูแลวแลอยูใน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 49 บาน “ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ” เมล็ดฝนไมรั่วลงมาสูเรือนอันบุคคลมุงแลวก็ดี “ยถา” อันนี้แลมีอุปมาฉัน ใด “เอวํ อุภาวิตํ จิตฺต”ํ ราคะอันมิไดรันทําย่ํายีจิตพระภิกษุอันเจริญโลกุตตรภาวนาฉันนั้น พระคาถาทั้ง ๒ ที่องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนานี้เปนพระธรรมเทศนาอัน อุกฤษฏ “จิตตํ นาเมตํ ลหุปริวตฺติ” ธรรมดาจิตนี้ยอมกลับกลายประพฤติไปเปนพลัน เพราะเหตุนั้น ภิกษุบรรเทาเสียซึ่งราคะอันบังเกิดในจิต ดวยกระทําไวในใจซึ่งอสุภกัมมัฏฐานภาวนาแลว แลยัง อินทรียสังวรใหบริบูรณเหมือนพระวังคีลเถรเจา อันบรรพชาสิ้นกาลมิไดนาน “กิร” ดังไดสดับมา พระวังคีสเถระนี้ เมื่อพระผูเปนเจาบวชใหม เที่ยวไปบิณฑบาตได ทัศนาการเห็นหญิงคนหนึ่ง ราคะก็บังเกิดขึ้นในจิตพระผูเปนเจาจึงกลาวแกพระอานนทเถรเจาวา “กามราเคน ทยฺหา มิ” กามราคะเผาอันจิตแหงขาใหไดความรอน เพราะแรงราคะเขารันทําดังขา พระองคขออาราธนาทานอันบังเกิดในโคตมวงศ ทานจงกลาวอุบายที่จะยังราคะใหดับ เพื่ออนุเคราะห แกขาพระองคในกาลบัดนี้ พระอานนทเถรเจาจึงกลาววา ดูกรอาวุโส จิตของทานไดความเดือดรอนเพราะเหตุมีสําคัญ วิปริต ทานจงเวนเสียซึ่งนิมิตเปนเหตุที่จะยังราคะใหบังเกิดคือสําคัญวางาม ดวยสามารถมิไดกระทํา ไวในใจ จงเจริญจิตแหงตนใหมีอารมณเปนหนึ่ง ใหตั้งมั่นดวยอสุภภาวนาสําคัญวาไมงาม จงเห็นซึ่ง สังขารธรรมทั้งหลายคือนามแลรูป อันประพฤติเปนไปโดยฝายอื่น คือจะนํามาซึ่งทุกขแลมิใชของแหง ตน “นิพฺพาเปหิ มหา ราคํ” จงยังกองแหงกามราคะอันใหญใหดับ อยาใหราคะกระทําจิตแหงทาน ใหรอนเนือง ๆ “เถโร ราคํ วิโนเทตฺวา” พระวังคีสเถรเจาก็ยังราคะนั้นใหดับแลวก็เที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต นัยหนึ่ง “อินฺทริยสํวรปริปูรเกน” พระภิกษุในพุทธศาสนาจะยังอินทรียสังวรใหบริบูรณ พึงปฏิบัติดุจดังวาพระจิตตคุตตเถรเจาอันอยูในถ้ําชื่อวากุรุณฑกะ และพึงปฏิบัติใหเหมือนพระมหา มิตตเถรเจาอันอยูในโจรกมหาวิหาร “กิร” ดังไดสดับ “จิตฺตกมฺมํ มโนรมฺมํ” จิตคือนายชางเขียนเขาเขียนเรืองราว ่ พระพุทธเจาทั้ง ๗ พระองคออกทรงบรรพชาอันเปนที่จะยังจิตใหยินดีมีในถ้ําอันใหญชื่อวา กุรุณฑกะ พระภิกษุทั้งหลายเที่ยวจาริกไปในเสนาสนะ ไดเห็นจตรกรรมในถ้ําที่อยูพระจิตตคุตตเถรเจา จึงมา กลาวคําสรรเสริญในสํานักพระผูเปนเจาวา “มโนรมํ ภนฺเต” ขาแตพระผูเปนเจา จิตรกรรมในถ้ําอันนี้ ควรจะเปนที่ยินดีแหงจิต พระจิตตคุตตเถรเจาจึงกลาววา ดูกอนอาวุโสทั้งหลาย แตเราอยูในถ้ําอันนี้ มามากกวาหกสิบวัสสาแลว เรามิไดรูวาจิตกรรมมีหรือวาไมมีในถ้ํา เราพึ่งรูในเพลาวันนี้ เพราะเหตุ อาศัยทานทั้งหลายอันมีจักษุ แทจริงพระจิตตคุตตเถรเจาอยูในถ้ําสิ้นกาลนานถึงเทานี้ พระผูเปนเจา ไมเคยจะเงยหนาลืมตาขึ้นแลในเบื้องบนถ้ําเลย อนึ่งตนกากะทิงใหญมีอยูแทบประตูน้ํา พระผูเปนเจา ก็มิไดเงยพักตร แลขึ้นไปในเบื้องบนตนกากะทิง ครั้นถึงปตนกากะทิงนั้นมีดอกเกสรดอกกากะทิงนั้น โรยรวงมายังพื้นแผนดินภายใตใกลปากถ้ํา พระมหาเถรเจาจึงรูวาตนกากะทิงนี้มีดอก “ราชา ตสฺส คุณสมฺปตฺตึ สุตฺวา” บรมกษัตริยทรงทราบวา พระหาเถรเจาบริบูรณดวยคุณดังนี้ มีความปรารถนาจะ ถวายนมัสการ สงขาวสารไปอาราธนาเขามาสูมหาคามถึงสามครั้ง พระมหาเถรเจาก็มิไดมา พระองค จึงยังราชบุรุษ ใหผูกถันแหงหญิงทั้งหลายที่มีบุตรอันออนอยู ในมหาคามดวยผาผูกถันนั้นตีตรา ประทับมีใหแกดวยพระโองการตรัสวา พระมหาเถรเจายังไมมาตราบใด ทารกทั้งหลายอยาไดดื่ม น้ํานมตราบนั้นพระหาเถรเจาก็มาสูมหาคาม เพื่อจะอนุเคราะหแกทารกทั้งหลาย บรมกษัตริยไดทรง ฟงวา พระจิตตคุตตเถรเจามาแลว จึงตรัสสั่งราชบุรุษทั้งหลายวา ดูกรนายทานจงเรงออกไปอาราธนา พระผูเปนเจาเขามาเราจะรักษาศีล ตรัสดังนี้แลว ราชบุรุษก็ไปนิมนตพระมหาเถรเจาเขาไปใน พระราชฐาน แลวทรงนมัสการอังคาสดวยขาทนียะโภชนียะ แลวตรัสวาขาแตพระผูเปนเจา เพลาวันนี้ ขาพระอาวไมมีโอกาสตอวันพรุงนี้จึงจะสมาทานศีล ทรงถือเอาบาตรแหงพระมหาเถรเจาตามไปสงถึง วารพระราชวัง พระมหาเถรเจาก็มิไดกระทําเปนแผนกแยกออกวาบรมกษัตริยแลราชเทวีกลาววา “มหาราช” ดูกรมหาราช มหาบพิตรจงอยูเปนสุขเถิด แตพระมหาเถรเจาประพฤติดังนี้ จนลวงไปเจ็ด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 50 วันแลว พระภิกษุทั้งหลายจึงถามวา ขาแตพระผูเปนเจา เมื่อบรมกษัตริยถวายนมัสการพระผูเปนเจา กลาววา มหาราชอยูเปนสุขเถิด เมื่อราชเทวีถวายนมัสการพระผูเปนเจากลาววา ดูกรมหาราช ทานจง อยูเปนสุขเถิด เหตุดังฤๅพระผูเปนเจาจึงกลาวเหมือนกันไปดังนี้ พระมหาเถรจึงกลาวตอบคําวา เรา มิไดกําหนดวา บุคคลนี้เปนกษัตริย บุคคลนี้เปนราชเทวี “สตฺตา หาติกฺกเม” ในเมื่อ ๗ วันลวงไป แลว บรมกษัตริยทรงคิดวาพระผูเปนเจามาอยูในมหาคามนี้มีความลําบาก ทรงอนุญาตแลว พระผูเปน เจาก็ไปสูถ้ําอันใหญชื่อวา กุรุณฑกะ ในเพลาราตรีก็ขึ้นสูที่จงกรม “นาครุกเขอธิวฏา เทวตา” เทพยดาที่สิงอยู ณ ตนกากะทิง มีมือถือประทีปดามสองแสงเพลิงถวายยื่นอยูในที่ใกลจงกรม ในกาล นั้น พระกรรมฐานของพระผูเปนเจาบริสุทธิ์ยิ่งนักปรากกฏแกพระผูที่เปนเจา พระมหาเถรเจาก็มีจิต ยินดีวา วันนี้พระกรรมฐานปรากฏแกเรายิ่งนัก ในเพลาลําดับมิชฌิมยาม พระผูเปนก็ยังภูเขาทั้งปวงให สะเทื้อนสะทานหวั่นไหว ไดบรรลุถึงพระอรหันต เหตุการณนั้น กุลบุตรพุทธชิโนรสองคอื่นในพระพุทธศาสนานี้มีความปรารถนาซึ่ง ประโยชน อยามีจักษุอันเหลือกลาน ดุจวานรในอรัญราวปา แลเนื้อในอรัญประเทศอยาตื่นตระหนก ตกใจ จงทอดทิ้งจักษุทั้งหลายไปในเบื้องต่ํา “ยุคมตตทสฺโส” เล็งแลไปแตชั่วแอกหนึ่ง อยาพึงถึง ซึ่งอํานาจแหงจิต ดุจพรานปาอันลนลาน ในวัตถุนิทานพระมหามิตตเถรเจาวา อุบาสิกามารดาของพระมหามิตตเถรเจา
“วิสคณฺฑโรโค”
โรคฝอันมีพิษ
บังเกิดขึ้นแก
อันธิดาของอุบาสิกานี้ ก็บวชเปนภิกษุณี มหาอุบาสิกาจึงวาแกพระภิกษุณีนั้นวา ทานจง ไปสูสํานักแหงพระผูเปนเจาผูเปนพี่บอกวามารดาไมสบาย ใหพระผูเปนเจาหายามารักษา พระภิกษุณี นั้นก็ไปบอกแกพระมหามิตตเถรเจา ๆ จึงกลาววา อาตมาไมรูจักที่จะประมาณมาซึ่งเภสัชมีรากไม เปน อาทิ แลวแลจะไดปรุงตมสงไปใหแกอุบาสิกา อนึ่งเราจะบอกใหแกทาน ทานจงไปเถิด ไปกลาววา “อหํ ยโต ปพฺพชิโต” เราบวชแลวกาลใด จําเดิมแตกาลนั้นมา เรามิไดทําลายอินทรียสังวรศีล แลว แลเล็งดูซึ่งวิสภาครูปารมณ คือรูปแหงหญิงดวยจิตอันสหรคตถึงพรอมดวยโลภ ดวยความสัตยอันนี้ มารดาแหงขาจะผาสุกเถิด เมื่อทานกลาวคําดังนี้แลวจงเอามือปรามาสลูบคลําสรีรกายแหงอุบาสิกา “สา คนฺตวา ตมตฺถํ อาโรเจตวา” พระภิกษุณีนั้นกลับไปบอกประพฤติเหตุนั้นแกมารดา แลวก็ กระทําเหมือนคําพระมหามิตตเถรเจาสั่งโรคคือฝพิษแหงอุบาสิกาก็ฝอไป ดุจดังวาฟองน้ําอันตรธาน หายในขณะนั้นแทจริง อุบาสิกาก็ลุกขึ้นทันที เปลงวจีเภทดวยจิตอันชื่นชมวา “สเจ สมฺมาสมฺพุทโธ” ถาแลวาองคพระสัมมาสัมพุทธเจายังทรงพระชนมอยู ดังฤๅจะไมพึงปรามาสศีรษะพระภิกษุเห็นปาน ดุจดังวาบุตรแหงเรา ดวยพระหัตถอันวิจิตรอันเลขามีขออันตรงตั้งอยูแลวดวยอาการดุจดังวาขาย อัน บุคคลขึงไวในชองหนาตาง เหตุการณนั้น กุลบุตรอื่นถือตนวาบังเกิดในสกุลแหงบุคคลอันเปนอาจารยแหงสกุล ทั้งหลาย บรรพชาในพระศาสนาแลว พึงตั้งอยูในอินทรียสังวรศีลอันประเสริฐ ดุจดังวาพระมหามิตต เถรเจานี้ อนึ่ง มีคําอุปมาวา “อนฺทริยสํวโร” อินทรียสังวรศีลนั้นพระภิกษุพึงกระทําใหบริบูรณดวย สติอยางไร อาชีวปราริสุทธิศีลนั้น พระภิกษุพึงกระทําใหบริบูรณดวยความเพียรเหมือนอยางนั้น แทจริง อาชีวปาริสุทธิศีลนั้นสําเร็จดวยความเพียร เพราะเหตุวาความเพียรที่พระภิกษุ ปรารภดวยอาการอันดีนั้น ก็จะสละเสียซึ่งมิจฉาชีวะ เพราะเหตุดังนั้น พระภิกษุไมปรารถนาจะเสพซึ่ง ปจจัยอันไมบริสุทธิ์ดุจดังอสรพิษ พึงละเสียซึ่งอเนสนะแสวงหามิไดควรแลว ยังอาชีวปาริสุทธิศีลให บริบูรณ ดวยกิจที่จะแสวงหาดวยอาจาระอันชอบธรรม มีบิณฑบาตจาริกวัตร คือเที่ยวไปบิณฑบาต เปนอาทิดวยความเพียรแหงตน ปจจัยทั้งหลายบังเกิดขึ้นแตสํานักแหงสงฆ และคณะแกพระภิกษุอัน มิไดรักษาธุดงค ปจจัยนั้นก็ไดชื่อวาบังเกิดขึ้นดวยบริสุทธิ์ อนึ่งปจจัยทั้งหลายบังเกิดขึ้นแตสํานักแหง คฤหัสถ อันเลื่อมใสดวยคุณทั้งหลายของพระภิกษุนี้มีธรรมเทศนาคุณเปนอาทิ ปจจัยนั้นก็ไดชื่อวาบัง เกิดขึ้นดวยบริสุทธิ์ อนึ่งปจจัยทั้งหลายบังเกิดดวยสัมมาเอสนา คือภิกษุแสวงโดยชอบมีเที่ยวไป
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 51 บิณฑบาตเปนอาทิ ชื่อวาบังเอิญดวยบริสุทธิ์ยิ่งนัก เมื่อพระภิกษุรักษาธุงดงคอยู ปจจัยทั้งหลายเกิด ดวยวัตร มีอันเที่ยวไปบิณฑบาตเปนอาทิ แลบังเกิดขึ้นแตสํานักแหงคฤหัสถทั้งหลายอันเลื่อมใสใน ธุดงค คุณของพระภิกษุนี้โดยอนุโลมตากําหนดซึ่งธุดงคนั้น ปจจัยอันนั้นก็ชื่อวาบังเกิดขึ้นดวยบริสุทธิ์ อนึ่งเภสัชคือสมอดองดวยมูตรโคบูด แลจตุมธุรสทั้ง ๔ บังเกิดแกพระภิกษุอันเปนไข เพื่อจะระงับเสีย ซึ่งพยาธิอันหนึ่ง พระภิกษุนั้นคิดวาสพรหมจรรยทั้งหลายอื่นจะไดบริโภค จตุมธุรสตนก็บริโภค แตชิ้น สมอธุดงคสมาทานของพระภิกษุนั้น ก็สมควรแกพระภิกษุนั่น ก็ไดชื่อวารักษาไวซึ่งวงศแหงพระอริย เจาอันอุดม อนึ่ง เมื่อพระภิกษุชําระอาชีวปาริสุทธิศีล ธรรมทั้ง ๔ ประการคือ นิมิต ๑ โอภาส ๑ ปริกถา ๑ วิญญัติ ๑ อันพระภิกษุจะใหประพฤติเปนไปในจีวร แลบิณฑบาตนั่นมิไดควร อนึ่ง พระภิกษุมิไดรักษาซึ่งธุดงค นิมิตแลโอภาสแลปริกถาทั้ง ๓ นี้ อันพระภิกษุนั้นให ประพฤติเปนไปในเสนาสนะนั้นควร จะสังวรรณนาในนิมิตนั้นกอน มีเนื้อความวา พระภิกษุกระทํากิจทั้งหลาย มีบริกรรมภาคพื้น เพื่อประโยชนแกเสนาสนะ คือที่นอนที่นั่งคฤหัสถทั้งหลายถาวา “กึ ภนฺเต กริยติ” ขาแตพระผูเปน เจาผูเจริญ พระผูเปนเจากระทํากิจดังฤๅ บุคคลงดังฤๅ ยังพระผูเปนเจาใหกระทํากิจการนี้ พระภิกษุก็กลาวคําตอบวา “น โกจิ การาเปติ” ใครที่ไหนจะใหรูปกระทํา รูปกระทําเอง กรรมคือพระภิกษุกระทําดังนี้ ชื่อวานิมิตกรรม อนึ่ง พระภิกษุกระทํานิมิตอยางอื่น เหมือนิมิตกรรมนี้ชื่อวา นิมิตกรรม โอกาสที่ ๒ นั้น มีเนื้อความอันพระภิกษุถามวา ดูกรอุบาสกทั้งหลาย ทานทั้งหลายนี้อยูใน ที่ดังฤๅ อุบาสกก็กลาวคําตอบวา “ปาสาเท ภนฺเต” ขาแตพระผูเปนเจา ผูเจริญ ขาพระองคทั้งปวง นี้ อยูในปราสาท พระภิกษุถามวา
ดูกรอุบาสกทั้งหลาย
ปราสาทใหมควรแกพระภิกษุแลฤๅ
ดังนี้ชื่อวา
โอภาส ภิกษุกลาวคําอันใดอันอื่นเหมือนอยางนี้ คําอันนี้ก็ชื่อวาโอภาสกรรม เอวํ ก็มีดวยประการ ดังนี้ "ปริกถา นาม ภิกฺขุสงฺฆสฺส เสนาสนํ สมฺพาธนฺติ วจนํ ยา วาปนฺญาป เอวรูปา ปริยายกถา เกสชฺเช สพฺพํ วุฏฏติ ตถา อุปฺปนฺนํ ปน เภสชฺชํ โรเค วูปสนฺเต ปริภฺุชิตุ ํ น วุฏฏ ติ ตตฺถ วินยธรา ภควตา ทฺวารํ ทินฺนํ ตสมา วุฏฏตีติ วาทนฺติ สุตฺตนฺติกา ปน กิฺจาป อาปตฺโต ปโหติ อาชีวํ ปน โกเปติ ตสฺมา น วุฏฏติ อิจฺเจวํ วทนฺติ โย ปน ภควตา อนฺุญาตาป นิมตฺโต ภาสปริกถา วิฺญตฺติ อกโรนฺโต อปฺปจฺฉตาทิคฺเณเยว นิสฺสาย ชีวิตกฺขเยป ปจฺจุปฏฐิเต อฺญ เตรโวภาสาทีหิ อุปปนนํ ปจฺจเย ปฏิเสวติ" วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนาในจตุปาริสุทธิศีล สืบอนุสนธิตามกระแสงวาระพระ บาลี มีเนื้อความวา พระภิกษุกลาววา “เสนาสนํ สมฺพาธํ” เสนาสนะที่อยูแหงพระภิกษุสงฆคับแคบ นักดังนี้ ชื่อวาปริกถา อนึ่ง คําที่พระภิกษุกลาวอยางอื่น ๆ เหมือนอยางนี้ ก็ชื่อวาปริยายกถา “เภสชฺเช สพพมฺป วุฏฏติ” นิมิตแลโอภาส แลปริกถาทั้งปวงนี้ พระภิกษุใหประพฤติเปนไปในเภสัชก็ควร
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 52 อนึ่ง เภสัชบังเกิดขึ้นแกพระภิกษุ อันกระทํานิมิตแลโอภาส แลปริกถา เมื่อโรคระงับแลว พระภิกษุจะบริโภคเภสัชนั้นไมควรในเภสัชนั้น พระมหาเถระผูทรงวินัยกลวา “ภควตา ทวารํ ทินุนํ” องคพระผูทรงพระภาคประทานชองไวใหอยู เพราะเหตุการณนั้น พระภิกษุบริโภคเภสัช ที่เกิดขึ้นดวย นิมิตกรรมเปนอาทิ ในกาลเมื่อไขหายแลวก็ควร พระมหาเถระทั้งหลาย อันทรงไวซึ่งพระสูตรกลาววา “อาปตฺติ น โหติ” อาบัติไมมีโดยแท ถึงกระนั้นก็ดี พระภิกษุบริโภคเภสัชอันบังเกิดขึ้นดวย ประการนั้น ชื่อวายังอาชีวปาริสุทธิศีลใหกําเริบ เหตใดเหตุนั้น พระภิกษุจะบริโภคเภสัชอันนั้นในกาล หาโรคมิไดก็ไมควร อนึ่ง พระภิกษุรูปใด ไมกระทํานิมิต แลโอภาส แลปริกถา แลวิญญัติที่พระพุทธองคทรง อนุญาตอาศัยคุณทั้งหลาย มีอัปปจตาคุณคือมีความปรารถนานอยเปนอาทิ ถึงวาชีวิตจะสิ้นไปก็เสพ แตปจจัยทั้งหลายอันบังเกิดขึ้น ดวยอันเวนจากโอภาสเปนอาทิ “เอส ปรมสลฺเลขวุตติ” พระภิกษุนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาค ตรัสเทศนาสรรเสริญ วาประพฤติสัลเลขพึงกระทําใหนอยแหงกิเลสจิตอันอุดม “เสยฺยถาป เถโร สารีปุตฺโต” เหมือนพระ ธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถรเจา กิร ดังไดสดับมา ในสมัยหนึ่ง พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเจริญวิเวกอยูในอรัญราวปาแหง หนึ่ง กับดวยพระมหาโมคคัลลานะเถรเจาวันหนึ่งอาพาธลมในอุทรประเทศ บังเกิดแกพระผูเปนเจาให ไดความทุกขเวทนาอันยิ่ง ครั้นถึงเพลาสายัณห พระมหาโมคคัลลานะเถรเจาผูมีอายุไปสูที่อุปฏฐาก เห็นพระผูเปนเจานอนอยูทราบวาอาพาธจึงถามวา “ปุพฺเพวเต อาวุโส” ขาแตทานผูมีอายุแตกาลปาง กอน ความไมสบายนี้เคยบังเกิดแกทานแลหรือ จึงมีเถรวาทบอกประพฤติเหตุแกพระมหาโมคคัลลานะวา ขาแตอาวุโส โมคคัลลานะ ใน กาลเมื่ออาตมาเปนคฤหัสถอยูนั้น โรคลมอยางนี้บังเกิดมีแลว อุบาสิกาผูเปนมารดาเคยใหขาวขีร ปายาสอันมิไดเจือกับน้ําประกอบดวยสัปปแลน้ําผึง แลน้ําตาลกรวดแกอาตมาครั้นบริโภคแลวโรคลมนี้ ก็ระงับหายไดรับความผาสุก พระมหาโมคคัลลานะผูมีอายุจึงกลาววา ขาแตอาวุโสเหตุอันนี้จงยกไว ถาแลวาบุญของขาพระองค และบุญของพระผูเปนเจามี วันพรุงนี้ก็จะไดขีรปายาสโดยแท เมื่อพระ มหาเถรเจาทั้งสองกลาวถอยคําดวยกันดังนี้ เทพยดาสิงสูอยูในตนไมใกลที่สุดที่จงกรม ไดฟงแลวคิด วา ในวันพรุงนี้ เราจักยังขีรปายาสใหบังเกิดแกพระผูเปนเจารุกขเทพยดาก็ไปสูสกุลกุลบุตร ผูปฏิบัติ พระมหาเถรเจาเขาสิงอยูในสรีระบุตรแหงผูใหญในสกุล ยังความลําบากใหบังเกิดขึ้นในกาลนั้น ญาติ ทั้งหลายแหงกุลบุตรนี้ ประชุมกันพรอมเพื่อวาจะเยียวยารักษากัน เทพยดาจึงกลาววา ถาทาน ทั้งหลายจะตกแตงขาวปายาสอยางนี้ ไปถวายแกพระผูเปนเจาในเพลารุงเชา เราก็จะปลอยปละ ละเลยเสียซึ่งบุตรแหงทาน มนุษยทั้งหลายในสกุลนั้นจึงกลาววาถึงทานไมบอกแกเรา ขาพเจาทั้ง ปวงก็คงจะถวายภิกขาหาร แกพระผูเปนเจาทั้งสองนั้นสิ้นกาลเปนนิตย กลาวดังนี้แลวในวันเปนคํารบ ๒ ก็ตกแตงขาวปายาสไว คอยจะถวายใสบาตรพระผูเปนเจาเพลาเชา พระมหาโมคคัลลานะเถรเจาก็ ไปยังสํานักแหงพระธรรมเสนาบดี มีเถรวาทวา ขาแตผูอาวุโส ทานจงอยูในสถานที่นี้ ตราบเทาถึง เพลาที่ขาพระองคจะกลับมา พระมหาโมคคัลลานะเถรเจากลาวคําสั่งพระธรรมเสนาบดีเถรเจาดังนี้ แลว ก็เขาไปสูโคจรคามนุษยทั้งหลายในสกุลนั้น ก็กระทําตอนรับโดยเคารพ รับเอาบาตรอาราธนาให นั่งเหนืออาสนะ ใสขาวปายาสในบาตร แลวก็อังคาสถวายแกพระผูเปนเจา พระมหาโมคคัลลานะเถร เจา รับขาวปายาสแลวก็กระทําอาการที่จะกลับไป มนุษยทั้งหลายเหลานั้นจึงกลาววา ขาแตพระผูเปน เจา พระผูเปนเจาจงกระทําภัตตกิจเสียกอนเถิด เมื่อกลับไปขาพระองคจะถวายขีรปายาสอันอื่นแก พระผูเปนเจา กลาวดังนี้ยังพระมหาโมคคัลลานเถรเจาใหบริโภค จึงใสขาวปายาสอื่นลงใหเต็มบาตร ถวายพระผูเปนเจา พระมหาโมคคัลลานะไดขีรปายาสกลับมาถึงแลวจึงเถรวาทวา ขาแตอาวุโสสารี บุตร ขออาราธนาบริโภคขีรปายาส จึงนอมบาตรเขาสูที่ใกล “เถโรป ตํ ทิสฺวา” พระสารีบุตรเถรเจา ไดเห็นขาวปายาสนั้น จึงคิดวาขาวปายาสนี้ เปนที่ยังจิตใหเจริญยิ่งนัก “กถํนุโข โส อุปฺปนฺโน” ดัง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 53 เรารําพึงขาวปายาสนั้นบังเกิดขึ้น เพราะพระผูเปนเจาบอกแกพระมหาโมคคัลลานะ จึงมีเถรวาทวา ขา แตพระมหาโมคคัลลานะ ทานจงนําเอาขาวปายาสนี้ออกไป บิณฑบาตินี้ไมควรที่เราจะบริโภค พระมหาโมคคัลลานะก็มิไดคิดวา พระสารีบุตรไมบริโภคบิณฑบาต บาตรอันพระภิกษุเห็น ปานดังเรานี้นํามาถวาย ก็จับเอาขอบบาตรไปเททิ้งเสียในที่สุดขางหนึ่ง ดวยคํา ๆ เดียว อาพาธลม แหงสารีบุตรเถรเจาก็อันตรธานหายไป พรอมดวยกาลที่ขาวปายาสตกจากบาตรลงไปตั้งอยูเหนือ ปฐพี จําเดิมแตนั้นมา ลมอาพาธอยางนั้นก็มิไดกลับมาบังเกิดมีแกพระผูเปนเจาประมาณเขานาน ถึง ๔๕ ปเปนกําหนด ในกาลเมื่ออาพาธอันตรธานหายไปนั้น พระธรรมเสนาบดีจึงกลาวแกพระมหาโมคคัลลานะ วา ขาแตอาวุโส ขาวปายาสบังเกิดขึ้น เพราะเหตุอาศัยวจีวิญญัติ ถึงวาไสใหญในสรีกายแหงเราออก มาแลวแลเรียงรายอยูเหนือแผนดิน ก็ไมควรที่เราจะบริโภคขีรปายาสนี้ พระผูเปนเจากลาวคําดังนี้แลว ก็เปลงขึ้นซึ่งอุทานกถาวา “วจี วิฺญตฺติวิปฺผารา อุปฺปนฺนํ มธุปายาสํ” เปนอาทิ อรรถาธิบายใน อุทานคาถาวา ขาแตอาวุโสโมคคัลลานะ ถาแลขาพเจาจะพึงบริโภคมธุปายาสอันบังเกิดขึ้น เพราะ เหตุขาพเจาเปลงออกซึ่งวาจาอันประกอบดวยอามิส อาชีวปาริสุทธิศีลของเรานั้น องคพระผูเปนเจา ทรงพระภาคก็พึงติเตียน อนึ่ง ไสใหญในอุทรประเทศของเรานี้ จะออกจากกายแหงเราแลว แลเรี่ยรายอยูภายนอก เราก็จะสละเสียซึ่งชีวิตแหง ที่เราจะทําลายอาชีวปาริสุทธิศีลแหงเรานั้นหามิได “อาราเธมิ สกํ จิตฺต”ํ เราจะยังจิตแหงเราใหยินดีที่จะเวนเสีย ซึ่งอเนสนะแสวงหามิไดควร นหํ “พุทฺธปฏิกุฏ”ํ เราก็ มิไดกระทําอเนสนะที่พระพุทธเจาทรงติเตียน ใชแตเทานั้นวัตถุนิทานแหงอัมพขาทกมหาติสสะเถระ อันบริโภคอัมพปานอยูในวิหารชื่อ วาจิรคุมพกะ อาจารยพึงนํามาแสดงในประพฤติสัลเลขอันอุดม ในอาชีวปาริสุทธิศีลนี้ เพราะเหตุการณนั้น พระยัติโยคาพจรภิกษุผูบวชดวยศรัทธาประกอบดวยวิจารณปญญา อยาพึงใหบังเกิดซึ่งจิตอันจะประพฤติเปนไปในอเนนะคือแสวงหามิไดควร พึงชําระอาชีวิปาริสุทธิศีล ดวยประการทั้งปวงดังนี้ “ยถา จ วิริเยน อาชีวปาริสุทธิ” อนึ่งอาชีวปาริสุทธิศีลนั้น พระภิกษุจะพึงใหบริบูรณดวย ความเพียรฉันใด ปจจัยสันนิสสิตศีลนี้ พระภิกษุก็พึงกระทําใหบริบูรณดวยปญญาเหมือนฉันนั้น แทจริงปจจัยสันนิสสิตศีลนั้นสําเร็จดวยปญญา เพราะเหตุวาพระภิกษุประกอบดวยปญญา จึงจะสามารถอาจเห็นซึ่งโทษแลอานิสงสในปจจัยทั้งหลาย เหตุใดเหตุดังนั้น พระโยคาพจรภิกษุพึง สละเสียซึ่งความกําหนัดในปจจัย พิจารณาปจจัยทั้งหลายอันบังเกิดขึ้นโดยธรรมโดยชอบดวยปญญา โดยวิธีกลาวแลวในหนหลัง จะยังปจจัยสันนิสสิตศีลนั้นใหบริบูรณ กิริยาที่พระภิกษุจะทําปจจเวกขณะ คือพิจารณาในปจจัยสันนิสสติศีลมี ๒ ประการ คือพิจารณาในกาลเมื่อไดปจจัยทั้งหลายประการ ๑ คือพิจารณาในกาลเมื่อบริโภคปจจัย ทั้งหลายประการ ๑ เปนปจจเวกขณะวิธี ๒ ประการดวยกันดังนี้ แทจริงพระภิกษุบริโภคปจจัยทั้งหลาย มีจีวรปจจัยเปนอาทิที่ตนพิจารณาดวยธาตุปจจเวก ขณะ และปฏิกูลปจจเวกขณะ แลวแลตั้งไวในกาลเมื่อไดก็หาโทษมิได แลบริโภคในกาลอันยิ่งขึ้นไป กวากาลที่ตนไดนั้น ก็หาโทษมิได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 54 อนึ่ง ปจจัยบริโภคแหงพระภิกษุอันพิจารณาดวยปญญา ในวิธีอันเรากลาวแลวในกาลเมื่อ บริโภคนั้นก็หาโทษมิได วินิจฉัยตัดสินใหหายสนเทหในปจจเวกขณะ บัณฑิตพึงรูโดยนัยอันเราจะกลาวดังนี้
คือพระภิกษุพิจารณาในกาลเมื่อบริโภค
ดังเราจะกลาวโดยพิสดาร “จตฺตาโร ปริโภคา” บริโภคมี ๔ ประการคือ ไถยบริโภคต ๑ อิณบริโภค ๑ ทายัชชบริโภค ๑ สามีบริโภค ๑ เปน ๔ ประการดวยกันดังนี้ ไถยบริโภคปฐมนั้นมีเนื้อความวา "ตตฺถ สงฺฆมชฺเฌป นิสีทิตฺวา" พระภิกษุทุศีลอยูใน ทามกลางสงฆแลวแลบริโภค ชื่อวาไถยบริโภค บริโภคดวยภาวะแหงตนเปนโจร อิณบริโภคเปนคํารบสองนั้นวา พระภิกษุมีศีลมิไดพิจารณาแลวบริโภค ชื่อวาอิณบริโภค เพราะเหตุการณนั้น ภิกษุพึงพิจารณาจีวรในกาลเมื่อบริโภคนุงหมทุก ๆ ครั้ง พระภิกษุพึงพิจารณา บิณฑบาตทุกคํารบบริโภค เมื่อพระภิกษุไมอาจพิจารณาดวยประการดังนั้น ก็พิจารณาจีวรแลบิณฑบาตนัน ในปุโรภัต ตกาล แตเชาจนเที่ยง แลปจฉาภัตตกาล แตเที่ยงจนถึงเพลาเย็น แลปุริมยาม แลมัชฌิมยาม แล ปจฉิมยาม ถาแลวาพระภิกษุไมพิจารณาแลวแลบริโภค แลมิไดพิจารณาในปุเรพัตตกาลเปนอาทิ ยัง อรุณใหขึ้นมา พระภิกษุนั้นก็ตั้งอยูในที่แหงอิณบริโภค อนึ่ง พระภิกษุพึงพิจารณาเสนาสนะ ในกาลเมื่อเขาไปสูที่นอนแลที่นั่งทุก ๆ ครั้ง “สติปจฺจยตา วุฏฏติ” พระภิกษุมีสติระลึกอยูที่จะพึงพิจารณาใหเปนเหตุปจจัย ในกาลที่ จะรับแลกาลที่จะบริโภคเภสัชจึงจะควรเมื่อพระภิกษุพิจารณาในกาลทั้ง ๒ ดังนี้มีแลว เมื่อพระภิกษุ กระทําซึ่งสติพิจารณาในกาลเมื่อรับ เมื่อบริโภคไมกระทําปจจเวกขณะสติอาบัติก็มีแกพระภิกษุนั้น เมื่อพระภิกษุพิจารณาในกาลทั้ง ๒ ดังนี้มีแลว เมื่อพระภิกษุกระทําซึ่งสติพิจารณาในกาล เมื่อรับ เมื่อบริโภคไมกระทําปจจเวกขณสติอาบัติก็มีแกพระภิกษุนั้น อนึ่ง เมื่อพระภิกษุรับมิไดกระทําปจจเวกขณะสติ เมื่อจะบริโภคไดกระทําปจจเวกขณสติ แลว อาบัติก็ไดมีแกพระภิกษุนั้น แทจริง “สุทธิ” แปลวาบริสุทธิ์ ๆ มี ๔ ประการคือ เทศนาสุทธิ ๑ สังวรสุทธิ ๑ ปริเยฏฐิ สุทธิ ๑ ปจจเวกขณสุทธิ ๑ เปนสุทธิ ๔ ประการดวยกันดังนี้ “ตตฺถ เทสนาสุทฺธิ นาม” แทจริงพระปาฏิโมกขสังวรศีลชื่อวา เทศนาสุทธิ นับเขาในสุทธิ ทั้ง ๔ ประการนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาค ตรัสพระสัทธรรมเทศนาเรียกชื่อวา เทศนาสุทธิ เพราะเหตุเพราะปาฏิโมกขสังวรศีลนั้น บริสุทธิ์ดวยกิริยาที่พระภิกษุแสดงซึ่งอาบัติ อินทรียสังวรศีลนี้ องคสมเด็จพระผูทรงพระภาค ตรัสเทศนาเรียกชื่อวาสังวรสุทธิศีล เพราะเหตุวาอินทรียสังวรศีลนั้น บริสุทธิ์ดวยสังวรคือพระภิกษุอธิษฐานจิตวา “น ปุเนวํ กริสฺสามิ” อาตมาจะไมกระทํากรรมเหมือนที่กระทํามาแลวใหมเลา อาชีวิปาริสุทธิศีลที่ ๓ ชื่อวาปริเยฏฐิสุทธิ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 55 แทจริงอาชีวปาริสุทธิศีลนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนารองเรียกชื่อวาปริ เยฏฐิสุทธิ เพราะเหตุวาอาชีวิปาริสุทธิศีลนั้นบริสุทธิ์ดวยกิริยาที่พระภิกษุละเสียซึ่งแสวงหาไมควร แลวแลยังปจจัยทั้งหลายใหบังเกิดขึ้นโดยธรรมโดยชอบ ปจจัยสันนิสสิตศีลที่ ๔ นั้นชื่อวาปจจเวกขณ สุทธิ แทจริงปจจัยสันนิสสิตศีลนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนารองเรียกชื่อวาปจจ เวกขณสุทธิ เพราะเหตุวาปจจัยสันนิสสิตนั้นบริสุทธิ์ดวยวิธีที่พระภิกษุพิจารณา โดยประการอันเรา กลาวแลว เพราะเหตุการณนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาวา “ปฏิคฺคหเณ ปน สติ อกตฺวา” ดังวิสุชนามาในหนหลัง ในทายัชชบริโภคที่ ๔ นั้น มีเนื้อความวา การที่จะบริโภคซึ่งปจจัยทั้ง ๔ แหงพระเสขอริย บุคคล ๗ จําพวกนั้น ชื่อวาทายัชชบริโภคคือบริโภคปจจัยอันองคพระสัมมาสัมพุทธเจาประทานให “เต หิ ภควโต ปุตฺตา” แทจริงพระเสขอริยบุคคล ๗ จําพวกนั้น เปนบุตรแหงองคสมเด็จพระผูทรงพระภาค เพราะ เหตุการณนั้น พระเสขอริยบุคคลจึงควรเพื่อถือเอาซึ่งปจจัยอันเปนของแหงบิดา จึงบริโภคไดซึ่ง ปจจัยทั้งหลายนั้น มีคําปุจฉาถามวา “กึ ปน เต ภควโต” พระเสขริยบุคคลทั้งหลายนั้นบริโภคซึ่งปจจัย ทั้งหลาย อันเปนของพระผูทรงพระภาคหรือวาบริโภคปจจัยอันเปนของแหงคฤหัสถ อาจารยวิสัชนาวา “ดิหีหิ ทินฺนาป ภควตา” ปจจัยทั้งหลายนั้นคฤหัสถถวาย ก็ไดชื่อวา เปนของแหงพระผูทรงพระภาค เหตุวาปจจัยทั้งหลายนั้นพระผูมีพระภาคทรงอนุญาต เหตุใดเหตุ ดังนั้นนักปราชญพึงรูวา พระเสขภิกษุทั้งหลายบริโภคซึ่งปจจัยทั้ง ๔ อันเปนของแหงพระผูทรงพระ ภาค อาจารยพึงนํามาซึ่งธรรมทายาทสูตร สาธกเขาในอรรถ คือกลาววาปจจัยทั้งหลายเปนของ แหงพระผูทรงพระภาคนี้ อนึ่ง “ขีณาสวานํ ปริโภโค” พระภิกษุทั้งหลายมีอาสวะอันสิ้นแลว บริโภคปจจัยก็ไดชื่อวา สามีบริโภค แทจริงพระอเสขอริยบุคคลทั้งหลายจําพวกนี้ ชื่อวาเปนเจาของปจจัยเพราะเหตุพระอเส ขอริยเจาทั้งหลายจําพวกนั้น ลวงเสียซึ่งภาวะเปนทาสแหงตัณหา แลวแลบริโภคซึ่งจตุปจจัย “อิเมสุ ปริโภเคสุ” ล้ําบริโภคทั้งหลาย ๔ นี้ อันวาบริโภคทั้ง ๒ ประการ คือสามีบริโภคแล ทายัชชบริโภค ควรแกพระอริยบุคคลแลปุถุชนทั้งหลาย อิณบริโภค ไมควรแกพระอริยบุคคลแลปุถุชนทั้งปวง การที่จะกลาวในไถยบริโภคมิไดมี คือไมควรกลาวแลว อนึ่ง กิริยาที่พิจารณาแลวแลบริโภคอันใด แหงพระภิกษุที่มีศีลบริโภคนั้นชื่อวาบริโภคมิได เปนหนี้บาง สงเคราะหเขาในทายัชชบริโภคบาง เพราะเหตุวาพิจารณาแลวแลบริโภคนั้น เปนขาศึก แกอิณบริโภค แทจริงพระภิกษุที่มีศีลนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคก็ทรงตรัสเรียกชื่อวา เสขะ เพราะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 56 เหตุวาพระภิกษุที่มีศีลนั้นประกอบพรอมเพียงดวยอธิศีลสิกขานี้ อนึ่ง บริโภคทั้ง ๔ ประการนั้น สามีบริโภคสิ่งเดียว เลิศกวาบริโภคทั้งปวง เหตุใดเหตุดังนี้ “ตํ ปตฺถยมาเนน ภิกฺขุนา” เมื่อพระภิกษุปรารถนาสามีบริโภคนั้น ใหพิจารณาดวยปจจเวกขณวิธีมี ประการอันเรากลาวแลว จึงบริโภคจตุปจจัย ปจจัยสันนิสสิตศีลแหงพระภิกษุนั้นจึงบริบูรณ เอวํ ก็มี ดวยประการฉะนี้ “เอวํ กโรนฺโต หิ กิจฺจการี โหติ วุตฺตมฺป เจตํ ปณฺฑํ วิหารํ สยนาสนฺจ อาปญจ สงฺฆาฏิรชูปาหนํ สุตฺวาน ธมฺมํ สุคเตน เทสิตํ สงฺขาย เสเว วรปฺญสาวโก ตสฺมา หิ ปณฺเฑ สยนาสเส จ อเป จ สงฺฆาฏิรชูปวาหเน เอเตสุ ธมฺเมสุ อนุปฺปลิตฺโต ภิกฺขุ ยถา โปกฺขเร วาริวินฺทฺ กาเลน ลทฺธา ปรโต อนุคฺคหา ขชุเชสุ โกเชสุ จ สายเนสุ จ มตฺตํ โส ชฺญา สตตํ อุปฏฐิโต วณสฺส อาเลปนรูหเน ยถา กนฺตาเร ปุตตมํสฺจ อกฺขสสพภญชนํ ยถาเอวํ อาหริ อาหารํ ยาปนาย อมุจฺฉิโตตี” วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนาในจตุปาริสุทธิศีล อันมีในศีลนิเทศ ในพระวิสุทธิ มรรคปกรณ สืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลี “เอวํ กโรนฺโต หิ กิจฺจการี” แทจริงเมื่อพระภิกษุ กระทําดังกลาวแลวนี้ก็ไดชื่อวา “กิจฺจการี” คือจะยังสามีบริโภคใหสําเร็จสมดังวาระพระบาลีอันพระ ธรรมสังคาหกเถรเจาทั้งหลายกลาวไววา “ปณฺฑํ วหารํ สยนาสนฺจ” พระภิกษุอันเปนเสขบุคคล แลเปนปุถุชน เปนสาวกแหงองคพระผูทรงพระภาค ผูทรงปญญาอันอุดม ไดสดับพระธรรมเทศนาอัน พระสุคตทรงแสดงแลวก็พิจารณาซึ่งกอนอามิสแลวิหาร แลเสนาสนะมีเตียงเปนอาทิ แลอุทกังคือน้ํา อันจะชําระผาสังฆาฏิ อันแปดเปอนดวยธุลี มีมลทินคือฝุนเปนอาทิ ดวยปญญาแลว แลเสพซึ่ง จตุปจจัยทั้ง ๔ เหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุอันเปนพระอริยสาวก อยามีจิตระคนขางอยูในธรรม ทั้งหลาย คือกอนอามิสแลที่อันเปนที่นอนแลที่อันเปนที่นั่งแลน้ําอันจะชําระธุลีอันแปดเปอนซึ่งผา สังฆาฏิ หยาดน้ํามิไดติดอยูในใบบัวฉันใด พึงปฏิบัติพึงประพฤติเปนไปในธรรมทั้งหลาย มีกอนอามิส เปนอาทิ เหมือนกันฉันนั้น “กาเลน ลทฺธา ปรโต อนุคฺคหา” พระภิกษุนั้นไดซึ่งวัตถุมีขาทนียะเปนตน ในสํานักแหง บุคคลผูอื่นคือทายก ดวยความอนุเคราะหวาตนมีศีล ในเวลาบิณฑบาต ก็มีสติอันตั้งมั่น รูประมาณใน วัตถุคือขาทนียะ โภชนียะอันตนจะพึงเคี้ยวแลจะพึงบริโภค แลจะลิ้มเลียแลจะดื่มกินสิ้นกาลทั้งปวง มี อุปไมยดังวาบุรุษมีโรค คือบาดแผลในสรีระตองพอกยายังเนื้อใหงอกขึ้น “กนฺตาเร ปุตฺตมํสฺจ” ไมฉะนั้น มีอุปมาวา สามีกับภรรยาอุมบาตรไปในหนทางกันดาร เสบียงอาหารสิ้นแลวก็กินเนื้อบุตรเปนอาหาร จึงขามเสนกันดารได “ยถา” อันนี้แลมีอุปมาฉันใดก็ดี อนึ่ง นายสารถีจะขับรถไป ก็ตองเอาน้ํามันทาเพลารถเสียกอนจึงจะขับไปได “ยถา” อันนี้ แลอุปมาฉันใดก็ดี พระภิกษุในพระศาสนานี้มิไดสยบซบอยูดวยตัณหา คือความปรารถนาในสูบกลิ่น กินซึ่งอาหาร เพีอจะยังสรีระใหประพฤติเปนไป “เอวํ ตถา” อันนี้ก็มีอุปไมยเหมือนคําอุปมาทั้ง ๒ นั้น อาจารยพึงกลาวนิทานแหงพระสังฆรักขิตสามเณร อันเปนหลานแหงพระสังฆรักขิตเถรเจา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 57 สาธกเขาในวิธีที่พระภิกษุกระทําปจจัยสันนิสสิตนี้บริบูรณ “โส หิ สมฺมา ปจฺจเวกฺขิตฺวา” แทจริงพระสังฆรักขิตสามเณรนั้น พิจารณาดวยอาการอันดี แลวจึงบริโภค เหตุใดเหตุดังนั้นพระสามเณรจึงกลาวพระคาถาวา “อุปชฺฌาโย มํ ภฺุชมานํ สาลิรุกํ สนิพฺพุต”ํ เมื่อเราจะบริโภคขาวสุก อันบุคคลหุงดวยขาวสารสาลีอันเย็นแลว พระอุปชฌายะทานวา แกเราวา ดูกรเจาสามเณร ทานมิไดสํารวมบริโภคอยายังชิวหาแหงทานใหไหม “อุชฺฌายสฺส วโจ สุตฺวา” เราไดฟงวาจาพระอุปชฌายะกลาวดังนี้ ไดความสังเวชขึ้นมาในกาลนั้น “เอกาสเน นิสี ทิตฺวา” เราก็นั่งอยูเหนืออาสนะอันเดียว เจริญพระวิปสสนาบรรลุถึงพระอรหันต เราก็มีความปรารถนา บริบูรณ “จนฺโท ปณฺณรโส ยถา” ดุจดังวาดวงจันทรในวันเพ็ญสิบหาค่ํา ตนของเรานั้นก็มีอาสวะอัน สิ้นไปภพใหมก็มิไดมีแกเรา เพราะเหตุการณนั้น พระภิกษุรูปอื่นปรารถนาจะยังวัฏฏทุกขใหสิ้นไป พึงพิจารณาดวย อุบายปญญาแลวจึงบริโภคจตุปจจัย นี้
บัณฑิตพึงรูวาศีลมี ๕ ประการ มีพระปฏิโมกขสังวรศีลเปนประธาน โดยนัยดังแสดงมาแลว แตนี้จะวินิจฉัยในปฐมปญจกะแหงศีล ๕ ประการ
เนื้อความอันนี้ บัณฑิตพึงรูดวยสามารถแหงศีลทั้งหลาย มีอนุปสัมปนนศีล คือศีลแหงพระ สามเณรเปนอาทิ “วุตฺตํ เหต ปฏิสมฺภิทายํ” สมดวยพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถรเจากลาวไวในคัมภีร ปฏิสัมภิทาวา “กตมํ ปรยินฺตปาริสุทธิสีลํ” ปริยันตปาริสุทธิศีลนั้นเปนดังฤๅ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ศีลอันใดเปนศีลแหงอนุปสัมบัน ศีลแหงพระสามเณรอันที่มีกําหนด ศีลนั้นชื่อวาปริยันตปาริสุทธิศีลที่ ๑ “กตมํ อปริยนฺตปาริสุทธิสีล”ํ อปริยันตปาริสุทธิศีลเปนดังฤๅ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ศีลอันใดเปนศีลแหงอุปสัมบันคือพระภิกษุมีสิกขาบทจะกําหนดมิได ศีลนี้ชื่อวาอปริยันตปาริสุทธิศีลที่ ๒ “กตมํ ปรามฏฐปาริสุทฺธิสีล”ํ ปริปุณเณหาริสุทธิศีลนั้นเปนดังฤๅ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ศีลอันใดเปนศีลแหงปุถุชนทั้งหลาย มีคุณอันนักปราชญจะพึงนับถือ ยอมประกอบในกุศลธรรม แลกระทําใหบริบูรณในวิปสสนาธรรมเปนโลกิยะ อันเพงเอาซึ่งโคตรภูญาณ แลวแลตั้งอยู มีเสขิยธรรมคือพระโสดามรรคนั้นเปนแดนมิไดอาลัยในกายแลชีวิต มีจิตอันบริจาคชนม ชีพแหงตน ศีลนี้ชื่อวาปริสุทธิศีลที่ ๓ “กตมํ อปารามฏฐปริสุทธิสีล”ํ อปรามัฏฐปาริสุทธิศีลนั้นเปนดังฤๅ ดูกรอาวุโส ศีลอันใดแหงพระเสขบุคคลทั้งหลาย ๗ จําพวก ศีลนี้ชื่อวา อปรามัฏฐปาริสุทธิ ศีลที่ ๔ “กตมํ ปฏิปสฺสทฺธิปาริสุทธิสีล”ํ ปฏิปสสัทธิปาริสุทธิศีลนั้น เปนดังฤๅ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ศีลอันใดแหงพระขีณาสวะเจา อันเปนสาวกของพระตถาคตแลเปน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 58 ของแหงพระปจเจกพุทธเจา แลพระสัมมาสัมพุทธเจาอันมาสูพระภูมิ เปนองคพระอรหันตอันประเสริฐ ศีลนี้ชื่อวาปฏิปสสัทธิศีลที่ ๕ แทจริง ศีลแหงอนุปสัมบันทั้งหลาย บัณฑิตพึงรูชื่อวา ปริยันตปาริสุทธิศีล เพราะเหตุวามี ที่กําหนด ดวยสามารถอาจนับได อนึ่ง ศีลแหงอุปสัมบันบุคคลทั้งหลาย คือพระภิกษุนั้น เปนไปกับดวยที่สุดบาง หาที่สุด มิไดบาง เปนไปกับดวยที่สุดนั้นดวยสามารถแหงอาจารยนับวาสังวรวินัย ศีลแหงพระภิกษุนั้นนับได ๙ พัน ๑๘๐ โกฏิ ๕๐ แสนเศษ ๓๖ สังวรวินัยทั้งปวง กลาวคือสิกขาบท โดยนัยมาดังกลาวแลวนี้ โดย เปยยาลเปนประธาน อันองคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาทรงแสดงไวในพระวินัยปฎก แลสังวรวินัย กลาวคือสิกขาบทหาที่สุดมิไดนั้น บัณฑิตอาศัยซึ่งสมาทานบมิไดเหลือแลมี ที่สุดบมิไดปรากฏ สมดวยสามารถแหงลาภแลยศ แลญาติแลอวัยวะแลชีวิต แลวแลพึงรูชื่อวาอปริยัน ตปาริสุทธิศีล ดุจดังวาศีลแหงพระอัมพขาทกมหาดิสสเถรเจา อันอยูในจิรคุมพกวิหาร “ตถา ตทิทิมินา สจฺจํ” คําที่กลาวมานั้นก็สามดวยคํานี้ “โส มหาติสฺสเถโร” พระมหาดิสสเถรเจานั้น บมิไดละเสียซึ่งอนุสสติระลึกเนือง ๆ ซึ่งคํา แหงองคสมเด็จพระบรมโลกนารถผูเปนองคอริยสัปบุรุษ ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาไววา ประเสริฐ
“ธนํ จเช องฺควรสฺส เหตุ” บุคคลพึงละเสียซึ่งทรัพย เพราะเหตุจะรักษาซึ่งอวัยวะอัน “องฺคํ จเช ชีวิตํ รกฺขมาโน” เมื่อบุคคลจะรักษาไวซึ่งชีวิตก็พึงสละเสียซึ่งอวัยวะ
“องฺคํ ธนํ ชีวิตฺจาป สพฺพํ นโร ธมฺมมนุสฺสรนฺโต” เมื่อบุคคลระลึกเนือง ๆ ซึ่งพระ สัทธรรม เปนคําแหงองคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาสั่งสอน ก็พึงสละเสียซึ่งวัตถุสิ่งของทั้ง ๓ ประการ คือทรัพยแลอวัยวะนอยใหญแลชีวิต อยาไดคิดอาลัยในวัตถุสิ่งของทั้ง ๓ ประการนี้ ในเมื่อความสงสัยในชีวิตบังเกิดมี เพราะเหตุกระวนกระวายในความอยาก “สกฺขปทํ อวิ ติกฺกม” พระผูเปนเจาก็มิไดลวงสิกขาบทตั้งอยูเหนือหลังแหงอุบาสก บรรลุถึงพระอรหันต เพราะเหตุ อาศัยซึ่งอปริยันตปาริสุทธิศีล เหตุใดเหตุดังนั้น พระคันถรจนาจารยจึงนิพนธพระคาถาไววา “น ปตา น ป เต มาตา ฯ ญาติ น ป พนฺธวา” เปนอาทิ แปลเนื้อความวาพระอัมพขาทกมหาดิสสเถรเจานั้น ตั้งอยูเหนือหลังอุบาสกยังสังเวชให บังเกิดขึ้นดวยความปริวิตกวา อุบาสกนี้มิไดเปนมารดาบิดาของทาน แลจะเปนญาติของทานก็หามิได ใชแตเทานั้น อุบาสกนี้จะเปนเผาพันธุแหงทานก็หามิได อุบาสกนี้กระทําซึ่งกิจคือยังทานใหนั่งอยู เหนือบาแลวแลพาไป ก็เพราะเหตุอาศัยแกทานเปนบรรพชิตอันมีศีล “สมฺมสิตฺวาน โยนิโส” พระมหาเถรเจาบังเกิดธรรมสังเวชดังนี้ แลวพิจารณาพระ กรรมฐานดวยวิปสสนาปญญา ตั้งอยูเ หนือหลังแหงอุบาสกนั้น บรรลุถึงพระอรหันต “ปุถุชฺชนกลฺยาณกานํ สีลํ” ศีลแหงพระภิกษุทั้งหลายที่เปนปุถุชน มีคุณอันบัณฑิตพึง นับปราศจากมลทินแลว ก็เปนปทัฏฐานที่ตั้งแหงพระอรหัตต ดวยประมาณแหงจิตตุบาทคือดําริจิตคิด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 59 วาอาตมาจะยกตนออกจากวัฏฏทุกข จะประพฤติเปนไปดังนี้ ก็เพราะวาภิกษุนั้นมีศีลอันบริสุทธิ์ยิ่งนัก ดุจดังวาแกวมณีอันนายชางชําระแลวเปนอันดี มิฉะนั้นดุจดังวาทองอันชางทองกระทําบริกรรมแลว เปนอันดี จําเดิมแตอุปสมบทแลวมา เพราะเหตุการณนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคจึงตรัสเรียกศีล แหงพระภิกษุอันเปนกัลยาณปุถุชนชื่อวาปริปุณณปาริสุทธิศีล ดุจดังวาศีลแหงพระมหาสังฆรักขิตเถร เจาแลพระภาคิเนยยสังฆรักขิตเถรเจา “กิร” ดังไดสดับมา เมื่อพระมหาสังฆรักขิตเถรเจามีวัสสาลวงได ๖๐ วัสสาแลว พระผูเปน เจานอนอยูเหนือเตียงอันเปนที่กระทํามรณกาลกิริยา พระภิกษุทั้งหลายไถถามกิริยาที่พระผูเปนเจาได สําเร็จมรรคแลผล พระมหาเถรเจาจึงบอกวาโลกุตตธรรมแหงเรานั้นมิไดมี ในกาลนั้น พระภิกษุหนุมผูเปนอุปฏฐากปฏิบัติ พระมหาเถรเจาจึงกลาววา “ภนฺเต” ขาแต พระผูเปนเจาผูเจริญ มนุษยทั้งหลายอยูในที่ ๑๒ โยชน โดยรอบคอบพระอาราม มาประชุมพรอมกัน เพราะเหตุกิตติศัพทกลาวกันวาพระผูเปนเจาจะปรินิพพาน “ตุมฺหากํ ปุถุชฺชนกาลกิริยาย” เมื่อพระ ผูเปนเจากระทํากาลกิริยาอันเปนของแหงปุถุชนคนทั้งหลายที่มาประชุมกันนี้ก็มีความวิปฏิสารี เดือดรอนกินแหนงเปนอันมาก จึงมีเถรวาทกลาววา ดูกรอาวุโส เรามีความปรารถนาจะทัศนาการเห็นองคพระผูทรงพระ ภาค ผูทรงพระนามวาอริยเมตไตย เราจึงมิไดตั้งไวซึ่งพระวิปสสนา ถากระนั้นดูกรอาวุโส ทานจงยัง เราใหนั่งจงกระทําซึ่งโอกาสแหงเรา พระภิกษุหนุมนั้นก็ยังพระมหาเถรเจาใหนั่ง ตั้งสรีรวายไดแลวก็ลุกออกไปภายนอก พระมหาเถรเจาก็บรรลุถึงพระอรหัตต พรอมกับดวยการที่พระภิกษุหนุมลุกออกไปภายนอก นั้น พระผูเปนเจาก็ใหสําคัญสัญญาดวยอันดีดนิ้ว พระภิกษุสงฆก็ประชุมพรอมกัน เขาไปกลาวแกพระผูเปนเจาวา “ภนฺเต” ขาแตทานผูเปน อริยสัปบุรุษ พระผูเปนเจายังโลกุตตรธรรมอันขามขึ้นจากโรค ใหบังเกิดไดในกาลเมื่อจะกระทํามรณ กาลนี้พระผูเปนเจากระทําไดดวยยาก จึงมีเถรวาทวา ดูกรวาวุโสทั้งหลาย กิริยาที่เรายังโลกุตตรธรรมใหบังเกิดในกาลครั้งนี้ เรา จะกระทําดวยยากหามิได “อปจ โว ทุกฺกรํ” อนึ่งเราจะบอกการที่กระทําไดดวยยากใหทานทั้งหลาย ฟง ดูกรอาวุโสทั้งหลายเราระลึกไมไดซึ่งการที่เราไมรูแลวแลกระทําดวยหาสติมิได จําเดิมแต บรรพชาแลว อนึ่ง พระภาคิเนยยสงฆรักขิตเถรเจาผูเปนหลานแหงพระมหาสังฆรักขิตเถรเจานี้ เมื่อพระผู เปนเจามีวัสสา ๕๐ ก็บรรลุพระอรหัตตเปนองคพระอรหัตตเหมือนกันดังนี้ “อปฺปสฺสุโตป เจ โตติ” นัยหนึ่งพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ ถาแลไดสดับฟงพระพุทธ วจนะคือพระไตรปฎกนั้นนอย แลมิไดตั้งอยูดวยอาการอันดี ในพระจตุปาริสุทธิศีล ชนทั้งหลายก็ นินทาพระภิกษุนั้นโดยสวนทั้งสอง คือมิไดมีศีลประการหนึ่ง คือมิไดสดับฟงพระพุทธวจนะประการ หนึ่ง “อปฺปสฺสุโตป เจ โหติ” อนึ่งพระภิกษุในพระศาสนานี้ ถาแลวาไดสดับฟงพระพุทธวจนะ นอย แตทวาตั้งอยูดวยอาการอันดีในพระจตุปาริสุทธิศีล ชนทั้งหลายก็สรรเสริญพระภิกษุนั้นโดยสวน แหงศีล การที่สดับพระพุทธวจนะจะใหนํามาซึ่งบริบูรณแกตน และใหบริบูรณแกบุคคลทั้งหลายอื่น ก็ มิไดสําเร็จแกพระภิกษุนั้น “พหุสฺสุโตป เจ โตติ” อนึ่งถาแลวาพระภิกษุเปนพหุสูต ไดสดับพระพุทธวจนะคือ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 60 พระไตรปฎกทั้งหลายมาก แตทวามิไดตั้งมั่นอยูในศีล “สิลโต นํ ครหนฺติ” ชนทั้งหลายก็ติเตียน พระภิกษุนั้นโดยสวนแหงศีลวา พระภิกษุนั้นไมมีศีล แตกจ ิ สดับฟงพระพุทธวจนะนั้น ก็บริบูรณแก พระภิกษุนั้น “พหุสฺสุโตป เจ โหติ” อนึ่งถาแลวาพระภิกษุเปนพหุสูตไดสดับพุทธวจนะมาก ตั้งอยูใน พระจตุปาริสุทธิศีล ชนทั้งหลายก็สรรเสริญพระภิกษุนั้นโดยสวนทั้งหลาย คือเปนภิกษุมีศีลนั้นสวน หนึ่ง คือเปนพหุสูตนั้นสวนหนึ่ง “โก ตํ นินฺทิตุมรหติ” บุคคลดังฤๅจะสมควรเพื่อจะนินทาพระภิกษุนั้น อันเปนพหุสูตทรง ไวซึ่งธรรม ประกอบดวยปญญา เปนสาวกแหงพระสัมมาสัมพุทธเจา ดุจดังวาทอนทองชมพู เทพยดา แลมนุษยยอมสรรเสริญพระภิกษุนั้น “พฺรหฺมุนาป ปสํสิโต” ถึงทาวมหาพรหมก็ยอมสรรเสริญพระภิกษุนั้น เอวํ ก็มีดวยประการ ดังนี้ “เสขานํ ปน สีลํ ทิฏริวเส อปรามฎตฺตา ปุถุชฺชนานํ วาปน ภาวเสน อปรามฎตฺตา สีลํ อปรามฎปาริสุทฺธิติ เวทิตพฺพํ กุฏมฺพิปุตฺตติสฺสตฺเถรสฺส สีลํ วิย” โส หิ อายสฺมา ตถารูป สีลํ นิสฺสาย อรหัตฺเต ปติฏา ตุกาโม เวรเก อาห “อุ โภ ปาทานิ กินฺทิตฺวา สฺญมิสฺสามิ โว อหํ อฏิยามิ หรายามิ สราคํ มรณํ อหนฺติ เอวาหํ จินฺตยิตวาน สมฺมสิตฺวาน โยนิโส สมฺปตฺเต อรุณุคฺคมฺหิ อรหตฺตมฺป ปาปุณินฺติ วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนา ในปฐมปญจะกะแหงศีลมีประการหา สืบอนุสนธิ ตามกระแสวาระพระบาลี มีเนื้อความวา “เสขานํ ปน สีลํ” ดังกลาวฝกฝายอันอื่น ศีลแหงพระเสขะอริยบุคคลทั้งหลายนั้น บัณฑิต พึงรูวาชื่อวา อปรามัฏฐปาริสุทธิศีล เพราะเหตุวาศีลของพระอริยบุคคลนั้น อํานาจแหงทิฏฐิไมถือเอา ได อนึ่งศีลแหงปุถุชนทั้งหลายที่มีคุณอันบัณฑิตพึงนับ นักปราชญพึงรูชื่อวา อปรามัฏฐปาริ สุทธิศีล เพราะเหตุวาศีล ของปุถุชนจําพวกนั้น อันอํานาจแหงภวตัณหามิไดถือเอาได ดุจดังวาศีล แหงพระดิสสเถรเจาอันเปนบุตรแหงกุฎมพี แทจริง พระดิสสเถรเจาผูมีอายุนั้น ปรารถนาจะอาศัยอปรามัฏฐปาริสุทธิศีล อันอํานาจแหง ภวตัณหาไมถือเอาแลวแลจะตั้งอยูในพระอรหัตต จึงมีวาจาแกโจรทั้งหลายที่ภรรยาแหงพี่ชายของ พระผูเปนเจาสงไป เพื่อจะใหฆาพระผูเปนเจาวา “อุโก ปาทานิ ภินฺทิตฺวา” เราจักทําลายเทาทั้งสอง ของเราเสียใหเปนสําคัญแกทานทั้งหลาย แลวพระผูเปนเจาจึงคิดวาเราเกลียดชังเหนื่อยหนายความ มรณะของเราอันประพฤติเปนไปกับดวยราคะ คิดดังนี้แลวก็พิจารณาพระกรรมฐานดวยอุบายปญญา ครั้นเพลาอรุณขึ้นมาแลวพระผูเปฯเจาก็บรรลุถึงพระอรหันต “อฺญตโรป มหาเถโร” ใชแตเทานั้น พระมหาเถรเจาองคหนึ่ง มิไดปรากฏโดยนามและ โคตร พระผูเปนเจาเปนไขหนักไมอาจบริโภคอาหารดวยมือแหงตน จนอยูในมูตรแลกรีสของตนกลิ้ง เกลือกไปมาดวยความเวทนาเปนกําลัง พระภิกษุรูปหนึ่งไดเห็นดังนั้นจึงกลาววา “อโห ทุกฺขา ชีวิต สงฺขารา” โอหนอ สังขารอัน บัณฑิตกลาววาชีวิตนี้ยอมจะนํามาซึ่งทุกข
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 61 พระมหาเถรเจาจึงกลาวกับพระภิกษุหนุมนั้นวา ดูกรอาวุโส เมื่อจะกระทํากาลกิริยาตายลง ในกาลบัดนี้ เราก็จะไดสมบัติในสวรรคความสงสัยในมรณะนี้ไมมีแกเรา อนึ่ง เราจะทําลายศีลของเรานี้แลวแลจะไปไดสมบัตินั้น ก็เหมือนเราละเสียซึ่งอธิศีลสิกขา แลวไดสภาวะแหงเราเปนคฤหัสถ พระผูเปนเจากลาวดังนี้แลวจึงดําริวา “สีเลเนว สทฺธึ มริสฺสามิ” เราจะกระทํากาลกิริยา ตายกันดวยศีล ก็นอนอยูดวยประการนั้นพิจารณาซึ่งเวทนา อันบังเกิดขึ้นเพราะเหตุโรคบรรลุถึงพระ อรหันตแลวก็กลาวพระอรหันตแกพระภิกษุสงฆ ดวยพระคาถาทั้งหลายวา “ผุฏสฺสิ เม อฺญตเรน พยาธินา โรเคน พาฬฺหํ ทุกขิตฺตสฺส รุปฺปโต ปริสุสฺสติ” เปนอาทิดังนี้ อรรถาธิบายในบาทพระคาถาวา “อิติ เกฬวรํ” กเฬวระรางกายแหงเรานี้ พยาธิอันใด อันหนึ่งถูกตองแลว ก็กระทําสรีระใหถึงซึ่งวิกาลดวยโรคอันยิ่ง ไดรับความเดือดรอนเสวยทุกขเวทนา เหี่ยวแหงไปโดยเร็วโดยพลัน มีอุปไมยดุจดังวาดอกไมมีดอกซีกเปนอาทิอันบุคลวางไวในที่มีแสง แหงพระอาทิตยอันรอน “ยตฺถปฺปมตฺตา อธิมุจฺจิตาปชา” สัตวทั้งหลายมีจิตประมาทปราศจากสติ มากไปดวยความกําหนัดในกายอันเปอยเนาอันใด ยิ่งศีลเปนอาทิ อันเปนหนทางที่จะยังตนใหไป บังเกิดในสวรรคใหวิบัติฉิบหาย ดังเราติเตียน กายเราเปอยเนานี้ มิไดเปนที่ยังจิตใหเจริญเปนที่พึงเกลียด คนพาล สรรเสริญวาเปนที่ชอบใจเปนที่รัก อนึ่งกายนี้ไมสะอาดคนพาลกวาวาสะอาด กายนี้เต็มไปดวยอสุจิ ตาง ๆ คนพาลไมคิดเห็นวาจะนํามาซึ่งทุกข ยอมสรรเสริญวาดีวางามตามวิสัยโลกอันนี้ กายอันเนานี้มี กลิ่นอันชั่ว เปนอสุจิประกอบดวยพยาธิกรรมกระทําใหไดความคับแคน “อรหนฺตาทีนํ สีลํ” อันนี้ศีลแหงพระอรหันตอริยบุคคลทั้งหลาย มีองคพระสัมมาสัมพุทธ เจาเปนอรหันตเปนประธาน บัณฑิตพึงรู ชื่อวาปฏิปสสิทธิปาริสุทธิศีล เพราะเหตุบริสุทธิ์ดวยกิริยาที่ ระงับกระวนกระวายมีราคะเปนอาทิ ศีลมี ๕ ประการ มีปริยันตปาริสุทธิศีลเปนตน ดังพระราชทานวิสัชนามานี้ ดังนี้
แตนี้จะวินิจฉัยในศีลมี ๕ ประการเปนคํารบ ๒ บัณฑิตพึงรูโดยนัยแหงคําอันเราจะกลาว
“ปาณาติปาตาทีนํ อตฺโถ” อรรถแหงศีล ๕ ประการมีปาณาติบาตเปนตน นักปราชญพึงรู ดวยประเภทแหงเจตนาเหตุสละเปนอาทิสมดวยพระบาลี ที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกลาวไวใน ปฏิสัมภิทาวา ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ศีลมี ๕ ประการ คือกิริยาที่จะเสียสละซึ่งปาณาติบาต ก็ชื่อวาศีลประการ ๑ คือเจตนาเปนที่จะเวนจากปาณาติบาต ก็ชื่อวาศีลประการ ๑ คือเจตนาอันเปนขาศึกแกปาณาติบาต ก็ชื่อศีลประการ ๑ คือสังวรปดไวซึ่งชองอันเปนที่เขาไปแหงปาณาติบาต ก็ชื่อวาศีลประการ ๑ คือกริยาที่ไมกระทําใหลวง คือไปยังสัตวอันมีปาณะใหตกพลันก็ชื่อวา ศีลประการ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 62 ศีลนั้นอันประพฤติเปนไปในปาณาติบาต มี ๕ ประการดวยกันดังนี้ ในอทินนาทาน และกาเสุมิจฉาจาร แลมุสาวาท แลเปสุญวาท แลผรุสวาท แล สัมผัปปลาปวาท และอภิชฌา แลพยาบาท แลมิจฉาทิฏฐิ กรรมบถ ๙ ประการนี้ ก็จัดเปนศีลสิ่งละหา ๆ คือปหานศีลแลเวรมณีศีลแลเจตนาศีล แลสังวโรศีล แลอวิติกกโมศีลเหมือนหนึ่งปฐมกรรมบถคือ ปาณาติบาตนั้น การที่จะสละเสียแลเวนเสีย แลเจตนาคือกิริยาที่จะคิดและสังวรปดไวซึ่งชอง แลมิได กระทําใหลวงซึ่งความปรารถนาในกามดวยเนกขัมมะ คือ ไมโลภ ซึ่งพยาบาทดวยไมมีพยาบาท ซึ่ง ถีนมิทธะคืองวงเหงาหาวนอนดวยอาโลกสัญญา คือยังสวางอันปรากฏดวยมนสิการกระทําใหแจงให บังเกิดมี ซึ่งอุทธัจจะฟุงซานดวยสมาธิซึ่งวิกิจฉาสงสัยวินิจฉัยโดยแทซึ่งธรรม มีกรรมอันเปนกุศลเปน ตน ซึ่งอวิชชาดวยปญญา ซึ่งไมยินดีดวยปราโมทย แลการที่จะละเสียและเวนเสียแลปดไวซึ่งชอง แลมิไดกระทําใหลวงนิวรณธรรมทั้งหลาย ดวยปฐมฌาน ซึ่งวิตกแลวิจารทั้งหลายดวยทุติยฌานซึ่งปติดวยตติยฌาน ซึ่งสุขแลทุกขดวยจตุตถ ฌาน ซึ่งรูปสัญญาคือสําคัญวารูป แลปฏิฆสัญญาสําคัญวาครืดครือ แลนานัตตสัญญาสําคัญวาตาง ๆ ดวยอากาสานัญจยตนสมาบัติ ซึ่งอากาสานัญจายตนสัญญาดวยวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ซึ่งอา กิญจัญญายตนสัญญาดวยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติก็จัดเปนศีลสิ่งละหา ๆ ดุจเดียวกัน อนึ่ง การที่จะละเสียและเวนเสีย และเจตนา แลสังขารและไมกระทําใหลวงซึ่งนิจจสัญญา คือสําคัญวาเที่ยงดวยอนิจจานุปสสนา คือเห็นเนือง ๆ วาไมเที่ยง ซึ่งสุขสัญญาคือสําคัญวาเปนสุข ดวยทุกขานุปสสนา คือเห็นเนือง ๆ วานํามาซึ่งทุกข ซึ่งอัตตสัญญาสําคัญวาตนดวยอนัตตาทุปสสนา เห็นเนื่อง ๆ วาไมใชตน ซึ่งความยินดีคือตัณหาอันเปนไปกับดวยปติ ดวยนิพพิทานุปสสนาเห็นเนือง ๆ ดวยอาการอันเหนื่อยหนายในสังขารธรรมทั้งหลาย ซึ่งราคะดวยวิราคานุปสสนา คือเห็นเนือง ๆ ดวยอาการอันไปปราศจากความยินดี ซึ่งสมุทัยคือตัณหานิโรธานุปสสนาคือเห็นเนือง ๆ ซึ่งนิโรธคือ ความดับแหงตัณหา ซึ่งจะสละเสียไดดวยมุญจิตุกามยตานุปสสนาคือเห็นเนือง ๆ ซึ่งภาวะปรารถนา เพื่อจะสละเสีย ซึ่งถือเอาดวยสามารถวาเที่ยงเปนอาทิ ดวยปฏินิสสัคคานุปสสนา คือเห็นเนือง ๆ ซึ่ง สละตอบ คือสละคืนซึ่งฆนสัญญาสําคัญวาเปนแทงดวยขยานุปสสนาคือเห็นเนือง ๆ วาสิ้นไป ซึ่ง อายุหนะคือตกแตงไวดวยวยานุปสสนา คือเห็นเนือง ๆ วาประลัยไป ซึ่งธุวสัญญาสําคัญวาเที่ยงดวย ปริณามานุปสสนา คือเห็นเนือง ๆ วามิไดตั้งมั่นแหงสังขารธรรมทั้งหลาย ซึ่งราคาทินิมิตดวยอนิมิตตา นุปสสนา เห็นเนือง ๆ วาใชนิมิตซึ่งปณิธิมีราคาปณิธิเปนตนดวยอัปปณิหิตานุปสสนา เห็นเนือง ๆ วา ไมทรงอยู ซึ่งอภินิเวส ความถือมั่นดวยสุญญตานุปสสนา เห็นเนือง ๆ วาสูญวาเปลาซึ่งวิปลาสคืออัน ถือเอาวามีสารในธรรมทั้งหลาย อันหาแกนสารมิได ดวยอันเห็นซึ่งธรรมดวยปญญาอันเที่ยง คือ พิจารณาเห็นธรรมอันยุตติในภูมิ ๓ คือกามาวจรภูมิ แลรูปาวจรภูมิ แลอรูปาวจรภูมิ ดวยสามารถเปน อนิจจังไมเที่ยง เปนทุกขังนํามาซึ่งทุกข เปนอนัตตาไมใชตน แลละเสียเวนเสียแลมีเจตนาแลมีสังวรแลไมลวง ซึ่งถือเอาดวยความหลงวาโลกนี้ อิสสร เทวราชตกแตงเปนอาทิ ดวยยถาภูตญาณทัสสนะ เห็นเนือง ๆ ซึ่งพระไตรลักษณ อันถึงซึ่งภาวะเปน ธรรมอันตั้งมั่น ซึ่งอันถือเอาซึ่งภาวะเปนที่พึ่ง แลเปนที่เรนในสังขารธรรมทั้งหลาย ดวยอาทีนวา นุปสสนาเห็นเนือง ๆ ซึ่งโทษ ซึ่งมิไดสละเสียซึ่งสังขารทั้งหลาย ดวยปฏิสังขารานุปสสนาคือเห็นเนือง ๆ ซึ่งสละเสียซึ่ง สังขารธรรมทั้งหลาย ซึ่งอันถือเอาซึ่งสังโยคคือจะประกอบไวดวยดี ดวยวิวัฏฏานุปสสนาเห็นเนือง ๆ ซึ่งวิวัฏ คือปราศจากที่อันเปนที่วนคือสังขาร แลสละเสียเวนเสียแลเจตนาแลสังวรแลไมใหหลงซึ่ง กิเลสทั้งหลาย อันเปนเอกัฏฐานบังเกิดกับดวยทิฏฐิดวยพระโสดาปตติมรรคซึ่งกิเลสทั้งหลายอัน หยาบดวยพระสกิทาคามิมรรค ซึ่งกิเลสทั้งหลายอันเบาบางบังเกิดแลวดวยพระอนาคามีผลมรรค แล ละเสียแลเวนเสียแลเจตนาและสังวรแลมิไดกาวลวงแหงกิเลสทั้งปวง ดวยพระอรหัตตมรรคก็จัดเปน ศีลสิ่งละหา ๆ ดุจเดียวกันดังนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 63 “เอวรูปานิ สีลานิ” ศีลทั้งหลายที่พรรณนามานี้ ยอมจะประพฤติเปนไป คือจะมิให เดือดรอนกินแหนงแหงจิต แลจะประพฤิตเปนไปเพื่อจะใหไดดรุณปติ คือปติอันออน แลจะประพฤติเปนไปเพื่อจะใหไดพลวปติ คือปติอันกลามีกําลัง แลจะประพฤติเปนไปเพื่อจะใหไดปสสัทธิ ระงับกาย แลวาจา แลจะประพฤติเปนไปเพื่อจะใหไดโสมนัส แลจะประพฤติเปนไปเพื่อจะใหไดเสพซึ่งสมาธิ แลจะประพฤติเปนไปเพื่อจะยังสมาธินั้นใหเจริญ แลจะกระทําใหมากซึ่งสมาธิ และจะกระทําประดับซึ่งพระสมาธินั้น และเปนไปเพื่อจะเปนสัมภาระแหงพระสมาธิ แลจะยังธรรมวิเศษมีมติและวิริยะเปนอาทิ อันบังเกิดเปนบริวารแหงสมาธิใหถึงพรอม แลจะยังสมาธิใหบริบูรณ แลจะใหเหนื่อยหนายเตภูมิกธรรม และใหประพฤติเปนไปเพื่อ วิราคะ คือปราศจากยินดี และจะเปนไปเพื่อนิโรธแลเขาไปใกลระงับ แลตรัสรูยิ่งแลตรัสรูดวย และจะประพฤติเปนไป เพื่อจะใหไดสําเร็จแกพระนิพพานอันหาปจจัยมิได ในบทคือ “ปหานํ” แปลวาสละชื่อวาหานศีลที่ ๑ นั้น มีอรรถสังวรรณนาวา “โกจิ ธมฺโม นาม นตฺถิ” ธรรมอันใดอันหนึ่งเวนจากมาตรวา คืออันจะยังบาปทั้งหลายมีปาณาติบาตเปนตน มี ประการอันเรากลาวแลวไมใหบังเกิดขึ้นนั้น จะไดชื่อวาปหานะหาบมิได อนึ่ง กิริยาที่จะสละเสียซึ่งอกุศลธรรมนั้น ๆ มีสละปาณาติบาตเปนตน ชื่อวาอุปธารณะ ดวย อรรถวา คือสภาวะที่สละบาปธรรมนั้นเปนที่ตั้งแหงกุศลกรรมนั้น ๆ แลชื่อวาสมาทาน เพราะเหตุวาไม กระทําใหเรี่ยราย เหตุใดเหตุดังนั้น การที่สละละอกุศลธรรมนี้ พระธรรมเสนาบัติสารีบุตรจึงมีเถรวาทเรียกชื่อ วาศีล ดวยอรรถคือสภาวะบาปธรรมนั้นชื่อวาสีลนา กลาวคือเปนที่ตั้ง แลมิไดกระทําใหเรี่ยราย ศีลทั้ง ๔ คือเวรมณีศีลแลเจตนาศีล แลสังวโรศีลแลอวิติกกโมศีลนั้น พระธรรมเสนาบดีสา รีบุตร ก็กลาวสหายเอาซึ่งสภาวะ คือประพฤติเปนไปแหงจิตที่จะเวนจากอกุศลกรรม มีปาณาติบาต เปนตนนั้น ๆ แลจะประพฤติเปนไปแหงจิต ที่จะปกปดไมใหชองแกอกุศลมีปาณาติบาตเปนตนนั้น ๆ แลจะประพฤติเปนไปแหงจิต ดวยสามารถแหงเจตนาอันประกอบดวยเอกุปปาทิปหาน เกิด กับดับพรอมดวยเวรมณีแลสังวรทั้ง ๒ นั้น แลจะประพฤติเปนไปแหงจิตที่จะไมลวง ปาณาติบาตเปนตนนั้น ๆ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
แหงบุคคลอันมิไดลวงซึ่งอกุศลธรรม
มี
- 64 อนึ่ง อรรถคือศีลนะแหงศีลทั้งหลายมีเวรมณีศีลเปนตน ขาพระองคมีนามชื่อวาพุทธโฆษา จารยแสดงแลวในหนหลัง “เอวํ ปญจวิธํ สีลํ” ศีลมี ๕ ประการ โดยประเภทมีปหานศีลเปนประธาน ดังวิสัชนามา ดังนี้ กิริยาที่วิสัชนาซึ่งอรรถปญหาที่ถามวา “กึ สีลํ” ธรรมดังฤๅชื่อวา ศีล แลถามวาธรรมชื่อวาศีลนั้นดวยอรรถเปนดังฤๅ แลธรรมดังฤๅ ชื่อวาลักษณะแลเปนกิจแลเปนผลแลเปนอาสันนเหตุแหงศีล แลถามวา ศีลนี้มีธรรมดังฤๅเปนอานิสงส แลถามวาศีลนี้มีประการเทาดังฤๅ ก็ตั้งอยูแลวดวยอาการอันสําเร็จ โดยลําดับแหงพระบาลีมีประมาณเทานี้ “ยํ ปน วุตฺติ” อันหนึ่งปญหากรรมคําปุจฉาอันใด ที่กลาวไววา “โก จสฺส สงฺกิเลโส” ธรรมดังฤๅชื่อวาสังกิเลส คือเศราหมองแหงศีลแลธรรมดังฤๅชื่อ บริสุทธิ์แหงศีล เราจะวิสุชนากลาวแกในปญาหากรรมที่ถามนั้น สภาวะมีศีลขาดเปนอาทิ ชื่อวาสังกิเลสคือเศราหมองแหงศีล สภาวะมีศีลไมขาดเปนอาทิ ชื่อวาบริสุทธิ์แหงศีล สภาวะธรรมที่จะกระทําใหมีศีลขาดเปนอาทินั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนา ประสงคเอาดวยการที่จะทําลายมีลาภแลมียศเปนอาทิ เปนเหตุที่จะใหทําลายดวยเมถุนสังโยค ๗ ประการ “ตถา หิ” คําที่กลาวดังนั้นจริง “ยสฺส สิกฺขาปทํ ภินฺนํ” สิกขาบทแหงพระภิกษุใดทําลาย ในเบื้องตนก็ดี ในที่สุดก็ดี ในอาบัติขันธทั้ง ๗ “ตสฺส สีลํ ปริยเนฺต” ศีลแหงพระภิกษุนั้นก็ชื่อวาขาด ดุจดังผาสาฎกอันขาดโดยภาคทั้งหลาย อนึ่ง ศีลแหงพระภิกษุรูปใดทําลายในทามกลาง ศีลแหงพระภิกษุนั้น ชื่อวาเปนชองดุจดัง ผาสาฎกอันทะลุเปนชองอยูในทามกลาง ศีลแหงพระภิกษุใดทําลายทั้งสองทั้งสามสถานโดยลําดับ ศีลแหงพระภิกษุนั้น ก็เปนศีล อันดางพรอย ดุจดังโคมีสีดําแลสีแดงเปนอาทิ เปนสีอันใดอันหนึ่งดวยวรรณอันเปนวิสภาค มีสวนแหง สีมิไดเสมอกันคือดําบางแดงบาง อันตั้งขึ้นในหลังแลทอง “ยสฺส อนฺตรนฺตรา ภินฺนานิ” ศีลทั้งหลายแหงพระภิกษุใดทําลายในระหวางแลระหวาง ศีลแหงพระภิกษุนั้น ชื่อวาพรอมดุจดังวาโคมีสรีระอันเปนของดางดวยสีอันเปนวิสภาคมีสวนมิไดเสมอ กัน “เอวํ ตาว ลาภทิเหตุเกน” สภาวะแหงศีลมีศีลอันขาดเปนตน ดวยทําลายเพราะเหตุลาภ เปนอาทิ บัณฑิตพึงรูวามีดวยประการดังนี้กอนเอวํ ก็มีดวยประการดังนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 65 “กถํ เอวํ สตฺตวิธเมถุนสํโยควเสน วุตฺตํ หิ ภควตา อิธ พฺราหฺม เอกจฺโจ สมโณวา พฺ ราหฺมโณ วา สมฺมา พฺรหฺมจารี ปฏิชานมโน น เหวโข มาตุคาเมน สทฺธึ ทฺวยสมาปตฺตึ สมาปชฺชติ อปจโข มาตุคามสฺส อุจฺฉานํ ปริมทฺทนํ นหาปนํ สมฺพาหนํ สาทิยติ โส ตทสสาเทติ ตํ นิกาเมติ เตน จ วิตฺตึ อาปชฺชติ อทํป โข พฺราหฺมณ พฺรหฺมจริยสฺส ขณฺฑมฺป ฉิทฺทมฺปส พลมฺป กมฺมาสมฺป อยํ วุจฺจติ พฺราหฺมณ อปริสุทฺธํ พฺรหมจริยํ จรติ สํยุตฺโต เมถุนสํโยเคน น ปริ มุจฺจติ ชาติยา ชรายมรเณน ฯลฯ” วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนาในเมถุนสังโยค ๗ ประการ อันมีในศีลนิเทศนี้ สืบ อนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลีมีเนื้อความเปนปุจฉาถามวา “กถํ เกน ปกาเรน” สภาวะมีศีลขาดเปนตนนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนา ประสงคเอาดวยเมถุนสังโยค ๗ ประการนั้น ดวยประการดังฤๅ มีคําอาจารยวิสัชนาวาสภาวะมีศีลขาดเปนตน ที่องคพระบรมศาสดาตรัสเทศนาประสงค เอาดวยเหตุแหงเมถุนสังโยค ๗ ประการนั้น นักปราชญพึงรูโดยนัยที่เราจะแสดงนี้ ๑. “วุตตํ หิ ภควตา” แทจริงองคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนากับมหาพราหมณ ที่มาทูลถามซึ่งความปฏิบัติแหงสมณะแลพราหมณในโลกนี้วา “อิธ พฺราหฺมณ เอกจฺโจ” ดูกร พราหมณ สมณะ แลพราหมณจําพวกหนึ่งในโลกนี้ปฏิญาณตนวา เปนบุคคลประพฤติพรหมจรรยดวย อาการอันดี “น เหวโข มาตุคาเมน สทฺธึ” สมณะแลพราหมณนั้น ไมยินดีอยูเปนคูสองแลสองกับ ดวยมาตุคามแตที่วายินดีซึ่งอันอบสรีระแลนวดนั้น แลยังตนใหอาบแลลูบคลําแหงมาตุคาม แลยิ่งดียิ่ง นักและปรารถนาซึ่งอันอบสรีระเปนอาทิแหงมาตุคาม “อิทําปโข พฺราหฺมณ” ดูกรพราหมณความ ยินดียิ่งนักแล แลความปรารถนาซึ่งวัตถุมีอันอบซึ่งสรีระ เปนอาทิแหงมาตุคามนี้ชื่อวาขาดชื่อวาเปน ชอง ชื่อวาดางชื่อวาพรอมแหงพรหมจรรยของสมณะแลพราหมณนั้น “อยํ วุจฺจติ พฺราหฺมณ” ดูกร พราหมณสมณะ และพราหมณจําพวกนี้บุคคลที่มีปญญาดําเนินดวยญาณคติเหมือนตถาคตอยางนี้ รองเรียกสมณะแลพราหมณจําพวกนี้ประพฤติพรหมจรรยไมบริสุทธิ์ ประกอบดวยเมถุนสังโยค ไมพน จากชาติทุกข ชราทุกข มรณทุกข ไมพนจากทุกขธรรมทั้งปวง ๒. “ปุน จ ปรํ” เหตุอันอื่นมีใหมเลา “อิเธกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา” ดูกร พราหมณ สมณะแลพราหมณในโลกนี้ ประพฤติพรหมจรรยดวยอาการอันดี มิไดมีคูอยูกับจาตุคาม ใช แตเทานั้นไมยินดีซึ่งอันอบสรีระแหงมาตุคาม อนึ่งโสด สมณะแลพราหมณนั้นหัวเราะใหญดวยสามารถแหงกิเลสเลนดวยสามารถกายสัง สัคคะระคนกายแอบอิงกับดวยมาตุคาม แลยินดีซึ่งแยมหัวดวยสามารถแหงกิเลสเปนอาทิ กับดวย มาตุคาม “อยํวุจฺจติ พฺราหฺหมณ” ดูกรพราหมณ สมณะแลพราหมณจําพวกนี้ ตถาคตกลาววาเปน สมณะแลพราหมณประพฤติพรหมจรรย มิไดบริสุทธิ์ประกอบดวยเมถุน สังโยค มิไดพนจากชาติทุกข แลชราทุกข แลมรณทุกข แลมิพนจากทุกขธรรมทั้งปวง ๓. “ปุน จปรํ” เหตุอันอื่นยังมีใหมเลา ดูกรพราหมณ “อิเธกจฺโจสมโณ วา พฺราหฺมโณ วา” สมณะแลพราหมณจําพวกหนึ่งในโลกนี้ ไมถึงพรอมเปนคูอยูกับดวยมาตุคาม ไมยินดีซึ่งอันอบ สรีระแหงมาตุคาม ไมหัวเราะดังดวยอํานาจแหงกิเลส ไมเลนดวยสามารถกายสังสัคคะระคนกับดวย กาย ไมหยอกเอินดวยมาตุคามดวยประการทั้งปวง อนึ่ง สมณะแลพราหมณนั้น เขาไปใกลมาตุคามดวยจุกษุแหงตน แลยินดีที่จะยังแหงตน ใหตอบตอมาตุคาม “อยํ วุจฺจติ พฺราหฺมณ” ดูกรพราหมณ สมณะแลพราหมณจําพวกนี้ ตถาคตกลาววาเปน สมณะแลพราหมณ ประพฤติพรหมจรรยไมบริสุทธิ์ ประกอบดวยเมถุนสังโยค ไมพนจากชาติทุกขแล
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 66 ชราทุกขแลมรณทุกข ไมพนจากทุกขธรรมทั้งปวง ๔. “ปุน จ ปรํ” เหตุอันอื่นมีใหมเลา ดูกรพราหมณ “อิเธกจฺโจสมโณ วา พฺราหฺมโณ วา” สมณะแลพราหมณจําพวกหนึ่งไมเขาไปใกลแลวแลดูยิ่งนักซึ่งมาตุคามดวยสามารถแหงราคะ ไม แลดูมาตุคามดวยตาแหงตน “อปจโข มาตุคามสฺส” อันหนึ่งสมณะแลพราหมณนั้น ฟงซึ่งเสียงแหงมาตุคาม ยินดีที่จะ สดับฟงซึ่งเสียงแหงหญิงอันหัวเราะแลกลาวถอยคําแลมาขับแลรองอยูในภายนอกฝาแลอยูใน ภายนอกกําแพง ดูกรพราหมณสมณะแลพราหมณยินดีดังนี้แลว ก็ชื่อวาขาดชื่อวาทะลุชื่อวาดางชื่อวา พรอยแหงพรหมจรรยสมณะแลพราหมณจําพวกนี้ ตถาคตกลาววาเปนสมณะแลพราหมณประพฤติ พรหมจรรยไมบริสุทธิ์ ประกอบดวยเมถุนสังโยคไมพนจากชาติทุกขแลชราทุกข ไมพนจากทุกขธรรม ทั้งปวง ๕. “ปุน จ ปรํ” อันวาเหตุอันอื่นมีใหมเลา ดูกรพราหมณ “อิเธกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺม โณ วา” สมณะแลพราหมณจําพวกหนึ่งในโลกนี้ ไมถึงซึ่งเปนคนคูอยูเปนสองดวยมาตุคาม ไมยินดี ซึ่งอันอบแหงสรีระอันเปนอาทิดวยมาตุคาม ไมหัวเราะใหญดวยสามารถแหงกิเลส ไมเลนดวย สามารถแหงกายสังสัคคะระคนกับดวยมาตุคาม ไมเพงดูจักษุแหงมาตุคามดวยจักษุแหงตน ไมฟง เสียงแหงมาตุคามอันหัวเราะเปนอาทิในภายนอกฝาในภายนอกกําแพง ไมระลึกเนือง ๆ ซึ่งอันหัวเราะ อันกลาวอันเลนกับดวยมาตุคาม ๖. “อปจโข ปสฺสติ”” อนึ่งสมณะและพราหมณนั้น เห็นซึ่งคฤหบดีและบุตรแหงคฤหบดี อันอิ่มไปดวยปญญากามคุณ อันพรอมเพรียงดวยปญจกามคุณ อันบุคคลทั้งหลายบําเรอดวยปญจ กามคุณ ยินดีซึ่งกิริยาที่คฤหบดีและบุตรของคฤหบดี อันอิ่มไปดวยปญจวิธกามคุณนั้น พรหมจรรย ของสมณะแลพราหมณจําพวกนี้ก็ขาดทะลุ ก็ดางพรอยไป “อยํวุจฺจติ พฺราหฺมณ” ดูกรพราหมณ สมณะและพราหมณจําพวกนี้ตถาคตรองเรียกวา เปนสมณะและพราหมณประพฤติพรหมจรรยไม บริสุทธิ์ ประกอบดวยเมถุนสังโยคไมพนจากชาติชราและมรณะ ไมพนจากทุกขธรรมทั้งปวง ๗. “ปุน จ ปรํ” อันวาเหตุอันอื่นมีใหมเลา ดูกรพราหมณ “อิเธกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺม โณ วา” สมณะและพราหมณจําพวกหนึ่งในโลกนี้ ไมยินดีไมปรารถนา ไมถึงซึ่งความยินดีดังกลาว แลวในหนหลัง ไมดูคฤหบดีและบุตรคฤหบดี อันอิ่มไปดวยกามคุณเปนอาทิอันบุคคลบําเรออยู “อปจ โข อฺญธรเทวนิกายํ”อนึ่ง สมณและพราหมณนั้นปรารถนาจะเปนเทพยดาองคใดองคหนึ่ง จึง ประพฤติพรหมจรรยดวยความปริวิตกวาเราจะเปนเทพยดาและเทวดาองคใดองคหนึ่งดวยศีลอันนี้ ดวยวัตรอันนี้ ประพฤติซึ่งธรรมอันบุคคลมิอาจประพฤติไดนี้ ดวยพรหมจรรยประพฤติธรรมอันประเสริฐ นี้ “โส ตทสฺสาเทติ” สมณะและพราหมณนั้นก็ยินดีและปรารถนาซึ่งการอันจะเปนเทพยดานั้น และถึง ซึ่งความยินดีดวยกิริยาที่จะเปนเทพยดานั้น “อิทํป พฺราหฺมณ พฺราหมจริยสฺส” ดูกรพราหมณสมณะ และพราหมณประพฤติพรหมจรรย ดวยปริวิตกวาจะเปนเทพยดาดังนี้ ชื่อวาขาดชื่อวาทะลุทําลายชื่อ วาดางพรอยแหงพรหมจรรย บัณฑิตพึงรูวา สภาวะมีขาดเปนอาทิแหงพรหมจรรย องคสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจา ตรัสเทศนา ประสงคเอาดวยประเภทมีลาภเปนตน เปนเหตุปจจัย และเมถุนสังโยค ๗ ประการ ดังรับ พระราชทานถวายวิสัชนา มาดังนี้ “อขณฺฑทิภาโว ปน” อนึ่ง สภาวะที่มิไดขาดเปนอาทิแหงพรหมจรรยนั้น องคสมเด็จพระ ผูทรงพระภาคตรัสเทศนาประสงคเอาดวยมิไดทําลายสิกขาบททั้งหลายทั้งปวง และการกระทําซึ่ง เยียวยาสิกขาบทที่ทําลายแลวจะกระทําคืนไดดวยเทศนาแสดงซึ่งอาบัติเปนอาทิ และสภาวะหามิได แหงเมถุนสังโยค ๗ ประการ และมิไดบังเกิดขึ้นแหงธรรมทั้งหลายอันลามกอันอื่นมีความโกรธและผูก เวรและลบหลูคุณทาน และถือเอาเปนคูและอิสสาอดกลั้น มิไดซึ่งสมบัติแหงบุคคลผูอื่น และมัจฉริยะ ซอนไวแหงตน และมารยาปดไวซึ่งโทษแหงตน และสาไถยแสดงซึ่งคุณแหงตนมิได และถัมภะมีจิต
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 67 กระดาง และสารัมภะกลาวใหยิ่งกวาเหตุ และมานะและอติมานะ และมัวเมาแและประมาทเปนอาทิ และทรงสงเคราะหดวยอันบังเกิดขึ้นแหงคุณทั้งหลาย มีอัปปจฉตาคุณ ปรารถนานอยไมมากนัก และ สันตุฏฐิคุณ คือยินดีดวยปจจัยแหงตน และสัลเลขคุณ กระทําใหเบาบางจากกิเลส เปนตน “ยานิ หิ สีลานิ” แทจริง ศีลทั้งหลายใด มิไดทําลายดวยประโยชนลาภและยศเปนอาทิ และทําลายดวยโทษ คือประมาทแตทวาเยียวยาไดเปนศีลอันธรรมทั้งหลายเปนบาป คือประกอบดวย เมถุน และโกรธและผูกเวรเปนตนไมจํากัดได “ตานิ สพฺพโส อขณฺฑาติ” ศีลทั้งหลายนั้น องคพระ ตถาคตก็เรียกวาไมขาด ไมทะลุทําลาย ไมดางไมพรอย “ตานิ จ สีลานิ” อนึ่ง ศีลทั้งหลายนั้น ชื่อวาเปนไป เพราะเหตุกระทําไมใหเปนทาสแหง ตัณหา เหตุศีลทั้งหลายอาศัยวิวัฏฏสมบัติคือจะใหสําเร็จแกพระนิพพาน และชื่อวาวิญูปสัฏฐา เพราะเหตุอันพระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระพุทธเจาเปนประธานตรัสสรรเสริญ และชื่อวาอปรามัฏฏศีล เพราะเหตุอันตัณหาและทิฏฐิทั้งหลายมิไดถือเอาศีลทั้งหลายนั้นยอมจะยังอุปจารสมาธิและอัปปนา สมาธิใหประพฤติเปนไป เหตุการณดังนั้นจึงไดชื่อวายังสมาธิใหประพฤติเปนไป เหตุใดเหตุดังนั้น สภาวะคือมิไดขาดมิไดทําลาย มิไดดาง มิไดพรอย แหงศีลทั้งหลายนั้น ชื่อวาบริสุทธิ์บัณฑิตพึงรูดังนี้ อนึ่ง กิริยาที่บริสุทธิ์แหงศีลสําเร็จดวยอาการ ๒ ประการ คือเห็นโทษที่วิบัติจากศีลประการ ๑ คือเห็นซึ่งอานิสงสแหงบริบูรณดวยศีลประการ ๑ เปน ๒ ประการดวยกัน โทษแหงวิบัติจากศีลนั้น นักปราชญพึงรูโดยนัยแหงพระสูตรที่องคสมเด็จพระผูทรงพระ ภาคตรัสเทศนาไว โดยนัยเปนอาทิวา “ปฺจิเม ภิกฺขเว อาทีนวา” ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษแหงวิบัติ จากศีลแหงบุคคลอันทุศีลมี ๕ ประการ นัยหนึ่ง “ทุสฺสีโล ปุคคโล” บุคคลที่ไมมีศีลนั้น ไมเปนที่รักแหงเทวดาและมนุษย ทั้งหลาย เพราเหตุวาตนเปนบุคคลไมมีศีล และเปนที่เกลียดชังแหงสพรหมจารีทั้งปวง และถึงซึ่ง ความทุกขเพราะเหตุชนทั้งหลายติเตียนตนวาเปนบุคคลไมมีศีล และจะบังเกิดวิปฏิสารเดือดรอนกิน แหนง ในกาลเมื่อชนทั้งหลายสรรเสริญซึ่งบุคคลอันมีศีล “ตาย จ ปน ทุสฺสีลตาย” อนึ่ง บุคคลที่ไมมีศีลนั้น เปนชนมีผิวสรีระอันชั่ว ดุจดังวาผาสา กฎกอันบุคคลทอดวยปาน เพราะเหตุไมมีศีล อนึ่ง บุคคลทั้งหลายใดถึงซึ่งทิษฐานนุคติ ดูเยี่ยงดูอยางปฏิบัติตามบุคคลที่ไมมีศีลนั้น ทุกขสัมผัสถูกตองอันจะนํามาซึ่งทุกข ก็จะบังเกิดมีแกบุคคลทั้งหลายนั้น เพราะเหตุจะนํามาซึ่งอบาย ทุกขสิ้นกาลชานาน อนึ่ง บุคคลที่ไมมีศีลนั้น ถือเอาซึ่งไทยธรรมวัตถุที่บุคคลพึงใหแกทายกทั้งหลายใด ไทย ธรรมนั้นก็มีคานอย เพราะเหตุไมกระทําใหมีผลมากแกทายกทั้งหลายนั้น บุคคลที่ไมมีศีลนั้น บัณฑิตชาติไมอาจชําระใหบริสุทธิ์ได มีอุปมาดุจขุมคูถอันสั่งสมอยูสิ้น ปเปนอันมาก “อุภโต ปริพาหิโร” อนึ่ง บุคคลทุศีลนั้น เสื่อมจากคุณสมบัติทั้งสอง คือสมบัติอันเปน ของแหงสมณะ และสมบัติอันเปนของแหงคฤหัสถมีอุปมาดุจดังวาถานฟน ใชแตเทานั้น “ภิกฺขุภาวํ ปฏิชานนฺโตป” บุคคลที่ไมมีศีลปฏิญาณตนวาเปนภิกษุ ก็มิได เปนภิกษุแทจริง มีอุปมาดุจดังวาลาอันติดตามซึ่งฝูงแหงโค “สตฺตุพฺพิโต” สะดุงอยูสิ้นกาลเปนนิจ ดุจดังวาบุรุษมีบุคคลทั้งปวงเปนเวร
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 68 “อํสวาสรโห” ไมควรแกสังวาสแหงสพรหมจรรย ดุจดังวากเฬวระ แหงมนุษยอันตายแลว ถึงวาพระภิกษุเปนบุคคลอันทุศีลนั้น จะประกอบดวยคุณมีสดับพระพุทธวจนะเปนตน ก็ไม สมควรที่จะกระทําสักการะบูชาแหงพระภิกษุทั้งหลายอันเปนสพรหมจรรย ดุจดังวาสุสานประเทศปา ชาไมเปนของควรจะบูชาแหงพราหมณ “อภพฺโพ วิเสสาคเม” ไมควรในการตรัสรูธรรมวิเศษเหมือนคนตาบอดไมควรในการแล เห็นรูป “นิราโส สทฺธมฺเม” ไมมีความปรารถนาในปปตฏิติธรรมและปฏิเวธธรรม ดุจดังวากุมารอัน เกิดในตระกูลจัณฑาล อันมิไดมีความปรารถนาในราชสมบัติ อนึ่ง บุคคลเปนภิกษุอันทุศีลนั้นสําคัญวาเปนสุข คือจะไดซึ่งสวนแหงความทุกข อันองค พระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาในอัคคิขันธปริยายสูตร “หิ” ดังจะกลาวโดยพิสดาร “ภควา” องคสมเด็จพระผูทรงพระภาค ผูมีพระพุทธญาณอัน ประจักษแจงผลแหงกรรมดวยอาการทั้งปวง “อติกกํ ทุกฺฏขํ เทเสนฺโต” เมื่อพระองคทรงแสดงซึ่ง ความทุกขอันเดือดรอนยิ่งนัก อาจจะยังใหรอนในหฤทัยใหบังเกิดแลว และใหรากโลหิตอันรอน ประพฤติเปนไปแกภิกษุทั้งหลายอันมิไดมีศีล มีจิตอันของอยูในความยินดีวา มีสุขมีบริโภคปญจกาม คุณ และเปนที่ไหวที่นับถือแหงชนทั้งหลายเปนอาทิ จึงตรัสถามพระภิกษุทั้งปวงวา “ภิกฺขเว” ดูกร ภิกษุทั้งหลาย “ปสฺสถ โน ตุมฺเห” ดังเราจะขอถามทานทั้งปวงแลเห็นกองเพลิงอันใหญนี้ อันไฟไหม รุงเรืองโดยรอบคอบมีประชุมเปลวอันบังเกิดแลวแลหรือ พระภิกษุทั้งหลายก็รับพระพุทธบรรหารวา “เอวํ ภนฺเต” ขาแตพระองคผูทรงพระภาคผู เจริญ ขาพระองคทั้งปวงไดเห็นแลว จึงตรัสวา “ตํ กึ มฺญถ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานทั้งปวงจะ สําคัญคําที่เราจะกลาวในกาลบัดนี้นั้น เปนดังฤๅ ดูกรพระภิกษุทั้งหลาย บุคคลจะเคลาคลึงสวมกอดแลว และนั่งทับและนอนทับกองอัคคี อันใหญนี้ อันเพลิงไหมรุงเรืองโดยรอบ มีประชุมเปลวอันบังเกิดแลว ดวยเวทนาอันใดก็ดี อันหนึ่ง บุคคลเคลาคลึงสวมกอดนางขัตติยกัญญา และนางพราหมณกัญญา และนางคฤหบดีกัญญา แลวนั่ง ใกลนอนใกล ดวยเวทนาอันใดก็ดี เวทนาทั้งสองนี้ขอไหนจะประเสริฐกวากัน พระภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลวา “ภนฺเต” ขาแตพระผูทรงพระภาคผูเจริญ บุคคลที่เคลา คลึงสวมกอดแลว ดวยเวทนาอันใด เวทนาอันนั้นไมประเสริฐ จึงตรัสวา “ภิกฺขเว” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจะบอกแกทานทั้งหลาย ตถาคตจะยังทาน ทั้งหลายใหรูอยางนี้วา “ยํ อมุ ํ มหนฺตํ” บุคคลผูใดสวมกอดซึ่งกองเพลิงอันไฟไหมรุงเรืองโดยรอบ มีประชุมเปลวบังเกิดแลว ดวยเวทนาอันใด เวทนาแหงบุคคลนั้นประเสริฐกวาภิกษุไมมีศีล มีสภาวะ ลามก มีมารยาทอันนารังเกียจชื่อวามิไดสะอาด เพราะมีกายกรรมเปนตนไมบริสุทธิ์ มีกรรมอันปกปด เหตุกรรมนั้นพึงละอายยังตนใหรูตนไมเปนสมณะ ปฏิญญาณตนวาเปนสมณะ ตนมิไดประพฤติธรรม อันประเสริฐ ปฏิญญาณตนวาประพฤติธรรมอันประเสริฐอันกรรมเบียดเบียนเขาไปภายในจิต เพราะ เหตุวิบัติจากศีล มีจิตอันชุมไปดวยโทษทั้งหลายมีหยากเยื่อ คือราคาทิกิเลสบังเกิดแลว “ตํ กิสฺส เหตุ” เหตุที่ตถาคตบอกแกทานทั้งหลายนั้น จะประพฤติเปนไปเพื่อเหตุดังฤๅ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่กอดกองเพลิงจะถึงซึ่งความตาย และจะถึงซึ่งเวทนาแทบบรรดาตาย เพราะเหตุกองเพลิงนั้น ก็ไมพึงไปบังเกิดในอบาย และทุคคติ และอสุรกาย และนรกเบื้องหนาแต ทําลายกาย เพราะเหตุกองเพลิงอันใหญไหมซึ่งตนนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 69 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไมมีศีล มีธรรมอันลามก มีมรรยาทอันระลึกดวยรังเกียจ ชื่อวามิได สะอาด เพราะเหตุมีกายกรรมเปนตนไมบริสุทธิ์ มีกรรมอันปกปด เพราะเหตุกรรมนั้นควรจะพึงละอาย ตนไมเปนสมณะปฏิญญาณตนวาเปนสมณะ ตนไมประพฤติธรรมอันประเสริฐ มีกรรมอันเปอยเนาเขา ไปในภายใน เพราะวาวิบัติจากศีล มีจิตอันชุมไปดวยโทษ มีหยากเยื่อคือราคาทิกิเลสอันบังเกิดแลว “ขตฺติยกฺญํ วา พฺราหฺมณกญญํวา” เคลาคลึงสวมกอดนางขัตติยกัญญา และนางพราหมณ กัญญา และนางคฤหบดีกัญญา แลวและนั่งใกลและนอนใกล อกุศลกรรมของภิกษุนั้นก็จะประพฤติ เปนไปใหนํามาซึ่งสิ่งที่มิไดเปนประโยชน และจะนามาซึ่งทุกขสิ้นกาลชานานเบื้องหนาแตทําลายกาย ภิกษุนั้นจะไปบังเกิดในอบายและคติอันชั่วคืออสุรกายและนรก เอวํ ก็มีดวยประการดังนี้ “เอวํ อคฺคิขนฺโธปมาย อตฺถีปฏิพทฺธปฺจกามคุณปริโภคปฺ ปจฺจยํ ทุกขํ ทสฺเสตฺวา เอ เตเนว อุปาเยน ตํ กึ มฺญถ ภิกฺขเว กตมํ นุโข วรํ ยํ พลวา ปุริโส ทฬฺหาย วาลรชฺชุยา อุโภ ชงฺฆา เวเตฺวา “ํเสยฺย สา ฉวี ฉินฺเทยฺย ฉวึ เฉตฺวา จมฺมํ ฉินฺเทยฺย จมมํ เฉตฺวา มํสํ ฉินฺเทยฺย มํสํ เฉตฺวา นหารุ ํ ฉินฺเทยฺย นหารุ ํ เฉตฺวา อฏึ ฉินฺเทยฺย อฏึ เฉตฺวา อฏิมิฺชํ อาหจจ ติฏเ ยฺย ยํ วา ขตฺติยมหาสาลานํ วา พราหมณมหาสาลานํ วา คหปติ มหาสาลานํ วา อภิวาทตํ สาทิเยยฺยาติ ฯลฯ” วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนาในศีลนิเทศ อันมีในคัมภีรพระวิสุทธมรรคปกรณ สืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลี มีเนื้อความวา “ภควา” องคพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาแสดง ซึ่งทุกข มีบริโภคซึ่งกามคุณทั้ง ๕ อันเนื่องในหญิงเปนเหตุปจจัย ดวยอัคคิขันธรูปมาเทียบดวยกอง เพลิงดังนี้แลว จึงตรัสพระธรรมเทศนาตอไปวา “ตํ กึ มฺญถ ภิกฺขเว” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานทั้ง ปวงจะสําคัญคําที่เราจะกลาวในกาลบัดนี้นั้นเปนดังฤๅ “ยํ พลวา ปุริโส” บุรุษที่มีกําลังพึงผูกพันซึ่งแขงทั้งสองของบุคคลดวยเชือกอันบุคคลฟน ดวยขนทรายอันมั่นมิไดขาด แลวพึงสีไปดวยสามารถที่จะใหเชือกนั้นตัดเขาไปในภายใน “สา ฉวึ ฉินฺ เทยฺย” เชือกนั้นก็พึงตัดเอาผิวหนังแหงทานทั้งปวง เมื่อเชือกนั้นตัดเอาผิวหนังแลว ก็จะพึงตัดเอาซึ่ง หนัง เมื่อตัดเอาหนังแลว ก็จะตองพึงตัดเอาซึ่งเนื้อ เมื่อตัดเอาซึ่งเนื้อแลว ก็จะพึงตัดเอาซึ่งเอ็น เมื่อ ตัดเอาซึ่งเอ็นแลว ก็จะพึงตัดเอาซึ่งอัฏฐิ เมื่อตัดเอาอัฐิแลว ก็จะพึงตัดเอาซึ่งเยื่อกระดูกแหงบุคคลผู นั้น ใหบุคคลผูนั้นไดความทุกขเวทนา อนึ่งดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไมมีศีลธรรมอันลามก ฯลฯ มีหยากเยื่อคือโทษอันบังเกิดแลว จะพึงยินดีซึ่งกิริยาที่ไหวนบเคารพรักใครแหงขัตติยมหาศาล แลพราหมณมหาศาล และคฤหบดี มหาศาลทั้งหลายดวยเวทนาอันใด ดังเราจะขอถาม ดูกรภิกษุทั้งหลายเวทนาแหงบุคคลทั้งสอง จําพวกนี้ ใครจะประเสริฐกวากัน นัยหนึ่ง “ภิกฺขเว” ดูกรภิกษุทั้งหลาย “ตํ กึ มณฺญถ” ทานทั้งปวงจะสําคัญคําที่เราจะ กลาวในกาลบัดนี้นั้นเปนดังฤๅ “ยํ พลวา ปุริโส” บุรุษมีกําลังพึ่งประหารในทามกลางอกดวยหอกอันแหลมคม อันโซม แลวดวยน้ํามัน ดวยเวทนาอันใด อนึ่ง พระภิกษุศีลมีสภาวะลามก ฯลฯ มิไดเปนสมณะปฏิญาณตนวาเปนสมณะ ไมประพฤติ พรหมจรรยปฏิภาณตนวาประพฤติพรหมจรรย ฯลฯ พึงยินดีซึ่งอัญชลีกรรมยกขึ้นซึ่งกระพุมหัตถ นมัสการ ของขัตติยมหาศาลแลพรหมณมหาศาล แลคฤหบดีมหาศาลดวยเวทนาอันใด ดังเราจะขอ ถาม ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนาทั้งสองประการนี้ขางไหนจะประเสริฐกวากัน นัยหนึ่ง “ภิกฺขเว” ดูกรภิกษุทั้งหลาย “ตํ กึ มฺญถ” ทานทั้งหลายจะสําคัญที่เราจะ กลาวในกาลบัดนี้นั้นเปนดังฤๅ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 70 “ยํ พลวา ปุริโส” บุรุษอันมีกําลังจะพึงนาบซึ่งกายดวยพืดเหล็กอันไฟไหมแลว อันลุก รุงเรือง มีประชุมเปลวอันบังเกิดแลว อนึ่ง พระภิกษุไมมีศีล มีสภาวะลามก ฯลฯ ตนมิไดเปนสมณะปฏิญาณตนวาเปนสมณะ ตน ไมประพฤติพรหมจรรย ปฏิญาณตนวาประพฤติพรหมจรรย พึงบริโภคนุงหมจีวร อันขัตติยมหาศาลแล พรหมณมหาศาล มลคฤหบดีมหาศาลทั้งหลาย เชื่อซึ่งกรรมแลผลแลว แลใหดวยเวทนาอันใด เวทนาทั้งสองประการนี้ขางไหนจะประเสริฐกวากัน นัยหนึ่ง “ตํ กึ มฺญถ ภิกฺขเว” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานทั้งหลายจะสําคัญคําที่เรา ตถาคตจะกลาวในกาลบัดนี้นั้นเปนดังฤๅ “ยํ พลวา ปุริโส” บุรุษผูนั้นมีกําลังมีกําลังเปดออกซึ่งปากแหงบุคคลดวยขอเหล็ก อันไฟ ไหมแลวรอนจําเดิมแตตน รุงเรืองโดยภาคทั้งปวงมีประชุมเปลวอันบังเกิดขึ้นในปากแหงบุคคลผูนั้น กอนเหล็กแดงนั้น ก็จะพึงเผาเอาฝปาก และเผาเอาซึ่งลิ้น เผาซึ่งคอ เผาเอาซึ่งทอง เผาเอาซึ้งไส ใหญแลไสนอยแลวก็พึงไหลออกไป โดยเบื้องต่ําดวยเวทนาอันใด อนึ่ง พระภิกษุไมมีศีลพึงบริโภคซึ่งบิณฑบาต อันขัตติยมหาศาลแลพราหมณมหาศาล แล คฤหบดีมหาศาลทั้งหลาย เชื่อซึ่งกรรมแลผลแลว แลพึงใหดวยเวทนาอันใด เวทนาทั้งสองนี้ ขาง ไหนจะประเสริฐกวากัน ฯลฯ นัยหนึ่ง “ตํ กึ มฺญถ ภิกฺขเว” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานทั้งปวงจะสําคัญคําที่เราจะกลาว ในกาลบัดนี้นั้นเปนดังฤๅ “ยํ พลวา ปุริโส” บุรุษมีกําลังจะจับเอาศีรษะแหงบุคคลแลวก็จับเอาบา กดศีรษะใหลง นอนทับแลนั่งทับเตียงอันแลวดวยเหล็กตั่งอันแลวดวยเหล็กอันรอน อันไฟไหมจําเดิมแตตนรุงเรือง โดยรอบคอบมีประชุมเปลวอันบังเกิดแลวพรอมดวยเวทนาอันใด อนึ่ง พระภิกษุไมมีศีล มีธรรมอันลามก พึงบริโภคซึ่งเตียงและตั่งอันขัตติยมหาศาล แลพ ราหมณมหาศาล และคฤหบดีมหาศาลพึงใหดวยศรัทธาดวยเวทนาอันใด ดังเราจะขอถาม เวทนาทั้ง สองนี้ใครจะประเสริฐกวากัน ฯลฯ นัยหนึ่ง “ตํ กึ มฺญถ ภิกฺขเว” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานทั้งปวงจะสําคัญคําที่เราจะกลาว ในกาลบัดนี้นั้นเปนดังฤๅ “ยํ พลวา ปุริโส” บุรุษผูมีกําลังจะกระทําบุคคลอันหาศีลมิไดใหมีเทาในเบื้องบนใหมี ศีรษะในเบื้องต่ํา พึงซัดไปในโลหกุมภีอันรอนอันไฟลไหมจําเดิมแตตน แลรุงเรืองโดยรอบคอบ มี ประชุมเปลวเพลิงอันลุกลามพรอม “โส ตตฺถ เผณุเทหกํ” บุคคลที่ทุศีลนั้นก็ไหมอยูในโลหกุมภี มี ฟองอันตั้งขึ้นสิ้นวาระเปนอันมาก ในกาลบางทีก็ไปในเบื้องบนในกาลบางทีก็ไปในเบื้องต่ํา บางทีก็ไป โดยขวางดวยเวทนาอันใด อนึ่ง พระภิกษุที่ไมมีศีลอยูในวิหาร อันขัตติยมหาศาล แลพราหมณมหาศาล แลคฤหบดี มหาศาลทั้งหลาย เชื่อซึ่งกรรมแลผลแลว แลพึงใหดวยเวทนาอันใด เวทนาทั้งสองนี้ ใครจะประเสริฐ กวากัน พระภิกษุทั้งหลายรับพระพุทธบรรหาร แลวจึงกราบทูลวาเวทนาที่พระภิกษุทุศีล ยินดีใน อภิวาทนกรรมไหวดวยเอื้อเฟอแลว แลยินดีในอภิวาทอัญชลีกรรมเปนอาทิ แหงขัตติยมหาศาล แลพ ราหมณมหาศาล แลคฤหบดีมหาศาลนั้นประเสริฐ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 71 องคสมเด็จพระผูทรงมีพระภาค ก็ตรัสพระสัทธรรมเทศนา โทษแหงพระภิกษุทุศีล ผูยินดี ในอภิวาทนกรรมเปนอาทิ แหงขัตติยมหาศาล แลพราหมณมหาศาล แลคฤหบดีมหาศาล แลวแลไป บังเกิดในจตุราบายเบื้องหนาแตจุติจิต โดยวิสัชนาแลวในหนหลัง “อิติ ภควา ทุกฺขํ ทสเสติ” องคสมเด็จพระผูทรงสวัสดิภาพทรงแสดงทุกข มีกิริยาที่ พระภิกษุทุศีลยินดีในอภิวาทนกรรม แลอัญชลีกรรมแลรับซึ่งจีวรแลรับซึ่งบิณฑบาต แลบริโภคซึ่ง เตียงแลตั่ง แลวิหารเปนเหตุเปนปจจัยดวยวาลรัชชุปมา เปรียบดวยเชือกอันบุคคล ฟนดวยขนทราย แลหอกอันคม แลแผนเหล็ก แลกอนเหล็ก แลเตียงเหล็ก แลตั่งเหล็ก แลโลหกุมภี เหตุใดเหตุดังนั้น เมื่องอคสมเด็จพระบรมศาสดาผูที่เคารพของสัตวโลก ติเตียนซึ่งพระภิกษุมีศีลอันวิบัติ จึงตรัสพระ สัทธรรมเทศนาวา “ภิกฺขเว” ดูกรภิกษุทั้งหลาย “อวิชฺชหโต กามสุขํ” เมื่อภิกษุมิไดสละเสียซึ่งกาม สุข มีผลอันเปนที่เดือดรอนจะใหถึงซึ่งทุกขอันยิ่งกวาทุกขที่จะสวมกอดเคลาคลึงกองอัคคี ตนก็จะ เปนภิกษุมีศีลอันทําลายไมเปนสมณะ ความสุขจะมีแกภิกษุนั้นแตที่ดังฤๅ นัยหนึ่ง “อภิวาทนสาทิเยน” พระภิกษุมีศีลอันวิบัติ มีความยินดีในอภิวาทนกรรม ไหว ดวยเอื้อเฟอแหงบุคคลทั้งหลายอันเปนมหาศาล มีขัตติยมหาศาลเปนประธาน เปนสวนที่จะนํามาซึ่ง ความทุกข อันยิ่งกวาทุกขที่บุคคลจะเชือดจะติดผิวหนังและมังสะ กระทั่งถึงเยื่อกระดูก ดวยเชือกอัน ฟนดวยขนทราย ความสุขดังฤๅจะมีแกพระภิกษุนั้น อนึ่ง พระภิกษุไมมีศีลยินดีในอัญชลีกรรม ประนมนิ้วนอมนมัสการ การแหงขัตติยมหาศาล แลพราหมณมหาศาล แลคฤหบดีมหาศาลอันมีศรัทธาเปนเหตุที่จะนํามาซึ่งทุกข อันยิ่งกวาทุกขที่ บุคคลจะประหารดวยหอกความสุขจะมีแกพระภิกษุนั้นแตที่ดังฤๅ อนึ่งพระภิกษุมีศีลอันวิบัติรูปใด จะพึงเสวยซึ่งสัมผัสนุงหมผาแผนเหล็ก อันรุงเรืองอยูใน นรกสิ้นกาลชานาน พระภิกษุนั้นจะมีประโยชนดังฤๅ ดวยความสุขคือจะนุงหมจีวร อันมหาศาลบุคคล ทั้งหลายถวายดวยศรัทธา อนึ่งพระภิกษุอันมีศีลวิบัติรูปใด จะพึงกลืนกินซึ่งกอนเหล็กอันรอนอันไฟไหมลุกรุงเรือง มี เปลวประชุมบังเกิดแลวในนรกสิ้นกาลชานาน เพราะเหตุบริโภคซึ่งบิณฑบาต อันขัตติยมหาศาล และพราหมณมหาศาล และคฤหบดีมหาศาล เชื่อซึ่งกรรมแลผลแลวแลใหบิณฑบาตินั้นมีรสอรอยเปน ที่ปรารถนา ก็มีอุปมาเหมือนยาพิษอันกินตาย จะเปนประโยชนดังฤๅแกพระภิกษุอันหาศีลมิไดนั้น อนึ่งเตียงแลตั่งทั้งหลาย อันแลวดวยเหล็กอันรุงเรืองเปนที่นํามาซึ่งทุกข จะเบียดเบียน พระภิกษุรูปใดอันหาศีลมิได อันบังเกิดในนรกสิ้นกาลชานนาน พระภิกษุหาศีลมิไดนั้น จะบริโภคซึ่ง เตียงแลตั่ง อันตนสมมติสําคัญวาเปนสุข คือจะนํามาซึ่งอุบายทุกขเพื่อประโยชนดังฤๅ “ชลิเตสุ นิวสิตพฺพ” อนึ่งพระภิกษุรูปใดหาศีลมิไดจะพึงอยูในทามกลางหมอเหล็กอัน รุงเรือง ความยินดีในอาสนะที่นั่งแลที่นอนในวิหารอันมหาศาลบุคคลจะพึงใหดวยศรัทธา จะพึงมีแก พระภิกษุนั้นเพื่อประโยชนดังฤๅ อันนี้องคสมเด็จพระศาสดา ทรงติเตียนพระภิกษุมีศีลอันวิบัตินั้นวา เปนพระภิกษุมีมรรยาท อันตนพึงระลึกดวยรังเกียจ เพราะเหตุวา กายกรรมเปนอาทิไมบริสุทธิ์ ดุจหยากเยื่ออันบุคคลจะพึงทิ้ง เสียชุมไปดวยราคาทิกิเลส มีสภาวะลามกเปอยเนาอยูภายในชีวิตแหงภิกษุมีศีลอันวิบัติปราศจาก ปญญา ตนมิไดเปนสมณะทรงไวซึ่งเพศแหงชนอันเปนสมณะ กําจัดเสียซึ่งตนดวยความฉิบหายแหง ศีล ชื่อวาขุดเสียซึ่งตน กนเสียซึ่งตนเพราะเหตุขุดเสียซึ่งมูล คือกุศล “สีลวนฺโต สนฺโต” พระภิกษุ ทั้งหลายในพระศาสนานี้ ที่มีศีลทรงศีลอันบริสุทธิ์ระงับราคาทิกิเลสแลว ก็ยอมจะเวนเสียสละซึ่งภิกษุ ทุศีล ดุจดังวาภิกษุทั้งหลายมีความปรารถนาจะประดับกาย ยอมเวนเสียซึ่งคูถแลซากศีพ “กึ ชีวิตํ ตสฺส” ชีวิตแหงภิกษุมีศีลอันวิบัตินั้นจะเปนประโยชนดังฤๅ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 72 “สพฺพภเยหิ อมุตฺโต” พระภิกษุทุศีลนั้นมิไดพนจากภัยทั้งปวง มีภัยคือตนก็จะพึงติเตียน ตนเปนอาทิ พนจากสุขคือกรรมพิเศษมีพระโสดามรรคเปนประธาน มีทวารคือชองมรรคาที่จะครรไป ไปสูสวรรคอันทุศีลธรรมปดเสียแลว มีแตจะบายหนาขึ้นสูมรรคที่จะไปสูอบาย “กรุณาย วตฺถุภูโต” เปนบุคคลควรจะกรุณาแหงชนทั้งหลายอันประกอบดวยกรุณา บุคคลดังฤๅจะเสมอดวยภิกษุที่หาศีลมิไดไมมีแลว นักปราชญผูเจริญดวยญาณคติพึงรูวา องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสพระสัทธรรม เทศนา แสดงโทษแหงภิกษุมีศีลอันวิบัติดวยประการเปนอันมาก โดยนัยเปนอาทิที่แสดงมาแลวนี้ อนึ่ง บัณฑิตพึงรูวา องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาแสดงอานิสงสศีลของพระภิกษุ ที่ทรงศีล โดยคําอันวิปริตจากคําอันกลาวแลว อนึ่งพระพุทธโฆษาจารยเจาผูเปนพุทธกตัญู รูพระบรมพุทธาธิบายนิพนธพระคาถามไว วา “ตสฺส ปาสาทิกํ โหต ปตฺตจีวระารณํ” เปนอาทิ อรรถาธิบายในบาทพระคาถานั้นวา ศีลแหง พระภิกษุรุปใดปราศจากมลทิน อาการที่จะทรงไวซึ่งบาตรแลจีวรขจองพระภิกษุนั้นก็เปนที่จะนํามาซึ่ง ความเลื่อมใส อนึ่ง ศีลแหงพระภิกษุรูปใดบริสุทธิ์ไมมีมลทิน บรรพชาของพระภิกษุนั้น ก็เปนบรรพชาอัน ประกอบดวยผล อนึ่งภัยที่จะเบียดเบียนตนเปนตนนั้น ก็มิหยั่งลงสูหฤทัยแหงพระภิกษุมีศีลอันบริสุทืธิ์ ดุจ ดังดวงพระอาทิตยไมยังอันธการใหหยั่งลงไดในโลกธาตุ พระภิกษุมีศีลอันบริสุทธิ์อยูแลว ก็จะงามในศาสนาพรหมจรรย ดุจดังวาปริมณฑลจันทร ทิพยวิมาน อันไพโรจนรุงเรืองอยูในคัดนาลัยประเทศอากาศ ใชแตเทานั้น “กายคนฺโธป ปาโมชฺช”ํ กลิ่นกายแหงพระภิกษุอันมีศีลอันบริสุทธิ์ ก็ฟุงไป ในที่ทวนลมแลที่ตามลม ยังปราโมทยคือตรุณปติใหบังเกิดแกเทวดามนุษยทั้งหลาย “สีลคนฺเธ กถาวกา” จะปวยกลาวไปไยถึงกลิ่นศีล เมื่อพระภิกษุทรงศีลบริสุทธิ์แลว กลิ่นศีลของพระภิกษุนั้น ก็จคงจะครอบงําเสียซึ่งกลนแหงคันธชาติทั้งปวง มีกลิ่นจันทนแลกลิ่นกฤษณาเปนอาทิ ฟุงไปใน ทิศานุทิศมิไดขัดของหาสิ่งจะเคียงคูมิได “อปฺปกาป กตา การา” ถึงวาไทยธรรมนั้นจะนอย ทายกมีศรัทธากระทําสักการะบูชาแก พระภิกษุอันทรงศีลก็มีผลมาก เพราะเหตุการณนั้น พระภิกษุที่มีศีล ชื่อวาเปนภาชนะรับรองเครื่อง สักการบูชา “สีลวนฺตํ น พาเธนฺติ” อนึ่งอาสวะทั้ง ๔ มีกามาสวะเปนอาทิ อันยุติในทิฏฐธรรมคืออัตต ภาพชาตินี้ ก็มิไดเบียดเบียนพระภิกษุผูมีศีล พระภิกษุผูทรงศีลนั้น ยอมจะขุดเสียซึ่งรากเงาแหงทุกข ทั้งหลายในปรโลก สมบัติอันใดมีในมนุษยโลกแลเทวโลกเมื่อพระภิกษุผูมีศีลปรารถนาแลว จะได สมบัตินั้นดวยยากหามิได อนึ่ง จิตของพระภิกษุที่มีศีลนั้นยอมจะนอมไปสูนิพพานสมบัติ อันเปนที่ระงับดับราคาทิ กิเลสโดยแท แทจริงศีลคุณนี้เปนมูลแหงสมบัติทั้งปวง อานิสงสศีล อันเจือดวยอาการเปนอันมากดังนี้
“อเนกาการโวการํ”
บัณฑิตพึงแสดงซึ่ง
เมื่อบัณฑิตชาติแสดงซึ่งอานิสงสศีล ดวยประการดังนี้แลวก็มีจิตสะดุงจากศีลวิบัติ นอม ไปสูศีลสมบัติ คือจะยังตนใหถึงพรอมดวยศีล เหตุใดเหตุดังนั้น นักปราชญผูดําเนินดวยญาณคติเห็น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 73 โทษแหงวิบัติจากศีล และเห็นอานิสงสที่บริบูรณดวยศีล ดังเรากลาวแลวนี้ ก็พึงชําระศีลใหบริสุทธิ์ใน พระพุทธศาสนา ขาพระองคมีนามชื่อวาพุทธโฆษาจารย แสดงซึ่งศีลอันมีในคัมภีรพระวิสุทธิมรรค อันองค สมเด็จพระผูทรงสวัสดิภาคตรัสเทศนาดวยศีลสมาธิปญญาเปนประธาน ในพระคาถาที่มีคํากลาววา “สีเลปติฏาย นโร สปญโญ” เปนอาทิ โดยลําดับพระบาลีมีประมาณเทานี้ “อิติ สาธุชนปามุชฺชตฺถาย” ปฐมปริจเฉทชื่อวาศีลนิเทศ ในคัมภีรพระวิสุทธิมรรค อันขา พระองคแตงไวเพื่อประโยชนจะยังสาธุชนใหปราโมทย โดยสังเขปกลาวไวแตเพียงนี้ เอวํ ก็มีดวย ประการดังนี้
ธุดงคนิเทศ “อิทานิ เยหิ อปฺปจฺฉตานสนฺตุฎิตาทีหิ คุเณหิ วุตฺตปฺปการสฺส สีลสส โวทานํ โหติ เต คุเณ สมฺปาเทตุ ํ ยสฺมา สมาทินฺนสีเลน โยคินา ธุตงฺคสมาทานํ กาตพฺพํ เอว หิสฺส อปจฺฉตา สนตุฎิตา สลฺเลขตาปวิเวกาปจฺจยวิริยารมภสฺภรตาทิ คุณสถิลวิกฺขาลิตมาลํ สีลํ เจว สุปริ สุทธํ ภวิสสติ วตฺตานิ จ ปมฺปชฺชิสฺสนฺตีติ อิติ อนวชชสีลพฺพตฺตคุณปริสุทฺธสพพสาจาโร โป ราเณ อริยวํสตฺตเย ปติฎาย จตุตถสสภาวนารามตาสงฺขาตสฺส อริยวํสสส อธิคมารโห ภวิสฺ สติ” วาระนี้ จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนาในเตรสธุดงนิเทศปริจเฉท ๒ อันมีในคัมภีรพระ สุทธิมรรค สืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลี พระพุทธโฆษาจารยรจนาไววา “โยคินา ธุตงฺคสมาทานํ” พระโยคาวาจรภิกษุผูประพฤติ ความเพียร เมื่อมีศีลอันถือเอาดีแลว พึงกระทําธุดงคสมาทาน ถือเอาซึ่งธุดงสืบขึ้นไปในกาลบัดนี้ กิริยาที่บริสุทธิ์แหงศีลอันเรากลาวแลว จะอุบัติบังเกิดมีดวยคุณทั้งหลายใด มีอัปปจฉตา คุณ คือมีปรารถนานอย แลสันตุฎฐิตาคุณ คือยินดีในปจัยแหงตนเปนอาทิ แลจะยังคุณทั้งหลายนั้นให บริบูรณ เพราะเหตุสมาทานธุดงค แทจริงเมื่อพระโยคาวจรลางเสียซึ่งมลทินแหงศีลดวยน้ํา กลาวคืออัปปจฉตาคุณ คือ ปรารถนานอย แลสัตุฏฐิตาคุณ ยินดีในปจจัยแหงตน แลสัลเลขตาคุณ กระทําใหนอมแหงกิเลส ทั้งหลาย แลยินดีในปวิเวกแลปจจัยคุณ กิเลสทั้งหลายมิไดสั่งสมอยูเพราะเหตุปฏิบัติฉันใด ก็ปฏิบัติ ฉันนั้น แลววิริยารัมภตาคุณ ยังความเพียรใหประพฤติเปนไปเนือง ๆ แลสุภรตาคุณ คือเปนบุคคล พึงเลี้ยงงาย เพราะมิไดปรารถนามากเปนอาทิศีล แหงพระภิกษุนั้นก็จะบริสุทธิ์ดี อนึ่งวัตตปฏิบัติก็จะ บริบูรณ พระโยคาวจรภิกษุมีสมาจารทั้งปวง อันบริสุทธิ์ดวยศีลคุณแลวัตตคุณ อันปราศจากโทษ ดังนี้แลว ก็จะตั้งอยูในที่ประชุม ๓ แหงอริยวงศ คือสันโดษในจีวรแลบิณฑบาต แลเสนาสนะ แล สมควรที่จะไดซึ่งอริยวงศเปนคํารบ ๔ กลาวคือภาวะยินดีในภาวนา “ตสฺมา ธุตงฺคกถ อารพฺภิสฺสา มิ” เพราะเหตุการณดังนี้ ขาพระองคผูมีนามชื่อวา พุทธโฆษาจารยจักปรารภซึ่งธุงดงกถาสืบตอไป
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 74 “ภควา หิ เตรส ธุตงฺคาตานิ” แทจริงธุงค ๑๓ ประการนี้ สมเด็จพระผูทรงสวัสดิภาค ทรงอนุญาตแดพระภิกษุทั้งหลาย มีอามิสในโลกอันละเสียแลว มิไดอาลัยในกายแลชีวิต มีความ ปรารถนาเพื่อจะยินดีในอนุโลมปฏิบัติคือเจริญวิปสสนา “เสยฺยถีท”ํ ธุดงค ๑๓ ประการนั้น คือสิ่งดังฤๅ ธุดงค ๑๓ ประการนั้น คือปงสุกุลิกังคธุดงค ๑ เตจีวริกังธุดงค ๑ ปณฑปาติกังคธุดงค ๑ สปทานจาริกังคธุดงค ๑ เอกาสนิกังคธุดงค ๑ ปตตปณฑิกังคธุดงค ๑ ขลุปจฉาภัตติกังคธุดงค ๑ อารัญญิกังคธุดงค ๑ รุกขมูลิกังคธุดงค ๑ อัพโภกาสิกังคธุดงค ๑ โสสานิกังคธุดงค ๑ ยถาสันถติกังค ธุดงค ๑ เนสัชชิกังคธุดงค ๑ ผสมเขาดวยกัน เปนธุดงค ๑๓ ประการดวยกันดังนี้ แตนี้จะวินิจฉัยในธุดงค ๑๓ ประการโดยอรรถวิคหะ ๑ โดยอรรถมีลักษณะเปนตน ๑ โดย สมาทานวิธาน ๑ โดยประเภทคือจําแนก ๑ โดยเภทะคือทําลายหรือพินาศ ๑ โดยอานิสงสแหงธุดงค นั้น ๆ ๑ โดยประมาณ ๓ ตามกําหนดดวยธุดงค ๑ โดยจําแนกชื่อธุดงคเปนตน ๑ โดยสังเขปแล พิสดาร ๑ เปนบทวินิจฉัย ๙ ประการ บัณฑิตพึงรูดวยประการดังนี้ ๑. จะวินิจฉัยโดยอรรถวิคคหะในบท ปงสุกุลิกังคธุดงคเปนปฐมนั้นกอน มีเนื้อความวา จีวรอันใดเปนประดุจดังวาฟุงไปดวยฝุน ดวยอรรถคือสภาวะแหงจีวรนั้นอยู ในที่สูง เพราะเหตุวาผานั้นตั้งอยูบนฝุนทั้งหลายในที่ใดที่หนึ่ง มีตรอกแลสุสานประเทศปาชาแลกอง หยากเยื่อเปนอาทิ เหตุใดเหตุดังนั้น จีวรนั้นจึงไดชื่อวา ปงสุกุล ปงสุกุล วาปงสุกุล
นัยหนึ่งวา
จีวรอันใดถึงซึ่งสภาวะเปนของอันบุคลพึงเกลียดดุจดังวาฝุน
จีวรนั้นชื่อวา
กิริยาที่พระภิกษุทรงไวซึ่งผาบังสุกุล อันไดซึ่งอรรถวิคคหะถือเอาตางซึ่งเนื้อความดังนี้ ชื่อ
กิริยาที่ทรงไวซึ่งผาปงสุกุลเปนปกติแหงภิกษุนี้ พระภิกษุนั้นชื่อปงสุกุลิกะ แปลวามีทรงไว ซึ่งปงสุกุลจีวรเปนปกติ เหตุแหงภิกษุมีทรงไวซึ่งปงสุกุลจีวรเปนปกตินั้นชื่อวาปงสุกุลิกังคะ การณศัพทนี้ องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาเรียกชื่อวาองคเหตุใดพระภิกษุมีทรง ไวซึ่งปงสุกุลจีวรเปนปกติ ยอมจะมีดวยสมาทานอันใด คํากลาววาปงสุกุลิกะนี้ กระนี้ บัณฑิตพึงรูวา เปนชื่อแหงสมาทานเจตนานั้น ๒. ในบทคือ เตจีวริกังคธุดงค เปนคํารบ ๒ นั้น มีอรรถวิคคหะวา “ติจีวรํ” ผา ๓ ผืน คือผา สังฆาฏิ แลผาอุตราสงค แลผาชื่ออันตรวาสก เปนปกติแหงพระภิกษุนี้ เหตุดังนั้นพระภิกษุนี้จึงมีนาม ชื่อวา เตจีวริกะ โดยนัยกลาวมาแลวในปงสุกุลธุดงค องค คือเหตุ ไดแกสมาทานเจตนาของพระภิกษุในที่ทรงไวซึ่งไตรจีวร มีผาสังฆาฏิเปนตน ชื่อวา เตจีวริกังคะ ๓. ในปาฑปาติกังคธุดงคที่ ๓ นั้นมีอรรถวิคคหะวา กิริยาที่ตกแหงกอนอามิสทั้งหลาย กลาวคือภิกขะ ชื่อวา บิณฑบาต
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 75 มีอรรถรูป อาจารยกลาววากอนอามิสที่บุคลผูอื่นใหตกลงอยูในบาตรแหงพระภิกษุ ชื่อวา บิณฑบาต พระภิกษุรูปใดแสวงหาบิณฑบาต เขาไปสูสกุลนั้น ๆ เที่ยวแสวงหาหวังบิณฑบาต ภิกษุรูป นั้นชื่อวาปณฑปาติโก นัยหนึ่ง กิริยาที่ตนแหงกอนอามิส เปนวัตตปฏิบัติของพระภิกษุนี้ ภิกษุนั้น ชื่อวา ปณฑ ปาตี “ปณฺฑปาติ เอว ปณฺฑปาติโก” กิริยาที่ภิกษุเที่ยวไปเพื่อกอนอามิสชื่อวา ปณฑปาติโก เหตุคือสมาทานเจตนาของพระภิกษุอันเที่ยวไปเพื่อกอนอามิส ชื่อวา ปณฑปาติกังคะ ๔. ในสปทานจาริกังคธุดงคเปนคํารบ ๔ นั้น มีบทวิคคหะวาทานศัพท แปลวา ขาด แปลวามิไดประพฤติเปนไปมีระหวาง กิริยาที่พระภิกษุเวนจากประพฤติเปนไป ไมมีระหวางนั้นชื่อวา อปทาน อธิบายวาไมขาด ประพฤติอยางใด เปนไปกับดวยไมขาด ประพฤติอยางนั้นชื่อวา สปทาน มีอรรถรูปวา ภิกษุเที่ยวไปไมใหขาด ไมเวนเรือน ไมลวงลําดับเรือน ชื่อวา สปทาน กิริยาที่เที่ยวไปไมลวงลําดับเรือน เปนปกติของพระภิกษุนี้เพราะเหตุดังนั้น พระภิกษุรูปนั้น ชื่อวา สปทานจารี “สปทานจารี เอว สปทานจารโก” พระภิกษุเที่ยวกับดวยมิไดขาด คือเที่ยวไป โดยลําดับเรือนชื่อวา สปทานจาริกะ องค คือเจตนาที่จะถือเอาดวยดีของพระภิกษุที่จะเที่ยวไปกับดวยมิไดขาดตามลําดับเรือน ชื่อวา สปาทานจาริกังคะ ๕. ในเอกาสนิกังคธุดงคเปนคํารบ ๕ มีอรรควิคคหะวากิริยาที่ปบริโภคในอาสนะที่นั่งอัน เดียว ชื่อวา เอกาสนะ บริโภคในอาสนะอันเดียวนั้นเปนปกติของพระภิกษุนี้ พระภิกษุนั้นชื่อวาเอกาสนิกะ “ตสฺมา องฺคํ เอกาสนิกงฺคํ องคคือสมาทานของพระภิกษุบริโภคในอาสนะอันเดียวนั้น ชื่อวา เอกาสนิกังคะ ๖. ในปตตปณฑกังคธุดงคเปนคํารบ ๖ นั้น มีอรรถวิคคหะวากอนอามิสในบาตรอันเดียวแท ชื่อวา ปตตปณฑิก เพราะเหตุธุดงคนี้สมาทาน สมาทานวิธีหามภาชนะเปนคํารบ ๒ กิริยาที่ถือเอากอนอามิสในบาตร การทําสําคัญวากอนอามิสในบาตร ในกาลเมื่อจะถือเอา กอนอามิสในบาตร เปนปกติของพระภิกษุนี้ เหตุดังนั้น พระภิกษุนั้นไดชื่อวา ปตตปณฑิกะ องค คือสมาทานเจตนาแหงพระภิกษุ มีอันถือเอากอนอามิสในบาตรกระทําสําคัญวากอน อามิสในบาตรเปนปกตินั้น ชื่อวา ปตตะปณฑิกังคะ ๗. ในขลุปจฉาภัตติกังคธุดงคเปนคํารบ ๗ นั้นวา ขลุศัพทเปนนิบาตประพฤติเปนไปใน อรรถคือแปลวา ปฏิเสธ มีบทวิเคราะหวา พระภิกษุกระทําซึ่งหามโภชนะแลวแลตั้งอยูได ซึ่งภัตรในภายหลัง ชื่อวา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 76 ปจฉาภัอตัง โภชนะของภิกษุอันหามขาวแลวแลไดภัตรในภายหลังนั้นชื่อวาปจฉาภัตะโภชนะ ภัตรอันภิกษุหามขาวแลวแลไดในภายหลัง กระทําสําคัญวาปจฉาภัตรในโภชนะปจฉาภัตร นั้นเปนปกติของพระภิกษุ เหตุดังนั้นพระภิกษุนั้นชื่อวาปจฉาภัติกะ แปลวาพระภิกษุหามขาวแลวซึ่ง ภัตรในภายหลังเปนปกติ “น ปจฺฉาภตติโก ขลุปจฺฉาภตฺติโก” ภัตรที่พระภิกษุหามขาวแลวแลไดในภายหลัง กระทําสําคัญวาปจฉาภัตรในโภชนะปจฉาภัตรนั้นเปนปกติของพระภิกษุนี้หามิได พระภิกษุนั้นชื่อวาข ลุปจฉาภัตติกะ คํากลาววา ขลุปจฉาภัตติโก นี้เปนชื่อแหงบริโภคอันยิ่ง อันกําลังแหงสมาทานหามแลว อนึ่ง มีคําพระอรรถกถาจารยเจากลาวไวในอรรถกถาวา “ขลูติ เอโก สกุโณ” นกจําพวก หนึ่ง ชื่อวาขลุ ถือเอาแลวซึ่งผลไมดวยปาก เมื่อผลไมนั้นตกเสียแลว นกนั้นก็มิไดจิกกัดกินซึ่งผลไม อื่น ๆ “ตาทิโส อยํ” พระภิกษุที่มีขลุปจฉาภัตติกังคธุดงค เปนปกตินี้ก็เหมือนหนึ่งนกนั้น จึงไดนาม ชื่อวา ขลุปจฉาภัตติโก องค ซึ่งสมาทานเจตนาของพระภิกษุที่หามขาวแลวไดซึ่งภัตรในภายหลัง กระทําสําคัญวา ภัตรในภายหลังเปนปกติของตนหามิไดนั้นชื่อวา ขลุปจฉาภัตติกังคะ ๘. ในอารัญญิกกังคธุดงคเปนคํารบ ๘ นั้น “อญเญ นิวาโส อารฺญํ” กิริยาที่นอนอยูใน ประเทศอันบุคคลไมยินดีชื่อวา อารัญญัง การที่อยูในอรัญราวปาเปนปกติของพระภิกษุนี้ เหตุดังนั้นพระภิกษุจึงไดชื่อวา อารัญญิโก อารัญญิกังคะ
องค
คือสมาทานเจตนาของพระภิกษุอันอยูในประเทศไมพึงยินดีเปนปกตินั้น
ชื่อวา
๙. ในรุกขมูลิกังคธุดงคเปนคํารบ ๙ นั้น มีบทวิคคหะวา “รุกฺขมูเล นิวาโส” กิริยาที่อยูใน ภายใตตนไมนั้นชื่อวา รุกขมูล การที่อยูในภายใตตนไมนั้น เปนปกติของพระภิกษุนั้น เหตุดังนั้นพระภิกษุนั้นจึงไดชื่อวา รุกขมูลิกะ องค คือสมาทานเจตนาของพระภิกษุ มีอันอยูในภายใตตนไมเปนปกตินั้นชื่อวา รุกขมูลิกัง คะ ๑๐. ในอัพโภกาสิกังคธุดงคเปนคํารบ ๑๐ แลโสสานิกังคธุดงคเปนคํารบ ๑๑ ก็มีนัยดุจ เดียวกันกับดวยอารัญญิกกังคธุดงค แลรุกขมูลิกังคธุดงคฉันนั้น ๑๒. ในยถาสันถติกังคธุดงคเปนคํารบ ๑๒ นั้น มีบทวิคหะวา “ยเถว สนฺถตํ” เสนาสนะใด ๆ อันพระภิกษุเปนผูปูเสนาสนะใหถึงแกพระภิกษุ เสนาสนะนั้นชื่อวา ยถาสันถตัง ยถาสันถติกังคธุดงคนี้เปนชื่อแหงเสนาสนะ กอนวา เสนาสนะนี้ถึงแกทาน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
ที่พระภิกษุเปนผูตกแตงเสนาสนะแสดงขึ้น
- 77 กิริยาที่อยูในเสนาสนะ อันพระภิกษุเปนผูตกแตงจัดแจงเสนาสนะแสดงขึ้นกอนวา เสนาสนะนี้ถึงแกทาน เปนปกติของพระภิกษุนั้นเหตุดังนี้ พระภิกษุนั้นจึงชื่อวา ยถาสันถตินะ องคคือสมาทานเจตนาของพระภิกษุมีอันอยูในเสนาสนะ อันพระภิกษุเปนผูตกแตง เสนาสนะแสดงขึ้นกอนวา เสนาสนะถึงแกทาน เปนปกตินั้นชื่อวา ยถาสันถติกังคะ ๑๓. ในสัชชิกังคธุดงคเปนคํารบ ๑๓ นั้น มีบทวิคคหะวา “สยนํ ปฏิกฺขิปตฺวา” กิริยาที่ พระภิกษุหามซึ่งอิริยาบท คือนอนแลวแลอยูดวยอิริยาบถคือนั่งนั้น เปนปกติแหงพระภิกษุนั้น เหตุ ดังนั้นพระภิกษุนั้นจึงไดชื่อวา เนสัชชิกะ องคคือสมาทานเจตนาของพระภิกษุ ที่จะหามซึ่งอิริยาบถนอนแลวอยูดวยอิริยาบถนั่งเปน ปกตินั้น ชื่อวา เนสัชชิกังคะ อนึ่ง ธุดงคทั้งปวงนี้ ชื่อวาเปนองคแหงพระภิกษุ ชื่อวาธุตะเพราะเหตุวาภิกษุนั้น มีกิเลส อันกําจัดเสียแลวดวยวิธีสมาทานนั้น ๆ นัยหนึ่ง ปญญามีคําเรียกวาธุตะอันไดแลว เพราะเหตุวาปญญานั้นชําระเสียแลวซึ่งกิเลส เปนองคแหงธุดงคทั้งหลาย มีปงสุกุลีกังคธุดงคเปนอาทิ เหตุดังนั้น ปงสุกุลิกังคะเปนประธานนั้น จึงมี นามชื่อวา ธุตังคาตานิ นัยหนึ่ง ปงสุกุลิกังคะเปนอาทินั้น ชื่อวา ธุตะ เพราะเหตุกําจัดเสียซึ่งขาศึก แลชื่อวาองค เพราะเหตุปฏิบัติดวยอาการอันดี ในธรรมทั้งหลายมีศีลเปนประธาน เหตุดังนั้น จึงไดนามชื่อวา ธุดงค วินิจฉัยโดยอรรถวิคหะในธุดงค ๑๓ ประการ บัณฑิตพึงรูดวยประการดังนี้กอน แตนี้จะวินิจฉัยโดยลักษณะเปนอาทิในธุดงค ๑๓ ประการ บัณฑิตพึงรูโดยนัยเราจะกลาว ตอไปนี้ แทจริง ธุดงค ๑๓ ประการทั้งนี้ มีเจตนาอันประพฤติเปนไปดวยสามารถสมาทานเปน ลักษณะ สมดวยพระอรรถกถาจารยกลาวไวในอรรถกถาวา “โย สมาทิยติ โส ปุคฺคโล” แปล เนื้อความวาการกบุคคล คือพระภิกษุผูจะปฏิบัติพระองคใด สมาทานถือเอาดวยดี พระภิกษุผูจะปฏิบัติ นั้นจะถือเอาดวยดี ดวยธรรมทั้งหลายใด ธรรมทั้งหลายนั้น คือจิตแลเจตสิก เจตนาที่ประพฤติเปนไปดวย สามารถแหงสมาทานเจตนาอันใด สมาทานเจตนานั้น ชื่อวา ธุดงค วจีประโยค คือประกอบซึ่งวาจาหามเสียซึ่งวัตถุทั้งหลาย มีจีวรอันคฤหบดีถวายเปนอาทิ นั้น ชื่อวา วัตถุ แทจริง ธุดงค ๑๓ ประการทั้งปวงนี้ มีกําจัดเสียซึ่งโลภอันยิ่งคือโลภในรูปในเสียงเปนอาทิ อันประพฤติเปนไปดวยสามารถแหงตัณหาเปนกิจ มีสภาวะมิไดโลเลเปนผล มีปรารถนาอันนอยเปนอาทิเปนธรรมแหงพระอริยบุคคล เปนอา สันการณ วินิจฉัยโดยวัตถุทั้งหลาย มีลักษณะเปนตน ในธุดงค ๑๓ ประการ บัณฑิตพึงรูโดยนัยดัง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 78 แสดงมาแลวนี้ แตนี้จะวินิจฉัยในบททั้ง ๕ มี “สมาทานวิทานโต” เปนอาทิ มีเนื้อความวาธุดงคทั้งปวงนี้ เมื่อองคสมเด็จพระผูทรงพระภาคยังทรงพระชนมอยู พระภิกษุทั้งหลายพึงสมาทานในสํานักแหงพระองค เมื่อองคพระผูทรงพระภาคเสด็จดับขันธปรินิพพานแลว พระภิกษุทั้งหลายพึงสมาทานใน สํานักแหงพระมหาสาวก เมื่อพระมหาสาวกทั้งหลายมิไดมีแลว
พระภิกษุทั้งหลายพึงสมาทานในสํานักแหงพระ
ขีณาสพ เมื่อพระขีณาสพเจามิไดมีแลว พึงสมาทานในสํานักพระอนาคามี แลพระสกิทาคามี แล พระโสดาบัน แลพระมหาเถระที่ทรงพระไตรปฎกแลปฎก ๒ แลทรงไวซึ่งพระปฎก ๑ แลพระสังคีติก เถระ แลพระอรรถกถาจารย เมื่อพระอรรถกถาจารยไมมีแลว พึงสมาทานในสํานักพระเถระองคใดองค หนึ่งผูทรงซึ่งธุดงค เมื่อพระเถระผูทรงซึ่งคุณคือธุดงคไมมีแลวพระภิกษุทั้งหลายพึงไปกวาดลานพระ เจดียแลวนั่งยองแลว แลกลาวพระบาลีสมาทาน ดุจกลาวพระบาลีสมาทานในสํานักองคสัมมา พระสัมพุทธเจาแลวพึงสมาทาน อนึ่ง จะสมาทานดวยตนเองนั้นก็ควร อาจารยพึงกลาวนิทานแหงพระเถระอันเปนพี่แหงพระเถระสองพี่นอง วิหาร อันมีความปรารถนานอยในธุดงคสาธกเขาในอธิการนี้
อันอยูในเจติยบรรพต
กิริยาที่กลาวทั่วไป บัณฑิตพึงรูดังนี้กอน เอวํ ก็มีดวยประการดังนี้ “อิทานิ เอเกกสฺส สมาทานวิธานปฺปเภทเภทานิสํเส วณฺณ นิสฺสามิ ปสุกุลิทงฺคํ ตาว คยปติทานจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ ปสุกุลิกงฺคํ สมาทิยามิติ อิเมสุ ทฺวิสุ วจเนสุ อฺญตเรน สมาทินฺ โห ติ อิทํ ตาเวตฺถ สมาทานํ เอวํ สมาทินฺนํ ธุตงฺเคน ปนเตน โสสานิกํ อาปฎิกํ รถิยโจฬํ สงฺการ โจฬํ โสตฺถิยํ นฺหานโจฬํ ติตฺฉโจฬํ คตปจฺจาคตํ อคฺคิทฑฺฒํ โคขายิตํ อุปจิกาขยิตํ อุนฺทูรกฺ ขายิตํา อนฺตจุฉินฺนํ ทสาจฺฉินฺนํ ธชาหตํ ถูปจีวรํ สมณจีวรํ อาภิเสรกิกํ อิทฺธิมยํ ปนฺถิกํ วา ตาหฏํ เทวทตติยํ สามุทฺทิยนฺติ วาระนี้ จะไดรับพระราชทานถวายวิสุชนาในเตรสธุดงคนิเทศปริเฉท ๒ ในปกรณ ชื่อวา วิ สุทธิมรรค สืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลี มีเนื้อความวา “อิทานิ เอเกกสฺส วณฺณยิสฺสามิ” ใน กาลบัดนี้ขาพระองคผูมีนามชื่อวาพุทธโฆษาจารย จักสังวรรณนาสมาทานแลวิธานแลประเภทแลเภ ทะแลอานิสงส แหงธุดงคสิ่งหนึ่ง “ปสุกฺลิกิงคํ ตาว” จะกลาวดวยวิธีสมาทานปงสุกุลิกังคธุดงคกอนวิธีจะสมาทานปงสุกุลิ กังคธุงดงคนั้น พระโยคาวจรภิกษุผูประพฤติซึ่งความเพียร พึงสมาทานดวยพระบาลีทั้งสองอยาง คือพระบาลีวา “คหปติทานจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ” อยาง ๑ คือพระบาลีวา “ปสุกุลิกงฺคํ สมาทิยามิ” อยาง ๑ พระบาลีทั้งสองอยางนั้น จะสมาทานอยางใดอยางหนึ่งก็ได ชื่อวาสมาทานแลว สมาทานบทตนวา “คหปติทานจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ” นั้น แปลเนื้อความวา ขาพระองคจะ หามเสียบัดนี้ ซึ่งจีวรอันคฤหบดีถวาย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 79 จะสมาทานบทปลายวา “ปสุกุลิกงฺคํ สมาททิยามิ” แปลวา ขาพระองคจะสมาทาน ถือเอาบัดนี้ ซึ่งปงสุกุลิกังคธุดงค กิริยาที่สมาทานในปงสุกุงลิกังคธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้กอน “เอวํ สมาทินฺนํ ธุตงฺเคน ปน” อนึ่งพระโยคาวจรภิกษุสมาทานดังนี้แลว พึงถือเอาซึ่งจีวร อันใดอันหนึ่ง คือจีวรชื่อวาโสสานิก แลจีวรชื่อวาอาปณิกัง ชื่อวารถิยโจฬัง ชื่อวาสังการโจฬัง โสตถิ ยังนหาน โจฬัง ติตกโจฬัง คตปจจาคตัง อัคคิทัฑฒัง โคขายิตัง อุปจิกาขายิตัง อุนทูรักขายิตัง อันตัจฉินนัง ทสาจฉินนัง ธชาหตัง ถูปจีวรัง สมณจีวรัง อาภิเสกิกัง อิทธิมยัง ปนถิถัง วาตาหฏัง แล ชื่อวาเทวทัตติยัง แลวจีรชื่อวาสมุททิยัง เขากันเปนจีวร ๒๓ อยาง ฉีกผาเสียแลวละเสียซึ่งที่อัน ทุพพลภาพ ซักซึ่งที่อัน มักกระทํา ใหเปนจีวรนําเสียซึ่งจีวรที่คฤหัสถถวายอันมีในกอน จึงบริโภคนุง หม มีอรรถสังวรรณนาในบท คือโสสานิกังเปนปฐมนั้นวา “สุสาเน ฉฑฺฑิต” ผาอันใดที่บุคคล ทิ้งเสียแลว ในสุสานประเทศปาชา ผาอันนั้นชื่อวา โสสานิกจีวรที่ ๑ ผาอันใดที่ตกอยูในที่ประตูรานตลาด ผานั้นชื่อวา อาปณิกจีวรเปนคํารบ ๒ ผาอันใดที่บุคคลทั้งหลายมีประโยชนดวยบุญ ทิ้งลงมาโดยชองหนาตางใหตกอยูในตรอก สถล ผานั้นชื่อวา รถิยโจฬะ เปนคํารบ ๓ ทอนผาที่บุคคลทิ้งเสียแลวในกองหยากเยื่อ ชื่อวา สังการโจฬะจีวร เปนคํารบ ๔ ผาที่บุคคลเช็คคัพภมลทินแลวแลทิ้งเสีย ชื่อวา โสตถิยจีวรเปนคํารบ ๕ “กิร” ดังไดสดับมา “ติสฺสามจฺจมาตา” มารดาแหงอํามาตย ชื่อวาดิสสะ เช็คคัพภมลทิน ดวยผาคาควรแสนตําลึง ยังหญิงทาสีใหนําไปทิ้งไวในทางที่จะไปสูตาลเวฬิวิหาร ดวยมนสิการกระทํา ไวในใจวา “ปสุกุลิกา คณฺหิสฺสนฺติ” พระภิกษุทั้งหลายที่มีบังสุกุลจีวรเปนปกตินั้น จะไดถือเอา พระภิกษุทั้งหลายก็ถือเอาผานั้น เพื่อประโยชนแกจีวรอันคร่ําครา “ยํ ภูตเวชฺเชหิ” ชนทั้งหลายที่หมอภูตปศาจ ใหอาบน้ํากับดวยศีรษะ ทิ้งผาอาบน้ําอันใด เสียดวยอาโภคคิดวา ผานี้เปนกาลกิณีแลวก็ไป ผานั้นชื่อวา นหานโจฬจีวร เปนคํารบที่ ๖ ผาทอนเกาที่บุคคลทิ้งไวในทาน้ํา ผานั้น ชื่อวาติดถโจฬจีวร เปนคํารบที่ ๗ มนุษยทั้งหลายไปสูสุสานประเทศ กลับมาอาบน้ําแลวทิ้งผาชุบอาบอันใดไว ผานั้นชื่อวา คตปจจาคตจีวร เปนคํารบที่ ๘ ผาอันใดมีประเภทบางแหงอันไฟไหม ผานั้นชื่อวา อัคคิทัฑฒจีวร เปนคํารบที่ ๙ แทจริงผาที่ไฟไหมนั้น มนุษยทั้งหลายก็ยอมทิ้งเสีย ผาทั้งหลายที่โคเคี้ยวแลปลวกกัด แลหนูกัด แลขาดในที่สุด แลผาชายขาด ผาทั้ง ๙ ประการนี้ มนุษยทั้งหลายยอมจะทิ้งเสีย แลผาชื่อวา ธชาหตจีวรเปนคํารบ ๑๕ นั้น อรรถสังวรรณนาวา “นาวํ อภิรุยฺหตฺตา” มนุษย ทั้งหลายเมื่อจะขึ้นสูสําเภา ยอมผูกธงปกไวที่ทา แลวจึงขึ้นสูสําเภา เมื่อลวงทัศนาวิสัยแหงมนุษย ทั้งหลายนั้นแลวพระภิกษุทั้งหลายมีบังสกุลเปนวัตรจะถือเอาผานั้นก็ควร
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 80 อนึ่ง ผาอันใดที่เสนาของพระราชาทั้งสองผูเปนธงแลวแลตั้งไวในยุทธภูมิ ในการเมื่อเสนา ทั้งสองฝายไปแลว พระภิกษุมีปงสุกุลเปนปกติ จะถือเอาผานั้นก็ควร ผานั้นชื่อวา ธชาหฏจีวรเปนคํา รบ ๑๕ รบ ๑๖
ผาที่มนุษยทั้งหลายโอบพันจอมปลอม แลวแลกระทําพลีกรรม ผานั้นชื่อวา ถูปจีวร เปนคํา ผาอันใดเปนของแหงพระภิกษุ ผานั้นชื่อวา สมณจีวร เปนคํารบ ๑๗ ผาอันใดที่บุคคลทิ้งไวในที่อภิเษกแหงบรมขัตติยราช ผาอันนั้นชื่อวา อาภิเสกิกจีวร เปน
คํารบ ๑๘ จีวรแหงเอหิภิกษุ ชื่อวา อิทธิมยจีวร เปนคํารบ ๑๙ ผาอันใดตกอยูในระหวางหนทาง ผานั้นชื่อวา ปกถิกจีวร เปนคํารบ ๒๐ อนึ่ง ผาอันใดตนอยูแลเพราะเหตุลืมสติ แหงมนุษยทั้งหลายอันเปนเจาของ ผาอันนั้นให พระภิกษุรักษาอยูหนอยหนึ่งแลวจึงถือเอาผาอันนั้นชื่อวา ปนถิกจีวร เปนคํารบ ๒๐ ดุจเดียวกัน ผาอันใดลมประหารแลวพาไปตกลงในที่ไกล ผานั้นชื่อวา วาตาหฎา เปนคํารบ ๒๑ อนึ่ง ผานั้นเจาของไมเห็นแลว ภิกษุจะถือเอาก็ควร ผาอันใดเปนผาอันเทวดาให เหมือนกันกับผาอันนางเทวธิดาถวายแกพระอนุรุทธ ผานั้น ชื่อวา เทวทัตติยะ เปนคํารบ ๒๒ ผาอันใดคลื่นซัดไปบนบกผานั้นชื่อวา สามุททิยจีวรเปนคํารบ ๒๓ อนึ่ง ผาอันใดที่ทายกถวายวา “สงฺฆสฺส เทม” ขาพระองคถวายแกพระสงฆ แลผาที่ภิกษุ ทั้งหลายเที่ยวไปเพื่อภิกขะแลวแลไดผาอันนั้นไมเปนปงสกุลจีวร วินิจฉัยในภิกขุทัตติยจีวรนั้นวา “ยํ วสฺ สคฺเคนคา เหตฺวา ทียฺยติ” จีวรอันใดที่พระภิกษุ ทั้งหลาย ยังพระภิกษุมีปงสกุลธุดงคเปนปกติใหถือเอาตามวัสสาอายุแลวแลให ใชแตเทานั้น จีวรที่พระภิกษุแลคฤหัสถทั้งหลายใหดวยวาจาวาพระภิกษุทั้งหลายอยูใน เสนาสนะนี้ จงบริโภคนุงหมจีวรนี้ “นตํ ปสุกุลํ” จีวรทั้งสองสถานนั้นไมเปนปงสุกุลจีวร ถาพระภิกษุคฤหัสถทั้งหลายไมถวายเอง จึงจะเปนปงสุกุลจีวร อนึ่ง จีวรอันใดที่ทายกทั้งหลายตั้งไวในที่ใกลเทาของพระภิกษุ พระภิกษุนั้นก็ถวายตั้งไว ในมือของปงสุกุลิกภิกษุ จีวรนั้น ชื่อวา บริสุทธิ์ แตฝายอันหนึ่ง จีวรอันใด ทายกถวายตั้งไวในหัตถแหงพระภิกษุนั้น ๆ ก็เอาไปตั้งไวในที่ใกลเทาของ ปงสุกุลลิกภิกษุ จึวรนั้นก็บริสุทธิ์อีกฝายหนึ่ง จีวรอันใด ทายกตั้งไวในที่ใกลเทาแหงพระภิกษุ ๆ ก็เอาไปถวายแกปงสุกุลิกเหมือนอยาง นั้น จีวรนั้นชื่อวาบริสุทธิ์ทั้งสองฝาย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 81 จีวรอันใด ที่พระภิกษุไดเพราะเหตุทายกตั้งไวในมือ พระภิกษุนั้นก็ถวายตั้งไวในมือแหงปง สุกุลิกภิกษุ จีวรนั้นชื่อวาไมเปนจีวรอันอุกฤษฏ พระภิกษุที่ปงสุกุลเปนปกติ รูซึ่งเภทะคือกิริยาแตกทําลายแหงปงสุกุลจีวรดังนี้แลว พึง บริโภคนุงหมจีวร “อิเมตฺถ วิธานํ” วิธีในปงสุกุลิกธุดงคนี้ บัณฑิตพึงรูโดยนัยแหงคําอันเราจะกลาวมาแลวนี้ กลาวดังนี้
“อยมฺปน ปเภโท” อนึ่งประเภทแหงปงสุกุลิกภิกษุ บัณฑิตพึงรูโดยนัยแหงคําอันเราจะ
“ตโย ปสุกุลิกา” พระภิกษุที่มีปงสุกุลเปนปกตินี้มี ๓ จําพวกคือ ปงสุกุลิกภิกษุเปน อุกฤษฏ ปฏิบัติเปนอยางสูงจําพวกหนึ่ง คือปงสุกุลิกภิกษุเปนมัชฌิม ปฏิบัติเปนอยางทามกลางจําพวกหนึ่ง คือปงสุกุลิกภิกษุเปนมุทุ ปฏิบัติเปนอยางต่ําจําพวกหนึ่ง เปน ๓ จําพวกดวยกันดังนี้ พระปงสุกุลิกภิกษุที่ถือเอาผาโสสานิกจีวร ที่บุคคลทิ้งเสียแลวในสุสานประเทศอยางเดียว ชื่อวาปฏิบัติเปนอุกฤษฏเปนปฐมที่หนึ่ง พระปงสุกุลิกภิกษุที่ถือเอาผาปงสุกุล ที่บุคคลตั้งไววาบรรพชิตจะไดถือเอาผาอันนี้ ชื่อวา ปฏิบัติเปนมัชฌิมที่สอง มุทุที่สาม
พระปงสุกุลิกภิกษุ ที่ถือเอาผาทายกตั้งไวในที่ใกลแหงเทาแลวแลถวาย ชื่อวาปฏิบัติเปน
พระปงสุกุลิกภิกษุทั้ง ๓ จําพวกนี้ เมื่อยินดีจีวรที่คฤหัสถทั้งหลายใหธุดงคก็ทําลายใน ขณะที่ตนยินดี ดวยฉันทะแหงตน อธิบายวา พระภิกษุไมชอบใจที่ทรงไวแกตน แลบริโภคนุงหมดวยตน แตวาไมหามที่ คฤหัสถทั้งหลายถวายเพื่อจะรักษาไว ซึ่งความเลื่อมใสของคฤหัสถ ยินดีวาจะไดถวายแกพระภิกษุ ทั้งหลายอื่น ดุจดังวาธุดงคเภทแหงพระภิกษุทั้งหลาย มีพระอานนทเถรเจาเปนอาทิ แลทําลาย ในขณะแหงตนยินดีดวยอภิวาสนขันติ อธิบายวาปงสุกุลิกังคภิกษุนั้น ยินดีดวยปรารถนาวาจะบริโภค “อยเมตฺถ เภโท” วาดวยธุดงคทําลายในปงสุกุลิกธุดงค บัณฑิตพึงรูโดยนัยดังกลาวมานี้ อนึ่ง อานิสงสปงสุกุลิกธุดงค บัณฑิตพึงรูโดยนัยจะกลาวดังตอไปนี้ “ปสุกุลจีวรํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา” บังสุกุภิกษุ ชื่อวาสภาวะปฏิบัติสมควรแกนิสัยเปน อานิสงส เพราะเหตุวา องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไววา บรรพชานี้อาศัยปงสุกุลจีวร อนึ่ง ปงสุกุลิกภิกษุนี้จะไดอานิสงส คือจะยังตนใหตั้งอยูในอริยวงศเปนปฐม ตนจะไมมีทุกขที่จะรักษาจีวร แลจะไมประพฤติเนื่องดวยบุคคลผูอื่น แลมิไดกลัวแตโจร ไพร แลปราศจากบริโภคตัณหา ปรารถนาจะนุงหมจีวรทั้งปวงและจะทรงไวซึ่งบริขารสมควรแกสมณะ บังสุกุลจีวรนั้นมีคานอย เปนจีวรอันไดดวยงาย จะบริโภคนุงหมก็ปราศจากโทษ องคสมเด็จพระผูทรง พระภาคตรัสสรรเสริญไวดังนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 82 อนึ่ง “ปาสาทิกตา” ปงสุกุลิกภิกษุนั้น จะนํามาซึ่งความเลื่อมใสแกชนทั้งหลายอื่น เพราะ เหตุวาภิกษุที่ทรงปงสุกุลจีวรนั้นเปนที่เลื่อมใสของสัตวโลกที่เปนลูขปมาณ แลจะยังผลแหงคุณ ทั้งหลายมีอัปปจฉตาคุณ คือภาวะมักนอยเปนตนใหสําเร็จ “สมฺมาปฏิปตฺติยา อนฺพฺรูหนํ” อนึ่งพระภิกษุที่ทรงผาปงสุกุลนั้นจะยังสัมมาปฏิบัติให เจริญ แลจะยังชนอันมีในภายหลังใหถึงซึ่งทิฏฐานุคติดูเยี่ยงอยางปฏิบัติ พระพุทธโฆษาจารยเจา นิพนธคาถาสรรเสริญพระภิกษุทีทรงบังสุกุลจีวรไววา “มารเสน วิฆาฏาย ปสุกุลธโร ยติ” แปลเนื้อความวา “ยติ” อันวาพระโยคาวจรภิกษุ ทรงบังสุกุลจีวรเพื่อวาจะ กําจัดเสียซึ่งมารแลเสนามาร งานในพระพุทธศาสนาปรากฏดุจดังวาบรมขัตติยราชผูกสอดทรงไวซึ่ง เกราะ อันพิจิตรดวยสัตตรัตนะกาญจนมัย งามในยุทธภูมิที่รบระงับเสียซึ่งขาศึก อนึ่ง “ยํ โลกครุนา โก ตํ” องคสมเด็จพระสัพพัญูผูเปนพระบรมครูแหงสัตวโลก พระองคทรงสละเสียซึ่งวรวัตถา พระภูษาอันประเสริฐมีโกสิยพัตรเปนอาทิ ทรมานพระองคทรง ปงสุกุลจีวรนั้นเลา เหตุอันใดพระโยคาวจรภิกษุดังฤๅ จะไมทรงปงสุกุลจีวรนั้นเลาเหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุที่ระลึกถึงคําปฏิญาณแหงตนที่รับคําวาบรรพชาอาศัยปงสุกุลจีวรเปนอาทิแลว ก็พึงยินดีดวย ปงสุกุลจีวรอันประพฤติเปนไปตามความเพียรแหงตน สังวรรณนามาในสมาทานแลวิธาน แลประเภทแลเภทะแลอานิสงส ในบังสุกุลลิกังคธุดงค นี้ บัณฑิตพึงรูดวยประการดังนี้กอน ในลําดับนั้นขาพระองคผูมีนามวา พุทธโฆษาจารย จักแสดงเตจีวริกังคธุดงคเปนคํารบ ๒ เตจีวริกังคธุดงคนี้ พระภิกษุยอมสมาทานถือเอาดวยพระบาลีทั้งสองคือสมาทานวา “จตุตฺถจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ” แปลวาขาพระองคจะหามเสียซึ่งจีวรเปนคํารบ ๔ แลสมาทานวา “เตจีวริกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวาขาพระองคจะสมาทานถือเอา ซึ่งจีวร กังคธุดงค พระภิกษุจะสมาทานดวยพระบาลีอันใดอันหนึ่ง ก็ไดชื่อวาเปนอันสมาทานแลว “เตน ปน เตยีวริเกน” อนึ่งภิกษุที่มีไตรจีวรผาสามผืนเปนปกตินั้น มีจีวรอันคร่ําครา ไดผา เพื่อประโยชนจะทําจีวรแลวยังไมสามารถอาจเพื่อจะกระทําได เพราะเหตุไมมีความสบาย แลไมไดซึ่ง วิจารณกรรมกระทําจัดแจง แลสิ่งของอันใดอันหนึ่งมีเข็มเปนตน ยังมิไดสําเร็จตามใดก็พึงเก็บไวตราบ นั้น โทษจะบังเกิดขึ้นเหตุเก็บผาไวนั้นมิไดมี อนึ่ง จําเดิมแตยอมแลวนั้น พระภิกษุจะเก็บไวไมควร เมื่อพระภิกษุเก็บไว กระทําสันนิธิสั่ง สม พระภิกษุนั้นชื่อวาธุดงคโจร วิธานแหงเตจีวริกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้ อนึ่ง วินิจฉัยโดยประเภทแหงเตจีวริกังคธุดงคนั้นวา “อยํป ติวิโธโหติ” พระภิกษุที่มีไตร จีวรเปนปกติมี ๓ ประการ คืออุกฤษฏ แลมัชฌิมะ แลมุทุกะ ในกาลเมื่อพระภิกษุอันเปนอุกฤษฏ จะยอมไตรจีวรนั้น พึงยอมผาชื่อวาอันตรวาสกกอน เมื่อจะยอมผาอันตรวาสกนั้น นุงผาชื่อวาอุตราสงคแลวยอมผา ชื่อวาอันตรวาสก
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 83 เมื่อจะยอมผาอุตราสงคนั้น นุงผาชื่อวาอันตรวาสกแลว พึงยอมผาชื่อวาอุตราสงค เมื่อจะยอมผาสังฆาฏิ “ตํ ปรุปตฺวา” หมผาชื่อวาอุตราสงคนั้นแลว พึงยอมผาสังฆาฏิ อนึ่ง อุกฤษฏภิกษุนั้น จะนุงผาสังฆาฏิไมควร วัตรอันนี้เปนวัตตปฏิบัติของอุกฤษฏภิกษุ อันอยูในเสนาสนะใกลบาน อนึ่ง อุกฤษฏภิกษุที่อยูในอรัญเสนาสนะ จะซักจะยอมซึ่งผาทั้งสอง คืออันตรวาสก แลผา อุตราสงค ในกาลอันเดียวกันก็ควร พระอุกฤษฏืภิกษุที่อยูปายอมผานั้น เห็นบุคคลผูหนึ่งเดินมาแลว แลอาจะเพื่อจะฉุดครามา ซึ่งผายอมฝาด กระทําในเบื้องบนไดฉันใด พระภิกษุนั้นก็พึงนั่งอยูในที่ใกลจีวรฉันนั้น อนึ่ง พระภิกษุมีไตรจีวรเปนปกติ อันเปนมัชฌิมปฏิบัติอยางกลางนั้น จะยอมไตรจีวรในโรง เปนที่ยอมนั้น ยอมมีผาฝากสําหรับพระภิกษุบริโภคนุงหม ในขณะจะยอมจีวร มัชฌิมภิกษุนั้นจะนุงหม ซึ่งผานั้นแลว แลกระทําซึ่งรัชชนกรรมก็ควร มุทุกภิกษุปฏิบัติอยางต่ําจะนุงจะหมจีวรทั้งหลาย กระทําซึ่งรัชชนกรรมก็ควร
แหงพระภิกษุอันเปนสภาพ
แลวแล
อนึ่ง เครื่องลาดอันเปนของสงฆ แลเปนของแหงบุคคลอื่นอันบุคคลกระทําใหแลวดวยผา ยอมฝาด ตั้งไวดวยความสามารถเปนเครื่องลาดในอาสนะนั้น ก็ควรแกมุทุกภิกษุนั้น พระมุทุกภิกษุจะยังชนใหรักษา แลวแลนําไปซึ่งเครื่องลาดนั้นเพื่อประโยชนแกตนไมควร อนึ่ง มุทุกภิกษุจะนุงหมจีวร แหงพระภิกษุทั้งหลายอันเปสภาคเนือง ๆ นั้น ก็มิไดควร อนึ่ง ผายอมฝาดกระทําเปนอังสะผืนหนึ่ง เพิ่มขึ้นไปเปนคํารบ ๔ ผืน ก็ควรแกพระภิกษุ อันมีไตรจีวรเปนปกติ นั้นแลควร
ผาอังสะนั้น ถาจะวาโดยกวางคืบหนึ่งเปนประมาณ ถาจะวาโดยยาว ๓ ศอกเปนประมาณ
อนึ่ง ธุดงคแหงพระภิกษุทั้ง ๓ มีอุกฤษฏภิกษุเปนอาทิ ยอมทําลายในขณะที่ตนยินดีจีวร เปนคํารบ ๔ เภทะ คือกิริยาทําลายในเตจีวริกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังกลาวมานี้ เอวํ ก็มีดวยประการดังนี้ “อยํ ปน อานิสํโส เตจีวริโก ภิกฺขุ สนุตุฏโ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน เตนสฺส ปกฺขิโนวิยสมาทาเยว คมนํ อปฺปสมารมฺภตา วตฺถสนฺนิธิปริวชฺชนํ สลฺลหุกวุตฺติตา อติเรกจีว โลลุปฺปหานํ กปฺปเย มตฺตการิตา สลฺเลขวุตฺติ ตา อปฺปจฺฉตาทีนํ ผลนิปฺผตฺตีติ เอวมาทาทโย คุณา สมฺปชฺชนฺตีติ อติเรกวตฺถตณฺหํ ปหาย สนฺนิธิวิวชฺชิโต ธีโร สนฺโต สสุขรสฺู ติจิวรธโร ภวติโยคี ตสฺมา สปตตจรโณ ปกฺขีว สจีวโรธ โยคีวโร สุขมนุวิจริตุกาโม ติจีวรนิยเม รตึ กยิรา ติ” วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนาในธุดงคนิเทศ ในคัมภีรพระวิสุทธิมรรค สังวรรณ นาในอานิสงสเตจีวริกภิกษุที่ทรงไตรจีวรสืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลี
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 84 มีเนื้อความวา “อยํ ปน อานิสํโส” อนึ่งอานิสงสแหงพระภิกษุมีไตรจีวรเปนปกตินั้น บัณฑิตพึงรูโดยนัยแหงพระบาลี อันขาพระองคผูชื่อวาพุทธโฆษาจารย จะแสดงดังนี้ “เตจิวรีโก ภิกฺขุ” พระภิกษุที่มีไตรจีวรเปนปกตินั้น จะไดซึ่งอานิสงส คือสันโดษยินดีใน ปจจัยแหงตน คือจีวรอันรักษากายไมใหมีอันตราย คือลมแลแดดเปนอาทิ แลจะถือเอาไตรจีวรไปดวย ตนไดดุจนกอันมีปกบินไปในอากาศ แลจะมีกิจนอย เพราะเหตุหามิไดแหงกิจทั้งหลาย มีกิจที่จะนําไป ซึ่งอติเรกจีวรเปนอาทิ แลจะเวนจากสันนิธิสั่งสมซึ่งผา แลจะประพฤติเบากายแลจะละเสีย ซึ่งโลภใน อติเรกจีวร และจะกระทําซึ่งประมาณในปจจัยอันควร แลประพฤติสัลเลขากระทําใหจิตเบาจากกิเลส แลยังผลแหงคุณทั้งหลายมีอัปปจฉตาคุณคือมีความปรารถนานอยเปนตน ใหสําเร็จคุณอานิสงสแหง เตจีวริกธุดงค มีคํากลาวมาแลวในหนหลังดังนี้เปนตน ยอมจะสําเร็จแกพระโยคาวจรภิกษุผูมีไตรจีวร เปนปกติ ใชแตเทานั้น พระพุทธโฆษาจารยเจารจนาพระบาลีสรรเสริญอานิสงสเตจีวรธุดงคไววา “อติเรกวตฺถตณฺหํ ปหาย” พระโยคาวจรภิกษุอันดําเนินดวยญาณคติละเสียซึ่งตัณหากลาวคือความ ปรารถนาอติเรกจีวร เวนแลวจากสันนิธิสั่งสมผา รูซึ่งรสแหงความสุขอันบังเกิดแตสันโดษ จึงทรงไตร จีวรบริโภคผานุงหมแตสามผืนเทานั้น เหตุดังนั้น พระภิกษุในพระศาสนานี้ ปรารถนาจะเปนโยคาวจร อันประเสริฐ มีจีวร ๓ ผืนไปกับดวยกาย ปรารถนาเพื่อจะเที่ยวไปตามความสุขสบาย ดุจดังปกษาชาติ ทั้งหลาย อันเที่ยวไปกับดวยปกแหงตนพึงกระทําซึ่งความยินดีในกิริยาที่กําหนดซึ่งจีวรรักษาเตจีวริก ธุดงค สังวรรณนามาในสมาทาน แลวิธาน แลประเภท แลเภทะแลอานิสงสในเตจีวริกธุดงค ก็ยุติ เพียงเทานี้ แตนี้จะสังวรรณนาในปณฑปาติกังคธุดงคสืบตอไปมีเนื้อความวา พระภิกษุละสมาทานปณฑปาติกังคธุดงคนั้น ยอมสมาทานดวยพระบาลีทั้งสองวา “อติเรกลาภํ ปฏิกฺขิปามิ” ซึ่งแปลวาขาพระองคจะหามเสียซึ่งอดิเรกลาภ แลสมาทานวา “ปณฺฑปา ติกงฺคํ สมาทิยามิ” ซึ่งแปลวาขาพระองคจะสมาทาน ถือเอาซึ่งปณฑปาติกังคธุดงค สมาทานดวย พระบาลีทั้งสองนี้ แตอันใดอันหนึ่ง ก็ไดชื่อวาสมาทานแลว อนึ่ง พระภิกษุที่บิณฑบาตเปนปกตินั้น อยาพึงยินดีดวยภัตรทั้ง ๑๔ ประการ คือสังฆภัตร ไดแกภัตรที่ทายกพึงถวายแกพระสงฆทั้งสิ้น ๑ คืออุทเทสภัตร ไดแกภัตรที่ทายกเฉพาะพระภิกษุสองสามรูปแลวจะพึงถวาย ๑ คือนิมัตนภัตร ไดแกภัตรอันทายกนิมนตพระภิกษุทั้งปวงก็ดีพระภิกษุสองสามรูปก็ดี เพื่อ จะบริโภคในวันพรุงนี้แลวแลพึงถวาย ๑ คือสลากภัตร ไดแกภัตรอันบุคคลเขียนชื่อแหงทายกทั้งหลายแลว แลพึงใหดวยสามารถ แหงสลากทั้งหลาย ที่พระภิกษุถือเอาแลว ๑ คือปกขิกภัตร ไดแกภัตรอันทายกพึงใหในวันหนึ่งในปกอันหนึ่ง ๑ คืออุโปสถิกภัตร.....อันทายกพึงใหในวันอุโบสถ ๑ คือปาฏิปทิกภัตร.....อันทายกพึงใหในวันค่ําหนึ่ง ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 85 คืออาคันตุกภัตร......อันทายกพึงใหแกพระภิกษุทั้งหลายมีอาคันตุกภิกษุเปนตน ๑ คือคมิกภัตร.....อันทายกพึงใหแกพระภิกษุอันจะไป ๑ คือคิลานภัตร....อันทายกพึงใหแกภิกษุไข ๑ คือคิลานุปฏฐากภัตร......อันทายกพึงใหแก พระภิกษุ อันอุปฏฐากซึ่งภิกษุไข ๑ คือวิหารภัตร.....อันทายกเฉพาะซึ่งวิหารแลวแลพึงให ๑ คือธุรภัทร.........อันทายกตั้งไวในเรือนอันใกลแลวแลพึงถวาย ๑ คือวารภัตร........อันทายกทั้งหลาย มีทายกอยูในบานเปนอาทิ พึงถวายโดยวาระ ๑ รวมเปนภัตร ๑๕ ประการดวยกัน หามมิใหพระภิกษุมีบิณฑบาตเปนปกติยินดีดวยภัตรทั้ง ๑๔ อยาง ดังพรรณนามานี้ อนึ่ง ถาแลวาทายกผูจะถวายภิกขาหาร ไมกลาวโดยนัยมีคําวา “สงฺฆภตฺตํ คนหถ” พระผู เปนเจาจงถือเอาสังฆภัตรเปนอาทิ กลาวถอยคําวา “อมฺหากํ เคเห สงฺโฆ” สงฆจะถือเอาภิกขาหาร ในเรือนแหงขาพเจา พระผูเปนเจาจงถือซึ่งภิกขจะ ทายกกลาวดังนี้แลวก็ถวายซึ่งภัตรทั้งหลาย พระภิกษุมีบิณฑบาตเปนธุดงควัตร จะยินดีภัตรทั้งปวงนั้นก็ควร เพราะเหตุวาทายกกลาวถอยคําอัน เปนปริยายในภิกขะ อนึ่งสลากอันปราศจากอามิส อันบังเกิดแตสํานักสงฆ แลภัตรอันทายกทั้งหลายหุงใน วิหาร เพื่อประโยชนแกสงฆนั้น ก็ควรแทจริง เพราะเหตุวาภัตรนั้น ชื่อวาภิกขะอันทายกนําไปแลวดวย เอื้อเฟอ วิธานแหงปณฑปาติกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังกลาวมาแลว อนึ่ง จะวาโดยประเภทแหงพระภิกษุที่มีบิณฑบาต เปนปกตินั้นมีประเภท ๓ ประการ คือ อุกฤษฏ แลมัชฌิมะ แลมุทุกะ ปณฑปาติกภิกษุอันเปนอุกฤษฏนั้น ยอมไมถือเอาซึ่งภิกขะอันทายกนํามาแตเบื้องหนาแล นํามาแตเบื้องหลัง อนึ่งอุกฤษฏภิกษุนั้น ยืนอยูในที่เฉพาะหนาประตูเรือน เมื่อชนทั้งหลายมารับเอาบาตรแลว ก็ใหบาตร อนึ่งอุกฤษฏภิกษุนั้น ยอมถือเอาซึ่งภิกขะอันทายกนําบาตรมา อนึ่งอุกฤษฏภิกษุนั้น ยอมถือเอาซึ่งภิกขะอันทายกนําบาตรมาจากเรือนแลวแลให ประเทศอันเปนที่กลับมาจากโคจรคาม เพื่อประโยชนแกบริโภค
ใน
อนึ่งทายกทั้งหลายกลาววา พระผูเปนเจาจงอยาเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาตเลย ขาพเจา ทั้งหลายจะนําภิกขะมาถวายในวิหาร พระภิกษุนั้นรับคํานั่งอยูแลว ในวันนั้นจะถือเอาภิกขะไมได ปณฑปาติกภิกษุเปนมัชฌิมะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
รับคําทายกทั้งหลายกลาวอยางนั้นนั่งอยูแลว
ในวันนั้น
- 86 ถือเอาภิกขะได อนึ่งมัชฌิมภิกษุไมรับภิกขะเพื่อประโยชนจะบริโภคในวันพรุงนี้ มุทุกภิกษุรับภิกขะในวันพรุงนี้ก็ได จะรับภิกขะในวันเปนคํารบ ๓ ก็ได “เต อุโคป เสริวิหารสุขํ น ลภนฺติ” มัชฌิมภิกษุ แลทุมุกภิกษุทั้งสองนั้น ไมไดสุขที่จะ อยูตามอําเภอใจ คือประพฤติเนื่องดวยบุคคลผูอื่น “อุกฏเว ลภติ” อุกฤษฏภิกษุจําพวกเดียวไดความสุข คือจะอยูมิไดเนื่องดวยบุคคลผูอื่น “กิร” ดังไดสดับมา พระธรรมกถึกเถระเจาแสดงธรรมเทศนาอันประกอบดวยอริยวังสสูตร ในบานอันหนึ่ง พระอุกฤษฏภิกษุจึงกลาวแกพระมัชฌิมภิกษุ และพระมุทุกภิกษุทั้งสอง “อาวุโส” ดูกร ทานทั้งหลายผูมีอายุ เรามาพากันไปเพื่อจะฟงพระธรรมเทศนา ในพระมัชฌิมภิกษุและพระมุทุกภิกษุทั้งสองนั้น พระมัชฌิมภิกษุรูปหนึ่งตอบวา “ภนฺเต” ขาแตทานผูเจริญ ขาพระองคนี้ มนุษยผูหนึ่งใหนั่งอยู พรุงนี้
พระมุทุกภิกษุกลาวคําตอบวา ขาพระองคนี้รับภิกษาแตมนุษยผูหนึ่งเพื่อวาจะบริโภคในวัน
พระภิกษุทั้งสองรูปนั้น เสื่อมจากธรรมสวนะ ไมไดไปฟงธรรมพระอุกฤษฏภิกษุนั้น เพลา เชาก็ไปเที่ยวเพื่อบิณฑบาต แลวก็ไปฟงธรรม, เทศนา ไดเสวยซึ่งธรรมรส คือรสแหงปราโมทยเปน อาทิ อันประกอบดวยธรรม อนึ่ง ธุดงคแหงพระภิกษุทั้ง ๓ จําพวกนี้ ยอมทําลายในขณะเมื่อตนยินดีในอติเรกลาภ มี สังฆภัตรเปนอาทิ “อยเมตฺถ เภโท” การทําลายในปณฑปาติกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังกลาวมานี้ อนึ่ง อานิสงสในปณฑปาติกธุดงคนี้ บัณฑิตพึงรูโดยนัยแหงคําอันเราจะกลาวดังนี้ พระภิกษุมีปณฑปาติกธุดงคเปนปกตินั้น ประกอบดวยอานิสงส คือ สภาวะปฏิบัติสมควรแก นิสัย เพราะเหตุพระบาลีองคสมเด็จพระมหากรุณาตรัสเทศนาไววา “ปณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา” เปนอาทิดังนี้ แลจะมีอานิสงส คือจะตั้งอยูในอริยวงศเปนคํารบ ๒ แลจะมีอานิสงส คือมิไดประพฤติเนื่องดวยบุคคลผูอื่น แลจะมีอานิสงส คือมีปจจัยนอย และมีปจจัยดวยงาย ปจจัยทั้งหลายนั้นก็หาโทษมิได มี ปจจัยอันพระผูทรงพระภาคสรรเสริญดังนี้ แลจะย่ํายีเสียซึ่งความเกียจคราน คือจะถึงซึ่งความเพียร คือจะเที่ยวไปตามลําดับเรือน แล จะเลี้ยงชีวิตบริสุทธิ์
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 87 แลจะยังเสขิยปฏิบัติใหบริบูรณ คือสภาวะจะไดเดินดวยกายอันปกปดดี มีระหวางไมมี แล ไมเลี้ยงบุคคลผูอื่น และจะกระทําอนุเคราะหแกบุคคลผูอื่น แลจะละเสียซึ่งมานะ แลจะหามเสียซึ่งความปรารถนาอยากในรส แลจะไมตองอาบัติดวยคณโภชนสิกขาบท แลปรัมปรโภชนสิกขาบท แลจาริตตสิกขาบท ทั้งหลาย เพราะเหตุไมรับนิมนต แลประพฤติเปนไปตามแหงคุณทั้งหลาย มีอัปปจฉาคุณ คือสภาวะมี ปรารถนานอยเปนอาทิ แลจะยังสัมมาปฏิบัติใหเจริญ อนุเคราะหแกชนอันมีในภายหลัง พระพุทธโฆษาจารยเจา พรรรณนาอานิสงสพระภิกษุที่มีบิณฑบาตเปนปกติดังนี้แลว จึง นิพนธพระคาถาสรรเสริญในอวสานที่สุดไว “ปณฺฑิยาโลปสนฺตฏโ อปรายตฺตชีวิโก” แปล เนื้อความในพระคาถาวา พระภิกษุมีบิณฑบาตเปนปกติ ยอมสันโดษยินดีในอันกลืนกินซึ่งอาหารอัน ประมวล แลเลี้ยงชีวิตไมเนื่องดวยผูอื่น มีโลภในอาหารอันละเสียแลว อาจไปไมใหขัดของในทิศทั้งสี่ แลบรรเทาความเกียจคราน “อาชีวสฺส วิสุชฺฌติ” อาชีวปาริสุทธิศีลของพระโยคาวจรภิกษุนี้ก็บริสุทธิ์ เหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ มีปญญาอันงามก็อยาพึงดูหมิ่นภิกขาจารการที่จะไป เที่ยวเพื่อภิกขา “เทวาปหยนฺติตตาทิโน” เทพยดาแลมนุษยทั้งหลายยอมปรารถนาจะเห็นแลจะไหว เปนอาทิ ซึ่งพระภิกษุมีบิณฑบาตเปนปกติอันเลี้ยงซึ่งตน ไมเลี้ยงซึ่งบุคคลอื่น ปราศจากวิการเห็น ปานดังนั้นเหมือนภิกษุนี้ อนึ่งพระโยคาวจรภิกษุ จะไดอาศัยแกลาภแลยศแลคําสรรเสริญแหงสัตวโลกหามิได สังวรรณนามาในสมาทาน แลวิธานแลประเภท แลทําลาย แลอานิสงสในปณฑปาติกังค ธุดงค ก็ยุติลงแตเพียงนี้ แตนี้จะไดสังวรรณนาในสปทานจาริกธุดงคตอไป มีเนื้อความวา พระภิกษุจะสมาทานสปทานจาริกธุดงคนั้น พึงสมาทานดวยพระบาลีทั้งสอง คือสมาทานดวยพระบาลี “โลลุปฺปจารํ ปฏิกฺขิปามิ” แปลวาขาพระองคจะหามเสียซึ่งอัน เปนไปแหงโลเล แลพึงสมาทานดวยพระบาลีวา “สปาทานจาริกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา ขาพระองคจะ ถือเอาดวยดีซึ่งอันประพฤติเปนไปดวยมิไดขาดอยางนี้เปนอันสมาทานเหมือนกัน อนึ่ง พระภิกษุที่มีสมาทานจาริกเปนปกตินั้น “คามทฺวาเร ตฺวา” ยืนอยูแทนประตูบาน แลว พึงกําหนดที่จะหาอันตรายมิได “ยสฺลา รจฺฉาย วา คาเม วา” อันตรายจะมีในตรอกอันใด แลจะ มีในบานอันใด ก็พึงละเสียซึ่งตรอกอันนั้น แลบานอันนั้น พึงเที่ยวไปในตรอกอันอื่นแลบานอันอื่น ในบานอื่น
เมื่อไมไดวัตถุอันหนึ่งในประตูบานแลตรอกแลบาน กระทําสําคัญวา ไมมีบานแลว ก็พึงไป เมื่อไดวัตถุในบานใด จะละเสียซึ่งบานนั้นแลวไปก็ไมควร
อนึ่ง พระภิกษุที่มีสปทานจาริกเปนปกตินี้ พึงเขาไปสูโคจรคามในเพลาเชาโดยพิเศษ เมื่อ ประพฤติดังนี้แลว ก็สามารถอาจละเสียซึ่งอันมิไดสบายแลวแลจะไปในที่อันอื่น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 88 อนึ่ง ถาวามนุษยทั้งหลาย ทําบุญทําทานในวิหารของพระภิกษุสมาทานจาริกนี้ก็ดี หรือมา พบในทามกลางมรรคาก็ดี เขาถือเอาบาตรแลว แลถวายบิณฑบาตอยางนี้ก็ควร อนึ่ง ก็ควรพระภิกษุสปาทานจาริกนี้เดินไปในบานนั้น จะไมไดภิกขาก็ดี จะไดนอยก็ดีใน บานนั้น ก็พึงเที่ยวไปโดยลําดับบาน “อทมสฺส วิธานํ” วิธานแหงสปทานจาริกธุดงคบัณฑิตพึงรูดังนี้ อนึ่ง จะวาโดยประเภทแหงภิกษุสปาทานจาริกธุดงคนี้มีประเภท ๓ ประการ คือ อุกฤษฏ แลมัชฌิมะ แลมุทุกะ อุกฤษฏภิกษุนั้นไมรับซึ่งภิกขาอันทายก นํามาแตเบื้องหนา แหงตนอันเดินไปในสถล แล ไมรับซึ่งภิกขาอันทายกนํามาแตเบื้องหลังแหงตนอันเดินไปในสถล แลไมรับซึ่งภิกขาอันทายกนํามา ในที่กลับมาจากโคจรคามเพื่อประโยชนจะบริโภคแลวก็ถวาย อนึ่งอุกฤษฏภิกษุนั้น ยอมสละซึ่งบาตรแทบประตูเรือนแหงบุคคลผูอื่น แทจริงในสปทานจาริกธุดงคนี้ พระภิกษุรูปใดปฏิบัติไดเหมือนพระมหากัสสปเถระเจานั้น ยอมจะปรากฏมี อนึ่ง พระสปทานจาริกภิกษุ อันเปนมัชฌิมะนั้น ถือเอาซึ่งภิกขาอันทายกนํามาแตเบื้องหนา แลนําแตเบื้องหลัง จะถือเอาซึ่งภิกขาที่ทายกนํามาในที่กลับมาจากโคจรคาม เพื่อจะบริโภคแลสละ ซึ่งบาตรแทบประตูเรือนแหงบุคคลผูอื่น มัชฌิมภิกษุนั้น จะนั่งคอยถาภิกขาไมไดควร ยอมอนุโลมตามอุกฤษฏปณฑปาติกภิกษุ มุทุกภิกษุนั้น จะนั่งคอยถาในวันนั้นก็ควร อนึ่ง เมื่อประพฤติเปนไปดวยสามารถแหงโลก มาตรวาบังเกิดขึ้นแกพระภิกษุทั้ง ๓ นี้ ธุดงคก็ทําลาย เภทะ กริยาทําลายสปทานจาริกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้ “อยํ ปนานิสํโส” อนึ่งอานิสงสพระภิกษุที่สปทานจาริกเปนปกตินั้น องคสมเด็จพระผูทรง พระภาคตรัสเทศนาสรรเสริญไววา “กุเลสุนิจฺจนวกตา” สปทานจาริกภิกษุนี้เปนภิกษุอันใหมอยูสิ้น กาลเปนนิจในสกุลทั้งหลาย แลเปนภิกษุมิไดขัดของในสกุล แลมีสภาวะเหมือนดวยดวงจันทร แลละ เสียซึ่งตระหนี่ในตระกูล แลมีความอนุเคราะหเสมอกันคือมิไดเวนสกุล แลสภาวะหามิไดแหงโทษคือ ที่เขาไปสูสกุล แลมิไดยินดีในอาหารคือมิไดรับบิณฑบาตแหงทายก แลประพฤติเปนไปตามแกคุณ ทั้งหลาย มีปรารถนานอยเปนประธานเพราะเหตุการณนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจา จึงนิพนธคาถาไว “จนฺทูปโม นิจฺจนโว กุเลสุ” แปลเนื้อความวา พระภิกษุที่มีสปทานจาริกธุดงคเปนปกตินั้น มีจันทรพิ มานเปนอุปมาใหมอยูเปนนิจในสกุลทั้งหลายปราศจากมัจฉริยะ อนุเคาาะหเสมอในสกุลทั้งปวง พน จากลามกโทษที่เขาไปสูสกุล แลละเสียซึ่งประพฤติเปนไปแหงโลก เหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุใน พระพุทธศาสนาดําเนินดวยญาณคติปรารถนาจะเที่ยวไปตามอําเภอน้ําใจ พึงทอดจักษุลงไปในที่ต่ํา เพงดูซึ่งที่มีชั่วแอกหนึ่งเปนประมาณพึงประพฤติสปทานจาริกธุดงค สังวรรณนามาในสมาทานแลวิธานแลประเภทแลเภทะ แลอานิสงสในสปทานจาริกธุดงค ก็ยุติแตเพียงนี้ เอวํ ก็มีดวยประการดังนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 89 “เอกาสนิกงคํป นานาสนโภชนํ ปฏิกฺขิปามิ เอกาสนิกงฺคํ สมาทิยามีติ อิเมสํ อฺญ ตรวจเนน สมาทินฺนิ โหติ เตน ปน เอกาสนิเกน อาสนสาลายํ นิสีทนฺเตน เถราสเน อนิสีทิตฺวา อิทํ มยฺหํ ปาปฺณิสฺสตีติ ปฏิรูป อาสนํ สลฺลกฺเขตฺวา นิสีติตพฺพํ สจสฺส วิปุปกเต โภชเน อาจริโย วา อุปชฺฌาโย วา อาคจฺฉติ อุฏาย วตฺตํ กาตุ ํ วฏฏติ ติปฏกจุฬาภยตฺเกโร อาห อาสนํ วา รกฺ เขยฺย โภชนํ วา อยํ จ วิปฺปกตโภชโน ตสฺมา วตฺตํ กโรตุ โภชนํ ปนมา ภฺุชตูติ วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนาในเอกาสนิกธุดงค อันมีในธุดงคนิเทศ ในปกรณ ชื่อวาวิสุทธิมรรค สืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลีมีเนื้อความวา “เอกาสนิกงฺคํป” แมอันวาเอกาสนิกังคธุดงค องคพระภิกษุจะสมาทาน ก็พึงสมาทานดวย พระบาลีทั้ง ๒ คือสมาทานวา “นานาสนโภชนํ ปฏิกฺขิปามิ” แปลวาขาพระองคจะหามเสียซึ่ง บริโภคโภชนะในอาสนะตาง ๆ แลสมาทานดวยพระบาลีวา “เอกาสนิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวาขาพระองคจะสมาทานซึ่ง เอกาสนิกกังคธุดงคอันใดอันหนึ่งก็ไดซึ่งวาสมาทานแลว อนึ่ง เอกาสนิกภิกษุนั้น เมื่อนั่งอยูในศาลาอันเปนที่บริโภคนั้นอยานั่งในอาสนะพระมหา เถระ พึงกําหนดอาสนะพอสมควรดวยมสิการกระทําไวในใจวา อาสนะนี้จะถึงแกเราแลวพึงนั่งอยู อนึ่ง เมื่อเอกาสนิกภิกษุนี้บริโภคยังคางอยู พระเถระผูเปนอาจารยแลเปนพระอุปชฌายมา ในอาสนศาลา ก็พึงลุกขึ้นกระทําวัตรจึงจะควร พระติปฎกจุฬาภยเถระกลาววา อาสนะและโภชนะจะพึงรักษา มีอรรถรูปวาอาสนะจะพึงรักษา พระภิกษุมีอาสนะอันหนึ่งเปนปกติอันจะบริโภคมิไดให ธุดงคจะทําลาย พระภิกษุบริโภคยังไมแลวตราบใดอยาพึงลุกขึ้นจากอาสนะตราบนั้น โภชนะจะพึงรักษา พระภิกษุเมื่อจะบริโภคมิไดใหธุดงคทําลายภิกษุนั้น ยังไมปรารภเพื่อ จะบริโภคตราบใด ก็พึงลุกขึ้นไดตราบนั้น “อยํ จ วิปฺปกตโภชโน” แทจริงพระเอกาสนิกภิกษุนี้ ยังบริโภคคางอยู เพราะเหตุดังนั้น พระภิกษุจึงกระทําวัตรแกพระเถระอันเปนอาจารยเปนอาทิ จงอยาบริโภคโภชนะ วิธานแหงพระภิกษุมีเอกาสนิกธุดงคเปนอาทิ บัณฑิตพึงรูดังกลาวมานี้ อนึ่ง จะวาโดยประเภทเอกาสนิกภิกษุนี้มีประเภท ๓ ประการ คือ อุกฤษฏ แลมัชฌิมะ แล มุทุกะ เอกาสนิกภิกษุอันเปนอุกฤษฏนั้น ยังหัตถใหหยอนลงในภาชนะอันใด อันนอยก็ดี อันมากก็ ดี ก็มิไดเพื่อจะถือเอาซึ่งโภชนะอันอื่นจากโภชนะนั้น ถาแลจะวามนุษยทั้งหลายรูวาพระมหาเถระของเราบริโภคนอยจะนํามาซึ่งวัตถุมีสัปปเปน ตนเขาไปถวาย ภิกษุนั้นจะรับเพื่อเภสัชจึงจะควรถาจะรับเพื่ออาหารแลวก็ไมควร เอกาสนิกภิกษุอันเปนมัชฌิมะนั้น ภัตรในบาตรยังไมสิ้นตราบใดก็ได เพื่อจะรับเอาซึ่งวัตถุ อันอื่นตราบนั้น แทจริงมัชฌิมะภิกษุนั้น ชื่อวาโภชะเปนที่สุด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 90 มุทุกภิกษุนั้น ไมลุกจากอาสนะตราบใด ก็ไดเพื่อจะบริโภคไปตราบนั้น แทจริงมุทุกภิกษุนั้น ชื่อวามีน้ําเปนที่สุด เพราะเหตุวาไมถือเอาน้ําชําระบาตรตราบใด ก็ได เพื่อจะบริโภคโภชนะตราบนั้น แลชื่อวามีอาสนะเปนที่สุด เพราะเหตุวาไมลุกขึ้นจากอาสนะตราบใดก็ ไดเพื่อจะบริโภคตราบนั้น ธุดงคแหงภิกษุทั้งสามจําพวกนี้ ยอมทําลายในขณะบริโภคโชนะในอาสนะตาง ๆ “อยเมตฺถ เภโท” กิริยาทําลายในเอกาสนิกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังกลาวมานี้ อนึ่ง อานิสงสของพระภิกษุที่มีเอกาสนิกธุดงค เปนปกตินั้นวา “อปฺปาพาธตา” คือจะมี อาพาธนอย แลจะใหปราศจากทุกขอันบังเกิดแกสรีระ เพราะเหตุบริโภคปจจัยสิ้นวาระเปนอันมาก แล จะประพฤติเบากาย แลจะมีกําลังกาย แลจะอยูสบาย แลจะหาอาบัติมิได เพราะปจจัยคืออนติริต โภชนะ แลจะบรรเทาเสียซึ่งความปรารถนาในรส แลจะเปนไปตามคุณทั้งหลาย มีปรารถนานอยเปน อาทิ พระพุทธโฆษาจารยเจา นิพนธพระบาลีสรรเสริญเอกาสนิกธุดงควา “เอกาสนโภชเน รตํ น ยตึ โภชนปจฺจยา” โรคทั้งหลายมีโภชนะเปนเหตุปจจัย มิไดเบียดเบียนซึ่งพระยัติโยคาวจรภิกษุ ผูยินดีในเอกาสนิกธุดงค พระภิกษุนั้นปราศจากโลกในรสอาหารมิไดยังโยคกรรม คือกระทําความ เพียรแหงตนใหเสื่อม เหตุใดเหตุนั้นพระโยคาวจรมีกมลจิตอันบริสุทธิ์พึงยังความยินดีใหบังเกิดใน เอกาสนิกธุดงคเปนเหตุที่จะใหอยูสบาย เปนที่เขาไปใกล เสพซึ่งความยินดีในสัลเลขอันบริสุทธิ์ สังวรรณนาในสมาทานแลวิธานแลประเภท แลเภทะ คือทําลาย แลอานิสงสในเอกาสนิก ธุดงค ก็ยุติแตเพียงนี้ อนึ่ง ปตตปณฑิกธุดงคนั้น เมื่อพระภิกษุจะสมาทาน ใหสมาทานดวยพระบาลีทั้งสอง คือ “ทุติยภาชนํ ปฏิกฺขิปามิ” แปลวา ขาพระองคจะหามเสียซึ่งภาชนะเปนคํารบ ๒ แลสมาทานดวยพระบาลีวา “ปตฺตปฑิณฺกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา ขาพระองคจะ สมาทานปตตปณฑิกธุดงค อันใดอันหนึ่งก็ไดชื่อวาเปนสมาทานแลว “เตน ปน ปตฺตบฺฑิเกน” พระภิกษุที่มีปตตปณฑิกธุดงคเปนปกตินั้น พึงตั้งใจไวซึ่งขาว ยาคูในภาชนะ ในกาลเมื่อดื่มกินซึ่งขาวยาคูแลพยัญชนะที่ตนไดแลว พึงกัดกินเคี้ยวกินเสียกอน จึงจะ ดื่มกินขาวยาคู อนึ่ง ถาแลพระภิกษุนั้น จะใสลงซึ่งพยัญชนะปนในขาวยาคู เมื่อพยัญชนะปนมัจฉะอันบูด เปนตน ลงไปแปดเปอนในขาวยาคู ขาวยาคูก็เปนปฏิกูล พระภิกษุนั้นจะกระทําใหเปนปฏิกูลแลว แล บริโภคก็ควรเหตุใดเหตุดังนั้น คําที่วาควรนี้ องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาหมายเอาซึ่ง พยัญชนะเห็นปานดังนั้น “ยํ ปน มธุสกฺกราทิกํ” อนึ่งวัตถุอันใดมีน้ําผึ้งแลน้ําตาลกรวดเปนอาทิ เปนของมิไดเปน ปฏิกูล พระภิกษุก็พึงใสวัตถุนั้นในขาวยาคู เมื่อพระภิกษุจะรับซึ่งน้ําผึ้งแลน้ําตาลกรวดนั้น พึงรับควรแกประมาณ พระภิกษุจะถือเอาผักดองแลมูลมันดวยหัตถ แลวแลจะกัดกินก็ควร
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 91 อนึ่ง ถาไมกระทําอยางนั้น พึงใสในบาตร จะใสไปในที่อื่นไมควร เพราะเหตุหามภาชนะ เปนคํารบสอง วิธานในปตตปณฑิกธุดงค บัณฑิตพึงรูดงนี้ อนึ่ง ถาจะวาโดยประเภท พระภิกษุมีปตตปณฑิกธุดงคเปนปกตินี้ มีประเภท ๓ ประการ คืออุกฤษฎ แลมัชฌิมะ แลมุทุกะ พระอุกฤษฎนั้น จะทิ้งกากหยากเยื่อแหงวัตถุที่ตนจะพึงเคี้ยวกินนั้นไมควร เวนไวแตกาลที่ จะกัดกินซึ่งออย อนึ่ง อุกฤษฎภิกษุ จะทําลายซึ่งกอนขาว แลปลาแลเนื้อแลขนมออกกัดกินนั้นไมควร พระมัชฌิมภิกษุ จะทําลายกอนขาวแลปลาแลเนื้อแลขนมออกดวยมือขางหนึ่ง แลวแลกัด กินก็ควร พระมัชฌิมภิกษุนี้ ชื่อวาหัตถาโยคี แปลวามีประกอบซึ่งอาหารอันตนทําลายดวยมือ แลใส ในมุขประเทศเปนปกติ อนึ่ง มุทุกภิกษุนั้น อาจเพื่อจะใสเขาซึ่งวัตถุอันใดในบาตร ก็ควรเมื่อจะทําลายวัตถุทั้งปวง นั้น ดวยหัตถก็ดี ดวยทันตก็ดี แลแลกัดกิน อนึ่ง ธุดงคของภิกษุ ๓ จําพวกนี้ เมื่อจะทําลายก็ทําลายในขณะซึ่งยินดีที่ภาชนะเปนคํารบ สอง การทําลายในปตตปณฑิกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้ อนึ่งโสด อานิสงสของพระภิกษุที่มีปตตปณฑิกธุดงคนี้เปนปกติเห็นซึ่งประมาณใน ประโยชนในอาหารอันสมเด็จพระบรมศาสดาจารยทรงอนุญาต แลปราศจากความกําหนัดที่จะนําไป ซึ่งภาชนะทั้งหลายมีโอกาสเปนอาทิ แลปราศจากขวนขวายที่จะถือเอาซึ่งพยัญชนะอันตั้งอยูใน ภาชนะตาง ๆ แลประพฤติเปนไปตามแกคุณทั้งหลายอัปปจฉตาคุณ คือมีความปรารถนานอยเปนอาทิ เพราะเหตุการณนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจาจึงนิพนธคาถาสรรเสริญพระภิกษุที่มีปตตปณ ฑิกธุดงคเปนปกติวา “นานาภาชนวิกฺเขป หิตฺวา โอกฺขิตฺตโลจโน” พระยัติโยคาวจรภิกษุ มีปตตปณฑิกธุดงคเปนปกตินั้น ละเสียแลวซึ่งกําเริบแหงภาชนะตาง ๆ มีจักษุอันทอดลงในเบื้องต่ํา กระทําสัญญาควรแกประมาณ เมื่อเปนประดุจดังวาจะขุดเสียถอนเสียซึ่งมูลแหงรสตัณหา หรือความ ปรารถนาในรส มีวัตรอันดีมีจิตอันงาม ทรงไวซึ่งสันตุฏฐีดุจดังรูปแหงตนแลวแลอาจเพื่อจะบริโภค อาหาร “โกอฺโญ ปตฺตปณฺฑิโก” พระภิกษุองคอื่น ดังฤๅจะมิไดปตตปณฑิกธุดงคเปนปกติ บริโภค ซึ่งอาหารดังนี้ สังวรรณนามาในสมาทานแลวิธาน แลประเภทแลเภทะ แลอานิสงสในปตตปณฑิกธุดงค ก็ ยุติแตเพียงนี้ ในขลุปจฉาภัตติกธุดงคนั้น พระภิกษุพึงสมาทานดวยพระบาลีคือ ปฏิกฺขิปามิ” แปลวา ขาพระองคหามอนติริตตโภชนะ
“อนติริตฺตโภชนํ
แลพระบาลีวา “ขลุปจฺฉาภตฺติกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา ขาพระองคสมาทานบัดนี้ ซึ่งขลุ ปจฉาภัตติกธุดงค แตอันใดอันหนึ่งก็ได ชื่อวาสมาทานแลว
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 92 “เตน ปน ขลุปจฺฉาภตฺติเกน” อนึ่งพระภิกษุที่มีขลุปจฉาภัติติกธุดงค เปนปกตินั้น หาม ขาวแลวแลยังบุคคลใหกระทําโภชภะใหเปนกับปยะใหมเลา แลวจะพึงบริโภคนั้นไมควร วิธานแหงขลุปจฉาภัตติกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้ อนึ่ง ถาจะวาโดยประเภทนั้น ขลุปจฉาภัตติกธุดงคภิกษุนี้มีประเภท ๓ ประการ คืออุกฤษฏ แลมัชฌิมะแลมุทุกะ กิริยาที่จะหามขาวในกอนอามิสเปนปฐม มิไดมีแกอุกฤษฏภิกษุเหตุใดเหตุดังนั้น อุกฤษฏ ภิกษุหามขาวแลวดวยประการดังนี้ อยาบริโภคกอนอามิสเปนคํารบสอง อนึ่ง เมื่ออุกฤษฏภิกษุจะกลืนกินกอนอามิสเปนปฐมนั้น ยอมจะหามเสียซึ่งกอนอามิสอื่น เพราะเหตุการณนั้น อุกฤษฏภิกษุหามขาวแลวดวยประการดังนี้ กลืนกินกอนอามิสเปนปฐมแลวก็มิได บริโภคกอนอามิสเปนคํารบสอง มัชฌิมภิกษุนั้นหามขาวแลว โภชนะอันใดตั้งอยูแลวในบาตรก็ยอมจะบริโภคซึ่งโภชนะนั้น อันตั้งอยูแลวในบาตรแทจริง มุทุกภิกษุนั้น ไมลุกจากอาสนะตราบใด ยอมจะบริโภคไดตราบนั้น อนึ่ง ธุดงคแหงพระภิกษุ ๓ จําพวกนี้ ยอมจะทําลายในขณะที่ตนหามขาวแลว แลจะยังชน ใหกระทําเปนกัปปยะแลวแลบริโภค “อยเมตตฺถ เกโท” กิริยาที่ทําลายในขลุปจฉาภัตติกธุดงคนี้ บัณฑิตพึงรูดังนี้ “อยํ ปนานิสํโส” อนึ่ง อานิสงสแหงขลุปจฉาภัตติกธุดงคนั้นวา “อนติริตฺตโภชนาปตฺติยา” พระภิกษุผูประพฤติความเพียรในขลุปจฉาภัตติกธุดงคนี้ จะ ตั้งอยูในที่ไกลจากอาบัติอันบังเกิดแกปจจัย คือ บริโภคแลกัดกินแลเคี้ยวกินซึ่งอาหาร มีอนติริตตวินัย กรรมอันตนมิไดกระทําแลว แลภาวะหามิไดที่กระทําใหเต็มทองแลจะปราศจากสันนิธิสั่งสมอามิสไว เพื่อจะบริโภคใหมเลา ในตนที่ตนหามขามแลวแลสภาวะหามิไดแหงแสวงหาใหมเลา แลจะประพฤติ เปนไปตามแกคุณทั้งหลาย มีอัปปจฉตาคุณ คือปรารถนานอยเปนอาทิ พระโยคาวจรภิกษุอันดําเนิน ดวยญาณคติ มีขลุปจฉาภัตติกธุดงคเปนปกติมิไดถึงซึ่งความกําหนัด ในการที่จะแสวงหาไมกระทํา สันนิธิสั่งสม ละเสียซึ่งกิริยาที่กระทําอาการใหเต็มทอง มีขลุปจฉาภัตติกธุดงคเปนปกติ เหตุใดเหตุ ดังนั้น พระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ มีความปรารถนาเพื่อจะกําจัดเสียซึ่งความปรารถนาทั้งปวง มี เสพซึ่งขลุปจฉาภัตติกธุดงค อันองคสมเด็จพระสุคตสรรเสริญ เปนที่ยังความเจริญแหงคุณทั้งหลาย มีสันโดษยินดีในปจจัยเปนของแหงตนใหบังเกิด สังวรรณนาในสมาทานแลวิธาน แลประเภทแลเภททําลายแลอานิสงสในขลุปจฉาภัตติก ธุดงค ก็ตั้งอยูดวยอาการอันสําเร็จดังนี้ ในอารัญญิกธุดงคนั้น เมื่อพระภิกษุจะสมาทาน ก็พึงสมาทานพระบาลีทั้งสอง อยางใด อยางหนึ่ง “คามนฺตเสนาสนํ ปฏิกฺขิปามิ” แปลวา ขาพระองคจะหามเสียซึ่งเสนาสนะใกลบาน แลสมาทานวา “อารฺญิกงฺคํ สมาทิยามิ” ขาพระองคจะถือเอาซึ่งอารัญญิกธุดงค มีอยู ในประเทศอันบุคคลไมพึงยินดีเปนปกติ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 93 “เตน ปน อารฺญิเกน” อนึ่งอารัญญิกภิกษุนั้น ละเสียซึ่งเสนาสนะอันใกลบาน แลวแล พึงยังอรุณใหตั้งขึ้นในอรัญประเทศบานอันเปนไปกับดวยอุปจารบาน ชื่อวาคามันตเสนาสนะ อนึ่งโสด ประเทศอันใดอันหนึ่ง มีกุฎีพันหนึ่งก็ดี มีกุฎีมากก็ดี มีรั้วลอมก็ดี ไมมีรั้วลอมก็ดี มี มนุษยอยูก็ดี ไมมีมนุษยก็ดี ประเทศนั้นชื่อวา คาโม แปลวาบาน กําหนดที่สุดนั้นพวกพาณิชยมาตั้ง ทับอยูในประเทศที่ใดมากกวา ๔ เดือน ในประเทศนั้นชื่อวาบาน ถาแลวาธรณีทั้งสองแหงบานอันแวดลอมอยู ดุจดังวาธรณีทั้งสองแหงเมืองอนุราธ มัชฌิม บุรุษที่มีกําลังยืนอยูเห็นธรณีอันมีอยูภายในทิ้งกอนดินออกไปใหตกลงในที่ใด ประเทศที่นั้นชื่อวา คามูปจารแปลวาอุปจารแหงบาน พระเถระทั้งหลายอันทรงซึ่งวินัย กลาวลักษณะกําหนดเลฑฑุบาตนั้นวา “ตรุณมนุสฺสา อตฺตโน พลํ ทสฺเสนฺตา” มนุษยทั้งหลายที่เปนหนุม เมื่อจะแสดงซึ่ง กําหนดแหงตน เหยียดออกซึ่งแขนแลวแลทิ้งไปซึ่งกอนดินฉันใด ภายในแหงที่อันเปนที่ตกแหงกอน ดินอันตรุณมนุษยทิ้งไปฉันนั้น ชื่อวาอุปจารแหงบาน อนึ่ง พระเถระทั้งหลายอันเลาเรียนพระสูตรกลาววา “กากวา รณนิยเมน ขิตฺตสฺส” ภายในแหงที่อันเปนที่ตกแหงกอนดิน อันชนทิ้งไปแลวโโยกําหนดที่จะหามเสียซึ่งกา ชื่อวาคามูปจาร ถาจะวาโดยบานมิไดมีรั้วลอมนั้น มาตุคามยืนอยูแทบประตูแหงเรือน อันมีในที่สุดแหง เรือนทั้งปวง แลวแลสาดไปซึ่งน้ําอันใดดวยภาชนะที่อันเปนที่ตกแหงน้ํานั้น ชื่อวาอุปจารแหงเรือน “เอโก เลทฺฑุปาโต” กิริยาที่ตกแหงกอนดินอันมัชฌิมบุรุษทิ้งออกไปแตอุปจารแหงเรือน นั้น โดยนัยอันกลาวมาแลว ชื่อวาบานหนึ่ง เลฑฑุบาต คือตกแหงกอนดิน ที่มัชฌิมบุรุษทิ้งไปเปนคํารบสองนั้น ชื่อวาอุปจารแหงบาน อนึ่ง คํากลาววา “สพฺพเมตํ อรฺญํ” แปลวาประเทศทั้งปวงนี้ ชื่อวาอรัญราวปา พระ อาจารยเวนไวซึ่งบานแลอุปจารแหงบานแลว แลกลาวโดยวินัยปริยายนั้นกอน แลคํากลาววาประเทศ ทั้งปวงออกไปภายนอกแหงธรณีชื่อวาอรัญราวปาอาจารยกลาวไวโดยอธิธรรมปริยาย อนึ่ง ในสุตตันตปริยายนี้ อาจารยซึ่งลักษณะกําหนดวาที่สุด ๕๐๐ ชั่วธนูชื่อวาอรัญญิก เสนาสนะ มีคําพระอรรถกถาจารยทั้งหลายกลาวไวในอรรกถา พระวินัยวานักปราชญพึงกําหนด จําเดิมแตธรณีแหงบานมีรั้วลอม ดวยธนูแหงอาจารยยันโกงไว ตราบเทาถึงที่ลอมแหงวิหาร ไมฉะนั้น บัณฑิตพึงนับกําหนดจําเดิมแตเลฑฑุบาตเปนปฐมแหงบาน มิไดมีรั้วลอมตราบเทาถึงที่ลอมแหงวิหาร ดวยธนูแหงอาจารยอันโกงแลวใหได ๕๐๐ ชั่วธนูจึงไดชื่อวา อรัญญิกเสนาสนะ อนึ่ง ถาแลวาวิหารไมมีที่ลอมเสนาสนะ แลภัตตศาลา แลที่ประชุมสิ้นกาลเปนนิจ แลไม พระมหาโพธิ แลพระเจดียอันใดกอนกวาสิ่งทั้งปวง ผิวแลวามีในที่ใกลแตเสนาสนะ บัณฑิตพึงกระทํา กําหนดซึ่งเสนาสนะเปนอาทิแลวนับได ๕๐๐ ชั่ว ดวยธนูของอาจารยที่โกงไวแลว อนึ่ง พระอรรถกถาจารย กลาวในอรรถกถามัชฌิมนิกายวา “วิหานสฺสป คามสฺเสว” นักปราชญพึงนําออกซึ่งที่อุปจารแหงวิหารดุจดังวาอุปจารแหงบาน แลวแลพึงนับในระหวางแหงเลฑุ บาตกลาวประมาณในอารัญญิกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้ เอวํ ก็มีดวยประการดังนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 94 “สเจป อาสนฺเน คาโม โหติ วิหาเร ิเตหิ มนุสฺสการ สทฺโถ สุยฺยติ ปพฺพตนทีอาทีหิ ปน อนฺตริตตฺตา น สกฺกา อุชุ ํคนฺตุ ํ โย ตสฺส ปกติมกฺโค โหติ สเจป นาวาย สยฺจริตพฺโพเตน มคฺเคน ปฺจธนุสติกํ คเหตุพฺพํ โย ปน อาสนฺนคามสฺส องฺคสมฺปาทนตฺถํ ตโต ตโต มคฺคํ ปทห ติ อยํป ธุตงฺกโจโร โหติ สเจ ปน อารยฺญิกสฺส ภิกฺขุโน อุปชฺฌาโย วา อาจริโย วา คิลาโน โห ติ” วาระนี้ไดรับพระราชทานถวายวิสัชนา ในอารัญญิกธุดงคสืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระ บาลี มีเนื้อความวา “สเจป อาสนฺเน คาโม” ถาแลบานมีอยูในที่ใกล พระภิกษุทั้งหลายอยูในวิหารได ยินเสียงมนุษย ชาวบานเจรจากัน ชนทั้งหลายไมอาจเดินตรงไปไดเพราะเหตุภูเขาแลแมน้ําเปนอาทิ กั้นอยู หนทางอันใดเปนหนทางอันปกติที่จะไปบานนั้น บัณฑิตพึงวัดทวนออกไปใหได ๕๐๐ ชั่วธนู โดยหนทางนั้น อนึ่งหนทางที่จะไปบานนั้น บุคคลจะเขาไปดวยนาวา บัณฑิตพึงถือเอาใหได ๕๐๐ ชั่วธนู โดยหนทางเรือนั้น อนึ่ง อรัญญิกภิกษุรูปใดปดหนทางที่จะไปมาโดยอากาศนั้น ๆ เพื่อจะยังองคแหงบานอัน ตั้งอยูในที่ใกลใหสําเร็จ อารัญญิกภิกษุนี้ชื่อวา ธุดงคโคจร อนึ่ง ถาแลวาพระเถระอันเปนพระอุปชฌาย แลพระเถระอันเปนพระอาจารยของพระ อารัญญิกภิกษุนั้นเปนไข อารัญญิกภิกษุนั้นไมไดที่สบายจะรักษาไข ก็พึงรับอุปชฌายเปนอาทิไปสู เสนาสนะอันใกลบาน แลวพึงกระทําอุปฏฐาก อนึ่ง อารัญญิกภิกษุ พึงออกจากคามันตเสนาสนะในเพลาเชามืดยังอรุณใหตั้งขึ้นในที่อัน ประกอบดวยองคแหงอารัญญิกธุดงค ถาแลวาอาพาธแหงพระอุปชฌายแลอาจารย เจริญเจ็บปวยมาก ในเวลาที่จะยังอรุณใหตั้งขึ้น อารัญญิกภิกษุนั้นพึงกระทําซึ่งกิจของพระเถระอันเปนพระอุปชฌายแล อาจารยนั้น ภิกษุนั้นก็มีธุดงคมิไดบริสุทธิ์ “อิทมสฺส วิธานํ” วิธานแหงอารัญญิกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้ อนึ่ง ถาวาโดยประเภทนั้น อารัญญิกภิกษุธุดงคนี้มีประเภท ๓ ประการ คืออุกฤษฏแลมัชฌิ มะแลมุทุกะ เปนประเภท ๓ ประการดังนี้ พระอุกฤษฏภิกษุนั้น พึงยังอรุณใหตั้งขึ้นในอรัญประเทศสิ้นกาลทั้งปวง มัชฌิมภิกษุไดเพื่อจะอยูในคามันตะเสนาสนะ ในฤดูฝน ๔ เดือน มุกทุกภิกษุนั้น ไดเพื่อจะอยูในคามันตเสนาสนะ ในเหมันตฤดูหนาวดวย อนึ่ง อารัญญิกภิกษุทั้ง ๓ นี้ ออกจากอรัญประเทศมาฟงธรรมเทศนาในคามันตเสนาสนะ ในกาลควรแกอาจารยกําหนด ผิววาอรุณจะตั้งขึ้นธุดงคก็มิไดทําลาย อนึ่ง ฟงธรรมเทศนา กลับไปไมทันถึงธรณี อรุณตั้งขึ้นในมรรคาธุดงคก็มิไดทําลาย อนึ่ง พระธรรมกถึกเถระผูแสดงธรรมลุกขึ้นจากอาสนะแลว ถาแลวาอารัญญิกภิกษุนั้นคิด วาอาตมาจะนอนเสียสักครูหนึ่จึงจะไป เมื่อหลับอรุณตั้งขึ้น ธุดงคแหงพระภิกษุนั้นก็ทําลาย อนึ่ง พระภิกษุทั้ง ๓ จําพวกนี้ ยังอรุณใหตั้งขึ้นในคามันตเสนาโดยชอบใจตน ธุดงคของ พระภิกษุทั้งหลายนั่นก็ทําลาย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 95 “อยเมตฺถ เภโท” การทําลายในอารัญญิกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้ อนึ่ง อานิสงสแหงพระอารัญญิกธุดงคนั้น องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสสรรเสริญไววา “อารฺญิโก ภิกฺขุ” พระภิกษุที่มีอารัญญิกธุดงคเปนปกตินั้น กระทําอารัญญสัญญาไวในจิต ควรที่ เพื่อจะไดสมาธิที่ตนยังไมได แลควรเพื่อจะรักษาไวซึ่งสมาธิที่ตนไดแลว “สตฺถาปสฺส อตฺตมโน” อนึ่งพระบรมศาสดายอมมีพระหฤทัยชื่นชม แกพระภิกษุที่มี อรัญญิกธุดงคเปนปกติ องคสมเด็จพระผูทรงพระภาค “เตนหํ นาคิตสฺส ภิกฺขุโน” ดูกรพระภิกษุ ทั้งหลาย พระตถาคตมีพระหฤทัยชื่นชมแกพระนาคิตภิกษุ เพราะเหตุวานาคิตภิกษุนั้นทรงธุดงค คือมี อยูในอรัญราวปาเปนปกติ “อสปฺปายรูปาทโย” รูปแลเสียงแลกลิ่นแลรสแลโผฏฐัพพารมณทั้งปวง มิ อาจสามารถที่จะยังจิตแหงพระภิกษุอันอยูในเสนาสนะอันสงัดใหฟุงซานได พระภิกษุที่อยูในอรัญ เสนาสนะนั้นปราศจากสะดุงจิตแลว ยอมจะละเสียซึ่งอาลัยในชีวิต ยินดีซึ่งรถแหงความสุขอันบังเกิด แตวิเวก นัยหนึ่งสภาวะที่ทรงไวซึ่งธุดงคมีบังสุกุลธุดงคเปนอาทิ ก็สมควรแกพระภิกษุที่ทรงอารัญญิก ธุดงคนี้ เพราะเหตุดังนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจาจึงนิพนธพระคาถาวา “ปวิวิตฺโต อสํสฏโ” พระยัติโควาจรเจามีอรัญญิกธุดงคเปนปกตินี้ ยอมยินดีในที่สงัดมิไดระคนดวยคฤหัสถแลบรรพชิต แล ยินดีในอารัญญิกเสนาสนะ ยังพระหฤทัยแหงพระองคพระบรมโลกนาถใหยินดีดวยกิริยาที่อยูปาเปน ปกติ “เอโก อรฺเญ นิวาสํ” ใชแตเทานั้นพระโยคาวจรเจานี้ เมื่ออยูในอรัญประเทศ ยอมจะไดซึ่งรส อันบังเกิดแตความสุข คือเปนองคพระอรหันตอันใด เทพยดาทั้งหลายมีองคอมรินทราธิราชเปนใหญ เปนประธาน ก็มิไดซึ่งความสุขนั้น “ปสุกุลฺจ เอ โสว” พระโยคาวจรเจานี้เมื่อทรงไวซึ่งบังสุกุล ธุดงค เปรียบประดุจดังวากษัตริยอันทรงเกราะ ตั้งอยูในแผนดินอันเปนที่กระทําซึ่งสงคราม กลาวคือ อยูในอรัญประเทศราวปา หัตถซายขวาทรงซึ่งอาวุธจะยุทนาการ กลาวคือทรงธุดงคอันวิเศษสามารถ เพื่อจะผจญเสียซึ่งมารอันเปนไปกับดวยพาหนะ ในกาลมิไดนาน เหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุในพระพุทธศาสนาผูดําเนินดวยญาณคติพึงกระทําความยินดีใน อรัญวาส อยูรักษาทรงไวซึ่งอารัญญิกธุดงคดังนี้ สังวรรณนามาในสมาทานแลวิธานแลประเภทะ แลอานิสงสในอารัญญิกธุดงค ก็ตั้งอยูแลว ดวยอาการอันสําเร็จดังกลาวมานี้ ในรุกขมูลิกธุดงคนั้นเมื่อพระภิกษุจะสมาทาน ก็พึงสมาทานดวยพระบาลีทั้งสองคือ “ฉนฺนํ ปฏิกฺขิปามิ” แปลวาขาพระองคจะหามเสียซึ่งอาวาสที่อยู อันมุงดวยวัตถุทั้งหลายมีกระเบื้องเปนตน แลพระบาลีวา "รุกฺขมูลิกงฺคํ สมาทิยามิ" ขาพระองคจะพึงถือเอาซึ่งรุกขมูลิกธุดงคอันใด อันหนึ่ง ก็ชื่อวาสมาทานแลว "เต ปน รุกขมูลิเกน" อนึ่งพระภิกษุที่มีรุกขมูลธุดงคเปนปกติ พึงเวนเสียซึ่งตนไม ทั้งหลายนี้ คือตนไมอันตั้งอยูในแดนพระนครแหงบรมกษัตริยทั้งสอง แลรุกขเจดียที่มนุษยทั้งหลาย สมมติกลาวกันวา เปนตนไมอันเทพยดาสิงสถิตอยูแลตนไมมียางมีไมรกฟาเปนอาทิ แลตนไมมีผล แลตนไมมีดอก แลตนไมอันคางคาวทั้งหลายเสพอาศัยอยู แลตนไมมีโพรง สัตวทั้งหลายมีทีฆชาติ เปนอาทิ จะยังเบียดเบียนใหบังเกิด แลตนไมอยูในทามกลางวิหาร เมื่อเวนตนไมดังกลาวมานี้แลวพึง ถือเอาตนไมที่ตั้งอยูในที่ตังอยูในที่สุดวิหาร วิหารแหงรุกขมูลธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้ อนึ่งถาจะวาโดยประเภท พระภิกษุที่มีรุกขมูลธุดงคเปนปกตินั้นมีประเภท ๓ ประการ คือ อุกฤษฎแลมัชฌิมะแลมุทุกะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 96 อุกฤษฏภิกษุนั้นถือซึ่งตนไมควรแกชอบใจแลว จะยังชนใหชําระนั้นไมได พึงนําเสียซึ่ง ใบไมอันตกลงแตตนไมนั้นดวยเทาแลแลพึงอยู มัชฌิมภิกษุนั้น ไดเพื่อจะยังชนทั้งหลายอันมาถึงสถานที่นั้นใหชวยชําระภายใตตนไมที่ตน ถือเอานั้น พระมุทุกภิกษุนั้น ไดเพื่อจะเรียกมาซึ่งชนทั้งหลายอันรักษาอารามแลสมณุเทเทศ ทั้งหลายแลว แลใหชําระใหกระทําแผนดินใหเสมอใหโปรยลงซึ่งทรายใหกระทํากําแพงรอบตนไม ใหประกอบประตูแลวแลพึงอยู อนึ่งเมื่อวันฉลอง พระภิกษุรุกขมูลิกธุดงค นั่งอยูภายใตตนไมนั้น พึงไปนั่งอยูในที่อื่นเปนที่ อันกําบัง อนึ่งธุดงคแหงพระภิกษุรุกขมูลิกทั้ง ๓ จําพวกนั้ ยอมจะทําลายในขณะเมือตนสํ ่ าเร็จซึ่ง กิริยาที่อยูในที่มุงดวยหญาแลใบไม อังคุตตรภาณกาจารยกลาววา ธุดงคแหงพระภิษุ ๓ จําพวกนั้น ยอมจะทําลายในกาลคือ ตนรูอยูวาอรุณจะขึ้นมาแลว แลยังอรุณใหตั้งขึ้นในที่มุง "อยเมตฺล เภโท" การที่ทําลายในรุกขมูลิกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้ อนึ่งอานิสงสแหงรุกขมูลิกธุดงคนี้ คือสภาวะปฏิบัติมีรูปอันเปนไปตามแกนิสัย เพราะเหตุ พระบาลี องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาไววา “รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา” แปลวา บรรพชาอาศัยซึ่งที่นอนแลที่นั่ง ณ ภายใตตนพฤกษา อนึ่งสภาวะที่พระภิกษุทรงซึ่งรุกขมูลิกธุดงคนี้ เปนเหตุเปนปจจัยที่จะใหพระผูทรงพระภาค ตรัสสรรเสริญวา ปจจัยจะบังเกิดแกพระภิกษุนี้นอย ปจจัยนั้นไดดวยงายไมมีโทษ ใชแตเทานั้น อนิจจสัญญายอมจะบังเกิดแกพระโยคาวจรภิกษุนั้น เพราะเหตุถึงซึ่งวิกาล แหงตนไมเนือง ๆ แลปราศจากตระหนี่ในเสนาสนะแลยินดีในนวกรรมแลจะอยูกับดวยรุกขเทวดา แล จะประพฤติเปนไปตามแกคุณทั้งหลาย มีอัปปจฉตาคุณเปนประธาน เหตุใดเหตุดังนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจาจึงนิพนธพระคาถาไว "พุทฺธเสฏเนวณฺณิโต” พระผูมีรุกขมูลิกธุดงคเปนปกตินี้ องคพระสัมมาสัมพุทธเจาสรรเสริญวา ปฏิบัติสมควรแกนิสัย พระภิกษุยินดีในที่สงัดนั้น จะเสมอเหมือนดวยภิกษุอันทรงรุกขมูลธุดงคนี้หามิได พระภิกษุที่ทรง ธุดงคอันนี้ จะนําเสียซึ่งตระหนี่ในอาวาส ปวิติตฺ เตน สนฺโต หิ” แทจริงพระภิกษุมีวัตรอันงาม อยูในที่ สงัดคือรุกขมูลอันเทพยดารักษา ก็จะไดทัศนาการเห็นตนไมมีใบไมอันเขียวแลแดงอันหลนลงจากขั้ว ก็จะละเสียซึ่งอนิจจสัญญาสําคัญวาเที่ยง เหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุผูประกอบดวยวิจารณปญญา ยินดีในวิปสสนา อยาพึงดูหมิ่นรุกขมูลเสนาสนะอันสงัด อันเปนทรัพยมรดกแหงพระองคสัมมาสัมพุทธ เจา สังวรรณนามาในสมาทานแลวิธาน แลประเภทแลทําลายแลอานิสงสในรุกขมูลิกธุดงค ก็ ตั้งอยูดวยอาการอันสําเร็จแลวนี้ อนึ่งอัพโภกาสิกธุดงคนั้น พระภิกษุพึงสมาทานดวยพระบาลีทั้งสองคือ “ฉนฺนญจรุกฺข มูลลญิจ ปฏิกฺขิปามิ” แปลวาขาพระองคหามเสียบัดนี้ซึ่งเสนาสนะอันมุงแลรุกขมูล แลสมาทานวา "อพฺโภกาสิกงฺคํ สยาทิยามิ" แปลวาขาพระองคจักสมาทานถือเอาอัพโภ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 97 กาสิกธุดงคอันใดอันหนึ่ง ก็ไดชื่อวาสมาทานแลว "ตสฺส ปน อพฺโภกาสิกสฺส" อนึ่งพระภิกษุที่มีอัพโภกาสิกธุดงคเปนปกตินั้น จะเขาไปสู เรือนอันเปนที่กระทําอุโบสถเพื่อจะฟงธรรม และจะกระทําอุโบสถกรรมก็ควร ถาแลพระภิกษุนั้นเขาไปในเรือนเปนที่กระทําอุโบสถแลว ฝนก็ตกลงมา เมื่อฝนยังตกอยูก็ อยาออกไปเลย เมื่อฝนหยุดแลวจึงออกไป พระภิกษุนั้นจะเขาไปสูศาลาโรงภาชนะ แลจะเขาไปสูโรง ไฟเพื่อจะกระทําซึ่งวัตรก็ควร แลจะเขาไปไตถาม พระภิกษุทั้งหลายผูเปนเถระในโรงบริโภคดวยภัตราก็ควร อนึ่งพระภิกษุนั้นมีกิจเพื่อจะใหซึ่งอุเทศ แกพระภิกษุทั้งหลายอื่นแลจะเรียนซึ่งอุเทศดวย ตน เขาสูที่มุงดวยอิฐเปนอาทิก็ควร ก็ควร
และจะยังเตียงแลตั่งเปนอาทิ อันบุคคลเก็บไวไมดีในภายนอก ใหเขาไปอยูในภายในดังนี้
อนึ่งถาแลวาพระภิกษุนั้นเดินไปในหนทาง ตนก็ถือเอาบริขารแหงพระเถระผูใหญไวดวย เมื่อฝนตกลงมา พระภิกษุนั้นจะเขาไปในศาลาที่ตั้งอยูในทามกลางมรรคาก็ควร ถาแลตนมิไดถือเอาบริขารอันใดอันหนึ่ง จะไปโดยเร็วมนสิการวาอาตมาอยูในศาลาดังนี้ ไมควร อนึ่งพระภิกษุนั้นไปโดยปกติแลว แลเขาไปสูศาลาอยูตราบเทาฝนหายจึงควรไป วิธานแหงพระภิกษุมีอัพโภสิกธุดงคเปนปกติบัณฑิต พึงรูดังนี้ นัยแหงรุขมูลิกธุดงค ก็เหมือนกันกับอัพโอภกาสิกธุดงคนี้ อนึ่ง ถาจะวาไปโดยประเภทพระภิกษุมีอัพโภกาสิกธุดงคเปนปกติ ๓ ประการ คือ อุกฤษฏ แลมัชฌิมะแลมุทุกะ อุกฤษฏภิกษุจะอาศัยตนไมแลภูเขา แลเรือนแกวแลอยูนั้นไมควรพึงกระทํากระทอมจีวรใน ที่แจงแทจริงแลวจะพึงอยู มัชฌิมภิกษุนั้นจะอาศัยตนไม ภูเขา แลเรือน แลวแลอยูก็ควรแตทวาอยาเขาไปภายใน มุทุกภิกษุนั้น จะอาศัยเงื้อมภูเขามีแดดอันมิไดบังดวยผาเปนอาทิ แลมณฑปมุงดวยกิ่งไม แลผาอันคาดดวยผาขาว แลกระทอมอันชนทั้งหลายมีชนรักษานาเปนอาทิทิ้งเสียแลวก็ควร อนึ่ง ธุดงคแหงพระภิกษุทั้ง ๓ จําพวกนี้ ยอมทําลายในขณะที่เขาไปสูที่มุงแลรุกขมูลเปน อาทิเพื่อประโยชนจะอยู พระอังคุตตรภาณกาจารยทั้งหลายกลาววา ธุดงคแหงพระภิกษุทั้ง ๓ จําพวกนั้นทําลายใน กาลที่ตนรูวาอรุณจะขึ้นมาแลว แลยังอรุณใหขึ้นมาในที่มุงดวยกระเบื้องเปนอาทิเปนประมาณ "อยเมตฺถ เภโท" กิริยาที่ทําลายในอัพโภกาสิกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 98 อนึ่ง อานิสงสอัพโภกาสิกธุดงค องคสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาไววา “อาวาสปลิ โพธูปจฺเฉโท” พระโยคาวจรภิกษุผูทรงไวซึ่งอพฺโพกาสิกธุดงคนี้ จะตัดเสียซึ่งปลิโพธกังวลในอาวาส แลบรรเทาเสียซึ่งถิ่นมิทธะ และมีปกติเที่ยวไปมิไดขัดของ ดุจมฤคชาติอันไมอาศัยในที่อยู พระภิกษุ นั้นประพฤติเปนไปตามคําสรรเสริญดังนี้ แลไมมีความหวงแหนในอาวาส อาจจาริกไปในทิศทั้งสี่และ จะประพฤติเปนไปตามแกคุณทั้งหลาย มีอัปปจฉาตาทิคุณเปนประธาน เพราะเหตุการณนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจาพึงนิพนธพระคาถาไววา "อนาคาริยภาวสฺส อนุรูเป อทุลฺลเภ" แปลเนื้อความวาพระภิกษุที่อยูในอัพโภกาสที่แจง นั้น สมควรแกภาวะแหงตนเปนบรรพชิต เปนที่อันรุงเรื องดวยประทีปคือรัศมีพิมานจันทรเทวบุตร มี เพดานดาดไปดวยแกวกลาวคือดวงดาวดาราในอากาศ เปนที่อันบุคคลกะพึงไดดวยยาก พระภิกษุนั้น ยอมมีจิตประพฤติดุจดังวามฤคชาติ เพราะเหตุวาหาหวงแหนมิไดในที่อยู “ถีนมิทฺธํ วิโนเทตฺวา” บรรเทาเสียแลว ซึ่งถีนและมิทธะอาศัยซึ่งความยินดีในภาวนา ไมชาไมนานก็จสําเร็จซึ่งรสอันบังเกิด แตบริเวกคือพระนิพพาน เหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุผูประกอบดวยปรีชาญาณพึงยินดีในอัพโภกาสิก ธุดงคนี้ สังวรรณนามาในสมาทานและ วิธานและประเภท และทําลาย และอนิสงสในอัพโภกาสิก ธุดงคก็ตั้งอยูดวยอาการสําเร็จดังพรรณนามาฉะนี้ เอวํ ก็มีดวยประการฉะนี้ “โสสานิกงฺคํป น นุสานํ ปฏิกฺขิปามิ โสสานิกงฺคํ สมาทิยามีติ อิเมสํ อฺญตรวจเนน สมาทินฺนํ โหติ เตน ปน โสสานิเกน ยํมนุสฺสคามํ นเวเสนฺตา อมํ สุสาสนฺติ ววตฺถเปนฺติ น ตตฺถว สิตพฺพํ น หิ มตกสรีเร อชฺฌาปเต ตํ สุสานํ นาม โหติ ฌา ปตกาลโพ ปฏาย สเจป ทฺวาทสวสฺ สานิ ฉฑฺฑิตํ สุสานเมวตสฺมิ ปน วสนฺเตน จงฺกมมฎฑปานีทิ การาเปตฺวา มฺรปํ ปฺญาเปตฺ วา ปานียํ บริโภชนียํ อุปฏฐาเปตฺวา ธมฺมํ วาเจนฺเตน น เวทิตพฺพ”ํ วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนา ในโสสานิกธุดงคสืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระ บาลีมีเนื้อความวา “โสสานิกงฺคํป” เมื่อพระภิกษุจะสมาทานโสสานิกธุดงคนั้น ยอมสมาทานดวยพระ บาลีทั้งสองคือ สมาทานวา “น สุสานํ ปฏิกฺขิปามิ” ขาพระองคจะหามเสียบัดนี้ซึ่งประเทศอันใชปา ชา และบทสมาทานวา "โสสานิกงฺคํ สมาทิยามิ" ขาพเจาจะถือเอาบัดนี้โสสานิกธุดงค คือ จะอยูในประเทศอันเปนที่นอนแหงสัตยอันตรายเปนปกติ อนึ่ง เมื่อมนุษยทั้งหลายจะตั้งบาน ยอมกําหนดซึ่งที่อันใดไวแลว "อิมํ สุสานํ” ที่อันนี้จะ เปนที่สุสานประเทศปาชา โสสานิกภิกษุอยาพึงอยูในที่นั้น “มตกสรีเร อชฺฌาปเต” เมื่อมนุษย ทั้งหลายยังมิไดเผาสรีระมนุษยที่ตายแลว ประเทศที่กําหนดไวนั้นจะไดชื่อวาสุสานประเทศหามิได “ฌาปตกาลโต ปฏาย” จําเดิมแตการเผาสรีระมนุษยทั้งหลายอันตรายแลวที่อันนั้นถึงจะมิไดเผา มนุษยที่ตาย ชนทั้งหลายทิ้งไวถึงสิบป ที่อันนั้นก็ชื่อวาสุสานแทจริง "ตสฺมึ ปน วสนฺเตน" อนึ่งเมื่อโสสานิกภิกษุอยูในที่นั้น จะยังชนทั้งหลายใหกระทําที่ จงกรมและมณฑปเปนอาทิ แลวและยังชนใชตั้งไวซึ่งเตียงและตั่งและหมอน้ําฉันและหมอน้ําใชแลว และบอกซึ่งธรรมนั้นไมควร โสสานิกธุดงคนี้ พระภิกษุจะพึงรักษาดวยยาก เหตุใดเหตุดังนั้น ใหพระภิกษุบอกกลาว ซึ่งพระสังฆเถระและบุรุษนายบานอันบรมกษัตริยประกอบใหรูกอน เพื่อจะปองกันอันตรายอันบังเกิด ขึ้น จึงอยูในสุสานประเทศอยาประมาณ เมื่อจงกรมพึงแลดูประเทศที่เผาดวยจักษุกึ่งหนึ่งจึงจงกรม
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 99 อนึ่ง เมื่อพระภิกษุนั้นไปสูสุสานประเทศ ใหแวะลงจากทางใหญ พึงเดินไปโดยทางอันผิด จากทางเพื่อจะไมใหปราฏวาตนเปนโภสานิกภิกษุ และพึงกําหนดอารมณ มีจอมปลวกและตนไมและตอไมเปนตน ไวในเวลากลางวัน แทจริงโสสานิกภิกษุกําหนดไวดังนี้แลว ความสะดุงตกใจกลัวก็จักไมมีแกพระภิกษุนี้ในเวลากลางคืน อนึ่ง เมื่อมนุษยทั้งหลายร่ํารองจะเที่ยวไปในราตรี อยาใหภิกษุนั้นประหารดวยวัตถสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง อนึ่ง โสสานิกภิกษุนั้น จะไมไปสูสุสานประเทศแตสักวันหนึ่งก็มิไดควร ยังคุตตรภาณกาจารยทั้งหลายกลาววา "มชฺฌิมยามํ สุสาเน เข เปตฺวา” โสสานิกภิกษุ นั้นอยูในสุสานประเทศสิ้นมัชฌิมยามแลวก็กลับไปในปจฉิมยามก็ควร อนึ่ง วัตถุอันบุคคลพึงกัดเคี้ยวและพึงบริโภค มีงา และแปง และภัตตอันเจือดวยถั่วและ มัจฉะและมังสะและชีวะ น้ํามัน และน้ําออยเปนอาทิ สิ่งของตาง ๆ นี้เปนที่ชอบใจแกมนุษย พระโส สานิกภิกษุนั้นอยาพึงเสพอยาพึงเขาไปในเรือนสกุล เพราะเหตุวาพระภิกษุนั้นมีสรีระอบไปดวยควรใน สุสานประเทศ และอมนุษยจะติดตามพระภิกษุนั้นเขาไป เพื่อจะยังภัยและโรคเปนอาทิใหประพฤติ เปนไปแกมนุษยทั้งหลายในสุกลนั้น "อิทมสฺส วิธานํ" วิธานแหงโสสานิกธุดงค บัณฑิตพึงรูดังนี้ "ปเภโต ปน อยํป ติวิโธ" อนึ่ง ถาจะวาโดยประเภทนั้น พระภิกษุที่อยูในสุสานประเทศ เปนปกตินี้มี ๓ จําพวก คือ อุกฏฐะ จําพวก ๑ มัจฉิมะจําพวก ๑ มุทุกะจําพวก ๑ "ธุวทาห ธุวกฺณป ธุวโรทนานิ" มนุษยทั้งหลายเผาซากอสุภสิ้นกาลเปนนิจ และมีซาก อสุภมีอยูเปนนิจ และรองไหอยูเปนนิจมีอยูในสุสานประเทศอันใด พระภิกษุที่รักษาโสสานิกธุดงคเปน อุกฤกษฏพึงอยูในสุสานประเทศอันนั้น ล้ําลักษณะ ๓ ประการ มีเผาอสุภซากสรีระสิ้นกาลเปนนิจเปนอาทิ ในเมื่อลักษณะอันหนึ่งมี อยูในสุสานประเทศอันใด พระภิกษุรักษาโสสานิกธุดงคเปนมัชฌิมมะควรจะอยูในสุสานประเทศอันนั้น ที่อันใดมาตรวาถึงซึ่งลักษณะ กําหนดเรียกวาสุสานประเทศปาชา โดยนัยดังกลาวมาแลว พระภิกษุโสสานิกธุดงค เปนมุทุกะอยางต่ําสมควรที่จะอยูในสถานที่นั้น "อิเมสํ ปน ติณฺณํ น สุสานมฺหิ วาสํ" อนึ่ง ภิกษุ ๓ จําพวกนี้สําเร็จซึ่งอันมิอยูในที่อันใช สุสานประเทศปาชา โสสานิกธุดงคของพระภิกษุ ๓ จําพวกนั้นทําลาย อาจารยผูรจนาตกแตงพระคัมภีรอังคุตตร กลาววา “สุสานอมตทิวเส” ธุดงคพระภิกษุ ๓ จําพวกนี้ ทําลายในวันที่ตนมิไดไปยังสุสานประเทศปาชา เภทคือการทําลายในโสสามิกธุดงค บัณฑิตพึงรูดวยประการดังนี้ “อยํ ปนานิสํโส” อนึ่งอานิสงสแหงโสสานิกธุดงคนี้ คือจะใหไดสติที่ระลึกถึงซึ่งความตาย และจะใหอยูดวยมิไดประมาท แลจะใหอสุภนิมิตในสรีระวางามหามิได และจะบรรเทาเสียซึ่งกามราคะ และจะใหเห็นสภาวะของกายมิไดสะอาด แลมีกลิ่นอันชั่วเปนอาทิอยูเนือง ๆ และจะใหมากไปดวย ความสังเวช และจะใหละเสียซึ่งความมัวเมาในสภาวะหาโรคมิไดเปนประธาน และจะใหอดกลั้นไดซึ่ง ความสะดุงพึงกลัว และจะเปนที่เคารพของอมนุษย และจะประพฤติเปนไปตามสมควรในคุณ มี อับปจฉตาปรารถนานอยมิไดมักมากเปนอาทิ แทจริงโทษคือประมาท ยอมมิไดถูกตองพระภิกษุ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 100 ผูรักษาโสสานิกธุดงค อันหยั่งลงสูหลับดวยอานุภาพมรณานุสสติ ที่ตนไดในสุสานประเทศ ใชแต เทานั้น จิตของภิกษุที่ไดเห็นอสุภเปนตนมากนั้น จะมิไดถึงซึ่งอํานาจแหงความกําหนัดในวัตถุกาม จิต ของพระภิกษุนั้นจะถึงซึ่งความสังเวชเปนอันมาก “นิพุติเมสมาโน โสสานิกงุคํ” พระภิกษุผูแสวงหา พระนิพพาน เรงกระทําซึ่งความเพียรรักษาโสสานิกธุดงคดังนี้ พระภิกษุที่เปนบัณฑิตชาติมีหทัย นอย ไปในพระนิพพานพึงเสวนะซองเสพเพราะเหตุวา โสสานิกธุดงคนี้นํามาซึ่งคุณเปนอันมาก มีประการ อันเรากลาวแลว สังวรรณนามาในสมาทาน และวธาน และประเภท และทําลาย และอานิสงสในโสสานิก ธุดงคนี้ ก็ตั้งอยูดวยอาการอันสําเร็จ ในยถาสันถติกังคธุดงคที่ ๑๒ นั้น มีวาจะพระบาลีวา “อิเมสํ อฺญตรวจเนน” พระภิกษุ สมาทานยถาสันถติกังคธุงดค ล้ําพระบาลีทั้ง ๒ คือ สมาทานดวยพระบาลีวา “เสนาสนโลลุปฺป ปฏิกฺขิปามิ” แปลวา ขาพระองคจะหามเสียซึ่งตัณหา คือความปรารถนาในเสนาสนะและสมาทาน ดวยพระบาลีวา “ยถาสนฺถติกงฺคํ สมาทิยาม” แปลวาขาพระองคสมาทานบัดนี้ซึ่งยถาสันถติกังค ธุดงค สมาทานดวยพระบาลีอันใดอันหนึ่งก็ชื่อวาสมาทานแลว “เตน ปน ยถาสนฺถติเกน” อนึ่ง เสนาสนะอันใดที่เสนาสนคาหาปกภิกษุ ยังภิกษุที่ รักษายถาสันถติกธุดงค ใหถือเอาดวยวาจารวาเสนาสนะนี้ถึงแกทาน ภิกษุที่รักษายถาสันถติกธุดงค พึงยินดีเสนาสนะนั้น ภิกษุที่รักษายถาสันถติกธุดงคอยาใหภิกษุอื่นเขาไปอยู วิธานแหงยถาสันถติกังคธุดงคนี้ บัณฑิตพึงรูดวยประการดังนี้ “ปเภทโต ปน อยํป ติวิโธ” อนึ่งถาจะวาโดยประเภทภิกษุ ผูรักษายถาสันถติกธุดงคนี้ มี ประเภท ๓ ประการ คือ อุกัฏฐภิกษุ ๑ มัชฌิมภิกษุ ๑ มุทุกภิกษุ ๑ อุกัฏฐิภิกษุที่รักษาเปนอุกฤษฏ ไมไดเพื่อจะถามเสนาสนะที่ถึงแกตนวา เสนาสนะนี้มีในที่ ไกลแลฤๅ เสนาสนะนี้มีในที่ใกลแลฤๅ เสนาสนะนี้อมุษยและทีฆชาติเปนอาทิเบียดเบียนแลฤๅ เสนาสนะนี้รอนแลฤๅ เสนาสนะนี้เย็นแลฤๅ มัชฌิมภิกษุทีปฏิบัติอยางกลางนั้น ไดเพื่อจะถามแตทวาไมไดเพื่อจะไปแลดูดวยสามารถ แหงความปรารถนา มุทุกภิกษุที่ปฏิบัติอยางต่ํานั้น ไดเพื่อจะไปแลดู ถาแลวาไมชอบใจเสนาสนะนั้นก็ถือเอา เสนาสนะอื่น “อิเมสํ ปน ติณฺณํป” อนึ่ง ถาจะวาโดยทําลายนั้น โลภในเสนาสนะนั้นมาตรวาเกิดขึ้นแก ภิกษุ ๓ พวกนี้ ธุดงคของพระภิกษุ ๓ จําพวกนั้นก็ทําลาย “อยํ ปนานิสํโส” อนึ่ง อานิสงสยถาสักถติกธุดงคนี้ คือจะใหพระภิกษุกระทําตามโอวาท ที่องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคกลาวสอนไววา “ยํ ลทฺธํ เตน ตุฏฐพฺพํ” พระภิกษุผูรักษายถาสัน ถติกธุดงคในเสนาสนะอยางไรก็พึงยินดีเสนาสนะนั้น แลพระภิกษุนั้นจะไดอานิสงสคือแสวงหาซึ่ง ประโยชนแกพรหมจรรยทั้งหลาย และจะละเสียซึ่งกําหนดเสนาสนะวาชั่ววาดี และจะละเสียซึ่งยินดี และไมยินดีในเสนาสนะ และจะปดเสียซึ่งชองแหงตัณหามักมาก และจะประพฤติเปนไปสมควรแกคุณ ทั้งหลาย มีอัปปจฉาตาคุณ เปนอาทิ “ยํ ยํ กทฺธํ สนฺตุฏโฐ” พระพุทธโฆษาจารยพึงนิพนธผูกพระคาถาสรรเสริญไววา พระยัติ โยคาวจรเจาผูรักษายถาสันถติกธุดงคไดเสนาสนะอันใดก็ยินดีดวยเสนาสนะอันนั้น และปราศจากวิ กัปปกําหนดตามเสนาสนะวาชั่ววาดี นอนเปนสุขเหนือที่ลาดอันเรียบดวยหญา พระโยคาวจรภิกษุนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 101 ไมยินดีในเสนาสนะอันประเสริฐวิเศษ “หีนํ ลทฺธํ น กุปฺปติ” เมื่อไดเสนาสนะอันชั่วก็มิไดโกรธ ยอม สงเคราหสพรหมจารี อันเปนพวกบวชใหมดวยเสนาสนะ “ตสฺมา อริยตาจิณฺณํ” เหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุผูประกอบดวยธัมโมชปญญาที่ประกอบเนือง ๆ ซึ่งสภาวะยินดีในยถาสันถติกธุดงคอันองค พระอริยเจาซองเสพ เปนที่สรรเสริญแหงพระพุทธเจาอันประเสริฐกวานักปราชญทั้งหลาย สังวรรณนาในสมาทานและวิธาน และประเภท และทําลาย และอานิสงสในยถาสันถติกังค ธุดงคนี้ ก็ตั้งอยูดวยอาการอันสําเร็จ ในเนสัชชิกังคธุดงคเปนคํารบ ๑๓ นั้น พระภิกษุจะสมาทานเนสัชชิกธุดงคดวยพระบาลี “เสยฺยํ ปฏกฺขิปามิ” แปลวาขาพระองคจะหามเสียซึ่งอิริยาบถนอน และจะสมาทานดวยพระบาลีวา “เนสชฺชิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวาขาพระองคจะสมาทาน เนสัชชิกธุดงคอยางนี้ก็ไดชื่อวาสมาทานแลว “เตน ปน เนสชฺชิเกน” อนึ่งพระภิกษุผูรักษาเนสัชชิก ธุดงคนั้น ราตรีหนึ่ง ๓ ยาม คือปฐมยาม มัชฌิมยาม และปจฉิมยาม พึงลุกขึ้นจงกรมยามหนึ่งแทจริง ล้ําอิริยาบททั้ง ๔ อิริยาบถคือนอนนี้มิไดควรแกภิกษุที่จะรักษาเนสัชชิกธุดงค วิธานแหงเนสัชชิกธุดงคนี้ บัณฑิตพึงรูดวยประการดังนี้ “ปเภทโต ปน อยํป ติวิโธ” อนึ่งถาจะวาโดยประเภทเนสัชชิกธุดงคนี้มีประเภท ๓ ประ การ คืออุกฤษฏ และมัชฌิมะ และมุทุกะ อนึ่ง พนักพิงและอาโยค อันบุคคลกระทําดวยผาแผนนั้นมิไดควรแกพระภิกษุผูรักษาเนสัช ชิกธุดงคอันเปนอุกฤษฏ ของทั้ง ๓ สิ่ง คือพนักพิงและอาโยคผา วัตถุสิ่งของอันใดอันหนึ่ง ควรแกภิกษุอันรักษา เนสัชชิกธุดงคเปนมัชฌิมะทามกลาง พนักและอาโยคผา แลแผนอาโยค และหมอน และเตียง อันประกอบดวยองค ๙ และองค ๗ ก็ควรแกภิกษุอันรักษาเนสัชชิกธุดงคอันเปนมุทุกะอยางต่ํา เตียงอันบุคคลกระทําดวยพนักพิงหลัง และกระทํากับดวยพนักพิงขางทั้ง ๒ นั้น ชื่อวา เตียงประกอบดวย ๗ “กิร” ดังไดสดับมา มนุษยทั้งหลายกระทําเตียงอยางนั้นถวายแกพระติปฎกจุฬาภยเถระ พระผูเปนเจากระทําความเพียรไดพระอนาคามีมรรคแลว ไดพระอรหัตตเขาสูพระปรินิพพาน อนึ่ง ธุงดคของภิกษุ ๓ จําพวกนี้ ยอมทําลายในกาลเมื่อถึงซึ่งสําเร็จอิริยบถนอน การที่จะทําลายในเนสัชชิกธุดงควา “วินิพนฺธสฺส อุปจฺเฉทนํ” พระภิกษุรักษาธุดงคนี้ จะ ตัดเสียซึ่งอกุศลอันผูกไวซึ่งจิต ที่องคพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาไววา “เมยุยสุขํ อนุยุตฺโต” พระภิกษุประกอบไวเนือง ๆ ซึ่งความสุขคือนอน แลลงไปในขาง ๆ นี้ แลขาง ๆ โนน แลประกอบเนือง ๆ ซึ่งมิทธะ คือเงียบเหงางวงนอนแลวแลยับยั้งอยู แลจะมีอานิสงสคือสภาวะจะใหภิกษุนั้นประกอบ เนือง ๆ ซึ่งกรรมฐานทั้งปวง แลจะใหมีอริยาบถนํามาซึ่งความเลื่อมใส แลจะใหเปนไปตามความ ปรารถนาจะกระทําเพียร แลจะประกอบอยูเนือง ๆ ซึ่งสัมมาปฏิบัติ “อาภุชิตฺวาน ปลฺลงฺกํ” พระยัติโยคาวจรภิกษุคูเขาแลวซึ่งบัลลังก นั่งตั้งกายไวใหตรง อาจสามารถจะยังหทัยแหงมารใหไหว
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 102 “เสยฺยสุขมิทฺธขํสุ หิตฺวา” พระโยคาวจรเจาสละเสียซึ่งนอนเปนสุขแลงวงเหงาเปนสุข มี ความเพียรอันปรารภแลว ยินดีในอิริยาบถนั่งงาม อยูในทาที่จะประพฤติตน ยอมจะไดปติสุขอัน ปราศจากอามิสเหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุที่มีเพียรพึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งเนสัชชิกธุดงควัตร สังวรรณนามาในสมาทาน แลวิธาน แลประเภท แลทําลาย แลอานิสงสในเนสัชชิกธุดงคนี้ บัณฑิตพึงรูดวยประการดังนี้ ในกาลบัดนี้จะสังวรรณนาดวยสามารถแหงพระคาถานี้คือ “กุสลติกฺกโตเจว” จะวินิจฉัย ตัดสินโดยประมาณ ๑ แหงกุศล แลจําแนกซึ่งคุณมีธุดงคคุณเปนอาทิโดยยอแลพิสดาร บัณฑิตพึงรู โดยนัยที่เราแสดงมานี้ มีอรรถสังวรรณนาในบทคือ “กุสลติกฺกโต” นั้นวา แทจริง “สพฺพาเนว ธุตงฺคานิ” ธุดงค ทั้งปวงนี้ คือมีประเภท ๑๓ ประการ บางทีก็เปนกุศล บางทีก็เปนอพยากตธรรม ดวยสามารถแหง ปุถุชนแลพระเสขอริยบุคคล และพระขีณาสวเจา “นตฺถิ ธุตงฺคํ อกฺสลํ” ธุดงคจะเปนอกุศลนั้นมิได อนึ่ง อาจารยองคใดจะพึงกลาววา ธุดงคเปนอกุศลมี “ปาปจฺโฒ อจฺฉาปกโต” พระภิกษุ มีความปรารถนาลามก แลมีอิจฉาความปรารถนาครอบงําย่ํายียอมจะรักษาอารัญญิกธุดงคมิอยูในปา เปนปกติ เมื่ออาจารยกลาวคําอยางนี้แลว บัณฑิตพึงกลาวคําตอบอาจารยนั้นวา เราทั้งหลายมิได กลาววา ภิกษุยอมจะอยูในอรัญราวปาดวยอกุศลจิตแทจริง การที่อยูในอรัญราวปามีพระภิกษุรูปใด พระภิกษุรูปนั้น ก็ชื่อวา อรัญญิกภิกษุ แปลวาภิกษุมีอยูปาเปนปกติ อนึ่งพระภิกษูมีปรารถนาลามกบาง มีปรารถนานอยเปนอัปปจฉบุคคลก็จะพึงมี อนึ่ง “อิมานิ ธุตงฺคานิ” ธุดงคทั้ง ๑๓ ประการนี้ชื่อวาองคแหงพระภิกษุชื่อธุตะ เพราะเหตุ วาภิกษุนั้นมีกิเลสอันกําจัดเสียแลวดวยสามารถสมาทานถือเอาดวยดีซึ่งธุดงค “กิเลสธุนฺนโตวา” นัย หนึ่งญาณคือปญญาไดคําเรียกวาธุตะ เพราะเหตุกําจัดบําบัดเสียซึ่งกิเลสเปนองคแหงธุดงคทั้งหลาย นี้ เพราะเหตุดังนั้นจึงไดชื่อวาธุดงค มีเนื้อความในอปรนัยวา “ตาทิสํ วจนํ” คําเหมือนคํานั้นวาธรรมทั้งหลายชื่อธุตะ เพราะ เหตุวากําจัดเสียซึ่งขาศึก ชื่อวาเปนองคแหงปฏิบัติ เพราะเหตุดังนี้ ธรรมทั้งหลายนั้นจึงชื่อวาธุตังคานิ คําอันนี้อาจารยกลาวแลวในวินิจฉัยอรรถแหงศัพทในหนหลัง การที่จะสมาทานนี้ ชื่อวาเปนองคแหงพระภิกษุใด “น จ อกุสเลน” พระภิกษุรูปนั้นจะได ชื่อวาธุตะ ดวยอกุศลนั้นมิไดมีแทจริงอกุศลนั้นมิไดชําระธรรมอันลามกอันใดอันหนึ่ง การที่จะสมาทาน นั้นอาจารยพึงรองเรียกวา “ธุตงฺคานิ” เพราะเหตุอรรถวิคคหะวา “เยสํ ตํ องฺคํ” กุศลนั้นชื่อวาเปน องคแหงสมาทานทั้งหลายใด สมาทานทั้งหลายนั้นชื่อวา ธุตังคานิ “นาป อกุสลํ” อกุศลไมชําระโลภทั้งปวงมีโลภในจีวรเปนอาทิได กุศลนั้นไดชื่อวาเปน องคแหงปฏิบัติหามิได เหตุใดเหตุดังนั้นคําที่อาจารยกลาววา “นตฺถิ อกุสลํ ธุตงฺกํ” อกุศลจะไดชื่อ วาธุดงคหามิได คําอันนี้อาจารยกลาวดีแลว อนึ่ง ธุดงคพนแลวจากประมาณ ๓ แหงกุศล เปนอธิบายแหงอาจารยทั้งหลายในธุดงคก็ มิไดมี โดยอรรถแหงอาจารยทั้งหลายนั้นธรรมชาติชื่อวาธุดงคมักบังเกิดมี เพราะเหตุธรรมชาตินั้นจะ ชําระเสียกิเลสอันมิไดมี
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 103 อนึ่ง “วจนวิโรโธ” ผิดจากคํากลาววา ภิกษุสมาทานซึ่งคุณทั้งหลายชื่อวาธุดงค แลวแล ประพฤติเปนไปก็จะถึงแกอาจารยทั้งหลายนั้น “ตสฺมา ตํ น คเหตพฺพ”ํ เหตุใดเหตุดังนั้น คําที่กลาว วาอกุศลชื่อวาธุดงคนั้น นักปราชญอยาพึงถือเอา การที่สังวรรณนาซึ่งบทโดยกุศลติกกะ บัณฑิตพึงรู ดังนี้กอน ในบทคือ “ธุตาทีนํ วิภาคโต” นั้นมีอรรถสังวรรณนาวา “ธุโต เวทิตพฺโพ” สภาวะชื่อวาธุ ตะ บัณฑิตพึงรูในบทคือ “ธุตาทีนํ วิภาคโต” บุคคลชื่อวาธุตวาท กลาวซึ่งธุตะ บัณฑิตพึงรูในบทคือ “ธุตาทีนํ วิภาคโต” ธรรมทั้งหลายชื่อวาธุตะ บัณฑิตพึงรูในบทตนนั้น ธุดงคทั้งหลายบัณฑิตพึงรูใน บทตนนั้น “กสฺส ธุตงฺคเสวนา” การที่จะเสพซึ่งธุดงคชื่อวาเปนที่สบายแกบุคคลดังฤๅ บัณฑิตพึงรูใน บทคือ “ธุตาทีนํ วิภาคโต” นั้นในบทคือ “ธุโต” นั้นมีอรรถสังวรรณนาวา บุคคลมีกิเลสอันกําจัดเสีย แลวก็ดี ธรรมอันกําจัดเสียซึ่งกิเลสก็ดี ชื่อวา “ธุโต” เปนตนนั้น “ธุตวาโทป เอตถ ปน” อนึ่งวินิจฉัย ในบทคือ “ธุตาวาโท” ที่แปลวาบุคคลกลาวธุตะนั้นวา “อตฺถิ ธุโต น ธุตวาโท” บุคคลมีกิเลสอัน ขจัดแลวมิไดกลาวซึ่งการที่ขจัดเสียซึ่งกิเลสมีจําพวก ๑ “อตฺถิ น ธุวาโท” บุคคลมิไดขจัดกิเลส มิได กลาวซึ่งการที่ขจัดเสียซึ่งกิเลสมีจําพวก ๑ “อตฺถิ เนว ธุโต น ธุตาโท” บุคคลมิไดขจัดกิเลส มิได กลาวซึ่งธรรมที่จะขจัดกิเลสมีจําพวก ๑ “อตฺถิ ธุโต เจว ธุตวาโท” บุคคลมิไดขจัดกิเลสแลว กลาว ซึ่งธรรมอันขจัดกิเลสมีจําพวก ๑ เปน ๔ จําพวกดวยกันดังนี้ บุคคลผูใดขจัดเสียซึ่งกิเลสแหงตน ดวยธุดงคคุณมิไดใหโอวาท แลอนุศาสนสั่งสอน บุคคลผูอื่นดวยธุดงค ดุจดังพระพักกุลเถรเจาบุคคลผูนี้ชื่อวา “ธุโต ธุตวาโท” คือขจัดกิเลสดวยตน ไมกลาวธรรมอันขจัดเสียซึ่งกิเลส “ยถาห ตยิทํ อายสฺมา พกฺกุโล” เหตุใดเหตุนั้นอาจารยพึงกลาว วา “อติทํ อายสฺมา พกฺกุโล” พระพักกุลเถรเจาผูมีอายุ “ธุโต น ธุตวาโท” ทานเปนผูกําจัดเสียซึ่ง กิเลส แตไมกลาวธรรมอันขจัดเสียซึ่งกิเลสแกบุคคลอื่น “โย ปน น ธุตงฺเคน” อนึ่งบุคคลผูใดไมรักษาซึ่งธุดงค มิไดขจัดเสียซึ่งกิเลสทั้งหลาย แหงตน กลาวคําโอวาทสั่งสอนบุคคลผูอื่นดวยธุดงค ดุจดังวาพระอุปนันทเถระ “อยํ น ธุโต ธุตวา โท” บุคคลผูนี้ชื่อวา “น ธุโต ธุตวาโท” คือตนไมรักษาธุดงคมีแตจะกลาวธุดงคใหบุคคลอื่นรักษา อยางเดียว เหตุใดเหตุดังนั้น อาจารยกลาววา “ตยิทํ อายสฺมา อุปนนฺโท” พระอุปนันทเถรเจาผูมี อายุอันเปนบุตรแหงศากยราชนั้นชื่อวา “น ธุโต ธุตวาโท” “โย ปน อุภยวิปฺปนฺโน” อนึ่งบุคคลผูใดวิบัติจากธรรมทั้งสองคือตนก็มิไดรักษาธุดงค แล มิไดกลาวโอวาทอนุศาสนสั่งสอนบุคคลผูอื่นใหรักษาธุดงค ดุจดังพระเถระชื่อวาโลฬุทายี “อยํ เนว ธุ โต นธุตวาโท” บุคคลนี้ชื่อวา “เนว ธุโต น ธุตวาโท” แปลวาตนไมรักษาธุดงค แลไมกลาวธุดงคให โอวาทสั่งสอนบุคคลอื่น เหตุใดเหตุดังนั้น อาจารยจึงกลาววา “ตยิทํ อายสฺมา โลฬุทายี” พระโลฬุ ทายีเถรเจาผูมีอายุนั้นชื่อวา “เนว ธุโต น ธุตวาโท” แปลวาวิบัติจากธรรมทั้ง ๒ ประการดังกลาว มาแลว “โย ปน อุภยสมฺปนฺโน” อนึ่งบุคคลผูใดถึงพรอมดวยธรรมทั้ง ๒ ประการ คือตนก็รักษา ธุดงคแลกลาวโดยโอวาทสั่งสอนบุคคลผูอื่นใหรักษาธุดงคดวย ดังพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถรเจา “อยํ ธุโต เจว ธุตวาโท จ” บุคคลนี้ชื่อวาธุตะธุตวาท แปลวาตนก็รักษาธุดงคผูกําจัดกิเลส ทั้งไดสั่ง สอนผูอื่นใหรักษาธุดงคดวย เหตุใดเหตุดังนั้น อาจารยจึงกลาววา “ตยิทํ อายสฺมา สารีปุตฺโต” พระ ผูเปนเจาสารีบุตร ทั้งไดชื่อวา ธุโต ทั้งไดชื่อวา ธุตวาโท ดวยประการดังนี้ เอวํ ก็มีดวยประการดังนี้ วาระนี้จะไดรับพระราชทานถวายวิสัชนาในสภาวธรรม ๕ ประการ อันเปนบริวารธุดงคเจตนา ในธุดงคนิเทศปริจเฉทที่ ๒ ในคัมภีรพระวิสุทธิมรรคปกรณ สืบอนุสนธิตามกระแสพระบาลี มีเนื้อความ พระพุทธโฆษาจารยผูรจนาคัมภีรไดแสดงบทวิภาควา “ธุตาทีนํ วิภาคโต” ซึ่งแปลวาโดยจําแนก แหงธรรมชื่อวาธุตะ คือธุดงคอันขจัดกิเลสเปนตน แลมีบทวินิจฉัย ๕ บท ไขอรรถออกจากบท “วภาค ธุตาทีนํ วิภาคโต” นี้คือบท “ธุโต เวทิตพฺโพ” วาธรรมเปนเหตุขจัดกิเลส ชื่อวาธุดงค บัณฑิตพึงรูเปนปฐมที่ ๑ แลบท “ธุตวาโท เวทิตพฺโพ” คือบุคคลผูกลาวธรรมอันขจัดกิเลสคือธุดงค ชื่อวาธุตวาท เปนคํารบ ๒ ทั้ง ๒ บทนี้ ไดวินิจฉัยตามอรรถสังวรรณนามาในขางตนนั้นแลว แตยังอีก ๓ บทคือบท “ธุตธมฺมา เวทิตพฺพา” เปนคํารบ ๓ บทคือบท “ธุตงฺคานิ เวทิตพฺพานิ” เปนคํารบ ๔
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 104 บท “กสฺส ธุตงฺคเสวนา สปฺปายา” เปนคํารบ ๕ นั้น ยังหาไดแสดงไม จะไดวินิจฉัยโดยลําดับบท สืบไป วินิจฉัยในบท “ธุตธมฺมา เวทิตพฺพา” เปนคํารบ ๓ นั้น มีอรรถสังวรรณนาวา “อิเม ปฺจ ธมฺมา” สภาวธรรม ๕ ประการนี้ อันเปนบริวารแหงธุดงคเจตนา “อปฺปจฺฉตา” คือความมีปรารถนามัก นอย ๑ “สนฺตุฏิตา” คือความสันโดษยินดีแตปจจัยของตนที่มีอยู ๑ “สลฺเลขตา” คือความสัลเลข ขัดเกลากิเลสใหเบาบาง ๑ “ปวิเวกตา” คือความยินดีในที่ปริเวกอันสงัดเงียบ ๑ “อิทมฏิตา” คือ ความมีญาณปญญา ๑ สภาวะทั้ง ๕ ประการ ชื่อวาธุตธรรมนี้ คือธุดงคอันเปนเหตุขจัดกิเลส เพราะ เหตุบาลี สมเด็จพระผูมีพระภาคไดตรัสเทศนาไววา “อปฺปจฺฉํเยว นิสฺสาย” ดังนี้เปนซึ่งแปลวา สภาวะคือธุดงคอันเปนเหตุขจัดกิเลสนั้น เพราะอาศัยความมีปรารถนานอยแทจริง มีอรรถรูปวา ในธุตธรรม คือสาภวะแหงธุดงคอันเปนเหตุขจัดกิเลสอันปจฉตาคุณ คือความ ปรารถนานอยในปจจัย กับสันตุฏฐิตาคุณ คือความมีสันโดษยินดีในปจจัยของตนที่มีสภาวะ ๓ ประการ นี้ ไดแกโลโภ คือความไมโลภ สัลเลขตาคุณ คือความสัลเลขขัดเกลากิเลสใหเบาบาง กับปริเวณตาคุณ คือยินดีในปริเวก อันสงัดเงียบ สภาวะทั้ง ๒ นี้ ยอมตกตามคือเปนไปในภายธรรมทั้ง ๒ คือ อโลโภ อโมโห คือความไม โลภ และความไมหลง อิทมัฏฐิตาคุณ คือความถือวาสิ่งนี้เปนประโยชน ไดแกญาณปญญา อันเปนเหตุรูแทจริง มีอรรถสังวรรณนาในบทอิมัฏฐิตานั้นวา พระโยคาพจรยอมขจัดโลภในปฏิกเขปวัตถุคือ สิ่งของอันตองหาม ดวยอโลภะคือไมโลภหวงแหนแลขจัดโมหะที่ปดบังโทษ ในปฏิกเขปวัตถุ เหลานั้นดวยอโมหะ คือไมหลง ใชแตเทานั้น พระโยคาพจรนั้นขจัดเสียไดซึ่งกามสุขัลลิกานุโยค คือความเพียรอัน ประกอบตามความติดชุมอยูในกามสุข อันประพฤติเปนไปดวยอโลภะ คือเสพอาศัยซึ่งปจจัยที่สมเด็จ พระพุทธองคทรงอนุญาตเปนประธาน แลขจัดเสียซึ่งอัตตกิลมถานุโยคคือเพียรกระทําตนใหลําบาก อันประพฤติเปนไปดวยอโมหะ คือไมหลงมีความสัลเลขขัดเกลากิเลสใหเบาบางยิ่งนัก ในธุดงคคุณ ทั้งหลายเหตุใดเหตุดังนั้น สภาวธรรมทั้ง ๕ ประการนี้ บัณฑิตพึงรูวาเปนธุตธรรมคือธุดงคเปนเหตุ ขจัดกิเลส วินิจฉัยในบท “ธุตงฺคานิ เวทิตพฺพานิ” เปนคํารบ ๔ นั้น มีอรรถสังวรรณนาวา “เตรส ธุตงฺคานิ เวทิตพฺพานิ” ธุงดคทั้งหลายบัณฑิตพึงรูมีชื่อดังนี้ คือปงสุกุลิกังดธุดงค ๑ เตจีวริกังค ธุดงค ๑ ปณฑปาติกังคธุดงค ๑ สปทานจริกังคธุดงค ๑ เอกาสนิกังคธุดงค ๑ ปตตปณฑิกังคธุดงค ๑ ขลุปจฉาภัตติกังคธุดงค ๑ อารัญญิกกังคธุดงค ๑ อัพโภกาสิกังคธุดงค ๑ โสสานิกังคธุดงค ๑ ยถา สันติกังคธุดงค ๑ เนสัชชิกังคธุดงค ๒ รวมเปน ๑๓ ประการ มีอรรถรูปวา อนึ่งกลาวโดยเนื้อความ “ลกฺขณาทีหิ วุตฺตาเนว” ธุดงคทั้ง ๑๓ ประการนี้ สมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสเทศนาดวยเหตุมีลักษณะเปนตนแทจริง วินิจฉัยในบท “กสฺส ธุตงฺคเสวนา สปฺปายา” ซึ่งเปนบทคํารบ ๕ มีคําปุจฉาวา การเสพ รักษาซึ่งธุดงคเปนที่สบายของโยคาวจรผูมีจริตเปนดังฤๅ มีคําบริหารโดยอรรถวินิจฉัยวา จําพวก คือผูเปนราคจริต แลเปนโมหจริต
การเสพรักษาซึ่งธุดงคนั้นเปนที่สบายของโยคาวจรสอง
มีคําปุจฉาวา การเสพรักษาซึ่งธุดงคนั้นเปนที่สบายของโยคาวจรผูเปนราคจริต หจริตนั้น เพราะเหตุอยางไร
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
แลโม
- 105 มีคําวิสัชนาวา “ธุตงฺเสวนา หิ” การเสพยารักษาซึ่งธุดงคเปนปฏิบัติยากยิ่ง ๑ เปนวิหาร ธรรมอันสัลเลขคือขัดเกลากิเลสใหเบาบางอยาง ๑ แทจริง ราคะคือความกําหนัดในวัตถุกามกิเลสกาม ของโยคาวจรผูเปนราคจริตนั้น “ทุก ขาปฏิปทํ นิสฺสาย” ถาอาศัยความปฏิบัติอันยากลําบากแลวก็ยอมสงบระงับ โมหะ คือความหลงฟนเฟอน อันโยคาวจรผูเปนโมหจริตไมมีความประมาท “สลฺเลขํ นิสฺ สาย” ถาอาศัยความสัลเลขขัดเกลากิเลสใหเบาบางแลวยอมจะละเสียได “หิ ยสฺมา การณา” เพราะเหตุใดเพราะเหตุดังนั้น ในอรรถสังวรรณนาอันเปนบุรพนัยนี้ จึงกลาวการเสพรักษาซึ่งธุดงคเปนที่สบายของโยคาวจรสองจําพวก คือผูเปนราคจริต แลผูเปนโม หจริตดังกลาวแลว ในอปรนัยนั้น “อารฺญิกงฺค รุกฺขมูลิกงฺค ปฏิเสวนาวา” อีกประการหนึ่งล้ําธุดงค ๑๓ ประการ การเสพรักษาในอรัญญังกังคธุดงค แลรุกขมูลิกังคธุดงคทั้งสองนี้ เปนที่สบายแกโยคาวจรผู เปนโทสจริตบาง มีอรรถรูปวา แทจริง เมื่อพระโยคาวจรผูเปนโทสจริตมีวิหารธรรมอยู ไมมีวัตถุแลบุคคลใด มากระทบครึดครือ เพราะความเสพปฏิบัติซึ่งธุดงค “โทโสป วูปสมติ” แมวาโทโสความโกรธเคือง ประทุษรายก็ยอมระงับ สังวรรณนามาในบพวิภาคคือ “ธุตาทีนํ วิภาโต” บัณฑิต วินิจฉัยในบท “สมาสพฺยาสโต” คือวาดวยธุดงคโดยยอแลธุดงคโดยพิสดารตอไป “อิมานิ ปน ธุตงฺคานิ สมาสโต ตีณิ สีสงคานิ ปฺจ อสมฺภินฺนงฺคานีติ อฏเว โหนฺติ” มีอรรถสังวรรณนาวา “อิมานิ ปน ธุตงฺคานิ” ดังกลาววาโดยพิเศษ ถาวาโดยยอธุดงค เหลานี้จัดเปนสีสังคธุดงค คือมีองคเปนศีรษะเปนประธาน แตสามธุดงค ธุดงคที่เปนอภิสัมภีนนังค ธุดงคคือมีองคไมเจือกัน ๕ ธุดงค มีเพียง ๘ เทานั้น ล้ําธุดงค ๘ นั้น ธุดงคเหลานี้คือสปทานจาริกังคธุดงค ๑ เอกาสนิกังคธุดงค ๑ อัพโภกาสิ กังคธุดงค ๑ ทั้ง ๓ นี้เปนองคศีรษะประธานแหงธุดงคทั้ง ๑๓ ประการ ธุดงคดวย
อธิบายวา แทจริงโยคาวจร เมื่อรักษาสปทานจาริกังคธุดงคก็ชื่อวา จักรักษาปณฑปาติกัง
“เอกาสนิกงฺคํ จ รกฺขโต” ใชแตเทานั้น โยคาวจรเมื่อรักษาเอกาสนิกังคธุดงคอยู “ปตฺตปณฺฑิกงฺคขลุปจฺฉาภตฺติกงฺคานิป สุรกฺขนียานิป” อันวาปตตปณฑิกังคธุดงคก็ดี แลขลุ ปจฉาภัตติกังคธุดงคก็ดี ชื่อวาโยคาวจรนั้นพึงรักษาดวยแลว “อพฺโภกาสิกงฺคํ รกฺขนฺตสฺส” เมื่อโยคาวจรรักษาอัพโภกาสิกังคธุดงคอยู “กึ อตฺถิ รุกฺขมูลิกงฺคํ” รุกขมูลิกังคธุดงคยังมีอยางไรเลา อธิบายวาพระโยคาวจรรักษาอัพโภกาสิกังคธุดงค แลวก็ชื่อวารักษารุกขมูลิกังคธุดงคดวย “ยถาสนฺถติกงฺคํ จ รกฺขิตพฺพํ นาม” ใชแตเทานั้น ยถาสันถติกังคธุดงคก็ชื่อวา อันพระ โยคาวจรภิกษุนั้นพึงรักษาดวยอยางเดียวกัน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 106 อธิบายวา โยคาวจรภิกษุเมื่อรักษาอัพโภกาสิกังคธุดงคแลวทั้งสองดวยพรอมกัน “อิมา นิ ตีณี สีสงฺคานิ” จึงสรุปรวมความวา สีสังคธุดงคคงมีองคเปนศีรษะประธาน ๓ ธุดงคเหลานี้ ดังที่กลาวมาแลวกับอสัมภินนังคธุดงค คือมีองคไมเจือกัน คืออารัญญิกังคธุดงค ๑ ปง สุกกุลิกังคธุดงค ๑ เตจีวรีกังคธุดงค ๑ เนสัชชิกังคธุดงค ๑ โสสานีกังคธุดงค ๑ เปน ๕ ธุดงคเหลานี้ จึงรวมดวยกันเปนธุดงค ๘ ประการดังนี้ “จตฺตาเรว โหนฺติ” อนึ่งพระพุทธโฆษาจารยเจา แสดงลักษณะธุดงคตามนัยพระพุทธ ฎีกามี ๔ ประเภท อีกใหมเลาวาธุดงคทั้ง ๑๓ ประการนัน ถาจัดเปนปฏสังยุตต คือประกอบอาศัยซึ่ง ปจจัย แลวิริยะเปนปฏิสังยุตตธุดงคแลว ก็มีลักษณะเปน ๔ ประการ “เทฺว จีวรปฏิสํยุตฺตานิ” คือธุดงคเปนปฏิสังยุตตดวยจีวรปจจัย ๒ “ปฺจ ปณฺฑ ปาตปฏิสํยุตฺตานิ” คือธุดงคเปนปฏิสังยุตตดวยบิณฑบาตปจจัย ๕ “ปฺจ เสนาสนปฏิสํยุตฺตานิ” คือธุดงคเปนปฏิสังยุตตเสนาสนะ ๕ “เอกํ วิริยปฏิสํยุตฺต”ํ คือธุดงคเปนปฏิสังยุตตดวยความเพียร ๑ เปนลักษณะประเภทแหงธุดงคเปน ๔ ประการดังนี้ มีความอธิบายวา ล้ําลักษณะแหงธุดงค ทั้ง ๔ ประเภทนั้น เนสัชชิกังคธุดงคเปนวิริยปฏิสังยุตต คือประกอบพรอมจําเพาะดวยความเพียร ธุดงคอีก ๑๒ ขางนอกนี้ มีลักษณะปรากฏใหเห็นชัดอยูแทจริง ธุดงคยังมีอีกเลาเรียกวานิ สสิตธุดงค พระพุทธโฆษาจารยเจาจึงแสดงบทในอรรถสังวรรณนาวา “สพฺพเนว นิสฺสยวเสน เทฺวว โหติ” ธุดงคอันมีลักษณะเปน ๒ ดวยสามารถจัดเปนนิสัย คืออาศัยเปนปจจัยแลวิริยะชื่อวานิสสิต ธุดงค มีความอธิบายวา ธุดงค ๑๒ อันอาศัยซึ่งปจจัย คือจีวรบิณฑบาตเสนาสนะ เรียกวาปจจัยนิ สสิตธุดงค แลธุดงค ๑ อันอาศัยซึ่งความเพียรเรียกวาวิริยนิสสิตธุดงค องคธุดงคมีอีก ๒ “เสวิตพฺพาเสวิตพฺพวเสน” ดวยสามารถธุดงคอันโยคาวจรภิกษุพึง เสพรักษาเรียกวา เสวิตัพพธุดงค และธุดงคอันโยคาวจรภิกษุไมพึงเสพรักษาเรียกวา อเสวิตัพพธุดงค มีอรรถสังวรรณนาวา แทจริงเมื่อพระโยคาวจรภิกษุรูปใดเสพรักษาธุดงคอยู “กมฺมฏานํ วฑฺฒติ” กรรมฐานภาวนายอมเจริญขึ้น “เตน เสวิตพฺพานิ” ธุดงคทั้งหลายนั้น อันโยคาวจรภิกษุรูป นั้นก็ควรเสพรักษา ถาโยคาวจรภิกษุรูปใด ผูเสพรักษาธุดงคอยู กรรมฐานภาวนายอมเสื่อมถอยไป “เตน น เสวิตพฺพานิ” ธุดงคทั้งหลายนั้น อันโยคาวจร ภิกษุรูปนั้นไมควรเสพรักษา อีกประการหนึ่ง โยคาวจรภิกษุใด เมื่อเสพรักษาธุดงคก็ดี ไมเสพรักษาธุดงคก็ดี “วฑฺฒเว น หายติ” กรรมฐานภาวนาของโยคาวจรภิกษุนั้นยอมเจริญไมเสื่อมถอย โยคาวจรภิกษุนั้นเมื่อมีความ อนุเคราะหแกปจฉิมาชนตาชน ผูเกิดมาในภายหลังก็พึงเสพรักษาธุดงคทั้งหลายนั้นเถิด อนึ่ง โยคาวจรภิกษุใด รักษาธุดงคอยูก็ดี มิไดรักษาธุดงคก็ดี “น วฑฺฒเตว” กรรมฐาน ภาวนาของโยคาวจรภิกษุนั้นยอมไมเจริญแทจริง โยคาวจรภิกษุนั้นควรรักษาธุดงคทังหลายนั้นเถิด “อายตึ” เพื่อประโยชนแกวาสนาบารมีเปนเหตุอบรมสืบตอไปในภพเบื้องหนา “เอวํ เสวิตพฺพาเสวิตพฺพวเสน ทุวิธานิป” ธุดงคมี ๒ ประการดวยสามารถเปนเสวิตัพพ ธุดงคแลอเสวิตัพพธุดงค ดังพรรณนามาฉะนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 107 อนึ่ง ธุดงคทั้งหลายทั้งปวง ถากลาวดวยสามารถเจตนาก็มีแตประการเดียวเทานั้น สมดวย คําพระอรรถกถาจารยกลาวในอรรถกถาทั้งหลายมีดังนี้วา “เอกาเยว หิ ธุตงฺคสมาทานเจตนา” มี ความวาแทจริง เจตนาในการสมาทานซึ่งธุดงคเปนอยางเดียวเทานั้น อาจารยบางจําพวกยอมกลาววา “ยา เจตนาธุตงฺค”ํ เจตนาเปนความดําริจะสมาทานใด เจตนาคือความดําริสมาทานนั้นนั่นแลชื่อวาธุดงค คือเปนเหตุอันขจัดกิเลส แสดงลักษณะแหงธุดงคโดยยอ มีสีสังคธุดงค ๓ เปนตน ก็ยุติกาลเทานี้ แตนี้จะสังวรรณนาลักษณะแหงธุดงคโดยวิตถารตอไป “พฺยาสโต ปน” ประการหนึ่ง ถาจะกลาวโดยพิสดาร ธุดงคมี ๔๒ ประการ คือธุดงคแหง ภิกษุ ๑๓ ธุดงค แหงนางภิกษุณี ๘ ธุดงคของสามเณร ๑๒ ธุดงคของนางสิกขมานา แลสามเณรี ๗ ธุดงคของอุบาสก อุบาสิกา ๒ จึงเปนธุดงค ๔๒ ดังนี้ “สเจ หิ อพฺโภกาเส อารฺญิกงฺคสมฺปนฺนสุสานํ โหติ” มีสังวรรณนาวา แทจริง ถา สุสานประเทศปาชาถึงพรอมแกอารัญญิกังคธุดงคมีใดอัพโภกาสอันเปนที่กลางแจง พระภิกษุแมแต รูปเดียวก็อาจเพื่อจะเสพรักษาธุดงคทั้งปวงไดคราวเดียวกัน คืออธิบายวาเปนอันรักษาธุดงคตลอด ทั่วถึงกันสิ้นทั้ง ๑๓ ธุดงคแล ดังจะกลาวโดยพิเศษ ธุดงคทั้ง ๒ คืออารัญญิกกังคธุดงค ๑ ขลุปจฉาภัตติกังคธุดงค ๑ สมเด็จพระผูทรงพระภาค ก็ตรัสหามแกนางภิกษุณีดวยมีสิกขาบทไดทรงบัญญัติไว ธุดงคทั้ง ๓ นี้ คืออัพโภกาสิกังคธุดงค ๑ รุกขมูลิกังคธุดงค ๑ โสสานิกังคธุดงค ๑ “ทุปฺ ปริหารานิ” อันนางภิกษุณีจะรักษาไดดวยยาก “ภิกฺขุนิยา หิ ทุตยิกํ วินาวสิตุ ํ นฺ วฏฏติ” เพราะ เหตุใดเพราะเหตุวาอันนางภิกษุณี ถาเวนทุติยิกาภิกษุณี ที่เปนเพื่อนสองแลวก็ไมควรจะอยู อีกประการหนึ่ง “สมานจฺฉนฺทา ทุติยิกา ทุลฺลภา” นางภิกษุณีทุติยิกาที่เปนเพื่อนสอง ซึ่งมีฉันทะความปรารถนาพอใจอันเสมอกันก็เปนอันไดดวยยากในสถานเห็นปานดังนี้ อนึ่งถาหากนางภิกษุณีนั้น จะพึงไดทุติยิกาภิกษุณีเปนเพื่อนสองที่มีความปรารถนาพอใจ เสมอกันไซร “สํสฏวิหารโต น มุจฺเจยฺย” ก็ไมพึงดนจากวิหารโทษ คือความอยูระคนกัน “เอวํ สติ” ในเมื่อเหตุขัดของอยางนี้มี นางภิกษุณีจะพึงรักษาธุดงคไดเพื่อหวังแก ประโยชนอยางใด “เสววสสา อตฺโถ สมฺปชฺเชยฺย” ประโยชนนั้นไมพึงสําเร็จแกนางภิกษุณีนั้น แทจริง เพราะเหตุแหงนางภิกษุณี ไมพึงอาจปฏิบัติรักษาธุดงคไดดังที่กลาวมานี้ “ปญจ หาเปตฺ วา ภิกขุนีนํ อฏเฐว โหนฺตีติ เวทิตพฺพานิ” ธุดงคทั้งหลาย บัณฑิตพึงรูวา ลดเสีย ๕ ธุดงค แลว ธุดงคของนางภิกษุณียังมีอยู ๘ ธุดงค อธิบายธุดงคทั้ง ๘ นั้น นางภิกษุณีจะพึงเลือกธุดงคหนึ่งธุดงคใด ปฏิบัติรักษาได โดยควร แกจริต แลความสบาย แลความศรัทธาเลื่อมใสของตน ตามพระพุทธบัญญัติที่ทรงอนุญาตไว ประการหนึ่งล้ําธุดงคเหลานั้น โดยควรแกคําที่กลาวแลว ธุดงคทั้งหลายอันเศษยกเตจีวริ กังคธุดงคเสียมี ๑๒ บัณฑิตพึงรูวาเปนธุดงคของสามเณร แลธุดงค ๗ เปนของสิกขมานาแลสามเณรี อนึ่งธุดงคเหลานี้ คือเอกาสนิกังคธุดงค ๑ ปตตปณฑิกังคธุดงค ๖ เปนธุดงคสมควรแก
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 108 อุบาสกอุบาสิกา ธุดงคทั้ง ๒ ดังนี้ อันอุบาสกแลอุบาสิกา อาจเพื่อจะปฏิบัติรักษาได เพราะเหตุฉะนี้ ธุดงคมี ๔๒ โดยพิสดารดังที่กลาวมาดวยประการดังนี้ “อยํ สมาสพฺยาส โต วณฺณนา” แสดงดวยอรรถวรรณนาในบท “สมาสพฺยาสโต” คือ ยอแลพิสดารแหงธุดงค อันมีประการตาง ๆ นี้ ก็ยุติกาลแตเทานี้ “สีลสฺส โวทานํ” ความบริสุทธิ์แหงศีลมีประการอันกลาวแลวดวยคุณทั้งหลายใด มีอัปปจฉตาคุณ แลสันตุฏฐิตาคุณเปนตน “เตสํ สมฺปาทนตฺถํ สมาทานตพฺพธุตงฺคกถา กถิตา” การกลาวซึ่งธุดงคอันพระโยคาวจรพึงสมาทาน เพื่อจะใหถึงพรอมแหงคุณมีอัปปจฉตาคุณ แลสันตุฏฐิ ตาคุณเปนตนเหลานั้น อันขาพระองคผูชื่อวาพุทธโฆษาจารยกลาวแลวในคัมภีรพระวิสุทธิมรร ที่ สมเด็จพระผูมีพระภาคไดตรัสเทศนาดวยศีลแลสมาธิปญญา เปนประธานในพระคาถานี้ดวยคําวา “สีเล ปติฏาย นโร สปฺโฺ” มีประมาณเทานี้ “ธุตงฺคนิทเทโส นาม ทุติโย ปริจเฉโท” แสดงมาดวยปริจเฉทเปนคํารบ ๒ ชื่อธุดงคนิ เทส คืแแสดงออกซึ่งธุดงคอันมีประเภท ๑๓ ประการ แลลักษณะแหงธุดงคทั้งยอแลพิสดาร ในคัมภีร พระวิสุทธิมรรค อันขาพระองคผูมีนามวาพุทธโฆษาจารยไดรจนาตกแตงเพื่อใหเกิดความปราโมทย คือตรุณปติอันออนแกสาธุชน ดวยประการดังนี้ รับพระราชทานถวายวิสัชนา ในสภาวธรรมอันเปนบริวารแหงธุดงคเจตนาในบท ธุตธมฺมา เวทิตพฺพา” เปนตนจนตลอดจบธุดงคนิเทศปริจเฉทที่ ๒ ก็ยุติกาลเพียงเทานี้ เอวํก็มีดวยประการฉะนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 109 -
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 1 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-1-
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-2-
สมาธินิเทศ จักวินิจฉัยในพิธีพระกรรมฐาน ตามคัมภีรพระวิสุทธิมรรค อิทานิ ยสฺมา เอวํ ธุตงฺคปหรณสมฺปามทิเตหิ อปฺปจฺฉตาทีหิคุเณหิ ปริโยธาเตหิ อิมสฺมึ สีเล ปติฏิเตน สีเล ปติฏ าย นโร สปฺโญ จิตฺตํ ปฺญฺจ ภาวยนฺติ วจนโต จิตฺตสีเสน นิทฺทิฏโ สมาทิ ภาเวตพฺโพ ฯ พระภิกษุในบวรพุทธศาสนา เมื่อประดิษฐานอยูในพระจตุปาริสุทธิ ศีล มีศีลอันผองแผว บริสุทธิ์ดวยคุณราศีมีมักนอยเปนตน อันตนใหบริบูรณดวยรักษาธุดงคโดยนัยดังสําแดงในศีลนิเทศนั้น แลวเบื้องหนาแตนั้น พึงจําเริญพระสมาธิที่สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคตรัสเทศนา ดวยจิตเปนประธานนั้นสืบ ตอไป เหตุมีพระพุทธฎีกาไววา สีเล ปติฏาย นโร สปฺโญ จิตฺตํ ปฺญฺจ ภาวยํ วาสัตว ประกอบไปดวยไตร เหตุจะปฎิสนธิปญญานั้น เมื่อตั้งอยูในศีลแลวก็พึงจําเริญสมาธิจิต แลพระวิปสสนาปญญาแลพระสมาธิที่ทรงพระ มหากรุณาตรัสเทศนานั้น ยังสังเขปอยูแตจะรูนั้นสิยังรูเปนอันยากแลว ก็จะปวยกลาวไปไยถึงที่จะ จําเริญภาวนานั้นเลาดังฤๅแลกุลบุตรทั้งปวงจําเริญได อาศัยเหตุดังนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจา รู รจนาคัมภีรพระวิสุทธิมรรค เมื่อจะสําแดงพระสมาธินั้น จึงตั้งขอปุจฉาปญญาไวในเบื้องบุรพภาคนั้น กอน เพื่อจะสําแดงพระสมาธิใหพิสดาร กับทั้งนัยแหงภาวนาวิธี ใหแจงแกพระโยคาพจรกุลบุตร ทั้งปวงในกาลบัดนี้ ฯ ในขอปุจฉาปญาหานั้นมี ๘ ขอ ขอเปนปฐมนั้นวาสิ่งดังฤๅไดชื่อวา สมาธิ ขอเปนคํารบ ๒ นั้นวา เหตุดังฤๅจึงไดชื่อวาสมาธิ ขอเปนคํารบ ๓ นั้นวา ลักษณะแลกิจแลผลแลอาสันนการณแหง สมาธินั้นเปนดังฤๅ ขอคํารบ ๔ นั้นวา สมาธิมีประมาณเทาดังฤๅ ขอคํารบ ๕ นั้นวา สมาธิจะเศราหมอง ดวยสิ่งดังฤๅ ขอคํา ๖ นั้นวา สมาธิจะบริสุทธิ์ดวยสิ่งดังฤๅ ขอคํารบ ๗ นั้นวา พระโยคาพจรกุลบุตรจะ จําเริญสมาธินั้นจะจําเริญดังฤๅ ขอคํารบ ๘ นั้นวา ดังฤๅจะเปนอานิสงสแหงสมาธิ ตั้งปุจจาฉาฉะนี้แล ฯ จึงวิสัชนาวา สมาธินี้มีประการเปนอันมากมิใชนอย ถาจะแสดงใหสิ้นเชิงนั้นจะฟุงซานไป บมิไดสําเร็จประโยชนที่จะตองประสงค เหตุดังนั้นสมาธิที่จะแสดงบัดนี้ จะยกขึ้นวาแตสมาธิที่ สัมปยุตตดวยกุศลจิตอยางเดียว ในขอปฐมปุจฉาวา สิ่งดังฤๅไดชื่อวาสมาธินั้น วิสัชนาวาสมาธินี้ใชอื่น ใชไกล ไดแกเอกัคคตาเจตสิกที่มีกําลังกลาบังเกิดพรอมดวยกุศลจิต แลขอทุติยปุจฉาวา สิ่งดังฤๅจึง ไดชื่อวาสมาธินั้น วิสัชนาวาเอกกัคคตาเจตสิกที่มีกําลังกลาบังเกิดพรอมดวยกุศลจิต ไดนามบัญญัติ ชื่อวาสมาธินั้นดวยอรรถวาตั้งจิตแลเจิตสิกทั้งปวงไว ใหแนวแนเปนอันหนึ่งอยูในอารมณอันเดียว แล ขอตติยปุจฉาวา ลักษณะแลกิจแลผลแลอันสันนการณแหงสมาธิเปนดังฤๅนั้น วิสัชนาวาสมาธินั้น มี สภาวะบมิไดกําเริบเปนลักษณะ มีกิริยาขจัดเสียซึ่งฟุงซานเปนกิจ มีกิริยาอันตั้งจิตไวใหมั่น บมิได หวาดหวั่นไหวเปนผล มีความสุขอันติดในกายแลจิตเปนอาสันนการณ อธิบายวาสุขนั้นเหตุอันใกลที่จะใหบังเกิด สมาธิ แลขอปุจฉาคํารบ ๔ ที่วา สมาธิมีประมาณเทาดังฤๅนั้นวิสัชนาวาพระสมาธินี้ ถาแสดงโดยเอกะ นั้น มีประมาณ ๑ ดวย สามารถลักษณะที่บมิไดกําเริบ พระสมาธินี้แมวาจะจําแนกแจกออกไปโดย ประเภทตาง ๆ ก็ดี ที่จะพนจากลักษณะที่ไมกําเริบนี้หามิไดเหตุฉะนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-3เมื่อแสดงโดยลักษณะนั้น ทานจึงรวมพระสมาธิทั้งปวงเขาไวเปน ๑ แสดงในเอกะวาสมาธิ มีประการอันหนึ่งดังนี้ จึงวิสัชนาสืบตอออกไปอีกเลาวา พระสมาธินั้นถาจะแสดงโดยทุกะตางออกเปน ๘ ดวยสามารถทุกะทั้ง ๔ ในปฐมทุกะนั้นตางออกเปน ๒ คือ อุปจารสมาธิประการ ๑ อัปปนาสมาธิ ประการ ๑ ในทุติยทุกะนั้นก็ตางออกเปน ๒ คือ เปนโลกียสมาธิประการ ๑ เปนโลกุตตรสมาธิประการ ๒ ในตติยทุกะนั้นก็ตางออกเปน ๒ คือเปนสมาธิประกอบไแดวยปติประการ ๑ เปนสมาธิหาปติมิไดกระ การ ๑ ในจตุตถทุกะนั้นก็ตางออกเปน ๒ คือ เปนสมาธิเกิดพรอมดวยอุเบกขาประการ ๑ ถาแสดงโดยติกะนั้น สมาธิตางออกเปน ๑๒ ดวยสามารถติกะทั้ง ๔ ในปฐมติกะนั้น สมาธิ ตางออกเปน ๓ คือ เปนหีนสมาธิอยางต่ําอยางนอยประการ ๑ มัชฌิมสมาธิอยางมัธยมประการ ๑ ปณีตสมาธิอยางยิ่งประการ ๑ ในทุติยติกะนั้นตางออกเปน ๓ คือ สมาธิประกอบวิตกวิจารประการ ๑ สมาธิหาวิตกบมิไดมีแตวิจารนั้นประการ ๑ สมาธิปราศจากวิตกวิจารนั้นประการ ๑ ในตติยติกะนั้นสมาธิตางออกเปน ๓ คือ สมาธิกอปรไปดวยปติประการ ๑ สมาธิกอปรไป ดวยสุขประการ ๑ สมาธิกอปรไปดวยอุเบกขาประการ ๑ ในจตุตถติกะนั้นตางออกเปน ๓ สามารถ ปริตตสมาธิ แลมหัคคตสมาธิแลอัปปมาณสมาธิ อธิบายวาสมาธินั้นเปนกามาพจรอยาง ๑ เปนรูปาพจ รอยาง ๑ เปนโลกุตรอยาง ๑ ถาจะแสดงโดยจตุกะนั้น สมาธิตางออกเปน ๒๔ ดวยสามารถจตุกะ ๖ ในปฐมจตุกะนั้น ตางออกเปน ๔ คือ ทุกขา ปฏิปทาทันธาภิญญาสมาธิ ปฏิบัติไดดวยยากตรัสรูชาอยาง ๑ ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาสมาธิ ปฏิบัติไดดวยยากตรัสรูพลันนั้นอยาง ๑ สุขาปฏิปทาทันธาภิญญาสมาธิปฏิบัติไดดวยงายตรัสรูชานั้น อยาง ๑ สุขาฏิปทาทันธาขิปปภิญญาสมาธิ ปฏิบัติไดดวยงายตรัสรูพลันนั้นอยาง ๑ ในทุติยจตุกะนั้น สมาธิตางออกเปน ๔ ดวยสามารถปริตตปริตตารมณ คือ สมาธิมิไดชํานาญ มิไดเปนปจจัยแกฌาน เบื้องบน แลอารมณมิไดจําเริญออก ๑ เปนปริตตอัปปมาณารมณ คือ สมาธิมิไดชํานาญ มิไดเปน ปจจัยแกฌานเบื้องบน แลอารมณมิไดจําเริญออก ๑ เปนอัปปมาณอัปปมาณอัปปณารมณ คือสมาธิอันชํานาญ เปนปจจัยแกฌานเบื้องบน แลมีอารมณจําเริญออก ๑ ในตติยจุกะนั้นสมาธิตางออกเปน ๔ ดวย สามารถ ปฐมฌาณ ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ที่จัดโดยจตุกนัย ในจตุตถจตุกะนั้นสมาธิ ตางออกเปน ๔ ดวยสามารถเปนหานภาคิยสมาธิ คือ สมาธินั้นโยคาพจรจําเริญไดแลว มีสวนขางจะ เสื่อมสูญไปอยาง ๑ เปน ฐิติภาคิยสมาธิ คือจําเริญไดอยูเพียงใด มีสวนใดที่จะตั้งอยูเพียงนั้นบ มิไดยิ่งขึ้นไป แลบมิไดเสื่อมลงนั้นอยาง ๑ เปนวิเสสภาคิยสมาธิคือโยคาพจรจําเริญได มีสวนขาง วิเศษยิ่ง ๆ ขึ้นไปโดยลําดับแหงฌานนั้นอยาง ๑ เปนนิพเพทภาคิยสมาธิ มีนิพพิทาญาณบังเกิด พรอมใหเหนื่อยหนายจากสังขาร ธรรมนั้นอยาง ๑ ใ นปญจมจตุกะนั้น สมาธิตางออกเปน ๔ ดวยสามารถ เปนกามาพจาร สมาธิอยาง ๑ รูปาพจารสมาธินั้นอยาง ๑ อรูปาพจรสมาธิอยาง ๑ โลกุตตรสมาธิอยาง ๑ ในฉัฏฐม จตุกะนั้น สมาธิตางออกเปน ๔ ดวยสามารถฉันหาธิปติสมาธิ กอปรไปดวยความรักความปรารถนา กลาเปนหลักเปนประธานนั้นอยาง ๑ วิริยาธิปติสมาธิกอปรไปดวยความเพียรกลาเปนหลักเปน ประธานนั้นอยาง ๑ จิตตาธิปติสมาธิมีกุศลจิตกลาเปนหลักเปนประธานนั้นอยาง ๑ วิมังสาธิปติสมาธิกอปรไปดวยปญญากลาเปนหลักเปนประธานนั้นอยาง ๑ สิริสมาธิในจตุ กะทั้ง ๖ นี้จึงเปนสมาธิ ๒๔ อยางดวยกัน ถาจะแสดงโดยปญจกะนั้น สมาธิตางออกเปน ๕ ดวยสามารถเปนปฐมฌานสมาธิ ทุติยฌานสมาธิ ตติยฌานสมาธิ จตุตถฌานสมาธิ ปญจมฌาน สมาธิ แสดงเอกะ ๑ ทุกะ ๔ ติกะ ๔ จตุกะ ๖ ปญจกะ ๑ จําแนกแจกออกซึ่งสมาธิ ๕๐ ทัศ วิสัชนาในขอปุจฉาเปนคํารบ ๕ ที่วาสมาธิมีประมาณเทาดังฤๅนั้นเสร็จแลว จึงวิสัชนาใน ขอปุจฉาคํารบ ๕ ที่วาสมาธิจะเศราหมองดวยสิ่งดังฤๅนั้นตอไปวา สมาธิจะเศราหมองนั้น อาศัยแกมี
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-4สัญญาแลมนสิการที่เกิดพรอมดวยความรัก ความปราถนา ในปญจพิธกามคุณแลวกาลใด สมาธิก็จะ เศราหมองเสื่อมสูญไปในกาลนั้น แลขอปุจฉาเปนคํารบ ๖ ที่วาสมาธิจะบริสุทธิ์ดวยสิ่งดังฤๅนั้น มีคําวิสัชนาวา สมาธิจะ บริสุทธิ์นั้น อาศัยแกมีสัญญาแลมนสิการที่บมิไดปราศจากวิตกตั้งอยูในภาวนาวิธี เปนวิเสสภาคิยะ แลวกาลใด ก็เปนปจจัยใหสมาธิบริสุทธิ์ในกาลนั้น แลขอปุจคํารบ ๗ ที่วาโยคาพจรจะจําเริญสมาธิ จะ จําเริญเปนดังฤๅนั้น วิสัชนาวาพิธีที่จําเริญโลกุตตรสมาธินั้น สงเคราะหเขาในปญญาภาวนา ในที่อันนี้จะ ประสงควาแตพิธีที่จําเริญโลกิยสมาธิ เมื่อแรกจะจําเริญสมาธินั้น พระโยคาพจรกุลบุตรพึงชําระศีล แหงใหบริสุทธิ์แลวพึงตัดเสียซึ่งปลิโพธใหญนอยทั้งปวงอยาใหมีธุระกังวลอยูดวยปลิโพธสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง ปลิโพธอยางใหญนั้นมีประเภท ๑๐ ประการ คืออาวาสปลิโพธกังวลอยูดวยกุฎิวิหารที่อยูที่ กินเอื้อเพื้ออาลัยบริบูรณดวยรมไมแลน้ํา มีภัตรไดดวยงายเปนอาทินั้นประการ ๑ กุลปลีโพธ กังวลอยู ดวยตระกูลญาติ แลตระกูลโยมอุปฏฐากรวมสุขทุกขดวยบุคคลในตระกูลนั้นประการ ๑ ลาภปลิโพธ กังวลอยูดวยลาภสักการ คือทายกนําเอาจตุปจจัยทานมาถวายเนือง ๆ ตองเปนธุระที่จะกระทํา อนุโมทนาทานแลแสวงพระธรรมเทศนาหาโอกาส ที่จะจําเริญสมณธรรมบมิไดประการ ๑ คณปลิโพธ กังวลอยูดวยหมูดวยคณะเปนธุระที่จะบอกบาลีแลอรรถกถา หาวางที่จะจําเริญ สมณธรรมบมิไดประการ ๑ กัมมปลิโพธ กังวลอยูดวยกระทํานวกรรมเอาใจใสในสิ่งของอันชางไมเปน ตนไดแลบมิได เอาใจใสในการที่กระทําดีแลกระทําชั่วนั้นประการ ๑ อัทธานปลิโพธ กังวลอยูดวยเดิน ทางไกล เปนตนวาจะไปบวชกุลบุตรในที่ไกลประการ ๑ ญาติปลิโพธ กังวลอยูดวย มารดาบิดาพี่ชาย นองหญิง อุปชฌายอาจารย สิทธิวิหารรีกแลอันเตวาสิกที่ปวยที่ไขประการ ๑ อาพาธปลิโพธ กังวลอยูดวยรักษาโรคในกายแหงตนประการ ๑ คันถปลิโพธ กังวลอยูดวย เลาเรียนสังวัธยายปริยัติธรรมเปนนิตยนั้นประการ ๑ อิทธิปลิโพธ กังวลอยูดวยจะจําเริญฤทธิ์รักษา ฤทธิ์นั้นประการ ๑ สิริเปนปลิโพธใหญ ๑๐ ประการดวยกัน แลกิริยาที่จะจําเริญฤทธิ์รักษานั้น เปน ปลิโพธแหงสมาธิวิปสสมาธิสิ่งเดียว จะไดเปนปลิโพธแหงสมาธิภาวนาหาบมิได เพราะเหตุวา โยคาพจรเจาจะไดสําเร็จฤทธิ์แลว ยอมไดดวยอํานาจจําเริญสมาธิภาวนาวา อุปจฺฉินทิตฺวา พระ โยคาพจรผูจะบําเพ็ญสมาธิภาวนานั้น เมื่อตัดปลิโพธอันใหญเสียไดแลว ยังแตปลิโพธนอย ๆ คือผม ยาวเล็บยาว บาตรเปนสนิมจีวรเหม็นสาบนั้นก็พึงชําระเสียใหสิ้น พึงปลงผมตัดเล็บรมบาตรซักจีวร ปลดเปลี้องขุททกปลิโพธเสียใหสิ้นแลว ก็พึงไปสํานักอาศัยอยูในอาวาสเปนที่สบายสมควรแกสมาธิ ภาวนา อยาอยูในอันวิหารอันบมิไดสมควรจะอยู ๑๙ อยาง มหตฺตํ วิหารใหญนั้น ๑ ชิณฺณตํ ๑ คือวิหารเกาคร่ําครานั้น ๑ นวตุตํ วิหารสรางใหมนั้น ๑ ปณฺฐสนฺนิสฺสิตตฺตํ วิหารอยูใกลทางนั้น ๑ โสณฺฑิ วิหารอยูใกลตระพังศิลานั้น ๑ ปณฺณํ วิหารอันกอปรดวยใบไมควรจะบริโภค ๑ บุปฺผํ วิหาร กอปรดวยกอดอกไมนั้น ๑ ผลํ วิหารกอปรดวยดอกไมมีผล ๑ ปนฺถนิยตา วิหารเปนที่คนทั้งปวง ปรารถนาที่จะไปมา ๑ นคสนฺนิสฺสิตฺตา วิหารอยูใกลเมือง ๑ ทารุสสนฺนิสสิตฺตา วิหารอยูใกลที่มีไมฟน ๑ เขตฺตสนฺนิสสิตฺตา วิหารอยูใกลที่นา ๑ วิ สภาคาน ปุคฺคลานํ อตฺถิตา วิหารที่มีวิสภาคบุคคลนั้น ๑ ปฏนสนฺนิสสิตตา วิหารอยูใกลทาน้ํา ๑ ปจฺจนฺตนิสสิตฺตา วิหารอยูใกลปจจันตชนบท ๑ รชฺชสีมนฺตรสนฺสสิตา วิหารอยูใกลแดนพระนคร แหงพระนครทั้งปวง ๑ อสปฺปายตา วิหารอันมีไดสบายดวยวิสสภาคารมณแลผี ๑ กลฺยาณมิตฺานํ อลาโภ วิหารอันมีไดซึ่งกัลยาณมิตร ๑ ประสมเขาเปน ๑๘ ดวยกัน วิหาร ๑๘ เห็นปานดังนี้ พึงละเสีย อยาอยู
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-5วิหารใหญหามมิใหอยูนั้นเปนเหตุมีสงฆอยูมาก ถาสงฆทั้งปวงเกี่ยงเลี่ยงมันมิไดกระทํา วัตตปฏิบัติกวาดแผวลานพระเจดีย และพระมหาโพธิ์มิไดตั้งไวซึ่งน้ําใชและน้ําฉันตนไปอยูนั้น ถึง เวลาเชาตองกระทําวัตตปฏิบัติกวาดแผว ตั้งไวซึ่งน้ําใชแลน้ําฉัน ครั้นไมกระทําก็จะเปนวัตตเภท จะตองอาบัติทุกกฏ ครั้นจะกระทําเลากระทําวัตตปฏิบัติกวาจะสําเร็จนั้นเวลาก็จะสายไป ๆ เที่ยวบิณฑบาตนั้น จะมิไดจังหัน จะลําบากดวยบิณฑบาตประการหนึ่ง วิหารใหญพระสงฆอยูมากอื้ออึง จะจําริญพระ กรรมฐานนั้นมิสูสบาย จิตมักฟุงซาน วิหารที่เขาพึงจะสรางใหมนั้นเลา ถาไปอยูก็จะตองกระทําการ ครั้นนั่งเสียไมกระทําเลา ภิกษุทั้งปวงก็จะยกโทษจะวากลาวได ครั้นจะกระทําการเลาเหน็ดเหนื่อย ลําบากกายอยูแลว ก็มิอาจจําเริญพระกรรมฐานนั้นได อาศัยเหตุฉะนั้นอาวาสที่พึ่งจะสรางใหมนั้นอยา พึงอยู ถาสงฆในอาวาสนั้นใหโอกาสวา ทานจงกระทําสมณธรรมตามสบายเถิด เราจะกระทําเอง ถาไดโอกาสฉะนี้แลวก็พึงอยูเถิด วิหารเกาคร่ําครานั้นเลาหามมิใหอยูเปนเหตุที่จะตองกระทําการ ปฏิสังขรณซอมแปลงกุฏิวิหารเสนาสนะ ครั้นกระทําการก็จะเสื่อมเสียจากพระกรรมฐาน วิหารอยูใกล ทางหามมิใหอยูนั้นอาศัยวาวิหารนั้นเปนที่ไปที่มาแหงเจาภิกษุอาคันตุกะ เมื่อภิกษุอาคันตุกะมาถึง แลว ก็จะออกไปกระทําอาคันตุกะวัตร ถาเจากูมามันเปนเวลาวิกาลอาศัยจําวัดนั้นขัดสนอยู เสนาสนะ อื่นนั้นไมมี มีแตเสนาสนะของตนก็จําจะใหอาคันตุกะ เมื่อใหเสนาสนะขอตนแลว แลไปอยูใตตนรมไม ไปอยูเหนือแผนหลังศิลาราบนั้นจะมิสูสบาย อนึ่งจะเปนกังวลอยูดวย อาคันตุกะ จะมิไดวางที่จะจําเริญพระกรรมฐานแลวิหารที่อยูใกล ตระพังศิลา หามมิใหอยูนั้นอาศัยวาตระพังศิลาเปนที่ประชุมชนทั้งหลายอันปราถนาน้ํา เสียงคนมาตัก น้ํานั้นจะอื้ออึงอยูจะมิสูสบายประการหนึ่ง ถาภิกษุผูปรารถนาจะสุผายอมผาเห็นวาอาวาสนั้นใกลน้ํา ก็ จะเริ่มกันมาสุผายอมผา มาแลวก็ถามหาที่จะเคี่ยวน้ํายอม ถามหาภาชนะอันใสน้ํายอมแลรางยอมผา ครั้นเจากูมาถามหา ก็จําจะบอกวาอยูที่นั้น ๆ แตเวียนบอกเวียนกลาวอยูนั้น ก็จะปวยการที่จะจําเริญ พระกรรมฐาน วิหารอันกอปรดวยใบไมควรจะบริโภคหามมิใหอยูนั้น อาศัยวาสตรีที่เก็บผักนั้น มาเก็บผัก แลจะขับจะรองเลนเสียง จะเย็นเขาไปจับเอาดวงใจจะเปนอันตรายแกพระกรรมฐาน อาวาสกอปรดวย ไมตาง ๆ นั้นเลาหามมิใหอยูเพราะเหตุวา ดอกไมเปนที่ชอบใจของสตรี ๆ ปรารถนาดอกไมมาเก็บ ดอกไมแลว จะขับจะรองไดยินถึงโสตน้ําจิตก็จะประหวัดกําหนัดในเสียง จะเปนอันตรายแกพระ กรรมฐานแลอาวาสกอปรดวยตนไมมีผลเปนตนวา มะมวงแลขนุนหนังหามมิใหอยูนั้นอาศัยวาเมื่อ เทศกาลไมเปนผลแลวคนทั้งปวงชวนกันมาขอ ไมใหเขาก็จะโกรธเขาจะขมเหงเอา หามเขา ๆ ก็จะดา วาตามอัชฌาสัย แลวเขาจะเพียรพยายามกระทําใหเจาภิกษุนั้นไปเสียจากอาวาส เหตุฉะนี้กุลบุตรผู จะจําเริญพระกรรมฐาน อยาพึงอยูในอาวาสกอปรดวยผลไมเห็นปานดังนี้ ฯ อนึ่ง อาวาสที่คนทั้งปวงพอใจไปมานั้นก็หามไมใหอยู คืออาวาสเหมือนดวยทักษิณาคีรี วิหาร แลเจติยคีรีวิหารบรรพตวิหาร ถาภิกษุองคใดไปแลว คนทั้งปวงก็สรรเสริญวาเปนพระอรหันต เกลื่อนกลนกันมาไหวมาบูชา ถาเรียนพระกรรมฐานแลว แลไปอยูในอาวาสเห็นปานดังนั้น คนทั้งปวง ก็จะเกลื่อนกลนกันไปไหวไปบูชาจะไมสบายในที่จะจําเริญพระกรรมฐาน อาวาสอยูในเมืองเลาหามมิ ใหอยูนั้นอาศัยวาหญิงชายชาวเมืองจะเวียนไปเวียนมา ถาภิกษุนั้นครั้นเห็นวิสภาคารมณ คือรูปสตรี นั้นเนือง ๆ แลวก็จะกระสันเปนทุกขดวยกามราคดํากฤษณาการหนึ่งกุมภทาสีกระเดียดกระออมน้ําขึ้น ทานี้ลงทานั้น มันเปนคนชั่วเห็นเจาภิกษุแลวไมหลบไมหลีกเจาภิกษุนั้นจะมิสูสบายดวยกุมภทาสีนี้ ประการหนึ่ง ๆ คนเปนผูใหญมีชื่อเสียงนั้นมักไปมากันในทามกลางวิหารแลว ก็นั่งพักสําราญตามสบายจะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-6ละลุมละลาอยู เจาภิกษุนั้นจะมิไดสบายที่จะจําเริญพระกรรมฐาน เหตุฉะนี้จึงหามมิใหอยูในอาวาส ใกลเมืองแลอาวาสใกลที่ไมที่ฟนเลา ก็หามมิใหอยูอาศัยวาคนที่ปรารถนาวาจะทําเรือนโรงที่นั้น ๆ จะ ไปตัดไมฟนไมในอาวาสไมใหก็จะโกรธคนที่ปรารถนาฟนนั้นเลาก็จะไปเก็บฟน คนนั้นไปคนนี้มาวุน ๆ วาย ๆ ก็จะไมสบายในที่จําเริญพระกรรมฐาน อาวาสอยูใกลนา ๆ ลอมรอบนั้นเลาหามมิใหอยูนั้น อาศัยวาชาวนาจะเขามาทําลานนวดขาวทามกลางแลอาวาสจะอื้ออึง จะไมสบายอยางนี้ประการหนึ่ง บางทีโยมวัดนั้นเลี้ยงโคแลเลี้ยงกระบือไว ปลอยออกไปกินขาวในนาชาวบาน ๆ กับโยม วัดจะขัดเคืองกันจะดากันมากลาวในสํานักสงฆไมตกลง ก็จะพากันไปถึงสํานักพระยาแลมหาอํามาตย ทั้งคฤหัสถแลภิกษุจะไมสบายอยางนี้ประการหนึ่ง เหตุนี้จึงหามมิใหอยูในอาวาสมีนาลอมรอบ แล วิหารที่มีวิสภาคบุคคลอยูนั้น คือภิกษุในอาวาสทุมเถียงเกี่ยงเลี่ยงคอยเอาผิดกันเปนขาศึกกันอยู แล หามมิใหเจาภิกษุที่จะจําเริญพระกรรมฐานอยูนั้น เหตุจะพลอยขุนของดวยวิวาทจะไมสบายที่จํา จําเริญพระกรรมฐาน อาวาสอยูใกลทางนั้นเลาหามมิใหอยู อาศัยดวยวาคนไปดวยเรือแพนาวาคนไปคนนั้นมากมี เสียงอันอื้ออึง จะไมสบายที่จะจําเริญพระกรรมฐาน แลอาวาสอยูใกลประจันตประเทศนั้นเลาหามมิให อยูนั้นอาศัยวาคนในประจันตประเทศนั้น มิไดเลื่อมใสในพระรัตนตรัยไปอยูที่นั้นจะลําบากดวย บิณฑบาต แลอาวาสอยูแดนตอแดนนั้นเลาหามมิใหอยูนั้น อาศัยวาประเทศที่นั้น บางทีพระยาชางนี้ เห็นวาไปขึ้นอยูขางโนนก็ใหยกทัพไปตี ฝายวาพระยาชางโนนเห็นวาขึ้นอยูขางนี้ ก็ใหยกมาตีอีกเลา จะวุนไปดวยการทัพการศึก จะไมสบายในที่จะจําเริญพระกรรมฐานประการหนึ่ง เจาภิกษุไปอยูใน ประเทศแดนตอแดนนั้น พอวามีธุระมีจะเที่ยวไปขางโนนก็ดีขางนี้ก็ดี ราชบุรุษมาพบประสบเขาก็จะวา เปนบุรุษสอดแนมเอาเหตุเอาผล จะเบียดจะเบียนใหไดความลําบาก เหตุฉะนี้จึงหามมิใหอยูในอาวาส ในแดนประเทศแดนตอแดนนั้น อาวาสสอนประกอบดวยวิสภาคารมณ คือกอปรดวยสตรีภาพอยูนั้นก็ดี อาวาสอันกอปรดวย ปศาจรายกาจหยาบชานั้นก็ดี ก็หามมิใหเจาภิกษุผูจําเริญพระกรรมฐานนั้นอยูเหตุจะไมสบายดวยวิ สภาคารมณแลปศาจนั้น อาวาสอันหากัลยาณมิตรมิไดนั้นก็หามมิใหอยู ปุจฉาวา บุคคลจําพวกใดได ชื่อวากัลยาณมิตรวิสัชนาวาบุคคลที่เปนอาจารยแลอุปชฌาย บุคคลมีพรรษาอายุคุณวุฒิเสมอดวย อาจารยแลอุปชฌายนั้นก็ดี ไดชื่อวากัลยาณมิตร ๆ นี้ถามิไดมีในวิหารอันใด เจาภิกษุผูเจริญพระ กรรมฐาน อยาพึงอยูในวิหารอันนั้นเจาภิกษุผูจะเรียนพระกรรมฐานนั้น พึงสละเสียซึ่งวิหารอันมิได สมควร ๑๘ ประการดังพรรณนาฉะนี้แลว พึงอยูในวิหารอันกอปรดวยองค ๕ ประการ นาติทู รํ นาจฺจาสนฺนํ คือมิสูไกลโคจรคามนั้น นักอยูแตภายใน ๒ คาพยุตคือ ๒๐๐ เสนมิสูใกลนัก อยูภายนอก ๓๕ เสนพอไปพอมา กลางวัน มิไดมีคนไปละเลาละลุมนัก กลางคืนก็สงัดมิไดยินเสียงคนเจรจา ๑ เหลือบแลยุงงูเล็กและใหญมีโดย นอย แดดก็มิสูจัดนัก ลมก็มิสูพัดนัก มีที่บังอยูบาง มิสูลําบากดวยรอนนักแลเย็นนักนั้น ๑ ไดจีวร บิณฑบาตเสนาสนะแลยาอันจะระงับความไขดวยงาย มิสูลําบากนักนั้น ๑ ภิกษุผูเปนมหาเถระเปนพหูสุตทรง ทรงซึ่งวินัยแลมาติกาสมควรที่จะไปสูหาไตถามอรรถ ธรรมนั้นก็มี ในวิหารนั้น ๑ ครั้นมีความสงสัยเขาไปไตถามทานก็จะบรรเทาความสงสัยอยูใหปราศจาก สันดาน ที่อันใดลึกทานก็กระทําใหตื่นขึ้น ที่ไมแจงนั้นทานคัดขอขึ้นวากลาวชี้แจงใหแจง ทาน อนุเคราะหฉะนี้ ๑ สิริเปนองค ๕ ประการฉะนี้ วิหารอันใดกอปรดวยองค ๕ ประการดังนี้ เจาภิกษุผูจะเรียนพระกรรมฐานนั้น พึงอยูใน อาวาสอันนั้น กาลเมื่อจะไปสูสํานักแหงอาจารยผูบอกพระกรรมฐานนั้น อยาใสรองเทาอยากั้นรมอยา ใหอันเตวาสิกถือบาตถือจีวร คือกระบอกน้ํามันน้ําผึ้งน้ําออยแวดลอมไป พึงถือเอาบาตรแลจีวรดวย ตนเอง เมื่อไปในระหวางหนทางถาแวะเขาสูวิหารอันนั้น ไมสีฟนอันเปนกัปปยะนั้นพึงหาไปแตกลาง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-7ทาง เมื่อไปถึงที่สํานักแหงอาจารยนั้นแลว อยาไปยับยั้งหยุดพักระงับกายอยูในบริเวณอันอื่น เกลือกจะมีภิกษุที่ไมชอบกันกับอาจารยอันอยูที่นั้น ๆ นี้ ๆ จะยังวิปฏิสารีใหบังเกิด จะยุยงใหกลับมา จากสถานที่นั้นจะเสียการ เหตุนี้เจาภิกษุผูจําเริญพระกรรมฐานแลวพึงตรงไปสูสํานักอาจารยทีเดียว เมื่อไปถึงสํานักอาจารยแลว ถาอาจารยเปนภิกษุหนุมพรรษาออน ออกมาจะรับบาตรรับจีวร ก็อยาพึง ยินดีที่จะสงบาตรสงจีวรให ถาอาจารยนั้นเปนมหาเถรผูใหญมีพรรษาอันแกโดยพิเศษ เจาภิกษุนั้นนมัสการอาจารย แลวก็พึงยืนอยูในที่ควรขางหนึ่ง อยาเพอวางบาตรวางจีวรลงกอน ตออาจารยบอกวาจาวา ดูกอน อาวุโส ทานจงวางบาตรจีวรไวเถิด อาจารยออกวาจาฉะนี้แลว จึงวางบาตรจีวรลงไว ถาอาจารยเตือน ฉันอุทกังเจาภิกษุนั้นปรารถนาจะฉันก็พึงฉันโดยอันควรแกอัชฌาสัย ถาอาจารยเตือนใหชําระเทานั้นอยาเพอชําระกอน เกลือกน้ํานั้นจะเปนน้ําอาจารยตักบมิ ควรที่เจาภิกษุผูเปนศิษยจะนํามาชําระเทา ถาอาจารยบอกวาน้ํานี้ขาหาไดตักไม ผูอื่นตักตางหาก อาจารยบอกดังนั้นก็พึงตักเอาน้ํานั้นไปนั่งในที่อันกําบัง ถามิดังนั้นพึงนั่งในที่แจงเปนที่ลับจักษุแหง อาจารย แลวจึงชําระเทาแหงตน ถาอาจารยนําเอากระบอกน้ํานั้นมาสงให เจาภิกษุพึงกระทําเคารพ ลุกขึ้นรับรองดวยมือทั้งสอง ครั้นจะไมรับกระบอกน้ํามันอาจารยก็จะเสียใจวาไมบริโภครวมจะกินแหนงแคลงเสีย จะไม สงเคราะหบอกวิธีทางพระกรรมฐาน เหตุนี้จึงใหรับเอากระบอกน้ํามันนั้นมาโดยเคารพ ตั้งไวในที่อัน ควรแลว เมื่อจะทาน้ํามันนั้นอยาทาเทาเกลือกน้ํามันจะเปนน้ํามันทาตัวแหงอาจารย บมิควร ตออาจารยบอกวาน้ํามันนี้เปนน้ํามันสําหรับรักษาอวัยวะสิ้นทั้งปวง ทานจงทาเทาเถิด อาจารยอนุญาตดังนี้แลว เจาภิกษุผูเปนศิษยเมื่อจะทาเทานั้นพึงเอาน้ํามันทูนเหนือศีรษะกอนจึงจะทา เทา ครั้นทาน้ํามันเสร็จแลวจึงบอกแกอาจารยวา ขาแตพระผูเปนเจากระบอกน้ํามันนี้ขาพเจาจะขอเอา ไปเก็บไว ถาอาจารยมารับเอากระบอกน้ํามันก็พึงสงใหแกอาจารย วันแรกไปอยูในสํานักอาจารยนั้น อยาเพออาราธนาอาจารย ใหบอกวาพระกรรมฐานกอน พึงเอาใจใสในที่จะกระทําวัตตปฏิบัติแกอาจารยกอนบุคคลผูใดกระทําการอุปฏฐากแกอาจารยโดย ปกติ ก็พึงออนวอนบุคคลผูนั้นขอชองโอกาสที่จะปฏิบัติแกอาจารย สเจ น เทติ ถาบุคคลผูนั้นไมใหก็ พึงคอยหาชองที่วาง ไดชองเมื่อใดก็พึงปฏิบัติเมื่อนั้น เมื่อจะปฏิบัติอาจารยนั้นใหเหลาไมสีฟนเปน ๓ อยาง ๆ ใหญอยางกลางอยางนอย น้ําบวนปากแลน้ําสรงนั้น ก็พึงตั้งไวเปนสองภาชนะ น้ํารอนภาชนะ ๑ น้ําเย็นภาชนะ ๑ ถาอาจารยใชไมสีฟนอยางไรสิ้นทั้ง ๓ วัน ใชน้ําบวนปากแลน้ําสรงอยางไร สิ้นทั้ง ๓ วัน ก็พึงปฏิบัติดวยไมสีฟนอยางนั้นปฏิบัติดวยน้ําบวนปากแลน้ําสรงอยางนั้นเปนนิจกาล ถาอาจารยใชไมมีกําหนดไมสีฟนนั้น ใชอยางใหญบางอยางกลางบางอยางนอยบาง น้ํา บวนปากแลน้ําสรงนั้น ใชน้ํารอนบางน้ําเย็นบางไมมีกําหนดดังนี้ ก็พึงปฏิบัติอาจารยนั้นดวยไมสีฟนแล น้ําบวนปากแลน้ําสรงโดยอันควรแกหามาใหนั้นเถิด พึงกระทําวัตตปฏิบัติอาจารยนั้น โดยนัยแหงอาจ ริยวัตตที่นําแสดงไวในมหาขันธนั้น เมื่อปฏิบัติอาจารยมีกําหนดนานถึง ๑๐ วัน ๑๔ วันลวงแลวจึงขอ เรียนพระกรรมฐานในสํานักอาจารย อาจารยนั้นก็พึงบอกพระกรรมฐานนั้นใหสมควรแกจริตแหงอันเต วาสิกแลประเภทแหงจริตนั้น สําแดงโดยสังเขปมี ๖ ประการ คือราคจริตประการ ๑ โทสจริตประ ๑ โมหจริตประการ ๑ สัทธาจริตประการ ๑ พุทธจริตประการ ๑ วิตักกจริตประการ ๑ เปน ๖ ประการดวยกัน บุคคล อันเปนราคจริตนั้นมีอัชฌาสัยมักโอโถงรักใครที่งามที่ดี มีสันดานมากไปดวยความกําหนัด ในปญจพิธ กามคุณ บุคคลอันเปนโทสจริตนั้น มีอัชฌาสัยมากไปดวยโทมนัสมักขัดแคนกริ้วโกรธราย บุคคลอัน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-8เปนโมหจริตนั้น มีอัชฌาสัย มักลุมมักหลงฟนเฟอนสติอารมณเปนคนโลเลไมยั่งยืน บุคคลอันเปนสัทธาจริตนั้น มีสันดานมักเชื่อฟงผูอื่นมากไปดวยความเลื่อมใสในพุทธาทิ คุณ ยินดีในศีลทานการกุศลสุจริตตาง ๆ บุคคลอันเปนพุทธจริตนั้น มีอัชฌาสัยมากไปดวยพินิจ พิจารณาในคุณแลโทษบุญแลบาปมีปญญาแหลม บุคคลที่เปนวิตักกจริตนั้น มีอัชฌาสัยมากไปดวย วิตกวิจารสันดานโวเวลังเลไมยั่งยืน จริต ๖ ประการนี้ เมื่อจัดโดยมีสกนัยนั้น จําแนกแจกออกไปเปนจริตถึง ๓๖ สําแดงแต ๖ ประการนี้โดยสังเขปสําแดงแตมูลจริตมิไดสําแดงโดยมิสกนัย แลพระกรรมฐานที่เปนจริยานุกูล อนุโลมตามอัชฌาสัยแหงพระโยคาพจรนั้น นักปราชญพึงรูวาพระกรรมฐาน ๑๑ คือ อสุภ ๑๐ กายค ตาสติ ๑ ทั้ง ๑๑ ประการนี้ อนุกูลตามราคจริตเปนที่สบายแหงราคจริต คนเปนราคจริตมักกําหนัดยินดีดวยราคะนั้น สมควรจะจําเริญพระกรรมฐาน ๑๑ ประการนี้ พรหมวิหาร ๔ แลวรรณกสิณแดง ๔ เปน ๘ พระ กรรมฐานทั้ง ๘ นี้อนุกูลตามโทสจริต เปนที่สบายแหงโทสจริตแลอานาปาสติกรรมฐานนั้น เปนที่ สบายแหงโมหจริตแลวิตกจริต คนมักลุมมักหลงคนมักวิตกวิจารนั้น สมควรที่จะจําเริญอานาปานสติ กรรมฐานแลอนุสติ ๖ ประการ คือพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุส สติ เทวตานุสสติ ทั้ง ๖ ประการนี้ สมควรที่บุคคลอัน อันเปนสัทธาจริตจะจําเริญ แลมรณานุสส ติ อุปสมานุสสติ อาหาเรปฏิกูลมัญญา จตุธาตุวัตถาน ๔ ประการนี้ เปนที่สบายแหงพุทธจริต คนอันกอปรดวยปญญามากนั้น ควรจะจําพระกรรมฐานทั้ง ๑๐ ประการ คือ อรูป ๔ ภูตกสิน ๔ อาโปกสิน ๑ อากาสกสิณ ๑ นั้น เปนที่สบายแหงจิตทั้งปวง จะได เลือกจริตก็หามิได นักปราชญพึงสันนิษฐานเขาใจวากรรมฐานคืออรูป ๔ ประการนั้น แมวาจะเปนที่ สบายแหงจริตทั้งปวงก็ดี อาทิกัมมิกบุคคลที่ไมเคยบําเพ็ญพระกรรมฐานมาแตกอน พึงจะฝกสอนบําเพ็ญในปจจุบัน ชาตินี้ บมิควรจะบําเพ็ญอรูปกรรมฐานทั้ง ๔ นี้ในเบื้องตนอาทิกัมมิก บุคคลพึงเรียนกรรมฐานอันอื่น กอน ไดพระกรรมฐานอันอื่นเปนพื้นแลว จึงบําเพ็ญอรูปกรรมฐานภายหลัง แลกุลบุตรผูจะเรียน กรรมฐานนั้น ถาเรียนในสํานักสมเด็จพระผูมีพระภาค ก็พึงมอบเวนกายอาตมะแกสมเด็จพระพุทธเจา วา อิมาหํ ภควา อตฺตภาวัง ตุมฺหากํ ปริจฺจชามิ เนื้อความวา ขาแตสมเด็จพระผูมีพระภาคขา พระองคเสียสละ คือวามอบเวนซึ่งอาตมะภาพนี้แกสมเด็จพระสรรเพชญพุทธองค ถาจะเรียนในสํานัก อาจารยองคใดองคหนึ่ง ก็พึงมอบเวนกายแกอาจารย อิมาหํ อนฺเต อตฺตภาวํ ตุมฺหากํ ปริจฺจ ชามิ เนื้อความวา ขาแตอาจารยผูเจริญ ขาพเจาเสียสละ คือวามอบกาย ซึ่งอาตมะภาพนี้แก ทานอันมิไดมอบเวนแกอาจารยกอนนั่นยอมจะเปนโทษ คืออาจารยนั่นจะมิไดวากลาวสั่งสอนตนก็จะละเลิกไป จะกระทําสิ่งใดก็กระทําเอาตาม อําเภอใจไมร่ําไมลาอาจารยเห็นวาเปนคนไมดี แลวก็จะมิไดสงเคราะหดวยใหอามิสคือโภชนาหาร จะ มิไดบอกอรรถธรรมใหกุลบุตรไมไดสงเคราะหแตสํานักอาจารยแลว ก็จะจนมิพอใจที่จะเสียคนก็จะ เสียคนไป มิพอที่จะสึกก็สึกไป อาศัยเหตุฉะนี้ จึงใหมอบแกอาจารย เมื่อมอบเวนกายแกอาจารยแลว อาจารยก็จะไดวากลาวสั่งสอน จะกระทําอันใดก็จะมิไดกระทําตามอําเภอใจ จะไปไหนก็จะมิไดตาม อําเภอใจ เมื่อวางายสอนงายประพฤติเนื่องอยูดวยอาจารยแลว อาจารยก็จะสงเคราะหดวยอามิสแล สอนธรรม กุลบุตรนั้นไดสงเคราะห ๒ ประการ แตสํานักอาจารยแลว ก็จะจําเริญในพระศาสนา อนึ่งกุลบุตรผูมีปญญาจะเลาเรียนพระกรรมฐานนั้น พึงกระทําสันดานใหบริบูรณดวย อัชฌาสัย ๖ คือโลภัชฌาสัย เห็นโทษในโลภมิไดโลภนั้น ๑ อโทสัชฌาสัย เห็นโทษในโทโสมิได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-9โกรธ ๑ อโมหัชฌาสัย เห็นโทษในโมหะมิไดลุมหลงนัก ๑ เนกขัมมัชฌาสัย เห็นโทษในฆราวาส เห็น อานิสงสแหงบรรพชา ๑ ปริเวกกัชฌาสัย เห็นโทษในอันประชุมอยูดวยหมูดวยคณะ เห็นอานิสงสแหง อันอยูในสงบสงัดแตผูเดียว ๑ นิสสรณัชฌาสัย เห็นโทษในภพ ยินดีในที่จะยกตนออกจากภพนั้น ๑ พึงกระทําสันดานใหบริบูรณดวยอัชฌาสัย ๖ ประการนี้ แลพระกรรมฐานนั้นสําแดงโดยสังเขปมี ๒ ประการ คือสมถกรรมฐาน ๑ วิปสสนา กรรมฐาน ๑ สมถกรรมฐานนั้นที่สําแดงโดยประเภทตาง ๆ ออกเปน ๔๐ ทัส คือกสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อาหารปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุวัตถาน ๑ พรหมวิหาร ๔ อรูป ๔ สิริเปน ๔๐ ทัศ ดวยกัน กสิณ ๑๐ ประการนั้นคือ ปถวีกสิน ๑ อาโปกสิณ ๑๐ ประการนั้นคือ ปฐวีกสิณ ๑ อาโป กสิณ ๑ เตโชกสิณ ๑ วาโยกสิณ ๑ นีลกสิณ ๑ ปตกสิณ ๑ โลหิตกสิณ ๑ โ อทตกสิณ ๑ อากาศ กสิณ ๑ อาโลกสิณ ๑ สิริเปนกสิณ ๑๐ กระการดังนี้
จักวินิจฉัยในพิธีปฐวีกสิณนั้นกอน พระโยคาพจรเจาผูเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ปรารถนาจะ บําเพ็ญพระกรรมฐานอันชื่อวา ปฐวีกสิณนั้น เมื่อตัดสินเสียซึ่งปลิโพธอันนอย มีตนวาปลงแลตัดซื่งผม แลเล็บยาวเสร็จแลวหลีกออกจากบิณฑบาตสําเร็จภัตตกิจ ระงับกระวนกระวายอันบังเกิดแตเหตุที่ บริโภคอาหารแลวนั้น เวลาปจฉาภัตตเขาสูที่สงัดนั่งเปนสุข เมื่อจะถือเอาอุคคหนิมิตในปฐวีธาตุนั้น จะพิจารณาดินที่ตกแตงเปนดวงกสิณนั้นเปนอารมณก็ตาม จะพิจารณาแผนปฐพีมีลานขาว เปนตน ที่ตนมิไดตกแตงเปนดวงกสิณนั้นเปนอารมณก็ตาม เมื่อพิจารณาดินที่มิไดตกแตงเปนดวง กสิณนั้น พึงกําหนดใหมีที่สุดโดยกลมนั้น เทาตะแกรงกวางคืบ ๔ นิ้วเปนอยางใหญ เทาขอบขันเปน เปนอยางนอย อยากําหนดใหใหญกวาตะแกรง อยาใหเล็กกวาขอบขัน เมื่อตั้งจิตพิจารณาไปหลับจักษุลงเห็นดินที่ตนกําหนดนั้น ปรากฏเหมือนที่ลืมจักษุแลว ก็ ไดชื่อวาถือเอาอุคคหนิมิตนั้นเปนอันดี เมื่อตั้งจิตไวไดแตภายในอุคคหนิมิต จิตมิไดเตร็ดแตรไปใน ภายนอกแลว ก็ไดชื่อวาทรงอุคคหนิมิตนั้นไวเปนอันดี ไดชื่อวาเปนอุคคหนิมิตนั้นไวเปนอันดีเปน ปจจัยที่จะใหไดสําเร็จปฎิภาคนิมิต อันปรากฏงดงามดังแวนแกวลวงพนจากสีดิน เมื่อปฏิบัติภาคนิมิตบังเกิดแลวพึงตั้งจิตสําคัญปฏิบัติภาคนิมิตนั้นเปนดวงแกว อาจจะทํา ใหสําเร็จคุณานิงสงสเห็นประจักษ พึงเคารพรักใครผูกพันจิตแหงตนไวในปฏิบัติภาคนิมิตหมายมั่นวา อาตมาจะพนจากชราแลมรณะดวยปฏิบัติอันนี้เปนแท เมื่อเสพปฏิบัติภาคนิมิตนั้นดวยอุปจารสมาธิ จิต เสพเนือง ๆ ไปก็จะไดสําเร็จปฐมฌาน ทุติฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปจจมฌานโดยลําดับ ๆ แต ทวาจะไดสําเร็จโดยงายดังนี้ แตบุคคลที่มีวาสนาบารมีที่ไดสรางมาแตกอนแตเบื้องพุทธชาตินั้นไดบวชใน พระพุทธศาสนา ถามิฉะนั้นไดบรรพชาเปนดาบส ไดเจริญฌานสําเร็จกิจดวยพิจารณา ปฐวีกสิณ อุปนิสัยหนหลังติดตามมาในปจจุบันชาตินี้ พิจารณาแตแผนดินปฐพีในปริมณฑลแหงลาน พิจารณา แตที่นาอันบุคคลไถก็ไดสําเร็จปฐวีกสิณ ยังฌานใหบังเกิดจําเดิมแตปฐมฌานขึ้นไปตราบเทาถึงปจ มฌานไดงาย ๆ ดวยสามารถอุปนิสัยหนหลัง แลกุลบุตรที่หาอุปนิสัยหนหลังมิไดนั้น พึงกระทําดวงกสิณดวยดินแดงอันบริสุทธิ์ มีสีงา ประดุจดังวาพระอาทิตยเมื่อแรกอุทัย กระทําใหปราศจากสิณโทษ ๔ ประการ คืออยาใหเอาดินเขียว เจือประการ ๑ อยาเอาดินเหลืองเจือประการ ๑ อยาเอาดินแดงเจือสีตางมาเจือประการ ๑ อยาเอาดิน ขาวเจือประการ ๑ พึงออมหนีไปใหพนจากกสิณโทษ ๔ ปรการ ดังนี้ เมื่อกระทําดวงกสิณนั้น อยา กระทําในทามกลางวิหารอันเปนที่สัญจรแหงบุคคลมีสามเณรเปนตน พึงกระทําในเงื้อมแลบรรณศาลา อันเปนที่ลับที่กําบังในสุดแหงวิหาร
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 10 ดวงกสิณนั้นจะกระทําเปนตัตรัฏฐะตั้งอยูในที่เดียวก็ตาม จะกระทําเปนสังหาริมะยกไปไหน ไดก็ตาม ถาจะกระทําดวงกสิณที่เรียกวาสังหาริมะยกไปไหนไดนั้น ใหเอาไม ๔ อันมากระทําเปนแม สะดึงแลว จะขึงดวยผาก็ตาม ดวยหนังดวยลําเเพนก็ตามดินที่จะกระทําดวงกสิณ พึงชําระใหบริสุทธิ์ ขยําใหดี อยาใหมีกรวดมีทรายเก็บรากไมรากหญาเสียใหหมด เมื่อทาติดเขากับผาเปนตนที่ขึงไวใน แมสะดึงนั้น พึงกระทําใหเปนวงกลมกวาง ๑ คืบกับ ๔ นิ้ว ขัดใหราบใหดีแลวปรารถนาจะนั่งภาวนาใน ที่ใดจึงยกไปวางลงในที่นั้น แลดวงกสิณที่ตั้งอยูในที่เดียวเรียกวาตัตรัฏฐกะนั้น ถาจะกระทําใหปกไมทอยลงกับพื้นปก ราบรอบเปนมณฑล มีอาการดังฝกบัว แลวจึงเอาเครือลดามาถักเขาที่ไมทอย เกี่ยวประสารเขาใหมั่น แลว จึงเอาดินที่ขยําเปนอันดี มีสีดังพระอาทิตยเมื่อแรกขึ้นนั้นมาใสลงใหเต็มแลว กระทําใหเปน วงกลมกวาง ๑ คืบกับ ๔ นิ้วเหมือนกัน ถาดินสีอรุณนั้นนอยไมพอ จะเอาดินอื่นใสขางลางแลว จึงเอา ดินสีอรุณใสขางบนก็ได เมื่อจะขัดดวงกสิณนั้นใหใชเกียงศิลา อยาใหใชเกรียงไม เหตุวาเกรียงนั้น ถาเปนไมสดกอปรดวยยาง ก็มักพาใหดินสีอรุณนั้นเสียสีสันพรรณ ทําใหกสิณปริมณฑล นั้นมีสีเปนวิสภาคดางพรอยแปลกประหลาดไป ไมตองดวยอยาง ถาเกรียงไมอันใดจะไมพาใหดินสี อรุณเสียสีสันพรรณ เกรียงไมอันนั้นก็นับเขาในเกรียงสิ้นควรใชไดมิไดเปนกสิณโทษ พระโยคาวจรพึง กระทํากสิณมณฑลนั้นใหราบเหมือนหนากลอง ปดกวาดภูมิภาคนั้นใหปราศจากหยากเยื่อเชื้อฝอย แลว จึงอาบน้ําชําระกายใหปราศจากเหงื่อแลไคล เมื่อจะนั่งนั้นใหนั่งเหนือตั่งอันตบแตงตั้งเปนอันดี มีเทาสูง ๒ คืบ ๔ นิ้ว นั่งใหไกลจาก กสิณมณฑลออกไป ๒ ศอกคืบ อยาใหใกลนักอยาใหไกลนักแลสูงนักต่ํานักกวากําหนด ครั้นนั่งไกล นักดวงกสิณก็จะไมปรากฏ นั่งใกลนักก็จะเปนกสิณโทษ คือรอยมือแลรอยเกรียงก็จะปรากฏ เหตุฉะนี้ จึงใหนั่งเปนอยางกลางไมใกลไมไกล มีกําหนดแหงปริมณฑลกสิณ ๔ ศอกคืบเปนประมาณแลกิริยา ที่ตั้งกสิณมณฑลไวเหนือพื้น แลวแลนั่งเหนือตั่ง เทา ๒ คืบ ๔ นั้ว นั้นเลาก็เปนอยางกลางไมสูงไมต่ํา ครั้นนั่งสูงดวงกสิณอยูต่ําก็จะต่ําก็จะตองกมลงดวงกสิณจะเจ็บคอ ครั้นนั่งต่ํานักดวงกสิณ อยูสูงก็จะตองชะเงอขึ้นดูดวงกสิณ จะตองคุกเขาลงกับพื้นจะเจ็บเขา เหตุฉะนี้จึงใหตั้งกสิณมณฑลลง ไวเหนือพื้น แลวใหนั่งเหนือตั่ง เทาสูงคืบ ๔ นิ้ว เปนสถานกลาง อาการที่นั่งนั้นใหนั่งเปนบัลลังก สมาธิ ตั้งกายใหตรงอยาใหเอนใหนอมจึงจะนั่งไดนานมิไดลําบากกาย เสนสายจะมิไดหดหอรัดรึง เมื่อนั่งบัลลังกสมาธิเฉพาะพักตรตอดวงกสิณแลว จึงพิจารณาโทษแหงกามคุณ วา อปฺปสฺสาทา กามา กามคุณนี้มีแตจะกระทําใหเศราใหหมอง จะกระทําใหผองใสมาตรวาหนอย หนึ่งหาบมิได อฏิกงฺขลูปมา เบญจกามคุณนี้เปรียบเหมือนรางอัฐิ ดวยอรรถวามีความยินดีอัน ปราศจากไปในขณะไมมั่นคงไมยั่งยืน ตินุกูปมา ปญจพิธกามคุณนี้เปรียบเหมือนดวยคมแฝกคบคา ดวยอรรถวาเผาลนจิตสันดานสัตวทั้งปวง ใหเดือดรอนหมนไหมอยูเนือง ๆ บมิไดรูแลว องฺคาลสู กาปมา ปญจกามคุณนี้เปรียบเหมือนหลุมถานเพลิงอันใหญ ดวยอรรถวาใหโทษอับหยาบชา ใหได เสวยทุกขเดือนรอนยิ่งนัก ดูนี้นาสะดุงนากลัวนี้สุดกําลัง สุปนกูปมา เบญจกามคุณทั้ง ๕ นี้เปรียบเหมือนความฝน ดวยอรรถวาแปรปรวนไปเปน อื่น ไมยั่งไมยืนไมเที่ยงไมเเทไมสัตยไมจริง ยาจิตกูปมา ปญจพิธกามคุณนี้เปรียบเหมือนของยืม ดวยอรรถวาประกอบไปใน อันมีกําหนดเทานั้นเทานี้ไมมั่นคง รุกฺขผลูปมา ปญจกามคุณทั้ง ๕ นี้ มี แตจะกระทําใหเกิดการพิบัติตาง ๆ เปนตนวาหักแลทําลายแหงอวัยวะใหญนอยทั้งปวง เปรียบเหมือน ผลแหงพฤกษาชาติอันบังเกิดแลว แลเปนเหตุที่จะใหบุคคลทั้งปวงหักกิ่งกานรานใบแหงพฤกษาชาติ นั้น อสิสูลูปมา เบญจพิธกามคุณนี้ เปรียบเหมือนดวยคมดาบ ดวยอรรถวาสับแลแลเถือ ขันธสันดาน ใหเจ็บปวดยวดยิ่งเหลือลนพนประมาณ สสฺติสูลูปมา เบญจกามคุณ ๕ ประการนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 11 เปรียบเหมือนหอกใหญ แลหลาวใหญ ดวยอรรถวารอยสัตวทั้งปวงไวใหดิ้นอยูในกองทุกข แสน ยากลําบากเวทนา สปฺปสิรูปมา เบญจกามคุณทั้งหลายนี้ เปรียบหมือนศีรษะแหงอสรพิษดวยอรรถ พหุปายาสา กามคุณนี้มากไป วานาครั่นนาครามนาสดุงนากลัว นาตระหนกตกประหมาเปนกําลัง ดวยสะอื้นอาลัย มากไปดวยทุกขแลภัย พหุปริสฺสยา มีอันตรายอันเบียดเบียนมาก คมฺมา เบญจกามคุณนี้ เปนแหงปุถุชน บ มิไดประเสริฐ บมิใหเปนที่เกิดแหงประโยชนตนแลประโยชนทาน พระโยคาพจรจึงพิจารณาโทษแหง ปญจกามคุณเปนอาทิดังนี้แลว พึงตั้งจิตใหรักใครในฌานธรรม อันเปนอุบายที่จะยกตนออก จากปญจพิธกามคุณ และจะลวงเสียซึ่งกองทุกขสิ้นทั้งปวง เมื่อระลึกตรึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ยังปรีดาปราโมทยใหบังเกิดดวย กิริยาที่ระลึกถึงพระรัตนตรัยแลว พึงกระทําจิตใหมากไปดวยเคารพรักใครในพิธีทางปฏิบัติ อยาดูถูกดู ต่ํา สําคัญใหมั่นวาปฏิบัติดังนี้ชื่อวาเนกขัมมปฏิบัติ สมเด็จพระสรรเพชญเจาทั้งปวง แลพระปจเจก โพธิ พระอริยสาวกในพระบวรพุทธศาสนานี้ แตสักพระองคเดียวจะไดสละละเมินเสียหาบมิได แตลวน ปฏิบัติดังนี้ทุก ๆ พระองค ครั้นแลวจึงตั้งจิตวาอาตมาจะไดเสวยสุขเกิดแตวิเวก จะไดเสพรสอันเกิดแตวิเวก ดวย ปฏิบัติอันนี้โดยแท พึงตั้งจิตฉะนี้ยังอุตสาหะใหบังเกิดแลว จึงลืมจักษุขึ้นแลดูดวงกสิณ เมื่อเบิกจักษุ ขึ้นนั้น อยาเบิกใหกวางนักจะลําบากจักษุ อนึ่งมณฑลแหงกสิณจะปรากฏแจงนัก อุคคหนิมิตจะไม บังเกิดขึ้น ครั้นเบิกจักษุขึ้นนอยนัก มณฑลแหงกสิณก็จะไมปรากฏแจง จิตที่จะถือเอากสิณนิมิตเปน อารมณนั้นก็จะหดหูยอหยอนจะมีขวนขวายนอย ตกไปในฝายโกสัชชะเกีนจครานจะเสียที อุคคหนิมิต จะมิไดบังเกิดเหตุฉะนี้พึงลืมจักษุอาการอันเสมอ กระทําอาการใหเหมือนบุคคลสองแวนดูเงาหนาแหง ตนปรากฏในพื้นแหงแวน กาลเมื่อแลดูกสิณมณฑลนั้นอยาพิจารณาสี วานี้สีแดง ดังสีดวงพระอาทิตยแรกขึ้น อยา พิจารณาที่แข็งที่กระดาง อยาแยกพิจารณาดังนั้นเลยไมตองการ ถาจะแยกออกพิจารณาแลว ดินที่ ปนดวงกสิณนั้นจะแยกออกไดเปน ๘ ประการ เพราะเหตุวาดินนั้นจะเปนปฐวีสิ่งเดียวหาบมิได อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ สีแลกลิ่นรสแลโอชานั้น มีพรอมอยูทั้ง ๘ ประการ แตทวาปฐวีธาตุนั้น หนา ปฐวีธาตุนั้นก็ไดนามบัญญัติชื่อวาดิน ถึงจะแยกออกพิจารณาไดดังนั้นก็ดี เมื่อไมตองการ แลวก็อยาพึงแยกออกเลย พึงยกเอาแตที่หนาที่มากนั้นขึ้น มนสิการกําหนดวา สิ่งนี้เปนดินเทานั้นเถิด แตสีนั้นโยคาพจรจะละเสียมิไดเพราะเหตุวาสีกับดวงนั้นเนื่องกัน ดูดวงกสิณเปนอันดูสี เหตุฉะนี้พระ โยคาพจรจึงรวบรวมดวงกับสีนั้นเขาดวยกัน เบิกจักษุเล็งแลดูดวงแลสีนั้นหรอมกันแลว จึงตั้งจิตไวใน บัญญัติธรรม กําหนดวาสิ่งนี้เปนดิน แลวจึงบริกรรมวา ปฐวี ปฐวี รอยครั้งพันครั้งบริกรรมไปกวาจะ ไดสําเร็จ อุคคหนิมิต ดินนี้จะเรียกมคธภาษาวาปฐวีแตเทานี้หามิได นามบัญญัติแหงดินนั้นมีมาก ชื่อวามหิ ชื่อ วาเมธนี ชื่อวาภูมิ ชื่อวาพสุธา ชื่อวาพสุนทรา แตทวา ชื่อทั้งนี้ไมปรากฏแจงในโลกเหมือนชื่อปฐวี ๆ นี้ปรากฏแจงในโลก เหตุฉะนี้พระโยคพจรจึงยกเอาชื่อที่ปรากฏ คือปฐวีมากระทําบริกรรมเถิด กาล เมื่อเล็งแลดูดวงกสิณแลบริกรรมวา ปฐวี ปฐวี นั้น อยาลืมอยูเปนนิตย ลืมดูอยูสักหนอยแลวพึงหลับ ลงเลาหลับลงอยูสักหนอยหนึ่งแลว พึงอยาลืมขึ้นเลา ปฏิบัติดังนี้ไปกวาจะไดสําเร็จอุคคหนิมิตแล กสิณนิมิต อันเปนที่ตั้งจิตเปนที่นาวหนวง จิตแหงพระโยคาวจรในกาลเมื่อจําเริญกรรมนั้น ไดชื่อวา บริกรรมนิมิตกิริยาที่จะจําเริญบริกรรมวา ปฐวี ปฐวี นั้นไดชื่อวากรรมภาวนา เมื่อพระโยคาพจรเจา ตั้งจิตไวในกสิณนิมิตบริกรรมวา ปฐวี ปฐวี นั้นถากสิณนิมิตมา ปรากฏในมโนวารหลับจักษุ แลเห็นกสิณมณฑลนั้นเปรียบประดุจเห็นดวยจักษุแลวกาลใด ก็ไดชื่อวา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 12 อุคคหนิมิตมาปรากฏแจงในสันดาน ไดชื่อวาสําเร็จกิจแหงอุคคนิมิตในกาลนั้น เมื่อไดอุคคนิมิตในกาล นั้นอยานั่งอยูที่นั้นเลย กลับมานั่งในที่ตนตามสบายเถิด ฯ อนึ่ง ใหพระโยพจรหารองเทาชั้นเดียวไวสักครูหนึ่ง ไมธารกรสักอันหนึ่ง กาลเมื่อสมาธิ ออน ๆ ปราศจากสันดานดวยเหตุสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันมิไดเปนที่สบายแลอุคคหนิมิตอันตรธานหายไปนั้น จะไดใสรองเทาถือไมธารกรนั้น ไปพิจารณาดวงกสิณเหมือนอยางเคยกระทําในบุพพภาค ครั้นไมมี รองเทาใส ก็ตองขวนขวายไปชําระเทาจะปวยการ เหตุฉะนี้จึงใหหารองเทาไวใสสําหรับจะไดกันกิริยา ที่ปวยการ ชําระเทาหาไมธารกรไวสําหรับจะไดกันอันตราย เมื่อพิจารณาดวงกสิณเหมือนอยางที่เคยกระทําในบุพพภาค ไดอุคคนิมิตกลับคืนมา เหมือนอยางแตกอน ก็พึงกลับสูอาวาสมานั่งในที่อยูแหงตนใหเปนสุขเถิด พึงเอาวิตกนั้นเปนผูคราจิต ยกจิตเขาไวในอุคคนิมิต กําหนดกฏหมายจงเนือง ๆ ดําริตริตรึกอยูในอุคคหนิมิตนั้นใหมากโดยพิเศษ เมื่อปฏิบัติดังนี้ก็จะขมขี่นิวรณธรรมลงไดโดยลําดับ ๆ กิเลสก็จะระงับสงบสงัดจากสันดาน สมาธิก็กลา หาญดําเนินขึ้นภูมิ พระอุปจารสมาธิ ปฏิภาคนิมิตก็จะบังเกิด แลอุคคนิมิตกับปฏภาคนิมิตจะแปลกกัน ประการใด มีขอวิสัชนาวา อุคคหนิมิต ยังกอปรไปดวยกสิณโทษ คือเห็นปรากฏเปนสีดิน ดินอยางไรก็ ปรากฏอยางนั้น แลปฏินิมิตนั้นปรากฏประดุจปริมณฑลแหงแวนอันบุคคลถอดออกจากฝก ถามิดังนั้นเปรียบประดุจโภชนะสังข อันบุคคลชําระเปนอันดี ถามิดังนั้นเปรียบประดุจ มณฑลพระจันทรแยมออกจากกลีบพลาหก ถามิดังนั้นเปรียบดวยเวลาหกที่หนาเมฆอันผองยิ่งในหมู เมฆทั้งหลาย ถาจะวาโดยแทวาโดยอรรถอันสุขุมภาพนั้นปฏิภาคนิมิตนี้จะวามีสีพรรณก็วาไมได จะวา มีสัณฐานประมาณใหญนอยก็วาไมได เหตุวา ธรรมชาติอันมีสัณฐานนั้นเขาในรูปธรรม ๆ บุคคล ทั้งหลายพึงเห็นดวยจักษุประสาท จะพึงรูจัก จักษุวิญญานธรรมชาติอันมีสัณฐานนี้ ไดชื่อวาโอฬาริก รูป เปนรูปอยางหยาบ ไดชื่อวาสัมมสนูปครูอันควรจะพิจารณากอปรดวยไตรพิธลักษณะทั้ง ๓ คือ อุ ปาทะ ฐิติ ภังคะ ครอบงําย่ํายีอยูเปนนิจกาล เพราะเหตุที่นับในรูปธรรม อันปฏิภาคนิมิตไมเปนดังนั้น ปฏิภาคนิมิตนี้ บุคคลทั้งหลายบมิพึงเห็นดวยจักษุประสาท บ มิพึงรูดวยจักษุวิญญาณประสาท บมิพึงรูดวยจักษุวิญญาณ ไตรพิธลักษณะทั้ง ๓ มี อุปาทะเปนอาทิ ก็บมิไดครอบงําย่ํายีปฏิภาคนิมิต ๆ นี้ เฉพาะปรากฏแกพระโยคาพจรอันไดสมาธิจิต เฉพาะปรากฏแต ในมโนทวารวิถีปฏิภาคนิมิตนี้บังเกิดแกภาวนาสัญญา จะไดนับเขาในรูปธรรมหามิไดอาศัยเหตุฉะนี้ เมื่อสําแดงโดยอรรถสุขุมภาพเอาที่เที่ยงแทออกสําแดงนั้นปฏิภาคนิมิตนี้จะวามีสีก็วามิได จะวามีสัณฐานก็วามิได จะวาไดเปนแตเปรียบเทียบแตเทียบวาเหมือนดวยสิ่งนั้น ๆ ควรจะวาไดแต เพียงนี้ จําเดิมแตปฎิภาคนิมิตบังเกิดแลว นิวรณธรรมทั้งปวงมีกามฉันทนิวรณเปนตนนั้น ก็ไดชื่อวา พระโยคาพจรขมเสียไดโดยแท กิเลสธรรมทั้งปวงก็ไดชื่อวาสงบสงัดแท จิตนั้นก็ไดชื่อวาตั้งมั่น เปน อุปจารสมาธิแทไดชื่อวาสําเร็จกิจกามาพจรสมาธิภาวนาแตเพียงนั้น แลปฏิภาคนิมิต อันพระโยคาพจรไดพรอมดวยอุปารสมาธิภาวนานั้น มิใชวาไดดวยงายไดยากยิ่งนัก เหตุ ฉะนี้เมื่อปฎิภาคนิมิตบังเกิดแลว ใหพระโยคาวจรมีเพียรจําเริญภาวนาภิยโยภาคครั้งเดียวนั้นอยาคลาย บัลลังกเลย อันอุตสาหะถึงอัปปนาไดดวยบัลลังกอันเดียวนั้น เปนสุนทรสิริสวัสดิ์สถาพรยิ่งนัก ถามิ อาจเพียรใหดําเนินขึ้นถึงภูมิพระอัปปนา ไดก็ใหพระโยคาพจรมีสติอยาไดประมาท พึงอุตสาหะปฏิบัติ ในรักขนาพิธีพิทักษรักษาปฏิภาคนิมิตนั้นเปรียบประดุจ รักษาทารกในครรภที่มีบุญจะไดเปนบรมจักร แลรักขนาพิธีจะรักษาปฎิภาคนิมิตนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจาวิสัชนาวา พระโยคาพจรผูจะรักษาปฏิภาคนิมิตนั้นใหเวนเสียซึ่ง เหตุอันมิไดเปนที่สบาย ๗ ประการ คืออาวาสอันมิไดเปนที่สบายประการ ๑ โคจรคามอันมิไดเปนที่ สบายประการ ๑ ติรัจฉานกถาประการ ๑ บุคคลอันมิไดเปนที่สบายประการ ๑ โภชนะมิไดเปนที่สบาย ประการ ๑ ฤดูมิไดเปนที่สบายประการ ๑ อิริยาบถอันมิไดเปนที่สบายประการ ๑ สิริเปนเหตุอันมิได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 13 เปนที่สบาย ๗ ประการดวยกัน อาวาสมิไดเปนที่สบายนั้น พระโยคาพจรจะพึงรูดวยสามารถกําหนดจิต อาวาสอันใดพระ โยคาพจรไปอาศัยบําเพ็ญภาวนาอยูถึง ๓ วัน แลวจิตไมตั้งมั่นลงไดเลย สตินั้นลอยมืดมนไปไมพบไม ปะอุคคหะแลปฏิภาคนิมิตที่เคยบังเกิดแตกอนนั้น ก็สาบสูญไปไมมีวี่แวว จิตที่เคยตั้งมั่นก็ไมตั้งมั่น สติ ที่เคยแนนอนแตกอนนั้นก็ลอยไปไมเหมือนแตกอน อาวาสอยางนี้แลไดชื่อวาอาวาสมิไดสบายแล โคจรคามมิไดสบายนั้น คือบานที่พระโยคาพจรไปอาศัยบิณฑบาตนั้น มิไดอยูในทิศอุดร มิไดอยูใน ทิศทักษิณ ถาบานนั้นอยูขางทิศตะวันตก เมื่อไปบิณฑบาตแลวแลกลับมาสูอาวาสนั้นแสงพระอาทิตยสองหนา ถามิดังนั้นบานอยู ขางทิศตะวันออก เมื่อเวลาออกจากอาวาสไปเพื่อจะบิณฑบาตนั้น แสงพระอาทิตยสองหนาบานนั้น อยูไกลกวา ๓ พันชั่วธนู อยูไกลกวา ๑๕๐ เสน ขาวแพงบิณฑบาตไดดวยยาก โคจรคามอยางนี้แลได ชื่อวาโคจรคามมิไดสบาย แลติรัจฉานกถานั้นมี ๓๒ ประการ ราชกถา คือกลาวถึงพระยามหากษัตริยวามีอานุภาพ มากดังนี้ ๆ รูปโฉมงดงามดังนี้ ๆ รูศีลปศาสตรวิเศษดังนี้ ๆ กลาหาญในการศึกสงครามดังนี้ ๆ กลาว เนื่องโดยโลกียเนื่องดวยฆราวาสอยางนี้ เปนติรัจฉานกถาเปนปฐมโจรกถากลาวถึงโจรวา โจรนั้น ๆ รูปรางสูงต่ําดําขาวพีผอมอยางนั้น ๆ รายกาจกลาหาญกระทําโจรกรรมสิ่งนั้น ๆ ไดทรัพยสิ่งของนั้น ๆ มาอันนี้เปนติรัจฉานกถาคํารบ ๒ มหามตฺตกถา กลาวถึงมหาอํามาตยวาผูนั้นสูงยศสูงศักดิ์ดังนี้ ๆ พระบรมมหากษัตริยโปรดปรานีดังนี้ บริบูรณดวยบุตรภรรยาดังนี้ ๆ จัดเปนติรัจฉานกถาคํารบ ๓ เสนากถา กลาวถึงเสนาวายกทัพไปเปนกระบวนศึก เสนาชางตกแตงอยางนั้น เสนามาประดับ ประดาอยางนั้น เสนารถแตงดังนี้ เสนาบทจรถือสาตราวุธธนูหนาไมปนใหญปนนอยดังนี้ ๆ จัดเปน ติรัจฉานดถาคํารบ ๔ ภยกถา กลาวถึงภัยอันตราย เปนตนวาชางรายที่นั้น ๆ มันแทงมันไลย่ําไลเหยียบดังนั้น ๆ เสือรายปานั้น มันดอมมันมองคอยจับคอยฟดหยิกขวนคาบคั้นดังนั้น ๆ จัดเปนติรัจฉานกถาคํารบ ๕ ยุทฺธกถา กลาวถึงการสงครามนั้น ๆ เกิดฆาเกิดฟนเกิดรบเกิดตีกันดังนี้ ๆ จัดเปนติรัจฉานกถาคํา รบ ๖ อนฺนกถา กลาวถึงขาววาที่นั้นงามที่นั้นไมงาม ที่โนนเขากระทําไดมาก ที่นี้เขากระทําไดนอย ไรโนนขาวขาวไรนี้ขาวจาวไรนั้นขาวเหนียว ขาวพรรณนั้น ๆ ฉันมีรส ขาวพรรณนี้ ๆ ฉันไมมีรส กลาวถึงขาวเปนอาทิดังนี้ จัดเปนติรัจฉานกถาคํารบ ๗ ปานกถา กลาวถึงน้ําวาน้ําที่นั้น ๆ ขุนเปน เปอกตมเปนน้ําใบไมน้ําแรน้ําพลวง น้ําที่นั้น ๆ เปนน้ําใสน้ํานาอาบนากิน กลาวถึงน้ําเปนอาทิ ฉะนี้ วตฺถกถา กลาวถึงนุงผานุงผาหมโขมพัสตร กัปปาสิกพัสตร โกสัย จัดเปนติรัจฉานกถาคํารบ ๘ พัสตร กัมพลพัสตร สาณพัสตรจัดเปนติรัจฉานคํารบ ๙ สยนกถา กลาวถึงที่หลับที่นอน เปน ติรัจฉานกถาคํารบ ๑๐ มาลากถา กลาวถึงดอกไมสรรพตาง ๆ ในน้ําแลบกเปนติรัจฉานกถาคํารบ ๑๑ คนฺธกถา กลาวถึงเครื่องหอมเครื่องลูบไลชโลมทาแตบรรดาสุคันธชาติสรรพทั้งปวงนั้น เปนติรัจฉานกถาคํารบ ๑๒ ญาตกถา กลาวถึงญาติแหงตนวากอปรไปดวยสุรภาพแกลวกลาสามารถดังนั้น เคยขี่ยวดยาน คานหามพากันเที่ยวเปนดังนี้ ๆ เปนอาทิจัดเปนติรัจฉานกถาคํารบ ๑๓ ยานกถา กลาวถึงยวดยาน คานหามชาง มารถเกวียนมีประเภทตาง ๆ นั้น เปนติรัจฉานกถาคํารบ ๑๔ คามกถา กลาวถึงบาน วาบานตําบลนั้นตั้งอยูเปนอันดี บานนั้นตั้งมิดี บานโนนขาวแพง บานนั้นขาวถูกชาวบานนั้น ๆ แกลว กลาสามารถเปนอาทิดังนี้ จัดเปนติรัจฉานกถาคํารบ ๑๕ นิคมกถา กลาวถึงนิคมคือ กลาวถึงบาน ใหญดุจกลาวแลวในนามคาถานั้น เปนติรัจฉานกถาคํารบ ๑๖ นครกถา กลาวถึงชนบทดุจกลาว มาแลว จัดเปนติรัจฉานกถาคํารบ ๑๗ นครกถา กลาวถึงเมืองนั้นตั้งชอบกล เมืองนั้นตั้งไมชอบกล เมืองนั้นขาวแพง เมืองนั้นขาวถูก คนในเมืองนั้นกลาหาญ คนในเมืองนั้นมิไดกลาหาญ กลาวเปนอาทิ ฉะนี้ เปนติรัจฉานกถาคํารบ ๑๘ อิตฺถิกถา กลาวถึงหญิงเปนตนวารูปงามโฉมงามนารักนาใครดังนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 14 ๆ เปนติรัจฉานกถาคํารบ ๑๙ สุรกถา กลาวถึงคนกลา กลาชางกลาเสือกกลาศึกสงครามเปนอาทิ นั้น เปนติรัจฉานกถาคํารบ ๒๐ วิสิขากถา กลาวถึงตรอกนอยตรอกใหญถนนหนทาง เปนติรัจฉานกถาคํารบ ๒๑ กุมฺภ กลาวถึงกุมภทาสี่ที่ตักน้ํา วารูปงามฉลาดขับรองเปนอาทิ เปนติรัจฉานกถาคํารบ ทาสิกถา ๒๒ ปุพฺพเปตกถา กลาวถึงญาติที่ลวงไปแลวแตกอน ๆ นั้น เปนติรัจฉานกถาคํารบ ๒๓ นานตฺ ตกถา กลาวตาง ๆ แตบรรดาที่หาประโยชนบมิไดนั้น เปนติรัจฉานกถาคํารบ ๒๔ โลกกฺขายกถา กลาวถึงลัทธิโกหก อันพาลในโลกเจรจากันวา แผนดินแผนฟานี้ทาวมหาพรหมตกแตง คําที่วากา เผือกนั้นบมิไดผิด เพราะเหตุที่วากระดูกมันขาว คําที่วานกยางแดงนั้นบมิไดผิด เหตุวาเลือดมันแดง กลาวถึงลัทธิโกหกอันพาลในโลกเจรจากันเปนอาทิฉะนี้ จัดเปนติรัจฉานกถาคํารบ ๒๕ สมฺทฺทก ขายิกา กลาวถึงมหาสมุทรวามหาสมุทรนี้ไดชื่อวาสาคร เหตุวาพระราชบุตรแหงพระยาสาครจัดแจง ใหขุด ใหชื่อวาสมุทร ๆ นั้นเพราะวาพระยากําพระหัตถเขา ใหชนทั้งหลายรูวาทะเลนี้พระยาใหขุด กลาวถึงสมุทรเปนอาทิฉะนี้ เปนติรัจฉานกถาคํารบ ๒๖ อิติภวาภวกถา กลาวถึงภวะแลอภวะมี ๖ ประการ คือกลาว สสฺตทิฏิ วาสัตวโลกเที่ยงอยูไมแปรปรวน คือกลาว อุจฺเฉททิฏิ วาสัตวโลกจุติ แลวก็สูญไป บมิไดปฏิสนธิ ๑ คือกลาวถึงเจริญสมบัติ ๑ คือกลาวถึงเสื่อมจากสมบัติ ๑ คือกลาว สรรเสริญสุขในเสพกาม ๑ คือกลาวอัตตกิลมถานุโยค ประกอบความเพียรใหลําบากกายเปนฝาย ปฏิบัติแหงเดียรถีย ๑ เปน ๖ ประการดวยกัน ชื่อวาอิติภาวภวกถา สิริเปน ๓๒ ดวยกันกับติรัจฉานกถา ๒๖ ที่กลาวแลวในกอนนั้น ติรัจฉาน ๓๒ ประการนี้รวมกันเขาเปน ๑ บุคคลเปนเหตุอันมิไดเปนที่สบายนั้นไดแกบุคคล อันเปนพาล พอใจแตที่จะเจรจาเปนติรัจฉานกถา มากไปดวยการบํารุงบําเรอกาย คบหาบุคคลเห็น ปานฉะนี้ มีแตจะเศราจะหมอง เปรียบประดุจเอาน้ําใสไประคนดวยน้ําเปอกน้ําตม อับคบบุคคลเห็น ปานฉะนี้ ถึงไดฌานสมาบัติอยูแลว ฌานนั้นก็จะเสื่อมสูญ จะปวยกลาวไปไยถึงปฏิภาคนิมิตนั้นเลา จะ สงสัยวาไมเสื่อมสูญ มีแตจะเสื่อมจะสูญนั้นแลเปนเบื้องหนา และโภชนะมิไดเปนที่สบายนั้น ประสงค โภชนะที่ฉันแลวแลกระทําใหเสียสติอารมณ อธิบายวาโยคาวจรบางพระองคนั้นมีความสบาย ดวย โภชนะที่หวาน ๆ บางพระองคมีความสบายฉันโภชนะที่เปรี้ยว ๆ ครั้นมีความสบายดวยเปรี้ยวไปได รับประทานหวาน มีความสบายดวยหวานไปรับประทานที่เปรี้ยว ที่นั้นไมมีความหมาย กายแลจิตนั้น กําเริบสมาธิที่ยังมิไดบังเกิดนั้นก็มิไดบังเกิดเลยที่แลวก็เสื่อมสูญอันตรธานโภชนะที่ไมชอบอยางนี้แล ไดชื่อวาโภชนะมิไดเปนที่สบาย แลฤดูมิไดเปนที่สบายนั้น ประสงคเอาฤดูที่กระทําใหเสียสติอารมณ อธิบายวาโยคาพจร บางพระองคนั้นมักชอบเย็น บางพระองคมักชอบรอน ครั้นสบายดวยรอนไปตองเย็น มีความสบายดวย เย็นไปตองรอน ในที่นั้นก็ไมมีความสบาย กายแลจิตนั้นก็ฟุงซาน สมาธิที่บังเกิดแลวก็อันตรธาน ที่ยัง มิไดบังเกิดนั้นก็ไมบังเกิดเลย ฤดูที่ไมชอบอยางนี้แลไดชื่อวาฤดูมิไดเปนที่สบาย และอิริยาบถมิได เปนที่สบายนั้นไดแกอิริยาบถอันกระทําใหเสียสติอารมณ อธิบายวาโยคาพจรบางพระองคนั้นชอบ จงกรม บางพระองคนั้นชอบยืน บางพระองคนั้นชอบนอน เหตุฉะนี้ใหพระโยคาพจร พิจารณาอิริยาบถ ทั้ง ๔ นั้นอิริยาบถละ ๓ วัน อิริยาบถอันใดกระทําใหเสียสติอารมณ สมาธิที่เคยบังเกิดแลวก็สูญไป ที่ ยังมิไดบังเกิดนั้นก็ไมบังเกิดเลย อิริยาบถมิไดชอบอยางนี้แลไดชื่อวาอิริยาบถมิไดเปนที่สบาย เหตุ อันมิไดเปนที่สบายทั้ง ๗ ประการนี้ พระโยคาพจรจึงสละเสียพึงเสพซึ่งสบาย ๘ ประการคืออาวาสอันเปนที่สบายประการ ๑ โคจรคาม อันเปนที่สบายประการ ๑ สปฺปายกถา กลาวถอยคําเปนที่สบายประการ ๑ บุคคลเปนที่ สบายประการ ๑ โภชนะเปนที่สบายประการ ๑ ฤดูที่เปนที่สบายประการ ๑ อิริยาบถเปนที่สบาย ประการ ๑ สิริเปนที่สบาย ๗ ประการดวยกัน อาวาสสบายนั้นไดแกอาวาสอันชอบอัชฌาสัย อยูใน อาวาสอันใดบําเพ็ญภาวนาเปนที่ผาสุกภาพ อุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตที่ยังมิไดบังเกิดนั้นก็บังเกิดขึ้น ที่บังเกิดแลวก็ถาวรตั้งมั่นมิไดเสื่อมสูญ สติแนจิตตั้งมั่น อาวาสอันชอบดวยฌัชฌาสัยอยางนี้แล ได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 15 ชื่อวาอาวาสสบายเหมือนอยางกุฎีที่มีชื่อจุลนาคเสนในลังกาทวีปนั้น พระภิกษุบําเพ็ญพระกรรมฐาน ในที่นั้นไดบรรลุพระอรหันตคณนาได ๕๐๐ พระองค ที่ไดสําเร็จพระศาสดาพระสกิทาคาในที่อื่น ๆ แลวแลมาไดพระอรหันตในที่นั้นจะนับคณาบมิได แลวิหารอื่น ๆ มีจิตบรรพตวิหารเปนอาทิ แตบรรดาที่พระโยคาพจรสํานักอาศัยกระทําเพียงไดสําเร็จมรรคแลผลธรรมวิเศษเหมือน อยางที่กุฎีที่เรนชื่อวาจุลนาคเสนนี้ ก็ไดชื่อวาอาวาสเปนที่สบายสิ้นทั้งนั้นแลโคจรคามเปนที่สบายนั้น ไดแกโคจรคามที่ตั้งอยูในทิศอุดร ถามิดังนั้นตั้งในทิศทักษิณ เมื่อภิกษุไปบิณฑบาทก็ดี กลับมาแต บิณฑบาทก็ดี แสงพระอาทิตยจะไดสองหนาหาบมิได โคจรคามนั้นอยูภายใน ๓ พันชั่วธนู คือ ๑๕๐ เสน ขาวถูก บิณฑบาทงาย แล สปฺปายกถา ถอยคําอันเปนที่สบายนั้นไดแก กถาวัตถุ ๑๐ ประการ อปฺปจฺฉตา คือกลาวถึงมักนอย ประการ ๑ สนฺตุฎฐิ กลาวถึงสันโดษประการ ๑ ปวิเวโก กลาวถึงวิเวกมีกายวิเวกมีกายวิเวกเปน อสํสคฺโค กลาวถึงปฏิบัติที่บมิไดระคนอยูดวยหมูคณะประการ ๑ วิริยารมฺโภ อาทิประการ ๑ กลาวถึงพิธีที่ปรารถความเพียรประการ ๑ สีลกถา กลาวถึงศีลประการ ๑ สมาธิกถา กลาวถึง สมาธิกรรมฐานประการ ๑ ปฺญากถา กลาวถึงปญญากรรมฐาน วิมุตฺติกถา กลาวถึงอรหันตผล วิมุตติประการ ๑ วิมุตฺติญานทสฺสนกถา กลาวถึงปจจาเวกขณญาณประการ ๑ สิริเปนกถาวัตถุ ๑๐ ประการ กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้แลเรียกวาสัปปายกถา วาเปนถอยคําอันนํามาซึ่งความสบายแกภิกษุผู เจริญพระกรรมฐาน ๆ พึงกลาวแตพอควรแกประการ แลบุคคลอันเปนที่สบายนั้น ไดแกบุคคลอัน บริบูรณดวยศีลาทิคุณ มิไดพอใจเจรจาเปนติรัจฉานกถา มีแตจะแนะจะนํากระทําใหเปนประโยชน จิต ที่ยังมิไดตั้งมั่นก็จะตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่นแลวก็จักตั้งมั่นโดยพิเศษ แลโภชนะอันเปนที่สบายนั้น ไดแก โภชนะอันเปนที่อาศัยแหงพระโยคาพจร ๆ ฉันโภชนะอันใดแลมีความสุข จิตที่ยังมิไดตั้งมั่นก็ตั้งมั่น ที่ตั้งมั่นแลวก็ตั้งมั่นโดยพิเศษ โภชนะสิ่งนั้นเรียกวาโภชนะสบาย แลอุตุสัปปายนั้นไดแกรอนแลเย็นอันเปนที่ชอบ อัชฌาสัย โยคาพจรเจาเสพรอนแลเย็นสิ่งใดแลบังเกิดความสุขจิตที่ยังมิไดตั้งมั่นก็ตั้งมั่น ที่ตั้งมั่นแลว ก็ตั้งมั่นโดยพิเศษ รอนแลเย็นสิ่งนั้นแลไดชื่อวาอุตุสัปปาย แลอิริยาบถสัปปายนั้นไดแกอิริยาบถอันให บังเกิดความสุขโยคาพจร โยคาพจรเสพอิริยาบถอันใด จิตที่ยังมิไดตั้งมั่นก็ตั้งมั่น ที่ตั้งมั่นแลวก็ตั้งมั่น โดยพิเศษ อิริยาบถอันนั้นแลไดชื่อวาอิริยาบถสัปปาย พระโยคาพจรเจาปฏิบัติในรักขนาพิธีเวนเสีย ซึ่งอัปปาย ๗ ประการ เสพซึ่งสัปปาย ๗ ประการ มีนัยดังสําเเดงมาดังนี้ก็อาจจะรักษาปฏิภาคนิมิตนั้น ไวได เมื่อเสพปฏิภาคนิมิตนั้นเปนไปดวยอุปาจารสมาธิจิต บางพระองคก็สําเร็จอัปปนาสมาธิบมิได เนิ่นชา ถาพระโยคาพจรเจาพระองคใดปฏิบัติในรักขนาพิธีดังนี้แลว แลยังบมิไดสําเร็จพระอัปปนา สมาธิ ก็ใหพระโยคาพจรเจาพระองคนั้นปฏิบัติตามพิธีแหง อัปปนาโกศล ๑๐ ประการ ใหบริบูรณใน สันดาน วตฺถุวิสทตา คือกระทําใหวัตถุภายในภายนอกสละสลวยนั้นประการ ๑ นิมิตตฺตกุสลตา ใหฉลาดในนิมิตนั้นประการ ๑ กระทําใหอินทรียเสมอกันประการ ๑ เห็นวาจิตควรจะยกยองก็พึงยก ยองประการ ๑ เห็นวาจิตควรขมก็พึงขมเสียประการ ๑ เห็นวาจิตควรจะเพงดูก็พึงเพงดูประการ ๑ พึง เวนเสียซึ่งบุคคลที่มีจิตมิไดตั้งมั่นประการ ๑ พึงเสพซึ่งบุคคลที่มีจิตตั้งมั่นประการ ๑ พึงรักใครยินดี ในอัปปนาสมาธินั้นประการ ๑ สิริเปนอัปปนาโกศล ๑๐ ประการ ที่วาใหกระทําวัตถุภายในภายนอกให สละสลวยนั้นจะใหทําเปนประการใด อธิบายวากระทําวัตถุภายในใหสละสลวยนั้น คือใหปลงใหตัด เสียซึ่งผมอันยาว ขนอันยาว เล็บอันยาว เมื่อจะเขานั่งนั้น ใหอาบน้ําชําระกายใหปราศจากเหงือและ ไคลกอนจึงนั่งที่วากระทําวัตถุภายในภายนอกใหสละสลวยนั้นคือ ใหสุผายอมผา อยาใหผานั้นเศรา หมองเหม็นสาบเหม็นไอ เสนาสนะนั้นก็พึงปดกวาดใหปราศจากหยากเยื่อเชื้อฝอยทั้งปวง เมื่อวัตถุภายในแลภายนอกสละสลวยดีแลว ขณะเมื่อนั่นนั้นจิตแลเจตสิกก็จะสละสลวย ปญญาก็จะสละสลวยจะรุงเรือง มีอุปมาดุชเปลวประทีปอันไดกระเบื้องดีน้ํามันดีไสดีแลวแลรุงเรือง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 16 เมื่อปญญาสละสลวยรุงเรืองบริสุทธิ์ดีแลว แลพิจารณาสังขาร ๆ ก็จะปรากฏแจงพระกรรมฐานก็ถึงซึ่ง เจริญแลไพบูลย ถากระทําวัตถุภายในภายนอกมิไดสละสลวย คือมิไดชําระเสียซึ่งเล็บยาวผมยาวขน ยาว ผานุงผาหมก็ละไวใหเศราหมองเหม็นสาบเหม็นไอ เสนาสนะก็ไมปดไมกวาด เมื่อจะนั่งเลาก็มิได อาบน้ําชําระกายหมักเหงือหมักไคล เมื่อกระทําดังนั้นจิตแลเจตสิกจะมิไดสละสลวย ปญญาก็มิได สละสลวยจะมิไดรุงเรือง มีอุปมาดุจเปลวประทีบอันไดกระเบื้องชั่วน้ํามันไสชั่ว แลมิไดรุงเรืองนั้น ครั้น ปญญามิไดรุงเรือง มิไดบริสุทธิ์แลว แลพิจารณาสังขารจะมิไดปรากฏแจง พระกรรมฐานมิไดเจริญ ไพบูลย เหตุฉะนี้กุลบุตรผูจะเรียนพระกรรมฐานนั้นพึงกระทําวัตถุภายในภายนอกใหสละสลวย ที่วา ใหฉลาดในนิมิตนั้น คือใหฉลาดที่จะยังนิมิต คือเอกัคคตาจิตอันมิไดบังเกิดนั้นใหบังเกิด นิมิตที่ บังเกิดแลวนั้นก็ใหฉลาดที่จะรักษาไว อยาใหอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตที่ตนไดนั้นเสื่อมสูญเสีย ที่วาใหทําอินทรียใหเสมอกันนั้น คือใหกระทําศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา นั้นเสมอกัน ถาศรัทธานั้นกลากวา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา ขมวิริยะ สติ สมาธิ ปญญา อยูแลว วิริยะก็จะมิอาจ สามารถกระทําปคคหกิจ คือบมิอาจค้ําชูจิตนั้นไวใหยั่งยืนอยูในพิธีทางภาวนานั้นได สตินั่นจะมิอาจ กระทําอุปฏฐานกิจ คือมิอาจบํารุงจิตใหยึดเหนวงอารมณแหงพระกรรมฐานนั้นได สมาธินั้นก็จักมิอาจ กระทําอวิกเขปนกิจ คือมิอาจดํารงจิตไวใหแนเปนหนึ่งได ปญญานั้นเลาก็จักมิอาจกระทําทัสสนกิจ คือมิอาจพิจารณาเห็นอารมณคือปฏิภาคนิมิตนั้นได เปนทั้งนี้ก็อาศัยดวยศรัทธานั้นกลาหาญนัก วิริยะนั้นเลาถากลาหาญขมศรัทธา สติ สมาธิ ปญญา อยูแลวศรัทธาจักมิอาจกระทําอธิ โมกขกิจ คือมิอาจกระทําใหจิตนั้นมีศรัทธากลาหาญมีกําลังขมได สติแลสมาธิปญญาก็จักมิอาจ สามารถที่จะใหสําเร็จกิจแหงตน ๆ ได อาศัยดวยวิริยะกลาหาญมีกําลังนัก สมาธินั้นเลาถามีกําลังขม ศรัทธา วิริยะ สติ ปญญา อยูแลว ศรัทธา วิริยะ สติ ปญญา นั้นก็จะมิอาจสามารถสําเร็จกิจแหงตน ๆ ได ทีนั้นความเกียจครานก็จะครอบงําย่ํายีไดเพราะเหตุวาสมาธินั้นเปนฝกฝายโกสัชชะ ปญญานั้นเลา ถากลาหาญขมศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิอยูเเลว ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ก็จะมิอาจสามารถใหสําเร็จกิจ แหงตน ๆ ได ทีนั้นก็จะเห็นผิดเปนเกราฏิยปกขมักโออวดไปกลับหลังมิไดใครจะได ดุจโรคอันเกิดขึ้น ดวยยาพิษแลรักษายากนัก แตสติสิ่งเดียวนั้นถึงจะกลาหาญมีกําลังมาก ก็มิไดเปนโทษ สติยอมรักษาไวซึ่งจิตมิให ฟุงซานเกียจครานได ศรัทธากลา วิริยะกลาปญญากลา จิตจะตกไป ฝายอุทธัจจะฟุงซานอยูแลว สติ ก็รักษามิใหฟุงซานกําเริบได สมาธิกลา จิตจะตกไป ฝายโกสัชชะจะเกียจครานอยูแลว สติก็รักษาไวมิ ใหเกียจครานไดสตินี้เปรียบประดุจดังวา เกลือเจือไปในสูปพยัญชนะทั้งปวง ถามิดังนั้นเปรียบประดุจ ดังมหาอํามาตยผูใหญ อันเอาใจใสรอบครอบไปในราชกิจทั้งสิ้นทั้งปวง สติมากนี้ดีเสียอีก จะเปน โทษนั้นหามิได แตศรัทธา วิริยะ สมาธิ ปญญา ทั้ง ๔ นี้จําจะกระทําใหเสมอกันจึงจะดี ศรัทธานี้ถากลาหาญมีกําลังปญญานอย ก็นาที่จะเลื่อมใสในอันใชฐานะภายนอกพระ ศาสนา ปญญานั้นเลาถาวามีกําลังศรัทธากลาศรัทธานอยก็จะเห็นผิดเปนเกราฏิยปกขไป เมื่อใด ปญญาแลศรัทธากลาเสมอกันแลว จึงจะเลื่อมใสในพระรตนัตยาทิคุณ ๓ ประการ มีพระพุทธคุณเปน ตน สมาธินั้นเลาถากลาหาญวิริยะนอย ความเกียจครานก็จะครอบงําย่ํายี ถาวิรยะกลาสมาธินอยจิต ฟุงซานกําเริบไปเมือใดวิริยะดับสมาธินั้นเสมอใหเสมอกัน จึงจะดีในการที่จะเจริญพระกรรมฐาน เหตุฉะนี้กุลบุตรผูเรียนพระกรรมฐาน พึงกระทําใหศรัทธากับปญญานั้นเสมอกัน ประกอบ วิริยะกลับสมาธินั้นใหเสมอกัน เมื่อมาทั้ง ๔ คือ ศรัทธา ปญญา วิริยะ สมาธิ เดินดีเสมอกันอยูแลว ราชรถกลาวคือจิตก็จะไปไดถึงที่เกษม คืออัปปนาอันเที่ยงแท ถาศรัทธา ปญญา วิริยะ สมาธิ ทั้ง ๔ นี้ ไมเสมอกันจะมิไดอัปปนาฌานเลย จะเปนดังนั้นหรือทานวาไวอีกนัยหนึ่งวา อปจ สมาธิกมฺมิกสฺส พลวตีป สทฺธา วฏฏติ วาภิกษุผูเรียนสมณกรรมฐานนี้ ถึงศรัทธาจะกลาหาญก็ควรอยู เพราะเหตุวา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 17 ศรัทธานั้นเมื่อบังเกิดกลาหาญเชื่อแทในพระกรรมฐาน หยั่งลงในพระกรรมฐานเปนมั่นแลว อปฺปนํ ปาปฺณิสฺสติ ก็อาจใหถึงซึ่งอัปปนาฌานโดยประสงคผูเรียกวิปสสนานั้น ถาปญญากลาหาญ มีกําลังก็ ควรอยู ปญญาที่กลานั้นจะไดตรัสรูซึ่งอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะดวยเร็วพลัน ทาน วาไวเปนกอปรนัยออกมาฉะนี้ ที่วาเห็นจิตควรจะยกยองก็ใหยกยองนั้นคือขณะเมื่อนั่งจิตในพระ กรรมฐานภาวนานั้น ถาเห็นวาจิตนั้นหดหอทอถอยตกไปฝกฝายโกสัชชะเกียจครานแทแลว ก็พึงเจริญธัมม วิจยสัมโพชฌงคแลวิริยสัมโพชฌงค แลปติสัมโพชฌงค ๓ นี้ ตามแตจะเจริญโพชฌงคอันใดอันหนึ่ง พึงกระทําใหจิตอันหดหอนั้นเฟองฟูขึ้นกอน แลวจึงจะเจริญพระกรรมฐานภาวนาสืบตอไป ในกาลเมื่อ จิตหดหอนั้นอยาพึงเจริญปสสิทธิสัมโพชฌงค แลสมาธิสัมโพชฌงค แลอุเบกขาสัมโพชฌงคจิตจะ หดหอหนักไป เปรียบดังชายอันกอเพลิงอันนอย เพลิงนอยจะดับอยูแลวถาเอาหญาสดมูลโคสดฟน สดมาใสเขา กวาดเอาฝุนมามูลเขา เพลิงนั้นก็จะดับไป ถาเห็นเพลิงนั้นนอยอยูแลวแลเอามูลโคแหง ๆ มาติดเขาเอาหญาแหงมาวางลง เอาฟนแหงมาเกรียงออกใสเขาไวอุตสาหเปาไปดวยลมปากเพลิง นั้นก็จะติครุงเรืองเปนแท อันนี้แลฉันใด อุปไมยดังโยคาพจรผูเจริญพระกรรมฐานภาวนา ๆ นั้นเมื่อเห็นวาจิตหดหออยูแลว แล เจริญปสสัทธิสัมโพชฌงค สมาธิสัมโพชฌงค อุเบกขาสัมโพชฌงค จิตนั้นก็จะหดหอหนักไป อุปมา ดังเพลิงนอยอันจะดับอยูแลว แลชายเอามูลโคสดหญาสดมาใสลงแลดับไปนั้น ถาเห็นวาจิตหดหออยู แลว แลเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค วิริยสัมโพชฌงค ปติสัมโพชฌงค จิตที่หดหอนั้นก็จะเฟองฟูขึ้น อุปมาดังชายเห็นเพลิงนอยแลว แลเอามูลโคแหงหญาแหงฟนแหงมาใสลงเปาไป ๆ แลไดกองเพลิง อันใหญรุงเรืองนั้น ที่วาจิตควรจะขมก็พึงขมนั้นอธิบายวา ถาจิตฟุงซานดวยสามารถศรัทธากลา วิริยะกลา ปญญากลา เห็นวาฟุงซานกําเริบรอน ก็พึงเจริญปสสัทธิสัมโพชฌงค สมาธิสัมโพชฌงค อุเบกขาสัม โพชฌ.ค พระโพชฌงคทั้ง ๓ นี้ ตามแตจะเจริญโพชฌงคอันใดอันหนึ่ง แลปติสัมโพชฌงค จิตจะ ฟุงซานมากไป กระทําอาการใหเหมือนชายอันจะดับกองเพลิงอันใหญ ๆ นั้น ก็ขนเอาหญาสด ๆ มูล โคสด ๆ ฟนสด ๆ มาทุมลง ๆ เพลิงนั้นก็จะดับไปอันควรแกอัชฌชสัย ถาแลปรารถนาจะดับกองเพลิง อันใหญ แลขนเอาหญาแหงมูลโคแหงฟนแหงมาทุมลง ๆ แลวเพลิงนั้นก็จะหนักไป ๆ ฉันใดก็ดี พระ โยคาพจรผูเจริฐพระกรรมฐานภาวนานี้ ถาเห็นจิตฟุงซานอยูแลวแลเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค วิริยสัมโพชฌงค ปติสัมโพชฌงค จิตนั้นก็กําเริบหนักไป ถาวาจิตฟุงซานอยูแลว แลเจริญปสสัทธิสัมโพชฌงค สมาธิสัมโพชฌงค อุเบกขาสัมโพชฌงค จิตนั้นก็จะสงบสงัดระงับลง เปรียบประดุจชายอันจะดับกองเพลิงอันใหญ ขน เอาโคมัยแลหญาแลไมที่สด ๆ มาทุมลง ๆ แลเปลวเพลิงดับไปนั้นแลคําที่วาจิตควรจะใหชื่นก็กระทํา ใหชื่นนั้น ขณะเมื่อจิตสังเวชสลดอยูเปนเหตุดวยพิจารณา สังเวควัตถุ ๓ ประการคือ ชาติทุกข ชรา ทุกข พยาธิทุกข มรณทุกข อดีตทุกข อนาคตวัฏฏทุกข ปจจุบันนาหารปริเยฏฐิตทุกขนั้น พระ โยคาพจรเจาเห็นวาจิตนั้นสลดไปก็ถึงระลึกถึง พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ พึงกระทําจิตนั้นใหผองใส บริสุทธิ์ใหชื่นอยู ดวยระลึกถึงพระรตนัตยาธิคุณอยางนี้แลไดชื่อวากระทําน้ําจิตที่สมควรจะใหชื่นนั้น ใหชื่นชมโสมนัส ที่วาจิตควรจะเพงดูก็ใหพึงเพงดูนั้น คือขณะเมื่อจิตประพฤติเปนอันดี ตามกรรมฐานวิถีอยู แลว พระโยคาพจรถึงประพฤติมัธยัสถเพงดูซึ่งจิต อันประพฤติเสมอไลตามสมถวิถีนั้น กระทําอาการ ใหเหมือนนายสาารถีอันขับรถ เห็นพาชีเดินเสมออยูแลวแลไมตีไมตอนคอยแตดู ๆ ที่วาใหเวนซึ่ง บุคคลอันมีจิตมิไดตั้งมั่นคือใหละเสียซึ่งบุคคลอันมิไดปฏิบัติขมฌาน มีจิตอันฟุงซานกําเริบอยูดวย อารมณตาง ๆ ขวนขวายที่จะกระทําการตาง ๆ นั้น พึงสละเสียใหไกลอยาไดคบหาสมาคม พึงสมาคม ดวยบุคคลอันมีจิตตั้งมั่น ๆ นั้น ไดแกบุคคลผูปฏิบัติในฌาน มักเขาไปหาสูสมาคมดวยทานที่ไดสมาธิ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 18 จิต คนจําพวกนี้แลไดชื่อวาบุคคลมีจิตอันตั้งมั่น ๆ นี้ สมควรที่พระโยคาพจรจะพึงคบหาสมาคม ตทธิมุตฺตตา ประการหนึ่งใหมีใจเคารพในอัปปนาสมาธิ พึงกระทําน้ําจิตนั้นใหงอมให เงื้อมไปในอัปปนาสมาธิ สิริเปนอัปปนาโกศล ๑๐ ประการดวยกัน แลพระโยคาพจรผูกระทําความ เพียรในกรรมฐานภาวนานั้น ใหกระทําเพียงแคอยางกลาง อยาใหกลานักอยาใหออนนัก ครั้นกระทํา ความเพียรกลานักจิตก็จะฟุงซานกําเริบระส่ําระสาย ครั้นกระทําความเพียรออนนัก ความเกียจครานก็ จะครอบงําย่ํายีสันดานไดกระทําเพียรแตอยางกลางนั้นแลดี มีอุปมาดุจแมลงผึ้ง ๓ จําพวก แมลงผึ้งจําพวกหนึ่งนั้นมิไดฉลาดรูวา ดอกไมในประเทศโพนบานอยูแลวบินใหเร็วนักก็ เกินไป ครั้นรูตัววาเกินแลวกลับมา ละอองเกสรก็สิ้นเสียดวยแมลงผึ้งจําพวกอื่น ตนก็ชวดไดละออง เกสร ยังแมลงผึ้งจําพวกหนึ่งนั้นเลาก็ไมฉลาด เมื่อจะไปเอาชาติดเกสรนั้นบินชานัก ละอองเกสรก็สิ้น เสียแลวดวยแมลงจําพวกอื่น ตนก็ชวดไดละอองเกสรนั้น แมลงผึ้งจําพวกหนึ่งนั้นฉลาด เมื่อจะเอาชาตินวลละอองเกสรนั้น บินไปไมชานักไมเร็วนัก ก็คลึงเคลาเอาเกสรเรณูนวลไดดังความปรารถนา อันนี้แลมีฉันใด พระโยคาพจรที่กระทําความเพียร กลานักแลออนนักนั้น ก็มิไดสําเร็จฌานสมาบัติดังความปรารถนา มีอุปมาเหมือนแมลงผึ้ง ๒ จําพวกที่ มิไดฉลาด บินเร็วนักแลชานักแลมิไดละอองเกสรนั้น พระโยคาพจรที่กระทําเพียรเปนปานกลาง แล ไดสําเร็จกิจอัปนาฌานนั้น มีอุปไมย เหมือนแมลงผึ้งที่ฉลาดบินไมเร็วนักไมชานัก แลไดละอองเกสร สําเร็จดังความปรารถนานั้น ถามิดังนั้นเปรียบตอศิษย ๓ คนอันขีดใบบัวที่ลอยน้ํา อาจารยวาผูใดเอามีดขีดลงใหใบบัวนี้ เปนรอย อยาใหใบบัวนี้ขาดอยาใหจมลงในน้ํา กระทําไดดังนี้แลวจะไดลาภของสิ่งนั้น ๆ แลศิษย ๒ คนนั้นไมฉลาด คนหนึ่งขีดหนักไปใบบัวก็จมไป คนหนึ่งนั้นกลัวใบบัวขาดก็มิอาจกดคมมีดลงได ศิษย ๒ คนก็หาไดลาภสักการไม ศิษยคนหนึ่งนั้นฉลาดขีดไมหนักไมเบานั้น ใบบัวนั้นก็เปนรอยแลวก็ไม ขาดไมจมลงในน้ํา ศิษยนั้นก็ไดลาภสักการอันนี้แลมีฉันใด พระโยคาพจรที่กระทําความเพียรกลานักออนนักก็ ไมไดฌาน ที่กระทําเพียรเปนปานกลางนั้นไดฌานมีอุปไมยดังนี้ ถามีดังนั้นเปรียบตออํามาตย ๓ คน พระมหากษัตริยตรัสวา ถาผูใดนําเอาใยแมลงมุมมาไดยาว ๔ วา จะไดพระราชทานทรัพย ๔ พัน อํามาตยสองคนนั้นไมฉลาด คนหนึ่งนั้นฉุดคราเอามาโดยเร็ว ๆ พลัน ๆ ใยแมงมุมนั้นก็ขาดเปนทอน นอยทอนใหญหาไดยาว ๔ วาไม คนหนึ่งนั้นก็กลัวจะขาดมิอาจจับตองใยแมลงมุมนั้นได อํามาตยทั้ง ๒ นี้ก็มิไดทรัพย อํามาตยคนหนึ่งนั้นฉลาดกระทําเพียรพันเอาดวยไม ดวยอาการอันเสมอไมชานักไม เร็วนัก ก็ไดใยแมลงมุมยาว ๔ วา ไดทรัพย ๔ พันกหาปณะอันบรมมหากษัตริยพระราชทาน ถามิดังนั้นเปรียบดวยนายสําเภา ๓ คนผูหนึ่งกลาหาญเกินประมาณ ปะลมพายุกลาก็ไมซา ใบเลย สําเภาก็จะเสียดวยลมพายุกลา คนหนึ่งนั้นปะแตลมออน ๆ ก็ซาใบสําเภาหยุดอยูมิไดแลนไป ถึงที่ควรแกปราถนา คนหนึ่งฉลาดเห็นลมออนก็ชักใบตามเสา เห็นลมกลาก็ซาใบเลนสําเภาไปดวย อาการอันเสมอ ก็ถึงประเทศควรแกปรารถนา ถามิดังนั้นเปรียบเหมือนศิษย ๓ คนอาจารยนั้นวา ถาใครหลอน้ํามันลงไปในปลองไมอยา ใหหกใหบา คนหนึ่งนั้นก็ไมฉลาดกลัวน้ํามันจะหกก็มิอาจเทน้ํามันนั้นลงได ศิษยทั้ง ๒ ก็บมิลาภสัก การ ศิษยผูหนึ่งนันฉลาดคอยเทดวยอันประโยคอันเสมอน้ํามันก็ไหลลงอันเปนอันดี มิไดหกไดบา ศิษยผูนั้นก็ไดลาภอันอาจารยใหสําเร็จโดยจิตประสงค อันนี้แลมีฉันใดพระโยคาพจรที่กระทําความ เพียรกลาหาญยิ่งนักนั้น จิตก็ตกไป ฝายอุทธัจจะฟุงซานไปมิอาจไดสําเร็จฌานสมาบัติ ที่กระทํา ความเพียรออนนั้นเลา จิตก็ตกไปในฝายโกสัชชะเกียจครานไป มิอาจไดสําเร็จฌานสมาบัติ พระ โยคาพจรผูกระทําความเพียรโดยประโยคอันเสมอ ก็ไดสําเร็จฌานสมาบัติมีอุปไมยเหมือนดังนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 19 ในกาลเมื่อพระโยคาพจรเจากระทําบรรลุถึงอัปปนาฌานนั้น ในอัปปนาวิธีกามาพจรชวนะ บังเกิด ๓ ขณะบาง ๔ ขณะบาง ตามวาสนาที่เปนทันธาภิญญาและขิปปาภิญญา ถากุลบุตรนั้นมี วาสนาชา จะเปนทันธาภิญญากามาพจรชวนะก็บังเกิด ๔ ขณะถากุลบุตรมีวาสนาเร็วจะเปนขิปป ภิญญากามาพจรชวนะ ก็บังเกิด ๓ ขณะ กามาพจรชวนะที่บังเกิด ๔ ขณะนั้น ขณะเปนปฐมชื่อวา บริกรรมชวนะขณะเปนคํารบ ๒ ชื่อวาอุปจารชวนะ ขณะเปนคํารบ ๓ ชื่อวาอนุโลมชวนะ ขณะเปนคํา รบ ๔ ชื่อวาโคตรภูชวนะ และกามาพจรชวนะที่บังเกิด ๓ ขณะนั้น ขณะเปนปฐมชื่อวาอุปจราชวนะ ขณะเปนคํารบ ๒ นั้นชื่อวาอนุโลมชวนะ ขณะเปนคํารบ ๓ นั้นชื่อวาโคตรภูชวนะ ขอซึ่งกามาพจรเปน ปฐมเรียกวาบริกรรมชวนะนั้น เพราะเหตุเปนตนเปนเดิมในวิถีอันใหสําเร็จอัปปนา เปนผูตกแตงอัปปนากอนชวนะ อันเปน คํารบ ๒ คํารบ ๓ และคํารบ ๔ และกามาพจรชวนะอันเกิดที่ ๒ เรียกวาอุปจารชวนะนั้น เพราะเหตุ บังเกิดในที่ใกลจะสําเร็จซึ่งฌานและชวนะที่ ๓ เรียกวาอนุโลมชวนะนั้น เพราะเหตุประพฤติอนุโลม ตามบริกรรมชวนะ และอุปจารชวนะอันบังเกิดในตน นัยหนึ่งทานวาชวนะทั้ง ๓ นี้ อนุโลมตามเหตุให ไดสําเร็จซึ่งฌานเบื้องหนา เหตุดังนั้นจึงเรียกวาอนุโลมชวนะ และชวนะที่ ๔ เรียกวาโคตรภูชวนะนั้น เพราะเหตุครอบงําเสียซึ่งกามาพจรโคตรภูปกปดเสียซึ่งกามาพจรชวนะ มิไหบังเกิดสืบตอไปได โคตรภูชวนะนี้ถาบังเกิดที่ ๓ แลว ฌานก็บังเกิดที่ ๔ ที่ ๕ นั้นก็ตกภวังค ถาโคตรภูชวนะ บังเกิดที่ ๔ แลว ฌานก็บังเกิดที่ ๕ ที่ ๖ นั้นเปนภังค ฌานอันพระโยคาพจรแรกไดนั้น บังเกิดขณะ เดียวแลวก็ตกภวังค จะไดบังเกิดเปน ๒ เปน ๓ เปน ๔ เปน ๕ ขณะนั้นหามิไดฌานที่พระโยคาพจร แรกไดนั้น ไมตั้งอยูจนถึง ๓ ขณะเลยเปนอันขาดตอเมื่อไดแลวเบื้องหนานั้น ถาจะปรารถนาใหตั้งอยู สิ้นกาลเทาใด ก็ตั้งอยูสิ้นกาลเทานั้น ที่จะกําหนดขณะจิตนั้นหามิได ถากุลบุตรนั้นมีวาสนาเปนทันธาภิญญาตรัสรูชา ฌานบังเกิดที่ ๕ ถากุลบุตรเปนขีปปา ภิญญาวาสนาเเร็วตรัสรูเร็ว ฌานบังเกิดที่ ๔ ฌานนั้นจะไดบังเกิดในขณะแหงชวนะเปนคํารบ ๖ คํารบ ๗ นั้นหามิได เหตุไฉนฌานจึงมิไดบังเกิดในที่ ๖ ที่ ๗ วิสัชนาวา ฌานมิไดบังเกิดในที่ ๖ ที่ ๗ นั้น เหตุชวนะที่ ๖ ที่ ๗ นั้นใกลที่จะตกภวังค ครั้นใกลอยูที่จะตกภวังคแลวฌานก็มิอาจบังเกิดขึ้นได เปรียบตอบุรุษอันบายหนาตอเขาขาดแลวเลนไป ถาจะหยุดก็จําจะหยุดแตไกลจึงจะหยุด ได ถาไมรออยูแตไกลแลนไปที่ใกลยังอีก ๑-๒ วา ถึงเขาขาดขะหยุดที่ไหนได นาที่จะชวนตกลงไป ในเขาขาดฉันใด คือฌานอันจะบังเกิดนั้น ก็บังเกิดแตขณะแหงชวนะเปนคํารบ ๔ คํารบ ๕ ไกลกันแต ภวังค ยังมีอีก ๑ ขณะ ๒ ขณะจะตกภวังคแลว ฌานก็มิอาจบังเกิดได อุปไมยเหมือนดังนั้น เมื่อฌานบังเกิดขึ้นในสันดานแลว ก็พึงกําหนดไววา อาตมาประพฤติอิริยาบทอยางนี้ ๆ อยู ในเสนาสนะอยางนี้ ๆ ซองเสพโภชนาหารเปนที่สบายอยางนี้ ๆ จึงจะไดสําเร็จฌานสมาบัติ เอา เยี่ยงอยางนายขมังธนูและคนครัว นายขมังธนูผูฉลาดตกแตงสายและคันและลูกนั้นใหดี ยิงไปที่ใด และถูกขนทรายจามรีแลว นายขมังธนูก็กําหนด อาตมายืนเหยียบพื้นอยางนั้น ๆ โกงธนูใหนอมเพียง นั้น ๆ เสียงสายดังอยางนั้น ๆ จึงยิงถูกขนทรายจามรี คนครัวที่ตกแตงพระวรสุทธาโภชนาหารแหงสมเด็จพระบรมกษัตริยนั้นเลา ถามื้อใดแล ชอบพระทัยแลวก็กําหนดไววา เค็มเพียงนั้นผิดเพียงนั้นเปรี้ยวเพียงนั้นพอพระทัยพระมหากษัตริย อัน นี้แลมีอุปมาฉันใด พระโยคาพจรที่ไดสําเร็จฌานสมาบัตินั้น ก็พึงกําหนดอิริยบถและเสนาสนะและ อาหารเหมือนนายขมังธนูและคนครัวนั้น เหตุไฉนจึงใหกําหนดอิริยาบถและเสนาสนะแลอาหารนั้นไว ใหกําหนดไดนั้นดวยสามารถ จะไดสืบตอเมื่อภายหนาเกลือกจะมีความประมาทฌานเสื่อมไปแลว เมื่อจําเริญสืบตอไปนั้นจะได ประพฤติอิริยาบถเหมือนประพฤติมา แตกอนจะไดเสพเสนาสนะโภชนะเหมือนแตกอน ฌานที่เสื่อม สูญไปแลวนั้นจะไดบังเกิดบริบูรณอยูในสันดาน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 20 เมื่อพระโยคาพจรเจาไดสําเร็จปฐมฌานแลว ก็พึงประพฤติปฐมฌานใหชํานาญกอน จึง จําเริญทุติยฌานสืบตอไป พึงกระทําปฐมฌานดวยวสีทั้ง ๕ คือ อาวัชชนวสี ๑ สมาปชชนวสี ๑ อธิษฐานวสี ๑ วุฏฐานวสี ๑ ปจจเวกขณวสี ๑ เปน ๕ ดวยกัน อาวัชชนวสีนั้น คือชํานาญในการ พิจารณา ถาปรารถนาจะพิจารณาองคฌานที่ตนได ก็อาจสามารถพิจารณาไดดวยเร็วพลันมิไดเนิ่นชา ไปเบื้องหนา แตชวนะ ๔ ชวนะ ๕ ภวังค ๒ และ ๓ อาจพิจารณาไดแตชวนะ ๔ ชวนะ ๕ ในภวังคอัน บังเกิด ๒ ขณะ ๓ ขณะนั้นไดชื่อวาอาวัชชนวสี และสมาปชชวนวสีนั้นคือ ชํานาญในการที่จะเขาสู สมาบัติ อาจเขาสูสมาบัติไดลําดับแหงอาวัชชนจิตอันพิจารณาซึ่งอารมณ คือปฏิภาคนิมิตมิไดเนิ่นชา ไป เบื้องหนาแตภวังค ๒ และ ๓ และอธิษฐานวสีนั้น คือชํานาญในการที่จะรักษาไวมิใหฌานจิตนั้น ตกภวังค ตั้งฌานจิตไวไดโดยอันควรแกกําหนดปรารถนา จะตั้งไวเทาใดก็ตั้งไวไดเทานั้น และวุฏฐาน วสีนั้น คือชํานาญในการจะออกจากฌาน กําหนดไววาถึงเวลาเพียงนั้นจะออกจากฌานก็ออกตาม เวลากําหนดไมคลาดเวลาที่กําหนดไว และปจจเวกขณะวสีนั้น คือชํานาญในการจะพิจารณา พึงสันนิษฐานตามนัยแหงอาวัชชน วสีนั้นเถิด ทานวาไวเปนใจความวา ชวนจิตอันบังเกิดในลําดับแหงวัชชนจิตนั้นไดชื่อวาปจจเวกขณชว นะนั้น ๆ ไดชื่อวาปจจเวกขณวสี พระโยคาพจรอันไดปฐมฌานดวยวสี ๙ ประการฉะนี้แลว ภายหลังจึง จะอาจสามารถที่จะจําเริญทุติยฌานสืบตอไป ถาไมชํานิชํานาญฌานมากอนแลวแลจะจําเริญทุติย ฌานสืบตอไป ก็จะเสื่อมจากปฐมฌานและทุติฌานทั้ง ๒ ฝาย เหตุฉะนี้จึงหามไววา ถาไมชํานาญใน ปฐมฌานอยาพึงจําเริญทุติยฌานกอน ตอเมื่อใดชํานาญในปฐมฌานวสี ๕ ประการแลว จึงสมควรที่ จะจําเริญฌานสืบตอไป ชํานาญในทุติยฌานแลวจึงจําเริญตติยฌาน จตุตถฌาน ปญจมฌานสืบตอไป โดยลําดับ และปฐมฌานนั้นมีองค ๕ คือ วิตกอันมีลักษณะะยกจิตขึ้นสูอารมณแหงตน มีปฏิภาคนิมิต แหงปฐวีกสิณเปนอาทินั้นจัดเปนองคปฐม วิจาร มีลักษณะพิจารณาซึ่งอารมณแหงฌาน มีปฏิภาค นิมิตแหงปฐวีกสิณเปนอาทินั้น จัดเปนองคคํารบ ๒ ปติอันมีประเภท ๕ คือ ขุททกาปติ อันใหหนัง พองสยองเกลาและน้ําตาไหล ๑ ขณะกาปติอันปรากฏดุจสายฟา ๑ โอกกันติกาปติอันใหปรากฏ เหมือนระลอกซัดตอง ๑ อุพเพงคาปติอันยังกายใหลอยขึ้น ๑ ผรณาปติอันใหเย็นซานซาบทั่วไปใน กาย ๑ ปติอันประเภท ๔ ดังนี้เปน ๑ จัดเปนคํารบ ๓ สุขอันมีลักษณะยังกายและจิตใหเปนสุขนั้น จัดเปนองคแหงปฐมฌานเปนคํารบ ๔ เอกัคคตาอันมีลักษณะยังจิตใหเปนหนึ่งในอารมณอันเดียวนั้น จัดเปนองคแหงปฐมฌานเปนคํารบ ๕ ทุติฌานนั้นมีองค ๓ คือปติประการ ๑ สุขประการ ๑ เอกัคคตา ประการ ๑ ตติยฌานมีองค ๒ คือสุข ๑ เอกัคคตา ๑ จตุตถฌานมีองค ๒ คือเอกัคคตา ๑ อุเบกขา ๑ อันนี้จัดโดยจตุกนัย ถาจัดโดยปญจกนัยนั้น ปฐมฌานมีองค ๕ เหมือนกัน ทุติยฌานมีองค ๔ เหตุเวนแตวิตก ตติยฌานมีองค ๓ คือปติ ๑ สุข ๑ เอกัคคตา ๑ จตุตถฌานมีองค ๒ คือสุข ๑ เอกัคคตา ๑ ปญจม ฌานมีองค ๒ คือ เอกัคคตา ๑ อุเบกขา ๑ พระโยคาพจรผูเจริญปฐวีกสิณนั้น อาจไดสําเร็จฌาน สมาบัติโดยจตุกนัยและปญจมนัยดังพรรณนามาฉะนี้ ฯ วินิจฉัยในปฐวีกสิณยุติแตเพียงเทานี้
จักวินิจฉัยในอาโปกสิณสืบตอไป พระโยคาพจรผูมีศรัทธาปรารถนาจะจําเริญอาโปกสิณนั้น ถาเปนกุลบุตรมีวาสนาบารมีเคยไดสรางสมอาโปกสิณมาแตในเบื้องปุริมชาติกอนนั้นแลว ถึงจะมิได ตกแตงกสิณเลยและดูแตน้ําในสระโบกขรณี ดูน้ําในบอ ดูหวงน้ําเค็มที่ขังอยูชายสมุทร ดูน้ําในสมุทร แตสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็อาจไดสําเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตนั้นดวยงายดาย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 21 ถาแลกุลบุตรนั้นหาวาสนาบารมีมิได ไมเคยสรางสมแตกอนเลยพึงจะไดบําเพ็ญในปจจุบัน ชาตินี้ ก็พึงทําอาโปกสิณดวยน้ําอันบริสุทธิ์ น้ํา ๔ ประการคือ น้ําสีดํา สีเหลือง สีแดง สีขาวนั้น เปน น้ํากอปรดวยกสิณโทษ อยาเอามากระทําเปนอาโปกสิณไมตองดวยบังคับ ใหเอาผาขาวขึงออกในที่ แจง สูเอาน้ําฝนอันบริสุทธิ์มากระทําอาโปกสิณจึงจะตองพระบาลี ถาไมไดน้ําฝนอยางนั้น ไดน้ําฝน อยางอื่นแตใสบริสุทธิ์เหมือนดังนั้นแลวก็เอาเถิด ใหพระโยคาพจรเจาเอาน้ําใสบริสุทธิ์นั้นมาใสลงไป ในบาตรใหเสมอขอบปาก ถามิดังนั้นจะใสน้ํานั้นลงในเตา และภาชนะอันใดอันหนึ่งก็ตาม แตใสใหเสมอขอบปากอยา ใหบกใหพรอง ตั้งไวในที่สงัดเปนที่ลับที่กําบังในที่สุดแหงวิหาร พึงตั้งเตียงทีเทาสูงคืบ ๔ นิ้ว กระทํา พิธีทั้งปวงตามนัยที่สําแดงแแลวในปฐวีกสิณ ครั้นแลวจึงนั่งขัดบัลลังกเหนือเตียงหางกสิณออกมา ๒ ศอกคืบ เมื่อพิจารณาเอาโปกสิณนั้นอยาเพิ่งพิจารณาแยกสีอยาพิจารณาแยกลักษณะที่ไหลซึมซาบ พึงรวมสีน้ํานั้นเขากันดวยกันเปนอันเดียวเล็งแลดวยจักษุแลว ตั้งจิตไวในบัญญัติธรรมวาสิ่งนี้คือ อาโปธาตุ แลวถึงบริกรรมเถิด อาโป ๆ นามบัญญัติแหงน้ํานั้นมากเปนตน วา อุทก วาริ สลิละ แตไมปรากฏเหมือนชื่อวาอาโป ยก เอาแตชื่อวาปรากฏนั้น ขึ้นกระทํากรรมเถิด อุคคหนิมิตในอาโปกสิณนี้ปรากฏดุจไหว ๆ กระเพื่อม ๆ อยู ถาน้ํานั้นกอปรดวยกสิณโทษ คือเจือไปดวยปูมเปอกและฟองนั้นก็ปรากฏในอุคคหนิมิต และ ปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏจากกสิณโทษ ปรากฏดุจพัดใบตาลแกวมณีอันประดิษฐานไวในอากาศ ถามิ ดังนั้นประดุจดวงแวนแกวอันบริสุทธิ์ เมื่อปฏิภาคนิมิตบังเกิดแลว พระโยคาพจรเจาก็กระทําปฏิภาค นิมิตนั้นเปนอารมณ จําเริญไปวาอาโป ๆ ก็จะถึงจตุตถฌานและปญจฌานโดยนัยที่สําแดงแลวในปฐวี กสิณ ฯ วินิจฉัยในอาโปกสิณยุติแตเพียงเทานี้
จักวินิฉัยในเตโชกสิณตอไป พระโยคาพจรผูศรัทธาปรารถนาจะจําเริญเตโชกสิณนั้น พิจารณาเอานิมิตในเปลวเพลิงเปนอารมณ ถาแลพระโยคาพจรนั้น มีวาสนาไดเคยจําเริญเตโชกสินมา ในปุริมชาติปางกอนนั้น ถึงแมมิไดกระทํากสิณเลย แลดูแตเปลวเพลิงอันในที่อันใดอันหนึ่งคือเปลว ประทีปและเปลวเพลิงอันอยูในเตา ถามิดังนั้นแลดูเปลวเพลิงในที่รมบาตรและเปลวเพลิงอันไหมปา ก็อาจสําเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตดวยงายดาย และพระโยคาพจรที่เปนอาทิกัมมิกุลบุตร พึงจะไดจําเริญในปจจุบันชาตินี้ก็พึงกระทําเตโช กสิณ เมื่อจะกระทํานั้นใหเอาไมแกนที่สนิทนั้นมาผาตากไวใหแหงรอนออกใหเปนทอน ๆ จึงนําฟนนั้น ไปสูรุกขมูลและมณฑลประเทศอันใดอันหนึ่งอันเปนประเทศสมควรแลว จึงเอาฟนนั้นกระทําเปนกอง มีอาการดุจดังวารมบาตรจุดเพลิงเขาใหรุงเรืองแลว จึงเอาเสื่อลําแพนมาเจาะใหเปนชองกลมกวาง ประมาณคืบ ๔ นิ้ว จะเอาหนังก็ตามเอาผาก็ตามเจาะใหกวางคืบ ๔ นิ้วเหมือนกันดังนั้น จึงเอาขึงออก ไวในเบื้องหนานั้น ตามพิธีที่กลาวในปฐวีกสิณ เมื่อพิจารณานั้น อยาพิจารณาไมและหญาที่อยูเบื้องหนา เปลวเพลิงที่วับขึ้นไปในเบื้องบน นั้น ก็อยาพิจารณาเอาเปนอารมณ ใหพิจารณาเอาแตเปลวเพลิงที่หนา ที่ทึบในทามกลางที่ปรากฏใน ชองนั้นเปนอารมณ อนึ่ง อยาพิจารณาสีวา เพลิงนี้สีเขียว สีเหลือง สีหมอง สีแดง อยาพิจารณา ลักษณะที่รอนพึงรวมสีกับเปลวที่ทึบนั้นเขาดวยกันเล็งแลดูดวยจักษุ ดวยอาการอันเสมอเหมือนอยาง พิจารณาปฐวีกสิณ ตั้งจิตไวในบัญญัติธรรมวาอันนี้คือเตโชธาตุ กําหนดเอาแตที่หนาทึบนั้นเปน ประมาณแลวพึงบริกรรมวา เตโช ๆ นามบัญญัติแหงเพลิงนั้นมีมาก มีอาทิคือ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
ปาวก กณฺหวตฺตนี ชาตเวท หุตาสน
แต
- 22 ทวานามบัญญัติที่เรียกวาเตโชนี้แลปรากฏในโลก เหตุดังนั้นพระโยคาพจรพึงกระทําบริกรรมภาวนาวา เตโช ๆ รอยครั้งพันครั้ง กวาจะสําเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในเตโชกสิณนี้ ปรากฏ ดุจดังตัดเปลวเพลิงนั้นใหขาดแลวและตกลง ถาแลพระโยคาพจรมิไดกระทํากสิณและพิจารณาใน เปลวเพลิงในเตาเปนอาทินั้น กาลเมื่ออุคคหนิมิตบังเกิดนั้นกสิณโทษก็จะปรากฏ คือจะเห็นถานฟนที่เพลิงติด จะเห็น กองถานเพลิงแลควันนั้นปรากฏในอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตมิไดหวั่นไหว ปรากฏแกพระโยคาพจร นั้น เปรียบประดุจดังทอนผากัมพลแดงอันประดิษฐานอยูในอากาศ ถามิดังนั้นเปรียบประดุจดังพัด ใบตาลทองและเสาทองประดิษฐานอยูในอากาศ เมื่อปฏิบภาคนิมิตบังเกิดแลว พระโยคาพจรก็จะ สําเร็จจตุตถฌาน ปญจมฌาน เหมือนกันกับนัยที่กลาวแลวในปฐวีกสิณนั้น ณ วินิจฉัยในเตโชกสิณยุติเพียงเทานี้
จักวินิจฉัยในวาโยกสิณสืบตอไป พระโยคาพจรกุลบุตรมีศรัทธาปรารถนาจะเจริญวาโย กสิณนั้น พึงถือเอาวาโยกสิณนิมิตเปนอารมณ อาการที่จะถือเอาวาโยนิมิตนั้นจะถือเอาดวยสามารถได เห็นก็ได จะถือเอาดวยสามารถถูกตองก็ได อาการที่จะถือเอาวาโยกสิณดวยสามารถไดเห็นนั้นเปน ประการใด อธิบายวา อาการที่เห็นลมพัดตองปลายออยและปลายไผ เห็นลมอันพัดตองปลายไมและ ปลายผมและถือเอาเปนอารมณนั้น ไดชื่อวาถือเอาวาโยกสิณดวยสามารถไดเห็น แลอาการที่ถือเอา วาโยกสิณดวยสามารถถูกตองนั้น คือใหกําหนดลมที่พัดมาตองกายแหงตน เหตุดังนั้นโยคาพจรผูปรารถนาจะจําเริญวาโยกสิณนั้น พึงเล็งเห็นดูซึ่งปลายออยแลปลาย ไผแลปลายไม ที่มีใบอันทึบมิไดหาง ซึ่งตั้งอยูในที่เสมอศีรษะอันลมพัดตอง ถามิดังนั้นพึงเล็งแลดูซึ่ง ผมแหงบุรุษอันหนาแลยาวประมาณ ๔ นิ้ว อันลมพัดตอง เมื่อเห็นลมพัดตองปลายออยปลายไผปลาย ไมปลายผมอันใดอันหนึ่งก็พึงตั้งสติไววาลมพัดตองในที่อันนี้ ๆ ถามิดังนั้นลมที่พัดเขามาโดยชอง หนาตางแลฝาถูกตองกายเเหงพระโยคาพจรในที่อันใด พระโยคาพจรเจาพึงตั้งสติไวในที่อันนั้นแลวก็พึงกระทําบริกรรมวา วาโย ๆ เถิดมาม บัญญัติชื่อวาวาโยนี้ปรากฏในโลก เหตุดังนั้นพระโยคาพจรเจาจึงกระทําบริกรรมภาวนา วาวาโย ๆ รอยครั้งพันครั้งกวาจะสําเร็จอุคคหมินิต แลปฏิภาคนิมิตนั้น อุคคนิมิตในวาโยธาตุนี้บังเกิดไหว ๆ ปรากฏดุจวาไอแหงขาวปายาสอันบุคคลพึงปลงลงจากเตา แลปฏิภาคนิมิตนั้นสงบอยูเปนอันดีจะได หวั่นไหวหามิได เมื่ออุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตบังเกิดแลวพระโยคาพจรเจาก็จะสําเร็จจตุตถฌาน แลปญจมฌาน ดุจกลาวแลวในปฐวีกสิณ ฯ วินิจฉัยในวาโยกสิณยุติแตเพียงนี้
จักวินิจฉัยในนีลกสิณสืบตอไป พระโยคาพจรผูศรัทธาปรารถนาจะจําเริญนิลกสิณนั้น พึง พิจารณาเอานิมิตสิ่งอันเขียวเปนอารมณ พระโยคาพจรที่มีวาสนา เคยจําเริญนีลกสิณมาแตปุริมภพ ปางกอนนั้น แลดูแตดอกไมสีเขียวผาเขียว มิฉะนั้นเล็งแลดูวรรณธาตุอันใดอันหนึ่งที่มีสีเขียว อุคคห นิมิตแลปฏิภาคนิมิตก็บังเกิด แลพระโยคาพจรที่เปนอาทิกัมมิกบุคคลพึงจะไดจําเริญนีลกสิณใน ปจจุบันชาตินี้ พึงจะใหเอาดอกไมสีเขียวเปนตนวา ดอกนีลุบลแลดอกอัญชันนั้นมาประดับลงในผอบ มิฉะนั้นประดับลงในฝากลองแตพอใหเสมอขอบปากเปนอันดี อนึ่งอยาใหเกสรแลกานนั้นปรากฏใหเห็นแตกลีบสิ่งเดียว ถามิดังนั้นใหเอาผาเขียวมามวน เขาใสใหเต็มผอบแลฝากลอง เสมอขอบปากอยางนั้นก็ได จะเอาผาเขียวขึงลงที่ขอบปากผอบปากฝา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 23 กลอง กระทําใหเหมือนดังหนากลองอยางนั้นก็ได จะเอาพัสดุที่สีเขียวมีเปนตนวาเขียวขี้ทอง และ เขียวใบไมแลอัณชันอันใดอันหนึ่งมาเปนดวงกสิณเหมือนอยางปฐวีกสิณนั้นก็ได ดวงแหงนีลกสิณนั้น ถาจะกระทําเปนสังหาริมะ ก็พึงกระทําตามวิธีในปฐวีกสิณนั้น ถาจะทําเปนตัตรัฏฏฐกะนั้น ใหปนติด เขากับผา ถาเห็นวาสีแหงผานั้นคลายกับกับดวงกสิณ ก็ใหเอาพัสดุอันใดอันหนึ่งที่มีสีอันแปลกนั้นเขา บังเขาตัดใหปริมณฑลกสิณนั้น ปรากฏแจงออกใหได เมื่อกระทําดวงกสิณสําเร็จดังนั้นแลว ก็พึงนั่งตามพิธีที่กลาวแลวในปฐวีกสิณ เล็งแลดู ปริมณฑลนีลกสิณนั้น แลวก็พึงบริกรรมวา นีลัง ๆ รอยครั้งพันครั้งกวาจะสําเร็จอุคคหนิมิตแลปฏิภาค นิมิต อุคคหนิมิตในนีลกสิณนี้มีโทษอันปรากฏ อธิบายวา ถากสิณนั้นทําดวยดอกไมก็เห็นเกสรแลกาน หวางกลีบนั้น ปรากฏแลปฏิภาคนั้นเพิกพนจากมณฑลแหงกสิณปรากฏดุจดังวา พัดใบตาลแกวมณีอัน ประดิษฐานอยูในอากาศ เมื่อปฏิภาคนิมิตบังเกิดแลว อุปจารฌานแลอัปปนาฌานก็จะบังเกิดเหมือน กลาวในปฐวีกสิณ ฯ วินิจฉัยในนีลกสิณยุติแตเพียงนี้
จักวินิจฉัยในปติกสิณสืบตอไป ในปตกสิณนี้ คือพระโยคาพจรพิจารณาดอกไมที่มีสีเหลือง ผาที่สีหลือง ธาตุอันใดอันหนึ่งที่สีเหลืองเปนอารมณ แลไดสําเร็จอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิต ถาพระ โยคาพจรนั้นมีวาสนาไดเคยจําเริญปตกสิณมาแตชาติกอนแลว ก็ไมพักกระทําดวงกสิณเลย เล็งแลดู แตดอกไมอันพิจิตรไปดวยดอกไมอันเหลือง มิฉะนั้นเล็งแลดูแตดอกไมเหลืองอันบุคคลนํามาคาดไว บูชา มิฉะนั้นเล็งแลดูแตผาเหลืองแลวรรณธาตุสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีสีเหลือง ๆ นั้นก็ไดสําเร็จอุคคห นิมิตแลปฏิภาคนิมิตดวยงายดายแลพระโยคาพจรที่เปนอาทิกัมมิกบุคคล มิไดเคยจําเริญปตกสิณมา แตกอน พึงจําเริญในปจจุบันชาตินี้ ก็พึงกระทําปริมณฑลกสิณดวยสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีสีเหลือง จะกระทํา ดวยดอกไมสีเหลืองมีดอกกรรณิกาทองเปนตนก็ได จะกระทําดวยผาสีอันเหลืองก็ไดจะกระทําดวย วรรณธาตุอันใดอันหนึ่งที่มีสีเหลือง ๆ นั้นก็ได พิธีที่กระทํามณฑลก็เหมือนกันกับนีลกสิณ ตางกันแตบริกรรมในปตกสิณนี้ใหบริกรรมวา ปตกัง ๆ กวาจะสําเร็จอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตนั้น ลักษณะแหงอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตนั้น ก็ ปรากฏเหมือนกับนีลกสิณ ตางกันแตสี ฯ วินิจฉัยในปตกสิณยุติแตเพียงนี้
จักวินิจฉัยในโลหิตกสิณสืบตอไป ในโลหิตกสิณนั้น พระโยคาพจรพิจารณาดอกไมแลผา แลวรรณธาตุ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีสีแดงเปนอารมณพระโยคาพจรที่มีวาสนาไดเคยจําเริญโลกหิตกสิณมา แตชาติกอนนั้น เล็งแลดูดอกไมในกอแลดอกไมอันบุคคลดาดบนอาสนะสักการบูชา เปนตนวาดอก ชบาแลดอกหงอนไก แตบรรดาดอกไมทีสีอันแดงนั้นพิจารณาเอาเปนอารมณก็สําเร็จอุคคหมินิต แลปฏภาคนิมิต ถามิดังนั้น ไดเห็นแตผาสีแดงแลวรรณธาตุอันใดอันหนึ่งที่มีสีอันแดง ก็สําเร็จอุคคห มินิตแปฏภาคนิมิต เพราะเหตุวาวาสนาไดเคยบําเพ็ญมากอน และพระโยคาพจรที่เปนอาทิกัมมิกบุคคลพึงจะบําเพ็ญในปจจุบันชาตินี้ ก็พึงกระทําซึ่ง โลหิตกสิณจึงจะควรดวยภาวนาพิธี โลหิตกสิณนั้นใหกระทําดวยดอกไมแดงเปนตนวาดอกชบาแล ดอกหงอนไก แลดอกวานทางชาง ถามิฉะนั้นใหกระทําดวยผาแดงแลวรรณธาตุอันใดอันหนึ่งที่มีสีอัน แดง พึงกระทําตามพิธีที่กลาวแลวในนีลกสิณ ตางแตบริกรรมจําเริญโลหิตกสิณนี้ใหบริกรรมวาโลหิต
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 24 กัง ๆ รอยครั้งพันครั้งกวาจะสําเร็จอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตนั้น ลักษณะแหงอุคหนิมิตแลปฏิภาค นิมิตนั้น ก็ปรากฏเหมือนกันกับนีลกสิณตางกันแตสี อุปจารฌานแลอัปปนาฌานก็จะบังเกิดเหมือน กลาวแลวในปฐวีกสิณ ฯ วินิจฉัยในโลหิตกสิณยุติแตเพียงนี้
จักวินิจฉัยโอทาตกสิณสืบตอไป ในโอทาตกสิณนั้น คือพระโคพจรพิจารณาเอาสิ่งที่ขาว เปนอารมณ พระโยคาพจรที่มีวาสนานั้นเล็งดูแตดอกไมสีขาวที่อยูในกอ แลดอกไมขาวอันบุคคลดาด บนอาสนะสักการบูชาเปนตนวาดอกมะลิ ถามิดังนั้นเล็งแลดูผาขาว แลวรรณธาตุอันใดอันหนึ่งที่มีสี ขาวนั้น อุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตก็บังเกิด บางทีแลดูปริมณฑลแหงแผนดีบุกแลมณฑลแหงแผนเงิน แลมณฑลแหงพระจันทร อุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตก็บังเกิด แลพระโยคาพจรที่เปนอาทิกัมมิกบุคคล ปรารถนาจะจําเริญโอทาตกสิณนั้น พึงกระมณฑลกสิณดวยสิ่งอันขาว คือดอกไมขาวแลผาขาว แลวรรณธาตุที่ขาว ๆ พิธีกระทํานั้นก็เหมือนกันกับนีลกสิณ ตางแตบริกรรมในโอทาตกสิณนี้ให บริกรรมวา โอทาตัง ๆ ลักษณะแหงอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตนั้น ก็ปรากฏเหมือนกับนีลกสิณ ตางกัน แตสี ฯ วินิจฉัยในโอทาตกสิณยุติแตเพียงนี้
จักวินิจฉัยในอาโลกสิณสืบตอไป พระโยคาพจรที่มีวาสนาไดจําเริญอาโลกสิณมาแตกอน เล็งแลดูแตแสงพระจันทรพระอาทิตยอันสองเขามาโดยชองฝาแลชองหนาตางเปนตน ที่ปรากฏเปน ปริมณฑลเปนวงกลมอยูที่ฝาแลพื้น ก็ไดสําเร็จอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตดวยงายดาย บางคาบอยูใน รุกขมูลรมไมมีใบอันทึบอยูในมณฑลอันมุงดวยกิ่งไมมีใบอันทึบแลเห็น พระอาทิตย พระจันทรอันสอง ลงมาปรากฏ เปนปริมณฑลอยูในพื้นพสุธาก็ไดสําเร็จอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิต เพราะเหตุที่มีวาสนา ไดสรางสมมาแตกอน แลพระโยคาพจรที่เปนอาทิกัมมิกบุคคลนั้น ถาจะจําเริญอาโลกสิณก็พึงพิจารณาจันทา โลกแลสุริยาโลก แสงพระจันทรพระอาทิตยสองมาโดยชองฝาเปนอาทิ แลปรากฏเปนปริมณฑลอยู ในฝาเปนอารมณแลวก็พึงบริกรรมวาโอภาโส ๆ ถามิฉะนั้นก็ใหบริกรรมวาอาโลโก ๆ กวาจะไดสําเร็จ อุคคหนิมิต ถายังมิอาจไดสําเร็จดวยพิธีดังนี้ ก็พึงเอาหมอมาเจาะเสียใหเปนชอง จึงเอาประทีปตามไว ขางใน ปดปากหมอเสียใหดีผินชองนั้นไวเฉพาะริมฝา แสงสวางที่ออกโดยชองนั้นจะปรากฏเปน ปริมณฑลอยูในฝา พระโยคาพจรจึงนั่งตามพิธีปฐวีกสิณแลว พึงพิจารณาเอาปริมณฑลที่ปรากฏในริม ฝานั้นเปนอารมณ พึงบริกรรมวาอาโลโก ๆ เถิด อันเจาะหมอใหเปนชองตามประทีปในหมอกระทํา ดังนี้ ปริมณฑลกสิณนั้นตั้งอยูนาน ไมแปรปรวนไปเร็ว ไมหายเหมือนจันทาโลกแลสุริยาโลกแสง จันทรพระอาทิตยที่ปรากฏโดยชองฝาเปนอาทิ เมื่อพระโยคาพจรกระทําบริกรรมวาอาโลโก ๆ รอยครั้งพันครั้งกวาจะสําเร็จอุคคหนิมิตแล ปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอาโลกสิณนั้นปรากฏดุจดังมณฑล อันปรากฏในฝาแลพื้นแผนดิน ปฎิภาค นิมิตนั้นผองใสเปนแทงทึบ เปรียบประดุจเปนกองแหงแสงสวาง แสงสวางอยางประหนึ่งวามาเปนกอง อยูในที่นั้น จตุตถฌานแลปญฐมฌานจักบังเกิดนั้น ก็เหมือนกลาวแลวในปฐวีกสิณ ฯ วินิจฉัยในอาโลกสิณยุติเพียงเทานี้
จักวินิจฉัยในอากาสกสิณสืบตอไป ในอากาสกสิณนี้ คือพระโยคาพจรพิจารณาเอาอากาศ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 25 เปนอารมณ พระโยคาพจรที่มีวาสนานั้น เห็นแตชองฝาแลชองดาลเห็นแตชองหนาตาง ก็ไดสําเร็จ อุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตดวยงาย มิไดลําบากยากใจ พระโยคาพจรที่หาวาสนาหนหลังมิไดถึงจะ บําเพ็ญอากาสกสิณในปจจุบันชาตินี้ ก็พึงกระทําอากาสกสิณสําหรับจะไดเปนที่ตั้งจิต พึงตัดชองฝา มณฑปอันบุคคลมุงเปนอันดีนั้นใหเปนปริมณฑลกลมกําหนดโดยกวางนั้นใหได ๑ คืบกับ ๔ นิ้ว ถามิฉะนั้นจะเอาหนังเอาลําเเพนมาเจาะใหเปนชองกลมกวางคืบ ๔ นิ้ว แลวจะมาขึงไวในที่ เฉพาะหนาก็ตามมาเจาะใหเปนชองกลมกวางคืบ ๔ นิ้ว แลวจะมาขึงไวในที่เฉพาะหนาก็ตามเมื่อ กระทําชองดังนั้นแลว ก็พึงกระทําพิธีทั้งปวง เหมือนดังพิธีที่กลาวไวในปฐวีกสิณตั้งจิตไวในชองนั้น แลว ก็พึงบริกรรมวาอากาโส ๆ รอยครั้งพันครั้งมากกวารอยครั้งพันครั้ง กวาจะไดสําเร็จอุคคหนิมิตแล ปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอากาสกสิณนี้ปรากฏเปนชอง เหมือนชองที่พระโยคาพจรกระทําที่สุดแหง ชองฝา แลที่สุดแหงชองหนังชองลําเเพนนั้นก็ปรากฏอยูในอุคคหนิมิต ครั้นนิมิตดําเนินขึ้นถึงที่เปน ปฏิภาคแลวก็ปรากฏแตอากาสศเปลาที่สุดแหงชองฝาชองหนังลําแพนนั้นไดปรากฏหามิได ปรากฏ เปนอากาศกลมอยูเทากันกับมณฑลกสิณ แตทวามีพิเศษที่แผออกไดเมื่อยังเปนอุคคหนิมิตอยูนั้นแผ ออกมิได ตอเปนปฏิภาคนิมิตแลวจึงแผออกได พิธีที่จะตั้งเตียงแลนั้งบัลลังกสมาธิหลับจักษุแลลืม จักษุ พิจารณาโทษกามคุณ แลอานิสงสฌานแลระลึกถึงพระรตนัตยาทิคุณนั้น พึงกระทําตามพิธีที่ กลาวแลวในปฐวีกสิณนั้น ฯ จบกสิณ ๑๐ แตเทานี้
พระทศพลสัมมาสัมพุทธเจา พระองคเปนผูรูจริงเห็นจริงในสรรพไญยธรรมทั้งปวง ไดทรง แสดงกสิณ ๑๐ อยางทางสมถภาวนาวิธีอันเปนเหตุจะใหบรรลุถึงจตุตถฌานแลปญจมฌานในรูปาพจร ภูมิโดยนัย ที่ไดรับรวมแสดงมานี้เปนสําคัญ ฯ ก็แลเมื่อผูโยคาพจรศึกษารอบรูในกสิณพิธี ตามกสิณภาวนานัยดังนี้แลว ตอนั้นไปก็ควรจะ ศึกษาใหรูในปกิรณกพิธี ทางอิทธิฤทธิ์ตาง ๆ อันจะไดอานุภาพกสิณที่บุคคลจําเริญใหเต็มที่ถึงจตุตถ ฌานนั้น ฯ ในกสิณทั้ง ๑๐ นี้ สวนปฐวีกสิณ เมื่อพระโยคาพจรจําเริญถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แลว ก็ สามารถจะอธิษฐานจิตนฤมิตรูปสิ่งของตาง ๆ เปนตนวา นฤมิตคนเดียวใหเปนคนมาก ใหคนมากเปน คนเดียวได แลทําอากาศแลน้ําใหเปนแผนดินแลวเดินยืนนั่งนอนในที่นั้นไดดังประสงค ฯ แลพระโตคาพจร อันจําเริญอาโปกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แลวก็สามารถจะอษิษฐานจิต นฤมิตแผนดินใหเปนน้ําแลวดําผุดไปไดในแผนดินแลทําฝนใหตกลงได แลนฤมิตใหเปนแมน้ําหวย หนองใหญนอยเกิดขึ้นได แลทําพื้นที่รองภูเขาแลปราสาทเปนตน ใหเปนน้ําแลวโยคคลอนภูเขาเปน ตนใหไหวไดดังประสงค ฯ และพระโยคาพจร อันจําเริญเตโชกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แลวก็สามารถจะอษิฐานจิต นฤมิตใหบังเกิดควันกลุมแลเปลวไฟสวางได แลทําในถานเพลิงใหตกลงได แลปรารถนาจะเผาสิ่งใด ๆ ก็อาจกระทําใหเกิดไฟ เผาสิ่งนั้นใหไหมได แลทําใหบังเกิดแสดงไฟสวางแลเห็นรูปในที่ไกลที่ใกล ดังวาเห็นดวยตาทิพย แลพระอรหันตทานที่มีเตโชกสิณสมาบัติคราวเมื่อปรินิพพาน ทานสามารถ จําเริญใหเกิดเตโชธาตุเผาสรีรกายของทานไดดังประสงค ฯ แลพระโยคาพจร อันจําเริญวาโยกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แลวก็สามารถจะอธิษฐานจิต
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 26 แลกระทําใหเปนตัวลอยไปตามลมหรือทวนลมไดแลทําใหลมนอยใหญเกิดไดดังประสงค ฯ แลพระโยคาพจร อันจําเริญนีลกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แลวก็สามารถจะอธิษฐานจิต นฤมิตใหรูปเขียว แลทําใหเกิดมืดเขียวคลุมแลทําสิ่งอื่น ๆ ที่สุกใสงามดีใหเสียสีไดดังประสงค ฯ แลพระโยคาพจร อันจําเริญปตกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แลวก็สามารถอธิษฐานจิต นฤมิตรูปใหมีสีเหลือง แลทําสีอื่น ๆ ใหหมนหมองใหเปนสีผองใสเหลืองดีไดดังประสงค ฯ พระโยคาพจร อันจําเริญโลหิตกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แลวก็สามารถจะอธิษฐานจิต นฤมิตรูปใหมีสีแดง แลทําสีอื่นใหเปนสีแดงไดดังประสงค ฯ แลพระโยคาพจร อันจําเริญโอทาตกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แลวก็สามารถจะอธิษฐาน จิต นฤมิตรูปใหมีสีขาว แลทํางวงเหงาใหตั้งอยูไกล แลมืดมนใหคลายไป แลทําใหเปนแสงสวางแล เห็นรูปสิ่งของทั้วปวง ดังวาเห็นดวยตาทิพยไดดังประสงค ฯ แลพระโยคาพจร อันจําเริญอาโลกกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แลวก็สามารถจะอธิษฐาน จิต นฤมิตรูปใหสวางดวยรัศมี แลงวงเหงาใหตั้งอยูไกล แลทําใหเกิดแสงสวางแลเห็นรูปสิ่งของทั้ง ปวงดังวาเห็นดวยตาทิพยไดดังประสงค ฯ แลพระโยคาพจร อันจําเริญอากาสกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แลวก็สามารถจะอธิษฐาน จิต ทําที่ปกปดมิดชิดใหเปดเผย แลนฤมิตใหเกิดอากาศชองวางขึ้นภายในแผนดิน แลภายในภูเขา แลวเขาไปยืนเดินนั่งนอนได แลทะลุไปในที่กั้นกําลังไดดังประสงค ฯ กสิณ ๑๐ นี้ วิธีที่จะอธิษฐานจิต นฤมิตใหเปนอยางหนึ่งอยางใดนั้น เมื่อพระโยคาพจร จําเริญกสิณสวนหนึ่งสวนใด ไดเขาถึงจตุตุฌาน ควรเปนที่ตั้งอภิญญาแลว เมื่อจะอธิษฐานจิตตอง ออกจากจตุตถฌานนั้น แลวจึงยกเรื่องที่ตนประสงคนั้นขึ้นเพงรําพึงอยูใหมั่น ครั้นแลวจึงยกเรื่องที่ ประสงคนั้นขึ้นบริกรรม แลวกลับเขาถึงจตุตถฌานอีกขณะจิตหนึ่งแลว จึงออกจตุตถฌานอีก แลวจึง อธิษฐานตั้งจิตทับลงวา ของสิ่งนี้ ๆ จึงเปนอยางนี้ ๆ พอตั้งจิตอธิษฐานลง สิ่งที่ประสงคนั้นก็เปนขึ้น ในขณะทันใดนั้น ฯ จบกสิณ ๑๐ ประการแตเพียงนี้ ***********
กสิณานฺนตรํ อุทิฎเฐสุ ปน อุทฺธุมาตกํ ฯลฯ ปน อุทฺธุมาตตฺตา อุทฺธุมาตกํ ในลําดับ กสิณนิเทศนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจาผูตกแตงพระคัมภีรวินิจฉัยในอสุภกรรมฐาน ๑๐ คือ อุทธุมาต กอสุภ ๑ วินีลกอสุภ ๑ วิปุพพกอสุภ ๑ วิฉิททกอสุภ ๑ วิกขายิตกอสุภ ๑ วิกขิตตกอสุภ ๑ หต วิกขิตกอสุภ ๑ โลหิตกอสุภ ๑ ปุฬุวกอสุภ ๑ อัฏฐิกอสุภ ๑ เปน ๑๐ ทอนดังนี้ อุทธุมาตกอสุภนั้น คือรางกายผีอันพองขึ้นโดยลําดับ จําเดิมแตวันสิ้นแหงชีวิตพอบวมขึ้น บริบูรณ ไปดวยลม วินีลกอสุภนั้น คือรางผีอันมีสีตาง ๆ คือสีแดงสีขาวสีเขียวเจือกัน มีสีอันแดงในที่ อันมีเนื้อมาก มีสีขาวในที่ประกอบดวยหนอง มีสีอันเขียวโดยมากดุจคลุมไปดวยผาสาฎกอันเขียว อาศัยที่มีเขียวโดยมากจึงชื่อวาวินีลกอสุภ วิปุพพกอสุภนั้น คือรางผีอันมีน้ําเหลืองแลหนองอันไหล ออกมาในที่อันปริแลเปอยพังออกนั้น วิฉิททกอสุภนั้น คือรางผีอันขาดเปน ๒ ทอน ทอนกลาง มีกาย ขาดขจัดขจายจากกัน วิกขายิตกอสุภนั้น คือซากผีอันสัตวทั้งปวงเปนตนวาสุนัขบานจิ้งจอกกัดทึ้ง ยื้อแยงโดยอาการตาง ๆ แตขางโนนแลขางนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 27 วิกขิตตกอสุภนั้น คือซากผีอันบุคคลทิ้งไวใหตกเรี่ยรายอยูในที่นั้น ๆ มืออยูขาง ๑ เทาอยู ขาง ๑ ศีรษะอยูขาง ๑ หตวิกตตกอสุภนั้น คือซากผีอันบุคคลผูเปนเวรสับฟนดวยเครื่องศาสตราวุธใน อังคาพยพใหญนอยเปนริ้วเปนรอยกากบาท โลหิตกอสุภนั้น คือรางผีอันแปดเปอนดวยโลหิต อัน ไหลเอิบอาบออกจากสรีรประเทศนั้น ๆ ปุฬุวกอสุภนั้น คือรางผีอันเต็มบริบูรณดวยกิมิชาติ หมูหนอน เบียนบอนคลายอยูทั่วสรีรประเทศตาง ๆ อัฏฐิกอสุภนั้น คือซากผีมีแตรางกระดูกทั้งสิ้นแลมีอยูแต กระดูกอันเดียวก็ไดชื่อวาอัฏฐิกอสุภ โยคาพจรกุลบุตรปรารถนาจะยังอุคคหนิมิต อันชื่อวาอุทธุมาตกะใหบังเกิดในอุทธุมาตกนั้น แลวจะจําเริญอุทธุมาตกฌานพึงเขาไปสูสํานักอาจารย ผูจะใหพระกรรมฐานโดยนัยอันกลาวแลวใน ปฐวีกสิณพึงเรียนพระกรรมฐานในสํานักอาจารยนั้น เมื่อพระอาจารยจะบอกพิธีอันจะไป เพื่อประโยชน จะถือเอาซึ่งอสุภนิมิตนั้น ใหบอกซึ่งกิริยาอันจะกําหนดซึ่งนิมิตโดยรอบคอบ ๑ ใหบอกซึ่งลักษณะอัน จะถือเอาดวยอุคคหนิมิต ๑๑ ประการนั้น ๑ ใหบอกซึ่งกิริยาอันพิจารณาหนทางอันจะไปแลมานั้น ๑ พึงบอกซึ่งวิธีทั้งปวงตราบเทาถึงอัปปนาเปนปริโยสานแกศิษยผูจะเรียนจงถวนถี่ทุกประการ พระโยคาพจรเรียนพิธีทั้งปวงไดชํานาญดีแลว ใหเขาไปในเสนาสนะประกอบดวยองค ๕ ประการดังพรรณนามาแลวในกสิณนิเทศ พึงแสวงหานิมิตคือซากผีอันซึ่งพองขึ้นมานั้น ถาแลพระ โยคาพจรไดขาวเขาบอกวารางผีซึ่งพองขึ้นนั้น เขาทิ้งไวแทบประตูบานอันมีชื่อโพนก็ดี ในปากปาใน หนทางก็ดี แถบเชิงเขาแลรมไมในปาชาก็ดี อยาพึงไปในขณะอันไดฟงจะเกิดอันตรายในระหวางการ ดุจบุคคลอันดวน ๆ ลงไปสูแมน้ํานทีธาร อันเต็มบริบูรณโดยใชทาแลเกิดอันตรายตาง ๆ เปนตนวาตก ลงไปดวยสามารถหาวิจารณปญญามิได เหตุรางอสุภนั้นพาลมฤครายกาจหยาบชาหวงแหนรักษาอยูก็ ดี บางทีฝูงอมนุษยสิ่งสูอยูก็ดี จะกระทําอันตรายแกชีวิตแหงพระโยคาพจรอันไปโดยดวนแลมิได พิจารณานั้น ถาไปแทบประตูบานแลไปโดยทาอาบน้ําแลปลายนาก็ดี จะไปพบวิสภาคารมณแลว คือรูป สตรีภาพอันอยูแทบหนทางนั้น น้ําจิตก็จะเกิดกําหนัดในรูปสตรีภาพจะสํารวมจิตไวมิได อนึ่งซากอุทธุ มาตกนั้น ถาเปนซากอสุภสตรีก็บมิเปนที่สบายแหงพระโยคาพจร เหตุกายบุรุษเปนวิสภาคคือมิไดเปน ที่ชอบอารมณ ในที่จะจําเริญภาวนาแหงสตรีภาพ กายแหงสตรีภาพมิไดชอบอารมณแหงบุรุษ ซาก เฬวระนั้นตายลงใหม ๆ ก็จะปรากฏแกพระโยคาพจร โดยสุภารมณอันเหมาะงาม จะมิไดเปนที่อนิจจัง สังเวช เมื่อพระโยคาพจรเห็นซากเฬวระเปนสุภารมณขมจิตไว ไมหยุดแลวก็จะเปนอันตรายแกศา สนะพรหมจรรย ถาแลพระโยคาพจรมีสติตั้งอยูตักเตือนอาตมาวา กิริยาที่จะมาสํารวมรักษาจิตไวมิให มีภัยในพรหมจรรยแตเพียงนั้นจะไดหนักจะไดยากแกภิกษุผูมีปญญาอยางอาตมานี้หามิได เมื่อมีสติ ตั้งอยูตักเตือนตนไดดังนี้แลวก็พึงไปเถิด เมื่อจะไปนั้นพึงใหบอกกลาวร่ําลาแกพระสงฆเถระ แล พระภิกษุองคอื่นอันมีพาสนาอันปรากฏแลวจึงไป เหตุวาไปสูปาชานั้น ครั้นไดเห็นรูปแลไดฟงเสียงผีแลราชสีหแลเสือโครงเปนอาทิแลวจะ เกิดการกําเริบน้ําจิต ๆ จะสงบอยูมิไดอังคาพยพจะหวั่นไหว มิฉะนั้นขุกอาพาธอันบังเกิดขึ้น ทานจะได ชวยรักษาบาตรแลจีวรในวิหารไวมิใหเปนอันตราย อนึ่งทานจะไดใชภิกษุหนุมแลสามเณรออกไปให ชวยปฏิบัติ อนึ่งมหาโจรที่กระทํากรรมแลวก็ดี ปรารถนาจะกระทําโจรกรรมแตยังมิไดกระทําก็ดี มัก สําคัญเขาใจวาปาเปนที่ปราศจากรักเกียจแกคนทั้งปวง ๆ ไมมีความสงสัยเขาใจดังนี้แลวก็มักมา ประชุมกันอยูในปาชา เมื่อคนทั้งปวงเขาติดตามไป มหาโจรจวนตัวเขาแลว ก็จะทิ้งหอทรัพยไวในที่ ใกลแหงพระภิกษุแลวก็จะพากันหนีไป คนทั้งปวงก็จะจับเอาวาเปนโจรแลจะบียนโบยตีไดความ ลําบาก พระมหาเถระแลภิกษุหนุมที่มีบุญวาสนานั้น ทานจะไดวากลาวปองกันวาอยาเบียดเบียน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 28 เจากูรูปนี้เลย เจากูรูปนี้ไดบอกกลาวแกเราแลว จึงไปดวยการกรรมอันนี้ตางหากจะไดไปกระทํา โจรกรรมฉกลักหามิได ทานวากลาวหามปรามดังนี้แลวทานก็จะกระทําใหเปนสุนทรสิริสวัสดิ์สถาพร อันบอกกลาวเสียกอนแลวจึงไปนั้นมีอานิสงสดังนี้ เหตุดังนั้น พระโยคาพจรบอกกลาวไวใหเปนพยาน ดังนี้แลว พึงใหมีความรักความยินดีชื่นชมโสมนัสในที่จะไดเห็นอสุภนิมิตนั้น ดุจขัตติยราชกุมารอัน ยินดี เสด็จไปที่อภิเษกมงคลสถาน มิฉะนั้นดุจบุคคลผูเปนทานาธิบดีอันชื่นชมยินดีไปสูโรงทาน มิฉะนั้นดุจคนเข็นใจไปสูขุมทรัพย เมื่อพระโยคาพจรจะไปเยี่ยมปาชานั้น เพื่อจะขมขี่น้ําจิตของตนใหพนจากนิวรณโทษทั้ง ๕ ประการนั้น พึงตีระฆังประชุมฆทั้งปวงใหพรอมกันแลวจึงไป เมื่อจะไปนั้นพึงใหพระกรรมฐานเปน ประธานใหไปแตองคเดียว อยามีเพื่อนเปน ๒ อยาไดละเสียซึ่งมูลกรรมฐานเดิม มีพุทธานุสสติเปนตน ที่ตนคอยบําเพ็ญมากอน ดวยอาโภคจิตวาอาตมะไปบัดนี้ เพื่อจะถือเอาซึ่งอุทธุมาตกอสุภกรรมฐาน ใหกระทํามูลกรรมฐานไวในใจแลว พึงใหถือเอาไมเทาเพื่อจะปองกันเสียซึ่งอันตรายอันเกิดแตสุนัขใน ปาชาเปนตน พึงตั้งสติใหมั่นในมูลกรรมฐาน พึงสํารวมอินทรีย ๖ ใหสงัดไวภายใน อยาทําน้ําใจไว ภายนอก เมื่อจะออกจากวิหารนั้นพึงกําหนดประตูวา อาตมะออกจากประตูอันมีชื่อโพน อนึ่ง พึงใหกําหนดหนทางที่ตนไปนั้นวา หนทางอันนี้ตรงไปขางทิศตะวันตก ทิศเหนือทิศ ใตตรงไปสูอนุทิศแหงทิศใหญ ๆ นั้น อนึ่งพึงสังเกตกําหนดวา หนทางอันนี้มาถึงที่นี้แวะไปขางขาง ซายมาถึงที่นี้แวะไปขางขวา กอนศิลาอยูขางนี้ จอมปลวกอยูขางนี้ ตนไมกอไมเครือเถาวัลยขาง ๆ นี้ สังเกตกําหนดดังนี้แลว พึงไปสูพิจารณาอุทธมาตกอสุภนิมิต เมื่อจะไปนั้นอยาไปใตลม กลิ่นซากเฬ วระจะสัมผัสฆานประสาทแลวจะพึงยังสมองศีรษะใหกําเริบ มิฉะนั้นจะยังอาหารใหเกิดการกําเริบออก จากปาก มิฉะนั้นจะพึงใหเกิดวิปฏิสารเดือดรอน วาอาตมะมาสูที่กเฬวระเห็นปานดังนี้พึงใหพระ โยคาพจรเวนทางใตลมเสีย แลวใหไปเหนือลม ผิวาหนทางขางเหนือลมนั้นเดินไมได ดวยมีภูเขาแลกอนศิลาใหญแลรั้วแลหนามนั้นกําบัง อยูในระหวางหนทางขางเหนือลมนั้น เปนเปอกตมเปนน้ําเปนโคลนอยู ก็พึงใหพระโยคาพจรเอามุม จีวรปดนาสิกเสียแลวพึงไปเถิด เมื่อไปถึงแลวอยาเพิ่งเล็งแลอสุภนิมิตพึงใหกําหนดเสียกอน คือพระ โยคาพจรยืนอยูทิศบางแหงนั้นซากอสุภไมถนัด น้ําจิตไมควรภาวนากรรม ก็ใหเวนเสียอยายืนอยูใน ทิศอันั้น ใหไปยืนอยูในที่ไดเห็นซากอสุภถนัด น้ําจิตจะไดควรแกกรรมฐานภาวนา และอยายืนในที่ใตลมกลิ่นอสุภจะเบียดเบียน จิตจะ ฟุงซานไปในอารมณตาง ๆ อยายืนขางเหนือฝูง อมุนษยที่สิ่งอยูในซากอสุภนั้นจะโกรธแลวจะกระทํา ความฉิบหายใหตาง ๆ พึงใหพระโยคาพจรหลีกเลี่ยงเสียสักหนอย อยายืนขางเหนือลมยิ่งนัก อนึ่ง เมื่อจะยืนนั้นอยาใหใกลนัก อยายืนใหชิดเทานักชิดศีรษะนัก เพราะวาพระโยคาพจรยืนไกลซากอสุภ มิไดปรากฏประจักษแจง ยืนใกลนักเกิดภัยอันตรายยืนชิดเทาชิดศีรษะนัก จะมิไดพิจารณาเห็นอสุภ สิ้นทั้งหลาย เหตุดังนั้นพระโยคาพจรอยายืนใหใกลนัก พึงยืนในที่ทามกลางแหงตัวอสุภอันเปนที่ สบายเมื่อยืนอยูดังนี้ ผิวากอนศิลามีอยูริมรูปอสุภนิมิต แลกอนศิลานั้นปรากฏแกจักษุของพระโยคาพจร ก็ให พระโยคาพจรสังเกตกําหนดใหรูตระหนักวา กอนศิลาอยูตรงนี้ อสุภนิมิตอยูตรงนี้ สิ่งนี้คือกอนศิลา สิ่ง นี้คืออสุภนิมิต อนึ่งผิวาจอมปลวกอยูใกลซากอสุภ ก็พึงใหพระโยคาพจรกําหนดใหรูตระหนัก วาจอม ปลวกอันนี้สูงต่ําเล็กใหญและดําขาวยาวสั้นกลมเปนปริมณฑล แลวพึงใหกําหนดสืบไปวาจอมปลวก อยูตรงนี้ อสุภนิมิตนี้ สิ่งนี้คือจอมปลวก สิ่งนี้คืออสุภนิมิต อนึ่งผิวาตนไมมีใกลซากอสุภ ก็พึงใหพระโยคาพจรกําหนดใหแน วาไมนี้เปนไมโพไทรไม เตารางไมเลียบ สูงต่ําดําขาวเล็กใหญอยางนี้ ๆ แลวใหกําหนดตอไปวา ไมอยูตรงนี้ ซากอสุภอยูตรง นี้ สิ่งนี้ตนไมสิ่งนี้คือซากอสุภนิมิต ผิวากอไมอยูใกลซากอสุภก็พึงกําหนดใหรูวา กอไมอันนี้เปนกอไม
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 29 เหยี่ยว อันนี้เปนกอชบา อันนี้เปนกอวานชาง กอนี้สูง กอนี้ต่ํา กอนี้เล็ก กอนี้ใหญ แลวใหพึงกําหนด ตอไปวากอไมอยูตรงนี้ อสุภนิมิตอยูตรงนี้ อนึ่งผิวาเครือเถาอยูใกลซากอสุภ ก็พึงใหพระโยคาพจร กําหนดใหแนวาเครือเถานี้เปนเครือฟกเปนเครือถั่วทอง เปนเครือเถาหญานาง เปนเครือเถากระพัง โหม แลวพึงกําหนดสืบตอไปวา เครือเถาอยูตรงนี้ อสุภนิมิตอยูตรงนี้ สิ่งนี้เปนเครือเถา สิ่งนี้เปนอสุภ นิมิต พระโยคาพจรกําหนดดังนี้แลว อันดับนั้นพึงใหถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยอาการ ๖ คือถือโดยสี ๑ โดยเพศ ๑ โดย สัณฐาน ๑ โดยทิศ ๑ โดยที่ตั้ง ๑ โดยกําหนด ๑ เปนอาการ ๖ ถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยสีนั้น คือใหกําหนดวาซากอสุภ อันนี้เปนรางกายของคนดํา อันนี้เปนรางกายของคนขาว อันนี้เปนรางกาย ของคนที่มีผิวหนังอันพรอยลาย ถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยเพศนั้น อยาพึงกําหนดรางกายอันเปน เพศสตรี อันนี้เปนเพศบุรุษ พึงใหกําหนดแตวาซากอสุภอันนี้เปนรางกายแหงบุคคลอันตั้งอยูใน ปฐมวัย อันรางกายแหงบุคคลอันตั้งอยูมัชฌิมวัยอันนี้เปนรางกายแหงบุคคลอันตั้งอยูในปจฉิมวัย กําหนดโดยสัณฐานแหงอุทธุมาตก วาสิ่งนี้เปนสัณฐานศีรษะ สิ่งนี้เปนสัณฐานคอ สิ่งนี้เปน สัณฐานมือ สิ่งนี้เปนสัณฐานทอง สัณฐานนาภี สัณฐานสะเอว เปนสัณฐานขา สิ่งนี้เปนสัณฐานแขง สิ่งนี้เปนสัณฐานเทา กําหนดโดยทิศนั้นคือใหกําหนดวา ในซากอสุภนี้มีทิศ ๒ ทิศ คือทิศเบื้องต่ํา ทิศ เบื้องบน ทองกายเบื้องต่ํา ตั้งแตนาภีลงมาเปนทิศเบื้องต่ํา ทอนกายบน ตั้งแตนาภีขึ้นไปเปนทิศเบื้อง บน นัยหนึ่งพึงใหพระโยคาพจรกําหนดทิศที่ยืน แลทิศที่อยูแหงซากอสุภ วาอาตมายืนอยูในทิศอันนี้ ซากอสุภกลิ้งอยูในทิศอันนี้ ใหกําหนดทิศเปน ๒ อยางดังนี้ ซึ่งวาใหถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยที่ตั้งนั้น พึงใหกําหนดวาซากอสุภที่กลิ้งอยูนี้ มืออยู ที่นี้ เทาอยูที่นี้ ศีรษะอยูดังนี้ ทามกลางกายอยูที่นี้ นัยหนึ่งพึงใหกําหนดที่ยืนแหงตน แลที่อยูแหง ซากอสุภ วาอาตมายืนอยูที่นี้ ซากอสุภกลิ้งอยูที่นี้ พึงใหกําหนดที่ตั้งเปน ๒ อยางดังนี้ จงวาใหถือเอา อุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยปริเฉทนั้น คือใหกําหนดวาซากอสุภนี้กําหนดในเบื้องต่ําดวยเทา กําหนดใน เบื้องบนดวยปลายผม กําหนดโดยกวางดวยหนังเต็มไปดวยเครื่องเนา ๑๒ สิ่งสิ้นทั้งนั้น นัยหนึ่งวาให ถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยปรเฉทนั้น คือใหกําหนดหัตถาทิอวัยวะสิ่งนี้เปนมือสิ่งนี้เปนศีรษะ สิ่งนี้ เปนกลางตัวเเหงอุทธุมาตกอสุภนิมิต พระโยคาพจรพิจารณาที่เทาใดวาเปนอุทธุมาตกะ ก็พึงให กําหนดเอาที่เทานั้นวาหัตถาทิอวัยวะทั้งปวงนี้ก็คงจะพองขึ้นเห็นดังนี้ นาเกลียดนาหนาย อนึ่งพระโยคาพจรไมควรพิจารณารางกายสตรีภาพใหเปนอุทธุมาตกะกรรมฐาน เหตุวากาย สตรีภาพไมควรบุรุษจะพิจารณาเปนพระกรรมฐาน รางกายแหงบุรุษไมควรสตรีภาพจะพิจารณาเปน พระกรรมฐาน รางกายแหงบุรุษแลรางกายแหงสตรีภาพนี้เปนวิสภาคแกกัน อสุภรมณมิไดปรากฏในรูป กายอันเปนวิสภาค ๆ เปนเหตุจะใหน้ําจิต กําเริบฟุงซานไปดวยกิเลสมีราคะเปนตน ขอหวงมีพระบาลี ในอรรถกถามัชฌิมนิกายวา อุคฺฆาฏิตาป หิ อิตฺถิ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฏฐติ เนื้อความวา แทจริงรางกายแหงสตรีภาพนั้น แมวาจะเปนอุทธุมาตกเทาพองอยูก็ดี ก็อาจยังจิตแหงบุรุษใหเหือด แหงไปดวยกามราคะได เหตุดังนี้ คือใหพระโยคาพจรถือเอาอุทธุมาตกนิมิตโดยอาการ ๖ แตรางกาย อันเปนสภาพสิ่งเดียว พระโยคาพจรจําพวกใดไดเสพพระกรรมฐานแลรักษาธุดงคเปนตน แตครั้งพระศาสนาพระพุทธเจาปางกอน พระโยคาพจรจําพวกนั้นแตพอเล็งแลดูอุทธุมาต กอสุภ ก็จะไดปฏิภาคนิมิตโดยงาย มิพักลําบาก ผิวาพระโยคาพจรเล็งแลดูอุทธุมาตกอสุภแลว ปฏิภาคนิมิตไดปรากฏ ก็พึงใหพิจารณาอุทธุมาตกนิมิตโดยอาการดังนี้แลว ปฏิภาคนิมิตยังไมบังเกิด ปรากฏ ก็พึงใหพระโยคาพจรพระองคนั้น ถืออุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยอาการ ๕ อีกเลา อาการ ๕ นั้น คือใหถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยที่ตอ ๑ โดยระหวาง ๑ โดยที่ต่ํา ๑ โดยที่สูง ๑ โดยรอบคอบ ๑ เปนอาการ ๕ สิริทั้งใหมทั้งเกาเขาเปน ๑๑ ซึ่งวาใหถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยที่ตอนั้น ใหพิจารณา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 30 เอาแตที่ตอใหญอันปรากฏแลที่ตอในรางกายมีถึง ๑๘๐ คือ ที่ตอนอย ๑๖๖ ที่ตอใหญ ๑๔ ที่ตอนอย นั้นเล็กละเอียดนักอยาพึงพิจารณาเอาเปนอารมณเลย ใหพิจารณาเองแตที่ตอใหญอันปรากฏ คือ มือ เบื้องขวามีที่ตอ ๓ มือเบื้องซายมีที่ตอ ๓ เทาซายเทาขวามีที่ตอขางละ ๔ คือมีที่ตออันละ ๑ สะเอวมี ที่ตออัน ๑ เปนที่ตอใหญ ๑๔ แหงดังนี้ ชื่อวาใหถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยระหวางนั้น คือใหพพิจารณาโดยระหวางทั้งปวง คือ ระหวางแหงมือเบื้องขวาแลขางเบื้องขวา คือระหวางมือเบื้องซายแลเบื้องซาย คือทามกลางเทาทั้ง ๒ คือนาภีเปนที่ทามกลางแหงทองคือ ชองแหงหู (อิติศัพทเปนอรรถแหงอาทิศัพทสงเคราะหเอา ชองจมูกเปนตนดวยนั้น ) อธิบายวาใหพระโยคาพจรกําหนดใหรูแทวา อทุธุมาตก อสุภนี้หลับตาลืม ตาอาปากหุบปาก ซึ่งวาใหถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยที่ต่ํานั้น คือใหพระโยคาพจรกําหนดที่ลุมที่ ต่ําในอุทธุมาตก คือ หลุมคอ หลุมคอภายในปาก นัยหนึ่งวาใหกําหนดเอาที่ยืนของตนวา อาตมะยืนอยูในที่ต่ํา อุทธุมาตกอยูในที่สูง กําหนด ที่ต่ํานั้นพึงกําหนดใหเปน ๒ อยาง ดังนี้ ซึ่งวาใหถือเอาอุทธุมาตกอสุภนี้มีที่สูงนั้น คือใหพระ โยคาพจรกําหนดวา อุทธุมาตกอสุภนี้มีที่สูง ๓ แหง คือ เขา ขา หนาผาก นัยหนึ่งวา ใหกําหนดที่ยืน ของตน วาอาตมายืนอยูที่สูง ซากอสุภอยูในที่ต่ํา กําหนดที่สูงนั้นพึงใหกําหนดเปน ๒ อยางดังนี้ ซึ่งวาใหถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยรอบคอบนั้น คือใหพระโยคาพจรกําหนดอุทธุมาต กอสุภนั้นใหจงทั่ว เมื่อพระโยคาพจรหยั่งปญญา ใหสัญจรไปในอุทธุมาตกอสุภ โดยอาการ ๕ ดังนี้ แลว ที่อันใดในซากอสุภปรากฏโดยอาการเปนอุทธุมาตก ก็พึงใหพระโยคาพจรตั้งจิตไววาที่อันนี้เปน อุทธุมาตก ผิวาที่อันใดอันหนึ่งมิไดปรากฏโดยอาการเปนอุทธุมาตกเลย ก็ใหพระโยคาพจรกําหนด เอากายเบื้องบนมีพื้นทองเปนที่สุด เหตุที่อันนั้นเนาพองยิ่งกวาที่ทั้งปวงแลว พึงตั้งจิตไววา ที่อันนี้ เปนอุทธุมาตก พระโยคาพจรพึงถือเอานิมิตในซากอสุภนั้นใหดีดวยสามารถอุทธุมาตกนิมิต มีพรรณ เปนตน แลมีสันธิเปนปริโยสานอันควรแกกลาวแลว พึงตั้งสติใหดีแลวพิจารณาเนือง ๆ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณานั้น จะยืนก็ไดจะนั่งก็ไดไมมีกําหนด แตทวาอยาอยูใหไกลนัก ใกลนัก อยูแตพอประมาณ แลวพิจารณาเห็นอานิสงสในอสุภกรรมฐานนั้น สําคัญวาดวงแกว ตั้งไวซึ่ง ความเคารพรักใครจงหนัก ผูกจิตไวในอารมณ ถืออสุภนั้นใหมั่นดวยดําริวา อาตมาจะพนจากชราแล มรณะดวยวิธีปฏิบัติอันนี้แลว ลืมจักษุขึ้นเล็งแลดูอสุภถือเอาเปนนิมิตแลว พึงจําเริญบริกรรมภาวนาไป วา อุทฺธุมาตกํ ปฏิกุลํ อุทฺธุมาตกํ ปฏิกุลํ รอยคาบพันคาบ ลืมจักษุขึ้นแลวเล็งแลดูแลวพึงหลับลงพิจารณาเลา ควรจะลืมจึงจะลืมควรจะหลับจึงหลับ เมื่อพระโยคาพจรกระทําเนือง ๆ ดังนี้ ไดชื่อวาถือเอาอุคคหนิมิตเปนอันดี ปุจฉาถามวา ถือเอาอุคคห นิมิตเปนอันดีนั้นในกาลใด วิสัชนาวา เมื่อพระโยคาพจรลืมจักษุขึ้นเล็งแลดูแลวหลับลงพิจารณาเลา อันวานิมิตคือซากอสุภนั้น เขาไปปรากฏในละเวกหวางวิถีจิตของพระโยคาพจรเหมือนเมื่อแลดู ดวย จักษุ เปนอันเดียวกันในกาลใด ก็ไดชื่อวาพระโยคาพจรถือเอาอุคคหนิมิตเปนอันดี พิจารณาเปนอันดี กําหนดเปนอันดีดังนี้แลว ผิวาพระโยคาพจรนั้นมิอาจถึงที่สุดสําเร็จแหงภาวนา คือ ปฐมฌานในที่นั้น ก็พึงใหกลับมา สูเสนาสนะ เมื่อจะกลับมานั้น พึงปฏิบัติใหเหมือนเมื่อแรกจะไปพิจารณาซากอสุภ ใหกลับมาแตผู เดียวอยามีเพื่อ พึงใหกระทําอสุภกรรมฐานนั้นไวในใจ พึงตั้งจิตไวใหมั่น สํารวมอินทรียไวใหสงบอยู ภายใน อยาทําน้ําใจอยูภายนอก เมื่อจะออกจากปาชานั้น พึงใหกําหนดหนทางกลับใหตระหนักแนวา หนทางอันนี้ไปขางเหนือขางใตตะวันตกตะวันออก หนทางอันนี้แวะไปซาย หนทางอันนี้แวะไปขวา มี กอนศิลาแลจอมปลวกตนไม แลกอไมเครือเขาเถาวัลยเปนสําคัญอยูขางนี้ ๆ พระโยคาพจรกําหนด หนทางแลวกลับมาสูเสนาสนะดวยประการดังนี้แลว เมื่อจะจงกรมนั้นพึงใหจงกรมในประเทศพื้นแผนดิน อันจําเพาะหนาตอทิศที่อยูแหงอสุภ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 31 นิมิต แมจะนั่งภาวนาก็พึงปูอาสนะใหเฉพาะหนาสูทิศที่อยูแหงอสุภนิมิตนั้น ถามีแหวแลตนไมแลรั้ว กีดขวางอยู พระโยคาพจรมิอาจจะเดินจงกรม มิอาจจะตกแตงอาสนะที่นั่งใหจําเพาะสูทิศอันนั้นได เหตุไมมีที่วางที่เปลา ก็อยาพึงใหพระโยคาพจรเล็งแลดูทิศที่อยุแหงอสุภนิมิต พึงใหตั้งจิตจําเพาะตอ ทิศที่อยูแหงอสุภนิมิตแลว ก็พึงใหเดินจงกรมแลนั่งภาวนาในประเทศอันสมควรนั้นเถิด ฯ จักวินิจฉัยในเนื้อความ ๓ ขอ คือ กําหนดในนิมิตโดยรอบคอบ ๑ คือ ถือเอาอุทธุมาตกอ สุภนิมิตโดยอาการสิบเอ็ด ๑ คือพิจารณาหนทางอันไปแลมา ๑ เปนเนื้อความ ๓ ขอดังนี้ ซึ่งวาใหพระ โยคาจรกําหนดในที่นิมิตโดยรอบคอบนั้น มีคุณานิสงสคืออุทธุมาตกอสุภนิมิตในเขลาเอันมีควรจะไป คือ เวลาสังวัธยายแลกําหนดนิมิตมีไมเปนตนโดยรอบคอบแลวลืมจักษุขึ้นเล็งแลดูซากอสุภ เพื่อจะ ถืออุคคหนิมิต อันวาอุทธุมาตกอสุภนั้น ปรากฏดุจลุกขึ้นหลอกหลอนแลวยืนอยู มิฉะนั้นปรากฏดุจหนึ่งวา เขาครอบงําพระโยคาพจร มิฉะนั้น ปรากฏดุจแลนไลติดตามมา เมื่อพระโยคาพจรเห็นอารมณอันพึง กลัว แปลกประหลาดเหมือนภูตปศาจดังนั้น ก็จะมีจิตกําเริบเปนสัญญาวิปลาสปราศจากสมปฤดี ดุจ คนขลาดผีแลบาผีสิงแลวจะสะดุงตกใจ ใหกายเกิดกัมปนาทมีโลมชาติอันชูชันทั่วสรรพางค เหตุพระกรรมฐานทั้ง ๓๘ ซึ่งจําแนกไวในพระบาลีนั้น พระกรรมฐานบอนใดบอนหนึ่ง ซึ่งจะ มีอารมณอันพึงกลัวเหมือนอุทธุมาตกอสุภกรรมฐานนี้หามิได พระโยคาพจรจะจําเริญพระกรรมฐาน บอนนี้มักฉิบหายจากฌาน เหตุวาพระกรรมฐานบอนนี้มีอารมณอันพิลึกพึงกลัวยิ่งนัก เหตุดังนี้ พระ โยคาพจรพึงหยุดยั้งตั้งสติใหมั่นกระทําอาโภคจิตเนือง ๆ วา ประเพณีซากอสุภซึ่งจะลุกขึ้นหลอกแลว แลนไลติดตามมานั้นไมมีอยาง ผิวากอนศิลาแลเครือเขาแลนไลติดตามมาได ซากอสุภก็จะพึงลุกขึ้น หลอกหลอนแลนไลติดตามกันดังนั้น อนึ่ง กอนศิลาแลเครือเขาแลนไลติดตามไมได ซากอสุภก็มิอาจจะแลนไลติดตามได เหมือนฉะนั้น อันวาอาการอันเห็นปรากฏนี้ เกิดเพราะสัญญาอันกําหนดภาวนาจิต มีแตมาตรวาสัญญา แหงทาน ดูกอนภิกษุผูเห็นภัยในวัฏฏสงสาร อันนี้พระกรรมฐานปรากฏแกทานแลวอยากลัวเลย พระ โยคาพจรกุลบุตรบรรเทาเสียซึ่งสะดุงตกใจ ยังปราสาทเลื่อมใสใหบังเกิดแลว พึงยังภาวนาจิตให สัญจรไปในอุทธุมาตกนิมิตนั้นเถิด พระโยคาพจรก็จะสําเร็จภาวนาวิเศษ คือ ปฏิภาคอัปปนาปฐมฌาน ในเบื้องหนา พระโยคาพจรกําหนดนิมิตโดยรอบคอบนั้นมีคุณานิสงส คือ มิไดเปนที่หลงใหลแหงน้ําจิต ดังนี้ พระโยคาพจรยังนิมิตตคาหะ คือ ถือเอาอุทธุมาตกนิมิตโดยอาการ ๑๑ ใหสําเร็จแลวก็จะไดคุณา นิสงส คือ นอมพระกรรมฐานมาผูกไวในจิต อุคคหนิมิตจะบังเกิดแกพระโยคาพจร ก็เพราะที่ลืมจักษุ ขึ้นเล็งแลอุทธุมาตกอสุภ เมื่อพระโยคาพจรยังภาวนาจิตใหสัญจรไปในอุคคหนิมิต แลวก็จะไดซึ่ง ปฏิภาคนิมิต เมื่อยังภาวนาจิตใหสัญจรไปในปฏิภาคนิมิตแลว ก็จะไดสําเร็จอัปปนา คือ ปฐมฌาน พระ โยคาพจรประดิษฐานอยูในอัปปนาคือ ปฐมฌานแลวจะจําเริญพระวิปสสนา พิจารณาองคฌานเปน อนิจจังทุกขัง อนัตตาแลว ก็จะไดสําเร็จพระอรหัตตัดกิเลสขาด เขาสูพระปรินิพพานควรแกการ กําหนด พระโยคาพจรยังนิมิตคาหะ คือถือเอาอุทธุมาตกนิมิตใหสําเร็จโดยอาการ ๑๑ มีคุณานิสงส คือจะนอมเอากระกรรมฐานมาผูกในจิตดังนี้ แลซึ่งวาใหพระโยคาพจรพิจารณาทางอันไปแลจะมีคุณา นิสงส คือ เปนเหตุจะยังน้ําจิตใหดําเนินไปสูกรรมฐานวิถีนั้นคือ พระโยคาพจรจําพวกนี้ถือเอาซึ่ง อุคคหนิมิตในอุทธุมาตกอสุภแลวกลับมานั้น ผิวามีทายกพวกใดพวกหนึ่งมาพบเขาในละเเวกหวางหนทาง แลวถามถึงดิถี วัน คืน วา ขาแตพระผูเปนเจา วันนี้เปนวันอะไร มิฉะนั้นเขาถามถึงปริศนามิฉะนั้น เขาปราศรัยสั่งสนทนาเปน สุนทรกถา พระโยคาพจรจะนิ่งเสียดวยอาโภคจิตคิดวา ขาเรียนพระกรรมฐานอยูตองการอะไร ที่ขาจะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 32 บอกจะกลาวเจรจาตอบ จะนิ่งเสียดวยอาโภคจิตดังนี้แลว จะเดินไปนั้นไมสมควร ๆ จะบอกเนื้อความ ตามเหตุ ถาทายกเขาถามวันพึงบอกวัน ถามถึงปริศนาพึงแกปริศนา ผิวาไมรูพึงบอกวาไมรู อนึ่ง พึงปราศรัยสนทนาโดยปฏิสันถาร เมื่อพระโยคาพจรประกอบตาง ๆ อยางพรรณนามา นี้ อุคคหมินิตที่พระโยคาพจรไดนั้น ยังไมแมนยํายังออนอยู ก็จะเสื่อมเสียจากสันดาน พระโยคาพจร เมื่ออุคคหนิมิตเสื่อมสูญจากสันดานดังนี้ก็ดี แมวาทีทายกมาถาม ดิถีขึ้นแรมก็พึงบอกใหแกเขา ถา เขาถามปริศนาและโยคาพจรนั้นมิไดรู ก็พึงบอกแกเขาวา ขาไมรู ผิวารูก็ควรจะกลาวแกโดยเอกเทศ พึงใหปราศรัยสนทนาตอบทายกโดยอันสมควร เห็นภิกษุอาคันตุกมาสูสํานักแหงตน ก็พึงใหกระทําปราศรัยสนทนาดวยอาคันตุกภิกษุ อนึ่ง พึงใหพระโยคาพจรบําเพ็ญขุททกวัตรอันนอยเปนตน คือเจติยังคณวัตร ปฏิบัติกวาดแผวเปนตน ในลานพระเจดีย ๑ โพธิยังคณวัตร ปฏิบัติในลานพระมหาโพธิ ๑ อุโปสถาคารวัตร ปฏิบัติในโรง อุโบสถ ๑ โภชนาสาลาวัตร ปฏิบัติในโรงฉัน ขันตาฆราวัตร ปฏิบัติในโรงไฟ ๑ อาจาริยวัตรปฏิบัติแก อาจารย ๑ อุปชฌายวัตร ปฏิบัติพระอุปชฌายะ ๑ อาคันตุกวัตร ปฏิบัติแกภิกษุแกภิกษุอาคันตุก ๑ คมิ ยะวัตร ปฏิบัติแกภิกษุเดินทาง ๑ เมื่อพระโยคาพจรบําเพ็ญขุททกวัตรเปนตนดังนี้ อันวาอุคคหนิมิตอันออนแรกได ก็จะฉิบ หายจากสันดานแหงพระโยคาพจร แมวาพระโยคาพจรจะปรารถนากลับคืนไป ถือเอานิมิตอันนั้นใหม ก็มิอาจจะไปสูประเทศปาชานั้นได เหตุวาฝูงผีมนุษยเนื้อรายหากหวงแหนพิทักษรักษาอยู อนึ่ง แม พระโยคาพจรกลับไปสูปาชานั้นไดก็ดี อุทธุมาตกอสุภนั้นก็อันตรธานเหตุอุทธุมาตกอสุภนั้นไมตั้งอยู นาน ตั้งอยูวันหนึ่งสองวันแลวหายกลายเปนซากอสุภอื่น มีวินีลกอสุภเปนตน พระโยคาพจรมิอาจพิจารณาเอาอุคคหนิมิตนั้นคืนได เหตุอารมณนั้นตางไป แตบรรดาพระ กรรมฐานบอนใดบอนหนึ่ง จะไดดวยยากอยางอุทธุมาตกอสุภกรรมฐานนี้หามิได เหตุดังนั้นเมื่ออุคคห นิมิตหายไป เพราะบอกดิถีวันขึ้นแรมแกทายกเปนตนดวยประการดังนี้แลว พึงพิจารณามรรคาวิถีที่ตน ไปแลมา ตราบเทาถึงที่อันคูเขาซึ่งบัลลังกสมาธิแลวแลนั่งนั้น วาอาตมาะออกจากวิหารที่อยูโดย ประตูอันนี้ ไดไปสูหนทางจําเพาะหนาสูทิศอันโนน ไปถึงที่นั้น อาตมะแวะไปซาย ไปถึงที่นั้นอาตมะ แวะไปขวา ไปถึงอันนั้นมีกอนศิลาเปนสําคัญ ถึงที่อันนั้นมีจอมปลวกแลตนไมกอไมเครือเขาเถาวัลย อันใดอันหนึ่งเปนสําคัญ อาตมะไปโดยหนทางอันนั้นพบซากอสุภอยูที่โนน ยืนอยูที่นั้นหันหนาไปสูทิศอันโนน แล พิจารณานิมิตโดยรอบคอบดังนี้ ถือเอาอสุภนิมิตดังนี้ ออกจากปาโดยทิศชื่อโพนแลวสําเร็จกิจสิ่งนั้น ๆ กลับมาโดยหนทางอันนี้ นั่งอุรุพันธาสนอยูในที่นี้ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาดังนี้ อุคคหนิมิตอัน หายไปก็จะปรากฏกลับคืนดุจหนึ่งวาตั้งอยูจําเพาะหนา พระกรรมฐานของพระโยคาพจรก็จะไตไป ดําเนินไปสูมนสิการวิถีโดยอาการกอน พระโยคาพจรพิจารณาหนทางอันไปแลมานั้นมีคุณานิสงสคือ เหตุจะยังน้ําจิตใหไตไปสูกรรมฐานวิถีดังพรรณนามานี้ เมื่ออุคคหนิมิตปรากฏกลับคืนมา บังเกิดในสันดานดังนี้แลว พระโยคาพจรพึงยังน้ําจิตให สัญจรไปในอุทธุมาตกปฏิกูลแลวพึงพิจารณาใหเห็นอานิสงสวา อาตมะจะยังฌานใหบังเกิดแลวจะ จําเริญพระวิปสสนามีฌานเปนที่ตั้ง พิจารณาฌานเปนพระไตรลักษณแลว จะพนจากชาติชราแลมรณะ เพราะพิธีทางปฏิบัติ อนึ่งพระโยคาพจรพิจารณาเห็นอานิสงสดังนี้ พึงรักษาอุคคหนิมิตไวใหมั่นคงอยา ใหอันตรธาน พึงทําการใหเหมือนคนยากรักษาดวงแกว ธรรมดาคนเข็ญใจไดดวงแกวอันมีราคาเปน อันมากนั้น ยอมมีความเคารพรักใครชื่นชมโสมนัสในดวงแกวดวยสําคัญเขาใจวา แกวดวงนี้บุคคล ผูอื่นจะไดพบไดเห็นเปนอันยากยิ่งนักอาตมาไดดวงแกวนี้มาไวในเรือนเปนบุญลาภล้ําเลิศประเสริฐ เขาใจดังนี้แลวก็มีความรักใครในดวงแกวยิ่งนัก รักษาไวมั่นคงมิไดสูญหายไปไดฉันใดก็ดี โยคาพจรบําเพ็ญพระกรรมฐานอันนี้ ก็พึงใหมีความรัก ความยินดี เหมือนคนเข็ญใจไดดวงแกวอันมี
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 33 ราคา โยคาพจรบําเพ็ญพระกรรมฐานอันนี้นี่ยาก พระกรรมฐานบอนอื่น ๆ บําเพ็ญงายแทจริงโยคาพจร จําเริญจตุธาตุกรรมฐานนั้น ก็พึงพิจารณาฌามหาภูตรูป ๔ ของตนเอง โยคาพจรจําเริญอานาปาน กรรมฐานเลา ก็ตั้งสติไวที่ปลายนาสิกแลริมโอษฐ อันถูกลมถูกตองเอาลมเปนนิมิต พิจารณาลมนาสิก ของตน โยคาพจรจําเริญกสิณกรรมฐานกระทําดวงกสิณทําดวงกสิณโดยใหญเทากับตะเเกรง โดย นอยเทาขอบขัน แลวจําเริญภาวนาโดยอัธยาศัยไมเรงไมรัด พระกรรมฐานอื่นคือ อนุสสติแลพรหมวิหารนั้นโยคาพจรไดงายไมพักลําบากกายใจ อันอุท ธุมาตกกรรมฐานคงจะตั้งอยูก็แตวันหนึ่งสองวัน เบื้องหนาแตนั้นก็กลายเปนอื่นมีนีลกอสุภเปนตน เหตุ ดังนั้น พระกรรมฐานบอนอื่นจะเปนของหายากยิ่งกวาอุทธุมาตกกรรมฐานนี้หามิได เมื่อพระโยคาพจร สําคัญเขาใจอุทธุมาตกอสุภเปนดวงแกวดังนี้แลว พึงใหมีความเคารพรักใครในอุคคหนิมิตพึงรักษา อุคคหนิมิตไว อยาใหอันตรธานหายจากสันดานได มีอุปมาเหมือนคนเข็นใจไดดวงแกวมีราคามาก แลวรักษาไวเปนอันดีนั้น อันดับนั้นโยคาพจรนั้นนั่งในที่สบาย กลางวันก็ดีใหผูกจิตไวในนิมิตดวยบริกรรมภาวนา วา อุทฺธุมาตกํ ปฏิกุลํ อุทฺธุมาตกํ ปฏิกุลํ เอาวิตกชักมาซึ่งนิมิตพิจารณาเนือง ๆ แลว ๆ เลา ๆ อันวาปฏิภาคนิมิตก็บังเกิดแกโยคาพจร อุคคหนิมิตกับปฏิภาคนิมิตมีเหตุตางกัน อุคคหนิมิตนั้นปรากฏ สภาคเห็นเปนอันพึงเกลียดพึงกลัว แลแปลกประหลาดยิ่งนัก แลปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏดุจบุรุษมีกาย อันพวงพี บริโภคอาหารตราบเทามีประโยชนแลวแลนอนอยูเมื่อโยคาพจรไดปฏิภาคนิมิตนั้นแลว อันวานิวรณกรรม ๕ ประการ ก็ปราศจากสันดานโดยวิขัมภนปหาน พรอมกันกับโยคาพจร ไดปฏิภาคนิมิต แลนิวรณณธรรม ๙ ประการนั้นคือ กามฉันทนิวรณ ๑ พยาบาทนิวรณ ๑ ถีนมิทธนิวรณ ๑ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ ๑ วิจิกิจฉานิวรณเปน ๕ นิวรณคือ กามฉันทะฉิบหายจากสันดานโดย วิขัมภนปหานเหตุโยคาพจรมิไดกระทําไวในใจ ซึ่งกามคุณอันเปนภายนอก แลพยาบาทนิวรณนั้น ปราศจากสันดานโยคาพจร เหตุโยคาจพจรสละเสียซึ่งอาฆาตอันมีความรักเปนมูลเหตุ เปรียบดุจ บุคคลอันละโลหิตเสียแลวก็ปราศจากหนอง แลถีนมิทธนิวรณนั้นปราศจากสันดานพระโยคาพจร เหตุ ปรารภรําพึงเพียงเครงครัดยิ่งนัก แลอุทธัจจกุกกุจจนิวรณนั้นปราศจากสันดาน เหตุโยคาพจรประกอบ เนือง ๆ ในธรรมอันเปนที่ระงับ แลมิไดกระทําใหกําเริบรอน แลวิจิกิจฉานิวรณนั้นคือความสงสัยใน สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองค อันเปนผูแสดงซึ่งปฏิบัติแลวิธีทางปฏิบัติ แลผลแหงปฏิบัติคือโลกิย ผลแลโลกุตตรผลนั้นปราศจากสันดาน เพราะเหตุเห็นประจักษแจงในภาวนาวิเศษอันตนไดนิวรณธรรม ๕ ประการนี้ ดับพรอมกันก็ บังเกิดปรากฏแหงปฏิภาคนิมิตอันวาองคฌาน ๔ ประการนี้ คือวิตกอันยกอารมณขึ้นสูจิต ๑ คือวิจาร มี กิริยาอันใหสําเร็จ คือพิจารณาปฏิภาคนิมิต ๑ คือปติบังเกิดแตเหตุคือปฏิภาคนิมิต อันพระโยคาพจร ได ๑ คือสุขอันมีปสสัทธิยุคล คือกายปสสิทธิแลจิตปสสัทธิเปนเหตุ ดวยวาโยคาพจรมีจิตกอปรดวย ปติแลว ปสสัทธิก็บังเกิดแกโยคาพจร ๑ คือเอกัคคตามีสุขเปนเหตุ ดวยสภาวะ โยคาพจรเปนสุขแลว จึงมีสมาธิจิต ๑ องคฌานทั้ง ๕ ประการนี้บังเกิดปรากฏในปฏิภาคนิมิตอันอุปจารฌานนั้น บังเกิดเปน รูปเปรียบแหงปฐมฌาน ก็วาอัปปนาฌานคือปฐมฌานก็ดี แลกิริยาที่ถึงซึ่งชํานาญในปฐมฌานก็ดี เบื้องหนาแตอุปจารฌานนี้ นักปราชญพึงรูโดยนัยดังกลาวแลวในปฐมวีกสิณนั้นเถิด จบอุทธุมาตกอสุภโดยสังเขปเทานี้
ในวินีลกรรมฐาน มีขออธิบายวา ใหพระโยคาพจรพิจารณาซากอสุภมีสีเขียวเปนอารมณ แลวินิจฉัยอธิบายในวินีลกอสุภกรรมฐานนี้ ก็เหมือนกันกับอุทธุมาตกอสุภกรรมฐาน จะแปลก ประหลาดกัน แตบริกรรมในอุทธุมาตกอสุภนั้นบริกรรมวา อุทฺมาตกํ ปฏิกุลํ อุทฺธุมาตกํ ปฏิกุลํ ใน วินีลกอสุภกรรมฐานนี้ไหบริกรรมวา วินีลกํ ปฏิกุลํ วินีลกํ ปฏิกุลํ ในวินีลกอสุภกรรมฐานนี้ อุคคห
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 34 นิมิตมีสีอันดางพรอยถาปรากฏดังนี้ไดชื่อวาอุคคหนิมิตบังเกิด แลปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏดวยสามารถ อันหนาขึ้นแหงสีใดสีหนึ่ง คือสีแดงสีขาวสีเขียวเจือกัน แลมีสีใดสีหนึ่งมากแผกลบสีทั้งปวง ถา ปรากฏดังนี้ไดชื่อวาปฏิภาคนิมิตบังเกิด ฯ จบวินีลกอสุภ
ในวิปุพพกอสุภกรรมฐานนั้น ใหโยคาพจรพิจารณาซากอสุภอันมีน้ําหนองไหลเปนอารมณ คือบริกรรมวา วิปุพฺพกํ ปฏิกุลํ วิปุพฺพกํ ปฏิกุลํ รอยคาบพันคาบตราบเทากวาจะไดสําเร็จอุคคห นิมิตแลปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในวิปุพพกรรมฐานนี้ ปรากฏดุจมีหนองไหลอยูมิขาด แลปฏิภาคนิมิต นั้นปรากฏเปนรางอสุภสงบแนนิ่งอยูมิไดหวาดไหว ซึ่งปรากฏดุจมีหนองอันไหลอยูเหมือนอุคคหนิมิต นั้นหาบมิได ฯ จบวิปุพพอสุภ
ในวิฉิททกอสุภกรรมฐานนั้น มีขออธิบายวา ใหโยคาพจรพิจารณาซากเฬวระแหงขาศึกแล โจร อันพระมหากษัตริยตรัสใหตัดใหฟน มีศีรษะอันขาด มือขาด เทาขาด แลวกลิ้งอยูในที่สนามรบ แลปาชา อันเปนที่อาศัยแหงโจรแลปาชา ถามิฉะนั้นพึงพิจารณาซากอสุภแหงมนุษย อันพาลฤค เปน ตนวาเสือโครงแลเสือเหลืองขบกัดใหขาดเปนทอน ๆ ทอดทิ้งอยูในไพรสณฑประเทศ เหตุดังนั้นเมื่อ โยคาพจรไปสูที่พิจารณาซากอสุภนั้น ผิวาซากอสุภอันตกอยูในทิศตาง ๆ นั้น ปรากฏแกโยคเทศคลองที่สวางของจักษุแหงพระ โยคาพจร ดวยอาวัชชนะพิจารณาครั้งเดียวก็เปนบุญลาภอันดีนัก ถาแลซากอสุภนั้นมิไดสูโยคเทศ คลองที่สวางแหงจักษุ ดวยพิจารณาครั้งเดียวก็อยาพึงใหพระโยคาพจรถือเอาซากอสุภนั้นมาวางไว ในที่อันเดียวกันดวยมือแหงตน เมื่อถูกตองจับถือดวยมือแหงตนแลวก็จะคุนจะเคยไป จะไมรังเกลียด อายในซากอสุภนั้น เหตุดังนั้นพึงใหพระโยคาพจรใชโยมวัดเเลสามเณรแลผูใดผูหนึ่ง นํามาวางไวในที่อัน เดียวกัน ถาหาผูใดผูหนึ่งจะชวยนํามามิได ก็พึงใหโยคาพจร เอาไมเทาแลไมสาวคัดตอนเขาวางไว ใหหางกันแต ๑ นิ้ว แลวพึงกําหนดจิตจําเริญบริกรรมภาวนาวา วิฉิทฺทกํ ปฏิกุลํ วิฉิทฺทกํ ปฏิ กุลํ รอยคาบพันคาบ ตราบเทาอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตจะบังเกิด อุคคหนิมิตในวิฉิททกกรรมฐาน นี้ เปนอสุภนิมิตปรากฏในละเวกหวางวิถีจิต มีอาการอันขาดในทามกลางเหมือนอยางอสุภนั้น แลปฎิ ภาคนิมิตนั้นปรากฏเหมือนอวัยวะบริบูรณ มิไดเปนชองเปนหวางอยางอุคคหนิมิต ฯ จบวิฉิททอสุภ
ในวิกขายิตกอสุภนั้นมีขออธิบายวา ใหพระโยคาพจรพิจารณาซากอสุภ อันสุนัขเปนตนกัด ทึ้งยื้อครา แลวกําหนดจิตบริกรรมภาวนาวา วิกฺขายิตกํ ปฏิกุลํ วิกฺขายิตกํ ปฏิกุลํ รอยคาบพัน คาบตราบเทาอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตจะบังเกิด อุคคหนิมิตใดวิกขายิตกนี้ปรากฏเหมือนรางอสุภอัน สัตวกัดกินกลิ้งอยูในที่นั้น ๆ แลปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏบริบูรณสิ้นทั้งรางกาย ปรากฏเปนที่สัตวกัดกิน นั้นหาบมิได จบวิกขายิตกอสุภ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 35 วิขิตตตกอสุภนั้น มีขออธิบายวา ใหโยคาพจรใชโยมวัดแลสามเณรแลผูใดผูหนึ่ง ให ประมวลมาซึ่งอสุภอันที่ตกเรี่ยรายอยูในที่ตาง ๆ มาวางไวในที่อันเดียวกัน มิฉะนั้นใหประมวลมาดวย ตนเอง วางไวในที่อันเดียวกันใหหางกันนิ้วหนึ่ง ๆ แลวพึงกําหนดจิตจําเริญบริกรรมวา วิกฺขิตฺตกํ ปฏิกุลํ วิกฺขิตฺตกํ ปฏิกุลํ จงเนือง ๆ อันวาอุคคหนิมิตในวิกขิตตกกรรมฐานนี้ มีสภาวะปรากฏเปน หวาง ๆ เหมือนรางอสุภนั้น แลปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏเปนรางกายบริบูรณจะไดมีชองหวางหามิได ฯ จบวิกขิตตกอสุภ
ในหตวิกตตกอสุภนั้นมีขอวินิจฉัยอธิบาย ใหพระโยคาพจรประมวลมาเองก็ดี ใชผูอื่นให ประมวลมาก็ดี ซึ่งซากอสุภอันบุคคลผูเปนไพรีปจจามิตร สับฟนมีอาการดังเทากากระทําใหขาดเปน ทอน ๆ ทิ้งไวในที่ทั้งปวงเปนตนวาปาชัฏแลปาชานั้น นํามาวางไวใหหาง ๆ กันละ ๑ นิ้ว ๆ แลวพึง กําหนดจิตจําเริญบริกรรมวา หตวิกฺขิตตกํ ปฏิกุลํ หตวิกฺขิตฺตกํ ปฏิกุลํ จงเนือง ๆ ตราบเทา อุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตมาบังเกิดในสันดาน อันวาอุคคหนิมิตบังเกิดปรากฏนั้น ดุจรอยปากแผลอัน บุคคลประหาร แลปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏเต็มบริบูรณ จะไดเปนชองเปนหวางอยางอุคคหนิมิตนั้นหา มิได ฯ จบหตวิกขิตตกอสุภ
ในโลหิตกอสุภนั้น มีขอวินิจฉัยอธิบายวา ใหพระโยคาพจรพิจารณาดูซึ่งซากอสุภ อัน บุคคลประหารในอวัยวะมีมือและเทาเปนอาทิใหขาด มีโลหิตอันลนไหลออกแลทิ้งไวในที่สนามรบ เปนตนก็ดี แลอสุภมีโลหิตอันไหลออกจากปากแผลฝแลตอมเปนตนแตกออกก็ดี เมื่อเห็นอสุภนั้น พึง กําหนดพิจารณาเอาเปนอารมณแลวจึงจําเริญบริกรรมวา โลหิตกํ ปฏกุลํ โลหิตกํ ปฏิกุลํ จงเนือง ๆ เปนนิตย อันวาอุคคหนิมิต ในโลหิตกอสุภนี้ เมื่อปรากฏในมโนทวารนั้นมีอาการอันไหวดุจผาแดงอัน ตองลมแลงแลไหว ๆ อยูนั้นแลปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏเปนอันดีจะไดไหวไดติงหามิได ฯ จบโลหิตกอสุภ
ในปุฬุวกอสุภนั้น มีอรรถาอธิบายวา พระโยคาพจรพิจารณาซึ่งซากอสุภอันบุคคลทิ้งไวสิ้น ๒ วัน ๓ วันแลว มีหนอนอันคลานคล่ําออกมาจากทวารทั้ง ๙ นั้น อนึ่งโสต จะพิจารณาในซากกเฬวระ แหงสัตว มีสุนัขบานสุนัขจิ้งจอกแลมนุษย แลโคกระบือชางมาแลงูเหลือมเปนตนอันมีหมูหนอน ประมาณทั่วกายแหงสัตวนั้น ๆ คลานคล่ําอยูดุจกอบแหงขาวสาลีอันขาวนั้นก็ได เมื่อโยคาพจรเห็น ดังนั้นแลว พึงกําหนดจิตพิจารณาเอาเปนอารมณแลวจึงบริกรรมวา ปุฬุวกํ ปฏิกุลํ ปุฬุวกํ ปฏ กุลํ จงเนือง ๆ เถิด ถาพระโยคาพจรเจามีอุปนิสัยสมควรอยูแลวแตพิจารณาเห็นซากอสุภสัตวก็จะไดอุคคห นิมิตแลปฏิภาคนิมิตโดยงาย มิพักลําบากดุจพระจุลปณฑปาติกติสสเถระอันพิจารณาเห็นซากอสุภ ชาง ในภายในเมืองอันชื่อวากาฬทีฑวาป แลไดสําเร็จอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตนั้น อันวาอุคคหนิมิต ในปุฬุวกกรรมฐานนี้ เมื่อปรากฏในมโนทวารนั้น มีอาการอันหวั่นไหว เหมือนหมูหนอนอันสัญจรคลาน คล่ําอยูนั้น แลปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏสงบเปนอันดี ดุจกองขาวสาลีอันขาวนั้น ฯ ในอัญฐิกอสุภนั้น มีอรรถธิบายวาโยคาพจรพิจารณาซากอสุภอันมีรางอัฐิทั้งสิ้น อัน ประกอบดวยมังสะและโลหิต แลผูกรัดดวยเสนใหญนอยก็ได อนึ่งจะพิจารณาทอนอัฐิอันเดียวอันตก อยูในพื้นแผนดินก็ได เหตุดังนั้นโยคาพจรพึงไปสูที่เขาทิ้งอัฐิไวโดยนัยกอนแลว พึงกําหนดอัฐิกับทั้ง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 36 อารมณดวยสามารถแหงกอนศิลาเปนตน อันอยูโดยรอบคอบแลวใหกําหนดโดยสภาวะเปนปกติ วาสิ่งนี้เปนกระดูก แลพึงถือเอาอัฐิ นิมิตโดยอาการ ๑๐ คือ สี ๑ เพศ ๑ สัณฐาน ๑ ทิศ ๑ ที่ตั้ง ๑ ที่กําหนด ๑ ที่ต่ํา ๑ ที่สูง ๑ ระหวาง ๑ ที่ตอ ๑ รอบคอบแหงอัฐิ ๑ สิริเปน ๑๑ ดังนี้อัฐินั้นมีสีขาว ครั้นเมื่อโยคาพจรพิจารณาจึงมิไดปรากฏ โดยปฏิกูล เหตุสีขาวอันนั้นเจือไป ขาโอทาตกสิณ เหตุดังนั้นพระโยคาพจรผูจําเริญอัฏฐิกรรมฐาน พึง พิจารณาใหเห็นวาเปนปฏิกูลพึงเกลียดวาสิ่งนี้เปนรางอัฐิใหจงได ซึ่งใหพิจารณาอัฐินิมิตโดยเพศนั้น คือพิจารณามือแลเทา ศีรษะแลอกแขนแลสะเอว ขา แลแขงแหงรางกายอัฐิซึ่งใหพิจารณารางอัฐิกนิมิตโดยสัณฐานนั้น คือใหพิจารณาอัฐิอันเล็กใหญยาว สั้นกลมแลสี่เหลี่ยม ซึ่งใหพิจารณาโดยทิศแลโอกาสนั้น มีอรรถาธิบายดังพรรณนาแลวในอุทธุมาต กกรรมฐานนั้น ซึ่งใหกําหนดโดยปริจเฉทนั้น คือ ใหกําหนดซึ่งที่สุดแหงอัฐินั้น ๆ เมื่อโยคาพจร กําหนดซึ่งที่สุดแหงอัฐิดังนี้แลว อันวาเพศมีมือเปนตนอันไดปรากฏในอัฐิอสุภนั้น ก็พึงใหโยคาพจร ถือเอาซึ่งเพศมีมือเปนตนนั้นเปนอารมณ แลวพึงจําเริญบริกรรมใหสําเร็จอัปปนาฌานจงได ซึ่งวาใหกําหนดโดยที่ต่ําแลที่สูงนั้น พึงใหกําหนดซึ่งที่ต่ําแลที่สูงแหงอัฐินั้น ๆ อธิบายวา ใหพระโยคาพจรพิจารณาประเทศที่ตั้งแหงอสุภวา อาตมะอยูที่ต่ําอัฐิอยูในที่สูง อาตมะอยูที่สูงอัฐิอยู ที่ต่ํา ซึ่งวาใหโยคาพจรกําหนดโดยที่ตอนั้น คือใหกําหนดซึ่งที่ตอเเหงอัฐิสองทอน แตบรรดาที่ตอกัน นั้น ซึ่งใหกําหนดโดยระหวางนั้น คือใหกําหนดระหวางแหงอัฐินั้น ซึ่งใหกําหนดโดยรอบคอบแหงอัฐิ นั้น ๆ คือใหพระโยคาพจรยังปญญาใหสัญจรไปในรางอัฐิทั้งสิ้นนั่นแลว พึงกําหนดโดยรอบคอบวาอัฐิ อันนี้อยูในที่นี้ ๆ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาดังนี้แลว อุคคหนิมิตปฏิภาคนิมิตยังมิไดบังเกิด ก็พึงให พระโยคาพจรตั้งจิตไวในกระดูกหนาผากพระโยคาพจรถือเอานิมิตโดยอาการ ๑๑ โดยควรในปุฬุวก อสุภเปนตนเบื้องหนาแตอัฐิอสุภนี้เหมือนดังนั้นเถิด โยคาพจรบําเพ็ญพระอัฐิกรรมฐานนี้ จะพิจารณา รางอัฐิทั้งนั้นก็ได จะพิจารณารางอันติดกันอยูโดยนอย หลุดจากกันโดยมากก็ได จะพิจารณาทอนอัฐิ อันเดียวก็ได ตามแตจะเลือกพิจารณาเถิด เมื่อพระโยคาพจรถือเอานิมิตโดยอาการ ๑๑ ในอัฐิกอสุภ อันใดอันหนึ่งดังนี้แลวพึง กําหนดจิตจําเริญบริกรรมวา อฏิกํ ปฏิกุลํ อฏิกํ ปฏิกุลํ จงเนือง ๆ กวาจะสําเร็จอุคคหนิมิตแล ปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตในอัฐิอสุภกรรมฐานนี้เหมือนกันเปนอันเดียว มิไดแปลก ประหลาดกัน ซึ่งวาอุคคหนิมิตเหมือนกันเปนอันเดียวนั้น ควรแตในทอนอัฐิอันเดียว พระโยคาพจร พิจารณาแตทอนอัฐิอันเดียว นิมิตทั้ง ๒ จึงมิไดตางกัน ถาพระโยคาพจรพิจารณารางอัฐิทั้งสิ้น นินิตทั้ง ๒ นั้นก็ปรากฏ ตางกัน อุคคหนิมิตนั้นปรากฏเปนชองเปนหวางอยู ปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏในมโนทวารเปนรางอัฐิ อสุภบริบูรรณสิ้นทั้งนั้น จะเปนชองเปนหวางอยางอุคคหนิมิตหามิได เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาอัฐิ กรรมฐานทั้งหลายนั้นอุคคหนิมิต ปรากฏพึงเกลียดพึงกลัว เพราะเปนกระดูกแทแลโยกโคลงหวั่นไหว ปฏิภาคนิมิตบังเกิดแลวไมโยกโคลง หวั่นไหวแลเกลี้ยงเกลางดงาม จึงใหพระโยคาพจรมีความชื่นชม โสมนัส เหตุนิมิตนั้นเปนที่จะนํามาซึ่งอุปจารแลอัปปนาแกพระโยคาพจร ฯ จบอัฏฐิกอสุภเทานี้
อสุภกรรมฐานทั้ง ๑๐ นี้ ทานจัดไววาเปนที่สบายของบุคคลที่เปนราคจริตอันประพฤติมัก มาก ดวยความกําหนัดยินดีโดยธรรมดา เมื่อจะแยกออกเปนสวน ๆ แลว อสุภสวนหนึ่ง ก็เปนที่สบาย ของบุคคลราคจริตสวน ๆ ตามที่ทานไดแสดงไววา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 37 อุทธุมาตกอสุภ เปนที่สบายของบุคคลราคจริต กําหนัดยินดีโดยทรวดทรงสัณฐาน เพราะ ในอสุภนี้สอแสดงใหเห็นวาสรีรสัณฐานนี้ตองถึงความวิปริตพองขึ้นโดยธรรมดา ๆ วินีลกอสุภ เปนที่สบายของบุคคลราคจิรต มักกําหนัดยินดีโดยผิวพรรณ เพราะในอสุภนี้สอ แสดงใหเห็นวาผิวพรรณนี้ ตองถึงวิปริตเขียวมองหมนหมองไปโดยธรรมดา ฯ วิปุพพกอสุภ เปนที่สบายของบุคคลราคจริต มักกําหนัดยินดีโดยสรีระอันปรนปรุงทาบทา ดวยเครื่องหอม เพราะในอสุภนี้สอแสดงใหเห็นวาเครื่องหอมที่ทาบทาในกายนี้ ตองถึงวิปริตเครื่อง หอมกลับไปเปนกลิ่นเหม็นไปโดยธรรมดา ฯ วิฉิททกอสุภ เปนที่สบายของบุคคลราคจิรต มักกําหนัดยินดีโดยทานกายอันเปนแทงทึบ เพราะในอสุภนี้ สอแสดงใหเห็นวาภายในกายนี้ เปนโพรงเปนชองอยูโดยธรรมดา ฯ วิกขายิตกอสุภ เปนที่สบายของบุคคลราคจริต มักกําหนัดยินดีโดยแทงเนื้อที่เปนปจจัยแก แกกิเลสอันแรงกลา มีแทงเนื้อคือเตานมเปนตน เพราะในอสุภนี้ สอแสดงใหเห็นวาแทงเนื้อเหลานี้ ตองถึงความวิปจริตไปโดยธรรมดา ฯ วิขิตตกอสุภ เปนที่สบายของคนราคจริต มักกําหนัดยินดีโดยลีลอาการกิริยาเยื้องกรายยก ยอง แหงอวัยวะนอยใหญ เพราะในอสุภนี้ สอแสดงใหเห็นอวัยวะนอยใหญทั้งปวงนั้น ตองซัดสายไป ตางกันโดยธรรมดา ฯ หตวิกขิตตกอสุภ เปนที่สบายของบุคคลราคจิรต มักําหนัดยินดีในสรีรสมบัติ ที่ติดตอพรอม เพรียง เพราะในอสุภนี้สอแสดงใหเห็นวาความติดตอกายนี้ ตองหลุดลุยแตกหักไปโดยธรรม ฯ โลหิตกอสุภ เปนที่สบายของบุคคลราคจริต มักกําหนัดยินดีโดยความงมงายกาย ที่บุคคล ตกแตงดวยเครื่องประดับตาง ๆ เพราะในอสุภนี้สอแสดงใหเห็นวากายที่ประดับใหงามนี้ เปนปฏิกูล แปดเปอนดวยน้ําเลือดโดยธรรมดา ฯ ปุฬุวกอสุภ เปนที่สบายของบุคคลราคจริต มักกําหนัดยินดี โดยความที่ถือกายเปนของ แหงเราแท เพราะในอสุภนี้สอแสดงวากายไมเปนของแหงตน เปนของสาธรารณทั้วไปแกหมูหนอน ทั้งหลายโดยธรรมดา ฯ อัฏฐิกอสุภ เปนที่สบายของบุคคลราคจริต มักกําหนัดยินดีโดยกระดูกฟนสมบูรณ เพราะใน อสุภนี้ สอแสดงใหเห็นวากระดูกฟนนี้เปนปฏิกูลหลุดถอนไปโดยธรรมดา ฯ จบอสุภ
แตนี้จะวินิจฉัยในพระอนุสสติกรรมฐาน ๑๐ อันสมเด็จพระสรรเพชญพุทธองค ตรัสเทศนาไว ในลําดับแหงพระอสุภกรรมฐานนั้น อนุสสตินั้นไดแกอันมีลักษณะใหระลึกเนือง ๆ นัยหนึ่งวาสติที่ สมควรแกกุลบุตรผูบวชดวยศรัทธานั้นชื่อวาอนุสสติ เหตุวาประพฤติเปนไปในอันควรจะระลึกมีระลึก พระพุทธคุณเปนตน พระอนุสสติกรรมฐานนี้ ถาจะวาโดยประเภทตางออกเปน ๑๐ ประการคือพุทธา นุสสติ อันมีลักษณะปรารภรําพึงถึงพระพุทธคุณ เปนอารมณเนือง ๆ นั้นประการ ๑ ธัมมานุสสติอันมี ลักษณะปรารภรําพึงถึงพระธรรมคุณเปนอารมณเนือง ๆ นั้นประการ ๑ สังฆานุสสติ อันมีลักษณะ ปรารภรําพึงถึงพระสังฆคุณเปนอารมณเนือง ๆ นั้นประการ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 38 สีลานุสสติ คือสติอันปรารภถึงศีลคุณเปนอารมณเนือง ๆ นั้นประการ ๑ จาคานุสสติเปนสติ อันรําพึงกิจที่จะบริจาก จําแนกทานเนือง ๆ นั้นประการ ๑ เทวตานุสสติ คือสติอันรําพึงถึงเทพยดาตั้ง ทวยเทพยดาทั้งปวงไวในที่เปนพยานแลว แลกลับรําพึงถึงคุณของตนมีศรัทธาเปนอาทินั้นประการ ๑ มรณานุสสติ คือสติอันรําพึงถึงความตายเนือง ๆ นั้นประการ ๑ กายคตานุสสติ คือสติอันปรารภรําพึง ไปในอาการ ๓๒ ( ทวตฺตึสาการ) มีผมเปนตนนั้นประการ ๑ อานาปานสติ คืออันปรารภรําพึงซึ่งลม หายใจเขาออกเปนอารมณนั้นประการ ๑ อุปสมานุสสติ คือสติอันรําพึงปรารภเอาพระนิพพานเปน อารมณนั้นประการ ๑ สิริเปนอนุสสติ ๑๐ ประการดวยกัน แตจักสําแดงพิสดารในพุทธานุสสติกรรมฐานนั้น กอน พุทฺธานุสฺสติ ภาเวตุกาเมน พระโยคาพจรผูมีศรัทธาปรารถนาจะจําเริญพระกรรมฐานนี้พึง กระทําจิตใหประกอบดวยความเลื่อมใส ไมหวั่นไหวในพระพุทธคุณเสพเสนาสนะที่สงัดสมควรแลว พึงนั่งบัลลังกสมาธิตั้งกายใหตรงแลว พึงรําลึกตรึกถึงพระคุณแหงสมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคดวย บทวา อิติปโส ภควา ฯลฯ พุทฺโธ ภควาติ มิฉะนั้นจะระลึกวา โส ภควา อิติป อรหํ โส ภควา อิ ติป สมฺมาสมฺพุทฺโธ โส ภควา อิติป วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส ภควา อิติป สุคโต โส ภควา อิติป โลกวิทู โส ภควา อิติป อนุตฺตโร โส ภควา อิติป ปุริสทมฺมสารถิ โส ภควา อิติป สตฺถาเทวมนฺสฺ สานํ โส ภควา อิติป พุทฺโธ ภควา อิติป ภควา ดังนี้ก็ได มิฉะนั้นจะระลึกแคบทใดบทหนึ่ง เปนตนวาอรหังนั้นก็ไดอรรถาธิบายในบทอรหังนั้น วา โส ภควา อันวาสมเด็จพระผูมีพระภาคเจานั้น อรหํ ทรงพระนามชื่อวาอรหัง ดวยอรรถวา พระองคไกลจากขาศึกคือกิเลส นัยหนึ่งวาพระองคหักเสียซึ่งกํากงแหงสังสารจักรจึงทรงพระนามชื่อ วา อรหัง นัยหนึ่งวาพระองคควรจะรับซึ่งจตุปจจัยทั้ง ๔ มีจีวรเปนอาทิแลสักการบูชาวิเศษแหง สัตวโลก จึงทรงพระนามชื่อวาอรหัง นัยหนึ่งวาพระองคมิไดกระทําบาปในที่ลับจึงทรงพระนามชื่อวา อรหัง แทจริงสมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคนั้นสถิตอยูในที่อันไกลเสียยิ่งนักจากกิเลสธรรมทั้งปวง สวาสนานํ กิเลสานํ วิทฺธํสิตตฺตา ราคาทิกิเลสกับทั้งวาสนานั้น พระพุทธองคขจัดเสีย แลวดวยพระแสงแกว คืออริยมรรคฌาณ เหตุดังนั้นจึงทรงพระนามชื่อวาอรหัง ซึ่งพระองคหักเสียซึ่ง กํากงแหงสังขารจักรนั้นเปนประการใด อธิบายวาสังขารจักรนั้น ไดแกสังสารวัฏอันมีที่สุดเบื้องตนมิได ปรากฏอันสัตวทั้งหลายเวียนเกิดเวียนตาย สังขารจักรนี้มีอวิชชาแลภพ แลตัณหาเปนดุมมีสังขารทั้ง ๓ คือบุญญาภิสังขาร อบุญญาภิสังขาร เปนกํามีชราแลมรณะเปนกง อันปจจัยแหงตนมีเหตุปจจัยเปน ตน รอยเขาดวยเพลาคืออาวสวสมุทัย ประกอบเขาในรถถือภพทั้ง ๓ มีกามภพเปนอาทิขับเข็นไปสิ้น กาลชานาน มีที่สุดเบื้องตนมิไดปรากฏ สมเด็จพระผูมีพระภาคนั้นพระองคเสด็จสถิตเหนือปฐพีกลาวคือศีลดวยพระบาท คือพระวิ ริยในควงพระมหาโพธิแลว จึงทรงพระแสงแกวคือพระอริยมรรคฌาณ อันกระทําใหสิ้นกรรมสิ้นภพสิ้น ชาติดวยพระหัตถ คือศรัทธาฟาดฟนเสียซึ่งกําแหงสังสารจักรทั้งปวง ใหขาดขจัดขจายมิใหคืนคุม ติดกันเขาได เหตุดังนั้นจึงทรงพระนามชื่อวาอรหัง นัยหนึ่งสังสารจักรนั้นจัดเอาอวิชชาเปนดุม เหตุ อวิชชานั้นเปนมูลเหตุใหบังเกิดรูปเปนธรรม ชราแลมรณะนั้นจัดเปนกงแหงสังขารจักร เหตุวาชราธรรม แลมรณะธรรมนี้ บังเกิดเปนที่สุดแหงภพชาติ เกิดมาแลวก็มีชราแลมรณะเปนที่สุดทุกรูปทุกนาม แล ธรรม ๑๐ ประการ คือสังขาร แลวิญญาณ นามรูปแลฉฬยตนะ แลผัสสะ แลเวทนา แลตัญ หา แลอุปาทาน แลภพ แลชาติทั้ง ๑๐ ประการนี้จัดเปนกําแหงสังสารจักร เหตุวาธรรม ๑๐ ประการนี้ มีอวิชชาเปนเบื้องตน มีชราแลมรณะเปนเบื้องปลาย นัยหนึ่งวาสมเด็จพระพุทธองคนั้น เปนทักขิไณยบุคคลอันเลิศควรจะรับซึ่งจตุปจจัยทั้ง ๔ แลสักการบูชาอันวิเศษ เปนที่บูชาแหงเทพามนุษยสมณะ แลพราหมณาจารยทั้งปวงแตบรรดามีใน โลกนี้ เหตุดังนั้นจึงทรงพระนามชื่อวาอรหัง นัยหนึ่งวาสมเด็จพระพุทธองคมิไดกระทําบาปในที่ลับ เหมือนอยางสามัญสัตวทั้งปวงที่เปนพาลสําคัญตนวาเปนนักปราชญ เหตุดังนั้นจึงทรงพระนามชื่อวา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 39 อรหัง นัยหนึ่งวาสมเด็จพระศาสดาจารยเจานั้นไกลจากคนชั่วคนอสัปบุรุษ อยูใกลคนดีคนสัปบุรุษคน ที่เปนอสัปบุรษมีน้ําใจเปนบาปหยาบชา ตั้งหนาแตที่จะกระทําการ อันเปนอกุศลมิไดทรมานกายแล จิตแหงตนใหเจริญเปนกุศลขึ้นได มากไปดวย โลภะ โทสะ โมหะ มิไดฉลาดในธรรมอันพระอริย เจาสั่งสอน ปฏิบัติผิดคลองธรรมแหงพระอริยเจาหญิงชายจําพวกนี้ แมถึงจะเกิดพบพระพระพุทธองค จะยึดมุมผาสังฆาฏิอยูก็ดีก็ไดชื่อวาอยูไกล มิไดพบไดเห็นพระพุทธองค ๆ ไกลจากคนชั่ว คนอสัป บุรุษเหลานี้ เหตุดังนั้นจึงทรงพระนามชื่อวาอรหัง แลคนที่เปนสัปบุรุษ มีความเพียรทรมานจิตอันเปนบาปใหเบาบาง จะรักษาศีล ๆ นั้นก็ วิเศษขึ้น ดวยอัฏฐศีล ทสศีล ภิกษุศีล วิเศษขึ้นดวยจําเริญภาวนาพิจารณาพระไตรลักษณเปน อาทิ ตั้งอยูในพระอัปปมาทธรรม มิไดลืมสติระลึกถึงพระพุทธาธิคุณ ภาวนาพระไตรลักษณทุกอิริยบถ นั่งนอนยืนเที่ยวทุกขณะที่ระบายลมอัสสาสะ ปสสาสะ หญิงชายจําพวกนี้จะอยูไกลรอยโยชนพัน โยชนก็ดี เกิดมาไมทันก็ดี ก็ไดชื่อวาอยูใกล ไดชื่อวาพบเห็นสมเด็จพระพุทธองคเปนนิจกาล สมเด็จ พระองคเจาอยูใกลสัปบุรุษเห็นปานดังนี้ จึงทรงพระนามชื่อวาอรหัง ฯ แปลพระนามเปนปฐมคืออรหังยุติแตเทานี้
แตนี้จะแปลพระนามเปนคํารบ ๒ - ๓ คือพระสัมมาสัมพุทโธแลวิชชาจารณสัมปนโนนั้นสืบ ตอไป ในบทสัมมาสัมพุทโธนี้แปลวา โส ภควา อันวาสมเด็จพระผูมีพระภาคนั้น สมฺมาสมฺพุทฺ โธ ตรัสรูพระจตุราริยสัจธรรมทั้ง ๔ ดวยพระองคเอง ดวยอาการมิไดวิปริตเห็นแทรูแทไมเคลือบไม แคลง ตรัสรูประจักษแจงในพระบวรสันดานสมเด็จพระศาสดาจารยนั้น วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ทรง ซึ่งวิชชา ๘ แลจรณะ ๑๕ วิชชา ๘ นั้นไดแกอภิญญาทั้ง ๖ วิปสสนาญาณ ๑ มโนมยิทธิวิชชา ๑ เปน ๘ ประการนี้ จรณะ ๑๕ นั้น คือศีลสังวร ๑ รักษาอินทรียทั้ง ๖ เปนอันดี ๑ รูประมาณใน โภชนะ ๑ กอปรดวยธรรมอันตื่นอยูในกุศล ๑ ศรัทธา ๑ สติ ๑ วิริยะ ๑ ปญญา ๑ พาหุสัจจะ ๑ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ เปน ๑๕ ประการ ดังนี้ พระองคทรงซึ่งวิชชา ๘ แลจรณะ ๑๕ ดังนี้ จึงทรงพระนามชื่อวาวิชชาจะระณะสัมปนโน ฯ แปลพระนามเปนคํารบ ๒ - ๓ ก็ยุติแตเทานี้
ในพระนามเปนคํารบ ๔ นั้นสืบตอไปวา โส ภควา อันวาสมเด็จพระผูมีพระภาคเจา ทรง พระนามชื่อวาสุคโต เหตุพระองคมีพระดําเนินงามเลิศ พระดําเนินของสมเด็จพระพุทธองคนั้นงาม บริสุทธิ์ปราศจากโทษ จึงมีโจทยวาสิ่งดังฤๅเปนดําเนินของสมเด็จพระพุทะองค วิสัชชนาวาพระ อริยมรรคทั้ง ๔ คือพระโสดาปตติมรรค พระสกทาคามิมรรค พระอนาคามิมรรค พระอรหัตตมรรค นี้แล เปนพระดําเนินแหงสมเด็จพระสรรเพชญพุทธองค นัยหนึ่งวาพระพุทธองคเสด็จไปสูประเทศสุนทรสถาน คือ พระอนตมหานิพพานสิ้นสังขาร ทุกข เหตุฉะนี้จึงทรงพระนามชื่อวาสุคโต นัยหนึ่งวาพระองคเสด็จไปเปนอันดีมิไดกลับ อธิบายวา พระองคละเสียซึ่งกิเลสเปนสมุจเฉทปหาน ดวยพระโสดาปตติมรรคญาณแลว พระพุทธองคก็มิได กลับมาสูกิเลสอันละแลว แลกิเลสซึ่งพระพุทธองคละเสียดวยพระสิทาคามิมรรค พระอนาคามิมรรค พระอรหัตตมรรคนั้นเลา พระองคก็ละเสียขาดเปนสมุจเฉท พระองคจะไดกลับสูกิเลสอันละแลวหา มิไดเสด็จไปเปนอันดีดังนี้ จึงไดพระนามวาสุคโต นัยหนึ่งวาทรงพระนามวาสุคโตนั้น เหตุพระองค กลาวซึ่งพระวาจาอันควรในที่ควรจะพึงกลาว ฯ แปลพระนามเปนคํารบ ๔ คือสุคโตยุติแตเทานี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 40 แลพระนามเปนคํารบ ๕ นั้น แปลวาสมเด็จพระผูมีพระภาคนั้นโลกวิทู รูซึ่งโลกดวยประการ ทั้งปวง นัยหนึ่งวาพระองคตรัสรูซึ่งโลก ๓ คือสังขารโลก แลสัตวโลก แลโอกาสโลก สังขารโลกนั้น ไดแกกุศล อกุศล สัตวโลกนั้นไดแกสรรพสัตว อันมีอัธยาศัยตาง ๆ โอกาสโลกนั้นไดแกแผนดินแผน ฟา สมเด็จพระศาสดาจารยเจาตรัสรูในโลกทั้ง ๓ นี้ จึงทรงพระนามวาโลกวิทู และพระนามคํารบ ๖ นั้นแปลวา โส ภควา อันวาสมเด็จพระผูมีพระภาคเจานั้น อนุตฺตโร ประเสริฐโดยพระคุณทั้งปวง หาบุคคลจะประเสริฐเสมอมิได พระองคครอบงําเสียซึ่งสัตวโลกทั้งปวงดวยศีลคุณ สมาธิคุณ ปญญาคุณ วิมุตติคุณ แล วิมุตติญาณทัสสนคุณ แตบรรดาสัตวในไตรโลกธาตุนี้ ผูใดผูหนึ่งจะมีคุณเปรียบดวยพระคุณแหง พระองคนั้นหามิได เหตุดังนั้น จึงทรงพระนามชื่อวา อนุตฺตโร แลพระนามคํารบ ๗ นั้น แปลวา โส ภควา อันวาสมเด็จพระผูมีพระภาค ปริสทมฺมสาถิ ทรมานซึ่งบุรุษอันมีวาสนาควรจะ ทรมาน คือติรัจฉานบุรุษมียาอปาละนาคราชเปนตน แลมุนษยบุรุษมีสัจจนิครนถเปนตน แลอมนุษยมี อาฬกยักษเปนตน แลหมูอมรเทพยดามีอมรินทราธิราชเปนตน แลพรหมบริษัทมีผกาพรหมเปนตน พระพุทธองคทรงทรมานดวยอุบายตาง ๆ ใหเสียซึ่งพยศอันราย ใหตั้งอยูในไตรสรณคมน แลศีล บรรลุพระอริยมรรคอริยผล โดยอันควรแกวาสนาบารมีแหงตน ๆ ที่ไดสรางสมอบรมมา เหตุ ดังนี้ จึงทรงพระนามชื่อวาปุริสทัมมสารถิ แลพระนามเปนคํารบ ๘ นั้นแปลวา โส ภควา อันวา สมเด็จพระผูมีพระภาค สตฺถา เปนครู เทวมนุสฺสานํ แหงเทพยดาแลมนุษยทั้งหลาย อิ ติ เพราะ อิมินา ปกาเรน ดวยเหตุดังนี้ ๆ ในบทดังนี้ ในบทสัตถาเทวมนุสสานังนี้รวมเอาอรรถทั้ง ๑๐ คือ สตฺถา แปลวาพระองค สั่งสอนสัตวยุติในกาลทั้ง ๓ คือ อดีตกาล อนาคตกาล ปจจุปนกาลประการ ๑ สตฺถา แปลวา เบียดเบียนเสียซึ่งกิเลสมีราคะเปนตนประการ ๑ สตฺถา แปลวายังกิเลสใหฉิบหายจากสันดานตน แลบุคคลผูอื่นประการ ๑ สตฺถา แปลวาสั่งสอนสัตวดวยอุบายแหงฌาณทั้ง ๓ คือกามาพจรกุศล ญาณเปนที่ดําเนินสูกามสุคติ ๑ คือรูปาพจรกุศลฐาณเปนที่ดําเนินสูรูปาพจรพรหมโลก ๑ คืออรู ปาพจรกุศลญาณเปนที่ดําเนินถึงอรูปภพประการ ๑ สตฺถา แปลวานําสัตวเขาสูนิเสศนสถานคือพระ นิพพานประการ ๑ สตฺถา แปลวามีอาวุธคมกลา คือปญญาประการ ๑ สตฺถา แปลวาสั่งสอน สัตวดวยประโยชนโดยสมควรประการ ๑ สตฺถา แปลวายังสัตวใหตั้งอยูในประโยชนในโลกนี้ แล โลกหนาประการ ๑ สตฺถา แปลวาเหมือนดังนายสัตถวาหะพอคาผูใหญ อันชักนําหมูพอคาทั้งปวง ใหพนภัยในมรรคอันกันดารประการ ๑ สตฺถา แปลวายังสัตวใหขามชาติกันดาร ชรากันดาร พยาธิ กันดาร มรณกันดารประการ ๑ เปนนัย ๑๐ ประการดังนี้ ฯ แลพระนามเปนคํารบ ๙ นั้นแปลวา โส ภควา อันวาพระผูมีพระภาคนั้น พุทฺโธ ตรัสรู ซึ่งพระจตุราริยสัจ ๔ ดวยพระองค แลยังสัตวหมูอื่นใหตรัสรูซึ่งพระจตุราริยสัจจ นัยหนึ่งวาทรงพระ นามชื่อวาพุทโธนั้น เหตุมีพระบวรสันดานอบรมไปดวยพระอรหัตตมัคคาญาณอันประเสริฐ อันเปน ตนเหตุแหงผลคือสัพพัญุตญาณ อันรูไปในไญยธรรมทั้งปวงมิไดขัดของ นัยหนึ่ง พุทโธ ศัพทนี้รวม ไวซึ่งอรรถถึง ๑๕ ประการ คือ พุทฺโธ แปลวาตรัสรูซึ่งพระจตุราริยสัจ ๔ ประการ ๑ พุทฺ โธ แปลวายังสัตวโลกอันมีบารมีสมควรจะตรัสรูใหใหตรัสรูพระอริยสัจจธรรมประการ ๑ พุทฺโธ แปลวามีพระบวรพุทธสันดานทรงพระคุณคือสัพพัญุตญาณ อันสามารถตรัสรูไป ในไญยธรรมทั้งปวงประการ ๑ พุทฺโธ แปลวามีพระบวรพุทธสันดานทรงพระคุณคือพระอรหัตต มัคคญาณ อันหักรานกองกิเลสเปนสมุจเฉทปหานหาเศษมิไดประการ ๑ พุทฺโธ แปลวาตรัสรูพระ จตุราริยสัจดวยพระองคเอง หาผูจะบอกกลาวมิไดประการ ๑ พุทฺโธ แปลวาเบิกบานดวยพระ อรหัตตมัคคญาณเปรียบประดุจดอกประทุมชาติ อันบานใหมดวยแสงพระสุริยเทพบุตร เหตุไดพระ อรหัตตแลว พระวิเศษญาณทั้งปวงมีอนาคามิมัคคญาณเปนตนเกิด พรอมดวยพระอรหัตตมัคคญาณ นั้นประการ ๑ พุทฺโธ แปลวาสิ้นจากอาสวะทั้ง ๔ มีกามาสวะเปนตน มีอวิชชาสวะเปนที่สุดประการ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 41 ๑ พุทฺโธ แปลวามีพระบวรพุทธสันดานปราศจากกิเลส ๑๕๑๑ ประการ พุทฺโธ แปลวามีพระบวรพุทธสันดานทรงพระคุณ คือปราศจากราคะประการ ๑ พุทฺ โธ แปลวามีพระบวรสันดานปราศจากโทสะประการ ๑ พุทฺโธ แปลวาพระบวรสันดานปราศจาก พุทฺโธ แปลวาตื่นจากหลับคือกิเลส เปรียบประดุจบุรุษตื่นขึ้นจากหลับประการ โมหะประการ ๑ ๑ พุทฺโธ แปลวาเสด็จไปสูพระนิพพาน โดยทางมัชฌิมปฏิบัติประการ ๑ พุทฺโธ แปลวาตรัสรู ดวยพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแหงพระองคเอง หาผูจะรูบมิไดประการ ๑ พุทฺโธ แปลวาพระองค มีพระบวรพุทธสันดานไดซึ่งพุทธิ คือพระอรหัตตมัคคญาณ เหตุประหารเสียซึ่งอพุทธิคืออวิชชา ประการ ๑ เปนนัย ๑๕ ประการดังนี้ แลพระนามคํารบ ๑๐ คือ ภควา นั้นแปลไดถึง ๘ นัย คือ ภควา นั้น ภควา แปลวา สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคมีอิสริยยศประการ ๑ ภควา แปลวาควรจะรับซึ่งจตุปจจัยทาน คือ ภควา แปลวาแจกซึ่งแกว คือ พระ จีวรแลบิณฑบาทแลเสนาสนะ แลศิลานปจจัยประการ ๑ สัทธรรมประการ ๑ ภควา แปลวาหักเสียซึ่งธรรมอันเปนบาปมีราคะเปนตนประการ ๑ ภควา แปลวาพระพุทธองคมีพระภาค คือ พระบารมีอันพระองคสรางสมมาชานานประการ ๑ ภควา แปลวามีบวรกายแลจิตอันเจริญดวยภาวนาธรรมเปนอันมากประการ ๑ ภควา แปลวาถึง ซึ่งที่สุดแหงภพ คือพระอมตมหานิพพานประการ ๑ เปนนัย ๘ ประการดังนี้ ใชแตเทานั้น ภควา ศัพทนี้ถาแปลตามปรมัตถนัยนั้นแปลได ๕ นัยคือ ภควา แปลวา มีพระภาค คือบารมีธรรมประการ ๑ ภควา แปลวาหักเสียซึ่งกองกิเลสมีราคะเปนตนประการ ๑ ภควา แปลวากอปรดวยบุญสิริประการ ๑ ภควา แปลวาเสพซึ่งทิพยพรหมวิหารประการ ๑ ภควา แปลวาคายเสียซึ่งกิริยาอันเวียนไปในไตรภพ บมิไดบังเกิดสืบไปในภพทั้ง ๓ ประการ ๑ เปน ๕ นัยดังนี้ สิริแปลในบุรพนัย ๘ อปรนัย ๕ จึงเปนแปลแหงภควาศัพท ๑๓ นัยดวยกันพระนามชื่อ วาภควานี้ สมเด็จพระชนนีมารดาจะถวายก็หามิได สมเด็จกรุงสิริสุทโธทนะผูเปนพระปตุราช แลพระ บรมวงศศากยราช อันเปนญาติทั้ง ๒ ฝาย ๆ ละ ๘ หมื่น ๆ จะถวายก็หามิได ใชแตเทานั้นจะไดเปน พระนามอันมเหสักขเทวราช มีทาวสหัสสนัยบพิตรแลสันดุสิตเทวราชเปนประธานถวายก็หามิได พระ นามอันนี้เปนคุณวิโมกขันติกนาม พระองคไดคราวเดียวกันกับพระสัพพัญุตญาณเหนืออปราชิต บัลลังก ณ ควงไมพระมหาโพธิ์ ในคัมภีรพระวิสุทธิมรรคนี้ ทานยกขึ้นวาเปนเนมิตตกนามแตภควาบทเดียว ในคัมภีรนิเทศ แลปฏิสัมภิทานั้น ทานยกขึ้นวาเปนคุณเนมิตตกวิโมกขันตินาม ตั้งแตพระอรหังตลอดจนภควา เมื่อ พระโยคาพจรระลึกถึงพระคุณแหงสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจาโดยนิยมดังกลาวมานี้ แลว ราคะ โทสะ โมหะ ก็มิไดครอบงําน้ําจิตแหงพระโยคาพจร ฯ ก็ซื่อตรงเปนอันดี นิวรณธรรม ทั้ง ๕ มีกามฉันทนิวรณเปนตนก็สงบลง เมื่อจิตสงบลงตรงพระกรรมฐานแลววิตกวิจารอันนอมไปใน พระพุทธคุณก็จะบังเกิด เมื่อวิตกวิจารบังเกิดแลงปติทั้ง ๕ ประการ คือ ขุททกาปติ ขณิกาปติ โอก กันติกาปติ อุพเพงคาปติ ผรณาปติ ก็จะบังเกิดในสันดาน เมื่อปติบังเกิด เเลว กายปสสัทธิ จิตตปสสัทธิ อันเปนพนักงานรํางับกายรํางับจิตก็จะบังเกิด เมื่อพระปสสัทธิทั้ง ๒ บังเกิดแลว ก็เปนเหตุจะใหสุข ๒ ประการ คือสุขในกาย สุขในจิต นั้นบังเกิด เมื่อสุขบังเกิดแลวน้ํา จิตแหงพระโยคาพจรก็จะตั้งมั่นดวยอุปจารสมาธิ อันจําเริญพุทธานุสสตินี้กําหนดใหสําเร็จคุณธรรมแตเพียงอุปจารฌาน บมิอาจใหถึงซึ่ง อัปปนาอาศัยวาน้ําจิตแหงพระโยคาพจร ที่จะลึกซึ่งพระพุทธคุณนั้น ระลึกดวยนัยตาง ๆ มิใชแตใน หนึ่งนัยเดียว อันพระพุทธคุณนี้ลึกล้ําคัมภีรภาพยิ่งนัก หยั่งปญญาในพระพุทธคุณนั้น ไมมีที่สุดไมมีที่ หยุดยั้งไมมีที่ตั้ง เหตุฉะนี้พระโยคาพจรผูจําเริญพุทธานุสสติ จึงคงไดแกเพียงอุปจารฌาน แลทานผู จําเริญพุทธานุสสตินี้ จะมีสันดานกอปรดวยรักใครในสมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคจะถึงซึ่งไพบูลย ไปดวยคุณธรรม คือ ศรัทธา สติ ปญญา แลบุญสันดานนั้นจะมากไปดวยปรีดาปราโมทย อาจอด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 42 กลั้นไดซึ่งทุกขแลภัยอันจะมาถึงจิตนั้น จักสําคัญวาไดอยูรวมดวยสมเด็จพระผูมีพระภาค รางกายแหงบุคคลผูมีพระพุทธานุสสติกรรมฐานซับซาบอยูนั้น สมควรที่จะเปนที่สักการ แหงหมูเทพยดาแลมนุษย เปรียบประดุจเรือนเจดีย น้ําจิตแหงบุคคลผูนั้นจะนอมไปในพุทธภูมิจะ กอปรดวยหิริโอตัปปะ มิไดประพฤติลวงซึ่งวัตถุอันพระพุทธองคบัญญัติหามไว จะมีความกลัวแกบาป ละอายแกบาป ดุจดังวาเห็นสมควรพระพุทธองคอยูเฉพาะหนาแหงตน แมวาวาสนายังออนมิอาจ สําเร็จฌานสมาบัติมรรคผล ก็มีสุคติภพเปนเบื้องหนาเหตุดังนั้นนักปราชญผูมีปญญาอยาพึงประมาท ในพุทธานุสสติกรรมฐานอันมีคุณานิสงสเปนอันมาก โดยนัยกลาวมานี้ ฯ จบพุทธานุสสติกรรมฐานแตเทานี้
จักวินิจฉัยในธัมมานุสสติกรรมฐานตอไป พระโยคาพจรผูมีศรัทธาปรารถนาจะจําเริญซึ่งธัม มานุสสติกรรมฐาน พึงอาศัยเสนาสนะอันควรโดยนัยหนหลังแลวระลึกถึงคุณแหงพระสัทธรรมวา สฺ วากฺขาโต ภควาตา ธมฺโม สนฺทิฏิโก อกาลิโก ฯลฯ วิุูหีติ ในบท สวากฺขาโต นั้น สําแดงคุณแหงพระปริยัติธรรม ที่จัดโดยพระธรรมขันธ ๘ หมื่น ๔ พัน สนฺทิฏิโก แล อกา ลิโล ตลอดจน เวทิตพฺโพ วิุูหิ นั้น สําแดงซึ้งพระพุทธคุณแหงพระนวโลกุตตรธรรมทั้ง ๙ ประการ ถาพระโยคาพจรระลึกถึงคุณแหงพระปริยัติธรรมนั้นพึงใหระลึกวา สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม แปลวา ธมฺโม อันวาพระปริยัติธรรมนั้นถาจะจัดโดยปฎกเปนปฎก ๓ ถาจะจัดโดยพระ ธรรมขันธได ๘ หมื่น ๔ พัน พระธรรมขันธ ถาจะจัดโดยองคมี ๙ ภควตา อันสมเด็จพระผูมีพระ ภาคเจา สฺวากฺขาโต ตรัสเทศนาไพเราะในเบื้องตนในทามกลางในที่สุดกอปรดวยอรรถแล พยัญชนะบริบูรณสําแดงศาสนาพรหมจรรย แลมรรคพรหมจารรยมิไดเหลือเศษ พึงระลึกถึงคุณพระ ปริยัติธรรมดวยบท สฺวากฺขาโต ภควาตา ธมฺโม อันมีอรรถาธิบายดังนี้ ฯ ถาจะระลึกคุณแหงความพระนวโลกตตรธรรมนั้น พึงใหระลึกวา สนฺทิฏิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตตํ เวทิตพฺโพ วิฺูหิ แปลวา ธมฺโม อันวาพระโลกุตตรธรรม ๙ ประการ คือพระอริยมรรค ๔ อริยมรรคผล ๔ พระนิพพาน ๑ เปนคํารบ ๙ สนฺทิฏิโก พระนว โลกุตตรธรรม ๙ ประการนี้ พระอริยบุคคลทั้งปลายมีสมเด็จพระพุทธเจาเปนตน ชําระจิตสันดานแหง ตนใหสงบจากราคาทิกิเลสแลว ก็เห็นประจักษแจงดวยปญญาจักษุแหงตนเอง นัยหนึ่งวาพระนว โลกุตตรธรรม ๙ ประการนี้ สนฺทิฏิโก พระอริยบุคคลทั้งปวงรูแทเห็นดวยปจจเวกขณญาณ จะได รูดวยกินิยาที่เชื่อฟงบุคคลอื่นหามิได นัยหนึ่งวาพระอริยบุคคลผูใดสําเร็จพระนวโลกุตตรธรรม สนฺทิฏิโก ยอมผจญเสียซึ่งกิเลสธรรมอันลามกใหพายแพดวยปญญา อันเกิดพรอมดวย นี้ อริยมรรคแลพระนวโลกุตตรธรรม ๙ ประการนั้น อกาลิโก ใหผลหากําหนดกาลบมิได อธิบายวา เมื่อพระอริยมรรคบังเกิดแลวจะไดทั้งสิ้น ๒ - ๓ วัน ๔ - ๕ วัน กอนแลวจึงจะ ใหผลมิได พระอริยมรรคบังเกิดแลว พระอริยผลก็บังเกิดมิไดเนิ่นชา แลพระนวโลกุตตรธรรม นั้น เอหิปสฺสิโก ควรแก เอหิ ปสสิกวิธี อธิบายวาพระอริยมรรคผูใดสําเร็จนวโลกุตตรธรรมนั้น อาจเรียกหาเชื้อเชิญบุคคลผูอื่นวา เอหิ ปสฺส ทานจงมานี่มาดูซึ่งธรรมสิ่งนี้ ๆ อาจจะเรียกจะเชิญ ผูอื่นดังนี้ได เหตุวาพระโลกุตตรธรรมนั้นโดยมีจริงแท บริสุทธิประดุจดวงแกวมณีอันวางไวในผารัตต กัมพล มิฉะนั้นเปรียบประดุจจันทรมณฑลอันปราศจากเมฆ มีรัศมีงามบริสุทธิ์เลื่อนลอยอยูใน อัมพรประเทศเวหาอาศัยเหตุนี้พระอริยบุคคลไดสําเร็จพระโลกุตตรธรรม อาจจะเรียกเชิญใหมาดูได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 43 ดังนี้ พระนวโลกุตตรธรรมจึงเรียกวา เอหิปสฺสิโก แลพระนวโลกุตตรธรรมนั้น โอปนยิโก ควรที่ พระโยคาพจรจะนอมมาไวในจิตแหงตนดวยสามารถจําเริญภาวนา แปลดังนี้ไดแกมรรค ๔ ผล ๔ อัน เปนสังขตะโลกุตตรธรรม ถาแปลวา โอปนยิโก ควรที่พระอริยเจานอมมาติดไวในจิตแหงตนดวย สามารถกระทําใหแจง แปลดังนี้ไดแกพระนิพพานอันเปนสังขตะโลกุตตรธรรมนั้น ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺ โพ วิฺูหิ แลพระโลกุตตรธรรมนั้น นักปราชญทั้งหลายมีอุคฆติตัญูเปนตน จะพึงรูพึงเห็นใน ตนเอง อธิบายวาผูใดไดแลวผูนั้นก็รูเห็นในจิตแหงจิตตน ฯ แปลในธรรมคุณยุติแตเทานี้
เมื่อพระโยคาพจรระลึกซึ่งคุณธรรม มีสวากขาโตเปนตนฉะนี้ ราคะ โทสะ โมหะ ก็จะบ มิอาจที่จะครอบงําย่ํายีจิตสันดานได จิตของพระโยคาพจรนั้นก็จะซื่อตรงเปนอันดี พระโยคาพจรนั้นจะ ขมเสียไดซึ่งนิวรณธรรมเปนตน รางกายแหงบุคคลนั้นจะสมควรแกการบูชาอุปมา ดุจเรือนพระเจดีย เมื่อจิตสงบลงตรงหนาพระกรรมฐานแลว วิตกวิจารอันนอมไปในพระธรรมคุณก็จะบังเกิด เมื่อวิตก วิจารบังเกิดแลวปติทั้ง ๕ ประการก็จะปรากฏในสันดาน เมื่อปติเกิดแลว กายปสสิทธิอันเปนพนักงาน ระงับกายระงับจิตก็จะเกิด เมื่อปสสิทธิทั้ง ๒ เกิดแลวก็เปนเหตุจะใหสุขกายสุขจิตบังเกิด เมื่อสุขเกิดแลว น้ําจิตของ พระโยคาพจรก็ตั้งมั่นดวยอุปจารสมาธิ อันจําเริญธัมมานุสสตินี้กําหนดใหไดคุณแตเพียงอุปจารฌาน มิอาจจะใหถึงซึ่งอัปปนา อาศัยวาน้ําจิตแหงพระโยคาพจรที่ระลึกพระธรรมคุณนั้น ระลึกดวยนัยตาง ๆ ใชอยางเดียว อันพระธรรมคุณนี้ลึกล้ํายิ่งนักหยั่งปญหาในพระธรรมคุณไมมีที่สุด เพราะฉะนั้นผู จําเริญธัมมานุสสติจึงไดเพียงอุปจารฌาน แลวผูจําเริญธัมมานุสสตินี้จะมีสันดานเคารพรักใครในพระ ศาสนา ดวยสําคัญวาเราไดประสบพระศาสดาผูแสดงโอปนยิกธรรมผูประกอบดวยคุณอันนี้ ที่ลวงไป แลวอยางนี้แลจะมีความเคารพยําเกรงโดยยิ่งในพระธรรม แลจะถึงความไพบูลยดวยคุณมีศรัทธาเปน ตน สันดานนั้นจะมากไปดวยปรีดาปราโมทย อาจจะอดกลั้นไดซึ่งทุกขแลภัยอันมาถึงจิตนั้น จะสําคัญวาไดอยูรวมดวยพระธรรมเจา ( คือสําคัญวาพระธรรมสิงในสันดานตน ) รางกายบุคคล อันมีธัมมานุสสติกรรมฐานซับซาบอยูนั้นควรจะเปนบูชาของเทพยดาแลมุนษย เปรียบประหนึ่งเรือน พระเจดีย น้ําจิตของผูนั้นจะนอมไปเพื่อตรัสรูอนุตตรธรรมจะกอปรดวยหิริแลโอตัปปะ มิไดประพฤติ ลวงซึ่งวัตถุอันพระองคบัญญัติไวแมวาวาสนายังออนมิอาจสําเร็จฌานสมาบัติมรรคผล ก็จะมีสุคคติ เปนเบื้องหนา เหตุฉะนี้นักปราชญผูมีปญญาพิจารณาเห็นภัยในวัฏฏสงสาร อยาพึงประมาทในธัมมา นุสสติกรรมฐานอันมีคุณานิสงสดังกลาวแลว ฯ จบธัมมานุสสติเทานี้
จักวินิจฉัยในสังฆานุสสติสืบตอไป สงฺฆานุสฺสติ ภาเวตุกาเมน รโหคเตน ปฏิสลฺลีเนน ฯ ล ฯ สงฺคุณานุสฺสริตพฺพา พระโยคาพจรผูมีศรัทธาปรารถนาจะจําเริญสังฆานุสสติกรรมฐานนั้น พึง ตั้งสติระลึกถึงคุณพระอริยสงฆวา สุปฏิปนฺโน ภควาโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควาโต สาวกสงฺโฆ ฯ ล ฯ ปฺุญกฺเขตฺตํ โสกสฺสาติ แปลในบทตนวา สาวกสงฺโฆ อันวาพระสงฆ สาวก ภควาโต แหงสมเด็จพระผูทรงสวัสดิภาคย สุปฏิปนฺโน ปฏิบัติเปนอันดี ดําเนินขึ้นสูสัมมา ปฏิบัติ มิกลับจากพระนวโลกุตตรธรรม แลอนุโลมปฏิบัติอนุโลมตามพระนวโลกุตตรธรรม แลอปจจ นิกปฏิบัติมิไดเปนขาศึกแกพระนวโลกุตตรธรรม แลปุพพภาคปฏิบัติอันเปนสวนเบื้องตนแหงพระนว โลกุตตรธรรม
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 44 แลพระอริยสงฆสาวกนั้น อุชุปฏิปนฺโน ปฏิบัติซื่อปฏิบัติตรง แหวกเสียซึ่งลามกปฏิบัติทั้ง ๒ คือ อัตตกิลมภานุโยคแลกามสุขัลลิกานุโยค ปฏิบัติโดยมัชฌิมปฏิบัติ คือพระอัษฏางคิกมรรค ละ เสียซึ่งคดอันประกอบในกายแลวาจาจิต ญายปฏิปนฺโน พระอริยสงฆสาวกนั้นปฏิบัติเพื่อไดให สําเร็จพระนิพพาน สามีจิปฏิปนฺโน ปฏิบัติควรแกสามีกรรม ยทิทํ จตฺตาริ ปริสยุคานิ พระอริย สงฆสาวกนั้นจัดเปนคูได ๔ คู คือ โสดาปตติมรรคบุคคลกับโสดาปตติผลบุคคลคู ๑ พระ สกทาคามิมรรคบุคคลกันพระสกทาคามิผลบุคคลคู ๑ พระอนาคามิมรรคบุคคลกับพระอนาคามิผล บุคคลคู ๑ พระอรหัตตมรรคบุคคลกับพระอรหันตบุคคลคู ๑ เปน ๔ คูดวยกัน อฏ ปุริส ปุคฺคลา ถาแยกคูออกนั้นเปนปริสบุคคล ๘ จําพวก เอส ภควาโต สาวกสงฺ โฆ พระอริยสาวกแหงสมเด็จพระสรรเพชญพุทธองค ผูทรงพระสวัสดิภาคยที่จัดเปน ๔ คู เปนปุริส บุคคล ๘ จําพวกดังนี้ อาหุเนยฺโย ควรจะรับซึ่งจตุปจจัยอันเฉพาะบุคคลผูมีศีลนํามาแตไกลแลว แล นอมเขาถวาย ปาหุเนยฺโย แมอาคันตุกทานอันบุคคลทั้งหลายตกแตงไวเฉพาะญาติแลมิตร อันเปน ที่รักที่ชอบใจอันมาแตทิศตาง ๆ นั้นทายกนํามาถวาย ก็สมควรที่พระอริยสงฆจะพึงรับ แลบุคคลที่ไปมาสูโลกทั้งหลายสมมุติเรียกวาแขกนั้น ผูใดผูหนึ่งจะประเสริฐกวาแขก คือ พระอริยสงฆนี้หามิได พระอริยสงฆสาวกนั้น ทกฺขิเณยฺโย ควรจะรับซึ่งทานอันบุคคลเชื่อซึ่งกรรม แลผลแลว แลให อฺชลีกรณีโย ควรแกอัญชลียกรรม อันสัตวโลกยกพระพุมหัตถประนมมือเหนือ เศียรเกลาแลวแลกระทํา อนุตฺตรํ ปฺุญกฺเขตฺตํ โลกสฺส เปนเนื้อนาบุญอันประเสริฐหาเขตอื่นจะ เปรียบมิได แหงสรรพสัตวในโลกนี้ แลพระโยคาพจรผูระลึกถึงคุณแหงพระอริยสงฆ โดยนิยมดังนี้ ยอมจะไดคุณานิสงสตาง ๆ ดุจดังพรรณนาแลวในพุทธนานุสสติธัมมานุสสติกรรมฐานนั้น เหตุฉะนี้ นักปราชญผูมีปญญาพิจารณาเห็นภัยในวัฏฏสงสารอยาพึงประมาทละลืมเสียซึ่ง สังฆานุสสติกรรมฐาน พึงอุตสาหะระลึกเนือง ๆ อยาใหเสียทีที่พบพระพุทธศาสนา แลพระโยคาพจรผู มีศรัทธาจําเริญธัมมานุสสติ สังฆานุสสติกรรมฐานนั้น มีกําหนดจะใหไดสําเร็จแตอุปจารสมาธิ บมิอาจ ดําเนินขึ้นสูภูมิแหงอัปปนาไดเหตุวาพระธรรมคุณ พระสังฆคุณนั้นลึกล้ําคัมภีรภาพยิ่งนัก พระ โยคาพจรหยั่งจิตกิริยา อันระลึกซึ่งพระธรรมคุณและพระสังฆคุณนั้นโดยนัยตาง ๆ ไมมีที่หยุดยั้งไมมี ที่ตั้ง เหตุดังนี้จึงมิไดถึงซึ่งอัปปนาสมาธิ ไดเพียงอุปจารสมาธิ ฯ จบสังฆานุสสติกรรมฐานแตเทานี้
จักวินิจฉัยในสีลานุสสติสืบตอไป สีลานุสฺสติ ภาเวตุกาเมน ฯ ล ฯ อตฺตโน สีลานิ อนุสสริตพฺพานิ พระโยคาพจรผูมีศรัทธา ปรารถนาจะจําเริญสีลานุสสติกรรมฐานนั้น ถาเปนคฤหัสถก็ พึงชําระศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ประการใหบริสุทธิ์ ถาเปนบรรพชิตพึงชําระศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ใหบริสุทธิ์ ใหตั้งอยูในอขัณฑศีลแลอฉิททศีล อสวลศีล แลอกัมมาสศีล นักปราชญพึงสันนิษฐานวา ศีลอัน บุคคลรักษาบริสุทธิ์บริบูรณจะไดขาดในเบื้องตนเบื้องปลาย ประดุจผาสาฏกอันขาดในชายทั้ง ๒ ขาง นั้นหาบมิไดอยางนี้ชื่อวาอขัณฑศีล แลศีลบริสุทธิ์บริบูรณเปนอันดีจะไดขาดในทามกลางเหมือนผาสาฏกอันทะลุในกลางผืนนี้ หามิได อยางนั้นชื่อวาฉิททศีล แลศีลมิไดขาด ๒ องค ๓ องคโดยลําดับมา ๆ มิไดตางประดุจโคตาง อันมีสีแปลกประหลาดบังเกิดขึ้นในหลังแลทอง มีสัณฐานกลมแลยาวเปนตนนั้นชื่อวา อสวลศีล แล ศีลอันมิไดขาดในระหวาง ๆ มิไดพรอยประดุจโคอันลายพรอย ๆ เปนหยาด ๆ นั้น ชื่อวาอกัมมาสศีล เมื่อพระโยคาพจรเจาชําระศีลแหงตนใหบริสุทธิ์ดังนั้นแลว พึงเขาไปสูเสนาสนะอันสงัด ดุจกลาว แลวแตหลัง พึงพิจารณาศีลแหงตนดวยสามารถคุณมีมิไดขาดเปนตนวา อโห วตเม สีลานิ อขณฺฑา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 45 นิ อฉิทฺทนิ อสวลานิ อกมฺมาสานิ ภุชฺชิสฺสานิ วิฺูปสตฺถานิ อปรามตฺถานิ สมาธิสํวตฺตนิกา นิ ดังอาตมาสรรเสริญ ศีลแหงอาตมานี้มิไดขาดในเบื้องตนเบื้องปลายบมิไดทําลายในทามกลาง บ มิไดดางบมิไดพรอย ศีลแหงอาตมานี้เปนไทย บมิไดเปนทาสแหงตัณหา ศีลแหงอาตมานี้เปนที่ สรรเสริญแหงนักปราชญทั้งหลาย มีสมเด็จพระพุทธเจาเปนประธาน ศีลอาตมานี้ตัณหาทิฏฐิมิไดตอง ประพฤติเปนไปเพื่อจะใหสําเร็จอุปจารสมาธิ แลอัปปนาสมาธิ อนึ่งเปนไปเพื่อมรรคสมาธิแลผลสมาธิ เมื่อพระโยคาพจรภิกษุผูเห็นภัยในวัฏฏสงสารระลึก เนือง ๆ ถึงศีลแหงตนโดยนัยดังกลาวมานี้ก็จะมีจิตเคารพในสิกขาบท จะปราศจากอัตตนุวาทภัยคือได ติเตียนเปนตนแมวาจะเห็นโทษมาตรวาหนอยหนึ่ง ก็จะมีความสะดุงตกใจเปนอันมากจะจําเริญดวย คุณธรรมคือ ศรัทธา สติปญญา จะมามากดวยปรีดาปราโมทย แมวาบมิอาจถึงพระอริยมรรค พระ อริยมรรคในชาตินั้นก็จะมีสุคติเปนเบื้องหนา เหตุดังนั้นนักปราชญผูมีปรีชา อยาพึงประมาทในสีลา นุสสติกรรมฐานอันกอปรดวยคุณานิสงสเปนอันมากดังที่ไดกลาวมานี้ พึงจําเริญสาลานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงศีลแหงตนจนเนืองนิตยเถิด ฯ จบสีลานุสสติกรรมฐานแตเทานี้
จักวินิจฉัยใน จาคานุสสติกรรมฐานสืบตอไป จาคานุสฺสติภาเวตุกาเมน ฯลฯ จาโค อนุสฺสริตพฺโพ พระโยคาพจรผูมีศรัทธาปรารถนาจะจําเริญจาคานุสสติกรรมฐานนั้น พึงมีจิตรักใคร ในจําแนกแจกทานใหเปนนิตยเปนตนเปนเดิม นัยหนึ่งวา เมื่อปรารถนาจะจําเริญจาคานุสสติกรรมฐาน นั้น ใหตั้งจิตของตนวา จําเดิมแตวันนี้ไปเมื่อปฏิคาหกผูจะรับทานมี ถาอาตมาไมไดใหทานโดย กําหนดเปนที่สุด แตขาวคําหนึ่งกอนแลว อาตมาก็จักมิไดบริโภคเลยเปนอันขาด ในวันจะจําเริญจา คานุสสติกรรมฐานนั้น ใหพระโยคาพจรจําแนกแจกทานแกปฏิคาหก อันทรงซึ่งคุณอันวิเศษ แลวพึง เอานิมิตในทางที่ตนให คือกําหนดอาการอันเปนไปดวยบริจากเจตนานั้น ครั้นแลวเขาสูเสนาสนะอันสงัด มีนัยดังกลาวแลวแตหนหลัง พึงระลึกซึ่งบริจากของตน ดวยสามารถกอปรดวยคุณ มีปราศจากตระหนี่เปนตนดวยพระบาลีวา ลาภา วต เม สุลทฺธํ วต เม โยหํ มจฺเฉรมลปริยุฏิตายปชาย วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา วิหรามิ มุตฺตจาโค ปยตปาณี โวสฺสคฺครโต ยาจโยโค ทานสํวิภาครโต อรรถาธิบายในบาลีนี้วา บุญลาภแหงทายกผูบําเพ็ญทาน นั้น สมเด็จพระผูมีพระภาคยอมตรัสสรรเสริญโดยการเปนอันมาก บุญลาภนั้นไดชื่อวาเปนของอาตมา บังเกิดแกอาตมาประการ ๑ ความสั่งสอนอันสมเด็จพระผูมีพระภาคโปรดประทานไวนั้นก็ดี กิริยาที่อาตมาไดบังเกิดมา เปนมนุษยก็ดี สุลทฺธํ วต ไดชื่อวาอาตมาไดเปนอันดียิ่งนัก เพราะเหตุวา สัตวโลกทั้งปวงมีสันดาน มากไปดวยมลทิน คือมัจฉริยะ ๆ ครอบงําไว แลอาตมาอยูบัดนี้ดวยปราศจากมลทินคือตระหนี่ มุตฺต จาโค อาตมามีบริจากอันสละแลว ปยตปาณี มีมืออันลางอยูเปนนิตย เพื่อประโยชนจะคอยหยิบ ไทยทานโดยเคารพ โวสฺสคฺครโต อาตมานี้ควรแกกิริยาอันยาจกมาขอ อธิบายวาถามียาจกมาขอ สิ่งใดอาตมาก็จะใหสิ่งนั้น ทานสํวิภาครโต อาตมามีจิตยินดีในทานยินดีในการจําแนกอธิบายวา กิริยาที่ใหสิ่งของอันตนแตงไว เพื่อจะใหแกปฏิคาหกนั้นเรียกวาทาน แลสิ่งของที่ตนจะบริโภคนั้น ถา หยิบออกใหเรียกสังวิภาค เมื่อพระโยคาพจรระลึกซึ่งบริจากแหงตนโดยนิยมดังนี้ ก็จะมีคุณานิสงสดุจ กลาวแลวในพุทธานุสสตินั้น ความยินดีที่จะบริจากทานนั้น จะวัฒนาการขึ้นไปกวาเกา อัธยาศัยนั้นจะปราศจากโลภจิต จักอนุโลกมตามเมตตา มิไดยอหยอนที่จะบริจากทาน สันดานจะมากไปดวยปรีดาปราโมทย แมถึงวา มิสําเร็จพระอริยมรรคพระอริยผลในชาตินั้น ทําลายเบญขันธก็จะมีสุคคติเปนเบื้องหนา เหตุฉะนี้ นักปราชญผูมีปรีชาอยาพึงประมาทในจาคานุสสติกรรมฐาน อันมีคุณานิสงสดังแสดงมานี้ ฯ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 46 จบจาคานุสสติกรรมฐานแตเทานี้
จักวินิจฉัยในเทวตานุสสติสืบตอไป เทวตานุสฺสติ ภาเวตุกาเมน ฯลฯ อนุสฺสริตพฺ พา พระโยคาพจรผูมีศรัทธาปรารถนาจะจําเริญเทวตานุสสติกรรมฐานนั้น พึงประพฤติจิตสันดานให กอปรดวยคุณธรรม คือศรัทธาแลศีลแลสุตะแลจาคะแลปญญาเขาสูที่สงัดแลว พึงตั้งเทพยดาไวในที่ เปนพยาน ระลึกถึงเทพยดาอันกอปรดวยคุณมีศรัทธาเปนตนวา สนฺติเทวา จาตุมหาราชิกา เทพย ดาอันอยูในชั้นจาตุมหาราชิกาดวงดึงษา ยามาดุสิตา นิมมานนรดี ปรนิมมิตวสวดีนั้น ๆ ก็ดีเทพย ดาอันอยูในพรหมโลกก็ดี เมื่อเปนมนุษยนั้นกอปรดวยศรัทธา จุติจากมนุษยแลวจึงไดขึ้นไปบังเกิดใน สวรรคเทวโลก แลศรัทธาของอาตมานี่ก็เหมือนศรัทธาแหงเทพยดาเหลานั้น อนึ่งเทพยดาทั้งปวงนั้นเมื่อเปนมนุษยกอปรดวยศีลอุตสาหะ สดับฟงพระธรรมเทศนาและ บริจากทาน กอปรดวยสติปญญาจุติจากอนุษยแลวจึงไดขึ้นไปบังเกิดในเทวดา อาตมานี้กอปรดวย ศีล สุตะ จาตะ จาคะ ปญญา เหมือนดวยเทพยดาเหลานั้น เมื่อตั้งไวซึ่งเทพยดาในที่เปน พยานดังนี้แลว ก็พึงระลึกถึงศรัทธาคุณ ศีลคุณ สุตคุณ จากคุณ ปญญาคุณ ของตนเนือง ๆ ตกวาระลึกเอาศรัทธาทิคุณของเทพยาดาเปนพยานกอนแลว จึงจะระลึกถึงศรัทธาทิคุณของตนตอ ภายหลัง พระโยคาพจรผูประกอบเนือง ๆ ซึ่งเทวตานุสสติกัมมัฏฐานดังนี้ จะเปนที่รักแหงเทพยาดา เปนอันมากจะมีคุณานิสงสเปนอันมาก ดุจกลาวแลวในพุทธานุสสติกัมมัฏฐาน เหตุดังนั้นนักปราชญผู มีปรีชาพึงอุตสาหะจําเริญเทวดานุสสติกัมมัฏฐานจงเนือง ๆ เถิด ฯ จบเทวตานุสสติกัมมัฏฐานแตเทานี้
จักวินิจฉัยในมรณานุสสติกัมมัฏฐานสืบตอไป ตตฺถ มรณ สติยา ภาวนานิทฺเทเส ใน มรณานุสตติภาวนานิเทศนั้นมีกระทูความวาพระโยคาพจรผูจะจําเริญมรณานุสสติกัมมัฏฐานนั้น พึง ระลึกถึงความมรณะ ใหเปนนิรันดรอยูในขันธสันดาน มรณะประสงคเอาซึ่งความขาดแหงชีวิตินทรีย อันมีกําหนดภพอัน ๑ คือบังเกิดขึ้นในภพ เปนสัตวเปนชีวิตแลว และถึงซึ่งจุติทําลายขันธดับสูญขาด ชีวิตินทรียไปจากภพนั้นไดชื่อวามรณะ กําหนดโดยภพควรที่จะเอาเปนอารมณแหงมรณานุสสติ กัมมัฏฐาน และมรณะนั้นมี ๓ ประการ คือสมุจเฉทมรณะ ขณิกมรณะสมมติมรณะ ทั้ง ๓ ปราการนี้ ควรที่จะเอาเปนอารมณแหงมรณานุสสติกัมมัฏฐาน อธิบายวา สมุจเฉทมรณะนั้น ไดแกพระอรหันตอัน ตัดเสียซึ่งวัฏทุกข กิจที่ใหสําเร็จแกพระอรหันตตัดทุกขในสังสารวัฏไดขาดนั้น จัดเปนมรณะประการ ๑ ชื่อวาสมุจเฉทมรณะแลขณิกมรณะนั้นไดแกสังขารธรรมอันดับอันทําลายทุก ๆ ภวังค มรณะอธิบายวา จิต แลเจตสิกซึ่งบังเกิดขึ้นในอุปาทขณะตั้งอยูในฐิติ ขณะแลวดับไปในภวังคขณะนั้นเปนมรณะ ประการ ๑ ไดชื่อวาขณิกมรณะ แลสมมติมรณะนั้นคือความตายอันโลกสมมติ โลกโวหารรองเรียกวาตนไมตายทองแดง เหล็กตายตานสมมติเรียกเปนตนฉะนี้ จัดเปนมรณะประการ ๑ ชื่อวาสมมติมรณะ มรณะทั้ง ๓ ประการ นี้พระโยคาพจรอยาไดประสงคเอาเปนอารมณ ในกาลเมื่อจําเริญมรณานุสสติกัมมัฏฐานในที่นี้มีคําฏี กาจารยอธิบายไววา สมุทเฉทมรณะนั้นมีโดยนอยมิไดมีโดยมาก ฝายขณิกมรณะนั้นเลาก็เกิด ๆ ดับ ๆ เนือง ๆ ไปนัก และสมมติมรณะ คือทองแดงตาย คือเหล็กตายเปนตนนั้นเลาก็มิไดเปนที่เกิดแหงธรรม สังเวช เหตุฉะนี้ มรณะทั้ง ๓ ประการ จึงมิควรที่พระโยคาพจรจะเอาเปนอารมณ ในกาลเมื่อจําเริญมรณนุสสติกัมมัฏฐานและมรณะควรที่จะเอาเปนอารมณนั้น พระอรรถกถา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 47 จารยประสงคเอาแตมรณะทั้ง ๒ คือกาลมรณะประการ ๑ อกาลมรณะประการ ๑ กาลมรณะนั้น คือตาย ดวยสิ้นบุญตายดวยสิ้นอายุ แทจริงสัตวทั้งปวงอันมีกุศลเปนชนกกรรมนําปฏิสนธิในที่อันเปนสุขนั้น ถากุศลซึ่งอุปถัมภอุดหนุนค้ําชูนั้นบมิไดตลอดไป แมวาปจจัยคืออาหารอันจะสืบอายุนั้นยังมีบริบูรณ อยูก็ดี ก็บมิอาจวัฒนาการจําเริญอยูได ยอมถึงซึ่งจุติจากสมบัติพัสถานเคลื่อนคลาดจากที่อันเปนสุข ขาดชีวิตตินทรียเพราะเหตุหากุศลจะอุปถัมภสืบตอไปบมิได มรณะเห็นปานดังนี้ไดชื่อวาบุญญัก ขยมรณะ วาตายดวยสิ้นบุญมีคําฏีกาจารยวาบุญญักขยมรณะตายดวยสิ้นบุญนั้น เปนภพอันบริบูรณ ดวยสมบัติพัสถาน สเจ ภววิปตฺติยํ ิโต ถาสัตวนั้นบังเกิดในวิปตติภพ เปนภพอันกอปรดวยความทุกข ความยาก ทนทุกขเวทนาตราบเทาสิ้นบาปสิ้นกรรมแหงตนแลว และกระทํากาลกิริยาวิปตติภพนั้น ได ชื่อวาปาปกขยมรณะวาตายดวยสิ้นบาป และสัตวอันตายดวยสิ้นอายุนั้น พระอรรถกถาจารยกลาวไววา สัตวอันหาคติสมบัติ กาลสมบัติ อาหารสมบัติบมิได คือบมิไดมีคติบริบูรณ ดุจเทพยดาอันบริบูรณดวย กาล บมิไดมีอาหารบริบูรณ ดุจชาวอุตตรกุรุทวีปอันบริบูรณดวยอาหาร และมีอายุอันนอยประมาณได รอยป ดุจดังอายุมนุษยหญิงชายในกาลทุกวันนี้ก็ดี สัตวอันบริบูรณดวยกาลและอาหาร และอายุยืน นานมากกวาแสนปนั้นก็ดี แตบรรดาสัตวที่สถาพรอยูตราบเทาสิ้นอายุ แลวกระทํากาลกิริยานั้นชื่อวา อายุกขยมรณะสิ้นดวยกัน พึงสันนิษฐานวา สัตวที่สิ้นบุญสิ้นบาปสิ้นอายุแลว ละทํากาลกิริยานั้น ได ชื่อวากาลมรณะตายในกาลอันพึงตาย อกาลมรณํ กมฺมุปจเฉทกวเสน และสัตวทั้งปลายซึ่งกระทํากาลกิริยานั้น ดวยสามารถ อุปจเฉทกรรมนั้นไดชื่อวาอกาลมรณะตายในกาลอันบมิควรจะพึงตาย แทจริงสัตวทั้งหลายซึ่งมีขันธ สันดานอันขาดดวยอํานาจอุปจเฉทกกรรม อันมีกําลังสามารถกระทําใหเคลื่อนคลาดจากที่ในขณะดุจ ดังวาพระยาทุสิมารราช และพระยากลาพุราชเปนตน อันประทุษรายแกขันติวาทีดาบส และแผนดินให ชองลงไปไหมในอเวจีนรกนั้น ไดชื่อวากาลมรณะตายในกาลอันมิควรจะพึงตาย ใชแตเทานั้นสัตว ทั้งหลายอันโบราณกรรมติดตามมาทัน และมีผูฆามาฟนดวยเครื่องสาตราวุธ กระทํากาลกิริยาดวย ความเพียรแหงบุคคลอื่น และอกุศลดลจิตใหประหารชีวิตแหงตนเสียดวยตนเองก็ดี อยางนี้ก็ไดชื่อ วาอกาลมรณะ มรณะทั้ง ๒ ประการ คือกาลมรณะแลอกาลมรณะ อันมีนัยดังพรรณนามานี้ สมควรที่พระ โยคาพจรจะถือเปนอารมณในกาลเมื่อจําเริญมรณานุสสติกัมมัฏฐาน ตํ ภาเวตุกาเมน พระ โยคาพจรผูปรารถนาจะจําเริญมรณานุสสติกัมฐานนั้น พึงเขาไปในที่สงัดอยูแตผูดียวนั้นแลวพึงกระทํา บริกรรม มรณํ ภวิสฺสติ ชีวิตินฺทฺรริยํ อุปจฺฉิสฺสติ ความตายจักมีชีวิตินทรียจักขาดดังนี้ ถามิดังนั้น พึงกระทําบริกรรมวา มรณํ มรณํ ความตาย ๆ ดังนี้ เมื่อกระทําซึ่งบริกรรมนั้นพึงมนสิการกําหนดกฏหมายดวยอุบาย อยาไดกระทํามนสิการ ดวยหาอุบายมิได มีคําฎีกาจารยวิสัชนาวา ซึ่งใหกระทํามนสิการกําหนดกฏหมายดวยอุบาย คือให พิจารณาสติและปญญาพิจารณาใหเห็นธรรมสังเวชวา ความตายนั้นจะมีแกเราเปนแท ชีวิตแหง อาตมานี้จะขาดเปนแท พึงพิจารณาสังเวชฉะนี้ อยาไดบริกรรมเพอไปแตปาก บมิไดปลงปญญา พิจารณาใหเห็นสังเวชในความตายนั้น ไดชื่อวากระทํามนสิการหาอุบายมิได อโยนิโส ปวตฺตยโต หิ แทจริงพระโยคาพจรผูประพฤติซึ่งกิจมาสิการดวยหาอุบายมิไดนั้น ขณะเมื่อระลึกขึ้นมาถึงความตายแหงบุคคลอันเปนที่รักก็บังเกิดความโศกความเศรา อุปมา ดุจบุคคลอันระลึกถึงมารดาบังเกิดเกลา แลบุตรอันเปนที่รักพึงอนิจกรรมไปบังเกิดความโศกเศรา ขณะเมื่อระลึกถึงความตายของชนที่ตนไมรักใครเกลียดชัง ก็จะเกิดความปราโปรทย ( เชนชนที่มีเวร ตอกันระลึกถึงความตายแหงกันและกันฉะนั้น) ขณะเมื่อระลึกถึงความตายแหงบุคคลอันตนบมิไดรักบ มิไดชังนั้น ก็จักเพิกเฉยบมิไดมีความสังเวช ดุชฉวฑาหิกชนสัปเหรออันเห็นซากกเฬวระและหาสังเวช มิได ถาระลึกถึงความตายเเหงตน ก็มักเกิดความสะดุงตกใจดุจบุคคลภิรุกชาติสันดานขลาด เห็นนาย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 48 เพชฌฆาตถือดาบเงือดเงื้ออยูและความสดุงตกใจ นักปราชญพึงสันนิษฐานวาการที่จะเศราโศก จะ บังเกิดความยินดีปรีดา จะหาสังเวชบมิได จะบังเกิดความสดุงตกใจทั้งนี้ก็อาศัยแกปราศจากสติและ ปญญาปราศจากสังเวช กระทํามนสิการดวยหาอุบายบมิได บริกรรมวา มรณัง ๆ นั้นบนเพอไปแตปาก บมิไดเอาสติ และปญญาประกอบเขาเห็นธรรมสังเวชจริง ๆ จึงเปนดังนั้น ถากระทํามนสิการดวยอุบายปลง สติปญญาลงได มีธรรมสังเวชอยูในสันดานแลวไหนเลยจะเปนดังนั้น ก็จะเปนคุณวุฒิอันล้ําเลิศประเส ริญคือระลึกถึงความตายแหงบุคคลอันเปนที่รักก็จะมิไดเศรามิไดโศก ระลึกถึงความตายแหงบุคคลอัน เปนเวรก็จะมิไดชื่นชมโสมนัส ระลึกถึงความตายแหงบุคคลที่ตนไมรักไมชังก็จะมิไดเพิกเฉย จะ บังเกิดความสังเวชบริบูรณในสันดานระลึกขึ้นมาถึงความตายแหงตนเลา ก็ปราศจากความสดุงตกใจ อันกระทํามนสิการดวยอุบายนี้ มีคุณมากกวา มากดุจกลาวมานี้ เหตุดังนั้นพระโยคาพจรผูจําเริญมรณานุสสติกัมมัฏฐาน พึงพิจารณาถึงความตายแหงสัตว ทั้งหลายอันโจรฆาใหตายก็ดี ตายเองก็ดี แตบรรดาที่ทอดทิ้งกลิ้งอยูในที่ทั้งปวง เปนตนวาปาชัฏและ ปาชาที่ตนไดเห็นแตกอนนั้น พึงพิจารณาเปนอารมณในที่จําเริญมรณานุสสติ สติฺจ ปฺญฺจ สํ พึงมนสิการดวยอุบายอันยังสติและปญญา และธรรมสังเวชใหบังเกิดแลวพึง เวคฺจ โยเชตฺวา กระทําซึ่งบริกรรมดวยนัยเปนตนวา มรณํ ภวิสฺสติ ชีวิตินฺทฺริยํ อุปจฺฉิสฺสติ โดยนัยที่สําแดงมาแต หนหลัง เอวํ ปวตฺตยโต เยว เมื่อพระโยคาพจรประพฤติโดยวิถีอันพระอรรถกถาจารยเจาสําเเดงไว ฉะนี้ บางจําพวกที่มีปญญินทรียแกกลานั้น ก็จะขมเสียไดซึ่งนิวรณธรรมมีกามฉันทะเปนตน จะมี มรณารมณตั้งมั่น พระกัมมัฏฐานจะถึงซึ่งอุปจารสมาธิไมลําบากยากใจ อาศัยดวยปญญินทรียอันแก กลา เอตฺตาวตา น โหติ พระโยคาพจรที่มีปญญามิไดแกกลามิไดสําเร็จกิจแหงพระกัมมัฏฐานดวย วิธีประมาณเทานี้ และปรารถนาจะกระทําเพียรในมรณานุสสติกัมมัฏฐานตอไป ก็พึงระลึกถึงความตาย โดยอาการ ๘ ประการคือ วธกปจจุปปฏฐานประการ ๑ สัมปตติวิปตติประการ ๑ อุปสังหรณะประการ ๑ กายพหุสาธารณะประการ ๑ อายุทุพพละประการ ๑ อนิมิตะประการ ๑ อัทธานปริเฉทะ ประการ ๑ ขณปริตตะประการ ๑ รวมเปน ๘ ประการดวยกันอาการเปนปฐมคือวธกปจจุปปฏฐานนั้น มีอรรถาธิบายวา ใหระลึกถึงความตายใหเห็นปรากฏ ดุจนายเพชฌฆาตมีมือถือดาบอันคมกลา ปุจฉาวา เหตุไฉนใหระลึกเชนนี้ วิสัชนาวา ใหระลึกนี้ดวยสามารถจะใหเห็นวาเกิดกับตาย นั้นมาพรอมกัน สัตวทั้งหลายอันเกิดมาในโลกนี้ยอมมีชรา แลขณิกมรณะนั้นติดตามตัวมาทุกรูป ทุก นาม ยถา หิ อหิฉตฺตกํ มกุลํ อุปมาดุจดังเห็ดอันตูม อันพึงขึ้นพื้นนดิน แลพาเอาฝุนติดยอดขึ้นไป นั้น ปฏิสนฺธิจิตฺตํ อุปฺปาทานนฺตรํ แทจริงสัตวทั้งหลายอันบังเกิด ถือเอาปฏิสนธิกําเนิดในโลกนี้ จําเดิมแตปฏิสนธิแลวในลําดับอุปปาทขณะแหงปฏิสนธิจิตนั้น ก็ถึงซึ่งความชราและมรณะ ๆ นั้น ติดตามมากับตน ปพฺพตสิขรโต ปติถสิลา วิย เปรียบประดุจกอนศิลาอันหักตกลงมาจากชะงอนแหง ภูเขา และพาเอาตนไมและหญาที่เนื่องดวยตนนั้นลงมาดวยกัน มรณํป สหชาติยา อาคตํ เกิดกับ ตายนี้มาพรอมกัน เหตุวาความเกิดมีแลว ความตายก็มีดวยบุคคลที่เกิดมานั้นยอมจะถึงซึ่งความตาย เปนแท จําเดิมแตบังเกิดขึ้นแลว ก็บายหนาสูความตาย ดุจพระอาทิตยอันอุทัยขึ้นมาแลวและบายหนา สูอัสดงคต มิไดถอยหลังมาจากวิถีที่ดําเนินไปนั้น ถามิดังนั้นอุปมาดุจดังวานทีธารอันไหลยอยลงมา แตซอกแหงภูเขา มีกระแสอันเชี่ยว ยอมพัดไปซึ่งใบไมและตนหญาแตบรรดาที่ตกลงในกระแสนั้น ไหลหลั่งถั่งลงไปหนาเดียว ที่จะไหลทวนกระแสขึ้นไปมาตรวาหนอยหนึ่งหาบมิไดอันนี้แล มีฉันใด อายุแหงสัตวทั้งปวงก็ลาวงไป ๆ มิไดกลับหลัง ตั้งหนาเฉพาะสูความตาย มีอุปไมยดังนั้นเหตุดังนั้นสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจา จึงมีพระพุทธฎีกาโปรด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 49 ประทานพระธรรมเทศนาไววา ยเมกรตฺตึ ปมํ คพฺเภว สติมาณโว อพฺภฏิโต วาสยาติ อธิบาย ในบาทพระคาถานี้วา สัตวอันอยูในครรภมารดานั้น จําเดิมแตขณะตั้งปฏิสนธิในราตรีนั้น แลวก็ตั้งแต แปรไป ๆ เดิมเกิดเปนกลละแลวก็แปรไปเปนอัมพุทะ ตั้งแตแปรไป ๆ ตราบเทาถึงมรณภาพเปนที่สุด จะเที่ยงจะแทนั้นหามิได เปรียบประดุจวาหมอก อันตั้งขึ้นมาแลวก็ถึงภาวะเคลื่อนไป ๆ ตราบเทาสูญ หาย มีคําฎีกาจารยวิสัชนาวา ซึ่งพระพุทธฎีกาตรัสวา รตฺตึ ปมํ วาสัตวตั้งปฏิสนธิในเพลาราตรี หนึ่งนั้น วาโดยเยภุยยนัย อันวาธรรมดาสัตวที่ถือปฏิสนธิในเพลาราตรีนั้น มีโดยมากที่จะถือเอา ปฏิสนธิในเพลากลางวันนั้นมีโดยนอย เหตุดังนั้นนักปราชยพึงสันนิฐานวา รัตติศัพทนั้นพระพุทธเจา เทศนาโดยเยภุยยนัย อายุแหงสัตวที่ลวงไป ๆ โดยนัยดังพรรณนาฉะนี้ พระอรรถกถาจารยเจาอุปมาไววา เหมือนดวยอาการอันสิ้นไปแหงแมน้ํานอย ๆ ตองแสง พระสุริยเทพบุตรในคิมหันตฤดูแลง และถึงซึ่งสภาวะเหือดแหงสิ้นไปทุกวันทุกเวลา ถามิฉะนั้นดุจไม มีขั่วอันอาโปธาตุมิไดซาบถึงและหลนลงมาจากตน ณ เพลาเชาธรรมดาผลไมอันมีพรรณตาง ๆ นั้น เมื่อรสแผนดินเอิบอาบซาบขึ้นไปบมิถึง ก็มีขั่วอันเหี่ยวแหงตกลงจากตนในเพลาเชาแลมีฉันใดรูปกาย แหงสัตวทั้งปวงนี้มีรสอาหารซาบไปบมิทั่วก็ถึงซึ่งคร่ําคราเหี่ยวแหงขาดจากชีวิตินรียมีอุปไมยดังนั้น ถามิดังนั้นรูปธรรมนามธรรมทั้งปวงนี้ เมื่อชราแลพยาธิและมรณะเบียดเบียนแลว ก็ถึงซึ่งคร่ําคราเหี่ยว แหงเจ็บปวยลําบากเวทนา มีอัสสาสะปสสาสะอันขาดเปนอสุภสาธารณเปอยเนาทิ้งทอดกระจัด กระจายเรี่ยราดแยูเหนือแผนปฐพี มีอุปไมยดังนั้นมิฉะนั้นเปรียบเหมือนภาชนาดินอันบุคคลประหารดวยไมคอน และแตก กระจัดกระจาย ถามิฉะนั้น สุริยรํสิสมฺผุฏานํ อุสฺ สาววินฺทูนํ วิทฺธํสนํ ดุจดังวาหยาดน้ําคาง อัน พลันที่จะเหือดแหงไดดวยแสงสุริยเทพบุตร เอวํ วธกปจฺจุปฺปฏานโต มรณํ อนุสฺสริตพฺพํ พระ โยคาพจรผูจําเริญมรณานุสสติกรรมฐาน พึงระลึกถึงความตายโดยปจจุปฏฐานดุจนัยที่พรรณามานี้ ใน อาการเปนคํารบ ๒ ซึ่งวาใหพระโยคาพจรระลึกถึงความตายโดยสมบัติวิบัตินั้น คือใหระลึกใหเห็นวา สัตวทั้งปวงเกิดมานี้บริบูรณแลวก็มีความฉิบหายเปนที่สุด ซึ่งจะงดงามจะดีอยูไมนั้นแตเมื่อวิบัติยัง มิไดครอบงํา ถาความวิบัติมาครอบงําแลว ก็สารพัดที่จะเสียสิ้นทุกสิ่งทุกประการ ที่งามนั้นก็ปราศจาก งาม ที่ดีนั้นก็กลับเปนชั่ว มีความสุขแลวก็จะมีความทุกขมาถึงเลา หาโศกเศราบมิไดแลวก็ถึงซึ่งเศรา โศกเลา แตพระเจาธรรมาโศกราชบพิตร ผูมีบุญญานุภาพไดเสวยมไหสุริยสมบัติพรอมเพรียงไป ดวยความสุข ถึงซึ่งอิสระภาพเปนใหญในภูมิมณฑลสกลชมภูทวีป บริจากทานในพระศาสนาคิดเปน ทรัพยนับไดรอยโกฏิมีอาณาจักรแผไปใตปถพี ๑ โยชน เบื้องบนอาการ ๑ โยชน กอปรดวยสมบัติสุข ถึงเพียงนี้ เมื่อมรณะมาถึงก็มีความเศราโศกเฉพาะพักตรสูความตาย ควรจะสังเวชเวทนา สพฺโพ เยว โลกสนฺนิวาโส ชาติยา อนุโคต ชื่อวาโลกสันนิวาสสัตวทั้งปวงนี้ ชาติทุกขยอมติดตามลอลวง ใหลุมหลง ชรานั้นรัดตรึงตราใหถึงความวิปริตตาง ๆ พยาธิทุกขนั้นติดตามย่ํายี ใหปวยไขลําบาก เวทนาเจ็บปวดทั่วสรรพางคกาย สุมรเณ อพฺภาหโต มรณทุกขครอบงําทําลายลางชีวิตอินทรียให เสื่อมสูญพญามัจจุราชนี้จะไดละเวนบุคคลผูใดผูหนึ่งนั้นหามิได ยอมครอบงําย่ํายีสรรพสัตวทั้งปวง ทั่วไปทุกรูปทุกนาม มิไดเลือกวากษัตริยวาพราหมณวาพอคาชาวนา จัณฑาลคนขนหยากเยื่อ อุปมาดุจเขาอันมีศิลาเปนแทงหนึ่งแทงเดียวเบื้องบนจดจนนภากาศ กลิ้งมาแลวแลเวียน ไปในทิศทั้ง ๔ บดเสียซึ่งสรรพสัตววัตถุทั้งปวง บมิไดเลือกสัตวแลสังขารนั้น อันจะตอยุทธพญา มัจจุราชนั้นใชวิสัยที่จะตอยุทธได เพราะเหตุวามรณะสงความนั้นไมมีที่ตั้งแหงพลชางพลมาพลราช รถพลเดินเทาไมมีที่ตั้งคายคูประตูหอรบทั้งปวง จะมีพลพาหนะมากก็มากเสียเปลา ซึ่งจะเอามาตอ ยุทธดวยมรณะสงความนั้นเอามาบมิไดถึงแมจะมีแกวแหวนเงินทองมากสักเทาใด ๆ ก็ดี จะรูเวทมนต ศาสตราคมกลาหาญประการใด ๆ ก็ดี ก็มิอาจเอามาตอยุทธดวยพญามัจจุราชได พระโยคาพจรผูจําเริญมรณานุสสติภาวนานั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
ถึงระลึกถึงความตายโดยสมบัติวิบัติดุจ
- 50 พรรณนามาฉะนี้ อุปสํหรณโต แลอาการเปนคํารบ ๓ ที่วาใหพระโยคาพจรระลึกถึงความตายโดย อุปสังหรณะนั้น คือใหระลึกถึงความตายแหงผูอื่นแลวนําเอามาใสตน เมื่อระลึกถึงความตายแหง บุคคลผูอื่นพึงระลึกโดยอการ ๗ ประการ ยสมหคฺคโต คือใหระลึกโดยภาวนามากไปดวยยศ ประการ ๑ ปฺุญมหคฺคโต ใหระลึกโดยภาวนามากไปดวยบุญประการ ๑ ถามมหคฺคโต ให ระลึกโดยภาวะนามากไปดวยกําลังประการ ๑ อิทฺธิมหคฺคโต ใหระลึกโดยภาวะนามากไปดวยฤ ทิธิ์ประการ ๑ ปจฺเจกพุทฺธโต ใหระลึกโดยภาวะพระปจเจกโพธิ์ ๑ สมฺมาสมฺพุทฺธโต ใหระลึก โดยพระสัมมาสัมพุทธเจา ๑ เปน ๗ ประการดวยกัน ซึ่งวาใหระลึกโดยภาวะมากไปดวยยศนั้น คือใหระลึกวาพญามัจจุราชนี้ จะไดรังเกียจ เกรงใจวาทานผูนี้เปนผูดีมีบริวารยศมากอยาเบียดเบียนทานเลย จะไดเกรงใจอยูในฉะนี้หาบมิได แต พระยามหาสมมติราช แลพระยามันธาตุราช พระยามหาสุทัพสนะบรมจักรพัตราธิราชเปนตนเปน ประธาน ซึ่งมีอิสริยยศแลบริวารยศเปนอันมากบริบูรณไปดวยพลพาหนะแลทรัพยสมบัติอันโอฬารริก ภาพนั้นยังตกอยูในอํานาจแหงพญามัจจุราชสิ้นทั้งปวง กิมงฺคํ ปน ก็จะปวยกลาวไปไยถึงตัวเรานี้ เลา อันจะพนอํานาจแหงพญามัจจุราชนั้นหามิได เอวํ ยสมหคฺคโต พระโยคาพจร พึงระลึกถึง ความตายโดยภาวะมากไปดวยยศดุจพรรณนามาฉะนี้ ปฺญมหคฺคโต ซึ่งวาใหระลึกโดยภาวะมากไปดวยบุญนั้น คือใหระลึกตรึกตรองไปถึง บุคคลเปนตนวา โชติกเศรษฐี แลชฏิลเศรษฐี แลอุคคิยเศรษฐี แลเมณฑกเศรษฐี แลปุณณกเศรษฐี แตบรรดาที่เปนคนมีบุญญาภิสมภารเปนมันมากนั้น วาทานโชติกเศรษฐีนั้นมีปรางคปราสาทแลวไป ดวยแกว ๗ ประการ มีพื้นได ๗ ชั้น มีกําแพงแวดลอมนั้นก็ ๗ ชั้น แตลวนแลวไปดวยแกว ๗ ประการ แลวก็มีไมกัลปพฤกษเกิดขึ้นทุก ๆ มุมแหงกําแพง มีขุมทองอันเกิดขึ้นในมุมทั้ง ๔ แหงปรางค ปราสาท ขุมหนึ่งปากกวาง ๑ โยชน ขุมหนึ่งปากกวางกึ่งโยชน ขุมหนึ่งปากกวาง ๓๐๐ เสน ขุมหนึ่ง ปากกวาง ๑๐๐ เสน สมบัติพัสถานของทานนั้นโอฬารริกภาพ มีนางมาแตอุตตกุรุทวีปเปนอัครภรรยา แลชฏิลเศรษฐีนั้นเลามีภูเขาทองขึ้นขางหลังเรือนจะรื้อจะขนสักเทาใด ๆ ก็ไมสิ้นไมสุด เมณฑกะเศรษฐีนั้นเลาก็มีแพะทองเกิดขึ้นดวยบุญเต็มไปในที่ได ๘ กรีส ในทอง แพะนั้นเต็มไปดวยสิ่งสรรพขาวของทั้วปวงจะปรารถนาวัตถุอันใดชักลูกขางอันกระทําดวยเบญจพรรณ ซึ่งปดปากแพะนั้นออกแลววัตถุนั้นก็ไหลหลั่งออกมาจากปากแพะ ไดสําเร็จความปรารถนาทุกสิ่งทุก ประการ แลปุณณกเศรษฐีนั้นเลา เดิมเมื่อเปนลูกจางอยูนั้นออกไปไถนา ขี้ไถก็กลับกลายเปนทอง ครั้นไดเปนเศรษฐีเมื่อพื้นที่จะกระทําเรือนอยูนั้นก็ไดขุมทรัพยเต็มไปในที่จักหวัด บานบุคคลผูมี บุญญาภิสมภารมากมีทรัพยมากถึงเพียงนี้แลว ก็มิอาจเอาทรัพยมาไถถอนตนใหพนจากอํานาจพญา มัจจุราชได อฺเญ จ โลกเก มหาปฺุญาติ วิสฺสุตา ถึงบุคคลจน ๆ ที่ปรากฏวามีบุญมากในโลกนี้ แตผูใดผูหนึ่งจะพนจากอําจาจแหงพญามัจจุราชนั้นหามิได แตลวนถึงซึ่งมรณภาพดับสูญลวง ๆ ไป สิ้นทั้งปวง มาทิเสสุกถาวกา ก็ปวยกลาวไปไยถึงบุคคลเห็นปานดังตัวเรานี้ดังฤๅจะพนอํานาจแหง พญามัจจุราช พึงระลึกไปโดยภาวะมากไปดวยบุญอันนี้ ถามมหคฺคโต ซึ่งวาใหระลึกไปโดยภาวะมาก ไปดวยกําลังนั้น คือใหระลึกถึงบุคคลที่มีกําลังมากเปนตนวา พระยาวาสุเทพ พระยาพลเทพ พระ ยาภิมเสน พระยานุธิฏฐิล พระยาหนุร พระยามหามล พระยาเหลานี้แตละพระองค ๆ นั้นทรงพลกําลัง มาก กําลังนายขมังธนู ๕๐๐ คนจึงเทาพระยาภิมเสนพระองคหนึ่ง บุคคลอันมากําลังมากสามารถ ปรากฏในโลกสันนิวาสเห็นปานดังนี้ ก็มิอาจตอยุทธดวยพญามัจจุราชได กถาวกา ก็จะปวยกลาว ไปไยถึงตัวเรานี้เลาดังฤๅแลจะตอสูดวยพญามัจจุราชนั้นได พึงระลึกโดยภาวะมากไปดวยกําลังดัง พรรณนามาฉะนี้ อิทฺธิมหคฺคโต ซึ่งวาใหระลึกไปโดยภาวะมากไปดวยฤทธิ์นั้น พึงใหระลึกวาบุคคลอันเกิด มาในโลกนี้ ถึงจะมีฤทธิ์ศักดานุภาพเปนประการใด ๆ ก็ดี ก็มิอาจทําสงครามแกพญามัจจุราชได แต
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 51 พระมหาโมคคัลลานเถระเจาผูเปนทุติยสาวก แหงสมเด็จพระมหากุณากอปรดวยฤทธาศักดานุภาพ อันล้ําเลิศประเสริฐไดที่เอตทัคคะฝายขางฤทธิ์ แตบรรดาเฉพาะสาวกในพระศาสนานี้ พระองคใด พระองคหนึ่ง จะมีฤทธิ์เหมือนพระโมคคัลลานะหาบมิได พระโมคคัลลานะนี้ยังเวชยันตปราสาทให กัมปนาทหวาดหวั่นไหวดวยมาตรวา สะกิดดวยนิ้วแมเทา อนึ่งเมื่อทรมานพญานันโทปนันทนาคราช นั้นเลา ฤทธิ์แหงพระโมคคัลลานเถรเจาก็ปรากฏวาเลิศรวดเร็วในกิจที่จะเขาสูสมบัติไมมีใครเสมอ มี ฤทธิ์ถึงเพียงนี้แลว ยังวาเขาไปสูปากแหงพญามัจจุราชอันพิลึกกับทั้งฤทธิ์ทั้งเดช ดุจดังวาเนื้ออันเขา ไปสูปากแหงพญาไกรสรราชสีห ก็ตัวอาตมานี้ดังฤๅจะพนพญามัจจุราชเลา พึงระลึกไปโดยภาวะมาก ไปดวยฤทธิ์ดังนี้ ปฺญมหคฺคโต ซึ่งวาใหระลึกโดยภาวะมากไปดวยปญญานั้นคือใหระลึกดวยเห็นวา สัตวทั้งหลาย แตบรรดาที่เวียนวายอยูในกระแสชลาโลกโอฆสาครนี้ ถึงจะมีปญญาเฉลี่ยวฉลาดเปน ประการใด ๆ ก็ดี ก็บมิอาจจะคิดเลศอุบายใหพนจากอํานาจแหงพญามัจจุราชนั้นได จะวาไปไยถึง ผูอื่น ๆ นั้นเลา แตพระสารีบุตรเถรเจา ผูเปนอัครสาวกกอปรดวยปญญาอันกลาหาญ แมฝนจะตกเต็ม ไปในหองจักรวาลตกไปชานานสิ้น ๑ กัปป หยาดเม็ดฝนแลละอองเม็ดฝนนั้นมีประมาณมากนอยสัก เทาใด ๆ พระสารีบุตรเถรเจาก็อาจนับถวน แตบรรดาสัตวในโลกนี้ ยกเสียแตพระบรมโลกนาถเจา พระองคเดียวแลวนอกออกไปกวานั้นแลว ผูใดผูหนึ่งซึ่งจะมีปญญามากเหมือนพระสารีบุตรนั้นหามิได ปญญาแหงพระสารีบุตรเถรเจานั้น ถาจะเอามาแบงออกเปน ๑๖ ยกเสีย ๑๕ เอาแตสวน ๑ สวน ๑ นั้นเอามาแบงออกเปน ๑๖ ยกเสีย ๑๕ เอาแตสวน ๑ อีกเลาแบงลงไป ๆ โดยในดังนี้ถึง ๑๖ ครั้งแลว จึงเอาปญญาพระสารีบุตรที่แบงเสี้ยว ๑ เปน ๑๖ สวนในที่สุดนั้นมาเปรียบดวยปญญา แหงบัณฑิตทั้งชาติทั้งปวง ๆ ก็นอยกวาปญญาแหงพระสารีบุตรเสี้ยว ๑ นั้นอีก พระสารีบุตรได เอตทัคคะฝายขางปญญาถึงเพียงนี้แลว ก็มิอาจลวงเสียอํานาจแหงพญามัจจุราชนั้นได ยังถือซึ่งดับ สูญเขาสูปากแหงพญามัจจุราชจะมิครอบงําเลา พึงระลึกโดยภาวะมากไปดวยปญญาดังกลาวนี้ ปจฺเจกพุทฺธโต ซึ่งวาใหระลึกโดยพระปจเจกโพธิ์นั้นคือใหระลึกวา แทจริงพระปจเจก โพธิ์ทั้งปวงนั้นแตละพระองค ๆ กอปรดวยปญญาพลแลวิริยพลอันเขมแข็งย่ํายีเสียได ซึ่งขาศึกคือ กิเลสธรรมทั้งปวงแลว แลถึงซึ่งปจเจกสัมโพธิญาน ตรัสรูไญยธรรมเองหาอาจารยจะสั่งสอนมิได พระ ปจเจกโพธิ์เจาผูประเสริฐเห็นปานดังนี้ ก็มิอาจลวงลัดจากอํานาจแหงพญามัจจุราชนั้นไดดังฤๅอาตมา จะพนจากอํานาจแหงพญามัจจุราชนั้นเลา พึงระลึกโดยประปจเจกโพธิ์โดยนัยดังกลาวมานี้ สมฺมาสัมฺพุทฺธโต ซึ่งวาใหระลึกโดยพระสัมมาสัมพุทธเจานั้นคือใหระลึกวา ภควา อัน วาสมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคผูทรงพระสวัสดิโสภาคยเปนอันงาม พระองคมีพระรูปโฉมพระสรีร กายอันวิจิตรดวยทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะ ( ลักษณะสําหรับพระมหาบุรุษ ๓๒) แลพระอสีตยนุ พยัญชนะ ๘๐ ทัศประเสริฐดวยพระธรรมกาย สมาธิขันธ ปญญาขันธ วิมุตติขันธ วิมุตติญาณทัส สนขันธ อันบริสุทธิ์บริบูรณดวยอาการทั้งปวง ปารคโต ถึงซึ่งภาวะมากไปดวยยศมากไปดวยบุญ มากไปดวยกําลังมากไปดวยฤทธิ์มาก ไปดวยบุญ หาผูจะเปรียบเทียบปูนปานบมิได อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พระพุทธองคเจาหักเสียซึ่งกํา แหงสังสารจักร ตรัสรูดวยพระองคเองโดยอาการมิไดวิปริต หาผูจะถึงสองมิไดในไตรภพ สมเด็จพระ พุทธองคผูแสวงหาศีลหาทิคุณอันประเสริฐเลิศดวยพระคุณศักดานุภาพ เปนที่ไหวสักการะบูชาแหง สรรพเทพา มนุษย อินทรีย พรหม ยมยักษ อสูร คนธรรมพสุบรรณนาค แลสรรพสัตวนิการ ทั้งหลายทั่วทั้งอนันตโลกธาตุไมมีผูจะเทาเทียมเลย มัจจุราชยังมิไดกลัวไดเกรง ยิงมิไดมีความ ละอาย ยังครอบงํากระทําใหสูญเขาสูพระปรินิพพาน ดุจกองเพลิงอันใหญสองสวางทั่วโลก ตองทอ ธารหาฝนประลัยกัลปดับสูญ หาบัญญัติบมิได นีลชฺชํ วีตสารชฺชํ มรณธรรมนี้ ปราศจากความ ละอายปราศจากความกลัว มีแตย่ํายีจะครอบงําทั่วทุกสิ่งสรรพสัตว แตองคสมเด็จพระสัพพัญูเจา มรณธรรมยังมิไดละไดเวน ก็บุคคลเห็นปานดังตัวอาตมานี้ ดังฤๅมรณธรรมจะละเวนเลาก็จะครอบงํา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 52 เหมือนกัน เอวํ สมฺมาสมฺพุทฺธโตสรณํ อนุสฺสริตพฺพํ พึงระลึกถึงมรณะแหงพระสัมมาสัมพุทธเจา ดวยประการฉะนี้ อุปสํหรณํ อันจําแนกดวยประการ ๗ ดุจนัยที่สําแดงมาฉะนั้น นักปราชญพึง สันนิษฐานวารวมเขาเปน ๑ จัดเปนอาการคํารบ ๓ ในวิธีแหงมรณานุสสิตภาวนา แลอาการเปนคํารบ ๔ คือ กายพหุสาธารณนั้น ใหพระโยคาพจรระลึกวา อยํ กาโย อันวารูปกายแหงสรรพสัตวเราทาน ทั้งหลายนี้ เปนสาธารณทั่วไปแกหมูหนอนทั้ง ๘๐ ตระกูล ฉวินิสฺสิตาปาณา หนอนที่อาศัยอยูใน ผิวเนื้อก็ฟอนกัดกินผิวเนื้อ ที่อาศัยอยูในหนังก็ฟอนกัดกินหนัง ที่อาศัยอยูเนื้อล่ําก็ฟอนกัดกินเนื้อล่ํา ชายนฺติ ขียนฺติ หนอน ที่อยูในเอ็นก็กัดกินเอ็น ที่อยูในอัฐิก็กัดอัฐิ ที่อยูในสมองก็กัดสมอง ทั้งหลายนั้นเกิดในกาย แกในกาย ตายในกาย กระทําอุจจาระ ปสสาวะในกาย กายแหงเราทานทั้ง ปวงนี้เปนเครื่องประสูติแหงหมูหนอน เปนศาลาไข เจ็บเปนปาชาเปนเว็จกุฏิเปนรางกาย อุจจาระ ปสสาวะแหงหมูหนอนควรจะสังเวชเวทนา กายแหงเราทานทั้งหลายนี้บางทีหนอนกําเริบกลาหนาขึ้น ฟอนกัดฟอนทึ้งเกินประมาณทนทานบมิได ตายเสียดวยหนอนกําเริบก็มี ภายในกรัชชกายนี้ใชจะมีแต หมูหนอนเบียดเบียนนั้นหามิได โรคที่เบียดเบียนในการนี้เลาก็มีมากกวา อเนกสตานํ ถาคณนานั้นมากกวารอยจําพวก อีก ไหนเหลือบยุงเปนตน จะเบียดเบียนในภายนอกนั้น รายกายที่เปนตกตองแหงอุปทวะตาง ๆ ลกฺขิ อิว อุปมาดุจปอมเปาหมายอันบุคคลตั้งไวหนทาง ๔ แพรง เปนที่ถูกตองแหงหอกใหญแล หอกซัดไมคอนกอนศิลาแลธนูหนาไมปนไฟทั้งปวง เหตุดังนั้นสมเด็จพระมหากรุณา จึงโปรดประทาน อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขฺ ทิวเส นิกฺขนฺเต รตฺติยา ปตีหิ ตาย อิติปฏิสฺ พระธรรมเทศนาไววา จิกฺขิ ภิกษุอันมีมรณสติในบวรพุทธศาสนานี้ในเมื่อเพลาอันลวงไปแลวแลยางเขาราตรีนั้น ก็มา พิจารณาถึงมรณภาพแหงตนวา พหุกา โข เม ปจฺตยา มรณสฺส เหตุที่จะใหอาตมาถึงแกมรณะ มากมายนักหนา อยู ๆ ฉะนี้ถามีอสรพิษมาขบ มีแมลงปองมาแทง มีตะขาบมากัด มรณะแล ทุกขเวทนาก็จะมีแกอาตมาเปนอันตรายแกอาตมา อาตมายืน ๆ อยูฉะนี้ฉวยพลาดลมลงก็ดี จังหันที่ อาตมาฉันในเพลาปุเรภัตรวันนี้ ถาเพลิงธาตุบมิอาจจะเผาใหยอยไดก็ดี แตเทานี้มรณะก็จะมีแก อาตมา จะเปนอันตารยแกอาตมา ปตฺติ วา เม กุปฺเปยฺย มิฉะนั้นดีแหงอาตมานี้กําเริบ เสมหะแหง อาตมานี้กําเริบ ลมสันถวาตอันใหจุกเสียดเจ็บดังเชือกดวยมีดนั้นกําเริบขึ้นก็ดี มรณะก็ดีจะมีแกอาตมา ใหพระโยคาพจรผูจําเริญมรณนุสสติกรรมฐานใหระลึกถึงความตายโดยกายพหุสาธารณ โดยนัยที่พรรณนา นาม แลอาการคํารบ ๕ ที่วาใหพิจารณาซึ่งความตายโดยอายุทุพพลนั้นคือให ระลึกเห็นวาอายุแหงสรรพสัตวทั้งปวงนี้หากําลังบมิไดทุพพลภาพยิ่งนัก อสฺสาสุปุนิพฺพุธํ ชีวิตแหง สัตวทั้งปวงนี้เนื่องดวยอัสสาสะปสสาสะนั้น มิไดประพฤติเสมออยูก็ยังมิไดดับสูญกอน ถาอัสสาสะ ปสสาสะนั้นมิไดประพฤติเสมอ คือหายใจออกไปแลวลมนั้นขาดไปบมิไดกลับเขาไปในกายก็ดี หายใจเขาไปแลวลมนั้นอัดอั้นมิไดกลับออกมาภายนอกก็ดี แตเทานี้ก็จะถึงซึ่งมรณะภาพความตาย อริยาบถทั้ง ๔ นี้เทาเมื่อประพฤติเสมออยูอายุนั้นก็ยังมิไดดับสูญ ถาอิริยาบถนั้นประพฤติไมเสมอ นั่ง นักนอนนักยืนนักเที่ยวนัก ประพฤติอิริยาบถอันใดอันหนึ่งใหหนักนักแลว ก็เปนเหตุที่จะใหอายุอายุสั้น พลันตาย เย็นแลรอนนั้นเลาถามีอยูเสมอ อายุก็ยังมิไดดับสูญกอน ถาเย็นแลรอนนั้นประพฤติบมิได พลสมฺปนฺโนป แมวาถึงบุคคลนั้นจะ เสมอเกินประมาณนักแลว อายุก็ขาดชีวิตินทรียก็จะดับสูญ บริบูรณดวยกําลังก็ดี ถาธาตุอันใดอันหนึ่งกําเริบแลวก็มีกายกระดางเปนโรคตาง ๆ มีอติสารลมแดง เปนตน มีกายอันเหม็นเนา เศราหมองรอนกระวนกระวายทั่วสรรพางคกาย บางทีมีที่ตอกันเคลื่อน คลาดออกจากกัน ถึงซึ่งสิ้นชีวิตเพราธาตุกําเริบนั้นก็มี แลกวฬิงการาหารที่สรรพสัตวทั้งปวงบริโภคนี้ เลา ถาบริโภคพอควรอยูแลวอายุก็ตั้งอยูไดโดยปกติ ถาบริโภคเกินประมาณเพลิงธาตุสังหารใหยอย ยับลงมิไดอายุก็ขาด อาหารนั้นถาไมมีบริโภคเลา ชีวิตินทรียนั้นก็ขาดบมิไดสืบตอไปไดอาศัยเหตุ ฉะนี้ จึงวาชีวิตินทรียเนื่องอยูดวยอาหาร เนื่องไปดวยอัสสาสะและอิริยาบถเย็นรอน แลมหาภูตรูปทุพพลภาพหนักหมิ่นอยูนักที่จะถึงมรณภาพ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
เอวํ อายุทุพพฺพลโต มรณํ
- 53 อนุสฺสริตพฺพํ พระโยคาพจรผูจําเริญมรณานุสสติกรรมฐานนั้น พึงระลึกถึงความตายโดยอายุทุพพล ดุจนัยที่พรรณนามาฉะนี้ แลอาการเปนคํารบ ๖ ซึ่งวาใหระลึกถึงความตายโดยอนิมิตนั้น คือใหระลึก วา สตฺตานํ หิ วีวิตํ กาโล จ เทหนิกฺเขปนํ คติสัตวทั้งหลายอันเกิดมาในโลกนี้ยอมมีสภาวะ กําหนดมิไดนั้น ๕ ประการ ชีวิตํ คือชีวิตนั้นก็หากําหนดมิไดประการ ๑ พยาธิ คือการปวยไขนั้น ก็หากําหนดมิไดประ ๑ กาเล เพลาอันมรณะนั้นก็หากําหนดมิไดประการ ๑ เทหนิกฺเขปนํ ที่อันจะ ทิ้งไวซึ่งกเฬวระนี้ก็หากําหนดมิไดประการ ๑ คติซึ่งจะไปภพเบื้องหนานั้นก็หากําหนดมิไดประการ ๑ เปน ๕ ประการดวยกัน เอตฺตเกเนวชีวิตพฺพํ อันจะกําหนดกฏหมายวาขาจะมีชีวิตอยูเพียงนั้น ๆ ถา ยังไมถึงเพียงนั้นขายังไมตายกอน ตอถึงเพียงนั้น ๆ ขาถึงจะตาย จะกําหนดบมิได กลฺลกาเลป สตฺตา มรนฺติ สัตวทั้งหลายอันบังเกิดในครรภมารดานั้น แตพอตั้งขึ้นเปน กลละฉิบหายไปก็มีเปนอัมพุทะฉิบหายไปก็มี บางคาบเปนเปสิชิ้นเนื้อฉิบหายไปก็มี บางคาบเปนฆนะ เปนแทงเขา แลวฉิบหายไปก็มี บางคาบเปนปญจสาขาแลวฉิบหายไปก็มี อยูได ๑, ๒, ๓ เดือนฉิบ หายไปก็มี อยูได ๔, ๕, ๑๐ เดือนแลวตายไปก็มี สัตวบางจําพวกก็ตายในกาลเมื่อคลอดจากมาตุ คัพโภทร บางจําพวกคลอดจากมาตุคัพโภทรแลวอยูครู ๑ พัก ๑ ตายไปก็มี อยูไดแตวัน ๑, ๒, ๓ วัน แลวตายไปก็มี ที่อยูได ๔, ๕, ๑๐ วันตายไปก็มี อยูได ๑, ๒, ๓ เดือนแลวตายไปก็มี ที่อยูได ๔, ๕, ๑๐ เดือนแลวตายไปก็มี อยูได ๑, ๒, ๓ ปแลวตายไปก็มี ที่อยูได ๑๐, ๒๐, ๓๐ ป แลวตายไปก็มี อัน จะกําหนดชีวิตนี้ก็กําหมดบมิได แลพยาธิปวยไขนั้นก็กําหนดบมิไดเหมือนกัน ซึ่งกําหนดวาเปนโรค แตเพียงนั้น ๆ ขายังไมตายกอน ตอโรคหนักหนาลงเพียงนั้น ๆ ขาจึงจะตายจะกําหนดฉะนี้บมิได สัตวบางจําพวกก็ตายดวยจักษุโรคโสตโรค บางจําพวกก็ตายดวยฆานโรค ชิวหาโรคกาย โรคศีรษะโรคก็มีประการตาง ๆ ตายดวยโรคอันเปนปตตสมุฏฐานก็มี ตายดวยโรคอันเปนเสมหะ สมุฏฐานก็มี วาตสมุฏฐานก็มี ที่จะกําหนดพยาธินี้กําหนดบมิได เพลาตายนั้นจะกําหนดก็บมิได สัตว จําพวกนั้นตายในเวลาเชา บางจําพวกนั้นตายในเวลาเที่ยงเวลาเย็น บางจําพวกตายในปฐมยาม มัชฌิมยามที่กําหนดเพลามรณะนั้นกําหนดบมิได แลที่ทอดทิ้งไวซึ่งกเฬวระซากอสุภนั้นก็กําหนดบ มิได ซึ่งกําหนดวาขาจะตายที่นั้น ๆ ขาจะตายในบานของขาเรือนของขาจะกําหนดฉะนี้ กําหนดบมิได สัตวบางจําพวกเกิดในบาน เมื่อจะตายออกไปตายนอกบาน บางจําพวกเกิดนอกบานเขาไปตายใน บาน บางจําพวกอยูในบานนี้เมืองนี้ ไปตายบานโนนเมืองโนน อยูบานโนนเมืองโนน มาทิ้งกเฬวระไว ที่บานนี้เมืองนี้ ที่อยูในน้ําขึ้นมาตายบนบกที่อยูบนบกลงไปตายในน้ํา ซึ่งจะกําหนดที่ตายนั้นกําหนดบ มิได คติที่จะไปในภพเบื้องหนานั้นเลาที่จะกําหนดวา ขาตายจากที่นี้แลวจะไปบังเกิดในที่นั้น ๆ บาน นั้นตําบลนั้น ก็กําหนดฉะนี้บมิได เทวโลกโต จุตา มนุสฺเสสุ นิพฺพตฺตนฺติ สัตวบางจําพวกนั้นจุติจากเทวโลก ลงมาเกิด ในมนุษยโลก บางจําพวกนั้นจุติจากมนุษยโลกขึ้นไปบังเกิดในเทวโลก บางทีก็ไปบังเกิดในรูปภพ ตลอดอรูปภพ บางทีก็ไปบังเกิดในดิรัจฉานกําเนิด แลเปรตวิสัย แลอสุรกาย แลนรกตามกุศลกรรม แล อกุศลกรรมจะเวียนไปอยูในภพทั้ง ๕ มีอุปมาดังโคอันเทียมเขาไปในแอกยนต ธรรมดาวาโคอันเทียม เขาในแอกยนตนั้น ยอมยกเทาเดินหันเวียนวงไปโดยรอบแหงเสาเกียดบมิไดไปพนจากรอยดําเนิน แหงตน แลมีอุปมาฉันใด สัตวทั้งปวงก็เวียนวนอยูใตนคติทั้ง ๕ คือ นิรยคติ เปตคติ ติรจฺฉานคติ มนุสฺสคติ เทวคติ มิไดไปพนจากคติทั้ง ๕ มีอุปไมยดังนั้น พระโยคาพจรพึงพิจารณาถึงความมรณะโดยอนิมิต มีนัยดังพรรณนามานี้ แลอาการเปนคํา รบ ๗ ที่วาใหพระโยคาพจรระลึกถึงความตายโดยอัทธานปริจเฉทนั้น คือใหระลึกวา ทนุสฺสานํ ชีวิตสฺส นาม เอตรหิ ปริตฺโต อทฺธา ชีวิตแหงมนุษยในกาลบัดนี้นอยนัก ที่อายุยืนทีเดียวนั้นอยูได มากกวารอยปบาง แตเพียงรอยปบาง นอยกวารอยปบาง ถึงรอยปนั้นมีโดยนอย ก็มีแตถอยลงมาเหตุ ดังนั้นสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจา จึงโปรดประทานพระธรรมเทศนาวา อปฺปมายู ํ มนุสฺสานํ หิ เลยฺย นํ สุฏปริโส จเรยฺยาทิตฺตสีโสว นตฺลิ มจฺจุสฺส นาคโม ดูกอนสงฆทั้งปวง บุคคลผูเปนสัป บุรุษนั้น เมื่อรูแจงวาอายุแหงมนุษยนี้นอย ก็พึงประพฤติดูหมิ่นซึ่งอายุแหงตนอยามัวเมาดวยอายุ อยา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 54 ถือวาอายุนั้นยืน พึงอุตสาหะในสุจริตธรรมขวนขวายที่จะใหไดสําเร็จพระนิพพานอันเปนที่ระงับทุกข กระทําการใหเหมือนบุคคลที่มีศีรษะแหงอาตมา พึงอุตสาหคิดธรรมสังเวชถึงความตาย เกิดมาเปน สัตวเปนบุคคลแลว แลพญามัจจุราชจะไมมาถึงนั้น ไมมีเลยเปนอันขาด สมเด็จพระบรมโลกนาถโปรดประทานพระธรรมเทศนา มีอรรถาธิบายดังพรรรณนามาฉะนี้ แลว พระพุทธองคเจาจึงเทศนาอลังกตสูตรสืบตอไป ภูตปุพฺพํ ภิกฺขเว อรโก นาม สตฺถา อโหสิ ดูกรภิกษุทั้งปวงแตกอนโพนพระตถาคตเสวยพระชาติเปนครูชื่อ อรกะ สําแดงธรรมแก พราหมณผูหนึ่งชื่อวาอลังกตพราหมณ ในพระธรรมเทศนานั้น มีใจความวาชีวิตแหงสัตวทั้งปวง บมิได อยูนาน ดุจหยาดน้ําคางอันติดอยูในปลายหญาแลเร็วที่จะเหือดแหงไปดวยแสงอาทิตย ถามิดังนั้นดุจ ตอมน้ํา อันเกิดขึ้นดวยกําลังแหงกระแสน้ํากระทบกันแลเร็วที่จะแตกจะทําลายไป ถามิดังนั้นชีวิตแหง สัตวทั้งปวงนี้เร็วที่จะดับสูญดุจรอยขีดน้ํา แลเร็วที่จะอันตรธาน ถามิดังนั้นเปรียบประดุจแมน้ําไหลลง มาแตธารแหงภูเขา และมีกระแสอันเชี่ยวพัดเอาจอกแหนแลสิ่งสรรพวัตถุทั้งปวงไปเปนเร็วพลัน ถามิดังนั้น ดุจฟองเขฬะอันวุรุษผูมีกําลังประมาลเขาแลว แลบวนลงในที่สุดแหงน้ําแล อันตรธานสาบสูญไปเปนอันเร็วพลัน ถามิดังนั้นดุจชิ้นเนื้ออันบุคคลทิ้งลงกระทะเหล็กอันเพลิงไหมสิ้น วันหนึ่งยังค่ําแลเร็วที่จะเปนฝุนเปนเถาไป ความตายนี้มารออยูใกล ๆ คอยที่จะสังหารชีวิตสัตว ดุจ พราหมณอันคอยอยูที่ลงฆาโคบูชายัญ ชีวิตํ มนุสฺสานํ ปริตฺตํ ชีวิตแหงมนุษยในกาลทุกวันนี้นอย นัก มากไปดวยความทุกขความยาก มากไปดวยความโศกความเศรา สะอื้นอาลัยทั้งปวง บุคคลผู เปนบัญฑิตชาติอยาไดประมาทเลย พึงอุตสาหะกระทําการกุศลประพฤติซึ่งศาสนพรหมจรรย นตฺถิ ชาตสฺส อมรณํ อันเกิดมาแลวก็มีความตายเปนที่สุด มีพระพุทธฎีกาตรัสเทศนาอลังกตสูตรมีความเปรียบชีวิตสัตว ดวยอุปมา ๗ ประการ ดุจนัย ที่พรรณนามาฉะนี้แลว อปรํป อาห สมเด็จพระพุธองคเจาก็มีพระพุทธฎีกาตรัสพระธรรมเทศนาอัน อื่นสืบตอไปเลาวา โยจายํ ภิกฺขเว ภิกฺขุ เอวํ มรณสฺสตึ ภาเวติ อโห วตาหํ รตฺตินฺทิวํ ชีเวยฺยํ ภควโต สาสนํ มนสิกเรยฺยํ พหุ ํ วต เม กตํ อสฺส ดูกอนภิกษุทั้งปวง ภิกษุในบวรพุทธซาสนา ที่มี ศรัทธาจําเริญมรณานุสสตินั้นองคใดแลกระทํามนสิการวา อโห วต ดังเราปรารถนาดังเราวิตก อาตมานี้ถามีชีวิตอยูสิ้นทั้งกลางวันแลกลางคืน อาตมาก็จะมนสิการตามคําสิ่งสอนแหงสมเด็จพระผูมี พระภาค อันเปนเหตุที่จะนํามาซึ่งปฏิเวธธรรม คืออริยมรรคอริยผล อาตมาจะประพฤติบรรพชิตกิจ อัน เปนปนะโยชนแกตนนั้นใหมากอยูในขันธสันดาน ตราบเทากําหนดชีวิตอันอาตมาประพฤติเปนไปใน วันหนึ่งคืนหนึ่งนั้น ดูกรภิกษุทั้งปวง ภิกษุรูปใดมีมรณสติระลึกเห็นความตาย มีกําหนดชีวิตวันหนึ่งกับ คืนหนึ่งดวยประการฉะนี้ ตถาคตตรัสวา ภิกษุรูปนั้นจําเริญมรณานุสสติยังออนอยู ยังชาอยู ประกอบดวยความประมาท แลภิกษุอันมีสติระลึกเห็นความตายมีกําหนดแตเชาจนค่ํานั้นก็ดี ที่ระลึกเห็นความตายมี กําหนดเพียงเพลาฉันจังหันมื้อ ๑ นั้นก็ดี ที่ระลึกถึงความตายมีกําหนดเพียงเพลาฉันหังได ๔ , ๕ ปน นั้นก็ดี ภิกษุทั้งหลายนี้ตถาคตก็ตรัสวายังประกอบอยูดวยความประมาท จําเริญมรณานุสสติเพื่อใหสิ้น อาวะนั้นยังออนยังชาอยูมรณสติ นั้นยังมิไดกลาหาญกอน ภิกษุรูปใดจําเริญมรณานุสสติระลึกเห็น ความตายทุกคําจังหันระลึกเห็นความตาย ทุกขณะลมอัสสาสะ ปสสาสะ กระทํามนสิการวาถาอาตมา ยังมีชีวิตอยูสิ้นเพลากลืนจังหันคํา ๑ นี้ ยังมีชีวิตอยูสิ้นเพลาอันระบายลมหายใจออกไปที ๑ นี้อาตมา ก็จะมนสิการตามคําสั่งสอนแหงสมเด็จพระบรมศาสดาจารยเจา จะประพฤติบรรพชิตกิจอันเปน ประโยชนแกตน ใหมากอยูในขันธสันดานแหงอาตมา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอันเห็นความมรณะทุก ๆ คําจังหัน ทุก ๆ อัสสาสะ ปสสาสะเห็น ปานฉะนี้ พระตถาคตสรรเสริญวามีมรณสติอันกลาหาญวาประกอบดวย พระอัปปมาทธรรมอันบริบูรณ วาวองไว ที่จะไดสําเร็จอาสวขัย ขึ้นชื่อวาอาการอันเปนไปแหงชีวิตนี้นอยนัก ที่จะวิสสาสะกับชีวิตของ อาตมาวายั่งยืนไปอยู อาตมายังไมถึงมรณภาพกอนจะวิสสาสะไวใจบได สมเด็จพระมหากรุณาพระ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 55 พุทธฎีกาตรัสฉะนี้ นักปราชญพึงสันนิษฐานวา พระโยคาพจรผูจําเริญมรณานุสสติภาวนานั้น พึงระลึก โดยอันทธานปริจเฉทตามนัยพระพุทธฎีกา ที่สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจาตรัสพระธรรมเทศนา โดย วิธีพรรณนามาฉะนี้ แลอาการเปนคํารบ ๘ ซึ่งวาใหพระโยคาพจรระลึกถึงความตายโดยขณะปริตตะนั้น คือให พระโยคาพจรระลึกใหเห็นวา ปริตฺโต สตฺตานํ ชีวิตกฺขโณ เอกจิตฺตปฺปวตฺติมตฺ โตเยว ชีวิตขณะ แหงสัตวทั้งปวงนี้นอยนักประพฤติเปนไปมาตรวาขณะจิตอันหนึ่ง ซึ่งมีพระพุทธฎีกาตรัสดวยนัยเปน ตนวาชีวิตแหงสัตวแหงสัตวที่ยืนนานมีประมาณไดรอยปนั้น วาดวยสามารถชีวิตินทรียอันประพฤติ เปนไปมีดวยภพละอัน ๆ วาโดยสมมติโวหาร ถาจะวาโดยปรมัตถนั้น ถาวาถึงภังคขณะแหงจิตที่ใดก็ ไดชื่อวามรณะที่นั้นไดอุปปาทขณะแลฐิติขณะแหงจิตนั้นไดชื่อวามีชีวิตอยู ครั้นยางเขาภังคขณะแลว ก็ไดชื่อวาดับสูญหาชีวิตบมิได แตทวามรณะในภังคขณะนั้น พนวิสัยที่สัตวทั้งปวงจะหยั่งรูหยั่งเห็น เหตุวาขณะแหงจิตอันประพฤติเปนไปในสันดานแหงเราทานทั้งปวงนี้เร็วนัก ที่จะเอาสิ่งใดมา เปรียบเทียบนั้นอุปมาไดเปนอันยาก ดุจพระพุทธฎีกาโปรดไว นาหํ ภิกฺขเว อฺญํ เอกธมฺมํป ปสฺสามิ เอวํ ลหุปริวตฺตํ ยถยิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ แปลวาดูกรสงฆทั้งปวง ลหุปริวตฺตจิตฺติ จิตนี้มีสภาวะพระพฤติเปนอันเร็วยิ่ง นัก ธรรมชาติอื่น ๆ ซึ่งจะวองไวรวดเร็วเหมือนจิตนี้ พระตถาคตพิจารณาไมเห็นสักสิ่งหนึ่งเลย เสยฺย ถาป ภิกฺขเว จตฺตาโร ทฬฺธมฺมา ธนุคฺคหา ดูกรสงฆทั้งหลาย นายขมังธนูทั้ง ๔ อันฝกสอนเปน อันดีในศิลปศาสตรธนูแมนยําชํานิชํานาญนั้น ออกยืนอยูในทิศทั้ง ๔ ดวยยิงลูกธนูไปพรอมกัน ยิงไป คนละทิศ ๆ ลูกศรอันแลนไปในทิศทั้ง ๔ ดวยกําลังอันเร็วฉับพลันเห็นปานดังนั้น แมบุรุษที่มีกําลังอันรวดเร็วยิ่งกวาลมพัดเลนไปในทิศขางตะวันออก ฉวยเอาลูกศรในทิศ ขางตะวันออกนั้นไดแลวกลับแลนมาขางทิศตะวันตกฉวยไดลูกศรขางตะวันตกนี้ เลาแลวก็แลนไป ขางฝายเหนือฝายใต ฉวยเอาลูกศรไดในอากาศทั้ง ๔ ทิศลูกศรทั้ง ๔ ทิศนั้นบมิไดตกถึงพื้น ปถพี เอวรูโป ปุริสเวโค กําลังบุรุษอันวองไวรวดเร็วยิ่งกวาลมเห็นปานดังนี้ จะเอามาเปรียบความเร็วแหง จิตนี้ก็มิอาจจะได จนฺทิมสุริยานํ ชโว ถึงเร็วแหงพระจันทรมณฑลเร็วแหงพระสุริยมณฑลเร็วแหง เทวดาที่แลนหนีหนาจันทรมณฑลนั้นไดก็ดี จะเอามาเปรียบดวยรวดเร็วแหงจิตนี้ ก็มิอาจเปรียบ ได อุปมาป น สุกรา ดูกรสงฆทั้งปวง ขึ้นชื่อวาเร็วแหงจิตนี้ที่จะเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อุปมานั้นอุปมาบ มิไดดวยงาย มีพระพุทธฎีกาตรัสแกสงฆทั้งปวงดวย ประการฉะนี้ นักปราชญพึงสันนิษฐานวา จิตอันประพฤติเปนไปในสันดานเกิดแลวดับ ๆ แลวเกิด เปนขณะ ๆ กันนั้น จะไดวางไดเวนจะไดหางกันหาบมิได เนื่องกันบมิไดขาด ดุจกระแสน้ําอัน ไหลหลั่งถั่งไปบมิไดขาดสายขึ้นสูวิถีแลวลงภวังคเลาลงสูภวังคแลวขึ้นสูวิถีแลว จิตดวงนี้ดับดวงนั้น เกิดเปนลําดับเวียนกันไป ดุจกงรถอันหันเวียนไปนั้นนักปราชญพึงสันนิษฐานวา ชีวิตแหงสัตวนี้เมื่อวา โดยปรมัตถนั้น มีกําหนดในขณะจิตอันหนึ่ง ตสฺมึ นิรุตฺตมตฺเต แตพอขณะจิตนั้นดับลงอันหนึ่ง สัตวนั้นก็ไดชื่อวาตายครั้งหนึ่ง ดับ ๒ , ๓ ขณะก็ไดชื่อวาตาย ๒ , ๓ ครั้งดับรอยขณะพันขณะจิตก็ได ชื่อวาตายรอยครั้งพันครั้ง ดับนับขณะไมถวนไดชื่อวาตายทุก ๆ ขณะจิตที่ดับ วาฉะนี้สมกันกับอรรถปญหา ที่สมเด็จพระพุทธองคตรัสพระธรรมเทศนาในพระอภิธรรม วา อตีเต จิตฺตกฺขเณ ชีวิตฺถ น ชีวติ น ชีวิสฺสติ อนาคเต จิตฺตกฺขเณ น ชีวิตฺถ น ชีวิติ น ชีวิสฺ สติ วาสัตวอันมีชีวิตในขณะจิตอันเปนอดีตนั้นบมิไดมีชีวิตในปจจุบัน บมิไดมีชีวิตในอนาคต สัตว อันมีชีวิตในขณะจิตเปนอนาคตนั้นก็บมิไดมีชีวิตในอดีตบมิไดมีชีวิตในปจจุบัน สัตวมีชีวิตในขณะจิต เปนปจจุบัน ก็บมิไดมีชีวิตในอดีต บมิไดมีชีวิตในอนาคต อรรถปริศนาอันนี้ สมเด็จพระสัพพัญูเจา ตรัสเทศนาไววาจะใหเห็นอธิบายวา ถาจะวาโดยปรมัตถสัตวอันมีชีวิตอยูในกาลทั้ง ๓ คือ อดีต อนาคต ปจจุบัน นั้นมีขณะไดละ ๓ ๆ คืออุปปาทขณะประการ ๑ ฐิติขณะประการ ๑ ภังคขณะประการ ๑ มีขณะ ๓ ฉะนี้เหมือนกันสิ้นทุกขณะจิตจะไดแปลกกันหาบมิได แลขณะจิต
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 56 แตละขณะ ๆ นั้น มีนามแลรูปเปนสหชาติ เกิดพรอมเปนแผนก ๆ นี้ ดุจบาทพระคาถาอันสมเด็จพระ พุทธองคเจาตรัสพระธรรมเทศนาวา ชีวิตํ อตฺตภาโว จ สุขทุกฺขา จ เกวลา เอกจิตฺตสมายตฺตา ลหุโส วตฺตเต ขโณ เย นิ รุทฺธา มรนฺตสฺส ติฏมานสฺส วาอิธ สพฺเพป สทิสา ขนฺธา คตา อุปปฏิสนฺธิยา อธิบายใยบท พระคาถาวา สหชาตธรรม คือชีวิตอัตตภาพแลสุขแลทุกข แลสหชาตธรรมอันเศษจากสุขแลทุกข แลชีวิตินทรียนั้น ยอมสัมปยุตตดวยจิตแตละอัน ๆ อันมีเหมือนกันทุก ๆ ขณะจิต แลสหชาตธรรม ทั้งหลายนั้น จะไดเจือจานกันนั้นหาบมิได เกิดพรอมกันดวยขณะจิตอันใด ก็เปนแผนกแยกยายอยู ตามขณะจิตอันนั้น แลขณะอันเกิดแหงสหชาตธรรม คือสุขแลทุกขแลชีวิตินทรียเปนตนนั้น ก็รวดเร็ว วองไวพรอมกันกับขณะจิต เย นิรุทฺธา มรนฺตสฺส ติฏมานสฺส วา อิธ แลขันธทั้งหลายแหงบุคคลอันตราย แลถึงซึ่ง ดับพรอมดวยจุติจิตกับขันธแหงบุคคลอันบมิไดตาย แลถึงซึ่งดับในภวังคขณะนอกจากจุตินั้นจะได เหมือนกันสิ้นทั้งปวง แตทวาขันธดับพรอมดวยจุติจิตนั้น มี แปลกกันหาบมิได สพฺเพป สทิสา ปฏิสนธิเกิดตามลําดับคือปฏิสนธิจิตซึ่งถือเอาอารมณแหงชวนะในมรณาสันนวิถีมีกรรม แลกรรมนิมิต เปนอารมณนั้นบังเกิดในลําดับแหงจุติจิต ก็ฝายวาขันธซึ่งดับในภวังคขณะทั้งปวงนอกจากจุติจิตนั้น จะไดมีปฏิสนธิจิตนั้นเปนลําดับหาบมิไดมีจิตอื่นนอกจากปฏิสนธิจิตเกิดเปนลําดับ ตามสมควรแก อารมณซึ่งประพฤติเปนไปในสันดานนักปราชญพึงสันนิษฐานวา ในมรณาสันนวิถีที่จะใกลถึงแกมรณะ นั้นเมื่อยังอีก ๑๗ ขณะจิต แลจะถึงซึ่งจุติจิตแลวแตบรรดาขณะจิต ๑๗ ขณะเบื้องหลังแตจุติจิตนั้น จะไดมีกัมมัชชรูป บังเกิดดวยหาบมิไดแลกัมมัชชรูปซึ่งบังเกิดแตกอนนั้น ก็ไปดับลงพรอมกันกับจุติจิต ครั้นกัมมัชชรูป ดับแลว ลําดับนั้นจิตตัชชรูปแลอาหาร รัชชรูปนั้นก็ดับไปตามกัน ยังอยูแตอุตุชรูปประพฤติเปนไปใน ซากกเฬวระนั้น ตราบเทากวาจะแหลกละเอียดดวยอันตรธานสาบสูญไป อยางนี้นี่เปนธรรมแหงขันธ ดับพรอมดวยจุติจิต ฝายวาขันธซึ่งดับในภวังคขณะทั้งปวง นอกจากจุติจิตนั้นรูปกลาปยังบังเกิดเนือง ๆ อยูยังบมิไดขาด ปทีโปวิย ดุจเปลวประทีปแลกระแสน้ําไหลอันบมิไดขาดจากกัน รูปที่บังเกิดขึ้น กอน ๆ นั้น มีอายุถวน ๑๗ ขณะจิตแลวก็ดับไป ๆ ที่มีอายุยังไมกําหนดนั้น ก็ยังประพฤติเปนไปในสันดานบังเกิดนั้นรอง ๆ กันไปบมิไดหยุด หยอน ที่เกิด ๆ ขึ้นที่ดับ ๆ ไป รูปกลาปทั้งปวงบมิไดขาดจากสันดานนักปราชญพึงสันนิษฐานแมวารูป กลาปบังเกิดติดเนื่องอยูก็ดี เมื่อขณะจิตดับลงนั้น จักไดชื่อวาถึงมรณะ เอวํ ขณปริตฺตโต มรณํ อนุสฺสริตพํพํ พระโยคาพจรผูจําเริญมรณานุสสติภาวนานั้น พึงระลึกถึงความตายโดยขณะปริตตะ โดยนัยอันพระพุทธองคตรัสเทศนาดังพรรณนามาฉะนี้ อิติมิเมสํ ถาพระโยคาพจรเจาระลึกไดแตใน อันใดอันหนึ่ง แลกระทํามนสิการเนือง ๆ อยูแลวจิตอันมีพระกรรมฐานเปนอารมณนั้น ก็ถึงซึ่งภาวนา เสวนะ จะกลาหาญในการภาวนา สติที่มีมรณะเปนอารมณนั้นก็จะตั้งอยูเปนอันดี บมิไดวางไดเวน จะ ขมซึ่งนิวรณธรรมทั้งปวงเสียได องคฌานก็จะบังเกิดปรากฏแตทวาไมถึงอัปปนา จะไดอยูแตเพียงอุป จาระ เหตุวามรณะซึ่งอารมณนั้นเปนสภาวธรรม เปนวัตถุที่จะใหบังเกิดสังเวชเมื่อถือเอามรณะ เปนอารมณแลระลึกเนือง ๆ มักนํามาซึ่งความสะดุงจิตในเบื้องหนา ๆ เหตุดังนั้นภาวนาจิตอัน ประกอบดวยมรณสตินั้น จึงมิอาจถึงอัปปนาได อยูแตเพียงอุปจาระ จึงมีคําปุจฉาสอดเขามาวา โลกุตตรฌาน แลจตุตถารูปฌานก็มีอารมณเปนสภาวธรรม ดังฤๅจึงตลอดขึ้นไปถึงอัปปนาเลา มีคํารบ วา จริงอยู แลทุติยารูปฌานขึ้นเปนอารมณเปนสภาวธรรม จริงอยูซึ่งวาโลกกุตตาฌานตลอดขึ้นไป ถึงอัปปนานั้นดวยภาวนาพิเศษ คือจําเริญวิสุทธิภาวนาขึ้นไปโดยลําดับ ๆ แมอารมณเปนสภาวธรรมก็ ดีอานุภาพที่จําเริญวิสุทธิภาวนาเปนลําดับ ๆ ขึ้นไปนั้นใหผล ก็อาจจะตลอดขึ้นไปไดถึงอัปปนาฌาน ซึ่งทุติยารูปฌานแลจตุตถารูปฌาน มีอารมณเปนสภาวธรรมตลอดขึ้นไปไดถึงอัปปนานั้น ดวยสามารถ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 57 เปนอารัมมณมติกกมะภาวนา คือทุติยารูปนั้นลวงเสีย ซึ่งอารมณแหงปฐมารูปจตุตถารูปนั้นลวงเสียซึ่ง อารมณตติยารูป เหตุฉะนี้แมอารมณเปนสภาวธรรมก็ดี ก็อาจจะถึงอัปปนาไดดวยอารัมมณสมติกกะภาวนาใน มรณานุสสติ หาวิสุทธิภาวนา แลอารัมมณสติกกมะภาวนาบมิได เหตุฉะนี้พระโยคาพจรผูจําเริญมรณา นุสสตินั้น จึงไดอยูแตอุปจารฌานแลอุปจารฌานที่พระโยคาพจรเจาได ในที่จําเริญมารณานุสสตินั้น ก็ถึงซึ่งรองเรียกวา มรณานุสสติอุปจารฌาน ดวยสามารถที่บังเกิดดวย มรณสติ อิมํ จ ปน มรณร สติมนุยุตฺโต ภิกฺขุ บุคคลผูเห็นภัยในวัฏฏสงสารเมื่อเพียรพยายามจําเริญมรณานุสสติภาวนานี้ ก็จะ ละเสียซึ่งความประมาท จะไดซึ่งสัพพภเวสุอนภิรตสัญญา คือ จังบังเกิดความกระสันเปนทุกข ปราศจากที่จะอยูในภพทั้งปวง ชีวิตนิกนฺตึ ชหติ จะละเสียไดซึ่งความยินดีในชีวิต บมิไดรักชีวิต จะติฉินนินทาซึ่งการ เปนบาป จะมากไปดวยสัลลเลขสันโดษคือมักนอย ไมสั่งสมซึ่งของบริโภค ปริกฺขาเรสุ วิคตมจฺเฉ โร จะมีมลทินคือตระหนี่อันปราศจากสันดาน บมิไดรักใครในเครืองบริขารทั้งปวง ก็จะถึงซึ่งคุนเคย ในอนิจจสัญญา จะเห็นอนิจจังในรูปธรรม แลวก็จะไดทุกขสัญญา อนัตตสัญญาอันปรากฏดวยสามารถ ระลึกตามอนิจจสัญญาเห็นอนิจจังแลว ก็จะเปนคุณที่จะใหเห็นทุกขัง เห็นอนัตตา เมื่อเห็นพระไตร ลักษณญานปรากฏแจงในสันดานแลว ถึงเมื่อจะตายก็มิไดกลัวตายจะไดสติอารมณ บมิไดลุมหลงฟน เฟอนสติ แลบุคคลที่มิไดจําเริญมรณานุสสตินั้น ครั้นมาถึงมรณสมัยกาลเมื่อจะใกลตายแลวก็ยอมบังเกิดความสดุงตกใจกลัวความตายนั้น เปนกําลัง ดุจบุคคลอันพาลมฤคราชรายครอบงําไวจะกินเปนภักษาหาร ถามิฉะนั้นดุจบุคคลที่อยูใน เงื้อมมือแหงโจร แลเงื้อมมือแหงนานเพชฌฆาต มีความสะดุงตกใจทั้งนี้อาศัยดวยมิไดจําเริญมรณา นุสสติ อันภาวะจําเริญมรณานุสสตินี้เปนปจจัยที่จะใหสําเร็จแกพระนิพพาน ถายังมิไดสําเร็จพระ นิพพานในชาตินี้ เมื่อดับสูญทําลายขันธขาดชีวิตินทรีย แลวก็จะมีสุคติภพเบื้องหนาเหตุดังนั้น พระ โยคาพจรกุลบุตรผูมีปรีชาเปนอันดีอยาประมาท พึงอุตสาหะจําเริญมรณานุสสติภาวนา อัน ประกอบดวยคุณานิสงสเปนอันมาก ดุจพรรณามาฉะนี้สิ้นกาลทุกเมื่อเถิด ฯ จบวินิจฉัยในมรณานุสสติโดยวิตถารยุติแตเทานี้
จักวินิจฉัยในกายคตาสติกรรมฐานตอไป อิทานิ ยนฺติ อฺญตฺรพุทฺธุปฺปาทาปฺปวตฺตปุพฺพํ ฯลฯ ตสฺส ภาวนานิทฺเทโส อนุปฺปตฺโต เปนคําพระผูเปนเจาพระพุทธโฆษาจารยสําแดงไว วา ยนฺตํ กายคตาสติ กมฺมฏานํ อันวาพระกายคตาสติกรรมฐานอันใด อันเวนซึ่งพุทธุปบาท แลวแลมิไดเปนไป อวิสยภูตํ มิไดบังเกิดเปนวิสัยแหงเดียรถียทั้งปวง อันถือผิดภายนอกพระ ศาสนา ภควตา อันสมเด็จพระผูทรงพระภาคตรัสสรรเสริญไวดวยอาการเปนอันมากในสุตตันตปริ ยาย นั้นวา เอกธมฺโม ภิกฺขเว ภาวิโต พหุลีกโต มหโต สํเวคาย สํวตฺตติ ดูกอนภิกษุทั้ง ปวง เอกธมฺโม ธรรมอันหนึ่งคือพระกายคตาสตินี้ ถาบุคคลผูใดอุตสาหะจําเริญมากอยูในสันดาน แลว ก็ยอมประพฤติเปนไปเพื่อจะใหบังเกิดธรรมสังเวช แลเปนประโยชนเปนอันมาก ใชแต เทานั้น โยคกฺเขมาย ประพฤติเปนไปเพื่อจะใหเกษมจากโยคะทั้ง ๔ มีกามโยคะเปนตน แลเปนไป เพื่อจะใหไดซึ่งสติแลสัมปชัญญะเปนอันมาก แลจะใหไดซึ่งปจจเวกขณะญาณ ใชแตเทานั้น ประพฤติเปนไปเพื่อจะใหอยูเปนสุขในอัตตภาพซึ่งเห็นประจักษ แลจะกระทําใหแจงซึ่งไตรวิชชาแล วิมุตติผล ดูกรภิกษุทั้งปวง บุคคลผูใดจําเริญกายคตาสติ บุคคลผูนั้นไดชื่อวาบริโภคซึ่งน้ําอมฤต บุคคลผูใดมิไดจําเริญกายคตาสติบุคคลผูนั้นก็ไดชื่อวามิไดดื่มกินซึ่งอมฤตรส ผูใดคลาดจากพระ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 58 กายคตาสติภาวนา ผูนั้นไดชื่อวาคลาดจากน้ําอมฤต ผูใดปฏิบัติผิดจากพระกายคตาสติภาวนา ผูนั้น ไดชื่อวาผิดจากน้ําอมฤต ตสฺส ภาวนา นิทฺเทโส อันวากิริยาที่จะสําแดงภาวนาวิธีแหงพระกายคตา สตินั้นมาถึงแลว จักไดพรรณนาสืบตอไป พระโยคาพจรผูจําเริญพระกายคตาสติกรรมฐานนั้น พึง พิจารณารูปกายแหงตนจําเดิมแตที่สุดเสนผมลงไปตราบเทาถึงบาทา แตบาทาตราบเทาถึงที่สุดเสน ผมใหเห็นรูปกายอันเต็มไปดวยสิ่งอันโสโครกมีประการตาง ๆ นั้นกุลบุตรผูจําเริญซึ่งกายคตาสตินี้ เมื่อ เเรกจะจําเริญนั้นหาอาจารยที่ดังวามาแตหลังแลวก็พึงเรียนในสํานักอาจารยนั้น ๆ เมื่อจะบอกพระกายคตาสติกรรมฐานก็พึงบอกซึ่งอุคคหโกศล ๗ ประการนั้น แลมนสิการ โกศลย ๑๐ ประการ อุคคหโกศล ๗ ประการนั้น วจสา คือใหสังวัธยายอาการ ๓๒ นั้นให ชํานาญใหขึ้นปาก ๑ มนสา คือใหระลึกตามกรรมฐานนั้นใหขึ้นใจ ๑ วณฺณโต คือใหพิจารณา อาการ ๓๒ นั้นโดยสีสันวรรณะ เปนตนวา ดํา แดง ขาว เหลือง ๑ สณฺฐานโต คือใหฉลาดใน ที่พิจารณาโดยสัณฐานประมาณใหญนอย ๑ ทิสโต คือใหฉลาดในที่พิจารณาในเบื้องต่ําเบื้องบน อันกลาวคือทอนกายเบื้องต่ํา ทอนกายเบื้องบน ๑ โอกาสโต คือใหฉลาดในที่พิจารณาซึ่งที่อยู คือใหฉลาดในการพิจารณาอาการ ๓๒ อันมีกําหนดเปน แหงอากาศภายในนั้น ๑ ปริจฺเฉทโต แผนก ๆ กัน ๑ เปน ๗ ประการดวยกัน แลอุคคหโกศลเปนปฐมซึ่งวาใหสังวัธยายพระกรรมฐานใหขึ้นปากนั้น คือใหสังวัธยายทวัต ติงสาการกรรมฐาน แยกออกเปนปญจกะ ๔ เปนฉกะ ๒ ปญจกะ ๔ นั้น คือตจปญจกะ ๑ วักก ปญจกะ ๑ ปปผาสปญฉกะ ๑ มัตถลุงปจกะเปน ๔ ดวยกัน ฉกะ ๒ นั้นคือ เมทฉกะ ๑ มุตตฉกะ ๑ เปน ๒ ดวยกัน ในตจปญจกะนั้นฝายอนุโลม ๕ คือ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ฝาย ปฏิโลม ๕ คือ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา ในวักกปญจะกะนั้น ฝายอนุโลม ๕ คือ มํสํ นหารู อฏิมิฺชํ วกฺกํ ฝายปฏิโลม ๕ คือ วกฺกํ อฏิมิฺชํ อฏิ นหา รู มํสํ ในปปผาสะปญจกะนั้น ฝายอนุโลม ๕ คือ หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปหกํ ปปฺผาสํ คือ ฝายปฏิโลม ๕ ปปฺผาสํ ปหกํ กิโลมกํ ยกนํ หทยํ ในมัตถลุงคปญจกะนั้น ฝายอนุโลม ๕ คือ อนฺตํ อนฺตคุณํ อุทริยํ กรีสํ มตฺถลุงฺคํ ฝายปฏิโลม ๕ คือ มตฺ ถลุงคํ กรีสํ อุทริยํ อนฺตคุณํ อนฺตํ ในเมทฉกะนั้น ฝายอนุโลม ๖ คือ ปตฺติ เสมฺตํ ปุพฺ โพ โลหิตํ เสโท เมโท ฝายปฏิโลม ๖ คือ เมโท เสโท โลหิตํ ปุพฺโพ เสมฺ หํ ปตฺตํ ในมุตตฉกะนั้น ฝายอนุโลม ๖ คือ อสฺสุ วสา เขโฬ สิงฺฆานิกา ลสิ กา มุตฺตํ ฝายปฏิโลม ๖ คือ มุตฺตํ ลสิกา สิงฺฆานิกา เขโฬ วสา อสฺสุ พระโยคาพจรพึงสังวัธยายดวยวาจาในตจปญจกะนั้นวา เกสา โลมา นขา ทนฺ วัน แลวถึงสังวัธยายเปนปฏิโลมถอยหลังวา ตโจ ทนฺ ตา ตโจ เปนอนุโลมดังนี้ใหได ๕ ตา นขา โลมา เกสา ใหได ๕ วันอีกเลา แลวจึงสังวัธยายใหเปนอนุโลมปฏิโลม วา เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา ใหได ๕ วันอีก สิริฝาย อนุโลม ๕ ฝายอนุโลม ๕ ฝายอนุโลมปฏิโลม ๕ จึงเปนกึ่งเดือนดวยกัน เมื่อสังวัธยายในตจปญจ กะไดกึ่งเดือนแลว จึงไปสูสํานักอาจารยเรียนเอาซึ่งวักกปญจกะ สังวัธยายปญจกะเปนอนุโลม วา มํสํ นหารู อฏิ อฏิมิฺชํ วกฺกํ ดังนี้ใหได ๕ วัน แลวจึงวัธยายเปนปฏิโล ทวา วกฺกํ อฏิมิฺชํ อฏิ นหารู มํสํ ดังนี้ใหได ๕ วันอีกเลาแลวสังวัธยายเปนอนุโลมปฏิโลม วา มํสํ นหารู อฏิมิฺชํ วกฺกํ วกฺกํ อฏิมิฺชํ อฏิ นหารู มํสํ ใหได ๕ วันอีก สิริวันในวักกปญจกะฝายอนุโลม ๙ ฝายปฏิโลม ๕ ฝายอนุโลมปฏิโลม ๕ จึงเปนกึ่ง เดือนดวยกัน ทสโกฏาเส เอกโต หุตฺวา ครั้นแลวจึงเอาตจปญจกะกับวักกะปญจกะผสมเขา กัน สังวัธยายเปนอนุโลมตั้งแตเกศาตลอดจนถึงวักกัง ใหได ๕ วัน แลวจึงวัธยายเปนปฏิโลมถอย หลังลงมา แตวักกังตราบเทาถึงใหเกศาใหได ๕ วันอีกเลา แลวจึงสังวัธยายเปนอนุโลมปฏิโลม วา เกสา โลมา ขนา ทตฺตา ตโจ มํสํ ตโจ นหารู อฏิ อฏิมิฺชํ วกฺกํ วกฺกํ อฏิมิฺชํ อฏิ นหารู มํสํ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา สังวัธยายดังนี้ใหครบ ๕ วันอีก สิริฝายอนุโลม ๕ วัน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 59 ปฏิโลมปฏิโลม ๕ วัน จึงเปนกึ่งเดือนดวยกัน เบื้องหนาแตนั้นพึงสังวัธยายในปปผาสปญจกะเปน อนุโลมวา หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปปฺผาสํ ปหกํ ปปฺผาสํ ดังนี้ใหได ๕ วัน แลวจึงสังวัธยายเปน ปฏิโลมวา ปปฺผาสํ ปหกํ กิโลมกํ ยกนํ หทยํ ใหได ๕ วันอีกเลา ครั้นแลวจึงสังวัธยายเปน อนุโลมปฏิโลมวา หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปหกํ ปปฺผาสํ ปปฺผาสํ ปหกํ กิโลมกํ ยกนํ หทยํ สังวัธยายดังนี้ใหครบ ๕ วันอีก สิริฝายอนุโลม ๕ วัน ปฏิโลม ๕ วัน อนโลมปฏิโลม ๕ วัน จึงเปนกึ่งเดือนดวยกันเบื้องหนา แตนั้นจึงเอาโกฏฐาสทั้ง ๑๕ ผสมกัน สังวัธยายเปนอนุโลมตั้งแตเกศาตราบเทาถึงปปผาสังใหได ๕ วันแลว จึงสังวัธยายเปนปฏิโลมถอยหลังแตปปผาสังลงมา ตราบเทาถึงเกศาใหได ๕ วันอีกเลา แลว จึงสังวัธยายเปนอนุโลมปฏิโลมใหครอบ ๕ วันอีกเลา จึงเปนกึ่งเดือนดวยกัน ลําดับนั้นจึงไปสูสํานัก อาจารยเรียนมัตถลุงคะปญจกะไดแลว จึงสังวัธยายเปนอนุโลมวา อนฺตํ อนฺตคฺณํ อุทริยํ กรีสํ มตฺถลุงฺคํ ใหได ๕ วันแลวจึงสังวัธยายเปนปฏิโลมวา มตฺถลุงฺคํ กรีสํ อุทริยํ อนฺตคุณํ อนฺตํ ให ได ๕ วันแลว จึงสังวัธยายเปนอนุโลมปฏิโลมใหครอบ ๕ วันอีกเลา ตโต เต วีสติโกฎาเส ลําดับนั้นจึงเอาโกฏฐาสทั้ง ๒๐ ผสมกันเขา สังวัธยายเปน อนุโลม ๕ วัน ปฏิโลม ๕ วัน อนุโลมปฏิโลม ๕ วัน จึงเปนกึ่งเดือนดวยกัน ตโต เมทฉกํ อุคฺคณฺหิตฺ วา ลําดับนั้นจึงไปสูสําหนักอาจารยเรียนเอาซึ่งเมทฉกะไดแลว จึงสังวัธยายเปนอนุโลมวา ปตฺตํ เสมฺหํ ปุพฺโพ โลหิตํ เสโท เมโท ดังนี้ใหได ๕ วันแลว จึงวัธยายเปนปฏิโลมวา เมโท เสโส โลหิตํ ปุพฺโพ เสมฺหํ ปตฺตํ ดังนี้ใหได ๕ วันแลว จึงสังวัธยายเปนอนุโลมปฏิโลมวา ปตฺตํ เสมฺตํ ปุพฺโพ โลหิตํ เสโท เมโท เมโท เสโส โลหิตํ ปุพฺโพ เสมฺหํ ปตฺตํ ใหครอบ ๕ วันอีก ตโต มุตฺตฉกํ อุคฺคณฺหิตฺวา ลําดับนั้น จึงเรียนเอาซึ่งมุตตฉกะสังวัธยายเปนอนุโลม วา อสฺสุ วสา เขโฬ สิงฺฆานิกา ลสิกา มุตฺตํ ดังนี้ใหได ๕ วัน จึงสังวัธยายวา มุตฺตํ ลสิกา สิงฺ ฆานิกา เวโฬ วสา อสฺสุ ดังนี้ใหได ๕ วันอีกเลา ครั้นแลวจึงสังวัธยายเปนอนุโลมปฏิโลมวา อสฺสุ วสา เขโฬ สิงฺฆานิกา ลสิกา มุตฺตํ มุตฺตํ ลสิกา สงฺฆานิกา เขโฬ วสา อสฺสุ ใหครอบ ๕ วัน อีก ตโตป ทฺวตฺตึสโกฏฐาเส ลําดับนั้นจึงเอาโกฏฐาสทั้ง ๓๒ ผสมกันสังวัธยายเปนอนุโลมตั้งแต เกศาไปตราบเทาถึงมุตตังใหได ๕ วัน แลวจึงสังวัธยายถอยหลังแตมุตตังไปตราบเทาถึงเกศาใหได ๕ วันอีกเลา แลวจึงสังวัธยายเปอนุโลมปฏิโลมใหได ๕ วันอีก นับจําเดิมแตตนมาผสมกันเขาเปน อุปนิสฺสยสมฺปนฺนสฺส พระภิกษุอันบริบูรณไปดวย เดือนนั้น คิดตามเดือนถวนได ๖ เดือนกัน อุปนิสัย ประกอบดวยปญญาแกกลานั้น เมื่อสังวัธยายพระกรรมฐานโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ โกฏฐาสทั้ง ๓๒ มีเกศาเปนตนนั้น ก็ จะปรากฏแจงในมโนทวารจะสําเร็จกิจอุคคหนิมิต แลปฏิภาคนิมิตโดยงายเพราะเหตุบริบรูณดวย อุปนิสัย เอกจฺจสฺส อุปฏหนฺติ พระภิกษุบางจําพวกที่หาอุปนิสัยมิได สังวัธยายพระเทวทัตติงสา การกรรมฐานโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ ถวนกําหนด ๖ เดือนแลว ยังมิไดสําเร็จอุคคหนิมิตแลปฏิภาค นิมิต ก็พึงอุตสาหะกระทําความเพียรใหยิ่งขึ้นไปกวากําหนด ๖ เดือน อยาไดมาละเสียซึ่งความ เพียร มชฺฌิมปฺญสฺส วเสน ขอซึ่งกําหนดไวใหสังวัธยายถวนกําหนดครบ ๖ เดือนนี้ วาดวย สามารถภิกษุมีปญญาเปนทามกลาง จะวาดวยสามารถภิกษุมีปญญากลา แลภิกษุมีปญญาออนนั้นหา มิได กําหนด ๖ เดือนนี้กําหนดเปนอยางกลาง กาลเมื่อสังวัธยายทวัตติงสาการกรรมฐานนั้น แมวาโกฏฐาสทั้ง ๓๒ ปรากฏพรอมในมโนทวาร บมิอาจจะใหสําเร็จกิจเปนอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิต ไดทั้ง ๓๒ โกฏฐาส เฉพาะปรากฏแตสิ่งหนึ่งสองสิ่งสําเร็จกิจเปนอุคคหนิมิต แลปฏิภาคนิมิตแตสิ่ง หนึ่งสองสิ่งก็ตามเถิด สุดแทแตปรากฏแจงเทาใดก็ใหถือเอาเทานั้น เมื่อสังวัธยายทวัตติงสาการ กรรมฐานนั้นอยาไดพิจารณาโดยสี อยาไดพิจารณาลักษณะมีแข็งกระดางเปนตน พึงมนสิการ กําหนดใหเปนสวน ๆ พิจารณาใหเห็นวาเกศานั้นเปนสวน ๑ โลมานั้นเปนสวน ๑ นขานั้นเปนสวน ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 60 ทันตานั้นเปนสวน ๑ ใหเห็นเปนสวน ๆ ดังนี้สิ้นทั้ง ๓๒ ประการ วิธีสังวัธยายใหขึ้นปากดุจพรรณนามานี้ จัดเปนอุคคหโกศลเปนปฐมเปนปจจัยแกสังวัธยาย ดวยจิต แลอุคคหโกศลเปนปฐมเปนปจจัยแกสังวัธยายดวยจิต แลอุคคหโกศลเปนคํารบ ๒ นั้น คือให พระโยคาพจรนิ่งระลึกถึงทวัตติงสาการกรรมฐานเปนอนุโลมเปนปฏิโลมเหมือนสังวัธยายดวยวาจานั้น สังวัธยายดวยจิตนี้เปนปจจัยใหตรัสรูโดยอสุภปฏิกูล แลอุคคหโกศลเปนคํารบ ๓ ที่วาใหพิจารณาโดย สีนั้นคือใหกําหนดสีแหงอาการ ๓๒ มีเกศาเปนตน แลอุคคหโกศลเปนคํารบ ๔ ที่วาใหกําหนดโดย สัณฐานนั้น คือกําหนดสัณฐานแหงอาการ ๓๒ มีเกศาเปนตน แลอุคคโกศลคํารบ ๕ ที่วาใหกําหนด โดยทิศนั้น คือใหกําหนดโดยทิศเบื้องต่ํา แลทิศเบื้องบน แหงอาการ ๓๒ คือตั้งแตนาภีขึ้นไปจัดเปน ทิศเบื้องบน ตั้งแตนาภีลงมาจัดเปนทิศเบื้องต่ํา แลอุคคหโกศลคํารบ ๖ ที่วาใหพิจารณาโดยอากาสนั้น คือใหกําหนดที่ตั้งแหงอาการ ๓๒ วาโกฏฐาสนี้ตั้งอยูในที่อันนี้ ๆ แลอุคคหโกศลเปนคํารบ ๗ ที่วาใหกําหนดปริจเฉทนั้น ปริเฉทมี ๓๒ ประการ คือสภาคปริจเฉทประการ ๑ วิสภาคประเฉทประการ ๑ สภาคปริจเฉทนั้น คือกําหนดเปน สวนอาการโกฏฐาสอันกําหนดเบื้องต่ําตั้งอยูเพียงนี้ กําหนดเบื้องสูงตั้งอยูเพียงนี้กําหนดเบื้องขวา ตั้งอยูเพียงนี้ กําหนดอยางนี้แลเรียกวากําหนดโดยสภาคแลกําหนดโดยวิสภาคนั้น คือกําหนดโดย สวนอันมิไดเจือกัน วาสิ่งนี้เปนเกศาหาเปนโลมาไม สิ่งนี้เปนโลมาหาเปนเกศาไม อยางนี้แล เรียกวาวิ สภาคปริเฉท กําหนดโดยปริจเฉท ๒ ประการดังนี้ จัดเปนอุคคหโกศลเปนคํารบ ๗ แตนี้จักพรรณาโดยสีสัณฐานเปนตนแหงอาการ ๓๒ นั้นสืบตอไปโดยนัยพิสดาร ใหพระ โยคาพจรผูจําเริญพระกายตาสติพระกรรมฐานนั้น พิจารณาวาเกศาผมนี้มี ๙ ลานเสนเปน วณฺนโต ถาจะพิจารณาโดยสีมีสีดําเปนปกติ ที่ขาวไปนั้นอาศัยความชราตาม ประมาณ เบียดเบียน สณฺานโต ถาจะพิจารณาโดยสัณฐาน มีสัณฐานอันยาว ตนเรียวปลายเรียวดุจคัน ชั่ง ทิสโต ผลนี้เกิดในทิศเบื้องบน บนศีรษะนี้แลเรียกวาทิศเบื้องบน โอกาสโต ถาจะวาโดย โอกาสผมนี้บังเกิดในหนังชุมอันหุมกระโหลกศีรษะแหงเราทั้งปวง ที่อยูแหงผมนี้ ขางหนากําหนดโดยหลุมโดยแหงคอขางทั้ง ๒ กําหนดโดยหมวกหูทั้ง ๒ ปริจฺเฉทโต ถาพิจารณาโดยปริจเฉทกั้น ผมนี้มีกําหนดรากหยั่งลงไปในหนังหุมศีรษะนั้น วิหคฺ คมตฺตํ มีประมาณเทาปลายแหงขาวเปลือก อันนี้วาโดยกําหนดเบื้องต่ํา เบื้องบนที่ยาวขึ้นไปนั้น กําหนดโดยอากาศโดยขวางนั้น กําหนดดวยเสนแหงกันแลกัน ถาพิจารณาโดยสภาคนั้น ผมนั้น บังเกิดขุมละเสน ๆ จะไดบังเกิดขุมละ ๒ เสน ๓ เสนหามิได ถาจะพิจารณาโดยวิสภาค ผมนี้แปลกกับ ขนจะไดเหมือนกันกับขนนั้นหามิได แลผมนี้พระโยคาพจรพึงกําหนดโดยปฏิกูล ๕ ประการ คือปฏิกูลโดยสีประการ ๑ ปฏิกูล โดยสัณฐานประการ ๑ ปฏิกูลโดยกลิ่นประการ ๑ ปฏิกูลโดยที่เกิดประการ ๑ ปฏิกูลโดยที่อยูประการ ๑ เปน ๕ ประการดวยกัน ปฏิกูลโดยสีนั้น พึงพิจารณาวาบุคคลอันบริโภคซึ่งขาวยาคูแลขาวสวย สิ่งของบริโภคทั้งปวงที่ชอบใจบริโภคนั้น ถาเห็นวัตถุอันใดมีสีเหมือนผม ตกลงอยูในสิ่งของปริโภค นั้นสําคัญวาเปนผมแลว ก็บังเกิดเกลียดชัง พิจารณาเปนปฏิกูลโดยสีนั้นดังนี้ แลปฏิกูลโดยสัณฐาน นั้นพึงพิจารณาใหเห็นวา เมื่อบุคคลบริโภคโภชนาหาร สิ่งใดสิ่งหนึ่งในที่มืดนั้น ถาพบปะวัตถุอันใด อันหนึ่งมีสัณฐานเหมือนดวยผม สําคัญวาผมแลวก็บังเกิดเกลียดชังหยิบทิ้งเสียบาง คายเสียบาง เพราะเหตุสําคัญวาผม ผมนี้เปนที่รักแตเมื่อยังติดอยูในกาย ครั้นปราศจากกายแลวก็เปนที่เกลียดที่ชัง จะวาไปไย ถึงผมเลา แมแตเสนไหมใยบัวเปนตน ที่มีสัณฐานเหมือนดวยผม ที่บุคคลสําคัญวาผมนั้น ยังวาเปนที่ เกลียดชังนักหนา พระโยคาพจรพึงพิจารณาใหเห็นเปนปฏิกูลโดยสัณฐาน ดุจพรรณนามาฉะนี้ ที่วา พิจารณาใหเห็นเปนปฏิกูลโดยกลิ่นนั้น คือใหพิจารณาวาผมนี้ ถาบุคคลเพิกเฉยเสียไมเอาใจใส
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 61 ทะนุบํารุงแลวเหม็นสาบเหม็นสาง ถามิดังนั้นถูกไฟ ๆ ไหมแลวก็เหม็นรายกาจหนักหนา พึงพิจารณา ปฏิกูลโดยกลิ่นนั้นดุจพรรณามาฉะนี้ ที่วาใหพิจารณาปฏิกูลโดยที่เกิดนั้นคือใหพิจารณาวา ผมนี้เกิดขึ้นในหนังอันหุมกะโหลก ศีรษะ ชุมไปบุพพโลหิตน้ําดีแลน้ําเสลดเปนตน บังเกิดในที่อันพึงเกลียด ดุจผักอันบังเกิดในประเทศ แหงเว็จกุฎิ เปนที่เกลียดแหงบุคคลทั้งปวง ที่วาใหพิจารณาปฏิกูลโดยที่อยูนั้น คือใหพิจารณาวา ผม นี้เกิดขึ้นในที่อันพึงเกลียดแลว ก็จําเริญในที่อันพึงเกลียดพึงชังนั้นหาบมิได ดุจเสวาลชาติสาหราย เปนตน อันเกิดในที่ลามกแลวแลจมอยูในที่ลามกนั้น พระโยคาพจรพึงพิจารณาเกศาโดยปฏิกูล ๕ ประการดังพรรณนามาฉะนี้ เบื้องหนาแตนั้นใหพระโยคาพจรกําหนดในโลมชาตินี้ ๙ โกฏิเสน มีสี โดยมาก จะไดดําไปสิ้นทั้งนั้นหามิได ที่สีขาวเหลืองนั้นก็มี โอณตคตา มูลสณฺานา มีสัณฐานอันนอมลงดังแลงธนู นัยหนึ่งวาสัณฐานดังรากตาล ถาจะกําหนดโดยที่เกิด ขนนี้เกิดในทิศทั้งปวง คือทิศเบื้องต่ําเบื้องบน กายกึ่งเบื้องต่ํา ตั้งแตนาภีลง มานั้นชื่อวาทิศเบื้องต่ํากาย กึ่งเบื้องบนนั้นตั้งแตนาภีขึ้นไปชื่อวาทิศเบื้องบน ถาจะวาโดยปริเฉท ขนนี้ กําหนดรากอันหยั่งลงไปในหนังนั้น ลิกฺขามตฺตํ ประมาณเทาปลายเหล็กจานแลเมล็ดไขเหา อันนี้ เปนกําหนดโดยเบื้องต่ํา เบื้องบนขึ้นไปนั้นกําหนดโดยอากาศโดยขวางนั้น กําหนดดวยเสนแหงกันแล กัน ถาจะวาโดยสภาค ขนนี้จะไดบังเกิดดวย ตั้งแตขุมละ ๒ เสนนั้นมิไดมี ถาจะกําหนดโดยวิสภาค ขนนี้ตางกับผม ใหพระโยคาพจร พิจารณาเปน ปฏิกูลกรรมฐานวาโลมชาติอันเกิดกับหนังอันหุมกายก็จริง หารูจักกันไม เปรียบเหมือน หญาแพรกอันแตกงอกขึ้นในบานเกา หญาแพรกบานเกาบมิไดรูจักซึ่งกันแลกัน ธรรมทั้งหลายนี้ ปราศจากอาโภค ปราศจากเจตนาเปนอัพยากฤต ยอมสูญเปลาเปนปฏิกูลพึงเกลียด ใชสัตวใชบุคคล ควรจะอนิจจังสังเวช มีกําลังพิจารณาโลมาแลวเบื้องหนาแตนั้นใหพระโยคาพจรกําหนดในเขา วาเล็บ แหงบุคคลอันบริบูรณนั้นมีประมาณ ๒๐ มีสีขาวในที่อันพนเนื้อมีสีแดงในที่อันเนื่องกับดวยเนื้อ มี สัณฐานดังโอกาสที่ตั้งแหงตน นัยหนึ่งวามีสัณฐานดังเมล็ดมะซางโดยมาก นัยหนึ่งมีสัณฐานดัง เกล็ดปลาสีขาวบังเกิดในทิศทั้ง ๒ ตั้งอยูในที่อันเปนปฏิกูลเหมือนกันกับผม พระโยคาพจรพึง พิจารณาใหเห็นวา เนื้อแลเล็บอยูดวยกันก็จริงจะรูกันก็หาบมิได เปรียบเหมือนปลายไมกับเมล็ดใน มะซางที่ทารกเสียบเขาแลว แลถือเลนบมิไดรูจักซึ่งกันแลกันนั้น ธรรมทั้ง ๒ ปราศจากอาโภคแล เจตนาเปนอัพยากฤต มีสภาวะสูญเปลา ใชสัตวใชบุคคลพิจารณาเขาแลว ตโต ปรํ เบื้องหนาแตนั้นใหพระโยคาพจรกําหนดใหทันตาวา ยสฺส ปริปุณฺณา ตสฺส ทฺวตฺตึส ทันตาของบุคคลที่ครบบริบูรณ ๓๒ บางคนก็นอยลงมาก ๒๗ – ๒๙ ก็มี ถาพิจารณาโดย สีมีสีอันขาว ทันตาของบุคคลที่มีสีเสมอนั้นดุจแผนสังขอันบุคคลเจียระไนใหเสมอ ถามิดังนั้นดุจไมอัน ขาว อันตูมอันตั้งไวเสมอกัน ฟนของบุคคที่ซี่มิไดเสมอนั้นมีสัณฐานตาง ๆ กัน ดุจระเบียบชายคาแหง อาสนะอันเกา หนาฟน ๔ ซี่นั้นมีสัณฐานดังเมล็ดในน้ําเตาอันบุคคลปกวางไวเหนือกอนดิน เขี้ยวทั้ง ๔ นั้น มีสัณฐานดังดอกมะลิตูม มีปลายอันเเหลมขึ้นมาอันเดียว รากก็หยั่งลงไปรากเดียว กรามถัด เขี้ยวเขาไปอยางละซี่ ๆ นั้น มีสัณฐานดังไมค้ําเกวียน คือปลายรากนั้นเปน ๒ งาม ที่สุดขางปลาย บนนั้นก็เปน ๒ งาม กรามถัดเขาไปอีกขางซี่นั้นเปน ๓ ปลายก็เปน ๓ งาม กรามที่ถัดเขาไปอีก ขางละซี่นั้นมีรากเปน ๔ งาม ปลายก็เปน ๔ งาม ฟนทั้งหลายนี้เกิดเหนือกระดูกเบื้องบนกระดูก คางเบื้องต่ําเปนปฏิกูล พึงเกลียด ทันตากับกระดูกคางเบื้องบนเบื้องต่ํานั้น จะไดรูจักก็หาไม เปรียบ เหมือนเสาอันบุคคลตั้งลงไวเหนือแผนศิลาปลายใหเขาไปในพื้นเบื้องบน เสาแลแผนศิลามิไดรูจักซึ่ง กันและกันนั้น พึงพิจารณาทันตาเปนปฏิกูลพึงเกลียดเหมือนกับเสา แลหทัยนั้นเลา ถาจะเอาแตผิวเบื้องบนประมวลเขาใหสิ้นทั้งกาย ไดใหญประมาณเทา เมล็ดในพุทรา มีสีนั้นตาง ๆ กัน ดําก็มี หมนก็มี เหลืองก็มี ขาวก็มี สัณฐานนั้นก็ตาง ๆ กัน หนังนิ้วเทานั้นมีสัณฐานดังรังไหม หนังเทานั้นมีสัณฐานดังหนังเกือกอันหุมหัวแลสน หนัง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 62 แขงนั้นมีสัณฐานดังใบตาลอันบุคคบหอภัตตไว หนังขานั้นมีสัณฐานดังถุงอันยาวใสเต็มไปดวย ขาวสาร หนังตะโพกนั้นมีสัณฐานดังผากรองน้ําอันเต็มไปดวยน้ํา หนังสันหลังนั้นนั้นมีสัณฐานดัง หุมแผนกระดาษ หนังทองนั้นมีสัณฐานดังหนังอันหุมรางพิณ หนังอกมีสัณฐานดังหนังเปน ๔ เหลี่ยม หนังแขนทั้ง ๒ นั้นมีสัณฐานดังหนังอันหุมแลงธนู หนังมือมีสัณฐานดังฝกมีดโกน ถามิ ดังนั้นดุจถุงอันใสโลเขน หนังนิ้วมือนั้นมีสัณฐานดังอันใสลูกกุญแจ หนังคอนั้นมีสัณฐานดังวา เสื้อ หนังปากนั้นมีสัณฐานดังปรุเปนชองดุจวารังตั๊กแตน หนังศีรษะนั้นมีสัณฐานดังถลกบาตร เมื่อพระโยคาพจรพิจารณานั้นพึงปลงปญญาพิจารณาหนังศีรษะเบื้องบนกอน แลวจึง พิจารณาหนังอันหุมหนา แลวจึงพิจารณากระดูกหนาผาก พรากหนังและกระดูกออกจากกัน พิจารณา ใหเห็นหนังกระดูกตางกัน พึงสงปญญาไปในระหวางหนังกระดูก ดุจบุคคลอันลวงมือเขาไปภายใน ถลกบาตรอันใสอยูกับบาตร เมื่อพิจารณาหนังหนาผากแลวพึงพิจารณาหนังมือขวา แลวจึงพิจารณา หนังมือซายแลวพิจารณาหนังเทาเบื้องขวาเบื้องซาย พิจารณาถึงมาถึงอก พิจารณาขึ้นมาถึงคอ พิจารณาหนังคางเบื้องต่ําเบื้องบน ถาพิจารณาโดยทิศ หนังที่เกิดในทิศทั้ง ๒ ถาจะพิจารณาโดย โอกาส หนังนี้หุมอยูทั้วทั้งกาย ถาจะพิจารณาโดยปริจเฉท เบื้องต่ําเเหงหนังนั้นกําหนดดวยพื้นอัน เปนที่ตั้งเบื้องบน กําหนดโดยอากาศ พึงพิจารณาเปนปฏิกูลพึงเกลียดแหงหนังดุจกลาวแลวในเกศา เบื้องหนาแตนั้นพึงพิจารณามังสังวา สรีเร นา เปสิ สตปฺปเภทํ มงฺสํ ในกายนี้มี ประเภท ๙๐๐ ชิ้น มีสีแดงดุจทองหลางปา นัยหนึ่งวาเหมือนดอกทองกวาวมีสัณฐานตาง ๆ ชงฺฆมงฺสํ เนื้อแข็งนั้นมีสัณฐานดังใบตาลหอขาว บางอาจารยวามีสัณฐานดังดอกเกตอันตูม เนื้อ ขานั้นมีสัณฐานดังลูกศิลาบด เนื้อตะโพกมีสัณฐานดังกอนเสา เนื้อหลังมีสัณฐานดังเยื่อตาลสุก เนื้อ สีขางมีสัณฐานดังดินทาฝาฉาง เนื้ออันบุคคลทั้ง ๒ นั้น มีสัณฐานดังกอนดินทั้งคูอันบุคคลแขวนไว เนื้อแขนทั้ง ๒ นั้น มีสัณฐานดังหนูใหญ อันบุคคลตัดหางตัดศีรษะตัดเทาถลกหนังเสียแลวและวาง ซอนกันไว บางอาจารยวามีสัณฐานดังเนื้อสุนัข เนื้อแกมนั้นมีสัณฐานดังเนื้อในกระเบาอันติดอยู ใน ประเทศแหงแกม บางอาจารยวามีสัณฐานดังกบ เนื้อลิ้นนั้นมีสัณฐานดังกลีบอุบล เนื้อจมูกนั้นมี สัณฐานดังถึงอันบุคคลคว่ําไว เนื้อขุมตานั้นมีสัณฐานดังลูกมะเดื่อสุกกึ่ง เนื้อศีรษะนั้นมีสัณฐานดังดิน อันบุคคลทากระเบื้องรมบาตรแตบาง ๆ เมื่อกําหนดไปดังนี้เนื้อที่ละเอียดก็ปรากฏแกปรีชาจักษุ ทิสโต ถาจะกําหนดโดยทิศ เนื้อนี้เกิดในทิศทั้ง ๒ ถาจะกําหนดโดนโอกาสเนื้อนั้นหุมอัฐิ ทั่วทั้ง ๓๐๐ ทอน พระโยคาพจรพึงพิจารณาเปนปฏิกูลกัมมัฏฐานวา มังสังกับอัฐิ ๓๐๐ ทอนอยู ดวยกันก็จริงหารูจักกันไม เปรียบเหมือนฝาอันบุคคลทาดวยดินปนแกลบ ฝาและดินก็หารูจักกัน ไมใช สัตวใชบุคคล เปนสภาวะสูญเปลา ปริจฺเฉทโต ถาจะวาโดยเบื้องต่ําแหงมังสังนั้นก็กําหนดดวยพื้น แหงรางอัฐิ เบื้องบนนั้นกําหนดดวยหนังโดยขวาง กําหนดดวยชิ้นแหงมังสังนั้นเอง ตโต ปรํ เบื้อง หนาแตนั้นพึงพิจารณาในเสนวาเสนใหญ ๆ ๙๐๐ เสนนั้นมีสีขาว บางอาจารยวามีสีดังน้ําผึ้ง มีสัณฐาน ดังดอกคลาอันตูม เสนที่เล็กลงไปกวานั้นมีสัณฐานดังเชือกดายดักสุกร เสนที่เล็กลงไปกวานั้นมี สัณฐานดังเชือกเขายอดดวน เสนที่นอยลงไปกวานั้นมีสัณฐานดังพิณชาวสีหฬ ที่นอยลงไปกวานั้น มี สัณฐานดังเสนดาย เสนในหลังมือหลังเทานั้นมีสัณฐานดังเทานก เสนเหนือศีรษะนั้นมีสัณฐานดังผาทุกุลพัสตรเนื้อหางอันบุคคลวางไวเหนือศีรษะทารก เสน ในหลังนั้นมีสัณฐาน ดังแหและอวนอันบุคคลขึงออกตากไวในที่อันมีแดด เสนทั้งหลายยอมรัดรึงไว ซึ่งกระดูก ๓๐๐ ทอนเกี่ยวประสานอยูทั่วกรัชกาย ผูกพันกระดูก ๓๐๐ ทอนนั้นไว เปรียบประดุจรูปหุน อันบุคคลรอยไวดวยสายยนต เสนใหญที่แลนไปตามชายโครงเบื้องซายนั้น ๕ เสน เบื้องขวา ๕ เสน เสนใหญทั้งหลายนี้ มีที่สุดเบื้องบนรวมกันที่คอนั้นสิ้น เสนใหญที่แลนออกไปตามแขนซาย แขนขวานั้นขางละ ๑๐ เสน คือหนาแขน ๕ เสน หลังแขน ๕ เสน เทาทั้ง ๒ นั้นก็นับไดขางละ ๑๐ เสน คือทองขานั้น ๕ เสน หลังขานั้น ๕ เสนผสมเปนเสนใหญ ๒๐ เสนดวยกัน และเสนที่นอยลง ไปกวานั้นมีสัณฐานดังดายฝนก็มี มีสัณฐานดังเถากระพังโหมก็มี เกี่ยวประประสานไวซึ่งกระดูกนอย ๆ ผูกเนื่องเขากันเอ็นใหญ ถาจะวาโดยโอกาสเสนนี้เกี่ยวประสานอยูทั่วทั้งกรัชกาย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 63 ถาจะวาโดยปจเฉทนี้ เสนนี้มีกําหนดเบื้องต่ําอยูในกระดูก ๓๐๐ ทอน กําหนดเบื้องบนแหง เสนตั้งอยูในเบื้องขวานั้น มีกําหนดดวยเสนเหมือนกัน ใหพระโยคาพจรพิจารณาเปนปฏิกูลกัมมัฏฐาน วา เสนกับอัฐิ ๓๐๐ ทอนผูกพันกันอยูก็จริง จะไดรูจักกันก็หามิได เปรียบเหมือนตอกและหวายถักผูก ฝาและมิไดรูจักซึ่งกันและกัน ธรรมทั้งหลายนี้ใชสัตวใชบุคคลและมีสภาวะสูญเปลา ตโต ปรํ เบื้อง หนาแตนั้นพึงพิจารณาอัฐิวา อัฐินี้มีประมาณ ๓๐๐ ทอน คือกระดูกมือ ๖๔ กระดูกเทา ๖๔ กระดูก ออนอาศัยอยูเบื้องอยูในเนื้อนั้น ๖๔ กระดูกสนเทานั้น ๒ กระดูกขอเทานั้น ๒ รวมทั้ง ๒ ขางเปน ๔ กระดูกแขง ๒ กระดูกเขาก็ ๒ ตะโพกก็ ๒ สะเอวก็ ๒ กระดูกสันหลังนั้น ๑๘ กระดูกซี่โครง ๒๔ กระดูกอก ๑๕ กระดูกหัวใจ ๑ กระดูกรากขวัญ ๒ กระดูกไหล ๒ กระดูกแขนก็ ๒ กระดูก ศอกก็ ๒ รวมทั้ง ๒ ขางเปน ๔ กระดูกคอ ๗ กระดูกคาง ๒ กระดูกจมูก ๑ กระดูกกระบอกตา ๒ กระดูกหู ๒ กระดูกหนาผาก ๑ กระดูกสมอง ๑ กระดูกศีรษะ ๙ อันผสมเปน ๓๐๐ ทอน ๑ ดวยกัน กระดูกทั้งหลายนี้มีสีอันขาว มีสัณฐานนั้นตาง ๆ กัน กระดูกปลายนิ้วเทานั้นมีสัณฐานดังลูกบัว กระดูกกลางนิ่วเทานั้นดังเมล็ดขนุนหนัง กระดูก ตนขอแหงนิ้วเทามีสัณฐานดังบัณเฑาะว กระดูกนิ้วเทานั้นมีสัณฐานดังกองแหงดอกคลา อันหลน กระดูกสนเทานั้นมีสัณฐานดังหัวตาล กระดูกขอเทานั้นมีสัณฐานดังสะเบา กระดูกปลายเขงที่ตั้งลง เหนือสนเทานั้นมีสัณฐานดังหนอเปง กระดูกลําแขงนั้นมีสัณฐานดังคันธนู กระดูกเขานั้นมีสัณฐานดัง คันธนู ดังฟองน้ํามันผุดกลมขึ้นแลวและมีขางอันแหวงไปหนอยหนึ่ง กระดูกขานั้นมีสัณฐานดังดาม ขวานอันบุคคลถากมิดี กระดูกสะเอวนั้นมีสัณฐานดังเตาเผาหมอ กระดูกตะโพกนั้นมีสัณฐานดัง พังพานงู อันบุคคลคว่ําลงไวเปนชองนอยชองใหญอยู ๗ แหงก็มี ๘ แหงก็มี กระดูกหลังนั้นมี สัณฐาน อันกลมดุจแผนดีบุกอันบุคคลตัดใหกลมแลวซอน ๆ กันไว กระดูกสันหลังนั้นมีตุมขึ้นในหวาง ๆ คือในระหวางที่จะตอกนขึ้นไปนั้นเปนตุม ๆ เปนฟน ๆ ดุจฟนเลื่อยซี่โครงทั้ง ๒๔ ซี่นั้นที่ยาว ๆ นั้นมี สัณฐานดังเคียวทั้งเลม ที่สั้น ๆ นั้นมีสัณฐานดังเคียวตัดครึ่งเลมกลางเลม เรียบเรียงกันอยูโดยลําดับ ดุจปกไกอันกางอยูนั้น แลกระดูกอก ๑๔ นั้นมีสัณฐานดังเรือนคานหามปกครุฑอันคร่ําครา กระดูกหทัยนั้นมี สัณฐานดังใบทับทิม กระดูกรากขวัญนั้นมีสัณฐานดังดามมีดนอย ๆ กระดูกไหลนั้นมีสัณฐานดังจอบ ชาวสิงหฬอันเกรียนไปขางหนึ่งแลว กระดูกแขนนั้นมีสัณฐานดังดามแวนเวียนเทียน กระดูกขอมือนั้นมี สัณฐานดังแผนดีบุก กระดูกหลังมือนั้นมีสัณฐานดังดอกคลา กระดูกขอปลายนิ้วนั้นมีสัณฐานดัง ลูกเกต กระดูกขอกลางมือมีสัณฐานดังเมล็ดในขนุนหนัง กระดูกตนขอแหงนิ้วมือนั้นมีสัณฐานดัง บัณเฑาะว กระดูกคอทั้ง ๗ นั้นมีสัณฐานดังหนอไมไผอันบุคคลตัดใหกลม กระดูกคางเบื้องต่ํานั้นมี สัณฐานดังคีมแหงนายชางทอง กระดูกคางเบื้องบนนั้นมีสัณฐานดังมีดเกลาเปลือกหอย กระดูก กระบอกตา กระดูกกระบอกจมูกนั้น มีสัณฐานดังผลตาลอันบุคคลฝานเบื้องบนเสียแลว และควักเยื่อ เสียใหหมด กระดูกหนาผากนั้นมีสัณฐานดังเปลือกสังข กระดูกหมวกหูนั้นมีสัณฐานดังฝกมีดโกน กระดูกศีรษะนั้นมีสัณฐานดังเปลือกน้ําเตาอันเกา ถาวาโดยโอกาส กระดูกศีรษะนั้นตั้งอยูบนกระดูกคอ ๆ นั้นตั้งอยูบนกระดูกสันหลัง ๆ นั้นตั้งอยูบนกระดูกสะเอว ๆ นั้นตั้งอยูบนกระดูกขา ๆ นั้นตั้งอยูบน กระดูกแขง ๆ นั้นตั้งอยูบนกระดูกขอเทา ถาจะวาโดยปริจเฉทนั้น กํานดดวยสวนแหงตน ๆ ใหพระโยคาพจรพิจารณาเปนปฎิกูล กัมมัฏฐานเหมือนกับเกศานั้น ตโต ปรํ เบื้องหนาแตนั้นพึงพิจารณาสมองอัฐิ ถาอัฐิใหญสทองอัฐิก็ มีมาก ถาอัฐิเล็กสมองอัฐิก็มีนอย ถาจะวาโดยสีมีสีอันขาว ถาจะวาโดยสัณฐาน สมองอัฐิอันมีอยูใน ภายในอัฐิใหญ ๆ นั้น มีสัณฐานดังยอดหวายใหญ ๆ อันเผาไฟใหรอนปลอนเปลือกเสียแลวและใสไป ไวในปลองออและปลองไผอันใหญที่อยูในอัฐินอย ๆ นั้น มีสัณฐานดังยอดหวายนอย ๆ อันเผาไฟให รอนปลอนเปลือกออกเสียแลว และใสไวในปลองออและปลองไผอันนอย บังเกิดอยูในทิศเบื้องต่ํา ตั้งอยูภายในอัฐิกับเยื่ออัฐิดวยกันก็จริง จะไดรูจักกันก็หามิได เปรียบดวยนมขน และผาณิตอันอยูใน ไมไผและไมออนั้นมิไดรูจักซึ่งกันและกัน ปราศจากเจตนาเปนสภาวะสูญเปลา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 64 -
๑ ปรมัตถมัญชุสา ฏีกาวิสุทธิมรรควา กระดูกตาง ๆ นอกจากนี้ ก็พด ู วา ๓๐๐ ทอนฉะนั้น จึงใชศพ ั ทวา มตุต-ประมาณ
ปริจฺเฉทโต ถาจะพิจารณาโดยปริจเฉทนั้น กําหนดพื้นภายในแหงอัฐิและเยื่อนั้นเอง เบื้อง หนาแตนั้นพึงกําหนดซึ่งมาม มามนี้มีสีแดงสักหนอยดังเมล็ดในทองหลาง มีสัณฐานดังลอลากเลน แหงคามทารก บางอาจารยวามีสัณฐานดังผลมะมวงสวายกานทั้งคูอันบังเกิดในขั้วเดียวกันอยูในเบื้อง บน ถาจะวาโดยโอกาส มามนั้นเปนชิ้นเนื้อ ๒ ชิ้นประกบกันมีขั้วอันเดียวกัน เนื่องกันกับเสนใหญอัน ออกจากคอหอย มีตนอันเดียวไปหนอยหนึ่งแลวแจกออกเปน ๒ ภาค หุมไวซึ่งหทัยมังสะ พึง พิจารณาใหเห็นวา มามกับเสนใหญอยูดวยกันก็จริง จะไดรูจักกันหามิได เปรียบเหมือนมะมวงสวาย กานทั่ง ๒ เกิดชั้นเดียวกันและมิไดรูจักกันกับขั้วนั้น ธรรมทั้ง ๒ ยอมมีสภาวะสูญเปลา เบื้องหนาแตนั้นพึงกําหนดหทัยวา ดวงหทัยในกายนี้มีสีแดงประดุจดังกลีบอุบลปทุมชาติ มี สัณฐานดังดอกปทุมชาติ อันตูมอันปอกเปลือกเขียวขางนอกออกเสียเลวและวางคว่ําลงไว ขางหนึ่ง เปนชองดุจลูกบุนนาคอันตัดปลายเกลี้ยงภายนอกภายใน ดุจบวบขมมีชองอยูพอประมาณดุจลูก บุนนาค ถาเปนคนมีปญญาเฉลียวฉลาดสัณฐานแหงหทัยนั้นแยมสักหนอย ถาเปนคนมีปญญานอยหา ปญญามิได ดวงหทัยนั้นตูมดุจดอกบัวอันตูม ภายในหทัยวัตถุนั้นมีประมาณกึ่งซองมือเปนน้ําเลี้ยง หทัย เปนที่อาศัยแหงมโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ ถาบุคคลเปนราคจริต น้ําเลี้ยงหทัยนั้นแดง ถา เปนโทสจริต น้ําเลี้ยงหทัยนั้นดํา ถาเปนโมหจริต น้ําเลี้ยงนั้นแดงจาง ๆ เหมือนน้ําลางเนื้อ ถาเปน วิตกจริต น้ําเลี้ยงหทัยนั้นขุนมัวมีสีดั่งเยื่อถั่วพู ถาเปนศรัทธาจริต น้ําเลี้ยงหทัยนั้นผองใสดุจสีดอ กกรรณิการ ถาเปนปญญาจริต น้ําเลี้ยงหทัยนั้นบริสุทธิ์สะอาดดุจแกวมณีโชติอันชําระเปนอันดี หทัย นี้เกิดในทิศเบื้องบน ถาจะวาโดยโอกาสเกิดในทามกลางถันยุคลภายในกาย ถาจะวาโดนกําหนด ๆ ดวยสวนหทัยนั้นเอง หทัยกับหวางถันยุคลดวยกันก็จริงมิไดรูจักซึ่งกันและกัน เปรียบตอไมสลับกับ บานประตูและบานหนาตางอยูดวยกันก็จริง มิไดรูจักกัน พึงพิจารณาเปนปฏิกูล พึงเกลียดเหมือน พรรณนามาแตหลัง เบื้องหนาแตนั้นพึงพิจารณาดวยกอนเนื้อในแหงกายมีสีอังแดงออนมิสูแดงนัก หลังกลีบ นอกแหงดอกโกมุท ถาเปนตับ ๆ นั้น ประกอบดวยขั้วอยูภายจะวาโดยสัณฐานขางตนอันเดียว ปลาย นั้นเเฉกออกเปน ๒ แฉก มีสัณฐานดังดอกทองหลาง ถาคนนั้นเขลาตับนั้นใหญแลวก็เปนอันเดียวมี ปลายมิไดแฉก ถาคนนั้นมีปญญาตับนั้นนอยแลวก็เปนแฉกเปน ๒ แฉก ๓ แฉก ตับนั้นบังเกิดใน ทิศเบื้องบน ถาจะวาโดยโอกาสตับนี้อาศัยทักษิณปรัศวจําระขวาแลวตั้งอยูภายในถันยุคล ถาจะวา โดยปริจเฉทกําหนดโดยสวนแหงตับนั้นเอง ตับนั้นขางจําระขวาอยูดวยกันก็จริงมิไดรูจักกันซึ่งกันและ กันหามิได พึงพิจารณาใหเห็นเปนปฏิกูล พึงเกลียดเหมือนกลาวแลวแตหลัง เบื้องหนาแตนั้นพึงพิจารณาใหพังผืด พังผืดมี ๒ ประการ คือ ปฏิฉันกิโลมกะ อัปปฏิ จฉันนกิโลมกะ ปฏิฉันนกิโลมกะนั้น มีสีอันขาวดังทอนผาทุกุลพัสตรอันเกา มีสัณฐานเทาที่อยูแหง ตน ถาจะวาโดนโอภาส ปฏิจฉันนะกิโลมกะนั้นแวดลอมหทัยและมาม อัปปฏิจฉันนะกิโลมกะนั้นหุมหอ มังสะแลว และตั้งอยูในภายใตแหงหนังในกาย พังผืดกับมามมังสะแลหนังเนื้อหทัยอยูดวยกันก็จริง มิไดรูจักซึ่งกันและกัน เปรียบเหมือนทอนผาเกาพันมังสะ ถอยทีถอยมิรูจักกัน ถาจะกําหนดโดย ปริจเฉทเบื้องใตแตมังสะขึ้นมาเบื้องบนแตหนังลงไป โดยขวางนั้นกําหนดสวนแหงพังผืดนั้นเอง พระ โยคาพจรพึงพิจารณาเปนปฏิกูลกัมมัฏฐานเหมือนกลาวมานั้น เบื้องหนาแตนั้นพึงกํานดในพุงวา พุงในกายนี้มีสีเขียวดังดอกคนทิศอันเหี่ยว มีตนขั้ว ประมาณ ๗ นิ้ว มีสัณฐานดังลิ้นลูกโคดํา เกิดในทิศเบื้องตนตั้งแตนาภีขึ้นไปแอบอยูเบื้องบนแหงพื้น ทองตั้งอยูขางเบื้องซายแหงหทัย ถาบุคคลตองประหารดวยสาตราวุธ พุงนั้นก็ไหลออกมา แลวก็ เที่ยงที่จะถึงแกความตาย ถาจะกําหนดโดยปริจเฉทกําหนดดวยสวนแหงพุงนั้นเอง พุงตับขางเบื้อง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 65 บนพื้นทองอยูดวยกันก็จริงหารูจักกันไม เปรียบเหมือนโคมันอันทาขางเบื้องบนแหงฉาง ถอยทีรูจัก ซึ่งกัน พึงพิจารณาเปนปฏิกูลกัมมัฏฐาน ดังกลาวมาแตหลัง เบื้องหนาแตนั้นพึงพิจารณาในปปผาสะวา ปอดนี้มีประเภทเปนชิ้นเนื้อ ๑๒ ชิ้นติดกันอยู มีสี แดงดังผลมะเดื่ออันสุก มีสัณฐานดังชิ้นขนมอันตัดเสี้ยว ๆ หนา ๆ บางอาจารยวามีสัณฐานดังแผน กระเบื้องเกล็ดนิ่ม อันมุงหลังคา ถาบุคคลอคลอดอาหารมิไดบริโภคสิ่งหนึ่งสิ่งใดแลว เพลิงธาตุก็เผา เนื้อปอดนั้นใหยอบใหเหี่ยวลง กระดุจใบไมอันบุคคลเคี้ยว เนื้อปอดนั้นหารสโอชาบมิได ปปผาสะนั้น เกิดในทิศเบื้องบนตั้งอยูดวยในหวางถันบุคลหอยลงปกซึ่งตน และเนื้อหทัยปปผาสะกับหวางบุคลอยู ดวยกันก็จริง มิไดรูจักซึ่งกันและกัน เปรียบเหมือนรังนกอันหอยอยูใตหวางฉางเกา รังนกหวางฉางเกา ก็มิไดรูจักซึ่งกันแลกัน พึงพิจารณาเปนปฏิกูลกัมมัฏฐาน ดังกลาวมาแลวแตหนหลังนั้น เบื้องหนาแตนั้น พึงพิจารณาไสใหญวา ปุริสสฺสทฺวตฺตํสหตฺถํ ไสใหญของบุรุษยาว ๓๒ ศอก อิตฺถิยา อฏวีสติหตฺถํ ไสใหญของสตรีภาพยาว ๒๘ ศอก ขดเขาอยูนั้น ๒๑ ขดสีขาวดังสี ปูน อันบุคคลกระทําดวยศิลาแลง มีสัณฐานดังซากงูอันบุคคลตัดศีรษะแลวแลขดไวในรางโลหิตเกิด ในทิศทั้งสอง คือ ทิศเบื้องต่ําทิศเบื้องบน ที่สุดเบื้องบนแหงไสใหญนั้นจดลําคอ ที่สุดเบื้องต่ํานั้นจดอ โธทวารเบื้องต่ํา ถาจะวาโดยปริเฉทนั้น มีกําหนดดวยสวนแหงไสใหญนั้นเอง ไสใหญกับภายในกาย อยูดวยกันก็จริง มิรูจักซึ่งกันและกัน เปรียบเหมือนซากงูอันบุคคลตัดศีรษะ แลวใสวางไวในรางโลหิต ถอยทีถอยหารูจักกันไม พระโยคาพจรพึงพิจารณาเปนปฏิกูลกรรมฐานดังกลาวแลวแตหลัง ตโต ปรํ เบื้องหนานั้นพึงพิจารณาไสนอยในกายนี้มีสีดังรากนิลุบล สัณฐานก็เหมือนกัน กับรากนิลุบล บางอาจารยวา มีสัณฐานคดไปคดมาดังโคมูล เกิดในทิศทั้ง ๒ เมื่อบุคคลกระทําการ หนักเปนตนวาขุดดินดวยจอบ ผาไมดวยขวาน ไสนอยนั้นก็รึงรัดขนดแหงไสใหญเขาไวใหเรียบกัน เปนอันหนึ่งอันเดียวดุจดวยยนต อันอัดกระดานยนตเขาไวในขณะเมื่อชักยนต ไสนอยนั้นตั้งอยูใน ระหวางไสใหญ ๒๐ ขด ดุจเชือกนอยรัดวงเชือกใหญอันบุคคลกระทําไวเช็ดรองเทา ไสนอยนี้กําหนด โดยสวนแหงตนเอง ไสนอยรัดไสใหญอยูก็จริงหารูจักกันไม เปรียบดุจเชือกนอยรัดวงเชือกใหญ บ มิไดรูจักซึ่งกันและกัน ใชสัตวใชบุคคล ควรจะสังเวชทนา เบื้องหนาแตนั้น พึงพิจารณาอาหาร ๆ ใหมนั้นคือ ภัตตอันบุคคลกลืนกินแลเคี้ยวกินแลลิ้ม เลียกิน มีสีดังสีอาหารเมื่อแรกกลืนกิน มีสัณฐานดังขาวสารอันบุคคลใสไวในผากรองน้ํามันหอหยอน ตั้งอยูในทิศเบื้องบนอุทรประเทศ อุทรประเทศนั้นมีสัณฐานดังพองลมอันบังเกิดขึ้นในทามกลางแหง ผาเปยก อันบุคคลจับ ๒ ชายแลว แลบิดเขา มหิมฏํ เกลี้ยงอยูภายในภายนอกในนั้นขรุขระ เหมือนดอกลําโพง แลผาปาวารอันติดหยากเยื่อ บางอาจารยวา เหมือนภายในแหงเปลือกขนุนหนัง อันเปอยอากูลไปดวยหมูหนอน ๓๒ จําพวก มีหนอนอันชื่อวา ตักโกตกาเปนตน แลอาหารมีขาวน้ํา เปนตน ถามิไดมีในอุทรประเทศแลวหนอนทั้งหลายก็โลดขึ้นรอยตามวิสัยหนอน แลวก็เฝากัดเฝา ไชซึ่งหทัยมังสะใหแสบไสแสบพุงมิใหมีความสบาย ครั้นบริโภคอาหารเขาไป หนอนทั้งหลายนั้นก็ แหงนหงายอาปากคอยกินอาหารเขาไปที่แรกกลืนลงไป ๑, ๒, คํานั้นกลุมกันเขาชิงกันบริโภค แล อุทรประเทศอันเปนที่ตั้งแหงอาหารนั้นพึงเกลียดยิ่งนัก เปรียบทอน้ําครําอันอยูในบอแทบประตูบาน แหงคนจัณฑาล บอน้ําส่ําสมไปดวยมูตรและคูถเสลดน้ําลาย หนังเนาแลเอ็นเนาอัฐิทิ้งอยูเปนทอน ๆ อาเกียรณดวยแมลงวันแลหมูหนอน เมื่อหนาฤดูรอนมีฝนเม็ดใหญตกลงสัก ๑ หา แตพอน้ําเต็มหลุม แลเเลงไป น้ําในหลุมนั้น ครั้นรอนดวยแสงอาทิตยก็ปุดขึ้นเปนฟองฟูด มีสีเขียวกลิ้นเหม็น เปนที่พึง เกลียดมิควรที่บุคคลจะเขาใกล จะปวยกลาวไปไยถึงลิ้มเลียสูดดมนั้นเลาแลมีฉันใด อาหารในอุทร ประเทศก็พึงเกลียดเหมือนดังนั้น แลอาหารอันบุคคลบริโภคนั้นแลออกดวยครกแลสาก
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
คือฟนเบื้องบนเบื้องต่ํามือคือชิวหา
- 66 กลับกลิ้งกลั้วไปดวยเขฬะถึงพึงซึ่งเกลียดดังรากในรางสุนัข ถามิดังนั้นดุจแปงขาวของชองหูกอันอยู ในรากฆาดวย ครั้นตกลงในอุทรประเทศแลวเกลือกกลั้วไปดวยน้ําดีแลลมเสมหะ เดือดขึ้นดวยกําลัง เตโชธาตุปุดขึ้นเปนตอมเปนฟองเบื้องบน บริบูรณดวยหมูหนอนถึงซึ่งสภาวะพึงเกลียดพึงชังแตไดฟง แลวก็พึงเกลียด จะปวยกลาวไปไยถึงการพิจารณาเห็นแจงดวยปญญาจักษุนั้นเลา แลอาหารซึ่ง บริโภคเขาไปนั้นแบงออกเปน ๕ สวนหนอนในกายกินเสียสวน ๑ เพลิงธาตุไหมไปเสียสวน ๑ เปน มูตรเสีย ๑ เปนอาหารเกาสวน ๑ เปนรสซึมซาบไปใหเจริญโลหิตแลมังสะเปนตนสวน ๑ แลวก็ ไหลออกมาโดยทางทวารทั้ง ๙ เปนมูลจักษุ โสตะ ฆานะ เปนตน เปนที่พึงเกลียดยิ่งนัก พระโยคาพจรพึงพิจารณาใหเห็นวา อาหารกับอุทรประเทศอยูดวยกันก็จริงมิไดรูจักซึ่งกัน และกัน เปรียบเหมือนรากสนุขอันอยูในรางสุนัขถอยทีถอย มิไดรูจักซึ่งกันและกัน พึงกําหนดเปน ปฏิกูลพึงเกลียดมาแลวแตหลัง เบื้องหนาแตนั้นพึงพิจารณาในกรีสวา อาหารเกานั้นมิใชอื่นไกล คือ อาหารที่เพลิงธาตุเผาใหยอยมีสีเหมือนดวยอาหารอันบุคคลกลืนกินโดยมาก มีสัณฐานเหมือนที่อยู ของตน เกิดในทิศเบื้องต่ํา ถาจะวาโดยโอกาสตั้งอยูในกระเพราะอาหารเกานั้น ประดิษฐานอยูในที่สุด แหงไสใหญในระหวางแหงนาภีก็เบื้องลาง แลกระดูกหนามหลังขางตนตอกัน แลวัตถุทั้งปวงมีขาวน้ํา เปนตนที่บริโภคเขาไปนั้น เมื่อตกลงไปในกระเพราะอาหารใหม เพลิงธาตุเผาก็ยอยเเหลกละเอียด ออก ประดุจบดดวยแผนศิลาบด ไหลลงไปตามชองแหงไสใหญคุมเขาเปนกอนแลว แลประดิษฐาน อยูในกระเพราะอาหารเกานั้น เปรียบประดุจดินเหลืองอันบุคคลไสไวในปลองไมสูง ๘ นิ้ว ปริจฺเฉทโต ถาจะพิจารณาโดยกําหนด กําหนดดวยพื้นแหงกระเพราะอาหารเกาและสวน แหงอาหารนั้นเอง พระโยคาพจรพึงพิจารณาเปนปฏิกูลกรรมฐาน เหมือนกลาวแลวในเกศา อันดับนั้น พึงพิจารณาในสมองศีรษะวา สมองศีรษะซึ่งตั้งอยูในกบาลศีรษะนั้นมีสีขาวดุจดอกเห็นอันขาด จะมีสี ดังนมขนก็ไมเปน ถาจะเปรียบดวยสีแหงนมสดอันชั่วนั้นเห็นควรกัน มีสัณฐานเหมือนที่อยูแหงตนเกิด ในทิศเบื้องบน ถาจะพิจารณาโดยโอกาสสมองศีรษะนั้นเปน ๔ แฉก อาศัยอยูในแถวแฉกทั้ง ๔ ภายในศีรษะประดุจกอนแปง ๔ กอนบุคคลวางประชุมกันไว ถาจะพิจารณาโดยกําหนด สมอง ศีรษะนั้นกําหนดดวยพื้นภายในแหงกบาลศีรษะแลสวนแหงสมองนั้นเอง พึงพิจารณาเปนปฏิกูล กรรมฐานดังกลาวมาแลวแตหลัง อันดับนั้นพึงพิจารณาในปตตังวา เทวฺ ปตฺติตา ปนิพทฺธปตฺตฺจ อปนิพทฺธปตฺตฺจ ดี มี ๒ ประการ ดีฝกประการ ๑ ดีหาฝกมิไดประการ ๑ ดีมีฝกนั้นมีสีดังน้ําผลมะขามอันขม ดีหาฝก มิไดนั้นมีสีดังดอกพิกุลเหี่ยว มีสัณฐานเหมือนที่อยูแหงตน ดีมีฝกนั้นเกิดแตทิศเบื้องบน ดีหาฝกมิได นั้นในทิศทั้ง ๒ ถาจะพิจารณาโดยโอกาส ดีอันหาฝกมิไดนั้นซาบอยูทั่วสรรพางคกาย แลดีมีฝกนั้น ตั้งอยูในฝกดี มีสัณฐานดังฝกบวบขมอันใหญ ฝกดีนั้นแอบอยูกับเนื้อตับ ตั้งอยูในระหวางแหงปอด ดี ฝกนั้นถากําเริบแลวสัตวทั้งปวงก็เปนบา มีสําคัญสัญญาวิปลาสปราศจากหิริโอตัปปะ ถาจะพิจารณา โดยกําหนด ๆ ดวยสวนแหงดีนั้นเอง พระโยคาพจรพิจารณาเปนปฏิกูลกรรมฐานดุจกลาวแลวในเกศา นั้น อันดับนั้นพึงพิจารณาในเสมหะ วาเสมหะในกายแหงบุคคลนี้ มีประมาณเต็มบาตรในแตง หนู มีสัณฐานเหมือนที่อยูแหงตน เกิดในทิศเบื้องบน คือตั้งแตนาภีขึ้นมา ถาจะพิจารณาโดยโอกาส เสมหะนั้นอยูในพื้นหอง เมื่อบุคคลบริโภคอาหารเขาไปลําคอ อาหารนั้นตกลงไปถูกเสมหะ ๆ นั้นก็ ขาดเปนชองเปนหวางแยกออกไปเปน ๒ ภาคใหชองแกอาหารแลวเสมหะนั้นก็กลับกลัดเกลื่อนเขา หากันดังเกา เสมหะนี้ปกปดไวซึ่งอสุจิในอุทรประเทศ มิไดอสุจิสิ่งกลิ่นขึ้นมาได ถาเสมหะนอยแลว กลิ่นอันเหม็นก็จะฟุงขึ้นมาโดยมุขทวาร ดวยกําลังลมอุทรธังคมาวาต ถาพิจารณาโดยกําหนดดวย สวนแหงเสมหะนั้นเอง พระโยคาพจรพึงพิจารณาเปนปฏิกูลกรรมฐานดังเกศานั้นเอง อันดับนั้นพึงพิจารณาในบุพโพวา หนองนี้มีสีอันเหลือง อันวาดวยหนองในกายแหงบุคคล อันมีชีวิต ถาจะวาดวยหนองในซากเฬวระนั้น มีสีดังน้ําขาวอันขนอันบูด มีสัณฐานดังที่อยูแหงตน เกิด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 67 ในทิศทั้ง ๒ ถาจะพิจารณาโดยโอกาส คือที่อยูแหงปุพโพนี้ จะไดมีที่อยูที่ขังเปนนิตยนั้นหาบมิได ตอ เมื่อใดถูกตองขวาก ถูกหนาม ถูกเครื่องสาตราวุธ ถูกเปลวเพลิงเปนตน โลหิตขอเทาอยูในฐานที่ใด ปุพโพก็บังเกิดขึ้นในฐานที่นั้น ถาพิจารณาโดยปริเฉทกําหนดดวยสวนแหงตน แตนั้นใหพระโยคาพจร พิจารณาในโลหิตวา เทวํ โลหิตานิ โลหิตมี ๒ ประการ คือ สันนิจิตโลหิต ๑ สังสรณโลหิต ๑ สัน นิจิตโลหิตนั้นคือเลือดขน มีสีสุกดังน้ําครั่งขน ๆ สังสรณโลหิตนั้นคือเลือดเหลวมีสีดังน้ําครั่งอันจาง มี สัณฐานเหมือนที่อยูแหงตน สัณนิจิตโลหิตนั้นเกิดในทิศเบื้องบน สังสรณโลหิตนั้นซาบอยูในอัง คาพยพทั้งปวง ซาบไปตามกระแสเสน เวนไวหนังอันกระดางแลแลง ผมแลขนเล็บแลฟนดุจน้ําอันซา บอยูในกาย ถากระทบกระทั่งถูกตองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เนื้อหนังเปดออกไปในที่ใดแลว ก็ใหหยดยอยใน ฐานที่นั้น แลสันนิจิตโลหิตนั้น มีประมาณเต็มบาตรใบหนึ่งทวมเนื้อตับในสวนเบื้องต่ําลบไปเบื้องบน หทัยวัตถุปอดแลมาม ไหลซึบซาบไปทีละนอย ๆ ชุมไปในมามหทัยวัตถุปอดแลตับ ถาสันนิโลหิตนี้ ไปชุมแลซาบมามแลดวงหทัยเปนตนแลวสัตวทั้งปวงก็อยากน้ํากระหายน้ํา ลําบากเวทนามีกําลัง แปลกประหลาดกวาปกติโลหิตทั้ง ๒ นี้จะกําหนดโดยปริเฉทนั้น กําหนดดวยดวยสวนแหงโลหิต นั้นเอง พระโยคาพจรพึงพิจารณาเปนปฏิกูลกรรมฐาน ดังนัยหนหลังอันดับนั้น พระโยคาพจรพึง พิจารณาเปนปฏิกูลกรรมฐาน ดังนัยหนหลัง อันดับนั้น พระโยคาจรพึงพิจรณาเสทกรรมฐาน วาเหงื่อนั้นคืออาโปธาตุอันไหลออกตามขุ ขนเปนตนถาจะพิจรณาโดยมี สีดังน้ํามันงาอันใสมีสัณฐานเหมือนที่อยูแหงตน เกิดในทิศทั้ง ๒ ถาจะ พิจารณาโดยที่โดยอยูเหงื่ออันจะไดมีที่อยูนิตยเหมือนอยางโลหิตหามิได ตอเมื่อใดสรีกายรอนดวย เพลิงแลแดด แลธาตุอันใดอันหนึ่งบังเกิดวิการกําเริบแลว เหงื่อก็ไหลออกมาจากชองแหงขุมเกศาแล โลมาทั้งปวง พระโยคาพจรผูพิจารณาเสทกรรมฐานนั้น พึงพิจารณาเหงื่ออันเต็มไปอยูในขุมผมแลขุม ขน ถาจะพิจารณาโดยกําหนด ๆ ดวยสวนแหงเหงื่อนั้นเอง พระโยคาพจรพึงพิจารณาเปนปฏิกูล เหมือนกับเกศา อันดับนั้น พึงพิจารณาในเมโทวามันขนนั้นมีสีดังเเทงขมิ้นอันบุคคลผา ถาจะพิจารณาโดย สัณฐานมันขนของคนพีที่อยูในระหวางหนังแลเนื้องนั้น มีสัณฐานดังผาทุกุลพัสตรเหลืองเหมือนสี ขมิ้น มันขนของคนผอม ที่อาศัยอยูตามเนื้อแขงเนื้อขาเนื้อหลังที่กระดูกหนามหลัง แลเนื้อเกลียวอุทร ประเทศนั้น มีสัณฐานดังทอนผาทุกกุลพัสตรอันบุคคลพับเปน ๒ ชั้น ๓ ชั้นแลววางไว มันขนนั้นเกิด ในทิศทั้ง ๒ ถาจะพิจารณาโดยโอกาส มันขนแหงคนพีนั้น ซาบอยูทั่วสรรพางคกายมันขนของคนผอม นั้นอยูซาบกับเนื้อแขงเนื้อขาเปนตน ถาพิจารณาโดยปริเฉท มันขนนั้นมีกําหนดเบื้องต่ําตั้งแตเนื้อขึ้น ไปเบื้องบนแตหลังลงมา เบื้องขวากําหนดดวยมันขนนั้นเอง พระโยคาพจรพึงพิจารณาใหเห็นเปน ปฏิกูลกรรมฐาน โดยนัยดังสําแดงมาแลวแตหลัง เบื้องหนาแตนั้นพึงพิจารณาในอัสสุวา น้ําตานั้นคืออาโปธาตุที่ไหลออกมาจากจักษุ มีสีดัง น้ํามันงาอันใส มีสัณฐานเหมือนที่อยูแหงตน น้ําตานั้นเกิดในทิศเบื้องบน ถาพิจารณาโดยโอกาส น้ําตานั้นตั้งอยูในขุมตาทั้ง ๒ แตทวาจะไดตั้งอยูเปนนิตยหาบมิได ถาสัตวชื่นชมโสมนัส มิฉะนั้นอด นอน มิฉะนั้นโทมนัสนอยเนื้อต่ําใจรองไหร่ําไร มิฉะนั้นกลืนกินซึ่งอาหารอันเปนวิสภาค มีตนวาเผ็ดนัก รอนนัก มิฉะนั้นผงคลีแลเถาอันหยบแลควันเขาตามรกาลใด น้ําตาก็ไหลออกมาจากขุมตาทั้ง ๒ ขาง ในกาลนั้น แลพระโยคาพจรพึงพิจารณาในอัสสุกรรมฐานนั้น พึงพิจารณาน้ําตาที่ออกเต็มตาทั้ง ๒ นั้น เปนอารมณ ถาพิจารณาโดยปริเฉท มีกําหนดสวนแหงน้ําตานั้นเอง พึงพิจารณาในวสากรรมฐานวา มันเหลวนั้นมีสีดังน้ํามะพราวนัยหนึ่งวามีสี ดังน้ํามันงาอัน บุคคลรดลงในน้ําขาวยาคู มีสัณฐานดังหยาดแหงอันใสลอยอยูเหนือน้ํา ในกาลเมื่ออาบน้ําเกิดในทิศ ทั้ง ๒ ถาจะพิจารณาโดยโอภาสมันเหลวนั้นอยูในฝามือฝาเทา หลังมือหลังเทาอยูในชองจมูกแล หนาผากแลจะงอยแหงบานั้นโดยมาก มันเหลวอันอยูในที่ทั้งปวงนั้น ซึ่งจะใหควางอยูเปนนิตยหาบ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 68 มิได ตอเมื่อใดประเทศแหงฝามือฝาเทา หลังมือหลังเทาเปนตนนั้นรอยดวยเพลิงแลแดดรอนดวยกระ กระทําสิ่งใดสิ่งหนึ่ง รอนดวยกําเริบแหงธาตุ มันเหลวจึงไหล ออกแตขางโนนขางนี้ ถาจะพิจารณา โดยกําหนด ๆ ดวยสวนแหงมันเหลวนั้นเอง พึงพิจารณาเปนปฏิกูลกรรมฐาน เหมือนกลาวมาแลวแต หนหลัง เบื้องหนาแตนั้นพึงพิจารณาในเขฬะวา เขฬะนั้นคือ อาโปธาตุอันเจือดวยฟอง ซึ่งอยูใน ภายในมุขประเทศของสัตวทั้งปวงนั้นมีสีขาวดังสีฟองมีสัณฐานเหมือนที่อยูของตน นัยหนึ่งวาเขฬา นั้นมีสัณฐานดังฟอง เกิดขึ้นในทิศเบื้องบนคือโอษฐประเทศ ถาจะพิจารณาโดยโอกาส เขฬานั้นมี สัณฐานดังฟอง เขฬะนั้นไหลออกจากกระพุงแกมทั้งสอง แลตั้งอยูเหนือชิวหา แตทวาจะไดอยูเปน นิตยหาบมิได ตอเมื่อใดสัตวทั้งปวงไดเห็นอาการที่ชอบใจ มิฉะนั้นระลึกถึงโภชนาหารอันเปนที่ชอบ ใจ อันตนเคยรับประทานแตกอนนั้น มีความอยากแลวน้ําลายไหลออก ถามิดังนั้นบุคคลเอาวัตถุอันใด อันหนึ่ง เปนตนวาอาหารอันรอนดวยเพลิงแลเผ็ดรอนเปรี้ยวเค็มวางลงไวในปากเขฬะ จึงบังเกิดขึ้น ไหลออกมาจากกระพุงแกมทั้ง ๒ แลวตั้งอยูเหนือชิวหาแลเขฬะซึ่งตั้งอยูในปลายชิวหานั้นเปนเขฬะ อันเหลว เขฬะซึ่งตั้งอยูเหนือชิวหานั้นเปนเขฬะอันขน เมื่อบุคคลเอาขาวเมาแลขาวสาร แลขาทนียะ ของเคี้ยวอันใดอันหนึ่งวางลงในปากนั้น น้ําลายก็ไหลออกมาชุมซาบอาบเอิบไปในขาวของทั้งปวงนั้น บมิไดรูหมดรูสิ้นไปมีอุปมาดังบอทรายอันมิไดขาดน้ํา ถาพิจารณาโดยกําหนด ๆ ดวยสวนแหงเขฬะ นั้นเอง พึงพิจารณาใหเปนปฏิกูลกรรมฐานดังกลาวแลวแตหลัง อันดับนั้นพึงพิจารณาในสิ่งฆานิกากรรมฐานวาน้ํามูกนั้นคือ อสุจิ อันไหลออกจากสมอง ศีรษะ มีสีดังเยื่อในเตาตาลอันออนมีสัณฐานดังที่อยูเต็มชองนาสิก แตทวาจะอยูไดในชองนาสิก เปน นิตยนั้นหาบมิได ตอเมื่อเหตุคือรองร่ําไรถามิดังนั้นกําเริบดวยบริโภคอาหารอันเผ็ดรอนเกินประมาณ ถามิดังนั้นธาตุวิการกําเริบเปนหวัดไอสมองศีรษะนั้นก็กลายเปนเสมหะอันเนาเคลื่อนออกจากภายใน ศีรษะ ไหลลงมาในชองเบื้องบนแหง เพดานแลวก็เต็มอยูในคลองนาสิกบาง บางทีก็ลนไหลออกมา จากคลองนาสิก พระโยคาพจรผูพิจารณาสิงฆานิการกรรมฐานนั้น พึงพิจารณาน้ํามูกที่ไหลออกมาขัง อยูเต็มชองแหงนาสิก ถาจะพิจารณาโดยกําหนด ๆ ดวยสวนแหงน้ํามูกนั้นเอง พระโยคาพจรพึง พิจารณาใหเห็นปฏิกูลกรรมฐานเปนสภาพ เหมือนกลาวมาแลวแตหลัง อันดับนั้นใหพระโยคาพจรพึงพิจารณาใน มนสิการกรรมฐาณวาไขขอนั้นใชอื่นใชไกล คือ มันอันอยูในภายแหงที่ตอในกาย ไขขอนั้นมีสีดังยางกรรณิการมีสัณฐานที่อยูแหงตน ถาจะพิจารณา โดยทิศไขขอนั้นเกิดในทิศทั้ง ๒ ถาจะพิจารณาโดยโอกาส ไขขอนั้นอยูภายใน แหงที่ตอ ๑๐๘ สําเร็จซึ่งกิจพอกแลทาซึ่งที่ตอแหงอัฐิ ถาผูใดไขขอนอนผูนั้นจะลุกขึ้นแลนั่งลง จะเขาไปและออกมา จะคูกายเขาเหยียดกายออก อัฐิที่ขอตอแหงบุคคลผูนั้นเสียงดังกฎะ ๆ เผาะ ๆ อยางเสียงเขาหักนิ้วมือ ถาผูนั้นเดินทางไกลประมาณ ๑ โยชน ๒ โยชน วาโยธาตุเกิดวิการกําเริบ แลวก็ใหเจ็บเนื้อเจ็บทั่ว สรรพางค ถาผูใดไขขอมาก บุคคลผูนั้นจะลุกนั่งยืน เที่ยวคูกายเขาเหยียดกายออกอัฐิที่ขอตอจะได ดังกฎะ ๆ เผาะ ๆ หามิได แมบุคคลผูนั้นจะเดินทางไกลวาโยธาตุก็มิไดเกิดวิการกําเริบ ผูนั้นไมเมื่อย เหน็บกาย ถาจะพิจารณาโดยกําหนด ๆ ดวยสวนแหงไขขอนั้นเอง พิจารณาเปนปฏิกูลดังกลาวใน เกศานั้น อันดับนั้นพึงพิจารณาในมุตตะกรรมฐาน มาสขาโรทกวณฺณํ มูตรนั้นมีสีดังน้ําดางถั่วราช มาศ มีสัณฐานดังน้ําในกระออมคว่ําไว เกิดในทิศเบื้องต่ําคือตั้งแตนาสิกลงมา ถาจะพิจารณาโดย โอกาส มูตรนั้นอยูภายในแหงกระเพาะ มูตรเมื่อเขาไปสูกระเพาะนั้น จะไดปรากฏวาเขาไปทางใดหา มิได เสยฺยถาป นาม อมุเขร วนฆเฏ ประดุจหมอเนื้อหางหาปากบมิไดอันบุคคลคว่ําไวในน้ําครํา น้ําครําซึบซาบอาบเอิบเกรอะเขาไปขังในหมอนั้นจะไดปรากฏวาเขาไปทางนั้น ๆ หาบมิได แลมีฉันใด มูตรที่เกิดเขาไปสูกระเพาะนั้น จะไดปรากฏวาเขาไปทางนั้น ๆ หาบมิได มีอุปไมยดังนั้น แตทางที่ มูตรไหลออกมานั้นเห็นปรากฏ มูตรนี้มิใชอื่นไกลคืออาหารอันบุคคลบริโภคเขาไปนั้นเอง อาหารนั้น แหลกละเอียดออกดวยเพลิงธาตุแลว ก็เกรอะกรองไปในกระเพาะมูตร ครั้นกระเพาะมูตรเต็มแลวก็ให
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 69 สัตวก็ใหสัตวเจ็บปสสาวะ ใหขวนขวายที่จะถายปสสาวะ ถาจะวาโดยปริเฉทกําหนดโดยสวยแหงมูตร นั้นเอง พระโยคาพจรพึงพิจารณาเปนปฏิกูลกรรมฐานดังกลาวแลวในหนหลัง พึงสันนิษฐานวากิริยาที่พระโยคาพจรพิจารณาอาการ ๓๒ อุคคหโดยสีแลสัณฐาน ทิศแล โอกาสแลปริจเฉทดังพรรณนามานี้ อยูในอุคคหโกศลคํารบ ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ อาจารยผูบอกกายคตา สติกรรมฐานถึงบอกอุคคหโกศล ๗ ประการดังพรรณนามานี้ แลมนสิการโกศล ๑๐ ประการนั้น คือ อนุปุพพโต ๑ นาติสีฆโต ๑ นาติสนิกโต ๑ วิกเขปปฏิพาหโต ๑ ปณณติสมติกกมนโต ๑ อนุ ปุพพมุญจนโต ๑ อัปปนาโต ๑ ติสุตตันตะ ๓ ประการ จึงเปน ๑๐ ประการดวยกัน จะพึงกระทํา มนสิการโกศลโดยอนุปุพพะนั้นอยางไร อนุปุพพะนั้นแปลวาดวยลําดับอธิบายวา พระโยคาพจรผู จําเริญพระกายตาสติกรรมฐานนั้น พึงกระทํามนสิการคือระลึกไปตามพระกรรมฐานโดยลําดับ ๆ กัน อยาใหโจนไปโจนมา พึงกระทํามนสิการโดยลําดับ กระทําใหเหมือนบุรุษอันขึ้นสูพระองอันสูง แล คอยขึ้นไปทีละขั้น ๆ เหตุกลัวจะตก อันกระทํามนสิการโดยลําดับนี้ เปนคุณที่จะไมปราศจากพระ กรรมฐานนั้น ๆ จะมิไดตกไปจากสันดาน แลนาติสีฆโตนั้นคือขณะเมื่อกระทํามนสิการ ระลึกโดยลําดับพระกรรมฐานนั้นอยาเร็วนัก พระกรรมฐานจะมิไดปรากฏแจง ๆ นั้นอยางไร ขณะเมื่อระลึกไปตามอาการ ๓๒ จะมิไดเห็นแทลงโดย อาการเปนปฏิกูลพึงเกลียดนั้นแลไดชื่อวาพระกรรมฐานนั้น ถาระลึกเร็วนักแลวก็พลันสําเร็จคือเร็วจบ พระกรรมฐานก็จะมิไดปรากฏ อาศัยเหตุเร็วไปมิทันที่จะกําหนดกฏหมาย แลนาติสนิกโตนั้น คือ ระลึก พระกรรมฐานอยาใหชานัก ครั้นวากระทํามนสิการพระกรรมฐานนั้นชานักเลา ก็มิใหเปนปจจัยที่จะให ไดธรรมวิเศษ แลวิกเขปปฏิพาหโตนั้น คือขณะเมื่อจําเริญพระกรรมฐานอยาใหทําจิตนั้นเตร็จเตรเรราย ไปในอารมณภายนอกพระกรรมฐาน คือใหดํารงจิตไวในปฏิกูลพึงเกลียดจงได ถาแลจิตถือเอาอาการ แลเกศาเปนตนอันมีพรรณนาตาง ๆ กลับเห็นโดยสภาวะวาดีวางามขณะใด ก็ไดชื่อวาเตร็ดเตรไปใน อารมณภายนอกขณะนั้น ก็จะเสียทีพระกรรมฐานนั้นจะฉิบหายเสีย แลปณณติสมติกกมนโตนั้น คือใหลวงเสียซึ่งบัญญัติ คือคําเรียกวาเกศาผม โลมาขนเปน ตน โดยโลกสังเกตนั้นอยาเอาเปนอารมณเลย พึงตั้งดํารงจิตพิจารณาเอาแตปฏิกูลสิ่งเดียวเปน อารมณ เปรียบประดุจชนทั้งหลายเดินทางพบบอน้ําในอรัญประเทศ ในกาลเมื่อมีน้ําอันไดดวยยาก ก็ ปกไมหมายกรุยผูกไวซึ่งกิ่งไมมีใบตาลเปนตน เปนสําคัญไวในที่บอน้ํานั้น ครั้นภายหลังปรารถนาจะ อาบจะกินขณะใดก็เล็งแลดูที่สําคัญนั้น แลวก็ไปลงอาบกินในขณะนั้น เมื่อไปมาเนือง ๆ รอยเทาที่ บทจรนั้น ปรากฏเปนทางแลวกาลใด แตนั้นไปปรารถนาจะกินจะอาบก็มิไดมีกิจที่จะแลดู ซึ่งสําคัญมี ใบตาลเปนตนก็ตามรอยที่ปรากฏเปนทางนั้น แลวก็ลงกินแลอาบตามปรารถนา จะมีอุปมาดุจใดก็ดีเมื่อพระโยคาพจรกระทํามนสิการในกายคตาสิตกรรมฐานนี้ ใหบุคคลนั้น กระทํามนสิการดวยสามารถเอาบัญญัติ คือโลกสังเกตวาสิ่งนี้เปนตน สิ่งนี้เปนขนเปนตนเปนอารมณ กอน ครั้นสภาวะปฏิกูลปรากฏแลว มิละเสียซึ่งบัญยัติ เอาแตปฏิกูลเปนอารมณ มีอุปไมยดุจนั้น แลอนุ ปุพพมุญจนโตนั้น คือใหละเสียโดยลําดับ อธิบายวาเมื่อระลึกพระกรรมฐานโกฏฐาส ๓๒ เปนอนุโลม ปฏิโลมกลับไปกลับมานั้น ถาพระกรรมฐานในโกฏฐานอันใดปรากฏแจง ก็พึงผูกพันใหจิตมั่นคงอยูใน พระกรรมฐานอันนั้น กรรมฐานอันใดมิไดปรากฏแจงก็พึงละเสีย พระกรรมฐานอันปรากฏเห็นแจงแท แนลงโดยปฏิกูล ก็ยอมอาศัยวาสนาหนหลังสุดเเทแตวาชาติกอนนั้น เคยพิจารณาเห็นอวัยวะอันใดวา เปนปฏิกูล พึงเกลียดพึงชังมาชาตินี้ ก็เปนปจจัยที่จะใหจิตหยุดยั้งตั้งมั่นลงในอวัยวะนั้น ๆ แลวจะ ปรากฏเห็นประจักษทักแทลงวาเปนปฏิกูลพึงเกลียดพึงชัง อาศัยเหตุฉะนี้ พระโยคาพจรผูจําเริญพระกายตาสตินี้ พึงตอนจิตของตนไปในอาการ ๓๒ เปนอนุโลมปฏิโลมกลับไปกลับมากวาจิตจะแนวแนลงในอาการอันใดอันหนึ่งวาเปนปฏิกูลแลว ก็จะ สําเร็จแกพระอัปปนา ซึ่งวาใหกระทํามนสิการโกศลโดยอัปปนานั้น คือมนสิการโดยโกฏฐาสแหงอัปป นานั้นเอง พึงเขาในวาอาการ ๓๒ นี้ ถาแลวาสนาพระโยคาพจรอาจพิจารณาใหเห็นเปนปฏิกูลได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 70 ทั้งสิ้น พระอัปปนาก็จะบังเกิดในโกฏฐาสละอันทั้ง ๓๒ นั้น พระโยคาพจรอันจําเริญพระกายคตาสติ กรรมฐาน ระลึกตามอาการ ๓๒ นั้น ถาพระกรรมฐานนั้นปรากฏแลว ก็เปนปจจัยที่จะใหสําเร็จไดเพียง ปฐมฌาน เพราะเหตุเอาปฏิกูลเปนอารมณอันหยาบละวิตกมิได จึงคงไดแตปฐมฌาน ผิวาปฐมฌาน เปนที่ตั้งแลว จึงปรารภพระวิปสสนาปญญาแกกลาแลว พระโยคาพจรก็หนวงซึ่งอริยภูมิคือมรรคแล ผล ซึ่งวามนสิการในติสุตตันตะนั้น คือใหรูลักษณะพระสูตร ๓ คืออธิจิตตสูตร ๑ สีติภาวนาสูตร ๑ โพชฌงคโกศลยสูตร ๑ ที่ทรงพระมหากรุณาตรัสพระธรรมเทศนาโปรดไว เปนอุบายเพื่อจะให พระโยคาพจรประกอบซึ่งวิริยสมาธิ ในอธิจิตสูตรมีพระพุทธฎีกาตรัสวา ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโยคาพจรภิกษุจําเริญซึ่งอธิจิต คือสมถภาวนา พึงกระทํานิมิต ๓ ประการไวในใจโดยกาลสมควร คือใหกระทําอาการแหงสมาธิให บังเกิดในจิต แลกําหนดซึ่งอารมณแหงสมาธิในจิตโดยอาการอันควร ๑ คือใหกระทํามนสิการ ซึ่งปคคหนิมิต คือใหกาลที่จะยกจิตขึ้นจากหดหูเกียจคราน ๑ คือ ใหกระทํามนสิการซึ่งอุเบกขา นิมิตไวในใจ คือ รูกาลที่กระทําจิตใหมัธยัสถ ๑ เปน ๓ ประการดวยกัน ผิวาพระโยคาพจรภิกษุนั้น บมิไดรูกาลอันควรแลกระทํามนสิการแตสมาธิสิ่งเดียว จิตนั้นก็ตกไปในฝกฝายโกสัชชะ ถากระทํา มนสิการขวนขวายแตจะยกจะยอจิตฝายเดียว จิตนั้นก็ตกไปฝกฝายอุทธัจจะ จะฟุงซานไป อนึ่งผิวา กระทํามนสิการแตอุเบกขาจิต คืออาการอันมัธยัสถสิ้งเดียวเปนนิตย จิตนั้นก็จะเพิงเฉยไป จะมิไดตั้ง มั่นดวยสัมมาสมาธิเพื่อจะใหสําเร็จกิจคือสิ้นไปแหงอาสวะ ผิวาพระโยคาพจรภิกษุนั้นฉลาดรูกาลที่จะ กระทํามนสิการ กําหนดนิมิตทั้ง ๓ ดังกลาวแลว จิตนั้นก็จะบังเกิดออนเสื่อมประภัสสรบริสุทธิ์ควรแก ภาวนากรรม บมิราวฉานจะตั้งมั่นดวยสัมมาสมาธิ เพื่อจะใหสําเร็จกิจสิ้นอาสวะ ในสีติภาวนาสูตรนั้น มีพระพุทธฎีกาตรัสวา ภิกษุประกอบดวยคุณธรรม ๖ ประการ สามารถ เพื่อจะกระทําใหแจงซึ่งสีติภาวะ กลาวคือพระอมฤตมหานิพพานอันประเสริญหาสิ่งจะเสมอมิไดธรรม ๖ ประการนั้น คือเห็นวาจิตฟุงซานก็ขมไวมิใหฟุงซาน ๑ คือยกขึ้นซึ่งจิตหดหูเกียจคราน ๑ คือเอา ปญญาปลงจิตอันประพฤติเปนอันเสมอใหยินดีอุตสาหะในที่ประพฤติอันเสมอ ๑ ถาจิตนั้นปราศจาก ความยินดี มิไดแลนไปในทางวิธีภาวนาก็พิจารณาซึ่งวัตถุมีชาติทุกข เปนตน ยังจิตใหรื่นเริงอุตสาหะ ในวิธีภาวนา ๑ คือจิตอันมัธยัสถอยางกลางอยูแลวก็เพงดู อยาขวนขวายที่จะขมขะยกจะใหชื่นนั้น ๑ คือใหมีอัธยาศัยนอมไปในปณีตธรรม คือมรรคแลผลคือใหยินดียิ่งนัก ในพระนิพพาน ๑ เปน ๖ ประการ แลโพชฌงคโกศลสูตรนั้น มีพระพุทธฎีกาตรัสพระธรรมเทศนาโปรดไววา ใหผูฉลาดรูกาล ที่จะจําเริญพระโพชฌงคทั้ง ๗ มีปสสัทธิสัมโพชฌงคเปนตน ดุจนัยสําแดงในอัปปนาโกศลยกถานั้น แลว อาจารยผูบอกพระกายคตาสติกรรมฐาน พึงบอกซึ่งมนสิการโกศล ๑๐ ประการ ดังพรรณนามา ฉะนี้ พระโยคาพจรจําเริญพระกายคตาสติกรรมฐาน ไดสําเร็จองอัปปนาปฐมฌานแลวมีอานิสงสเปน อันมาก คืออาจครอบงําเสียซึ่งความกระสันเบื่อหนายปนตเสนาสนะที่สงัดแลความเบื่อหนายในกอง กุศลธรรมอันยิ่ง คือจําเริญฌานสมาธิแลอาจจะครอบงําเสียซึ่งความกําหนัดในปญจพิธกามคุณ แล อาจจะครอบงําเสียซึ่งภัยอันพิลึกพึงกลัว จะประกอบดวยอธิวาสนะขันติอดกลั้น ตอเย็นแลรอนแล ทุกขเวทนาตาง ๆ แลถอยคําผรุสหยาบชาเปนตน อนึ่งจะอาศัยซึ่งประเภทอารมณมีสีตาง ๆ มีสีเขียวเปนตน อันปรากฏในทวัตตังสะโกฏฐาส พิจารณาเอาเปนกสิณบริกรรมก็จะสําเร็จแกอัปปนาตราบเทาถึงจตุตถฌาน แลจะเปนอุปนิสัยใหตรัสรู ตลอดถึงอภิญญา ๖ สมาบัติ ๗ แลมรรคแลผล เหตุดังนั้นนักปราชญผูมีปรีชา อยาไดประมาทพึง อุตสาหะจําเริญพระกายคตสสติกรรมฐาน อันประกอบดวยอานิสงสเปนอันมาก ดังพรรณนามาไวแท แล ฯ จบวินิจฉัยในกายคตาสติเทานี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 71 -
จักวินิจฉัยพระอานาปาสติกรรมฐานสืบตอไป อิทานิ ยนฺตํ ภควา อยํป โข อานาปานสติ สมาธิ ฯลฯ เอวํ ปสํสิตฺวา อนฺตํ อานาปานสติกมฺมฏานํ กาตพฺพนฺติ อันวาพระอานาปานสติ กรรมฐานอันใด สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคผูทรงสวัสดีภาคยตรัสสรรเสริญไววา อยํป โข อานา ปานสติสมาธิ อันวาพระสมาธิอันกอปรดวยสติระลึก พิจารณาลมหายใจออกหายใจเขา พระ โยคาพจรใหบังเกิดแลปฏิบัติเนือง ๆ พระอานาปานสติกรรมฐานนี้ ปณีโตจ เกิดเปนประณีต อเส จนโก เย็นเองหาผูจะรดมิไดยิ่งกวาสรรพกรรมฐานทั้งปวงดุจโอชารสอันอรอย ใหโยคาพจรเจาระลึก มิรูอิ่มเลย เหตุไดซึ่งสุขอันประกอบในกายแลเจตสิกในขณะเมื่อเปนไป แลยังกองกุศลธรรมอันลามก อันมิไดขมนั้นใหอันตรธานหาย เบื่อหนายจากสังขารธรรมโดยลําดับ จําเริญขึ้นไปจนพระอริยมรรค แลว ก็จะระงับอกุศลธรรมไดเปนแท แลพระอานาปานสตินั้น จะพึงจําเริญดวยพิธีดังฤๅ จึงตรัสวาบุคคลระงับบาป เห็นภัย ในวัฏฏสงสาร ไดนามชื่อวาสมณะ ภิกษุมิไดมีในศาสนาอื่นจากพุทธ เฉพาะมีแตในศาสนาแหงพระ ตถาคตนี้ จะทรมานน้ําจิตดวยจําเริญพระอานาปานสติกรรมฐานนั้น ใหจําเริญในที่ ๓ ประการ อันควร จะใหเกิดสมาธิดวยสติอันระลึก ปญญาพิจารณาถึงลมหายใจออกหายใจเขานั้น แลที่ ๓ ประการนั้น คือที่อันพนจากเสาเขื่อนขามออกไปโดยที่สุด ๕๐๐ ชั่วคันธนูไดชื่อวาอรัญญะเปนที่ปา ๑ คือตนรมไว ไมมีรมรอบคอบ ๑ คือที่ ๗ ประการ ภูเขา ซอกเขา ถ่ําเขา ปาชา กลางปาสงัด ที่แจงทุง สงัดลอมฟาง นอกกวาปาแลตนไมอันพรรณนามานั้น ชื่อวาสูญญาที่สงัด ๑ ที่ทั้ง ๓ นี้สมควรแก พระอานาปานสติภาวนา เหตุวาจิตนี้ทรมานยาก ผิวาจิตพระโยคาพจรของอยูในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แลวก็บมิไดปรารถนาที่จะขึ้นสูอารมณ คืออานาปานสติสมาธิ ดุจโคเกียจอันเทียมรถมีแต จะพารถนั้นออกไปผิดทาง เหตุดังนั้นพระโยคาพจรผูทรมานจิตดวยธรรมภาวนา พึงดูเยี่ยงอยางนายโคบาล ๆ ทรมาน ลูกโคเกียจ อันกินน้ํานมแมโคเกียจแลวแลนําจําเริญขึ้นนั้นพรากลูกโคออกจากแมแลว จึงผูกคอเขา ไวกับเสา ลูกโคนั้นก็ดิ้นไปขางโนนขางนี้ ครั้นหนีไปไมไดแลวก็ทรุดนอนอยูกับเสา แลมีฉันใด พระ โยคาพจรเมื่อทรมานน้ําจิตอันรายอันจําเริญคุนเคยมาดวยดื่มกินซึ่งรสอาหาร คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น อปเนตฺวา พรากเสียจากอารมณมีรูปเปนตนแลว จึงเขาไปยังปาแลตนไมที่สงัดแลว พึงเอาสติตางเชือกผูกลูกโคคือจิตเขาไวในเสา คือลมอันหายใจออกหายใจเขา แลจิตนั้นก็ดิ้นไปขาง โนนขางนี้ มิไดซึ่งอารมณมีรูปเปนตน อันเคยสั่งสมมาแตกอน มิอาจจะตัดเชือกคือสติใหขาดออกได แลว ก็จะทรุดแนนอนอยูดวยอุปจาร, อัปปนาสมาธิฌานในที่เสนาสนะทั้ง ๓ มีอุปไมยดังนั้น พระอานาปานสติกรรมฐานนี้ มุทฺธ ภูตํ เปนยอดมงกุฏแหงพระกรรมฐานทั้งปวง เปนตนเหตุจะใหสมเด็จพระพุทธเจาพระปจเจกโพธิเจา พระสาวกทั้งปวงไดซึ่งธรรมวิเศษอันอยูเปนสุขเห็นประจักษในชาตินี้ อันจะจําเริญอยูในคามันตะ เสนาสนะใกลบาน อันอึงไปดวยเสียงหญิงตาง ๆ เปนขาศึกเสี้ยนหนาม พระพุทธองคจึงตรัสใหจําเริญ ในที่ทั้ง ๓ เพื่อใหเกิดจตุตถฌานเปนที่ตั้งแลว จะไดพิจารณาจิตเจตสิกในฌานเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และตรัสรูซึ่งพระอรหัตตผลฌานอันประเสริฐ เสนาสนํ อุปติสิตฺวา สมเด็จพระสรรเพชญ พุทธองคตรัสสําแดงเสนาสนะทั้ง ๔ อันควรจะจําเริญอานาปานสติภาวนา ตองดวยจริต ๓ ฤดู ๓ ธาตุ ๓ คือ ฤดูรอน ๔ เดือนชอบจําเริญในปา ฤดูเหมันต ๔ เดือนชอบจําเริญในรุกขมูล ฤดู วสันต ๔ เดือนชอบจําเริญในที่ทั้ง ๗ ประการ บุคคลเปนโทสจริต ธาตุเสมหะ ธาตุดีมากชอบเพียนในรุกขมูล บุคคลเปนราคจริต ธาตุลม ชอบจําเริญในที่สงัด บุคคลเปนโมหจริตธาตุเสมหะ ชอบเพียรในปา แทจริงพระโยคาพจรอันเพียรใน ปานั้น ดุจดังวาพญาเสือเหลือง ๆ นั้น อาศัยสุมทุมพุมหญาแลราวปาอันชัฏแลเงื่อมเขา ซอนอยูคอย จับมหิงษาสุกรโคกระทิงเปนอาหาร แลมีฉันใด พระโยคาพจรเขาไปลี้ลับอยูในผาเปนตน ก็ถือเอาซึ่ง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 72 พระอริยมรรคพระอริยผลมีอุปไมยดังนั้น เมื่อพระโยคาพจรจําเริญอานาปานสติกรรมฐานนั้น พึงนั่ง บัลลังกสมาธิดุจกลาวแลวในปวีกสิณ พึงตั้งสติไวในที่อันลมหายใจออกหายใจเขาถูกตอง คนจมูก ยาวถูกตองปลายนาสิก คนจมูกสั้นลมถูกเขาตั้งสติไวที่ปลายนาสิก แลริมฝปากอันลมถูกตองโดยที่ ๑๖ ที่อาการ ๓๒ แลพระอานาปานสติกรรมฐานนี้ มีจตุกะ ๔ มีวัตถุ ๑๖ มีอาการ ๓๒ อันวานี้ โดยสรุป จักวินิจฉัยในจตุกะทั้ง ๔ นี้กอน จตุกะนั้นแปลวาประมาณ ๔ เหตุในพระอานาปานสติ กรรมฐานนี้มีประมาณวัตถุทีละ ๔ ๆ ที่ คือ ปฐมจตุกะมี วัตถุ ๔ ทุติยะจตุกะมีวัตถุ ๔ ตติยจตุกะมี วัตถุ ๔ จตุตถจตุกะมีวัตถุ ๔ ฯ จักวินิจฉัยในจตุกะแตละอันออกไป ในปฐมจตุกะนั้นมีวัตถุ ๔ คือ พระโยคาพจรรูวาอาตมา หายใจออกหายใจเขายาวเปนวัตถุที่ ๑ คือ รูวาอาตมาระบายลมออกสั้นเขาสั้นเปนวัตถุที่ ๒ คือ พระ โยคาพจรศึกษาวาอาตมากระทําอัสสาสะกายใหปรากฏแลว จะระบายลมออกลมเขาจัดเปนวัตถุที่ ๓ คือ พระโยคาพจรศึกษาวาอาตมาระงับซึ่งอัลสาสะกายปสสาสะกายอันหยาบแลว จะระบายลมออ กลมเขาจัดเปนวัตถุที่ ๔ ในทุติยจตุกะมีวัตถุ ๔ นั้น คือพระโยคาพจรศึกษาวา อาตมากระทําซึ่งจิตให ปรากฏแลว จนระบายลมออกลมเขาจัดเปนวัตถุที่ ๑ คือ ศึกษาวาอาตมายังจิตใหชื่นชมแลวจะระงับ ลมออกลมเขาจัดเปนวัตถุที่ ๒ คือ ศึกษาวาอาตมาตั้งจิตไวใหเสมอแลว จะระบายลมออกลมเขา จัดเปนวัตถุ ๓ คือ ศึกษาวาอาตมาระงับจิตสังขารแลว จะระบายลมออกลมเขาจัดเปนวัตถุที่ ๔ ใน ตติยจตุยจตุกะมีวัตถุ ๔ นั้น คือพระโยคาพจรศึกษาวาอาตมากําหนดรูจิตแลว จะระบายลมออกลม เขาจัดเปนวัตถุที่ ๑ คือศึกษาวาอาตมาทําจิตใหบันเทิงแลว จะระบายลมออกลมเขาจัดเปนวัตถุที่ ๒ คือศึกษาวาอาตมาตั้งจิตมั่นแลว จะระบายลมออกลมเขาจัดเปนวัตถุที่ ๓ คือ ศึกษาวาอาตมาเปลื้อง จิตใหพนจากนิวรณธรรม จะระบายลมออกลมเขาจัดเปนวัตถุที่ ๔ ในจตุตถจตุกะมีวัตถุ ๔ นั้น คือพระโยคาพจรศึกษาวา อาตมาเห็นพระอนิจจังแลว จะระบายลมออกลมเขาจัดเปนวัตถุ ที่ ๑ คือศึกษาวาอาตมาเห็นพระนิพพานอันเปนที่ปราศจากราคะแลว จะระบายลมออกลมเขาจัดเปน วัตถุที่ ๒ คือศึกษาวาอาตมาพิจารณาเห็นพระนิพพานอันดับกิเลสแลว จะระบายลมออกลมเขาจัดเปน วัตถุที่ ๓ คือศึกษาวาอาตมาพิจารณาเห็นพระนิพพานอันเปนที่ละกิเลสแลว จะระบายลมออกลมเขา จัดเปนวัตถุที่ ๔ จตุกะละอัน ๆ นี้มีวัตถุละ ๔ จึงเปนวัตถุ ๑๖ อาการ ๓๒ นั้นคือ วัตถุละอัน ๆ มี อาการ ๒ คือลม ออก ๑ ลมเขา ๑ จตุกะทั้ง ๔ ประการนี้ พระพุทธองคตรัสเทศนาดวยสามารถ สติปฏฐานทั้ง ๔ คือเทศนาปฐมจตุกะดวยสามารถกายานุปสสาสติปฏฐาน ไวสําหรับบุรุษผูเปนตน กัม มิกะแรกกระทําความเพียร เทศนาจตุกะที่ ๒ ที่ ๓ ดวยสามารถเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน แลจิตตา นุปสสนาสติปฏฐาน เทศนาจตุกะที่ ๔ นั้นดวยสามารถธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน จตุกะ ๓ ประการนี้ไว สําหรับพระโยคาพจรผูไดฌานแลว มีเนื้อความในพระอรรถกถาวินัยวา เหตุใดจึงตั้งลม ออกกอน พสฺเพสมฺป คพฺภเสยฺย กานํ อันประเพณีสัตวที่อยูในครรภมารดานั้น นิสฺสวาตา มิได หายใจเขาออกเลย ตอจากครรภมารดาแลวลมภายในออกมากอน พัดพาเอาธุลีละเอียดในภายนออก เขาไปถึงตนลิ้นแลวก็ดับ แตนั้นไปสัตวก็หายใจออกเขาตราบเทากําหนดอายุ เหตุดังนั้นจึงตั้งลมออก กอน ซึ่งวาลมออกลมเขายาวชาสั้นเร็วนั้นดวยประเทศรางกายแหงสัตวนั้นสั้นยาว กายสัตวมีชางแลงู เปนตนยาว ลมหายใจออกเขานั้นคอยออกคอยเขาเนือยชา ก็เรียกวาลมหายใจออกเขายาวชา กาย แหงสนัขแลกระตายเปนตนนั้นสั้น ลมหายใจออกเขานั้นสั้นเร็ว ก็เรียกวาลมหายใจเขาออกสั้นเร็ว ฝายมนุษยทั้งปวงนี้บมิไดเหมือนกัน บางคนหายใจออกเขา ฝายจะยาวดวยสามารถขณะ อันชาอยางชางแลงูเปนตน ก็มีบางบางคนก็หายใจออกเขาสั้น ดวยสามารถขณะอันเร็วอยางสุนัขและ กระตายเปนตนก็มี เหตุดังนั้น พระโยคาพจรผูจําเริญพระอานาปานสติกรรมฐาน เมื่ออาตมาหายใจ ออกเขายาว ดวยสามารถกาลอันชาแลเร็ว พึงมีสติระลึกปญญาพิจารณาทุก ๆ อาการ เมื่อพระ โยคาพจรมีสติปญญาระลึกพิจารณาซึ่งลมหายใจออกเขายาวก็ดี ระบายออกเขาสั้นก็ดีโดยอาการ ฉะนี้ สุขุโม ลมนั้นก็จะเปนสุขุมละเอียด เมื่อลมเปนสุขุมละเอียดแลว ก็จะบังเกิดความปรารถนารัก ใครในการอันเพียรภาวนาตอไป สุขุมตรํ ลมนั้นละเอียดเขากวาแตกอน ชื่อวา อติสุขุม แตนั้นก็พึง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 73 เพียรพิจารณาลมอติสุขุมจําเริญพระกรรมฐานสืบไป ปาโมชฺชํ อุปฺปชฺชติ อันวาตรุณปติก็บังเกิด ออน ๆ ดวยภาวนาจิต เมื่อพระโยคาจรจําเริญภาวนาจิตแลไดปราโมทยปติออน ๆ ดังนี้ แลวลมก็จะ ละเอียดยิ่งกวาเกาลมอันปรากฏในขณะนั้น ก็ไดชื่อวาอนิจจาติสุขุมบังเกิดแกพระโยคาพจร ครั้นเพียรพิจารณาตอไปดวยอาการดังนั้น อันวาอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตก็บังเกิด จิต แหงพระโยคาพจรก็กลับจากกิจที่จะเอาลมสุขุม อติสุขุม แลอนิจจาติสุขุมเปน ยึดเอาแตอุคคห นิมิตเปนอารมณ เมื่อปฏิภาคนิมิตบังเกิดปรากฏแทแลว จิตนั้นก็ไดชื่อวา อุปจารฌาน ผิวาพระ โยคาพจรนั้น บารมีควรจะไดปฐมญานก็ยึดเอาปฏิภาคนิมิตนั้นเปนอารมณแลวก็บังเกิดอัปปนาฌาน ในลําดับอุปจารฌานนั้นจิตก็เปนอารมณแลวก็บังเกิดอัปปนาฌาน ในลําดับอุปจารฌานนั้นจิตก็เปน อุเบกขา เล็งดูอารมณในอัปปนาสมาธิฌาน อันกอปรดวยปฏิภาคนิมิตเปนกลางอยู มิไดหยอนไดกลา เพราะไดปฐมฌานอยู ลักษณะพระธรรมภาวนานี้ ชื่อวาพระกายานุปสสนา วาพระสมาธิฌานไดดวยจําเริญธรรม คือสติระลึกปญญาพิจารณากาย คือลมหายใจออกเขาอันยาวแลสั้นดวยกาลอันชาแลเร็วนั้น ใจความ ในที่จําเริญพระอานาปานสตินี้ ใหพระโยคาพจรกระทําะจิตเปนอาการ ๓ คือเมื่อไดลมสุขุมนั้นกระทํา จิตใหยินดีในกามาพจรกุศล ครั้นไดลมอติสุขุมกระทําจิตใหยินดีปรีดายิ่งขึ้นในกามาพจรกุศล เมื่อได ลมอนิจจาติสุขุมแลว เมื่ออุคคหนิมิตปฏิภาคนิมิตจะบังเกิดนั้น ใหกระทําเปนอุเบกขามัธยัสถ เล็งดู อารมณ คือปฏิภาคนิมิตในอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธินั้น แลอาการจิตทั้ง ๓ นี้ มีในลมออกลมอัน ปรากฏแกพระโยคาพจร ๓ มีในลมเขาอันปรากฏแกพระโยคาพจรทั้ง ๓ มีในลมอันปรากฏแกพระ โยคาพจรทั้งออกทั้งเขา ๓ จึงเปนอาการ ๙ ดังนี้ วินิจฉัยในวัตถุที่ ๑ ที่ ๒ ในปฐมจตุกะยุติแตเทานี้ แลวัตถุที่ ๓ ในปฐมจตุกะ ที่วาพระโยคาพจรสําเหนียกลมใหปรากฏแลว จะระบายลมออก เขานั้น คือใหรูตนลม กลางลม ปลายลม ลมหายใจออกนั้นตนอยูนาภี กลางอยูหทัย ปลายอยูปลาย นาสิก ลมหายใจเขานั้นตนอยูปลายนาสิก กลางอยูหทัย ปลายอยูนาภี ซึ่งพระพุทธฎีกาตรัสให กําหนดตนลม กลางลม ปลายลมดังนี้ สําหรับผูมีบารมีนอยมิอาจรูกําหนดตามพระพุทธฎีกาจึงจะรู พระโยคาพจรบางองคมิพักลําบากดวยจะรูตนลม กลางลม ปลายลมนั้นเลย แตพอระลึกกําหนดก็รู ตนลม กลางลม ปลายลมโดยงาย เพราะเหตุมีบารมีไดบําเพ็ญมาหลายชาติ พระโยคาพจรบางพระองคพิจารณาลมหายใจออกเขาปรากฏรูแตตน ลมกลาง ลมปลาย ลมปลายมิไดปรากฏรู ก็อาจพิจารณาไดแตตนลมสิ่งเดียว ลําบากในกลางลม ปลายลมบางพระองค ปรากฏรูแตกลางลม ตนลมปลายลมมิไดปรากฏรู บางพระองคปรากฏรูเเตปลายลม ตนลม กลางลม มิไดปรากฏรู ก็พิจารณาแตปลายลมอยางเดียว ลําบากในตนลม กลางลม บางพระองคก็รูสิ้นทั้งตนลม กลางลมปลายลม มิไดลําบากในที่หนึ่งเลย ดังนี้แลจึงวา สพฺพกายปฏิสํเวที กระทําอัสสาสะ ปสสาสะ ใหปรากฏสิ้นทั้งนั้น พระโยคาพจรผูเปนตนกัมมิกะแรกกระทําเพียร จงมีสติเพียรพิจารณาให ปรากฏทั้ง ๓ เหมือนพระโยคาพจรเจาในที่สุดนี้ แลวัตถุที่ ๔ ในปฐมจตุกะที่วาใหพระโยคาพจรสําเนียกวา อาตมาระงับอัสสาสะปสสาสะ กายอันหยาบแลวจะระบายลมออกเขานั้นคือใหระงับกายสังขาร คือลมหายใจออกเขาอันหยาบให ละเอียดเขาเปนสุขุมอติสุขุม ครั้นลมสุขุมอติสุขุมอันตรธานหาย ลมบรมสุขุมอันเปนที่สุดบังเกิดแลว ก็ ไดชื่อวาระงับกายสังขาร คือลมหายใจออกเขาเปนอันดี แลซึ่งวาลมหยาบนั้นหยาบมาแตเดิม คือเมื่อ แรกยังมิไดปรารภภาวนา กายแลจิตยังมิไดระงับลง ครั้นปลงสติปญญาพิจารณาไปก็ละเอียดเขา ๆ โดยลําดับ ๆ คือเมื่อพระโยคาพจรไดอุปจารแหงปฐมฌานลมละเอียดเขากวาเมื่อแรกมนสิการ อีกที ๑ ในปฐมฌานอุปจารก็ยังหยาบละเอียดเขาในทุติฌาน ลมในทุติฌานแลอุปจารแหงตติยฌานนั้นก็ยัง หยาบละเอียดลง ในตติยฌาน ลมในตติยฌานแลอุปจารแหงจตุตถฌานนั้น ก็ยังไดชื่อวาหยาบ ครั้นถึง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 74 จตุตถฌานละเอียดยิ่งนัก ถึงซึ่งมิไดเปนไปเลย จตุตถฌานแทจริง อยางนี้วาดวยระงับในสมถกรรม ฐานกอน ระงับโดยพระวิปสสนากรรมฐานนั้น ลมอัสสาสะหยาบในกาลเมื่อพระโยคาพจร ยังมิได พิจารณาพระวิปสสนากรรมฐาน ไปละเอียดลงในกาลเมื่อพิจารณาซึ่งมหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ อันเกิดดับ อนึ่งลมอันเปนไปในกาลเมื่อพิจารณามหาภูตรูปนั้น ก็ยังไดชื่อวาหยาบไปละเอียดลง เมื่อพิจารณารูปอาศัย ดิน น้ํา ไฟ ลม ๆ ก็ยังหยาบ ไปละเอียดลงเมื่อพิจารณาจิต เจตสิกอันเกิดกับ อานาปานสติสมาธิ ๆ ก็ยังหยาบ ไปละเอียดลงเมื่อพิจารณารูปธรรมนามธรรมจิตเจตสิก ๆ ก็ยังหยาบ ไปละเอียดลงเมื่อพิจารณาเหตุปจจัยอันจะใหเกิดแลดับแหงนามรูป ๆ ก็ยังหยาบไป ละเอียดลงเมื่อ พิจารณานามรูปกอปรดวยปจจัยตกแตง ๆ ก็ยังหยาบไป ละเอียดลงขณะเมื่อพิจารณาเห็นนามรูปเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๆ ก็ยังหยาบไปละเอียดลงสมัยเมื่อพิจารณานามแลรูป เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตากลาแท ลมละเอียดโดยพระวิปสสนาดังพรรณนามาฉะนี้ อันนี้แกไขในบทโดยลําดับแหงปฐมจตุกะ คือวัตถุ ๑, ๒, ๓, ๔ ชื่อวากายานุปสสนาสติ ปฏฐาน แรกพระโยคาพจรจะปฏิบัติยุติแตเทานี้ แลจตุกะทั้ง ๓ อันจะพรรณนาไปในเบื้องหนานี้ เปน เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน จิตตานุปสนาสติกรรมฐาน ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน เปนตน สมถกรรม ฐาน แลวิปสสนากรรมฐาน สําหรับพระโยคาพจรผูไดฌานแลว แตในจตุกะเบื้องตนอันเปนสมถกรรม ฐานนั้น พระโยคาพจรผูจําเริญพระอานาปานสติกรรมฐานนั้น พึงกระทํามนสิการดวยวิธี ๘ ประการ คณนา คือกําหนดนับซึ่งลมออกลมเขาประการ ๑ อนฺพนฺธนา คือกําหนดลมระหวางบ มิไดประการ ๑ ผุสฺสนา คือกําหนดใหรูซึ่งที่อันลมถูกตองประการ ๑ ปถนา คือ มนสิการซึ่งอัปป นาฌานประการ ๑ สลฺลกฺขณา คือวิปสสนาประการ ๑ วิวฏฏนา คือพระอริยมรรคประการ ๑ ปาริสุทฺธิ คือ พระอริยผลประการ ๑ ปฏิปสฺสนา คือปจจเวกขณญาณ อันพิจารณาซึ่งมรรคแล ผลประการ ๑ เปน ๘ ประการดวยกัน แลพระโยคาพจรผูเปนกัมมิกะแรกจะเลาเรียนนั้น พึงมนสิการพระกรรมฐานดวยวิธีอันนับ นั้นกอน เมื่อจะนับซึ่งลมออกลมเขานั้น อยาใหนับต่ําลงมากวา ๔ อยาใหเกินขึ้นไปกวา ๑๐ อยานับ ใหโจนคั่นกันไป ถานับซึ่งลมอัสสาสะปสสาสะใหต่ําลงมากวา ๔ จิตตุปบาทแหงพระโยคาพจรตั้งอยู ในที่อันคับแคบแลว ก็จะดิ้นรนไปมิไดสงบดุจหมูโคอันบุคคลขังไวในคอกอันคับแคบแลว ถานับให เกิดขึ้นไปกวา ๑๐ จิตตุปบาทแหงพระโยคาพจรอาศัยซึ่งนับแลวก็จะระเริงไป มิไดกําหนดซึ่งพระ กรรมฐาน ถานับใหคั่นกันไปวา ๑, ๓, ๕ ดังนี้ จิตแหงพระโยคาพจรก็จะกําเริบสงสัยวา พระกรรมฐาน แหงอาตมานี้ถึงซึ่งอันสําเร็จแลวหรือยังมิไดสําเร็จประการใด เหตุดังนั้นพระโยคาพจรพึงละเสียซึ่งนับ อันเปนโทษทั้ง ๓ ประการนี้แลว พึงนับซึ่งลมออกลมเขาดวยกิริยาอันนับชาชื่อวาธัญญามาปกคณนา ดังคนนับตวง ขาวเปลือกนั้น แทจริงอันวาบุคคลตวงขาวเปลือกนั้นเอาทะนานตวงขึ้นซึ่งขาวเปลือกใหเต็ม แลว นับวา ๑ จึงเทลง ครั้นแลวจึงตวงขึ้นใหม เห็นหยากเยื่ออันใดอันหนึ่งติดขึ้นมาก็เทขาวทะนานนั้นเสีย บมิไดเอา จึงนับวา ๑ ไป แลวตวงขึ้นมาใหมนับวา ๒ แลวก็เทตวงขึ้นอีกเลา ครั้นเห็นหยากเยื่ออันใด อันหนึ่งติดขึ้นมาก็มิไดเอา เทขาวทะนานนั้นเสียจึงนับวา ๒ อีกเลา ตราบเทาจนถึง ๑๐ แลมีฉันใด พระโยคาพจรกําหนดนับซึ่งลมอัสสาสะปสสาสะนั้น ถาลมหายใจออกหายใจเขาอันใดปรากฏแจง ก็ ใหนึกนับเอาซึ่งลมอันนั้นวา ๑, ๒ เปนตน ไปตราบเทาจนถึง ๑๐ ๆ ดังคนอันนับตวงขาวเปลือกแลนับ ซึ่งขาวอันเทลงนั้น ๒
วาโดยเนื้อความพิธีวตกุมภาราม ทานใหนับลมอัสสาสวาตะกอน ใหนับลมปสสาสวาตะที่ คือนับเปนคู ๆ ไปจนถึง ๑๐ คู ใหนับวาลมออก ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 75 -
ทสกะ ดังนี้แลวใหนับแตปญจกะขึ้นไปถึงทสกะเลา อธิบายดังนี้ในฎีกาก็ไมมี แตเห็นวาคลายคลึง กับบาลีวา เอวเมว อิมินาป อสฺสาสปสฺสาเสสุ โย อุปฏาติ ตํ คเหตฺวา เอกํ เอกนฺติ อาทึ อตฺวา ยาว ทสทสาติ ปวตฺตมานํ ปวตฺตมานํ อุปสลฺลกฺเขตฺวาว เคณตพฺพํ เนื้อความวา ล้ําลมหายใจ เขาหายใจออกทั้งหลาย ถาลมหายใจออกหายใจเขาอันใดปรากฏแจง ใหพระโยคาพจรนับซึ่งลมนั้น วา ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ แลวกลับมานับวา ๑ ไปตราบเทาถึง ๑๐ เลา เมื่อพระโยคาพจร กําหนดนับซึ่งลมอันเดินโดนครองนาสิกดวยประการดังนี้ ลมอัสสาสะปสสาสะปรากฏแลวใหพระโยคาพจรละเสียซึ่งนับชา อันชื่อวาธัญญมาปก คณนานั้น พึงนับเร็วเขา ดังนายโคบาลอันนับโคนั้น นายโคบาลอันฉลาดก็เอากรวดใสพกแลว ถือเอา ซึ่งเชือกแลประฏักไปยังคอกโคแตเชาขี่ลงในหลังแหงโคแลวตนก็ขึ้นนั่งบนปลายเสาประตูคอกนั้น โคตัวออกมาถึงประตูคอก นายโคบาลก็ทิ้งกรวดไปทีละเม็ดเปนคะเเนน นับไปวา ๑, ๒, แลหมูโคอัน ขังลําบากอยูในที่คับแคบสิ้นราตรี ๓ ยาม ก็เบียดเสียดกันมาเปนหมู ๆ แลนายโคบาลนั้นก็นับเร็วเขา วา ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ แลมีฉันใด เมื่อพระโยคาพจรนับดวยอันชาโดยนัยกอนนั้น อัสสาสะปสสาสะนั้นปรากฏแลวก็เดินโดยคลองนาสิกเนือง ๆ เขา รูลมเดินเร็วเนื่องกันไป แลว ลําดับนั้นพระโยคาพจรอยาไดเอาสติตามลมอันเขาไปภายในแลออกมาภายนอกเลย คอย กําหนดเอาซึ่งลมอันมาถึงทวาร คือมากระทบซึ่งปลายนาสิกแลริมโอษฐเบื้องบนนั้น พึงใหนับเร็วเขา วา ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ วา ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ วา ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ วา ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘ วา ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ ใหเร็วเขาดังนายโคบาลนันซึ่งโคนั้น พระอานาปานสติ กรรมฐานนี้เนื่องไปดวยสติอันนับ เมื่อนับไปโดยนิคมดังนี้ จิตแหงพระโยคาพจรนั้นก็ถึงซึ่งเลิศเปน หนึ่งดวยกําลังอันนับประดุจเรืออันหยุดอยูในกาะแสน้ําอันเชี่ยว ดวยกําลังถออันบุคคลค้ําไวนั้น เมื่อ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 76 พระโยคาพจรนับเร็วเขาดังนี้ พระกรรมฐานนั้นปรากฏดุจหนึ่งวาเปนไปหาระหวางมิได พระโยคาพจรรูอัสสาสะปสสาสะ เดินหาระหวางมิไดแลว อยาไดเอาสติตามกําหนดซึ่งลมอันออกแลเขานั้นเลย พึงนับใหเร็วเขาโดยนัย กอน ถาพระโยคาพจรยังจิตใหเขาไปตามลมอันเขาไปภายในนั้น แลลมภายในนั้นก็จะครอบงําอันทํา ซึ่งทรวงอกแหงพระโยคาพจรนั้น ใหปรากฏดุจหนึ่งวาเต็มไปดวยมันขน ถาแลซึ่งจิตออกมาตามลม อันออกมาภายนอก จิตแหงพระโยคาพจรก็ฟุงซานไปในอารมณเปนอันมากในภายนอก จึงหามมิให เอาสติตามลมเขาไปเลยตามลมออกมาใหตั้งสติไวในที่อันลมถูกตอง คือปลายนาสิกาแลโอษฐเบื้อง บน พระกรรมฐานภาวนาจึงจะสําเร็จแกพระโยคาพจรผูเจริญนั้น มีคําโจทกถามวา กีวจิรํ ปเนตํ คเณตพฺพนฺติ ซึ่งวาใหนับลมออกลมเขา จะนับใหนานสิ้นกาลเทาดังฤๅ วิสัชนาวาเมื่อนับ ๆ ไปจนลมปรากฏแลวแลหยุดนับเสีย สติแหงพระโยคาพจรนั้นตั้งมั่นลงในอารมณ คือลมหายใจออก หายใจเขาตราบใด ก็นับไปสิ้นกาลตราบนั้น เมื่อพระโยคาพจรกระทํามนสิการดวยคณนาวิธีไดดังนี้ แลว พึงกระทํามนสิการดวยอนุพันธนาสืบไป แลพระโยคาพจร หยุดนับเสียแลวเอาสติกําหนดลม หายใจออกหายใจเขาเนือง ๆ หาระหวางมิไดดังนี้ชื่อวาอนุพันธนาซึ่งวาใหกําหนดลมหายใจออก หายใจเขาดวยสติเนือง ๆ หาระหวางมิไดนั้นจะใหเอาสติกําหนดในที่ตน ที่ทามกลาง ที่ปลายแหงลม หายใจเขาออกนั้นจิตแหงพระโยคาพจรนั้น ก็จะเตร็จแตรไปมาในกายในภายนอกมิไดตั้งอยูในทีเดียว จะระส่ําระสายหวั่นไหวไปในกายแลจิตนั้น เหตุดังนั้นพระโยคาพจร อยาพึงกระทํามนสิการขวนขวาย เอาสติตามกําหนดในที่ตนทามกลางเบื้องปลายนั้นเลย พึงกระทํามนสิการดวยผุสนาปถานานั้นเถิด แลมนสิการดวยผุสนานั้น คือเอาสติกําหนดในที่ลมเปนปกติ คือปลายนาสิกแลริมโอษฐ เบื้องบนที่ใดที่หนึ่งนั้น มนสิการดวยปถนานั้น คือพระกรรมฐานตลอดถึงฌานบังเกิดแลว ใหพระ โยคาพจรเอาจิตกําหนดในที่ลมถูกตองนั้น ไดชื่อวามนสิการดวยปถนาแลวิธีมนสิการดวยผุสนากับปถ นานั้น จะตางกันหาบมิไดเพราะเอาเหตุที่อันลมถูกตองสิ่งเดียวเปนมนสิการเหมือนกัน และจะแปลก กันเหมือนมนสิการ ดวยคณนาแลอนุพันธนานั้นหาบมิได ความซึ่งวามนสิการดวยคณาแลมนสิการ ดวยอนุพันธนาแปลกกันนั้นคือพระโยคาพจรยังมิไดหยุดวิธีนับและนึกนับซึ่งอัสสาสะปสสาสะในอัน ลมถูกวา ๑,๒ เปนตนนั้น ไดชื่อวามนสิการดวยคณนาแลผุสนา เมื่อพระโยคาพจรหยุดนับเสียแลว เอา สติกําหนดในอันที่ลมถูก ก็ไดชื่อวากระทํามนสิการดวยอนุพันธนาแลผุสนา เมื่ออัปปนาฌานบังเกิด แลพระโยคาพจรเอาฌานจิตกําหนดไวในที่อันลมถูกนั้น ไดชื่อวา มนสิการอนุพันธนาผุสนาแลปถนา ซึ่งวาใหพระโยคาพจรกําหนดซึ่งลมในที่อันถูกตองมิใหเอาสติตาม ลมเขาไปตามลมออกมาในที่ทั้ง ๓ คือปลายนาสิกแลหทัยแลนาภีนั้น มีอุปมาตอบุรุษเปลี้ยอันไกว ชิงชา แลนายประตูอันพิจารณาซึ่งคนอันอาจารยกลาวไวในพระอรรถกถาวา เสยฺยถาป ปคุโฬ โทฬาย กิฬตํ มาตา ปุตฺตานํ โทฬํ ขิปตฺวา อันวาบุรุษเปนเปลี้ย เมื่อภรรยากับบุตรแหงตนใหขึ้น นั่งเลนบนชิงชาแลวก็ไกวไปตัวนั้นก็นั่งอยูในที่ใกลเสาชิงชานั้นจะไดขวนขวายในที่จะเล็งแลดูซึ่ง ที่สุดทั้ง ๒ แลทามกลางแหงกระดานชิงชานั้นหาบมิได ก็ไดเห็นซึ่งที่ทั้ง ๓ คือที่สุดทั้ง ๒ แล ทามกลางแหงกระดานชิงชา อันไกวไปแลวแลกลับมาโดยลําดับ อนึ่งโทวาริกะบุรุษอันรักษาประตูนั้น จะไดเปนภาระธุระที่จะเที่ยวถามซึ่งบุคคลภายในแล ภายนอกพระนครวา ทานนี้ชื่อใดมาแตไหนสิ่งอันใดมีในมือนั้น จะถามดังนี้หาบมิได นั่งอยูแทบประตู คอยพิจารณา ซึ่งชนอันมาถึงทวารเขาก็รูวามาแตทิศทั้ง ๒ ฉันใดก็ดี อันวาพระโยคาพจรยืนอยูในที่ ใกลเสาคือที่อันลมถูกตองนั้นแลวก็ไกวไปซึ่งกระดานชิงชา คืออัสสาสะปสสาสะเอาสตินั้นนั่งประจํา ไวในนิมิตคือลมอันจะมาถูกตองนั้น คอยกําหนดซึ่งตนลมกลางลมปลาย ในที่อันถูกตองแหงอัสสาสะ ปสสาสะอันไปแลมาโดยลําดับ ไมพักขวนขวายที่จะตามลมออกมาแลตามเขาไปเลยก็ไดเห็นซึ่ง อัสสาสะปสสาสะอันมาแลไปมากระทบเขาในที่ทั้ง ๓ คือปลายนาสิกแลหทัยแลนานาภีโดยปกติ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 77 ประดุจคนไกวชิงชาอันเห็นซึ่งตนแลปลายแลทามกลางแหงกระดาน มาถึงแทบทวารแหงพระนครนั้น
แลนายประตูอันเห็นซึ่งคนอัน
แลพระโยคาพจรบางจําพวกจําเดิมแตมนสิการซึ่งพระกรรมฐานดวยสามารถอันนึกนับนั้น ลมอัสสาสะก็ดับไปโดยลําดับ กระวนกระวายก็ระงับลง เมื่อกระบนกระวายระงับลงแลวจิตก็เบาขึ้น ครั้นจิตเบาขึ้นแลวกายก็เบาขึ้นดวย ปรากฏประดุจหนึ่งถือซึ่งอาการจะลอยไปในอากาศเมื่อโอฬาริก อัสสาสะลมหายใจหยาบดับลงแลวจิตแหงพระโยคาพจรนั้นก็มีแตนิมิต คืออัสสาสะปสสาสะอันสุขุม นั้นก็ดับลงบังเกิดเปนอติสุขุมเขายิ่งกวาลมอันสุขุมในกอนนั้น ประดุจบุรุษตีเขาซึ่งกังสดาลดวยสาก เหล็ก แลเสียงแหงกังสดาลนั้นดังอยางอยูในกอนแลวแลมีเสียงอันละเอียดเขา ๆ ในภายหลังเปน อารมณโดยลําดับนั้น แลพระโยคาพจรจําเริญซึ่งพระกรรมฐานอันนั้น ครั้นมนสิการไปในเบื้องบน ๆ ก็ยิ่งปรากฏ แจงออก แลพระอานาปานสติกรรมฐานนี้ จงไดเปนดังนี้หาบมิไดยิ่งจําเริญขึ้นไป ๆ ก็ยิ่งละเอียด เขาถึงซึ่งมิไดปรากฏแกพระโยคาพจรผูจําเริญนั้นแลลมนั้นดุจหนึ่งวาหายไป ๆ โดยลําดับ ๆ ในเมื่อ พระกรรมฐานบมิไดปรากฏดังนั้นแลว พระโยคาพจรอยาพึงลุกจากอาสนไป ดวยดําริวาจะไปถาม อาจารยดูก็ดี แลคิดวาพระกรรมฐานของอาตมาฉิบหายแลวก็ดี ถาลุกจากอาสนไปอิริยาบถอันนั่งนั้น กําเริบแลว พระกรรมฐานก็จะเปนอันใหม ๆ ไปเหตุดังนั้นใหพระโยคาพจรนั่งอยูในที่นั้นแลว พึงนํา พระกรรมฐานใหคืนมาแตประเทศอันลมเคยถูกตองเปนปกตินั้น อุบายซึ่งจะนําใหลมคืนมาดังนี้ เมื่อพระโยคาพจรรูวาพระกรรมฐานบมิไดปรากฏแลวพึงพิจารณาคนควาดูวาลมอัสสาสะ ปสสาสะนี้ มีในที่ดังฤๅ หามิไดในที่ดังฤๅ มีแกบุคคลจําพวกไร มิไดแกคนจําพวกไร เมื่อพิจารณาหา ดังนี้ก็รูวาลมหายใจออกเขามิไดมีแกบุคคล ๗ จําพวก คือคนอันอยูในครรภมารดา ๑ คนอันดําลงไป ในน้ํา ๓ แลพรหมอันอยูในอัสญญีภพ ๑ คนตาย ๑ เขานิโรธ ๑ เปน ๗ ดวยกัน เมื่อรูดังนี้แลว พึง ตักเตือนตนเองวา ดูกอนทานผูเปนนักปราชญตัวทานจะไดเปนคนอยูในครรภมารดา แลเปนคนอันดํา นั้นอยูก็หาบมิได อนึ่งจะเปนอสัญญีสัตว เปนคนตายเปนคนเขาจตุตถฌาน แลเปนรูปพรหม อรูปพรหม แล พระอริยเจาอันเขานิโรธสมาบัติก็หาบมิได แลลมอัสสาสะปสสาสะนั้นก็มีอยูจะสูญไปไหน แตทวา ปญญาทานนอยก็บมิอาจจะกําหนดได เมื่อตักเตือนตนดังนี้แลวจึงตั้งซึ่งจิตไวดวยสามารถอันมา กระทบเปนปกติแลว พึงมนสิการซึ่งลมนั้นแทจริง ลมอัสสาสัปสสาสะนั้นถาคนมีนาสิกยาวยอมกระทบ กระพุงจมูกคน นาสิกนั้นลมกระกระทบปลายโอษฐเบื้องบน เหตุดังนั้นใหพระโยคาพจรเอาสติกําหนด ซึ่งลม วาจะมากระทบซึ่งที่อันนี้ ประดุจบุรุษไถนาอันคอยโค แลบุรุษไถนานั้น ครั้นไถไปเต็มกําลังโค แลว ก็ปลดซึ่งโคออกจากแอกปลอยไปสูที่อาหาร ตนนั้นก็เขาอยูในรมไมรํางับกระวนกระวาย ฝายโค นั้นก็เขาไปยังปาชัฏดวยกําลังอันเร็ว แลบุรุษไถนาผูฉลาดปรารถนาจะจับซึ่งโคเทียมแอกอีก จะได ตามรอยเทาโคไปในปาชัฏหาบมิได ถือเอาซึ่งเชือกและประฏักแลว ก็ตรงไปสูทาที่โคเคยลงนั่งคอย นอนคอยในที่นั้น ฝายโคเที่ยวไปสิ้นวันยังค่ําแลวก็ลงไปสูทา อาบน้ําแลวกลับขึ้นมาเจาของนั้นเห็นจึงจับเอา โคนั้นขึ้นมา ผูกดวยเชือกแทงดวยประฏักแลวก็พามาเทียมแอกเขาไถไปใหมเลาแลมีฉันใด พระ โยคาพจรผูจําเริญพระอานาปานสติกรรมฐานนี้ เมื่อลมอัสสาสะปสสาสะสูญไปแลว อยาพึงไป แสวงหาในที่อื่นถือเอาซึ่งเชือกคือสติ ประฏักคือปญญาตั้งไวซึ่งจิตคอยประจําอยูในที่อันลมถูกตอง โดยปกติ อุตสาหะมนสิการกําหนดไปไมชาลมนั้นก็จะปรากฏดุจโคอันลมมาสูทา ลําดับนั้นพระ โยคาพจรก็จับซึ่งอัสสาสะไดผูกใหมั่นดวยเชือกคือสติ เอามาประกอบเขาในที่ลมอันเคยถูกตองนั้น แลว ก็แทงดวยประฏักคือปญญาแลว ก็พึงประกอบซึ่งกรรมฐานจงเนือง ๆ เมื่อพระโยคาพจรประกอบเนือง ๆ ดังนี้บมิชาอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิต ก็ปรากฏแกพระ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 78 โยคาพจรนั้นแลอุคคหนิมิตปฏิภาคนิมิตจะเหมือนกันทุกพระโยคาพจรหาบมิได บางอาจารยกลาววา พระโยาคาพจรบางพระองคอุคคหนิมิตเมื่อบังเกิดขึ้นนั้น มีสัมผัสอันเปนสุขปรากฏดุจหนึ่งวาเปนปุย นุนบางปุยสําลีบาง แลนิมิตทั้ง ๓ นี้เล็งเอาอุคคหนิมิตสิ่งเดียว แลคําพิพากษาในอรรถกถานั้นวา อุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตนี้ปรากฏแกพระโยคาพจรบางพระองคเปนชวงดังรัศมีดาว แลพวงแกวมณี พวงแกวมณีมุกดาแลพระโยคาพจรบางพระองค อุคคหนิมิตปฏิภาคนิมิตมีสัมผัสอันหยาบปรากฏดัง เมล็ดในฝายบาง ดังเสี้ยนสะเก็ดไมแกนบาง บางพระองคปรากฏดังดายสายสังวาลอันยาวแลเปลว ควันเพลิงบาง บางพระองคปรากฏดุจหนึ่งใยแมลงมุมอันขึงอยูแลแผนเมฆแลดอกบัวหลวงแลจักรรถ บางทีปรากฏดังดวงพระจันทรพระอาทิตยก็มี แลกรรมอันเดียวนั้นก็บังเกิดตาง ๆ กันดวยสัญญาแหง พระโยคาพจรมีตาง ๆ กัน อนึ่งธรรม ๓ ประการ คือลมออก ๑ ลมเขา ๑ นิมิต ๑ จะไดเปนอารมณแหงจิตอัน เดียวกันหามิได ลมออกก็เปนอารมณแหงจิตอัน ๑ ลมเขาก็เปนอารมณืแหงจิตอัน ๑ ตางกันดังนี้ ก็แล พระโยคาพจรพระองคใดบมิไดรูซึ่งธรรมทั้ง ๓ คือลมออกมิไดปรากฏแจง ลมเขาก็มิไดปรากฏแจง นิมิตก็มิไดปรากฏแจง มิไดรูซึ่งธรรมทั้ง ๓ ประการนี้แลว พระกรรมฐานแหงพระโยคาพจรพระองคนั้น ก็มิไดสําเร็จซึ่งอุปจารแลอัปปนา ตอเมื่อใดธรรมทั้ง ๓ นี้ ปรากฏแจงพระกรรมฐานแหงพระโยคาพจร นั้นจึงจะสําเร็จถึงซึ่งอุปจารฌานแลอัปปนาฌานในกาลนั้น เมื่อนิมิตบังเกิดดังนี้แลว ใหพระโยคาพจรไปยังสํานักอาจารยพึงถามดูวา ขาแตพระผูเปน เจา อาการดังนี้ปรากฏแกขาพเจาพระมหาเถรสันทัดในคัมภีรทีฆนิกายนั้น ถาศิษยมาถามดังนั้น อาจารยอยาพึงบอกวานั่นแลคืออุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิต และจะวาใชนิมิตก็อยาพึงวา พึงบอกวา ดูกรอาวุโส ดังนั้นแลทานจงมนสิการไปใหเนือง ๆ เถิด ครั้นอาจารยบอกวาเปนอุคคปฏิภาคแลว สติ นั้นก็จะคลายความเพียรเสียมิไดจําเริญพระกรรมฐานสืบไป ถาบอกวาดังนั้นมิใชนิมิต จิตพระ โยคาพจรก็จะถึงซึ่งนิราศสิ้นรักใครยินดีในพระกรรมฐาน เหตุดังนั้นอยาไดบอกทั้ง ๒ ประการ พึง เตือนแตอุตสาหะมนสิการไปอยาไดละวาง ฝายพระมหาเถระผูกลาวคัมภีรมัชฌิมนิกายวา ใหอาจารยพึงบอกดูกรอาวุโส สิ่งนี้คืออุคคห นิมิตสิ่งนี้คือปฏิภาคนิมิตบังเกิดแลว ทานผูเปนสัตบุรุษจงอุตสาหะมนสิการพระกรรมฐานไปจงเนือง ๆ เถิด และพระโยคาพจรเปนศิษยพึงตั้งซึ่งภาวนาจิตไวในปฏิภาคนิมิตนั้น จําเดิมแตปฏิภาคนิมิตบังเกิด แลวอันวานิวรณธรรมทั้ง ๕ มีกามฉันทะเปนตนก็สงบลง บรรดากิเลสธรรมทั้งหลายมีโลภะ โทสะ เปน ตนก็รํางับไป จิตแหงพระโยคาพจรก็จะตั้งมั่นลงดวยอุปจารสมาธิ แลพระโยคาพจรนั้น อยาพึง มนสิการซึ่งนิมิต โดยวรรณมีสีดังปุยนุนเปนตน อยาพึงพิจารณาโดยสีอันหยาบ แลลักษณะมีความไม เที่ยงเปนตน พึงเวนเสียซึ่งสิ่งอันมิไดเปนที่สบาย ๗ ประการ มีอาวาสมิไดเปนสบายเปนตน พึงเสพ ซึ่งสบาย ๗ ประการ มีอาวาสสบายเปนตน แลวพึงรักษานิมิตนั้นไว ใหสถาพรเปนอันดี ประดุจนาง ขัตติยราชมเหสีอันรักษาไวซึ่งครรภ อันประสูติออกมาไดเปนบรมจักรพรรดิราชนั้น เมื่อรักษาไวไดดังนี้แลว พระกรรมฐานก็จําเริญแพรหลายแลพระโยคาพจรพึงตกแตงซึ่ง อัปปนาโกศล ๑๐ ประการ ประกอบความเพียรใหเสมอพยายามสืบไป อันวาจตุกฌานปญญจกฌานก็ จะบังเกิดในมิตนั้น โดยลําดับดังกลาวมาแลวในปฐวีกสิณ เมื่อจตุกฌานปญจกฌานบังเกิดแลว ถา พระโยคาพจรมีความปรารถนาจะจําเริญซึ่งพระกรรมฐานดวยสามารถสัลลักขณาวิธีแลวัฏฏนาวิธี จะ ใหถึงซึ่งอริยผลนั้น ใหกระทําฌานอันตนไดนั้นใหชํานาญคงแกวสี ๕ ประการแลว จึงกําหนดซึ่งนาม รูป คือจิตแลเจตสิกกับรูป ๒๘ ปลงลงสูวิปสสนาปญญาพิจารณาดวยสามารถสัมมัสสนญาณเปนตนก็ สําเร็จแกพระอริยมรรคอริยผล มีพระโสดาบันเปนตน เปนลําดับตราบเทาพระอรหัตตผลเปนปริโยสาน ดวยอํานาจจําเริญซึ่งพระอานาปาสติกรรมฐานนี้ เหตุดังนั้นพระโยคาพจรกุลบุตรผูเปนบัณฑิตชาติอยา พึงประมาท จงหมั่นประกอบเนือง ๆ ซึ่งพระอานาปาสติสมาธิอันกอปรดวยอานิสงสเปนอันมาก ดังกลาวมานี้ ฯ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 79 วินิจฉัยในพระอานาปาสติกรรมฐานยุติเทานี้
จักวินิจฉัยในอุปสมานุสสติกรรมฐานสืบตอไป พระโยคาพจรมีความปรารถนาจะจําเริญซึ่ง พระอุปมานุสสติกรรมฐานนั้น ใหเขาไปสูเสนาสนะอันเปนที่สงัดกายแลจิตแลว พึงระพึงซึ่งคุณพระ นิพพานอันระงับซึ่งวัฏฏทุกขทั้งปวงดวยพระบาลีวา มทนิมฺมทโน ก็ได ปปาสวินโย ก็ ได อาลยสมุคฺฆาโต ก็ได วฏฏปริจฺเฉโท ก็ได ตณฺหกฺขโย ก็ได วิราโค ก็ได นิโรโธ ก็ ได นิพฺพานํ ก็ได และพระบาลีทั้ง ๙ อยางนี้เปนชื่อแหงพระนิพพานสิ้น มทนิมฺมทโน นั้นแปลวาพระนิพพานธรรมย่ํายีเสียซึ่งมัวเมา มีความเมาดวยความเปนคน หนุมแลความไมมีโรค แลชีวิตเปนตนใหฉิบหาย ปปาสวินโย นั้นแปลวาพระนิพพานธรรมบรรเทา เสียซึ่งกระหายน้ําคือเบญจกามคุณ อาลยสมุคฺฆาโต นั้นแปลพระนิพพานธรรมถอนเสียซึ่งอาลัย คือเบญจกามคุณ วฏฏปริจฺเฉโท นั้นแปลวาวาตัดเสียซึ่งเวียนไปในภพทั้ง ๓ ใหขาด ตณฺหกฺข โย วิราโค นิโรโธ แปลวาพระนิพพานธรรมถึงซึ่งสิ้นแหงตัณหา หนายจากตัณหา ดับเสียซึ่ง ตัณหา นิพฺพานํ นั้นแปลวา พระนิพพานธรรมออกจากตัณหา และพระโยคาพจรระลึกบทหนึ่งเอา เปนบริกรรม ภาวนาก็ได แตทวาสําเหนียกนามวา นิพฺพานํนั้นปรากฏวาชื่อทั้งปวง ใหพระโยคาพจร ระลึกวานิพฺพานํ ๆ เนือง ๆ ขณะเมื่อพระโยคาพจรจะระลึกซึ่งพระนิพพานคุณอันรํางับซึ่งวัฏฏทุกขทั้ง ปวงนี้ อันวา ราคะ โทสะ และโมหะ ก็จะมิไดครอบงําซึ่งจิตแหงพระโยคาพจรนั้น ขณะเมื่อระลึกซึ่งคุณนิพพานธรรมนั้น จิตแหงพระโยคาพจรก็จะถึงซึ่งอันซื่อตรง ขมลงซึ่ง นิวรณธรรมนั้น ๕ องค อุปจรฌานก็จะบังเกิดแตทวามิไดถึงซึ่งองคอัปปนาฌานเหตุแหงพระนิพพาน นั้น คัมภีรภาพจิตแหงพระโยคาพจรหยั่งลงในอันระลึกพระคุณนั้นมีประการตาง ๆ จึงมิไดถึงซึ่งองค อัปปนา แลฌานอันพระโยคาพจรจําเริญซึ่งอุปสมคุณแลไดนั้น ชื่อวาอุปสมานุสสติฌาน อันวาบุคคล อันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ชื่อวาภิกษุเมื่อหมั่นประกอบเนือง ๆ ซึ่งอุปสมานุสสตินี้ จะมีอันทรียแลจิตอัน ระงับถึงจะหลับแลตื่นก็เปนสุข และจะประกอบดวยหิริโอตตัปปะนํามาซึ่งความเลื่อมใสโดยรอบคอบ จิตนั้นจะหยั่งลงในพระนิพพานคุณ แลจะเปนที่สรรเสริญแลเคารพรักใครแหงเพื่อนพรหมจารี ถาแล มิไดตรัสรูซึ่งมรรคผลในชาตินี้ ก็จะมีสุคติเปนเบื้องหนา เหตุดังนั้นนักปราชญผูมีปญญาอยาได ประมาท หมั่นจําเริญซึ่งอุปสมานุสสติอันกอปรดวยคุณอานิสงสอันเปนมาดุจกลาวมานี้ วินิจฉัยในอุป สมานุสสติกรรมฐานยุติเเตเทานี้ จบอนุสสติ ๑
จักวินิจฉัยในพรหมวิหารสืบตอไป อนุสฺสติกฺมมฏานานนฺตรํ อุทิฏเสุ ปน เมตตฺตา กรุณามุทิตาอุเปกขาติ อิเม จตูสุ พฺรหฺม วิหาเรสุ เมตฺตํ ภาเวตกาเมน ฯลฯ ปจฺจกฺขิตพฺโพ แล พรหมวิหารที่สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจา ตรัสสําแดงไวในลําดับแหงอนุสสตินั้นมี ๔ ประการ คือ เมตตาประการ ๑ กรุณาประการ ๑ มุทิตาประการ ๑ อุเบกขาประการ ๑ เปน ๔ ประการดวยกัน พระ โยคาพจรผูเปนอาทิกัมมิกกุลบุตรแรกจะเลาเรียน แลมีความปรารถนาจะจําเริญเมตตาพรหมวิหารนั้น ใหตัดเสียซึ่งปลิโพธ (ความกังวล) ทั้ง ๑๐ ประการ มีอาวาสปลิโพธ (ความกังวลดวยอาวาส) เปน อาทิใหขาดแลว พึงเขาไปสูสํานักอาจารยอันเปนกัลยาณมิตร เรียนเอาซึ่งพระกรรมฐานแลว เพลาเขา กระทําภัตตกิจสําเร็จแลว พึงนั่งในเสนาสนะอันสงัดใหสบายแลว พึงพิจารณาใหเห็นโทษ ในโทโส พิจารณาใหเห็นอานิสงสในขันติ อันโทโสนี้โยคาพจรพึงละเสียไดดวยพระเมตตาภาวนา แลขันตินั้น พระโยคาพจรจะพึงถึงดวยจิตแหงตนแตทวามิไดเห็นโทษในโทโสแลวก็มิ อาจจะละเสียซึ่งโทโสนั้นได มิไดเห็นอานิสงสในกิริยาอันอดกลั้นไดแลว ก็บอาจจะละไดซึ่งขันติ เหตุ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 80 ดังนั้นพระโยคาพจรพึงพิจารณาใหเห็นโทษในโทโสโดยพระสูตรเปนตนวา ทุฏโ โข อาวุโส โท เสน อภิภูโต ฯลฯ ปาณํป หนตีติ ดูกรอาวุโสบุคคลอันโทโสประทุษรายมีสันดานอันโทโสครอบงํา นั้น ยอมฆาเสียซึ่งสัตวใหถึงแกมรณภาพสิ้นชีวิต ดวยอํานาจแหงโทโส โทโสนั้นยอมกระทําใหบุคคล ทั้งปวงเศราหมองเดือดรอนทนทุกขเวทนาในจตุราบาย พึงพิจารณาซึ่งโทษแหงโทโสดวยปาระการ ดังนี้แลว พึงพิจาณาใหเห็นอานิสงสแหงขันติตามพระพุทธฎีกาโปรดประทานไววา ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกขา นิพฺพานํ ฯลฯ ขนฺตฺยาภิยฺโยธ วิชฺชติ แปลวาขันติ อันวากิริยา อันอดใจนี้เปนตปะคุณอัน ประเสริฐ บังเกิดเปนเหตุที่จะเผาเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งปวงใหพินาศฉิบหาย สมเด็จพระพุทธเจา ทั้งหลายเห็นปานดังพระตถาคตนี้ยอมสรรเสริญขันติวา เปนทางพระนิพพานอันอุดมเที่ยงแท บุคคล ผูใดมีอธิวาสขันติเปนกําลัง บุคคลผูนั้นตถาคตเรียกวาเปนขีณาสวพราหมณอันประเสริฐ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาเห็นโทษแหงโทโสเห็นอานิสงสแหงขันติดังนี้ แลวก็พึง ประกอบจิตไวในขันติมีอานิสงสอันปรากฏแลวขมเสียซึ่งโทโสอันมีโทษอันตนเห็นแลว เมื่อแรกจะ ปรารภจําเริญซึ่งเมตตานั้น พึงใหรูจักบุคคล ๔ จําพวกจะทํารายซึ่งเมตตาภาวนานั้น คือบุคคลอันมิได เปนที่รักแหงตนจําพวก ๑ คือบุคคลอันมัธยัสถมิไดเปนที่รักที่ชังแหงตนจําพวก ๑ คือบุคคลอันเปน เวรจําพวก ๑ คือบุคคล ๔ จําพวกนี้พระโยคาพระโยจรอยาพึงจําเริญเมตตาไปถึงกอน เหตุไฉนจึงมิ ใหจําเริญเมตตาในบุคคล ๔ จําพวกนี้กอน อธิบายวา พระโยคาพจรจะตั้งซึ่งบุคคลอันมิไดเปนที่รักไว ในที่อันรักใครนั้นลําบากจิตยิ่งนัก อนึ่งจะเอาสหายที่รักนักไปตั้งไวในที่อันมิไดรักไดชังนั้นก็จะเปนอัน ลําบาก ถาทุกขรอนอันใดมาตรวาแตนอยแหงสหายนั้นบังเกิดแลว ตนนั้นก็ยอมถึงซึ่งอาการอันร่ําไร อาลัยถึง อนึ่งจะเอาบุคคลอันมัธยัสถมาตั้งไวที่อันเปนที่รักเลา ก็ลําบากที่จะกระทําได อนึ่งระลึกไป ถึงบุคคลอันเปนเวรแกตนนั้น ความเกิดก็จะบังเกิดเหตุมีสิ่งประทุษรายแกตนไวในกอนเมตตาที่พระ โยคาพจรจําเริญไปนั้นมิอาจจะตั้งได เหตุดังนั้น จึงหามมิใหจําเริญซึ่งเมตตาไปถึงบุคคล ๔ จําพวก นั้นกอน อนึ่งอยาจําเริญเมตตาไปเฉพาะมาตุคาม อยาจําเริญไปในคนตาย ถาพระโยคาพจรปรารภซึ่ง มาตาคามแลว แลจําเริญเมตตาไปโดยเฉพาะมาตุคามนั้น ฉันทราคะ ก็จะบังเกิดประดุจบุตรแหงมหา อํามาตยผูหนึ่ง มหาเถรผูเปนอาจารยบอกวาใหจําเริญเมตตาไปในบุคคลที่รัก แลบุตรอํามาตยนั้นมี ภรรยาเปนที่รัก ก็จะจําเริญซึ่งเมตตาไปเฉพาะตอภรรยาแหงตน เมื่อจําเริญไปดังนั้น จิตก็มืดคลุมไป ดวยราคะอันบังเกิดขึ้น แลบุตรอํามาตยนั้นจะไปหาภรรยาแหงตน บมิอาจซึ่งจะกําหนดปนะตูได ก็ กระทําภิตติยุทธ คือรบกับฝาสิ้นราตรียังรุงบมิอาจจําเริญซึ่งเมตตากรรมฐานได เหตุดังนั้นจึงหามมิใหจําเริญซึ่งเมตตาไปในมาตุคามโดยสวนอันเฉพาะแลบุคคลอันตาย นั้น ถาพระโยคาพจรแผเมตตาไปถึง เมตตาภาวนาแหงพระโยคาพจรนั้น ก็จะมิไดถึงอุปจารฌานแล อัปปนาฌานเหตุดังนั้น จึงหามมิใหจําเริญเมตตาไปในคนที่ตาย อาศัยเหตุฉะนี้พระโยคาพจรผูจําเริญ เมตตานั้นพึงตั้งเมตตาจิตลงในอาตมากอนวา อหํ สุขิโต โหมิ นิทุกฺโข โหมิ อเวโร โหมิ อพฺ ยาปชฺโฌ โหมิ อนีโฆ โหมิ สุขี อตฺตนํ ปริหรามิ แปลเนื้อความวา อหํ อันวาขา สุขิโต เปน สุข นิทุกฺโข หาทุกขมิได โหมิ จงมี ในบทคํารบ ๒ นั้นวา อหํ อันวาขา อเวโร หาเวรมิได อพฺ ยาปชฺโฌ หาพยาบาทมิได อนีโฆ หาทุกขบมิได จงรักษาบัดนี้ อตฺตานํ ซึ่งตน สุขี ใหเปนสุข ให พระโยคาจรจําเริญเมตตาในตนดังนี้จงเนือง ๆ กอน ซึ่งวาใหจําเริญเมตตาในตนเอง อหํ สุขิโต โห มิ เปนตนดังนี้ดวย สามารถจะใหกระซึ่งตนเปนพยาน จะใหเห็นอธิบายวา อาตมานี้มีความปรารถนา แตความเกลียดหนายทุกขฉันใด สัตวหมูอื่นก็ปรารถนาความสุขปฏิกูลเกลียดในความทุกข เหมือนกัน กับอาตมาดังนี้ เมื่อเห็นอธิบายดังนี้แลว จิตแหงพระโยคาพจรนั้น ก็ปรารถนาที่จะใหสัตวหมูอื่นมีความสุข ความเจิรญเหตุดังนั้นจึงใหพระโยคาพจรตั้งเมตตาในตนกอน เมื่อตั้งเมตตาในตนแลวลําดับนั้นบุคคล ผูใดที่เปนที่รักที่ชอบใจแหงตน แลเปนที่สรรเสริญคือเปนอาจารยแหงตนแลคนเสมอกับอาจารยดวย ศีลคุณเปนตนก็ดี แลอุปชฌายแหงตนแลมีคุณเสมอกับอุปชฌายดวยศีลคุณเปนตนก็ดี ก็ใหพระ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 81 โยคาพจรจําเริญเมตตาไปในบุคคลผูนั้น ระลึกถึงคุณที่เคยใหปนซึ่งสิ่งของแหงตน แลเคยกลาววาจา เปนที่รักเปนอาทิแกตนในกาลมิฉะนั้นพึงระลึกถึงซึ่งคุณมีสภาวะเปนที่เคารพเปนที่สรรเสริญ มีศีลคุณ แลสุตคุณเปนตนแหงบุคคลผูนั้น เพื่อจะใหพระเมตตาเปนไปดวยงาย พึงจําเริญซึ่งเมตตาพรหมวิหาร ไปในบุคคลผูนั้นโดยนัยผูนั้นเปนตนวา เอส สปฺปุริโส สุขิโต โหตุ นิทุกฺโข แปลเปนเนื้อความ วา เอส สปฺปุริโส อันวาทานผูเปนสัตบุรุษนั้น สุขิโต เปนสุข นิทุกฺโข ปราศจากทุกข โหตุ จง มี เอาบทดังนี้เปนบริกรรมภาวนา แลวจําเริญไปจงเนือง ๆ เมื่อจําเริญเมตตาไปในอุปชฌายผูสั่งสอนดังนี้แลว ลําดับนั้น ใหจําเริญเมตตาไปในบุคคล อันตนจะพึงรัก มีมารดาบิดาเปนตน ลําดับนั้น จึงแผเมตตาไปในบุคคลอันตนมิไดรักมิไดชังเปนแต อยางกลาง ลําดับนั้น จึงแผเมตตาไปในบุคคลผูเปนเวร เมื่อแผเมตตาไปในบุคคลอันเปนเวรนั้นถึงน้ํา จิตนั้นตั้งเมตตาลงมิได อาศัยวาคิดแคนอยูดวยหนหลัง คิดขึ้นมาถึงความหลังแลว มีโทโสบังเกิด ขึ้นมาไมเมตตาลงได ก็พึงกลับระลึกถึงบุคคลอันเปนที่รัก มีครูอุปชฌายอาจารยเปนตนกอนแลว ภายหลังจึงแผเมตตาไปในบุคคลอันเปนเวรนั้น ถาจิตยังมีโทโสอยู ก็พึงใหโอกาสความสั่งสอนแตตน วา อเร กุชฺฌรปุริส ดูกรบุรุษมักโกรธทานไมไดฟงธรรมเทศนาบาง หรือประการใดจึงมาเปนเชนนี้ นี่แนทานเอย สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคทรงพระกรุณาโปรดไววามหาโจรอันรายกาจหยาบชา ตัด เสียอวัยวะใหญนอยของบุคคลผูใดดวยเลื่อยอันคมกลากระทําใหลําบากเวทนาแทบบรรดาตาย ถา บุคคลนั้นมีใจโกรธแกโจรทั้งหลายอันทําแลวแกตนแลว ผูนั้นจะไดชื่อวากระทําตามคําสั่งสอนแหง พระตถาคตหามิได ผูใดแลโกรธตอบแกบุคคลอันโกรธกอน ผูนั้นไดชื่อวาลามกกวาบุคคลอันโกรธ กอน บุคคลผูใดเห็นโกรธแลมิไดโกรธตอบ อดสูทนกลั้นสูบรรเทาเสียได ผูนั้นไดชื่อวาชนะสงคราม อันใหญหลวงยากที่ผูอื่นจะผจญได อันมิไดโกรธตอบนั้นไดชื่อวาประพฤติใหเปนประโยชนตน ประโยชนทาน ประโยชนตนนั้นอยางไร อธิบายวาคนที่ไมโกรธนั้น ยอมมีหทัยวัตถุอันมิไดเดือดรอนพลุง พลานระส่ําระสายความสบายนั้นมีมาก เพราะมีสันดานอันเย็นแลว เปนที่สรรเสริญแหงบัณฑิตชาติผูมี ปญญาจะเปนที่รักใครแหงสรรพเทวดามนุษยถวนหนา โรคาไขเจ็บนั้นมีโดยนอย คนที่ผูกอาฆาต พยาบาทจองเวรแกตนนั้นก็มีโดยนอย สีสันพรรณก็จะเปนน้ําเปนนวล ควรจะเปนที่ทัศนากรแกตาโลก จะมิสูแกเร็ว เมื่อดับจิตนั้นก็จะไดสติ ตนแลวก็จะไดไปบังเกิดในสวรรค บุคคลผูมิไดโกรธตอบแกคนที่ โกรธกอนนั้นจะเปนประโยชนแกตนดังนี้ ที่วาจะเปนประโยชนแกผูอื่นนั้น คือเขาโกรธตน ๆ ไมโกรธ แลวเขาจะโกรธไปไดเปนกระไร หนอยหนึ่งโทโสแหงเขาก็จะรํางับไป เมื่อโทโสอันไหมอยูในสันดาน แหงเขารํางับไปแลวเขาก็จะไดความสบาย อยางนี้แลไดชื่อวากระทําใหประโยชนแกผูอื่นใหพระ โยคาพจรสั่งสอนอาตมาดังพรรณามานี้ ถาโทโสยังไมรํางับลงก็พึงสอนตนดวยนัยอื่นวา อมฺโภ ดุกรทาน สมเด็จพระศาสดา จารยตรัสพระธรรมเทศนาไววา ฉวาลาตํ อุภโต ปทิตฺตํ ดุนฟนอันบุคคลเผาผีมีไฟติดทั้งขางโนน ขางนี้มีกลางดุนเปลื้อนไปดวยคูถนั้นไมมีใครหยิบใครตอง บมิไดสําเร็จกิจเปนฟนในบานในปา สําหรับ แตจะทิ้งอยูเปลาหาประโยชนมิไดฉันใดก็ดีผูใดเห็นเขาโกรธแลโกรธตอบ ผูนั้นก็จะไดชื่อวากระทําตน ใหหาคุณมิได มีอุปไมยดังนั้น เมื่อสั่งสอนตนดวยประการดังนี้ถาแลโทโส ยังมิไดรํางับก็พึงพิจารณา เอาเยี่ยงอยางสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจา เมื่อพระองคยังเปนพระบรมโพธิสัตว แลกอปรดวยขันติ นั้น ใหระลึกวาครั้งหนึ่ง เมื่อสมเด็จพระบรมโพธิสัตวเสวยพระชาติเปนพระยาสีลวราชรักษาศีลบริสุทธิ์ อํามาตยผูหนึ่งใจบาปหยาบชาประทุษรายในพระราชเทวี จึงไปหาพระยาปจจามิตรมาจับพระองคกับ อํามาตยพันหนึ่งไปฝงเสียในปาชาผีดิบ ประมาณเพียงพระศอ ประสงคจะปลงพระชมมใหสิ้นสูญ พระองคก็มิไดมีพระทัยประทุษรายตั้งขันติเปนเบื้องหนา ครั้นเพลากลางคืนสุนัขจิ้งจอกมาสูปาชาจะกินซากอสุภเขาไปใกลพระบรมโพธิสัตวจะกิน พระองค ๆ เองคางทับไว สุนัขจิ้งจอกคุยดินลงไปจนพระองคขึ้นได ขุดอํามาตยขึ้นสิ้นทั้งพันเทพยดา ก็พาพระองคมาสงถึงปราสาท พระองคก็มิไดประทุษรายตั้งพระยาปจจามิตรในที่เปนมิตร อนึ่ง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 82 พระองคเสวยพระชาติเปนขันติวาทีดาบท พระยากลาพุราชใหเฆี่ยนขับโบยตีทั้ง ๓ จําระ ๆ ละพัน ๆ แลวมิหนําซ้ําใหตัดมือตัดเทา โดดลงมาถีบทามกลางอุระถึงเพียงนี้แลว พระองคจะไดโกรธมาตรวา หนอยหนึ่งหามิไดกลับอวยชัยใหพรเสียอีก ใชแตเทานั้น ควรจะอัศจรรยครั้งเมื่อเสวยพระชาติเปนจุล ธรรมบาลราชกุมาร เปนราชโอรสพระเจามหาปตาปราช ๆ นั้นคือพระเทวทัตต อาศัยเวรานุเวรใหขัด ใหเคืองพระทัย ใหลงราชอาญาเฆี่ยนขันติโดยตัดมือเทาบังคับใหตัดพระเศียรเกลา ขณะเมื่อนาย เพชฌฆาตเขาจะตัดพระเศียรนั้นพระองคตั้งอธิวาสนขันติมิไดโกรธแกพระบิดาแลนายเพชฌฆาตผูจะ ฆา ใชแตเทานั้น ครั้นเมื่อเสวยพระชาติเปนพระยาชางฉัททันต นายพรานชื่อวาโสอุดรยิงถูก พระนาภีดวยลูกศรอันกําซาบไปดวยยาพิษ ถึงเพียงนี้ พระองคก็มิไดขัดมิไดเคืองแกโสอุดรพรานปา กลับยอมใหโสอุดรเลื่อยงางามดวยรัศมีทั้ง ๖ ประการเสียอีก ใชแตเทานั้น ครั้งหนึ่งเสวยพระชาติเปน พญาพานรบุรุษผูหนึ่งตกลงไปในขางเขาขาดขึ้นมิได พระองคแบกมาสง บุรุษนั้นปรารถนาจะเอา มังสะพระองคไปเปนเสบียง เอาศิลาตอพระเศียรถึงเพียงนี้พระองคก็ไมขึงไมโกรธ ใชแตเทานั้น ครั้ง เมื่อเสวยพระชาติเปนพระยาภูริทัตนาคราช หมออาลัมภายกระทําใหลําบากเวทนาพาไปเลนในบาน นอยบานใหญ พระองคจะไดขึงโกรธมาตรวาหนอยหนึ่งหามิได ใชแตเทานั้น ครั้งหนึ่งเสวยพระชาติ เปนพญาสังขบาลนาคราช ไปรักษาศีลอยูบนจอมปลวกแทบฝงแมน้ํา วันหนึ่งบุตรนายพราน ๑๖ คน จับเอาพระองคไปแทงถึง ๘ แหงแลวเอาไวสอดเขาคานหาม ๆ ไปเอาเชือกรอยจมูกผูกไว เขาทําถึง เพียงนี้แลวพระองคก็ไมขึ้งไมโกรธไมทํารายแกเขา พระโยคาพจรพิจารณาถึงเยี่ยงอยางประเพณีมหาสัพพัญูโพธิสัตวดังนี้แลว จิตที่ขัดของ เคียดเเคนในคนผูเปนเวรจะคอยเบาบางบรรเทาลง เมื่อโทโสเสื่อมหายจากสันดานแลว เมตตาจิต ของพระโยคาพจรก็จะเสมอในคน ๔ จําพวก สีมสมฺเภโท กาตพฺโพ อันดับนั้นพระโยคาพจรพึง จําเริญสีมสัมมสัมเภทเมตตา ๆ นั้น วาเมตตาเจือไปในแดนทั้ง ๔ นั้น คือตนของบุคคลผูจําเริญเมตตา นั้นจัดเปนอัน ๑ บุคคลอันที่รักจัดเปนแดนอีก ๑ บุคคลอันเปนมัธยมอยางกลางจัดเปนแดนอัน ๑ บุคคลที่เปนแดนอัน ๑ แดนทั้ง ๔ นี้พึงใหระคนกันเปนอันหนึ่งอันเดียว คือรักตนอยางไรก็ใหรักผูอื่น อยางนั้น รักผูอื่นอยางไรก็ใหรักตนอยางนั้น ประพฤติอยางนี้จึงเปนสัมมสัมเภทอธิบายวาคนทั้ง ๔ คือ ตนของบุคคลผูจําเริญเมตตา ๑ คนที่รัก ๑ คนไมขัง ๑ คนเปนเวร ๑ ทั้ง ๔ นี้นั่งอยูในที่อันเดียวกันยัง มีมหาโจรมากลาววา เอกํ อมฺหากํ เทถ ทานจงใหแกคนแกเราสักคน ๑ เราจะฆาเสียเอาเลือดคอ ไปกระทําพลีกรรมแกเทวดา ผิวาบุคคลนั้น รักผูอื่นผูจําเริญเมตตานั้น พึงคิดวา อสุกํ วา คณฺหนฺตุ มหาโจรจงจับเอา คนนั้นเถิด ถาคิดดังนั้นก็ไดชื่อวาไมกระทําสีมสัมเภท คือเจือกันแหงแดนเหตุวารักตนหารักคนทั้ง ๓ ไม ผิวาผูจําเริญเมตตานั้นรําพึงคิดวา มํ คณฺหนฺตุ มหาโจรจงจับเอาอาตมาอยาไดจับเอาคนทั้ง ๓ นี้ แมถึงจะคิดอยางนี้ก็ดี ก็มิไดชื่อวากระทําสีมสัมเภท เหตุรักแตคนทั้ง ๓ หารักตนเองไม กาลใดแล บุคคลผูจําเริญเมตตานั้น มิไดเห็นซึ่งบุคคลที่ตนจะพึงใหแกมหาโจรแตสักคนหนึ่งในระหวางคนทั้ง ๔ นั้นจิตประพฤติเปนอันเสมออยูในคนทั้ง ๔ นั้น คือตน แลคนทั้ง ๓ ดังนี้แลไดชื่อวาพระโยคาพจร กระทําสีมสัมเภท เมื่อจําเริญพระเมตตาเปนสีมสัมเภทดังนี้แลว พึงแผเมตตาเปน ๓ สถานดวยสามารถ อโน ทิศ โอทิศ ทิสาผรณะ คือแผเมตตามิไดเฉพาะก็ดี เฉพาะก็ดี แผทั่วทิศทั้ง ๑๐ ก็ดี มีเมตตาจิตใหเปน ประโยชนแกสรรพสัตวทั้งปวงเบื้องบนถึงภวัคคพรหมเปนที่สุด เบื้องต่ําตลอดอเวจีนรก โดย ปริมณฑลทั่วอนันตสัตวอันอยูในอนันตจักรวาล พระโยคาพจรแผเมตตาเปนอโนทิศนั้นดวยอาการทั้ง ๕ วา สพฺเพ สตฺตา อเวรา โหนฺตุ อพฺยาปชฺญา โหนฺตุ อนีฆา โหนฺตุ สุขี อัตฺตานํ ปริหรนฺตุ สพฺ เพ ปาณา สพฺเพ ภูตา สพฺเพ ปุคฺคลา สพฺเพ อตฺตภาวปริจาปนฺนา อเวรา โหนตุ ฯลฯ ปริหรนฺตุ แปลเนื้อความวา สพฺเพ สตฺตาอันวาสัตวทั้งหลายอันยังของอยูในรูปปาทิขันธดวยฉันทราคะ อเว รา โหนฺตุจงอยามีเวรแกกัน อพฺยาปชฺฌา โหนฺตุจงอยามีพยาบาทแกกัน อนีฆา โหนตุ จงอยามี
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 83 อุปทวทุกขในกาย สุขี อตตานํ ปริหรนฺตุ จงนําใหพนจากทุกขรักษาตนใหเปนสุขทุกอิริยาบถเถิด อยางนี้เปนอาการอัน ๑ สพฺเพ ปาณา อันวาสัตวอันมีชีวิตอยูดวยอัสสาสะ ปสสาสะมีปญจขันธบริบูรณทั้งปวงบท ประกอบเหมือนกันเปนอาการอัน ๑ สพฺเพ ภูตาอันวาสัตวทั้งหลายอันเกิดในจตุโวการภพมีขันธ ๕ ประการ คือรูปพรหม แลสัตวอันเกิดในเอกโวการภพมีขันธ ๑ คือสัญญีสัตวเปนอาการอัน ๑ สพฺเพ ปุคฺคลาอันวาสัตวอันจะไปสูนรกทั้งปวงเปนอาการ ๑ สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนฺนา อันวาสัตวอันนับ เขาในอาตมาภาพ เหตุอาศัยขันธทั้ง ๕ แลบัญญัติวาอาตมาภาพนั้น จึงเอาบทอเวราเปนตนนั้น ประกอบดวยเปนอาการอันเปน ๑ เปน ๕ ดวยกัน ในอโนทิศนั้นแลแผเมตตาไปในอโนทิศนั้นคือเฉพาะเปนสวนวาหญิงชายมีอาการ ๗ วา สพฺเพ อิตฺถิโย อเวรา โหนฺตุ ฯลฯ สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ สพฺเพ ปุริสา สพฺเพ อริยา สพฺเพ อนริยา สพฺเพ เทวา สพฺเพ มนุสฺสา สพฺเพ วินิปาติกา อเวรา โหนฺตุ ฯลฯ ปริหรนฺตํ สพฺเพ อิตฺถิ โย นั้น แปลวาบุรุษทั้งหลายทั้งปวง สพฺเพ ปุริสานั้น แปลวาบุรุษทั้งหลายทั้งปวง สพฺเพ อริยา แปลวาพระอริยเจาทั้งหลายทั้งปวง สพฺเพ อนริยาแปลวาไมใชพระอริยเจา คือปุถุชนทั้งหลายทั้ง ปวง สพฺเพ เทวา แปลวาเทวดาทั้งหลายทั้งปวง สพฺเพ มนุสฺสา แปลวามนุษยทั้งหลายทั้ง ปวง สพฺเพ วินิปาติกาแปลวาอสุรกายทั้งหลายทั้งปวงจึงใสอเวราเปนตนเขาทุกบท ๆ เปนอาการ ๗ ดวยกัน แลทิสาผรณะนั้นมีอาการ ๑๐ คือ สพฺเพ ปุรตุถิมาย ทิสาย สตฺตา อเวรา ฯลฯ ปริหรนฺ ตุ สพฺเพ ปจฺฉิมาย ทิสาย สตฺตา สพฺเพ อุตฺตราย ทิสาย สพฺเพ ทกฺขิณาย ทิสาย สพฺเพ ปุรตฺถิ มาย อนุทิสาย สพฺเพ ปจฺฉิมาย อนุทิสาย สพฺเพ อุตฺตราย อนุทิสาย สพฺเพ ทกฺขิณาย อนุทิ สาย สพฺเพ เหฏิมาย ทิสาย สพฺเพ อุปริมาย ทิสาย สตฺตา อเวรา โหนฺตุ ฯลฯ ปริหรนฺตุ อธิบาย เนื้อความวา แผเมตตาไปแกสัตวอันอยูในทิศทั้ง ๑๐ เปนอาการ ๑๐ ประการดวยกัน อาการ ๕ อาการ ๗ อาการ ๑๐ ดังกลาวมานี้ สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจาตรัสเทศนาไว สําหรับพระโยคาพจรอันไดฌานแลวแผเมตตาเปน เจโตวิมุตติ พรหมวิหารอัปปนา ฌานในกรุณาพรหมวิหารนั้น คือโยคาพจรไดเห็นแลว ซึ่งบุรุษอันเปนกําพรามีรูปวิกลพึงเกลียดเปน คนเข็ญใจไดซึ่งความยากยิ่งนัก มีมือแลเทาอันทานตัดเสียมีแตกระเบื้องขอทานวางไวเฉพาะหนา นอนอนาถอยูในศาลาแหงคนยาก แลมีหมูหนอนอันคลานคล่ําออกจากมือจากเทา แลรองไหรอง คราง เมื่อเห็นแลวจงถือเอาซึ่งสัตวนั้นเปนนิมิต พึงแผซึ่งกรุณาไปวา กิจฺฉาวตายํ สตฺโต อาปนฺโน อปฺเปวนาม อิมมฺหา ทุกฺขา มฺุเจยฺย เอาบทดังนี้เปนบริกรรมภาวนาจําเริญไปลงเนือง ๆ แปลเปน เนื้อความวาดังเราสังเวช สัตวผูนี้ถึงซึ่งความลําบากยิ่งนักแมไฉนพึงพนจากความทุกขบัดนี้เถิด ถาจะแผซึ่งกรุณาไปในสัตวเปนอันมาก ใหเอาบทดังบริกรรมภาวนาวา ทุกฺขา ปมฺุ จนฺตุ ปาณิโน ดังนี้จงเนือง ๆ ถามิไดซึ่งคนอนาถาเห็นปานดังนั้น แมบุคคลอันกอปรดวยความสุข แตทวาเปนคนกระทําบาปหยาบชา มีกายแลวาจาจิตทั้ง ๓ สถานนั้น นิราศจากกุศลธรรมสิ้น ให โยคาพจรนอมซึ่งคนดังนั้นมาเคียงขาง ดวยโทษในอนาคตแลวพึงจําเริญซึ่งกรุณาไปวา บุคคลผูเปน กําพรา แตในมนุษยโลกนี้กอปรดวยความสุขเสวยซึ่งโภคสมบัติลวนแลวดวยความสุข แตทวา กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร แหงผูนี้จะมีเปนกุศลแตอันเดียวก็หามิได แมดับชีวิตแลวที่ไหนจะแคลว อบายทั้ง ๔ ก็จะเสวยแตทุกขโทมนัสจะนับมิได ในอบายภูมิเที่ยงแทเบื้องหนาแตนั้นโยคาพจรพึง จําเริญซึ่งกรุณานั้นไปแกบุคคลอันเปนที่รักแลวใหจําเริญไปแกคนอันมัธยัสถไมรักไมชัง ลําดับนับพึง จําเริญไปแกบุคคลอันเปนเวรแกตน แลวิธีอันจะระงับซึ่งเวรแลกระทําซึ่งสีมสัมเภทนั้น ก็เหมือนดังวิธี อันกลาวแลวในเมตตาพรหมวิหาร เมื่อโยคาพจรเสพซึ่งสมถนิมิตอันเปนไปดวยสามารถสีมสัมเภทนั้น แลว จะจําเริญซึ่งกรุณาไปก็จะถึงซึ่งอัปปนาฌาน โดยนัยดังกลาวในเมตตาพรหมวิหาร ฯ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 84 จบเมตตากรุณาพรหมวิหารแตเพียงเทานี้
ในวิมุทิตาพรหมวิหารนั้น ใหพระโยคาพจรแผซึ่งมุทิตาจิตอันชื่นชมไปในสหายนักเลงนั้น กอน แลสหายเห็นปานนั้นเคยชื่นชมดวยกัน เมื่อจะกลาวซึ่งวาจานั้น สํารวจกอนแลวจึงเจรจากันตอ ภายหลัง ถามิดังนั้นพระโยคาพจรไดเห็น มิฉะนั้นไดฟงขาวแหงบุคคลอันเปนที่รักแหงตนอันกอปร ดวยความสุขเสวยซึ่งอารมณอันเปนสุขนั้น ใหทําจิตใหชื่นชมยินดีดวยความสุขความสบายแหงสหาย นั้นแลว พึงแผมุทิตาไปวา อโห วตายํ สตฺโต สาธุ อโห สฏุ ดังนี้จงเนือง ๆ แปลวา อโห วตดังเรา ชื่นชม อยํ สตฺโต อันวาสัตวผูนี้ดียิ่งนัก ถาจะแผไปซึ่งมุทิตาในสัตวเปนอันมาก ใหเอาบทดังนี้ บริกรรมภาวนาวา สสมฺปตฺติโต มา วิคจฺฉนฺตุ จงเนือง ๆ ในลําดับนั้นจึงจําเริญมุทิตาไปในบุคคลอัน มัธยัสถ แลบุคคลอันเปนเวร แลวิธีอันจะบรรเทาซึ่งเวรแลกระทําซึ่งสีมสัมเภทนั้น มีนัยอันกลาวแลวใน เมตตาพรหมวิหารนั้น ฯ จบมุทิตาพรหมวิหารแตเพียงเทานี้
โยคาพจรปรารถนาจะจําเริญอุเบกขาพรหมวิหารร ใหออกจากตติยฌานอันตนไดในเมตตา พรหมวิหาร แลกรุณาพรหมวิหาร แลมุทิตาพรหมวิหารนั้นแลว จึงบําเพ็ญซึ่งจิตไปใหเฉพาะตอบุคคล อันมัธยัสถไมรักไมชัง พึงยังอุเบกขาจิตใหบังเกิดดวยกรรมวา สตฺตา สตฺตา คตา วา กมฺมสฺสกา โหนตฺ ดังนี้จงเนือง ๆ เมื่อุเบกขาจิตบังเกิดเปนอันดี ในบุคคลอันมัธยัสถแลว ใหโยคาพจรแผซึ่ง อุเบกขาไปในบุคคลอันเปนที่รักแลว จําเริญไปในสหายอันเปนนักเลงแลว จําเริญไปในบุคคลอันเปน เวรแลวจึงกระทําสีมสัมเภทในบุคคลทั้ง ๔ จําพวก ดวยสามารถตั้งจิตใหเสมอกันในบุคคลทั้ง ๔ จําพวกแลว พึงสองเสพกระทําเนิง ๆ ซึ่งสีมสัมเภทนั้นเปนนิมิต เมื่อจําเริญไปดังนี้เนือง ๆ อันวาจตุตถ ฌานก็จะบังเกิดแกโยคาพจรเจานั้นโดยนัยอธิบายอันกลาวแลวในปวีกสิณนั้น ฯ จบอุเบกขาพรหมวิหารแตเทานี้
แลโยคาพจรอันจําเริญซึ่งเมตตาพรหมวิหารนั้น จะไดซึ่งอานิสงส ๑๑ ประการ สุขํ สุปติ คือจะหลับก็เปนสุขดุจเขาซึ่งสมาบัติ ๑ คือตื่นขึ้นก็เปนสุข ๑ มีหนาอันปราศจากวิการดุจดังวาดอกบัว อันบาน ๑ จะนิมิตฝนก็มิไดเห็นซึ่งสุบินอันลามก ๑ จะเปนที่รักแกมนุษย จะเปนที่รักแหงเทวดาและ ฝูงผี ๑ ฝูงเทพยดาจะอภิบาลรักษา ๑ และผูจําเริญเมตตานั้น เพลิงก็มิไดสังหาร จะมิไดเปนอันตราย เพราะยาพิษ ศัสตราวุธอันบุคคลประหารก็มิไดเขาไปในกาย ๑ คือจิตแหงบุคคลผูนั้นจะตั้งมั่นลงเปน องคสมาธิ ๑ คือมีพักตรจะผองดังผลตาลอันหลนจากขั้ว ๑ เมื่อกระทํากาลกิริยามิไดฟนเฟอนสติ ๑ แมจะมิไดตรัสรูมรรคผลในชาตินี้ ก็จะไปบังเกิดในพรหมโลก ๑ เปน ๑๑ ประการดวยกัน เหตุดังนั้น นักปราชญผูมีปญญาพึงหมั่นจําเริญซึ่งเมตตาพรหมวิหาร อันมีอานุภาพเปนอันมากดังกลาวมานี้ ฯ วินิจฉัยในจตุพรหมวิหารยุติเทานี้
พฺรหฺมวิหารนนฺตรํ อุทิฏเสุ ปน อรูเปสุ อากาสานฺจายตนํ ภาเวตุกาโม ฯลฯ จตุตฺถฌานํอุปฺปาเทติ เบื้องหนาแตนี้จะวิสัชนาในอรูปกัมมัฏฐาน ๔ ประการ อันพระพุทธโฆษา จารยเจาผูตกแตงคัมภีรพระวิสุทธิมรรคสําแดงไว ในลําดับแหงพระจตุพรหมวิหาร ๔ ประการ แลอรูป กัมมัฏฐาน ๔ นั้น คืออากาสานัญจายนตนะ ๑ วิญญานัญจายตนะ ๑ อากิญจัญญายตนะ ๑ เนวสัญญา นาสัญญายตนะ ๑ เปน ๔ ดวยกัน อากาสานฺจายตนํ ภาเวตุกาโม พระโยคาพจรกุลบุตร ผูมี ศรัทธาปรารถนาจะจําเริญอรูปกัมมัฏฐานนั้น ยอมจําเริญอากาสานัญจายตนญาณนั้นกอน เหตุวาอรูป
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 85 ฌานนี้เปนอารัมมณสมติกกมฌาน ไดสําเร็จลวงอารมณตอ ๆ นั้น จะไดสําเริญรูปฌานเปนปฐมนั้น เพราะเหตุวาลวงเสียซึ่งปฏิภาคนิมิต อันเปนอารมณแหงรูปาพจรจตุตถฌาน จะไดสําเร็จอรูปฌานคํา รบ ๒ นั้น เพราะเหตุลวงเสียซึ่งอากาศอันเปนอรูปฌานเปนปฐม จะไดสําเร็จอรูปฌานเปนคํารบ ๓ นั้น เพราะเหตุที่ลวงเสียซึ่งวิญญาณอันเปนอารมณแหงอรูปฌานเปนคํารบ ๒ จะไดสําเร็จอรูปฌานเปนคํา รบ ๔ นั้น เพราะเหตุที่ลวงเสียซึ่งนัตถิภาวะ (ความลับเปนของไมมี ) อันเปนอารมณแหงอรูปฌานเปน คํารบ ๓ ตกวาตองจําเริญใหเปนลําดับ ๆ ขึ้นไปดังนี้ ที่จะลวงเบื้องตนเสียจะโดดขึ้นไปจําเริญเบื้องปลายนั้นจําเริญบมิได เหตุฉะนี้ พระ โยคาพจรกุลบุตรผูปรารถนาจะจําเริญอรูปกัมมัฏฐานนั้น จึงจําเริญอรูปฌานเปนปฐม อันชื่อวาอา กาสานัญจายตนฌานนั้นกอนเหตุไฉนพระโยคาพจรจึงรักใครอรูปกัมมัฏฐาน พอใจจําเริญอรูป กัมมัฏฐาน รูเป อาทีนวํ ทิสฺวา อธิบายวาพระโยคาพจรพิจารณาเห็นโทษในรูปเหตุนั้น แมวาสัตวทั้ง ปวงจะทะเลาะทุมเถียงกัน ชกตอยตีโบยกันดัวยไมนอยและไมใหญ ไมยาวและไมสั้นก็ดี จะทิ้มแทง กันดวยศัตราวุธตาง ๆ นั้นก็ดี จะเบียดเบียนกันไดดังนี้ที่อาศัยแกกรัชกาย ถาหากรัชกายบมิไดมีจิต เจตสิกไมมีรูปแลว สภาวะชกตอยตีรันทิ่มแทงฟาดฟนเบียดเบียนกันตาง ๆ นั้นหามิได อาพาธสหสฺสานํ ถึงโรคาพยาธิปวยไขมีประการตาง ๆ มากกวามาก มีโรคในตาในหูเปน อาทินั้นก็ยอมบังเกิดในกรัชกาย มีกรัชกายแลวสรรพโรคตาง ๆ ก็บังเกิดขึ้นเบียดเบียนใหปวยใหเจ็บ ใหลําบากเวทนาสาหัสสากรรจ สุดที่จะพรรณนา ถาหารูปบมิไดแลวโรคาพยาธิจะบังเกิดไดที่ไหนเลา ก็หาบมิไดดวยกัน พระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณาเห็นโทษดวยประการฉะนี้ ปรารถนาที่จะใหพนรูป เหนื่อยหนายเกลียดกลัวแตรูปนั้นมีกําลัง ประสงคจะใหรูปนั้นดับสูญ จึงอุตสาหะพากเพียรพยายาม จําเริญซึ่งอรูปกัมมัฏฐานทั้ง ๔ ประการ มีอากสานัญจายตนเปนอาทิ มีเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เปนปริโยสานแรกเริ่มเดิมทีเมื่อจะจําเริญอากาสานัญจายตนฌานนั้น พระโยคาพจรเจาเขาสูรูปาพจรจ ตุตถฌานนั้นกอน เมื่อเขาสูจตุตถฌานนั้นถือเอากสิณนิมิตเปนอารมณ กสิณ ๙ ประการ คือ ปวี กสิณ อาโปกสิณ เตโชกสิณ วาโยกสิณ นีลกกสิณ ปตกสิณ โลหิตกสิณ โอทาตกสิณ อาโลกกสิณ ทั้ง ๙ ประการนี้ ตามแตจะเลือกเอาสิ่งหนึ่งเถิด จะหามหามิไดหามมิใหพิจารณาเอาอารมณแตปริจฉินนากาสกสิณสิ่งเดียวอากาสกสิณที่ ตนกําหนดนั้นพระโยคาพจรพึงละเวนเสีย เมื่อเขาสูรูปาพจรจตุตถฌานมีกสิณอันใดอันหนึ่งนับเขาใน กสิณ ๙ ประการนั้นเปนอารมณแลว พระโยคาพจรพึงเพิกกสิณนั้นเสีย จะไดกําหนดกฏหมายในกสิณ เอาใจใสในกสิณนั้นหามิไดเพิกเฉยบมิไดพิจารณาซึ่งกสิณนิมิต ตั้งจิตพิจารณาเอาอากาศเปนอารมณ เพื่อพิจารณาเอาอากาศเปนอารมณนั้นพิจารณาไป ๆ กสิณนิมิตในเดิมนั้นอันตรธานหาย อากาศเปลา เทาที่วงกสิณนั้นปรากฏในมโนทวารกาลใด พระโยคาพจรกุลบุตรก็พิจารณาเอาอากาศเปนอารมณ กระทําบริกรรมภาวนา อนนฺโต อากาโส อนนฺโต อากาโส (อากาศไมมีที่สุด ๆ) บริกรรมภาวนาไป รอยคาบพันคาบหมื่นคาบแสนคาบ ตราบเทาปฐมอรูปจิตจะบังเกิดในสันดาน ถาจะวาที่แทแตอํานาจรู ปาพจรจตุตถฌานนั้นก็อาจจะลวงรูปเสียได ทานผูใดสําเร็จรูปาจตุตถฌานนั้น ถาปรารถนาจะหนีให พนรูป จะลวงใหพนรูปก็อาจจะไดสําเร็จ แตทวาทานพิจารณาเห็นกสิณนิมิตที่เปนอารมณแหงรู ปาพจรจตุตถฌานนั้น มีสัณฐานเหมือนดวยรูป มีสีสันพรรณนั้น คลายกันกับรูป ก็มีความตระหนกตกใจ กลัวแกรูปนั้นเปนกําลังปรารถนา จะลวงเสียซึ่งนิมิตบมิขอเห็นซึ่งกสิณนิมิตที่เปนอารมณแหงรูป แหงรู ปาพจรจตุถฌาน ยถา หิ ภิรุโก ปุริโส เปรียบปานดุจบุรุษอันขลาดแตอสรพิษนั้น ไปปะอสรพิษไล ในกลางหนทางแลนหนีอสรพิษไปดวยกําลังอันเร็วเหลือบเห็นรอยขีดรอยเขียนเปนรูปงู เห็นใบตาล อันบุคคลถักและพันเปนรูปงู เห็นเสนเชือกและเครือวัลย เห็นแผนดินแตกระแหง ก็มีความสะดุงตก ประหมาสําคัญวางูบมิปรารถนาจะเล็งแลดูซึ่งรอยขีดเปนตนนั้น ฉันใดก็ดี พระโยคาพจรผูพิจารณาเห็นกสิณนิมิตอันมีพรรณสัณฐานเหมือนดวยรูปคลาย ๆ กันกับรูปก็มีความตกประหมาบมิปราถนาจะขอเห็นซึ่งกสิณนิมิตมีอุปไมย ดังนั้นถามิดังนั้น เปรียบตอ บุรุษอันเปนเวร ๆ นั้นตั้งใจคอยเบียดเบียนอยู ไดไปอยูบานอื่น ไปเห็นมนุษยที่เหมือนดวยบุรุษอันเปน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 86 เวรก็สะดุงตกใจ ไมปรารถนาที่จะขอเห็นถามิดังนั้นเปรียบเหมือนบุรุษสุกรแถก เหลือบเห็นหมอขาว และตกใจวิ่งหนีหมอขาว ดวยสําคัญวาสุกร ถามิดังนั้นเปรียบดังบุคคลผูขลาดผี แลเห็นใบตาลในที่มืด และแลนหนีใบตาล ดวยสําคัญวาปศาจฉันใดก็ดี พระโยคาพจรเห็นแตปฏิภาคนิมิตแหงกสิณ อันมีพระ สัณฐานเหมือนดวยรูปปรากฏในมโนทวารก็มีความตกใจ มีอุปไมยดังนั้น พระโยคาพจรอันหนายรูปปรารถนาจะไปใหพนรูปนั้น เมื่อจําเริญรูปาพจรจตุตถฌานที่ตน ไดชํานาญเปนอันดี พิจารณาเห็นโทษแหงจตุตถฌานวา รูปาพจรจตุตถฌานนี้กระทําที่เราเหนื่อย หนายเปนอารมณ มีขาศึกคือโสมนัสอันอยูใกลหยาบวาอรูปสมาบัติจะไดละเอียดเหมือนอรูปสมาบัติ หาบมิได เมื่อพิจารณาเห็นโทษแหงรูปวพจรจตุตถฌานดวยประการดังนี้ ก็สิ้นความรักใครในรูปพจรจ ตุตถฌาน กําหนดเองแตอากาศที่กสิณนิมิตถูกตองเปนอารมณ และอาการที่เพิกกสิณออกนั้นจะได เหมือนอาการอันเพิงขึ้นซึ่งเสื่อลําเเพน และอาการอันแซะขนมปงนั้นหาบมิได อาการที่พระโยคาพจร เพิกเฉย บมิไดกําหนดเอากสิณรูปเปนอารมณ ตั้งจิตเปนกําหนดเอาแตอากาศเปนอารมณ กาลเมื่อ กสิณรูปอันตรธานหาย อากาศมีประมาณเทาวงกสิณที่ปรากฏแจงในมโนทวารนั้น ไดชื่อวากสิณฆาต มากาศ บางคาบอาจารยเรียกวากสิณผุฏฐากาศ บางคาบอาจารยเรียกวากสิณวิวิตตากาศ และอากาศ ที่พระโยคาพจรเพิกกสิณเสียแลวนั้น ยตฺตกํ อิจฺฉติ ถาพระโยคาพจรปรารถนาจงแผออกใหญ เทาใด ก็ใหญออกเทานั้นสําเร็จโดยความปรารถนา ถึงจะแผใหญออกไปใหตลอดออกไปถึงขอบ จักรวาลเปนกําหนดก็อาจแผไดสําเร็จความปรารถนา และอากาศที่พระโยคาพจรเพิกเสียแลวใหพระ โยคาพจรพิจารณาเอาเปนอารมณ กระทําบริกรรมภาวนาวาอากาโส อากาโส จงเนือง ๆ ยกวิตกขึ้นใน อากาศ ตั้งวิตกไวในอากาศ เมื่อวิตกอยูในอากาศนิมิต พิจารณาอากาศชนิดนั้นเนือง ๆ นิวรณธรรมก็ จะสงบจากสันดาน เมื่อนิวรณธรรมสงบแลวจิตจะตั้งไดเปนอุปจารสมาธิแลว ใหพระโยคาพจรสอง เสพอากาศนิมิตนั้นจงเนือง ๆ อยาไดเพิกไดเฉย พึงกระทําบริกรรมภาวนาวาอากาโส จําเริญอากาศ นิมิตนั้นไวใหมั่นในสันดาน ปฐมรูปาฌานอันชื่อวาอากาสานัญจายตนะ จึงบังเกิดยึดหนวงเอาอากาศนิมิตนั้นเปน อารมณ นักปราชญพึงสันนิษฐานวาปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อันเปนรูปปาพจรนั้น บังเกิดขึ้น ถือเอากสิณนิมิตมีปฐวีกสิณเปนตนเปนอารมณและมีฉันใด อากาสานัญจายตนฌานนี้ก็ บังเกิดยึดหนวงเอาอากาศนิมิตเปนอารมณ มีอุปไมยดังนั้น ในปฐมวิถีแรกเริ่มเดิมที เมื่อจะไดสําเร็จอา กาสานัญจายตนะนั้น อัปปนาจิตบังเกิด ขณะเดียวก็ตกภวังค อุเบกขาฌานสัมปยุตตกามาพจรชวนะที่ รอง อัปปนานั้นบังเกิด ๓ ขณะบาง ๔ ขณะบาง โดยสมควรแกวาสนาแหงบุคคลอันเปนทันธาภิญญา และขิปปาภิญญา ถาวาสนาบุคคลนั้นเปนทันธาภิญญา อุเปกขาญาณสัมปยุตตกามาพจรชวนะก็ บังเกิด ๔ ขณะ ขณะเปนปฐมชื่อวาบริกรรม ขณะเปนคํารบ ๒ นั้นชื่อวาอุปจาร ขณะเปนคํารบ ๓ ชื่อวา อนุโลม ขณะเปนคํารบ ๔ ชื่อวา โคตรภู เมื่อโคตรภูบังเกิดที่ ๔ แลวอากาสานัญจายตนจิตก็บังเกิดที่ ๕ ที่ ๖ นั้นตกภวังค ถาวาสนาบุคคลนั้นเปนขิปาภิญญา อุเปกขาญาณสัมปยุตตกามาพจรชวนะก็ บังเกิด ๓ ขณะ ขณะเปนปฐมชื่อวาอุปจาร ขณะเปนคํารบ ๒ ชื่อวาอนุโลม ขณะเปนคํารบ ๓ ชื่อวา โคตรภู เมื่อโคตรภูบังเกิดที่ ๓ แลว อากาสานัญจายตนจิตก็บังเกิดที่ ๔ ที่ ๕ นั้นตกภวังค เปนอรู ปาพจร เปนอัปปนาชวนะ และปฐมอัปปนา วิธีแหงทานที่มีวาสนาเปนขิปปาภิญญานั้น ชวนะจิตบังเกิด ๔ ขณะ ขณะที่ ๑ นั้นเปนเปนกามาพจร ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นก็เปนกามาพจร ที่ ๕ นั้นเปนอรูปาพจร เปนอัปปนาจิต และขอซึ่งอรูปเปนปฐม ไดนามบัญญัติชื่อวาอากาสานัญจายจตนะนั้น จะมีอธิบายเปน ประการใด อธิบายวาอากาสานัญจายตนะศัพทนี้ ถาจะแปลตัดออก ๓ บท อากาสะบท ๑ อนัญจะบท ๑ อายตนะบท ๑ อากาสะ แปลวาชองวางอนัญจะนั้นเดิมเปนอนันตะอยูอาเทศ (แปลง) ตะเปนจะ จึง เปนอนัญจะ แปลวาหาที่สุด คืออุทปาทิขณะบมิได อายตนะนั้น แปลวาที่อยู นักปราชญพึงรูซึ่งอรรถาธิบายตามนัยอันฎีกาจารยวิสัชนา ไวใน ฎีกาพระอภิธรรมมัตถสังคหะวา อากาศนั้นไดชื่อวาอนัญจะเพราะเหตุหาอุปาทิขณะและภวังคขณะบ มิได อันธรรมดาวาอากาศนี้ไมรูเกิดไมรูทําลายอันหาที่สุดขางอุปาทขณะแหงอากาศวา อากาศนี้ บังเกิดแตนั้นมาบังเกิดมในวันนั้นคืนนั้นปนั้นเพลานั้น บังเกิดในครั้งนั้น ๆ จะหาที่สุดขางอุปาทขณะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 87 ดังนี้บมิได ประการหนึ่งจะหาที่สุดขางทําลายแหงอากาศวา อากาศนี้จําทําลายไป ในวันนั้นคืนนั้น เดือนนั้นปนั้นเพลานั้น จะหาที่สุดขางทําลายดังนี้บมิได ตกวาฝายขางบังเกิดก็ไมมีที่สุด ฝายขาง ทําลายก็ไมมีที่สุด อาศัยเหตุฉะนี้ อากาศนั้นถึงมาตรวามีนอย มีประมาณเทาวงกสิณก็ดี นอยกวาวง กสิณก็ดี ก็สมควรจะเรียกวาอนัญจ วาหาที่สุดบมิได นักปราชญพึงเห็นอธิบายฉะนี้ อยาพึงเห็นอธิบาย วา อากาศนั้น ตอเมื่อใดแผไปหาที่สุดบมิไดจึงจะไดชื่อวาอนัญจะ ถายังมิไดแผออกใหใหญใหกวาง ยังนอย ๆ อยูแตพอกําหนดไดนั้น จะไดชื่อวาอนัญจะหาบมิได อยาพึงเห็นอธิบายดังนั้น พึงเขาใจ ตามนัยแหงฎีกาจารย ผูตกแตงฎีกาพระอธิธรรมมัตถสังคหะ ดังพรรณนามานั้น เปนใจความวาปฐมรู ปาฌานนั้นยึดหนวงเอาอากาศนิมิต อันหาอุปาทขณะและภวังคขณะมิไดเปนอารมณ อากาศนิมิตอัน หาที่สุดคือ อุปาทขณะและภวังคขณะบมิไดนั้น เปนที่ตั้งเล็งปฐมารูปาฌานเปนที่ยึดที่หนวงที่สํานัก อาศัยแหงปฐมารูปจิต เหตุดังนั้นปฐมารูปจิตนั้นจึงไดชื่อวาอากาสานัญจยตนฌาณ พึงรูแจงโดยนัย อุปมาวา ประดุจเกวียนและประตูชองแหงหนาตาง อันบุคคลปดบังไวดวยผาเขียวและผาขาวผาแดง และผาดําผืนใดผืนหนึ่งนั้นก็ดี ปากโอและปากขันปากหมอและปากกระออม อันบุคคลหุมไวดวยผา เขียวและผาขาวผาแดงผาดําอันใดอันหนึ่งนั้นก็ดี แตบรรดาชองอันบุคคลปดปองหุมไวดวยผานั้น เมื่อ ผาสาฏกยังปดยังปกยังหอยังหุมเปนปกติอยู บุรุษชายหญิงทั้งปวงแลไปก็เห็นแตผาที่ปดที่บัง เห็นแต ผาที่หอหุมจะไดแลเห็นชองหา บมิได กาลเมื่อผาที่ปดที่บังที่หอที่หุมนั้นปลิวไปดวยกําลังลมก็ดี ตกลงดวยวัตถุอันคืน มี ไมหนามเกี่ยวของก็ดี มีผูใดผูหนึ่งมาเปดเผยเลิกรื้อเสียก็ดี กาลเมื่อที่จะหาผาผิดปกหุมหอมิไดแลว บุตรชายหญิงทั้งปวง แลไปก็เห็นชองนั้นปรากฏเปนอากาศเลา อันนี้แลมีฉันใด ผาที่ปกปดหอหุมอยู นั้น ดุจปริมณฑลแหงกสิณที่เปนอารมณแหงรูปาพจรฌาน ประตูเกวียนประตูชองหองหนาตาง ปาก โอแลปากขันปากหมอและปากกระออม อันหาผาสาฎกจะปดปาหุมหอมิไดแลเห็นปรากฏอันอากาศ เปลา เปนชองเปลาอยูนั้น อุปไมยดุจอากาศที่มีกสิณอันเพิก แลเปนอารมณแหงปฐมารูปฌาน กาลเมื่อบุรุษชายหญิงทั้งหลายแลไปเห็นแตผาสาฏกที่ปกปดหอหุม บมิไดแลเห็นชอง แหงประตูเกวียนเปนอาทินั้น มีอุปไมยดังพระโยคาพจรกุลบุตรอันเขาสูรูปาพจรฌาน มีปฏิภาคนิมิต แหงภูตาทิกสิณเปนอารมณ ยังมิไดอากาศเปนอารมณไดกอน กาลเมื่อผาสาฏกปราศจากไปมิไดปด ปงหอหุมอยูเหมือนอยางแตกอน บุรุษชายหญิงทั้งหลายแลไปมิไดเห็นผาสาฏกเห็นแตประตูเกวียน เปนอาทิ ปรากฏเปนอากาศเปลา เปนชองเปลาอยูนั้น มีอุปไมยดังพระโยคาพจรอันหนายจากรูป เพิก กสิณเสียแลวแลพิจารณาเอาอากาศเปนอารมณ ตราบเทาไดสําเร็จปฐมรูปฌาน อันมีนามบัญญัติชื่อ วาอากาสานัญจายตนฌาน เมื่อพระโยคาพจรกุลบุตรไดสําเร็จกิจในภาวนาวิธีมีประมาณเทานี้ เกลียด หนายชิงชัง ซึ่งรูปสัญญาระงับเสียซึ่งสัญญาใหปราศจากขันธสันดานละเสียซึ่งปฏิฆสัญญา ปราศจาก มนสิการในนานัตตสัญญา บมิไดกระทํามนสิการในนานัตตสัญญาแลวกาลใดก็ไดชื่อวาพรอมเพรียง ดวยอากาสานัญจยตนฌานในกาลนั้น แทจริงอรูปฌานนี้มีคุณคามากกวาวามากรํางับดับเสียไดซึ่งรูปสัญญา ละเสียไดซึ่งปฏิฆ สัญญา แลนานัตตสัญญา รูปสัญญานั้นไดแกรูปาพจร ๒๕ แลกสิณทั้ง ๓ เหตุ วาเวนจากอากาสกสิณ ปฏิฆสัญญานั้นไดแกทวิปญจวิญญาณ ๑๐ จิต แทจริงทวิปญจวิญาณ ๑๕ นี้ ไดชื่อวาปฏิฆสัญญา ดวยอรรถวาบังเกิดในปญจทวารวิถี เพราะเหตุที่อารมณมากระทบประสาท แลนานัตตสัญญานั้นไดแก จิต ๔๔ จิต คือกามาพจรกุศล ๘ จิต อกุศล ๑๒ จิต กามาพจรกุศลวิบาก ๑๑ จิต อกุศลวิบาก ๒ จิต กามาพจรกิริยา ๑๑ จิต สิริ ๔๔ จิต นี่แลไดชื่อวานานัตตสัญญาดวยอรรถวามีชาติอันตาง ๆ เปนกุศล ชาติบาง เปนอกุศลชาติบาง เปนอัพยากฤตชาติบาง นักปราชญพึงสันนิษฐานวา พระโยคาพจรจะได สําเร็จอรูปฌานนั้น อาศัยเหตุที่ละรูปาพจรเสียไดอาศัยเหตุที่ละกสิณ ๙ ประการเสียได ถายังละรู ปาพจรจิตเสียมิไดยังละกสิณ ๙ ประการเสียมิไดตราบใด ก็ยังมิไดสําเร็จอรูปฌานตราบนั้น ตอเมื่อใด ละรูปาพจรจิตเสียได ละกสิณ ๙ ประการเสียไดแลว จึงอาจสําเร็จอรูปพจรฌานแตปฏิฆสัญญา คือทวิ ปญญาญาณ ๑๐ จิต แลนานัตตสัญญา คือกามาพจร ๔๔ จิต นอกจากทวิปญญาจวิญญาณนั้น เมื่อ ถึงยังมิไดสําเร็จอรูปฌานกอน ไดแกฌานเบื้องต่ํา คือรูปาพจรฌานก็อาจจะลวงไดอาจจะระงับเสียได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 88 ดวยอํานาจรูปาพจรฌาน แทจริงทานที่เขาสูสมาบัติยับยั้งอยูในสมาบัตินั้นจะไดแลเห็นรูปดวยจักษุ จะไดฟงเสียง ดวยโสตะ จะไดสูดกลิ่นดวยฆานะ จะไดเสพรสดวยชิวหา จะไดเสพสัมผัสดวยกายนั้น หาบมิได จิต สันดานอันประพฤติเปนไปในปญญทวารวิถีนั้นบมิได มีแกทานที่ยับยั้งอยูในทานสมาบัติ อันธรรมดา วาเขาสูสมาบัติยับยั้งอยูในสมาบัตินั้น จิตสันดานเปนแตมโนทวารวิถีสิ่งเดียว จิตประพฤติเปนไปใน ทวารวิถีนั้น จะไดเปนกามาพจรจิตก็หาบมิได จิตที่เปนกามาพจรนั้นบมิไดรู มีในสันดานแหงทานที่ ยับยั้งอยูในสมาบัติ กาลเมื่ออยูในสมาบัติ ใครจะไปจะมาในที่ใกลก็ไมรูไมเห็น ใครจะเจรจาก็ไมไดยิน ถึงจะโหรองตีฆองกลองใกลโสตนั้น ก็ไมไดยินแตรูปแตเสียงสียังไมเห็นไมไดยินแลว ก็จะปวยกลาว ไปไยถึงกลิ่นแลรสสัมผัสนั้นเลาบมิไดรูเลยเปนอันขาด จิตนั้นแนแนวแยูในปฏิภาคนิมิต ซึ่งเปน อารมณแหงฌาน อยูในสมาบัตินั้นระงับจากกามฉันท แลพยาบาท ระงับจากอุทธัจจะแลกุกกุจจะ ระงับจากวิจิกิจฉาแลอวิชชา ระงับจากถีนะมิทธะ จิตที่เปนกามาพจรนั้นบมิไดรูมีเหตุฉะนี้ จึงเห็นแทวา จําเดิมเเตกาลเมื่อไดสําเร็จรูปฌานนั้น ก็อาจจะลวงปฏิฆสัญญาแลนานัติตสัญญาเสียได เวนแตรูป สัญญานั้นแลรูปฌานจะละเสียมิได เออก็เหตุไฉนปฏิฆสัญญาแลนานัตตสัญญาที่สละเสียไดแลว แตในรูปาพจรนั้น สมเด็จ พระพุทธองคจึงยกขึ้นตรัสเทศนาวาอรูปฌานสละละไดเลา อรูปฌานสิเฉพาะแตรูปสัญญาตางหาก ดังฤๅ พระองคมาตรัสเทศนาวา ละปฏิฆสัญญาแลนานัตตสัญญาดวยเลาอาศัยเหตุผลเปนประการใด มีคําพระพุทธโฆษาจารยผูตกแตงพระคัมภีรวิสัชนาวาขอซึ่งมีพระพุทธฎีกาตรัสวาอรูปฌานสละเสียได ซึ่งปฏิฆสัญญาแลนานัตตสัญญานั้น วาดวยสามารถสรรเสริญคุณแหงอรูปฌาน ปรารถนาจะใหกุลบุตร ทั้งปวงมีอุตสาหะจําเริญอรูปฌานจึงตรัสสสรรเสริญดังนี้ เปรียบเหมือนพระพุทธฎีกาที่ตรัสสรรเสริญ จตุตถฌานวาละสุขละทุกข ที่แทนั้นละทุกขเสียไดแตในปฐมฌานครั้นยางเขาตติยฌานก็จะสุขเสียได จตุตถฌานนี้ บังเกิดในกาลเมื่อละทุกขละสุขไดแลว กิจที่จะละทุกขละสุขนั้นจะละไดเปนพนักงาน แหงจตุตถฌานหามิได พระพุทธฎีกาที่ตรัสสรรเสริญวาจตุตถฌานละทุกขละสุขนั้น ตรัสดวยสามารถ สรรเสริญจตุตถฌานปรารถนาจะใหกุลบุตรทั้งปวงมีความอุตสาหะจําเริญจตุตถฌาน จึงสรรเสริญดังนี้ แลฉันใด ขอซึ่งตรัสเทศนาวา อรูปฌานสละละปฏิฆสัญญาแลนานัตตสัญญานั้นก็ตรัสสรรเสริญดวย สามารถ ใหกุลบุตรมีความสุตสาหะจําเริญอรูปฌาน มีอุปไมมยดังนั้น ถามิดังนั้นเปรียบเหมือนพระ พุทธฎีกาที่ตรัสสรรเสริญพระอนาคามิมรรควา ละอกุศลเปนตนวาสักกายทิฏฐินั้น ที่แทก็ละเสียไดแก ในขณะแหงพระโสดาปตติมรรคนั้นแลว ตรัสสรรเสริญดวยสามารถใหกุลบุตรอุตสาหะจําเริญพระ อนาคามิมรรคอันนี้แลฉันใด พระพุทธองคตรัสสรรเสริญอรูปฌาน ก็อุปไมยดังนี้ สงฺเขปโต ถาจะวา โดยยอแตพอใหเห็นวางายในคุณแหงอรูปสมาบัตินั้น นักปราชญพึงรูวาอรูปสมาบัติละจิตแลแจตสิก เปนรูปาพจรเสียได นี่แลเรียกวาละเสียซึ่งรูปสัญญาขอซึ่งอรูปสมาบัติหางไกลจากกามาพจรจิต สลัด จิตแลเจตสิกอันเปนกามาพจรเสียใหไกลจากสันดานนั้น ไดชื่อวาละปฏิฆสัญญา แทจริงสภาวะมีสันดานไกลจากปฏิฆสัญญา คือทวีปญญาจวิญญาน ๑๐ จิตนั้น อยางวาถึง เมื่อเขาสูอรูปสมาบัตินั้นเลย โดยแตอรูปภพอันเปนที่บังเกิดแหงอรูปวิบากนั้น ก็ไกลจากทวิปญจ วิญญาณ ๆ ทั้ง ๑๐ จิตนั้น จะไดมีอรูปภพหาบมิได แตนานัตตสัญญา คือกามาพจรจิต ๔๔ จิต นอกจากทวิปญจวิญญานนั้นแบงออกเปน ๒ กอง ๆ หนึ่ง ๑๗ จิต กองหนึ่ง ๒๗ จิตกอง ๑๗ จิตนั้น คือมหาวิบาก ๘ สัมปฏิจฉันนะ ๒ สัตตีรณะ ๓ ปญจทวาราวัชชนะ ๑ สหนะ ๑ ปฏิฆชวนะ ๒ ทั้ง ๑๗ นี้ จะไดมีในอรูปภพหามิได แตกอง ๒๗ จิตนั้น คือมหากุศล ๘ มหากิริยา ๘ อกุศล ๑๐ มโนทวารวัช ชนะ ๑ เปน ๒๗ จิตดวยกัน นี่แลมิไดมีในอรูปภพ อรูปพรหมที่เปนปุถุชนนั้น ถาออกจากอรูปสมาบัติแลวนานัตตสัญญา คือกามาพจร ๒๗ จิตนี้ ก็ไดชองไดโอกาสอาจจะบังเกิดไดในสันดาน เวนแตอยูในสมาบัตินั้นแลนานานัตตาสัญญา ๒๗
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 89 จิตนี้บมิอาจจะบังเกิดได นักปราชญพึงสันษฐานวาอรูปฌานเปนปฐม ไดชื่อวาอากาสณัญจายตนะนั้น ดวยอรรถวายึดหนวงอากาศอันมีกสิณเพิกแลวเปนที่อยูที่พํานักอาศัย แทจริงอากาศในที่พระ โยคาพจรเพิกกสิณเสียแลวนั้นเปรียบเหมือนทิพยพิมานอันเปนที่อยูที่พํานักแหงเทพยดาทั้งปวง แล อากาศนั้นมิไดมีที่สุดฝายขางบังเกิด บมิไดมีที่สุดฝายขางทําลาย โดยนัยที่วิสัชชนาตามฎีกาอภิธรรม มัตถสังคหะ เหตุฉะนี้ปฐมรูปจิตที่ยึดที่หนวงอากาศนิมิตเปนอารมณนั้น จึงไดนามบัญญัติชื่อวาอา กาสนัญจาตนะ ดวยประกาศฉะนี้ ฯ วินิจฉัยในปฐมมารูปฌานโดยวิตถารยุติแตเทานี้
จักวินิฉัยในอรูปเปนคํารบ ๒ อันชื่อวาวิญญาณัญจายตนะสืบตอไป วิฺญาณฺจายตนํ ภาเวตุกาเม พระโยคาพจรผูมีศรัทธาปรารถนาจะจําเริญวิญญาณัญจยตนะกรรมฐานนั้น พึงจําเริญ ปฐมารูปณานใหมีวสี ๕ ประการชํานิชํานาญเปนอันดีแลว พึงพิจารณาใหเห็นโทษแหงปฐมารูปฌาน วา อาสนฺนฉรูปาวจรชฺฌานปจุจถิกา ปฐมรูปฌานนี้มีขาศึกคือรูปาพจรฌานอยูใกลจะไดละเอียด เหมือนวิญญาณัญจายตนฌานหาบมิไดเมื่อพิจารณาเห็นโทษแหงปฐมารูปฌานดังนี้ ยังความรักความ ยินดีในปฐมารูปฌานนั้นใหสิ้นไปแลว พึงกระทํามนสิการกําหนดใหเห็นคุณแหงวิญญาณัญจายตน ฌานวา วิญญาณัญจายตนาฌานนั้นละเอียกประณีตบรรจง กระทําจิตใหรักใหใครในวิญญาณัญจาย ตนฌานแลว จึงละเสียซึ่งอากาศนิมิตที่เปนอารมณแหงปฐมารูปฌาน อยาไดเอาใจใสในอากาศนิมิต พึงกํานดจิตยึดหนวงเอาแตปฐมารูปวิญญาณ ที่อาศัยในอากาศนิมิตนั้นเปนอารมณแลวจึงกระทํา บริกรรมภาวนาวา อนนฺตํ วิฺญาณํ อนนฺตํ วิฺญาณํ วิญญาณไมมีที่สิ้นสุด ๆ จงเนือง ๆ ยกวิตก ขึ้นในปฐมารูปวิญญาณกระทําปฐมารูปวิญญาณนั้นเปนที่วิตกโดยวิเศษ เมื่อตั้งวิตกเฉพาะอยูในปฐมารูปวิญญาณนั้นเนือง ๆ อยาไดเพิกเฉยอยาไดมีขวนขวายอัน นอย พึงอุตสาหะบริกรรมภาวนา อนนฺตํ วิฺญาณํ อนนฺตํ วิฺญาณํ รอยคาบพันคาบแสนคาบ ตราบเทาวิญญาณัญจายตนฌาน อันยึดหนวงเอาปฐมารูปวิญญาณเปนอารมณนั้นจะบังเกิด ปฐมารูป ฌานนั้นยึดหนวงเอาอากาศนิมิตเปนอารมณแลวบังเกิดดวยประการฉันใด วิญญาณัตจายตนฌานที่ยึด หนวงเอาปฐมารูปวิญญาณเปนอารมณนี้ บังเกิดดวยอาการอยางนี้ อธิบายวาในปฐมวิธี แรกเริ่มเดิม เมื่อจะไดสําเร็จวิญญาณัญจายตนฌานนั้น อัปปนาจิตบังเกิดขณะจิตหนึ่งก็ตกภวังค กามาพจรชวนะที่ ไดสําเร็จกิจเปนบริกรรมแลอุปจาร เปนอนุโลม แลโคตรภูนั้น สัปยุตตดวยอุเบกขาเวทนาบังเกิด ๓ ขณะบาง ๔ ขณะบาง ตามวาสนาบุคคลที่เปนขิปปาภิญญาแลทันธาภิญญา อากาสานฺจายตน สมติกฺกมา นักปราชญพึงสันนิษฐานวาพระโยคาพจรจะไดสําเร็จวิญญาณัญจายตนฌานนั้น เพราะ เหตุวาลวงเสียซึ่งอากาศนิมิตอันเปนอารมณแหงปฐมรูปฌาน แลวเลยยึดหนวงเอาปฐมารูปวิญญาณ เปนอารมณ ขอซึ่งอรูปฌานเปนคํารบ ๒ มีนามบัญญัติชื่อวาวิญญาณณัญจายตนะนั้นจะมีอธิบายประการ ใด อธิบายวาวิญญาณัตญจายตนะนี้ศัพทนี้ถาจะแปลตัดออกเปน ๓ บท วิญญาณบท ๑ อนันตะบท ๑ อายตนะบท ๑ เปน ๓ บทดังนี้ วิญญาณนั้นแปลวาจิต อนันตะนั้นแปลวาหาที่สุดบมิได อายตนะนั้น แปลวาที่อยู เมื่อสําเร็จรูปวิญญาณัญจายตนะนั้นทานลบนะเสียตัวหนึ่ง อาเทศแปลง ตะ เปน จะ นักปราชญพึงรูโดยอธิบายวา ปฐมรูปวิญญาณที่เปนอารมณแหงวิญญาณัญจายตนฌานนี้ ที่จะไมมี ที่สุดฝายขางบังเกิดฝายขางดับเหมือนอยางอากาศนั่นหาบมิได ปฐมารูปวิญญาณนั้นรูเกิดรูดับ เกิด เร็วดับเร็วประกอบดวยอุปทาขณะ แลฐิติขณะแลภวังคขณะเหมือนกันกับจิตทั้งปวง แตอาศัยเหตุที่ ปฐมมรูปวิญญาณนี้แผอยูในอากาศนิมิต อันหาที่สุดฝายเกิดดับบมิไดก็พลอยไดชื่อวาอนันตะวาหา ที่สุดบมิได เหมือนกันกับอากาศ ตกวาเอาอากาศนั้นมาเปนชื่อแหงตนเปรียบเหมือนมาปาอันชาวกัมโพชจับไดตกอยูใน เงื้อมมือแหงชาวกัมโพชประพฤติตามอํานาจแหงชาวกัมโพช แลไดนามบัญยัติชื่อวากัมโพช แลได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 90 นามบัญญัติเชื่อวากัมโพช แลปฐมารูปวิญญาณนี้ เปนที่ยึดหนวงเปนที่พํานักอาศัยแหงปฐมารูปฌาน คํารบ ๒ เปรียบดุจทิพยวิมารอันเปนที่พํานักอาศัยแหงเทพยดาทั้งปวง อาศัยเหตุที่ยึดหนวงเอาปฐมา รูปญาณที่แผไปในอากาศอันหาอุปาทาทิขณะมิไดเปนอารมณ อรูปฌานเปนคํารบ ๒ นี้จึงไดนาม บัญญัติชื่อวา วิญญาณัญจายตนฌานดวยประการดังนี้ มนสิการวเสน วา อนนฺตํ นัยหนึ่งวาอรูป ฌานเปนคํารบ ๒ ชื่อวาวิญญาณัญจายตนนั้น ดวยอรรถวายึดหนวงเอาปฐมารูปเปนอารมณแลว แล กระทํามนสิการวา อนนฺตํ อนนฺตํ แลขอความอันวิเศษเปนตนวาสําแดงอาการแหงทุติยารูปฌานอันมี สภาวะเบื่อหนายกลัวซึ่งรูป สละละเสียไดซึ่งรูปสัญญา แลปฏิฆสัญญา แลนานัตตสัญญานั้น ก็ เหมือนกันกับนัยที่สําแดงแลวในปฐมารูปฌานนั้น ฯ วินิจฉัยในทุติยารูปกรรมฐานยุติเพียงนี้
อากิฺจฺญายตนํ ภาเวตุกาเมน พระโยคาพจรกุลบุตรซึ่งมีศรัทธาปรารถนาจะจําเริญ อากิญจัญญายตนกรรมฐานนี้ พึงจําเริญทุติยารูปฌานใหมีวสี ๕ ประการใหมีชํานิชํานาญอันดีแลว จึง พิจารณาใหเห็นทุติยารูปฌานวา อาสนฺนากาสานฺจายตนปจฺจตฺถิกาทุติยารูปฌาน นี้ มีขาศึก คืออากาสานัญจายตนฌานอันอยูใกล จะไดละเอียดเหมือนอากิญจัญญายตนฌานหาบมิไดเพื่อ พิจารณา ใหเห็นโทษแหงทุติยารูปฌานดังนี้ ยังความรักความยินดีในทุติยารูปฌานใหสิ้นแลว พึง กระทํามนสิการกําหนดใหเห็นคุณแหงอากิญจัญญายตนฌานวา อากิญจัญญายตนฌานนั้นละเอียด ประณีตบรรจง กระทําจิตใหรักใหใครในอากิญจัญญายตนฌานแลว จึงละเสียซึ่งปฐมมารูปวิญญาณ ที่ เปนอารมณแหงวิญญาณัญจายตนฌาน อยาไดเอาใจใสในปฐมมารูปวิญญาณ พึงกําหนดจิตวา ปฐม มารูปวิญญาณหามีในที่อันนี้ไม ที่อันนี้เปลาจากปฐมารูปวิญญาณ สงัดจากรูปปฐมาวิญญาณ เมื่อกําหนดจิตฉะนี้แลว ก็พึงกระทําบริกรรมภาวนาวา นตฺถิ กิฺจิ นตฺถิ กิญจิ อะไรไมมี ๆ ถามิดังนั้นใหบริกรรมวา สฺุญํ สฺุญํ เปลา ๆ ถามิดังนั้นใหบริกรรมวา วิจิตฺติ วิวิตฺติ วาง ๆ จง เนือง ๆ ยกวิตกขึ้นวาปฐมารูปวิญญาณหามีไม ตั้งวิตกไววาปฐมารูปวิญญาณบไดมี กระทําที่ไมมีแหง ปฐมารูปวิญญาณนั้นเปนขอวิเศษเนือง ๆ อยูแลว นิวรณธรรมทั้งปวงก็จะสงบจากสันดาน เมื่อนิวรณ ธรรมสงบแลว จิตก็จะตั้งไดเปนอุปจารสมาธิ เมื่อจิตเปนอุปจารสมาธิแลวใหพระโยคาพจรสอง เสพนัตถิภาวนานิมิตจงเนือง ๆ อยาไดละเสีย พึงอุตสาหะทําบริกรรมวา นตฺถิ กิฺจิ นตฺถิ กิฺจิ ร อบคาบพันคาบ กวาจิตจะแนลงไปเปนอัปปนาในอารมณที่สําคัญมั่นหมายวาปฐมารูปวิญญาณ บมิได มีนั้นนักปราชญพึงสันนิษฐานวาอรูปฌานเปนปฐมนั้น จิตแนเปนหนึ่งลงในปริมณฑลในอากาศที่เพิก กสิณเสียแลว ในอรูปฌานเปนคํารบ ๒ นั้นจิตแนเปนหนึ่งลงในอารมณที่ละเมินปริมณฑลอากาศนั้น เสียแลว แลสําคัญมั่นวาปฐมารูปวิญญาณนั้น มีเปนแทแผอยูในปริมณฑลอากาศ ในรูปฌานเปนคํารบ ๓ นี้ จิตแนเปนหนึ่งลงในอารมณที่สําคัญมั่นวาปฐมารูปวิญญาณไมมีปริมณฑลแหงอากาศนี้ จะ มีปฐมารูปวิญญาณแผอยูในที่อันนี้หาบมิได ตกวาอากาศก็มีเปนพื้นอยูนั่นแลแตทวาละเสียหากําหนด เปนอารมณไม ที่จะกําหนดวานี่แลคือจะกําหนดวาปฐมารูปวิญญาณมีอยูแผในที่อันนี้ ฝายตติยารูปนั้น กําหนดวาปฐมารูปวิญญาณหามีไม หาแผอยูในที่อันนี้ไม ตกวาทุติยารูป จิตนั้นเปนหนึ่งอยูในอารมณที่สําคัญมั่นวา ปฐมารูปวิญญาณแผอยูในที่อันนี้ ฝายตติยารูปนั้นเปนหนึ่ง อยูในอารมณที่สําคัญมั่นวาปฐมารูปวิญญาณหามีในที่อันนี้ไม ยถา นาม ปุริโส มณฺฑปาสาลาทีสุ ภิกฺขุสงฺฆํ ทิสฺวา เปรียบเสมือนบุรุษผูหนึ่ง แลเห็นพระภิกษุสงฆทั้งปวง อันมีธุระดวยสังฆกิจอันใด อันหนึ่ง มาประชุมกันในมณฑลแลศาลาใหญนอยอันใดอันหนึ่ง บุรุษนั้นก็กระทํามณสิการกําหนดจิต วาพระสงฆประชุมกัน ๆ กําหนดแตเทานั้น จะไดกําหนดวาที่อันพระสงฆประชุมนี้เปนมณฑลเปนที่โรง ฉัน เปนศาลายาวแลกวางมีประมาณเทานั้น มีเสาแลพื้นแลฝาแลที่มุงอยางนั้น ๆ จะไดกําหนดดังนี้หา บมิได ตกวาที่อันพระสงฆประชุมนั้นมิไดเอาใจใสใหรูวา พระสงฆมาประชุมกันในที่อันนี้ ๆ เอาใจ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 91 ใสแตเทานั้น ครั้นพระสงฆทั้งปวงมาประชุมกันกระทําสังฆกิจ สิ้นธุระแลวแลลุกไป บุรุษนั้นกลับแลไป ในภายหลังเห็นที่อันนั้นเปลาอยูไมมีพระสงฆ บุรุษนั้นกําหนดวาพระสงฆไมมีในที่อันนี้แลว ที่อันนี้ เปลาแลว บุรุษนั้นกําหนดจิตแตเทานี้กําหนดเอาแตที่ไมมีพระสงฆนั้นแล เปนอารมณแลมีฉันใดที่อัน พระสงฆประชุมนั้น มีอุปไมยดังอากาศนิมิตที่เพิกกสิณเสียแลว แลเปนอารมณแหงปฐมารูปวิญญาณ พระภิกษุทั้งปวงที่มาประชุมกันนั้น เปรียบตอปฐมารูปวิญญาณที่เปนอารมณแหงอรูปฌานเปนคํารบ ๒ กิริยาที่ภิกษุลุกไปสิ้นไปแลวแลเปลาอยูนั้น เปรียบตอจากอากาศที่เปลา ที่สูญที่ไมมี ปฐมารูป วิญญาณอันเปนอารมณแหงรูปฌานเปนคํารบ ๓ กาลเมื่อบุรุษเห็นพระสงฆประชุมกัน แลเอาใจใส กําหนดแตองคพระสงฆมิไดเอาใจใสดูเสนาสนะที่พระสงฆนั่งนั้นเปรียบเหมือนทุติยารูปจิตอันละเสีย ซึ่งอากาศนิมิตแลว แลยึดหนวงเอาปฐมารูปวิญญาณเปนอารมณ กาลเมื่อบุรุษแลไปไมเห็นพระสงฆ เห็นแตที่เปลาอยู แลกําหนดในใจวาพระสงฆไปหมดแลว ไมมีพระสงฆแลว อันนี้มีอุปไมยดังตติยารูป จิตอันกําหนดอารมณวาเปนปฐมารูปวิญญาณบมิไดมี ๆ แลอรูปฌานเปนคํารบ ๓ นี้ ไดนามบัญญัติชื่อวาอากิญจัญญายตนนั้น จะมีอรรถธิบายเปน ประการใด อธิบายวาอากิญจัญญายตนศัพทนี้ ถาจะแปลตัดออกเปน ๓ บท นะ บท ๑ กิญจนะ ๑ อายตนะ บท ๑ เปน ๓ บทนี้นะนั้นแปลวาบมิได กิญจนะนั้นแปลวาเหลืออยู อายตนนั้นแปลวาที่อยู อาเทศ แผลง นะ เปน อะ เมื่อสําเร็จรูปเปนอากิญจัญญายตนะนั้น อธิบายวานัตถิภาวนานี้เปนอารมณ แหงตติยารูปฌานนั้น จะไดมีปฐมารูปวิญญาณเหลืออยูมาตรวาภังคขณะนั้นก็หาบมิได อารมณที่ สําคัญมั่นวาปฐมารูปวิญญาณไมมีนี่แลเปนที่ยึดที่หนวงที่สํานักที่อาศัยแหงตติยารูปฌาน เปรียบ ประดุจทิพยวิมาณอันเปนที่อยูแหงเทพบุตรแลเทพธิดาทั้งปวง ตกวาอารมณที่สําคัญมั่นวาปฐมารูปวิญญาณไมมีนั้น ตติยารูปจิตกําหนดเอาเปนที่ยึดหนวง เหตุฉะนี้ ตติรูปจิตนั้น จึงไดนามบัญญัติชื่อวาอากิญจัญญายตนฌานดวยประการฉะนี้ ตกวาพระ โยคาพจรกุลบุตรจะไดสําเร็จอากิญจัญญายตนฌานนั้น ดวยสามารถที่ลวงทุติยารูปจิตไดประการ ๑ ลวงปฐมารูปที่เปนอารมณแหงทุติยารูปจิตนั้นไดประการ ๑ ลวงเปน ๒ สถานดังนี้ จึงไดสําเร็จอา กิญจัญญายตนฌาน แลขอความอันเศษเปนตนวาสําแดงคุณานิสงสแหงตติยารูปฌานวา หนายจาก รูปละเสียไดจากรูปสัญญา แลปฏิสัญญานานัตตสัญญานั้นก็เหมือนกันกับนัยที่สําแดงแตตน ในปฐมา รูปฌานนิเทศนั้น ฯ วินิจฉัยในตติยารูปกรรมฐานยุติแตเพียงนี้
แตนี้จักวินิจฉัยในจตุตถารูปกรรมฐานสืบตอไป เนวสฺญานาสฺญายตนํ ภาเวตุกา เมน พระโยคาพจรกุลบุตรผูมีศรัทธาปรารถนาจะจําเริญเนวสัญญานาสัญญายตนกรรมฐานนั้น พึง จําเริญตติยารูปฌานใหมีวสี ๕ ประการชํานิชํานาญเปนอันดีแลว พึงพิจารณาใหเห็นโทษแหงตติยา รูปฌานวา อาสนฺนวิฺญาณฺจายตนปจฺจตฺถิกา ตติยารูปฌานนี้มีขาศึก คือวิญญาณัญจายตน ฌานอันอยูใกลอารมณแหงตติยารูปฌานนี้ ยอมเแลวดวยสัญญา ๆ นั้นยังหยาบยังเปนโรคเปนภัย ยัง เปนปมเปนเปา ยังเปนลูกศรเสียบแทงจิตสันดานอยูจะไดละเอียดเหมือนเนววัญญายตนฌานหาบมิได เมื่อพิจารณาใหเห็นโทษแหงตติยารูปฌานใหสิ้นแลว พึงกระทํามนสิการกําหนดใหเปนคุณานิสงส แหงเนวสัญญายตนฌานวา เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนี้ละเอียดประณีตบรรจงยิ่งนัก มาตรแมวามี สัญญาอยู ก็เหมือนจะหาสัญญาบมิได พึงพิจารณาใหเห็นคุณานิสงสฉะนี้ ยังความรักความยินดีใหบังเกิดในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแลว จึงลวงเสียซึ่งอารมณ แหงตติยารูปฌานอารมณที่สําคัญวาปฐมารูปฌาน ไมมีนั้นพึงสละละเสียอยาไดมนสิการกําหนด กฏหมายเพิกเฉยเสีย อยายึดอยาหนวงเอา อยาผูกพันไวในสันดาน พึงกําหนดเอาแตตติยารูปฌาน เปนอารมณกระทําบริกรรมวา สนฺตเมตํ ปณีตเมตํ ตติยารูปจิตนี้ ละเอียดประณีตบรรจง บมิได หยาบ ตกฺกาหตา วิตกฺกาหตา กาตพฺพา พึงนํามาซึ่งตติยารูปวิญญาณดวยวิตกโดยวิเศษวิตกวิจาร
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 92 เนือง ๆ อยูแลวนิมิตแหงตติยารูปจิตก็จะบังเกิด นิวรรณธรรมก็สงบจากสันดาน เมื่อนิวรรณธรรมสงบ แลว จิตก็จะตั้งไดเปนอุปจารสมาธิแลวใหพระโยคาพจรสองเสพนิมิตแหงตติยารูปจิตเนือง ๆ อยาได ละไดลืมซึ่งอุตสาหะกระทําบริกรรมวา สนฺตเมตํ ปณีตเมตํ ตติยารูปจิตนี้ละเอียด ตติยารูปจิตนี้ ประณีต บริกรรมไป ๆ รอยคาบพันคาบหมื่นคาบแสนคาบ กวาจิตจะแนแนวเปนอัปปนาไดสําเร็จ จตุตถารูปฌานอันชื่อวาเนวสัญญานาสัญญายตนนั้น แทจริงอรูปสมาบัติ ๔ นี้ นับเขาในปญจมฌาน กอปรดวยองค ๒ คือเอกัคคตา แลอุเบกขา วิตก วิจารปติสุข นั้นจะไดเปนองคแหงอรูปสมาบัติหามิได แลขอซึ่งวาใหกระทําวิตกใหตั้งวิตกไว ขอนี้นี่เฉพาะวาบุรพภาคเบื้องตน กาลเมื่อดํารงจิตในบุรพภาคนั้น จะทิ้งวิตกวิจารเสียบมิได จําจะมีวิจารเปนเดิมกอน เพราะเหตุวาอรูปฌานนี้ลวงอารมณกันทุกชั้น ๆ จะยืนอารมณไวอยาง เดียวกันอยางรูปาพจรสมาบัตินั้นยืนไวบมิได อันรูปสมาบัตินั้นถาเอากสิณสิ่งใดเปนอารมณแลว จะตั้ง กสิณนั้นใหขึงไวไมเปลี่ยนกสิณเลย จะเขาฌานตั้งแตปฐมฌานขึ้นไป ใหตลอดตราบเทาถึงปญจม ฌานนั้นก็อาจเขาไดเพราะเห็นวาอรูปฌานนั้น อารมณยืนไมเปลี่ยน อารมณเหมือนรูปฌาน ๆ นี้ลวง อารมณไมยืน ตองลวงอารมณกันทุกชั้น ๆ เหตุดังนั้น ในบุพภาคแรกจําเริญอรูปสมาบัติทั้ง ๔ นี้จึงมิ อาจละวิตกวิจารเสียได ตองมีวิตกวิจารในบุรพภาคกอน ตอถึงอัปปนาจิตแลวจึงปราศจากวิตกวิจาร คงมีองคอยูแต ๒ ประการคือ เอกัคคตากับอุเบกขา ในปฐมอัปปนาแรกไดจตุถารูปฌานนี้ จตุตถารูป จิตบังเกิดขณะ ๑ อุเบกขาญาณสัมปยุตกามาพจรชวนะที่ใหสําเร็จกิจเปนบริกรรมแลอุปจาร เปน อนุโลมแลโคตรภูนั้นบังเกิด ๓ ขณะบาง ๔ ขณะบางอยางสําแดงมาแลวแตหลัง จตุตถารูปฌานนี้ ก็มี คุณานิสงส ละรูปสัญญาแลปฏิฆสัญญาแลนานัตตสัญญาเสียไดเหมือนกันกับอรูปฌานเบื้องตน ที่ สําแดงแลวแตเดิมทีแลจตุตถารูปฌานไดนามบัญญัติชื่อวาเนวสัญญานั้นดวยอรรถวามีสัญญาเวทนา แลสัมปยุตธรรมทั้งปวง อันละเอียดสิ้นทุกสิ่งทุกประการใชจะละเอียดแตสัญญาสิ่งเดียวนั้นหาบมิได ขอซึ่งยกขึ้นวาจตุตถารูปจิตมีสัญญาอันละเอียด ถามาสัญญาก็เหมือนดุจหาสัญญาบมิได ขอนี้นี่วาดวยสามารถประธานนัย ยกสัญญาขึ้นตั้งเปนประธาน ที่แทนั้นจะละเอียดแตสัญญา สิ่งเดียวหาบมิได จิตก็จะละเอียดเจตสิกแตบรรดาสัมปยุตดวยจิตนั้นก็ละเอียด มีคําปุจฉาวา สนฺโต เจ มนสิ กโรติ กถํ สมติกฺกโมโหติ วาดวยพระโยคาพจรผูจําเริญ จตุตถารูปฌานนั้น เมื่อกระทํา มนสิการกําหนดกฏหมายอยูวาตติยารูปจิตละเอียดตติยารูปจิตประณีตวิตกวิจารอยูเนือง ๆ วิสัชนา วา อสมาปชฺชิตุกามตาย พระโยคาพจรกุลบุตรจะลวงตติยารูปฌานเสียไดนั้น เพราะเหตุที่มิได ปรารถนาที่จะเขาสูตติยารูปฌาน เห็นวาตติยารูปฌานละเอียด ตั้งจิตวิจารอยูในตติยารูปจิตก็จริงอยู แลแตทวาหาไดคิดวาจะพิจารณาอารมณ แตงตติยาจิตนั้นไม ที่จะไดคิดวาอาตมาจะเขาสูตติยารูป ฌานอีก อาตมาจะอธิษฐานเอาตติยารูปฌานอีก อาตมาจะออกจากตติยารูปฌานอีกอาตมาจะ พิจารณาติติยารูปฌานอีก จะไดคิดดังนี้หาบมิได อาศัยเหตุฉะนี้พระโยคาพจรนั้นจึงอาจลวงเสียซึ่งตติ ยารูปฌานนั้นได เออก็เหตุไฉนเมื่อเห็นตติยารูปฌานละเอียดประณีตบรรจงดีแลวจึงลวงละเสียไมเขาสูตติ ยารูปฌานเลา ขอซึ่งไมเขาสูตติยารูปฌานนั้นเพราะเหตุที่เห็นวา เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น ละเอียดยิ่งกวาตติยารูปประณีตกวาตติยารูป จักรักใครผูกพันอยูในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ปรารถนาเนวสัญญานั้นเปนเบื้องหนา จึงลวงเสียซึ่งตติยารูปฌานเปรียบปานดุจสมเด็จ พระมหากษัตริย อันเสด็จสถิตเหนือคอชางพระที่นั่งตัวประเสริฐ เสด็จโดยนครวิถีถนนหลวงดวยพระ เดชานุภาพเปนอันมาก ทนฺตการาทโย ทิสฺวา ไดทอดพระเนตรเห็นชางทั้งหลายเปนตนวาชางไม แลชางงาอันเลื่อยงาผาเปนซีกนอยแลซีกใหญ กระทําเครื่องไมแลเครื่องเงางามประหลาดตาง ๆ ตาม ศีลปศาสตรตนเคยกระทําบรมกษัตริยนั้นครั้นทอดพระเนตรเห็นก็ทรงพระโสมนัสปรีดาชมเชยวา ชาง เหลานี้ขยันนักหนาฝมือดี ๆ กระทําการชํานิชํานาญควรจะเปนครูเปนอาจารยสั่งสอน ลูกศิษยไดตรัส ชมฝมือชางทั้งปวงก็จริง แตทวาพระองคจะไดปรารถนาที่จะละสมบัติเสียแลวแลจะเปนนายชาง เหมือนอยางชนเหลานั้นหาบมิไดเหตุใด เหตุวาสมบัติประเสริฐเลิศกวาศิลปศาสตรชางทั้งปวงตกวา ชมฝมือชางนั้นชมนักชมหนา แตน้ําพระทัยมิไดปรารถนาที่จะเปนชาง อันนี้แลมีอุปมาฉันใด พระ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 93 โยคาพจรผูกระทํามนสิการวาตติยารูปละเอียด ตติยารูปจิตประณีตนั้น มนสิการเอาเปนนักเปนหนาก็ จริงแล แตทวาจะไดปรารถนาที่จะเขาสูตติยารูปฌานอีกหาบมิได จิตนั้นรักใครปรารถนาปรารภอยูใน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน จึงจะลวงเสียบมิไดเขาสูตติยารูปฌาน เพราะเหตุเห็นวาเนวสัญญานา สัญญายตนฌานนั้น มีอานิสงสมากยิ่งกวาตติยารูปฌาน มีอุปไมยดังพระมหากษัตริยอันชมฝมือชาง แลมิไดปรารถนาที่จะถอยพระองคลงเปนชางนั้น เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนี้ บางคาบสมเด็จพระพุทธองคตรัสเทศนาเรียกวาสังขาราว เสสสมบัติเพราะเหตุวาละเอียดดวยแท มีสัญญาก็เหมือนดุจหาสัญญาบมิได ครั้นจะวาไมมีสัญญาเลย ก็วาบมิได เพราะเหตุวาสัญญาละเอียด ๆ นั้น ยังอยูเปรียบเหมือนน้ําที่ยังรอนอยูนั้น จะวาหาเตโชธาตุ บมิได ปราศจากเตโชธาตุนั้นหาบมิได ไมมีเตโชธาตุแลว ดังฤๅ น้ําจะรอนเลา เตโชธาตุนั้นมีอยูเปน แทน้ําจึงรอน แตทวาเตโชธาตุนั้นละเอียดกวาละเอียดที่จะเอามาใชสอยกระทําการหุงตมปงจี่สิ่งใดสิ่ง หนึ่งนั้นใชสอยบมิได สัญญาในจตุตถารูปสมาบัตินั้น ก็ละเอียดกวาละเอียด พนวิสัยที่พระโยคาพจรจะ พิจารณาเอาเปนอารมณแหงพระวิปสสนานิพพิทาฌาณได มีอุปไมยดังนั้น แทจริงพระโยคาพจรที่ บําเพ็ญพระวิปสสนากรรมฐานนั้น ถาไมพิจารณานามขันธกองอื่นเลย จึงพึงพิจารณาแตเนวสัญญานา สัญญายตนขันธกองเดียวนั้น บมิอาจจะยังวิปสสนานิพพิทาญาณใหบังเกิดได อันวิปสสนานิพพิทาญาณจะบังเกิดใหเกลียดหนายในสังสารวัฏนั้นอาศัยแกพิจารณานาม ขันธหยาบ ๆ อันจะพิจารณานามขันธที่ละเอียด ๆ นั้น มิอาจจะยังความเกลียดหนายใหบังเกิดได ตอเมื่อไดมีปญญากลาหาญเปรียบปานดุจดังพระสารีบุตรผูเชี่ยวชาญในการที่จะพิจารณากลาปรูป จึง อาจที่จะพิจารณาเอาจตุตถารูปจิตเปนอารมณแหงวิปสสนานิพพิทาฌาณได สุขุมตฺตํ คตา สัญญา ในเนวสัญญานาสัญญายตนจิตนั้น ถึงซึ่งภาวะละเอียดเปรียบเหมือนน้ํามันทาบาตรแลน้ําอันซับอยูใน หนทาง กิระดังไดยินมาสามเณรองคหนึ่งเอาน้ํามันทาบาตรแลวก็ตั้งไว ครั้นถึงเพลาฉันกระยาคู พระ มหาเถระผูเปนชีตนรองเรียกจะเอาบาตร สามเณรก็วาบาตรติดน้ํามันอยู พระมหาเถระจึงวายกมาเถิด เราจะเทไวในกระบอกน้ํามัน สามเณรจึงวาน้ํามันนั้นขาพเจาทามาตรไวแตพอใหกันสนิม จะมีมากถึง ไดเทใสกระบอกไวนั้นก็หาบมิไดตกวาน้ํามันนั้นสักแตวามี ฉันใดก็ดี สัญญาในเนวสัญญานาสัญญาตน จิตนั้นก็ละเอียดกวาละเอียดสักแตมี มีอุปไมยในเนวสัญญานาสัญญายตนจิตนั้นก็ละเอียดกวาละเอียด สักแตมี มีอุปไมยดังนั้น ยังมีสามเณรองค ๑ เลาเดินทางไกลไปกับพระมหาเถระผูเปนอุปชฌาย สามเณรนั้นเดินไป ขางหนาไปพบน้ําซับอยูที่หนทาง จึงบอกแกพระมหาเถระวาทางเปนน้ําพระเจาขา ถอดรองเทา เสียกอนเถิด ดูกรเจาสามเณร ทานจงเอาผาชุบอาบมาใหแกเรา ๆ รอนนักหนา จะอาบน้ําเสียใหสบาย คลายรอน พระเจาขาที่จะอาศัยอาบอาศัยฉันไมได น้ํานอยแตพอจะชุมรองเทา ใสรองเทาไปนั้น รองเทาจะชุม ขาพเจาจึงบอกใหถอดรองเทา ตกวาน้ํานั้นสักแตวามีฉันใดสัญญาในเนวสัญญานา สัญญายตนจิตนั้นก็ละเอียดกวาอะเอียดสักแตวามี มีอุปไมยดังนั้น แตนี้จักวิสัชนาใน ปกิณกถาใหเห็นแจงวาอรูปสมาบัติตางออกเปน ๔ ประการดังนี้ดวย สามารถ อารมณอันตางลวงอารมณตอ ๆ กัน ปฐมารูปฌาณนั้นลวงเสียซึ่งกสิณนิมิตพิจารณาแต อาการที่มีกสิณเพิกแลวเปนอารมณ ทุติยารูปฌานนั้น ลวงอากาศเสียพิจารณาแตปฐมารูปเปน อารมณตติยารูปฌานนั้น ลวงตติยารูปเสียพิจารณาที่สูญเปลา ที่ไมมีปฐมารูปเปนอารมณ จตุตถารูป ฌานนั้น ลวงสูญที่เปลาที่ไมมีแหงปฐมารูปนั้นเสีย พิจารณาเอาแตตติยารูปจิตเปนอารมณ ตกวา อารมณนั้นตางลวงอารมณตอ ๆ กันฉะนั้น แตองคฌานนั้นจะไดลวงกันหาบมิได อรูปฌานทั้ง ๔ นี้มี องค ๒ ประการ คือเอกัคคตากับอุเบกขาเหมือนกันสิ้นองคแหงอรูปฌานทั้ง ๔ นี้ บมิไดแปลกกัน มีคําปุจฉาวาอรูปฌานทั้ง ๔ นี้ เมื่อแลมีองค ๒ ประการเหมือนกันสิ้นไมแปลกนั้น ทําไฉน จึงประณีตกวากันละเอียดกวากันเปนนั้น ๆ ดวยเหตุผลเปนประการใด วิสัชนาวาองค ๒ ประการ เหมือนกันไมแปลกกันก็จริง แตทวาไมแปลกกันแตองคอารมณนั้นแปลกกัน ประณีตกวากันเปนชั้น ๆ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 94 ละเอียดกวากันเปนชั้น ๆ เปรียบเหมือนพื้นปรางคปราสาททั้ง ๔ แลแผนผาสาฎก ๔ ผืนอันแปลกกัน กิระดังไดยินมา ยังมีปรางคปราสาทอันหนึ่งมีพื้นได ๔ ชั้น ๆ เบื้องต่ํานั้นบริบูรณไปดวยเบญจกามคุณ คือขับรองรําฟอนดีดสีตีเปาดุริยางคดนตรีทั้งปวงแตลวนเปนทิพย เตียงตั่งที่นั่งที่นอนผานุงผาหม ดอกไมของหอมโภชนาหารสรรพมีพรอม แตลวนแลวดวยเครื่องทิพยบริบูรณนักหนาอยูแลว แตทวา ไมบริบูรณเหมือนชั้นคํารบ ๒ ๆ นั้น บริบูรณยิ่งกวากัน ครั้นขึ้นไปถึงชั้นคํารบ ๓ นั้นก็ยิ่งมากยิ่งบริบูรณ หนักขึ้นไปกวาชั้นเปนคํารบ ๒ ยิ่งขึ้นไปถึงชั้น ๔ ก็ยิ่งบริบูรณกวาชั้น ๓ ได ๑๐๐ เทา ๑๐๐๐ ทวี ตก วาพื้นทั้ง ๔ แหงปรางคปราสาทนั้นเทากัน หาแปลกกันไม แปลกกันแตปญจกามคุณยิ่งกวากันดวย เบญจกามคุณแลมีฉันใด อรูปฌานทั้ง ๔ นี้มีองค ๒ ประการเทากันหาแปลกกันไม แตทวายิ่งกวากัน ดวยอารมณละเอียดกวากันประณีตกวากันเปนชั้น ๆ ดวยสามารถมีอารมณตาง ๆ กันก็มีอุปไมยดังนี้ กิระดังไดยินมา ยังมีสตรีภาพ ๔ คนปนดายดวยกันในที่อันเดียวกัน สตรีภาพผูหนึ่งนั้นปน ดายเสนใหญ ผูหนึ่งปนดายเสนรวม ผูหนึ่งปนดายเสนเล็ก ผูหนึ่งนั้นปนดายเสนละเอียด ครั้นปนเสร็จ แลว ก็เอาออกมาทอผาผืนเทากัน ครั้นตัดออกจากฟมแลว เอามาวัดกันก็กวางเทากันยาวเทากัน แต เนื้อผาไมเหมือนกันเนื้อดีกวากันเปนชั้น ๆ แลฉันใด อรูปฌานทั้ง ๔ นั้นมีองค ๒ ประการเหมือนกันก็ จริงแตยิ่งกวากันดวยอารมณละเอียดกวากันเปนชั้น ๆ ดวยสามารถมีอารมณอันตาง ๆ กันนักปราชญ พึงสัญนิษฐานวาทุติยารูปฌานนั้นไดอาศัยพึ่งพิงยึดหนวงปฐมารูปวิญญาณ ฝายจตุตถารูปฌานนั้น ไดอาศัยยึดหนวงตติยารูปวิญญาณ อสุจิพหิมณฺฑเปลคฺ เปรียบเหมือนบุรษ ๔ คนยืนอยูที่มณฑป ยังมีมณฑปอันหนึ่งประดิษฐานอยูในประเทศอันอัน โค ลามกโสโครก บุรุษผูหนึ่งเดินมาในสถานที่นั้น แลเห็นมณฑปก็ดีใจ สําคัญวาจะไดสํานักอาศัยหลับ นอนใหเปนสุข ครั้นเขาไปใกลแลเห็นอสุจิก็มีความเกลียดความหนาย บุรุษนั้นมิไดเขาไปในมณฑป เอาแตมือนั้นเขายึดเขาหนวงมณฑปแลว ก็ยืนโหนตัวอยูที่มณฑปอันนั้น ยังมีบุรุษอื่นอีกคนหนึ่งเลา เดินมาในสถานที่นั้น ชายผูนั้นแลเห็นบุรุษที่ยืนอยูกอนยึดหนวงเอามณฑปอยูดังนั้น ก็ดําริวาบุรุษผูนี้ ยืนแอบชายรมชอบกลหนักหนาอาตมาจะไปยืนแอบบุรุษผูนั้นอยูใหสบายใจสักหนอย คิดแลวชายผู นั้นก็เขาไปใกลกอดรัดกรัชกายแหงบุรุษผูนั้นเขาแลว ก็ยืนเปน ๒ คนดวยกัน ยังมีบุรุษผูหนึ่งเดินมาถึง ประเทศที่นั้นอีกคนหนึ่งเลา แลเห็นอาการแหงคนทั้ง ๒ นั้นก็ดําริวาชนทั้ง ๒ นี้ยืนหาดีไม ผูหนึ่งยืน ยึดหนวงมณฑปโหนตัวอยูหาถนัดไม ผูหนึ่งนั้นเห็นดีอยางไรจึงเขาไปยืนกอดยืนรัด บัดเดี๋ยวก็จะพา กันพลันมวนลงไปในโสโครกหาไมชา อาตมานี้ไมเขาไปในสําหนักแหงชายทั้ง ๒ คนนั้นแลว จะยืน อยูที่เปลาภายนอกเถิด คิดแลวบุรุษนั้นก็ยืนอยูที่เปลาภายนอกพนจากประเทศที่ชาย ๒ คนยืน ยังมีบุรุษอื่นอีกคน หนึ่งเลาเดินมาในสถานที่นั้น เห็นอาการอันยืนแหงชนทั้ง ๒ ก็ดําริวาชายทั้ง ๒ คนยืนภายในนั้น ใกล จะตกลงในที่ลามก ชายผูนั้นอยูในที่เปลาภายนอกนี้แลยืนดีแลว อาตมาจะไปยืนอยูดวยเถิด คิดแลว บุรุษนั้นก็ไปยืนแอบแนบชิดรัดรึงกายแหงชายที่ยืนภายนอกนั้น อันนี้แลมีอุปมาฉันใด อากาศที่พระ โยคาพจรเพิกกสิณเสียแลวนั้น มีอุปไมยดังมณฑปอันอยูในที่ประเทศลามกโสโครก ปฐมารูปฌานที่ นาเกลียดหนายจากรูป ยึดหนวงเอาแตอากาศที่มีกสิณเพิกเเลวเปนอารมณนั้น มีอุปไมยดังบุรุษอัน มาถึงกอนเกลียดอสุจิมิไดเขาไปในมณฑป เอาแตมือเขายึดหนวงเอาแตมณฑปแลว แลยืนโหนตัวอยู ที่มณฑปนั้น แลทุติยารูปฌานที่ลวงอากาศเสีย แลยึดหนวงเอาแตปฐมารูปวิญญานเปนอารมณนั้น มี อุปไมยดังบุรุษอันมาที่ ๒ เขารอบรัดบุรุษที่มากอน ยืนยึดหนวงกรัชกายบุรุษที่มาเปนปฐมแลตติยารูป ฌานเปนอารมณที่ลวงเสียซึ่งปฐมารูปวิญญาน ยึดหนวงเอาที่สูญที่เปลาที่ไมมีปฐมารูป มีอุปไมยดัง บุรุษอันมาที่ ๓ เห็นชายทั้ง ๒ คนยืนหาดีไม แลยืนอยูในที่เปลาภายนอกพนจากประเทศที่บุรุษ ๒ ยืน แลจตุตถารูปฌานที่แอบเขาเสียซึ่งที่สูญซึ่งที่สูญที่เปลาแลหนวงเอาตติยารูปวิญญานเปนอารมณ มี อุปไมยดังบุรุษอันมาที่ ๔ เห็นวาชายที่ยืนอยูภายนอกนั้น ยินดีแลเขาอิง ยืนยึดหนวงเอากรัชกายแหง ชายนั้นมีคําปุจฉาวา พระโยคาพจรผูมีศรัทธาปรารถนาจะจําเริญจตุตถารูปกรรมฐาน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
คือเนวสัญญานาสัญญาย
- 95 ตนฌานนั้นยอมพิจารณาเห็นโทษแหงตติยารูปฌานวา อาสนฺนวิฺญาณฺจายตนปจฺจตฺถิ กา ตติยารูปฌานนี้มีขาศึก คือวิญญาณัญจายตนะอยูใกล จะไดละเอียดเหมือนเวนสัญญานาสัญญาย สนฺตเมตํ ปณีต ตนฌานหาบมิได เมื่อเห็นโทษแหงตติยารูปฌานดังนี้เหตุไฉนจึงบริกรรมวา เมตํ มนสิการกําหนดกฏหมายวา ตติยารูปวิญญานละเอียด ตติยารูปวิญญานประณีตบรรจงเลาความ หนากับความหลังไมเหมือนกัน เดิมสิพิจารณาเห็นโทษ ติเตียนวาเสียไมดีแลว เหตุไฉนเมื่อบริกรรม จึงชมวาดีประณีตเลา อาศัยเหตุผลเปนประการใดวิสัชนาวาเดิมนั้นเห็นวาตติยารูปหยาบ เห็นวาไม ละเอียดเหมือนเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน จึงละลวงเสีย ไมพอใจเขาสูตติยารูปฌานจิตนั้นปรารภ ปรารถนาที่จะเขาสูเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ครั้นเมื่อจะดํารงจิตขึ้นสูเนวสัญญานาสัญญายตน ฌานนั้น หามีอารมณอันใดอันหนึ่งจะเปนที่ยึดหนวงไม จนเขาแลวก็กลับหนวงเอาตติยารูปเปน อารมณ กลับชมวาละเอียดในกาลเมื่อภายหลังเปรียบเหมือนขาหลวงอันพิจารณาเห็นโทษแหง พระมหากษัตริย แลบาวอันพิจารณาเห็นโทษแหงนายวานายหาศีลหาสัตยบมิได กอปรดวยกาย สมาจาร แลวจีสมาจาร แลมโนสมาจารอันหยาบชาทารุณ ติเตียนวาเจานายเรานี้ไมดีกระทําความชั่ว หยาบชาดังนี้ ๆ เมื่อเห็นวาไมดีแลวจะหาที่พึ้งอื่นเลย ชั่ว ๆ ดี ๆ ก็จําเปนเขาไปสูหาสมาคมแตพอได อาศัยเลี้ยงชีวิตอันนี้แลมีฉันใด พระโยคาพจรผูจําเริญเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น เมื่อพิจารณาเห็นโทษแหงตติยารูปจิตวา ตติยารูปจิตนั้นหยาบแลวจะหาอารมณที่ละเอียด วาตติยารูปจิตที่หาบมิได จนใจแลวก็กลับยึดหนวงเอาตติยารูปจิตเปนอารมณ กลับชมวาละเอียด ประณีตบรรจงมีอุปไมยดังนั้น อารุฬฺโห อารุฬฺโห ทีฆนิสฺเสณี ยถา ถามิดังนั้นเปรียบเหมือนบุคคล อันขึ้นบันไดที่ยาวขึ้นไป ๆ ไมมีอันใดจะเปนที่ยึดที่หนวง เหลียวซายแลขวาที่ยึดที่หนวงบมิได ก็กลับ ยึดบันไดนั้นเอง ถามิดังนั้น ปพฺพตฺจ อารุฬฺโห เปรียบเหมือนบุคคลอันขึ้นสูมิสกบรรพต ขึ้นเขา อันแลวไปดวยศิลาเจือกันเมื่อขึ้นไป ๆ ไมมีตนไมเครือเขาเถาวัลยจะยึดจะหนวงแลว บุคคลผูนั้นก็ยึด หนวงเอายอดแหงภูเขานั้นเอาเปนที่ดํารงกาย ถามิดังนั้น ยถา คิริมารุฬฺโห เปรียบเหมือนบุคคลที่ ขึ้นสูเขาดวยศิลา ธรรมดาวาเขาศิลานี้มักกําชับดําเนินไดดวยลําพังกาย ถึงกระนั้นก็ดี เมื่อดําเนินสูงขึ้นไป ๆ ก็ไดอาศัยเทาเขาแหงตน ไดอาศัยกรานเขาแหงตน อันนี้แลมีฉันใด พระโยคาพจรปรารถนาจะเขาสูเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น ก็ไดอาศัยยึด หนวงตติยารูป ไดเทาไดกรานไดยึดไดหนวง ตติยารูปวิญญาณจึงอาจจะเขาเนวสัญญานาสัญญายตน ฌาน ไดสําเร็จในรถความปรารถนามีอุปไมยดังนั้น ฯ วินิจฉัยในอรูปกรรมฐานยุติเทานี้
อาทานิ อรูปานนฺตรํ เอกสฺญาติ เอวํ อุทิฏาย อาหาเรปฏิกูล สฺญาย ภาวนานิทฺ เทโส อนุปปฺตฺโต บัดนี้ภาวนานิเทสแหงอาหารปฏิกูลสัญญามาถึงแลว ขาพระพุทธเจาชื่อวาพุทธ โฆษาจารย จะสําแดงพิธีแหงอาหารปฏิกูลสัญญา แกบทมาติกาคือ เอาสัญญาที่ขาพระพุทธเจา สําแดงไวโดยยอนั้น จะวิสัชนาออกใหพิศดารในลําดับแหงอรูปกรรมฐานทั้ง ๔ ประการ เหตุไฉนจึงได ชื่อวา วิสัชนาวาธรรมชาติอันชื่อวาอาหารนั้น ดวยอรรถวานํามาซึ่งวัตถุอันสมควรจะนํามาอธิบายวา ธรรมชาติอันใดมีกิริยาอันนํามาเปนธุระ มีกิริยาอันนํามาเปนกิจธรรมชาติอันนั้น แลไดชื่อวาอาหาร โส จตุพฺพิโธ ถาจะสําแดงโดยสรุป อาหารนั้นมี ๔ ประการ คือกวฬิงการาหารประการ ๑ ผัสสาหาร ประการ ๑ มโนสัญเจตนาหารประการ ๑ วิญญาณาหารประการ ๑ เปน ๔ ประการดวยกันดังนี้ กวฬิงการาหารนั้นไดแกของบริโภคเปนตนวา ขาว น้ํา ขนม ของกินอันบุคคลกระทําเปน คําแลวแลกลืนกิน ผัสสาหารนั้นไดแกผัสสาเจตสิกอันมีลักษณะใหถูกตอง ซึ่งอารมณมโนสัญเจตนา หารนั้นไดแกอกุศลจิต ๑๒ จิตโลกิยกุศลจิต ๑๗ จิตวิญญาณาหารนั้น ไดแกปฏิสนธิจิต โก ปเนตฺถ กึ อาหรติ จึงมีคําปุจฉาวาอาหาร ๔ ประการนั้นแตละสิ่ง ๆ นั้น มีพนักงานประมวลเอาสิ่งอันใดมา นําเอาสิ่งอันใดมา วิสัชนาวา กวฬิงการาหารนั้นนํามาซึ่งรูปกาย มีโอชะเปนคํารบ ๘ ผัสสาหารนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 96 นํามาซึ่งเวทนา ๓ คือ สุขเวทนาและทุกขเวทนา แลอุเบกขาเวทนา มโนสัญเจตนาหารนั้น นํามาซึ่ง ปฏิสนธิจิต ใหประดิษฐานอยูในภพทั้ง ๓ วิญญาณาหารนั้น นํามาซึ่งกัมมัชชรูปแลเวทนาทิตยขันธ ในขณะเมื่อตั้งปฏิสนธิ แลอาหาร ๔ ประการนี้ แตลวนเปนใหตองทุกข ตองภัยตองอุปทอันตรายตาง ๆ เปนอเนกบรรยาย เมื่อสติปญญาพิจารณาโดยละเอียดแลว แตละสิ่ง ๆ นั้นนาสะดุงนากลัวหนักหนา สภาวะมี ความรักความยินดีในการที่จะบริโภค อดกลั้นทนทานมิไดลุอํานาจแกรสตัณหา นี่แลไดชื่อวาภัย บังเกิดแตความยินดีในกวฬิงการาหาร ขึ้นชื่อวายินดีในกวฬิงการาหารนี้ มีภัยมากกวามากนัก เมื่อ ปราศจากสติปญญาหาความพิจารณาบมิได ก็เพิกเฉยอยู อยางประหนึ่งวามีความยินดีในอาหารนั้นหา ภัยมิไดตอมีสติปญญาพิจารณาละเอียดไป จึงจะเห็นวาความยินดีในกวฬิงการาหารนั้น กอปรดวยภัย อันพิลึกควรจะสะดุงตกประหมา ผสฺสาหาเร อุปคมนฺ ภยํ ฝายผัสสาหารนั้นเลา ก็กอปรดวยภัยเหมือนกันกับกวฬิงการา หาร กิริยาที่เขาไปใกลนั้นแลเปนภัยในผัสสาหารอธิบายวา อาการที่มิไดสํารวมอินทรียลุอํานาจแก ความปรารถนา ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส แลสัมผัสในที่อันบมิควรจะดูจะฟง สุด ดม แลลิ้มเลียสัมผัส นี้แลไดชื่อวาภัยบังเกิดแตกิริยาที่เขาไปผัสสาหาร เมื่อประมาทอยูไมพิจารณาก็เห็นวา ผัสสาหารนั้น หาภัย บมิไดเมื่อพิจารณา ใหละเอียดก็ประกอบไปดวยภัยอันพิลึก มโนสฺเจตนาหาเร อุปฺปตฺติ ภยํ ฝายมโนสัญเจตนาหารนั้นเลา ก็ประกอบดวยภัยอันพิลึกยิ่งขึ้นไปกวาผัสสาหารนั่นรอยเทา กิริยา ที่ใหบังเกิดภพนี้เปนภัยในมโนสัญเจตนาหาร อธิยายวาสัตวทั้งหลายอันจะเวียนวายอยูในกระแสชลา โลก โอฆสงสารนับชาติมากกวามากอเนกอนันต ทั้งนี้ก็อาศัยแกมโนสัญเจตนาหารนั้น แลตกแหงให บังเกิดอาหารที่มโนสัญเจตนาหารกระทําใหเวียนเกิดอยูในภพ ใหชาถึงพระนิพพานนั้นนากลัว สุดกําลัง วิฺญาณาหาเร ปฏิสนฺธิ ภยํ กิริยาที่ตั้งปฏิสนธิในกําเนิดทั้ง ๔ นั้นแลเปนภัยใน วิญญาณาหารอธิบายวาสัตวทั้งหลายไดทุกขไดยากไดความลําบาก ก็อาศัยแกวิญญาณาหารนั้นแล เปนตนเปนเดิม นักปราชญผูมีปญญาพึงพิจารณาใหเห็นในภัยทั้ง ๔ ประการ โดยนัยดังพรรณนามา นี้ กวฬิงฺการาหาโร ปุตฺตมํสูปเมน กวฬิงการาหารของบริโภคมีขาวน้ําเปนอาทินั้น นักปราชญพึง ปลงปญญาใหเห็นโดยอุปมาเหมือนดวยเนื้อแหงบุตร อาการซึ่งเสพกวฬิงการาหารนั้นพึงปลงปญญา ใหเห็นวาเหมือนบริโภคเนื้อบุตร กิร ดังไดยินมาผัวมีพอแมลูก ๓ คนพากันมาในมรรคากันดาร เมื่อ สิ้นเสบียงอาหารแลว และยังขามทางกันดารไปมิพน ผัวเมีย ๒ คนก็จนใจ ขะขวนขวายหาอาหารสิ่ง อื่น ๆ ก็หาไมได หิวโหยอิดโรยนักแลวก็ฆาบุตรนั้นเสียกับทั้งรัก ขณะเมื่อดินเนื้อแหงบุตรนั้นจะมีความ ยินดีปรีดาแตสักหนอยหาบมิไดจําเปนจํากิน กินแตพอใหมีแรงเดินขามทางกันดาร อันนี้แลมีฉันใด พระโยคาพจรกุลบุตรผูเสพกวฬิงการาหารนั้น ก็พึงปลงปญญาพิจารณาอาหารนั้นใหเห็น ปรากฏเหมือนดวยเนื้อแหงบุตร อาการที่เสพกวฬิงการาหารนั้นพึงปลงปญญาใหเห็นวา เหมือน บริโภคเนื้อแหงบุตร อยาไดมีความยินดีในอาหารพึงเสพอาหารแตใหพอมีกําลังที่จะตั้งสติอารมณ บําเพ็ญสมณธรรมเอาเยี่ยงผัวเมีย ๒ คน ที่จําเปนจํากินเนื้อลูกแหงตนแตจะใหมีแรงจะไดขามแกง กันดารนั้น ผสฺสาหาโร นิจมฺมคาวูปเมน และผัสสาหารนั้นนักปราชญพึงปลงปญญาใหเห็นโดย อุปมาวาเหมือนดัวยโคอันหาหนังมิได อารมณทั้ง ๕ มีรูปเปนอาทิอันมากระทบประสาทนั้น นักปราชญพึงปลงปญญาใหเห็นวา นกตะกรุมและเหยี่ยวอันบินมาเพื่อประโยชนจะสับจะเฉี่ยวจิกทึ้ง ดังไดยินมา โคอันหาหนังมิไดมีหัวอันอาบไปดวยบุพโพหิตลําบากเวทนาอยูนั้นถาเหลือบเห็นตะกรุม และแรงเห็นกาและเห็นเหยี่ยวบินมาแตไกล ก็ยอมตระหนกตกใจเหลียวหนาเหลียวหลัง เซซังเขาไป ในที่กําบังรักษาตัวกลัวนกตะกรุมและแรงจะยื้อแยงจะทึ้งจะลาก กลัวกาและเหยี่ยวจะสับจะเฉี่ยวจะจิก เจาะอันนี้แลมีฉันใด พระโยคาพจรกุลบุตรก็พึงตั้งสติสัมปชัญญะเปนที่ปดบังจักขวาทิอินทรีย รักษา ตัวพึงกลัวแตอารมณมีรูปเปนตนมากระทบประสาทนั้น ใหเหมือนประดุจโคหาหนังบมิไดกลัวแกแรง กา เปนอาทินั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 97 มโนสฺเจตนาหาโร องฺคารกาสูปเมน มโนสัญเจตนาหาร คือกุศลากุศลกรรมอันเปน เจาพนักงานตกแตงใหเวียนเกิดอยูในภพทั้ง ๓ นั้น นักปราชญพึงปลงปญญาใหเห็นโดยอุปมาเหมือน ดวยขุมถานเพลิง กิริยาที่เวียนเกิดอยูในภพนั้น พึงพิจารณาใหเห็นวา เหมือนดวยกิริยาที่สัตว ทั้งหลายอยูในขุมถานเพลิงอันใหญ ธรรมดาวาสัตวอันตกอยูในขุมถานเพลิงอันใหญรุงเรืองเปนเปลว นั้น ยอมมีกรัชกายพุพองเปอยพังยุยเปนฝุนเปนเถาหาบัญญัติมิไดแลมีฉันใด สัตวทั้งหลายที่เวียนเกิด อยูในภพนั้นก็พินาศฉิบหายดวยชาติทุกขเปนอาทิ ถึงซึ่งภาวะหาบัญญัติมิได มีอุปไมยดังนี้ ผูมีปญญา พึงเกรงพึงกลัวแตกิริยาที่จะบังเกิดในภพทั้ง ๓ ใหเหมือนกลัวภัยในขุมถานเพลิงนั้น วิฺญาณาหาโร สตฺตูปเมน และวิญญาณาหารคือปฏิสนธิวิญญาณทั้ง ๑๙ จิตนั้น นักปราชญพึงปลงปญญาใหเห็นโดยอุปมาวาเหมือนดวยหอกอันใหญ กิริยาที่สัตวทั้งหลายปฏิสนธิใน กําเนิดทั้ง ๔ ประการนั้น นักปราชญพึงปลงปญญาใหเห็นวา เหมือนดวยกิริยาที่นักโทษที่ตองหอก ใหญแหงนายเพชฌฆาตแตอกตลอดหลัง นักโทษที่ตองหอกใหญนั้นมีแตทุกขเปนเบื้องหนา ฉันใดก็ ดี สัตวที่ถือเอาปฏิสนธิในกําเนิดทั้ง ๔ นั้นจําเดิมแตตั้งปฏิสนธิแลวก็มีแตความลําบากเวทนาเปนเบื้อง หนา มีแตมรณาเปนเบื้องหนา มีอุปไมยดังนั้น ผูมีปญญาเรงเกรงกลัวเเตปฏิสนธิจงหนักหนาอยาไดไว เนื้อเชื่อใจแกปฏิสนธินั้นเลย ปฏิสนธินี้มิใชอื่นใชไกลคือดอกไมแหงกิเลสมาร มารนําเอามาลอมาลวง สัตววามาเถิด ๆ มาเถิดที่นี่เถิด มีความสุขมากจะไดเชยชมสมบัติเปนบรมสุข ไปนิพพานนั้นสูญไป เปลา ๆ หาไดเชยชมสมบัติอันใดอันหนึ่งไม กิเลสมารลวงสัตวทั้งปวงดวยการทั้งปวงดังนี้ สัตวที่เปนพาลหาปญญาบมิไดก็สําคัญวาจริง มาตรแมนวามีศรัทธาทําบุญใหทานก็ตั้ง หนาปรารถนามนุษยสมบัติ จะไดปรารถนาพระนิพพานสมบัติหาบมิได เขาใจวาพระนิพพานสูญไป เปลา ๆ หาสนุกสบายไมตกหลงเลหกลแหงกิเลสมาร ๆ ลวงใหหลง แตพอใหปฏิสนธิลงเขาขายเขา รั้วแหงตนเห็นวาหนีไมพนจากวิสัยแหงตนแลว ทีนั้นกิเลสมารก็ปลอยทหารพญามัจจุราชทั้ง ๒ คือ ชราทุกข และพยาธิทุกขนั้นเขาและเล็บทุบตอยทีละนอย ๆ ทวีขึ้น ๆ เททุมรุมรันจนยับเยินเฉินชุกตี จนลุกไมขึ้นแลวภายหลังพญามัชจุราชก็มาฟาดฟนบั่นศีรษะใหขาดสิ้นชีวิตอินทรีย ทั้งนี้ก็อาศัยแก วิญญาณาหาร คือปฏิสนธิจิตนั้นแลเปนตนเปนเดิม เหตุฉะนี้ผูมีปญญาเรงเกรงกลัวแตปฏิสนธินั้นจน หนักหนา พึงแสวงหาพระนิพพานเปนเบื้องหนาอยาไดหลงเลหหลงกลแหงกิเลสมาร และอาหาร ๔ ประการ มีนัยดังวิสัชนามานี้ นักปราชญพึงสัญนิษฐานวา ในหองพระกัมมัฏฐานอาหารปฏิกูลสัญญานี้ เฉพาะยกขึ้นวิสัชนาแตกวฬิงการาหารสิ่งเดียว อาหาร ๓ ประการนั้นจะไดยกขึ้น วิสัชนาในหองพระ กัมมัฏฐานอาหารปฏิกูลสัญญาหาบมิได ตํ อาหาเร ปฏิกูลสฺญํ ภาเวตุกาเมน พระโยคาพจรผูมีศรัทธาปรารถนาจะจําเริญพระ กัมมัฏฐานอันชื่อวาอาหารปฏิกูลสัญญานั้น พึงเรียนเอาพิธีที่จะพิจารณาอาหารปฏิกูลนั้นใหชํานิ ชํานาญ อยาใหพลั้งใหพลาด มาตรแมวาแตบทอันหนึ่งอยาใหผิด รโหคเตน เขาไปในที่สงัดอยูแต ผูเดียวแลวพึงพิจารณากวฬิงการาหารดวยอาการปฏิกูล ๑๐ ประการ คมนโต คือปฏกูลในกิริยาที่ เดินไปนั้นประการ ๑ ปริเยสนโต คือปฏิกูลในกิริยาอันแสวงหานั้นประการ ๑ ปริโภคโต คือปฏิกูล ในกิริยาที่บริโภคนั้นประการ ๑ อาสยโต คือปฏิกูลในประเทศที่อยูแหงอาหารนั้นประการ ๑ นิธาน โต คือปฏิกูลดวยกิริยาอันสั่งสมอยูนานนั้นประการ ๑ อปริปกฺกโต คือปฏิกูลในกาลเมื่อยังมิได ยอยประการ ๑ ปริปกฺกฌค คือปฏิกูลในกาลเมื่อยอยออกแลวประการ ๑ ผลโต คือปฏิกูลโดยผล ประการ ๑ นิสสนฺทโต คือปฏิกูลในกาลเมื่อไหลหลั่งออกมานั้นประการ ๑ สมฺมกฺขนฺโต คือปฏิกูล ดวยกิริยาที่กระทําใหแปดเปอนนั้นประการ ๑ เปน ๑๐ ประการดวยกัน กถํ คมนโต ขอซึ่งใหพิจารณาปฏิกูลในกิริยาที่เดินไปนั้น จะใหพิจารณาเปนประการใด วิสัชนาวา ใหพระโยคาพจรกุลบุตรปลงปญญาใหเห็นธรรมสังเวชวา มหานุภาเวน นาม สาส เน อาตมานี้ เปนบรรพชิตบวชในพระบวรพุทธศาสนาแหงสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจาอัน มากดวยพระเดชพระคุณมาก ดวยศักดานุภาพล้ําเลิศประเสริฐ หาผูจะเปรียบปานบมิได พุทฺธว จนสชฺฌายํ วา อาตมานี้ บางคาบก็สังวัธยายพระพุทธวจนะอันเปนพระไตรปฏกสิ้นราตรียังรุง บาง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 98 คาบก็บําเพ็ญสมณธรรมจําเริญพระสมถกัมมัฏฐาน อุทัยสองแสงทิพากร
พระวิปสสนากัมมัฏฐานตราบเทาถึงเพลาพระสุริย
กาลสฺเสววุฏฐาย เพลาเชาลุกขากอาสนแลว อาตมานี้ก็ไปสูลานพระเจดีย พระศรีมหา โพธิ์ กระทําวัตตปฏิบัติกวาดเสร็จแลว อาตมาก็ตั้งไวซึ่งน้ําใชและน้ําฉัน กวาดแผวอาวาสบริเวณที่อยู แหงตนแลวก็ขึ้นสูอาสนะกระทํามนสิการระลึกพระกัมมัฏฐาน ๒๐ คนบาง ๓๐ คนบาง โดยอันสมควร แกอัธยาศัย เสนาสนะที่กระทําเพียรแหงอาตมานี้กอปรดวยรมไมและสระน้ํา จะอาบจะฉันเปนผาสุก ภาพบมิไดขัดเคืองดวยอุทกังไมมีมนุษยหญิงชายละเลาละลุม สงบสงัดปราศจากโทษ สมควรที่จะ บังเกิดวิเวกสุขเสนาสนะอันเปนที่สนุกบรมสุขถึงเพียงนี้ ควรแลหรืออาตมาสละละเมิดเสียได ไม เอื้อเฟออาลัยฌานาทิวิเวกเอาบาตรและจีวรบายหนาเฉพาะบานไปเพื่อประโยชนดวยอาหาร เปรียบ ตอสุนัขจิ้งจอกอันบายหนาสูปาชา เพื่อประโยชนจะกินกเฬวระซากอสุภะ ควรจะอนิจจังสังเวชนี้หนัก หนา จําเดิมแตอาตมาเฉพาะหนาสูบานและยางเทาลงจากเตียง และตั้งเหยียบเหนือบรรจถรณเครื่อง ลาดนั้น เทาแหงอาตมาก็จะแปดเปอนผลคุลีละอองเถาแปดเปอนไปดวยมูตรและคูถแสลงสาบเปน อาทิ เหม็นรายเหม็นกาจจําเดิมแตยางบาทจากหองในดําเนินออกไปถึงหนามุขกุฏินั้น เทาแหงอาตมา ก็แปดเปอนดวยลามก เปนตนวาขี้นกขี้คางคาว ปฏิกูลยิ่งขึ้นไปกวาภายในหองนั้นเปน ๒ เทา ๓ เทา ตโต เหฏิมตลํ เมื่อออกจากหนามุขแลวและลงไปถึงพื้นเบื้องต่ํา เทาแหงอาตมาก็แปด เปอนไปดวยลามก เปนตนวาขี้นกเคาและขี้นกพิราบ โสโครกยิ่งขึ้นไปกวาหนามุขนั้นเปน ๒ เทา ๓ เทาอีกเลา ยิ่งลงจากพื้นเบื้องต่ําแลว และดําเนินออกไปถึงบริเวณจังหวัดอาวาสกุฎินั้น ก็ยิ่งโสโครก ปฏิกูลและพึงเกลียดโดยพิเศษมากขึ้นไปกวาพื้นเบื้องต่ํานั้นหลายสวนหลายเทาในจังหวัดบริเวณนั้น โสโครกไปดวยหยากเยื่อเชื้อฝอย ใบไมเกา ๆ อันลมพายุพัดใหตกเรี่ยรายกระจายอยูในสถานที่ที่นั้น ๆ เดียรดาษกลาดเกลื่อน ไหนจะโสโครกดวยมูตรและคูภเสมหะและเขฬะ อันภิกษุหนุมและสามเณรที่ เปนไขไปมิทันถายลงไวถมลงไวนั้นเลาเหม็นเนาเหม็นโขง นารังเกียจเกลียดอายหนักหนา วสฺสกาเล เมื่อเทศกาลวัสสันตฤดูฝนตกหนักนั้น ก็เปนเปอกเปนตมตองเหยียบตองย่ํา เปนทั้งนี้ก็เพราะอาศัยมีประโยชนดวยอาหารนั้นเปนเดิมอดอยูมิได ตองลุยไปในน้ําเนาและอสุจิลามก นาสมเพชเวทนา ปฏิกุลตรา วิหารรจฺฉา ยิ่งออกไปถึงซอยตรอกวิหารนั้น ก็ยิ่งปฏิกูลลามากขึ้นไป กวานั้นเปนสวนหลายเทา เมื่ออาตมาดําเนินไปโดยลําดับยกมือขึ้นนมัสการพระเจดียพระศรีมหาโพธ แลว อาตมาก็เขาไปยืนในโรงวิตกลามกอันเปนโรคสําหรับพระภิกษุถือบิณฑบาตสันโดษไปยืนวิตกวา วันนี้อาตมาจะไปบิณฑบาตในบานนั้นสกุลนั้น ธรรมดาพระภิกษุผูถือบิณฑบาตสันโดษนั้นยอมเฉพาะ วิตกที่บิณฑบาต แตในขณะเมื่อยืนอยูในโรงวิตกเพลาเดียว นอกกวานั้นก็ตั้งหนาเฉพาะตอพระ กัมมัฏฐาน วิตกอยูแตในพระกัมมัฏฐานจะไดวิตกอยูดวยบิณฑบาตในเพลาอื่น ๆ นอกจากเพลาที่ยืน อยูในโรงวิตกนั้นหาบมิไดอาศัยเหตุฉะนี้ พระภิกษุผูพิจารณาอาหารปฏิกูลนั้น พึงปลงธรรมสังเวช พิจารณาวา เมื่ออาตมาเขาไปยืนอยูในโรงวิตก ๆ ถึงบานสกุลที่จะไปบิณฑบาตนั้นแล อาตมาก็บาย หนาออกจากวิหารละเสียซึ่งพระเจดียอันงามประดุจกองแกวมุกดา ละเสียซึ่งไมพระศรีมหาโพธิ์อัน งามประดุจกําแหงนกยูง ละเสียซึ่งเสนาสนะอันบริบูรณดวยสิริประดุจทิพยพิมาน ใหหลงแกประเทศที่ รโหฐานสนุกสบายจะอยูมิได จําเปนจําไปเพราะเหตุมีประโยชนดวยอาหาร คามมคฺคํ ปฏิปนฺเนน กาลเมื่อดําเนินไปในมรรคาอันจะเขาไปสูบาน บางคาบก็เหยียบ เสี้ยนเหยียบหนาม บางคาบก็สะดุดตอไมและหัวระแหง บางคาบก็เหยียบย่ําประเทศอันมีน้ําเปนตม เปนเปอก บางคาบก็ขามประเทศอันน้ําเซาะหักพังลง ลุม ๆ ดอน ๆ ไมควรที่จะไปก็จะไปก็ไปได นา สังเวชเวทนา ถึงกายอาตมานี้ก็โสโครกกายนี้เหมือนดังรางอัฐิ สบงที่นุงนี้เหมือนผาปด ฝแผล รัด ประคตพันสะเอวนี้เหมือนทองผาพันแผลฝ จีวรที่หมนี้เหมือนผาที่ปกคลุมรางอัฐิ บาตรที่ถือมาเพื่อจะ บิณฑบาตนี้ เหมือนกระเบื้องสําหรับจะไดใสยารักษาฝ ยิ่งพิจารณาใหละเอียดก็ยิ่งพึงเหลียดพึงชังนี่ นักหนา คามทฺวารสฺมึป ปาปุณนฺเตน กาลเมื่ออาตมาไปถึงที่ใกลปนะตูบาน อาตมาก็ไดเห็นซาก ชางซากมาซากโคซากกระบือซากงูซากสุนัขซากมนุษย ทอดทิ้งกลิ้งอยูเหม็นขื่นเหม็น อาเกียรณไป
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 99 ดวยแมลงวันและหมูหนอนสุนัขเรงกายื้อคราจิกสับเหม็นจับจมูกจับใจ แทบประหนึ่งวาจะทนจะราก ถึงนั้นก็ยอมอดกลั้นจําทนจําทาน เพราะเหตุจะใครไดอาหารไปเลี้ยงชีวิต คามทฺวาเร ตฺวา กาลเมื่อไปถึงประตูบานยืนอยูแทบประตูบานนั้น ใครจะตรงเขาไปบาน ไดงาย ๆ เมื่อไรตองดูซายดูขวา แลดูตรอกบานขางโนนขางนี้เพื่อวาชางรายมารายมันอยูในตรอกนั้น เห็นแลวจะไดหลีกจะไดเลี่ยงจะไดหลบไดหนีเสียแตหาง ๆ ตกวาตองระวังเนื้อระวังตัวนี้ทุกแหงทุก ตําบล กวาจะไปไดถึงที่ภิกษาจารนี้ลําบากยากนักหนา อาการอันพิจารณากิริยาที่ตนลําบากเปนดวย เหตุดวยอาการจําเดิมแตยางเทาลงจากเตียงตราบเทาถึงประตูบานที่เที่ยวภิกขาจารนี้ ไดชื่อวา พิจารณาอาหารอาหารปฏิกูลในกิริยาที่เดินไป เพื่อประโยชนดวยอาหาร กถํ ปริเยสนโต แลขอซึ่ง วาใหพิจารณาอาหารปฏิกูล ในกิริยาที่เที่ยวแสวงหาอาหารนั้นจะใหพิจารณาเปนประการใด วิสัชนาวา ใหพระโยคาพจรปลงปญญาใหเห็นธรรมสังเวชวา เมื่ออาตมาอดกลั้นทนทานที่เหม็น จําเดิมแตแรก ลงจากเตียงดําเนินไปตราบเทาถึงประตูบานที่ภิกขาจารนั้นแลว คามํ ปวิฏเน สงฺฆาฏิ ปารุป เตน ในกาลเมื่อเขาไปในบานนั้นอาตมาจะหมผาอันตัดเปนขันฑผาหมของอาตมานี้ฉีกตัดเปนบั่น ๆ ทอน ๆ และเย็บติด ๆ กัน ไดนามบัญญัติชื่อวาผาสังฆาฏิ กปณเมนุสฺเสน วิย เมื่อพิจารณาดูกายแหงอาตมานี้ เหมือนคนกําพราจริง ๆ ดูผาหม แหงอาตมานี้เลาก็เหมือนผาหมคนกําพรา ดูบาตรนี้เลาก็เหมือนกระเบื้องเกาที่คนกําพราถือเที่ยว ภิกขาจาร อาการที่อาตมาเที่ยวไปในคามวิถีบานโดยลําดับ ๆ แหงตระกูลนั้น จะไดแปลกกันกับอาการ ที่คนกําพราเที่ยวขอทานหาบมิได วสฺสกาเล กาลเมื่อถึงวัสสันตฤดูฝนตกหนักเหยียบลงที่ไหนเปน โคลนที่นั่น น้ําตมนั้นกระเด็นขึ้นเปอนแขงขาผานุงผาหม ตองหยิบชายจีวรขึ้นไวดวยมือขางหนึ่ง มือ ขางหนึ่งนั้นถือบาตรลําบากยากกายนักหนาถึงเพียงนี้อาตมายังอุตสาหะไปเที่ยวได เปนเหตุดวย อาหาร คิมฺหกาเล เมื่อถึงเทศกาลฤดูรอนนั้นเลาตัวอาตมานี้อาเกียรณไปดวยผงธุลี ละอองธุลี ๆ นั้น ปลิวจับศีรษะตราบเทาถึงบาทาลมพัดผานฟุงเขาหูเขาตา ผานุงผาหมนี้เต็มไปดวยผงคุลีนาสังเวช เวทนา ตํ ตํ เคหทฺวารํ ปตฺวา เมื่อไปถึงประตูเรือนนั้น บางคาบก็ยืนเหยียบในประเทศที่เทน้ําซาว ขาว บางคาบก็ไปยืนในประเทศอันเปอนไปดวยน้ํามูกน้ําลาย เปอนไปดวยคูถสุนัข คูถสุกร บางคาบก็ ไปยืนในที่น้ําครํา อันอาเกียรณไปดวยแมลงวันดํา แมลงวันเขียวแมลงวันทั้งหลายบินจับศีรษะจับผา จับบาตร เกจิ เทนฺติ เกจิ น เทนฺติ เจาของเรือนนั้นครั้นเห็นอาตมาไปยืนบิณฑบาต บางคนก็กระทํา ทาน บางคนก็ไมทําทาน บางทีก็ให บางทีก็ไมให กาลเมื่อใหนั้นบางคนก็ใหขาวสุกแรมคืนบูด ๆ แฉะ ๆ บางคนก็ใหของกัดที่เกา ๆ รา ๆ บางคนก็ใหขนมบูดแกงบูดผักบูด อทฺทมานา กาลเมื่อหาศรัทธา บมิไดไมทําทานแลว บางคนก็บอกวาไปโปรดสัตวขางหนาเถิด บางคนก็เพิกเฉยนิ่งเสีย กระทําอยาง ประหนึ่งวาหาเห็นไม บางทีเห็นแลวเมินเสียไมมองดูหนา บางคนก็กลาวหยาบชาวา คจฺฉ เร มุณฺฑก ดูกรคนศีรษะโกนโลนรายไปเสียใหพนอยามายืนกีดขวางอยูที่นี่ตกวาตองทนสูทาน จําเดิม แตเขาสูประตูบานมาตราบเทาจนออกจากบานทั้งนี้ก็มีประโยชนดวยอาหาร คมนโต นักปราชญพึงสันนิษฐานวา อาการที่พระโยคาพจร ปลงธรรมสังเวชพิจารณา กิริยาที่ตนลําบากเปนเหตุดวยอาหาร จําเดิมแตยางเขาประตูบานไปตราบเทาถึงออกจากบาน นี่แลได ชื่อวพิจารณาปฏิกูลในกิริยาที่เที่ยวแสวงหา กถํ ปริโภคโต แลขอซึ่งวาใหพระโยคาพจรปลงปญญา พิจารณาอาหารปฏิกูล ในกิริยาที่ปริโภคนั้น จะใหพิจารณาเปนประการใด วิสัชนาวา ใหพระโยคาพจร ปลงปญหาใหเห็นธรรมสังเวชวา เมื่ออาตมาเที่ยวแสวงหาอาหารโดยอาการปฏิกูลดุจพรรณนานั้น ได จังหันพอเปนยาปนมัตต ออกจากบานไปนั่งในประเทศอันเปนสุขภายนอกบานนั้นแลวถาอาตมายังบ มิไดลงมือฉันจังหันนั้นตัวยังมิไดจับไดตอง เห็นมนุษยที่เปนอาคันตุกะเดินมา เห็นภิกษุที่ควรจะเปน ครูอาจารยเดินมา และจะเรียกหาจะเชิญใหบริโภคจะนิมนตใหฉันนั้นก็ยังสมควรอยูเพราะเหตุวา จังหันนั้นยังมิไดจับไดตอง ยังไมเปนอาหารปฏิกูลไปกอน ถาไดลงมือฉันอยูแลวไดจับไดตองแลว และจะนิมนตทานผูเปนอาคันตุกะใหฉันนั้นยังเปนที่ละอายอยูหาสมควรไม เหตุวาจังหันที่ไดลงมือฉัน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 100 ไดจับตองแลวนั้นเปนอาหารปฏิกูล กาลเมื่ออาตมาลงมือฉัน แลปนอาหารเขาเปนกอน ๆ เปนคํา ๆ กระทําใหเสียพรรณ ปราศจากงามเห็นปานดังนั้น เมื่ออาตมาหยิบเอามาวางลงในปาก กระทําฟนเบื้องบนเปนสาก กระทําฟนเบื้องต่ําเปน ครก กระทําลิ้นเปนมือ กระหวัดกลับกลอกคําขาวใหแหลกกออกดวยครกแลสากคือฟนเบื้องบนเบื้อง ต่ํานั้น เมื่อพิจารณาใหละเอียด นาพึงเกลียดพึงชัง นาอนิจจังสังเวชนี่นักหนา อาหารนั้น แตพอตกถึง ปลายลิ้นที่ชุมไปดวยน้ําลายอันเหลวเขาไปถึงกลางลิ้นก็นุมไปดวยน้ําลายอันขน มลทินอันติดอยูใน ทันตประเทศที่ไมสีฟนสีไปถึงนั้นก็ติดฟนแปดเปอน กระทําใหอาหารนั้นเสียกลิ่นสีในขณะบัดเดี๋ยวใจ มาตรแมวาเปนอาหารประณีตกอปรดวยเครื่องปรุงอันพิเศษเปนประการใด ๆ ก็ดี ที่จะไดคงสีคงกลิ่น คงดีอยูเปนปกตินั้นหาบมิได ปรมเชคุจฺฉภาวํ อุปคจฺฉติ อาหารนั้นถึงซึ่งภาวนาพึงเหลียดพึงชัง ประดุจรากสุนัขอันอยูในราง อชฺโฌหริตพฺโพ อาหารที่อยูในปากนี้ เราทานทั้งปวงกลากลืนกินอยู ไดนั้น อาศัยไมเห็นดวยจักษุไมปรากฏแกจักษุ ถาปรากฏแกจักษุแลว แตสักคําเดียวก็บมิอาจที่จะ กลืนเขาไปได เอวํ ปริโภคโต ปฏิกุลตา ปจฺจเวกฺขิตพฺพา พระโยคาพจรจึงปลงธรรมสังเวช พิจารณาอาหารปฏิกูลในกิริยาที่บริโภคโดยนัยดังพรรณฉะนี้ กถํ อาสยโต แลขอซึ่งวาใหพระโยคาพจรผูมีปญญา พิจารณาปฏิกูลในประเทศที่อยูแหง อาหารนั้นจะใหพิจารณาเปนประการใด วิสัชนาวาใหพระโยคาพจรปลงธรรมสังเวชพิจารณาวา อาหาร ที่อาตมาบริโภคกอปรดวยอาการปฏิกูลแลเห็นปานฉะนี้ เมื่อเขาไปตั้งอยูในกระเพาะอาหารภายใน อุทรประเทศนั้น ก็ยิ่งโสโครกยิ่งปฏิกูลมากขึ้นไปหลายสวนหลายเทา ประเทศที่อาหารตั้งอยูนั้นนาม บัญญัติชื่อวา อาสยะ ตางกันโดยประเภท ๔ ประการ คือ ปตตาสยะประการ ๑ เสมหาสยะประการ ๑ บุพพาสยะประการ ๑ โลหิตสยะประการ ๑ เปน ๔ ประการดวยกันดังนี้ ที่อยูแหงอาการไดชื่อวาปต ตาสยะนั้นดวยอรรถวาเปนที่ขังอยูแหงน้ําดี ไดชื่อวาเสมหาสยะนั้นดวยอรรถวาเปนที่ขังอยูแหงน้ํา หนองไดชื่อวาบุพพสายะนั้น ดวยอรรถวาเปนที่ขังอยูแหงโลหิตน้ําเลือดน้ําหนอง น้ําดีน้ําเสมหะนี้อยาวาแตเราทานที่ เปนสามัญ บุคคลนี้เลยสํามะหาแตสมเด็จพระพุทธเจาประปจเจกพุทธโพธิ์ บรมจักรพัตราธิราช ยังมี อาสนะอยูสิ่ง ๑ ๆ (มิดีก็เสมหะ มิเสมหะก็บุพโพ มิบุพโพก็โลหิต จํามีอยูสิ่ง ๑ ๆ ที่จะบริสุทธิ์ไปที่ เดียวนั้นหาบมิได ที่อยูแหงอาหารของทานผูมีบุญที่เดียวยังวาไมบริสุทธิ์ ยังมีอาสยะอยูสิ่ง ๑ ๆ ยัง โสโครกอยูถึงเพียงนี้ ก็จะปวยกลาวไปไยถึงคนบุญนอยนั้นเลา คนบุญนอยนี้มีอาสยะพรอมทั้ง ๔ ประการ ที่อยูแหงอาหารของคนบุญนอยนี้ อากูลดวยน้ําดีน้ําเสมหะน้ําบุพโพโลหิตพรอมทั้ง ๔ ประการ แตทวาบางคาบนั้นน้ําดีมากกวาเสมหะแลบุพโพโลหิต บางคาบเสมหะมากกวาน้ําดีแลบุพโพ โลหิต บางทีบุพโพมาก บางทีโลหิตมาก ถาน้ําดีมากอาหารนั้นก็โสโครกพึงเกลียดยิ่งนัก เปรียบดุจ ระคนดวยน้ํามันมะซางอันขน ถาเสมหะนั้นมาก อาหารนั้นก็พึงเกลียดโสโครกพึงเกลียดเปรียบประดุจ ระคนดวยน้ํากากะทิงแลน้ําใบแตงหนู ถาบุพโพนั้นมากอาหารนั้นก็โสโครกพึงเกลียด เปรียบดุจระคน ดวยน้ําเปรียงบูดเปรียงเนา ถาโลหิตนั้นมากอาหารนั้นก็โสโครกพึงเกลียด เปรียบดุจระคนดวยน้ํายอม พระโยคาพจรผูมีปญญาพึงปลงธรรมสังเวช พิจารณาอาหารปฏิกูลในประเทศที่อยูแหงอาหารดวย ประการฉะนี้ กถํ นิธานโต ขอซึ่งวาใหพระโยคาพจรพิจารณาอาหารปฏิกูล ดวยกิริยาที่สั่งสมอยูนาน นั้น จะใหพิจารณาประการใด วิสัชนาวาใหพระโยคาพจรพิจารณาวา อาสเยน มกฺขิโต อาหารอัน แปดเปอนไปดวยน้ําดีน้ําเสมหะน้ําบุพโพโลหิตเปนปานฉะนี้ เมื่อเขาไปสูอุทุรประเทศแลวจะไดอยูใน ภาชนะเงิน ภาชนะทอง ภาชนะแกว หาบมิได อาหารนั้นตั้งอยูในประเทศแหงไสใหญนั้นเกานั้นใหม ยอมออกแลวบางยังบมิไดยอยบาง เหม็นเนาเหม็นโขงสะสมอยู เปรียบประดุจคูถในเว็จกุฏีสะสมกัน นั้นเกานั้นใหม คูถในเว็จกุฏีนั้นสมสมอยูฉันใด อาหารอันตั้งอยูภายในไสก็สะสมนักมีอุปไมยดังนั้น แล อาการที่อาหารสะสมกันนั้น นักปราชญพึงกําหนดดวยอายุบุคคล ถาบุคคลอายุได ๑๐ ป อาหารก็พึง เกลียดเปรียบดุจอยูในหลุมคูถอันมิใชชําระเลยนานถึง ๑๐ ถาบุคคลนั้นอายุได ๒๐ ป ๓๐ ผี ๔๐ ป
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 101 อาหารก็พึงเกลียดเปรียบประดุจอยูในหลุมคูถอันมิไดชําระนานถึง ๒๐ ป ๓๐ ป ๔๐ ป ถาบุคคลนั้น อายุได ๕๐ ป ๖๐ ป ๗๐ ป ๘๐ ป อาหารนั้นก็พึงเกลียด เปรียบดุจอยูในหลุมคูถอันบมิไดชําระเลย นานถึง ๕๐ ป ๖๐ ป ๘๐ ป ๙๐ ป ถาบุคคลนั้นอายุได ๑๐๐ ป อาหารก็พึงเกลียดประดุจอยูในหลุมคูถ อันมิไดชําระเลยนานถึง ๑๐๐ ป พระโยคาพจรพึงปลงธรามสังเวช พิจารณาเอาหารปฏิกูลดวยกิริยาที่ สั่งสมอยูนานโดยดังพรรณนามาฉะนี้ กถํ อปริปกฺกโต ขอหนึ่งวาใหพิจารณาอาหารปฏิกูลในกาลเมื่อยังมิไดยอยนั้น จะให พิจารณาเปนประการใด วิสัชนาวาใหพระโยคาพจรพิจรณาวา โส ปนายํ อาหาโร เอวรูเป โอกาเส นิธานมุปคโต อาหารนั้นเมื่อเขาไปสั่งสมอยูในประเทศแหงไสใหญอันเปนที่โสโครกพึงเกลียดเห็น ปานฉะนี้ อยาวาถึงเมื่อยอยออกแลวนั้นเลย แตยังมิไดยอยนั้นก็พึงเกลียดพึงชังนี่นักหนา เหตุวา ประเทศที่อยูแหงอาหารนั้นเปนประเทศลามก ถาจะวาฝายขางมืดก็มืดนัก ถาจะวาขางเหม็นหรือก็ เหม็นนัก ดุจหลุมอันคนจัณฑาลขุดไวแทบประตูบาน สารพัดจะสะสมสารพัดที่คนจัณฑาลทั้งปวงจะ ทิ้งจะเทลง หญาก็ทิ้งลงไปไมก็ทิ้งไป เสื่อลําแพนขาด ๆ ก็ทิ้งลง ซากมนุษยก็ทิ้งลงชั้นเกาชั้นใหม เมื่อยามแลงนั้นถาอกาลเมฆตั้งขึ้น ยังฝนใหตกลงสักหา ๑ แตพอน้ําเต็มหลุมแลวแลแลงไป น้ําใน หลุมนั้นครั้นตองแสงพระอาทิตยรอนกลาก็พัดขึ้นเปนฟอง ปูดขึ้นเปนปุมเปอกมีสีอันเขียว เหม็นราย เหม็นกาจอาเกียรณดวยหมูมักขิกชาติ แมลงวันดําแมลงวันเขียวตอมอยูเปนเกลียวคลาดอยูคละคล่ํา เปนที่รังเกียจเกลียดหนายแหงมหาชนทั้งปวง ๆ มิขอเห็นมิขอเขาไปใกล อันนี้แลมีฉันใด อาหารที่ บุคคลทั้งปวงกินเขาไปใหม ๆ ยังมิทันที่จะยับจะยอย ยังมิทันที่จะเปนอาหารเกานั้น ก็เกลือกกลั้วไป ดวยน้ําดีเสมหะน้ําบุพโพโลหิต อากูลมูลมองไปดวยซากอสุภตาง ๆ เปนตนวาเนื้อเนาปลาเนาปนปะ สะสมเหม็นขื่นเหม็นขมกลุมกลบตลบอยูทุกเชาค่ําอาเกียรณ ดวยหมูหนอนพลุกพลานคลาดคล่ํา สัญจรเสือกสนไป ๆ มา ๆ สพฺโพ เอกโต หุตฺวา อาหารที่กินวันนี้ก็ดี ที่กินวันกอน ๆ ก็ดีสิ้นทั้งปวงนั้นจะไดอยูเปน แผนก ๆ กันหาบมิได เกลือกกลั้วแปดปนระคนกันเปนอันหนึ่งอันเดียว เสมฺหปฏลปริโยนทฺโธ ชั้น เสมหะนั้นเขาปกคลุมหุมหอเพลิงธาตุนั้นรุมรอนระรมเผา เดือดเปนฟองฟอดปูดขึ้นเปนปุมเปอก โสโครกพึงเกลียดนักหนา มีอุปไมยดุจหลุมแทบประตูบานจัณฑาล อันเต็มไปดวยอสุจิลามกแลเปนที่ โสโครกพึงเกลียดนั้น เอวํ ปริปกฺกโต ปฏิกุลตา เวทิตพฺโพ พระโยคาพจรผูมีปญญาพึงพิจารณา อาหารปฏิกูล ในกาลเมื่ออาหารยังมิไดยอย โดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ กถํ ปริปกฺกโต ขอซึ่งวาให พระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณาอาหารปฏิกูลในกาลเมื่อยอยออกแลวนั้น จะใหพิจารณาประการใด วิสัชนาวา ใหพระโยคาพจรปลงธรรมสังเวชพิจารณาวา กายคฺคินา ปริปกฺโก สมาโน อาหารอัน รอนดวยเพลิงธาตุ เดือดเปนฟองแลวยอยออกประดุจบดดวยศิลาบดนั้น ที่จะเปนคุณอันใดอันหนึ่ง เปรียบประดุจแรเหล็กแรทองแดงแรดีบุกแรน้ําเงินแรธรรมชาติ อันยอยออกดวยเพลิงแลว แลไดเนื้อ เหล็กเนื้อทองแดงเนื้อดีบุกเนื้อเงินเนื้อทองนั้นหาบมิได อาหารที่ยอยออกนั้น มีแตจะเปนเครื่องชั่ว เครื่องเหม็นเครื่องลามก เพราะลงไปในอโธภาคแลว สวน ๑ ที่แบงไปเปนมูตรนั้นก็ยังกระเพาะมูตรให เต็มสวน ๑ ที่แบงออกเปนคูถนั้นลงไปอยูในที่สุดแหงไสใหญใตนาภีแหงเราทานทั้งปวง ประเทศที่อยู แหงอาหารเกานั้น มีสัณฐานดังกระบอกไมไผนอย ประมาณโดยยาว ๘ องคุลี อันบุคคลเอาดินเหลือง ใสลงไวใหเต็ม นี่หากวาลับจักษุแลไมเห็น จึงเพิกเฉยสบายอยูหาเกลียดหาหนายไม ถาปรากฏแก จักษุเห็นดวยจุกษุนี้ จะเปนที่รังเกียจอายหนักหนาหาที่สุดมิได เอวํ ปริปกฺกโต ปฏิกุลตา ปจฺจเวกฺ ขิตพฺพา พระโยคาพจรกุลบุตรผูมีปญญาพึงปลงธรรมสังเวช พิจารณาอาหารปฏิกูลในกาลเมื่อยอย ออกแลวโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ กถํ ผลโต แลขอซึ่งวาใหพระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณาอาหารปฏิกูลโดยผลนั้น จะให พิจารณาเปนประการใด วิสัชนาวา ใหพระโยคาพจรกุลบุตรผูมีปญญาปลงธรรมสังเวชพิจารณา วา สมฺมา ปริปจมาโน อาหารนี้ถายอยออกเปนอันดี ก็ยังกุณปะโกฏฐาส (สวนซากศพ) เปนตนวา เกศาแลโลมานขาทันตาเนื้อหนังแลเสนสายทั้งปวง ใหชุมชื่นใหจะเริญเปนอันดี อสมฺมา ปริจฺจมา โน อาหารนั้นถายอยออกมิดี ก็ยังรอยแหงโรคเปนตนวา หิดดานแลหิดเปอย มะเร็งแลคุดทะราด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 102 กลากแลเรื้อนมองครอ แลหืดหวัดแลไอ ลงใหญแลลงแดงใหบังเกิดไดทุกขเวทนามีประการตาง ๆ เพราะเหตุอาหารยอยออกบมิดี เอวํ ผลโต ปฏิกุลตา ปจฺจเวกฺขิตพฺพา พระโยคาพจรผูมีปญญา พึงพิจารณาอาหารปฏิกูลโดยผลดุจนัยดังพรรณนามาฉะนี้ กถํ นิสฺสนฺทโต ขอซึ่งวาใหพระโยคาพจรพิจารณาอาหารปฏิกูลในกาลเมื่อไหลหลั่งออก นั้น ใหพิจารณาเปนประการใด วิสัชนาวา ใหพระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณาวา อชฺโฌหริยมาโน เปส เอเกน ทฺวาเรน ปวิสิตฺวา อาหารอันบุคคลกินนั้น เมื่อเขาไปนั้นไปโดยทวารอัน ๑ เมื่อจะไหล ออกนั้นไหลออกโดยทวารทั้ง ๙ ที่เปนมูลหูนั้น ก็ไหลออกจากชองหู ที่เปนมูลตาก็ไหลจากชอง คลองตา ที่เปนน้ํามูกน้ําลาย ก็ไหลออกจากชองปากชองจมูก ที่เปนมูตรไหลออกจากทวารเบา ที่เปน คูถก็ไหลออกโดยทวารหนัก อชฺโฌหรณสมเย กาลเมื่อจะกลืนกินนั้น บุตรภรรยาพี่นองมิตรสหาย พวกพองลอมกันเปนพวก ๆ บริโภคเปนเหลา ๆ พรอม ๆ กัน พรอมยศพรอมบริวาร นิสฺสนฺทสมเย ปน กาลเมื่อเปนมูตรเปนคูถแลวแลไหลออกนั้น มีความละอายเขาเรนเขาซอนแตผูเดียว ลี้ลับแลวจึง ถายอุจจาระปสสาวะ ปมทิวเส ปริภฺุชนฺโต ในวันเปนปฐม เมื่อบริโภคนั้น ชื่นชมยินดี บริโภค อุทคฺคุทคฺโค มีกายจิตอันสูงขึ้น บังเกิดปติแลโสมนัส นิสฺสทนฺโต ครั้นถึงกาลเมื่อจะไหล ออก เมื่อจะถายออกในวันเปนคํารบ ๒ นั้น ตองปดจมูกชักหนานิ่ว เกลียดหนายกมหนาต่ําตา รตฺโต คิทฺโธ อิจฺฉิโต มฺุฉิโต ในวันเปนปฐมเมื่อเพลาบริโภคนั้น มีความรักความปรารถนาในรสแหง อาหารกําหนัดยินดี อารมณอันฟูขึ้นหลงดวยรสอาหาร อชฺโฌหริตฺวา ครั้นกลืนกินแลวแตพอแรมคืน อยูราตรีเดียว ยางเขาวันเปนคํารบ ๒ เมื่อจะไหลออกถายออกโดยอุจจารมรรคแลปสสาวมรรค ก็มี ความยินดีอันปราศจากอารมณเปนทุกข ทั้งละอายทั้งเกลียดบังเกิดพรอม เหตุดังนั้นโบราณาจารยจึงกลาวซึ่งบาทพระคาถาวา อนฺนํ ปานํ ขาทนียฺจ โภชนียฺจ มหารหํ ฯลฯ เอกรตฺตึ ปริวาสา สพฺพํ ปภวติ ปูติกนฺติ อธิบายวา ขาวแลน้ําของกัดแลของบริโภค สิ้นทั้งปวงนี้ มาตราแมจะมีคามากเปนประการใด ๆ ก็ดี ในกาลเมื่อบริโภคนั้น เขาไปโดยทวารอันหนึ่ง แลว ถึงทีเมื่อจะไหลออกก็ไหลออกโดยทวารทั้ง ๙ เหมือนกันสิ้น จะไดแปลกกัน หาบมิได ปสริวา โร กาลเมื่อบริโภคนั้นประกอบดวยบริวารบริโภคพรอม ๆ กัน กาลเมื่อจะถายออกนั้น เขาเรนซอนลี้ลับ ในที่ปดกําบัง แตผูเดียว อภินนฺทนฺโต การเมื่อบริโภคนั้นชื่นชมโสมนัส กาลเมื่อถายออกนั้น เกลียด หนายชิงชังขาวแลน้ําของกัดแลของบริโภคทั้งปวงนี้ มาตรแมนวามีคามากเปนประการใด ๆ ก็ ดี เอกตรตฺตึ ปริวาสา ถาลวงราตรีแรมอยูราตรีหนึ่งแลวก็บูดเนาโสโครกพึงเกลียดชังนี่นักหนา ผูมี ปญญาพิจารณาอาหารปฏิกูลโดยกิริยาที่ไหลออกดังพรรณามาฉะนี้ กถํ สมฺมกฺขนฺโต แลวขอซึ่งพิจารณาอาหารปฏิกูลโดยกิริยาที่แปดเปอนนั้น จะให พิจารณาเปนประการใด วิสัชนาวา ใหพระโยคาพจรกุลบุตรปลงธรรมสังเวชพิจารณาวา ปริโภค กาเล อาหารนั้นจําเดิมแตแรก บุคคลทั้งปวงบริโภคก็เปอนมือเปอนปากเปอนลิ้นเปอนเพดาน กระทํา มือแลปากแลลิ้นแลเพดานนั้นใหโสโครกพึงเกลียดพึงชัง บางคนตองชําระมือแลว ๆ เลา ๆ ตองบวน ปากแลว ๆ เลา จึงจะหายเหม็นหายกลิ้น ปริภุตฺโต สมาโน อาหารมื้อนี้เปนบุคคลบริโภคแลว แล เขาไปอยูในอุทรประเทศนั้น เพลิงธาตุอันซานอยูในสกลกายเผาใหรอน เผณฺทฺเทหกํ ปูดขึ้นเปนปุม เปนเปอก เปนฟองฟูดขึ้นมา จับซองหูซองตา ชองจมูกแลเพดาน ยถา นาม โอทเน ปจฺ จมเน เปรียบปานดุจหมอขาว อันบุคคลหุงแลตั้งไวบนเตา ครั้นเดือดพลุงขึ้นมาก็มีแกลบแลรําแล ปลายขาวอันลนขึ้นติดปากหมอแลฝาละมีแปดเปอน ฉันใดก็ดี อาหารที่เปนฟองฟูดลนขึ้นไปดวยรอน แหงเพลิงธาตุนั้น เมื่อขึ้นมาจับอยูที่ฟน ก็แปดเปอนเปนมลทินแหงฟน เมื่อขึ้นมาจับลิ้นจับเพดาน ก็ แปดเปอนตามชองจมูกลิ้นแหงเพดานใหสําเร็จกิจเปนเขฬะแลเสมหะ เมื่อขึ้นมาจับชองตาชองจมูกก็ แปดเปอนชองหูชองตาชองจมูก ใหสําเร็จกิจเปนขี้หูขี้ตาขี้จมูกนาพึงเกลียดพึงชัง ที่เปนมูตรเปนคูถ นั้นก็แปดเปอนทวารหนักทวารเบาแลทวารที่อาการแปดเปอนนั้น ถึงบุคคลจะลางจะสีจะชําระอยูทุก วัน ๆ ก็ดี ที่จะบริสุทธิ์สะอาดเปนที่จําเริญใจนั้นหาบมิได หตุ โถ ปุน อุทเกน โธวิตพฺโพ มือที่ชําระ อุจจารมรรคนั้น ตองลางน้ํา ๒ หน ๓ ทน ตองสีดวยโคมัย สีดวยดินสอดวยจุณของหอมจึงปราศจาก ปฏิกูล เอวํ สมฺมกฺขนฺโต ปฏิกุลตา ปจฺจเวกฺขิตพฺพา พระโยคาพจรกุลบุตรผูมีปญญา พึงพิจารณา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 103 อาหารปฏิกูลโดยกิริยาที่แปดเปอนมีนัยพรรณนามาฉะนี้ ตสฺเสวํ ทสหากาเรหิ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาอาหารปฏิกูล ๑๐ ประการกระทําการ ปฏิกูลนั้น เปนที่วิตกยกจิตขึ้นสูอาการปฏิกูลโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ กวฬิงการาหารก็จะปรากฏโดย อาการปฏิกูล ตํ นิมิตฺตํ ปุนปฺปุนํ อาเสวติ เมื่อปฏิกูลนิมิตปรากฏแลว ใหพระโยคาพจรสองเสพ จําเริญปฏิกูลนิมิตนั้นใหมากในสันดาน นิวรณธรรมก็สงบสงัด จิตก็จะตั้งมั่นเปนอุปจารสมาธิที่จะ ถึงอัปปนานั้นไปบมิไดถึง เพราะเหตุอารมณที่พิจารณากวฬิงการาหารนั้นลึกโดยสภาวะธรรมสัญญา นั้น ปรากฏดวยสามารถถืออาการปฏิกูล เหตุดังนั้นพระกรรมฐานนี้ จึงถือซึ่งนามบัญญัติชื่อวาอาหาร ปฏิกูลสัญญา มีแตอุปจารสมาธิ หาอัปปนาสมาธิบมิได แลพระภิกษุผูกระทําเพียรจําเริญพระกรรมฐาน อาหารปฏิกูลนี้ ยอมมีจิตอันหดหูบมิไดยินดีดวยรสตัณหา บริโภคอาหารนั้นแตพอจะไดทรงกายไว บําเพ็ญสมณธรรมเพื่อยกตนออกจากทุกข เปรียบเหมือนชน ๒ คนผัวเมียอันเกลียดเนื้อลูก เสียมิได จําเปนจําบริโภคแตพอจะใหมีแรงขามแกงกันดาร เดชะดวยอุบายที่เคยกําหนดกวฬิงการาหารนี้เปน ปจจัย ก็จะกําหนดกฏหมายซึ่งราคะอันยุติในปญจกามคุณนั้นไดดวยงาย ไมพักลําบากยากใจ ครั้นกําหนดราคะอันยุติในปจกามคุณนั้นไดแลว อุบายนั้นก็จะเปนปจจัยใหกําหนดรูปขันธ กายคาสติก็จะบังเกิดบริบูรณในสันดาน ดวยสามารถพิจารณาในปฏิกูลทั้ง ๖ มีอปริปกกาทิปฏิกูล พิจารณาอาหารอันยังมิไดยอยนั้น เปนตนเปนเดิมอันจําเริญพระกรรมฐานอันนี้ ไดชื่อวาปฏิบัติอนุโลม ตามอสุภสัญญา อิมํ ปฏิปตฺตํ นิสฺสาย พระโยคาพจรกุลบุตรผูมีศัรทธานั้น อาศัยประพฤติปฏิบัติอันนี้ อาจจะไดสําเร็จคุณานิสงส มีถึงซึ่งพระนิพพานอันเปนอมฤตรส อันเปนทีสุดในอาตมาภาพชาติ นี้เห็น ประจักษแจงถาบารมียังออนไมไดสําเร็จพระนิพพาน ครั้นทําลายเบญจขันธแลวก็จะมีสวรรคเปนเบื้อง หนา เหตุฉะนี้ นักปราชญผูมีปญญาพึงอุตสาหะจําเริญอาหารปฏิกูลสัญญา อันกอปรดวยอานิสงสดัง พรรณนามานี้ ฯ วินิจฉัยในอาหารปฏิกูลสัญญายุติแตเทานี้
อิทานิ อาหาเร ปฏิกุลสฺญานนฺตรํ เอวํ ววตฺถานนฺติ เอวํ นิทฺทิฏสฺส จตุธาตุววตฺ ถานฺสฺส ภาวนานิทฺเทโส อนุปฺปตฺโต ในลําดับแหงอาหารปฏิกูลสัญญานี้ บรรลุถึงวนานิเทศแหงจตุ ธาตุววัตถานแลว พระผูเปนพระพุทธโฆษาจารยจึงสําแดงพระจตุธาตุกรรมฐานแกบทมาติกา คือ เอกํ ววตฺถานํ ที่ตั้งไวในเบื้องตนสืบไปในบทหนา ววตฺถานํ นั้นมีอรรถาธิบาย วา สภาวรูปลกฺขณวเสน สนฺนิฏานํ อาการที่พระโยคาพจรปญญาพิพากษาซึ่งสภาวปกติแหงธาติ ดวยสามารถกําหนดกฏหมายใหเห็นแจงในสภาวะปกติแหงธาตุนั้น แลไดชื่อวาววัตถาน เมื่อกําหนด กฏหมายสิ้นทั้ง ๔ ธาตุนั้นไดชื่อวาจตุธาตุววัตถาน พระกรรมฐานอันนี้บางคาบเรียกวาธาตุกรรม กรรมฐาน ดวยอรรถวาพระโยคาพจรผูจําเริญพระกรรมฐานอันนี้ ยอมมีมนสิการกําหนดกฏหมาย ใน ธาตุนั้นเปนหลักเปนประธาน อาศัยที่มนสิการในธาตุ จึงไดชื่อวาธาตุกรรมฐาน บางคาบพระกรรมฐาน อันนี้ ทานเรียกวาจตุธาตุววัตถาน ดวยอรรถวาพระโยคาพจรเจากําหนดธาตุทั้ง ๔ เปนหลักประการ ตกวานามบัญญัติทั้ง ๒ คือธาตุกรรมฐาน แลจตุธาตุกรรมฐานนี้ ถาจะวาโดยอรรถนั้น มีอรรกเปน อันหนึ่งอันเดียวกัน จะไดแปลกกันหาบมิได ตยิทํ ทฺวิธา อาคตํ แลอาการที่กําหนดธาตุนั้น พระอาจารยเจาสําแดงไวเปน ๒ สถาน สงฺเขปโต คือสําแดงโดยนัยสังเขปนั้นเปนประการ ๑ วิตฺถารโต คือสําแดงโดยนัยพิศดาร ประการ ๑ สงฺเขปโต มหาสติปฏาเน พิธีจะกระทํามนสิการในพระธาตุกรรมฐานนี้ สําแดงไวใน มหาสติปฏฐานสูตรโดยนัยสังเขป สําแดงไวในมหาหัตถีปโทปมสูตรแลราหุโลวาทสูตร แลธาตุวิภังค นั้นโดยพิศดาร ขอซึ่งสําแดงสังเขปตามพระบาลีในมหาสติปฏฐานนั้นวา เสยฺยถาป ภิกฺขเว ทกฺโข โคฆาฏโก วา โคฆาฏกนฺเตวาสี วา คาวึ วธิตฺวา จาตุมหาปเถ วิลโส วิภชุชิตฺวา นิสินฺโน อสฺส เอวเมว โข ภิกฺขเว ภิกขุ อิเม กายํ ฯลฯ อธิบายตามพระบาลี อันสมเด็จพระสรรเพชญพุทธองค
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 104 ตรัสเทศนาในมหาสติปฏฐานสูตรนั้นวา ภิกฺขเว ดูกรภิกษุสงฆทั้งปวง บุรุษผูเปนนายโคฆาตหรือเปน อันเตวาสิกแหงนายโคฆาต ฉลาดในการที่จะฆาโคขายเลี้ยงชีวิต เมื่อฆาลงไดแลว ก็เชือดเถือแลเนื้อ โคออกมาเปนชิ้น ๆ กองไวเปนสวน ๆ นั่งขายเนื้อนั้นอยูในประเทศทาง ๔ แพรง คาวึ โป เสนฺตสฺส แรกเริ่มเดิมเมื่อเลี้ยงโคไวนั้น นายโคฆาตก็สําคัญในใจวาอาตมานี้เลี้ยงโคไว อาฆาฏนํ อาหรนฺตสฺส กาลเมื่อนําโคไปสูที่ฆานั้น นายโคฆาตก็สําคัญในใจวา อาตมานี้ นําโคมาสูที่ฆาถึงกาลเมื่อผูกมัดรัดโคเชาไวในที่ฆานั้นก็ดีแลว กาลเมื่อฆาโคแลวโคนั้นตายแลวก็ดี ถายังมิไดเชือดเนื้อ แลเนื้อโคฆาตนั้นออกเปนชิ้น ๆ ยังมิไดแยกออก กองไวเปนสวน ๆ ตราบใดนาย โคฆาตนั้นก็ยังสําคัญในใจวาเปนโคอยูตราบนั้น จิตที่สําคัญวาโคนั้นจะไดปราศจากสันดานหาบมิได ตอเมื่อใดเชือดเถือแลเนื้อโคนั้นออกเปนชิ้น ๆ กองไวเปนสวน ๆ นั่งขายเนื้อนั้น อยูในประเทศทาง ๔ แพรงแลว กาลใดจิตที่สําคัญวาโคนั้น ก็อันตรธานปราศจากสันดานในกาลนั้น มํสสฺญา ปวตฺตติ จิตที่สําคัญวา เนื้อนั้นประพฤติเปนไปในสันดานแหงนายโคฆาต ๆ จะ ได สําคัญวาโคเหมือนอยางหนหลังนั้น หาบมิได กาลเมื่อมหาชนทั้งมาแตทิศทั้ง ๔ ซื้อเนื้อไดแลว แลนําไปนั้น นายโคฆาตก็สําคัญในใจวา มํสํ วิกีณานิ อาตมานี้ขายเนื้อมหาชนทั้งหลายนี้นําเอา เนื้อไป นายโคฆาตจะไดสําคัญวาเราขายโคมหาชนชวนกันมานําเอาโคไปหาบมิได พระโยคาพจร ภิกษุนี้ เมื่อยังมีจิตสันดานเปนพาลปุถุชนอยูแตกอนนั้น บังเกิดเปนคฤหัสถอยูก็ดี เปนพรรพชิตแลวก็ดี เมื่อยังมิไดจําเริญพระธาตุกรรมฐาน ยังบมิไดพิจารณา พรากธาตุทั้ง ๔ ใหตางออกเปนแผลกตราบใด จิตที่สําคัญสัญญาวาอาตมาเปนสัตวเปนมนุษยเปนบุรุษเปนบุคคลนั้น ก็ยังประพฤติเปนไปในสันดาน ยังบมิไดอันตรธานจากสันดานตราบนั้นตอเมื่อใดไดกระทําเพียรจําเริญ พระกรรมฐานพิจารณาพราก ธาตุทั้ง ๔ ใหตางออกเปนแผนก ๆ แยกกันออกเปนกอง ๆ เปนเหลา ๆ แลวกาลใด จิตที่สําคัญสัญญา วา อาตมาเปนสัตวเปนบุรุษเปนบุคคลนั้น จึงอันตรธานปราศจากสันดานในกาลนั้น เมื่อพิจารณาเห็นรางกายแหงตนไมเปนสัตวไมเปนบุคคลแลว จิตก็จะตั้งมั่นสําคัญลงเปน แทวารางกายนี้เปนที่ประชุมแหงธาตุทั้ง ๔ มีอุปไมยดังนายโคฆาตอันแลเนื้อโคออกกองขายในทาง ๔ แพรง แลมีจิตสําคัญวาอาตมาขายเนื้อ ชนทั้งปวงมานําเอาเนื้อไป โดยนัยอุปมาที่สําแดงมาดังนี้ อันนี้สําแดงตามพระบาลีในมหาสติปฏฐานสูตร อันพระพุทธองคตรัสเทศนาโดยนัยสังเขป แตนี้จะ วิสัชนาตามพิธีที่สําแดงไวในมหาหัตถิปโทปมสูตรโดยนัยพิศดาร พระผูเปนเจาธรรมเสนาบดี สําแดง กตมาวุโส อชฺฌตฺติกา ปวี พิธีพระธาตุกรรมฐานในมหาหัตถิปโทปมสูตรโดยนัยพิศดารนั้นวา ธาตุ ฯลฯ อชฺฌตฺติกา ปวีธาตูติ อธิบายในพระบาลีอันพระผูเปนเจาธรรมเสนาบดี สําแดงพระ ธรรมเทศนานั้นวา ดูกรอาวุโส สิ่งดังฤๅไดชื่อวา อชฺฌตฺติกา ปวีธาตุ ปฐวีธาตุภายในนั้น จะไดแก สิ่งดังฤๅ สําแดงเปนปุจฉาฉะนี้แลว พระผูเปนเจาก็สําแดงวิสัชนาสืบไปวา ดูกรอาวุโส ธรรมชาติอันใด โลกสมมติวาบังเกิดในตน นับวาเขาในสันดานแหงตนวาอาศัยซึ่งตนแลวแลเปนไป มีลักษณะกระดาง มีอาการอันหยาบ โลกทั้งปวงนับถือวาอาตมา วาเปนของแหงอาตมา ธรรมชาติอันนั้นแลไดชื่อวาปฐวี ธาตุภายใน มิใชอื่นใชไกลไดแกอาการ ๒๐ คือ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตราบเทาถึงกรีสเปน ๑๙ เอามัตถุคังเพิ่มเขาถวนคํารบ ๒๐ นี่แลไดชื่อวาปฐวีธาตุภายใน แลอาโปธาตุภายในนั้นจะไดแกสิ่งดังฤๅ ดูกรอาวุโส ธรรมชาติอันใด โลกสมมติวาบังเกิด ในตน นับวาเขาในสันดานแหงตนวาอาศัยซึ่งตนแลวแลเปนไป มีลักษณะอันเอิบอาบซาบซึม มีอาการ อันหลั่งจากกาย โลกทั้งหลายถือวาอาตมาวาเปนของแหงอาตมาธรรมชาติอันนั้นแลไดชื่อวา อาโปธาตุภายใน มิใชอื่นใชไกลไดแกอาการ ๑๒ คือ ปตฺติ เสมฺหํ ปุพฺโพ โลหิตํ ฯลฯ ตราบเทา ถึง สิงฺฆา นิกา ลสิกา มุตฺติ นี้แลไดชื่อวาอาโปธาตุภายใน แลอัชฌัตติกเตโชธาตุภายในนั้น จะ ไดแกสิ่งดังฤๅ วิสัชนาวา ธรรมชาติอันใด โลกสมมติวาบังเกิดในตน วานับเขาในสันดานแหงตน อาศัยซึ่งตนแลวแลเปนไปมีลักษณะอันรอน มีอาการอันใหกระวนกระวายโลกทั้งหลายถือวาอาตมาวา เปนของแหงอาตมา ธรรมชาติอันนั้นแลไดชื่อวาเตโชธาตุภายใน มิใชอื่นใชไกลไดแกเพลิงธาตุทั้ง ๔ คือ สันตัปปคคี ขีรณัคคี ปริหทยัคคี ปริณามัคคี สันตัปปคคี นั้น ไดแกเพลิงธาตุอันกระทําใหกาย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 105 อบอุน ขีรณัคคีนั้น ไดแกเพลิงธาตุอันกระทําใหกายเหี่ยวแหงคร่ําครา ใหจักขวาทิอินทรียวิกลวิปริต ใหทดถอยกําลัง ใหเนื้อแลหนังหดหอยอยนเปนเกลียว ๆ ปราศจากงาม ปริหทยัคคีนั้น ไดแกเพลิง ธาตุอันกําเริบขึ้นรอน ๆ จะทนทานบมิไดรองไหร่ําไร ฑยฺหามิ ฑยฺหามิ เรารอน ๆ ปรารถนายา ชโลมเปนตนวา สัปปเนยใสอันชําระไดรอยครั้ง แลโคสิตจันทรอันเย็นสนิท ปรารถนาจะใหพัดใหวี ดวยใบตาลเปนตน แลปริณามัคคีนั้นไดแกเพลิงธาตุอันเผาอาหารใหยอยออกเปนอันดี ขนมของกิน น้ําอัมพบาน น้ําผึ้งน้ําตาล น้ําออยเหลวน้ําออนขน แตบรรดา
ขาวน้ําโภชนาหาร
ที่บุคคลเราทานทั้งปวงสองเสพบริโภคสิ้นทั้งนั้น จะสุกเปนอันดีจะยอยยับเปนอันดีนั้น อาศัยแตเพลิงธาตุอันชื่อวาปริณามัคคี เพลิงธาตุทั้ง ๔ นี้ แลไดชื่อวาอัชฌัตติกเตโชธาตุ แลอัชฌัตติ กวาโยธาตุนั้น ไดแกธรรมชาติในโลกสมมติวาบังเกิดในตน วานับเขาอยูในสันดานแหงตน วาอาศัย ซึ่งตนแลวแลเปนไป มีลักษณะอันค้ําชูอวัยวะนอยใหญ มีอาการอันพัดขึ้น ๆ ลง ซานไปในอังคาพยพ ทั่วสกลกายแหงสรรพสัตว ๆ ถือเอาอาตมาวาเปนของอาตมา มิใชอื่นใชไกลไดแกวาโยธาตุ ๖ จําพวก คือ อุทธังคมาวาต ๑ อโธคมาวาต ๑ กุจฉิสยาวาต ๑ โกฏฐาสยาวาต ๑ อังคมังคานุสารีวาต ๑ อัสสาสะปสสาสะวาต ๑ อุทธังคมาวาตนั้น ไดแกวาโยธาตุอันพัดขึ้นกระทําใหเปนโทษเปนตนวาให วิงวอน ใหรากใหเรอมีประการตาง ๆ แลอโธคมาวาตนั้น ไดแกวาโยธาตุอันพัดใหสําเร็จกิจเปนตนวา ถายอุจจาระแลปสสาวะ แลกุจฉิสยวาตนั้น ไดแกวาโยธาตุอันพัดอยูนอกไส โกฏฐสยาวาตนั้น ไดแก วาโยธาตุอันพัดอยูภายในแหงไสใหญ แลอังคมังคานุสารีวาตนั้น ไดแกวาโยธาตุอันพัดซานไปตาม ระเบียบแหงแถวเสน พัดซานไปในอังคาพยพใหญนอยทั่วสกลสรรพางคใหสําเร็จกิจเปนตนวาคูกาย เหยีบดกายลุกนั่งยืนเที่ยว โดยควรแกอัชฌาสัย อัสสาสะปสสาสะวาตนั้น ไดแกลมหายใจเขาออก สิริดิน ๒๐ น้ํา ๑๒ เพลิง ๔ ลม ๖ เขา ดวยกัน จึงเปนอาการในกาย ๔๒ โดยนัยพิสดารสําแดงมานี้ตามนัย อันพระผูเปนเจาธรรมเสนาบดี สําแดง พระธรรมเทศนาในหัตถิปโทปมสูตร เอวํ ราหุโลวาเท ธาตุวิภงฺเคสุ แลพิธีที่สําแดงพระ ธาตุกรรมฐานโดยนัยพิศดารมีในราหุโลวาทสูตร แลธาตุวิภังคนั้น ก็เหมือนกันกับนัยที่สําแดงแลวใน มหาหัตถิปโทปมสูตร จะไดแปลกไดเปลี่ยนกันก็หาบมิได ติกฺขปฺญสฺส ภิกฺขุโน พระภิกษุผู จําเริญพระธาตุกรรมฐานนี้ ถามีปญญาแหลมปญญากลาแลว จะพิจารณาโดยพิสดาร วาเกศานี้เปน ปฐวีธาตุประการ ๑ โลมาก็เปนปฐวีธาตุประการ ๑ นขาก็เปนปฐวีประการ ๑ จะพิจารณาโดยนัยพิสดาร เปนอาทิดังปรากฏเห็นเปนเนิ่นชาเพราะเหตุวาปญญานั้นกลา ปญญาเฉียบแหลมอยูแลว เหตุดังนั้น พระภิกษุที่ปญญากลานั้นสมควรจะพิจารณาแตโดยสังเขปวา ยํ ถทฺธลกฺขณํ ธรรมชาติอันใดมีลักษณะกระดาง ธรรมชาติอันนั้นแลไดชื่อวาปฐวีธาตุ ยํ อาพนฺธนลกฺขณํ ธรรมชาติอันใดมีลักษณะอันเอิบอาบซาบซึมมีอาการอันไหลหลั่ง ธรรมชาติอันนั้น แลไดชื่อวา อาโปธาตุ ยํ ปริปาจนลกฺขณํ ธรรมชาติอันใดกระทําใหยับใหยอย ธรรมชาติอันนั้นแล ไดชื่อวา เตโชธาตุ ยํ วิตฺถมฺภลกฺขณํ ธรรมชาติอันใดมีลักษณะอันค้ําชูอังคาพยพใหเสําเร็จดิจ ลุก นั่งยืนเที่ยวธรรมชาติอันนั้นแลไดชื่อวาวาโยธาตุ เอวํ มนสิกโรโต พระภิกษุผูมีปญญาแหลมปญญา กลานั้น เมื่อกระทํามนสิการแตโดยนัยสังเขปนี้ ก็ยิ่งอาจจะยังพระธาตุกรรมฐานใหปรากฏแจงใน สันดานได นาติติกฺขปฺญาสุ แลพระภิกษุที่มีปญญามิสูกลาหาญนั้น เมื่อกระทํามนสิการโดยนัย สังเขปดังนี้ พระกรรมฐานยังบมิไดปรากฏแจงยังมืดมนอนธการอยูก็พึงกระทํามนสิการพระธาตุ กรรมฐาน โดยนัยพิศดาร เหมือนนัยที่สําแดงมาแลวในเบื้องตน พระกรรมฐานจึงปรากฏเปนอันดี เปรียบภิกษุ ๒ รูปสังวัธยายบาลี ไปยาลยอเขาเปนอันมาก องคหนึ่งปญญากลา องคหนึ่งปญญามิสู กลา องคที่มีปญญากลานั้นสังวัธยายไปครั้ง ๑ บาง ๒ ครั้งบาง ภายหลังก็รวบรัดยอเขาดวยอุบาย ไปยาลยอเขา ที่เหมือน ๆ กันในทามกลางนั้นไปยาลยอเขาเสีย สังวัธยายแตที่สุดขางโนนขางนี้ สังวัธยายแตที่แปลก ๆ กัน อาการที่สังวัธยายนั้นจบเร็ว บาลีนั้นก็ชํานาญตลอดทั้งเบื้องตนแลเบื้อง ปลาย เพราะเหตุที่มีปญญากลา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 106 ฝายภิกษุองคที่มีปญญามิสูกลานั้น สังวัธยายเรียงบทออกไปทุกบท ๆ บมิไดยอเขา ดวย อุบายไปยาล สังวัธยายนั้นซ้ําแลวซ้ําเลา เขาใจวาสังวัธยายโดยไปยาล สังวัธยายโดยยอนั้นไมพอ ปาก วาแตครั้ง ๑-๒ ครั้งนั้นไมชํานาญปาก เอามั่นเอาคงบมิได อันไมไปยาลเสียแลวสังวัธยายซ้ํา แลวซ้ําเลาเอามากเขาวานั้นแลบาลีชํานิชํานาญมั่นคงดีตกวาอาการที่สังวัธยายนั้นจบเขา จะได เหมือนพระภิกษุที่มีปญญากลานั้นหาบมิได ภิกษุที่มีปญญากลานั้น เห็นวาสังวัธยายซ้ําแลวซ้ําเลา การที่จะไปยาลเสียก็ไมไปยาล อยางนี้นี่เมื่อไรจะจบ อาการที่พระภิกษุทั้ง ๒ รูปสังวัธยายบาลี มี อารมณมิไดตองกัน เพราะเหตุที่ขางหนึ่งปญญากลา ขางหนึ่งปญญามิสูกลา ยถา อันนี้แลมีอุปมาฉัน ใด พระภิกษุผูจําเริญพระธาตุกรรมฐานนี้ ที่มีปญญากลาก็ควรจะกระทํามนสิการโดยพีธีสังเขปที่มี ปญญามิสูกลา ก็ควรกระทํามนสิการโดยพิศดารมีอุปไมยดังพระภิกษุ ๒ รูปสังวัธยายบาลี ขาง ๑ พอใจยอ ขาง ๑ พอใจพิศดาร เพราะเหตุที่มีปญญากลาแลมิสูกลาโดยนัยที่สําแดงมานี้ เหตุดังนั้น พระภิกษุผูมีปญญากลา จําเริญพระธาตุกรรมฐานนั้น เมื่อเขาไปในที่สงัดอยูแตผูเดียวแลว ก็พึงพิจ จารณารูปกายแหงตนโดยนัยสังเขปวา สภาวะหยาบสภาวะกระดางมีในกายนี้เปนปฐวีธาตุ สภาวะเอิบ อาบซาบซึมหลั่งไหล มีในกายนี้เปนอาโปธาตุ สภาวะรอนวะกระทําใหแกใหยอมมีในกายนี้เปน เตโชธาตุ สภาวะค้ําชูอังคาพยพในกายนี้เปนวาโยธาตุพิจรณาดังนี้แลว พึงกระทํามนสิการกําหนด กฏหมายใหเห็นวา รูปกายแหงตนนี้เปนกองแหงธาตุบมิไดเปนชีวิต เมื่อกระทํากองเพียรสอดสองสอง ปญญา พิจารณาประเภทแหงธาตุดวยประการฉะนี้ อุปจารสมาธิก็จะบังเกิดจะไดสําเร็จอุปจารสมาธิได รวดเร็วบมิไดเนิ่นชา จะไดสําเร็จแตเพียงอุปจารสมาธิบมิอาจที่จะลวงตลอดขึ้นไปถึงอัปปนาสมาธินั้น ได เพราะเหตุพระธาตุกรรมฐานมีอารมณเปนสภาวธรรม อธิบายวาอารมณนั้นไปลงไปหาที่ยั่งที่หยุดบ มิได เปรียบเหมือนแลลงไปในเหวอันลึกบมิไดเห็นพื้น เมื่อหยั่งอารมณไปไมมีที่ยั่งหยุดดังนี้ จิตนั้น หาที่ตั้งบมิได พระอัปปนาสมาธิจึงไมบังเกิดในสันดานจึงไดสําเร็จอยูแตเพียงอุปจารสมาธิ นัยหนึ่งสําแดงไวเปนอปรนัยวา พระผูเปนเจาธรรมเสนาบดี มีความปรารถนาจะสําแดงให เห็นแจงวา ธาตุทั้ง ๔ ประการนี้ใชสัตวจึงสําแดงธรรมเทศนาจําแนกออกซึ่งโกฏฐาส ๔ ประการ วา อฏิฺจ ปฏิจฺจ นหารฺุจปฏิจฺจ สมฺจ ปฏิจฺจ อากาโส ปริวาริโต รูปนฺเตฺวว สงฺขํ คจฺฉ ติ อธิบายวาธรรมชาติอันใดไดนามบัญญัติชื่อวารูปนั้นอาศัยแกโกฏฐาสทั้ง ๔ ประชุมกันคืออาศัยอัฐิ ประการ ๑ อาศัยแกเสนประการ ๑ อาศัยเนื้อประการ ๑ อาศัยหนึ่งประการ ๑ โกฏฐาสทั้ง ๔ มีอากาศ แวดลอมซายขวาหนาหลังแลวกาลใดก็ไดชื่อวาเรียก ๆ วารูปกาลนั้น โกฏฐาสทั้ง ๔ ซึ่งประชุมกันได นามบัญญัติชื่อวารูปนั้น ถาพระโยคาพจรกุลบุตรมีปญญากลาพิจารณาเอาแตสังเขปเทานี้ ก็อาจจะได สําเร็จอุปจารสมาธิมิไดเนิ่นชา แลอาการที่จําเริญพระธาตุกรรมฐานนี้ กําหนดไวเปน ๔ ประการคือ สสัมภารสังเขป พิจารณาธาตุทั้ง ๔ โดยยอเปนตน ปฐวีธาตุมีอาการกระดางนั้นประการ ๑ สสัมภาร วิภัตติ พิจารณาธาตุทั้ง ๓ โดยประเภทแผนกมีเกสาโลมาเปนอาทินั้นประการ ๑ สัลลักขณสังเขป พิจาณาลักษณะแหงธาตุโดยยอนั้นประการ ๑ สัลลักขณวิภัตติพิจารณาลักษณะแหงธาตุโดยแผนก นั้นประการ ๑ เปน ๔ ประการดังนี้ อาการที่พิจารณาโดยสสัมภารสังเขป สัลลักขณะสังเขปนั้น สมควรแกพระโยคาพจรที่มี ปญญากลา อาการที่พิจารณาโดยสสัมภารวิภัตติ สัลลักขณวิภัตตินั้น สมควรแกพระโยคาพจร ที่มี ปญญามิสูกลา ๆ นั้นพึงเรียนซึ่งอุคคหโกศล ๗ ประการมนสิการ ๑๐ ประการ โดยนัยที่สําแดงแลวใน กายคตาสติพึงพิจารณาโดยนัยพิสดารวา อิเม เกสา นาม กวาพิจารณาเหมือนพรรณนาในพระ กายคตาสติ คือพิจารณาอาการ ๓๒ นั้นโดยปฏิกูลโดยวิภาคเปนอาทิ พระธาตุกรรมฐานนี้สําเร็จดวย พิจารณาอาการในกายเหมือนกันกับพระกายคตาสติแปลกกันแตที่กําหนดจิต ในกายคตาสตินั้น กําหนดจิตวาอาการในกายสิ้นทั้งปวงนี้มีสภาวะปฏิกูลพึงเกลียดพึงชัง อิธ ธาตุวเสน ในพระธาตุ กรรมฐานนี้กําหนดจิตวา อาการในกายสิ้นทั้งปวงนี้มีสภาวะเปนปฐวีธาตุ เปนอาโปธาตุ เปนเตโชธาตุ วาโยธาตุ ตกวาตางกันดวยกําหนดจิตฉะเมื่อพระโยคาพจรกําหนดจิต พิจารณาโดยนิยมดังพรรณนา มานี้ อันวาธาตุทั้งหลายก็จะปลายปรากฏ เมื่อธาตุทั้งหลายปรากฏแลวพิจารณาไปเนือง ๆ ก็จะสําเร็จ แกอุปจารสมาจิตดุจกลาวแลวในหนหลัง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 107 อปจ อนึ่งโสด พระโยคาพจรกุลบุตรผูจําเริญจตุธาตุววัตถานภาวนานั้นพึงกระทํามนสิการ ในธาตุทั้ง ๔ ดวยมนสิการอาการ ๑๓ ประการ วจตฺถโต คือใหกระทํามนสิการโดยวิคคหะประการ ๑ กลาปโต ใหกระทํามนสิการโดยกลาปประการ ๑ จุณณโต ใหกระทํามนสิการโดยกิริยาที่กระทํา ใหเปนจุณณประการ ๑ ลกฺขณาทิโต ใหกระทํามนสิการโดยลักษณะแลผลนั้นประการ ๑ สมุฏาน โต ใหกระทํามนสิการโดยสมุฏฐานประการ ๑ นานตฺเตกตฺตโต ใหกระทํามนสิการโดยตางกันแล ใหกระทํามนสิการโดยกิริยาที่ เหมือนกันเปนอันเดียวนั้นประการ ๑ วินิพพฺโภคา วินิพฺโภคโต พรากจากกัน แลบมิไดพรากจากกันประการ ๑ สภาควิสภาคโต ใหกระทํามนสิการที่เปนสภาคแลวิ สภาคประการ ๑ อชฺฌตฺติกพาหิรวิเสสโต ใหกระทํามนสิการโดยอัชฌัตติกวิเศษแลพาหิรวิเศษ ปจฺจยโต ใหกระทํา ประการ ๑ สงฺตหโต ใหกระทํามนสิการโดยกิริยาประมวลเขาประการ ๑ มนสิการโดยปจจัยประการ ๑ อสมนฺนาหารโต ใหกระทํามนสิการโดยอสมันนาหารประการ ๑ ปจฺจยวิภาคโต ใหกระทํามนสิการโดยปจจัยวิสภาคประการ ๑ สิริเปนมนสิการอาการ ๑๓ ประการดวยกัน มนสิการอาการเปนปฐมที่วา ใหกระทํามนสิการโดยวิคคหะนั้นเปนประการใด อธิบายวา ปฐวีธาตุนั้นมีนัยวิคคหะวา ปฐวี ปตฺถตตฺตา ปฐวี แปลวาธรรมชาติอันใด ไดนามบัญญัติชื่อวาปฐวี ธาตุนั้น ดวยอรรถวาแข็งกระดาง พึงรูใหทั่วไปในสรรพธาตุทั้งปวงเถิด สุดแทแตวาธาตุอันใดกระดาง มีประมาณพอหยิบขึ้นไดดวยมือ ธาตุสิ่งนั้นไดชื่อวา ปฐวีธาตุ แลเอาโปธาตุนั้นมีอรรถวิคคหะวา อปฺ โปติ อาปยติ อปฺปายาตีติ วา อาโป แปลวา ธรรมชาติอันใดซึมซาบอาบเอิบไปในปฐวีธาตุเปน อาทิ ธาตุสิ่งนั้นแลไดชื่อว อาโปธาตุ แลเตโชธาตุนั้น มีอรรถวิคคหะวา เตชยตีติ เตโช แปลวาธาตุอัน ใดกระทําใหอบอุนเปนไอเปนควันบํารุงรักษาปฐวีธาตุเปนอาทิ มิใหเปอยใหเนาเผาอาหารใหยอย ธาตุอันนั้นไดชื่อวา เตโชธาตุ แลวาโยธาตุนั้น มีอรรถวิคคหะวา วายตีติ วาโยแปลวา ธาตุอันใดกระทํา ใหไหวใหยกมือยกเทาใหสําเร็จอิริยาบถนั่งนอนยืนเที่ยว ธาตุอันนั้นแลไดชื่อวาวาโยธาตุ วิคคหะดังนี้ เรียกวาวิเศษวิคคหะ อธิบายวา สําแดงอรรถแหงธาตุทั้ง ๔ นั้นใหแปลกกัน ๆ ทีนี้จะวาดวยสามัญวิคคหะสืบตอไปเลา นัยวิคคหะวา สลกฺขณธารณโต ทุกฺขฏานโต ทุกฺขาธานโต จ ธาตุ แปลวาธรรมชาติ ๔ ประการ คือ ดิน น้ํา ไฟ ลม ไดนามบัญญัติชื่อวาธาตุนั้น เพราะเหตุที่ทรงไวซึ่งลักษณะแหงตน ลักษณะที่แข็งกระดาง ลักษณะที่ซุมซาบอาบเอิบลักษณะที่ กระทําใหอบอุน ลักษณะที่ใหไหวใหติงนี่แลไดชื่อวาลักษณะแหงตน แหงดิน น้ํา ไฟ ลม ตกวาดินนั้น ทรงไวซึ่งลักษณะอันกระดาง น้ํานั้นทรงไวลักษณะอันซึมซาบ ไฟนั้นทรงไวซึ่งลักษณะอันอบอุนอัน รอน ลมนั้นทรงไวซึ่งลักษณะอันไหวอันติง นี่แลไดชื่อวาลักษณะแหงตนอาศัยเหตุที่ทรงไวซึ่ง ลักษณะสําหรับตนดังนี้ ดิน น้ํา ไฟ ลม จึงไดนามบัญญัติชื่อวาธาตุ นัยหนึ่ง ดิน น้ํา ไฟ ลม ไดนาม บัญญัติชื่อวาธาตุนั้น เหตุทรงไวซึ่งทุกข เพราะเหตุเปนที่ตั้งแหงทุกข ถา ดิน น้ํา ไฟ ลม หาบมิได ไม เกิดในรูปกายแลว ความทุกขเวทนามีประการตาง ๆ นั้นจะบังเกิดแตที่ดังฤๅ นี่อาศัยเหตุที่มีดินน้ําไฟ ลมบังเกิดขึ้นเปนรูปเปนกายความทุกขเวทนาจึงอากูลมูลมองหาสะสมอยูเปนอเนกอนันต ตกวาดินน้ําไฟลมนี้ทรงไวซึ่งทุกข เปนที่ตั้งแหงทุกขจะนับจะประมาณบมิได อาศัยเหตุ ฉะนี้ ดินน้ําไฟลมจึงไดนามบัญญัติชื่อวาธาตุ วิคคหะอยางนี้เรียกวาสามัญวิคคพะ เหระเหตุวิคคหะอัน เดียวกัน ไดเนื้อความทั่วไปทั้ง ดิน น้ํา ไฟ ลม ทั้งสิ้น ๔ ประการ กิริยาที่พระโยคาพจรกระทํามนสิการ กําหนดธาตุทั้ง ๔ ประการ โดยวิเศษวิคคหะแลสามัญวิคคหะดังนี้ จัดเปนมนสิการอาการเปนปฐม แล มนสิการอาการเปนคํารบ ๒ คือ กลาปโตที่ใหกระทํามนสิการโดยกลาปนั้นเปนประการใด อธิบายวา ในหมวดปฐวีธาตุ ๒๐ มีเกศาเปนอาทิ มีมัตถลุงคังเปนที่สุดนั้น แตละสิ่ง ๆ ลวนกอปรดวยสุทธกลาป ทั้งสิ้น สุทธกลาปนั้นไดแกธรรมชาติ ๘ ประการ ประชุมกันคือปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ สีแลกลิ่นรสแลโอชา ๘ ประการประชุมกันเปนหมวดแลวเมื่อใด ก็เรียกวาสุทธากลาปในกาลเมื่อนั้น ปฐวีธาตุ ๒๐ ประการนี้ แตสิ่งหนึ่งจะไดปราศจากสุทธกลาปก็หาบมิได ผมแตละเสน ๆ ขนแตละเสน ๆ เล็บแตละเล็บ ๆ ฟนแตละซี่ ๆ นั้น แตลวนดิน น้ํา ไฟ ลม สีแลกลิ่น รสแลโอชา ชีวิตินทรียแล ภาวรูปประชุมพรอม จะไดปราศจากดิน น้ํา ไฟ ลม สัแลกลิ่น รสแลโอชา ชีวิตินทรียแลภาวนารูปหาบ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 108 มิได ขอซึ่งเรียกปฐวีธาตุนั้น เพราะเหตุธาตุดินมากกวาธาตุทั้ง ๔ แทจริงผมแลขน เล็บแลฟน ทั้งปวงนี้ ใชจะมีแตปฐวีธาตุสิ่งเดียวนั้นหาบมิได อาโปธาตุที่ซึมซาบอาบเอิบนั้นก็มีอยู เตโชธาตุที่ กระทําใหอบอุนนั้นก็มีอยู วาโยธาตุที่พัดไปในตนเสนผมแลเสนขน เล็บแลฟนนั้นก็มีอยู ตกวาธาตุทั้ง ๔ นั้นก็มีพรอม แตหากวาธาตุดินนั้นมากกวาธาตุทั้ง ๓ สมเด็จพระมหากรุณาจึงยกเอาที่มากขึ้นตรัส เทศนาจัดเอาเสนผมแลขนเล็บแลฟนเปนอาทินั้นเปนปฐวีธาตุหนังและเนื้อ เสนแลอัฐิแลมามแลหัวใจ แลตับพังผืด แลพุงไสใหญและใสนอย อาหารใหมแลอาหารเกา แลสมองศีรษะนั้นกฒีดิน น้ํา ไฟ ลม สีแลกลิ่นรสโอชาเหมือนกันสิ้น ตกวาธาตุทั้ง ๔ นี้มีพรอมทุกสิ่ง แตหากวาดินนั้นมาก ดินนั้นมีภาษีมา กวาธาตุทั้ง ๓ สมเด็จพระผูมีพระภาคตรัสพระสัทธรรมเทศนา ยกหนังแลเนื้อเปนอาทินั้นขึ้นเปนปฐวี ธาตุ ๒๐ ประการ แลอาโปฐาตุ ๑๒ ประการ มีดีเปนอาทิ มีมูตรเปนที่สุดนั้น แตละสิ่ง ๆ ลวนกอปรดวย ดิน น้ํา ไฟ ลม สีแลกลิ่น รสแลโอชาเหมือนกันสิ้น ธาตุทั้ง ๔ ประการนั้นบริบูรณพรอม จะไดเฉพาะมี แตธาตุน้ําสิ่งเดียวนั้นหาบมิได แตหากวาธาตุน้ํานั้นมีมาก ธาตุน้ํานั้นมีภาษีกวาธาตุทั้ง ๓ สมเด็จพระมหากรุณาจึงยกเอาแตธาตุน้ําที่มีภาษีขึ้นตรัส เทศนา จัดเอาอาการ ๑๒ ประการ มีดีเปนอาทิ มีมูตรเปนปริโยสานนี้ เปนอาโปธาตุ อาการที่กระทํา มนสิการกําหนดกฏหมายกลาปโกฏฐาสในกรัชกาย ใหเห็นวาประกอบดวยกลาป คือประชุมดิน น้ํา ไฟ ลม สีแลกลิ่น แลรสโอชาบริบูรณพรอม นี้แลไดชื่อวามนสิการโดยกลาป จัดเปนมนสิการอาการเปนคํา จฺณฺณโต ที่วาใหกระทํามนสิการโดยกิริยาที่เปนจุณนั้นเปน รบ ๓ นี้แลมนสิการเปนคํารบ ๓ คือ ประการใด อธิบายวา กรัชกายแหงเราทานทั้งปวงนี้ ถามีประมาณเปนปานกลางเหมือนอยางกาย มัชฌิมบุรุษ ไมเล็กไมใหญนัก แลเราจะเอามายอยออกใหเปนจุณนั้น โทณมตฺตา จะตวงได ประมาณโทณะ ๑ คือ ๑๖ ทะนาน จุณ ๑๖ ทะนานนั้นมีอาโปธาตุซึมซาบอาบอิ่มอยูถึงกนกับปฐวีธาตุ ปาลิตา นักปราชญพึงสันนิษฐานวา เตโชธาตุนั้นพนักงานกระทําใหรอนใหอุน เตโชธาตุ บํารุงรักษาปฐวีแลอาโปนั้นไวไมใหเปอยใหเนา ใหจําเริญขึ้นไปเปนอันดีโดยสิริสวัสดี วาโยธาตุยา วิตฺถมฺภิตา ฝายวาโยธาตุนั้น เปนพนักงานอุปถัมภค้ําชูจะไหวจะติงจะสําเร็จอิริยาบททั้ง ๔ นั้น อาศัยแกวาโยธาตุ ๆ เขาอุดเขาหนุนประคับประคองแลว เราทานทั้งปวงซึ่งนั่งนอนยืนเที่ยวกระทํา กิจการทั้งปวงไดสําเร็จมโนรถความปรารถนา เมื่อธาตุทั้ง ๔ ประชุมกับบํารุงรักษาอุปถัมภค้ําชูกันเปนอันดีแลว สมมติสัตวที่โลกโวหาร เรียกวาหญิงวาชายวาสัตววาบุคคลนั้น จึงบังเกิดมีเพราะมีธาตุทั้ง ๔ ประชุมกันเปนหลักเปนประธาน อันสรีรกายแหงเราทานทั้งหลาย จะปรากฏวานอยวาใหญวาต่ํากระดางวามั่นวาทนนั้นอาศัยแกปฐวี ธาตุ ที่จะเปนน้ําเปนเยื่อปลั่งเปลงเครงครัดชุมมันนั้นอาศัยแกอาโปธาตุ ปวี ปติฏิตา อาโปธาตุ นั้นตั้งอยูในปฐวีธาตุไดปฐวีธาตุเปนที่ตั้ง ไดเตโชธาตุเปนอภิบาลรักษา ไดวาโยธาตุเปนผูอุปถัมภ จึง ตั้งอยูไดเปนอันดี มิไดรั่วมิไดไหลออก กระทําสรีรกายประเทศนั้น ใหอิ่มอยูเต็มเปนอันดีมิไดบกมิได พรอง อสิตปตาทิปริปาจิตา แลเตโชธาตุ ๔ ประการนี้ อุณฺห ลกฺขณา มีลักษณะใหอุนใหรอน บังเกิดมีอาการอันพุงขึ้นเปนไอเปนควัน เตโชธาตุนั้นตั้งอยูในปฐวีธาตุ ไดปฐวีธาตุเปนที่ตั้ง ได อาโปธาตุเปนผูชวยสงเคราะห ไดวาโยธาตุเปนผูอุปถัมภ จึงเผาอาหารใหยอยออกเปนอันดี กระทําส รีรประเทศนั้นอบอุนบริบูรณดวยสีสันพรรณเปนน้ําเปนนวล นปูติภาวํ ทสฺเสติ กายแหงเราทาน ทั้งหลายจะไมสําแดงอาการอันเนาเปอยพังนั้น อาศัยแกเตโชธาตุเปนผูอภิบาลรักษา องฺคมงฺคานฺ สารีวาตา แลวาโยธาตุที่พัดซานไปในอวัยวะนอยใหญทั้งปวง จําแนกออกโดยประเภทพิศดารเปน วาโยถึง ๖ ประการ ทีอุทธังมาวาตเปนอาทินั้น มีลักษณะใหสําเร็จกิจจํานรรจาพาทีใหตั้งกายทรง กาย ปวี ปติฏิตา วาโยธาตุ นั้นตั้งอยูในปฐวีธาตุ ไดปฐวีธาตุเปนที่พึ่ง ไดอาโปธาตุเปนผูชวย สงเคราะห ไดเตโชธาตุเปนผูอุปถัมภค้ําชู แลวก็ดํารงดายไวมิใหกายนั้นลมซวนซวดเซไปได เมื่อวาโยธาตุจําพวก ๑ ตั้งกายทรงกายไวแลว วาโยธาตุจําพวก ๑ ก็เขาอุดหนุน สําแดง กายวิญญัติไหวกายอันยุติในอิริยาบถใหนั่งนอนยืนเที่ยว กลับกลอกคูเขาแลเหยียดออกซึ่งหัตถแล
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 109 บาท โดยอันควรแกจิตประสงค สรีรยนตที่โลกทั้งหลายสมมติเรียกวาหญิงวาชาย เจานั่นเจานี่ นางนั่น นางนี่ตามประเพณีโลกวิสัยนี้มิใชอื่นเลย คือธาตุทั้ง ๔ นี้เอง หญิงก็แลวดวยธาตุทั้ง ๔ ชายก็แลวดวย ธาตุทั้ง ๔ เมื่อมีปญญาพิจารณาโดยละเอียด สรีระนี้เหมือนดวยรูปหุน อันบุคคลรอยไวดวยสาย ยนต พาลวฺจนํ สรีรยนตนี้ ยอมลอลวงคนหาปญญามิได ใหลุมใหหลงสําแดงลีลาอาการนั้นตาง ๆ ถาปราศจากปญญาแลว ก็พิศวงงงงวยสติสมประดี สําคัญวางดงามวาประณีตบรรจง ที่แทนั้นธาตุ ทั้ง ๔ ทีเดียว ถาจะยอยออกเปนจุณก็ตวงได ๑๖ ทะนาน จะเปนเครื่องเปอยเครื่องเนาเครื่องถม แผนดิน จะมีแกนมีสารแตสักหนอยหนึ่งหาบมิได พระโยคาพจรกุลบุตร อันกระทํามนสิการกําหนด กฏหมายโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้แล ไดชื่อวกระทํามนสิการ โดยกิริยาที่กระทําใหเปนจุณ จัดเปน มนสิการอาการคํารบ ๓ แลมนสิการอาการคํารบ ๔ คือ ลกฺขณาทิโต ที่วาใหพิจารณาธาตุทั้ง ๔ โดยลักษณะแลกิจแลผลนั้นเปนประการใด ธาตุทั้ง ๔ ประการนี้ มีสิ่งดังฤๅเปนกิจมีสิ่งดังฤๅเปนผล อธิบายวาปฐวีธาตุนั้น กกฺขลตฺตลกฺขโณ มีกิริยาที่แข็งที่หยาบที่กระดางนั้นเปนลักษณะ สุดแทแต วาธาตุสิ่งใดเปนธาตุอันแข็งกระดางเปนธาตุหยาบ ควรจะตองควรจะถือควรจะหยิบจะยกได ธาตุสิ่ง นั้นแลไดชื่อวาปฐวีธาตุ ตกวาลักษณะอันที่กระดางนั่นแลเปนลักษณะแหงปฐวีธาตุ ปติฏานรสา ถาจะวาในกิจ นั้น กิริยาที่เปนที่ตั้งแหงธาตุทั้ง ๓ เปนที่พํานักแหงธาตุทั้ง ๓ นั่นแลเปนกิจแหงปฐวี ธาตุ สมฺปฏิจฺฉนฺนปจฺจุปฏานา ถาจะวาโดยผลนั้นกิริยาที่รับรองไวซึ่งธาตุทั้ง ๓ นั้นแลเปนผล แหงปฐวีธาตุ ปกฺขรณกฺขณา แลอาโปธาตุมีกิริยาหลั่งไหลซึบซาบอาบเอิบเปนลักษณะ พฺรู หนรสา ถาจะวาโดยกิจนั้น อาโปธาตุมีกิจอันกระทําใหเปลงปลั่งเครงครัด ใหเจริญสดชื่นชุม มัน สงฺคหปจฺจุปฏานา อุณฺหลกฺขณา แลเตโชนั้น ถาจะวาโดยลักษณะมีลักษณะใหอุนให รอน ปริปาจนรสา ถาจะวาดวยกิจมีกิจอันกระทําใหอาหารยับยอยละเอียดลง มทฺมวานุปฺ ปาทานปจฺจุปฏานา ถาจะวาดวยผลนั้น เตโชธาตุมีกิริยาอันใหซึ่งสภาวะออนนอมแกกายเปนผล อธิบายวากรัชกายแหงเราทานทั้งหลาย จะออนนอมโดยสะดวกอาศัยแก เตโชธาตุ ถาเตโชธาตุดับ ตัวเย็นแลว กายก็แข็งกระดาง อยางประหนึ่งทอนไมและทอนฟน กิริยาที่กระทําใหกายออนนี้แลเปน วิตฺถฺภนลกฺขณา มีกิริยาอันหนุนค้ําชูใหตั้งกายทรงกายไดเปน ผลแหงเตโชธาตุแลวาโยธาตุนั้น ลักษณะ สมุทีรณรสา ถาจะวาดวยกิจ วาโยธาตุนั้นมีกิจอันกระทําใหหวั่นไหว ใหยกเทาใหกลับ เนื้อกลับตัวไดใหจํานรรจาพาที อภินิหารปจฺจุปฏานา ถาจะวาดวยผลนั้น วาโยธาตุมีกิริยาอันนําไปซึ่งกายสูทิศานุทิศ ตาง ๆ ใหกระทําการงานทั้งปวงได โดยควรแกประสงค กิริยาที่พระโยคาพจรกุลบุตรผูมีปญญา กระทํามนสิการกําหนดกฏหมายในลักษณะแลกิจแลผลแหงธาตุทั้ง ๔ โดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ จัดเปนมนสิการอาการคํารบ ๔ แลมนสิการอาการคํารบ ๕ ที่วาใหพิจารณาธาตุทั้ง ๔ โดยสุมุฏฐานนั้น เปนประการใด อธิบายวาอาการในกายแหงสรรพสัตวเราทานทั้งปวงนี้ถาจะนับโดยอาการโกฏฐาสนั้น นับไดปฐวีธาตุ ๒๐ อาโปธาตุ ๑๒ เตโชธาตุ ๔ วาโยธาตุ ๖ ประการ สิริเขาดวยกันจึงเปนอาการโกฏฐาส ๔๒ แลอาการโกฏฐาสทั้ง ๔ คือ น้ําตา ๑ มันเหลว ๑ น้ํามูก ๑ โกฏฐาสทั้ง ๔ นี้ มีสมุฏฐาน ๒ บางคาบ บังเกิดแตเพลิงธาตุ บางคาบเกิดแตจิตเพลิงที่เผาอาหารใหยอยนั้น มีสมุฏฐานเดียวบังเกิดแตกุศลา กุศลกรรมสิ่งเดียว อสฺสาสปสฺสาส จิตฺตสมุฏานาว แลลมระบายหายใจเขาออกนั้น มีสมุฏฐานอัน เดียวจะไดบังเกิดแตกรรมแลเพลิงธาตุแลอาหารนั้น หาบมิได อวเสสาสพฺเพจตฺสมุฏานา แล อาการโกฏฐาสอันเศษนอกออกไปจากโกฏฐาสที่สําแดงมาแลวนี้ ยังอีก ๓๒ อยูในสวนแหงปฐวรธาตุ ๑๘ อยูในสวนอาฏปธาตุ ๖ อยูในสวนแหงเตโชธาตุ ๓ อยูในสวนแหงวาโยธาตุ ๕ เหลานี้ลวนแตมี สมุฏฐาน ๔ บางคนนั้นเกิดแตกุศลากุศลกรรม บางคาบบังเกิดแตจิต บางคาบบังเกิดแตเพลิงธาตุบาง คาบบังเกิดแตอาหาร เอวํ
สมุฏานโต
พระโยคาพจรกุลบุตรอันกระทํามนสิการกําหนดกฏหมายธาตุ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
๔
- 110 ประการ โดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ จัดเปนมนสิการอาการเปนคํารบ ๕ แลมนสิการอาการคํารบ ๖ ที่วาใหกระทํามนสิการโดยตางกันแลเหมือนกันเปนอันเดียวกันนั้น เปนประการใด อธิบายวาธาตุทั้ง ๔ นี้ ถาจะวาโดยลักษณะก็มีลักษณะตาง ๆ กัน ถาจะวาโดยกิจก็มีกิจตาง ๆ กัน ถาจะวาโดยสมุฏฐานที่มี สมุฏฐานตาง ๆ กัน จะไดเหมือนกันหามิได เมื่อมนสิการโดยลักษณะแลกิจแลผลมนสิการโดย สมุฏฐานนั้น เปนแตละอยาง อยาง ๆ ตาง ๆ กัน โดยนัยดังพรรณนามา ถามนสิการโดยกิริยาที่เปน มหาภูติ มนสิการโดยกิริยาที่เปนธาตุ มนสิการกิริยาที่เปนสังขารธรรม มนสิการโดยกิริยาที่เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น ธาตุทั้ง ๔ นี้จัดเปนรูปเหมือนกัน เปนมหาภูตรูปเหมือนกัน เปนธาตุเหมือนกัน จะ ไดแปลกกันหาบมิได แทจริงธาตุทั้ง ๔ ประการคือ ปฐวี ปาโป เตโช วาโยนี้ ไดนามบัญญัติชื่อวารูป เหมือนกันนั้นดวยเหตุ ๕ ประการ มหนฺตปาตุภาวโต ไดชื่อวามหาภูตรูป เพราะเหตุปรากฏใหญนั้นประการ ๔ มหาภูตสา มฺญโต ไดชื่อวามหาภูต เพราะเหตุเหมือนดวยภูตปศาจนั้นประการ ๑ มหาปริหารโต ไดชื่อวา มหาภูตเพราะเหตุที่ตองพิทักษรักษาเปนอันมากนั้นประการ ๑ มหาวิการโต ไดชื่อวามหาภูต เพราะ เหตุที่มีวิการวิบัติเปนอันมากนั้นประการ ๑ มหตฺตภูตตฺตา ไดชื่อวามหาภูต เพราะเหตุจะพึงกําหนด ดวยความเพียรเปนอันมากประการ ๑ สิริเปนเหตุ ๕ ประการดวยกัน ขอซึ่งวาธาตุทั้ง ๔ ไดชื่อวา มหาภูต เพราะเหตุที่บังเกิดปรากฏใหญนั้นเปนประการใด อธิบายวาธาตุทั้ง ๔ นี้บังเกิดปรากฏใน สันดาน ๒ ประการ คืออนุปาทินนสันดานประการ ๑ อุปาทินนสันดานประการ ๑ ที่วาปรากฏใหญใน อนุปาทินนสันดานนั้น ไดแกดิน น้ํา ลม ไฟ ไฟเปนปกติ ๆ นี่แลเรียกวาอนุปาทินนสันดาน พระอาจารยเจาสําแดงแลวแตหลังในหองแหงพระพุทธานุสสติกรรมฐาน ทานสําแดงปฐวี อาโป เตโช วาโยอันเปนแกติ กําหนดแผนดินโดยหนา ๒ แสน ๔ หมื่นโยชน กําหนดน้ํารองแผนดิน หนา ๔ แสน ๘ หมื่นโยชน กําหนดลมรองน้ําหนักหนา ๙ แสน ๖ หมื่นโยชน กําหนดโดยขวางนั้น แผนปฐพีแผไปหาที่สุดบมิได เพราะเหตุวาหองจักรวาลมีมากกวามาก จะนับประมาณบมิได น้ํารอง ดินก็แผไปหาที่สุดบมิได ลมรองน้ําก็แผไปหาที่สุดบมิได เหมือนกันกับแผนดิน แลแตโชธาตุคือแสง พระสุริยเทพบุตร แลเปลวเพลิงที่แผอยูในโลกธาตุนี้ ก็หาที่สุดบมิไดเหมือนกัน ตกวาธาตุทั้ง ๔ อัน เปนปกติ บมิไดนับเขาสัตวในบุคคลที่แผไปหาที่สุดบมิได นี่แลไดชื่อวาธาตุทั้ง ๔ บังเกิดปรากฏใหญ ในอนุปาทินนสันดานแลธาตุทั้ง ๔ ที่นับเขาในอนุปาทินนสันดาน จัดเปนสัตวเปนบุคคล โดยในพุทธฏี กาโปรดไววาเตาแลปลาในมหาสมุทรนี้โยชนสติกา บางจําพวกนั้นใหญยาวได ๑๐๐ โยชน บาง จําพวกก็ใหญยาวได ๒๐๐ โยชน ๔๐๐ โยชน ๕๐๐ โยชน ๗๐๐ โยชน ๘๐๐ โยชน ๙๐๐ โยชน ๑๐๐๐ โยชนก็มี ใชแตเทานี้ ยักษแลคนธรรมพ นาคแลสุบรรณแลเทพยดาอินทรพรหมทั้งปวง แตบรรดาที่มีรูปกายอันใหญโตนั้น ก็มีมากกวาจะนับจะประมาณบมิได ตัวเตาตัวปลาที่ใหญ ๆ ตัวนาคตัวครุฑที่ใหญ ๆ รูปอินทรพรหมที่ใหญ ๆ นั้น แตลวนแลวดวยปฐวี อาฏป เตโช วาโยสิ้น ดวยกัน จะไดพนออกไปจากธาตุทั้ง ๔ นี้หาบมิได ธาตุทั้ง ๔ ที่จัดเปนสัตวเปนบุคคล นี่แลไดชื่อวา ปรากฏใหญในอุปาทินนสันดานเปนใจความวาธาตุทั้ง ๔ นี้บังเกิดปรากฏใหญในสันดาน ๒ ประการ คืออนุปาทินนสันดานแลอุปาทินนสันดาน โดยนัยพรรณนามา เหตุดังนี้จึงไดชื่อวามหาภูต และขอซึ่ง ธาตุทั้ง ๔ ไดชื่อวามหาภูต เพราะเหตุเหมือนดวยภูตปศาจนั้นเปนประการใด มายากาโร อมณึเยว อุทกํ มณึ กตฺวา อธิบายวาภูติปศาจที่เจาเลหเจามายานั้น ยอมกระทําการโกหกลอลวงใหคนทั้ง ปวงลุมหลงสําแดงน้ําที่ใส ๆ นั้นวาแกวผลึก วัตถุที่ไมใชแกวลอลวงวาแกว วัตถุที่ไมใชทองลอลวงวา ทอง บางคาบเอาดินมาสําแดงใหเห็นเปนทอง ตัวหาเปนเทพยดาไมสําแดงใหเห็นเปนเทพยดา ตัว หาเปนนกเปนกาไมสําแดงใหเห็นเปนนกเปนกา ภูตปศาจเจาเลหเจามายาลอลวงทั้งปวงใหลุมหลง แลฉันใดธาตุทั้ง ๔ ประการนี้ ลอลวงคนทั้งปวงลุมหลงมีอุปไมยดังนี้ อนีลาเนว หุตฺวา แทจริงธาตุ ๔ ประการนี้ตัวเองหาเขียวไม ยกเอาอุปาทานออกสําแดง ใหเห็นวาเขียว ตัวเองก็หาเหลืองไม ยกเอาอุปาทานออกสําแดงใหเห็นวาแดง ใหเห็นวาเหลือง ตัวเองหาแดงไม ยกเอาอุปาทานออกสําแดงใหเห็นวาแดง ตัวเองหาขาวไม ยกเอาอุปทานรูปออก
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 111 สําแดงใหเห็นวาขาว ลอลวงพาลชนใหลุมหลงใหสําคัญวางามวาดี อาการที่ธาตุทั้ง ๔ ลอลวงกัน อาการที่ภูตปศาลลอลวงนั้นคลาย ๆ กัน พอเสมอกัน เหตุนี้ สมเด็จพระมหากรุณาจึงตรัสเทศนา สําแดงนามบัญญัติแหงธาตุทั้ง ๔ ชื่อวามหาภูต ยํ คณฺหนฺติ เนวเต สํตสฺส อนฺโต น พหิ นัยหนึ่ง สําแดงอุปมาวา ภูตปศาจนั้นถาสิงกายคนทรงผูใดแลว ที่วาจะตั้งอยูภายในแหงคนทรงผูทนวาบมิได จะวาตั้งภายนอกการแหงคนทรงก็หาบมิได ถาจะวาอาศัยอยูที่กายแหงคนทรง จะวาเพียงนี้นี่พอจะวา ได อันนี้แลมีฉันใด ธาตุทั้ง ๔ ประการอันอาศัยซึ่งกันแลกัน แลวแลประพฤติเปนไปนี้ที่จะวาธาตุสิ่ง นั้น ๆ อยูภายนอกอยูภายในนั้นวาบมิได มีอุปไมยดังนั้น ตกวาอาการที่ธาตุทั้ง ๔ ประชุมกันอาศัยกัน เหมือนอาการที่ภูตแลปศาจเขาถือกายคนทรงนั้นจะไดแปลกกันหาบมิได อาศัยเหตุฉะนี้สมเด็จพระ พุทธองคจึงตรัสเทศนาเรียกธาตุทั้ง ๔ นี้ โดยนามบัญญัติวามหาภูต นัยหนึ่งสําแดงอุปมาวา ยักขินี ปรารถนาจะกินเนื้อมนุษยเปนภักษาหารนั้น ยอมแปลงกายแหงตนใหปรากฏงดงามเปรียบประดุจเทพ อัปสร บุรุษปญญาบมิได ไมพินิจพิจารณาผวาเขาไป มีแตจะเสียชีวิต กระทําตัวใหเปนอาหารกิจแก นางยักษ บมิเอาตัวรอดได นางยักษขินีลอลวงใหบุรุษทั้งปวงลุมหลง ใหอยูในอํานาจแลมีฉันใด ธาตุ ทั้ง ๔ ประการนี้ ปฏิจฺฉาเทตฺวา ก็ปดปองกําบังซึ่งปกติแหงอาตมา ที่โสโครกพึงเกลียดที่เปนอสุจินั้น ปกปดเสีย สําแดงใหเห็นวางามวาดี มีอุปไมยเหมือนยักษขีนีแปลงตัวนั้นเที่ยงแท เหตุฉะนี้ สมเด็จ พระสรรเพชญพุทธองคจึงตรัสเทศนานามบัญญัติแหงธาตุทั้ง ๔ ชื่อวามหาภูต แลขอซึ่งวาธาตุทั้ง ๔ ไดชื่อวามหาภูต เพราะเหตุที่ตองพิทักษรักษาเปนอันมากนั้นเปนประการใด อธิบายวาธาตุทั้ง ๔ ที่ ประชุมกัน สมมติวาเปนรูปเปนกายเปนหญิงเปนชายเปนสัตวเปนบุคคลนี้ เราทานทั้งปวงตองเอาใจใส ทะนุบํารุงตองหาใหกินใหอยู หาใหนุงใหหม ถึงเพลารอนตองอาบน้ําชําระขัดสีบํารุงอยูเปนนิตยกาล จึงคอยทุเลาเบาบาง ที่เหม็นโสโครกที่เปนปฏิกูลพึงเกลียดพึงชัง ถาไมทะนุบํารุงแลว มิมากแตสัก เพลาเดียวก็จะถึงวิปริมามแปรปรวนจะเศราหมองเปนที่รังเกียจเกลียดอายนี้เที่ยงแท ตกวาตอง บํารุงรักษานี้สิ้นทั้งกลางวันกลางคืนไมมีที่สุดลงเลย อาศัยเหตุที่เปนธุระตองพิทักษรักษาเปนหนัก เปนหนาดังนี้ ธาตุทั้ง ๔ จึงไดนามบัญญัติชื่อวามหาภูต และขอซึ่งวาธาตุทั้ง ๔ ไดชื่อวามหาภูต เพราะ เหตุที่มีวิการวิปริตเปนอันมากนั้นเปนประการใด อธิบายวาธาตุทั้ง ๔ ที่เปนอนุปาทินนะ คือ แผนดิน และภูเขาปาและมหาสมุทรมหานาทีและกุนนทีทั้งปวงนั้น ก็ยอมถึงการวิปริตดวยเพลิงประลัยกัลป น้ํา ประลัยกัลป ลมประลัยกัลป กําหนดเขตที่ฉิบหายนั้น ใหแสนโกฏิจักรวาลจะมั่นจะคงจะยั่งจะยืนนั้นหา บมิได ธาตุทั้ง ๔ ที่เปนอุปาทินนะ คือสรีรกายแหงสรรพสัตวเราทานทั้งปวงนี้เลา ปวี ธาตุปฺปโก เปน ถาถึงปฐวีธาตุกําเริบแลว ก็แข็งกระดางอยางประหนึ่งวาอสรพิษอันชื่อวากัฏฐมุขมาขบ บุคคล อันกัฏฐมุขอสรพิษขบนั้น มีตัวแข็งกระดาง แลมีฉันใด บุคคลอันมีปฐวีธาตุกําเริบนั้นก็มีกายอันแข็ง กระดางอยางประหนึ่งวาทอนไมทอนฟน มีอุปไมยดังนั้น อาโปธาตุปฺปโกเปน กาลเมื่ออาโปธาตุเกิดวิการกําเริบนั้นเลา สรีรกายแหงสรรพสัตวเรา ทานทั้งปวง ก็บังเกิดเปอยเนาพังออกที่นั่นที่นี่เปรียบดุจตองเขี้ยวอสรพิษอันชื่อวาปูติมุข บุคคลอันปูติ มุขอสรพิษขบ ตองเขี้ยวปูติมุขอสรพิษนั้นมีตัวหวะเปอยเปนรังหนอนเนาพังออกไปแลมีฉันใด เมื่อ อาโปธาตุวิการกําเริบแลว กายแหงบุคคลทั้งปวงก็บังเกิดเปนฝกะอากปากหมู เปนมะเร็งคุดทะราด เปอยพังออกไป ๆ มีอุปไมยดังนั้น เตโชธาตุปฺปโกเปน กาลเมื่อเตโชธาตุเกิดวิการกําเริบนั้น เลา สนฺตตฺโต ภวติ กาโย สรีรกายแหงสรรพสัตวทั้งปวง ก็เกิดรอนกระวนการวายกระหายน้ํา กาย นั้นสุกไหมเกรียมไปอยางไปอยางประหนึ่งตองเขี้ยวแหงอัคคิมุขอสรพิษ บุคคลนัยที่อัคคิอสรพิษขบ นั้น มีกายอันสุกไหมเกรียมไปสิ้นทั้งกรัชกาย เปรียบดุจเพลิงเผาแลมีฉันใด เมื่อเตโชธาตุเกิดวิการ กําเริบแลว สรีรกายแหงสรรพสัตวเราทานทั้งปวง ก็บังเกิดรอนกระวนกระวายกระหายน้ํา กายนั้นสุกไม เกรียมไปทั้งกรัชกาย มีอุปไมยดัจดังตองเขี้ยวอสรพิษอันชื่ออัคคิมุขนั้น วาโยธาตุปฺปโกเปน กาลเมื่อวาโยธาตุเกิดวิการกําเริบแลว อังคาพยพแหงสรรพสัตวเรา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 112 ทานทั้งปวง ก็หักรานขาดออกเด็ดออกไปที่นั่นที่นี่ มีอุปไมยดุจตองเขี้ยวแหงสัตถุมุขอสรพิษนั้น ขึ้น ชื่อวาวาธาตุทั้ง ๔ ยอมมีสภาวะถึงวิการวิปริตเปนอันมาก โดยนัยพรรณนามา เหตุดังนี้สมเด็จพระมหา กรุณาจึงตรัสเทศนาสําแดงนามบัญญัติแหงธาตุทั้ง ๔ นี้ ชื่อวามหาภูตก็มีดวยประการนี้ ใชแตเทานั้น ธาตุทั้ง ๔ ไดชื่อวามหาภูตนั้น เพราะเหตุพระโยคาพจรจะพึงกําหนดดวยความเพียรเปนอันมาก ตกวา นามบัญญัติชื่อมหาภูตนี้ ทั่วไปในปฐวี อาโป เตโช วาโย ทั้ง ๔ ประการ ดิน น้ํา ไฟ ลม ทั้ง ๔ นี้ได ชื่อวามหาภูตเหมือนกัน จะไดแปลกกันหาบมิไดประการ ๑ ดิน น้ํา ไฟ ลม ทั้ง ๔ ประการนี้ไดชื่อวา ธาตุเหมือนกันเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกัน จะไดแปลกกันหาบมิได กิริยาที่พระโยคาพจร กระทํามนสิการกําหนดกฏหมาย เห็นวาธาตุทั้ง ๔ มีลักษณะและกิจแลผลสมุฏฐานอันตางกัน แตทวา ไดนามบัญญัติชื่อวาธาตุ ชื่อวาสังขารธรรมเหมือนกัน เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกัน อยางนี้ได ชื่อวา นานตฺเตกตฺตโต มนสิการอาการโดยตางกัน และเหมือนกันแหงธาตุทั้ง ๔ จัดเปนมนสิการ อาการกําเริบเปนคํารบ ๖ แลมนสิการเปนคํารบ ๗ ที่วาใหกระทํามนสิการโดยกิริยาโดยกิริยาที่พราก จากกัน แลบมิพรากจากกันนั้นเปนประการใด อธิบายวาพระโยคาพจรกระทํามนสิการกําหนดโดย แผนกแยกธาตุทั้ง ๔ ออกเปนปฐวี ๒๐ อาโป ๑๒ เตโช ๔ วาโย ๖ ครั้นแลวประมวลเขาเปนมัดเปน หมวด กระทํามนสิการวา อาการในกายนี้แตลวนประกอบไปดวยกลาป มี ดิน น้ํา ไฟ ลม สี แลกลิ่น รส แลโอชา ภาวนารูปแลชีวิตินทรียเหมือนกันสิ้น ปวี อาโป เตโช วาโย วณฺโณ คนฺโธ รโส โอชา นั้นจะไดพรากจากกันหาบมิได กิริยาที่กระทํามนสิการโดยแผนกแยกใหตางกันแลว และกลับมนสิการโดยหมวด โดยมิไดพรากจาก กันไดชื่อวาวินิพโภคา วินิพโภคาจัดเปนมนสิการอาการคํารบ ๗ และมนสิการอาการคํารบ ๘ คือ พิจารณาโดยสภาคและวิสภาคนั้นเปนประการใด อธิบายวาปฐวีธาตุและอาโปธาตุ ๒ ประการนั้นเปน สภาคแกกัน เหตุวาเปนธาตุหนักเหมือนกัน เตโชธาตุกับวาโยธาตุนั่นเลาก็เปนสภาคกัน เพราะเหตุวา เปนธาตุเบาเหมือนกัน และธาตุดินธาตุน้ํา ๒ ประการนั้น เปนวิสภาคแปลกกันกับธาตุไฟและธาตุลม เพราะเหตุธาตุดินและธาตุน้ํานั้นหนัก ธาตุไฟและลมนั้นเบา กิริยาที่พระโยคาพจรเจากระทํามนสิการ กําหนดธาตุโดยแปลกกันและบมิไดแปลกกันดังนี้ จัดเปนมนสิการอาการเปนคํารบ ๙ คืออัชฌัตติกพา หิรวิเศษนั้น เปนประการใด อธิบายวาธาตุทั้ง ๔ ที่ใหสําเร็จกิจวิเศษเปนที่อาศัยแหง จักขุนทรีย โสติ นทรีย ฆานินทรีย ชิวหินทรีย เปนวัตถุที่อาศัยแหงวิญญาณนั้น ไดชื่อวาอัชฌัตติกวิเศษ ธาตุ ๔ อื่น จากธาตุที่เปนอัชฌัตติกวิเศษนี้ จัดเปนพาหิรวิเศษสิ้นทั้งปวง นักปราชญพึงสันนิษฐานวา อาการที่พระโยคาพจรมนสิการกําหนดธาตุโดยอัชฌัตติกวิเศษ และพาหิรวิเศษดังนี้ จัดเปนมนสิการอาการเปนคํารบ ๙ และมนสิการอาการคํารบ ๑๐ ที่วาใหกําหนด ธาตุทั้ง ๔ โดยสงเคราะหนั้น เปนประการใด อธิบายวา กิริยาที่กําหนด ปวี อาโป เตโช วาโย ที่ เปนกรรมฐานเหมือนกันเขาไวในหมวดอันเดียวกําหนด ปวี อาโป เตโช วาโย ที่เปนจิตสมุฏฐาน อุตุสมุฏฐาน อาหารสมุฏฐานเหมือนกันเขาไวเปนหมวด ๆ กัน แกบรรดาที่เปนจิตสมุฏฐานเหมือนกัน นั้นเอาไวหมวด ๑ ที่เปนอาหารสมุฏฐานเหมือนกันเอาไวหมวด ๑ กําหนดอยางนี้แลไดชื่อวามนสิการ โดยสงเคราะห จัดเปนมนสิการเปนคํารบ ๑๐ และมนสิการอาการคํารบ ๑๑ ที่วาใหกระทํามนสิการ โดยปจจัยนั้น เปนประการใด อธิบายวากิริยาที่กระทํามนสิการอาการกําหนดวา ปวี อาโป เตโช วาโย ธาตุทั้ง ๔ นี้ถอยทีเปนปจจัยแกกัน ถอยทีถอยอุปถัมภค้ําชูกัน ถอยทีถอยทะนุบํารุงกันนี้แล ชื่อวามนสิการโดยปจจัยเปนมนสิการอาการคํารบ ๑๑ และมนสิการอาการคํารบ ๑๒ คืออสัมนาหารนั้น เปนประการใด อธิบายวากิริยาที่กําหนดวาธาตุทั้ง ๔ นั้น จะไดรูเนื้อรูตัวอาศัยกันแอบอิงพิงพึ่งกันนั้น หาบมิได เปนปจจัยแกกันก็จริงแล แตทวาหารูวาเปนปจจัยแกกันไม พระโยคาพจรมนสิการกําหนดนี้แล ไดชื่อวามนสิการโดยอสัมนาหาร จัดเปนมนสิการ อาการเปนคํารบ ๑๒ และมนสิการอาการเปนคํารบ ๑๓ คือ ปจจัยวิภาคนั้น เปนการใด อธิบายวา ที่ มนสิการกําหนดวากุศาลกุศลกรรมเปนชนกปจจัยและอัตถิปจจัย อวิคตปจจัยแกธาตุในสมุฏฐานทั้ง ๓ เตโชธาตุเปนปจจัยแกธาตุแตบรรดาที่เปนอุตุสมุฏฐาน เปนอัตถิปจจัยและอวิคตปจจัยแกธาตุใน สมุฏฐานทั้ง ๓ เปนอาหารสมุฏฐานแกธาตุที่เปนอาหารสมุฏฐาน เปนอาหารปจจัยและอวิคตปจจัยแก
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 113 ธาตุในสมุฏฐาน พระโยคาพจรกําหนดดังนี้แล ไดชื่อวากําหนดโดยปจจัยวิภาคจัดเปนมนสิการอาการ เปนคํารบ ๑๓ พระโยคาพจรกุลบุตรผูจําเริญจตุธาตุววัตถาน เมื่อพิจารณาธาตุทั้ง ๔ โดยมนสิการแตละ อัน ๆ โดยนัยดังพรรณนามานี้ ธาตุทั้งหลายก็จะปรากฏแจง เมื่อธาตุปรากฏแลวกระทํามนสิการไป เนือง ๆ ก็สําเร็จอุปจารสมาธิ พระกัมมัฏฐานอันนี้ไดนามบัญญัติวาชื่อวาจตุธาตุววัตถาน เพราะเหตุวา บังเกิดดวยอานุภาพแหงปญญาที่กําหนดธาตุทั้ง ๔ พระโยคาพจรกุลบุตรผูประกอบซึ่งจตุธาตุววัต ถานนี้ ยอมมีจิตอันหยั่งลงสูสุญญตารมณ เห็นวารางกายมีสภาวะสูญเปลา แลวก็เพิกเสียไดซึ่งสัตต สัญญา คือสําคัญวาสัตว เมื่อเพิกสัตตสัญญาเสียไดแลวก็อาจจะอดกลั้นซึ่งภัยอันพิลึก อันเกิดแต เนื้อรายและผีเสื้อเปนอาทิ แลวก็ปราศจากโสมนัสและโสมนัสในอิฏฐารมณ จะประกอบดวยปญญา เปนอันมาก อาจจะสําเร็จแกพระนิพพานเปนที่สุด แมยังมิสําเร็จแกพระนิพพาน ก็จะมีสุคติเปนเบื้อง หนา นักปราชญผูมีปญญาพึงอุตสาหะเสพซึ่งจตุธาตุววัตถาน อันมีอานุภาพเปนอันมากดังพรรณนามา ฉะนี้ ฯ วินจิฉัยในจตุธาตุววัตถานยุติแตเพียงเทานี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 114 -
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 2 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-1-
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-2-
ปญญาคนิเทศ วิปสสนากัมมัฏฐาน
“ อิทานิ ยสฺมา เอวํ อภิฺญาวเสน อธิคตานิสํสาย ถิรตาย สมาธิภาวนาย สมนฺนาค เตน ภิกฺขุนา สีเล ปติฏาย นโร สปฺโญ จิตฺตํ ปฺญฺจ ภายนฺติ เอตฺถ จิตฺตสีเสน นิทฺทฏ ิ โ สพฺพกาเรน ภาวิโต โหติ ฯลฯ ” บัดนี้จะวินิจฉัยในวิปสสนากัมมัฏฐานสืบตอไป พระบาลีนี้ เปนคําแหงพระพุทธโฆษาจารยผูตกแตงคัมภีรพระวิสุทธิมรรค สําแดงไวใน เบื้องตนแหงปญญานิเทศวาดวยสมาธิสมเด็จพระพูทธองคตรัสเทศนาดวยจิตเปนประธานในบาทพระ คาถาวา ” สีเล ปติฏาย นโร สปฺโญ จิตฺตํ ปฺญฺจ ภาวยํ” นั้น เมื่อพระโยคาพจรภิกษุผู เห็นภัยในวัฏฏสงสาร จําเริญพระกัมมัฏฐานโดยวิธีที่สําแดงแลวในสมาธินิเทศ ไดสําเร็จกิจแหงพระ กัมมัฏฐานมีสันดานกอปรดวยสมาธิภาวนาอันตั้งมั่นโดยพิสดารพิเศษ ไดสําเร็จอานิสงสคือโลกีย อภิญญา ๕ ประการ มีอิทธิญาณเปนตน ชํานิชํานาญในวิธีแหงอภิญญาสิ้นเสร็จแลวกาลใด พระ โยคาพจรภิกษุนั้นก็ไดชื่อวาจําเริญพระสมาธิภาวนาสําเร็จเสร็จสรรพดวยอาการทั้งปวงในกาลนั้น ครั้น เสร็จในสมาธิภาวนาแลว ลําดับนั้นพระโยคาพจรภิกษุนั้นพึงจําเริญซึ่งปญญาสืบตอขึ้นไป เพื่อจะให ไดสําเร็จมรรคผลและพระนิพพาน และวิปสสนาปญญา ที่สมเด็จพระพุทธองคตรัสเทศนาไวในบาทพระคาถา “ สีเล ปติฏ าย นโร สปฺโญ” เปนตน ยังสังเขปยอนักยากที่กุลบุตรทั้งปวงจะลวงรูเห็นได แตเพียงจะใหหยั่งรู สิยังยากแลว ก็จะกลาวไปไยถึงที่จะจําเริญวิปสสนานั้นเลา ดังฤๅกุลบุตรทั้งปวงจักจําเริญได เหตุ ดังนั้น ขาพระองคผูชื่อวาพุทธโฆษาจารยจักสําแดงซึ่งวิปสสนาปญญานั้นโดยนัยพิสดารในกาลบัดนี้ พระพุทธโฆษาจารยกลาวคําปฏิญญาฉะนี้แลว จึงตั้งเปนปุจฉาปญหากรรมไวในเบื้องตน วา สิ่งดังฤๅไดชื่อวาปญญา ซึ่งเรียกปญญานั้น ดวยอรรถาธิบายเปนดังฤๅ ลักษณะแลกิจแลผลสันนการณแหงปญญานั้นเปนดังฤๅ ปญญานั้นเปนประการเทาดังฤๅ จักจําเริญปญญานั้นควรจักจําเริญโดยพิธีดังฤๅ สิ่งดังฤๅเปนอานิสงสแหงปญญาภาวนา พระพุทธโฆษจารย ตั้งปุจฉาปญหากรรมไวในเบื้องตนดวยประฉะนี้แลว จึงกลาวคําวิสัชนา แกคําปุจฉาสืบตอออกไป ในขอปฐมปุจฉาที่ถามวา สิ่งดังฤๅชื่อวาปญญานั้น วิสัชนาวาปญญานี้มีอาการเปนอันมาก มีอยางตาง ๆ มิใชนอย มิใชอยางเดียว สภาวะฉลาดในศิลปศาสตรวิชาชางตาง ๆ ฉลาดในไตรเภทตาง ๆ เปนตนวา เปนแพทย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-3ทายชาตา ทายนรลักษณ ทายจันทคาหะ สุริยคาหะ เปนแพทยรักษาโรคพยาธิรูนวดรูยา ฉลาดใน สรรพวิชาแตบรรดามีในโลกนี้แตแลวลวนดวยปญญาสิ้นทั้งปวง โดยกําหนดเปนที่สุด แตกิริยาที่ฉลาดในการไรการนาการคาขายขวนขวายใหเกิดทรัพย สมบัตินั้น แตลวนแลวดวยปญญาสิ้นทั้งปวง อันจะปรารภประเภทแหงปญญาทั้งปวงใหสิ้นเชิงแลว และจะวิสัชนาจําแนกแจกออกซึ่ง ประเภทปญญาตาง ๆ นั้น อรรถาธิบายจะฟุงซานฟนเฝอเสียเปลา จะไมสําเร็จประโยชนที่ตองประสงค เหตุใดเหตุดังนั้น ขาพระองคผูชื่อวาพุทธโฆษาจารยจะเลือกเอาแตปญญาที่ตองประสงสนั้น มา สําแดงเปนขอวิสัชนาในภาวนาวิธีที่ขาพระองคประสงคจะสําแดงบัดนี้ ในขอปฐมปุจฉาที่ถามวา สิ่งดังฤๅชื่อวาปญญานั้น นักปราชญพึงสันนิษฐานวา วิปสสนา ญาณที่สัมปยุตประกอบดวยกุศลจิตพิจารณาไตรลักษณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นแล ไดชื่อวา ปญญา ในขอทุติยปุจฉาที่ถามวา ธรรมชาติที่ชื่อวาปญญา ดวยอรรถาธิบายเปนดังฤๅนั้น วิสัชนา วา “ ปชานนตฺเถน ปฺญา” ธรรมชาติซึ่งไดนามบัญญติชื่อวาปญญานั้น ดวยอรรถวาใหรู โดยประการ อธิบายวา กิริยาที่รูชอบ รูดี รูพิเศษ โดยอาการตาง ๆ นั้นไดชื่อวารูโดยประการ ถาจะวาดวยธรรมชาติอันมีกิริยาใหรูนั้น มี ๓ คือสัญญา ๑ วิญญาณ ๑ ปญญา ๑ ทั้ง ๓ ประการนี้ มีกิริยาใหรูอารมณเหมือนกัน แตสัญญากับวิญญาณ ๒ ประการนี้ ไมรูพิเศษเหมือนปญญา สัญญานั้นใหรูแตวาสิ่งนี้เขียว นี้ขาว นี้แดง นี้ดํา เพียงเทานั้น อันจะใหรูถึงไตรพิธลักษณะ คือ อนิจัง ทุกขัง อนัตตานั้น สัญญารูไปไมถึง ฝายวิญญาณนั้น ใหรูจักเขียวแลขาวแลดํา ใหรูตลอดถึงไตรธลักษณะ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาดวย แตวามิอาจจะเกื้อหนุนใหดําเนินขึ้นถึงอริยมรรคอริยผลได สวนปญญานั้นใหรูพิเศษให รูจักขาวเขียวแดงดํา ใหรูจักไตรธิลักษณะทั้ง ๓ แลวเกื้อหนุนใหดําเนินขึ้นถึงอริยมรรคอริยผล ใหสิ้น ทุกขสิ้นภัยในวัฏฏสงสารได แทจริง ธรรมทั้ง ๓ ประการ คือ สัญญาแลวิญญาณกับปญญานี้เปรียบเหมือนชน ๓ จําพวกคือ ทารกนอย ๆ ๑ บุรุษชาวบานที่เปนผูใหญ ๑ ชางเงินจําพวก ๑ ชน ๓ จําพวกนี้รูจัก กหาปณะแลรูปมาสกไมเหมือนกัน ทารกนอย ๆ นั้น ไดเห็นกหาปณะแลรูปมาสก ก็รูแตวาสิ่งนี้งามวิจิตร อันนี้อันนี้อันสั้นอันนี้ เหลี่ยมแลกลม รูแตเพียงนั้นจะใดรูวาสิ่งนี้โลกสมมติวาเปนแกวเปนเครื่องอุปโภคบริโภคแหงมนุษย ทั้งปวง จะไดรูฉะนี้หามิได ฝายบุรุษชาวบานที่เปนผูใหญนั้น รูวางามวิจิตรรูวายาวสั้นเหลี่ยมกลม แลรู แจงวาสิ่งนี้โลกทั้งหลายสมมติวาเปนแกว เปนเครื่องอุปโภคบริโภคแหงมนุษยทั้งปวง รูแตเทานี้จะรู วากหาปณะอยางนี้ เนื้อสุก เนื้อบริสุทธิ์ไมแปดปน อยางนี้เปนทองแดง ธรรมเนียมอยางนี้เนื้อเงินกึง ทองแดงกึ่งจะไดรูฉะนี้หามิได “ เหรฺญญิโก ” สวนชางเงินนั้นรูตลอดไปสิ้นเสร็จทั้งปวง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-4“ โอโลเกตฺวา ชานาติ” บางคาบแตพอแลเห็นก็รูวา กหาปณะชาตินี้กระทําในนิคมแล คามเขตชื่อโนน ๆ กระทําในนครแลชนบทชื่อโนน ๆ ทําแทบภูเขาแลฝงแมน้ําโนน ๆ อาจารยชื่อนั้น ๆ กระทํา นายชางเงินรูตลอดไปฉะนี้ ดวยกิริยาที่ไดเห็นรูปพรรณสัณฐานกหาปณะ บางคาบนั้นไดยินแต เสียงกาหาปณะกระทบ ก็รูวากหปณะชาตินี้ทําที่นั้น ๆ ผูนั้น ๆ ทําบางคาบไดดมแตกลิ่นหรือไดลิ้มแต รสก็รู ไดหยิบขึ้นชั่งดวยมือก็รู นายชางเงินรูจักกหาปณะพิเศษกวาทารกนอย และบุรุษชาวบานผูเขลา ฉันใด ปญญานี้ก็รูพิเศษกวาสัญญาแลวิญญาณมีอุปไมยดังนั้น นักปราชญพึงสัญนิษฐานวา นามบัญญัติชื่อวาปญญา ๆ นั้นดวยอรรถวารูชอบรูพิเศษ โดย การตาง ๆ ดังนี้ ในขอตติยปุจฉาที่ถามวา ดังฤๅนั้น วิสัชนาวา
ลักษณะแลกิจแลผลอาสันนการณเหตุใกลแหงปญญาเปน
"ธมฺมสภาวปฏิเวธลกฺขณา” ปญญาที่มีลักษณะใหตรัสรูซึ่งสภาวะปกติแหงรูปธรรมทั้ง ปวง อธิบายวาอาการไมเที่ยงไมแทกอปรดวยทุกข ที่ไมเปนแกสารใชตนใชของตน นี่แลเปน สภาวะปกติแหงรูปธรรมแลนามธรรม ขึ้นชื่อวาเกิดมาเปนรูปธรรมนามธรรมแลว ก็มีแตไมเที่ยงเปน ทุกขปราศจากแกนสารนั้น เปนปกติธรรมธรรมดา เมื่อนามแลรูปเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู โดยสถาวะปกติดังนี้ วิสัสนาปญญานั้นใหรูวิปริตคือจะใหรูวาเที่ยงเปนสุขเปนแกนสาร เปนตนเปนของ ตนนั้นหาบมิได วิปสสนาปญญานั้นใหรูชัดใหเห็นแจมแจงวา รูปธรรมนามธรรมนี้เปนอนิจจังไมเที่ยง ไมแทโดยปกติธรรมดา กอปรดวยทุกขตาง ๆ โดยปกติธรรมดา เปนอนุตตาใชตัวตน ใชของแหงตน โดยปกติธรรมดา เพราะวิปสสนาปญญานั้นรูแจงรูชัดฉะนี้ จึงวิปสสนาวา กิริยาที่ใหตรัสรูซึ่งสภาวะ ปกติเห็นรูปธรรมนี้แลเปนลักษณะแหงวิปสสนาปญญา “ ธมฺมานํ สภาวปฏิจฺฉาทกโมหนฺธการวิทฺธํสนรสา” ถาจะวาโดยจิตวิปสสนาปญญา นั้น มีกิจอันขจัดเสียซึ่งมืดคือโมหะ อันปกปดไวซึ่งสภาวะปกติแหงรูปธรรมทั้งปวง อธิบายวา สัตวทั้งหลายแตบรรดาที่เห็นผิด เห็นวาสัตวเที่ยงโลกเที่ยงเห็นวามีความผาสุก สนุกสบาย เห็นวาเปนตนเปนของแหงตนนั้น อาศัยแกโมหะปดปองกําบัง เมื่อโมหะบังเกิดกลาอกุศล มูลดองอยูในสันดานแลวก็จะเห็นวิปริต ที่ผิดก็กลับเห็นวาชอบ ที่ชั่วจะกลับเห็นวาดี นามรูปที่ไมเที่ยง นั้น ที่กอปรดวยทุกขนั้น จะกลับเห็นวาเปนแกนสาร ที่ใชตัวใชตนนั้น จะกลับเห็นวาเปนตัวตน เพราะ เหตุโมหะปกคลุมหุมหอจิตสันดาน โมหะอันทําใหมืดมนอนธการเห็นปานฉะนี้ จะขจัดไปไดนั้นอาศัย แกวิปสสนาปญญา ๆ บังเกิดแลวกาลใด ก็ใหสําเร็จกิจขจัดมืดคือโมหะไดในกาลนั้น “ อสมฺโมหปจฺจุปฺปฏานา ”
ถาจะวาโดยผลนั้น วิปสสนาปญญามีกิริยาใหสําเร็จกิจคือ
มิใหหลง อธิบายวา เมื่อวิปสสนาปญญาบังเกิดกลาเรี่ยวแรงอยูแลว จิตสันดานแหงพระโยคาพจร ก็ จะปราศจากความหลง จะหนักแนนแมนยําอยูในกิริยาที่รูชัดรูแจงวา นามแลรูปเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มิไดกลับหลัง “ สมาธิ ตสฺสา ปทฏานํ ” ถาจะวาโดยอาสันนการณ คือเหตุที่ใกลเปนอุบัติเหตุให วิปสสนาปญญาบังเกิดนั้นมิใชอื่นไกล ไดแกสมาธิ สมาธินี่แลเปนเหตุอันใกล สมาธิบังเกิดกอนแลว วิปสสนาปญญาจึงบังเกิดเมื่อภายหลัง คําวาสมาธิเปนอาสันนการณเหตุใกลใหเกิดวิปสสนาปญญานั้น สมควรแกพระบาลีวา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-5“ สมาหิโต ยถาภูตํ ชานาติ ปสฺสติ ” พระโยคาพจรจะเห็นแทรูแนนั้น อาศัยที่มีจิต สันดานอันตั้งมั่นเปนสมาธิแลวกาลใด ก็จะไดวิปสสนาปญญาอันเห็นแทรูแนในกาลนั้น สําแดงลักษณะแลกิจแลอาสันนเหตุแหงวิปสสนาปญญา แกขอปุจฉาเปนคํารบ ๓ ดวย ประการฉะนี้แลว จึงกลาวคําวิสัชนาแกขอปุจฉาเปนคํารบ ๔ สืบตอไป ขอซึ่งถามวาปญญามีประการเทาดังฤๅนั้น วิสัชนาวาวิปสสนานั้นถาจะวาโดยสังเขปมี ประการอันหนึ่ง ดวยสมารถลักษณะที่ใหรูชัดรูแจงซึ่งสภาวะปกติแหงรูปธรรมนามธรรมเปนอนิจจังทุก ขังอนัตตา โดยปกติธรรมดานั้น ถาจะวาโดยประเภทวิปสสนาปญญานั้น ตางออกโดยทุกกะ ๕ ติกกะ ๔ จตุกกะ ๒ ทุกกะ ๕ นั้น ในปฐมทุกกะ จําแนกออกซึ่งปญญา ๒ ประการ คือ โลกิยปญญา ๑ โลกุตตร ปญญา ๑ โลกิยปญญานั้น ไดแกปญญาอันสัมปยุตดวยโลกิยมรรถ อธิบายวา ปญญาอันประกอบในวิสุทธิ ๔ ประการ มีทิฏฐวิสุทธิเปนตน มีปฏิปทาญาณทัส สนวิสุทธิเปนปริโยสาน นั้นแลไดชื่อวาปญญาอันสัมปยุตดวยโลกิยมรรค จัดเปน โลกิยปญญาในที่อัน นี้ แลโลกุตตรปญญานั้น ไดแกปญญาอันสัมปยุตดวยโลกุตตรมรรถทั้ง ๔ ประการ มีโสดา ปตติมรรคเปนตน มีอรหัตตมรรคเปนปริโยสาน ในทุติยทุกกะนั้น จําแนกออกซึ่งปญญา ๒ ประการ คือ อสวปญญา ๑ อนาสวปญญา ๑ อสวปญญานั้น ไดแกปญญาอันบังเกิดเปนอารมณแหงอาสวะ อนาสวปญญานั้น ไดแกปญญาอันมิไดบังเกิดเปนอารมณแหงอาสวะ อธิบายวา ปญญาอันเปนโลกิยะนั้นแลเปนอารมณแหงอาสวะ ปญญาอันเปนโลกุตตระนั้น จะไดเปนอารมณแหงอาสวะมิได ในตติยทุกกะนั้น จําแนกออกซึ่งปญญา ๒ ประการ คือนามววัตถาปนปญญา ๑ รูปววัตถา ปนปญญา ๑ อธิบายวา ปญญาแหงพระโยคาพจร อันปรารถนาซึ่งวิปสสนาแลกําหนดหมายซึ่งนามขันธ ทั้ง ๔ กอง คือ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วิญญาณขันธ นั่นแลไดชื่อวานามววัตถาปน ปญญา แลปญญาแหงพระโยคาพจรที่กําหนดกฏหมายรูปขันธนั้น ไดชื่อวารูปววัตตถาปนปญญา ในจตุตถทุกกะนั้น จําแจกออกซึ่งปญญา ๒ ประการ คือโสมนัสปญญา ปญญาอัมสัมปยุต เกิดกับดับพรอมดวยโสมนัส ๑ อุเบกขาปญญา ปญญาอันสัมปยุตเกิดกับดับพรอมดวยอุเบกขา ๑ อธิบายวา ปญญาอันบังเกิดพรอมดวยกามาพจรกุศลจิต แลปญญาอันบังเกิดพรอมมัคคจิต
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-6๑๖ ดวง แตบรรดาที่ยุติในปฐมฌาน ทุติยฌานฝายปญญากะนั้นไดชื่อวาปญญาสัมปยุตเกิดกับดับ พรอมดวยโสมนัส แลปญญาอันบังเกิดพรอมดวยกามาดวยกามาพจรกุศลจิตทั้งปวง แลปญญาบังเกิดพรอม ดวยมัคคจิต ๔ ดวง ที่ยุติในปญญจมฌานนั้นไดชื่อวาปญญาสัมปยุตเกิดกับดับพรอมดวยอุเบกขา ในปญจมทุกกะนั้น จําแนกออกซึ่งปญญา ๒ ประการ คือปญญาประกอบในทัสสนภูมิ ๑ ปญญาประกอบในภาวนาภูมิ ๑ อธิบายวา
ปญญาที่บังเกิดพรอมดวยโสดาปตติมัคคจิตนั้นแลไดชื่อวาปญญาประกอบ
ในทัสสนภูมิ แลปญญาที่บังเกิดพรอมสกาคามิมรรค ปญญาในภาวนาภูมิ
อนาคามิมรรคอรหันตตมรรค
นั่นแลไดชื่อวา
สําแดงประเภทแหงปญญาดวยทุกกะ ๕ ดังนี้ ลําดับนั้นจึงสําแดงประเภทแหงปญญาดวย ติกกะ ๔ สืบไป ในปฐมติกกะนั้น จําแนกออกซึ่งปญญา ๓ ประการ คือ จินตามยปญญาประการหนึ่ง สุ ตามยปญญาประการหนึ่ง ภาวนามยปญญาประการหนึ่ง อธิบายวา ปญญาอันบังเกิดดวยอํานาจความคิด หาไดสดับตรับฟง ถอยคําอุปเทศแต สํานักแหงผูอื่นไมคิด ๆ ไปก็ไดปญญาเกิดขึ้นในสันดาน ปญญาเกิดขึ้นดวยความคิด สําเร็จดวย ความคิดนั้นไดชื่อวาจิตตามยปญญา แลปญญาอันบังเกิดดวยสามารถไดสดับอุปเทศแตสํานักแหงผูอื่นใหสําเร็จกิจอันควรแก ประสงค ดวยอํานาจไดสดับนั้นชื่อวาสุตมยปญญา แลปญญาอันบังเกิดดวยสามารถเจริญภาวนา ใหถึงซึ่งฌานดวยอํานาจเจริญภาวนานั้น ได ชื่อวาภาวนามยปญญา ที่วาดังนี้สมดวยพระพุทธฎีกาที่โปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาไวในพระ อภิธรรม “ ตตฺถ กตมา จินฺตามยปฺญา ฯ เป ฯ” อธิบายความในพระบาลี ที่ตั้งปุจฉาไวในเบื้องตน จินตามยปญญาที่กลาวไวในปฐมติกกะ นั้นเปนดังฤๅ จึงมีคําวิสัชนาวา การงานทั้งหลาย แตบรรดาที่ควรจะสําเร็จดวยอุบายนั้นก็ดี ศิลปศาสตร แลวิชาความรูทั้งหลาย แตบรรดาที่ควรจะใหสําเร็จดวยอุบายนั้นก็ดี ถาบุคคลมิไดสดับฟงซึ่งอุปเทศ แตสํานักแหงผูอื่นเลย แลคิดไดดวยกําลังปญญาแหงตนรูวาการสิ่งนี้ ๆ ควรจะกระทําอยางนี้ศิลป ศาสตรสิ่งนี้ ๆ วิชาสิ่งนี้ ๆ สําเร็จดวยพิธีดังนี้ ๆ แลกิริยาที่คิดไดนั้น คิดไดดวยปญญาดวงใด ปญญา ดวงนั้นแลไดชื่อวาจินตามยปญญา ใชแตเทานั้น โลกยอมมีกรรมเปนของ กระทําดีก็จะดีอยูแกตน เมื่อมิไดสดับตรัสฟงเลย ปญญา
บุคคลที่ไมไดสดับฟงแตสํานักแหงผูอื่นเลย แลคิดไดเองวาสัตวทั้งหลายใน ๆ ตนกระทําดีก็ดีไดดี กระทําชั่วก็ไดชั่ว กระทําไวอยางไรก็จะไดอยางนั้น กระทําชั่วก็จะชั่วอยูแกตน สัตวทั้งหลายมีกรรมเปนของแหงตนสิ้นดวยกัน แลคิดไดเองดังนี้ดวยกําลังปญญาดวงใด ปญญาดวงนั้นไดชื่อวาจินตามย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-7แลสุตมยปญญานั้นเปนดังฤๅ วิสัชนาวา การงานทั้งปวงที่สําเร็จดวยอุบายนั้น ๆ ก็ดี การพิจารณาเห็นวาสัตวมีกรรมเปน ของแหงตนก็ดีเปนตน ตอไดสดับอุปเทศและคําแนะนําหรือสดับธรรมเทศนากอน จึงเกิดปญญาได ปญญาดวงนี้ชื่อวาสุตมยปญญา แลภาวนานามยปญญานั้นเปนดังฤๅ วิสัชนาวาปญญาแหงพระโยคาพจรที่บังเกิดขึ้น ในขันธสันดานในกาลเมื่อยับยั้งอยูในฌาน สมาบัตินั้น ไดชื่อวาภาวนามยปญญา ในทุติยติกกะนั้นสําแดงปญญา ๓ ประการ คือ ปริตตารัมมณปญญา ๑ มหัคคตารัมมณ ปญญา ๑ อัปปมาณารัมมณปญญา ๑ ปญญาที่ปรารภรําพึงซึ่งธรรมทั้งหลายแตบรรดาที่เปนรูปาวจรธรรม แลอรูปวจรธรรมนั้น ยึด หนวงเอาเปนอารมณแลวแลฟระพฤติเปนไปในสันดานนั้น ไดชื่อวาปริตตรัมมณ แลมหัคคตารัมมณ ปญญา เปนใจความวา ปริตตารัมมณปญญาแลมหัคคตารัมมณปญญาทั้งสองนี้ วิปสสนาสิ้นเสร็จทั้งปวง แตบรรดาที่บังเกิดในสันดานแหงพระโยคาพจรที่เปนปุถุชน
ไดแกโลกีย
สวนอัปปมาณารัมมณปญญานั้น ไดแกปญญาอันปรารภรําพึงเอาพระนิพพานเปนอารมณ แลวประพฤติเปนไปในสันดาน ไดแกโลกุตรวิปสสนาที่มีในสันดานของพระเสขบุคคลทั้งปวง ในตติยติกกะนั้น สําแดงปญญา ๓ ประการ คือ อายโกศลปญญา ๑ อปายโกศลปญญา ๑ อุปายโกศลปญญา ๑ ปญญาอันใดในความเจริญ ปญญาอันนั้นไดชื่อวาอายโกศลปญญา อายะนั้น แปลวาความเจริญ ลักษณะแหงความเจริญนั้นมี ๒ ประการ คือ “อนตฺถหานิโต”
ความเจริญบังเกิดแลวขจัดเสียซึ่งความพินาศยังอัปมงคลใหเสื่อมสูญ
ประการ ๑ “ อตฺถุปฺปตฺติโต” ความจําเริญอันเกิดภายหลัง ใหกําลังแกความจําเริญที่เกิดกอน ยังสิริ สวัสดิมงคลที่เกิดแลว ใหภิยโยภาพวัฒนาประการ ๑ อธิบายนี้ สมดวยพระพุทธฎีกา ที่สมเด็จพระพุทธองคเจาตรัสเทศนาไววา “ ตตฺถ กตมํ อายโกสลฺลํ อิเม ธมฺเม มนสิกโรโต อนุปฺแนฺนา เจว อกุสลา ธมฺมา น อุปฺปชฺชนฺติ ฯเปฯ อยํ วุจฺจติ อายโกสลฺล”ํ เนื้อความวาบรรดาธรรมทั้งหลายที่เราตถาคตเทศนาไวในปญญานิเทศนั้น สิ่งดังฤๅไดชื่อ วาอายโกศล ตรัสปุจฉาฉะนี้แลวจึงตรัสวิสัชนาวาปญญาที่บังเกิดในสันดานแหงพระโยคาพจร ยังพระ โยคาพจรใหเห็นแจงรูมิไดลุมหลง ใหพิจารณาเห็นชัดเห็นชอบ ใหเห็นเปนอันดี อาตมากระทํา มนสิการภาวนาซึ่งธรรมสิ่งนี้ ๆ ไวในสันดาน อกุศลธรรมทั้งหลายแตบรรดาที่ยังมิไดบังเกิดนั้น อาตมา ก็สละเสียไดใหปราศจากขันธสันดาน เมื่ออาตมากระทํามนสิการภาวนาซึ่งธรรมสิ่งนี้ ๆ กุศลธรรม
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-8ทั้งหลายแตบรรดาที่ยังมิไดบังเกิดนั้น ก็บังเกิดขึ้นในสันดาน ที่บังเกิดแลวนั้น ก็วัฒนาภิยโยภาพ ไพบูลยเปนอันดีปญญาฉลาดเห็นแจงรูแจงไมลุมหลงเห็นชัดเห็นชอบเห็นเปนอันดีอยางนี้แหละพระ ตถาคตตรัสเรียกชื่อวาอายโกศล เปนใจความวา ปญญาที่ฉลาดในมนสิการภาวนาซึ่งธรรมอันเปนปจจัย จําเริญนั้นแลไดชื่อวา อายโกศลปญญา
ใหบังเกิดความ
แลอปายโกศลปญญานั้นเปนดังฤๅ อธิบายวา ปญญาอันฉลาดในที่พิจารณา เปนเคามูลแหงฉิบหายนั้น แลไดชื่อวา อปาย โกศลปญญา อปายะ ๆ นั้น แปลวาความฉิบหาย ลักษณะแหงความฉิบหายนั้นมีสองประการ คือ “อตฺถหานิโต” ความฉิบหายบังเกิดแลว ยังความเจริญใหเสื่อมสูญ ๑ “อตฺถุปฺปตฺติโต” ความฉิบหายบังเกิดภายหลัง ใหกําลังแกความฉิบหายที่บังเกิดกอน ยังความฉิบหายที่บังเกิดอยูแลวนอย ๆ นั้นใหภิยโยภาพ ๑ อธิบายฉะนี้ สมเด็จพระพุทธฎีกา ที่สมเด็จพระพุทธองคเจาตรัสเทศนาวา “ตตฺถ กตมํ อปายโกสลฺลํ อิเม ธมฺเม มนสิกโรโต อนุปฺปนฺนา เจว กุสลา ธมฺมา น อุปฺปชฺชนฺติ” เปนตน อธิบายวาธรรมทั้งหลาย แตบรรดาที่พระตถาคตตรัสเทศนาในปญญานิเทศนั้น สิ่งดังฤๅได ชื่อวา อปายโกศล ๆ นั้นจะไดแกสิ่งดังฤๅ ตรัสปุจฉาฉะนี้แลว จึงตรัสวิสัชนาวา ปญญาที่บังเกิดในสันดานแหงพระโยคาพจร ยังพระ โยคาพจรใหเปนแจงรูแจงมิไดลืมหลงฟนเฟอนใหพิจารณาเห็นชัดเห็นชอบ ใหเห็นเปนอันดีวาอาตมา กระทํามนสิการซึ่งธรรมสิ่งนี้ ๆ ไวในสันดาน กุศลธรรมทั้งหลายแตบรรดาที่ยังมิไดบังเกิดไมบังเกิดขึ้น เลย ที่บังเกิดแลวนั้นก็เสื่อมสูญอันตรธานไปจากสันดานมิไดวัฒนาการจําเริญอยูเปนอันดี ปญญาที่ ฉลาดรูชัดรูชอบรูจักแทซึ่งปจจนิกธรรมอันเปนปจจัยใหบังเกิดความฉิบหายอยางนี้ พระตถาคตตรัส เรียกชื่อวาอปายโกศลปญญา แลอุปายโกศลปญญานั้นเปนดังฤๅ อธิบายวา ปญญาอันมีสภาวะใหฉลาด บังเกิดสมควรแกเหตุประพฤติเปนไปในขณะเมื่อมี เหตุ กระทําใหสําเร็จอุบายตาง ๆ แตบรรดาที่เปนอุบาย ใหเกิดความสุขแลประโยชนตน ประโยชน ผูอื่นไดชื่อวาอุปายโกศลปญญา ในจตุตถติกะนั้น ก็สําแดงปญญา ๓ ประการ คือ อัชฌัตตาภินิเวสปญญา ๑ พหิหธาภินิเวส ปญญา ๑ อัชฌัตตพหิทธาภินิเวสปญญา ๑ ปญญาอันกําหนดหมายซึ่งขันธปญจกแหงตน ถือเอาเปนขันธปญจกภายในกายแหงตน เปนอารมณแลว แลปรารภพึงพิจารณาใหเห็นเปนอนิจจังทุกขังอนัตตานั้น ไดชื่อวาอัชฌัตตาภินิเวส ปญญา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
-9แลปญญาอันกําหนดหมายซึ่งขันธปญจกนอกคือ ถือเอาขันธปญจกแหงผูอื่นเปนอารมณ แลว แลปรารภรําพึงพิจารณาใหเห็นเปนอนิจจังทุกขังอนัตตานั้นก็ดี ถือเอารูปอันเปนภายนอกที่มิได เนื่องดวยชีวิตินทรียนั้นเปนอารมณแลว แลปรารภรําพึงพิจาณาใหเห็นเปนอนิจจังทุกขังอนัตตานั้นก็ดี ปญญาอยางนี้แลไดชื่อวา พหิทธาภินิเวสปญญา แลปญญาที่ถือเอาขันธปญจก ทั้งภายในแลภายนอกเปนอารมณแลว พิจารณาใหเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น ไดช่อ ื วาอัชฌัตตพหิทธาภินิเวสปญญา
แลปรารภรําพึง
พระผูเปนพระพุทธโฆษาจารย เมื่อสําแดงประเภทแหงปญญาดวยติกกะทั้ง วิสัชนามาฉะนี้ ลําดับนั้นจึงสําแดงประเภทแหงปญญาดวยจตุกกะทั้งสองสืบตอไป
๔
มีนัยดัง
ในปฐมจตุกกะนั้น สําแดงปญญา ๔ ประการ คือ ทุกขสัจจญาณ ๑ ทุกขสมุทยญาณ ๑ ทุกขนิโรธญาณ ๑ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณ ๑ ปญญาอันปรารภรําพึงเอาทุกขสัจจเปนอารมณแลว แลประพฤติเปนไปในสันดานนั้น ไดชื่อ วาทุกขสัจจญาณ ปญญาที่ปรารภพึงเอาตัญหาอันเปนที่กอใหเกิดทุกขนั้นเปนอารมณแลว เปนไปในสันดานนั้น ไดชื่อวาทุกขสมุทยญาณ
แลประพฤติ
ปญญาที่ปรารภรําพึงเอาพระนฤพานเปนอารมณ แลวแลประพฤติเปนไปในสันดานนั้น ได ชื่อวาทุกขนิโรธญาณ ปญญาที่ปรารภรําพึงเอาขอปฏิบัติ อันจะใหถึงซึ่งพระนิพพานเปนที่ดับทุกขนั้นเปนอารมณ แลว แลประฟฤติเปนไปในสันดานนั้น ชื่อวาทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณ ในทุติยจตุกกะนั้นสําแดงปญญา ๔ ประการ คือ อัตถปฎิสัมภิทาญาณ ๑ ธัมมปฏิสัมภิทา ญาณ ๑ นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ปฏิภาน ปฏิสัมภิทาญาณ ๑ อธิบายในปญญา ๔ ประการนี้ สมเด็จพระ พุทธองคโปรดประทานพระธรรมเทศนาไววา “อตฺเถ ญาณํ” ปญญาที่เห็นแจงรูแจงในอรรถ แตกฉานในอรรถขึ้นใจขึ้นปากในอรรถนั้น ไดชื่อวา อัตถปฏิสัมภิทาญาณ ในบทวา อัตถ ๆ นั้นเปนชื่อแหงผล ปญญาที่เห็นแจงรูแจงวาผลสิ่งนั้น ๆ จะบังเกิดมีนั้น อาศัยแกเหตุสิ่งนี้ ๆ เมื่อเหตุมีชื่อดังนี้ ๆ บังเกิดมีแลว ผลมีชื่อดังนี้ ๆ จึงจะบังเกิดมี ปญญากลาหาญ แตกฉานในสรรพผลทั้งปวง รูชํานิชํานาญขึ้นใจขึ้นปากในสรรพผลทั้งปวงนี้แลไดชื่อวา อัตถ ปฏิสัมภิทาญาณ แลปญญาเห็นแจงรูแจงในเหตุวาสิ่ง ๆ ใหบังเกิดผลสิ่งนี้ ๆ ปญญากลาหาญแตกฉานใน สรรพเหตุทั้งปวง รูชํานิชานาญขึ้นปากในสรรพเหตุทั้งปวงนั้นไดชื่อวา ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ ถาจะแสดงโดยประเภทนั้น ในบทวา อัตถ ๆ นั้นไดแกธรรม ๔ ประการ คือ “ยํ กิฺจิ ปจฺจยสมฺภูตํ” สรรพผลทั้งปวงแตบรรดาที่บังเกิดแตเหตุทีมีทุกขสัจจเปนตนนั้น ๑ “นิพฺพานํ นฤพานธรรม ๑ “ ภาสิตตฺโถ” อรรถกถาแตบรรดามีในพระไตรปฎก ๑ “ วิปา โก” วิปากจิต ๑ “ กิริยา” กิริยาจิต ๑ เปน ๕ กองดวยกันไดนามชื่อวาอัตถสิ้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 10 “ตํ อตฺถํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส” เมื่อพระอริยบุคคล พิจารณาซึ่งอรรถ คือ ธรรม ๔ กองนี้แล ปญญากลาหาญแตกฉานในพระธรรม ๕ กองนี้ ไมขัดไมของแลวกาลใด ปญญานั้นก็ไดชื่อวาอัตถ ปฏิสัมภิทาญาณในกาลนั้น กอง คือ
แลธัมมปฏิสัมภิทาญานนั้นเลา
ถาจะสําแดงโดยประเภทในบทวาธัมมะ ๆ ก็ไดแกธรรม ๕
“ โย โกจิ ผลนิพฺพตฺตโก เหตุ” เหตุสรรพทั้งปวงแตบรรดาที่ใหบังเกิดผลมีตนวาสมุทัย สัจจ ๑ “ อริยมคฺโค” อริยมรรคนั้น ๑ “ ภาสิต” พระบาลีทั้งปวงแตบรรดาที่มีในพระไตรปฏกนี้ ๑ “ อกุสสํ” กุศลจิต ๑ “ กุสลํ” อกุศลจิต ๑ รวมเปน ๕ กองดวยกันไดชื่อวาธัมมะทั้งสิ้น “ ตํ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส” เมื่อพระอริยบุคคลพิจารณาซึ่งธรรมทั้ง ๕ นี้ แลปญญากลา หาญแตกฉานในธัมมะ ๕ กองนี้ ไมขัดไมของแลวในกาลใด ปญญานั้นไดชื่อวาธัมมปฏิสัมภิทาญาน ในกาลนั้น นักปราชญพึงรูอรรถาธิบายตามนัยพระอรรถกถาจารย จําแนกออกไวในพระอภิธรรมกถา โดยนัยเปนตนวา “ทุกฺเข ญาณํ” ปญญาที่แตกฉานเห็นแจงรูแจงในกองทุกขมีชาติทุกขเปนตน ไดชื่อ วาอัตถปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในผลเพราะเหตุวากองทุกขทั้ง ๑๒ กอง มีชาติทุกขเปนตนนั้นเปน ผลแหงตัณหา ตัณหาเปนเหตุใหบังเกิด ปญญาที่แตกฉานรูแจงเห็นในตัณหา อันมีประเภท ๑๐๘ ประการนั้น ไดชื่อวาธัมม ปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในเหตุ เพราะเหตุวาตัณหานั้นเปนมูลเหตุใหบังเกิดผล คือกองทุกขสิ้นทั้ง ปวง “ชรามรเณ ญาณํ” อนึ่ง ปญญาที่แตกฉานรูแจงเห็นแจงในชราแลมรณะนั้นไดชื่อ วาอัตถปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในผลเพราะเหตุวาชรามรณะนั้น เปนผลแหงตัณหาบังเกิดแตเหตุ คือ ตัณหา แลปญญาแตกฉานเห็นแจงรูแจงในตัณหา อันเปนเหตุใหเกิดชรา แลมรณะนั้น ไดชื่อ วาธัมมปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในเหตุเพราะวาตัญหาเปนมูลเหตุใหบังเกิดผลคือ ชราแลมรณะนั้น “ทุกฺขนิโรเธ ญานํ” อนึ่งปญญาที่แตกฉานเห็นแจงรูแจงในกิริยาที่ดับสูญแหงสังขาร ธรรมทั้งปวงนั้น ไดชื่อวาอัตถปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในผล เพราะวากิริยาที่ดับสูญแหงสังขารธรรม ทั้งปวงเปนผลแหงนิโรธคามินีปฏิบัติบังเกิดแตเหตุ คือนิโรธคามินีปฏิปทา แลปญญาที่แตกฉานรูแจงเห็นแจงในนิโรธคามินีปฏิปทา กลาวคือพระอัฏฐังคิกมรรคนั้น ไดชื่อวาธัมมปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในเหตุเพราะวาอัฏฐังคิกมรรคนี้ เปนมูลเหตุใหบังเกิดผลคือ กิริยาอันดับแหงสังขารธรรมทั้งปวง อนึ่ง ปญญาแตกฉานในพระบาลีที่สําแดงวังคสัตถุศาสนาทั้ง ๙ มีสุตตตะเปนอาทินั้น ได ชื่อวาธัมมปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในเหตุเพราะเหตุวานวังคสัตถุศาสนานี้เปนมูลเหตุบังเกิดผล คือ พระอรรถกถา แลปญญาที่แตกฉานในพระอรรถกถา เห็นแจงรูแจงอรรถอันนี้แกพระบาลีอันนี้ อรรถอันนี้ แกพระคัมภีรอันนี้ ปญญารูแจงฉะนี้ ไดชื่อวาอัตถปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในผล เพราะเหตุวาพระ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 11 อรรถกถานั้น เปนผลแหงนวังคสัตถุศาสนา บังเกิดแตเหตุคือนวังคสัตถุศาสนา อนึ่ง ปญญาที่แตกฉานในกุศลจิต อกุศลจิตเห็นแจงตามพระบาลี คือ “ยสฺมึ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ” เปนอาทินั้นไดชื่อวาธัมมปฏิสัมภิทา ญาณ แตกฉานในเหตุเพราะเหตุวากุศลจิตแลอกุศลจิตนั้นเปนมูลเหตุใหบังเกิดบากจิตทั้งปวง โดย ควรแกกําลังที่กลาแลออนแลปานกลางนั้น แลปญญาที่แตกฉานเห็นแจงรูแจงในวิบากแหงกุศล แลอกุศลทั้งปวงนั้น ไดชื่อวาอัตถ ปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในผล เพราะเหตุวาวิบากจิตทั้งปวงนั้นเปนผลแหงกุศลแลอกุศล บังเกิดแต เหตุคือกุศลแลอกุศล แลนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณนั้น ไดแกปญญาอันเห็นแจงรูแจงแตกฉานในวิคคหะแหงพระ บาลีที่สมเด็จพระพุทธองคตรัสเทศนาไวดวยมูลภาษา คือ ภาษามคธนั้น แตพอไดยินผูอื่นกลาวซึ่ง บาลีก็รูชัดรูสันทัดวาพระบาลีสภาวะนิรุตติ คือมีวิคคหะเปนปกติมิไดวิปริต พระบาลีบมิเปนสภาวะ นิรุตติ คือมีวิคคหะอันวิปริตบมิไดเปนปกติ รูในวิคคหะแหงพระบาลีสันทัดฉะนี้ดวยอํานาจนิรุตติ ปฏิสัมภิทาญาณ “นิรุตฺติปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต” แทจริงพระอริยบุคคลที่ถึงซึ่งนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ แตพอได ยินผูอื่นกลาวพระบาลีมีตนวา “ ผสฺโส เวทนา” ก็รูแจงวาพระบาลีเปนสภาวะนิรุตติ กลาวโดยมคธภาษาปกติ มีวิคคหะ เปนปกติ มิไดวิปริตแปรปรวน ถาไดยินผูอื่นกลาววา “ผสฺโส เวทนา” ก็รูแจงวาพระบาลีนี้วิปริตเปน บาลีหยอนวิคคหะมิไดเปนปกติ ปญญารูแจงแตกฉานในวิคคหะตลอดทั่วไปในพระไตรปฏกนี้แล ได ชื่อวานิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ แลปฏิสัมภิทาญาณนั้น ไดแกปญญาที่ยึดหนวงเอาปญญาเปนอารมณแลว แลเปนไปไม ขัดของ เหมือนอยางพระภิกษุที่เรียนพระวินัยปฎกสิ้นแลว แลพิจารณาซึ่งพระวินัยปฎกที่ตนเรียนใน ภายหลัง ไดชื่อวาปญญายึดหนวงเอาปญญาเปนอารมณแลวแลเปนไปในกาลเมื่อพิจารณา ซึ่งพระ วินัยที่ตนเรียนแลว แลเห็นรูแจงเห็นแจงไมขัดของ แตกฉานตลอดเบื้องตนแลเบื้องปลาย สมควรกัน เปนอันดีนั้นรูวาดวยปญญาอันใด ปญญาอันนั้นไดชื่อวา ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ แมถึงพระสูตรพระปรมัตถ แลสัททาวิเศษทั้งปวงนั้นก็ดี เมื่อเรียนรูเสร็จสิ้นสําเร็จแลว แล พินิจพิจารณาในภายหลังนั้นไดชื่อวาปญญายึดหนวงเอาปญญาเปนอารมณ การเมื่อพิจารณา พระสูตรพระปรมัตถ สัททาวิเศษที่เรียนแลว แลเห็นแจงชัดไมขัดของ แตกฉานตลอดเบื้องตนแลเบื้องปลาย สมกันเปนอันดีนั้น รูดวยปญญาดวงใด ปญญาดวงนั้นไดชื่อวา ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกัน นัยหนึ่งวา ปญญาที่รูในบาลีแลอรรถกถาแลบทวิเคราะหสิ้นทั้งปวงนั้น เมื่อรูโดยพิศดาร เปนตนวารูโดยกิจแลผล รูกับดวยอารมณแตกฉานสันทัด พิจารณาเห็นบาลีแลอัตถแลบทวิคคหะทั้ง ปวงนั้นตลอดกันไมมืดมัวสวางกระจางทั้งเบื้องตนแลทามกลางแลเบื้องปลาย สมควรกันเปนอันดีนี้แล ไดชื่อวาปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ “จตสฺโสป เจตา ปฏิสมฺภิทา” แลปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ นี้ ยอมถึงซึ่งแตกฉานในภูมิทั้ง ๒ คือ เสขภูมิ ๑ อเสขภูมิ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 12 อธิบายวา ปฏิสัมภิทาญาณที่แตกฉานในสันดานแหงพระอัครสาวกและพระสาวกทั้งปวง นั้น ไดชื่อวาปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในอเสขภูมิ ปฏิสัมภิทาญาณ ที่แตกฉานในสันดาน แหงพระเสขบุคคลเปนตนวา พระอานนทเถระ แล จิตคฤบดี แลธัมมิกอุบาสก แลอุบาลีคฤหบดี แลนางขุชชุตตราอุบาสิกานั้น ไดชื่อวาปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในเสขภูมิ “ปฺจหากาเรหิ วิสทา โหนฺติ” แลปฏิสัมภิทาญาณจะแกลวกลาสละสลวยนั้น อาศัยแก การประกอบดวยอาการ ๕ ประการ “อธิคเมน” คือถึงพระอรหัตต มิฉะนั้นก็ถึงซึ่งพระโสดา พระสกทาคา พระอนาคา จัดเปน อาการอัน ๑ “สวเนน” คือมีประโยชนดวยสดับตรับฟง แลวแลอุตสาหฟงพระธรรมเทศนาดวยสจจคาร วะ จัดเปนอาการ ๑ “ปริปุจฺฉาย” คือกลาววินิจฉัยพิพากษา ซึ่งอรรถอันรูยาก แลอธิบายอันรูยาก แตบรรดามี ในพระบาลีแลอรรถกถาเปนอาทินั้น จัดเปนอาการอัน ๑ “ปุพฺพโยเคน” คือในบุรพชาติแตกอน ได บําเพ็ญพระวิปสสนาในสํานักแหงพระพุทธเจา ไดจําเริญกลับไปกลับมา คือเจริญตั้งแตบุรพภาค วิปสสนาขึ้นไป ตราบเทาถึงสังขารุเปกขาญาณ อันเปนที่ใกลอนุโลมชวนะแลโคตรภูขวนะนั้น แลว เจริญถอยหลังลงมา ตราบเทาถึงบุรพภาควิปสสนานั้นเลา อยางนี้แลไดชื่อวาเจริญกลับไปกลับมา นัยหนึ่งโยคาพจรภิกษุ เจริญวิปสสนานั้นหาไดเจริญถอยลงมาไม แตทวาเมื่อเวลาจะไป บิณฑบาตนั้น ก็จําเริญตั้งแตที่อยูไปตราบเทาถึงโคจรคาม เมื่อจะกลับมาอารามก็เจริญตามตั้งแต โคจรคามตราบเทาถึงที่อยูอยางนี้ไดชื่อวา เจริญกลับไปกลับมา เปนใจความวา สภาวะไดเจริญวิปสสนาในสํานักแหงพระพุทธเจาแตกอนนั้น ไดชื่อวาบุรพ ประโยค จัดเปนอาการอัน ๑ สิริดวยกันเปนอาการ ๕ เปนปจจัยใหปฏิสัมภิทาญาณแกลวกลาสละสลวย มีคําอปราจารยคืออาจารยอื่นอีกฝายหนึ่ง กลาวไว ณ ที่นี้วาปฏิสัมภิทาปญญาจะแกลว กลาสละสลวยนั้น อาศัยแกการประกอบดวยอาการ ๘ ประการ คือ “ปุพฺพปโยโค” ไดบําเพ็ญวิปสสนากรรมฐานในสํานักแหงพระพุทธเจาแตปางกอนนั้น ๑ “พาหุสจฺจํ” สภาวะฉลาดในคัมภีรตาง ๆ แตบรรดาหาโทษมิไดแลฉลาดในศิลปศาสตร ตาง ๆ แตบรรดาที่ปราศจากโทษนั้น ๑ “เทสภาสา” สภาวะฉลาดในภาษา ๑๑ หรือฉลาดแตภาษามคธอยางเดียว ก็จัดเปนความ ฉลาดในเทศภาษาได ๑ “อาคโม” สภาวะเรียนซึ่งพระพุทธวจนะได ไมมากสักวาเรียนไดแตยมกวรรค ในคัมภีร พระธรรมบทนั้นก็จัดไดชื่อวา เรียนพระพุทธวจนะ ๑ “ปริปุจฺฉา” ไตถามซึ่งขอพิพากษา ในอารรถกถาทั้งปวง แตบรรดามีพระไตรปฎกนั้น ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 13 “อธิคโม” สภาวะซึ่งไดมรรคแลผลมีพระโสดาเปนตน มีพระอรหัตตเปนที่สุดนั้น ๑ “ครุสฺสนฺนิสฺสโย” สภาวะอยูในสํานักแหงครูที่มากไปดวยสดับตรับฟง มากดวยปญญา ปรีชาฉลาดนั้น ๑ “ตถา มิตฺตสมฺปตฺติ” สภาวะคบหากัลยามิตร อันเปนพหูสูตรกอปรดวยสติคารวะปญญา อันมากนั้น ๑ อาการทั้ง ๘ นี้ เปนเหตุเปนปจจัยที่จะใหปฏิสัมภิทาญาณ ปญญาแกลวกลาสละสลวย สิ้น คําอปราจารยแตเทานี้ “พุทธา จ ปจฺเจกพุทฺธา จ” สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา แลพระปจเจกพุทธเจาทั้งปวง นั้น ยอมถึงปฏิสัมภิทาดวยอาการ ๒ ประการ คือบุพพปโยค ไดบําเพ็ญพระวิปสสนาไวในสํานักพระพุทธเจาแตกอนนั้นประการ ๑ อธิคมะ ไดสําเร็จมรรคแลผลมีพระโสดาเปนอาทิ มีพระอรหัตตเปนปริโยสานประการ ๑ เปน ๒ ประการดวยกัน “สาวกสาวิกา” ฝายพระสาวกสาวิกาทั้งปวงนี้ ถึงซึ่งปฏิสัมภิทาดวยอาการ ๕ แลอาการ ๘ โดยนัยที่กลาวแลวแตหลัง อนึ่ง ปญญาที่ใหสําเร็จเพียรในกรรมฐานภาวนานี้ ก็นับเขาในปฏิสัมภิทาปญญานี้เอง จะได ตางออกไปจากปฏิสัมภิทาปญญานี้หาบมิได แลกาลเมื่อจะถึงซึ่งปฏิสัมภิทาปญญานั้น พระเสขบุคคลถึงปฏิสัมภิทาในที่สุดแหงเสขผล สมาบัติคือ โสดาปตติผลญาณแลสกทาคามิผลญาณแลอนาคามิผลญาณ ฝายพระอเสขบุคคลนั้น
ถึงปฏิสัมภิทาในที่สุดแหงอเสขผลสมาบัติ
คือพระอรหัตตผล
ญาณ ไดใจความวา ปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ จะเกิดแกพระโสดาบันบุคคลนั้นยอมเกิดในที่สุดแหงโสดา ปตตผลญาณ เกิดแกพระสกทาคามิบุคคลในที่สุดแหงสกทาคามิผลญาณ เกิดแกพระอนาคามิบุคคล ในที่สุดแหงอนาคามิผลญาณ เกิดแกพระอรหันตบุคคลในที่สุดแหงอรหัตตผลญาณ พระพุทธโฆษาจารยเจาสําแดงประเภทแหงปญญาดวยทุกกะ ๕ ติกกะ ๔ จตุกกะ ๒ วิสัชนาในขอปุจฉาเปนคํารบ ๔ ที่ถามวาปญญามีอาการมากนอยเทาดังฤๅนั้นจบแลว จึงวิสัชนาในขอ ปุจฉาเปนคํารบ ๕ สืบตอไป ขอที่ถามวาปญญานั้น ควรจักจําเริญดวยพีธีดังฤๅ ขอนี้พระผูเปนเจาสําแดงขอวิปสสนาวา “ยสฺมา อิมาย ปฺญาย ขนฺธายตนอินฺทฺริยสจฺจสมุปฺปา ทาทิเภทา ธมฺมา ภูมิสีลวิ สุทฺธิ เจวจิตฺตวิสุทธิจาติ อิมา เทฺว วิสุทฺธิโย มูลํ ฯ เป ฯ ปฺจ วิสุทฺธิโย สมฺปาเทนฺเตน ภาเวตพฺ พา”
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 14 อธิบายวา พระโยคาพจรผูมีศรัทธา ประสงคจักจําเริญวิปสสนาภาวนานั้น พึงตั้งธรรม ๖ กองไวเปนพื้นกอน ธรรม ๖ กองนั้น คือ ขันธกอง ๑ อายตนะกอง ๑ ธาตุกอง ๑ อินทรียกอง ๑ อริยสัจกอง ๑ ปฏิจจสมุปบาทเปนอาทิกอง ๑ รวมเปน ๖ กองดวยกัน กองที่เปนปฐมที่ ๑ นั้น ไดแกขันธทั้ง ๕ ประการ มีรูปขันธเปนอาทิ กองที่ ๒ นั้นไดแก อายตนะ ๑๒ ประการ มีจักขวายตนะเปนอาทิ กองคํารบ ๓ นั้นไดแกธาตุ ๑๘ ประการ มีจักขุธาตุเปน ตน กองคํารบ ๔ นั้นไดแกอินทรีย ๒๒ มีจักขุนทรียเปนอาทิ กองคํารบ ๕ นั้นไดแกอริยสัจจธรรม ๔ ประการ กองคํารบ ๖ นั้นไดแกปฏิจจสมุปบาทธรรมมีอวิชชาเปนทิ อาหาร ๔ ประการมีกวฬิงการาหาร เปนอาทิก็นับเขาในกองคํารบ ๖ เมื่อพระโยคาพจรตั้งธรรม ๖ กองไวเปนพื้น คือพิจารณาใหรูจักลักษณะแหงธรรม ๖ กอง ยึดหนวงเอาธรรม ๖ กองนี้เปนอารมณไดลําดับนั้นพึงเอาศีลวิสุทธิมาเปนราก บําเพ็ญศีลบําดพ็ญ สมาธิใหไดสําเร็จเปนอันดีแลว จึงจําเริญวิสุทธิ ๕ ประการสืบตอขึ้นไปโดยลําดับเอาทิฏฐิวิสุทธิแล กังขาวิตรณวิสุทธิเปนเทาซายเทาขวา เอามัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิแลปฏิปทาญาณทัสสวิสุทธิ เปนมือซายมือขวาแลว เอาญาณทัสสนวิสุทธิเปนศีรษะเถิด จึงจะอาจสามารถที่จะยกตนออกจาก สงสารวัฏได แลขันธ ๕ ประการที่จัดเปนพื้นนั้น ในที่หนึ่งสําแดงรูปขันธ ที่สองสําแดงวิญญาณขันธ ที่ สามสําแดงเวทนาขันธ ที่สี่สําแดงสัญญาขันธ ที่หาสําแดงสังขารขันธ มีคําปุจฉาวา เหตุไฉนพระผูเปนเจาพระพุทธโฆษาจารยจึงยกเอาวิญญาณขันธ ที่สมเด็จ พระสรรเพชญพุทธองคตรัสเทศนาไวเปนที่หามาสําแดงในที่สอง คิดสําแดงรูปขันธในที่หนึ่งแลว สําแดงวิญญาณขันธในที่สอง อาศัยแกเหตุผลเปนประการใด มีคําวิสัชนาวา “ตตฺถ ยสฺมา วิญญาณขกฺนฺเธ วิฺญาเต อิตเร สุวิฺเญยฺยา โหนฺติ” อธิบายวา บริษัททั้งปวงนี้ ถารูจักวิญญาณขันธกอนแลว ก็อาจจะรูจักเวทนาขันธสังขาร ขันธนั้นดวยงายดาย อันขันธทั้ง ๓ คือเวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ นั้นเปนกองแหงเจตสิก ประพฤติ เนื่องดวยวิญญาณขันธ รูวิญญาณขันธประจักษแจงแลวก็รูจักเวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ โดยสะดวก เหตุพระพุทธโฆษาจารยเจา ผูแตงคัมภีรพระวิสุทธิมรรคขันธในที่สองสําแดงเวทนาทิตย ขันธในที่ ๓-๔-๕ ดวยประการฉะนี้ รูปขันธกําหนดโดยเอกวิธโกฏฐาส ไดแกธรรมชาติอันมีลักษณะรูฉิบหายประลัยดวยเย็น รอนเปนอาทิ เปนสวนอยางเดียว แตบรรดาสรรพสิ่งทั้งปวง ที่รูฉิบหายดวยเย็นแลรอนเปนตน ไดนาม บัญญัติชื่อวารูปสิ้นดวยกัน แลรูปนั้นเมื่อสําแดงโดยทุกกะตางออกเปน ๒ คือ ภูตรูปประการ ๑ อุปาทายรูปประการ ๑ ภูตรูปนั้นไดแกธาตุทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ ๑ อาโปธาตุ ๑ เตโชธาตุ ๑ วาโยธาตุ ๑ สําแดงซึ่งลักษณะแลกิจแลผลแหงภูตรูปนั้น มีพิศดารอยูในจตุธาตุววัตถานนิเทศนั้นแลว ในที่นี้จักสําแดงซึ่งอาสันนการณแหงภูตรูป ที่ยังมิไดสําแดงในจตุธาตุววัตถานนิเทศนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 15 นักปราชญพึงสันนิษฐานวา ภูตรูปคือธาตุทั้ง ๔ ประการนี้ ถอยทีถอยเปนอาสันนการณ แหงกันแลกัน อธิบายวา อาโปธาตุโชธาตุวาโยธาตุทั้ง ๓ นี้เปนเหตุอันใกลที่จะใหบังเกิดปฐวีธาตุ แลเตโชธาตุวาโยธาตุปฐวีธาตุทั้ง ๓ นี้ เปนเหตุอันใกลที่จะใหบังเกิดอาโปธาตุ วาโยธาตุปฐวีธาตุอา)บธาตุทั้ง ๓ นี้ เปนเหตุอันใกลที่จะใหบังเกิดเตโชธาตุ แลปฐวีธาตุอาโปธาตุเตโชธาตุทั้ง ๓ นี้ เปนเหตุอันใกลที่จะใหบังเกิดวาโยธาตุ ตกวาธาตุทั้ง ๔ ถอยทีถอยเปนอาสันนเหตุแหงกันแลกัน บังเกิดดวยกัน จะไดพลัดพราก ปราศจากกันหาบมิได มีอาโปแลวก็คงมีปฐวีธาตุ มีเตโชแลวก็คงมีปฐวีธาตุ มีวาโยแลวก็คงมีปฐวีธาตุ มีเตโช แลวก็คงมีอาโปธาตุ มีวาโยแลวก็คงมีอาโปธาตุ มีปฐวีแลวก็คงมีอาโปธาตุ มีวาโยแลวก็คงมีเตโชธาตุ มีปฐวีแลวก็คงมีเตโชธาตุ มีอาโปแลวคงมีเตโชธาตุ มีปฐวีแลวคงมีวาโยธาตุ มีอาโปแลวคงมีวาโย ธาตุ มีเตโชแลวคงมีวาโยธาตุ จะไดลวงพนหางไกลกันหาบมิได แลอุปาทายรูปนันไดบังเกิดแกรูป ๒๕ ประการนั้น แตบรรดาที่อาศัยซึ่งภูตรูปเปนที่ตั้งแลว แลบังเกิด อุปาทายรูป ๒๔ ประการนั้น คือ จักขุประสาท ๑ โสตประสาท ๑ ฆานประสาท ๑ ชิวหา ประสาท ๑ กายประสาท ๑ รูปารมณ ๑ สัททารมณ ๑ คันธารมณ ๑ รสารมณ ๑ อิตถินทรีย ๑ ปุริสินท รีย ๑ ชีวิตินทรีย ๑ หทัยวัตถุ ๑ กายวิญญัติ ๑ วจีวิญญัติ ๑ อากาสธาตุ ๑ ลหุตารูป ๑ มุทุตารูป ๑ กัมมัญญตารูป ๑ อุจจายรูป ๑ สันตติรูป ๑ ชรตารูป ๑ อนิจจตารูป ๑ กวฬิงการาหารรูป ๑ สิริเปนอุปา ทายรูป ๒๔ ประการดวยกัน จักษุประสาทถาจะวาโดยลักษณะ “รูปาภิฆาฏารหภูตปฺปสาทลกฺขณํ”
มีผองใสแหงภูตรูปอันควรจะกระทบซึ่งรูปารมณ
เปนลักษณะ อธิบายวา ถาจะกําหนดโดยละเอียดนั้น จักษุประสาทก็ไมพนจากปฐวีอาโปเตโชวาโย ก็อยูในปฐวี อาโปเตโชวาโยนั้นเอง ภูตรูปนั้นเองจัดขึ้นเปนจักษุปนะสาท เพราะเหตุที่ภูตรูปอันนี้มีพรรณอันผองใส บริสุทธิ์ควรจะสองเอารูปารมณทั้งปวงได เปรียบประดุจกระจกมีคุณพิเศษแปลกประหลาดจากภูตรูป อื่น ๆ แตบรรดามี ณ ภายในกายนี้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะผองใสสองเอารูปารมณทั้งปวงไดเหมือนอยางภูต รูปนี้ไมมีเลยเปนอันขาด อาศัยเหตุที่มีพิเศษแปลกประหลาดสองเอารูปารมณทั้งปวงไดดังนี้ สมเด็จ พระมหากรุณาธิคุณจึงตรัสเทศนากําหนดตามบัญญัติแหงภูตรูปอันนี้ ชื่อจักษุประสาท นัยหนึ่ง สําแดงลักษณะแหงจักษุประสาทนั้น โดยอปรนัยวา “ทฏุกามตานิทานกมฺมสมุฏาภูตปฺปสาทลกฺขณํ” วาจักษุประสาทนี้ มีผองใสแหง ภูตรูปอันบังเกิดแตกรรม อันมีสภาวะปรารถนาเพื่อจะเล็งแลดูเปนเหตุเปนลักษณะ อธิบายวาจะกําหนดโดยละเอียดแหงภูตรูปซึ่งผองใส ไดนามบัญญัติชื่อวาจักขุประสาทนี้ บังเกิดแตกุศลกรรมอัน สัตวทั้งหลายกระทํามีความปรารถนาจะเล็งแลดูซึ่งรูปเปนมูลเหตุ คือแตกอน นั้นสัตวทั้งปวงมีความปรารถนาที่จะเล็งแลดู ซึ่งรูปเปนมูลเหตุแลวจึงบําเพ็ญการกุศลตั้งความ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 16 ปรารถนาที่จะใหตนมีจักษุบริสุทธิ์บริบูรณ ครั้นกุศลนั้นติดตามตกแตงผลแหงภูตรูปในประเทศแหง จักษุจึงผองใส ควรจะสอดสองเอารูปารมณทั้งปวงที่มากระทบประสาทนั้นได ภูตรูปที่ผองใสนั้นจึงได นามบัญญัติพิเศษชื่อวาจักษุประสาทกําหนดดังนี้ ถาจะวาโดยกิจนั้น “รูเปสุ อาวิฺชนรสํ” จักษุประสาทนั้น มีกิริยาอันชักฉุดยื้อคราพาเอาจิตวิญญาณแหง บุคคลไปในสํานักแหงรูปารมณนั้นเปนกิจ อธิบายวาบุคคลอันแลเห็นซึ่งรูปนั้น ยอมมีจิตวิญญาณอันเเลนไปในรูปในขณะที่แลเห็น เมื่อจิตวิญญานแลนไปในรูป รูวารูปสิ่งนั้นสิ่งนี้รูวาดีวาชั่วแลว ถาไมมีความปรารถนาก็ละเมินเสีย หลีกเลี่ยงไปโดยอันควรแกอัชฌาสัย ถามีความปรารถนาก็เขาไปใกลจับเอาตัวชมเชย ตามวิสัยแหง ตน ตกวาใจนั้นไปกอน แลวกายจึงไปเมื่อภายหลัง นักปราชญพึงสันนิษฐานเถิดวา จิตจะไปติดพันอยู ในรูปก็เพราะที่แลเห็น กายจะไปติดไปพันอยูในรูปก็เพราะที่แลเห็น เหตุฉะนี้ สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจา จึงตรัสเทศนาวาจักษุประสาทนี้ มีกิจอันชักฉุดยื้อ คราพาเอาจิตวิญญาณแลบุคคลไปในสํานักแหงรูปารมณก็มีดวยประการฉะนี้ ถาจะวาโดยผลนั้น “จกฺขุวิฺญาณสฺส อาธารภาวปฺปฏานํ” ตั้งอยูเปนอันบดีมิไดพิบัติฉิบหาย ก็ใหสําเร็จผลคือทรงไวซึ่งจักษุญาณ
จักษุประสาทนี้ เมื่อ
อธิบายวา จักษุวิญญาณทั้งสองจิต คือฝายกุศลวิบากจิต ๑ ฝายอกุศลวิบากจิต ๑ ทั้งสอง จิตนี้จะบังเกิดไดนั้น อาศัยแกความมีจักษุประสาท ถาไมมีจักษุประสาทแลว จักษุวิญญาณสองจิตนั้น ก็ไมบังเกิดไดเลยเปนอันขาด ตกวาจักษุวิญญาณสองจิต ไดจักษุประสาทเปนที่รับที่รองแลว จึง บังเกิดไดในสันดาน เหตุฉะนี้ สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคจึงตรัสเทศนาวา จักษุประสาทนี้ใหสําเร็จ ผลคือ ทรงไวซึ่งจักษุวิญญาณ ถาจะวาโดยอาสันนการณ คือเหตุอันใกลที่จะใหจักษุประสาทบังเกิดนั่นวา “ทฏุกามตา นิทานกมฺมชฺชตปฺปทฏานํ” จักษุประสาทนี้มีภูตรูปอันเปนกัมมสมุฏฐาน ที่มีความปรารถนา จะทัสสนาการเปนมูลเหตุเปนอาสันนการณ อธิบายวา สัตวทั้งหลายในโลก ยอมมีความปรารถนาจะเล็งแลดูซึ่งเปนมูลเหตุแลวจึง บําเพ็ญการกุศล ปรารถนาจะใหบริบูรณดวยจักษุ ครั้นกุศลนั้นใหผลติดตามแตงภูตรูปในประเทศแหง จักษุนั้นในกาลใด ภูตรูปในจักษุประเทศที่กุศลตกแตงนั้นก็เปนเหตุอันใกลที่จะใหไดจักษุประสาทใน กาลนั้น ขอซึ่งจักษุประสาทบังเกิดแตกรรมนั้น วาดวยสามารถสัตวที่บังเกิดในสคติภพ ถาสัตวนั้น บังเกิดในทุคติภพแลว ก็พึงรูเถิดวา จักษุประสาทนั้นบังเกิดแตอกุศลกรรม บังเกิดเพื่อจะใหไดเห็น ทุกขเห็นภัย ๆ สมควรแกอกุศลกรรมที่ตนกระทําไวนั้น แลโสตประสาทนั้น ถาจะวาโดยลักษณะ “สทฺทภิฆาฏรห ภูตปฺปสาทลกฺขณํ” วามีอัน ผองใสแหงภูตรูปอันควรจะกระทบซึ่งสัททารมณเปนลักษณะ อธิบายวาถาจะกําหนดโดยละเอียดนั้น โสตประสาทก็ไมพนจาก ปวี อาโป เตโช วาโย ก็อยูใน ปวี อาโป เตโช วาโย นั้นเอง ภูตรูปนั้นเองขึ้นเปนโสตประสาท เพราะเหตุที่ภูตรูป อันนี้ผองใสบริสุทธิ์วองไวในที่จะรับซึ่งศัพทสําเนียงตาง ๆ ได มีคุณพิเศษแปลกประหลาดจากภูตรูป อื่น ๆ แตบรรดามี ณ ภายในกายนี้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะผองใสวองไวในที่จะรับสําเนียงใหไดยิน สําเนียง เหมือนดังภูตรูปอันนี้ไมมีเลยเปนอันขาด อาศัยเหตุที่มีคุณพิเศษแปลกประหลาดใหไดยินศัพท สําเนียงตาง ๆ ไดดังนี้ สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจาจึงตรัสเทศนากําหนดนามบัญญัติ แหงภูตรูปอัน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 17 นี้ชื่อวา โสตประสาท นัยหนึ่ง สําแดงลักษณะแหงโสตประสาทนั้นโดยอปรนัยวา “โสตุกามตานิทานกมฺมสมุฏานภูตปฺปสาทลกฺขณํ วาโสตประสาทนี้มีผองใส แหงภูตรูปอันบังเกิดแตกรรม อันมีสภาวะปรารถนาเพื่อจะสดับฟงเปนเหตุเปนลักษณะ อธิบายวา ถากําหนดโดยละเอียดนั้น ภูตรูปซึ่งผองใสไดนามบัญญัติชื่อวาโสตประสาท บังเกิดแกอกุศลกรรม อันสัตวทั้งหลายกระทําดวยมีความปรารถนาจะสดับตรับฟงเปนมูลเหตุ คือแต กอนนั้นสัตวทั้งปวงมีความปรารถนา จะสดับตรับฟงเปนมูลเหตุแลวบําเพ็ญการกุศล ตั้งความปรารถนา ที่จะใหตนมีโสตบริสุทธิ์บริบูรณครั้นกุศลนั้นติดตามตกแตงผลภูตรูปในประเทศแหงโสตจึงผองใส ควร จะรับเอาสัททารมณทั้งปวง แตบรรดาที่มากระทบโสตประสาทนั้นไดภูตรูปที่ผองใสวองไวในที่จะ รับสัททารมณทั้งปวงนั้น จึงไดนามบัญญัติพิเศษ ชื่อวาโสตประสาท โดยกําหนดดังนี้ ถาจะวาโดยกิจนั้น “สทฺเทส อาวิฺชนรสํ” โสตประสาทนี้มีกิริยาอันชักฉุดยุดครา พาเอา จิตวิญญาณแลตัวบุคคลนั้นไปในสํานักแหงสัททารมณนั้นเปนกิจ อธิบายวา บุคคลอันไดสวนากาล สดับซึ่งศัพทสําเนียงตาง ๆ นั้น แตพอสําเนียงแวววับมา กระทบประสาท ก็ยอมมีจิตวิญญาณอันแลนไปในสําเนียง ในขณะที่ไดสวนาการสดับ เมื่อจิตวิญญาณ แลนไปสูสําเนียงรูวาดีแลชั่ว ไพเราะแลมิไดไพเราะดังนี้แลว ถาไมมีความปรารถนาจะฟง ก็ละเมิด เหินหางเสีย ไปตามอัชฌาสัยแหงตน ถามีความปรารถนาที่จะสลับก็เขาไปใกลตั้งโสตสดับโดย อัน ควรแกความประสงคตกวาใจนั้นไปกอนแลว กายจึงไปเมื่อภายหลัง นักปราชญพึงสันนิษฐานเอาเถิด วา จิตจะไปติดพันอยูในสําเนียงนั้นก็เพราะการฟง กายจะไปติดพันอยูในสําเนียงนั้นก็เพราะการฟง เหตุนี้สมเด็จพระมหากรุณาจึงตรัสเทศนาวา โสตประสาทนี้มีกิจอันชักฉุดยุดคราพาเอาจิตวิญญาณ แหงบุคคลไป ในสํานักแหงสัททารมณก็มีดวยประการฉะนี้ ถาจะวาโดยผลนั้น “โสตวิฺญาณสฺส อาธารภาวปจฺจุปฺ ปฏานํ” โสตประสาทนี้ เมื่อ ตั้งอยูเปนอันดีบมิไดพิบัติฉิบหายก็ใหสําเร็จผลคือทรงไวซึ่งโสตวิญญาณ อธิบายวา โสตวิญญาณทั้งสองจิต เปนกุศลวิบากจิต ๑ ฝายอกุศลวิบากจิต ๑ ทั้งสองจิตนี้ จะบังเกิดไดนั้น อาศัยแกมีโสตประสาทถาไมมีโสตประสาทแลว โสตวิญญาณสองจิตนั้นก็ไมบังเกิด ไดเลยเปนอันขาด ตกวาโสตวิญญาณสองจิตนั้นไดพึ่งโสตประสาท ไดโสตประสาทเปนที่รับรองไว จึงบังเกิดไดในสันดานเหตุฉะนี้สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคจึงตรัสเทศนาวา โสตประสาทนี้ให สําเร็จผลคือทรงไวซึ่งโสตวิญญาณ ถาจะวาโดยอาสันนการณ คือเหตุอันใกลที่จะใหโสตประสาทบังเกิดนั้นวา “โสตกาตา นิทานกมฺมชฺชภูตปฺปทฏานํ” โสตประสาทนี้มีภูตรูปอันเปนกัมมสมุฌฐาน ที่มีความปรารถนาจะ สวนาการเปนมูลเหตุนั้น เปนอาสันนการณ อธิบายวาสัตวทั้งหลายในโลกนี้ ยอมมีความปรารถนาจะสวนาการสดับซึ่งศัพทสําเนียงนั้น เปนมูลเหตุแลว จึงบําเพ็ญการกุศลปรารถนาจะใหตนนั้นมีโสตอันบริสุทธิ์บริบุรณ ครั้นกุศลนั้นใหผล ติดตามตกแตงภูตรูปในประเทศแหงโสตนั้นในกาลใด ภูตรูปในประเทศแหงโสตที่กุศลตกแตงนั้นก็ เปนเหตุอันใกล ที่จะใหโสตประสาทบังเกิดในกาลนั้น แลขอซึ่งวา โสตประสาทบังเกิดแตกุศลกรรมเลา ก็วาดวยสามารถสัตวที่บังเกิดในสมบัติ ภพ ถาสัตวนั้นบังเกิดในวิบัติภพแลวก็พึงเขาใจวาโสตประสาทนั้นบังเกิดแตกุศลกรรม บังเกิดเพื่อจะ ใหไดฟงซึ่งสําเนียงทุกขสําเนียงภัยอันพิลึกตาง ๆ โดยอันควรแกอกุศลกรรมแหงตน ๆ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 18 แลฆานประสาทนั้นเลา ถาจะวาโดยลักษณะ คนฺธาภิฏารห ภูตปฺปสาทลกฺขณํ” มีกิริยา อันผองใสแหงภูตรูป อันควรจะกระทบแหงคันธารมณทั้งปวงเปนลักษณะ อธิบายวา ถากําหนดวาโดยละเอียดนั้น ฆานประสาทก็ไมพนจาก ปวี อาโป เตโช วาโย ก็อยูใน ปวี อาโป เตโช วาโย นั้นเอง ภูตรูปนั้นเองขึ้นเปนฆานรูปประสาท เพราะเหตุภูตรูป อันนี้ผองใสบริสุทธิ์ ควรจะรับเอาสรรพกลิ่นตาง ๆ ได มีคุณพิเศษแปลกประหลาดจากภูตรูปอื่น ๆ แต บรรดามี ณ ภานในกรัชกายนี้สิ่งใดจะผองใส ควรจะรับเอาสรรพกลิ่นตาง ๆ ได เหมือนอยางภูตรูปอัน นี้ไมมีเลยเปนอันขาด อาศัยเหตุที่มีคุณพิเศษแปลกประหลาด รับเอาสรรพสิ่งตาง ๆ ไดดังนี้ สมเด็จ พระมาหกุรณาจึงตรัสเทศนากําหนดนามบัญญัติแหงภูตรูปอันนี้ ชื่อวาฆานประสาท นัยหนึ่ง สําแดงลักษณะแหงฆานประสาทโดยอปรนัยวา “ฆายิตุกามตานิทานกมฺมสมุฏ ฐานภูตปฺปสาทลกฺขณํ วาฆานประสาทนี้มีกิริยาอันผองใสแหงภูตรูปอันเปนกัมมสมุฏฐาน อันมี ความปรารถนาเพื่อจะดมกลิ่นเปนเหตุเปนลักษณะ อธิบายวา ถาจะกําหนดโดยละเอียดนั้น ภูตรูปซึ่งผองใสไดนามบัญญติชื่อฆานประสาทนั้น บังเกิดแตกุศลกรรมอันสัตวทั้งหลายกระทําดวยความปรารถนาจะดมซึ่งเปนมูลเหตุ คือแตกอนสัตวทั้ง ปวงมีความปรารถนาจะสูดดมกลิ่นเปนมูลเหตุแลวจึงบําเพ็ญการกุศล ตั้งความปรารถนาที่จะใหตนมี นาสิกประเทศบริสุทธิ์บริบูรณ ครั้นกุศลนั้นติดตามตกแตงผลภูตรูปในประเทศแหงนาสิกจึงผองใส บริสุทธิ์ ควรจะรับเอาสรรพสิ่งตาง ๆ แตบรรดาที่มากระทบประสาทนั้นได ภูตรูปที่ผองใสในประเทศ แหงนาสิกนั้น จึงไดนามบัญญัตพิเศษชื่อวาฆานประสาทโดยกําหนดดังนี้ ถาจะวาโดยกิจนั้น “คนฺเธสุ อาวิญชนรสํ” ฆานประสาทนี้มีกิริยาอันยืดยุดฉุดคราซึ่งจิต วิญญาณแลตัวบุคคลนั้น ไปในสํานักแหงคันธารมณทั้งปวงเปนนิจ อธิบายวา บุคคลอันไดสูดดมซึ่งสรรพกลิ่นตาง ๆ นั้นยอมมีจิตวิญญาณอันเเลนไปในกลิ่น รูวากลิ่นหอมกลิ่นเหม็น ถารูวากลิ่นดีกลิ่นชั่ว ถาไมมีความปรารถนาก็เพิกเฉยละเลยเสีย บมิได เอื้อเฟออาลัย ถามีความรักความใครความปราถนา ก็แสวงหาซึ่งที่เกิดแหงกลิ่นนั้นจนพบจนปะ ตกวา จิตจะไปติดไปพันอยูในกลิ่นก็เพราะไดสูดไดดม กายจะไปติดไปพันอยูในวัตถุอันเปนที่เกิดแหงกลิ่น นั้น ก็เพราะไดสูดไดดมเหตุฉะนี้ฆานประสาทซึ่งใหสําเร็จกิจสูดดมนี้ สมเด็จพระมหากรุณาจึงตรัส เทศนาวา มีกิจอันยื้อยุดฉุดคราพาเอาจิตวิญญาณแลตัวบุคคลไปในสํานักแหงคันธารมณก็มีดวย ประการฉะนี้ ถาจะวาโดยแลนั้น “ฆานวิฺญาณสฺส อาธารภาวปจฺจุปฺปฏ านํ” ฆานประสาทนี้เมื่อ ตั้งอยูเปนอันดีมิไดพิบัติฉิบหาย ก็ใหสําเร็จผลคือทรงไวซึ่งฆานวิญญาณ อธิบายวา ฆายวิญญาณทั้งสองจิต คือฝายกุศลวิบากจิต ๑ ฝายอกุศลวิบากจิต ๑ ทั้งสอง จิตนี้จะบังเกิดไดนั้นอาศัยที่มีฆานประสาท ถาไมมีฆานประสาทแลว ฆานวิญญาณทั้งสองจิตนั้นก็ไม บังเกิดไดเลยเปนอันขาด ตกวาฆานวิญญาณสองจิตนั้นไดพึ่งฆานประสาท ไดฆานประสาทที่เปนรอง แลว จึงบังเกิดไดในสันดานเหตุนี้สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคจึงตรัสเทศนาวา ฆานประสาทนี้ ให สําเร็จผลคือทรงไวซึ่งฆานวิญญาณ ถาจะวาโดยอาสันนการณ คือเหตุอันใกลที่จะใหฆานประสาทบังเกิดนั้นวา “ฆายิตุกาม ตานิทานกมฺมชฺชภูตปฺปทฏานํ ฆานประสาทนั้นมีภูตรูปเปนกัมมัฏฐาน ที่มีความปราถนาจะสูดดม เปนมูลนั้นเปนอาสันนการณ อธิบายวา สัตวทั้งหลายในโลกนี้ยอมมีความปรารถนาจะสูดดมซึ่งสรรพกลิ่นตาง ๆ เปน มูลเหตุแลว จึงบําเพ็ญการกุศลปรารถนาจะใหฆานะนั้นบริสุทธิ์บริบูรณ ครั้นกุศลนั้นใหผลติดตาม
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 19 ตกแตงภูตรูปในนาสิกประเทศนั้นในกาลใด ภูตรูปในนาสิกประเทศที่กุศลตกแตงนั้นก็เปนเหตุอันใกล ที่จะใหฆานประสาทบังเกิดในกาลนั้น แลชิวหาประสาทอันเปนพนักงานรับรอง ซึ่งรสอารมณ มีประการตาง ๆ นั้นก็ดี กาย ประสาทอันเปนเจาพนักงานรับรองโผฏฐัพพารมณตาง ๆ นั้นก็ดี ถาจะวาโดยลักษณะแลกิจแลผล แล อาสันนการณนั้นนักปราชญพึงเขาใจเอาตามนัยที่สําแดง แลวในประสาททั้งสามนั้นเถิดอรรถธิบาย เหมือน ๆ กัน แปลกกันแตใจความเทานั้น ชิวหาประสาทนั้นมีใจความวา บังเกิดแตกุศลธรรม อันบุคคลกระทําดวยมีความปรารถนา จะลิ้มเลียรสเปนมูลเหตุ เปนภูตรูปพิเศษผองใสบริสุทธิ์ ควรที่จะรับรองไวซึ่งสรรพรสตาง ๆ เปน ลักษณะ ชิวหาประสาทนั้นมีกิจธุระ ในที่จะฉุดคราพาเอาจิตวิญญาณแลตัวบุคคลไปสูรส มีผลคือทรง ไวซึ่งชิวหาวิญญาณ ยังชิวหาวิญญาณทั้งสองจิตใหบังเกิด มีภูตรูปพิเศษบังเกิดแตกุศลกรรมเปนอา สันนการณ ในกายประสาทนั้น มีใจความวาบังเกิดแตกุศลกรรมอันบุคคลกระทําดวยมีความปรารถนา จะสัมผัสเปนมูลเหตุ เปนภูตรูปพิเศษผองใสบริสุทธิ์ ควรจะรับรองสัมผัสแหงโผฏฐัพพารมณตาง ๆ เปนลักษณะ กายประสาทนั้นมีกิจธุระ ในที่จะฉุดคราพาเอาจิตวิญญาณแหงบุคคลไปสูอํานาจแหง สัมผัส มีผลคือทรงไวซึ่งกายวิญญาณยังกายวิญญาณทั้งสองจิตใหบังเกิดมีภูตรูปพิเศษบังเกิดแต กุศลกรรมเปนอาสันนการณ นักปราชญพึงสันนิษฐานเถิดวา ขอซึ่งวิสัชนาวา ฆานประสาท ชิวหาประสาท กายประสาท บังเกิดแตกุศลนั้น วาดวยสามารถสัตวที่บังเกิดในสุคติภพ ถาสัตวนั้นบังเกิดในทุคติภพแลว ก็พึงรูเถิด วา ฆานประสาท ชิวหาประสาท กายประสาทนั้น บังเกิดแตอกุศลกรรม บังเกิดเพื่อจะใหไดเสวย ทุกขเวทนามีประการตาง ๆ สามควรแกอกุศลกรรมที่คนกระทําไวนั้น แลอธิบายในคําแหงเกจิอาจารยแลอปราจารยนั้น จะยกเสียไมวิสัชนาแลว เพราะเหตุคํา นั้นหาแกนสารมิได จะเลือกวิสัชนาแตคําที่เปนแกนสารนั้น “กมฺมเมว จ เนสํ วิเสสการณํ ตสฺมา คมมวิเสสโตเอตสํ วิเสโส น ภูตวิ เสสโต” นักปราชญพึงสันนิษฐานวา กุศลกรรมแลอกุศลกรรมนั้นเอง ใหสําเร็จกิจอันวิเศษแหงภูตรูป ทั้ง ๕ คือ ปวี อาฏป เตโช วาโย จะแปลกประหลาดใหสําเร็จกิจเปนจักษุประสาทไดนั้น อาศัย แกกุศลแลอกุศล ถึงปญจพิธประสาททั้ง ๕ มีจักษุประสาทเปนตน จะแปลกประหลาดกันก็ดวยอํานาจ กุศลแลอกุศลทั้งปวง จะแปลกกันโดยธรรมดาภูตรูปนั้นหาบมิได ภูตรูปนั้นถึงจะแปลกประหลาดกัน ก็ บมิอาจสามารถจะยังประสาทใหบังเกิดได กรรมที่บังเกิดนั้นแลประชุมแตงยังจักขวาทิประสาทให แปลกประหลาดกัน แลจักษุประสาท โสตประสาททั้งสองนั้น มีปกติรับรองซึ่งรูปารมณแลสัททารมณอันยัง มิไดมาถึง อธิบายวา จักษุประสาทนั้นรับเอาอารูปารมณอันอยูในที่ไกลแตบรรดาที่ยังมิไดมาถึง จะ ไดรับเอารูปารมณที่มากระทบกระทั่งถึงประเทศที่อยูแหงประสาทนั้นหาบมิไดเลย ฝายโสตประสาทนั้นเลา ก็รับเอาสัททารมณอันอยูในที่ไกลแลที่ใกล แตบรรดาที่ยังบมิได มาถึงเหมือนกัน จะไดรับเอาสัททารมณที่กระทบกระทั่งถึงประเทศที่อยูแหงประสาทนั้นบมิไดเหตุใด เหตุวาจักษุประสาทแลโสตประสาทนั้น เปนที่อาศัยแหงจักษุวิญญาณแลโสตวิญญาณมีปกติยึดหนวง ไดแตอารมณ ที่ยังมิไดติดพันอยูดวยประสาทอันเปนที่อารมณแหงตน ๆ ถาอารมณนั้นมาติดพันอยู ดวยที่อาศัยแหงตนแลว ๆ จักษุวิญญาณแลโสตวิญญาณนั้น ก็บมิอาจยึดหนวงเอาอารมณนั้นไวใหอยู
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 20 ในอํานาจแหงตนได อาศัยเหตุฉะนี้จึงมีขออรรถาธิบายวา จักษุประสาทแลโสตประสาทนี้ มีปกติรับ เอาอารมณ แตบรรดาที่ยังมิไดมาถึง แทจริงจักษุวิญญาณนี้ อาจจะเห็นซึ่งอณูแลปรมาณูอันอยูในประเทศอันไกลแลใกล ที่ยัง มิไดติดพันอยูในจักษุประสาทอันเปนที่พํานักอาศัยแหงตน เมื่ออณูแลปรมาณูปลิวเขาสูจักษุติดพันอยู ในประสาทอันเปนที่สํานักแหงตน จักษุวิญญาณจะไดเห็นหามิได ฝายวาโสตวิญญาณนั้นเลา อาจจะไดยินเสียงสรรพสิ่งทั้งปวงแตบรรดาอยูในประเทศอัน ไกลแลใกล แตบรรดาที่ยังมิไดมาติดพันในโสตประสาท อันเปนที่สํานักอาศัยแหงตน เมื่อเสียงอันดัง หนักเปนตนวาเสียงสายฟาฟาด แลเสียงไกรสรราชสีหดังเต็มที่สนั่นกระเทือนกระทบถึงโสตประสาท อันเปนที่พํานักอาศัยแหงตนแลวโสตวิญญาณก็บมิอาจจะยึดหนวงเอาเสียงนั้นเปนอารมณได ตกวา ไดยินนั้น ไดยินแตในกาลเมื่อเสียงยังมิไดกระทบโสตประสาท เมื่อเสียงกระทบถึงโสตประเสาทแลว หูก็ตึงไปบมิอาจจะไดยินสําเนียงที่มากระทบถึงโสตประสาท อาศัยเหตุฉะนี้ จึงมีขออรรถาธิบายวา จักษุประสาทแลโสตประสาทนี้ มีปกติรับเอาซึ่งอารมณแตบรรดาที่ยังมิไดมาถึง ฝายฆานประสาทแลชิวหาประสาทแลกายประสาทนั้น สารมณ แลโผฏฐัพพารมณ อันมากกระทบถึง
มีปกติรับรองซึ่งคันธารมณ
แล
อธิบายวาฆานประสาทรับเอาซึ่งกลิ่นทั้งปวง แตบรรดาที่เฟองฟงมากระทบกระถึงประเทศ ที่อยูแหงฆานประสาท ฝายวาชิวหาประสาทนั้น มีปกติรับเอาซึ่งรสทั้งปวง แตบรรดาที่มากระทบถึง ประเทศที่อยูแหงชิวหาประสาท ฝายวากายประสาทนั้นเลาก็รับเอาสัมผัสตาง ๆ แตบรรดาที่มากระทบ ถึงประเทศที่อยูแหงกายประสาทนั้นเหตุใด วาฆานประสาทแลชิวหาประสาทแลกายประสาทนั้นเปนที่ พํานักอาศัยแหงฆานวิญญาณ แลชิวหาวิญญาณ แลกายวิญญาณ ๆ นั้นมีปกติยึดหนวงไดแตอารมณ บรรดาที่มาติดพันอยูดวยประสาทอันเปนอาศัยแหงตน ๆ ถาอารมณนั้นบมิไดมาติดพันอยูดวยอาศัย แหงตน ๆ แลว ฆานวิญญาณแลวชิวหาวิญญาณแลกายวิญญาณนั้น ก็บมิอาจจะยึดหนวงเอาอารมณ นั้นไวใหอยูในอํานาจแหงตนได อาศัยเหตุฉะนี้ จึงมีขออรรถาธิบายวา ฆานประสาทแลชิวหาประสาท แลกายประสาทนี้ เปนปกติรับเอาซึ่งอารมณแตบรรดาที่มาถึง แลจักษุประสาทนั้น มีสัณฐานนอยเทาศีรษะเหาประดิษฐานอยูในทามกลางแหงตาดํา อัน แวดลอมดวยปริมลฑลแหงตาขาว จักษุประเทศนี้ มีสัณฐานดังกลีบอุบลเขียว อาเกียรณดวยโมลชาติ อันมีพรรณอันดํา เนื้อจักษุนั้นมีสัณฐานเปนกลีบ ๆ เปนชั้น ๆ นับได ๗ ชั้น จักษุประสาทนั้นซาบตลอด ทั้ง ๗ ชั้น เปรียบปราดุจปุยสําลีอันบุคคลประชีใหดีซอน ๆ กันใหได ๗ ชั้น แลวแลเอาน้ํามันหอมอัน ขนหยอดลงในทามกลาง แลน้ํามันปุยซาบสําลีทั้ง ๗ ชั้นนั้น จักษุประสาทนั้นเปรียบประดุจน้ํามันหอย อันขนที่หยดลงในทามกลาง จักษุประสาทนั้นเปนเงาอยางประหนึ่งวากระจก ถารูปารมณสิ่งใดมาประดิษฐานเฉพาะหนา ในกาลใด เงาแหงรูปารมณสิ่งนั้นก็ปรากฏในจักษุประสาทในกาลนั้น จักษุประสาทนี้ มีธาตุทั้ง ๔ เปนผูชวยอุปการะบํารุงรักษาเปรียบประดุจดังวาขัตติยราชกุมาร อันพระนมทั้ง ๔ กระทําอุปการะบํารุงบําเรอ พระนมผูหนึ่งนั้นอุมไว พระนมผูหนึ่งนั้นตักเอาน้ํามาโสรจ สรง พระนมผูหนึ่งนั้นนําเอาเครื่องมาประดับ พระนมผูหนึ่งนั้นนําเอาพัชนีพัดมาวีใหขัตติยราชกุมารอัน พระนมทั้ง ๔ กระทําอุปการะบํารุงรักษามีอุปมาฉันใด จักษุประสาทนี้มีธาตุทั้ง ๔ เปนผูชวยอุปการะ บํารุงรักษามีอุปไมยดังนั้น แทจริงปฐวีธาตุนั้นทรงไวซึ่งจักษุประสาทเปรียบประดุจพระนมที่อุมชูอาโปธาตุนั้นบํารุงให สดใหชื่นประคับประคองไว เปรียบประดุจพระนมที่ตักน้ํามาโสรจสรง เตโชธาตุนั้นบํารุงมิใหเปอยเนา เปรียบประดุจพระนมที่เอาเครื่องประดับ วาโยธาตุนั้นบํารุงใหกลับใหกลอกได เปรียบประดุจพระนม
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 21 อันนําเอาพัชนีมาพัดวีให ใชจะมีแตธาตุทั้ง ๔ เปนผูอุปการะเทานี้หาบมิได ฤดูแลจิตแลอาหารนั้น ก็เปนผูชวย อุปถัมคค้ําชู อายุนั้นเปนผูเลี้ยงดู พรรณแลกลิ่นรสเปนอาทินั้นเปนบริวารแวดลอม จักษุประสาทเปน วัตถุที่เกิดแหงจักษุวิญญาณ เปนทวารแหงจิต ๔๖ แตบรรดาที่เปนไปในจักษุทวารวิถีโดยอันควรแก อารมณ จักษุประสาทเปนพนักงานใหเห็นรูปสรรพสิ่งทั้งปวง “วุตฺตํป เจตํธมฺมเสนาปตินา” คํากอนที่สําแดงมานั้น สมกันกับบาทพระคาถา อันพระผู เปนเจาธรรมเสนาสารีบุตรวิสัชนาไววา “เยน จกฺขุปสาเทน รูปานิ สมนุปสฺส ปริตฺตํ สุขุมํ เอตํ อูกาสิรสมูปมํ” อธิบายในพระคาถาวา บุคคลอันเห็นรูปสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นเห็นดวยอํานาจจักษุประสาทอัน ใด จักษุประสาทนั้นเปนรูปอันนอยเปนสุขุมรูป มีสัณฐานนอยเทาศีรษะเหา พระผูเปนเจาธรรมเสนาบดี วิสัชนาไวฉะนี้ ตกวากิริยาที่เห็นรูปนั้น เฉพาะเห็นดวยจักษุประสาทอันนอยอันละเอียดเทานั้นเอง จะได เห็นดวยสสัมภารจักษุ คือเนื้อแลหนังเสนโลหิตแลโลมา ซึ่งประดิษฐานอยูในกระบอกตานั้นหาบมิได แลสสัมภารโสต คือเนื้อแลหนัง เสนโลหิตโลมา ซึ่งประดิษฐานอยูในประเทศแหงหูนั้นเลา จะไดเปนพนักงานใหไดยินสําเนียงทั้งปวงก็หาบมิได ที่เปนเจาพนักงานใหไดฟงศัพทสําเนียงนั้น คือ โสตประสาทตางหาก โสตประสาทนั้นก็เปนสุขุมรูป เปนรูปอันละเอียดเหมือนกันกับจักษุประสาท แปลกกันแตที่อยู โสตประสาทนั้นตั้งอยูในประเทศอันมีสัณฐานดังวงแหวนเปนที่งอกขึ้นแหงโลมชาติ เสนเล็ก ๆ สีแดงอยู ณ ภายในชองแหงสสัมภารโสต โสตประสาทนั้นมีก็มีธาตุทั้ง ๔ เปนผูอุปการะ มี ฤดูแลจิตแลอาหารเปนผูอุปถัมภมีอายุเปนผูเลี้ยง มีสีแลกลิ่นแลรสแลโอชาเปนบริวารแวดลอมให สําเร็จกิจเปนวัตถุที่เกิดแหงโสตวิญญาณ ใหสําเร็จกิจเปนทวารแหงจิต ๔๖ แตบรรดาที่ประพฤติ เปนไปในโสตทวารวิถีนั้น โดยอันสมควรแกอารมณเปรียบประดุจดังขัตติยราชกุมาร อันพระนมทั้ง ๔ กระทําอุปการะซึ่งมีวินิจฉัยอันกลาวแลวในจักษุประสาทแตหลัง แลฆานประสาทนั้นเลา ก็เปนสุขุมเปนรูปอันละเอียดเหมือนกันกับโสตประสาท แปลกกัน แตที่อยู ฆานประสาทนั้นตั้งอยูในประเทศอันมีสัณญานดังเทาแพะ ภายในแหงชองสสัมภารฆาน อธิบายวาเนื้อแลหนังแลเสนแลโลหิตแลโลมา ซึ่งประดิษฐานอยูในนาสิกประเทศนั้นแล ไดชื่อวาสสัมภารฆาน ฆานประสาทนี้ก็มีธาตุทั้ง ๔ เปนผูอุปการะ มีฤดูจิตเปนอาหารเปนผูอุปถัมภค้ําชู มีอายุเปนผูเลี้ยงผูดูมีสีแลกลิ่นรส แลโอชาเปนบริวารแวดลอมใหสําเร็จกิจเปนวัตถุที่เกิดแหงฆาน วิญญาณ ใหสําเร็จเปนทวารแหงจิต ๔๖ ดวง แตบรรดาที่ประพฤติเปนไปในฆานทวารวิถีโดยอัน สมควรแกอารมณ เปรียบประดุจดังขัตติยราชกุมารอันพระนมทั้ง ๔ กระทําอุปการะ มีนัยดังพรรณนา มาแตหลัง แลชิวหาประสาทนั้นเลา ก็เปนสุขุมรูปอันละเอียดเหมือนกันแปลกกันแตที่อยู ชิวหา ประสาทนั้น ตั้งอยูในประเทศอันมีสัณฐานดังปลายกลีบแหงดอกอุบล อยูเบื้องบนแหงสสัมภารชิวหา ในทามกลางแหงสสัมภารชิวหานั้น ชิวหาประสาทนี้มีธาตุทั้ง ๔ เปนผูอุปการะ มีฤดูแลจิตแลอาหาร เปนผูอุปถัมภค้ําชู มีอายุเปนผูเลี้ยงผูดู มีสีแลกลิ่นแลรสแลโอชาเปนบริวารแวดลอมใหสําเร็จกิจ เปน วัตถุที่เกิดแลชิวหาวิญญาณ ใหสําเร็จเปนทวารแหงจิต ๔๖ ดวง แตบรรดาที่ประพฤติเปนไปในชิวท วารวิถี โดยอันควรแกอารมณเปรียบประดุจขัตติยราชกุราช อันพระนมทั้ง ๔ กระทําอุปการะ มีวินิจฉัย ดังวิชนามาแลวนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 22 แลกายประสาทนั้นก็เปนสุขุม อันละเอียดเหมือนกันแปลกแตที่อยูกายประสาทนี้ซาบอยู ทั่วสรีรกาย เปรียบประดุจน้ํามันอันซาบอยูในปุยฝายอันบุคคลประชีแลวเปนอันดี กายประสาทนี้ก็มี ธาตุทั้ง ๔ เปนผูอุปการะ มีฤดูแลจิตแลอาหารเปนผูอุปถัมภค้ําชู มีอายุเปนผูเลี้ยงผูดู มีสีแลกลิ่นแลรส แลโอชาเปนบริวารแวดลอมใหสําเร็จกิจเปนวัตถุที่เกิดแหงกายวิญญาณใหสําเร็จกิจเปนทวารแหงจิต ๔๖ ดวง แตบรรดาที่ประพฤติเปนไปในกายทวารวิถีโดยสมควรแกอารมณเปรียบประดุจดังขัตติยราช กุมาร อันพระนมทั้ง ๔ กระทําอุปการะมีนัยดังวิสัชนามาแลวนั้น ตกวากายประสาทนี้ซาบอยูในอุปปาทินนกรูปสิ้นทั้งปวง แตบรรดาที่เปนเนื้อหยิกเจ็บนั้น แลไดชื่อวาอุปาทินกรูป เหมือนอยางปลายเล็บที่พนเนื้อ ผมแลขนแลฟนที่หยิกไมเจ็บนั้น ไดชื่อวาอนุ ปาทินนกรูปในอนุปาทินนกรูปนั้นหามีกายประสาทซาบอยูไม กายประสาทนี้ซาบอยูแตในอุปทินนกรูป สิ้นทั้งปวงเปนปจจัยใหรูโผฏฐัพพารมณ จะรูจักสัมผัสวาออนวากระดางนั้น อาศัยแกกายประสาทพิบัติ แลว กายก็เปนเหน็บตายไปบมิไดรูซึ่งสัมผัสสรรพสิ่งทั้งปวง แทจริงประสาททั้ง ๕ นี้ มีสภาวะนอมไปสูอารมณอันควรแกปกติแหงตน จักษุประสาทนั้น ยอมนอมไปสูอารมณ อันเปนวิสัยแหงตนเปรียบประดุจงูอันนอมจิตไปสู จอมปลวกอันเปนที่อยูแหงตน อันธรรมดาวางูนั้นยอมยินดีในจอมปลวก พอใจอยูในจอมปลวกนั้นยิ่ง นัก ไปเที่ยวแสวงหาอาหารแลวก็กลับมาเฉพาะหนาสูจอมปลวก จะไดละเวนเสียซึ่งจอมปลวกอันเปน ที่อยูแหงตนหาบมิได อันนี้แลอุปมาฉันใด จักษุประสาทนั้นก็เฉพาะหนาสูรูปารมณ จะไดละเวนเสียซึ่ง รูปารมณอันเปนวิสัยแหงตนนั้นหาบมิไดอุปไมยดังนั้น นัยหนึ่งอธิบายวา งูนั้นถาจะเลื้อยไปในสถานที่ใด ๆ ก็พอใจเลื้อยไปในที่อันรก ๆ หาพอใจ ที่จะเลื้อยไปในประเทศที่แจง ๆ นั้นไม อันนี้แลมีอุปไมยฉันใด จักษุประสาทนั้นก็เล็ดลอดดูไปในที่อัน ลี้ลับ อันบุคคลปกปดกําบัง มีอุปมาดังงูอันพอใจที่จะเลื้อยไปในที่รก ๆ นั้น แลโสตประสาทนั้น ยอมนอมไปสูสัททารมณอันเปนวิสัยแหงตน เปรียบประดุจดังจระเข อันมีจิตนอมไปสูประเทศอันมีน้ํา อันธรรมดาจระเขนั้นเปนชาติสัตวน้ํา มาตรแมนวาจะขึ้นสูบก ก็มีจิต ประหวัดอยูในน้ํา จะไดละเวนเสียซึ่งน้ําอันเปนวิสัยแหงตนนั้นหาบมิได อันนี้แลมีอุปมาฉันใด โสต ประสาทก็เฉพาะหนาสูสัททารมณจะไดละเวนเสียซึ่งสัททารมณ อันเปนวิสัยแหงตนหาบมิไดมี อุปไมยดังนั้น นัยหนึ่งอธิบายวา จระเขนั้นหูไว หูนั้นระวังอยูที่จะฟงเสียง ตรับอยูที่จะฟงเสียง เมื่อซอน ตัวอยูในน้ําอันเปนวังนั้น ถาไดยินสําเนียงสัตวอันควรจะเปนภักษาหารแหงตน ปรากฏในประเทศที่ใด ก็โผนโลดไลไปในประเทศที่นั้น แลมีอุปมาฉันใด โสตประสาทนั้นก็ระวังอยูในที่จะฟงเสียง ตรับอยูที่ จะฟงศัพทสําเนียงตาง ๆ แตพอไดยินแววก็แลนถึง แลนไปในประเทศที่ปรากฏแหงสําเนียง มีอุปไมย ดังนั้น แลฆานประสาทนั้น ยอมนอมไปสูคันธารมณ อันเปนวิสัยแหงตนเปรียบประดุจปกษีชาติ อันมีจิตนอมไปในประเทศอากาศอันธรรมดานกนั้น มีอากาศเปนวิสัย มาตรแมนวาจะลงจับอยูที่พื้น ปฐพีก็ดี จับอยูที่พฤกษาลดาวัลย พนัสพนมไพรที่ใด ๆ ก็ดี ก็มีจิตประหวัดอยูในอากาศจะไดสละละ วางเสียซึ่งอากาศหามิได อันนี้แลมีอุปมาฉันใด ฆายนประสาทนั้น ก็อยูเฉพาะหนาคันธารมณจะไดเวน เสียซึ่งคันธารมณ อันเปนวิสัยแหงตนนั้นหาบมิไดมีอุปไมยดังนั้น แทจริงฆานประสาทนี้ ไมรูสละละเมินซึ่งกลิ่นใดอันหนึ่ง สุดแทแตกลิ่นมากระทบถึงแลว ก็ รับรองเอาเปนของแหงตนสิ้นทุกสิ่งทุกอัน กลิ่นเผ็ด กลิ่นรอน กลิ่นเปรี้ยว กลิ่นหวาน กลิ่นฝาด กลิ่น เบื่อ กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น สรรพกลิ่น นั้นแลฆานประสาทรับรองสิ้น ฆานประสาทจะไดเลือกไดเวนเสีย ซึ่งกลิ่นอันชั่ว ๆ เลือกเอาแตกลิ่นดี ๆ นั้นหาบมิได เพราะเหตุวากลิ่นนั้นเปนวิสัยแหงตน มีอุปมาดัง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 23 ปกษีชาติอันอากาศเปนวิสัยมิไดสละละวางเสียซึ่งอากาศนั้น แลชิวหาประสาทนั้น ยอมนอมไปสูรสารมณอันเปนวิสัยแหงตนเปรียบประดุจสุนัขบาน อันมีจิตนอมไปในบานอันเปนวิสัยแหงตน ธรรมดาวาสุนัขบานนั้น ยอมรักใครซึ่งถิ่นแหงตน ผูกพันใน ถิ่นแหงตน ถึงถิ่นแหงตนนั้นบังเกิดพิบัติดวยอันตรายพอใจที่จะไปจากถิ่นแหงตน สนัขรักถิ่นมีจิตนอม ไปในถิ่นแหงตน แลมีอุปมาฉันใด ชิวหาประสาทก็นอมไปสูรสารมณอันเปนวิสัยแหงตน มีอุปไมย ดังนั้น แลกายประสาทนั้น ยอมนอมไปสูโผฏฐัพพารมณอันเปนวิสัยแหงตน เปรียบประดุจดังสุนัข จิ้งจอก อันมีจิตนอมไปในปาชาผีดิบ ธรรมดาวาสุนัขจิ้งจอกนั้นยอมรักใครในปาชาผีดิบ ผูกพันอยูใน ปาชาผีดิบบมิไดวาง เพระเหตุที่ไดกินซากอสุภเปนอาหารมีอุปมาฉันใด กายประสาทนั้นก็นอมไปสู โผฏฐัพพารมณอันเปนวิสัยแหงตนมีอุปไมยดังนั้น สําแดงมานี้ โดยนัยพิสดารตามพระบาลี แตนี้จะเก็บเอาแตใจความมาวิสัชนาโดยสังเขป แตพอเปนอุปการะแกกุลบุตรผูมีศรัทธาบําเพ็ญเพียรในพระวิปสสนากรรมฐานนั้น แทจริงอุปาทายรูป ๒๔ ประการนั้น เมื่อจัดโดยนัยแหงพระอภิธัมมัตถสังคหะนั้นจัดเปนประสาทรูป ๕ วิสัยรูป ๔ ภาวะรูป ๒ หทัยรูป ๑ ชวิตรูป ๑ อาหารรูป ๑ ปริจเฉทรูป ๑ วิญญัติรูป ๒ วิการรูป ๓ ลักษณะรูป ๔ ประสาทรูป ๕ นั้นไดสําแดงแลวโดยนัยพิสดาร แลรูปซึ่งจะวิสัชนาไปในเบื้องหนา ตั้งแตวิสัยรูปไปนั้นจะสําแดง แตโดยนัยสังเขป นักปราชญพึงสันนิษฐานเถิดวา วิสัยรูป ๔ ประการนั้น ไดแกอารมณทั้ง ๔ ประการ คือ รู ปารมณประการ ๑ สัททารมณประการ ๑ คันธารมณประการ ๑ รสารมณประการ ๑ เปน ๔ ประการ ดวยกัน รูปารมณนั้นไดแกรูปสรรพสิ่งทั้งปวง รูปอันประกอบดวยวิญญาณก็ดี รูปอันหาวิญญาณบ มิไดก็ดี สุดแทแตเปนรูปควรจะเห็นเปนอารมณแหงจิต อันยุติในจักษุทวารแลว ก็ไดชื่อวารูปารมณสิ้น ดวยกัน แลสัททารมณนั้นไดแกเสียงสรรพสิ่งทั้งปวง เสียงเพราะก็ดี เสียงไมเพราะก็ดี เสียงสัตว อันประกอบดวยวิญญาณก็ดี เสียงฆอง เสียงเครื่องดุริยดนตรี พิณพาทยทั้งปวงก็ดี สุดแทแตวาเปน เสียงเปนอารมณแหงจิตอันยุติในโสตทวารแลว ก็ไดชื่อวาสัททารมณสิ้นดวยกัน แลคันธารมณนั้นไดแกสรรพสิ่งทั้งปวง กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น กลิ่นรอน กลิ่นเย็น กลิ่นสิ่งใด ๆ ก็ดี สุดแทแตวาเปนกลิ่นอันควรจะเปนอารมณแหงจิต อันยุติในฆานทวารแลวก็ไดชื่อวา คันธารมณ สิ้นดวยกัน แลรสารมณ ไดแกสรรพสิ่งทั้งปวง รสเปรี้ยว รสเค็ม รสเฝอนฝาด รสเผ็ด รสแสบ รสขม รส จืด รสหวาน รสสิ่งใด ๆ ก็ดี สุดแตวาเปนรสควรจะเปนอารมณแหงจิตอันยุติในชิวหาทวารแลว ก็ไดชื่อ วารสารมณสิ้นทั้งนั้น ประสมเขาดวยกันเปนอารมณ ๔ ประการ อารมณทั้ง ๔ ประการนี้ สมเด็จพระศาสดาจารย ตรัสเทศนาวาวิสัยรูป ๔ ประการ แลภาวะรูป ๒ ประการนี้ คืออิตถีภาวรูปประการ ๑ ปริสภาวรูปประการ ๑ เปน ๒ ประการ ดวย อิตถีภาวรูปนั้น บังเกิดเนื่อง ๆ กันอยูในสันดานแหงสตรีบมิไดรูขาดสาย อิตถีภาวรูปนี้ เปน ใหญในที่จะกระทําใหรูปกายเปนสตรีใหกิริยามารยาทอากัปปะอาการทั้งปวง เปนกิริยามารยาทอากัป ปะอาการแหงสตรี
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 24 ก็ฝายวาปุริสภาวรูปนั้น บังเกิดเนื่อง ๆ กันอยูในสันดานแหงบุรุษมิไดรูขาดสาย ปุริสภาวรูป นี้ เปนใหญในที่จะกระทําใหรูปกายเปนบุรุษ ใหกิริยามารยาทอากัปปะอาการทั้งปวงเปนกิริยามารยาท อากัปปะแหงบุรุษ ถาบุรุษจะกลายเปนสตรี ขณะเมื่อเพศจะกลับเปนสตรีนั้นปุริสภารูปดับไป บมิไดบังเกิดสิ้น ภาวะ ๑๗ ขณะจิต เมื่อปุริสภาวรูปดับไปแลวไมบังเกิดลวงไปไดถึง ๑๗ ขณะจิตแลวอิตถีภาวรูปจึง บังเกิดขึ้นในลําดับนั้น เมื่ออิตถีภาวรูปบังเกิดขึ้นแลว รูปก็กลายเปนสตรีไป กิริยามารยาทอากัปปะอาการทั้งปวง ก็กลายเปนสตรีไปในกาลนั้น ถาหญิงจะกลับเพศเปนชายเลา ขณะเมื่อเพศจะกลายเปนชายนั้นอิตถีภาวรูปก็ดับไป บ มิไดบังเกิดสิ้นภาวะ ๑๗ ขณะจิต เมื่ออิตถีภาวรูปดับลวงไปไมบังเกิดถึง ๑๗ ขณะจิตนั้นแลวปุริ สภาวรูปก็บังเกิดขึ้นในสันดาน ครั้นปุริสภาวรูปกายบังเกิดแลวรูปกายก็กลายเปนบุรุษ กิริยามารยาท อากัปปะอาการทั้งปวง ก็กลายเปนบุรุษสิ้นในกาลนั้น สตรีจะกลายเปนบุรุษนั้นอาศัยดวยกุศลมีกําลัง กุศลที่ตนไดรักษาศีล ๘ เวนจากเมถุน สังวาสนั้นก็ดี กุศลที่ตนไดรักษาศีลกาเมสุมิจฉาจารไมเอาใจออกนอกสามีนั้นก็ดี กุศลทั้งสองประการ นี้ ถามีกลาหาญอยูในสันดานสตรีภาพผูใด ถาสตรีภาพผูนั้นมีความปรารถนาที่จะเปนชาย ก็จะไดเปน ชายสําเร็จมโนรถความปรารถนากุศลกลามีกําลังแลว เพศสตรีนั้นก็จะกลับกลายเปนบุรุษไป กุศลนั้น เขาชักนํากําจัดเสียซึ่งอิตถีภาวรูปนั้นดับสูญไปแลว ก็ตกแตงปุริสภาวะใหเกิดขึ้นในสันดาน ใหรูปกาย แลกิริยามารยาท อากัปปะอาการทั้งปวงกลับกลายเปนบุรุษใหเห็นประจักษแกตาในอัตตภาพชาตินี้ เพศสตรีกลายเปนบุรุษนั้น มีเยี่ยงอยางแตปางกอนครั้งสมเด็จพระพุทธองค ยังทรงทรมาน มีพระชนมโปรดเวไนยสรรพสัตวอยูนั้น สตรีผูหนึ่งมีนามโคตรมิไดปรากฏในวาระพระบาลี สตรีผูนั้นมี ศรัทธาไปบวชเปนนางภิกษุณีในพระศาสนา อุตสาหะรักษาศีลบริสุทธิ์เปนอันดี นางภิกษุณีนั้น ครั้นวา มีจิตอันเบื่อหนายจากที่จะเปนสตรีภาพมีความปรารถนาจะใครเปนบุรุษ เมื่อมีความปรารถนาดังนั้น อาศัยดวยกุศลกลา อิตถีภาวรูปก็อันตรธานหาย ปุริสภาวรูปที่เปนใหญกระทําใหรูปกายเปนผูชายนั้นก็ บังเกิดขึ้นมาใหมทันใด นางภิกษุณีก็กลายเปนบุรุษไปในกาลนั้น ครั้นกลายเปนบุรุษไปแลว สมเด็จ พระพุทธองคก็ทรงกรุณาโปรดใหมาอยูกับภิกษุสงฆทั้งปวง ฝายขางบุรุษเลาที่กลายเปนสตรีนั้นก็มีมาแตปางกอน บุตรชายโสโรยเศรษฐี อยูในโสโรย นครแตครั้งกอน เมื่อสมเด็จพระพุทธองคยังทรงทรมานมีพระชนมโปรดเวไนยสรรพสัตวอยูนั้น บุตรชายเศรษฐีนั้นวันหนึ่งออกไปภายนอกพระพารา ลงไปสูทาเพื่อจะอาบน้ํา ไดเห็นพระมหากัจ จายนเถระทานยืนหมผาจีวรอยูในที่แหงหนึ่ง ก็บังเกิดความปรารถนาอันเปนบาปวา พระมหาเถระองค นี้รูปรางทานงามดีนักหนา ถาเปนภรรยาของอาตมานี้จะดีทีเดียว ขอหนึ่งภรรยาของอาตมานี้ ถามีรูป โฉมสีสัณฐพรรณอยางพระมหาเถระองคนี้จะดีทีเดียว เมื่อจิตคิดลาลมแตเทานี้ ปุริสภารูปนั้นก็อันตรา ธานหาย รูปกายก็กลายเปนสตรีไปในขณะบัดเดียวนั้น ครั้นกลายเปนสตรีไปแลว ก็หนีไปสูเมืองตัก กศิลา ไปอยูเปนภรรยาของบุตรชายเศรษฐีเมืองตักกศิลา อยูจําเนียรนานมาเบื้องหนาไดพบกันกับ สหายใหสหายไปอาราธนานิมนตพระมหากัจจายนเถระมาฉัน กระทําอภิวันทนบนอมนมัสการขอ ประทานโทษ ครั้นพระมหาเถระเจาโปรดใหอภัยโทษแลวอิตถีภาวรูปก็อันตรธานหาย ปุริสภาวรูปที่ เปนใหญในที่กระทําใหเปนผูชายนั้นจึงบังเกิดขึ้น กระทําในรูปกายเปนผูชายคงคืนดังเกา วามาทั้งนี้ จะใหเห็นวาหญิงจะกลายเปนชายนั้น อาศัยดวยกุศลมีกําลัง ฝายผูชายจะ กลายเปนหญิงนั้น ก็อาศัยดวยมีความประมาทพลาดพลั้งลงที่ใดที่หนึ่งแลว เพศก็กลายเปนสตรีไป บุรุษจะเปนสตรีนี้มีงาย สตรีจะใครเปนผูชายนั้นเปนอุดมเพศ เปนเพศอันอุดม บุคคลอันปรารถนา ปจเจกภูมิ แลพุทธภูมินั้น จะสําเร็จก็อาศัยดวยอยูในเพศเปนบุรุษ ๆ นั้น จึงสรางบารมีปรารถนาพุทธ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 25 ภูมิปจเจกภูมินั้นก็ได ถาเปนสตรีเพศอยูแลว จะสรางบารมีปรารถนาพุทธภูมิ ปจเจกภูมินั้นขัดอยู ให ปรารถนาเปนบุรุษเสียกอนครั้นไดเปนบุรุษแลวจึงใหปรารถนาพุทธภูมิ ปจเจกภูมิ ความปรารถนาจึงจะ สําเร็จ ถาไมปรารถนาเปนบุรุษกอน แลปรารถนาตรงเอาพุทธภูมิ ปจเจกภูมินั้น ความปรารถนาไม สําเร็จ เหตุฉะนี้จึงวาเพศบุรุษนั้นไดชื่อวาอุดมเพศ อุดมกวาเพศสตรีพึงเขาใจเถิดวาพรรณนามาทั้งนี้ จะใหเห็นแจงวา อิตถีภาวรูปนั้นเปนใหญที่จะตกแตงใหรูปกายเปนบุรุษ แลหทัยรูปนั้นพึงเขาใจวาไดแกหทัยวัตถุเนื้อหัวใจนั้น แลเรียกวาหทัยรูป เนื้อหัวใจนั้นเดิมที ก็จัดเขาใจหมวดปฐวีธาตุจัดเปนมหาภูตรูปแลว มาภายหลังจัดเปนหทัยรูปเลาอาศัยเหตุอันใด อาศัย วาเนื้อหัวใจนั้นเปนที่ตั้งวิญญาณ เปนใหญกวาเนื้อทั้งปวงวิเศษแปลกกวากอนเนื้อทั้งปวงนั้นแลทาน จึงจัดเปนหทัยรูป ดวยสามารถจะใหเห็นแปลกกันนั้น แลชีวิตรูปนั้นจะไดแกสิ่งอันใด ชีวิตรูปนั้น ไดแกรูปชีวิตินทรียสําแดงโดยประเภท ชีวิตินทรียนี้มี ๒ ประการ คือรูปชีวิตินทรียประการ ๑ อรูปชีวิตินทรียประการ ๑ เปน ๒ ประการฉะนี้ อรูปชีวิตินทรียนั้น ประการ ๑ ชื่อวาอรูปชีวิตินทรีย
ไดแกจิตแลเจตสิก
แตบรรดาจิตแลเจตสิกนั้นทานจัดเปนอินทรีย
แลอาการ ๓๒ อันประชุมกันนั้น ทานก็จัดเปนอินทรียประการ ๑ ชื่อวารูปชีวิตินทรีย รูป ชีวิตินทรียนี้แล ทานยกขึ้นเปนรูปประการ ๑ ชื่อวาชีวิตรูป แทจริงอาการ ๓๒ นี้ เมื่อเรียกแตละอยาง ๆ ก็มีชื่อตาง ๆ กัน ชื่อวาผม ชื่อวาเล็บ ชื่อวาฟน เปนตน ครั้นวาจัดเปนหมวด ๆ กัน ก็เรียกวาปฐวีธาตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ ครั้นวาธาตุทั้ง ๔ ประการ ประชุมกันเขาเปนอันหนึ่งอันเดียว ก็เรียกวารูปชีวิตินทรีย มีครุวนาดุจวา รถ ๆ นั้นเมื่อเรียกแตละสิ่ง ๆ ก็เรียกวางอน วาเอก วาแปรก วาดุม วาเพลา วากํา วากง ครั้นเรียกรวมกันเขาก็เรียกวาราชรถอันนี้มี ฉันใด อาการ ๓๒ นั้นเมื่อเรียกเรียงออกไป ก็ไดนามชื่อวาผม ชื่อวาขน ชื่อวาเล็บ ชื่อวาฟนเปน ตน ครั้นจัดเปนหมวดเขาก็เรียกวา ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ครั้นรวมกันเขาสิ้นทั้งนั้น ก็ เรียกชื่อวา ชีวิตรูป อุปไมยดังทัพพะสัมภาระทั้งปวงมีกํามีกงเปนตน อันประชุมกันแลว และไดนาม ปรากฏวา ราชรถนั้น ทีนี้จะวาดวยอาหารรูปสืบตอไป อาหารรูปนั้นไดแกกวฬิงการาหาร คือสิ่งของที่เราทาน บริโภคทุกวันนี้ ขาวและน้ําขนมของกินมัจฉะมังสะทั้งปวงนี้ จัดเปนรูปประการ ๑ ชื่อวาอาหารรูป แต ทวาเมื่อยังไมไดบริโภคนั้น ยังไมไดชื่อวาอาหารรูปกอน ตอเมื่อไดบริโภคแลวอาหารนั้นซับซาบไป แลว จึงไดชื่อวาอาหารรูป โอชะแหงอาหารอันซับซาบไปทั่วสกลกายนั้น ซาบทั่วเมื่อเพลาปุจจุสมัย คือเวลาจะใกล รุงนั้นแลเปนเพลาอาหารซับซาบทั่วสกลกาย โอชะอาหารนั้นซาบไปทั่วทั้งขุมผมและขุมขน เหตุ ดังนั้นบุคคลทั้งปวงจึงนอนเปนสุขในเวลาจะใกลรุงนั้นยิ่งกวาเพลาทั้งปวง จะฝนเห็นเลา ฝนในเวลาจะใกลรุงและแกเพลาทั้งปวง เหตุวามีความสบาย เพราะโอชะ อาหารซับซาบทั่วทั้งสกลกายนั้น มีครุวนาดังพฤกษาชาติตนไมทั้งหลายอันงามประหลาดเมื่อเพลาจะ ใกลรุง ธรรดาวาตนไมนี้งามในเพลาจะใกลรุงนั้นยิ่งกวาเพลาทั้งปวง เหตุวาเพลาจะใกลรุงนั้นรส แผนดินซับซาบทั่วทุกกิ่งนอยกิ่งใหญ ใบออนและใบแกทั้งปวง รสแผนดินนั้นจําเดิมแตหัวค่ําก็ซับซา บขึ้นไปโดยลําดับ ซาบไปในลําตนแลวก็ซาบไปในกิ่งใหญ ๆ ครั้นแลวก็ซับซาบไปในกิ่งนอย ๆ ซา บออกไป ๆ เมื่อถึงซึ่งเพลาปจจุสมัยก็ซาบไปทุกใบทุกกานนั้นแล ตนไมจึงมีสีอันงามหนักหนาใน เพลานั้น ครั้นวารุงขึ้นแลว รสแผนดินก็ถอยลงมา ๆ จากใบแลวก็ถอยลงมาจากกิ่ง ถอยลงมาจากลํา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 26 ตนลงไป ๆ ตราบเทาถึงแผนดินตอเพลาค่ําลงอีกเลา รสแผนดินนั้นจึงกลับซับซาบขึ้นไปเหมือนใน หนหลัง ตนไมตนใดรสแผนดินซับซาบอยู ตนไมนั้นมีสัณฐานพรรณในกานงามเปนที่นํามาซึ่งความ เลื่อมใส ตนไมตนใดรสแผนดินซับซาบไปมิไดทั่ว ตนไมนั้นก็มีใบกานอันเหี่ยวแหงคร่ําครา ถึงซึ่ง สภาวะแกเฒาชราตายยืนตนอยูก็มี เปนทั้งนี้เพราะรสแผนดินมิไดซาบกันขึ้นไป “เสยฺยถา” อันนี้แล มีฉันใด กายแหงเราทานทั้งปวง เมื่ออาหารซับซาบอยูทั่วก็จําเริญครัดเครงอยูโดยสิริสวัสดี ครั้น อาหารซับซาบไปมิไดทั่วแลว ก็เหี่ยวแหงคร่ําคราถึงภาวะแกเฒาชราทุพพลภาพทุกสสิ่งทุกประการ เมื่อหนุมเมื่อสาวอยูนั้นถึงนอนก็หลับสนิทแรงก็มาก ผิวเนื้อก็ครัดเครงเปลงปลั่งอยู เนื้อทั้งปวงอาศัย ดวยอาหารซับซาบอยูทั่วทุกขุมขนและขุมผม ครั้นวาลวงเขาปจฉิมวัยอาหารก็ไมซับซาบเหมือนแต กอนแลว นอนก็มิใครจะหลับ ผมที่ดําก็กลับขาว เนื้อหนังที่เครงครัดก็เหี่ยวแหงหดหูเปนเกลียว เรี่ยวแรงนั้นก็ทุพพลภาพลดถอยนอยไป อาศัยแกอาหารไมซับซาบเปนปกติอยางแตกอน มีอุปมาดัง ตนไม อันรสแผนดินมิไดซับซาบทั่วไป และมีใบกานอันคร่ําเครงเหี่ยวแหงไปดูมิไดงามแกตาโลกทั้ง ปวงนั้น อาหารนี้เปนใหญในที่จะอุปถัมภค้ําชูซึ่งรูป เหตุฉะนี้ทานจึงจัดเปนรูปอันหนึ่ง ชื่อวาอาหาร รูป และปริจเฉทรูปนั้นจะไดแกสิ่งอันใด ปริจเฉทรูปนั้นไดแกอากาศธาตุ อากาศนั้นแปลวา เปลา ธาตุนั้นแปลวาธาตุ พึงเขาใจเถิด วา บรรดาที่เปลา ๆ อยูในกายแหงเราทั้งหลายคือชองหูชองปากชองจมูกเปนอาทิ นี้แลเรียกวา อากาศธาตุ แตบรรดาชองเปลา ๆ อยูในกายนี้ ไดชื่อวาอากาศธาตุทั้งสิ้น อากาศธาตุนี้จัดเปนรูป ประการ ๑ ชื่อวาปริจเฉทรูป และวิญญัติรูป ๒ ประการ คือ กายวิญญัติประการ ๑ วจีวิญญัติประการ ๑ กายวิญญัตินั้น ไดแกกายแหงเราทานทั้งปวง อันหวั่นไหวอยูในอิริยาบถทั้ง ๔ คือขณะเมื่อ นั่งลงก็ดีลุกขึ้นก็ดีนอนลงก็ดี ขณะเมื่อเที่ยวนั้นก็ดี ไดชื่อวาวิญญัติสิ้นทั้งนั้น สุดแทแตวาไหวกาย ขณะใดขณะนั้นก็ไดชื่อวากายวิญญัติ และวจีวิญญัตินั้น ไดแกวาจาที่เปลงออกขณะเมื่อพูดจาปราศรัยเจรจาไปเจรจามาก็ดี ขณะ เมื่อขับเมื่อรองเมื่อสวดเรียนวากลาวสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ดี ไดชื่อวาวิญญัติทั้งสิ้น สุดแทแตออกวาจาขณะ ใดขณะนั้นก็ไดชื่อวาวจีวิญญัติ กายวิญญัติและวจีวิญญัติ ๒ ประการนี้ ทานจัดเปนวิญญัติรูป ๒ ประการ และวิการรูป ๓ ประการนั้น คืออันใดบาง วิการรูป ๓ ประการนั้น คือ รูปสสลหุตาประการ ๑ รูปสสมุทุตาประการ ๑ รูปสสกัมมัญญตา ประการ ๑ เปน ๓ ประการดวยกัน รูปสสลหุตานั้น แปลวา ความเบาแหงรูป อธิบายวา ขณะเมื่อเราทานทั้งปวงจะกระทําการกุศลก็ดี จะกระทําการอกุศลก็ดี และมีกาย อันเบาประหลาดขึ้น กายนั้นเบาวองไวอยูในที่จะกระทําการทั้งปวงนั้น ไดชื่อวารูปสสลหุตา และรูปสสมุทุตานั้น แปลวา ความออนแหงรูป
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 27 อธิบายวา รูปกายอันมิไดกระดางกระเดื่องอยูในที่กระทําการทั้งปวง กระทําการทั้งปวงนั้น ไดชื่อวารูปสสมุทุตา
ออนนอมไปในที่
และรูปสสกัมมัญญตานั้น แปลวา ดีในการแหงรูป อธิบายวา เมื่อเราทานกระทําการสรรพสิ่งทั้งปวงนั้น ถามีกายอันสบายอยูในที่กระทําการ ไมฉุกเฉินยับเยินไปดวยทุกขภัยในที่อันใดอันหนึ่ง กายนั้นดีอยูในที่กระทําการ ควรอยูในการไมเปน อันตรายอันใดอันหนึ่งนั้นแล ไดชื่อวารูปสสกัมมัญญตา พึงเขาใจเถิดวา รูปสสลหุตา รูปสสมุทุตา รูปสสกัมมัญญตา ๓ ประการนี้ ทานจัดเปนวิการ รูป ๓ ประการ แลลักษณะ ๔ ประการนั้น คืออันใดบาง ลักษณะรูป ๔ ประการ คือ รูปสสอุจจโยประการ ๑ รูปสสัตติประการ ๑ รูปสสชรตาประการ ๑ รูปสสอนิจจตาประการ ๑ เปน ๔ ประการดวยกัน รูปสสอุจจโยนั้น กอใหเกิดแหงรูป อธิบายวา รูปใดเกิดขึ้นในเดิมแรกเมื่อตั้งปฏิสนธิ รูปอันนั้นไดชื่อวาอุจจยรูป และสันตติรูปนั้น ไดแกรูปอันบังเกิดสืบ ๆ ใหใหญวัยเปนหนุมเปนสาว รูปอันใดบังเกิดสืบ ตอใหใหญใหวัยเปนหนุมเปนสาวนั้น รูปอันนั้นไดชื่อวาสันตติรูป และชรตารูปนั้น ไดแกรูปอันแกเฒาชราคร่ําคราลง รูปกายแหงเราทานทั้งหลาย อันแก เฒาชรา ตามืด หูหนัก ฟนหัก แกมตอบ สันหลัง ขอถดถอยกําลัง เนื้อหนังหดหูเปนเกลียวนั่นแลได ชื่อวาชรตารูป แลอนิจจตารูปนั้น คือ รูปอันไมเที่ยงเกิดแลวและถึงซึ่งสถาวะฉิบหายทําลายไป พึงเขาใจ เถิดวารูปทั้งปวงอันมีนัยดังพรรณนามาฉะนี้ ไดชื่อวาอุปทายรูป เหตุวาอาศัยซึ่งมหาภูตรูปทั้ง ๔ ประการ แลวจึงบังเกิดมี และรูปทั้งหลายนี้ “อตีตํ วา” ที่ลวงไปแลวกอน ๆ นั้นไดชื่อวาอดีตรูป “อนาคตํ วา” รูปอันจะบังเกิดสืบไปในภายหนานั้น ไดชื่อวาอนาคตรูป “ปจฺจุปฺปนฺนํ วา” รูปอันบังเกิดขึ้นในปจจุบันนั้น ไดชื่อวาปจจุบันรูป “อชฺฌตฺตํ วา” รูปที่บังเกิดในภายใน คือประสาททั้ง ๕ มีจักษุประสาทเปนตน มีกาย ประสาทเปนปริโยสานนั้น ไดชื่อวาอัชฌัตตรูป อัชฌัตตรูปนั้น แปลวารูปภายใน ประสาททั้ง ๕ คือ จักษุประสาท โสตประสาท ฆาน ประสาท ชิวหาประสาท กายประสาทนั้นประดิษฐานอยูภายใน อาศัยเหตุดังนั้น จึงไดชื่อวาอัชฌัตตรูป “พหิพฺธา วา” และรูปนอกจากประสาททั้ง ๕ นั้น ไดชื่อวาพหิทธารูป อธิบายวา เปนรูปภายนอกไมประดิษฐานในภายในเหมือนประสาททั้ง ๕ เหมือนอยาง หัวใจ ตับ ปอด และมาม ไสนอย ไสใหญทั้งปวงนั้น ก็ตั้งอยูในภายในตน แตทวาไมเปนภายใน เหมือนดวยประสาททั้ง ๕ เหตุดังนี้ทานจึงไมจัดเปนอัชฌัตตรูป ทานจัดเปนอัชฌัตตรูปเปนรูปภายใน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 28 นั้น แตประสาททั้ง ๕ นอกกวานั้นทานจัดเปนพหิทธารูปสิ้นทั้งนั้น “โอฬาริกํ วา” และรูปที่หยาบ ๆ คือรูปารมณประการ ๑ สัททารมณประการ ๑ คันธารมณ ประการ ๑ รสารมณประการ ๑ ปฐวีธาตุประการ ๑ เตโชธาตุประการ ๑ วาโยธาตุประการ ๑ เปน ๗ ประการดวยกัน เอาประสาททั้ง ๕ มาใสเขาดวยเปน ๑๒ รูป ทั้ง ๑๒ ประการนี้ไดชื่อวาโอฬาริกรูป วา เปนรูปอันหยาบ “สุขุมํ วา ” และรูปนอกออกไปกวา ๑๒ ประการนี้ ไดชื่อวาสุขุมรูป แปลวารูปอันละเอียด “หีนํ วา” รูปที่ชั่ว ๆ นั้นไดชื่อวาหีนรูป “ปณีตํ วา” รูปที่งาม ๆ ดี ๆ ไดชื่อวาปณีต รูป “ยํ ทูเร วา สนฺติเก วา” รูปที่อยูไกล ๆ นั้นไดชื่อวาทูเรรูป รูปที่อยูใกลนั้นไดชื่อวาสันติเกรูป “ตเทกชฺฌํ อภิสฺูหิตฺวา” สมเด็จพระมหากรุณาประมวลรูปทั้งปวงเขาเปนหมูหมวด เปนกองอันเดียว จึงใหชื่อวารูปขันธ “เกนตฺเถน” เหตุใดจึงไดชื่อวารูป อธิบายวา ธรรมดาอันชื่อวารูป ๆ นี้ อาศัยดวยรูฉิบหายดวยรอนเย็น รูฉิบหายดวยความ อยากขาวอยากน้ํา รูฉิบหายดวยโรคาพยาธิตาง ๆ นานา ไดสําแดงรูปขันธโดยสังเขปแตเทานี้ แตนี้จะแสดงวิญญาณขันธสืบตอไป และวิญญาณขันธนั้น ไดแกจิต ๘๙ โดยสังเขป พิศดาร ๑๒๑ ที่จัดจิต ๘๙ โดยสังเขปนั้น จัดเปนกามาพจรจิต ๕๔ รูปาพจรจิต ๑๕ อรูปาพจรจิต ๑๒ โลกุตตรจิต ๘ ประสมเขาดวยกันเปน ๘๙ ดวง และกามาพจร ๕๔ นั้นจัดเปนอกุศลจิต ๑๒ ดวง คือเปนโลภมูล ๘ โทสมูล ๒ โมหมูล ๒ เปน ๑๒ ดวงดวยกัน โลภมูล ๒ ดวงนั้น จัดเปนทิฏฐิสัมปยุต ๔ ดวง อยางไรจึงเรียกวา ทิฏฐิสัมปยุต อธิบายเปน ประการใด อธิบายวา จิตอันประกอบดวยความหวงแหนในสิ่งของทั้งปวงอันประกอบดวยวิญญาณและ วิญญาณมิได มีความรักใครในสิ่งของทั้งปวงนั่นมั่นคง ความรักนั้นตรึงตราอยูมีครุวนาดุจเขมากับ น้ํามันยางอันตรึงตราอยูที่ผาสาฎกอันขาว จะยกสิ่งของ ๆ ตนออกทําบุญใหทานนั้นยกแแกมิได ถา เห็นสิ่งอันใดเปนของ ๆ เขาแลว ดําริแตจะนอมเอามาเปนของ ๆ ตน ความโลภเห็นปานดังสําแดงมา ฉะนี้ไดชื่อวาทิฏฐิสัมปยุต มีสิ่งของสิ่งใดแลวถือมั่นวาของ ๆ เรา ๆ มิใหกระจัดกระจาย ไมใหผูใดผูหนึ่ง เปนอยางนั้น แลพึงเขาใจเถิดวา โลภจิตเปนทิฏฐิสัมปยุต ๆ นั้น แปลวาประกอบ โลภจิตดวงใดมีทิฏฐิประกอบ โลภ จิตดวงนั้นไดชื่อวา ทิฏฐิสัมปยุต ทิฏฐินั้นแปลวาเห็น ทิฏฐิบังเกิดดวยโลภจิต ยอมใหเห็นไปในที่จะ นอมเอาของ ๆ ทานมาเปนของ ๆ ตนใหเห็นแตจะได พึงเขาใจวาจิตที่โลภเห็นจะไดมิไดคิดหนาคิดหลัง มิไดหยุดมิไดยั้งผูกพันมั่นคงที่จะรักใคร ได ชื่อทิฏฐิสัมปยุต และทิฏฐิวิปปยุตนั้น แปลวาปราศจากทิฏฐิ แตโลภก็โลภอยูอยางนั้น ทิฏฐิไมประกอบดวยก็
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 29 ไดชื่อวาทิฏฐิวิปปยุต โลภก็โลภอยูแตทวาไมเห็นแตจะไดอยางเดียว ถอยหนาถอยหลังหยุดรั้งยั้งอยูนั้น ไดชื่อ วาทิฏฐิวิปปยุต พึงเขาใจเอาแตกระทูความเถิดวา โลภจิตดวงใดประกอบดวยทิฏฐิโลภจิตดวงนั้นไดชื่อ วาทิฏฐิสัมปยุต โลภจิตที่หาทิฏฐิบังเกิดประกอบมิไดนั้น ไดชื่อวาทิฏฐิวิปปยุต แลโลภจิตที่เปนทิฏฐิสัมปยุต ๔ ดวงนั้น จัดเปนโสมนัส ๒ ดวง คือขณะเมื่อโลภเจตนา บังเกิด และไปทําอกุศลกรรมตาง ๆ ตามที่เจตนานั้น ถามีความชื่นชมโสมนัสรื่นเริงไปในที่กระทําบาป นั้น ไดชื่อวาโสมนัสสัมปยุต ยินดีในการโลภนั้นไดชื่อวาโสมนัสสัมปยุต ถาโลภอยูกระนั้น ไมชื่นชมยินดีในการโลภ โลภเฉย ๆ อยูกระนั้นไดชื่อวาอุเบกขาสัมปยุต และโลภจิตที่เปนทิฏฐิวิปปยุต ๔ ดวงเทานั้น ก็เปนโสมนัส ๒ ดวง เปนอุเบกขา ๒ ดวง เหมือนกับทิฏฐิสัมปยุต ตกวาในโลภมูลที่สัมปยุตดวยอุเบกขานั้น คือเปน ๔ ดวงดวยกัน ทีเ่ ปน โสมนัสสัมปยุตนั้นก็เปน ๔ เหมือนกันกับอุเบกขา และโลภมูลอันสัมปยุตดวยอุเบกขานั้น จัดเปนสสังขาริก ๒ ดวงเปน อสังขาริก ๒ ดวง คือขณะเมื่อบังเกิดโลภเจตนานั้น ถาบังเกิดดวยมีผูใดผูหนึ่งมาชักชวน มีผูใดผูหนึ่งมา ชักชวนแลว จึงบังเกิดโลภอยางนั้นไดชื่อวาสสังขาริก ถาหาผูชวนมิไดน้ําใจกลาหาญบังเกิดโลภดวย ลําพังใจเองนั้น ไดชื่อวาอสังขาริก แลโลภมูลที่เปนโสมนัสสัมปยุต ๔ ดวงนั้น ก็จัดเปนสสังขาริก ๒ เปนอสังขาริก ๒ ดวง เหมือนกันกับที่เปนอุเบกขา ผูมีปญญาพึงสันนิษฐานวาโลภมูลที่ทานตั้งไวแลว ทานจึงเอาทิฏฐินั้นผาเปน ๒ ออกไป ดวยสามารถเอาทิฏฐิผา ครั้นแลวเอาเวทนา คือโสมนัสแลอุเบกขานั้นมาผาอีกเลา ที่เปน ๒ อยูนั้นจึง เปน ๔ ออกไป ครั้นแลวทานจึงเอาสังขารคือสังขาริกแลอสังขาริกนั้นมาผาอีกเลา ที่เปน ๔ อยูน้น ั จึง ๘ ออกไป จึงนับโลภมูลได ๘ ดวงดุจพรรณนามานี้ แลโทสมูล ๒ ดวงนั้น จัดเปนสสังขาริกดวง ๑ อสังขาริกดวง ๑ โทสมูลที่เปนสสังขาริกนั้นอธิบายวา จิตนั้นมิไดกริ้วโกรธดวยลําพังตนเอง ตอมีผูมาวานั่น ๆ นี่ๆ ยุยงไป ใจนั้นจึงกลาหาญขัดเคืองกริ้วโกรธขึ้นเมื่อภายหลัง มีความโกรธดวยสามารถมีผูยุยง อยางนี้ ไดชื่อวา สสังขริก แลอสังขาริกนั้น คือจิตนั้นกลาหาญโกรธดวยลําพังดวยกําลังใจตัวเอง หาผูยุยงมิได โกรธ เองหาผูยุยงมิไดนั้น ไดชื่อวาอสังขาริก ประสมเขาเปนโทสมูล ๒ ดวงดวยกัน แลโมหมูล ๒ ดวงนั้นเลาจัดเปนวิจิกิจฉาสัมปยุตดวง ๑ อุทธัจจสัมปยุตดวง ๑ วิจิกิจฉาสัมปยุตดวยโมหะนั้นเมื่อเกิดแลว ก็ใหสงสัยสนเทหไปในคุณพระรัตนตรัย สงสัยไปในผลศีลผลทานผลแหงความเจริญภาวนา สดับฟงพระสัทธรรมเทศนา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
ให
- 30 แลอุทธัจจสัมปยุตนั้น เมื่อบังเกิดแลวก็ใหอารมณลุมหลงฟุงซานไปในการกุศลทั้งปวง ผสมเขาดวยกันเปนโมหมูล ๒ โทสมูล ๒ โลภมูล ๘ เขาดวยกันจึงเปนอกุศล ๑๒ ดวง แลวิบากจิต ๒๓ ดวงนั้น จัดเปนกุศลวิบากอเหตุ ๘ อกุศลวิบาก ๗ มหาวิบาก ๘ เปนวิบาก ๒๓ ดวงดวยกัน กุศลวิบากอเหตุ ๘ ดวงนั้น คืออุเบกขาสหคตจักขุวิญญาณดวง ๑ อุเบกขาสหคตโสต วิญญาณดวง๑อุเบกขาสหคตฆานวิญญาณดวง ๑ อุเบกขาสหคตชิวหาวิญญาณดวง ๑ สุขสหคตกาย วิญญาณดวง ๑ สัมปฏิจฉันนะดวง ๑ อุเบกขาสันตีรณะดวง ๑ โสมนัสสสันตีรณะดวง ๑ เปน ๘ ดวง ดวยกัน อุเบกขาสหคตจักษุวิญญาณจิตนั้น มีลักษณะใหรูจักซึ่งรูปวาดีแลชั่วงามแลบมิงาม อันจะ รูจักรูปสรรพสิ่งทั้งปวง ยอมรูดวยจักขุวิญญาณจิตดวงนี้ ๆ สหคตเกิดพรอมดวยอุเบกขาเวทนา เปนจิต สําหรับอยูในจักษุทวารวิถี ถารูปมาปรากฏแจงแกจักษุแลวเมื่อใดจักษุวิญญาณนี้ก็เขารับเปนพนักงาน ใหรูซึ่งรูปในกาลเมื่อนั้น เมื่อเราทานทั้งหลายทั้งปวงเห็นรูปนั้นเห็นดวยจักษุประสาท เมื่อรูจักรูปนั้น รูจักดวยจักขุวิญญาณจิต แลอุเบกขาสหคตโสตวิญญาณนั้นเลา มีลักษณะใหรูจักเสียงสรรพสิ่งทั้งปวง โสตวิญญาณ จิตอันสหคตดวยอุเบกขาดวงนี้เปนจิตสําหรับเกิดในโสตทวานวิถี ถาเสียงมากระทบโสตประสาทแลว กาลเมื่อใด โสตวิญญาณก็เขาเปนพนักงานใหรูจักซึ่งเสียงในกาลเมื่อนั้นเมื่อเสียงมาหระทบประสาท นั้นเราทานทั้งปวงไดยินดวยอํานาจโสตประสาท ไดยินแลวแลจะรูวาเสียงนั้นรูดวยวิญญาณ จะรูดวย โสตประสาทนั้นหาบมิได โสตประสาทนั้นเปนพนักงานแตที่จะใหไดยินเทานั้น โสตแลวิญญาณนี้แล เปนพนักงานใหรูจักเสียง แลอุเบกขาสหคตฆานวิญญาณนั้น เปนพนักงานใหรูจักกลิ่นเปนจิตอันบังเกิดสําหรับฆาน ทวารวิถี ถากลิ่นมากระทบฆานประสาทแลวกาลเมื่อใด ฆานวิญญาณก็เขารับเปนพนักงานใหรูจักกลิ่น ในกาลเมื่อนั้น แลฆานประสาทนั้นเปนพนักงานแตที่จะมิใหจมูกนั้นคัด ใหจมูกนั้นดีปกติอยูเปน พนักงานแตเทานั้น ที่จะรูจักกลิ่นนั้นเปนพนักงานแหงฆานวิญญาณตางหาก ไมเปนพนักงานแหงฆาน ประสาท แลชิวหาวิญญาณอันสหคตอุเบกขานั้น พึงเขาใจเถิดวาจิตดวงนี้บังเกิดสําหรับอยูในชิวหา ทวารวิถี ถาลิ้นถูกตองรสแลวกาลเมื่อใด ก็เขาเปนพนักงานใหรูจักรสในกาลเมื่อนั้น จะรูจักรสนั้นรูดวย สามรถชิวหาวิญญาณจิต ชิวหาประสาทนั้นเปนพนักงานแตที่จะบํารุงลิ้นไวมิใหลิ้นนั้นเสียเปน พนักงานแตเทานั้น จะเปนพนักงานใหรูจักรสดวยนั้นหาบมิได แลกายวิญญาณ อันสหคตสุขเวทนานั้นเลา พึงเขาใจเถิดวาจิตดวงนี้สําหรับอยูในกายทวาร วิถี เปนพนักงานใหรูจักซึ่งสิ่งอันตนสัมผัส จะรูจักซึ่งสิ่งอันตนสัมผัสวาออนกวากระดางวาละเอียดวา หยาบนั้น อาศัยกายประสาทเปนที่ตั้ง แตทวาที่รูนั้นดวยกายวิญญาณ กายประสาทนั้นเปนพนักงานแต ที่จะบํารุงไวมิใหเปนเหน็บชามิใหกายนั้นตายไป ใหกายนั้นดีอยูเปนปกติ เมื่อกายอยูดีเปนปกติไม เหน็บชา ดวยสามารถกายประสาทนั้นสัมผัสมาถูกตองกายในกาลเมื่อใด กายวิญญาณก็เขารับเปน พนักงานใหรูวาออนวากระดางวาละเอียดวาหยาบในกาลเมื่อนั้น ผูมีวิจารณปญญา พึงสันนิษฐานเขาใจเถิดวา เมื่อรูปมาปรากฏแจงแกจักษุแลว แลเราทาน ทั้งปวงจะเห็นรูปนั้น เห็นดวยจักษุประสาท จะรูวาขาววาเขียววาเหลืองวาแดงวาหมนนั้น รูดวยอํานาจ สัญญา จะรูจักวาขาวคือสิ่งนั้น ๆ เขียวคือสิ่งนั้น ๆ แดงเปนสิ่งนั้น เหลืองเปนสิ่งนั้น ดําเปนสิ่งนั้น หมน เปนสิ่งนั้น จะรูจักวาสิ่งนี้ ๆ ดวยอํานาจจักษุวิญญาณ จะรูวาดํานอยดํามากชั่วดีงามมิงามนั้นอาศัยแก
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 31 ปญญา รูดวยอํานาจปญญา ขณะเมื่อมีเสียงมาปรากฏแกโสตนั้นเลา จะไดยินเสียงนั้นอาศัยแกโสตประสาท ไดยินแลว แลจะรูวาสิ่งนั้น ๆ เสียงคนนั้น ๆ จะรูฉะนี้ รูดวยสามารถสัญญา จะรูวาเสียงแข็งเสียงออนเสียงหวาน นั้นรูดวยสามารถวิญญาณ จะรูเสียงเพราะแลมิไดเพราะ เสียงกลมแลมิไดกลมมีกระแสมาก มีกระแส นอย จะรูวิเศษฉะนี้ รูดวยสามารถปญญา ขณะเมื่อกลิ่นมาปรากฏแกฆานประสาทนั้นเลา เราทานทั้งปวงจะรูวากลิ่นเหม็นกลิ่นหอม นั้น รูดวยอํานาจสัญญา จะรูจักวากลิ่นเหม็นนี้เปนกลิ่นสิ่งนั้น กลิ่นหอมนี้เปนกลิ่นสิ่งนั้น ๆ จะรูฉะนี้ดวย อํานาจวิญญาณ จะรูวากลิ่นหอมอยางนี้เปนกลิ่นดี อยางนี้เปนกลิ่นอยางกลาง อยางนี้เปนกลิ่นอยาง ต่ํา จะรูวิเศษฉะนี้รูดวยสามารถปญญา ขณะเมื่อรสมาถูกตองซึ่งชิวหานั้นเลา เราทานทั้งปวงจะรูวาเปรี้ยวเค็มฝาดเฝอนเผ็ดรอน หวานขมนั้น อาศัยแกชิวหาประสาทเปนที่ตั้ง แตทวาที่รูนั้นจะดวยสามารถลําพังชิวหาประสาทนั้นหา มิได จะรูรสวาขมหวานเปรี้ยวเค็มฝาดเฝอนนั้น รูดวยสามารถสัญญาจะรูจักรสเปรี้ยวนี้เปนรสสิ่งนั้น ๆ รสเค็มนี้เปนรสสิ่งนั้น ๆ จะรูฉะนี้ดวยวิญญาณ จะรูวารสขมเชนนี้มีคุณอยางนั้นมีโทษอยางนั้น ชอบ โรคสิ่งนั้น ไมชอบโรคสิ่งนั้น จะรูวิเศษอยางนี้ รูดวยสามารถดวยปญญา ขณะเมื่อถูกตองสิ่งหนึ่งสิ่งใดเขา แลจะรูวาหยาบวาเละเอียดวาออนกวากระดาง จะรูวาสิ่ง นั้น ๆ รูดวยอํานาจสัญญา แลวิญญาณจะรูวาสิ่งนั้นถาไดสัมผัสถูกตองแลว จะเปนคุณหรือโทษอยาง นั้นจะรูวิเศษฉะนี้รูดวยอํานาจปญญา เปนใจความวาจิตทั้ง ๕ มีอุเบกขาสหคตจักขุวิญญาณเปนตน มีสุขสหคตวิญญาณเปน ปริโยสานนี้ เปนจิตบังเกิดสําหรับปญจทวารวิถีมีจักขุทวารเปนตน มีกายทวารเปนปริโยสานดุจดัง พรรณนามาฉะนี้ แลสัมปฏิจฉันนจิตนั้นเปนพนักงานจะรับเอาซึ่งอารมณทั้งปวง อันปรากฏแกทวารทั้ง ๕ เมื่อรูปารมณ สัททารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ มากระทบประสาท วิญญาณจิตทั้ง ๕ ที่พรรณนามาแตหลังนั้น บังเกิดใหเกิดใหรูจักอารมณแลวกาลใดเมื่อใด สัมปฏิจฉันนจิตนั้น ก็บังเกิด ขึ้นเปนพนักงานรับเอา อารมณมีรูปเปนตน เปนประธานในกาลเมื่อนั้น สัมปฏิจฉันนจิตนั้นบังเกิดแตทวารทั้ง ๕ คือ จักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร จะไดบังเกิดในมโนทวารนั้นหามิได แลอุเบกขาสันตีรณจิตกับโสมนัสสสันตีรณจิตสองดวงนั้น เปนพนักงานที่จะรับพิจารณาซึ่ง อารมณ เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตบังเกิดรับเอาอารมณมาแลวกาลเมื่อใดสันตีรณจิตเขารับตอ พินิจพิจารณา อารมณนั้นสืบไปในกาลเมื่อนั้น จิตที่พรรณนามานี้ ประสมเขาดวยกันเปน ๘ ดวงเรียกวากุศลวิบาก อเหตุ แลอกุศลวิบาก ๗ ดวงนั้นเลา จัดเปนจักขุวิญญาณดวง ๑ โสตวิญญาณดวง ๑ ฆาน วิญญาณดวง ๑ ชิวหาวิญญาณดวง ๑ กายวิญญาณดวง ๑ สัมปฏิจฉันนจิตดวง ๑ สันตีรณดวง ๑ ประสมเขากันเปน ๗ ดวง จักขุวิญญาณนั้น ก็เปนพนักงานใหรูจักรูปเหมือนกันกับจักขุวิญญาณที่สําแดงมากอนนั้น ตางกันแตวาดวงกอนเปนฝายกุศล ที่จะวาบัดนี้เปนฝายอกุศล จักขุวิญญาณที่สําแดงมากอนนั้น เปน พนักงานใหรูจักรูปอันเปนบุญ จักขุวิญญาณที่บัดนี้เปนพนักงานใหรูจักรูปอันเปนบาปเห็นรูปอันชั่วเห็น รูปลามกแลวกาลเมื่อใด จักขุวิญญาณฝายอกุศลดวงนี้ก็บังเกิดเขาเปนพนักงาน ใหรูจักรูปในกาลเมื่อ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 32 นั้น ถาเห็นวารูปที่เปน มีตนวาเห็นพระสงฆสามเณร พระสถูป พระเจดีย พระศรีมหาโพธิ์ พระ ปฏิมากร เห็นรูปที่เปนบุญฉะนี้ จักขุวิญญาณที่เปนฝายอกุศลก็บังเกิดเขาเปนพนักงาน ใหรูจักที่เปน กุศลนั้น จักขุวิญญาณจิต ๒ ดวงนี้ เปนจิตสําหรับจักขุวิญญาณวิถีดวยกัน แตทวาเมื่อจะบังเกิดนั้น เปลี่ยนกันเปนวาระ ๆ ถาเห็นรูปที่เปนบุญ ก็เปนวาระแหงจักขุวิญญาณที่เปนฝายกุศลจะบังเกิด ถา เห็นรูปที่เปนบาปก็เปนวาระแหงจักขุวิญญาณฝายอกุศลจะบังเกิด โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ สัมปฏิจฉันน สันตีรณ ฝายอกุศล วิบากที่สําแดงบัดนี้ ก็มีลักษณะเหมือนกันกับที่สําแดงกอน แปลกกันแตบุญและบาป ที่สําแดงกอนนั้น เปนฝายบุญที่สําแดงบัดนี้เปนฝายบาปพึงเขาใจวาสุดแทแตวาไดฟงเสียงอันเปนบาปไดดมกลิ่นอัน เปนบาป ไดลิ้มเลียรสอันเปนบาป ใหสัมผัสถูกตองที่เปนบาป แลวกาลเมื่อใด โสตวิญญาณ ฆาน วิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ สัมปฏิจฉันน สันตีรณที่เปนฝายบาปนั้น ก็บังเกิดเปนพนักงาน แหงกัน ๆ ไปในกาลเมื่อนั้นถาไดฟงเสียงที่เปนบุญ ไดดมกลิ่นที่เปนบุญ ไดลิ้มรสที่เปนบูญดวยสัมผัส ที่เปนบุญแลว จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ สัมปฏิจฉันน สันตีรณ ฝายกุศลที่สําแดงในกาลกอน ก็บังเกิดเปนที่ ๆ เปนแหง ๆ เปนพนักงานแหงกันและกันดัง พรรณนามานี้ แลมหาวิบาก ๘ ดวงนี้ จัดเปนญาณสัมปยุต ๕ ดวง เปนญาณวิปปยุต ๔ ดวง มหาวิบาก ทั้งหลายนี้ก็จัดเปนสสังขาริก อสังขาริก จัดเปนโสมนัสแลอุแบกขา เหมือนอยางที่พรรณนามาใน กามาพจรมหากุศล ที่สําแดงมาแลวในคัมภีรพระอภิธรรมมัตถสังคิณี จะยกไวจะสําแดงในกิริยาจิต ๑๑ ประการ กิริยาจิต ๑๑ ประการนั้น จัดเปนอเหตุกกิริยา ๓ มหากิริยา ๘ เปน ๑๑ ดวย อเหตุกกิริยานั้น จัดเปนปญจะทวาราวัชชนะประการ ๑ มโนทวาราวัชชนะประการ ๑ สหน จิตประการ ๑ เปน ๓ ประการดวยกัน ปญจทวารามัชชนะนั้น เปนจิตสําหรับพิจารณาซึ่งอารมณในทวารทั้ง ๕ เมื่อรูปารมณมา ปรากฏแจงแกจักษุประสาท สัททารมณมาปรากฏแกโสตประสาท คันธารมณมาปรากฏแกฆาน ประสาท รสารมณมาปรากฏแกชิวหาประสาท โผฏฐัพพารมณมาถูกตองกายประสาทกาลเมื่อใด ปญจ ทวาราวัชชนะจิตนี้ ก็บังเกิดขึ้นกอนจิตทั้งปวงใหพิจารณาอารมณมีรูปารมณเปนตนเปนประธานในกาล เมื่อนั้น เมื่อปญจทวาราวัชชนะจิตบังเกิดดับไปแลว จักขุวิญญาณแลโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ แลสัมปฏิจฉันน สันตีรณ จึงบังเกิดไดในกาลเมื่อภายหลัง อันพิจารณา อารมณในปญจทวารนั้น เปนพนักงานแหงปญจทวาราวัชชนะจิต แลมโนทวาราวัชชนะจิตนั้น เปนจิตอันพิจารณาาอารมณในมโนทวาร ในมโนทวารวิถีนั้น มี มโนทวาราวัชชนะจิตเปนตน มโนทวาราวัชชนะจิตนั้นบังเกิดกอนแลว ชวนะแลตทาลัมพณะ จึง บังเกิดสืบตอไปในลําดับ มโนทวาราวัชชนะจิตดวงนี้ เมื่อบังเกิดในปญจทวาราวิถีนั้นใหสําเร็จเปนโวฏฐชวนกิจ เมื่อ บังเกิดในมโนทวารวิถีนั้น บังเกิดเปนมโนทวาราวัชชนะ แลหสนจิตนั้น เปนจิตแหงพระขีณาสพ จะไดมีในสันดานแหงปุถุชนนั้นหามิได หสนจิตนี้ เปนพนักงานที่จะใหยิ้มแยม พระขีณาสพเจานั้น อันจะยิม ้ จะเเยมนั้นยอมยิ้มแยมดวยหสนจิตดวงนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 33 บังเกิดประสามเขาเปนอเหตุกกิริยา ๓ ดวยกัน แลมหากิริยา ๘ ดวงนั้นเปนญาณสัมปยุต ๔ เปนญาณวิปปยุต ๔ เปนโสมนัสแลอุเบกขา สสังขาริก แลสสังขาริกเหมือนนัยที่พรรณนามาในกามาพจรมหากุศล อันสําแดงแลวในคัมภีรตน คือ อภิธัมมัตถสังคิณี ประสมมหากิริยา ๘ กับอเหตุกกิริยา ๓ เขาดวยกัน จึงเปนกามาพจรกิริยา ๑๑ ประการ ประสมกามาพจรวิบาก ๒๓ มหากุศล ๘ อกุศล ๑๒ กามาพจรกิริยา ๑๑ เขาดวยกัน จึงเปน กามาพจร ๕๔ ดวงดวยกัน แลรูปพจรจิต ๑๕ นั้น จัดเปนกุศล ๕ วิบาก ๕ เขาดวยกันจึงเปน ๑๕ รูปกุศล ๕ นั้น จัดเปนปฐมฌานจิตประการ ๑ ทุติยฌานจิตประการ ๑ ตติยฌานจิตประการ ๑ จตุตถฌานจิตประการ ๑ ปญจมฌานจิตประการ ๑ เปน ๕ ดวงดวยกัน จัดเปนฝายกุศล ที่เรียกวาฌานโลกีย ๆ นั้นมิใชอื่นใชไกล ไดแกรูปาวจรกุศลจริตทั้ง ๕ มีปฐมฌานจิตเปน ตนเปนประธานนี้ รูปาวจรวิบาก ๕ นั้น จัดเปนปฐมฌานวิบากประการ ๑ ทุติยฌานวิบากประการ ๑ ตติยฌานวิบากประการ ๑ จตุตถฌานวิบากประการ ๑ ปญจมฌานวิบากประการ ๑ เปน ๕ ประการ ดวยกัน ปฐมฌานวิบากจิตนั้น เปนพนักงานใหปฏิสนธิในปฐมฌานภูมิพรหม ทุติยฌานวิบากแลตติย ฌานวิบาก ๒ ดวงนั้นปฐมฌานเปนพนักงานใหปฏิสนธิในทุติยฌานภูมิพรหม จตุตถฌานวิบากนั้น เปนพนักงานใหปฏิสนธิในตติยฌานภูมิพรหม ปญจมฌานวิบากนั้น เปนพนักงานใหปฏิสนธิในจตุตถฌานภูมิพรหม ประสมเขาดวยกันเปน รูปาวจรวิบาก ๕ แลรูปาวจรกิริยา ๕ นั้น จัดเปนปฐมฌานกิริยาประการ ๑ ทุติยฌานกิริยาประการ ๑ ตติย ฌานกิริยาประการ ๑ จตุตถฌานกิริยาประการ ๑ ปญจมฌานกิริยาประการ ๑ เปน ๕ ประการดวยกัน รูปาวจรกิริยาทั้ง ๕ นี้ จะบังเกิดแตในสันดานทานที่เปนพระขีณาสพจะมีในสันดานเราทาน ปุถุชนนั้นหามิได ปถุชนทั้งปวงนั้น ถาจะไดฌานก็ไดแตฌานอันเปนกุศล จะไดฌานอันเปนกิริยานั้น หามิได อาศัยวากิริยาจิตนี้ ไมมีในสันดานแหงปถุชนทั้งปวง แลอรูปาวจาจิตร ๑๒ นั้นจัดเปนกุศล ๔ วิบาก ๔ กิริยา ๔ เปน ๑๒ ดวยกัน อรูปกุศล ๔ นั้นจัดเปนอากาสานัญจายตนกุศลดวง ๑ วิญญาณัญจายตนกุศลดวง ๑ อา กิญจัญญายตนกุศลดวง ๑ เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลดวง ๑ เปน ๔ ดวยกัน แลวิบาก ๔ ดวงนั้น จัดเปนอากาสานัญจายตนวิบากประการ ๑ วิญญาฌัญจายตนวิบาก ประการ ๑ อากิญจัญญายตนวิบากประการ ๑ เนวสัญญานาสัญญายตนวิบากประการ ๑ เปน ๔ ประการดวยกัน แลอรูปาวจรกิริยาทั้ง ๔ นั้น จัดเปนอากาสานัญจายตนกิริยาประการ ๑ วิญญาฌัญจายตน กิริยาประการ ๑ อากิญจัญญายตนกิริยาประการ ๑ เนวสัญญานาสัญญายตนกิริยาประการ ๑ เปน ๔ ประการดวยกัน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 34 พึงเขาใจเหมือนนัยที่พรรณามาในรูปาวจรกุศลนั้นเถิดวาอรูปวจรกุศล ๔ ดวงนั้น บังเกิดมี แตปุถุชนอันไดฌานโลกีย จะไดในสันดานแหงพระขีณาสพหามิได แลอรูปวิบากทั้ง ๔ นั้น เปนพนักงานใหปฏิสนธิในอรูปพรหมทั้ง ๔ ขั้น แลอรูปกิริยาทั้ง ๔ นั้น มีในสันดานทานที่เปนขีณาสพ จะไดมีในสันดานโลกิยชนหามิได ประสมกุศลแลวิบากแลกิริยาเขาดวยกันจึงเปนอรูปาวจรจิต ๑๒ แลโลกุตตร ๘ จัดเปนมรรค ๔ เปน ๙ ดวยกัน ประสมกามาวจรจิต ๕๔ อรูปาวจร ๑๒ โลกุตตร ๕ เขาดวยกันเปนจิต ๙๙ โดยสังเขป แลจิต ๘๘ นี้ สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจาสงเคราะหเขาเปนขันธอัน ๑ ชื่อวาวิญญาณ ขันธ เมื่อสําแดงวิญญาณขันธในที่ ๒ ดวยประการฉะนี้ ลําดับนั้นจึงสําแดงเวทนาขันธ สัญญา ขันธ สังขารขันธสืบตอไป เวทนาขันธไดแกเวทนาเจตสิก อันมีลักษณะใหเสวยซึ่งอารมณเวทนาเจตสิกนี้ เมื่อจําแนก ออกโดยอารมณนั้น แยกออกไปเปน ๕ ประการ คือ เมื่อสุขเวทนาประการ ๑ ทุกขเวทนาประการ ๑ โสมนัสสเวทนาประการ ๑ โทมนัสสเวทนา ประการ ๑ อุเบกขาเวทนาประการ ๑ เปน ๕ ประการดังนี้ ขณะเมื่อมีความสุข เสวยอารมณอันเปนสุขนั้น ไดชื่อวาสุขเวทนา ขณะเมื่อตองภัยไดทุกข เสวยอารมณอันเปนทุกขนั้นไดชื่อวาทุกขเวทนา ขณะเมื่อโสมนัสรื่นเริงบังเทิงใจเสวยอารมณ อันชื่น ชมหฤหรรษนั้นไดชื่อวาโสมนัสเวทนา ขณะเมื่อมีความนอยเนื้อต่ําใจ เสวยอารมณอันเปนโทมนัสขัด แคนนั้นไดชื่อวา โทมนัสเวทนา ขณะเมื่อไมสุขไมทุกขไมชื่นชมโสมนัสยินดีปรีดาไมนอยเนื้อต่ําใจสิ่ง ใดสิ่งหนึ่งเสวยอารมณอันเปนมัธยัสถนั้นไดชื่อวาอุเบกขาเวทนา เวทนาทั้ง ๕ ประการดังพรรณนามาฉะนี้ แตละอัน ๆ แจกออกไปโดยทวารนั้นไดละ ๖ ๆ สุขเวทนาก็แจกออกไปเปน ๖ ทุกขเวทนาก็แจกออกไปเปน ๖ โสมนัสแลโทมนัสแลอุเบกขานั้นก็ แจกออกไปเปน ๖ ๆ เหมือนกัน สุขเวทนาที่แจกออกไปเปน ๖ นั้น จัดเปนจักขุสัมผัสสชาสุขเวทนาประการ ๑ โสตสัมผัสส ชาสุขเวทนาประการ ๑ ฆานสัมผัสสชาสุขเวทนาประการ ๑ ชิวหาสัมผัสสชาสุขเวทนาประการ ๑ กาย สัมผัสสชาสุขเวทนาประการ ๑ มโนสัมผัสสชาสุขเวทนาประการ ๑ เปน ๖ ประการดวยกัน จักขุสัมผัสสชาสุขเวทนานั้น ไดแกความสุขอันบังเกิดแตจักษุสัมผัส ไดเห็นสิ่งอันเปนที่ ชอบเนื้อจําเริญใจ ไดเห็นซึ่งรูปอันเปนที่รักใคร แลมีความสุขดวยไดเห็น ไดเสวยอารมณเปนสุข สวัสดิ์ดวยสามารถไดเห็นรูปนั้น ไดชื่อวาจักขุสัมผัสสชาสุขเวทนา แลโสตสัมผัสสชาสุขเวทนานั้น ไดแกความสุขอันบังเกิดแตโสตสัมผัส ไดฟงดุริยางคดนตรี ดีดสีตีเปาขับรองเสียงสิ่งใด ๆ ก็ดีไดฟงแลวมีความสุขเสวยซึ่งอารมณอันเปนสุข เพราะเหตุไดฟงนั้น ไดชื่อวาโสตสัมผัสสชาสุขเวทนา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 35 แลฆานสัมผัสสชาสุขเวทนานั้น ไดแกเวทนาอันบังเกิดแตฆานสัมผัสสไดดมกลิ่นกฤษณาก ลําพักจวงจันทร แลพรรณดอกไมอันหอมเปนที่ชื่นชูอารมณแลวมีความสุข เสวยอารมณอันเปนสุข เพราะเหตุไดสูดดมนั้น ไดชื่อวาฆานสัมผัสสชาสุขเวทนา แลชิวหาสัมผัสสชาสุขเวทนานั้น ไดแกเวทนาอันบังเกิดแตชิวหาสัมผัสไดลิ้มซึ่งรสอัน ประณีตบรรจง เปนที่ชอบอารมณแหงตน แลมีความสุขเสวยอารมณเปนสุข เพราะไดลิ้มเลียนั้นไดชื่อ วาชิวหาสัมผัสสชาสุขเวทนา แลกายสัมผัสสชาสุขเวทนานั้น ไดแกเวทนาอันบังเกิดแตกายสัมผัสสไดสัมผัสถูกตองสิ่ง ใดสิ่งหนึ่ง อันเปนที่จําเริญใจแหงตน แลมีความสุขเสวยอารมณเปนสุข เพราะไดถูกตองนั้นไดชื่อวา กายสัมผัสสชาสุขเวทนา แลมโนสัมผัสสชาสุขเวทนานั้น ไดแกเวทนาอันบังเกิดแตมโนสัมผัส ขณะเมื่อรูเหตุผลตน ปลายสิ่งใดสิ่งหนึ่งแลว แลมีความสุขเสวยอารมณอันเปนสุขเพราะเหตุน้ําใจนั้น ไดชื่อวามโนสัมผัสส ชาสุขเวทนา ถาจะวาใหเห็นชัดแจงดวยกันแลว พระโยคาพจรเจาอันจําเริญภาวนานั้น เมื่อลักษณะ อันหนึ่งมาปรากฏแกจิตของทาน แลทานมีความสุขเสวยอารมณอันเปนสุข เพราะเหตุลักษณะมา ปรากฏแจงแกจิตนั้นไดชื่อวามโนสัมผัสสชาสุขเวทนา สุขเวทนาสิ่งเดียวนี้ แจกออกไปเปนเวทนาถึง ๖ ประการ ดวยสามารถทวารทั้ง ๖ ดุจ พรรณนามาฉะนี้ แลทุกขเวทนานั้นเลาก็แจกออกไปเปน ๖ เหมือนกัน เปนจักขุสัมผัสสชาทุขเวทนาประการ ๑ โสตสัมผัสสชาทุกขเวทนาประการ ๑ ฆานสัมผัสสชาทุกขเวทนาประการ ๑ ชิวหาสัมผัสสชา ทุกขเวทนาประการ ๑ กายสัมผัสสชาทุกขเวทนาประการ ๑ มโนสัมผัสสชาทุกขเทวนาประการ ๑ เปน ๖ ประการดวยกัน อธิบายก็เหมือนกันกับหนหลัง เปนใจความวา สุดแทแตเห็นรูปสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มิได ชอบเนื้อพึงใจแลมีความทุกข เปนตนวา เห็นราชสีหเสือโครงเสือเหลือง เห็นอสรพิษนอยใหญ เห็น แรดเห็นชาง เห็นโคเถื่อนแลความกลัววา มันจะกระทํารายจะเปนอันตรายแกชีวิต แลมีความทุกข เสวยอารมณอันเปนทุกข เพราะไดเห็นอยางนี้แลไดชื่อวาจักขุสัมผัสสชาทุกขเวทนา เมื่อเห็นภูตแลปศาจอันรายกาจหยาบชา จะเบียดเบียนอาตมะนั้นก็ดี เห็นชนที่เปนเวรกัน เห็นใจรอันรายแลกลัวจะเกิดภัยแกตัวแลมีความทุกขนั้นก็ดี สุดแทแตวาไดทุกขเพราะไดเห็นแลวก็ได ชื่อวาจักขุสัมผัสสชาทุกขเวทนาทั้งนั้น ถาไดฟงเสียงเลา เปนตนวาไดฟงเสียงภูตแลปศาจ เสียงสีหราชพยัคฆาทิปมหิงสาสรรพ เสียงนั้น สุดแทแตวาฟงแลวแลมีความตระหนกตกใจกลัววาจะมีภัยแกอาตมา แลมีความทุกขเสวย อารมณอันเปนทุกขเพราะไดฟงเสียงนั้น ไดชื่อวาสัมผัสสชาทุกขเวทนา ถาไดกลิ่นเปนตนวาไปในปาไดกลิ่นเสือ ไปเรือไดกลิ่นจรเข ไดกลิ่นสัตวอันรายแลกลัวจะ เปนอันตรายนั้นก็ดี ไดกลิ่นอันชั่วอันเหม็นเปนที่พึงเกลียด แลไมสบายอารมณนั้นก็ดี สุดแทแตวาได กลิ่น แลวแลหาความสบายมิได เสวยอารมณอันเปนทุกขเพราะเหตุไดกลิ่นนั้นไดชื่อฆานสัมผัสสชา ทุกขเวทนา ถาไดบริโภคสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีตนวายาพิษ กินแลวแลกลัวจะเปนอันตรายแกชีวิตนั้นก็ดี ไดกิน ซึ่งสิ่งนั้นเปรียวนักขมนักฝาดนัก ไมใครจะหายขมไมใครจะหายฝาด แลไมสบายเพราะรสนั้นก็ดี สุด แทแตวาไมสบายเพราะรส เสวยอารมณเปนทุกข เพราะเหตุที่ลิ้มเลียแลบริโภคนั้นแลว ก็ไดชื่อวา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 36 ชิวหาสัมผัสสชาทุกขเวทนา ถาไดสัมผัสถูกตองสิ่งของ อันเปอยอันเนาแลมีความเกลียดความอายก็ดี ไดถูกตองขวาก แลหนามบุงรานริ้น แลมีความเจ็บความปวดความแสบความคันนั้น ตองปะรการดวยเครื่องสาตราวุธ แลมีความเจ็บปวดยิ่งนั้นก็ดี ตองผูกตองพันตองโบยตองรัดตองจําตองจอง แลบังเกิดความ ทุกขเวทนามีประการตาง ๆ แลวก็ดี สุดแทแตวาไดอารมณอันเปนทุกขเพราะกายสัมผัสนั้นแลว ก็ได ชื่อวากายสัมผัสสชาทุกขเวทนาสิ้นดวยกัน ถาเหตุผลสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาปรากฏแจงแกน้ําใจเหมือนนอนหลับอยูแลฝนเห็นราย เมื่อฝน เห็นรายแลหาความสบายมิได เสวยอารมณอันเปนทุกขอยางนี้ ไดชื่อวามโนสัมผัสสชาทุกขเวทนา เวทนาสิ่งเดียวแจกออกไปโดยทวาร เปนทุกขเวทนา ๖ ประการดวยกัน ดุจพรรณนามาฉะนี้ ยังโสมนัสเวทนาโทมนัสสเวทนา และอุเบกขาเวทนานั้นเลาก็แจกออกไปสิ่งละหก ๆ เหมือนกัน แจกเปนจักขุสัมผัสสชาฐาน ๑ เปนโสตสัมผัสสชาฐาน ๑ เปนฆานสัมผัสสชาฐาน ๑ เปน ชิวหาสัมผัสสชาฐาน ๑ เปนกายสัมผัสสชาฐาน ๑ เปนมโนสัมผัสสชาฐาน ๑ เปน ๖ อยางเหมือนกัน พึงเขาใจเปนใจความเถิดวา ขณะเมื่อเราทานทั้งปวงไดเห็นบิดามารดาคณาญาติมิตรสหาย อันเปนที่รัก เปนพี่ปานาอาบุตรภรรยาอันเปนที่รักนั้นก็ดี เห็นรูปพระปฏิมากร พระสถูปพระเจดีย พระ ศรีมหาโพธิ์ พระสงฆสามเณร องคใดองคหนึ่งอันเปนที่ใหบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสนั้นก็ดี แลวมีความ ชื่นชมโสมนัสยินดีปรีดา หัวเราะราเริงบังเทิงใจอยางนี้แลไดชื่อวาจักขุสัมผัสสชาโสมนัสเวทนา ถามิดังนั้น เห็นรูปที่ขัน ๆ แลชอบใจหัวเราะราเริงอยางนี้ ก็ไดชื่อวาจักขุสัมผัสสชาโสมนัส เวทนาเหมือนกัน ถาแลเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งปนไมเปนที่รัก เปนตนวาเห็นคนอันเปนอริกันอยูแลว โทมนัสขัดเคืองคิดแคนขึ้นมาอยางนี้ ไดชื่อวาจักขุสัมผัสสชาโทมนัสเวทนา เวทนา
ถาไดเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเขา แลมัธยัสถเปนทามกลางอยู
ถามีความ
ไดชื่อวาจักขุสัมผัสสชาอุเบกขา
ถาไดฟงสําเนียงอันชอบใจ เปนตนวาไดฟงสําเนียงสวดมนตภาวนาเสียงสําแดงพระ สัทธรรมเทศนา แลมีความชื่นชมยินดียิ้มแยมแจมในปรีดาปราโมทยอยางนี้ ไดชื่อวาโสตสัมผัสสชา โสมนัสเวทนา ถาฟงเสียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งแลว แลเปนโทมนัสขัดเคืองขึ้นมาเปนตนวา ไดยินเขาติฉินนินทา ไดยินเขาดาตัดพอเยยหยันเปรียบ ๆ เปรย ๆ ไดยินแลวแลมีความโกรธแคนขัดเคืองขึ้นมาอยางนี้ได ชื่อวา โสตสัมผัสสชาโทมนัสเทวนา วาเวทนาเกิดแตโสตสัมผัส ถาไดยินแลวแลมัธยัสถเปนทามกลางอยู ไดชื่อวาโสตสัมผัสสชาอุเบกขาเวทนา ถาไดกลิ่นเปนตนวา กลิ่นดอกไมธุปเทียนน้ํามันหอมกระแจะจันทร อันบุคคลนําไปบูชาไว ในลาน พระพุทธรูปพระสถูปเจดีย แลมีความชื่นมโสมนัสยินดีปรีดาปราโมทย ก็ไดชื่อวาฆานสัมผัสส ชาโสมนัสเวทนา พึงเขาใจไปทั่วเถิดวาสุดแทแตวาจะไดกลิ่นแลว แลมีความชื่นชมยินดีปรีดาปราโมทย ก็ได ชื่อวาฆานสัมผัสสชาโสมนัสเวทนา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 37 ถาไดกลิ่นชั่ว กลิ่นอันมิไดชอบแลมีความโทมนัสขัดเคืองแคนขึ้นมาก็ไดชื่อวาฆานสัมผัสส ชาโทมนัสสเวทนา วาโทมนัสเกิดแตฆานสัมผัส ถาไดกลิ่นแลวแลมัธยัสถทามกลางอยู ก็ไดชื่อวา ฆานสัมผัสสชาอุเบกขาเวทนา ถาไดลิ้มเลียรสแลวก็ชื่อชมยินดี เหมือนอยางนักเลงสุรานั้นไดดื่มกินสุราก็ชื่นชมวา เอร็ดอรอย นับถือกันดวยกินสุรายินดีปรีดาดวยกันอยางนั้นไดชื่อวาชิวหาสัมผัสสชาโสมนัสสเวทนา ถาไดลิ้มเลียรสแลวมีความนอยเนื้อต่ําใจ เหมือนหนึ่งทานที่เปนสัปบุรุษ อุตสาหรักษาศีล ของตนจะใหบริสุทธิ์ปราศจากมลทิล ครั้นวามีผูมาขมขืนใหกินสุรายาเมา เมื่อเขาขืนกรอกขืนเทลงใน มุขทวารสุรานั้นลวงลําคอเขาไปได ก็มีความนอยเนื้อต่ําใจนั้นหนักหนา อยางนี้ไดชื่อวาชิวหาสัมผัสส ชาโทมนัสสเวทนา เปนใจความวา สุดแทแตวาลิ้มเลียรสแลวมีความขึงความโกรธมีความนอยเนื้อต่ําใจแลว ก็ ไดชื่อวาโทมนัสสเวทนาเกิดแตชิวหาสัมผัส ถาไดลิ้มเลียรสแลว
และมัธยัสถเปนทามกลางอยู
ก็ไดชื่อวาชิวหาสัมผัสสชาอุเบกขา
เวทนา ถาไดถูกตองสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ชอบอารมณ เปนตนวาไดเชยชมซึ่งรูปอันเปนวิสภาค และ บังเกิดความกําหนัดยินดีดวยราคะดํากฤษณาหรรษาภิรมยตามกิจประเวณีคดีโลก อยางนี้ไดชื่อวากาย สัมผัสสชาโสมนัสสเวทนา ถาถูกตองเขาแลวและมีความโทมนัสขัดแคน เหมือนหนึ่งวาคนนั้นอยูแลว ไมปรารถนาที่จะ ถูกตองตัวเรา วาใหเห็นใกล ๆ เถิด เหมือนหนึ่งวาคนที่กายชั่วเปอนไปดวยตมและโคลน อสุจิลามก เหม็นเนาเหม็นโขง คนเปอยหวะเปนเรื้อนและมะเร็งคุดทะราด มิไดสะอาดเราไมปรารถนาจะให ถูกตอง ครั้นขืนเขาเบียดเสียดเขามาใหถูกตองกายเรา ๆ ก็มีความแคนยิ่งนักหนาอยางนี้แล ไดชื่อวา กายสัมผัสสชาโทมนัสสเวทนา วาโทมนัสเกิดแตกายสัมผัส ถาจะมาถูกตองเขาแลว และมัธยัสถเปน ทามกลางอยูก็ไดชื่อวากายสัมผัสสชาอุเบกขาเวทนา ถาและอารมณที่เปนอติอิฏฐารมณมาปรากฏแจงแกมโนทวารเหมือนหนึ่งวาหลับลงและฝน เห็นที่ชอบใจ เปนตนวาฝนเห็นวาบูชาพระรัตนตรัยดวยดอกไมและของหอมเครื่องสักการบูชาสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง ฝนวาไดฟงพระธรรมเทศนาก็ดี เมื่อฝนเปนอาทิฉะนี้ และมีความชื่นชมโสมนัสยินดีปรีดาอยางนี้ แล ไดชื่อวามโนสัมผัสสชาโสมนัสเวทนาวาเวทนาเกิดแตมโนสัมผัส ถาฝนเห็นที่ชั่วไมชอบอารมณ โทมนัสเวทนา
และบังเกิดโทมนัสขัดแคน
ก็ไดชื่อวามโนสัมผัสสชา
ถาฝนและมัธยัสถเปนทามกลางอยู ก็ไดชื่อวามโนสัมผัสสชาอุเบกขาเวทนา เวทนาทั้งหลายนี้ เมื่อจัดดวยภูมินั้นก็จัดเปนกามาพจรเวทนา ๕๔ รูปาพจรเวทนา ๑๕ อรูปพจรเวทนา ๑๒ โลกกุตตรเวทนา ๘ เปน ๘๙ ดวยกันเทากันกับจิต มากนักหนาถึงเพียงนี้ เหตุ ดังนั้นสมเด็จพระชินสีหบรมศาสดาจารย จึงสงเคราะหเวทนาทั้งปวงเขาเปนกองอันหนึ่งก็เรียกวา เวทนาขันธ และสัญญาเจตสิกนั้น พระพุทธองคก็สงเคราะหเขาไวเปนกองอันหนึ่งเหมือนกันกับเวทนา สัญญาเจตสิกนั้น เมื่อจําแนกออกไปโดยทวารนั้น จัดเปนสัญญา ๖ ประการ เปนจักษุ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 38 สัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ โสตสัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ ฆานสัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ ชิวหา สัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ กายสัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ มโนสัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ เปน ๖ ประการดวยกัน จักขุสัมผัสสชาสัญญานั้น ไดแกสัญญาอันยุติในจักษุเกิดแตไดเห็นเปนตน ไดเห็นแลว และสําคัญไดวาคนนั้นคนนี้สิ่งนี้สําคัญดวยสามารถไดเห็น อยางนี้ไดชื่อวาจักขุสัมผัสสชาสัญญา ถาไดฟงเสียงและสําคัญวาเสียงสิ่งนั้น ๆ เสียงคนนั้น ๆ สําคัญไดดวยสามารถไดยินเสียงนี้ ไดชื่อวาโสตสัมผัสสชาสัญญา ถาไดดมกลิ่นและสําคัญไดวาเปนกลิ่นสิ่งนั้น ๆ กลิ่นคนนั้น ๆ สําคัญไดดวยสามารถไดดม กลิ่นนั้น ไดชื่อวาฆานสัมผัสสชาสัญญา ถาไดลิ้มเลียดูกอนจึงสําคัญไดวาสิ่งนั้น ๆ เปนรากไมอันนั้น เปนยา สิ่งนั้นเปนของสิ่งนั้น ๆ ไดสําคัญดวยสามารถไดลิ้มไดเลีย ไดบริโภคนี้ ไดชื่อวาชิวหาสัมผัสสชาสัญญา ถาไดสัมผัสถูกตองกอนจึงสําคัญไดวาเปนสิ่งนั้น เปนผูนั้น เปนตนของผูนั้นสําคัญไดดวย สามารถไดถูกตองดังนี้ ไดชื่อวากายสัมผัสสชาสัญญา ถาสําคัญไดดวยมโนทวาร เหมือนทานเปนโยคาพจรเลาเรียนซึ่งสมถกัมมัฏฐานและ วิปสสนากัมมัฏฐาน เมื่ออุคคหะและปฏิภาคะปรากฏแกมโนทวาร และทานสําคัญไดวาสิ่งนี้เขียว สิ่งนี้ เหลือง สิ่งนี้แดงสําคัญไดดวยจิตอยางนี้ไดชื่อวามโนสัมผัสสชาสัญญา ภิกษุและสามเณรที่ทานมีศรัทธาอุตสาหะเลาเรียน ซึ่งคันถธุระนั้นเลา เมื่อชํานิชํานาญ แลวทานระลึกขึ้นมา ทานก็รูวาบทนี้บาทนี้คาถานี้อยูในคัมภีรนั้น ๆ สําคัญไดวาอยูผูกนั้น บรรทัดนั้น สําคัญไดดวยใจอยางนี้ ไดชื่อวามโนสัมผัสสชาสัญญา ลักษณะที่สําคัญไดวาอยูในคัมภีรนั้นผูกนั้น นั่นแลเปนลักษณะแหงสัญญา ลักษณะที่จําไดนั้น เปนพนักงานแหงสติปญญาตางหาก จะเปนพนักงานแหงสัญญานั้นหา มิได สัญญานี้ใหรูแตหยาบ ๆ ใหรูแตวาอยูที่นั้นใหรูแตเทานั้น อันจะรูวิเศษขึ้นไปนั้นลักษณะแหง ปญญาสัญญานั้นรูแตหยาบ วิญญาณนั้นใหรูเปนอยางกลาง ปญญานั้นใหรูเปนอยางยิ่งใหรูวิเศษกวา สัญญาและวิญญาณ เปนใจความวา สัญญาที่เกิดขึ้นแลว และใหสําคัญไดดวยสามารถลําพังใจไมไดเห็น ไมได ยิน ไมไดดม ไมไดลิ้มเลีย ไมไดสัมผัสถูกตองสําคัญไดดวยลําพังใจแหงตน อยางนี้ไดชื่อวามโน สัมผัสสชาสัญญาจัดโดยทวารนั้นไดสัญญาถึง ๖ ประการ ดังพรรณนามาฉะนี้ ถาจะจัดโดยภูมิ สัญญานั้นจัดเปนกามาพจรสัญญา ๕๔ รูปาพจรสัญญา ๑๕ อรูปพจร สัญญา ๑๒ โลกุตตรสัญญา ๘ ผสมเขาเปนสัญญา ๘๙ เทากันกับจิตมากนักหนาถึงเพียงนี้ นั้นแหละ สมเด็จพระชินสีหบรมศาสดาจารยจึงจัดสัญญาเขาเปนกองหนึ่ง ไดชื่อวาสัญญาขันธ สังขารขันธนั้นไดแกเจตนาเจตสิก ๆ นั้น มีลักษณะอันจะชักนําซึ่งจิตและเจตสิกทั้งหลาย บรรดาที่เกิดพรอมดวยตน เจตนานั้นเมื่อแจกออกไปโดยทวารนั้น แจกเปนจักขุสัมผัสสชาเจตนา โสตสัมผัสสชา เจตนา ฆานสัมผัสสชาเจตนา ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา กายสัมผัสสชาเจตนา มโนสัมผัสสชาเจตนา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 39 มโนสัมผัสสชาเจตนา ยกแตเวทนาสัญญาเสียแลวยังเหลืออยู ๕๐ นั้น จัดเปนสังขารขันธสิ้นทั้งนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจา เมื่อสําแดงรูปขันธในที่ ๑ สําแดงวิญญาณขันธในที่ ๒ เวทนา ขันธในที่ ๓ สัญญาขันธในที่ ๔ สังขารขันธในที่ ๕ ดวยประฉะนี้ ลําดับนั้นจึงจําแนกอรรถาธิบายแหงพระบาลีออกไปตามนัยแหงพระอภิธรรมบทภาชนียวา “อทุธาสนฺตติสมยเขณวเสน จตุธา อตีตํ นาม โหติ” วาเบญจขันธอันจะไดชื่อวาอดีต และอนาคต และปจจุบัน มีกําหนดปริเฉท ๔ ประการ คือ อัทธาปริเฉทประการ ๑ สันตติปริจเฉท ประการ ๑ สมยปริจเฉทประการ ๑ ขณปริจเฉทประการ ๑ อัทธาปริจเฉทนั้น กําหนดอัทธา ๓ ประการ คือ อดีตอัทธาประการ ๑ อนาคตอัทธา ประการ ๑ ปจจุบันอัทธาประการ ๑ “ปฏิสนฺธิโต ปุพฺเพ อตีตํ” กําหนดกาลอันเปนเบื้องหลังในกอน ตั้งแตปฏิสนธิในปจจุบัน ภพนี้ไป ไดชื่อวาอดีตอัทธา อัทธา
“จตุโต อุทฺธ”ํ กําหนดกานอันเปนเบื้องหนา ตั้งแตจุติจิตในปจจุบันภพนี้ไดชื่อวาอนาคต
“อุภินฺนมนฺตเร” กําหนดกาลในระหวางแหงจุติและปฏิสนธิในปจจุบันภพนี้ ไดชื่อวา ปจจุบันอัทธา กําหนดอัทธาทั้ง ๓ คืออดีตอัทธา อนาคตอัทธา ปจจุบันอัทธา นี่แลไดชื่อวาอัทธา ปริจเฉท และสันตติปริจเฉทนั้น กําหนดสันตติ ๓ ประการ คือ อดีตสันตติประการ ๑ อนาคตสันตติ ประการ ๑ ปจจุบันสันตติประการ ๑ เปน ๓ ประการดวยกัน “สภาคเอกอุตุสมุฏานเอกาหาวสมุฏานฺจ” ขอซึ่งจะรูกําหนดสันตตินั้น รูดวยฤดู รอนและเย็นอันยังบมิไดแปลก สมุฏฐานรูปอันยังมิไดแปลก รูดวยอาหาร อธิบายวา ในระหวางที่หนาวอยู และยังไมกลับรอน รอนอยูและยังไมกลับหนาวนั้นก็ดี ใน ระหวางที่แสบทองอยูยังมิไดบริโภคอาหารและยังไมกลับอิ่มนั้นก็ดี ที่อิ่มอยูยังไมกลับแสบทองนั้นก็ดี กําหนดกาลในระหวาง ๒ อยางนี้ไดชื่อวาปจจุบันสันตติ รอนและเย็นที่แปลก อาหารสมุฏฐานรูปที่แปลก มีแลวในเบื้องหลังแหงปจจุบันสันตติ ได ชื่อวาอนาคตสันตติ ปริจเฉท
กําหนดสันตติทั้ง ๓ คือ อดีตสันตติ อนาคตสันตติ ปจจุบันสันตติ นี้แลไดชื่อวาสันตติ และสมัยปริจเฉทนั้น กําหนดสมัย ๓ ประการ คือ อดีตสมัย อนาคตสมัย ปจจุบันสมัย
“เอกวิถึ เอกชวน เอกาสมาปตฺติสมุฏานํ” นักปราชญพึงสันนิษฐานวา กามาพจรชวนเสวยอารมณ แหงละวิถี ๆ นั้นจัดเปนสมัยแตละอัน ๆ ถาจะวาฝายสหรคตนั้น การที่เขาสูสมาบัติแตละครั้ง ๆ นั้น จัดเปนสมัยแตละอัน ๆ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
กาลอัน
- 40 สมัยที่เปนเบื้องหลัง ๆ นั้น ไดชื่อวาอดีตสมัย สมัยที่จักมีในเบื้องหนานั้น ไดชื่อวาอนาคต สมัย สมัยที่ประกอบในปจจุบันนี้ ไดชื่อวาปจจุบันสมัย กําหนดสมัยปริจเฉท ๓ ประการฉะนี้ แลขณปริจเฉทนั้น กําหนดเปน ๓ ประการ เปนอดีตขณะ อนาคตขณะ ปจจุบันขณะ เหมือนกัน อดีตขณะนั้นคือ ขณะจิตที่ดับในเบื้องหลัง ๆ อนาคตขณะนั้น คือขณะจิตที่จะบังเกิดใน เบื้องหนา ๆ ปจจุบันขณะนั้น “ขณตฺตยปริยาปนฺนํ” คือขณะจิตอันประกอบดวยขณะทั้ง ๓ คือ อุป ปาทขณะ ฐิติขณะ ภังคขณะ ที่บังเกิดในปจจุบัน เปนใจความวาขันธทั้ง ๕ ที่สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคตรัสเทศนามาเปนอดีต อนาคต ปจจุบันนั้น มีการสังเกตดวยปริจเฉททั้ง ๔ คือ อัทธาปริจเฉท สมยปริจเฉท ขณปริจเฉท โดนพรรณา มาฉะนี้ และลักษณะที่จะจัดรูปธรรม เปนอดีต อนาคต ปจจุบันดวยสามารถสันตตินั้น เฉพาะจัดแต อุตุชรูป และอาหารชรูป และจิตชรูป “กามฺมสมุฏฐานสฺส อตีตาทิเภโท นตฺถ”ิ และกัมมัชชารูปนั้นจะไดจัดเปนอดีต อนาคต ปจจุบัน ดวยสามารถสันตติหาบมิได กัมมัชชรูปนั้นผูอุปถัมภค้ําชูทั้ง ๓ กองจะพลอยเปน อดีต อนาคต ปจจุบัน ก็เพราะอุปถัมภแกอุตุชรูป อาหารรูป จิตชรูป วิสัชนาในเบญจขันธ อันเปนอดีต อนาคต ปจจุบัน ยุติแตเทานี้ แตนี้จะวิสัชนาดวยเบญจขันธภายในและภายนอกสืบตอไป “นิยกชฺฌตฺตํป อชฺฌตฺตํ ปร ปุคฺคลิกํปจ พหิทฺธาติ เวทิตพฺพ”ํ นักปราชญพึงรูวาขันธทั้ง ๕ ซึ่งยุติในสันดานแหงตนนี้แล ไดชื่อวาเบญจขันธภายใน และขันธทั้ง ๕ ที่ยุติในสันดานแหงบุคคลผูอื่น ๆ นั้น ไดชื่อวาเบญจขันธภายนอก “โอฬาริกสุขุมเภโท วุตฺตนโยว” วิสัชนามาแลวแตหลังเถิด
และรูปขันธที่จะหยาบ จะละเอียดนั้น พึงรูโดยนัยที่
ในที่นี้จะวิสัชนาแตในหีนรูป และประณีตรูปสืบตอไป หีนรูปนั้นไดแกรูปอันชั่ว ประณีตรูปนั้นไดแกรูปอันประณีตบรรจง อธิบายวา รูปแหงพรหมอันอยูชั้นอกนิฏฐนั้นไดเอามาเปรียบกันกับรูปพรหมในชั้นสุทัสสี ๆ เปนหีนรูป รูปพรหมในชั้นอกนิฏฐเปนปณีตรูป และรูปพรหมในชั้นสุทัสสีนั้น ถาเอามาเปรียบมาเทียบ กันกับรูปพรหมในชั้นสุทัสสา ๆ เปนหีนรูป รูปพรหมในชั้นสุททัสสีเปนปณีตรูปและรูปพรหมในชั้นสุทัส สานั้น ถาเอามาเปรียบมาเคียงกันกับรูปพรหมในชั้นอตัปปา ๆ เปนหีนรูป รูปพรหมในชั้นสุทัสสีเปน ปณีตรูปและอรูปพรหมในชั้นอตัปปา ๆ เปนหีนรูป รูปพรหมในชั้นสุทัสสาเปนปณีตรูปและอรูปพรหม ในชั้นอตัปปานั้น ถาเอามาเปรียบมาเคียงกันกับรูปพรหมในชั้นอวิหา ๆ เปนหีนรูป รูปพรหมในชั้นอตัป ปาเปนปณีตรูปตกวาพรหมในชั้นสูงชั้นบนนั้นรูปปณีตกวาพรหมในชั้นต่ํา พรหมชั้นต่ํา ๆ นั้นรูปเลวกวา พรหมชั้นบน ๆ ซึ่งดีกวากัน ชั่วกวากันเปนจํานวนลําดับ ๆ เปนชั้น ๆ กัน โดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ พึงรูหีนรูปแลปณีตรูป ใหตลอดลงมาตราบเทาถึงกามาวจรรูป โดยนัยดังสําแดงมานี้เถิด แตทวา สําแดงดังนี้ ยังเปนปริยายอยูอยางไมแทกอน ถาจะวาโดยปริยาย จะวาแทนั้นรูปอันใดบังเกิดดวย กุศลวิบาก รูปอันนี้เรียกวา ปณีตรูป รูปอันใดบังเกิดดวยอกุศลวิบากรูปอันนั้นไดชื่อวา หีนรูป แลรูปที่ เปนทูเรรูป สันติเกรูปนั้น นักปราชญพึงรูตามประเทศที่ไกลแลใกลนั้นเถิด ที่ไกลแลที่ใกลนั้นก็ไกล
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 41 เปนชั้น ๆ ใกลกันเปนชั้น ๆ โดยลําดับ ๆ เหมือนอยางที่ทานจัดเปนหีนรูป แลปณีตรูปนั้น เปนใจความวา รูปทั้งปวงแตบรรดาที่สําแดงมานี้ สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคประมวล เขาเปนหมวดเปนกองแลว ก็ตรัสเรียกนามบัญญัติชื่อวารูปขันธ ธรรมสิ่งอื่น ๆ ที่พนไปจากรูปนี้ จึงจะ จัดเขาเปนกอง ๆ ก็ดี พระพุทธองคจะไดตรัสเรียกชื่อวารูปขันธหาบมิไดสําแดงรูปขันธตามนัยแหง พระธรรมบทภาชนีย ยุติการเทานี้ แตนี้จะสําแดงเวทนาขันธ ตามนัยแหงพระอภิธรรมบทภาชนียสืบตอไป แทจริงเวทนาที่จะหยาบจะละเอียดนั้น เปนดวยสามารถชาติประการ ๑ เปนโดยสภาวะปกติ ประการ ๑ เปนดวยสามารถบุคคลประการ ๑ เปนดวยสามารถโลกิยแลโลกุตตรประการ ๑ เปน ๔ ประการดังนี้ ขอซึ่งเวทนาหยาบแลละเอียด ดวยสามารถชาตินั้นเปนประการใด อธิบายวาเวทนาอันประกอบในอกุศลจิตนั้น แลวิปากาพยากตเวทนา แลกิริยาพยากตเวทนา
ไดชื่อวาเปนเวทนาอันหยาบกวากุศลเวทนา
“สาวชฺชกิริยเหตุโต” เพราะเหตุวาเวทนาอันยุติในอกุศลจิตนั้น ประพฤติฟุงซานบมิได ระงับ เปนเหตุใหกระทําการอันกอปรดวยโทษทุจริตตาง ๆ “กิเลสสนฺตาปภาวโต” อันหนึ่งวาอกุศลเวทนาฟุงซานบมิไดระงับ เพราะเหตุ ประกอบดวยกิเลส เดือดรอนดวยอํานาจกิเลส เหตุดังนั้นอกุศลเวทนาจึงไดชื่อวาหยาบกวากุศล เวทนา ดวยประการฉะนี้ “วิปากาพฺยากตาย โอฬาริกา” แลชื่อวาอกุศลเวทนาหยาบกวาวิปากาพยากตเวทนา นั้น “สพฺยาปารโต สอุสฺสาหโต” เพราะเหตุวาอกุศลเวทนานั้น กอปรดวยขวนขวายกอปรดวย อุตสาหะ กอปรดวยวิบาก เดือดรอนอยูดวยอํานาจกิเลส กอปรดวยพยาบาทแลโทษทุจริตอันยุติใน กายทวารวจีทวารมโนทวาร “กิริยาพยากตาย โอฬาริกา” แลขอที่วาอกุศลเวทนาหยาบกวากิริยาพยากตเวทนานั้น กอปรดวยวิบากเดือดรอนอยูดวยกิเลสกอปรดวยพยาบาทแลโทษทุจริตมีประการตาง ๆ ตกวาอกุศลเวทนานั้น หยาบกวากุศลเวทนา แลวิปากาพยากตเวทนา
แลกิริยาพยากต
เวทนา ฝายกุศลเวทนา วิปากาพยากตเวทนานั้น กิริยาพยากตเวทนา ฝายกุศลเวทนา วิปากาพยากตเวทนานั้น อกุศลเวทนาดวยประการฉะนี้
กิริยาพยากตเวทนานั้นไดชื่อวาละเอียดกวา
แลอกุศลเวทนานั้นเลา ไดชื่อวาหยาบกวาพยากตเวทนาทั้งสองประการ เพราะเหตุวา ประกอบดวยขวนขวายแลอุตสาหะประกอบดวยวิบาก ตกวาพยากตเวทนานั้นละเอียดกวากุศลเวทนา “ชสติวเสน โอฬาริกสุขุมตา เวทิตพฺพา” นักปราชญผูมีปญญาพึงรูเวทนาวาหยาบกวา กันละเอียดกวากัน ดวยอํานาจชาติโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 42 เวทนาจะหยาบละเอียดโดยสภาวะปกตินั้น เปนประการใดเลา อธิบายวาทุกขเวทนานั้นหยาบกวาสุขเวทนา แลอุเบกขาเวทนา ๆ นั้นละเอียดวา ทุกขเวทนา ทุกขเวทนานั้นไดชื่อวาหยาบ เพราะเหตุวาปราศจากยินดี มีแตความลําบากนั้นแผซานไป ใหบังเกิดสะดุงตกใจประหวั่นขวัญหาย ครอบงํากระทําใหลําบากกาย ลําบากจิต อันธรรมดา ทุกขเวทนานี้มีแตกระทําใหเศราหมองหมนไหมนั้นตาง ๆ ที่จะใหสบายกายสบายจิตมาตรวานอยหนึ่ง นั้นหาบมิได เหตุดังนั้นจึงวาหยาบกวาสุขเวทนาอุเบกขาเวทนา แลสุขเวทนานั้น ถาจะเปรียบกับอุเบกขาก็ไดชื่อวาหยาบกวาอุเบกขา เพราะเหตุวาสุข เวทนานั้น ยังแผซานยังกระทําใหกายกําเริบอยูไดประพฤติระงับสงบสงัดเหมือนดังอุเบกขาเวทนานั้น หาบมิได เหตุฉะนี้สุขเวทนาจึงไดชื่อวาหยาบกวาอุเบกขาเวทนา พึงรูวาเทวนาหยาบกวากันละเอียด กวากัน โดยสภาวะปกติตามนัยที่แสดงมานี้ อธิบายวาเวทนาอันยุติ ในสันดานแหงบุคคลที่หาบมิไดเขาสูสมาบัตินั้น หยาบกวาเวทนา อันยุติในสันดานแหงบุคคลที่หาบมิไดเขาสูสมาบัติ มีจิตสันดานอันฟุงซานกําเริบในอารมณตาง ๆ เมื่อ จิตสันดานยังฟุงซานอยูดังนั้นเวทนาที่เปนพนักงานเสวยอารมณฟุงซานกําเริบอยู บมิไดระงับ เหมือนกันกับจิตเหตุฉะนี้เวทนาในสันดานแหงบุคคลที่เขาสูสมาบัติ จึงไดชื่อวาหยาบกวาเวทนาใน สันดานแหงบุคคลที่เขาสูสมาบัตินั้น ๆ ไดชื่อวาเปนเวทนาอันเปนสขุมเปนเวทนาอันละเอียด แลบุคคลที่เขาสูสมาบัติเหมือนกันนั้นวามีเวทนาอันละเอียดนั้น กวากันเปนชั้น ๆ จะไดเหมือนกันหาบมิได
ก็ยังหยาบกวากันละเอียด
เวทนาในทุติยฌานนั้น ละเอียดกวาเวทนาในปฐมฌาน ๆ นั้นหยาบกวาเวทนาในทุติยฌาน แลเวทนาในตติยฌานละเอียดวาเวทนาในทุติยฌาน ๆ นั้นหยาบละเอียดกวาเวทนาในตติยฌาน และ เวทนาในจตุตถฌานนั้นละเอียดกวาเวทนาในตติยฌาน เวทนาในปฐมารูปฌานนั้นละเอียดกวาเวทนา ในรูปาพจรจตุตถฌาน เวทนาในทุติยารูปฌานนั้นกวาเวทนาในทุติยารูปฌาน เวทนาในจตุคถารูป ฌานละเอียดกวาเวทนาในตติยารูปฌานตกวาละเอียดกวากันเปนชั้น ๆ หยาบกวากันเปนชั้น ๆ ดวย สามารถสมบัติอันสูงกวากันนักปราชญผูมีปญญาพึงรูเวทนากวาหยาบละเอียด ดวยสามรถบุคคล โดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ แลเวทนาจะหยาบจะละเอียดดวยสามารถ เปนโลกิยะแลโลกุตระนั้นเปนประการใด อธิบาย วา เวทนาในโลกิยจิตนั้นหยาบกวาเวทนาในโลกุตตรจิต เพราะเหตุโลกิยจิตนั้น กอปรดวยอาสวะ ๔ ประการ โอฆะ ๔ ประการ โยคะ ๔ ประการ คณฐะ ๔ ประการ นิวรณ ๕ ประการ อุปาทาน ๔ ประการ กิเลส ๑๐ ประการ สังโยชน ๑๐ ประการ ถึงกิเลสที่นับโดยพิสดารได ๑๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ นั้นก็ยอมประกอบในโลกิยจิต เหตุนี้ เวทนาในโลกิยจิตนั้นจึงไดชื่อวาเปนเวทนาอันหยาบ ฝายวาจิตเปนโลกุตตระนั้นสิปราศจากกิเลสสิ้งทั้งปวง เหตุฉะนี้เวทนาในโลกุตตรจิตนั้น จึง ไดชื่อวาสุขุมเวทนาเปนเวทนาอยางละอียดอยางยิ่ง สําแดงเวทนาอยางหยาบอยางละเอียด โดยชาติแลสภาวะหยาบ แลละเอียดโดยบุคคล โดยภูมิโลกิยะแลโลกุตตระเทานี้ แตนี้จักยกเอาชาติ แลสภาวะแลบุคคลแลภูมิโลกิยะโลกุตตระ มา สําแดงเจือกันใหเห็นตางแหงเวทนาขันธ ตามนัยแหงบทภาชนียในคัมภีรพระอภิธรรมนั้น แทจิรงอกุศลวิบากเวทนานั้นสิเปนชาติพยากฤตเมื่อจัดโดยชาตินั้นจัดเปนสุขุมเวทนา เมื่อ จัดโดยสภาวะแลบุคคลแลภูมินั้นจัดเปนโอฬาริกเวทนา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 43 แลกุศลวิบากเวทนานั้นเลาเมื่อจัดโดยชาติเปนสุขุมเวทนา เมื่อจัดโดยบุคคลโดยภูมินั้น ถา บังเกิดในสันดานแหงปุถุชน บังเกิดในภูมิโลกิยจิตก็จัดเปนโอฬาริกเวทนา ถาบังเกิดในสันดานแหง พระอริยบุคคล บังเกิดในภูมิโลกุตตรจิตนั้นก็จัดเปนสุขุมเวทนา ผูมีปญญาพึงรูในเวทนาอันตางดวยวิธี ที่จัดชาติจัดสภาวบุคคลจัดภูมิกันโดยนัยที่สําแดงมานี้ ประการหนึ่งใหรูเวทนานี้ถึงมีชาติเสมอกันก็ยังหยาบกวากันละเอียดกวากันเปนอยาง ๆ อยู จะไดเหมือนกันเปนแบบเดียวกันหามิไดเหมือนอยางกุศลเวทนานั้น เมื่อจัดโดยชาติจัดเปนโอฬาริก เวทนาสิ้งทั้งปวง ครั้นเอามาเปรียบมาเคียงกันแตในกองแหงตนนั้น เวทนาในโมหจิต หยาบกวา เวทนาในโลภจิต ๆ นั้นหยาบกวาเวทนาในโมหจิต เวทนาในโมหจิตที่เห็นผิดเปนนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น หยาบวาเวทนาในโมหจิตที่เห็นผิดเปนอนิยตมิจฉาทิฏฐิ ถึงเปนนิยตมิจฉาทิฏฐิเหมือนกันก็ดีที่มีโทษ มาก เปนกัปปฏฐีติจะทนทุกขเวทนานานจนสิ้นกาลกัลปนั้น มีเวทนาอันหยาบกวาเวทนาในจิตที่เปน นิยตมิจฉาทิฏฐิแลมีโทษนอย บิมิไดตั้งอยูนานสิ้นกัลป ถึงเปนกัลปทิฏฐิดวยกัน จะตั้งอยูนานสิ้นกัลป หนึ่งเหมือนกัน จิตที่เปนอสังขาริกถือผิดโดยธรรมดาผูจะชักชวนมิไดนั้น มีเวทนาอันหยาบกวาเวทนา ในจิตที่เปนสสังขาริกถือผิดดวยมีผูชวน “อวิเสเสน อกุสลา พหุวิปากา โอฬาริกา” ถาจะวิสัชนาโดยมิไดแปลกนั้นแตบรรดา อกุศลจิตที่ใหโทษมากนั้นมีเวทนาอันหยาบ กวาเวทนาในอกุศลจิตที่ใหโทษนอย ใหผลนอย
ฝายกุศลนั้น กุศลจิตแตบรรดาที่ใหผลมาก มีเวทนาอันละเอียดกวาเวทนาในกุศลจิตที่
กุศลที่เปนเบื้องต่ําในกามาพจรนั้น มีเวทนาหยาบกวากุศลจิตที่เปนอรูปพจร ๆ นั้นวามี เวทนาละเอียดเปนอุกฤฏถึงเพียงนี้ ก็ยังหยาบกวาเวทนาในกุศลจิตที่เปนอรูปพจร ๆ นั้นละเอียดเปน อุกฤษฏถึงเพียงนี้ ก็ยังหยาบกวาเวทนาในกุศลจิตที่เปนพระโลกุตตระ ๆ ละเอียดยิ่งนัก นัยหนึ่งวาจิตกองเดียวกันเปนกามาพจรกุศลเหมือนกันก็ดีเวทนาจะไดเหมือนกันหาบมิได “ทานมยา โอฬาริกา” จิตที่เปนทานมัยใหสําเร็จกิจบําเพ็ญทานนั้นมีเวทนาหยาบกวา เวทนาในจิตเปนศีลมัยใหสําเร็จกิจบําเพ็ญศีล ๆ นัยวาเวทนาละเอียดแลว ก็ยังหยาบกวาเวทนาในจิต ที่เปนภาวนามัย ใหสําเร็จกิจบําเพ็ญภาวนา ถึงภาวนาจิตเหมือนกันก็ดี วามีเวทนาละเอียดแลวก็ยังไมละเอียดเหมือนกัน “ทุเหตุกา โอฬาริกา” ภาวนาจิตที่เปนทุเหตุนั้น มีเวทนาหยาบกวาภาวนาจิตที่เปนไตร เหตุนั้น เวทนาละเอียดกวาภาวนาจิตทุเหตุ ถาเปนไตรเหตุดวยกันเลา ภาวนาจิตที่เปนไตรเหตุ สสังขาริกนั้นมีเวทนาหยาบกวาเทวนา ในภาวนาจิตที่เปนไตรอสังขาริก ตกวากามาพจรกุศลจิตไตรอสังขาริก อันสัมปยุตดวยอุเบกขาเวทนานี้แล มีเวทนาละเอียด กวากามาพจรกุศลจิตทั้ง ๗ ดวง ถึงฌานจิตดวยกันก็มีเวทนาละเอียดกวากันเปนชั้น ๆ ถึงพระโลกุตต รจิตดวยกันก็มีเวทนาละเอียดกวากันเปนชั้น ๆ เวทนาในจิตพระโสดานั้น หยาบกวาเวทนาในจิตพระสกทาคา ๆ นั้นวาละเอียดแลว ก็ยัง หยาบกวาเวทนาในจิตพระอนาคา ๆ นั้นวาละเอียดแลว ก็ยังหยาบกวาเวทนาในจิตพระอรหันต ตกวาละเอียดกวากันเปนชั้น ๆ เปนลําดับ ๆ กันดังนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 44 “ขนฺเธสุ ญาณเภทตฺถ”ํ เบื้องหนาแตนี้จะสําแดงพิธีอันพิจารณาเบญขันธ เพื่อจะใหพระ โยคาพจรกุลบุตรมีปญญาแตกฉานฉลาดในพิธีพิจารณาเบญขันธ อันเปนภูมิพื้นที่ตั้งแหงพระวิปสสนา ปญญา “วิฺญาตพฺโพ วิภาวินา” นักปราชญพึงรูในพิธีพิจารณาในเบญจขันธ ๖ ประการ “กมโต” คือพิจาณาโดยลําดับประการ ๑ “อตฺถสิทฺธิโต” คือพิจารณาโดยอัตถสิทธิ ประการ ๑ “อนุนาธิกโต” คือพิจารณาโดยมิไดหยอนมิไดยิ่งประการ ๑ “อุปมาโต” คือพิจารณา โดยอุปมาประการ ๑ “ทฏพฺพโต” คือพิจารณาโดยเห็นประการ ๑ “วิเสสโต” คือพิจารณาโดย วิเศษประการ ๑ สิริเปนพิธีพิจารณาเบญจขันธ ๖ ประการดวยกัน “กมโต” ขอซึ่งวาใหพิจารณาโดยลําดับนั้น กําหนดลําดับมี ๕ ประการ คือ อุปปตติกกมะ ลําดับที่บังเกิดนั้นประการ ๑ ปหานักกมะลําดับที่สละนั้นประการ ๑ ปฏิปตติกกมะ ลําดับที่ปฏิบัตินั้น ประการ ๑ ภูมิกกมะ ลําดับแหงภูมิประการ ๑ เทศนากกมะ ลําดับแหงเทศนา ๑ เปน ๕ ประการ ดวยกัน อุปปตติกกมะ ลําดับที่บังเกิดนั้น ใหพระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณาเปญจขันธ จิตเดิมแต แรกปฏิสนธิในครรภแหงมารดานั้นมาตราบเทาถึงจุติจิต ใหเห็นแจงวาสรรพสัตวทั้งหลายที่บังเกิดใน ครรภแหงมารดานั้น “ปมํ กลฺลํ โหติ” เดิมเมื่อแรกตั้งปฏิสนธินั้นเปนกลละมีประมาณเทาหยาด น้ํามันงาอันใหญอยูนั้นถึง ๑ วัน จึงคอยขนเขาเปนอันพุทะมีสัณฐานดังดีบุกอันแหลมแหลวเปนอัมพุ ทะอยู ๗ วันจึงขนเปสิคือชิ้นเนื้อมีสัณฐานดังปุมเปลือกในเปลือกไขเปสิอยู ๗ จึงเปนฆนะขนเขาเปน แทงเปนฆนะอยู ๗ วัน “ปฺจ สาขา ชายนฺติ” จึงเปนปญจสาขาแตกเปนปุม ๕ แหงคือ มือ ๒ เทา ๒ ศีรษะ ๑ เรียกวาปญจสาขาอยูนั้นก็ ๗ วัย “สตฺตเมว สตฺตาเห” เมื่อลวงไปไดเจ็ดวัน ๗ หน คิดเปน ๔๙ วัน ดวยกันแลว จักขุทสกะ อันเปนกัมสมุฏฐานกลาปนั้นบังเกิดขึ้น ครั้นจักขุทสกะเกิดแลว “อติกฺกนฺเต” ลวงไปอีก ๗ วันจึงจะ บังเกิดโสตทสกะ ไปอีก ๗ วันจึงบังเกิดฆานทสกะ ไปอีก ๗ วันจึงบังเกิดชิวหาทสกะ ลวงไปอีก ๗ วันจึงบังเกิดกายสทกะ ตกวาหูตาอายตนะก็บังเกิดในขณะนั้น เมื่อตั้งรูปกายขึ้นไดแลว แลโอชะแหง อาหารที่มารดาบริโภคนั้นซับซาบซึ่งแผไปในกายแหงทารกกาลใด อาหารสมุฏฐานกลาปก็บังเกิดขึ้น จําเดิมแตนั้นไป นักปราชญผูมีปญญา พึงคิดธรรมสังเวชเถิดวาสัตวอันบังเกิดในครรภแหงมารดานั้น แสน ทุกขแสนลําบากนั่งอยูบนกระเพาะอาหารเกาอาหารใหมอยูบนศีรษะ ตัวสัตวนั้นอยูกลาง คางนั้นเทา ลงอยูเหนือเขา มือทั้งสองกอดเขานั่งหยองผินหนาเขาไปขางกระดูกสันหลังมารดามีครุวนาดุจดัง วานรหนีฝน เขาไปอยูในโพรงไมเมื่อยามฝน แสนยากแสนลําบากแสนเวทนา กาลเมื่อนประสูติจาก ครรภมารดานั้นก็สุดลําบากเสวยทุกขเวทนานั้นสาหัส มีอุปมาดังชางสารตัวใหญอันบุคคลไสออกไป ตามชองดานอันนอยแลไดเสวยทุกขเวทนามีกําลัง เมื่อพนจากครรภมารดาแลวแลรองไหดิ้นรนไดใน กาลนั้น รูปกลาปทั้ง ๒๑ กลาป จึงมีพรอมในสันดานสัตวจําเดิมแตนั้นไป สําแดงมาทั้งนี้ ดวยสามารถสัตวนั้นเปนศัพกไสยกสัตว เปนสัตวอันบังเกิดในครรภมารดา ถาสัตวนั้นบังเกิดในกําเนิดสังเสทชะ แลอุปปาติกะในปฏิสนธิขณะเมื่อตั้งปฏิสนธินั้น มี กัมมัชชรูปบังเกิดพรอมถึงเจ็ดกลาป คือ จักขุทสกะ โสตสทกะ ฆานทสกะ ชิวหาทสกะ กายทสกะ ภาวทสกะ วัตถุสกะเปนเจ็ดกลาปดวยกันฉะนี้ เจดกลาปนี้ วาโดยอุกฤษฏ ถาจะวาโดยโอมมกในปฏิสนธิขณะแหงสังเสทชสัตว แลอุปปา ติกสัตวนั้น มีรูปเกิดพรอมแตสามกลาป คือ กายทสกะ ภาวทสกะ วัตถุทสกะ เหมือนกันกับคัพภไสยก
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 45 สัตว ตอมาในประวัติการณ รูปกลาปทั้งปวงจึงบังเกิดพรอมจําเดิมแตนั้นไปก็มีแตจะบายหนาเขามา ชรามรณะ สภาวพิจารณาเบญจขันธ จําเดิมแตแรกปฏิสนธินั้น เปนลําดับ ๆ มาตราบเทาถึงจุติจิต นี้แล ไดชื่อวาอุปปตติกกมะพิจารณาขันธโดยลําดับที่เกิด แลปหานักกมะพิจารณาขันธโดยลําดับที่สละเสียนั้น ใหพระโยคาพจรเจาพิจารณากอง กิเลส ซึ่งพระอริยมรรคทั้ง ๓ ละเสียขาดโดยลําดับ ๆ กัน แทจริงกิริยาที่จะละกิเลสไดนั้น ไดชื่อวาละ ขันธเสียไดเพราะกิเลสทั้งหลายเปนตนวา โลภะ โทสะ โมหะ นั้นนับเขาในสังขารขันธ เวทนาแล สัญญาวิญญาณที่เกิดพรอมดวยกิเลสนั้น นับเขาในเวทนาขันธ สัญญาขันธแลวิญญาณขันธ เมื่อพระ อริยมรรคทั้ง ๔ ประการบังเกิดในสันดานแลละกองกิเลสเสียไดเปนลําดับ ๆ คือพระโสดาละอกุศลจิต ได ๕ ดวงพระสกทาคาละกองกุศลจิตที่หยาบไดละเอียด พระอนาคาละโทสจิตขาดได ๒ ดวง พระ อรหัตตละกุศลจิตเสียไดสิ้นเสร็จ ละกิเลสไดเปนลําดับ ๆ ดังนี้ ไดชื่อวาละขันธเสียไดโดยลําดับ ๆ นักปราชญพึงสันนิษฐานวา กิริยาที่พิจารณากองกิเลสอันพระอริยมรรคทั้ง ๔ ละเสียโดย ลําดับ ๆ นี้แล ไดชื่อวาปหานักกมะพิจารณาขันธโดยลําดับที่สละเสียได แลปฏิบัติติกกมะ พิจารณาขันธโดยลําดับแหงปฏิบัตินั้น คือใหพิจารณาศีลวิสุทธิแลว ลําดับนั้นใหพิจารณาจิตวิสุทธิ ลําดับนั้นใหพิจารณาทิฏฐิวิสุทธิ ถัดนั้นใหพิจารณากังขาวิตรณวิสุทธิ ถัดนั้นใหพิจารณาปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ในที่สุดนั้นใหพิจารณาญาณทัสสวิสุทธิ ปฏิบัติ
กิริยาพิจารณาวิสุทธิ ๗ ประการ โดยลําดับ ๆ ดังนี้แลไดชื่อวาพิจารณาขันธ โดยลําดับแหง
เพราะเหตุวากายแลจิตที่ไดสําเร็จกิจ ปฏิบัติวิสุทธิ ๗ ประการนั้นจะไดพนจากเบญขันธหา บมิได แตลวนนับเขาในเบญขันธสิ้นทั้งนั้น เหตุฉะนี้ กายเมื่อพิจารณาวิสุทธิ ๗ ประการนั้นจึงไดชื่อวาปฏิปตติกกมะ พิจารณาขันธโดย ลําดับแหงปฏิบัติก็มีดวยประการฉะนี้ แลภูมิกกมะ พิจารณาขันธโดยลําดับแหงภูมินั้น ใหพิจารณาเบญจขันธอันเปนไปในภูมิทั้ง ๔ คือ กามาพจรภูมิ รูปาพจรภูมิ อรูปาพจรภูมิ โลกุตตรภูมิ แลเทศนากกมะ พิจารณาขันธโดยลําดับแหงเทศนานั้น คือใหพิจารณาพระสติปฏฐานทั้ง ๔ สัมมัปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ อันฐังคิกมรรค ๘ ใหพิจารณาทานกถา ศีลกถา สัคคกถา กามาทีนวกถา เนกขัมมานิสังสกถา กิริยาที่พิจารณาพระสัทธรรมสิ้นทั้งปวงนี้ ไดชื่อ วาพิจารณาขันธโดยลําดับแหงเทศนา เพราะวาธรรมทั้งปวงนี้ จะพนออกไปจากขันธบัญญัติหาบมิไดแตลวนนับเขาในขันธสิ้นทั้ง ปวงโดยกําหนดอุกฤกฏนั้นจนถึงมัคคจิตผลจิตก็นับเขาวิญญาณขันธ เวทนาสัญญาแลเจตสิก แต บรรดาที่เกิดพรอมดวยมัคคจิตผลจิตนั้น ก็นับเขาในเวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธสิ้นทั้งปวงจะ ไดพนขันธบัญญัติหาบมิได อาศัยเหตุฉะนี้ กิริยาที่พิจารณาพระสติปฏฐานเปนอาทิ พิจารณาทานกถาเปนอาทินั้น จึง จัดไดชื่อวาพิจารณาขันธโดยลําดับแหงพระสัทธรรมเทศนา ก็มีดวยประการฉะนี้ เปนใจความวา ขอซึ่งใหพิจารณาขันธโดยลําดับนั้น กําหนดลําดับนั้นถึง ๔ ประการ คืออุป
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 46 ปตติกกมะ ปหานักกมะ ปฏิปตติกกมะ ภูมิกกมะ เทศนากกมะ พิจารณาโดยลําดับเกิดดับละลําดับ ปฏิบัติลําดับภูมิลําดับเทศนา โดยนัยดังพรรณามาฉะนี้ “วิสฺสโต” แตนี้จักสําแดงกิจที่พิจารณาขันธโดยวิเศษนั้นสืบไปขอซึ่งวาใหพิจารณาขันธ โดยพิเศษนั้น จะใหพิจารณาเปนประการใด “โก จ เนสํ วิเสโส” สิ่งไรนั้นเปนวิเศษแหงเบญขันธ อธิบายวาวิเศษแหงเบญจขันธจะมีนั้น อาศัยแกอุปาทาน ๆ นี้แลเปนวิเศษในเบญจขันธ ทีเดียว เบญจขันธมีเหมือนกัน เปนหญิงเหมือนกัน เปนชายเหมือนกัน ถาใครยังประกอบดวยอุปาทาน ผูนั้นไดชื่อวาโลกิยปุถุชน ทานที่หาอุปาทานมิไดนั้น ไดชื่อวาอริยบุคคล ตกวาอุปาทานนี้แลกระทําให แปลกแหงเบญจขันธ ๆ แปลกกันดวยสามารถกอปรดวยอุปาทานแลหาอุปาทานบมิได อธิบายดังนี้ สมดวยพระพุทธฏีกาที่สมเด็จพระพุทธองคโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนา วา “ภิกฺขเว” ดูกรภิกษุสงฆ “สุณาถ” ขอทานทั้งหลายตั้งโสตสดับเถิด เราพระตถาคตจะ ตรัสเทศนาขันธ ๕ ประการ อุปาทานขันธ ๕ ประการ ใหทานทั้งปวงฟง “กตเม ปฺจกฺขนฺธา” ขันธโดยอุปาทาน ๕ ประการนั้นเปนดังฤๅ ตรัสปุจฉาดวยพระองคแลว ก็ตรัสวิสัชนาดวยพระองคเลาวา “ยํ กิฺจิ ภิกฺขเว รูป” ดูกรภิกษุสงฆ รูปทั้งปวงที่เปนอดีตแลอนาคตแลปจจุบัน ภายนอก ในไกลแลใกลดีแลชั่วหยาบแลละเอียดสิ้นทั้งปวงนั้น เราพระตถาคตประมวลเขาเปนหมวดเปนหมูเปน กองอันเดียวกันเรียกวา รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วิญญาณขันธ ที่เปนอดีตอนาคต ปจจุบันภายนอกภายในไกลแลใกลดีแลชั่วหยาบแลละเอียดสิ้นทั้งปวงนั้น เราพระตถาคตประมวลเขา เปนหมวด ๆ เปนกอง ๆ เหลารูปเหมือนกันจัดไวเปนกองหนึ่ง เรียกวารูปขันธ เหลาเวทนาเหมือนกันจัดไวกอง ๑ เรียกวาเวทนาขันธ เหลาสัญญาเหมือนกันจัดไวกอง ๑ เรียกชื่อวาสัญญาขันธเหลาเจตสิกเหมือนกัน จัดไวกอ ๑ เรียกชื่อวาสังขารขันธ เหลาจิตเหมือนกันจัดไวกอง ๑ เรียกชื่อวาวิญญาณขันธสิริเขา ดวยกันจึงเปนขันธ ๕ ประการก็มีดวยประการฉะนี้ รูปูปาทานขันธประการ ๑ เวทนาปาทานขันธประการ ๑ สัญูปาทานขันธประการ ๑ สังขา รูปาทานขันธประการ ๑ วิญญาณูปาทานขันธประการ ๑ เปน ๕ ประการดังนี้ อุปาทานขันธ ๕ ประการนี้ จะไดนอกจากขันธทั้ง ๕ ที่กลาวแลวนั้นหาบมิไดรูปเหมือนกัน เวทนาเหมือนกัน สัญญาเหมือนกันสังขารเหมือนกันวิญญาณเหมือนกันนั้นแล แตทวากอปรดวยอา สวะกอปรดวยอุปาทานแลว เราพระตถาคตตรัสเรียกชื่อวารูปูปาทานขันธ เวทนูปาทานขันธ สัญู ปาทานขันธ สังขารูปาทานขันธ วิญญาณูปาทานขันธ ตกวาพระสัทธรรมเทศนาแสดงขันธ ๕ ประการ ในเบื้องตนนั้น ประสงคเอาขันธแหงพระอริยบุคคลที่ปราศจากอาสวะแลอุปาทาน อุปาทาน ๕ ประการที่ตรัสเทศนาในเบื้องปลายนี้ประสงคเอาขันธแหงบุคคลที่ประกอบดวยอาสวะแลอุปาทานขันธ ๕ ประการ อุปาทานขันธ ๕ ประการ มีนัยดังพรรณนามานี้ เทียรยอมเปนอนิจจังเปนทุกขังเปนอนัตตา นักปราชญพึงสันนิษฐานวาขันธทั้ง ๕ ประการมีนัยดังวิสัชนาฉะนี้ จัดเปนพื้นกลาวคือใหพิจารณาเอา เปนอารมณ ในกาลเมื่อจะเริญพระวิปสสนากรรมฐาน แลอายตนะ ๖๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย ๒๑ พระ อริยสัจ ๔ ที่จัดเปนพื้นนั้น นักปราชญพึงรูวาอายตนะ ๑๒ ประการ คือ จักขวายตนะประการ ๑ โส
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 47 ตายตนะประการ ๑ ฆานายตนะประการ ๑ ชิวหายตนะประการ ๑ กายายตนะประการ ๑ มนายตนะ ประการ ๑ รูปายตนะประการ ๑ สัททาตนะประการ ๑ คันธายตนะประการ ๑ รสายตนะประการ ๑ โผฏฐัพพายตนะประการ ๑ ธัมมายตนะประการ ๑ เปน ๑๒ ประการดวยกัน จักขวายตนะนั้นไดแกจักษุทั้งสอง จักษุทั้งสองซายขวานี้สมเด็จพระมหากรุณาเจาตรัส เทศนาเรียกวาจักขวายตนะ โสตายตนะนั้นไดแกชองหูทั้งสอง ฆานายตนะนั้นไดแกจมูก ชิวหายตนะ นั้นไดแกลิ้น กายายตนะไดแกกายทั้งปวง อวัยวะนอยใหญนอกออกไปจากจักษุแลโสตนอกไปจาก จมูกแลลิ้น ก็ไดชื่อวากายยตนะทั้งสิ้นทั้งนั้น แลมนายตนะนั้นไดแกหทัยวัตถุ ๆ คือเนื้อหัวใจนั้นแล ได ชื่อวามนายตนะ รูปายตนะนั้น ไดแกสรรพรูปทั้งปวงอันเปนภายนอกแหงกายสัททายตนะนั้น ไดแกสรรพ เสียงทั้งปวง คันธายตนะนั้น ไดแกสรรพกลิ่นทั้งปวง รสายตนะนั้น ไดแกสรรพรสทั้งปวง โผฏฐัพ พายตนะนั้นไดแกสิ่งทั้งปวงที่เราทานไดสัมผัสถูกตอง เราทานทั้งปวงไดสัมผัสถูกตองสิ่งใดดวยกาย สิ่งนั้นปลไดชื่อวาโผฏฐัพพายตนะ แลธัมมายตนะนั้นไดแกจิตแลเจตสิกทั้งปวง แตบรรดาจิตแล เจตสิกนั้นจัดเปนอายตนะอันหนึ่ง ชื่อวาธัมมายตนะเปน ๑๒ ประการ ดุจพรรณนามาฉะนี้ “กสฺมา” เหตุไฉนจึงไดชื่อวาอายตนะ ออไดชื่อวาอายตนะนั้นดวยอรรถวาเปนที่ประชุม ดวยอรรถวาเปนบอเกิด อธิบายวา จักษุ โสต ฆาน ชิวหา กาย ทั้งปวงนี้แตลวนเปนที่ประชุมแหงรูปแลเสียงกลิ่น แลรสแลเครื่องสัมผัส เหตุดังนั้นจึงเรียกวาจักขวายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายต นะ ดวยประการฉะนี้ แลธาตุ ๑๔ ประการนั้นคือ จักขุธาตุประการ ๑ โสตธาตุประการ ๑ ฆานธาตุประการ ๑ ชิวหาธาตุประการ ๑ กายธาตประการ ๑ มโนธาตุประการ ๑ รูปธาตุประการ ๑ สัททาธาตุประการ ๑ คันธธาธาตุประการ ๑ รสธาตุประการ ๑ โผฏฐัพพธาตุประการ ๑ ธัมมธาตุประการ ๑ จักขุวิญญาณ ธาตุประการ ๑ โสตวิญญาณธาตุประการ ๑ ชิวหาวิญญาณธาตุประการ ๑ กายวิญญาณธาตุประการ ๑ มโนวิญญาณธาตุประการ ๑ ประสมเขาเปนธาตุ ๑๘ ประการดวยกัน จักขุธาตุนั้นไดแกจักษุ โสตธาตุนั้นไดแกหู ฆานธาตุนั้นไดแกจมูก ชิวหาธาตุนั้นไดแกลิ้น กายธาตุนั้นไดแกธาตุทั้งปวง อวัยวะนอยใหญทั้งปวง นอกจากไปจากจักขุแลโสตฆานแลชิวหา ก็ได ชื่อวากายธาตุสิ้นทั้งนั้น แลมโนธาตุนั้น ไดแกปญจทวาราวัชชนจิต ๑ สัมปฏิจฉันนจิต ๑ จิตทั้ง ๒ ดวงนี้ไดชื่อวา มโนธาตุ รูปธาตุนั้นไดแกสรรพรูปทั้งปวงกายนอกกาย สัททธาธาตุนั้นไดแกสรรพเสียงทั้งปวง คันธ ธาตุนั้นไดแกสรรพกลิ่นทั้งปวง รสธาตุนั้นไดแกสรรพรสทั้งปวง โผฏฐัพพธาตุนั้นไดแกสรรพสิ่งทั้ง ปวง อันเราทานไดสัมผัสถูกตอง ธัมมธาตุนั้นไดแกเจตสิกทั้ง ๕๒ นั้นแลจักขุวิญญาณธาตุ โสต วิญญาณธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ กายวิญญาณธาตุ นั้นไดแกจักษุวิญญาณ แลโสต วิญญาณแลฆานวิญญาณแลชิวหาวิญญาณแลกายวิญญาณ อันเกิดสําหรับในปญจทวารวิถี มีนัยดัง พรรณนามาแลวนั้น แลมโนวิญญาณธาตุนั้นไดแกจิต ๖๗ คือ มโนทวาราวัชชนะ ๑ ชวนจิต ๕๕ ตทาลัมพณ จิต ๑๑ ผสมเขาเปน ๖๗ ดวยกัน ธาตุนี้มี ๑๘ ประการดุจพรรณนามาฉะนี้ แลอินทรีย ๓๒ นั้น คือจักขุนทรีย ๑ โสตินทรีย ๑ ฆานินทรีย ๑ ชิวหินทรีย ๑ กายินทรีย ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 48 มนินทรีย ๑ อิตถินทรีย ๑ ปุริสินทรีย ๑ ชีวิตินทรีย ๑ สุขินทรีย ๑ ทุกขินทรีย ๑ โสมนัสสินทรีย ๑ โทมนัสสินทรีย ๑ อุเปกขาทรีย ๑ สัทธินทรีย ๑ วิริยินทรีย ๑ สตินทรีย ๑ สมาธินทรีย ๑ ปญญินทรีย ๑ อนัญญตัญญัสสามิตินทรีย ๑ อัญญิทรีย ๑ อัญญาตาวินทรีย ๑ เปน ๒๒ ประการดังนี้ จักขุนทรียนั้นไดแกจักขุประสาท โสตตินทรียนั้นไดแกโสตประสาท ฆานนินทรียนั้นไดแก ฆานประสาท ชิวหินทรียนั้นไดแกชิวหาประสาท กายินทรียนั้นไดแกกายประสาท มนินทรียนั้นไดแก จิต อิตถินทรียนั้นไดแกอิตถิภาวรูป ปุริสินทรียนั้นไดแกปุริสภาวรูป ชีวิตินทรียนั้นไดแกชีวิต สุขินทรีย นั้นไดแกความสุข ทุกขินทรียนั้นไดแกความทุกข โสมนัสสินทรียนั้นไดแกกิริยาที่ชื่นชมยินดี โทมนัส สินทรียนั้นไดแกกิริยาที่นอยเนื้อต่ําใจ อุเปกขินทรียนั้นไดแกกิริยาที่มีสันดานเปนกลางอยู สัทธินทรีย นั้นไดแกศรัทธาอันมีลักษณะใหผองใสใหถือ วิริยินทรียนั้นไดแกความเพียร สตินทรียนั้นไดแกสติ อันมีลักษณะใหระลึก สมาธินทรียนั้นไดแกขณิกสมาธิแลอุปาจารสมาธิแลอัปปนาสมาธิปญญินทรีย นั้น ไดแกปญญาอันมีลักษณะรูพิเศษ อนัญญตัญญัสสามิตินทรียนั้นไดแกโสดาปตติมรรคญาณ อัญญิ นทรียไดแกโสดาปตติผลญาณ สกทาคามิมรรคญาณ สกทาคามิผลญาณ อนาคามิมรรคญาณ อนาคามิผลญาณแลพระอรหัตตมรรคญาณ อัญญาตาวินทรียนั้นไดแกพระอรหัตตผลญาณธรรมชาติ ทั้ง ๒๒ ประการนี้ ไดนามบัญญิตชื่อวาอินทรียนี้ ดวยอรรถวาเปนใหญในกิริยาที่ใหสําเร็จโดยสมควร แกกําลังแหงตน ๆ สําแดงอินทรีย ๒๒ ประการโดยนัยสังเขปยุติการเทานี้ แลพระอริยสัจ ๔ ประการนั้น คือ ทุกขอริยสัจประการ ๑ ทุกขสมุทัยอริยสัจประการ ๑ นิโรธอริยสัจประการ ๑ นิโรธคามินีปฏิปทานอริยสัจประการ ๑ เปน ๔ ประการดวยกัน ทุกขอริยสัจนั้นไดแกมูลแหงสัตวทั้งปวง แลชาติทุกข แลชราทุกข พยาธิทุกขมรณทุกข เปนตนเปนประธาน ชาติทุกขอันบังเกิดแกสัตวอันอุบัติบังเกิด เอากําเนิดในวัฏฏสงสารนี้ก็ดี ชราทุกขํ อันมีลักษณะกระทําใหอินทรียคร่ําครา ตามืด หูหนัก ฟนหัก แกมตอบ ผิวหนัง หดหูวิการวิกลวิปริตนั้นก็ดี พยาธิทุกข อันมีลักษณะใหปวยไข ลําบากกายอินทรียมีประการตาง ๆ นั้นก็ดี มรณทุกข อันมีลักษณะตัดเสียซึ่งชีวิตอินทรียนั้นก็ดี โสกทุกข อันมีลักษณะใหเดือดรอนพลุงพลานระส่ําระสาย อยู ณ ภายในใจก็ดี ปริเทวทุกข อันมีลักษณะใหรองไหร่ําไรมีน้ําตา อันไหลฟูมฟองนองเนตรอยูนั้นก็ดี ทุกขทุกขอันมีลักษณะกระทําใหจิตหดหูสลดระทดทอดใจใหญอยูนั้นก็ดี อันมีลักษณะให ขัดแคนขึ้งเคียดนอยเนื้อต่ําใจนั้นก็ดี อปายาสทุกข อันมีลักษณะใหสะอึกสะอื่นอาลัยนั้นก็ดี อัปปเยหิสัมปโยคทุกข อันมีลักษณะใหขัดของหมองมัวตรอมใจเปนเหตุประกอบอยูดวย สิ่งอันมิไดเปนที่รักนั้นก็ดี ปเยหิวิปปโยคทุกขอันมีลักษณะใหเศราสรอยละหอยไหในกาล เมื่อพลัดพรากจากที่รักนั้น ก็ดี
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 49 ยัมปจฉันงนลภติทุกข อันมีลักษณะใหหมกมุนวุนวายไปในขณะเมื่อปรารถนาสิ่งใด แล มิไดสมปรารถนานั้นก็ดี ทุกขทั้ง ๑๒ ประการ มีชาติทุกขเปนตนนี้เที่ยวยอมเบียดเบียนสัตวทั้งปวงใหไดความทุกข ลําบากเวทนาอันหาทีสุดมิได เหตุฉะนี้กองทุกขทั้ง ๑๒ ประการนี้ จึงไดชื่อวาทุกขอริยสัจ แลทุกขสมุทัยอริยสัจนั้น ไดแกตัณหาอันมีลักษณะใหปรารถนาเบญจกามคุณทั้ง ประการ คือรูปแลเสียงกลิ่นแลรสสัมผัสถูกตอง
๕
ตัณหานั้นมีลักษณะ ๒ ประการ คือ ปรารถนาในกิเลสกามประการ ๑ ปรารถนาในพัสดุกาม ประการ ๑ แลกิเลสกามนั้น คือปรารถนาในที่จะชมเชยชมกามราคะดํากฤษณาแลปรารถนาในความ สรรเสริญเยินยอเเลยศศักดิ์ตบะเตชะ แลปรารถนาบมิใหบุคคลผูอื่นสูงกวาตัว แลเสมอกับดัวยตัวใน เหตุอันยิ่งสรรพทั้งปวง แลพัสดุกามนั้น คือปรารถนาทรัพยอันไมมีวิญญาณคือแกวแหวนเงินทอง ขาวปลาอาหาร ผาผอนแลเครื่องนุงหม เครื่องประดับแลเครื่องใชสอยทั้งปวง แลปรารถนาทรัพยอันประกอบดวย วิญญาณเปนตนวา ชางมาแลขาหญิงขาชายทั้งปวง แลลักษณะแหงตัญหานั้น มีอาการอันมากถึงรอยแปดประการสําแดงแตมาเทานี้ โดยสังเขป แตพอจะใหเปนกระทูความอันจะบังเกิดองคปญญา อันประกอบดวยสังเวชอันกระทรวง แหงตัญหา อันเปนเจาหมูเจากรรมใหญในที่จะใหบังเกิดขึ้นความทุกขทั้งปวงนั้น นักปราชญผูมี ปญญาพึงเขาใจเปนใจความเถิดวา ตัณหาอันมีลักษณะใหปรารถนารูปแลเสียงกลิ่นรสสัมผัสถูกตอง ทั้งปวงนี้ แลเปนรากเปนเงาเคามูล เปนเหตุใหบังเกิดสรรพทุกขทั้งปวง เหตุดังนี้จึงไดชื่อวา ทุกข สมุทัยอริยสัจ นิโรธอริยสัจนั้นไดแกพระนิพพานอันออกตัณหา หนายจาก ราคะ โทสะ โมหะ ดับราคะ โทสะ โมหะ ใหสิ้นสูญจากสันดานพระนิพพานนี้เปนที่ดับเสียซึ่งกองทุกขทั้งปวง มีชาตทุกขเปน ประธาน เหตุดังนั้นจึงไดชื่อวา นิโรธอริยสัจ แลนิโรธคามิรีปฏิปทาอริยสัจนั้น ไดแกอัฏฐังคิกมรรคทั้ง ๘ ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมสังกัปโป ๑ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันโต ๑ สัมมาอาชีโว ๑ สัมมาวายาโม ๑ สัมมาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑ เปน ๘ ประการดวยกัน สัมมาทิฏฐินั้นไดแกปญญาอันเปนโลกีย ตลอดขึ้นไปตราบเทาถึงมรรคญาณผลญาณ สัมมาสังกัปโปนั้นไดแกวิตกในที่ชอบ สัมมาวาจานั้นไดแกถอยคําอันปราศจากวจีทุจริต สัมมากัมมันโตนั้นไดแกกายสมาจาร อันปราศจากกายทุจริต สัมมาอาชีโวนั้นไดแกกิริยาที่เลี้ยงชีวิต เปนธรรม สัมมาวายาโมนั้น คือปฏิบัติในสัมมัปปธานทั้ง ๔ สัมมาสตินั้นคือปฏิบัติในสติปฏฐานทั้ง ๔ สัมมาสมาธินั้นไดแกขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ พระอัฏฐังคิกมรรค ๘ ประการนี้เปนหนทางอันตรง สําหรับที่จะปฏิบัติใหไดสําเร็จพระ นิพพาน อันเปนที่ระงับดับกองทุกข เหตุดังนั้นจึงไดชื่อวานิโรธคามินีปฏปทาอริยสัจ แลปฏิจจสมุปปาทาธรรมที่จัดพื้นที่ ใหพิจารณาเอาเปนอารมณแหงวิปสสนากรรมฐานนั้น เปนประการใด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 50 แลปฏิจจสมุปปาทธรรม มีกระทูความตามที่สมเด็พระพุทธองคตรัสเทศนาวา อวิชชาคือโมหะนั้น เปนปจจัยใหบังเกิดสังขาร คือกุสลากุสลจิต สังขารนั้นเปนปจจัยให บังเกิดวิญญาณ คือปฏิสนธิวิญญาณนั้นเปนปจจัยใหบังเกิดนามธรรมแลรูปธรรม นามรูปนั้นเปนปจจัย ใหบังเกิดผัสสะ มีจักขุสัมผัสเปนตน ผัสสะนั้นเปนปจจัยใหบังเกิดสุขเวทนา ทุกขเวทนา โสมนัสส เวทนาโทมนัสสเวทนา อุเบกขาเวทนา เวทนานั้นเปนปจจัยใหบังเกิดตัณหา ตัณหานั้นเปนปจจัยให บังเกิดอุปาทานคือ ตัณหาที่กลาหาญมีกําลัง อุปาทานนั้นเปนปจจัยใหบังเกิดกัมมภพแลอุปปตติภพ ภพนั้นเปนปจจัยใหบังเกิดชาติ ๆ นั้นเปนปจจัยใหบังเกิดชราแลมรณะแลโสกปริเทวทุกข โทมนัสส ทุกข อุปายสทุขโทมนัสส อุปายาส สรรพความรําคราญเคืองเครื่องเศราหมองทั้งหลายอันมากกวา มากทั้งสิ้น เฉพาะมีแกบุคคลอันยังประกอบดวยอวิชชา อวิชชานุสัยยังนอนนิ่งอยูในสันดานตราบใด ออกจากกระเปาะอวิชชาไมไดตราบใด สรรพทุกขทั้งปวงมีโสกเปนอาทิก็มีอยูตราบนั้น ครั้นโสกเปน อาทิครอบงําแลวก็หลงในวัตถุในอารมณ หลงในสัตวในสังขารในภพแลบุคคลหลงในทุกขเปนอาทิ สิ้นสติสมปฤดีอาการดังบา เพราะเหตุมีโสกเปนอาทิครอบงําครั้นหลงไปไมรูสึกตนดังนี้แลวก็เปน โอกาสแหงอวิชชาบังเกิดในกาลเมื่อนั้น โสกเปนอาทิเปนปจจัยแกอวิชชาโดยแท ประการหนึ่ง โสกเปนอาทิก็บังเกิดเปนแตกามาสวะ ในขณะบุคคลวิโยคพลัดพรากพัสดุ กามแลกิเลสกาม แลอาสวะทั้งหลายคือทิฏฐาสวะภวาสวะ ก็บังเกิดดวยโสกปริเทวทุกขโทมนัส เหมือนกัน อันวาเทพยดาทั้งหลายมีอายุยืน บริบูรณดวยสีสัณฐพรรณมากดวยสุขสถิตสถาพรยืนนาน ในวิมานอันสูง อันวาเทพยดาทั้งหลายนั้น ครั้นไดฟงพระสัทธรรมเทศนาแหงสมเด็จพระสุคตทศพล ญาณถึงซึ่งภัยความกลัวสะดุงจิต เกิดสังเวชตาง ๆ อันบังเกิดแกเทพยดา เมื่อเบญจวรรณบุพพนิมิต บังเกิดนั้นครั้นแลวก็เกิดอัสสาทะ มีกําลังดวยฉันทราคะอาลัยในอุปปตติภพ คือขันธอันบังเกิดแตกรรม นั้นขณะนั้นภวาสวะก็บังเกิดอวิชชาสวะก็พลอยบังเกิด เหตุดังนั้นจึงไดชื่อวาโสกปริเทวะเปนอาทิเปน ปจจัยแกอวิชชาดวยประการดังนี้ เมื่ออวิชชาเปนปจจัยเปนมูลมีแลว สังขารเปนปตยุบันก็มีอันบังเกิดดวย สังขารเกิดแลว วิญญาณก็เกิดดวยตราบเทาถึงชรามรณะใหมเลาเหตุผลเปนปรัมปราสืบ ๆ แหงเหตุผลสืบเนื่องกันหา ที่สิ้นที่สุดลงมิไดเหตุ ฉะนั้นภวจักรมีองค ๑๒ มีอวิชชาเปนตน มีชรามรณะเปนที่สุดนั้นประพฤติเปนไป ผูกเนื่องดวยเหตุแลผลหาที่สุดลงมิได จึงชื่อวาสําเร็จกิจดวยโสกเปนอาทิ มีคําปุจฉาตอไปเลาวา เมื่ออวิชชาประพฤติเปนไปหาที่สุดระหวางลงมิไดดังนั้น ถาจะวา อวิชชาเปนกลางอวิชชาเปนปลายก็จะไดอยู คําที่วา “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” ดังนี้ กลาวดวย สามารถอวิชชาเปนตนก็ผิด วิสัชนาวาคําที่วา “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” จะไดกลาวดวยสามารถเปนตนนั้นหามิได กลาวไวเปนประธานตางหาก เพราะเหตุอวิชชานี้เปนประธานแกวัฏฏะทั้ง ๓ คือ กิเลสวัฏฏ กัมมวัฏฏวิ ปากวัฏฏ เมื่ออวิชชาบังเกิดขึ้นดวยวัตถุอารมณสัมผัส แลเกิดขึ้นดวยอาสวะโสกเปนอาทิก็ดี แล อวิชชานุสัยที่ยังละเสียมิไดก็ดี อวิชชาเหลานี้แลเปนอาสันนะเหตุเปนประธานที่จะใหวัฏฏะธรรม บังเกิด แลวัฏฏะทั้ง ๓ บังเกิดแลวรัดรึงเกี่ยวกระหวัดไวในคนพาลในสังสารวัฏฏะอันแวดลอมไปดวย ทุกขตาง ๆ เหตุจับมั่นซึ่งอวิชชา คือวายังมิไดละเสียซึ่งอวิชชาอันเปนประธาน ดุจหนึ่งวา ขนดตัวแหง อสรพิษซึ่งกระหวัดเขาซึ่งแขนแหงบุคคล อันจับมั่นซึ่งศีรษะแหงอสรพิษอันเต็มไปดวยพิษมิไดละเสีย นั้น ตอเมื่อใดตัดเสียไดซึ่งอวิชชา ดวยอรหัตตมรรคประหารแลวก็พนจากวัฏฏะธรรมทั้ง ๓ ประกอบ เมื่อนั้นดุจหนึ่งตัดศีรษะแหงอสรพิษขาดแลว แลสละเสียซึ่งขนดตัวแหงอสรพิษจากแขนนั้น สมดวย วาระพระบาลี “อวิชฺชยเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ” แปลวา “สงฺขารนิโรโธ” อันวา ความดับซึ่งสังขาร เหตุชื่อวาอวิชชาหาเศษมิได ดวยพระอรหัตแทจริง เหตุดังนั้นจึงกลาววาสังขาร บังเกิดแตอวิชชาเปนปจจัยนี้ ดวยสามารถอวิชชาเปนประธานธรรมเทานั้น จะไดกลาวดวยสามารถเปน ตนนั้นหามิได นักปราชญพึงรูวาภวจักรหาที่สุดลงบมิไดดวยประการฉะนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 51 อนึ่ง ภวจักรปราศจากผูแตงผูกระทํารูเสวยนั้นหตุใด แลสังขารเปนอาทิที่เปนผลนั้น ประพฤติเปนไปแตเหตุทั้งหลายมีอวิชชาเปนอาทิสิ่งเดียว ภวจักรนั้นก็ไมมีผูตกแตงคือพรหมแลปชา บดีมเหศวรอันสัตวนับถือ พระพรหมผูประเสริฐตกแตงโลก เปนโลกบิดาวามานี้ก็เปลาสิ้นทั้งนั้น อนึ่ง เปลาจากตัวตน ผูจะเสวยสุขทุกขทั้งปวง เหตุดังนั้นจึงไดชื่อวาภวจักรปราศจากผู ตกแตงผูกระทํา ไมมีบุคคลผูเสวยดวยประการฉะนี้ อนึ่งเลา ภวจักรนี้สูญเปลาจากสภาวะเที่ยงจริง เหตุมีเกิดแลดับอยูทุกเมื่อสูญจากสภาวะ งาม เหตุเปนธรรมอันเศราหมองกอปรไปในธรรมอันเศราหมองเปลาจากสุข เหตุมีเกิดแลดับ เบียดเบียนอยูเปนนิจนิรันดร สูญเปลาจากตน ไมประพฤติตามอํานาจแตงตน เหตุประพฤติเนื่องอยู ดวยปจจัยของตน สังขารทั้งปวงมีอวิชชาเปนอาทิมิใชตน มิไดเปนของตนมิไดในตนมิไดอํานาจแหง ตน จึงไดชื่อวาภวจักรเปนสุญญตาสูญเปลาดวยประการดังนี้ เมื่อนักปราชญรูแจงวา ภวจักรมีองค ๑๒ มีอวิชชาสําเร็จดวยโสกเปนตน มีเบื้องตนมิได ปรากฏ ปราศจากผูกระทําเสวยเปลาจากตัวตนดังนี้แลว พึงรูซึ่งมูล ๒ แลอัทธา ๓ มูล ๒ นั้น คือ อวิชชาเปนมูล ๑ ตัณหาเปนมูล ๑ เปนมูล ๒ อัทธา ๓ นั้น คือ อดีตอัทธา ๑ ปจจุบันอัทธา ๑ อนาคตอัทธา ๑ อวิชชาสังขารทั้งปวงนี้ จัดเปนอดีตอัทธา วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภาวะ ๘ นี้จัดเปน ปจจุบันอัทธา ชาติ ชรา มรณะ ๓ นี้ จัดเปนอนาคตอัทธา อนึ่ง ภวจักรอันเดียวจัดเปน ๒ ดวยสามารถแหงมูล ๒ คือ ตัณหา อุปาทาน ภวะ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา นับเปนหนึ่งชื่อวาอวิชชาเปนมูลตัณหาที่เปนมูลนั้น ตั้งตัณหาเปน ประธานดังนี้ ตัณหา อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา อุปาทาน ภวะ ชาติ ชรา มรณะ นับเปนหนึ่งชื่อวาตัณหาเปนมูล แลภวจักรทั้ง ๒ นั้น ฝายอวิชชามูลภวจักร สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาตรัสเทศนาดวย อํานาจแหงสัตวเปนทิฏฐิจริต มากดวยทิฏฐิ สวนตัณหามูลนั้น พระพุทธองคตรัสเทศนา ดวยอํานาจแกสัตวเปนตัณหาจริต มากดวย ตัณหา อนึ่ง อวิชชามูลนั้น พระพุทธองคตรัสเทศนา ดวยอวิชชาเปนสังสารนายกแกทิฏฐิจริต บุคคล ประการหนึ่งอวิชชามูลภวจักรนั้น พระพุทธองคเจาตรัสเทศนาเพื่อจะสําแดงแจงซึ่งผลมิได ขาดแหงเหตุ เพราะผลยังเกิดเพื่อจะเพิกเสียซึ่งอุจเฉททิฏฐิ สวนตัณหามูลภวจักรนั้น พระพุทธองคเจาตรัสเทศนาเพื่อจะสําแดงแจงซึ่งชรามรณะแหง สัตวทั้งหลายอันบังเกิดมานี้ เพื่อจะเพิกเสียซึ่งสัสสตทิฏฐิ อนึ่งอวิชชามูล พระพุทธองคเจาเทศนา เพื่อจะสําแดงซึ่งลําดับแหง สัขาร วิญญาณ นาม รูป สฬายตนะ แหงศัพภไสยกสัตว อันมีอายตนะอันบังเกิดโดยลําดับ ตั้งรูปแรกแตกลละรูปนั้น ฝายตัณหามูล พระพุทธองคเจาเทศนา เพื่อจะสําแดงซึ่งอุปปติกะ สัตวทั้งหลายมีอายตนะ เปนอาทิ บังเกิดพรอมกันในขณะเดียวแตแรกปฏิสนธิ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 52 นักปราชญพึงสันนิษฐานเขาใจเถิดวา ภวจักรนี้ มีสนธิ ๓ สังคหะ ๔ มีอการ ๒๐ มีวัฏฏะ ๔ ภวจักรพัดผันไปหาที่สุดลงมิได สมาธิ ๓ นั้น คือ ระหวางสังขารกับปฏิสนธิวิญญาณตอกันชื่อวาเหตุแลสนธิอัน ๑ ระหวางเวทนากับตัณหาตอกัน ชื่อวาผลเหตุสนธิอัน ๑ ระหวางภพกับชาติตอกัน ชื่อวาเหตุบุพพกผลสนธิอัน ๑ เปน สนธิ ๓ ดังนี้ เบื้องตนแลเบื้องปลายแหงสนธิทั้งหลาย เปนสังคห ๔ คือ อวิชชากับสังขารเปนสังคหะ อัน ๑ วิญญาณกับนามรูปสฬายตนะผัสสะเวทนาเปนสังคหะอัน ๑ ตัณหากับอุปาทานภวเปนสังคหะ อัน ๑ ชาติกับชรากับมรณะเปนสังคหะอัน ๑ เปนสังคหะ ๔ ดังนี้ อาการ ๒๐ นั้น คือ “อดีต เหตุโย ปฺจ อิทานิ ผลปฺจกํ อิทานิ เหตุโย ปฺจอายตึ ผลปฺจกํ” ดังนี้เปนอาการ ๒๐ ดวยกัน แลอดีตเหตุ ๕ นั้น คือ อวิชชาสังขารเปนเดิม ไดแกคนพาล ครั้นอวิชชาครอบงําแลวก็หลงอยูในอวิชชา ก็ยินดีปรารถนาซึ่งอารมณ ตัณหาก็บังเกิด ครั้นตัณหาบังเกิดแลวก็ถือมั่น อุปาทานก็เกิด ครั้นอุปาทานเกิดแลวเจตนาก็บังเกิด เหตุดังนั้นแล ตัณหาอุปาทานภวะนี้ พระพุทธองคถือเอาดวยอวิชชาศัพทเปนอดีต เหตุ ๕ คือ อวิชชา สังขาร “ปุริมกมฺมภวสฺมึ โมโห อวิชฺชา ตัณหา อุปาทาน ภวะ นี้สมดวยพระพุทธฎีกาตรัสบัณฑูรไววา อายุหนา สงฺขารา นิกนฺติ ตณฺหา อุปคมนํ อุปาทานํ เจตนา ภโว อิติ อิเม ปฺจ ธมฺมา ปุริมกมฺม ภวสฺมึ อิธปฏิสนฺธิยา ปจฺจโยติ” แปลวา อันวาหลงอันใดในทุกขอริยสัจเปนตน แลบุคคลหลงดวย โมหะอันใด แลกระทําตาง ๆ มีกายทุจริตเปนอาทิ หลงนั้นคืออวิชชา เมื่อบุคคลกระทํากรรมอันนั้น ปุริมเจตนาอันใดบังเกิดขึ้นปรารภวาจะใหทานแลจัดแจง เครื่องอุปการะไวนาน แตเดือนหนึ่งปหนึ่งแลวแลประดิษฐานนั้นถึงมือปฏิคคาหก เจตนานั้นชื่อวาภาวะ อันหนึ่งชวนะเจตนาทั้ง ๖ ในตน ในอาวิชชนะวิถีอันเดียว ชื่อวาอายุหนสังขารสัตตมะชวนะเจตนา ชื่อ วาภวะอันหนึ่งเจตนาทั้งปวงชื่อวาภวะธรรมอันสัมปยุตดวยเจตนาชื่อวาอายุหนสังขาร ไดแกอดีต สังขาร แลความปรารถนาจะเกิดในเมืองฟาเมืองสวรรค กระทํา ความปราถนานั้นชื่อวาตัณหา
ในพิภพอันใดดวยผลแหงกรรมที่ตน
“อุปคมนํ” อันวาเขาใจผิดอันใด กวาหระทํากรรมนี้แลวเราจะไดเสพกามคุณสุขในที่อันมี ชื่อโนน เราไดกระทํากรรมนี้แลว เราจักขามพนจากฐานที่นี้ เขาใจผิดถือมั้นดังนี้ ชื่อวาอุปาทาน อันวาเจตนาแหงทายกอันตกแตง วัตถุทานยกยื่นใหแกปฏิคคาหกก็ดี แลสัตตมะชวะ เจตนาก็ดี เจตนาอันใดชื่อภวะ ธรรม ๕ ประการนี้แลชื่อวา “อดีเต เหตุโย ปฺจ อิทานิ ผลปฺจกํ” ผล ๕ นั้น คือ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เปนปจจุบัน แตเหตุ ๕ อันเปน อดีตเหตุนั้น ยุติดวยวาระพระบาลีพระพุทธฎีกาตรัสบัณฑูรไววา “อิธ ปฏิสนฺธิ วิฺญาณํ โอกนฺติ” นามรูป ปสาโท อายตนํ ผุฏโฐ ผสฺโส เวทยิตํ เวทนา อิติ อิเม ปฺจ ธมฺมา” แปลวา “ยํ จิตฺต”ํ อันวาจิตอันใดนักปราชญกลาววาปฏิสนธิ “อิธ ภะว” ในปจจุบันภพนี้ เหตุบังเกิดขึ้นแลวแล สืบตอกันเขากับภพ “ตํ จิตฺต”ํ อันวาจิตนั้น “วิญญานํ” ชื่อวาวิญญาณ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 53 อันวาหยั่งลงอันใดแหงรูปนาม ดุจมาแลวแลเขามา “คพฺเภ” ในครรภแหงมารดา กิริยาที่ หยั่งลงนี้ชื่อวานามรูป “โย ปสาโท” อันวาผองใสอันใดแหงวิญญาณทั้งหลาย อายตนะ ๕ มีจักขวายตนะเปนตน
ผองใสนั้นชื่ออายตนะ
คือ
“โย ผสฺโส” อันวาผัสสะอันใดถูกตองซึ่งอารมณ ดุจรูรูปธรรมแลวบังเกิด อันวาถูกตอง อารมณนั้นชื่อวาผัสสะ “ยํ เวทยิตํ” อันวาเสวยรสแหงอารมณอันใด อันบังเกิดพรอมดวยผัสสะ อันมีปฏิสนธิ วิญญาณเปนปจจัยก็ดี อันมีสาฬยตนะเปนปจจัยก็ดีอันวาเสวยซึ่งรสแหงอารมณนั้น อันวาธรรมชาตินั้น ชื่อวาเทวนา อันวาธรรม ๕ ประการนี้แลเปนปจจัยแหงกรรม อันกระทํากอนในภพโนน “อิทานิ เหตุโย ปฺจ” เหตุ ๕ ประการในปจจุบันภพนี้ คือ ตัณหา อวิชชา สังขาร อุปาทาน ภวะ ปจจุบันเหตุดังนี้ ตั้งตัณหา อุปาทาน ภวะ เปนเดิม อวิชชามาเขาดวยตัณหา อุปาทานศัพท สังขารมาเขา อีกดวยภาวะศัพท เปนปจจุบันเหตุ ๕ ประการ ยุติดวยวาระพระบาลีวา “อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนานํ โมโห อวิชฺชา อายุหนา สงฺขารา นิกนฺติ ตณฺหา อุปคมนฺ อุปาทานํ เจตนา ภโว อิติ อิเม ปฺจ ธมฺมา” โมโห อันวาหลงในธรรมทั้งหลายดุจกลาวมาแลว แหงสัตวทั้งหลายมีอายตนะอันแกกลา ชื่อวาอวิชชา อธิบายวาสัตวอยางนอย ๆ มีจิตสันคติ จิตประหวัดทุพพลภาพมิอาจกอสรางชนกกรรมทั้ง ปวงได ตอเมื่อมีอายตนะแกกลาจึงจะสําเร็จเจตนากรรมได เหตุดังนั้น ครั้นมีอินทรียแกกลาแลว ประกอบกรรมอันใดในขณะใด อวิชชาก็บังเกิดดวยในขณะนั้น อรรถาธิบายพิเศษ นักปราชญพึงรูเถิดดุจกลาวนั้นเถิด “อายตึ ผลปฺจกํ” ผล ๕ นั้น คือ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ชื่อวาเปน ผลในอนาคต เหตุธรรม ๕ ประการ มีวิญญาณเปนอาทินี้ จัดเปนปจจุบันนี้อัทธาเปนผลแท อาจารยกลาวดวยชาติศัพท เพราะชาติธรรมนั้น เปนอนาคตอัทธา เปนสวนอนาคต ฝาย ชรามรณะเปนชรามรณะของวิญญาณเปนตน คือ ชรานาม ชรารูป แลมรณะแหงนาม แลรูปสมดวย วาระ พระบาลีวา “อายตึ ปฏิสนฺธิ วิฺญาณํ โอกนฺติ นามรูป ปสาโท อายตนํ ผุฏโ เวทนา อิติ อิเม ปฺจ ธมฺมา” ความแปลกก็เหมือนกัน เปนการ ๒๐ ดวยกันชื่อวาภวจักร มีอาการ ๒๐ ดัง พรรณนามาฉะนี้ อนึ่งเลาธรรม ๕ ประการดังกลาวมาแลว ในปุริภพชื่อวากัมมสัมภารธรรม ๕ ประการ ใน ปจจุบันภพชื่อวาวิปากธรรม ธรรม ๕ ประการในปจจุบันภพชื่อวากัมมสัมภาร ธรรม ๕ ประการในอนาคตชื่อวาวิปากธรรม จัดเปนกรรม ๑๐ ประการ จัดเปนวิบาก ๑๐ ประการ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 54 กรรม แลวิบาก ๒ ประการนี้ ชื่อวากัมมสังเขป วิบากสังเขป ชื่อวากัมมวัฏฏ วิบากวัฏฏ ชื่อ วากัมมปวัตติ วิบากปวัตติ ชื่อวากรรมสันตติ วิบากสันตติ ชื่อวากิริยาเหตุแลกิริยาผลเหตุดังนั้นอันวา ภวจักรนี้ “สเหตุก”ํ ประกอบดวยเหตุ ประกอบดวยทุกขัง อนิจจัง อันตตา มีสภาวะฉิบหายตาง ๆ มิไดดวยเหตุแท มีแตเกิดแลดับอยูเปนนิจนิรันดรไมตั้งอยูนานสิ้นกาลเทาใดคอยแตที่จะผันจะแปล พิการอยูดวยพลันดับดวยพลันสูญ ไมยืนไมยาว ไมแข็งไมกลา พลันผุ พลันทําลาย คอยที่จะหาผล แหงตน คือ ชราแลมรณโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสอยูทุกเมื่อจะมีสัตวมีบุคคลตนเองแลผูอื่นจะ มีในธรรมนี้บางหาบมิไดเลยเปนเหตุกับผลแทจริง เหตุใดดังนั้น “ ธมฺโม พุทฺเธน เทสิโต” อันวาพระจตุราวิยสัจจธรรมแลมรรคตราบเทาถึงอัคคมรรค ญาณ สมเด็จพระพุทธองคทรงตรัสบัญฑูรไวเพื่อจะใหดับเหตุธรรมมูลธรรม คือ อวิชชา ตัณหา อันวาศาสนพรหมจารย คือ ศีล สมาธิ ปญญา สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาตรัสเทศนาไวเพื่อ จะใหสิ้นแหงวัฏฏทุกขเมื่ออวิชชาตัณหาดับไดแลว อันวาวัฏฏทุกขทั้ง ๓ อันตัดขาดแลวดวยอัคค ญาณเปนที่สุด ตราบใดวัฏฏะนั้นก็บมิไดเปนไป คือวาจักรมีพัดผันไปตราบนั้น เมื่อสัตวบุคคลมิไดมีใน ธรรมอันเนื่องดวยเหตุนั้นแลว ฝายอุจเฉททิฏฐิแลสันนติทิฏฐิก็หามิไดในเมื่อนั้น “ติยทเมวํ ภูมฺมานํ ” อันวาภวจักรนี้เมื่อผัดผันไป ดุจนัยกลาวมาแลว นัก ปราชญพึงรูโดย มาติกาอุเทศวาร ๕ ประการโดยสมควรใหมเลา คือ สัจจปภวะ ๑ กิจจะ ๑ วารณะ ๑ อุปมา ๑ คัมภีร นัย ๑ สัจจปจจปภวะนั้น มีนัยทีพระอรรถกถาจารยเจาสําแดงมาในสัจจนิเทศในลําดับนั้นแลว กิจจะนั้นคือภวจักรทั้ง ๑๒ นี้ มีกิจจะสอง ๆ คือสําเร็จกิจ แลเปนปจจัยแกธรรมอันอื่น เหตุ ใดอวิชชา ยังสัตวทั้งหลายอันกอปรดวยอวิชชาใหหลงในอริยสัจ แลหลงในวัตถุ ดวยสามารถปดเสีย ซึ่งอริยสัจแลวัตถุแลว ก็เปนปจจัยใหสังขารบังเกิด ฝายสังขาร
มีกิจจะตกแตงซึ่งสังขตธรรม
อันควรตนจะพึงตกแตงแลวก็เปนปจจัยแก
วิญญาณ สวนวิญญาณ รูซึ่งอารมณแลวก็เปนปจจัยแกนามรูป ฝายนามเลา ค้ําชูอุดหนุนซึ่งกันและกันดุจไมออสองมัด แลวก็เปนปจจัยแกสฬายตนะ สวนสฬายตนะประพฤติเปนไปในอารมณเฉพาะแหงตนมีรูปารมณเปนตนแลวก็เปนปจจุย แกสัมผัส ฝายวาสัมผัสถูกตองอารมณแลว ก็เปนปจจัยแกเวทนา สวนเวทนา เสวยรสแหงอารมณแลว ก็เปนปจจัยแกตัณหา ฝายตัณหา กําหนดในอารมณอันควรจะกําหนดแลว ก็เปนปจจัยแกอุปาทาน สวนอุปาทาน ถือมั่นในธรรมอันพึงถือเอาแลว ก็เปนปจจัยแกภวะ ฝายภวะซัดไปซึ่งสัตวในคติตาง ๆ แลว ก็เปนปจจัยแกชาติ ฝายชาติ ยังอุปาทินนกขันธในภพกําหนดคติตาง ๆ แลวก็เปนปจจัยแกชรามรณะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 55 สวนชรามรณะ อาศัยซึ่งความแกขึ้นแลทําลายแหงขันธทั้งหลายแลวก็เปนปจจัยใหปรากฏ ในภพอื่น เหตุเปนที่เกิดโสกเปนตน เหตุดังนั้น ภวะจักรนี้ประพฤติเปนไปโดยกิจละสอง ๆ ในบททั้งปวง นักปราชญพึงรูโดย สมควรนั้นเถิด วารณะนั้น คือหามเสียซึ่งมิจฉาทัสสนะเห็นผิดในธรรมทั้งหลาย คือ “ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺ ขารา” บทนี้พระพุทธองคเจาตรัสเทศนาประสงคจะหามเสียซึ่งความเห็นผิดแหงสัตว อันถือวาโลก แลตัวตนมีผูแตงมีผูกระทํา อนึ่ง “ สงฺขารปจฺจยา วิฺญาณํ” บทนี้ พระพุทธองคตรัสเทศนา เพื่อจะหามเสียซึ่ง ความถือผิดวาดวยตัวตนออกจากภพนี้แลวยางไปสูภพอื่น “ วิฺญาณปจฺจยา นามรูป” บทนี้เทศนา เพื่อจะหามเสียซึ่งฆนสัญญา คือสัตวถือวาตน เปนแทงเปนกอนแหงปญจขันธอันมิไดเปนแทง แลทําลายแหลกไปเปนจุรณะวิรุณรออยูนั้น ดุจบุคคล ผาผลเมล็ดตาลเปนสองซีกฉะนั้น “นามรูปปจฺจยา สฬายตานํ ” เปนอาทิ บทนี้ตรัสเทศนาไวประสงคจะหามเสียซึ่งเห็น ผิดวา เห็นตน ตนฟง ตนสูดดมลิ้มเลียถูกตอง ตนรู ตนสัมผัส ตนเสวยอารมณ ตนปรารถนา ตนถือเอา จับเอาซึ่งวัตถุ ตนกอสราง ตนเกิด ตนแก ตนตาย ในสภาวธรรมอันเปลาจากตนมีผูใดเห็นเปนอาทิ เหตุดังนั้น ภวจักรพระองคเจาตรัสเทศนา เพื่อจะหามเสียซึ่งถือมั่นมิจฉาทิฏฐิตาง ๆ วาโลกแลตัวตนมี ผูกระทําดังนี้ อุปมานั้นคือ อวิชชามิใหเห็นจริงแทแหงสภาวธรรมทั้งหลายอันเปนแตนามรูปโดนสามัญ ลักษณะนั้นหามิไดเลย ดุจคนตามืดทั้งสองขางมิไดเห็นซึ่งสรรพรูปารมณทั้งปวงนั้น แลวอวิชชามา เปนปจจัยใหบังเกิดสังขาร เจตนาเปนเหตุใหเกิดทุกขเลา ดุจหนึ่งคนตามืดไมเห็นทางมืดแลพลาดไป นั้น แลวสังขารเปนปจจัยใหบังเกิดวิญญาณอันจะตกแตงไปสูภพอื่นเลาดุจหนึ่งคนตามืดพลาดแลวแล ลมลง แลวิญญาณมาเปนปจจัยใหเกิดเปนนามรูป อันประกอบดวยทุกขธรรมตาง ๆ อันมีอยู สําหรับภพที่เกิดนั้น แลประกอบดวยสังกิเลสธรรมเปนอันมาก มีอยูในที่เกิดนั้นดุจคนตามืดพลาดลม ลงแลวแลตองเสี้ยนหนามเกิดวิการฟกซ้ํานั้น แลวนามรูปมาเปนปจจัยใหเกิดสฬายตนะอันเปนบอเกิด แหงสังขารทุกข ดุจฟกซ้ําแกขึ้นจวนจะทําลายแลวมีตอมนอย ๆ คือกาฬผุดขึ้นแซมเลา สฬายตนะ มาเปนปจจัยใหเกิดผัสสะ มีกิจกระทบถูกตองซึ่งอารมณดุจคนตามืด ประมาท แลกระทบถูกแผลที่ฟกซ้ํานั้น แลวผัสสะมาเปนปจจัยใหเกิดเวทนาอันเปนสุขเวทนา ทุกขเวทนา แล อุเบกขาเวทนา ใหสฬายตนะทั้งมวล ดุจความเจ็บอันบังเกิดเขานั้น แลวเวทนาเปนปจจัยใหบังเกิด ตัณหา คือความปรารถนากามภพ รูปภพ อรูปภพ ดุจหนึ่งปรารถนาเพื่อจะพยายาลซึ่งความเจ็บนั้น แลวตัณหาเปนปจจัยใหบังเกิดอุปาทาน อันถือมั่นเขาใจผิดในธรรมทั้งหลายมีกามภพเปน อาทิอันเปนพิษนั้น ดุจปรารถนาจะเยียวยาพยาบาลซึ่งความเจ็บ แลวแลทายากินยาผิดสําเเดงอันมิ ชอบโรคนั้น แลวอุปาทานมาเปนปจจัยใหบังเกิดภพ อันซัดไปซึ่งสัตวในภพคติตาง ๆ ดุจยาทามิชอบ โรคในอุปาทินนกสรีระ แลวภวะมาเปนปจจัยใหบังเกิดชาติ อันสะสมอยูดวยทุกขเปนอันมาก มีคัพโภกันติมูลทุกข
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 56 เปนอาทิ ดุจหนึ่งวาเกิดกําเริบแหงฟกซ้ําเปนบุพโพโลหิต เพราะเหตุทายาพอกยาอันมิชอบโรคนั้น แลวชาติมาเปนปจจัยใหบังเกิด ชรา มรณะ อันคร่ําคราทําลายจากปจจุบันขันธ ดุจหนึ่งวา แตกทําลายออกแหงฟกซ้ํา เหตุวาวิการแกขึ้นดวยบุพโพโลหิตเทานั้น อุปมาอุปไมยวิเศษ ในภวจักรมีองค ๑๒ นี้ เปนเอกัฏฐานุปมาเปรียบเฉพาะแตอันธกบุรุษ สิ่งเดียว ดวยอุปไมยภวจักรแตละบท ๆ พระอรรถกถาจารยเจาปรารถนาจะเปรียบอุปมานานาฐาน จึง ยกบทบาลีสืบใหมเลาวา “ ยสฺมา วา ปน” เปนอาทิเหตุใหแลอวิชชาครอบงําสัตวทั้งหลายใหหลงมิ ใหรูเห็นซึ่งสภาวะธรรม คือทุกขแลพระไตรลักษญณญานเปนอาทิ แลใหรูเห็นวาวิปริตผิดจาก สภาวะธรรมดุจตอแลฝาอันปดเสียซึ่งมังสจักษุ มิใหเห็นสรรพรูปารมณทั้งปวง แทจริงธรรมดาวา บุคคลมีตอแลฝาเขาปดจักษุอยูแลวก็มิไดเห็นรูปทั้งปวง แมจะเห็นบาง ราง ๆ เลา ก็เห็นวิปริตพรางพรายไปไมเห็นแจงฉันใดก็ดี บุคคลที่มีอวิชชาครอบงําแลวก็มิไดบัญญัติ เปนสัมมาปฏิบัติ ถาปฏิบัติเลาก็ปฏิบัติแตผิด มิใชทุกขอริยสัจเปนตน ถาเห็นเลาก็เห็นแตที่ผิดมี อุปไมยฉันนั้น ประการหนึ่งคนพาล ครั้นมีอวิชชาครอบงําแลวก็กอสรางแตสังขารธรรม ๆ เกี่ยวพันตัวไว ดวยสังขาร อันจะนอมนําตนไปเกิดใหมเกิดอีกใยภพหาที่สุดมิได ดุจหนึ่งตัวดวงแมลงหุมพันตนไว ดวยฝงรังเหตุสังขารกระทําแตจะใหวนเวียนอยูภายในแหงวัฏฏะทั้ง ๓ คือ กัมมวัฏฏ กิเลสวัฏฏ วิ ปากวัฏฏนั้น สวนวิญญาณ ครั้นไดสังขารเปนผูอุปถัมภกแลว ก็ไดชึ่งที่พึ่งในคติตาง ๆ ดุชราชกุมาร ครั้นปริณายกคือ เชฏฐามาตยชวยอุปถัมภกแลวก็ไดสําเร็จแกสิริราชสมบัติเหตุวิบากวิญญาณนิยมอุป ปตนิมิต กระทําอุปปตติภพเปนอารมณ คือหนายวาภพอันตนจะพึงไปบังเกิด อธิบายวาวิญญาณนี้ กําหนดตามสังขารทั้ง ๓ กอง มีกามาพจรกุศลเปนตน ตนก็เล็ง กามาพจรและกระทํากามาพจรเปนอารมณยังนามรูป คืออุปตติขันธเปนอันมาก คือ เทวดา มนุษย ดิรัจฉานนกเนื้อนอนใหญ ดวยหนอนเปนอาทิ ในปฏิสนธิกาลแลประวัติกาลดุจคนมายากระทํามายา ลอลวง สําแดงไมจริงตาง ๆ ฝายสฬายตนะ ตั้งมั่นในนามแลรูปก็ถึงซึ่งเจริญแพรหลายไพบูลยภาวะวิเศษดวยที่ตั้ง ดุจ หนึ่งกอไมอันตั้งอยูในภูมิอันดี สวนผัสสะเลา ก็บังเกิดสัมผัสแหงอายตนะทั้ง ๒ คืออัชฌัตติกายตนะพาหิรายตนะ เปนวิส ยีสยาธาร เฉพาะหนาตอกันแลกันนั้น ดุจไฟอันบังเกิดดวยธนูไมเปนสีไฟทับฝนซึ่งกันแลกันนั้น สวนตัณหา ครั้นเสวยเวทนาอันเปนสุข ปรารถนาสุขอันอื่นอีกไดเสวยทุกขแลวปรารถนาหา สุขก็เจริญยิ่งขึ้นไปอีก ดุจบุคคลถูกไฟแลวอยากน้ําหาไดกินซึ่งน้ําเกลือ แลวแลกระหายอยากน้ํานั้น ฝายอุปาทาน เมื่อบุคคลอยากยินดีที่จะบังเกิดในภพแลว ก็ถือมั่นซึ่งสังขารทุกขในภพที่ เกิดตามตัณหานั้น ดุจบุคคลอยากน้ําแลวไดกินซึ่งน้ําระงับความอยากน้ํา สวนภาวะเลา เมื่อบุคคลไดซึ่งที่เกิดแลวก็ยินดีดวยตัณหาทิฏฐิอันถือมั่นผูกพันในภพ อัน พรอมเพรียงดงยทุกขอันนํามาซึ่งความฉิบหายดุจปลาอันโลภในเหยื่อแลวคาบกินซึ่งเบ็ดอันเกี่ยวกับ เหยื่อนั้น ฝายชาติเลา เมื่อภพมีแลวก็มีดวย ดุจพืชมีแลวหนอก็มีดวย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 57 ฝายชรามรณะ ครั้นชาติคือความเกิดมีแลวก็ตามมาดวย ดุจตนไมอันบังเกิดขึ้นแลวก็จะลม ลงเลา เหตุดังนั้น อันวาดวยอุปไมยตอภวจักรนี้ นักปราชญพึงรูโดยเอกัฏฐานุปมา แลนามฐานุป มา เปนสทิสูปนา แลวิสทิสุปมาดุจพรรนามาฉะนี้ คัมภีรนั้น คือภวจักรปจจยาการเทศนา กอปรดวยคัมภีรคือความลึก ๔ ประการ คือ อัตถ คัมภีร ๑ ธัมมคัมภีร ๑ เทศนาคัมภีร ๑ ปฏิเวธคัมภีร ๑ อัตถคัมภีรนั้น คือกิริยาที่จะตรัสรูซึ่งผลแหงเหตุ คือชรามรณะมีมาแตชาติ เวนจากชาติแล จะมาแตธรรมอันอื่นหามิไดเลย คือมาแตชาตินั้นเปนเที่ยงแท แลตรัสรูสภาวะแหงชรามรณะมีไปใน เบื้องหนา ๆ สมควรแกปจจัยแหงตน คือชาติจริงแทมิไดผิดมิไดมีมาแตธรรมอันอื่นยากนักยากหนา สังขารมีมาแตอวิชชาเวนจากอวิชชาแลวมิไดมี คือมีมาแตอวิชชานั้นเปนเที่ยงแท แลจะตรัสรูสภาวะ แหงสังขารมีไปในเบื้องหนา ๆ สมควรแกปจจัยแหงอวิชชานั้นจริงแทมิไดผิด มิไดมีมาแตธรรมอันอื่น จะรูอยางนี้ยากกวายากนัก ปจจัยการภวจักรจึงไดชื่อวา อัตถคัมภีร อนึ่งธรรมนั้น ไดแกเหตุคืออวิชชามีแดนอํานาจเปนไปเทาใดเปนปจจัยเปนเหตุดวย ประการใด แลมาเปนปจจัยใหเกิดสังขารแลสังขารมีอวิชชาเปนปจจัยดวยประการนั้นตรัสรูยากนัก แล ชาติมีแดนอํานาจเปนไปเทาใดเปนเหตุปจจัย แลมาเปนปจจัยใหเกิดชรามรณะ แลชรามรณะ มีชาติเปนปจจัยดวยประการนั้น ตรัสรูก็ยากนักหนาเหตุดังนั้น ปจจยาการภว จักรจึงไดชื่อวา ธัมมคัมภีร เทศนาคัมภีรนั้น คือเวไนยสัตวทั้งปวงจึงพึงตรัสรู ซึ่งพระปจจยาการธรรมนี้ดวยประการใด สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาตรัสพระสัทธรรมเทศนาซึ่งพระปฏิจจสมมุปบาทปจจยาการนี้ โดยควรแก พุทธอัชฌาสัย แลอนุกูลตามเวไนยอัชฌาสัย จริตวาสนาอินทริยาธิมุตตแหงสัตวอันพึงตรัสรูนั้น เทศนาเปน ๔ อยางในพระสูตรทั้งปวง บางพระสูตรเปนอนุโลมเทศนา บางพระสูตรเปน ปฏิโลมานุโลมเทศนา เปนปฏิสนธิจตุสังเขปเปนทวีสนธิติสังเขป เปนเอกสนธิทวีสังเขป ดุจวัลลีหารก บุรุษ ๆ ตัดเครือเขา ๔ จําพวก ซึ่งวิสัชนาในตนแรกปรารภแลวนั้นชื่อวาเทศนาคัมภีร ปฏิเวธคัมภีรนั้น คือสภาวะอันใดแหงอวิชชาเปนตน แลธรรมทั้งหลายมีอวิชชาเปนตนนั้น สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาตรัสรูโดยลักษณะแหงตน มีอญาณลักษณะเปนตน สภาวะนั้นลึกยิ่งนัก เหตุ จะหยั่งลงเปนอันยาก แมพระญาณอันอื่นนอกจากพระสัพพัญุญาณแลว มิอาจเพื่อจะหยั่งลงในภว จักรปจจยาการนั้นได ชื่อวาปฏิเวธคัมภีร คํากอนก็สมดวยคําหลัง อวิชชานี้มีสภาวะเปนขาศึกแกญาณอันจะตรัสรูซึ่งทุกขาทิ ลักษณะ จะเห็นซึ่งทุกขาทิลักษณะแลตรัสรูซึ่งอริยสัจ สวนอวิชชาครอบงําเสียมิใหรูมิใหเห็นโดยแท สวนสังขารมีสภาวะตกแตงแลสัมปยุตตธรรม แตตางออกเปนสภาวะ คือ อบุญญาภิสังขาร เปนบุญญาภิสังขาร เปนอเนญชาภิสังขาร ฝายวิญญาณมีสภาวะสูญเปลา แลมิไดขวนขวายจะยางไปอื่นจากมาตรวาอุปปาทะ ฐิติ ภังคะ แลวแลบังเกิดขึ้นสภาวะตอเขากันกับภพใหม สวนนามรูปเลา มีสภาวะเกิดกับพรอมกันดวย แลพรากจากกันแตนามฝายนาม แลนาม วิโยคจากรูป ๆ วิโยคจากนาม แลรูปฝายรูปขางกลาปรวมกันในกลาปเดียว ในภพบางอันนั้นแล รูปสํา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 58 เสร็จมนกิจแลรูปมนกจตามวิสัยแหงตน สวนสฬายตนะนั้นเลา มีสภาวะเปนใหญคืออินทรียมีจักขุนทรียเปนตน แลสภาวะเปนโลก ธรรมแลเปนทวารเปนขเตเปนวินัยแหงรูปารมณเปนตน อันมาสูโยคเทศ มีสภาวะถูกตองแลกระทบ แหงสัมผัสทั้งหลาย ๕ มีสภาวะเสวยซึ่งรสแหงอารมณ ๖ มีจักขุสัมผัสเปนอาทิ แลประชุมเขาแล ปรากฏพรอมกัน แหงจิตเจตสิกธรรมทั้งหลายมีจักขุทวาริกจิตเปนตน สวนเวทนาเลา มีสภาวะเปนสุขเปนทุกข เปนอุเบกขาเปนตนนิชชีวธรรม แลวรูเสวยอารมณ ตาง ๆ ดุจมีชีวิต สวนตัณหามีสภาวะยินดี ดวยสัมปติกอภินันทะ แลพลวตัณหาดุจกล้ํากลืนซึ่งอารมณแล วัตถุแลว แลซาบซานอยูในวัตถุอารมณคือ สกปริกขารเปนอาทิ เปนตัณหานที ตัณหาสมุทรจะถมให เต็มใหตื้นขึ้นเปนอันยากนัก ฝายอุปาทานเลา มีสภาวะถือมั่นดวยกาม แลถือมั่นดวยทิฏฐิถือมั่นดวยสีลวัตร แลถือมั่น โดยประการอันจากลักษณะอันจริงแทมาตรวานามรูปแลบุคคลอันจะขามเปนอันยากนัก สวยภพมีสภาวะขวนขวาย แลกอสรางเจตนากรรม เพื่อภพแลซัดโยนไปซึ่งสัตวในกําเนิด คติ ฐิติ สัตตาวาสเปนอันมาก ฝายชาติเลา มีภาวะเกิดขึ้นแลเกิดดวยดี แลหยั่งลงแลปรากฏขึ้นดวยสามารถคัพภไสยกะ สังเสทชะ อัณฑชะ อุปปาติกะปฏิสนธิในภพเปนอาทิ สวนชรามรณะ มีสภาวะกอปรดวยขยายธรรม คืออุปาทินนกขันธใหม ๆ อยูแลวใหเกาเขา เลา ดวยฟนหักแกมตอบศรีษะหงอกยอหยอนแหงอังคาอวัยวะเปนอาทิ แลใหแปรปรวนดวยทําลาย ขันธเปนสมมติมรณะ แลขณิกมรณะ เศษจากทิฏฐานสัตว สังขารอันเปนที่รักเปนอาทิ บุคคลจะหยั่งรู หยั่งเห็นดวยเหตุนี้เปนอันยากยิ่ง ภวจักรนี้สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสเทศนา ชื่อวาปฏิเวธคัมภีร ดวยประการฉะนี้ แลนัยเภทอีก ๔ ประการ คือ เอกัตตนัย ๑ นานัตตนัย ๑ อพยาปารนัย ๑ เอวังธัมมตานัย ๑ นักปราชญพึงรูดุจนัยที่สําแดงมาในติกอุทสวาร ชื่อวาวรรณะนั้นเถิด “อิทํ หิ คมฺภีรโต อคาธํ ” หิ เพราะ “ ยสฺมา” เหตุใด “ตสฺมา ” เหตุนั้น “โกจิ ปุคฺค โส ” อันวาบุคคลผูใดผูหนึ่ง เมื่อยังทําลายมิไดซึ่งภวจักรนี้ “ อคาธํ” อันหาที่พึ่งมิไดโดยลึกนัก นั้น “ทุรติยานํ ” อันวาบุคคลจะลวงขามพนเปนอันมาก เหตุชัฏดวยนัยตาง ๆ “ญาณาสินา” ดวย ดาบคือวิปสสนาปญญาเปนอาทิอันลับอานเปนอันดีเหนือศิลาอันประเสริฐ คือสมาธิ แลบุคคลนั้น “ อนตีโต” ก็มิอาจลวงขามเสียไดซึ่งสารภัยอันทับทวีอยูเปนนิจนิรันดร ดุจมณฑลแหงอสุนีบาตใน มาตรวาแตความฝน คือวาจะฝนเห็นวาขามสังสารภัยก็หามิได เหตุการณดังนั้นพระพุทธโฆษาจารย เจา เมื่อจะกลาวอางสาธกสูตรซ้ําเพื่อจะสําแดงซึ่งปฏิจจสมุปบาท อันลึกล้ําคัมภีรภาพอันมีในมหา นิทานสูตรในคัมภีรทีฆนิกายโนน จึงกลาววา “ วุตฺตํปเจตํ คมฺภีโร จายํ อานนฺท ปฏิจจสมุปฺปาโท คมฺภีราวกาโสจ” เปนอาทิ เหตุใด จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสไวแกพระอานนทดังนี้ แลแมน้ําไดนาม ๔ ประการ คือ แมน้ําอันหนึ่งตื้นประมาณเพียงเขา สะสมดวยหญาแลใบไมมีพรรณขุนเขียวดวยน้ําหญาน้ํา ใบไม ดูไปปรากฏดุจลึกสัก ๑๐๐ วา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 59 แมน้ําอันหนึ่งลึกประมาณสัก ๑๐๐ ศอก มีน้ําใสดุจน้ําแกวแลดูไปดุจตื้นเพียงเขา แมน้ําอันหนึ่งตื้น แลดูไปก็เห็นวาตื้น ดุจน้ําในอางเปนอาทิ แมน้ําอันหนึ่งลึก แลดูไปก็เห็นวาลึก ดุจน้ําในมหาสมุทรในเชิงเขาพระสุเมรุราช ดูกรสําแดงอานนท อันวาพระปฏิจจสทุปบาทนี้ ลึกก็ลึกแลพิจารณาไปก็ปรากฏลึก ดูกร สําแดงอานนท “อยํ ปชา ” อันวาสัตวนิกายนี้ เหตุมิไดรูซึ่งพระปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้ โดยญาตปริญญา ภิสสมัย “อนนฺโพธา ” เหตุมิไดรูตีรณปญญา แลปหานปริญญา “ตนฺตากุลกชาตา ” ฟนเฝอยิ่งนักดวยกิเลสวัฏฏ กัมมวัฏฏ วิปากวัฏฏ ดุจดวยแหงนาย ชางหูกอันหนูกัด จะสางออกใหเห็นวานี้ ตนนี้ปลาย จะประสมตนตอตน ปลายตอปลายนั้นยากนักหนา “คณคณฺฑิกชาตา ” ถามิดังนั้นฟนเฝอนดุจรังนกกระจาบ “มฺุชปพฺพชฺภุตา ” ยุงดุจหนึ่งหญาปลองมุงกระตาย อันบุคคลฉีกกระทําเชือกผูกเขา แลว บุคคลจะสะสางประสมกันเขายากนักหนาเวนไวแตบุคคลผูมีเพียรจึงจะสะสางไดในตนตอตน ปลายตอปลาย ฉันใดก็ดี พระปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้ ฟนเฝอยุงเหยิงยิ่งนัก อุปไมยเหมือนดังนี้ สัตวทั้งหลายเวนจากพระโพธิสัตวทั้ง ๒ จําพวกแลวมิอาจสางได เมื่อสัตวทั้งหลายสาง มิไดแลว ก็ฟนเฝอยุงอยูดวยทิฏฐิตาง ๆ อันมากกวามากนักก็ลวงเสียมิไดซึ่งอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย แลสังสารวัฏฏ หมองมัวดวยสรรพทุกขตาง ๆ คือ ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทว ทุกข โทมนัส บมิรูแลวยุติแลวสนธิเลา ปฏิสนธิแลวจุติเลา วิญญาณฐิติ ๗ สัตตาวาสทั้ง ๙ หาที่สุดลง มิได เหตุใดเหตุดังนั้น เปนคําสั่งสอนแหงพระพุทธโฆษาจารยเจาวา “ ปณฺฑิโต” พระโยคาพจรผูมีปญญา เมื่อปฏิบัติจะใหเปนความสุขความเจริญแกตนและ ผูอื่น พึงสละเสียซึ่งนวกรรมการปลิโพธคันอันอื่นแลว แมไฉนก็จะพึงไดญาณอันหยั่งลงสูหองแหง ปจจยาการอันคัมภีรภาพพนพิสัยแหงประเทศญาณ เปนพื้นภูมิแหงพระวิปสสนากรรมฐานดวยประการ ใด ประกอบดวยสติเปนอันดี แลพึงประกอบความเพียรเนือง ๆ จงทุกเมื่อดวยประการดังนี้เถิด ได วิสัชนามาในพระปฏิจจสมุปบาทธรรมยุติเเตาเทานี้ เมื่อพระโยคาพจรตั้งธรรม ๖ กอง มีขันธทั้ง ๕ เปนตน มีพระปฏิจจสมุปบาทเปนที่สุดไว เปนพื้น คือพิจารณาใหรูจักลักษณะแหงธรรมทั้ง ๖ กอง ยืนหนวงเอาธรรมทั้ง ๖ กองนี้ไวเปนอารมณ ไดแลวลําดับนั้นจึงเอาศีลวิสุทธิ แลจิตวิสุทธิมาเปนราก ศีลวิสุทธินั้นไดแกพระปฏิโมกขสังวรศีล ที่สําแดงแลวในพระปาฏิโมกข จิตตวิสุทธินั้น ไดแกอัฏฏฐสมาบัติ ๘ ประการ ที่สําแดงแลวในพระสมถกัมมัฏฐาน เมื่อตั้งศีลวิสุทธิ จิตวิสุทธิ ๒ ประการไวเปนรากแลว ลําดับนั้นใหพระโยคาพจรจําเริญวิ สุทธิทั้ง ๕ สืบขึ้นไปโดยลําดับ ๆ เอาทิฏฐิวิสุทธิ แลกังขาวิตรณวิสุทธิเปนเทาซายเทาขวา เอามัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ แลปฏิปทา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 60 ญาณทัสสนวิสุทธิเปนมือซายมือขวาแลวเอาญาณทัสสนวิสุทธิเปนศีรษะเถิด ยกตนออกจากวัฏฏสงสารได
จึงจะอาจสามารถที่จะ
แลทิฏฐิวิสุทธินั้น มีอรรถาธิบายเปนประการใด อันวาปญญาอันพิจารณาซึ่งนามรูปโดยสามัญลักษณะ มีสภาวะเปนวิปริณามธรรม บมิ “ผุสฺ เที่ยงเปนอาทิก็ดี โดยสภาวะลักษณะ คือลักษณะแหงตนบมิไดทั่วไปแกสิ่งอื่นมีอาทิคือ สนลกฺขโณผสฺโส ” อันวาผัสสะเจตสิกอันมีถูกตองเปนลักษณะ “กฺกขฬลกฺขณา ปวี ” อันวา ปฐวีธาตุมีสภาวะกระดางเปนลักษณะ ปญญาอันพิจารณาเห็นโดยสภาวะลักษณะเปนอาทิดังนี้ก็ดี ก็ ไดชื่อวาทิฏฐิวิสุทธิ เหตุปญญาดังพรรณนามานี้ ชําระเสียซึ่งมละมลทินคือทิฏฐิอันเห็นผิดเห็นวาตนวา ตนในนามแลรูปนั้น “ ” “ตํ สมฺปาเทตูกาเมน สมถยานิเกน ” แลพระโยคาพจรเจาผูเปนสมถยา นิก บําเพ็ญสมถกัมมัฏฐานนั้น ถาปรารถนาจะยังทิฏฐิวิสุทธิใหบริบูรณ ก็พึงเขาฌานสมาบัติอันใด อันหนึ่งตามจิตประสงคยกเสียเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเหตุเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ นั้นลึกละเอียดนัก ปญญาโยคาพระจรกุลบุตรผูเปนอาทิกัมมิกแรกทําความเพียรจะพิจารณาไดเปนอัน มาก ยกเวนสัญญานาสัญญายตนะเสียแลวพึงเจริญตามชอบน้ําใจเถิด “อฺญตรโต วุฏาย ” เมื่อออกจากสมาบัติอันใดอันหนึ่งที่ตนไดจําเริญแลว ก็พึง พิจารณาซึ่งองคแหงญาณ มีวิตกเปนอาทิเจตสิกธรรมทั้งปวงแตบรรดาที่สัมปยุตดวยองคแหงฌานนั้น ใหแจงโดยลักษณะแลกิจแลปจจุปปฏฐาน แลอาสันนการณแหงองคฌานแลธรรมอันสัมปยุตดวยองค ฌานนั้นแลว ก็พึงกําหนดกฏหมายวาองคฌาน แลธรรมอันสัมปยุตดวยองคฌานนี้ แตลวนเปน นามธรรมทั้งสิ้น ดวยอรรถวานอมไปจําเพาะหนาสูอารมณ เมื่อกําหนดกฏหมายดังนี้แลว แลแสวงหา ที่อยูแหงนามธรรมนั้น ก็จะเห็นแจงวาหทัยวัตถุเปนที่อยูแหงนามธรรม แลเปนที่อาศัยแหง นามธรรม “ ยถา นาม ปุริโส” มีอุปมาดุจบุรุษอันเห็นอสรพิษ ณ ภายในเรือน “อนุพนฺธมโน ” บุรุษผูนั้นติดตามสกัดดู ก็รูแจงวาอสรพิษอยูที่นี่ ๆ และมีอุปมาฉันใด พระโยคาพจรผูแสวงหาที่อยู แหงนามธรรมนั้นก็เห็นแจงวาหทัยวัตถุ เปนที่อยูแหงนามธรรมมีอุปไมยดังนี้ “ รูป ปริคฺคณฺเหติ” แลวพระโยคาพจรเจาพิจารณารูปธรรมตอไปเลา ก็เห็นแจงหทัย วัตถุนั้นอาศัยซึ่งภูตรูปแลรูป ๆ ทั้ง ๔ คือ ปฐวี อาโป เตโช วาโย นั้นเปนที่อาศัยแหงหทัยวัตถุ คืออุ ปาทายรูปอื่น ๆ จากหทัยวัตถุนั้นก็อาศัยภูตรูปสิ้นดวยกัน เรียกวารูป ๆ นั้น ดวยอรรถวารูฉิบหายดวยอุปทวะอันตรายตาง ๆ “สงเขปโต ววตฺถาเปติ ” ลําดับนั้นพระโยคาพจรเจา จึงกําหนดกฏหมายโดยสังเขปวา “นมนลกฺขณํ นามํ ” นามธรรมนี้มีลักษณะอันนอมไปสูอารมณ “รูปนลกฺขณํ รูป ” รูปธรรมนี้มีลักษณะรูฉิบหายดวยอันตราย ๆ มีรอนแลเย็นเปนอาทิ พระโยคาพจรผูเปนวิสุทธิ วิปสสนายานิกคือเปนแตฝายพิจารณาสิ่งเดียวนั้นก็ดี ยอมพิจารณาธาตุทั้ง ๔ ประการโดยนัยสังเขป โดยนัยพิสดาร ดวยธาตุปริคคหณอุบายอันใดอันหนึ่งอาจารยสําแดงแลวในจตุธาตุววัตถาน “อาวีภูตา ธาตูสุ ” ในเมื่อพิจารณาธาตุทั้ง ๔ ประการโดยลักษณะแลกิจปรากฏแจงแลว พระโยคาพจรเจาพึงพิจารณาสืบตอไปในอาการ ๓๒ มีเกศาเปนอาทิ มีมัตถลุงคังเปนปริโยสาน แทจริง เกศานี้จัดเปนปฐวีธาตุก็จริง แตยังมีอาโปเตโชวาโยซับซาบอยู ซึ่งเปนปฐวีสิ่ง เดียวนั้นหามิได เกศาแตละเสน ๆ นั้นกอปรไปดวยรูปกลาปถึง ๕ กลาป เปนกัมมัชชสมุฏฐานกลาป ๒ อาหารสมุฏฐานกลาป ๑ จิตตสมุฏฐานกลาป ๑ อุตุสมุฏฐานกลาป ๑ เปน ๕ กลาปดวยกัน ในกัมมัชชสมุฏฐานกลาป ๒ นั้น คือ กายทสกะกลาป ๑ ภาวทสกะกลาป ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 61 กายทสกะนั้น กอปรไปดวย ๑๐ ประการ คือ ปวี อาโป เตโช วาโย วัณโณ คันโธ รโส โอชา เปน ๘ เอาชีวิตกับกายประสาทเพิ่มเขาเปน ๑๐ เรียกวากายทสกะ ภาวสกะนั้นมีรูป ๑๐ ประการเหมือนกัน แปลกกันแตภาวะรูปขางกายทสกะนั้นมีกาย ประสาทเปนคํารบ ๑๐ ขางสภาวทสกะนี้มีภาวรูปเปนคํารบ ๑๐ เขาดวยกันเปนกัมมัชชรูป ๑ กลาป ดังนี้ แลอาหารสมุฏฐานกลาป ๑ นั้น คือ สุทธัฏฐกลาป กอปรดวยรูป ๘ ประการ คือ ปวี อาโป เตโช วาโย วัณโณ คันโธ รโส โอชา เปน ๘ ประการดังนี้ ยังจิตสมุฏฐานกลาปอันหนึ่ง อุตุสมุฏฐานกลาปอันหนึ่งนั้น ก็เหมือนกันกับอาหารสมุฏฐาน กลาป คือจัดเอาแตสุทธัฏฐกลาปมีรูป ๘ ประการ เหมือนกัน สิริรูปในกัมมัชชสมุฏฐฐานกลาป ๒๐ ในอาหารสมุฏฐานกลาป ๘ ในจิตตสมุฏฐานกลาป ๘ ในอุตุสมุฏฐานกลาป ๘ จึงเปนรูป ๔๔ ประการดวยกัน ตกวาผมแตละเสนนี้ ประกอบดวยรูปถึง ๔๔ โลมาเลาก็เหมือนกันประกอบดวยรูปถึง ๔๔ ยกแต อุทริยัง กรีสัง ปุพโพ เสโท อัสสุ เขโฬ สิงฆานิกา มุตตัง ยกเสีย ๘ กระการนี้แลว ยังโกฏฐาส ทั้ง ๒๔ มีเกศาเปนอาทินั้นแตลวนปรกอบดวยรูป ๔๔ ดวยกัน แลโกฏฐาสทั้ง ๔ คือ เสโทเหงือ อัสสุน้ําตา เขโฬน้ําลาย สิงฆานิกาน้ํามูก ทั้ง ๔ นี้กอปร ดวยรูปกลาป ๒ กลาป เปน อุตุสมุฏฐานกลาป ๑ จิตตสมุฏฐานกลาป ๑ อุตุสมุฏฐานกลาป ๑ นั้น จัดเอาสุทธัฏฐานกลาปดวยรูป ๘ ประการ คือ ปวี อาโป เตโช วาโย วัณโณ คันโธ รโส โอชา เปน ๘ ประการดังนี้ แลจิตตสมุฏฐานกลาปนั้น ก็จัดเอาแตสุทธัฏฐานกลาปมีรูป ๘ ประการเหมือนกัน สิริในอุตุสมุฏฐานกลาป ๘ จิตตสมุฏฐานกลาป ๘ จึงเปน ๑๖ ประการดวยกัน ตกวา เวโท อัสสุ เขโฬ สิงฆานิกา โกฏฐานทั้ง ๔ ประการนี้ แตละสิ่ง ๆ กอปรไปดวยรูป ๑๖ รูปดวยประการดังนี้ แลโกฏฐานทั้ง ๔ คือ อุทริยังอาหารใหม กรีสังอาหารเกา ปุพโพหนอง มุตตัง มูตรทั้ง ๔ ประการนี้ กอปรดวยรูปกลาปอันหนึ่ง ๆ คืออุตุสมุฏฐานกลาป มีรูป ๘ ประการ คือ ปวี อาโป เตโช วาโย วัณโณ คันโธ รโส โอชา เปนคํารบ ๘ ตกวาอุทริยังก็มีรูป ๘ กรัสังก็มีรูป ๓ ปุพโพ หนองก็มีรูป ๘ มุตตังกฌมีรูป ๘ พระโยคาพจรเจาผูบําเพ็ญทิฏฐิวิสุทธิ พึงพิจารณาอาหาร ๓๒ ประการโดยนัยวิตถาร ดุจดังจะพรรณนามาฉะนี้ “อิมสฺมึ ทฺวตฺตึสากาเร อานีภูเต ” ในเมื่อพิจารณาทวัตติงสาการปรากฏแจงในสันดาน แลว พระโยคาพจรเจาจึงพิจารณาอาการอีก ๑๐ ประการสืบตอไปเลา แลอาการ ๑๐ ประการนั้น คือ เตโชธาตุ ๔ วาโยธาตุ ๖ จึง ๑๐ ประการ เตโชธาตุอันชื่อวาปริณามัคคี ที่เปนพนักงานเผาอาหารใหยอยนั้นเมื่อเปนกัมมสุฏฐานมีรูป บังเกิดพรอมดวยกลาป ๑ คือชีวิตนวกะ เมื่อเปนจิตตสมุฏฐาน แลอุตุสมุฏฐาน อาหารสมุฏฐานมีรูป เกิดพรอมไดละ ๘ ๆ คือสุทธัฏฐานกลาปประสมเขาเปนรูป ๓๓ “ ตถา จิตฺตเช อสฺสาสปสฺสาสโกฏาสมฺหิ” ในเมื่อโกฏฐาสอันหนึ่ง คือ อัสสาสะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 62 ปสสาสะ ระบายลมหายใจเขาออก เมื่อเปนจิตตัชชะเกิดแตจิตนั้น มีรูปเกิดพรอม ๙ ประการ คือธาตุ ทั้ง ๔ วัณโณ คันโธ รโส โอชา รวมเขาเปน ๘ เอาสัททารมณอัน ๑ เพิ่มเขาอีก เรียกวาสัททานวกะ เมื่อเปนกัมมสุมฏฐาน อุตุสมุฏฐาน อาหารสมุฏฐาน มีรูปเกิดพรอมละ ๘ ๆ คือ สุทธัฏฐก ลาปเปนประธานเขาดวยกันเปนรูป ๓๓ “ เสเสสุ อฏสุ อากาเรสุ” แลอาการทั้ง ๘ ประการ คือเพลิง ๓ ลม ๕ อันเศษจาก ปริณามัคคี แลลมอัสสาสะปสสาสะนั้นก็มีรูปบังเกิดพรอม ๓๓ เหมือนกัน “ ตสฺเสวํ วิตฺถารโต ทฺวาจตฺตาฬีสาการวเสน” เมื่อพระโยคาพจรเจา พิจารณาอาการ ทั้ฃ ๔๒ คือ ปีธาตุ ๒๐ อาโปธาตุ ๑๒ เพลิง ๔ ลม ๖ ปรากฏแจงโดยนัยพิสดารดังพรรณนามาฉะนี้ แลว “สฏี รูปานี ปากตานิ ” อันวารูป ๖๐ ประการ คือจักขุทสกะ ๑๐ โสตทสกะ ๑๐ ฆานทส กะ ๑๐ ชิวหาทสกะ ๑๐ กายทสกะ ๑๐ วัตถุทสกะ ๑๐ รวมเปน ๖๐ ดวยกันก็ปรากฏแจงเปนอันดี “ เอกโต กตฺวา” พระโยคาพจรเจาจึงประมวลรูปทั้งปวงนั้นเขาเปนหมวดอันเดียวกัน พิจารณาโดยลักษณะวารูปทั้งปวงนี้มีลักษณะรูฉิบหายเหมือนกันสิ้น จะมั่นจะคงจะเที่ยงจะแทแตสัก สิ่งหนึ่งนั้นหามิได “ตสฺเสวํ ปริคฺคหิตรูปสฺส ” เมื่อพระโยคาพจรเจา พิจารณาเห็นกองรูปดวยประการดังนี้ แลว “ ทวารวเสน อรูปธมฺมา” อันวาอรูปธรรมทั้งปวง คือจิตแลเจตสิกก็ปรากฏแจงแกพระ โยคาพจรเจานั้น ดวยสามารถทวาร คือจักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร กายทวาร มโนทวาร “เสยฺยถีทํ ” จึงมีคําปุจฉาวาจิตแลจิตสิกจะปรากฏดวยสามารถทวารนั้นเปนดังฤๅ จึงวิสัชนาวา จิตเจตสิกนี้มีทวารทั้ง ๖ เปนที่อาศัย เมื่อพิจรณาทวานทั้ง ๖ แจงประจักษ แลวก็จะรูจักจิตเจตสิกที่อาศัยทวาารทั้ง ๖ นั้นเปนแท จับที่อยูไดแลว คนอาศัยนั้นจะไปไปก็จับได ดวยกัน แลจิตที่อาศัยทวารทั้ง ๖ นั้น จัดเปนโลกิยจิต ๘๑ คือ ทวิปญจวิญญาณ ๑๐ มโนธาตุ ๓ มโนวิญญาณธาตุ ๖๘ แลเจตสิกที่เกิดพรอมดวยโลกิยจิต ๘๑ นั้น คือ ผัสโส เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย มสิการทั้ง ๗ นี้ เปนสัพพจิตสาธารณทั่วไปในจิตทั้งปวง “อวิเสเสน ” สําแดงดังนี้ ดวยสามารถมิแปลกกัน แทจริงจิตทั้งปวงนั้น ถามีแตสัพพจิต สาธารณเจตสิก บังเกิดพรอมแตประการนี้ก็ยังบิมิตางกันกอน ตอเมื่อใดมีเจตสิกอื่นนอกออกไปกวานี้ ประกอบ จิตจึงแตกแยกจึงตางกันออกไปดวยอํานาจเจตสิก เจตสิกไวแต ๗ ประการ คือ สัพพจิตสาธรณเจตสิกนั้น สําแดงจิตเลนก็สําแดงแตจิตโลกิยะ จิตที่เปนโลกุตตรนั้นจะไดสําแดงไวหามิได “ อนธิกตตฺตา” เหตุวาจิตโลกุตตระนั้น พระโยคาพจรผูบําเพ็ญสมถวิปสสนายังไมได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 63 สําเร็จกอน ดังฤๅจะพิจารณาได เหตุฉะนี้โลกุตตรจิตนั้น ทานจึงมิไดสําแดงจึงยกเสีย สําแดงแตจิต โลกิยะในที่นี้ ตกวาสําแดงแตจิตอันควรที่พระโยคาพจรเจาจะพิจารณาได “เอกโต กตฺวา ” พระโยคาพจรเจานั้น ก็ประมวลจิตแลเจตสิกนั้นเขาดวยกัน พิจารณา โดยลักษณะวา จิตแลเจตสิกทั้งปวงนี้มีลักษณะนอมไปสูอารมณ จะเที่ยงจะตรงจะยั่งจะยืนนั้นหามิได เกิดเร็วดับเร็ว เปนอนิจจังมิไดเที่ยงแท “เอโก โยคาวจโร ” พระโยคาพระจรเจาบางจําพวก ๆ หนึ่งนั้นก็พิจารณานามรูปโดย พิสดาร ดวยอุบายอันสําแดงไวในจตุธาตุววัตถาน “อปโร โยคาวจรโร” พระโยคาพจรองคอื่นบางจําพวกนั้น ก็พิจารณานามรูปดวยสามารถ เปนธาตุ ๑๘ ประการ มีจักขุธาตุเปนอาทิ มีมโนวิญญาณธาตุเปนปริโยสาน แทจริง “ มํสปณฺฑ”ํ อันวากอนเนื้ออันประดิษฐานอยูในกระบอกจักษุ เสนดายคือเอ็น นอย ๆ หากมารัดมารึงไว “ เสตกณหอติกณฺหมณฺฑลวิตฺตํ อายตนวิตฺถตํ” กอนเนื้อนั้นมีพรรณอันขาวยาวกวาง เต็มกระบอกจักษุ วิจิตรดวยดวงตาดําเปนสองสีมีดําสีลานนั้นสีหนึ่ง โลกทั้งหลายเรียกกอนเนื้อนั้นวา ดวงเนตรดวงตา “ตํ อคเหตฺวา ” พระโยคาพจรจะไดถือเอากอนเนื้อนั้นมาเปนอารมณในขณะพิจารณานั้น หามิไดทานกําหนดเอาแตจักษุประสาทซึ่งกลาวแลวในขันธนิเทศ ที่นอยเทาศีรษะเหาอยูใน ทามกลางแหงดวงตานั้นแลเปนอารมณ กําหนดจักษุประสาทนั้นโดยนามบัญญัติวาจักขุธาตุ “ นิสฺสยถูตา จตสฺโส ธาตุโย” และธาตทั้ง ๔ อันเปนที่อาศัยแหงจักขุประสาทนั้นก็ดี วัณโร คันโธ รโส โอชา และชีวิตินทรียเปนสหชาติ เกิดพรอมดวยจักขุประสาท เปนบริวารแหงธาตุทั้ง ๕ ก็ดี กัมมัชชรูป ๒๐ รูป กายทสกะ ๑๐ ภวทสกะ ๑๐ ที่เกิดพรอมดวยจักขุประสาทนั้นก็ดี อาหารัชรูป ๙ จิตตัชชรูป ๘ ที่เกิดพรอมดวยจักขุประสาทนั้นก็ดี รูปทั้งสิ้นทั้ง ๕๓ ประการนี้ พระโยคาพจรเจาจะ ไดกําหนดวาจักขุธาตุหามิได กําหนดวาจักขุประสาทสิ่งเดียววาจักขุธาตุ ในโสตธาตุ ฆานธาตุ ชิวหาธาตุ กายธาตุนั้น พระโยคาพจรเจาก็พิจารณากําหนดเอาโสต ประสาท ฆานประสาท ชิวหาประสาท จะไดกําหนดเอารูป ๕๓ ซึ่งเกิดพรอมดวยโสตาทิประสาทนั้น หามิได ในกายธาตุก็พิจารณากําหนดเอาแตกายประสาท ๔๓ คือ ชีวิตนวกะ ๙ ภาวทสกะ ๑๐ โอชัฏฐ มกรูปอันเปนอาหารัชชะ จิตตัชชนะ ๒๔ เปน ๔๓ แตบรรดาที่เกิดพรอมดวยกายประสาทนั้น พระ โยคาพจรเจาจะไดพิจารณาหามิไดเฉพาะพิจารณาแตกายประสาท เกจิอาจารยวา รูปเกิดพรอมดวยกายประสาทนั้น ๔๕ เหตุวาอุตุชชรูป จิตตัชชรูปนั้น ไดแกสัททวนกะ นับชีวิตวนกะ ๔ ภาวทสกะ ๑๐ จิตตัชชรูป ๙ อาหารัชชรูป ๙ เปน ๔๕ พระ โยคาพจรเจาจะไดพิจารณารูป ๔๕ ซึ่งเกิดพรอมดวยกายประสาทนั้นหามิได เฉพาะพิจารณาแตกาย ประสาทอยางเดียว แลประสาททั้ง ๕ คือ จักขุประสาท โสตประสาท ฆานประสาท ชิวหาประสาท กาย ประสาทนี้เปนอารมณ ๕ ประการ คือ รูปปารมณ สัททารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ สิริ ประสาททั้ง ๕ อารมณทั้ง ๕ เขาดวยกันเปนธาตุ ๑๐ ประการ “ อวเสสานิ รูปานิ” และรูปอันเศษจากนั้น จัดเปนกัมมธาตุ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 64 ตกวาจักขุประสาทนั้นเปนจักขุธาตุ โสตประสาทนั้นเปนโสตธาตุ ฆานประสาทนั้นเปนฆาน ธาตุ ชิวหาประสาทนั้นเปนชิวหาธาตุ กายประสาทนั้นจัดเปนกายธาตุ จัดรูปารมณเปนรูปาธาตุ สัททา รมณเปนสัททธาตุ คันธารมณจัดเปนคันธธาตุ รสารมณเปนรสธาตุ โผฏฐัพพารมณเปนโผฏฐัพพธาตุ จัดรูปวิเศษเปนธัมมธาตุ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ที่อาศัยโสตประสาท ฆาน ประสาท ชิวหาประสาท กายประสาท นั้นจัดเปนโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณธาตุ กาย วิญญาณธาตุ ปจทวาราวัชชนวจิต ๑ สัมปฏิจฉันนจิต ๑ นั้น รวมเขาเปนอันเดียวเรียกวามโนธาตุยังจิตอีก ๖๘ นอกนั้นเรียกวามโนวิญญาณธาตุ “ผสฺสาทโย ” เจตสิกทั้งหลาย มีผัสสะเปนตนซึ่งสัมปยุตดวยโลกิยจิตทั้ง ๘๑ นั้น ก็จัด เขาในกัมมธาตุ สิริเขาดวยกันเปน ๑๘ พระโยคาพจรเจาบางพระองคนั้น พิจารณานามรูปดวยสามารถ จัดเปนธาตุ ๑๘ ประการฉะนี้ “อปโร ทวาทสายตนวเสน ” และพระโยคาพจรองคอื่นบางจําพวกนั้นเลา ก็พิจารณา นามและรูปดวยสามารถเปนอายตนะ ๑๒ ประการมีจักขวายตนเปนอาทิ มีธัมมายตนะเปนปริโยสาน ในจักขวายตนะนั้นมีรูป ๕๓ ประการ โดยนัยดังกลาวแลวในจักขุธาตุ พระโยคาพจรเจาก็ เฉพาะพิจารณาแตจักขุประสาทนั้น และวาเปนจักขวายตนะ เฉพาะพิจารณาแตโสตประสาทวาเปนโส ตายตนะเฉพาะพิจารณา แตฆานประสาทวาเปนฆานายตนะ เฉพาะพิจารณาแตชิวหาประสาทวาเปนชิวหายตนะ เฉพาะพิจารณาแตกายประสาทวาเปนกายายตนะ พิจารณารูปารมณเปนรูปายตนะ พิจารณาสัททา รมณเปนสัททยตนะ พิจารณาคันธารมณเปนคันธายตนะ พิจารณารสารมณเปนรสายตนะ พิจารณา โผฏฐัพพารมณเปนโผฏฐัพพายตนะ พิจารณาวิญญาณ ๖ มีจักขุวิญญาณเปนอาทิเปนมนายตนะ พิจารณาเจตสิกธรรมทั้งปวงมีผัสสะเปนอาทิ และรูปอันเศษนั้นเปนธรรมายตนะ สิริเปนอายตนะ ๑๒ ประการดวยกัน อายตนะ ๑๒ ประการนี้ ถาจะยอเขาใหเปนกองแหงรูปธรรมนามธรรม ๒ ประการ ก็พึงแยก อายตนะออกสองสวน สวนหนึ่งนั้นนับเขากับมนายตนะ จัดเปนกองแหงนามธรรม ยังสวนหนึ่งนั้นนับ เขากับอายตนะ ๑๐ ประการ มีจักขวายตนะเปนตน มีโผฏฐัพพายตนะเปนที่สุด จัดเปนกองแหง รูปธรรม เปนใจความวา ปญญาอันพิจารณานามและรูปนั้นมีลักษณะ ๒ ประการ คือ สามัญญ ลักษณะ ๑ สภาวะลักษณะ กิริยาที่พิจารณาเห็นวา นามและรูปนี้ไมเที่ยงแทแปรปรวนอยูเหมือนกัน นามธรรมก็ไม เที่ยง รูปธรรมก็ไมเที่ยง นามธรรมก็แปรปรวน รูปธรรมก็แปรปรวนเหมือนกัน พิจารณาเห็นทั่วไปดังนี้ ไดชื่อวาพิจารณานามรูปโดยสามัญญลักษณะ และกิริยาที่แยกออกไปแตละสิ่ง ๆ อันวาผัสสะเจตสิกมีลักษณะใหถูกตองซึ่งอารมณ เวทนาเจตสิกมีลักษณะอันเสวยซึ่งอารมณ พิจารณานามธรรมโดยนัยเปนตนดังนี้ก็ดี พิจารณารูปธรรม โดยนัยเปนตนวา ปวีธาตุ มีลักษณะอันกระดางนั้นก็ดี ไดชื่อวาพิจารณานามและรูปโดยสภาวะ ลักษณะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 65 ตกวาปญญาที่พิจารณานามและรูปโดยสามัญญลักษณะ สภาวลักษณะดังนี้แลไดชื่อ วาทิฏฐิสุทธิ สําแดงทิฏฐิวิสุทธิโดยนัยสังเขปเทานี้ แตนี้จะวิสัชนาในกังขาวิตรณวิสุทธิสืบไป กังขาวิตรณวิสุทธินั้นมิใชอื่นไกล ไดแกปญญานั้นเอง ปญญาที่พิจารณาเห็นเหตุ เปน ปจจัย แหงนามธรรมและรูปธรรม เขาใจชัดวานามธรรมบังเกิดแตปจจัยสิ่งนี้ ๆ รูปธรรมบังเกิดแตปจจัย สิ่งนี้ ๆ เขาใจรูสันทัดปราศจากสงสัยในกาลทั้ง ๓ คือ อดีต และอนาคต และปจจุบันแลวในกาลใด ปญญานั้นก็ไดชื่อวากังขาวิตรณวิสุทธิในกาลนั้น “ตํ สมฺปาเทตุกาโม ” พระโยคาพจรภิกษุผูมีความปรารถนาเพื่อจะยังปญญาชื่อวากังขา วิตรณวิสุทธินั้นใหสมบูรณ ก็พึงประพฤติจิตสันดานใหเหมือนแพทย เอาเยี่ยงอยางแพทยผูฉลาดใน การรักษาโรค ธรรมดาวาแพทยผูฉลาดนั้น เมื่อจะรักษาซึ่งโรคพิจารณาดูโรคนิทานใหเห็นแจงวาโรค สิ่งนี้บังเกิดแตเหตุปฐวีธาตุกําเริบ โรคสิ่งนี้บังเกิดแตอาโปธาตุกําเริบ โรคสิ่งนี้บังเกิดแตเหตุแหง เตโชธาตุ และวาโยธาตุกําเริบ เมื่อรูชัดสันทัดแทในโรคสมุฏฐานแลว แพทยนั้นจึงประกอบยา ตามที่ “ยถา ” อันนี้มีครุวนาฉันใด พระโยคาจรภิกษุ ก็พึงพิจารณาหาเหตุหาปจจัยอันเปนที่เกิด แหงนามธรรม และรูปธรรม ใหเห็นแจงวานามธรรมบังเกิดแตเหตุปจจัยสิ่งนี้ ๆ รูปธรรมบังเกิดแตปจจัย สิ่งนี้ ๆ พึงประพฤติเอาเยี่ยงแพทยผูฉลาดที่พิจารณาดูซึ่งโรคนิทานฉันนั้น ถามิฉะนั้น ใหพระโยคาพจรภิกษุเอาเยี่ยงบุคคลอันมีสันดานมากไปดวยความกรุณา ได เห็นทารกอันนอนหงายอยูในกลางตรอก และแสวงหาบิดามารดาแหงทารกนั้น ธรรมดาวาบุคคลผูมีสันดานมากไปดวยความกรุณานั้น ถาเห็นทารกนอย ๆ นอนหงายอยู ในกลางตรอกกลางถนน ก็ยอมมีจิตสันดานกัมปนาทหวาดหวั่นไหว ตะลึงใจวา “ อยํ ปุตฺต โก” ทารกผูนี้ลูกของใคร ๆ เอามานอนหงายไวที่ทามกลางหนทางอยางนี้ ใครเปนบิดามารดาแหง ทารกผูนี้หนอ บุคคลผูมากไปดวยความกรุณาแสวงหาบิดามารดาแหงทารกผูนั้น และมีอุปมาฉันใด พระโยคาพจรภิกษุก็แสวงหาซึ่งเหตุปจจัยแหงนามรูป และมีอุปไมยดังนั้น แทจริง พระโยคาพจรผูแสวงหาซึ่งเหตุปจจัยแหงนามและรูปนั้นเดิมทีใหพิจารณาวา “อิทํ นามรูป ” นามและรูปแหงสรรพสัตวทั้งปวง แตบรรดามีในไตรโลกสันนิวาสนี้ ยอมมีเหตุมีปจจัย ประชุมแตสิ้นทั้งปวง อันจะปราศจากเหตุปราศจากปจจัยนั้นหาบมิได ถานามและรูปไมมีเหตุไมมี ปจจัยบังเกิดแตธรรมดาแหงตนแลว ก็หนาที่นามและรูปแหงสัตวทั้งปวง แตบรรดาที่มีในภพทั้งปวงนี้ จะเหมือน ๆ กันเปนอันหนึ่งอันเดียวจะมิไดแปลกประหลาดกัน สัตวที่บังเกิดเปนยมเปนยักษเปน อสุรกายกุมกัณฑ เปนนิกรเทพคนธรรพนั้นก็จะเหมือนกันเปนพิมพเดียว รูปพรรณสัณฐานนั้นจะไม หางไกลกัน อนึ่งสัตวที่บังเกิดในมุนษยสุคติ กับสัตวบังเกิดในทุคตินั้นก็จะเหมือน ๆ กันสิ้นทั้งปวง จะ หาที่ดีกวากันชั่วกวากันนั้นจะหาไมได เพราะเหตุวานามและรูปนั้นบังเกิดโดยธรรมดาแหงตนเองหา เหตุหาปจจัยบมิได นี้สิไมเปนดังนั้น นามและรูปนี้แปลกประหลาดกันทุก ๆ ภพจะไดเหมือนกันหาบ มิได นามและรูปในสุคติภพนั้นอยางหนึ่ง ในทุคติภพนั้นอยางหนึ่ง ในฉกามาพจรสวรรคอยางหนึ่ง ใน รูปภพนั้นอยางหนึ่งจะไดเหมือนกันนั้นหาบมิได ถึงบังเกิดในหมูเดียวกันในพวกเดียวกันก็ดีที่จะ เหมือนกันนั้นไมเหมือนกันเลยเปนอันขาด โดยกําหนดเปนที่สุด จนแตพี่นองซึ่งเปนลูกแฝดก็ยังมี แปลกประหลาดกันอยู จะไดเหมือนกันแททีเดียวก็หามิได อาศัยเหตุฉะนี้จึงเห็นแจงวานามและรูปนี้ มีเหตุมีปจจัยประชุมแตงสิ้นดวยกัน ถาไมมีเหตุ ไมมีปจจัยประชุมแตง นามและรูปบังเกิดโดยธรรมดาแหงตน แลวนามและรูปก็จะเหมือนกันสิ้นทั่วทั้ง ไตรภพมณฑลสกลไตรโลกธาตุ ดังฤๅจะเปลี่ยนจะแปลกกันเลา นามและรูปที่บังเกิดขึ้นเกา ๆ กับนาม รูปที่บังเกิดขึ้นใหม ๆ นั้น ก็เหมือนกันทุก ๆ ชาติ จะไมตางกัน นี้สิไมเปนดังนั้น นามและรูปนี้ เปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ ชาตินี้อยางหนึ่ง ชาติหนาอยางหนึ่ง ชาติโนนอยางหนึ่ง จะไดเหมือนกันอยูเปน นิจจะไดเหมือนกันอยูสิ้นกาลทุกเมื่อนั้นหามิได อาศัยเหตุฉะนี้เห็นวา นามและรูปนี้มีเหตุมีปจจัย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 66 ประชุมแตงอยูเปนแท “ น อิสฺสราทิเหตุกํ” ประการหนึ่งเหตุและปจจัยที่ประชุมแตงซึ่งนามและรูปนั้น จะไดแก พระมเหศวรและทาวมหาพรหมนั้นหาบมิได พระมเหศวรและทาวมหาพรหมนั้น บมิไดเปนเหตุปจจัยที่ จะตกแตงซึ่งนามธรรมและรูปธรรม อันจะถือลัทธิวาพระมเหศวรและทาวมหาพรหมตกแตงซึ่งนามและ รูปนั้นบมิชอบ บมิสมควรจะเชื่อฟงเอาเปนบรรทัดฐานได เพราะเหตุวาองคพระมเหศวรและทาว มหาพรหมนั้นบมิไดพนไปจากรูปธรรมและนามธรรม เมื่อสําแดงโดยปรมัตถอันสุขุมนั้น รูปธรรม นามธรรมนั้นเองจัดเปนพระมเหศวร จัดเปนทาวมหาพรหม ในที่อันนี้ ถาเกจิอาจารยจําพวกใดกลาวคําสอดเขามาวา พระมเหศวรและทาวมหาพรหม นั้น คงเปนรูปธรรมและนามธรรมเทานั้นเอง กลาวคําเสียดเขามาฉะนี้ ในอธิบายแหงเกจิอาจารยนั้น พิจารณาเห็นรูปธรรมนามธรรมอื่น ๆ นอกออกไปจากพระ มเหศวรและทาวมหาพรหมนั้น แตลวนมีเหตุมีปจจัยประชุมแตงสิ้นทั้งปวง แตรูปธรรมนามธรรมที่เปน องคแหงพระมเหศวรเปนองคแหงทาวมหาพรหมนั้น หาเหตุหาปจจัยประชุมแตงมิไดอัชฌาสัยแหง เกจิอาจารยนั้นพิจารณาเห็นดังนี้ เมื่อเห็นอธิบายตามอัชฌาสัยแหงเกจิอาจารยนั้น พระมเหศวรก็เหมือนกันเปนอันหนึ่งอัน เดียวกัน ทาวมหาพรหมก็จะเหมือนกันเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน จะหาแปลกประหลาดกัน นี้ไมเปน ดังนั้นพระมเหศวรแปลก ๆ ประหลาดกันอยู ทาวมหาพรหมแปลก ๆ ประหลาดกันอยู จะไดเหมือนกัน หามิได เหตุฉะนี้จึงจะเชื่อฟงเอาตามอธิบายแหงเกจิอาจารยนั้นเชื่อฟงเอาบมิได นามและรูปที่เปน องคพระมเหศวรนั้นก็มีเหตุมีปจจัยประชุมแตงนามและรูปที่เปนองคทาวมหาพรหมนั้นก็มีเหตุมีปจจัย ประชุมแตงสิ้นดวยกัน เมื่อเห็นวานามรูปมีเหตุมีปจจัยแทแลว ลําดับนั้นพระโยคาพจรจึงพิจารณาหาซึ่งธรรมอัน เหตุตัวปจจัยนั้นวา “ เก นุ โข เต” ธรรมสิ่งดังฤๅ เปนเหตุเปนปจจัยตกแตงซึ่งรูปธรรมนามธรรม เมื่อพิจารณาซึ่งธรรมอันเปนตัวปจจัยดังนี้ ก็มีมนสิการกําหนดจิตพิจารณาซึ่งรูปกายนั้นกอน เห็น วา “อยํ กาโย ” รูปกายนี้ “นิพฺพตฺตมาโน ” เมื่อจะบังเกิดนั้น จะไดบังเกิดภายในหองแหงอุบล และบัวหลวงและบัวขาวและจงกลนีเปนอาทินั้นหาบมิได จะไดบังเกิดภายในแหงแกวมณีและแกว มุกดาหารเปนอาทินั้นหาบมิได รูปกายนี้บังเกิดภายในอุทรประเทศแหงมารดาเบื้องบนนั้นกําหนดดวย กระเพราะอาหารใหม เบื้องต่ํานั้นกําหนดดวยกระเพราะอาหารเกา เบื้องหนานั้นกําหนดดวยกระดูก หนามสันหลังแหงมารดา “อนฺตอนฺตคุณปริวาริโต ” ไสใหญและไสนอยนั้นแวดลอมอยูโดยรอบ มีกลิ่นอันเหม็น เปนปฏิกูลพึงเกลียดพึงชัง ที่อันนั้นเปนที่คับคับแคบยิ่งนัก อาหารที่รูปกายแหงสัตวบังเกิดในที่นั้น เปรียบประดุจกิจมิชาติหมูหนอน อันบังเกิดในปลาเนาแลขนมบูดแลที่น้ําคลําไหลรูปกายแหงสัตวทั้ง ปวงนี้บังเกิดดวยธรรม ๔ ประการ คือ อวิชชาประการ ๑ ตัณหาประการ ๑ อุปาทานประการ ๑ กรรม ประการ ๑ ธรรม ๔ ประการนี้เปนเหตุใหบังเกิดรูปกายสิ้นทั้งปวง อาหารนั้นเปนปจจัยในกิจอุปถัมภก อุดหนุน ตกวาอวิชชาและตัณหา แลอุปาทานทั้ง ๓ ประการนี้ เปนที่อาศัยแหงรูปกาย เปรียบ ประดุจมารดาอันเปนที่อาศัยแหงทารกกรรมนั้นเปนเหตุบังเกิดรูปกาย เปรียบประดุจบิดาอันยังทารก ใหบังเกิด อาหารนั้นอุปถัมภอุดหนุนซึ่งรูปกาย เปรียบประดุจแมนมอันอุมชูทารก เมื่อพิจารณาเห็นซึ่งเหตุ แลปจจัยแหงรูปกายดวยประการดังนี้ แลวลําดับนั้นพระโยคาพจร
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 67 จึงพิจารณาเห็นซึ่งเหตุแหงนามกายวา “ จกฺขฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกขุวิฺญาณํ” วา จักขุประสาทแลรูปารมณแลว จึงบังเกิดขึ้นในสันดาน ฝายวาโสตวิญญาณอันอาศัยโสตประสาท แลสัททารมณแลว จึงบังเกิดฆานวิญญาณนั้นอาศัยฆานประสาท แลคันธารมณแลวจึงบังเกิด ชิวหา วิญญาณนั้นอาศัยชิวหาประสาทแลรสารมณ แลวจึงบังเกิดกายวิญญาณนั้นอาศัยกายประสาทแล โผฏฐัพพารมณ แลวจึงบังเกิดมโนวิญญาณนั้นอาศัยหทัยวัตถุแลธัมมารมณแลวจึงบังเกิด เมื่อพระโยคาพจรภิกษุพิจาณาเห็นชัดรูสันทัด วานามรูปบังเกิดแตเหตุปจจัยโดยนัยดัง พรรณามานี้แลว ลําดับนั้นก็จะเขาใจประจักษตลอดไปในอดีตแลอนาคตแลปจจุบัน จะรูชัดสันทัดแท วานามรูปในปจจุบันนี้บังเกิดแตเหตุปจจัยแลมีฉันใด นามรูปในอดีตที่บังเกิดแลวแตหลัง ๆ นั้น ก็ บังเกิดแตเหตุแตปจจัยฉันนั้น ถึงนามรูปที่จะบังเกิดตอไปในอนาคตเบื้องหนานั้น ๆ ก็จะบังเกิดแตเหตุ ปจจัยสิ้นดวยกัน เมื่อเขาใจแจงประจักษตลอดไปในอดีตแลอนาคต วาเหมือนกันกับปจจุบันนี้แลว ลําดับนั้นพระโยคาพจรภิกษุ ก็จะสละวิจิกิจฉาเสียไดสิ้นทั้ง ๑๖ ประการ แลวิจิกิจฉาทั้ง ๑๖ ประการ จัดเปนวิจิกิจฉาในอดีต ๕ ในอนาคต ๕ ปจจุบัน ๖ สิริเขา ดวยกันเปนวิจิกิจฉา ๑๖ ประการ วิจิกิจฉาในอดีต ๕ ประการนั้น คือสงสัยในอดีตชาติเบื้องหลัง ๆ วา “ อโห กึ นุ โข อหํ อตีตมทธานํ” ดังเรารําพึงในอดีตกาลเบื้องหลัง ๆ นั้น อาตมะไดบังเกิดหรือเปนประการใด สงสัย ฉะนี้เปนอดีตวิจิกิจฉาเปนปฐม แลอดีตวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๒ นั้น คือสงสัยวาในอดีตกาลนั้น อาตมะไมไดบังเกิดหรือเปน ประการใด แลอดีตวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๓ นั้น คือ สงสัยวาในอดีตกาลนั้นอาตมะไดเปนขัตติยชาติ หรือพราหมณชาติ หรือเปนชาวนา พอคาพอครัวเปนประการใด แลอดีตวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๔ นั้น คือสงสัยวาในอดีตกาลนั้น อาตมะมีรูปพรรณสัณฐาน ใหญนอยสูงต่ําดําขาวเปนประการใด แลอดีตวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๕ นั้น คือ สงสัยวาในอดีตกาลนั้น แตแรกเริ่มเดิมทีอาตมะ บังเกิดเปนสิ่งดังฤๅ แลวอาตมะมาบังเกิดเปนสิ่งดังฤๅเลา กําหนดสงสัยในอดีต ๕ ประการฉะนี้ แลสงสัยในอนาคต ๕ ประการนั้น คือสงสัยวา “ ภวิสฺสามิ นุ โข อหํ อนาคตมทฺธานํ” ในอนาคตเบื้องหนานั้น อาตมาจะไดบังเกิดอีกหรือเปน ประการใด สงสัยฉะนี้เปนอนาคตวิจิกิจฉาเปนปฐม แลอนาคตวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๒ นั้น คือสงสัยวาสืบตอไปในอนาคตกาลเบื้องหนานั้น อาต มะจักบมิไดบังเกิดอีกหรือเปนประการใด แลอนาคตวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๓ นั้น คือสงสัยวาสืบตอไปในอนาคตกาลนั้น อาตมะจะได บังเกิดเปนขัตติยชาติ หรือจักไดบังเกิดเปนพราหมณชาติหรือจักไดบังเกิดเปนชาวนาพอคาพอครัว เปนประการใด แลอนาคตวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๔ นั้น คือสงสัยวาสืบไปในอนาคตกาลเบื้องหนานั้น อาตตะ จักไดบังเกิดมีรูปพรรณสัณฐานใหญนอยสูงต่ําดําขาวเปนประการใด แลอนาคตวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๕ นั้น คือสงสัยวาสืบไปในอนาคตกาลนั้น อาตมะจักได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 68 บังเกิดในสิ่งดังฤๅกอนแลว อาตมะจักบังเกิดเปนสิ่งดังฤๅอีกเลา กําหนดสงสัยในอนาคต ๕ ประการ ฉะนี้ แลสงสัยในปจจุบัน ๖ ประการนั้น คือสงสัยในสันดานอันเปนภายในวา “อหํ นุ โขสฺมิ ” ดังเรารําพึง ทุกวันนี้ไดชื่อวาอาตมะบังเกิดอยูหรือไมเปนประการใด สงสัยฉะนี้ เปนปจจุบันวิจิกิจฉา เปนปฐม แลปจจุบันวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๒ นั้น คือสงสัยวา “โน นุ โขสฺมิ ” ดังเรารําพึง ทุกวันนี้ได ชื่อวาอาตมะไมไดบังเกิดหรือเปนประการใด แลปจจุบันวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๓ นั้น คือสงสัยวาทุกวันนี้ไดชื่อวาอาตมะบังเกิดเปนขัตติย ชาติ หรือพราหมณชาติ หรือเปนชาวนาพอคาพอครัวเปนประการใด แลปจจุบันวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๔ นั้น คือสงสัยวาทุกวันนี้ไดชื่อวาอาตมะบังเกิด มีรูปพรรณ สัณฐานใหญนอยสูงต่ําดําขาวเปนประการใด แลปจจุบันวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๕ นั้น คือสงสัยวา “อยํ นุ โข สตฺโต กุโต อาคโต” เรารําพึง สัตวผูนี้มาแตไหน มาบังเกิดในที่นี้
ดัง
แลปจจุบันวิจิกิจฉาเปนคํารบ ๖ นั้น คือสงสัยวาสัตวผูนี้มาบังเกิดในที่นี้แลว จักไปบังเกิด ในที่ไหนอีกเลา กําหนดสงสัยในปจจุบัน ๖ ประการฉะนี้ เมื่อพระโยคาพจรภิกษุ พิจารณาเห็นชัดรูวาสันทัดวานามแลรูปบังเกิดแตเหตุแตปจจัย เหมือนกันทั้งอดีตแลอนาคตปจจุบันเห็นชัดฉะนี้แลวก็จะสละละสงสัย ๑๖ ประการนั้นเสียได ดวยอนุ ภาพปญญาที่พิจารณาเห็นนามรูปกับทั้งเหตุแลปจจัยนั้น ตกวาปญญาที่พิจารณาเห็นนามธรรมรูปธรรมกับทั้งเหตุแลปจจัยนี้แลไดนามบัญญัติชื่อวา กังขาวิตรณวิสุทธิ เปนที่ชําระสันดานใหบริสุทธิ์ขามพนจากสงสัย ๑๖ ประการ “อปโร โยคี ” แลพระโยคาพจรจําพวกอื่นบางพระองคนั้นก็พิจารณาเห็นปจจัยแหง นามธรรมวามี ๒ ประการ พิจารณาเห็นปจจัยแหงรูปธรรมวามี ๔ ประการ แลปจจัยที่จะใหบังเกิดธรรมมี ๒ ประการนั้น คือสาธารณปจจัยประการ ๑ อสาธารณปจจัย ประการ ๑ สาธารณปจจัยนั้น ไดแกทวารทั้ง ๖ มีจักขุทวารเปนตน แลอารมณทั้ง ๖ มีรูปารมณเปนตน แทจริงทวารทั้ง ๖ คือ จักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร มโนวาร ได ชื่อวาเปนสาธารณปจจัยแหงนามธรรม ดวยอรรถวาเปนเหตุใหบังเกิดจิตแลเจตสิกทั่วไปฝายกุศลแล อกุศลแลอพยากฤต แลอารมณทั้ง ๖ คือ รูปารมณ สัททารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ ธัมมารมณ นั้นเลา ก็ไดชื่อวา เปนสาธารณปจจัยแหงนามธรรมนั้น ดวยอรรถวาเปนเหตุใหบังเกิดจิตแลเจตสิก ทั่วไปทั้งฝายกุศลแลอกุศลแลอพยากฤตเหมือนกับทวารทั้ง ๖ แลอสาธารณปจจัยแหงนามธรรมนั้น ไดแกเหตุทั้งหลายตาง มีมนสิการเปนตนเปนประธาร นักปราชญพึงสันนิษฐานวา โยนิโสมนนิการคือกําหนดกฏหมายในที่อันดี มีตนวากําหนดอานิสงสแหง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 69 ศีลทานการกุศลตาง ๆ นั้นก็ดี กอปรไปดวยอุบายในกิริยาที่ปลงปญญาพิจารณาพระไตรลักษณนั้นก็ดี สดับตรับฟงพระสัทธรรมเทศนาเปนอาทินั้นก็ดี จัดเปนอสาธารณเหตุนามธรรมที่เปนฝานกุศล อธิบายวาจิตแลเจตสิกที่เปนกุศลนั้น ยอมบังเกิดแตเหตุคือโยนิโสมนสิการ แลกิริยาที่สดับ ตรับฟงพระสัทธรรมเทศนาเปนอาทิจะไดบังเกิดแตเหตุสิ่งอื่นหามิได เหตุฉะนี้ โยนิโสมนการแลกิริยา ที่สดับตรับฟงพระสัทธรรมเทศนาเปนอาทินี้ จึงจัดเปนอสาธารณเหตุแหงนามธรรมที่ฝายกุศล แลกิริยาที่กระทํามนสิการในที่อันชั่ว สดับตรับฟงโอวาทอันชั่วผิดจากพระธรรมวินัยนั้น เปนเหตุใหบังเกิดจิตแลเจตสิก แตบรรดาที่เปนฝายอกุศลนั้น ๆ จะไดบังเกิดแตสิ่งอื่นหามิได เหตุฉะนี้ กิริยาที่กระทํามนสิการในที่อันชั่ว สดับตรับฟงโอวาทอันชั่ว ผิดจากพระธรรมวินัยนั้นจึงจัดเปนอสา ธารณเหตุแหงนามธรรมฝายขางอกุศล แลเจตสิกอันเปนกุศลแลอกุศลนั้น ก็มีอวิชชาแลตัณหากับคติแลกาลเปนอาทินั้น เปนเหตุ ใหบังเกิดจิตแลเจตสิก แตบรรดาที่เปนฝายวิบาก ๆ นั้น จะไดบังเกิดแตเหตุสิ่งอื่นหามิได เหตุฉะนี้ เจตนาอันกุศลแลอกุศลแลอวิชชาแลตัณหา กับคติแลกาลเปนอาทินั้นจึงจัดเปนอสาธารณเหตุแหง นามธรรมที่เปนฝายวิบาก แลภวังคจิตกันสันตีรณจิต แลกามาพจรกิริยาจิต แลอรหันตตผลจิตนั้น เปนอสาธารณเหตุ แหงนามธรรมที่เปนฝายกิริยา เพราะเหตุวาภวังจิตนั้น เปนเหตุใหบังเกิดปญจทวารวัชชนะแลมโนทวา ราวัชชนะสันตีรณจิตนั้น เปนเหตุใหบังเกิดโวฏฐวนจิตกามาพจรกิริยาจิตนั้นแลมหัคคตกิริยาจิต อรหัตตผลนั้น เปนเหตุใหบังเกิดกิริยาจิตทั้งปวง เวนไวแตปญจทวาราวัชชนะแลมโนทวา ราวัชชนะ สําแดงในปจจัยแหงนามธรรมมี ๒ ประการ คือ สาธารณปจจัยประการ ๑ อสาธารณปจจัย ประการ ๑ มีนัยดังวิสัชนามานี้แลว จึงสําแดงปจจัยแหงรูปธรรม ๔ ประการสืบตอไป ปจจัยแหงรูปธรรม ๔ ประการนั้น คือ กรรมประการ ๑ จิตประการ ๑ เตโชธาตุประการ ๑ อหารประการ ๑ เปน ๔ ประการดวยกัน กรรมนั้นไดแกกุศลแลอกุศล อันเปนเจาพนักงานตกแตงซึ่งรูปกุศลนั้นตกแตงรูปที่งามที่ดี ประณีตบรรจง อกุศลนั้นตกแตงรูปอันชั่วที่พิกลพิการตาง ๆ แลบรรดาสรรพสัตวทั่วไปในไตรโลกธาตุ นี้ ซึ่งจะมีรูปงดงามดี เปนที่เจิมใจแหงเทพามนุษยนั้น อาศัยแกกุศลตกแตง จะมีรูปชั่วพิกลพิการพึง เกลียดพึงชังนั้น อาศัยแกอกุศลตกแตง เหตุฉะนี้ กุศลแลอกุศลที่เปนเจาพนักงานตกแตงรูปนั้น ทาน จึงจัดเปนปจจัยแหงรูปธรรรมประการ ๑ ประการ ๑
แลจิตทั้งปวงที่เปนที่เปนเจาพนักงานใหบังเกิดในรูปนั้นได ทานก็เปนปจจัยแหงรูปธรรม
อธิบายวาจิตที่จัดเปนหมวดโดยนัยสังเขป ๘๙ จิตนั้น ยกอรูปวิบาก ๔ จิตกับทวิปญจ วิญญาณ ๑๐ จิตออกเสียแลว ยังคงอยูแตง ๗๕ จิตนั้น เปนเจาพนักงานใหบังเกิดไดสิ้นทั้ง ๗๕ จิต เหตุฉะนี้ ๗๕ คือ กามาพจรจิต ๔๔ รูปาพจรจิต ๑๕ อรูปาพจรจิต ๘ โลกุตตรจิต ๘ นั้น ทานจึง จัดเปนปจจัยแหงรูปธรรมประการ ๑ เพลิงธาตุที่เปนเจาพนักงาน รูปธรรมประการ ๑
ใหบังเกิดอุตุสมุฏฐานรูปในฐิติขณะนั้นก็จัดเปนปจจัยแหง
อาหารที่เปนเจาพนักงานใหบังเกิดอาหารสมฏฐานรูป ในฐิติขณะนั้น ก็จัดเปนปจจัยแหง รูปธรรมประการ ๑ สิริเปนปจจัยแหงรูปธรรม ๔ ประการฉะนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 70 รูปธรรมนามธรรมในปจจุบันนี้ บังเกิดแตปจจัยสิ้นทั้งนั้นแลมีฉันใด รูปธรรมนามธรรมใน อดีตแลอนาคตนั้น ก็บังเกิดแตปจจัยเหมือนกันดังนั้น พระโยคาพจรกุลบุตรอันพิจารณาเห็นวา รูปธรรมนามธรรมในอดีตแลอนาคตแลปจจุบัน บังเกิดแตปจจัยโดยนัยดังวิสัชนามาฉะนี้ก็อาจสละละเสียซึ่งวิจิกิจฉาไดทั้ง ๑๖ ประการ เหมือนอยาง นัยที่สําแดงมาแลวแตหลัง “อปโร โยคี” พระโยคาพจรกุลบุตรจําพวกอื่นบางพระองคนั้นก็พิจารณาเห็นปจจัยแหง นามรูป โดยปฏิโลมนัยแหงปฏิจจสมุปบาทธรรมวา นามแลรูปแหงสรรพสัตวทั้งปวง จะถึงซึ่งชราแล มรณนั้นอาศัยแกมีชาติ ๆ จะมีนั้น อาศัยแกภพ ๆ จะมีนั้นอาศัยแกมีเวทนา ๆ จะมีนั้นอาศัยแกผัสสะ ๆ จะมีนั้น อาศัยแกมีสฬายตนะ ๆ จะมีนั้น อาศัยแกมีวิญญาณ ๆ จะมีนั้น อาศัยแกมีสังขาร ๆ จะมีนั้น อาศัยแกอวิชชา เมื่อพระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณานามแลรูป เห็นวาประกอบดวยปจจัยโดยปฏิโลมนัย แหงปฏิจจสมุปปบาทธรรมดวยประการฉะนี้ก็อาจสละละเสียซึ่งโสฬสวิจิกิจฉา ๑๖ ประการ ให ปราศจากขันธสันดานแหงอาตมะได พระโยคาพจรจําพวกอื่น บางพระองคนั้นเลาก็พิจารณานามแลรูป เห็นวาประกอบดวย ปจจัย ตามอนุโลมนัยแหงปฏิจจสมุปปบาทธรรมวา สังขารทั้ง ๓ ประการ คือบุญญาภิสังขาร อบุญญา ภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร จะบังเกิดนั้นยอมบังเกิดแตปจจัยคืออวิชชา ๆ นั้นเปนปจจัยใหบังเกิด สังขาร ๆ เปนปจจัยให บังเกิดวิญญาณ ๆ เปนปจจัยใหบังเกิดนามแลรูป เปนปจจัยใหบังเกิดสาฬยต นะ ๆ เปนปจจัยใหบังเกิดผัสสะ ๆ เปนปจจัยใหบังเกิดเวทนา ๆ เปนปจจัยใหบังเกิดตัณหา ๆ เปน ปจจัยใหบังเกิดอุปาทาน ๆ เปนปจจัยใหบังเกิดภพ ๆ เปนปจจัยใหบังเกิดชาติ ๆ เปนปจจัยใหบังเกิด ชราแลมรณะ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณานามและรูป เห็นวาประกอบดวยปจจัยตามอนุโลมนัย แหงปฏิจจสมุปบาทดวยประการฉะนี้ ก็อาจสละละเสียซึ่งโสฬวิจิกิจฉา ๑๖ ประการ ใหปราศจากขันธ สันดานแหงอาตมาะไดเหมือนกัน “อปโร โยคี ” ยังพระโยคาพจรจําพวกอื่นบางพระองคนั้นก็พิจารณาซึ่งปจจัยแหงนามรูป โดยกัมมวัฏฏ แลวิปากวัฏฏ เห็นแจงชัดวาธรรม ๕ ประการ คืออวิชชาแลสังขาร แลตัณหาแล อุปาทาน แลภวะนั้น ไดชื่อวากัมมวัฏฏ วิญญาณ แลนามรูป แลสฬายตนะ แลผัสสะ แลเวทนานั้น ได ชื่อวาวิปากวัฏฏ อธิบายวาโมหะ ที่ปดบังปญญา เห็นพระไตรลักษณะเปนอาทินั้นไดชื่อวาอวิชชา กุศลแลอกุศลที่ตกแตงปฏิสนธิวิญญาณเปนอาทินั้น ไดชื่อวาสังขาร กิริยาที่ยินดีในภพ ปรารถนาสมบัติในภพนั้น ไดชื่อวาตัณหาความที่ปรารถนาบังเกิดกลา ใหถือมั่นวาเปนของ ๆ ตนนั้น ไดชื่อวาอุปาทาน กุศลเจตนาแลอกุศลเจตนา ที่ใหสําเร็จกิจอันเปนบุญแลบาปนั้นไดชื่อวาภวะ ปฏิสนธิจิตนั้น ไดชื่อวาวิญญาณ กัมมัชชรูปที่เกิดพรอมดวยปฏิสนธิจิตกับรูปธรรม นามธรรม แตบรรดาที่บังเกิดในเบื้องหนา ๆ แหงปฏิสนธิจิตนั้น ไดชื่อวานามรูป ประสาททั้ง ๕ มีจักขุ ประสาทเปนตนกับหทัยวัตถุนั้น ไดชื่อวาสฬาตนะ สัมผัสทั้ง ๖ มีจักขุสัมผัสเปนอาทิไดชื่อวาผัสสะ กิริยาที่เสวยอารมณเปนสุขแลทุกขแลโสมนัสโทมนัสแลอุเบกขานั้น ไดชื่อวาเวทนา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 71 เปนใจความวาธรรมทั้ง ๕ คือ อวิชชา แลสังขาร แลตัณหาแลอุปาทาน แลภวะ ซึ่งบังเกิด ในปุริมภพแตกอน ๆ นั้น ไดชื่อวากัมมวัฏฏ ๆ นั้นดวยอรรถวา เปนปจจัยใหบังเกิดวิญญาณ แลนามรูป แลสฬายตนะ แลผัสสะ แลเวทนา ในปจจุบันภพนี้ แลธรรม ๕ ประการมีวิญญาณเปนอาทิ ซึ่งบังเกิดในปจจุบันภพนี้ ไดชื่อวาวิปากวัฏฏ ๆ นั้น ดวยอรรถวาเปนผลแหงกัมมวัฏฏบังเกิดแตกิริยาอันกัมมวัฏฏตกแตงใหบังเกิด แลธรรมทั้ง ๕ คือ อวิชชา แลสังขาร ตัณหา แลอุปาทาน แลภวะ ซึ่งบังเกิดในปจจุบันภพ นี้ ก็ไดนามบัญญัติชื่อวากัมมวัฏฏเหมือนกัน ดวยอรรถวาเปนปจจัยใหบังเกิดวิญญาณ แลนามรูป แลสฬายตนะ แลผัสสะ แลเวทนา ในอนาคตภพเบื้องหนา แลธรรม ๕ ประการมีวิญญาณเปนอาทิ ซึ่งจักบังเกิดมีในอนาคตภพเบื้องหนานั้น ก็ไดชื่อ วาวิปากวัฏฏเหมือนกัน ดวยอรรถวาเปนผลแหงกัมมวัฎฎในปจจุบันภพ บังเกิดแตกิริยาอันกัมมวัฏฏใน ปจจุบันภพแตงใหบังเกิด แลกรรมทั้ง ๑๒ ประการมีทิฏฐธรรมเวทนียกรรมเปนอาทิ มีอุปฆาตกรรมนั้นเปนปริโยสาน นั้น ก็สงเคราะหเขาในกัมมวัฏฏนี้จะไดเปนอื่นหามิได แลกิริยาที่กรรมทั้งปวงใหผลในสุคติแลทุคตินั้น ก็สงเคราะหเขาในวิปากวัฏฏนี้เอง จะได พนไปจากวิปากวัฏฏนี้หามิได เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาซึ่งปจจัยแหงนามรูป โดยนัยแหงกัมมวัฏฏแลวิปากวัฏฏ ดวย ประการฉะนี้ก็อาจสละละเสียซึ่งโสฬสวิจิกิจฉา ๑๖ ประการ ใหปราศจากสันดานแหงอาตมาไดโดยนัย ดังพรรณนามาแลวแตหลังนั้น นักปราชญพึงสันนิษฐารวา กุศลากุศลกรรม แลกุศลากุศลวิบากกัมมวัฏฏแลวิปากวัฏฏ กิริยาที่ประพฤติแหงกรรม แลกริยา ที่ประพฤติแหงวิบาก สืบตอแหงกรรมแลสืบตอแหงวิบาก กิริยา กรรมผลแหงกิริยาธรรม ซึ่งประพฤติเปนไปในโลกนี้แลไดชื่อวาสัตวโลกทองเที่ยวไปในภพ วิบากนั้นประพฤติเปนไปแตปจจัยคือกรรม บังเกิดแตกรรมภพเบื้องหนา ๆ นั้น แตลวน บังเกิดแตกรรมสิ้นทั้งปวง เมื่อพระโยคาพจรเจาพิจารณาเห็นฉะนี้ ละสนเทหสงสัยเสียไดทั้ง ๑๖ ประการแลว ก็จะ เห็นประจักษแจงวา สัตวโลกทั้งหลายซึ่งไดนามบัญญัติโดยสมมติสัจมีประเภทตาง ๆ ซึ่งได ทองเที่ยวไปในสรรพภพ แลกําเนิดทั้ง ๕ เที่ยวไปในคติทั้ง ๕ แลวิญญาณฐิติทั้ง ๗ สัตตวาสทั้ง ๙ นั้น จะไดเปนอื่นพนออกไปจากรูปธรรมนามธรรมนี้หามิได คือ นามธรรมรูปธรรมที่ประพฤติเนื่องดวย เหตุผลนี้เอง นอกจากไปจากเหตุแลว สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะไดตกแตงซึ่งนามรูปนั้นหามิได เหตุที่วิสัชนามา แตหลังมีอวิชชาเปนอาทินั้นแลตกแตงซึ่งนามแลรูปสิ้นทั้งปวง ประการหนึ่งนอกออกจากไปจากผล คือพนออกไปจากวิบากจิตแลว สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะได เปนผูเสวยหามิได วิบากจิตนั้นแลเปนผูเสวยซึ่งสุขแลทุกขสิ้นทั้งปวง เมื่อมีเหตุแลว นักปราชญ ทั้งหลายก็รองเรียกชื่อแหงเหตุนั้นชื่อวาการก อนึ่งเมื่อวิบากประพฤติเปนไปในสันดานนั้น นักปราชญทั้งหลายก็รองเรียกวิบากนั้น ชื่อวา ปฏิสังเวทกะคือเปนผูเสวย พระโยคาพจรผูมีปญญาพิจารณาเห็นฉะนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
ไดชื่อวาเห็นชอบเห็นแท
ไดชื่อวาเห็นดวย
- 72 ปญญาอันดี กิริรยาที่พระโยคาพจรพิจารณาเห็นดังนี้สมดวยอธิบายอันพระโบราณาจารยสําแดงไว โดยบาทพระคาถาวา กมฺมสฺส การโก นตฺถิ วิปากสฺส จ เวทโก สุธธมฺมา ปวตฺตนฺติ เอวเมตํ สมทสฺสนํ ฯ เอวํ กมฺเม วิปาเก จ วตฺตมาเน สเหตุเก พีชรุกฺขาทีกานํว ปุพฺพาโกฏิ น ขายติ ฯ เปฯ สฺุญธมฺมา ปวตฺตนฺติ เหตุสมฺภารปจฺจยาติ อธิบายในพระบาทคาถาวา สิ่งอื่นนอกออกไปจากอวิชชาเปนอาทิแลว จะไดเปนผูตกแตง ซึ่งนามรูปนี้หามิได สิ่งอื่นนอกออกไปจากวิบากจิตแลว จะไดเปนผูเสวยหามิได สัตวโลกซึ่ง ทองเที่ยวไปในไตรภพนี้ คือรูปธรรมเทานี้เอง จะเปนสิ่งอื่นพนจากอรูปธรรมนามธรรมนี้หามิได กิริยาที่พระโยคาพจรพิจารณาเห็นฉะนี้ ไดชื่อวาเห็นชอบเห็นโดยดีเห็นไมวิปริต แทจริง สรรพสัตวซึ่งจะทองเที่ยวไปในสังสารวัฏที่มีสุดเบื้องตนบมิไดปรากฏนั้น อาศัยแก กรรมแลวิบาก ในเมื่อกรรมแลวิบากกอปรดวยเหตุดังกลาวแลวนั้น ประพฤติเปนไปเนื่อง ๆ กันอยูแลว กิริยาแลวที่จะหยั่งรูซึ่งที่สุดเบื้องตนแหงสงสารนั้น ก็เปนอันพนวิสัยที่จะหยั่งรูหยั่งเห็นเปรียบเหมือน พืชคามแลพฤกษาชาติตาง ๆ ซึ่งบังเกิดเนื่อง ๆ สืบ ๆ กัน มาตามประเพณีโลกวิสัยนั้น สุดที่จะคนควา หาขอมูลใหตลอดไปถึงที่สุดเบื้องตนนั้นได แลมีอุปมาฉันใด กิริยาที่จะหยั่งรูที่สุดเบื้องตนแหงสงสาร นั้น ก็พนวิสัยที่จะหยั่งรูหยั่งเห็นมีอุปไมยดังนั้น อาการที่กรรมวิบาก กอปรดวยเหตุดังกลาวแลว ประพฤติเปนไปในสงสารในอนาคตกาล ภายหนานั้น ปรากฏเปนอันมากยิ่งนัก จะไดปรากฏนิดหนอยนั้นหามิได ดิรัตถียนิครนถ ภายนอกจากพระพุทธศาสนานั้นไมพิจารณาเห็นเหตุอันสําแดงมานี้ ก็ถือ มั่นสําคัญผิดประพฤติตามลัทธิวิปริตแหงตน ๆ ถือวาสัตววาบุคคล เห็นผิดเปนสัสสตทิฏฐิ แลอุจเฉท ทิฏฐิถือตามมิจฉาลัทธิ ทิฏฐิทั้ง ๖๒ ประการ กลาวถอยคํานั้นเกงแยงผิด ๆ กันจะไดเขากันหามิได ดิ รัตถียทั้งหลายนั้นครั้นติดอยูในบวงทิฏฐิเปลื้องทิฏฐิเสียมิได เที่ยวทองลองลอยอยูตามกระแสแหง ตัณหา ๆ พัดพาใหเวียนตายเวียนเกิดเอากําเนิดมิรูสุดสิ้นเสวยทุกขเวทนาหาที่สุดมิได ไปไมพนจาก สงสารทุกขเลย เพราะเหตุถือผิดเห็นวาเปนตัวเปนสัตวเปนบุคคลนั้น ฝายพระสาวกในพระพุทธศาสนานี้ เห็นชอบเห็นจริงรูแทวาไมใชสัตวใชบุคคล ปญญานั้น ลึกละเอียด เห็นวาเปนกองแหงรูปธรรมนามธรรมแลว เห็นตลอดลงไปถึงเหตุถึงปจจัย เห็นชัดวาสิ่ง นั้น ๆ เปนเหตุใหเกิดรูปธรรม สิ่งนั้น ๆ เปนเหตุใหเกิดนามธรรม ประการหนึ่งเห็นละเอียดลงไปวา กรรมกับวิบากนี้แยกกันอยูเปนแผนก ๆ กัน จะไดปะปน ระคนกันหามิได กรรมนั้นมิไดมีในวิบาก มิไดระคนอยูดวยวิบาก ฝายวิบากนั้นก็มิไดมีในกรรม มิได ระคนอยูดวยกรรม แลกรรมวิบากนี้ถึงมาตรแมวาจะอยูตางกัน ไมปะปนระคนกันก็จริงแลแตทวาเปน ปจจัยแกกัน ถอยทีถอยอาศัยแกกันจะไดละเวนกันหามิได กรรมไมละวิบาก วิบากไมละกรรม จะมีครุวนาฉันใด มีครุวนาดุจดังวาแวนสองไฟกับ แสงอาทิตย อันเปนปจจัยใหเพลิงติด เพลิงนั้นจะไดมีอยูในแสงอาทิตยนั้นก็หามิได จะไดมีอยูในแวน สองไฟแลโคมัยอันแหงนั้นก็หาไม อนึ่งจะวาเพลิงนั้นอยูภายนอกพนออกจากแสงอาทิตย แลพน ออกไปจากแสงแวนแลโคมัยนั้นก็วาไมได แตทวาอาศัยแสงอาทิตย แลแวนสองไฟ แลโคมัยอันแหง นั้นประชุมกันตกแตง เปนเหตุเปนปจจัยแลวผลคือเพลิงนั้นก็ติดขึ้น อันนี้แลมีฉันใด เมื่อกรรมมีเหตุ เปนปจจัยแลววิบากคือผลแหงกรรมนั้น ก็บังเกิดมีขึ้นแลมีฉันนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 73 ถาจะวาที่แทนั้น วิบากจะไดมีอยูภายในแหงกรรมก็หามิได จะไดมีอยูภายนอกแหงกรรมก็ หามิได แตทวาอาศัยมีกรรมเปนเหตุเปนปจจัยแลว วิบากก็บังเกิดโดยสมควรแกกรรมที่เปนกุศลแล อกุศลนั้น นักปราชญพึงสันนิษฐานวานามรูปนี้ มิใชอื่นใชไกลคือวิบากแหงกรรม แลขอซึ่งวานามรูป ไดนามบัญญัติ ชื่อวามนุษย ชื่อวาเทพยดา ชื่อวาอินทรพรหมยักษอสูรคนธรรมพนาคสุบรรณตาง ๆ นั้นเปนสมมุติสัจกําหนดเรียกตามวิสัยโลกยังเอาเที่ยงจริงบมิได เมื่อพิจารณาโดยละเอียดตรองเอาที่ เที่ยงที่จริงแลว ก็คงเปนแตรูปธรรมนามธรรมเทานั้นเอง นามแลรูปนี้เปนธรรมอันเปลาสูญปราศจาก แกนสาร บังเกิดแตสัมภาระคือเหตุแลปจจัยประชุมแตงอิศวรนารายณอินทรพรหมผูหนึ่งผูใดจะได ตกแตง รูปธรรมนามธรรมนี้หามิได สิ้นคําโบราณาจารยแตเทานี้ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาเห็นปจจัยแหงรูปนามแลรูป โดยนัยแหงกัมมวัฏฏ แลวิปากวัฏฏ สละละเสียไดซึ่งโสฬวิจิกิจฉา ๑๖ ประการใหปราศจากสันดานแลว รูปธรรมนามธรรมอันเปนอดีตแล อนาคตแลปจจุบันนั้น ก็จะปรากฏดวยสามารถแหงจุติแลปฏิสนธิปญญา อันชื่อวาญาตปริญญานั้น ก็ บังเกิดมีในสันดานแหงพระโยคาพจร ๆ นั้น ก็จะรูแจงชัดวาขันธปญจกซึ่งบังเกิดแตปจจัย คือกรรมอัน บังเกิดในอดีตภพนั้น ก็ดับ ทําลายไปในอดีตภพจะไดยางเขามาสูปจจุบันภพนี้หามิได ขันธปญจกซึ่งเกิดในปจจุบัน ภพนี้เปนขันธอันอื่นบังเกิดขึ้นใหม แตทวาอาศัยมีกรรมในอดีตภพนั้นเปนปจจัยขันธในปจจุบันนี้จึง บังเกิด แลขันธซึ่งบังเกิดในอดีตภพนั้นสักสิ่งหนึ่งซึ่งจะไดยางมาสูปจจุบันนี้หามิได อนึ่งขันธซึ่งมีในอดีตกรรมปจจัย บังเกิดขึ้นในปจจุบันภพนี้เมื่อตั้งอยูควรแกกาลกําหนด แลว ก็ดับทําลายไปในปจจุบันนี้เองจะไดยางไปสูอนาคตเบื้องหนานั้นหามิได ขันธซึ่งบังเกิดในภพ เบื้องหนานั้น เปนขันธอันอื่นเกิดขึ้นใหม แตทวาอาศัยมีกรรมในอดีตภพเปนปจจัยบาง มีกรรมใน ปจจุบันภพนี้เปนปจจัยบาง ขันธในอนาคตจึงบังเกิด แลขันธที่บังเกิดในปจจุบันภพนี้ แตสักสิ่งหนึ่งจะ ไดยางไปสูอนาคตภพเบื้องหนานั้นหามิได ขอซึ่งขันธบังเกิดสืบตอเนื่อง ๆ กันนั้น ก็บังเกิดแตกรรม เปนปจจัย เปรียบเหมือนอาจารยอันบอกธรรมแกอันเตวาสิก ธรรมอันอาจารยบอกนั้น จะออกจากปาก อาจารยแลวแลจะเขาสูปากอันเตวาสิกนั้นหามิได แตทวาอาศัยกิริยาที่อาจารยบอก อาศัยกิริยาที่ อาจารยสาธยายไปกอนนั้นเปนปจจัยแลว อันเตวาสิกจึงสาธยายตามนั้นได โดยนัยอันควรแกอาจารย กอน ตกวาอันเตวาสิกจะสาธยายไดขึ้นใจขึ้นปากนั้น อาศัยแกเหตุที่ไดฟงอาจารยสาธยายกอน ใชวา สาธยายในปากอาจารยนั้น จะแลนเขามาสูมุขทวารแหงอันเตวาสิกนั้นหาบมิได อันนี้แลมีฉันใด ขันธ ปญจกซึ่งเกิดสืบ ๆ สันดานเวียนไปในจตุรโอฆสงสาร บังเกิดแตปจจัยอันสืบเนื่องตอ ๆ กัน มีอุปไมย ฉันนั้น ถามิฉะนั้นเปรียบเหมือนคนเปนโรค อันไขทูตใหนําอาการที่ปวยมาบอกแกาทานผูมีความ วิเศษ ๆ นั้น ก็เสกน้ํามนตสงใหแกทูตใหทูตนั้นดื่มซึ่งน้ํามนต น้ํามนตอันทูตดื่มกินนั้น จะไดเขาไป ทองคนปวยนั้นหามิได แตทวาอาศัยกิริยาที่ทูตดื่มกินซึ่งน้ํามนตนั้นเปนปจจัยแลว โรคแหงคนปวยนั้น ก็ระงับ โรคระงับแตปจจัยแลมีฉันใด ขันธปญจกที่เกิดสืบ ๆ สันดานนั้น ก็บังเกิดแตปจจัยมีอุปไมยฉัน นั้น ถามิฉะนั้น เหมือนเงาที่ปรากฏในแวน ในกาลเมื่อตกแตงประดับกาย อธิบายวาเมื่อบุคคล จะหวีผมผัดหนานั้น ยอมอาศัยเอาเงาในแวนเปนแบบอยาง หนาอยางไรเงาในแวนก็อยางนั้น อาการ ที่ประดับหนานั้นอยางไร ก็ปรากฏในแวนอยางนั้น ใชวาหนาจะไปอยูในแวนก็หามิได วิธีที่ประดับหนา นั้นจะไดยางไปสูพื้นแหงแวนนั้นก็หาไม แตทวาอาศัยแวนกับหนานั้นประชุมกันเปนปจจัย แลวเงา หนาแลวิธีประดับหนานั้น ก็ปรากฏในพื้นแหงแวนทุกประการ อันนี้แลมีฉันใดขันธปญจกซึ่งบังเกิด สืบสันดานทองเที่ยวไปในวัฏฏสงสารนี้ ก็บังเกิดแตปจจัยมีอุปไมยฉันนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 74 ใชวาขันธในอดีต จะยางมาในปจจุบัน จะยางไปในอนาคตนั้นก็หามิได บังเกิดไปในภพใน ภพใด ๆก็ดับทําลายไปในภพนั้น ๆ ขันธที่บังเกิดในภพอดีต ก็ดับไปในภพอดีตนั้น ที่เกิดในปจจุบัน ภพก็ดับไปในภพปจจุบัน ที่จักเกิดไปในอนาคตก็ดับไปในอนาคต แลกิริยาที่เบญขันธบังเกิดสืบตอไปหาที่สุดมิไดนั้น อาศัยแกเหตุที่เปนปจจัยสืบ ๆ กัน เปรียบเหมือนเปลวประทีป ธรรมดาวาเปลวประทีปอันบุคคลจุดตอ ๆ กันนั้น ใชเปลวประทีปอันนี้จะ ยางไปสูเปลวประทีปอันนั้น เปลวประทีปนั้นจะยางไปสูประทีปโนนหามิได ติดอยูในประทีปอันเดียว ก็ รุงเรืองอยูในประทีปอันนั้น ติดอยูที่ไหนก็ดับไปที่นั้น ซึ่งจะรุงเรืองตอ ๆ ไปหาที่สุดบมิไดนั้น อาศัยแก จุดตอ ๆ กันเปนปจจัยแลมีฉันใด ขันธปญจกบังเกิดเวียนไปในวัฏฏสงสารนี้ ก็บังเกิดแตปจจัยสืบ ๆ กันมีอุปไมยฉันนั้น แลขันธซึ่งบังเกิดแตปจจัย บังเกิดสืบ ๆ เนื่อง ๆ กันไมรูสิ้นรูสุดนั้น จะไดปะปนระคนกันหา มิได ตั้งอยูเปนแผนก ๆ กัน ถาจะวาโดยละเอียดนั้น แตจิตในวิถีอันเดียวกันก็ระคนกันไมบังเกิดเปนแผนก ๆ แยกกัน อยูแตละขณะ ๆ เหมือนอยางปญจทวาราวัชชนะจิต ที่บังเกิดในตนแหงจักขุทวารวิถีนั้น จักขุวิญญาณ บังเกิดเปนลําดับ แตจักขุวิญญาณนั้นแมวาบังเกิดในลําดับปญจทวาราวัชชนะจิตก็จริงแล แตทวาจะ ไดมีธรรมสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ติดเนื่องมาแตปญจทวาราวัชชนะจิตนั้นหามิได จักขุวิญญาณนั้นบังเกิดใน ขณะหนึ่งโดยอันควรแกปจจัยแล วิสัยแหงตน จะไดแปดปนระคนอยูดวยปญจทวาราวัชชนะนั้นหา มิได จึงสัมปฏิจฉันนะแลสันตีรณะ แลโวฏฐวนะ แลชวนะ แลตทาลัมพณะนั้นก็บังเเกิดโดยอันควรแก ปจจัยแลวิสัยแหงตน ๆ จะไดแปดปนระคนกันหามิไดอันนี้แลมีฉันใด ในเมื่อปฏิสนธิจิตบังเกิดแลว จิต สันดานซึ่งประพฤติเปนไปในเบื้องหนาปฏิสนธินั้น ก็บังเกิดโดยปจจัยแลวิสัยแหงตน ๆ จะไดแปดปน ระคนกัน มาตรวาขณะหนึ่งนั้นหามิไดมีอุปไมยดังนั้น ในกาลเมื่อจะสิ้นชาติสิ้นภพนั้นจุติบังเกิดแลว ปฏิสนธิจิตก็บังเกิดในลําดับแหงจุติ จุติจิต บังเกิดขึ้นในขณะหนึ่งดับแลวปฏิสนธิจิตก็บังเกิดในลําดับนั้น จะไดเปนชองเปนวาง มาตรวาหนอย หนึ่งหามิได ขณะเมื่อตั้งปฏิสนธินั้นจะไดมีธรรมสิ่งใดสิ่งหนึ่งยางมาแตจุตินั้นหามิได ปฏิสนธิจิตนั้นบ มิไดระคนดวยจุติจิตบังเกิดสมควรแกปจจัย คือกุศลากุศลประชุมแตง เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาเห็นปจจัยแหงนาม แลรูปปรากฏดวยอาการทั้งปวง จําเดิมแต จุติแลปฏิสนธินั้นหาดวยประการฉะนี้ ปญญานั้นจะแกลวกลามีกําลัง วิจิกิจฉา ๑๖ ประการก็จะ ปราศจากสันดานเปนอันดีโดยพิเศษ ใชจะปราศจากไดแตเพียงโสฬสวิจิกิจฉาเทานี้หาบมิได กิริยาที่ สงสัย ๘ ประการ มีสงสัยในพระศาสดาจารยเปนอาทินั้นก็ปราศจากสันดารจะสละละไดเปนอันดี แลว จะขมขี่สละละทิฏฐิ ๑๖ เสียได ดวยอํานาจปญญาอันชื่อวา กังขาวิตรณวิสุทธิ อันมีลักษณะขาม สนเทหสงสัยไดในกาลทั้ง ๓ ดวยกิริยาอันพิจารณาซึ่งปจจัยแหงนามแลรูป ดวยนัยตาง ๆ อยาง พรรณนัยมาฉะนี้ ปญญาอันชื่อวากังขาวิตรณวิสุทธินี้ บางทีพระพุทธองคตรัสเทศนาเรียกวาธัมมัฏฐิติญาณ บางทีตรัสเทศนาเรียกวายถาภูตญาณ บางทีตรัสเทศนาเรียกวา สัมมาทัสสนญาณ ตางกันแต พยัญชนะ อรรถจะไดตางกันหาบมิได อรรถอันเดียวกันพระโยคาพจรผูประกอบไปดวยปญญากังขา วิตรณวิสุทธิพิจารณาเห็นอยางพิจารณามาฉะนี้ จะมีคติอันเที่ยง จะไดนามบัญญัติชื่อวาจุลโสดาใน พระพุทธศาสนาแลว จะไดซึ่งที่พึ่งคือพระอริยมรรคจะไดซึ่งความชื่นชมคือพระอริยผล เหตุดังนั้น ภิกษุผูเห็นภัยในวัฏฏสงสารมีประโยชนดวยกังขาวิตรณวิสุทธิญาณพึงมีสติบําเพ็ญเพียรพิจารณา ซึ่ง ปจจัยแหงนามและรูปสิ้นกาลทุกเมื่อ อยาไดประมาทลืมเสียซึ่งพิธีอันพิจารณาซึ่งปจจัยแหงรูปธรรม นามธรรม โดยนัยที่วิสัชนามาฉะนี้ วิปสสนาซึ่งปญญาอันชื่อวากังขาวิตรณวิสุทธิ โดยสังเขปยุติการ เทาที่ แตนี้จักแสดงซึ่งมัคคญาณทัสสนวิสุทธิตอไป
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 75 “ อยํ มคฺโค อยํ น มคฺโคติ เอวํ มคฺคฺจ อมคฺคญจ ญตฺวา ิตณาณํ ปน มคฺคามคฺค ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ สมฺปาเทตุกาเมน กลาป สมฺมสฺนสงฺขาตาย นยวิปสฺสนาย โยคา กรณีโย ” “ กสฺมา อารทธวิปสฺสกสฺส โอภาสาทิสมฺภเว มคฺคามคฺค ญาณ ทสฺสกมฺวโต อารทฺธ วิปสฺสกสฺส หิ โอภาสาที่สุ สมฺภูเตสุ มคฺคามคฺคญาณํ โหติ” ในมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินี้ มีอรรถาธิบายวาปญญาที่บังเกิดแลวตั้งอยูในสันดาน รู แทเห็นแทวาสิ่งนี้คืออริยมรรค สิ่งนี้มิใชอริยมรรคนี้แลไดชื่อวามัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ พระโยาคาพจรผูกระทําความเพียร ปรารถนาจะยังมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ใหบริบูรณ ในสันดานนั้น พึงเพียรพยายามบําเพ็ญพระวิปสสนาปญญา พิจารณาดูกลาปอยาไดเกียจครานในกาน บําเพ็ญพระวิปสสนา เหตุดังฤๅ เหตุวามัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิวิสุทธินั้นเฉพาะบังเกิดแกพระโยคาพจรผูมี วิปสสนาอันแกกลาบริบูรณแลว แลมีอุปมากิเลสอันใดอันหนึ่งมีโอภาสเปนตน เสียดเขามาบังเกิดใน สันดาน แทจริงกาลเมื่อวิปสสนาปญญาแกกลาบริบูรณแลว ถาอุปกิเลสมีตนวาโอภาสเสียดเขามา บังเกิดในสันดานกาลใด มัคคามัคคาญาณ คือองคปญญา อันพิจาณาเห็นแทรูแทวาสิ่งนี้เปนอุปกิเลส มิใชอริยมรรค สิ่งนี้เปนอริยมรรค ปญญารูดังนี้ จึงจะบังเกิดมีในสันดานกาลนั้น ถาวิปสสนาปญญายัง มิไดแกกลาอุปกิเลสเปนตนวา โอภาสยังมิไดบังเกิดในสันดานตราบใด มัคคามัคคญาณก็ยังมิได บังเกิดในสันดานตราบนั้น เหตุฉะนี้พระโยคาพจรผูปรารถนาจะยังมัคคามัคคญาณ สันดานนั้น พึงใหกระทําเพียรบําเพ็ญพระวิปสสนาใหกลาขึ้นกอน
ทัสสนวิสุทธิใหบังเกิดบริบูรณใน
“ วิปสฺสนาย จ กลาปสมฺมสฺสนํ อาทิ” แลกิจที่จะบําเพ็ญวิปสสนาใหแกกลาขึ้นนั้น มี กิริยาที่พิจารณากลาปเบื้องตน เหตุดังนั้นพิธีที่พิจารณากลาปนั้น พระผูเปนเจาพระพุทธโฆษาจารย จึงวิสัชนาไวในลําดับแหงกังขาวิตรณวิสุทธิ เพื่อจะใหเห็นใจความวากิจที่จะพิจารณากลาปนี้แล เปน เดิมเหตุที่จะใหวิปสสนาปญญาแกกลา เปนปจจัยที่จะใหมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิบริบูรณใน สันดาน “ อปจ” นัยหนึ่งพระผูเปนเจาพุทธโฆษาจารย จึงวิสัชนาไววา “ ตีรณปริญฺาย วตฺต มานาย” เมื่อตีรณปริญญาประพฤติเปนไปในสันดาน สําเร็จกิจแหงตีรณปริญญาแลว ทีนี้แลมัค คามัคคญาณจึงจะบังเกิดในสันดาน แลตีรณปริญญานั้น เทียรยอมบังเกิดในลําดับแหงญาตปริญญา ๆ บังเกิดแลว ตีรณปริญญา จึงบังเกิดในสันดาน แลลักษณะปริญญานั้นถาจะวาโดยฝายโลกิยะ จัดประเภทแหงโลกิยปริญญานั้น เปน ๓ ประการ คือ ญาตปริญญา ๑ ตีรณปริญญา ๑ ปหานปริญญาเปน ๓ ปนะการ ดังนี้ ญาตปริญญานั้น คือ อภิญญาปญญาอันบังเกิดใหรูจักสภาวะลักษณะแหงสังขารธรรมทั้ง ปวงโดยแท เห็นวารูปนี้มีกิริยาที่รูฉิบหายเปนสภาวลักษณะ เวทนานี้มีกิริยาที่เสวยอารมณเปนสภาว ลักษณะปญญารูแทในลักษณะเปนอาทิดังนี้แล ไดชื่อวาญาตปริญญา แลตีรณปริญญานั้น คือ ปญญาอันมีพระไตรลักษณเปนอารมณปญญานั้นจะยกขึ้นสามัญญ ลักษณะ พิจารณาเห็นเสมอกันทั่วไปในสังขาร ธรรมทั้งปวง เห็นวา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น ๆ ไมเที่ยง กอปรดวยทุกขไมใชตน เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกันสิ้นมิไดแปลก
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 76 มิไดผิดกัน ปญญาพิจารณาพระไตรลักษณโดยสามัญญลักษณะทั่วไปในสังขารธรรมทั้งปวงดังนี้แล ไดชื่อวาตีรณปริญญา แลปหานปริญญานั้น คือ ปญญาอันมีพระไตรลักษณเปนอารมณละเสียซึ่งอนิจจสัญญาดวย อํานาจพระอนิจจัง ละเสียซึ่งสุขปญญาดวยอํานาจพระทุกขัง ละเสียซึ่งอัตตสัญญาดวยอํานาจพระ อนัตตา ถึงละไมไดขาด ละไดเปนตทังคปหานแลวิกขัมภนปหานแตเพียงนั้นก็ควรจะเรียกวาปหาน ปริญญาได แตจัดเปนฝายโลกิยะ ยังมิไดขึ้นถึงภูมิโลกุตตระ นักปราชญพึงสันนิจฐานวา ปริญญา ๓ ประการ คือญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหาน ปริญญานี้ ถาบังเกิดพรอมดวยมรรคจิตผลก็ไดชื่อวาโลกุตตรปริญญา ถาบังเกิดพรอมดวยโลกิยจิต ก็ เรียกวาโลกิยปริญญา แลมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิจะบังเกิดนั้น ก็บังเกิดในลําดับแหงตีรณปริญญาอันเปน โลกิยะ แลโลกิยปริญญา ๗ ประการนี้จะไดบังเกิดในภูมิอันอื่นหามิได บังเกิดในภูมิแหงวิปสสนา นั้นเอง “สงฺขารปริจจฺฉทโต ปฏาย ” จําเดิมแตกําหนดกฏหมายสังขารธรรมทั้งปวงไป ตราบ เทาถึงที่พิจารณาปจจัยแหงนามแลรูปนั้นจัดเปนภูมิแหงปญญา เปนที่เกิดแหงญาตปริญญา “ กลาปสมฺมสฺสนโต ปฏาย” จําเดิมแตพิจราณากลาปไปตราบเทาสําเร็จอุทยัพพย ญาณนั้น จัดเปนภูมิแหงตีรณปริญญาเปนที่เกิดแหงตรณปริญญา จําเดิมแตไดสําเร็จภังคานุปสสนาญาณไป ตราบเทาถึงที่สุดเบื้องบนคือยอดวิปสสนานั้น จัดเปนภูมิแหงปหานปริญญา เปนที่เกิดแหงปหานปริญญา “ปจฺจตฺตลกฺขณปฏิเวธสฺเสว อาธิปจฺจํ ” นักปราชญพึงรูวาปญญาที่เกิดในภูมิแหงญาต ปริญญานั้น เปนใหญใหตรัสรูสภาวะลักษณะอันแทแหงสังขารธรรมทั้งปวง แลปญญาที่เกิดภูมิตีรณปริญญานั้น เปนใหญใหรูซึ่งสามัญลักษณะคือใหรูแหงสังขารธรรม ทั้งปวงนี้ เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกันสิ้นจะไดแปลกกันหามิได แลปญญาที่บังเกิดในภูมิแหงปหานปริญญานั้น เปนตนเปนเดิม
เปนใหญในกิจอันสละเสียซึ่งอนิจจสัญญา
แทจริงจําเดิมแตวิปสสนาแกกลาขึ้น ยางเขาภูมิแหงปหานปริญญาแลว “ อนิจฺจโต สฺสนฺโต” เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาพระอนิจจังจําเริญอนิจจานุวิปสสนา ก็ อาจสละละเสียซึ่งอนิจจสัญญาลักษณะที่สําคัญวาเที่ยงนั้น อาจบําบัดใหปราศจากขันธสันดานแหง ตนได “ทุกฺขโต ปสฺสนฺโต ” ถาพระโยคาพจรนั้นพิจารณา ทุกขังเจริญทุกขานุปสสนา ก็อาจจะ สละละเสียซึ่งสุขสัญญลักษณะที่สําคัญวาเปนสุขนั้น อาจบําบัดใหปราศจากขันธสันดานแหงตนได “ อนตฺตโต ปสฺสนฺโต” ถาพระโยคาพจรนั้นพิจารณาพระอนัตตาเจริญอนัตตานุปสสนา ก็ อาจจะสละละเสียซึ่งอัตตสัญญาลักษณะที่สําคัญวาเปนตัวเปนตนเปนของแหงตน ก็อาจบําบัดให ปราศจากขันธสันดานแหงตนได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 77 ขึ้นชื่อวาเพียรบําเพ็ญวิปสสนา วิปสสนาแกกลายางเขาถึงภูมิแหงปหานปริญญา มาตร แมวายังไมไดสําเร็จพระอริยมรรคก็อาจสละละวิปลาศเปนตนคือ นิจจสัญญา สุขสัญญา อัตตสัญญา ได เปนตทังคปหาน แลวิกขัมภนปหาน พระโยคาพจรกุลบุตร อันสถิตอยูในภูมิแหงปหานปริญญานั้น ถาจะเจริญนิพพิทานุปสสนาก็ อาจสละละเสียซึ่งตัญหาอันกอปรดวยปติใหปราศจากขันธสันดานได “ วิรชฺชนฺโต” ถาเจริญวิราคานุปสสนาไดสําเร็จพระอริยมรรค ก็อาจสละละซึ่งราคะให ปราศจากขันธสันดานได เปนสมุจเฉทโดยอันควรแกกลากําลัง แหงพระอริยมรรคที่ตัดกิเลสเปน สมุจเฉทปหาน ซึ่งอยูในภูมิแหงปหานปริญญานั้น ถาเจริญนิโรธานุปสสนาหนวงเอาพระนฤพานเปน อารมณไวแลว ก็อาจละตัณหาอันกอนใหเกิดเสียไดเปนสมุจเฉทปหาน ถาเจริญปฏินิสสัคคานุปสสนา ก็อาจสละละเสียซึ่งทิฏฐิขาด ปราศจากตัณหาอุปาทานโดยอันควรแกกําลังแหงพระโลกุตตรธรรมที่จะ ขจัดกิเลสเปนสมุจเฉทปหาน นักปราชญพึงสันนิษฐานวา มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินั้นบังเกิดในลําดับแหงโลกิยตีรณ ปริญญานั้น ๆ บังเกิดในลําดับแหงญาตปริญญานั้น ๆ บังเกิดดวยอํานาจเจริญวิปสสนากรรมฐาน ตกวาวิปสสนานี้ เปนมูลเหตุที่จะใหไดสําเร็จมัคคามัคคญาณเหตุนี้ พระโยคาพจรผู ปรารถนาจะยังมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิใหบริบูรณในสันดานนั้น พึงกระทําเพียร เจริญวิปสสนา พิจารณากลาปนั้นเปนตนเปนเดิมกอน “ กลํ” ขอซึ่งวาพิจารณากลาปนั้น จะใหพิจารณาเปนอยางไร อธิบาย ปญญาอันพิจารณายอสังขารธรรม อันเปนภายในแลภายนอกหยาบละเอียดไกลแล ใกลเปนอดีต อนาคต ปจจุบันรวมเขาดวยกันแลวแลกําหนดโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นวาไม เที่ยงเปนทุกขไมใชตนเหมือนกันอยางนี้แล ไดชื่อวาพิจารณากลาปจัดเปนปฐมวิปสสนา ๆ เบื้องตน นั้นมีนามปรากฏชื่อวาสัมมัสสนญาณ ประเภทแหงสัมมัสสนญาณนั้น พระผูเปนเจาพระพุทธโฆษาจารยจําแนกออกโดยนัยพระ บาลี ในคัมภีรพระปฏิสัมภิทามรรควา “ อตีตา นาคตปจฺจุปปฺนฺนานํ ธมฺมานํ สงฺขิปตฺวา ววตฺถาเน ปฺญาสมฺมสฺสนญาณํ ” อธิบายวาวิปสสนาปญญาที่ยอสังขารธรรมทั้งปวง อันเปนอดีตอนาคตปจจุบันเขาดวยกัน แลว แลพิจารณาโดยพระไตรลักษณนั้นแล ไดชื่อวาสัมมัสสนญาณ นักปราชญพึงสันนิษฐานวา วิปสสนาปญญาอันยอรูปขันธในอดีตอนาคตปจจุบันเขา ดวยกัน ยอรูปภายในภายนอก รูปหยาบ รูปละเอียด รูปอยูไกล รูปอยูใกล เขาดวยกันแลวแลกําหนด โดยอนิจจังนั้น จัดเปนสัมมัสสนญาณประการ ๑ ยอรูปขันธเขาดวยกันแลว แลกําหนดโดยทุกขังนั้น จัดเปนสัมมัสสนญาณประการ ๑ ยอรูปขันธเขาดวยกันแลว แลกําหนดโดยอนัตตานั้นจัดเปนสัมมัสสนญาณประการ ๑ ปญญาที่ยอเวทนาขันธ ทั้งอดีตอนาคตปจจุบัน ภายในภายนอกอยางหยาบอยางละเอียด อยางดีอยางชั่ว ไกลแลใกลเขาดวยกันแลวแลกําหนดโดยอนิจจัง เห็นวาไมเที่ยงไมแทเหมือนกันนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 78 ก็จัดเปนสัมมัสสนญาณประการ ๑ ปญญาที่ยอเวทนาขันธเขาดวยกันแลว แลกําหนดโดยทุกขังนั้นก็จัดเปนสัมมัสสนญาณ ประการ ๑ ปญญาที่ยอเวทนาขันธเขาดวยกันแลว แลกําหนดโดยอนัตตาเห็นวาไมใชอาตมาใชของ อาตมานั้น ก็จัดเปนสัมมัสสนญาณประการ ๑ ปญญาที่พิจารณายอสัญญาขันธ ในอดีตอนาคตปจจุบันเขาดวยกันยอมสัญญาขันธอยาง หยาบอยางละเอียด อยางดี อยางชั่ว ภายนอก ภายใน ไกลแลใกล เขาดวยกันแลว แลกําหนดโดย อนิจจังนั้นจัดเปนสัมมัสนญาณประการ ๑ ปญญาที่ยอสัญญาขันธเขาดวยกันแลว สัมมัสสนญาณประการ ๑ ปญญาที่ยอสัญญาขันธเขาดวยกันแลว
แลกําหนดโดยทุกขังเหมือนกันนั้น
ก็จัดเปน
แลกําหนดอนัตตานั้นก็จัดเปนสัมมัสสนญาณ
ประการ ๑ ปญญาที่ยอสัญญาขันธที่เปนอดีตเปนตน พิจารณาโดยอนิจจังเปนสัมมัสสนญาณประการ ๑ พิจารณาโดยทุกขัง เปนสัมมัสสนญาณประการ ๑ พิจารณาโดยอนัตตา เปนสัมมัสสนญาณประการ ๑ ปญญาตอวิญญาณขันธที่เปนอดีตเปนตน พิจารณาโดยอนิจจังเปนพิจารณาโดยอนัตตา เปนสัมมัสสนญาณประการ ๑ สิริรวมสัมมัสสนญาณ สัมมัสสนญาณประการ ๑ พิจารณาโดยทุกขัง เปนสัมมัสสนญาณประการ ๑ ในขันธทั้ง ๕ นี้ เมื่อสัมมัสสนญาณ ๑๕ ประการดวยกัน ใชแตเทานั้น ปญญาที่พิจารณาทวารทั้ง ๖ คือจักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร มโนทวารกอทวารทั้ง ๖ ในอดีตแลอนาคตแลปจจุบันเขาดวยกัน ยออทวารทั้ง ๖ อันเปน ภายในแลภายนอกอยูไกลอยูใกล อยางหยาบ อยางละเอีอด อยางดี อยางชั่วเขาดวยกันแลวแล กําหนดโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นเห็นวาทวารทั้ง ๖ ไมมั่นไมคงไมยั่งไมยืนไมเที่ยงไมแท มีแต ทุกขเปนเบื้องหนาใชของอาตมาใชของอาตมาเหมือนกัน จะไดแปลกไดผิดกันหาบมิได ปญญาที่ พิจารณาทวารทั้ง ๖ โดยพระไตรลักษณดังนี้ ก็จัดเปนสัมมัสสนญาณแตละอัน ๆ สิริเขาดวยกัน เปนสัมมัสสนญาณในทวารทั้ง ๖ ได ๑๘ ประการดวยกัน ใชแตเทานั้น ปญญาที่พิจารณาอารมณทั้ง ๖ คือ รูปารมณ สัททารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ ธัมมารมณ ยออารมณทั้ง ๖ อันเปนภายนอกแลภายใน อยางหยาบ อยาง ละเอียด อยางชั่วอยางดี อยูไกลอยูใกลเขาดวยกันแลว แลกําหนดโดยอนิจจังทุกขังอนัตตา เห็นวา ไมเที่ยงไมจริงกอปรดวยทุกขดวยภัย ใชอาตมา ใชของอาตมาเหมือนกันสิ้น ปญญาที่พิจารณา อารมณทั้ง ๖ โดยพระไตรลักษณดังนี้ ก็จัดเปนสัมมัสสนญาณแตละอัน ๆ ตกวาอรมณแตละสิ่ง ๆ นั้น กอปรดวยสัมมัสสนญาณไดละสิ่ง ๆ สิริรวมเขาดวยกันเปนสัมมัสสนญาณในอารมณ ๖ ได ๑๘ ประการดวยกัน แตปญญาที่พิจารณาวิญญาณทั้ง ๖ คือ จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหา วิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ยอวิญญาณทั้ง ๖ อันเปนภายนอกภายใน อยางหยาบอยาง ละเอียดอยางชั่วอยางดี ไกลแลใกลเขาดวยกันแลว แลกําหนดโดยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จัดเปน สัมมัสสนญาณแตละอัน ๆ เหมือนกันกับนัยหนหลัง สิริเปนสัมมัสสนญาณในวิญญาณทั้ง ๖ ได ๑๘ ประการดวยกัน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 79 ใชแตเทานั้น
ปญญาอันพิจาณาสัมผัสทั้ง
๖
มีจักขุสัมผัสเปนอาทิมีมโนสัมผัสเปน
ปริโยสาน พิจารณาเวทนาทั้ง
๖
มีจักขุสัมผัสสชาเวทนาเปนตน
มีมโนสัมผัสสชาเวทนาเปน
พิจารณาสัญญาทั้ง
๖
มีจักขุสัมผัสสชาสัญญาเปนตน
มีมโนสัมผัสสชาสัญญาเปน
พิจารณาเจตนาทั้ง
๖
มีจักขุสัมผัสสชาเจตนาเปนตน
มีมโนสัมผัสสชาเจตนาเปน
ปริโยสาน ปริโยสาน ปริโยสาน พิจารณาตัณหาทั้ง ๖ มีรูปตัณหาเปนตน มีธัมมตัณหาเปนปริโยสาน พิจารณาวิตกทั้ง ๖ มีจักขุทวาริกวิตกเปนตน มีมโนทวาริกวิตกเปนปริโยสาน พิจารณาวิจารทั้ง ๖ มีจักขุทวาริกวิจารเปนตน มีมโนทวาริกวิจารเปนปริโยสาน พิจารณาธาตุทั้ง ๖ มีจักขุธาตุเปนตน มีมโนธาตุเปนปริโยสาน พิจารณากสิณทั้ง ๑๐ มีปวีกสินเปนตน มีอาโปกสินเปนปริโยสาน พิจารณาอาการ ๓๒ มีเกศาโลมาเปนตน มีมัคถลุงคังเปนปริโยสาน พิจารณาอายตนะ ๑๒ มีจักขวายนะเปนตน มีธัมมายตนะเปนปริโยสาน พิจารณาธาตุ ๑๘ มีจักขุธาตุเปนตน มีมโนวิญญาณธาตุเปนปริโยสาน พิจารณาอินทรีย ๒๒ มีจักขุนทรียเปนตน มีอัญญาตาวินทรียเปนปริโยสาน พิจารณาธาตุทั้ง ๓ คือกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ พิจารณาภพทั้ง ๙ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญีภพ อสัญญีภพ เนวสัญญีนาสัญญีภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ ปญจโวการภพ พิจารณารูปชฌานทั้ง ๔ คือปฐมมัชฌาน ทุติยัชฌาน ตติยัชฌาน จตุตถัชฌาน พิจารณาอัปปมัญญาทั้ง ๔ คือเมตตาพรหมวิหาร กรุณาพรหมวิหาร มุทิตาพรหมวิหาร อุเบกขาพรหมวิหาร พิจารณาอรูปชฌานทั้ง ๔ มีอากาสานัญจายตนัชฌานเปนตน มีเนวสัญญานาสัญญายตนัช ฌานเปนปริโยสาน ปริโยสาน
พิจารณาองคแหงปฏิจจสมุปบาทธรรมทั้ง ๑๒ ประการ มีอวิชชาเปนตน มีชราแลมรณะเปน
ยอธรรมทั้ง ๑๙ กองเขาดวยกันเปนกอง ๆ รวมอดีตอนาคตแลปจจุบันเขาดวยกัน รวม
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 80 ธรรมกายภายนอกภายใน อยางหยาบอยางละเอียด อยางชั่วอยางดี ไกลแลใกลเขาดวยกันเปนกอง ๆ แลวก็กําหนดธรรมทั้ง ๑๙ กองนั้นโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิธีที่ยอมธรรม ๑๙ กองเขาดวยกัน พิจารณาโดยนัยที่พิจารณาเบญจขันธเปนอาทินั้น จัดเปนสัมมัสสนญานแตละอัน ๆ เหมือนกันกับที่ สําแดงแลวในเบญขันธเปนอาทินั้น เหตุฉะนี้ในสัมผัสสราสีนั้น จึงนับสัมมัสนญาณได ๑๘ ประการ ในฉเวทนาราสีนั้น จึงนับสัมมัสสนญาณได ๑๘ ประการ ในฉสัญญาราสี แลฉเจตนาราสี ฉตัณหาราสี นับสัมมัสสนญาณไดกองละ ๑๘ ประการ ๆ เหมือนกัน
ฉวิตกราสี
ฉวิจารราสี
ฉธาตุราสี
ก็
ในจตุกกัชฌานราสีนั้น นับสัมมัสสนญาณได ๑๒ ประการ ในจตุกกัชฌานราสีนั้น นับสัมมัสสนญาณได ๑๒ ประการ ในจตุกกอัปปมัญญาราสีนั้น นับสัมมัสสนญาณได ๑๒ ประการ ในทสกกสิณราสีนั้น นับสัมมัสสนญาณได ๓๐ ประการ ในทวัตติงสโกฏฐาสราสีนั้น นับสัมมัสสนญาณได ๙๖ ประการ ในทวาทสายตนราสีนั้น นัยสัมมัสสนญาณได ๓๖ ประการ ในอัฏฐารสธาตุราสีนั้น นับสัมมัสสนญาณได ๕๔ ประการ ในพาวีสตีนทรียราสีนั้น นับสัมมัสสญาณได ๖๖ ประการ ในตรีธาตุราสีนั้น นับสัมมัสสนญาณได ๙ ประการ ในนวภวนั้น นับสัมมัสสนญาณได ๒๗ ประการ ในจกุกสมาบัติรานั้น นับสัมมัสสนญาณได ๑๒ ประการ ในทวาทสปฏิจจสมุปปาทังคราสีนั้น นับสัมมัสสนญาณเขาดวยกันจับเดิมแตพิจารณาเบญจ ขันธนั้นมา จึงเปนสัมมัสสนญาณ ๖๐๓ ประการดวยกัน สัมมัสสนญาณแตละอัน ๆ นั้น มีโอกาสปริจเฉท ๑๑ ประการสิ้นดวยกัน โอกาสปริจเฉท ๑๑ ประการนั้นสําเร็จดวยติกกะอันหนึ่ง ทุกกะ ๔ ทุกกะ ติกกะอันหนึ่งนั้น ไดแกอดีตติกกะ อันสมเด็จพระสรรเพชญพุทธองค โปรดประทานพระ สัทธรรมเทศนาในคัมภีรพระอภิธัมมัตถสังคิณีวา “อตีตา ธฺมมา อนาคตา ธฺมมา ปจฺจุปฺปนฺนา ธฺมมา ” แลทุกกะ ๔ ทุกกะนั้น ไดแกอัชฌัตถทุกกะประการ ๑ โอฬาริกทุกกะประการ ๑ หีนทุกกะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 81 ประการ ๑ ทูเรทุกกะประการ ๑ ที่พระพุทธองคตรัสเทศนาไวในคัมภีรพระอภิธัมมัตถสังคิณี นักปราชญพึงสันนิษฐานโดยกระทูความวา สัมมัสสนญาณแหงพระโยคาพจรกุลบุตรอันพิจ ราณาสังขารธรรมนั้น นับเขาในติกกะ ๑ ทุกกะ ๔ คือพระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณาสังขารธรรม อัน เปนอดีตแลอนาคตแลปจจุบันนั้น ไดชื่อวาสัมมัสนญาณกอปรไปในติกกะอันหนึ่งคืออดีตติกกะ กาลเมื่อพิจาณาสังขารธรรมอันเปนภายนอกแลภายใน ไดชื่อวาสัมมัสสนญาณ กอปรไป ในอัชฌัตมทุกกะ กาลเมื่อพิจารณาสังขารธรรมอยางหยาบอยางละเอียดนั้น ไดชื่อวาสัมมัสสนญาณ กอปรไป ในพาหิกทุกกะ กาลเมื่อพิจารณาสังขารธรรมอยางชั่วอยางดีนั้น ไดชื่อวาสัมมัสสนญาณ กอปรไปในหีนทุก กะ กาลเมื่อพิจารณาสังขารธรรม อยูไกลอยูใกลนั้น ไดชื่อวาสัมมัสสนญาณ กอปรไปในทูเรทุก กะ ในทุกกะ ๔ ทุกกะนี้ แยกออกเปนบทได ๘ บท ติกกะอันหนึ่งนั้น แยกออกเปนบทได ๓ บท ๘ กับ ๓ เขากันเปน ๑๑ เรียกวาโอกาสปริเฉท ๑๑ ยุติในสัมมัสสนญาณแตละอัน ๆ ก็มีดวย ประการฉะนี้ นักปราชญพึงสันนิษฐานวา กิจที่พระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณาสังขารมีตนวาเบญจขันธ อันเปนสวนอดีตกาลลวงแลวแตหลังนั้นจัดเปนโอกาสปริจเฉทประการ ๑ พิจารณาสังขารธรรม อันเปนอนาคตขางหนานั้น ก็จัดเปนโอกาสปริจเฉทประการ ๑ พิจารณาสังขารธรรม อันเปนสวนในปจจุบันนั้น ก็จัดเปนโอกาสปริจเฉทประการ ๑ พิจารณาสังขารธรรม โอกาสปริจเฉทประการ ๑
อันเปนสวนภายใน
พิจารณาสังขารธรรม โอกาสปริจเฉทประการ ๑
อันเปนสวนภายนอก
คือพิจารณาในรางกายแหงตนนั้นเอง
จัดเปน
คือพิจารณารางกายแหงบุคคลนั้น
จัดเปน
พิจารณาสังขารธรรม ที่หยาบที่กระดางนั้น ก็จัดเปนโอกาสปริจเฉทประการ ๑ พิจราณาสังขารที่สุขุมภาพละเอียด ๆ นั้น ก็จัดเปนโอกาสปริจเฉทประการ ๑ พิจารณาสังขารที่ลามกนั้น ก็จัดเปนโอกาสปริจเฉทประการ ๑ พิจารณาสังขารที่ดีที่ประณีตบรรจงนั้น ก็จัดเปนโอกาสปริจเฉทประการ ๑ พิจารณาสังขารธรรมแตบรรดาที่อยูไกล ๆ นั้น ก็จัดเปนโอกาสปริจเฉทประการ ๑ พิจารณาสังขารธรรมมีตนวา เบญจขันธแตบรรดาที่อยูใกล ๆ นั้นก็จัดเปนปริจเฉทประการ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 82 สิริเขาดวยกันเปนปริจเฉท ๑๑ ประการ ยุติในสัมมัสสนญาณแตละอัน ๆ ตกวาสัมมัสสนญาณทั้ง ๖ รอย ๓ ประการนั้น แตลวนมีโอกาสปริจเฉท ๑๑ ประการ เหมือนกันสิ้น ถาจะนับ สัมมัสสนญาณโดยประเภทแหงโอกาสปริจเฉทนั้นเปนสัมมัสสนญาณถึง ๖๖๓๓ ประการดวยกัน จะยกขึ้นวิสัชนาบัดนี้ ในสัมมัสสนญาณเบื้องตน ก็ยุติในเบญจขันธ ๕ ประการนั้นกอน ถาจะ วาแตสัมมัสสนญาณ ที่ยุติในเบญจขันธ ๕ ประการนั้น สําแดงโดยยอนับสัมมัสสนญาณได ๑๕ ประการ ถาจะสําแดงโดยประเภทแหงโอกาสปริจเฉทนั้น นับสัมมัสสนญาณได ๑๖๕ ประการ ถาจะวาแตรูปขันธสิ่งเดียวนั้น สําแดงโดยยอนับสัมมัสสนญาณได ๓ ประการ คือสัมมัสสน ญาณ อันพิจารณารูปโดยอนิจจังนั้นประการ ๑ พิจารณารูปโดยทุกขังนั้นประการ ๑ พิจารณารูปโดย อนัตตานั้นประการ ๑ สิริสัมมัสสนญาณเปน ๓ ประการดังนี้ แตสัมมัสสนญาณที่พิจารณารูปโดยอนิจจังประการ ๑ นั้น เมื่อสําแดงโดยประเภทแหง โอกาสปริจเฉทนั้น แตกออกไปเปน ๑๓ ประการ “วุตฺตํ เหตํ ” จริงอยู พระผูเปนเจาธรรมเสนาบดี สําแดงพระธรรมเทศนาไวในคัมภีรพระปฏิสัมภิทามรรควา สัมมัสสนญาณเปนปฐมนั้น พิจารณารูปใน อดีตโดยอนิจจังวา “ยํ อดีตํ รูป ตํ ยสฺมา อตีเตเยว ขีณํ นยิมํ ภวํ สมฺปตฺตนฺติ อนิจฺจํ ขยตฺเถน วา ” รูปอันใดมีอดีตบังเกิดขึ้นในอดีตภพหลังตั้งแต ๑ ชาติ ๒ ชาติ ๓ ชาติ ๔ ชาติ ๘ ชาติ ๙ ชาติ ๑๐ ชาติรอยชาติพันชาติหมื่นชาติแสนชาติตราบเทาถึงอเนกอนันตชาติ รูปทั้งปวงนั้นเทียรยอมสิ้นไป ฉิบหายไปในอดีตชาติสิ้นไปฉิบหายไปในอดีตชาติ สพสิ้นทั้งนั้น ที่จะยืนยงคงอยูสืบมาตอมา ตราบ เทาถึงปจจุบันชาติชาติปจจุบันภพนี้หาบมิได เกิดมาชาติใดฉิบหายไปชาตินั้น มีในชาติใดสิ้นไปใน ชาตินั้น ยืนยงคงอยูไมมาก แตสักสองชาติก็คงอยูมิได เกิดชาติใดตายชาตินั้น เกิดภพใดตายภพนั้น เหตุฉะนี้ แตบรรดารูปที่มีในอดีตนั้น เทียรยอมเปนอนิจจังไมเที่ยงไมแทพอหมดพอสิ้น พระพุทธองค ตรัสเทศนาวารูปในอดีตเปนอนิจจัง ดวยอนาถวาฉิบหายไปสิ้นไปนี้ สมควรหนักหนา อนึ่งนักปราชญบางแหงไดยอความในสัมมัสสนญาณ ดังที่กลาวมาแลวนี้ ใหสั้นเขาไปอีก อยางหนึ่ง มีนัยดังจะแสดงตอไปนี้ ใชแตเทานั้น ปญญาที่พิจารณาทวารทั้ง ๖ คือจักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร มโนทวาร ที่เปนอดีตเปนตน กําหนดโดยอนิจจัง ทุกขังอนัตตานั้น ๆ ก็จัดเปนสัมมัสสน ญาณแตละอยาง ๆ สิริรวมเขาดวยกันเปนญาณในทวาร ๖ ได ๑๘ ประการ ใชแตเทานั้น ปญญาที่พิจารณาอารมณทั้ง ๖ คือรูปารมณ สัททารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ ธัมมารมณ ที่เปนอดีตเปนตน กําหนดโดยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นก็จัดเปนสัมมัสสน ญาณละอยาง ๆ รวมสัมมัสสนญาณ ในอารมณทั้ง ๖ เปนญาณ ๑๘ ประการ แลปญญาที่พิจารณาวิญญาณทั้ง ๖ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหา วิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ทั้งอดีตอนาคต ปจจุบัน จนถึงไกลใกล กําหนดโดยอนิจจัง ทุก ขัง อนัตตานั้น ๆ ก็จัดเปนสัมมัสนญาณละอยาง ๆ รวมสัมมัสสนญาณในวิญญาณ ๖ เปน ๑๘ ประการ แลปญญาที่พิจารณาสัมผัส ๑ คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กาย สัมผัส มโนสัมผัส ที่เปนอดีตเปนตน กําหนดโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น ก็นับสัมมัสสนญาณได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 83 ๑๘ ประการ แลปญญาที่พิจารณาเวทนาทั้ง ๖ คือจักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆาน สัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา ที่เปนอดีต เปนตนกําหนดโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น ๆ ก็นับสัมมัสสนญาณได ๑๘ ประการ แลปญญาพิจารณาสัญญา ๖ คือจักขุสัมผัสสชาสัญญา โสตสัมผัสสชาสัญญา ฆานสัมผัสส ชาสัญญา ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา กายสัมผัสสชาสัญญา มโนสัมผัสสชาสัญญาที่เปนอดีตเปนตนนั้น กําหนดโดยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น ๆ ก็นับสัมมัสสนญาณได ๑๘ ประการ แลปญญาพิจารณาโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในเจตนา ๖ คือ จักขุสัมผัสสชาเจตนา โสต สัมผัสสชาเจตนา ฆานสัมผัสสชาเจตนา ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา กายสัมผัสสชาเจตนา มโนสัมผัสส ชาเจตนา ที่เปนอดีตเปนตนนั้น ๆ ก็นับสัมมัสสนญาณได ๑๘ ประการ แลปญญาพิจารณาโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในตัณหา ๖ คือ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา ที่เปนอดีตเปนตน ก็นบ ั สัมมัสสนญาณได ๑๘ ประการ แลปญญาพิจารณาโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในวิตก ๖ คือ จักขุทวาริกวิตก โสตทวาริก วิตก ฆานทวาริกวิตก ชิวหาทวาริกวิตก กายทวาริกวิตก มโนทวาริกวิตก ที่เปนอดีตเปนตน ก็ นับสัมมัสนญาณได ๑๘ ประการ แลปญญาพิจารณาโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในวิจาร ๖ คือ จักจุทวาริกวิจาร โสตทวาริก วิจาร ฆานทวาริกวิจาร ชิวหาทวาริกวิจาร กายทวาริกวิจาร มโนทวาริกวิจาร ที่เปนอดีตเปนตน ก็ นับสัมมัสสนญาณได ๑๘ ประการ แลพิจารณาในธาตุ ๖ มีจักขุธาตุเปนตนก็ไดญาณ ๑๘ ประการ แลพิจารณาในกสิณ ๑๐ มีปฐวีกสิณเปนตน ก็ไดญาณ ๑๐ ปารการ แลพิจารณาในอาการ ๓๒ มีเกศาเปนตน ก็นับญาณได ๙๖ ประการ แลพิจารณาอายตนะ ๓๒ มีจักขวายตนะเปนตน ก็นับญาณได ๒๖ ประการ แลพิจารณาธาตุ ๑๘ มีจักขุธาตุเปนตน ก็นับญาณได ๕๔ ประการ แลพิจารณาอินทรีย ๒๒ มีจักขุนทรียเปนตน มีอัญญาตวินทรียเปนที่สุด ก็นับญาณได ๖๖ ประการ แลพิจารณาในธาตุ ๓ คือ กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ ก็นับญาณได ๙ ประการ แลพิจารณาภพ ๙ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญีภพ อสัญญีภพ เนวสัญญานาสัญญา ภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ ปญโวการภพ ก็นับญาณได ๒๒ ประการ แลพิจารณารูปฌาน ๔ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ก็ไดฌาน ๑๒ ประการ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 84 แลพิจารณาพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็ไดฌาน ๑๒ ประการ แลพิจารณาอรูปฌาน ๔ มีอากาสานัญจายตนฌานเปนตน มีเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เปนที่สุด ก็ไดญาณ ๑๒ ประการ แลพิจารณาองคแหงปฏิจจสมุปปาบาทธรรม ๑๒ มีอวิชชาเปนตน มีชรามรณะเปนที่สุด ก็ ไดญาณ ๓๖ ประการ นักปราชญพึงสัมมัสสนญาณในเบญจขันธ ๑๔ ในฉทวาร ๑๘ ใน ฉวิญญาณ ๑๘ ในฉ สัมผัส ๑๘ ในฉเวทนา ๑๘ ในฉสัญญา ๑๘ ในฉเจตนา ๑๘ ในฉตัณหา ๑๘ ในฉตัณหา ๑๘ ในฉวิตก ๑๘ ในฉวิจาร ๑๘ ในฉธาตุ ๑๘ ในทสกวิณ ๓๐ ในทวีตติงสาการ ๙๖ ในทวาทสอายตน ๓๒ ใน อัฏฐารสธาตุ ๕๔ ในพาวีสติอินทรีย ๖๖ ในตุรีธาตุ ๙ ในนวภพ ๒๗ ในจตุรูปฌาน ๑๒ ในจตุพรหม วิหาร ๑๒ ในจตุอรูปฌาน ๑๒ ในทวาทสององคแหงปฏิจจสมุปปบาทธรรม ๒๖ ประการ รวมธรรมทั้ง ๒๓ กองทั้งสิ้น เปนสัมมัสนญาณ ๖๐๓ ประการดวยกันฉะนี้ แลสัมมัสสนญาณแตละอยาง ๆ นั้นมีโอกาสปริจเฉท ๑๑ ประการสิ้นดวยกัน โอกาสปริจเฉท ๑๑ ประการนั้น สําเร็จดวยติกกะ ๑ ทุกกะ ๔ ติกกะ ๒ นั้นไดแกอดีตติกกะ ที่สมเด็จพระพุทธองคตรัสเทศนาในพระอภิธัมมัตถสังคิณีวา “ อตีตา ธมฺมา อนาคตา ธมฺมา ปจฺ จุปฺปนฺนา ธมฺมา” แลทุกกะ ๔ นั้นไดแกอัชฌัตตทุกกะ ๑ โอฬริกทุกกะ ๑ หีนทุกกะ ๑ ทูเรทุกกะ ๑ ตามที่ พระพุทธองคเจาตรัสไวในพระอภิธัมมสังคิณีวา ธรรมที่เปนภายนอกแลภายใน ธรรมที่หยาบแล ละเอียด ธรรมที่เลวทรามแลประณีตดี ธรรมที่มีไกลแลใกลดังนี้ นักปราชญพึงสันนิษฐานโดยกระทูความวา สัมมัสสนญาณแหงพระโยคาพจรอันพิจารณา สังขารธรรมนั้น นับเขาในติกกะ ๑ ทุกกะ ๔ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาสังขารธรรมเปนอดีต แล อนาคตปจจุบันนั้นไดชื่อวาสัมมัสสญาณประกอบในติกกะ ๑ คืออดีตติกกะ เมื่อพิจารณาสังขารธรรมอันเปนภายในแลภายนอกนั้น ในอัชฌัตตทุกกะ
ไดชื่อวาสัมมัสสนญาณประกอบ
เมื่อพิจารณาสังขารธรรมอยางหยาบอยางละเอียดนั้น ไดชื่อวาประกอบในโอฬาริกทุกกะ เมื่อพิจารณาสังขารธรรมอยางชั่วอยางดีนั้น ไดชื่อวาสัมมัสสนญาณประกอบในหีนทุกกะ เมื่อพิจารณาสังขารธรรมอยูใกลแลไกลนั้น ไดชื่อวาสัมมัสสนญาณประกอบในทูเรทุกกะ ในทุกกะ ๔ นี้แยกเปนบทได ๘ บท ในติกกะ ๑ นั้นแยกเปนบทได ๓ บท ๘ กับ รวมกัน เปน ๑๑ รวมกันเปน ๑๑ เรียกวาโอกาสปริจเฉท ๑๑ ยุติในสัมมัสสนญาณ ๆ ก็มีดวยประการฉะนี้ ในสัมมัสสนญาณ ๖๐๓ ประการนั้น อันหนึ่ง ๆ แตลวนมีโอกาสปริจเฉท ๑๑ ประการ ๆ เหมือนกันสิ้น ถาจะนับสัมมัสสนญาณโดยประเภทโอกาสปริจเฉทนั้นเปนถึง ๖๖๓๓ ประการดวยกัน “ เพราะเอา ๑๑ คูณ ๖๐๓”
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 85 จะยกขึ้นวิสัชนาบัดนี้ ในสัมมัสสนญาณเบื้องตนที่ยุติในเบญจขันธ ๕ ประการนั้น กอน “วุตฺตํ เหตํ ” จริงอยูพระผูเปนเจา พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร สําแดงธรรมเทศนาไวในคัมภีร ปฏิสัมภิทามรรควา สัมมัสสนญาณเปนปฐมนั้น พิจารณารูปในอดีตโดยอนิจจังวา “ยํ ดตีตํ รูป ตํ ยสฺ มา อตีเตเยว ขีณํ ” เปนตนวาความวารูปอันใดมีในอดีต บังเกิดขึ้นในอดีตภพชาติหลัง ตั้งแตชาติ หนึ่งถืออเนกอนันตชาติ รูปทั้งปวงนั้นยอมสิ้นไปฉิบหายใปในอดีตชาติอดีตภพสิ้นทั้งนั้น ที่จะยืนยงคง สืบตอมาถึงปตยุบันชาติ ปตยุบันภพนี้หามิได เกิดมาชาติใดฉิบหายไปในชาตินั้น มีในชาติใดสิ้นไปใน ชาตินั้น จะยืนยงคงอยูไมมากแตสักสองชาติก็คงอยูมิได เกิดชาติใดตายชาตินั้น เกิดภพใดตายภพ นั้น เหตุฉะนี้แตบรรดารูปที่มีในอดีตภพนั้นยอมเปนอนิจจังไมเที่ยงไมแทหมดทั้งสิ้น พระพุทธองค ตรัสเทศนาไววารูปในอดีตเปนอนิจจังดวยอรรถาวาฉิบหายไปสิ้นไปนี้ สมควรนักหนา ดังกลาวมาแลว ขางตน ปญญาที่พิจารณารูปในอดีตโดยอนิจจังดังนี้จัดเปนสัมมัสสนญาณ อันจําแนกโดยประเภท แหงโอกาสปริจเฉทประการ ๑ แลสัมมัสสนญาณเปนคํารบ ๒ พิจารณารูปในอนาคต โดยอนิจจังวา “ยํ อนาคตํ อนนฺตรภเว นิพฺพตฺตลฺสติ ตํป ตตฺเถว ขียิสฺสติ น ตโต ปรํ ภาวํ คมิสฺสตีติ อนิจฺจํ ขยตฺเถน วา ” รูปอันใดเปนอนาคตจะบังเกิดในภพอันเปนลําดับนั้น เมื่อบังเกิดแลวรูปนั้นก็จะสิ้นไปฉิบหายไป ใน ภพอันเปนลําดับนั้นเปนแท ที่จะยืนยงคงอยูตอสืบไปในภพเบื้องหนากวานั้นหามิได มีสภาวะเปน อนิจจังดวยอรรถวาสิ้นไปฉิบหายไปไมยั่งไมยืนไมมั่นไมคง แตบรรดารูปทั้งปวงที่จะเกิดในอนาคตนั้น สุดแทแตเกิดมาในภพใดชาติใด ก็จะฉิบหายไปสิ้นในภพนั้นในชาตินั้น จะยืนยงคงอยูไดโดยนอยแต สักสองภพก็คงอยูบมิได เกิดชาติใดก็จะตายชาตินั้นเกิดภพใดก็จะตายภพนั้น ปญญาอันพิจารณารูป ในอนาคตเบื้องหนาโดยอนิจจังดังพรรณนามาฉะนี้แลจัดเปนสัมมัสนญาณคํารบ ๒ แลสัมมัสนญาณคํารบ ๓ นั้น พิจารณารูปในปจจุบันโดยอนิจจังวา “ยํ ปจฺจุปฺปนฺนํ รูปนฺ ติป อิเธว ขียติ น อิโต คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยตฺเถน วา ” รูปอันใดเปนปตยุบันนั้น เมื่อบังเกิดอยูใน ปจจุบันภพนี้รูปนั้นเทียรยอมฉิบหายไปสิ้นไปในปจจุบันภพนี้เปนแท จะยืนยงคงอยูสืบตอไปในเบื้อง หนาแตปจจุบันนี้หาบมิได เกิดชาตินี้ก็ฉิบหายบรรลัยไปในชาตินี้ เอาเที่ยงเอาจริงบมิได มีสภาวะเปน อนิจจัง ดวยอรรถวาฉิบหายไปสิ้นไปไมมั่นไมคง ปญญาพิจารณารูปในปจจุบันโดยอนิจจังดังนี้แล จัด เปนสัมมัสสนญาณที่ ๓ สัมมัสสนญาณที่ ๔ นั้น พิจารณารูปภายในโดยอนิจจังวา “ยํ อชฺฌตฺตํ ตํป อชฺฌตฺตเมว ขียติ น พหิทุธภาวํ คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยตฺเถน วา ” รูปอันใดเปนภายในบังเกิดขึ้นภายใน เมื่อ บังเกิดแลว รูปนั้นก็จะสิ้นไปฉิบหายไปในภายใน เมื่อบังเกิดแลว รูปนั้นก็จะสิ้นไปฉิบหายไปในภายใน จะไดยืนยงคงอยูสืบตอไปจนถึงเปนพหิทธารูป เปนรูปภายนอกนั้นหาบมิได รูปภายในนั้น เทียรยอม สิ้นไปในภายในฉิบหายไปในภายในเปนแท เหตุฉะนี้รูปภายในนั้นนักปราชญพึงสันนิษฐานวาเปน อนิจจัง ดวยอรรถวาสิ้นไป ฉิบหายไป ไมมั่นไมคง ปญญาพิจารณารูปภายในโดยอนิจจังดังนี้แล จัด เปนสัมมัสนญาณที่ ๔ แลสัมมัสสนญาณที่ ๕ นั้น พิจารณารูปภายนอกโดยอนิจจังวา “ ยํ พหิทฺธาเยว ตํป พหิทฺธาเยว ขียติ น อชฺฌตฺตภาวํ คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยตฺเถน วา” รูปอันใดเปนภายนอกบังเกิด ภายในภายนอก รูปอันนั้นเทียรยอมสิ้นไปฉิบหายไปในภายนอกนั้นเปนแท จะไดยั่งยืนอยูจนตราบเทา ถึงเปนอัชฌัตตะรูป เปนรูปภายในนั้นหามิได รูปภายนอกนั้นมีแตจะสิ้นไปภายนอกฉิบหายประลัย ไป ในภายนอกเปนอนิจจังดวยอรรถวาสิ้นไปไมยั่งไมยืนไมมั่นคง ปญญาพิจารณารูปภายนอกโดยอนิจจัง ดังนี้ จัดเปนสัมมัสสนญาณที่ ๕ แลสัมมัสสนญาณที่ ๖ นั้น พิจารณารูปอยางหยาบโดยอนิจจังวา “ยํ โอฬาริกํ ตํป ตตฺ เถว ขียตํ น สุขุมภาวํ คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยตฺเถน วา ” รูปอันใดเปนรูปอันหยาบ บังเกิดขึ้นเปนรูป อันหยาบแลวก็สิ้นไปฉิบหายไปในที่อันบังเกิดนั้นเอง จะไดยืนยงคงอยูจนตราบเทาถึงเปนสุขุมรูป
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 86 เปนรูปอยางละเอียดนั้นหาบมิไดเกิดในที่หยาบก็ฉิบหายไปในที่หยาบ สิ้นไปในที่หยาบ เปนอนิจจัง ดวยอรรถวาสิ้นไป ไมมั่นไมคง ปญญาพิจารณารูปอยางหยาบโดยอนิจจังดังนี้แล จัดเปนสัมมัสสน ญาณที่ ๖ แลสัมมัสสนญาณที่ ๗ นั้น พิจารณารูปอยางละเอียดโดยอนิจจังวา “ ยํ สุขุมํ ตํป ตตฺเถว ขียติ น โอฬาริกภาวํ คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยตฺเถว วา” รูปอันใดเปนรูปอยางละเอียด บังเกิดเปนรูป อันละเอียดแลว ก็สิ้นไปฉิบหายไปในที่อันบังเกิดนั้นเอง จะไดยืนยงคงอยูจนตราบเทาถึงเปนโอฬาริก รูป เปนรูปอยางหยาบนั้นหาบมิได เกิดในสวนอันละเอียด ก็สิ้นไปในสวนอันละเอียด เปนอนิจจังไมยั่ง ไมยืน ฉิบหายไปสิ้นไป ไมมั่นไมคงไมเที่ยงไมแท ปญญาพิจารณารูปอยางละเอียด โดยอนิจจังดังนี้ แล จัดเปนสัมมัสสนญาณคํารบ ๗ แลสัมมัสสนญาณคํารบ ๘ นั้น พิจารณารูปอยางชั่วโดยอนิจจังวา “ยํ หีนํ ตตฺเถน ขียตํ น ปณีตภาวํ คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยตฺเถน วา” รูปอันใดเปนรูปอยางชั่ว บังเกิดขึ้นเปนรูปอยางชั่วแลว ก็ สิ้นไปฉิบหายไปในที่บังเกิดนั้นเอง จะไดตั้งอยูตราบเทาไดประณีตรูป เปนรูปอยางดีอยางประณีตนั้น หาบมิได เกิดเปนสวนอันชั่ว ก็สิ้นไปฉิบหายไปในสวนอันชั่ว ควรจะเปนอนิจจังสังเวชนี่หนักหนา ปญญาพิจารณารูปที่ชั่วโดยอนิจจังดังนี้แล จัดเปนสัมมัสสนญาณคํารบ ๘ แลสัมมัสสนญาณคํารบที่ ๙ นั้น พิจารณารูปอยางประณีตโดยอนิจจังวา “ ยํ ปณีตํ ตํป ตฺตเถว ขียติ น หีนภาวํ คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยตฺเถน วา” รูปที่อยางประณีตนั้น เมื่อบังเกิดแลวก็สิ้น ไปในสวนอันประณีต จะไดตั้งอยูเปนอันเที่ยงอันแทหาบมิได จะถึงซึ่งภาวะเปนหีนรูปหาบมิได ยังอยู เปนสวน ๆ รูปแลวก็สิ้นไปในสวนแหงประณีตรูป ปญญาพิจารณาพระอนิจจัง ซึ่งบังเกิดมีในประณีตรูป นี้แล จัดเปนสัมมัสสนญาณคํารบที่ ๙ แลสัมมัสสนญาณคํารบที่ ๑๐ นั้น พิจารณารูปอันอยูไกลโดยอนิจจังวา “ ยํ ทูเร ตํป ตตฺ เถว ขียติ น สนฺติเกภาวํ คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยตฺเถน วา” รูปอันใดเปนทูเรรูปอันอยูในประเทศอัน ไกลนั้น “ตตฺเถว ขียติ ” รูปนั้นยังมิทันที่จะเปนสันติเกรูป ยังมิทันที่จะมาถึงในที่ใกล ก็สิ้นไปฉิบ หายไปในที่ใกลนั้นเอง อันธรรมดารูปธรรมนี้อายุยืน ๑๗ ขณะจิต จะไดยืนยงไปหวา ๑๗ ขณะจิตนั้นหาบมิได สุด แทแตบังเกิดครบ ๑๗ ขณะจิต แลวก็ดับตอ ๆ กันไปโดยลําดับ ๆ เหตุฉะนี้ สมเด็จพระผูมีพระภาคจึงมี พระพุทธฎีกาโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาวา รูปที่อยูไกลเปนทูเรรูปนั้น ยังมิทันที่จะมาใกล ยังมิ ทันที่จะเปนสันติเกรูปก็สิ้นไปฉิบหายไปในที่ใกลนั้นเอง จะยั่งจะยืนจะมั่นจะคงจะเที่ยงจะแทหาบมิได ปญญาพิจารณารูปอันอยูไกลโดยอนิจจังดังนี้แล จัดเปนสัมมัสสนญาณคํารบที่ ๑๐ แลสัมมัสสนญาณคํารบที่ ๑๑ นั้น พิจารณารูปอันอยูใกลโดยอนิจจังวา “ยํ สนฺติเก ตํป ตตฺเถว ขียติ น ทูเรภาวํ คจฺฉตีติ อนิจฺจํ ขยตฺถน วา ” รูปอันใดเปนสันติเกรูปอยูในประเทศที่ ใกล “ ตตฺเถว ขียติ” รูปนั้นยังมิทันจะเปนทูเรรูป ยังมิทันที่จะไปถึงประเทศที่ไกล ๆ ก็สิ้นไปฉิบ หายไปในที่ใกลนั้นเอง เพราะเหตุรูปธรรมนี้อายุยืน ๑๗ ขณะจิต เกิดเร็วดับเร็วนี้หนักหนา ควรจะเปน อนิจจังสังเวชยิ่งนัก ปญญาพิจารณารูปอันอยูใกลโดยอนิจจังดังนี้แล จัดเปนสัมมัสสนญาณคํารบ ๑๑ โดยนัยประเภทแหงโอกาสปริจเฉทที่สําแดงแลวแตหลัง แตสัมมัสสนญาณที่พิจารณารูปโดยทุกขัง พิจารณารูปโดยอนัตตานั้น เมื่อจําแนกออกโดย ประเภทแหงโอกาสปริจเฉทนั้น ก็จัดเปนสัมมัสสนญาณ ๑๑ ประการ ๆ เหมือนกันกับสัมมัสสนญาณที่ พิจารณารูปโดยอนิจจังแปลกกันแตวา “ทุกขํ ภยตฺเถน อนตฺตา อสารกตฺเถน ” แปลกกันแตเทานี้ อื่น ๆ จะไดแปลกกันหาบมิได กิจที่จะพิจารณารูปในอดีตแลอนาคตแลปจจุบัน พิจารณารูปภายใน ภายนอก พิจารณารูปอยางหยาบอยางละเอียดอยางชั่วอยางดี อยูไกลอยูใกลนั้น เหมือนกันเปน อันหนึ่งอันเดียว จะไดผิดทํานองเดียวกับหาบมิได แปลกกันแตที่กําหนดจิตโดยอนิจจัง ทุกขัง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 87 อนัตตา สัมมัสสนญาณ ๑๑ ในเบื้องตนนั้นกําหนดจิตโดยพระทุกขัง สัมมัสสนญาณในเบื้องปลายนั้น กําหนดจิตโดยพระอนัตตา กําหนดจิตโดยทุกขังนั้นใหวา “ ทุกขํ ภยตฺเถน” เมื่อกําหนดจิตโดยอนัตตานั้นใหวา “ อนตฺตา อสารกตฺเถน” ในบทวา “ทุกขํ ภยตฺเถน ” นั้นมีอรรถอธิบายวารูปในอดีตแลอนาคตแล ปจจุบันรูปภายในภายนอกอยางหยาบอยางละเอียดอยางชั่วอยางดี อนูไกลแลอยูใกลนั้นเทียรยอม กอปรไปดวยทุกขมีชาติทุกขเปนประธาน เกิดมาเปนรูปแลวก็มีทุกขเปนเบื้องหนา มีแตทุกขเปนที่สุด ชราแลพยาธิแลมรณะนั้นติดตามรัดรึงตรึงตรา ติดตามเบียดเบียนลางผลาญอยูทุกเมื่อ สุดแทแตรูป ขึ้นแลวก็มีกองทุกขกองภัยกองอุปทวอันตรายตกตองย่ํายีบีฑา โดยสภาวะแหงตนอันจะเปลาปลอด รอดพนจากกองทุกขกองภัยนั้นไมมีเลยเปนอันขาด เหตุฉะนี้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จึงแสดงพระ สัทธรรมเทศนาสั่งสอนใหพระโยคาพจรผูพิจารณารูปโดยทุกขนั้นใหเจริญภาวนาวา “ ทุกขํ ภยตฺ เถน” ก็มีดวยประการฉะนี้ แลวในบทวา “อนตฺตา อสารกตฺเถน ” นั้น มีอรรถอธิบายวา รูปธรรมทั้งปวงนี้ เมื่อ พิจารณาไปโดยปรมัตอรรถอันสุขุมภาพนั้นแตลวนใชตัวใชตนอาตมา “อสารกตฺเถน ” ดวยอรรถวา หาแกนสารมิไดแตสักสิ่งสักอัน เมื่อพิจารณาดูรูปในอดีตถอยหลังไปตั้งแต ๑ ชาติ ๒ ชาติ ๓ ชาติ ๔ ชาติ ๕ ชาติ ๖ ชาติ ๗ ชาติ ๘ ชาติ ๙ ชาติ ๑๐ ชาติ ๑๑ ชาติ ๑๒ ชาติ ๑๐๐ ชาติ ๑,๐๐๐ ชาติ ๑๐,๐๐๐ ชาติ ๑๐๐,๐๐๐ ชาติ ตราบเทาถึงอเนกอนันตชาติ จะไดมีรูปอันใดอันหนึ่งเปนเกนสารมาตร วาหนอยหนึ่งหาบมิได พิจารณาไปขางฝายอนาคตเบื้องหนานั้นเลาก็ลวนไมเปนแกนสาร ใชอาตมา ใชของแหงอาตมาอธิบายวาถารูปเปนของอาตมาอยูแลว ก็จะบังคับปญชาจะวากลาวสั่งสอนได จะไม ปวยไมไขจะไมกระทําใหไดรับความลําบากเวทนา สัตวทั้งปวงก็จะอยูเปนเปนสุขปราศจากโรคาพยาธิ เพราะเหตุที่รูปอยูในบังคับบัญชาแหงตน นี่สิรูปหาอยูในบังคับไม วาไรก็ไมฟงดื้อดึงนี่หนักหนา วา ไมใหเจ็บก็เจ็บ วาไมใหแกก็ขืนแก วาไมใหตายก็ขืนตาย ตกวาไมฟงถอยฟงคําเลย วาไมใหผมหงอก ก็ขืนหงอก วาไมใหฟนหักก็ขืนหัก วาไมใหหนังเหี่ยวก็ขืนเหี่ยว วาไมใหตามืดก็ขืนมืด ตกวาสารพัด จะแปรปรวนไปทุกสิ่งทุกประการ ไมอยูในบังคับบัญชาแหงตน ไมอยูในถอยในคําในโอวาทความสั่ง สอนแหงตน เหตุฉะนี้จึงจะเห็นแทวาใชอาตมาใชของแหงอาตมา จะหาแกนสารบมิไดไมเปนอาตมา ไมเปนของแหงอาตมา แตรูปในอดีตแลอนาคตเทานั้นหาบมิได ถึงรูปในปจจุบันนี้ก็เปลาจากแกนสาร ใชอาตมาใชของอาตมาเหมือนกัน พิจารณาดูรูปภายในตัวเองนี้ เห็นวาไมเปนแกนสาร ใชอาตมาใช ของอาตมา แลวพิจารณาดูรูปผูอื่น ๆ อันเปนรูปภายนอกนั้นเลา ก็ไมเปนแกนสาร ใชตัวใชตน เหมือนกันสิ้น จะไดแปลกประหลาดกันหาบมิได แตลวนลงมาทํานองคลองพระอนัตตาสิ้นดวยกัน ดู รูปที่หยาบ ๆ นั้นเห็นวาเปนอนัตตาแลว เหลียวดูรูปที่ละเอียดนั้น ก็เปนอนัตตาเหมือนกัน เปนแบบอัน เดียวกันสิ้นทั้งนั้น ดูรูปที่ชั่วที่พึงเกลียดพึงชังนั้น เห็นวาเปนอนัตตาหาแกนสารมิได แลวกลับมาดูรูป ที่งามหาที่ดีประณีตบรรจงนั้นก็เปนอนัตตาหาแกนสารมิไดสิ้นดวยกัน พิจารณาดูรูปที่อยูาใกล ๆ นั้นก็ เปนอนัตตา พิจารณาดูรูปที่อยูไกล ๆ ก็เปนอนัตตา แทจริงเมื่อพิจารณาโดยปรมัตถ พิจารณาโดยละเอียดนั้น รูปธรรมนี้ใชตัวใชตนใชของ อาตมา อันจะกําหนดตามลัทธิดิรัตถียวารูปนี้เปนผูอยูเปนผูพํานักอาศัย รูปนี้เปนผูกระทําเปนผูตกแตง รูปนี้เปนผูเสวยสุขแลทุกข รูปนี้อยูในอํานาจประพฤติตามอํานาจอันกําหนดเห็นดังนี้ ไดชื่อวาเห็นบมิ ชอบ ไดชื่อวาเห็นวิปริตเอาสัตยเอาจริงบมิได เปนคําสมมกิวาเอาตามอัชฌาสัย วาตามถนัดแหงตน ตามชอบใจแหงตนวาโดยปรมัตถวาโดยสัจโดยแทนั้น รูปนี้บมิไดเปนอาตมา บมิไดเปนของแหง อาตมา บมิไดอยูในอํานาจแหงตน บมิไดประพฤติตามอํานาจแหงตน เหตุฉะนี้พระธรรมเสนาบดีสารี บุตรมหาเถรเจาผูยิ่งดวยปญญา จึงแสดงพระสัทธรรมเทศนาสั่งสอนวาใหพระโยคาพจรผูพิจารณารูป โดยอนัตตานั้นเจริญภาวนาวา “ อนตฺตา อสารกตฺเถน” ก็มีดวยประการฉะนี้ นัยหนึ่งพระผูเปนเจาธรรมเสนาบดี ปรารถนาจะแสดงพิธีในที่มนสิการ กําหนดกฏหมายพระ อนิจจาทิลักษณะนั้น ดวยอาการตาง ๆ ปรารถนาจะแสดงเปนปริยายผลัดเปลี่ยนถอยคํา ในมนสิการ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 88 พิธีใหเปนหลายอยางตาง ๆ กัน จึงกลาวพระบาลีเปนคําเปลี่ยนสืบตอไปวา “รูป อตีตานาคตปจฺจปฺปนฺนํ อนิจฺจํ สงฺขตํ ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ ขยธมฺมํ วยธมฺมํ วิ ราคธมฺมํ นิโรธธมฺมํ” อธิบายวา รูปทั้งปวงแตบรรดาที่เปนอดีตแลอนาคตแลปจจุบันนั้นเปนอนิจจัง เทียรยอมไม เที่ยงไมแท แปรปรวนวิปริตมีประการตาง ๆ ไมยั่งไมยืนไมมั่นไมคง “ สงฺขตํ” รูปธรรมทั้งปวงนี้ ปจจัยคืออวิชชาแลตัณหากรรมแลอาหาร ประชุมแตงโดยอันควรแกกําลัง “ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ ” รูปธรรมทั้งปวงนี้ไดชื่อวา ปฏิจจสมุปปนนธรรมดวยอรรถวาอาศัยเหตุอาศัยปจจัยแลวจึงบังเกิด บ มิไดบังเกิดโดยธรรมดาแหงตน “ ขยธมฺมํ วยธมฺมํ” รูปธรรมนี้มีสภาวะสิ้นไปฉิบหายไปเปนปกติ ธรรมดา “ วิราคธมฺมํ” รูปนี้มีสภาวะอันนักปราชญพึงเหนื่อยพึงหนายพึงเกลียดพึงชัง “ นิโรธธมฺม”ํ รูปนี้มีสภาวะดับสูญทําลายไปไมเที่ยงไมจริง “เอโส นโย เวทนาทีสุ ” นักปราชญพึง รูในกองเวทนาแลกองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณนั้นหมือนกันกับกองรูป อธิบายวา กาลเมื่อพิจารณารูปนั้นเจริญภาวนาวา “รูป อตีตา นาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจํ สงฺขตํ ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ ขยธมฺมํ วยธมฺมํ วิราคธมฺมํ นิโรธธมฺมํ ” ฉันใด กาลเมื่อพิจารณา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น ก็พึงเจริญภาวนาใหเหมือนกันดังนั้น แปลกกันแตที่เปนอิตถีลิงคแล นปุงสกลิงค เมื่อพิจารณากองรูปนั้นใหวา “รูป อตีตา นาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจํ สงฺขตํ ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ ขยธมฺมํ วยธมฺมา วิราคธมฺมํ นิโรธธมฺมํ” เมื่อพิจารณากองเวทนาใหวา “เวทนา อตีตา นาคตปจฺจุปฺปนฺนา อนิจจา สงฺขตา ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา ขยธมฺมา วิราคธมฺมา นิโรธธมฺมา ” เมื่อพิจารณากองสัญญานั้นใหเจริญภาวนาวา “สฺญา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา อนิจฺจา สงฺข ตา ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา ขยธมฺมา วยธมฺมา วิริคธมฺมา วยธมฺมา วิราคธมฺมา นิโรธธมฺมา ” กาล เมื่อพิจารณากองสังขารนั้นใหเจริญภาวนาวา “ สงฺขารา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา อนิจฺจา สงฺขตา ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา ขยธมฺมา วยธมฺมา วิราคธมฺมา นิโรธธมฺมา” กาลเมื่อพิจารณากองวิญญาณนั้น ใหเจริญภาวนาวา “ วิฺญาณํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจํ สงฺขตํ ปฏิจฺจมุปฺปนฺนํ ขยธมฺมํ วยธมฺมํ วิราคธมฺมํ นิโรธธมฺมํ” ตกวาบาลีที่เจริญภาวนานี้มีระเบียงแหงบทเหมือนกัน แปลกกันแต ที่เปนอิตถีลิงคแลนปุงสกลิงค ก็มีดวยประการฉะนี้ แลกุลบุตรผูมีเพียรบําเพ็ญพระวิปสสนาญาณนั้น เมื่อพระวิปสสนาปญญาแกกลาแลว แล ลวงลุถึงพระอริยมรรคพระอริยผลนั้นนักปราชญพึงสันนิษฐานวา ในมรรควิถีที่พระอริยมรรคจะบังเกิด นั้น อนุโลมญาณบังเกิดขึ้นเปนชั้นรองพระอริยมรรคนั้น แลพระโยคาพจรกุลบุตรผูจะไดสําเร็จอนุโลม ญาณ จะไดลุแกพระอริยมรรคนั้นยอมทําไดดวยอํานาจสัมมัสสนญาณ อันพิจารณาสังขารธรรมโดย พระไตรลักษณะญาณอันอาการ ๔๐ แลอาการทั้งหลาย ๔๐ ทัศนั้น จักแสดงในเบื้องหนา ในที่นี้จะยก ไวกอน ครั้นจะแสดงในที่นี้ความก็จะซ้ําไป เมื่อพระโยคาพจรกุลบุตรไดสําเร็จกิจในสัมมัสสนญาณ แลว ลําดับนั้นใหพระโยคาพจรเจริญอุทยัพพยญาณสือตอขึ้นไป พิธีที่จักเจริญอุทยัพพยญาณนั้น ใหพระโยคาพจรพิจารณานิพพัตติลักษณะแหงรูปขันธนั้น กอนขันธทั้งปวง แตในนิพพัตติลักษณะแหงรูปขันธสิ่งเดียวนั้น พึงพิจารณาใหตางกันออกเปนลักษณะใหได ๕ ประการ ลักษณะเปนปฐมนั้นใหพิจารณาวา “อวิชฺชาสมุทยา รูปสมุทโย ” วารูปขันธกองรูป ๒๘ ประการ คือ มหาภูตรูป ๔ อุปาทายรูป ๒๔ จะบังเกิดนั้นจะบังเกิดขึ้นลอย ๆ จะบังเกิดขึ้นเปลา ๆ เปลือย ๆ นั้นหาบมิได อาศัยแกอวิชชาเปนเหตุเปนปจจัย มีอวิชชาเปนรากแลวตนลํากลาวคือ รูปขันธ นั้นจึงจะบังเกิดขึ้นได แทจริงอวิชชาคือโมโหอันปกปดซึ่งปญญา พระไตรลักษณํ์กํากับเสียซึ่งจตุสัจจ ญาณ มิใหพิจารณาเห็นแจงในพระจตุราริยสัจจนั้น เปนรากเปนเงาเปนตนเปนเดิมใหบังเกิดรูปขันธ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 89 เกิดอวิชชากอนจึงเกิดรูปขันธ อวิชชายังบังเกิดเปนปจจัยอยูตราบให รูปขันธก็ยังบังเกิดอยูตราบนั้น กิริยาที่พระโยคาพจรเจา พิจารณาเห็นรูปขันธบังเกิดแตปจจัย คืออวิชชานั้นจัดเปนลักษณะเปนปฐม แลลักษณะเปนคํารบ ๒ นั้น ใหพิจารณาวา “ ตณฺหาสมุทยา รูปสมุทโย” วารูปขันธกอง รูป ๒๘ จะบังเกิดนั้น จะบังเกิดแตอวิชชาสิ่งเดียวนั้นหาบมิได ตัณหามีลักษณะใหปรารถนารูปเสียง กลิ่นรสสัมผัสถูกตองแลธัมมารมณตาง ๆ ที่จําแนกแจกออกเปนตัณหา ๑๐๘ ประการนั้น ก็เปนเหตุ เปนปจจัยใหบังเกิดรูปขันธเหมือนกับอวิชชา แทจริงตัณหานี้ จัดเปนรากแหงรูปขันธอีกประการ ๑ รากคือ ตัณหายังมีอยูตราบใด ตนลํา คือรูปขันธก็บังเกิดวัฒนาการอยูตราบนั้น ตกวามีตัณหากอนแลวจึงมีรูปเหมือนภายหลัง เกิดตัณหากอนแลวจึงเกิดรูปเมื่อภายหลัง พึงรูเถิดวา กิริยาที่พระโยคาพจรเจาพิจารณาเห็นวารูปขันธบังเกิดแตปจจัยคือตัณหานั้น จัดเปน ลักษณะคํารบ ๓ แลลักษณะเปนคํารบ ๓ นั้น ใหพระโยคาพจรเจาพิจารณาวา “กมฺมสมุทยา รูปสมุท โย” รูปขันธนั้นใชจะบังเกิดแตอวิชชา แลตัณหาสองสิ่งเทานั้นหาบมิได กุศลกรรมแลอกุศลกรรมนั้น ก็เปนเหตุเปนปจจัยใหบังเกิดรูปขันธเหมือนกันกับอวิชชาแลตัณหา เมื่อกุศลากุศลกรรมบังเกิดตนเกิด ลํา คือรูปขันธ ๆ จะบังเกิดแลว ๆ เลา ๆ บมิไดสิ้นบมิไดสุด บมิไดหยุดบมิไดยั้ง ตายแลวเกิดเกา เกิด แลวดับ ๆ แลวเกิดนับครั้งบมิไดนั้น ก็อาศัยแกราก คือกุศลากุศลกรรม ๆ ยังมีอยูตราบใด รูปขันธก็จะ บังเกิดสืบตอติดเนื่องกันไปบมิรูหยุดรูสิ้นตราบนั้น มีกุศลากุศลกรรมกอนแลวจึงมีรูปเมื่อภายหลัง เกิด กุศลกรรมอกุศลกรรมกอนแลวจึงเกิดรูปเมื่อภายหลังผูมีปญญาพึงรูเถิดวากิริยาที่พระโยคาพจรเจา พิจารณาเห็นวารูปขันธบังเกิดแตปจจัยคือกุศลากุศลกรรมนั้น จัดเปนลักษณะคํารบ ๓ แลลักษณะเปนคํารบ ๔ นั้น ใหพระโยคาพจรเจาพิจารณาวา “อาหารสมุทยา รูปสมุท โย” วารูปขันธนั้นใชจะบังเกิดแตอวิชชา แลตัณหา แลกุศลากุศลกรรม ๓ สิ่งเทานั้นหาบมิได กวฬิง การาหารคือขาวแลน้ําขนมของกินทั้งปวงนี้ ก็เปนปจจัยใหบังเกิดรูปขันธอีกประการ ๑ แทจริงอาหารนี้ เลี้ยงชีวิตอุปถัมภค้ําชูรูปขันธใหถาวรวัฒนาการสัตวทั้งหลายจะมีเนื้อมี เลือดบริบูรณพูนเกิดผิวผองเปนน้ําเปนนวลนั้นก็อาศัยแกอาหาร ถาไมมีอาหารจะบริโภคแลวเนื้อแล เลือดก็เหือดจะแหงจะเสียสีเสียสัณฐาน จะสิ้นกําลังวังชาหิวโหยอิดโรยแรงไปตราบเทาถึงแก มรณภาพ อันรูปขันธบังเกิดแตอาหารนี้ เห็นงายรูงาย เห็นทั่วกันรูทั่วกัน จะไดลี้ไดลับหาบมิได พึง สันนิษฐานวา กิริยาที่พระโยคาพจรเจาพิจารณาเห็นวารูปขันธบังเกิดแตปจจัยคืออาหารนี้ จัดเปน ลักษณะคํารบ ๔ แลลักษณะคํารบ ๕ นั้น คือเฉพาะพิจารณาแตนิพพัตติลักษณะอธิบายวา เฉพาะพิจารณา แตชาติกําเนิดแลกิริยาที่บังเกิดแหงรูปแลอาการที่รูปเปนขึ้นใหม ๆ มีขึ้นใหม ๆ เฉพาะพิจารณาแต เทานี้มิไดพิจาณาตลอดลงไปถึงอวิชชา แลตัณหากรรม แลอาการ อันเปนมูลเหตุใหบังเกิดรูป ตกวา ละเหตุเสียพิจารณาเอาแตผล ละรากเสียพิจารณาเอาแตลําตน พิจารณาตรงเอาแตอาการที่รูปบังเกิด นี้แลเปนลักษณะคํารบ ๙ สิริเขากันเปนพีธีพิจารณารูปขันธ ฝายขางนิพพัตติลักษณะ ๕ ประการ “รูปขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสนฺโน” เมื่อพระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณานิพพัตติลักษณะเปน นิพพัตติลักษณะแหงรูปขันธ ตางออกเปนลักษณะ ๕ ประการ โดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ “รูปขนฺธสฺส วยํ ปสฺสติ” ลําดับนั้น พระโยคาพจรกุลบุตรจึงพิจารณาวิปริณามลักษณะ เห็นวิปริณามลักษณะแหงรูปขันธนั้นตางออกเปนลักษณะ ๕ ประการ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 90 ลักษณะเปนปฐมนั้น พิจารณาเห็นวา “อวิชฺชานิโรธา รูปนิโรโธ” วารูปจะดับสูญเปน อนุปปาทนิโรธ ดับขาดบมิไดเกิดอีกสืบไปในอนาคตนั้น อาศัยแกดับอวิชชา ตัดรากคืออวิชชาเสียได ขาดเปนสมุจเฉทปหาร ดวยพระแสงแกวคือ พระอรหัตตมัคคญาณอันคมกลา อวิชชาสิ้นสูญ บมิจะ กลับคืนมาบังเกิดอีกได ไมมีรากคืออวิชชาแลวกาลใด ตนลําคือรูปขันธนั้น ก็จะดับจะสูญจะสิ้นจะสุด บมิอาจจะบังเกิดสืบไปในอนาคตนั้น ตกวารูปขันธจะดับขาดนี้ อาศัยแกอวิชชาเปนตนเปนเดิม ดับ อวิชชาเสียไดขาดจากสันดานแลวรูปขันธจึงจะดับขาดจึงจะไมบังเกิดสืบไปได พึงรูวาอาการที่พระ โยคาพจรพิจารณาเห็นวารูปขันธจะดับก็อาศัยแกดับตนเหตุคืออวิชชานั้น จัดเปนลักษณะเบื้องตน ลักษณะเปนปฐม แลลักษณะเปนคํารบ ๒ นั้น คือพระโยคาพจรพิจารณาเห็นวา “ตณฺหานิโรธา รูปนิ โรโธ” วารูปละดับขาดนั้น อาศัยแกดับตัณหาเสียดวย ตัณหาตนขาดจากสันดานเปนสมุจเฉทปหาน แลวรูปจึงจะดับขาดถึงอวิชชาจะดับแลว ถาตัณหายังมิไดดับ ตณหายังไหลนองมองมูลอยูในสันดาน ตราบใด รูปก็จะบังเกิดอยูตราบนั้น ตอเมื่อใดดับอวิชชาแลวก็ดับตัณหาขาด ดับขาดทั้งอวิชชาแล ตัณหาไมมีติดพันอยูในสันดารแลวนั้นแล รูปจึงจะขาดเปนแทบมิไดบังเกิดสืบไปในเบื้องหนาได กิริยาที่พระโยคาพจรพิจารณาเห็นวา รูปขันธจะดับอาศัยแกดับตัณหา อันนี้จัดเปนลักษณะคํารบ ๒ แลลักษณะเปนคํารบ ๓ นั้น คือพระโยคาจรพิจารณาเห็นวา “กมฺมนิโรธา รูปนิโรโธ” วา รูปจะดับขาดเปนอุปปาทนิโรธนั้นอาศัยแกดับกุศลากุศลกรรมเสีย ดวยตัดกุศลแลอกุศลเสียใหขาด ดวยอํานาจพระอรหัตตมรรคแลว รูปจึงจะดับขาดจะไมบังเกิดสืบไปได อันจะดับแตอวิชชาแตตัณหา ไมดับกุศลกรรมเสียดวยนั้นบมิอาจจะดับรูปใหขาดได กุศลกรรมแลอกุศลกรรมนี้ ก็เปนสําคัญในที่จะ ตกแตงใหเกิดรูปเกิดกาย กุศลากุศลกรรมยังไมดับไมสูญตราบใด รูปขันธนั้นก็ยังจะบังเกิดอยูตราบ นั้น อันจะดับรูปขันธนั้นจําจะดับกุศลากุศลกรรม เสียใหขาดกอนจึงจะดับได นักปราชญพึงรูวา กิริยาที่ พระโยคาพจรพิจารณาวาเห็น รูปขันธจะดับก็อาศัยแกดับกุศลากุศลกรรม อันนี้จัดเปนลักษณะคํารบ ๓ แลลักษณะเปนคํารบ ๔ นั้น คือพระโยคาพจรพิจารณาเห็นวา “อาหารนิโรธา รูปนิ โรโธ” วารูปจะดับนั้น อาศัยแกอาหารดวยประการหนึ่ง พึงรูวาอาหารรัชชารูปนั้น เมื่อจะบังเกิดก็ บังเกิดแตอาหาร เมื่อจะดับนั้นก็ดับแตอาหาร เปนใจความวา พระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณาเห็นวา อา หารัชชารูปจะดับอาศัยแกอาหารนั้นจัดเปนลักษณะคํารบ ๔ แลลักษณะคํารบ ๕ นั้น คือพระโยคาพจรเจาพิจารณาเฉพาะเอาแตวิปริณามลักษณา เฉพาะพิจารณาเอาแตกิริยาที่สิ้นสูญที่ดับทําลายแหงรูป จะไดพิจารณาตลอดลงไปถึงกิริยาที่ดับ อวิชชาแลดับตัณหา ดับกรรมแลอาหารอันเปนตนเหตุนั้นหาบมิได เฉพาะพิจารณาเอาแตเบื้องปลาย พิจารณาเอาแตผล พิจารณาเอาแตตนแตลําในเบื้องบน บมิไดพิจารณาตลอดถึงรากถึงเงา พิจารณา แตตื้น ๆ บมิไดลึก เฉพาะเอาแตที่สิ้น ที่สูญที่ดับ ทําลายแหงรูปนี้ แลจัดเปนลักษณะคํารบ ๕ สิริ ดวยกันจึงเปนพิธีพิจารณารูปขันธฝายขางวิปริณาธรรมลักษณา ๕ ประการ ประมวลพิธีพิจารณาฝายนิพพัตติลักษณะ ๕ วิปริณามลักษณะ ๕ เขากัน จึงเปนลักษณะ ๑๐ ประการ ยุติในรูปขันธ ประดับในหองอุทยัพพยญาณ โดยนัยที่สมเด็จพระผูมีพระภาค โปรดประทาน พระสัทธรรมเทศนาไวในอุทยัพพยญาณวิภังค แลเวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วิญญาขันธ ก็ประกอบดวยลักษณะไดละสิบ ๆ เหมือนกันสิ้น เวทนาขันธก็ประกอบดวยลักษณะ ๑๐ สัญญาขันธก็ประกอบดวยลักษณะ ๑๐ สังขาร ขันธก็ประกอบดวยลักษณะ ๑๐ วิญญาณขันธก็ประกอบดวยลักษณะ ๑๐ จักเปนฝายนิพพัตติลักษณะ ขันธละหา ๆ เปนฝายวิปริณามลักษณะนั้นขันธละหา ๆ เหมือนกันกับรูปขันธ แปลกกันแตพิธีที่ พิจารณาในอาการฐานเทานั้น ขอซึ่งพิจารณาวา “อาหารสมุทยา รูปสมุทโย อาหารนิโรธา รูปนิ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 91 โรโธ” วารูปจะเกิดอาศัยแกเกิดอาหาร รูปจะดับอาศัยแกดับอาหาร ขอซึ่งพิจารณาอาหารอยางนี้ให พิจาณาแตในรูปขันธ ครั้นยางเขาเวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธแลว ใหยกพิธีพิจารณาอาหาร นั้นออกเสีย เอาพิธีพิจารณาที่พิจารณานามรูปเขาใสแทน ครั้นยางเขาวิญญาณขันธใหเอาพิธี พิจารณานามรูปเขาใสแทนตนวามีพิเศษในเวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ ฝายนิพพัตติลักษณะ วา “ผสฺสสมุทยา เวทนาสมุทโย ผสฺสสมุทยา สฺญาสมุทโย ผสฺสสมุทยา สงฺขารสมุทโย ” อธิบายวา เวทนาจะบังเกิดนั้น อาศัยแกเกิดผัสสะ สัญญาจะเกิดนั้น อาศัยแกเกิดผัสสะ สังขารจะบังเกิดนั้น อาศัยแกเกิดผัสสะ แลฝายวิปริณามลักษณะนั้นวา “ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธ ผสฺสนิโรธา สฺญานิโรโธ ผสฺสนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ” อธิบายวา เวทนาจะดับ อาศัยแกดับผัสสะ สัญญาจะดับ อาศัยแกดับผัสสะ สังขารจะดับ อาศัยแกดับผัสสะ มีพิเศษในเวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ นั้นฉะนี้ แลพิธีพิจารณาพิเศษในวิญญาณขันธนั้น ฝายนิพพัตติลักษณาวา “นามรูปสมุทยา วิฺ ญาณสมุทโย” วาจักขวาทิวิญญาณจะบังเกิดในอาศัยแกบังเกิดนามรูป แลฝายวิปริณาลักษณะนั้นวา “นามรูปนิโรธา วิฺญาณนิโรโธ” วาจักขวาทิวิญญาณจะ ดับนั้น อาศัยแกดับนามรูป มีพิเศษในวิญญาณขันธฉะนี้ แลพิจารณา เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วิญญาณขันธ ใหเห็นวาบังเกิดแตอวิชชา แลตัณหา แลกุศลากุศลกรรมนั้น ก็เหมือนกันกันในที่แสดงแลวในรูปขันธ ตกวาขันธแตละอัน ๆ นั้นมีนิพพัตติลักษณะ ๔ ประการ วิปริณามลักษณะ ๕ ประการ สิริเขา ดวยกันทั้งหาขันธนั้น เปนนิพพัตติลักษณะ ๒๕ วิปริณามลักษณะ ๒๕ ประการ ประมาลนิพพัตติลักษณะ แลวิปริณามลักษณะเขากันทั้งสิ้น จึงเปนลักษณะ ๕๐ ทัศ ประดับ ในอุทยัพพยญาณดวยประการฉะนี้ ครั้นเมื่ออุทยัพพยญาณบังเกิดดังนี้แลว ในระหวางนั้นจึงบังเกิดอุปกิเลส ๑๐ ประการ “โอภาเส” แสงอันสวางเกิดแตวิปสสนาจิต ซานออกไปจากสรีราพยพ ๒ คือ ปติทั้ง ๕ มีขุททกาปติเปนอาทิ เกิดพรอมดวยวิปสสนาจิต ๑ คือ “ปสฺสทฺธิยุคฺคลํ” เกิดดวยวิปสสนาใหระงับ ความกระวนกระวายในกายแลจิตนั้น ๑ “อธิโมกฺโข” คือศรัทธาอันมีกําลัง ประกอบดวยพระวิปสสนาจิต ๑ “ปคฺคาโห” คือความเพียร อันประกอบดวยวิปสสนาจิต มิไดหยอนมิไดครานัก ๑ “สุข”ํ คือวิปสสนา อันประณีตยิ่งนัก ๑ “ญานํ” คือวิปสสนาญาณ อันกลายิ่งนัก ๑ “อุปฏฐานํ” คือสติอันประกอบดวยวิปสสนาจิต อาจเห็นจะระลึกซึ่งกิจอันกระทําสิ้นกาล ชานานเปนอาทิ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 92 “อุเปกฺขา” คือวิปสสนูเบกขา อันบังเกิดมัธยัสถในสังขารแลอาวัชชนูเบกขา อันบังเกิดใน มโนทวาร มัธยัสถในสังขาร ๑ “นิกนฺติ” คือตัณหาอันมีอาการอันละเอียด กระทําอาลัยในวิปสสนา ๑ แลธรรม ๑๐ ประการ มีอาทิคือโอภาส ชื่อวาอุปกิเลส เพราะเหตุบังเกิดมานะทิฏฐิ สําคัญวา อาตมาถึงมรรคผล เปนที่เศราหมองแหงวิปสสนา มีใหเจริญขึ้นไปได ใหยับยั้งหยุดความเพียรแต เทานั้น เมื่อุปกิเลสบังเกิดขึ้นดังนี้ ปญญาแหงพระโยคาพจรกําหนดพิพากษาเขาใจวา ธรรม ทั้งหลายมีอาทิ คือโอกาสนี้ เปนอุปกิเลสแกวิปสสนาใชทางมรรคผล วิปสสนาอันดําเนินตามวิปสสนา วิถี โดยอันดับตามวิปสสนาภูมิ มีอาทิคืออุทยัพพยญาณ ตราบเทาถึงอนุโลมญาณนั้นตางหาก เปน หนทางมรรคผล ปญญาอาคันตุกะบังเกิดกําหนดรูทางมรรคผลและใชทางมรรคผลไดดังนี้ในกาลใด ก็ ไดชื่อวามัคคาญาณทัสสนะบังเกิดในสันดานกาลนั้น จบมัคคาญาณทัสสนวิสุทธิแตเทานี้ แตนี้จะวิสัชชาในปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิสืบตอไป ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินั้น มิใชอื่นมิใชไกล ไดแกวิปสสนาปญญาในเบื้องบุรพภาค ๘ ประการ มีอุทยัพพยญาณเปนตน มีสังขารุเบกขาญาณเปนยอด แตบรรดาที่บริสุทธิ์ปราศจากอุปกิเลส กับสัจจานุโลมิกญาณ ๑ เปนคํารบ ๙ สัจจานุโลมิกญาณนี้ มิใชอื่นใชไกล คืออนุโลมชวนะซึ่งบังเกิดเปนที่รองแหงพระอริยมรรค นักปราชญพึงสันนิษฐานวา วิปสสนา ๙ ประการคือ อุทยัพพยญาณ ภัคคญาณ ภยตูปฏฐานญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตุกามยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุเปกขาญาณ สัจจานุโลมิก ญาณ นี้แลจัดไดชื่อวาปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ เพราะพนจากอุปกิเลสดําเนินตามวิปสสนาวิถี สูงขึ้น ไป ๆ ถึงที่ใกลพระอริยมรรคเหตุดังนั้นพระโยคาพจรกุลบุตรผูมีปญญาปรารถนาจะยังปฏิปทาญาณทัส สนวิสุทธินี้ ใหบริบูรณในสันดาน ก็พึงกระทําเพียรเจริญวิปสสนาปญญามีอุทยัพพยญาณเปนตน แต บรรดาที่พนจากอุปกิเลสนั้น เจริญใหกลาหาญตราบเทาดําเนินขึ้นถึงอนุโลมญาณ ยึดหนวงเอาพระ นิพพานเปนอารมณได มีคําปุจฉาวา อุทยัพพยญาณนี้ พระโยคาพจรไดเจริญในกาลเมื่อปฏิบัติซึ่งมัคคามัคค ญาณทัสสนวิสุทธินั้นแลวเหตุไฉนจึงใหเจริญอุทยัพพยญาณอีกเลา อาศัยแกประโยชนเปนประการใด วิสัชชนาวา ขอซึ่งใหเจริญอุทยัพพยญาณอีกนั้น มีประโยชนจะใหกําหนดกฏหมายซึ่ง อนิจจาทิลักษณะ ๆ ที่ยังไมแจงนั้น จะใหเห็นแจงประจักษโดยอันควร จึงใหเจริญอุทยัพพยญาณซ้ํา อีกเลา แทจริงอุทยัพพยญาณที่เจริญ ในหองมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินั้นยังเศราหมองขุนมัว อยูดวยมลทิลนิรโทษ คืออุปกิเลสทั้ง ๑๐ ประการ ยังหาผองใสบริสุทธิ์ไม บมิอาจที่จะกําหนด กฏหมายไตรพิธลักษณไดโดยสัจจโดยแท อุทยัพพยญาณที่พระโยคาพจรเจริญซ้ําใหม เจริญในหอง แหงปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินี้ บริสุทธิ์ปราศจากจากอุปกิเลสอาจสามารถจะใหกําหนดกฏหมายซึ่ง ไตรพิธลักษณะไดโดยอันควรแนแท เหตุดังนั้น สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาจึงพระมหากรุณา โปรดให พระโยคาพจรเจริญอุทยัพพยญาณซ้ําอีก ในกาลเมื่อปฏิบัติในหองปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินี้ จึงมีคําปุจฉาวา อาศัยเหตุที่พระโยคาพจรไมกระทํามนสิการในธรรมดังฤๅ พระไตรลักษณ จึงไมปรากฏ ธรรมสิ่งดังฤๅปกปดไว พระไตรลักษณจึงไมปรากฏ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 93 วิสัชชนาวา อนิจจลักษณะจะไมปรากฏแจง อาศัยเหตุที่พระโยคาพจรมิไดกระทํามนสิการ ในกิริยาที่บังเกิดและฉิบหาย นัยหนึ่งวาสันตติปกปดกําบังอยู อนิจจลักษณะจึงบมิไดปรากฏ แลทุกขลักษณะจะไมปรากฏแจงนั้น อาศัยเหตุที่พระโยคาพจรบมิไดกระทํามนิสิการใน กิริยาที่อาพาธเบียดเบียนเนือง ๆ นัยหนึ่งวาอิริยาบถปกปดกําบังอยู ทุกขลักษณะจึงบมิไดปรากฏ แลอนัตตลักษณะจะไมปรากฏแจงนั้น อาศัยที่พระโยคาพจรบมิไดกระทํามนสิการในพิธี พิจารณาพรากธาตุทั้ง ๔ ใหตางออกเปนแผนก ๆ นัยหนึ่งวาฆนสัญญาปกปดกําบังอยู อนัตตลักษณะ จึงบมิไดปรากฏ มีคําปุจฉาวา สันตติที่ปกปดอนิจจลักษณะไวนั้น จะไดแกสิ่งดังฤๅ วิสัชชนาวา สันตตินั้นใชอื่นใชไกล ไดแกสภาวะวืบตอแหงชีวิตลักษณะที่เห็นวาชีวิตจะ ยั่งยืน จะสืบตอไปสิ้นวันคืนเดือนปเปนอันมากนี้แล พระอรรถกถาจารยเจาเรียกวาสันตติปดปองกําบัง อนิจจลักษณะไวมิใหเห็นอนิจจลักษณะโดยอันควรแนแท ก็ไฉนจึงจะเห็นอนิจจลักษณะโดยอันควรแนแทได ออถาปรารถนาจะใหเห็นอนิจจลักษณะ โดยอันควรแนแทนั้นพึงอุตสาหะเพียรพยายามที่จะกีดกันสันตติออกเสียใหหางไกล อยาใหสันตตินั้น ปดปองกําบังอยูอนิจจลักษณะจึงจะปรากฏโดยอันควรแนแท กระทําไฉนเลา จึงจะกีดกันสันตติออกเสียใหหางไกลได จะปฏิบัติเปนประการใด จึงจะ พรากสันตติออกได ออ ถาปรารถนาจะกันเสียซึ่งสันตติ จะพรากสันตติออกเสียใหหางไกลนั้น พึงอุตสาหะ มนสิการกําหนดกฏหมายใหเห็นที่เกิดและที่ฉิบหายแหงสังขารธรรม อยาไดประมาท พึงคิดถึงความ ตายจงเนือง ๆ พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมนี้เร็วที่จะดับจะทําลาย จะยั่งจะยืนจะมั่นจะคงนั้นหาบ มิได เกิดมาแลวก็มีแตจะดับสูญเปนที่สุด กองแหงรูปธรรมนามธรรมทั้งปวงนี้ มีแตจะฉิบหายทําลาย ไปเปนเบื้องหนา รูปขันธนี้มีครุวนาดุจดังวากอนแหงฟองน้ํา อันลอยไปตามกระแสน้ําแลวก็แตก ทําลายแลว ยังไมเร็วพลัน รูปขันธนี้วาเร็วที่จะทําลายแลว ยังไมเร็วเทาเวทนาขันธอีกเลา เวทนาขันธนี้เร็วนักหนาที่จะแปรปรวน เร็วนักหนาที่จะดับจะทําลาย ทีครุวนาดุจปุมเปอก แหงน้ํา อันเร็วที่จะแปรจะปรวน เร็วที่จะแตกจะทําลาย ฟองน้ําที่เปนกอน ๆ ลอยไปลอยมาตาม กระแสน้ํานั้นวาเร็วแตกเร็วทําลายแลวจะไดเร็วเทาปุมเปอกแหงน้ํานั้นหาบมิได ปุมเปอกน้ําที่เกิดขึ้น ใหม ๆ ผุดขึ้นเปนเม็ด เหนือพื้นน้ําดวยกําลังกระแสน้ํากระทบน้ํานั้นเร็วแตกเร็วทําลายยิ่งขึ้นไปกวา ฟองน้ําที่เปนกอน ๆ แลมีครุวนาฉันใดเวทนาขันธนี้ก็เร็วที่จะแปรปรวน เร็วที่จะดับจะทําลายยิ่งขึ้นไป กวารูปขันธมีอุปไมยดังนั้น สัญญาขันธนี้ก็จะแปรปรวน เร็วที่จะดับจะทําลายยิ่งขึ้นไป ปรากฏและอันตรธานหายไปเปนอันเร็วพลัน
มีอุปมาดุจดังวาพยับแดดอัน
สังขารขันธเลาก็หาแกนสารบมิได มีครุวนาดุจตนกลวยอันปราศจากแกน วิญญาณขันธนั้นเลา จะยั่งจะยืนจะมั่นจะคงนั้นหาบมิได
เทียรยอมลอลวงใหลุมใหหลงมีครุวนาดุจบุคคลที่เปนเจามารยา
เมื่อมีสติปญญามนสิการกําหนดกฏหมาย เห็นที่เกิดและฉิบหายแหงอุปทานขันธทั้ง ๕ มิไดเห็นวาขุนธทั้ง ๕ นั้นจะยั่งจะยืนจะสืบตอไปสิ้นวันคืนเดือนปเปนอันมากแลวกาลใด ก็ไดชื่อวากีด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 94 กันสันตติออกเสียได พรากสันตติออกเสียไดในกาลนั้น เมื่อกันเสียไดซึ่งสันตติพรากสันตติออกเสีย ไดแลว อนิจจลักษณะก็ปรากฏในสันดานเปรียบปานประดุจวาปริมณฑลพระจันทร อันหาเมฆพลาหก จะปกปดมิไดแลวและแจมใสบริสุทธเปนอันงาม สุดแทแตไมมีสันตติปดปองกําบังแลว อนิจจลักษณะ ก็จะปรากฏแจงโดยอันควรแกแท แลอิริยาบถที่ปกปดทุกขลักษณะไวนั้น เปนดังฤๅ วิสัชนาวา อิริยาบถนั่ง อิริยาบถนอน อิริยาบถยืน อิริยาบถเดิน ทั้ง ๔ นี้แลปกปดกําบังไว มิไดเห็นแจงในทุกขลักษณะ อธิบายวาสัตวทั้งหลายในโลกนี้ กาลเมื่ออยูดีกินดีไมปวยไมไขชนทั้งปวงเห็นวาสบายดี อยูนั้น เพราะเปลี่ยนอิริยาบถ นั่งเหนื่อยแลวนอน ๆ เหนื่อยแลวนั่ง ยืนเหนื่อยแลวเดิน ๆ เหนื่อยแลว ยืน เปลี่ยนอิริยาบถอยูเนือง ๆ เปนนิตยฉะนี้ จึงคอยสบายอยูบางแตละครั้งละคราว ถาไมเปลี่ยน อิริยาบถเลย นั่งขึงไปยืนขึงไปก็ดี เดินไปไมหยุดไมหยอนเลยก็ดี ไมเปลี่ยนอิริยาบถโดยนิยมดังนี้ไม มาสักครึ่งวันก็จะเจ็บจะปวด จะเสียดจะแทงจะลําบากเวทนานี้เปนหนักหนา นี่หากวาเปลี่ยนอิริยาบถ อยูเปนนิตยจึงคอยมีความสบายอยูบาง เหมือนอยางอิริยาบถนอกนี้เห็นวาคอยระงับกายเปนสุขกวา อิริยาบถทั้งหลาย ถึงกระนั้นก็ดีถานอนไปขางเดียวไมกลับไมกลอก ไมพลิกซายไมพลิกขวา นอน หนาเดียวไปแลวมิมากสักครึ่งคืน ก็จะจับเอาตัวทุกขเวทนาได ที่ชมวานอนสบาย ๆ นั้นถาไมพลิกซาย ขวานอนอยูที่เดียวเถิด มิตัวแข็งก็หลังแข็งนั่นแล ซึ่งจะไมลําบากนั้นอยาไดสงสัย นี้แลจึงวาขณะเมื่อ ปวยไมไขสมมติวาอยูดีกินดีนั้น ดีอยูดวยสามารถเปลี่ยนอิริยาบถถาไมเปลี่ยนอิริยาบถแลว ก็จะจับเอา ตัวทุกขเวทนาไดเปนหนักเปนหนาสภาวะเปลี่ยนอิริยาบถนี้ บําบัดความลําบากเวทนาเสียไดเปนอัน มากกวามาก หากละเลิงอยูไมพิจารณาใหละเอียดก็หลงชมอยูวามีความสบาย เมื่อพิจารณาให ละเอียดไปมีความลําบาก กายแหงเราทานทั้งปวง ไดชื่อวาเปนไขอยูเปนนิตยนี่หากวาพิทักษรักษา อยูเปนนิตยนิรันดร ขณะเมื่อรอนเอาน้ํารดขณะเมื่อหนาวเอาผาหมเอาเพลิงมากอนผิงขณะแสบทอง เอาขาวและขนมมาบริโภคประทับลม จึงจะมีความสุข ตกวาตองพิทักษรักษาอยูนี่ทุกวันทุกเวลา ถา ไมพิทักษรักษาทํานุบํารุงเลยนี้ความลําบากเวทนาจะเปนสาหัสสากรรจ โดยกําหนดที่สุดแตจะนอน เสียแลวถานอนขึงอยูชานานทีเดียว ยังวามีความลําบากนี้เปนหนักเปนหนา อาศัยละเลิงอยูไมพินิจ พิจารณา ก็สําคัญวาอาตมานี้มีความสบาย ทุกขที่บําบัดไปดวยสามารถเปลี่ยนอิริยาบถนั้นพิจารณาไม เห็น เหตุฉะนี้ พระอรรถากถาจารยจึงวิสัชนาวา ทุกขลักษณะจะมิไดปรากฏแจงนั้น อาศัยอิริยาบถปด ปองกําบังอยู อิริยาบถนั้นปดปองกําบังไวมิใหเห็นทุกขลักษณะโดยอันควรแกแท แตที่วาอิริยาบถจะ ปดจะปงทุกขลักษณะไวไดนั้น อาศัยไมพิจารณาใหละเอียด ถาอุตสาหะมนสิการกําหนดกฏหมายเอา ทุกขเวทนาอันมาถึงในขณะเมื่อนั่งนักนอนนักยืนนักเดินนัก แตเทานี้เอาเปนอารมณไดแลวกาลใด ก็ จะเห็นทุกขลักษณะปรากฏโดยอันควรแนแทในกาลนั้น ๆ แลฆนสัญญที่ปกปดซึ่งอนัตตลักษณะไวนั้นเปนดังฤๅ วิสัชนาวา ฆนสัญญานี้มิใชอื่นใชไกล ไดแกจิตที่สําคัญมั่นหมายในอวัยวะนอยใหญวาเปน แทงวาเปนปกแผน คือสําคัญวาแขง วาขา วามือ วาเทา วาศอก วาแขน วาหนา วาตา วาแกม วาคาง วาทอง วาหลัง วาหญิง วาชาย วาสัตว วาบุคคลสําคัญเปนหมวด ๆ เปนเทา ๆ ฉะนี้แลจัดไดชื่อวาฆน สัญญาเขาปดเขาปองไวมิใหพิจารณาเห็นอนัตตลักษณะโดยอันสมควรแกแท ถาขับไลฆนสัญญาเสีย มิไดตราบใด อนัตตลักษณะก็มิไดปรากฏแจงตราบนั้น ก็เหตุไฉนเลาจึงขับไลฆนสัญญาออกเสียได ออ ซึ่งขอไลฆนสัญญาออกเสียมิไดนั้น ดวยสามารถมิไดมนสิการกําหนดกฏหมายใหเห็น นานาธาตุวินิพโภค คือมิอาจพรากธาตุทั้ง ๔ ใหตางออกเปนแผนก ๆ ได มิอาจพิจารณาใหละเอียด ไปได เห็นวารูปกายแหงเราทานทั้งหลายเกิดมาในโลกนี้แตลวนประชุมแหงธาตุทั้ง ๔ คือ ปฐวี อาโป เตโซ วาโย ดิน น้ํา ไฟ ลม ประสมกันเขาก็สมมติเรียกวาตัว วาตน วาหญิง วาชาย ที่แทจะเปนตัวเปน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 95 ตนเปนสัตวเปนบุคคล จะเปนหญิงหรือชายนั้นหาบมิได ที่เรียกวาแขง วาขา ที่เรียกวามือ วาเทา เรียกวาศอก วาแขน วาเนื้อ วานม วาหนา วาตานั้น เรียกโดยบัญญัติโวหาร เมื่อวาที่แทเปนกองแหง ปฐวี อาโป เตโช วาโย สิ้นทั้งนั้น ผม และขน เล็บ ฟน หนัง แลเนื้อ เอ็น และกระดูกเยื่อใน กระดูก และมาม และหทัยวัตถุ และพังผืด และปอด และตับ และพุงไสนอย และไสใหญ อาหารเกา อาหารใหม สมองศีรษะ อาการ ๒๐ นี้แตลวนปฐวีธาตุสิ้นทั้งปวง ดี แล เสลด เลทอด และหนอง และเหงื่อ มันขน มันเหลว น้ําตา น้ํามูก น้ําลาย ไขขอ และมูตร ทั้ง ๑๒ ประการนี้แตลวนอาฏปธาตุ สิ้นทั้งปวง ธรรมชาติกระทําใหอบอุนอยูในกาย มิใหกายนั้นเย็น ใหอาหารที่บริโภคนั้นยับยอยออก มิใชอื่นมิใชไกลคือแตโชธาตุ ที่หายใจเขาไปหายใจออกมา พูดจาวากลาวลุกนั่งยืนเที่ยว กระทําการ สารพัด สิ่งทั้งปวงนี้กระทําไดดวยอํานาจแหงวาโยธาตุ ตกวาสิ้นกายนี้ แตลวนแลวไปดวยธาตุททั้ง ๔ นี้ก็เปนปฐวีธาตุนั้นก็อาโปธาตุ นี้ก็เปน เตโชธาตุ นั้นก็เปนวาโยธาตุ แตลวนไมเปนแกนเปนสาร เปรียบปานดุจดังวาไมงิ้วและกลวยอัน ปราศจากแกน สภาวะมีสติปญญามนสิการกําหนดกฏหมายใหเห็นนานาธาตุวินิพโภคพรากธาตุทั้ง ๔ ใหตางออกเปนแผลก ๆ กันดุจพรรณนามาฉะนี้ ถามิไดมีในสันดานแหงบุคคลผูใด ๆ มิอาจสมารถจะ พิจารณาพรากธาตุทั้ง ๔ ออกเปนแผนกได ฆนสัญญาก็เขาอยูเปนเจาเหยาเจาเรือน อากูลมองมูลใน สันดานบุคคบผูนั้น ฆนสัญญานี้ปกปดอนัตตลักษณะ ๆ จึงมิไดปรากฏแจง และอนัตตลักษณ ๆ จึง มิไดปรากฏแจง และอนัตตลักษณะจะปรากฏแจงนั้น อาศัยแกขับไลฆนสัญญาเสียไดจากขันธสันดาน ก็ทําไฉนเลาจึงจะขับไลกําจัดฆนสัญญาเสีย ก็พึงอุตสาหะกระทํามนสิการกําหนดกฏหมาย ใหเห็นในนานาธาตุวินิพโภค พิจารณาพรากธาตุทั้ง ๔ ออกไปเปนแผนก ๆ ดุจดังพรรณนามาแตหลัง ไดแลวกาลใด ก็จะขับจะไลกําจัด ฆนสัญญาเสียจากขันธสันดานไดในกาลเมื่อนั้น เมื่อกําจัดฆน สัญญาเสียไดจากขันธสันดานแลว อนัตตลักษณะก็จะปรากฏแจงโดยอันควรแนแท แลพระโยคาพจรผูปฏิบัติ ในหองปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินี้พึงใหรูในที่จําแนกแยกออก ใหเห็นแจงเห็นชัดวา สิ่งนี้เปนอนิจจัง สิ่งนี้เปนอนิจจลักษณะ สิ่งนี้เปนทุกขัง สิ่งนี้เปนทุกขลักษณะ สิ่งนี้เปนอนัตตา สิ่งนี้เปนอนัตตาลักษณะ พึงจําแนกออกใหเห็นชัดแจงฉะนี้ แลวัตถุที่เปนอนิจจังนั้นไดแกขันธปญจก เหตุไฉนจึงไดวาดังนั้น อธิบายวาขันธทั้ง ๕ นั้น มีสภาวะไมเที่ยงไมแทหวนหันผันแปรไปมามีประการตาง ๆ เหตุฉะนี้ พระพุทธฎีกาจึงตรัสวาวัตถุที่ เปนอนิจจังนั้นไดแกขันธปญจก แลอนิจจลักษณะนั้น ไดแกการที่วิปวิตแปรปรวนเกิดแลวก็ดับ ๆ แลวก็เกิดแหงขันธปญจก นั้นเอง จะเปนสิ่งอื่นหาบมิได แลวัตถุที่เปนทุกขังนั้น ก็ไดแกขันธปญจกนั้นเอง เหตุมีพระพุทธฎีกาตรัสไววา “ยทนิจฺจิ ตํ ทุกขํ” สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นแลเปนทุกขัง เหตุไฉนจึงวาขันธปญจกเปนทุกขัง อธิบายวาขันธ ปญจกนี้มากไปดวยโรคพยาธิตาง ๆ มากไปดวยทุกขเวทนายํายีบีฑาอยูเนือง ๆ ไมสิ้นไมสุดไมหยุด ไมยั่ง เหตุฉะนี้ จึงเห็นแทวาวัตถุที่เปนทุกขังนั้น ไดแกขันธปญจนั้นเอง แลทุกขลักษณะนั้นเลา ก็ใชอื่นใชไกลไดแกโรคาพยาธิเบียดเบียนซึ่งขันธปญจก ไดแก อาการที่ขันธปญจกลําบากเวทนาอยูเนื่อง ๆ บมิรูแลวนั้นเอง จะเปนสิ่งอื่นหาบมิได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 96 แลวัตถุที่เปนอนัตตานั้นก็ไมใชอื่น ไดแกขันธปญจากนั้นเอง เหตุมีพระพุทธฎีกาโปรด ประทานไว “ยํ ทุกฺขํ ตํ อนตฺตา” สิ่งใดเปนทุกขังสิ่งนั้นแลเปนอนัตตา ก็เหตุไฉนเลา ขันธปญจกนี้ เปนอนัตตา อธิบายวาขันธปญจกนี้บมิไดอยูในอํานาจแหงตนวาไมไดวาไมไดฟง วาไมใหแกก็ขืนแก วาไมใหตายก็ขืนตาย บมิไดประพฤติตามอํานาจ เหตุฉะนี้ จึงเห็นแทวาวัตถุที่เปนอนัตตานั้น ไดแก ขันธปญจกนั้นเอง แลอนัตตลักษณะนั้นก็มิใชอื่น ไดแกอาการที่ขันธปญจกบมิไดประพฤติตามอํานาจนั้นเอง จะเปนสิ่งอื่นหาบมิได พระโยคาพจรกุลบุตร จะกําหนดกฏหมายไตรพิธลักษณะไดโดยกิจอันแท โดยทัยสําแดง มาฉะนี้ ก็อาศัยแกมีอุทยัพพยญาณอันปราศจากอุปกิเลส บังเกิดขึ้นในขันธสันดาน เมื่อพระโยคาพจร กําหนดกฏหมายไตรพิธลักษณะไดดังนี้แลว แลเพียรพิจารณาเปรียบเทียบนามรูปทั้งปวงไปโดยไต รพิธลักษณะนั้นเนือง ๆ อุทยัพพยญาณนั้นก็จะกลาหาญโดยพิเศษ สังขารธรรมก็จะปรากฏแจงใน ญาณจักษุเปนอันเร็วพลัน ในเมื่อปญญากลาหาญสังขารปรากฏเปนอันเร็วพลันแลววิปสสนาญาณนั้น ก็จะลวงเสียซึ่งอุปปาทะแลฐิติบมิไดพิจารณา ซึ่งขณะอันบังเกิดแลขณะอันตั้งอยูแหงรูปธรรม นามธรรม จะเฉพาะพิจารณาแตกิริยาที่สิ้นไปแลฉิบหายไปนั้นฝายเดียว อนึ่งโสตวิปสสนญาณนั้น จะลวงเสียซึ่งอุปาทินนกะปวัตติแลสังขารนิมิต บมิไดพิจารณา ซึ่งกิริยาที่ประพฤติเปนไปแหงอุปาทินนกะรูป บมิไดพิจารณาสังขารนิมิตอันปรากฏในญาณจักษุจะ เฉพาะพิจารณาแตกิริยาที่ดับที่ทําลาย แหงรูปธรรมนามธรรมนั้นเปนอารมณจติแหงพระโยคาพจรนั้น จะตั้งมั่นอยูในสํานัก ที่จะพิจารณา ที่สิ้น ที่ฉิบหายแลที่ดับที่ทําลาย แหงรูปธรรมนามธรรมนั้นบมิได เคลิบเคลิ้ม เมื่อปญญาที่เกิดเสียเฉพาะพิจารณาแตที่ดับดังนี้ ปญญานั้นก็ไดนามบัญญัติใหมชื่อวา ภัง คานุปสสนาญาณ ถึงมาตรแมวาพระโยคาพจรนั้นจะพิจารณาเห็นวาสังขารบังเกิดดังนี้ ดับดังนี้ยัง พิจารณาเห็นอยูทั้งเกิดทั้งดับก็ดี ถาเห็นเกิดกับดับนั้นปรากฏในที่อันเดียวกันแลว วิปสสนาญาณนั้นก็ ไดชื่อวาภังคานุปสสนาญาณ อธิบายดังนี้ อาศัยเหตุที่มีพระพุทธฎีกาโปรดประทานไววา “กถํ อารมฺมณปฏิกงฺขา ภงฺ คานุปสฺสเน ปฺญวิปสฺสเน ญาณํ” ตรัสเปนกเถกุกามยตาปุจฉาวา วิปสสนาปญญา อันชื่อวาภังคญาณรูซึ่งอารมณแลว แล พิจารณาที่ดับที่ทําลายเนือง ๆ เห็นดับเห็นทําลายเนือง ๆ นั้นเห็นประการใด ตรัสปุจฉาดวยพระองคเองดังนี้แลว จึงตรัสวิสัชนาดวยพระองควา “รูปารมฺมณโต จิตฺตํ อุปปชฺชิตฺวา ภิชฺชติ ตํ อารมฺมณํ ปฏิสงฺ ขาตสฺส จิตฺตสฺส ภงฺคํ อนุปสฺสนา” อธิบายวา ภังคญาณพิจารณาที่ดับที่ทําลายเนือง ๆ เห็นดับเห็นทําลายเนือง ๆ นั้น คือเห็น ขณะจิตที่ดับเนือง ๆ กันเปนลําดับ ๆ พิจารณาเห็นดวยปญญาจักษุ วาจิตซึ่งบังเกิดเปนปฐมนั้น ถาเอา รูปเปนอารมณบังเกิดขึ้นขณะหนึ่งแลวแลดับ จิตเปนคํารบ ๒ จึงบังเกิดขึ้น จิตเปนคํารบ ๒ นั้นก็เอารูป เปนอารมณเหมือนกันบังเกิดขึ้นขณะหนึ่งแลวก็ดับไปอีกเลาเมื่อจิตเปนคํารบ ๒ ดับแลวจิตเปนคํารบ ๓ จึงบังเกิดขึ้นเปนลําดับ จิตเปนคํารบ ๓ นั้นก็เอารูป เปนอารมณ บังเกิดขึ้นขณะหนึ่งแลวก็ดับไป เหมือนกัน ลําดับนั้นจิตเปนคํารบ ๔,๕,๖ คํารบ ๗,๘,๙ คํารบ ๑๐,๑๑,๑๒ คํารบ ๑๔,๑๕,๑๖ คํารบ ๑๗ จึงบังเกิดเนือง ๆ กัน เอารูป เปนอารมณเหมือน ๆ กันตั้งอยูขณะหนึ่ง ๆ แลวก็ดับตาม ๆ กันไป บัดเดี๋ยวดับเดี๋ยวทําลาย ดับเนือง ๆ กันไป ไมเวนไมวางไมหางไมไกลกันเลย นาสังเวชเวทนา ปญญาบังเกิดกลา พิจารณา เห็นจิตดับเนือง ๆ กันฉะนี้แล ไดชื่อวาภังคญาณ ที่ดับทําลายเนือง ๆ เห็นดับเห็นทําลายเนือง ๆ ตก ปญญาบังเกิดพรอมดวยจิตที่บังเกิดกอน ๆ นั้น พิจารณารูปารมณโดยขยะแลวยะ พิจารณาเห็นรูปา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 97 รมณนั้นโดยกิริยาอันสิ้นไปฉิบหายไปเปนปกติธรรมดา แลปญญาบังเกิดพรอมดวยจิตที่บังเกิด เบื้องหลัง ๆ นั้น พิจารณารูปารมณโดยขยะแลวยะแลว พิจารณาซึ่งกิริยาอันทําลายแหงจิตกอน ๆ นั้น ดวยเลา พิจารณาเปนสองอารมณดวยกัน มีพระพุทธฎีกาตรัสวิสัชนาฉะนี้แลว ลําดับนั้นจึงตรัสเปนกเถตุกามยตาปุจฉาอีกเลา วา “กถํ อนุปสฺสติ” ภังคญาณซึ่งพิจารณาที่ดับที่ทําลายเนือง ๆ เห็นดับดวยทําลายเนือง ๆ นั้น เห็นดวยอาการเปนดังฤๅ ตรัสปุจฉาฉะนี้แลว จึงตรัสวิสัชนา “อนิจฺจโต อนุปสฺสติ โน นิจฺจโต ทุกฺขโต อนุปสฺสติ สุขโต อนตฺตโต อนุปสฺสติ โน อตฺตโต นิพฺพินฺทติ โน วิรชฺชติ โน รชฺชติ ฯลฯ อาทานํ ปทหติ” อธิบายวาภังคญาณนั้น พิจารณาเห็นดับเห็นทําลายโดยอาการเปนอันมาก มีตนวาเห็นโดย อนิจจัง คือเห็นวาไมเที่ยงนั้นโดยฝายเดียวจะไดเห็นวาเที่ยงหามิได นัยหนึ่งเห็นดับเห็นทําลายนั้น โดยอาการอันประกอบดวยทุกขัง จะไมเห็นวาเปนสุขหาบมิได นัยหนึ่งเห็นดับเห็นทําลายนั้นโดย อาการใชอาตมาใชของอาตมา จะไดเห็นโดยอาการเปนของอาตมานั้นหาบมิได เมื่อเห็นดับเห็นทําลายโดยอาการที่เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาดวยประการฉะนี้แลว จิต สันดานแหงพระโยคาพจรนั้นก็จะเห็นเหนื่อยหนายจากรูปธรรมนามธรรม จะไดมีความชื่นชมยินดีดวย รูปธรรมนามธรรมนั้นหาบมิได สันดานนั้นปราศจากความกําหนัด บมิไดกําหนัดดวยสามารถราคดํา กฤษณา บมิไดรักใครในรูปธรรมนามธรรมระงับดับเสียซึ่งตัณหา บมิไดใหชองแกตัณหา บมิใหตัณหา นั้นกอทุกขกอภัยสืบตอไปได สละละเสียซึ่งกิเลสธรรมทั้งปวง เปนตทังคปหาน จิตนั้นนอมไปสู นิพพาน เอาพระนิพพานเปนเบื้องหนา บมิไดปรารถที่จะเวียนตายเวียนเกิด ตกวากาลเมื่อพิจารณาเห็นโดยอนิจจังนั้น สละละเสียไดซึ่งอนิจจสัญญา ๆ ที่สําคัญวา เที่ยงวาแทนั้น พระโยคาพจรสละเสียไดเปนตทังคปหานในกาลเมื่อเห็นดับ เห็นทําลาย โดยอาการ เปนอนิจจังนั้น ละสุขสัญญา คือสําคัญวาประกอบดวยสุขนั้น สละละเสียไดเปนตทังปหาน ในกาลเมื่อเห็น ดับเห็นทําลายโดยอาการแหงทุกขัง แลอัตตสัญญา คือสําคัญวาเปนตน วาเปนของแหงตนนั้นสละละเสียไดเปนตทังปหาน ใน กาลเมื่อเห็นดับเห็นทําลายโดยอาการแหงอนันตา แลความยินดีปรีดาในรูปธรรมนั้น พระโยคาพจร สละละเสียไปเปนตทังปหาน ในกาลเมื่อเห็นทําลายแลวแลเหนื่อยหนาย เกลียดชังซึ่งรูปธรรม แลราคดํากฤษณาที่กระทําใหกําหนัดรักใครนั้น สละเสียไดเปนตทังปหาร ในกาลเมื่อเห็น ดับเห็นทําลายแลบังเกิดความเนื่อยหนายแลว แลปราศจากความยินดีปรีดา แลตัณหาซึ่งเปนเจาหมู เจากรมใหญใหบังเกิดทุกขบังเกิดใหบังเกิดภัยใหบังเกิดอุปทวะอันตรายตาง ๆ นั้น สละละเสียได เปนตทังปหาน ในกาลเมื่อเห็นดับทําลายแลวแล บังเกิดความเหนื่อยหนายปราศจากความยินดีปรีดา ในรูปธรรม แลวแลสงจิตไปสูพระนิพพานยินดีในพระนิพพาน แลกิเลสธรรมทั้งปวง อันกระทําใหขุนของหมองมัวเสียสติสัมปชัญญะ พระโยคาพจรเจา สละละเสียไดเปนตทังปหาน ในกาลเมื่อนอมจิตไปสูพระนิพพาน มิไดปราถนาที่จะเวียนตายเวียนเกิด สําแดงมาฉะนี้ ตามนัยแหงปฐมจิตที่บังเกิดขึ้นพิจารณารูปยึดหนวงเอารูปเปนอารมณถา ปฐมจิตนั้นเอาเวทนาเปนอารมณก็ดี เอาสัญญาเปนอารมณก็ดี เอาสังขารเปนอารมณก็ดี เอาวิญญาณ เปนอารมณก็ดี เอาจักขวายตนะเปนตนเปนอารมณก็ดี เอาชนะมรณะเปนอารมณก็ดี สุดแทแตปฐมจิต นั้นเอาสิ่งใดเปนอารมณแลว ทุติยจิตแลตติยจิตตลอดไปตราบเทาถึงจิตเปนตคํารบ ๑๗ ก็เอาสิ่งนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 98 เปนอารมณเหมือนกันทั้ง ๑๗ ขณะนั้นนักปราชญพึงรูวาปญหาซึ่งบังเกิดพรอมดวยจิตที่บังเกิดกอน ๆ นั้นพิจารณาอารมณมีเวทนาเปนตนโดยขยะแลวยะ พิจารณาเห็นวาอารมณมีเวทนาเปนตนนั้น มีกิริยา อันสิ้นไปฉิบหายไปเปนปกติธรรม แลปญญาซึ่งบังเกิดพรอมดวยจิตที่บังเกิดเบื้องหลัง ๆ นั้น พิจารณาอารมณมีเวทนาเปนตนโดยขยะแลวยะแลว พิจารณาซึ่งกิริยาอันดับทําลายแหงจิตกอน ๆ นั้นดวยเลา เปนสองอารมณดวยกัน ปญหานั้นพิจารณาเห็นดับเห็นทําลายโดยอาการแหงอนิจจัง ทุก ขัง อนัตตา สละละเสียซึ่ง นิจจสัญญา สุขสัญญา อัตตสัญญา เปนตทังปหาน ดวยอํานาจพระไตร ลักษณสละละเสียซึ่งความยินดี เปนตทังปหารดวยอํานาจเหนื่อยหนาย สละละเสียซึ่งราคะเปนตทัง ปหาน มิไดรักใครในอารมณมีเวทนาเปนตนนั้น ดวยอํานาจที่เห็นพระไตรลักษณแลวแลเหนื่อยหนาย ปราศจากความยินดีปรีดา สละเสียซึ่งตัณหาอันเปนเจาพนักงานใหเกิดกองทุกขเปนตทังปหาน ดวย อํานาจที่สิ่งจิตนอมไปสูพระนิพพานโดยนัยที่สําแดงมาแลวแตหลัง ตกวากิริยาที่สละละ นิจจสัญญา แลสุขสัญญา แลอัตตสัญญาเสียไดเปนตทังคปหาน แล ความยินดีแลราคดํากฤษณา ละตัณหาแลกิเลสธรรมเสียไดเปนตทังปหานนั้น ละไดดวยความสามารถ พิจารณากิริยาที่ดับที่ทําลายแหงสังขารธรรมนั้นเปนตนเปนเดิม เหตุฉะนี้ปญญาที่เห็นอนิจจัง ละเสีย ไดซึ่งอนิจจสัญญาเปนตทังคปหาน ไดนามบัญญัติชื่อวาอนิจจานุปสสนานั้นก็ดี ปญญาที่เห็นทุกขังละ เสียไดสุขสัญญาเปนตทังคปหานไดนามบัญญัติชื่อวาทุกขาปสสนานั้นก็ดี ปญญาที่กระทําใหเหนื่อย หนายจากสังขารธรรม ละเสียไดซึ่งความยินดีในสังขารเปนตทังคปหานไดนามบัญญัติชื่อวานิพพิทา นุปสสนานั้นก็ดี ปญญาที่กระทําใหปราศจากความกําหนัดรักใครในสังขารธรรม ละเสียไดซึ่งราคะ เปนตทังคปหาน ไดนามบัญญัติชื่อวาวิราคานุปสสนานั้นก็ดี ปญญาที่กระทําใหนอมจิตไปสูพระ นิพพาน สละละเสียซึ่งตัณหาเปนตทังคปหาน ไดนามบัญญัติ ชื่อวานิโรธานุปสสนานั้นก็ดี ปญญาที่ สละละเสียซึ่งกิเลสธรรมทั้งปวง เปนตทังคปหาน นอมจิตไปสูนิพพานไดนามบัญญัติชื่อวาปฏินิสสัค คานุปสสนานั้นก็ดี ปญญาที่สําแดงมาสิ้นทั้ง ๒ ประการนี้นับเขาในภวังคญาณสิ้นดวยกัน เพราะเหตุ ปญญาทั้ง ๗ นี้บังเกิดแตกิริยาที่เห็นดับเห็นทําลายแหงสังขารธรรมนั้นเปนตนเปนเดิม แทจริงวิปสสนาญาณทั้ง ๗ ประการ มีอนิจจานุปสสนาเปนตนมีนัยดังวิสัชนามาฉะนี้ บางที สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคตรัสเทศนาโดยบัญญัตินามชื่อวา ปริจจาคปฏินิสสัคคานุปสสนา เพราะ เหตุวา สละละเสียซึ่งกิเลสธรรมทั้งปวง กับทั้งขันธาภิสังขารนั้นเปนตทังคปหาน บางทีตรัสเทศนา วิปสสนาทั้ง ๗ นี้ โดยบัญญัตินามชื่อวาปกขันธปฏินิสสัคคานุปสสนา เพราะเหตุวาวิปสสนาญาณ ทั้งนี้ เห็นโทษแหงสังขตธรรมแลวแลนอมไปสูพระนิพพาน สงจิตไปสูพระนิพพาน นักปราชญพึงสันนิษฐานเปนใจความวา ปญญาที่จะละเสียซึ่งที่เกิดเฉพาะพิจารณาเอาแต ที่ดับนั้นแล ไดชื่อวาภวังคญาณ สมดังบาทพระคาถาวา วตฺถุสงฺกมนา เจว
สฺญาย จ วิวฏฏนา
อาวฏฏนา พลฺเจว อารมฺมณานิ วฺเยน นิโรเธ อธิมุตฺตตา
ปฏิสงฺขา วิปสฺสนา อุโภ เอเกว วตฺถุนา อยลกฺขณวิปสฺสนา
อารมฺมณฺจ ปฏิสงฺขา สฺุญโต จ อุปฏานํ กุสโล ตีสุ อนุปสฺสนาสุ
ภงฺคฺจ อนุปสฺสติ อธิปฺญา วิปสฺสนา จตสฺโส จ วิปสฺสนาสุ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 99 ตโย อุปฏาเน กุสลตา
นานาทิฏีสุ น กมฺปตีติ
อธิบายในบาทพระคาถาวา ปญญาอันลวงเสียซึ่งวัตถุอันตนพิจารณาในเดิม คือเดิมนั้นถา พิจารณารูปอยูกอน ก็ละรูปนั้นกลับเสียมาพิจารณาซึ่งจิต จิตหมูใดพิจารณารูปแลวแลดับ พระ โยคาพจรก็หยั่งปญญาพิจารณาจิตหมูนั้น โดยกิริยาที่ดับทําลาย ตกวาเห็นดับเห็นทําลายแหงรูปนั้น กลับเห็นดับเห็นทําลายแหงจิตนั้นเลา พิจารณารูปนั้นเห็นวาดับเร็วทําลายเร็วแลวกลับพิจารณาจิต ก็ เห็นวาจิตนั้นดับเร็วทําลายเร็วยิ่งกวารูปนั้นอีกเลา กิริยาที่เห็นดับเห็นทําลายนั้นเนือง ๆ กันหาระหวาง บมิได นี้แลเปนวิสัยแหงภังคญาณ ๆ นั้น ละเสียซึ่งที่เกิด ตั้งอยูในกิริยาอันพิจารณาซึ่งที่ดับ องอาจ ในที่จะพิจารณาอารมณเดิม แลวแลละอารมณเดิมเสีย กลับพิจารณาอารมณหลังเปนอันรวดเร็วยิ่งนัก บมิไดเนิ่นชา รูอารมณทั้งสองฝายเห็นดับเห็นทําลาย ทั้งเบื้องปลายแลเบื้องตน กําหนดกฏหมาย อารมณทั้งสองฝาย คืออารมณที่เห็นกับอารมณที่มิไดเห็นนั้น เหมือนกันเปนอันเดียว เห็นแทวา สังขารธรรมในปจจุบันที่อยูนี้ดับทําลายฉันใด สังขารธรรมในอดีตแลอนาคตที่มิไดเห็นนั้นก็ดับทําลาย ดังนั้น วยลักษณะวิปสสนากลาวคือภังคญาณนี้ เมื่อเห็นดับเห็นทําลายเนือง ๆ กันฉะนี้ ก็ยังจิตใหยินดี ในพระนิพพานธรรม กระทําจิตใหยินดีใหออนใหนอมมหโอนใหเงื้อมไปสูพระนิพพาน อันเปนปรมัตถ ธรรมล้ําเลิศประเสริฐยอดธรรมทั้งปวง ภังคญาณนี้เมื่อกลาหาญยางขึ้นถึงภูมิอธิปญญาวิปสสนาแลวก็ เห็นสังขารธรรมนั้นปรากฏชัดโดยสูญเปลา ตลอดทั้งเบื้องตนแลเบื้องปลาย ทั้งฝายอดีตแลอนาคต แลปจจุบัน เหตุดังนั้น พระโยคาพจรผูปฏิบัติในหองภังคญาณ พึงฉลาดในอนุปสสนา ๓ ประการ คือ อนิจจานุปสสนา ทุกขานุปสสนาแลอัตตานุปสสนา ใชแตเทานั้น พึงใหฉลาดในวิปสสนาทั้ง ๔ คือ นิพพิทานุปสสนาวิราคานุปสสนาปสสนา นิ โรธานุปสสนา ปฏินิสสัคคานุปสสนา แลวใหฉลาดในอุปฐาน ๓ ประการ คือ ใหฉลาดในที่จะพิจารณาสังขารใหปรากฏ โดย ขยะ คือสิ้นไป ๆ โดยปกติธรรมดานั้นประการ ๑ โดย ขยะ คือฉิบหายประลัยไปดวยภัยอันตรายตาง ๆ นั้นประการ ๑ เมื่อสูญสิ้นไปเปลาปราศจากแกนสารนั้นประการ ๑ เมื่อฉลาดในปญญาภาวนาพิธีดังนี้แลว สันดานแหงพระโยคาพจรนั้นก็จะตั้งมั่นบมิไดหวาด หวั่นไหวดวยอํานาจทิฏฐิตาง ๆ มีสัสสตทิฏฐิเปนประธานเมื่อไมหวาดหวั่นไหวดวยอํานาจทิฏฐิ ไมตก ไปในฝายมิจฉาทิฏฐิแลวกิริยาที่มนสิการวาสังขารธรรมที่ยังมิไดดับก็จะดับไปเปนแท ซึ่งยังมิได ทําลายก็จะทําลายเปนแท มนสิการดังนี้ก็จะประพฤติเปนไปในสันดานพระโยคาพจร ๆ นั้น ก็จะสละละ เสียซึ่งอุปปบาทนิมิต แลฐิตินิมิต แลปวัตตินิมิต คือเหตุที่จะใหเห็นวาสังขารธรรมบังเกิด สังขารธรรม ตั้งอยูสังขารธรรมประพฤติเปนไปในสันดาน จะปราศจากสันดานแหงพระโยคาพจร ๆ นั้นจะคงเห็นแท แตกิริยาที่ดับทําลายนั้นอยางเดียว เปรียบเหมือนบุคคลอันเปนภาชนะที่ราวฉานตลอดแลว แล พิจารณาเห็นแตที่จะแตกทําลายนั้นอยางเดียว มิฉะนั้นเปรียบเหมือนบุคคลอันเปนธุลีอันแตกเรี่ยราย กระจายอยู แลพิจารณาเห็นแตที่จะสาบจะสูญจะอันตรธานหายไปนั้นอยางเดียว มิฉะนั้นเปรียบ เหมือนบุคคลอันเห็นฝนแทงงาแตกทําลายสิ้นแลว แลพิจารณาเห็นวาเมล็ดงานี้มีแตจะสาบสูญสิ้นจะ อันตรธานนั้นอยางเดียว มิฉะนั้นเปรียบเหมือนดังบุรุษที่ยืนอยูริมกระโบกขรณี แลบุรุษที่ยืนอยูริมฝงน้ํา กาลเมื่อเม็ดฝนใหญ ๆ ตกลงมาเหนือหลังน้ํานั้น ฟองน้ําก็บังเกิดขึ้นเปนตอม ๆ เปนเม็ด ๆ ใหญ ออกไป ๆ บัดเดี๋ยวใจก็จะแตกจะทําลายอันตรธานสูญสิ้นบมิไดตั้งอยูนาน บุรุษที่ยืนอยูริมขอบสระ บุรุษที่ยืนอยูริมฝงน้ํานั้นเห็นอาการอันทําลายไป แหงฟองน้ํา แลมีฉันใด พระโยคาพจรเจาผูปฏิบัติใน หองภังคญาณ ก็พิจารณาเห็นอาการอันดับอันทําลายแหงสังขารมีอุปไมยดังนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 100 เมื่อภังคานุปสสนาญาณถึงซึ่งกลาหาญมีกําลังแลว อานิสงส ๘ ประการซึ่งเปนบริวารแหง ภังคญาณนั้น ก็จะบังเกิดแกพระโยคาพจร อานิสงส ๘ ประการนั้น “ภวปฏิปหานํ” คือ จะละเสียไดซึ่งสัสสตทิฏฐิประการ ๑ “ชีวิตนิกนฺติปริจฺจาโค” คือ จะสละละเสียไดซึ่งความยินดีในชีวิต บมิไดรักชาติประการ ๑ “สทา ยุตฺตปยุตฺตา” คือ จะมีเพียรบําเพ็ญพระกรรมฐานสิ้นกาลเปนนิตยประการ ๑ “วิสุทฺธา ชีวิตา” คือ จะประพฤติเลี้ยงชีวิตบริสุทธิ์ ปราศจากโทษประการ ๑ “อุสฺสุปฺปหานํ” คือ จะสละละเสียซึ่งขวนขวายในกิริยาที่จะแสวงหาเครื่องอุปโภค แล ปริโภค แลบริขารตาง ๆ จะตั้งอยูในที่มักนอยประการ ๑ “วิคตยตา จ” คือ มีความกลัวอันปราศจากบมิไดสดุงตกใจกลวแกภัยอันตรายตาง ๆ นั้น ประการ ๑ “ขนฺต”ิ คือ จะมีสันดานอันอดกลั้น กอปรดวยอธิวาสนขันติประการ ๑ ประการ ๑
“โสวจฺจปฏิลาโภ”
คือ
จะไดซึ่งคุณคือสภาวะวางายสอนงายบมิไดกระดางกระเดื่อง
“อารติรติสหนฺต”ิ คือ จะอดกลั้นไดซึ่งความกระสันแลความยินดีบมิไดลุอํานาจแหง ความกระสันแลความยินดีนั้นประการ ๑ รวมเปน ๘ ประการดวยกัน อานิสงสทั้ง ๘ ประการนี้ จะบังเกิดเปนบริวารแหงภังคญาณ จะสําเร็จแกพระโยคาพจร อันมีสันดานประกอบดวยภังคญาณอันกลาหาญมีกําลังเหตุดังนั้น โบราณาจารยจึงกลาวซึ่งบาทพระ คาถาสาธกเนื้อความที่กลาวแลวนั้นวา “อิมานิ อฏ คุณมตฺตมานิ” “ทิสฺวา ตหึ สมฺมสตึ ปุนปฺปุน”ํ “อาทิตฺตเจลสฺสิรสูปโม มุน”ิ “ภงฺคานุปสฺสี อมตสฺส ปตฺติยา” อธิบายในบาทพระคาถาวา บุคคลผูเปนนักปราชญ บําเพ็ญเพียรในหองพระวิปสสนา กรรมฐาน เมื่อพิจารณาเห็นคุณานิสงสอันอุดมทั้ง ๘ ประการ มีนัยดังพรรณนามาฉะนี้ พึงมีอุตสาหะ พิจารณาสังขารธรรมจงเนือง ๆ อยาไดประมาท จําเร็ญพระวิปสสนาปญญานั้น ไดกลาหาญใหยางขึ้น ถึงภูมิภังคญาณนั้นใหจงได พึงมนสิการกําหนดในใจ ใหเห็นอาการที่ดับที่ทําลายไปแหงรูปธรรม นามธรรมนั้น ติดพันกันอยูกับตนเปนนิตยนิรันดรพิจารณาใหเห็นดับเห็นทําลายนั้นเนือง ๆ ในตน เปรียบประดุจบุคคลอันเพลิงไหมผาโพกศีรษะ แลพิจารณาเห็นอาการที่ไหมที่รอนนั้นเนือง ๆ ในตน ติดพันอยูกับตน ปญญาอันพิจารณาเห็นดับเห็นทําลายดังนี้ อาจจะเปนปจจัยใหเห็นพระนิพพาน อาจ ใหถึงพระนิพพานสําเร็จมโนรถความปรารถนา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 101 “ภงคานุปสฺสนาญาณํ นิฏิตํ” สําแดงภังคานุปสสนาญาณโดยพิสดาร ยุติการเทานี้ แตนี้จะสําแดงภยตูปฏฐานสืบตอไป ตามวาระพระบาลีวา “ตสฺเสวํ สพฺพสงฺขารานํ ขยวยเภทา นิโรธา อารมฺมณํ ภงฺคานุปสฺสนานํ อา เสวนฺตสฺส พหุลีกโรนฺตสฺส ปพฺพภวโยนิคติ ิติสตฺตาวาเสสุ สเภทกา สงฺขารา สุเขน ชีวิตุ กามสฺส ภิรุกปริสฺส สีหพฺยคฺฆทิปอจฺฉตรจฺฉยกฺขรกฺขสจณฺฑโคณจณฺฑกุกฺกุรปริภินฺนมท จณฺฑหตฺถิโฆรอาสิวิสอสนิจกฺกสุสานรณภูมิชลิต องฺคารกาสุ อาทโย วิย มหาภยํ อฏหนฺติ” เมื่อพระโยคาพจรสรองเสพซึ่งภังคานุปสสนาญาณ อันกลาหาญมีกําลังดวยประการฉะนี้ ลําดับนั้นภยตูปฏฐานญาณก็จะบังเกิดในสันดานแหงพระโยคาพจร ๆ ก็จะพิจารณาเห็นภัยแหงสังขาร ธรรม อันเวียนตายเวียนเกิดทองเที่ยวไปในภพทั้งปวง อันอากูลไปดวยกําเนิดทั้ง ๔ คือ อัณฑชะ แล ชลัมพุชะ แลสังเสทชะ แลอุปปาติกะ ประกอบดวยคติทั้ง ๕ คือ นิรยคติ แลเปตคติ แลติรัจฉานคติแล นุสสคติ แลเทวคติตางกันโดยประเภทแหงวิญญาณฐิติ ๗ แลสัตตาวาส ๙ โยคาพจรกุลบุตรผูมี สันดานกอปรดวยภยตูปฏฐานญาณนั้น พิจารณาเห็นภัยเปนอันมาก เปรียบประดุจบุรุษภิรุกชาติ ปรารถนาจะไดมีชีวิตอยูโดยสุข แลพิจารณาเห็นภัยอันจะบังเกิดแตราชสีห แลเสือโครงเสือเหลือง พิจารณาเห็นภัยอันจะบังเกิดแตโครายแลกระบือรายแลชางอันซับมันแลอสรพิษ พิจารณาเห็นภัยอัน จะบังเกิดแตขวานฟา ปาชาแลการรณรงคแลขุมถานเพลิงอันรุงเรืองเปนอาทิ พระอรรถกถาจารยเจา จึงสําแดงอุปมาแหงภยตูปฏฐานญาณนี้โดยนัยนิเทศวารวา “เอกิสฺสา กิร อิตฺถิยา ตโย ปุตฺตา” ดังไดยินมาวามีสตรีผูหนึ่งมีบุตรชาย ๓ คน บุตรชายทั้ง ๓ คนนั้นกระทํากรรมอันผิดประพฤติซึ่งทุจริตในพระราชฐาน พระมหากษัตริยแจงเหตุอัน นั้น จึงบังคับนายเพชฌฆาตใหจับบุตรชายแหงสตรีนั้นไปทั้ง ๓ คน เพื่อจะใหประหารชีวิตเสียทั้ง ๓ คนนั้น สตรีผูเปนมรรดาแลเห็นนายเพชฌฆาตนําเอาบุตรชายทั้ง ๓ คนนั้นไป ก็รองไหวิ่งตามไปถึงที่ ตะแลงแกงนายเพชฌฆาตจึงตัดศีรษะลูกชายใหญดวยดาบอันคมกลาใหขาดตกลงแลว ก็ปราถนา เพื่อจะตัดศีรษะลูกชายคนกลางนั้นสืบตอไป สตรีผูนั้นแลเห็นเขาตัดศีรษะลูกชายใหญขาดตกลงแลว ก็เหลี่ยวหนามาดูลูกชายคนโตเลานายเพชฌฆาตก็ฟนใหศีรษะตกลง สตรีผูนั้นก็สละเสียซึ่งอาลัยลูก ชายนอย มาดําริวาลูกชายนอยคนสุดทองของอาตมานี้ไหนเลยจะรอดเลา เขาก็จะฆาเสียเหมือนกัน สตรีผูนั้นพิจารณาเห็นความตายแหงลูกชายทั้ง ๓ คน ฉันใดก็ดี ภยญาณนี้ก็ใหพิจารณาเห็นความตาย ในกาลทั้ง ๓ คือ อดีต อนาคต ปจจุบันมีอุปไมยดังนี้ ถามิดังนั้น เปรียบประดุจสตรีครรภบุตรถึง ๑๑ คน เกิดคนไหนก็ตายคนนั้น สุดแทแตคลอด ออกมาแลวก็ตาย แตตายไปถึง ๙ คนดวยกันแลวไมรอดแตสักคน ลูกที่คลอดในวาระเปนคํารบที่ ๑๐ นั้นเลา พอคลอดพนครรภ สตรีนั้นเอามือทั้งสองประคองลูกอุมขึ้นไวก็ตายอยูในมือ ครั้นวามีครรภ ขึ้นมาในวาระเปนคํารบ ๑๑ ยังมิไดคลอด สตรีนั้นก็สละละเสียซึ่งอาลัยในบุตรที่อยูในครรภ มาดําริวา ลูกอยูในครรภแหงอาตมานี้ไหนเลยจะรอดเลา นาที่จะตายไปเหมือนกัน สตรีผูเปนมารดาพิจารณา เห็นความตายแหงลูกชายทั้ง ๑๑ คนเหมือนกันเปนอันเดียว แลมีฉันใดภยญาณนี้ก็พิจารณาเห็นความ ตายในกาลทั้ง ๓ คือ อดีต อนาคต แลปจจุบันมีอุปไมยดังนั้น กาลเมื่อสตรีผูเปนมารดา พิจารณาเห็นความตายแหงลูกทั้ง ๙ คนที่ตายแลวนั้น มีอุปไมย ดังภยญาณอันพิจารณาเห็นความตายในอดีตชาติเบื้องหลัง กาลเมื่อสตรีผูเปนมารดาพิจารณาเห็นความตายแหงลูกชายเปนคํารบ ๑๐ ซึ่งตายอยูในมือ นั้น มีอุปไมยดังภยญาณอันพิจารณาเห็นความตายในชาติที่เปนปจจุบัน กาลเมื่อสตรีผูเปนมารดาพิจารณาเห็นความตายแหงลูกชาย เปนคํารบที่ ๑๑ ซึ่งอยูในครรภ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 102 นั้น มีอุปไมยภยญาณอันพิจารณาเห็นความตายในชาติอันเปนอนาคตเบื้องหนา ฯ ในที่อันนี้มีคําปุจฉาวา ภยตูปฏฐานญาณนี้ เมื่อบังเกิดมีในสันดานแหงพระโยคาพจรนั้น ยัง พระโยคาพจรใหมีความสะดุงตกใจกลัวอยูหรือ ๆ ไมสะดุงตกใจกลัวเปนประการใด มีคําวิสัชนาวา “น ภายติ” ภยตูปฏฐานญาณนี้นั้น จะกระทําใหพระโยคาพจรสะดุงตกใจ กลัวหาบมิได แตปญญาที่ตั้งอยูในภูมิภังคญาณนั้นสิยังขจัดความกลัวเสียไดแลว ก็จะปวยกลาวไปไย ถึงปญญาที่แกยังขึ้นถึงภูมิภยตูปฏฐานญาณนี้ได ดังฤๅความสะดุงตกใจกลัวจะบงเกิดแกพระ โยคาพจรเลา ขึ้นชื่อวาปญญาแกกลาแลวนี้ไมมีความกลัวเลยเปนอันขาด แลขอซึ่งปญญาไดนาม บัญญัติชื่อวา ภยตูปฏฐานญาณนั้นดวยสามารถที่พิจารณาเห็นภัย จะมีครุวนาฉันใด มีครุวนาดังบุรุษ อันเห็นขุมถานเพลิงทั้ง ๓ อันมีอยูแถมประตูพระนคร ในกาลเมื่อเล็งแลดูขุมถานเพลิงทั้ง ๓ อันมี เปลวรุงโรจนโชตนาการนั้น บุรุษนั้นจะไดสะดุงตกใจกลัวหาบมิได เปนแตพิจารณาเห็นภัยวา สัตว จําพวกใดตกลงในขุมถานเพลิงทั้ง ๓ นี้ สัตวจําพวกนั้นก็จะไดเสวยทุกขเวทนาอันหยาบ ชาสาหัส มิไดนอยไดเบาเลยเปนขันขาด “สยํ น ภายติ” ตกวาบุรุษผูนั้นตกเองหากลัวไมแลมีฉันใด ภยตูปฏ ฐานญาณนี้ก็มิไดกระทําใหพระโยคาพจรสะดุงตกใจกลัว เปนแตใหพิจารณาเห็นมรณภัยในกาลทั้ง ๓ คือ อดีตแลอนาคต แลปจจุบัน มีอุปไมยดังนั้น ถามิฉะนั้นเปรียบเหมือนบุรุษอันเห็นหลาว ๓ เลม คือ หลาวไมตะเคียน หลาวเหล็ก หลาว ทอง ปกเรียงกันอยูในคูแทบประตูพระนครบุรุษนั้นครั้นเห็นก็มีความดําริ ถาสัตวจําพวกใดตกลงถูก หลาวทั้ง ๓ สัตวจําพวกนั้นก็ไดเสวยทุกขเวทนา อันหยาบชากลาแข็งบมิไดเลยเปนอันขาดมิตายก็จะ ลําบากแทบบรรดาตาย “สยํ น ภายติ” ตกวาบุรุษนั้นตนเองหากลัวไม หาสะดุงตกใจไม เปนแต พิจารณาเห็นมรณภัยในกาลทั้ง ๓ คือ อดีต แลอนาคต แลปจจุบัน มีอุปไมยดังนั้น มีคําปุจฉาวา กาลเมื่อกระทํามนสิการโดยอนิจจังเห็นอนิจจังนั้นสิ่งดังฤๅ ปรากฏอันเปนภัย อันพิลึกแกพระโยคาพจร กาลเมื่อมนสิการโดยทุกขังนั้น สิ่งดังฤๅปรากฏเปนภัยอันพิลึกแกพระโยคาพจร กาลเมื่อ มนสิการโดยอนัตตานั้น สิ่งดังฤๅปรากฏเปนภัยอันพิลึกแกพระโยคาจร มีคําวิสัชนาวา กาลเมื่อมนสิการโดยอนิจจังเห็นอนิจจังนั้นนิมิตคือสังขารธรรมปรากฏเปน ภัยอันพิลึกแกพระโยคาพจร เพราะเหตุวาเห็นอนิจจังแลวก็เห็นความตายแหงสังขารธรรมเมื่อเห็น ความตายแทสันทัด เห็นสัตวเห็นเที่ยงที่จะตายนั้นกาลใด สังขารธรรมทั้งปวงก็ปรากฏเปนภัยอันพิลึก แกพระโยคาพจรในกาลนั้น โยคาพจร
แลกาลเมื่อมนสิการโดยทุกขังเห็นทุกขังนั้น
รูปารูปภวปวัตติปรากฏเปนภัยอันพิลึกแกพระ
รูปปารูปภปวัตตินั้น คือกิริยาที่รูปธรรมแลอรูปธรรมประพฤติเปนไปในภพ เมื่อมีปญญาแล พิจารณาเห็นทุกขังแลวก็เห็นวากิริยาที่เวียนไปในภพนี้ อากูลมูลมองไปดวยกองทุกขกองภัยมี ประการตาง ๆ ความทุกขนั้นเบียดเบียนอยูเนือง ๆ บมิไดมีที่สุด บมิไดมีที่หยุดยั้งถึงสุคติภพที่โลกนับ ถือวาเปนสุขนั้น ก็ยังประกอบดวยทุกขติดตามย่ํายีบีฑาอยูเนือง ๆ บมิรูสิ้นสุดเหตุฉะนี้ เมื่อมีปญญา พิจารณาเห็นทุกขังสันทัดแทแนในใจแลวกาลใด กิริยาที่รูปธรรมแลอรูปธรรมอันเวียนไปในไตรภพนั้น ก็ปรากฏ เปนภัยอันพิลึกแกพระโยคาพจรในกาลนั้น แลกาลเมื่อมนสิการโดยอนัตตาเห็นอนัตตานั้น สองประการ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
นิมิตแลวัตติปรากฏเปนภัยอันพิลึกสิ้นทั้ง
- 103 อธิบายวากาลเมื่อเห็นพระอนัตตานั้น รูปธรรมนามธรรมปรากฏโดยเปลาสูญ เปรียบประดุจ บานรางอันเปลาหาคนอยูบมิได มิฉะนั้นเปรียบประดุจพยับแดด อันปรากฏเปนแสงระยับ ๆ แลวแล เคลื่อนหายไปบัดเดี๋ยวใจไมยั่งไมยืน มิฉะนั้นเปรียบประดุจเมืองแหงคนธรรพเทวบุตรอันบังเกิดขึ้นตอ พอเปนที่เลน โดยควรแกอัชฌาสัยแหงคนธรรพเทวบุตรแลวแลสาปสูญไปในขณะบัดเดี๋ยวใจนั้น บาน รางแลพยับแดดแลเมืองแหงคนธรรพเทวบุตร อันตรธานเปนอันเร็วพลันสูญเปลาบมิไดเปนหลักเปน ประธาน แลมีฉันใดรูปธรรมนามธรรมก็อันตรธานเปนอันเร็วสูญเปลา บมิไดเปนประธาน มีอุปไมย ดังนั้น เมื่อเห็นรูปธรรมนามธรรมปรากฏโดยเปลาโดยสูญ บมิไดเปนหลักเปนประธานดวยประการ ฉะนี้ อันวานิมิตแลปวัตติคือสังขารธรรมอันบังเกิดแลกิริยาที่สังขารธรรมทองเที่ยวไปในภพทั้งสอง ประการนี้ ก็ปรากฏเปนภัยอันพิลึกแกพระโยคาพจร ที่พิจารณาเห็นพระอนัตตาและกระทํามนสิการ โดยอนัตตานั้น “ภยตูปฏานญาณํ นิฏิตํ” สําแดงภยตูปฏฐานญาณยุติการแตเทานี้ แตนี้จะสําแดงอาทีนวญาณสืบตอไป “ตสฺส ตํ ภยตูปฏานญาณํ อาเสวนฺตสฺส ภาเวนฺตสฺส พหุลีกโรนฺตสฺส” เมื่อพระโยคาพจรกุลบุตรเสพซึ่งภยตูปฏฐานญาณจะเริญเนือง ๆ กระทําไวใหมากในขันธ สันดานแลว อันวาภพแลกําเนิดคติแลวิญญาณฐิติแลสัตตาวาส ก็ปรากฏโดยสภาวะที่เรนที่ซอนบมิได ปรากฏโดยสภาวะหาที่พึงที่สํานักที่พิทักษรักษาบมิไดสิ้นทั้งนั้น พระโยคาพจรก็สิ้นรักสิ้นใครสิ้นความ ปราถนา อาลัยในสังขารธรรมสิ้นทั้งปวง ภพทั้ง ๓ นั้นก็ปรากฏประดุจขุมถานเพลิงอันเปนเปลว รุงโรจน โชตนาการมหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุนั้น ก็ปรากฏประดุจ อสรพิษ ทั้ง ๔ ตัวอันมีพิษอันพิลึก ปญจขันธทั้ง ๕ คือรูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วิญญาณขันธ นั้นก็ปรากฏดุจนายเพชฌฆาตทั้ง ๔ อันถือดาบเงือดเงื้อไวคอยอยูที่จะฟาดฟน อายตนะภายในทั้ง ๖ คือ จักขวายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ มนายตนะ นั้นก็ปรากฏประดุจบานรางบานเซ บานเปลาสูญสิ้นทั้ง ๖ บาน อายตนะ ภายนอกทั้ง ๖ คือ รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ ธัมมายตนะนั้นก็ปรากฏประดุจโจร ๖ คนอันมี ฝมือกลาหยาบชาทารุณ เขาบานไหนก็จะฆาจะฟนชาวบานนั้นใหถึงซึ่งความพินาศฉิบหาย วิญญาณฐิติ ๗ แลสัตตาวาส ๙ นั้น ก็ปรากฏประดุจเพลิง ๑๖ กองไหมเปนเปลวโดยรอบ กอปรดวยรัศมีเพลิงรุงโรจนโชตนาการ “สพฺพสงฺขารา” สังขารธรรมทั้งปวงนั้นก็ปรากฏประดุจ ฝมืออันใหญอันมีพิษปวดแสบลนพนที่จะอดกลั้นมิฉะนั้น “โรคภูตา” สังขารธรรมทั้งปวงก็ปรากฏ “สลฺลภู ประดุจบังเกิดเปนโรคพยาธิเบียดเบียนใหลําบาก เวทนาอยูเปนนิจนิรันดร มิฉะนั้น ตา” สังขารธรรมทั้งปวงจะปรากฏประดุจดังเกิดเปนลูกศรเสียบแทงอยูในกรัชกายสิ้นกาลทุกเมื่อ มิฉะนั้น “อฆภูตา อาพาธภูตา” สังขารธรรมทั้งปวงจะปรากฏประดุจเปนกองทุกขกองอาพาธ แล กองโทษอันใหญปราศจากความยินดี เมื่อปญญาพิจารณาเห็นฉะนี้ จิตสันดานแหงพระโยคาพจรนั้นก็ จะมากไปดวยสังเวชจะพิจารณาเห็นแตโทษฝายเดียว เปรียบประดุจบุรุษอันมีความปรารถนาเพื่อจะ เลี้ยงชีวิตใหเปนสุข แลเขาไปสูปาอันตั้งอยูดวยอาการอันควรจะเปนที่ผาสุกสนุกสบาย เมื่อเเรกเขา ไปสูปานั้นไมรูวาปานั้นไมรูวาประกอบดวยสัตวราย ครั้นรูวามีสัตวรายก็สิ้นความผาสุกสิ้นความสนุก สบาย จิตนั้นประกอบดวยความรังเกียจ พินิจพิจารณาเห็นแตโทษนั้นฝายเดียวอันนี้แลมีฉันใด อาทีนว ญาณนั้น เมื่อบังเกิดในสันดานแหงพระโยคาพจรแลว ก็ใหพระโยคาพจรนั้น พิจารณาเห็นภพแลคติ เห็นวิญญาณฐิติแลสัตตาวาสนั้น ปราศจากสุขไมมีความสนุกสบายเลยพิจารณาเห็นแตโทษนั้นฝาย เดียว มีอุปไมยดังนั้น มิฉะนั้นเปรียบเหมือนบุรษอันปรารถนาหาความสุข
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
แลหลงเขาไปในถ้ําอันประกอบไปดวย
- 104 เสือโครง เดิมนั้นหารูวาเสือโครงอยูในถ้ํานั้นไม ตอเมื่อเขาไปนอนไปหลับระงับกายแลว จึงรูวาเสือ โครงตัวใหญอาศัยอยูในถ้ําอันนั้น เมื่อรูวาเสืออยูในถ้ําก็สิ้นรักสิ้นใคร ไมมียินดีที่จะหลับจะนอน ใจนั้น ประกอบดวยความรังเกียจ มิไดเห็นคุณอันหนึ่งเลย เห็นแตโทษฝายเดียวอันนี้แลมีฉันใด อาทีนว ญาณนั้นก็พิจารณาเห็นสังขารธรรมทั้งปวงวา ปราศจากคุณมีแตโทษนั้นฝายเดียวมีอุปไมยดังนั้น มิฉะนั้น เปรียบเหมือนบุรุษอันลงสูประเทศที่น้ําลึก อันประกอบดวยจระเขแลมังกรแลผีเสื้อ น้ําอันราย สําคัญวาจะเลนน้ําใหสนุกสบาย ตอลงไปในน้ําวายออกไปถึงที่ลึกแลวจึงจะรูวามีจระเขราย มีมังกรแลผีเสื้อน้ํา ครั้นรูก็สิ้นความปรารถนา สิ้นสนุกสบาย พินิจพิจารณาเห็นโทษนั้นฝายเดียว อันนี้ แลมีฉันใด อาทีนวญาณก็พิจารณาเห็นแตโทษแหงสังขารนั้นฝายเดียว มีอุปไมยดังนั้น มิฉะนั้น “มนุสฺสิตขคฺคา วิย ปจฺจตฺถิกา” เปรียบประดุจบุรษอันมีขาศึกถือดาบแวดลอม ขยับอยูที่จะฟาดจะฟน บุรุษนั้นเห็นแตโทษฝายเดียว แลมีฉันใด อาทีนวญาณ ก็พิจารณาเห็นแตโทษ แหงสังขารนั้นฝายเดียว มีอุปไมยดังนั้น มิฉะนั้น “สวีสํ วิย โภชนํ” เปรียบเหมือนบุรษอันหลงบริโภคอาหารที่ระคนดวยยาพิษ บุรุษนั้น พิจารณาเห็นแตโทษนั้นฝายเดียวมีอุปไมยดังนั้น มิฉะนั้น อาทีนวญาณ ยอมเห็นโทษแหงสังขาร เปรียบประดุจบุรษเดินทางกันดารอาเกียรณ ดวยโจรราย แลพิจารณาเห็นแตโทษนั้นฝายเดียว มิฉะนั้น “อทิตฺตํ อิว อาคารํ” เปรียบเหมือนบุรุษเจาของเรือนอันเห็นเรือนไฟไหมติด ตลอดแลว แลพิจารณาเห็นแตโทษนั้นฝายเดียว มิฉะนั้น “อุยฺยุตฺตเสนา วิย รณภูมี” เปรียบเหมือนเสนาอันยกออกไปสูที่สมรภูมิ แล พิจารณาเห็นแตโทษฝายเดียว นักปราชญสันนิษฐานวา ภยปฏฐานญาณกับอาทีนวญาณนี้มีอรรถเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน จะไดตางกันนั้นหาบมิไดตางกันแตพยัญชนะเมื่อจะสําแดงโดยนิเทศ สําแดงที่แทนั้น ภยตูปฏฐาน ญาณกับอาทีนวญาณนี้ก็อันเดียวกันนั้นแล จะไดตางกันหาบมิไดเพราะเหตุวา เห็นภัยกับเห็นโทษนั้น ไมหางไกลกัน เหตุดังนั้นสมเด็จพระมหากรุณาจึงโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาวา “กถํ ภยตูปฏาเน ปญญา อาทีนเว ปญญา อุปฺปาโท ภยนฺติ ภยตูปฏาเน ปฺญา อาทีนเว ญาณํ ปวตฺตํ ภยนฺติ นิมิตฺตํ ภยนฺติ ฯ เป ฯ อุปายาโส ภยนฺติ ภยตูปฏาเน ปฺญํ อา ทีนเว ญาณํ” มีพระพุทธฎีกาตรัสเปนกเถตุกามยตาปุจฉาวา ปญญาอันพิจารณาเห็นภัยประพฤติเปนไปใน หองแหงภยตูปฏฐาณญาณ แลจัดเอาสําแดงในหองแหงอาทีนวญาณ ยกขึ้นเปนอาทีนวญาณนั้น จะ ไดแกปญญาดังฤๅ ตรัสปุจฉาฉะนี้แลว ก็ตรัสวิสัชนาวาปญญาที่พิจารณาเห็นวากิริยาที่บังเกิดแตปจจัยคือปุริม กรรม เกิดแลวเกิดเลา เกิดที่นี้แลวไปเกิดที่นั้น ๆ แลวไปเกิดที่โนน เวียนเอากําเนิดเกิดแลวเกิดเลาไม สิ้นไมสุดไมหยุดไมยั้งนี้แลเปนภัยอันใหญหลวงเปนภัยอันพิลึก ควรจะสังเวช ควรจะสะดุงตกประหมา ปญญาพิจารณาเห็นกิริยาที่บังเกิดวาเปนภัยอยางนี้จัดเปนอาทีนวญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวา กิริยาที่รูปธรรมแลอรูปธรรม แตบรรดาที่บังเกิดแลวแลประพฤติ เปนไปในภพเสวยทุกขเวทนามีประการตาง ๆ ไมรูหมดรูสิ้นนั้น ก็เปนภัยอันใหญหลวง เปนภัยอันพิลึก ควรจะขนพองสยองเศียร ควรจะตระหนกตกใจกลัวเปนกําลัง เห็นภัยดังนี้ ก็จัดเปนอาทีนวญาณ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 105 ประการ ๑ ปญญาอันพิจารณาเห็นนิมิต คือเห็นสังขารธรรมวาเปนภัยอยูเองโดยปกติธรรมดา ถึงภัย อื่น ๆ ไมมีมา หาภัยอื่นจะเบียดเบียนบมิได สังขารนั้นก็จะเบียดเบียนตนเองอยูเปนภัยอยูเองโดย สภาวะปกติ ปญญาพิจารณาเห็นสังขารธรรมวาเปนภัยอยางนี้ ก็จัดเปนอาทีนวญาณประการ ๑ “อายุหนาภยํ” ปญญาที่พิจารณาเห็นกุสลกุสลากรรม ซึ่งเปนเหตุเปนปจจัยตกแตง ปฏิสนธิในเบื้องหนา ๆ วาเปนภัยย่ํายีบีฑาสรรพสัตวทั้งปวงนี้ ก็จัดเปนอาทีนวญาณประการ ๑ “ปฏิสนฺธิภยํ” ปญญาที่พิจารณาเห็นปฏิสนธิวิญญาณวาเปนภัยนั้น ก็จัดเปนอาทีนวญาณ ประการ ๑ “คติภยํ” ปญญาที่พิจารณาเห็นปฏิสนธิคติทั้ง ๕ คือ นิรยคติ เปตคติ ติรัจฉานคติ มนุสส คติ เทวคติ วาเปนภัยเบียดเบียนบีฑานั้นก็จัดเปนอาทีนวญานประการ ๑ “นิพฺพตฺติภยํ” ปญญาที่พิจารณาเห็นวากิริยาที่บังเกิดในกําเนิดแลวิญญาณฐิติ แลสัตตา วาสนั้นเปนภัยแท ๆ ถึงจะบังเกิดขึ้นไมมีนามธรรมเลย คงบังเกิดแตรูปธรรมเหมือนอยางสัตวในอสัญี ภพนั้นก็คงเปนภัยอยู เที่ยงแท อนึ่งไมมีรูปธรรมเลย คงบังเกิดแตนามธรรมเหมือนอยางสัตวอรูปภพนั้น ก็คงเปนภัยอยู โดยปกติธรรมดา จะปราศจากภัยนั้นหาบมิไดขึ้นชื่อวาบังเกิดขึ้นแลว ก็มีแตภัยนั้นแลเปนเบื้องหนา ปญญาที่พิจารณาเห็นกิริยาที่ขันธบังเกิด ในกําเนิดแลวิญญาณฐิติแลสัตตาวาสวาเปนภัยอยางนี้ก็ จัดเปนอาทีนวญาณประการ ๑ “อุปฺปตฺติภยํ” ปญญาพิจารณาเห็นวิบากปวัตติ คือเห็นวากิริยาที่วิบากจิตใหสําเร็จผลในป วัตติกาลโดยสมควรแกกรรมนั้น เปนภัยอันพิลึกย่ํายีบีฑาสรรพสัตวสิ้นทั้งปวงเห็นอยางนี้ก็จัดเปน อาทีนวญาณประการ ๑ “ชาติภยํ” ปญญาที่พิจารณาเห็นชาติอันบังเกิดเปนปจจัยแกชราเปนอาทิวา เปนภัยอัน พิลึกนั้น ก็จัดเปนอาทีนวญาณประการ ๑ “ชราภยํ”ปญญาที่พิจารณาเห็นความขราวาเปนภัยนั้น ก็จัดเปนอาทีนวญาณประการ ๑ “พฺยาธิภยํ” อาทีนวญาณประการ ๑
ปญญาที่พิจารณาเห็นพยาธิทุกข
อันเบียดเบียนบีฑาสัตวทั้งปวงวาเปน
“มรณภยํ” ปญญาที่พิจารณาเห็นมรณะอันสังหารผลาญชีวิตสัตววาเปนภัยอันพิลึกนั้น ก็ จัดเปนอาทีนวญาณประการ ๑ เห็นโศกทุกขวาเปนภัย เห็นปริเทวทุกขโทมนัสวาเปนภัยเห็นอุปายาสทุกขเปนภัยนั้น ก็ จัดเปนอาทีนวญาณประการ ๑ มีพระพุทธฎีกาโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนา ยกเอาปญญาที่เห็นภัยนั้น มาสําแดงเปน อาทีนวญาณดวยประการฉะนี้ เพราะเหตุวากิริยาที่เห็นภัยกับเห็นโทษนี้จะไดไกลกันหาบมิได เมื่อ เห็นภัยแลวก็เห็นโทษ ๆ แลวก็เห็นภัย ภัยกับโทษนั้นอรรถอันเดียวกันตางกันแตพยัญชนะ พึงรูเถิดวา ภยตูปฏฐานกับอาทีนวญาณนี้ ตางกันแตชื่อตางกันแตพยัญชนะ มีอัตถาธิบายเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 106 มีพระพุทธฎีกาตรัสเทศนาอาทีนวญาณ ดวยประการฉะนี้แลวลําดับนั้นจึงตรัสเทศนา สําแดงสันติปทญาณ อันมีอารมณเปนปฏิปกษกับอารมณแหงอาทีนวญาณนั้นสืบไปวา “อนุปฺปาโท เขมนฺติ สนฺติปเท ญาณํ อปฺปวติตํ ฯ เป ฯ อนุปฺปายาโส เขมนฺติ สนฺติป เท ญาณํ” อธิบายวา ปญญาอันพิจารณาเห็นวากิริรยาที่ไมบังเกิดอีกนั้นแล เปนเกษมปราศจากภัย พิจารณาเห็นอยางนี้ ไดชื่อวาสันติปทญาณประการ ๑ อธิบายวา ปญญานั้นนอมไปสูพระนิพพาน อันเปนที่ระงับสังขารธรรมทั้งปวง เหตุดังนี้ จึง เรียกวาสันติปทญาณ ใชแตเทานั้น ปญญาที่พิจารณาเห็นวากิริยาที่รูปธรรมแลอรูปธรรม บมิไดประพฤติเปนไป ในภพนี้ แลเปนที่เกษมปราศจากภัยพิจารณาเห็นอยางนี้ ก็ไดชื่อวาสันติปทญาณเหมือนกัน ใชแตเทานั้น ปญญาอันพิจารณาเห็นวากิริยาที่นิมิต คือหาสังขารธรรมบมิได สังขารธรรม สิ้นสูญไปไมมีสืบตอไปอีกนั้น ไดชื่อวาเกษมปราศจากภัยดวยแท ถายังมีสังขารธรรมอยูตราบใด ก็ไดชื่อวามีภัยอยูตราบนั้น ถาไมมีสังขารธรรม ขาดจาก สังขารธรรมแลวกาลใด ก็ไดชื่อวาถึงที่เกษมปราศจากภัยในกาลนั้น ปญญาอันพิจารณาเห็นวากิริยาที่หาสังขารธรรมบมิไเดนั้น ไดชื่อวาถึงที่อันเกษมปราศจาก ภัย เห็นอยางนี้ ก็ไดชื่อวาสันติปทญาณประการ ๑ อนึ่ง ปญญาอันพิจารณาเห็นวากุสลากุสลกรรม ซึ่งเปนเหตุเปนปจจัยตกแตงปฏิสนธิในภพ เบื้องหนานั้น ถาไมมีในสันดานแหงสัตวจําพวกใด สัตวจําพวกนั้น ก็ไดชื่อวาถึงที่เกษมปราศจากภัย เปนแท ปญญาพิจารณาเห็นฉะนี้ ก็ไดชื่อวาสันติปทญาณประการ ๑ ปญญาที่พิจารณาเห็นวา ถาหาปฏิสนธิวิญญาณบมิได สิ้นปฏิสนธิวิญญาณแลวก็ไดชื่อวา เกษมปราศจากภัยเปนแท ปญญาพิจารณาเห็นอยางนี้ก็จัดเปนสันติปทญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวาชาติบมิได ไมเวียนเอาชาติสิ้นชาติแลวก็ไดชื่อวาเกษมปราศจาก ภัย เห็นอยางนี้ ก็จัดเปนสันติปทญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวาหาชราบมิได สิ้นแกสิ้นชรานั้นก็ไดชื่อวาเกษมปราศจากภัย เห็น อยางนี้ ก็ไดชื่อวาสันติปทญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวาถาหากโรคาพยาธิบมิไดพนจากโรคาพยาธิ สิ้นจากพยาธิแลว ก็ได ชื่อวาเกษมปราศจากภัย เห็นอยางนี้ก็ไดชื่อวา สันติปทญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวา ถาหามรณะบมิไดไมเวียนตายตอไปแลวก็ไดชื่อวาเกษมปราศจาก ภัย เห็นอยางนี้ ก็ไดชื่อวาสันติปทญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวา สิ้นความโศกเศราแลว ก็ไดชื่อวาเกษมนิราศภัย เห็นอยางนี้ ก็ จัดเปนสันติปทญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวา ถาหาปริเทวนาการบมิได ตัดความรองไหร่ําไรขาดแลว ไมรูรองไห
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 107 ตอไปอีกแลวกาลใด ก็ไดชื่อวาเกษมนิราศภัย ในกาลนั้น ปญญาเห็นอยางนี้ ก็ไดชื่อวาสันติปทญาณ ประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวา ถาปราศจากสะอื้นอาลัยสิ้นสุดแลว ตัดสะอื้นอาลัยขาดแลว ก็ได ชื่อวาถึงที่เกษมนิราศภัย เห็นอยางนี้ก็ไดชื่อวาสันติปทญาณประการ ๑ นักปราชญพึงสันนิษฐานวา สันติปทญาณนี้นอมไปสูพระนิพพานพิจารณาเอาคุณพระ นิพพาน ที่ปราศจากทุกข ปราศจากภัยนั้นเปนอารมณฝายวาอาทีนวญาณนั้น พิจารณาเอาทุกขเอาภัย เปนอารมณ ตกวาปญญาทั้งสองนี้มีอารมณนั้นผิดกันอยูฉะนี้ เหตุดังนั้นพระผูเปนเจาพุทธโฆษาจารย จึงสําแดงอรรถาธิบายวา สันติปทญาณนี้มีอารมณเปนปฏิปกษกันกับอารมณแหงอาทีนวญาณ ถาจะ นับโดยพิสดารนั้นอาทีนวญาณที่พิจารณาเห็นภัยนี้นับได ๑๕ ประการ ดวยสามารถบท ๑๕ แตทวา บททั้ง ๒ คือ นิพฺพตฺติกยํ ๑ ชาติภยํ ๑ ทั้ง ๒ บทนี้เปนคําเปลี่ยนแหงบทเบื้องตน คือ “อุปฺปาโท ภยํ” บททั้ง ๒ คือ คติภยํ ๑ อุปตฺติภยํ ๑ ทั้งสองบทนี้เปนคําเปลี่ยนแหงบท คือ “ปวตฺติภยํ” บท ๖ บท คือ ชราภยํ ๑ พยาธิภยํ ๑ มรณภยํ ๑ โสโกภยํ ๑ ปริเทวภยํ ๑ อุปายาโสภยํ ๑ ทั้ง ๖ บทนี้เปนคําเปรียบแหงบท คือ “นิมิตฺตภยํ” อาศัยเหตุที่เปนคําเปลี่ยนเสีย ๑๐ บทแลว ยังคงอยู ๕ บท คือ อุปฺปาโทภยํ ๑ ปวตฺติภยํ ๑ นิมิตฺตภยํ ๑ อายุหนาภยํ ๑ ปฏิสนฺธิภยํ ๑ ทั้ง ๕ บทนี้เปนวัตถุอาทีนวญาณ นักปราชญผูจะนับอาทีนวญาณ ที่พิจารณาเห็นเปนภัยนั้นพึงนับเอาแต ๕ ประการ นับเอา ตามบทที่จัดเปนวัตถุ แหงอาทีนวญาณนั้น บทที่เปนคําเปลี่ยน ๑๐ บทนั้น อยานับเอาเลยเพราะยอ เขาเสียในบท ๕ บท นั้นแลว ถึงในสันติปทญาณนั้นก็ยอเสีย ๑๐ บท นับเอาแต ๕ บท นับสันติปทญาณแต ๕ ประการ พึงถือเอาอาทีนวญาณนั้นเปนเยี่ยงอยางเถิด สมเด็จพระมหากรุณาเมื่อตรัสเทศนาสันติปทญาณ โดยนัยดังวิสัชนามาฉะนี้แลว ลําดับนั้น จึงตรัสเทศนาอาทีนวญาณซ้ําอีกเลา อาทีนวญาณที่ตรัสเทศนาซ้ําอีกเลานี้ มีอารมณตางกันกับ อาทีนวญาณที่ตรัสวิสัชนาในที่เดิม ๆ นั้น พิจารณาโดยนัยอาทีนวญาณ ที่ตรัสเทศนาอีกเลานี้ พิจารณาโดยทุกขังวา “อุปฺปาโท ทุกฺขนฺติ ภยตูปฎเน ปฺญา อาทีนเว ญาณํ ปวตฺตํ ฯลฯ อุปายาโส ทุกขนฺติภยตูปฎาเน ปฺญา อาทีนเว ญาณํ” อธิบายวา ปญญาที่พิจารณาเห็นวา “อุปฺปาโท ทุกฺข” กิริยาที่บังเกิดแลว ๆ เลา ๆ ไมสิ้น ไมสุดไมหยุดไมยั้งนี้ เปนทุกขอันใหญแหงสรรพสัตวทั้งปวง พิจารณาเห็นอยางนี้ จัดเปนอาทีนว ญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวา “ปวตฺติทุกฺขํ” กิริยาที่รูปธรรมแลอรูปธรรม แตบรรดาที่บังเกิดแลว แลประพฤติเปนไปในไตรภพนี้ประกอบไปดวยทุกขเปนอันมากยิ่งนัก ไมรูหมดไมรูสิ้น เห็นอยางนี้ก็ จัดเปนอาทีนวญาณประการ ๑ ปญญาที่พิจารณาเห็นวา สังขารธรรมมากไปดวยทุกขนั้นก็ดี พิจารณาเห็นวากุสลากุสล กรรม ที่เปนปจจัยตกแตงปฏิสนธิในเบื้องหนานั้นเปนกองทุกขก็ดี พิจารณาเห็นวาปฏิสนธิเปนกอง ทุกขก็ดี พิจารณาเห็นวาเปนกองทุกขก็ดี เห็นวาบังเกิดกในกําเนิด ๔ วิญญาณฐิติ ๗ สัตตาวาส ๙
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 108 เปนกองทุกขนั้นก็ดี พิจารณาเห็นวากิริยาที่วิบากจิตใหสําเร็จผลเปนกองทุกขก็ดี เห็นวากิริยาที่เวียน เอาชาติกําเนิดเปนกองทุกข สภาวะโศกเศราเปนกองทุกข กิริยาที่รองไหร่ําไรเปนกองทุกขกิริยาที่ สะอื้นไหเปนกองทุกขสิ้น ทั้งปวงนี่แตลวนจัดเปนอาทีนวญาณและอัน ๆ นับอาทีนวญาณที่พิจารณา เห็นทุกขโดยนัยพิสดารไดถึง ๑๕ ประการ ตามบท ๑๕ บทนั้น แตทวาใหนับเอาแต ๕ ยอบท ๑๐ บท ที่เปนคําเปลี่ยนเขาเสียตามนัยหนหลัง เมื่อสําแดงอาทีนวญาณ อันพิจารณาเห็นกองทุกขโดยสังเขป คือ รวมเขาเสียสําแดงแต ๕ ประการเสร็จแลว ลําดับนั้นจึงสําแดงสันติปทญาณสืบตอไปตามนัยไปยาลวา “อนุปฺปาโท สุขนฺ ติ ขนฺติ ปเท ญาณํ อปฺปวตฺตํ ฯ เป ฯ อนุปฺปายาโส สุขนฺติ สนฺปเทติ ญาณํ” อธิบายวา ปญญาอันพิจารณาเห็นวา กิริยาที่สิ้นภพสิ้นชาติบมิไดบังเกิดสืบไปนี้เเลเปนสุข แท ปญญาเห็นฉะนี้ จัดเปนสันติปทญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวา ถารูปธรรมแลอรูปธรรมบมิไดประพฤติเปนไปในไตรโลกแลวก็ จัดเปนสุขโดยแท เห็นฉะนี้จัดเปนสันติปทญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวา หาสังขารธรรมมิไดสิ้นสูญขาดจากสังขารธรรมแลวก็เปนสุขแท เห็นฉะนี้จัดเปนสันติปทญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวา ถากุสลากุสลกรรมจะตกแตงปฏิสนธิบมิไดแลวก็เปนสุขแท เหตุ ฉะนี้ จัดเปนสันติปทญาณประการ ๑ ปญญาพิจารณาเห็นวาหาปฏิสนธิคติบมิไดเปนสุขแทนั้นก็ดี เห็นวาถาไมบังเกิดในกําเนิด ๔ ไมบังเกิดในวิญญาณฐิติ ๗ แลสัตตาวาส ๙ แลวก็เปนสุข แท เห็นอยางนั้นก็ดี เห็นวาถาวิบากจิตบมิอาจใหสําเร็จผลได ตัดวิบากขาดนี้แลเปนสุขแทเห็นอยางนี้ก็ดี เห็นวาถาไมเวียนเอาชาติสืบตอไปแลวก็เปนสุขแท เห็นอยางนั้นก็ดี เห็นวาหาชราบมิไดเปนสุขแทก็ดี เห็นวาหาพยาธิบได เปนสุขแทก็ดี เห็นวาหามรณะบ มิไดเปนสุขแทก็ดี เห็นวาหาความโศกบมิไดเปนสุขแทก็ดี เห็นวาหาปริเทวทุกขบมิไดเปนสุขแทก็ดี เห็นขาดจากสะอื้นอาลัยเปนสุขแทก็ดี ปญญาพิจารณาเห็นตาง ๆ อยางสําแดงมาฉะนี้ แตลวนจัดเปน สันติปทญาณแตละอัน ๆ นับโดยพิสดารได ๑๕ ประการ แตทวารวบเขาเสียคงยกขึ้นสําแดงแต ๕ ประการเหมือนดวยสันติปทญาณที่สําแดงแลวแตหลัง ลําดับนั้น จึงมีพระพุทธฏีกาตรัสเทศนาสําแดงอาทีนวญาณซ้ําอีกเลามีลําดับแหงบทนั้นห มือนนัยหนหลัง แปลกกันแตวิธีที่พิจารณา ในวารเปนปฐมนั้น อาทีนวญาณ พิจารณาเห็นวาอาการมีความบังเกิดเปนตน แตลวนเปน ภัยสิ้นทั้งปวง ในวารเปนคํารบ ๒ นั้น อาทีนนวญาณพิจารณาเห็นวาอาการมีบังเกิดเปนตนแน แตลวน เปนทุกขสิ้นทั้งปวง ในวารเปนคํารบ ๓ ที่สําแดงบัดนี้ อาทีนวญาณพิจารณาเห็นวาอาการทั้งปวง มีบังเกิดสืบ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 109 ตอไปเปนตนนั้น แตลวนประกอบไปดวยอามิสทั้งปวง อามิสนั้นประสงคเอาธรรม ๓ ประการ คือ กิริยาที่เวียนไปในสงสาร ก็จัดเปนอามิสประการ ๑ ขันธาทิโลก ก็จัดเปนอามิสประการ ๑ กิเลสธรรมทั้งปวง ก็จัดเปนอามิสประการ ๑ เปนใจความวา ปญญาพิจารณาเห็นอาการทั้งปวงมีบังเกิดสืบตอไปเปนตน มีสะอื้นอาลัย เปนที่สุดวาประกอบดวยอามิสนั้นจัดเปนอาทีนวญาณแตละอัน ๆ นับโดยบท ๑๕ มี “อุปฺปาโท สา มิส”ํ เปนตนมี “อุปฺปายาโส สามิสํ” เปนที่สุดนั้นไดอาทีนวญาณถึง ๓๕ แตทวารวบเขาเสีย ๑๐ บท นับเอาแต ๕ บทในเบื้องหนาตกวานับเอาอาทีนวญาณแต ๔ ประการโดยนัยหนหลัง เมื่อสําแดงอาทีนวญาณ ดวยประการอันประกอบดวยอามิสจบลงแลวลําดับนั้นจึงสําแดง สันติปทญาณ อันเปนไปดวยอาการอันพิจารณาเห็นวากิริยาที่ไมบังเกิดสืบไปเปนตน ตราบเทาจนถึง กิริยาที่ขาดจากสะอื้นอาลัยเปนที่สุดนั้น แตลวนปราศจากอามิสทั้ง ๓ ประกอรคือ ปราศจากกิริยาที่ เวียนไปในสงสารประการ ๑ ปราศจากขันธาทิโลกประการ ๑ ปราศจากกิเลสประการ ๑ เมื่อสําแดงสันติปทญาณ อันพิจารณาซึ่งอาการอันปราศจากอามิสโดยบท ๑๕ มี “อนุปฺ ปาโท นิรามิสํ” เปนอาทิ มี “มีอนุปฺปายาโส นิรามิสํ” เปนที่สุด รวบเขาเสีย ๑๐ บทนับเอาแต ๕ บทในเบื้องตน คงนับสันติปทญาณแต ๕ ประการเสร็จแลว ลําดับนั้นจึงสําแดงอาทีนวญาณดวยบท ๑๕ บทอีกเลา มี “อุปฺปายาโส สงฺขารา” เปนตน มี “อุปฺปาโท สงฺขารา” เปนที่สุด อธิบายวาอาทีนวญาณนั้น พิจารณาเห็นวากิริยาที่บังเกิดสืบตอไปไมสิ้นไมสุด เกิดแลวเกิด เลานั้นมิใชอื่น คือสังขารธรรม วัตถุที่บังเกิดแลวแลประพฤติเปนไปในภพ เสวยทุกขเวทนามีประการตาง ๆ นั้น ก็มิใชอื่น คือสังขารธรรมตลอดไปจนถึงอุปายาสทุกขอันมีลักษณะใหอาลัยนั้นแตลวนเปนสังขารธรรมสิ้นทั้งนั้น จะไดเปนอื่นหาบมิได ในวาระอันนี้ ก็รวบบท ๑๐ บทเขาเสีย นับเอาแต ๕ บทในเบื้องตน คงนับเอาทีนวญาณแต ๕ ประการโดยนัยหนหลัง เมื่อสําแดงอาทีนวญาณดวยอาการอันพิจารณา ซึ่งกิริยาที่บังเกิดเปนตนวาเปนสังขารธรรม จบลงแลว ลําดับนั้นจึงสําแดงสันติปทญาณอันเปนไปดวยอาการอันพิจารณาเห็นวา กิริยาที่ไมบังเกิด สืบไปเปนตนตราบเทาจนถึงกิริยาที่ขาดจากสะอื้นอาลัยเปนที่สุดนั้น แตลวนเปนนิพพานอื่นดวยกัน จะเปนสิ่งอื่นหาบมิได ในวาระอันนี้ก็รวบบท ๑๐ บทเขาเสีย นับเอาแต ๕ บท ในเบื้องตน คงนับสันติปทญาณแต ๕ ประการเหมือนนัยหนหลัง สกนัยวา
เมื่อสําแดงสันติปทญาณโดยสทุธิกนัยจบลงแลว ลําดับนั้นจึงสําแดงสันติปทญาณโดยมิ “อุปฺปาโท สงฺขารา อนุปฺปาโท นิพฺพานนฺติ สนฺติปเท ญาณํ ปวตฺตํ ฯ เป ฯ อุปฺปา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 110 ยาโส สงฺขารา อนุปฺปายาโส นิพฺพานนฺติ สนฺติปเท ญาณํ” อธิบายวา ปญญาที่พิจารณาเห็นวา กิริยาที่บังเกิดสืบตอไปนั้นเปนสังขารธรรม กิริยาที่ไม บังเกิดสืบตอไปนั้นเปนนิพพาน ปญญาพิจารณาเห็นดังนั้น ตลอดไปตราบเทาถึงปญญา อันพิจารณา เห็นวาสะอื้นอาลัยเปนสังขารธรรม ปราศจากสะอื้นอาลัยเปนนิพพานตลอดถึงบทที่จัดเปนสันติปท ญาณแตละอัน ๆ แตทวาควรจะรวบเสีย ๑๐ บท เพราะเหตุเปนคําเปลี่ยน ควรจะนับเปนสันติปทญาณ แต ๕ บทในเบื้องตน ประดุจนัยที่สําแดงแลวแตหลัง สิริอาทีนวญาณ จําเดิมแตบทวาระเปนปฐมนั้นมา เปนอาทีนวญาณ ๒๐ ทัศ ฝายสันติปท ญาณนั้น สิริแตตนมาเปนสันติปทญาณ ๒๕ แตทวาภัยแลทุกขแลอามิสแลสังขารนั้น เปนเววจนะแหง กัน ตางกันแตพยัญชนะอรรถาธิบายบมิไดตางกัน เหตุฉะนี้ ถึงทีเมื่อจะสําแดงสังเขปนั้น ทานยอมยน เขาเสียนับเอาอาทีนวญาณคงอยูดวยแต ๕ สันติปทญาณก็คงอยูแต ๕ ประการ ประสมเขาเปน ปญญา ๑๐ สมดวยบทพระคาถาวา อุปฺปทฺจ ปวตฺตฺจ นิมิตฺตํ ทุกฺขนฺติ ปสฺสติ อายุหนํ ปฏิสนฺธึ ญาณํ อาทีนเว อิทํ อานุปฺปาทํ อปฺปาวตฺตํ อนิมิตฺตํ สุขนฺติ จ อานายุหนา ปฏิสนฺธิ ญาณํ สนฺติปเท อิทํ อาทีนเว ญาณฺจ ปฺจฏาเนสุ ชายติ ปฺจฏาเน สนฺติปเท ทสฺญาเณ ปชานาติ ทฺวินฺนํ ญาณานํ กุสลาตา นานาทิฏีสุ น กมฺปตีติ อธิบายในบาทพระคาถานี้ ก็เหมือนอรรถาธิบายอันกลาวแลวแตหลังมีวิเศษแตที่สําแดง อานิสงสในเบื้องปลาย ขอสําแดงอานิสงสนั้นวา พระโยคาพจรเจาทั้งหลายผูไดซึ่งปญญา ๑๐ คือฝายอาทีนว ญาณ ๕ ฝายสันติปทญาณ ๕ แลวแลฉลาดรวบปญญาทั้ง ๑๐ นี้เขาไวใหเปนแตสอง คืออาทีนว ญาณ ๕ นั้นรวบเขาเปน ๑ สันติปทญาณนั้นรวบเขาเปน ๑ รูสันทัดชัดเจนในปญญา ๒ ประการนี้แลว กาลใดพระโยคาพจรนั้นก็จะมิไดกัมปนาทหวั่นไหวดวย มิจฉาลัทธิทิฏฐิธรรมนิพพานวาททิฏฐิเปนตน เปนประธานในกาลนั้น ขอซึ่งสําแดงสันติปทญาณ ประดับไวในหองแหงอาทีนวญาณนี้ ดวยมีประโยชนจะสําแดง อานิสงสแหงอาทีนวญาณ ที่สําเร็จดวยอํานาจแหงภยตูปฏฐานญาณนั้นประการ ๑ จะใหบังเกิดชื่นชมโสมนัส แกพระโยคาพจรนั้นประการ ๑ เพราะเหตุวาพิจารณาเห็นภัยเห็นโทษแลว จิตก็จะนอมไปในพระนิพพานธรรม อันเปน ปฏิปกษแหงภัยแลโทษนั้น “อาทีนวานุปสฺสนาญาณํ นิฏิตํ” จบอาทีนวญาณแตเทานี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 111 แตนี้จะสําแดงนิพพิทาญาณสืบตอไป “เอวํ สพฺพสงฺขารา อาทีนวโต ปสฺสนฺโต” เมื่อพระโยคาพจรเจาพิจารณาเห็นสังขาร ธรรมทั้งปวงประกอบดวยโทษ โดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ จิตนั้นก็จะมีความกระสันเหนื่อยหนายจาก ภพ เหนื่อยหนายจากกําเนิดแลคติ เหนื่อยหนายจากวิญญาณฐิติ แลสัตตาวาสบมิไดรักใครอาลัย อาวรณอยูในโลกสันนิวาส เปรียบประดุจดังพระยาสุวรรณราชหงสอันมิไดยินดีที่จะลงในหลุมอัน โสโครกแทบประตูบานจัณฑาล พระยาสุวรรณราชหงสนั้นยอมยินดีที่จะลงในเชิงเขาจิตรกูฏ แลมหา สระทั้ง ๘ อันนี้แลมีฉันใด พระยาราชหงสคือ พระโยคาพจรเจานั้น เมื่อพิจารณาเห็นโทษแหงสังขาร ธรรมทั้งปวงโดยนัยที่สําแดงมาแลวแตหนหลังนั้น ก็บังเกิดความกระสันเหนื่อยหนายบมิไดยินดีใน สังขารธรรม ยินดีอยูแตในกิริยาที่จะจําเริญอนุปสสนาทั้ง ๗ คือ อนิจจานุปสสนา ทุกขานุปสสนา อนัตตานุปสสนา นิโรธานุปสสนา โดยนัยที่สําแดงมาแลวแตหลัง “เอวํ ตถา” มีอุปมาดังพระยา สุวรรณราชหงส อันมิไดยินดีในหลุมแทบประตูบานจัณฑาล ยินดีแตจะลงในเชิงเขาจิตรกูฏแลมหา สระทั้ง ๗ นั้น ถามิฉะนั้นเปรียบประดุจราชสีห อันมิไดยินดีที่จะอยูกรงทอง ราชสีหนั้นยอมยินดีอยูในปา พระหิมวันต อันกวางขวางได ๓ พันโยชน แลมีฉันใด ราชสีหคือพระโยคาพจรนั้น ก็บมิไดยินดีในสุคติ ภพทั้ง ๓ คือ กามสุคติภพแลรูปภพแลอรูปภพ ยินดีอยูแตในอนุปสสนาทั้ง ๓ คือ อนิจจานุปสสนา ทุก ขานุปสสนา อนัตตานุปสสนา มีอุปไมยดังนั้น มิฉะนั้นเปรียบประดุจพระยาคชสารตัวประเสริฐ เชื่อชาติฉัททันตมีพรรณเผือกผูผอง มีหาง แลงวงนิมิตประถึงพื้น มีอิทธิฤทธิ์ดําเนินไดในเวหา อันมิไดยินดีที่จะอยูในทามกลางพระนคร พระยา ฉัททันตนั้นยอมยินดีที่จะอยูในฉัททันตสระในปาหิมวันตแลมีฉันใด พระยาคชสารคือพระโยคาพจรนี้ มิไดยินดีในสังขารธรรมทั้ง ยินดีในพระอมตะมหานิพพาน อันเปนที่ระงับสังขาร มีจิตนอมไปสูพระ นิพพานโอนไปสูพระนิพพานเงื้อมไปสูพระนิพพาน มีอุปไมยดังนั้น นักปราชญพึงสันนิษฐานวา นิพพิทาญาณกับภยตูปฏฐานญาณแลอาทีนวญาณทั้ง ๓ ประการนี้ ตางกันแตชื่อเรียก ตางแตพยัญชนะอรรถอันเดียวกัน อรรถจะไดตางกันหาบมิได เหตุดังนั้น พระโบราณาจารยจึงกลาวสระบาลีสําแดงขออันนี้วา “ภยตูปฏานํ เอกเมว ตินินามานิ ลภติ” วา ภยตูปฏฐานญาณอันเดียวนี้แลไดชื่อ ๓ ชื่อ เมื่อพิจารณาสังขารโดยภัยก็ไดชื่อวาภยตูปฏฐานญาณ เมื่อพิจารณาสังขารโดยโทษ ก็ไดชื่อวาอาทีนวญาณ เมื่อเห็นภัยเห็นโทษแหงสังขารแลวแลเหนื่อย หนาย ก็ไดชื่อวานิพพิทาญาณ “นิพฺพิทานุปสฺสนาญาณํ นิฏิตํ” สําแดงนิพพิทาญาณจบแตเทานี้ แตนี้จะสําแดงมุญจิตุกามยตาญาณตอไป “อิมินา นิพฺพินทาญาเณน อิมสฺส กุลปุตฺตสฺส นิพฺพินทนฺตสฺส อุกฺกณฺนฺตสฺส” เมื่อพระโยคาพจรกุลบุตรผูจําเริญนิพพิทาญาณนี้ มีความกระสันเหนื่อยหนายจากสังขาร ธรรม บมิไดยินดีปรีดาในสังขารธรรมแลวนั้นกาลใด จิตแหงพระโยคาพจรนั้นก็มิไดเกี่ยวมิไดของ บ มิไดติดพันอยูในสังขารธรรมอันใดอันหนึ่งเลย จิตนั้นปรารถนาแตที่จะไปใหพนจากแห แลปรารถนา จะใครพนจากแห มิฉะนั้นเปรียบประดุจดังกบอันอยูในปากงู แลปรารถนาจะใครพนจากปากงู มิฉะนั้นเปรียบประดุจไกปาอันบุคคลผูขังไวในกรง แลปรารถนาจะไปใหพนจากกรง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 112 มิฉะนั้นเปรียบประดุจเนื้ออันติดบวงมั่น แลดิ้นรนปรารถนาจะไปใหพนจากบวง มิฉะนั้นเปรียบประดุจงู อันอยูในเงื้อมมือแหงหมองู แลปรารถนาจะหนีไปใหพนจากเงื้อม มือแหงหมองู มิฉะนั้นเปรียบประดุจชางสาร อันจมอยูในเปอกตม แลปรารถนาจะรื้อตนใหพนจากเปอก ตม มิฉะนั้นเปรียบประดุจพระยานาค อันอยูในปากแหงพระยาครุฑ แลปรารถนาแตที่จะไปให พนจากปากครุฑ ปากราหู ศัตรู
มิฉะนั้นเปรียบประดุจพระจันทร อันอยูในปากแหงราหู แลปรารถนาจะออกไปใหพนจาก มิฉะนั้นเปรียบประดุจบุรุษ อันศัตรูแวดลอมอยูโดยรอบ แลปรารถนาจะไปใหพนจากปาก ปลาอันของอยูในแหเปนอาทินั้น ดิ้นรนขวนขวายที่จะไปใหพนแลมีฉันใด
พระโยคาพจรกุลบุตรผูไดสําเร็จมุญจิตุกามยตาญาณ จากสังขารธรรม มีอุปไมยดังนั้น
ก็มีความปรารถนาแตจะไปใหพน
“มฺุจิตุกามยตาญาณํ นิฏิตํ” สําแดงมุญจิตุกามยตาญาณจบแตเพียงเทานี้ แตนี้จะสําแดงปฏิสังขาญาณสืบตอไป เกหิ สงฺขาเรหิ มฺุจิตุกาโม”
“โส เอวํ สพฺพภวโย นิคติิติวาสตเตหิ สเภท
เมื่อพระโยคาพจรกุลบุตรปรารถนาจะไปใหพนจากสังขารธรรมอันประกอบดวยประเภทอัน ตางดวยสามารถทองเที่ยวไปในพิภพทั้งปวง แลกําเนิด ๔ แลคติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ สัตตาวาส ๙ ประการฉะนี้แลว “ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา” พระโยคาพจรเจานั้นพึงยกปญญาขึ้นสูพระไตรลักษณ พิจารณาสังขารธรรมทั้งหลายดวยปฏิสังขานุปสสนาญาณกําหนดกฏหมายโดยอาการเปนอันมากใน พิธีพิจารณา อนิจจังลักษณะนั้น พิจารณาโดยอาการเปนอาทิคือ “อนิจฺจนฺติกโต” พิจารณาโดย อาการอันบมิไดเที่ยงนั้นประการ ๑ “ตาวกาลิกโต” พิจารณาโดยอาการเหมือนดวยของยืมเขามาประการ ๑ “อุปปาทฺวยปริจฺฉินฺนโต”
พิจารณาโดยกําหนด
ซึ่งกิริยาอันบังเกิดแลวแลฉิบหาย
ประการ ๑ “ปโลกโต” พิจารณาใหเห็นสังขารธรรมนั้น มีสภาวะขาดเด็ดกระเด็นออกดวยอํานาจ พยาธิทุกขแลมรณาประการ ๑ “จลโต”
พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมนั้น ไหวอยูดวยพยาธิแลชราแลมรณะธรรมนั้น
ประการ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 113 “ปภงฺโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมนั้น บางคาบมีสภาวะทําลายเอง ทําลายดวยความเพียรแหงผูอื่นอีกประการ ๑
บางคาบ
“อธุวโต” พิจารณาใหเห็นสังขารธรรมบมิไดตั้งอยูเปนนิตยยอมทอดทิ้งกลิ้งอยูในสถาน ประเทศตาง ๆ ไมมีกําหนดประการ ๑ “วิปริณามธมฺมโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมมีสภาวะวิปริตแปรปรวนประการ ๑ “อสารกโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมหาแกนสารบมิได “วิถวโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรม มีแตความฉิบหายเปนเบื้องหนา บมิไดพนจาก ความฉิบหายประการ ๑ “สงฺขตโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมแลวดวยกุสลากุศลประชุมแตงประการ ๑ “มรณธมฺมโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรม มีแตความตายเปนที่สุดประการ ๑ ใหพระโยคาพจรเจายกปญญาขึ้นสูอนิจจลักษณะ พิจารณาดวยอาการเปนตนดังนี้ ในพิธีพิจารณาทุกขลักษณะนั้น ใหพระโยคาพระจรเจาพิจารณาดวยอาการเปนอาทิ คือ “อภิณฺหปฏิปฬนโต” พิจารณาโดยอาการอันทุกขเบียดเบียนสังขารธรรมเนือง ๆ บมิรู แลวประการ ๑ “ทุกฺขขมโต” พิจารณาใหเห็นวากองทุกขทั้งปวงมีชาติทุกขเปนตนซึ่งครอบงําย่ํายี สังขารธรรมนั้น ยากนักที่จะอดกลั้นทนทานไดประการ ๑ ประการ ๑ ๑
“รุวตฺถุโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรม เปนวัตถุอันชั่วเปนของชั่วยิ่งกวาของทั้งปวง “โรคโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรม เปนโรคอยูเปนนิตยเปนไขอยูเปนนิตยประการ
“คฌฺฆโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมเปนที่ไหลออกแหงกิเลสแลอสุจิโสโครกตาง ๆ เหมือนดวยฝปางเนาที่แตกเปนบุพโพโลหิตหวะเปอยออกไปนั้นประการ ๑ “สลฺลโต” พิจารณาใหเห็นสังขารธรรม เหมือนดวยลูกปนอันยกเสียดเสียบแทง ยากนักที่ จะถอนไดประการ ๑ “อฆโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมนั้น ประกอบดวยสิ่งอันลามกกวามากพนวิสัยเปน ที่ติฉินนินทาแหงพระอริยเจา ๆ เกลียด อาย เบื่อหนายประการ ๑ “อาพาธโต” พิจารณาใหเห็นสังขารธรรม ประการดวยอาพาธเปนนิตยนิรันดร สิ่งใดที่ไม เปนที่รักไมเปนที่ปรารถนานั้น สังขารธรรมชักนําเอาสิ่งนั้นมาใหสิ่งนั้นบังเกิดขึ้นจนไดพิจารณาดังนี้ ประการ ๑ “อีติโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมนั้นเปนตัวจัญไร นํามาซึ่งความรายความฉิบหาย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 114 เปนอันมากประการ ๑ “อุปทฺทวโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมเปนตัวอุบาทวสิ่งที่ชั่วไมเคยพบ สังขารธรรม ขืนเอามาสะสมลงประการ ๑ “ภยโต พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมเปนบอเกิดแหงภัยทั้งปวงประการ ๑ “อุปสคฺคโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมนี้ คือตัวอันตรายติดตามย่ํายีบีฑาประการ ๑ “อตาณโต” หนึ่งไดประการ ๑
พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมทั้งปวงนี้ บมิอาจคุมครองรักษาสัตวผูใดผู
“อเลณโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมปราศจากที่เรนซอนถึงคราวจะปวยไขถึงคราว จะแกตาย จะหาที่เรนซอนใหพนปวยพนไขใหพนตายนั้นหาไมไดเลยเปนอันขาด พิจารณาดังนี้ ประการ ๑ “อสรณโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรม บมิอาจเปนที่พึ่งคุมครองปองกันชาติ แล ชราพยาธิ แลมรณะไดนั้นประการ ๑ “อาทีนวโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมมากไปดวยโทษประการ ๑ “อฆมูลโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมเปนเคาเปนมูลแหงทุกขประการ ๑ “วธกโต” เพชฌฆาตประการ ๑
พิจารณาใหเห็นวา
สังขารธรรมมีปกติเบียดเบียนบีฑาเหมือนดังนาย
“สาสวโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมประกอบดวยอาสวะกิเลสประการ ๑ “มารามิสฺสโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมเปนเหยื่อแหงมารประการ ๑ “ชาติธมฺมโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมอากูลมูลมองไปดวยชาติทุกขประการ ๑ “ชราธมฺมโต”
พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมเอาเกียรณไปดวยชราทุกขติดตามรัดรึง
ประการ ๑ “พยาธิธมฺมโต”
พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมมากไปดวยพยาธิทุกขครอบงําย่ํายี
ประการ ๑ “มรณธมฺมโต”
พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมมีความมรณะอันแตกทําลายเปนที่สุด
ประการ ๑ “โสกธมฺมโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมประกอบไปดวยโศกทุกข คือมากไปดวย ความเดือดรอนระส่ําระสายประการ ๑ “ปริเทวธมฺมโต” น้ําตาไหนนั้นประการ ๑
พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมมากไปดวยปริเทวทุกข คือรองไหร่ําไร
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 115 “อุปายาสธมฺมโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมมากไปดวยอุปายาสทุกข คือสะอื้น อาลัยประการ ๑ “สงฺกิเลสิกธมฺมโต” ภายนอกประการ ๑
พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมมากไปดวยเศราหมองภายในและ
ใหพระโยคาพจรเจา ยกปญญาขึ้นสูทุกขลักษณะพิจารณาดวยอาการเปนตนดังนี้ นัยหนึ่งใหพระโยคาพจรพิจารณาโดยอสุภลักษณะ อันบังเกิดเปนบริวารแหงทุกขลักษณะ นั้นดวยอาการเปนอาทิ “อชฺญโต” คือพิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมนี้จักไดเปนที่ชอบเนื้อชอบเจริญใจแหง นักปราชญ ผูเห็นโทษดวยปญญาจักษุนั้นหาบมิไดประการ ๑ ๑ ประการ ๑
“ทุคฺคนฺธโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมเนื้ออากูลไปดวยกลิ่นเหม็นกลิ่นเนาประการ “เชคุจฺฉโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมนี้เปนของพึงเกลียดอยูเองเปนปกติธรรมดา
“ปฏิกุลโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมโสโครกอยูเองแลวมิหนําซ้ําเอาสิ่งของอื่น ๆ โสโครกไปดวยประการ ๑ “อมณฺฑนหตโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมนี้ ถาไมประดับแลวก็ปราศจากงามมี งามอันขะจัดจาก เพราะเหตุที่ไมประดับเมื่อไมตกแตงขัดเกลา ไมประดับเครื่องประดับแลว อยาวาถึง จะงามแกปญญาจักษุแหงนักปราชญเลย แตจะงามแกตาอันธพาลปุถุชนก็หางามไมพิจารณาให เห็นชัดดังนี้ประการ ๑ “วิรูปโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมนี้ไมดีเลยแตสักสิ่งสักอัน พิจารณาใหเห็นแต ลวนไมดีอยางนี้ประการ ๑ “วิกจฺฉโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมนี้พึงเกลียดตลอดภายในภายนอก พึงเกลียด ทั้งพื้นต่ําและพื้นบน พึงเกลียดแกตน พึงเกลียดบุคคลผูอื่น พิจารณาอยางนี้ประการ ๑ ใหพระโยคาพจร ขลักษณะดวยประการฉะนี้
ยกปญญาขึ้นพิจารณาขึ้นพิจารณาอสุภลักษณะ
อันเปนบริวารแหงทุก
ในพิธีพิจารณาอนัตตลักษณะนั้น ใหพระโยคาพจรเจาพิจารณาดวยอาการเปนอาทิ คือ “ปรโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมมีสภาวะแปรปรวนเปนอื่น ไมยั่งยืนไมมั่นไมคง ประการ ๑ “รตฺตโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมเปนริตตธรรม เพราะเหตุเปลาจากสภาวะเที่ยง แทและงาม เปลาจากสภาวะเปนสุขและเปนอาตมาบมิไดเหมือนดังใจที่จะกําหนดกฏหมายประการ ๑ “ตุจฺฉโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมนั้นควรจะรองเรียกชื่อวาตุจฉธรรม เพราะเหตุ วาสังขารธรรมนี้ ที่จะงามจะดีเปนสุขอยูนั้นนอยนักนอยหนา ใหพิจารณาดังนี้ประการ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 116 “สฺุญโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมนี้เปนเครื่องดับเครื่องสูญประการ ๑ “อสามิกโต” พิจารณาใหเห็นวาสังขารธรรมนี้หาเจาของบมิไดเพราะเหตุมาประพฤติ ตามวิสัยแหงตน ตามถนัดแหงตน หาผูจะบังคับบัญชาวากลาวบมิไดประการ ๑ “อนิสฺสรโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมนี้หาผูจะเปนใหญขูเข็ญขมขูบมิไดเลยเปน อันขาด ถึงทานที่มีอาชญานุภาพปราบปรามปจจามิตรไดทั่วไปในพื้นปฐพีมณฑลนั้นก็ดี ก็มิอาจ ปราบปรามสังขารธรรมได สังขารธรรมนี้เปนอิสระอยูแกตน ประพฤติตามวิสัยแหงตนถึงที่จะเจ็บก็เจ็บ ถึงที่จะปวดก็ปวด ถึงที่จะเมื่อยก็เหมื่อย ถึงที่จะมึนก็มึน ถึงที่จะแกก็แก ถึงที่จะตายก็ตาย ใครจะหาม ก็ไมฟง เพราะเหตุฉะนี้จึงหาวาผูใดจะเปนใหญขูเข็ญขมขูบมิได พิจารณาใหเห็นชัดดังนี้ประการ ๑ “อสวตฺติโต” พิจารณาใหเห็นวา สังขารธรรมบมิใชตนบมิใชของแหงตน เพราะเหตุไม ประพฤติตามอํานาจแหงตนนั้นประการ ๑ ใหพระโยคาพจรเจายกปญญาขึ้นสูอนัตตลักษณะ พิจารณาใหเห็นดวยอาการเปนตนดังนี้ มีคําปุจฉาวา เหตุไฉนจึงใหพิจารณาดังนี้ วิสัชนาวา ใหพิจารณาฉะนี้เพราะเหตุจะใหสําเร็จอุบายที่จะใหเปลื้องตนออกพนจากสังขาร ธรรม เปรียบเหมือนบุรุษผูหนึ่งสุมปลาครอบงูเหาตัวหนึ่งลง บุรุษนั้นสําคัญวาปลา ยื่นมือลงไปตาม ชองสุมควาเอาตนคอแหงงูเหานั้นได ก็ดีใจวาทีนี้เราจับปลาไดสําเร็จความปรารถนาแหงเราแลว “อุกฺขิปตฺวา” ครั้นยกขึ้นมาพนน้ําแลวแลเห็นแสกศีรษะทั้งสามรูวางูมีพิษ ความสดุง ตกใจเห็นโทษ ก็มีจิตหนายจากอาลัยในที่จะถือเอา บุรุษนั้นมีความปรารถนาจะสละงูใหพนจากมือมิ ใหทํารายอาตมาได จึงจับหางงูคลายขนดจากแขนตัวแลว ยกขึ้นแกวงเบื้องบนศีรษะสองสามรอบ กระทําใหงูทุพพลภาพถอยกําลังลง สลัดพนจากมืออาตมาแลวก็รีบเร็วขึ้นจากน้ํายืนยังขอบฝงสระ แลวกลับหนามาดูหนทางอันขึ้นมาไมเห็นอสรพิษติดตามมาแลวก็ดําริวา อาตมาพนจากอสรพิษอัน ใหญอุปไมยดวยตัวพระโยคาพจรกุลบุตร เมื่อไดอาตมาภาพก็ยินดีถือวาเปนของอาตมา ดุจบุรุษจับ คองูภายในสําคัญวาปลาแลวยินดีนั้น เมื่อพระโยคาพจรเจาจําเร็ญพระวิปสสนาหยั่งลง เห็นสังขาร ธรรมโดยพระไตรลักษณะทั้ง ๓ คือ พระอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะแลว และมีความ สะดุงภยตูปฏฐานญาณ ปานดังบุรุษยกมือขึ้นจากชองสุมเห็นแสกศีรษะทั้งสามแหงงูแลวสะดุงตกใจ นั้น เมื่อพระโยคาพจรเล็งเห็นโทษในสังขารดวยอาทีวานุปสสนาญาณแลว และเหนื่อยหนายดวย นิพพิทานุปสสนาญาณนั้น ปานดังบบุรุษเห็นแสกศีรษะทั้งสามรูวา วางูมีความสะดุงตกใจ เล็งเห็น โทษแลวก็หนาย ปรารถนาเพื่อจะสละใหพนจากอาตมา เมื่อพระโยคาพจรยกสังขารธรรมขึ้สูพระไตร ลักษณะอีกเลาเมื่อจะตกแตงแสวงหาอุบายอันจะพนจากสังขารธรรมดวยปฏิสังขานุปสสนาแสวงหา อุบายอันสละงูใหพนจากอาตมานั้น แทจริงขณะเมื่อบุรุษคลายงูจากแขนอาตมาแลวแกวงเวียนเหนือ เศียรสิ้นสามรอบ กระทําใหทุพพลภาพบมิอาจเพื่อจะเลี้ยวขบอาตมาได ก็สละใหพนอาตมาไดเปนอัน ดี จะมีอุปมาฉันใด และพระโยคาพจรพิจารณาสังขารยกขึ้นสูพระไตรลักษณะ กระทําใหทุพพลภาพ ใหถึงซึ่งสภาวะบมิอาจเพื่อจะปรากฏดวยอาการอันเล็งเห็นวาเปนสุขวาตัวตนแลว ก็สละใหพนเปนอัน ดี ก็อุปไมยดังนั้น ปญญาแสวงหาอุบายอันละสังขารธรรมดังนี้ สันดานแหงพระโยคาพจรนั้น
ไดชื่อวาปฏิสังขานุปสสนาญาณบังเกิดใน
“ปฏิสงฺขานุปสฺสนาญาณํ นิฏฐิตํ” สําแดงปฏิสังขานุปสสนาญาณจบเทานี้ แตนี้จักสําแดงสังขารุเบกขาญาณสืบตอไป
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 117 “โส เอวํ ปฏิสงฺขานุปสฺสนาญาเณน สพฺเพ สงฺขารา สฺญาติ ปริคฺคหิโต” พระ โยคาพจรกุลบุตรนั้น เมื่อกําหนดกฏหมายพินิจพิจารณาเห็นวาสังขารธรรมเปนเครื่องสูญ ดวยปฏิสัง ขานุปสสนาญาณโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้แลวลําดับนั้นพระโยคาพจรจึงกําหนดอาการที่สูญ ประกอบดวยเงื่องเปนสองเงื่อนแลว จึงพิจารณาที่สูญดวยอาการ ๑ แลวกระจายออกอีกเลา พิจารณา ที่สูญอาการ ๘ ครั้นแลวขยายออกอีกพิจารณาที่สูญดวยอาการ ๑๐ แลวไมหยุดแตเพียงนั้นขยาย ออกอีกพิจารณาที่สูญดวยอาการ ๑๒ แลวไมหยุดแตเพียงนั้นแผขยายออกพิจารณาที่สูญดวยอาการ ๔๒ โดยนัยพิสดาร แลขอซึ่งกําหนดอาการที่สูญ ประกอบดวยเงื่อนเปนสองเงื่อนนั้น คือพระโยคาพจรกําหนด วา “สฺุญมิทํ อตฺเถ” สังขารธรรมนี้เปลาจากอาตมา บมิไดเปนอาตมาประการ ๑ กําหนด วา “สฺญมิทํ อตฺตนิเยน” สังขารธรรมนี้เปลาจากของอาตมา บมิไดเปนของอาตมาประการ ๑ เปน ๒ เงื่อนฉะนี้ และขอซึ่งพิจารณาใหกระจายขยายออกเปน ๔ เงื่อนนั้น คือพระโยคาพจรพิจารณาวา อันหนึ่งหามิได เปนเงื่อนอัน ๑
“นาหํ กฺวจินิ” ตัวตนแหงเรานี้จะไดมีในที่ใดที่หนึ่งในกาล
พิจารณาวา “น กสฺสจิ กิฺจนตสฺมึ” ตัวแทนแหงเราที่เราควรจะสําคัญวาเปนของตน ควรจะนําไปใหเปนธุระกังวลแกบุคคลผูใดผูหนึ่งนั้นจะไดหาบมิได พิจารณาดังนี้เปนเงื่อนอัน ๑ พิจารณานาวา “น จ กฺวจินิ” ตัวตนแหงผูอื่นนั้นเลา จะไดมีในที่ใดที่หนึ่งในกาลอันใด อันหนึ่งหาบมิได พิจารณาเห็นดังนี้เปนเงื่อนอัน ๑ พิจารณาวา “น จ มม กวฺจินิ กสฺมิฺจิ กิฺจนตฺถิ” ตัวตนแหงผูอื่น ที่ผูอื่นควรจะสําคัญ วาเปนของตน ควรจะนํามาใหเปนธุระกังวลสิ่งใดสิ่งหนึ่งแกเรานี้ จะไดมีหาบมิได พิจารณาดังนี้เปนอัน ๑ สิริเปนอาการเห็นวาใชอาตมา ใชของแหงอาตมาทั้งภายในและภายนอก ตนเองก็เห็นวา ของแหงตน ขอซึ่งโลกสังเกตกําหนดวาสัตววาบุคคล วาหญิงวาชายวามิตรวาชายวามิตรวาสหายวาพี่ วานองนั้นเมื่อพิจารณาใหละเอียดไปจะไดคงอยูตามสังเกตกําหนดนั้นหาบมิได แตลวนใชตนใชของ ตน เปนสูญภาพเปลาไปสิ้นทั้งนั้น และขอซึ่งกระจายออกพิจาณาที่สูญดวยอาการทั้ง ๖ นั้นเลา คือพระโยคาพจรพิจารณาวา “จกฺขุสฺุญํ อตฺเตน วา” จักขุประสาทนี้เปลาจากอาตมา บมิเปนของอาตมาประการ ๑ “จกฺขุสฺุญํ อตฺตนิเยน วา” อาตมาประการ ๑ ประการ ๑
พิจารณาวาจักขุประสาทเปลาจากอาตมา บมิเปนของ
“จกฺขุสฺุญํ นิจฺเจน วา” พิจารณาวาจักษุประสาทเปลาจากสภาวะเที่ยง บมิไดเที่ยงแท “จกฺขุสฺุญํ ทุเวน วา” พิจารณาวาจักษุประสาทเปลาจากสภาวะยั่งยืนมั่นคง บมิมั่นมิคง
ประการ ๑ “จกฺขุสฺุญํ สสฺสเตน วา” พิจารณาวาจักษุนี้เปลาจากชื่อวาเที่ยง ตามลัทธิดิรัตถียที่ถือ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 118 วาจักษุเที่ยงนั้น เปลาเเทไมมีสัตย ไมมีจริง พิจารณาดังนี้ประการ ๑ “จกฺขุสฺูญํ อปริณามธมฺเมน วา” พิจารณาวาจักษุประสาทนี้เปลาจากอวิปริณามธรรม ที่จะไมแปรปรวนนั้นหาบมิได มีแตแปรปรวนเปนเบื้องหนา พิจารณาดังนี้ประการ ๑ สิริเปนลักษณะพิจารณาที่สูญแหงจักษุประสาทดวยการ ๖ ดังนี้ แลพิธีอันพิจารณาที่สูญ แหงโสตประสาท ฆานประสาท ชิวหาประสาท กายประสาท และหทยวัตถุนั้น แตละสิ่ง ๆ ก็ประกอบดวยอาการละหก ๆ เหมือนกันกับพิจาณาที่สูญแหงจักษุ ประสาท แลรูปารมณ สัททารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ ธัมมารมณ นั้นก็ดี จักษุวิญญาณ และโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นั้นก็ดี จักขุสัมผัส แลโสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัสนั้นก็ดี ตลอดตราบเทาถึงชราและมรณะนั้นแตละสิ่ง ๆ แตลวนประกอบดวยพิธีพิจารณาที่สูญ บริบูรณดวยอาการหก ๆ เหมือนกันกับพิธีพิจารณาที่สูญแหงจักษุประสาท มีนัยดังสําแดงมาแลวนั้น และขอซึ่งกระจายออกพิจารณาที่สูญดวยอาการ ๘ นั้น คือพระโยคาพจรพิจารณาวา “รู ป อสฺสารํ นิสฺสารํ สาราปคตํ นิจฺจสารสาเรน วา ” รูปนี้ไดชื่อวาใชแกนใชสาร บมิเปน แกนสาร ปราศจากแกนสาร เพราะเหตุวาคุณ คือนิสสาระนั้นมิไดในรูป จะหาคุณที่เที่ยงแหงรูปนั้นหา บมิไดเลยเปนอันขาด แกนสารคือสภาวะเที่ยงนั้น มิไดมีในรูปโดยปกติธรรมดาพิจารณาดังนี้ จัดเปน อาการพิจารณาที่สูญแหงรูปนั้นปฐม แลอาการพิจารณาวา “ รู ป อสฺสารํ นิสฺสารํ สาราปคตํ ธุวสารสาเรน วา” รูปนี้ที่ไดชื่อวาใช แกนใชสาร บมิเปนแกนสารปราศจากแกนสารเพราะเหตุวาคุณ คือธุวสารนั้นมิไดในรูป จะหาคุณที่ ยั่งยืนมั่นคงแหงรูปนั้นหามิไดเลยเปนอันขาด แกนสารคือสภาวะยั่งยืนมั่นคงนั้นมิไดมีในรูปเปนปกติ ธรรมดาพิจารณาดังนี้ จัดเปนอาการพิจารณาที่สูญแหงรูปเปนคํารบ ๒ แลอาการพิจารณาวา “ รู ป อสฺสารํ สาราปคตํ สุขสารสาเรน วา” รูปนี้ไดชื่อวาใชแกนสาร บมิไดเปนแกนสาร ปราศจากแกนสาร เพราะเหตุวาคุณคือสุขสารนั้นมิไดมีในรูป จะหาคุณคือความสุข อันบังเกิดแตรูปนั้น หาไดเปนอันยากยิ่งนัก คุณสารคือความสุขนั้นมิไดมีในรูปปกติธรรมดาพิจารณา ดังนี้ จัดเปนอาการพิจารณาที่สูญแหงรูปเปนคํารบ ๓ แลอาการพิจารณา “ รู ป อสฺสารํ นิสฺสารํ สาราปคตํ อตฺต สารสาเรน วา” รูปนี้ไดชื่อวาใช แกนสาร บมิเปนแกนสารปราศจากแกนสารเพราะเหตุวา คุณคืออัตตสารนั้นมิไดมีในรูป อันจะหาคุณ เปนตนเปนของแหงตน ซึ่งจะมีในรูปนั้นหาบมิไดเลยเปนอันขาด คุณสารคือสภาวะเปนตน เปนของ แหงตนนั้นบมิไดมีในรูปเปนปกติธรรมดาพิจารณาดังนี้ จัดเปนอาการพิจารณาที่สูญแหงรูปเปนคํารบ ๔ แลอาการพิจารณาวา “ รู ป อสฺสารํ นิสฺสารํ สาราปคตํ นิจฺเจน วา” รูปนี้ไดชื่อวาใชแกนสาร ปราศจากแกนสาร เพราะเหตุวารูปนี้เปลาสภาวะเที่ยงพิจารณาดังนี้ จัดเปนอาการพิจารณาที่สูญแหง รูปเปนคํารบ ๕
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 119 แลอาการพิจารณาวา “ รู ป อสฺสารํ นิสฺสารํ สาราปคตํ ธุเวน วา” รูปนี้ไดชื่อวาใชแกนสาร ปราศจากแกนสาร เพราะเหตุวารูปนี้เปลาจากสภาวะยั่งยืนแลมั่นคง อันจะแสวงหากิริยาที่ยั่งยืนมั่นคง แหงรูปนี้หาเสียเปลายิ่งหาไปก็ยิ่งเปลายิ่งสูญ บมิไดพบไดปะรูปที่ยั่งยืนที่มั่นคงพิจารณาดังนี้ จัดเปน อาการพิจารณาที่สูญแหงรูปเปนคํารบ ๖ แลอาการพิจารณา “ รู ป อสฺสารํ สาราปคตํ ตสฺสเตน วา” รูปนี้ไดชื่อวาใชแกนสาร บมิเปน แกนสารปราศจากแกนสาร เพราะเหตุวารูปนี้เปลาจากกิริยาที่ถือวาเที่ยงลัทธิเดียรถียที่ถือวารูปเที่ยง นั้น ถือเปลาไมสัตยไมจริง พิจารณาดังนี้ จัดเปนอาการพิจารณาที่สูญแหงรูปเปนคํารบ ๗ แลอาการพิจารณา “รู ป อสฺสารํ นิสฺสารํ สารปคตํ อวิปริณามธมฺเมน วา” รูปนี้ไดชื่อวาใช แกนสาร บมิไดเปนแกนสารปราศจากแกนสาร เพราะเหตุวา รูปนี้เปลาจากอวิปปริณามธรรม รูปนี้ที่จะ ไมแปรไมปรวนไปนั้นหาบมิได มีแตแปรปรวนไปเปนเบื้องหนา พิจารณาดังนี้ จัดเปนอาการพิจารณา ที่สูญแหงรูปเปนคํารบ ๘ แลเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตละขันธ ๆ นั้น พระโยคาพจรพึงพิจารณาที่สูญดวย อาการ ๓ เหมือนอยางพิจารณาที่สูญแหงรูปนี้เถิด ถึงจักขุแลโสตฆานแลชิวหา ตลอดไปตราบเทาถึงชราแลมรณะ นั้นใหพระโยคาพจรพิจารณาที่สูญแตละสิ่ง ๆ นั้น ใหประกอบดวยอาการ ๘ สิ้นดวยกัน แลวใหพระโยคาพจรพิจารณาที่สูญโดยนัยอุปมาวา รูป แลเวทนา แลสัญญา แลสังขาร แลวิญญาณ จักขุแลโสต ฆาน แลชิวหาตลอดไปตราบเทาถึงชราแลมรณะนั้นปราศจากแกน สาร “ยถา นโฬ” เปรียบประดุจไมอออันสูญเปลาปราศจากแกน มิฉะนั้น “ยถา เอรณฺโฑ” เปรียบประดุจไมละหุงไมมะเดื่ออันปราศจากแกน มิฉะนั้น “ยถา สตวจโฉ” เปรียบประดุจไมสนุนแลไมมองกวาวอันปราศจากแกน มิฉะนั้น “ยถา เผณุปณฺโฑ” เปรียบประดุจกอนแหงฟองน้ํา แลปุมเปอกอันหาแกนสาร มิได มิฉะนั้น “ยถา มรีจิ ยถา กทฺทลี” เปรียบประดุจพยับแดด ตนกลวยอันปราศจากแกน มิฉะนั้น “ยถา มายา” เปรียบประดุจคําโกหกมารยา อันหาแกนสารบมิได จบพิจารณาที่สูญโดยอาการ ๘ เทานี้ แลพิจารณาที่สูญกระจายออกโดยอาการ ๑๐ นั้น “รตฺตโต” คือใหพระโยคาพจรกุลบุตร พิจารณาซึ่งรูปโดยสภาวะเปลาจากแกนสาร มีนิจ สารเปนอาทิประการ ๑ “ตุจฺฉโต” ใหพิจารณาซึ่งรูปโดยสภาวะ มีอายุนอยแลลามกประการ ๑ “สฺุญโต” ใหพิจารณารูปโดยเปลาจากอัตตสาร คือบมิไดเปนตัวเปนตนประการ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 120 “อนตฺตโต” ใหพิจารณารูปโดยสภาวะ ไบมิไดประพฤติตามอํานาจประการ ๑ “อนิสฺสริยโต” ใหพิจารณารูปโดยสภาวะ ไมมีผูใดผูหนึ่งจะเปนอิสรภาพสามารถจะบังคับ บัญชาไดประการ ๑ “อกามํ การิยโต” ใหพิจารณารูปโดยสภาวะไมกระทําความปรารถนา จะกระทําใหเที่ยง อยูเปนตนนั้น กระทําไมไดสําเร็จดังใจนึกใจหมาย เปรียบบุคคลอันเอาฟองน้ํามากระทําซึ่งภาชนะเปน ตนและกระทําไมไดสําเร็จดังใจนึกใจหมาย ใหพิจารณาดังนี้ประการ ๑ “อลพฺภนียโต” ใหพิจารณารูปโดยอาการกิริยาอันบุคคลผูใดผูหนึ่งมิพึงกลาวได วาทาน จงเปนดังนี้ ๆ อยาไดเปนดังนี้ ๆ ถึงจะวาก็วาเสียเปลารูปเสียเปลาหาฟงถอยฟงคําไม วากับไมวานั้น เหมือนกันใหพิจารณาดังนี้ประการ ๑ “อวตฺตนโต” ใหพิจารณารูปตนโดยกิริยาที่บมิอาจคงดีคงงามอยูตามอํานาจแหงผูอื่น แลบมิอาจยังรูปผูอื่น ใหคงดีคงงามอยูตามอํานาจแหงตนประการ ๑ “ปรโต” ใหพิจารณารูปโดยกิริยาที่เหมือนดวยผูอื่น เพราะเหตุที่วาไมไดไวไมไดฟง ไม พอใจจะใหแกขืนแก ไมพอใจจะใหตายขืนตาย เมื่อวาไมไดไวไมไดฟงดังนี้ จะวาเปนตนก็มิใชตน เพราะเหตุวาเหมือนดวยผูอื่น เมื่อพิจารณาใหละเอียดไปดังนี้ เหมือนผูอื่นแทไมแปลกผูอื่นเลย ให พิจารณาดังนี้ประการ ๑ “วิวิตฺตโต” ใหพิจารณารูปโดยกิริยาที่สงัดจากเหตุผลแล อธิบายตามคําฎีกาจารยนั้นวา ผลมิตั้งอยูดวยเหตุ เหตุที่ใหบังเกิดผลนั้นบมิไดตั้งอยูดวย ผล อันนี้อธิบายตามคําฎีกาจารย นักปราชญพึงสันนิษฐานวาผลนั้นไดแกรูป แลเวทนาแลสัญญาแลสังขาร แลวิญญาณ ที่ เปนผลนั้นจะไดตั้งอยูกันกับเหตุ ติดพันกันกับเหตุ คือกุศลแลอกุศลนั้นบมิได เปนปจจัยแกกันก็จริง แล แตทวาอยูเปนแผนก ๆ แยกกันอยูเปนหมวด ๆ กัน จะไปปะปนระคนกันหาบมิได ขอซึ่งวารูปสงัดจากเหตุผลแลนั้น สิริประสงคเอากิริยาที่เหตุกับผลบมิไดระคนปนกัน สิริ อาการซึ่งพิจารณาที่ศูนยแหงรูปเขาดวยกันเปนอาการ ๑๐ โดยนัยดังพรรณามาฉะนี้ พิธีพิจารณาศูนยแหงรูปกระจายออกโดยอาการ ๑๐ นี้ พระโยคาพจรพึงเอาแบบอยาง พิจารณา เวทนา แลสัญญา แลสังขาร แลวิญญาณ ใหประกอบดวยอาการละสิบ ๆ ตลอดไปตราบเทา ถึงชราแลมรณะนั้นเถิด แลพิจารณาที่ศูนยกระจายออกไปโดยอาการ ๑๒ นั้น คือใหพิจารณาวา “รูป น สตฺโต” รูปนี้ใชสัตวบมิไดเปนสัตว ขอซึ่งโลกโวหารรองเรียกสัตวนั้น ประสงคเอา กิริยาที่ประชุมกันแหงรูปแลเวทนา แลสัญญา แลสังขาร แลวิญญาณ แตรูปสิ่งเดียวนั้นจะไดชื่อวา สัตวหาบมิได กิริยาที่พิจารณารูปวาใชสัตวนี้ จัดเปนอาการเปนปฐม แลกิริยาที่พิจารณา “รูป น ชีโว” รูปนี้มิใชชีวิต จัดเปนอาการคํารบ ๒ กิริยาที่พิจารณา “รูป น นโร” รูปนี้มิใชคน จัดเปนอาการคํารบ ๓
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 121 กิริยาที่พิจารณา “รูป น ภาโว” รูปนี้ไมใชมาณพ จัดเปนอาการคํารบ ๔ กิริยาที่พิจารณาวา “รูป น อิตฺถี” รูปนี้มิใชหญิง ขอซึ่งโลกโวหาร รองเรียกวาหญิง สมมติสัจยังหาแทไม เมื่อสําแดงโดยปรมัตถสัจอรรถอันสุขุม สําแดงโดยแทนั้น รูปนี้มิใชหญิงบมิได เปนหญิงพิจารณาดัง จัดเปนอาการคํารบ ๕ กิริยาที่พิจารณาวา “รูป น ปุริโส” รูปนี้มิใชบุรุษ จัดเปนอาการคํารบ ๖ กิริยาที่พิจารณาวา “รูป น อตฺตา” รูปนี้บใชตน บมิเปนตนจัดเปนอาการคํารบ ๗ กิริยาที่พิจารณาวา “รูป น อตฺตนิยํ” รูปนี้บมิใชของตน บมิเปนตนจัดเปนอาการคํารบ ๘ กิริยาที่พิจารณาวา “รูป นาหํ” รูปนี้ใชเรา มิใชของแหงเราขอซึ่งโลกโวหารกลาว วา “อหํ ๆ” วาเรา ๆ นั้นจะไดแกรูปนี้หามิได รูปนี้มิใชเรา พิจารณาดังนี้ จัดเปนอาการคํารบ ๙ กิริยาที่พิจารณาวา “รูป น มม ” รูปนี้มิใชของแหงเรา ขอซึ่งโลกกลาววา “มม” วา ของ ๆ เรานั้น จะไดแกรูปนี้หาบมิได รูปนี้มิใชของเรา พิจารณาดังนี้จัดเปนอาการคํารบ ๑๐ กิริยาที่พิจารณาวา “รูป น อฺญสฺส” รูปนี้มิใชของแหงผูอื่นขอซึ่งโลกโวหารกลาว วา “อฺญสฺส ๆ” วาของผูอื่น ๆ นั้น จะไดแกรูปนี้หาบมิได รูปนี้มิใชของแหงผูอื่น พิจารณาดังนี้ จัดเปนอาการคํารบ ๑๑ กิริยาที่พิจารณาวา “รูป น กสฺสจิ” รูปนี้มิใชของแหงผูใดผูหนึ่ง ๆ นั้นจะไดแกรูปนี้หาบ มิได รูปนี้มิใชของผูใดผูหนึ่งพิจารณาดังนี้จัดเปนอาการคํารบ ๑๒ พิธีพิจารณาที่สูญแหงรูปนี้ ประกอบดวยอาการ ๑๒ ฉันใด พิธีพิจารณาที่สูญแหงเวทนา แลสัญญา แลสังขาร แลวิญญาณ ตลอดออกไปตราบเทาถึงชราแลมรณะนั้น พระโยคาพจรพิจารณา ใหประกอบดวยอาการ ๑๒ ๆ เหมือนดังนั้น มีคําฎีกาจารยวิสัชนาวา บท ๘ บทจําเดิมแต “รูป น สตฺโต” ไปตราบเทาจนถึงถึง “รูป น อตฺตานิยํ” นั้น สําแดงใจความใหเห็นวารูปแลเวทนาเปนอาทินั้น เปลาจากสภาวะเปนตน สูญจาก สภาวะเปนตน บมิไดเปนตนเลยเปนอันขาด แลบท ๔ บทในเบื้องปลายนั้น สําแดงในความใหเห็นวา รูปแลเวทนาเปนอาทินั้น บมิควร ที่พระโยคาพจรจะมาใหเปนปลิโพธกังวลอยูแตสิ่งใดสิ่งหนึ่งได แลพิธีพิจารณาที่สูญ แผออกดวยอาการ ๔๒ นั้น “อนิจฺจโต” คือใหพระโยคาพจรพิจารณารูปโดยอนิจจังประการ ๑ “ทุกฺขโต” ใหพิจารณารูปโดยทุกขังประการ ๑ “โรคโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวาเปนโรคอยูเปนนิตย เปนไขอยูเปนนิตยประการ ๑ “คณฺฑโต” ใหพิจารณารูใหเห็นวา เปนที่ไหลออกแหงกิเลสแลอสุจิโสโครกตาง ๆ เหมือนดวยฝปากเนาที่แตกเปนบุพโพโลหิตเปอยหวะนั้นประการ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 122 “สลฺลโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา เหมือนดวยลูกปนอันยอกเสียดเสียบแทง ยากนักที่จะ ชักจะถอนไดประการ ๑ “อฆโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา ประกอบดวยลามกเปนอันมากเปนที่ติฉินเกลียดหนาย แหนงแหงพระอริยเจาประการ ๑ “อาพาธโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา ประกอบอยูดวยอาพาธเปนเนืองนิตย สิ่งที่ไมรัก ปรารถนานั้นชักนําเอามาใหบังเกิดขึ้นประการ ๑ “ปรโต” ใหพิจารณารูปเหมือนผูอื่น เพราะเหตุที่วาไมไดไวไมไดฟงประการ ๑ “ปโลกโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา ขาดเด็ดกระเด็นออกดวยอํานาจชราทุกขแลพยาธิ แลมรณะนั้นประการ ๑ “อีติโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา เปนจัญไรนํามาซึ่งความรายความฉิบหายประการ ๑ “อุปทฺทวโต” ใหพิจารณาใหเห็นวา เปนอุปทวะชนเอาที่ชั่วที่ไมไดมาสะสมประการ ๑ “ภยโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวาเปนบอเกิดแหงภัยประการ ๑ “อุปสคฺคโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา เปนตัวอันตรายติดตามย่ํายียีฑาประการ ๑ “จลโต”
ใหพิจารณารูปใหเห็นวา ไหวดวยโลกธรรม ไหวดวยชราแลพยาธิแลมรณะ
ประการ ๑ “ปภงฺคโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา บางคาบทําลายเอง บางคาบทําลายดวยความเพียร แหงผูอื่นประการ ๑ “อธุวโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา ไมตั้งอยูยั่งยืนไปเลยยอมทอดทิ้งกลิ้งอยูในประเทศ ตาง ๆ ไมมีที่กําหนดประการ ๑ “อตาณโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา บมิอาจจะคุมครองรักษาสัตวผูใดผูหนึ่งไดประการ ๑ “อเลณโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา ปราศจากที่เรนซอนถึงคราวจะปวยไข ถึงคราวจะ แกจะตายแลว จะหาที่เรนซอนใหพนปวยพนไข ใหพนแกพนตายนั้นหาไดไมประการ ๑ “อสรณโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา รูปนี้บมิอาจบังเกิดเปนที่พึ่งอาศัย คุมครองปองกัน ชาติและชราพยาธิและมรณะไดนั้นประการ ๑ “ริตฺตโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา เปลาจากเที่ยงและงามเปลาจากสภาวะเปนสุขและ เปนอาตมาประการ ๑ ๑
“ตุจฺฉโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา งามอยูเปนอันนอยมีความสุขอยูเปนอันนอยประการ “สฺุญโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา เปนธรรมอันเปลาอันสูญโดยปกติธรรมดาประการ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 123 “อนตฺตโต” ใหพิจารณารูปโดยมิไดเปนอาตมาประการ ๑ “อนสฺสาทโต” ใหพิจารณารูปโดยสภาวะ มีความโสมนัสอันนอยนักนอยหนาประการ ๑ “อาทีนวโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา รูปนั้นมากไปดวยโทษประการ ๑ “วิปริณามธมฺมโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา รูปมีสภาวะวิปริตแปรปรวนประการ ๑ “อสารกโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา หาแกนสารบมิไดประการ ๑ “อฆมูลโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา เปนเคาเปนมูลแหงทุกขประการ ๑ “วิธกโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา มีปกติเบียดเบียนเปรียบประดุจนายเพชฌฆาตประการ ๑ “วิภวโต” ฉิบหายประการ ๑
ใหพิจารณารูปใหเห็นวา มีแตความฉิบหายเปนเบื้องหนาบมิไดพนจากความ
“อาสวโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา ประกอบอยูดวยอาสวะกิเลสประการ ๑ “สงฺขโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา รูปนั้นแลวดวยกุศลและอกุศลประชุมแตงประการ ๑ “มารามิสฺสโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา เปนเหยื่อแหงมารประการ ๑ “ชาติธมฺมโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา อากูลมูลมองไปดวยชาติทุกขประการ ๑ “ชราธมฺมโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา ความชรารัดรึงตรึงตราประการ ๑ “มรณธมฺมโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา มีสภาวะเที่ยงที่จะตายประการ ๑ “โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสธมฺมโต” ใหพิจารณารูปใหเห็นวา ประกอบดวยความ โศกเศราและรองไหร่ําไร และกิริยาที่สลดหดหูและโทมนัสขัดเคืองสะอึกสะอื้นอาลัย เปนปกติ ธรรมดาประการ ๑ “สมุทยโต” ใหพิจารณารูปใหเห็น รูปนี้นายชางเรือนคือตัณหาตกแตงไวประการ ๑ ประการ ๑
“อตฺถงฺคมโต”
ใหพิจารณารูปอันมีสภาวะเกิดแลวดับเนือง ๆ กันมาหาระหวางมิได
“นิสฺสรณโต” ใหพิจารณาซึ่งกิริยาอันจะบรรเทาเสียซึ่งฉันทะราคะสละละเมินฉันทะราคะ เสีย อยารักอยากําหนัดในรูปประการ ๑ สิริเขาดวยกัน จึงเปนอาการอันพิจารณาสภาวะสูญเปลาแหงรูปแผออกโดยพิสดาร ๔๒ ประการดังนี้ วิธีที่พิจารณาเวทนาและสัญญาพิจารณาสังขารและวิญญาณนั้น พระโยคาพจรพึงพิจารณา ใหประกอบดวยอาการ ๔๒ ๆ เหมือนอยางพิจารณารูปนี้เถิด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 124 พิจารณาดังนี้ สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองคตรัสสรรเสริญวา ดูกรโมฆราชพราหมณ นักปราชญผูมีสตินั้น ยอมพิจารณาซึ่งขันธาทิโลกคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ดวย อาการ ๔๒ มีพิจารณาเห็นวา ไมเที่ยงเปนตน มีพิจารณากิริยาที่สละเสียซึ่งฉันทะราคะเปนที่สุดดุจ พรรณนามาฉะนี้สิ้นกาลทุกเมื่อ “โลกํ อเวกฺขสฺสุ” ขอทานจงมีสติพิจารณาขันธาทิโลกดวยอาการ ๔๒ นี้ สิ้นกาลทุกเมื่อ เถิด อยาไดประมาท บุคคลผูเปนนักปราชญบําเพ็ญพระวิปสสนากัมมัฏฐาน พิจารณาขันธาทิโลกดวย อาการ ๔๒ โดยนัยพิสดารดังนี้ นักปราชญนั้นอาจเพื่อจะเพิกถอนเสียไดซึ่งสักกากายทิฏฐิอาจขาม พนจากจตุรโอฆสงสาร ไปสูพระนิพพานลับนัยนตาพญามัจจุราชมิอาจแลเห็น อริยนักปราชญเห็นปาน ฉะนี้ พระพุทธโฆษาจารยเจา ยกเอาพระพุทธฏีกามาสาธกใหมั่นดวยประการฉะนี้ จึงสําแดง วิปสสนาพิธีสืบตอไป “เอวํ สฺุญโต ทิสฺวา ติลกฺขณํ อาโรเปตวา” เมื่อพระโยคาพจรเจาพิจารณาเห็นเบญจขันธ โดยเปลาโดยสูญยกปญญาขึ้นสูพระไตร ลักษณ กําหนดกฏหมายสังขารธรรมโดยอาการ ๔๒ ดังนี้ จิตแหงพระโยคาพจรนั้นก็จะสิ้นกลัวสิ้น สะดุงสิ้นรักสิ้นใครจะตั้งอยูในที่เปนอุเบกขามัธยัสถ ไมถือวาเบญจขันธเปนอาตมา เปนของอาตมา “วิสฺสฏภริโย วิย ปุริโส” เปรียบประดุจบุรุษอันมีภริยาหยาขาดแลว และมัธยัสถอยูใน ภริยานั้น พระผูเปนเจาพุทธโฆษาจารยจึงสําแดงอุปมาโดยนัยพิสดารวา บุรุษผูหนึ่งมีภริยาเปนที่ชอบ อัชฌาสัย เปนที่รักที่จําเริญใจยิ่งนัก บุรุษนั้นถาไมไดเห็นหนาภริยาแตสักครูหนึ่งอยูมิได ถาเห็นภริยา นั้นไปยืนอยูดวยบุรุษอื่นก็ดี บุรุษนั้นมีความโทมนัสขัดแคนเปนหนักหนา “อปเรน สมเยน” อยูจําเนียรภาคไปเบื้องหนา บุรุษนั้นพิจารณาเห็นโทษ เห็นวาภริยานั้น ไมซื่อไมสัตยตอตนแลว ก็ทิ้งขวางรางหยาภริยานั้นเสีย บมิไดสําคัญวาเปนของอาตมา “ตโต ปฏฐาย” จําเดิมแตอยาขาดเสียแลว ถึงจะเห็นสตรีนั้นไปนั่งเลนเจรจาคบหาสมาคมกับใคร ๆ ก็ดี บุรุษ นั้นจะไดกริ้วโกรธโทมนัสขัดเคืองมาตรวานอยหนึ่งหามิได ตกวาจิตแหงบุรุษนั้นตั้งอยูในอุเบกขา อัน นี้แลมีอุปมาฉันใดเมื่อพระโยคาพจรเจาพิจารณาเห็นเบญจขันธโดยเปลาสูญ ยกปญญาขึ้นสูพระไตร ลักษณกําหนดกฏหมายสังขารธรรมโดยอาการ ๔๒ ดังนี้ จิตแหงโยคาพจรนั้นก็จะสิ้นสะดุงกลัวสิ้นรัก สิ้นใคร จะตั้งอยูในที่เปนอุเบกขามัธยัสถ ไมถือวาเปนเบญจขันธเปนอาตมาเปนของอาตมา มีอุปไมย ดังนั้น เมื่อจิตตั้งมั่นอยูในที่เปนอุเบกขาแลว สันดานนั้นก็มีแตจะหดหูไมเบิกบาน ไมติดไมพันอยู ในภพทั้ง ๓ และกําเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ สัตตาวาส ๙ สันดานนั้นมีแตจะเกลียดจะหนาย กับ ที่จะเปนอุเบกขาเทานั้น ตกวาจิตนั้นไมติดไมพันอยูในโลกสันนิวาสนั้นเลย เปรียบประดุจใบบัวอันมี กานออนสลวย และหยาดน้ําตกลง หยาดน้ําบมิไดติดไดขัง ถามิฉะนั้น จิตแหงพระโยคาพจรหดหู เปรียบประดุจปกไกอันตองเพลิง เอาเอ็นกระดางอัน บุคคลทิ้งเขาไปในเพลิงและหดหูเขานั้น นักปราชญพึงสัณฐานวา สังขารุเบกขาญาณอันประพฤติ มัธยัสถอยูในสังขารธรรมมีนัยดังวิสัชนามาฉะนี้ ถาเห็นพระนิพพานอันเปนโกฏฐาสอันระงับโดยละเอียด ปญญานั้นก็สละละเสียซึ่งสังขารป วัตติทั้งปวง แลวก็เลนไปสูนิพพานยึดหนวงเอา พระนิพพานเปนอารมณ
ถาปญญานั้นยังมิไดเห็นพระนิพพานโดยละเอียดยังยึดหนวงเอา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 125 พระนิพพานเปนอารมณมิได ก็กลับมายึดหนวงเอาสังขารธรรมเปนอารมณพิจารณาสังขารธรรมนั้น แลว ๆ เลา ๆ มีอาการเหมือนการนั้น อันพอคาเลี้ยงไวสําหรับจะไดกําหนดทิศ “กิร” ดังไดยินมา พอคาสําเภาทั้งหลายอันไปเที่ยวคาขายในทองพระมหาสมุทรนั้น ยอม เลี้ยงกาจําพวกหนึ่งไวในสําเภาสําหรับจะไดแกอับแกจน ในกาลเมื่อสําเภาซัดออกไปไมเห็นฝง กาล เมื่อสําเภาตองลมพายุกลาพายุใหญ สําเภาซัดออกไปตกทะเลลึกแลไมเห็นฝงนั้น ไมรูแหงที่จะยัก ยายบายสําเภาไปขางไหนไดจนใจแลว ชาวสําเภาก็ปลอยกานั้นใหบินขึ้นสูอากาศ กานั้นครั้นบินขึ้น ไปสูงแลวก็เหลี่ยวซายแลขวา เห็นฝงปรากฏขางไหนก็บินไปขางนั้น ชาวสําเภาก็บายสําเภาแลนไป ตามกา ถากานั้นเหลี่ยวซายแลขวายังไมเห็นฝงปรากฏกอน ก็บินยอนมาสูเสากระโดงสําเภา ครั้นแลว ก็บินขึ้นไปอีก ดูซายดูขวายังไมเห็นฝงก็กลับมายั้งอยูที่ปลายเสากระโดงนั้นอีกเลา ตกวาบินขึ้นเนือง ๆ ถาเห็นฝงก็บินไปเฉพาะหนาสูฝง ถาไมเห็นฝงก็กลับมาจับปลายเสากระโดงเกา อันนี้แลมีอุปมาฉัน ใด วิปสสนาปญญาชื่อวาสังขารอุเบกขาญาณนั้น เมื่อพิจารณาเห็นพระนิพพานสันทัดก็สลัดซึ่ง สังขารปวัตติ มิไดเอาสังขารแลนไปสูพระนิพพานยึดหนวงเอาพระนิพพานเปนอารมณ ถายังไมเห็น พระนิพพานสันทัด ยังบมิอาจจะยึดหนวงเอาพระนิพพานเปนอารมณได ก็กลับยึดหนวงเอาสังขารเปน อารมณ พิจารณาสังขารนั้นแลว ๆ เลา ๆ ครั้นแลวขยับขึ้นพิจารณาพระนิพพานนั้นเนือง ๆ ถายังไม เห็นพระนิพพานนั้นปรากฏก็ลงมาพิจารณาสังขารยึดหนวงเอาสังขารเปนอารมณอีกเลา มีอุปไมยดัง กาบินขึ้นเนือง ๆ ยังมิไดเห็นฝงปรากฏกอน และบินมาจับปลายเสากระโดงอยูนั้น วิปสสนาปญญาอัน ชื่อวาสังขารุเบกขาญาณนี้ มีกิจอันพิจารณาซึ่งสังขารธรรมโดยพิธีประการตาง ๆ พิจารณาแผออกไป โดยพิศดารแลวพิจารณาใหยอใหนอยถอยเขามาเปนชั้นเลา ๆ มีอาการเหมือนบุคคลอันรอนแปง แผนแปงออกไปแลวและรอนเขาใหกลมอยูในปลายกระดงมิฉะนั้นมีอาการเหมือนบุคคลอันดีดฝายที่ หีบแลวดวยแมกง บุคคลออนรอนแปงและบุคคลอันดีดฝายนั้น มีแตจะยีแปงแลฝายใหแหลกละเอียด มิใหหยาบใหคายอยูได และมีฉันใด สังขารุเบกขาญาณก็ย่ํายีสังขารดวยพีธีพิจารณาใหแหลก ละเอียด มีอุปไมยดังนั้น สังขารุเบกขาญาณนี้ เมื่อย่ํายีสังขารใหแหลกละเอียด ดวยพิธีพิจารณาโดยนัยที่สําแดง แลวแตหนหลัง ครั้นเห็นสังขารธรรมทั้งปวงปรากฏโดยเปลาโดยสูญสิ้นแลว ก็หายสะดุงหายกลัวแต สังขารหายรักใครในสังขารตั้งอยูในที่มัธยัสถ บมิไดพิจารณาสืบตอไปโดยนัยพิศดาร คงอยูแตใน อนุปสสนา ๓ ประการ คือ อนิจจานุปสสนา และทุกขานุปสสนา และอนัตตานุปสสนา เมื่อตั้งอยูใน อนุปสสนาทั้ง ๓ ประการนี้ สังขารุเบกขาญาณนี้ถึงสภาวะเปนวิโมกขมุข ๓ ประการ คือ อนิมิตตวิโมขมุขประการ ๑ อัปปณิหิตวิโมกขมุขประการ ๑ สุญญตวิโมกขมุขประการ ๑ ดวยอํานาจที่มีสันธินทรีย และสมาธินทรีย และปญญินทรียเปนอธิบดีปจจัย ตกวาสังขา รุเบกขาญาณแยกออกเปนวิโมกขมุข ๓ ประการ นี้แยกออกดวยอํานาจอนุปสสนาทั้ง ๓ นี้เอง ถาสัง ขารุเบกขาญาณนั้นคงตั้งอยูเปนอนิจจานุปสสนา พิจารณาสังขารโดยกําหนดแตที่เกิดไปตราบเทาดับ เห็นสังขารธรรมนั้นปรากฏโดยสิ้นไมฉิบหายไป มีสัทธินทรียเปนอธิบดีปจจัยแลว ขยับขึ้นพิจารณา พระนิพพานยึดหนวงเอาพระนิพพานเปนอารมรณไดกาลใด ก็ไดนามบัญญัติชื่อวาอนิมิตตวิโมกขมุข ในกาลนั้น ถาสังขารุเบกขาญาณนั้น คงตั้งอยูในทุกขานุปสสนาสังขารธรรมนั้นปรากฏโดยนัย ความ สังเวชนั้นบังเกิดในจิตสันดานประกอบดวยสมาธินทรียเปนอธิบดีปจจัย ปญญานั้นขยับขึ้นพิจารณา พระนิพพานยึดหนวงเอาพระนิพพานเปนอารมณไดกาลใด ก็ไดนามบัญญัติชื่อวาอัปปณิหิตวิโมกขมุข ในกาลนั้น ถาสังขารุเบกขาญาณนั้นคงตั้งอยูในอนัตตานุปสสนา พิจารณาสังขารธรรมโดยอาหารอัน ใชของอาตมาใชของอาตมา เห็นสังขารธรรมนั้นปรากฏโดยเปลาโดยสูญ มีปญญินทรียเปนอธิบดี
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 126 ปจจัยแลว จะขยับขึ้นพิจารณาพระนิพพานเปนอารมณไดกาลใด ก็ไดนามบัญญัติชื่อวาสุญญตวิโมก ขมุขในกาลนั้น ขอซึ่งเรียกวาวิโมกขมุขนั้น ดวยอรรถวาเปนอุบายใหไดวิโมกขธรรม ๓ ประการ คือ อนิมิตต วิโมกข และอัปปณิหิตวิโมกข และสุญญตวิโมกข วิโมกขทั้ง ๓ นี้มิใชอื่น คือพระอริยมรรค ๆ ไดชื่อวา วิโมกขนั้นดวยอรรถนาพนจากกิเลส พระอริยมรรคไดชื่อวาอนิมิตตวิโมกขนั้น ดวยอรรถวาพระโยคาพจรไดดวยกิริยาที่กระทํา มนสิการโดยอนิจจัง และสันดานมากไปดวยสัทธินทรีย พระอริยมรรคไดชื่อวาอัปปณิหิตวิโมกขนั้น ดวยอรรถวาพนจากกิเลส ดวยอรรถวาพระ โยคาพจรไดกิริยาที่กระทํามนสิการโดยทุกขังและมีสันดานมากไปดวยปสสัทธิเจตวิกและมีสมาธินท รีย และพระอริยมรรคไดชื่อวาสุญญตวิโมกขนั้น ดวยอรรถวาพนจากกิเลสดวยอรรถวาพระ โยคาพจรไดดวยกิริยาที่กระทํามนสิการ โดยอนัตตาแลมีสันดานมากไปดวยปญญินทรีย นัยหนึ่งวาพระอริยมรรค จะไดนามบัญญัติชื่อวา อนิมิตตวิโมกขแลอัปปณิหิตวิโมกข แล สุญญตวิโมกข ไดดวยอํานาจนิพพานธรรมที่บังเกิดเปนอารมณ ถานิพพานที่เปนอารมณแหงมัคคจิต นั้นก็ปรากฏแจงโดยอาการอันหาสังขารนิมิตบมิได พระอริยมรรคจิตนั้นก็ปรากฏชื่อวาอนิมิตตวิโมกข ถาพระนิพพานธรรมที่เปนอารมณแหงมัคคจิตนั้น ปรากฏแจงโดยอาการอันหาราคาทิปณิธิ บมิได พระอริยมรรคจิตนั้นก็ไดนามปรากฏชื่อวาอัปปณิหิวิโมกข ถาพระนิพพานที่เปนอารมณแหงจิตนั้น ปรากฏแจงโดยอาการอันเปลาสูญจากสังขารธรรม พระอริยมรรคจิตนั้นก็ไดนามปรากฏชื่อวาสุญญตวิโมกข นัยหนึ่งพระอนิจจานุปสสนานั้น จะเรียกวาอนิมิตตวิโมกขก็สมควรเพราะเหตุวา พิจารณา เห็นสังขารธรรมไมเที่ยง สละละเสียซึ่งกิริยาที่ถือวามั่นวาสังขารธรรมเที่ยง แลทุกขานุปสสนานั้น จะเรียกวาอัปปณิหิตวิโมกขก็สมควรเพราะเหตุพิจารณาเห็นวาสังขาร ธรรมประกอบดวยทุกข สละละเสียซึ่งกิริยาอันถือวา สังขารธรรมประกอบดวยสุข แลอนัตตานุปสสนานั้น จะเรียกวาสุญญตวิโมกขก็สมควรเพราะเหตุพิจารณาเห็นวา สังขาร ธรรมใชอาตมาของอาตมา สละละเสียซึ่งกิริยาที่ถือมั่นวา สังขารธรรมเปนอาตมาเปนของอาตมา สังขารุเบกขาญาณนี้ เปนปจจัยที่จะใหสําเร็จเปนพระกริยบุคคล ๗ จําพวก คือ สัทธานุสารี จําพวก ๑ สัทธาวิมุตรติจําพวก ๑ กายสักขีจําพวก ๑ อุภโตภาควิมุตติจําพวก ๑ ธัมมานุสารีจําพวก ๑ ทิฏฐิปตตจําพวก ๑ ปญญาวิมุตติจําพวก ๑ รวมเปน ๗ จําพวกดวยกัน อธิบายวาพระโยคาพจรผูมนสิการในอนิจจานุปสสนา มีสันดานมากไปดวยสัทธาแลปญญิ นทรียนั้น ถาสําเร็จพระโสดามรรคในขณะใดก็ไดนามบัญญัติชื่อวา สัทธานุสารีในขณะนั้น ครั้นไดพระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล พระ อรหัตตมรรค พระอรหัตตผลนั้น ก็ไดชื่อวาสัทธาวิมุตติเหมือน ๆ กัน แลพระโยคาพจรผูมนสิการในทุกขาวิปสสนา มีสันดานมากไปดวยปสสิทธิ แลสมาธินทรีย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 127 เมื่อไดสมเร็จพระโสดามรรคก็ไดนามชื่อวาสักขีบุคคล เมื่อไดสําเร็จพระโสดาผล พระสกิทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล พระอนาคามิผล พระอรหัตตมรรค พระอรหัตตผลนั้น ก็ไดนามชื่อวากายสักขีบุคคล เหมือน ๆ กัน แลพระโยคาพจรผูไดรูปฌานแลว อรหัตตผล ก็ไดนามชื่อวา อุภโตภาควิมุตติ
แลรูแฌานเปนที่ตั้ง
จําเร็ญวิปสสนาอันลุถึงพระ
แลพระโยคาพจรผูมนสิการในพระอนัตตานุปสสนา มีสันดานมากไปดวยปญญาแลปญญิ นทรียนั้น เมื่อไดสําเร็จพระโสดามรรคก็ไดนามชื่อวาธัมมานุสารีบุคคล เมื่อสําเร็จพระโสดามรรค พระโสดาผล พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล อนาคามิมรรค พระอนาคามิผล พระอรหัตตมรรคนั้น ก็ไดนามชื่อวาทิฏฐิปตตบุคคล
พระ
เมื่อไดสําเร็จพระอรหัตตผลนั้น ไดนามชื่อวาปญญาวิมุตติบุคคล สังขารุเบกขาญาณนี้ เปนปจจัยที่จะใหสําเร็จเปนพระอริยบุคคล ๗ จําพวก โดยนัยวิสัชนา มาฉะนี้ วิปสสนาญาณนั้น ๓ ประการ คือ มุญจิตุกามยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุเบกขาญาณนี้ ตางกันแตพยัญชนะ ตางกันก็แตชื่อ มีอรรถอันเดียวกันเปนปญญาอันเดียว สังขารุเบกขาญาณนี้ จะเรียกวาสิกขัปปตตวิปสสนาก็สมควรเพราะเหตุวาถึงซึ่งความเปน องคแหงวิปสสนาทั้งปวง มิฉะนั้นจะเรียกวาวุฏฐานคามินีวิปสสนาก็สมควร เพราะเหตุวา สังขารุเบกขา ญาณนี้ดําเนินถึงภูมิพระอริยมรรคสืบตอกันกับพระอริยมรรค แลวุฏฐานคามินีวิปสสนา อันจะสืบตอเขากับดวยพระอริยมรรคนั้นจะไดเหมือนกันหาบมิได วุฏฐานคามินีสิปสสนา แหงพระโยคาพจรบางพระองคนั้นเดิมทีพิจารณาสังขารภายใน ครั้น ถึงเมื่อกาลเมื่อกาลเมื่อสืบเขากับพระอริยมรรคนั้นก็พิจารณาสังขารภายในคงเดิมอยู บางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนา พิจารณาสังขารกายนอก ถึงกาลเมื่อสืบตอเขา กับดวยพระอริยมรรคนั้น ก็พิจารณาสังขารภายนอกคงเดิมอยู พระโยคาพจรบางพระองคนั้น เดิมทีวิฏฐานคามินีวิปสสนาพิจารณาสังขารภายนอก ครั้นถึง กาลเมื่อสืบตอเขากับพระอริยมรรคนั้นพิจารณาสังขารภายใน พระโยคาพจรบางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนาพิจารณาสังขารภายใน ครั้นถึง กาลเมื่อสืบตอเขากันดวยพระอริยมรรคนั้นก็พิจารณาสังขารภายนอก พระโยคาพจรบางพระองค เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนา พิจารณารูปธรรม ครั้นถึงกาลเมื่อ สืบเขากันดวยพระอริยมรรคนั้น ก็พิจารณารูปธรรมคงเดิมอยู บางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนา พิจารณารูปธรรมครั้นถึงกาลเมื่อสืบตอเขากับ ดวย พระอริยมรรคนั้นพิจารณาอรูปธรรม บางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนา พิจารณาอรูปธรรม ครั้นถึงกาลเมื่อสืบตอเขา กับดวยพระอริยมรรคนั้น ก็ยังพิจารณาพิจารณาอรูปธรรมคงเดิมอยู
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 128 บางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนา พิจารณาอรูปธรรม ครั้นถึงกาลเมื่อสืบตอเขา กับดวยพระอริยมรรคนั้น พิจารณารูปธรรม พระโยคาพจรบางพระองค เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนา พิจารณารูปธรรมแลอรูปธรรมเขา ดวยกัน ครั้นถึงกาลเมื่อจะสืบตอเขากับพระอริยมรรคนั้น พิจารณาเบญขันธพรอมกันเปนอันหนึ่งอัน เดียวกัน พระโยคาพจรบางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนา พิจารณาสังขารโดยอนิจจัง ครั้น เมื่อสืบตอเขากับดวยพระอริยมรรคนั้น ก็พิจารณาโดยอาการอนิจจังคงเดิมอยู บางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนา พิจารณาสังขารโดยอนิจจัง ครั้นเมื่อสืบตอเขา กับดวยพระอริยมรรคนั้น ก็พิจารณาโดยทุกขัง บางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนาพิจารณาโดยอนิจจังเมื่อสืบตอเขากับดวยพระ อริยมรรคนั้น พิจารณาสังขารโดยอาการอนัตตา บางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนาพิจารณาสังขารโดยอาการทุกขัง ครั้นถึงกาล เมื่อสืบเขากับดวยพระอริยมรรคนั้น ก็พิจารณาโดยอาการทุกขังคงเดิมอยู บางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนาพิจารณาโดยทุกขังเมื่อสืบตอเขากับดวยพระ อริยมรรคนั้น ก็พิจารณาโดยอนิจจัง บางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนาพิจารณาโดยทุกขัง ครั้นเมื่อสืบตอเขากับพระ อริยมรรคนั้น พิจารณาโดยอนัตตา บางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนาพิจารณาสังขารโดยอาการอนัตตา ครั้นถึงกาล เมื่อสืบตอเขาดวยกับพระอริยมรรคนั้นก็พิจารณาโดยอาการอนัตตาคงเดิมอยู บางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนาพิจารณาโดยอนัตตา ครั้นถึงกาลเมื่อสืบตอเขา กับดวยพระอริยมรรคนั้น พิจารณาสังขารธรรมโดยอนิจจัง พระโยคาพจรบางพระองคนั้น เดิมทีวุฏฐานคามินีวิปสสนาพิจารณาสังขารธรรมโดยอนัตตา ครั้นถึงกาลเมื่อสืบตอเขากับดวยพระอริยมรรคนั้น ก็พิจารณาสังขารธรรมโดยอาการทุกขัง นักปราชญพึงสันนิษฐานวา วุฏฐานมินีวิปสสนานี้มิใชอื่นใชไกลไดแกปญญาทั้ง ๓ คือ สัง ขารุเบกขาญาณ แลอนุโลมญาณแลโคตรภูญาณ ในที่นี้พระผูเปนเจาพุทธโฆษาจารย ซักเอาเนื้อความอุปมามาสาธกไว เพื่อจะสําแดงให เห็นแจงในวิปสสนาญาณทั้งปวง จําเดิมแตเบื้องตนมาตราบเทาถึงมรรคญาณ ผลญาณ อันเปน อวสานที่สุดวา “เอกา อิร วคฺคุลี” ยังมีคางคาวตัวหนึ่ง แลเห็นตนมะทรางมีกิ่ง ๕ กิ่งก็ดีใจ สําคัญวา ตนไมอันนั้นเห็นทีจะมีดอกมีผลบริบูรณหนักหนา อาตมะจะไปจับอยูที่ตนไมตนนั้นเถิด เพลาราตรีวันนี้ อาตมะจะไดบริโภคซึ่งดอกแลผลตามความปราถนา ดําริฉะนี้แลวก็บินไปจับอยูที่ตนมะทรางอันมีกิ่ง ๕ กิ่ง ครั้นเพลาราตีนั้นก็บินออกจากที่อันตนจับอยูลูบดูกิ่งอันหนึ่งก็ไมเห็นดอกผลที่ตนควรจะถือเอา เปนอาหารนั้น จะมีแตสักหนอยหนึ่งหาบมิไดคางคาวจึงบินไปลูบดูกิ่งอันเปนคํารบ ๒ นั้นเลา ก็เปลา ไปไมเห็นดอกแลผลอันใดอันหนึ่ง คางคาวจึงบินไปลูบดูกิ่งเปนคํารบ ๓ คํารบ ๔ คํารบ ๕ นั้นเลา ก็
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 129 เปลาไปไมเห็นผลอันใดอันหนึ่ง ที่ตนควรจะถือเอาเปนอาหาร คางคาวนั้นก็มาดําริวาอนิจจาเอย อาตมานี้เฝาอยูที่ตนไมนี้วันหนึ่งยันค่ําคิดวาจะไดรับประทานอาหารอันใดอันหนึ่งบาง มิรูก็เฝาเลน เปลา ๆ ทีเดียวไมไดดอกไมไดผลสักหนอย ก็อาตมาจะมาเฝาอยูที่ตนไมตนนี้ จะตองการอันใดเลา อาตมาจะไปสูตนไมตนอื่นเถิดดําริฉะนี้แลวคางคาวนั้นจึงสละละเสียซึ่งอาลัยในตนไมนั้นแลว ก็บินขึ้น ไปสูกิ่งยอดแหวนดูเบื้องบนแลว ก็บินไปในอากาศไปจับในตนไมตนอื่นที่มีผล “ยถา” อันนี้แลมี อุปมาฉันใดอุปไมยดังพระโยคาพจรเจาอันจําเริญซึ่งวิปสสนาญาณแลว แลไดซึ่งมรรคแลผล แลพระ โยคาพจรนั้นเปรียบเหมือนดังคางคาว ตนมะทรางอันมีกิ่งนั้นเปรียบเหมือนเบญขันธทั้งหา ขณะเมื่อ คางคาวบินไปจับอยูในตนไมมะทรางดวยสําคัญวาจะไดรับประทานดอกแลผลเปนอาหารนั้น เปรียบ เหมือนดังวาพระโยคาพจรอันมีปญญายังมิไดแกกลา ยังสําคัญอยูในขันธทั้ง ๕ วาเปนตน วาเปนของ แหงอาตมา ขณะเมื่อคางคาวบินออกจากที่ตนจับดูซึ่งกิ่งมะทรางอันเปนปฐม แลมิไดเห็นดอกแลผล อันใดอันหนึ่งที่ควรถือเอาเปนอาหารนั้น เปรียบดุจพระโยคาพจรอันพิจารณาซึ่งรูปขันธนั้นหาแกนสาร บมิได ไมเปนผลประโยชญอันใดอันหนึ่งขณะเมื่อคางคาวลูบดูกิ่งอันเปนคํารบ ๒ คํารบ ๓ คํารบ ๔ คํารบ ๕ แลเห็นวาหาดอกหาผลมิไดนั้นเปรียบดุจพระโยคาพจรอันพิจารณาเห็นซึ่งเวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วาหาแกนสารบมิได ไมเปนผลไมเปนประโยชญ ขณะเมื่อคางคาวสละละเสีย ซึ่งอาลัยในตนมะทราง มิไดปรารถนาที่จะอยูในตนมะทรางนั้น เปรียบดังพระโยคาพจรอันไดซึ่งมุญจิ ตุกามยตาญาณ แลปฏิสังขาญาณ แลปฏิสังขารุเบกขาญาณ แลปรารถนาจะไปใหพนจากสังขาร คิด อานอุบายจะไปใหพนจากสังขารเปนอุเบกขา มัธยัสถมิไดเอื้อเฟออยูในสังขารธรรมทั้งหลายนั้น ชวนะ นะ
ขณะเมื่อคางคาวบินไปสูกิ่งยอดกิ่งตรงขึ้นไปนั้น เปรียบประดุจพระโยคาพจรอันไดอนุโลม ขณะเมื่อคางคาวแหงนดูในเบื้องบนอากาศนั้น
เปรียบดุจพระโยคาพจรอันไดซึ่งโคตรภูชว
ขณะเมื่อคางคาวบินไปในอากาศนั้น เปรียบประดุจพระโยคาพจรอันไดซึ่งมรรคญาณ ขณะเมื่อคางคาวบินไปอยูที่ตนไมอันมีผล เปรียบดุจพระโยคาพจรอันไดซึ่งผลญาณ พระอรรถกถาจารยชักอุปมาอันนี้มาเปรียบไว นําอุปมาอันอื่นมาเปรียบเลา วายังมีฆรสามิก บุรุษเจาของเรือนผูหนึ่งบริโภคอาหารในเพลาเย็นแลวก็ขึ้นสูที่นอน ๆ หลับในราตรี เกิดเพลิงขึ้นใน เรือนติดถนัดแลวเผอิญบุรุษนั้นจึงตื่นขึ้นเห็นเพลิงก็สะดุงตกใจวาอนิจจาเอย อาตมานี้อยูกลางไฟที่ เดียว แลวก็จะตายเสียในไฟเลาทําไฉนอาตมาจะพนเพลิงออกไปตามทางอันใดหนอ ดําริฉะนี้แลว ชายผูนั้นก็แลดูทางที่จะออกไป ครั้นเห็นทางพอที่จะวิ่งออกไปไดชายนั้นก็ออกจากที่แลว ก็วิ่งออกมา ดวยเร็วพลัน ครั้นพนเพลิงแลวชายนั้นก็ยืนอยูในที่อันเพลิงไหมมิไดถึง “ยถา” อันนี้แลมีฉันใด อุปไมยดังพระโยคาพจรอันจําเริญวิปสสนาแลไดซึ่งมรรคแลผล ฆรสามิกบุรุษเจาของเรือน เปรียบดังพระโยคาพจร เรือนนั้นเปรียบเหมือนเบญจขันธทั้ง ๕ ขณะเมื่อบุรุษเจาของเรือนบริโภคอาหารในเพลาเย็นแลว ก็ขึ้นสูที่นอน ๆ หลับไปในราตรี นั้น เปรียบดุจพระโยคาพจรอันมีปญญายังออนยังสําคัญอยูในขันธทั้ง ๕ วาเปนอาตมาเปนของแหง อาตมา ขณะเมื่อบุรุษตื่นขึ้นเห็นเพลิงติดถนัดโดยรอบคอบแลว แลมีความสะดุงตกใจกลัวนั้น เปรียบดุจพระโยคาพจรอันพิจารณาเห็นที่เกิดที่ดับที่ฉิบหายที่ทําลายแหงสังขารแลว แลมีความสะดุง ตกใจกลัวแตสังขารธรรมนั้น ขณะเมื่อบุรุษปรารถนาจะออกมาใหพนเพลิง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
ก็เล็งดูทางที่จะออกนั้นเปรียบดังพระ
- 130 โยคาพจรอันไดซึ่งมุญจิตุกามยตญาณ แลสังขารุเบกขาญาณแลวแลปรารถนาจะใหพนจากสังขาร คิดอานอุบายจะไปใหพนจากสังขารมิไดเอื้อเฟออาลัยรักใครในสังขารนั้น ขณะเมื่อบุรุษแลเห็นหนทางที่จะวิ่งวางออกไปไดนั้น อนุโลมชวนะ
เปรียบดังพระโยคาพจรอันไดซึ่ง
ขณะเมื่อบุรุษวิ่งควบออกมานั้น เปรียบดังพระโยคาพจรอันไดซึ่งมรรคญาณ ขณะเมื่อบุรุษออกพนออกจากจากเพลิงแลว แลยืนอยูในที่อันเพลิงไหมมิไดนั้น เปรียบดัง พระโยคาพจรอันไดซึ้งผลญาณ พระอรรถกถาจารยนําอุปมานี้มาสําแดงแลว ชักอุปมาอันอื่นมาเปรียบอีกเลา ยังมีบุรุษ ชาวนาผูหนึ่งไปไถนาในเพลากลางวัน แลวเพลาเย็นลงนั้นก็ตอนโคเขาคอก แลวบุรุษผูนั้นก็นอนหลับ ไปในเพลาราตรี เมื่อบุรุษนั้นนอนหลับแลว โคทั้งหลายก็แหกคอกออกได ปลายนาหนีไป “ปจฺจูส สม เย” เมื่อเพลาปจจุสมัยจะใกลรุง บุรุษผูนั้นตื่นขึ้นแลไปดูโคที่คอกมิไดเห็นวา โคหนีไปแลวชาย นั้นก็ตามรอยโคนั้นไป ตามไป ๆ เห็นโคของพระมหากษัตริยเขา ก็สําคัญวาเปนโคของตัวอาศัยดวย ยังขมุกขมัวอยู ชายคนนั้นก็ตอนโคของพระมหากษัตริยมา ครั้นสวางขึ้นมารูวามิใชโคของอาตมาเปน โคของพระมหากษัตริยตางหาก ก็มีความสะดุงตกใจวามิเปนการแลว อะไรอาตมานี้ตอนเอาโคของ พระมหากษัตริยมาที่เดียวนี่หรือ ถาเขาเห็นบัดเดี๋ยวนี้ เขาก็จะจับเอาอาตมาวาเปนผูรายแล ไมไดแลว จําจะหนีเอาตัวรอดอยาใหทันราชบุรุษจับได ถาเขาจับตัวแลวมิฉิบหายก็ตายนั้นแล จําจะหนีไปใหพน กอน ดําริฉะนี้แลว ชายผูนั้นก็ละทิ้งโคทั้งปวงเสีย ออกจากที่นั้นแลวก็วิ่งตะบึงไป เห็นวาไกลวาไกล พนภัยที่เขาจะจับจะกุมเอาเปนผูรายแลว ชายผูนั้นจึงยืนอยู “ยถา” อันนี้แลมีฉันใดเปรียบเหมือน พระโยคาพจรอันจําเริญพระวิปสสนาแลว แลไดซึ่งมรรคแลผล บุรุษเจาของโคนั้นเปรียบประดุจพระโยคาพจร โคนั้นเปรียบประดุจเบญจขันธ ขณะเมื่อบุรุษผูนั้นตอนโคของพระมหากษัตริยไป ดวยสําคัญวาเปนโคของตัว เหมือนพระโยคาพจรอันมีปญญายังออน ยังเห็นวาเปนอาตมาเปนของอาตมาอยู ขณะเมื่อบุรุษผูนั้นรูวามิใชโคของตัว เปนโคแหงพระมหากษัตริยตางหาก พระโยคาพจรพิจารณาเห็นสังขารธรรม โดยพระไตรลักษณ
เปรียบ
เปรียบประดุจ
ขณะเมื่อบุรุษมีความสะดุงตกใจกลัวเขาจะจับจะกุม เอาเปนผูรายนั้นเปรียบประดุจดังพระ โยคาพจรอันไดซึ่งภยตูปฏฐานญาณ แลัวแตสังขารธรรมทั้งปวง ขณะเมื่อบุรุษปรารถนาจะไปใหพนเขาจับนั้น เปรียบประดุจพระโยคาพจรอันไดซึ่งมุญจิตุ กามตญาณ คือปญญาอันปรารถนาจะไปใหพนจากสังขารธรรม ขณะเมื่อบุรุษละโคเสียปรารภเพื่อจะวิ่งหนีเอาตัวรอดนั้น โคตรภูชวนะ
เปรียบดุจพระโยคาพจรอันไดซึ่ง
ขณะเมื่อเจาของโควิ่งตะบึงไปจะใหพนภัยนั้น เปรียบดุจพระโยคาพจรอันไดซึ่งมรรคญาณ ขณะเมื่อชายคนนั้นไปยืนอยูในที่ไกลพนภัยนั้น เปรียบดุจพระโยคาพจรอันไดซึ่งผลญาณ พระอรรถกถาจารยนําอุปมานี้มาสําแดงแลว ๆ นําอุปมาอื่นมาสําแดงอีกเลา วายังมีบุรุษผู หนึ่งสมัครสังวาสกับดวยนางยักขินีดวยสําคัญวาเปนหญิงมนุษย มิไดรูวาเปนนางยักขินีนอนอยู
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 131 ดวยกันในราตรี ยักขินีผูนั้นสําคัญวาชายผูนั้นหลับแลว ก็ไปสูปาชาผีดิบไปกินซากอสุภแหงมนุษย บุรุษผูนั้นเห็นนางยักขินีลุกหนีไป ก็มีความสงสัยวาภริยาของอาตมานี้ไปไหนหนอ ลุกขึ้นติดตาม สะกดรอยออกไปก็เห็นภริยาไปกินซากผีอยูที่ปาชา ก็รูวาภริยานั้นเปนยักขินีครั้นรูแลวก็มีความสะดุง ตกใจกลัวนั้นนักหนา วาอะไรนี่หนออาตมาไมรูเลยวาหญิงนี้เปนยักขินี สําคัญเอาเปนดิบเปนดีวาหญิง มนุษยอยูสมัครสังวาสแลวกับมันมิเปนการแลว นานไปเบื้องหนามันจะกินอาตมาเสีย อาตมาจะอยูไป กับมันนี้มิได จําจะหนีไปใหพนเถิด ดําริฉะนี้แลวชายนั้นก็บายหนาออกจากสถานที่นั้น วิ่งหนีไปดวย เร็วพลันไปถึงที่อันนางยักขินีนั้นจะตามเอาตัวมิไดแลวก็อยูในที่อันนั้น “ยถา” อันนี้แลมีอุปมาฉันใด อุปไมยดังพระโยคาพจร อันจําเริญพระวิปสสนาไดแกกลาแลว แลกระทําใหแจงซึ่งมรรคแลผล บุรุษนั้นเปรียบดุจพระโยคาพจร ยักขินีนั้นเปรียบประดุจเบญจขันธ ขณะเมื่อบุรุษสมัครสังวาสกับนางยักษ รักใครนางยักษ ดวยสําคัญสัญญาวาภริยาของของ ตนนั้น เปรียบประดุจพระโยคาพจรเมื่อยังเปนพาลปุถุชนอยูยังลุมหลงรักใครในเบญจขันธ สําคัญวา เปนตัวเปนตนวาเปนของอาตมา ขณะเมื่อบุรุษเห็นภริยาไปกินซากอสุภอยูที่ปาชานั้น แลรูวาเปนยักขินีนั้น เปรียบประดุจพระ โยคาพจร เมื่อมีปญญาพิจารณาเห็นสังขารธรรมโดยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขณะเมื่อบุรุษสะดุงตกใจกลัวแตภัย อันจะบังเกิดโดยยักขินีไปนั้น เปรียบประดุจโยคาพจร อันไดซึ่งภยตูปฏฐานญาณ ขณะเมื่อบุรุษปรารถนาจะหนีนางยักขินีไปนั้น เปรียบดุจโยคาพจรอันไดมุญจิตุกามยตญาณ คือปญญาอันปรารถนาจะไปใหพนจากสังขารธรรม ขณะเมื่อบุรุษละเสียซึ่งนางยักขินีที่ในปาชา โยคาพจรอันไดซึ่งโคตรภูชวนะ
แลบายหนาจะเลนหนีไปนั้น
เปรียบดุจ
ขณะเมื่อบุรุษเลนหนียักขินีไปดวยเร็วพลันนั้น เปรียบดุจโยคาพจรอันไดซึ่งมรรคญาณ ขณะเมื่อบุรุษหนีไปอยูที่อันยักขินีติดตามไปมิไดนั้น
เปรียบเหมือนโยคาพจรอันไดซึ่งผล
ญาณ พระอรรถกถาจารยชักอุปมาอันนี้มาสําแดงแลว จึงชักอุปมาอันอื่นมาสําแดงอีกเลาวา “เอกา อิตฺถี” ยังมีสตรีผูหนึ่งกําหนัดในลูก รักลูกนั้นรักนักที่เดียว วันหนึ่งสตรีผูนั้นขึ้นไป อยูเบื้องบนปราสาท ไดยินเสียงทารกรองไหที่กลางถนนสําคัญวาลูกของตน ผลุดลุกขึ้นไดก็เลนลง มาจากปราสาทรองวาใครทําอะไรแกลูกขา วิ่งลงมาครั้นถึงก็เขาเอาทารกผูนั้นอุมสําคัญวาลูกของตน ตอแลดูหนาจึงรูวาเปนลูกของคนอื่น ก็มีความละอายมาดําริวา อนิจจา ๆ อาตมานี้สําคัญผิดแลว นี่ลูก เขาอื่นนี่หรือ ชางหลงอุมไดเปนดินเปนดี ถาเจาพอเจาแมเขาเห็น เขาจะวาอาตมานี้ลักลูกของเขา บังเกิดความละอายแลดูซายแลดูขวาแลวก็วางทารกนั้นลงไว กลับขึ้นไปสูปราสาทดวยเร็วพลัน ไป นั่งอยูบนปราสาท “ยถา” อันนี้แลมีฉันใดสตรีนั้นอุปไมยดังพระโยคาพจร ทารกนั้นเปรียบประดุจ เบญจขันธ เมื่อสตรีสําคัญวาทารกเปนลูกของตัวแลอุมขึ้นนั้น ปุถุชนอยู ยังสําคัญในเบญขันธวาเปนอาตมาเปนของอาตมา
เปรียบดุจโยคาพจรเมื่อยังเปนพาล
ขณะเมื่อสตรีมีความละอายกลัวเขาจะวาลักลูกเขานั้น เปรียบดุจพระโยคาพจรอันไดซึ่งภย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 132 ตูปฏฐานญาณ ขณะเมื่อสตรีปรารถนาจะวางทารกลงนั้น แลเหลี่ยวดูซายแลขวานั้น มีครุวนาดุจโยคาพจร อันไดซึ่งมุญจิตุกามยตญาณ ขณะเมื่อสตรีวางทารกลงนั้น เปรียบดุจโยคาพจรอันไดซึ่งอนุโลมชวนะ ขณะเมื่อสตรีปรารภที่จะขึ้นไปสูปราสาทนั้น เปรียบดุจโยคาพจรอันไดซึ่งโคตรภูชวนะ เมื่อสตรีขึ้นสูปราสาท เปรียบดุจพระโยคาพจรอันไดซึ่งอริยมรรคญาณ ขณะเมื่อสตรีขึ้นไปนั่งอยูบนปราสาทนั้น เปรียบดุจโยคาพจรอันไดซึ่งผลญาณ จบปฏิทาญาณทัสสวิสุทธิทิเทศ ปริจเฉทคํารบ ๒๑ เทานี้ “อิโต ปรฺ โคตฺรภูญาณํ โหติ ตํ มคฺคสฺส อาวชฺชนฏานิ ยตฺตาเนว ปฏิปทาญาณทสฺ สนวิสุทฺธิ น ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ภชฺชติ อนฺตจา อพฺโกหาริกเมว โหติ วิปสฺสนา โสเตปติตตฺตา ปน วิปสฺสนาติ สงฺขยํ คจฺฉติ” จักวินิจฉัยในปริจเฉทเปนคํารบ ๒๒ ชื่อวา ญาณทัสสนวิสุทธินิเทศเปนลําดับแหงปฏิทา ญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ ตามวาระพระบาลีมีตนวา “อิโต ปรํ โคตฺรภูญาณํ โหติ” แปลเนื้อความวา เมื่ออนุโลมญาณดับแลว เบื้องหนาแตนั้นโคตรภูญาณก็บังเกิดแลโคตรภูญาณนั้น จะนับเขาวาเปน องคปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิก็หาบมิได จะนับเขาวาเปนญาณทัสสนวิสุทธิก็หาบมิได เหตุตั้งอยูในที่ เปนอาวัชชนะแหงมรรคญาณ ตกอยูในระหวางกลาง ควรจะนับเขาไดแตเพียงชื่อวาวิปสสนา เพราะ เหตุวาตกลงในกระแสแหงพระวิปสสนาติดพนเนื่องกันมา ญาณอันประเพฤติเปนไปในมรรคทั้ง ๔ คือ พระโสดาปตติมรรค ๑ พระสกทาคามิมรรค ๑ พระอนาคามิมรรค ๑ พระอรหัตตมรรค ๑ ญาณอัน เปนไปในมรรคทั้ง ๔ นี้ชื่อวาญาณทัสสนวิสุทธิดวยอรรถวารูวาเห็นซึ่งพระจตุราริยสัจจ แลบริสุทธิ์จาก ราคาทิกิเลส ล้ําพระอริยมรรคญาณทั้ง ๔ นั้น จะพรรณนาแตพระโสดาปตติมรรคญาณเปนปฐมนั้น กอน เมื่อพระโยคาพจรยังพระโสดาปตติมรรคญาณใหสําเร็จนั้นเลา กิจอันใดที่ควรจะพึงกระทําเมื่อ พระโยคาพจรเจายังพระวิปสสนาโดยลําดับตราบเทาถึงอนุโลมญาณ เปนที่สุดใหบังเกิดก็เปนอัน สําเร็จกิจทั้งปวงนั้น ใจความวา เมื่ออนุโลมญาณเกิดสามขณะ กําจัดเสียซึ่งกองมืดโมหันธการ กิเลสอยาง หยาบแลหยาบอันปกปดปญญาบมิไดเห็นพระจตุราริยสัจจใหอันตรธานไปโดยสมควรแกกําลังอาตมา แลว จิตแหงพระโยคาพจรนั้น ก็บันดาลกลับจากสังขารธรรมทั้งปวง มิไดของอยูในภพสังขารปานดุจ หนึ่งวาตอมน้ํา อันกลมกลิ้งไปจากใบบัวอันวาสังขารธรรมทั้งปวงก็ปรากฏเห็นโดยกังวลดังนี้แลว อัน วาโคตรภูญาณเมื่อกระทําพระนิพพานเปนอารมณ ขมเสียซึ่งปุถุชนโคตรแลจะใหถึงซึ่งพระอริยโคตร คือ อริยภูมิแลโคตรภูญาณนี้บังเกิดเปนปฐมาวัชชนะ คือแรกพิจารณาเล็งเห็นพระอมตมหานิพพานแล ใหสําเร็จซึ่งสภาวะเปนปจจัยแกพระอริยมรรคดวยอาการ ๖ คือ เปนอนันตรปจจัย สมนันตรปจจัย แล อาเสวนปจจัย อุปนิสยปจจัย นัตถิปจจัย วิคตปจจัยแลเปนที่สุดยอดแหงพระวิปสสนา บังเกิดในที่สุด แหงอนุโลมญาณอันมีอาเสวนะเนือง ๆ นั้น จึงมีคําอุปมาสาธกสําแดงอาการอันประพฤติเปนไปในอารมณตาง ๆ แหงอนุโลมญาณแล โคตรภูญาณทั้งหลาย อันเปนไปในชวนวาระวิถีอันเดียวกัน คําอุปมาวา ยังมีบุรุษผูหนึ่งมีความ ปรารถนาเพื่อจะโดดขามเหมืองอันใหญ แลวจะไปประดิษฐานยังฝงฟากโนน บุรุษนั้นก็เลนไปดวย กําลังอันเร็ว แลวก็ยึดหนวงเอาซึ่งเชือกก็ดี ซึ่งไมเสาก็ดีอันผูกหอยไวในกิ่งไมแลวก็หอยโหนโนมไป ครั้นถึงที่ตรงเบื้องบนฝงฟากโพนแลว ก็ยังมิไดละวางเชือกแลไมเสาเสียจากกร ก็คอยหนวงตัวลง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 133 ประดิษฐานยังฝงฟากโพน มีสกลกายกําเริบหวั่นไหวยังบมิตั้งตัวไดเปนอันดี จะมีอุปมาดุจใด อันวา พระโยคาพจรนี้ปรารถนาจะเอาาจิตไปประดิษฐานในพระอมตนิพพาน อันเปนฝงฟากโพนแหงภพ สงสารนี้ก็เปนไปดวยกําลังอันเร็ว กลาวคือพระวิปสสนามีอุทยัพพยญาณเปนอาทิ ก็ยึดหนวงเอาเชือก กลาวคือรูปขันธก็ดีซึ่งไมเสากลาวคืออรูปขันธ มีเวทนาเปนอาทิอันใดอันหนึ่งก็ดีอันผูกหอยอยูในกิ่ง ไม กลาวคืออาตมาภาพดวยกายคืออนุโลมญาณอันพิจารณาพระไตรลักษณมีอนิจจังเปนอาทิแลว ก็ ยังมิไดละเสียซึ่งเชือกแลไมเสา กลาวคือรูปเวทนาเปนอาทินั้น ก็หอยโหนแกวงกายไปดวยอนุโลมชวนะเปนปฐมแลว ก็มี จิตนอมไปสูพระนิพพานดวยอนุโลมญาณเปนคํารบ ๒ ดุจบุรุษมีกายอันนอมลงในฝงฟากโพนแหง เมืองใหญ พระโยคาพจรก็มีจิตใกลพระนิเพานอันควรจะพึงถึงในปจจุบันขณะดวยอนุโลมชวนะเปนคํา รบ ๓ เปรียบดุจบุรุษมีการอันซึ่งเบื้องบนฝงฟากโพนแหงเหมืองใหญ พระโยคาพจรก็มิละเสียซึ่ง อารมณ คือสังขารมีรูปเปนอาทิ ดวยกิริยาที่ดับอนุโลมจิตเปนคํารบ ๓ แลว ก็มีสันดานตกไปในพระ นิพพาน อันเปนฝงฟากโพนแหงสรรพสังสาร ดวยโคตรภูญาณก็ยังไปบมิไดประดิษฐานเปนอันดี ดุจ หนึ่งบุรุษมีสรีระกายอันหวั่นไหว อาศัยเหตุโคตรภูญาณหนวงเอาพระนิพพานเปนอารมณขณะเดียว ยังหาอาเสวนปจจัยรวมอารมณกันบมิได โคตรภูจิตดับแลว ลําดับนั้นพระอริยมรรคญาณจึงบังเกิด พระโยคาพจรเจาก็ไดชื่อวาประดิษฐานเปนอันดีในพระนิพพานดวยอริยมรรคนั้น ล้ําอนุโลมญาณและ โคตรภูญาณอันบังเกิดในบุรพภาคแหงพระอริยมรรคนั้น อนุโลมญาณเปนพนักงานอาจจะบรรเทาเสีย ซึ่งโมหันธการกองกิเลสอันปกปดไวซึ่งพระจตุราริยสัจจ แตทวาบมิอาจเพื่อกระทําซึ่งพระนิพพานเปน อารมณได ฝายโคตรภูญาณอาจเพื่อจะบรรเทาเสียซึ่งมืดคือ กิเลสอันปกปดซึ่งพระจตุราริยสัจจ นั้น ได “ตตฺรายํ อุปมา” มีขอความอุปมาสาธกใหเห็นวา อนุโลมฌาณกับโคตรภูญาณมีกิจ ตางกัน “เอโก จกฺขุมา ปุริโส” ยังมีบุรุษผูหนึ่งมีจักขุบริบูรณปรารถนาจะใครแลดูดวง พระ จันทรมณฑลอันกอปรดวยนักขัตตฤกษ ออกมาสูที่แจงในราตรีภาค เงยพักตรเล็งแลดู ณ เบื้องบน พระจันทรมณฑลก็บมิไดปรากฏเหตุเมฆพลาหกปดไวหลายชั้น ในขณะนั้นจึงเกิดมีลมจําพวกหนึ่งพัด เพิกพื้นเมฆอันหยาบใหเกลื่อน ลมจําพวกหนึ่งจึงพัดอีกเลา กําจัดพื้นเมฆที่เปนอยางกลางใหเปลื้อง ไป ลมจําพวกหนึ่ง จึงพัดขจัดพื้นเมฆอยางละเอียดใหเกลื่อนหายพื้นนภาลัยก็บริสุทธิ์ บุรุษผูนั้นแล เห็นดวงจันทรอันแจมจาจึงรูวาพระจันทรกอปรดวยนักขัตตฤกษนั้น ๆ แลกองกิเลสอยางหยาบอยาง กลางอยางละเอียดนั้น เปรียบดุจหนึ่งเมฆทั้งสามชั้นอนุโลมจิตเกิดสามขณะเปรียบดุจหนึ่งลมสาม จําพวก โคตรภูญาณนั้นเปรียบตอบุรุษบริบูรณพระอมตนิพพานเปรียบดังดวงพระจันทร แลกิริยาอันอนุโลมจิตทั้งสามขจัดเสียซึ่งกองมืด คือกิเลสอันปกปดพระจตุราริยสัจจนั้น เปรียบดุจหนึ่งลมสามจําพวก อันพัดพลาหกใหเกลื่อนไปโดยอนุกรมลําดับ เมื่อแลกองมืดคือกิเลสอัน ปกปดพระอริยสัจจขจัดแลว แลโคตรภูญาณก็ทัศนาการเห็นพระนิพพานเปรียบอาการดุจหนึ่งบุรุษเห็น พระจันทรมณฑล อันบริสุทธิ์ในพื้นนภางคประเทศ อันมีพื้นพลาหกอันตรธานไปแลวนั้น แทจริงพระ อนุโลมญาณทั้งสามขณะ อาจเพื่อจะบรรเทาซึ่งกองมืดปดปงพระอริยสัจจแลมิอาจเพื่อจะเห็นพระ นิพพาน เปรียบดุจหนึ่งลมสามจําพวกอันสามารถจะกําจัดพื้นพลาหก อันปกปดซึ่งดวงพระจันทรให เกลื่อนไป แลมิอาจเพื่อจะสําเร็จกิจคือเห็นพระนิพพานสิ่งเดียว มิอาจเพื่อจะบรรเทาเสียซึ่งกิเลส ดุจ หนึ่งบุรุษอาจเพื่อจะเล็งจะเเลซึ่งดวงพระจันทร แลมิอาจกําจัดเสียซึ่งเมฆพลาหกใหอันตรธานได เหตุ ใดเหตุดังนั้น อันวาโคตรภูญาณนั้นแมวามิไดเปนอาวัชชกิจก็ดี แตทวาตั้งอยูที่อาวัชชนะพิจารณาเห็น พระนิพพานมีอาการดุจหนึ่งจะใหสําคัญแกพระอริยมรรค วาทานจะบังเกิดดวยอาการดังนี้แลว ก็ดับไป ฝายพระอริยมรรคญาณก็บมิไดละซึ่งสําคัญ อันโคตรภูญาณนั้นใหก็บังเกิดเปนอนุพันธเนื่องตามซึ่ง โคตรภูญาณ ดวยสามารถระหวางมิไดปรากฏ ก็ทําลายลางซึ่งกองกิเลสคือ โลภะ โทสะ โมหะ อัน มิไดเคยทําลายแตกอนใหขาดเปนสมุจเฉทปหานโดยอันควรแกกําลัง “ตตฺรายํ
อุปมา”
จึงมีคําอุปมาวา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
ยังมีนายขมังธนูผูหนึ่งปรารภเพื่อจะสําแดงซึ่งศิลป
- 134 ศาสตร จึงยังบุคคลใหตั้งไวซึ่งแผนกระดานแลวดายไมแกนประดูไดรอยชั้น ในประเทศที่ไกล ประมาณ ๘ อุสุภ แลวจึงเอาผาพันพักตรแลวก็สอดใสลูกปน พาดสายใหมั่นกับคันธนูแลวก็ยืนเบื้อง บนจักรยนต อันมีอาการเหมือนจักรแหงนายชางหมอ จึงมีบุรุษผูหนึ่งชวยผัดผันจักรยนตนั้นใหเวียน ไป แลนายขมังธนูนั้นมีปลายปนเฉพาะหนสูแผนกระดาน ไดรอยชั้นแลวกาลใดบุรุษผูอื่นนั้นก็ตีไมให สําคัญในกาลนั้น ฝายนายขมังธนูก็มิไดละเสียซึ่งสําคัญตีไมนั้นแลว ก็ปลอยลูปปนไปตองแผน กระดานทั้งรอยชั้นนั้นแตกขะจัดขะจายทําลายลง แลพระโคตรภูญาณนั้นเปรียบดุจหนึ่งสําคัญคือตีไม พระอริยมรรคญาณเปรียบดุจหนึ่งนายขมังธนูกิริยาที่พระอริยมรรคมิไดละเสียซึ่งสําคัญอันโคตรภู ญาณใหเห็นแลว แลกระทําพระนิพพานเปนอารมณ จึงทําลายเสียซึ่งกองกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ อันยังบมิทําลายแตกอนนั้น เปรียบประดุจหนึ่งนายขมังธนูบมิไดละเสียซึ่งสําคัญเสียงตีไมนั้น แลวแลวางปนไปตองแผนกระดานรอยชั้นแตกทําลายลงนั้น “น เกวลฺจ” แลพระอริยมรรคนั้นจะสําเร็จกิจแตทําลายกองกิเลสมีโลภเปนอาทิแต เทานั้นหามิได พระอริยมรรคนั้นใหสําเร็จกิจเปนอันมาก คือยังหวงสมุทรสาคร กลาวคือสังสารวัฏฏ ทุกข อันหาที่สุดเบื้องบนบมิไดใหเหือดแหง แลหับประตูจตุราบายภูมิทั้ง ๔ แลกระทําซึ่งอริยทรัพย ๗ ประการใหเฉพาะหนา แลละเสียซึ่งหนทางผิด คือมิจาฉาทิฏฐิเปนอาทิแลระงับเสียซึ่งเวรภัยทั้ง ปวง แลวก็นอมอาตมาแหงพระโยคาพจรเจานั้นใหถึงซึ่งสภาวะเปนเปนบุตร อันเกิดแตพระอุระของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาแลวก็ประพฤติเปนไปเพื่อจะใหไดผลานิสงสอื่นอีก เปนเอนกอนันตจะนับ บมิได “เอวํ อเนกานิสํสทายเกน” อันวาญาณอันสัมปยุตดวยพระโสดาปตติมรรค อันมีปกติให ถึงซึ่งอานิสงสเปนอันมากดุจกลาวมานี้แลชื่อวาโสดาปตติมรรคญาณเปนปฐม ครั้นโสดาปตติมรรคญาณเกิดขณะจิตเดียวดับแลว ลําดับนั้นพระโสดาปตติผลจิต อันเปน ผลวิบากแหงโสดาปตติมรรคนั้นก็บังเกิด ๒ ขณะ ๓ ขณะ โดยอันควรแกทันธาภิญญาแลขิปปาภิญญา อธิบายวาอนุโลมเกิด ๒ ขณะ ชวนะจิตเปนคํารบ ๓ ชื่อวาโคตรภูวชนะจิตเปนคํารบ ๔ เปน พระโสดาปตติมรรคพระโสมดาปตติผล จิตเกิด ๓ ขณะ พอครบชวนะจิต ๗ ขณะ ในชวนะวารวิถี อันหนึ่งดังนี้ไดชื่อวาขิปปาภิญญา ถาแลอนุโลมญาณเกิด ๓ ขณะ ชวนะโคตรภูจิตก็เปนคํารบ ๔ พระโสดาปตติมรรคเกิดเปน คํารบ ๕ พระโสดาปตติผลชวนะเกิด ๒ ขณะก็ครบชวนะจิต ๗ ขณะดังนี้ ชื่อวาทันธาภิญญา เมื่อพระอริยผลเกิดในลําดับแหงพระโสดาปตติมรรคดังนี้ แลวพระโยคาพจรเจานั้นก็ไดชื่อ วาโสดาบัน เปนอริยสาวกคํารบ ๒ แมวามีพระวิปสสนาปญญายังออนตกอยูขางประมาท ก็เที่ยวทอง เอาปฏิสนธิกําเนิดอยูในเทวโลกแลมนุษยโลก ๗ ชาติ ก็อาจเพื่อจะกระทําใหสิ้นแหงทุกข คือจะได ซึ่งพระอรหัตตเปนคํารบ ๗ นั้น ผลปริโยสาเน ครั้นพระโสดาปตติมผลเกิด ๒ ขณะ ๓ ขณะแลว จิต แหงพระโยมคาพจรเจานั้นก็จะลงสูภวังคลําดับนั้นจึงมโนทวาราวัชชนจิตตัดกระแสภวังค บังเกิดขึ้น เพื่อประโยชนจะพิจารณาซึ่งพระอริยมรรคแลวก็ดับไป ลําดับนั้นจึงกามาพจรชวนะจิต อันกอปรดวย ญาณเกิด ๗ ขณะ พิจารณาพระอริยมรรควา อาตมามาสูอริยภูมิโดยหนทางนี้แลวก็ลงสูภวังคมโนทวา วัชชนะตัดกระแสภวังคแลกามาพจรญาณสัมปยุตชวนะจิตเกิดอีก ๗ ขณะ พิจารณาพระอริยผลแล พิจารณาพระนิพพานพิจารณากองกิเลสที่ละเสีย แลพิจารณากองกิเลสอันเหลืออยูเปนสวนที่พระ อริยมรรคเบื้องบน จะพึงละเปนปจจเวกขณะชวนะวารหาชวนะวิถีดวยกัน พระสกทาคามิบุคคลแลพระอนาคามิบุคคล ก็มีปจเวกขณะชวนะวาระละ ๕ ๆ เหมือนกัน แตพระขีณาสวะจําพวกเดียว ก็มีปจจเวกขณะชวนวารแต ๔ คือ พิจารณามัคควาร ๑ พิจารณาพลวาร ๑ พิจารณาพระนิพพานวาร ๑ พิจารณากิเลสที่มละเสียวาร ๑ เปนคํารบ ๑ ลดวารที่
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 135 จะพิจารณาซึ่งกิเลสจึงคงแต ๔ วาร ปจจเวกขณะแหงพระโสดาบันบุคคล ๓ จําพวก ๆ ละ ๕ เปนปจจเวกขณะวาร ๑๔ แหง พระขีณาสพ ๕ วาร เขากันเปนปจจเวกขณะวาร ๑๙ อันนี้วาโดยอุกฤษฏ สงเคราะหเอาซึ่งปจจเวก ขณะวาร อันเต็มบริบูรณจึงเต็ม ๑๙ พระเสขบุคคลเจาบางพระองคบมิไดพิจารณากิเลสอันละเสีย แล บมิไดพิจารณากิเลสอันเหลืออยูในสันดานก็มีบาง อาศัยเหตุบมิไดพิจารณาดังนี้ จึงทาวมหานาม สากยราชทูลถาม สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาวากิเลสธรรมดาฤๅซึ่งมีอยูภายในสันดาน อันขาพระองค บมิไดละเสีย โลภะ โทสะ โมหะ จึงยังจิตแหงขาพระองคใหฟุงซานในกาลบางคาบฉะนี้ เพราะ ธรรมดาดังฤๅ เนื้อความพิสดารอยุในจุฬทุกขักขันธสูตร มัชฌิกนิกายมูลปณณาสกโนน “เอวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปน โสตาปนฺโน อริยสาวโก” พระอริยสาวกเจาผูถึงซึ่งพระโสดา เมื่อพิจารณาดวยประการดังนี้แลว บางพระองคก็นั่งอยูเหนืออาสนะนั้นแทจริง ก็กระทําความเพียร สืบไป เพื่อจะยังกามราคะพยาบาทอันบาปใหเบาบาง ละจะไดถึงซึ่งพระโลกุตตรภูมิเปนคํารบ ๒ บาง พระองคก็อยูจําเนียรภายภาคหนาจึงคอยกระทําเพียรก็ดี เมื่อกระทําเพียรนั้นก็พิจารณาสังขารธรรม อันมีประเภท คือ แลเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดวยพระไตรลักษณญาณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หยั่งลงสูวิถีทางพระวิปสสนา เมื่อปฏิบัติไปฉะนี้ถึงที่สุดสังขารุเบกขาญาณแลว จะขึ้นสูมรรค วิถีจึงจะมีอาวัชชนะตัดกระแสภวังคแลว อนุโลมจิตเกิด ๒ ขณะ ๓ ขณะแลว โคตรภูญาณบังเกิด พระ สกทาคามิมรรคก็บังเกิดในลําดับแหงโคตรภูญาณนั้น ญาณอันสัมปยุตดวยพระสกทาคมิมรรคจิตนั้น แลไดชื่อวาสกทาคามิมรรคญาณเปนคํารบ ๒ พระสกทาคามิมรรคเกิดขณะจิต ๑ สําเร็จกิจกระทําซึ่ง กามราคพยาบาทอันหยาบใหเบาบางแลวดับลง ลําดับนั้นพระสกทาคามิผลจิตก็บังเกิด ๒ ขณะ ๓ ขณะโดยนัยดุจกลาวแลวพระโยาคาพจรเจานั้น ก็ไดชื่อวาพระอริยบุคคลเปนคํารบ ๔ ชื่อวาพระสกทา คามิบุคคล อธิบายวา ถายังบมิไดมรรคแลผลเบื้องบนในชาตินั้น จะจุติจากมนุษยโลกนี้แลวจะบังเกิด ในกามพจรเทวโลก จุติจากเทวโลกแลวจะกลับมาเอาปฏิสนธิในมนุษยโลกนี้อีกคราวหนึ่ง จึงจะสําเร็จ แกพระอรหัตตสิ้นสังขารทุกขทั้งปวง เมื่อพระสกทาคามิผลจิตเกิดแลว เบื้องหนาแตนั้นไปก็มีปจจเวกขณะวารพิจารณามรรค เปนอาทิ ดุจนัยดังกลาวมาแลว “เอวํ ปจฺจเวกฺ ขิตฺวา” พระอริยสาวกชื่อวาสกทาคามี เมื่อพิจารณา ปจจเวกขณะญาณดังนี้แลว นั่งอยูเหนืออาสนะนั้นแทจริง ก็กระทําความเพียรสืบตอไป เพื่อจะมละเสีย ซึ่งกามราคพยาบาทใหหาเศษเหลือบมิได และจะใหถึงซึ่งพระโลกุตตรภูมิเปนคํารบ ๓ บางพระองคก็ยับยั่งอยู จําเนียรภายภาคหนาจึงกระทําความเพียรสืบตอไปก็ดี เมื่อการ กระทําความเพียรนั้นก็พิจารณาสังขารธรรมดวยพระไตรลักษณ คือ อนัจจิง ทุกขัง อนัตตา หยั่งลงสู วิถีทางลําดับแหงพระวิสสนาปฏิบัติไปฉะนี้ ครั้นถึงที่สุดสังขารุเบกขาญาณแลว มโนทวาราวัชชนะตัด ก็กระแสภวังค อนุโลมโคตรภูญาณก็บังเกิดเปนลําดับกัน พระอนาคามิมรรคก็บังเกิดในลําดับแหง โคตรภู ใหสําเร็จกิจอันมละเสียซึ่งกามราคาพายบาทอันหาเศษบมิได ญาณอันสัมปยุตดวยพระ อนาคามิมรรคนั้นแล ไดชื่อวาอนาคามิมรรคญาณเปนคํารบ ๓ ครั้ง พระนาคามิมรรคผลจิตก็บังเกิด ๒ ขณะ ๓ ขณะ พระโยคาพจรเจานั้นก็เปนพระอริยบุคคลคํารบ ๖ ชื่อวาอนาคามีบุคคล อธิบายวา ถายังมิไดพระอรหัตตในชาตินั้น ครั้นจุติจากชาตินั้นแลวก็จะไดบังเกิดใน สุทธาวาส จักมิไดกลับมาเอาปฏิสนธิในกามโลกนี้เลยก็จะสําเร็จแกพระอรหัตตนิพพานในสุทธาวาส เมื่อพระอนาคามีผลผลดับแลวจิตแหงพระโยคาพจรเจานั้นก็ลงสูภวังคอาวัชชนะจิต ก็ตัดกระแสภวังค ขึ้นสูวิธีปจจเวกขณะชวนะวารพิจารณา พระอริยมรรคเปนอาทิ ดุจนัยดังกลาวแลว “เอวํ ปจฺจเวกฺขิตฺ วา” พระอนาคามีอริยสาวกเจา เมื่อพิจารณาดังนี้แลว บางองคก็นั่งอยูเหนืออาสนะนั้นแทจริง กระทํา ความเพียรสืบตอไป เพื่อจะมละเสียซึ่งสังโยชน ๕ ประการคือ รูปราคอันยินดีที่จะบังเกิดในรูปภพ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 136 คือ รูปราคอันยินดีที่จะบังเกิดในอรูปภพ ๑ คือ มานะ ๑ อุทธัจจะ ๑ อวิชชา ๑ ใหหาเศษมิได แลจะ ใหถึงซึ่งโลกุตตรภูมิเปนคํารบ ๔ คือพระอรหัตตมรรค บางพระองคก็ยับยั้งอยูจําเนียรนานไปภายภาคหนา จึงปรารถนากระทําเพียรตอไปก็มี พระ อนาคามีอริยสาวกเจานั้น เมื่อกระทําเพียรก็พิจารณาสังขารธรรมดวยปญญา อันประกอบดวยพระไตร ลักษณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หยั่งลงสูพระวิปสสนาวิถีโดยลําดับตราบเทาที่สุดแหงสังขา รุเบกขาญาณแลว ในเมื่ออนุโลมโคตรภูญาณทั้งหลายเกิดดวยอาวัชชนะวารอันหนึ่งแลว ลําดับนั้น พระอรหัตตมรรคก็บังเกิดขึ้นขณะจิต ๑ ละเสียซึ่งสังโยชน ๕ ประการ ดวยสมุจเฉทปหานแลวก็ดับไป ญาณอันสัมปยุตดวยพระอรหัตตมรรคนั้นก็ไดชื่อวา พระอรหัตตมรรคญาณเปนคํารบ ๕ ลําดับนั้นพระ อรหัตตผลจิต ก็บังเกิดขึ้น ๒ ขณะ ๓ ขณะ พระโยคาพจรเจานั้นก็เปนองคพระอริยบุคคลคํารบ ๘ ชื่อ วาพระอรหันตมหาขีณาสพ ทรงชื่ออาตมาภาพเปนที่สุดเเหงสังขารทุกขแลมีภาระอันหนัก คือขันธแล กิเลสแลอภิสังขารอันปลงเสียแลวแลมีประโยชนแหงตนคือพระอรหัตตอันถึงแลว แลมีสังโยชนทั้ง ปวงอันประกอบสันดานไวในกําเนิดก็สิ้นแลว ก็พนจากสรรพกิเลสเหตุตรัสรูซึ่งอรรถแหงธรรมทั้งปวงมี ขันธเปนอาทิ ดวยโยนิโสมนสิการ แลเปนเนื้อนาบุญเขตควรเพื่อจะรับซึ่งทักขิณาทาน แลอัญชลีกรรม แหงสัตวโลกกับทั้งเทวดาโลกทั้งปวงหาสิ่งเสมอมิได ดวยบังเกิดแหงพระอรหัตตผลจิตมีประมาณ เทานั้น ญาณอันเปนไปในพระอริยมรรค มีพระโสดาปตติมรรคเปนตนมีพระอรหัตตผลมรรคเปน ปริโยสาน เปนญาณ ๔ ประการอันพระโยคาพจรพึงถึงโดยลําดับพรรณนามาฉะนี้แล ชื่อวาญาณทัส สนวิสุทธิ “อิทานิ อิมิสฺสาเยว จตุตฺญาณทสฺสนวิสุทฺธิยา อนุภาว วิชชานนตฺถํ” กาลบัดนี้ นักปราชญพึงรูวาสภาวะ ๓ ประการ คือ สภาวะแหงพระอริยมรรค มีพระโพธิปกขิยธรรมบริบูรณ ประการ ๑ คือกิริยาอันออกจากสังขารธรรม คือสังขารนิมิตแลสังขารปวัตติ แลประกอบดวยผลสอง ประการ ๑ คือพระอริยมรรคละเสียซึ่งธรรมอันจะพึงมละประการ ๑ คือกิจ ๔ มีปริญญากิจเปนตน ๑ เปนประการ “” วุตฺตานิ พระพุทธโฆษาจารยเจากลาวไว เพื่อจะใหโยคาพจรกุลบุตรรูซึ่งอานุภาพ แหงจตุตถญาณทัสสนวิสุทธินี้ โดยสภาวะควรแกมีในอภิสมัย กาลเมื่อตรัสรูซึ่งพระอริยมรรคนั้น “อิเม สตฺตตึส ธมฺมา” ธรรมทั้งหลาย ๓๗ คือ สติปฏฐาน ๔ คือสัมมัปปธาน ๔ คืออิทธิ บาท ๔ คืออินทรีย ๕ คือพละ ๕ คือ โพชฌงค ๗ คือพระอริยมรรคมีองค ๘ เปน ๓๗ ดวยกัน ชื่อวา พระโพธิปกขิยธรรม “ปกฺเข ภวนตา” เหตุตั้งอยูในสภาวะเปนคุณูปการแกพระอริยมรรคจิต อันไดนามบัญญัติ ชื่อวาโพธิ ดวยอรรถวาตรัสรู “เตสุ โพธิปกฺขิเยสุ” ล้ําพระโพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการนั้นจะวาแตสติปฏฐานนั้นกอน “อุปฺปฏานํ” อันวาสติอันหยั่งลงเนือง ๆ ในอารมณมีรูปกายเปนอาทิแลว แลตั้งมั่น ชื่อ วาสติปฏฐาน มีประเภท ๔ ประการ “ปวตฺติโต” เหตุประพฤิตเปนไปดวยกิจอันถือเอาซึ่งอาการวาบมิงามในรูปกาย แลอาการ วาเปนทุกขในกองเวทนา แลอาการวาบมิเที่ยงในกองวิญญาณ แลอาการวาใชตนไมใชตนไมใชแกน สารในธรรมทั้งหลายมีนิวรณธรรมเปนอาทิในบุรพภาค แลใหสําเร็จปหานกิจอันมละเสียซึ่งวิปลาศ คือ สําคัญวางามเปนสุขวาเที่ยงวาตน ในขณะเมื่อเปนมรรคสติปฏฐาน เหตุดังนั้นจึงเปนพระสติปฏฐาน ๔ ประการ “ปธานํ” ความเพียรอันยุติในกายแลจิต ชื่อวาสัมมัปปธานดวยอรรถวางาม เหตุปราศจาก
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 137 สภาวะพึงเกลียดคือกิเลส แลอรรถวาเปนใหญเปนประธานใหสําเร็จกิจ ๔ ประการ คือเพียรพยายามละเสียซึ่งอกุศลธรรม อันบังเกิดแลว ๑ คืออกุศลธรรมที่ยังมิไดบังเกิดก็เพียรบมิใหบังเกิดตอไปได ๑ คือเพียรใหบังเกิดแหงอกุศลธรรมอันยังบมิไดบังเกิด ๑ คือเพียรใหถาวรภิยโยภาพแหงกุศลธรรมอันบังเกิดแลว ๑ คือเพียรใหสําเร็จกิจ ๔ ประการดังนี้ จึงเปนสัมมัปปธาน ๔ ในพระอิทธิบาท ๔ นั้น “อิทฺธ”ิ แปลวาเปนเหตุจําเริญ แลถึงซึ่งสภาวะเปนอุกฤษฏ ไดแกพระโลกุตตรมรรคทั้ง ๔ ธรรมทั้งหลาย มีฉันทะเปนตน ชื่อวาอิทธิบาท ดวยอรรถวาเปนประธาน แลเปนเหตุจะใหไดซึ่งอิทธิ คือพระโลกุตตรมรรคแลพระอิทธิบาทนั้นมีประเภท ๔ ประการ คือ ฉันทิ ทธิบาท ๑ วิริยิทธิบาท ๑ จิตติทธิบาท ๑ วิมังสิทธิบาท ๑ พระโยคาพจรเจาเมื่อจําเริญภาวนากระทําซึ่งกุศลฉันทะ คือความปรารถนาจะเปนใหญเปน ประธานใหสําเร็จแกพระโลกุตตรมรรค แลฉันทะคือความปรารถนานั้น ไดชื่อวาฉันทิทธิบาท พระโยคาพจรเจากระทําซึ่งวิริยะเปนใหญเปนประธาน จึงสําเร็จแกพระโลกุตตรมรรค วิริยะ นั้นไดชื่อวาวิริยิทธิบาท พระโยคาพจรเจากระทําซึ่งกระทําจิตแลปญญาเปนใหญเปนประธาน ใหสําเร็จแกพระโล กุตตรมรรค จิตนั้นก็ไดชื่อวาจิตติทธิบาท ๔ ปญญานั้นไดชื่อวาวิมังสิทธิบาท แลพระอิทธิบาททั้ง ๔ มีฉันทะเปนอาทิดังกลาวมานี้ เปนพระโลกุตตรเเท ประการหนึ่ง ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเปนอาทิ อันสัมปยุตดวยพระโลกุตตรมรรค อันพระ โยคาพจรไดดวยอํานาจแหงฉันทาธิบดีวิริยาธิบดี จิตตาธิบดี วิมังสาธิบดี ก็ไดชื่อวาอิทธิบาท ดวย อรรถวาเปนโกฏฐาส แหงอิทธิ อนึ่งธรรมทั้ง ๔ ประการมีฉันทะเปนอาทิ เมื่อเปนอิทธิบาทนั้นก็คงเปนอธิบดีดวย อัน ลักษณะอธิบดี จะมีพรอมกันทั้ง ๕ ในจิตตุปบาทอันเดียวกันหาบมิไดคงจะเปนแตสิ่งหนึ่ง คือฉันทะ เปนอิทธิบาทในจิต ตุปบาทใดแลวก็หาม วิริยิทธิบาท จิตติทธิบาท วิมังสิทธิบาทในจิตตุปบาทนั้น วิริยะเปนอิทธิบาทในจิตจิตตุปบาทอันใดแลว ก็เปนอันหาม ฉันทะ จิตตะ วิมังสา อิทธิบาท ในจิตตุป บาทนั้น จิตตะ แลวิมังสาก็ดี เปนอิทธิบาทในจิตตุปบาทอันใด ก็เปนอันหามอิทธิบาทอื่นในจิตตุป บาทนั้นคงเปนอิทธิบาทไดแตสิ่งเดียว จะเปนอิทธิบาทพรอมกันถึง ๒ ก็ดี, ๓ ก็ดี, ๔ ก็ดีในขณะจิต เดียวนั้นหาบมิไดเปรียบประดุจหนึ่งวา ราชกุมาร ๔ พระองคอันอยูในราชสมบัติอันเดียว จะครองราช สมบัติเปนใหญพรอมกันในกาลเดียวทั้ง ๔ พระองคนั้นหาบมิได คงจะเปนอธิบดีอิสรภาพพรอม ครอบครองสมบัติแตพระองค ๑ พระราชกุมาร ๓ พระองคนั้นก็เปนผูอุปถัมภก็ชวยใหสําเร็จกิจราชการ และพระอิทธิบาททั้ง ๔ นี้ก็มีอาการเหมือนกันดังนั้น อินทรีย ๕ คือสัทธินทรีย ๑ คือวิยินทรีย ๑ คือสตินทรีย ๑ คือสมาธินทรีย ๑ คือปญญินท รีย ๑ เปน ๕ ประการดวยกัน สัทธาเจตสิกใหสําเร็จ เปนใหญในสัมปยุตธรรม ดวยสภาวะครอบงําซึ่งมิจฉาวิโมกข คือ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 138 ความเลื่อมใสหยั่งลงในที่ผิดจึงไดชื่อวาสัทธินทรีย วิริยเจตสิกนี้สําเร็จกิจเปนใหญในที่จะครอบงําเสีย ซึ่งโกสัชชะปกษ คือกุศลจิตตุปบาท มีถีนมิทธะเปนประธาน จึงไดชื่อวา วิริยินทรีย เจกสิกใหสําเร็จกิจเปนใหญในที่จะครอบงําเสีย ประมาทหลงลืมแลมีสติ จึงไดชื่อวาสตินทรีย
ซึ่งอกุศลธรรมอันประพฤติเปนไปดวย
เอกัคคตาเจตสิกใหสําเร็จเปนใหญ ในที่จะครอบงําอกุศล อันเปนฝกฝายใหฟุงซาน คือ อุทธัจจะ จึงไดชื่อวาสมาธินทรีย ปญญาเจตสิกใหสําเร็จเปนใหญ ในสัปปยุตธรรมดวยสภาวะครอบงําเสียซึ่งความหลง จึง ไดชื่อวาปญญินทรีย ก็มีดวยประการฉะนี้ พละธรรม ๕ ประการนั้น ก็ใชอื่น คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญานั้น ชื่อวาพละ ดวย สภาวะมิไดหวาดไหว แลสภาวะถาวรตั้งมั่นในสัมปยุตธรรมทั้งปวง “สตฺตา ธมฺมา” ธรรมทั้งหลาย ๗ มีสติเปนตน มีอุเบกขาเปนปริยโยสาน ไดนามบัญญัติ ชื่อวาโพชฌงค ดวยสภาวะเปนองคแหงพระอริยสาวกผูอื่นจากนิทรา คือกิเลสอันครอบงําในสันดาน แลตรัสซึ่งจตุราริยสัจจ แลกระทําซึ่งพระนิพพานใหแจง
ขอความพิสดารในพระสัตตโพชฌงค ก็มีนัยอันกลาวในอัปปนาโกสลกถานั้นแลว “อฏมฺธมา” ธรรมทั้งหลาย ๘ มีสัมมาทิฏฐิเปนตนมีสัมมาสมาธิเปนปริโยสาน ไดนาม บัญญัติชื่อวามัคคังคะองคแหงพระอริยมรรคดวยสภาวะเปนเหตุออกจากวัฏฏทุกข ขอความพิสดารมี ในหนหลังแลว แลพระโพธิปกขิยธรรม ๓๗ ซึ่งพรรณนามาฉะนี้ เมื่อพระโยคาพจรเจา ยังเจริญโลกีย วิปสสนาอยูในบุรพภาคนั้น ก็ไดในขณะจิตตาง ๆ คือ กายยานุปสสนาสติปฏฐาน อาการ ๑๔ มีพระอานาปานสติเปนตน
ก็เฉพาะไดเมื่อพระโยคาพจรเจาพิจารณาซึ่งกายดวย
เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ก็เฉพาะไวเมื่อพระโยคาพจรเจาพิจารณาเวทนาซึ่งอาการ ๕ มี สุขเวทนาเปนอาทิ จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน ก็เฉพาะไดเมื่อพิจารณาซึ่งจิตดวยอาการ ๑๘ มีจิตอันกอปรดวย ราคาเปนอาทิ ธัมมานุปสสนาสติปฏฐานนั้น ก็เฉพาะไดเมื่อพิจารณาซึ่งธรรมทั้งหลาย ๕ มีนิวรณเปนอาทิ พระสติปฏฐาน ๔ ประการ พระโยคาพจรเจาในขณะจิตตาง ๆ ดวยประการดังนี้ พระสัมมัปปธาน ๔ ก็ไดในจิตตาง ๆ พระสัมมัปปธานเปนปฐมนั้นเฉพาะไดกาลเมื่อพระ โยคาพจรเห็นอกุศลธรรมอันใด อันมิไดเคยบังเกิดแกตนในอาตมาภาพ แลบังเกิดมีแกบุคคลผูอื่น ก็
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 139 มนสิการในใจวาอาตมาจะปฏิบัติเพื่อจะมิใหบังเกิดแกอกุศลธรรมดังนั้น อกุศลธรรมบังเกิดได
แลวก็จะพยายามเพื่อจะมิให
สัมมัปปธานเปนคํารบ ๒ ก็ไดเมื่อพระโยคาพจรเจารูวาอกุศลธรรมอันประพฤติเปนไปใน สันดานแหงตนแลว ก็เพียรเพื่อจะมละเสียซึ่งอกุศลธรรมนั้นจากสันดาน สัมมัปธานเปนคํารบ ๓ นั้น ไดเมื่อพระโยคาพจรพยายามเพื่อจะยังฌานแลวิปสสนาอันยัง มิไดเคยบังคับในอาตมาภาพนี้ ก็ใหบังเกิดขึ้น สัมมัปปธานเปนคํารบ ๔ นั้น ไดเมื่อพระโยคาพจรพยายามยังฌานแลวิปสสนาอันบังเกิด แลว ก็ใหบังเกิดภิยโยภาพเนือง ๆ ไปมิใหเสื่อมจากสันดาน พระสัมมัปปธานทั้ง ๔ มีในจิตตุปบาทตาง ๆ ในโลกิยวิปสสนาดังนี้ ฝาพระอิทธิบาททั้ง ๔ นั้น ก็ไดในจิตตาง ๆ เมื่อกระทําฉันทะเปนอธิบดีแลว แลยังกุศล ธรรมใหบังเกิดในจิตตุปปบาทอันใด จึงไดฉันทิทธิบาทในจิตตุปบาทนั้น เมื่อกระทําวิริยจิตตะปญญา เปนอธิบดีแลวยังกุศลธรรมใหบังเกิดในจิตตุปบาทใด ๆ จึงไดวิริยจิตตะวิมังสาจิตตุปบาทในอิทธิบาท นั้น ๆ ฝาพระอัษฏางคิกมรรคนั้นก็ดี เมื่อเกิดกับดวยโลกิยจิตก็ไดในจิตตาง ๆ กัน คือพระโยคาพจรปรารภถึงมิจฉาวาจา คือวจีทุจริต ๔ ประการเปนอารมณพิจารณาเห็น โทษแลว ก็เวนเสียในจิตตุปบาทอันใดจึงเฉพาะใดสัมมาวาจาในจิตนั้น เมื่อพิจารณาเห็นโทษในมิจฉากัมมันตะ คือ กายทุจริต แลมิจฉา อาชีวะ แลวก็เวนเสียใน จิตตุปบาทอันใด ก็เฉพาะไดสัมมากัมมันตะ แลสัมมาอาชีวะตาง ๆ กันกับจิตตุปบาทนั้น ๆ โพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการ จัดเปนแผนกเอาพระสติปฏฐานแลพระสัมมัปปธาน และพระ อิทธิบาท แลพระสัมมาวาจาเปนอาทิ ก็ดีบัณฑิตไดในจิตตาง ๆ ในกาลเมื่อประพฤติเปนไปแหงโลกิย วิปสสนาดวยอาการดังนี้ “อิเมสํ ปน จตุนฺนํ ญาณานํ อุปฺปตฺติกาเล” กาลเมื่อพระอริยมรรคญาณทั้ง ๔ บังเกิด นั้น อันวาพระโพธิปกขิยธรรมทั้งปวงที่ควรจะไดนั้น ก็ไดพรอมกันในขณะจิตเดียว เพราะเหตุมีอารมณ อันเดียวกันคือยึดหนวงเอาซึ่งพระนิพพานเปนอารมณก็ไดสําเร็จกิจกําจัดขาศึกแหงตน ๆ อาศัยเหตุนี้ พระอริยมรรคทั้ง ๕ ก็ประดับดวยพระโพธิปกขิยธรรม ๓๗ บริบูรณโดยปริยาย พระอริยผลทั้ง ๔ นั้น คงไดพระโพธิปกขิยธรรมบริบูรณ แต ๓๓ ประการ เวนพระ สัมมัปปธานทั้ง ๔ เพราะเหตุบมิไดมีพยายามสืบตอไปแลว เปนแตทิฏฐฐานธรรมสุขวิหาร ระงับหทัย สันดานใหเย็นดุจหนึ่งบุคคลเอากระออมน้ํามารดซ้ําในที่มีเพลิงอันดับแลวนั้น อาศัยเหตุนี้แมวาวิริยะ เจตสิก คือสัมมาวายาโมมีในอริยผลจิตก็ดีก็บมิไดมีนามบัญญัติวาเปนองคสัมมัปปธานดวยประการ ดังนี้ “เอวํ เอกจิตฺเต ลพฺภมาเนสุ เจเตสุ ” ล้ําพระโพธิปกขิยธรรม ๒๗ ประการ อันไดในจิต อันเดียวดังกลาวมานี้ “เอากาวสติ” สติตัวเดียวมีพระนิพพานเปนอารมณ ก็ไดชื่อวาสติปฏฐาน ๔ ดวยสามารถใหสําเร็จกิจอันมละเสียซึ่งวิปลาส มีสําคัญวางามในเปนอาทิ “เอกเมว วิริยํ” วิริยะตัวเดียว เอาพระนิพพานเปนอารมณแลวก็ใหสําเร็จกิจ ๔ ประการ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 140 อันยังอกุศลบมิไดเคยบังเกิดก็มิใหบังเกิดเปนอาทิก็ไดชื่อวาพระสัมมัปปธาน ๔ ในจิตอันเดียวกัน ฝายพระโพธิปกขิยธรรมอันเศษ ๕ โกฏฐาส มีพระอิทธิบาทเปนอาทินั้นคงตัว จะลดลง เจริญขึ้นอยางโกฏฐานทั้งสอง คือพระสติปฏฐานแลพระสัมมัปปธานนี้หาบมิได นัยหนึ่งพระโพธิปกขิยธรรม ๓๗ นี้ ถาจะวาโดยสภาวะธรรมมิไดวาดวยประเภทที่สําเร็จกิจ ตาง ๆ ก็คงแต ๑๔ คือสติ ๑ วิริยะ ๑ ฉันทะ ๑ จิตตะ ๑ ปญญา ๑ สัทธา ๑ สมาธิ ๑ ปติ ๑ ปสสัทธิ ๑ อุเบกขา ๑ สัมมาสังกัปปโป ๑ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันโต ๒ สัมมาอาชีโว ๑ เปน ๑๒ ธรรม ทั้งหลาย ๑๔ นี้ เมื่อจําแนกไปในประเภท ๓๗ นั้น เปนไปดวยอาการ ๖ โกฏฐาส คือธรรมทั้ง ๙ มีอาการหนึ่ง ๆ นั้น เปนโกฏฐาส ๑ คือธรรมอันหนึ่งตั้งอยูดวยอาการ ๒ นั้น เปนโกฏฐาส ๑ “อถ จตุธา” คือธรรมอันตั้งอยูดวยอาการ ๔ เปนโกฏฐาส ๑ คือธรรมอันตั้งอยูดวยอาการ ๕ เปนโกฏฐาส ๑ คือธรรมอันตั้งอยูดวยอาการ ๘ เปนโกฏฐาส ๑ คือธรรมอันตั้งอยูดวยอาการ ๙ เปนโกฏฐาส ๑ เปน ๖ โกฏฐาส ดวยกัน ธรรมทั้งหลาย ๘ มีอาการหนึ่ง ๆ นั้น คือ ฉันทะ ๑ จิตตะ ๑ ปติ ๑ ปสสิทธิ ๑ อุเบกขา ๑ สัมมาสังกัปโป ๑ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ แลธรรมทั้งหลาย ๙ นี้ คงตั้งอยูดวยอาการหนึ่ง ๆ เหตุฉันทะนั้นตั้งอยูดวยอาการเปนแต ฉันทิทธิบาทสิ่งเดียว จิตตะก็เปนแตจิตติทิทธิบาทสิ่งเดียว ปติก็เปนแตปติสัมโพชฌงคสิ่งเดียว ปสสัทธิก็เปนไดแตปสสัทธิสัมโพชฌงคสิ่งเดียว อุเบกขาก็เปนแตอุเบกขาสัมโพชฌงคสิ่งเดียว วาจา แลกัมมันตะ แลอาชีวะทั้ง ๓ นั้นก็ดี ก็ตั้งอยูดวยอาการอันเปนองคอัษฏางคิกมรรค คือสัมมาวาจา แล สัมมากัมมันตะ แลสัมมาอาชีวะ สิ่งเดียว ๆ ธรรมทั้งหลาย ๙ นี้แลไดชื่อวาตั้งอยูดวยอาการอันเดียว แทบมิไดเจือไปในโกฏฐาสแหงพระโพธิขิยธรรมกองอื่น ๆ เลย ธรรมอันหนึ่ง ตั้งอยูดวยอาการ ๒ นั้น คือสัทธาสิ่งเดียวตั้งอยูดวยอาการเปนสัทธินทรีย ๑ เปนสัทธาพละ ๑ ธรรมสิ่งเดียวตั้งอยูดวยอาการ ๔ นั้น คือสมาธิสิ่งเดียวเปนไดถึง ๔ อยาง คือเปนสมาธินท รีย ๑ เปนสมาธิพละ ๑ เปนสมาธิสัมโพชฌงค ๑ เปนสัมมาสมาธิ ในองคอัษฏางคิกมรรค ๑ เปน อาการคํารบ ๓ ธรรมอันหนึ่งตั้งอยูดวยอการ ๕ นั้น คือปญญาอันเดียวเปนไดถึง ๕ อยาง คือเปนวิมังสิทธิ บาท ๑ เปนปญญินทรีย ๑ เปนปญญาพละ ๑ เปนธรรมวิจยะสัมโพชฌงค ๑ เปนสัมมาทิฏธิในองค อัษฏางคิกมรร ๑ จึงเปนอาการคํารบ ๕ ธรรมอันหนึ่งตั้งอยูดวยอาการ ๘ นั้น คือสติตัวเดียวเปนสติปฏฐานถึง ๔ อยาง แลวเปนสติ นทรียเปนสติพละ เปนสติสัมโพชฌงค เปนอัษฏางคิกมรรค คือสัมมาสติ จึงเปนอาการ ๘ ธรรมอันหนึ่ง ตั้งอยูดวยอาการ ๙ นั้น คือวิริยะตัวเดียวแจกเปนพระสัมมามัปปธาน ๔ เปนวิ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 141 ริยิทธิบาท ๑ เปนวิริยินทรีย ๑ เปนวิริยะพละ ๑ เปนวิริยะสัมโพชฌงค ๑ เปนองคมรรคคือสัมมาวายา โม ๑ เปนคํารบ ๘ ดวยกัน เหตุใดเหตุดังนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจาผูรจนา พระคัมภีรวิสุทธิมรรคบั้นปลายนั้น จึง นิพนธบางพระคาถาไวในเบื้องปลาย “เอวํ จุทฺทเสว อสมฺภินฺนา โหนฺติ เต โพธิปกฺขิยา โกฏาสโต สตฺตวิธา สตฺตตึสเภท โต สกิจฺจนิปฺผาทนโต สรูเปน จ วุตฺติโต สพฺเพว อริยมคฺคสฺส สมฺภเว สมฺภเวนฺติ เต” อธิบายในบาทพระคาถาวา “เต โพธิปกฺขิกา” อันวาพระโพธิปกขิยธรรม ๓๗ นั้น จัดเปนสภาวะธรรมมิไดแจกเจือไปก็คงแต ๑๔ เมื่อสงเคราะหเปนโกฏฐาสสราสิได ๗ กอง คือพระสติ ปฏฐาน ๔ เปนกองตน พระอัษฏางคิกมรรคเปนปริโยสาน แจกออกเปนประเภท อาการที่สําเร็จกิจแหงตน ๆ โดยสารูปเรียกชื่อตาง ๆ ออกจึงเปน ประเภท ๓๗ ประการ โดยนัยดังพรรรณนามาแลวนั้น วามาดวยสภาวะบริบูรณ นักปราชญพึงรูดวยประการดังนี้
แหงพระโพธิปกขิยธรรม
ในญาณทัสสนวิสุทธิทั้ง
๔
นั้น
แตนี้จะวินิจฉัย ในวุฏฐานพละสมาโยคตอไป วุฏฐานะ นั้นแปลวาออกจากนิมิตแลปวัตติ นิมิตนั้นคือสังขารธรรมอันตัณหาสมุทัยหาก ตกแตงจึงไดชื่อวานิมิต ตัณหาสมุทัย อันเปนเหตุประพฤติเปนไปแหงสังขารธรรมนั้น ชื่อวาปวัตติ กิริยาที่จะออก จากนิมิตแลปวัตตินี้ ตอเมื่อพระอริยมรรคบังเกิดจึงออกได แทจริง เมื่อพระโยคาพจรยังจําเริญโลกิยวิปสสนาปญญาอยูนั้นก็ยังบมิไดออกจากนิมิต แลปวัตติ ยังมิไดออกจากนิมิต เพราะเหตุยกสังขารนิมิตขึ้นสูพระไตรลักษณ แลวพิจารณายึดหนวง เอาเปนอารมณอยูยังบมิไดออกจากตัณหาสมุทัยอันเปนเหตุ ประพฤติเปนไปแหงสังขารนิมิตนั้น อาศัยเหตุฉะนี้โลกิยวิปสสนาปญญาก็ไดชื่อวา ยังบมิไดออกจากภาคทั้ง ๒ คือสังขารนิมิตแลตัณหาป วัตติ ขณะเมื่อโคตรภูญาณบังเกิดก็ดีก็ยังบมิออกจากตัณหาปวัตติ เหตุโคตรภูญาณบมิได เปน พนักงานที่จะตัดตัณหาสมุทัยใหขาดได แตทวาออกจากสังขารนิมิตไดเพราะเหตุละซึ่งอารมณคือ สังขารนิมิตแลว ก็ยึดหนวงเอาพระนิพพานเปนอารมณเหตุดังนั้นพระโคตรภูญาณจึงไดชื่อวา เอก โตวุฏฐานคือออกจากภาคอันหนึ่ง ฝายพระอริยมรรคญาณทั้ง ๔ นั้น ออกจากนิมิต ออกจากปวัตติ ออกจากนิมิต เพราะเหตุ วางอารมณ คือสละสังขารเสียแลว และหนวงเอาพระนิพพานเปนอารมณ ออกจากปวัตติ เพราะเหตุ ตัดตัวสมุทัยใหขาดเปนสมุจเฉทปหาน เหตุฉะนี้ พระอริยมรรคญาณทั้ง ๔ จึงไดชื่อวา อุภโตวุฏฐาน คือออกจากภาคที่ ๒ นั้น วิสัชนาการจําแนกในวุฏฐานเปนใจความแตเทานี้
ทีนี้จะจําแนกในพละสมาโยค คือพระอริยมรรคอันประกอบดวยกําลัง ๒ ประการ จึงออก จากนิมิตแลปวัตติได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 142 กําลัง ๒ ประการนั้น คือพระสมถะพละ ๑ พระวิปสสนาพละ ๑ สมถะพละนั้น คือสมาธิ วิปสสนาพละนั้น คือปญญา ในขณะเมื่อพระโลกุตตรมรรคญาณบังเกิดนั้น พระสมถะกับพระวิปสสนามีกําลังเสมอกัน จะยิ่งหยอนกวากันอยางโลกิยะภาวนาหาบมิได แทจริงกาลเมื่อพระโยคาพจร จําเริญโลกิยะสมาบัติ ทั้ง ๘ นั้น ยิ่งดวยกําลังพระพระสมถะ กาลเมื่อพิจารณาสังขารธรรมดวยอนิจจานุปสสนาเปนอาทินั้น ยิ่งดวยกําลังพระวิปสสนา ครั้นถึงขณะเมื่ออริยมรรคญาณบังเกิดแลวกําลัง ๒ ประการ มีพระนิพพาน เปนอารมณ เปนเอกรสะมีกิจเสมอกันเหตุสภาวะบมิไดลวงซึ่งกัน เหตุดังนั้นอันวากิริยาอัน ประกอบดวยพละ ๒ ประการ ก็มีในพระอริยมรรคทั้ง ๔ ดวยประการฉะนี้ สิ้นใจความในพระสมาโยคแตเทานี้ ลําดับนี้จะวาดวยปหาตัพพะธรรมตอไป คือธรรมทั้งหลายอันพระอริยมรรคญาณทั้ง ๔ จึงพึงมละเสียตามสมควรแกกําลังแทจริง พระอริยมรรคทั้ง ๔ นั้น ใหสําเร็จกิจมละเสียซึ่ง ปจจนิกธรรมทั้งหลาย ๑๘ กลาวคือสังโยชน ๑ กิเลส ๑ มิจฉัตตะ ๑ โลกธรรม ๑ มัจฉริยะ ๑ วิปลาส ๑ คันถะ ๑ อคติ ๑ อาสวะ ๑ โอฆะ ๑ โยคะ ๑ นิวรณ ๑ ปรามาส ๑ อุปาทาน ๑ อนุสัย ๑ มนทิล ๑ อกุศลกรรมบถ ๑ อกุศลกรรมบถ ๑ อกุศลจิตตุปบาท ๑ สิริเปน ๑๘ ชื่อวาปจจนิกธรรม อันวาธรรมทั้งหลาย ๑๐ มีกามราคะเปนอาทิ ชื่อวาสังโยชน เหตุประกอบไวซึ่งขันธสันดาน ในปรโลก ใหเนื้องกันกับขันธสันดานในอิธโลก แลประกอบไวซึ่งกรรมดวยผลแหงกรรม แลประกอบ ไวซึ่งสัตวกับดวยสังขารทุกข จึงไดชื่อวาสังโยชน ล้ําสังโยชน ๑๐ นั้นยกเอาแตสังโยชน ๕ คือรูปราคสังโยชน ๑ อรูปราคสังโยชน ๑ มาน สังโยชน ๑ อุทธัจจสังโยชน ๑ อวิชชาสังโยชน ๑ เปนคํารบ ๕ ชื่อวาอุทธัมภาคิยสังโยชน เหตุ ประกอบไวซึ่งขันธสันดานเปนอาทิ อันบังเกิดในภาคเบื้องบน คือรูปภพอรูปภพ สังโยชนอีก ๕ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สี ลัมพัตตะปรามาส ๑ กามราคะ ๑ ปฆิฆะคือโทโส ๑ เปนคํารบ ๕ ชื่อวา อโธภาคิยสังโยชน เหตุประกอบไวซึ่งขันธสันดานเปนอาทิอัน บังเกิดในเบื้องต่ํา คือกามภพ ธรรมทั้งหลาย ๑๐ คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ มานะ ๑ ทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ ถีนะ ๑ อุทธัจจะ ๑ อหิริกะ ๑ อโนตตัปปะ ๑ เปน ๑๐ ประการดวยกันชื่อวากิเลส เหตุเศราหมองดวยตนเอง แลยังสัมปยุตธรรมใหเศราหมอง ธรรม ๑๐ ประการนี้ มีมิจฉาทิฏฐิเปนตน มีมิจฉาสมาธิเปนปริโยสานกับทั้งมิจฉาวิมุตติหยั่ง ศรัทธาลงไปในที่ผิด แลมิจฉาญาณเปนคํารบ ๑๐ ชื่อมิจฉัตตะ เหตุประพฤติเปนไปในทางผิดเปนกาม สุขัลลิกานุโยค แลอัตตกิลมถานุโยค ธรรมทั้งหลาย ๘ คือ ลาภ ๑ อลาภะ หาลาภบมิได ๑ ยโส คือมียศ ๑ อยโส ๑ คือหายศบ มิได ๑ คือความสุข ๑ คือความทุกข ๑ คือความนินทา ๑ คือความสรรเสริญ ๑ ธรรม ๘ ประการนี้ ชื่อ วาโลกธรรม เหตุวาขันธาทิโลกประพฤติเปนไปตราบใด ธรรม ๘ ประการนี้ ก็บไดเสื่อมสูญตราบนั้น เทียรยอมประพฤติตามซึ่งโลก ๆ ก็ประพฤติตามซึ่งธรรม ๘ ประการ ๆ จึงไดชื่อวาโลกธรรม ในที่นี้จะยกเอาธรรม ๒ ประการ คือโลภอันยินดีในลาภเปนอาทิ ๑ คือโทสาอันเคียดแคน เพราะหาลาภบมิไดเปนอาทิ ๑ ชื่อวาโลกธรรมคงแต ๒
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 143 มิจฉริยะ ๕ นั้น คือ อาวาสมัจฉริยะ ความตระหนี่ในอาวาส ๑ คือ กุลมัจฉริยะ ความตระหนี่ ในตระกูลโยมอุปฏฐาก ๑ คือลาภมัจฉริยะความตระหนี่ในจตุปจจัยลาภ ๑ คือธรรมมัจฉริยะ ความ ตระหนี่ในสรีระวรรณแลสัทธาธิคุณวรรณ ๑ เปน ๕ ประการดวยกัน ถาจะวาใจความ ก็ไดแกมัจฉริยะเจตสิกตัวเดียว เกิดกับโทสะจิตคิดแตวาจะมิใหมีสิ่ง ๕ ประการ มีอาวาสเปนตน แกบุคคลผูอื่น ใหเปนของอาตมาผูเดียว ถาเห็นวามีทั่วไปแกบุคคลผูอื่นแลว ก็ใหอดกลั้นบมิได วิปลาส ๓ ประการนั้น คือ สัญญาวิปลาส ๑ จิตวิปลาส ๑ ทิฏฐิวิปลาส ๑ ประพฤติเปนไป โดยเห็นวาเที่ยง วาสุข วาตัว วาตน วางาม ในวัตถุทั้งหลายอันบมิเที่ยงมิเปนสุข ใชตน ใชงาม ธรรม ๔ ประการ คืออภิชฌา ๑ พยาบาท ๑ คือสีลัพพัตตะปรามาส ๑ คืออิทังสัจจภินิเวส คือมั่นในคําของตนวาสัตววาบุคคลนั้นมีจริง จะวาอยางอื่นนั้นผิดไป ๑ แลธรรม ๕ ประการนี้มีชื่อวาคันถะ เหตุวาผูกพันรัดรึงตรึงไวซึ่งนามกายรูปกาย ในสังสาร ทุกขหาที่สุดบมิได อคตินั้นแจกออกดวยอาการเปน ๔ คือ ฉันทาคติ ๑ โทสาคติ ๑ โมหาคติ ๑ ภยาคติ ๑ เปน ๔ ประการ ยกเอาใจความเปนแต ๒ คือ กระทําซึ่งกิจอันบพึงกระทํา ดวยรักษาโกรธดวยหลง ดวยกลัว ๑ คือ มิไดกระทําซึ่งกิจอันควรจะพึงกระทําดวยเปนอาทิ ๑ เปนใจความแต ๒ ประการเทานี้ ชื่อวาอคติ เหตุเปนที่พระอริยเจาทั้งหลายบมิพึงดําเนินไป ธรรม ๔ ประการคือราคะอันยินดีในกาม ๑ คือราคะอันประกอบดวยสัสสตะทิฏฐิ ๑ คือราคะ อันประกอบดวยอุจเฉททิฏฐิ ๑ คืออวิชชา ๑ แลธรรม ๔ ประการนี้ ชื่อวาอาสวะดวยเหตุ ๓ ประการ คือประพฤติเปนไปโดยธรรม ตราบ เทาถึงโคตรภู เปนไปตามภพตราบเทาถึงภวัคคะพรหม ก็เปนอารมณแหงอาสวะไดสิ้น ๑ คือเปนกระแสไหลออกบมิขาดสายดวยอสุจิ คือกิเลสโดยทวารทั้ง ๖ อันบุคคลมิไดสํารวม รักษา ดุจหนึ่งน้ําอันไหลออกจากชองกระออม ๑ คือเปนเหตุสั่งสมซึ่งสังขารทุกข ๑ อาศัยเหตุ ๓ ประการนี้ ธรรม ๔ ประการจึงไดนามชื่อวา อาสวะแลอาสวะธรรมทั้ง ๔ นั้นแล ชื่อวาโอฆะ ชื่อวาโยคะ ชื่อวาโอฆะนั้น ดวยสภาวะฉุดคราไวซึ่งสัตวอันตกลงในกระแสโอฆะใหลมจมอยูในภพสาคร แลใหมีมหาสมุทร จตุราบายจะลวงขามไดดวยยาก ชื่อวาโยคะนั้น ดวยอรรถวาประกอบไวซึ่งสัตวทั้งหลายกับดวยอารมณแลความทุกข บมิให พรางออกได อธิบายวาบมิไดสละอารมณมีอาการอันเคยถือเอานั้น อนึ่ง สัตวผูกระทําซึ่งบาปเห็นปานใด จึงไดเสวยความทุกขเวทนา ก็ประกอบซึ่งสัตวนั้นไว ดวยบาปเห็นปานนั้นเนือง ๆ จึงไดชื่อวาโยคะ ธรรม ๕ ประการ คือ กามฉันทะ ๑ พยาบาท ๑ ถีนมิทธะ ๑ อุทธัจจะกุกกุจจะ ๑ วิจิกิจฉา ๑ เปนคํารบ ๕ ชื่อวานิวรณ ดวยอรรถวากั้นกําบังเสียซึ่งกุศลจิต คือฌานสมาบัติในเบื้องตน แลนําจิต สันดานไปสูวาสนาคือกิเลส แลวก็ปกปดเสียมิใหพิจารณาเห็นซึ่งกุศลเปนอาทิ ดุจหนึ่งวัตถุอันบุคคล กั้นกําบังไวดวยฝาแลบานประตูหนาตางเปนตน จึงไดชื่อวานิวรณธรรม
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 144 แลปรามาสนั้น เปนชื่อแหงมิจฉาทิฏฐิ ๆ ชื่อวาปรามาส เหตุลวงเสียซึ่งสภาวะมีสุภเปนอาทิ แหงธรรมทั้งหลายมีกายเปนตนแลวประพฤติดวยอาการอันถือวางามเปนอาทิ อุปาทาน ๕ นั้น มีนัยกลาวแลวในปฏิจจสมุปปาทนิเทศนั้นแลว ธรรม ๗ ประการ คือ กาม ราคะ ๑ ปฏิฆะ ๑ มานะ ๑ มิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ ภวราคะ ๑ อวิชชา ๑ เปนคํารบ ๗ ชื่อวาอนุสัยดวย ดวย อธิบายวา อันบุคคลมิไดหักหาญกําจัดเสียดวยพระอริยมรรคญาณก็ยังมีกําลังกลาสามารถจะเปน ปจจัยแกกามราคะ เปนอาทิเนือง ๆ ไปเมื่อยังไมไดพรอมดวยปจจัยก็นอนนิ่งสงบอยู ครั้นพรอมดวย ปจจัยแลว ก็บังเกิดกําเริบใหลวงทุจริต ถึงกาย วาจา ธรรม ๓ ประการ คือราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ชื่อวามละแปลวามลทิน ดวยอธิบายวา ตนเองก็เศราหมองไมบริสุทธิ์แลวกระทําซึ่งธรรมทั้งหลาย อันประกอบดวยตนนั้นใหเศราหมองมิให บริสุทธิ์ ดุจหนึ่งเปอกตม เหตุฉะนี้จึงไดชื่อวามลทิน อกุศลกรรมบถมีประเภท ๑๐ ประการ มีปาณาติบาทเปนตน มีอภิชฌาเปนปริโยสาน ไดนาม ชื่อวาอกุศลกรรมบถ ดวยอธิบายวาเปนขาศึกแกกุศล เปนคลองหนทางทุคติ คือบายภูมิทั้ง ๔ อกุศลจิตตุปบาทมีประเภท ๑๒ คือ โลภมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒ โมหมูลจิต ๒ เขาดวยกัน เปน ๑๒ พระอริยมรรคญาณทั้ง ๔ ใหสําเร็จกิจมละเสียซึ่งปฏิปกขธรรมทั้งหลายมีสังโยชนเปนตน โดยสมควรแกประกอบตามลําพัง มีปุจฉาวา “กถํ” พระอริยมรรคญาณทั้ง ๔ ใหสําเร็จกิจมละเสียซึ่งปฏิปกขธรรม ควรแก ประกอบนั้น มีประการดังฤๅ มีคําวิสัชนายกวาแตสังโยชนกอน ล้ําสังโยชน ๑๐ ประการ พระโสดาปตติมรรคญาณ ให สําเร็จกิจประหารเสียซึ่งสังโยชน ๕ ประการ อันเปนสวนเสพกามธาตุ คือสักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพัตตปรามาส ๑ กามราคะ ๑ ปฏิฆะคือโทสะ ๑ เปน ๕ ประการ สักกายทิฏฐินั้นสังเคราะหเอาทิฏฐิ ๖๒ อันมีสักกายทิฏฐิเปนประธาน แลสังโยชน ๓ ตัว คือ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาสนั้นพระโสดาปตติมรรคญาณฆาเสีย หาเศษมิได ฝายกามราคะแลปฏิฆะนั้น พระโสดาบันแบงประหารเสียแตที่มีกําลังอันจะใหบังเกิดใน อบาย แลกามราคะปฏิฆะอันเหลืออยูใยสันดานพระโสดาบันนั้น ก็จัดเปน ๒ สถาน ๆ หนึ่งเปนอยาง หยาบสถานหนึ่งเปนอยางสุขุม อยางหยาบนั้นเปนสวนอันพระสกทาคามิมรรคญาณจะพึงฆาเสีย อยางสุขุมนั้นเปนสวนพระอนาคามิมรรคญาณจะพึงฆาเสีย จึงสิ้นอโธภาคิยสังโยชน ๕ ประการ ดวย กําลังพระอริยมรรคญาณทั้ง ๔ ยังอทุธัมภาคิยสังโยชน ๕ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะอวิชชานั้น เปนสวนอัน พระอรหัตตมรรคญาณพึงฆาเสียแทจริง พระอริยมรรคญาณเบื้องต่ําทั้ง ๓ นั้น จะไดแบงปนฆาเสียบางอยางกามราคะปฏิฆะนั้นหาบ มิได เนื้อความจะไปขางหนานั้นก็ดี ถาวาสวนสังกิเลสใด ๆ อันพระอริยมรรคญาณองคใดฆาเสีย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 145 แตทวาหานิยมลงวา ฆาเสียแทจริงไมนักปราชญพึงเขาใจวา สังกิเลสนั้นกําลังที่จะใหถึงอบายแบงปน ประหารเสียแตพระ อริยมรรคญาณเบื้องต่ํานั้นบางแลว ถานิยมลงวาฆาเสียแทจริงในที่ใด ก็พึงเขาใจวา สังกิเลสนั้นเฉพาะฆาเสียดวยอริยมรรคเบื้องบนสิ่งเดียว พระอริยมรรคญาณบังเกิดกอนนั้น บมิได แบงปนประหารเสียบางเลยเหมือนอยางอุทธัมภาคิยสังโยชน ๕ ประการ อันพระอรหัตตมรรคญาณ ประการเสียนี้เถิด ถากิเลสทั้ง ๑๐ ยกเอาแตกิเลส ๒ ตัว คือ ทิฏฐิ กับวิจิกิจฉา เปนสวนพระโสดาบันฆาเสีย ไดทั้งสิ้น พระอนาคามิมรรคญาณประการเสียซึ่งโทสกิเลส พระอรหัตตมรรคญาณสังหารกิเลส ๗ ตัว คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ มานะ ๑ ถีนะ ๑ อุทธัจจะ ๑ อหิริกะ ๑ อโนตตัปปะ ๑ เปนคํารบ ๗ ดวยกัน บรรดามิจฉัตตะเปน ๑๐ ประการ ยกเอาแต ๔ คือ มิจฉาทิฏฐิ ๑ มุสาวาท ๑ มิจฉากัมมันตะ ๑ มิจฉาอาวีชะ ๑ เปนสวนอันพระโสดาปตติมรรคพึงฆาเสีย มิจฉัตตะ ๓ ตัว คือมิจฉาสังกัปโป ๑ ปสุณาวาจา ๑ ผรุสวาจา ๑ เปนสวนอันพระ อนาคามิมรรคญาณพึงฆาเสีย ยังมิจฉัตตะอีก ๖ ตัว คือ สัมผัปปลาป ๑ มิจฉาวายามะ ๑ มิจฉาสติ ๑ มิจฉาสมาธิ ๑ มิจฉาวิมุตติ ๑ มิจฉาญาณ ๑ เปน ๖ ประการดวยกัน เปนสวนมิจฉัตตะอันพระอรหัตตมรรคญาณไดฆา เสีย ความเคียดแคนในโลกธรรม คือโกรธแคนดวยหาลาภหายศบมิไดและเคียดแคนดวยทุกข และเขานินทา ความโกรธตัวนี้พระอนาคามิมรรคญาณพึงฆาเสีย ความยินดีในโลกธรรมมีลาภเปนอาทิ ขาดดวยพระอรหัตตมรรคญาณ มัจฉริยมรรค ๕ ประการ มีตระหนี่ในอาวาสเปนอาทินั้นเปนสวนพระโสดาปตติมรรคญาณฆาเสียแทจริง วิปลาส ๓ ประการ คือสัญญาวิปลาส จิตตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส อันประพฤติเปนไปโดย สําคัญวาเที่ยง ในสิ่งอันบมิไดเที่ยง เห็นวาเปนตัวเปนตน ในสิ่งอันใชตัวใชตน กับทิฏฐิวิปลาสอันเห็น วา สุขในกองทุกขและเห็นวางามในกองอสุภ วิปลาสเหลานี้เปนสวนอันพระโสดาปตติมรรคพึงฆาเสีย พระอนาคามิมรรคญาณประการเสียซึ่งสัญญาวิปลาส แลจิตตวิปลาสอันสําคัญวางาม ใน สิ่งอันมิงาม พระอรหัตตมรรคญาณประหารซึ่งสัญญาวิปลาส จิตวิปลาสอันสําคัญวาสุขในกองทุกข ล้ําคันถะ ๔ ยกเอาแต ๒ คือสีลัพพัตตปรามาส กายคันถะ และอิทังสัจจาภินิเวส กายคันถะ เปนสวนพระโสดาปตติมรรคพึงฆาเสีย พระอนาคามิมรรคญาณประหารเสียซึ่งพยาบาท กายคันถะอัน เดียวพระอรหัตตมรรคญาณก็ประหารเสียซึ่งคันถะอันหนึ่ง คืออวิชชา อคติ ๒ ประการนั้น เปนสวนพระโสดาปตติมรรคญาณประหารเสียทั้งสิ้น แทจริงในกองอาสวะโอฆะโยคะนั้น พระโสดาปตติมรรคญาณไดประหารเสียซึ่งทิฏฐิอา สวะ ทิฏฐิโอฆะ ทิฏฐิโยคะ พระอนาคามิมรรคญาณประหารเสียซึ่งอวิชชาสวะ อวิชชาโอฆะ อวิชชา โยคะ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 146 ในนิวรณธรรมนั้น พระโสดาปตติมรรคญาณฆาเสียแตวิจิกิจฉานิวรณ ๓ ตัว คือ กามฉันทะ พยาบาท กุกกุจจะ นี้เปนสวนนิวรณอันพระอนาคามิมรรคพึงฆาเสีย ยังมีถีนมิทธนิวรณ แลอุทธัจจนิวรณ ๒ ตัวนี้ เปนสวนพระอรหัตตมรรคญาณพึงประหารเสีย บรรดาอุปาทานทั้งหลาย ๔ นั้น แมวารูปราคะ อรูปราคะ ก็นับเขาในกามุปาทาน เพราะเหตุ วาโลกิยธรรมทั้งปวงนั้น มาในวาระบาลีวา “กามา” ดวยสามารถแหงวัตถุกาม เหตุดังนั้น อันวากามุ ปาทานนี้จึงยกมาเปนสวนอันพระอรหัตตมรรคญาณพึงฆาเสียในภายหลัง อุปาทาน ๓ ตัว คือทิฏฐิอุปาทาน และสีลัพพัตตุปทาน และอัตตวาทุปาทานนั้น เปนสวน อันพระโสดาปตติมรรคญาณไดประหารเสียกอนแลว ล้ําอนุสัย ๗ ประการนั้น ยกแยกออกแตสอง คือทิฏฐิอนุสัยกับวิจิกิจฉาอนุสัย ๒ ตัวนี้ เปน สวนอันพระโสดาปตติมรรคญาณฆาเสียแทจริง อนุสัย ๒ ตัว คือกามราคานุสัย และปฏิฆานุสัยนั้น เปนสวนพระอนาคามิมรรคญาณพึง ประหารเสีย อนุสัยอีก ๓ ตัว คือ กามานุสัย ภวรราคานุสัย อวิชชานุสัย เปนสวนพระอรหัตตมรรคญาณ พึงฆาเสีย ล้ํามลทิน ๓ ประการ พระอนาคามิมรรคญาณประหารเสียซึ่งมลทินตัวหนึ่ง คือโทสมละ ยังมลทินอีก ๒ คือ ราคมละ และโมหมละนั้น เปนสวนพระอรหัตตมรรคญาณพึงประหาร เสีย ในกองอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนั้น ยกเอาแต ๕ คือ ปาณาติบาท ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑ มุสาวาส ๑ มิจฉาทิฏฐิ ๑ เขาดวยกันเปน ๕ สวนกรรมบถอันพระโสดาปตติมรรค ญาณไดประหารเสีย อกุศลกรรมบถ ๓ ตัว คือ ปสุณาวาจา และผรุสวาจา และพยาบาทเปนสวนพระ อนาคามิมรรคญาณไดฆาเสีย พระอรหัตตมรรคญาณไดประหารเสีย ซึ่งอกุศลกรรมบถ ๒ คือ สัมผัปปลาป กับอภิชฌา ในกองอกุศลจิตตุปบาท ๑๒ นั้น พระโสดาปตติมรรคญาณไดฆาเสีย ๕ จิตตุปบาทคือโลภ มละจิตกอปรดวยทิฏฐิ ๔ กับวิจิกิจฉา ๑ พระอนาคามิมรรคญาณไดประหารเสียซึ่งอกุศลจิต ๒ คือโทสมูล เปนสสังขาริก ๑ อสังขา ริก ยังอกุศลจิตตุปบาท ๕ คือโลภมูลจิต อันปราศจากทิฏฐิ ๔ กับ อุทธัจจจิต ๑ เปนสวนอัน พระอรหัตตมรรคญาณฆาเสีย และพระอริยมรรคญาณองคใด ๆ ฆาเสียซึ่งอกุศลธรรม ๒ กอง คือ อกุศลกรรมบถ ๑๐ กอง อกุศลจิตตุปบาท ๑๒ กอง ๑ พระอริยมรรคญาณองคนั้นก็ไดชื่อวามละเสียซึ่งอกุศลธรรมนั้น เหตุใด เหตุหนึ่ง พระพุทธโฆษาจารยจึงกลาวไวในเบื้องตนวา พระอริยมรรคญาณทั้ง ๘ ใหสําเร็จกิจมละเสีย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 147 ซึ่งปจจนิกธรรมทั้งหลาย มีประโยชนเปนอาทินั้นโดยสมควรแกกําลังดวยประการดังนี้แล จึงมีคําปรวาทีโจทนาวาพระอริยมรรคญาณ ๔ มละเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลาย มีสังโยชน เปนอาทิฉันใด แลอกุศลกรรมมีสังโยชนเปนตนนั้น เปนอดีตหรือ หรือเปนอนาคต หรือเปนปจจุบัน ถาจะวาพระอริยมรรคมละเสียซึ่งอกุศลธรรม อันเปนอดีตความเพียรอันสัมปยุตดวยพระ อริยมรรคนั้น ก็หาผลหาประโยชนบมิได เพราะเหตุอกุศลธรรมทั้งหลายสิ้นไปลวงไปหามีเองไมกอน แลว พระอริยมรรคก็พลอยมละเสียเมื่อภายหลัง จะไดมละเสียดวยกระทําเพียรนั้นหาบมิได อนึ่ง ผิวาพระอริยมรรคญาณนั้น มละเสียซึ่งอกุศลธรรมมีสังโยชนเปนอาทินั้นเปนอนาคต มิฉะนั้นความเพียรพยายามนั้นก็คงวาหาผลหาประโยชนมิได เพราะเหตุไรเลา เพราะอกุศลธรรมที่จะ พึงมละเสียนั้นยังหามีไมในขณะเพียรนั้น ถาจะวาพระอริยมรรคญาณทั้ง ๔ มละเสียซึ่งอกุศลธรรมมีสังโยชนอาทินั้นเปนปจจุบัน ถา จะวาดังนั้นก็ยังบมิพนจากโทษคือความเพียรหาผลหาประโยชนบมิไดนั้น เพราะเหตุอกุศลธรรมมี สังโยชนทั้งหลายอันจะพึงมละเสียนั้น มีพรอมกันกับดวยความเพรียร เกิดพรอมกันก็พากันดับไปจะวา ใครมละใคร ใครผจญใคร ใครฆาใคร ก็บมิรูจะวาได อนึ่งโสด บุคคลผูมีจิตกําหนัดอยูดวยราคะ ก็ไดชื่อวามละเสียซึ่งราคะในขณะอันกําหนัด นั้น บุคคลผูโกรธก็จะมละเสียซึ่งความโกรธทั้งโกรธนั้น บุคคลผูหลงและกระดางดวยมานะ และกอปร ดวยมิจฉามิฏฐิและมีจิตฟุงซานสงสัยอยู และถึงซึ่งกิเลสมีกําลังก็จะเปนอันมละเสียซึ่ง โมหะ มานะ ทิฏฐิ อุทธัจจะ วิจิกิจฉานุสัยกิเลส กุศลกับอกุศลกรรมก็ประพฤติเนื่องกํากับเปนคูดุจหนึ่งโคเทียมแอก อันเดียวกัน เมื่อวากุศลอกุศลเขาปนกันเกิดฉะนี้พระอริยมรรคภาวนา ก็ไดชื่อวาสังกิเลสเกิดกับดับ พรอมดวยสังกิเลสบริสุทธิ์มิได อนึ่ง ถาจะวาพระอริยมรรคญาณ มละอกุศลธรรมมีสังโยชนเปนอาทิเปนอดีตนั้นก็หาบมิได เปนอนาคตก็หาบมิได เปนปจจุบันนั้นก็หาบมิได ถาจะวาดังนั้นก็เปนอันวามรรคญาณภาวนาหามีไมใน กิริยาที่กระทําอริยมรรคอริยผลใหแจงก็หามีไม กิริยาที่มละกิเลสก็หามีไม ที่จะตรัสรูธรรมวิเศษก็หามี ไม เหตุอะไรเลา เหตุวากิเลสธรรมทั้งหลายทั้งปวงในกาลทั้ง ๓ และพระอริยมรรคญาณมิไดมละ กิเลสอันเปนอดีตเปนอาทิแลว ก็ไดชื่อวามรรคภาวนาเปนอาทินั้นหาบมิได คําสักกวาทีบริหารวา “อตฺถิ มคฺคภาวนา อตฺถิ ผลสจฺฉิ กิริยา อตฺถิ กิเลสปหานํ อตฺถิ ธมฺมาภิสมโย” แมวาพระอริยมรรคมิไดมละอกุศลธรรมเปนอดีต เปนอนาคต เปนปจจุบันดังนั้น และ จะมิไดมีมรรคภาวนา จะไมมีผลสัจฉิกิริยา และจะมิไดมีกิเลสปหานแลธรรมาภิสมัยนั้น อันมรรคภาวนา และผลสัจฉิกิริยาเปนอาทินั้นคงมีเปนแท ฝายปรวาทีจึงยอนถามวา “เสยฺยถาป ตรุโณ อมฺพรุกฺโข” อันวาตนไมมะมวงหนุมมีผล ยังมิไดบังเกิด มีบุรุษผูหนึ่งมาตัดมูลรากแกวแหงตนมะมวงนั้นเสีย ผลมะมวงที่ยังมิไดเกิด และควรจะ บังเกิดในภายภาคหนา ก็บังเกิดบมิได ก็ชื่อวาผลนั้นถึงแกพินาศฉิบหาย เพราะบุรุษตัดรากเสียนั้น เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาเล็งเห็นซึ่งโทษในอุปาทะ คือขันธอันบังเกิดและฉิบหายเขาใจเปนแทวา ขันธนั้นเปนเหตุเปนปจจัยแกกิริยาอันบังเกิดแหงกิเลส เมื่อหาขันธบังเกิดมิไดแลว กิเลสก็มิไดบังเกิด เมื่อพิจารณาเห็นโทษในอุปาทะ ถือขันธมันมีความเกิด ความฉิบหายฉะนี้แลว จิตแหงพระโยคาพจร เจานั้น ก็เรงเหนื่อยหนายจากอุปาทะ สละอาลัยแลวก็เเลนไปในอนุปปาทะ คือพระอมตะมหานิพพาน อันหาความเกิดความฉิบหายบมิได อันวากิเลสทั้งหลายใดที่ยังมิไดบังเกิด แตทวาคอยโอกาสจะ บังเกิด เพราะเหตุปจจัยคือขันธ อันวากิเลสที่ยังมิไดบังเกิดนั้นแล ก็บมิไดบังเกิดขึ้นได อาศัยเหตุนี้ พระโยคาพจรมีจิตอันสัมปยุตดวยพระอริยมรรคญาณ ยึดเหนี่ยวเอาพระนิพพานเปนอารมณ ก็ไดชื่อวา กิเลสทั้งหลายนั้นอันพระอริยมรรคมละเสีย ก็ถึงแกพินาศฉิบหายเพราะเกิดขึ้นมิไดดุจผลมะมวงนั้น
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 148 กิริยาที่จะดับกิเลสก็อาศัยแกดับเหตุคือขันธ จะดับทุกขก็อาศัยแกดับเหตุคือกิเลส เมื่อดับ ทุกขแลวก็เปนอันดับผล อาศัยเหตุฉะนี้นักปราชญพึงเขาในเปนแทวา ความเพียรคงมีผล กิรย ิ าที่ เจริญมรรคและผลทําใหแจงและกิเลสประหารก็มีเปนแท ดวยประการดังนี้ มีคําอธิบายในขอความซึ่งวากิเลสทั้งหลาย ยังมิไดบังเกิดและบังเกิดขึ้นบมิไดในภายหนา เพราะวาจําเริญมรรคภาวนา และไดชื่อวาพระอริยมรรคมละเสียซึ่งกิเลสทั้งหลายนั้น ขอความอันนี้แล เปนอันแสดงกิริยามละเสียซึ่งภูมิลัทธิกิเลสคือกิเลสอันมีภูมิตั้งไดแลว และบังเกิด ภูมินั้นจะไดแกขันธสันดานอันบังเกิดเปนอารมณแหงวิปสสนาปญญา คือขันธแหงปุถุชน อันบังเกิดในภพทั้ง ๓ คือ กามเทพ และรูปเทพ และอรูปภพ อันปุถุชนผูเปนเจาของขันธ ยังบมิได พิจารณากําหนดขันธนั้น ดวยปญญาและพระวิปสสนาขันธนั้นไดชื่อวาเปนภูมิที่เกิดแหงกิเลสอันนอน ประจําอยูในขันธสันดานนั้น จําเดิมแตกําเนิดในกาลใด ๆ ก็เปนภูมิที่เกิดกิเลสในกาลนั้น ๆ ขันธใน อดีตก็เปนที่ตั้งแหงกิเลสในอดีตขันธ ในปจจุบันก็เปนภูมิที่เกิดแหงกิเลสในปจจุบันขันธในอนาคตเปน ภูมิที่เกิดแหงกิเลสในอนาคต อนึ่งขันธอยางนี้ ถาเปนกามาพจรขันธก็เปนวัตถุที่อยูแหงกิเลสอันมี อนุสัย อันบุคคลมิไดมละดวยมรรคญาณในกามาพจรสันดาน ถาเปนรูปาพจรขันธ แลอรูปพจรขันธก็ เปนวัตถุที่อยูแหงอนุสัยกิเลส อันบุคคลยังมิไดมละเสียดวยพระอริยมรรคญาณ ในรูปาพจรขันธ สันดาน แลอรูปาพจรขันธสันดาน กิเลสอันประจําอยูในขันธสันดานแหงปุถุชนดังพรรณนามาฉะนี้ เมื่อ ยังมิไดโอกาสก็ยังสงบแตทวาคอยจะบังเกิดกําเริบขึ้นในขณะเมื่อไดโอกาสขางหนา กิเลสอยางนี้แล ไดชื่อวาภูมิลัทธิกิเลส ก็ถาแลบุคคลผูเปนเจาของขันธนั้น พิจารณากําหนดขันธทั้งปวงดวยพระวิปสสนาปญญา ตราบเทาถึงพระอริยมรรคญาณบังเกิดตนก็ตั้งอยูในอริยภูมิ มีพระโสดาบันเปนอาทิแลว ก็มละเสียซึ่ง กิเลสอันเปนมูลแหงวัฏฏทุกข อันประพฤติเปนไปในขันธสันดานกอนดวยพระอริยมรรคมีพระโสดา ปตติมรรคเปนอาทินั้น จําเดิมแตนั้นไปขันธสันดานแหงพระอริยบุคคลนั้น ๆ ก็มิไดนับเขาวาเปนภูมิ เหตุบมิเปนวัตถุที่เกิดแหงวัฏฏมูลกิเลสที่มละเสียแลวนั้น ฝายโลกียปุถุชนทั้งปวง อันมีกิเลสเปนมูลแหงวัฏฏสงสารประจําอยูในสันดานเปนนิตย เหตุบมิไดมละเสียซึ่งอนุสัยกิเลสแมวาจะกระทําทํากรรมสิ่งใด ๆ เปนฝายกุศลแลอกุศลก็ดี ก็ลวนเปน มูลแหงวัฏฏทุกข อันประจําอยูในขันธสันดานแหงปุถุชนนั้นจะวาประจําอยูในรูปขันธสิ่งเดียว มิไดอยู ในขันธอันอื่น มีเวทนาขันธเปนอาทิ ก็วาได จะวาประจําอยูใน เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณขันธ แต ละสิ่ง ๆ ก็อยาพึงวา เหตุวาวัฏฏมูลกิเลสนั้นประจําอยูในขันธทั้ง ๕ หาสวนวิเศษเปนแผนบมิได ดุจ หนึ่งวารสปฐวีเปนอาทิถาซาบอยูในตนไม แทจริงในเมื่อตนไมใหญตั้งอยูในพื้นปฐวี อาศัยรสปฐวีแล รสอาโปเปนอุปการแลว ก็วัฒนาการจําเริญดวยรากแลลําตนและคาคาบ กิ่งนอยกิ่งใหญใบออนใบแก ผลิดอกออกผลยังนพดลใหบริบูรณดวยปริมณฑลกิ่งกาน ก็ประดิษฐานสืบรุกขประเพณีดวยพืช ปรัมปราตราบเทากัลปาวสาน อันวารสปฐวี แลรสอาโปก็ดี จะวาตั้งอยูในรากสิ่งเดียว มิไดตั้งอยูในลํา ตนเปนอาทิก็อยาพึงวา จะวาอยูในประเทศมีมูลเปนตนมีผลเปนที่สุด แตละสิ่งเดียว ๆ ก็วาบมิได เหตุ วารสปฐวีเปนอาทินั้นซาบไปในพฤกษาพยพหาสวนเศษบมิไดก็ดี แลกิเลสอันประจําอยูในขันธ สันดานแหงปุถุชนก็มีอาการเหมือนดังนั้น ผิวาบุรุษผูใดผูหนึ่ง มีจิตเหนื่อยหนายปรารถนาจะไมให ตนไมนั้นจําเริญดวยดอกแลผลสืบตอไปจึงเอาเงี่ยงกระดูกปลาอาบยาพิษ ตอกเขาในตนไมนั้นทั้ง ๔ ทิศ ดวยอํานาจพิษครอบงํากําจัดเสีย ซึ่งรสปฐวีแลอาโปใหเหือดแหงไป ตนไมนั้นก็มิอาจเพื่อจะยัง รุกขสันดานใหบังเกิดสืบตอไปไดฉันใดก็ดี เมื่อกุลบุตรผูเปนเจาของขันธ มีกมลกระสันเหนื่อยหนาย ในขันธปวัตติแลว ก็ปรารถนาเพื่อจะจําเริญมรรคภาวนาทั้ง ๔ ในขันธสันดานแหงอาตมา มีอุปมาดุจ ดังบุรุษประกอบยาพิษไวในทิศทั้ง ๔ แหงตนไม อันวาขันธสันดานแหงกุลบุตรนั้น อันกําลังยาพิษ คือ จตุมรรคญาณครอบงําสัมผัสกําจัดวัฏฏมูลกิเลสใหสิ้นหาเศษบมิได แตนั้นไปก็มีแตประเภทแหงกรรม ทั้งปวง มีกายกรรมเปนอาทิถึงซึ่งสภาวะ เปนแตกิริยาอพยากฤต หาผลหาวิบากบมิได แลขันธสันดาน นั้นก็ถึงซึ่งสภาวะจักมิไดบังเกิดในภพใหมแลว ก็มิอาจเพื่อจะยังสันดานประเพณีใหเกิดสืบตอไปใน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 149 ภพอันอื่น ไดจะทรมานอยูควรแกกาลกําหนด ถึงจุติแลว ก็จะดับสูญสําเร็จแกพระนิพพาน ปราศจากเชื้ออุปาทานทั้ง ๔ ดุจเปลวอัคคีอันสิ้นเชื้อไสน้ํามันนั้นแลวดับไป
ดวย
“เอวเมตฺถ เยน เยน ปหาตพฺพา ธมฺมา” อันวากิเลสธรรมทั้งปลาย อันพระอริยมรรค ญาณอันใด ๆ มละเสีย อันวากิริยามละกิเลสธรรมทั้งหลายนั้น นักปราชญพึงรูในญาณทัสสนะนิเทศ ดวยประการดังนี้ แตนี้ไปจะวินิจฉัยในกิจ ๔ ประการนั้น ๆ คือปริญญากิจ ๑ คือ ปหานกิจ ๑ คือสัจฉิกิริยากิจ ๑ คือภาวนากิจ ๑ กิจ ๔ ประการนี้ สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจามีพระพุทธฎีกาตรัสบัณฑูรไววา เปนดวย ขณะเดียวกัน คือขณะเดียวกัน คือขณะเมื่อมรรคญาณทั้ง ๔ คือพระโสดาปตติมรรคญาณเปนอาทิอัน ใดอันหนึ่งบังเกิดกิจละเสีย ๆ ก็สําเร็จดวยขณะอันเดียว ในกาลเมื่อตรัสรูซึ่งพระจตุราริยสัจจนั้น แลกิจ ๔ ประการนั้น นักปราชญพึงรูโดยสภาวะ ยุติดวยคําโบราณาจารยเจาพวกอภัยคิรี วาสี กลาวเปนอุปมาสาธกไวดังนี้ สเมติ”
“ยถา ปทีโป อปริมํ เอกกฺขเณน จตฺตาริ กิจฺจานิ กโรติ ฯลฯ จตฺตาริ สจฺจนิ อภิ
อธิบายความตามวาระบาลี “ปทีโป” อันวาประทีปน้ํามันอันบุคคลตามไว แลประทีปนั้น ใหสําเร็จกิจ ๔ ประการ คือยังเกลียวไสใหเกรียมไมประการ ๑ คือขจัดเสียซึ่งอันธการ ๑ คือสําแดง แสงอาโลกใหสวางประการ ๑ คือสังหารน้ํามันใหสิ้นไปประการ ๑ เปนกิจ ๔ ประการ พรอม ๆ กัน ในขณะเดียว จะไดกอนจะไดหลังหาบมิไดฉันใดก็ดี พระอริยมรรคทั้ง ๔ แตละพระองค ๆ ก็ใหสําเร็จกิจตรัสรูซึ่งอริยสัจจ ๔ ประการในขณะ เดียว ก็มีอาการดุจนั้น แลพระอริยมรรคญาณ ใหสําเร็จกิจ ๔ ประการนั้น คือตรัสรูซึ่งสมุทัยสัจจดวยกําหนดเบญจขันธแลว แลโดยบมิหลง ๑ คือตรัสรูซึ่งสมุทัยสัจจ โดยมละเสียดวยสมุจเฉทปหาน ๑ ประจักษ ๑
คือตรัสรูซึ่งพระนิโรธสัจจ
ดวยสัจฉิกิริยาภิสมัย คือกระทําพระนิพพานเปนอารมณโดย
คือตรัสรูซึ่งพระอัษฏางคิกมรรคดวยภาวนาภิสมัย บังเกิดเนื่องมาแตบุรพภาคภาวนา ๑
คือตรัสรูดวยพระอริยมรรคญาณ อัน
มีคําอธิบายเปนใจความวา เมื่อพระโยคาพจรเจากระทําพระนิพพานเปนอารมณแลวก็ได ชื่อวาถึงวาเห็นวาตรัสรู พระอริยสัจจทั้ง ๔ ในขณะเดียวกัน ยุติดวยพระพุทธฎีกา ตรัสพระสัทธรรม เทศนาโปรดไววา “ โย ภิกฺขเว ทุกฺขํ ปสฺสติ ทุกฺขสมุทยํป ปสฺสติ” ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผูใดหยั่งปญญาเล็งเห็นทุกขสัจจโดยแทแลวบุคคลผูนั้นก็ได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 150 ชื่อวาเห็นซึ่งทุกขสมุทัยสัจจ ไดชื่อวาเห็นซึ่งทุกขนิโรธสัจจ แลทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ พรอมกันในขณะเดียว นักปราชญพึงสันนิษฐานเปนใจความวา เมื่อพระโยคาพจรเห็นพระอริยสัจจทั้ง ๔ คือ ทุกขสัจจก็ดี ทุกขสมุทัยก็ดี แลทุกขนิโรธ แลทุกขนิโรธมินีปฏิปทาก็ดี แตอันใดอันหนึ่งแลวก็ ไดชื่อวาเห็นพระอริยสัจจทั้ง ๔ ๆ เสมอพรอมกัน “อปรมฺป วุตฺต”ิ ประการหนึ่ง สมเด็จพระพุทธองคมีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้อีกเลาวา ญาณ อันใดแหงพระโยคาพจรผูมีสันดานกอปรไปดวยพระโลกุตตรมรรคญาณนั้นแลว ชื่อวาประพฤติเปนไป ในทุกขสัจจเปนไปในทุกขสมุทัย เปนไปในทุกขนิโรธ เปนไปในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาปฏิบัติ “ตตฺถ ยถา ปทีโป” นักปราชญพึงรูซึ่งอรรถาธิบาย ขอความเปรียบเทียบพระอริยมรรค ญาณ ใหสําเร็จกิจกับดวยดวงประทีปดังนี้เลา กิริยาที่พระอริยมรรคญาณ เกลียวไสใหไหมไป
สําเร็จกิจกําหนดซึ่งทุกขสัจจนั้นเปรียบดวยดวงประทีปยัง
กิริยาที่พระอริยมรรคญาณ มละเสียซึ่งสมุทัยนั้น เปรียบดวยดวงประทีปอันขจัดเสียซึ่ง อันธการ กิริยาที่พระอริยมรรคญาณ ยังองคอัฏฐางคิกมรรค มีสัมมาสังกัปปะเปนอาทิใหสําเร็จ ดวย สามารถเปนสหชาตาทิปจจัยนั้นเปรียบตอดวงประทีปอันสําแดงอาโลกสองแสงสวางขางโนนขางนี้ กิริยาที่พระอริยมรรคญาณ สําเร็จกิจกระทําใหแจงซึ่งพระนิโรธสัจจอันเปนเหตุใหสิ้นสรรพ กิเลสนั้น เปรียบดุจดวงประทีปอันสําเร็จกิจสังหารน้ํามันใหเหือดแหงสิ้นไป “อปโร นโย” มีนัยอุปมาอันอื่นอีกเลา “สุริโย” อันวาพระสุริยมณฑล เมื่อแรกอุทัย ขึ้นมาใหสําเร็จกิจ ๔ ประการ คือสําแดงรูปารมณใหปรากฏแจงแกตาโลกประการ ๑ คือขจัดเสียซึ่งมหันธการกองมืด ๑ คือสําแดงอาโลกสองรัศมีไปในหองแหงจักรวาลประเทศ ๑ คือบรรเทาเสียซึ่งความลําบาก คือระทดหนาวแหงสัตวทั้งหลาย ๑ แลสุริยเทพยมณฑลใหสําเร็จกิจ ๔ ประการ ดังพรรณนามาดังนี้ พรอมดวยขณะอันปรากฏแหงอาตมา จะเปนกอนเปนหลังหาบมิไดฉันใดก็ดี อริยมรรคญาณนี้ ก็ใหสําเร็จกิจ ๔ ประการพรอมกันในขณะเดียวก็มีอาการดุจนั้น
แลพระ
นักปราชญพึงรูขอความเปรียบเทียบอุปมาดังนี้ พระอริยมรรคญาณ จําเร็จกิจกําหนดซึ่งทุกขสัจจนั้น เปรียบตอพระอาทิตยสําแดงรูปทั้ง ปวงใหปรากฏแกตาโลก พระอริยมรรคญาณสําเร็จกิจ มละสมุทัยนั้นเปรียบดวยพระอาทิตยสําเร็จกิจ คือกําจัดเสีย ซึ่งอันธการกองมืด
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 151 พระอริยมรรคญาณสําเร็จกิจ ยังองคมรรคมีสัมมาสังกัปปะเปนตนใหจําเริญ ดวยสภาวะเปน สหชาตาทิปจจัยนั้น เปรียบดวยดวงพระอาทิตยอันสําเร็จกิจ สําแดงอาโลกใหสองแสงสวางไปในหอง จักรวาล พระอริยมรรคญาณสําเริจ กระทําใหแจงซึ่งพระนิโรธ อันเปนเหตุจะระงับสรรพกิเลสใน สันดาน ปานดุจดังพระอาทิตยอันสําเร็จกิจระงับซึ่งความเย็นสะทาน ในสันดานสัตวทั้งปวง นัยหนึ่งนักปราชญพึงรูกระทูความอุปมาอุปไมย ดุจนาวาอันนําของขามคลองน้ํา แลนาวา นั้นใหสําเร็จกิจ ๔ ประการ คือมละเสียซึ่งฝงฟากโพนประการ ๑ คือตัดกระแสสายน้ําประการ ๑ คือนําไปซึ่งของ ประการ ๑ คือถึงซึ่งฝงฟากโพนประการ ๑ เปนกิจ ๔ ประการ พรอมกันขณะเดียวกันฉันใดก็ดี พระอริยมรรคญาณสําเร็จกิจประเภททั้ง ๔ ก็มีอาการดุจนั้น กิริยาที่พระอริยมรรคญาณสําเร็จกิจ กําหนดซึ่งทุกขสัจจนั้นมีอาการดุจนาวามละฝงฟาก โนน พระอริยมรรคญาณสําเร็จกิจเปนปหานเสีย ซึ่งทุกขสมุทัยคือตัณหานั้น มีอุปมาดุจเรืออัน ตัดกระแสสายน้ําไป แลนาวาสําเร็จกิจนําไปซึ่งของอันบรรทุกใสไปนั้น ฉันใดก็ดี พระอริยมรรคญาณก็ สําเร็จกิจใหเจริญซึ่งอัฏฐางคิกมรรค มีสัมมาสังกัปปะเปนอาทิดวยสามารถเปนสหชาตาทิปจจัยแล นําไปซึ่งทรัพยอันประเสริฐคือสัตตตึสสัมโพธิปกขิยธรรมก็มีอุปไมยดุจนั้น อนึ่ง นาวานั้นสําเร็จกิจฝงฟากโนน มีอุปไมยฉันใด พระอริยมรรคญาณก็สําเร็จ กระทําให แจงซึ่งพระนิพพาน อันบังเกิดเปนฝงฟากโพนแหงสงสารสาคร ก็มีอุปไมยดุจนั้น แลพระโลกุตตรมรรค อันมีญาณประพฤติเปนไปดวยอํานาจแหงกิจ ๔ กาลเมื่อตรัสรูซึ่ง พระจตุราริยสัจจ โดยนัยพรรณนามานี้ แลสัจจทั้ง ๔ นั้น เปนเอกปฏิเวธ คืออาการอันตรัสรูพรอมกันในขณะเดียว แจกโดยตถัตถะ คือสภาวะจริง บมิไดวิปริต ๔ ประการเปนอาการ ๑๖ อธิบายวา แตทุกขสิ่งเดียว มีอรรถวาเปนสภาวะจริง บทิไดวิปริต ๔ ประการ จึงไดชื่อวา ทุกขสัจจ สมุทัย แลนิโรธ แลมรรคก็ดี ก็มีอรรถเปนสภาวะจริง บมิไดวิปริตสิ่งละสี่ ๆ จึงไดชื่อวา สมุทัยสัจจ นิโรธสัจจ มรรคสัจจ สภาวะจริงแหงทุกขมีอาการ ๔ นั้น “ปฬนตฺโถ” คือสภาวะเบียดเบียนประการ ๑ “สงฺขตถฺโถ” คือสภาวะอันปจจัยประชุมแตงประการ ๑ “สนฺตาปตฺโถ” คือสภาวะรอน โดยรอบคอบประการ ๑ “วิปริณามตฺโถ” คือสภาวะแปรปรวนประการ ๑ เปนอาการ ๔ ดวยกัน ชื่อ สภาวะแทแหงทุกขบมิไดวิปริต คืออรรถวาเบียดเบียนก็เบียดเบียนแทจริงจะแปรผันเปนอื่นวาทุกข แลว จะไมเบียดเบียนหาบมิได วาปจจัยประชุมแตงก็แทจริง วารอนก็รอนจริงโดยแทวาแปรปรวนก็ แปรปรวนจริงโดยแท จะเปนอื่นหาบมิได
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 152 ฝายสมุทัยก็มีอรรถอันแท ๔ ประการ “อายุหนตฺโถ” คือสภาวะกระทําใหกอเกิดกอง ทุกขประการ ๑ “นิทาตฺโถ” คือสภาวะสําแดงซึ่งผลคือทุกขประการ ๑ “สํโยคตฺโถ” คือสภาวะ ประกอบไวดวยประกอบสังขารทุกขประการ ๑ “ปลิโพธตฺโถ” คือสภาวะใหขังอยูในเรือนจํา คือภพ สงสารประการ ๑ เปนอรรถ ๔ ประการ เปนสภาวะจริงแทแหงสมุทัย พระนิโรธก็มีสภาวะจริง ๔ ประการ “นิสฺสรณตฺโถ” คือสภาวะออกจากอุปธิ คือตัณหา สมุทัย ตัณหานุสัยประการ ๑ “วิเวกตฺโถ” คือสภาวะสงัดจากหมู คือหากิเลสแลสังสารทุกขมิได ประการ ๑ “อสงขตตฺโถ” คือสภาวะอันปจจัยมิไดประชุมตกแตงประการ ๑ “อมตตฺโถ” คือ สภาวะเปนอมฤตยรสเปนธรรมที่ไมตายประการ ๑ เปนอรรถ ๔ ประการดวยกัน เปนสภาวะจริงแทแหง พระนิโรธ ฝายพระอริยมรรค ก็มีอรรถเปนสภาวะจริงแทดวยการ ๔ “นิยฺยานตฺโถ” คือสภาวะออก จากวัฏฏสงสารประการ ๑ “เหตวตฺโถ” คือเหตุเห็นพระนิพพานประการ ๑ “ทสฺสนตฺโถ” คือเปน สภาวะเห็นพระนิพพาน ๑ “อธิปเตยฺยตฺโถ” คือสภาวะเปนอธิบดีในที่เห็นพระนิพพานแหงสหชาติ ธรรมประการ ๑ เปน ๔ ประการดวยกัน เปนอรรถอันแทบมิไดวิปริตแหงพระอริยมรรค ธรรม ๔ ประการ มีทุกขเปนอาทิชื่อวาสัจจะ ดวยอรรถอันแทโดยอาการ ๑๖ นี้ พระอาจารย สงเคราะหเอาสัจจะทั้ง ๔ นั้นดวยอาการอันเดียวคือเอาแตอรรถวาจริง มิไดวิปริตเทานั้น เปนใจความ วา เมื่อสงเคราะหเอาดวยอาการอันเดียวดังนี้แลว สัจจะทั้ง ๔ นั้นก็นับวาเปน ๑ แลวพระโยคาพจรนั้น ก็ตรัสรูพระจตุราริยสัจจนั้นดวยญาณอันเดียว แลสัจจะทั้ง ๔ นั้นก็ไดชื่อวาเอกปฏิเวธดวยประการดังนี้ มีคําโจทนาดังนี้เลานี้ อรรถทั้งหลายมีอรรถวาโรค แลอรรถวาเปนปม เปนอาทิแหงสัจจะ ทั้งหลาย ๔ มีทุกขเปนอาทิก็ยังมีอยู เหตุดังฤๅพระอาจารยจึงกลาวไววา แตอรรถละสี ๆ นั้นวาดวย อรรถอันควรจะปรากฏดวยลักษณะแหงตน แลเล็งเห็นสัจจะอันอื่นมีสมุทัยเปนตน อธิบายวาอรรถ ทั้งหลายใด อันควรจะปรากฏดวยสภาวะแหงตนก็ดี ดวยสามารถแหงสัจจะอันอื่นก็ดี แลอรรถ ทั้งหลายนั้นมีอาการละสี่ ๆ มีอาการเบียดเบียนเปนอาทิตาง ๆ กันสิริเปนอาการ ๑๖ แท คําที่วามานี้ ยุติดวยคําภายหลัง อันสัจจญาณนี้ สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาตรัสเทศนาใน พระบาลีสัจจวิภังคนั้น ตรัสเทศนาดวยสามารถแหงญาณอันหระทําซึ่งสัจจะสิ่งละอัน ๆ เปนอารมณ เปนสัจจญาณ ๔ ประการมีญาณอันปรารภเอาทุกขเปนอารมณเปนอาทิตาง ๆ กัน ตรัสเทศนาดวย อรรถ ก็ตรัสเทศนาโดยสามารถแหงญาณปรารภสัจจอื่น ๆ เปนอารมณแลวก็ใหสําเร็จกิจในสัจจะ ทั้งหลายอันเศษ เปนอันสําเร็จโดยนัยพระบาลี “โย ภิกฺขเว ทุกฺขํ ปสฺสติ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผูใดเห็นซึ่งทุกขสัจจ บุคคลผูนั้นก็ไดชื่อวาเห็นสมุทัยสัจจ ไดชื่อวาเห็นซึ่งนิโรธสัจจ ล้ําอรรถทั้ง ๒ คือสภาวะแหงตน เล็งแลเห็นซึ่งสัจจะอันอื่นนั้นกาลใดพระอริยสัจจญาณ กระทําซึ่งสัจจะละอัน ๆ เปนอารมณนั้นขณะเมื่อเอาทุกขเปนอารมณนั้น “ปฬนตฺโถ” อันวาอรรถวา เบียดเบียนก็ปรากฏตามสภาวะลักษณะแหงตน คือทุกขสัจจ “สงฺขตตฺโถ” แลทุกขสัจจ มีอรรถวา ปจจัยประชุมแตงเปนอรรถคํารบ ๒ ก็ปรากฏดวยเล็งเห็นสมุทัยสัจจ อธิบายวากองทุกขคือเบญจขันธ อันกอปรดวยชาติทุกขเปนอาทินี้จะไมมีผูเปนพนักงาน ตกแตงแลจะบังเกิดเองหาบมิได จําจะมีผูตกแตงจึงจะบังเกิดได ผูตกแตงนั้นก็ใชอื่นใชไกล คือตัว ตัณหาสมุทัยเปนพนักงานไดตกแตง ใหเกิดทุกขราสิในภพกําเนิดแลคติฐิติสตตวาส จึงไดเสวยชาติ ชราพยาธิมรณะทุกข แลอบายทุกข ทั้งนี้ก็เพราะตัณหาสมุทัยเปนปจจัยตกแตง เมื่อสัจจญาณเล็งเห็นตัวสมุทัย ผูเปนพนักงานตกแตงมีอยูฉะนี้แลวอันวาทุกขสัจจมีอรรถ วามีปจจัยประชุมแตงก็ปรากฏแจงเพราะสําแดงเหตุคือสมุทัย ดวยประการดังนี้
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 153 “สนฺตาปตฺโถ” แลทุกขสัจจมีอรรถคือสภาวะรอนเปนคํารบ ๓ ก็ปรากฏเพราะเล็งเห็น มรรคสัจจ ๆ นั้นกอปรดวยคุณอันเย็นระงับเสียซึ่งความรอนคือราคาทิกิเลส เหตุใดเหตุดังนั้น อันวา ทุกขสัจจมีอรรถวารอนก็ปรากฏ เพราะเล็งเห็นมรรคสัจจ เปรียบอาการดุจหนึ่งนางรูปนันทชนปท กัลยาณี กลับมีรูปอันต่ําชาปรากฏแกพระอานนท อันไดทัศนาการซึ่งสิริแหงนางเทพกัญญา อนึ่ง ทุกขสัจจมีอารรถ คือสภาวะเปนวิปริณามแปรปรวนบมิเที่ยงแท เปนอรรถคํารบ ๔ นั้น ปรากฏ เพราะเล็งเห็นพระนิโรธสัจจนั้น ๆ บมิไดเปนวิปริณามธรรมโดยเที่ยงแท มิไดแปรปรวนไปดวย ความเกิดความแกความตาย ฝายทุกขสัจจอันมีลักษณะเปนปริณามนั้นก็ปรากฏแกสัจจญาณเพราะ เล็งเห็นนิโรธเที่ยงอยูนั้น ทุกขสัจจมีอรรถ ๔ “ปฬนตฺโถ” อรรถเปนปฐม คือสภาวะเบียดเบียนปรากฏดวยสภาวะ แหงตน ยังอรรถ ๓ คืออรรถวาปจจัยประชุมแตง อรรถวารอน อรรถวาแปรปรวนนั้น ก็ปรากฏดวย เล็งเห็นสัจจะอันอื่น คือสมุทัยยสัจจ นิโรธสัจจ มรรคสัจจดวยประการดังนี้ เมื่อสัจจญาณกระทําซึ่งสมุทัยสัจจะเปนอารมณในกาลใด “อายุหนตฺโถ” อันวาอรรถวาประมวลซึ่งทุกข ก็ปรากฏโดยสภาวะลักษณะแหงตนคือ สมุทัย มิไดเล็งเห็นสัจจะอันอื่นในกาลนั้น “นิทานตฺโถ” อันวาสภาวะเปนนิทาน คือสําแดงผลเปนอรรถคํารบ ๒ แหงสมุทัย ก็ ปรากฏดวยเล็งเอาซึ่งทุกขอันเปนผลแหงตนเปรียบดุจหนึ่งโภชนาหารของผิดสําแดง ก็ปรากฏวาเปน โรคนิทานเพราะเห็นพยาธิอันบังเกิดแตอสัปปายโภชนะนั้น “สํโยคตฺโถ” อันวาสภวะประกอบสัตวไวดวยสังขารทุกขเปนอรรถคํารบ ๓ แหงสมุทัย สัจจ ก็ปรากฏดวยเล็งเห็นนิโรธอันเปนเหตุพรากออกจากสังขารทุกขนั้น “ปลิโพธตฺโถ” อันวาสภาวะเปนปลิโพธิ คือกั้นกําเสียซึ่งอริยมรรค แลไดขัดของอยูใน เรือนจํา คือวัฏฏทุกขเปนคํารบ ๔ แหงสมุทัยสัจจ ปรากฏดวยเล็งเห็นซึ่งมรรคสัจจ อันบังเกิดเปน ปฏิบัติตัดปลิโพธออกจากวัฏฏสงสาร สมุทัยสัจจมีอรรค ๔ ประการดวยสภาวะแหงตน แลปรากฏดวยเล็งเห็นสัจจะอันอื่น ดวย ประการดังนี้ อนึ่งสัจจญาณกระทําซึ่งนิโรธสัจจสิ่งเดียว เปนอารมณในกาลใด “นิสฺสรณตฺโถ” อันวาสภาวะออกจากอุปธิทั้งปวง เปนอรรถแหงนิโรธก็ปรากฏดวยสภาวะ แหงตน มิไดเล็งเห็นซึ่งสัจจะอันอื่นในกาลนั้น “วิเวกตฺโถ” อันวาสภาวะสงัดจากอุปธิวิเวก ก็เปนอรรคคํารบ ๒ แหงนิโรธ ก็ปรากฏดวย เล็งเห็นสมุทัยสัจจ อันมิไดสงัดจากหมูกิเลสทั้งหลาย “อสงฺขตตฺโถ” อันวาสภาวะอันปจจัยมิไดประชุมแตงเปนอรรถคํารบ ๓ แหงนิโรธ ก็ ปรากฏดวยเล็งเห็นมรรคสัจจ อธิบายวามรรคสัจจนั้น แมพระโยคาพจรเจามิเคยพบเห็นเลยมาแตกอน ในสังสารวัฏอันมี ที่สุดเบื้องตนมิไดปรากฏ พึงมาปรากฏในกาลบัดนี้ ก็เห็นเปนมหัศจารรยอยูแลว แตทวาเปนสังขตะ ธรรมแท เหตุประกอบดวยปจจัยมีสหชาตปจจัยเปนอาทิ ตกแตงอยูปราศจากปจจัยอยางนิโรธสัจจ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 154 อยางนิโรธสัจจนี้หามิได อันนิโรธสัจจสิ่งเดียวนี้แลปราศจากปจจัย เหตุดังนั้นอันสภาวะชื่อ อสังขตะ เปนอรรถแหงนิโรธสัจจ อันหาปจจัยมิไดก็ปรากฏยิ่งนัก เพราะเหตุเล็งเห็นมรรคสัจจดวยประการดังนี้ อนึ่งโสด “อมตตฺโถ” อันวาสภาวะเปนอมฤตยรสเปนอรรถคํารบ ๔ แหงนิโรธก็ปรากฏ ดวยเล็งเห็นทุกขสัจจ อธิบายวา ทุกขสัจจนั้น ไดชื่อวาพิษ เหตุเบียดเบียนสัตวใหลําบากหาที่สุดมิได ฝายพระ นิพพานเปนอมฤตยะโอสถอันประเสริฐบังเกิดเปนยาดับพิษคือทุกข อาศัยเหตุเล็งเอาทุกขสัจจดังนี้ นิโรธสัจจจึงมีอรรถปรากฏวาเปนอมฤตยรสเปนคํารบ ๔ อนึ่งเมื่อสัจจญาณกระทําซึ่งมรรคสัจจสิ่งเดียว เปนอารมณในกาลใด “นิยฺยาวตฺโถ” อันวาอรรถอันเปนปฐม คือสภาวะออกจากวัฏฏสงสารเปนอรรถแหงมรรค สัจจ ก็ปรากฏดวยสภาวะแหงตนมิไดเล็งเห็นสัจจะอันอื่น “เหตวตฺโถ” อันวาสภาวะเปนเหตุ เปนอรรถคํารบ ๒ แหงมรรคสัจจ ก็ปรากฏดวยสิ่งเห็น ซึ่งสมุทัยสัจจ คือเขาใจเปนแทวาตัณหาสมุทัยนั้นบมิไดเปนเหตุใหถึงพระนิพพาน ฝายมรรคสัจจนี้ เปนเหตุใหถึงพระนิพพานแทจริง อรรถเปนคํารบ ๓ นั้น “ทสฺสนตฺโถ” คือกิริยาอันเปนอรรถแหงมรรคสัจจ ก็ปรากฏดวย เห็นนิโรจจ อันเปนอันจันตะบรมสุขุมคัมภีรอารมณยิ่งนัก เปรียบอาการดุจหนึ่งบุรุษมีจักษุอันผองใส เมื่อเล็งเห็นรูปารมณอันละเอียดแลว ก็เขาใจวาจักษุของอาตมานี้ผองใสบริสุทธิ์จากมลทิน “อธิปเตยฺยตฺโถ” อันวาสภาวะเปนอธิบดีศร อันเปนอรรถคํารบ ๔ แหงมรรคสัจจนั้น ปรากฏดวยเล็งเห็นซึ่งทุกขสัจจ อันกอปรดวยเอนกโทษแผไฟศาล ปานประหนึ่งบุคคลไดทัศนาการ ซึ่งชนกําพราอันอาดูรเดือดรอนอยูดวยอเนกโรคาหาที่พํานักมิได อิสรภาพอันหาโรคาพยาธิมิไดนั้นก็ ปรากฏดวยโอฬาริกายิ่งนัก “เอวเมตฺถ สลกฺขณวเสน” ล้ําอรรถทั้งหลายนั้น อันวาอรรถละสี่ ๆ แหงอริยสัจจละอัน ๆ องคสมเด็จพระผูทรงพระภาคเจาตรัสเทศนาโดยสภาวะปรากฏแหงอรรถอันหนึ่ง ดวยสามารถลักษณะ แหงตนแลปรากฏแหงอรรถละสาม ๆ อันเศษ ดวยเล็งเห็นซึ่งอริยสัจจอันอื่นดวยประการฉะนี้ แลอรรถทั้งปวงนั้นก็ถึงซึ่งสภาวะอันพระโยคาพจร ตรัสรูซึ่งอริยสัจจอันอื่น ดวยประการ ฉะนี้ แลอรรถทั้งปวงนั้นก็ถึงซึ่งสภาวะอันพระโยคาพจร ตรัสรูดวยสัจจญาณอันเดียว ในขณะ เมื่อโลกุตตรมรรคญาณบังเกิดนั้น “อิมานิ ยานิ ตานิ ปริฺญาทีนิ จตฺตาริ กิจฺจานิ อตฺตานิ” บัดนี้จะถวายวิสัชนาการจําแนกในกิจ ๔ ประการ คือปริญญากิจ ปหานกิจ สัจฉิกิริยากิจ ภาวนากิจ ล้ํากิจ ๔ ประการนั้น “ติวิธา หิโต ปริฺญา” ปริญญากิจสิ่งหนึ่ง มีประเภท ๓ ปหานก็มี ประเภท ๓ สัจฉิกิยามีกิจประเภท ๓ ภาวนากิจก็มีประเภท ๓ “วินิจฺฉโย ญาตพฺโพ” นักปราชญพึง รูวินิจฉัยในกิจ ๔ ประการดังนี้ “ติวิธา” ปริญญากิจมีประเภท ๓ นั้น คือญาตปริญญา ๑ ตีรณปริญญา ๑ ปหานปริญญา ๑ ปริญญาทั้ง ๓ นี้ ก็มีนบ ั ดังกลาวมาแลวในมัคคามัคคญาณทัสสนะวิสุทธินิเทศ ในหนหลังแลว ใน
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 155 ที่นี้จักวิสัชนาแตใจความสังเขป ตามวาระพระบาลีวา “สพฺเพ ภิกขเว อภิฺเญยฺ ยํ” ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย ปญญาแหงพระโยคาพจรกําหนดนามและรูปกับทั้งปจจัยแลว แลรูด วยลักษณะรสปจจุปฏ ฐานปทัฏฐาน นี้แลเปนภูมิเปนแผนกญาตปริญญา ปญญาแหงโยคาพจร อันพิจารณานามรูปดวยพระไตรลักษณจับเดิมแตสัมมัสสนญาณ พิจารณากองกลาปตราบเทาถึงอนุโลมญาณนี้แลเปนภูมิเปนแผนกแหงตีรณปริญญา ปญญาแหงโยคาพจร อันประพฤติเปนไปดวยนัยเปนตน คืออนิจจานุปสสนา “นิจฺจสฺญํ ปชหติ” มละเสียซึ่งสําคัญวาเที่ยงในไตรภพสังขาร ดวยอนิจจานุปสสนาเปนอาทิดังนี้ชื่อวา ปหาน ปริญญา ปหานปริญญานี้ มีญาณอันประพฤติเปนไป อริยมรรคญาณ เปนภูมิที่ดําเนินโดยแผนก
จับเดิมแตภังคานุปสสนาตราบเทาถึงพระ
“อยํ อิธ อธิปฺเปโต” ปหานปริญญานี้เปนที่ตองประสงคในที่นี้เพราะเหตุวา วิสัชนามา ดวยการอันตรัสรูซึ่งจตุราริยสัจจ ญาตปริญญาแลตีรณปริญญาทั้ง ๒ นี้ ยกขึ้นวาดวยแตพอจะใหรูจัก ประเภทแหงปริญญาจะเปนที่ตองประสงคในที่นี้หามิได “อปจ” นัยหนึ่งถาจะวาญาตปริญญาแลตีรณปริญญาทั้งสองตองประสงคดวยก็วาได ดวย ปริญญาทั้ง ๒ นี้ ตองอยูในที่จะใหสําเร็จประโยชนคือพระอริยมรรคประการ ๑ ขณะเมื่อพระอริยมรรค ญาณบังเกิด ยึดหนวงเอาพระนิพพานเปนอารมณ “ปหานํป” มละเสียซึ่งธรรมหมูใด ธรรมหมูนั้นก็ ไดชื่อวาญาตะชื่อวาตีรณะ วาอันพระอริยมรรคญาณหากรูหากพิจารณาโดยนิยมเที่ยงแท เหตุใดเหตุ ดังนั้นนักปราชญพึงสันนิษฐานวาปริญญาทั้ง ๓ นี้ เปนกิจแหงพระอริยมรรคญาณโดยปริยายนามดังนี้ สิ้นความในปริญญากิจโดยสังเขปแตเทานี้ “ตถา ปหานํป” ฝายปหานกิจนั้นก็มีประเภท ๓ ประการ เหมือนปริญญาคือเปน วิกขัมภนปหาน ๑ ตทังปหาน ๑ สมุจเฉทปหาน ๑ ล้ําปหานทั้ง ๓ ประการนั้น จะยกวิสัชนาแต วิกขัมภนปหานนั้นกอน “ยํ ปหานํ” อันวาปหานอันใด คือกิริยาอันพระโยคาพจรเจาขมเสียซึ่งนิวรณธรรม แลปจจ นิกธรรมทั้งหลายมิไดเกิดกําเริบอันทําครอบงําสันดานไดสิ้นกาลชานานดวยโลกิยสมาธินั้น ๆ “วิกฺ ขมุภนํ วิย” ดุจหนึ่งบุคคลขมเสียซึ่งเสวาลชาติ คือจอกแหนสาหรายดวยกระออมอันวางลงเหนือ หลั่งน้ําอันกอปรดวยเสวาลชาติ อนึ่งเปนคํารบโบราณคติพระโบราณาจารยกลาวไว เหมือนดวยศิลา ทับหญา “โลกิยสมาธินา” กิริยาที่ขมนิวรณธรรมดวยโลกิยสมาธิดังนี้วาวิกขัมภนปหาน “ปาลิยํ ปน” ฝายพระบาลีนั้นวา องคสมเด็จพระสรรเพชญตรัสพระสัทธรรมเทศนา เฉพาะแตขมขี่นิวรณธรรมแท เปนวิกขัมภนปหานพระบาลีอันนี้ นักปราชญพึงเขาใจวา องคสมเด็จพระ ผูมีพระภาคตรัสเทศนาเฉพาะวาแตทีปรากฏ เหตุวาเมื่อพระโยคาพจรออกจากญานแลว ก็ยอมปรากฏ แกบุคคลผูอื่น เขาใจวาทานผูมีจิตมิไดพยายาม แลปราศจากถีนมิทธะ แทจริงอันวานิวรณธรรมทั้งหลาย มีกามฉันทเปนอาทินั้นแตในบุรพภาคปฏิบัติ เมื่อยังมิได อัปปนาฌานก็ดี ก็มิไดครอบงําจิตสันดานอันเปนอันเร็วพลัน แมออกจากอัปปนาญานแลว ก็มิได ครอบงําจิตสันดานเปนอันเร็วพลัน กิริยาที่ขมขี่ริวรณธรรมนั้น จึงปรากฏดังกลาวแลว ฝายปจจนิกธรรมทั้งหลายอื่น ๆ มีวิตกเปนอาทิ อันเปนจะพึงขมเสียดวยทุติฌานเปนอาทิ นั้น จะไมครอบงําจิตสันดานก็เพราะแตในอัปปนามึทุติยญานเปนอาทิ ครั้นออกจากญานแลววิตกวิจาร ก็ครอบงําจิตสันดานไดเปนอันเร็วพลัน เหตุดังนั้นกิจที่ขมขี่ปจจนิกธรรมมีวิตกเปนอาทินั้นไดชื่อวา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 156 ปรากฏแกผูอื่น เหตุดังนั้น กิริยาที่ขมนิวรณธรรมมีกรรมฉันทเปนอาทินั้นไดชื่อวาปรากฏแจง อาศัย เหตุฉะนี้สมเด็จสรรเพชญพุทธเจา จึงตรัสเทศนาเฉพาะแตขมนิวรณสิ่งเดียวเปนวิกขัมภนปหาน ในพระบาลีนั้นวา “ยํ ปหานํ” อันวาปหานอันใดคือกิริยาอันมละเสีย ขจัดเสียซึ่งธรรมอัน ควรจะพึงมละเสียนั้น ๆ ดวยองคคือญาณอันบังเกิดเปนอวัยวะแหงวิปสสนานั้น ๆ ดุจหนึ่งกิริยาดวง ประทีป อันบุคคลตามไวในราตรีภาค ขจัดเสียซึ่งมืด ปหานดังนี้ชื่อวา ตทังคปหานจัดโดยประเภทได ๑๓ คือกิริยาอันโยคาพจรมละเสีย ซึ่งสักกายทิฏฐิดวยกําหนดซึ่งนามแลรูป ๑ คือมละเสียซึ่งอเหตุกทิฏฐิ แลวิสมเหตุกทิฏฐิ แลมลทินคือกังขาดวยกําหนดซึ่งปจจัยแหง นามแลรูป ๑ คือมละเสียซึ่งลัทธิ อันถือผิดถือเอาซึ่งประชุมแหงนามแลรูปวาตนวาของตนดวยพิจารณา กลาป ๑ คือมละเสียซึ่งทางอันผิด สําคัญวาทางในธรรมอันใชทางดวยมัคคา มัคคววัตถานญาณ ๑ คือมละเสียซึ่งอุจเฉททิฏฐิ ดวยอุทยทัสสนะ คือญาณอันรูซึ่งลักษณะเกิดแหงนามแลรูป ๑ คือมละเสียซึ่งสัสสตทิฏฐิดวยญาณอันเห็นซึ่งลักษณะแหงนามแลรูป ๑ คือมละเสียซึ่งสําคัญ คือสภาวะหามิได ในนามรูปอันกอปรดวยภยตูปฏฐานญาณ ๑ ๑
คือมละเสียซึ่งสําคัญผิด อันประพฤติเปนไปดวยสามารถยินดีในเบญจขันธ ดวยทีนวญาณ คือมละเสียซึ่งสัญญาอันกําหนดยิ่งนัก ดวยนิพพิทาญาณ ๑ คือมละเสียซึ่งสภาวะมิไดเปลื้องปลอยตน ใหพนจากนามแลรูปดวยมุญจิตุกามยตญาณ ๑
คือมละเสียซึ่งโมหะอันเปนปฏิปกษแกปฏิสังขาญาณ คือปญญาอันตกแตงอุบายอันจะมละ เสียซึ่งสังขาร ๑ คือมละเสียซึ่งมิไดมัธยัสถในสังขารดวยอุเบกขาญาณ ๑ คือมละเสียซึ่งอันผิดจากคลองอริยสัจจ คือถือเอาวาเที่ยงเปนอาทิในสังขาร ดวยอนุโลม ญาณ ๑ เปน ๑๓ ดวยกัน ชื่อตทังคปหาน พระพุทธโฆษาจารยแสดงตทังคปหาน โดยอนุโลมลําดับแหงสุวิสุทธิดังนี้แลว บัดนี้ ปรารถนาเพื่อจะสําแดงตทังคปหานนั้น ดวยสามารถแหงอัฏฐารสมหาวิปสสนา จึงกลาววาระพระบาลี เปนอาทิคือ “ยํ วา ปน” แปลวาตามวาระพระบาลีวา “ยํ ปหานํ” อันวาปหานอันใดประพฤติ เปนไปในมหาวิปสสนา ๑ คือมละเสียซึ่งสุขสัญญา สําคัญวาเปนสุขดวยทุกขานุปสสนา ๑ คือมละเสียซึ่งสําคัญวาตน ดวยอนัตตานุปสสนา ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 157 คือมละเสียซึ่งตัณหาอันประกอบดวยปติดวยนิพพานุปสสนา ๑ คือมละเสียซึ่งราคะ ดวยวิราคานุปสสนา ๑ คือมละเสียซึ่งสมุทัย ดวยนิโรธานุปสสนา ๑ คือมละเสียซึ่งถือมั่นดวยตัณหาทิฏฐิในปญจขันธ ดวยปฏินิสสัคคานุปสสนา ๑ คือมละเสียซึ่งสําคัญวาเปนแทงหนึ่งแทงเดียว ดวยสามารถแหงสันตติเนื่องบมิไดขาด แล ประชุมไปดวยกองนามแลรูปแลกิจจารยดวยขยานุปสสนาคือปญญาอันวิจารพรากสังขารออกจากแทง แลวก็เล็งเห็นวาอนิจจัง “ขยตฺ เถน” ดวยสภาวะสิ้นไป ๑ คือมละเสียซึ่งอายุหนะ คือกิริยาอันเพียรพยายามใหเกิดอภิสังขารมีบุญญาภิสังเปนอาทิ ดวยขยานุปสสนา คือสภาวะเล็งเห็น ซึง่ ทําลายสังขาร โดยปจจักขสิทธิ์ แลอนุมานสิทธิ์ แลนอมจิต ไปในนิโรธคือสังขารภังคนั้น ๑ คือมละเสียซึ่งธุวสัญญา สําคัญวาถาวรมั่นคงในสงสาร ดวยวิปริณามานุปสสนา คือปญญา อันเล็งซึ่งสังขารมีรูปสัตวเปนอาทิอันลวงเสียซึ่งปริจเฉทนั้น ๆ มีปฏิสนธิแลจุติเปนตน แลวแลประพฤติ แปรเปนอื่นแลแปรไปดวยอาการ ๒ คือชราแลมรณะแหงสังขารอันบังเกิด ๑ คือมละเสียซึ่งอนิจจานิมิต คือกําหนดวาเที่ยงดวยอนิจจานิมิตตานุปสสนา คือปญญาอัน พิจารณาเห็นวาเปนอนิจจัง ๑ คือมละเสียซึ่งปณิธิ คือความปรารถนา ซึ่งสุขในสังขารดวยอัปปณิหิตานุปสสนา คือ ปญญาอันพิจารณาเห็นแตทุกขฝายเดียว คือมละเสียซึ่งอภินิเวส ถือเอามั่นวา “อตฺถิ อตฺตา” ตัวตนนี้มีดวยสุญญตานุปสสนา คือ ปญญาพิจารณาเห็นวาสูญเปลาจากตน ๑ คือมละเสียซึ่งถือมั่นวา เปนแกนสารในสังขารธรรมอันหาแกนมิได ดวยอธิปญญาธรรม วิปสสนา ไดแกปญญาอันรูซึ่งอารมณมีรูปเปนอาทิ แลวแลเห็นซึ่งทําทั้งหลายแหงอารมณนั้น แล ทําลายแหงจิตมีรูปเปนอาทินั้น เห็นอารมณแลวก็ถือเอาสภาวะสูญเปลาดวยสามารถแหงทําลายดวย มนสิการวาสังขารธรรมแทจริง มีแตจะทําลายไปฝายเดียวมรณธรรมนั้นเลา ก็มีแตสังขารธรรมเปนแท จะมีสัตวมีบุคคลผูอื่นจากสังขารทําลายหามิได ๑ คือมละเสียซึ่งสัมโมหาภินิเวส อันประพฤติเปนไปดวยสามารถแหงกงขาเปนอาทิวา ดังอา ตมาะรําพึง ตัวอาตมะนี้ มีแลหรือในอดีตกาลแลเปนไปดวยถือผิด เปนตนวาสัตวโลกบังเกิดแตพระ อิศวรนารายณตกแตงดวยยถาภูตญาณทัสสนะ คือกําหนดซึ่งนามแลรูปกับทั้งปจจัย ๑ คือมละเสียซึ่งอาลยาภินิเวส คือถือมั่นผูกอาลัยในสังขาร เหตุมนสิการกําหนดวาสังขารอัน ใดนอยหนึ่ง ที่ควรจะเปนที่แอบอิงอาศัยนั้นมิไดปรากฏดวยอาทีนวานุปสสนา คือปญญาอันบังเกิด ดวยสามารถแหงภยตูปฏฐานญาณเห็นซึ่งโทษในภพทั้งปวงเปนอาทิ ๑ คือมละเสียซึ่งโมหะอันเปนปฏิปกษแกสังขาญาณ ดวยปฏิสังขานุปสสนาคือปญญาอันตน แตงอุบาย จะเปลื้องตนใหพนจากสังขาร ๑ คือมละเสียซึ่งโยคาภินิเวสคือ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
ประพฤติเปนไปแหงกามสังคโยคาทิกิเลส
ดวยวิวัฏฏา
- 158 นุปสสนา สังขารุเบกขาญาณแลอนุโลมญาณ ๑ อันวาปหานอันสําแดงมาในมหาวิปสสนาทั้ง ๑๘ ประการก็ชื่อวาตทังคปหาน นักปราชญ พึงรูโดยพิสดาร ดวยประการดังนี้ สมุจเฉทปหานนั้น เมื่อพระโยคาพจรเจา มละเสียซึ่งธรรมทั้งหลาย มีอนุสัยสังโยชญเปน อาทิ พระอริยมรรคญาณ สัฃขารเสียมิไดประพฤติเปนไปในสันดาน มีอาการดุจหนึ่งอสุนีจักรอันตก ตองตนไม ๆ นั้นก็ถึงแกพินาศ มิอาจเพื่อจะเจริญสืบรุกขสันดานตอไปได ล้ําปหาน ๓ ประการ ดัง พรรณนามาแลวนั้น ยกเอาแตสมุจเฉทปหานสิ่งเดียว เปนที่ตองประสงคในที่นี้ ถาจะวาฝายหนึ่งเลา แมวาปหานทั้ง ๓ คือวิกขัมภนปหาน และตทังคปหานก็ดีเมื่อประพฤติเปนไปในบุพรภาคปฏิบัติแหง พระโยคาพจรนั้นก็เปนอุปการะเพื่อจะใหสําเร็จประโยชญ คือสมุจเฉทปหานแทจะแปรเปนอื่นหาบ มิได เหตุดังนั้นนักปราชญพึงสันนิษฐานเถิดวาปหานทั้ง ๓ ประการนั้น เปนกิจแหงพระอริยมรรคญาณ ทั้งสิ้น ดวยปริยายนามดังนี้ เปรียบอาการดุจหนึ่งบรมกษัตราธิราชอันพิฆาตฆาซึ่งพระยาอันเปน ปจจามิตรเสียแลวแลไดปราบดาภิเษก การทั้งปวงที่กระทํามาตราบเทาถึงสําเร็จราชสมบัตินั้นแมวา ผูอื่นจากบรมกษัตริยกระทําก็ดี ชนทั้งปวงก็ยอมกลาววา บรมกษัตริยสิ้นทั้งนั้น ฉันใดก็ดี นักปราชญ พึงสันนิษฐานวา ปหานทั้ง ๓ ประการ มีวิกขัมภนปหานเปนอาทิ เปนกิจแหงพระอริยมรรคญาณดุจ ดังนั้น สิ้นใจความในปหานกิจเทานี้
จักถวายวินิจฉัยในบท คือสัจกิริยาสืบตอไป สักฉิกิริยา มีประเภท ๒ ประการคือ โลกิยสัจฉิกิริยา กระทําอารมณใหแจงฝายโลกิยะ ๑ คือโลกุตตรสัจฉิกิริยา กระทําอารมณใหแจงฝายโลกุตตระ ๑ ในโลกิยสัจฉิกิริยานั้น มีประเภท ๒ ประการ คือ ทัสสนะสัจฉิกิริยา ๑ ภาวนาสัจฉิกิริยา ๑ พระโยคาพจรถูกตองซึ่งฌานมีปฐมฌานเปนอาทิดวยฌานสัมผัสส อาตมาะได ดังนี้ก็ไดชื่อวาโลกิยสัจฉิกิริยา
คือรูแจงวาฌานนี้
ประการหนึ่งธรรมทั้งหลายใด แมวาจะใหเกิดในสันดานแหงตน ดุจหนึ่งวาวิญญาณแลมรรค แลผลนั้นก็ดี แตทวาบุคคลหารูดวยญานแหงตน มิไดถือเอาแตคําผูอื่นดวยสามารถกําจัดเสียซึ่งโมหะ อันปกปดไวซึ่งธรรมทั้งหลายนั้น แลธรรมทั้งหลายนั้นก็ไดชื่อวาอันบุคคลกระทําใหแจงดวยโลกิยสัจฉิ กิริยา กิริยาอันพระโยคาพจรเห็นพระนิพพาน ในขณะแหงพระโสดาปตติมรรคบังเกิดชื่อวา ทัส สนะสัจฉิกิริยา ทัสสนะนั้นเปนชื่อแหงพระโสดาปตติมรรค เพราะเหตุเห็นพระนิพพานกอนพระ อริยมรรคเบื้องบน ๆ ฝายโคตรภูญาณนั้น แมวาเห็นพระนิพพานกอนพระโสดาปตติมรรคก็ดี ก็ไดชื่อ วาทัสสนะ เพราะเหตุวา เห็นแลวแลมิไดสําเร็จอันพึงกระทํา คือกําจัดกิเลสอยางพระอริยมรรคนั้น กิริยาอันพระโยคาพจรเห็นพระนิพพาน ในขณะแหงพระอริยมรรคตรัยเบื้องบน มีพระสกทาคามิมรรค เปนอาทิชื่อวา ภาวนาสัจฉิกิริยา ภาวนานั้น เปนชื่อแหงพระอริยมรรคเบื้องบน เพราะหตุวาจําเริญใน อารมณคือพระนิพพาน อันพระโสดาปตติมรรคเห็นแลวนั้น ในที่นี้พระอาจารยประสงคเอาแตสัจฉิกิริยา ๒ ประการ คือทัสสนะสัจฉิกิริยา แลภาวนาสัจฉิ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 159 กิริยา เหตุดังนั้น นักปราชญพึงสันนิษฐานวา ภาวนากระทําใหแจงซึ่งพระนิพพาน ดวยสามารถ แหงทัสสนะภาวนาทั้ง ๒ นั้น เปนกิจแหงพระอริยมรรคญาณนี้สิ้นความในสัจฉิกิริยาเทานั้น ฝาย ภาวนากิจนั้นเลา ที่พระอาจารยเจาประสงคกลาวในที่นี้ก็มี ๒ ประการคือ โลกิยภาวนาประการ ๑ โลกุตตรภาวนาประการ ๑ ล้ําภาวนา ๒ นั้น พระโยาคาพจรยังศีล สมาธิ ปญญา อันเปนฝายโลกิยะใหบังเกิด แลอบรม สันดานดวย ศีล สมาธิ ปญญานั้นชื่อวาโลกิยภาวนา พระโยคาพจรยังศีล สมาธิ ปญญา อันเปนฝายโลกุตตระใหบังเกิด แลอบรมสันดานดวยโล กุตตรศีลเปนอาทินั้น ชื่อวาโลกุตตรภาวนา ในที่นี้พระอาจารยประสงคเอาแตโลกุตตรภาวนา คําที่วามานี้ยุติดวยคําภายหลัง เมื่อพระ อริยมรรคญาณทั้ง ๔ ยังศีล สมาธิปญญาอันโลกุตตระใหบังเกิดแลว ก็อบรมสันดานแหงพระ อริยบุคคล ดวยโลกุตตรศีลเปนตนนั้น ดวยภาวนาเปนสหชาตาทิปจจัย เหตุใดเหตุดังนั้น อันวาโล กุตตรภาวนานี้แลไดชื่อวา เปนนิจแหงพระอริยมรรคญาณ วินิจฉัยในกิจ ๔ มีปริญญากิจเปนตน สิ้นความโดยสังเขปเทานี้ อันวาปริจเฉทเปนคํารบ ๒๒ ชื่อวา ญาณทัสสนะวิสุทธิเทศในอธิการแหงปญญาภาวนา ใน คัมภีรพระวิสุทธิมรรค อันพระพุทธโฆษาจารยเจารจนาไว เพื่อประโยชนจะใหบังเกิดปราโมทยยินดี แหงสัปปุริสชน ก็ยุติการจบบริบูรณเทานี้ “ปฺญาภาวนาย โก อานิสํโส” พระพุทธโฆษาจารยเจาจึงวิสัชชนาในปญหากรรม คือ คําปุจฉาถามวา ธรรมดังฤๅเปนอนิสงสแหงปญญาภาวนา ในที่นี้ยากที่จะสําแดงโดยพิสดารใหเสร็จสิ้นได จะสําแดงแตใจความโดยสังเขป “นานากิเลสวิทฺธํสนํ” กิริยาที่พระโยคาพจรกําจัดเสียซึ่งกิเลสตาง ๆ มีสักกายทิฏฐิเปน อาทิ ดวยวิกขัมภนปหาน แลตทังคปหานจําเดิมแตกําหนดซึ่งนามแลรูป อันนี้นักปราชญพึงรูวาเปน อานิสงสแหงโลกิยปญญาภาวนา “อริยมคฺคกฺขเณ” พระโยคาพจรกําจัดเสียซึ่งกิเลสตาง ๆ มีสังโยชนเปนอาทิ ในขณะ บังเกิดแหงพระอริยมรรคทั้ง ๔ อันนี้แลเปนอานิสงสแหงโลกุตตรปญญาภาวนา “น เกวลฺจ” ใชจะประสงสเอาแตภาวะกําจัดกิเลส เปนอานิสงสแหงปญญาภาวนาแต เทานั้นหาบมิได “อริยผลรสานุภาวนํป” แมวากิริยาอันพระอริยบุคคลไดเสวยรสแหงพระอริยสามัญญผล ทั้ง ๔ มีพระโสดาปตติผลเปนตน ก็ไดชื่อวาเปนอานิสงสแหงปญญาภาวนา “ทฺวิหากาเรหิ รสานุภาวนํ” แลกิริยาอันเสวยรส แหงอริยผลนั้นมี ๔ ประการ คือ เสวย รสแหงอริยผล ประพฤติเปนไปในมัคควิถีประการ ๑ คือเสวยรสแหงอริยผล อันเปนไปดวยสามารถ แหงผลสมาบัติประการ ๑ เปนรสแหงพระอริยผล ๒ ประการดวยกัน มีกระทูความในปญญา ๙ ประการ ทานตั้งไวเพื่อประโยชนจะสําแดงใหแจงความ ซึ่งวา พระอริยผลประพฤติเปนไปในผลสมาบัติ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 160 ปฐมปญหานั้นวา ผลสมาบัตินั้นเปนดังฤๅ ทุติยปญหานั้นวาบุคคลดังฤๅเขาไปสูผลสมาบัติ ตติยปญหานั้นวา บุคคลดังฤๅมิไดเขาสูผลสมาบัติ จตุตถปญหานั้นวา บุคคลเขาสูสมาบัตินั้น เพื่อประโยชนดังฤๅ ปญจมปญหานั้นวา กิริยาอันเขาซึ่งผลสมาบัตินั้นเปนดังฤๅ ฉัฏฐมปญหานั้นวากิริยาที่จะตั้งอยูในผลสมาบัตินั้นดวยอาการดังฤๅ สัตตมปญหานั้นวา จะออกจากผลสมาบัตินั้นดวยอาการดังฤๅ ฉัฏฐมปญหานั้นวา ธรรมดังฤๅเกิดในลําดับแหงผล นวมปญหานั้นวา ผลนั้นเกิดในลําดับแหงผลดังฤๅ ซึ่งถามในปฐมปญหาวา คือผลสมาบัตินั้นเปนดังฤๅ วิสัชนาวากิริยาอันประพฤติเปนไป แหงพระอริยผลฌานดวยแหงอัปปนาคือ อันบังเกิดเปนอารมณนอมจิตเขาสูพระนิพพานนั้นแล ชื่อวา ผลสมาบัติ ในทุติยปญหา กับตติยปญหา วาบุคคลดังฤๅเขาซึ่งผลสมาบัติแลบุคคลดังฤๅมิไดเขาซึ่ง ผลสมาบัติ ทานวิสัชนาเปนปจฉาสตินัยคือวิสัชนาขางตติยปญหากอน แลวจึงยอนวิสัชนา ทุติยปญหา ตอภายหลัง วาปุถุชนทั้งปวงมิไดเขาซึ่งผลสมาบัติเหตุดังฤๅ เหตุผลสมาบัตินั้น อันปุถุชนทั้งปวงยัง มิไดถึง พระอริยทั้งปวงเขาสูผลสมาบัติ เหตุผลสมาบัตินั้นพระอริยบุคคลไดแลว ถาจะวาโดยพิเศษเปนแผนก พระอริยเขาเบื้องบน ๆ มีพระสกทาคามีเปนตน ก็มิไดเขาซึ่ง ผลสมาบัติเบื้องต่ํา ๆ มีพระโสดาปตติผลเปนตน เหตุผผลสมาบัติเบื้องต่ํานั้น ระงับจากสันดาน เพราะวาถึงซึ่งภาวะเปนบุคคลอันตางไปแลว ฝายพระอริยบุคคลเบื้องต่ํา ก็มิอาจเขาสูผลสมาบัติเบื้องบนไดเหตุยังไปมิไดถึง ตน ๆ
นักปราชญพึงสันนิษฐานเปนแทวา พระอริยบุคคลทั้งปวงเฉพาะเขาไดแตผลสมาบัติแหง
ในปญหาคํารบ ๔ ที่วาบุคคลเขาสูสมาบัติเพื่อประโยชนดังฤๅนั้นวิสัชนาวา บุคคลมีประ โยนชจะอยูสบายในอัตตาภาพอันเห็นประจักษในปจจุบันนั้น จึงเขาสูผลสมาบัติ มีสาธกอุปมาเปรียบคําวา บรมกษัตริยอันเสวยความสุขในสิริราชสมบัติ แลเทพยดาอัน เสวยสุขในทิพยสมบัติ ฉันใดก็ดี ฝายพระอริยสาวกทั้งหลาย ก็กําหนดซึ่งกาลเวลาดวยมนสิการวา อาตมาจะเสวยซึ่งโลกุตตรสุข แลวก็เขาสูผลสมาบัติ ในขณะอันปรารถนาก็มีอุปไมยดังนั้น
แลตั้งอยูในสมาบัติดวยอาการดังฤๅ แลออกจากสมาบัติดวยอาการดังฤๅนั้น วิสัชชนาโดย ลําดับกิริยาที่พระอริยบุคคลเขาสูสมาบัตินั้นดวยอาการ ๒ คือมิไดมนสิการซึ่งอารมณอันอื่นจากพระ นิพพาน ๑ คือกระทําซึ่งพระนิพพานเปนอารมณไวในใจ ๑
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 161 นักปราชญพึงรูลําดับแหงกิริยา อันพระอริยบุคคลจะเขาสูผลสมาบัติดังนี้ พระอริยสาวกผูมีประโยชญ ดวยผลสมาบัตินั้นพึงเขาสูที่รโหฐานเปนที่ควรแกการวิเวก แลวมีจิตออกจากอารมณตาง ๆ แลเรนอยูในพระกรรมฐาน พึงพิจารณาสังขารจําเดิมแตอุทยัพพญาณ เปนอาทิตราบเทาถึงอนุโลมญาณ อันวาวิตสันดานแหงพระอริยสาวก อันมีลําดับพระวิปสสนาประพฤติ เปนไปดังนี้ ก็เขาไปในอารมณคือพระนิโรธ ดวยสามารถแหงผลสมาบัติ ในลําดับแหงพระโคตรภู ญาณอันเปนสังขารเปนอารมณ อนึ่งพระเสขบุคคล มีพระโสดาบันเปนอาทิ พิจารณาสังขารดวยอุทยัพพยญาณเปนตน ดังกลาวมานี้ เมื่อพระอัปปนาจะบังเกิดก็เกิดเปนจิตแทจะบังเกิดมรรคจิตหาบมิได เพราะเหตุวามี อัชฌาสัยนอยไปในผลสมาบัติเปนทิฏฐธรรมสุขวิหารโดยแท จะเจริญพระวิปสสนา เพื่อจะใหถึงซึ่ง พระอริยมรรคเบื้องบนนั้นยังบมิไดกอนอาศัยเหตุนี้ มรรคจิตจึงไมบังเกิดแทจริง บังเกิดแตผลที่อาตมา ไดไวแตกอนนั้น อนึ่งมีคําอาจารย พวกอภัยคีรีวาสีกลาวไวฉะนี้ วาแตพระเสขบุคคลคือพระโสดาบัน มี ความดําริวาอาตมาจะเขาซึ่งผลสมาบัติปรารภเจริญพระวิปสสนา ก็เปนพระอนาคามีบุคคลไป พึงใหนักปราชญรูแทกลาวแกอาจารยเหลานั้นดังนี้วา ถาทานจะถือเอาอธิบายดังนั้น ก็ยัง ไมคงอยูแตเพียงนั้น แมพระอนาคามีบุคคลเมื่อเจริญพระวิปสสนา เพื่อจะเขาสูสมาบัติก็ผลัดตัวไป เปนพระอรหันต ๆ ก็จะผันแปรไปเปนพระปจเจกโพธิ์ ๆ ก็จะไปเปนพระสัพพัญูพุทธเจา ก็จะไดโดย ลัทธิแหงทาน เหตุดังนั้นอันคําอาจารยพวกนี้ บมิควรที่จะถือเปนประมาณได คําพระอาจารยทั้งหลาย ก็หามในพระบาลี เหตุดังนั้นคําอภัยคีรีอาจารยนั้น นักปราชญอยาพึงเอา พึงถือเอาคํามีผลจิตแทจริง บังเกิดแกพระเสขบุคคลอันเขาสูผลสมาบัติ มรรคจิตจะบังเกิดบมิได คํานี้แลนักปราชญพึงถือเปน ประมาณได ประการหนึ่งพระอริยสาวกเจาทั้งปวง เมื่อแรกไดพระอริยมรรคมีพระโสดาปตติมรรคเปน อาทิ แลพระอริยมรรคนั้น ยุติในปฐมฌานคือประกอบดวยฌาน ๕ คือ วิตก วิจาร ปตี สุข เอกกัคคตา เหมือนดวยปฐมฌาน พระอริยผลอันบังเกิดในผลสมาบัติวิถีนั้นก็ประกอบดวยองคฌาน ๕ เหมือนดวย องคปฐมฌาน ผิวาพระอริยมรรคอันพระอริยสาวกไดนั้น เหมือนดวยทุติยฌานเปนตนอันใดอันหนึ่ง คือมละองคมีวิตกวิจารยเปนอาทิอันหนึ่งนั้น อันวากิริยาอันพระอริยบุคคลเขาสูผลสมาบัติก็มีดวย ประการดังกลาวมานี้ สภาวะตั้งอยูในผลสมาบัตินั้น ก็ตั้งอยูดวยอาการ ๓ คือมิไดมนสิการ ซึ่งนิมิตทั้งปวง อธิบายวา มิไดเอารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเปนอารมณ ๑ คือกําหนดกาลแตกอนเขาสูผลสมาบัตินั้นวา อาตมาจะอยากจากสมาบัติในกาลมีชื่อโพน ๑ เมื่อกาลมีกําหนดนั้นยังไปมิไดตราบใด ก็ตั้งอยูในสมาบัตินั้นดวยอาการ ๓ ดังกลาวมานี้ กิริยาที่จะออกผลสมาบัตินั้นเลา ก็ออกดวยอาการ ๒ คือกระทํามนสิการ ซึ่งสังขารธรรมทั้ง ปวง มีรูปนิมิตเปนตน เปนอารมณประการ ๑ แลขอที่กระทํามนสิการ ซึ่งนิมิตทั้งปวง มีรูปนิมิตทั้งปวง เปนอารมณนั้น จิตอันนั้นจะเอานิมิตทั้งปวงเปนอารมณได ในขณะเดียวขณะอันออกจากสมาบัตินั้นหา มิไดโดยแท แตทวาคําซึ่งมนสิการซึ่งนิมิตทั้งปวงนั้นวา ดวยสามารถสงเคราะหเอาซึ่งอารมณทั้งปวง หานิยมบมิไดตามแตจะปรากฏ เหตุดังนั้นถาจะเอาใจความ ก็คือนิมิตอันใดอันหนึ่งมีกรรมนิมิตเปน อาทิที่เปนอารมณแหงภวังคจิต ติดพันมาแตแรกปฏิสนธิในปจจุบันภพนั้น เมื่อพระอริยสาวกมละ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 162 อารมณ คือพระนิพพาน แลกระทํามนสิการซึ่งอารมณ มีกรรมนิมิตเปนอาทิ กิริยาที่ออกจากผลสมาบัติ ก็มีดวยภวังคจิตนั้น
ผล ๆ บังเกิดในลําดับแหงธรรมดังฤๅนั้น วิสัชชนาวา ผลจิตแทจริงเกิดในลําดับแหงผลก็มี บาง บางทีภวังคจิตบังเกิดในลําดับแหงผลก็มี อนึ่งผลนั้นที่บังเกิดในลําดับแหงมรรคก็มี ผลบังเกิดใน ลําดับแหงผลก็มี ผลบังเกิดแหงโคตรภูก็มี ผลบังเกิดในลําดับแหงเนวสัญญานาสัญญายนะก็มี ล้ําผล ทั้งปวงอันบังเกิดในลําดับแหงมรรคนั้น เฉพาะไดแตมรรควิถี ๆ นั้น ผลจิตบังเกิด ๒ ขณะ ๓ ขณะ ผล ที่บังเกิดเปนปฐมนั้นชื่อวาเกิดในลําดับแหงผลอันบังเกิดภายหลัง ๆ นั้น ชื่อวาเกิดในลําดับแหงผลอัน บังเกิดกอน ๆ ในผลสมาบัติวิถีนั้นเลา ผลที่บังเกิดแรกนั้นในลําดับแหงโคตรภู ๆ ในที่นี้ไดแกอนุโลม ญาณ อันถือเอาสังขารเปนอารมณสมดวยวาระพระบาลีอันสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจาตรัสพระ สัทธรรมเทศนา ในพระคัมภีรพระมหาปฏฐานวา “อรหโต อนุโลมํ ผลสมาปตฺติยา อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโย เสกฺขานํ อนุโลมํ ผล สมาปตฺตยา อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโย” แปลเนื้อความวา อนุโลกจิตแหงพระอรหันต เปนอนันตรปจจัยแกผลสมาบัติแหงพระ อรหันต อนุโลมจิตแหงพระเสขบุคคลเปนอนันตรปจจัยแกผลสมาบัติแหงพระเสขบุคคล ดังนี้ปราชญ พึงรูเถิดวา โคตรภูที่นําหนาผลสมาบัตินี้ไดแกอนุโลมจิตตามวาระพระบาลีในคัมภีรพระมหาปฏฐานนั้น เมื่อพระอริยสาวกเจา เขาซึ่งนิโรธสมาบัตินั้น แลออกจากนิโรธ แลออกจากนิโรธสมาบัติ นั้นดวยผลจิตอันใด คือพระอนาคามิผลก็ดี พระอรหัตตผลก็ดีตามสมควรแกบุคคล พระอนาคามิผล แลพระอรหัตตผลนั้นแล ไดชื่อวาเกิดในลําดับแหงเนวสัญญานาสัญญายตนะแมวาลวงไปถึง ๗ วัน แลวก็ดีก็ไดชื่อวาเกิดในลําดับ เพราะเหตุมิไดมีจิตอื่นบังเกิดขึ้นในระหวาง ๗ นั้น ผลจิตทั้งปวงที่ กลาวมาแลวนั้น ยกเสียแตผลจิตอันเกิดในมรรควิถี เหลือนั้นไดชื่อวาอันเปนไปดวยสามารถแหงผล สมาบัติทั้งสิ้น “เอวเมตํ มฺคฺคมิ ถิยํ” อันวาผลจิตนั้นประพฤติเปนไปโดยอาการ ๒ ดวยสามารถ บังเกิดในมรรควิถีแลผลสมาบัติวิถี ดวยประการดังนี้ “นิโรธสมาปตฺติสมาปชฺชนสมตฺถตา” กิริยาที่เสวยรสแหงอริยสามัญญผลที่จะเปน ปญญาภาวนานิสงส สุดแตเพียงนั้นหาบมิได แมวาภาวนาสามารถเพื่อจะเขาซึ่งนิโรธสมาบัติก็ดี นักปราชญพึงรูวาจัดเปนอานิสงสแหงปญญาภาวนา จึงมีปญหากรรม เพื่อจะสําแดงใหปรากฏแหงนิโรธสมาบัติในคําวังเขปนั้นวา “กา นิโรธ สมาปตฺต”ิ ธรรมดังฤๅ ชื่อวานิโรธสมาบัติบุคคลดังฤๅเขาถึงนิโรธสมาบัติมิได บุคคลเขานิโรธ สมาบัติไดนั้น เขาไดในภพดังฤๅ บุคคลเขานิโรธสมาบัตินั้นเพื่อประโยชนดังฤๅ อนึ่งกิริยาที่เขานิโรธ นั้นดวยอาการดังฤๅ เมื่อเขาแลวแลจะตั้งอยูในนิโรธนั้น ดวยอาการดังฤๅ ออกจากนิโรธนั้น นอมไปใน ธรรมดาดังฤๅ อนึ่งบุคคลรูกระทํากาลกิริยา กับบุคคลผูเขาในนิโรธนั้น จะแปลกกันดังฤๅ อนึ่งนิโรธ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 163 สมาบัตินั้นเปนสังขตธรรมหรือ ๆ เปนอสังจตธรรม อนึ่งจะวาจะเปนโลกิยธรรมหรือ ๆ จะวาเปนโล กุตตรธรรม จะวาเปนนิปผันธรรมหรือ ๆ จะวาเปนอนิปผันธรรม สิริเปนปญหากรรม ๑๐ ขอ วิสัชนาในปฐมปญหานั้นวา กิริยาอันมิไดประพฤติเปนไปแหงจิตแลจิตสิกทั้งหลาย ดวย สามารถดับไปโดยอนุกรมนั้นแล ชื่อวานิโรธสมาบัติ ในทุติยปญหา แลตติยปญหา คือถามวาบุคคลดังฤๅ เขานิโรธสมาบัติมิไดนั้น ทานวิสัชนา ตติยปญหากอน เพราะเหตุเปนครุฏฐาน แลวจึงกลับวิชนาทุติยปญหาตอภายหลัง เพราะเปนอครุฏ ฐาน อยางบุคคลผูรูทาง บอกมรรคาใหแกผูอื่นวา “วามํ มฺุจ ทกฺขิณํ คณฺห” วาทานจงมละเสีย ซึ่งทางซาย แลวจึงถือเอาซึ่งทางขวา มีคําวิสัชนาวาบุคคลที่เปนปุถุชนทั้งปวงก็ดี พระโสดาบันบุคคลทั้งปวงก็ดี พระสกทาคามิ บุคคลทั้งปวง แมวามีปกติไดซึ่งอัฏฐสมาบัติก็ดี ก็บมิอาจเพื่อเขานิโรธสมาบัติไดเหมือนกันกับบุคคล อันมิไดซึ่งอัฏฐสมาบัติ เพราะวายังมิไดเปนองคปริปุรณาจารีคือกระทําใหบริบูรณในสมาธิอาศัยเหตุ ไดมละเสียซึ่งกามฉันทเปนอาทิ อันเปนขาศึกแกสมาธินั้น ดวยสมุจเฉทปหาน แลสภาวะที่จะกระทํา ใหบริบูรณในสมาธินั้น อาศัยแกมละกามฉันทเปนอาทิขาดดวยแท อนึ่ง พระอนาคามีบุคคลอันเปนสุกขวิปสสกะก็ดี พระอรหันตอันเปนสุกขวิปสสกะก็ดี ก็บมิ อาจเพื่อขะเขานิโรธได เพราะเหตุมีแตกําลังวิปสสนาสิ่งเดียว หากําลังสมาธิคืออัฏฐสมาบัติบมิได สภาวะอาจเพื่อจะเขานิโรธสมาบัติไดนั้น อาศัยแกบริบูรณกําลัง ๒ ประการ คือวิปสสนาแล สมาธิ บุคคล ๒ จําพวก คือ พระอนาคามีบุคคล อันมีปกติไดซึ่งอัฏฐสมาบัติจําพวก ๑ พระขีณาสพ บุคคลอันมีปกติไดชื่งอัฏฐสมาบัติจําพวก ๑ อาจเพื่อจะเขาไดซึ่งนิโรธสมาบัติ เพราะเหตุประกอบดวย กําลัง ๒ ประการ ขอความที่กลาวมานี้ ยุติดวยพระบาลีอันพระะรรมเสนาบดีกลาวเปนอุเทศวารไวในคัมภีร พระปฏิสัมภิทามรรควา “ทฺวีหิ พเลหิสมนฺ นาคตตฺตา ฯลฯ นิโรธสมาปตฺติยา ญาณนฺต”ิ แปล เนื้อความวาปญญาอันเจริญดวยวสีสามารถ เหตุประกอบดวยคุณสัมปทา ๔ คือกําลังสองประการ ๑ คือระงับแหงไตรพิธสังขาร ๑ คือประพฤติเปนไปแหงโสฬสญาณประการ ๑ คือประพฤติเปนไปแหงน วานุรุบุรพวิหารสมาบัติประการ ๑ ชื่อวาญาณอันเปนไปเพื่อจะเขาซึ่งนิโรธ แลคุณสัมปทากอปรดวพละ ๒ เปนอาทินี้ ก็เฉพาะมีแกพระอริยบุคคล ๒ จําพวก คือพระ อนาคามีบุคคล คือพระขีณาสพบุคคลอันมิไดเหตุใดเหตุดังนั้น จึงเฉพาะเขานิโรธได แตพระ อริยบุคคล ๒ จําพวก จําพวกอื่นบมิอาจเขานิโรธได มีคํานิเทศวารพิศดารแหงอุทเทศวาระบาลี กําลังทั้ง ๒ ประการนั้นไดแกสมถพละ ๑ วิปสสนาพละ ๑ จึงมีคําปญหากรรม “กตมํ สมถพลํ” ธรรมดังฤๅชื่อวาสมฤพละ วิสัชนาวา กิริยาอันมิไดฟุงซานใด คือจิตเปนเอกัคคตารมณดวยอํานาจแหงเนกขัมมวิตก ฉันขมเสียซึ่งกายฉันท ผลอํานาจแหงกุศลจิตตุปบาทอันมีโลกะเปนประธาน ประพฤติเปนไปดวย อาการขมเสียซึ่งกามฉันท กิริยาที่มิไดฟุงซานคือเอกกัคคตาจิต ขมเสียซึ่งกามฉันทนี้ไดชื่อวาสมถ พละ ดวยอรรถวาระงับซึ่งปจจนิกธรรมมีกามฉันทเปนอาทิ และมิไดกัมปนาการดวยปฏิปกขธรรม อนึ่ง อันวาสภาวะมิไดฟุงซานอันใด กลาวคือเอกัคคตาจิตตั้งมั่นดวยอํานาจพยาบาทวิตก อันขมสียซึ่งวิตกพยาบาท และอํานาจแหงกุศลจิตตุปบาท อันมีอโทสะเปนประธาน อันประพฤติ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 164 เปนไปดวยอํานาจขมเสียซึ่งพยาบาทนั้น อยางนั้นก็ไดชื่อวาสมถพละโดยอรรถอันนี้ อนึ่ง กิริยาอันมิไดฟุงซานอันใด กลาวคือเอกัคคตาจิตสมาทานตั้งมั่นดวยอํานาจอาโลก สัญญา อันบังเกิดดวยกระทําอารมณใหปรากฏเปนพระอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหตุขมเสียไดซึ่งถีน มิทธะแลวและกระทําไวในใจใหดี อนึ่ง สภาวะมิไดฟุงซานอันใด กลาวคือเอกัคคตาจิตตั้งมั่นดวยอํานาจแหงจิตสมาทานพระ รัตนตรัยมั่น ฆาเสียไดซึ่งอุทธัจจะก็ดีสภสวะมิไดฟุงซานอันใด กลาวคือเอกัคคตาจิตตั้งมั่นดวย สามารถแหงโยคาพจรผูพิจารณา ซึ่งสละสังขารแลวและหายใจออก และหายใจเขาสําเร็จดวยอานา ปาสติ อันถึงซึ่งสภาวะเปนยอดแหงกิริยาที่ขมเสียซึ่งมิจฉาวิตกทั้งปวงก็ดี และกิริยาอันมิไดฟุงซาน กลาวคือเอกัคคตาจิตตั้งมั่นดังนี้ ๆ ก็ไดชื่อวาสมถพละ ดวย อรรถาธิบายดุจกลาวแลว พระพุทธโฆษาจารยเจาสําแดงซึ่งสมถพละ ดวยสามารถแหงอุปาจารฌาน ดุจพรรณนามา ฉะนี้แลว บัดนี้ปรารถนาเพื่อจะสําแดงสมถพละนั้น ดวยสามรถอันถึงซึ่งกําลังอันตั้งมั่น อันขาศึก ทั้งหลายในภายนอกบมิอาจครอบงําย่ํายีได ดวยอํานาจแหงอัปปนาสมาธิสมบัติ ๘ ประการ จึงตั้ง กระทูปญหาวาระบาลีวา “สมถพลนฺติ เกนตฺเถนสมถพลํ” แปลคําปุจฉาวา “ยํ สมถพลํ” อันวา กําลังสมถะอันใด “วุตฺตํ” อันอาจารยกลาวไว “ตํ สมถพลํ” อันวากําลังสมถะนั้น ดวย อรรถาธิบายเปนดังฤๅ จึงวิสัชนาเปนใจความสังเขปวา สมาธิอันสัมปยุตดวยฌาน คือสมาบัติ ๘ ประการ คือ ปฐมฌานจิตตั้งมั่น มิไดไหวดวยปญจนิวรณธรรมทุติยฌานจิตตั้งมั่น อันมิไดไหวดวยวิตกวิจาร ตติ ฌาณสมาธิจิตตั้งมั่นมิไดไหวดวยปติ จตุตถฌานสมาธิจิตตั้งมั่นมิไดไหวดวยสุขโสมนัส เอกัคคตาจิต ในอากาสานัญจายตสมาธิมิไดไหวดวยรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา อัตตสัญญาวิญญาณัญจายตนสมาธิ มิไดไหวดวยอากาสานัญจายนะ อากิญจัญญายตนสมาธิจิต มิไดไหวดวยวิญญาณัญจายตนะเนว สัญญานาสัญญายตนสมาธิมิไดหวั่นไหวดวยอากิญจัญญายตนะ และจิตสมาทานตั้งมั่นมิไดจลาจล หวั่นไหว เพราะเหตุอุทธัจจะและกองสรรพกิเลสธรรม อันสหรคตดวยอุทธัจจะและปญจขันธ ทั้งหลาย “อิทํ อกปฺปนียตํ” อันวากิริยาอันมิไดฟุงซาน คือสภาวะแหงจิตมีอารมณเปนอันเดียว ได นามบัญญัติชื่อวาสมถะพละนี้ โดยอรรถาธิบายวา ตั้งมั่นมิไดหวั่นไหวดวยปจจนิกธรรมดังพรรณนามา นี้แลว ก็สิ้นความในสมถะพละนิเทศวารเทานี้ จึงมีคําปุจฉาในวิสัชนาพลนิเทศวารวา “กตมํ วิปสฺสนาพลํ” กําลังพระวิปสสนานั้นคือสิ่ง ดังฤๅ วิสัชนาวา พระวิปสสนา ๗ ประการ คือ อนิจจานุปสสนา ๑ ทุกขานุปสสนา ๑ อนัตตานุปสสนา ๑ นิพพิทานุปสสนา ๑ วิราคา นุปสสนา ๑ นิโรธานุปสสนา ๑ ปฏินิสสัคคานุปสสนา ๑ รวมกันเปน ๗ ประการดวยกัน “ยา ปฺญา” อันวาปญญาอันใดแหงพระโยคาพจรอันพิจารณาเห็นอนิจจลักษณะ คือขยวยะวิปสสนามิเที่ยงแหงขันธ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอายตนะมีจักขุเปน อาทิ และชรามรณะธรรมทั้งปวงลวนเปนอนิจจัง ดวยอรรถวาบังเกิดขุนแลวก็สิ้นไป เกิดในอดีตฉิบ หายไปในอดีต บมิทรมานไดมาถึงปจจุบัน เกิดในปจจุบันบมิไดไปถึงอนาคต เกิดในอนาคตก็ดับไปใน ที่เกิดนั้น ๆ สา ปฺญา ” อันวาปญญานั้น คือพิจารณาเห็นอนิจจลักษณะดังชื่อวาอนิจจานุปสสนา
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 165 ปญญาพิจารณาเห็นสังขารธรรมรูปเปนอาทินั้น วากอปรไปดวยทุกขโดยสภาวะที่พิลึกพึง กลัว เหตุอันความเกิดและความดับหากเบียดเบียนและทุกขโดยสภาวะที่พิลึกพึงกลัว เหตุอันความ เกิดและความดับหากเบียดเบียนและทุกขอันเกิดในจตุราบาย และพื้นแหงโรคมีจักขุโรคเปนอาทิ ปญญาพิจารณาเห็นโดยทุกขลักษณะดังนี้ ชื่อวาทุกขานุปสสนา ปญญาอันพิจารณาเห็นสังขาร มีรูปเปนอนัตตลักษณะโดยอรรถวาสูญเปลาจากแกนสาร โดยใชตัวใชตนใชสัตวใชบุคคลมิไดอยูในอํานาจแหงตน เปลาจากคนพาลปริกัปป ชื่อวาอนัตตา นุปสสนา ปญญาอันพิจารณาเห็นสังขารทุกข ดังกลาวแลว ไดชื่อวานิพพิทานุปสสนา
แลวแลเหนื่อยหนายในสังขารธรรมเพระเห็นโทษ
ปญญาพิจารณาเห็นความปราศจากกําหนัดในสังขาร ชื่อวาวิราคานุปสสนา นา
ปญญาพิจารณาเห็นเนือง ๆ ในคุณพระนิพพานอันเปนที่ดับแหงสังขาร ชื่อวานิโรธานุปสส ปญญาอันพิจารณาในที่สละอาลัยในสังขาร มีรูปเปนอาทิ ชื่อวาปฏินิสสัคคานุปสสนา
และพระอนุปสสนาทั้ง ๘ ประการ มีอนิจจานุปสสนาเปนอาทิดังพรรณนามาฉะนี้ แตละอัน ๆ ชื่อวาวิปสสนาพละ ขอความที่พรรณนามานี้ ไดอรรถธิบายแตวิปสสนาศัพท อรรถแหงพลศัพทยังมิไดปรากฏ กอน จึงมีคําปุจฉาดวยอรรถพลศัพทวา โดยอรรถาธิบายเปนดังฤๅ
“เอกตฺเถน วิปสฺสนาพลํ”
วิสัชนาวา วิปสสนาพละคือจิตตั้งมั่น หวาดไหวได จึงไดชื่อวาวิปสสนาพละ
พระอนุปสสนาพละนั้น
อันขาศึกบมิอาจเพื่อจะครอบงําใหกัมปนาการ
อธิบายวา พระอนิจจานุปสสนาพิจารณาเห็นสังขารธรรมวาเปนอนิจจังไมเที่ยงแทแลว ก็ มิไดหวาดไหวเพราะวิปลาส คืออนิจจสัญญาอันสําคัญวาเที่ยง ทุกขานุปสสนา อนัตตานุปสสนา พิจารณาเห็นธรรมสังขารธรรมเปนทุกขวาหาแกนสารบ มิไดแลว ก็มิหวาดไหวเพราะขาศึก คือวิปลาสสัญญาสําคัญวามีสุข และสําคัญวาตัวตนในสังขาร ปญญาอันพิจารณาเห็นแตเหนื่อยหนายถายเดียวแลว ก็บมิไดไหวเหตุขาศึกคือตัณหาอันมี ในสังขารมีรูปเปนอาทิ ปญญาอันพิจารณาปราศจากราคะคือกําหนดมิหวาดไหว เพราะขาศึกราคะ ปญญาพิจารณานิโรธ คือพระนิพพานอันเปนที่ดับสังขารมิไดไหวเพราะขาศึก คือตัณหา สมุทัย ปญญาพิจารณาสละอาลัยในสังขาร มิไดไหวเพราะขาศึก คืออาทานประทาน อันถือมั่น ดวยตัณหาและทิฏฐิ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 166 ปญญาอันพิจารณาเห็นแจงในสังขารธรรมทั้งปวงแลว มิไดไหวเพราะเหตุอวิชชาและกอง สรรพกิเลสธรรม อันสหรคตอวิชชาและรูปจตุขันธ และกอปรดวยอวิชชา “อิทํ วิปสฺสนาพลํ” อันวาสภาพแหงพระอนุปสสนาปญญามิไดจราจล เพราะปจจนิกธรรม มีสําคัญวาเที่ยงเปนอาทิ เพราะครอบงําเสียซึ่งปจจนิกธรรมมทั้งปวงแลวและตั้งมั่นดังนี้ เชื่อวา วิปสสนาพละ แลคุณสัมปทาคํารบ ๒ ชื่อวาระงับสังขาร ๓ ประการนั้น มีนิเทศวารปุจฉาวา สังขาร ๓ ประการนั้น คือสิ่งดังฤๅ วิสัชนาวา สังขารทั้ง ๓ นั้น คือ วจีสังขาร ๑ กายสังขาร ๑ จิตจสังขาร ๑ และวจีสังขารนั้นไดแกวิตกวิจาร เปนพนักงานผูตกแตงซึ่งวจีเภท อธิบายวา เมื่อบุคคล กลาวถอยคําอันใดอันหนึ่ง ก็อาศัยแกวิตกวิจารยกจิตขึ้นสูอารมณ พิจารณากอนแลวจึงออกวจีเภท คือ วาจาเมื่อภายหลังอาศัยเหตุนี้ อันวาวิตกวิจารนั้นจึงไดนามบัญญัติวาวจีสังขาร กายสังขารนั้น ไดแกจิตตขวาโยธาตุ คืออัสสาสะ ปสสาสะ ลมหายใจออกหายใจเขา และ ลมอัสสาสะวาตปสสาสะวาตนั้น ไดนามบัญญัติชื่อวากายสังขาร โดยบทวิคคะหะ “กาเยน สงฺขริยนฺ “เย อสฺสาสปสฺสาสา” อันวาลมอัสสาสะและปสสาสะทั้งหลาย ตีติ กายสงฺขารา” แปลวา ใด “กาเยน” อันนามกายกลาวคือจิตแลรูปกายคือสหชาตรูป “สงฺขริ ยนฺติ” ตกแตงดวยสามารถ เปนชนกปจจัย และสหชาตปจจัย เหตุใดเหตุดังนั้น อันวาลมอัสสาสะวาตและปสสาสะวาตจึงไดชื่อวา กายสังขาร อนึ่ง ลมอัสสาสะวาตและปสสาสะวาตนั้น เมื่อบังเกิดในกายประพฤติเนื่องดวยกาย จึงได ชื่อวากายสังขาร ยุติดวยวาระบาลีอันพระธรรมทินนาเถรีภิกษุณีกลาวไวแกวิสาขาอุบาสกวา “อสฺ สาสปสฺสาสาโข อาวุโส วิสาข กายิกา เอเต ธมฺมา กายปฏิพทฺธา ตสฺมา อสฺสาสปสฺสาสา กาย สงฺขารา” จิตตสังขารนั้นไดแกสัญญาเวทนา โดยวิคคหะวา “จิตฺเตน สงฺขริยนฺติ จิตฺตสงฺขา รา” แปลวา “เย ธมฺมา” อันวาธรรมใด “จิตฺเตน” อันจิต “สงฺขริยนฺต”ิ ตกแตง เหตุใดเหตุ เหตุดังนั้น อันวาธรรมทั้งหลายนั้น “จิตฺตสงฺขารา” ชื่อวาจิตตสังสาร ๆ ไดแกสัญญาและเวทนา อธิบายวา สัญญาเปนพนักงานหมายอารมณ เวทนาเปนพนักงานเสวยรสแหงอารมณ เมื่อ บังเกิดก็อาศัยจิตเปนใหญเปนประธานเปนอุปาทปจจัยใหบังเกิด ๆ ในจิต ประพฤติเนื่องดวยจิตไดชื่อ วาตกแตง จึงไดนามบัญญัติชื่อวาจิตตสังขารในที่นี้ ยุติดวยวาระพระบาลี “สฺญา จ เวทนา จ เจต สิกา เอเต ธมฺมา จิตฺตปฏิพทฺธา ตสฺมา สฺญา จ เวทนา จ จิตฺตสงฺขาราติ” และวจีสังขาร คือวิตกวิจารนั้นระงับไปในขณะหนึ่ง เมื่อพระอริยสาวกเขาสูทุติยฌานสมาธิ กายสังขารคือลมหายใจเขาออกนั้นระงับในขณะเมื่อสูจตุตถาฌานสมาธิ “ตสฺมา อสฺสาสปสฺสาสา กายสงฺขารา” เพราะเหตุฉะนั้น อัสสาสะปสสาสะลมมหายใจออกและลมหายใจเขาจึงไดนาม บัญญัติชื่อวากายสังขาร จิตตสังขาร คือสัญญาเวทนา ระงับไปในขณะเมื่อเขานิโรธสมาบัติปญญาอันมีวสีสามารถ ชํานาญ กอปรดวยระงับสังขาร ๓ ประการ โดยลําดับพรรณนามาฉะนี้ ก็เปนอุปการูปนิสสัยคุณสัมปทา ในนิโรธสมบัติ นิเทศวารปุจฉาในคุณสัมปทา ขอความที่วาวสีภาวนาเปนไปดวยญาณจิรยา ๒๖ และญาณ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 167 จริยา ๑๖ นั้น คือสิ่งใดบาง วิสัชนาวา พระอนุปสสนา ๘ ประการ คือ อนุปสสนา ๗ ประการ มีอนิจจานุปสสนาเปนอาทิ มีปฏินิสสัคคานุปสสนาเปนปริโยสานที่กลาวแลวในวิปสสนาพละนั้น จัดเปนฌาณจริยาละอัน ๆ และ วิวัฏฏนฺปสสนาปญญา อันพิจารณาเห็นพระนิพพานอันปราศจากกรรมวัฏฏ คือ อภิสังขารเจตนา อวิชชา ตัณหา อุปาทาน นามและรูปเปนอาทิ จัดเปนญาณจริยาอันหนึ่ง เปนคํารบ ๘ ฝายโลกิยญาณจริยา ๑ พระอริยมรรคญาณ ๔ พระอริยผลสมาบัติญาณ ๓ จัดเปนญาณ จริยาละอัน ๆ เปนโลกุตตรญาณจริยา ๘ ประการคือ ญาณจริยาฝายโลกิยะ โลกุตตตระ ๘ เขากันเปน ญาณจริยา ๑๖ เปนอุปนิสสยูปการ แกพระนิโรธญาณ นิเทศวารปุจฉาในคุณสัมปทา ชื่อวาสมาธิจริยา ๙ นั้น คือธรรมดังฤๅ วิสัชนาวา รูปพจรอัปปนาฌาณพจร ๔ คือปฐมฌานก็ไดชื่อวาสมาธิจริยา อธิบายวา เปนไปแหงพระอัปปนาสมาธิ ทุติฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานก็ดี ก็ไดชื่อวา สมาธิจริยาละอัน ๆ อรูปสมาธิบัติ ๔ ประการ คืออากาสานัญจายตนสมาบัติ และวิญญาณัญจายตนสมาบัติ และอากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ก็จัดเปนสมาธิจริยาละอัน ๆ รูปาพจ รฌาน ๔ อรูปาพจรฌาน ๔ เขากันเปนสมาธิจริยา ๓ ประการ แตฝายพระอัปปนาสมาธิ อันวาองคฌาน ๕ คือ วิตก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตา อันเปนไปในบุรพภาคคืออุปจาร มีอา วัชชนะตาง ๆ เพื่อจะไดซึ่งพระอัปปนา คือปฐมฌาน อันประกอบดวยองคคือ วิตก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตาก็ดีเปนไปในอุปจาร เพื่อจะไดซึ่งพระอัปปนา คือทุติยฌาน คติฌาน จตุตถฌาน และอรูป สมาบัติทั้ง ๔ ก็ดี ก็จัดเปนสมาธิจริยาอันเดียว โดยสําคัญเปนอุปาจารสมาธิ ก็ครบจํานวนถวน ๙ กับ ทั้งพระอัปปนาสมาธิ ๘ ประการนั้น และพระสมาธิจริยา ประกอบในนิโรธสมาบัติฌาน
๘
ประการดังพรรณนามานี้
ก็จัดเปนอุปการูปนิสสัยคุณสัมปทา
บุคคลที่มีสัทธาทิอินทรียอยูขางออน เจริญซึ่งปฐมมรรคดวยสามารถแหงพระวิปสสนาอัน มิไดกลาแลว และมาสูภาวะเปนพระโสดาบันบุคคลคือตั้งอยูในพระโสดาปตติผล พระอริยบุคคลอยาง นี้ไดนามชื่อวา สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน อธิบายวา ถายังมิไดพระอรหัตตในชาตินั้น จะเที่ยวทองถือเอาปฏิสนธิกําเนิด ในสุคติภพ คือกามาพจรสวรรค แลมนุษยสุคติเจือกันอีกเปน ๗ ชาติ ก็จะกระทําที่สุดแหงสกลวัฏฏทุกข คือได พระอรหัตตในชาติเปนคํารบ ๗ นั้น บุคคลที่มีอันทรียเปนปานกลาง เจริญปฐมมรรคใหบังเกิดดวยวิปสสนาอันเปนมัชฌิมแลว แลถึงซึ่งพระโสดาปตติผล พระโสดาบันบุคคลอยางนี้ ชื่อวา โกลังโกละโสดาบัน ดวยอรรถวาจะออก จากตระกูลแลวและไปสูตระกูลเลา จึงไดชื่อวา โกลังโกละ คําอธิบายวา จําเดิมแตกระทําใหแจง ซึ่งพระโสดาปตติผลแลวก็มิรูเกิดในตระกูลอันต่ําชา ลามกเลย จะบังเกิดในมหาโภคตระกูล แลโกลัง
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 168 -
ขึ้นไป ตราบเทาถึง ๖ ชาติ ก็จะสําเร็จพระอรหัตตในชาติเปนคํารบ ๖ ถาบุคคลมีสัทธาทิอินทรียอันกลาขึ้นกวานั้น เจริญปฐมมรรคปญญาดวยวิปสสนาอันกลา แลว แลไดพระโสดาปตติผล เปนเอกพีชีโสดาบันจะไปยังภพกําเนิด ในสุคติภพ แลไดพระโสดาปตติ ผล เปนเอกพีชีโสดาบันจะไปยังภพกําเนิด ในสุคคติภพ คือมนุษยก็ดีสวรรคก็ดี อีกชาติเดียวก็จะได พระอรหัตต สิ้นสังขารทั้งปวง ในคัมภีรปรมัตถมัญชุสา ฏีกาพระวิสุทธิมรรค มีกระทูความปุจฉาวาธรรมดังฤๅเปนนิยมให พระโสดาบันบุคคลมีประเภทเปน ๓ สถานะฉะนี้ วิสัชนาวา พระวิปสสนาแหงพระอุปริมรรคตรัยเบื้องบนหาก็นิยมใหมีประเภทเปน ๓ ดังนั้น แทจริง ผิวาวิปสสนาปญญา อันพิจารณาสังขารธรรม เพื่อจะใหถึงซึ่งมรรคตรัยเบื้องบนมีกําลังกลา ก็นิยมใหพระโสดาบันบุคคลนั้นเปนเอกพีชี ผิวาวิปสสนาปญญา หากจะออนลงกวานั้นก็นิยมใหเปนโกลังโกละถาออนนักลงกวานั้น ก็ นิยมใหเปนสัตตักขัตตุปรมะ บุคคลผูเจริญมรรคปญญาเปนคํารบ ๒ ไดสําเร็จโลกุตตรผลเปนอริยบุคคลชื่อวาสกทาคามี อธิบายวา ถายังมิไดอรหัตตในชาตินั้น จะจุติจากอัตตภาพนี้แลวแลบังเกิดในเทวโลก จุติ จากเวทโลก แลวจะกลับมาเอาปฏิสนธิในมนุษยสุคติอีกคราวหนึ่ง จึงจะสําเร็จแกพระอรหัตตสิ้นวัฏฏ ทุกข ขอความที่ซึ่งวาจะกลับมาถือเอาปฏิสนธิ ในมนุษยสุคติอีกคราวหนึ่งนั้น เปนนิยมใหเวนเสีย ซึ่งพระสกทาคามีบุคคล ๔ จําพวก แลวเฉพาะถือเอาแตจําพวกเดียว แทจริงพระสกทาคามีบุคคลบางพระองค ไดพระสกทาคามิผลในมนุษยโลกนี้แลวก็ไดพระ อรหัตตดับขันธปรินิพพานในมนุษยโลก นี้บางพระองคไดพระสกทาคามิผลในมนุษยโลกนี้แลว จุติขึ้น ไปบังเกิดในเทวโลกจึงไดพระอรหัตตบางพระองคไดพระสกทาคามิผล ในเทวโลกแลว ก็ไดพระ อรหัตต ปรินิพพานในโลกนั้น บางพระองคก็ไดพระสกทาคามิผลในเทวโลกแลว จุติลงมาเอาปฏิเอา ปฏิสนธิในมนุษยนี้ จึงไดพระอรหันตต แลพระอริยบุคคล ๔ จําพวกที่กลาวมานี้ ก็ไดนามบัญญัติชื่อวาพระสกทาคามีบุคคล แต ทวาพระอาจารยมิไดประสงคเอา ดวยบทวา “สกึเทว” ที่แปลวาจะกลับมาเอาปฏิสนธิในมนุษยนี้ คราวหนึ่งนั้นประสงคเอาแตพระสกทาคามีบุคคลที่ไดพระสกทาคามิผลในมนุษยนี้แลว แลจุติไป บังเกิดในเทวโลกอยูตราบเทากําหนดอายุแลว จุติจากเทวโลกกลับเอาปฏิสนธิในมนุษยนี้คราวหนึ่ง จึงไดพระอรหัตต จัดเปนสกทาคามีบุคคลเปนคํารบ ๖ พระอาจารยถือเอาดวยบทคือ “สกึเทว” ใน ที่นี้ บุคคลผูจําเริญมรรคปญญาเปนคํารบ อนาคามีบุคคล
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
๓
แลวไดสําเร็จแกโลกุตตรผลนั้น
ไดนามชื่อวา
- 169 อธิบายวา ถายังมิไดพระอรหัตตในชาตินั้น จะไดบังเกิดในพรหมโลก แลวจะมิไดกลับมา เอาปฏิสนธิในกามโลกนี้เลย จึงไดชื่อวาอนาคามี แลพระอนาคามีบุคคล ที่มีปกติมละเสียซึ่งกามโลกนี้แลว แลตัดกิเลสเปนสมุจเฉทปทาน ไดกิเลสปรินิพพานในสุทธาวาสพรหมโลกนั้นมีประเภท ๕ จําพวก คืออันตราปรินิพพายีจําพวก ๑ คือ อุปหัจจปรินิพพายีจําพวก ๑ คือสสังขารปริพพายีจําพวก ๑ คืออสังขารปรินิพพายีจําพวก ๑ คือ อุทธังโสโตอกนิฏฐคามีจําพวก ๑ เขากันเปน ๕ จําพวก โดยอินทรียเวมัตต คือสภาวะกลาแลออน แหงสัทธาอินทรีย อันยังปญญาวิมุตติใหเกือบแก อธิบายวา พระอนาคามีจําพวกใด บังเกิดในสุทธาสภพอันใดอันหนึ่งแลว ยังมิถึงทามกลาง อายุ ก็ไดสําเร็จแกกิเลสปรินิพพาน คือไดพระอรหัตต พระอนาคามีจําพวกนี้แลไดนามชื่อวา อันตรา ปรินิพพายีเปนปฐม พระอนาคามีบุคคลจําพวกใด บังเกิดในสุทธาวาสอันใดอันหนึ่งแลว ตอลวงถึงทามกลาง อายุจึงไดพระอรหัตต พระอนาคามีบุคคลจําพวกนี้ ชื่ออุปหัจจปรินิพพายี เปนคํารบ ๒ พระอนาคามิบุคคลจําพวกใด เมื่อยังพระอรหัตตมรรคใหบังเกิดไดโดยงายสบายมิได ลําบาก พระอนาคามีบุคคลจําพวกนี้ ชื่อวาสสังขารปรินิพพายีเปนคํารบ ๓ พระอนาคามีบุคคลจําพวกใด เมื่อยังพระอรหัตตมรรคใหบังเกิดก็ใหบังเกิดดวยยาก อนาคามีบุคคลนั้น ชื่อวาอสังขารปรินิพพายีเปนคํารบ ๔
พระ
พระอนาคามีบุคคลจําพวกใด บังเกิดในสุทธาวาสเบื้องต่ํา ๆ แลวมิไดพระอรหัตตใน สุทธาวาสเบื้องต่ําๆ นั้น จุติในสุทธาวาสเบื้องต่ําที่เกิดแลว ก็ขึ้นไปบังเกิดในสุทธาวาสเบื้องบน ๆ ตราบเทาถึงชั้นอกนิฏฐแลวจึงไดพระอรหัตตในอกนิฏฐภพนั้น พระอนาคามีบุคคลจําพวกนี้ชื่อวา อุทธังโสโตอกนิฏฐคามีเปนคํารบ ๕ ในคัมภีรฎีกาจัดเปนประเภทใหวิเศษเฉพาะอีกเลาวา นักปราชญพึงรูจตุกกะ ชื่ออุทธังโสโต อกนิฏฐคามิจตุกกะ เพื่อจะไดรูซึ่งประเภทแหงพระอนาคามีบุคคลทั้งหลายดังนี้ พระอนาคามีบุคคลจําพวกใด ชําระสุทธาวาสเทวโลกทั้งหลาย ๕ จําเดิมแตชั้นอวิหาแลวก็ ไปบังเกิดในชั้นอกนิฏฐ จึงไดพระอรหัตต พระอนาคามีบคคลจําพวกนี้ชื่อวา อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี อธิบายวา มีกระแสตัณหาแลกระแสวัฏฏะในเบื้องบน แลไปสูอกนิฏฐเปนที่ ๑ พระอนาคามีบุคคลจําพวกใด ชําระสุทธาวาสเทวโลกเบื้องต่ํา ๓ ชั้นเสร็จแลว ก็ขึ้นไปชั้น สุทัสสีสุทธาวาส จึงไดพระอรหัตตพระอนาคามีบุคคลจําพวกนี้ ไดนามบัญญัติชื่อวา อุทธังโสโตอก นิฏฐคามี อธิบายวา มีกระแสตัณหาแลกระแสวัฏฏะในเบื้องบน แตทวาไปบมิไดไปถึงชั้นอกนิฏฐ เปน ที่ ๒ พระอนาคามีบุคคลจําพวกใด จุติจากอาตมาภาพนี้แลว ก็ไปบังเกิดในชั้นอกนิฏฐที่เดียวก็ ไดพระอรหัตต พระอนาคามีบุคคลจําพวกนี้ชื่อวาอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เปนที่ ๓ พระอนาคามีบุคคลจําพวกใด เกิดในสุทธาวาสเบื้องต่ํา แตอวิหาตราบเทาถึงสุทัสสี เกิดใน ชั้นใดก็ไดพระอรหัตตในชั้นนั้น พระอนาคามีบุคคลจําพวกนี้ ชื่อวาอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เปน ๔
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 170 ประเภทที่กลาวมานี้ชื่อวา อุทโธโสโตอกนิฏฐคาตุกกะ อนึ่งพระอนาคามีบุคคลทั้งหลาย อันเกิดในชั้นสุทธาวาสอันเปนปฐมคือชั้น อวิหา อันมีอายุ ไดพันมหากัปป มีประเภท ๑๐ อยาง คือพระอนาคามีบุคคลที่ไดพระอรหัตต ในลําดับที่ไดเกิดนั้นจัดเปนอยาง ๑ ที่เนิ่นไปกวานั้น แตทวายังไมถึงทามกลางอยู คือที่สุด ๕๐๐ มหากัปป ก็ไดพระอรหัตตนั้น จัดเปนอยาง ๑ ที่พอถึงทามกลางอายุที่สุด ๕๑๐ กัปป จึงไดพระอรหัตตจัดเปนอยาง ๑ เปน ๓ อยาง ดวยกัน ชื่อวาอันตราปรินิพพยายี พระอนาคามีบุคคลที่ถึงทามกลางอายุคือที่สุด จัดเปนอยาง ๑ ชื่อวาอุปหัจจปรินิพพายี
๕๐๐
มหากัปป
แลวจึงไดพระอรหัตต
พระอนาคามีบุคคลที่มิไดพระอรหัตต ในชั้นอวิหาสุทธาวาสทรมานอยูถวนถึงพันมหากัปป แลว จุติขึ้นไปบังเกิดในสุทธาวาสเบื้องบน คือชั้นอตัปปา จึงไดพระอรหัตตจัดเปนอยาง ๑ ชื่อวา อุทธังโสโตเปนคํารบ ๕ จําพวกดวย แจกเปนอสังขารปรินิพพายี ก็ไดทั้ง ๕ อยาง เปนสสังขารปรินิพพายี ก็ไดทั้ง ๕ อยาง สิริ เปนพระอนาคามีบุคคล ๑๐ อยางแตชั้นอวิหาสุทธาวาส ในชั้นอตัปปามีอายุได ๒ พันมหากัปป ในชั้นสุทัสสีมีอายุได ๔ พันมหากัปปก็ดี ในชั้นสุทัส สีอันมีอายุยืนได ๕ พันมหากัปปก็ดี ก็มีประเภทแหงพระอนาคามีบุคคลชั้นะสิบ ๆ เขากันเปน ๔๐ แต ชั้นสุทธาวาสเบื้องต่ําทั้ง ๔ นั้น ฝายชั้นอกนิฏฐสุทธาวาสนั้น หาอุทธังโสตบมิได คงมีแตอันตราปรินิพพายี ๓ จําพวก อุป หัจจปรินิพพายีจําพวก ๑ เปนคํารบ ๔ แจกเปนอสังขารปรินิพพายี ๔ เปนสสังขารปรินิพพายี ๔ เขาดวยกันเปนพระอนาคามี บุคคล ๘ จําพวกในชั้นอกนิฏฐ สิริเปน ๔๘ กับทั้งประเภทที่กลาวในชั้นสทุธาวาสเบื้องต่ําทั้ง ๔ ดวยกัน พระโยคาพจรผูเจริญพระอริยมรรคเปนคํารบ ๔ คือพระอรหัตตบางพระองคเปนสัทธาวิมุตติ คือกระทําศรัทธาเปนใหญแลวก็พนจากกิเลสบางพระองคเปนปญญาวิมุตติ คือพนจากกิเลสดวย ปญญาเปนใหญเปนประธาน บางพระองคเปนอุภโตภาภาควิมุตติ อธิบายวา พนจากรูป ดวยอรูปสมบัติ แลพนจากนามกายคือกองกิเลส ดวยอรหัตตจึงได นามบัญญัติชื่อวา อุภโตภาควิมุตติ บางพระองคก็ทรงไตรวิชชา บางองคก็ทรงฉฬภิญญา บางองคก็ถึงประเภทแหงจตุ ปฏิสัมภิทา เปนมหาขีณาสพอันประเสริฐเปนขีณาสพบุคคล ๖ อยางโดยสังเขป จัดโดยพิสดารตั้งแต แรกโสดาบันบุคคลนั้นมา โสดาบันบุคคลที่จัดเปน ๓ จําพวก คือ สัตตักขัตตุปรมะก็ดี โกลังโกละก็ดี เอกพีซีก็ดี แตละพวก ๆ แจกเปนพวกละสี่ ๆ ดวยประเภทแหงปฏิปทา ๔ มีทุกขา ปฏิปทาทันธา ภิญญาเปนอาทิสิริเปน ๑๒ พระสกทาคามีบุคคลที่พนจากกิเลส ดวยสุญญตวิโมกข คือเอาอนัตตาเปนอารมณ ในขณะ แหงวุฏฐานคามีวิปสสนา ในมรรควิถีสืบตอเขาดวยพระสกทาคามีมรรคก็จัดเปน ๔ จําพวกดวย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 171 ประเภทแหงประฏิบัติ ๔ ที่พนจากกิเลสดวยนิมิตตวิโมกข คือเอาทุกขังเปนอารมณก็ดี ก็มีประเภทละ สี่ ๆ สิริเปนสกทาคมีบุคคล ๑๒ จําพวกดวยกัน ฝายพระอรหัตตมีประเภท ๑๒ ดวยสามารถแหงวิโมกข ๓ แลปฏิปทา ๔ เหมือนกับพระ สกทาคามี แลวแจกเจือสัทธาธุระก็ได ๑๒ ปญญาธุระก็ได ๑๒ แจกดวยไตรวิชา แลฉฬภิญญา แล ปฏิสัมภิทาก็ไดสิ่งละ ๑๒ สิริเปนพระอรหัตต ๖๐ ทัศ แลพระอริยบุคคลเจาทั้งหลายที่พรรณามานี้ เปนพระโสดาบัน ๒๔ พระสกทาคามี ๑๒ พระ อนาคามี ๔๘ พระอรหัตต ๖๐ สิริเปนอริยบุคคลได ๑๔๔ กับทั้งพระปจเจกสัมพุทธเจา ๑ แลพระ สัพพัญูพุทธเจา ๑ จึงรวมพระอริยบุคคลทั้งสิ้นเปน ๑๔๖ ดวยกัน กิริยาที่สําเร็จซึ่งสภาวะเปนอริยะ ปญญาภาวนา ไววา
แหงพระอริยบุคคลทั้งหลายนั้นก็สําเร็จดวยโลกุตตร
“เตน วุตฺต”ํ เหตุดังนั้น พระพุทธโฆษาจารยเจาผูรจนาคัมภีรพระวิสุทธิมรรคจึงไดกลาว “อาหุเนยฺยภควาทิสิทฺธิป อิมิสฺสา โลกุตฺตรปฺญภาวนาย อานิสํโสติ เวทิตพฺโพ”
แปลความวา กิริยาที่สําเร็จคุณมีชื่อวา “อาหุเนยฺย” เปนอาทิก็เปนอานิสงสแหงโลกุตตร ปญญาภาวนา “เอวํ อเนกานิสํสา” อันวากิริยาอันเจริญซึ่งอริยปญญานี้ มีผลานิสงสเปนปริยายจะ นับประมาณมิไดดวยประการดังนี้ เหตุใด เหตุดังนั้น นักปราชญผูประกอบดวยวิจารณะปญญาพึงอุตสาหะกระทําซึ่งความ เสนหารักใคร จงรักภักดียิ่งนักในทางพิธีที่เจริญซึ่งพระโลกุตตรปญญานั้นเถิด แสดงมาดวยปญญาภาวนานิสังสนิเทศ ปริจเฉทเปนคํารบ ๒๓ ก็จบขอความตามวาระพระ บาลี ในคัมภีรพระวิสุทธิมรรคบั้นปลายยุติการแตเพียงนี้แล
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 172 -
พุทฺธโฆสคุณปกาสกเวยฺยากรณํ
ไวยากรณประกาศคุณของพระพุทธโฆษาจารย
ปรมวิสุทฺธิสทฺธาทุทฺธิวิริยปฏิมณฺฑิเตน สีลาจารชฺวมทุทวาทิสมุทยสมฺทิเตน สกสมย สมยนุตรคหาณาชฺโฌคาหนสมตฺเถน ปฺญาเวยฺยตฺติยสมนฺนาคเตน ติปฎกปริยตฺติปฺปเภเท สาฏกเถสตฺตถุสาสเน อปฺปฏิหตญาณปฺปภาเวน มหาเวยฺยกรเณนกรณสมฺปตฺติขนิตสุขวินิคฺ ตมธุโรฬารวจนลาวณฺณยุตฺเตน ยุตฺตมุตฺตวาทินา วาทิวเรน หมาถวินา ปฏินฺนปฏิสมฺภิทาปริ วาเร ฉฬภิฺญาปฏิสมฺภิทาทิเภทคุณปฏิมณฺทิเต อุตฺตริมนุสฺสธมฺเม อปฺปฏิหตพุทฺธินํ เถรานํ สปฺปทีปานํ เถรานํ มหาวิหารวาสีนํ สาลงฺการภูสิเตน วิปุลวิสุทฺธพุทฺธินา พุทฺธโฆโสติ ครูหิ คหิตนาคเธยฺเยน เถเรน ปุรณฺฑเขฏกวตฺตพฺเพน กโต วิสุทฺธิมคฺโคนาม ฯ
สจฺจาธิฏฐานคาถ ตาว ติฏาตุ โลกสฺมึ
โลกนิตฺถรเณสินํ
ทสฺเสนฺโต กุลปฺปตฺตานํ
นยํ สีลวิสุทฺธิยา
ยาว พุทฺโธติ นามมฺป
สุทฺธจิตฺตสฺส ตาทิโน
โลกสฺมึ โลกเชฏสฺส
ปวตฺตตี มเหสิโนติ ฯ
คําแปล วิสุทฺธิมคฺโค นาม คัมภีรนี้มีชื่อวาวิสุทธิมรรค “พุทฺธโฆโสติ ครูหิ คหิตนามเธยฺเยน เถ เรน ปุรณฺฑเขฏกวตฺตพฺเพน กโต” อันพระเถระมีนามาภิไธยที่ครูทั้งหลายไดถือเอาวา พุทธโฆษะ คือมีกิตติคุณปญญาอันกึกหองดุจสมเด็จพระพุทธเจาในคราวพุทธสมัย ซึ่งมีพระชนมอยูแลเรียกวา พระพุทธโฆษาจารยอันบัณฑิตพึงกลาววา เปรียบประดุจเปนปุรัณฑเชฏกะ คือโลหอันมีอํานาจของขัต ติยราชไดรจนาตกแตงไว “ปรมวิสุทฺธสทฺธาพุทฺธิวิริยปฏิมณฺฆิเตน” แลพระพุทธโฆษาจารยนั้น ประกอบดวยคุณ คือศรัทธาแลปญญาแลความเพียรอันบริสุทธิ์อยางยิ่ง อันสมุทัยแหงคุณมีศีลแล มารยาทแลความซื่อตรงแลความออนนอมเปนตน ใหบังเกิดขึ้นพรอมแลว แลสามารถจะหยั่งลงใน การถือลัทธิความรูของตน แลลัทธิความรูของผูอื่น “ปฺญาเวยฺยตฺติสมนฺนาคเตน” ประกอบดวย
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 173 ความฉลาดเฉียบแหลมดวยปญญา มีอนุภาพแหงญาณปญญาอันไมมีอันตรายขจัดสกัดกั้นไดในศา สนธรรมคําสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา อันมีประเภท คือพระปริยัติไตรปฎก พรอมทั้งอรรถ กถา “มหาเวยฺยยากรเณน” เปนผูรูคัมภีรไวยากรณใหญ คือศัพทศาสตรคัมภีรสัทธาวิเศษทั้งปวง แลประกอบดวยถอยคําอันกลมเกลี้ยงอันไพเราะยิ่ง ซึ่งเคลื่อนออกแลวโดยงาย อันกรณสมบัติคือบุญ เปนที่เกิดกอสรางใหบังเกิดแลว “ยุตฺตมุตวาทินา” มีปกติกลาวซึ่งธรรมอันควรแลธรรมเปนวิมุตติ หลุดพน มีปกติกลาวถอยคําอันประเสริฐ “มหากวินา” เปนนักปราชญมหากวีแตกฉานไปในสุตะกวี คือรูสดับจํา อัตถะกวี รูคิดอรรถขอความ จินตะกวี รูคิดประพันธตกแตงปฏิภาณกวี รูกลาวเจรจา โตตอบแกไขดวยปญญาอันคลองแคลวพรอมองค ของนักปราชญกวีทั้งสี่ “เถรานํมหาวิหาร” คือ เปนเครื่องอลงการของวงศพระเถระเจาทั้งหลายผูมีปกติอยูในมหาวิหาร อันเปนประทีปวงศของพระ เถระเจาแลพระเถระเหลานั้น เปนผูมีปญญาไมมีอันตราย ขจัดขัดของได ในอุตตริมนุสสธรรมอันยิ่ง ของมนุษย คืออริยมรรคอริยผลอันประดับดวยคุณอันประเภทแหงธรรม มีอภิญญาหก แลปฏิสัมภิทา เปนตน อันแวดลอมไปดวยปฏิสัมภิทาญาณอันแตกฉาน “วิปุลวิสุทฺธิพุทฺธินา” แลพระผูเปนเจาพระพุทธโฆษาจารยนั้นเปนผูมีพุทธิ อันไพบูลย กวางขวางแลบริสุทธิ์วิเศษ “พุทฺโธติ นามมป” แมพระคุณนามวา พระพุทธเจาดังนี้ “มเหสิโน” ของสมเด็จพระศรี สักยมุนีบรมศาสดา ผูแสวงซึ่งคุณใหญมีศีลมีคุณเปนตน “สุทฺธจิตฺตสฺส ตาทิโน โลกเชญสฺส” ผูมีกมลจิตอันบริสุทธิ์ผองใสมีตามทิคุณอัน มั่นคงมิไดหวั่นไหวในโลกธรรม แลเปนบรมโลกเชษฐคือ เปนใหญยิ่งวิเศษที่สุดในโลก “ยาว โลกสฺมึ ปวตฺตติ ” ยังเปนไปในโลกอยูตราบเทาถึงกาลเพียงใด “ทสฺสนฺโต นยํ สีลวิสุทฺธิยา” คัมภีรพระวิสุทธิมรรคนี้แสดงอยูซึ่งนัยแหงสีลวิสุทธิ แก กุลบุตรทั้งหลาย ผูแสวงหาธรรมอันเปนเครื่องรื้อตนออกจากโลก “ตาว ติฏตุ โลกสฺมึ” จงตั้ง ดํารงอยูในโลกจนตราบเทาถึงกาลเพียงนั้นเทอญ ฯ
จบ
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท
- 174 -
หนังสือ พระวิสุทธิมรรค เลม 3 คัดจาก http://www.larnbuddhism.com/visut/ พิมพโดย แมพลอย โกกนุท