...
à º Ã Ñ ¡ è Ù Ò... Â Í §Ñ àÊÁÍ Â ¹ ѽ
ฝัน ยังอยู่กับเรา เสมอ ที่ปรึกษา ธัญญา สังขพันธานนท์ บรรณาธิการ วิภาวรรณ ประไวย์ ศิลปกรรม ชลธิชา ตุไตลา เขียนโดย กุลปาลี พลเสน,พงศ์ศิริ มณีพงษ์,ภาสกร นันทะเสนี, รื่นรมย์ (วิภาวรรณ ประไวย)์,เด็กชายผู้เขียนฝัน, ภาริตา พัฒนไกรสิน,ศศิธร ช่วยรักษา,เพรียว ภูกองชนะ, พ่อตัวดี (ชลธิชา ตุไตลา) พิสูจน์อักษร เมธาวี ศรีพลเงิน พิมพ์ครั้งแรก มกราคม พ.ศ.2555 จัดพิมพ์โดย
แด่ ไพฑูรย์ ธัญญา ผู้ซึ่งเป็นที่รักและเคารพยิ่ง
ยังพอมีแรงอยู่
[ยิ้มละไมของชาวไร่อักษร] ปีกลายน้ำ�หนัก มหาอุทกภัยท่วมท้นประเทศ ชาวไร่ ชาวนา และ ชาวสวนหลั่งน่้ำ�ตาแทนรอยยิ้ม สำ�หรับชาวไร่อักษรอย่างผม ทำ�นาไร่แบบ พอเพียง ไม่เลวร้ายขนาดนั้น ในเนื้อที่ไม่กี่มากน้อย แรงกาย แรงใจ ที่ทุ่ม เทลงไปบนพื้นที่เล็กๆ ยังพอผลิดอกออกผลให้ยิ้มออก อย่างน้อยยังพอมี แรงใจให้ทำ�ต่อ “ฝันยังอยู่กับเราเสมอ” เป็นถ้อยคำ�ที่น่าดีใจ และเรียกรอยยิ้ม ละไมให้เกิดขึ้น เมื่อลูกศิษย์อีกรุ่นหนึ่งที่เรียนวิชาการเขียนบันเทิงคดี เดิน มายื่นต้นฉบับรวมเรื่องสั้น อันเป็นผลงานของพวกเขามาให้ผมดู ไม่พัก ต้องถามให้เปลืองความ แค่เห็นแววตาผมก็รู้ว่าพวกเขามีความฝัน และ มันก็ปรากฎให้เห็นเป็นรูปธรรมในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ ที่นับเนื่องว่าเป็นผล ผลิตจากไร่อกั ษรลำ�ดับทีส่ อง ทีผ่ มไม่ได้วาดหวัง หรือคาดคัน้ ว่ามันจะต้อง เกิดขึ้น แต่คิดว่า ผลผลิตจากไร่รุ่นแรกในนาม “ไม่ใช่คนแถวนี้” คงเป็น แรงบันดาลใจให้พวกเขาอยากมีผลงานเป็นของตัวเองบ้าง เรื่องสั้นทุกเรื่องภายในเล่ม เป็นดอกผลของความคิดฝัน พวก เขาไม่ได้เจนจัดในการเขียนเรื่องสั้น ที่มาของมันไม่อาจระบุได้ ว่าไปแล้ว มันแค่แบบฝึกหัดที่เขียนส่งครู ผมทำ�หน้าที่ตรวจแก้ให้คำ�แนะนำ�อันพึงมี เมื่อเอาไปแก้ไขแล้วก็เอามาส่งแลกคะแนน สิ้นเทอมก็ให้เกรด ต้นฉบับถ้า ไม่คืนเจ้าของก็กลายเป็นกองกระดาษสุมรุมไว้รกห้อง รอวันเอาไปทิ้งทำ� ลาย ความฝัน และจินตนาการของพวกเขาก็จบลงแค่นั้น ใช่..มันควรจะจบลงแค่นั้น แต่ “ความฝันยังอยู่กับเราเสมอ” ข้อ ความนี้และหนังสือเล่มนี้ ทำ�ให้ผมตระหนักว่า ในจำ�นวนคนที่เข้ามาเรียน วิชานี้หลายสิบคน ไม่ได้ต้องการให้ผลงานของพวกเขาจบลงแค่การวัดผล 6
ประจำ�ภาคเรียน มันไม่ใช่แค่งานเขียนที่ส่งแลกคะแนน แต่มันคือความใฝ่ ฝัน ความหวังที่อยากเห็นผลงานของตัวเองได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่ ให้คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวเองและคนสอนได้อ่านเท่านั้น เมื่อพวกเขายืนยันเช่น นี้ ผมก็ได้แต่ยินดีและให้กำ�ลังใจ หนังสือเล่มเล็กนี้อาจไม่สู้จะมีความหมายสำ�หรับใครบางคน หรือหลายคน แต่ผมคิดว่าสำ�หรับพวกเขาและผองเพื่อน มันมีความหมาย ไม่น้อยเลย พวกเขาเรียกตัวเองว่า “คนเขียนฝัน” รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็น ดอกผลเล็กๆ ของไร่อกั ษรแห่งนี้ ถึงมันจะเป็นไร่ในแปลงกระดาษ ตามความ หมายที่เราอุปมากันไว้ แต่มันก็ดูน่ารักมิใช่น้อย ในวาระ 20 ปีค่ายวรรณกรรมสัญจร ที่พวกเราตั้งใจจะเฉลิม ฉลองให้พิเศษสักเล็กน้อย ภายใต้สโลแกนที่ว่า “การเดินทางหาความฝัน ฤามีวันสิ้นสุด” หนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ คงเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมกิจกรรม เฉลิมฉลองดังกล่าว ขอขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนทุกท่าน ที่ช่วยสานฝัน เล็กๆ ของพวกเขาให้เป็นจริง และช่วยเติมฝันให้ชาวไร่คนหนึ่งที่เริ่มอ่อน ล้า เฉื่อยชาให้กลับมากระปรี้กระเปร่าได้อีกวาระ ได้แต่หวังว่า ปีหน้าฟ้าใหม่ คงได้ยิ้มละมุนให้กับดอกผลจากไร่ อักษรกันอีกหน เพราะผมเองก็เชื่อมั่นว่า “ฝันยังอยู่กับเราเสมอ” ไพฑูรย์ ธัญญา มกราคม 2555 (มหาสารคาม)
จากคนเขียนฝัน การเดินทางของความฝันได้มาถึงจุดมุ่งหมายที่เราได้วางอีกครั้ง หลังจากที่ครากตรำ�ร่ำ�เรียนวิชาการเขียนบันเทิงคดี จนถึงขั้นตอนรวม เรื่องสั้นลำ�ดับที่สองของชาวไร่อักษร ซึ่งมีนิสิตที่เรียนวิชาโทภาษาเพื่อ การสร้างสรรค์งานสื่อสิ่งพิมพ์ และพวกเราภาคภูมิใจกับผลงานรวมเรื่อง สั้นไร่อักษรลำ�ดับที่สองอย่างมาก รอคอยว่าเมื่อไหร่จะออกจากโรงพิมพ์ ผลงานเล่มเล็กของกลุม่ นิสติ แต่เต็มไปด้วยความฝัน แรงศรัทธาต่ออาจารย์ ผู้สอนและเฝ้าฝันถึงงาน 20 ปี วรรณกรรมสัญจรที่กำ�ลังจะเดินทางมา พร้อมกับสายลม เราจะได้ฟังเสียงลมหนาว เขียนอ่านกับกวี และร่วมกัน ก่อไฟฝันบนภูพานอย่างสุขใจ รวมเรื่องสั้นเล่มนี้ได้ต่อยอดจากรวมเรื่องสั้น “ไม่ใช่คนแถวนี้” ซึ่งเป็นผลงานของรุ่นพี่ ต้องขอบคุณพี่ยาวและรุ่นพี่ปีสี่ที่คอยวางรากฐาน ให้ผลงานของรุน่ น้องได้ปรากฏบนหน้ากระดาษเช่นเดียวกับพีๆ่ ถึงแม้ลลี า การใช้ภาษา การเล่าเรือ่ งอาจจะด้อยกว่าแต่กถ็ อื เป็นการเริม่ ต้นสูค่ วามฝัน ของใครหลายคน ทั้งยังเปิดโอกาสให้เราได้วาดฝันบนหน้ากระดาษ นึก ย้อนถึงครั้งที่เรานั่งชื่นชมผลงานรวมเรื่องสั้นไม่ใช่คนแถวนี้ และพวกเรา ยังฝันว่าสักวันจะมีเรื่องราวของเราได้ตีพิมพ์กับเขาบ้าง เมื่อการเดินทางของชาวไร่อักษรเดินทางมาถึงจุดมุ่งหมาย ยาก ที่จะบรรยายความรู้สึก เรายังแอบหวังว่าจะมีรวมเรื่องสั้นไร่อักษรลำ�ดับ ที่สาม สี่ เช่นนี้ตลอดไป อาจจะมองดูไร้เหตุผลหรือมองไม่เห็นหนทางข้าง หน้าแต่เรามีสิ่งหนึ่งคือความฝันและ “ฝันยังอยู่กับเราเสมอ”
วิภาวรรณ ประไวย์ ลมหนาวเดือนพฤศจิกายน
สารบัญ เรื่อง -
ปานชีวา แตกต่าง ฝันยังอยู่กับเราเสมอ มหา (((ไร))) แค่เธอ รอยยิ้มสดใส เช้าชาวนา ท้องแท้ง : ทอดทิ้ง กากี คนในม่าน She cry then die หตุผลที่เธอไม่ร้องไห้
หน้า 12 20 26 34 44 50 56 62 68 74 82
ปานชีวา พงศ์ศิริ มณีพงษ์
12
ประตูกระจกบานใหญ่ทเ่ี ชือ่ มต่อกับระเบียงเล็กๆ สีขาวสะอาดตา เปิดออกต้อนรับแสงสีออ่ นของดวงอาทิตย์ในยามสาย โมบายเล็กๆ หลาก หลายรูปแบบและสีสันแขวนอยู่กับกรอบประตูบานใหญ่ แข่งกันส่งเสียง ขับขานกังวานแว่วชวนฟังราวกับท่วงทำ�นองเพลงหวานซึ้ง ยามต้องลม สายลมอ่อนนั้นก็ยังพัดพาเอากลิ่นอายของน้ำ�ทะเลปนมาด้วยกลิ่นเค็มเล็ก น้อย แต่กลับช่วยให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นแจ่มใสขึ้นได้ทุกเมื่อที่สัมผัส ถึงผมเอนร่างพิงกรอบประตูบานใหญ่แล้วค่อยๆ หลับตาลงเพื่อซึมซับ บรรยากาศเหล่านัน้ ให้เต็มอิม่ เพือ่ เตรียมตัวให้พร้อมสำ�หรับวันสำ�คัญทีส่ ดุ อีกวันหนึ่งในชีวิตของผม วันที่ผมอยากจะทำ�สิ่งพิเศษให้กับคนที่สุดแสน จะพิเศษของผม...ซักครั้ง เสี ย งโมบายใหญ่ ดั ง กู่ ก้ อ งกั ง วานมากขึ้ น เพราะสายลมแรง ระลอกหนึ่งพัดผ่านมาเรียกสติของผมให้กลับสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง ผมสะบัดหัวแรงๆ สองสามทีเพื่อขับไล่ความง่วงเหงาหาวนอนและความ รู้สึกบางอย่างในจิตใจที่ยังคงจู่โจมผมอยู่ไม่ขาด 13
เบื้องหน้าของผมในตอนนี้คือท้องทะเลสีครามสดใสกว้างไกล สุดลูกหูลกู ตา เกลียวคลืน่ ใหญ่นอ้ ยผลัดกันซัดสาดเข้าสูช่ ายฝัง่ ราวกับกำ�ลัง เต้นระบำ�ต้อนรับเช้าที่อากาศปลอดโปร่งแจ่มใส ชายหาดสวยๆ ประกอบ ด้วยเม็ดทรายสีขาวจำ�นวนมากมายมหาศาลดูแวววาวพราวระยับราวกับ อัญมณีเมือ่ แสงแดดอ่อนตกกระทบ คงจะเป็นภาพบรรยากาศเหล่านีก้ ระมัง ทำ�ให้ผมตัดสินใจซื้อบ้านไม้ริมทะเลที่ทาด้วยสีขาวทั้งหลังเมื่อหกปีที่แล้ว เพื่อสร้างเป็นเรือนหอของผมและภรรยา ปานชีวา หญิงสาวที่ไม่ได้มีหน้าตาสะสวยเกินมนุษย์มนาทั่วๆ ไป แต่หากใครได้มองใบหน้าหวานที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเสมอนั้น ผมเชือ่ ว่าน้อยคนนักทีจ่ ะไม่อยากเข้าใกล้เธอมากขึน้ เพือ่ สัมผัสกับรอยยิม้ อบอุ่นที่มองดูแล้วให้ความรู้สึกสบายใจของเธอ หลังจากได้คบหาดูใจกัน เพียงสองปี ผมก็ตดั สินใจขอเธอแต่งงานโดยไม่ลงั เล ผมยังจำ�ภาพของเธอ ในวันนั้นได้ดี ใบหน้าเรียวขาวผ่องสองพวงแก้มขึ้นสีแดงเรื่อมากขึ้นทีละ น้อยกับดวงตาหวานสีนิลกลมโตที่มีหยดน้ำ�ใสๆ เอ่อคลอเล็กน้อยในตอน ทีเ่ ธอตอบแต่งงานกับผม นัน่ เป็นภาพทีป่ ระทับอยูก่ ลางใจผมตลอดมาและ จากนีต้ ลอดไป และภาพนัน้ ก็ตอกย้�ำ ให้ผมรูส้ กึ เสมอว่า...ผมรักเธอเหลือเกิน ผมยกมือทัง้ สองข้างขึน้ ลูบใบหน้าของตัวเองแผ่วเบา ก่อนจะลุก จากเก้าอี้ตัวโปรดและเดินกลับเข้ามายังห้องนอนสีขาวที่ดูกว้างเหลือเกิน ในยามนีโ้ ดยไม่คดิ จะปิดประตูกระจกบานใหญ่แต่อย่างใด ผมอยากให้ความ สดชื่นจากสายลมทะเลอ่อนๆ และโมบายดังกังวานราวกับเสียงดนตรี บรรเลงจากเครื่องดนตรีชั้นดี ยังคงอยู่ในห้องกับผมต่อไป ขอให้ความสดใส ของเช้านี้ ช่วยอวยพรให้ภารกิจของผมจงผ่านพ้นไปด้วยดีเถิด ภารกิจที่ ผมจะทำ�เพื่อเป็นของขวัญในวันครบรอบแต่งงานให้กับปานชีวาของผม หลังจากอาบน้�ำ ชำ�ระร่างกายเรียบร้อยแล้ว ผมหยิบเอาเสือ้ เชิรต์ ลายทางเล็กๆ สีขาวตัดกับชมพูออ่ นๆ ทีเ่ ธอซือ้ ให้ผมวันครบรอบแต่งงาน 14
ปีที่แล้ว เสื้อตัวนี้ผมไม่เคยใส่ให้เธอเห็นเลยแม้เพียงครั้งตั้งแต่วันที่เธอ มอบให้ผม ด้วยเหตุผลงี่เง่าของผมเองว่าสีของมันออกจะหวานเกินไปไม่ เหมาะกับผมสักนิด แต่วันนี้ผมจะใส่ให้เธอได้ดูในวันครบรอบแต่งงาน ของเรา ระหว่างที่ผมกำ�ลังติดกระดุมเสื้อตัวสวยทีละเม็ด ผมก็แทบจะ จินตนาการถึงรอยยิ้มสดใสที่แต่งแต้มบนริมฝีปากเรียวเล็กสีชมพูระเรื่อ นัน้ ออกเลยทีเดียว รอยยิม้ อบอุน่ ทีช่ ว่ ยให้คนเย็นชาอย่างผมต้องเผลอยิม้ ตามเสมอ ผมเดินลงบันไดสีขาววาดรูปรอยเท้าสุนัขไว้ทุกขั้นด้วยฝีมือของ ภรรยาคนสวยของผมเอง ปานชีวาเป็นคนที่รักหมาเอามากๆ เลยทีเดียว อาจจะเพราะหลังจากแต่งงานกันมาหลายปี ผมกับเธอก็ยงั ไม่มที ที า่ ว่าจะ มีเจ้าตัวน้อยๆ ซักที เธอจึงหันไปมอบความรักให้แก่เจ้าปุยนุ่น หมาน้อย สีขาวที่ผมซื้อมาเพื่อให้มันอยู่เป็นเพื่อเธอตอนที่ผมออกไปทำ�งาน พักหลัง มานี้ ดูเหมือนว่าเธออยู่กับมันมากกว่าผมด้วยซ้ำ� เพราะงานของผมหนัก ขึ้นเรื่อยๆ ตามตำ�แหน่งที่ค่อยๆ ใหญ่โตขึ้น โดยเฉพาะสองปีหลังนี้ผม กลายเป็นพวกบ้างานเลยก็ว่าได้ บ้านช่องก็กลับบ้างไม่กลับบ้าง แต่เธอก็ เข้าใจผมเสมอ เธอรู้ดีว่าผมทำ�ทุกอย่างเพื่อครอบครัวของเรา และนั่นยิ่ง ทำ�ให้ผมชะล่าใจ จนแทบจะหลงลืมคนสำ�คัญซึ่งสำ�คัญที่สุดในชีวิตไป ผมเดินลงมาถึงชั้นหนึ่ง เจ้าปุยนุ่นก็วิ่งเข้ามาเคล้าคลอผมทันที ผมได้แต่ยิ้มน้อยๆ กับการกระทำ�ของมัน นี่สินะที่ทำ�ให้ปานชีวาของผม หลงรักมันมากมายเหลือเกิน มันน่ารักเสมอตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ มัน ยังคงเคล้าคลอเอาใจและปฏิบัติกับเธอและผมเช่นเดิมไม่ว่าเวลาจะล่วง เลยผ่านไปนานเท่าไร ไม่เคยทิ้งให้เธอต้องอยู่ลำ�พังเลยซักครั้ง ผมอุ้มเจ้า ปุยนุ่นไว้ในอ้อมแขนแล้วลูบหัวมันเบาๆ เป็นการขอบใจที่มันยังอยู่กับคน ใจร้ายอย่างผมมาจนถึงวันนี้และพึมพำ�กับมันเบาๆ ราวกับเสียงกระซิบ เพราะคำ�พูดของผมในตอนนี้ ไม่วา่ จะคำ�ไหนก็ไม่ได้ส�ำ คัญแล้ว ไม่ได้มคี วาม 15
หมายใดๆ อีกต่อไป “ไปเถอะปุยนุน่ เราไปทำ�ของโปรดเซอร์ไพรส์วนั ครบรอบแต่งงาน ให้แม่แกกันนะ” เรื่องการทำ�อาหารนั้นดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากชีวิตผม มากจริงๆ ตั้งแต่เด็กจนโตแม่ของผมทำ�กับข้าวให้ผมทานมาโดยตลอด พอ แต่งงานก็มาเจอแม่บ้านปานชีวาที่ฝีมือปลายจวักนั้นทำ�เอาผมอยู่หมัด จนผมไม่ออกไปทานข้าวนอกบ้านเลย เว้นแต่สองปีหลังมานี้งานรัดตัว เหลือเกิน มากจนเกือบจะทำ�ให้ผมลืมรสชาติทผ่ี มรักไป วันนีผ้ มจึงเลือกจะ ทำ�อาหารตอบแทนเธอซักมือ้ เพือ่ ขอบคุณและตอบแทนสิ่งดีๆ ที่เธอมีให้คน ที่ไม่สมควรจะได้รับอย่างผมมาโดยตลอด ผมเดินไปยังห้องครัวสีขาวขนาดกะทัดรัด มันทำ�ให้คนที่ไม่เคย เข้าครัวอย่างผมดูเก้งก้างมากขึ้นไปอีก ผมหยิบตำ�ราทำ�อาหารเล่มหนาที่ เพิ่งซื้อมาเพื่อการณ์นี้ แล้วหยิบเอาวัตถุดิบตามรายการอาหารจากตู้เย็น มาวางไว้บนโต๊ะทำ�ครัวกลางห้อง และเริ่มทำ�อาหารครั้งแรกในชีวิตโดยมี เจ้าปุยนุ่นยืนให้กำ�ลังใจอยู่ข้างๆ ผมนอนคิดแทบทั้งคืน สุดท้ายก็มาลงตัว ที่จานโปรดของเธอ ต้องขอบคุณสวรรค์ที่จานโปรดของเธอนั้นไม่ได้เป็น อาหารชัน้ เลิศ แต่กลับเป็นข้าวผัดอเมริกนั กับไข่ดาวสุดแสนจะธรรมดา และ ไม่เกินปัญญาคนอย่างผมมากเท่าไรนัก ระหว่างที่กำ�ลังตระเตรียมอาหารอย่างทุลักทุเล เสียงกริ่งหน้า บ้านก็ดังขึ้น ทำ�เอาหัวใจผมพองโตทันทีเมื่อเผลอคิดว่าคนที่มากดกริ่งนั้น อาจจะเป็นเธอก็ได้แต่แล้วความเศร้าหมองก็พาดผ่านสู่ดวงตาของผม ในนาทีถดั มา เมือ่ ตระหนักดีว่า ผู้มาใหม่นั้นคงไม่ใช่เธอ ในเวลานี้ไม่ใช่เธอ อย่างแน่นอน เสียงกริ่งดังย้ำ�ขึ้นอีกครั้ง ทำ�ให้ผมได้สติและรีบปรับสีหน้า ให้เป็นปกติ แล้วเดินไปยังประตูรั้วบานใหญ่หน้าบ้าน เมื่อประตูรั้วถูกเลื่อนออก สิ่งแรกที่ผมได้เห็นก็คือช่อดอกลิลลี่สี 16
ขาวบริสุทธิ์ช่อโตที่ผูกด้วยริบบิ้นสีเดียวกับใบของมัน ผมคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อ มองไปยังดอกไม้โปรดของปานชีวา ทุกครั้งที่ผมเห็นลิลลี่สีขาว สิ่งแรกที่ ผมจะนึกถึงก็คอื เธอ เพราะนอกจากดอกไม้ชนิดนีจ้ ะเป็นดอกไม้ทเ่ี ธอชอบ ที่สุดแล้ว สีขาวสะอาดบริสุทธิ์ของกลีบดอกที่บอบบางนั้นช่างเหมือนกับ ปานชีวาของผมเหลือเกิน สำ�หรับผมแล้วเธออ่อนหวาน สดใส และงดงาม ราวกับดอกลิลลี่สีขาวเสมอ ผมเซ็นรับดอกไม้ช่อสวยจากพนักงานร้านดอกไม้ที่ผมไปสั่งซื้อ ตั้งแต่เมื่อวานเพื่อเป็นของขวัญอีกอย่างแก่คนที่ผมรักที่สุด ผมแทบจะจำ� ไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ�ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมมอบดอกไม้ให้เธอมันคือตอนไหน กันแน่ ผมหันหลังให้พนักงานร้านดอกไม้และถือช่อดอกลิลลี่เข้ามาในตัว บ้านอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่ค่อยๆ ฝืดเฝื่อนลงเรื่อยๆ รอยยิ้มเจ็บปวดที่ผม ต้องซ่อนไว้ไม่ให้ผู้ใดได้พบเห็น โดยเฉพาะเธอ ผมวางช่อดอกไม้แสนสวยนั้นลงบนโซฟาอย่างทะนุถนอมราว กับกลัวว่าจะทำ�ให้มันเจ็บปวดและบอบช้ำ�โดยไม่รู้ตัวเหมือนสิ่งที่ผมเคยทำ� มาโดยตลอด แล้วเดินกลับเข้าไปในครัวโดยมีเจ้าปุยนุน่ วิง่ ตามคลอเคลียไม่ ห่าง เหมือนมันรูว้ า่ ทีผ่ มทำ�ทัง้ หมดนีก้ เ็ พือ่ แม่ของมัน ผมนำ�อาหารโปรดทัง้ สองอย่างของเธอใส่กล่องทีเ่ ตรียมไว้ แล้วนำ�กล่องนัน้ ไปใส่ในตะกร้าหวาย ที่สานอย่างละเอียดสวยงามด้วยฝีมือของปานชีวา แล้วการเตรียมของ ขวัญวันครบรอบแต่งงานแก่ภรรยาสุดทีร่ กั ก็ส�ำ เร็จเสร็จสิน้ ไปด้วยดี แม้จะ ไม่ได้สมบูรณ์แบบมากมายก็ตาม แต่นก่ี ค็ อื ความตัง้ ใจทัง้ หมดของผม เพือ่ คนที่เป็นปานชีวาของผม แม้ในตอนนี้มันจะสายเกินไปหรือไม่ก็ตาม ผมมองไปยังนาฬิก าแขวนบนผนังห้องครัวที่บอกว่าได้เวลา เหมาะสมแล้ว ถึงเวลาซักทีที่ผมจะได้ทำ�อะไรเพื่อเธอบ้าง ผมหยิบเอา
17
ตะกร้าหวายที่บรรจุอาหารอาจจะไม่ได้อร่อยเลิศเลอแต่อัดแน่นไว้ด้วย ความตั้งใจและทุกๆ ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอ และไม่ลืมที่จะหยิบเอา ของสำ�คัญอีกอย่างทีเ่ ตรียมไว้บนโซฟาสีขาวตัวใหญ่กลางห้องโถง ช่อลิลลี่ ขาวแสนสวยและบริสุทธิ์ ตัวแทนของเธอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงอายจะ ทำ�สิ่งเหล่านี้ แต่ในตอนนี้ ณ ขณะนี้ผมยอมทำ�ทุกอย่าง ผมจะทำ�ทุกวิถี ทางเพื่อแลกกับรอยยิ้มแสนอบอุ่นของเธอ เพียงยิ้มเดียว รอยยิ้มที่นำ�พา แสงสว่างมายังหัวใจที่มืดมิดและเย็นชาของผม เพียงแต่ตอนนี้ แม้ยิ้ม เดียวของเธอผมก็อาจไม่มีสิทธิ์ได้รับ ผมเดินออกมาจากบ้านสีขาวหลังใหญ่ไปยังด้านหลังของตัว บ้านโดยมีเจ้าปุยนุ่นวิ่งตามมาไม่ห่าง ผ่านสวนไม้ใบและไม้ดอกหลากสี นานาพันธ์ ผมกับปานชีวาช่วยกันปลูกไว้ แม้วา่ ตอนนีด้ อกไม้เหล่านัน้ จะ เหี่ยวเฉาลงไปบ้างเพราะขาดการดูแลมาช่วงหนึ่งแล้ว แต่มันก็ยังทำ�ให้ ความรู้สึกสดชื่นอยู่เสมอ เลยสวนสวยไปเล็กน้อยก็จะเจอกับเนินเขาสี เขียวขจีลูกไม่ใหญ่นัก นั่นคือที่ๆ ผมนัดเธอไว้เพื่อฉลองวันครบรอบแต่ง งานของเราในปีนี้ เมื่อผมเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ภาพที่ผมเห็นเบื้องหน้าคือหญิงสาวผิว ขาวร่างเล็กสวมชุดกระโปรงสีขาวลายดอกไม้สอี อ่ นเล็กๆ แบบทีเ่ ธอชอบ ชายกระโปรงพลิว้ ปลิวตามสายลม ริมฝีปากเรียวเล็กสีชมพูระเรือ่ ของเธอ แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเคยเมื่อมองมายังผม แต่เมื่อผมเดินไปจน เกือบจะเอื้อมมือไปถึงสุดที่รักของผมได้แล้ว เสียงเจ้าปุยนุ่นก็ดังประท้วง ขึ้นเพื่อให้ผมได้ดึงตัวเองออกจากภาพฝัน และกลับสู่โลกความจริงที่เจ็บ ปวดเสียที เมื่อในโลกความจริงแล้ว เบื้องหน้าของผมในตอนนี้ไม่มีแม้เงา ของหญิงสาวผู้เป็นปานชีวาของผม แต่ตรงหน้าผมนี้กลับมีเพียงสุสานสี ขาวเล็กๆ ที่สลักชื่อที่ผมเรียกบ่อยที่สุดตลอดหกปีที่ผ่านมาตามด้วยนาม 18
สกุลของผมเอง ผมวางอาหารและดอกไม้โปรดของปานชีวาไว้ตรงสุสาน นัน้ ผมอยากให้เธอได้เห็นเสือ้ ตัวสวยทีเ่ ธออยากให้ผมใส่ เพราะตอนนีม้ นั อยู่บนตัวผมแล้ว ผมอยากให้เธอได้ชิมฝีมือการทำ�อาหารห่วยๆ ที่ผมรู้ดี ว่าเธอต้องทานหมดแน่นอน แม้วา่ มันจะไม่อร่อยแค่ไหนก็ตาม เพราะนีค่ อื ฝีมือของสามีที่รักเธอสุดชีวิต ผมอยากเห็นรอยยิ้มสดใสในยามรับช่อลิลลี่ ของเธอ แล้วอยากให้เธอหอมแก้มผมเป็นการขอบคุณดังเช่นทุกครั้ง แต่ ผมรู้ดีว่าสวรรค์จะไม่ใจดีกับคนโง่เขลาอย่างผมขนาดนั้น ถ้อยคำ�ร้อยพันที่คิดจะบอกกับเธอเหมือนกับมาจุกที่ลำ�คอแห้ง ผากต่างจากดวงตาที่เริ่มชื้นขึ้นด้วยหยดน้ำ�ตา หัวใจที่คิดว่าน่าจะแข็งแรง ขึน้ แล้วหลังจากเหตุการณ์เลวร้ายนัน้ ผ่านไปเกือบครึง่ ปี กลับปวดหนึบขึน้ อีกครั้งเมื่อรู้ตัวดีว่าที่ผ่านมาผมยังไม่ดีกับเธอมากพอ ทั้งๆ ที่เธอรักและ เข้าใจผมเสมอมา ผมกลับเอาแต่ท�ำ งานหนักตลอดเวลาจนไม่มเี วลาให้เธอ เมื่อกลางปีที่แล้วปานชีวาป่วยหนักมากแต่ผมกลับไม่เคยรู้เลย ซ้ำ�ยังทำ�งานเป็นบ้าเป็นหลังเพื่ออนาคตบ้าๆ บอๆ จนหลงลืมไปว่าไม่มี อะไรจะสำ�คัญเท่าปัจจุบันอีกแล้ว วันนี้มารู้ตัวอีกทีก็ในวันที่เธอไปจากคน ใจร้ายอย่างผมแล้ว แม้แต่คำ�สั่งเสียสุดท้ายของเธอ เธอยังทำ�เพื่อผมอยู่ เธอบอกผมว่านี่ไม่ใช่ความผิดของผม เธอเข้าใจผมดี เธอไม่อยากเห็นผม เสียใจหรือร้องไห้เพือ่ เธอ เธออยากเห็นผมมีชวี ติ ทีม่ แี ต่ความสุขและรอยยิม้ ผมพยายามสั่งตัวเองไม่ให้ร้องไห้ ห้ามตัวเองทุกครั้งที่หัวใจเจ็บปวดจน น้ำ�ตาจะไหล เพื่อคำ�ขอสุดท้ายของเธอ แต่แล้ว แม้แต่ในนาทีนี้ผมก็ยังคง ให้เธอได้เพียงความผิดหวังอยูด่ ี ผมทำ�ผิดต่อเธออีกครัง้ เมือ่ น้�ำ ตาทีผ่ มกัก เก็บมานานเหลือเกินเริม่ ไหลรินออกมาจากดวงตาทีส่ น่ั ไหวอีกครัง้ เข่าทัง้ สองข้างของผมทรุดลงเบือ้ งหน้าเธอ ในนาทีนผ้ี มคงไม่สามารถพูดประโยค หมื่นพันที่เก็บไว้ในใจให้เธอได้ฟังนอกจากประโยคนี้ “สุขสันต์วันครบรอบแต่งงานของเรานะ ที่รัก...” 19
แตกต่าง… ภาสกร นันทะเสนี
20
เขาขยุม้ เส้นก๋วยเตีย๋ วทีล่ กู ค้าสัง่ มา ยัดใส่ลงในตะกร้อซึง่ ถักด้วย ลวดทองเหลือง มีไม้ไผ่ยาวร่วมศอกมาประกอบเป็นด้าม ขยุ้มผักและถั่ว งอกยัดใส่ตามเข้าไปเป็นเพื่อนเส้นก๋วยเตี๋ยว ลวกไม่ต้องนาน เอาขึ้นมา เขย่าแล้วสลัดใส่ชาม ปรุงด้วยกระเทียมเจียว พริกไทย โรยด้วยผักคึ่นฉ่าย ใส่หมู ลูกชิ้น น้ำ�ซุปหอมฉุยจากเครื่องเทศ ตามสูตรของแต่ละร้าน และ ร้านนี้ก็เช่นกันเป็นร้านที่ผมต้องมานั่งตัดสินความอร่อยเป็นประจำ� หากมี โอกาสผ่านมา ชุมชนทางนี้ส่วนใหญ่มีฐานะปานกลาง ลึกเข้าไปในซอย จะมีบ้านเศรษฐีตั้งสง่าอยู่กลางซอยไม่กี่หลังนักหรอก นานๆ ทีพวกเขา จะออกมาจากคฤหาสน์ที และร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ก็ตั้งอยูต่ น้ ซอย หากมี ผู้คนผ่านเข้ามาซอยนี้ก็ต้องผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวนี้แน่นอน เจ้าของร้านเป็น หนุ่มวัยกลางคนเปิดร้านมาได้ไม่นานนัก เพราะเรียนจบแล้วไม่มีงานทำ� ลีลาการทำ�ก๋วยเตี๋ยวของเขาเหลือร้าย รสชาติก็ร้ายไม่แพ้กัน เหงื่อตามร่างกายขับออกมาด้วยความร้อนของอากาศรวมทั้ง ความร้อนของเตาไฟ ซึ่งเปิดไว้แรงพอประมาณเพื่อให้น้ำ�ซุปเดือดอยู่ 21
ตลอดเวลา เม็ดเหงื่อเกาะอยู่ตามใบหน้า ร่างกายเหมือนชโลมด้วยกาว เหนียว จนบางครั้ง อยากตะโกนออกไปดังๆ ด้วยความอัดอั้น แต่ด้วย ความเป็นพ่อค้า แม่ค้า ต้องอดทน อดกลั้น สิ่งไหนไม่อยากพูดก็ต้องพูด ต้องยิ้ม ต้องชวนลูกค้าคุยอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆ ที่มันขัดกับนิสัยของตัว เอง จะว่าเป็นการใส่หน้ากากเข้าหากัน ก็ไม่ผิดนัก แต่เพราะเป็นอาชีพ จึงจำ�เป็นต้องเป็นคนช่างพูดในที่สุด ลูกค้าของเขามีทั้งดีและไม่ดี ปะปนกันไป ทั้งจุกจิก เจ้ายศ เจ้า อย่าง โน่นก็ไม่ดี นั่นก็ไม่อร่อย นั่นก็เค็ม นี่ก็เปรี้ยว ซึ่งเปรียบไปแล้วก็ เหมือนผู้คนในสังคมที่มีทั้งดี ทั้งร้าย ปนเปกันไป ดั่งเช่นหล่อนนางนี้ “ก๋วยเตี๋ยวชามหนี่ง” เสียงแข็งๆ ของผู้หญิงน่าตาดี มีชาติ ตระกูล ดิ่งเข้ามานั่ง พลางเอากระดาษทิชชูเช็ดโน่น เช็ดนี่บนโต๊ะ ด้วย ใบหน้ามึนตึงอยู่เป็นพัลวัน “ก๋วยเตีย๋ วอะไรดีครับ?” เขาถามหล่อนกลับด้วยความนอบน้อม “แล้วเธอขายอะไรบ้างล่ะ?” หล่อนเลิกคิ้ว ถามย้อนกลับมา “มีหมู มีไก่ มีลูกชิ้น” เขาสาธยายด้วยความชำ�นาญ “งั้นใส่มาทุกอย่างนั่นแหละ ชูรสไม่เอา ผักไม่ใส่ ลวกชาม ช้อน ให้ฉันใหม่ด้วยนะยะ” เขาถึงกับสะอึก อารมณ์ขุ่นขึ้นมาทันใด เขาเจอคุณหญิงตัวจริง เสียงจริงเข้าให้แล้ว แม่เจ้าโว้ย ดูหล่อนแต่งตัวสิ นมตูม้ ออกมาครึง่ ค่อนเต้า กระโปรงสั้นจู๋ ถ้าเขาก้มลงเก็บอะไรใต้โต๊ะ คงจะเห็นอะไรต่ออะไรจนหมด เป็นแน่แท้ หล่อนคงจะเป็นลูกหลานของพวกเศรษฐีที่อยู่ลึกในซอยเข้า ไปสินะ โถ…แล้วจะมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวทำ�ไมกัน ทำ�ไมไม่ไปกินที่ดีกว่านี้นะ เขาคิด พร้อมกับถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย “ได้แล้วครับ ก๋วยเตี๋ยว” 22
“ย่ะ วางไว้ตรงนั้นแหละ มีน้ำ�อะไรดื่มบ้างยะ น้ำ�ส้มคั้นสดๆ มีมั้ย? คั้นอย่างเดียว ไม่เอาน้ำ�เชื่อม ใส่เกลือนิดหน่อย เอาสิบบาทก็ พอ” หล่อนรัวมาเป็นชุด ๆ “น้ำ�ส้มไม่มีครับ” เขาตอบไปด้วยสีหน้าไม่สู้จะดีนัก “อ้าว แล้วมีน้ำ�อะไรล่ะ ? ” “มีน้ำ�เปล่าครับ ในกระติก” เขาตอบพลางชี้ไปทางกระติกน้ำ�ใบ เก่าๆ กระดำ�กระด่าง ยืนโง่ อยู่บนโต๊ะ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมหม้อก๋วยเตี๋ยว “ต๋าย… ฉันจะกินเข้าไปได้ยังไง สกปรกขนาดนั้น” หล่อนหน้า ตึง หยิบช้อน หยิบตะเกียบยื่นมาตรงหน้า “เอ้า…ลวกน้�ำ ร้อนให้ฉนั หน่อย” เขารับช้อนกับตะเกียบมาอย่าง มือสั่นเทา เหมือนลูกแกะที่ถูกต้อนให้จนตรอก ไปไหนไม่ได้ ยืนแข็งทื่อ รอความตายอยู่ตรงนั้น เขาค่อยๆ เดินเงื่อมเงย ไปที่หม้อก๋วยเตี๋ยว จัด การตามที่หล่อนสั่งอย่างว่าง่าย ดังเช่นเด็กนักเรียนอนุบาลตัวน้อย ที่เพิ่ง ก้าวย่างเข้าไปใช้ชีวิตในโรงเรียนในวันแรกๆ หล่อนค่อยๆ ใช้ตะเกียบคีบเส้นทีละน้อยๆ เอามาใส่ในช้อน แล้ว จึงพยุงช้อนที่ว่านั้นใส่เข้าไปในปากแดงแจ๊ดของหล่อน ริมฝีปากเผยอเล็ก น้อย เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมทั้งสองข้าง ถ้าหากตาไม่ฝาด เขี้ยวแหลมนั้น น่าจะเหลี่ยมกว่าเพชรด้วยซ้ำ� “โอ้โหเว้ย ใครวะเนี่ย” เขาคิดสนุกในใจ เมียนายพล หรือเมีย รัฐมนตรีกระทรวงไหนกันนี่? ทำ�ไมปล่อยให้เมียออกมาเพ่นพ่านแบบนี้ได้ ของอย่างนีม้ นั ต้องใส่ไว้ในตูก้ ระจกติดแอร์ใส่กญ ุ แจอย่างดี ปะพรมน้�ำ หอม ใส่ชุดนอนบางๆ เอียงกระเท่เร่ อยู่บนเตียง พร้อมปฏิบัติภารกิจอย่างว่า อย่างเดียวก็พอ ใครช่างใจร้าย ปล่อยให้มากินก๋วยเตี๋ยวชามละสามสิบ เพียงลำ�พัง ใช้ไม่ได้จริง ๆ เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง…หนึ่งชั่วโมง ลมร้อนพัดผ่านไป ลมแล้ว 23
ลมเล่า ก๋วยเตี๋ยวในชามของหล่อนก็ไม่วายจะหมดไปเสียที ลูกค้าก็ทยอย เข้ามาเรื่อยๆ ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามานั่งโต๊ะรอบๆ เธอเลยแม้แต่สัก คน ทั้งกระเป๋าเล็ก กระเป๋าน้อย ถุงขนม ถูกวางอยู่เกือบทุกเก้าอี้ ทั้งสี่ ห้าตัวหล่อนวางกันไว้หมด เหมือนโลกทั้งโลก หล่อนนั่งอยู่เพียงคนเดียว ความสับสนต่างๆ ไม่สามารถสั่นคลอนชีวิตของหล่อนได้ ชีวิตเขากับหล่อนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หล่อนทำ�อะไรก็ได้ที่ อยากจะทำ� ความร่ำ�รวยทำ�ให้หล่อนขีดเส้นกั้นความจนไม่ให้เข้ามาใกล้ แต่ความยากจนถูกล่ามให้ติดอยู่กับชีวิตของเขา เมื่อไหร่? เมื่อใด? จึง จะหลุดจากพันธนาการจากความยากจนนี้ไปได้ มันคงจะเนิ่นนาน เหมือนกับหล่อนซึ่งกำ�ลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วมาจนถึง ขณะนี้
24
25
“ฝันยังอยู่กับเราเสมอ” รื่นรมย์
26
ฝนพร่ำ�ยามค่ำ�คืนไม่มีวี่แววว่าจะหยุดตก กระทบสังกะสีดังขึ้น เรื่อยๆ ไม่นานเสียงเพลง “สายน้ำ�ไม่เคยไหลกลับ” ค่อยๆเบาลงจนไม่ เหลือเสียงอันไพเราะของ มาซ่า อีกต่อไป ฉันปิดเครื่องเล่น DVD ด้วย ความโมโห เหลือบมองนาฬิกาข้างฝาผนังห้อง 03.00 น. คงเป็นเวลาแห่ง การหลับใหลยามนิทราของใครๆ และเป็นเวลาของนักเทีย่ วกลางคืนกำ�ลัง นั่งซดข้าวต้มข้างทาง แต่ฉันยังดื่มด่ำ�กับกาแฟแก้วที่สาม โดยไม่คิดถึง คาเฟอีนในร่างกายจะเพิ่มขึ้น “โอย...........เบื่อจริงๆ” เสียงร้องลั่นจากหอพักตรงข้าม ฉันถึง กับสะดุ้ง “โครม” พร้อมกับเสียงร่ำ�ไห้ยามค่ำ�คืนของสาวนักศึกษา “ไอสัตว์ มึงออกไปจากห้องกูเดียวนี้” “กูไม่ไป” ฝนเทลงมาอีกครั้งหนักกว่าเดิม กลบเสียงผัวเมียจำ�ลองจนไม่ เหลือเสียงวิวาทระหว่างหญิงชายอีกต่อไป ฉันวางปากกาลง โน้มตัวไป 27
ข้างหน้าแล้วหลับตา เสียงฝนในค่ำ�คืนนี้รบกวนจิตใจก็จริงแต่ไม่เท่ากับ เสียงของใครบางคนที่พยายามสร้างสถานการณ์จำ�ลองขึ้น ความเงียบ ท่ามกลางสายฝนทำ�ให้ฉันได้ฟังเสียงของหัวใจอ่อนล้า “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูห้อง ฉันสะดุ้ง “แฮบปีเ้ บิรด์ เดย์ทยู ู แฮบปีเ้ บิรด์ เดย์ทยู ู แฮบปีเ้ บิรด์ เดย์ทยู ”ู เสียง เพลงแข่งกับสายฝนพร้อมเค้กผลไม้รวม ฉันยิ้มอย่างตื้นตัน “เป่าเทียนเร็วๆ” “ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ” คำ�อวยพรจากลูกน้องประมาณ 5 - 6 คน “นี้วันเกิดฉันหรอ” “ครับ...พี่กิ่งแก้ว” “ขอบใจทุกคนมาก” ปาร์ตี้เล็กๆ ท่ามกลางสายฝนและเสียงผัว เมียจำ�ลองทะเลาะกันก็เริ่มขึ้น “พวกเธอมาอย่างไงกัน” “ผมมารถ..นาวินครับอัดกันอย่างกับปลากระป๋อง” “ที่มาช้าเพราะฝนตกหนัก” “พวกแกไม่เห็นต้องทำ�อะไรขนาดนี้เลย” “ไม่เป็นไรครับ” ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “โอ้ แม่เจ้า 50 กว่าข้อความ” ร่วม อวยพรวันเกิด นานเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่เคยจำ�วันเกิดตัวเองได้ ฉันไม่มีความ รู้สึกว่ามันพิเศษกว่าวันอื่นๆ และไม่สนใจแม้กระทั้งใบหน้า รอยหมอง คล้ำ� ริ้วรอยแห่งวัย 30 ฉันสนุกกับงานบรรณาธิการหรือมุ่งมั่นกับมัน เพียงอย่างเดียวจนลืมความสุขรายทาง ฉันหยิบภาพเก่าๆ มานั่งดูสมัยยังเป็นนิสิต กระโปรงบาน รอง 28
เท้าผ้าใบเก่าๆ กับเป้สะพายหลังเมื่อครั้งเป็นนิสิตแต่งตัวอย่างไร วันนี้ฉัน ยังคงสภาพเดิมถึงแม้เวลาจะผ่านอย่างรวดเร็ว “พี่กิ่งแก้ว..ครับ” “ลองแต่งตัวเป็นผู้หญิง สวยๆให้ผมดูบ้างสักครั้ง” “จะบ้าหรอ” “ถือว่าผมขอ นะครับ.....มองดีๆพี่ก็สวย นะครับ” “ฮาๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นทันที นานๆ ฉันจะได้ยินคำ�พูด หวานหู บางครั้งยังแอบยิ้มเขินอายเล็กน้อย ปาร์ตี้ยังเล็กๆยังดำ�เนินท่าม กลางสุราเมรัยที่มาเป็นระยะ เวลาล่วงเลยไปจนแสงแรกของเช้าวันใหม่ โผล่ตรงเส้นขอบฟ้า “พี่กิ่งแก้ว....สว่างแล้วครับ” ทุกคนต่างยืดเส้นยืดสาย บิดขี้ เกียจกันใหญ่ “ทุกคนเรามาตักบาตรกันไหม” กิ่งแก้วตะโกนออกจากห้องน้ำ� “ดีครับพี่” ยังไม่ทันสิ้นเสียง ทุกคนต่างวุ่นวายกับตู้เย็นรกๆ รื้อ ข้าวของออกมาสำ�รวจ “พี่กิ่งแก้วครับ...มีปลากระป๋องในตู้กับข้าว แล้วปลาทูในตู้เย็น” “งั้นเราทอดปลาทูกับปลากระป๋องใส่บาตร” ไม่นานข้าวหอมมะลิร้อนๆ กับปลาทูทอดพร้อมจะตักบาตรใน วันเกิดวัย 30 ปี พระสามรูปกับเด็กวัดหนึ่งคนพร้อมสุนัขหนึ่งตัวช่างเป็น ภาพที่น่ารักจริงๆ จิตใจสดชื่นมาก ฉันยิ้มพร้อมมองลูกน้องด้วยความ เอ็นดู ใบหน้าแต่ละคนแดงเพราะฤทธิ์สุราเมื่อคืน “พี่ งั้น..พวกผมกลับแล้วนะ” “อ้าว..ไม่อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนหรอ” “ไม่เป็นไรครับ...ต้นฉบับยังวางอยู่เต็มโต๊ะ” “งั้น..ก็รีบไปจัดการให้เสร็จ” กิ่งแก้วพูดพร้อมใบหน้าเคร่งเครียด 29
แต่ก็ยังอมยิ้มเล็กน้อย “ครับ ครับ งั้นผมลาครับ”เสียงรถดังพร้อมควันฟุ้งกระจาย ไม่ นานก็หายออกไปจากซอยหอพัก ฉันกลับเข้ามาในห้องรกด้วยขวดสุรา หลากหลายยี่ห้อทั้งเกรด สูงต่ำ�ปะปนทั่วห้อง ทั้งก้นบุหรี่ ฉันยืนหายใจยาวๆ สักพัก แล้วหยิบจับ ขวดเหล้า แก้ว กระติกน้ำ�แข็ง พร้อมกวาดถูอย่างสะอาด หลังจากเสร็จ ภารกิจจัดเก็บห้องฉันต้องมานั่งตรวจต้นฉบับกองใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้า ฉันหยิบโทรศัพท์โทรหาแม่เลขาหน้าห้อง “ปุ้ย...วันนี้พี่กิ่งแก้วไม่เข้าออฟฟิตนะ” “คะ...พี่” ฉันวางสายจากเลขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ ค่อยหลับตา อย่างสนิท แต่ในสมองยังคิดถึงงานที่กองอยู่ตรงหน้า ฉันสะดุ้งทันที ลุก ขึ้นมานั่งรวบรวมสติหอบสังขารไปยังโต๊ะทำ�งาน เหลือบมองปฏิทินตั้งโต๊ะ ฉันถึงกับร้อง “โอ้ย...นี้กูเหลือเวลาอีกแค่ 5 วันที่ต้องส่งต้นฉบับหรอ” ความ เครียดเข้าครอบงำ�จิตใจทันที เสียงเพลงจากห้องพักข้างดังขึ้นแทนที่ฉันจะรู้สึกรำ�คาญกลับ มีแรงใจจะสู้กับงานอย่างสดชื่นทันที “อดทนเวลาที่ฝนพร่ำ� อย่างน้อยก็ ทำ�ให้เราเห็นความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจางฟ้าก็คงสว่างและทำ�ให้ เราได้เข้าใจว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ” เนื้อเพลงเบาๆ แต่สร้างกำ�ลังใจให้คนทำ�งานอย่างอัศจรรย์ถึง แม้ว่าในบางครั้งฉันจะเบื่อห้องพักข้างๆ อยู่เป็นประจำ�แต่ในวันที่ฉันต้อง การกำ�ลังใจ สิง่ ทีเ่ คยรบกวนจิตใจกลับทำ�ให้ฉนั รูส้ กึ ดีอย่างบอกไม่ถกู ฉัน มองไปนอกหน้าต่างห้อง หนุ่มสาวนักศึกษาอยู่เป็นคู่ ชีวิตดูมีความสุข อย่างไม่ต้องแบกรับภาระหนักอะไร แต่นั้นก็เป็นแค่ช่วงหนึ่งของชีวิตคน 30
เรามันอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ได้ ฉันเองก็ยังเคยร่วมเคียงกับชายหนุ่มใน วัยเรียนแต่ก็ต้องแยกจากกันเมื่อถึงวัยแห่งการแบกรับภาระมากมาย ฉันนัง่ ตรวจต้นฉบับอย่างมีสติ ไม่นานก็รสู้ กึ ถึงความเมือ่ ยล้าร่างกายต้อง การพักผ่อน ฉันทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งบนที่นอนนุ่มๆ แอร์เย็นๆ ค่อยหลับ ตาอย่างสนิทใจถึงงานจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์แต่ก็ทุเลา “เธออยากให้ฉันอยู่ด้วยไหม อยากให้ฉันอยู่ด้วยไหมเธอ” เสียง โทรศัพท์มือถือดังไม่ขาดสาย ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทั้งที่เปลือกตายังปิด อยู่ กดรับอย่างไม่รู้ว่าเป็นใคร “คุณกิ่งแก้วครับ...ส่งต้นฉบับให้ผมยัง” “อ่อ...ดิฉันส่งให้เมื่อสักครู่นี้คะ” “ครับ” ตูดๆๆๆๆ ฉั น หลั บ ต่ อโดยไม่ คิ ด ถึ ง งานที่ เ หลื อ อยู่ ฉั น รู้ เ พี ย งว่ า ร่ า งกาย ต้องการพักผ่อนสักสามถึงสี่ชั่วโมง จะพร้อมอีกทีเมื่อได้หลับเต็มอิ่ม “เธออยากให้ฉันอยู่ด้วยไหม อยากให้ฉันอยู่ด้วยไหมเธอ” เสียง โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ฉันยังคงหลับแต่ก็ยังพอมีสติคว้านหาโทรศัพท์บน เตียง “เธออยากให้ฉันอยู่ด้วยไหม อยากให้ฉันอยู่ด้วยไหมเธอ” เสียง เพลงดังขึน้ ไม่ขาดสาย เมือ่ คว้านหาโทรศัพท์ทซ่ี กุ อยูใ่ ต้หมอนได้ กดปุม่ ปิด เครื่องทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะโทรมา แล้วหลับต่ออีกยาวนานจนเวลา พลบค่ำ� ฉันรู้สึกตัวอีกทีก็ 2 ทุ่มแล้ว สะดุ้งด้วยความตกใจ งาน งาน งาน งาน ในสมองยังคิดเรื่องงานโดยไม่สนใจโทรศัพท์และไม่เอะใจว่าใคร โทรมา ฉันนั่งปั่นงานอย่างมีสมาธิหวังจะเสร็จในวันรุ่งขึ้น “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูห้อง “ใครว่ะ คนกำ�ลังยุ่งอยู่” บ่นพร้อมกับเปิดประตู “อ้าว..สาวปุ้ย..มีธุระอะไรถึงได้มาหาถึงห้อง” ฉันยิ้มให้แม่เลขา 31
แต่สีหน้าเธอดูเศร้า เธอจ้องฉันอย่างที่ไม่คิดว่าฉันจะรู้เรื่องอะไร “พี่กิ่งแก้วคะ..คือว่า” “สาวปุ้ย..มีไรก็พูดมา” ฉันพูดเชิงหยอกและยิ้มอย่างจริงใจ “คือว่า” “งั้นเข้าห้องมาก่อน ยืนนานเดียวเมื่อย” ฉันจูงมือแม่เลขา เข้าห้อง แต่สีหน้าเธอยังคงเครียดกว่าเดิม ฉันกุมมือเย็นเฉียบแล้วมอง อย่างเอ็นดู “เธอมีอะไรก็พูดมาเถอะ..ฉันไม่โกรธหรอ” “คือว่า..วันนี้แม่พี่โทรมาที่ออฟฟิตบอกว่าโทรหาพี่ไม่ติด” “เออ ใช่พี่หลงปิดเครื่อง คือพี่ง่วงมาก” ฉันพูดพร้อมกับมองหา โทรศัพท์มาเปิดเครื่อง “แล้วแม่พี่ว่าอย่างไงจ๊ะ” ฉันคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิต “แม่พี่..บอกว่าให้กลับบ้านด่วน....คุณพ่อเสีย” ฉันกำ�ลังวุ่นเปิดเครื่องโทรศัพท์ได้ฟังคำ�ว่า...คุณพ่อเสีย มือที่ สัมผัสหน้าจอโทรศัพท์สน่ั อย่างไม่รตู้ วั ฉันนิง่ น้�ำ ตารินไหลบนร่องแก้มท่าม กลางความรู้สึกโดดเดี่ยว คนที่รักฉันกลับต้องพรากจากไปคนแล้วคนเล่า บนเส้นทางเดียวดายฉันจะสร้างฝันเพือ่ ใคร ในเมือ่ คนทีฉ่ นั รักจากไปอย่าง ไม่มวี นั ได้หวนกลับ นานเท่าไหร่แล้วทีฉ่ นั ไม่ได้กลับไปซบไออุน่ ของบ้านเกิด นานเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ได้ทำ�หน้าที่ของลูก และนานเท่าไหร่แล้วที่พ่อไม่ เคยได้เห็นหน้าลูกสาวจนนาทีสุดท้าย ฉันตบหน้าตัวเองให้ตื่นจากความฝัน “ปุ้ย..แกตบหน้าฉันหน่อย แกไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม” “ปุ้ยไม่ได้โกหก พี่กิ่งแก้วรีบกลับบ้านเหอะ” ฉันเก็บเสื้อผ้าใส่เป้ใบใหญ่ มุ่งหน้าไปซบตักแม่ที่รอคอย เมื่อรถเทียบชาน ชาลาน้องชายมารอรับกลับบ้าน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ 32
เขียวชอุ่ม ท้องทุ่งนาเงียบเหงา งานศพเล็กๆ ท่ามกลางญาติพน่ี อ้ งและเพือ่ นๆ ร่วมไว้อาลัย ฉัน นั่งมองรูปถ่ายของพ่อเหมือนท่านกำ�ลังจะบอกกับว่า....พ่อยังอยู่กับลูก เสมอ แม่เล่าให้ฟังว่าอยู่ดีๆ พ่อก็ปวดท้องอย่างหนักพักรักษาตัวที่โรง พยาบาลแค่สองวันก็สิ้นลมโดยไม่รู้สาเหตุ ฉันมองรอบๆ บ้านร่มรืน่ ด้วยมือพ่อต้นไม้นอ้ ยใหญ่ บ้านสวนหลัง เล็กๆ ท่ามกลางพืชพรรณ กล้วยไม้หลากหลายสีแย้มยิ้มราวกับยินดีที่ ฉันกลับมาบ้านอีกครั้งในรอบเกือบสิบปีแต่จะมีความหมายอะไรในเมื่อคน ที่ฉันรักจากไป น้ำ�ตาไหลรินอย่างรู้สึกผิด ฉันเคยพูดกับพ่อว่าสักวันหนึ่งจะสร้างบ้านไม้หลังเล็กๆ กลาง ทุ่งนาสีเขียว มีต้นไม้ล้อมรอบ มีแหล่งน้ำ�ธรรมชาติไหลผ่านและยังอยาก ปลูกผักกินเอง อยากให้พ่อได้เห็นบ้านเล็กๆ หลังนั้นมีห้องอ่านหนังสือที่ ลมพัดเย็นสบายโดยไม่ต้องเปิดแอร์ มีหนังสือเยอะๆ ให้อ่าน มีคนใน ครอบครัวล้อมวงกินข้าวในทุกๆ มื้อพร้อมเสียงหัวเราะลั่นทุ่งและฉันยัง อยากทำ�นาอย่างพ่อ แต่นั้นก็เป็นเพียงแค่ความฝันที่วาดไว้บนวิมานและ ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะได้ดั่งใจฝัน “เธออยากให้ฉันอยู่ด้วยไหม อยากให้ฉันอยู่ด้วยไหมเธอ” เสียง โทรศัพท์ดังขึ้น “สวัสดีคะ” “พี่กิ่งแก้วคะ...งานเสร็จหรือยังคะ” “ยัง” คำ�ตอบสั้นๆ พร้อมตัดสายทิ้งอย่างไม่ลังเลใจ ฉันยืนยิ้ม อย่างเบิกบานใจ ถึงฉันจะได้แค่ฝนั แต่ฝนั ก็ยงั ล่อเลีย้ งจิตใจเรือ่ ยมา งานยัง กองอยู่ตรงหน้ามากมายมันเป็นสิ่งที่ฉันรักไม่ใช่หรือ....คำ�ถามพุดขึ้นกลาง ใจ วันนี้ฉันทำ�ในสิ่งที่ฉันรักสักวันหนึ่งความฝันที่เขียนไว้ในใจ...จะไม่เป็น เพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป
33
มหา (((ไร)))
เด็กชายผู้เขียนฝัน
34
1 ดอกหาง นกยูง สีแดงฉาน บานอยู่ เต็มฟาก สวรรค์ คนเดิน ผ่านไป มากัน เขาด้น ดั้นหา สิ่งใด... ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึง มาหา ความหมาย ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย สุดท้าย ให้กระดาษ ฉันแผ่นเดียว... ดอกหางนกยูง สีแดงฉาน บานอยู่ เต็มฟาก สวรรค์ เกินพอ ให้เจ้า แบ่งปัน จงเก็บกัน อย่าเดิน ผ่านเลยไป 35
ทัดพับมันลงพร้อมๆ กับการถอนหายใจเฮือกใหญ่ เป็นครั้งที่ สามสำ�หรับคืนนี้ แม้มนั จะเป็นคืนทีเ่ หน็บหนาวสำ�หรับตัวเขา แต่หลังจาก ที่เขาได้อ่านบทกวีของ วิทยากร เชียงกุล มันกลับยิ่งทำ�ให้ใจของเขานั้น ร้อนลุ่มเป็นพิเศษ ภาพแห่งความทรงจำ�ในอดีตเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มน้อย ที่เต็มไปด้วยความเพ้อฝัน เริ่มหลอกหลอนวกวนภายในหัวสองของเขา ทันใด มันพยายามรือ้ ค้นทุกซอกทุกมุมภายในสมองของชายผูห้ มดสิน้ แล้ว ทุกสิ่งในวันนี้ให้กลับฟื้นคืนมาใหม่ และแล้วหนังรอบเก่าที่ถูกระยะเวลา ผ่านเลยไป กว่า 15 ปีก็พลันเกิดขึ้นมาทันใด 2 ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ลมหนาวเริ่มพลิ้วสะบัดให้กับการอำ�ลา ช่วงเดือนแห่งความรัก ทัด เด็กหนุ่มน้อยวัยสิบแปด นั่งรอคอยความหวัง บางสิ่งที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอมานานแสนนาน ตัวของทัดจดจ่อไปที่ถนน ลูกรังอันไร้ซึ่งวี่แววของรถ และถึงแม้เขาจะพยายามเงี่ยหูฟังเสียงนั้น มันก็กลับว่างเปล่า แต่ก็นั่นสินะ จนวันแล้ววันเล่าความหวังของเขาก็ เริ่มที่จะเลือนหาย เหลือทิ้งไว้แต่หัวใจอันห่อเหี่ยวและแห้งแล้งลงไปทุกที แต่เมื่อวันที่ดอกจานเริ่มบานสะพรั่งท่ามกลางช่วงเดือนเมษา กลีบสีแดง พยายามแทรกแซงสะบัดใบทิ้งทั้งหมด ทว่าด้วยความเป็นผู้มาก่อนมันจึง พยายามยื้ อ ที่ จ ะสู้ ถึ ง ความอยู่ ร อดของพวกของมั น จนวิ น าที สุ ด ท้ า ย ระหว่างความเป็นและความตาย และเมื่อความเขียวชอุ่มถูกแทนที่ไปด้วย ไอร้อนของแดดที่แผดเผา ใบไม้ก็ร่วงหล่นทอดกายแน่นิ่งลงใต้โคนต้น มัน ลับหายลงไปและพร้อมกับการเกิดเรื่องราวของเด็กหนุ่ม “ทัด...ทัด” เสียงแม่ร้องเรียกให้เด็กหนุ่มลงมาดูซองสีขาวที่ ปราศจากแสตมป์ไปรษณีย์ยากร ราคา 3 บาท แต่ถึงกระนั้นในมุมด้าน ซ้ายของซองก็ยังคงระบุชื่อผู้ส่งอย่างชัดเจน 36
“อะไรแม่....ร้องซะดังเชียว” “นี่ๆ ลุงจันแกบอกว่าไอ้ซองสีขาวนี้มันส่งมาถึงแก มันเขียนว่า จาก มะ....หา....วิด...ทะทะ...” แม่พยายามอ่านมัน แต่ถึงกระนั้นด้วยการ ที่เธอไม่รู้หนังสือ ผนวกกับมีฐานะยากจนตั้งแต่เด็กมาจนถึงทุกวัน มัน กลับทำ�ให้เธอยิ่งต้องใช้แรงกายแทนสติปัญญาไปมากกว่าการฝึกอ่าน หนังสือ “หาอะไรนะแม่.....” ทัดร้องดังขึ้น และรีบคว้ามันมาอ่าน “ขอแสดงความยินดีกับนิสิตใหม่” ข้อความในส่วนท้ายของ จดหมายถูกอ่านขึ้นพร้อมกับความดีใจของเด็กหนุ่มบ้านนอกวัยสิบแปด สิ่งหนึ่งที่เขาได้รอคอยมาถึงแล้ว ความฝันดังกล่าวก็คือการที่ทัดได้เข้าสู่ รั้วมหาวิทยาลัย หนทางที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต มันเหมือนกับการที่เขากำ�ลังจะ ได้รับกุญแจเพื่อไขประตูออกไปสู่ความสำ�เร็จในอนาคต ความยากจนและ ความลำ�บากคงจะหมดสิ้นไปแล้วสินะ!!! เมื่อเขาจบจากมหาวิทยาลัย คง จะเป็นช่วงระยะเวลาแห่งความสุขของเขา กับเวลาเพียงแค่ 4 ปี “ใช่ เพียงแค่ 4 ปี” เด็กหนุ่มยิ้มรับให้กับความสุขเมื่อเขาหวน นึกถึงอนาคต แต่!!! ไม่ทันไร ที่เขาจะยิ้มและรับความสุขเป็นครั้งที่สอง ทัด เหลือบเห็นแม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาสะอึกสะอื้นร่ำ�ร้องถึงหยดน้ำ�ตาที่ซ้อน เร้นในเรื่องราวบางสิ่ง เพราะถึงแม้หลายครั้งทัดเคยเห็นหยดน้ำ�ตาในช่วง เวลาที่แม่มีความสุข แต่หยดน้ำ�ตา ณ ห้วงเวลานี้ ทัดได้แต่จ้องมองมัน ไปเบื้องลึกถึงเสียงร้องไห้นั่น มันหาใช่สิ่งที่เขาคิดไม่ สะอื้นหนึ่งตอกย้ำ�ถึง ความทุกข์ยากลำ�บาก สะอืน้ สองตอกย้�ำ เหมือนกับว่าความทุกข์ทนทรมาน กำ�ลังจะย่างกรายเข้ามาสูใ่ นชีวติ ของแม่ สะอืน้ สามพัดโหมกระหน่�ำ ซ้�ำ ร้าย เข้ามาใส่ในจิตใจเบื้องลึกของเขา มันเหมือนกับผญามัจจุราชที่มาพร้อม กับเปลวไฟแห่งความชอกช้�ำ น้�ำ เสียงทีห่ ลอกหลอนนัน้ คงจะมาฉุดกระชาก 37
ลากความฝันออกไปเสียให้ห่างจากตัวเขาเป็นแน่ “แม่...แม่ แม่ร้องไห้ทำ�ไม” ทัดพูดเสียงสั่นเครือด้วยสีหน้าไม่ค่อย จะสู้ดีนัก “ทัด...ทัด” แม่เงยหน้าขึน้ มองดูทดั อยูค่ รูห่ นึง่ ก่อนทีจ่ ะก้มหน้าลง แล้วพูดต่อ “ทัดลูก...แม่ไม่มีตังส่งแกเรียนหรอกนะ ลำ�พังที่จะหาเงินมา ซื้อข้าวสารกรอกหม้อ แม่ก็ยังจนใจหา ไหนนาปีนี้จะล่มมิล่มแหล่ แม่ก็ ยังไม่รู้ ถ้าไม่ล่มก็ดีไป แต่ถ้าล่มสิ...” แม่หันไปดูหน้าทัดสายตาถูกสื่อถึง ความรู้สึกจากแม่มาอย่างช้าๆ ดั่งนัยน์ตาประสานนัยน์ตา ดั่งใจประสาน ใจ ในช่วงเวลาระยะหนึ่งที่สิ้นเสียงหัวใจของทั้งสองหยุดเต้น ช่วงนั้นเอง มันเป็นช่วงที่แทนคำ�ตอบสุดท้ายจากแม่ ที่มีให้กับทัด “แม่ก็...ไปกู้มาสิ” ทัดลุกขึ้นพร้อมกับเสียงที่แข็งกร้าว “ถ้ากู้แล้ว....แล้วเราจะเหลืออะไรกินลูก” “โธ่แม่ ดูนี่สิผมได้เรียนต่อในมหาลัยแล้ว แค่ 4 ปีเองแม่ จบ ออกมาแม่ก็จะสบายแล้ว” เสียงของทัดอ่อนลงทันใดเมื่อเขาก้มมองไปยัง แม่ที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้า “แต่ลูก เราไม่มีตังเหมือนบ้านอื่นเขานะ อีกอย่างคนจบมหาลัย เห็นเขาว่าตกงานก็มีตั้งเยอะแยะ” “แม่!!!” ทัดร้องขึ้น “แม่เชื่อผมสิ ผมจะได้มีอนาคตดีๆ ก็เพราะไอ้การที่เข้าไปมหา ลัยนั่นแหละ ใครๆ เขาก็ว่าจบจากมหาลัยแล้วได้ดิบได้ดีไปหมด ผมจะไม่ ทนมาเก็บผักเก็บหญ้ากินหรอกนะ” ทัดตวาดใส่แม่ขึ้นมาทันใด การทีอ่ ดมือ้ กินมือ้ เหมือนดัง่ เช่นทุกวันนี้ หรือการทีต่ อ้ งทนลำ�บาก ไม่มีจะกินจะใช้เหมือนบ้านอื่นเขา มันคือสิ่งที่เขาไม่อยากจะอยู่ไปตลอด ทั้งชีวิต และสิ่งนี้เองแหละ มันคือสิ่งที่จะเป็นตัวกำ�หนสร้างสรรค์ชีวิตเขา ใหม่ เขาไม่อยากให้แม่ต้องมารีรอ เพียงเพราะว่ากลัวจะไม่มีอะไรกิน ที่ 38
นาก็ขายมันไปก็ได้ แต่การที่จะต้องส่งเสียทัดเรียนในมหาวิทยาลัยนี่สิ มัน คือเรือ่ งทีส่ �ำ คัญกว่า พอจบออกมาเด็กหนุม่ อย่างเขาก็จะได้มคี วามสุขและ ความสบาย “เรียนๆๆ ไปเถอะน๊า จบๆ ไปเถอะน๊า เดี๋ยวก็มีอนาคตที่สบาย เอง” จิตใต้สำ�นึกของเด็กวัยย่างเข้าสิบเก้า มันเริ่มกระซิบบอกที่ปลาย โสตประสาทเขา มันบ่นเพ้อถึงความฝันอยู่นั่นจนในที่สุดสิ้นเสียงของทัด จึงมีเสียงหนึ่งเกิดขึ้น “จ๊ะลูก แม่จะทำ�ตามที่ทัดบอก” แม่ลุกขึ้นพร้อมกับรื้อค้นหา แผ่นกระดาษสีน้ำ�ตาลในตู้ลิ้นชัก และก็ร่ำ�ร้องถึงบทแห่งความโศกเศร้าไป ตลอดถนนสายที่ทอดตัวยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา แต่พลันถนนสายนั้นก็ ไร้ซึ้งจุดหมายที่จะมองเห็นจุดบรรจบเฉกเช่นกัน 3 เหลียวหาสายฝนทีเ่ ย็นฉ่�ำ ปลายเดือนหก เด็กหนุม่ ผูกเนคไทและ กลัดเข็มที่กลางหัวใจ รองเท้าสีดำ�เงาวับ ส่องกระทบไปยังใบหน้าของเขา ผมทีเ่ รียบเบีย่ งไปทางซ้ายนิดหนึง่ พร้อมกับการเอาเสือ้ เข้าด้านในมันได้บง่ บอกได้ถึงคำ�ว่า “นิสิต” ในตัวตนของทัดแล้ว หนุ่มจากบ้านนาที่เปลี่ยนสถานะกลายมาเป็นนิสิต ณ ขณะนี้เขา มีความฝันอันเต็มเปี่ยม มาที่นี่เขาจะต้องจบภายใน 4 ปี ความรู้ ความ สามารถ เอาไว้ก่อน แต่ต้องเอาคำ�ว่า “จบการศึกษาปริญญาตรี” มาไว้ เป็นเรือ่ งแรก เพราะจะมีใครรูบ้ า้ งไหมคำ�ถามทีผ่ ดุ ขึน้ ในใจของทัดตอนนี้มัน มีคำ�ถามอะไรบ้าง โลกภายนอกที่แสนกว้างใหญ่ในรั้วมหาวิทยาลัย ทัด ต่างไม่รู้ว่าเมื่อจบไปแล้วเขาจะได้รับอะไร มันไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยนึกและเคย ฝันเอาไว้ เมื่อแต่ไหนแต่ไรเดิมทีครูประจำ�ชั้นต่างก็ต้องคอยบีบคอยไล่ ให้ เขาทำ�งานโน้นงานนี้ให้เสร็จ แต่สิ่งที่ทัดคิดอยู่ในสถานะนิสิตที่เมื่อต้อง 39
แลกกับนาไร่ ความเหนื่อยของแม่ ความทุกข์ทน หยาดน้ำ�ตา บทเพลง ที่คร่ำ�ครวญด้วยทำ�นองที่สอดแทรกไปด้วยความเศร้า ทัดกลับตั้งคำ�ถาม ย้อนขึ้นมาในหัวสมองที่ตื้นและบอบบางของเขาว่า “ใครจะเป็นบ้ามาเรียนภาษาอังกฤษ กะอิดแค่ ฟุต ฟิส โฟ ฟาย มันก็บุญหัวแล้ว จะมาเรียนภาษาไทย ปัดโธ่!! เอ้ย กอ.ไก่ ถึง ฮอ.นกฮูก ก็ยังจำ�กันไม่ได้แล้วนับประสาอะไร แล้วใครหละจะสติไม่ดีไปเรียนการเงิน โธ่... แค่บาทเดียวยังคิดหน้าคิดหลังอยู่เลย แล้วเผื่อเรียนไปเรียนมา สติ มีแต่สตางค์ไม่อยู่ จะไปเรียนมันทำ�ไมกันโว้ย!!!! โอ้ยจะเรียนหมอ สู้เรียน หมอดูดีกว่าไหม??? หรือจะไปเรียนรำ�นาฏศิลป์ สู้เมาเหล้าขาวอยู่หน้า เวทีหมอลำ�จะสนุกกว่า แต่ฮ่าๆๆๆๆ ขอเพียงแค่ใบปริญญาก็เท่านั้น หละ...” และนี่มันคงจะเป็นเครื่องตอบรับอัตโนมัติเมื่อมีใครมา กดกริ่งตั้ง คำ�ถามนี้กับเขา แต่นั่นสินะมันคงจะคอยเป็นจุดย้ำ�เตือนทัดอยู่เสมอตลอด ระยะเวลาปีเศษที่ผ่านมานี้ ไร่นา เศษเสี้ยวของความยากจนลำ�บากค่อน แค้นไม่เคยเยือ้ งย่างกรายเข้ามาในหัวสมองของทัดเลย จดหมายฉบับแล้ว ฉบับเล่าที่ถูกส่งไปถึงแม่ มีแต่ถ้อยคำ�ที่ถูกกล่าวสรรหาบอกถึงคำ�ว่า “รอ คอยอีก 4 ปี” แต่ในระยะนี้ก็ให้แม่ส่งเงินมาก่อนเพื่ออนาคตที่ดีของเขา” 4 และแล้ววันเวลาที่ล่วงเลยพ้นผ่านเนินนานไปมากเท่าใดความ สุขและความฝัน ของทัดก็เริ่มที่จะเลือนหายลงไปทุกที เหลือก็แต่เพียง หนุม่ ผูเ้ ชือ่ มัน่ ในอุดมการณ์ของคำ�ตอบทีแ่ สนโง่เขลา ห้าปีมานี้ เขาไม่ได้รบั อะไรเลยแม้แต่นอ้ ย จดหมายฉบับสุดท้ายถูกส่งมาจากแผ่นดินทีเ่ ขาเคยอยู่ และมันก็ถกู เขียนขึน้ ด้วยถ้อยคำ� ความรูส้ กึ ทีพ่ รัง่ พรูออกมาจากเสีย้ วส่วน ลึกหนึง่ ในก้นบึง้ ของหัวใจจากแม่ผหู้ มดสิน้ แล้วทุกอย่าง เส้นเขียนตัวอักษร 40
ถูกวาดด้วยความเวทนาน่าอดสูโดยลุงจันผู้ให้ที่พักเชิงหมาแหงนกับแม่ที่ ดูน่าสมเพสเวทนาร่างกายของเธอซูบผอมเพรียวลงอย่างเห็นได้ชัด เข็ม แล้วเข็มเล่าถูกเจาะลงไปทั่วทุกอณูผิวหนังตามร่างกาย เพราะถึงแม้เธอ จะหมดสิน้ เสียแล้วทุกสิง่ ทุกอย่าง แต่เธอก็ยงั คงมี เลือด!!! ของเธอทีเ่ ต็มใจ จะยอมขายมันเพื่อลูก เพื่อความฝันอันไร้หนทาง ของเด็กชายทัดตัวน้อย สุดที่รักของแม่นั้นเป็นจริง “กลับมาอยู่บ้านเราเถอะลูก นี่ก็ห้าปีแล้ว บ้านเราไม่เหลืออะไร แล้ว ไร่นาสาโทแม่ก็ขายเพื่อแก สี่ปีห้าปีมานี้ แม่ก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยแก มาเถอะลูกแม่หมดทุกอย่างแล้ว จะมีก็แต่เลือดของแม่นี้แหละที่จะขายมัน ได้เพื่อลูก...” ณ ใจความในจดหมายฉบับสุดท้ายที่ทุกส่ง ณ ความเพ้อ ฝันในรั้วมหาวิทยาลัยที่จางหายไปกว่า 5 ปี และ ณ หวังวันที่รอคอย จนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของหญิงผู้ให้กำ�เนิดสิ้นสุดลง ร่างถูกเผาด้วยไร้ ซึ่งเลือดเนื้อเชื้อไขมาปิดตา สายเลือดเหือดหายลงไปด้วยราคานั้นขายไป เพือ่ ลูก เสียงสวดภาษาบาลีกอ้ งขึน้ ท่ามกลางเพือ่ นบ้านไม่กส่ี บิ คน ประวัติ ถูกเล่าขานผ่านความว่างเปล่าบนหน้ากระดาษ และกระดูกถูกทิ้งร้างไว้ใต้ กองเถ้าธุลี 6 ฤดูฝนถูกพัดพาผ่านมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ นับตั้งแต่วันที่ เด็กหนุ่มจากบ้านนาไป ต้นจานที่เคยสะพรั่งไปด้วยสีแดงเมื่อคราวที่เด็ก หนุ่มยังคงมีความฝันอยู่ ถูกสลัดทิ้งลงมาอย่างน่าใจหาย บนลำ�ต้นเหลือ แต่เพียงความว่างเปล่า ปล่อยให้กิ่งที่แห้งยืนโดดเดี่ยวท้าทายลมฝนแต่ เพียงผู้เดียว ใบไม้ที่เคยแตกยอดอ่อนในช่วงฤดูฝนก็ไร้ซึ่งวี่แววที่จะงอก ขึ้นใหม่ มันคงจะเหน็ดเหนื่อยกับการที่จะต้องแย่งชิงกันอย่างนี้ทุกปีสินะ 41
“ฉันเกิดมามีอะไรบางอย่างที่ไม่จำ�เป็นมีหน้าที่ให้ร่มเงาและแย่ง ชิงพื้นที่กับดอกจานตามแบบอย่างเหมือนต้นอื่นเขาเพียงอย่างเดียว ฉัน ต่างก็ไม่รู้ว่าไอ้การที่เกิดๆ ตกๆ ไปแบบนี้จะทำ�ตามแบบค่านิยมตามต้น อื่นไปทำ�ไมกัน แต่การที่ตกลงไปทุกๆ ปีนั้น มันกลับทำ�ให้ฉันฉุกคิดได้ว่า ฉันสามารถเป็นปุ๋ยบำ�รุงลำ�ต้นก็ได้ ไม่จำ�เป็นหรอกที่จะต้องยื้อยุดกับดอก จาน เพราะฉันก็รู้ว่าลำ�ต้นนี้มีอะไรให้ทำ�อีกตั้งเยอะ...” แต่สิ่งนั้นลมฝนก็พลันสงสัยในความเปลี่ยนแปลงของฉัน ด้วย เหตุที่ฉันไม่ยอมงอกใบขึ้นมาใหม่ว่า “เฮ้ย....แกทำ�ไมไม่งอกใบวะ ดูสิแสงแดดมานั่นแล้ว” ฉันเลย เงียบ และก็อดคิด ถามกลับไปไม่ได้ว่า “สุดท้ายก็แค่แสงแดด” 7 มันช่างเหน็บหนาวแท้ แต่เวลานี้มันก็ร้อนไปถึงใจส่วนลึกของทัด เสียเหลือเกินเมื่อเขานึกถึงเรื่องราวในอดีต ดึกแล้วเขายังขดตัวนอนราบ กับกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ยับยู่ยี่ หัวใจว่างเปล่าและเต็มไปด้วยคำ�ถามที่ ครุน่ คิดในคืนนีท้ �ำ ให้เขาสับสน บทกวีทถ่ี กู เขียนลงบนแผ่นกระดาษ มินาน เท่าใดเขาจึงหยิบมันขึ้นมาดูอีกรอบ แสงไฟตามท้องถนน พอสลัวๆ ให้ เห็นถึงข้อความเลือนรางบนเนือ้ ความของกระดาษ แต่ทว่าความเลือนราง ในบางสิ่งนั้น เขาจึงย้อนกลับตั้งคำ�ถามกับตนเองว่า “ฉัน...จะ...มา...หา...ไร...”
42
43
แค่เธอ ภาริตา พัฒนไกรสิน
44
ยามเย็นในฤดูร้อนช่วงปิดเทอม นั่งกับความคุ้นเคยสัมผัสเดิมๆ ที่ผ่านมาเกือบห้าปีในสนามเด็กเล่นใกล้บ้าน กอบแก๊บ กอบแก๊บ เสียง เท้าไปเหยียบเข้ากับใบไม้แห้งทีร่ ว่ งเป็นกองเต็มทางเดิน ความเหงาเข้าปก คลุมทุกสิง่ ทุกอย่างรอบกายให้หวนคิดถึง คนทีบ่ อกให้รอ คนทีบ่ อกจะกลับ มา คนทีบ่ อกว่าสัญญา แต่รอมาจนปานนีค้ นทีบ่ อกคนนัน้ เงียบหายไปไหน ฉันขออยู่ตามลำ�พัง ไม่ตามพ่อแม่ และครอบครัวไปอยู่ต่าง ประเทศ เพียงเพราะฉันรอ รอคำ�สัญญา ของใครบางคน ฉันเลือกอยู่กับ ทุกอย่างที่เป็นสิ่งเดิมๆ “ดูแลตัวเองด้วยนะลูก อยู่คนเดียวก็ระวังตัวให้มาก” พ่อแม่โอบ กอดฉันทั้งน้ำ�ตา “ค่ะ แม่ไปถึงที่โน้นอย่าลืมคิดถึงหนูบ้างนะ” ฉันยิ้มทั้งน้ำ�ตา “พวกเราเข้าใจในสิ่งที่ลูกเลือกนะ” ทุกคนพูดพร้อมกันก่อนจะ เดินจากไป ฉันยังคงนัง่ อยูช่ งิ ช้าตัวเดิมเพียงลำ�พัง ครัน้ เมือ่ ก่อนชิงช้าตัว 45
ข้างๆ จะมีเขานั่งส่งยิ้มเป็นเพื่อนด้วยความคิดถึงเจือปนอยู่ในความเจ็บ ปวด กลั่นเป็นน้ำ�ใสๆ ไหลอาบแก้ม เสียงพูดของเขายังคงวนเวียนรอบ โสตประสาทของฉัน เขาจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดของฉันบ้างไหม ทุกวัน ฉันมานั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ฉันยังคงเฝ้ารอคอยเขาอย่างโหยหา แม้รู้ว่ายิ่ง รอเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนจะหมดหวัง 5 ปี ที่เรื่องราวระหว่างฉันกับเขายังเป็นภาพติดตา ความทรง จำ�ทุกอย่างมันยังเหมือนเรือ่ งราวทีพ่ ง่ึ เกิดขึน้ เมือ่ วาน วันสุดท้ายทีเ่ ราเจอ กัน ยังคงมีเพียงหนึ่งคำ�ถามเท่านั้นที่ฉันอยากจะพูดออกไปเพื่อถามเขา ว่า ทำ�ไม? เพราะอะไรในวันนี้เธอจึงหายไป “เขายังสบายดีอยู่ใช่ไหม” ฉันถามเพื่อน “เลิกคิดถึงคนๆ นัน้ เถอะ เสียเวลา” คำ�ตอบตัดบทของเพือ่ นฉัน “เธอไม่เคยรักใคร ไม่รู้หรอกว่ารักมีค่ามากแค่ไหน” เพื่อนฉันได้ แต่ทำ�หน้าเหมือนเข้าใจก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย ร้านกาแฟนี้เป็นกิจการที่ครอบครัวของฉันเปิดให้ เป็นสถานที่ นั่งคุยสบายๆ ของวัยรุ่นและบุคคลทั่วไปอยู่มาก ฉันเคยคิดที่จะปิดร้านนี้ ลง หรือไม่กข็ ายให้เจ้าของคนใหม่ ตัง้ แต่วนั ทีเ่ ฝ้ารอคำ�สัญญาต่างๆ นานา จากเขา แต่เหมือนกลับมาคิดอีกทีถ้าเขากลับมาหาฉันไม่เจอที่สนามเด็ก เล่นแถวบ้าน เขาก็ต้องมาหาฉันที่ร้านกาแฟแห่งนี้ นั่นเป็นกำ�ลังใจให้ฉัน เปิดร้านกาแฟนี้ต่อไป และรักร้านนี้มากเท่าๆ กับรักเขาคนนั้นเลย เสียงกระดิ่ง เป็นสัญญาณบอกให้คนในร้านรู้ว่ามีคนเข้ามา สิ่ง นัน้ จะเป็นตัวกระชากให้สายตาและหัวใจของฉันหันไปมองตามทุกที แต่นน่ั ก็ทำ�ให้ฉันพบแต่ความผิดหวัง อันที่จริงฉันไม่ได้เหงาอะไรมากขนาดนั้น เลย ฉันเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ทุกวันร้านจะเต็มไปด้วยลูกค้าขาประจำ�รวม ทั้งคู่ซี้ของฉันอีกหลายคน ชีวิตฉันไม่ได้เหงาอะไรเลย เพียงหัวใจของตัว ฉันเองเท่านั้นแหละ ที่ยังโหยหายไม่ยอมเปิดรับสิ่งใหม่ที่พร้อมจะเข้ามาใน 46
ชีวิตของตัวฉันเอง วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันรอเขาเพียงคนเดียว ในรอบห้าปีวันนี้แค่วัน เดียวเขาผิดสัญญากับฉันมาตลอด ครบรอบวันเกิดฉัน นอกจากของขวัญ พร้อมคำ�อวยพรจากพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนๆ ของฉัน ที่ฉันได้ยินทุกๆ ปี แต่เขาอวยพรครั้งสุดท้ายเมื่อห้าปีที่ผ่านมา หลังจากวันนั้นเขาก็หายไปไม่ มีแม้แต่ค�ำ บอกกล่าวใดๆ นอกจากคำ�ว่ารักและจะกลับมาตามคำ�สัญญา วันนี้เป็นวันครบรอบ 25 ปีของฉัน หลังจากปาร์ตี้วันคล้ายวัน เกิดเลิกรา ทุกคนก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน ฉันบอกเพื่อนๆ ว่าจะเก็บ ร้านสักพักก็จะกลับ ยังคงมานั่งวนเวียนนึกถึงเรื่องราวเก่า พร้อมกับนำ� วีดีโอต่างๆ ที่เคยถ่ายเอาไว้มาเปิดดู การหลอกตัวเองของฉันเริ่มเป็น เอามาก เมื่อฉันได้เห็นเรื่องราวเก่าๆ เหล่านั้น น้ำ�ตาแสดงถึงความเป็น เพื่อนที่แสนดีของฉันมาตลอด เช้าวันต่อมา ฉันไปทำ�บุญที่วัดกับเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันตั้ง แต่เด็ก เพราะบ้านของเราอยู่ด้วยกัน ส่วนพ่อแม่ของเพื่อนฉันก็เสียไป ตั้งแต่เพื่อนฉันเรียนจบปริญญาตรี ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉันก็เลยให้ เพือ่ นสนิทคนนีม้ าอยูท่ บ่ี า้ นกับฉันเลย เราจะได้เป็นเหมือนพีน่ อ้ งกัน เพือ่ น คนนี้รับรู้ความรู้สึกของฉันทุกอย่าง และเข้าใจฉันมากตลอด “ต้นข้าว ลืมผู้ชายคนนั้นไปได้แล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่ คอยหลอกตัวเองอยูอ่ ย่างนี”้ เพือ่ นฉันพูดหลังจากเรากลับจากทำ�บุญทีว่ ดั “เธอเข้าใจฉันดี ขออย่างเดียวอย่าบอกฉันหยุดเลย” ฉันยิ้ม พร้อมกับตอบกลับไป “ถ้าเป็นอย่างนี้ ฉันว่าข้าวไปหาพ่อแม่ที่เมืองนอกดีกว่านะ” “นั่นไม่ใช่ทางออก หรือวิธีลืมเรื่องราว” ฉันตอบ แล้วเดินเข้าไป หลังร้าน ตัวฉันเองไม่ยอมเปิดใจให้ใครต่อใครเลย ทั้งๆ ที่มีผู้ชายมากมาย 47
เข้ามาทำ�ความรู้จัก แล้วพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไปจาก เขาคนนั้นเลย อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ�ไป เพราะความผูกพันที่เรามีด้วยกัน ตั้งแต่เด็ก ก่อนที่เราจะคบกัน เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาลแล้วพ่อ แม่ก็เป็นเพื่อนกัน ความผูกพันเหล่านี้แหละที่เป็นเส้นความรักก่อตัวขึ้น เรือ่ ยๆ จนในทีส่ ดุ เมือ่ เราเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เราตัดสินใจลงเรียน คณะเดียวกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน อยู่ในสายตาพ่อแม่ตลอด จบพร้อม กัน สานสัมพันธ์กนั จนเมือ่ ห้าปีทผ่ี า่ นมา ในวันครบรอบวันเกิดของฉัน ทุก อย่างเหมือนจบลง ฉันไม่เคยจะรับฟังใครเลย ถึงเรื่องราวที่ผ่านมา จนทุกคนยอม รับในสิ่งที่ฉันต้องการเท่านั้น ฉันไม่ใช่คนบ้าหรือเสียสติ เพียงแต่จิตใต้ สำ�นึกของฉันมันมีให้เพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น ความมั่นคงต่อความรักและ ความรู้สึกที่ฉันมีให้เขา มันคงทำ�ให้ใครรับรู้ไม่ได้เลยว่ามันมีค่าต่อตัวฉัน เพียงใด ตั้งแต่วันนั้นฉันแค่ไม่อยากรับรู้ความจริงว่าวันเกิดฉันเมื่อห้าปี ที่ผ่านมานั้น เป็นวันตายของเขา หลังจากที่เราฉลองกันอยู่ที่ร้านกาแฟ ของฉัน พร้อมกับเพือ่ นหลายๆ คน ของขวัญทีม่ คี า่ ทีส่ ดุ ตอนนัน้ คือเราทัง้ คู่วางแผนจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศด้วยกัน เขาให้แหวนที่สลักชื่อเขาไว้ เป็นของขวัญวันเกิดให้ฉนั หลังจากงานเลีย้ งเลิกฉันส่งเขาทีห่ น้าร้าน ขณะ ทีเ่ ขาเดินออกไปรถยนต์ขบั มาเร็วมากชนเอาร่างของเขาไปด้วย ต่อหน้าต่อ ตาฉัน เขาสิ้นใจต่อหน้าฉัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เหมือนเหตุการณ์ เป็นเรื่องเมื่อวาน...
48
49
“รอยยิ้มสดใส” รื่นรมย์
50
05.00 น. ล้อหมุนจากคณะสถาปัตยกรรมท่ามกลางความวุ่น วายของนิสิตวัยใส บางคนมีรอยยิ้ม บางคนหน้าบูดเพราะต้องตื่นแต่เช้า บางคนไม่อยากไปร่วมค่ายเพราะกลัวลำ�บาก หลากหลายเหตุผลของคน แต่การบังคับของคณะอาจารย์ก็สำ�เร็จเมื่อเอยคำ�ว่า...นิสิตท่านใดไปร่วม ค่ายอาสาพัฒนาอาจารย์จะบวกให้เลยอีก 10 คะแนน เสียงเจี๊ยวจ้าวบน รถ “แกไปค่ายที่บ้านนอกจะมีไรให้กินวะ” “นั่นสิ....แม่งห้องน้ำ�จะเป็นอย่างไงหนอ” “เด๋ียวถ้ารถจอด เซเว่นเราลงไปซื้อของตุนไว้กินกันเองดีกว่า” “แม่งอาจารย์ทำ�ไมต้องบังคับวะ นี้ถ้าไม่ได้ 10 คะแนน ฉันคน หนึ่งที่จะไม่ไป” “แค่ไปทำ�ห้องสมุดให้เด็กประถม..จะหอบไปทำ�ไมทั้งเอก” เสียงบ่นบนรถบัสของมหาวิทยาลัย บางคนก็หลับใหล ไม่นานเสียงกลอง หลังรถก็ขึ้น 51
“แม่ง..ใครตีวะ..หนวกหู” “พี่หน่องว่ะ” “อ้าว..น้องๆ นฤมิตศิลป์ทุกคนฟังทางนี้” มีรุ่นพี่ปีสี่มายืนสร้างสีสันบนรถ “น้องๆ คะ..รู้จักพวกเราไหมเอ่ย” เสียงตอบพร้อมกัน “รู้” “พี่ก็มีทั้งหมด 14 คน เป็นพี่ปีสี่พวกพี่กลับจากฝึกงานก็เลยมี กิจกรรมบำ�เพ็ญประโยชน์กับน้องและอาจารย์” “แม่ง..รำ�คาญวะ..กูจะนอน” เสียงเพลงพร้อมท่าเต้นแร้งเต้นกาออกลีลาปลดปล่อยของรุ่นพี่ เรียกเสียงหัวเราะลั่นรถบัสถึงแม้จะมีบางคนที่ไม่พอใจกับสีสันบนรถ บาง คนอาจจะอยากนอนอย่างสบายก่อนถึงจุดหมายปลายทาง รถใช้เวลาแล่นบนท้องถนนราว 7 - 8 ชั่วโมงโดยไม่แวะร้าน สะดวกซื้อให้กับนิสิต แวะเพียงปั๊มเล็กๆ ให้นิสิตลงไปทำ�ธุระส่วนตัว “แม่ง...อาจารย์ไม่ให้จอดเซเว่น..กูจะแดกอะไรว่ะ..ไปบ้านนอก ขนาดนั้น” เสียงบ่นตลอดเส้นทางสัญจรในครั้งนี้ เมื่อรถเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน สองข้างทางเป็นป่าลึกอุดมสมบูรณ์ด้วยไม้นานาพรรณ บรรยากาศร่มรื่น ท่ามกลางหุบเขาเย็นสบายคลายเหนื่อยจากการเดินทางร่วม 10 ชั่วโมง เมื่อรถบัสจำ�นวน 2 คันจอดบริเวณโรงเรียนมีเด็กๆ นักเรียนทั้งโรงเรียน มาต้อนรับ เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีคุณครู 3 ท่าน มีนักเรียน 30 คน คุณครูต้อนรับอย่างอบอุ่น รอยยิ้มของพี่ๆ น้องๆ และคณะอาจารย์ช่าง สดใสเหมือนอากาศที่บริสุทธิ์ของโรงเรียนนี้ “น้องๆ ปี1 ปี2 ปี3 มารวมกันทางนี้” “เดียวเราจะพักรับประทานอาหารก่อน ทางโรงเรียนได้เตรียม 52
อาหารไว้ให้เราแล้วนะครับ” “หลังจากเสร็จภารกิจส่วนตัวแล้ว พี่ๆ จะแบ่งงานให้น้องทำ�นะ ครับ” “น้องๆ ผู้หญิงประมาณ 5 - 8 คนช่วยกันทำ�กับข้าวนะครับ.. โดยเป็นลูกมือพี่หน่อง” “ส่วนน้องๆ ผู้ชาย มาช่วยกันสร้างห้องสมุด....ช่วยกันผสมปูน ก่ออิฐ และฉากฝาผนัง” “โอ้ย” เสียงดังขึ้นทันที พี่วิทย์ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมในครั้งนี้ชี้แจงรายละเอียดกับน้องก่อน จะลงมือทานอาหารมื้อแรกฝีมือของชาวบ้าน อาหารมื้อแรกในวันนี้เป็น “ต้มไก่บ้านใส่ใบหม่อนกับข้าวสวยร้อน” ทุกคนทานอย่างอร่อยไม่มีบ่น สักคำ�อาจเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางในครั้งนี้ หลังจากรับประทาน อาหารเสร็จพี่วิทย์ปล่อยให้น้องๆ พักผ่อนตามอัธยาศัยและได้เรียกพี่ๆ มา ร่วมประชุมแผนงาน “อ้าวน้องๆ มาเริ่มงานกันได้แล้ว” พี่แนนร้องเรียกน้องๆ ขณะนี้เวลาบ่ายๆ ของวันเสาร์แสงแดดร้อนระอุ อบอ้าว แต่ก็ยัง มีลมพัดผ่านให้รู้สึกเย็นสบาย งานสร้างห้องสมุดเล็กๆ เริ่มขึ้นอย่างเป็น ทางการทุกคนให้ความร่วมมืออย่างเข้มแข็ง กำ�หนดการออกค่ายในครั้ง นี้เพียงสองวันกับการสร้างห้องสมุดเล็กๆ ให้กับน้องๆ ทุกคนเริ่มเหนื่อยจากงาน ทั้งหนัก ปวดเมื่อยและอาการท้องร้อง เนื่องจากได้เวลาอาหารแล้วแต่ทางห้องครัวยังหุงข้าวไม่สุก เสียงบ่นเริ่ม ขึ้น “โอ้ย...เหนื่อย เมื่อย” “ร้อน..อยากอาบน้ำ�” “โอ้ย..หิวข้าวมากเลย” 53
เสียงบ่นจากน้องๆ ทั้งสามชั้นปี แต่พวกพี่ซึ่งเป็นตัวหลักกลับ ทำ�งานอย่างไม่หยุดพักและไม่มีเสียงบ่นให้รำ�คาญใจตรงกันข้ามทุกคน กลับหาเรือ่ งราวสนุกสนานมาเล่าสูก่ นั ฟังขณะทำ�งาน เป็นเรือ่ งราวทีผ่ า่ น มาด้วยกันตลอดระยะเวลาสี่ปี เสียงหัวเราะดังลั่นท่ามกลางป่าเขาล้อม รอบโรงเรียน ไม่นานนักอาหารมื้อเย็นฝีมือนิสิตก็เป็นอันเสร็จสิ้น “อ้าว..ทุกคนล้างมือแล้วมากินข้าวได้แล้ว..ครับ” เสียงพี่หน่อง เดินมาร้องเรียก “วันนี้เราทำ�แกงจืดกระดูกหมูครับ...ให้ทุกคนตักทานได้เลย... หลังจากทานเสร็จก็ล้างจานด้วยนะครับ” สีหน้าของคนทำ�อาหารในวันนี้ดูไม่สดใสเลย น้องเมย์ปีหนึ่งกับ น้องแต้วหุงข้าวสุกบ้างดิบบ้างเนื่องจากหุงเป็นจำ�นวนมากและเป็นครั้ง แรกที่ต้องทำ�กับข้าวให้เพื่อนกิน ทุกคนก้มหน้าขณะกินข้าวพร้อมกับ ซุบซิบเรื่องอะไรไม่รู้ หลังจากทานข้าวเสร็จต่างพากันแยกย้ายไปอาบน้ำ� ส่วนพี่ๆ ก็ยังทำ�งานต่ออย่างไม่รู้จักเหนื่อย บางคนก็แอบไปนอน บาง คนก็คุยโทรศัพท์ บางคนก็นั่งคุยกัน ส่วนงานนั้นยังเหลืออีกหลายขั้น ตอนกว่าจะเสร็จ พี่วิทย์หัวหน้าทีมเริ่มเครียดและงานยังขาดอุปกรณ์ ปูนบล็อก ก็ไม่พอต่างพากันวิ่งหารถเข้าไปซื้อในเมืองประมาณ 80 กิโลเมตร เวลา ใกล้ค่ำ�แล้ว แต่พอไปถึงตัวเมืองร้านวัสดุก่อสร้างยังเปิดไฟสว่างและยังคง เปิดให้บริการอยู่ วิทย์ยิ้มอย่างโล่งอก เมื่อกลับมาถึงงานสร้างห้องสมุดก็ ดำ�เนินการตลอดทั้งคืนโดยไม่มีใครได้อาบน้ำ� น้องๆ เข้านอนเกือบหมด เหลือเพียงบางคนที่มีจิตอาสาช่วยงานจนแสงแรกของเข้าวันใหม่โผล่ตรง เส้นขอบฟ้า ภาพที่วิทย์เห็นในขณะนั้นกลับไม่ใช่ภาพธรรมชาติที่สวยงาม ยามเช้าแต่เป็นภาพเพื่อนๆ นอนแนบกับอุปกรณ์ก่อสร้างวันนี้เราต้องส่ง 54
มอบห้องสมุดให้กับโรงเรียนพร้อมทั้งหนังสือจำ�นวนมากและอุปกรณ์การ เรียนการสอน และน้ำ�ใจเล็กน้อยจากพี่สู่น้อง ยามบ่ายของวันอาทิตย์ภารกิจต่างๆ เป็นอันเสร็จสิ้นทุกคนชื่น ชมผลงานของตนเองและร่วมจัดข้าวของให้ห้องสมุด “น้องๆ ทุกคนภารกิจในวันนี้ใกล้เสร็จแล้ว” “ให้ทุกคนเตรียมเก็บสัมภาระขึ้นรถและมารวมกันที่ใต้ถุนอาคาร เรียน เพื่อปิดค่าย” น้องๆ น่ารักร่วมกันคิดการแสดงตอบแทนน้ำ�ใจให้กับพี่ๆ ทุกคน ต่างมีรอยยิ้มถึงแม้จะมาค่ายโดยมีเงื่อนไขของคะแนนแต่ก็มีรอยยิ้มและ เสียงหัวเราะไปพร้อมๆ กับคนอืน่ ๆ ทีม่ าด้วยใจ บางทีการบังคับของอาจารย์ อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตและทัศนะคติของนิสิตหลายๆ คนก็ได้ พี่ร่วมเล่นเกมกับน้องๆ และส่งมอบห้องสมุดพร้อมทั้งมอบ อุปกรณ์การเรียน พี่ๆ บางคนมีน้ำ�ใจนำ�สิ่งของส่วนตัวอย่างเช่นตุ๊กตามา มอบให้เด็ก ตุ๊กตาเล็กๆ สำ�หรับเด็กบ้านนอกแล้วเป็นสิ่งที่มีค่าทางจิตใจ อย่างมหาศาลร้อยยิ้มของพี่ขณะมอบตุ๊กตาให้น้องบวกกับรอยยิ้มของ น้องผู้รับช่างดูสดใสสมวัยไร้ซึ่งความหม่องหม่นของจิตใจ วิทย์นง่ั มองภาพตัวเองในอัลบัม้ รูปสมัยเป็นนิสติ หนุม่ เขาผ่านชีวติ มหาลัยมา 5 ปีแต่รู้สึกถึงการเรียนรู้อย่างไม่รู้จบ วิทย์นั่งจิบกาแฟร้านเดิมที่เคยนั่งเป็นประจำ�ตอนสมัยเรียน มอง ออกไปรอบๆ เห็นอาคารที่เคยเรียนเห็นนิสิตกำ�ลังยุ่งกับการเรียนและเขา ยิ้มอย่างสดใสเหมือนภาพเด็กๆ ในอัลบั้มรูป
55
เช้าชาวนา อธิคม วงษ์นาง
56
ฝนที่ตกพร่ำ�ๆ ตลอดทั้งคืนทำ�ให้ฉันตื่นขึ้นมาเมื่อ ตุ้มๆๆ โหม่ง ตุ้ม โหม่งๆๆ เสียงกลองจากวัดใกล้ๆ บ้านของฉัน ทำ�ให้รู้ว่าเป็นเวลา ตี 4 แล้ว ถึงแม้ยามเช้ามืดอย่างนี้ หลายคนยังคงฝันหวานอยู่บนที่นอน คลุมด้วยผ้าห่มผืนหนา ฉันเองก็คดิ อยูเ่ หมือนกัน บรรยากาศทีแ่ สนจะเย็น สบายช่างเป็นบรรยากาศที่น่าพักผ่อนเสียจริงๆ แต่ด้วยภาระที่ฉันจะต้อง ทำ�ในช่วงนี้ ทำ�ให้ฉันต้องลืมความคิดที่อยากพักผ่อนนั้นไป ทุกๆ วันฉัน ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมตัวไปทำ�งาน เมื่อฉันลืมตาตื่นขึ้นมาฉันก็อดที่ จะคิดถึงงานที่กำ�ลังรอฉันอยู่ในวันนี้ไม่ได้ ฉันนั่งครุ่นคิดถึงงานที่จะต้อง ทำ�ในวันนี้ พลางหยิบบุหรี่ที่ห่อด้วยใบตองแห้งมาสูบ “คือตื่นแต่เช้าแท้ลูก” แม่ฉันถามหลังย่างก้าวออกมาจากห้อง นอน “พอดีได้ยินเสียงพระตีกลองเลยตื่นครับแม่” ฉันดูดบุหรี่คำ�ใหญ่ แล้วหันไปตอบแม่ เสียงไก่ขันประสานเสียงกันประชันกับเสียงฝนที่ตกลงมากระทบ 57
กับหลังคาสังกะสี แต่เมื่อฟังดูก็รู้สึกไพเราะดี เสียงหอกระจายข่าวที่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเปิดเพลงปลุกใจ “กสิกรแข็งขัน คือกระดูกสันหลัง.....” ทำ�ให้ฉันระลึกถึงหน้าที่ ที่ฉันต้องทำ� และภูมิใจที่ได้ทำ�งานเพื่อมหาชน หลังจากจบเพลงนี้แล้วก็ เปิดหมอลำ�กลอนของหมอลำ�บุญเพ็ง ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนในหมู่บ้าน เมื่อเสียงกลอนลำ�ดังขึ้น บ้านข้างๆ ฉันเหมือนจะรู้หน้าที่ว่าต้องตื่นเพื่อ หุ้งข้าว เพื่อให้ได้ข้าวไปกินในเวลาทำ�งานแต่เช้า “หล่าเอ้ย ตื่นๆๆ ลุกๆๆๆ” เสียงบ้านข้างๆ ปลุกลูกตัวเองเพื่อ ฝึกให้เป็นนิสยั ตัง้ แต่เด็ก พลางได้ยนิ เสียงแคนทีบ่ รรเลงมาจากทางทิศเหนือ ของบ้านของฉัน นัน่ เป็นเสียงแคนของพ่อใหญ่สอน แกเป็นหมอแคนประจำ� คณะหมอลำ�กลอนคณะหนึ่ง แต่ด้วยอายุของแกมากขึ้น ทำ�ให้ไปไหน ลำ�บาก แกจึงเลิกเป่าให้กับหมอลำ�กลอน แต่แกจะบรรเลงแคนลายใหญ่ ในตอนเช้าเป็นประจำ� มันทำ�ให้ฉันรู้สึกดีและพร้อมในการทำ�งาน เสียงหัก ไม้กอ่ ไฟดังขึน้ ทุกทิศ ควันสีขาวลอยล่องขึน้ สูท่ อ้ งฟ้า กลิน่ ควันผสมกลิน่ ไอ ของฝนลอยเข้าจมูกของฉัน กลิน่ ไอของมันวันนีแ้ ปลกไปกว่าทุกวันเพราะ มีละอองน้ำ�ที่มากับฝนปนเปมาด้วย แม่ฉันเดินลงบันไดลงมาเพื่อหุงข้าวเช่นเดียวกันกับบ้านหลัง อื่นๆ ถึงแม้แกจะอายุย่างเข้า 70 แล้ว แต่แกก็ยังแข็งแรงอยู่ ฉันเองก็ ต้องทำ�หน้าที่ของฉันเพื่อที่จะเตรียมตัวไปทำ�งาน ฉันเตรียมจอบ มีด และ แอกไถ ให้พร้อมในการใช้งาน “ตู้ๆๆ มื่อนี้เฮ็ดให้แล้วเด้อ มื่ออื่นสิบ่ต้องได้เฮ็ด” ฉันพูดกับเจ้าตู้ เจ้าตู้คือควายตัวเดียวของบ้านฉัน มันช่วยให้ เรามีข้าวกินทุกๆ ปี จนร่างกายของมันเริ่มแก่ลง ฉันกับแม่เคยพูดกันว่า จะขายมันเพื่อซื้อควายตัวใหม่ แต่ฉันได้ขอร้องแม่ ขอให้มันอยู่กับเราจน มันตาย เพราะมันกับผมเจอกันมาตั้งแต่เด็ก มันให้ผมขี่หลังของมันไปทำ� 58
งาน มันเป็นพาหนะที่ดีที่สุดและเพียงอย่างเดียวที่ผมมี มันจึงได้อยู่กับผม และแม่จนทุกวันนี้ หลังจากทีเ่ ตรียมอุปกรณ์การทำ�งานเสร็จ ฉันเดินไปทีต่ มุ่ น้�ำ หน้า บ้านเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน ฉันใช้น้ำ�ล้างหน้าตาพลางมองไปที่ใต้ถุน เห็น ใครคนหนึง่ เดินตะคุม่ ๆ กำ�ลังมุง่ หน้ามาทางฉัน จนฉันสะดุง้ เล็กน้อยพลาง จ้องไปดูเพื่อให้เห็นภาพนั้นชัดขึ้น “ห่วยอีแม่ ว่าแม่นพู่ได๋” ฉันเริ่มหายสงสัยพลางมองไปที่แม่ “ว่าแม่นไผหละ อยู่กันสองคนแม่ลูก หรือคิดว่าผีพ่อเจ้ามาถาม ข่าวบ่น้อ” แม่อมยิ้มแล้วตอบผม แม่ยื่นกระติบข้าวพร้อมกับห่อใบตองขนาดเท่าฝ่ามือให้กับฉัน ฉันอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าในห่อใบตองนั้นคืออะไร “ได้หยังกินหละแม่มื่อนิ” “ปิ้งปลาดุก น้าจ่อยเพิ่นให้มามื่อวานนี้” แม่มองฉันแล้วตอบ “ป๊าด เป็นตาแซบแท้น้อ” แม่ยิ้มให้ฉันหลังจากที่ได้ยิน ฉันไม่รีรอ รีบเปิดคอกเจ้าตู้แล้วแก้เชือกที่มันอยู่กับเสาต้นใหญ่ ออก พร้อมจูงมันออกมา มันเองก็รหู้ น้าทีม่ นั เป็นอย่างดีรบี เดินออกมาจาก คอกโดยไม่ต้องใช้แรง ฉันสะพายก่องข้าวและปิ้งปลาดุกที่แม่เตรียมให้ฉัน กินในตอนเช้าแล้วกระโดดขึ้นขี่หลังเจ้าตู้เหมือนสมัยเด็กๆ ที่ฉันเคยทำ� “ไปก่อนเด้อแม่” ฉันลาแม่ตามธรรมเนียม “เออ ไปไป ฟ้าวเฮ็ดฟ้าวแล้ว เหมื่อยกะพักแหน่หละ” แม่บอก ฉันด้วยความเป็นห่วง ตลอดเส้นทางจากที่บ้านจนถึงที่ทำ�งาน ฉันทักทายเพื่อนบ้าน เพือ่ ถามข่าวคราวกันตามประสาคนบ้านนอก และบางครัง้ เขาก็ทกั ฉันก่อน “โอ้ ไปแต่เช้าแท้ สิบ่แล้วก่อนหมู่ซะบ้อ “ ลุงมีกำ�ลังเตรียมเครื่องมือเพื่อไปทำ�งานเช่นเดียวกับฉัน ร้องทัก 59
ออกมาจากใต้ถุนบ้านของแก “บ่ดอกครับลุง ค่อยเป็นค่อยไป แล้วยามได๋บ่ใช่ปัญหา” ฉันพูด อีสานแกมภาษากลางตอบแก แกหัวเราะอย่างชอบใจ หมู่บ้านที่ฉันอยู่ส่วนมากเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงเพื่อใช้พื้นที่ข้าง ล่างบ้านเป็นคอกสัตว์โดยเฉพาะวัวและควาย ซึ่งมีความสำ�คัญกับชีวิต ของเราทั้งหมู่บ้านมาก หลังคามุงด้วยสังกะสีที่บ่งออกว่ามันถูกยึดติดกับ บ้านหลังนี้มาไม่ตำ�กว่า 20 ปี ถนนยังคงเป็นดินที่เต็มไปด้วยมูลของวัว และควายที่มันคิดว่าเป็นห้องน้ำ�และถ่ายลงในทุกๆ วัน ต้นไม้ และต้นหญ้า ดูเขียวชอุ่ม ดอกมันปลาส่งกลิ่นหอมล่องลอยมา เสียงผู้คนพูดทักทาย และเล่าเรื่องต่างๆ ให้กันฟัง บ้างเดินไปร้านโชว์ห่วยเพื่อซื้อของใช้และ ของกิน ยายเฒ่า 2 - 3 คนกำ�ลังนั่งคอยพระมารับบิณฑบาตรด้วยสาย ตาที่กำ�ลังสอดส่องมองไปจนสุดลูกหูลูกตาเพื่อคอยดูว่าพระจะมาหรือยัง ที่ทำ�งานของฉันอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ทันทีที่ฉันถึงที่ทำ�งาน ฉันไม่รีรอที่ จะลงมือทำ�งาน ที่ทำ�งานของฉันกว้างมาก เต็มไปด้วยต้นไม้และคันแทนา (คันนา) ซึง่ แตกต่างจากการทำ�งานในโรงงานหรือตามบริษทั ต่างๆ มีอากาศ สดชื่นที่ไม่ต้องแย่งกันหายใจ มันจึงทำ�ให้ฉันภูิมิใจที่ได้ทำ�งานที่ใหญ่กว่า ผู้คนในเมือง กว่าคนที่จบการศึกษาสูงๆ และมันเป็นที่ที่ฉันอยู่และผูกพัน
60
61
ท้องแท้ง : ทอดทิ้ง ศศิธร ช่วยรักษา
62
“โยกเยกเอ๋ย น้ำ�ท่วมเมฆ กระตายลอยคอ ม้าหางงอ กอดคอ โยกเยก” เพลงกล่อมเด็กดังขึ้นมา จากครอบครัวหนึ่งที่นั่งใกล้ๆ กับหล่อนอยู่ในสวนสาธารณแห่ง หนึ่งในจังหวัดสกลนคร เสียงนั้นแว่วมาเข้าหูของหล่อน น้ำ�ใสๆ นัยย์ตา ของหล่อนเริ่มไหลรินที่ละหยด ละหยด ในช่วงเย็นๆ ของวันที่ 12 เดือน สิงหาคม พุทธศักราช 2553 หล่อนมีแม่ มีพ่อ มีครอบครัวที่อบอุ่น จน ทำ�ให้ฉันสงสัยว่าหล่อนทำ�ไมจึงร้องไห้ “ลูกรักของแม่ถ้าหนูเกิดมาหนูจะขาดพ่อ คนจะประณามว่าหนู และแม่ แม่ขอโทษ แม่เองก็ไม่อยากทำ�แบบนี้” หล่อนพูดพลางส่อสายตา เหม่อลอย ในขณะนั้นฉันและหล่อนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ที่มาออก กำ�ลังกายและพักผ่อนในสวนสาธารณะ หล่อนร้องให้ไม่ยอมหยุด ตัวของ ฉันเองก็เงียบเป็นเป่าสากและรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กอมมือไม่รู้เรื่อง อะไรสักอย่าง จะปลอบหล่อนก็ไม่ได้ ฉันเริ่มมึนงงและนิ่งไปแล้วใช้เวลา 63
คิดไปพักใหญ่ ฉันจึงเริ่มจะรู้ในสิ่งที่หล่อนเป็นอยู่ ขณะเดียวกันหล่อนได้ บอกกับฉันว่า หล่อนไปแท้งลูกมา ซึ่งไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่พ่อกับแม่ ของหล่อนหรือแม้กระทั่งคนที่เป็นพ่อของลูก “ฉันไปแท้งลูกเมื่อปีที่แล้ว...” หล่อนพูดพลางร้องไห้เสียงดัง “ทำ �ไมถึ ง ทำ � แบบนั้ น ...ทำ �ไมไม่ ป รึ ก ษาผู้ ใ หญ่ ? ”ฉั น ถามด้ ว ย ความสงสัย “เอ่อ... ฉัน ฉัน” หล่อนนิ่งไปครู่หนึ่ง “ฉันถามว่าทำ�ไม…? เธอทำ�ไมใจร้ายแบบนี้ เธอฆ่าลูกของเธอ นั่นมันเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ เธอทำ�ได้อย่างไรกัน อะไรทำ�ให้เธอคิดแบบ นั้น เธอยังเห็นพ่อแม่เป็นพ่อแม่อยู่มั้ย แล้วที่นั่งอยู่ตรงนี้เพื่อนหรือควาย กันล่ะ” ฉันพูดขึ้นด้วยความโมโห หลังจากที่ฉันพูดเสร็จฉันก็หยุดพูดและนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ กับหล่อน หล่อนเข้ามากอดฉัน น้ำ�ตา น้ำ�มูกไหล ร้องให้ไม่ยอมหยุดจนคนข้างๆ เขา มองมา “ฉันขอโทษ พ่อของลูกเขาไม่รับผิดชอบ ฉันไม่รู้จะบอกพ่อกับ แม่ยังไง ฉันกลัวพ่อกับแม่จะเสียใจ ฉันอาย ฉันไม่พร้อม และที่สำ�คัญ ฉันไม่มีทางเลือก” หล่อนเริ่มหยุดร้องไห้และมีสติมากขึ้น “แล้วที่เธอทำ�เธอไม่อายหรอ พ่อแม่ส่งมาเรียน แต่เธอไปอยู่กับ ผู้ชายพ่อแม่จะไม่เสียใจหรือไง ทำ�อะไรก็ควรปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน” ฉันบอก กับหล่อนอย่างอ่อนโยน “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ฉันเข้าใจมันแล้ว” หล่อนเพ้อขึ้น “ฉันว่าเธอควรไปขอโทษพ่อกับแม่เธอนะ บอกความจริงกับท่าน อย่างน้อยเธอก็ไม่ควรจะปิดบัง” ฉันพยายามบอกให้เธอทำ�ในสิ่งที่ฉันต้อง การมากกว่าที่จะแนะนำ�หล่อน “แต่ฉัน.....ไม่กล้าบอกนะ” หล่อนอ้ำ�อึ้ง 64
“เธอควรบอกนะ ฉันจะไปเป็นเพื่อน” “ฉันมันบาปทำ�ร้ายคนรักทางอ้อม ฉันไม่ควรเกิดมาเป็นคน” หล่อนร้องไห้อีก “เรื่องมันผ่านไปแล้ว เธอควรจะแก้ไข และยอมรับความจริงสัก ที ไปหาพ่อกับแม่ บอความจริงท่าน ฉันจะพาไป เชื่อฉันนะ” ฉันแนะนำ� หล่อน “ฉันจะเชื่อเธอนะ” หล่อนพูด ในขณะนั้น เมื่อตกลงกันแล้ว ในวันต่อมาฉันกับหล่อนไปหาพ่อ แม่ของหล่อน เมื่อหล่อนเห็นพ่อกับแม่ หล่อนก็ร้องไห้จนตาบวม วิ่งเข้าไป กอดทันที ในบ้านหลังใหญ่รอบข้างของหล่อนมีทั้งคนรับใช้และคนสวน จึง ทำ�ให้หล่อนไม่กล้าพูด พ่อกับแม่หล่อนก็เลยสงสัยว่าเกิดอะไรขึน้ กับหล่อนจึง บอกให้คนรับใช้ออกไปข้างนอก “หนูเป็นอะไรลูก” แม่ถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แม่หนูมีเรื่องจะบอก หนูขอโทษ หนูทำ�ไปโดยที่หนูไม่คิด หนูไม่ ปรึกษาพ่อกับแม่ หนูขอโทษจริงๆ” เขาพูดเสร็จก็ร้องไห้ขึ้นมาอีก “เป็นอะไรก็บอกแม่นะ ไม่ว่าจะพลาดยังไงลูกก็ยังเป็นลูกของพ่อ กับแม่นะ” แม่บอกกับหล่อน สักพักหล่อนก็รวบรวมสติได้ หล่อนก็ขอโทษพ่อกับแม่ซ้ำ�แล้วซ้ำ� อีกและพยายามเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้พ่อกับแม่ฟัง ว่าเมื่อปีที่แล้วหล่อน ตัง้ ครรภ์แล้วก็ไปทำ�แท้งมาเพราะผูช้ ายไม่รบั ผิดชอบ เขาร้องไห้สะอึกสะอืน้ ในอกของผู้เป็นแม่ และมีแม่เพียงคนเดียวที่คอยปลอบ เพราะคนเป็นพ่อ นิ่งเงียบ เบือนหน้าหนีจากหล่อนและน้ำ�ตาคลอเบ้า จนทำ�ให้หล่อนหน้า ซีดขึ้นเรื่อยๆ “กับใคร” แม่ถามด้วยควยสงสัย “แม่อย่าถามหนูอีกเลยนะ หนูไม่อยากพูดถึงมันอีก มันเลวร้าย 65
สำ�หรับหนูจริงๆ หนูขอโทษที่บอกพ่อกับแม่ไม่ได้” หล่อนพูดแล้วก็โอบ กอดแม่ แล้วในขณะนั้นแม่บอกเธอว่า หล่อนก็เหมือนผ้าขาวของวัยสาว ซึ่ ง วั ย แห่ ง สาวหรื อ วั ย รุ่ น นี้ ก็ ค งเหมื อ นกั บ ผ้ า ขาวที่ ถู กใช้ ง านอาจมี สิ่ ง สกปรกมาแปะเปื้อน แต่ก็สามารถซักและลบรอยต่างๆ ออกได้ ถ้าต่อไป รู้จักดูแลรักษาให้ดี ผ้าบางชิ้นถึงแม้จะสกปรกไปแล้ว จึงแห้งกร้านไม่มีวัน ซักออก ถ้าไม่สร้างสิ่งสกปรกเพิ่มมาอีกมันก็จะยังคงใช้งานได้เหมือนเดิม
66
67
กากี เพรียว ภูกองชนะ
68
วันศุกร์ ถือเป็นวันที่ใครหลายคนชื่นชอบ เพราะมันเป็นวันสุด ท้ายในการทำ�งานหรือการเรียนของสัปดาห์ เพราะฉะนัน้ ในช่วงค่�ำ คืนของ วันศุกร์ในกรุงเทพมหานครจึงเต็มไปด้วยสีสัน โดยเฉพาะตามผับ บาร์ และ ร้านเหล้าต่างๆ ทีม่ อี ยูท่ ว่ั เมืองอันศิวไิ ลซ์แห่งนี้ มันจะเต็มไปด้วยผู้คนที่ต้อง การมาผ่อนคลายจากการเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งสัปดาห์ ผมเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบออกเที่ยวกลางคืนทุกสุดสัปดาห์ แต่จะ หาเวลาเทีย่ วทุกวันเหมือนตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็คงไม่ได้ เพราะอาจโดน ไล่ออก งานประจำ�ที่ทำ�อยู่รายได้ก็ไม่ค่อยเยอะ เวลาได้เงินมาผมก็เอาไป ส่งให้ทางบ้านเกือบหมด เหลือไว้ให้ตวั เองใช้ไม่มาก จึงทำ�ให้ผมไม่มเี งินเก็บ นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนสนใจผม หรือบางคนพอรู้ว่าผมไม่ สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้พวกเธอก็ทิ้งผมไปหาคนที่เธอจะฝากอนาคต ไว้ได้ ผมจึงคุ้นเคยกับคำ�ว่า “เราเลิกกันเถอะ เธอมันไม่มีอนาคต” เป็นประจำ� ผมตัดสินใจออกไปเที่ยวผับแถวๆ ทองหล่อ ซึ่งผมมักจะมากับ เพื่อนเป็นประจำ� เพียงแต่วันนี้อารมณ์และความรู้สึกมันต้องการให้ผมมา 69
คนเดียว ผมนั่งจิบเหล้าอยู่ที่หน้าบาร์ มองไปรอบๆ ผับเห็นสาวมากมาย มีแต่นางฟ้าทั้งนั้น แต่ผมคงได้แค่คิด พวกเธอคงจะชอบคนมีเงิน นั่งรถ สบายๆ ผมดื่มไปหลายแก้วแล้ว แต่ยังไม่เมา หรือความเศร้ามันทำ�ให้ผม ไม่รู้สึกอะไรเลย “ว็อดก้าช็อตนึงค่ะ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งสั่งเหล้าที่หน้าบาร์ ข้างๆ ผม ผมเหลือบไปมองอย่างรวดเร็ว มันทำ�ให้สายตาของผมต้อง ชะงัก เธอคือหัวหน้าฝ่ายการตลาดในบริษัทของผม ผมแทบไม่อยากจะ เชื่อสายตาเลยว่าเธอจะมาเที่ยวที่อย่างนี้ เพราะในเวลาทำ�งานเธอจะเป็น คนจริงจังกับงานมาก ผมมักจะโดนเธอด่าเป็นประจำ� แต่เธอถือว่าเป็นผู้ หญิงเพอร์เฟคต์คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งสวย โสด และเก่ง จึงทำ�ให้มีคนมา จีบเธอมากมาย หลายอาชีพ ทั้งพวกข้าราชการ นักธุรกิจ หนุ่มในบริษัท ไม่เว้นแม้แต่เจ้าของบริษัทที่เธอทำ�งานอยู่ รวมทั้งตัวผมเองแอบสนใจเธอ อยู่ห่างๆ เช่นกัน มันจึงเป็นโอกาสดีที่ผมจะเข้าไปทำ�ความรู้จักกับเธอให้ มากยิ่งขึ้น ผมแอบมองเนินอกขาวๆ ของเธอ เธอใส่เสื้อซีทรูคอลึก ข้าง ในเป็นชุดชั้นในสีดำ� ยิ่งชวนให้น่ามองไปกันใหญ่ และเธอเองก็เหมือนจะ รู้ตัวว่าผมแอบมอง แต่เธอก็ปล่อยให้ผมมองโดยไม่ว่าอะไร แต่ยังไม่ทันที่ ผมจะทักเธอ เธอก็ทักผมก่อน “มาคนเดียวหรอคะ” ผมอึ้งแล้วตอบไปด้วยน้ำ�เสียงสั่นเครือ “คะ...ครับ” แล้วเราก็นั่ง คุยกันไปเรื่อยๆ ถามสารทุกข์สุขดิบ ทำ�ความรู้จักกันเพิ่มเติมนิดหน่อย เธอเล่าให้ผมฟังว่าเธอเพิ่งจะอกหักมา มันช่างบังเอิญจริงๆ เราสองคน เป็นพวกหัวอกเดียวกัน มันจึงทำ�ให้ผมกับเธอคุยกันถูกคอมากยิ่งขึ้น เรา นั่งดื่มกันจนผับปิด ผมจึงชวนเธอไปต่อที่ห้องของผม เมื่อมาถึงห้องของผมซึ่งเป็นหอพักธรรมดา ห้องไม่ใหญ่มากนัก ซึง่ โดยทัว่ ไปผูห้ ญิงคนอืน่ ๆ ทีม่ าห้องผม มักจะพูดในเชิงดูถกู ว่าผมมีปญ ั ญา 70
เช่าห้องได้แค่นี้ อะไรต่างๆ นานา แต่เธอกลับไม่แสดงอาการรังเกียจอะไร สักนิด ผมพยุงเธอขึน้ ไปนอนทีเ่ ตียง ในขณะทีต่ วั ผมเองนอนข้างล่าง ความ รู้สึกของผมในตอนนั้นมันไม่อยากจะทำ�อะไรเธอ แต่อยู่ดีดีเธอก็พูดขึ้นมา ว่า “ขึ้นมานอนด้วยกันข้างบนสิ” ผมตบหูตัวเองหรือผมหูฝาดไป เธอจึงเรียกผมอีกครั้ง ผมจึงรีบ ขึ้นไปนอนบนเตียงทันที แล้วเธอก็โอบกอดผม ผมตื่นเต้นจนทำ�อะไรไม่ถูก เหงื่อออกไปทั้งตัว เธอบอกกับผมว่าเธอไม่เคยรู้สึกดีกับใครเหมือนที่มีให้ ผมมาก่อน เธอบอกว่าเธอแอบรักผมมานานแล้ว แต่ด้วยตำ�แหน่งหน้าที่ การงานมันจึงทำ�ให้เธอพูดไม่ได้ หลังจากนัน้ ต่อมความเป็นชายของผมมัน ก็เริ่มทำ�งานโดยอัตโนมัติ ผมจูบริมฝีปากบางๆ ของเธอ และเราก็มีความ สุขด้วยกันทั้งคืน ผมตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย มองไปข้างกายกลับไม่เห็นเธอ สงสัย เธออาจจะไปทำ�งาน ผมดูนาฬิกานี่มันแปดโมงครึ่งแล้ว ผมจึงรีบไปแต่ง ตัวเพื่อที่จะไปทำ�งานเพราะผมเข้างานตอนสามโมงเช้า เมื่อมาถึงที่บริษัท ผมเหลือบมองไปที่ห้องทำ�งานของเธอ แต่ไม่ เห็นเธอแม้แต่เงา วันนี้เธอไม่มาทำ�งาน หรือว่าเธอจะไม่สบายผมคิดเป็น ห่วงเธอขึ้นมา ผมจึงโทรศัพท์ไปหาเธอแต่เธอก็ไม่รับสาย เป็นเวลาหนึ่ง อาทิตย์แล้วทีเ่ ธอไม่มาทำ�งาน ซึง่ มันผิดวิสยั ของผูห้ ญิงทีเ่ อาใจใส่เรือ่ งงาน อย่างเธอ ผมจึงเข้าไปสอบถามผู้จัดการว่าทำ�ไมเธอไม่มาทำ�งาน ผู้จัดการ ก็บอกว่าเธอลาออกแล้ว แต่ด้วยเหตุผลอะไรเธอไม่ได้แจ้งไว้ ผมจึงขอที่ อยูเ่ ธอจากผูจ้ ดั การ เพือ่ ทีผ่ มจะได้ไปหาเธอและถามเธอให้รเู้ รือ่ งว่ามันเกิด อะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เมื่อไปถึงที่อยู่ของเธอซึ่งเป็นบ้านจัดสรร ผมมาถึงบ้านของเธอ กดกริ่งเรียกหลายครั้ง มีผู้หญิงวัยกลางคนเดินออกมาเปิดประตูให้ผม ี 71
แม่ของเธอนั่นเอง แม่เธอบอกว่าลูกสาวเธอไปอยู่กับแฟนฝรั่งของเธอที่ เมืองนอกแล้ว พวกเขาคบกันมาเกือบสี่ห้าปีแล้ว ผมแทบช็อคกลั้นน้ำ�ตา เอาไว้แทบไม่อยู่ แม่เธอถามว่าผมเป็นอะไรกับเธอ ผมไม่กล้าตอบ ผม บอกเพียงแค่ว่าผมเป็นเพื่อนกับเธอ ผมกลับมาห้องด้วยความหมดอาลัยตายอยาก หากไม่ใช่เพราะ ผมให้ใจเธอไปแล้ว ผมก็คงจะไม่เสียใจมากมาย เธอทิ้งผมไปโดยไม่บอก ไม่กล่าวซักคำ� ผมยังจำ�ทุกๆ คำ�ที่เธอเคยบอกผมในคืนนั้น ทุกวินาที ทุกสัมผัส ทุกท่วงท่าที่เราอยู่ด้วยกัน กลิ่นน้ำ�หอมของเธอยังติดอยู่บนที่ นอนไม่จางหาย เธอคือผู้หญิงคนแรกในชีวิตที่ไม่เคยบอกเลิกผม แต่เธอ กลับทำ�ผมเจ็บปวดที่สุด...
72
73
คนในม่าน กุลปาลี พลเสน
74
แสงแดดจากดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า สายลมเย็นพัดผ่าน เข้ามาแทนที่ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากสีฟ้าอ่อนเป็นสีน้ำ�เงินเข้ม ฤดูเก็บ เกี่ยวข้าวแสนยาวนานได้ผ่านพ้นไปแล้ว เหลือไว้แต่เพียงตอข้าวและหุ่นไล่ กาตั้งเด่นตระหง่านอยู่ข้างคันนา เสียงโมบายแขวนรูปต่างๆ หน้าบ้านดัง เป็นระยะๆ บ่งบอกถึงความถี่ของสายลมเย็นพัดกระทบ เสียงฝีเท้าของ ชาวนาที่เดินกลับจากท้องนาและกระดิ่งคล้องคอวัว นกกระจิบ กระจอก นกเอี้ยง กา ต่างส่งเสียงเชื้อเชิญพักพวกกลับรัง บินโฉบกันเป็นกลุ่ม สวยงาม บัดนี้ท้องฟ้าที่มองเห็นเมฆสีขาวกลับเต็มไปด้วยฝูงนกหลาย สิบฝูง ท้องฟ้าสีน้ำ�เงินเข้มทำ�ให้ชาวบ้านตั้งแต่หัวค่ำ� บรรยากาศรอบหมู่ บ้านจึงเงียบสงัดราวกับไม่มีคนอยู่ เผยให้ได้กลิ่นหอมหวานจากห้องครัว ของหลายบ้านพัดพาผสมผสาน คละคลุ้งกันไป บ้างกลิ่นไข่เจียว ไข่ดาว บ้าง กลิ่นน้ำ�พริกปลาทู ป่นปลาบ้าง ผักต้ม หอมหวนชวนให้น้ำ�ลายไหล คงเหลือแต่เพียงเด็กๆ ที่ยังวิ่งเล่นเป็นกลุ่มๆ อยู่หน้าบ้าน แต่ก็ไม่วาย ถูกเรียกให้ไปอาบน้ำ�หลังจากวิ่งเล่นทั้งวัน รวมทั้งตัวฉันด้วย 75
“รีบไปอาบน้ำ� กินข้าว วันนี้ยายจะพาไปดูหมอลำ�ขอข้าวที่วัด” เสียงยายบอกกับฉันและน้องๆ ที่กำ�ลังสนุกสนานกับการเล่นงูกินหาง “จ้า ยาย” ฉันตอบยายด้วยน้ำ�เสียงแจ่มใสและตื่นเต้นที่จะได้ดู หมอลำ� น้�ำ เย็นราวกับน้�ำ ในตูเ้ ย็นไหลผ่านชัน้ หนังกำ�พร้า ลงลึกถึงผิวหนัง แต่กไ็ ม่ได้ท�ำ ให้ฉนั รูส้ กึ หนาวเลยสักนิด อาจเป็นเพราะในระหว่างทีฉ่ นั อาบ น้ำ�อยู่นั้น จิตใจก็จดจ่ออยู่ที่หมอลำ�ขอข้าว พลางได้ยินเสียงพูดโฆษณา สลับกับเสียงดนตรีดังมาจากทางวัด เป็นเสียงกลอนลำ�จังหวะเร็วช้าสลับ กัน อีกทั้งเสียงตะโกนร้องเรียกจากเพื่อนบ้าน เร่งเร้าให้ไปจับจองที่นั่ง ยิ่งทำ�ให้ฉันและน้องๆ รีบอาบน้ำ�จนลืมถูสบู่ “ละพอแต่เปิดผ้าม่านกั้ง หมอลำ�กกขาขาวมาแล้ว มาเด้อมาฟัง คำ�กลอน มาเด้อมาฟังคำ�สอย…” เสียงหมอลำ�ดังขึ้นส่งสัญญาณว่า อีก ไม่เกินห้านาทีจะเริ่มเปิดการแสดงแล้ว เวทีหมอลำ�ตั้งอยู่หลังศาลาการ เปรียญของวัด เป็นเวทีขนาดเล็ก ติดกับพื้นดิน มีเพียงผ้าผืนบางขนาด ใหญ่สฟี า้ อ่อนสองผืนทีใ่ ช้เป็นม่านกัน้ ระหว่างคนดูกบั หมอลำ� ลมหนาวพัด กระทบเข้ากับผ้าม่านเป็นจังหวะ เสียงคนดูทม่ี ารอชมหมอลำ�ดังเป็นระยะๆ ทีน่ ง่ั แถวหน้าแน่นขนัด เหลือแต่เพียงที่นั่งไกลๆ ให้กับคนมาทีหลังอย่าง ฉันและน้องๆ ทุกคนดูตื่นเต้นและรอคอยการแสดงของคนหลังม่านอยู่ “สุขสำ�บายหมัน่ ...เสมอมันเครือเกาบ่นอ เทิงพ่อแม่พนี่ อ้ ง ซำ�บาย ถ้วนอยู่สู่คนบ่นอ” เสียงขับลำ�กลอนเปิดการแสดงดังขึ้นหลังจากการรอคอยอัน เนิ่นนานของผู้ชม พร้อมกับเสียงปรบมือดังไม่ขาดสายและเสียงร้องดีใจ ของคนดู ผ้าม่านผืนบางเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงและรอยยิม้ อันเปีย่ มสุข ของชายวัยหกสิบกว่าๆ เจ้าของเสียงลำ�สำ�เนียงนิม่ นวล ชายผิวคล้�ำ ร่าง กายซูบผอม ผมสีขาวดำ�สลับกัน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งวัยอยู่มากมาย แต่ง 76
กายชุดหมอลำ�สีเขียวซีด มีร่องรอยแห่งการเย็บปะมากมาย บนร่างกาย ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งแต่อย่างใด เขาร้องลำ�ทำ�เพลงจนจบกลอนแรก พร้อมกับแนะนำ�ตัวเองและคณะของเขา ทำ�ให้ฉันได้รู้ว่าหมอลำ�ท่านนี้ชื่อ เฒ่าสอน ในคณะหมอลำ�ของเฒ่าสอนมีนักแสดงอยู่ประมาณเจ็ดคน มี ทั้งคนแก่ คนหนุ่ม และเด็ก แต่น่าแปลกที่มีแต่คนแก่เท่านั้นที่ออกมา แสดงร้องลำ�แล้วคนหนุ่มหายไปไหน ในคณะจะมีนักแสดงตัวหลักๆ อยู่ แค่สี่ห้าคน ซึ่งล้วนแล้วแต่อายุอานามสักห้าสิบหกสิบปี บางคนไม่สม ประกอบทางร่างกาย ขาพิการ บางคนตาบอด มองไม่เห็นคนดู แต่ก็ พยายามขับลำ�และแสดงฟ้อนรำ� ในแต่ละกลอนลำ�นั้นไพเราะเสนาะหู ใช้ ภาษาอีสานที่ฟังง่ายบวกเข้ากับสำ�เนียงสวยหวาน “สอย สอย แกงเห็ดเผาะใส่น้ำ�เอาะเจาะ เอาพี่อ้ายนี่เถาะ ขี่ คร้านหาผัว จั่งซี่กะว่าสอย” การแสดงมีหลายรูปแบบ มีทั้งการออกมาขับลำ�กลอนรำ� ฟ้อน รำ�เกี้ยวพาราสี การสอยแหย่คนดู การเล่านิทานก้อม ซึ่งเป็นนิทานพื้น บ้านของชาวอีสาน ทำ�ให้เป็นที่ถูกอกถูกใจของคนดู ทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆ อย่างฉันและน้องๆ ในตอนจบของแต่ละกลอนลำ�ก็จะสอดแทรกข้อความ ที่ทำ�ให้คนฟังเห็นใจ “มาบัดนี้..ติต่างเว้าหมอลำ�สิพาหม่วน..พอให้สรวลต่างสิเว้าจั่ง ใด๋นั้นกะเบิ่งเอา..กะจั่งหว่าหมอลำ�น้อยเปิดท้ายรถมาแสดง..เครื่องดนตรี กะเก่าแฮงฟังเสียงกลองกะดังตึ้ง..บางคนแซวฮ้องมาเว้าเอากลองวัดมาตี แทน..จั่งสิคือดีกว่าหลายย้อนของเฮานี้มันฮ้าง..ย้อนบ่มีคนจ้างจั่งได้มา ขอเข้าเผิ่น..ลำ�แสดงอยู่กลางเดิ่นไฟแสงสีบ่มีจ้อย...มีแต่แสงน้อยๆ ไฟตูม กาพอลิบหลี่..อดสาฟังเถาะญาผี่เสียงบ่ดีกลอนบ่ย้วย...อภัยด้วยอย่าหว่า กัน..บางถ่อนลำ�บ่สมเรื่อง..บางสำ�นวนบ่เข่าถ่า..ให้เบิ่งแยงเอาเถิดเจ้า..ให้ 77
ติตรองส่อยกล่าวเว้าหมอลำ�น้อยสิข่อยฟัง..ย้อนหว่าเกิดมาช้าการศึกษา กะต้อยต่ำ�..ฟังกลอนลำ�กะฮ้วนๆ มันบ่หม่วนแถมพาหัว..” ยิ่งทำ�ให้คนดู รู้สึกสงสารและซึ้งไปกับอารมณ์เศร้าของหมอลำ�ด้วย บางคนถึงกับหลั่ง น้ำ�ตาให้กับความสงสาร พลางโบกไม้โบกมือบอกให้ไปเอาเงินหน้าเวที “เกิดมาอาภัพ พ่อแม่ยากจน ไม่มีที่นา ต้องร้องลำ�ทำ�เพลงแลก ข้าว แลกเกลือ น่าเวทนา…” ถ้อยคำ�น่าสงสารและเวทนาของหมอลำ� ทำ�ให้คนฟังตั้งใจฟัง เรื่องราวและเริ่มเรี่ยไรเงินจากหน้าเวทีตรงมาที่ฉันและน้องๆ นั่งอยู่ “น่าสงสารจัง คนแก่คนนี้” ฉันพูดกับน้องๆ แต่สายตากลับ มองไปที่เฒ่าสอนที่อยู่หน้าเวที ฉันรวบรวมเงินกับเพื่อนที่นั่งข้างๆ กัน ได้เงินห้าบาท จึงรีบเอา ไปให้ผู้ใหญ่ส่งต่อไปให้หมอลำ� ฉันยิ้มให้กับน้ำ�ใจของคนดูที่มีต่อเฒ่าสอน ฉันคิดว่าน่าจะได้เงินเยอะเพราะมีคนมาดูจำ�นวนมาก เงินที่คนดูเรี่ยไรได้ ส่งไปที่เหล่าหมอลำ�หน้าเวทีและต่อด้วยมืออีกคู่หนึ่งข้างเวที มือของชาย วัยกลางคน หน้าตาดี รูปร่างใหญ่ เขาสวมเสื้อตัวใหญ่สีเทา กางเกงยีนส์ สีน้ำ�เงินเข้ม บนคอมีสร้อยทองเส้นใหญ่ ฉันเริ่มสงสัยว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาคือลูกเฒ่าสอนที่ไปทำ�งานอยู่กรุงเทพหรือเปล่า แล้วทำ�ไมถึงปล่อยให้ เฒ่าสอนถึงต้องมาขอข้าวคนอื่น หลังจากการแสดงจบลง ผู้คนก็ต่างพากันกระวีกระวาดเก็บเสื่อ กลับบ้าน ท่ามกลางความวุ่นวายของคนดูและหมอกที่กำ�ลังลงในตอนดึก ฉันสังเกตเห็นชายร่างใหญ่คนนั้นถือเงินพร้อมกับหญิงหน้าตาดีอีกคน ขึ้นรถกระบะที่จอดอยู่ข้างๆ เวที แล้วขับรถออกไปจากวัดอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเฒ่าสอน เด็กเล็กอีกสองคน และหมอลำ�พิการอีกสาม คนที่กำ�ลังช่วยกันเก็บของหน้าเวที สีหน้าของเฒ่าสอนในตอนนี้ช่างต่าง กับสีหน้าเปี่ยมสุขในตอนนั้น ใบหน้าเรียบเฉย สงบนิ่งเผยให้เห็นความ 78
เศร้าแฝงนัยน์ตา สายตาบ่งบอกถึงความทุกข์ที่ก่อตัวขึ้นในใจ คนหน้า ม่านที่ยิ้มหวาน ตาใสหายไปแล้ว คงเหลือแต่คนหลังม่านตาหม่นยืนอยู่ ฉันลอบมองเฒ่าสอนและคณะอย่างไม่ละสายตาจนถึงเวลากลับบ้าน อดคิดถึงคนหลังม่านเหล่านั้นไม่ได้ตลอดทั้งคืน “ขอข้าวให้หมอลำ�ขอข้าวเมื่อคืนหน่อยครับ” เสียงชายวัยกลาง คนปลุกฉันให้ตื่นจากที่นอน เสียงนั้น เสียงที่ฉันได้ยินไม่ใช่เสียงของเฒ่า สอน หรือเสียงของหมอลำ�คนอื่นๆ ฉันรีบลงจากบ้านมาดูหน้าเจ้าของ เสียงแล้วถึงกับผงะ ชายคนนั้น คนที่ฉันเห็นเมื่อคืน “มาขอข้าวแทนพ่อเฒ่าสอนครับ” เสียงชายวัยกลางคน ที่ยืนนำ�หน้าคณะหมอลำ�บอกกับยายของฉันที่ยืนถือข้าวสาร พลางเล่า ว่าตัวเองเป็นลูกชายคนสุดท้องของหมอลำ�เฒ่าสอน กตัญญูรู้คุณอยาก อยู่ดูแลพ่อ ไม่ไปทำ�งานที่กรุงเทพอย่างพี่น้องคนอื่น แต่พ่อเป็นหมอลำ� เก่า แกไม่ยอมเลิกร้องลำ�เลยต้องปล่อยให้แกทำ� พูดไปใส่อารมณ์ ตีสี หน้า ส่งสายตาน่าสงสาร อ้อนคนฟัง ทำ�ให้ยายเริ่มเชื่อและยอมเทข้าว สารลงในถุงพลาสติกใบใหญ่ ชายคนนัน้ ลงทุนยกมือไหว้ยายของฉันหลาย ครั้งสร้อยคอและแหวนทองที่ฉันเห็นเมื่อคืนหายไปจากคอและนิ้ว เหลือ ทิ้งไว้แต่เสื้อผ้าเก่าๆ กางเกงขายาวขาดๆ มีรอยปะเป็นระยะๆ ช่างต่าง จากเมือ่ คืนเหลือเกิน หลังจากนัน้ พวกเขาก็เดินจับกลุม่ กันจากไป แต่ดว้ ย ความฉงนสงสัยของฉัน ฉันจึงรีบวิ่งไปปลุกน้องชายและเดินตามคณะ หมอลำ�ขอข้าวไปเรื่อยๆ จนถึงที่หมายข้างป่าท้ายหมู่บ้าน ที่ตั้งของรถ กระบะของชายวัยกลางคนคนนั้น “วันนี้วันดี ได้ข้าวมาเยอะ ต้องขอบใจพวกแกมากที่ทำ�งานได้ดี เยี่ยม จนทำ�ให้ไอ้พวกชาวบ้านน่าโง่หลงเชื่อ” เสียงชายที่อ้างตัวว่าเป็น ลูกเฒ่าสอนดังขึ้น พลางไล่คณะหมอลำ�รวมทั้งเฒ่าสอนขึ้นรถไป รถกระบะสีขาวค่อยๆ เคลือ่ นตัวออกจากหมูบ่ า้ นไปอย่างช้าๆ แม้ 79
ว่ารถจะวิ่งไปไกลแค่ไหน สายตาเศร้าของคนในม่านเหล่านั้นยังคงเด่นชัด และติดตาฉันอยู่
80
81
she cry then die… เหตุผลที่เธอไม่ร้องไห้ พ่อตัวดี
82
ผมแกะดอกคาร์เนชั่นสีชมพูออกจากห่อกระดาษแล้วนำ�ไปปักลง ในแจกันสีขาวที่หัวเตียงของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอนอนหลับใหลไม่ไหวติง ไม่รับรู้แม้กระทั่งการมาของผม เปลือกตาของเธอปิดสนิท ดวงหน้าขาว ซีดราวกับกระดาษ หากไม่มีลมหายใจแผ่วๆ ที่ปลายจมูกเธอก็คงไม่แตก ต่างจากรูปปั้นเทพีตามวิหารสักเท่าไหร่นัก งดงาม...แต่หาความเป็นชีวิต ชีวาไม่ได้ เจ้าหญิงนิทรา...เธอไม่เคยตื่นอีกเลยนับตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้ง นั้น เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่ผมรู้จักเธอใหม่ๆ มันช่างเป็นภาพที่ แตกต่างกับตอนนีร้ าวฟ้ากับดิน ผมยังจำ�ได้วา่ มีรอยยิม้ เกิดขึน้ ในหัวใจ เธอ ชื่อ “นาริกา” ผมรู้จักเธอตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยตอนปี 1 เราเป็น เพื่อนที่ค่อนข้างจะสนิทกันมาก ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแปลกในความคิดของ ผม แปลกจนทำ�ให้ผมไม่เข้าใจเธอในหลายๆ ครัง้ โดยเฉพาะอาการเกลียด เรื่องราวซึ้งๆ และความโรแมนติก ซึ่งผิดวิสัยของหญิงสาวในวัยเช่นเธอ ตลอดระยะเวลาที่เป็นเพื่อนกันผมแทบจะไม่ได้ดูหนังโรแมนติกและหนัง 83
ดราม่าเลย เพราะนาริกาจะชวนไปดูแต่หนังตลกเสมอ เธอชอบอ้างเหตุผล ว่า “คลายเครียด และได้หัวเราะดีกว่าไปนั่งน้ำ�ตาซึมในโรงหนังกับเรื่องน้ำ� เน่า” เธอยังบอกอีกว่า “การเสียน้ำ�ตาเป็นเรื่องไร้สาระ” ผมไม่เคยเห็น ผู้หญิงคนนี้เสียใจและร้องไห้เลย บางครั้งเธอดูสดใสร่าเริงจนเกินเหตุเสีย ด้วยซ้ำ� หรือบางทีก็ดูเย็นชาเฉยเมยจนยากจะเข้าใจ ครั้งหนึ่งผมเคยพูดประชดเธอเมื่อผมรู้สึกว่าการปฏิบัติตัวของ เธอไม่เหมาะสม มันช่างเป็นเรื่องที่ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ในขณะที่เพื่อนทุก คนรวมทั้งผมนั่งน้ำ�ตาไหลพรากอยู่หน้าโลงศพของเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง ที่เสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุรถชน ผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่า หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มนั่งนิ่งเฉยราวกับว่าไม่รู้สึกอะไรกับการสูญเสียใน ครั้งนี้ ไม่มีน้ำ�ใสๆ เพียงหยดจากดวงตาของนาริกา “ใจคอแกจะไม่ยอมเสียน้ำ�ตาด้วยเหตุผลที่ว่ามันไร้สาระสินะ นี่ แกไม่เสียใจเลยหรือไง” ผมพูดกึ่งประชดกับหญิงสาวที่แสดงอาการเย็น ชาเฉยเมยอย่างเห็นได้ชัด “บางทีคนที่ไม่ร้องไห้อาจรู้สึกเสียใจและปวดร้าวมากกว่าคนที่ เสียน้ำ�ตาก็ได้นะ” เธอตอบกลับผมด้วยน้ำ�เสียงราบเรียบจนยากจะเดา ความคิดแล้วเดินไปจากตรงนั้นเงียบๆ ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรก้อนกลมๆ มาจุกอยู่ที่ปากทำ�ให้พูดอะไรไม่ ออก ได้แต่ยืนนิ่งแล้วมองเธอก้าวห่างออกไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกละอายใจที่ ตัดสินเธอไปอย่างนัน้ แต่ดเู หมือนเธอจะไม่รสู้ กึ โกรธผมเลยสักนิด เมือ่ กลับ มาจากงานศพเธอก็ปฏิบัติกับผมเหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา ทำ�ให้ผมลืมเรื่อง ที่ละอายใจเสียสนิท นาริกาไม่เคยอ่อนแอให้ใครเห็น บางทีผู้หญิงที่ดูเข้มแข็งตลอด เวลาก็ไม่น่าทะนุถนอม เธอดูไม่บอบบางทั้งๆ ที่รูปร่างหน้าตาผิวพรรณก็ ไม่ได้ต่างจากหญิงสาวในวัยเดียวกัน แต่น่าแปลกที่ผมกลับมีความรู้สึกว่า
อยากทะนุถนอมดูแลเธอ ผมเคยถามนาริกาว่า “อยูป่ ี 3 แล้วไม่คดิ จะมีแฟนสักคนเลยหรือ” “การมีแฟนเป็นการเพิ่มภาระ” เธอสวนกลับอย่างไม่แยแส ที่จริงแล้ววันนั้นผมเตรียมคาร์เนชั่นสีชมพูช่อใหญ่ที่เธอชอบกับ การ์ดใบเล็กที่เขียนบรรยายความรู้สึกของผมเพื่อให้เธอ ผมตั้งใจจะบอก รักและขอเธอเป็นแฟน แต่ดูเหมือนผมจะโดนปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม คาร์เนชั่นช่อนั้นจึงถูกโยนลงในถังขยะพร้อมๆ กับคำ�ว่ารัก บางทีนาริกา อาจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อใครก็ได้ หรือถ้าหากมีก็คงไม่ใช่ผม เธอแข็งแกร่ง เกินกว่าจะต้องการใครสักคนมาดูแล ผมได้แต่ทอดถอนลมหายใจให้กับ ความผิดหวัง เดินกอดคอโอบไหล่กับเธออย่างคนเป็นเพื่อนกันต่อไป ผมดึงตัวเองกลับออกมาจากความหลังเมื่อเสียงผลักประตูดัง ขึน้ และผูท้ เ่ี ข้ามาใหม่คอื คุณหมอประจำ�ตัวของหญิงสาวทีห่ ลับสนิทอยูบ่ น เตียงข้างๆ ผม เขาจะเข้ามาเวลานี้เสมอเพื่อตรวจดูอาการของนาริกาทุก วัน “อาการคงที่” คือคำ�ตอบเดิมๆ ที่ผมฟังจนชินหู เธอไม่เคยดีขึ้น เลยนับจากเหตุการณ์ในวันนั้น เมื่อวันจันทร์ที่แล้วนาริกาโทรมาชวนผมไปดูหนัง ซึ่งก็เป็นหนัง แนวตลกอีกตามเคย แต่ผมปฏิเสธเธอไปเพราะมีนดั กับผูห้ ญิงอีกคนทีแ่ ทบ ไม่มีอะไรเหมือนนาริกาเลย เธอบอบบางและพร้อมที่จะเปิดรับผมเข้าไป เป็นส่วนหนึ่ง บางทีผมก็แค่อยากดูหนังรักโรแมนติกกับใครสักคนที่เป็น เพียงผู้หญิงธรรมดาไม่แกร่งจนเกินพอดี ผมเพิ่งรู้สึกว่าโลกนี้ช่างกลมแสนกลมเมื่อบังเอิญเจอนาริกาที่ หน้าห้องน้ำ�โรงหนังในขณะที่เธอยืนอยู่คนเดียวแต่กลับมีหญิงสาวอีกคน เกาะแขนผมแจ มันทำ�ให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอไม่ได้ แสดงอาการอะไรเลยเมื่อเจอผม ตื่นเต้นหรือไม่พอใจก็ไม่มี ทำ�ราวกับว่า
ผมเป็นอากาศธาตุ ไม่มีผลใดๆ ต่อการมองเห็น เมื่อหญิงสาวข้างกายผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำ� นาริกาจึงพูดขึ้นว่า “นี่สินะเหตุผลที่มาดูหนังกับเพื่อนไม่ได้” เธอเน้นเสียงหนักไปที่ คำ�ว่าเพื่อน คำ�พูดของเธอฟังดูไม่ราบเรียบอีกต่อไป “ก็เขานัดฉันไว้ก่อนแก จะให้ทำ�ไงได้” น้ำ�เสียงของผมช่างฟัง ดูเบาหวิวเหลือเกินในตอนนั้น “ไม่เป็นไรฉันเข้าใจ แกคงมีภาระมากขึ้นกว่าเดิม” ผมเข้าใจว่าสิ่งที่เธอพูดหมายความอย่างไร เธอจะบอกว่าผมมี แฟน แต่ไม่พูดออกมาตรงๆ เธอกำ�ลังเข้าใจผมผิด หลังจากกลับจากดูหนัง นาริกาส่งข้อความถึงผมตอนเวลา เที่ยงคืน ให้ออกมาเจอที่สระน้ำ�หลังคณะศิลปกรรม พอผมมาถึงก็พบว่า เธอนั่งเอาเท้าจุ่มน้ำ�เล่นรออยู่ก่อนแล้ว แสงจันทร์ทาทาบบนใบหน้าของ หญิงสาวงามผุดผ่อง สีเหลืองนวลของจันทร์เจ้าสะท้อนในน้�ำ วิบวาวระยับ ภาพของหญิงสาวเบื้องหน้างดงามราวกับภาพฝัน แต่พอผมเดินเข้าไป ใกล้แทบจะสะดุดขาตัวเองหกล้ม เมื่อสิ่งที่วางอยู่ข้างๆ นาริกาช่างคุ้นตา ยิ่งนัก แม้คาร์เนชั่นช่อนั้นจะแห้งกรอบแต่ผมก็มั่นใจว่ามันเป็นช่อเดียวกับ ที่ผมเคยทิ้งลงถังขยะ เธอเก็บมันไว้... “นั่งสิ” หญิงสาวเอ่ยชวนพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมองผมเพียง เล็กน้อยแล้วหันไปสนใจน้ำ�ที่กระเพื่อมจากการแกว่งเท้าไปมาอีกครั้ง “ขอโทษนะที่นัดออกมาดึกดื่น แต่คืนนี้พระจันทร์สวยเหมาะแก่ การสารภาพบางสิ่ง” นาริกาพูดแล้วหันมายิ้มน้อยๆ ให้ผม ก่อนจะหยิบ การ์ดใบเล็กจากช่อคาร์เนชั่นขึ้นมาอ่าน
“นาริกา...ฉันมีเรื่องจะสารภาพกับแกว่ะ... แต่ไม่รู้ควรเริ่มยังไง
ฉันกลัวว่าถ้าบอกไปแล้วแกรู้สึกไม่เหมือนกัน เราอาจมองหน้ากันไม่ติด แต่ถ้าฉันไม่ได้บอกแกว่า ‘ฉันชอบแก’ ฉันคงรู้สึกอึดอัดไปชั่วชีวิต ‘ฉันชอบแกนะ...ชอบมานานแล้วด้วย’...” เมื่ออ่านบรรทัดสุดท้ายจบลงเธอหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง ผมนึก ภาพว่าตอนนั้นตัวเองคงหน้าแดงอย่างคนเก็บอาการเขินอายไม่อยู่ “แกเลิกอึดอัดได้แล้วนะ เพราะแกได้บอกให้ฉันรู้แล้วว่า ‘แก ชอบฉัน’...” นาริกาเอามือตบหัวไหล่ผมเบาๆ ในขณะที่ผมยังไม่หายอึ้ง กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น “ฉันรู้ว่ามันอาจสายเกินไป หากฉันจะบอกว่า ‘ฉันก็ชอบแก เหมือนกัน’ ฉันรูว้ า่ มันไม่สมควรทีม่ าบอกเอาตอนนี้ เพราะแกก็มแี ฟน และ แฟนแกก็เป็นคนน่ารัก อ่อนหวาน ไม่แข็งกระด้างเหมือนฉัน ตลอดเวลา ที่ผ่านมาแกอาจไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันเป็น ในสิ่งที่ฉันต่างจากคนอื่น ขอโทษ นะที่ฉันไม่สามารถอธิบายเหตุผลให้แกฟังได้” นาริกาโผเข้ากอดผมทั้งๆ ที่ยังพูดไม่ทันจบประโยค ผมรู้สึกได้ถึง ของเหลวอุ่นๆ ที่หยดลงบนบ่า “ฉันเพิ่งจะรู้ว่าการเสียน้ำ�ตาทำ�ให้รู้สึกโล่งและตัวเบาขนาดนี้ ฉันไม่เสียใจเลยทีร่ อ้ งไห้ให้กบั การสูญเสียแก” เสียงคนในอ้อมกอดแผ่วเบา ตัวเธอเริ่มแข็งทื่อในอ้อมแขนของผม ร่างทั้งร่างของเธอซีดเผือดราวกับ ว่าไม่มีเลือดไหลผ่าน แม้แต่แสงจันทร์ก็ไม่สามารถทำ�ให้ผิวพรรณของเธอ งามผุดผ่องได้ดังเดิม ผมตกใจมากที่อยู่ๆ เธอก็หมดสติไปอย่างนั้น และ เมือ่ ลองเอาหูแนบกับอกข้างซ้ายยิง่ ทำ�ให้ผมรูส้ กึ หวัน่ หัวใจของเธอเต้นช้า ลงเรื่อยๆ...
“คนไข้เป็นโรค ‘หลั่งน้ำ�ตาแล้วต้องตาย’ เมื่อร้องไห้ผิวหนัง ของเธอจะเปลี่ยนเป็นสีขาว ร่างกายแข็งทื่อ หัวใจจะหยุดเต้น และเจ้าตัว จะหยุดหายใจ โชคดีที่คุณนำ�ตัวส่งโรงพยาบาลทัน แต่เธออาจกลายเป็น เจ้าหญิงนิทรา” นั่นคือคำ�บอกเล่าที่ผมได้ฟังจากคุณหมอ “ผมภาวนาให้เธอลืมตาอีกสักครั้ง...ผมสัญญาจะไม่ทำ�ให้เธอ เสียน้ำ�ตาอีก...”