IASFm special issue 2015

Page 1



S CIE N CE F IC TI O N A N D FA N TA S Y  Interplanet Press 366 Unit 100 • Fiction Factory • Science Space North Damiano, Trantor, DM4 9HS Phone 01234 567890 • Fax 01234 567890


คุยกันก่อน ย้อนไปเมื่อปี 1968 ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เรื่อง 2001: SPACE ODDYSEY จอมจักรวาล ของสตีเฟน คูบิก และ อาเธอร์ ซี คล้าก เพื่อน ของผมได้สร้างปรากฎการณ์ในการนํากระแสวิทยาศาสตร์แบบไซไฟ เข้มข้น (Hard Sci-Fi) เข้าสู่วงการภาพยนตร์ นับจากนั้นก็ยังไม่อาจมีภาพยนตร์ไซไฟเรื่องใดสามารถ เทียบเคียงได้เลย แม้แต่ Contact อุบัติการณ์สัมผัสอวกาศ ในปี 1997 ก็ตามที กระทั่งเมื่อปลายปี 2014 ที่ผ่านมานี้ คริสโตเฟอร์ เอฟ โนแลน ได้นําเสนอ Interstellar ทะยานดาวกู้ โลก ภาพยนตร์ไซไฟเข้มข้นที่นับเป็นก้าวกระโดดของการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ นิยาย วิทยาศาสตร์และภาพยนตร์ จนกระทั่งเราไม่อาจจะละเลยไม่พูดถึงได้ นั่นทําให้นิตยสารของเราต้องออก ฉบับพิเศษนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ได้หวังว่าคงไม่ล่าช้าเกินไปนัก แน่ล่ะ เราเป็นนิตยสารไซไฟ ไม่ใช่นิตยสารวิจารณ์ภาพยนตร์ ในเล่มนี้จึงยังคงมีเรื่องสั้นและบทความ วิทยาศาสตร์ชั้นดี ทั้งของผมเอง และอีกหลายๆ เรื่องจากนักเขียนยอดนิยมท่านอื่นรวมไว้อยู่ด้วยเช่นเคย อนึ่ง เรื่องสั้นและบทความบางเรื่องคัดสรรมาจากที่เคยได้รับตีพิมพ์ หรือเผยแพร่ในเว็บ ได้นํามาลงไว้ใน เล่มนี้โดยไม่ได้บอกกล่าวผู้เขียนผู้แปลไว้ก่อน เนื่องจากไม่สามารถติดต่อได้จึงต้องขออนุญาตและขอ อภัยมา ณ.ที่นี้ด้วย หากขัดข้องประการใดกรุณาติดต่อกลับมายังเราด้วย เชิญเปิดหนังสือเดินทางสู่จักรวาลไซไฟ ได้แล้วครับ ด้วยความเคารพ

2


มีอะไรให้อ่านกัน... ฉบับที่ 3, ธันวาคม 2558

บทความวิทยาศาสตร์ 4 การเดินทางนานนิรันดร์ 8 จักรวาลของเรา (ฉบับย่นย่อ) 16 หลุมดํา 20 การเดินทางสู่โพรงหนอน 22 ครายโอนิกส์: การแช่แข็งข้ามเวลา 59 อาณานิคมอวกาศ 62 ราม: โลกประดิษฐ์รูปทรงกระบอก นิยายวิทยาศาสตร์ 28 ส่งข่าวจากหลุมดํา 35 เขาสร้างบ้านที่ไม่เหมือนใคร 49 ลาก่อน...โลกที่รัก 53 ยานขนส่งลําสุดท้าย 56 โอโลก...ถ้าข้าลืมเจ้า

ไอแซค อาซิมอฟ โรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์ ไอแซค อาซิมอฟ ไอแซค อาซิมอฟ อาเธอร์ ซี คล้าก

บทความพิเศษ 67 ทะยานดาวกู้โลก (ฉบับย่นย่อ) 71 วิทยาศาสตร์ในทะยานดาวกู้โลก 81 ยานอวกาศในทะยานดาวกู้โลก 84 เบื้องหลัง “ทะยานดาวกู้โลก”

วิกิปีเดีย สนทนาไซ-ไฟ สนทนาไซ-ไฟ วิกิปีเดีย

ไอแซค อาซิมอฟ ดร. แบรนด์ (แก่) ดอนญ่า ออโรร่า สุกิจ ผูกพันธุ์ ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล วิกิปีเดีย ธนพงษ์

ประจาฉบับ 2 คุยกันก่อน 86 FAQ: Interstellar คําตอบจากดวงดาว 91 รีวิว: เปิดโลกไซไฟ

บ.ก. นาย TARS หนอนทรายแห่งอาราคีส

Disclaimer หนังสือเล่มนี้จัดทําขึ้นเพื่อความบันเทิงส่วนตัวและในกลุ่มผู้รักในนิยายวิทยาศาสตร์ ไม่ได้จัดทําเพื่อการค้าและผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น แต่กระนั้น ขอสงวนสิทธิในการคัดลอกและเผยแพร่ต่อเพื่อไม่ให้ขัดหรือละเมิดในข้อกฎหมายโดยผู้จัดทําไม่พึงประสงค์


การเดินทางนานนิรันดร์ ไอแซค อาซิมอฟ จาก “The Longest Voyage” หนังสือรวมเรื่องสั้น “Gold” ถอดความโดย ณาส

4


สมมติว่าคุณต้องการที่จะเดินทางข้ามประเทศ จาก พอร์ทแลนด์, รัฐเมน ไปยัง พอร์ทแลนด์, รัฐโอเรกอน นั่นคงจะมีระยะทาง ราวๆ 3,000 ไมล์ หากเดินทางรอบโลกนั้นก็คงเกิน 8 เท่าไปสักหน่อย ราวๆ 25,000 ไมล์ หากจะเดินทางจากโลกไปยังดวงจันทร์นั่นก็เพียง 9 เท่าของเส้นรอบโลก ก็ราวๆ 240,000 ไมล์ ไกลกว่านั้นนะเหรอ? ดีมาก เลย ดาวศุกร์ ที่ใกล้โลกมากที่สุดก็ไกลออกไปราวหนึ่งร้อยเท่าของระยะทางไปดวงจันทร์ นั่นก็คือระยะห่างไกลออกไป 25,000,000 ไมล์ และถ้านับเอาตอนที่ ดาวพลูโต ใกล้โลกที่สุด มันก็ยังมีห่างกว่าหนึ่งร้อยเท่าเมื่อเทียบกับระยะห่างของดาวศุกร์ นั่นหมายถึง 2,800,000,000 ไมล์ ที่กล่าวมานี้ยังคงอยู่แต่ในระบบสุริยะของเราเท่านั้นเอง แต่ไกลเกินกว่านั้นไปอีกท่ามกลางมวลหมู่ดาว แม้ดาวที่ใกล้ที่สุดก็ ห่างออกไปนับ 9,000 เท่าของพลูโต ดาวที่ใกล้เราที่สุดก็คือ อัลฟ่า เซนเตารี และมันก็อยู่ห่างออกไปนับ 25,000,000,000,000 ไมล์ นีค่ อื ดาวที่ใกล้ที่สุดแล้วนะ ระยะทางข้ามกาแลคซีทางช้างเผือกก็คือ 23,000 เท่า ของระยะทางจากโลกถึงอัลฟ่า เซนเตารี ระยะทางจากที่นี่ไป ยัง แอนโดรเมดา กาแลคซีขนาดใหญ่ที่ใกล้เราที่สุดก็คงราวๆ 23 เท่าของรัศมีของกาแลคซีทางช้างเผือก และระยะทางจาก ที่นี่ไปยังควอซ่าที่ไกลที่สุดก็คงราวๆ 4,000 เท่าของระยะทาง จากที่นี่ไปยังแอนโดรเมดา แล้วเรื่องเวลาล่ะ อาจใช้เวลาเพียงสองสามวันที่จะไปถึง ดวงจันทร์ เพียงไม่กี่เดือนที่จะเดินทางไปถึงดาวศุกร์หริอดาว อังคาร สองสามปีสําหรับการเดินทางไปดาวยักษ์ในระบบ สุริยะ แต่นั่นก็ไกลที่สุดที่เราสามารถไปได้ และสมเหตุสมผล หากจะต้องเดินทางไปดาวดวงที่ใกล้ที่สุด ด้วยเทคโนโลยีที่เรามีอยู่ในตอนนี้ คงจะต้องใช้เวลานับหนึ่งแสนปีแสง เท่าที่ NASA สามารถทําได้ก็เพียงแต่ส่งยานสํารวจไปถึงแต่ดาวเสาร์ ซึ่งเปรียบเสมือนแค่การเล่นเกมส์ที่สนามหลังบ้านเท่านั้นเอง แต่น่นั แหละ คือการเดินทางระหว่างดาว คือการเดินทางไปสู่ดวงดาว นั่นแหละคือการเดินทางไกลที่สุดของเรา1 การเดินทางระหว่างดวงดาวในส่วนที่นักเขียนและนักอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจอย่างมากที่สุด ระบบสุริยะของเรา นั้นเป็นที่รู้จักกันมากและมีข้อจํากัดมากมาย ระบบสุริยะ (นอกโลก) นั้นคงจะไร้ซึ่งสิ่งที่จะจัดได้ว่า เป็นสิ่งมีชีวิต---ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญา---ดังนั้นถ้าหากเราจะค้นหาเพื่อน ต่างดาว คู่แข่ง หรือว่าศัตรู เราจึงต้องเฝ้ามองหาจากดวงดาวอันไกลโพ้น นานมาแล้วนับตั้งแต่ปี 2 3 1928, ในเรื่อง สกายลาร์ค วิหคสายฟ้า อี.อี. (ด็อก) สมิธ ได้เขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์ถึงเรื่องราว การเดินทางสู่ดวงดาวขึ้นเป็นครั้งแรก และเป็นที่ชื่นชอบจากผู้อ่านอย่างมากทีเดียว เพียงแต่ตา เฒ่าด็อกแสนดีเล่าถึงการที่ยานอวกาศเดินทางข้ามอวกาศอันกว้างใหญ่ไว้อย่างคลุมเครือ อย่างไรก็ ตาม บอกคุณได้เลย อันที่จริงแล้วในเวลานี้เราเองก็ยังไม่สามารถทําดีกว่านั้นได้เลย ลองมาร่าย รายการตามความเป็นไปได้กันดูสักหน่อย

อาซิมอฟ เขียนบทความนี้ในปี 1983, ยังไม่มียานอวกาศลําใดไปได้ไกลเกินดาวเสาร์ สกายลาร์ค วิหคสายฟ้า แปลโดย พิเชฐ ชีพสัจญาณ, ปีที่พิมพ์ พ.ศ.2525, สํานักพิมพ์ บริษัท สยามซายน์แอนด์เทคโนโลยี จํากัด, จากเรื่อง The Skylark of Space, ของ E.E. Doc Smith 3 E.E. Doc Smith, หรือ Edward Elmer Smith, 1890-1965 นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน, ผลงานที่มีชื่อเสียงได้แก่ นิยายวิทยาศาสตร์ ชุด Skylark และ Lensman 1

2

5


1. เราสามารถรักษาอัตราเร่ง ไปได้เร็วขึ้น เร็วขึ้นและเร็วขึ้น จนกระทั่งเราไปได้เร็วเพียงพอที่จะสามารถเดินทางภายในพื้นที่

อันกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมระยะทางทั้งระหว่างดวงดาวและระหว่างกาแลคซี ในระยะเวลาเพียงแค่นับเดือนหรือนับวัน เท่านั้น ข้อทัดทาน: นักฟิสิกส์ยังคงยึดมั่นในความคิดเห็นที่ว่าความเร็วแสงในสูญญากาศ 186,000 ไมล์ต่อวินาที เป็นความเร็ว สูงสุดเท่าที่เราสามารถไปได้ และด้วยความเร็วนี้ มันก็ยังคงใช้เวลานับหลายๆ ปีกว่าที่จะถึงดาวดวงที่ใกล้ที่สุด นับหลาย ล้านปีจึงจะบรรลุถึงกาแลคซีขนาดใหญ่ที่ใกล้ที่สุด

2. หากว่าเรามีข้อจํากัดอยู่ที่ความเร็วแสง ซึ่งนั่นก็นับว่าเยี่ยมยอดเพียงพออยู่ทีเดียว แม้นว่าใครที่ไปได้ด้วยความเร็วแสง

บนวัตถุที่มีความเร่ง อัตราเวลาที่ผ่านไปจะลดลงอย่างต่อเนื่อง และกระทั่งเข้าสู่ความเร็วแสง อัตราเวลาที่ผ่านไปก็จะมีค่า เป็นศูนย์ ณ. ความเร็วแสง พวกลูกเรือของยานอวกาศก็จะสามารถเดินทางครอบคลุมระยะทางอย่างมหาศาลในแทบจะ ทันที ข้อทัดทาน: ในการเดินทางระหว่างดาว และระหว่างกาแลคติค อวกาศจะเกลื่อนไปด้วยอะตอมของไฮโดรเจนเป็นครั้ง คราว ในระดับความเร็วแสง อะตอมของไฮโดรเจนนี้จะกระแทกยานอวกาศด้วยพลังงานและแรงจากอนุภาครังสีคอสมิค และนั่นจะสังหารเหล่าลูกเรือและผู้โดยสารยานอวกาศได้อย่างรวดเร็ว กระนั้นแล้ว ยานอวกาศก็คงจะขับเคลื่อนไปด้วย ความเร็วได้ไม่เกินไปกว่าหนึ่งในสิบของความเร็วแสง และด้วยความเร็วเท่านี้ผลกระทบทางด้านเวลาทําให้นั่นไม่ได้ช่วย อะไรเราเท่าไหร่เลย 3. สมมติว่า เราติดตั้ง “อุปกรณ์กวาดอะตอม” ไว้ที่ข้างหน้ายานอวกาศ มันช่วยกวาดพวกอะตอมที่อยู่ด้านหน้าออกไป ด้วย

เหตุนี้ก็จะหลีกเลี่ยงปัญหารังสีคอสมิค และมีผลพลอยได้คือการรวบรวมวัตถุดิบที่จะใช้เป็นแหล่งพลังของเครื่องยนต์ นิวเคลียร์ฟิวชั่นอีกด้วย ข้อทัดทาน: เจ้า “อุปกรณ์กวาดอะตอม” นี่จะต้องมีขนาดกว้างหลายหมื่นไมล์จึงจะมีประสิทธิภาพเพียงพอ การสร้างเจ้าสิ่ง นี้ย่อมจะมีปัญหาอย่างมาก และอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ 4

4. เราอาจสามารถหลบเลี่ยงข้อจํากัดในเรื่องความเร็วแสงได้โดยการใช้ เตฆีออน อนุภาคอะตอมย่อย ซึ่งสามารถเคลื่อนที่

ด้วยความเร็วเหนือแสง และด้วยความเป็นจริงแล้ว มันก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ํากว่าความเร็วแสงได้เช่นกัน ข้อทัดทาน: อนุภาคเตฆีออน ยังคงมีอยู่แค่ในทฤษฎี และยังไม่สามารถตรวจจับได้อย่างแท้จริง5 นักฟิสิกส์ส่วนมากคิดว่า มันจะไม่ถูกตรวจเจอ แม้ว่ามันถูกตรวจเจอ ก็ไม่มีใครที่จะเข้าใกล้ถึงวิธีทางที่จะเอามันมาใช้งานได้ 4

5

Subatomic Particle อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม เช่น ควาร์ก อิเล็กตรอน นิวตริโน โบซอน เป็นต้น

ในเดือนกันยายน ปีค.ศ. 2011 ศูนย์วิจัยฟิสิกส์อนุภาคเซิร์น (CERN) ได้ยืนยันผลการทดลองว่าอนุภาคนิวตรีโนมีความเร็วเหนือความเร็วแสงจริง โดย ทีมวิจัยจากยุโรปได้จับเวลาการเดินทางของอนุภาค ‚นิวทริโน‛ (neutrino) จากกรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ไปยังอิตาลี แล้วพบว่าอนุภาคที่แทบจะไม่มีมวล นี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่า 186,282 ไมล์ หรือ 299,792 กิโลเมตร ต่อวินาที ซึ่งเป็นความเร็วที่ยอมรับกันว่าเป็นขีดจํากัดความเร็วของจักรวาล (cosmic speed limit) 6


5. บางทีเราอาจสามารถหลบเลี่ยงข้อจํากัดในเรื่องความเร็วแสงได้โดยการเดินทางผ่านหลุมดํา ซึ่งอย่างน้อยพวกมันก็เป็นที่

รู้กันว่ามีอยู่จริง ข้อทัดทาน: แม้ว่าหลุมดํามีอยู่จริง (และพวกนักดาราศาสตร์ยังไม่ได้มีความคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ในเรื่องนี้) ไม่มีใครที่จะ เสนอแนะวิธีการที่ยานอวกาศจะสามารถผ่านเข้าไปได้โดยไม่ถูก ทําลายโดยแรงไทดัล6 นอกเหนือไปกว่านั้น หากสามารถผ่าน หลุมดําไปได้ก็ยังมิได้หมายความว่าจะเป็นการเดินทางไปใน ระยะไกลได้อย่างรวดเร็ว 6. ในกรณีนี้ เราอาจจะพบวิธีทางอื่นที่จะหลีกหนีไปจากจักรวาลนี้

เราควรที่จะเดินทางผ่าน อวกาศห้วงลึก หรือ ไฮเปอร์สเปซ ด้วย การ “กระโดด” นั่นจะทําให้เราสามารถเดินทางไปในระยะทาง มหาศาลในเวลาเป็นศูนย์ ข้อทัดทาน: กระนั้น ไฮเปอร์สเปซ ยังคงมีอยู่แต่เพียงในจินตนาการ ของนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ 7. และแล้ว เมื่อพวกเราสามารถเดินทางไปได้โดยพ้นข้อจํากัดในเรื่อง

ความเร็วแสง แต่เราก็ยังต้องทําการแช่แข็งลูกเรือและผู้โดยสารไว้ และ เมื่อถึงปลายทางที่หมายก็จัดการให้พวกเขาฟื้นชีวิตกลับมามี สติสัมปชัญญะหลังจากที่ผ่านไปนับหลายพันปี ข้อทัดทาน: ไม่มีใครรู้ได้ว่าร่างกายของมนุษย์สามารถแช่แข็งโดยไม่ เสียชีวิต หรือว่า ร่างกายที่ถูกแช่แข็งจะสามารถกลับฟื้นคืนชีวิตได้ แม้กระทั่งหลังจากที่ผ่านไปนานนับพันปี 8. ในกรณีนั้น คงจะไม่มีสิ่งใดเหลือไว้ให้ทําอีกแล้ว---การเดินทางด้วย ความเร็วปกติ—ก็คงช้ากว่าความเร็วแสง ซึ่งผู้คนเดินทางไปด้วยสภาวะปกติ นั่นหมายความว่าต้องใช้เวลาหลายพันหมื่น

ปีที่จะไปถึงแม้แต่หมู่ดาวที่ใกล้ที่สุด ดังนั้นผู้คนหลายๆ รุ่นที่จะต้องใช้ช่วงชีวิตของพวกเขาอยู่บนยานอวกาศ นั่นย่อม หมายถึงยานอวกาศต้องมีขนาดใหญ่มากพอที่จะรองรับพวกเขาได้ ข้อทัดทาน: ไม่มี แต่ความเป็นจริงแล้วจะมีใครต้องการที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ มากมายหลายเรื่องสําหรับความเป็นไปได้จริงทางวิทยาศาสตร์ ในโลกของนิยายวิทยาศาสตร์ พวกเราต่างมั่นใจว่าปัญหาทุก ข้อนี้นั้นจะสามารถผ่านไปได้ในที่สุด---แลบางทีอาจเป็นได้ในวิถีทางที่เราอาจไม่คาดคิดอย่างที่สุด ดังนั้นเราจึงจะนําเสนอเรื่องราวนับโหลเกี่ยวกับยานอวกาศ ด้วยหลากหลายกลวิธี ดังเช่นที่ข้าพเจ้าได้อธิบายไว้ข้างต้น เพื่อที่จะคลอบคลุมการเดินทางในระยะไกล และอาจมีหนึ่งหรือสองวิธีที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวเอาไว้ มีอะไรอีกมั๊ย เรื่องราวซึ่งกล่าวถึงผลกระทบของการเดินทางระยะไกลที่มีต่อบรรดาผู้คนบนยานอวกาศ และเหตุการณ์ต่างๆ อันบังเกิดขึ้นกับพวกเขา ด้วยเหตุที่การเดินทางดังกล่าวคงจะไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเรา (และคงจะไม่สําเร็จแน่นอน ถ้าหากว่ายานอวกาศ สําหรับการดํารงชีพของชนหลายรุ่นพิสูจน์ได้ว่าเป็นหนทางเดียวที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ) ทว่าหากการพยากรณ์อันน่าตื่นเต้น ของบรรดานิยายวิทยาศาสตร์นี้ เป็นเพียงวิธีทางเดียวที่เราสามารถเรียนรู้ประสบการณ์ในเรื่องนี้แล้วละก็ การเดินทางไปสู่ดาวดาว อันไกลโพ้นคงเป็นเพียงสาระความฝันของจินตนาการอันกว้างไกลเท่านั้น ● แรงไทดัล Tidal force เป็นผลกระทบทุติยภูมิที่เกิดจากแรงโน้มถ่วง และเป็นส่วนสําคัญที่ทําให้เกิดปรากฏการณ์น้ําขึ้นน้ําลง แรงนี้เกิดขึ้นจากแรง โน้มถ่วงของวัตถุหนึ่งที่กระทําต่ออีกวัตถุหนึ่งอย่างไม่สม่ําเสมอกันตลอดแนวเส้นผ่านศูนย์กลาง ด้านที่อยู่ใกล้กับวัตถุที่สองมากกว่าจึงได้รับแรงดึงดูดที่ มากกว่า ขณะที่ด้านตรงกันข้ามจะถูกแรงดึงดูดน้อยกว่า ที่มา: วิกิปีเดีย 6

7


จักรวาลของเรา

(ฉบับย่นย่อ)

OUR UNIVERSE IN BRIEF

เรียบเรียงโดย ดร. แบรนด์ (แก่)

เอกภพหรือจักรวาล7 (Universe) โดยทั่วไปนิยามว่าเป็นผลรวมของการดํารงอยู่ รวมทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ดารา จักร สิ่งที่บรรจุอยู่ในอวกาศระหว่างดาราจักร และสสารและพลังงานทั้งหมด การสังเกตเอกภพทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเชื่อกันว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลาง 93,000 ล้านปีแสง นําไปสู่อนุมานขั้นแรกเริ่มของเอก ภพ การสังเกตเหล่านี้แนะว่า เอกภพถูกควบคุมด้วยกฎทางฟิสิกส์และค่าคงที่เดียวกันตลอดขนาดและประวัติศาสตร์ส่วน ใหญ่ ทฤษฎีบิกแบงเป็นแบบจําลองจักรวาลวิทยาทั่วไปซึ่งอธิบายพัฒนาการแรกเริ่มของเอกภพ ซึ่งในจักรวาลวิทยากายภาพเชื่อ ว่าเกิดขึ้นเมื่อราว 13,700 ล้านปีก่อน มีนักฟิสิกส์มากมายเชื่อสมมุติฐานเกี่ยวกับพหุภพ ซึ่งกล่าวไว้ว่าเอกภพอาจเป็นหนึ่งในภพจํานวนมากที่มีอยู่เช่นกัน ระยะ ทางไกลสุดที่เป็นไปได้ทางทฤษฎีแก่มนุษย์ที่จะมองเห็นอธิบายว่าเป็น เอกภพที่สังเกตได้ การสังเกตได้แสดงว่า เอกภพดูจะ ขยายตัวในอัตราเร่ง และมีหลายแบบจําลองเกิดขึ้นเพื่อพยากรณ์ชะตาสุดท้ายของเอกภพ

กําเนิดเอกภพ8 จากเดิมที่ไม่อะไรอยู่เลยแล้วปรากฏขึ้นอย่างทันทีทันใดหรือไม่สิ่งที่เรียกว่าการกําเนิดเอกภพ ย้อนกลับไปสู่อดีตราว 18,000 ล้านปี ก่อน จากกฎของฮับเบิลเอกภพจะมีขนาดเล็กเหมือน ‚จุด‛จุดหนึ่ง ในเวลานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จากช่วงเอกภพเป็นส เหมือน จุด ขนาดเล็ก เริ่มเกิดการขยายตัวที่มีลักษณะเหมือนการระเบิด เรียกกันว่า บิกแบง (big bang) หรือ การระเบิดครั้งใหญ่ของ เอกภพ ในขณะนั้นมวลสารทั้งหมดที่มีอยู่ในเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลในปัจจุบันอัดแน่นอยู่ใน จุด ทําให้มีพลังงานสะสมอยู่ มหาศาล ทั่วทั้งเอกภพเริ่มขยายตัวเพราะแรงดันที่เกิดจากพลังงานดังกล่าว ซึ่งเริ่มกลายเป็นสสารตามสมการของไอน์สไตน์ ขณะที่ เอกภพยังเป็นสเหมือน จุด อยู่นั้น มีความหนาแน่นสูงมากดังนั้นจึงเกิดปรากฏการณ์น่าอัศจรรย์แตกต่างจากที่เราเห็นใน ชีวิตประจําวัน เอกภพได้ปรากฏขึ้นมาอย่างทันที่ทันใดจากเดิมที่เป็นเพียงความว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย 7 8

ทีมา: วิกิปีเดีย ที่มา: https://manthana2013.wordpress.com/กําเนิดเอกภพ

8


ตามหลักกลศาสตร์ควอนตัม (quantum mechanics) นั้น การดํารงอยู่ของสสารเป็นการซ่อนทับกันของเคลื่อน ซึ่งอธิบายได้ สมการการเคลื่อนที่ของคลื่น เพราะฉะนั้น ทฤษฎีที่ว่า เอกภพเกิดขึ้นทันทีทันใด จากเดิมที่ไม่มีอะไรอยู่เลย จึงมีความเป็นไปได้ และ อาจกล่าวได้ว่าสสารจํานวนหนึ่ง ณ เวลาหนึ่งที่แน่นอน มีความเป็นไปได้ว่าจะสูญหายไปทันทีเหมือนอยู่อีก ณ เวลาหนึ่ง ม่าวมี โอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามเมื่อวัตถุหดตัวเล็กลงมันจะขนาดเล็กมากจนอาจเกิดสภาพ ที่บางก็มีอยู่ บางครั้งก็หายไปที่เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการกําเนิดเอกภพที่เอ็ดเวิร์ด เฟรดกิน แสนอไว้ในปี ค. ศ. 1980 The Big Bang ทฤษฎี ‚บิ๊กแบง‛ (Big Bang Theory) เป็นทฤษฎีทางดาราศาสตร์ที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของจักรวาล ปัจจุบันเป็น ทฤษฎีที่เป็นที่เชื่อถือและยอมรับมากที่สุด ทฤษฎีบิกแบงเกิดขึ้นจากการสังเกตของนักดาราศาสตร์ที่ว่า ขณะนี้จักรวาลกําลัง ขยายตัว ดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้ากําลังวิ่ง ห่างออกจากกันทุกที เมื่อย้อนกลับไปสู่อดีต ดวงดาวต่างๆ จะอยู่ใกล้กันมากกว่านี้ และ เมื่อนักดาราศาสตร์คํานวณอัตราความเร็ว ของการขยายตัวทําให้ทราบถึงอายุของ จักรวาลและการคลี่คลายตัวของจักรวาล รวมทั้งสร้างทฤษฎีการกําเนิดจักรวาลขึ้นอีก ด้วย ตามทฤษฎีนี้ จักรวาลกําเนิดขึ้นเมื่อ ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านปีที่แล้ว ก่อนการเกิด ของจักรวาล ไม่มีมวลสาร ช่องว่าง หรือ กาลเวลา จักรวาลเป็นเพียงจุดที่เล็กยิ่งกว่า อะตอมเท่านั้น และด้วยเหตุใดยังไม่ปรากฏ แน่ชัด จักรวาลที่เล็กที่สุดนี้ได้ระเบิดออก อย่างรุนแรงและรวดเร็วในเวลาเพียงเศษ เสี้ยววินาที (Inflationary period) แรงระเบิด ก่อให้เกิดหมอกธาตุซึ่งแสงไม่สามารถทะลุผ่านได้ (Plasma period) ต่อมาจักรวาลที่กําลังขยายตัวเริ่มเย็นลง หมอกธาตุเริ่มรวมตัว กันเป็นอะตอม จักรวาลเริ่มโปร่งแสง ในทางทฤษฎีแล้วพื้นที่บางแห่งจะมีมวลหนาแน่นกว่า ร้อนกว่า และเปล่งแสงออกมามากกว่า ซึ่งต่อมาพื้นที่เหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นกลุ่มหมอกควันอันใหญ่โตมโหฬาร และภายใต้กฎของแรงโน้มถ่วง กลุ่มหมอกควันอันมหึมานี้ได้ ค่อยๆ แตกออก จนเป็นโครงสร้างของ ‚กาแลกซี‛ (Galaxy) ดวงดาวต่าง ๆ ได้ก่อตัวขึ้นในกาแลกซี และจักรวาลขยายตัวออกอย่าง ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน นักดาราศาสตร์คํานวณว่าจักรวาลว่าประกอบไปด้วยกาแลกซีประมาณ ๑ ล้านล้านกาแลกซี และแต่ละกาแลกซีมีดาวฤกษ์ อย่างเช่นดวงอาทิตย์อยู่ประมาณ ๑ ล้านล้านดวง และสุริยจักรวาลของเราอยู่ปลายขอบของกาแลกซีที่เรียกว่า ‚ทางช้างเผือก‛ (Milky Galaxy) และกาแลกซีทางช้างเผือกก็อยู่ปลายขอบของจักรวาลใหญ่ทั้งหมด เราจึงมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลเลย ไม่ว่า จะในความหมายใด ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ดาวเทียม ‚โคบี‛ (COBE) ขององค์การนาซ่าแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกส่งขึ้นไปเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของ จักรวาลโดยเฉพาะ ได้ค้นพบรังสีโบราณ ซึ่งบ่งบอกถึงโครงสร้างของจักรวาลขณะเมื่อจักรวาลมีอายุเพียง ๓๐๐,๐๐๐ ปี นับเป็นการ ค้นพบครั้งสําคัญที่ยืนยันว่า จักรวาลกําเนิดขึ้นมาจากจุดเริ่มต้นของการระเบิด และคลี่คลายตัวตามคําอธิบายในทฤษฎี ‚บิกแบง‛ จริง เมื่อได้ทฤษฎีการกําเนิดจักรวาลแล้ว นักดาราศาสตร์ก็สนใจว่าจักรวาลจะสิ้นสุดลงอย่างไร มีทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้อยู่ ๓ ทฤษฎี ทฤษฎีแรก กล่าวว่า เมื่อแรงระเบิดสิ้นสุดลง มวลอันมหึมาของกาแลกซีต่างๆ จะดึงดูดซึ่งกันและกัน ทําให้จักรวาลหดตัวกลับจนกระทั่งถึงกาล อวสาน ทฤษฎีที่สอง อธิบายว่า จักรวาลจะขยายตัวในอัตราช้า ๆ จึงเชื่อว่าน่าจะมี ‚มวลดํา‛(dark matter) ที่เรายังไม่รู้จักปริมาณ มหึมาคอยยึดโยงจักรวาลไว้ จักรวาลจะขยายตัวไปเรื่อยๆ จนยากแก่การสืบค้น ส่วนสตีเฟ่น ฮอว์กกิ้ง (Stephen Hawking) ได้เสนอ

9


ทฤษฎีที่สามว่า จักรวาลจะขยายตัวในอัตราความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทฤษฎีบิกแบงนั้นได้รับการเชื่อมต่อด้วยทฤษฎี วิวัฒนาการ (Evolution Theory) ของชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) เมื่อโลกเย็นตัวลงนั้น ปฏิกิริยาเคมีจากมวลสารในโลกในที่สุด แล้วก่อให้เกิดไอน้ํา และไอน้ําก่อให้เกิดเมฆ และเมฆตกลงมาเป็นฝน ทําให้เกิดแม่น้ํา ลําธาร ทะเล และมหาสมุทร วิวัฒนาการนี้มี ลักษณะแบบ ‚ก้าวกระโดด‛ (Emergent Evolution) เมื่อมีสารอนินทรีย์และน้ําปริมาณมหาศาลเป็นเวลาที่ยาวนาน ในที่สุดคุณภาพ ใหม่คือ ‚ชีวิต‛ ก็เกิดขึ้น คําว่า บิ๊กแบง ที่จริงเป็นคําล้อเลียนที่เกิดจาก นักดาราศาสตร์ ชื่อ เฟรด ฮอยล์ ซึ่งเขาดูหมิ่นและตั้งใจจะ ทําลายความน่าเชื่อถือของทฤษฎีที่เขาเห็นว่าไม่มีทางเป็นจริงอย่างไรก็ดี การค้นพบ ไมโครเวฟพื้นหลัง ในปี ค.ศ. 1964 ยิ่งทําให้ไม่ สามารถปฏิเสธทฤษฎีบิกแบงได้ มีหลักฐานสําคัญพิสูจน์ความถูกต้องของทฤษฎีการเกิดของเอกภพตาม ทฤษฎีการระเบิดครั้งใหญ่ประการหนึ่ง คือ ในปี ค.ศ. 1965 นักวิทยาศาสตร์ที่ บริษัท เบลล์ แลบอรอทอรี่ สหรัฐ ได้ยินเสียง รบกวนของคลื่นวิทยุดังมากจาก รอบทิศบนท้องฟ้า นักวิทยาศาสตร์ได้คํานวณได้แล้วว่า ถ้าหากเอกภพมีจุดกําเนิด จากปฐมดวงไฟ ในจักรวาลเมื่อประมาณ 1.1 x 1010-1.8×1010 ปีมาแล้ว ตาม ทฤษฎีการระเบิดครั้งใหญ่ของจักรวาลพลังงานที่ยังหลงเหลืออยู่ใน การระเบิด ครั้งใหญ่จะต้องค้นหาพบได้ในปัจจุบัน และจะมีอุณหภูมิประมาณ 3 องศาเหนือ ศูนย์องศาสมบูรณ์ เนื่องจากพลังงานจะ แผ่ออกมาเป็นไมโครเวฟ มีความยาวคลื่น น้อยกว่า 1 ม.ม. ผลจากการได้ยินเสียงคลื่นไม่โครเวฟดังมากจากรอบทิศทางบน ท้องฟ้า ดังกล่าว เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทําการวัดอย่างระมัดระวังทําให้นักวิทยาศาสตร์ แน่ใจว่า การแพร่ของคลื่นไมโครเวฟ บนท้องฟ้าทั่ว ทิศทาง คือ ส่วนที่หลงเหลือ จากการระเบิดครั้งใหญ่ของจักรวาล

ดาราจักร (กาแลคซี-Galaxies)9 ดาราจักร คือ ที่รวมของดาว กระจุกดาว เนบิวลา (Nebula) ฝุ่น ก๊าซ และที่ว่าง โดยจะมีรูปร่างแตกต่างกันไปมีลักษณะใหญ่ 3 ประการคือ ดาราจักรวงรี ดาราจักรกังหัน และดาราจักรอสัญฐาน ดาราจักรที่เราอาศัยอยู่นี้เรียกว่า ดาราจักรทางช้างเผือก (Milky Way) ในปี พ.ศ. 2152 กาลิเลโอ ได้สํารวจท้องฟ้าด้วยกล้องโทรทรรศน์ แล้วพบว่า ทางช้างเผือกประกอบด้วยดาวจํานวนมากมาย ปรากฎอยู่ใกล้กันจนไม่สามารถมองให้แยกออกจากกันได้ ภายหลังได้มีการศึกษาพบบริเวณสว่างของก๊าซและฝุ่นในอวกาศ ตลอด บริเวณที่มืดจนปิดบังแสงสว่างของดาวอื่น โดยเรียกบริเวณนั้นว่า เนบิวลาสว่างและเนบิวมืดตามลําดับ และยิ่งศึกษามากขึ้นก็พบว่า ไม่สามารถประเมินรูปร่างได้ และในเอกภพจะมีจํานวนดาราจักรอยู่มากจนประมาณได้ถึง หมื่นล้านดาราจักร กาแลคซีของเราหรือกาแลคซีทางช้างเผือก ประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณหนึ่งแสนล้านดวง ดึงดูดซึ่งกันและกันทําให้อยู่ในระบบเดียวกันได้ มีความหนาประมาณ 10,000 ปีแสง และมี เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 100,000 ปีแสง ส่วนดวงอาทิตย์ของเรา อยู่ที่แขนของแกแลคซี ห่างจาก ศูนย์กลางแกแลคซีประมาณ 26,100 ปีแสง (2.5X1017 km) กาแลคซีของเราความยาวส่วนที่ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 75,000 ปีแสง (7.1 X 1011 km) แต่ค่าที่วัดได้ จากเครืองอาจยาวมากกว่านี้ถึง 3 เท่า มีมวล 4 X 1011 เท่า ของมวลดวงอาทิตย์

ดาราจักรช้างเผือกเป็นระบบที่แบนมาก กล่าวคือ มีความหนาน้อยเมื่อเทียบกับความกว้าง โดยที่ส่วนนูนตรงกลาง ประมาณ 3,500 พาร์เซก และส่วนที่อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางประมาณได้กับระยะที่ดวงอาทิตย์อยู่จะหนาประมาณ 1,500 พาร์เซก ในขณะที่ความกว้างของดาราจักรประมาณได้ถึง 50,000 พาร์เซก ดาราจักรจะมีดาวกว่าแสนล้านดวงและก๊าซ ฝุ่น สสารที่มากพอจะให้กําเนิดดาวได้หลายพันล้านดวง และในเอกภพนี้มี ดาราจักรมากเสียจนประมาณได้อย่างชัดเจน แต่จากการเฝ้าติดตามด้วยกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่คาดไว้ว่าน่าจะมีมากกว่า 100,000,000,000 ดาราจักร (แสนล้าน) และอาจจะมีในส่วนที่ยังไม่เห็นด้วยกล้องอีกบางทีอาจจะมากกว่า ล้านล้านดาราจักรก็ เป็นได้ จากการศึกษาของนักดาราศาสตร์ยังพบอีกว่าดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นแกนหลังของระบบสุริยะไม่ได้หยุดนิ่งแต่กําลังเคลื่อนที่ 9

ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/naturemystery/sci3/Galaxy/galaxy1.htm

10


ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อวินาที ดังนั้นจึงคาดกันว่าดาราจักรของเราไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ดาราจักรกําลังหมุนรอบ ตัวเองโดยสังเกตจากรูปร่าง

รูปร่างของกาแลกซี เอ็ดวิน ฮับเบิล ได้จําแนกรูปร่างของ กาแลกซี ได้เป็น 4 แบบคือ 1. กาแลกซีแบบรูปไข่ หรือ ทรงรี Elliptical จัดว่าเป็นรูปทรงพื้นฐานเริ่มแรก แบ่ง ออกได้เป็น E0 - E7 คือ E0 จะมีรูปร่างเป็นทรงกลม และยิ่งรีมากขึ้น ตัวเลขตาม ท้ายก็จะมากขึ้น เช่น E7 มีรูปทรงรีมากที่สุด 2. กาแลคซีแบบก้นหอย หรือ รูปเกลียว Spiral ลักษณะแบบคล้ายจานสองใบ ประกบหากัน จะมีจุดกลางสว่าง แล้วมีแขนโค้ง 2-3 แขน ลักษณะ หมุนวนรอบ แกนกลาง แบ่งย่อยออกเป็น Sa Sb Sc โดยพิจารณาจากระยะความห่างของแขน 3. กาแลคซีแบบกังหัน หรือรูปเกลียวแขนยาว Barred Spiral ลักษณะคล้ายแบบ ที่ 2 แต่มีแขนออกมาจาก แกนกลางก่อน แบ่งย่อยออกเป็น SBa SBb SBc โดย พิจารณาจากแขนที่ยาวออกมาจากแกนกลาง 4. กาแลคซีแบบไม่มีรูปร่าง Irregular เป็นกาแลคซีที่มีรูปร่างไม่แน่นอน เข้าใจว่า เกิดจากการกลืนกินกัน ของสองกาแลคซีแบบ 1 ถึง 3 ที่อยู่ใกล้กัน ตัวอย่างกาแลคซีที่น่าสนใจ M31(NGC224) หรือ กาแลกซีแอนโดรเมดร้า (Andromeda galaxy) เป็นกาแลคซีรูปเกลียวแบบ Sb อยู่ ในกลุ่มดาวแอนโดรเมดร้า ตําแหน่ง RA 00:42.7 Dec +41.16 ความสว่าง 3.5 สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าใน คืนฟ้ามืดสนิท หรือด้วยกล้องสองตา หรือกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก ระยะห่างออกไป 2.2 ล้านปีแสง ประกอบด้วยดาว ฤกษ์ประมาณ 200 ล้านล้านดวง ฝ้าขวาๆด้านล่างคือ M32(NGC221) และด้านบนคือ M110(NGC205) Large Magellanic Cloud (LMC) หรือ กลุ่มเมฆแมคเจลแลนใหญ่ เป็นกาแลคซีแบบไม่มีรูปร่าง อยู่ใน กลุ่มดาวปลาปากดาบ(Dorado) ตําแหน่งRA 05:23.6 Dec -69.45 ความสว่าง 0.1 สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ในประเทศไทยมองไม่เห็นเพราะอยู่ลับขอบฟ้าทางใต้ไปแล้ว เห็นได้เฉพาะประเทศแถบทาง ซีกโลกใต้เช่น ออสเตรเลีย เป็นกาแลคซีเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ทางช้างเผือกมาที่สุดห่างออกไป 160,000 ปีแสง กลุ่มเมฆสี แดงด้านซ้ายคือ Tarantura Nabulae Small Magellanic Cloud (SMC) หรือ กลุ่มเมฆแมคเจลแลนเล็ก เป็นกาแลคซีแบบไม่มีรูปร่างอีกหนึ่ง อยู่ ในกลุ่มดาวนกทูแคน(Tucana) ตําแหน่ง RA 00:53 Dec -72.50 ความสว่าง 2.3 อยู่ห่างออกไป 240,000 ปีแสง สามารถเห็นด้วยตาเปล่าในคืนฟ้าใส แต่ไม่เห็นในประเทศไทยเช่นกัน ภายในประกอบด้วยวัตถุกว่า 31 NGC เป็น ทั้ง เนบิวล่าและกระจุกดาวเปิด ได้แก่ NGC346,NGC371 M104(NGC4594) เป็นกาแลกซีที่สวยงามอันหนึ่ง อยู่ในกลุ่มดาวหญิงสาว (Virgo) บางทีเราเรียกว่า Sombrero Galaxy เป็นกาแลกซีรูปเกลียวแบบ Sb ตําแหน่ง RA 12:40 Dec -11.37 ความสว่าง 8.3 เห็นได้จากกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่เท่านั้น แถบสีดําที่เห็นเป็นฝุ่นผงทึบแสงที่รอบแขนกาแลคซี NGC1365 เป็นกาแลคซีเกรียวมีแขนแบบ SBb อยู่ในกลุ่มดาวเตาอบ (Fornax) ตําแหน่ง RA. 03:33.6 Dec -36.08 ความสว่าง 9.5

11


ระบบสุริยะ Solar System10 ระบบสุริยะเกิดจากกลุ่มก๊าซและฝุ่นในอวกาศ ยุบรวมกันภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง เมื่อ 4,600 ล้านปีที่ผ่านมา ที่ใจกลางของกลุ่ม ก๊าซเกิดเป็นดาวฤกษ์ คือ ดวงอาทิตย์ เศษฝุ่น และก๊าซที่เหลือจากการเกิดเป็นดาวฤกษ์ เคลื่อนที่อยู่ล้อมรอบ เกิดการชน และรวมตัวกัน ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง ในช่วงเวลาหลายร้อยล้านปี จนในที่สุดก็กลายเป็นดาวเคราะห์บริวาร และวัตถุอื่นๆ - ระบบสุริยะส่วนใหญ่เป็นก๊าซ ยกเว้นดาวเคราะห์ดวงนอกสุด คือ ดาวพลูโตที่มีขนาดเล็ก และมีพื้นผิวเป็นของแข็ง - ระบบสุริยะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12,000 ล้านกิโลเมตร - 99% ของเนื้อสสารทั้งหมดของระบบสุริยะ รวมอยู่ที่ดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะ ประกอบด้วยดวงอาทิตย์และวัตถุอื่นๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ เช่น ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และดาว บริวาร โลกเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลําดับที่ 3 โดยทั่วไป ถ้าให้ถูกต้องที่สุดควรเรียกว่า ระบบดาวเคราะห์ เมื่อ กล่าวถึงระบบที่มีวัตถุต่างๆ โคจรรอบดาวฤกษ์ คําว่า “ระบบสุริยะ” ควรใช้เฉพาะกับระบบดาวเคราะห์ที่มีโลกเป็นสมาชิก และไม่ควร เรียกว่า “ระบบสุริยะจักรวาล” อย่างที่เรียกกันติดปาก เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับคําว่า “จักรวาล” ตามนัยที่ใช้ในปัจจุบัน

วัตถุในระบบสุริยะ ระบบสุริยะประกอบด้วยวัตถุจํานวนมากและมีอยู่หลากหลายประเภท บางอย่างไม่สามารถจําแนกได้อย่างชัดเจนอย่างที่เคยทําได้ใน อดีต สารานุกรมวิกิพีเดียของแยกออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ ดวงอาทิตย์ เป็นดาวฤกษ์ที่มีชนิดสเปกตรัม G2 มีมวลประมาณ 99.86% ของทั้งระบบ ดาวเคราะห์ ในระบบสุริยะ มีดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 8 ดวง ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และ ดาวเนปจูน – ดาวบริวาร คือ วัตถุที่โคจรรอบดาวเคราะห์ – ฝุ่นและอนุภาคขนาดเล็กอื่นๆ ที่ประกอบกันเป็นวงแหวนโคจรรอบดาวเคราะห์ – ขยะอวกาศที่โคจรรอบโลก เป็นชิ้นส่วนของจรวด ยานอวกาศ หรือดาวเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้น – ซากจากการก่อตัวของดาวเคราะห์ เป็นเศษฝุ่นที่จับตัวกันในยุคแรกที่ระบบสุริยะก่อกําเนิด อาจหมายรวมถึงดาวเคราะห์น้อยและ ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย คือ วัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์ ส่วนใหญ่มีวงโคจรไม่เกินวงโคจรของดาวพฤหัสบดี อาจแบ่งได้เป็นกลุ่มและวงศ์ ตามลักษณะวงโคจร 10

ที่มา: https://wpnutter.wordpress.com/category/บทที่7-ระบบสุริยะ/

12


– ดาวบริวารดาวเคราะห์น้อย คือ ดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กที่โคจรรอบดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดใหญ่กว่าหรืออาจมีขนาดพอๆ กัน – ดาวเคราะห์น้อยทรอย คือ ดาวเคราะห์น้อยที่มีวงโคจรอยู่ในแนววงโคจรของดาวพฤหัสบดีที่จุด L4 หรือ L5 อาจใช้ชื่อนี้สําหรับ

ดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ที่จุดลากรางจ์ของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ด้วย สะเก็ดดาว คือ ดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดเท่าก้อนหินขนาดใหญ่ลงไปถึงผงฝุ่น ดาวหาง คือ วัตถุที่มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นน้ําแข็ง มีวงโคจรที่มีความรีสูง โดยปกติจะมีจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดอยู่ภายในวงโคจร ของดาวเคราะห์วงใน และมีจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดห่างไกลเลยวงโคจรของดาวพลูโต ดาวหางคาบสั้นมีวงโคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า นี้ อย่างไรก็ตาม ดาวหางที่มีอายุเก่าแก่มักสูญเสียน้ําแข็งไปหมดจนกลายเป็นดาวเคราะห์น้อย ดาวหางที่มีวงโคจรเป็นรูปไฮเพอร์โบลา อาจมีกําเนิดจากภายนอกระบบสุริยะ เซนทอร์ คือ วัตถุคล้ายดาวหางที่มีวงโคจรรีน้อยกว่าดาวหาง มักอยู่ในบริเวณระหว่างวงโคจรของดาวพฤหัสบดีและดาวเนปจูน วัตถุทีเอ็นโอ คือ วัตถุที่มีกึ่งแกนเอกของวงโคจรเลยดาวเนปจูนออกไป อาจแบ่งย่อยเป็น – วัตถุแถบไคเปอร์ มีวงโคจรอยู่ระหว่าง 30 ถึง 50 หน่วยดาราศาสตร์ คาดว่าเป็นที่กําเนิดของดาวหางคาบสั้น บางครั้งจัดดาวพลูโต เป็นวัตถุประเภทนี้ด้วย นอกเหนือจากการเป็นดาวเคราะห์ จึงเรียกชื่อวัตถุที่มีวงโคจรคล้ายดาวพลูโตว่าพลูติโน – วัตถุเมฆออร์ต คือ วัตถุที่คาดว่ามีวงโคจรอยู่ระหว่าง 50,000 ถึง 100,000 หน่วยดาราศาสตร์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นถิ่นกําเนิดของดาว หางคาบยาว เซดนา วัตถุที่เพิ่งค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งมีวงโคจรเป็นวงรีสูงมาก ห่างดวงอาทิตย์ระหว่าง 76-850 หน่วยดาราศาสตร์ ไม่สามารถจัดอยู่ ในประเภทใดได้ แม้ว่าผู้ค้นพบให้เหตุผลสนับสนุนว่ามันอาจเป็นส่วนหนึ่งของเมฆออร์ต ฝุ่น ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในระบบสุริยะ อาจเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์แสงจักรราศี ฝุ่นบางส่วนอาจเป็นฝุ่นระหว่างดาวที่มา จากนอกระบบสุริยะ

วิวัฒนาการของดาวฤกษ์11 ดาวฤกษ์ ทั้งหลายเกิดจากการยุบรวมตัวของ เนบิวลา หรือกล่าวได้อีกอย่างว่าเนบิวลาเป็นแหล่งกําเนิดของดาวฤกษ์ทุกประเภท แต่จุดจบของดาวฤกษ์จะต่างกัน ขึ้นอยู่กับมวลสาร

11

ที่มา: https://wpnutter.wordpress.com/category/บทที่6-ดาวฤกษ์

13


วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ที่มีมวลสารต่างๆ กัน ก็จะแตกต่างกันไป วาระสุดท้ายของดาวฤกษ์ที่มมี วลสารมากกว่าดวง อาทิตย์มากๆ จะกลายเป็นหลุมดํา ดาวฤกษ์ที่มมี วลสารมากกว่าดวงอาทิตย์มากจะกลายเป็นดาวนิวตรอน และวาระสุดท้ายดาว ฤกษ์มวลสารน้อย เช่น ดวงอาทิตย์ จะกลายเป็นดาวแคระ ดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย เช่น ดวงอาทิตย์มีแสงสว่างไม่มากจะใช้เชื้อเพลิงในอัตราที่น้อย จึงมีชีวิตยาว และจบลงด้วยการไม่ ระเบิด แต่จะกลายเป็นดาวแคระขาว สําหรับดาวฤกษ์ ที่มีมวลพอๆกับดวงอาทิตย์ จะมีช่วงชีวิตและการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกับ ดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่ มีมวลมาก สว่างมากจะใช้เชื้อเพลิงอย่างสิ้นเปลืองในอัตราสูงมากจึงมีช่วงชีวิตสั้นกว่า และจบชีวิต ด้วยการระเบิดอย่างรุนแรง จุดจบของดาวฤกษ์ที่มวลมาก คือการระเบิดอย่างรุนแรง ที่เรียกว่า ซูเปอร์โนวา (Supernova) แรงโน้มถ่วง จะทําให้ดาว ยุบตัวลงกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดํา ในขณะเดียวกันก็มีแรงสะท้อนที่ทําให้ส่วนภายนอกของดาวระเบิดเกิดธาตุหนักต่างๆ เช่น ยูเรเนียม ทองคํา ฯลฯ ซึ่งถูกสาดกระจายออกสู่อวกาศกลายเป็นส่วนประกอบของเนบิวลารุ่นใหม่ และเป็นต้นกําเนิดของดาว ฤกษ์รุ่นต่อไป เช่นระบบสุริยะก็เกิดจากเนบิวลารุ่นหลัง ดวงอาทิตย์และบริวารจึงมีธาตุต่างๆทุกชนิด เป็นองค์ประกอบ ดังนั้น เนบิวลา ดาวฤกษ์ การระเบิดของดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ โลกของเรา สสารต่างๆ และชีวิตบนโลก จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง Magnetics, Electric, and Gravitational Fields12 ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetism) คือ วิชาฟิสิกส์ที่ศึกษาสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นสนามที่แผ่ไปในปริภูมิ (space) และ ออกแรงกระทําต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า มีผลทําให้เกิดการเคลื่อนที่ของอนุภาคนั้น[1] โดยแรงแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นหนึ่งในสีอ่ ันตร กิริยาพื้นฐาน (fundamental interaction in nature) อันประกอบไปด้วยแรงนิวเคลียร์ชนิดเข้ม (strong interaction), แรง แม่เหล็กไฟฟ้า, แรงนิวเคลียร์ชนิดอ่อน (weak interaction), และแรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน เป็นแรงที่ กระทําระหว่างโมเลกุลต่อโมเลกุลในสสาร อิเล็คตรอนถูกดึงดูดอยู่ในวงโคจรรอบ นิวเคลียสของอะตอมด้วยกลไกของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อะตอมหลายอะตอม รวมตัวกันเป็นโมเลกุล ปฏิสัมพันธ์ระหว่างอิเล็คตรอนของอะตอมหลายอะตอมที่ อยู่ใกล้กัน มีผลทําให้เกิดแรงแม่เหล็กไฟฟ้าและการเคลื่อนที่ของอิเล็คตรอน เหล่านั้น มีสูตรทางคณิตศาสตร์ที่อธิบายความหมายของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ในสาขาดั้งเดิมของ อิเล็คโทรไดนามิคส์ สนามไฟฟ้าถูก อธิบายว่าเป็นศักย์ทางไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าด้วยกฎของโอห์ม, สนามแม่เหล็กถูกนําไปรวมกับการเหนี่ยวนําของแม่เหล็กไฟฟ้า และสถาวะแม่เหล็ก และ สมการของแมกซ์เวลล์อธิบายถึงการที่ไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กถูกสร้างมาได้อย่างไร ถูกเปลี่ยนแปลงโดย กันและกันได้อย่างไรและเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงโดยการประจุและกระแสได้อย่างไร

สนามไฟฟ้า และสนามแม่เหล็ก Electric and Magnetics Fields เราอาจเข้าใจสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก อนุภาคที่มี ประจุไฟฟ้าจะสร้างสนามไฟฟ้า และทําให้เกิดแรงไฟฟ้าขึ้น แรงนี้ทําให้เกิดไฟฟ้า สถิต และทําให้เกิดการไหลของประจุไฟฟ้า (กระแสไฟฟ้า) ในตัวนําขึ้น ขณะเดียวกัน อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ จะสร้างสนามแม่เหล็ก และทําให้เกิดแรงแม่เหล็กต่อ วัตถุที่เป็นแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กกับสนามไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถถูกวาดเป็น มโนภาพให้เป็นคลื่นไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่แกว่งกระจายออกจากแหล่งกําเนิดได้เอง สนามไฟฟ้าอยู่ในแนวตั้ง สนามแม่เหล็กอยู่ในแนวนอน 12

ที่มา: วิกิปีเดีย

14


คําว่า "แม่เหล็กไฟฟ้า" มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ถ้ากฎของฟิสิกส์ จะเหมือนกันใน ทุก กรอบอ้างอิงเฉื่อย (Inertia frame of reference) การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็ก ทําให้เกิดสนามไฟฟ้า (เรียกว่า การเหนี่ยวนําแม่เหล็กไฟฟ้า ปรากฏการณ์นี้เป็นพื้นฐานของเครื่องกําเนิดไฟฟ้าและมอเตอร์ไฟฟ้านั่นเอง) ในทางกลับกัน การ เปลี่ยนแปลงสนามไฟฟ้า ก็ทําให้เกิดสนามแม่เหล็ก เนื่องจาก สนามทั้งสองไม่สามารถแยกจากกันได้ จึงควรรวมให้เป็นอันเดียวกัน เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ เป็นผู้รวม สนามไฟฟ้ากับสนามแม่เหล็กเข้าด้วยกันด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ เพียงสี่สมการ ที่เรียกว่า สมการของแมกซ์เวลล์ ทําให้เกิดการ พัฒนาฟิสิกส์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19เป็นอย่างมาก และนําไปสู่ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น แสงนั้น อธิบายได้ว่าเป็น การสั่นของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่กระจายออกไป หรือเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั่นเอง ความถี่ของการสั่นที่แตกต่างกันทําให้เกิด รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าที่แตกต่างกัน เช่น คลื่นวิทยุเกิดจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ํา แสงที่มองเห็นได้เกิดจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ความถี่ปานกลาง รังสีแกมมาเกิดจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้ามีส่วนสําคัญที่ทําให้เกิด ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในปี ค.ศ. 1905

แรงโน้มถ่วง และสนามโน้มถ่วง

Gravitational Force and Gravitational Fields13

แรงโน้มถ่วงของโลกคือแรงที่โลกดึงดูดวัตถุบนโลกไม่ให้หลุดลอยไปในอวกาศ ซึ่งแรงโน้มถ่วงของโลกที่มีผลต่อวัตถุจะมากหรือ น้อยจะขึ้นอยู่กับ ชนิดของมวลของวัตถุและระยะห่างวัตถุกับจุดศูนย์กลางของโลก มวลของสาร(Mass: M) คือปริมาณเนื้อสาร ซึ่งมีค่าคงตัว มีหน่วยเป็นกิโลกรัม น้ําหนัก (Weight: W) คือแรงเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกที่กระทําต่อวัตถุ มีหน่วยตามระบบเอสไอ คือ นิวตัน (N) W = mg

W แทน น้ําหนัก m แทน มวล และ g แทน ค่าความเร่งเนื่องจากแรงดึงดูดของโลก (9.8 m/s2)

"ทุกอนุภาคสสารนี้เอกภพดึงดูดทุกอนุภาคอื่นด้วยแรงซึ่งแปรผันตรงกับผลคูณของมวลของอนุภาคและแปรผกผันกับกําลังสองของ ระยะห่างระหว่างอนุภาคทั้งสองนั้น" F = mg

เมื่อ g = ความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก = 9.81 m/s.s ถ้า m มีหน่วยเป็นกิโลกรัม F จะมีหน่วยเป็นนิวตัน

วัตถุมีมวล m จะมีแรงโน้มถ่วงกระทําต่อวัตถุขนาดเท่ากัน แรง F นี้คือสิ่งที่เรามักเรียกว่า "น้ําหนัก" (Weight) เนื่องจาก g มีค่า เปลี่ยนแปลงไปตามตําแหน่งต่างๆ ของโลก แรง F จึงมีค่าเปลี่ยนไปด้วยเล็กน้อย

สนามโน้มถ่วง เมื่อปล่อยวัตถุ วัตถุจะตกสู่พื้นโลกเนื่องจากโลกมีสนามโน้มถ่วง (Gravitational Field) อยู่รอบโลก สนามโน้มถ่วงทําให้เกิดแรง ดึงดูดกระทําต่อมวลของวัตถุทั้งหลาย แรงดึงดูดนี้เรียกว่า แรงโน้มถ่วง (Gravitational Force) แรงโน้มถ่วงและสนามโน้มถ่วงของโลก แรงโน้มถ่วงที่โลกกระทําต่อวัตถุบนโลกคือน้ําหนัก (Weight) ของวัตถุนั้น (น้ําหนักมี หน่วยเป็น นิวตัน) สําหรับวัตถุมวล บนผิวโลกจะมีน้ําหนักเท่ากับ มีทิศเข้าสู่จุด ศูนย์กลางโลกโดยที่ผิวโลกขนาดของ มีค่าประมาณ9.8 m/s2 ข้อสังเกต - W ไม่ได้หมายถึงน้ําหนักที่อ่านได้จากตาชั่ง - น้ําหนักและค่า g ขึ้นอยู่กับตําแหน่งของวัตถุบนผิวโลก และจะเปลี่ยนแปลงตาม ความสูงต่ําจากผิวโลกแรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทําต่อวัตถุก็คือ น้ําหนัก (weight) ของวัตถุบนโลก หาได้จากสมการ W=mg เมื่อ m เป็นมวลของวัตถุที่มีหน่วยเป็น กิโลกรัม (kg) g เป็นความเร่งโน้มถ่วง ณ.ตําแหน่งที่วัตถุวางอยู่ มีหน่วยเป็นเมตร ต่อวินาทียกกําลังสองและ W เป็นน้ําหนักของวัตถุที่มีหน่วยเป็นนิวตัน (N) ที่มา: https://sites.google.com/site/supod45/sc30113/12557/room12/12

13

15


16


17


18


19


20


21


22


23


24


25


26


27


ส่งข่าวจากหลุมดา ไอแซค อาซิมอฟ จากเรื่อง ‚Old-Fashioned‛ คัดจากหนังสือรวมเรื่องสั้น “กาแลคซี 8” แปลโดย อนิรุทธิ์ รัชตะวราห์

28


เบน เอสเตส คิดว่าเขาคงใกล้จะตายแล้ว และมันไม่ได้ทําให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย เมื่อคิดถึงว่าเขาไม่ได้อยู่แบบนี้มา หลายปีแล้ว ชีวิตของนักขุดแร่ในอวกาศซึ่งล่องลอยไปตามที่ว่างอันกว้างใหญ่ของแถบดาวเคราะห์น้อยซึ่งยังไม่ได้ มีการทําแผนที่ไว้เป็นชีวิตที่ไม่โสภานัก และก็อาจจะไม่ยืนยาวนักด้วย แน่ละ มีโอกาสที่เขาจะต้นพบสิ่งมหัศจรรย์ที่ทําให้เขาร่ํารวยไปตลอดชีวิต และนี่ก็เป็นการค้นพบที่มหัศจรรย์ จริงๆ มหัศจรรย์ที่สุดในโลก แต่มันไม่ได้ทําให้เอสเตสรวยหรอก มันกลับทําให้เขาต้องตายเสียด้วยซ้ํา ฮาร์เวย์ ฟัน นาเรลลี่ ร้องครวญคราวเบาๆ จากเตียงของเขา ทําให้เอสเตสหันไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะความเจ็บปวด พวก เขาโดนเข้าหนักจริงๆ เขาไม่ได้ถูกกระแทกรุนแรงเท่ากับที่ฟันนาเรลลี่โดนเพราะฟันนาเรลลี่เป็นคนร่างใหญ่ และ อยู่ใกล้กับจุดที่ถูกกระแทกมากกว่า เอสเตสมองดูเพื่อนร่วมงานของเขาอย่างเศร้าสลดแล้วว่า ‚คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง ฮาร์ฟ‛ ฟันนาเรลลี่ร้องครวญครางอีกครั้งหนึ่ง ‚ผมรู้สึกว่าข้อต่อมันหักไปหมด นรกเถอะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เราไปชน เอาอะไรเข้า‛ อาการของเอสเตสค่อยดีขึ้น เขาเดินขากระเผลกเล็กน้อย และว่า ‚อย่าพยายามยืนขึ้นนะ‛ ‚ผมทําได้ถ้าหากคุณจะยื่นมือมาช่วย โอ๊ย ! ผมว่าซี่โครงผมหักแน่เลย จริงๆ ด้วยสิ เกิดอะไรขึ้นรึ เบน‛ เอสเตสชี้ไปยังจอภาพหลัก มันไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็เป็นขนาดที่ดีที่สุดแล้วที่ยานหาแร่ในอวกาศขนาดสองคน หวังว่าจะมีได้ ฟันนาเรลลี่ขยับเข้าไปหาจอภาพอย่างช้าๆ โดยพิงกับไหล่ของเอสเตส เขามองออกไป มีดวงดาว ย่อมแน่นอน แต่ผู้เดินทางในอวกาศที่มีประสบการณ์ไม่สนใจมันหรอก มันมีดวงดาวอยู่เสมอแหละ ใกล้เข้ามามีสะเก็ดดาวอยู่มากมายหลายขนาดและกําลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ สัมพัทธ์กับสิ่งที่อยู่เคียงข้างเหมือนกับ ฝูงผึ้งที่เกียจคร้าน ฟันนาเรลลี่ว่า ‚ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อนเลย ทําไมถึงมีหินพวกนั้นอยู่เต็มไปหมด‛ ‚หินพวกนั้นเป็นสิ่งที่แตกออกมาจากดาวเคราะห์น้อย ผมสงสัยว่ามันเป็นอย่างนั้นนะ และพวกมันยงคง หมุนรอบสิ่งที่ทําให้มันแตก และก็ทําให้ยานเราพังด้วย‛ ‚อะไรรึ‛ ฟันนาเรลลี่ชะเง้อมองเข้าไปในความมืด เอสเตสชี้ ‚นั่น‛ มีประกายเล็กๆ อยู่ใรทิศทางที่เขาชี้ไป ‚ผมไม่เห็นอะไรเลย‛ ‚คุณคงคาดไม่ถึง มันเป็นหลุมดํา ‛ ผมที่ตัดสั้นติดหัวของฟันนาเรลลี่ลุกชันขึ้น และตาดําเป็นประกายของเขามีแววหวาดกลัว ‚คุณจะบ้ารึ‛ ‚ไม่หรอก พวกนักดาราศาสตร์บอกว่าหลุมดํามีได้หลายขนาด อย่างอันนี้คงมีมวลพอๆ กับมวลของดาว เคราะห์น้อยขนาดใหญ่ๆ ผมคิดอย่างนั้นนะ และเรากําลังเคลื่อนที่รอบๆ มัน ผมคิดไม่ออกเลยว่ามันยังจะมีอะไรอื่น อีกที่สามารถจับเราไว้ในวงโคจรได้ ‛ ไม่มีรายงานอะไรใน...‛ ‚ผมรู้ มันจะมีได้ยังไง มวลของมัน...อ๊ะ ดวงอาทิตย์โผล่แล้ว‛ ยานกําลังหมุนช้าๆ ทําให้มีภาพดวงอาทิตย์ขึ้นที่ จอภาพให้เห็น และจอภาพก็ทําการโพลาไรซ์ให้ทึบแสงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ‚ยังไงก็เถอะ‛ เอสเตสว่า ‚เราเป็นคนแรก ที่ค้นพบหลุมดําในระบบสุริยะ เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ดูตัวเองได้รับเกียรติยศอันนี้เท่านั้น ‛ ‚มีอะไรเกิดขึ้นรึ‛ ‚เราเข้าใกล้พอที่ไทดัล เอฟเฟคจะทําให้เราแหลกละเอียดได้‛ ‚อะไรคือ ไทดัล เอฟเฟค‛ 29


‚ผมไม่ใช่นักดาราศาสตร์ แต่เท่าที่ผมเข้าใจมันนะ เมื่อแรงดึงดูดของหลุมดํามีไม่มากนัก คุณก็จะเข้าไปใกล้ มันได้จนกระทั่งแรงดึงเพิ่มมากขึ้น ความเข้มของแรงดึงนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อระยะทางลดลง ดังนั้นฟากที่ ใกล้กว่าของวัตถุจะถูกดึงแรงกว่าด้านที่ไกล วัตถุจึงยืดออก วัตถุยิ่งมีขนาดใหญ่ และยิ่งอยู่ใกล้เท่าไร ผลของมันก็จะ ยิ่งเลวร้ายเท่านั้น กล้ามเนื้อของคุณจะถูกฉีกออก คุณยังโชคดีที่กระดูกไม่หัก ‛ ฟันนาเรลลี่หน้าตาบูดเบี้ยว ‚ผมไม่แน่ใจว่ามันไม่หัก...อะไรเกิดขึ้นอีก ‛ ‚ถังน้ํามันถูกทําลาย เราถูกชนในวงโคจร...ยังโชคดีที่เราอยู่ในด้านที่ไกลพอและกลมพอที่จะทําให้ ไทดัล เอฟ เฟค ลดลง ถ้าเราใกล้เข้าไปกว่านี้ หรือถ้าเราถูกดึงเข้าไปในด้านที่ใกล้กว่าของวงโคจรละก็...‛ ‚เราสามารถส่งข่าวได้ไหม‛ ‚ไม่ได้เลย การสื่อสารถูกตัดขาดหมด‛ ‚คุณสามารถซ่อมมันได้นี่‛ ‚ผมไม่ใช่ผู้ชํานาญการสื่อสารนี่ แต่ถึงจะใช่ก็เถอะ มันพังจนซ่อมไม่ได้แล้ว ‛ ‚ไม่มีทางที่จะทําให้มันใช้ได้ชั่วคราวก่อนเลยหรือ ‛ เอสเตสส่ายหน้า ‚เราได้แต่คอย แล้วก็ตายไป มันก็ไม่ลําบากเท่าไรนักหรอก‛ ‚มันลําบากสําหรับผม‛ ฟันนาเรลลี่พูดแล้วก็นั่งลงบนเตียงของเขาและซุกหน้าลงกับฝ่ามือ ‚เราเอายาเม็ดมาด้วย‛ เอสเตสว่า ‚มันจะเป็นการตายง่าย ๆ ที่แย่จริงๆ คือเราไม่สามารถส่งข่าวกลับไป เกี่ยวกับ เอ้อ เจ้าสิ่งนั้น‛ เขาชี้ไปที่จอภาพซึ่งชัดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อดวงอาทิตย์ออกไปนอกขอบ ‚เกี่ยวกับหลุมดําหรือ‛ ‚ใช่ มันอันตรายมาก มันดูเหมือนกับว่าอยู่ในวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ แต่ใครจะรู้เล่าว่าวงโคจรนั้นเสถียร หรือไม่ และแม้ว่ามันเสถียร ขอบเขตของมันก็ยังกว้างมาก‛ ‚ผมเดาว่ามันคงกลืนสิ่งต่างๆ เข้าไปเรื่อยๆ‛ ‚แน่นอน ทุกอย่างที่มันเผชิญหน้าเลยละ มีฝุ่นคอสมิคหมุนควงเข้าไปในนั้นตลอดเวลา และปล่อยพลังงาน ออกมาเมื่อมันหมุนควงตกเข้าไปข้างในทําให้เกิดประกายแสงมัวๆ ทุกขณะที่หลุมดําจะกลืนชิ้นใหญ่ๆ ที่เข้าใน เส้นทางของมันละก็ จะมีแสงวาบของรังสี สูงถึงขั้นรังสีเอ็กซ์แนะ ยิ่งมันกลืนมวลเข้าไปมากครั้งเท่าไร มันยิ่งมีแรง ดึงดูดมากขึ้นและสามารถที่จะลากวัตถุที่ไกลขึ้นเรื่อยๆ‛ ทั้งคู่จ้องมองดูจอภาพชั่วขณะ และเอสเตสกล่าวต่อ ‚ตอนนี้มันอาจจะถูกจัดการได้ถ้านาซาสามารถโยกย้าย ดาวเคราะห์น้อยที่ใหญ่พอที่นี่ และส่งมันผ่านหลุมดําในทิศทางที่ถูกต้อง หลุมดําจะถูกดึงออกไปนอกวงโคจรของ มันโดยแรงดึงดูดซึ่งกันและกันระหว่างตัวมันกับดาวเคราะห์น้อย หลุมดําจะโคจรไปในทางที่สามารถนํามันออกไป นอกระบบสุริยะ เพราะความเร่งและแรงดึงดูดที่ไกลออกไป‛ ‚คุณคาดว่ามันเริ่มต้นจากขนาดที่เล็กมากๆ หรือ ‛ ‚มันอาจจะมีรูปร่างเป็นหลุมขนาดเล็กๆ ในตอนที่เกิดบิ๊กแบง* เมื่อจักรวาลถูกสร้างขึ้น มันอาจจะเติบโตมา เป็นล้านๆ ปี และถ้ามันยังคงโตต่อไปเรื่องๆ มันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจัดการได้ มันอาจจะกลายเป็น สุสานของระบบสุริยะ‛ ‚ทําไม่ถึงยังไม่มีใครพบมันล่ะ ‛ ‚ไม่มีใครเฝ้าดูมัน ใครจะคาดเดาว่าหลุมดําอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อยและมันไม่ได้ผลิตรังสีหรือมีมวลมาก พอที่จะสังเกตได้ง่ายๆ คุณต้องวิ่งเข้าไปใกล้จนแทบจะชนมันเหมือนอย่างที่เราทํานี่แหละ‛ ‚คุณไม่แน่ใจว่าเราไม่สามารถติดต่อได้เลยหรือ เบน เวสตาอยู่ไกลแค่ไหนเชียว พวกเขาที่เวสตาสามารถ มาถึงเราได้โดยไม่เสียเวลามากนัก มันเป็นฐานที่ใหญ่ที่สุดในแถบดาวเคราะห์น้อยนะ ‛ 30


เอสเตสส่ายหน้า ‚ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เวสตาอยู่ที่ไหน เครื่องคอมพิวเตอร์พังไปด้วย‛ ‚พระเจ้า! มีอะไรที่ยังไม่พังบ้าง‛ ‚ระบบอากาศยังทํางานอยู่ เครื่องทําน้ําให้สะอาดก็ยังใช้ได้ เรายังมีพลังงานและอาหารมากพอที่จะอยู่ได้ถึง สองสัปดาห์หรือมากกว่านั้น‛ ความเงียบเข้าครอบคลุมคนทั้งสองครู่หนึ่ง ฟันนาเรลลี่พูดขึ้นในที่สุด ‚ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าเวสตาอยู่ที่ไหน แน่ แต่เรารู้ว่ามันอยู่ห่างออกไปไม่กี่ล้านกิโลเมตร ถ้าเราสามารถส่งสัญญาณถึงพวกเขาสักเล็กน้อย พวกเขา สามารถส่งยานอัตโนมัติมาถึงที่นี่ได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ ‛ ‚ยานอัตโนมัติ ใช่แล้ว‛ เอสเตสพูด มันเป็นการง่ายที่ยานที่ไม่ใช้คนบังคับจะสามารถเร่งความเร็วถึงระดับที่ ร่างกายมนุษย์ทนไม่ได้ มันสามารถเดินทางได้เร็วเป็นสามเท่าของยานที่ใช้คนบังคับทําได้ ‛ ฟันนาเรลลี่หลับตาราวกับกําลังต่อสู้กับความเจ็บปวดแล้วว่า ‚อย่ายิ้มเยาะยานอัตโนมัติสิ มันสามารถนํา สัมภาระฉุกเฉินมาให้เราได้ และมันอาจจะมีของบนยานที่เราสามารถใช้ในการติดตั้งระบบสื่อสารขึ้นมา และอาจทํา ให้เราอยู่ได้จนกระทั่งหน่วยกู้ภัยที่แท้จริงมาถึง ‛ เอสเตสนั่งลงบนอีกเตียงหนึ่ง ‚ผมไม่ได้ยิ้มเยาะยานอัตโนมัติหรอก ผมเพียงแต่คิดว่าไม่มีหนทางที่จะส่ง สัญญาณได้เลย ไม่มีทาง เราไม่อาจจะตะโกนโห่ร้องด้วย สูญญากาศของอวกาศไม่นําเสียงหรอกน่ะ ‛ ฟันนาเรลลี่พูดอย่างดื้อดึง ‚ผมไม่เชื่อว่าคุณคิดอะไรไม่ได้เลย ชีวิตของเราขึ้นอยู่กับมันนะ‛ ‚บางทีชีวิตของมนุษยชาติทั้งหมดอาจจะขึ้นอยู่กับมันก็ได้ แต่ผมก็ยังติดอะไรไม่ออก ทําไมคุณไม่คิด อะไรบ้างล่ะ‛ ฟันนาเรลลี่คํารามเมื่อเขาขยับตะโพก เขายื่นมือไปเกาะผนังข้างเตียงและดึงตัวเอวลุกขึ้นยืน ‚ผมคิดได้อย่าง หนึ่ง ทําไมเราไม่ปิดมอเตอร์แรงดึงดูดเพื่อประหยัดพลังงาน และทําให้กล้ามเนื้อคลาความเครียดลงล่ะ ‛ เอสเตสพูดพึมพํา ‚ความคิดที่ดีนี่‛ เขาลุกขึ้นและเคลื่อนไปยังแผงควบคุมเพื่อจะปิดแรงดึงดูด ฟันนาเรลลี่ลอยขึ้นพร้อมกับถอนหายใจแล้วว่า ‚ทําไมพวกโง่ทั้งหลายถึงไม่พบหลุมดํานะ‛ ‚คุณหมายถึงว่าเหมือนกับที่เราทํานะรึ ไม่มีทางหรอก เขายังไม่ได้ค้นกามันมากพอ ‛ ‚ผมยังเจ็บอยู่เลย ถึงไม่ต้องสู้กับแรงดึงดูดก็เถอะ ดีละถ้ายังเจ็บอยู่อย่างนี้ต่อไป มันคงไม่มีปัญหาอะไรมาก นักเมื่อถึงเวลากินยา...มีทางที่จะทําให้หลุมดํากินมวลสารเข้าไปมากกว่าที่มันทําอยู่ตอนนี้บ้างไหมนะ ‛ เอสเตสพูดอย่างเอาจริงเอาจัง ‚ถ้าไอ้เจ้ากรวดยักษ์พวกนี้สักชิ้น ถูกบังคับให้หล่นลงไปในหลุมดํา ก็จะเกิดรังสี เอ็กซ์ออกมา‛ ‚รังสีพวกนั้นจะถูกตรวจพบได้ที่เวสตาไหม‛ เอสเตสส่ายหน้า ‚ผมสงสัยอยู่ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะค้นหาอะไรประเภทนั้นอยู่สักหน่อย แต่แน่นอนว่ามัน จะต้องถูกตรวจจับได้บนโลก ถึงงั้นก็เถอะ สถานีอวกาศบางแห่งมีระบบตรวจจับการเปลี่ยนแปลงรังสีในท้องฟ้า พวกเขาอาจจะเก็บบันทึกมันไว้ด้วยความประหลาดใจก็ได้ ‛ ‚ใช่แล้ว เบน ถึงโลกได้ก็ยังดี พวกเขาคงส่งข่าวไปยังเวสตาให้ตรวจดู รังสีเอ็กซ์อาจจะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีไปถึงโลก แล้วคลื่นวิทยุก็ใช้เวลาอีก 15 นาทีที่จะไปถึงเวสตา‛ ‚แล้วช่วงเวลาระหว่างนั้นล่ะจะเป็นยังไง เครื่องรับอาจจะบันทึกการกระจายรังสีเอ็กซ์อย่างอัตโนมัติจาก ทิศทางต่างๆ แต่ใครจะบอกได้ว่ามันมาจากไหน มันอาจจะมาจากกาแลคซีไกลๆ ซึ่งอยู่ในแนวเดียวกันก็ได้ ช่าง เทคนิคบางคนอาจสังเกตการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในการบันทึก และจะเฝ้าดูการเกิดขึ้นครั้งต่อๆ ไปใน สถานที่เดียวกัน แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ดังนั้นเขาก็จะกาลงไปว่ามันไม่สําคัญ นอกจากนี้แล้วมันอาจไม่เกิด รังสีก็ได้ ฮาร์ฟ อาจจะมีรังสีเอ็กซ์มากมายเมื่อหลุมดําทําลายดาวเคราะห์น้อยนี้ด้วยไทดัล เอฟเฟคของมัน แต่นั่น 31


มันเกิดขึ้นเมื่อเป็นพันๆ ปีมาแล้ว ตอนที่ไม่มีใครเฝ้าดูมัน ตอนนี้พวกเศษที่เหลืออยู่ก็โคจรอยู่รอบๆ หลุมดําโดยไม่มี การเปลี่ยนแปลงอีก‛ ‚ถ้าเรามีจรวดของเรา...‛ ‚ให้ผมเดานะ เราสามารถขับดันยานของเราเข้าไปในหลุมดําและใช้ความตายของเราเพื่อส่งข่าว มันก็ไม่ได้ ทําให้เกิดอะไรดีขึ้นหรอก มันยังคงเป็นสัญญาณพัลซ์สั้นๆ ครั้งเดียวจากที่ไหนก็ได้ ‛ ฟันนาเรลลี่กล่าวอย่างขุ่นเคือง ‚ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ผมไม่ได้เป็นพวกเดนตายนี่ ผมหมายถึงว่าเรามี เครื่องยนต์สามเครื่อง ถ้าเราสามารถยึดมันติดบนก้อนหินที่ค่อนข้างใหญ่ สามก้อน และส่งแต่ละก้อนเข้าไปในหลุม ก็จะเกิดรังสีเอ็กซ์แผ่ออกมาสามครั้ง และถ้าเราทํามันทุกวันก็อาจจะทําให้สามารถตรวจหาแหล่งที่เกิดรังสีได้ โดย มันจะเคลื่อนที่ เมื่อเทียบกับดาวดวงอื่นๆ มันน่าสนใจไม่น้อย ช่างเทคนิคจะสนใจมันทันทีใช่ไหม ‛ ‚อาจะใช่และอาจจะไม่ใช่ นอกจากนี้เราไม่มีจรวดให้ทดลองใช้เหลืออยู่อีก และไม่สามารถติดมันกับหินได้ถ้า ...‛ เอสเตสเงียบไป แล้วเขาก็พูดด้วยสําเนียงที่เปลี่ยนไป ‚ผมสงสัยว่า ชุดอวกาศของเรายังคงดีอยู่นะ‛ ‚วิทยุประจําชุดของเรา‛ ฟันนาเรลลี่พูดอย่างตื่นเต้น ‚นรกเถอะ มันส่งได้ไม่กี่กิโลเมตรหรอก ผมคิดถึงอย่างอื่นน่ะ ผมคิดถึงการออกไปข้างนอกนั่น ‛ เขาเปิดตู้เก็บ ชุด ‚พวกมันยังดูดีอยู่‛ ‚คุณต้องการออกไปข้างนอกทําไม‛ ‚เราอาจไม่มีจรวดขับดันเลย แต่เรายังคงมีพลังกล้ามเนื้ออยู่ อย่างน้อยที่สุดผมก็มีล่ะ คุณล่ะ คุณคิดว่าจะขว้าง ก้อนหินได้บ้างไหม‛ ฟันนาเรลลี่ลองทําท่าขว้าง หรือไม่ก็เริ่มที่จะทําแววเจ็บปวดปรากฏขึ้นที่ใบหน้า ‚คิดว่าผมกระโดดไปถึงดวง อาทิตย์ได้ไหมล่ะ‛ เขาว่า ‚ผมจะออกไป แล้วลองขว้างดู...ชุดดูเรียบร้อยดี ผมคงขว้างลงไปในหลุมดําได้บ้างหรอก... ผมหวังว่าห้องกัก อวกาศยังทํางานได้นะ‛ ‚เราพอจะประหยัดอากาศได้ไหม‛ ฟันนาเรลลี่พูดอย่างกังวล ‚มันจะช่วยยืดเวลา 2 สัปดาห์ได้หรือ ‛ เอสเตสพูดอย่างเหนื่อยหน่าย นักขุดแร่อวกาศทุกคน ต้องออกไปนอกยานบ่อยๆ เพื่อทําการซ่อมแซม เพื่อเก็บตัวอย่างวัตถุในที่ที่ใกล้เคียง ตามปกติมันก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอก แล้วมันก็ยังเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศด้วย เอสเตสรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่กังวลมากกว่า ความคิดของเขาดูไม่ได้เรื่องสิ้นดี เขารู้สึกเหมือนไอ้โง่คนหนึ่ง ที่จริงมันก็แย่พออยู่แล้วที่จะต้องตาย แล้วยังต้องตายอย่างโง่ๆ อีกอย่างนั้นหรือ เขาออกมาอยู่ท่ามกลางความมืดของอวกาศที่มีประกายดาว ที่เขาเคยมาเห็นเป็นร้อยๆ ครั้งแล้ว ตอนที่ ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ ก็ยังมีแสงสลัวๆ ของชิ้นหินเป็นร้อยๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนของดาว เคราะห์น้อย และตอนนี้กลายเป็นวงแหวนแบบเดียวกับดาวเสาร์อยู่รอบๆ หลุมดํา ก้อนหินนั่นดูเหมือนกับว่า ไม่มี การเคลื่อนที่เลย เมื่อมันลอยละล่องไปตามกันกับยานอวกาศ เอสเตสพิจารณาทิศทางการเคลื่อนที่ของดวงดาวและพบว่ายานและก้อนหินกําลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ไปใน อีกทิศทางการเคลื่อนที่ของดวงดาวได้ เขาจะทําให้ความเร็วของมันที่สัมพัทธ์กับหลุมดําลดลงจนเป็นศูนย์ได้ ถ้าเขา ใช้ความเร็วที่ไม่มากพอหรือมากเกินไป ก้อนหินก็จะเคลื่อนที่เข้าหาหลุมดําเฉียดผ่านมันไปด้วยความเร็วที่มากขึ้น และวนกลับมายังจุดที่มันอยู่เดิม แต่ถ้าเขาใช้แรงพอดีๆ มันจะเข้ามาใกล้พอที่จะถูกบดเป็นผงโดยไทดัล เอฟเฟค เมื่อเป็นเช่นนั้นแต่ละชิ้นก็จะลดความเร็วลงไปอีกและในที่สุดก็หมุนควงเข้าไปในหลุมดําแล้วปล่อยรังสีเอ็กซ์ออกมา

32


เอสเตสใช้ตาข่ายขุดแร่ของเขาที่เป็นเหล็กกล้าแทนทาลั่มในการรวบรวมก้อนหิน โดยเลือกขนาดเท่ากําปั้น เขารู้สึกขอบคุณชุดอวกาศสมัยใหม่ที่ทําให้เขาอิสระที่จะทําอะไรได้อย่างสมบูรณ์ และไม่มีสภาพเหมือนกับโลงศพ อย่างที่เคยเมื่อตอนที่นักอวกาศชุดแรกใส่ไปดวงจันทร์เมื่อกว่าศตวรรษมาแล้ว เมื่อเขามีก้อนหินมากพอ เขาก็เริ่มขว้างก้อนแรก แล้วก็ได้เห็นแสงระยิบของมันซึ่งจางลงในแสงอาทิตย์ เมื่อ มันหล่นลงไปในหลุมดํา เขาเฝ้าคอยแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่ามันใช้เวลานานเท่าไรกันแน่ในการที่จะหล่นลง ไปในหลุมดําเรียบร้อย ต่เขาก็นับไปจนถึง 600 แล้วขว้างออกไปอีกครั้งหนึ่ง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาทําอย่างนั้นด้วยความอดทนอย่างยิ่งยวดที่เกิดขึ้นจากการหาหนทางหลีกเลี่ยงจาก ความตาย และในที่สุดก็มีแสงสว่างวาบขึ้นทันทีในทิศทางของหลุมดํา แสงที่มองเห็นได้ เขารู้ว่ามีการแผ่รังสีที่มี พลังงานสูงขึ้นใกล้ถึงระดับรังสีเอ็กซ์แล้ว เขาต้องหยุดเพื่อรวบรวมก้อนหินให้มากขึ้น แล้วเมื่อเขามีมากพอตามที่ต้องการ เขาก็เริ่มขว้างมันอีก ตลอดเวลา เขาเปลี่ยนตําแหน่งของตนเองไปจนกระทั่งจุดเรืองแสงอ่อนๆ ของหลุมดําจะสามารถเห็นได้เหนือ กึ่งกลางของยานซึ่งเป็นตําแหน่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อยานยังโคจรไปรอบแกนหมุนอันเดิมคือหลุมดํา หรือ เปลี่ยนแปลงก็น้อยที่สุด ดูเหมือนว่าการอขว้างของเขาจะได้ผลดีขึ้น แม้ว่าจะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นด้วย หลุมดําดูเหมือนว่าจะ ใหญ่โตกว่าที่เขาเคยรู้ แล้วมันอาจจะกลืนเหยื่อของมันจากที่ไกลๆ มาแล้วก่อนหน้านี้ก็ได้ ซึ่งทําให้มันมีอันตราย มากขึ้น แต่ก็ทําให้พวกเขามีโอกาสได้รับการช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเหมือนกัน เขากลับไปยังห้องกักอวกาศ แล้วกลับเข้าไปในยาน อาการปวดเมื่อยกระดูก และไหล่ขวากําลังเล่นงานเขา อย่างน่าดูทีเดียว ฟันนาเรลลี่ช่วยเขาถอดชุดออก ‚มันอันตรายไม่น้อยเลยนะในการที่คุณขว้างหินเข้าไปในหลุมดําน่ะ ‛ เอสเตสพยักหน้า ‚ใช่ และผมหวังด้วยว่าชุดของผมป้องกันรังสีเอ็กซ์ได้ ผมหวังว่าผมคงยังไม่ตายจากการถูก รังสีนะ‛ ‚พวกเขาบนโลกจะสังเกตเห็นมันใช่ไหม‛ ‚ผมแน่ใจว่าต้องเป็นเช่นนั้น แต่พวกเขาจะสนใจมันหรือเปล่าล่ะ พวกเขาอาจจะบันทึกมันไว้อย่างครบถ้วน แล้วก็เพียงแค่ประหลาดใจ แต่อะไรจะทําให้เขาออกมาที่นี่เพื่อดูใกล้ๆ ล่ะ ผมต้องทําอะไรสักอย่างเพื่อให้เขาสนใจ เรา หลังจากที่ผมได้พักสักหน่อยก่อน‛ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เขาออกไปด้วยชุดอวกาศอีกชุดหนึ่ง เพราะไม่มีเวลาที่จะรอการชาร์จแบตเตอรี่พลัง แสงอาทิตย์ของชุดแรก เขาว่า ‚ผมหวังว่าผมคงจะหาก้อนหินได้พอนะ‛ เขาออกไปอีกครั้ง แล้วก็ตระหนักว่า ถึงแม้ความเร็วและทิศทางของหินที่ขว้างไปจะผิดพลาดไปบ้าง หลุมดําก็ ยังสามารถดึงดูดหินที่เคลื่อนที่ผ่านให้ช้าลงและเคลื่อนเข้าไปหามันจนได้ เอสเตสรวบรวมหินให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทําได้ และวางมันลงบนเปลือกยานส่วนหนึ่ง มันไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ก็จริง แต่ก็เคลื่อนที่ไปน้อยมาก และหลังจากที่เอสเตส รวบรวมหินทั้งหมดเท่าที่จะหาได้แล้ว ตําแหน่งของหินที่วาง ไว้แต่แรกก็เปลี่ยนไปจากเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วเขาก็ขว้างหินออกไป ตอนแรกนั้นใจของเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่แล้วก็เพิ่มความเชื่อมั่นขึ้นทีละ น้อย แล้วหลุมดําก็ส่งแสงวาบแล้ววาบเล่าต่อกันไป ดูเหมือนว่าเป้าหมายจะอยู่นิ่งจนง่ายแก่การปาให้ถูก และหลุมดําก็ดูเหมือนจะปั่นป่วนไปด้วยการ กระแทกกระทั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับว่าในไม่ช้ามันก็จะขยายตัวมาถึงแล้วดูดกลืนเขาและยานเข้าไปในกระเพาะ ที่ไม่เคยอิ่มของมัน 33


แต่มันก็เป็นเพียงจินตนาการของเขาเท่านั้น และในที่สุดก้อนหินก็หมดลง เขารู้สึกเหนื่อยจนไม่อาจจะขว้าง อะไรได้อีก คงเป็นเวลาหลายชั่วโมงทีเดียวที่เขาออกไปเอยู่ข้างนอกยาน เมื่อเขาเข้าไปในยานอีกครั้งหนึ่ง ทันทีที่ฟันนาเรลลี่ช่วยเขาถอดหมวกออกมาเสร็จ เขาก็ว่า ‚ก็คงจะได้แค่นี้ แหละ ผมไม่สามารถทําอะไรได้มากไปกว่านี้อีก ‛ ‚คุณทําให้เกิดแสงสว่างวาบมากมายที่นั่น แค่นั้นก็น่าจะพอแล้วนะ‛ ฟันนาเรลลี่ว่า ‚มากมายจริงๆ และพวกเขาจะต้องบันทึกไว้ได้แน่นอน ตอนนี้เราได้แต่คอย พวกเขาคงจะต้องมาแน่ ‛ ‚ฟันนาเรลลี่ช่วยเขาถอดชุดส่วนที่เหลือเท่าที่ร่างกายอันบอบช้ําของเขาจะทําได้ เขายืนขึ้นแต่ก็ต้องร้อง ครวญครางและหอบออกมา ในที่สุดก็ถามขึ้นใหม่ว่า ‚คุณคิดว่าเขาจะมากันจริงๆ หรือ เบน‛ ‚ผมคิดว่าเขาต้องมา‛ เอสเตส ตอบ เกือบจะเหมือนว่าเขาพยายามบังคับให้เหตุการณ์เป็นไปในทิศทางดีขึ้น ด้วยพลังแห่งความปรารถนา ‚ผมคิดว่าพวกเขาต้องมา‛ ‚ทําไมคุณคิดว่าเขาต้องมา‛ ฟันนาเรลลี่กล่าวด้วยเสียงเหมือนกับคนที่ต้องการจะยึดเอาที่พึ่งสุดท้ายไว้แต่ก็ ไม่กล้าพอ ‚เพราะผมได้ติดต่อไปน่ะสิ‛ เอสเตสว่า ‚เราไม่เพียงเป็นคนแรกที่พบหลุมดําเท่านั้น เรายังเป็นคนแรกที่ใช้มัน ในการติดต่อสื่อสารอีกด้วย เราเป็นคนแรกที่ใช้ระบบการติดต่อสื่อสารที่เยี่ยมที่สุดของอนาคตทีเดียว ระบบที่ สามารถส่งข่าวจากดวงดาวไปสู่ดวงดาวและกาแลคซีสู่กาแลคซี และอาจเป็นแหล่งพลังงานมหาศาลด้วย‛ เขาหอบ และพูดด้วยน้ําเสียงพลุ่งพล่าน ‚คุณกําลังพูดถึงอะไรกันล่ะนี่‛ ‚ผมขว้างก้อนหินพวกนั้นเป็นจังหวะนะ ฮาร์ฟ และจะทําให้รังสีเอ๊กซ์แผ่ออกมาเป็นจังหวะด้วย มันเป็น ลักษณะแบบนี้ วาบ – วาบ - วาบ – วาบ – วาบ – วาบ – วาบ - วาบ – วาบ ไปเรื่อยๆ‛ ‚งั้นหรือ‛ ‚มันเป็นวิธีที่โบราณมากๆ เลย โบราณ จริงๆ แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่ทุกๆ คนจําได้แต่สมัยที่ทุกคนติดต่อกัน ด้วยกระแสไฟฟ้าที่วิ่งตามสายนั่นแหละ‛ ‚คุณหมายถึง โทรทัศน์ เอ๊ย โทรศัพท์ เอ๊ะไม่ใช่โทร...‛ ‚โทรเลขไงล่ะ ฮาร์ฟ แสงวาบที่ผมทําขึ้นจะถูกบันทึกไว้ และทันที่ที่ใครสักคนเห็นสัญญาณเหล่านั้นทุกอย่างก็ จะกระจ่างชัดออกมา มันไม่เป็นเพียงการพบแหล่งกําเนิดรังสีเอ็กซ์ และมันไม่เป็นเพียงแหล่งกําเนิดรังสีเอ็กซ์ที่ เคลื่อนที่ช้าๆ เมื่อเทียบกับหมู่ดาวต่างๆ ซึ่งบ่งว่ามันอยู่ในระบบสุริยะเท่านั้น พวกเขาจะต้องพบว่าแหล่งกําเนิดรังสี เอ็กซ์มีการกระพริบจนเกิดเป็นสัญญาณ SOS-SOS-SOS และเมื่อมีแหล่งกําเนิดรังสีเอ็กซ์กําลังตะโกนขอความ ช่วยเหลืออยู่ล่ะก็ คุณเชื่อได้เลยว่าพวกเขาจะต้องมา เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ อย่างน้อยก็เพื่อจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ที่...‛ แล้วเขาก็หลับไป และ 5 วันให้หลัง ยานอัตโนมัติก็เดินทางมาถึง ●

34


เขาสร้างบ้านที่ไม่เหมือนใคร จากเรื่อง ‚...And He Built a Crooked House‛ โดย โรเบิร์ต เอ ไฮน์ไลน์ แปลโดย ณรงค์ กิตติ คัดจากหนังสือรวมเรื่องสั้น “ไดเมนชั่น 2”

พวกเขาชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก มักได้ชื่อว่ามีอะไรแปลกๆ อยู่เสมอ และนี่ก็เป็นความจริงเสียด้วย ณ บ้านเลขที่ 8785 ถนนลุคเอาท์ เมาเทน ในรัฐแคลิฟอร์เนีย มีสถาปนิกผู้หนึ่งอาศัยอยู่ ชื่อของเขาคือ ควินตัส ทีล รัฐแคลิฟอร์เนียนั้นนับได้ว่าเป็นที่ที่มีความรุ่งเรืองทางสถาปัตยกรรมสูงสุดแห่งหนึ่ง ร้านขายฮอทด๊อก ก็สร้าง เหมือนกับทางฮอทด๊อก ร้ายขายไอศกรีมก็ออกแบบเป็นรูปโคนใส่ไอศกรีมทั้งอัน ถนนใต้ดินต่างๆ ก็มีที่ขายบุหรี่ ไม้ ขีดไฟ หรือแผนที่ของตัวเมือง ฯลฯ เป็นแบบแปลกๆ เช่น เป็นรูปเครื่องบินและที่ขายจะติดอยู่ตรงใต้ปีก ส่วนลํา ตัวเครื่องก็ใช้เป็นที่พักระหว่างที่กําลังคอยรถไฟอยู่ สิ่งเหล่านี้ สําหรับนักเดินทางที่ผ่านมาจะรู้สึกแปลกใจและ ตื่นเต้น แต่ไม่ใช่สําหรับผู้ที่เติบโตอยู่ในรัฐที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับพระอาทิตย์ตอนเที่ยงนี้ ควิสตัส ทีล มีความเห็นเกี่ยวกับความรู้ของเพื่อนร่วมคณะเดียวกับเขาสมัยอยู่มหาวิทยาลัยว่า ล้วนล้าสมัย และไม่เข้าท่า ‚บ้านคืออะไร?‛ ควินตัสถามขึ้นกับเบลลี่ ซึ่งเป็นเพื่อน ‚อืมม์---เบลลี่ตอบอย่างระมัดระวัง ‚ถ้าพูดอย่างกว้างๆ ฉันก็คิดว่าบ้านคือสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อให้กันฝนนะซิ ‛ ‚ไม่เอาไหนเลยนายนี่ นายก็เหมือนกับคนอื่นๆ น่ะแหละ‛ ‚แต่ฉันยังไม่ได้พูดเลยนะว่า คําจํากัดความเรื่องบ้านของฉันนั่นน่ะสมบูรณ์แล้ว ‛ 35


‚ยังไม่สมบูรณ์! โธ่เอ๊ย ไอ้ที่แกพูดออกมาน่ะมันก็ผิดจุดแล้ว ถ้าเราต้องการเพียงแค่นั้น เรามาอยู่ถ้ํากันจะไม่ ดีกว่าหรือ แต่อย่างไรฉันก็ไม่ตําหนินาย‛ ลักษณะของทีลมีแววฉลาดแฝงไว้อย่างลึกซึ้ง และเขาก็พูดต่อไป ‚สิ่งที่ พวกโมเดิร์นทําได้ก็เพียงแต่เลาะเจ้าสีทึบๆ ออก แล้วก็ปะเศษโครเมี่ยมลงไปแทนเท่านั้น ไมว่าจะเป็นเจ้านิวตร้า หรือซินต์เลอร์ พวกนั้นมีดีอะไร หรือ เจ้าแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์นั่น เขามีอะไรที่ฉันไม่มีหรือ ‛ ‚เปอร์เซ็นต์ค่าก่อสร้างไง‛ ‚หือ นายพูดอะไร...‛ ทีลหยุดคําพูดที่กําลังจะพรั่งพรูออกจากปากเขาชั่วขณะ ‚...เปอร์เซ็นต์หรือ ถูกต้อง แล้ว ไงล่ะเพราะฉันไม่ได้คิดถึงบ้านที่เหมือนกับถ้ําที่เขาปูพรมไว้ มีเครื่องตกแต่ง สองสามชิ้นเท่านั้นน่ะซิ ฉันถือว่า บ้าน จะต้องเป็น ‘อุปกรณ์’ ที่เราเข้าไปอาศัยอยู่ มันจะต้องมีชีวิตจิตใจ และจะต้องเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้ที่ อาศัยอยู่ได้ ไม่ใช่กระท่อมใหญ่เทอะทะที่คล้ายกับซากอะไรสักอย่าง ทําไมเราจะต้องจํากัดอยู่ในความคิดของบรรพ บุรุษของเรา แค่ความรู้ทางเรขาคณิตตื้นๆ เราก็สร้างบ้านหลังหนึ่งได้ วิชาคณิตศาสตร์จะยอมรับทฤษฎีเรขาคณิต สถิตของยูคลิดเท่านั้นหรือ แล้วเราก็ต้องทิ้งทฤษฎี ปีการ์ด-เวสเซียตโดยสิ้นเชิงหรือไง ทําไมเราไม่เอามันมารวมกัน ล่ะ ฉันสงสัยว่ายังมีช่องว่างสักแห่งไหม ในงานสถาปัตยกรรมที่ฉันจะสามารถให้มันกลายเป็นโครงสร้างที่มีจิตใจ ‛ ‚ให้ตายซิ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน นายควรเล่าเรื่องมิติที่ สี่ให้ฉันเข้าใจเสียก่อน ว่านายหมายความว่าอย่างไร‛ ‚ทําไมจะไม่ได้‛ เขาหยุดพูดและจ้องมองไปไกลคล้ายกับกําลังค้นหาอะไรสักอย่าง ‚โฮเมอร์- ฉันคิดว่านายก็ เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ทําไมมันจะเป็นไปไม่ได้... ลองคิดถึงประโยชน์มหาศาลในการก่อสร้าง ในมิติที่ สี่บ้านจะมี ลักษณะอย่างไร‛ เขายืนนิ่ง ตากระพริบเหมือนกําลังใช้ความคิดอย่างหนัก เบลลี่เขย่าแขนเขา ‚มิติที่สี่ นายกําลังพูดอะไร เวลาก็คือมิติทสี่ ี่ นายอย่าเพ้อไปเลย‛ ทีลสะบัดเขาหลุดออกไป ‚ใช่ ใช่แน่นอน เวลาก็คือมิติที่สี่ อันหนึ่ง แต่ที่ฉันกําลังคิดอยู่นั้นเป็นมิติที่สี่ ที่เกี่ยวกับสถานที่ ที่มีความกว้าง ความ ยาว และความหนา นายลองคิดถึงความประหยัด และความสะดวกสบายในการก่อสร้างซิ ฉันไม่ได้พูดว่า เราจะไม่ ต้องใช้เนื้อที่เลย แต่บ้านที่สร้างขึ้นนั้น จะใช้เนื้อที่เท่ากับบ้านที่มีห้องๆ เดียว แต่เมื่อเราเข้าไปอาศัย เราจะเลือกอยู่ ห้องใดห้องหนึ่งได้ถึงแปด ห้องเหมือนกับ เทสเซอแรคท์‛ ‚เจ้า เทสเซอแรคท์ นี่มันคืออะไร‛ ‚นายไม่เคยเข้าโรงเรียนหรือไง เทสเซอแรคท์ ก็คือรูปสี่เหลี่ยมที่มี สี่มิติ เหมือนกับลูกบาศก์ที่มสี ามมิติ และ จัตุรัสก็มีสองมิตินั่นแหละ ฉันจะลองทําอะไรบางอย่างให้นายดู ‛ ทีลตรงเข้าไปในครัว และเมื่อกลับออกมา มีกล่องไม้ขีดติดมือเขาออกมาด้วย เขากวาดแท่งแก้วกับกระดาษ และเหยือกใส่น้ําบนโต๊ะไปข้างๆ อย่างไม่ระวัง และเทไม้ขีดลง เขาตรงไปยังโต๊ะทํางานที่มุมห้อง ดึงลิ้นชักออกและ หยิบดินที่ใช้ในการปั้นรูปต่างๆ ออกมา‛ ‚นี่ไง‛ ‚นายกําลังจะทําอะไรน่ะ ‛ ‚ฉันจะแสดงให้นายดู‛ ทีลบิชิ้นดินนั้นออกมาเล็กน้อย และปั้ นเป็นลูกกลมๆ เล็กๆ เขาปักไม้ขีดลงในดินเม็ด เล็กๆ สี่เม็ด และต่อเป็นรูปจัตุรัส ‚เอาละ นี่คือรูปสี่เหลี่ยม‛ ‚แน่นอน‛ ‚รูปนี้อีกรูป และไม้ขีดอีกสี่ก้าน เราก็ทํารูปลูกบาศก์ก็ได้ ‛ ตอนนี้ทีลจัดไม้ขีดเป็นรูปลูกบาศก์ โดยมีเม็ดดินติดอยู่ที่แต่ละมุม ‚เอาละ เราจะทําอีกรูปหนึ่ง ให้เหมือนอันนี้ และเจ้าลูกบาศก์ สองลูกนี้ ก็จะเป็นด้านสองด้านของรูป เทสเซอ แรคท์‛ 36


เบลลี่เริ่มช่วยเขาทํารูปที่สองนี้ โดยปั้นดินเป็นเม็ดๆ ให้ ‚ตั้งใจฟังให้ดีนะ‛ ทีลพูดขึ้นเมื่อเสร็จจากงาน ‚นายเอาลูกบาศก์ลูกหนึ่งใส่เข้าไปในอีกลูกหนึ่ง แล้วใช้ไม้ขีดอีก แปดก้านต่อส่วนล่าง และส่วนบนของลูกแรกเข้ากับลูกทีสอง‛ เขาพูดไปพร้อมกับประกอบรูปลูกบาศก์ทั้ง 2 ลูกอย่าง ว่องไว ‚แล้วมันจะกลายเป็นรูปอะไร‛ เบลลี่ถามขึ้นอย่างสงสัย ‚นี่ก็คือ เทสเซอแรคท์ ลูกบาศก์สี่ลูกที่เป็นด้านทั้งแปดของไฮเปอร์คิวบ์ในมิติที่สี่‛ ‚ฉันว่ามันเหมือนกับที่นอนของแมวมากกว่า มันเป็นลูกบาศก์ สองลูกเท่านั้น แล้วอีกหกลูกล่ะ‛ ‚ลองใช้จินตนาการของนายสิ ลูกที่ สามจะอยู่ระหว่างฝาบนและล่างของสองลูกนี้ ลูกที่สี่ อยู่ระหว่างด้านล่าง อีก สี่ลูกจะอยู่ระหว่างด้านหน้ากับด้านหลัง และทางซ้ายทางขวาของแต่ละลูก ‛ ‚เอ! ฉันพอจะเข้าใจ แต่มันก็ยังไม่ใช่ลูกบาศก์นี่ ‛ ‚นั่นเพราะนายมองแบบ เพอร์สเปคทีฟ ถ้านายลองวาดลูกบาศก์ลงในกระดาษ มันก็กลายเป็นรูปสี่เหลี่ยม จัตุรัสใช่ไหม เมื่อนายมองรูปในมิติที่ สี่อย่าง เพอร์สเปคทีฟ มันต้องบิดเบี้ยว แต่ที่จริงมันเป็นรูปลูกบาศก์อย่าง แน่นอน‛ ‚บางทีอาจจะเป็นลูกบาศก์สําหรับนาย แต่ฉันก็ว่ามันยังเบี้ยวอยู่นั่นแหละ‛ ทีลไม่สนใจกับคําพูดของเบลลี่ เขาพูดต่อไป ‚คราวนี้ลองมาพิจารณาโครงสร้างอันนี้ ที่เหมือนกับ เทสเซอแรคท์ มันจะมีห้องๆ หนึ่งติดกับพื้น สําหรับเป็น ห้องครัวและโรงรถ อีกหกห้องจะอยู่อยู่บนชั้นสอง พอเปิดออกจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร ห้องน้ํา และอื่นๆ และ ตรงขึ้นไปชั้นบนสุดของบ้าน จะเป็นห้องทํางานของนาย มันจะมีหน้าต่างสี่ด้านนายชอบไหมล่ะ ‛ ‚ฉันรู้สึกว่า บ้านนี้จะมีอ่างอาบน้ําห้องลงจากเพดานห้องนั่งเล่นกระมัง ห้องต่างๆ เหล่านี้ดูยังกับหนวด ปลาหมึกยักษ์‛ ‚นั่นเพราะนายมองอย่างเพอร์สเปคทีฟอีกแล้ว เอาละ ฉันจะลองทําให้นายดูใหม่ ‛ คราวนี้ทีลใช้ไม้ขีดทําลูกบาศก์อีก 2 ลูก ใหญ่และเล็ก เขาจัดให้ลูกเล็กเข้าไปอยู่ในลูกใหญ่ โดยจุดศูนย์กลาง ของลูกใหญ่อยู่ที่เดียวกับมุมฯ หนึ่งของลูกเล็ก ‚เอาละ ลูกบาศก์อันใหญ่นี้จะเป็นห้องล่าง ลูกเล็กจะเป็นห้องทํางานบนชั้นบนสุด ลูกบาศก์อีก หกลูกที่ต่ออยู่ กับมันจะเป็นห้องต่างๆ นายมองเห็นหรือยัง ‛ เบลลี่จ้องดูสิ่งที่ทีลประกอบขึ้น และสั่นศีรษะ ‚ฉันยังไม่เห็นอะไรเลย นอกจากลูกบาศก์สองลูกนั้น ส่วนอีกหกลูก ฉันว่ามันเหมือนปิรามิดมากกว่า นั่นไม่ใช่ ลูกบาศก์แน่นอน‛ ‚นั่นแหละ นั่นแหละ นายกําลังมองอย่าง เพอร์สเปกทีฟ นายไม่เข้าใจหรือ ‛ ‚อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่ห้องที่อยู่ข้างในน่ะ มันจะต้องล้อมรอบไปด้วยข้าวของต่างๆ แต่นายบอกว่ามัน จะมีหน้าต่างทั้งสี่ด้าน‛ ‚มันต้องมี ห้องนี้ดูเหมือนจะถูกล้อมไว้ แต่...นี่แหละคือลักษณะอันยิ่งใหญ่ของโครงสร้างบ้านแบบ เทสเซอ แรคท์ ที่แต่ละห้องทุกห้องสามารถเปิดไปยังห้องอื่น กําแพงทุกด้านจะกั้นห้องได้ สอง ห้อง เนื้อที่ที่ใช้สําหรับสร้าง บ้านที่มีห้องเดียว จะใช้สร้างบ้านแบบนี้ที่มี แปดห้องได้อย่างสบาย มันเป็นการปฏวัติทางสถาปัตยกรรมทีเดียว‛ ‚สงบสติหน่อย นายกําลังจะบ้า นายไม่สามารถสร้างบ้านแบบนี้ได้หรอก บ้านที่อยู่ ข้างใน ก็ต้องอยู่ข้างใน‛ ทีลมองเพื่อนของเขาอย่างระงับความโกรธไว้

37


‚บ้านนี้สําหรับนายที่มีความรู้ทางสถาปัตย์เท่าทารก ก็เป็นอย่างที่นายว่า นายลองบอกซิว่าลูกบาศก์หนึ่งลูกมี กี่ด้าน‛ ‚หก‛ ‚แล้วมีกี่ด้านที่อยู่ด้านใน‛ ‚ทําไม ไม่มีเลยสักด้านเดียว ทุกด้านอยู่ด้านนอกหมด‛ ‚ถูกต้อง เอาละ ฟังให้ดีนะ เทสเซอแรคท์ จะมีด้านแปดด้าน เป็นรูปลูกบาศก์ และแต่ละด้านจะอยู่ด้านนอก ทั้งหมด ทีนี้ฉันจะเปิดไอ้นี่ เหมือนกับที่นายเปิดกล่องกระดาษแข็งจนเป็นแผ่นๆ เดียว นายก็จะมองเห็นลูกบาศก์ทั้ง แปดได้‛ ทีลสร้างลูกบาศก์อีก 4 ลูกอย่างรวดเร็ว ลูกหนึ่งซ้อนกับอีกลูกหนึ่งเป็นแถวสูงขั้นไป และสร้างอีก 4 ลูก ติดไว้ ที่ด้านทั้ง 4 ของลูกบาศก์ลูกที่ 2 เมื่อสร้างเสร็จมันโย้เล็กน้อยแต่เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกบาศก์ 8 ลูกที่ยื่นออกไปใน 4 ทิศ ด้านบน ด้านล่าง และด้านข้างทั้ง 2 ‚นายเห็นหรือยังว่า มันอยู่บนลูกบาศก์ลูกเดียว และลูกบาศก์อีก หกลูกอยู่เหนือขึ้นไป และชั้นบนสุดจะเป็นที่ ทํางานของนาย‛ เบลลี่ต้องยอมรับเพราะเขาไม่เห็นทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว ‚อย่างน้อยที่สุดฉันก็พอเข้าใจ นายบอกว่านี่ก็คือ เทสเซอแรคท์ เหมือนกันหรือ‛ ‚มันก็คือ เทสเซอแรคท์ ที่เอามาคลี่ออกเป็นสามมิตินั่นเอง ถ้าต้องการประกอบเข้าด้วยกัน นายต้องเอา ลูกบาศก์ลูกบนสุดมาต่อกับลูกล่างสุด แน่นอนเราจะต้องทําในมิติที่ สี่ ลูกบาศก์ลูกหนึ่งจึงจะไม่เข้าไปในอีกลูก ‛ เบลลี่ศึกษาโครงสร้างนี้อย่างละเอียด ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น ‚ดูนี่ ทําไมนายถึงจะเลิกคิดถึงวิธีการประกอบสิ่งนี้ในมิติที่ สี่ เสียที นายทําไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ ตาม‛ ‚นายหมายความว่ายังไง ฉันทําไม่ได้หรือ มันเกี่ยวกับปัญหาทางคณิตศาสตร์ง่ายๆ เท่านั้น ‛ ‚ไอ้เด็กน้อย มันอาจจะง่ายในทางคณิตศาสตร์ แต่นายจะเอามาใช้ในการก่อสร้างนี่ไม่ได้หรอก มันไม่มีมิติที่ สี่ ที่ไหนหรอก เลิกคิดทีเถอะ แต่ยังไงก็ตามนะ บ้านหลังนี้ก็มีข้อได้เปรียบมากเหลือเกิน ‛ ทีลตรวจสอบโครงสร้างนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ‚อืมม์ นายอาจจะเข้าใจอะไรผิดไปก็ได้ เอาละ โฮเมอร์ ฉันจะสร้างให้นาย นายต้องการให้สร้างที่ไหนล่ะ ‛ ‚เดี๋ยว เดี๋ยว ฉันยังไม่ได้บอกว่าฉันต้องการบ้านนะ‛ ‚เออ นายไม่ต้องการ แต่เมียนายเขาอยากได้บ้านหลังใหม่ไม่ใช่หรือ ‛ ‚เมียฉันอยากได้บ้านแบบ ลอร์เวียน‛ ‚เธอเพียงแต่คิดเท่านั้นแหละ พวกผู้หญิงไม่เคยรู้หรอกว่าพวกเธอต้องการอะไร‛ ‚แต่เมียฉันรู้‛ ‚เธอเพียงแต่มีรสนิยมทางสถาปัตยกรรมล้าหลังอยู่เล็กน้อย เออ เธอขับรถรุ่น 1941 ไม่ใช่หรือ แต่เธอสวมเสื้อ แบบใหม่ล่าสุดนี่ ทําไมเธอถึงต้องการอยู่ในบ้านสมัยศตวรรษที่ 18 บ้านแบบมิติที่สี่จะเป็นบ้านในอนาคตทีเดียว เธอจะต้องได้รับการกล่าวขวัญถึงทั่วไป‛ ‚ก็ได้ ฉันจะลองพูดกับเธอดู‛ ‚ไม่ต้องหรอก เราจะทําให้เธอแปลกใจเล่น...ดื่มอะไรหน่อยไหม‛ ‚อะไรก็ได้...แต่ตอนนี้เรายังทําอะไรไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันกับเมียจะไป เบเกอร์ ฟิลด์ ทางบริษัทจะมาติดตั้งน้ําพุที่ บ้านเรา‛ 38


‚เหลวไหล นั่นละโอกาสของเรา มันจะทําให้เธอแปลกใจเมื่อเธอกลับมา นายเพียงแต่เขียนเช็คไว้ตั้งแต่ ตอนนี้‛ ‚เอ! ฉันไม่ควรทําอะไรโดยไม่ปรึกษาเธอก่อน เธอไม่ชอบ‛ ‚ก็ได้ แต่ขอถามหน่อยเถอะว่า ตอนนี้ในบ้านนี้ใครเป็นคนสวมกระโปรงกันแน่วะ‛ หลังจากเหล้าแก้วที่สองหมดไป เบลลี่ก็เซ็นเช็คให้ทีล งานก่อสร้างดําเนินไปอย่างรวดเร็วในแคลิฟอร์เนียใต้ บ้านธรรมดาหลังหนึ่งต้องใช้เวลาเป็นเดือนจึงจะเสร็จ แต่บ้านแบบ เทสเซอแรคท์ ของทีลสูงขึ้นเรื่องยๆ ทุกวัน เรื่องราวของการก่อสร้าง และความตั้งใจของทีลในการจะ ทําให้เป็นแบบตามที่เขาต้องการแพร่กระจายไปทั่ว จนเขาต้องมีภาระมากขึ้นในการตอบปัญหาต่างๆ ของผู้ที่สนใจ มาดู เมื่อจัดการสิ่งต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ทีลขับรถไปยังบ้านของเบลลี่ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจกาที่เบลลี่และ ภรรยากลับจากในเมือง เขากดแตรเรียก เบลลี่ยื่นหน้าออกมาและตะโกน ‚ทําไมนายไม่กดกริ่งล่ะ ‛ ‚มันช้าไป‛ ทีลตอบอย่างร่าเริง ‚ฉันชอบทําอะไรรวดเร็วเสมอ เมียนายเรียบร้อยหรือยัง อ้อ เธออยู่นั่นน่ะเอง มิสซิสเบลลี่ครับ เรามีอะไรจะอวดคุณ ให้คุณแปลกใจเล่น ‛ มิซิสเบลลี่ทําหน้าคล้ายดูถูก ‚โฮเมอร์ เราไปรถเราเองเถอะนะ‛ ‚ตกลงจ้ะที่รัก‛ ‚ก็ดีเหมือนกัน รถของนายกําลังดีกว่าของฉัน เราจะได้ไปถึงเร็วขึ้น ฉันจะขั บเอง เพราะฉันรู้ทางดี‛ เขาเอา กุญแจจากเบลลี่ และจัดแจงไปนั่งที่ที่นั่งคนขับ และเริ่มสตาร์ทรถก่อนที่มิสซิสเบลลี่จะทันพูดอะไรออกมา ‚อย่ากังวลกับฝีมือขับรถของผมเลยครับ‛ เขาปลอบใจมิสซิสเบลลี่ แล้วก็หันมาเหยียบคันเร่งปล่อยให้รถพุ่ง ออกไปตามถนน เลี้ยวอ้อมผ่านสันเขา ซันเซท โบลเดอร์ ‚การขับรถเป็นเรื่องของการควบคุมกําลังและแรงเคลื่อนที่ เท่านั้น ง่ายยังกับอะไรดี ผมยังไม่เคยเจออุบัติเหตุแบบร้ายแรงเลยสักที ‛ ‚คุณจะต้องเจอเข้าแน่ๆ‛ เธอพูดพร้อมกับกัดริมฝีปาก ‚กรุณามองดูถนนหน่อยไหมคะ‛ เขพยายามอธิบายให้เธอฟังว่าการขับรถเป็นเพียงเรื่องของการสังหรณ์ ความเร็ว และ ความน่าจะเป็นเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องสายตา แต่เบลลี่กล่าวขัดขึ้นว่า ‚บ้านอยู่ไหน ควินตัส‛ ‚บ้าน!‛ มิสซิสเบลลี่ถามอย่างสงสัย ‚เกี่ยวอะไรกับบ้าน โฮเมอร์ คุณทําอะไรที่ไม่ได้บอกฉันหรือ ‛ ทีลพูดขึ้นเรียบๆ ว่า ‚มิสซิสเบลลี่ครับ เราพูดกันถึงบ้านจริงๆ บ้านที่สามีของคุณต้องการให้คุณประหลาดใจ เดี๋ยวคุณก็จะเห็น เอง‛ ‚ค่ะ ฉันจะคอยดู แล้วแบบมันเป็นอย่างไรคะ‛ ‚แบบใหม่ล่าสุดเลยครับ ล่ากว่าเครื่องรับโทรทัศน์ ทันสมัยกว่าสัปดาห์หน้า ใครๆ ที่เห็นจะต้องชื่นชมมันทุก คน อ้อ!‛ เขาพูดต่ออย่างรวดเร็ว ไม่สนใจกับคําโต้ตอบ ‚เมื่อคืนคุณทั้งสองรู้สึกตอนที่แผ่นดินไหวไหม‛ ‚แผ่นดินไหว แผ่นดินไหวอะไร โฮเมอร์คะ แผ่นดินไหวหรือคะ‛ ‚ไหวนิดหน่อยเท่านั้น‛ ทีลพูดต่อ ‚ตอนประมาณตีสอง ถ้าตอนนั้นผมไม่ตื่นอยู่ ผมก็คงไม่รู้หรอก‛ มิสซิสเบลลี่ทําท่ากลัว

39


‚เมืองนี้น่ากลัวเหลือเกิน คุณได้ยินหรือเปล่าคะโฮเมอร์ เราอาจจะตายบนเตียงโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้ ทําไมนะ ฉันถึงยอมให้คุณชวนออกจากไอโอวาได้‛ ‚แต่ที่รัก‛ เบลลี่ค้านอย่างเพลียๆ ‚คุณเองแหละนะที่อยากมาแคลิฟอร์เนีย คุณไม่ชอบเดย์โมยส์ ‛ ‚เราไม่จําเป็นต้องมาก็ได้ ‛ เธอพูดเสียงหนักแน่น ‚คุณเป็นผู้ชาย คุณต้องรับผิดชอบเรื่องแผ่นดินไหวนี่ ‛ ‚คุณไม่ต้องกลัวเรื่องแผ่นดินไหวในบ้านใหม่ของคุณเลยมิสซิสเบลลี่ ‛ ทีลขัดขึ้น ‚เพราะบ้านหลังนี้ป้องกัน แผ่นดินไหวได้ด้วย‛ ‚หวังว่าคงจะเป็นอย่างนั้น อยู่ไหนล่ะบ้าน‛ ‚เลี้ยวโค้งนี่ก็จะถึงครับ นั่นไงป้ายอยู่นั่น ‛ เครื่องหมายลูกศรอันใหญ่เหมือนกับที่ใช้สําหรับนักจัดสรรที่ดิน มี ตัวอักษรตัวใหญ่เขียนไว้ว่า

บ้านแห่งอนาคต การปฏิวัติทางสถาปัตยกรรม ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ มาดูซิว่า ลูกหลานท่านจะอาศัยกันอย่างไร ควินตัส ทีล สถาปนิก

‚ผมจะเอาป้ายนั่นออก‛ ทีลรีบพูด เมื่อสังเกตสีหน้าของเธอ ‚ทันทีที่คุณเข้าไปอยู่‛ เขาเลี้ยวรถตรงมุมถนน และหยุดรถอย่างกระทันหันจนเกิดเสียงดังเอี๊ยด ตรงหน้า ‚บ้านแห่งอนาคต‛ แล้วก็มองดูหน้าเพื่อนร่วมทางว่าจะมี ปฏิกิริยาอย่างไร เบลลี่มองดูบ้านอย่างไม่เชื่อ ส่วนมิสซิสเบลลี่แสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย พวกเขาเห็นรูปร่างทรง ลูกบาศก์หลังหนึ่ง ซึ่งมีหน้าต่างประตู แต่ไม่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมเลยแม้แต่น้อย ‚ทีล‛ เบลลี่ถามขึ้นช้าๆ ‚ทําไมบ้านเป็นอย่างนี้ ‛ ทีลหันหน้าไปทางบ้าน โครงสร้างที่เขาจินตนาการไว้สูญหายไปไหนหมด ไม่มีร่องรอยของห้องอีกเจ็ดห้อง ที่ จะต้องอยู่เหนือห้องชั้นล่างเลย ไม่มีอะไรเหลือนอกจากบ้านหลังเล็กๆ บนพื้น ‚ฉันถูกปล้น‛ เขาตะโกนสุดเสียง เขาวิ่งไปยังบ้าน ไม่ว่าด้านหน้าหรือด้านหลัง มันเป็นห้องๆ เดียว อีกเจ็ดห้องหายไปโดยสิ้นเชิง เบลลี่ไล่กวดเขาทัน และจับ มือเขาไว้ ‚ไหนอธิบายซิว่า นายถูกปล้นอะไร แล้วนายทําไมสร้างบ้านแบบนี้ มันไม่ใช่ที่เราตกลงกันไว้นี่ ‛ ‚ฉันทําตามแผนงานที่เราตกลงกันไว้แล้ว เราจะทําบ้านที่มีแปดห้องตามแผนของ เทสเซอแรคท์ ฉันไม่ได้โกง นาย แต่นี่มันอะไรกัน มันอิจฉาฉัน ไอ้เจ้าพวกสถาปนิกในเมืองที่ต้องการขัดขวางงานของฉัน มันรู้ว่าฉันจะทําให้มัน ไม่มีงานทํา‛ ‚นายมานี่ครั้งสุดท้ายเมื่อไร‛ ‚เมื่อวานตอนเที่ยง‛ ‚ทุกอย่างเรียบร้อยหรือตอนนั้น ‛ ‚ใช่ พวกคนสวนเพิ่งเสร็จงานตกแต่ง‛

40


เบลลี่จ้องมองภูมิประเทศที่ได้รับการตกแต่งไปรอบๆ ‚ฉันมองไม่เห็นว่าจะมีใครสามารถถอดชิ้นส่วน และขน ย้ายห้องเจ็ดห้องไปในคืนเดียวได้โดยไม่ทําลายสวนนี้เลย‛ มิสซิสเบลลี่พูดขัดขึ้นว่า ‚เราควรเข้าไปสํารวจดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่ยังไงฉันก็ไม่มีวันจะชอบมันได้แน่ๆ เลย โฮเมอร์‛ ‚เราจะเข้าไปข้างใน‛ ทีลล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋าและไขให้คนทั้งสองเข้าไปทางประตูด้านหน้า ‚เราจะดู ว่าจะมีร่องรอยอะไรหรือเปล่า ‛ ห้องตรงประตูอยู่ในสภาพปกติ ฉากเลื่อนที่ติดไว้เลื่อนไปข้างหนึ่งทําให้เห็นห้องทั้งห้องได้ตลอด ‚ดูปกติดีนี่‛ เบลลี่เอ่ยขึ้น ‚ลองขึ้นไปบนหลังคาดูดีกว่า ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ไหนล่ะบันได! พวกมันขโมยไปด้วยหรือ‛ ‚เปล่าหรอก ดูสิ...‛ ทีลกดปุ่มที่อยู่ใต้สวิทช์ไฟ ช่องเล็กๆ ทางเพดานเปิดออก และมีบันไดทาสีสวยงามทําด้วย โลหะมันเป็นเงายื่นลงมา ‚นี่เป็นพวกโลหะเงินดูราลามิน ราวจับกับขั้นบันไดเป็นพลาสติค‛ ทีลอธิบายเหมือนกับเด็ก ที่กําลังเล่นกลไพ่ป๊อกอยู่ ‚รู้สึกว่าค่อนข้างจะลื่นสักหน่อย‛ เบลลี่เอ่ยขึ้น ‚ดูเหมือนมันจะไม่พาเราไปไหนเลย‛ ทีลมองตามสายตาเบลลี่ และพูดขึ้น ‚ฝาเพดานจะเปิดออกเมื่อเราขึ้นไปถึง ให้เราขึ้นไปถึงก่อนก็จะรู้เองแหละ‛ เมื่อคนทั้งสามขึ้นไปถึงเพดานก็ เปิดออกเป็นช่องว่างพอที่จะเดินผ่านได้อย่างสบาย พวกเขาตรงขึ้นไปข้างบนสุดของบ้านแล้ว แต่เขากลับไม่เจอ หลังคา ทั้งหมดกําลังยืนอยู่กลางห้องห้าห้อง ที่อยู่บนชั้นสองของบ้านหลังนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ทีลพูดไม่ออก เบลลี่ตรงเข้าไปแสดงความยินดีกับเขา ทุก ๆ อย่างอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ด้านหน้าของเขา ตรงเข้าไปยังประตูโปร่งแสงที่เปิดไว้ เป็นห้องครัวทันสมัย ทางซ้ายเป็นห้องอาหารเรียบๆ แต่ สวยงามและสะอาด เครื่องตกแต่งในนั้นมีสีเหมือนกับสีของห้อง และคล้ายกับมีแสงสว่างออกจากเครื่องตกแต่งทุก ชิ้น ทีลรู้ก่อนที่จะหันกลับมาอีกว่า ห้องรับแขกและห้องนั่งเล่นไม่น่าจะมีอยู่ และเข้าไปอาศัยได้เช่นเดียวกับ ห้องครัวและห้องอาหาร ‚ฉันต้องยอมรับว่าที่นี่ไม่เลวเลย‛ มิสซิสเบลลี่ยอมรับ ‚ฉันไม่คิดว่าจะมีห้องมากอย่างนี้เมื่อมองจากด้านนอก แต่ แน่ละฉันต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างด้วย ถ้าเราย้ายเก้าอี้นวมไปที่นั่น...‛ ‚ไว้ก่อนนะ มาทิลดา‛ เบลลี่ขัดขึ้น และหันไปพูดกับทีล ‚นายทําได้ยังไงนะทีล ‛ ‚ทําไมล่ะโฮเมอร์ ถ้าเราจะ....‛ ‚มาทิลดา ผมบอกแล้วไงว่าให้เฉยก่อน เอาละ ทีลตอบฉันหน่อย‛ ร่างของสถาปนิกหนุ่มสั่นเล็กน้อย ‚ฉันกลัวที่จะพูด เราลองไปดูข้างนอกก่อนดีกว่า ‛ ‚ทําอย่างไรล่ะ‛ ‚ก็อย่างเดิมน่ะแหละ‛ เขาแตะที่ปุ่มอีกปุ่มหนึ่ง และบันไดแบบเดียวกับที่พาเขาขึ้นมาจากห้องชั้นล่างก็นํา พวกเขาทั้งสามขึ้นไปยังอีกชั้นหนึ่ง มิสซิสเบลลี่เดินรั้งท้ายขึ้นมา ในที่สุดต่างก็พบตัวเองกําลังยืนอยู่ในห้องนอน ผ้าม่านไม่ได้รวบไว้ แต่ก็มีแสงนวลๆ ออกมาโดยไม่เห็นดวงไฟ ทีลกดปุ่มอีกปุ่มหนึ่งและพวกเขาก็ขึ้นมายังห้องชั้น บนสุด มันเป็นห้องทํางานที่เขาสร้างให้เบลลี่ ‚ดูซิ ทีล‛ เบลลี่พูดขึ้น เมื่อหยุดจากการหอบเพราะความตื่นเต้น เราไปที่หลังคาได้หรือเปล่า เราจะเห็นทุก อย่างได้รอบเลย‛ ‚แน่นอน มันเป็นลานสังเกตการณ์ได้ดีทีเดียว‛ พวกเขาเดินไปยังบันไดที่สี่ แต่เมื่อเพดานห้องเปิดออก พวก เขาพบว่าตนเองกําลังอยู่บนพื้นชั้นล่าง ไม่ใช่หลังคา แต่อยู่ ณ ที่ที่เข้ามาในตอนแรก 41


เบลลี่หน้าซีดลงเล็กน้อย ‚ไม่น่าเชื่อเลย‛ เขาร้อง‛บ้านนี้เป็นบ้านผีสิง เราออกไปกันดีกว่า ‛ เขาดึงภรรยา พร้อมกับผลักประตูหน้าออก และเดินอออกไปอย่างรวดเร็ว ทีลกําลังอยู่ในภาวะภวังค์ในขณะที่ทั้งสองแยกจากกันไป มันจะต้องมีคําตอบสําหรับเรื่องต่างๆ นี้ คําตอบที่ ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ทันใดนั้นเข้าก็ต้องสะดุดเพราะมีเสียงร้องดังอยู่ชั้นบน เขากดปุ่มขึ้นบันไดไปชั้นบน เบลลี่ กําลังยืนอยู่ที่กลางห้อง และที่พื้นมิสซิสเบลลี่กําลังนอนสลบอยู่ เมื่อทีลเห็นเช่นนั้นเขาก็ตรงไปที่บาร์เหล้าและริน บรั่นดีมาสามแก้ว ยื่นให้เบลลี่แก้วหนึ่งเพื่อให้เขานําไปให้ภรรยาของเขา ‚นี่ไง มันจะช่วยให้เธอดีขึ้น‛ เบลลี่รับไปและดื่มเองรวดเดียวหมด ‚เฮ้ย นั่นให้เมียแกนะ‛ ทีลพูด ‚อย่ายุ่งน่า‛ เบลลี่ตะคอก ‚เอาให้เธอใหม่‛ ทีลนําบรั่นดีอีกแก้วให้เขา หลังจากดื่มไปแก้วหนึ่งแล้วนํายาดมมาให้มิสซิสเบลลี่ดื่ม สักครู่เธอก็ค่อยๆ ลืมตา ขึ้นมา ‚นี่ไง มิสซิส มันจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น ‛ ‚ฉันไม่เคยแตะต้องของมึนเมามาก่อนเลย‛ เธอกล่าวขึ้นและดื่มรวดเดียวเกือบครึ่งแก้ว ‚เอาละ บอกผมซิว่าเกิดอะไรขึ้น‛ ทีลถาม ‚ผมคิดว่าคุณทั้งสองออกไปแล้วเสียอีก‛ ‚เราเดินออกไป ออกจากประตูหน้าบ้านแหละ แต่...เรากลับมายืนอยู่ในห้องนั่งเล่น อยู่ในบ้านหลังนี้ !‛ ‚คุณพูดอะไรนะ! อืมม์...เดี๋ยวก่อน‛ ทีลตรงไปยังห้องนั่งเล่น ที่นั่นเขาพบหน้าต่างบานใหญ่ที่สุดในห้องเปิดอยู่ เขาจ้องมองอย่างระวังผ่านหน้าต่างไป มันไม่ใช่ทิวทัศน์ของชนบทในแคลิฟอร์เนีย แต่เป็นพื้นห้องชั้นล่าง เขาไม่พูด อะไรเลย แต่เดินกลับไปยังบันไดที่เปิดทิ้งไว้ และมองกลับไป พื้นห้องชั้นล่างก็ยังอยู่ที่เดิม ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ เขาเดินกลับมายังห้องกลาง และนั่งลงตรงข้างเบลลี่ บนเก้าอี้ตัวใหญ่ เขามองหน้าเบลลี่ผ่านหัวเข่าทั้งสอง ‚โฮ เมอร์ นายรู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ‛ ทีลถามขึ้น ‚ไม่ ฉันไม่รู้ แต่ถ้าเราไม่ทําอะไรสักอย่าง จะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นแน่นอนและรุนแรงด้วย‛ ‚โฮเมอร์ นี่เป็นข้อพิสูจน์ถึงทฤษฎีของฉัน บ้านนี้ก็คือ เทสเซอแรคท์ ที่แท้จริง‛ ‚เขากําลังพูดอะไรน่ะ โฮเมอร์‛ ‚รอเดี๋ยว มาทิลดา-เอาละทีล มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และนายเข้าใจมัน แต่ฉันไม่เข้าใจ มันทําให้ฉันเกือบช็อค ตาย แล้วก็ทําให้ฉันประสาทเสีย ที่ฉันต้องการเดี๋ยวนี้ก็คือออกไปให้พ้นจากที่นี่ และนายไม่ต้องเอาไอ้ประตูกลบ้าๆ มาเล่นตลกกับฉันอีก‛ ‚ฉันไม่ได้ตกใจสักนิด‛ มิสซิสเบลลี่สอดขึ้น ‚ฉันเพียงแปลกใจเท่านั้น เอาละ คุณทีล คุณกรุณาอธิบายเรื่อง ตลกที่เกิดขึ้นนี่ให้เข้าใจหน่อยซิ‛ เขาอธิบายให้เธอฟังเกี่ยวกับทฤษฎีของบ้านหลังนี้เท่าที่จะสามารถ และสรุปว่า ‚ตามที่ผมเห็นนะครับ แม้บ้านหลังนี้จะสมดุลในมิติที่สาม แต่มันก็ไม่สมดุลในมิติที่สี่ ผมสร้างบ้านในรูปของ เทสเซอแรคท์ ที่ไม่ได้พับเข้าไป ต้อมีอะไรผิดปกติแน่ๆ อาจจะเป็นเพราะเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น เลยทําให้มันทรุด ลงไปจากตําแหน่งเดิม และเกิดการพับเข้าไป‛ ทันใดนั้นเขาก็ดีดนิ้วเปาะ ‚ผมคิดออกแล้ว แผ่นดินไหวน่ะเอง‛ ‚แผ่นดินไหวหรือ‛ ‚ใช่ ใช่แน่ เมื่อคืนเกิดแผ่นดินไหวเล็กน้อยจากตําแหน่งของมันที่ไม่ใช่มิติที่สี่ บ้านหลังนี้เหมือนกับแผ่นแบนๆ แผ่นหนึ่งที่ทรงตัวอยู่ด้วยน้ําหนักที่ขอบ แต่เกิดแรงผลักขึ้น เลยทําให้มันเสียลักษณะเดิม กลายเป็นโครงสร้างที่ สมดุลย์ในมิติที่สี่‛ 42


‚ฉันคิดว่า คุณควรบอกว่า บ้านหลังนี้จะปลอดภัยหรือไม่จะดีกว่า ‛ ‚มันปลอดภัยแน่ ในมิติที่สาม‛ ‚ฉันไม่คิดว่าบ้านนี้จะปลอดภัย เบลลี่วิจารณ์ตรงๆ ‚พอแผ่นดินไหวนิดหน่อย มันก็เริ่มจะพังแล้ว ‛ ‚แต่ นายลองมองไปรอบๆ สิ‛ ทีลพูดขึ้น ‚ไม่มีอะไรที่แตกหัก แม้แต่เศษแก้ว การหมุน14ในมิติที่สี่ จะไม่มีผลต่อ วัตถุในมิติที่สาม เหมือนกับการที่นายจะเขย่าตัวหนังสือให้กลัดออกจากกระดาษนั่นแหละ ถ้าเมื่อคืนพวกเรานอน อยู่ในบ้านหลังนี้ จะไม่รู้สึกว่ามีแผ่นดินไหวเลย‛ ‚นั่นแหละที่ฉันกลัว แล้วนายหาทางออกจากบ้านนี้ได้หรือเปล่าล่ะ ‛ ‚ต้องได้ซี นายกับมิสซิสเบลลี่เดินออกจากบ้านไป และหวนกลับมาอยู่ตรงนี้ใหม่ แต่...ฉันไม่แน่ใจว่า เมื่อเรา เข้ามาได้ เราก็ต้องออกได้ คงไม่ยากหรอก ฉันจะลองดู ‛ เขาลุกขึ้นและลงไปทางบันได เขาผลักประตูหน้าบ้านออก และเดินตรงออกไป แต่กลับมายืนอยู่หน้าเพื่อนเขาอีก ‚ดีละ มันต้องมีวิธีสักอย่างหนึ่งแน่‛ ทีลพูดขึ้น ‚คงเดี่ยวกับ เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ยังไงเราก็ต้องออกทางหน้าต่างได้ ‛ เขารูดม่านที่ปิดหน้าต่างแบบฝรั่งเศสไว้ทางมุมหนึ่งของ ห้อง แต่คล้ายกับสะดุดอะไรสักอย่างหนึ่ง ‚อืมม์...‛ เขาพูดขึ้น ‚น่าสนใจทีเดียว‛ ‚อะไร‛ เบลลี่ถาม ‚มาดูซี‛ บานหน้าต่างเปิดออกไปยังห้องอาหาร แทนที่จะเป็นสวนนอกบ้าน เบลลี่เดินกลับไปที่มุมห้อง ที่ที่ ห้องนั่งเล่นและห้องอาหารอยู่ติดกันเป็นมุมเก้าสิบองศา ‚เป็นไปไม่ได้‛ เบลลี่พูดขึ้น ‚บานหน้าต่างนั่นห่างจากห้องอาหารอย่างน้อยสิบห้าถึงยี่สิบฟุต‛ ‚แต่สําหรับ เทสเซอแรคท์ มันเป็นไปไม่ได้‛ ทีลพูดเรียบๆ ‚ดูนั่น‛ เขาเปิดหน้าต่างออก ก้าวออกไป และพูด กับเบลลี่ขณะที่เดินตรงออกไป ในสภาพเช่นนี้ ทีลควรลับหายไปจากสายตาของเบลลี่อย่างง่ายดาย แต่ไม่ได้เป็นเช่นที่ทั้งสองคาดไว้ ทีลสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เพื่อระงับความตื่นเต้น ขณะที่กําลังจะก้าวออกพ้นบานหน้าต่างนั้นแล้ว เขาก็พบ ตนเองกําลังเดินผ่านพุ่มกุหลาบที่เกต็มไปด้วยหนามอันแหลมคม จนเขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ปลูกต้นไม้ที่มี หนามไม่ว่าที่ใดอีก เขาออกจากบ้านได้แล้ว ที่นี่เป็นสวน มันย่อมไม่ได้อยู่ภายในบ้านแน่นอน เขาตรงไปนังประตูหน้าบ้านทันที เปิดออกและวิ่งขึ้นไปชั้นบน ณ ห้องที่เบลลี่และภรรยาอยู่ ‚ฉันพบทางออกแล้ว‛ เบลลี่ดูเหมือนจะรําคาญแทนที่จะดีใจ ‚เกิดอะไรขึ้นหรือ‛ ‚ฉันออกไปข้างนอกได้แล้ว นายก็ทําได้ง่ายๆ เพียงแต่ก้าวออกไปทางบานหน้าต่างนั่น อ้อ ! ระวังหนาม กุหลาบหน่อยนะ รู้สึกว่าเราต้องทําบันได้อันใหม่ขึ้น ‛ ‚แล้วนายเข้ามาได้อย่างไร‛ ‚ก็ทางประตูหน้าบ้าน‛ ‚ถ้างั้นเราจะออกไปทางนั้นละ มาซิ ที่รัก ‛ เบลลี่สวมหมวกและเดินอย่างมั่นคงลงไปชั้นล่าง ภรรยาเขาเกาะ แขนเขาเดินตามไป

14

การหมุน = Rotation

43


และแล้ว ทีลก็พบทั้งสองคนอยู่ในห้องนั่งเล่นนี้อีก ‚ฉันน่าจะบอกว่าวิธีนี้ไม่สําเร็จแน่ ‛ เขาพูดช้าๆ ‚ตามที่ฉัน เข้าใจ สสารในมิติที่สี่นั้น สําหนับมนุษย์ซึ่งเป็นสามมิติ ถ้าต้องการผ่านเส้นกั้นอาณาเขตใด เขาจะมีทางไปได้สอง ทาง โดยปกติเขาจะเลือกทางที่ทํามุมฉากกันมิติที่สี่ ซึ่งจะไม่สามารถรู้ได้จากประสาทในมิติที่สาม ‛ เขาก้าวออกไป ทางหน้าต่างนั่น และมายืนอยู่ทางด้านหลังทั้งสองคนอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็พูดต่อไปว่า ‚ฉันกลับมาที่นี่อีกเพราะฉันเพ่งดูที่ที่ฉันจะไป แต่ถ้าฉันไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปที่ไหน ช่วงเวลาก่อนที่ฉันจะก้าว ออกไปนั้น จะเกิดการเรียงตัว 15 ที่เกี่ยวกับจิตใต้สํานึกขึ้น ทําให้เราผ่านไปในอีกทางหนึ่ง และเราก็ออกจากบ้านได้ ‛ ‚ฉันจะต้องอาศัยการเรียงตัวในจิตใต้สํานึกอย่างที่นายว่า แม้แต่จะออกไปหยิบหนังสือพิมพ์ตอนเช้างั้นหรือ ‛ ‚ไม่ต้องก็ได้ ต่อไปมันจะต้องเป็นอัตโนมัติไปเอง เอาละสําหรับวิธีที่จะออกไปจากบ้านในตอนนี้ มิสซิสเบลลี่ ถ้าคุณจะยืนอยู่ตรงนี้โดยหันหลังให้กับหน้าต่างและกระโดดถอยหลังออกไป ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะไปยืนอยู่ที่สวน ‛ สีหน้าของมิสซิสเบลลี่ แทบจะไม่ต้องกล่าวก็รู้ว่าเธอกําลังคิดอะไร ‚โฮเมอร์ เบลลี่‛ เธอพูดเสียงสั่นด้วยความโกรธ ‚คุณจะยังยืนนิ่งเป็นตอไม้ และให้เขาแนะนําฉันอย่างนี้หรือ ‛ ‚แต่ มิสซิสเบลลี่‛ ทีลพยายามอธิบาย ‚เราจะผูกเชือกเข้าที่เอวคุณ และหย่อนคุณลงไปก็ได้‛ ‚ลืมเสียเถิด ทีล‛ เบลลี่พูดสอดขึ้นทันที ‚เราจะหาทางที่ดีกว่านั้น ทั้งฉันและมิสซิสเบลลี่จะไม่กระโดดออกไป‛ เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ และแล้วเสียงของเบลลี่ก็ดังขึ้น ‚ทีล นายได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า‛ ‚อะไร‛ ‚มีคนพูดอยู่ นายคิดว่ามีใครอยู่ในบ้านนี้หรือเปล่า และเรื่องที่เกิดขึ้นก็เพราะเขากําลังเล่นตลกกับเราอยู่ ‛ ‚คงไม่หรอก ฉันทํากุญแจอันเดียว และมันก็อยู่ที่ฉัน ‛ ‚แต่ฉันแน่ใจว่ามี‛ มิสซิสเบลลี่สนับสนุน ‚ฉันได้ยินตั้งแต่เราเข้ามาตั้งแต่แรก โฮเมอร์ ฉันทนเสียงอะไรไม่ได้ ทําอะไรสักอย่างซิ‛ ‚เอาละ เอาละมิสซิสเบลลี‛่ ทีลปลอบ ‚อย่าเพิ่งอารมณ์เสียเลย ในบ้านนี้ไม่มีใครอยู่แน่ แต่ผมจะลองสํารวจดูก็ ได้เพื่อความแน่ใจ โฮเมอร์นายอยู่กับมิสซิสเบลลี่ตรงนี้ และคอยดูห้องต่างๆ ในชั้นนี้ไว้ด้วย‛ เขาผ่านห้องนั่งเล่นไปยังชั้นล่าง และเดินต่อไปยังครัวและห้องนอน ทางที่เขาไปนั้นเป็นเส้นตรง นั่นคือ เมื่อ เดินเป็นทางตรงในบ้านนี้ มันจะทําให้กลับไปอยู่ที่ๆ เดินจากมาได้ ‚ไม่มีใคร‛ ทีลรายงานขึ้น ‚ผมเปิดหน้าต่างและประตูตามทางที่เดินไปทุกห้อง...นอกจากห้องเดียว‛ เขาก้าว ไปยังหน้าต่างบานที่อยู่ตรงข้ามกับบานทที่เขาใช้ออกไปจากบ้าน และคลี่ผ้าม่านออก ทันใดนั้นเขาเห็นชายคนหนึ่งหันหลังให้เขา อยู่สี่ห้องถัดไป ทีลกระโดดข้ามหน้าต่างไป และไล่กวด พร้อมกับ ตะโกน ‚หยุด ไอ้หัวขโมย‛ ร่างนั้นวิ่งหนีทันทีเมื่อได้ยินเสียง ทีลไล่ตาม ผ่านห้องรับแขก ห้องครัว ห้องอาหาร และห้องนั่งเล่น ห้องแล้ว ห้องเล่า แม้ทีลจะพยายามจนสุดแรง แต่ก็ไม่สามารถไล่ทันให้เข้าใกล้ได้มากกว่าระยะทางของห้องสี่ห้องเหมือนเมื่อ เริ่ม ในที่สุด ผู้ที่ถูกไล่ตามอยู่นั้นก็วิ่งไปถึงบานหน้าต่างแบบฝรั่งเศสบานนั้น และกระโดดข้ามไปอย่างว่องไว แต่ หมวกที่สวมอยู่บนศีรษะไปกระทบกับขอบหน้าต่าง และหล่นลงมา พร้อมกับร่างนั้นก็ลับหายจากสายตาของทีล ‚ฉันคิดว่า เขาคงหนีไปได้‛ ทีลยอมรับ ‚อย่างไรก็ตาม ฉันอาจจะหาหลักฐานบางอย่างจากหมวกใบนี้ได้ ‛ เขา ก้มลงหยิบหมวกขึ้นมา

15

การเรียงตัว Orientation

44


เบลลี่ฉวยหมวกใบนั้นจากทีล เขาตรวจดูอย่างละเอียดและสวมลงบนศีรษะของทีล มันพอดีๆ มคับหรือหลวม ไปแม้แต่น้อย ทีลทําท่างงๆ และถอดหมวกลงมาดู บนกระบังหมวกมีอักษรย่อเขียนไว้ว่า ‚Q.T.‛ มันเป็นชื่อย่อของ เขานั่นเอง ทีลเริ่มเข้าใจทีละน้อย เขาตรงไปที่หน้าต่างบานนั้นและจ้องมองผ่านไปตามห้องต่างๆ ที่เขาไล่ชายผู้นั้น เบล ลี่และภรรยาเป็นทีลโบกมือไหวๆ อยู่กับบานหน้าต่าง ‚นายทําอะไรน่ะ?‛ เบลลี่ถาม ‚มาดูนี่ซิ‛ ทั้งสองเดินเข้ามาหาเขา และมองไปตามทิศที่ทีลมอง พวกเขาเห็นด้านหลังของคนสามคน เป็นชาย สอง หญิงหนึ่ง และร่างที่สูงที่สุดกําลังโบกมืออยู่ มิสซิสเบลลี่ร้องกรีด และเป็นลมไปอีกครั้ง อีก 2-3 นาทีต่อมาเมื่อมิสซิสเบลลี่ฟื้นขึ้น และรวบรวมสติได้แล้ว เบลลี่ก็พูดขึ้นว่า ‚ทีล ฉันจะไม่มามัวตําหนิ นาย มันไม่มีประโยชน์อะไร และฉันก็แน่ใจว่า นายก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แต่ฉันขอบอกว่าเรากําลังอยู่ใน ภาวะคับขัน และเราต้องออกไปจากบ้านนี้ให้ได้ ไม่งั้นเราต้องอดตายแน่ เพราะแต่ละห้องมันพาเราไปสู่อีกห้องหนึ่ง ทั้งนั้น‛ ‚มันไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก เมื่อครู่ฉันก็ออกไปได้แล้ว ‛ ‚ใช่ แต่นายก็ไม่สามารถเข้าไปได้ทุกห้อง ยังมีห้องทํางานชั้นบนอีกไง‛ ‚ห้องนั้นน่ะ เราเข้าไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาบ้านนี้แล้ว เพียงแต่ไม่ได้หยุดสํารวจเท่านั้น นายคิดว่าจะออกไป ทางหน้าต่างห้องนั้นงั้นหรือ ‛ ‚แต่อย่าหวังให้มากเกินไปนัก ในทางคณิตศาสตร์ หน้าต่างในห้องนั้นควรจะเปิดให้เห็นห้องนี้ ถ้าเราไม่เข้าไป ดู เราก็ไม่รู้‛ ‚เราคงไม่มีอันตรายนะ แต่...ที่รัก ผมคิดว่าคุณอยู่ที่นี่จะดีกว่า ‛ ‚คุณจะปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวในบ้านผีสิงนี้ รึ ไม่เด็ดขาด‛ ทั้งสามเดินขึ้นไปชั้นบน ‚เจ้าห้องนี้เป็นลูกบาศก์ อันเล็กที่อยู่ด้านในของลูกบาศก์อันใหญ่ที่นายแสดงให้ดูไม่ใช่หรือทีล !‛ เบลลี่ถามขณะที่พวกเขากําลังเดินผ่าน ห้องนอน เพื่อขึ้นไปชั้นบนสุดของบ้าน ‚ใช่‛ ทีลรับ ‚เอาละถึงแล้ว ฉันคิดว่าหน้าต่างบานนี้จะเปิดไปยังห้องครัว ‛ เขาดึงบังตาแบบเวเนเชียนขึ้น แต่ไม่เป็นเช่นที่เขาคาดไว้ ภาพที่ปรากฏขึ้น คือ แนวของต้นไม้ปรากฏอยู่ใต้ขาของคนทั้งสาม มันเล็กเสียจน พวกเยาต่างนั่งลงกัยพื้น เพราะเขาหมดแรง ‚ปิด! ปิด!‛ เบลลี่ตะโกน ทีลปลอบใจตัวเอง และเดินไปยังหน้าต่างเพื่อปิดภาพที่น่าหวาดเสียวเสีย หน้าต่างบานนั้นเปิดลงไปยัง ข้างล่าง ไม่ใช่เปิดสู่ข้างนอก และมันเป็นความสูงที่น่ากลัวอะไรเช่นนั้น แล้วมิสซิสเบลลี่ก็เป็นลมไปเป็นครั้งที่สาม ทีลกลับเข้ามาใหม่ หลังจากไปยังห้องอาหาร และยื่นบรั่นดีให้เธอ เบลลี่กําลังนวดมือเธออยู่ เมื่อเธอฟื้นขึ้น ทีลเดินตรงไปยังหน้าต่างอีกครั้งอย่างระมัดระวัง และค่อยๆ เปิดออก เขาค่อยๆ นั่งลง และพิจารณาภาพเบื้องหน้า แล้วหันไปทางเบลลี่ ‚มาดูนี่ซิ โฮเมอร์ ดูว่านายจะจําได้ไหม‛ ‚ออกไปให้ห่างจากหน้าต่างบานนั้นนะ! โฮเมอร์ เบลลี่‛ ‚มาทิลดา ผมจะระวัง ‛ เบลลี่เข้าไปหาทีลและมองไปยังที่เขาชี้ ‚นั่นไง อาคารไครสเลอร์ และนั่นแม่น้ําอีสต์ กับบรุคลิน ‛ พวกเขามองไปยังตึกใหญ่สูงกว่าพันฟุต ที่ล้อมรอบ ไปด้วยแฟลตเล็กๆ ในระยะทางไกลออกไป ‚ฉันกะดูแล้ว เรากําลังมองลงจากความสูงประมาณเท่าตึกเอมไพร์สเตท ทีเดียว‛ ‚แล้วมันอะไรกัน ภาพลวงตาหรือ ‛ 45


‚ฉันไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น มันดูชัดเจนมาก ฉันคิดว่าตรงจุดนี้นี่แหละ ที่เป็นรอยพับในมิติที่สี่ และเรากําลัง มองผ่านรอยนั้น‛ ‚นายหมายความว่า เราไม่ได้เห็นจริงๆ หรือ ‛ ‚เปล่า มันเป็นของจริง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเราปีนออกไปข้างนอก จะเกิดอะไรขึ้น ลองดูหน้าต่างอีกสัก บานซิ‛ เขาทั้งสองเข้าไปใกล้หน้าต่างอีกบานอย่างระวังมากขึ้น และก็เป็นการดีที่พวกเขาทําเช่นนั้น เพราะภาพที่ เห็นยิ่งน่าตกใจและเขย่าขวัญไปกว่ามองลงจากตึกระฟ้าเสียอีก มันเป็นภาพของมหาสมุทรและท้องฟ้าสีคราม แต่ที่ ที่มหาสมุทรควรอยู่ กลับมีก้องเมฆสีขาว และแสงอาทิตย์ส่องแสงสว่าง ส่วนคลื่นบนผิวน้ําในมหาสมุทรปรากฏ เหนือศีรษะคนทั้งสอง ทีลปิดบังตาทันที ก่อนที่มิสซิสเบลลี่จะได้เห็นภาพ ทีลมองไปที่หน้าต่างบานที่สาม ‚เบลลี่รีบพูดขึ้นว่า ‚อย่าลองต่อไปเลย‛ ‚อืมม์...แต่เราจะไม่รู้ถ้าไม่ลอง ทําใจให้สบาย‛ ทีลดึงบานเกล็ดขึ้น 2-3 นิ้ว เขาไม่เห็นอะไรเลย เขาดึงขึ้นสูงอีก มันก็ยังไม่มีอะไร จนเขาปิดหน้าต่างทั้งบาน ก็ยังไม่มีอะไรปรากฏเลยแม้แต่น้อย พวกเขาจ้องไปในที่ว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มีแม้กระทั่งสี ไม่มีรูปร่างอะไรเลย รูปร่าง...ก็คือลักษณะของสิ่งบางอย่าง แต่นี่ไม่มีอะไรเลย ความกว้าง ยาว หรือหนา แม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่ความมืด มันคือที่ที่ซึ่งไม่มีอะไรเลย เบลลี่ดึงซิการ์ออกมาจุดสูบ ‚ทีล นายคิดว่านี่มันอะไร‛ เสียงของทีลสั่นเป็นครั้งแรก ‚ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จริงๆ แต่ฉันว่าบานหน้าต่างนั้นต้องก่ออิฐขึ้นและปิดทิ้งเสีย ‛ ฉัน คิดว่าเรากําลังมองที่ที่ไม่มีอะไรเลย แม้แต่อากาศ บางทีเราอาจมองไปยังมุมของมิติที่สี่ ซึ่งไม่มีสิ่งใดอยู่กระมัง เขา ขยี้ตา ‚ฉันชักรู้สึกปวดหัว‛ พวกเขาคอยอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเปิดหน้าต่างบานที่สี่เหมือนกับจดหมายที่ใส่ซองไว้นั่นแหละ ในนั้นอาจจะไม่ มีข่าวดี แต่ก็ต้องเปิดออกมาดูให้ได้ ในที่สุดเบลลี่ก็เป็นผู้ดึงบานเกล็ดออก ขณะที่สีหน้าของมิสซิสเบลลี่แสดงอาการ คัดค้าน มันไม่มีสิ่งน่ากลัวอะไร ทิวทัศน์ของสวนอยู่ตรงหน้าพวกเขาในระดับที่ห้องนี้อยู่บนพื้นชั้นล่าง แต่มันก็ยังดูไม่ เป็นมิตร แต่แสงอาทิตย์อันร้อนแรงส่องผ่านท้องฟ้าสีเขียวลงมาคล้ายจะเผาไหม้ทุกอย่างบนพื้นดิน นั่นละชีวิตหนึ่ง ต้นไม้กิ่งระเกะระกะลักษณะแปลก พายอดพุ่งขึ้นสู้ท้องฟ้า และใบไม้หล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น รอบๆ โคนต้นที่ คล้ายกับเจริญผิดปกติไป ‚นี่ที่ไหนกัน?‛ เบลลี่ถามขึ้น ทีลเขย่าศีรษะตาเขามีแววกังวล ‚มันเหมือนกับไม่ใช่บนโลก อาจจะเป็นดาวเคราะห์ดวงอื่น หรืออาจเป็นดาว อังคาร‛ ‚ฉันไม่รู้ แต่โฮเมอร์ ฉันคิดว่าเลวร้ายไปกว่านั้นเสียอีก ‛ ‚นายพูดอะไรน่ะ‛ ‚เราอยู่นอกอวกาศของเราโดยสิ้นเชิงแล้ว ฉันคิดว่านั่นไม่ใช่พระอาทิตย์ของเรา มันสว่างเกินไป‛ มิสซิสเบลลี่มารวมกลุ่มกับพวกเขาด้วยท่าทางตื่นๆ และมองออกไปภายด้านนอก เธอพูดด้วยเสียงต่ําๆ ‚เจ้า ต้นไม้เหล่านั้น มันน่ากลัว ‛ เขาตบมือเธอเบาๆ เพื่อปลอบใจ ทีลเดินเข้าไปจับขอบหน้าต่าง 46


‚นายจะทําอะไร?‛ เบลลี่ร้องขึ้น ‚ฉันคิดว่าถ้ายื่นหัวออกไปข้างนอก ฉันอาจจะเห็นอะไรได้รอบและบอกได้มากกว่านี้ ‛ ‚เอาละ ตกลง‛ เบลลี่เห็นด้วย ‚แต่ระวังหน่อย‛ ทีลเปิดหน้าต่างเสียงค่อยๆ และลอดหัวออกไป ‚อากาศก็เป็นปกติ‛ เขาเปิดกว้างขึ้น และยื่นตัวออกไปอีก แต่ทันใดนั้น ก่อนที่เขาจะทันได้มองสิ่งต่างๆ ได้ทั่ว พื้นที่พวกเขายืนอยู่ก็เริ่มสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะ ทรงตัวไว้ไม่อยู่ ‚แผ่นดินไหว‛ เขาทั้งสามตะโกนขึ้นพร้อมกัน มิสซิสเบลลี่กอดคอสามีไว้แน่น ทีลดึงตัวเองเข้ามา และพูดขึ้น ‚ไม่มีอะไรหรอกมิสซิสเบลลี่ บ้านนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ทุกประการ‛ ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค บ้านก็สั่นขึ้น อีกครั้งหนึ่งและรุนแรงยิ่งกว่าครั้งแรกมาก สําหรับชาวแคลิฟอร์เนียที่เกิดและอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กจะมีสัญชาตญาณที่ฝังรากไว้แน่นอยู่ในจิตใจแต่ละ คน เกี่ยวกับแผ่นดินไหวว่า เมื่อใดที่มันเกิดขึ้น พวกเขาต้องออกจากที่พักอาศัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ เช่นเดียวกับคนทั้งสาม ถ้าทีลและเบลลี่ไม่ได้อยู่ตรงหน้าเธอ มิสซิสเบลลี่ต้องเป็นคนแรกที่กระโดดออกไปก่อน แน่นอน เพราะเธอเตรียมพร้อมไว้แล้วตั้งแต่ครั้งแรก พวกเขาตั้งสติอารมณ์ขึ้น ทบทวนความจําอยู่ครู่หนึ่ง และขยี้ตา ความรู้สึกปลอดโปร่ง อันแรกที่เกิดก็คือ พื้น ทรายใต้ฝ่าเท้าเขาทั้งสาม และแล้วเบลลี่ก็ยืนขึ้น และเข้าไปหามิสซิสเบลลี่ ซึ่งเตรียมคําถามไว้เรียบร้อยแล้ว ‚บ้านหายไปไหน!‛ ไม่มีร่องรอยเหลือ มันหายไปแล้ว พวกเขายืนอยู่บนพื้นกว้างที่ที่เขาเห็นจากหน้าต่างบานนั้น แต่ไม่มีต้นไม้ ประหลาดหลังจากนั้นอีก และท้องฟ้าข้างบนก็เป็นสีคราม ดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า แต่ก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้ เบลลี่มองไปรอบๆ และหันไปทางสถาปนิกหนุ่ม ‚ทีล‛ เสียงเขาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย ทีลสั่นศีรษะ ‚ฉันก็อยากรู้ว่าที่ไหน แต่ฉันแน่ใจว่าตอนนี้เราอยู่บนโลกแน่ ‛ ‚เราจะอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้ แต่ไปทางไหนดีล่ะ ‛ ‚ทางไหนก็ได้ ลองเดินไปตามทิศของพระอาทิตย์ดู ‛ พวกเขาเดินไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนมิสซิสเบลลี่ขอให้พัก ทั้งสามหยุดและทีลเอ่ยขึ้นกับเบลลี่ ‚คิดอะไรออก บ้างมั๊ย‛ ‚ไม่เลย เดี๋ยวก่อน นายได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า ‛ ทีลตั้งใจฟัง ‚บางทีจะเป็นเสียงหลอนกระมัง‛ ‚มันเหมือนกับเสียงรถยนต์ รถยนต์!‛ พวกเขามาถึงถนนใหญ่ เพียงเดินอีกไม่ถึงร้อยหลา รถยนต์คันที่ได้ยินเสียงนั้นเป็นรถกระบะขนาดเล็ก คนขับ แต่งกายคล้ายทํางานปศุสัตว์ เขาหยุดรถ เมื่อคนทั้งสามโบกมือ ‚เราหลงทาง คุณจะช่วยเราหน่อยได้ไหม?‛ ‚ขึ้นมาเลยครับ‛ ‚คุณกําลังจะไปไหน‛ ‚ลอสแองเจลลิส‛ ‚ลอสแองเจลลิส แล้วที่นี่ละที่ไหน‛ ‚อ้อ คุณกําลังอยู่กลางป่าสงวนแห่งชาติ โจชัว-ทรี‛

47


การเดินทางกลับน่าเบื่อเหมือนกลับจากการท่องเที่ยวที่ไม่สนุกแม้แต่น้อย สองสามีภรรยานั่งอยู่ด้านหน้าข้าง คนขับ ทีลอยู่ด้านหลัง และคอยหลบแดดที่ส่องสว่างจ้า เบลลี่ขอให้คนขับพาไปยังบ้านหลังนั้น ไม่ใช่อยากจะเห็นอีก แต่เพื่อนํารถเขากลับคืน ในที่สุด คนขับก็พารถเลี้ยวไปตามมุมถนนเดียวกับที่พาเขามาในตอนแรก แต่บ้านหลังนั้นไม่อยู่เสียแล้ว ไม่มีแม้แต่ห้องชั้นล่าง มันหายไปอย่างไม่มีร่องรอย สองสามีภรรยามีท่าทางยินดีจนเห็นได้ชัด ‚นายลองหาคําตอบซิว่า ทําไมมันหายไปได้ ‛ เบลลี่ถามขึ้น ‚มันอาจเป็นเพราะการสะเทือนครั้งสุดท้าย มันเลยเคลื่อนที่ไปในที่ว่างอื่น เมื่อตอนสร้างฉันควรจะยึดฐานของ บ้านไว้กับพื้น‛ ‚ที่จริงนายไม่ควรทําทุกๆ อย่างด้วยซ้ํา ‛ ‚ฉันไม่รู้มาก่อนว่ามันจะทําให้เราเป็นอย่างนี้ แต่อย่างไรเราก็ได้เรียนรู้สิ่งที่แปลกและมหัศจรรย์ และมันก็เป็น ความจริง ความจริงอันยิ่งใหญ่ ! …และตอนนี้ ฉันมีความคิดใหม่แล้วสําหรับบ้านหลังต่อไป‛ ● ในเรื่องนี้ โรเบิร์ต ไฮน์ไลน์ ได้อธิบายเกี่ยวกับ เทสเซอแรคท์ ไว้อย่างค่อนข้างจะละเอียด อย่างไรก็ตาม มันก็คงจะ เข้าใจยากอยู่สักหน่อย เราจึงได้ลงรูปไว้ด้วย แต่ถึงแม้ว่าจะมีรูปก็ยังอาจจะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ได้ ทั้งนี้เพราะว่ารูป 2 มิติที่ เขียนลงบนกระดาษจากวัตถุที่มี 3 มิติ ย่อมจะมีการบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปจากของจริง เนื่องจากไม่สามารถแสดงมิติที่ 3 ให้ เห็นได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกันกับการเขียนรูป 2 มิติ จากวัตถุที่มี 4 มิติ ก็จะยิ่งบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปจนดูไม่รู้เรื่องก็ได้

รูปที่ 1

รูปที่ 3

รูปที่ 2

บ้านในเรื่องนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับรูปที่ 2 จากรูปที่ 1 จะเห็นลูกบาศก์ทั้งหมด 8 ลูก โดยที่ 6 ลูกจะบิดเบี้ยว เพี้ยนไป ซึ่งตามเนื้อเรื่องบอกว่ามันจะเป็นรูปลูกบาศก์ที่แท้จริง (ไม่เบี้ยว) ในมิติที่ 4 ทีนี้เราลองมาพิจารณากันใหม่ถึงความเป็นจริง หรือความเป็นไปได้ของ เทสเซอแรคท์ กัน ลองดูรูปที่ 3 ถ้าท่าน ตัดกระดาษให้เป็นแบบรูปที่ 3 นี้ แล้วพับตามร้อยขึ้นมาในมิติที่ 3 ท่านก็จะสามารถสร้างรูปลูกบาศก์ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรา ยึดถือแนวความคิดอันนี้ แล้วลองสร้างโครงสร้าง 3 มิติตามรูปที่ 2 แล้วพับ (แบบเดียวกับการพับรูปที่ 3) ขึ้นมาในมิติที่ 4 ท่านก็จะสามารถสร้าง เทสเซอแรคท์ ได้ แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าท่านจะไม่สามารถพับมันเข้าไปในมิติที่ 4 ได้เลย ไม่ว่าจะ ใช้วิธีใดก็ตาม ทั้งนี้เพราะเราไม่รู้ว่ามิติที่ 4 เป็นจริงหรือไม่ และไม่สามารถเข้าไปสู่มันได้เลย ดังนั้นจึงพอจะสรุปได้ว่า เทสเซอแรคท์ 4 มิติที่แท้จริงย่อมไม่สามารถมีอยู่ได้ในโลก 3 มิติของเรา อย่างไรก็ตาม ในโลกที่มี 4 มิติ เทสเซอแรคท์ นี้อาจจะมีอยู่จริงก็ได้

48










ลาก่อน โลกที่รัก จากเรื่อง ‚Good-bye to Earth‛ โดย ไอแซค อาซิมอฟ ถอดความโดย ณาส

ผมส่งข้อความนี้ไปยังโลก พยายามที่จะเตือนพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่ผมแน่ใจอย่างยิ่งว่ากําลังจะเกิดขึ้น และอะไรจะต้องเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่จะคิดว่ามีสิ่งใดที่รออยู่ข้างหน้า จึงไม่มีใครต้องการที่จะพูดถึงมัน แต่ ควรจะมีใครสักคนที่ต้องทํา เพื่อผู้คนในโลกจะได้ตระหนักและเตรียมพร้อม ราวๆ ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด มีการตั้งถิ่นฐานใหม่เกิดขึ้นนับโหลในวงโคจรของโลก แต่ละแห่งล้วนมี ขนาดเล็กและเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อใคร นิคมที่เล็กที่สุดมีผู้คนราวหมื่นคนอาศัยอยู่ นิคมที่ขนาดใหญ่ที่สุดก็มีผู้อาศัย ราวเกือบสองหมื่นห้าพันคน ผมแน่ใจว่า ชาวโลกทุกคนรู้เรื่องนี้ดี แต่คุณ ผู้คนที่อยู่บนโลกขนาดยักษ์ คุณไม่ค่อย คํานึงถึงพวกเรานัก เว้นแต่ในแง่ที่เป็นเพียงเคหวัตถุเล็กๆ ในอวกาศ เอาเถอะ เริ่มคิดถึงเราได้แล้ว นิคมอวกาศแต่ละแห่งต่างเลียนแบบสภาพแวดล้อมให้ใกล้เคียงกับโลกเท่าที่จะสามารถทําได้ มันหมุนเพื่อสร้างแรง โน้มถ่วงเทียม ปล่อยให้แสงแดดเข้ามาบางช่วงเวลาเพื่อสร้างกลางวันและกลางคืน แต่ละแห่งมีขนาดใหญ่พอที่จะ ให้มีพื้นที่ภายในกว้างขวาง เพื่อที่จะมีฟาร์ม มีโรงงาน อีกทั้งมีชั้นบรรยากาศที่สามารถก่อให้เกิดเมฆ มีทั้งเมือง โรงเรียน และสนามกีฬา เรายังมีบางสิ่งบางอย่างที่ว่าโลกไม่มี สนามแรงโน้มถ่วงเทียมที่มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปตามแต่ตําแหน่ง ภายในนิคมอวกาศแต่ละแห่ง มีพื้นที่ซึ่งมีแรงโน้มถ่วงต่ํา แม้แต่พื้นที่ซึ่งมีแรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์ที่ซึ่งเราสามารถติด ปีกให้ตัวเองและโบยบิน ที่ซึ่งเราสามารถเล่นเทนนิสสามมิติ ที่ซึ่งเราสามารถมีประสบการณ์ยิมนาสติคที่ไม่ปกติ สําหรับชาวโลก เรายังมีวัฒนธรรมอวกาศอย่างแท้จริงเพราะเราจะเป็นของอวกาศ งานหลักของเรานอกเหนือจากการรักษานิคม อวกาศให้ทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็คือการสร้างโครงสร้างต่างๆ ในอวกาศสําหรับตัวเองและโลก เราทํางาน ในอวกาศ อยู่ในยานอวกาศ หรือในชุดอวกาศนับเป็นธรรมชาติที่สองของเรา การทํางานภายใต้แรงโน้มถ่วงเท่ากับ ศูนย์เป็นสิ่งที่เราได้ทํามาตั้งแต่วัยเด็ก ยังคงมีบางสิ่งบางอย่างที่โลกมี แต่ที่เราไม่ เราไม่มีสภาพอากาศสุดขั้วแบบของโลก ในนิคมอวกาศที่มีการควบคุม อย่างระมัดระวังของเรา มันไม่เคยที่จะร้อนมากเกินไป หรือเย็นมากเกินไป ไม่มีพายุและไม่มีสภาวะฉุกเฉินใดๆ ที่ ไม่ได้อยู่ในการเตรียมการ เราไม่มีภูมิประเทศที่อันตรายเฉกเช่นของโลก เราไม่มีภูเขา ไม่มีหน้าผา ไม่มีหนองน้ํา ไม่มีทะเลทราย ไม่มีพายุ จากมหาสมุทร และเราไม่มีพืชสัตว์อันตรายหรือแม้แต่ปรสิต หากจะมีสิ่งใดบ้างก็คงเป็นบางคนในหมู่พวกเราเองนี่ แหละที่บ่นว่ามีความปลอดภัยมากเกินไป ไม่มีสิ่งใดเป็นการผจญภัยบ้างเลย--แต่กระนั้นแล้วคนของเราก็สามารถ ไปออกไปในอวกาศและทเดินทางระยะไกลไปยังดาวอังคาร และดาวเคราะห์น้อย ที่ซึ่งพวกคุณ ชาวโลก มีสภาวะ 49


จิตใจไม่เหมาะสมที่จะทําเช่นนั้นได้ ในความเป็นจริงแล้ว ชาวนิคมอวกาศบางกลุ่มยังมีแผนที่จะตั้ง อาณานิคมแห่ง ใหม่ขึ้นบนดาวอังคาร และสร้างฐานทําเหมืองแร่ในแถบดาวเคราะห์น้อย แต่มันอาจจะไม่บังเกิดขึ้น สําหรับเหตุผล ผมคงจะได้อธิบายในภายหลัง นิคมอวกาศไม่ได้รุ่งเรืองขึ้นโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว แม้เพียงแค่ศตวรรษที่ผ่านมา เจอราร์ด โอนีล แห่งพรินซ์ตัน และ เหล่านักเรียนของเขาก็ยังได้จัดทําแผนเริ่มต้นสําหรับบ้านหลังใหม่เพื่อมนุษยชาติ และก่อนหน้านั้นก็ยังมีบรรดา นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ต่างก็ได้คาดการณ์ไว้ ไม่น้อย ความยากลําบากที่เล็งเห็นได้ว่าที่สุดแล้วจะกลายเป็นปัญหาต่อการตั้งถิ่นฐาน อาทิเช่น ค่าใช้จ่ายของการก่อสร้าง ปัญหาในการสร้างสภาพแวดล้อมให้คล้ายโลก, การรวบรวมพลังงาน เรื่องของการป้องกันรังสีคอสมิก ล้วนแต่ถูก แก้ไข แม้ไม่ได้ทําได้โดยง่ายแต่เราก็สามารถทําได้สําเร็จ ดวงอาทิตย์นั่นเองที่ให้พลังงานทั้งหมดเท่าที่เราต้องการ และยังมากพอที่จะส่งออกส่วนเกินกลับไปยังโลก เรา สามารถปลูกอาหารได้อย่างง่ายดาย - มากกว่าที่เราต้องการด้วยซ้ํา ด้วยเหตุนี้เราสามารถส่งออกบางส่วนกลับไป ยังโลก เรามีสัตว์ตัวเล็กๆ มีกระต่าย ไก่ และอื่นๆ ที่สามารถให้เนื้อแก่เราสําหรับบริโภคได้ เราได้รับวัตถุดิบที่เรา จําเป็นต้องใช้จากอวกาศ ไม่เพียงแต่จากดวงจันทร์เท่านั้น แต่ยังหาได้จากอุกกาบาตและดาวหางที่เราสามารถดัก ไว้และใช้ประโยชน์ได้ เมื่อเราไปถึงดาวเคราะห์น้อย (ถ้าเราได้ทํา) เราจะมีอุปทานแทบไม่จํากัดของทุกสิ่งทุกอย่างที่ เราต้องการ สิ่งที่รบกวนจิตใจเราและก่อให้เกิดปัญหาที่ เราไม่สามารถผ่านพ้นไปได้กลับเป็นสิ่งที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ เล็งเห็น มันคือความยากลําบากในการรักษาระบบนิเวศให้ทํางานได้ นิคมอวกาศแต่ละแห่งจะต้องพึ่งตนเองมัน ประกอบไปด้วยคน พืชและสัตว์ มันมีอากาศ น้ําและดิน สิ่งมีชีวิตมีทั้งเพิ่มจํานวนทวีคูณและรักษาจํานวนประชากร ของตน แต่ก็ไม่ได้เกินความสามารถของนิคมอวกาศที่รองรับได้ พืชและสัตว์งั้นหรือ? สบายมาก เราควบคุมพวกมัน เราดูแลการเพาะพันธุ์ของพวกมันและบริโภคส่วนที่เกิน การ ดูแลรักษาประชากรมนุษย์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นเรื่องยากมากกว่า เราไม่สามารถปล่อยให้อัตราการเกิด ของมนุษย์สูงกว่าอ้ตราการเสียชีวิต และแน่นอน เราพยายามรักษาให้มีจํานวนผู้เสียชีวิตต่ําที่สุดเท่าที่เป็นไป ได้ ด้วยเหตุนี้ ทําให้วัฒนธรรมของเรา ขาดผู้เยาว์ เมื่อเทียบกับโลก มีเด็กเล็กน้อยมาก มีผู้ใหญ่และผู้สูงวัยเป็น จํานวนมาก นั่นทําให้มีผลความตึงเครียดทางด้านจิตใจ แต่ในบรรดาชาวนิคมอวกาศต่างก็รู้สึกว่าผลข้างเคียงใน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คุ้มค่า เนื่องจากจํานวนประชากรมีการควบคุมอย่างระมัดระวัง ไม่มีความยากจน ไม่มีใครไร้ที่อยู่ อาศัย และไม่มีผู้ไร้ความสามารถ ในส่วนของ น้ํา อากาศและอาหาร จะต้องถูกนํากลับมาใช้อย่างระมัดระวัง เทคโนโลยีส่วนใหญ่ของเราจะถูกทุ่มเท ให้กับการกลั่นของน้ําใช้แล้ว การบําบัดของเสียจากร่างกาย และการแปลงสภาพมันไปเป็นปุ๋ยที่สะอาด เราไม่ สามารถที่จะเสี่ยงไปกับการที่มีอะไรผิดพลาดในเทคโนโลยีการรีไซเคิลของเรา เพราะมีเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ เท่านั้น ที่จะผ่อนปรนให้ได้ และแน่นอน แม้ว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่ความรู้สึกที่เราได้ทานและดื่มวัสดุรีไซเคิลนั้นก็ นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เฉกเช่นเดียวกับของรีไซเคิลบนโลก แต่โลกนั้นมีขนาดที่กว้างใหญ่ไพศาล และการ รีไซเคิลด้วยระบบตามธรรมชาตินั้นไม่เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด ชาวโลกมีแนวโน้มที่จะไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ 50


แล้วยังไงอีก ยังคงมีความกลัวว่าอาจจะมีดาวตกขนาดใหญ่พุ่งเข้าชน และก่อให้เกิดความเสียหายที่เปลือกนอกของ นิคม แม้จะมีขนาดทีไ่ ม่ใหญ่ไปกว่าก้อนกรวดแต่ก็อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ และหากว่ามีขนาดใหญ่เพียง หนึ่งเท้าก้าวข้ามก็จะสามารถทําลายนิคมใดๆ ก็ตามได้เป็นแน่ โชคยังดี โอกาสที่จะมีอุบัติเหตุแบบนี้มีน้อยมาก และในที่สุดเราก็ได้เรียนรู้ที่จะมีการตรวจจับ และเบี่ยงเบนวัตถุดังกล่าวก่อนที่พวกมันจะมาถึงเรา กระนั้น การที่ ยังคงมีอันตรายเหล่านี้ ช่วยลดความรู้สึกที่ว่าเรามีความปลอดภัยมากเกินไปดังที่พวกเราบางคนได้พร่ําบ่นเอาไว้ เกี่ยวกับมัน อย่างไรก็ตาม ความพยายามด้วยความสนใจอย่างใกล้ชิดและการดูแลต่อเนื่อง เราสามารถรักษาระบบนิเวศของเรา ได้ดี แต่กระนั้นมันไม่ได้มีไว้สําหรับการค้าและการท่องเที่ยว แต่ละนิคมอวกาศจะผลิตสิ่งที่นิคมอวกาศอื่นๆ ต้องการ ในเรื่องของอาหาร, ศิลปะ อุปกรณ์อันชาญฉลาด มีอะไร มากกว่านั้น เราจะต้องค้าขายกับโลกเช่นกัน และชาวนิคมอวกาศจํานวนมากต้องการที่จะไปเยี่ยมชมโลก และ ต้องการเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ได้มีในนิคมอวกาศ ชาวโลกคงไม่สามารถตระหนักได้ว่ามันน่าตื่นเต้น เพียงใดสําหรับเราที่จะได้เห็นเส้นขอบฟ้าที่กว้างใหญ่ หรือที่จะได้มองออกไปยังบนทะเลที่แท้จริง หรือที่จะได้เห็น ภูเขาน้ําแข็ง ดังนั้น จึงมีการเยี่ยมเยือนไปมาระหว่างชาวนิคมอวกาศและโลก แต่ทว่า นิคมอวกาศแต่ละแห่งก็มีสมดุลของระบบ นิเวศของตัวเอง และแน่นอน โลกก็เช่นกัน แม้กระทั่งในช่วงนี้ ระบบนิเวศที่ยิ่งใหญ่และอุดมไปด้วยเป็นไปไม่ได้ ตามมาตรฐานของนิคมอวกาศ เรามีแมลงในแบบของเราที่สามารถปรับตัวและอยู่ภายใต้สภาวะควบคุม แต่จะเป็นอย่างไรเล่า ถ้าหากมีแมลง แปลกๆ ที่มีผู้ตั้งใจและไม่ตั้งใจนํามาจากนิคมอวกาศอื่นหรือจากโลก? แมลงแปลกๆ หนอนแปลกๆ หรือแม้กระทั่งหนูแปลกๆ อาจทําให้ระบบนิเวศทั้งหมดของเราเสียหาย ก่อความ เสียหายในพืชพื้นเมืองและสัตว์ของเราได้ อันที่จริงแล้ว นิคมอวกาศแต่ละแห่งก็ได้มีการใช้มาตรการพิเศษเพื่อ ขจัดรูปแบบชีวิตที่ไม่พึงประสงค์ ในหลายๆ สถานการณ์อาจต้องใช้เป็นเวลานับเดือนในทุกๆ ความพยายามที่ จะต้องดําเนินการติดตามแมลงบางสายพันธุ์ ให้ถึงกระทั่งตัวสุดท้ายในนิคมอวกาศของตนว่าจะไม่เป็นอันตราย หรือว่าบนโลกจะปล่อยให้มันเกิดขึ้น ที่เลวร้ายที่สุด ถ้าหากว่าปรสิตที่ทําให้เกิดโรคเช่น - แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว – ถูกนําเข้ามาเล่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า พวกมันก่อให้เกิดโรคร้ายกับนิคมอวกาศอื่น แน่นอน บนโลกและนิคมต้นกําเนิดนั้นมีภูมิคุ้มกันซึ่งมีการพัฒนาอยู่ ตลอดย่อมไม่มีภัยใดๆ ให้หวาดกลัว แต่กับนิคมอวกาศที่ได้รับความทุกข์จากรุกรานนั้นเล่า คงไม่สามารถช่วย อะไรได้ ขณะที่ความพยายามทั้งหมดของนิคมอวกาศแต่ละแห่งที่พอจะทําได้นั้นก็คือต้องตระเตรียมหรือนําเข้า ซีรั่มที่ออกแบบมาเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน หรือจะต่อสู้กับโรคเมื่อมีการระบาดขึ้น แน่นอนที่การเสียชีวิตย่อมบังเกิดขึ้น อย่างต่อเนื่อง โดยธรรมชาติแล้ว ก็มักจะร่ําร้องโวยวายอยู่เสมอเมื่อเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น และต้องการให้มี การควบคุมมากขึ้น เป็นผลให้ไม่มีผู้ใดที่มาจากนิคมอวกาศอื่นและผู้ที่กลับไปยังนิคมอวกาศของตัวเองจากการ เดินทางไปที่ใดก็ตาม จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่นิคมอวกาศได้โดยไม่ต้องมีการตรวจค้นกระเป๋าเดินทางของเขาอย่าง 51


ละเอียด วิเคราะห์ของเหลวในร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์ และถูกกักกันในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อดูว่ามีบางโรคที่ตรวจ ไม่พบอาจอยู่ในช่วงฟักตัว มีอะไรมากกว่านั้นอีกนะหรือ ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม ผู้ที่มีนิเวศสถานอาศัยอยู่ในนิคมอวกาศยังคงมองว่า ชาวโลก ว่าเป็นตัวอันตรายอย่างยิ่ง บนโลก เป็นที่ซึ่งมีสิ่งมีชิวิตที่มีรูปแบบไม่พึงประสงค์ และพบปรสิตมากที่สุด และเป็น ชาวโลกที่มีแนวโน้มมากที่จะติดเชื้อ มีการพบปะกันในบรรดาเหล่าชาวนิคมอวกาศที่สนับสนุนในความคิดนี้ -ซึ่ง ค่อนข้างรุนแรง - ที่ต้องการทําลายการติดต่อทั้งหมดระหว่างนิคมอวกาศและโลก นั่นคืออันตรายของสิ่งทีผมต้องการที่จะเตือน ชาวโลก ความไม่ไว้วางใจ - และแม้กระทั่งเกลียดชัง - ที่มีต่อ ชาวโลก เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในหมู่ชาวนิคมอวกาศ ตราบใดที่โลกนั้นอยู่ไกลเพียงไม่กี่สิบหรือหลายร้อยหลายพันไมล์ห่างออกไป ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดคุยของการ ทําลายการติดต่อทั้งหมด สิ่งล่อและดึงดูดความสนใจของโลกนั้นมีมากเกินไป แต่กระนั้น ขณะนี้จึงเป้นเพียงการ พูดคุย -อาจเป็นเพียงแค่เสียงกระซิบ แต่มันจะเติบโตขึ้น ดังขึ้น ผมมั่นใจเช่นนั้น - ผมบอกคุณได้เลยว่า พวกเรา กําลังจะไปจากระบบสุริยะ นิคมอวกาศแต่ละแห่งสามารถติตตั้งด้วยกลไก ใช้เครื่องยนต์แบบไมโครฟิวชั่น เพียงพลังงานแสงอาทิตย์นั้นก็ พอเพียงสําหรับเราแล้ว ในขณะที่เรายังคงอยู่ในหมู่ดาวเคราะห์ และเราจะจับดาวหางขนาดเล็กไว้เป็นแหล่งที่มา ของเชื้อเพลิงไฮโดรเจนในระหว่างที่เราออกจากระบบดาวเคราะห์ และทิ้งทั้งมวลไว้เพียงเบื้องหลัง เมื่อดวงอาทิตย์ นั้นห่างไกลเกินไปที่จะเป็นประโยชน์กับเรา บรรดานิคมอวกาศก็จะขอกล่าวคําอําลาต่อโลก และปลดปล่อยตัวเองเป็นพิภพอิสระ ไปสู่ความสูญเสียที่ไม่สามารถ จินตนาการถึงได้ระหว่างดวงดาว และใครจะรู้ได้เล่า สักวันหนึ่ง อีกหลายล้านปี ด้วยเหตุนี้ บรรดาชาวนิคมอวกาศ อาจจะพบพิภพที่คล้ายดั่งโลก ว่างเปล่า และรอคอย ให้ตั้งรกรากและขยายจํานวนประชากรของเรา แต่นั่นคือสิ่งที่ผมต้องเตือนโลก สักวันหนึ่งบรรดานิคมอวกาศก็จะจากไป ถ้าหากพวกคุณสร้างคนอื่นๆ ขึ้นมาใหม่ ในที่สุดพวกเขาก็จะจากไปเช่นกัน และพวกคุณก็จะถูกทิ้งไว้ตามลําพัง และถ้าหากว่า บรรดาลูกหลานของพวก คุณขยายตัวและเพิ่มจํานวนประชากรไปทั่วทั้งกาแล็กซี่ทั้งหมด พวกคุณอาจคิดได้สักที หากคุณพบว่าพวกเขา พลันหายไป ●

52


ยานขนส่งเที่ยวสุดท้าย (เขียนเพื่อเฉลิมฉลองวาระการเดินทางเที่ยวแรกของยานขนส่งอวกาศ) จากเรื่อง ‚The Last Shuttle‛ โดย ไอแซค อาซิมอฟ แปลโดย นพดล เวชสวัสดิ์ คัดจากหนังสือรวมเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ “รัตติกาล”

เวอร์จิเนีย แรตเนอร์ถอนหายใจยาว ‚...งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา สินะ‛ แววตาเศร้าสร้อยทอดยาวไกลออกไปยังผิวน้ํากว้างใหญ่ ราบเรียบ สะท้องแสงอาทิตย์อบอุ่นกระพริบประกายสีทองระยิบระยับ ‚...แต่อย่างน้อยที่สุดวันนี้อากาศก็ปลอดโปร่งแจ่มใส ถ้าเป็นพายุฝนฟ้า คะนอง ก็นาจะหดหู่รับกับอารมณ์ของฉันได้ดีกว่านะ‛ รอเบิร์ต กิลล์ เจ้าหน้าที่องค์การอวกาศภาคพื้นโลกกล่าวเสริมขึ้นโดยไม่ได้เห็นพ้องหรือคัดค้าน ‚อย่าไปคิด อะไรให้มากเลยครับ คุณเป็นคนพูดเองนี่ครับว่า งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา‛ ‚แล้วทําไมต้องให้ฉันเป็นนักบินเที่ยวนี้ด้วยเล่า ‛ ‚คุณทราบคําตอบอยู่แล้วนี่ครับ คุณเป็นนักบินมือดีที่สุดที่เรามีอยู่ และเราต้องการให้เที่ยวบินเที่ยวสุดท้าย ราบรื่นหมดจด เดินทางโดยสวสัดิภาพ...แล้วทําไมต้องเป็นผมด้วยล่ะ ที่จะต้องมาทําหน้าที่ปิดงานขององค์การ... เอาเถอะขอให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี‛ ‚จบลงด้วยดี อย่างนั้นหรือ...‛ แรตเนอร์เหม่อมองการขนสินค้าและจัดผู้โดยสารให้ขึ้นนั่งประจําที่ ความ วุ่นวายเบื้องล่างต่อแต่นี้ไปจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว เธอทําหน้าที่เป็นนักบินยานขนส่งมากว่ายี่สิบปีแล้ว รู้แน่แก่ใจว่าอีกไม่ช้าก็เร็ว จะต้องเป็นเที่ยวบินเที่ยว สุดท้าย ความรู้และความรับผิดชอบตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นภาระหนักใจใหญ่หลวง แต่เส้นผมของเธอก็ยัง ดําสนิททุกเส้นและปราศจากรอยหยักย่นบนใบหน้าแม้แต่ริ้วรอยเดียว อาจจะเป็นไปได้ว่าชีวิตภายใต้แรงโน้มถ่วงที่ แปรเปลี่ยนอยู่เป็นนิจช่วยทําให้เธอดูเยาว์วัยอยู่เช่นนี้ แต่ขณะนี้ ใบหน้าของเธอเครียดกร้าว ‚ถ้าจะให้สวยสดงดงามหน่อย...หรือจะให้ดูยุติธรรมที่สุด ฉันว่ายาน ขนส่งเที่ยวสุดท้าย น่าจะระเบิดเป็นจุณตอนที่ทะยานขึ้นนะ...ถือได้ว่าเป็นการประท้วงครั้งสุดท้ายของโลก ‛ กิลล์สายศีรษะไปมา ‚ความจริงแล้ว ผมน่าจะรายงานเรื่องที่คุณพูดนะครับ แต่คุณก็คงพูดไปเพราะความ อาลัยอาวรณ์มากกว่า‛ ‚จะเป็นอะไรไปล่ะ...รายงานได้เลย กิลล์ องค์การจะได้ถือว่าฉันอารมณ์แปรปรวนจนถึงขั้นที่เป็นอันตราย จะ ได้ถอดฉันออกจากการเป็นนักบินเที่ยวนี้ ฉันก็จะได้ไปนั่งร่วมกับผู้โดยสารเที่ยวสุดท้ายหกร้อยสิบหกคน จะได้ลง บันทึกว่าเป็นผู้โดยสารคนที่หกร้อยสิบเจ็ด ใครอยากจะมาเป็นนักบินเที่ยวสุดท้ายที่จะได้รับการบันทึกลง ประวัติศาสตร์ก็ตามใจเถอะ...‛

53


‚ผมไม่เคยคิดว่าจะรายงานคุณหรอกนะ เหตุผลที่สําคัญที่สุดคือ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น การปล่อยยานขนส่งไม่มี ความเสี่ยงเหลืออยู่อีกแล้ว‛ ‚ไม่จริงเสมอไปหรอก...‛ ประกายตาของแรตเนอร์เศร้าสร้อย ‚...ถ้าไม่ลืมกรณียานเอนเตอร์ไพรซ์ เที่ยวที่หก สิบระเบิดกลางอากาศ‛ ‚แล้วไง คุณก็คงพร่ําบอกฉันว่าการบินขึ้นสู่อวกาศใช้ระบบอัตโนมัติทั้งระบบ...และฉันจะขึ้นไปนั่งหัวโด่อยู่ บนนั้นโดยไม่ต้องแตะอะไร ไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว อย่างนั้นหรือ ‛ กิลล์ยิ้มอย่างปลอบประโลม ‚คุณก็ทราบดีอยู่แก่ใจแล้วนี่ครับ ว่าหน้าที่ผู้บังคับการยานเป็นแต่เพียง กฎระเบียบ...หรือเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาเท่านั้นเอง ผมคิดว่าคุณต่างหากที่อาลัยอาวรณ์ติดอยู่กับอดีต...คุณรําลึกถึงอดีตที่นักบินเป็นผู้กุมชะตากรรมเอาไว้ในอุ้ง มือแทนที่จะนั่งเฉยๆ คุณมารับหน้าที่อพยพถอดถอนประดิษฐกรรมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ มนุษยชาติ‛ แรตเนอร์นิ่งไปชั่วอึดใจ ตอบเพียงว่า ‚...เอาเถอะ ฉันยินดีรับหน้าที่นี้‛ แรตเนอร์ลอยขึ้นไปตามท่อกลาง เหมือนปุยนุ่นเบาหวิวที่ต้องแรงลมหอบขึ้นฟ้า เธอยังจําอดีตในยุคแรกที่เธอเข้ามาร่วมโครงการยานขนส่งอวกาศได้ดี ในครั้งนั้น เครื่องต้านแรงโน้มถ่วงยัง อยู่ในขั้นทดลอง เครื่องมีขนาดใหญ่โดมโหฬารจนเกือบจะห่อหุ้มยานขนส่งอวกาศเอาไว้ได้ บางคราวเครื่องต้านแรง โน้มถ่วงจะทํางานตะกุกตะกัก บางครั้งก็ไม่ยอมทํางาน นักบินอวกาศมือเก่าทุกคนอยากใช้ลิฟต์ยุคโบราณที่เคลื่อน ครืดคราดพาขึ้นไปห้องบังคับการ ปัจจุบันนี้ เครื่องต้านแรงโน้มถ่วงได้รับการพัฒนาจนมีขนาดเล็กจิ๋วพอที่จะติดตั้งเอาไว้ในยานได้แล้ว เครื่อง ต้านแรงโน้มถ่วงไม่เคยก่อปัญหาใดๆ ผู้โดยสารทุกคนต่างวางใจในเครื่องต้านแรงโน้มถ่วง จนเดินทางข้ามอวกาศ กันเป็นว่าเล่น แม้แต่พัสดุหีบห่อสินค้า ก็กลายเป็นปุยนุ่นที่ถูกเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวกง่ายดาย แม้จะไร้น้ําหนัก แต่ก็มีแรงเฉื่อยเต็มที่ จึงต้องอาศัยช่างเทคนิคผู้ชํานาญงานจัดการหีบห่อเหล่านี้ หลังจากยุคนั้นผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มียานอวกาศใดที่สร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์ ที่จะใหญ่ยิ่งพิสดารเทียบเท่ายาน ขนส่งอวกาศอีกแล้ว เพราะยานอวกาศในยุคหลัง ไม่จําเป็นต้องมีระบบคอมพิวเตอร์สลับซับซ้อน ไม่ต้องมีระบบ ป้องกันภัยยุ่งยาก เพราะยานอวกาศเหล่านี้ไร้ความจําเป็นที่จะเร่งพลังสู้แรงโน้มถ่วงของโลกอีกแล้ว...ลาก่อน ยาน อวกาศไดโนเสาร์ที่ต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงเคมีทุกหยาดหยด ยานอวกาศของโลกที่ประจําการอยู่ในอวกาศ ไม่ว่าจะวิ่งติดต่อระหว่างนิคมกลางอวกาศ หรือจากสถานีย่อย แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง จากโรงงานไปยังแหล่งผลิตอาหารกลางฟ้า...แม้แต่จะโผทะยานขึ้นจากดวงจันทร์...ไม่ จําเป็นจะต้องกังวลเรื่องแรงโน้มถ่วงอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น ยานอวกาศในยุคหลังเครื่องต้านแรงโน้มถ่วงจึงบอบบาง ไม่สลับซับซ้อนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นกล่องบินได้ เธอทรุดตัวลงนั่งประจําที่ผู้บังคับการยาน บนแผงหน้าปัดมีจอมอนิเตอร์รายงานข้อมูลนานาชนิดให้ทราบ ไม่ ว่าจะเป็นตําแหน่งของหีบห่อแต่ละชิ้นหรือผู้โดยสารทุกคน จะบ่งไว้อย่างชัดเจน (ไม่มีทางเลินเล่อทิ้งผู้โดยสารให้ ตกค้างอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว...คนเดียวก็ไม่ได้) อีกจอหนึ่งเป็นจอโทรทัศน์ ซึ่งแสดงภาพสามร้อยหกสิบองศารอบยาน แรตเนอร์จ้องมองภาพทิวทัศน์ผนึกไว้ ในความทรงจํา สถานที่แห่งนี้เคยเป็นฐานปล่อยมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศ เคยเป็นที่ชุมนุมของวีรบุรุษที่จะทะยานขึ้นสู่ ห้วงอากาศ จากโครงเหล็กกล้า จากยานที่จําต้องมีการบํารุงรักษาอย่าละเอียดถี่ถ้วนต่อเนื่อง ...จนถึงยุคต้นแห่งการ ออกไปตั้งนิคมอวกาศกลางอวกาศ ที่มีพอเพียงที่จะบรรจุคนได้เพียงหมื่นคนเท่านั้น

54


ภาพแห่งความรุ่งโรจน์ไม่หลงเหลืออีกแล้ว ศูนย์บัญชาการขนาดใหญ่ ถูกถอดถอนออกทีละชิ้น จนบัดนี้เหลือ เพียงแต่โครงเหล็กกล้าแท่นเดียวที่จะปล่อยยานขนส่งอวกาศเที่ยวสุดท้าย แท่นปล่อยแห่งนี้จะถูกทิ้งให้ยืนต้าน เปลวแดดและแรงลม ผุพังเหมือนความทรงจําของยุคการริเริ่มสํารวจอวกาศ ผู้คนบนโลกนี้ลืมเลือนอดีตไปได้อย่างไรกัน? ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางใดจะเห็นแต่ทุ่งสีเขียวและท้องน้ํากว้างใหญ่...ว่างเปล่า รกร้าง ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง อะไรเลยแม้แต่มนุษย์ที่เคยเดินขวักไขว่...บัดนี้เหลือแต่ทุ่งหญ้าเขียวขจีตัดกับชายหาดสีทองและพื้นน้ําสีฟ้าสดใส ถึงเวลาแล้ว...เพียงกวาดสายตาผ่านแผงหน้าปัดแวบเดียว เธอเห็นว่ายานขนส่งอวกาศอยู่ในสภาพที่พร้อมที่ จะทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า การนับถอยหลังกระดิกตัวเลขเปลี่ยนไปจนถึงวินาที่สุดท้าย ดาวเทียวนําร่องที่ประจําอยู่ใน วงทางโคจรส่งสัญญาณว่าอวกาศปลอดโปร่งไม่มียานใดอยู่ในละแวกนี้...และไม่มีความจําเป็นใดๆ ที่จะไปแตะต้อง คันบังคับด้วยมือ (และไม่มีคันบังคับด้วยมือหลงเหลืออยู่บนแผงหน้าปัดอีกแล้ว) ยานขนส่งอวกาศทะยานขึ้นจาก พื้นอย่างเงียบเชียบ เรียบลื่น เป็นผลงานของการค้นคว้าวิจัยของอดีตสองร้อยปีที่ผ่านพ้นไปแล้ว เป็นผลสําเร็จขั้น สุดยอดของความพยายามเดินทางสู่อวกาศของมนุษยชาติ บัดนี้ พลโลกรอคอยการเดินทางของยานขนส่งอวกาศ เที่ยวนี้บนดวงจันทร์ บนดาวอังคารและบนอาณานิคมบนดาวเคราะห์น้อยอีกหลายพันแห่ง พลโลกชุดสุดท้ายออกเดินทางจากโลกเพื่อไปรวมกลุ่มกับชาวอาณานิคมในอวกาศ การยึดครองโลกของ มนุษย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว อารยธรรมมนุษย์ตลอดหมื่นปีปิดฉากสุดท้ายลงในวันนี้ และการอุตสาหกรรมวุ่นวายบนผิว โลกตลอดสี่ศตวรรษที่ผ่านมา จบสิ้นลงในวินาทีนี้ โลกจะกลับคืนสู่ความรกร้างว่างเปล่า เป็นท้องทุ่งเวิ้งว้างและพํานักของสัตว์ป่า เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ มนุษย์จะมอบคืนให้แก่พระแม่ธรณี มอบคืนพสุธาให้แก่สิ่งที่มีชีวิตที่เคยอาศัยร่วมโลก ปล่อยให้สิ่งที่มีชีวิตเหล่านั้น ได้เจริญเติบโตผลิดอกออกผล....บนดินแดนที่เคยเป็นแหล่งกําเนิดของมนุษย์ ยานขนส่งอวกาศเที่ยวบินสุดท้ายทะยานผ่านบรรยากาศชั้นนอกสุด ทิ้งโลกสีฟ้าไว้เบื้องล่าง....ลูกแก้วสีฟ้า สดใสที่ค่อยๆ หดหายเล็กลงๆ ทุกขณะ และเป็นประชามติที่พลโลกทั้งหนึ่งหมื่นห้าพันล้านคนได้ลงมติเห็นพ้องต้องกันว่า นับแต่นี้ต่อไป จะไม่มี มนุษย์คนโลกคนใดที่จะย่างเหยียบมาบนโลกใบนี้อีกแล้ว โลกได้รับการปลดปล่อยแล้ว...เป็นอิสระในที่สุด ●

55


โอโลก, ถ้าข้าลืมเจ้า... จากเรื่อง ‚If I Forget You, Oh Earth…” โดย อาเธอร์ ซี คล้าก แปลโดย ยรรยง เต็งอํานวย คัดจากหนังสือรวมเรื่องสั้น “ไดเมนชั่น 2”

พอ มาร์วิน อายุได้สิบขวบ พ่อของเขาก็พาเขาผ่านไปตามระเบียง ยาว ผ่านเขต บริหาร และ พลังงาน แล้วเลยไปถึงชั้นสูงสุด ซึ่งเต็มไป ด้วยพืชผักที่งอกงามรวดเร็วของกสิกรรม มาร์วิน ชอบที่นี่มากน่าสนุกที่ ได้เฝ้าดูต้นพืชสูงระหงเติบโตชูยอดอย่างรวดเร็ว มองเห็นได้ราวกับจะ ไขว่คว้าแสงอาทิตย์ที่กรองผ่านโดมพลาสติกเข้ามา ละอองและกลิ่นไอของชีวิตอบอวลอยู่ทุกอณูของอากาศ กระตุ้น ความต้องการเร้นลับสุดจะบรรยายซึ่งแฝงลึกลงไปในจิตใจของเขา เขาไม่ได้กําลังหายใจอากาศที่แห้งเย็นของชั้น บริเวณที่พักอากาศที่ชืด ไร้ซึ่งกลิ่นใดๆ นอกจากไอของโอโซนที่แฝงอยู่เจือจาง เขาหวังจะอยู่ได้นานกว่านี้อีกสัก หน่อย แต่พ่อคงก้าวต่อไปจนถึงทางเข้า หอดาราศาสตร์ ซึ่งเขาไม่เคยได้มาเลย กระนั้นพ่อก็ยังไม่หยุด และมาร์วินก็ เริ่มสําเหนียกถึงสิ่งที่จะตามมาด้วยหัวใจเต้นถี่แรง มีอีกเพียงทางเดียวที่เหลืออยู่ เขากําลังจะออกไป ภายนอก เป็น ครั้งแรกในชีวิต ในห้องบริการกว้างมหึมา มียานพื้นผิวอยู่ราวโหลหนึ่ง ยางอัดลมใหญ่ และห้องโดยสารอัดอากาศมองเห็นได้ ชัด คงจะได้มีการนัดหมายก่อนแล้ว เพราะช่างที่ควบคุมอยู่พาเขาทั้งสองตรงไปยังรถตรวจการขนาดเล็ก ซึ่งจอดอยู่ ข้างประตูกลมอับอากาศมหึมา มาร์วินหย่อนกายลงบนที่นั่งในห้องโดยสารแคบๆ รู้สึกตื่นเต้นจนเกร็งไปหมด พ่อ ติดเครื่องยนต์ ตรวจความเรียบร้อยของระบบควบคุม แล้วประตูชั้นในของห้องอับอากาศก็เลื่อนเปิดออกและปิด ตามหลังเมื่อรถเคลื่อนผ่านไป เสียงของปั๊มอากาศที่กระหึ่มก้องค่อยๆ เบาลงจนเงียบสนิทเมื่อความดันลดลงเหนือ ศูนย์ จากนั้นป้าย ‚สูญญากาศ‛ ก็สว่างขึ้น ประตูนอกเผยออก และเบื้องหน้าของมาร์วินก็คือแผ่นดินที่เขาไม่เคย เหยียบย่างเข้าไปเลย แน่นอนเขาเคยดูรูปถ่ายของมันมาก่อน เคยเฝ้าดูมันทางจอโทรทัศน์แล้วนับร้อยๆ ครั้ง แต่ขณะนี้มันอยู่ รอบตัวเขา แผดเผาด้วยแสงอันแรงกล้าของดวงอาทิตย์ที่โคจรผ่านท้องฟ้ามืดมิดไปอย่างเชื่องช้าเขาเหลียวมองไป ทางตะวันตก เลี่ยงจากแสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ แล้วก็เห็นดวงดาว เหมือนอย่างที่เขาได้รับฟังมาแต่ไม่ค่อยจะ เชื่อถือนัก เขาเพ่งมองมันอยู่นาน นึกฉงนว่าอะไรหนอที่จะเล็กกระจ้อยแต่กลับสุกสกาวปานนี้ มองเห็นได้เป็นดวง สว่างคงที่ แล้วทันใดเขาก็นึกถึงโคลงบทหนึ่งซึ่งเขาเคยอ่านพบจากหนังสือของพ่อเขา ดาวเอ๋ยดาวน้อย ส่องแสงระยับจับตา ฉันอยากรู้นักว่า เจ้าคืออะไรกัน Twinkle, Twinkle, little star How I wonder what you are 56


น่าแปลก เขารู้ดีว่าดาวคืออะไร ใครก็ตามที่ถามคําถามนี้คงจะโง่เต็มที แล้วเขาหมายความว่าอะไรกันที่ว่ามัน ‚กระพริบ‛ น่ะ มองปราดก็เห็นแล้วว่าดาวทุกดวงส่องแสงสว่างนวลนิ่งไม่วูบวาบเลย เขาเลิกสนในกับเรื่องน่าฉงนนี้ แล้วหันไปพินิจดูทัศนียภาพรอบข้าง รถกําลังตะบึงข้ามที่ราบด้วยความเร็วเกือบร้อยไมล์ต่อชั่วโมง ล้ออัดลมขนาดใหญ่ตะกุยเอาฝุ่นขึ้นมาเป็น ระลอกน้อยๆ ตามหลังไป เขามองไม่เห็นร่องรอยของอาณานิคมเลย ในช่วงสองสามนาทีที่เขาหันไปมองดวงดาว โดมและหอวิทยุของอาณานิคมก็ลับหายไปจากขอบฟ้าแล้ว กระนั้นร่องรอยของมนุษย์ก็ยังคงมีอยู่ เพราะห่าง ออกไปราวไมล์หนึ่งข้างหน้า มาร์วินก็เห็นสิ่งก่อสร้างรูปร่างประหลาดอยู่ระเกะระกะรอบๆ ปากเหมือง มีไอพุ่ง ออกมาจากปล่องควันเป็นครั้งคราว ซึ่งพอกระทบกับสุญญากาศเบื้องนอกก็กระจายหายไปทันที รถผ่านเหมืองไปในอึดใจเดียว พ่อของเขาขับอย่างชํานาญและรีบร้อนราวกับว่าพยายามหนีจากอะไรสัก อย่าง น่าแปลกที่เด็กขนาดเขาจะคิดอะไรแบบนี้ ชั่วสองสามนาทีทั้งสองก็บรรลุถึงขอบของที่ราบสูงอันเป็นที่ตั้ง อาณานิคม พื้นดินลาดต่ําลงไปเป็นทางชัน ด้านล่างที่ลึกลงไปอยู่ในเงามืดมิด เบื้องหน้าเป็นพื้นที่ขรุขระ สลับซับซ้อนด้วยปล่องภูเขาไฟ หลุมอุกกาบาต เทือกเขาและโตรกเขาไกลออกไปจนสุดสายตา แสงอาทิตย์สาดจ้า ได้เมื่อไต่ขึ้นเนินสูงๆ ที่ราบกว้างขรุขระเต็มไปด้วยฝุ่นปรากฏขึ้นทางขวาแล้วค่อยๆ ลาดขึ้นไปนับไมล์สู่เทือกเขาตระหง่านเป็นทิว ยาวทางด้านซ้าย ไม่ปรากฏร่องรอยของมนุษย์ในบริเวณนี้เลย นอกจากกองหินมีกางเขนโลหะปักอยู่ไม่ห่างจาก ซากของจรวดตกเท่าไรนัก ทิวเขาดูยาวเหยียดออกไปราวกับจะไม่สิ้นสุด แต่ในที่สุดแนวเทือกเขาก็หยุดลงยังยอดสูงเด่นท่างกลางเนิน เตี้ยๆ รอบด้าน รถตะบึงไปตามหุบตื้นๆ ซึ่งทอดโค้งเป็นวงกว้างไปบรรจบกับอีกด้านหนึ่งของยอดสูงนั้น ขณะ นั้นเองมาร์วินสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้นเบื้องหน้า อาทิตย์ทางด้านขวาคล้อยต่ําลงจนลับเนินไปแล้ว เช่นนั้นหุบเขาเบื้องหน้าก็ควรจะอยู่ในความมืดมิด แต่มัน กลับสว่างไสวไปด้วยแสงนวลเย็นตาที่สาดส่องมาจากเบื้องหลังหน้าผาที่รถกําลังลอดผ่านไป แล้วทันใดเขาก็ ออกมาอยู่ในที่ราบโล่ง ต้นกําเนิดของแสงสว่างนวลเมื่อครู่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เรืองรองสว่างไสวอย่างที่ไม่เคยพบ เห็นมาก่อน เครื่องยนต์หยุดลงแล้ว มาร์วินรู้สึกถึงความเงียบในห้องโดยสารเล็กๆ นั้น ไม่มีศัพท์สําเนียงใดอื่นอีก นอกจากเสียงแผ่วเบาของเครื่องจ่ายออกซิเจนกับเสียงลั่นของผนังด้านนอกของรถเมื่อหดตัวลง แสงนวลเย็นตา สาดส่องมาจากเสี้ยวสีเงินกระจ่างซึ่งลอยเด่นอยู่เหนือขอบฟ้า มันสุกใสจนเขาไม่กล้ามองจ้องตรงๆ อยู่หลายนาที แต่ในที่สุดเขาก็พอจะมองเห็นเส้นลายของขอบทวีป แสงเรืองๆ ของชั้นบรรยากาศ และกลุ่มเมฆขาวเป็นหย่อมๆ นั้นได้ และแม้จะอยู่ห่างออกมามากเช่นนี้ เขาก็ยังมองเห็นแสงสะท้อนแวววับของรังสีจากดวงอาทิตย์ที่สาดต้อง น้ําแข็งหนาของขั้วโลก งดงามมากเหลือเกิน มันพร่ําร้องเรียกหาเขาผ่านอวกาศลึกล้ําไพศาล เลี้ยวสุกสกาวนั่นเองที่รวมความ มหัศจรรย์น่าฉงนซึ่งเขาไม่เคยมีโอกาสจะได้เห็นสีสันอันบรรเจิดของนภายามสายัณห์ เสียงพร่ํากระซิบของเกลียว คลื่นและทะเลที่ออดอ้อนต่อกรวดทรายบนหาดขาวสุดสายตา เสียงพรมพร่างของน้ําฝนและเสียงสวบสาบของปุย หิมะที่พร่างพรูจากฟ้าฟ้า เหล่านี้และอื่นๆ อีกนับไม่หมื่นนับแสน ควรจะเป็นกรรมสิทธิ์อันชอบธรรมของเขา แต่เขา รู้จักมันเพียงจากในหนังสือ และบันทึกเก่าคร่ําของอดีต เขารู้สึกถึงความรวดร้าวใจเช่นกับคนถูกเนรเทศจาก แผ่นดินอันเป็นที่รัก

57


ทําไมถึงกลับไปไม่ได้เล่า มันดูสงบและร่มรื่นใต้ปุยเมฆเหล่านั้น และแล้วเมื่อสายตาของเขาปรับเข้ากับแสง สว่างเจิดจ้าได้แล้ว มาร์วินก็เห็นได้ชัดว่าส่วนที่ควรจะอยู่ในรัตติกาลอันมืดมิด กลับสว่างเรืองรองน้อยๆ กระตุ้นให้ เขาระลึกถึงความทรงจําอันขมขื่นที่ได้รับฟังมา เขากําลังมองดูเชิงตะกอนของโลกทั้งโลก มองดูซากกัมมันตรังสี หลังการยุทธ แม้จะมองผ่านอวกาศอันว่างเปล่าถึงหนึ่งในสี่ของล้านไมล์ แสงเรืองของปรมาณูที่กําลังสลายตัวก็ ยังคงเห็นได้ให้เป็นเครื่องเตือนใจไปตลอดกาลนานถึงความพินาศของอดีต อีกหลายศตวรรษทีเดียวกว่าแสง เรืองรองอันน่าสะพึงกลัวนั้นจะจางหายไปจากผิวพื้นดิน และชีวิตจะเริ่มเติบโดเจริญขึ้นบนโลกที่เงียบสงบและว่าง เปล่าดวงนั้น แล้วพ่อก็เริ่มพูด เล่าให้มาร์วินฟังถึงเรื่องราวซึ่งเป็นเพียงนิยายปรัมปราที่เขาเคยได้รับฟังมาในวัยเยาว์ มี หลายสิ่งหลายอย่างที่เขายังคงไม่เข้าใจ มันยากสําหรับเขาเหลือเกินที่จะวาดภาพสีสันอันบรรเจิดของมวลชีวิตบน ดาวเคราะห์ที่เขาไม่เคยได้เห็น เขาไม่อาจจะตระหนักถึงอํานาจมหาศาลที่ทําลายสิ่งสวยงามเหล่านั้นลง ทิ้งไว้แต่ อาณานิคมซึ่งล้อมรอบด้วยความอ้างว้างโดดเดี่ยว ให้เป็นเพียงมนุษย์กลุ่มเดียวที่ยังเหลืออยู่ แต่กระนั้นเขาก็เข้าใจ ถึงความทุกข์ยากของวันเวลาเหล่านั้นเมื่ออาณานิคมนี้เรียนรู้ได้ในที่สุดว่า จะไม่มีเรือร่อนผ่านดวงดาวลงจอดพร้อม ด้วยของฝากจากบ้านของพวกเขาอีก สถานีวิทยุหยุดการสื่อสารไปแห่งแล้วแห่งเล่า แสงไฟจากนครบนส่วนมืดของ โลกค่อยๆ หรี่และดับไป ในที่สุดพวกเขาก็ถูกทอดทิ้งให้อยู่เพียงลําพัง โดดเดี่ยวอย่างที่ไม่มีมนุษย์พวกใดเคย ประสบมาก่อน พร้อมกันโอบอุ้มอนาคตของมนุษยชาติไว้ในอุ้งมือของพวกเขาเอง ความทอดอาลัยคืบคลานผ่านไปปีแล้วปีเล่า ขณะที่พวกเขาดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด บนดวงดาวที่ โหดร้ายและทารุณดวงนี้ พวกเขาชัยชนะแล้ว แม้จะเป็นเพียงผิวเผินก็ตาม เกาะชีวิตกลางทะเลแห่งความหฤโหดนี้ ปลอดภัยจากความเลวร้ายของธรรมชาติแล้ว แต่หากมิใช่ชาวอาณานิคมมีจุดมุ่งหมาย และอนาคตที่จะต้องดําเนิน ไปให้บรรลุแล้ว พวกเขาก็คงจะหมดหวังและทอดอาลัยต่อชีวิต ซึ่งไม่ว่าเครื่องมือ วิทยาการ หรือความชํานาญก็ไม่ อาจจะช่วยได้ ที่สุด มาร์วินก็เข้าใจถึงจุดประสงค์ของการท่องเที่ยวครั้งนี้ เขาจะไม่มีวันได้เดินทอดน่องลัดเลาะไปตามตลิ่ง ของลําน้ําบนโลกที่ว่างเปล่านั้น หรือสดับสําเนียงของอสนีบาตที่ครันครืนสะท้อนก้องท่ามกลางเนินชอุ่มเขียวขจี แต่ วันหนึ่งหรอก วันนั้นจะห่างไกลอีกสักเท่าไรกันหนอ ? ลูกของลูกของเขาจะกลับไปเรียกร้องกรรมสิทธิ์โดยชอบของ พวกเขา ลมและฝนจะพัดพาและชะล้างพิษร้ายจากผืนดินที่ไหม้เกรียม และพามันลงไปสู่ทะเลลึก ซึ่งจะเป็นที่ที่มัน คายพิษของมันออกจนหมดภัยต่อชีวิตทั้งมวล เมื่อนั้นแหละเรือใหญ่ที่ยังคงคอยอยู่กลางที่ราบเงียบสงบนี้ก็จะลอย ขึ้นอีกครั้งหนึ่งสู่อวกาศไปตามหนทางที่มุ่งสู่บ้าน นั้นเป็นเพียงความนึกฝัน แล้วมาร์วินก็รู้ได้ในทันทีว่า วันหนึ่งเขาจะถ่ายทอดคําบอกเล่านี้ต่อไปยังลูกของเขา ณ ที่นี้มีเทือกเขาเบื้องหลังและแสงสีเงินสว่างนวลสาดจ้าจากฝ้าลงอาบใบหน้า เขาไม่ได้เหลียวกลับไปเมื่อรถเริ่มออกเดินทางกลับ เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นแสงนวลสว่างจับตาจากเสี้ยวน้อยๆ ของโลกค่อยๆ จางหายไปจากหมู่หินรอบตัว ขณะที่เขากําลังมุ่งหน้าไปเพื่อสมทบกับพวกพ้องของเขาในการถูก เนรเทศอันแสนนาน ไกลและโดดเดี่ยว ●

58


อาณานิคมอวกาศ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การตั้งนิคมในอวกาศ (หรือ นิคมอวกาศ หรือการตั้งนิคมนอกโลก) คือ การที่นํามนุษย์ไปอยู่อาศัยนอกชั้นบรรยากาศของโลก โดยถาวร เหตุผลของแนวคิดการตั้งนิคมในอวกาศ คือ การขยายตัวขึ้นของจํานวนประชากรในอารยธรรมมนุษย์ และการเอาชีวิตรอด หลังจากที่เกิดภัยพิบัตบิ นพื้นพิภพหรือในชั้นบรรยากาศโลก นอกจากนี้ยังรวมถึงการแสวงหาทรัพยากรที่เริ่มหมดและไม่เพียงพอต่อ ประชากรโลกในอนาคต การตั้งนิคมในอวกาศเป็นงานที่ยากลําบากมากเพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูง และยังต้องคํานึงถึงการสร้างสภาวะแวดล้อม (สิ่งแวดล้อม) ที่เหมาะสมสําหรับประชากรมนุษย์จํานวนมากที่ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ภายในสภาวะแวดล้อมที่สร้างขึ้น อาทิ สภาวะจิตใจของประชากร การผลิตออกซิเจนของพืช การรีไซเคิลน้ําเสียให้กลายเป็นน้ําดื่มบริสุทธิ์จนมนุษย์สามารถดื่มได้ สภาวะที่สร้างขึ้นนี้เมื่อนําหลายๆ ระบบ มารวมกันจนกลายเป็นที่อยู่อาศัยนี้เรียกว่า สเปซโคโลนี (Space Colony) หรือเรียกอย่างสั้นๆว่า โคโลนี (Colony) ปัจจุบัน มีหลาย ประเทศได้ผลักดันแนวคิดนี้ทั้งทางด้านแนวคิด และการวิจัย ทั้งในหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน

59


อาณานิคมอวกาศ หรือ สเปซโคโลนี (อังกฤษ: Space colony) คือ สภาวะแวดล้อม (สิ่งแวดล้อม) ที่เปรียบเสมือนถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ ในอนาคต โดยภายในโคโลนีจะมีระบบต่างๆ เอื้อให้กับการดํารงชีวิตของมนุษย์ อาทิ ระบบสร้างชั้นบรรยากาศเทียม ระบบสร้างแรง โน้มถ่วงเทียม ระบบบําบัดน้ําเสียให้เป็นน้ําบริสุทธิ์จนมนุษย์สามารถดื่มได้ ระบบรีไซเคิลขยะหรือเผาทําลายขยะ 100% เพื่อให้ไม่มีปัญหาขยะสะสมใน โคโลนี ระบบรวบรวมทรัพยากรสําคัญจากอวกาศ ระบบผลิตพลังงานที่มีกําลัง สูงเพื่อเป็นพลังงานให้ทั้งโคโลนี สเปซโคโลนีมักถูกกล่าวถึงอยู่เสมอในนวนิยายและการ์ตูนแนว วิทยาศาสตร์ แต่สําหรับโลกวิทยาศาสตร์แล้วมีการพัฒนาแนวคิด และวิจัย อย่างเป็นทางการเมื่อสตีเฟ่น ฮอว์คิง ได้กล่าวเอาไว้ในปี ค.ศ. 2001 ว่าวิธีที่จะ รักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ได้อย่างยั่งยืน คือ การสร้างสเปซโคโลนี[1] 16

ผู้สนับสนุนความคิดในการสร้างสเปซโคโลนี แนวคิดในเรื่องนี้ คือ การที่มีหลักประกันว่ามนุษย์จะอยู่รอดในอวกาศได้ โดยปลอดภัยทั้งในด้านภัยพิบัติและสิ่งแวดล้อม ในอดีตได้มีนักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีทางด้านจักรวาลชื่อ สตีเฟ่น ฮอว์คิง ได้กล่าวสนับสนุนเอาไว้ โดยกล่าวไว้ในปี ค.ศ. 2001 ค.ศ. 2006 และในปี ค.ศ. 2011 ไว้ว่าวิธีที่จะรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ได้คือการสร้างโคโลนี โดยมนุษย์อาจสูญพันธ์ได้ในอีก 1,000 ข้างหน้า ดังนั้นจึงต้องเร่งสร้างโคโลนีโดยเร็วเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้[1] และมีเนื้อหาสําคัญที่กล่าวไว้ใน ค.ศ. 2006 ด้วยว่าเราอาจต้อง สูญเสียเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปในอีก 200 ปีข้างหน้านี้หากไม่สร้างโคโลนี[2] Louis J. Halle ได้กล่าวไว้ในนิตยสาร Foreign Affairs ในฤดูร้อน ค.ศ. 1980 ว่าอาจเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น ดังนั้นการสร้าง โคโลนีจึงนับเป็นความคิดที่ดีในการรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้[3] Paul Davies นักฟิสิกส์ท่านหนึ่งได้เสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการ ตั้งรกรากในอวกาศไว้ว่า หากโลกเผชิญกับภัยพิบัตคิ รั้งใหญ่จริง โคโลนีจะเป็นทางเลือกที่ดีในการรักษาเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เอาไว้ เพราะ เมื่อเวลานั้นมาถึงมนุษย์จะได้มีโอกาสกลับไปโลกเพื่อฟื้นฟูอารยธรรมมนุษย์และสิ่งแวดล้อมบนโลกหลังจากภัยพิบัติผ่านพ้นไป นอกจากนี้นักประพันธุ์และนักเขียนชื่อ William E. Burrows รวมถึงนักชีววิทยาชื่อ Robert Shapiro ได้กล่าวสนับสนุนให้ภาคเอกชนร่วม โครงการรักษาเผ่าพันธ์มนุษย์โดยการตั้งรกรากในอวกาศอีกด้วย[4] J. Richard Gott ผู้มีพื้นฐานความคิดในแนวทางของนิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส (Copernican principle) โดย J. Richard Gott ได้ คาดการณ์ว่าอารยธรรมมนุษย์น่าจะอยู่ได้อีก 7.8 ล้านปี แต่เขาก็คิดว่าน่าจะมีอารยธรรมของสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ในอวกาศด้วย เพราะหากพวก เขามาเยือนอาจมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น ดังนั้นการสร้างโคโลนีจะเป็นช่วยรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้ได้[5]

สเปซโคโลนีในการ์ตูน สเปซโคโลนีเป็นที่อยู่ของมนุษย์ในอวกาศในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องกันดั้ม ภายในโคโลนี่จะคล้ายกับโลกให้มนุษย์อยู่อาศัย ส่วน ภายนอกจะเป็นโลหะล้อมรอบ และมีระบบการจัดการให้บรรยากาศภายในโคโลนี่เหมือนกับโลก รูปร่างไม่แน่นอน

1. 2.

Highfield, Roger (16 October 2001). "Colonies in space may be only hope, says Hawking". The Telegraph. สืบค้นเมื่อ 5 August 2012. “Mankind must colonize other planets to survive, says Hawking". Daily Mail (London). 2006-12-01. Retrieved March 11, 2013

3. 4. 5.

Halle, Louis J. (Summer 1980). "A Hopeful Future for Mankind". Foreign Affairs 58 (5): 1129. doi:10.2307/20040585. Morgan, Richard (2006-08-01). "Life After Earth: Imagining Survival Beyond This Terra Firma". New York Times. สืบค้นเมื่อ 2010-05-23. Tierney, John (July 17, 2007). "A Survival Imperative for Space Colonization". The New York Times.

60


เนื่องจากปัญหาประชากรล้นโลก จึงได้มีการสร้างอาณานิยมกลางอวกาศเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี U.C. 0050 ประชากรมนุษย์กว่า 80% นั้นอาศัยอยู่ในอาณานิคมกลางอวกาศนี้ โดยโคโลนีแต่ละอันสามารถจุคนได้นับล้านคน ต่อมา ได้มีการจัดกลุ่มโคโลนีเป็นไซด์ต่างๆ โดยที่ 1 ไซด์จะมีโคโลนีประมาณ 35-40 แห่ง จุคน เป็นพันๆล้านคน โคโลนีนั้นจะเป็นลักษณะทรงกระบอก ยาวประมาณ 20 ไมล์ เส้นผ่าน ศูนย์กลาง 4 ไมล์ มีการหมุนรอบตัวเองทุกสองนาทีเพื่อสร้างแรงดึงดูดจําลอง โคโลนี ส่วนมากจะถูกสร้างเป็นลักษณะเปิด และมีการติดตั้งกระจกเพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ สําหรับความสว่างในโคโลนี แต่ก็มีโคโลนีบางแห่งเช่นไซด์ 3 ที่มีการสร้างแบบปิด โดย ที่มีระบบสร้างแสงด้วยตนเอง รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ ส่วนเรื่องวัตถุดิบในการนํามา สร้างโคโลนีนั้นมาจากดวงจันทร์ การสร้างโคโลนีจะขุดแร่ต่างๆ ที่จําเป็นจากดวงจันทร์ และนํามาที่เขตก่อสร้างเคลื่อนที่ เช่น ลูน่า II, 5th ลูน่า และ โซโลม่อน เป็นต้น

สิ่งที่ต้องให้ความสําคัญในการสร้างสเปซโคโลนี 

6.

ทรัพยากร เพราะทรัพยากรในโคโลนีมีทรัพยากรจํากัดจําเป็นต้องซื้อจากโลก หรือขุดจากอุกกาบาตุและดาวหางที่เคลื่อนที่ผ่านด้วยหุ่นยนต์หรือโดรน พลังงาน เพราะโคโลนีไม่มีแหล่งพลังงานมากมายและหลากหลายเหมือนบน โลก ดังนั้นทางเลือกที่เหมาะสมคือการสร้างแผงรับแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่หาก อยู่ใกล้ดาวฤกษ์ หรือสร้างพลังงานด้วยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หากอยู่ไกลจากดาว ฤกษ์ การขนส่งทางไกล การขนส่งทางไกลสําหรับโคโลนีนับว่าเป็นสิ่งสําคัญเช่นกัน ทั้งการขนส่งทรัพยากรต่างๆ สินค้า หรือแม้แต่ บุคคล เช่น บุคคลทางการเมือง (นักการทูต นักการเมือง) เพื่อความร่วมมือระหว่างโลกกับโคโลนีหรือระหว่างโคโลนีกับโคโลนี ด้วยกันเอง ต่อมาคือนักธุรกิจเพราะจําเป็นต้องมีการเจรจาซื้อขายทรัพยากรและสินค้าที่พบได้ยากบนโคโลนี เป็นต้น สังคมและกฎระเบียบบนโคโลนี เพราะรูปแบบถิ่นที่อยู่อาศัยบนโคโลนีนั้นค่อนข้างแตกต่างจากโลกพอสมควร โดยอาจมีผลต่อ สภาวะจิตใจของประชากรได้ รวมทั้งความปลอดภัยบนโคโลนีก็เป็นสิ่งสําคัญ ดังนั้นจึงต้องให้ความสําคัญต่อสภาวะจิตใจ และ ออกกฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ระบบที่เอื้อต่อการดํารงชีวิต บนโคโลนีนั้นมีสภาวะที่แตกต่างจากโลก เช่น ไม่มชี ั้นบรรยากาศจึงต้องมีระบบสร้างชั้น บรรยากาศเทียม และไม่มีแรงโน้มถ่วงจึงต้องมีระบบสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม เป็นต้น รวมถึงไม่มีพื้นที่ทิ้งน้ําเสียที่มากเหมือนบน โลก จึงจําเป็นต้องมีระบบบําบัดน้ําเสีย ให้เป็นน้ําบริสุทธิ์จนมนุษย์สามารถ นําไปอุปโภคและบริโภคได้ โดยทํา ให้วัฏจักรของน้ําสมบูรณ์ การป้องกันรังสีอันตรายจากอวกาศ เพราะในอวกาศมีรังสีอันตรายมากมาย เช่น รังสีคอสมิก รังสีเอ็กซ์ซึ่งส่งผลร้าย ต่อสิ่งมีชีวิต เป็นต้น ดังนั้นโคโลนีจึง ต้องออกแบบให้สามารถป้องกันรังสี อันตรายจากอวกาศได้[6]17 NASA, “Space Settlement Basics from NASA". สืบค้นเมื่อ 5 April 2014.

61


ราม : โลกประดิษฐ์รูปทรงกระบอก จากเรื่อง ‚Rendevouse with Rama‛ โดย อาเธอร์ ซี คล้าก เรียบเรียงโดย ธนพงษ์ คัดมาจากนิตยสารโนวา ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจําเดือน มีนาคม 2525

ในปี ค.ศ. 2031 ขณะเมื่อมนุษย์เริ่มต้นออกไปตั้งรกรากยังดาวพระเคราะห์และดวงจันทร์บริวารของดาวพระ เคราะห์บางแห่งในระบบสุริยะ อันได้แก่ ดวงจันทร์ของโลก ดาวพุธ ดาวอังคาร ไททัน (ดวงจันทร์ของดาวเสาร์) แกนนี มีด (ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี) และทรีทัน (ดวงจันทร์ของดาวยูเรนัส) ห้วงอวกาศระหว่างดวงดาวก็ยังคงเป็น ความลับดํามืดของมนุษย์อยู่ ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้พบกับอารยธรรมจากส่วนอื่นของจักรวาลเป็นครั้งแรก ความตื่นเต้น จึงเกิดขึ้นอย่างมหาศาล สิ่งที่มนุษยชาติได้พบในปี ค.ศ. 2031 ก็คือยานอวกาศขนาดยักษ์ซึ่งใช้เดินทางระหว่างระบบดาวถึงระบบดาว 18 และผ่านเข้ามาในระบสุริยะของเรา จุดประสงค์อันแท้จริงของการเดินทางมาของมันยังไม่มีใครทราบได้ บางทีมัน อาจผ่านเข้ามาเพียงเพื่อใช้ดวงอาทิตย์ของเราเป็นสถานีเติมพลังงาน และซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอหรือสูญเสียไปใน ระหว่างการเดินทางอันยาวนานนับหมื่นนับแสนปีผ่านความว่างเปล่าของอวกาศ และเพื่อเหวี่ยงตัวเองออกไปสู่ จุดหมายปลายทางอันลึกลับของมันต่อไปก็ได้ เรามีความรู้เกี่ยวกับโลกประดิษฐ์นี้น้อยมาก ผู้สร้างของมันคือใคร สร้างมันขึ้นมาทําไม และมันมาจากไหนเราไม่มีทางรู้ได้เลย สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับมันมีเพียงแต่ว่า มันเดินทางมาแล้วไม่ต ต่ํากว่าสองแสนปีนับตั้งแต่ที่มันผ่านดาวฤกษ์ที่มีสิ่งมีชีวิตซึ่งอาจเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาได้เลย ทั้งนี้เนื่องจากเป็นดาว ฤกษ์ที่มีความไม่เสถียรในการแผ่รังสีซึ่งไม่อาจก่อให้เกิดชีวิตขึ้นบนดาวเคราะห์บริวารของมันได้ ด้วยขนาดอันมหึมาของ ราม...ชื่อที่เราใช้เรียกยานอวกาศลํานั้นซึ่งตั้งตามชื่อเทพเจ้าองค์หนึ่งในตํานานเรื่องรา มายณะของอินเดีย...ทําให้มนุษย์ผู้เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นลงมือทําการสํารวจมันอย่างจริงจัง แต่สิ่งที่คณะ สํารวจพบกลับยิ่งทําให้เกิดความสงสัยขึ้นมากมาย รามมีลักษณะเป็นทรงกระบอกกลวงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของหน้าตัดภายนอกเท่ากับยี่สิบกิโลเมตร และมีความ ยาวทั้งสิ้นห้าสิบกิโลเมตร เปลือกนอกของมันมีความหนาราวครึ่งกิโลเมตร (แม้เราจะไม่รู้ว่ามันประกอบขึ้นด้วย อะไรบ้าง) มวลทั้งหมดมีขนาดราวล้านล้านตัน รูปร่างภายนอกเรียบปราศจากสิ่งประดับประดาตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น เว้น 18

ต้นฉบับใช้ จากดาวฤกษ์ถึงดาวฤกษ์

62


แต่บริเวณปลายด้านที่พุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์ซึ่งมีแท่งโลหะกลมตั้งโดดเด่นอยู่สามแท่งล้อมรอบประตูทางเข้าห้องกัก อากาศจากความเรียบปราศจากร่องรอยใดๆ ของมันนี้เอง ทําให้นักวิทยาศาสตร์ผู้ส่องกล้องพบมันเป็นครั้งแรกโดยที่คิด ว่ามันเป็นเพียงดาวเคราะห์น้อยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติดวงหนึ่ง ถึงกับไม่เชื่อสายตาตนเอง ทั้งนี้เนื่องจากคลื่นแสงที่ สะท้อนออกมาจากตัวมันไม่มีความเปลี่ยนแปรความเข้มไปเลย แม้แต่น้อย ซึ่งการเปลี่ยนแปรความเข้มของแสงของเคหวัตถุ ฟากฟ้านี้เป็นผลาจากการหมุนรอบตัวเองของมัน และรูปร่างอัน ไม่เป็นระเบียบซึ่งมีคุณสมบัติในการสะท้อนแสงที่ต่างกัน ถ้าไม่ เป็นเพราะรอยเปื้อนเล็กๆ ที่กึ่งกลางความยาวของมัน ซึ่งคาดว่า คงเกิดขึ้นจากการถูกชนด้วยอุกาบาตในอดีตแล้วละก็ นักวิทยาศาสตร์ผู้นั้นคงต้องกลับไปทบทวนตํารากฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ของตนเองกันใหม่ตั้งแต่แรกอีกเป็นแน่ ราม มีการหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราที่รวดเร็วมาก คือเพียงรอบละ 4 นาที ซึ่งทําให้เกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง อันส่งผลให้เกิดเป็นแรงโน้มถ่วงเทียมขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นที่พื้นผิวด้านในของมัน ดังนั้นเมื่อเข้าไปอยู่ภายในแล้วเราจะไม่รู้สึกแตกต่างไปจากการยืนอยู่บนพื้นดาวเคราะห์ที่ไหนสักแห่งที่มีแรงกดตัวเรา ลงบนฝ่าเท้าที่เหยียบอยู่บนพื้นแม้แต่น้อย ถ้าหากไม่กวาดตามองไปรอบๆ และเห็นพื้นค่อยๆ โค้งตัวขึ้นทั้งสองข้างจน ไปบรรจบกันบนท้องฟ้า โดยมีอาคารและโครงสร้างรูปทรงประหลาดพิศดารยึดติดอยู่กับมันแล้วละก็ เราก็อาจจะคิด ได้เลยว่าเรากําลังยืนอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้เอง จากปลายด้านที่หันเข้าสู่ดวงอาทิตย์ ซึ่งถูกเรียกว่าปลายด้านทิศเหนือ จะมีห้องกักอากาศขนาดใหญ่เรียงต่อกัน สามห้อง ต่อด้วยทางเดินตรงยาวอีกราวเกือบครึ่งกิโลเมตร ทางเดินนี้สิ้นสุดลงที่ประตูห้องกักอากาศอีกสามห้อง ที่ ปลายของห้องกักอากาศห้องสุดท้ายจะเป็นทางเปิดไปสู่แกนกลาง ที่บริเวณนี้จะมีลักษณะคล้ายกับชามขนาดใหญ่ ซึ่ง มีบันไดลิงแยกออกไปสามทาง ทํามุมซึ่งกันและกัน 120 องศา (ในไม่ช้าคณะสํารวจก็พบว่าผู้สร้างรามขึ้นมาถือว่าศิลปะ ของสมมาตรสามแกน และการทําทุกสิ่งทุกอย่างซ้ํากันสามครั้งเป็นศิลปะขั้นสูงสุด) ที่ปลายบันไดลิงจะมีลักษณะเป็น ชานพักซึ่งวนเชื่อมต่อกันเป็นวงบรรจบต่อจากบันไดลิงแต่ละอันลงไปจะเป็นบันไดซึ่งทอดตัวลงไปสู่พื้นผิวภายใน ของทรงกระบอก บันได้นี้จะถูกตัดออกเป็นช่วงๆ ด้วยวงบรรจบของชานพักอีก 4-5 แห่ง ที่ปลายด้านตรงข้ามหรือที่เรียกว่าขั้วใต้ กลับมีลักษณะแตกต่างออกไป ที่ปลายด้านนั้นไม่มีประตูห้องกักอากาศ หรือบันไดแต่อย่างใด แต่กลับมีโครงสร้างประหลาดเป็นเดือยขนาดใหญ่ซึ่งยาวถึง 5 กิโลเมตร พุ่งออกมาจากจุด กึ่งกลางในแนวแกนหมุน รอบๆ เดือยยักษ์นี้มีเดือยเล็กๆ ยาวราวสองกิโลเมตรครึ่ง ล้อมรอบอยู่โดยมีระยะห่างเท่าๆ กัน โครงสร้างทั้งหมดนี้ถูกยึดอยู่กับผนังด้วยค้ํายันหรือ Flying Butress ขนาดใหญ่ โครงสร้างเหล่านี้มีไว้เพื่อ จุดประสงค์ใดยังไม่เป็นที่รู้แน่ชัด แม้ว่าดูเหมือนพวกมันจะทําหน้าที่กล้ายกับเป็นลิ้นนิรภัย (Safety Valve) ปลดปล่อย พลังงานส่วนเกินที่สะสมอยู่ออกมาก็ตาม แต่นั่นก็คงไม่ใช่หน้าที่หลักแท้จริงของมันอย่างแน่นอน ระหว่างขั้วทั้งสองนี้เป็นพื้นผิวขนาดใหญ่ ซึ่งถูกเรียกว่า ที่ราบกลาง ที่ราบกลางนี้ถูกตัดขาดออกเป็นสองส่วน ด้วยสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยพบมา คือแถบน้ํากว้างสิบกิโลเมตรที่คาดอยู่รอบ ณ.ตําแหน่งกึ่งกลางความยาว ของมัน แถบน้ํานี้ได้รับการขนานนามว่า ทะเลทรงกระบอก ซึ่งจะแข็งตัวเป็นน้ําแข็งอยู่ตลอดช่วงการเดินทางอัน ยาวนาน และค่อยๆ ละลายกลายเป็นน้ําเมื่อรามได้รับความร้อนณะที่มันเคลื่อนเข้าใหล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น

63


ที่ราบทางด้านทิศเหนือเป็นที่ตั้งของกลุ่มอาคารหกแห่งซึ่งถูกเรียกว่า เมือง และได้รับการตั้งชื่อตามเมืองใหญ่ๆ หกเมืองของโลก คือ ลอนดอน ปารีส มอสโคว์ ปักกิ่ง โรม และ โตเกียว ส่วนทางด้านทิศใต้นั้นกลับมีลักษณะคล้ายกับ แปลงเพาะเลี้ยงต้นกล้าขนาดมหึมา เนื่องจากมันถูกแบ่งเป็นตารางสี่เหลี่ยมจตุรัสมากมาย แต่ละช่องก็มีลักษณะ แตกต่างกันทั้งสีสัน รูปร่าง และวัสดุ และในตารางเหล่านี้เองที่นักสํารวจผู้หนึ่งได้พบกับ “ดอกไม้” สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะ เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสูงเพียงสิ่งเดียวในราม

ในตอนแรก เหมื่อนักสํารวจเข้าไปภายในรามใหม่ๆ ภายในมืดมิดปราศจากแสงสว่างใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาต้อง อาศัยไฟฉายซึ่งติดตั้งไว้ที่แป้นกลางส่องลงไปยังพื้นของราม เพื่อทําการสํารวจ แต่หลังจากที่ ราม โคจรเข้าไปใกล้ดวง อาทิตย์มากขึ้น แถบแสงหกเส้นหรือที่พวกเขาเรียกว่า หุบเขาตรง ก็สว่างขึ้น ซึ่งส่องให้บริเวณภายในทั้งหใดของราม สว่างไสว แถบแสงเหล่านี้มีลักษณะเป็นร่องยาวขนานไปกับแนวแกนของราม โดยอยู่ทางที่ราบด้านทิศเหนือสามแถบ และที่รามด้านใต้ในแนวเดียวกันอีกสามแถบ แต่แถบแสงเหล่านี้กลับค่อยๆ มืดลงจนดับไปอีกครั้งเมื่อรามเริ่มต้นใช้ พลังขับเคลื่อนเปลี่ยนวงโคจรของมันเมื่อมันยิ่งเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นไปอีก สําหรับสิ่งที่น่าสนใจที่คณะนักสํารวจพบในราม แม้จะด้วยความพิศวงงงวยมากกว่าจะรู้ว่ามันคืออะไร ที่อาจ ยกตัวอย่างดังเช่น

ทะเลทรงกระบอก ลองจินตนาการถึงการแล่นเรือไปในทะเลที่ขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก และตะวันตก ค่อยๆ โค้งตัวขึ้นทีละน้อย จนใน ที่สุดก็ไปบรรจบกันสูงขึ้นไปเหนือหัวของคุณพอดี คุณ จะมีความรู้สึกเช่นไร นั่นแหละเป็นสิ่งที่คณะนักสํารวจ ต้องเผชิญยามแล่นเรืออยู่กลางทะเลของราม แต่เท่านั้น ยังไม่ใช่ความแปลกประหลาดเพียงอย่างเดียวของมัน ทะเลทรงกระบอกยังเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์อีก มากมาย อย่างแรกก็คือ มันเป็นทะเลน้ําแข็งเพียงแห่งเดียว ที่ละลายจากข้างล่างขึ้นสู่ข้างบน ซึ่งก่อให้เกิดผลอันน่า 64


พรั่นพรึง อย่างที่สอง ในขณะที่รามเปลี่ยนวิถีโคจร มันจะเต็มไปด้วยคลื่นขนาดมหึมา ซึ่งทําให้ผู้สร้างมันขึ้นมาต้อง ติดตั้งแผ่นกันกระฉอกมากมายไว้ที่ก้นทะเลเพื่อทําลายคลื่นยักษ์เหล่านั้นให้สลายตัวลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อ ราม มี ความเร่งโดยพุ่งตัวไปข้างหน้า น้ําในทะเลทรงกระบอกจะถูกดันไปรวมกันอยู่ทางด้านหลัง ซึ่งทําให้ตลิ่งด้านทิศใต้ ต้องมีความสูงถึงครึ่งกิโลเมตรเพื่อป้องกันมิให้น้ําไหลบ่าขึ้นไปท่วมทวีปด้านทิศใต้ และที่พิเศษที่สุดของมันก็คือ มัน มิได้ประกอบขึ้นด้วยน้ําธรรมดา แต่เป็น ซุปอินทรีย์ ที่เต็มไปด้วยเกลือของโลหะ ซึ่งสามารถรวมตัวกันเข้าเป็น โครงสร้างอินทรีย์ขนาดจิ๋ว ดังเช่นที่เคยปรากฎขึ้นในทะเลของโลกเมื่อแรกเริ่มที่ชีวิตอุบัติขึ้น แต่บนโลก ขบวนการนี้ ต้องใช้เวลานับล้านๆ ปี ในขณะที่ ราม ใช้เวลาเพียงวันเดียว และคาดว่า ซุปอินทรีย์ ในทะเลทรงกระบอกนี้เองเป็น วัตถุดิบป้อน “โรงงาน” ของ ราม

นิวยอร์ค ในบรรดาโครงสร้างซับซ้อนที่กระจัดกระจายกันอยู่บนพื้นผิวภายในของรามซี่งนักสํารวจตั้งชื่อตามเมืองต่างๆ บนโลกนั้น นิวยอร์ค นับว่าเป็นสถานที่ที่น่าสนใจกว่าทุกแห่ง เนื่องจากมันตั้งอยู่กึ่งกลางทะเลทรงกระบอก บนเกาะที่ ชวนให้นึกถึงภาพของเกาะแมนฮัตตันในสหรัฐอเมริกา มันประกอบไปด้วยโครงสร้างที่มีลักษณะเหมือนกันทุก ประการสามกลุ่ม โครงสร้างแต่ละกลุ่มเองก็ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนที่เหมือนกัน ซึ่งหมายความว่า “เมือง” แห่งนี้ ประกอบไปด้วยองค์ประกอบย่อยที่เหมือนกันทุกประการเก้าส่วน แต่ละส่วนจะพุ่งตัวตระหง่านขึ้นเสียดฟ้าสูงนับร้อย เมตร ดูเหมือนกับว่ามันจะเป็นเครื่องจักรขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง บางทีมันอาจเกี่ยวข้องกับการสร้าง ชีวยนต์ แต่คณะสํารวจ ก็ไม่พบหน้าที่ที่แท้จริงของมัน

ชีวยนต์ ชื่อนี้เป็นคําย่อมาจาก “หุ่นยนต์ทางชีววิทยา” ซึ่งเป็นคําที่ใช้เรียกรูปแบบของสิ่งที่มีลักษณะผสมระหว่าง เครื่องจักรกับสิ่งมีชีวิต อันปรากฎตัวขึ้นในระหว่างการเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ของราม ในตอนแรกที่เรืออวกาศลํา นี้ปรากฎขึ้นในระบบสุริยะ ดูเหมือนว่ามันตายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากคิดกันว่า มันเดินทางมาอย่างน้อยที่สุดไม่ ต่ํากว่า 200,000 ปีแล้ว และแม้แต่เทคนิคการจําศีลหรือการแช่แข็งเพื่อลดกระบวนการเมตาโบลิซึ่มของร่างกายที่ ก้าวหน้าที่สุดก็ยังไม่อาจรักษาเซลให้คงสภาพเดิมไว้ได้เกินกว่าสองสามศตวรรษโดยที่ไม่ถูกทําลายไปเสียก่อน ไม่มี ใครคิดว่ารามจะถูกตั้งโปรแกรมไว้ให้สร้างชีวิตขึ้นมาเมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสม จนกระทั่งมันเกิดขึ้น สัญญาณแรก ที่ปรากฎให้เห็นก็คือการก่อกําเนิดโมเลกุลของอินทรียสารขึ้นมากมาย อย่างทันใดในทะเลทรงกระบอก อันเป็นตัวการผลิตอ๊อกซิเจนซึ่ง เปลี่ยนแปลงสภาพบรรยากาศภายในยานอย่างสิ้นเชิง และแล้ว “สัตว์” ต่างๆ หลายหลากชนิดก็ปรากฎตัวขึ้น ทําให้คณะนักสํารวจถึงกับหัว หมุนไปไม่น้อย เนื่องจากบางครั้ง พวกมันก็แสดงลักษณะของ เครื่องจักรกล ในขณะที่บางครั้งก็แสดงว่าเป็นสิ่งมีชีวิต รูปแบบหนึ่งที่พบอยู่ทั่วไปได้แก่ “คนเก็บขยะ” มันมีลักษณะคล้ายกับปูยักษ์ยาวราวสองเมตร มีก้ามซึ่งใช้ทํา หน้าที่ตัดสิ่งต่างๆ ที่มันพบออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วอวัยวะซึ่งมีลักษณะคล้ายกับมือมนุษย์ ก็จะทําหน้าที่เก็บเศษเล็กเศษ 65


น้อยเหล่านั้นขึ้นไปกองไว้บนหลังเพื่อขนไปแปรสภาพสําหรับนํากลับมาใช้ใหม่ โดยทิ้งลงไปในทะเลหรือปล่องสาม ปล่องซึ่งอยู่บนที่ราบด้านใต้ของราม ในบริเวณที่เป็นปากของมันประกอบไปด้วยอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกัน เป็นกลุ่มเครื่องมือชนิดต่างๆ มากมาย เปลือกของมันดูเหมือนยังกับว่าทําด้วยโลหะขัดมัน รูปแบบชนิดที่สองคือพวก “แมงมุม” หน้าที่หลักของพวกมันก็เหมือนกับเป็นอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนที่ ประกอบไปด้วยลําตัวซึ่งมีตวงตาสาม ข้างอยู่ในตําแหน่งห่างเท่าๆ กัน ตั้งอยู่บนปลายของสามขา มันเคลื่อนที่โดยการหมุนตัวอย่างรวดเร็ว โดยใช้ขาแต่ละ ข้างทําหน้าที่เป็นจุดหมุนสลับกันไป อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับแมงมุมตัวหนึ่งทําให้นักสํารวจสามารถผ่าตัวมันศึกษาดูได้ ซึ่งผลการศึกษาปรากฎว่ามันประกอบไปด้วยเซลของสิ่งมีชีวิต แม้ว่ามันจะปราศจากระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร หรือระบบสืบพันธุ์ก็ตาม มันมีสมองที่ค่อนข้างซับซ้อนไม่น้อยทีเดียว แต่ 80% ของร่างกายของมันประกอบไปด้วย เซลไฟฟ้า คล้ายกับพวกเซลไฟฟ้าที่สัตว์โลกบางชนิดมีไว้เพื่อป้องกันตัว แต่สําหรับพวกแมงมุมแล้ว มันคือแหล่งกําเนิด พลังงานของมันนั่นเอง ดูเหมือนว่าพวกมันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเครื่องมือลาดตระเวนที่ใช้ไฟฟ้ามีชีวิต...เห็นได้ ชัดว่าได้รับการออกแบบมาเพื่อทํางานเฉพาะอย่าง มีชีวยนต์อีกหลายชนิดที่คณะสํารวจพบ เช่น “ปลาฉลาม” ซึ่งจะฉีกทุกสิ่งทุกอย่างที่มันพบในทะเลออกเป็นชิ้น เล็กชิ้นน้อย “คนเช็ดกระจก” ซึ่งใช้เท้าที่มีแผ่นยางของมันขัดถูกระจกที่เป็นผิวหน้าของดวงไฟของราม “ยีราฟสองหัว” ที่มีลักษณะเหมือนกับปั้นจั่นเคลื่อนที่ แต่นักสํารวจก็ไม่มีโอกาสได้ศึกษาพวกมันอย่างใกล้ชิดแต่อย่างใด

วิหารแก้ว คณะสํารวจมีโอกาสเพียงแค่เจาะเข้าไปในอาคารที่ปราศจากรูปร่างหน้าตาใดๆ ที่ผนึกแน่นเพียงหลังเดียวเท่านั้น ตลอดระยะเวลาที่อยู่บนราม ในนั้น พวกเขาได้พบกับเสาผลึกรูปทรงกระบอกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวหนึ่งเมตร มากมาย ในเสาแต่ละต้นจะมีภาพฉายสามมิติ ซึ่งจะมองเห็นได้แต่เพียงจากบางมุมเท่านั้น ดูเหมือนว่าการจัดเรียงภาพ ฉายสามมิติเหล่านั้นเป็นไปอย่างไม่เป็นระเบียบเท่าใดนัก เครื่องมือรูปร่างแปลกๆ เครื่องใช้ภายในบ้าน เครรื่องมือทาง วิทยาศาสตร์ และวัตถุที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไรอีกนับโหลผสมผสานปนเปอยู่ด้วยกัน มีทฤษฎีที่ว่า ตัวอาคารนี้อาจจะเป็น แคตตาล๊อกรายการวัตถุต่างๆ ของชาวราม และการที่วัตถุต่างๆ กันเช่นนี้มารวมอยู่ด้วยกันก็คล้ายๆ กับการจัดลําดับ ของคําเรียงตามตัวอักษรในพจนานุกรมนั่นเอง โชคไม่ดีนักที่การสํารวจดําเนินไปในขณะที่ระบบทั้งหลายภายในราม กําลังจะปิดตัวเองลงเพื่อเตรียมตัวสําหรับการเดินทางเข้าหาดวงอาทิตย์ แต่ก็ไม่ก่อนที่พวกเขาจะได้พบเห็นหลักฐาน เพียงอย่างเดียวที่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของชาวราม

ชาวราม ไม่พบว่ามีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดบนรามแต่อย่างใด หรือแม้แต่รูปภาพหรือภาพฉายสามมิติของพวก เขาก็ไม่ปรากฎ แต่วิหารแก้วก็เปิดเผยให้เห็นถึงสิ่งที่คาดกันว่าควรจะเป็นเครื่องแบบของชาวราม และด้วยสิ่งนี้เท่านั้น ที่เป็นพื้นฐานของทฤษฎีที่ตั้งขึ้นบรรยายรูปร่างหน้าตาของพวกเขาทุกทฤษฎี ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสูงราวสองเมตร ครึ่ง ไม่นับรวมส่วนศีรษะ (คาดกันว่าพวกเขามี) ส่วนเอวค่อนข้างแคบ “ไหล่” กว้างมาก ราวเกือบเมตร และดูเหมิอน กับว่าพวกเขามีแขนและขาอย่างละสามข้าง การที่คิดเช่นนั้นก็เดาเอาจากการออกแบบ “แมงมุม และจากการที่เห็นได้ อย่างชัดเจนถึงการเน้นเรื่องสมมาตรสามแกนของทุกสิ่งทุกอย่างในรามนั่นเอง ● 66


ทะยานดาวกู้โลก

จาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประเภทหนัง: ผจญภัย, ดราม่า/ชีวต ิ , ไซไฟ/แฟนตาซี นักแสดง: แมธธิว แม็คคอนนาเฮย์, แอนน์ แฮททาเวย์, เจสสิก้า เชนสเตน, โทเฟอร์ เกรซ, เคซี่ย์ แอฟเฟล็ค และไมเคิล เคน ผู้กากับ: คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ผู้เขียนบท: โจนาธาน โนแลน, คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้ผลิต: Legendary Pictures, Lynda Obst Productions, Paramount Pictures ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ประจาปีค.ศ. 2014 ที่เตรียมขึ้นแท่นเป็นหนังอวกาศที่ยิ่งใหญ่แห่ง ยุค ผลงานการกากับโดย คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่จะกล่าวถึงโลกในช่วงวาระสุดท้ายแห่ง ยุค เมื่อทีมนักสารวจต้องรับภารกิจที่สาคัญสุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กับการเดินทาง สู่กาแล็คซี่อันไกลโพ้น เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ในอนาคตของมนุษยชาติ ที่ไม่มีอะไร รับรองได้เลยว่าพวกเขาจะได้กลับมาพร้อมความสาเร็จหรือไม่

ตัวละครหลัก คูเปอร์ (Cooper) รับบทโดย แมธธิว แม็คคอนนาเฮย์ วิศวกรพ่อลูกสองที่ผันตัวเองสู่การเป็นนักบินอวกาศ เพื่อทาภารกิจ เดินทางข้ามจักรวาลอันไกลโพ้น ในการตามหาดวงดาวดวงใหม่ ให้กับโลกใบนี้ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “รูหนอน” ซึ่งสิ่งที่เขาตั้งใจทาลงไป นั้น ทั้งหมดก็เพื่อลูกๆ อันเป็นที่รักของเขา

ดร. อเมเลีย แบรนด์ (Amelia Brand) รับบทโดย แอนน์ แฮททาเวย์ นักชีววิทยาสาว ผู้ร่วมเดินทางอันแสนยาวไกลในการค้นหาดาวดวง ใหม่ของมนุษย์

เมิร์ฟ (Murph) รับบทโดย แมคเคนซี ฟอย และ เจสสิก้า เชนสเตน และ เอลเลน เบอร์สตีน ลูกสาวของนายวิศวกร “คูเปอร์” ผู้ที่ต้องยอมรับการตัดสินใจของพ่อ และยังเฝ้ารอการกลับมาจนกระทั่งเธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่

ศาสตราจารย์ จอห์น แบรนด์ (Prof. John Brand) รับบท โดย ไมเคิล เคน บิดาของ ดร.อเมเลีย เขาเป็นนักฟิสิกส์จักรวาลระดับผู้นาของ NASA ที่ยังหลงเหลืออยู่ ในฐานะผู้นาในภาระกิจที่ พยายามหาหนทางกู้โลกหรืออย่างน้อยก็รักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาจาเป็นที่จะต้องแก้สมการฟิสิกส์เพื่อไขความลับ ของจักรวาลซึ่งจะนาไปสู่การช่วยมนุษยชาติจากการล่มสลาย

ดร. มานน์ (Dr. Mann) รับบทโดย แมตต์ เดมอน นักฟิสิกส์จักรวาลระดับผู้นา มือขวาของ ศจ. ดร. แบรนด์ เป็นบุคคลหลักในการปฏิบัติภารกิจ Lazarus เพื่อค้นหา ดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่เหมาะสมกับมนุษย์

หุ่นยนต์ ทาร์ส (TARS) และ เคส (CASE) หุ่นยนต์ผู้ช่วยประจายานและการสารวจ

67


Source: dogancangundogdu.com

68


ในอนาคตอันใกล้ โรคพืชได้เป็นสาเหตุที่ทําให้อารยธรรมถดถอยกลับไปสู่ สังคมเกษตรกรรมอันล่มสลาย อดีตนักบินนาซ่า คูเปอร์ ทําไร่อยู่กับครอบครัวของเขา เมอร์ฟี่ หรือ เมิร์ฟ ลูกสาววัย 10 ขวบของคูเปอร์เชื่อว่า ห้องของเธอถูกผีสิง โดยผีพยายามจะติดต่อสื่อสารกับเธอ พวกเขาไปเจอกับอากาศยานไร้คนขับของอินเดียที่ พวกเขากู้มาเพื่อเอาอะไหล่ ไม่นานพวกเขาค้นพบว่า "ผี" ของเมิร์ฟ คือสิ่งที่ทรงภูมิปัญญาที่ไม่รู้จักส่งข้อความ เข้ารหัสมาโดยใช้คลื่นความโน้มถ่วง ทิ้งพิกัดเลขฐานสองไว้บนฝุ่น ซึ่งได้นําพวกเขาไปสู่สถานที่ลับของนาซ่า นํา โดยศาสตราจารย์ จอห์น แบรนด์ ซึ่งแบรนด์เผยว่ารูหนอน ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าสร้างโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาได้ เปิดออกใกล้ๆ กับดาวเสาร์ และเป็นทางนําไปสู่ดาวเคราะห์ใหม่ๆ ในอีกกาแล็กซี่หนึ่ง ซึ่งอาจให้ความหวังในการอยู่ รอด "ภารกิจลาซารัส" ของนาซ่าได้ระบุโลกที่มีโอกาสอยู่อาศัยได้สามดวง ซึ่งโคจรอยู่รอบหลุมดํามวลยวดยิ่งที่มีชื่อ ว่า กาแกนทัว ได้แก่ มิลเลอร์, เอ็ดมันด์ และมานน์ ซึ่งตั้งชื่อตามนักบินอวกาศที่ออกสํารวจพวกมัน แบรนด์ต้องการให้คูเปอร์มาเป็นผู้ขับยานอวกาศ เอ็นดูแรนซ์ เพื่อเก็บกู้ข้อมูลของนักบินอวกาศชุด แรก ถ้าหากดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งสามารถอยู่ อาศัยได้ มนุษยชาติก็จะตามไปด้วยสถานีอวกาศ การออกเดินทางของคูเปอร์ทําร้ายความรู้สึกของเมิร์ฟเป็นอย่างมาก ในทางกลับกันคูเปอร์ก็รู้สึกปวดร้าวที่ต้องจาก ครอบครัวและลูกอันเป็นที่รักเพื่อค้นหาทางรอดให้กับพวกเขา บนยานเอ็นดูแรนซ์ คูเปอร์เข้าร่วมกับลูกสาวของแบรนด์ นัก เทคโนโลยีชีวภาพ อเมเลีย นักวิทยาศาสตร์ โรมิลลี และดอยล์ รวมทั้งหุ่นยนต์ ทาร์ส และ เคส พวกเขาเดินทางไปดาวเสาร์ และเข้าไปในรูหนอนเพื่อมุ่งหน้าไปยัง ดาวมิลเลอร์ แต่พวกเขาพบว่าดาวเคราะห์นั้นอยู่ใกล้กับกาแกนทัวมากจนกระทั่ง มันประสบกับการยืดของเวลาจากความโน้มถ่วงอย่างรุนแรง แต่ละชั่วโมงบนพื้นผิว ดาวจะเท่ากับเจ็ดปีบนโลก ทีมได้ลงไปที่ดาวเคราะห์ซึ่งพิสูจน์ว่าไม่เหมาะสําหรับ การอยู่อาศัย เนื่องจากมันปกคลุมไปด้วยมหาสมุทรตื้นๆ และถูกรบกวนด้วยคลื่นยักษ์ ในขณะที่อเมเลียพยายาม กู้ข้อมูลของมิลเลอร์ คลื่นยักษ์ก็กระแทกทําให้ดอยล์เสียชีวิต และ ทําให้การออกเดินทางกลับของกระสวยอวกาศช้าออกไป เมื่อ พวกเขากลับมาที่เอ็นดูแรนซ์เวลาก็ผ่านไปแล้ว 23 ปี บนโลกเมิร์ฟในวัยผู้ใหญ่ซึ่งในตอนนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ นาซ่ากําลังช่วยแบรนด์แก้สมการที่จะทําให้นาซ่าปล่อยสถานี อวกาศโดยใช้แรงโน้มถ่วงได้ ในลมหายใจเฮือกสุดท้ายแบรนด์ ยอมรับว่าเขาได้แก้ปัญหาไปเรียบร้อยแล้ว และตัดสินใจว่า โครงการนี้เป็นไปไม่ได้ เขาปกปิดการค้นพบของเขาเพื่อรักษา ความหวังให้คงอยู่ต่อไปและให้ความเชื่อมั่นกับ "แผน B" โดยใช้ เอ็มบริโอแช่แข็งเดินทางไปกับเอ็นดูแรนซ์เพื่อเริ่มต้นมนุษยชาติ ใหม่ อย่างไรก็ตามเมิร์ฟสรุปว่าสมการของแบรนด์อาจใช้การได้ ด้วยข้อมูลเพิ่มเติมจากซิงกูลาริตี้ของหลุมดํา

69


ด้วยเชื้อเพลิงที่เหลือน้อยเต็มที เอ็นดูแรนซ์สามารถไปดาวเคราะห์ได้อีกเพียงดวงเดียวก่อนจะกลับโลก หลังจากการปรึกษากันอย่างตึงเครียด ทีมได้เลือกดาวเคราะห์ของมานน์ เนื่องจากมานน์ยังคงส่งสัญญาณอยู่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาพบว่ามันหนาวเย็นอยู่ตลอดเวลา ปกคลุมไปด้วยธารน้ําแข็ง และไม่เหมาะสําหรับการอยู่ อาศัย มานน์ซึ่งรู้อยู่ตลอดว่าแผน B คือเป้าหมายที่แท้จริงของภารกิจ ได้ปลอมแปลงข้อมูลเกี่ยวกับความมีชีวิตของ ดาวเคราะห์ เพื่อที่เอ็นดูแรนซ์จะได้มาช่วยเหลือเขา มานน์ทําให้หมวกชุดอวกาศของคูเปอร์แตกและทิ้งไว้ให้เขา ตาย และหนีไปที่เอ็นดูแรนซ์บนกระสวยอวกาศ โรมิลลี ถูกฆ่าโดยระเบิดที่มานน์ติดตั้งไว้เพื่อปกปิดความลับ ของเขา อเมเลียช่วยเหลือคูเปอร์โดยใช้กระสวยสัมภาระ อีกลําหนึ่ง โดยพวกเขามาถึงเอ็นดูแรนซ์ทันเวลาเห็น มานน์กําลังเชื่อมต่อยานอย่างไม่ถูกต้อง แอร์ล็อกระเบิด ออกและฆ่ามานน์ และเป็นสาเหตุของความเสียหาย รุนแรง แต่คูเปอร์ใช้กระสวยสัมภาระเพื่อทําให้เอ็นดูแร นซ์อยู่ในการควบคุมอีกครั้ง ด้วยเชื้อเพลิงที่เกือบหมด คูเปอร์และอเมเลียวางแผนจะเหวี่ยงเอ็นดูแรนซ์ไปรอบๆ กาแกนทัวเพื่อให้อยู่บน เส้นทางไปยังดาวเอ็ดมันด์ที่อยู่อีกด้านของหลุมดําในขณะที่เวลาจะผ่านไปบนโลก 51 ปี ทาร์สและคูเปอร์ปลด กระสวยของพวกเขาลงไปในหลุมดํา สละชีพตนเองเพื่อเก็บข้อมูลของซิงกูลาริตี้ และเพื่อผลักอเมเลียและเคสโดย การลดมวลของยานลง พวกเขาโผล่ออกมาในสถานที่ที่ มีห้ามิติ ซึ่งเวลาปรากฏเป็นมิติของอวกาศ และโดยการ ใช้คลื่นความโน้มถ่วง คูเปอร์เข้ารหัสข้อมูลเกี่ยวกับซิงกู ลาริตี้ทที่ าร์สป้อนให้ไปยังนาฬิกาข้อมือของเมอร์ฟี่วัย เยาว์โดยใช้รหัสมอร์ส ต่อมาเธอตระหนักว่าข้อความ ถูกเข้ารหัสอยู่บนนาฬิกา ซึ่งทําให้เธอแก้สมการของ ดร. แบรนด์ได้เสร็จสมบูรณ์ ทําให้สามารถสร้างสถานีอวกาศ ขนาดที่หลุดพ้นแรงโน้มถ่วงของโลกได้สําเร็จ เมื่อข้อมูลถูกส่งผ่านเสร็จสิ้น บริเวณที่มีห้ามิติก็ ยุบตัวลง และคูเปอร์พบว่าตัวเขากําลังเดินทางผ่านรู หนอนเข้ามาสู่วงโคจรรอบๆ ดาวเสาร์ เขาตื่นขึ้นบน สถานีอวกาศคูเปอร์ (ตั้งตามชื่อสกุลของเมิร์ฟ) ของนา ซ่าและได้พบกับเมิร์ฟซึ่งในตอนนี้แก่ชราแล้ว และเป็นผู้ เริ่มนําการอพยพของมนุษยชาติ ด้วยความพึงพอใจที่คู เปอร์ได้รักษาคํามั่นสัญญาที่ว่าวันหนึ่งจะกลับมาหาเธอ เมิร์ฟโน้มน้าวคูเปอร์ให้ค้นหาอเมเลียซึ่งอยู่ตามลําพังและ กําลังดําเนินการตามแผน B พร้อมกับเคสบนทะเลทรายของดาวเอ็ดมันด์ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่สามารถอยู่อาศัยได้ ในขณะที่ เอ็ดมันด์ได้ตายไปเนื่องจากแผ่นดินถล่ม คูเปอร์และทาร์สซึ่งได้รับความช่วยเหลือมาด้วยกันจากอวกาศ ขโมยกระสวยอวกาศของนาซ่าเพื่อเดินทางไปยังดาวเอ็ดมันด์ ●

70


วิทยาศาสตร์ใน “ทะยานดาวกู้โลก” THE SCIENCE OF 'INTERSTELLAR' โดย สนทนาไซ-ไฟ Warning: SPOILER ALERT! This infographic contains details about the space film "Interstellar."

สังเขป อภิธานศัพท์ หลักวิทยาศาสตร์/ฟิสิกส์ดาราศาสตร์จริง ที่มีใน Interstellar ที่มา: http://www.scifi.siligon.com/s_31interstelsci.html

* ด้วย Interstellar ถือว่าเป็น Hard Sci-Fi อวกาศ ที่นาทฤษฎีฟิสิกส์ดาราศาสตร์จริงๆมาประยุกต์ใช้เป็นลูกเล่นองค์ประกอบ ของหนังมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ... และในส่วนฉากอวกาศบางฉากก็พยายามจาลองภาพให้ตรงกับทฤษฎีมากที่สุดด้วย โดยเฉพาะกรณี รูหนอน และ หลุมดา ฯลฯ ดังนั้นท่านผู้ชมที่ไม่คุ้นเคยจึงอาจสับสนได้บ้าง แต่จะว่าไปแล้วในตัวหนังเองก็มีบท หนังที่อธิบายศัพท์ยากไว้แล้วพอสมควร เพียงแต่อาจแค่บทสั้นๆ และความเป็นหนัง ถึงจะชมผ่านๆข้ามศัพท์ยากไปบ้าง ก็คิดว่า ยังสามารถเข้าใจหนังได้อยู่ ก็ไม่ถึงกับปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้เลยเสียทีเดียว แต่ก็แน่ละว่าถ้าใครมีพื้นฐานคุ้นเคยดีอยู่บ้างแล้ว กับกรณีศัพท์ฟิสิกส์ต่างๆก็ย่อมเข้าถึงหนัง+เพลิดเพลินไปกับหนังได้มากกว่าคนทั่วไป ... อภิธานศัพท์ต่างๆในที่นี้จึงน่าจะเป็น ประโยชน์ ที่ใช่ว่าจะไว้สาหรับชม Interstellar แค่เรื่องเดียวแล้วจบกัน แต่ก็น่าจะเป็นความรู้เสริมหลักพื้นฐานกว้างๆที่ดี ไว้ใช้ ชม Hard Sci-Fi อวกาศอื่นๆต่อไปได้ด้วยในตัว) * และแน่นอนว่าการอธิบายความสังเขปในที่นี้ เป็นการใช้ความเข้าใจส่วนตัว ที่พยายามย่อยอธิบายขยายความคาศัพท์ยากๆที่ เกี่ยวข้องในหนัง ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่จะมีความสามารถของผู้เขียน เพราะจริงๆแล้วหลักวิชาของวิทยาศาสตร์ / ทฤษฎีฟิสิกส์ต่างๆไม่ใช่เรื่องเล็กๆ มีแง่มุมและความซับซ้อนเชิงรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย ทั้งบางเรื่องต้องใช้สมการหรือ คณิตศาสตร์!ในการอธิบายอีกต่างหาก และหากจะลงลึกรายละเอียดกันจริงๆ แค่ทฤษฎีเดียวก็อาจสามารถเขียนเป็นหนังสือ เล่มหนาๆ หรือกระทั้งต้องไปเรียนระดับปริญญาสาขานั้นๆ กันไปเลย (แม้บางทฤษฎีก็ยังไม่ใช่ข้อสรุปเป็นจริง 100% ยังคงมี การถกเถียงโต้แย้งในวงการฟิสิกส์เองด้วยก็ตามแต่) และเราในฐานะคอหนังไซ-ไฟ ไม่ใช่นักฟิสิกส์อาชีพก็คงไม่จาเป็นต้องลง ลึกขนาดเท่านักฟิสิกส์ก็ได้ ถึงบางประเด็นบางคาศัพท์อาจดูเข้าใจยากบ้าง ก็อย่าเพิ่งไปซีเรียส ก็เอาแค่ให้พอเข้าใจใน หลักการที่ถูกต้องในภาพรวมกว้างๆ +ช่วยให้การดูหนังแนว Hard Sci-Fi อย่าง Interstellar ได้อรรถรสเพิ่มขึ้นก็ใช้ได้แล้ว และ สุดท้ายที่ต้องพึงระลึกเป็นพิเศษก็คือ หนังไซ-ไฟก็คือหนัง ไม่ใช่สารคดี! แต่อย่างที่รู้กันความเป็นไซ-ไฟมันมีที่ทั้งศาสตร์และ ศิลป์ลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของมันอยู่ โดยเฉพาะนอกจากบันเทิงแล้วมันมักจะแฝงสะท้อนนัยยะชีวิต-สังคม และกระตุ้น จินตนาการ ถ้าเข้าใจในจุดนี้ก็จะเข้าใจขอบเขตที่ควรจะเป็นของการดูหนังไซ-ไฟ จะได้ไม่สับสนและมองหนัง หรือวิจารณ์หนัง (หรือสร้างสร้างหนังไซ-ไฟ) ให้เป็นสารคดีวิทยาศาสตร์เกินไป ... (และสุดท้ายแล้วถ้าหากการอธิบายขยายความศัพท์สังเขป ในที่นี้ มีความผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยล่วงหน้า +ผู้รู้ก็อย่าลืมช่วยท้วงติงชี้แจง โดยอาจแวะไปฝากข้อความที่ แฟน เพจ ก็ได้ครับ :) + เครดิต ภาพประกอบต่างๆในที่นี้ ส่วนใหญ่มาจากเว็บ www.space.com เป็นหลัก (+สมทบด้วย Wikipedia และ การเสิร์ชจากกูเกิลทั่วไป)

1. รหัสมอร์ส (Morse code): วิธีการส่งข้อมูลโดยการใช้รูปแบบสัญลักษณ์จุด (•) และขีด (–) ถอดรหัสแปลเป็นภาษา ปกติอีกที เช่น ก = – – •, (H)(E)(L)(L)(O) = (••••)(•)(•–••)(•–••)(– – –)

2. ไบนารี (Binary, Binary Numeral System): ระบบเลขฐานสอง คือ ระบบเลขที่มีสัญลักษณ์เพียงสองตัวเท่านั้น คือ 0 กับ 1 ถอดรหัสแปลเป็นภาษาปกติ รวมทั้งแปลงเป็นค่าข้อมูลอื่นๆได้อีกที และมันคือภาษาหลักสาคัญอย่างหนึ่งของโลก ไซเบอร์/ระบบคอมพิวเตอร์ หรือโลกดิจิตอล

71


3.โพลเทอร์ไกสท์ (Poltergeist): ปรากฏการณ์บางอย่าง ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ในแบบชัดเจน 100% จีงเป็นปรากฏการณ์ที่คนในสมัยก่อน(หรือสมัยนี้ก็ตาม)มักมีความเชื่อ+ความกลัว ว่าคงเป็นการกระทา ของสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ อย่างอานาจจากเทพบันดาล หรือ ภูติผีปีศาจไป (ซึ่งแท้จริงแล้วบางกรณีมันก็อาจแค่ปรากฏการณ์ ที่คิดไปเอง กลัวไปเอง หรืออาจแค่ภาพหลอนภาวะทางจิตส่วนตัวของคนๆนั้น หรือกระทั้งแท้จริงเบื้องหลังก็แค่กลไกธรรมชาติ ธรรมดาไม่ได้จะให้คุณให้โทษใคร อาทิ ในอดีต สุริยุปราคา , จันทรุปราคา, แผ่นดินไหว ฯลฯ ก็กลายเป็นว่ามีคนกลัวกันจนต้อง จุดธูปกราบไหว้วิงวอน! ถึงระดับที่กลายเป็นประเพณีวัฒนธรรมไปซะด้วยก็มีอยู่)

4.

กฎความโน้มถ่วงสากลของนิวตัน (Newton's Law of Universal Gravitation): "เซอร์ ไอ

แซก นิวตัน" (Sir Isaac Newton) ผู้ค้นพบกฏนี้ขณะที่เขานั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล และลูกแอปเปิ้ลได้ตกลงมาจากต้น :)

เรียกย่อสั้นๆเป็น กฎแรงโน้มถ่วงนิวตัน ก็ได้ และถือเป็นกฏคลาสสิคที่เปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับธรรมชาติของแรงโน้ม ถ่วงและการเคลื่อนที่ของวัตถุ อันก่อเกิดเป็นคุณูปการตามมามากมาย อาทิ การเข้าใจเกี่ยวกับการโคจรของดาวต่างๆ, การสร้าง เครื่องบิน, การเดินทางสู่อวกาศ ฯลฯ และยังคงสามารถใช้อ้างอิง-ประยุกต์ใช้กับกรณีการเคลื่อนที่ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับแรงโน้ม ถ่วงได้เป็นอย่างดีจวบจนปัจจุบัน (แม้ต่อมาจะมีทฤษฎีฟิสิกส์ใหม่ๆ ที่ลงลึกกว่า+แม่นยากว่าอย่าง สัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ หรือควอนตัมก็ตาม *ดูเพิ่มเติมล่างๆต่อไป) ... หลักการของกฎแรงโน้มถ่วงนิวตัน อธิบายแบบง่ายๆก็คือ หลักที่ว่า "วัตถุทุก

ชนิดล้วนมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน และแรงดึงดูดจะมีมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับมวลของวัตถุนั้นๆ " ตัวอย่างกรณี แรงโน้มถ่วงของโลก ก็คือ แรงดึงดูดที่มวลของโลกได้กระทาต่อมวลของวัตถุอื่น(ที่มีมวลน้อยกว่าโลกมาก) ใน ลักษณะดึงดูดวัตถุนั้นเข้าสู่จุดศูนย์กลางของโลก ส่งผลวัตถุต่างๆและตัวเราจึงติดกับโลกไม่ลอยออกนอกโลกไป โดยที่แรง โน้มถ่วงของโลกที่มีต่อวัตถุจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับขนาดมวลของโลกเอง กับขนาดมวลของวัตถุเองนั้นๆดังหลักที่เกริ่น และเมื่อหักลบผลแรงการดึงดูดระหว่างกันก็จะได้เป็นค่า น้าหนักของวัตถุนั่นนั้นเอง และกับกรณี ทาไม ดวงจันทร์โคจรอยู่รอบ โลกไม่ลอยไปที่อื่นก็ด้วยเหตุแรงดึงดูดนี้เอง แต่ดวงจันทร์มีมวลใหญ่ไม่ใช่เล็กๆแบบวัตถุทั่วไปในโลก(ทั้งผนวกกับความ ห่างไกล) แรงโน้มถ่วงทั้งสองจึงดึงดูดระหว่างกัน+หักล้างต่อกันและกัน จึงกลายเป็นการโคจรแทนที่จะหล่นลงสู่พื้นโลก หรือ กรณีโลกและดาวต่างๆในระบบสุริยะโคจรรอบดวงอาทิตย์ ก็ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน แต่ต่างที่ดวงอาทิตย์มีมวลมากกว่าดาว ดาวอื่นๆ ... การนากฏนี้ประยุกต์ใช้ ก็อาทิ กรณีหากเราต้องการส่งวัตถุ หรือ ยานอวกาศออกนอกโลก ก็ต้องทาให้ยานอวกาศ นั้น เคลื่อนที่ด้วยความเร็วพอที่จะผลักดันยานนั้นให้พ้นอิทธิพลแรงโน้มถ่วงของโลก ที่เรียกว่า "ความเร็วหลุดพ้น" (Escape Velocity) (อันมีค่าประมาณ 11.2 km/s หรือ 40,320 km/h) เพราะถ้าหากไม่เร็วพอก็ย่อมจะถูกดูดกลับโดยแรง โน้มถ่วงของโลก ก็ไม่อาจออกพ้นโลกได้นั้นเอง

และก็ยังมีกฏสาคัญที่เกี่ยวเนื่องอีกอย่างของนิวตัน ก็คือ "กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน" ( Newton's Laws of Motion) อันเป็นการอธิบายความสัมพันธ์ของ แรงกระทา และการเคลื่อนที่ของวัตถุ ... และผลงานที่สาคัญอื่นๆก็ยังมีอีก มากมาย อาทิ นิวตันยังเป็นผู้สร้างกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงที่สามารถใช้งานจริงได้เป็นเครื่องแรก ทั้งพัฒนาทฤษฎีสีโดย อ้างอิงจากผลสังเกตการณ์ว่า ปริซึมสามเหลี่ยมสามารถแยกแสงสีขาวออกมาเป็นหลายๆสีได้ ซึ่งเป็นที่มาของสเปกตรัมแสงที่ มองเห็น +ทั้งยังเป็นผู้ตั้งทฤษฎีแคลคูลัส (Calculus) อีกต่างหาก

72


*ขยายความเสริม: กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน หรือที่เรียกสั้นๆว่า "กฎ 3 ข้อของนิวตัน" (Newton’s laws) - กฎข้อที่ 1 กฎของความเฉื่อย (Inertia) : "วัตถุที่หยุดนิ่งจะพยายามหยุดนิ่งอยู่กับที่ ตราบที่ไม่มีแรงภายนอกมา กระทา ส่วนวัตถุที่เคลื่อนที่จะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงด้วยความเร็วคงที่ ตราบที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทาเช่นกัน" - กฎข้อที่ 2 กฎของแรง (Force) : "ความเร่งของวัตถุจะแปรผันตามแรงที่กระทาต่อวัตถุ แต่จะแปรผกผันกับมวลของ วัตถุ" ดังสมการ

แรง = มวล x ความเร่ง (F = m x a) หรือ บางครั้งกลับสมการเป็น ความเร่ง = แรง ÷

มวล (a = F ÷ m) ก็ขึ้นอยู่กับการนาสมการไปหาค่าอะไร ... สมมุติว่ามีมวลหนัก 50 กิโลกรัม(50 kg) และเดินด้วยความเร่ง

1 เมตร/วินาที(1 m/) สามารถหาแรงที่ใช้ได้ โดยการแทนค่ามวลและความเร่งลงในสมการดังกล่าว ก็จะได้ แรง = 50 kg x 1 m/ ผลในที่นี้ แรงก็จะ = 50 N (เรียกหน่วยนี้ว่านิวตัน ( N ) เพื่อเป็นเกียรติแก่ไอแซคนิวตัน ในข้อตกลงที่ว่า 1 นิวตันมีค่าเท่ากับ แรงที่ใช้เพื่อทาให้วัตถุมวล 1 กิโลกรัม มีความเร่งเท่ากับ 1 เมตรต่อวินาทีต่อวินาที) - กฎข้อที่ 3 กฎของแรงปฏิกิริยา: "แรงที่วัตถุที่หนึ่งกระทาต่อวัตถุที่สอง ย่อมเท่ากับ แรงสะท้อนกลับที่วัตถุที่สอง กระทากลับต่อวัตถุที่หนึ่งด้วย แต่ทิศทางตรงข้ามกัน" (Action = Reaction) ... (ใน Interstellar คาพูดของหุ่น TARS และ คูป ที่ว่า ... "กฏนิวตันข้อ 3 ทางเดียวที่มนุษย์จะไปข้างหน้า ต้องทิ้งบางสิ่งไว้ข้างหลัง" ก็เป็นการเล่นคาอีกแบบกรณีกฏข้อ 3 นี่เอง)

ทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity): ทฤษฎีปฏิวัติแนวคิดทางฟิสิกส์แห่งยุค โดย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ... เข้าใจแบบง่ายๆที่สุดก็คือ ทฤษฎีว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งทั้งปวงไม่ว่า 5.

จะกรณี ขนาด, มวล, พลังงาน, แสง, พื้นที่ว่างหรืออวกาศ, แรงโน้มถ่วง ฯลฯ และโดยเฉพาะกรณีปริศนาเกี่ยวกับ "เวลา" ทั้งยัง เกี่ยวโยงกับแนวคิดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนที่เรียกว่า Spacetime!? อันหมายถึง พื้นที่อวกาศและเวลา อันไม่เคยแยกจากกันได้ และสามารถถูกบิดเบี้ยวได้! (ดูขยายความข้อถัดๆไป) ... ซึ่งมีสมการที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีนี้ เป็นที่คุ้นตากันเป็นอย่างดีนั้นคือ สมการ E=mc2 อันเป็นสมการความสมมูลย์กัน(เปลี่ยนแทนกันได้) ระหว่างมวลและพลังงานอันเกี่ยวเนื่องกับความเร็วแสง ด้วย และทฤษฎีสัมพัทธภาพยังแบ่งเป็น 2 ทฤษฎีหลัก คือ "ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ" และ "ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป" อันเป็น ทฤษฎีที่ไอน์สไตน์เองพยายามทาให้มันเป็นสูตรเดียวที่ใช้ได้กับทุกๆแง่มุมในธรรมชาติ ตั้งแต่ระดับเล็กกว่าอะตอมยันดวงดาว/ อวกาศ แต่กระนั้นทฤษฎีก็ยังไม่สามารถอธิบายทุกสรรพสิ่งได้อย่างสมบูรณ์ 100% ซะทีเดียว (โดยเฉพาะกับอนุภาคเล็กมาก อย่างเล็กกว่าอะตอม หรือเล็กในระดับ ควาร์ก! จึงต้องมีทฤษฎีใหม่อย่าง ทฤษฎีควอนตัม มาเติมเต็ม)

*ขยายความเสริม: สัมพัทธภาพ 2 ทฤษฎี "ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ" และ "ทฤษฎีสัมพัทธ

ภาพทั่วไป"

สัมพัทธภาพ เป็นการปฏิวัติความคิดใหม่ทั้งหมด คือ ขนาด และเวลา ไม่ใช่ค่าสัมบูรณ์ แต่มันเป็นเพียงค่าสัมพัทธ์ ที่ซึ่งจะ ต่างกันไปแต่ละผู้สังเกตการณ์ คือ มันมีการยืดออกของเวลา และ การหดตัวของความยาว ส่วนความเร็วแสงที่แต่เดิมคิดว่ามัน เป็นค่าสัมพัทธ์ แต่มันกลับกลายเป็นค่าสัมบูรณ์ ที่ทุกผู้สังเกตการณ์จะวัด ความเร็วแสงได้เท่ากันทุกคน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรานั่งรถไฟที่วิ่งด้วย ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วเราโยนก้อนหินออกไปในทิศทาง เดียวกันกับที่รถไฟวิ่ง ด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความเร็วโดยรวม ทั้งหมดของก้อนหินคือ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าเรานั่งรถไฟด้วย ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วเปิดไฟส่องทาง ความเร็วแสงที่ได้จะ ไม่ใช่เอาความเร็วแสงไปบวกกับความเร็วรถไฟ เรายังได้ความเร็วแสงที่ ประมาณ 300,000 กิโลเมตร/วินาทีเหมือนเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเรานั่งยานที่เคลื่อนที่เร็ว 299,999.9999 กิโลเมตร/วินาที จากนั้นเราก็วิ่งไปในทิศทางเดียวกันกับที่ยานเคลื่อนที่ แล้ว เปิดไฟฉายส่องไปข้างหน้าด้วย นั่นไม่ได้แปลว่าเราจะเห็นแสงวิ่งออกจาก กระบอกไฟฉายช้าลงในระดับที่เห็นแสงค่อยๆโผล่ออกมา หรือ เราวิ่งแซงแสงได้ แต่เราก็ยังเห็นแสงเคลื่อนที่เร็วแบบที่เห็นบน โลก ที่เวลาเปิดไฟฉายเราก็จะเห็นแสงมันสว่างออกทันที เรายังวัดความเร็วแสงได้ 300,000 กิโลเมตร/วินาทีเหมือนเดิม ที่มัน เกิดเหตการณ์ที่มันขัดกับสามัญสานึกได้ก็เพราะ การที่เราอยู่บนยานที่เคลื่อนที่เร็วระดับนั้น มันจะทาให้เวลามันช้าลง เราจึง เห็นแสงวิ่งเร็วเท่าเดิมอยู่ตลอด ถึงแม้เราจะนั่งยานที่มีความเร็วมากขนาดนั้น แล้วบวกความเร็วที่เราวิ่งบนยาน เราก็ไม่เคยวิ่งเร็ว กว่าแสงเลย

สัมพัทธภาพพิเศษ (Spacial Relativity) คาว่า "พิเศษ" นั้นหมายถึงเป็นการคิดในสภาวะที่พิเศษ คือ บริเวณที่ไม่ มีแรงโน้มถ่วง ซึ่งในจักรวาล บริเวณที่ไม่มีแรงโน้มถ่วงเอาเลย มันไม่มีอยู่จริง ยังไงมันก็ต้องเหลือค่าอีกเล็กน้อย แต่ในบางกรณี ถ้าเราต้องการแค่ประมาณค่า มันก็เอาไปใช้คานวณได้บ้างในบริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงอยู่น้อยจริงๆ สัมพัทธภาพแบบนี้นี้มีเรื่อง spacetime ที่โค้งงอได้ แต่ยังไม่ได้รวมเรื่องแรงโน้มถ่วงเข้าไป เลยเอาไปใช้ประโยชน์ในการคานวณได้ไม่มากเท่าไหร่ มี ประโยชน์ในเรื่องช่วยปฏิวัติความคิดของเราเป็นหลักแค่นั้น

73


ส่วน สัมพัทธภาพทั่วไป (General Relativity) เป็นการรวมเอาแรงโน้มถ่วงเข้ามาแล้ว ทาให้สัมพัทธภาพทั่วไป นั้น สามารถเอามาใช้แทน กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน ได้ ซึ่งจะคานวณได้ถูกต้องมากกว่าฟิสิกส์นิวตัน เพราะคิดเรื่อง การยืดหดของเวลา และขนาดไว้เรียบร้อยแล้ว (spacetime ที่โค้งงอก่อให้เกิดแรงโน้มถ่วง) แต่สัมพัทธภาพ ทั่วไปก็จะไปเจอกับความล้มเหลว เมื่อเอาไปคานวณในบริเวณที่อยู่ใกล้กับซิงกูลาริตี้ ในบริเวณนั้นต้องใช้กฎใหม่ในการอธิบาย นั่นก็คือ"กฎแรงโน้มถ่วงควอนตัม" ซึ่งนักฟิสิกส์ทฤษฎี ณ ปัจจุบันนี้ยังมีความเข้าใจในกฎนี้ไม่มากพอ แต่สัมพัทธภาพพิเศษยังพอมีประโยชน์ในการคานวณที่แรงโน้มถ่วงไม่มีความสาคัญ เช่น เอาไปใช้คานวณอิเลคตรอนที่ชนกัน ในเครื่องเร่งอนุภาค ซึ่งก็คานวณได้ถูกต้องทุกครั้ง และคากล่าวที่ว่า ไม่มีอะไรเร็วกว่าแสง และวัตถุหรืออนุภาคที่มีมวลไม่มีทาง เร็วเท่าแสงได้ ก็มาจากสัมพัทธภาพพิเศษด้วย และพิสูจน์ได้จากเครื่องเร่งอนุภาคที่ไม่ว่าจะอัดพลังไปเท่าไหร่ก็ได้ ก็ทาได้แค่ เพิ่มตาแหน่งทศนิยม (เช่น99.99999%ของความเร็วแสง) แต่ไปไม่ถึงความเร็วแสงซักที ส่วนกรณี E=mc2 หรือสมการสมมูลย์ของมวลและพลังงาน ที่ถือว่าเป็นสมการที่ดังที่สุดในโลก! อันคนทั่วโลกแทบคุ้นเคย เคยเห็นผ่านตากันทุกคน (ถึงไม่รู้จักมันมากก็ตาม) ... "สมมูลย์" คือ การเปลี่ยนแทนกันได้ ตามกฎสัมพัทธภาพพิเศษของ ไอน์สไตน์ มวลเป็นเพียงรูปหนึ่งของพลังงานที่อัดแน่นมาก นั่นหมายความว่า มวล กับ พลังงาน เป็นสิ่งเดียวกันนั่นเอง เราแค่ เรียกชื่อแยกออกจากกันแค่นั้น ดังนั้นมันเป็นไปได้ ที่เราจะเปลี่ยนมวลให้กลายเป็นพลังงาน รวมไปถึงเปลี่ยนคนให้การเป็น พลังงานระเบิด ปริมาณพลังงานที่ได้จากการเปลี่ยนมวลจะมีค่ามหาศาลตามสูตร E=mc2 E= พลังงานที่ระเบิดออกมา, M คือมวลที่เปลี่ยนเป็นพลังงาน, และ c = 2.99792x108 เมตรต่อวินาที นั่นก็คือความเร็วแสง ... ถ้าหากเราเปลี่ยนคนที่ หนัก 75 กิโลกรัมให้กลายเป็นพลังงาน สูตรนี้พยากรณ์ว่าพลังงานระเบิดจะเท่ากับ 7x1018 จูล ซึ่งมีค่ามากกว่าพลังงานของ ระเบิดไฮโดรเจนที่มีพลังงานการระเบิดมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาถึง 30 เท่า ...ความรู้เรื่องการสมมูลย์ของมวลและพลังงานใน ตอนแรกนั้นมีการเอามาประยุกต์ในการอธิบายเรื่องซูเปอร์โนวา ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร (ซูเปอร์โนวาเป็นการระเบิดที่รุนแรง มาก ที่เกิดขึ้นกับดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่า 1.4เท่าของดวงอาทิตย์ขึ้นไปจะตายด้วยการระเบิดของแก๊สชั้นนอก ส่วนเนื้อสารข้าง ในจะเกิดการยุบตัว) และต่อมาความรู้เรื่องนี้ก็ถูกนาไปประยุกต์เพื่อ สร้างระเบิดปรมาณู! และระเบิดไฮโดรเจน ( * และถึงแม้ กฎแรงโน้มถ่วงนิวตัน (Newton's law of universal gravitation) อันเป็นทฤษฎีคลาสสิคเดิม เมื่อ เทียบกับสัมพัทธภาพทั่วไปแล้ว ในแง่ความถูกต้องเทียบกันไม่ได้ก็จริง แต่กฎนิวตันก็ยังมีประโยชน์อยู่มากและยังใช้งานได้อยู่ คือ ในกรณีที่ไม่ได้สร้างยานที่เคลื่อนที่เร็วมากใกล้เคียงแสงจนเวลาไหลช้า หรือ ไม่ได้อยู่ในบริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงสูงจนเวลา เดินช้าอย่างเห็นได้ชัด หรือต้องการแค่ประมาณค่า กฎของนิวตันก็ยังใช้ได้ดี ทุกวันนี้ก็ยังใช้กฎนิวตันอยู่ตลอดไม่ได้ตัดทิ้งไป เพราะการมาของ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ แต่ประการใด ) 6. กาลอวกาศ (Spacetime): อันมาจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์นั้นเอง ... " Space" คือ พื้นที่ว่างหรือห้วง อวกาศเป็นระบบ 3 มิติ (อันมี ความยาว x พื้นที่ x ปริมาตร) + "Time" คือ เวลา (*ในหลักที่ว่า เวลามีอยู่จริงไม่ใช่แค่คาสมมติ เรียกความเปลี่ยนแปลง อย่างที่เข้าใจกันทั่วไป) และ Space+Time ทั้งสองเป็นเนื้อเดียวกันอย่างแยกจากกันไม่ได้ มี Spaceก็ ต้องมีTime จึงเรียกว่า Spacetime ... เข้าใจง่ายๆก็คือ ที่ว่างกาลอวกาศ ไม่ใช่ว่างแบบไม่มีอะไร แต่แท้จริง มีอิทธิพล ครอบคลุมต่อชีวิตและความเป็นไปของสิ่งแวดล้อมทั้งปวง อุปมา Spacetime เป็นเสมือนยางยืดใสๆที่มองไม่เห็น แต่กระจายตัว ทั่วจักรวาลหุ้มรอบๆดาวต่างๆ วัตถุต่างๆ/ตัวเรา หรือกระทั้งระดับหุ้มรอบอนุภาคระดับอะตอม! หรือเล็กกว่าอะตอม ซึ่งตาม ทฤษฎีสัมพัทธภาพของ ไอน์สไตน์แล้ว พบว่า Spacetime เมื่ออยู่ในภาวะปกติมันจะคงตัวเท่าเดิม (เหมือนยางที่อยู่นิ่งๆไม่ถูก ยืดนั้นเอง) แต่ก็สามารถบิดเบี้ยวได้-ยืดหยุ่นยืดหดได้ ถ้าหากมีแรงหรือพลังบางอย่างที่สูงมากพอมากระทา อาทิ แรงโน้นถ่วง สูงๆ (จากดาวมวลมากต่างๆ อาทิ ดวงอาทิตย์ หรือจากหลุมดา ฯลฯ) และเมื่อวัตถุหรือกระทั้งแสง เคลื่อนที่ผ่านในที่ว่างหรือ อวกาศที่บิดเบี้ยววิถีของมันก็จะโค้งตาม Spacetime ที่บิดเบี้ยวนั้นไปด้วย และหากบิดเบี้ยวมากก็อาจถึงขั้นยืด-หด เวลาได้ อัน จะทาให้ Spacetime พื้นที่นั้นมีอัตราเวลาไม่เท่ากับ Spacetime ที่อื่นๆ

7. รูหนอน (Wormhole): หรืออีกชื่อคือ "สะพานไอน์สไตน์-โรเซ็น" (Einstein-Rosen bridge) อุปมา ก็คือ รูโพรง ในอวกาศ อันเกิดจากการพับ/ม้วน Spacetime (ด้วยพลัง/แรงมหาศาลบางอย่าง ? ) ก่อเกิดเป็นทางลัดระหว่าง ดวงดาว หรือแกแลคซีอันไกลโพ้น ... ถ้าอุปมา Spacetime เป็นเหมือน "กระดาษ" เราพับปลายกระดาษจากด้านหนึ่งและอีก ด้านเข้าหากันและเจาะรูที่พื้นที่ส่วนปลายนั้น และใช้รูนั้นเป็นทางลัด ซึ่งแน่นอนว่าผลก็คือจะช่วยย่นระยะทางได้อย่างมหาศาล หลายเท่าตัว แต่เนื่องจากจริงๆแล้ว Spacetime เป็น 3 มิติ ผลที่ออกมา รูหนอนจึงเป็นลักษณะทรงกลม(คล้ายฟองตามในหนัง) ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่อุปมาเป็นรู/ท่อปกติ (ซึ่งว่าไปแล้วมันปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างเหนือสามัญสานึกทั่วไปมาก แต่การอุปมาพับ

74


กระดาษและเรียกว่า รู ก็เพียงแค่ให้เห็นภาพง่ายขึ้นเท่านั้น)... และ รูหนอนไม่ใช่ปรากฎการณ์ทีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ต้องมี บางอย่างไปกระทาต่อ Spacetime ... *และหลักปกติทั่วๆไป รูหนอน จะทาได้แค่ย่อระยะทางในอวกาศเฉยๆเท่านั้น แต่ก็มีอีก สมมุติฐานไอเดียว่า ไม่แน่การเดินทางผ่านรูหนอน ก็มีโอกาสที่จะเป็นการเดินทางแบบ ท่องกาลเวลา(ย้อนอดีต-ไปอนาคต) ได้ มากที่สุดด้วยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนก็คงต้องมี แรง หรือพลังมากพอ ที่จะมาบิดเบี้ยวม้วนพับ Spacetime ในส่วนของ Time ที่ รุนแรงมากยิ่งๆไปอีกขั้น ถึงจะบิดเบี้ยวในส่วนเวลานั้นได้ จนก่อเกิดการท่องกาลเวลา และจริงๆไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยที่จะมี พลังงานหรือแรงอะไรที่จะมากระทาต่อ Spacetime ขนาดนั้นได้ (ทั้งประเด็นรูหนอนก็ยังคงเป็นที่วิเคราะห์+ถกเถียงในวงการ ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ต่อไป)

* ขยายความเสริม: รูหนอน เป็นเพียงเชิงทฤษฎีฟิสิกส์ดาราศาสตร์ อันถูกค้นพบ+พิสูจน์ว่ามีความเป็นไปได้สูง โดย "Nathan Rosen" ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของไอน์สไตน์สมัยที่ท่านอพยพมาอยู่อเมริกา เลยให้เกียรติเรียกว่า Einstein-Rosen bridge ... และพบว่าโดยปรกติแล้วปรากฏการณ์ รูหนอน มันจะเกิดขึ้นได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆแว๊บเดียวเท่านั้น ต่อมานักฟิสิกส์ นาม "Kip Thorne" ก็ได้ศึกษาและพัฒนาทฤษฎีต่อยอดขึ้นใหม่ทาให้แนวคิดเกี่ยวกับรูหนอนมีความเป็นไปได้มากขึ้นไปอีก ขั้น นั้นคือถ้าหากเราใส่สสารพิเศษที่ปากท่อของมันทั้งสองด้าน ก็จะทาให้มันแปะติดค้างเป็นโพรงได้นานขึ้น จนสามารถเดิน ทางผ่านได้ แต่สสารพิเศษนั้นยังคงเป็นสิ่งที่เป็นได้แค่แนวคิดทฤษฎี ยังไกลกว่ามนุษย์เราสร้างได้ จึงเรียกว่า "สสาร

ประหลาด" (Exotic matter) ไปพลางๆก่อน ด้วยเป็นแนวคิดที่ดูจะเลยเถิดหลักทางฟิสิกส์และสสารทั้งหมดที่มนุษย์ เราเคยรู้จัก และผลจากการสังเกตการณ์ ถ้าจะมีอะไรที่ใกล้เคียงกับสสารพิเศษของ Kip Thorne ก็น่าจะเป็นทานองคล้ายๆกับ สสารมืด (Dark Matter)/พลังงานมืด (Dark Energy) ที่ทาให้เอกภพขยายตัวด้วยความเร่ง - กรณีข้ามเวลาของรูหนอน: ต่อให้รูหนอนเป็นทานองไทม์แมชชีนได้จริงๆ ... แต่มันก็ไม่ได้สะดวกแบบไทม์แม ชชีนในหนังไซ-ไฟแฟนตาซีทั่วๆไป ที่จะย้อนไปเวลาไหนก็ได้ เบื้องต้นพบว่ารูหนอนย้อนได้ไกลสุดแค่ช่วงเวลาที่มันถือกาเนิด ขึ้น มันย้อนไปไกลกว่านั้นไม่ได้ และนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทาไมถึงไม่มีมนุษย์จากอนาคตย้อนอดีตมาหาเราก็เป็นได้ (เพราะรู หนอนกว่าจะสร้างได้อาจจะอยู่หลังยุคเราไปอีกนาน) ... และสาหรับเรื่องการย้อนเวลาแล้ว ก็มีนักฟิสิกส์หลายๆคนเองก็ไม่เชื่อ ว่าจะเป็นไปได้ และหัวเรือใหญ่ของกลุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องการข้ามเวลาคือ "สตีเฟน ฮอว์คิง" ผู้เสนอแนวคิด "การปกป้อง ลาดับเวลา" ที่บอกว่ากฎฟิสิกส์ไม่อนุญาตให้เกิดการข้ามเวลาได้ - กรณีการจะทาให้รูหนอนมันเปิดได้: ก็อย่างที่เกริ่นไปแล้ว ณ ขณะนี้มีวิธีเดียวที่มีโอกาสเป็นไปได้ คือ ต้อง ใช้สสารบางอย่างที่จะทาให้รูหนอนขยายออกและค้างนานขึ้น ก็ด้วยแรงโน้มถ่วง ดังนั้นเมื่อเวลามีแสงเดินทางผ่านสสารตัวนี้ แสงจะถูกผลักออก สสารประหลาดที่ว่านี้จึงมีพฤติกรรมเหมือนเลนส์แยกแสง ซึ่งมันจะแยกลาแสงออกด้วยแรงโน้ม ถ่วง (ปรากฎการณ์นี้จะตรงกันข้ามกับเลนส์โน้มถ่วงที่เกิดขึ้นกับดาวฤกษ์ขนาดยักษ์ กาแลคซี หรือ หลุมดา อันกรณีนั้นแสงจะ ถูกรวมแสงด้วยแรงโน้มถ่วง) หรือพูดง่ายๆก็คือ สาเหตุที่เราเห็นรูหนอนเป็นเหมือนเลนส์แบบในหนัง Interstellar ดูเหมือนมัน ทาให้แสงที่อยู่รอบๆนั้น เดินทางแปลกๆไป จนเกิดเป็นภาพแปลกตาแบบนั้น ก็เป็นเพราะ "พวกคนในอนาคต" (ในท้องเรื่อง Interstellar) ได้เติมสสารประหลาดนี้เข้าไปในรูหนอนนั่นเอง มันไม่ได้เกิดจากตัวคุณสมบัติของรูหนอนเองที่ทาให้แสงที่เดิน ทางผ่านมันไปมีสภาพแบบนั้น ... และการที่สสารนั้นจะสามารถผลักผนังของรูหนอนให้ขยายได้ ด้วยแรงโน้มถ่วงนั้น สสารที่ว่า นั่นต้องมีความหนาแน่นพลังงานเฉลี่ยเป็นลบ! ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก เพราะสสารที่คุ้นเคยนั้น ความหนาแน่นพลังงาน เฉลี่ยล้วนเป็นบวกทั้งสิ้น และจากความประหลาดนี้เองจึงเรียกสสารนั้นว่า "สสารประหลาด ( Exotic matter)" ข้างต้น แต่ เนื่องจากกฎฟิสิกส์ที่เรารู้ในทุกวันนี้ มันยังไม่ได้ชัดเจนถึงขั้นเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล(ก็เรียกว่ายังรู้น้อยมาก) ดังนั้นจึง ยังฟันธง 100% ไม่ได้ว่า สสารประหลาดนั้นมีจริง หรือ ไม่มีอยู่จริงกันแน่ และต่อให้มีอยู่จริงมันก็อาจจะขยายรูหนอนไม่ได้ก็ เป็นได้ ทั้งเราก็ยังไม่รู้ว่าถ้าใส่สสารนี้เข้าไปในรูหนอน คุณสมบัติอันแสนประหลาดของมันจะยังคงอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า ดังนั้นจึงต้องศึกษาเรื่องนี้กันต่ออีกเยอะกว่าจะหาคาตอบได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส หรือไร้สาระเสียเลย (และบางทีการเข้าใจ กฎแรงโน้มถ่วงควอนตัม!? อย่างถ่องแท้ ก็อาจจะนามาซึ่งคาตอบสาหรับเรื่องนี้ได้ )

หลุมดา (Black Hole) หรือ การ์แกนทัวร์ (Gargantua) / +องค์ประกอบหลักๆของหลุมดาได้แก่ ขอบ ฟ้าเหตุการณ์ (Event Horizon), ซิงกูลาริตี้ (singularity) และวงแสงรอบหลุมดา (Accretion 8.

Disc) - ที่มาของ หลุมดา ดั้งเดิมก็คือดาวฤกษ์มวลหนักกว่าดวงอาทิตย์หลายเท่าที่หมดอายุขัย และเกิดปฏิกิริยาภายในเป็นแรงโน้มถ้ วงมหาศาลสูบยุบตัวเองทุกทิศทาง จนมวลอัดแน่นเล็กมาก มีจุดศูนย์กลางที่เล็กที่สุด เล็กกว่าอะตอม! ชนิดที่เรียกว่าได้เป็นจุด ที่เล็กเป็นอนันต์! และ ณ จุดนั้นเองอันเป็นใจกลางหลุมดา จะมีแรงโน้นถ่วงเข้มข้นมหาศาลเป็นอนันต์! เรียกจุดนั้นว่า " เอก

75


ภาวะ" หรือ ซิงกูลาริตี้ (singularity) ด้วยแรงโน้มถ่วงที่สูงมากกระทั้งแม้แต่แสงที่ถูกสูบเข้าไปแล้วก็ออกมาไม่ได้ เราจึงไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความดามืด จึงเรียกมันว่า "หลุมดา" ทั้งที่จริงแล้วภาวะของหลุมดามันไม่ได้มีลักษณ์เป็นหลุม หรือรู แต่เป็นทรงกลม 3 มิติมากกว่า แต่ที่เรียกว่าหลุมก็แค่อุปมาเป็นภาษาพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น (ก็ทานองเดียวกับ เรียก รู หนอน) ... และพลังแรงโน้มถ่วงที่แรงมากในระดับที่แสงก็ผ่านออกมาไม่ได้นี้ มันจะกินพื้นที่เป็นวงกว้างแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับ องค์ประกอบและมวลของดาวฤกษ์เดิมนั้นๆว่ามากแค่ไหนยิ่งมวลมากก็ยิ่งกว้าง หลุมดายิ่งมีขนาดใหญ่ โดยขอบเขตอิทธิพล ของแรงโน้มถ่วงที่แสงผ่านไปแล้วแล้วออกมาไม่ได้ข้างต้น เรียกพื้นที่นั้นว่า "ขอบฟ้าเหตุการณ์" (Event horizon) ก็ คือพื้นที่ของทรงกลมมืดดานั้นเอง และขนาดรัศมีของ"ขอบฟ้าเหตุการณ์ นั้นเรียกว่า "รัศมีชวาสชิลด์" (Schwarzschild Radius)19 และแน่นอนว่าเมื่อเลยออกจากขอบเขตของ ขอบฟ้าเหตุการณ์ ไปแล้วแรงโน้มถ่วงก็จะค่อยๆเจือจางลงไป ตามลาดับ

- ส่วนแสงที่อยู่รอบๆหลุมดา (ที่เห็นใน หนังนั้น) เรียกว่า "Accretion Disc" ก็คือ กลุ่มสะสมของ แก๊ส และ ฝุ่น ที่ได้รับ อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของหลุมดา มาหมุนกระจุกเป็นรัศมีรอบๆขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดา แต่ด้วยยังไม่ก้าวเข้าไปสู่พื้นที่ ในส่วนของขอบฟ้าเหตุการณ์เราจึงยังเห็นมันอยู่ โดย Accretion Disc จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ทั้งเปล่งแสงและปลดปล่อย รังสีเอ็กซ์ออกมา (+อย่าลืมว่าในพื้นที่อวกาศภายนอกขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดา ก็มีแรงโน้มถ่วงอื่นๆกระจายตัวทั่วไปด้วย ที่เกิดเป็น Accretion Disc หมุนรอบหลุมดาค้างอยู่ได้นั้น ก็เพราะแรงโน้มถ่วง+ทั้งแรงอื่นๆในอวกาศอื่นๆ ภายนอกนอกหลุมดา เป็นตัวดึงลางกระทาต่อกันและกันกับแรงโน้วถ่วงของหลุมดาอีกทีนั้นเอง และทั้งก็ยังมีแสงอื่นที่ผ่านเข้ามาสู่พื้นที่ Spacetime รอบหลุมดา อัน Spacetime รอบหลุมดาก็ย่อมต้องถูกบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงในระดับเป็นวงกลม แสงจึงหักเหเป็นวงกลมรอบหลุม ดาสมทบกับแสง Accretion Disc ด้วย หน้าตาของหลุมดาที่เกิดขึ้นจึงเป็นประมาณที่เห็นในหนัง อันถือได้ว่า หลุมดาใน Interstellar เป็นหลุมดาที่มีรูปหลักใกล้เคียงตรงกับทฤษฎีมากที่สุดที่เคยมีมาที่สุดแล้ว ... เพราะ ใน หนังส่วนใหญ่จะเป็นแผ่น โพรงดายุบแค่นั้น)

- ส่วน การ์แกนทัวร์ (Gargantua) ใน Intersellar ก็คือชื่อเรียก หลุมดาขนาดยักษ์ หรือ Supermassive Black Hole (ในรูปประกอบซ้ายข้างบนจะเห็นว่า ขนาดใหญ่มากๆ รัศมีเท่ากับระยะจากดวงอาทิตย์ถึงโลกเลยทีเดียว) การ์แกนทัวร์ เป็นหลุมดาที่มีการหมุนเป็นแรงเหวี่ยงรุนแรงมาก และหากมีดาวใดก็ตามที่อยู่ใกล้พื้นที่อิทธิพลแรงโน้มถ่วงของหลุมดาการ์ แกนทัวร์นี้มากๆ ก็จะส่งผลให้เกิดมีการบิดเบี้ยวของ Spacetime รอบดาวนั้นรุนแรงมาก ก่อเกิดเป็นปรากฏการณ์เวลาไม่เท่ากัน กับ Spacetime พื้นที่อื่น เช่นที่ 1 ชั่วโมงของพื้นที่ Spacetime ใกล้หลุมดาจะ = 7 ปี ของอีกพื้นที่หนึ่งอันเป็น Spacetime ปกติ ทั่วไป เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "Time dilation" (* ผลก็ดังที่เห็นกันไปในภาพยนต์ แต่กระนั้นคนที่อยู่ใน Spacetime ที่ถูกยืด บิดเบี้ยวนั้นๆ ก็จะไม่ได้รู้สึกว่าเวลามันเร็ว-ช้า หรือได้เวลาเพิ่มขึ้นแต่ประการใด ยังคงรู้สึกปกตินั้นเอง นั้นคือ เวลา 1 ชั่วโมงของ เขา ก็คือนาฬิกาเดิน 1 ชั่วโมงปกติ) ส่วนบริเวณรอบๆหลุมดาไม่ต้องพูดถึงเลย Spacetime บิดเบี้ยวรุนแรงมากชนิดที่ 1 ชม. รอบๆ ใกล้ชิดกับหลุมดานั้นอาจ = เป็น 100 ปี! ของโลกเลยทีเดียว * ขยายความเสริม:

กรณีขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดา

ปกติถ้าหากเมื่อยานอวกาศหรือวัตถุใดๆก็ตามได้เกิดก้าวล่วงเข้าไปใกล้เขตขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดามากๆแล้ว ก็เป็นอัน จะต้องถูกแรงโน้มถ่วงมหาศาลสูบจนเข้าไปสู่หลุมดาอย่างไม่มีทางเลี่ยง หากจะหนีออกมาเบื้องต้นมีทางเดียวเท่านั้น คือวัตถุ นั้นจะต้องเร่งความเร็วให้มากชนิดที่เร็วใกล้ความเร็วแสง หรือเท่ากับ หรือมากกว่า! จึงจะหลุดพ้นออกจากอิทธิพลแรงโน้มถ่วง ของหลุมดาได้ แต่ในทางทฤษฎีแล้วเป็นไปไม่ได้ที่วัตถุใดจะมีความเร็วมากกว่าแสง และเมื่อใดที่วัตถุเกิดก้าวล่วงเข้าไปในเขต 19

Schwarzschild Radius เพื่อเป็นเกียรติแด่นักฟิสิกส์ผู้เกี่ยวของกับทฤษฎีหลุมดาอีกคนนาม ชวาสชิลด์

76


ขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดาเรียบร้อยแล้วก็เป็นอันไม่สามารถออกมาได้อีกต่อไปตลอดกาลต่อให้มีความเร็วเท่าแสงก็ตาม (เพราะ แสง ออกก็ออกมาไม่ได้ดังเกริ่น) ... คา "ขอบฟ้าเหตุการณ์" เกิดจากการเปรียบดั่ง ดวงอาทิตย์ที่พ้นขอบฟ้าไป มันแค่ พ้นขอบฟ้าไปเท่านั้น ไม่ได้หายไป เหมือนกับหลุมดา ถ้าเราเลยขอบเขตนั้นไปแล้ว ไม่ได้แปลว่าข้างในจะหยุดนิ่ง เหตุการณ์ ของมันยังดาเนินต่อได้ แต่มันแค่ส่งข้อมูลออกมาไม่ได้ จึงเรียกขอบเขตนั้นว่า "ขอบฟ้าเหตุการณ์" ซึ่งเป็นขอบเขตสุดท้ายที่จะ ส่งข้อมูลออกมาได้ หรือมองเห็นเหตุการณ์ใดๆได้ เราจึงไม่รู้ว่าจริงๆแล้วภายในหลุมดานั้นคืออะไรมีภาวะอย่างไร แต่ที่แน่ๆเชิง ทฤษฎีด้วยหลุมดามีแรงโน้มถ่วงมหาศาล แค่เราหรือวัตถุใดเฉียดเข้าใกล้ บริเวณขอบฟ้าเหตุการณ์ วัตถุก็จะโดนแรงโน้มถ่วง ดึง-ฉีกร่างแหลกกระจุยกระจายเป็นเสี่ยงๆแล้ว อย่าว่าแต่เข้าไปสู่ใจกลางหลุมเลย! * แต่กระนั้นทางทฤษฎีก็ได้มีการคาดการณ์ว่า หลุมดาที่พึ่งเกิดเช่นพึ่งเกิดได้ไม่กี่ชั่วโมง ถ้ามียานหรือมนุษย์อวกาศลงไปหลุม ดา ทันทีที่มนุษย์อวกาศคนนั้นเข้าถึงขอบฟ้าเหตุการณ์ก็จะ ถูก แรงไทดัล (Tidal Force) (หรือผลกระทบทุติยภูมิที่เกิดจากแรง โน้มถ่วง) ดึงฉีกร่างแหลกทันที! ... แต่ถ้ารอจนหลุมดามีอายุหลายวัน แล้วมนุษย์อวกาศคนที่ 2 ลงไป พอคนนั้นผ่านขอบฟ้า เหตุการณ์จะไม่ตายทันทีเพราะแรงไทดัลลดลง แต่แล้วถ้าตกลึกลงมาเรื่อยๆสุดท้ายก็โดนแรงไทดอลฉีกร่างตายแบบคนแรก อยู่ดี ... และเมื่อหลุมดามีอายุหลายปี แล้วมีมนุษย์อวกาศคนที่ 3 ลงไปหลุมดา พอผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ไปเขาจะยังไม่ตาย โดยทันที ทาให้เขามีชีวิตอยู่ได้อีกหลายชั่วโมงผ่านไป จนเขาก็จะค่อยๆตกลึงลงไปจนกระทั้งได้เจอเอกภาวะข้างใน และแล้ว เขาก็จะถูกแรงโน้มถ่วงสูงอนันต์ฉุดกระชาก ซึ่งไม่ใช่กระชากแบบแรงดึงดูดปกติ แต่เป็นการกระชากดึงดูดในระดับที่อนุภาค เล็กกว่าอะตอมยังต้องเสียรูปทรงไปด้วย สุดท้ายอนุภาคอะตอมทั้งหลายจะเข้าไปรวมกับเอกภาวะ (*และในหนัง Interstellar ก็น่าจะใช้หลักการนี้ คูป เลยไม่ร่างแหลกตายในทันที ... ทั้งหนังก็จินตนาการเสริมต่อไปว่าภายในหลุมดาเป็นห้อง Tesseract สร้างโดยมนุษย์มิติที่สูงกว่าในอนาคต ดังที่ได้ทราบกันในท้องเรื่อง :) 9. เทสเซอแรคท์ (Tesseract): (ท้องเรื่องคือห้องมิติพิศวงในหลุมดา): ในคลิปล่างนี้ คือ จินตนาการถึง 4 มิติ ของ มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต 3 มิติอย่างเรา ที่เรียกกว่า Tesseract หรือ Hypercube หรือ Hyperspace ... ใน Interstellar 2014 ถ้าใครนึกออกก็คือฉากห้องที่คูปลงไปในหลุมดาแล้วนั้นเอง ซึ่งจริงๆเป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่ภาวะ 3 มิติปกติ แต่เป็นภาวะ 4 มิติ (หรือ มากกว่า) ... คนในอนาคตจึง พยายามสร้างให้ คูป ที่มีร่าง 3 มิตินั้นได้คุ้นเคย ผลออกมาก็ตามที่เห็นในท้องเรื่อง เป็นห้อง Tesseract ดังทีเ่ กริ่นไว้

*ภาพจากหนังสือ The Science Of Interstellar โดย Kip Thorne (นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ผู้เป็นที่ปริกษา Interstellar) * เสริมสังเขป 0 มิติ = จุด, 1 มิติ = เส้น, 2 มิติ = พื้นที่ กว้างXยาว, และ 3 มิติ = กว้าง x ยาว X ลึก และเมื่อเรามี เวลา รวมกันแล้ว = Spacetime ก็เหมือนจะถือว่าเป็น 4 มิติด้วยก็จริง แต่ในเมื่อเวลาใน 3 มิติของเรา ยังเดินเป็นเส้นตรงเท่านั้น คือ จาก อดีต >สู่ปัจจุบัน >อนาคต จึงยังไม่นับว่าเราอยู่ในโลก 4 มิติที่แท้จริง ยังคงถือว่าเป็น 3 มิติอยู่นั้นเอง เพราะเวลาในแบบ 4 มิติจริงๆนั้น มันซ้อนได้-ย้อนได้! แบบจักรวาลมิติคู่ขนาน (*กรณีจักรวาลคู่ขนาน จะมีอธิบายในส่วนต่อไป) 4 มิติ คือ ก็ 3 มิติซ้อน 3 มิติอีกที (ทาแบบ Tesseract ) +กับ เวลา ที่ซ้อนกันด้วย (*และมันก็คือ ภาวะ spacetime ภพซ้อนภพ ทวีคูณ เวลาก็ทวีคูณ เป็นทานองมิติคู่ขนาน) * แต่กระนั้นพึงระลึกว่า คนหรือสิ่งมีชีวิต 3 มิติ จะไม่มีวันเข้าใจ 4 มิติได้ 100% ทา ได้ก็เพียงแค่จาลองจินตนาการถึง หรืออุปมาให้พอเห็นคอนเซ็ปเทียบกับในโลก 3 มิติของเราเท่านั้น ? (ยกเว้นเรามีเครื่องมือ พิเศษ ในอนาคต?)... เพราะด้วยปกติสิ่งมีชีวิตที่มีมิติต่ากว่า จะไม่มีวันได้เห็น-รับรู้โลกของสิ่งมีชีวิตในมิติที่สูงกว่าได้เลย อาทิ ถ้ามีสิ่งมีชีวิต 2 มิติ และมันเกิดมาเห็นเรา-รับรู้เราซึ่งเป็น 3 มิติ สุดท้ายมันก็จะเห็นเราแค่ 2 มิติเท่านั้น ถ้าจะอุปมามีพวก 2 มิติมา เห็นเรา ก็คงทานองเห็นตัวเราเป็นแบบแค่เงาของเราบนแผ่นระนาบกาแพงเท่านั้น จะไม่สามารถเห็นความลึกและรายละเอียด พื้นผิวต่างๆที่เป็น 3 มิติของเราเลย

77


ส่วน 5-6 7... มิติ ก็ยิ่งจะเหนือความเข้าใจไปอีก (แต่มันก็มีอยู่ตามทฤษฎีสตริงในระดับอนุภาคเล็กกว่าอะตอม!) ...* และจริงๆ แล้ว Spacetime รอบตัวเราก็มีครบทุกมิติ เพียงแต่เรารับรู้ได้แค่ 3 มิติแค่นั้น จีงเรียกจักรวาลที่เรารับรู้ใช้ชีวิตอยู่ได้นี้ว่าเป็นระบบ 3 มิติ แต่กระนั้นก็มีจักรวาลอื่นที่มีมิติที่มากกว่า (หรือน้อยกว่า) ทั้งมีสิ่งมีชีวิตมิติที่สูงกว่าด้วย ซ้อนจักรวาล 3 มิติเราอีกที (แต่ เรารับรู้ไม่ได้เอง) ... ที่ว่ามาอาจงง+พิลึกหน่อย แต่หวังว่าพอเก็ทไอเดียกว้างเบื้องต้น ก็พอแล้ว (ก็อย่าเพิ่งซีเรียส เพราะมัน เป็นเรื่องเหนือหรือแย้งกับสามัญสานึกไปมาก)

จากรูปประกอบ ด้านบนนี้ : โลก 2 มิติ(Flatland View) อันสิ่งมีชีวิต 2 มิติ มองเห็นโลก 3 มิติของเรา (เทียบกัน richer view ด้านล่าง) นั้นคือ มันจะเห็นเป็น เส้นเท่านั้น (ในพื้นที่หรือจักรวาลของมันที่ซ้อนจักรวาลเราอยู่ในที่เดียวกันนี่แหละ ในรูปก็คือ บริเวณเส้นเป็นตัวแทนพื้นที่โลกหรือจักรวาล) แต่จากภาพจะพบเห็นว่ามันจะรับรู้ไม่ได้ทั้งหมด บางอย่างมันก็มองไม่เห็นอาทิ ลูกบิลเลียดที่ยังไม่กลิ้งมา เช่นเดียวกับที่คน 3 มิติอย่างเรา ไม่สามารถรับรู้บางอย่างของมิติที่สูงกว่า ถึงเห็นบ้างก็แค่บางส่วน และสิ่งที่เรามองไม่เห็นก็ต้องถือว่าไม่มีไว้ก่อน แต่ในความเป็นจริงมันมีอยู่ อย่างบางทีเราก็พบปรากฏการณ์แปลกๆ ซึ่งก็คง ทานองที่ลูกบิลเลียดในรูปเมื่อได้กลิ้งผ่านไปยังพื้นที่โลก 2 มิติแล้ว แต่ชีวิต 2 มิติ ก็จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะจะเห็นเป็นเส้น เพียงเป็นแสงสีแวบๆไม่คงที่ แท้จริงคือลูกบิลเลียดอันเป็น 3 มิติ ได้กลิ้งผ่านจักรวาล 2 มิตินั้นไปนั้นเอง) มิติที่ 0: = จุด (ไม่มีระยะ) แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไร มันมีของมันอยู่ (อาจมีสิ่งมีชีวิตชั้นต่าแบบ 0 มิติ ซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร? +_+ ) มิติที่ 1: = เส้น (จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง) มิติที่ 2: = เส้นเชื่อมกันเป็นมีพื้นที่ กว้าง x ยาว มิติที่ 3: = กว้าง x ยาว x ลึก (หรือ มีแกน x y z ครบ มีปริมาตร) อันคือภาวะชีวิตของมนุษย์-สัตว์โลกพวกเรานั่นเอง (เรารับรู้มิติ ที่ต่ากว่าได้ แต่ไม่สามารถรับรู้มิติที่สูงกว่า แค่ทาความเข้าใจได้บ้างเท่านั้นแต่ไม่มีวันรับรู้ 100% ... เหมือนชีวิต 2 มิติที่เห็นได้ แค่เส้น แต่ตัวที่ฉลาดอาจพอเข้าใจได้ว่าจริงๆมันก็มีมิติที่ 3 อย่างเราด้วย แต่ยังไงก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรที่เป็น 3 มิติได้อยู่ดี ทั้งๆพวก 2 มิติก็อยู่ในพื้นที่ 3 มิติเช่นเดียวกับเรา เป็นภพซ้อนภพ ... (ยกเว้นในอนาคตมันมีเครืองมือพิเศษก็อาจเห็นได้) ) มิติที่ 4: = กว้าง x ยาว x ลึก + "เวลา" เรียกรวมกันว่า Spacetime ... แต่ปกติแล้ว เวลา จะอยู่กับทุกมิติตั้งแต่มิติที่ 1 เป็นต้นไป อยู่แล้ว (ส่วนมิติที่ 0 น่าจะยังไม่มีเวลา ?) ... แต่ใน 1-3 มิติ เวลาจะเป็น 1 มิติ ก็คือ เวลาจะเดินเป็นเส้น จากอดีต สู่ปัจจุบัน เท่านั้น เวลาย้อนกลับไม่ได้ ... แต่สิ่งมีชีวิตในมิติที่ 4 สามารถเดินทางย้อนเวลาไปมาระหว่าง อดีต ปัจจุบัน อนาคต ได้ แต่ เดินทางเป็นเส้นเดียวดังกล่าว มิติที่ 5: = Spacetime (ซ้อน2ชัน ้ !) + ที่เวลา 2 มิติ (ลองนึกภาพ เวลามีแกน x y จากเดิมในมิติที่ 4 มีแค่แกนเดียว) นั้นคือ สิ่งมีชีวิตในมิตินี้ สามารถเดินทางย้อนเวลาไปมาได้ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ได้ในลักษณะของ เวลาเป็น 2 มิติ (ถ้าอุปมาคนเรา ก็ คือ ในมิตินี้ เราสามารถ เห็นตัวเองและคนอื่นๆในช่วงเวลาไหนก็ได้ และยังเห็นช่วงเวลาตัวเรามีหลายตัวตน หลายอาชีพ นั้นคือ มีนับจากมิตินี้เป็นต้นไปเป็น จักรวาลคู่ขนาน มิติที่ 6: = Spacetime (ซ้อนทบทวีอีกชั้น!) + เวลา ที่มี 3 มิติ (ลองนึกภาพ เวลามีทั้งแกน x y z) นั้นคือ สิ่งมีชีวิตในมิตินี้ สามารถเดินทางย้อนเวลาได้ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ได้ และอยู่ใน อดีต ปัจจุบัน อนาคต ในจักรวาลคู่ขนานต่างๆได้พร้อมๆกันใน ที่คราวเดียวได้อย่างอิสระ +_+ มิติที่ 7: = ลองจินตนาการเอามิติที่ 6 ทั้งมิติ มาซ้อนรวมกันอีกที นับเป็น 1 จักรวาล โดยอุปมามองจักรวาลมิติที่ 6นั้น เสมือน 0 มิติ คือเป็นมองจักรวาลทั้งจักรวาลเป้น จุดหนึ่งจุด... ถึงตอนนี้ แต่ละจุดคือ 1 จักรวาล และมันมีหลายจุดหรือมีหลายจักรวาล หรือที่เรียก พหุจักรวาลหรือจักรวาลคู่ขนานซ้อนจักรวาลคูขนานอีกที + _+ (Multiverse) สิ่งมีชีวิตในมิตินี้ แน่นอนว่าย้อนเวลา

78


ได้อย่างอิสระในมิติของตัวเอง แต่ยังไปสู่จักรวาล Spacetimeในระดับพหุจักรวาลซ้อนอื่นๆไม่ได้ แต่รับรู้ถึงพหุจักรวาลอื่นได้ว่า มีอยู่ มิติที่ 8: = จินตนาการเอาพุหจักรวาลต่างๆมิติที่ 7 มาลากต่อกันกับจักรวาลอื่นเป็นเส้นอีกที (หรือเสมือน 1 มิติ) ... สิ่งมีชีวิตใน มิตินี้เดินทางไปสู่พหุจักรวาลที่มิติที่ 8 อื่นๆได้ด้วยแบบเส้นตรงเท่านั้นนั้น คือ ย้อนไปกลับได้ (หมายถึงไปทั้งในส่วนพื้นที่ (Sapce) และเวลา(Time) ที่ซ้อนกัน) มิติที่ 9: = เอาพุหจักรวาลต่างๆมิติที่ 8 มาต่อเป็นเส้นลากต่อเป็นแผ่น หรือที่เรียกว่า Membrane (หรือเสมือนแผ่น 2 มิติ) ... สิ่งมีชีวิตในมิตินี้ เดินทางไปสู่มิติอื่นๆระหว่างพหุจักรวาลได้แบบมีพื้นที่กว้างยาว ไปหน้าถอยหลังซ้ายขวารอบทิศได้ แต่ยังไม่มี ความลึก มิติที่ 10: = ที่สุดของที่สุดเท่าที่มนุษย์พอจะจินตนาการถึงได้ ... พหุจักรวาลทั้งจักรวาลของมิติที่ 9 ที่กลายเป็นก้อนมีความลึก สมบูรณ์และซ้อนกัน ... สิ่งมีชีวิตในมิตินี้เดินทางไปสู่มิติอื่นๆระหว่างจักรวาลมิติต่างๆได้แบบมี พื้นที่กว้างยาวลึกซ้อนอย่าง อิสระแทบอนันต์! แบบที่คนมิติที่ต่ากว่านั้นไม่สามารถจะจินตนาการว่ามันจะออกมารูปไหน (จริงๆมันก็เริ่มจะเกินจินตนาการสุด ขั้วตั้งแต่ มิติที่ 6 แล้ว +_+) ปล. มิติอื่นๆที่มากกว่านี้ มีไหม คิดว่าอาจมี? ก็ให้นึกย้อนถึงกรณีในรูปชีวิตของพวก 2 มิติ เป็นอุทาหรณ์ สิ่งที่เรามองไม่เห็นหรือ จินตนาการไม่ถึง ก็ใช่ว่าจะไม่มี ? แต่ ณ ขณะนี้เราพอจะรับรู้หรือจินตนาการถึงได้เท่านี้ แค่ 11 มิติ ดังว่ามา

10. บัลค์ (Bulk): พื้นที่เชื่อมระหว่างมิติที่ต่างกัน หรือภาวะที่มิติหรือภพภูมิหนึ่ง ได้ไปอยู่ในอีกภพภูมิอื่นอันเป็นคลละมิติ กันได้ +_= ...ท้องเรื่องใน Interstellar ก็หมายถึงพื้นที่จาลองภายในหลุมดาโดยจาลองสภาวะภพภูมิของมิติที่ต่ากว่า อาทิ คู เปอร์เป็นคนในระบบ 3 มิติ แต่ไปอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่า 3 มิติ ( 4-5... มิติ) แต่โดยหลักการเบื้องต้นแล้ว (ดังเกริ่นในข้อที่แล้ว Tesseract ) เป็นไปไม่ได้ที่คนในมิติต่ากว่าจะสามารถรับรู้มิติที่สูงกว่า จึงจาเป็นต้องสร้างพื้นที่พิเศษ 4 มิติจาลองขึ้นมา เพื่อที่ คนที่เป็น 3 มิติอย่างคูเปอร์พอที่จะสามารถรับรู้ได้และใช้ประโยชน์ได้บ้าง (แต่ยังไงก็ไม่สามารถรับรู้แบบ 100% ได้เทียบเท่า กับสิ่งมีชีวิตที่มากกว่า 4 มิติแท้ๆ) ซึ่งพื้นที่จาลองในท้องเรื่องก็คือห้อง Tesseract ดังที่ได้เกริ่นไปแล้ว และก็เรียกห้องนี้เป็น ศัพท์ฟิสิกส์ทางการอีกอย่างว่า "Bulk"(ดังนั้นถ้าว่าตามในหนังก็ไม่มีอะไรมากแค่ชื่อเรียกอีกชื่อของ Tesseract หรือ Hyperspace) ... +มีศัพท์อีกคาที่เกี่ยวข้องกับ Bulk แต่ไม่ได้เอ่ยในหนังก็คือ "Brane"(Membrane) คา Brane ก็คือจักรวาล นั้นเอง ใช้เรียกในกรณีแนวคิดของทฤษฎีจักรวาลคู่ขนาน(Parallel Universe)และ พหุจักรวาล(Multiverse) (อันเป็นผล สมมุติฐานจาก ทฤษฎีควอนตัม-ทฤษฎีสตริง-ทฤษฎี M *จะอธิบายต่อไป) เป็นแนวคิดที่ว่า มีจักรวาลมีหลายจักรวาล และแต่ละ จักรวาลก็อาจมีทั้งที่เป็นมิติเหมือนกันก็ได้หรือต่างกันก็ได้ อาทิ จักรวาลของเราถือเป็น 3 มิติ จักรวาลอื่นมีมิติมากกว่าเป็น 4 -5 มิติหรือสูงกว่านั้น และแม้บางจักรวาลเป็นระบบ 3 มิติเหมือนกัน แต่ก็อาจอยู่ในกฏธรรมชาติหรือกฏฟิสิกส์ที่ต่างกัน! ก็พูดได้ว่า เป็นคนละ Brane กัน * สรุปเสริม: 1 Brane = จักรวาลหนึ่ง ส่วน Bulk อุปมาก็คือพื้นที่ระหว่างจักรวาลต่างๆ หรืออีกนัยยะก็เป็นพื้นที่หรือ ภาวะพิเศษที่ช่วยให้สิ่งที่มีมิติต่ากว่า พอจะรับรู้หรือไปอยู่ในจักรวาลอื่นมิติที่สูงกว่าได้ และจักรวาลแต่ละจักรวาลที่จริงแล้วมัน ซ้อนกันอยู่!(ประมาณภพซ้อนภพโลกซ้อนโลก!) ประหนึ่งก็อยู่ในที่เดียวกันนั้นแหละ! ซึ่งเป็นภาวะที่นามธรรมมากและเหนือ สามัญสานึกมาก การอธิบายหรือการแสดงเป็นรูปภาพต่างๆอย่างภาพข้างล่างนี้จึงแค่การอุปมาให้เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้นไม่ได้ หมายความว่าจักรวาลมันเป็นแผ่นๆแบนๆ (ก็ทานอง หลุมดา หรือ รูหนอน เป็นแผ่นๆ แต่หน้าตาจริงๆไม่ใช่หลุมหรือรูแต่ประการ ใด แต่เป็นลักษณะแบบทรงกลมมากกว่า กรณี Brane ก็เช่นกัน เพราะจักรวาลไม่ได้เป็นแผ่นกระดาษ)... (Brane และ Bulk คือ ผลการศึกษาของ string theory, superstring theory และ M-theory ซึ่งอย่างที่รู้กัน อันมีแต่เรื่องบ้าๆ! เกินสามัญสานึก... ทฤษฎีเหล่านี้ศึกษาระดับอนุภาคเล็กมากกกกแบบ SubของSub-Atom!)

11. ทฤษฎีควอนตัม (Quantum theory หรือ Quantum physics): คือทฤษฎีฟิสิกส์ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยว สสาร(+พลังงาน)ในระดับอนุภาคที่เล็กยิ่งกว่าองค์ประกอบของอะตอม!โดยเฉพาะ(ดูรูปล่างประกอบ) และพบว่ายิ่งเล็กมาก เท่าไหร่ ก็จะยิ่งพบความพิลึก เพราะมันมีพฤติกรรมประหลาดและเหลือเชื่อเหนือสามัญสานึกมากมาย เรียกว่าสาหรับในโลก ระดับอนุภาคหรือควอนตัมแล้ว แม้แต่กฏฟิสิกส์ทั่วๆไปหรือทฤษฎีสัมพัทธภาพที่เราคุ้นเคย ก็ไม่สามารถใช้กับมันได้ ทั้งยังมี ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตัวแปรอย่างผู้สังเกต อันจะส่งผลต่อพฤติกรรมของมันให้เปลี่ยนไปอีกแบบด้วย อาทิ บางทีอนุภาค เปลี่ยนสภาวะเป็นคลื่นเมื่อเราไม่สังเกต แต่พอมีการเข้าไปสังเกตตรงๆกลับเปลี่ยนเป็นอนุภาค (ราวกับจะตอบโต้/มีชีวิต!) หรือ อุปมาในทานองที่ว่า ดวงจันทร์จะหายไป(หมายถึงหายสาบสูญไปเลยจริงๆ) หากไม่มีผู้สังเกตไปเพ่งมองเห็นมัน ที่มีดวงจันทร์

79


ก็เพราะมีผู้ไปสังเกตมันปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และทุกอย่างในจักวาลอุบัติขึ้นตามปฏิกิริยาจากการมีสิ่งไปสังเกตและวัตถุที่ถูก สังเกต ประหนึ่งมาคู่กันเสมอและอะไรที่เหนือสามัญสานึกที่เรียกกันว่าปาฏิหาริย์ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้นั้น ล้วนมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ในโลกของควอนตัน อาทิ การย้อนเวลา, การหายตัว, การปรากฏเป็นหลายร่าง, หรือการมีมิติที่มากกว่า 3 มิติ ฯลฯ ซึ่งถ้ามี การศึกษาและพัฒนาควอนตัมมากขึ้นจนเข้าใจกลไกของมันลึกขึ้นและสามารถควบคุมมันได้ (ตัวอย่าง องค์กรดังที่กาลัง ศึกษา-ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับอนุภาค/ควอนตัมอยู่ ที่โด่งดังก็อาทิ CERN) ในอนาคตก็ไม่แน่ที่จะประยุกต์มาใช้ในชีวิตจริงๆก่อเกิด เป็นสิ่งเหลือเชื่ออีกมากมาย อาทิ การหายตัว! หรือการบีบ แบบใน Star Trek ที่ย้ายร่างหรือวัตถุใดๆจากที่หนึ่งไปยังอีกที่อย่าง รวดเร็วพริบตา หรือการติดต่อกับสู่มิติที่สูงกว่าที่ 4 5 6 ... และใน Intersellar เอง สมการควอนตัม (ปริศนา) ก็คือตัวแปรที่น่าจะ ใช้จัดการกับแรงโน้มถ่วง ช่วยอพยพคนย้ายจากโลกไปที่อยู่ใหม่อย่างสถานีโคโลนีได้ ซึ่งก็คือ "กฎแรงโน้มถ่วง

ควอนตัม" (ในหนังก็ไม่ได้บอกว่า คือ สมการอะไร และย้ายผู้คนออกนอกโลกได้อย่างไร แต่น่าจะทานองการ บีม หรือหาย ตัว? อันนี้คิดเว่อร์ไปเอง

* เสริมเพิ่ม

ที่เกี่ยวข้องกับต่อเนื่องจาก ทฤษฎีควอนตัม

- กฎแรงโน้มถ่วงควอนตัม (Quantum Gravity) คือ กฎฟิสิกส์ที่ได้จากการรวมกันของสัมพัทธภาพทั่วไป กับ กลศาสตร์ควอนตัม แต่น่าเสียดายที่เมื่อรวมกันแล้ว ในความจริงจริงกลับยังทาความเข้าใจได้น้อยมาก และในท้องเรื่องกฎ ฟิสิกส์หรือสมการปริศนาที่เมิร์ฟได้รับจากคูเปอร์ก็น่าจะเป็นกฎแรงโน้มถ่วงควอนตัมนี่เอง อันเป็นสมการในรูปแบบที่ทาความ เข้าใจได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เนื่องจากเมิร์ฟได้รับข้อมูลที่อยู่ข้างในขอบฟ้าเหตุการณ์และบริเวณที่มีซิงกูลาริตี้โดยตรง จึงได้ค่า ต่างๆตามความเป็นจริง (ไม่ใช่การคานวณทางคณิตศาสตร์ผ่านแบบจาลอง) และนั่นนาไปสู่การเข้าใจกฎแรงโน้มถ่วงควอนตัม ที่สมบูรณ์ และหนึ่ง ในผลลัพธ์ที่ได้จากการเข้าใจในสิ่งนี้ที่ปรากฎในหนัง คือ การสร้างโคโลนี ที่ทาให้มันลอยออกนอกโลกไป ได้ โดยที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงใดๆ เป็นการควบคุมแรงโน้มถ่วงได้อย่างสมบูรณ์ ... และตอนคูเปอร์อยู่ใน Tesseract คูเปอร์ได้ ส่งข้อมูลด้วยการส่ง "คลื่นแรงโน้มถ่วง"(Gravitational Wave) ซึ่งส่งเป็นจังหวะของรหัสมอร์ส คลื่นแรงโน้มถ่วงคือ ริ้วความโค้งของ Spacetime ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าแสง อันในความเป็นจริง ไอน์สไตน์ ก็ได้เคยพยากรณ์สิ่งนี้ตั้งแต่ปี 1916 แล้ว - ทฤษฎีสตริง (String Theory / Superstring Theory): เป็นการศึกษาอนุภาคที่ยกเลิกสมมุติฐานในทฤษฎีควอนตัม ที่ว่าอนุภาคที่เล็กที่สุดนั้นเป็นเหมือนจุดหรือเม็ดๆ(0มิติ) โดยแทนทีด้วยแนวคิด อนุภาคเล็กสุดจะมีลักษณะคล้ายสตริงหรือสาย (1มิติ) และทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ก็จากความถี่หรือการสั่นของสตริงที่แตกต่างกันออกไป ถี่น้อยก็เป็นสิ่งหนึ่ง ถี่มากขึ้นก็เป็นอีก สิ่งหนึ่งไปไม่รู้จบสิ้น ทาให้มีความหวังว่าทฤษฎีสตริงจะพัฒนาไปสู่การช่วยให้ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงควอนตัมเป็นที่เข้าใจได้ง่าย ขึ้น นอกจากนี้ทฤษฎีสตริงยังปรากฏว่าสามารถที่จะรวม แรงธรรมชาติที่รู้จักทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ (แรงโน้มถ่วง , แรง แม่เหล็กไฟฟ้า, แรงอันตรกิริยาแบบอ่อน และแรงอันตรกิริยาแบบเข้ม) ด้วยชุดสมการเดียวกัน - M Theory: เป็นศาสตร์ฟิสิกส์อีกแขนงที่พัฒนาต่อยอดจากทฤษฎีสตริง ซึ่งว่ากันว่าเป็นศาสตร์ที่ยากที่สุดบนโลกที่จะทา ความเข้าใจหรืออุปมาให้เข้าใจกันง่ายๆได้ ก็อาจจะเข้าใจกับในหมู่นักฟิสิกส์ที่ศึกษาด้านนี้โดยตรงเท่านั้น ... ถูกพัฒนาโดย Edward Witten นักคณิตศาสตร์-ฟิสิกส์ ชาวอเมริกัน และเชื่อว่า มันจะเป็นทฤษฏีที่อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างครอบคลุม ที่สุด - มิติคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน (Parallel Universe): รากเหง้าที่มาของแนวคิดนี้เกิดมาจากทฤษฎี ควอนตัม และ ทฤษฎีสตริง/ซุปเปอร์สตริง และทฤษฎี M ข้างต้นนั่นเอง ด้วยทาให้เราเห็นพฤติกรรมประหลาดของอนุภาคอย่าง หนึ่งคือ ในระดับอนุภาคแล้ว มันสามารถอยู่ในหลายๆที่พร้อมกันได้ เข้าทานองมีตัวเราหลายคนแต่อยู่ในมิติหรือจักรวาลอื่น

หลายๆที่ในคราวเดียวได้ อีกนัยยะก็คือสะท้อนว่ามันมีหลายจักรวาล! ที่เรียกว่า "พหุจักรวาล"(Multiverse) และดังที่ ได้กล่าวไปแล้วว่า แต่ละจักรวาลอาจมี 3 มิติเท่าเรา หรือน้อยกว่า หรือสูงกว่าก็ได้ ... และนักฟิสิกส์พบว่าจานวนมิติต่างๆของ Spacetime ในจักรวาลอาจจะมีถึง 10 มิติ คือ เวลา+อวกาศอีก 9 มิติ ทั้งในทฤษฎี M ยังพบว่า Spacetime อาจจะมีได้ถึง 11 มิติ คือ เวลา และอวกาศอีก 10 มิติ แต่สาหรับในจักรวาลของเรานั้น เราสังเกตจะจานวนมิติได้เพียงแค่ 4 มิติเท่านั้น ทั้งยังถือว่าเรา ยังมีเข้าใจต่อ มิติ เวลา ยังน้อยอยู่มาก ... ทฤษฎีสตริงเรียกมิติที่เกินกว่ามิติ 4 เป็น

มิติพิเศษ (Extra dimension)

จากทฤษฎีทั้งหมดทั้งปวงหลายๆอย่างก็ออกจะแสนจะพิศวงงงงวยออกจะเหนือสามัญสานึกไปจนยากจะเชื่อ ... ทาให้นึกถึง คาโปรยหนึ่ง จาก Teaser ตัวแรงสุดของ Interstellar นั้น... "เรามนุษยชาติยังเป็นแค่ผู้บุกเบิก

ไม่ได้เริ่มต้นเลยด้วยซ้า!"

80

เรียกว่าแทบ


ยานอวกาศในทะยานดาวกู้โลก SPACESHIPS OF 'INTERSTELLAR' โดย สนทนาไซ-ไฟ

- Space Launch System: กระสวยอวกาศที่ส่งยานและสัมภาระทุกสิ่งทุกอย่างจากพื้นโลกสู่ห้วง

อวกาศ ... *ดูในรูปประกอบล่างนี้เมื่อเปรียบเทียบกับ Space Shuttle หรือกระสวยอวกาศจริงๆของ NASA แล้ว จะพบว่าใน Interstellar นั้นใหญ่กว่าสองเท่า - เอ็นดูแรนซ์ (Spaceship Endurance): หรือยานแม่หลักที่มีลักษณะเป็นรูปวงแหวนมีกล่องโมดูล

ต่างๆล้อมรอบ และจะหมุนวนเพื่อสร้างพลังงานในการขับเคลื่อน ทั้งสร้างแรงโน้มถ่วงเทียมภายในยาน (เพราะในอวกาศมีแรงโน้มถ่วงน้อยจนตัวลอย จึงต้องสร้างแรงโน้มถ่วงเทียมขึ้นมาเพื่อสะดวกในการ ดารงชีวิต)

- เรนเจอร์ (Ranger): ยานสารวจลาเล็กที่ใช้สาหรับเดินทางเข้าไปสารวจในดาว ที่เน้นความคล่องตัว

และรวดเร็ว ในเอ็นดูแรนซ์จะประกอบไปด้วย เรนเจอร์ 2 ลา คือเรนเจอร์ 1 และเรนเจอร์ 2

- แลนเดอร์ (Lander): ยานสารวจอีกแบบที่ติดมากับยานเอ็นดูแรนซ์ มีลักษณะใหญ่กว่าเรนเจอร์ เป็น

ยานที่เน้นทางานในภาคพื้นดิน บรรทุกสัมภาระอุปกรณ์ต่างๆในการตั้งอาณานิคมบนดวงดาว รวมทั้งโพรบ (ข้อถัดไป) แลนเดอร์มี 2 ลาเช่นกัน

- โพรบ

(Probe): ใช้เรียกอุปกรณ์หรือยานลาเล็ก ที่ไม่มีคนบังคับ ที่ถูกส่งออกไปเพื่อสารวจดวงดาว และส่งข้อมูลของสภาพดาวกลับมายังฐาน (Probe ถูกสร้างขึ้นใช้จริงๆมากมายรูปแบบต่างๆกันไป ไม่ได้มี เฉพาะในหนัง) 81


* เสริม:

สลิงช็อต (Sling shot หรือ Gravitational Slingshot หรือ Gravity Assist): คือวิธีการหนึ่งที่ใช้

ในการเดินทางระหว่างดาวในอวกาศจริงๆ โดยส่งยาน Probe หรือยานอื่นๆก็ตาม ให้เคลื่อนที่ไปใกล้กับ ดาว(หรือเทหวัตถุใดๆในอวกาศ)และอาศัยแรงเหวี่ยงจากแรงโน้มถ่วงของดาวนั้นๆ ช่วยผลักยานให้ เคลื่อนที่ไป แทนที่จะใช้พลังขับเคลื่อนหลักตัวจากยานเองล้วนๆอย่างเดียว ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงาน ยานได้ไปในตัว โดยเฉพาะถ้าดาวหรือเทหวัตถุที่มีมวลมากหรือมีแรงโน้มถ่วงสูงก็จะเหวี่ยงแรงผลักได้ แรงขึ้นอีกมากนั่นเอง (อาทิการสลิงช็อตใกล้ ดวงอาทิตย์ หรือ หลุมดา) ประเด็นนี้ หลายคนคงไม่คุ้นเคย จึงไม่รู้ว่า แท้จริงการเดินทางนอกอวกาศนั้นไม่ใช่แค่ขับพุ่งยานไปข้างหน้าบังคับซ้ายขวาตามใจชอบแบบ ขับรถในโลกเรา ... เหตุก็ด้วยนอกอวกาศมีแรงโน้มถ่วงมากมายรบกวนโดยเฉพาะยิ่งเข้าใกล้ดาวที่มวล มาก/แรงดึงดูดมากอย่างดวงอาทิตย์ (หรือหลุมดาขนาดยักษ์ใน Interstellar) และ มนุษย์ก็ได้คิด แก้ปัญหา+ใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วงมาช่วยขับเคลื่อนยาน เรียกเทคนิคนี้ว่า "สลิงช็อต" ในที่นี้นั่นเอง

* ตัวอย่างคลิปแสดงการ สลิงช็อต ของNASA จริงๆ ล่าสุด กับ ยานJuno (คลิปซ้าย) ไปดาวพฤหัส และ (ขวา) ยาน อวกาศโรเชตตา (Rosetta spacecraft) ลงจอดดาวหางซีจี ซึ่งใช้การสลิงซ็อตหลายรอบ ถือเป็นกรณีศึกษาของจริง ที่น่าสนใจมาก ด้วยการ เดินทางแบบสลิงช็อตอาศัยแรงเหวี่ยงของแรงดึงดูดดาวทานองนี้ ไม่ได้ทากันได้ง่ายๆเลย ต้องอาศัยความแม่นยามากทั้งทิศทาง และความเร็วต้องพอเหมาะ ไม่เข้าใกล้ หรือ อยู่ห่างจนเกินไป ถ้าเข้าใกล้มาก ไปก็จะถูกดูดโหม่งดาวไป ถ้าอยู่ไกลเกินไปแรงเหวียงไม่พอ ก็เดินทางไปดาวอื่นไม่ได้ - Hypersleep หรือ Cryosleep: (ยังเป็นแค่ไอเดียเท่านั้น ยังไม่เกิดขึ้นจริง) อันเป็นเครื่องที่ใช้สาหรับนอน หลับยาว ทาให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะหยุดนิ่งสนิท ก็คือเมื่อเข้าไปนอนพักในแคปซูลนี้แล้ว จะทาให้ร่างกาย ได้หลับนิ่งลึกยาวนานโดยไม่ต้องกินอาหาร ขับถ่าย ฯลฯ ทานองเดียวกับการหลับจาศีล (Hibernate) ของ กบและสัตว์บางประเภท จึงเหมาะอย่างยิ่งสาหรับกรณีการเดินทางที่ต้องกินเวลายาวนานหลายปีในห้วง อวกาศ ทั้งนี้ก็เป็นการประหยัดอาหาร-วัตถุดิบ-พลังงานอันจากัด ทั้งลดกิจกรรมการดารงชีวิตประจาวัน หยุบหยิมต่างๆบนยานอวกาศนั้นเอง และที่น่าทึ่งที่สุดสาหรับอีกไอเดียของคุณสมบัติเครื่องจาศีลในไซไฟหลายๆ เรื่องอาทิ Alien, 2001 A space odyssey และ แม้แต่ Interstellar เอง ก็คือ มันยังช่วยรักษาสภาพ ร่างกายให้คงสภาพไม่แก่หรือเสื่อมสภาพแม้จะนอนพัก ยาว นานนับหลายสิบปี! เรียกว่าหยุดนิ่งจริงๆ หมายความ ว่าเมื่อเริ่มนอนตอนอายุเท่าไร พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็จะมี สภาพร่างกายที่อายุเท่าเดิม!

82


การขับเคลื่อนแบบอัลคับเบียร์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี การขับเคลื่อนแบบอัลคับเบียร์ ( Alcubierre drive) หรือ อัลคับเบียร์เมตริก (Alcubierre metric)

(หมายถึง เทนเซอร์เมตริก) เป็นแนวความคิดที่อยู่บน พื้นฐานการพิจารณาการแก้ปัญหาของสมการสนามของ ไอน์สไตน์(Einstein's field equations) ในสัมพัทธภาพ ทั่วไปตามที่เสนอโดยนักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวเม็กซิกันชื่อ มิ เกล อัลคับเบียร์(Miguel Alcubierre), โดยที่ยานอวกาศ สามารถบรรลุการเดินทางที่เร็วกว่าแสงได้ถ้ามวลที่มีค่า เป็นลบมีอยู่จริง แทนที่จะใช้การเคลื่อนที่เกินกว่าความเร็ว ของแสงภายในตาแหน่งที่ตั้งของกรอบอ้างอิงของมันเอง, ยานอวกาศจะตัดข้ามผ่านระยะทางโดยหดพื้นที่ด้านหน้า ของมันและขยายพื้นที่ที่อยู่เบื้องหลังทาให้เกิดการ เดินทางที่เร็วกว่าแสงอย่างมีประสิทธิภาพ

การสร้างภาพสองมิติของการขับเคลื่อนแบบอัลคับเบียร์ (Alcubierre drive) แสดงบริเวณที่เป็นปฏิปักษ์กัน ของการขยายและหดตัวของกาล-อวกาศซึ่งพยายามจะเข้า แทนที่บริเวณตรงส่วนกลาง

วัตถุไม่สามารถเร่งอัตราเร็วได้เท่ากับอัตราเร็วของแสงภายในกาล-อวกาศปกติได้; ดังนั้น การ เคลื่อนที่แบบอัลคับเบียร์จึงใช้วิธีการขยับเลื่อนพื้นที่รอบ ๆ วัตถุเพื่อให้วัตถุสามารถเคลื่อนที่มาถึง จุดหมายปลายทางได้ด้วยอัตราการเคลื่อนที่ที่เร็วกว่าแสงเมื่อเทียบกับสภาพพื้นที่ที่ปกติได้ แทน [1] แม้ว่าเมตริกที่เสนอโดยอัลคับเบียร์ จะถูกต้องในทางคณิตศาสตร์ในการที่จะมีความสอดคล้องกับ สมการสนามของไอน์สไตน์, แต่ก็อาจจะไม่มีความหมายทางกายภาพหรือแสดงให้เห็นได้ว่าการ ขับเคลื่อนดังกล่าวจะสามารถทาให้เกิดขึ้นได้ การนาเสนอกลไกของการขับเคลื่อนแบบอัลคับเบียร์ หมายถึงความหนาแน่นของพลังงานที่มีค่าเชิงลบและดังนั้นจึงต้องมีการใช้สสารประหลาด (exotic matter), ดังนั้นถ้าสสารประหลาดที่มีคุณสมบัติที่ถูกต้องไม่มีอยู่จริงแล้วก็ไม่สามารถที่จะสร้างการ ขับเคลื่อนแบบนี้ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม, จากการเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดจากเอกสารงานวิจัยฉบับดั้งเดิม ของเขา [2] ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ (จากข้อโต้แย้งที่พัฒนาขึ้นโดยนักฟิสิกส์ที่ได้มีการวิเคราะห์ทฤษฎี เกี่ยวกับรูหนอนทะลุได้ [3][4]) ว่า สูญญากาศแคสสิเมียร์ (Casimir vacuum) ระหว่างแผ่นเพลทคู่ขนาน สองแผ่น สามารถตอบสนองต่อความต้องการพลังงานที่มีค่าเป็นลบสาหรับการขับเคลื่อนแบบอัลคับเบียร์ ได้จริงหรือไม่ อีกเรื่องที่เป็นไปได้คือว่า แม้ว่าอัลคับเบียร์เมตริกจะมีความสอดคล้องกับสัมพัทธภาพทั่วไป แต่สัมพัทธภาพทั่วไปก็ไม่ได้รวมเอากลศาสตร์ควอนตัมเข้าไว้ด้วย, และนักฟิสิกส์บางคนยังได้นาเสนอข้อ โต้แย้งที่จะแสดงให้เห็นว่า ทฤษฎีโน้มถ่วงเชิงควอนตัมซึ่งรวมเอาสองทฤษฎีเข้าไว้ด้วยกันจะกาจัดการ แก้ปัญหาที่อยู่ในสัมพัทธภาพทั่วไปซึ่งจะอนุญาตให้มีการเดินทางข้ามเวลาย้อนกลับไปในอดีตได้20 ซึ่ง การขับเคลื่อนแบบอัลคับเบียร์ก็เป็นหนึ่งในการแก้ปัญหานั้น

หมายเหตุอ้างอิง 1.

Krasnikov, S. (2003). "The quantum inequalities do not forbid spacetime shortcuts". Physical Review D 67 (10): 104013. arXiv:gr-qc/0207057.Bibcode:2003PhRvD..67j4013K. doi:10.1103/PhysRevD.67.104013.

2.

Alcubierre, Miguel (1994). "The warp drive: hyper-fast travel within general relativity". Classical and Quantum

Gravity 11 (5): L73–L77. arXiv:gr-qc/0009013.Bibcode:1994CQGra..11L..73A. doi:10.1088/0264-9381/11/5/001. 3.

Thorne, Kip; Michael Morris, Ulvi Yurtsever (1988). "Wormholes, Time Machines, and the Weak Energy Condition". Physical Review Letters 61 (13): 1446.Bibcode:1988PhRvL..61.1446M. doi:10.1103/PhysRevLett.61.1446.PMID 10038800.

4.

See The Alcubierre Warp Drive by John G. Cramer, where Cramer notes that "Alcubierre, following the lead of wormhole theorists, argues that quantum field theory permits the existence of regions of negative energy density under special circumstances, and cites the Casimir effect as an example."

20

ดู การคาดคะเนการป้องกันของลําดับเหตุการณ์ (chronology protection conjecture) 83


เบื้องหลัง “ทะยานดาวกู้โลก” BEHIND 'INTERSTELLAR'

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เป็นสิ่งที่รู้กันและปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสําเร็จของ Interstellar ทะยานดาวกู้โลก มาจากฝีมือของผู้กํากับเลื่องชื่อและมากฝีมือนาม คริสโตเฟอร์ เอฟ โนแลน ผู้ฝากฝีมือไว้กับภาพยนตร์ ไซไฟหลายต่อหลายเรื่อง อาทิเช่น เดอะดาร์ค ไนท์ ไตร ภาคแบทแมน, เดอะเพรจทิจ, และล่าสุด อินเซ็ปชั่น กระนั้นสิ่งที่ได้รับการชื่นชมอย่างยิ่งก็คือเรื่องราวทาง วิทยาศาสตร์และภาพที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการยอมรับว่ามีความถูกต้องตามหลักการทางด้าน วิทยาศาสตร์เป็นอย่างมากอันเนื่องมาจากการที่ นักฟิสิกส์ทฤษฎีและจักรวาลวิทยาระดับโลก โปรเฟสเซอร์คิป ธอร์น ผู้เชี่ยวชาญทางด้านแบล็คโฮลและวอร์มโฮล ได้นําสมการคณิตศาสตร์ทางด้านวิทยาศาสตร์ควอนตัมและ อวกาศ และให้ผู้ชํานาญการทางด้านสเปคเชียลเอฟเฟคส์นํามาสร้างเป็นภาพสุดมหัศจรรย์ที่เราได้พบเห็นใน ภาพยนตร์ เพื่อให้แน่ใจว่าภาพของรูหนอนและสัมพัทธภาพมีความ ถูกต้องที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ "สําหรับภาพของรูหนอนและ หลุมดํา" เขาบอก "เราปรึกษากันว่าจะทํากันยังไง จากนั้นผม ก็ได้สมการซึ่งจะทําให้การติดตามเส้นทางเดินของแสงใน ขณะที่พวกมันเดินทางผ่านรูหนอนหรือไปรอบๆ หลุมดําได้ ดังนั้นสิ่งที่คุณเห็นนั้นมีพื้นฐานมาจากสมการสัมพัทธภาพ ทั่วไปของไอน์สไตน์"

ในช่วงแรกของกระบวนการ ธอร์นวางเงื่อนไขไว้สองประการ "หนึ่งคือว่าจะไม่มีอะไรที่ละเมิดกฎฟิสิกส์ที่มี อยู่แล้ว สองคือการคาดเดาทั้งหลายจะต้องมาจากวิทยาศาสตร์และไม่ได้มาจากผู้เขียนบท" โนแลนยอมรับเงื่อนไข เหล่านี้ตราบใดที่พวกมันไม่ได้เป็นอุปสรรคในการสร้างภาพยนตร์ ครั้งหนึ่งธอร์นใช้เวลาสองสัปดาห์พยายามพูดคุย กับโนแลนให้เลิกล้มแนวคิดเกี่ยวกับตัวละครที่เดินทางได้เร็วกว่าแสงก่อนที่โนแลนจะยอมแพ้ในที่สุด ตามที่ธอร์น บอกองค์ประกอบซึ่งได้อิสระในการออกแบบมากที่สุดคือเมฆน้ําแข็งบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่พวกเขาไปเยือน ซึ่ง เป็นโครงสร้างที่อาจเกินความแข็งแรงของวัตถุซึ่งน้ําแข็งจะสามารถรับได้ แรกๆ คริสโตเฟอร์ โนแลน กังวลว่าภาพวาดที่มีความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ของหลุมดําจะไม่สามารถเห็น แล้วเข้าใจได้สําหรับคนดู และจะต้องให้ทีมนักออกแบบแก้ไขรูปร่างให้เพี้ยนไปจากความจริง อย่างไรก็ตามโนแลน พบว่าเอฟเฟคที่เสร็จแล้วนั้นสามารถเข้าใจได้ถ้าเขารักษามุมมองของกล้องไม่เปลี่ยนแปลง "สิ่งที่เราพบคือว่าตราบ ใดที่เราไม่ได้เปลี่ยนมุมมองมากเกินไป นั่นคือตําแหน่งของกล้อง เราสามารถได้สิ่งที่สามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี" ภาพวาดของรูหนอนว่าควรจะดูเป็นอย่างไรนั้นพูดได้ว่าถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ แทนที่จะเป็นหลุมสอง มิติในอวกาศ มันถูกวาดเป็นทรงกลมแสดงให้เห็นภาพที่บิดเบี้ยวของกาแล็กซี่เป้าหมาย ซึ่ง accretion disk ของ หลุมดําถูกบรรยายโดยธอร์นว่า "จางๆ และอยู่ที่อุณหภูมิต่ํา ประมาณอุณหภูมิของพื้นผิวดวงอาทิตย์" ทําให้มัน

84


ปล่อยแสงที่มองเห็นได้ แต่มีรังสีแกมมาและรังสีเอ็กซ์ไม่มากพอให้ทําอันตรายกับนักบินอวกาศและดาวเคราะห์ที่ อยู่ใกล้ๆ ในการสร้างรูหนอนและหลุมดํามวลยิ่งยวดแบบ หมุนนั้น (ซึ่งมี Ergosphere แตกต่างจากหลุมดําที่ไม่ หมุน) คิป ธอร์นทํางานร่วมกับหัวหน้าวิชวลเอฟเฟค พอล เฟรงคลิน และทีมนักออกแบบคอมพิวเตอร์เอฟเฟคอีก 30 คนที่ Double Negative ธอร์นจะให้สมการทางทฤษฎี ที่มีแหล่งที่มาชัดเจนเป็นหน้าๆ กับพวกนักออกแบบ ซึ่ง จะเขียนซอฟแวร์เรนเดอร์ CGI ใหม่โดยมีพื้นฐานมาจาก สมการ เพื่อสร้างแบบจําลองคอมพิวเตอร์ที่มีความถูกต้องของเลนส์ความโน้มถ่วงที่เกิดจากปรากฏการณ์เหล่านี้ บางเฟรมนั้นใช้เวลามากกว่า 100 ชม. เพื่อเรนเดอร์ และผลลัพธ์ที่ได้เป็นข้อมูล 800 เทราไบต์ วิชวลเอฟเฟคที่ได้นั้น ทําให้ธอร์นเข้าใจอย่างถ่องแท้ในผลกระทบของเลนส์ความโน้มถ่วงและ accretion disks รอบๆ หลุมดํา และจะ นําไปสู่การสร้างสรรค์งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์สองฉบับ ฉบับหนึ่งสําหรับวงการฟิสิกส์ดาราศาสตร์ และอีกฉบับ หนึ่งสําหรับวงการคอมพิวเตอร์กราฟิก

บน: คิป ธอร์น กับ ทีมงานวิชวลเอฟเฟค ซ้าย (จากซ้าย): โอลิเวอร์ เจมส์, คิป ธอร์น, พอล แฟรงคลิน และ ยูเฌนี ฟอน ทุนเซลแมนน์

85


ถาม -ตอบ ทะยานดาวกู้โลก IMDB > INTERSTELLAR (2014) >

F AQ

ที่มา: http://www.imdb.com/ เรียบเรียงโดย นาย TARS คาถามตอบในบทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องหรือบอกจุดสาคัญของเรื่อง อาจทา ให้ผู้ไม่เคยชมภาพยนตร์มาก่อนอาจเสียอรรถรสในการชม ขอแนะนาให้ท่านชม ภาพยนตร์ก่อนอ่านบทความนี้

หนังจบคนไม่จบ หลังจากได้ดูภาพยนตร์ “ทะยานดาวกู้โลก” กันไปแล้ว ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์ วิทยาศาสตร์เข้มข้น จึงมีเรื่องราวที่ซับซ้อน เต็มไปด้วยข้อเท็จจริงและสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์มากมาย ทําให้มี ผู้ชมจํานวนไม่น้อยที่ยังคงรู้สึกค้างคา มีคําถามกันอยู่มากมาย บ้างก็สงสัยในเนื้อเรื่อง แต่บ้างก็สงสัยในความ เป็นไปได้ สิ่งใดเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งใดเป็นจินตนาการ ไหนลองมาดูสวิ ่าส่วนใหญ่แล้วมีข้อสงสัยอะไรกันบ้าง และ คําตอบจะเป็นอย่างไร ทาไมโลกถึงล่มสลาย, ทาไมโลกจึงเต็มไปด้วยฝุ่น ในภาพยนตร์เรื่องนี้, Interstellar ทะยานดาวกู้โลก, ได้หยิบประเด็น Climate Change หรือ Global Warming ขึ้นมาเป็นปัญหา ของโลกใบนี้โดยเอาเหตุการณ์ The Dust Bowl หรือ The Dirty Thirties ที่เคยเกิดขึ้นช่วงปี 1930s ในอเมริกา มาจาลองว่า มันกาลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ในระดับครอบคลุมทั้งโลก ความน่ากลัวของ The Dust Bowl คือโลกจะเปรียบเสมือนชามหรือ โหลที่เต็มไปด้วยฝุ่น วันดีคืนดีก็มีพายุทราย ซึ่งฝุ่นทรายเหล่านี้เป็นอันตรายต่อปอดและระบบทางเดินหายใจ รวมถึงส่งผลให้ สภาพอากาศไม่เอื้ออานวยต่อการทาเกษตรกรรม โลกของเราจึงเริ่มขาดแคลนทั้งอาหารและอากาศที่เหมาะสมสาหรับการ ดารงชีวิต

ทาไมโลกถึงเปลี่ยนประวิติศาสตร์ให้ปฏิบัติการลงสู่ดวงจันทร์ของอพอลโลเป็นเรื่องหลอกลวง เพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีชีวิตรอดต่อไปจึงมีความเชือว่ามนุษย์ควรจะหันมาเป็นชาวไร่ไม่ใช่เป็นนักสารวจ ด้วยเหตุที่ทรัพยากร ที่มีอยู่นั้นจากัด ควรใช้เพื่อการดารงชีพแทนที่จะใช้ไปกับการท่องจักรวาล การระบุว่าปฏิบัติการลงสู่ดวงจันทร์นั้นเป็นเรื่อง หลอกลวงจึงเป็นวิถีทางที่จะสร้างความเชื่อในหมู่คนรุ่นใหม่ให้มาสนใจที่จะพยายามมีชีวิตรอดอยู่บนโลก แทนที่จะหวังพึ่งการ ท่องไปในอวกาศ

เกิดอะไรชึ้นกับ NASA ง่ายๆ หลังจากอุบัติภัยสักช่วงหนึ่ง ความคิดเห็นของสาธารณชนก็เป็นไปในทิศทางที่ต่อต้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การ ทาวิจัยในสิ่งที่ไม่ได้ก่อให้เกิดอาหารนับว่าเป็นการสูญเปล่า และ NASA ก็ต้องปิดตัวลง จะให้ชัดเจนไปกว่านั้นล่ะก็ พวกเขาปิด ตัวลงหลังจากปฏิเสธที่จะส่งปรมาณูไปฆ่าชีวิตผู้คนเพื่อลดจานวนประชากร

ซึ่งเป็นเรื่องหลอกลวง แน่นอนล่ะ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเก็บ NASA ไว้ แต่ให้ไกลจากการรับรู้ของสาธารณชน เพราะรู้ว่าต้องมีการวิจัยต่อไปเพื่อหาทาง พามนุษย์ออกไปจากโลกให้ได้ พวกเขารู้ดีว่าอาหารและออกซิเจนกาลังจะหมดสิ้นไปจากโลกเพียงชั่วอายุคน

แผนคืออะไร ประมาณ 50 ปีก่อนเวลาตามท้องเรื่อง, ปรากฎรูหนอนขึ้นใกล้ๆ กับดาวเสาร์ และ NASA ค้นพบว่ามันนาทางไปสู่กาแลคซีใหม่ และเป็นไปได้อย่างมากว่ากาแลคซีนี้มีดาวเคราะห์ที่มนุษย์สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ ดังนั้น NASA จึงส่งทีมขนาดหนึ่งคนไปยัง ดาวเคราะห์แต่ละดวงในสิบสองดวงที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้ แต่ละทีมไม่สามารถส่งข้อความสื่อสารผ่านกลับจากรูหนอนได้ แต่พวกเขายังสามารถที่จะส่งสัญญาณตรวจสอบต่อเนื่อง (Binary pings) ผ่านกลับมาได้ ด้วยเหตุนี้ NASA จึงสามารถรับสัญญาณได้ว่ามีดาวเคราะห์สามดวงที่น่าจะเหมาะสมในการ ดารงชีพ พวกเขาจึงต้องการให้คูเปอร์ร่วมในภารกิจสุดท้ายผ่านรูหนอน และค้นหาว่าดาวเคราะห์ดวงไหนในสามดวงนั้นที่ มนุษยชาติควรจะเลือกเดินทางไป

86


คูเปอร์ทราบตาแหน่งของ NASA ได้อย่างไร หลังจากที่ คูเปอร์เห็น ความผิดปกติเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นในห้องของเมิร์ฟ เขาค้นพบว่าเส้นที่ก่อตัวจากฝุ่นที่จริงแล้ว แสดงถึงตัวเลขฐานสอง ไม่ใช่รหัสมอร์ส (ดูประกอบในบทความ...วิทยาศาสตร์ในทะยานดาวกู้โลก) เส้นฝุ่นมีเพียงสองแบบ หนา-และ-

บาง ซึ่งแทนค่า 1 และ 0 หลังจากแปลงเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานสิบ คูเปอร์ก็สามารถระบุได้ว่าเป็นจุดพิกัดของสถานที่แห่ง หนึ่ง และเมื่อเขาไปยังที่แห่งนั้นจึงพบว่าเป็นฐานของ NASA

อะไรคือ แผนเอ และ แผนบี? ศาสตราจารย์แบรนด์ (ไมเคิล เคน) อ้างว่า นาซา มีแผนการสาหรับการดารงอยู่มนุษยชาติอยู่ 2 แผนด้วยกันคือ แผนเอ และ แผนบี แผนเอ: เมื่อทีมยานเอนดูเรนซ์จากไป ศาสตราจารย์แบรนด์ (คนพ่อ) ก็จะทาการค้นคว้าหาทางแก้สมการขั้นสูงต่อไป หาก สามารถแก้ (พิสูจน์) สมการได้ จะทาให้มนุษยชาติสามารถเข้าถึงฟิสิกส์ในระดับมิติที่ห้า โดยเฉพาะเรื่องของ แรงโน้มถ่วง ถ้า เขาทาสาเร็จ, นาซาก็จะสามารถข้ามข้อจากัดในความเข้าในฟิสิกส์ ทาให้สามารถสร้างสถานีอวกาศขนาดใหญ่ได้ และสามารถ บรรทุกผู้รอดชีวิตจากโลกไปสู่อวกาศได้คราวละจานวนมาก สถานที่ซึ่งคูเปอร์และเมิร์ฟเจอในตอนต้นเรื่องไม่ใช่เพียงแค่สถานี วิจัยของนาซา แต่เป็นสถานที่สาหรับก่อสร้างยานอวกาศสาหรับมนุษยชาติ แผนบี: หากว่า ศาสตราจารย์แบรนด์ ไม่สามารถแก้สมการได้สาเร็จ หรือ ทีมยานเอนดูเรนซ์ใช้เวลาในการเสาะหาโลกใหม่ที่ เหมาะสมสาหรับมนุษยชาตินานเกินไป (ซึ่งทาให้ไม่สามารถกลับมาช่วยมนุษย์บนโลกได้ทันกาล) นาซาจึงได้เตรียมแคปซูล บรรจุตัวอ่อนมนุษย์แช่แข็ง ซึ่งจะนามาใช้หว่านเมล็ดพันธุ์ของมนุษย์ เพื่อเป็นที่รับประกันได้ว่ามนุษยชาติยังคงอยู่ถึงแม้ว่าจะ ปราศจากมนุษย์บนโลกแล้วก็ตามที ในการนี้ นาซาได้จัดเตรียม DNA จากผู้คนที่หลากหลายเพื่อที่ผู้คนในเจนเนอเรชั่นต่อไป จะไม่ต้องจากัดอยู่แต่เพียงลูกเรือของเอนดูแรนซ์เท่านั้น ในกรณีนี้ ทีมยานเอนดูเรนซ์จะทาการตั้งรกรากบนโลกที่เหมาะสม ที่สุด จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มสร้างมนุษย์รุ่นแรกจากตัวอ่อนแช่แข็ง และแต่ละรุ่นก็จะช่วยกันสร้างตัวอ่อนชุดต่อไป (และเป็นการ ดีที่สุด หากสามารถสร้างมนุษย์รุ่นใหม่ได้ตามวิถีทางธรรมชาติ)

บนพื้นฐานทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ การเดินทางระหว่างดาวในภาพยนตร์เรื่อง “ทะยานดาวกู้โลก” นี้สามารถเป็นไปได้หรือไม่ ? ตามทฤษฎีของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, เวลาจะสัมพันธ์กับมุมมอง ดังนั้นเมื่อมองในแง่ความสัมพันธ์ระหว่าแวลากับระยะทาง มันก็ ต้องใช้เวลานานสักระยะหนึ่งในการเดินทางระยะไกล สัมพัทธภาพนี้ไม่ได้หมายความว่าการเดินทางระหว่างดวงดาวเป็นไป ไม่ได้ เพียงแค่ใจเราที่รู้สึกว่ายากเย็นแสนเข็ญ คุณจะต้องมียานอวกาศที่เยี่ยมยอดและบินได้อย่างรวดเร็ว เร็วมากๆ การที่ ทาเช่นนั้น เวลาจะผ่านไปอย่างช้าๆ ช้ามากสาหรับคุณเมื่อเทียบกับสถานที่ที่คุณจะผ่าน คุณจะสามารถที่จะไปถึงดาวอื่นได้ อย่างคล่องแคล่วถ้าคุณบินได้เร็วพอ ประเด็นก็คือการที่คุณจะต้องมีกล่าวคาอาลากับทุกสิ่งที่คุณรู้จัก เผ่าพันธุ์ของคุณอาจสูญ สลายภายในช่วงห้าปีที่คุณออกไป "บนท้องถนน" เพราะเวลาที่บ้านของคุณก็ไม่ได้ชะลอตัวลงเช่นเดียวกับคุณ มีทฤษฎีของมิเกล อัลคับเบียร์ เกี่ยวกับการขับเคลื่อนแบบอัลคับเบียร์ 21 ซึ่งไม่ขัดแย้งกับทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ และอนุญาตให้เราสามารถเดินทางได้เร็วกว่าความเร็วแสง ล่าสุดก็มีภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่รู้จักกันดีในทีวีซีรีส์ "Star Trek" ก็ใช้ทฤษฎีดังกล่าวเพื่อให้สามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง วาร์ปไดรฟ์ในยานเอนเตอร์ไพร์ซเป็นตัวอย่างหนึ่งของ การขับเคลื่อนแบบอัลคับเบียร์ที่ใช้ในนิยายวิทยาศาสตร์ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องของความเร็วที่ทาให้ คูเปอร์ และ อมีเลีย มีอายุขัยที่แก่ช้ากว่าคนบนโลก (หรือบนยานอวกาศของพวก เขา) แต่มันเป็นเพราะแรงโน้มถ่วง ทั้งความเร็วและแรงโน้มถ่วงมีผลกระทบต่อการส่งผ่านของเวลา (เวลาช้าลงขณะที่พวกเขา เพิ่มขึ้น) เพราะพวกเขาอยู่ใกล้กับหลุมดาอย่างมาก แรงโน้มถ่วงมีเป็นขนาดใหญ่เพียงพอที่จะทาให้เวลาส่วนตัวของพวกเขาช้า ลง ดังนั้นหนึ่งนาทีของพวกเขาก็เท่ากับหนึ่งปีที่ผ่านไปบนโลก แรงโน้มถ่วงของโลกก็ทาให้เวลาในชีวิตประจาวันของเราช้า ลงเช่นกัน แต่ในขนาดที่เล็กมาก

“พวกเขา” หมายถึงใคร และ “พวกเขา” คือใคร หาก “พวกเขา” หมายถึง ผู้ที่สร้าง รูหนอน และนาไปวางไว้ที่ใกล้ๆ ดาวเสาร์ ผู้สร้าง Tessaract ให้คูเปอร์ติดต่อกับเมิร์ฟ และ นาพาคูเปอร์ออกมาจากหลุมดาก่อนที่จะตกถึงจุดเอกภาวะ (Singularity) ตอนต้นเรื่อง คูเปอร์และนักวิทยาศาสตร์ NASA คน อื่นๆ ตั้งสมมติฐานว่า “พวกเขา” น่าจะเป็นเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาว (หรือ สิ่งเหนือธรรมชาติ) ผู้ซึ่งพ้นข้อจากัด ทางด้านมิติ และด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถรู้ได้ พวกเขาตัดสินใจที่จะช่วยมนุษยชาติให้หนีพ้นจากโลกที่กาลังจะตาย ทีม NASA เชื่อว่า สิ่งนั้น (the beings) อาจจะไม่สามารถ (หรือไม่ต้องการ) ที่จะสื่อสารโดยตรงกับมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่าพวก เขาอยู่ในมิติที่ห้า พวกเขาย่อมเข้าใจในความเป็นจริงของจักรวาลสี่มิติของเราได้ แบรนด์คิดว่า “พวกเขา” ให้ข้อมูลพื้นฐาน (ข้อความ binary) และเทคโนโลยีขั้นสูง (รูหนอน) สาหรับมนุษย์เพื่อที่จะให้ปฏิบัติตามเพื่อช่วยตนเองจากการสิ้นสูญ ในขณะ ที่ภายในหลุมดา, เกิดความคิดที่ว่า "พวกเขา" เป็นมนุษย์จากอนาคตที่มีความสามารถขั้นสูงมากขึ้นกว่าที่เป็นไปได้ในขณะนี้ และสามารถที่จะสร้าง Tesseract เพื่อให้คูเปอร์ในการสื่อสารกับลูกสาวของเขา ด้วยคุณสมบัติเกี่ยวกับเวลาที่แปลกประหลาด ของพวกเขา

21

ดูประกอบในบทความ...ยานอวกาศในทะยานดาวกู้โลก,

การขับเคลื่อนแบบอัลคับเบียร์

87


ถ้าหากว่า “พวกเขา” เป็นมนุษย์ในอนาคต พวกเขาสามารถรอดชีวิตมาได้อย่างไรในคราวแรก แล้วจึงมาช่วยเหลือมนุษยชาติในอดีต อย่างเห็นได้ชัดถ้า "พวกเขา" เป็น "มนุษย์ในอนาคต" และให้ความช่วยเหลือกับ "มนุษย์ในปัจจุบัน" การที่ "มนุษย์ในปัจจุบัน" อยู่รอดต่อไปในอนาคตจะกลายเป็น "พวกเขา"แล้วใครที่จะให้ความช่วยเหลือที่ผ่านมา สภาวการณ์เช่น นี้เป็นที่รู้จักว่า ontological, temporal, or "bootstrap" paradox ในเส้นเวลาแบบเส้นตรง (linear timeline) เรื่องแบบนี้นั้นย่อมเป็นไป ไม่ได้ ถ้า "มนุษย์ในปัจจุบัน" ไม่สามารถอยู่รอดได้โดยปราศจาก "มนุษย์ในอนาคต" ในขณะที่ "มนุษย์ในปัจจุบัน" ตายจนหมด สิ้น จึงไม่มี "มนุษย์ในอนาคต" ที่จะย้อนกลับมาช่วยพวกเขา อย่างไรก็ตามในเส้นเวลาทีไ ่ ม่เป็นเส้นตรง (non-linear timeline) หรือเส้นเวลาแบบวัฏจักร (cyclical timeline) นั้นเป็นไปได้ในทางทฤษฎี เนื่องจากว่าไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดที่แท้ จริงใน เส้นเวลา นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่า "มนุษย์ในปัจจุบัน" รอดมาได้ และกลายเป็น "มนุษย์ในอนาคต" โดยไม่มีความช่วยเหลือ จากภายนอก แต่ผลที่ เกิดขึ้นกลับเป็ นอันตรายต่อมนุษยชาติ และ "มนุษย์ในอนาคต" กาลังพยายามที่จะช่วยให้ "มนุษย์ใน ปัจจุบัน" เบนเข้าสู่เส้นเวลาที่มองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ดีกว่า- ซึ่งพวกเขาไม่ได้เลือกทาไว้แต่ แรก

ทาไม “พวกเขา” จึงสร้างรูหนอนเพื่อนาไปสู่ระบบดวงดาวที่โคจรรอบหลุมดา? ทาไมถึงไม่วาง ให้ตรงไปยังดาวที่มีสภาวะยังชีพในคราวเดียว? เป็นเพราะว่าพวกเขามีวัตถุประสงค์ที่จะให้เรามองเข้าไปในหลุมดา เก็บเกี่ยวข้อมูล และเรียนรู้หนทางที่จะจัดการกับแรงโน้ม ถ่วง

ทาไมถึงวาง รูหนอน ไว้ไกลถึงบริเวณใกล้ดาวเสาร์ ? พวกเขาอาจไม่แน่ใจ แต่โดยทฤษฎีแล้วอาจเป็นผลงานของ “พวกสิ่งมีชีวิตในมิติที่ห้า” ผู้ซึ่งพยายามจะช่วยให้มนุษยชาติอยู่ รอด การวางไว้ห่างจากโลกถึงดาวเสาร์ อาจเป็นเพราะต้องการให้มนุษย์สร้างยานอวกาศที่มีความสามารถที่เดินทางใน ระยะไกลได้เพียงพอ อีกแง่หนึ่งอาจต้องการให้มนุษย์มีความสามารถในระดับที่สังเกตุการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในระยะไกลถึงดาว เสาร์ได้ก่อน

ทาไม “พวกเขา” จึงให้ข้อมูลที่ตั้งของ NASA แก่คูเปอร์ และสร้างรูหนอนให้ แทนที่จะส่งข้อมูล สาคัญที่อยู่ในหลุมดาให้เราโดยตรง ภาพยนตร์เรื่องนี้ ให้ความสาคัญต่อการหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดความขัดแย้งคลาสสิกที่แพร่หลายในนิยายวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกรอบเวลาที่แตกต่างกัน แหล่งที่มาของการสังเกต : พิกัดของนาซ่าถูกแจ้งให้โดย TARS ข้อมูลของเอกภาวะ (singularity data) ก็ถูกค้นพบ และแจ้งโดย TARS อีกครั้ง การสื่อสารที่ให้ข้อมูลโดยตรงจากมนุษย์ อนาคตไปยังอดีต อาจจะสร้างความขัดแย้งที่ยอมรับไม่ได้ ด้วยการนี้ มนุษย์ในอนาคตจึงทาหน้าที่เป็นเพียงผู้อานวยความ สะดวกเพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่รอด และในเวลาเดียวกันก็มีวิวัฒนาการไปสู่ระดับที่สูงขึ้น

ทาไม NASA จึงไม่ส่งเฉพาะหุ่นยนต์เพื่อไปเสาะหาดาวเคราะห์ใหม่ ดังที่ดร. มานน์ได้กล่าวเอาไว้ แม้ว่า หุ่นยนต์เช่น TARS และ CASE จะมีความฉลาดและความสามารถทางกายภาพ แต่พวกมัน ก็ไม่ได้มีความสามารถในการปรับตัวและแก้ไขสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ ตัวอย่างเช่นเมื่อ มานน์ ทาที่กักอากาศระเบิด และ การที่คูเปอร์พยายามจะเชื่อมต่อยาน CASE เตือนเขาว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่คูเปอร์ ก็ยังทาการเชื่อมต่อ อยูด ่ ีและเขาก็ทาได้ สาเร็จ อีกตัวอย่างหนึ่งคือบนดาวมิลเลอร์ เมื่อยานแรนเจอร์โดนคลื่นกระแทกและเครื่องยนต์เปียกชุ่ม CASE เพียงแค่แจ้งว่าให้ อยู่ในยานเรนเจอร์ รอจนกว่าเครื่องยนต์ จะแห้งด้วยตัวของมันเอง แต่คูเปอร์เป่าเครื่องยนต์ด้วยออกซิเจนและติดเครื่องอย่าง รวดเร็ว ซึ่งทาให้พวกเขาสามารถที่จะหลบหนีได้ทัน ถ้าหากว่า CASE เป็นผู้ออกคาสั่งในสถานการณ์ทั้งสอง มันก็คงจะไม่ได้ พยายามที่จะเชื่อมต่อยานเอนดูแรนซ์ หรือ ติดเครื่องยนต์บนดาวมิลเลอร์ ซึ่งในที่สุด ก็จะนาไปสู่ความล้มเหลวของภารกิจ

คูเปอร์และทีมงานบินออกสู่อวกาศ ผ่านรูหนอน และโผล่ออกมาในกาแลคซีใหม่ ... แล้วทาไม พวกเขาไม่สามารถลงจอดบนดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ที่สุด เพียงเพราะมันจะใช้เวลานานเกินไป? นี่คือที่ซึ่ง ผู้กากับโนแลน ต้องการที่จะเสนอข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพ โดยทั่วไป สิ่งที่อยู่ใกล้พวกเขา (ดาวมิลเลอร์ ได้ชื่อตามนักบินอวกาศที่ถูกส่งไปที่นั่น ) นั้นอยู่ใกล้หลุมดาเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นทาให้เกิดการบิดเบือนเวลาบนพื้นผิวของดาว เคราะห์เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของหลุมดา เวลาขยับไปในเพียงเศษเสี้ยวของเมื่อเทียบกับเวลาที่โลก ทุกชั่วโมงที่พวกเขาใช้ บนพื้นผิวของดาวเคราะห์เท่ากับทุกเจ็ดปีผ่านไปในที่อื่น (เวลาที่โลก) พวกเขาไม่อยากจอดเพราะกลัวว่าจะใช้เวลานาน เกินไปและกลับไปช่วยโลกไม่ทัน

และเมื่อพวกเขาลงจอด แต่ไม่พบมิลเลอร์ เกิดอะไรขึ้น ? ก็คลื่นยักษ์ฆ่าเขาไปแล้ว นี่ ซึ่งก็เกิดขึ้นก่อนหน้าที่พวกเขามาถึงเพียงไม่นานนักในเวลาบนดาว

ทาไมถึงมีคลื่นยักษ์ ทั้งๆ ที่มหาสมุทรตื้นนิดเดียว? คลื่นยักษ์เป็นผลมาจากแรงดึงดูดระหว่างดาว บนโลก แรงนี้เกิดจากดวงจันทร์ แต่บนดาวดวงนี้เป็นผลมาจากการที่อยู่ใกล้หลุม ดามาก จึงมีแรงดึงดูดมาก

คูเปอร์และอมีเลีย ทะยานขึ้นจากดาวมิลเลอร์ได้อย่างไร ในเมื่อดาวมิลเลอร์มีแรงโน้มถ่วง มากกว่าโลกถึง 130% ในขณะที่ต้องใช้จรวดขนาดมหึมาเพื่อที่จะทะยานขึ้นจากโลก? 88


พวกเขาใช้จรวดขับดันที่โลกเพียงเพราะว่าต้องการประหยัดพลังงาน สงวนพลังงานสาหรับยานไว้ใช้สาหรับสารวจดาว และ ภาระงานอื่นๆ ในกาลข้างหน้า ดูประกอบในบทความ...ยานอวกาศในทะยานดาวกู้โลก

ทาไม ดาวมิลเลอร์ ถึงสามารถอยู่ใกล้หลุมดามากๆ และมีผลในเรื่องสัมพัทธภาพเวลา ทาไมมัน ไม่ถูกหลุมดากลืนไป นี่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ยังงั้นหรือ มวลใดๆ ก็สามารถมีวงโคจรที่มั่นคงรอบหลุมดาได้ โดยที่มวลอยู่ในภาวะร่วงหล่นอิสระต่อหลุมดา แต่ความเร็วสูงช่วยให้มัน โค้งไปรอบๆ เพียงเมื่อวงโคจรสูญสลายและวัตถุ นั้นข้ามขอบฟ้าเหตุการณ์ นั้นเป็นเหตุที่มันจะถูกกลืน โดยหลุมดา ด้วยที่ตัว หลุมดาเองนั้นไม่สามารถมองเห็นได้ วิธีการที่นักดาราศาสตร์ค้นพบมันได้ก็โดยการสังเกตวัตถุขนาดใหญ่ ดังเช่นดาวที่โคจร รอบสิ่งที่มองไม่เห็น นอกจากนี้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนที่มองเห็นได้ ของหลุมดาก็คอ ื แผ่นดิสก์รอบนอกของมันซึ่งผลิตแสงออกมามากดุจดั่งดาวที่ กาลังอยู่ในภาวะฟิวชั่น เพราะว่าแผ่นดิสก์นั้นอยู่นอกขอบฟ้าเหตุการณ์ แสงที่เกิดขึ้นจึง มองเห็นได้มากกว่า ทีถ ่ ูกดูดเข้าไปใน หลุมดา ตัวหลุมดาเองเป็นเพียงรูปทรงกลมสีดาข้นไร้ ภาวะทีส ่ ามารถมองเห็น แต่ก็สามารถบันทึกผลจากสนามแรงโน้มถ่วง ของมันที่มีต่อสสารและพลังงานรอบๆ (ก่อให้เกิดสสารและพลังงานที่อยู่นอกขอบฟ้าเหตุการณ์) แม้ กระทั่งสนามแรงโน้มถ่วง ของมันก็มีความเข้มมากกว่า วัตถุขนาดใหญ่อื่นๆ หลายเท่านัก แต่วัตถุใดๆ อย่างเช่นดวงอาทิตย์หรือวัตถุอื่นๆ ที่มีสนามแรงโน้ม ถ่วงที่เพียงพอก็ยังสามารถที่จะโคจรอยู่รอบอย่างเสถียรได้ อีกครั้งตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ นี่เป็นส่วนหนึ่งของหลักการวิธี ปฏิบัติในการค้นหาและตรวจสอบหลุมดาของเราตามความเป็นจริง

ทาไม ดร.มานน์ ถึงกลายเป็นฆาตกร ง่ายๆ เพราะเขาสร้างเรื่องโกหกไว้จนก้นร้อนเป็นไฟ ดาวเคราะห์ที่เขามาสารวจมีสภาพไม่เหมาะสมกับการดารงชีพอย่าง สิ้นเชิง แต่นั่นก็หมายความว่าเขาต้องตายอยู่อย่างโดดเดี่ยว เขาจึงสร้างเรื่องหลอกลวงโดยส่งสัญญาณกลับไปยังโลกว่าดาว นี้มนุษย์สามารถดารงชีพได้ ทาง NASA จะได้ส่งยานตามมา และหลังจากที่เขาได้รับการช่วยชีวิต เขาก็วางแผนที่จะเดินทาง ต่อไปยังดาวที่สามและดาเนินตามแผนบีที่นั่น คูเปอร์ จึงจาเป็นต้องตายเพราะว่าเขายืนยันที่จะออกไปดูพื้นผิวของดาว และนั่นทาให้เรื่องโกหกของ ดร.มานน์กาลังจะถูกเปิด โปง ด้วยเหตุนี้ ดร.มานน์ จึงตัดสินใจที่จะฆ่าคูเปอร์เสีย

แล้วทาไมฐานถึงระเบิด? ดร.มานน์ ได้ตั้งค่าไว้ให้หุ่นยนต์ (KIPP) ของเขาระเบิดถ้าหากว่ามีใครพยายามเข้าถึงข้อมูลที่เขาเก็บตัวอย่างมาจากดาว เคราะห์ (ข้อมูลที่บ่งบอกว่าดาวนี้ไม่มีค่าอะไรเลยสาหรับมนุษย์)

เมื่อ คูเปอร์ เสียสละตัวเองเพื่อให้ อเมเลีย สามารถเดินทางไปยังดาวเคราะห์ดวงที่สามได้ เขาไป ตกอยู่ที่ไหน นี่คือส่วนที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ เขาตกลงไปในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "Tesseract” เป็นกล่องที่มีอยู่ในสี่มิติแทนที่จะเป็นสามมิติ มันยังเป็นสิ่งที่พิศวงอยู แต่สิ่งที่สาคัญกว่านั้นก็คือเขาตกลงไปในสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ในมิติที่ห้า

พวกเขาสร้างด้านหลังชั้นหนังสือขึ้น อย่างนั้นหรือ ทาไม? ตามที่หุ่นยนต์บอกไว้ พวกเขา “สิ่งมีชีวิตในมิติที่ห้า” ได้สร้างสถานที่สี่มิติขึ้นในสามมิติ ถ้าจะให้พูดอย่างง่ายๆ ก็คือ ที่ซึ่งทาให้ คูเปอร์สามารถมองเห็นเวลาในแง่มุมของโครงสร้างทางกายภาพได้

ทาไมต้องเป็นชั้นหนังสือ? เพราะว่าเป็นจุดเชื่อมโยงในแง่สถานที่ซึ่งคูเปอร์ผูกพันกับลูกสาวของเขา เป็นสถานที่ที่พิเศษร่วมกัน เขาย้อนกลับไปที่บ้านใน สถานที่และช่วงเวลานั้น

เขาเคลื่อนย้ายสิ่งของได้อย่างไร? ด้วยแรงโน้มถ่วง จาได้มั๊ย เมื่อพวกเขาบอกไว้ว่ามีเพียงแรงเดียวที่พวกเรารู้ว่าสามารถข้ามเวลาและสถานที่ได้ คูเปอร์ สามารถ จัดการกับแรงโน้มถ่วงที่จุดที่แตกต่างกันในเวลาเพื่อที่จะส่งข้อความพื้นฐานให้กับลูกสาวของเขา แต่กลับกลายเป็นว่าคูเปอร์เองที่เป็น “ผี” ของเมอร์ฟี เขาส่งพิกัดไปยังสถานที่นาซา และข้อความที่ “ STAY” ให้กับตัวเอง

ในห้องหนังสือ, ทาไมคูเปอร์ถึงส่งข้อความ 'STAY' ไปยัง Murphy อีก เขาจาที่ Murphy บอก เขาว่า ‘ผี’ ของเธอส่งข้อความ 'STAY' นี้มาให้ และนั่นไม่ได้ทาให้เขาอยู่ต่อ ไม่จากไป ? อันที่จริง เขาก็จาได้ว่าข้อความ „STAY‟ นั้นไม่ได้ผลเพราะเขาก็ยังคงจากครอบครัวมา แต่ในขณะนั้นเขา ยังไม่สามารถระลึกถึง ได้ และเมื่อเขาตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงอดีตนั้นเป็นไปไม่ได้ ทาให้เขาพยายามที่จะทาอย่างอื่นเพื่อแก้ไขสถานการณ์

89


คูเปอร์ส่งข้อมูลอะไรไปให้เมิร์ฟ (ที่ใช้รหัสมอร์สไปยังนาฬิกา)? ข้อมูลที่ได้จากหลุมดา (Singularity data) ซึ่งเมิร์ฟต้องการใช้แก้สมการในส่วนของแรงโน้มถ่ว ง

ในตอนท้ายเรื่อง คูเปอร์ ตื่นขึ้นที่ไหน? คูเปอร์ตื่นขึ้นบน สถานีอวกาศคูเปอร์ (ตั้งชื่อตาม เมิร์ฟ) แบบวงแหวน ของโอนีล ซึ่งกาลังโคจรอยู่บริเวณใกล้ดาวเสาร์ระหว่าง รอเดินทางเข้าสู่รูหนอน

ดร. อเมเลีย แบรนด์ ลงสู่ดาวเอ็ดมันด์ได้อย่างไร ในเมื่อยานแรนเจอร์ทั้งสองได้แยกตัวจากยาน เอนดูแรนซ์ระหว่างขับเคลื่อนออกมาจากหลุมดา หุ่นทาร์ส แยกตัวออกมาด้วยยานแลนเดอร์หนึ่งในสองลา ไม่ใช่ยานแรนเจอร์ ในขณะที่คูเปอร์แยกตัวออกมาด้วยานแรนเจอร์ 2 หุ่นเคส ยังคงอยู่กับ ดร แบรนด์ และลงสู่ดาวเอ็ดมันด์ด้วยยานแลนเดอร์.2 ส่วนยานแรนเจอร์ 1 ถูกทาลายไปตอนที่ ดร มานน์. พยายามเชื่อมต่อเข้ากับเอนดูแรนซ์22

22

ดูประกอบในบทความ...ยานอวกาศในทะยานดาวกู้โลก

90


โดย

หนอนทรายแห่งอาราคีส

91


92


93


94


95


http://mowojo.com

96




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.