ไมวาทศวรรษหนาจะเปนอยางไร ขอยืนยันหลักการของ ปู ยา ตา ยาย เกา ๆ คือ สุ จิ ปุ ลิ ไดแก ปญญา ที่เกิดจากการฟง คิด ถาม และ ตอบ รวม ทั้ง พุทธศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา และ พัฒนาศึกษา มาเปนหลักในการเรียนรู นอกจากนี้ตองปลูกฝงใหเด็กรักการอาน เพราะเปน รากฐานสําคัญ และสราง ทักษะการสังเกตใหมาก รวมทั้งรูจัก การคนควา อยูเสมอ บางคนเรียนมาก แตไมสามารถสื่อสารได บางคนทําแต ขอสอบปรนัยได แตคิดไมเปน ซึ่งเด็กใน ทศวรรษหนาตองคิดเอง ตั้งแตตน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 23 กันยายน 2542
คํานํา วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ฉบับนี้นับเปนฉบับที่ 3 (กันยายน – ธันวาคม 2550) ของการจัดพิมพเผยแพรอยางตอเนื่องมาเปนปที่ 8 คณะกรรมการจัดทําวารสารวิชาการ ที่มีรองคณบดี ฝายชุมชนและวิเทศสัมพันธ เปนประธานนั้นไดพยายามอยางเต็มกําลัง ที่จ ะใหว ารสารมีม าตรฐานคุณ ภาพทางวิช าการโดยไดรับ ความอนุเ คราะหจ าก ทา นผูทรงคุณวุฒิ ทั้งจากภายใน และภายนอก รับเปนกรรมการกลั่นกรองผลงาน (Peer Review) ใหอยางเสียสละยิ่ง บทความและบทความวิจัยทางการศึกษาที่นํามาเสนอ ใหฉบับนี้มีความหลากหลายที่ครอบคลุมทั้งเรื่องนโยบาย หลักสูตร การสอน การเรียนรู สภาพที่เอื้อตอการเรียนรู เทคโนโลยี และสภาพแวดลอมในสถานศึกษา ขอขอบคุณ คณะกรรมการ เจา หนา ที่ผูเ กี่ย วขอ งทุก ฝา ย และผูท รงคุณ วุฒิ ที่ไดใหความอนุเคราะหจนวารสารวิชาการฉบับนี้สําเร็จอยางดียิ่ง
รองศาสตราจารย ดร.สมชาย ชูชาติ รองอธิการบดีฝายวิเทศสัมพันธ รักษาราชการแทน คณบดีคณะศึกษาศาสตร
ISBN 1513-3443
วารสารวิชาการ คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ JOURNAL OF EDUCATION: FACULTY OF EDUCATION : SRINAKHARINWIROT UNIVERSITY ปที่ 8 ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม 2550
เจาของ
:
คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สุขุมวิท 23 เขตวัฒนา กทม. 10110 โทร. 0-2664-1000 ตอ 5539, 5580โทรสาร 0-2260-0124
พิมพที่ ที่ปรึกษา
:
สํานักงานเลขานุการคณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทวิโรฒ คณบดีคณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หัวหนาภาควิชา หัวหนาสาขาวิชา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
บรรณาธิการ
:
:
ศาสตราจารย ดร.อารี สัณหฉวี
หัวหนากองบรรณาธิการ : กองบรรณาธิการ :
ผูชวยศาสตราจารยอลิศรา เจริญวานิช ผูชวยศาสตราจารยบุญยฤทธิ์ คงคาเพ็ชร ผูชวยศาสตราจารย ดร.องอาจ นัยพัฒน ผูชวยศาสตราจารย ดร.ฤทธิชัย ออนมิง่
รูปเลม
:
ผูชวยศาสตราจารยอลิศรา เจริญวานิช นายธนพล ติดสิลานนท
กองจัดการ
:
นายพิสทิ ธิ์ แตมบรรจง นางสุรางค เบญจศรี นางสาวเมลดา พาทีเพราะ นายสุทธิศกั ดิ์ แซแต นางสาวพัชรินทร ธรรมสุวรรณ นางสาวคํานึง ทองคําสุข นายสมชาย หาบานแทน
หลักเกณฑการเขียนตนฉบับวารสารวิชาการศึกษาศาสตร นโยบายวารสาร วารสารวิชาการศึกษาศาสตร เปนวารสารที่ พิมพเพื่อเผยแพรบทความ รายงานการวิจัย บทวิจารณ ขอคิดเห็น และขอมูลขาวสารเกี่ยวกับการศึกษาทั้งความเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลงในแวดวงการศึกษาที่เกิดขึ้น ทัศนะและ ความเห็น ในวารสารฉบับนี้เปนของผูเขียนแตละทาน และไมจําเปนที่จะตองสอดคลองกับนโยบาย จุดยืน ทัศนะ ของคณะ ศึกษาศาสตร กองบรรณาธิการยิ นดี พิจารณาผลงานสาขามนุษยศาสตรและสังคมศาสตรทุกสาขา ผลงานที่ไ ดรับการ พิจารณาตีพิมพในวารสารอาจถูกดัดแปลงแกไขรูปแบบและสํานวนตามที่เห็นสมควร ผูประสงคจะนําขอความใด ๆ ไปพิมพ เผยแพรตอไป ตองไดรับอนุญาตจากผูเขียนตามกฎหมายลิขสิทธิ์ การพิจารณาตนฉบับ บทความที่ตีพิมพจะตองไดรับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ และผานการกลั่นกรองจากผูทรงคุณวุฒิในสาขาที่ เกี่ยวของ กรณีที่ตองปรับปรุงแกไข จะสงกลับไปยังผูเขียนเพื่อดําเนินการตอไป การเสนอบทความเพื่อพิมพในวารสารวิชาการศึกษาศาสตร 1. บทความแตละบทความจะตองมีชื่อเรื่อง ชื่อผูเขียน (ครบทุกคน) วุฒิการศึกษาขั้นสูงสุด และตําแหนงทางวิชาการ (ถา มี) ของผูเขียนครบทุกคน 2. ตนฉบับตองระบุชื่อ นามสกุลจริง สถานที่ทํางานหรือที่อยู และเบอรโทรศัพท ที่สามารถติดตอได 3. ผูเสนอผลงานตองสงตนฉบับพิมพหนาเดี่ยว ควรใชตัวอักษร Cordia New ขนาด 16 บนกระดาษขนาด 8.5 นิ้ว x 11 นิ้ว ความยาวของตนฉบับรวมทั้งตาราง แผนภูมิ และเอกสารอางอิงไมเกิน 20 หนา พรอ มกับ บัน ทึก บทความลงในแผน ซี ดี 4. ตนฉบับที่เปนงานแปลหรือเรียบเรียงจะตองบอกแหลงที่มาโดยละเอียด 5. ตองเปนบทความที่ไมเคยตีพิมพเผยแพรมากอน 6. กองบรรณาธิการขอใชสิทธิในการนําบทความที่ตีพิมพในวารสารวิชาการศึกษาศาสตรเผยแพรลงในเว็บไซต วารสารวิชาการศึกษาศาสตรออนไลน Æ กรณีที่เปนบทความทางวิชาการ ควรมีสว นประกอบทั่วไปดังนี้ 1. บทคัดยอภาษาไทย 2. บทคัดยอภาษาอังกฤษ1 3. บทนํา 4. เนื้อหา 5. บทสรุป 6. บรรณานุกรม Æ กรณีที่เปนบทความวิจัย ควรมีสวนประกอบทั่วไป ดังนี้ 1. บทคัดยอภาษาไทย 2. บทคัดยอภาษาอังกฤษ 3. บทนํา / ความเปนมาของปญหาการวิจัย 4. วัตถุประสงคของการวิจัย 5. สมมุติฐาน (ถามี)
6. 7. 8. 9.
วิธีดําเนินการวิจัย สรุปผลการวิจัย และการอภิปรายผล ขอเสนอแนะ บรรณานุกรม
การเขียนเอกสารอางอิงและบรรณานุกรม การอางอิงในบทความใหผูเขียนระบุที่มาของขอมูล/เนื้อเรื่องที่อางอิง โดยบอกชื่อ นามสกุล (หรือเฉพาะนามสกุล ถาเปนภาษาอังกฤษ) และปที่พิมพของเอกสาร (และหนา กรณีอางอิงขอความเฉพาะบางสวน) การอางอิงแบบเชิงอรรถ ให ใชไดในกรณีที่ตองการขยายความ สําหรับการเขียนเอกสารอางอิงทายบทความ ใหใชดังตัวอยางตอไปนี้ 1. หนังสือใหเรียงลําดับ ดังนี้ ชื่อผูแตง. (ปที่ พิ ม พ ) . ชื่ อ เรื่ อ ง. (ฉบั บ พิ ม พ ) . สถานที่ พิ ม พ : ผู จัดพิมพ. อํานวย แสงสวาง. (2544). การจัดการทรัพยากรมนุษย. (พิมพครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: อักษราพิพัฒน. 2. วารสารภาษาไทย ใหเรียงลําดับดังนี้ ชื่อตัว ชื่อสกุล. (ป พ.ศ.ที่พิมพ). ชื่อเรื่อง. ชื่อหรือชื่อยอวารสาร, ปที่ (ฉบับที่), หนาแรก-หนาสุดทาย. ตัวอยางเชน อรัญญา จิวาลักษณ. (2544). ความฉลาดทางอารมณ: ปจจัยแหงความสําเร็จในการทํางาน. วารสารสมาคม พยาบาลสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, 23(1), 42-49. 3. วารสารตางประเทศ ใหเรียงลําดับดังนี้ ชื่อสกุล, ชื่อนํายอ ชื่อตามยอ. (ป ค.ศ.ที่พิมพ). ชื่อเรื่อง : ชื่อหรือชื่อ ยอวารสาร, ปที่ ( ฉบับที่), หนาแรก-หนาสุดทาย. ตัวอยางเชน Hartman, L. M. (1979). The preventive reduction of psychological risk in asymptomatic adolescents. American Journal of Orthopsychiatry, 49(1), 121 – 135. 4. แหลงขอมูลอิเล็กทรอนิกส ระบบออนไลน (Online) ใหเรียงลําดับดังนี้ ชื่อผูเขียน. (ปที่เผยแพร). ชื่อเรื่อง. แหลงที่เขาถึง: [วัน เดือน ป ที่เขาถึงเอกสาร] ตัวอยางเชน Oconnor, R.M. (2003). Emotional intelligence and academic success: examining the transition from high school to university.(Online).Available: http://www.sciencedirect.com. Accessed [25/3/2003]. การตอบแทน กองบรรณาธิการจะอภินันทนาการวารสารฉบับที่บทความนั้นตีพิมพทานละ 1 ฉบับ
ISBN 1513-3443
วารสารวิชาการ คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ JOURNAL OF EDUCATION: FACULTY OF EDUCATION : SRINAKHARINWIROT UNIVERSITY ปที่ 8 ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม 2550
สารบัญ Valuing and Developing Students’ Creativity
1
Assoc. Prof. Somchai Chuchat, Ph.D.
การบูรณาการรายวิชาในหลักสูตรการอุดมศึกษา
8
ดร.วินิดา เจียระนัย
ความแตกตางระหวางเทคโนโลยีการศึกษากับเทคโนโลยีสารสนเทศ
18
รองศาสตราจารย ดร.สาโรช โศภีรักข
บทบาทสมมติ บทบาทที่ไมควรมองขาม : กรณีศึกษาการเรียนการสอน กลุมวิชาสังคมศึกษา
28
โชตรัศมิ์ จันทนสุคนธ
ความพึงพอใจตอการใชบทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอน ประกอบการเรียนวิชาคณิตศาสตรพื้นฐาน
36
ผูชวยศาสตราจารย ดร. อังสนา จั่นแดง
ระบบบําบัดน้ําเสียที่เหมาะสมในสถานศึกษา : แหลงเรียนรูดานสิ่งแวดลอมศึกษาสําหรับ โรงเรียนขยายโอกาส สังกัดกรุงเทพมหานคร
44
ดร.สนอง ทองปาน
ปจจัยที่สง ผลตอสมาธิในการเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินทู ิศ สตรีวทิ ยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร
56
พระธีราภิสุทธิ์ สารธมฺโม
ปจจัยที่สง ผลตอปญหาในการเรียนของนักเรียนชวงชัน้ ที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
66
พระมหาเดชจําลอง พุฒหอม
การวิเคราะหคุณภาพของนโยบายการใหบริการสาธารณะของกรมทีด่ ิน กรณีศึกษาสํานักงานทีด่ ิน จังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด
74
สนทรรศน แยมรุง
ผลลัพธการปฏิบัติราชการของกรุงเทพมหานคร : ศึกษาเปรียบเทียบการบริหารรัฐกิจแบบเดิม กับการบริหารรัฐกิจแนวใหม พงศธร ชั้นไพศาลศิลป
82
องคประกอบที่มีอิทธิพลตอสัมพันธภาพระหวางนัก เรี ย นกับเพื่ อ นของนั ก เรี ย นชว งชั้น ที่ 3 โรงเรี ย นอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี
94
อาจารีย ชางประดับ
องคประกอบที่มีอิทธิพลตอความสามารถในการเรียนรูวชิ าคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชัน้ ที่ 4 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
104
นพรัตน สําเภา
ปจจัยที่สง ผลตอพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี
112
สุพัตรา ผลรัตนไพบูลย
ปจจัยที่สง ผลตอการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชัน้ ที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
121
สุภา ซูกูล
ปจจัยที่สง ผลตอการประหยัด ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
129
เอริสา มโนธรรม
ปจจัยที่สงผลตอความสามารถในการรับรูวิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนราชดําริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร
142
อารยา สนโต
องคประกอบทีม่ ีอิทธิพลตอ พฤติกรรมการทะเลาะวิวาท ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช 148 พิชญา สมทรง
ปจจัยที่สง ผลตอแรงจูงใจในการมาเรียนของนักเรียนชวงชัน้ ที่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย
159
ปยะรัตน ดีกลาง
การพัฒนาโปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตรสําหรับเด็กทีม่ ีปญหาทางการเรียนรู
166
อาจารยสิริลักษณ โปรงสันเทียะ
หลักสูตรที่เปดสอนในคณะศึกษาศาสตร รายชื่อกรรมการกลั่นกรอง (Peer reviews)
176 177
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
1
Valuing and Developing Students’ Creativity Assoc. Prof. Somchai Chuchat, Ph.D. Creativity and creative teaching are becoming part of the educational psyche but let’s set the concept of creativity within some kind of context. The government is beginning to recognize that young people need to develop the creative skills that will be necessary in the workplace of the future. Fast-moving technology and the increasing demands for flexibility and imagination mean that all our students need to be able to pose questions such as ‘what if…?’, ‘why…?’ and ‘why not?’ It is also more than likely that, as young people start their careers, they will move jobs several times and will need ability to cope with change so that they can produce creative solutions to increasingly complex environments. Creative teaching practices will help prepare them for this-promoting the ability to solve problems, think independently and work flexibly. In Expecting the Unexpected: Developing Creativity in Primary and Secondary Schools (www.ofsted.gov.uk) the Office for Standards in Education (Ofsted) suggests that ‘being creative’ and ‘creative teaching’ are not radical or new concepts-all that they really involve is a willingness to observe, listen and work closely with students to help them develop their ideas in a purposeful way.
รองอธิการบดีฝายวิเทศสัมพันธ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
Ofsted goes on to suggest that it is vital that school leadership is committed to promote creativity because this support and encouragement will permit both students and teachers to work creatively and help to ensure that good practice is recognized, resourced properly and disseminated across the school. It identifies four characteristics of creativity in schools: • thinking and behaving imaginatively • imaginative activities take place in a purposeful way, i.e. related to a specific objective • the activity generates something original • There is value in the activity that is related to the original objective. I think this is an interesting definition when it is applied to teaching and learning because it immediately removes any vague ideas that all creativity is about is lying on summer lawns thinking ‘creative’ thoughts that are never realized. To be able to develop students’ creativity we need to begin with a review of our own attitudes and beliefs and then come up with ideas and specific activities inspiring creativity; these may be complemented with ideas of other people (e.g. exchange ideas, talk to other teachers, go to workshops, read books).
1. Make sure students believe that they can indeed be creative. • Tell students that everyone has the capacity to be creative, that creativity is a universal trait. Ask them to think about ways in which they have been showing their ability to be creative ever since they can remember. Have them talk about their drawings, poems, imagination, including the (lies)/stories they have been making up, the way they
play, the conversations they have with people in their heads, things they have built/constructed when playing, ideas they come up with. • Work on raising students’ self-esteem and their belief in themselves. • Introduce activities proving to students beyond any doubt that their minds are different than other people’s minds, that they are absolutely unique. Emphasis that there is nobody exactly like they are in the whole world that they are special and that everyone else is also special.
2. Create a relaxed environment in which students feel safe to take risks and get things ‘wrong’. Seriously review your own and students’ attitudes to mistakes. • Everybody, absolutely everybody, makes mistakes. • In order to learn something we must make some mistakes. • We need to anticipate making mistakes in whatever we do. • It is important to learn from the mistakes we make. We frequently get things wrong many times, not just once! • ‘Mistakes’ were sometimes responsible for unexpected scientific discoveries (e.g. penicillin).
Tell your students Thomas Edison’s story: When Thomas Edison was 7 years old, his teacher said he was too stupid to learn. And yet he became one of the most famous scientists and inventors! As Edison pursued inventing the light bulb, he tried more than 2,000 experiments before he got the electric bulb to work. A reporter asked him how it felt to fail so many times. Edison responded: ’I never failed
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 once. I invented the light bulb. It just happened to be a 2,000 step process.’ Adopt and consistently use constructive ways of responding to learners’ mistakes and replace some of the unhelpful responses with more encouraging ones. Remember that the tone of your voice may be even more important than the words! From time to time introduce in your class an error-free activity, i.e. an activity in which every answer is possible, every answer is ’correct’. Introduce a light-hearted attitude to mistakes by making them acquainted with their ‘Mistake Monsters’. This activity has proved many times to be very effective!
3. Make a habit of looking for ‘another right answer’. Change the way you ask questions and modify your expectations. • Ask more questions to which there is evidently more than one correct answer; expect students to give two or three possible answer, solutions, and sentence or story endings. • Once a question has been answered, say ‘and now let’s look for another possible answer. For example: 2+2 =? How many answers are possible? (4, 3+1, 10-6, etc). Even if nobody does find more answers, your question will stimulate their thinking and awaken an attitude of searching for more possibilities. As often as it is appropriate use Edward de Bono’s Plus Minus Interesting thinking exercise.
4. Encourage students to re-visit and reexamine the rules and, if appropriate, recommend changing them.
3
Discuss with students the reasons why they have rules as rules are everywhere; they govern every aspect of our lives. In your discussion talk about different kinds of rules: rules which protect people’s life, safety, health, values, rights, comfort, etc. Decide together which rules must stay, should stay, could stay and which may be changed or scrapped altogether. Discuss the school rules with the School Council. Evaluate the rules, their effectiveness and find out whether students want to change or introduce different rules. In art/music/dance lessons when talking about literature, encourage students to experiment with breaking rules, going against logic, contradicting accepted thinking and disregarding learnt skills.
5. Provoke creative breaking of accepted patterns. Ask, What would happen if…? Questions in any lesson: (history, physics, psychology) no matter how whacky they appear to be. This way you can take students away from their routine thinking and exercise their ‘creative muscle’. Tell students to read a text-book, starting from the last chapter, or to read a chapter starting from the summary. Break the pattern yourself and run a lesson differently from the way you normally do. The world’s truly creative people were not necessarily conforming students. They were rebels, often pronounced un-teachable with no hope for future success. Just think about people as Edison, Albert Einstein, Ernest Hemingway, Bill Gates, Richard Branson, not to mention most famous artists! You may say that this is different for geniuses. These people were by no means seen as brilliant, rather as
4
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
delinquent, dump students when they were at school. It is their non-conformism, breaking the rules matched with determination, perseverance and ambition, which made them who they are: creative and successful people.
6. Find the right balance between teaching skills and inspiring creative expression. Apart from teaching valuable skills, encourage students to express themselves through dance, music, art and language. a) When teaching art provoke a new way of looking at things from a distance (draw an object as if seen under the microscope and 500 meter away): - in an unrealistic colour; - through a distortion of shape; - by humanization things (furniture); - from a perspective (from birds-eye view, from under the object). b) When teaching music, make music their language: - have students improvising a song to a poem (of their own?); - encourage them to play improvised musical dialogues; - make improvisation ‘fun’, show students that it is OK to play with sound in a silly way; this will melt away the resistance and embarrassment many students may feel. c) When teaching dance: - have students create their own dance routines; - encourage students to improve on a regular basis and develop sensitivity to the music they are dancing to;
- inspire students to choose their own music and improvise a dance which becomes one with the music; - encourage students to tell a story through a dance. d) When teaching writing: - encourage students to express their imagination, their dreams, their feelings and their thoughts through poems, stories, plays.
7. Teach students how to suspend all judgment. • Introduce no-evaluative activities as often as you can – allow freedom of expression and appreciate students’ imagination. Have students thinking about solving a problem and tell them that all crazy ideas are welcome; the crazier the better! • Evaluating ideas comes as the step. Allow the slow thinking, dreamy, playful mind the time it needs to brew new ideas. • Mention a problem, a task or a need for action before the weekend, leaving the seeds to geminate in students’ minds. Remind them about it a few days later and once again leave it for a while. Some time tell students to put on their creative hats and come up with ideas as to what could be done. All ideas, including the most outrageous, are welcome! • Encourage students to find their best ‘creative spot’, be it physical or imaginary. Ask them to draw or describe in writing, a place they find really good for coming up with creative ideas. Tell them they can always go to this place, it not physically then in their minds, whenever they want to think creatively.
Purposeful creativity Obviously, this kind of daydreaming can be part of a creative process but- and this is a big butcreative people actually do something. They are purposeful. They have an objective-whether it is an
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 original recipe, a design for a bridge, a great painting or a beautiful poem. Sometimes-and this is possibly part of the generation gap-teachers and students’ views about what is creative, in terms of being worthwhile and valuable, may differ. Many students may well feel that lying about ‘thinking’ about writing a poem is ‘wickedly’ original and creative. But most teachers and all those principals who are supporting creativity would argue that it involves action. Thinking about an imaginative idea and not doing anything about it is not being creative.
Creative schools are better schools Creative needs to be a whole-school issue. The National Advisory Committee on Creative and Cultural Education (NACCCE) is amassing a considerable amount of data that suggests that the more engaged students are in creative activities, the better the behaviour and the higher their achievements. Ofsted notes that in the4 most effective schools: • head teachers placed the development of creativity high on their list of priorities • they were outward looking, welcoming and open to ideas from external agencies • There were no radical new teaching methods but students’ ideas were developed in a purposeful way. The future of all current students rests on the wisdom of the decisions that they will make. A school where creativity is valued will be able to: • provide an environment where students go beyond the expected and are rewarded for doing so • help students find a personal relevance in learning activities
5
• create a stable and structured ethos for a successful curriculum but at the same time create alternatives in the way information is taught and shared • encourage students to examine and explore alternative ways of doing things • give them time for this kind of exploration.
The Reggio Emilia approach The success of the Reggio Emilia approach to early year’s education has influenced theory and practice in the area of creativity in primary education. In schools in Reggio Emilia there is an innovative staffing structure with each early years centre having an ‘atelierista’ (a specially trained art teacher) who works closely with the classroom teachers. In Italy in the primary sector there is significant teacher autonomy with no national curriculum or associated achievement tests. In Reggio Emilia the teachers become skilled observers and they routinely divide responsibilities, so that one can teach the class. Teachers from several schools sometime work and learn together and this contributes to the culture of the teachers as learners. The learning environment is crucial in the Reggio Emilia approach and classrooms often have courtyards, wall-sized windows and easy access to stimulating outdoor areas. Each classroom has large spaces for group activities and specially design areas for students and staff to interact. Display areas are large and stimulating and reflect the creativity of the students. Teachers in early years settings in Reggio often refer to the learning environment as a ’third teacher’ as most centres are small with just two classroom teachers. The curriculum is project-based and there are numerous opportunities for creative thinking and
6
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
exploration. The teachers work on topics with small groups of students while the rest of the class work on self-selected activities. Projects are often open-ended and therefore curriculum planning is flexible and is sometimes teacher-directed and sometimes childinitiate.This philosophy is inspiring and can be partially transferred to the different framework of our primary and secondary school.
Whole-school approach to developing ‘creativity’ For school leaders the first step in developing a creative school is the fostering of a whole-school approach. Creativity is not an add-on and it cannot be imposed by the head teacher. There needs to be discussion, involvement and ownership. The debate should be based around some of the following points: • taking control of the curriculum by the school • the creation of a school with creativity at the heart of the learning process • enhancing the motivation for staff and students • fostering the professional development of all the staff, both teaching and non-teaching • involving government (education) sector, community and parents in a whole-school approach to creativity and showing how this philosophy supports school improvement and high standards of achievement • getting the students involved in school issues (regarding the curriculum and the learning, perhaps through the school council)
Teachers can promote creativity If creativity is part of staff development programme they are more likely to be enthusiastic about it. One of the most important points to make is that creativity doesn’t just arrive and settle in classrooms and become instantly successful. Teachers have to plan for it to happen. It might be possible for existing teaching styles, schemes of work and medium-and short term plans to be modified in some way so that there is more potential for creativity. It might also be the case that teachers will have to modify their approach and promote a range of teaching and learning styles that will be allow many more students to demonstrate their creativity. This will only work, however, if students know their way around the subject that they are being creative about.
Creativity is the future It is suggested that students who are encouraged to be creative and independent become more interested in discovering things, more open to new ideas, keener to explore them – even willing to work beyond lesson time to do so! Schools that promote creativity will ensure that all their students respond positively to opportunities and responsibilities and are better able to cope with new challenges as well as change and adversity. Creativity should be celebrated and the school should consider looking for outside accreditation. Creative successes should be carefully evaluated, highlighted and showcased to parents and the community. Staff should be empowered to design activities within the curriculum which are exciting, motivating and relevant to their school and students. Once these seeds are sown, creativity will flourish.
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
7
References DeGraff, Jeff and Lawrence, Katherine. 2002. Creativity at Work: Developing the Right Practices to Make Innovation Happen. New York: John Wiley & Sons. Eysenck, Hans. 1993. Creativity and Personality: Suggestions for a Theory. Psychological Inquiry, 4 (3), 147-178. Gardner, Howard, Feldman, D.H., & Csikszentmihalyl, M. 1994. Changing the World: A Framework for the Study of Creativity. Westport, CT: Praeger. Starko, Alane. 2005. Creativity in the Classroom: Schools of Curious Delight. Mahwah, NJ: Lawrence Erlbaum Associates. Steptoe, Andrew. 1998. Genius and the Mind: Studies of Creativity and Temperament. Oxford: Oxford University Press.
8
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
การบูรณาการรายวิชาในหลักสูตรการอุดมศึกษา THE INTEGRATION OF COURSES OF HIGHER EDUCATION CURRICULUM ดร.วินิดา เจียระนัย บทคัดยอ ตลอดศตวรรษที่ 20 การบู ร ณาการรายวิ ช า ใน หลักสูตรการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาไดมีการพัฒนาบาง รายวิชาใหมีลักษณะของการบูรณาการ ในปจจุบัน จึงมีหลาย รายวิชาที่จัดการเรียนการสอนใหนิสิตเรียนรูห ลายสาขาวิชา เพิ่มขึ้น โดยพัฒนาอาจารยใหมีความรูกวางขวางในเนื้อหาวิชา อื่น หรืออาจารยบางทานพยายามติดตอกับอาจารยสาขาวิชา อื่นเพื่อใหความรูในบางหัวขอกับนิสิต และมีการวางแผนจัดการ สอนที่แบงปนความรูรวมกันและการเขารวมชั้นเรียนกับอาจารย ที่สอนวิช าอื่น ดัง นั้น คณาจารยจึง พบกัน ทุก สัป ดาหต ลอดป เพื่ อ วางแผนการสอนและปรั บ ปรุ ง รายวิ ช า ในที่ สุ ด เส น กั้ น พรมแดนระหว า งรายวิ ช าก็ ห ายไป และให ค วามสนใจกั บ โครงสรางความเขาใจในเรียนรูของนิสิตแบบใหม ผลสุดทาย นิ สิ ต ได ใ ช เ วลาเล็ ก น อ ยในการเรี ย นรู วิ ช าเฉพาะสาขาและ ขอบขายของสาขาวิชาความรูที่เกี่ยวของดวยการบูรณาการการ เรียนรูที่สูงขึ้น
อาจารย ระดับ 8 สังกัดภาควิชาสันทนาการ คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 Abstract Throughout the twentith century, the integration of courses in higher education curriculum develop to be the integrated courses.In the present time, there are several courses have been chaged from students undertook a course of study in the basic sciences to consisted the new areas of knowledges were added. Each instructor develop course with largely unaware of the content of the other courses. Some instructors come efforts to make connections between courses, followed by incorporation of common themes within separate courses. The others are made aware of what is being taught in other courses. The sharinginvolves involves joint planning and teaching in a deliberate way and attended each other's lectures. So, the faculty met nearly every weekend throughout the year to plan and refine the course. At last boundaries between disciplines disappear and the students focus entirely on a new construct of understanding that transcends the disciplines. The proportion of student time spent in specific subjects or disciplines recedes as the amount of time in tasks that involve an integrated approach to learning increases. ความหมายของการบูรณาการ คําวา “บูรณาการ” มีรากศัพทจากภาษาลาตินวา “Integrat” หมายถึง การทําใหรวมกันไดทั้งหมด ไมมีสวนใด ขาดหายไป และมาจากคําในภาษาอังกฤษวา “Integration” หมายถึง การทําสิ่งที่บกพรองใหสมบูรณโ ดยการเพิ่มเติม สวนที่ยังขาดอยูเขาไป (แปลมาจาก Oxford Dictionary) หรือการนําสวนประกอบยอยตั้งแตสองสิ่งขึ้นไปมารวมกัน เพื่อทําใหเปนสวนหนึ่งของสวนทั้งหมดที่ใหญกวา (แปลมา จาก World English Dictionary) องคการสหประชาชาติ (United National Europian Security Coperation : UNESCO) ได ศึ ก ษาจุ ด เริ่ ม ต น ของการบู ร ณาการว า เป น
9
แนวความคิ ด ในการบู ร ณาการหลั ก สู ต ร โดยวิ ธี ก ารเน น เนื้อหาสาระและแยกความรูออกเปนสวนๆ เพื่อการปรับปรุง คุณภาพการศึกษาใหมีความสอดคลองกับสภาพที่เปนจริง ในชุมชนและใหทันตอการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยางรวดเร็ว ต อ มาแนวความคิ ด เกี่ ย วกั บ การบู ร ณาการมี เ พิ่ ม ขึ้ น เนื่องจากมนุษยมีความจําเปนตองมีความรูใหเทาทันตอการ เพิ่มขึ้นของขอมูลและวิทยาการตางๆ ในยุคกระแสโลกาภิ วั ต น ที่ มี ค วามเจริ ญ ด า นเทคโนโลยี ข อ มู ล ข า วสารและมี วิทยาการใหมมากมาย (Jacobs. 1991: 4) ดังนี้ บีเน (Beane. 1991: 9) เสนอวาการบูรณาการ หมายถึง การสรางความรูและประสบการณใหมในลักษณะ ของการผสมผสานเขาดวยกันทั้งหมด เพื่อใหสอดคลองกับ ความตองการและสภาพชีวิตจริง โดยการรวมกันมากกวา การแบ ง แยกเป น ส ว นๆ สาโรช บั ว ศรี (2526: 7) เสนอว า หมายถึง การทําใหเต็ม หรือความเต็ม ความสมบูรณ ซึ่งเปน สิ่งจําเปนและพึงประสงคของมนุษยทุกคนที่จะชวยใหหลุด พนปญหาของความขาดแคลน ความกังวล หรือปญหาอื่นๆ หรืออีกนัยหนึ่ง สภาพที่เปนบูรณาการนั้นไดแก “การศึกษาที่ เปนความมุงหมายอันสูงสุดคือ การบูรณาการ” นั่นเอง สอ เศรษฐบุตร (So Sethaputra.2540: 299) ไดแปล คําศัพทของคํา “Integrate” ไวในปทานุกรมอังกฤษเปนไทย ฉบับใหม (New Model English–Thai) วา เปนคํากริยา (Verb) แปลวา ทําใหเปนหนวย เปนกอน เปนตัว เปนจํานวน เต็มหรือสมบูรณขึ้น คํา “Integration” เปนคํานาม (Noun) แปลว า การรวบรวม เช น การรวบรวมประเทศ และคํ า “Integrity” เปนคํานาม แปลวา ความซื่อสัตย ความมั่นคง ความสมบู ร ณ ความเป น อั น หนึ่ ง อั น เดี ย วกั น ความไม แบงแยกบูรณภาพ (Whole) ธนาธิป พรกุล (2543: 57-58) เสนอวาหมายถึง การ เชื่อมโยงหัวขอความรูหลายสาขาเขาดวยกันทั้ง 3 ดาน ไดแก พุทธพิสัย ทักษะพิสัยและจิตพิสัย วิชัย วงษใหญ (2545 : 62) เสนอวาหมายถึง การนํา นวัตกรรม (Innovation) มาชวยเสริม เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลง วิธีการ กระบวนการ ที่ทําอยูเดิมใหไดผลคุมคา
10
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ์ (2546: 4-8) เสนอวา หมายถึง การนําสิ่งหนึ่งเขารวมกับอีกสิ่งหนึ่งเพื่อทําใหสิ่ง เดิมเพิ่มพูน สมบูรณยิ่งขึ้น เอื้อประโยชนตอกัน รวมทั้งการ เชื่อมโยงสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่งเขาเปนสวนประกอบของอีกสิ่ง หนึ่ง เพื่อใหสิ่งนั้นเกิดความสมบูรณขึ้น และไดรวบรวมคํา อื่ น ๆ ที่ มี ค วามหมายเช น เดี ย วกั บ การบู ร ณาการ ตาม พจนานุกรมในภาษาไทย ไดแก การเชื่อมโยง หมายถึงการ ทําใหเปนเนื้อเดียวกัน การผนวก หมายถึง การเพิ่มเขา การ ประสานหมายถึง การทําใหเขากันได การรวมกันหมายถึง การนําสิ่งสองสิ่งขึ้นไปมาบวกกัน หรือรวมกัน การเติมเต็ม หมายถึง การเพิ่มสิ่งที่ยังบกพรอง หรือยังขาดอยูใหสมบูรณ สําลี รักสุทธิ (2546: 26) เสนอวา หมายถึง การนําสิ่ง ที่เกี่ยวของ สัมพันธกันมาจัดรวมกันอยางประสมกลมกลืน สรุปวา การบูรณาการ หมายถึง การรวบรวม การเพิ่ม การ ตัด การเชื่อมโยง การประสาน ระหวางสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่ง เขามารวมกัน ใหเปนนวัตกรรมที่มีความสอดคลองกับความ ต อ งการและสภาพชี วิ ต จริ ง มี ค วามสมดุ ล สมบู ร ณ แ ละ ครบถวน ความสําคัญของการบูรณาการ ฮอพกินส (Hopkins. 1983: 1) เสนอวา การบูรณา การเปนพฤติกรรมที่ฉลาดหลักแหลมในการปรับตัวเองอยาง ตอเนื่อง ดวยการใชไหวพริบ ปฏิภาณ สติปญญาและมีปฏิ สัมพันธกับสิ่งอื่น พระธรรมปฎก (2539: 82) เสนอวา เปนการศึกษาที่ พัฒนามนุษยใหมีความสมบูรณ ความถูกตอง ความดีงาม รวมทั้งการสรางคนใหเปน “บัณฑิต” ซึ่งหมายถึง ผูที่มีชีวิต อยูดวยปญญา บุ ค คลที่ มี ค วามคิ ด แบบบู ร ณาการจะช ว ยให ล ด ความผิดพลาดจากการตัดสินใจที่ไมรอบคอบ มีความเขาใจ เรื่องที่มีความซับซอนไดอยางลึกซึ้งและกวางขวางยิ่งขึ้น ทํา ให ก ารตั ด สิ น ใจในเรื่ อ งเล็ ก เกิ ด ผลดี ต อ เรื่ อ งใหญ โ ดยดู ภาพรวมทั้ ง หมดก อ นตั ด สิ น ใจและมองป ญ หาได ถู ก จุ ด รู จุ ด เชื่ อ มโยงและผลกระทบ ลดความซ้ํ า ซ อ นและการ สิ้น เปลือ งทรัพ ยากร ช ว ยให ส ามารถแก ไ ขปญ หาได อ ย า ง เบ็ดเสร็จ โดยใชความเกี่ยวของ เชื่อมโยงกับระบบหรือปจจัย
ตางๆ ใหมีมุมมองที่กวาง ครบถวน และลึกซึ้ง (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ์. 2546: 36 - 46) สํา หรับ องคการที่นํา แผนการจั ดการเรี ยนรูแ บบ บูรณาการมาใช จะทําใหมีผลดีตอการพัฒนาชุมชนที่ทํางาน ตัวบงชี้ระดับของความรูในองคการ เครือขายของการเรียนรู และการสื่อ สารกับ ผู เกี่ ย วข อ งไดดี ขึ้น เอกสารขั้น ตอนการ ปฏิบัติงานและระเบียบการปฏิบัติมีมาตรฐานมากขึ้น พัฒนา และเพิ่มพู น ทัก ษะของผูป ฏิบั ติง านสูม าตรฐานของงานได ตลอดจนพัฒนาความสามารถของแรงงาน ชวยใหเปนคนใจ กว า ง ช ว ยจั ด การความขั ด แย ง ทํ า ให เ กิ ด การประสาน ประโยชนและลดหรือจัดการกับความขัดแยงที่อาจเกิดขึ้นกับ ผู มี ส ว นได ส ว นเสี ย (Stakeholder) กลุ ม ผลประโยชน (Interest Group) และรองรับแนวความคิดหลังทันสมัย (Post Modernism) ที่ มี ค วามคิ ด เห็ น ที่ แ ตกต า งหลากหลายและ คํานึงถึงมุมมองของกลุมคนที่มีความหลากหลายมากขึ้น สรุป วา การบู ร ณาการชว ยใหเกิด การเปลี่ ย นแปลง วิธีการที่ทําอยูเดิมใหไดผลยิ่งขึ้น ชวยสรางภาวะความสมดุล ความสมบูรณ และความครบถวน ทําใหมนุษยหลุดพนจาก ป ญ หาของความขาดแคลน ความกั ง วล หรื อ ป ญ หาอื่ น ๆ นําไปสูการเปนผูมีความรู มีประสบการณใหม ที่กอใหเกิด การพั ฒ นาให มี ค วามสมบู ร ณ ความสมดุ ล ความถู ก ต อ ง ความดีงาม รวมทั้งการสรางคนใหเปน“บัณฑิต” ซึ่งหมายถึง ผูที่มีชีวิตอยูดวยปญญา หลักการในการบูรณาการ 1. หลักการบูรณาการแหงตน การบูรณาการแหงตน (Self integration) หมายถึง การรวบรวมความรู ความสามารถ ความเขาใจ ความถนัด ความสนใจ ศั ก ยภาพและความสามารถของตนเอง เพื่ อ พั ฒ นาหน ว ยงาน สั ง คมและประเทศชาติ ให มี ค วาม เหมาะสม สอดคลอง สมบูรณและสมดุล (พิสิทธิ์ สารวิจิตร. 2540: 83) การบู ร ณาการแห ง ตนเป น เรื่ อ งที่ เ กิ ด ขึ้ น โดย ธรรมชาติแ ละโดยปกติ ข องมนุษ ย โดยการใช สมองคิด ใน ลั ก ษณะของความเกี่ ย วเนื่ อ งเชื่ อ มโยง (Associative thinking) อยางอัตโนมัติ ดวยการที่สมองรับขอมูลเขามาใหม
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 แลวเชื่อมโยงกับมโนทัศนของเรื่องในลักษณะเดียวกัน และ อาจผสมผสานกับอารมณ ความรูสึก สัญชาติญาณการใช เหตุ ผ ล ความเคยชิ น เพื่ อ หาคํ า ตอบอย า งมี เ หตุ ผ ล (Reasonable) และมี ก ารประเมิ น ความน า จะเป น (Possibility) นอกจากนี้ การบูร ณาการเกิด จากความต อ งการ แก ไ ขป ญ หาต า งๆ ซึ่ ง เป น ผลมาจากการผสมผสานหรื อ บูรณาการสิ่งตางๆ เขาดวยกัน เพื่อใหไดสิ่งที่สมบูรณหรือ เหมาะสมที่ สุ ด ในการแก ไ ขป ญ หานั้ น ๆ ดั ง นั้ น บุ ค คลที่ มี สมรรถภาพดานบูรณาการ (Integrative competence) หมายถึงบุคคลที่มีความสามารถหลอหลอมมโนทัศน บริบท เทคนิคในการติดตอสื่อสาร ซึ่งสงผลตอการสรางวิธีการการ มีกลยุทธในวิชาชีพที่เหมาะสม และการนําไปใชสถานการณ ที่หลากหลายอยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทําใหมี ปฏิสัมพันธกันทางแนวความคิดตอไป การบูร ณาการของกลุ มบุ คคล เปนการผสมผสาน คุณลักษณะของทรัพยากรบุคคลที่มีความคิดแตกตางกัน ให รวมอยูและควบคูกันไดอยางเหมาะสม เพื่อทําใหเกิดความ พอดีระหวางบุคคล ดังนี้ 1. การเปนผูนํากับผูตาม 2. ความสามารถทํางานเปนหมูคณะกับการทํางานที่ ดํารงตนในฐานะเปนปจเจกบุคคล 3. ความสามารถในการแขงขันกับความสมถะ รูจัก พอดีและรวมมือกัน 4. การใหความสําคัญของวิทยาการสมัยใหมกับภูมิ ปญญาดั้งเดิม 5. การเปดรับ การเลือกและการพัฒนาวัฒนธรรม ตางชาติกับการอนุรักษ เอกลักษณไทย 6. การเรียนรูเพื่อพัฒนางานและฐานะกับการเรียนรู เพื่อความปติแหงการเรียนรู 7. การเรียนรูเฉพาะทางกับการรอบรู 8. การเรียนรูเรื่องวัตถุกับสุนทรีย 9. การเรียนรูผานสื่อกับการเรียนรูแบบมนุษยสัมผัส มนุษยและสัมผัสธรรมชาติ
11
10. การเรียนรูเรื่องภายนอกกายกับการเรียนรูภายใน กาย โดยจิตที่มีสติตั้งมั่น หลักแมบทของระบบบูรณาการแหงตนของประเทศ ไทย ไดแก รัตนตรัย หมายถึง พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ซึ่งหลัก พุทธะมีความเชื่อวา มนุษยสามารถใชปญญารูแจงเห็นจริง ในความสัมพัน ธระหว างมนุษยกับ หลักพุทธะ หลักธรรมะ เปนหลักความจริงที่เปนแกนแทหรือสาระของธรรมชาติ สวน หลักสังฆะเปนการอยูรวมกันของมนุษยมากๆ เปนสังคมที่มี การพัฒนาสูง สรุปวา หมายถึง การดํารงชีวิตอยูของมนุษย ซึ่ง มีอ งคป ระกอบ 3 ประการ ไดแ ก มนุษ ย ธรรมชาติแ ละ สังคม (เพ็ญสิริ จีระเดชากุล. 2541: 14-15) เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ์ (2546: 26 และ144-145) เสนอวา บุคคลที่มีความคิดแบบบูรณาการ เปนมิติหนึ่งของ บุคคลที่เรียนรูและพัฒนาใหสอดคลองกับความคิดที่อยูบน ฐานของสั จ จธรรมด ว ยความเข า ใจและสามารถเชื่ อ มโยง ขอมูลขาวสาร หรือแนวความคิดที่แยกสวนหรือสิ่งที่แตกตาง กัน หรือสิ่งที่ดูเหมือนขัดแยงกัน อยางเปนเหตุผลและสัมพันธ กัน ทั้งทางตรงและทางออม และมีการพัฒนาความตระหนักรู ถึงความสัมพันธในการเชื่อมโยงระหวางสิ่งตางๆ กับเรื่องที่ เปนแกนหลักไดอยางเหมาะสม สงผลใหมีความสมบูรณและ ความเปนเอกภาพอยางมีสัมพันธภาพ นําไปสูความสามารถ คิดหาวิธีแกปญหา การสรางสรรคสิ่งใหมและคนพบสิ่งใหมที่ ดีกวาเดิม วิชัย วงษใหญ ( 2545: 51) เสนอวา การบูรณาการ แหงตน ทําใหบุคคลมีวิสัยทัศนดีเพราะไดรับความรูแบบองค รวม สรางกิจกรรมที่หลากหลายเปนประโยชนตอมโนทัศน สามารถผสมผสานระหว า งทฤษฎี กั บ การปฏิ บั ติ ไ ด แ ละ ประยุกตเปนการฝกฝนพัฒนาจนเปนทักษะและความคิดที่ ติดตัว มีความเชื่อมโยงสัมพันธกับชีวิต สิ่งแวดลอม ชุมชน และสังคม สรางเปนองครวมของความรูซึ่งเสริมสรางคุณภาพ ชีวิตที่เปนประโยชนและสามารถใชไดจริงในชีวิตประจําวัน และสามารถออกแบบกิจกรรมไดหลากหลายและมีนวัตกรรม ที่เอื้อตอการทํางานรวมกัน สรุปวา มนุษยทุกคนมีการบูรณาการแหงตน โดยการ พั ฒ นาองค ค วามรู เ ป น องค ร วมย อ ยแต ล ะเรื่ อ ง นํ า มา
12
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ผสมผสาน เชื่อมโยงอยางมีปฏิสัมพันธ แลวพัฒนาเปนองค รวมใหญแบบบูรณาการ ทั้งระบบ (Wholeness integration) เพื่ อ ความสมดุ ล ขององค ค วามรู ใ นสั ง คมและธรรมชาติ แวดล อ ม ตามขี ด ความสามารถและกระบวนทั ศ น ใ หม (Paradigm integration) เพื่อสรางวิสัยทัศน พันธกิจคานิยม และมูลคาเพิ่ม ที่เนนความยืดหยุนในการปรับตัวที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงเปนหลักนําไปสูความเปนเลิศขององคกร 2. หลักการแหงการบูรณาการ วิชัย วงษใหญ (2545: 62) เสนอวา การบูรณาการมีองคประกอบ 5 ประการ ไดแก แนวความคิด ระเบียบและระบบ กระบวนการ หลัก ปฏิบัติและสิ่งประดิษฐ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ์ ไดเสนอ หลักการในการบูรณาการ (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ์.2546: 10-13) ดังนี้ 1. การบูรณาการสิ่งที่มีอยูตามสภาพความเปน จริง (Factual integration) หรือการบูรณาการเชิงรูปธรรม โดยการนํา สิ่ง ที่มีอ ยูอ ยางแยกส ว นมาทํา ใหเปน ระบบที่ มี ความสมบูรณมากยิ่ง ขึ้น ดวยกระบวนการรวมตัวกัน ของ องค ป ระกอบตั้ ง แต 2 หน ว ยขึ้ น ไป เช น ระบบ องค ก าร บุ ค คล เป น ต น ทั้ ง นี้ การจั ด โครงสร า งใหม หรื อ ปรั บ กระบวนการทํางานใหมตามหนาที่ ตองมีการประสานงาน อยางเชื่อมโยงกัน เพื่อทําใหองคประกอบบรรลุถึงสภาพที่ ดีกวาสภาพกอนบูรณาการ การบู ร ณาการลั ก ษณะนี้ อาจเป น การผสาน ศักยภาพระหวางกันเพื่อชวยใหแตละฝายใชศักยภาพ หรือ ความถนั ด หรื อ จุ ด เด น แต ล ะด า นผสมผสานกั น ซึ่ ง ก อ น การบูร ณาการนั้ น ตา งฝ า ยต า งไดทํ า มาทั้ง หมดแล ว ทั้ง ที่ ถนัดและไมถนัด หรืออาจมีความขัดแยง เปนคูแขง หรือเปน ศัตรูกัน เมื่อมีการบูรณาการจัดสรรใหมใหตางฝายตางทําใน สิ่ ง ที่ ต นถนั ด และทํ า บางสิ่ ง ที่ ทํ า ร ว มกั น ได ทํ า ให ป ระหยั ด ทรัพ ยากรและเวลา ชวยใหเกิดผลผลิ ตที่เพิ่มขึ้น ลดความ ซ้ําซอนในสิ่งตางๆ ที่เหมือนกัน อาทิเชน ความซ้ําซอนดาน โครงสรางการบริหารที่ตางคนตางทํา เปนตน 2. การบูรณาการความคิดรวบยอด(Conceptual integration) หรือการบูรณาการเชิงนามธรรม โดยการบูรณา การแนวความคิด เชน กระบวนการสรางแผนงานสมมติฐาน
ทฤษฎี กระบวนทัศน โครงการ แผนงาน เปนตน หรือการใช สองแนวความคิ ดขึ้น ไป ซึ่ ง อาจมีขอ มูลบางสว น หรื อ บาง แนวความคิดที่ขดั แยงกันนํามาบูรณาการกอรูปใหม ดวยการ นํ า องค ป ระกอบย อ ยที่ ดู เ หมื อ นว า แตกต า งกั น มาผสม กลมกลืน ไดผลลัพธคือ มูลคาเพิ่มที่พึงพอใจมากขึ้น อาทิ เชน จิตแพทยบูรณาการกลยุทธการรักษาโรคจากสํานักวิชา ตางๆ เพื่อใหไดผลมากที่สุด ผูบริหารองคกรและพนักงาน ชวยกันวางแผนเพื่อใหการดําเนินการมีความสมบูรณและ เชื่อมโยงกัน เปนตน สรุปวา หลักการแหงการบูรณาการ เปนการที่บุคคลที่ มีสมรรถภาพดานการบูรณาการ ไดบูรณาการความคิดรวบ ยอด หรือสิ่งที่เปนนามธรรม และสิ่งที่มีอยูตามสภาพความ เป น จริ ง หรื อ ตามรู ป ธรรม ด ว ยการก อ รู ป ใหม ใ ห มี ค วาม สมดุลสมบูรณและครบถวนมากยิ่งขึ้น ดวยการพิจารณา องคประกอบ 5 ประการ ไดแก แนวความคิด ระเบียบและ ระบบ กระบวนการ หลักปฏิบัติและสิ่งประดิษฐ กระบวนการของการบูรณาการ การบู ร ณาการมี ก ระบวนการที่ สํ า คั ญ เพื่ อ เพิ่ ม ขี ด ความสามารถในการบูรณาการของบุคลากร มีดังนี้ 1. การแยกแยะองคประกอบหลักของมาตรฐาน เพื่อ นําไปสูการบูรณาการ 2. การแยกแยะองคประกอบที่แตกตางออกมา โดย เฉพาะที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง 3. การทบทวนคูมือ นโยบายการบริหารในปจจุบัน โดยพวงองคประกอบที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง 4. การทบทวนและขยายผลการนํา มาตรฐาน ขั้ น ตอน การปฏิ บั ติ ง านที่ ค รอบคลุ ม องค ป ระกอบ ไปใช ภายในหนวยงาน พรอมทั้งฝกอบรมพนักงานและใหพนักงาน นํามาตรฐานไปปฏิบัติอยางจริงจัง 5. การจัดเตรียมระบบและขั้นตอนตางๆ ใหพรอม เพื่อการนําไปใชงานไดทันทีโดยเฉพาะการจัดทําเปนเอกสาร และกระจายไปตามจุดตางๆ ที่จําเปนในการใชงาน รวมทั้ง การฝกอบรมพนักงานใหสามารถนําไปใชงานไดทันที 6. การสอบทาน โดยการนําระบบการตรวจติดตาม ผลงานภายในเพื่อปฏิบัติและแกไขปญหาตางๆ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 รูปแบบการบูรณาการหลักสูตรการศึกษา การบู รณาการหลั กสูต รการศึก ษาไมค วรแบ ง แยก เนื้ อ หาวิ ช าออกจากกั น แต ค วรเชื่ อ มโยงส ว นต า งๆ ของ หลักสูตรเขาหากัน เพื่อความชัดเจนของเนื้อหาการเรียนการ สอนที่ มี ข อบเขตกว า งขวาง ซึ่ ง ทํ า ให ก ารเรี ย นการสอนมี ลักษณะเปนองครวม (Holistic way) และความเปนจริงของ โลกที่มีลักษณะปฏิสัมพันธกัน (Online, Shoemaker. 2006: 797) ซึ่งโฟการตี้ (Fogarty.1991: 61-65) ไดจัดรูปแบบของ การบูรณาการเปน 3 กลุม ดังตอไปนี้ กลุมที่ 1 การบูร ณาการภายใน(Within single discipline) มี 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. รู ป แ บ บ ก า ร ก ร ะ จั ด ก ร ะ จ า ย (The fragmented model) ไดแ ก การจัดหัว ข อ รายละเอีย ด ความคิ ด รวบยอด หรื อ ทั ก ษะภายในบริ บ ทของเนื้ อ หา เดียวกันใหสัมพันธกัน 2. รูปแบบการเชื่อมโยงกัน(Connected model) ไดแก การนําสิ่งที่ใกลเคียงกันใหอยูภายในเนื้อหาเดียวกัน โดยการเชื่อมโยงทักษะ ความคิดรวบยอดที่เหมือนกัน เขา หากันอยางมีสัมพันธกันภายใน 3. รูปแบบที่ซอนทับกัน (Nested model) ไดแก การบูรณาการ 3 มิติ ทับซอนกัน 3 ดาน เชน การฝกทักษะ การออกแบบและการแกไขปญหาสภาพแวดลอม กลุมที่ 2 การบูรณาการขามฝาย(Across several disciplines) มี 5 รูปแบบ ดังนี้ 1. รูปแบบการแบงสวนกัน (Shared model) ไดแก การนําสวนของการทับซอนกันบางสวนมารวมกันวางแผน งานและแนวทาง 2. รู ป แบบการลํ า ดั บ เหตุ ก ารณ (Sequenced model) ไดแก การนําสวนที่แยกกันมาจัดเรียงลําดับภายใน กรอบของแนวความคิดที่เหมือนกัน สัมพันธกัน ใหเขากันได สอดคลองกันและสัมพันธกับคูขนาน 3. รูปแบบเครือขายใยแมงมุม (Webbed model) ไดแ ก การนํ า ภาพรวมของสิ่ง ที่เกี่ ย วขอ งกัน เปนเครือ ขา ย โดยใชหัวเรื่อง (Theme) และเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับ รูปแบบดวย
13
4. รูปแบบเสนดาย (Threaded model) ไดแก การ ขยายแนวความคิดหลักใหมาผสมผสานไวในเนื้อหาตางๆ การ ผูกความสัมพันธดานทักษะทางสังคม ทักษะความคิด ทักษะ การเรี ย นรู ทั ก ษะการประสานสั ม พั น ธ เ ทคโนโลยี ซึ่ ง เป น แนวคิดดานพหุปญญา 5. รู ป แบบการบู ร ณาการที่ เ ป น สหวิ ท ยาการ (Integrated model) โดยการนําสวนเดิมของวิทยาการที่ เกี่ยวของกัน ทับซอนกันทางความคิดรวบยอด ทักษะ ทัศนคติ มาแยกออกจากกัน แลวผสมผสานกับสวนของวิทยาการอื่นๆ ที่ เกี่ยวของสัมพันธกัน กลุ ม ที่ 3 การบู ร ณาการภายในและข า มสาขาผู เรียนรู (Within and across learners) มี 2 รูปแบบ ดังนี้ 1. รูปแบบการชุบตัวเอง (Immersed model) เปนการทําใหเกิดขึ้นในตัวของผูเรียนรูเองเปนการสรางสิ่งที่ สัมพันธกับชีวิตจริง 2. รูปแบบการทํางานเปนเครือขาย (Network model) เปนการสร า งความสัมพัน ธหลายมิติ โดยผูเรียนรู เปนผูกระทําโดยตรง ทั้งนี้ หลักการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ (The Integrated instruction) ไดแกการสอนใหนักศึกษาหา ความรูอยางกวางขวางในวิชาการหลายแขนง ในลักษณะที่มี ค ว า ม สํ า คั ญ กั บ แ ง มุ ม ใ ด มุ ม ห นึ่ ง ข อ ง สิ่ ง แ ว ด ล อ ม (Humphreys; Post; and Eills.1981: 11) ซึ่งการจัดการ เรียนรูแบบบูรณาการเปนการเรียนรูในลักษณะองครวม ดวย รูปแบบหรือวิธีการที่หลากหลาย เนนสภาพจริง ไดแก การ เรียนรูดวยตนเอง การเรียนรูรวมกัน การเรียนรูจากธรรมชาติ การเรี ย นรู จ ากการปฏิ บั ติ จ ริ ง มี ก ารวั ด และประเมิ น ผลที่ สอดคล อ งกั บ กิ จ กรรมการเรี ย นรู ที่ ไ ด จ ากการปฏิ บั ติ (Performance assessment) และตามสภาพจริ ง (Authentic assessment) การบูรณาการหลักสูตรการศึกษาในประเทศไทย ประเทศไทย ได มี ก ารบู ร ณาการการจั ด การศึ ก ษา ตามพระราชบั ญ ญั ติ ก ารศึ ก ษาแห ง ชาติ พ.ศ.2542 เพื่ อ รองรั บ การเปลี่ ย นแปลงการจั ด การศึ ก ษาทั้ ง กระบวนการ เรี ย นรู แ ละกระบวนการบริ ห ารจั ด การเพื่ อ การเรี ย นที่ มี
14
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
คุณภาพ พัฒนาผูเรียนตามศักยภาพและความสนใจ ภายใต ระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและคุมคายิ่งขึ้น ซึ่ง เปนการสรางวิสัยทัศนในการจัดการศึกษาในภาพรวมของ ประเทศ เพื่อสรางสังคมแหงปญญา วลัย พาณิช (2544: 162) ไดเสนอ ลักษณะของ การบูรณาการไว 2 ลักษณะ ดังนี้ 1. การบูรณาการเชิงเนื้อหา (Content integration) ไดแก การผสมผสานเนื้อหาของ สิ่งที่ตองการบูรณาการโดย การหล อ หลอมความสั ม พั น ธ ข องเนื้ อ หาของเรื่ อ งต า งๆ 2. การบูรณาการเชิงกระบวนการ (Process integration) ดวยการผสมผสาน กระบวนการของการจัดการ เพื่อการ พัฒนา เนื้อหา ทักษะและเจตคติ อนึ่ ง การบู ร ณาการแบบสหวิ ท ยาการ (Multidisciplinary) ไดแก การศึกษาศาสตร ในหลายสาขาวิชา อยางไมแยกสวน โดยมีกระบวนการที่ คนๆ หนึ่งไดรับขอมูล แลวตีความ พิสูจนคนหาความจริง ดวยการเปรียบเทียบกับ ขอมูลที่มีอยูในความทรงจําเดิม แลวนําไปสูการยอมรับหรือ ปฏิเสธความรูใหม ที่ถูกนํามาใชในการจัดการศึกษา (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ์. 2546: 14,18) สํ า หรั บ สถาบั น อุ ด มศึ ก ษาได มี ก ารปรั บ กระบวน ทัศนใหมใหมีการบริหารจัดการที่ดี ดวยการทบทวนและปรับ บทบาทของภารกิจ 4 ประการ ไดแก การจัดการเรียนการ สอน การวิ จั ย การบริ ก ารวิ ช าการและการทํ า นุ บํ า รุ ง ศิลปวัฒนธรรม โดยการใชแนวความคิดในการบูรณาการ หลั ก สู ต ร ทั้ ง นี้ การบู ร ณาการการจั ด การศึ ก ษาตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 ไดกําหนดให สถาบันการศึกษารองรับการเปลี่ยนแปลงการจัดการศึกษา ทั้งกระบวนการเรียนรูและกระบวนการบริหารจัดการ เพื่อ การเรียนที่มีคุณภาพและพัฒนาผูเรียนตามศักยภาพและ ความสนใจ และเพื่ อ การปรั บ ปรุ ง คุ ณ ภาพการศึ ก ษาให มี ความสอดคลองกับสภาพที่เปนจริงในชุมชน ใหทันตอการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยางรวดเร็ว และเพื่อให “อุดมศึกษา สรางคน สรางความรู สูความเปนเลิศ” (วิจิตร ศรีสอาน. 2547: 12) ดังนั้น ภาควิชาในสถาบันอุดมศึกษาจึงไดบูรณา การรายวิชาในหลักสูตรการศึกษา
ตัวอยางเชนการบูรณาการหลักสูตรในมหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งเปนวิทยาลัย วิชาการศึกษา (Colledge of Education) เมื่อ พ.ศ. 2496 ได จัดหลักสูตรและการสอนโดยศาสตราจารย ดร.สาโรช บัวศรี ผูนํ า การศึ ก ษาสมั ยใหม แ บบบู ร ณาการโดยนํา วิ ช าการครู สมั ย ใหม ได แ ก วิ ช าการศึ ก ษา (Education) มาสอนเป น การศึกษาแบบพิพัฒนาการ (Progressive education) เพื่อ สอดคล อ งประสานสั ม พั น ธ กั บ สั ง คมประชาธิ ป ไตย แนวความคิ ด การบู ร ณาการได สื บ ทอดมาจนกระทั่ ง ใน ปจจุบัน ไดมีการบูรณาการรายวิชาในหลายหลักสูตร ดังเชน ภาควิชาสันทนาการ คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินท รวิโรฒ ไดบูรณาการหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต ในระดับ ปริญญาตรี สาขาวิชาเอกการจัดการนันทนาการ และสาขา วิชาเอกผูนํานันทนาการ ไดแก วิชาการจัดนันทนาการธุรกิจ วิชาสถิติและการใชคอมพิวเตอรในนันทนาการ วิชาชีววิทยา เพื่อนันทนาการและหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต ใน ระดั บ ปริ ญ ญาโท สาขาวิ ช าการจั ด การนั น ทนาการ ได แ ก วิชาการบริหารธุรกิจนันทนาการ วิชาจิตวิทยาของการเปน ผูนํานันทนาการ วิชากฎหมายที่เกี่ยวของกับนันทนาการ วิชา ภาษาอังกฤษในวิชาชีพ เปนตน บทสรุป การบู ร ณาการรายวิ ช าในหลั ก สู ต รการศึ ก ษาให ประสบความสํ า เร็ จ และบรรลุ เ ป า หมายของหลั ก สู ต ร นอกจาก แต ละภาควิ ช าในสถาบั น อุ ด มศึ กษาจํ า เป น ต อ ง ศึ ก ษาความหมาย ความสํ า คั ญ หลั ก การกระบวนการ รูปแบบการบูรณาการหลักสูตรและการบูรณาการหลักสูตร การศึก ษาในประเทศไทยแลว บุค ลากรที ่เ กี ่ย วขอ งใน การบูร ณาการหลักสูตร มีความสําคัญยิ่ง ซึ่งผูเขียนขอเสนอ วา ควรนําแนวความคิดของการบริหารจัดการแบบกลุมงาน โดยใชเทคนิคการบริหารแบบมีสวนรวมเพื่อการลิขิตอนาคต (Future search) โดยความพยายามสรางแบบการแกปญหา ในองค ก รร ว มกั น อย า งเป น ระบบ โดยพิ จ ารณาจาก สถานการณ จ ริ ง ทรั พ ยากรที่ มี อ ยู จ ริ ง และผู เ กี่ ย วข อ ง ณ ปจจุบัน ดวยการวิเคราะหสถานการณเพื่อหาแนวทางที่ดีกวา ในอนาคตการใชทรัพยากรที่มีอยูอยางมีประสิทธิภาพสูงสุด
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 และบรรลุเปาหมายสูงสุด เพื่อสรางวิสัยทัศนรวมจากผูมีสวน ไดสวนเสีย (Stakeholder) เพื่อกําหนดเปาหมายยอยของตน ใหสอดคลองกับเปาหมายรวมขององคกรหรือสังคม และเพื่อ กําหนดแผนปฏิบัติการของหนวยงานยอยที่เปนรูปธรรมและ เข า ใจง า ยแก ส มาชิ ก ในกลุ ม แล ว นํ า มาผสมผสานกั บ แนวความคิดการบริหารจัดการอื่น ๆ นอกจากนี้ การสรางสภาพแวดลอมที่กระตุนสมาชิก ให นํ า เอาศั ก ยภาพสู ง สุ ด มาใช เพื่ อ การลิ ขิ ต อนาคต ได แ ก ความสามารถในการหาผูแทนกลุมที่เปนผูมีสวนไดสวนเสีย ไดครบทุกสวน ความสามารถสรา งความเขา ใจรว มกัน ใน การเชื่อ มความสัม พัน ธระหว า งกลุ ม การโน ม น า วผู ร ว ม ประชุมใหสนใจที่อนาคตที่ควรจะเปน การสรางระบบการ จั ด การที่ ชั ด เจน โดยสมาชิ ก ในกลุ ม สามารถแลกเปลี่ ย น ขอมูลไดอยางทั่วถึง การสรางเครือขายการจัดทําแผนการ ปฏิบัติการรวมกับกลุมอื่นได การดึงดูดคามสนใจของสมาชิก ใหอยูรวมกิจกรรมตลอดชวงเวลา การจัดชวงเวลาของการ ประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดดานสถานที่ อาหาร หองประชุม หองพักและอาหารวาง และการกําหนดความรับผิดชอบเพื่อ การวางแผนการปฏิบัติงานและการติดตามประเมินผล
15
ทั้งนี้ ปจจัยแหงความสํา เร็จของการบริหารแบบมี สวนรวม นั้น ผูบริหารตองสมัครใจและยินยอมมอบอํานาจ ของตนใหแกสมาชิกในองคกร ทั้งในขั้นการตัดสินใจ การลง มือปฏิบัติและการติดตามประเมินผล โดยที่ยังตองมีความ รับผิดชอบในผลงานนั้นอยู การมีทักษะการบริหารงานของ หัวหนางานในการดําเนินการประชุมตามนโยบายที่ผูบริหาร จัดการมาแลว และการสรางบรรยากาศที่เอื้ออํานวยตอความ รวมมือกันทํางานของสมาชิกในองคการ สุดทาย บุคลากรใน สถาบันอุดมศึกษาควรขจัดอุปสรรคของการพัฒนาความคิดใน การแกปญหาหรือการสรางสิ่งใหม ไดแก ความไมกลาออก นอกกฎเกณฑ กติกา หรือระเบียบที่วางไว ซึ่งความไมกลา ปฏิบัติใ หผิ ด ไปจากแนวทางเดิม และการคิดวา ตนเองไม มี คุณสมบัติเพียงพอตอการบูรณาการความคิดใหม นั้น อาจมี สาเหตุมาจากองคประกอบของมนุษย ไดแก การกลัวความ ผิดพลาดหรือความลมเหลว ความรูสึกไมแนใจหรือไมมั่นคง การยึดติดอยูกับสิ่งเดิม/ตําแหนงเดิม การขาดขอมูลที่ทําให เกิดความรูใหมในการเปลี่ยนแปลง การขาดความมั่นใจใน หนาที่ที่รับผิดชอบที่จะเปลี่ยนแปลงไป การขาดทักษะความ ชํ า นาญในการตั ด สิ น ใจและการขาดแรงกระตุ น ทาง ประสบการณของการเปลี่ยนแปลง
16
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (2544). การบูรณาการ. กรุงเทพฯ: กรมการศาสนา. หนา 2-3 กระทรวงอุตสาหกรรม. (2545ก, กันยายน - ตุลาคม). การวิเคราะหธุรกิจดวยหลักการ กระทรวงอุตสาหกรรม. SWOT. วารสารกรมสงเสริมอุตสาหกรรม 45. กรุงเทพฯ: บิ๊กเบิรธพับลิชชิ่ง จํากัด. ……… (2545ข, กันยายน - ตุลาคม). หลักการบริหารคนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร, หนา 61-62 เกษม วัฒนชัย. (2538, ตุลาคม - พฤศจิกายน). ทิศทางการพัฒนาอุดมศึกษาไทยในทศวรรษหนา. วารสารการศึกษาแหงชาติ. 1(30). หนา 31-32 เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ์. (2546). การคิดเชิงบูรณาการ. พิมพครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: ซัคเซส มีเดีย. พระธรรมปฎก. (2539). พุทธธรรมกับปรัชญาการศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัตน. กรุงเทพฯ: คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. หนา 82 พิสิทธิ์ สารวิจิตร. (2540, กันยายน). การพัฒนาตนเองกับการปองกันปญหาสุขภาพของตนและ สังคม. วารสารบัณฑิตศึกษา. 1(1). หนา 83 เพ็ญสิริ จีระเดชากุล. (2541, กันยายน). ปรัชญาการศึกษาแบบองครวม บนรากฐานของพระพุทธ ศาสนา. ทัศนะทางพระธรรมปฎก. วารสารบัณฑิตศึกษา 2(2). พรินตโพร. หนา 14-15 ธนาธิป พรกุล. (2543). รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ผูเรียนเปนศูนยกลาง. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. หนา 57-58 วลัย พาณิช. (2544). การจัดการเรียนรูแบบบูรณาการสําหรับผูเรียนระดับมัธยมศึกษา. แนวคิดและแนวปฏิบัติสําหรับครูมัธยม เพื่อการปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. หนา 162 วิจิตร ศรีสอาน. (2547, ตุลาคม). ผลกระทบของการปฏิรูปอุดมศึกษาไทยตอสังคมฐานความรู. อนุสารอุดมศึกษา. 30(316). หนา 12 วิชัย วงษใหญ. (2545). กระบวนการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ. พิมพครั้งที่ 3 . กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน. หนา 51, 62 .......... (2542). กระบวนทัศนใหม : การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคคล. พิมพครั้งที่ 5. นนทบุรี: SR PRINTING LIMITED PARTNERSHIP. หนา 1 วีระศักดิ์ กิตติวัฒน. (2546, กรกฏาคม - กันยายน). เทคนิคการบริหารแบบมีสวนรวมเพื่อการลิขิต อนาคต. จุลสารพัฒนาขาราชการพลเรือน. 22(3). ศุภวัฒนากร วงศธนวสุ. (2547). รูปแบบ ระบบเชิงพลวัตของความยั่งยืนในการพัฒนา : กรณีศึกษา โครงการวางแผนครอบครัวแหงชาติ. กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการการวิจัย แหงชาติ. อัดสําเนา. หนา 300 ส. เศรษฐบุตร (SO SETHAPUTRA. (2540). New Model English – Thai Dictionary. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. หนา 299
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
สาโรช บัวศรี. (2526). จริยธรรมศึกษา. กรุงเทพฯ: คุรุสภา. ถายเอกสาร. หนา 7 สิปปนนท เกตุทัต. (2539, กุมภาพันธ - มีนาคม). ปฏิรูปการศึกษา : และโลกาภิวัตน. วารสาร ขาราชการครู. 16(3). หนา 7 สิทธิศักดิ์ พฤกษปติกุล. (2546). การพัฒนาคุณภาพแบบกาวกระโดดดวยวิธี Six Sigma. พิมพครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: พิมพดีดการพิมพ. สําลี รักสุทธิ. (2546). คูมือการเขียนแผนการจัดการเรียนรูตามเกณฑใหมของ ก.ค. บูรณาการ เนนผูเ รียนเปนสําคัญ ผลที่เกิดกับผูเรียน. กรุงเทพฯ: เพิ่มทรัพยการพิมพ. หนา 26 อมรวิชช นาครทรรพ. (2545). รายงานสภาวะการศึกษาไทยตอประชาชน ป 2545 ปมปฏิรูป. พิมพครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ. พิมพดี. หนา 4-5 Beane, James A. (1991). Curriculum Planning and Development. Boston: Allyn and Bacon. p. 9 Fogarty, Robin. (1991, October). Ten Ways to Integrate Curriculum. Educational Leadership. 49(2) : pp.61-65 Hopkins, Thomas L. (1983). Integration : Its Meaning and Application. New York: Apleton-Century-Crofts. P.1 Humphreys, A.; Post, T.; & Ellis, A. (1981). Interdisciplinary Methods : A Thematic Approach. California: Goodyear. Iving, Janis L. (2004). Psychological Stress. New York: John Wiley & Sons. Jacobs, Heidi Hayes. (1991, October). Interdisciplinary Curriculum : A conversation with Heidi Hayes Jacobs. Educational Leadership. 49(2) : 61-65 Shoemaker, B. (2006). Integrated Curriculum.(Online). Available: www.nwrel.org/scpd/sirs/8/c 016.html [Accessed 2/9/2006]
17
18
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ความแตกตางระหวางเทคโนโลยีการศึกษากับ เทคโนโลยีสารสนเทศ THE DIFFERENCE BETWEEN EDUCATIONAL TECHNOLOGY AND INFORMATION TECHNOLOGY รองศาสตราจารย ดร.สาโรช โศภีรักข บทคัดยอ บทความนี้ตองการชี้ใหเห็นวามีสวนใดที่แตกตางระหวาง เทคโนโลยีการศึกษากับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะปจจุบันคน สวนใหญมักจะเขาใจวาเทคโนโลยีการศึกษาเปนสวนหนึ่งของ เทคโนโลยี ส ารสนเทศ แต โ ดยแท จ ริ ง แล ว นั ก เทคโนโลยี การศึกษา ถือวาเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นเปนเพียงสวนหนึ่งของ เทคโนโลยี ก ารศึ ก ษาเท า นั้ น และยั ง มี ค วามขั ด แย ง อี ก ว า ระหวางนักเทคโนโลยีการศึกษากับนักเทคโนโลยีสารสนเทศ ใครควรที่ จ ะรั บ หน า ที่ ใ นการผลิ ต สื่ อ เพื่ อ การเรี ย นการสอน โดยตรง โดยเฉพาะสื่ อ ที่ เกี่ ย วข อ งกับ คอมพิว เตอร บางคนก็ กล า วว า นั ก เทคโนโลยี ก ารศึ ก ษาไม เ ชี่ ย วชาญคอมพิ ว เตอร บางคนก็กลาววาสื่อที่นักคอมพิวเตอรผลิตออกมาจะเนนความ หวือหวาเพราะเขียนโปรแกรมดวยตนเอง แตถาพิจารณาให ถองแทแลวเทคโนโลยีการศึกษาหมายถึงการนําแนวคิด ผลผลิต และกระบวนการทางวิทยาศาสตร มาผสมผสานแนวคิดทาง พฤติ ก รรมศาสตร เ พื่ อ แก ป ญ หาทางการศึ ก ษา เพื่ อ เพิ่ ม ประสิ ท ธิ ภ าพและประสิ ท ธิ ผ ลของการเรี ย นการสอน โดยมี ขอบข า ยที่ ร วมเอาเทคโนโลยี ด า นสื่ อ เทคโนโลยี ก ารสื่ อ สาร เทคโนโลยี ร ะบบและเทคโนโลยี ก ารสอนเข า ด ว ยกั น การนํ า เทคโนโลยีก ารศึก ษามาใชจึง เนน ผลที่เกิ ด กับ ผูเ รีย นโดยตรง บทบาทของเทคโนโลยีการศึกษาจึงตอบสนองความแตกตาง ของผูเรียน ความพรอ มของผูเ รียน ขยายแหล งการเรียนรูใ ห กว า งขวาง ทั น สมั ย ส ง เสริ ม ให ผู เ รี ย นคิ ด เป น ทํ า เป น และ แกปญหาได นักเทคโนโลยีการศึกษาตอง รองศาสตราจารย ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 เปนทั้งนักออกแบบ นักคิดและนักประยุกต ผลผลิตของนัก เทคโนโลยี ก ารศึ ก ษาจึ ง เน น ครอบคลุ ม ทั้ ง ด า นคุ ณ ภาพ ประสิ ท ธิ ภ าพ ประสิ ท ธิ ผ ลประหยั ด และเหมาะสมกั บ สภาพการณทุกๆดาน สวนเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นเปน การนําเอาระบบคอมพิวเตอรผนวกเขากับขอมูลขาวสารและ ระบบโทรคมนาคมมาใช เพื่ อ ให เ กิ ด ความรวดเร็ ว ในการ ติดตอสื่อสารเปนการเผยแพรขอมูลขาวสารในรูปแบบตางๆ ไมว า จะเปน เสี ย ง ภาพ และภาพเคลื่อ นไหว ขอ ความหรื อ ตั ว อั ก ษร และตั ว เลข เพื่ อ เพิ่ ม ประสิ ท ธิ ภ าพ ความถู ก ต อ ง ความแม น ยํ า และความรวดเร็ ว ให ทั น ต อ การนํ า ไปใช ประโยชน เปาหมายของการใชเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมุงที่ จะอํานวยความสะดวกในการเรียนการสอน โดยเนนการใช วัสดุอุปกรณและระบบคอมพิวเตอรเพื่อตอบสนองการทํางาน ที่รวดเร็วและแมนยํา เทคโนโลยีสารสนเทศจึงแกปญหาเรื่อง ระยะทาง เวลา เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงมีบทบาทในการ สนับสนุนการเรียนการสอน นักเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมี หนาที่ในการสรางชองทางการถายทอดเนื้อหาในรูปแบบของ สื่ออิเล็กทรอนิกสตางๆที่อํานวยความสะดวกในการเรียนการ สอน ดังนั้นจุดยุติจึงอยูที่วาหากนักเทคโนโลยีการศึกษาและ นั ก เทคโนโลยี ส ารสนเทศ ได ร ว มมื อ กั น ทํ า งานโดยไม แบงแยกก็จะนําไปสูผลดีของการจัดการเรียนการสอนแนนอน Abstract The purpose of this article is to clarify the differences between educational technology and information technology, at the present; the majority of people understand that educational technology is a part of information technology. In fact, the educational technologist considers that information technology is only one part of educational technology. In addition, there is an argument between the educational technologist and information technologist concerning the one who should be responsible directly in producing the instructional media, particularly, computer media. Some people states that the educational technologist is not proficient in computer skills, while others state that computer media that was
19
designed by information technologist, will emphasize solely on the edge of excitement. However, if one carefully examines the term of educational technology thoroughly, one will discover that educational technology means use of science concepts, productions, and scientific procedure together with behavior concepts to increase problem solving skills, improve efficiency and good outcome of instruction. Educational technology also integrates the framework of media technology, communication technology, systematic technology, and instructional technology. Using educational technology will accentuate the good outcome to the learner specifically. Therefore, the role of educational technology is to response to individual differences, readiness of learner, broaden and recent the learning resource in order to encourage the learner to be a thinker, an applier, and a good problem solving person. Hence, a successful educational technologist must contain a designer quality, a thinker quality, and an applier quality so that they can produce an outcome that assign the quality, the efficiency, the effectiveness, the thriftiness, and the suitability depend upon a variety of situation. On the other hand, information technology combines the use of computer systems with information, news, and telecommunication systems in order to enhance the rapidity when publicizing various kind of news or information regardless of which terms they are in such as sound, image, motion picture, text, character, or numeric to increase the efficiency, the accuracy, the exactness, and the readiness when there is a need to use. Therefore, the goal of using information technology is to increase the convenient in instruction by emphasizing the use of audio-visual and computer system for the benefit of response immediately and trustworthy. Information technology can also solve the
20
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
obstacles regarding the distance, the timing, and have a prominent role in supporting the instruction. Thus, the information technologist is responsible for designing the media and the software programs that can instruct the content in different forms of electronics media that will provide the convenient for the instructional. In conclusion, if the educational technologist and the information technologist cooperate together without the separation, the end result will definitely be the good outcome of instructional that will benefit to the learner. “บางคนมองวาเทคโนโลยีสารสนเทศเปนสิ่งที่ทันสมัย ทันยุคทันเหตุการณกวาเทคโนโลยีการศึกษา แตแทจริง แลวเทคโนโลยีสารสนเทศเปนสวนหนึ่งของเทคโนโลยี การศึกษาที่สนับสนุนซึ่งกันและกันตางหาก” นักวิชาการ ดานเทคโนโลยีการศึกษาและเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งรุน เกา และรุนใหมตางก็ใหทัศนะที่แตกตางกันออกไป และ ตางก็ตั้งคําถามวาเทคโนโลยีการศึกษาแตกตางกับ เทคโนโลยีสารสนเทศอยางไร ซึ่งหลายคนอาจจะมอง ประเด็นที่แตกตางกัน หลายคนมองประเด็นที่เหมือนกัน และหลายคนยังเถียงกันไมรูจบวาใครจะดีกวาใคร” ความเจริ ญ ในด า นต า งๆ ที่ ป รากฏให เ ห็ น อยู ใ น ปจจุบั น เปนผลมาจากการศึ กษาคน คว าทดลองประดิษ ฐ คิดคนสิ่งตางๆที่เรียกวา “นวัตกรรม” ขึ้นมา โดยอาศัยความรู ทางวิทยาศาสตร เมื่อศึกษาคนพบและทดลองใชไดผลแลว ก็ นําออกเผยแพรใชในกิจการตางๆ สงผลใหเกิดการเปลี่ยนแปลง พัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพในกิจการ เหลานั้น หลังจาก นวัตกรรมนั้นๆไดรับการยอมรับ และใชกันอยางแพรหลาย เราก็ไมเรียกสิ่งนั้นวานวัตกรรมอีกตอไป โดยจะเรียกสิ่งนั้นวา เปน “เทคโนโลยี” เทคโนโลยี จึงหมายถึง การนําเครื่องมือ หรือวิธีการมาใชใหเหมาะสมกับสถานการณหรือปญหาตางๆ หรือ การนําความรูทางดานวิทยาศาสตรหรือความรูดานอื่นๆ ที่ได จัดระเบียบดีแลวมาประยุกตใชงานในดานใดดานหนึ่งเพื่อให งานนั้นมีความสามารถและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น (พนิดา, 2548) ป จ จุ บั น เทคโนโลยี ถู ก นํ า มาใช ใ นทุ ก วงการ เช น นํ า มาใช ใ นวงการแพทย เรี ย กว า เทคโนโลยี ก ารแพทย
(Medical Technology) นํามาใชทางการเกษตร เรียกวา เทคโนโลยีการเกษตร (Agricultural Technology) นํามาใช ทางการอุตสาหกรรม เรียกวา เทคโนโลยีการอุตสาหกรรม (Industrial Technology) นํามาใชทางการสื่อสาร เรียกวา เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) และ นํ า มาใช ใ นวงการอื่ น ๆ อี ก มากมาย รวมทั้ ง นํ า มาใช ใ นวง การศึ ก ษา ที่ เ รี ย กว า เทคโนโลยี ก ารศึ ก ษา (Educational Technology) เทคโนโลยีการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศัพทเทคโน (วิธีการ) + โลยี (วิทยา) หมายถึง ศาสตร ที่วาดวยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนําวิธีการ มาปรับปรุงประสิทธิภาพของการศึกษาใหสูงขึ้น เทคโนโลยี ทางการศึกษาครอบคลุมองคประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ และวิธีการ สภาเทคโนโลยีการศึกษานานาชาติได ใหคําจํากัดความของเทคโนโลยีการศึกษาวา เปนการพัฒนา และประยุกตระบบเทคนิคและอุปกรณใหสามารถนํามาใช อยางเหมาะสม เพื่อสรางเสริมกระบวนการเรียนรูของคนใหดี ยิ่ ง ขึ้ น สอดคล อ งกั บ ที่ เ ปรื่ อ ง กุ มุ ท (2526)ได ก ล า วถึ ง ความหมายของเทคโนโลยี ก ารศึ ก ษาว า เป น การขยาย ขอบขา ยของการใชการสื่อการสอนใหกวา งขวางขึ้น ทั้ง ใน ดา นบุ คคล วัสดุ เครื่ อ งมื อ สถานที่ และกิจ กรรมตา งๆ ใน กระบวนการเรียนการสอน เปนกระบวนการที่ซับซอนและ ประสานสั ม พั น ธ อ ย า งมี บู ร ณาการระหว า งบุ ค คล วิ ธี ก าร แนวคิด เครื่องมือ และการจัดระบบองคการ สําหรับวิเคราะห ปญหา หาวิธีแกปญหา ดําเนินการ ประเมินผล และจัดการ แกปญหาเหลานั้น ซึ่งเปนปญหาที่เกี่ยวของกับทุกลักษณะ ของการเรียนรู แก น แท ข องเทคโนโลยี ก ารศึ ก ษาก็ คื อ วิ ธี ก าร แกปญหาทางการศึกษาดวยการคิดไตรตรองหาทางปรับปรุง เกี่ ยวกับ การเรียนการสอน ดวยการตั้ง ขอ สงสัย และทํา ไป อย า งเป น ระบบ ก อ นหน า ที่ จ ะมี ก ารกล า วถึ ง เทคโนโลยี การศึกษา เราคุนเคยอยูกับโสตทัศนศึกษากันแลว แมกระทั่ง เดี๋ยวนี้คนก็ยังคิดวาโสตทัศนศึกษาก็คือ เทคโนโลยีการศึกษา และเทคโนโลยีการศึกษาก็คือ โสตทัศนศึกษา ที่คิดอยางนั้น ก็มีสวนถูกอยูบาง โดยเฉพาะความคิดแรก แตมีความถูกตอง ไมมากนักหรือเกือบผิด ก็วาได ความคิดหลังนั้นถูกตรงที่โสต
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ทัศนศึกษาเปนเพียงสวนหนึ่งของเทคโนโลยีการศึกษาเทานั้น ในยุคที่ผานมาเรามองผูที่ทํางานดานโสตทัศนศึกษาหรือนัก โสตทัศนศึกษา วาเปน “ผูบริการ” โดยเฉพาะการบริการ ทางดานการจัดหา การใชเครื่องมือโสตทัศนูปกรณ และการ ผลิตสื่อการสอนใหแกครูผูสอน ดังนั้น บทบาทของเขาโดย สรุปก็คือ เปนนักบริการที่ทําหนาที่จัดหา ผลิตสื่อการสอน และควบคุ ม เครื่ อ งโสตทั ศ นู ป กรณ ต า งๆ แต แ นวคิ ด นี้ เปลี่ยนไป ปจจุบันแนวคิดที่ถูกตอง นักเทคโนโลยีนั้นตอง เปนนักประยุกต นักคิด และหาแนวทางที่นําความรู วิธีการ หรือเทคนิคอะไร หรือเครื่องมืออะไรมาชวยใหงานที่กําลังทํา อยูมีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ ไดผลดี และประหยัด หรือนัก เทคโนโลยีการศึกษาคือนักออกแบบ (Designer) ออกแบบ วิธีการ หรือที่เรียกวา “ระบบ” ออกแบบเครื่องมือ ออกแบบ ระบบการเรียนการสอน(Instructional Systems Design) นอกจากนี้ เ ทคโนโลยี ก ารศึ ก ษา เป น การขยาย แนวคิ ด เกี่ ย วกั บ โสตทั ศ นศึ ก ษาให ก ว า งขวางยิ่ ง ขึ้ น ทั้ ง นี้ เนื่องจากโสตทัศนศึกษาหมายถึง การเรียนรูผานประสาททั้ง หาคือ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส ดังนั้น อุปกรณในสมัยกอน มักเนนการใชประสาทสัมผัสดานการฟงและการดูเปนหลัก จึ ง ใช คํ า ว า โสตทั ศ นู ป กรณ ส ว นเทคโนโลยี ก ารศึ ก ษามี ความหมายที่ ก วา งกวา โดยพิจ ารณาจากความคิ ด 2 ประการ คือ 1. แนวคิดดานวิทยาศาสตรกายภาพ หมายถึง การประยุกตวิทยาศาสตรในรูปของสิ่งประดิษฐ เชน เครื่อง ฉาย เครื่ อ งเสี ย ง วิ ท ยุ ก ระจายเสี ย ง วิ ท ยุ โ ทรทั ศ น เครื่ อ ง คอมพิวเตอร ฯลฯ มาใชสําหรับการเรียนรูของนักเรียนเปน ส ว นใหญ การใช เ ครื่ อ งมื อ เหล า นี้ มั ก คํ า นึ ง ถึ ง เฉพาะการ ควบคุมใหเครื่องทํางาน มักไมคํานึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู ที่ เกี่ยวของ ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษาตามความคิด รวบยอดนี้ ทําใหบทบาทของเทคโนโลยีการศึกษาแคบลงไป คื อ มี เ พี ย งวั ส ดุ แ ละอุ ป กรณ เ ท า นั้ น ไม ร วมวิ ธี ก ารหรื อ ปฏิกิริยาสัมพันธอื่นๆ เขาไปดวย ซึ่งตามความหมายนี้ก็คือ “โสตทัศนศึกษา” นั่นเอง 2. แนวคิดดานพฤติกรรมศาสตร เปนการนํา แนวคิดและวิธีการทางจิตวิทยา มานุษยวิทยา กระบวนการ กลุม ภาษา การสื่อความหมาย การบริหาร กลไกการรับรูมา
21
ใชควบคูกับผลิตผลทางวิทยาศาสตรและวิศวกรรม เพื่อให ผูเรียนเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรูอยางมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มิ ใ ช เ พี ย งการใช เ ครื่ อ งมื อ หรื อ อุ ป กรณ เ ท า นั้ น แต ร วมถึ ง วิธีการทางวิทยาศาสตรและวิธีการทางพฤติกรรมศาสตรเขาไป ดวย มิใชวัสดุหรืออุปกรณแตเพียงอยางเดียวการนําเทคโนโลยี การศึกษามาใชจะมีเปาหมายดังนี้ 1. เพื่อขยายพิสัยทรัพยากรการเรียนรู กลาวคือ แหลงทรัพยากรการเรียนรูไมไดเปนแคเพียงตํารา ครู และ อุปกรณการสอนที่โรงเรียนมีอยูเทานั้น แนวคิดทางเทคโนโลยี การศึกษาตองการใหผูเรียนมีโอกาสเรียนจากแหลงความรูที่ กวางขวางออกไปอีก แหลงทรัพยากรการเรียนรูครอบคลุมถึง เรื่องตางๆ เชน 1.1 คน คนเป น แหล ง ทรั พ ยากรการ เรียนรูที่สําคัญ ซึ่งไดแก ผูสอน ผูเรียน ซึ่งอยูในโรงเรียนและ นอกโรงเรียน เชน เกษตรกร ตํารวจ บุรุษไปรษณีย เปนตน 1.2 วั ส ดุ แ ล ะ เ ค รื่ อ ง มื อ ไ ด แ ก โสตทัศนูปกรณตางๆ เชน เครื่องฉายภาพยนตร เครื่อง คอมพิวเตอร เครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน แถบวีดิทัศน แผ น ดิ ส ก ของจริ ง ของจํ า ลอง สิ่ ง พิ ม พ รวมไปถึ ง การใช สื่อมวลชนตางๆ 1.3 เทคนิคและวิธีการเรียนการสอนซึ่ง แตเดิมนั้นสวนมากใชแนวคิดครูเปนศูนยกลาง ครูเปนคน บอกเนื้อหาแกผูเรียน ปจจุบันใชแนวคิดผูเรียนเปนศูนยกลาง เปดโอกาสใหผูเรียนไดศึกษาคนควาดวยตนเองใหมากที่สุด ครูเปนเพียงผูวางแผนแนะแนวทางเทานั้น 1.4 สถานที่ ไดแก โรงเรียน หองปฏิบัติการ ทดลอง โรงฝ กงาน ไร นา ฟาร ม ที่ ทําการ ภู เขา แม น้ํ า ทะเล หรื อ สถานที่ใดๆ ที่ชวยเพิ่มประสบการณที่ดีแกผูเรียนได 2. เพื่อเนนการเรียนรูแบบเอกัตบุคคล กรณีที่ นั ก เรี ย นมี จํ า นวนมากและกระจั ด กระจาย ยากแก ก ารจั ด การศึกษาตามความแตกตางระหวางบุคคลได นักการศึกษา และนั ก จิ ต วิ ท ยาได นํ า เอาระบบและวิ ธี ก ารเรี ย นแบบ รายบุคคลมาใช เชนบทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอน หรือการ เรียนผานเว็บ ซึ่งทําหนาที่สอนเหมือนกับครูมาสอน เอง 3. การใชวิธีระบบมาแกปญหา หรือชวยใหงาน บรรลุเปาหมาย การใชวิธีระบบ (System Approach) ในการ
22
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ปฏิบัติหรือแกปญหาเปนวิธีการที่เปนวิทยาศาสตรที่ที่จะชวย ให ก ารทํ า งานบรรลุ เ ป า หมายได เ ป น อย า งดี เนื่ อ งจาก กระบวนการของวิธีระบบเปนการทํางานอยางเปนขั้นเปน ตอนแต ล ะขั้ น สามารถตรวจสอบได การวิ เ คราะห ร ะบบ (Systems Analysis)ก็เปนการวิเคราะหองคประกอบของ งานหรือของระบบอยางมีเหตุผล หาทางแกไขใหสวนตางๆ ของระบบทํางานประสานสัมพันธกันอยางมีประสิทธิภาพ 4. เทคโนโลยีการศึกษาชวยในการพัฒนา เครื่องมือและวัสดุอุปกรณทางการศึกษาใหมีศักยภาพหรือ ขีดความสามารถในการใชงานใหมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สารสนเทศ (Information) หมายถึง ขอมูลที่เก็บ รวบรวมและเรียบเรียงเพื่อใชเปนแหลงขอมูลที่เปนประโยชน ตอผูใช เชน การนําเสนอยอดขายรายเดือนตอผูบริหาร ซึ่ง ยอดขายรายเดือ นนั้ น ไดม าจากการรวบรวมยอดขายของ ตัวแทนในแตละวันนั่นเอง ระบบสารสนเทศ (Information System) เปนกลไกชนิดหนึ่งดวยการนําเอาเทคโนโลยี คอมพิ ว เตอร เ ข า มาประยุ ก ต ใ ช กั บ การจั ด การข อ มู ล ใน องคการ (โอภาส, 2547) เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT) คือ เทคโนโลยีสองดานหลักๆ ที่ประกอบดวยเทคโนโลยี ระบบคอมพิ ว เตอร และเทคโนโลยี สื่ อ สารโทรคมนาคมที่ ผนวกเขาดวยกันเพื่อใชในกระบวนการจัดหา จัดเก็บ สราง และเผยแพรขอมูลขาวสารในรูปแบบตางๆ ไมวาจะเปนเสียง ภาพ และภาพเคลื่อนไหว ขอความหรือตัวอักษร และตัวเลข เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกตอง ความแมนยํา และความ รวดเร็ ว ให ทั น ต อ การนํ า ไปใช ป ระโยชน ความหมายนี้ สอดคล อ งกั บ แนวคิ ด ของ พนิ ด า (2548) ที่ ก ล า วว า เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) จึง หมายถึ ง การนํ า เทคโนโลยี ม าใช ง านที่ เ กี่ ย วกั บ การ ประมวลผลขอมูลเพื่อใหไดเปนสารสนเทศ ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช นั้นตองสนับสนุนการทํางานตั้งแตการนําเขา การจัดเก็บ การ จัดการ การปองกัน การสื่อสาร และการสืบคนสารสนเทศ โดยจะตองผสมผสานเทคโนโลยีตางๆ เขาดวยกันอยางลงตัว จึงจะชวยใหเกิดการทํางานที่มีประสิทธิภาพได
เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีเปาหมายดังนี้ 1. ชวยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการทํางาน ชวยลดตนทุนในการผลิต เนื่องจากการนําระบบคอมพิวเตอร และระบบเครื อ ข า ยเข า มาใช ทํ า ให บุ ค ลากรในองค ก ารใช ทรัพยากรรวมกันได เชน เครื่องพิมพ เครื่องถายเอกสาร เครื่องสแกนภาพ 2. ชวยจัดระบบสารสนเทศที่มีอยูอยางมากมายให เปนระเบียบ ทําใหสะดวกรวดเร็ว งายแกการจัดเก็บและคนหา 3. ชวยใหการสื่อสารระหวางกันมีความรวดเร็ว มากขึ้น ขจัดปญหาเรื่องระยะเวลา ระยะทาง 4. ทําใหเขาถึงขอมูลขาวสารจากแหลงอื่นเมื่อใดก็ ได ได แ ก เทคโนโลยี ส ารสนเทศแบบอั ต โนมั ติ หรื อ แบบ ปญญาประดิษฐ ผูใชงานสามารถทําธุรกรรมไดเองเชนการ ฝากหรือถอนเงินจากตูเอทีเอ็ม 5. ทําใหมีการกระจายโอกาสทางการเรียนรูมากขึ้น 6. ชวยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสารสนเทศ 7. ชวยลดขั้นตอนการทํางานในสวนของบุคลากร น อยลง ความผิ ดพลาดที่ เกิ ดจากมนุ ษย น อ ยลง บุ ค ลากร สามารถไปดําเนินการดานอื่นๆ ไดมากขึ้น 8. ช ว ยประหยั ด ค า ใช จ า ยในระยะยาว เริ่ ม ต น อาจลงทุนสูงแตจะเริ่มคุมทุนมากขึ้นเพราะไดกําลังคนนอยลง บทบาทของเทคโนโลยีการศึกษากับการเรียนการ สอน เทคโนโลยีการศึกษามีบทบาทสําคัญตอการเรียนการ สอนมาก เนื่องจาก 1. เทคโนโลยีการศึกษา สงเสริมการเรียนรูดวย ตนเอง โดยตอบสนองแนวคิดดานจิตวิทยาหลากหลายดาน เชน ความพรอม ความแตกตางระหวางบุคคล การสราง แรงจูงใจในการเรียนรู 2. เทคโนโลยีการศึกษาจะตอบสนองประสิทธิภาพ ของการเรียน มากกวาการสอนที่ยึดครูเปนสําคัญ เชน การให ผูเรียนจากบทเรียนผานเครือขาย ผูเรียนสามารถที่จะเขาถึง ขอมูลที่ลึกซึ้งและไดปริมาณมากกวาครูสอนในชั้นเรียน 3. เทคโนโลยีการศึกษาชวยแกขอจํากัดในกระบวนการ เรียนรูไดหลากหลายเรื่องเชนขอจํากัดดานเวลา ระยะทาง เนื้อหา การเรียนรู หรือขอจํากัดของผูเรียน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 4. เทคโนโลยีการศึกษาทําใหเกิดการแลกเปลี่ยน ทัศนะระหวางครูกับนักเรียนใหเปนไปโดยรวดเร็วและดีกวา ชั้นเรียนที่ไมมีการใชเทคโนโลยีการศึกษาเลย 5. การนําเอาเทคโนโลยีการศึกษามาใชในการ เรี ย นการสอนจะทํ า ให ผู เ รี ย นเกิ ด พั ฒ นาการ ทั้ ง ทางด า น สติปญญา อารมณ สังคม รูจักคิดเปน ทําเปนและแกปญหา ได ตามแนวคิดของการเรียนที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน เทคโนโลยี ส ารสนเทศ ส ว นใหญ จ ะมี บ ทบาทใน ดานสนับสนุนดานการจัดการขอมูล การเก็บขอมูล และการ สืบคนขอมูล มากกวาจะมีบทบาทโดยตรงตอการเรียนการ สอน อยางไรก็ตาม มีการนําเอาเทคโนโลยีสารสนเทศเขามา มีสวนรวมกับการจัดการเรียนการสอน ไดแก 1. การเรียนรูแบบออนไลน (Online learning) เปน กระบวนการเรียนรูดวยการนําเทคโนโลยีคอมพิวเตอรและ เครือขายมาใชเปนเครื่องมือชวยในกระบวนการจัดการเรียน การสอนซึ่งเปนบทเรียนออนไลน โดยผูเรียนสามารถเขาถึง และเรี ย นรู บ ทเรี ย นต า งๆ ได ด ว ยตนเองผ า นระบบ อินเทอรเน็ต หรืออินทราเน็ต เปนวิธีการเรียนรูดวยตนเอง ผูเรียนจะเรียนตามความสามารถและความสนใจของตนเอง โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบดว ย ขอความ รูปภาพ เสียง วิดีทัศน และสื่อประสมอื่นๆ จะถูกสงไปยังผูเรียนผาน เว็บบราวเซอร (Web Browser) โดยผูเรียน ผูสอน และเพื่อน รวมชั้นเรียนทุกคนสามารถติดตอ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความ คิดเห็นระหวางกันไดเชนเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดตอสื่อสารที่ทันสมัย สําหรับทุกคน ที่สามารถเรียนรูไดทุกเวลาและทุกสถานที่ (Learn for all : anyone, anywhere and anytime) ซึ่งการใหบริการการ เรียนแบบออนไลนมีองคประกอบที่สําคัญ 4 สวน โดยแตละ สวนจะตองไดรับการออกแบบเปนอยางดี เพราะเมื่อนํามา ประกอบเข า ด ว ยกั น แล ว ระบบทั้ ง หมดจะต อ งทํ า งาน ประสานกันไดอยางลงตัว ดังนี้ 1.1 เนื้อหาของบทเรียน 1.2 ระบบบริหารการเรียน ทําหนาที่เปน ศูนยกลาง กําหนดลําดับของเนื้อหาในบทเรียน เรียกระบบนี้
23
วาระบบการจัดการการเรียน (Learning Management System : LMS) 1.3 การติด ต อ สื่ อ สาร การเรี ยนแบบ elearning นํารูปแบบการติดตอสื่อสาร แบบ 2 ทาง มาใช ประกอบในการเรียน โดยเครื่องมือที่ใชในการติดตอสื่อสาร อาจแบงไดเปน 2 ประเภท คือ ประเภท Real-time ไดแก Chat (message, voice), White board/Text slide, Realtime Annotations, Interactive poll, Conferencing และ อื่นๆ สวนอีกแบบคือ ประเภท Non real-time ไดแก Webboard, E-mail 2. บทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอน (Computer Assisted Instruction – CAI) บทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอน จะเสนอสารสนเทศที่ไดผานกระบวนการสรางและพิจารณา มาเปนอยางดี โดยมีเนื้อหาวิชาหรือสารสนเทศ แบบฝกหัด การทดสอบ และการให ข อ มู ล ป อ นกลั บ ให ผู เ รี ย นได ตอบสนองตอบทเรียนไดตามระดับความสามารถของตนเอง เนื้อหาวิชาที่นําเสนอจะอยูในรูปมัลติมีเดีย ซึ่งประกอบดวย อักษร รูปภาพ เสียง และ/หรือ ทั้งภาพและเสียง ซึ่งมีพื้นฐาน มาจากการนําหลักการเบื้องตนทางจิตวิทยาการเรียนรูมาใช ในการออกแบบ โดยอาศัยพฤติกรรมการเรียนรู (Learning Behavior) ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement Theory) ทฤษฎีการวางเงื่ อ นไขปฏิ บัติ (Operant Conditioning Theory) ซึ่ ง ถื อ ว า ความสั ม พั น ธ ระหว า งสิ่ ง เร า กั บ การ ตอบสนองและการเสริมแรงเปนสิ่งสําคัญ โดยมีจุดมุงหมาย นําผูเรียนไปสูการเรียนรูอยางมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาศัยการ สอนที่มีการกําหนดโปรแกรมไวลวงหนา เปนการใหผูเรียนมี โอกาสเรียนรูไดดวยตนเองและมีผลยอนกลับทันทีและเรียนรู ไปที ล ะขั้ น ตอนอย า งเหมาะสมตามความต อ งการและ ความสามารถของตน 3. วีดิทัศนตามอัธยาศัย (Video on Demand :VoD) การจัดการฐานขอมูลตองอาศัยโปรแกรมที่ทําหนาที่ในการ กําหนดลักษณะขอมูลที่จะเก็บไวในฐานขอมูล อํานวยความ สะดวกในการบันทึกขอมูลลงในฐานขอมูล กําหนดผูที่ไดรับ อนุญาตใหใชฐานขอมูลได พรอมกับกําหนดดวยวาใหใชได แบบใด เชน ใหอานขอมูลไดอยางเดียวหรือใหแกไขขอมูลได ดวย นอกจากนั้นยังอํานวยความสะดวกในการคนหาขอมูล
24
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
การแกไ ขปรับ ปรุ ง ข อ มูล ตลอดจนการจัดทํา ขอ มูลสํา รอง ด ว ย โดยอาศั ย โปรแกรมที่ เ รี ย กว า ระบบการจั ด การ ฐานขอมูล (Database Management System : DBMS) ซึ่ง โปรแกรมที่ไดรับความนิยมในการจัดการฐานขอมูล ไดแก Microsoft Access, Oracle, Informix, dBase, FoxPro, และ Paradox เปนตน 4. หนังสืออิเล็กทรอนิกส (e-books) หนังสือ อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส ที่ ส ามารถอ า นได ท างอิ น เทอร เ น็ ต สํ า หรั บ เครื่อ งมือ ที่จําเปน ตอ งมีในการอา นหนัง สือประเภทนี้ก็คือ ฮาร ด แวร ป ระเภทเครื่ อ งคอมพิ ว เตอร ห รื อ อุ ป กรณ อิเล็กทรอนิกส พกพาอื่น ๆ พรอมทั้ง ติดตั้งระบบปฏิบัติการ หรือซอฟตแวรที่ใชอานขอความตางๆ ตัวอยางเชน ออแกไน เซอรแบบพกพา พีดีเอ เปนตน สวนการดึงขอมูล e-books ซึ่ ง จะอยู บ นเว็ บ ไซต ที่ ใ ห บ ริ ก ารทางด า นนี้ ม าอ า นก็ จ ะใช วิ ธี ก ารดาวน โ หลดผ า นทางอิ น เทอร เ น็ ต เป น ส ว นใหญ ลักษณะไฟลของ e-books หากนักเขียนหรือสํานักพิมพ ตองการสราง e-books จะสามารถเลือกไดสี่รูปแบบ คือ Hyper Text Markup Language (HTML), Portable Document Format (PDF), Peanut Markup Language (PML) และ Extensive Markup Language (XML)ปจจุบัน การสร า งหนั ง สื อ อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส ทํ า ได ง า ยมากเพราะมี โปรแกรมสําเร็จรูปที่ผลิตออกมามากมาย 5. หองสมุดอิเล็กทรอนิกส (e-library) ในปจจุบัน สังคมไทยเราอยูในยุคขาวสาร ทําใหมีการกระจายขอมูลขาวสารได อยาง อยางนั้นหองสมุดจึงตองเปลี่ยนแปลงระบบการทํางาน ดานตางๆ โดยเฉพาะงานดานบริการจะมีบทบาทที่เดนชัด ความ ตองการของผูใชบริการจึงเปนแรงผลักดันใหหองสมุดเปลี่ยน การใหบริการงานหองสมุดมาเปนระบบอัตโนมัติ เชน 5.1 ระบบที่สามารถใหบริการและตรวจสอบได 5.2 ระบบบริการยืม-คืนทรัพยากรดวยแถบรหัส บารโคด 5.3 ระบบบริการสืบคนขอมูลทรัพยากร 5.4 ระบบตรวจเช็คสถิติการใชบริการหองสมุด 5.5 ระบบตรวจเช็คสถิติการยืม-คืนทรัพยากร 5.6 การสํารวจทรัพยากรประจําป 5.7 การพิมพบารโคดทรัพยากรและสมาชิก
เทคโนโลยีทางการศึกษาถูกนํามาชวยในรูปแบบของ วิธีระบบ (System Approach) แตเทคโนโลยีสารสนเทศถูก นํ า มาใช ใ นการจั ด การระบบสารสนเทศ (information management)ซึ่งประกอบดวยสวนตางๆ 5 สวน ดังนี้ ฮารดแวร (Hardware) ไดแก เครื่อง 1. คอมพิวเตอร อุปกรณจัดเก็บ และตอพวงตางๆ 2. ซอฟตแวร (Software) ไดแก การผสมผสาน ระหว า งโปรแกรมการใช ง านบนเครื่ อ งคอมพิ ว เตอร ทุ ก ประเภทอันจะนําไปสูโปรแกรมการประมวลผลสารสนเทศ ตั้งแตการเขาขอมูลไปถึงการแสดงผลลัพธตามสื่อชนิดตางๆ หมายรวมถึง โปรแกรมที่ ช ว ยใหส ามารถติ ดต อ สื่ อ สารเพื่ อ แลกเปลี่ยนสารสนเทศระหวางกันได 3. ขอมูล (Data) การสื่อสารขอมูลและเครือขาย คอมพิวเตอร (Data Communication and Network Computer) ไดแก ขอมูลที่สามารถติดตอสื่อสาร การเชื่อมตอ เครื อ ข า ยชนิ ด ต า งๆ เพื่ อ ให เ ครื่ อ งคอมพิ ว เตอร ใ นสถานที่ ตางกันติดตอแลกเปลี่ยนขอมูลและสารสนเทศระหวางกันได 4. บุคลากรทางคอมพิวเตอร (People ware) ไดแก ผูที่มีความรูความสามารถในการใชงานระบบสารสนเทศได 5. กระบวนการทํางาน (Procedures) ไดแก วิธีการจัดเก็บ ขอ มูลลงไฟลแ ละฐานขอมูลอยา งเปน ระบบ สามารถสืบคนและนํามาใชงานไดงาย ถูกตอง และรวดเร็ว จึงพอสรุปไดวา เทคโนโลยีการศึกษากับเทคโนโลยี สารสนเทศจะแตกตางกันตรงที่เทคโนโลยีการศึกษากลาวถึง ฮารดแวร (Hardware) และซอฟตแวร (Software) และ เทคนิค(Technique)เปนเรื่องของสื่อหลายชนิดหลายประเภท แต ท างเทคโนโลยี ส ารสนเทศจะหมายถึ ง อุ ป กรณ ด า น คอมพิวเตอรและสวนประกอบที่เกี่ยวของเทานั้น เนื่องจากศาสตรทั้ง 2 แขนงนี้มีความเกี่ยวพันกัน อยางมาก ผลงานที่ถูกผลิตขึ้นจากนักเทคโนโลยีการศึกษา และนักเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื้อหาสาระและวิธีการแทบจะ แยกแยะไมออกเลยทีเดียววางานชิ้นไหนดีกวาชิ้นไหน แลว อะไรคือสิ่งจะแยกออกวาชิ้นไหนมีคุณคาทางดานการเรียน การสอนมากกวากัน หากมองดานการออกแบบทางเทคนิค วิธีการนําเสนอ นักเทคโนโลยีสารสนเทศอาจไดเปรียบตรงที่มี ความรูความชํานาญในการใชเครื่องมือมากกวา แตถาหาก
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 มองลึกลงไปที่การนําเสนอเนื้อหาใหสอดคลองกับผูเรียนแลว นักเทคโนโลยีการศึกษาเขาใจในเรื่องการออกแบบบทเรียน ไดสอดคลองกวา ดังนั้นสื่อการเรียนการสอนที่สรางโดยนัก เทคโนโลยีการศึกษาและนักเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีความ แตกตางกัน คือ 1. นักเทคโนโลยีการศึกษาใหความสําคัญตอ และ ช อ งทางเพื่ อ ให เ กิ ด ประสิ ท ธิ ภ าพ (Efficiency) ประสิทธิผล (Effectively) 2. นักเทคโนโลยีสารสนเทศใหความสําคัญตอ ชองทางเพื่อเกิดใหคุณภาพ (Quality) ประสิทธิภาพ (Efficiency) และประสิทธิผล (Effectively) กับคุณภาพ (Quality) ทั้ง 3 คํานี้มีความแตกตางกัน คําเหลานี้มักใชกับ ก า ร บ ริ ห า ร จั ด ก า ร ง า น ป ร ะ กั น คุ ณ ภ า พ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ป 2548 ไดใหความหมายไววา ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ความสัมพันธระหวาง ปริ ม าณทรั พ ยากรที่ ใ ช ไ ปกั บ ปริ ม าณผลผลิ ต ที่ เ กิ ด จาก กระบวนการ กลาวคือ ประสิทธิภาพแสดงถึงความสามารถ ในการผลิตและความคุมค าในการลงทุน สวนประสิทธิผล (Effectively) หมายถึง ความสัมพันธระหวางผลลัพธของการ ทํ า งานกั บ เป า หมายหรื อ วั ต ถุ ป ระสงค ที่ ตั้ ง ไว กล า วคื อ ประสิทธิผลจะแสดงถึงความสามารถในการตอบสนองอยาง รวดเร็วและทันเวลาเพื่อใหไดผลผลิตที่มีคุณภาพ ท า ง ด า น ธุ ร กิ จ ป ระ สิ ท ธิ ภ า พ (Efficiency) หมายถึ ง ข อ มู ล ที่ ใ ช เ กี่ ย วข อ งกั บ กระบวนการทางธุ ร กิ จ รวมทั้ ง มี ก ารส ง มอบข อ มู ล แก ผู ใ ช อ ย า งถู ก ต อ ง ตรงเวลา สม่ําเสมอ (Consistent) และใชประโยชนได (Usable) อีกนัย หนึ่งคือ ความสัมพันธระหวางปจจัยนําเขา (Input) และ ผลลัพธที่ออกมา (Output) เพื่อสรางใหเกิดตนทุนสําหรับ ทรัพยากรต่ําสุด สวนประสิทธิผล (Effectively) หมายถึง การ ใชประโยชนจากทรัพยากรอยางเต็มที่เพื่อใหไดมาซึ่งขอมูล สารสนเทศหรือความสามารถขององคการในการดําเนินการ ใหบรรลุวัตถุประสงคหรือจุดมุงหมายที่กําหนดเอาไว สรุ ป ประสิ ท ธิ ภ าพ (Efficiency) หมายถึ ง ความสัมพันธระหวางปริมาณทรัพยากรที่นําเขาไปใชในการ ผลิ ต กั บ ปริ ม าณผลผลิ ต ที่ ไ ด อ อกมานั้ น แสดงให เ ห็ น ถึ ง
25
ความสามารถในการผลิต และแสดงถึง ความคุมคา ในการ ลงทุน ประสิทธิผล (Effectively) หมายถึง ความสัมพันธ ระหว า งผลลั พ ธ ข องการทํ า งานกั บ วั ต ถุ ป ระสงค ได แ ก ความสั ม พั น ธ ข องต น ทุ น หรื อ ทรั พ ยากรที่ ใ ช กั บ ผลลั พ ธ ที่ เกิดขึ้น หรือความสัมพันธของผลลัพ ธกับเปาหมายที่ไดตั้ง เอาไวนั่นเอง คุณภาพ (Quality) หมายถึง การวัดผลสัมฤทธิ์ ของงานที่ ไ ด กั บ เกณฑ ม าตรฐานที่ ตั้ ง ขึ้ น เพื่ อ ให ผ ลลั พ ธ ที่ ออกมามีประสิทธิผลสูงในระดับที่ตองการโดยไมแตกตางกัน หากพิจารณาหลักการตรวจสอบการดําเนินงานเชิง ระบบ ในทางการศึกษาจะมีการตรวจอยู 4 อยาง ดังนี้ 1. ประสิทธิผล (Effectively) ไดแก ปริมาณ (Quantity) : อัตราการเขาเรียน อัตราการเลื่อนชั้น คุณภาพ (Quality) : ผลการสอบ ผลการเรียน เวลา (Time) : อัตราการออกกลางคัน ตนทุน (Cost) : ตนทุนกิจกรรมตางๆ 2. ประสิทธิภาพ (Efficiency) ไดแก คาใชจายใน โครงการเพื่อสงเสริม พัฒนา และการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน 3. ประหยัด (Economy) ไดแก คาใชจายนั้นมี ความเหมาะสม ไมสิ้นเปลือง 4. ประสิทธิผลตอคาใชจาย ไดแก ความเพียงพอ ในคาใชจาย หากวิเคราะหผลงานที่เกิดจากนักเทคโนโลยีทาง ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ นั ก เ ท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เ ท ศ โ ด ย นํ า สภาพแวดลอมมาพิจารณาตามหลักการของ SWOT ไดดังนี้ 1. จุดแข็ง (Strengths) เทคโนโลยีการศึกษา : เปนการระดมสรรพ ความรูที่มีเหตุผล (พิสูจนได) มาประยุกตใหเปนระบบที่ดี สามารถนําไปใชในสถานการณจริง เพื่อแกไขปญหาใหบรรลุ จุ ด มุ ง หมายหรื อ เป า ประสงค ข องการศึ ก ษาอย า งมี ประสิ ท ธิ ภ าพที่ สุ ด โดยการใช ท รั พ ยากรอย า งประหยั ด สามารถเลือกใชสื่อและเครื่องมือตางๆ ไดหลายชนิดเพื่อให เหมาะสมกับงาน เทคโนโลยีสารสนเทศ : เปนการนําเทคโนโลยี คอมพิวเตอรมาใชงานที่เกี่ยวกับการประมวลผลขอมูลเพื่อให ไดเปนสารสนเทศ มีผสมผสานเทคโนโลยีตางๆ เขาดวยกัน
26
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
อยางลงตัว ได แก การนํา เขา การจัดเก็บ การจัด การ การ ปองกัน การสื่อสาร และการคนคืนสารสนเทศ ชวยใหเกิด การทํางานที่มีประสิทธิภาพได 2. จุดออน (Weaknesses) เทคโนโลยีการศึกษา : บทบาทของเทคโนโลยี การศึกษาที่คนสวนใหญเขาใจ จะเนนดาน เทคโนโลยีดาน สื่อ แตจริง ๆแลว เทคโนโลยีการศึกษา นั้นครอบคลุมไปถึง เทคโนโลยีการสอนเทคโนโลยีการสื่อสารและเทคโนโลยีดาน ระบบดวย เทคโนโลยีสารสนเทศ : เทคโนโลยีที่นํามาใช สวนใหญเปนอุปกรณดานคอมพิวเตอร และตองสนับสนุน การทํ า งานตั้ ง แต ก ารนํ า เข า การจั ด เก็ บ การจั ด การ การ ปองกัน การสื่อสาร และการคนคืนสารสนเทศ โดยจะตอง ผสมผสานเทคโนโลยีตางๆ เขาดวยกันอยางลงตัวจึงจะชวย ใหเกิดการทํางานที่มีประสิทธิภาพได 3. โอกาส (Opportunities) เทคโนโลยีการศึกษา : อุปกรณทุกชนิดสามารถ ดัดแปลงนํามาใชงานอยางเหมาะสมกับทุกสถานการณ โดยที่ ผูใชมีความคุนเคยอยูแลวสวนใหญ เทคโนโลยีสารสนเทศ : ผูใชจะตองมีความรู พื้ น ฐานด า นคอมพิ ว เตอร ม าก อ นจึ ง ใช ง านได ดี แ ละเต็ ม ประสิท ธิภ าพ รวมทั้ง อุปกรณจะต องมีการจัดซื้อ เขามาไม สามารถดัดแปลงหรือผลิตเองได 4. ภัยคุกคาม (Threats) เทคโนโลยีการศึกษา : การปลูกฝงคานิยมและ ความคิดใหม เนนใหคิดถึงแตเทคโนโลยีดานเครื่องมือ ทําใหละ ทิ้งบทบาทของเทคโนโลยีดานอื่นไป เทคโนโลยีสารสนเทศ : ความรูความสามารถของ ผูใชงานที่ยังขาดโอกาสและประสบการณในการเรียนรูและนํามาใช งานอยางจริงจัง รวมทั้งแรงสนับสนุน จูงใจ จากผูนําความคิด จะเห็ น ได ว า ไม ว า ประเทศที่ กํ า ลั ง พั ฒ นาหรื อ ประเทศที่เจริญแลว มักจะมีโครงสรางทางด านพฤติกรรม ใกล เคี ยงกัน ตามทฤษฎี ที่ว า ดว ยการยอมรับ สิ่ง ใหมห รือ ที่ เรียกวา นวัตกรรม Everett M. Rogers (Roger,2003)กลาว
วา Good ideas do not sell themselves ความคิดที่ดีไมได หมายความวาจะสามารถขายหรือแพรกระจายตัวมันเองได เช น เดี ย วกั น กั บ เทคโนโลยี ก ารศึ ก ษาหรื อ เทคโนโลยี สารสนเทศ ถึงแมจะทันสมัยแคไหนแตตัวของเทคโนโลยีเอง ก็ไมสามารถที่จะเผยแพรตัวเองออกไปได เพราะระยะเวลาใน การยอมรับนวัตกรรมการศึกษาจะอยูในลักษณะโคงรูปตัว เอส (S Curve) ระยะแรกการแพร ก ระจายนั้ น มี ผู ยอมรั บ น อ ย เมื่ อ ผานไประยะหนึ่งจํานวนจะเพิ่มมากขึ้น และเมื่อถึงขีดสุดแลวจะไมขึ้นสูงอีก ซึ่งอาจจะมีนวัตกรรมอื่น เขามาแทนที่ ซึ่งสอดคลองกับงานวิจัยขางตนที่ผูใชงานมักไม ค อ ยยอมรั บ ในช ว งแรก เป น ที่ ท่ี เ กี่ ย วกั บ ระยะเวลาใน กระบวนการยอมรั บ นวั ต กรรม อั น ได แ ก ก า ร ร ับ รู (Knowledge) การจู ง ใจ (Persuasion) การตัดสินใจ (Decision) การใชงาน (Implementation) และการยอมรับ (Confirmation) ในที่สุด การนํ า นวั ต กรรมและเทคโนโลยี ไม ว า จะเป น เทคโนโลยีทางการศึกษา หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใชใน การเรียนการสอนจึงตองคํานึงถึงความสําคัญ 3 ประการ คือ 1. ประสิทธิภาพ (Efficiency) ในการเรียนการสอน ตองใหผูเรียนผูสอนไดเรียนและไดสอนเต็มความสามารถ เต็ม หลั กสู ตร เต็ มเวลาด วยความพึ งพอใจเกิด การเรีย นรู ต าม จุด ประสงคเ ต็ม ความสามารถ(Full Energy) และเกิด ความพอใจ (Satisfaction) ในการเรียนรู 2. ประสิทธิผล (Effectively หรือ Productivity) ใน การจัดการเรียนการสอนใหบรรลุจุดประสงคตามที่กําหนด จุดประสงคไวซึ่งนักเรียนเกิดการเรียนรูบรรลุจุดประสงคได ดีกวา สูงกวา ไมใชเทคโนโลยีนั้น 3. ประหยัด (Economy) การใชนวัตกรรมและ เทคโนโลยีเขามาชวยในการจัดการเรียนการสอนตองคํานึงถึง สภาพความเหมาะสมตามฐานะแลว จะตองประหยัด นั่นคือ ประหยัดทั้งเงิน ประหยัดเวลา และประหยัดแรงงาน การที่นักเทคโนโลยีสารสนเทศใหความสําคัญตอ การผลิตสื่อเพื่อการศึกษาโดยเนนทางดานคุณภาพ (Quality) อยา งเดีย วนั้น อาจจะดูไ มเพี ย งพอ ควรใหค วามสํา คัญ กั บ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ประสิทธิภาพ (Efficiency) และประสิทธิผล (Effectively) ซึ่ง เปนองครวมใหญ นอกจากนี้ตองประหยัด (Economy) ไม ลงทุ น สู ง เกิ น ไป หากนั ก เทคโนโลยี ก ารศึ ก ษาและนั ก เทคโนโลยี ส ารสนเทศได ร ว มมื อ กั น ทํ า งาน อาศั ย ความ
27
เชี่ยวชาญแตละดานมาสรางสรรคงานเพื่อพัฒนาการศึกษา ของชาติแ ลว ย อ มดี กวาที่ จะบอกว าใครเกง กวาใคร ทํา ให ยากที่จะตัดสินใจเพราะเกงในการสรางสรรคสิ่งที่ดีงามทั้งคู
บรรณานุกรม เปรื่อง กุมุท.2526. เทคโนโลยีการศึกษา. คํานิยามและความหมาย.เอกสารประกอบการสอน. ภาควิชาเทคโนโลยีทางการศึกษา.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. พนิดา พานิชกุล. 2548. เทคโนโลยีสารสนเทศ. กรุงเทพฯ: เคพีพี คอมพ แอนด คอนซัลท. สาโรช โศภีรักข.2548. เทคโนโลยีการศึกษารวมสมัย. กรุงเทพฯ.ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงชาติ. 2546. แผนแมบทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของ ประเทศไทย พ.ศ. 2545-2549. กรุงเทพฯ: จิรรัชการพิมพ. โอภาส เอี่ยมสิริวงศ. 2547. วิทยาการคอมพิวเตอรและเทคโนโลยีสารสนเทศ. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น.. Biagi, Shirley. 2005. Media Impact: An Introduction to Mass Media. 7th, Instructor’s edition. USA: Thomson Wadsworth. Rogers, Everett M. 2003. Diffusion of Innovations. 5rd ed. New York USA: The Free Press. Thomas A. Cover and Joy A.Thomas.1991.Elements of Information Theory. John Wiley & Sons. http://www.riudon.ac.th/~boonpan/1032101/edt01.html. http://www.bcnlp.ac.th/~sophon/techno/edtech-conceptnol.html. http://dusithost.dusit.ac.th/~librarian/itl07/Cl.html. http://www.dai.ed.ac.uk/homes/cam/informatics.shtml. http://www.inf.ed.ac.uk/about/vision.html. http://th.wikipedia.org/. http://www.obec.go.th/news49/05_may/31a/3.pdf. http://www.isaca-bangkok.org/cobit.html. http://edtechno.com/index.php?option=com_content&task=view&id=30&Itemid=3l
28
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
บทบาทสมมติ บทบาททีไ่ มควรมองขาม : กรณีศึกษาการเรียนการสอนกลุมวิชาสังคมศึกษา ROLE PLAY THE ROLE THAT SHOULD NOT BE OVERLOOKED ; A CASE STUDEY IN SOCIAL STUDIES โชตรัศมิ์ จันทนสุคนธ บทคัดยอ บทบาทสมมติ เปนรูปแบบการเรียนการสอนอยางหนึ่ง ที่ชว ยสะทอ นความรู สึกนึกคิดต า ง ๆ ที่อ ยูภ ายในของผูเรีย น ออกมา ทําใหสิ่ง ที่ซอนเรนอยูเปดเผยออกมา และนํามาซึ่ง การศึกษาทําความเขาใจกันได ชวยใหผูเรียนเกิดการเรียนรู เกี่ยวกับตนเอง เกิดการเขาใจในตนเอง ในขณะเดียวกัน การ ที่ ผู เ รี ย นสวมบทบาทของผู อื่ น ก็ ส ามารถช ว ยให ผู เ รี ย นเกิ ด ความเขาใจในความคิด คานิยม และพฤติกรรมของผูอื่นได เชนเดียวกัน นํามาซึ่งการปรับเปลี่ยนเจตคติ คานิยม และ พฤติกรรมของตน ใหเปนไปในทางที่เหมาะสม ซึ่งคุณสมบัติ เหลานี้ของบทบาทสมมติสอดคลองกับเนื้อหาวิชาการเรียนการ สอนในกลุ ม วิ ช าสั ง คมศึ ก ษาอยู อ ย า งมากในหลายหั ว ข อ ข อ เนื้อหาวิชา ไมวาจะเปน เนื้อหาการเรียนการสอนที่เกี่ยวกับ คุณธรรม จริยธรรม หนาที่พลเมืองตามระบอบประชาธิปไตย กฎหมายที่ควรรูในชีวิตประจําวัน บุคคลสําคัญและเหตุการณ สํา คัญ ในประวั ติศาสตร ซึ่งสามารถใชกิจกรรมการเรียนการ สอนแบบแสดงบทบาทสมมติมาชวยสะทอนความรู ความคิด พฤติกรรมการแสดงออกในตัวผูเรียนผานเนื้อหาบทเรียนที่นํามา จั ด แสดงเป น บทบาทสมติ ไ ด เ ป น อย า งดี ยิ่ ง เราจึ ง ไม ค วร มองขามคุณสมบัติและความสําคัญของการสอนดวยวิธีการนี้
อาจารยประจํากลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ไปไดเลยแมวาปจจุบันเราจะมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมทาง การศึกษาที่กาวไกลไปเพียงใดก็ตาม เพราะเรายังเชื่อมั่นวา การเรียนการสอนดวยรูปแบบที่มีมาแลวแตดั้งเดิมอยางเชน บทบาทสมมติ นี้ ก็ ยั ง คงนํ า พาให ผู ส อนให ส ามารถบรรลุ วัตถุประสงคในการสอนที่ดีมีประสิทธิผลได Abstract Role Play is one of the teaching and learning activities that can reflect the learners , thoughts and feelings that may help in syllabus planning. Teaching by role play leads to self learning and understanding. However, while the learners play other people ,s part , they can learn and understand other people ,s thoughts, feelings and behavior as well. In this way, the learners will be able to adapt themselves to an ideal behavior that includes in social studies in several branches like ethics, democratic civic, public law, famous people ,s biography and world events. The learners can learn and analyse the thoughts, attitude and behavior of each character whose role they play during the lesson. Therefore, it is certain that role play must be the part thatcannot be overlooked despite all innovation and technology that are overwhaming the teaching and learning activities because the learners , academic achievement is always satisfactory when learning by role play. บทนํา ทามกลางกระแสโลกาภิวัฒนอันเปนยุคของขาวสาร ขอมูลทําใหโลกถูกยอใหเล็กลงทั้งระยะทางและเวลาดวยการ เชื่ อ มต อ กั น ทางเครื อ ข า ยอิ น เตอร เ น็ ต และมื อ ถื อ รวมไปถึ ง ระบบสารสนเทศตางที่กําลังกาวล้ําทัน สมัยไมเวนแมแตใ น ระบบการศึกษาโดยเกิดเปนนวัตกรรมและการใชเทคโนโลยี สารสนเทศทางการศึ ก ษาที่ ทั น สมั ย มากขึ้ น อย า งการใช โปรแกรมทางคอมพิวเตอรชวยในการผลิตสื่อการสอนหรือใช คนควาศึกษาเพิ่มเติมทั้ง ผูสอนและผูเรีย นและอีกมากมาย ความกาวหนาทางวิทยาการดังกลาวทําใหครูผูสอนตองปรับ
29
กลยุทธทางการสอนและเรียนรูการและการชเครื่องมือที่ เปนสื่ออุปกรณเทคโนโลยีสมัยใหมกันมากขึ้นเพื่อใหทัน ยุคทันเหตุการณซึ่งถือเปนสิ่งที่ดีและควรสงเสริม แตใน ขณะเดียวกันทามกลางกระแสเทคโนโลยีทางการศึกษา ใหมนี้ก็ไมควรละเลยวิธีสอนและรูปแบบการจัดกิจกรรม การเรี ย นการสอนอั น หลากหลายที่ มี ม าแต ดั้ ง เดิ ม ด ว ย เพราะหลายอยางยังคงมีความสําคัญและใชไดผลดีตอ การสรา งใหผูเรียนเกิ ดการเรียนรูไ ดเชน เดีย วกัน กับ สื่อ เทคโนโลยี ส มั ย ใหม ใ นป จ จุ บั โ ดยที่ ผู ส อนสามารถใช เทคโนโลยี ท างการศึ ก ษาสมั ย ใหม ม าช ว ยในการ ผสมผสานปรับปรุงพัฒนาเทคนิคการสอนที่มีมาอยูเดิม ใหดูทันสมัยใชงายและสะดวกรวดเร็วขึ้นไดอีกดวยดังคํา กลาวที่วา ...ไมมีวิธีสอนใดที่ดีที่สุด ครูควรเลือกใชวิธี สอนหลาย ๆ วิธีเพื่อชวยใหผูเรียนบรรลุวัตถุประสงค... ในบรรดารู ป แบบ วิ ธี ส อน และกิ จ กรรมการ เรียนการสอนที่หลากหลายมากมาย ในที่นี้จะขอกลาวถึง เฉพาะการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบแสดงบทบาท สมมติ (Role Play) ซึ่งแมไมใชรูปแบบวิธีการเรียนการ สอนที่เปน ของใหมใ นยุคนี้ แตก็ไ มอ าจปฏิเ สธไดวาไม สําคัญ ลาสมัยหรือไมเปนที่นิยมในการนํามาใชจัดกิจกรรม การเรียนการสอนแตอยางใด และยังเปนรูปแบบการสอน หนึ่ ง ที่ อ าจจั ด ได ว า เป น ศาสตร ก ารสอนได ศ าสตร ห นึ่ ง เนื่องจากมีวัตถุประสงค องคประกอบ และขั้นตอนของ วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เปนระบบชัดเจน บทความนี้จึงมุงเนนใหผูอานตระหนักถึงความสําคัญของ รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีอยูเดิมอยาง ที่ไมควรมองขามโดยใชรูปแบบกิจกรรมการแสดงบทบาท สมมติ เ ป น กรณี ตั ว อย า งด ว ยการสะท อ นผ า นการนํ า บทบาทสมมติ ไ ปใช ใ นการเรี ย นการสอนของกลุ ม วิ ช า สังคมศึกษา และเพื่อกระตุนใหผูอานโดยเฉพาะผูที่เปน ครูผูสอนไดเกิดความกระตือรือลนความมั่นใจในวิธีสอน แบบนี้หรือแมแตกับวิธีสอนแบบอื่น ๆ ที่จะนํามาปรับใช เพื่อการบรรลุจุดมุงหมายทางการเรียนการสอนตอไป บทบาทสมมติกับความเปนศาสตรการสอน รูป แบบการเรีย นการสอนแบบแสดงบทบาท สมมติมีความเปนมาของหลักการและแนวคิดที่พัฒนาขึ้น
30
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
โดย แซฟเทล และแซฟเทล (Shafftel and Shafftel,1967:6771)โดยเนนไปที่ปฏิสัมพันธทางของบุคคล กลาวคือ บุคคล สามารถเรียนรูเกี่ยวกับตนเองไดจากการปฏิสัมพันธกับผูอื่น ความรูสึกนึกคิดและคานิยมตาง ๆ ของบุคคลลวนเปนผลมา จากการที่บุคคลปะทะสัมพันธกับสิ่งแวดลอมรอบขางและได สั่งสมไวภายในลึก ๆ โดยที่อาจไมรูตัว การสวมบทบาทสมมติ เปนวิธีหนึ่งที่จะชวยใหแตละบุคคลไดแสดงความรูสึกนึกคิด ตาง ๆ ที่อยูภายในออกมา ซึ่งอาจเปนสิ่งที่เก็บซอนอยูภายใน มานานได เ ป ด เผยออกมาช ว ยให เ กิ ด การเรี ย นรู ต นเองเกิ ด ความเขาใจในตนเองในขณะเดียวกันเมื่อไดสวมบทบาทเปน ผู อื่ น ก็ ส ามารถทํ า ให ผู เ รี ย นเกิ ด ความเข า ใจในค า นิ ย ม ความคิด และพฤติกรรมของผูอื่นดวยเชนกัน จากหลักการ และแนวคิ ด ดั ง กล า วข า งต น นํ า มาสู มุ ม มองในแง ค วาม ความหมาย บทบาทสมมติ จึงหมายถึง วิธีการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนที่ผูเรียนสวมบทบาทสมมติในสถานการณ ซึ่ ง มี ค วามใกล เ คี ย งกั บ ความเป น จริ ง หรื อ เลี ย นแบบ สถานการณที่เคยเกิดขึ้นจริงโดยใหผูเรียนไดแสดงออกตาม ความรูสึกนึกคิดของตนเองตามที่ผูเรียนคิดวาควรจะเปน โดย นํ า เอาการแสดงออกของผู แ สดงทั้ ง พฤติ ก รรมการแสดง ความรูสึกนึกคิด มาสรางความเขาใจแกผูเรียน ใชเปนขอมูล ในการอภิปราย เพื่อใหผูเรียนเขาใจเนื้อหาสาระของบทเรียน อย า งลึ ก ซึ้ ง นํ า มาซึ่ ง การปรั บ หรื อ เปลี่ ย นพฤติ ก รรมให เหมาะสมขึ้น และในที่สุดเพื่อใหผูเรียนเกิดการเรียนรูตาม วัตถุประสงค จุ ด เด น ที่ สํ า คั ญ อย า งหนึ่ ง ของกิ จ กรรมการแสดง บทบาทสมมติ ที่ ไ ม พ บในการแสดงละครหรื อ ในการแสดง รูปแบบอื่น ๆ ก็คือ นอกจากมีผูแสดงที่สวมบทบาทสมมติตาง ๆ แลว มีผูชมที่ไมไดเปนผูชม เพียงอยางเดียว แตผูชมคือผู สังเกตการณสําหรับการอภิปรายผลหลังการแสดงดวยผูชมจึง ไมไดชมเพื่อความสนุกเพลิดเพลินเทานั้น แตมุงใหเกิดการ เรียนรูเปนสําคัญ ผูชมในกิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติจึง ตองเปนผูชมที่ชมดวยความสังเกตที่สามารถวิเคระห วิพากษ วิ จ ารณ และให ข อ เสนอแนะได ดั ง นั้ น ผู ส อนควรให คําแนะนําแกนักเรียนที่เปนผูชมวาควรสังเกตอะไรและควร บันทึกขอมูลหรื อสิ่งที่สังเกตไดอยางไร หรือ ถาผูสอนไดทํา แบบสังเกตการณใหนักเรียนที่เปนผูชมไดใชบันทึกการสังเกต
ดวยก็จะดีมาก จึงกลาวไดวากิจกรรมบทบาทสมมติจึง นั บ เป น ศาสตร ก ารสอนได ศ าสตร ห นึ่ ง ที เ ดี ย วบทบาท สมมติตอการกําหนดพฤติกรรมและเจตคติ นอกจากหลักการและแนวคิดเกี่ยวกับบทบาท สมมติที่มุงเนนทําความเขาใจพฤติกรรมและความรูสึกนึก คิดของบุคคลดังกลาวแลวขางตน การศึกษาพฤติกรรม และคานิยมความรูสึกนึกคิดของผูเรียนนี้ยังถูกสะทอนถึง จากการที่ ค ณะกรรมการการปฏิ รู ป การเรี ย นรู ใ น คณะกรรมการการปฏิรูปการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (คณะกรรมการปฏิรูปการเรียนรู. 2544: 9) ไดจําแนกการ จัดการเรียนรูที่เนนผูเรียนเปนสําคัญออกเปน 3 กลุม คือ กลุ ม ที่ เ น น กระบวนการคิ ด กลุ ม ที่ เ น น การมี ส ว มร ว ม และกลุมที่เนนการพัฒนาพฤติกรรมและคานิยม จึงไดมี นั ก การศึ ก ษาบางส ว นจั ด ให ก ารเรี ย นการสอนด ว ย บทบาทสมมติชวยสะทอนขอมูลเกี่ยวกับตัวผูเรียนในดาน การแสดงออกของพฤติกรรม ความรูสึกนึกคิด เจตคติ คานิยม ในงานเขียนอยูบอยครั้ง อาทิ ทัศนะของ ทิศ นา แขมมณี (2546: 34) ในหนังสือที่นําเสนอเกี่ยวกับ รูปแบบการเรียนการสอน ที่กลาววา ผูเรียนจะเกิดความ เข า ใจที่ ลึ ก ซึ้ ง เกี่ ย วกั บ ความรู สึ ก นึ ก คิ ด ความคิ ด เห็ น ค า นิ ย ม คุ ณ ธรรม จริ ย ธรรมของผู อื่ น รวมทั้ ง มี ค วาม เขาใจตนเองมากขึ้น และในหนังสือที่วาดวยวิธีสอนถึง 14 วิ ธี (ทิ ศ นา แขมมณี . 2546: 70) โดยกล า วถึ ง บทบาทสมมติไววา การสวมบทบาทเปนผูอื่น ทําใหเขา ในพฤติกรรมและความรูสึกนึกคิดของผูอื่น เปนการเอา ใจเขามาใสใจเรา เกิดการเรียนรูที่ลึกซึ้งเปนวิธีสอนที่ชวย ใหผูเรียนมีความเขาใจและเกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติ และพฤติกรรมของตน ช ว ยพัฒ นาทัก ษะในการเผชิ ญ สถานการณ ตัดสินใจและแกปญหาผูเรียนมีสวนรวมใน การเรียนมาก ผูเรียนไดเรียนรูอยางสนุกสนาน และการ เรียนรูมีค วามหมายสํา หรับ ผูเรี ย นเพราะขอ มูลมาจาก ผูเรียนโดยตรง หรือ ความเห็น ของ บุญ ชม ศรีส ะอาด (2546: 100) ที่จัดใหการแสดงบทบาทสมมติเปนวิธีหนึ่ง ของการจั ด การเรี ย นรู ใ นกลุ ม ผู เ รี ย นที่ เ น น การพั ฒ นา พฤติ ก รรมและค า นิ ย มซึ่ ง เป น หนึ่ ง ในสามกลุ ม ผู เ รี ย น ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาไดแบงไวดังกลาว
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 แลวขางตน ยังมีความเห็นของ อาภรณ ใจเที่ยง (2546:136) ที่กลาววา บทบาทสมมติสงเสริมใหบทเรียนนาสนใจ ผอน คลายความเครียด สะทอนใหเห็นถึงความรูสึก อารมณ และ เจตคติของผูเรียนไดดี สรางเสริมความสามัคคี ชวยใหเขาใจ ความรู สึ ก ของผู อื่ น ได ดี ขึ้ น ฝ ก ฝนการแก ป ญ หาและการ ตัดสินใจ เขาใจในสื่งที่เรียนไดลึกซึ้ง ชวยใหผูเรียนเกิดการ ปรั บ หรื อ เปลี่ ย นเจตคติ ห รื อ พฤติ ก รรมรวมทั้ ง ปฏิ บั ติ ต นใน สังคมไดเหมาะสม ในสวนของนักวิชาการและนักการศึกษาตะวันตก ก็ ไ ด ใ ห แ นวคิ ด เกี่ ย วกั บ บทบาทสมมติ ใ นด า นการสะท อ น พฤติกรรม ความรูสึกนึกคิด และคานิยมของบุคคลไวอยาง หลากหลายเชน กัน อาทิ เทเลอร และวอลฟอรด (Tayler and Walford. 1974:19) ใหทัศนะไววา การแสดงบทบาท สมมติเปนการเปดโอกาสใหไ ดสวมบทบาทในสภาพการณ ตาง ๆ เพื่อฝกวาตนควรมีพฤติกรรมแบบใดจึงจะแกปญหาได ดีที่สุดหรือแนวคิดของ ชารัน (Sharan. 1976 ใน พรรณทิพย พื้น ทอง.2534:8) ที่กลา ววา การแสดงบทบาทสมมติเปน กิจกรรมที่มุงสํารวจปญหาสังคม เปนประสบการณการเรียนรู ที่จะชวยพัฒนาความเขาใจ ความรูสึก ความคิด และพฤติกรรมของ บุคคลตาง ๆ ในสภาพการณหนึ่ง ๆ อันจะเปนประโยชนตอ ผู เรี ย นเพราะผูเรี ย นสามารถปฏิบัติต นใหถูกตอ งเหมาะสม ยิ่ง ขึ้ น ในขณะที่ รูบิ น และคนอื่ น ๆ (Rubin and Others.1983:753.) กล า ว า บทบาทสมมติ สํ า คั ญ ต อ พัฒนาการทางความคิดและทางสังคมของเด็ก ใหโอกาสเด็ก เปลี่ยนวัตถุและสถานการณ และเนนทักษะดานกระบวนการ คิด พิจารณาสิ่งของ และสถานการณตาง ๆ หลาย ๆ ดานใน เวลาเดียวกัน และในความเห็นของ โคลัมบัส (Kolumbus.1979 ใน เยาวพา เตชะคุปต. 2528:09-20) ที่วา การเลนสมมติ จะทํา ใหเกิดการเรียนรูสิ่ง ต า ง ๆ คือ โครงสรางสังคม ได มี โอกาสระบายอารมณ ปรับตัวใหเปนที่ยอมรับของกลุม เปดโอกาส ใหเด็กไดคิดและจิตนาการบทบาทสมมติกับเนื้อหาการเรียนรู ในกลุมวิชาสังคมศึกษา กลุมวิชาสังคมศึกษาซึ่งในหลักสูตรปจจุบันเรียกวา กลุมสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มีเนื้อหาสาระ ครอบคลุมในทุก ๆ ดาน ไดแก ภูมิศาสตร ประวัติศาสตร เศรษฐศาสตร ศาสนา วัฒนธรรม ภูมิปญ ญา หนาที่พลเมือง
31
และกฎหมาย ซึ่งเนื้อหาเหลานี้มีหลาย ๆ สวนที่เกี่ยวของ ทั้งโดยตรงและโดยออมที่ชวยสะทอนพฤติกรรม คานิยม และความรูสึกนึกคิดในตัวผูเรียน โดยเฉพาะเนื้อหาการ เรีย นในสว นของหลักธรรมทางศาสนา ประวัติศ าสตร ประเพณีวัฒนธรรม หนาที่พลเมือง และกฎหมาย การ สะทอนพฤติกรรมและความรูสึกนึกคิดในตัวผูเรียนผาน การใชกิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติในการ สอนกลุมวิชาสังคมศึกษามีปรากฎในผลงานทางวิชาการ ในรู ป ของการศึ ก ษาวิ จั ย ในช ว งสองทศวรรษที่ ผ า นมา โดยประมาณก็ มี อ ยู ไ ม น อ ย ดั ง ได ย กมาเป น ตั ว อย า ง บางสวน ดังนี้ งานคนควาทางวิชาการและงานวิจัยการใชบทบาท สมมติกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในกลุมวิชาสังคมศึกษา ป 2525 สุจิตรา บัวคําภา ไดทําการศึกษา วิจัยการใชและไมใชบทบาทสมมติในการสอนจริยศึกษา ในชั้นประถมศึกษาปที่ 6 พบวาการสอนดวยการใชการ แสดงบทบาทสมมติทําใหนักเรียนเกิดการเรียนรูไดดีกวา การสอนโดยไมใชการแสดงบทบาทสมมติ ป 2528 พรรณสว า ง สุ ว รรณรงค ได ทํา การศึก ษาเปรียบเทียบผลการเรียนรูดา นจริยศึก ษา ของนักเรียนในระดับประถมศึกษาโดยใชสไลดเทปกับ การแสดงบทบาทสมมติ พบวา การเรียนรูดาน จริยศึกษาของนักเรียนที่เรียนโดยแสดงบทบาทสมมติสูง กวาการเรียนโดยวิธีดูสไลด ป 2539 ธนะวรรณ สั ง ข ท อง ได ศึ ก ษา ผลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นวิ ช าพระพุ ท ธศาสนา เรื่ อ ง อริยสัจ 4 และฆารวาสธรรม 4 ของนักเรียนชั้นประถมปที่ 5 ที่ สอนโดยใช บทบาทสมมติ พบวา นักเรียนที่เรียนดว ย บทบาทสมมติมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกวานักเรียนที่ เรียนดวยวีสอนแบบปกติ ป 2541 ศรัทธา เที่ยงเจริญ ไดทําการศึกษา ผลสัมฤทธิ์ท างการเรียนวิช าจริยศึกษาของนักเรี ยนชั้น ประถมศึกษาปที่ 4 โดยวิธีสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ พบวา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาจริยศึกษาโดยวิธีสอนแบบ แสดงบทบาทสมมติกอนและหลังเรียนมีความแตกตางกัน
32
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
งานคนควาทางวิชาการและงานวิจัยการใชบทบาท สมมติกับพฤติกรรมและ เจตคติตอการเรียน ป 2529 ดุษฎี ทรัพยปรุง ไดศึกษาผลของการใช บทบาทสมมติเพื่อพัฒนาความรับผิดชอบตอหนาที่การงาน ของนัก เรี ยนชั้ น มัธ ยมศึ ก ษาป ที่ 1 พบว า การสอนโดยใช บทบาทสมมติทําใหนักเรียนมีการพัฒนาความรับผิดชอบตอ หนาที่การงานมากกกวาการสอนแบบปกติ ป 2530 สุวรรณ ตรีขัน ไดศึก ษาผลการใช บ ทบาทสมมติ ที่มี ต อ แรงจูง ใจใฝ สัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 พบวา นักเรียนที่ ไดรับการสอนโดยใชบทบาทสมมติมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง กวานักเรียนที่ไดรับการสอนแบบปกติ ป 3531 อัจฉรา เนตรลอมวงศ ไดศึกษาผลของ การใชบทบาทสมมติที่มีตอความเชื่อมั่นตนเอง ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 พบวา นักเรียนที่ไดรับการสอนโดยใช บทบาทสมมติมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงกวานักเรียนที่ไดรับ การสอนแบบปกติ ป 2532 ธิดารัตน ศรีสวัสดิ์ ไดศึกษาผลการใช บทบาทสมมติที่มีตอเหตุผลเชิงจริยธรรมดานความสามัคคี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 พบวา นักเรียนที่เรียนโดย วิ ธี แ สดงบทบาทสมมติ มี เ หตุ ผ ลเชิ ง จริ ย ธรรมด า นความ สามัคคีสูงกวานักเรียนที่เรียนตามปกติ ป 2536 บุ ญ ตา ยิ้ ม นอ ย ได ศึ ก ษาผลการใช บทบาทสมมติ ที่ มี ต อ ความนิ ย มไทยของนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 6 พบว า นั ก เรี ย นที่ ไ ด รั บ การใช บ ทบาท สมมติมีความนิยมไทยสูงขึ้นกวานักเรียนที่ไดรับการสอนแบบ ปกติ ป 2537 รุ ง รั ต น ไกรทอง ได ศึ ก ษาผลการใช บทบาทสมมติ ที่ มีต อ การใช เ หตุ ผ ลเชิง จริ ย ธรรมด า นความ เอื้อเฟอของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 พบวา บทบาท สมมติทําใหนักเรียนมีการใชเหตุผลเชิงจริยธรรมดานความ เอื้อเฟอสูงขึ้น ป 2541 พจนันท ไวทยานนท ไดศึกษาผลการใช บทบาทสมมติ ที่ มี ต อ ความคิ ด สร า งสรรค ข องนั ก เรี ย นชั้ น ประถมศึกษาปที่ 6 พบวานักเรียนที่ไดรับการใชบทบาทสมมติ มี ค วามคิ ด สร า งสรรค ม ากกว า นั ก เรี ย นที่ ไ มไม ไ ด รั บ การใช บทบาทสมมติ
ป 2542 วิไล พังสะอาด ไดทําการศึกษา เปรี ย บเที ย บผลของการใช แ ม แ บบกั บ การใช บ ทบาท สมมติที่มีตอพฤติกรรมการกลาแสดงออกของนักเรียนชั้น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 2 พบว า นั ก เรี ย นมี พ ฤติ ก รรมกล า แสดงออกมากขึ้นหลังจากไดรับการใชบทบาทสมมติ สํ า หรั บ การนํ า บทบาทสมมติ ม าใช ใ นการ เรี ย นการสอนในต า งประเทศ ส ว นใหญ มุ ง ไปเพื่ อ การศึกษาพฤติกรรมและทัศนคติในตัวผูเรียน ดังตัวอยาง บางสวน ดังนี้ ป 1976 ชูดท (Shoudt) ไดใชบทบาทสมมติ ในการฝกทักษะปฏิสัมพันธทางสังคมเพื่อเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของนักเรียนอนุบาล พบวานักเรียนที่ไดรับการ ฝกโดยใชบทบาทสมมติมีนิสัยเอื้อเฟอมากขึ้นกวากลุมที่ ไมไดรับการฝก และในปเดียวกันนี้ เลเซอร (Layser) ได ศึกษาโดยใชการแสดงบทบาทสมมติกับนักเรียนที่สังคม มิติตํ่าในโรงเรียนประถมศึกษา 2 แหง พบวาการแสดง บทบาทสมมติในการเรียนการสอนสามารถชวยเด็กที่มี สังคมมิติต่ํา ป 1977 โคโนเลย (Coloney) ไดศึกษาผล ของการใช บ ทบาทสมมติ ใ นการเรี ย นการสอนระดั บ ประถมศึ ก ษา พบว า การนํ า บทบาทสมมติ ม าเป น องค ป ระกอบในการเรี ย นการสอน มี ผ ลต อ การ เปลี่ ย นแปลงพฤติ ก รรมของนั ก เรี ย น ทํ า ให นั ก เรี ย นมี สังคมมิติที่ดีขึ้น และเปลี่ยนแปลงจากการยึดตนเองเปน ศูนยกลางมากขึ้น ป 1978 วากเนอร (Wanger) ไดทดลองใช การแสดงบทบาทสมมติ โดยให นั ก เรี ย นอายุ 8-9 ป แสดงบทบาทสมมติเปนชาวอินเดียแดงที่ถูกรุกรานแยงที่ อยูอาศัย พบวานักเรียนเกิดความรูสึกสงสารและเห็นใจ ชาวอินเดียนแดงมากขึ้น จะเห็น ไดว า จากงานศึ กษาวิจั ย ดว ยการใช บทบาทสมมติในการเรียนการสอนที่ผานมาแลวบางสวน ทั้งหมดขางตน แสดงใหเห็นถึงศักยภาพหรือคุณสมบัติ ดานดีของกิจกรรมการเรียนการสอนแบบแสดงบทบาท สมมติที่สามารถนํามาใชใหเปนประโยชนตอการเรียนการ สอน เพื่อการบรรลุวัตถุประสงคของการสอนที่คาดหวัง
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ได ต อ ไป ทั้ ง ยั ง ช ว ยสร า งบรรยากาศการเรี ย นการสอนที่ น า สนใจ น า ติ ด ตามได อี ก ด ว ยโดยเฉพาะการปรั บ เปลี่ ย น พฤติ ก รรมและสรรสร า งเจตคติ ใ นตั ว ผู เ รี ย นไปในทิ ศ ทางที่ เหมาะสมหรืออยางที่ควรจะเปน ซึ่งใชไดกับการเรียนการสอน ในอี ก หลายสาขาวิ ช าไม เ ฉพาะแตใ นกลุม วิ ช าสั ง คมศึ ก ษา เทานั้น อยางไรก็ตาม การนําวิธีการแสดงบทบาทสมมติมา ใชในการเรียนการสอน ครูผูสอนควรมีขอควรคํานึงถึง อาทิ ครูผูสอนควรใหคําแนะนํา ดูแลการจัดเตรียมสถานที่ การ จัด สรรเวลาในการทํ า กิจ กรรมบทบาทสมมติข องผู เรีย นให เหมาะสม อย า ใช เ วลาเกิ น กํ า หนด หากจั ด กิ จ กรรมนี้ ใ น หองเรียนครูควรดูแลความเปนระเบียบเรียบรอยภายหลังเสร็จ สิ้นกิจกรรม เพื่อมิใหสงผลกระทบตอวิชาอื่น ๆ ในคาบเรียน ตอไป ครูควรสังเกตพฤติกรรมบทบาทสมมติของผูเรียนแตละ คนในระหวางปฏิ บัติกิจกรรมไมวาจะเปนพฤติกรรมการแสดง พฤติ ก รรมการเป น ผู สั ง เกตการณ การแสดงความคิ ด เห็ น และการทํ า ใบงาน เพื่ อ ใชเ ปน แนวทางในการสง เสริมหรื อ แก ไขพฤติกรรมที่ควรปรับปรุงในตัว ผูเรี ยน หรือใหผูเรียนมี พฤติกรรมตามจุดประสงคที่ตองการปลูกฝง ซึ่งครูอาจกระตุน ดว ยการใหก ารเสริม แรงในลัก ษณะตา ง ๆ และควรให ผูเรียนทุกคนไดมีสวนรวมในกิจกรรมนี้อยางทั่วถึงใหมากที่สุด
33
บทสรุป ยังมีวิธีสอนหรือวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ มีมาแตเดิมและเปนที่รูจักกันดีมากมายที่ควรไดรับการใส ใจโดยไมถูกละเลยหรือมองขาม โดยควรตองเล็งเห็นถึง ความสํ า คั ญ และถู ก นํ า มาใช ใ นการเรี ย นการสอนกั บ เนื้อหาวิชาในกลุมสาระการเรียนรูตาง ๆ ใหมากขึ้นโดย ผสมผสานกั บ เทคโนโลยี ส ารสนเทศที่ ทั น สมั ย ใหม ใ น ป จ จุ บั น เพื่ อ ให ทั้ ง ผู ส อนและผู เ รี ย นบรรลุ วั ต ถุ ป ระสงค ทางการเรี ย นการสอนที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพได ต อ ไป กรณีศึกษาการใชบทบาทสมมติในกลุมวิชาสังคมศึกษานี้ จะเปนตัวอยางที่ชวยสะทอนตัวผูเรียน และชวยใหผูสอน ตลอดจนผูอานที่สนใจมีความเชื่อมั่นในคุณคาของการ จัดการเรียนการสอนแบบนี้ห รือ กับ รูปแบบการสอนอื่น มากยิ่งขึ้นโดยที่ไมคิดวาตัวเราลาสมัยหรือไมมีวิธีแปลก ใหมแตอยางไรในทามกลางกระแสความนิยมเทคโนโลยี ทางการศึกษาแบบใหม ๆ ในปจจุบัน
34
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 บรรณานุกรม
คณะกรรมการปฏิรูปการเรียนรู. (2544). การสังเคราะหงานวิจยั เกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนรูที่ เนนผูเ รียนเปนสําคัญ. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. ดุษฎี ทรัพยปรุง. (2529). ผลการใชบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาความรับผิดชอบตอหนาที่การงานของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1โรงเรียนวัดรางบัว กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. อัดสําเนา. ทิศนา แขมมณี. (2546). รูปแบบการเรียนการสอน ทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ: ดานสุทธาการพิมพ. ____________. (2546). 14 วิธีสอน สําหรับครูมืออาชีพ กรุงเทพฯ: สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ธนะวรรณ สังขทอง. (2539). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพระพุทธศาสนาเรื่องอริยสัจ 4 และ ฆารวาสธรรม 4 ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที่ 5 ที่สอนโดยใชบทบาทสมมติ. ปริญญานิพนธ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ธิดารัตน ศรีสวัสดิ์. (2532). ผลของบทบาทสมมติที่มีตอเหตุผลเชิงจริยธรรมดานความสามัคคีของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนนารีนุกูล จังหวัดอุบลราชธานี. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. อัดสําเนา. บุญตา ยิ้มนอย. (2536). ผลของการใชบทบาทสมมติที่มีตอความนิยมไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 6 โรงเรียนคายธนะรัชต อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. บุญชม ศรีสะอาด. (2546). การวิจัยสําหรับครู. กรุงเทพฯ : สุวิริยสาสน. พจนันท ไวทยานนท. (2541). ผลของการใชบทบาทสมมติที่มีตอความคิดสรางสรรคของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 6 โรงเรียนวัดสุวรรณารัญญิกาวาส จังหวัดชลบุรี. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. พรรณทิพย พื้นทอง. (2534). การเปรียบเทียบการใชบทบาทสมมติแบบมีบทและไมมีบทที่มีตอวินัย ในตนเองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี 2534. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. อัดสําเนา. พรรณสวาง สุวรรณรงค. (2528). การศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรูด านจริยศึกษาของนักเรียน ในระดับประถมศึกษาโดยใชสไลดเทปกับการแสดงบทบาทสมมติ. ปริญญานิพนธ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. เยาวพา เตชะคุปต. (2528). กิจกรรมสําหรับเด็กกอนวัยเรียน. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร. รุงรัตน ไกรทอง. (2537). ผลของการใชบทบาทสมมติที่มีตอการใหเหตุผลเชิงจริยธรรมดานความเอื้อเฟอของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 6 โรงเรียนวัดชองนนทรี กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ศรัทธา เที่ยงเจริญ. (2541). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาจริยศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปที่ 4 โดยวิธีสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 วิไล พังสะอาด. (2542). การเปรียบเทียบผลของการใชบทบาทสมมติและการใชแมแบบที่มีตอพฤติกรรม กลาแสดงออกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 โรงเรียนวัดตะเคียนวิทยาคม อําเภอกบินทรบุรี จังหวัดปราจีนบุรี. ปริญญานิพนธ กศ. ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ ประสานมิตร. สุจิตรา บัวคําภา. (2525). การศึกษาผลการสอนจริยศึกษาดวยการใชและไมใชการแสดงบทบาทสมมติ ในระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 6. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. อัดสําเนา. สุวรรณ ตรีขัน. (2530). ผลของการใชบทบาทสมมติที่มีตอแรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนมุกดาหาร. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. อัดสําเนา. อัจฉรา เนตรลอมวงศ. (2531). ผลของการใชบทบาทสมมติที่มีตอความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนนนทรีวิทยา กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร อัดสําเนา. อาภรณ ใจเที่ยง. (2546). หลักการสอน (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ: โอ เอส. พริ้นติ้ง เฮาส. Conoley. (1977, February). “ The Effects of Interdependent Learning Task and Role Play on Sociometric Patterns, Work Norn Measures and Behavior in the Elementary Classroom”, Dissertation Internation. 37 : 4977 – A. Rubin , K.H. , Fein, G.G. and Vandenberg, B. (1983). Hand book of Child Psychology (Volume IV). New York : John Wiley. Shaftel , F & Shaftel G. (1967). Role playing for social values : Decision making in the social studies. Englewood Cliffs , N. J. : Prentice – Hall. Soudt John Thomas. (1976, November). “The Effect of Role – Taking Skills on The Effcacy of Role Playing Training With Kindergarten Children”, Dissertation Abstracts International. 37 : 2754 – A. Tayler , John L. and Rex Walford. (1974). Simulation in the Classroom. Middlesex, Marmonsworth : Pengnin. Wagner, Betty Jone. (1978, March). “ The Use of Role”, Resources in Education. (REIC). 13 : 56.
35
36
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ความพึง พอใจตอ การใชบ ทเรีย นคอมพิว เตอร ชวยสอน ประกอบการเรียนวิชาคณิตศาสตรพื้นฐาน THE SATISFACTION IN USING CAI FOR STUDYING BASIC MATHEMATICS SUBJECT ผูชวยศาสตราจารย ดร. อังสนา จั่นแดง 1 ผูชวยศาสตราจารย คเณศวร วรรณโชติ 2 บทคัดยอ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนและความพึงพอใจตอการใชบทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอน วิชาคณิตศาสตรพื้นฐาน(แคลคูลัส 2) เรื่อง ฟงกชันหลายตัว แปร อนุพันธยอย และการประยุกต กลุมตัวอยาง คือ นักศึกษา ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาแคลคูลัส 2 ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2547 ของมหาวิ ท ยาลั ย เทคโนโลยี พ ระจอมเกล า ธนบุ รี จํานวน 159 คน ไดจากการสุมอยางงาย จากการประเมิ น วั ด ผลสั ม ฤทธิ ์ ท างการเรี ย นและการตอบแบบสอบถาม ความพึงพอใจตอการใชบทเรียน พบวา นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ย นก อ นเรี ย นและหลั ง เรี ย นแตกต า งกั น อย า งมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักศึกษามีความพึงพอใจตอ การใชบทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอนประกอบการเรียนอยูใน ระดับดี แตระดับความพึงพอใจตอการใชบทเรียนมี สหสัมพันธทางลบกับผลสัมฤทธิ์หลังเรียน อยางมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ .05
คําสําคัญ คอมพิวเตอรชวยสอน , คณิตศาสตรพื้นฐาน , ความพึงพอใจ
อาจารยประจําภาควิชาคณิตศาสตร คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาธนบุรี 2 อาจารยประจําภาควิชาฟสิกส คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาธนบุรี
1
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 Abstract The objective of this research is to study the learning achievement and the satisfaction of the Computer-Aid –Instruction (CAI) in basic-mathematics lessons (Calculus-II) about functions of several variables, partial derivatives and its applications. Sample group used is the students who registered the Calculus-II in the second semester of the academic year 2004 at King Mongkut’s University of Technology Thonburi. One hundred and fifty-nine students were collected by simple random sampling. From evaluating the learning achievement and the questionnaire answering about the satisfaction of the lessons, it was found that the learning achievement of the students in studying from doing pre-test and post-test are different with the statistical significant .05. The satisfaction to the lessons was in good rank. But there was significantly negative correlation between the satisfaction in using CAI for studying and the afterclass learning achievement with the statistical significant .05. ความเปนมาของปญหาการวิจัย ในปจจุบันความกาวหนาของเทคโนโลยีสารสนเทศ มีสวนชวยทําใหเกิดการพัฒนาการเรียนรูวิทยาการตางๆ คือ ใชเปนแหลงสะสม รวบรวมและเผยแพรความรูทางวิชาการ ใหกับผูที่สนใจแสวงหาความรู สามารถเรียนรูเพิ่มเติมดวย ตนเองได อ ย า งต อ เนื่ อ งและเต็ ม ตามศั ก ยภาพแห ง ตน คณิตศาสตรเปนศาสตรสาขาหนึ่งที่มีความสําคัญและจําเปน อย า งยิ่ ง ในการศึ ก ษาทุ ก ระดั บ ชั้ น แต ก ารเรี ย นการสอน คณิตศาสตรในปจจุบันยังประสพปญหาอยูหลายประการ ตั ว อย า งเช น การจั ด กลุ ม เรี ย นเป น กลุ ม ขนาดใหญ ทํ า ให นักศึกษาตองประสพปญหาจากสภาพแวดลอมของการเรียน ผูเรียนขาดการสื่อสารโตตอบกับผูสอน ผูเรียนไมอาจติดตาม การเรียนไดอยางตอเนื่อง ดังนั้นจึงจําเปนตองมีการพัฒนา ระบบการเรี ย นการสอนให ดี ขึ้ น มี ง านวิ จั ย จํ า นวนมากที่ ศึก ษาหาแนวทางเพื่ อ นํ า ไปใช ช ว ยให ก ารเรี ย นการสอนมี
37
ประสิทธิภาพมากขึ้นกลาววาการใชบทเรียนคอมพิวเตอรชวย สอนเปนแนวทางหนึ่งที่ชวยแกปญหานี้ได เพราะบทเรียน คอมพิ ว เตอร ช ว ยสอนทํ า ให นั ก ศึ ก ษามี โ อกาสได ท บทวน เพิ่มเติมนอกเวลาเรียนปกติดวยตัวเอง นอกจากนี้บทเรียน คอมพิวเตอรชวยสอนมีทั้งขอความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงและยังมีปฏิสัมพันธกับผูเรียนได จึงเปนสิ่งที่สามารถ พัฒนากระบวนการคิดของผูเรียนควบคูไปไดดวย ปจจุบันทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา ธนบุรี ไดมีการสนับสนุนใหหลายหนวยงานจัดทําสื่อการเรียน การสอนขึ้น มา ดังเชน ศูนยวิท ยบริการ สถาบัน การเรียนรู แห ง มหาวิ ท ยาลั ย เทคโนโลยี พ ระจอมเกล า ธนบุ รี ไ ด ดําเนินการผลิตสื่อคอมพิวเตอรชวยสอนรูปแบบตางออกมา เป น จํ า นวนมากดั ง นั้ น เพื่ อ ให มี ก ารพั ฒ นาการผลิ ต สื่ อ คอมพิ ว เตอร ช ว ยสอนดํ า เนิ น ไปในแนวทางที่ ดี ยิ่ ง ขึ้ น คณะผูวิจัยจึงมีความสนใจที่จะจัดทําการวิจัยวิเคราะหขอมูล เพื่ อ ทราบถึ ง ความพึ ง พอใจของนั ก ศึ ก ษาในมหาวิ ท ยาลั ย เทคโนโลยี พ ระจอมเกล า ธนบุ รี ที่ มี ต อ การใช บ ทเรี ย น คอมพิวเตอรชวยสอนดังกลาววามีประโยชนตอผูเรียนหรือไม อยางไร วัตถุประสงคของการวิจัย 1. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาแคลคูลัส 2 เรื่อง ฟงกชันหลายตัวแปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน 2. ศึ ก ษาความพึ ง พอใจต อ การใช บ ทเรี ย น คอมพิวเตอรชวยสอนวิชาแคลคูลัส 2 เรื่อง ฟงกชันหลายตัว แปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน ขอบเขตของการวิจัย -ประชากร คือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชา แคลคูลัส 2 ในภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2547 ของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาธนบุรี -กลุมตัวอยาง คือ นักศึกษา จํานวน 159 คน ที่ไดมาจากการสุมอยางงาย จากนักศึกษาประมาณ 500 คน ที่เรียนในหองเรียนใหญ โดยมีผูวิจัยเปนผูสอน -ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรตน ( ตัวแปรอิสระ ) ไดแก - เพศ
38
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
- สื่อบทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอนวิชา แคลคูลัส 2 เรื่อง ฟงกชันหลายตัวแปร อนุพันธยอย และ การประยุกตเบื้องตน แบงเปน 2 ประเภท ไดแก บทเรียน และเฉลยขอสอบ ตัวแปรตาม ไดแก - ระดับความพึงพอใจตอการใชบทเรียน คอมพิวเตอรชวยสอน วิชาแคลคูลัส 2 เรื่อง ฟงกชันหลาย ตัวแปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาแคลคูลัส 2 เรื่อง ฟ ง ก ชั น ห ล า ย ตั ว แ ป ร อ นุ พั น ธ ย อ ย แ ล ะ ก า ร ประยุกตเบื้องตน สมมติฐาน 1. นั ก ศึ ก ษามี ผ ลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย น วิ ช า แคลคูลัส 2 เรื่อง ฟงกชันหลายตัวแปร อนุพันธยอยและ การประยุก ตเบื้อ งตน หลั ง เรีย นสูง กวา ก อ นเรี ยน อยา งมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2. นั ก ศึ ก ษาเพศชายและเพศหญิ ง มี ผลสั มฤทธิ์ ทางการเรี ยนวิ ชาแคลคู ลั ส 2 เรื่ อง ฟ ง ก ชั น หลายตั ว แปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน หลังเรียนอยูในระดับ เดียวกัน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. นักศึกษามีความพึงพอใจตอการใชบทเรียน คอมพิวเตอรชวยสอนวิชาแคลคูลัส 2 เรื่อง ฟงกชันหลายตัว แปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน อยูในระดับดี การเก็บรวบรวมขอมูล ในการเก็บรวบรวมขอมูล เพื่อใหการเก็บรวบรวม ขอ มู ล เป น ไปอย า งถูก ต อ ง ผูวิ จั ย ไดทํ า การเก็ บ รวบรวม ขอมูลดวยตนเอง โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. ผูวิจัยเก็บรวบรวมขอ มูลดว ยแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาแคลคูลัส 2 เรื่อง ฟงกชันหลาย ตัวแปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน มีลักษณะ
เปนแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จํานวน 33 ขอ ผูวิจัยใหกลุม ตัวอยางทําแบบทดสอบกอนเรียน แลวมอบหมายงานใหไป ศึ ก ษ า เ นื้ อ ห า จ า ก บ ท เ รี ย น ค อ ม พิ ว เ ต อ ร ช ว ย ส อ น ประกอบดวย บทเรียนและเฉลยขอสอบ ซึ่งนักศึกษาสามารถ เลื อ กใช ศึ ก ษาเองได โดยมี ศู น ย วิ ท ยบริ ก ารเป น เครื อ ข า ย กําหนดระยะเวลา 1 สัปดาห แลวใหทําแบบทดสอบหลังเรียน จากนั้นผูวิจัยนํากระดาษคําตอบจากการทดสอบดังกลาวมา ตรวจใหคะแนนแลวทําการบันทึกผล เพื่อนําผลคะแนนไป วิเคราะหตอไป 2. ขอมูลจากการทําแบบสอบถามความพึงพอใจ ตอการใชบทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอนประกอบการเรียน วิชาแคลคูลัส 2 เรื่อง ฟง กชันหลายตัวแปร อนุ พันธยอ ย และการประยุกตเบื้องตน ประกอบดวย ดานรูปแบบการ นําเสนอและดานเทคนิคทางโปรแกรม มีลักษณะเปนแบบ มาตรวัดประเมินคา 5 ระดับ จํานวน 19 ขอ โดยทําการ เก็บรวบรวมขอมูลหลังจากที่มีการทําแบบทดสอบหลังเรียน เสร็จสิ้น จากนั้นผูวิจัยนําชุดแบบสอบถามมาบันทึกผล เพื่อ นํามาวิเคราะหตอไป สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล คาสถิติพื้นฐาน ประกอบดวย คาเฉลี่ย คาสวน เบี่ยงเบนมาตรฐาน คาเฉลี่ยรอยละ การวิเคราะหหาคา ความเชื่ อ มั่ น ของแบบทดสอบใช สู ต รคู เ ดอร ริ ช าร ด สั น 20 (KR-20) การวิเคราะหหาคาความเชื่อมั่น(Reliability) โดยใช สั ม ประสิ ท ธิ์ อั ล ฟาของครอนบาค(Cronbrach’s Alpha coefficient) แบบสอบถามที่ ดี ค วรมี ค า ความเชื่ อ มั่ น อยู ใ น เกณฑระหวาง 0.80-1.00 การวิเคราะหหาคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธแบบเพียร สัน (Pearson product-moment correlation) ควรมีคาอยู ระหวาง -1.00-1.00
39
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ขอมูลทั่วไปที่ใชในการวิจัย รายการ
จํานวน(คน)
รอยละ
ชาย
97
61.00
หญิง
62
39.00
รวม
159
100
17
3
1.89
18
68
42.76
19
83
52.20
20
3
1.89
22
2
1.26
รวม
159
100
เฉลยขอสอบ
48
30.19
บทเรียน
71
44.65
เฉลยขอสอบและบทเรียน
40
25.16
รวม
159
100
ตัวแปร เพศ
อายุ
สื่อการเรียนที่ตองการดู
นักศึกษาที่เปนกลุมตัวอยางโดยสวนมากเปนเพศชาย จํานวน 97 คน คิดเปนรอยละ 61.00 และอายุ 19 ป และสื่อการเรียนที่ตองการดูมากที่สุด คือ บทเรียน คิดเปนรอยละ 44.65 ผลการวิจัย 1. แสดงคาเฉลี่ย คาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคาทีของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
X
S.D.
กอนการเรียน
6.52
3.30
หลังการเรียน
22.39
2.42
นั ก ศึ ก ษามี ค ะแนนเฉลี่ ย ของผลสั ม ฤทธิ์ ท างการ เรียนกอนเรียน วิชาแคลคูลัส 2 เรื่อง ฟงกชันหลายตัวแปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน อยูในระดับต่ํามาก คือ มีความรูไมผานเกณฑ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน อยูในระดับปานกลาง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
t -44.192
หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งสอดคลองกับสมมติฐานขอ 1 ที่ไดตั้งไว แสดงให เห็ น ถึ ง ประสิ ท ธิ ภ าพของบทเรี ย นคอมพิ ว เตอร ช ว ยสอนที่ ผูวิจัยสรางขึ้น หมายเหตุ คะแนนเต็ ม ของแบบทดสอบวั ด ผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนเทากับ 33 คะแนน
40
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
2. แสดงจํ า นวน(คน) ค า เฉลี่ย ส ว นเบี่ ย งเบนมาตรฐาน คา ทีข องผลสั ม ฤทธิ์ห ลั ง เรี ยนวิช าแคลคู ลั ส 2 เรื่ อ ง ฟงกชันหลายตัวแปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน ระหวางเพศ เพศ
N
X
S.D.
ชาย
97
22.14
2.50
หญิง
62
22.79
2.27
นักศึกษาเพศชาย จํานวน 97 คน และนักศึกษา เพศหญิง จํานวน 62 คน มีคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียน อยูในระดับปานกลาง คือ มีความรู ปานกลาง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของเพศชาย และเพศหญิ ง ไม แ ตกต า งกั น อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ระดับ 0.05 ซึ่งสอดคลองกับสมมติฐานขอ 1
t -1.646
หมายเหตุ ผูวิจัยกําหนดระดับคะแนนความรูของ นักศึกษา ดังนี้ แนน ระดับความรู 26.00 - 33 ดีมาก 23.00 - 25.99 ดี 20.00 - 22.99 ปานกลาง 17.00 - 19.99 ผานเกณฑ 0 - 16.99 ไมผานเกณฑ
3. แสดงคาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความพึงพอใจของแบบสอบถามความพึงพอใจตอการใชบทเรียน คอมพิวเตอรชวยสอนวิชาแคลคูลัส 2 เรื่อง ฟงกชันหลายตัวแปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน เปนรายขอ
X
ระดับความพึง พอใจ
ทานคิดวาสื่อการเรียนการสอนมีความจําเปนตอผูเรียน
4.12
ดี
กอนใชสื่อทานมีความรู ความเขาใจในบทเรียน
3.47
ดี
การจัดลําดับความสัมพันธของเนื้อหาของสื่อมีความเหมาะสม
3.43
ดี
เนื้อหาสาระของสื่อมีความชัดเจนและเหมาะสม
3.39
ปานกลาง
ทานคิดวาสื่อแสดงความยากงายของเนื้อหาเหมาะสม
3.29
ปานกลาง
สื่อไดกระตุนใหทานมีความเขาใจในการเรียนรู
3.26
ปานกลาง
สื่อเสริมสรางความเขาใจใหกับทาน
3.36
ปานกลาง
ความรูที่ทานไดรับจากการใชสื่อสามารถนําไปใชประโยชนในการศึกษา
3.40
ปานกลาง
ทานสามารถเรียนรูจากสื่อไดดวยตนเอง
3.34
ปานกลาง
สื่อกระตุนใหทานตองการศึกษาคนควาเพิ่มเติม
3.43
ดี
หลังใชสื่อทานมีความรู ความเขาใจในบทเรียนเพิ่มขึ้น
3.52
ดี
ขอคําถาม ดานรูปแบบการนําเสนอ
ดานเทคนิคทางโปรแกรม
41
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 รูปแบบการจัดวางรูปและขอความมีความเหมาะสม
3.50
ดี
รูปภาพที่ใชประกอบมีความเหมาะสม
3.53
ดี
การโตตอบแบบเติมคํา(Text Entry) ของการใชสื่อมีความเหมาะสม
3.41
ดี
การโตตอบแบบการนําเมาสไปวาง(Cursor in Area)ของการใชสื่อมีความเหมาะสม การโตตอบแบบการลากขอความมาเติมในชอง(Drag Drop) ของ การใชสื่อมีความเหมาะสม การโตตอบแบบคลิกขอความ (Hotspot) ของการใชสื่อมีความเหมาะสม
3.42
ดี
3.44
ดี
3.54
ดี
3.50
ดี
3.32
ปานกลาง
3.46
ดี
รูปแบบของสีที่ใชรวมกับสื่อมีความเหมาะสม เสียงที่ใชประกอบสื่อมีความเหมาะสมกับบทเรียนนั้น ๆ รวม นั กศึ กษามี ระดั บความพึ งพอใจต อการใช บทเรี ยน คอมพิ วเตอรชวยสอนประกอบการเรียนวิ ชาแคลคูลั ส 2 เรื่อง ฟงกชันหลายตัวแปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน โดยเฉลี่ยอยูในระดับ “ดี” ซึ่งสอดคลองกับสมมติฐานขอ 3 ที่ไดตั้งไว เมื่อพิจารณาดานรูปแบบการนําเสนอ พบวาสื่อ การเรียนการสอนมีความจําเปนตอผูเรียนและหลังการใชสื่อ ทําใหนักศึกษามีความเขาใจในบทเรียนมากขึ้นอยูในระดับ “ดี” เพราะมีสวนชวยกระตุนใหเกิดการเรียนรูและแสดงให เห็นถึงความยากงายของเนื้อหาไดอยางเหมาะสม สําหรับ ดานเทคนิคทางโปรแกรม นักศึกษามีความพึงพอใจตอการ โตตอบแบบคลิกขอความ (Hotspot) และรูปภาพที่ใช ประกอบอยูในระดับ “ดี”
หมายเหตุ เกณฑตัดสินคาระดับความพึงพอใจ ไดใชเกณฑ ที่ ศิริชัย (2544) กําหนดไว ดังนี้ พิจารณาจากคาคะแนน ซึ่งมีผลตางของคะแนน เทากับ 4 และ แบงผลตางของคะแนนนี้ออกเปน 5 ชวงเทา ๆ กัน แตละชวงมีความกวางเทากับ 0.8 1.00-1.80 หมายถึง ควรปรับปรุง, ระดับความพึง พอใจนอยมาก 1.81-2.60 หมายถึง นอย, ระดับความพึงพอใจนอย 2.61-3.40 หมายถึง พอใช, ระดับความพึงพอใจ ปานกลาง 3.41-4.20 หมายถึง ดี, ระดับความพึงพอใจดี 4.21 - 5.00 หมายถึง ดีมาก, ระดับความพึงพอใจดีมาก
4. แสดงจํานวน(คน) คาเฉลี่ย ระดับความพึงพอใจของแบบสอบถามความพึงพอใจตอการใชบทเรียน คอมพิวเตอร ชวยสอนวิชาแคลคูลัส 2 เรื่อง ฟงกชันหลายตัวแปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน โดยจําแนกตามเพศ ระดับความพึง S.D. t เพศ N X พอใจ
ชาย หญิง
97 62
3.51 3.37
0.51 0.49
ดี
1.816
ปานกลาง
นักศึกษาเพศชาย จํานวน 97 คน มีระดับความพึงพอใจตอการใชบทเรียน อยูในระดับ “ดี” แตนักศึกษาหญิง จํานวน 62 คน มีระดับความพึงพอใจตอการใชบทเรียน อยูในระดับ “ปานกลาง”
42
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
5. แสดงความสัมพันธระหวางระดับความพึงพอใจและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน ดวยคาสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ (correlation coefficient) ของ Pearson
ตัวแปร ระดับความพึงพอใจ ผลสัมฤทธิ์หลังเรียน
ระดับความพึงพอใจ 1.00
นักศึกษามีระดับความพึงพอใจตอการใชบทเรียน คอมพิ ว เตอร ช ว ยสอนประกอบการเรี ย นวิ ช าแคลคู ลั ส 2 เรื่อง ฟง กชันหลายตัวแปร อนุพั น ธย อยและการประยุกต เบื้องตน มีสหสัมพันธทางลบกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน และมีขนาดความสัมพันธ -0.183 ซึ่งเปน ความสัมพันธในระดับต่ํา สรุปผลการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการทํา แบบทดสอบก อ นเรี ย นและหลั ง เรี ย นแตกต า งกั น อย า งมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักศึกษามีความพึงพอใจตอการใชบทเรียน คอมพิ ว เตอร ช ว ยสอนประกอบการเรี ย นวิ ช าแคลคู ลั ส 2 เรื่อง ฟง กชันหลายตัวแปร อนุพัน ธยอยและการประยุกต เบื้องตน โดยเฉลี่ยอยูในระดับดี 3. ระดับความพึงพอใจตอการใชบทเรียน คอมพิ ว เตอร ช ว ยสอนประกอบการเรี ย นวิ ช าแคลคู ลั ส 2 เรื่อง ฟง กชันหลายตั วแปร อนุพัน ธยอยและการประยุกต เบื้องตน มีสหสัมพันธทางลบกับผลสัมฤทธิ์หลังเรียน อภิปรายผล 1. จากผลการวิจัยพบวา นักศึกษาที่เปนกลุม ตั ว อย า งโดยส ว นมากเป น เพศชาย และสื่ อ การเรี ย นรู ที่ ตองการดูมากที่สุด คือ สื่อประเภท ”บทเรียน” นักศึกษามี ความพึ ง พอใจต อ การใช บ ทเรี ย นคอมพิ ว เตอร ช ว ยสอน ประกอบการเรียนวิชาแคลคูลัส 2 เรื่อง ฟงกชันหลายตัว แปร อนุพันธยอยและการประยุกตเบื้องตน โดยเฉลี่ยอยูใน ระดับ “ดี” ผลสัม ฤทธิ์ข องการเรีย นจากการทํา
ผลสัมฤทธิ์หลังเรียน -.183* 1.00
แบบทดสอบหลังเรียนสูงกวาการทําการทดสอบกอนเรียน แสดงใหเห็นวาบทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอนมีสวนชวยสอน และมีสวนชวยพัฒนาการเรียนรูทําใหผูเรียนไดรับองคความรู จริง ถึงแมวาจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน อยูใน ระดับปานกลาง ทั้งนี้อาจเปนเพราะ นักศึกษามีเวลาจํากัด และขอสอบที่ใชสวนใหญมีคาความยากงายอยูในระดับปาน กลางถึงคอนขางยาก ประกอบกับ เนื้อหาที่นักศึกษาไดรับ มอบหมายครั้งนี้ยังไมมีการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน ชวงครึ่งแรกของเทอม นักศึกษาตองใชเวลานอกเหนือจาก เวลาในชั้นเรียนไปศึกษาคนควาเพิ่มเติม เมื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนของนักศึกษาระหวางเพศ พบวา นักศึกษาชายและนักศึกษาหญิงมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนไมแตกตางกัน แสดงวา ความสามารถทาง วิชาการของนักศึกษาชายและหญิงใกลเคียงกัน และเปนที่ นา สัง เกตวา สื่ อ การเรีย นไมม ีผ ลกระทบตอ ผลสัม ฤทธิ์ ทางการเรียน 2. ในด า นรู ป แบบการนํ า เสนอ นั ก ศึ ก ษาให ความเห็นวา สื่อการเรียนการสอนมีความจําเปนตอนักศึกษา มากที่สุด ทั้งนี้อาจเปนเพราะ มีสวนชวยกระตุนใหเกิดการ เรียนรู สามารถเรียนรูจากสื่อไดดวยตนเอง ทําใหมีความรู ความเข า ใจในบทเรีย นเพิ่ ม ขึ้ น เนื่ อ งจาก การจั ด ลํ า ดั บ ความสัมพันธของเนื้อหา มีความชัดเจนและสามารถแสดง ความยากงายของเนื้อหาได อีกทั้งยังมีสวนชวยกระตุนให ตอ งการศึก ษาค นควา เพิ่ม เติม และความรู ที่ไ ด รับ สามารถ นําไปใชประโยชนในการศึกษา
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ระดับสูงตอไปได ดานเทคนิคทางโปรแกรม พบวา นักศึกษามีความพึงพอใจตอรูปแบบการจัดวางของขอความ การใช สี รู ป ภาพและเสี ย งที่ ใ ช ป ระกอบ อยู ใ นระดั บ “ดี ” การโตตอบแบบเติมคํา(Text Entry) แบบการนําเมาสไป วาง(Cursor in Area) แบบการลากขอความมาเติมในชอง (Drag Drop) แบบคลิกขอความ (Hotspot) เปนการสราง ปฏิสัมพันธระหวางบทเรียนกับผูเรียนไดเปนอยางดี 3. จากผลการวิจัยพบวา ระดับความพึงพอใจตอ การใช บทเรี ยนมี สหสัมพันธทางลบกับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียน ซึ่งเปนความสัมพันธในระดับต่ํา แสดงให เห็นวา นักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนอยูใน ระดับ “ดี” อาจจะมีความพึงพอใจตอการใชบทเรียน อยูใน ระดับ “ปานกลาง” ทั้งนี้อาจเปนเพราะ มีสภาพแวดลอมที่
43
ไมสะดวกตอการใชสื่อ กลาวคือ การศึกษาบทเรียนครั้งนี้ จะ มี ศู น ย วิ ท ยาบริ ก ารเป น เครื อ ข า ยเพื่ อ เก็ บ ข อ มู ล และให นักศึกษาเขาไปใชบริการ ศูนยวิทยาบริการมีขอจํากัดในดาน เวลาเปด-ปด ซึ่งไมสอดคลองกับเวลาที่นักศึกษาสามารถเขา ไปใชบริการได อีกทั้งการเปดดูบทเรียนจากทางอินเตอรเนตก็ ไมสะดวก เนื่อ งจากการถา ยโอนข อ มูลทางเว็บ ไซตลา ช า อาจสงผลตอระดับความพึงพอใจของนักศึกษา อยางไรก็ตาม นั ก ศึ ก ษายั ง ได รั บ ความรู แ ละเกิ ด การเรี ย นรู จ ากบทเรี ย น คอมพิวเตอรชวยสอนดังกลาว เพราะนักศึกษาไมเคยเรียน เนื้อหาที่ไดรับมอบหมายในชั้นเรียน จากความไมสะดวกใน การใชบทเรียนของนักศึกษาถือ เปนปญหาหนึ่งที่ศูนยวิท ย บริการจะสามารถปรับปรุง แกไขและพัฒนาใหดีขึ้นตอไป
บรรณานุกรม ศีริชัย กาญจนวาสี . 2544. ทฤษฎีการทดสอบแบบดั้งเดิม. กรุงเทพฯ. จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. อังสนา จั่นแดง , วิภาวรรณ สิงหพริ้ง. 2547. แคลคูลัส2. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาธนบุรี
44
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ระบบบําบัดน้ําเสียที่เหมาะสมในสถานศึกษา : แหลงเรียนรูดานสิ่งแวดลอมศึกษาสําหรับโรงเรียน ขยายโอกาส สังกัดกรุงเทพมหานคร THE APPROPRIATE WASTE WATER TREATMENT SYSTEM FOR SCHOOLS : AN ENVIRONMENTAL LEARNING RESOURCE FOR EXTENSION SECONDARY SCHOOLS IN BANGKOK ดร.สนอง ทองปาน บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้ มีความมุงหมายเพื่อศึกษาประสิทธิภาพ ของระบบบําบัดน้ําเสียที่เหมาะสมสําหรับโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดกรุงเทพมหานครตามคาพารามิเตอร 5 คา และเพื่อ ศึกษาประสิทธิภาพของบทปฏิบัติการเรื่องการบําบัดน้ําเสีย ในการศึกษาตามความมุงหมายดังกลาว ผูวิจัยไดสราง ระบบบํ า บั ด น้ํ า เสี ย ขึ้ น ในพื้ น ที่ ข องโรงอาหารในโรงเรี ย นวั ด ปุรณาวาส กรุงเทพมหานคร ระบบบําบัดฯ.ที่สรางขึ้นสามารถ บําบัดน้ําเสียไดวันละประมาณ 23.8 ลบ.ม. ผูวิจัยไดใชระบบ บําบัดฯ. ดังกลาวทดลองบําบัดน้ําเสียจากโรงอาหารโรงเรียนวัด ปุรณาวาส ในระหวาง วันที่ 5 กุมภาพันธุ 2550 ถึง วันที่ 3 มีนาคม 2550 ผลการศึกษาพบวา คุณภาพของน้ําที่ผานการบําบัดมี คาเฉลี่ยตามคาพารามิเตอรที่ศึกษาคือ คาพีเอช คาบีโอดี คาซี โอดี ปริมาณสารแขวนลอย และน้ํามันและไขมัน เทากับ 7.40, 12.45 mg/l, 72.63 mg/l, 25.75 mg/l และ 7.64 mg/l ตามลํ า ดั บ ค า ดั ง กล า วเป น ไปตามมาตรฐานที่ กํ า หนดโดย กระทรวงวิทยาศาสตรเทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม 2537
อาจารย ดร. สาขาวิชาการมัธยมศึกษา กลุมการสอนสิ่งแวดลอม คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ประสิทธิภาพของบทปฏิบัติการเรื่องการบําบัดน้ํา เสียมีคา IC เทากับ 0.70 ซึ่งมีคาสูงกวาเกณฑมาตรฐานที่ กําหนดไวที่ 0.50 คําสําคัญ : ระบบบําบัดน้ําเสียสําหรับสถานศึกษา ; ระบบบําบัดน้ําเสียสําหรับโรงอาหาร ; แหลงเรียนรูเรื่องการ บําบัดน้ําเสีย ABSTRACT This research was attempted to study wastewater treatment efficiency of a researcher Appropriate Wastewater Treatment System for Extension Secondary Schools in Bangkok(AWTS) on eight parameters, and to study efficiency of laboratory directions on wastewater treatment . To achieve the attests, the AWTS was earlier developed and installed of canteen’s Puranavat School Bangkok. The AWTS, capable of treating 23.8 m3 of wastewater per day, was operated from February 5 to March 3, 2007. The wastewater treated by the AWTS was found Acceptable by the Ministry of Science Technology and Environment of Thailand 1994. on the eight parameters. The figures were 7.40 mg/l, 12.45 mg/l, 72.63 mg/l and 7.64 mg/l for pH, , BOD, COD, Suspended Solids and Oil and Grease respectively. The laboratory directions on wastewater treatment efficiency of IC 0.7 at the level higher than the 0.5 criteria Keyword : wastewater treatment for school; wastewater treatment for canteen; environmental learning resource ภูมิหลัง ในป จ จุ บั น การขยายตั ว ของชุ ม ชนในเขต กรุงเทพมหานครไดกอใหเกิดปญหาการเสื่อมคุณภาพของ น้ําในแหลงน้ําตางๆ เนื่องจากการเพิ่มจํานวนของประชากร อยางรวดเร็วทําใหปริมาณการใชน้ําในการประกอบกิจกรรม ตางๆ เพิ่มมากขึ้น ปริมาณของเสียที่ปนมากับน้ําซึ่งจะตอง
45
กํ า จั ด มี จํ า นวนเพิ่ ม มากขึ้ น ส ง ผลให คุ ณ ภาพน้ํ า ในแม น้ํ า รวมถึงคูคลองตางๆ ในเขตกรุง เทพมหานครเสื่อมโทรมลง ตามลําดับ สาเหตุสําคัญที่ทําใหเกิดมลภาวะทางน้ํา (Water Pollution) มีหลายประการ เชน น้ําเสียจากโรงงาน อุตสาหกรรม น้ําเสียจากเกษตรกรรม น้ําเสียจากกองขยะ และน้ําเสียจากแหลงชุมชนตางๆ น้ําเสียเหลานี้จะถูกระบาย ลงสู ลํ า คลองต า งๆ โดยตรงซึ่ ง สั ด ส ว นของปริ ม าณความ สกปรกในรู ป สารอิ น ทรี ย ข องน้ํ า เสี ย จากแหล ง ชุ ม ชนส ง ผลกระทบตอความเสื่อมโทรมของแหลงน้ําเปนสัดสวนรอย ละ 70 เมื่อเทียบกับน้ําเสียที่ปลอยจากโรงงานอุตสาหกรรม (สํานักงานคณะกรรมการสิ่งแวดลอมแหงชาติ. 2543 : 28) และสาเหตุ สํ า คั ญ ที่ ทํ า ให เ กิ ด ความสกปรกในรู ป ของ สารอินทรียมากที่สุดคือ การระบายน้ําทิ้งจากกิจกรรมตางๆ ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร อันไดแก กิจกรรมภัตตาคาร รานอาหาร ตลาดสด โรงพยาบาล โรงแรม หอพัก และ ความสกปรกจากบานพักอาศัยอีกประมาณ 78,182 กก.บีโอ ดี/วัน หรือรอยละ 54.10 ของปริมาณความสกปรกทั้งหมดที่ ระบายลงสูคูคลองตางๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร โรงเรียนและสถานศึกษาทั่วไป นับวาเปนแหลง สําคัญที่กอใหเกิดความสกปรกในรูปของสารอินทรียไดอยาง มาก โดยเฉพาะบริ เ วณโรงอาหารจั ด ว า เป น สถานที่ ที่ ทํ า กิจกรรมเกี่ยวกับการใชน้ําในการชําระลางคอนขางมาก จาก การสํารวจของกรมควบคุมมลพิษพบวา น้ําทิ้งจากโรงอาหาร จะมีคาบีโอดีเฉลี่ย ประมาณ 110 - 400 มิลลิกรัม/ลิตร และ ในน้ําทิ้งดังกลาวมีไขมันสะสมอยูโดยเฉลี่ยประมาณ 50 -150 มิลลิกรัม/ลิตร (กรมควบคุมมลพิษ.2545.23) ซึ่งจัดวามีคา คอนขางสูงและเมื่อปลอยลงสูแหลงน้ําธรรมชาติแลวจะสงผล กระทบตอแหลงน้ํามาก เนื่องจากคราบไขมันจะลอยเคลือบ อยูบริเวณหนาผิวน้ํา สงผลใหแสงแดดสองลงไปในน้ําไดใน ระดับต่ําทําใหสิ่งมีชีวิตประเภทสาหรายเซลลเดียว ซึ่งเปน ผูผลิตในหวงโซอาหารไมสามารถสังเคราะหแสงได ทําให จํานวนสาหรายเหลานั้นมีปริมาณลดลงและสงผลใหระบบ นิเวศเสียสมดุลอีกดวย นอกจากนั้นคราบน้ํามันที่ลอยเคลือบ อยูบริเวณผิวน้ํายังสงผลใหออกซิเจนในอากาศไมสามารถ ละลายลงไปในน้ําได ทําใหคาดีโอ (Dissolved oxygen) ของน้ํ า มี ป ริ ม าณลดลง สิ่ ง มี ชี วิ ต ประเภทสั ต ว น้ํ า จะเกิ ด
46
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
สภาวะขาดออกซิเจนและตองเสียชีวิตลงในที่สุด สงผลให แหลงน้ําเกิดการเนาเสียตอไป ดั ง นั้ น การศึ ก ษาวิ จั ย ในครั้ ง นี้ ผู วิ จั ย จึ ง เลื อ ก ออกแบบระบบบําบัดน้ําเสียดวยวิธีการทางชีวภาพแบบไมใช ออกซิเจน ชนิดถังหมักแบบใชตัวกลาง (Anaerobic Filter) ซึ่ ง จั ด ว า เป น ระบบบํ า บั ด ที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพสู ง ประหยั ด พลังงาน ประหยัดพื้นที่การกอสราง โดยผูวิจัยจะออกแบบ เพื่อพัฒนาใหระบบบําบัดน้ําเสียดังกลาวใหมีประสิทธิภาพ สูง ตนทุนการกอสรางต่ําและพัฒนาระบบบําบัดดังกลาวให เหมาะสมกับการใชเปนแหลงเรียนรูและปฏิบัติการเรื่องการ บําบัดน้ําเสียสําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 สังกัด กรุงเทพมหานคร ใหไดรับความรูความเขาใจในกระบวนการ บําบัดน้ําเสียอินทรีย และสรางความตระหนักในการอนุรักษ แหลงน้ําใหมีคุณภาพดีในโอกาสตอไป วัตถุประสงคของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาคุณภาพของน้ําทิ้งจากโรงอาหารกอน การบําบัดเพื่อนําขอมูลมาใชในการพัฒนาระบบบําบัดน้ํา เสี ย ที่ เ หมาะสมกั บ โรงเรี ย นในสั ง กั ด กรุ ง เทพมหานครที่ มี จํานวนนักเรียนประมาณ 800-1000 คน 2. เพื่ อ ศึ ก ษาป จ จั ย สํ า คั ญ ที่ มี ผ ลต อ การออกแบบ ระบบบํ า บั ด น้ํ า เสี ย จากโรงอาหารของโรงเรี ย นสั ง กั ด กรุงเทพมหานครที่มีจํานวนนักเรียนประมาณ 800-1000 คน 3. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในเชิงการบําบัดโดย ภาพรวมของระบบบําบัดน้ําเสียที่พัฒนาขึ้นสําหรับโรงเรียน ในสั ง กั ด กรุ ง เทพมหานครที่ พั ฒ นาขึ้ น ในรู ป แบบการลด ปริมาณสารอินทรีย 4. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบทปฏิบัติการเรื่อง การบําบัดน้ําเสียสําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 วัสดุอุปกรณที่ใชในการทดลอง 1. วัสดุที่ใชในการเก็บตัวอยางน้ํา 1.1 ขวดพลาสติกใสตัวอยางน้ําขนาด 1,000 มิลลิลิตร จํานวน 4 ใบ 1.2 บิกเกอร ขนาด 1,000 มิลลิลิตร 1.3 แบบฟอรมการเก็บตัวอยางน้ํา 2 .อุปกรณสําหรับผสมตัวอยางน้ํา 2.1 ขวดแกวทรงกระบอก ขนาด 2.5 ลิตร จํานวน 1 ใบ
2.2 กระบอกตวงขนาด 10 มิลลิลิตร จํานวน 1 ใบ 2.3 กระบอกตวงขนาด 100 มิลลิลิตร จํานวน 1 ใบ 2.4 กระบอกตวงขนาด 1,000 มิลลิลิตร จํานวน 1 ใบ 3. อุปกรณสําหรับวิเคราะหน้ําในหองปฏิบัติการ 3.1 เครื่ อ งชั่ ง ไฟฟ า อย า งละเอี ย ด ( PRECICA ,Model :Zerotic II ) 3.2 พีเอชมิเตอร ( METTLER ,Model : Delta 320) 3.3 ตูอบ ( SHEL,Model : U 30) 3.4 ตูควบคุมอุณหภูมิที่ 20 องศาเซลเซียส ( SHEL,Model : Delta 320) 3.5 ขวดบีโอดี ขนาด 300 มิลลิลิตร 3.6 ชุดสกัดซอกฮเลต (Soxhlet Apparatus) 3.7 กระดาษกรองใยแกวมาตรฐาน (Glass Fiber Filter Dise) 3.8 เครื่องแกวตาง ๆ 3.9 สารเคมีตาง ๆ ที่ใชในการตรวจสอบคุณภาพ น้ําตามคาพารามิเตอรที่กําหนด วิธีดําเนินการศึกษาคนควา ก า ร วิ จั ย ใ น ค รั้ ง นี้ เ ป น ง า น วิ จั ย เ ชิ ง ท ด ล อ ง (Experimental Research) เพื่อพัฒนาระบบบําบัดน้ําเสียที่ เ ห ม า ะ ส ม สํ า ห รั บ โ ร ง เ รี ย น ข ย า ย โ อ ก า ส สั ง กั ด กรุงเทพมหานครและใชระบบบําบัดน้ําเสียที่สราง ขึ้นเปนแหลงเรียนรู เรื่อง การบําบัดน้ําเสียสําหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 โดยแบงการศึกษาออกเปน 2 ตอนดังนี้ ตอนที่ 1 การศึกษาประสิทธิภาพของระบบบําบัด น้ําเสียที่พัฒนาขึ้นดําเนินการดังนี้ 1 สํารวจขอมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ โรงเรียนที่ไดรับ ผลกระทบจากมลพิ ษ ทางน้ํ า โดยโรงเรี ย นดั ง กล า วต อ งมี จํานวนนักเรียนประมาณ 800-1000 คน ศึกษาคุณภาพของ น้ําทิ้งจากโรงอาหารกอนการบําบัด ตามพารามิเตอรตอไปนี้ อุณหภูมิ, พีเอช (pH ) , ดีโอ (Dissolved oxygen) บีโอดี (Biochemical oxygen Demand) , ซีโอดี (Chemical oxygen Demand) ปริมาณสารแขวนลอย (Suspended Solids) และน้ํามันและไขมัน (Oil and Crease) 2 นําน้ําเสียกอนการบําบัดมาทําการทดลอง บํ า บั ด โดยระบบบํ า บั ด น้ํ า เสี ย จํ า ลองเพื่ อ ศึ ก ษาหาป จ จั ย
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 สํ า คั ญ ที่ มี ผ ลต อ การออกแบบระบบบํ า บั ด น้ํ า เสี ย จากโรง อาหารของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ไดแก ระยะเวลา การบําบัดน้ําเสียเพื่อนํามาใชคํานวณขนาดและปริมาตรของ ระบบบํ า บั ด น้ํ า เสี ย และหาประสิ ท ธิ ภ าพการบํ า บั ด ตาม พารามิเตอรดังนี้ ปริมาณน้ําเสียที่ไหลเขาสูระบบในแตละวัน, บีโอ ดี, ซีโอดี, ปริมาณสารแขวนลอย และน้ํามัน และไขมัน สูตรคํานวณปริมาตรของบอบําบัด (m3) = V T V แทนปริมาตรน้ําที่ไหลเขาบอบําบัด (m3 /hr ) T แทนระยะเวลาการบําบัด ( hr) สูตรคํานวณขนาดของบอบําบัดที่จะสราง (m ) = กวาง X ยาว x สูง = ปริมาตรของบอบําบัด(m3) 3 นําขอมูลผลการทดลองตามขอที่ 2 มาสราง ระบบบําบัดน้ําเสียที่เหมาะสม สําหรับโรงเรียนที่มีจํานวน นักเรียนประมาณ 800-1000 คน ทําการ set up ระบบ บําบัดใหประสิทธิภาพการบําบัดสูงสุด 4. ศึกษาประสิทธิภาพของระบบบําบัดน้ําเสีย โดยทํ า การเก็ บ ตั ว อย า งน้ํ า เสี ย เพื่ อ นํ า มาทํ า การตรวจ วิเคราะหคุณภาพโดยจะกระทํา 2 จุด คือ จุดน้ําเขาระบบ (Influent) และจุดน้ําออกจากระบบ (Effluent) การเก็บตัวอยาง ทั้งหมดเก็บดวยวิธีการเก็บแบบจวง (grab sampling) 5. ระยะเวลาในการเก็บตัวอยางจะกระทําสัปดาห ละ 3 ครั้ง คือในวันจันทร วันพุธ และวันศุกร เริ่มตั้งแตเวลา 14.00 น- 15.00 น เปนเวลาทั้งหมด 4 สัปดาห รวมทั้งสิ้น 12 ตัวอยาง ตัวอยางละ 3 ซ้ํา เพื่อหาคาเฉลี่ย 6. การวิเคราะหตัวอยางน้ํา วิเคราะหโดยวิธี วิเคราะหน้ําสากล ( Standard Method) โดยพารามิเตอรที่ ทํ า การตรวจวั ด ทั น ที ที่ เ ก็ บ ตั ว อย า ง คื อ ค า พี เ อช ส ว น พารามิ เ ตอร ตั ว อื่ น จะนํ า มาทํ า การตรวจวิ เ คราะห ที่ หองปฏิบัติการวิเคราะหน้ําของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 7. คาพารามิเตอรที่วิเคราะหไดแก พีเอช, บีโอ ดี, ซีโอดี ปริมาณสารแขวนลอย และน้ํามัน และไขมัน ตอนที่ 2 การพัฒนาบทปฏิบัติการ เรื่อง การ บําบัดน้ําเสียดําเนินการดังนี้ 1. พัฒนาบทปฏิบัติการ เรื่องการบําบัดน้ําเสีย โดยใชระบบบําบัดน้ําเสียที่พัฒนาขึ้น เปนแหลงเรียนรู
47
โดยบทปฏิบัติการเรื่องการบําบัดน้ําเสียประกอบดวยชุด กิจกรรมทั้งหมด 4 กิจกรรม คือ (1) กิจกรรม เรื่อง ความรูทั่วไปเกี่ยวกับการ บําบัดน้ําเสีย (2) กิจกรรม เรื่อง การตรวจสอบคุณภาพน้ํา เบื้องตน (3) กิจกรรม เรื่อง การบําบัดน้ําเสียโดยวิธี ชีวภาพแบบไมใชออกซิเจน (4) กิจกรรม เรื่อง การควบคุมระบบบําบัดน้ํา เสียชนิดถังหมักแบบใชตัวกลาง 2. นําบทปฏิบัติการไปหาประสิทธิภาพการเรียนรู โดยผูเชี่ยวชาญจํานวน 5 ทานเปนผูประเมินคา IC เพื่อหา คาดัชนีความสอดคลองระหวางวัตถุประสงคของกิจกรรม และเนื้อหาของกิจกรรม ตัวแปรที่ศึกษา 1. ตัวแปรตน ไดแก 1.1 ตัวอยางน้ํากอนเขาระบบบําบัดน้ําเสีย ไดแก ตําแหนงที่ 1 (Influent) และตําแหนงที่ 2 น้ําที่ผานการ บําบัดแลว (Effluent) 1.2 บทปฏิบัติการ เรื่องการบําบัดน้ําเสีย 2. ตัวแปรตาม ไดแก 2.1 ประสิทธิภาพของระบบบําบัดน้ําเสียตาม เกณฑมาตรฐานน้ําทิ้งจากอาคารบานเรือนประเภท ข. ตาม ประกาศของกระทรวงวิ ท ยาศาสตร เ ทคโนโลยี แ ละ สิ่งแวดลอม พ.ศ. 2537 ตามคาพารามิเตอร ดังตอไปนี้ พีเอช (pH ) , บีโอดี (Biochemical oxygen Demand) ,ซีโอดี (Chemical oxygen Demand) , ปริมาณสารแขวนลอย (Suspended Solids) และ น้ํามันและไขมัน (Oil and Crease) 2.2 คุณภาพของบทปฏิบัติการ เรื่องการบําบัด น้ําเสีย ผลการศึกษา การศึกษาคุณภาพของน้ําทิ้งจากโรงอาหาร ของโรงเรียนวัดปุรณาวาสกอนการบําบัด ผลการศึกษาคุณ ภาพของน้ํา ทิ้งจากโรงอาหารกอ น การบําบัดแสดงไดดังตาราง 2
48
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ตาราง 1 แสดงคุณภาพของน้ําทิ้งจากโรงอาหารโรงเรียนวัดปุรณาวาสกอนการบําบัด พารามิเตอร น้ําที่เขาสูระบบ ( m3 /day) อุณหภูมิ ( C0) พีเอช ดีโอ (mg/l) บีโอดี( mg/l) ซีโอดี(mg/l) สารแขวนลอย(mg/l) น้ํามันและไขมัน (mg/l)
คาเฉลี่ย (X) 23.8 28.3 7.2 4.2 168.25 387.54 68.60 49.23
จากตาราง 1 แสดงวาน้ําทิ้งจากโรงอาหาร กอนการบําบัดมีคา ปริมาณน้ําที่เขาสูระบบ, อุณหภูมิ, พี เอช, ดีโอ,บีโอดี , ซีโอดี , ปริมาณสารแขวนลอย และ น้ํามันและไขมัน เทากับ 23.8 m3 /day, 28.3 C0 ,7.2 mg/l, 4.2 mg/l, 168.25 mg/l,387.54 mg/l,68.60 mg/l และ 49.23 mg/l ตามลําดับ และผลการเปรียบเทียบคุณภาพน้ําที่ ผานการบําบัดกับคามาตรฐานน้ําทิ้งฯ.ผลปรากฏวา คาบีโอ ดี ซีโอดี ปริมาณสารแขวนลอย น้ํามันและไขมันมีคาเกิน เกณฑมาตรฐานน้ําทิ้งฯ.ที่กําหนด จากตาราง 1 แสดงวาน้ําทิ้งจากโรงอาหาร กอนการบําบัดมีคา ปริมาณน้ําที่เขาสูระบบ, อุณหภูมิ, พี เอช, ดีโอ,บีโอดี , ซีโอดี , ปริมาณสารแขวนลอย และ น้ํามันและไขมัน เทากับ 23.8 m3 /day, 28.3 C0 ,7.2 mg/l, 4.2 mg/l, 168.25 mg/l,387.54 mg/l,68.60 mg/l และ 49.23 mg/l ตามลําดับ และผลการเปรียบเทียบคุณภาพน้ําที่ ผานการบําบัดกับคามาตรฐานน้ําทิ้งฯ.ผลปรากฏวา คาบีโอ ดี ซีโอดี ปริมาณสารแขวนลอย น้ํามันและไขมันมีคาเกิน เกณฑมาตรฐานน้ําทิ้งฯ.ที่กําหนด
คามาตรฐานน้ําทิ้ง ไมมี ไมมี 5.0- 9.0 ไมมี ไมเกิน 30 ไมเกิน 120 ไมเกิน 40 ไมเกิน 20
ภาพประกอบ 1 แสดงลักษณะทั่วไปน้ําทิ้งจากโรงอาหาร โรงเรียนวัดปุรณาวาสกอนการบําบัด การศึกษาปจจัยสําคัญที่มีผลตอการออกแบบ ระบบบําบัดน้ําเสียจากโรงอาหาร ผลการศึกษาปจจัยสําคัญที่มีผลตอการออกแบบ ระบบบําบัดน้ําเสียจากโรงอาหารโดยใชระบบบําบัดน้ําเสีย จําลองแสดงไดดังตาราง 3
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
49
ตาราง 2 ผลการศึกษาปจจัยสําคัญที่มีผลตอการออกแบบระบบบําบัดน้ําเสียจากโรงอาหารโดยใชระบบบําบัดน้ําเสียจําลอง ระยะเวลาการบําบัด (ชั่วโมง) 0 24 36 48 60 คามาตรฐานน้ําทิ้งฯ.
บีโอดี (mg/l) 164.80 65.26 24.85 12.87 7.26 ไมเกิน 30
จากตาราง 2 แสดงวาน้ําทิ้งจากโรงอาหารที่ ผานการบําบัด ที่ระยะเวลาการบําบัด 0, 24. 36,48,และ 60 ชั่วโมง มีคาบีโอดี เทากับ 164.80, 65.26, 24.85, 12.87 และ 7.26 ตามลําดับ คาสารแขวนลอยเทากับ 65.35, 43.25, 28.47, 22.70 และ 15.64 ตามลําดับ คาน้ํามันและไขมัน เทากับ 53.24, 10.48, 7.17, 4.32 และ 3.54 ตามลําดับ และผลการเปรียบเทียบคุณภาพน้ําที่ผานการบําบัดกับคา มาตรฐานน้ําทิ้งฯ.ผลปรากฏวา ระยะเวลาการบําบัดที่ควร นํามาใชออกแบบการบําบัดไดแก 48 ชั่วโมง
น้ําที่ผานการบําบัด ระบบบําบัดจําลอง
ถังใสน้ําเสีย
ภาพประกอบ 2 แสดงการทดลองเพื่ อ หา ระยะเวลาการบําบัดที่เหมาะสมโดยระบบบําบัดน้ําเสียจําลอง
สารแขวนลอย (mg/l) 65.35 43.25 28.47 22.70 15.64 ไมเกิน 40
น้ํามันและไขมัน (mg/l) 53.24 10.48 7.17 4.32 3.54 ไมเกิน 20
0 ชั่วโมง 24 ชั่วโมง 36 ชั่วโมง 48ชั่วโมง 60 ชั่วโมง ภาพประกอบ 3 แสดงลักษณะน้ําทิ้งจากโรงอาหารที่ผาน การบําบัดในชวงเวลาตาง ๆ สรุปผลการศึกษาคุณภาพของน้ําทิ้งจากโรงอาหาร และผลการศึกษาปจจัยสําคัญที่มีผลตอการออกแบบระบบ บําบัดน้ําเสียจากโรงอาหารโดยใชระบบบําบัดน้ําเสียจําลอง พบวา น้ํา เสียที่เข าสูระบบบําบัดน้ําเสียมีคาเทากับ 23.8 (m3/day)หรือ 0.99 (m3/hr) ตอนักเรียน 1,000 คน หรือ 23.8 ลิตร/คน/วัน ระยะเวลาการบําบัดที่เหมาะสมกับการนํามาใช ในการออกแบบระบบบําบัดมีคาเทากับ 48 ชั่วโมง นํามา ทําการคํานวณดังรายละเอียดตอไปนี้ สูตรคํานวณปริมาตรของบอบําบัด (m3) = V T V แทนปริมาตรน้ําเสียที่ไหลเขาระบบบําบัด (m3 /hr ) T แทนระยะเวลาการบําบัด ( hr) = 0.99 x 48 แทนคา ปริมาตรของบอบําบัด (m3) ปริมาตรของบอบําบัดไมควรนอยกวา = 47.52 m3 สูตรคํานวณขนาดของบอบําบัดที่จะสราง (m ) = กวาง X ยาว x สูง = ปริมาตรของบอบําบัด(m3) แทนคา = 2.6 x 8 x 2.3 m = 47.84 m3 (คาใกลเคียง) การคํ า นวณปริ ม าตรของตั ว กลาง(Media)ที่ ทํ า จากขวด พลาสติ ก ตั ด หั ว ท า ยเพื่ อ ให จุ ลิ น ทรี ย ที่ ทํ า หน า ที่ ย อ ยสลาย สารอิ น ทรี ย ใ นน้ํ า ยึ ด เกาะจะใส ใ นอั ต ราปริ ม าตรขวด พลาสติก : ปริมาตรบอบําบัด มีคาเทากับ 1 : 4 คํานวณ ไดจากสูตร
50
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ปริมาตรของตัวกลาง (m3 ) = ปริมาตรของบอบําบัดทั้งหมด (m3 ) /4 = 47.84 / 4 = 11.96 m3 หรือประมาณ 12 m3 โดยผู วิ จั ย ใช ข วดพลาสติ ก บรรจุ น้ํ า ดื่ ม ชนิ ด ขุ น ชนิดขวดขุนขนาดบรรจุ 1 ลิตรตัดหัวทายทิ้งจนเหลือความ ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร โดยขวดน้ําดื่มที่ตัดแลวจํานวน 124 ขวดจะมีปริมาตรเทากับ 1 m3 ดังนั้นตองใชขวด ทั้งหมด 1488 ขวด ซึ่งผูวิจัยไดรับความรวมมือจากนักเรียน โรงเรียนวัดปุรณาวาส เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานครเปนผู จัดหาขวดเหลือใชและนํามาตัดใหตามขนาด
ภาพประกอบ 4 แสดงขวดที่นักเรียนโรงเรียนวัดปุรณาวาสตัด เพื่อใชทําตัวกลาง ที่มา: อัตราปริมาตรขวดพลาสติก : ปริมาตรบอ บําบัด มีคาเทากับ 1 : 4 ไดจากการวิจัยของผูวิจัยเรื่อง การพัฒนาระบบบําบัดน้ําเสียที่เหมาะสมสําหรับโรงชําแหละ สุ ก รของสหกรณ ผู ค า สุ ก รชํ า แหละกรุ ง เทพมหานคร เขต คลองเตย กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2547 (สนอง ทองปาน 2547 : 78 ) ในการออกแบบระบบบําบัดน้ําเสียผูวิจัยไดทําการ ออกแบบมุงเนนใหมีราคาถูกงายตอการกอสราง และแข็งแรง เชนบอดักไขมันจะออกแบบใหอยูติดกับบอบําบัดและใชผนัง รวมกันทําใหประหยัดราคาคากอสราง นอกจากนี้ถังดักไขมัน ยั ง ออกแบบให มี ฝ าป ด ทํ า ให ถั ง ดั ก ไขมั น ทํ า หน า ที่ เ ป น ถั ง บํ า บั ด ไปในตั ว อี ก ด ว ยจึ ง ทํ า ให มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพการบํ า บั ด สูงขึ้น นอกจากนี้ผูวิจัยยังใชขวดบรรจุน้ําดื่มพลาสติกชนิด ขวดสี ขุ น ซึ่ ง มี เ นื้ อ ผิ ว หยาบมาประยุ ก ต ใ ช เ ป น ตั ว กลาง
( Media )ใหจุลินทรียยึดเกาะ ทําใหประหยัดคาใชจายได ตามสูตรการคํานวณตอไปนี้ ราคาตัวกลาง = ปริมาตรตัวกลางที่ใช (m3) X ราคาตอ1 m3 = 12 X 2180 = 26160 บาท สํ า หรั บ จุ ลิ น ทรี ย ที่ ใ ช ใ นการบํ า บั ด ผู วิ จั ย ได ใ ช เชื้อ จุ ลิน ทรียที่ พัฒ นาขึ้น จากการวิจัย ของผูวิจั ยเรื่ อ ง การ พัฒนาระบบบําบัดน้ําเสียที่เหมาะสมสําหรับโรงชําแหละสุกร ของสหกรณผูคาสุกรชําแหละกรุงเทพมหานคร เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2547 (สนอง ทองปาน 2547 : 85 ) ซึ่งเปนจุลินทรียสายพันธุไทยเหมาะกับภูมิอากาศเขตรอนทน ต อ สภาวะแวดล อ ม สามารถยึ ด เกาะตั ว กลางได แ น น ประสิทธิภาพการบําบัดบีโอดีของน้ําเสียชุมชนไดประมาณ 85-90 % ที่ระยะเวลาการบําบัด 45- 48 ชั่วโมง คาวัสดุที่ใชในการกอสรางทั้งหมด 46,580 บาท คาแรงงานในการกอสรางทั้งหมด 32,000 บาท ดังนั้นราคาโดยรวมที่ใชในการกอสรางนาจะมีราคา ประมาณ 78,580 บาท จากการสํารวจพื้นที่จริงสามารถสรางบอบําบัดได ขนาด 2.6 x 10 x 2.3 m. ผูวิจัยจึงออกแบบเปนบอบําบัด ขนาด 2.6 x 8 x 2.3 m.โดยแบงบอบําบัดออกเปน 4 สวน ความยาวสวนละ 2 m. และออกแบบบอดักไขมันเชื่อมติด กับบอบําบัดโดยใชผนังรวมกันขนาด 2.6 x 2 x 2.3 m. ดังนั้น ระบบบําบัดและบอดักไขมันจึงมีขนาด 2.6 x 10 x 2.3 m. รายละเอียดดังภาพประกอบ 5 ภาพประกอบ 5 แสดงแผนภาพของระบบบําบัดน้ํา เสียที่พัฒนาขึ้น
ภาพแสดงการเทพื้น
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ภาพแสดงการกอฉาบผนัง
51
ภาพประกอบ 7 แสดงระบบบําบัดน้ําเสียที่สรางเสร็จปดฝา ระบบดวยแผนคอนกรีตสําเร็จ
ภาพแสดงการเทคานบน ภาพประกอบ 6 แสดงขั้นตอนการกอสรางระบบบําบัดน้ําเสีย
ภาพประกอบ 8 แสดงตัวกลางจากขวดพลาสติกที่นํามาใส ในระบบบํ า บั ด น้ํ า เสี ย พร อ มทั้ ง ใส หั ว เชื้ อ จุ ลิ น ทรี ย ที่ ผูวิจัยพัฒนาขึ้นเพื่อทําการ Start up ระบบบําบัดใหมี ประสิทธิภาพสูงสุด
การศึกษาประสิทธิภาพในเชิงการบําบัดโดยภาพรวมของระบบบําบัดน้ําเสียที่เหมาะสมสําหรับโรงเรียนในสังกัด กรุงเทพมหานครที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบการลดปริมาณสารอินทรีย ผลการศึกษาประสิทธิภาพในเชิงการบําบัดโดยภาพรวมของระบบบําบัดน้ําเสียที่เหมาะสมสําหรับโรงเรียนในสังกัด กรุงเทพมหานครที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบการลดปริมาณสารอินทรียแสดงไดดังตาราง 3 ตาราง 3 แสดงประสิทธิภาพในเชิงการบําบัดโดยภาพรวมของระบบบําบัดน้ําเสีย พารามิเตอร น้ํากอนการบําบัด pH 6.9 BOD (mg/l) 154.82 COD (mg/l) 359.35 สารแขวนลอย(mg/l) 70.38 น้ํามันและไขมัน 47.62 (mg/l)
น้ําหลังการบําบัด 7.4 12.45 72.63 25.75 7.64
คามาตรฐาน 5-9 ไมเกิน 30 ไมเกิน 120 ไมเกิน 40 ไมเกิน 20
ประสิทธิภาพการบําบัด(%) 91.95 79.78 63.41 83.95
52
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 การศึ ก ษาประสิ ท ธิ ภ าพของบทปฏิ บั ติ ก าร เรื่ อ งการ บําบัดน้ําเสีย คาดัชนีความสอดคลองระหวางจุดประสงคของกิจกรรมและ เนื้อหาของกิจกรรมจากบทปฏิบัติการ เรื่องการบําบัดน้ําเสีย แสดงผลดังตาราง 4
(1) (2) ภาพประกอบ 14 แสดงลักษณะน้ํากอนการบําบัด (1)และ หลังการบําบัด(2) ตาราง 4 แสดงคาดัชนีความสอดคลองระหวางจุดประสงคของกิจกรรมและเนื้อหาของกิจกรรมจากบทปฏิบัติการ เรื่องการบําบัดน้ําเสีย ลําดับ
1 2 3
4
ชื่อกิจกรรม
ความรูทั่วไปเกี่ยวกับ การบําบัดน้ําเสีย การตรวจสอบคุณภาพ น้ําเบื้องตน การบําบัดน้ําเสียโดย วิธีชีวภาพแบบไมใช ออกซิเจน การควบคุมระบบ บําบัดน้ําเสียชนิดถัง หมักแบบใชตัวกลาง
ความเห็นของผูเชียวชาญคนที่
คา IC ราย กิจกรรม
1
2
3
4
5
+1
0
+1
+1
+1
คา IC เฉลี่ย
เกณฑ IC มาตรฐาน
0.7
0.5
0.8 +1
+1
0
0
+1
0.6
+1
+1
+1
+1
0
0.8
0.6 0
+1
+1
หมายเหตุ +1 หมายถึง แนใจวาจุดประสงคของกิจกรรมมี ความสอดคลองกับเนื้อหาของกิจกรรม 0 หมายถึง ไมแนใจวาจุดประสงคของกิจกรรม มีความสอดคลองกับเนื้อหาของกิจกรรม -1 หมายถึง แนใจวาจุดประสงคของกิจกรรมไม มีความสอดคลองกับเนื้อหาของกิจกรรม
0
+1
จากตาราง 4 คา ดัชนีความสอดคลอ ง (IC) ระหวางจุดประสงคของกิจกรรมและเนื้อหาของกิจกรรม จาก บทปฏิบัติการ เรื่อง การบําบัดน้ําเสีย ของกิจกรรมที่ 1 , กิจกรรมที่ 2, กิจกรรมที่ 3 และกิจกรรมที่ 4 มีคาเทากับ 08, 0.6, 0.8 และ 0.6 ตามลําดับ สําหรับคา IC โดยภาพรวมทั้ง ฉบับมีคาเทากับ 0.7 ซึ่งมีคาสูงกวาคาเกณฑมาตรฐานที่ กําหนดไวเทากับ 0.5 จึงเปนไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 สรุปผลการวิจัย 1. น้ําเสียจากโรงอาหารที่ผานการบําบัดจากระบบ บําบัดน้ําเสียที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพไดตามเกณฑมาตรฐาน น้ํ า ทิ้ ง จากอาคารบ า นเรื อ นประเภท ข. ตามประกาศของ กระทรวงวิทยาศาสตรเทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม พ.ศ. 2537 ที่กําหนดทุกพารามิเตอร 2. บทปฏิบัติการเรื่องการบําบัดน้ําเสียมีคาดัชนี ความสอดคลอง(IC)จุดประสงคของกิจกรรมและเนื้อหาของ ชุดกิจกรรมโดยภาพรวมทั้งฉบับเทากับ 0.7 ซึ่งมีคาเกินคา เกณฑมาตรฐาน IC ที่กําหนดไวเทากับ 0.5 สรุปคุณสมบัติของระบบบําบัดน้ําเสียที่พัฒนาขึ้น คุ ณ สมบั ติ ข องระบบบํ า บั ด น้ํ า เสี ย ที่ พั ฒ นาขึ้ น มี รายละเอียดดังนี้ 1. สามารถบําบัดน้ําเสียจากโรงอาหารสําหรับคน ที่เขามาใชบริการได 1,000 -1,200 คน/วัน 2. ประสิทธิภาพการบําบัดสารอินทรียในรูปบีโอดี และซีโอดี ได 91.95 และ 79.78 % ตามลําดับ 3. ใชระยะเวลาการบําบัด 48 ชั่วโมง 4. ใชเปนแหลงเรียนรูรวมกับบทปฏิบัติการ เรื่อง การบําบัดน้ําเสียได 5. ราคาที่สามารถนําไปใชในการกอสรางตอไป ประมาณ 78,580 บาท วิจารณผลการศึกษาวิจัย 1. การบําบัดคาพีเอช (pH) ของน้ําทิ้งจากโรง อาหารมีประสิทธิภาพการบําบัดอยูในเกณฑต่ําเนื่องจากคา พี เ อช มี ค า ค อ นข า งเป น กลางไม เ กิ น เกณฑ ม าตรฐานที่ กําหนดไว โดยน้ํากอนการบําบัดมีคาเทากับ 6.9 หลังผาน การบําบัดมีคา 7.4 โดยเกณฑมาตรฐานน้ําทิ้งจากอาคาร บา นเรือ นประเภท ข. กระทรวงวิท ยาศาสตรเ ทคโนโลยี แ ล ะ สิ่ งแวดล อม พ.ศ . 2537 กํ าหนดค าไว 5-9 (กระทรวงวิทยาศาสตรเทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม, 2539 : 3 ) l ซึ่ ง สอดคล อ งกั บ คุ ณ ลั ก ษณะของน้ํ า เสี ย ชุ ม ชนของกรม ควบคุมมลพิษ ซึ่งพบวา คาพีเอช ของน้ําเสียมักจะมีคาไม เกินคามาตรฐานน้ําทิ้งจากอาคารบานเรือน (กรมควบคุม มลพิษ .2545 : 6 ) ซึ่งสอดคลองกับผลการวิจัยของ เสริมพล รัตสุข และไชยยุทธ กลิ่นสุคนธ (2524 : 68) ทีศึกษา
53
ประสิทธิภาพของถังหมักแบบใชตัวกลาง ผลปรากฏวา คาพี เอชของน้ําเสียชุมชนกอนทําการบําบัดจะมีคาไมเกินเกณฑ มาตรฐานน้ําทิ้งจากอาคารบานเรือนที่กําหนด 2. การบําบัดสารอินทรียในรูปบีโอดีและซีโอดี โดย ภาพรวมทั้งระบบมีคาโดยเฉลี่ย รอยละ 91.95 และ 79.78 ตามลํ า ดั บ จั ด ว า มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพของการบํ า บั ด อยู ใ นใน ระดับสูง โดยน้ําที่ผานการบําบัดแลวมีคาเปนไปตามเกณฑ ม า ต ร ฐ า น น้ํ า ทิ้ ง จ า ก อ า ค า ร บ า น เ รื อ น ป ร ะ เ ภ ท ข . กระทรวงวิทยาศาสตรเทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม พ.ศ. 2537 กําหนดคาไว ไมเกิน 30 mg/l และไมเกิน 120 mg/l ตามลํ า ดั บ (กระทรวงวิ ท ยาศาสตร เ ทคโ นโลยี แ ละ สิ่งแวดลอม, 2539 : 3 ) l ซึ่งสอดคลองกับผลการศึกษาของ สุเมธ ชวเดช และเสริมพล รัตนสุข. (2522:50) ที่ได ทําการศึกษา การผลิตแกสชีวภาพจากมูลสัตวโดยใชถังหมัก แบบบรรจุตัวกลาง พบวาถังหมักแบบบรรจุตัวกลางจะมี ประสิทธิภาพในการยอยสลายสารอินทรียในรูปบีโอดีและซีโอ ดีใ หลดลงในอัตราโดยเฉลี่ยรอยละ 90.25 และ 82.38 นอกจากนี้ ยั ง สอดคล อ งกั บ งานวิ จั ย ของพรี ท อเรี ย ส. (Pretorius. 1971: 681-687) ไดศึกษากระบวนการถังกรองไร อากาศชนิดสัมผัส (Anaerobic Contact Process) โดยใช กอนหินเปนตัวกลางสําหรับการบําบัดน้ําเสีย พบวา สามารถ บําบัดคาบีโอดีเฉลี่ย และซีโอดีเฉลี่ยไดมากกวารอยละ 90 ที่ ระยะเวลาการเก็บกัก 48 ชั่วโมง 3. การบําบัดสารแขวนลอยโดยภาพรวมทั้งระบบมี ค า โดยเฉลี่ ย ร อ ยละ 63.41 จั ด ว า มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพของการ บําบัดอยูในระดับสูง เนื่องจากระบบบําบัดแบบถังกรองไร อากาศที่พัฒนาขึ้นมีการใสตัวกลางที่ทําดวยขวดพลาสติก บรรจุน้ําดื่มขนาด 0.5 ลิตร ที่นํามาตัดหัวและทายขวดออก ในอัตราสวน ระหวางปริมาตรของตัวกลาง ตอ ปริมาตรของ บอบําบัด เทากับ 1: 4 ซึ่งถือวาปริมาณตัวกลางที่ใชสงผลให ประสิทธิภาพการบําบัดสารอินทรียและสารแขวนลอยสูงสุด ดังนั้นปริมาณสารแขวนลอยเฉลี่ยของน้ําหลังการบําบัดจึงมี คาเทากับ 25.75 mg/l โดยน้ําที่ผานการบําบัดแลวมีคา เป น ไปตามเกณฑ ม าตรฐานน้ํ า ทิ้ ง จากอาคารบ า นเรื อ น ประเภท ข. กระทรวงวิทยาศาสตรเทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม พ.ศ. 2537 กําหนดคาไว ไมเกิน 40 mg/l
54
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
4. การบําบัดน้ํามันและไขมันโดยภาพรวมทั้งระบบมี ค า โดยเฉลี่ ย ร อ ยละ 83.95 จั ด ว า มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพของการ บําบัดอยูในระดับสูง เนื่องจากผูวิจัยไดออกแบบบอดักไขมัน เพื่อทําการดักไขมันไวกอนแลวจึงจะปลอยใหน้ําไหลเขาสู ระบบบํ า บั ด แบบถั ง กรองไร อ ากาศที่ พั ฒ นาขึ้ น ดั ง นั้ น ปริมาณน้ํามันและไขมันเฉลี่ยของน้ําหลังการบําบัดจึงมีคา เทากับ 7.64 mg/l โดยน้ําที่ผานการบําบัดแลวมีคาเปนไป ตามเกณฑมาตรฐานน้ําทิ้งจากอาคารบานเรือนประเภท ข. กระทรวงวิทยาศาสตรเทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม พ.ศ. 2537 กําหนดคาไว ไมเกิน 20 mg/l 5. คาดัชนีความสอดคลอง (IC) ระหวางจุดประสงค ของกิจกรรรมและเนื้อหาของกิจกรรมจากบทปฏิบัติการ เรื่อง การบําบัดน้ําเสียมีคาโดยภาพรวมทั้งฉบับเทากับ 0.7 ซึ่งมี คาเกินคาเกณฑมาตรฐาน IC กําหนดไวเทากับ 0.5 (พวง รัตน ทวีรัตน. 2540 : 124) แสดงวาเนื้อหาของกิจกรรมที่ สร า งขึ้ น มี ค วามสอดคล อ งกั บ จุ ด ประสงค ข องกิ จ กรรมใน ระดั บ สู ง ซึ่ ง จะส ง ผลให ผู เ รี ย นได รั บ ความรู ต รงตาม จุดประสงคของกิจกรรมที่กําหนดไวในระดับสูง ขอเสนอแนะที่เกี่ยวของกับงานวิจัยในครั้งนี้ 1. ในการนําระบบบําบัดน้ําเสียที่พัฒนาขึ้นไปใชใน การบําบัดน้ําเสียจากโรงอาหารอื่นตอไป ควรนําน้ําที่จะทํา การบําบัดมาศึกษาเพื่อหาปริมาณน้ําทิ้งและระยะเวลาการ บําบัดที่เหมาะสมกอนทุกครั้งเพื่อนํามาคํานวณหาปริมาตร ของบอบําบัดตามสูตรการคํานวณในบทที่ 3 2. ควรทําการศึกษาเพื่อพัฒนาเชื้อจุลินทรียที่มี ประสิทธิภาพในการบําบัดสูงสุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ บําบัดและลดระยะเวลาการบําบัด
3. ควรทําการศึกษาและพัฒนาระบบบําบัดน้ําเสีย ที่ เ หมาะสมกั บ โรงเรี ย นสั ง กั ด หน ว ยงานอื่ น ๆ ที่ มี จํ า นวน นักเรียนแตกตางจากที่เคยทําการทดลอง 4. ควรทําการศึกษาและพัฒนาระบบบําบัดน้ําเสีย ที่เหมาะสมแบบชีวภาพแบบใชออกซิเจน (Aerobic Process) เพราะจะทํ า ให ป ระหยั ด พื้ น ที่ ใ นการบํ า บั ด เหมาะสํ า หรั บ โรงเรียนที่มีพื้นที่จํากัดและสามารถพัฒนาเปนแหลงเรียนรูได อีกรูปแบบหนึ่ง 5. กอนนําบทปฏิบัติการ เรื่องการบําบัดน้ําเสียไป ใช ครู ค วรทํ า การทดลองตามกิ จ กรรมที่ พั ฒ นาขึ้ น ก อ น เพื่อใหเกิดความเขาใจในขั้นตอนการใชใหมากขึ้น และเมื่อ พบป ญ หาและอุ ป สรรคต า ง ๆ จะได แ ก ไ ขป ญ หาได อ ย า ง ถูกตอง และควรนําไปใชทดลองสอนกับนักเรียนกลุมเล็ก ๆ กอนเพื่อใชเปนขอมูลพื้นฐานสําหรับผูสอนตอไป 6. กอนนําบทปฏิบัติการ เรื่องการบําบัดน้ําเสียไป ใชครูควรทําการศึกษาเนื้อหาที่เกี่ยวของกับทฤษฎีการบําบัด น้ําเสียดวยวิธีชีวภาพแบบใชออกซิเจน (Aerobic Process) การบํ า บั ด น้ํ า เสี ย ด ว ยวิ ธี ชี ว ภาพแบบไม ใ ช อ อกซิ เ จน (Anaerobic Process) และการสรางถังดักไขมันในรูปแบบ ตาง ๆ ใหเขาใจเสียกอน 7. ควรสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ขึ้นเพื่อใชในการวัดผลการเรียนการสอนกอนเรียนและหลังเรียน 8. ควรสร า งแบบวั ด เจตคติ ด า นการอนุ รั ก ษ ทรัพยากรน้ําเพื่อใชวัดเจตคติของนักเรียนกอนเรียนและหลัง เรียนเพื่อประเมินระดับเจตคติดานการอนุรักษทรัพยากรน้ํา ของผูเรียน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
55
บรรณานุกรม กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม. (2537.1 กุมภาพันธ). ราชกิจจานุเบกษาฉบับประกาศทั่วไป เลม 11 ตอนพิเศษ 9. เรื่องกําหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ําทิ้ง จาก อาคารบางประเภทและขนาด. กรมควบคุมมลพิษ. (2545). น้ําเสียชุมชนและระบบบําบัดน้ําเสีย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพคุรุสภา. กองจัดการคุณภาพน้ํา กรมควบคุมมลพิษ. (2545). น้ําเสียชุมชนและระบบบําบัดน้ําเสีย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพคุรุสภา. คณะกรรมการสิ่งแวดลอมแหงชาติ, สํานักงาน (2543). แนวทางการบริหารและการจัดการน้ําเสียชุมชน. กรุงเทพฯ : กระทรวงวิทยาศาสตรเทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม สนอง ทองปาน ( 2547) การพัฒนาระบบบําบัดน้ําเสียที่เหมาะสมของโรงชําแหละสุกร สหกรณผูคาสุกรชําแหละ กรุงเทพมหานคร รายงานการวิจัย สาขาการมัธยมศึกษากลุมการสอนสิ่งแวดลอม คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.ฉบับอัดสําเนา. สุเมธ ชวเดช และ เสริมพล รัตสุข. ถังผลิตแกสชีวภาพแบบใชตัวกลางไมรวก. กรุงเทพฯ : กองวิศวกรรมสิ่งแวดลอม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย, 2522. อัดสําเนา เสริมพล รัตนสุข และไชยยุทธ กลิ่นสุคนธ. (2525). การกําจัดน้าํ ทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมแหลงชุมชน. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรประยุกตและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย. พวงรัตน ทวีรัตน. (2540). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตรและสังคมศาสตร. พิมพครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: สํานักทดสอบ ทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. APHA; AWWA; & WPCF. (1989). Standard method of the examination of water and wastewater. New York : American Pubic Health Association Pretorius, W.A. (1971). Anaerobic Disestion of Raw Sewage. Water Res. 5: 681-687
56
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ปจจัยทีส่ งผลตอสมาธิในการเรียนของนักเรียน ระดับชวงชัน้ ที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินทู ิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร FACTORS AFFECTING ON LEARNING CONCENTRATION OF THE THIRD LEVEL, SECONDARY GRADES 1-3 STUDENTS AT NAWAMINTHRACHINUTHIT SATRIWITTHAYA PHUTTAMONTHON SCHOOL IN THAWEEWATTANA DISTRICT, BANGKOK. พระธีราภิสุทธิ์ สารธมฺโม 1 ผศ.พรรณรัตน พลอยเลื่อมแสง 2 รศ.เวธนี กรีทอง 2 บทคัดยอ การวิ จั ย ครั้ ง นี้ มี จุ ด มุ ง หมายเพื่ อ ศึ ก ษาป จ จั ย ที่ สงผลตอสมาธิในการเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรง เรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ปจจัยที่ศึกษาแบงเปน 3 ปจจัย ไดแก ปจจัย ด า นส ว นตั ว ได แ ก เพศ ระดั บ ชั้ น ผลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย น บุ ค ลิ ก ภาพ นิ สั ย ทางการเรี ย น และ แรงจู ง ใจใฝ สั ม ฤทธิ์ ทางการเรียน ปจจัยดา นครอบครัว ไดแก สภาพครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว และสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับผูปกครองดานการเรียน และปจจัยดานสิ่งแวดลอม ทางการเรี ย น ได แ ก ลั ก ษณะทางกายภาพทางการเรี ย น สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู และสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับเพื่อน
1
นิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัยเปนนักเรียนระดับชวง ชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ปการศึกษา 2549 จํานวน 337 คน เปนนักเรียนชาย 157 คน และนักเรียนหญิง 180 คน เครื่องมือที่ใชในการศึกษาคนควา ไดแก แบบสอบถาม ปจจัยที่สงผลตอสมาธิในการเรียน สถิติที่ใชในการวิเคราะห ขอมูล คือ การวิเคราะหคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธของเพียร สัน และการวิเคราะหการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบวา 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับสมาธิใน การเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินท ราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร มีดังนี้ 1.1 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับสมาธิใน การเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 ปจจัย ไดแก เพศ : นักเรียนหญิง (X2) และระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 1 (X3) 1.2 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับสมาธิใน การเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 อยางมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 มี 8 ปจจัย ไดแก ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X6) บุคลิกภาพ (X11) นิสัยทางการเรียน (X12) แรงจูงใจใฝ สัมฤทธิ์ทางการเรียน (X13) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ ผูปกครองดานการเรียน(X14) ลักษณะทางกายภาพทางการ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู และ เรียน (X15) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน( X17) 2. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับสมาธิในการ เรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร มี ดังนี้ 2.1 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับสมาธิ ในการเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินท ราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปจจัย ไดแก เพศ : นักเรียนชาย ( X1) 2.2 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับสมาธิ ในการเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 อยางมี
57
นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 1 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น มัธยมศึกษาปที่ 2 3. ปจจัยที่มีไมมีความสัมพันธกับสมาธิในการเรียน ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 5 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 3 (X5) ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7) สภาพครอบครัว : บิดามารดาอยูดวยกัน (X8)สภาพ ครอบครัว : บิดามารดาหยารางกัน (X9) และสภาพ ครอบครัว : บิดามารดาถึงแกกรรม (X10) 4. ปจจัยที่สงผลตอสมาธิในการเรียนของนักเรียน ในระดับชวงชั้นที่ 3 อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปจจัยโดยเรียงลําดับจากปจจัยที่สงผลมากที่สุด ไปหา ปจจัยที่สงผลนอยที่สุด ไดแก แรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ทางการ เรียน(X13) นิสัยทางการเรียน (X12) สัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับครู (X16) บุคลิกภาพ (X11) และสัมพันธภาพ โดยทั้ง 5 ปจจัยนี้ ระหวางนักเรียนกับผูปกครอง(X14) สามารถรวมกันอธิบายความแปรปรวนสมาธิในการเรียนของ นักเรียนชวงชั้นที่ 3 ไดรอยละ 60.50 ABSTRACT The purposes of this research were to study the factors affecting on learning concentration of the third level, secondary grades 1-3 students at Nawaminthrachinuthit Satriwitthaya Phuttamonthon School in Thaweewattana District, Bangkok . The factors were divided into 3 dimensions , first of them was personal factor : gender, class level,learning achievement, personality, studying habits and learning achievement motive, second of them was family factor : guardians’ status, guardians’ economic level and interpersonal relationship between students and their family memberships in learning aspect and third of them was learning environment factor : physical learning environment, interpersonal relationship between students and their teachers and interpersonal relationship between students and their peer groups.
58
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
The 337 samples : 157 males and 180 females were the learning concentration of the therd level, secondary grades 1-3 students at Nawaminthrachinuthit Satriwitthaya Phuttamonthon School in Thaweewattana District, Bangkok in academic year 2006. . The instrument was a questionnaires of factors affecting on learning concentration. The data was analyzed by The Pearson Product Moment Correlation Coefficient and Stepwise Multiple Regression Analysis. The results were as follows : 1. There were significantly positive correlation among learning concentration of the third level, secondary grades 1-3 students at Nawaminthrachinuthit Satriwitthaya Phuttamonthon School in Thaweewattana District, Bangkok and various factors : 1.1 There were significantly positive correlation among learning concentration of the third level, secondary grades 1-3 students at Nawaminthrachinuthit Satriwitthaya Phuttamonthon School in Thaweewattana District, Bangkok and 2 factors : gender : females (X2) and class level : matthayom suksa I (X3) at .05 level. 1.2 There were significantly positive correlation among learning concentration of the thire level, secondary grades 1-3 students and 8 factors : learning achievement (X6), personality (X11) , studying habits (X12) , learning achievement motive (X13), interpersonal relationship between students and their family memberships in learning aspect (X14), physical learning environment (X15), interpersonal relationship between students and their teachers (X16), interpersonal relationship between students and their peer groups (X17) at .01 level .
2. There were significantly negative correlation among learning concentration of the third level, secondary grades 1-3 students at Nawaminthrachinuthit Satriwitthaya Phuttamonthon School in Thaweewattana District, Bangkok and various factors : 2.1 There were significantly negative correlation between learning concentration of the third level, secondary grades 1-3 students at Nawaminthrachinuthit Satriwitthaya Phuttamonthon School in Thaweewattana District, Bangkok and 1 factor : gender : male (X1) at .05 level. 2.2 There were significantly negative correlation between learning concentration of the third level, secondary grades 1-3 students and 1 factor : class level : matthayom suksa II(X4) at .01 level . 3. There were no significantly correlation among learning concentration of the third level, secondary grades 1-3 students at Nawaminthrachinuthit Satriwitthaya Phuttamonthon School in Thaweewattana District, Bangkok and 5 factors : class level : matthayom suksa III (X5), guardians’ economic level (X7), guardians’ status : couple (X8), guardians’ status : separation of their guardians (X9) and guardians’ status : father/mother pass away (X10). 4. There were 5 factors got significantly affecting on learning concentration of the third level, secondary grades 1-3 students at Nawaminthrachinuthit Satriwitthaya Phuttamonthon School in Thaweewattana District, Bangkok ranking from the most affecters to the least affecters were learning achievement motive (X13), studying habits (X12), interpersonal relationship between students and and their teachers (X16) ,personality (X11)
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 interpersonal relationship between students and their family memberships in learning aspect (X14) at .01 level . These 5 factors could predicted learning concentration of the third level, secondary grades 1-3 students about percentage of 60.50. ความเปนมาและความสําคัญของปญหา การศึกษาเปนกระบวนการอยางหนึ่งที่ชวยพัฒนา บุคคลใหเจริญกาวหนา มีความรูและความสามารถในการ เขาใจปญหาตาง ๆ ในชีวิตไดอยางถูกตอง และสามารถนํา ความรูความเขาใจเหลานั้นในการแกไขปญหาที่เกิดขึ้นได อยางมีระบบและอยางมีประสิทธิภาพ พุทธศาสนายอมรับ ว า ก า รศึ ก ษ า มี ส ว น สํ าคั ญ อ ย า ง ยิ่ ง ใ น ก า ร ส ง เ ส ริ ม ความกาวหนาของบุคคลและเชื่อวาการมีความรู (ปญญา) เปนขุมทรัพยอันประเสริฐอยางหนึ่ง ผูที่ไดรับการอบรมใหมี ความรูความสามารถที่จะพัฒนาตนเองใหเจริญกาวหนาทาง อาชี พ การงานและทางจิ ต ใจ สมควรได รั บ การยกย อ ง (จํานง อดิวัฒนสิทธิ์.2545 : 119) กระบวนการศึกษาสวน หนึ่ ง ได ม าจากความรู ค วามเข า ใจในพระพุ ท ธศาสนา นอกจากทําใหรูเขาใจตนเองและพื้นฐานของสังคมไทยแลว ยังเชื่อมโยงออกไปใหเขาใจสังคมและชีวิตพรอมทั้งมองเห็น สายสัมพันธทั้งดานบวกและดานลบที่เปนเหตุปจจัยซึ่งกัน และกันอยู ซึ่งจะตองมองไกลไปใหครอบคลุมถึงจุดหมาย ของการศึกษาในระดับของการสรางสรรคคนใหเปนสมาชิกที่ ดีมีคุณภาพ ดังเชนการศึกษาพระพุทธศาสนา ซึ่งสนอง จุดมุงหมายเชนนี้สําหรับสังคมไทย (พระธรรมปฎก.2542 : 45-46) ภารกิ จ สํ า คั ญ สํ า คั ญ ของการศึ ก ษา คื อ การ ฝกอบรมบุคคลใหพฒ ั นาปญญาใหเกิดความรูความเขาใจใน ขอเท็จจริงและสภาวะของสิ่งทั้งหลาย (พุทธวิธีในการสอน. 2542 : 6) การศึกษาในปจจุบันนี้ ตองเปนไปเพื่อพัฒนาคน ให เ ป น คนเก ง ดี และมี ค วามสุ ข ดั ง ที่ พระธรรมป ฎ ก (2536 : 13) กลาวไววา ชีวิตมนุษยเปนชีวิตอยูไดดวย การศึกษา และจะอยูดียิ่งขึ้นไปก็ดวยการศึกษายิ่งขึ้นไป ชีวิตที่ดีคือชีวิตแหงการศึกษา ถาชีวิตไมมีการศึกษาก็ไมมี ความหมาย การศึกษาเปนสิ่งสําคัญ พระพุทธศาสนาจึง
59
มองว า ชี วิ ต มนุ ษ ย จึ ง เป น ชี วิ ต แห ง การศึ ก ษา ยกระดั บ คุณภาพชีวิตตนเองดวยการศึกษา พระราชบั ญ ญั ติ ก ารศึ ก ษาแห ง ชาติ พ.ศ.2542 (สํานักงานคณะกรรมการศึกษาแหงชาติ.2544:คํานํา) ไดให ความสําคัญกับการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไทยใหเปน มนุษยที่สมบูรณทั้งรางกาย จิตใจ สติปญญา ความรูและ คุ ณ ธรรม มี จ ริ ย ธรรมและวั ฒ นธรรมในการดํ า รงชี วิ ต สามารถอยูรวมกับคนอื่นไดอยางมีความสุข ซึ่งหมายถึงการ พั ฒ นาคนให เ ป น “คนเก ง ดี และมี ค วามสุ ข ” ด ว ย กระบวนการเรี ย นรู ต ลอดชี วิ ต โดยการนํ า เอาวิ ธี ก ารทาง ศาสนาเปนเครื่องมือในการพัฒนา การเปลี่ยนแปลงทุก อยางเปนไปไมไดที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดได ผูเรียนบางคนอาจ บรรลุจุดมุงหมายบางอยางตาง ๆ กันไป และในเวลาไม เทากัน อายุ ระดับชั้น ความสามารถ ประสบการณที่มี มากอน เจตคติที่มีตอการเรียน ความสนใจ แหลงความรูที่ ยั ง ประโยชน ไ ด เ หล า นี้ ล ว นเป น องค ประกอบที่ เกี่ ยวข องต อ ความสําเร็จของการเรียนการสอน ด ว ยเหตุ นี้ ผู วิ จั ย จึ ง มี ค วามสนใจที่ จ ะศึ ก ษา ปจจัยที่สงผลตอสมาธิในการเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขต ทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ความมุงหมายของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาความสัมพันธระหวางปจจัยดาน สวนตัว ดานครอบครัว และดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียน กับสมาธิดานการเรียน ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรง เรี ย นนวมิ น ทราชิ นู ทิ ศ สตรี วิ ท ยา พุ ท ธมณฑล เขตทวี วัฒนา กรุงเทพมหานคร 2. เพื่อศึกษาปจจัยดานสวนตัว ดานครอบครัว และดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียน ที่สงผลตอสมาธิดานการ เรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินู ทิ ศ ส ต รี วิ ท ย า พุ ท ธ ม ณ ฑ ล เ ข ต ท วี วั ฒ น า กรุงเทพมหานคร
60
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
3. เพื่อสรางสมการพยากรณปจจัยที่สงผลตอสมาธิ ในการเรียนนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 ความสําคัญของการวิจัย ผลของการศึ ก ษาค น คว า ครั้ ง นี้ เ พื่ อ ที่ จ ะทํ า ให ผูเกี่ยวของกับนักเรียน ไดแก ผูบริหาร ฝายวิชาการ ครู อาจารย ผู ส อนและอาจารย ที่ ป รึ ก ษาของโรงเรี ย นได นํ า ขอมูลไปใชประกอบการวางนโยบายในการจัดการศึกษาให นักเรียนมีสมาธิในการเรียนดียิ่งขึ้น ขอบเขตของการวิจัย ประชากรที่ใชในการวิจัย ประชากร ที่ใชในการศึกษาครั้งนี้ เปนนักเรียน ระดับชวงชั้นที่ 3 ปการศึกษา 2549 ซึ่งกําลังศึกษาอยู ในโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวี
วัฒนา กรุงเทพมหานคร จํานวนทั้งสิ้น 1,353 คน เปน นักเรียนชาย 631 คน และเปนนักเรียนหญิง 722 คน กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาครั้งนี้ เปนนักเรียน ระดับชวงชั้นที่ 3 ปการศึกษา 2549 ซึ่งกําลังศึกษาอยูใน โรงเรี ยนนวมิ น ทราชิ นู ทิศ สตรีวิ ท ยา พุ ท ธมณฑล เขตทวี วัฒนา กรุงเทพมหานคร จํานวนทั้งสิ้น 337 คน แบงเปนนักเรียนชาย 157 คน และเปนนักเรียนหญิง 180 คน ซึ่งไดมาจากการสุมแบบแบงชั้น (Stratified Random Sampling ) จากประชากรที่ระดับความเชื่อมั่น รอยละ 95 ของยามาเน (Yamane.1967) โดยใช ระดับชั้นและเพศเปนชั้น (Strata)
ตารางแสดงจํานวนประชากรและกลุมตัวอยาง จําแนกตามระดับเพศและชั้น
เพศ ระดับชั้น ชั้น ม.1 ชั้น ม.2 ชั้น ม.3 รวม
ชาย ประชากร กลุมตัวอยาง 215 54 212 53 204 51 631 158
รวม หญิง ประชากร กลุมตัวอยาง ประชากร กลุมตัวอยาง 238 59 453 113 255 63 467 116 229 57 433 108 722 179 1353 337
สมมุติฐานในการศึกษาคนควา 1. ปจจัยดานสวนตัว ปจจัยดานครอบครัว และ ปจจัยดานสภาพแวดลอมในการเรียน มีความสัมพันธกับ การมีสมาธิในการเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรง เรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวี วัฒนา กรุงเทพมหานคร 2. ปจจัยดานสวนตัว ปจจัยดานครอบครัว และ ปจจัยดานสภาพแวดลอมในการเรียน สงผลตอการมีสมาธิ ในการเรียนของนักเรียนระดับชวงชัน้ ที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร
เครื่องมือที่ใชในการศึกษาคนควา เครื่ อ งมื อ ที่ ใ ช ใ นการศึ ก ษาค น คว า ครั้ ง นี้ เป น แบบสอบถามปจจัยที่สงผลตอสมาธิในการเรียนของนักเรียน ระดั บ ช ว งชั้ น ที่ 3 โรงเรี ยนนวมิ น ทราชิ นู ทิ ศ สตรีวิ ท ยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานครงแบงออกเปน 10 ตอน ดังนี้ แบบสอบถามขอมูลสวนตัว แบบสอบถาม บุคลิกภาพ แบบสอบถามนิสัยทางการเรียน แบบสอบถาม แรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามการ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับผูปกครอง แบบสอบถาม ลั ก ษณะทางกายภาพด า นการเรี ย น แบบสอบถาม สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู แบบสอบถามสัมพันธภาพ ระหวางนักเรียนกับเพื่อน แบบสอบถามสมาธิในการเรียน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 การเก็บรวบรวมขอมูล 1. ผู วิ จั ย นํ า หนั ง สื อ จากบั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ไปขออนุญาตผูอํานวยการ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวี วัฒนา กรุงเทพมหานคร เพื่อขออนุญาตและขอความ อนุเคราะห ในการเก็บขอมูลจากกลุมตัวอยาง 2. ผูวิจัยนําแบบสอบถามปจจัยที่สงผลตอสมาธิ ในการเรียนไปเก็บรวบรวมขอมูลของนักเรียนในระดับชวงชั้น ที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขต ทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ดวยตนเอง 3. ผู วิ จั ย นํ า แบบสอบถามที่ นั ก เรี ย นตอบมา คัดเลือกเฉพาะแบบสอบถามที่สมบูรณ คือ ตอบคําถามครบ ทุกขอ ปรากฏวาสมบูรณทุกฉบับ จากนั้นจึงนํามาตรวจให คะแนนตามเกณฑที่กําหนด และนําขอมูลมาวิเคราะหทาง สถิติตอไป การวิเคราะหขอมูล 1. วิ เ คราะห ข อ มู ล ทั่ ว ไปโดยหาค า ร อ ยละ คาเฉลี่ย และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. วิ เ คราะห ค วามสั ม พั น ธ ร ะหว า งป จ จั ย ด า น สวนตัว ดานครอบครัว และดานสิ่งแวดลอมทางการเรียน โดยหาคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธของเพียรสัน (The Pearson Product Moment Correlation Coefficient) 3. วิ เ คราะห ป จ จั ย ด า นส ว นตั ว ด า นครอบครั ว และดานสิ่งแวดล อมดานการเรียนที่สง ผลตอสมาธิในการ เรียนโดยใชวิธีการวิเคราะหการถดถอยพหุคูณ (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิเคราะหขอมูลพบวา 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับสมาธิใน การเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินท ราชิ นู ทิ ศ สตรี วิ ท ยา พุ ท ธมณฑล เขตทวี วั ฒ นา กรุงเทพมหานคร มีดังนี้ 1.1 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับสมาธิใน การเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินท ราชิ นู ทิ ศ สตรี วิ ท ย า พุ ท ธมณฑล เข ตทวี วั ฒ น า กรุ ง เทพมหานครอย า งมีนั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติที่ ร ะดับ .05 มี นักเรียนเพศหญิง (X2) และระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 (X3)
61
1.2 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับสมาธิใน การเรีย นของนักเรีย นระดับ ชว งชั้น ที่ 3 โรงเรีย นนวมิน ท ราชิ นู ทิ ศ สตรี วิ ท ยา พุ ท ธมณฑล เขตทวี วั ฒ นา กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 8 องค ป ระกอบ ได แ ก ผลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย น (X6 ) บุคลิกภาพ (X11) นิสัยทางการเรียน (X12) แรงจูงใจใฝ สัมฤทธิ์ทางการเรียน (X13) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ ผูปกครองดานการเรียน (X14) ลักษณะทางกายภาพทางการ เรียน (X15) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู (X16) และ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน( X17) 2. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับสมาธิในการ เรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร มีดังนี้ 2.1 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับสมาธิ ในการเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 องคประกอบ ไดแก เพศชาย ( X1) 2.2 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับสมาธิ ในการเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินท ราชิ นู ทิ ศ สตรี วิ ท ยา พุ ท ธมณฑล เขตทวี วั ฒ นา กรุงเทพมหานครอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 1 ปจจัย ไดแก ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ( X4) 3. ปจจัยที่มีไมมีความสัมพันธกับสมาธิในการเรียน ของนั ก เรีย นระดับ ชว งชั้ น ที่ 3 โรงเรี ยนนวมิ น ทราชินู ทิ ศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานครมี 5 ปจจัย ไดแก ไดแก ระดับชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 3 (X5) รายไดของผูปกครองรวมกัน (X7) บิดามารดาอยูดวยกัน (X8) บิดามารดาหยารางกัน (X9) และบิดามารดาถึงแกกรรม (X10) 4. ปจจัยที่สงผลตอสมาธิในการเรียนของนักเรียน ในระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปจจัยโดยเรียงลําดับ จากปจ จัยที่ สง ผลมากที่สุ ด ไปหาปจจั ยที่ สง ผลน อ ยที่สุ ด ไดแก แรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ทางการเรียน(X13) นิสัยทางการ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู (X16) เรียน (X12) บุคลิกภาพ (X11) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับผูปกครอง(X14)
62
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ตารางแสดงผล การวิเคราะหปจจัยที่สงผลตอสมาธิในการเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร b
SEb
β
R
R2
F
.313 .271 .202 .184 .121
.654 .723 .748 .771 .778
.428 .522 .560 .594 .605
250.359** 182.407** 141.146** 121.512** 101.516**
องคประกอบ X13 X13 X12 X13 X12 X16 X13 X12 X16 X11 X13 X12 X16 X11 X14
.274 .043 .231 .041 .214 .037 .171 .036 .112 .035 a = .032 R = .778 R2 = .605 SEest = .3195
** มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สมการพยากรณ ส มาธิใ นการเรีย นของนั กเรี ย น จากตารางพบวาปจจัยที่สงผลผลตอสมาธิในการเรียนของ นักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรี ระดั บ ช ว งชั้ น ที่ 3 โรงเรี ย นนวมิ น ทราชิ นู ทิ ศ สตรี วิ ท ยา วิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร อยางมี พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ในรูปคะแนน นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปจจัยโดยเรียงลําดับ มาตรฐาน ไดแก จากปจจัยที่สงผลมากที่สุดไปหาปจจัยที่มีสงผลนอ ยที่สุด Z = .313 X13 + .271 X12 + .202 X16 + .184 ไดแก แรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X13) นิสัยทางการ X11 + .121 X14 เรียน (X12) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู (X16) อภิปรายผลการวิจัย ผลการศึกษาครั้งนี้ อภิปรายผลไดดังนี้ และสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ บุคลิกภาพ (X11) 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับสมาธิใน ผูปกครอง(X14) โดยทั้ง 5 ปจจัยสามารถรวมกันอธิบายความ แปรปรวนสมาธิในการเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 การเรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 1.1 เพศหญิง มีความสัมพันธทางบวกกับ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวี วั ฒ นา ได ร อ ยละ 60.50 จึ ง นํ า ค า สั ม ประสิ ท ธิ์ ข องตั ว สมาธิในการเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 1.2 ระดับ ชั้น มัธ ยมศึ ก ษาป ที่ 1 มี พยากรณมาเขียนสมการไดดังนี้ สมการพยากรณสมาธิในการเรียนของนักเรียนใน ความสั ม พั น ธ ท างบวกกั บ สมาธิ ใ นการเรี ย น อย า งมี ระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธ นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้เพราะนักเรียนมีความ มณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ในรูปคะแนนดิบ พรอมและตั้งใจในการเรียนอยูเปนพื้นฐาน จึงมีสมาธิดาน การเรี ย นมี ค วามตั้ ง อก ตั้ ง ใจและเอาใจใส ใ นการเรี ย น ไดแก Ŷ = .032 + .274 X13 + .231 X12 + .214 เพื่ อ ที่ จ ะทํ า ให ต นเองมี ค วามก า วหน า และพั ฒ นาไปสู ก าร เรียนรูที่ดีขึ้น X16 + .171 X11 + .112 X14
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 1.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีความสัมพันธ ทางบวกกับสมาธิในการเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 แสดงวานักเรียนที่มีสมาธิในการเรียนสูง จะมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูง ทั้งนี้เพราะนักเรียนตองการ พัฒนาตนเองใหดีขึ้น 1.4 บุคลิกภาพ มีความสัมพันธทางบวกกับ สมาธิในการเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงว า นั กเรี ยนนักเรีย นบางคนที่มีบุคลิ ก ภาพแบบเอ มี สมาธิในการเรียน ทั้งนี้เพราะ นักเรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเอ จะมีลักษณะ คือ ความมานะพยายามในการทํางาน ชอบฝา ฟนอุปสรรคตางๆ เพื่อประสบความสําเร็จ 1.5 นิสัยทางการเรียน มีความสัมพันธทางบวก กับสมาธิในการเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวา นักเรียนที่มีนิสัยทางการเรี ยนดี มีสมาธิในการ เรี ย นและตั้ ง ใจมุ ง มั่ น ที่ จ ะศึ ก ษาหาความรู เ พื่ อ ให บ รรลุ ความสําเร็จในดานการศึกษา 1.6 แรงจูงใจใฝ สัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความสัมพันธทางบวกกับสมาธิในการ เรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวา นักเรียนที่มีแรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ทางการเรียนมาก มีสมาธิใน การเรียนมาก 1.7 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับผูปกครอง มี ค วามสั ม พั น ธ ท างบวกกั บ สมาธิ ใ นการเรี ย นอย า งมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 1.8 ลักษณะทางกายภาพดานการเรียน มี ความสัมพันธทางบวกกับสมาธิในการเรียนของนักเรียนใน ระดั บ ช ว งชั้ น ที่ 3 อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 แสดงวานักเรียนที่ไดรับลักษณะทางกายภาพดานการเรียนที่ ดี มีสมาธิในการเรียนมาก 1.9 สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ครู มี ความสัมพันธทางบวกกับสมาธิในการเรียนของนักเรียนใน ระดับชวงชั้นที่ 3 อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 1.10 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนมี ความสัมพันธทางบวกกับสมาธิในการเรียนของนักเรียนใน ระดั บ ช ว งชั้ น ที่ 3 อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 แสดงวานักเรียนที่มีสัมพันธภาพดีกับเพื่อน มีสมาธิในการ เรียนมาก ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติตนของนักเรียนและเพื่อนที่
63
มีตอกันทั้งในและนอกหองเรียนเพื่อใหเกิดความสัมพันธที่ดี ตอกัน 2. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับสมาธิในการ เรียนของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 คือ 2.1 เพศชาย มีความสัมพันธทางลบกับสมาธิ ในการเรียนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 อยางมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 แสดงวานักเรียนเพศชายบางคนมีสมาธิใน การเรี ย นน อ ยเพราะขาดความรั บ ผิ ด ชอบต อ งานที่ ไ ด รั บ มอบหมาย ไมคอยสนใจในการเรียนและการประกอบอาชีพ ในอนาคต พูดคุยในเวลาเรียน นั่งเหมอลอย ปลอยจิตใจ ฟุงซาน ไมมีสมาธิในการเรียนซึ่งเปนสาเหตุทําใหไมเขาใจ บทเรียนและเบื่อหนายการเรียน 2.2 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 มีความสัมพันธ ทางลบกับสมาธิในการเรียนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3.ปจจัยที่ไมมีความสัมพันธกับสมาธิในการเรียนของ นักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรี วิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานครมี 5 ปจจัย ไดแก ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 (X5) รายไดของ ผูปกครองรวมกัน (X7) บิดามารดาอยูดวยกัน (X8) บิดา มารดาหยารางกัน (X9) และบิดามารดาถึงแกกรรม (X10) ซึ่งอภิปรายผลไดดังนี้ 4. ป จจั ยที่ ส งผลต อ สมาธิ ใ นการเรี ย นของนั ก เรี ย น ชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธ มณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปจจัย คือ 4.1 แรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ทางการเรียนเปน ปจจัยที่สงผลตอสมาธิในการเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 เปนลําดับแรก แสดงวา นักเรียนที่มีแรงจูงใจ ใฝสัมฤทธิ์ทางการเรียนมากทําใหมีสมาธิใ นการเรียนมาก ทั้ ง นี้ เ พราะนั ก เรี ย นมี ค วามต อ งการของบุ ค คลที่ จ ะฝ า ฟ น อุปสรรคโดยไมยนยอและไมทอแท และทํางานใหบรรลุตาม จุดมุงหมายที่วางไวอยางมีระสิทธิภาพ 4.2 นิสัยทางการเรียน เปนปจจัยที่สงผลตอ สมาธิในการเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เปน อันดับที่สอง แสดงวา นักเรียนที่มีนิสัยทางการเรียนดี ทําให
64
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
มีสมาธิในการเรียนมาก ทั้งนี้เพราะนิสัยทางการเรียนเปน องคประกอบที่สําคัญในการเรียนรู 4.3 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู เปนปจจัยที่สงผลตอสมาธิในการเรียนอยางมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 เปนอันดับที่สาม แสดงวา นักเรียนที่มี สั ม พั น ธภาพกั บ ครู ดี ทํ า ให มี ส มาธิ ใ นการเรี ย นมาก ทั้ ง นี้ เพราะครูใหความรัก ความเอาใจใสตอนักเรียน และให คํ า ปรึ ก ษาหารื อ เมื่ อ นั ก เรี ย นมี ป ญ หา ทํ า ให นั ก เรี ย นมี ทัศนคติที่ดีตอครู ตั้งใจและเอาใจใสตอการเรียน 4.4 บุคลิกภาพ เปนปจจัยที่สงผลตอสมาธิ ในการเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เปน อันดับที่สี่ แสดงวา นักเรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเอ มีสมาธิ ในการเรียนมาก เพราะนักเรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเอ เปน ผูรักความกาวหนา จึงทําใหไมยอทอตออุปสรรค 4.5 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ ผูป กครอง เปน ปจจัยที่สงผลต อสมาธิในการเรี ยนอยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เปนอันดับที่หา แสดงวา นัก เรีย นที่มีสัม พัน ธภาพระหวา งนัก เรีย นกับ ผูป กครองดี มีสมาธิในการเรียนมาก ทั้งนี้เพราะ สัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับผูปกครองเปนความสัมพันธที่ใกลชิดกัน การมี ปฏิสัมพันธที่ดีตอกัน เขาใจเห็นอกเห็นใจกันจะเปนปจจัยที่ เกื้อหนุนใหนักเรียนตั้งใจเรียนและมีสมาธิในการเรียนมาก ขอเสนอแนะ 1. ขอเสนอแนะทั่วไป ผลจากการวิจัยครั้งนี้ สามารถใชเปนแนวทางให ผูบริหาร ครูผูสอน อาจารยที่ปรึกษา อาจารยแนะแนว และ ผูปกครองไดท ราบขอ มูลเพื่ อ พิจารณา สามารถนํา ไปเปน ขอมูลประกอบวางแผนพัฒนา หรือหาวิธีการในการสงเสริม ใหนักเรี ยนในโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิท ยา พุท ธ มณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานครมีสมาธิในการเรียน โดยนํ า ปจจัยที่ สงผลตอสมาธิในการเรียนนําไปเปน ขอ มูล ประกอบวางแผนพั ฒ นา หรื อ หาวิ ธี ก ารในการส ง เสริ ม ให นักเรียนมีสมาธิในการเรียน ดังนี้คือ
1.1 แรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั้ง ผู ป กครอง ผู บ ริ ห าร ครู ผู ส อนตลอดจนผู ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ นักเรียน ควรมีการสงเสริมใหนักเรียนมีแรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ ทางการเรียน โดยการฝกใหนักเรียน มีความพยายามตอการ เรียนใหประสบความสําเร็จโดยไมยอทอตออุปสรรค รูจัก กําหนดเปาหมายที่เหมาะสมกับความสามารถของตน รูจักวา ตนเองเดน หรือดอยในดานไหน สามารถคิดแกปญหา และ อุปสรรคตาง ๆ ในการทํางานไดดวยตนเอง 1.2 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู ครู ควรมีการพัฒนาสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู โดยจัด กิจกรรมการเรียนทั้งใน และนอกหองเรียนใหนักเรียนกับครูได มีกิจกรรมรวมกันเพื่อใหเกิดความทัศนคติที่ดีตอกัน 1.3 บุคลิกภาพ ควรสงเสริมกิจกรรมที่ พัฒนาบุคลิกภาพของนักเรียนใหมีความกระตือรือรน ใฝรู ใฝเรียน คิดแกปญหาและฟนฝาอุปสรรคไดดวยตนเอง 1.4 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ ผูปกครอง ควรสงเสริมใหผูปกครองและนักเรียนมีโอกาสทํา กิจกรรมรว มกันเพื่อสรางสายสัมพัน ธที่ดีในครอบครัว ทั้ง ที่ บานและที่โรงเรียน 2. ขอเสนอแนะในการวิจัยครั้งตอไป 2.1 ควรมี ก ารศึ ก ษาป จ จั ย ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ สมาธิในการเรียนของนักเรียนในระดับชวงชั้นอื่นๆ เชน ชวง ชั้นที่ 1 ชวงชั้นที่ 2 และระดับอุดมศึกษา เปนตน 2.2 ควรพัฒนาปจจัยที่สงผลตอสมาธิในการ เ รี ย น ไ ด แ ก แ ร ง จู ง ใ จ ใ ฝ สั ม ฤ ท ธิ์ ท า ง ก า ร เ รี ย น สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน และสัมพันธภาพ ระหวางครูและนักเรียน โดยนําไปทําการวิจัยเชิงทดลองเพื่อ พัฒ นาองค ป ระกอบดั ง กล า วซึ่ ง จะช ว ยแก ป ญ หาด า นการ เรียน โดยใชเทคนิคทางจิตวิทยา เชน การปรับพฤติกรรม กลุมสัมพันธ เปนตน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
บรรณานุกรม เกียรติวรรณ อมาตยกุล (2530) วิถีแหงพุทธะ.กรุงเทพฯ : หางหุนสวนจํากัดภาพพิมพ. คณะอนุกรรมการการปฏิรูปการเรียนรู. (2543) ปฏิรูปการเรียนรูผูเรียนเปนสําคัญที่สุด.กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการศึกษาแหงชาติ. จรรจา สุวรรณทัตและคณะ (2523).จิตวิทยาทั่วไป เลม 1 กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. จํานง อดิวัฒนสิทธิ์.(2545) สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร.กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ธรรมปฎก,พระ.สัมมาสมาธิและสมาธิแบบพุทธ.กรุงเทพฯ.โรงพิมพธรรมสภา. ธรรมปฎก,พระ.(2542) พุทธวิธีในการสอน.กรุงเทพฯ.บริษัทสหธรรมมิก จํากัด. ธรรมปฎก พระ, (2544).พุทธธรรม.กรุงเทพฯ.ดวงแกว. ธเนศ ขําเกิด.(2533) “การจัดบรรยากาศและสิ่งแวดลอมที่ดีในโรงเรียน”วารสารมิตรครู.9(30):4 นาตยา ภัทรแสงไทย.(2525) ยุทธวิธีการสอนสังคมศึกษา.กรุงเทพฯ.โรงพิมพพีระพัธนา. พรจิรา วงศชนะภัย.(2545) ปจจัยที่สงผลตอสุขภาพจิตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนตน. ปริญญานิพนธ (จิตวิทยาการศึกษา) กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.ถายเอกสาร. พรรณี ชูทัย เจนจิต (2532) จิตวิทยาการเรียนการสอนตอจิตวิทยาการศึกษาสําหรับครูในชั้นเรียน.กรุงเทพฯ : อมรินทรการพิมพ. พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ.2542 และที่แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2545 (สํานักงานคณะกรรมการศึกษา แหงชาติ.2544) กรุงเทพฯ: บริษัทพริกหวานกราฟฟค จํากัด. Frew,D.T. (1972).”Trancendental Medetation and Productivety”,Graduate School of Business Administration,Gannon College: 162.
65
66
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ปจจัยทีส่ งผลตอปญหาในการเรียนของนักเรียน ชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร FACTORS AFFECTING ON LEARNING PROBLEMS OF THE FOURTH LEVEL, SECONDARY GRADES 4-6 STUDENTS OF WATNUANNORADIT SCHOOL IN PHASICHAROEN DISTRICT, BANGKOK. พระมหาเดชจําลอง พุฒหอม 1 รองศาสตราจารยเวธนี กรีทอง 2 อาจารยนันทวิทย เผามหานาคะ 2 บทคัดยอ การวิ จั ย ครั้ ง นี้ มี จุ ด มุ ง หมายเพื่ อ ศึ ก ษาป จ จั ย ที่ สงผลตอปญหาในการเรียนของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัด นวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ปจจัยที่ศึกษา แบงเปน 3 ปจจัย คือ ปจจัยดานสวนตัว ปจจัยดานครอบครัว และปจจัยดานสิ่งแวดลอมในการเรียน กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย เปนนักเรียนชวงชั้น ที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ป การศึกษา 2549 จํานวน 327 คน เปนนักเรียนชาย 188 คน และนักเรียนหญิง 139 คน ซึ่งไดมาโดยการสุมแบบแบงชั้น (Stratified Random Sampling) โดยใชระดับชั้นและเพศเปน ชั้ น (Strata) เครื่ อ งมื อ ที่ ใ ช ใ นการวิ จั ย ได แ ก แบบสอบถาม ปจจัยที่สงผลตอปญหาในการเรียน สถิติที่ใชในการวิเคราะห ขอมูล คือ การวิเคราะหคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธของเพียรสัน และการวิเคราะหการถดถอยพหุคูณ
1
นิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ผลการวิจัยพบวา 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับปญหาใน การเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปจจัย ไดแก เพศ : ชาย 2. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับปญหาในการ เรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 ปจจัย ไดแก เพศ : หญิง และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และปจจัย ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ท างลบกั บ ป ญ หาในการเรี ย น อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 มี 4 ป จ จั ย ได แ ก นิ สั ย ทางการเรี ย น การสนั บ สนุ น ด า นการเรี ย นของผู ป กครอง สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ครู และสั ม พั น ธภาพ ระหวาง นักเรียนกับเพื่อน 3. ปจจัยที่ไมมีความสัมพันธกับปญหาในการเรียน มี 6 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 4 ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 5 ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 6 ฐานะทาง เศรษฐกิ จ ของผู ป กครอง บุ ค ลิ ก ภาพ และลั ก ษณะทาง กายภาพของการเรียน 4. ปจจัยที่สงผลตอปญหาในการเรียน อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4 ปจจัย โดยเรียงลําดับ จากป จ จั ย ที่ ส ง ผลมากที่ สุ ด ไปหาป จ จั ย ที่ ส ง ผลน อ ยที่ สุ ด ไดแก นิสัยทางการเรียน สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ เพื่อน การสนับสนุนดานการเรียนของผูปกครอง และฐานะ ทางเศรษฐกิ จ ของผู ป กครอง ซึ่ ง ป จ จั ย ทั้ ง 4 ป จ จั ย นี้ สามารถรว มกัน อธิบ ายความแปรปรวนของป ญ หาในการ เรียนของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขต ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ไดรอยละ 42.70 5. สมการพยากรณปญหาในการเรียนของนักเรียน ช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นวั ด นวลนรดิ ศ เขตภาษี เ จริ ญ กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี ดังนี้ 5.1 สมการพยากรณปญหาในการเรียน ในรูป คะแนนดิบ ไดแก Ŷ = 4.894 - .406X9 - .257X13 + .089X10 - .016X7 5.2 สมการพยากรณปญหาในการเรียน ในรูป คะแนนมาตรฐาน ไดแก Z = -.499X9 - .403X13 + .158X10 - .115X7
67
ABSTRACT The purposes of this research were to study the factors affecting on learning problems of the fourth level, secondary grades 4-6 students of Watnuannoradit School in Phasicharoen District, Bangkok. The factors were divided into 3 dimensions : personal factor, family factor and learning environment factor. The 327 samples : 188 males and 139 females were the fourth level, secondary grades 4-6 students of Watnuannoradit School in Phasicharoen District, Bangkok in academic year 2006. These students were stratified randomly from population with strata of class and gender. The instrument was a questionnaires of the factors affecting on learning problems. The data was analyzed by The Pearson Product Moment Correlation Coefficient and Stepwise Multiple Regression Analysis. The results were as follows : 1. There were significantly positive correlation among learnig problems and 1 factor : gender : male at .05 level. 2. There were significantly negative correlation among learning problems and 2 factors : gender : female and learning achievement at .05 level, there were significantly negative correlation among learning problems and 4 factors : learning habits, guardians’ learning support, interpersonal relationship between students and their teachers and interpersonal relationship between students and their peer groups at .01 level. 3. There were no significantly correlation among learning problems and 6 factors : class level : matthayom suksa IV, class level : matthayom suksa V, class level : matthayom suksa VI, guardians’ economic level, personality and physical learning environment.
68
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
4. There were 4 factors got significantly affecting on learning problems raking from the most affecter to the least affecter were learning habits, interpersonal relationship between students and their peer groups, guardians’ learning support and guardians’ economic level at .01 level. These 4 factors could predicted learning problems of the fourth level, secondary grades 4-6 students of Watnuannoradit School in Phasicharoen District, Bangkok about percentage of 42.70. 5. The predicted equation of learning problems of the fourth level, secondary grades 4-6 students of Watnuannoradit School in Phasicharoen District, Bangkok at .01 level were as follows : 5.1 In terms of raw scores were : Ŷ = 4.894 - .406X9 - .257X13 + .089X10 - .016X7 5.2 In terms of standard scores were : Z = -.499X9 - .403X13 + .158X10 - .115X7 ความเปนมาและความสําคัญของการวิจัย การปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษา แห ง ชาติ พ.ศ. 2542 ทํ า ให เ กิ ด การเปลี่ ย นแปลงการจั ด การศึกษาในรูปแบบใหม รวมทั้งวิธีคิด และกระบวนการ เรียนรู ที่เนนผูเรียนเปนสําคัญ เพื่อพัฒนาคุณลักษณะของ ผูเรียนใหเปนคนดี คนเกง และมีความสุข (วิชัย วงษใหญ. 2543:69) แตการเปลี่ยนแปลงนั้นก็ทําใหเกิดผลกระทบตอ ผู เ รี ย นเป น อย า งมาก จนกลายเป น ป ญ หาที่ นั ก เรี ย นต อ ง เผชิญในชวงชีวิตของการเรียน เชน ปญหาการปรับตัวให เขากับการเรียน ปญหาการทํางานเกี่ยวกับการเรียน ปญหา ดานหลักสูตรและการสอนของครู และปญหาการเตรียมตัว เพื่อศึกษาตอ เปนตน ดังนั้น ผูวิจัยจึงสนใจศึกษาวิจัยปญหาในการเรียน ของนักเรียน เนื่องจากเห็นวา ผลของการศึกษาวิจัยครั้งนี้ จะสามารถใช เ ป น ข อ มู ล ในการวางนโยบายป อ งกั น และ ชวยเหลือนักเรียนชวงชั้นที่ 4 ที่มีปญหาในการเรียน เพื่อ สงเสริมใหนักเรียนสามารถเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพและ มีความสุข
ความมุงหมายในการวิจัย 1. เพื่ อ ศึ ก ษาความสั ม พั น ธ ร ะหว า งป จ จั ย ด า น สวนตัว ปจจัยดานครอบครัว และปจจัยดานสภาพแวดลอม ในการเรีย นกั บ ป ญ หาในการเรี ย นของนั ก เรีย นช ว งชั้น ที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 2. เพื่ อ ศึ ก ษาป จ จั ย ด า นส ว นตั ว ป จ จั ย ด า น ครอบครัว และปจจัยดานสภาพแวดลอมในการเรียนที่สงผล ตอ ปญ หาในการเรี ย นของนัก เรียนช ว งชั้น ที่ 4 โรงเรียนวั ด นวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 3. เพื่อสรางสมการพยากรณของปญหาในการเรียน ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร วิธีวิจัย ประชากรที่ใชในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชวงชั้น ที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ประจํา ปก ารศึก ษา 2549 จํ า นวน 1,311 คน ได สุม กลุ ม ตั ว อย า งแบบแบ ง ชั้ น โดยใช ชั้ น และเพศเป น ชั้ น ได ก ลุ ม ตัวอยางจํานวน 327 คน เครื่องมือที่ใชในการวิจัยเปนแบบสอบถามปญหา ในการเรียนแบบมาตราสวนประมาณคา (Rating Scale) 5 ระดับ ที่ผูวิจัยสรางขึ้น โดยสถิติที่ใชในการวิจัยคือ คารอยละ (Percentage) คาเฉลี่ย ( x ) สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบความสัมพันธดวยวิธีการวิเคราะหคาสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธของเพียรสัน (The Pearson Product Moment Correlation Coefficient) และคนหาตัวพยากรณปญหาใน การเรี ย นโดยใช วิ ธี ก ารวิ เ คราะห ก ารถดถอยพหุ คู ณ (Stepwise Multiple Regression Analysis) สมมติฐานในการวิจัย 1. ปจจัยดานสวนตัว ดานครอบครัว และดาน สิ่ง แวดลอ มในการเรียน มีค วามสัมพัน ธกับ ปญ หาในการ เรียนของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษี เจริญ กรุงเทพมหานคร 2. ปจจัยดานสวนตัว ดานครอบครัว และดาน สิ่ ง แวดล อ มในการเรี ย น ส ง ผลต อ ป ญ หาในการเรีย นของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ผลการวิจัยและอภิปรายผล 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับปญหาใน การเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปจจัย ไดแก เพศ : ชาย แสดงวานักเรียนเพศชายมีปญหาในการ เรียนมาก ทั้งนี้อาจเปนเพราะนักเรียนชายซึ่งอยูในชวงวัยรุน มี ค วามขยั น ความตั้ ง ใจ เอาใจใส ต อ การเรี ย นน อ ย สอดคล อ งกั บ ผลการวิ จั ย ของ วิ ร ชาม กุ ล เพิ่ ม ทวี รั ช ต (2547:78) ที่ไดศึกษาปจจัยที่สงผลตอแรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ ทางการเรี ย นวิ ช าภาษาอั ง กฤษของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นวั ด ราชโอรส เขตจอมทอง กรุ ง เทพมหานคร ผลการวิจัยพบวา นักเรียนชายมีแรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ทางการ เรียนภาษาอังกฤษนอย 2. ป จ จั ย ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ท างลบกั บ ป ญ หาใน การเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 ปจจัย ไดแก เพศ : หญิง และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และปจจัย ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ท างลบกั บ ป ญ หาในการเรี ย น อย า งมี นัยสํา คัญทางสถิติ ที่ ระดั บ .01 มี 4 ป จจั ย ไดแ ก นิสัย ทางการเรียน การสนับสนุนดานการเรียนของผูปกครอง สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ครู และสั ม พั น ธภาพ ระหวาง นักเรียนกับเพื่อน ซึ่งอภิปรายผลไดดังนี้ 2.1 เพศ : หญิง มีความสัมพันธทางลบกับ ปญหาในการเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงวานักเรียนหญิงมีปญหาในการเรียนนอย ทั้งนี้อาจเปน เพราะนักเรียนหญิงมีความตั้งใจ สนใจ และเอาใจใสตอการ เรียนมาก เพราะวัยรุนหญิงจะมีวุฒิภาวะดานสังคมมากกวา วั ย รุ น ชาย จึ ง มี ค วามตั้ ง ใจเรี ย น ตั้ ง ใจทํ า งานที่ ไ ด รั บ มอบหมาย ซึ่งสอดคลองกับผลการวิจัยของ พระมหาภักดี เกตุ เ รน (2547:108) ที่ ไ ด ศึ ก ษาตั ว แปรที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ แรงจูงใจในการเรียนวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนศูนย ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตยวัดชางไห อําเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปตตานี ผลการวิจัยพบวา นักเรียนหญิงมีแรงจูงใจ ในการเรียนวิชาพระพุทธศาสนามาก 2 . 2 ผ ล สั ม ฤ ท ธิ์ ท า ง ก า ร เ รี ย น มี ความสั ม พั น ธ ท างลบกั บ ป ญ หาในการเรี ย น อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .05 แสดงว า นั ก เรี ย นที่ มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงมีปญหาในการเรียนนอย ทั้งนี้
69
อาจเปน เพราะนักเรียนที่ มีผ ลสัมฤทธิ์ท างการเรียนสูง เป น นั ก เรี ย นที่ ตั้ ง ใจเรี ย น และเอาใจใส ใ นการเรี ย น มี ค วาม กระตือรือรน ขยันอานหนังสือและทบทวนบทเรียน จึงทําให มี ป ญ ห า ใ น ก า ร เ รี ย น น อ ย ดั ง ที่ ลิ น ด เ ก ร น (Lindgren.1980:48-51) กลาววา เหตุผลที่นักเรียนประสบ ความสํา เร็จ ในการเรียนนั้น ขึ้น อยูกับ วิธีป ฏิบัติต นทางการ เรียนรอยละ 33 ความสนใจในการเรียนรอยละ 25 เชาวน ปญญารอยละ 15 นอกนั้นขึ้นอยูกับองคประกอบอื่น ๆ 2.3 นิสัยทางการเรียน มีความสัมพันธทาง ลบกั บ ป ญ หาในการเรี ย น อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ระดับ .01 แสดงวา นักเรียนที่มีนิสัยทางการเรียนดีมีปญหา ในการเรียนนอย ทั้งนี้อาจเปนเพราะ นักเรียนที่มีนิสัย ทางการเรียนดี มีความตั้งใจ เอาใจใสตอการเรียน มีการ วางแผนการเรียนของตนเอง รูจัก แบงเวลา รูจัก แสวงหา ขอมูลเกี่ยวกับการเรียนอยูเสมอ ซึ่งสอดคลองกับผลการวิจัย ของ อัจฉรา วงศโสธร และคนอื่น ๆ (2525:95-98) ที่ได ศึกษาความสัมพันธระหวางวิธีการเรียนรูและความสําเร็จใน การเรี ย นภาษาอั ง กฤษของผู เ ริ่ ม เรี ย น โดยศึ ก ษา องคประกอบตาง ๆ ไดแก ความถนัดทางการเรียน ทัศนคติ แรงจู ง ใจ และนิ สั ย ในการเรี ย น กลุ ม ตั ว อย า งที่ ใ ช เ ป น นั ก เรี ย นที่ เ ริ่ ม เรี ย นภาษาอั ง กฤษจากโรงเรี ย นสามเสน วิ ท ยาลั ย จํ า นวน 97 คน ผลการวิ จั ย พบว า ทั ศ นคติ แรงจูงใจ นิสัยในการเรียน มีความสัมพันธกับความสําเร็จ ในการเรียนภาษาอังกฤษตามความสามารถของแตละคน 2.4 การสนับสนุนดานการเรียนของ ผู ป กครอง มี ค วามสั ม พั น ธ ท างลบกั บ ป ญ หาในการเรี ย น อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวานักเรียนที่ ไดรั บ การสนับ สนุ น ด า นการเรี ย นจากผู ปกครองมาก มี ปญหาในการเรียนนอย ทั้งนี้อาจเปนเพราะผูปกครองที่ให การสนับสนุนดานการเรียนแกนักเรียน ทั้งทางดานวัตถุและ ทางดานวาจาอยางมากนั้น ทําใหนักเรียนมีกําลังใจและมี ความตั้งใจในการเรียน จึงทําใหนักเรียนสามารถเรียนรูได อย า งเต็ ม ที่ สอดคล อ งกั บ ผลการวิ จั ย ของ สิ ริ พ ร ดาวั น (2540:96) ที่ ไ ด ศึ ก ษาตั ว แปรที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ ความ ขยันหมั่นเพียรในการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอน ปลายปการศึกษา 2539 โรงเรียนพิบูลวิท ยาลัย จัง หวัด
70
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ลพบุ รี ผลการวิ จั ย พบว า บรรยากาศในครอบครั ว มี ความสั ม พั น ธ กั บ ความขยั น หมั่ น เพี ย รในการเรี ย นของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2.5 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู มี ความสัมพันธทางลบกับปญหาในการเรียน อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวานักเรียนที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับ ครู มี ป ญ หาในการเรี ย นน อ ย ทั้ ง นี้ อ าจเป น เพราะการที่ นักเรียนกับครูมีสัมพันธภาพที่ดีตอกัน โดยที่นักเรียนมีความ เคารพนับถือ เชื่อฟงครูผูสอน ตั้งใจทําในสิ่งที่ครูอบรมสั่ง สอน และซักถามครูเมื่อมีขอสงสัยทั้งในดานการเรียนและ ดานสวนตัว และการที่ครูใหความสนใจตอนักเรียน มีความ เปนกันเอง และใหความรักความเอาใจใส ใหคําปรึกษา และ ขอ ชี้ แ นะแก นั กเรียนทั้ง ดานการเรีย นและดา นส ว นตั ว สิ่ง เหลานี้จะมีสวนชวยใหนักเรียนมีความสนใจและตั้งใจเรียน ดังที่ พรรณี (ชูทัย) เจนจิต (2538:361) กลาววา การที่ครู มีค วามเมตตากรุ ณ าเห็น อกเห็ น ใจนัก เรีย นสนใจนั ก เรี ย น อยางสม่ําเสมอ มีความยุติธรรม ตลอดจนมีความสัมพันธ อันดีกับนักเรียน ทําใหนักเรียนรักที่จะเรียน และสงผลให นักเรียนประสบความสําเร็จในการเรียนดวย 2.6 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อ น มีความสัมพัน ธทางลบกับปญหาในการเรียน อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวานักเรียนที่มี สัมพั นธภาพที่ดี กับเพื่ อ น มี ปญหาในการเรียนนอ ย ทั้ง นี้ อาจเปนเพราะการปฏิบัติตนของนักเรียนและเพื่อนที่มีตอกัน ทั้งในและนอกหองเรียน โดยการชวยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและ กันดานการเรียน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทางการเรียน มีความหวงใยใกลชิดสนิทสนมซึ่งกันและกัน ทํากิจกรรมตาง ๆ รวมกัน ยอมสงผลใหนักเรียนมีปญหาในการเรียนนอย 3. ปจจัยที่ไมมีความสัมพันธกับปญหาในการเรียน มี 6 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 4 ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 5 ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 6 ฐานะทาง เศรษฐกิ จ ของผู ป กครอง บุ ค ลิ ก ภาพ และลั ก ษณะทาง กายภาพของการเรียน ซึ่งอภิปรายผลไดดังนี้ 3.1 ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 4 ไมมี ความสัมพันธกับปญหาในการเรียน แสดงวา นักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปที่ 4 บางคนมีปญหาในการเรียนนอย ในขณะ ที่นักเรียนบางคนมีปญหาในการเรียนมาก 3.2 ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 5 ไมมี ความสัมพันธกับปญหาในการเรียน แสดงวา นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 5 บางคนมีปญหาในการเรียนนอย ในขณะ ที่นักเรียนบางคนมีปญหาในการเรียนมาก 3.3 ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 6 ไมมี ความสัมพัน ธกับ ปญหาในการเรียน แสดงวา นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปท่ี 6 บางคนมีปญหาในการเรียนนอย ในขณะ ที่นักเรียนบางคนมีปญหาในการเรียนมาก 3.4 ฐานะทางเศรษฐกิจของผูปกครอง ไมมี ความสัมพันธกับปญหาในการเรียน แสดงวา นักเรียนบาง คนที่ผูปกครองมีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีปญหาในการเรียน น อ ย ในขณะที่ นั ก เรี ย นบางคนที่ ผู ป กครองมี ฐ านะทาง เศรษฐกิจดี มีปญหาในการเรียนมาก อีกดานหนึ่ง นักเรียน บางคนที่ผูปกครองมีฐานะทางเศรษฐกิจไมดี มีปญหาในการ เรียนนอย ในขณะที่นักเรียนบางคนที่ผูปกครองมีฐานะทาง เศรษฐกิจไมดี มีปญหาในการเรียนมาก 3.5 บุคลิกภาพ ไมมีความสัมพันธกับปญหา ในการเรียน แสดงวา นักเรียนบางคนที่มีบุคลิกภาพแบบ เอ มี ป ญ หาในการเรี ย นน อ ย ในขณะที่ นั ก เรี ย นบางคนที่ มี บุคลิกภาพแบบ เอ มีปญหาในการเรียนมาก อีกดานหนึ่ง นักเรียนบางคนที่มีบุคลิกภาพแบบ บี มีปญหาในการเรียน น อ ย ในขณะที่ นั ก เรี ย นบางคนที่ มี บุ ค ลิ ก ภาพแบบ บี มี ปญหาในการเรียนมาก 3.6 ลักษณะทางกายภาพของการเรียน ไมมี ความสัมพันธกับปญหาในการเรียน แสดงวา นักเรียนบาง คนที่ไดรับลักษณะทางกายภาพของการเรียนดี มีปญหาใน การเรียนนอย ในขณะที่นักเรียนบางคนที่ไดรับลักษณะทาง กายภาพของการเรียนดี มีปญหาในการเรียนมาก 4. ปจจัยที่มีสงผลตอปญหาในการเรียน อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4 ปจจัย โดยเรียงลําดับ จากป จ จั ย ที่ ส ง ผลมากที่ สุ ด ไปหาป จ จั ย ที่ ส ง ผลน อ ยที่ สุ ด ไดแก นิสัยทางการเรียน สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ เพื่อน การสนับสนุนดานการเรียนของผูปกครอง และฐานะ ทางเศรษฐกิ จ ของผู ป กครอง ซึ่ ง ป จ จั ย ทั้ ง 4 ป จ จั ย นี้
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 สามารถรว มกั น อธิ บ ายความแปรปรวนของป ญ หาในการ เรียนของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขต ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ไดรอยละ 42.70 ซึ่งอภิปราย ผลไดดังนี้ 4.1 นิ สั ย ทางการเรี ย น ส ง ผลทางลบต อ ปญหาในการเรียน เปนอันดับที่ 1 แสดงวานักเรียนที่มีนิสัย ทางการเรี ย นดี มี ป ญ หาในการเรี ย นน อ ย ทั้ ง นี้ เ พราะ นักเรียนที่มีนิสัยทางการเรียนดี มีความตั้งใจ เอาใจใสตอ การเรียน มีการวางแผนการเรียนของตนเอง รูจักแบงเวลา รูจักแสวงหาขอมูลเกี่ยวกับการเรียนอยูเสมอ ซึ่งสอดคลอง กั บ ผลการวิ จั ย ของ อั จ ฉรา วงศ โ สธร และคนอื่ น ๆ (2525:95-98) ที่ไดศึกษาความสัมพันธระหวางวิธีการเรียนรู และความสํ า เร็ จ ในการเรี ย นภาษาอั ง กฤษของผู เ ริ่ ม เรี ย น โดยศึกษาองคประกอบตาง ๆ ไดแก ความถนัดทางการเรียน ทัศนคติ แรงจูงใจ และนิสัยในการเรียนกลุมตัวอยางที่ใช เปนนักเรียนที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษจากโรงเรียนสามเสน วิทยาลัย จํานวน 97 คน พบวา ทัศนคติ แรงจูงใจ นิสัยใน การเรี ย น มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ ความสํ า เร็ จ ในการเรี ย น ภาษาอังกฤษตามความสามารถของแตละคน 4.2 สั มพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อ น สงผลทางลบตอปญหาในการเรียน เปนอันดับที่ 2 แสดงวา นักเรียนที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อน มีปญหาในการเรียน นอย ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติตนกับเพื่อนไดถูกตองเหมาะสม เชน การชวยเหลือใหคําปรึกษาแกกันและกันดานการเรียน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดานการเรียน มีความหวงใย ใกลชิดสนิทสนมซึ่งกันและกัน และการทํากิจกรรมตาง ๆ รวมกัน ยอ มสงผลใหนักเรียนมีความสุข กับการเรียนและ ประสบความสําเร็จในการเรียน ดังที่ คองเกอร (Conger and other. 1984:238) กลาววา ประสบการณดานกลุม เพื่ อ นนั บ เป น ประสบการณ ห นึ่ ง ที่ มี ค วามสํ า คั ญ คื อ เชื่ อ มโยงประสบการณ ใ นครอบครั ว กั บ การทํ า งานในโลก กวา ง ชว ยใหนักเรียนผา นพน อุปสรรค และให นั กเรียนมี อิสระจากครอบครัว บางสถานการณเพื่อนชวยเกื้อหนุนใน การศึกษา สามารถเปนกําลังใจในเรื่องทั่ว ๆ ไป 4.3 การสนั บ สนุ น ด า นการเรี ย นของ ผู ป กครอง ส ง ผลต อ ป ญ หาในการเรี ย น เป น อั น ดั บ ที่ 3
71
แสดงว า นั ก เรีย นที่ ไ ด รับ การสนั บ สนุ น ดา นการเรี ย นจาก ผูปกครองมาก มีปญหาในการเรียนมาก ทั้งนี้เพราะการให การสนับสนุนดานการเรียนของผูปกครองโดยการจัดซื้อจัดหา อุปกรณการเรียนใหแก นักเรียน หรือใหทุนทรัพยเพื่อใช จายเปนคาอุปกรณการเรียนหรือเพื่อเปนคาใชจายอื่น ๆ ที่จะ เอื้อประโยชนตอการเรียน แตนักเรียนนําทุนทรัพยนั้นไปใช จายในทางที่ไมเหมาะสม ไมเอื้อประโยชนตอการเรียนของ ตน ก็ จ ะทํ า ใหเ กิ ดป ญ หาในการเรี ย นตามมา นอกจากนี้ การที่ผูปกครองใหการสนับสนุนดานวาจา โดยการชี้แนะให คําปรึกษา แนะนําการเรียน เมื่อนักเรียนมีปญหาทั้งดาน การเรียนและดานสวนตัว คอยใหความชวยเหลือมากเกินไป สิ่งเหลานี้อาจจะทําใหนักเรียนรูสึกวาเปนการบังคับเคี่ยวเข็ญ มากเกิ นไป หรือเกิดความรูสึกไมมั่นใจไมแ นใจที่จะทําสิ่ง ตา ง ๆ คิดวาผู ปกครองไมใ หความเปนอิสระแกตนในการ ตัดสินใจทําสิ่งตาง ๆ การสนับสนุนดานดังกลาวก็กลับจะ เปนตัวกระตุนใหเกิดปญหามากกวา 4.4 ฐานะทางเศรษฐกิจของผูปกครอง สงผลทางลบตอปญหาในการเรียน เปนอันดับที่ 4 ซึ่งเปน อัน ดับ สุด ทา ย แสดงวา นั ก เรีย นที่ ผูป กครองมีฐ านะทาง เศรษฐกิ จ ดี มี ป ญ หาในการเรี ย นน อ ย ทั้ ง นี้ เ พราะ ผูปกครองที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี สามารถจัดซื้อสื่อหรือ อุปกรณการเรียนที่เอื้อประโยชนตอการเรียนของนักเรียน ทํา ใหนักเรียนมีกําลังใจ เกิดแรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ มีความมั่นใจ ในตนเอง กลาแสดงออก ทําใหเปนที่ยอมรับของกลุมเพื่อน สามารถเรียนไดดีและประสบความสําเร็จในการเรียน ขอเสนอแนะ ผลจากการวิ จั ย ครั้ ง นี้ ผู มี ส ว นเกี่ ย วข อ ง เช น ผู บ ริ ห าร ครู ผู ส อน อาจารย ที่ ป รึ ก ษา อาจารย แ นะแนว และผู ป กครอง สามารถนํ า ไปเป น ข อ มู ล ประกอบการ วางแผนพัฒนา หรือหาวิธีการในการปองกันไมใหเกิดปญหา ในการเรียนแกนักเรียน ดังนี้ 1. นิสัยทางการเรียน สามารถพยากรณปญหาใน การเรียนไดดีที่สุด ดังนั้น ทั้งผูปกครอง ผูบริหาร ครูผูสอน และผูที่เกี่ยวของกับนักเรียน ควรปลูกฝงนิสัยทางการเรียนที่ ดีใหกับนักเรียน โดยใหนักเรียนไดฝกอบรมหรือฝกปฏิบัติให รูจักหนาที่ของตนเอง เชน รูจักการวางแผนในการเรียน การ
72
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
แบ ง เวลาในการเรี ย น มี ค วามตั้ ง ใจเรี ย นหรื อ ทํ า งานที่ ค รู มอบหมาย และการทบทวนบทเรียนอยางสม่ําเสมอ เปนตน เพื่อใหนักเรียนมีนิสัยทางการเรียนที่ดี อันจะสงผลใหประสบ ความสําเร็จในการเรียน 2. สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ เพื่ อ น สามารถพยากรณปญหาในการเรียน ไดดีเปนอันดับที่สอง ดังนั้น ผูบริหารโรงเรียน ครูผูสอน และผูที่เกี่ยวของ ควรจัด กิจกรรมใหนักเรียนไดมีปฏิสัมพันธระหวางกันทั้งในระดับชั้น เดี ย วกั น และต า งระดั บ อย า งสม่ํ า เสมอ เพื่ อ ให เ กิ ด สัมพันธภาพที่ดีตอกันทั้งในและนอกหองเรียน ซึ่งจะทําให เกิดความสนิทสนม ความเขาใจ ชวยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและ กัน ทั้งในดานการเรียนและดานสวนตัว อันจะนําไปสูการ ประสบความสําเร็จดานการเรียนตอไป 3. การสนั บ สนุ น ด า นการเรี ย นของผู ป กครอง สามารถพยากรณปญหาในการเรียน ไดดีเปนอันดับที่สาม ดังนั้น ผูปกครองและผูที่เกี่ยวของกับนักเรียน ควรใหการ สนับ สนุนดานการเรียนแก นักเรียนอยางเพียงพอและ เหมาะสม ทั้งการสนับสนุนดานวัตถุ เชน จัดซื้ออุปกรณการ เรียนใหอยางเพียงพอ เหมาะสมและจําเปนตอการใชงาน
นอกจากนี้ ควรใหความสนใจ เอาใจใสตอ การเรียนของ นักเรียนอยางเต็มที่ คอยสอบถามถึงปญหาที่นักเรียนประสบ จากการเรียน คอยใหคําปรึกษา ชี้แนะ เมื่อนักเรียนประสบ ปญหา และแสดงความยินดีเมื่อนักเรียนประสบความสําเร็จ หรื อ สามารถเรี ย นได ดี สิ่ ง เหล า นี้ จ ะทํ า ให นั ก เรี ย นเกิ ด กํ า ลั ง ใจ มี แ รงจู ง ใจที่ จ ะศึ ก ษาเล า เรี ย นอย า งเต็ ม ความสามารถ 4. ฐานะทางเศรษฐกิจ ของผูปกครอง สามารถ พยากรณปญหาในการเรียน ไดเปนอันดับที่สี่ ซึ่งเปนอันดับ สุดทาย ดังนั้น ผูบริหารโรงเรียน และครู ควรปรึกษาหารือ กับผูปกครองของนักเรียน เพื่อทําความเขาใจรวมกัน ในการ ใหการสนับสนุน ใหความชวยเหลือแกนักเรียนดานคาใชจาย อย า งเหมาะสมพอเพี ย งและจํ า เป น กั บ การเรี ย นและการ ดําเนินชีวิตของนักเรียน นอกจากนี้ควรมีการจัดกิจกรรมที่จะ ทําใหเกิดการเรียนรูดานการใชทรัพยากรเพื่อการเรียนรูใหได ประสิ ท ธิ ภ าพสู ง สุ ด อั น จะทํ า ให นั ก เรี ย นรู จั ก ใช จ า ยให พอเพี ย งและจํ า เป น กั บ ชี วิ ต การเรี ย นและจะส ง ผลดี ต อ นักเรียนในอนาคต
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
73
บรรณานุกรม พระมหาภักดี เกตุเรน. (2547). ตัวแปรที่เกี่ยวของกับแรงจูงใจในการเรียนวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนศูนยศึกษา พระพุทธศาสนาวันอาทิตยวัดชางไห อําเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปตตานี. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (จิตวิทยาการศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร. พรรณี (ชูทัย) เจนจิต. (2538). จิตวิทยาการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ : บริษัทตนออ แกรมมี่ จํากัด. วิชัย วงษใหญ. (2526, พฤษภาคม). ความหมายของหลักสูตรและการสอน. วารสารการพัฒนาหลักสูตร. ฉบับที่ 20 : 12 – 13. วิรชาม กุลเพิ่มทวีรัชต. (2547). ปจจัยที่สงผลตอแรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัดราชโอรส เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (จิตวิทยาการศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร. สิริพร ดาวัน. (2540). ตัวแปรที่เกี่ยวของกับความขยันหมั่นเพียรในการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จังหวัดลพบุรี. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (จิตวิทยาการศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร. อัจฉรา วงศโสธร และคนอื่น ๆ. (2525). รายงานการวิจัยเรื่องการศึกษาความสัมพันธของวิชาเรียนและความถนัด ในการเรียนภาษาอังกฤษตามความสามารถของแตละบุคคล. กรุงเทพฯ : สถาบันภาษา จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. Bounomo, C.L. (1990, August). “The Successful and Unsuccessful Foreign Language Student : The Affective Domain.” Dissertation Abstracts International. 51 (2) : 437 – A. Conger, J.J. and Anne C. Petuson. (1984). Adolescence and Youth. 3rd ed. Edition. New York : Harper. Koivo, Anne Piblak. (1983, February). “The Reletionship of Student Perceptions of Study Habits and Attitudes Based on Differences in Sex, Grade and Academic Achievement”. Dissertation Abstracts International. 43 (5) : 2624 – A. Lindgren, Henry Clay. (1980). Educational psychology in the classroom. New York : Oxford University Press. Yamane, Taro. (1970). Statistic : An Introductory Analysis. New York : Harper and Row.
74
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
การวิเคราะหคุณภาพของนโยบายการใหบริการ สาธารณะของกรมที่ดิน กรณีศกึ ษาสํานักงานที่ดิน จังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด THE QUALITY ANALYSIS OF PUBLIC SERVICE OF DEPARTMENT OF LANDS ; A CASE STUDY OF DEPARTMENT OF LANDS, PAKKRET BRANCH, NONTHABURI PROVINCE. สนทรรศน แยมรุง 1 รองศาสตราจารย ดร.วรพิทย มีมาก 2 อาจารยชีวินทร ฉายาชวลิต 2 บทคัดยอ การศึ ก ษาวิ จั ย ครั้ ง นี้ ผู วิ จั ย มุ ง ศึ ก ษาถึ ง การ วิเคราะหคุณภาพของนโยบายการใหบริการสาธารณะของกรม ที่ดิน กรณีศึกษาสํานักงานที่ดิน สาขาปากเกร็ด กลุ ม ตั ว อย า ง คื อ ประชาชนที่ เ ข า รั บ บริ ก าร จํ า นวน 300 คน โดยใช ก ารสุ ม แบบแบ ง ชั้ น ภู มิ (Stratified Random Sampling) และเจาหนาที่ของสํานักงานที่ดิน จังหวัด นนทบุ รี สาขาปากเกร็ ด จํ า นวน 40 คน เครื่ อ งมื อ ที่ ใ ช ใ น การศึกษาคนควา ไดแก แบบสอบถาม สถิติที่ใชในการวิเคราะห ขอมูลคือ t-Test, one way ANOVA และ Regression ผลการศึกษา พบวา 1. ปจจัยสวนบุคคลของประชาชน ไดแ ก อายุ และรายได ที่ แ ตกต า งกั น ทํ า ให ค วามคิ ด เห็ น ในเรื่ อ งการ ใหบริการสาธารณะของสํานักงานที่ดิน จังหวัดนนทบุรี สาขา ปากเกร็ด แตกตางกัน ขณะที่ปจจัยสวนบุคคลของเจาหนาที่มี เฉพาะอายุ ที่แตกตางกัน เทานั้น ที่ทําใหความคิดเห็นในเรื่อง การให บ ริ ก ารสาธารณะของสํ า นั ก งานที่ ดิ น จั ง หวั ด นนทบุ รี สาขาปากเกร็ด แตกตางกัน
1
นิสิตระดับปริญญาโท สาขาวิชานโยบายสาธารณะ โปรแกรมวิชารัฐประศาสนศาสตร คณะสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชารัฐศาสตร คณะสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 2. ผลลั พ ธ ข องการเข า รั บ บริ ก ารสาธารณะของ สํ า นั ก งานที่ ดิ น จั ง หวั ด นนทบุ รี สาขา ปากเกร็ ด ของ ประชาชน ในดานระบบมาตรฐานคุณภาพ ดานระบบขอมูล, ระบบการสื่ อ สาร, ระบบการตั ด สิ น ใจ, ระบบการพั ฒ นา บุคลากร, ระบบการมีสวนรวม, ระบบการประเมินผล, ระบบ การ คาดคะเนและแก ไ ขวิ ก ฤต, ระบบวั ฒ นธรรมและ จรรยาวิชาชีพ, เปาหมายและความพึงพอใจของผูบริโภค, การบริหารกระบวนการคุณภาพ และภาวะผูนํา มีอิทธิพลตอ คุณภาพของนโยบายการใหบริการสาธารณะ สวนผลลัพธ ของการให บ ริ ก ารสาธารณะของสํ า นั ก งานที่ ดิ น จั ง หวั ด นนทบุ รี สาขาปากเกร็ ด ของเจ า หน า ที่ ในด า นระบบ มาตรฐานคุณภาพ ดานระบบคาดคะเนและแกไขวิกฤต และ การบริหารกระบวนการคุณภาพมีอิท ธิพลตอคุณภาพของ นโยบายการใหบริการสาธารณะ 3. ประสิทธิผลดานความคุมคามีอิทธิพลตอ คุณภาพของนโยบายการใหบริการสาธารณะ ABSTRACT The research aimed to study quality analysis of public service of department of lands, Pak Kret Branch, Nonthaburi Province. The samples, 300 inhabitants and 40 officers of department of lands, Pak Kret Branch, Nonthaburi Province, were selected through stratified random sampling, Data were collected by reliability – tested questionnaires and analyzed through t-test, one way analysis of variance and multiple regression analysis. The concluded results were as follows. 1. People ‘s personal factor, age and income, illustrated significant difference in public service of department of lands, Pak Kret Branch, Nonthaburi Province, but only age for officers. 2. Regarding people, information system, communication system, decision making system, personal development system – HRM, participation system, evaluation system, risk assessment system, culture and ethics system, customer focus and
75
satisfaction, management of process quality and leadership had affected to quality of public service. For officers, risk assessment system and management of process quality had affected to quality of public service 3. Value effectiveness had affected to quality of public service. บทนํา ก ร ม ที่ ดิ น เ ป น ห น ว ย ง า น ร า ช ก า ร ที่ สั ง กั ด กระทรวงมหาดไทย โดยมีภ ารกิจ ตามประมวลกฎหมาย ที่ดิน และกฎหมายอื่น ซึ่ง ดํา เนิน การออกหนัง สือ แสดง สิท ธิใ นที่ดิน ใหแ กร าษฎร ใหบ ริก ารดา นการจดทะเบียน สิทธิ และนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน และอสังหาริมทรัพยอยางอื่น การรัง วัด ออกหนัง สือ สํ า คัญ สํ า หรับ ที ่ห ลวงในที ่ด ิน ส า ธ า ร ณ ป ร ะ โ ย ช น แ ล ะ ใ น ที ่ร า ช พ ัส ดุ ก า ร ร ัง ว ัด เอกสารสิทธิ การรังวัดแบงแยก การโอนมรดก การออกใบ แทน การสอบเขตที่ดิน การขออนุมัติจัด สรรที่ดิน การจด ทะเบีย นอาคารชุด และจัดสรรที่ดิน ทํา กิน ใหแ กป ระชาชน ตามประมวลกฎหมายที่ ดิ น รวมทั้ ง การจดทะเบี ย นสิ ท ธิ แ ล ะ นิ ต ิ ก ร ร ม เ พื ่ อ คุ ม ค ร อ ง สิ ท ธิ อ สัง หาริม ทรัพ ยแ ก ประชาชนโดยทั่วไป การดําเนินงานของกรมที่ดินที่ผานมายังไมเปน ที่ นา พึง พอใจแกป ระชาชนผู ใ ชบ ริก าร เทา ที ่ค วร มี ภาพพจนใ นดา นลบเกี ่ย วกับ การบริก ารเสมอมา การไป ติด ตอ เพื ่อ ทํ า ธุร กรรมใน สํ า นัก งานที ่ด ิน จะใชเ วลา คอ นขา งมาก และยัง ไมไ ดร ับ ความสะดวกนัก แมจ ะมี ระเบีย บกํา หนด ขั้น ตอน การดํา เนิน งานแตล ะขั้น ตอน แลว ก็ต าม แตใ นทางปฏิบ ัต ิเ จา หนา ที ่ม ัก จะไมเ อาใจใส เทาที่ควร สิ่งที่ถูกละเลยเสมอ ก็คือ ขาดการสรางความพึง พอใจใหลูกคาซึ่ง คือ ประชาชน ผูใชบริการนั่นเอง คําถามของการวิจัย 1. ลําดับความสําคัญของปญหาของระบบ มาตรฐานคุณ ภาพของเจ า หน า ที่ ป ระจํ า สํ า นั ก งานที่ ดิ น จังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด เปนอยางไร
76
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
2. ลําดับความสําคัญของปญหาของนโยบาย คุ ณ ภาพของเจาหนาที่ประจําสํานักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด เปนอยางไร 3. ความสัมพันธระหวางระบบมาตรฐานคุณภาพ กับ นโยบายคุ ณ ภาพที่ มี ต อ การให บ ริ ก ารของเจ า หน า ที่ ประจํ าสํ านั กงานที่ ดิ นจั งหวั ดนนทบุ รี สาขาปากเกร็ ด เป น อยางไร 4. สาเหตุของการทําใหการปฏิบัติงานของ เจาหนาที่ประจําสํานักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด ที่ไมมีประสิทธิผล เนื่องมาจากสาเหตุใด 5. ประสิทธิผลของเจาหนาที่มีมากนอยเพียงใด วัตถุประสงคของการวิจัย 1. เพื่อ ศึก ษาระบบมาตรฐานคุณ ภาพของการ ใหบ ริก ารของเจา หนา ที่ป ระจํา สํา นัก งาน ที่ดิน จัง หวัด นนทบุรี สาขาปากเกร็ด 2 . เ พื ่อ ศึก ษ า คุณ ภ า พ ข อ ง น โ ย บ า ย ก า ร ใหบ ริก ารของเจา หนา ที ่ป ระจํ า สํ า นัก งานที ่ด ิน จัง หวัด นนทบุรี สาขาปากเกร็ด 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธระหวางระบบมาตรฐาน คุณ ภาพกับ นโยบายคุณ ภาพของ การใหบริการของ เจาหนาที่ประจําสํานักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปาก เกร็ด 4. เพื่อ ศึก ษาประสิท ธิผ ลของการปฏิบัติง าน ของเจา หนา ที่ประจําสํา นักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขา ปากเกร็ด ความสําคัญของการวิจัย เพื่อนําผลที่ไดจากการวิจัยไปเปนแนวทางในการ ปรับปรุงแกไขการใหบ ริการของเจาหนาที่ประจําสํานักงาน ที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุมตัวอยาง ประชากรที่ใชศึกษาในครั้งนี้ คือ ประชาชนที่มาใช บริการดานจดทะเบียน และดานแบงแยก รวม เปลี่ยน สอบ เขต ตรวจสอบพื้ น ที่ และออกใบแทนของสํ า นั ก งานที่ ดิ น จังหวัดนนทบุรี สาขา ปากเกร็ ด จํา นวน 300 คน โดย ห นว ย วิเ ค ร า ะ หใ น ก า ร วิ จ ั ย ค รั ้ง นี ้ คือ ขอ มูล ข อ ง
ประชาชนที่ ม าใช บ ริ ก ารสํา นั ก งานที่ ดิ น จั ง หวั ด นนทบุ รี สาขาปากเกร็ ด ตั้ ง แต เ ดื อ นมกราคม - มิถุนายน 2549 และเจา หนา ที่ป ระจํา สํา นัก งานที่ดิน จัง หวัด นนทบุรี สาขา ปากเกร็ด จํานวน 40 คน 2. ศึกษาคุณภาพของนโยบายการใหบริการ สาธารณะของเจา หนา ที ่ป ระจํ า สํ า นัก งานที ่ด ิน จัง หวัด นนทบุรี สาขาปากเกร็ด ตัวแปรที่ศึกษา 1. ตัวแปรอิสระ ตัวแปรอิสระที่ใชในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบดวย 1.1 ระบบขอมูล (Information System) 1.2 ระบบการสื่อสาร (Communication System) 1.3 ระบบการตัดสิน ใจ (Decision Making System) 1.4 ระบบการพั ฒ นาบุ ค ลากร (Personal Development System-HRM) 1.5 ระบบตรวจสอบถวงดุล (Balance and Checking System) 1.6 ระบบการมีสวนรวม (Participation System) 1.7 ระบบการบริ ก ารภาคเอกชน ประชาชน (Service System) 1.8 ระบบการประเมินผล (Evaluation System) 1.9 ระบบการคาดคะเน และแกไขวิกฤต (Risk Assessment System) 1.10 ระบบวัฒนธรรมและจรรยาวิชาชีพ (Culture and Ethics System) 1.11 เปาหมายและความพึงพอใจของ ผูบริโภค (Customer Focus and Satisfaction) 1.12 การบริหารกระบวนการคุณภาพ (Management of Process Quality) 1.13 ภาวะผูนํา (Leadership)
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 2. ตัวแปรตาม ตัวแปรตามที่ใชในการวิจัยครั้งนี้ คือ คุณภาพของนโยบายการใหบริการของสํานักงานที่ดิน จังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด ตัวแปรตาม ที่ใชในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบดวย 2.1 ระยะเวลา (Time) 2.2 ความตรงตอเวลา (Timeliness) 2.3 ค ว า ม ส ม บู ร ณ ไ ม บ ก พ ร อ ง (Completeness) 2.4 ความสุภาพ ออนนอม (Courtesy) 2.5 ค ว า ม แ น น อ น ค ว า ม ค ง เ ส น ค ง ว า (Consistency) 2.6 ความสามารถที่ จ ะเข า ถึ ง และความ สะดวกสบาย (Accessibility and Convenience) 2.7 ความถูกตอง เที่ยงตรง (Accuracy) 2.8 การตอบสนองความต อ งการ ความ เรงดวน (Responsiveness) สมมติฐานในการวิจัย 1. ปจจัยสวนบุคคลของประชาชน ไดแก เพศ, อายุ , การศึก ษา, รายได และอาชีพ และปจจัยสว นบุคคลของ เจา หนา ที่ ได แ ก เพศ, อายุ, การศึก ษา, รายได , ตํา แหน ง และอายุ ง าน ทํ า ให ทั ศ นคติต อ ระบบมาตรฐานคุ ณ ภาพที่ ไดรับบริการการดําเนินงาน รูปแบบใหมแตกตางกัน 2. ปจจัยสวนบุคคลของประชาชน ไดแก เพศ, อายุ , การศึก ษา, รายได และอาชีพ และปจจัยสว นบุคคลของ เจา หนา ที่ ไดแ ก เพศ, อายุ, การศึก ษา, รายได , ตํา แหน ง และอายุ ง าน ทํ า ให ทั ศ นคติ ต อ นโยบายคุ ณ ภาพที่ ไ ด รั บ บริการการดําเนินงานรูปแบบใหมแตกตางกัน 3. ระบบมาตรฐานคุณภาพมีอิทธิพลตอนโยบาย คุณภาพ 4. ประสิทธิผลของการปฏิบัติหนาที่ของเจาหนาที่ มีอิทธิพลตอนโยบายคุณภาพ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ การศึกษาเรื่อง การวิเคราะหคุณภาพของนโยบาย การใหบริการสาธารณะของกรมที่ดิน กรณีศึกษา สํานักงาน ที่ดิน จังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ดนั้น เปนการศึกษาจาก
77
เอกสารและงานวิจัยในเนื้อหาที่เกี่ยวของกับบริการสาธารณะ และนโยบายคุณภาพ ซึ่งไดนําเสนอตามลําดับ ดังนี้ 1. แนวคิดเกี่ยวกับบริการสาธารณะ การใหบริการสาธารณะ เปนการบริการในฐานะที่เปน หนาที่ของหนวยงานที่มีอํานาจกระทําเพื่อตอบสนองตอความ ตองการเพื่อใหเกิดความพอใจ จากความหมายนี้จึงเปนการ พิ จ ารณาการ ใหบ ริก าร ประกอบดว ย ผู ใ หบ ริก าร (Providers) และผูรับบริการ (Recipients) โดยฝายแรก ถือปฏิบัติเปนหนาที่ตองใหบริการเพื่อใหฝายหลังเกิดความ พึงพอใจ 1. การใหบริการอยางเทาเทียมกัน 2. การใหบริการอยางรวดเร็วทันเวลา 3. การใหบริการอยางตอเนื่อง 4. การใหบริการอยางกาวหนา 2. แนวคิดเกี่ยวกับนโยบายคุณภาพ การใหองคการมีเปาหมายที่แนนอนในการปรับปรุง คุณภาพ และใชเทคนิคการควบคุมทางสถิติ โดยมีผูบริหาร ระดั บ สู ง เป น ผู นํ า และต อ งมี ก ารจั ด การศึ ก ษา และการ ฝกอบรมอยางจริงจัง คุณภาพที่สูงขึ้นจะชวยลดตนทุนเพิ่มกําไรจากผล การปฏิบัติการเสมอ องคการสามารถใชตนทุนคุณภาพเปน เครื่องมือที่จะทําใหบรรลุเปาหมายในการปรับปรุงคุณภาพได การจั ด ทํ า โครงการปรั บ ปรุ ง คุ ณ ภาพ โดยการ วิเคราะหปญหา และหาทางแกไขตามลําดับกอนหลัง เทคนิค คือ เทคนิคการวิเคราะหของ พาเรโต ซึ่งมีหลักการสําคัญวา ปญหาสวนใหญมาจากสาเหตุเพียงไมกี่อยาง ถาแกที่สาเหตุ หลั ก ๆ ได ก็ จ ะเกิ ด การปรั บ ปรุ ง คุ ณ ภาพไปเรื่ อ ย ๆ จนกระทั่งปญหาหมดไป และเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น การบริ ห ารเป น กุ ญ แจสํ า คั ญ ในการพั ฒ นานิ สั ย คุณภาพ ใหความสําคัญกับคนทั้งหมดใน องคการ 3. แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการประเมินประสิทธิภาพ ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) เปนการวัดตนทุนของ ทรัพยากร โดยเปรียบเทียบกับผลงานที่ทําไดเปนสัดสวนของ ผลงานที่ทําได / ตนทุนทรัพยากร (output / input) โดยถา สามารถทํางานไดตามเปาหมายที่วางไว แสดงวาการทํางาน นั้นมีประสิทธิภาพสูง
78
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
วิธีดําเนินการวิจัย ในการศึกษาวิจัยเรื่อง การวิเคราะหคุณภาพของ นโยบายการใหบ ริก ารสาธารณะของ กรมที ่ด ิน กรณีศึกษาสํานักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด ซึ่ง ผูวิจัยไดดําเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 1. การกําหนดประชากร และการสุมกลุมตัวอยาง 1.1 ประชากร ประชากรที่ใชศึกษาในครั้งนี้ คือ ประชาชนที่มาใช บริ ก ารสํ า นั ก งานที่ ดิ น จั ง หวั ด นนทบุ รี สาขาปากเกร็ ด จํ า นวน 10,557 คน (ข อ มู ล ประจํ า เดื อ นมกราคม มิ ถุ น ายน 2549) และเจา หนา ที ่ป ระจํ า สํ า นัก งานที ่ด ิน จังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด จํานวน 40 คน 1.2 การสุมกลุมตัวอยาง กลุ ม ตัว อยา ง ไดแ ก ประชาชนที ่ม าใชบ ริก าร สํา นัก งานที่ดิน จัง หวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด ในดานการ บริการหลัก 2 ดาน ไดแก 1. จดทะเบียน 2. แบงแยก รวม เปลี่ยน สอบเขต ตรวจสอบพื้นที่ และออกใบแทน 2. การสรางเครื่องมือที่ใชในการวิจัย 3. การเก็บรวบรวมขอมูล 3.1 นําแบบสอบถามมาตรวจสอบความสมบูรณของ คํ า ตอบ และแบบสอบถามทุ ก ฉบั บ พบว า มีค วามสมบู ร ณ แลวนํามาวิเคราะหขอมูลโดยโปรแกรมสําเร็จรูป SPSS for Windows โดยจําแนกขอมูลตามลักษณะของขอคําถาม ดังนี้ 1. แบบสอบถามตอนที่ 1 ซึ่งเปนแบบสอบถาม ตรวจสอบรายการ นํามาแจกแจงความถี่ของแตละขอ แลว หาคารอยละของผูตอบแบบสอบถามทั้งหมด แลวนําเสนอใน รูปตาราง 2. แบบสอบถามตอนที่ 2 และตอนที่ 3 ซึ่งเปน แบบสอบถามแบบมาตรฐานส ว นประมาณค า (Rating Scale) ตรวจใหน้ําหนักคะแนนเปน 5 ระดับ ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 102) มีความคิดเห็นตอการพัฒนาการใหบริการ ระดับ มากที่สุด ใหน้ําหนักคะแนนเปน 5
มีความคิดเห็นตอการพัฒนาการใหบริการ ระดับ มาก ใหน้ําหนักคะแนนเปน 4 มีความคิดเห็นตอการพัฒนาการใหบริการ ระดับ ปานกลาง ใหน้ําหนักคะแนนเปน 3 มีความคิดเห็นตอการพัฒนาการใหบริการ ระดับ นอย ใหน้ําหนักคะแนนเปน 2 มีความคิดเห็นตอการพัฒนาการใหบริการ ระดับ นอยที่สุด ใหน้ําหนักคะแนนเปน 1 3.2 วิเคราะหขอมูลโดยใชโปรแกรมสําเร็จรูป SPSS for Windows ในแบบสอบถามตอนที่ 2 และตอนที่ 3 ซึ่ ง ผู ศึ ก ษาได กํ า หนดเกณฑ ใ นการแปลความหมายของ คาเฉลี่ยกลุม ดังนี้ คาเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความคิดเห็นตอ การพัฒนาการใหบริการ ระดับมากที่สุด คาเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความคิดเห็นตอ การพัฒนาการใหบริการ ระดับมาก คาเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความคิดเห็นตอ การพัฒนาการใหบริการ ระดับปานกลาง คาเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความคิดเห็นตอ การพัฒนาการใหบริการ ระดับนอย คาเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความคิดเห็นตอ การพัฒนาการใหบริการ ระดับนอยที่สุด 3.3 ตรวจเช็คความถูกตองของขอมูลดวย แบบสอบถามตอนที่ 4 3.4 นําเสนอผลการวิเคราะหขอมูลในรูปแบบ ตาราง และสรุปผลการวิเคราะห ขอมูลใน เชิงพรรณนา 4. การจัดกระทําขอมูล และการวิเคราะหขอมูล 4.1 สถิติพื้นฐาน ไดแก 1. รอยละ (Percentage) 2. คาเฉลี่ย (Mean) 3. สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 4.2 สถิติทดสอบ ไดแก 1. เปรียบเทียบคาเฉลี่ย 2 กลุม โดยใช T-test แบบ Independent Samples 2. เปรียบเทียบคาเฉลี่ยตั้งแต 3 กลุมขึ้นไป โดยใช F-test 3. การวิเคราะหถดถอยพหุแบบขั้นตอน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผล 1. ป จ จั ย สว นบุ ค คลของประชาชน ได แ ก อายุ และรายได ที่ แ ตกต า งกั น ทํ า ให ค วามคิ ด เห็ น ในเรื่ อ งการ ใหบริการสาธารณะของสํานักงานที่ดิน จังหวัดนนทบุรี สาขา ปากเกร็ด แตกตางกัน ขณะที่ปจจัยสวนบุคคลของเจาหนาที่ มีเฉพาะอายุ ที่แตกตางกัน เทานั้น ที่ทําใหความคิดเห็นใน เรื่ อ งการให บ ริ ก ารสาธารณะของสํ า นั ก งานที่ ดิ น จั ง หวั ด นนทบุรี สาขาปากเกร็ด แตกตางกัน 2. ผลลัพธของการเขารับบริการสาธารณะของ สํ า นั ก งานที่ ดิ น จั ง หวั ด นนทบุ รี สาขา ปากเกร็ ด ของ ประชาชน ในดานระบบมาตรฐานคุณภาพ ดานระบบขอมูล, ระบบการสื่ อ สาร, ระบบการตั ด สิ น ใจ, ระบบการพั ฒ นา บุคลากร, ระบบการมีสวนรวม, ระบบการประเมินผล, ระบบ การ คาดคะเนและแก ไ ขวิ ก ฤต, ระบบวั ฒ นธรรมและ จรรย าวิ ชา ชี พ , เป า ห ม า ย แ ล ะ ค ว า ม พึ ง พ อ ใ จ ข อ ง ผูบริโภค, การบริหารกระบวนการคุณภาพ และภาวะผูนํา มี อิ ท ธิ พ ลต อ คุ ณ ภาพของนโยบายการให บ ริ ก ารสาธารณะ สวนผลลัพธของการใหบริการสาธารณะของสํานักงานที่ดิน จังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ดของเจาหนา ที่ ในดา น ระบบมาตรฐานคุ ณ ภาพ ด า นระบบคาดคะเนและแก ไ ข วิ ก ฤต และการบริ ห ารกระบวนการคุ ณ ภาพมี อิ ท ธิ พ ลต อ คุณภาพของนโยบายการใหบริการสาธารณะ 3. ประสิ ท ธิ ผ ลด า นความคุ ม ค า มี อิ ท ธิ พ ลต อ คุณภาพของนโยบายการใหบริการสาธารณะ ขอเสนอแนะ ขอเสนอแนะในการวิจัยครั้งตอไป เพื่ อ ให การปรั บ ปรุ ง องค ก ารอย า งต อ เนื่ อ ง สอดคลองกับการแปรเปลี่ยนทางสังคมนั้นเปนสิ่งที่จําเปน อยางยิ่งที่จะทําใหองคการสามารถอยูรอดในสภาพแวดลอม ที่เต็มไปดวยการแขงขันเชนในปจจุบัน การบริการของภาครัฐ ซึ่งอยูในความรับผิดชอบของสวนราชการตาง ๆ นั้น ก็จําเปน จะต อ งมี ก ารปรั บ ปรุ ง เพื่ อ ให ส ามารถตอบสนองความ ตองการของประชาชนไดเชนเดียวกัน การปรับปรุงบริการ ภาครั ฐ นอกจากจะถื อ ว า เป น ผลงานของรั ฐ บาลแล ว ประชาชนผูรับบริการในสวนตาง ๆ ก็จะไดรับประโยชนจาก การปรับปรุงดวย กลาวคือ ไดรับความสะดวกรวดเร็ว
79
เสียเวลานอยลง เสียคาใชจายนอยลง และ มีความพึงพอใจ ในการบริการของภาครัฐมากขึ้น การนํ า ระบบมาตรฐานคุ ณ ภาพและนโยบาย คุณภาพมาใชในการปรับปรุงการบริการภาครัฐ จะเปน แนวทางหนึ่งที่เอื้ออํานวยใหสวนราชการสามารถนําไปปฏิบัติ เพื่อใหบังเกิดผลที่ พึงประสงคไดโดยไมยากนัก อยางไรก็ ตามการนําระบบมาตรฐานคุณภาพและนโยบายคุณภาพไป ปฏิบัติก็หมายถึง การนําการเปลี่ยนแปลงเขาไปในองคการ ซึ่งเปนธรรมดาที่จะตองไดรับการตอตานจากขาราชการบาง ไมมากก็นอย สิ่งที่สําคัญที่สุดที่พึงกระทําก็คือ การจัดการ ฝก อบรมหรื อ สัม มนา ผูบ ริห ารระดั บ สู ง ของหนว ยงาน ภาครัฐที่ ใหบริการประชาชน เพื่อขอ ทราบความคิดเห็นและ ใหได ขอสรุปกวาง ๆ ในการนําระบบมาตรฐานคุณภาพ และนโยบายคุณภาพไปปฏิบัติในองคการ กับการสราง ขอตกลงรวมกันระหวางขาราชการในสังกัดในการปฏิบัติงาน เพื่อพัฒนาคุณภาพในการทํางานคุณภาพของผลงาน และ การใหบริการตอประชาชน การนํ า ระบบมาตรฐานคุ ณ ภาพและนโยบาย คุณภาพไปปฏิบัติใน การปรับปรุงการบริการภาครัฐนั้น สอดคลองกับนโยบายของรัฐบาลใน การปฏิรูประบบราชการ กลาวคือ มีเปาหมายของการเพิ่มคุณภาพของการใหบริการ และความพึงพอใจของประชาชนเชนเดียวกัน ดังนั้น อาจไม เปนการยากที่ผูบริหารระดับ สูงจะใหการยอมรับในการนํา ระบบมาตรฐานคุณภาพและนโยบายคุณภาพไปปฏิบัติ แนวทางและขั้นตอนในการนํา ระบบมาตรฐาน คุณภาพและนโยบายคุณภาพไปปฏิบัติในการปรับปรุงการ บริการภาครัฐ 1. การสํารวจหนวยงานภาครัฐที่มีหนาที่ในการ ใหบริการแกประชาชน 2. การคนหาจุดบกพรองที่ควรแกไข 3. การวางแผนการปรับปรุงการปฏิบัติงาน 4. การสรางการยอมรับใหเกิดขึ้นในวัฒนธรรมองคการ 5. การนําระบบมาตรฐานคุณภาพและนโยบาย คุ ณ ภ า พ ไ ป ป ฏิ บั ติ ใ น ห น ว ย ง า น บ ริ ก า ร ภ า ค รั ฐ
80
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
6. การติดตามและประเมินผล เงื่อนไขของการสรางความสําเร็จในการทําระบบ มาตรฐานคุ ณ ภาพและนโยบายคุ ณ ภาพไปปฏิ บั ติ ใ นการ ปรับปรุงการบริการภาครัฐนั้นประกอบไดดวย 6 ประการคือ 1. การสํารวจวาหนวยงานที่ควรไดรับการ ปรับปรุงใหนําระบบการพัฒนาคุณภาพมาใช 2. การคนหาจุดบกพรองที่ควรแกไข 3. การวางแผนการปรับปรุงการปฏิบัติงาน โดยใชระบบมาตรฐานคุณภาพและนโยบาย คุณภาพ 4. การเปลี่ยนวัฒนธรรมองคกร โดย ปลูกฝงคานิยมและการยอมรับในเรื่องคุณภาพ 5. การฝ ก อบรมเพื่ อ ให ค วามรู ใ นการปรั บ ปรุ ง กระบวนการทํางานเพื่อใหมีคุณภาพ 6. การติดตามและประเมินผลการนําระบบมาตรฐาน คุณภาพและนโยบายคุณภาพ ไปปฏิบัติอยางตอเนื่องและ เปนระบบโดยใชวิธีทางสถิติ
ป จ จั ย แห ง ความสํ า เร็ จ ของระบบมาตรฐานคุ ณ ภาพและ นโยบายคุณภาพ 7 ประการ 1. การยึดมั่นผูกพันอยางจริงจังจากผูบริหารทุก ระดับ 2. การใหการศึกษาและฝกอบรมในเรื่อง ระบบ มาตรฐานคุณภาพและนโยบายคุณภาพแกเจาหนาที่ทุกคน 3.โครงสร า งขององค ก รที่ ส นั บ สนุ น และเกื้ อ หนุ น ระบบมาตรฐานคุณภาพและนโยบาย คุณภาพ 4. การติดตอสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ 5. การใหรางวัลและการยอมรับแกทีมงานหรือ เจาหนาที่ที่มีผลงานปรากฏ 6. การวัดผลงานอยางเหมาะสมโดยมีเกณฑการ วัดผลงานที่ชัดเจน 7. การทํางานเปนทีมอยางมีประสิทธิภาพ
บรรณานุกรม กรมที่ดิน.(2541). ขอกําหนดวาดวยมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมของขาราชการ กรมที่ดิน. กรมที่ดิน. (2548). โครงการคัดเลือกขาราชการกรมที่ดินผูมีคุณธรรมและจริยธรรม ประจําป พ.ศ.2547. กรมที่ดิน.(2547). ยุทธศาสตรและแผนปฏิบัติการปองกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบพ.ศ. 2548-2551 กรมที่ดิน. (2548) หัวใจสําคัญของการใหบริการประชาชน คูมือสําหรับเจาหนาที่สํานักงาน ที่ดิน. กองการเจาหนาที่ กรมที่ดิน.(2545). โครงสรางการแบงงาน อัตรากําลัง และการกําหนดตําแหนงตามแผนการปรับ บทบาท ภารกิจและโครงสรางสวนราชการ. เกริ ก เกี ย รติ พิ พั ฒ น เ สรี ธ รรม. (2543). การคลั ง ว า ด ว ยการจั ด สรรและการกระจาย. กรุ ง เทพฯ : สํ า นั ก พิ ม พ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. ไกรยุทธ ธีรตยาคีนันท. (2525). ทฤษฎีเศรษฐศาสตรวาดวยการแทรกแซงของรัฐ. ถวนหนา “ โครงการ 30 จันทนา ธรรมาธร. (2545). การประเมินประสิทธิภาพของโครงการหลักประกันสุขภาพ บาท รักษาทุกโรค” : กรณีศึกษาโรงพยาบาลเวชธานี. จอหน ซี แมกซเวล. ผูนําคุณก็เปนได (Developing the Leader Within You). แปลโดยเครือวัลย เที่ยงธรรม. กรุงเทพฯ : บริษัทสํานักพิมพน้ําฝน จํากัด. นันทวัฒน บรมานันท. หลักกฎหมายปกครองเกี่ยวกับบริการสาธารณะ.
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
81
ป เ ตอร เอฟ ดรั ค เกอร . (2544). การบริ ห ารจั ด การในศตวรรษที่ 21. แปลโดย ผศ.ชื่ น จิ ต ต แจ ง เจนกิ จ . พิ ม พ ค รั้ ง ที่ 2 กรุงเทพฯ : บริษัทเอ อาร บิซิเนส เพรส จํากัด. พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตโต). (2547). หลักการทํางาน งานก็ไดผล คนก็เปนสุข เมื่อใจ เบิกบานคนก็สําราญ งาน ก็มีประสิทธิภาพ. พิมพครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ : สํานักพิมพอมรินทร. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2539). เอกสารการสอนชุดวิชา จิตวิทยาการบริการ รหัส 71111 หนวยที่ 1-15. ยุทธชัย สธนเสาวภาคย. (2538). คุณคือผูชนะ. กรุงเทพฯ : บริษัทยูไนเต็ด แฟมมิลี่ จํากัด. ภัทริยา พัฒนางกูร. (2539). สถาบันพัฒนาขาราชการพลเรือน สํานักงาน ก.พ. ชุดการเรียนดวยตนเองหลักสูตร ความรูพื้นฐานในการปฏิบัติงาน. ธุรการวิชา บทบาท หนาที่ และความรับผิดชอบของเจาหนาที่ธุรการ. วิทยา ดานธํารงกูล.(2547). หัวใจการบริการสูความสําเร็จ (The Heart of Service). กรุงเทพฯ : บริษัทซีเอ็ดยูเคชั่น จํากัด(มหาชน). วรเดช จันทรศร. ระบบมาตรฐานสากลของไทย ดานการจัดการและสัมฤทธิ์ผลของงานภาครัฐ. วีรพงษ เฉลิมจิระรัตน. (2538). คุณภาพในงานบริการ. กรุงเทพฯ : สมาคมสงเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุน). สุภาภรณ พรพิศณุกิจจา. (2537). การวิเคราะหการดําเนินงานของสถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. สุเมธ แสงนิ่มนวล. (2540). ขอคิดนักบริหารจากประสบการณนักปกครอง. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพบุคแบงก สุเมธ แสงนิ่มนวล. (2540) หลายลีลา เทคนิคการทํางานเพื่อความสําเร็จของคนทํางาน. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพบุคแบงก สํานักงาน ก.พ. (2542). ตามรอยพระยุคลบาท บุญของคนไทยที่มีในหลวง.
82
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ผลลัพธการปฏิบัติราชการของกรุงเทพมหานคร : ศึก ษาเปรี ย บเที ย บการบริ ห ารรั ฐ กิจ แบบเดิ มกั บ การบริหารรัฐกิจแนวใหม PERFORMANCE OUTCOME OF BANGKOK METROPOLITAN ADMINISTRATION : A COMPARATIVE STUDY BETWEEN CLASSIC PUBLIC ADMINISTRATION AND NEW PUBLIC MANAGEMENT พงศธร ชั้นไพศาลศิลป 1 รองศาสตราจารย ดร.วรพิทย มีมาก 2 อาจารยชีวินทร ฉายาชวลิต 2 บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุงหมายเพื่อเปรียบเทียบการ ใหบริการของกรุงเทพมหานครเพื่อตอบสนองความตองการของ ประชาชนภายใตการบริหารราชการแบบเดิมกับการใหบริการ ของกรุงเทพมหานครเพื่อตอบสนองความตองการของประชาชน ในปจจุบันที่มีการนํา New Public Management มาใชปฏิรูป ระบบการบริหารราชการของกรุงเทพมหานครแลว กลุ ม ตั ว อย า ง คื อ ประชาชนที่ อ าศั ย อยู ภ ายใน พื้นที่ของกรุงเทพมหานครและมีอายุตั้งแต 25 ปขึ้นไป จํานวน 400 คน ไดมาจากการสุมแบบชั้นภูมิสัดสวน เครื่องมือที่ใชใน การศึกษาคนควา ไดแก แบบสอบถาม สถิติที่ใชในการวิเคราะห ขอมูลคือ t-Test, one way ANOVA และ Chi-square
1
นิสิตระดับปริญญาโท สาขาวิชานโยบายสาธารณะ โปรแกรมวิชารัฐประศาสนศาสตร คณะสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชารัฐศาสตร คณะสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ผลการศึกษา พบวา 1. ปจจัย สว นบุ คคลส ว นใหญ ได แ ก เพศ, อายุ , รายได และบริการที่ใชไมมีผลตอทัศนคติของประชาชนที่มี ต อ การพั ฒ นาการบริ ห ารงานของกรุ ง เทพมหานคร ส ว น ระดับการศึกษา และสถานที่ที่ใชบริการมีผลตอทัศนคติของ ประชาชนที่มีตอการพัฒนาการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร 2. ผลลัพธการพัฒนาการบริหารงานของ กรุงเทพมหานคร ในดานการพัฒนาองคกร สูงที่สุด รองลงมา คือ ดานคุณภาพการใหบริการ และในดาน ประสิทธิผลตามพันธกิจ ต่ําที่สุด 3. ขอมูลทุติยภูมิ พบวา ประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ และการ พัฒนาองคกรของกรุงเทพมหานครมีแนวโนมลดลง สวน ประสิทธิผลตามพันธกิจ และคุณภาพการใหบริการของ กรุงเทพมหานครมีแนวโนมเพิ่มขึ้น 4. การเปรียบเทียบขอมูลที่เก็บจากแบบสอบถาม กับขอมูลทุติยภูมิ ประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ และการ พัฒนาองคกร นั้นไมสามารถจะสรุปไดวาเพิ่มขึ้นหรือลดลง สวนประสิทธิผลตามพันธกิจ และคุณภาพการใหบริการนั้น สามารถจะสรุปไดวาเพิ่มขึ้น ABSTRACT The research aimed to study performance outcome of Bangkok Metropolitan Administration (BMA) through comparing between Classic Public Administration and New Public Management. The samples, 400 persons residing in BMA area, were selected through proportionally stratified random sampling method. Data were collected by reliability – tested questionnaires and analyzed through t-test, one way analysis of variance and Chisquare. The concluded results were as follows: 1. Educational level and servicing place illustrate significant difference in management
83
development of BMA but sex, age, income and service provided. 2. The most success of performance outcome of BMA was organization development, the second is quality of service, and mission effectiveness the least. 3. From secondary data analysis, performance efficiency and organization development tended to be reduced but mission effectiveness and quality of service. 4. In comparing between questionnaire and secondary data, mission effectiveness and quality of service showed increasing consistently, while performance efficiency and organization development couldn’ t be concluded. บทนํา จากแผนบริหารราชการของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2548 – 2551 แสดงใหเห็นวากรุงเทพมหานครไดตระหนักถึง ความสําคัญของการใหบริการเพื่อตอบสนองความตองการ ของประชาชนเป น อยา งดี จึ ง ไดกํ า หนดยุท ธศาสตร ตา ง ๆ ขึ้นมาเพื่อพัฒนาการบริหารราชการของกรุงเทพมหานครและ ตอบสนองความตองการใหแกประชาชนที่อาศัยอยูในพื้นที่ ของกรุ ง เทพมหานครอย า งเต็ ม ประสิ ท ธิ ภ า พ โ ด ย กรุงเทพมหานครก็ไดมีการนําแนวความคิดของ New Public Management มาใช ใ นการปรั บ ปรุ ง การให บ ริ ก ารเพื่ อ ตอบสนองความต อ งการของประชาชน ณ สํ า นั ก งานเขต มาแลว คือ One Stop Service เนื่องจากกรุงเทพมหานครได เล็งเห็นถึงความสําคัญของการใหบริการของสํานักงานเขต ซึ่งเปนหนวยปฏิบัติการของกรุงเทพมหานครที่มีความใกลชิด กับประชาชนมากที่สุด และถือเปนจุดกระทบ “(Point of Contract)” ระหวางกรุงเทพมหานครกับประชาชนโดยตรง ดั ง นั้ น ในการที่ จ ะประเมิ น ผลว า การพั ฒ นาการ บริหารราชการของกรุงเทพมหานครประสบความสําเร็จมาก น อ ยเพี ย งไรนั้ น จะต อ งทํ า การประเมิ น จากประชาชน ผู รั บ บริ ก ารที่ ก รุ ง เทพมหานครได จั ด ทํ า ขึ้ น เพื่ อ ให บ ริ ก าร ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร โดยผูวิจัยจะทําการศึกษา
84
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
เปรี ย บเที ย บการให บ ริ ก ารของกรุ ง เทพมหานครเพื่ อ ตอบสนองความตองการของประชาชนภายใตการบริห าร ราชการแบบเดิมกับการใหบริการของกรุงเทพมหานครเพื่อ ตอบสนองความตองการของประชาชนในปจจุบันที่มีการนํา New Public Management มาใชปฏิรูประบบการบริหาร ราชการของกรุงเทพมหานครแลว เพื่อดูความแตกตางของ การให บ ริก ารประชาชนภายใตก ารบริห ารราชการทั้ง สอง แบบแลวนําผลจากการศึกษาที่ไดมาปรับปรุงการดําเนินการ ของกรุงเทพมหานครใหดีขึ้นตอไป ความมุงหมายของการวิจัย 1. เพื่ อ เปรียบเทีย บการให บ ริก ารของ กรุงเทพมหานครเพื่อตอบสนองความตองการของประชาชน ภายใต ก ารบริ ห ารราชการแบบเดิ ม กั บ การให บ ริ ก ารของ กรุงเทพมหานครเพื่อตอบสนองความตองการของประชาชน ในปจจุบันที่มีการนํา New Public Management มาใช ปฏิรูประบบการบริหารราชการของกรุงเทพมหานครแลว 2. เพื่อ ศึ ก ษาทัศ นคติข องประชาชนที่มี ตอ การ บริหารราชการของกรุงเทพมหานคร กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย ผูวิจัยใชวิธีการเลือก สุมแบบชั้นภูมิสัดสวนจากประชาชนที่อาศัยอยูภายในพื้นที่ ของกรุงเทพมหานครที่มีอายุตั้งแต 25 ป ขึ้นไป โดยได คํานวณจากสูตรของ ยามาเนที่มีความคลาดเคลื่อนของ การสุมตัวอยางรอยละ 5 จึงทําใหไดจํานวนตัวอยางที่จะใช เปนตัวอยางในการวิจัยจํานวน 400 ตัวอยาง สมมติฐานการวิจัย 1. เพศ, อายุ, ระดับการศึกษา, รายได, บริการที่ ใช และสถานที่ที่ ใ ชบริการที่แตกตางกัน มีทัศนคติตอ การ พัฒนาการบริหารงานของกรุงเทพมหานครแตกตางกัน 2. ผลลั พ ธ ก ารพั ฒ นาการบริ ห ารงานของ กรุงเทพมหานครตามแนวทางการบริหารภาครัฐแนวใหมใน ทัศนคติของประชาชนดีกวาการพัฒนาการบริหารงานของ กรุงเทพมหานครตามแนวทางการบริหารภาครัฐแบบเดิมอยู ในระดับมาก แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารราชการแบบเดิม แนวคิดของ Max Weber (วิรัช วิรัชนิภาวรรณ. 2548)
Max Weber ซึ่งเปนบุคคลแรก ๆ ที่ศึกษาระบบ ราชการที่มี โ ครงสร า งการจั ดองค การขนาดใหญ รวมทั้ ง มี ความซับซอนและเปนทางการ ทั้งนี้ เพื่อใหเกิดประสิทธิภาพ สูงสุด ผลงานของ Max Weber ตีพิมพในสหรัฐอเมริกาในป ค.ศ. 1947 โครงสร า งการจั ด องค ก ารดั ง กล า วของ Max Weber นั้น เรียกวา ระบบราชการตามอุดมคติ (an idealtype bureaucracy) หรือตามแนวคิดของ Max Weber นั้น สามารถสรุปได 9 หลักการที่สําคัญ ดังนี้ 1. กํา หนดหนา ที่แ ละแบง งานกัน ทําตามความ ชํานาญเฉพาะดาน (specialized division of labor) 2. มี ส ายการบั ง คั บ บั ญ ชาอย า งเป น ทางการ (hierarchy of authority) 3. ยึดหลักประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน (efficiency) 4. ยึดโครงสรางตามอํานาจหนาที่ (authority structure) 5. ใชหลักความสามารถในการเลื่อนตําแหนง (promotion base on achievement) 6. ยึดกฎระเบียบที่เปนลายลักษณอักษร (written rules of conduct) 7. ยึดหลักการอยางเปนทางการมากกวา ความสัมพันธสวนบุคคล (impersonality) 8. มีขอผูกมัดดานอาชีพระยะยาว (lifelong career commitment) 9. ยึดความมีเหตุมีผล (rationality) พรอมกันนั้น Max Weber ยังไดจําแนกรูปแบบ ของโครงสรางตามอํานาจหนาที่ออกเปน 3 รูปแบบ คือ 1. อํานาจหนาที่แบบดั้งเดิม (traditional authority) 2. อํานาจ หนาที่ที่มีมาแตกําเนิด หรืออํานาจหนาที่จากความสามารถ พิเศษ (charismatic authority) 3. อํานาจหนาที่ตาม กฎหมาย (rational-legal authority) แนวคิดการบริหารรัฐกิจแนวใหม ตั ว แบบการบริ ห ารจั ด การภาครั ฐ ใหม หรื อ โปรแกรมการบริหารจัดการ (The Managerial Programme) OECD (จุมพล หนิมพานิช. 2548: 118 120) ไดเรียกรองใหบรรดาประเทศสมาชิกดําเนินการตาม
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 แนวทางตอไปนี้ คือ แนวทางแรก ใหมีการปรับปรุงการผลิต ให สู ง ขึ้ น และแนวทางที่ ส อง ให มี ก ารส ง มอบสิ น ค า และ บริการที่ดีขึ้นแทนที่การมุงเนนการทําใหถูกตองตามระเบียบ โดยใชกฎระเบียบและอํานาจหนาที่ตามสายการบังคับบัญชา ตามแนวทางแรก การปรับ ปรุง การผลิต ใหดีขึ้ น OECD ไดเสนอใหมีการดําเนินการดังนี้ 1. ยกระดั บ การดํ า เนิ น การผลิต ของหนว ยงาน ภาครัฐใหสูงขึ้น โดยการปรับปรุงการบริหารจัดการทรัพยากร มนุษยใหดีขึ้น เริ่มตั้งแตการจัดหา พัฒนา และสรรหาบุคคล ที่มีความรู ความสามารถ ใหมาสมัครและควรจะไดมีก าร จายคาตอบแทนตามผลงานหรือตามเนื้องาน นอกจากนี้ควรใหพนักงานหรือบุคลากรมีสวนรวม ในการตัดสินใจรวมทั้งการมีสวนรวมในการบริหารจัดการ มี การใชมาตรการควบคุมที่ผอนคลาย ขณะที่มีการเรียกรอง หรือบังคับใหมีการปฏิบัติตามเปาหมายที่เขมงวดกวดขัน มี การใชเทคโนโลยีสารสนเทศตลอดจนมีการปรับปรุงขอมูล ย อ นกลั บ จากลู ก ค า รวมทั้ ง มี ก ารเน น การให บ ริ ก ารที่ มี คุณภาพเปนตน 2. มีการใชประโยชนจากภาคเอกชนมากขึ้น โดย การส ง เสริ ม สนั บ สนุ น ให มี ร ะบบการจั ด หาที่ เ ป ด ให มี ก าร แขงขันที่มีประสิทธิภาพวางใจได ทั้งนี้เพื่อการมอบงานให เอกชนดําเนินการในการผลิตสินคาและบริการ รวมทั้งการ มอบงานใหเอกชนดําเนินการในสินคาและบริการระหวาง กลางและเพื่อการยุติการผูกขาด ในประเด็ น นี้ จุ ด เน น จะอยู ที่ ก ารบริ ห ารจั ด การ ขณะเดียวกันมีการพิจารณากันดวยวาขอบขายของรัฐบาล จะตองลดลง ซึ่ง OECD เองก็เห็นดวยในเรื่องนี้ นอกจากนี้การนําการเปลี่ยนแปลงไปสูการปฏิบัติ ยังเปนไปเพื่อที่จะปรับปรุงคุณภาพของการกําหนดนโยบาย รวมทั้งความสัมพันธกับนักการเมืองใหดขี ึ้น ความโปรงใสและความคงเสนคงวาจะชวยปรับปรุง การดําเนินงานหรือการปฏิบัติงานของภาครัฐใหดีขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเปนหลักประกันในการทํางานอยางมีหลักการและเหตุผล สําหรับผูที่มีหนาที่ในการตัดสินใจ รวมทั้งสําหรับสาธารณชน การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญที่เกิดขึ้นเกี่ยวของกับ ตัว แบบการบริหารจัดการ (a managerial model) หรือ “ตัว
85
แบบการบริหารจัดการภาครัฐใหม” ที่มีองคประกอบที่สําคัญ ตามทัศนะของ OECD จะมีลักษณะ ดังนี้ 1. ปรั บ ปรุ ง ทรั พ ยากรมนุ ษ ย ร วมทั้ ง การจ า ย คาตอบแทนตามผลงานใหดีขึ้น 2. มี ค วามเกี่ ย วข อ งของบุ ค ลากรในการวิ นิ จ ฉั ย ตัดสินใจ 3. มี ก ารผ อ นคลายการควบคุ ม แต มุ ง เน น การ ดําเนินงานตามเปาหมายใหมากขึ้น 4. มีการใชเทคโนโลยีสารสนเทศ 5. มุงเนนการใหบริการตอลูกคาหรือผูรับบริการ 6. ผูใชเปนผูรับผิดชอบคาใชจาย 7. มีการมอบงานใหเอกชนดําเนินการ 8. มีการผอนคลายกฎระเบียบเกี่ยวกับการผูกขาด แตสําหรับ C. Hood (จุมพล หนิมพานิช. 2548: 120 - 122) เห็นวา “ตัวแบบการบริหารจัดการ” หรือที่เขา เรี ย กว า “การบริ ห ารจั ด การภาครั ฐ ใหม ” จะมี ลั ก ษณะที่ ประกอบดวยประเด็นตาง ๆ ดังนี้ 1. ใหการบริหารจัดการอยูในมือของนักบริหาร จัดการมืออาชีพ ประเด็นนี้หมายความวา “การบริหารจัดการ ภาครัฐ” ควรจะเปนเรื่องของนักบริหารจัดการมืออาชีพที่จะ เป น คนคอยบริ ห ารจั ด การ เพราะเป น บุ ค คลที่ มี ค วาม กระตือรือรน มีวิสัยทัศน มีการควบคุมองคการในลักษณะที่มี ความสุขุมรอบคอบ มีการทํางานตามหลักเหตุผล 2. ควรมี ก ารวัด และมี เ กณฑม าตรฐานสํ า หรั บ การประเมิ น ผลการปฏิ บั ติ ง านที่ ชั ด เจน ในประเด็ น นี้ หมายความวา จะตองมีการกําหนดเปาหมาย ขณะเดียวกันมี การใหคํานิยามเปาหมาย รวมทั้งมีการกําหนดจุดมุงหมาย ของการประเมิ น ผลการปฏิ บั ติ ง านหรื อ ผลงานที่ ชั ด เจนที่ สามารถวัดผลเปนรูปธรรมได 3. ให ค วามสํ า คั ญ ต อ การควบคุ ม ผลผลิ ต ขณะเดี ย วกั น มี ก ารให น้ํ า หนั ก กั บ “ผลลั พ ธ ” มากกว า “ระเบียบวิธีการ” 4. มี ก ารแตกหรื อ แยกหน ว ยงานต า ง ๆ ใน ภาครั ฐ ให มี ข นาดที่ เ ล็ ก ลง เกิ ด ความเหมาะสมต อ การ ปฏิบัติงาน ในประเด็นนี้หมายความวา แตเดิมมาหนวยงาน ภาครั ฐ จะมี ข นาดใหญ ผลก็ คื อ ทํ า ให เ กิ ด ความไม มี
86
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ประสิ ท ธิ ภ าพ จึ ง ทํ า ให มี แ นวคิ ด ในการแตกหรื อ แยก หน ว ยงานของภาครั ฐ อาทิ ให มี ข นาดเล็ ก ลง เกิ ด ความ เหมาะสมตอการปฏิบัติงาน 5. จั ด ให มี ก ารแข ง ขั น ใน “การบริ ห ารจั ด การ ภาครั ฐ ” โดยเฉพาะในประเด็ น ของการแข ง ขั น ในการ ใหบ ริก ารสาธารณะมากขึ้น ซึ่งการดํา เนินการในลัก ษณะ ดั ง กล า วโดยทั่ ว ไปมี ส ว นในการช ว ยทํ า ให ต น ทุ น หรื อ คาใชจายลดลง ขณะเดียวกันมีคุณภาพมาตรฐานดีขึ้น 6. เนนสไตลหรือลีลา “การบริหารจัดการแบบ ภาคเอกชน” ในประเด็น นี้ จะทํา ไดจ ะตอ งมีก ารขจัด “การ บริหารจัดการแบบทหาร” “แบบราชการพลเรือน” มาเปนวิธี “การบริหารจัดการแบบภาคเอกชน” มาใชใน “การบริหาร จัดการภาครัฐ” ซึ่งจะทําไดจะตองมีการปรับเปลี่ยนวิธีการ บริหารงานใหทันสมัย เลียนแบบวิธีการของภาคเอกชน 7. เนนหรือใหความสําคัญกับเรื่ องของวินัยใน การใชเงินแผนดิน ในประเด็นนี้หมายถึงมีการสรางเสริมวินัย ในการใชจายเงินแผนดิน รวมทั้งเนนเรื่องของความประหยัด ในการใชทรัพยากร ความคุมคาในการใชทรัพยากร ตามประเด็น นี้ในทรรศนะของ C. Hood หมายความวา ควรจะมีการตัด ทอนตนทุนหรือคาใชจายโดยตรง ขณะเดียวกันพยายามให แรงงานเห็นความสําคัญของวินัยในการใชทรัพยากร การสรางเครื่องมือที่ใชในการวิจัย เครื่องมือที่ใชในการเก็บขอมูลเพื่อนํามาวิเคราะห เปนแบบสอบถาม แบงเปน 4 ตอน คือ ตอนที่ 1 ขอมูลเบื้องตนผูตอบแบบสอบถาม เปน แบบสอบถามแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) กับแบบ เติมคําในชองวาง ตอนที่ 2 ความคิดเห็นของกลุมเปาหมายตอการ ใหบริการเพื่อตอบสนองความตองการของประชาชนภายใต การบริหารราชการแบบเดิมของกรุงเทพมหานครเปรียบเทียบ กับการใหบริการเพื่อตอบสนองความตองการของประชาชน ภายใตการบริหารราชการแนวใหม ตอนที่ 3 ป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ การเปลี่ ย นแปลงการ บริหารราชการของกรุงเทพมหานคร ตอนที่ 4 การเปรียบเทียบการดําเนินการตามการ บริหารราชการแบบเดิมกับการบริหารราชการแนวใหม
จ า ก ก า ร คํ า น ว ณ ไ ด ค า ค ว า ม เ ชื่ อ มั่ น ข อ ง แบบสอบถามรวมเทากับ 0.9483 สําหรับขอคําถามที่ไดคา สหสั ม พั น ธ ต่ํ า ผู วิ จั ย จึ ง ทํ า การเปลี่ ย นแปลงลั ก ษณะของ คําถามใหสามารถเขาใจไดงายขึ้น สรุปผลการวิจัย ผลที่ ไ ดจ ากการศึก ษา สามารถสรุป ผลการวิจั ย ออกเปน 9 ตอน ตอนที่ 1 สภาพทั่วไปของขอมูลสวนบุคคล ผลการศึกษาขอมูลทั่วไปของกลุมตัวอยาง พบวา ประชาชนสวนใหญเปนเพศหญิง คิดเปนรอยละ 50.25 มีอายุ นอยกวา 40 ป คิดเปนรอยละ 54 มีระดับการศึกษาต่ํากวา ปริญญาตรี คิดเปนรอยละ 52.75 มีรายไดระหวาง 10,001 – 15,000 บาท คิดเปนรอยละ 28 ใชบริการดานงานทะเบียน คิดเปนรอยละ 77.25 ใชบริการบริเวณพื้นที่ฝงพระนครรอบ ใน คิดเปนรอยละ 44.25 ตอนที่ 2 ระดับคาเฉลี่ยของปจจัยดานประสิทธิผลตามพันธ กิจ ปจจัยดานประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ ปจจัย ดานคุณภาพการใหบริการ และปจจัยดานการพัฒนาองคกร ปรากฏผลตามรายละเอียด ดังนี้ 1. ปจจัยดานประสิทธิผลตามพันธกิจ มีคาเฉลี่ย อยูในระดับปานกลาง 2. ปจจัยดานประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ มีคาเฉลี่ยอยูในระดับปานกลาง 3. ปจจัยดานคุณภาพการใหบริการ มีคาเฉลี่ยอยู ในระดับมาก 4. ปจจัยดานการพัฒนาองคกร มีคาเฉลี่ยอยูใน ระดับมาก ตอนที่ 3 การวิ เ คราะห ค วามแตกต า งของความคิ ด เห็ น เกี่ยวกับปจจัยสวนบุคคลกับกลุมตัวแปรแตละตัว 1. ผลการเปรี ย บเที ย บความคิ ด เห็ น เกี่ ย วกั บ ป จ จั ย ด า นประสิ ท ธิ ผ ลตามพั น ธกิ จ กั บ ป จ จั ย ส ว นบุ ค คล จําแนกตามเพศ, อายุ, ระดับการศึกษา, รายได, บริการที่ใช และสถานที่ที่ใชบริการ ผลการวิจัยพบวา ประชาชนที่มีอายุ, รายได และ การใชบริการที่แตกตางกัน มีทัศนคติในดานประสิทธิผลตาม พั น ธกิ จ ไม แ ตกต า งกั น ส ว นประชาชนที่ มี เ พศ, ระดั บ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 การศึกษา และสถานที่ที่ใชบริการแตกตางกันมีทัศนคติใน ดานประสิทธิผลตามพันธกิจแตกตางกัน 2. ผลการเปรี ย บเที ย บความคิ ด เห็ น เกี่ ย วกั บ ปจจัยดานประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการกับปจจัยสวน บุ ค คล จํ า แนกตามเพศ, อายุ , ระดั บ การศึ ก ษา, รายได , บริการที่ใช และสถานที่ที่ใชบริการ ผลการวิจัยพบวา ประชาชนที่มีเพศ, อายุ, รายได แ ล ะ ก า ร ใ ช บ ริ ก า ร ที่ แ ต ก ต า ง กั น มี ทั ศ น ค ติ ใ น ด า น ประสิ ท ธิ ภ าพของการปฏิ บั ติ ร าชการไม แ ตกต า งกั น ส ว น ประชาชนที่ มี ร ะดั บ การศึ ก ษา และสถานที่ ที่ ใ ช บ ริ ก าร แตกตา งกัน มีทัศ นคติใ นดา นประสิท ธิภ าพของการปฏิบั ติ ราชการแตกตางกัน 3. ผลการเปรี ย บเที ย บความคิ ด เห็ น เกี่ ย วกั บ ปจจัยดานคุณภาพการใหบริการกับปจจัยสวนบุคคล จําแนก ตามเพศ, อายุ, ระดับการศึกษา, รายได, บริการที่ใช และ สถานที่ที่ใชบริการ ผลการวิจัยพบวา ประชาชนที่มีเพศ, อายุ, ระดับ การศึกษา, รายได และการใชบริการที่แตกตางกันมีทัศนคติ ในดานคุณภาพการใหบริการไมแตกตางกัน สวนสถานที่ที่ใช บริการที่แตกตางกันมีทัศนคติในดานคุณภาพการใหบริการ แตกตางกัน 4. ผลการเปรี ย บเที ย บความคิ ด เห็ น เกี่ ย วกั บ ปจจัย ดา นการพั ฒ นาองค กรกับ ปจจั ยสว นบุ ค คล จํ า แนก ตามเพศ, อายุ, ระดับการศึกษา, รายได, บริการที่ใช และ สถานที่ที่ใชบริการ ผลการวิจัยพบวา ประชาชนที่มีเพศ, อายุ, รายได และการใชบริการที่แตกตางกันมีทัศนคติในดานการพัฒนา องคกรไมแตกตางกัน สวนประชาชนที่มีระดับการศึกษา และ สถานที่ที่ใชบริการแตกตางกันมีทัศนคติในดานการพัฒนา องคกรแตกตางกัน ตอนที่ 4 ระดับคาเฉลี่ยของปจจัยที่สงผลตอ การเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการของกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาปจจัยที่สง ผลตอการเปลี่ ยนแปลง การบริหารราชการของกรุงเทพมหานคร พบวา ปจจัยที่สงผล ตอการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการของกรุงเทพมหานคร ในดานความกาวหนาของเทคโนโลยี สูงที่สุด มีคาเฉลี่ย 3.98
87
รองลงมา คือ ดานกระแสโลกาภิวัตน มีคาเฉลี่ย 3.84 และใน ด า นการลดอั ต รากํ า ลั ง ข า ราชการของ กทม. ต่ํ า ที่ สุ ด มี คาเฉลี่ย 3.19 ตอนที่ 5 ร ะ ดั บ ค า เ ฉ ลี่ ย ก า ร ตั ด สิ น ใ จ เปรียบเทียบการดําเนินการตามการบริหารราชการแบบเดิม กับการบริหารราชการแนวใหม ผลการศึ ก ษาการตั ด สิ น ใจเปรี ย บเที ย บการ ดํา เนินการตามการบริ หารราชการแบบเดิมกั บการบริห าร ราชการแนวใหม พบวา กลุมประชาชนที่เปนเพศหญิงเลือก รูปแบบการดําเนินการของกรุงเทพมหานครเปนแบบใหมรอย ละ 93.5 สูงที่สุด กลุมประชาชนที่มีอายุมากกวา 50 ป เลือก รูปแบบการดําเนินการของกรุงเทพมหานครเปนแบบใหมรอย ละ 98.4 สูงที่สุด กลุมประชาชนที่ใชบ ริการงานคลัง เลือ ก รูป แบบการดํา เนิน การของกรุง เทพมหานครเปน แบบใหม รอ ยละ 95.6 สูงที่สุด กลุมประชาชนที่ใชบริการในพื้นที่ฝง พ ร ะ น ค ร ร อ บ ใ น เ ลื อ ก รู ป แ บ บ ก า ร ดํ า เ นิ น ก า ร ข อ ง กรุ ง เทพมหานครเป น แบบใหม ร อ ยละ 95.5 สู ง ที่ สุ ด กลุ ม ประชาชนที่มีระดับการศึกษาสูงกวาปริญญาตรี เลือกรูปแบบ การดําเนินการของกรุงเทพมหานครเปนแบบใหมรอยละ 97.3 สูงที่สุด กลุมประชาชนที่มีรายไดระหวาง 15,001 – 20,000 บาท เลือกรูปแบบการดําเนินการของกรุงเทพมหานครเปนแบบ ใหม ร อ ยละ 97.3 สู ง ที่ สุ ด และป จ จั ย ส ว นบุ ค คลไม มี ความสั ม พั น ธ กั บ การตั ด สิ น ใจของประชาชนในการเลื อ ก รูปแบบการดําเนินการของกรุงเทพมหานคร ตอนที่ 6ผลการทดสอบสมมติฐานของการวิจัย สมมติฐานที่ 1 ปจจัยสวนบุคคลสวนใหญ ไดแก เพศ, อายุ , รายได และบริ ก ารที่ ใ ช ไ ม มี ผ ลต อ ทั ศ นคติ ข อง ป ร ะ ช า ช น ที่ มี ต อ ก า ร พั ฒ น า ก า ร บ ริ ห า ร ง า น ข อ ง กรุงเทพมหานคร สวนระดับการศึกษา และสถานที่ที่ใช บริการมีผลตอทัศนคติของประชาชนที่มีตอการพัฒนาการ บริหารงานของกรุงเทพมหานคร จึงไมเปนไปตามสมมติฐาน สมมติฐานที่ 2 ผลลัพธการพัฒนาการบริหารงาน ของกรุงเทพมหานคร ในดานการพัฒนาองคกร สูงที่สุด มี คาเฉลี่ย 3.5525 รองลงมา คือ ดานคุณภาพการใหบริการ มี คาเฉลี่ย 3.5360 และในดานประสิทธิผลตามพันธกิจ ต่ําที่สุด มีคาเฉลี่ย 3.2228 และคาเฉลี่ยโดยรวม 3.3852 แสดงวา
88
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ใหบ ริการ คิดเปนรอยละ 31.40 และดานประสิท ธิผลตาม พันธกิจต่ําที่สุด คิดเปนรอยละ 1.16 ตอนที่ 8 ขอมูลทุติยภูมิ จ า ก ส ถิ ติ ข อ ง ก รุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร ตอนที่ 7 ขอมูลความคิดเห็นเพิ่มเติม ผลการวิ จั ย พบว า ประชาชนมี ค วามคิ ด เห็ น (http://www.bma.go.th/info) ตั้ งแต ป พ.ศ. 2542 – 2548 เมื่ อ เพิ่มเติมในดานประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการสูงที่สุด นํามาคํานวณหาคาประสิทธิผลตามพันธกิจ, ประสิทธิภาพ คิ ด เป น ร อ ยละ 58.14 รองลงมาคื อ ด า นคุ ณ ภาพการ ของการปฏิ บั ติ ร าชการ, คุ ณ ภาพการให บ ริ ก าร และการ พัฒนาองคกรของกรุงเทพมหานครแลวไดผลดังตารางตอไปนี้ ป พ.ศ. 2542 2543 2544 2545 2546 2547 2548 ประสิทธิผลตามพันธกิจ 685827.4 678351.0 662116.6 716243.8 939184.5 965995.3 955809.5 1. รายรับตอจํานวน 8 4 0 8 5 4 4 ขาราชการ 2. ปริมาณขยะตอ 0.60 0.54 0.57 0.58 0.58 0.60 0.58 ประชากร 3. จํานวนหาบเร-แผง 28.58 42.63 37.53 39.55 32.54 42.79 42.99 ลอยตอจํานวนจุด ผอนผัน ประสิทธิภาพของการ ปฏิบัติราชการ 1.037 1.023 1.038 1.043 1.235 1.663 1.471 1. รายรับตอรายจาย 2. จํานวนขยะตอจํานวน 1,801.68 1,828.46 1,379.54 1,477.57 1,435.00 1,443.36 1,364.95 เที่ยวเก็บขนมูลฝอย 3. จํานวนครูตอนักเรียน 0.043 0.039 0.038 0.038 0.038 0.037 0.037 คุณภาพการใหบริการ 1. จํานวนโรงพยาบาลตอ 0.000001 0.000001 0.000001 0.000001 0.000001 0.000001 0.000001 2 4 4 4 5 6 6 ประชากร 2. จํานวนหองสมุดตอ 0.000005 0.000003 0.000003 0.000005 0.000005 0.000005 0.000005 ประชากร 1 5 5 2 0 1 5 3. จํานวนศูนยเยาวชนตอ 0.000004 0.000004 0.000004 0.000004 0.000005 0.000005 0.000005 ประชากร 6 6 5 5 3 1 7 4. จํานวนสวนสาธารณะ ตอประชากร
ประชาชนมีทัศนคติวาผลลัพธการพัฒนาการบริหารงานของ กรุงเทพมหานครโดยสวนรวมอยูในระดับปานกลาง จึงไม เปนไปตามสมมติฐาน
0.00012
0.000002 6
0.000003
0.000002 4
0.000002 4
0.00033
0.00039
89
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
คุณภาพการใหบริการ 5. จํานวนโรงเรียนตอ นักเรียน 6. จํานวนโรงเรียนฝก อาชีพตอจํานวน นักเรียนฝกอาชีพ การพัฒนาองคกร 1. หลักสูตรการฝกอบรม ตอจํานวนขาราชการ 2. งบประมาณการ ฝกอบรมตอจํานวน ผูเขารับการฝกอบรม 3. รายรับตองบประมาณ การฝกอบรม
2542
2543
2544
ป พ.ศ. 2545
0.0014
0.0013
0.0013
0.0013
0.0012
0.0012
0.0012
0.0018
0.0022
0.00047
0.000045
0.00042
0.00052
0.00045
0.0026
0.0021
0.0025
0.0020
0.0024
0.0017
0.0020
3,537.92
4,096.85
5,526.58
3,557.93
4,243.16
2,813.54
2,739.51
441.49
265.52
228.91
207.04
223.73
202.36
176.46
ผลการวิจัย พบวา 1. ประสิทธิผลตามพันธกิจของกรุงเทพมหานคร เมื่อเปรียบเทียบกันระหวางการบริหารรัฐกิจแบบเดิม (2542 – 2544) กับ การบริหารรัฐกิจแนวใหม (2545 – 2548) แลว ปรากฏวาประสิทธิผลตามพันธกิจของกรุงเทพมหานครนั้น เพิ่มขึ้นจากแตกอน ซึ่งแสดงใหเห็นวาการนําการบริหารรัฐกิจ แ น ว ใ ห ม ม า ใ ช ทํ า ใ ห ป ร ะ สิ ท ธิ ผ ล ต า ม พั น ธ กิ จ ข อ ง กรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น 2. ประสิ ท ธิ ภ าพของการปฏิ บั ติ ร าชการของ กรุงเทพมหานครเมื่อเปรียบเทียบกันระหวางการบริหารรัฐกิจ แบบเดิม (2542 – 2544) กับ การบริหารรัฐกิจแนวใหม (2545 – 2548) แลวปรากฏวาประสิทธิภาพของการปฏิบัติ ราชการของกรุงเทพมหานครนั้นมีแนวโนมที่จะลดลงจากแต กอน ซึ่งแสดงใหเห็นวาการนําการบริหารรัฐกิจแนวใหมมาใช ทํ า ใ ห ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ข อ ง ก า ร ป ฏิ บั ติ ร า ช ก า ร ข อ ง กรุงเทพมหานครมีแนวโนมลดลง 3. คุณภาพการใหบริการของกรุงเทพมหานครเมื่อ เปรียบเทียบกันระหวางการบริหารรัฐกิจแบบเดิม(2542 – 2544) กับ การบริหารรัฐกิจแนวใหม (2545 – 2548) แลวปรากฏวา คุณภาพการใหบริการนั้นมีแนวโนมที่จะเพิ่มขึ้นจากแตกอน ซึ่งแสดงใหเห็นวาการนําการบริหารรัฐกิจแนวใหมมาใชทําให คุณภาพการใหบริการของกรุงเทพมหานครมีแนวโนมเพิ่มขึ้น
2546
2547
2548
4. ก า ร พั ฒ น า อ ง ค ก ร ใ ห บ ริ ก า ร ข อ ง กรุงเทพมหานครเมื่อเปรียบเทียบกันระหวางการบริหารรัฐ กิจแบบเดิม (2542 – 2544) กับ การบริหารรัฐกิจแนวใหม (2545 – 2548) แลวปรากฏวาการพัฒนาองคกรนั้นลดลงจาก แตกอน ซึ่งแสดงใหเห็นวาการนําการบริหารรัฐกิจแนวใหม มาใชทําใหการพัฒนาองคกรของกรุงเทพมหานครลดลง ตอนที่ 9 การเปรียบเทียบขอมูลที่เก็บจากแบบสอบถาม กับขอมูลทุติยภูมิ 1. ประสิทธิผลตามพันธกิจ ขอมูลที่เก็บจากแบบสอบถามแสดงใหเห็นวา กรุงเทพมหานครมีประสิทธิผลตามพันธกิจเพิ่มขึ้นหลังจาก การนําเอาการบริหารรัฐกิจแนวใหมมาใชอยูในระดับปาน กลาง และขอมูลทุติยภูมิของกรุงเทพมหานครก็แสดงให เห็ น ว า ประสิ ท ธิ ผ ลตามพั น ธกิ จ ของกรุ ง เทพมหานคร เพิ่มขึ้น จากแตกอน ดังนั้นจึงสามารถจะสรุปไดวาการที่ กรุงเทพมหานครนําเอาการบริหารรัฐกิจแบบใหมมาใชทํา ใหประสิทธิผลตามพันธกิจเพิ่มขึ้น 2. ประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ ขอมูล ที่เก็บจากแบบสอบถามแสดงใหเห็นวากรุงเทพมหานครมี ประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการเพิ่มขึ้นหลังจากการ นําเอาการบริหารรัฐกิจแนวใหมมาใชอยูในระดับปานกลาง
90
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
แตข อ มู ลทุ ติย ภูมิข องกรุ ง เทพมหานครนั้ น แสดงให เห็ น ว า ประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการของกรุงเทพมหานครมี แนวโนมที่จะลดลงจากแตกอน จึงไมสามารถจะสรุปไดวา การที่กรุงเทพมหานครนําเอาการบริหารรัฐกิจแบบใหมมาใช ทําใหประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการเพิ่มขึ้นหรือลดลง การที่ขอ มูลปฐมภูมิและขอ มูลทุติยภูมิแ ตกตางกันอาจจะ เป น เพราะข อ มู ล ปฐมภู มิ นั้ น วั ด มาจากความรู สึ ก ของ ประชาชนที่ คิ ด ว า การมาใช บ ริ ก ารของกรุ ง เทพมหานคร สะดวกสบายขึ้นแตขอมูลทุติยภูมินั้นวัดจากขอมูลจริงที่เปน การรวมเอาการปฏิบัติงานดานอื่น ๆ ของ กทม. เขามาไวดวย จึงทําใหผลออกมาแตกตางกัน 3. คุณภาพการใหบริการ ข อ มู ล ที่ เ ก็ บ จ า ก แบบสอบถามแสดงใหเห็นวากรุงเทพมหานครมีคุณภาพการ ใหบริการเพิ่มขึ้นหลังจากการนําเอาการบริหารรัฐกิจแนวใหม ม า ใ ช อ ยู ใ น ร ะ ดั บ ม า ก แ ล ะ ข อ มู ล ทุ ติ ย ภู มิ ข อ ง กรุงเทพมหานครก็แสดงใหเห็นวาคุณภาพการใหบริการของ กรุงเทพมหานครมีแนวโนมที่จะเพิ่มขึ้นจากแตกอน ดังนั้นจึง สามารถจะสรุปไดวาการที่กรุงเทพมหานครนําเอาการบริหาร รัฐกิจแบบใหมมาใชทําใหคุณภาพการใหบริการเพิ่มขึ้น 4. การพัฒนาองคกร ข อ มู ล ที่ เ ก็ บ จ า ก แบบสอบถามแสดงใหเห็นวากรุงเทพมหานครมีการพัฒนา องคกรเพิ่มขึ้นหลังจากการนําเอาการบริหารรัฐกิจแนวใหม มาใชอยูในระดับมาก แตขอมูลทุติยภูมิของกรุงเทพมหานคร นั้นแสดงใหเห็นวาการพัฒนาองคกรของกรุงเทพมหานคร ลดลงจากแต ก อ น จึ ง ไม ส ามารถจะสรุ ป ได ว า การที่ กรุงเทพมหานครนําเอาการบริหารรัฐกิจแบบใหมมาใชทําให การพัฒนาองคกรเพิ่มขึ้นหรือลดลง การที่ขอมูลปฐมภูมิและ ขอมูลทุติยภูมิแตกตางกันอาจจะเปนเพราะขอมูลปฐมภูมิน้ัน วัดมาจากความรูสึกของประชาชนที่เห็นวาสถานที่ที่มาใช บริการทันสมัยมากขึ้น และมีความรวดเร็วในการใหบริการ มากขึ้น แตขอมูลทุติยภูมินั้นวัดจากขอมูลจริงที่รวมเอาการ พัฒ นาบุค ลากรของกรุง เทพมหานครเข า มาไวด ว ย จึง ทํ า ใหผลออกมาแตกตางกัน อภิปรายผล ตอนที่ 1 ป จ จั ย ส ว นบุ ค คลส ว นใหญ ได แ ก เพศ, อายุ , รายได และบริก ารที่ ใ ช ไ ม มีผ ลตอ ทั ศนคติ ข อง
ป ร ะ ช า ช น ที่ มี ต อ ก า ร พั ฒ น า ก า ร บ ริ ห า ร ง า น ข อ ง กรุ ง เทพมหานคร โดยสอดคล อ งกั บ ผลการศึ ก ษาของ อภิชาต สุทธิสอาด (2543 : บทคัดยอ) ที่พบวาไมวาจะเปน เพศชายหรือเพศหญิง ไมมีความแตกตางในการมีทัศนคติ ในการสนับสนุนการบริหารงานของคณะกรรมการเลือกตั้ง ทั้งนี้ที่ปจจัยสวนบุคคลไมมีผลตอทัศนคติของประชาชนที่ มีตอการพัฒนาการบริหารงานของกรุงเทพมหานครอาจจะ เปนเพราะกรุงเทพมหานครไดใหบริการที่มีความเสมอภาค กับทุก ๆ คน ใหความสําคัญกับสองเพศเทากัน ดังที่ มิล เลท (Millet. 1954. pp. 397 – 400) ไดใหทัศนะวา ความ พึงพอใจของประชาชนที่มีตอการใหบริการของหนวยงาน ของรัฐนั้น ควรจะพิจารณาจากสิ่งตาง ๆ เหลานี้ คือ การ ใหบริการอยางเสมอภาค (Equitable Service) การ ใหบริการอยางทันเวลา (Timely Service) การใหบริการ อยางเพียงพอ (Ample Service) การใหบริการอยาง ตอเนื่อง (Continuous Service) การใหบริการอยาง กาวหนา (Progressive Service) สวนระดับการศึกษา และสถานที่ที่ใชบริการมีผลตอทัศนคติของประชาชนที่มี ต อ การพั ฒ นาการบริ ห ารงานของกรุ ง เทพมหานคร ดั ง งานวิจัยของ สมยศ สืบจากดี (2548 : 117) ที่พบวา ระดับ การศึ ก ษา ที่ มี ค วามแตกต า งกั น นั้ น ส ง ผลในการมอง ลักษณะคุณภาพในบางประเด็นที่ตางกันออกไป และ งานวิจัยของ Duangjai Rattanathanya (2001 : บทคัดยอ) ที่พบวา ปจจัยที่มีผลการนําศูนยบริการสุขภาพ มาใชคือ สถานภาพสมรส, พื้นที่อยูอาศัย, ภาพลักษณของ ศูนยสุขภาพ, สถานะสุขภาพที่รับรู และการมีแหลงดูแล สุขภาพอื่น ๆ อีก ผูใชศูนยบริการสุขภาพใหจัดอยูในความ ทันสมัยถึงความพึงพอใจและการรับรูคุณภาพของการดูแล ป จ จั ย ที่ มี ผ ลต อ ความพึ ง พอใจคื อ สถานะสมรส ระดั บ การศึกษาของผูใช และการรับรูคุณภาพของการดูแล การ ประกันคุณภาพเปนสิ่งที่จําเปน ตอนที่ 2 กรุงเทพมหานครจะไดนําเอาแนว ทางการบริ ห ารภาครั ฐ แนวใหม ม าใช เ พื่ อ พั ฒ นาการ บริหารงานของกรุงเทพมหานคร โดยสังเกตไดจากหนังสือ ราชการที่ สํ า นั ก งาน ก.พ. ที่ นร 0708.1/ว5 ได ส ง มายั ง กรุงเทพมหานครเพื่อทําการปรับเปลี่ยนการประเมินผลการ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ปฏิบัติงานของขาราชการพลเรือนสามัญไปสูการประเมิน ประสิ ท ธิ ภ าพและประสิ ท ธิ ผ ลการปฏิ บั ติ ง าน ซึ่ ง ตรงกั บ แนวคิดรีเอ็นจิเนียริ่งของแฮมเมอร และแชมป (Hammer and Champy. 1993) ที่วาจุดเนนของการวัดผลการ ปฏิ บั ติ ง านและค า ตอบแทนจะเปลี่ ย นไป จากกิ จ กรรมสู ผลลั พ ธ , เกณฑ ใ นความก า วหน า เปลี่ ย นไป จากผลการ ปฏิบัติงานเปนความสามารถ และคานิยมเปลี่ยนไปจากการ ปองกันเปนการเพิ่มผลผลิต นอกจากนี้เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของการ เปรี ย บเที ย บผลลั พ ธ ก ารพั ฒ นาการบริ ห ารงานของ กรุงเทพมหานครระหวางการบริหารรัฐกิจแบบเดิมกับการ บริหารรัฐกิจแนวใหมเปนรายดานแลว พบวา ในด า นประสิท ธิผลตามพัน ธกิจ หลัง จากที่ กรุงเทพมหานครไดนําแนวทางการบริหารรัฐกิจแนวใหมมา ใชแลวนั้นทําใหกรุงเทพมหานครมีประสิทธิผลตามพันธกิจ เพิ่ ม ขึ้ น อย า งชั ด เจนตามข อ มู ล ที่ ไ ด จ ากแบบสอบถามกั บ ขอมูลทุติยภูมิของกรุงเทพมหานคร แตระดับการเพิ่มขึ้นของ ประสิท ธิผลตามพัน ธกิ จ จากแบบสอบถามนั้น อยู แ คเพีย ง ระดับปานกลาง ฉะนั้นกรุงเทพมหานครจึงควรมีการปรับปรุง แกไขใหดีขึ้น ดังที่ เฟรเดอริคสัน (ชุมพร สังขปรีชา. 2529 : 27 – 28; อางอิงจาก Frederickson. 1976: 149 - 174) ได ทํ า การศึ ก ษาวิ เ คราะห โ ดยเปรี ย บเที ย บพั ฒ นาการของ แนวความคิดยุคคลาสสิกหรือยุคดั้งเดิม กับแนวความคิดยุค ป จ จุ บั น และแนวความคิ ด ในอนาคต ในประเด็ น ความมี เหตุ ผ ลทางการบริ ห าร (Rationality) ว า ในอนาคตนั้ น การ วางแผนเปนกิจกรรมเชิงปฏิบัติการพยายามพัฒนาความมี พันธกรณีตอกิจกรรมอันเหมาะสม แตตองตระหนักวาการ วางแผนไมใชสูตรสําเร็จของสังคมที่รูผลในทางปฏิบัติทั้งที่ไม มีทางทราบได มีแตตองปรับปรุงแกไขตนเองตลอดเวลาเพื่อ บรรลุเปาหมายอันเหมาะสมของสวนรวม ในด า นประสิ ท ธิ ภ าพของการปฏิ บั ติ ร าชการ หลังจากที่กรุงเทพมหานครไดนําแนวทางการบริหารรัฐกิจ แนวใหมมาใชแลวนั้นไมสามารถสรุปไดวาการบริหารรัฐกิจ แนวใหม ทํ า ให ก รุ ง เทพมหานครมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพของการ ปฏิ บั ติ ร า ชก ารเพิ่ ม ขึ้ น ห รื อ ลดล ง เ พ รา ะ ข อมู ล จ า ก แ บ บ ส อ บ ถ า ม กั บ ข อ มู ล ทุ ติ ย ภู มิ ขั ด แ ย ง กั น ดั ง นั้ น
91
กรุงเทพมหานครจึงควรปรับปรุงองคกรใหอยูในลักษณะที่ แสดงให เ ห็ น ถึ ง ประสิ ท ธิ ภ าพในการทํ า งาน ดั ง ที่ วั ล ภา ชายหาด (2536 : 65) ไดกลาววาองคกรตองสามารถ ใหบริการอยางเทาเทียมกัน รวดเร็ว ทันเวลา ตอเนื่องและ กาวหนา ขณะเดียวกันผูใหบริการควรมีทัศนคติที่ดีตอการ จัดบริการใหแกประชาชนตามสิทธิประโยชนที่ควรจะไดรับ โดยต อ งมี ก ารพั ฒ นาบุ ค ลากรให มี ทั ศ นคติ ความรู ความสามารถเพื่ อ ให เ กิ ด ความชํ า นาญ มี ค วา ม กระตือรือรน และกลาตัดสินใจในเรื่องที่อยูในอํานาจการ ตัดสินใจ รวมทั้งกระจายอํานาจหรือมอบอํานาจใหมากขึ้น ตลอดจนปรับปรุงระเบียบวิธีการทํางานใหมีขั้นตอนและใช เวลาในการใหบ ริการใหนอยที่สุด (รัชนีกร แกวดีพรอม. 2547 : 180; อางอิงจาก ชูวงศ ฉายะบุตร. 2536 : 11 – 14) ในด า นคุ ณ ภาพการให บ ริ ก ารหลั ง จากที่ กรุงเทพมหานครไดนําแนวทางการบริหารรัฐกิจแนวใหม มาใช แ ล ว นั้ น ทํ า ให ก รุ ง เทพมหานครมี คุ ณ ภาพการ ให บ ริ ก ารเพิ่ ม ขึ้ น อย า งชั ด เจนตามข อ มู ล ที่ ไ ด จ าก แบบสอบถามกับขอมูลทุติยภูมิของกรุงเทพมหานคร แต จากขอมูลความคิดเห็นเพิ่มเติมของประชาชนนั้นแสดงให เห็นวาคุณภาพการใหบริการตองมีการปรับปรุงเพราะสวน ใหญจะเปนขอเสนอแนะที่ตองการใหกรุงเทพมหานครได ปรับปรุงการใหบริการซึ่งคิดเปนรอยละ 31.40 ของทั้งหมด โดยการปรับปรุงนั้นควรจะใหประชาชนมีสวนรวมในการ ดํ า เนิ น การด ว ย ดั ง ที่ เฟรเดอริ ค สั น (ชุ ม พร สั ง ขปรี ช า. 2529 : 27 – 28; อางอิงจาก Frederickson. 1976: 149 174) ไดทําการศึกษาวิเคราะหโดยเปรียบเทียบพัฒนาการ ของแนวความคิ ด ยุ ค คลาสสิ ก หรื อ ยุ ค ดั้ ง เดิ ม กั บ แนวความคิดยุคปจจุบัน และแนวความคิดในอนาคต ใน ประเด็ น การเปลี่ ย นแปลงในสภาพแวดล อ มกั บ การ ตอบสนองขององค ก ารสาธารณะ (Change and Responsiveness) วาในอนาคตนั้น “การตอบสนอง” ของ องค ก ารจํ า เป น ต อ งมี ก ารเข า ร ว มอย า งกว า งขวางโดย ประชาชนผูรับบริการ ทั้งนี้เพื่อสรางความรวมแรงรวมใจ หรือขยายความเปนสมาชิก
92
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ใ น ด า น ก า ร พั ฒ น า อ ง ค ก ร ห ลั ง จ า ก ที่ กรุงเทพมหานครไดนําแนวทางการบริหารรัฐกิจแนวใหม มาใชแลวนั้นไมสามารถสรุปไดวาการบริหารรัฐกิจแนวใหม ทํ า ให ก รุ ง เทพมหานครมี ก ารพั ฒ นาองค ก รเพิ่ ม ขึ้ น หรื อ ลดลงเพราะข อ มู ล จากแบบสอบถามกั บ ข อ มู ล ทุ ติ ย ภู มิ ขั ด แ ย ง กั น แ ต ข อ มู ล ทุ ติ ย ภู มิ แ ส ด ง ใ ห เ ห็ น ว า กรุง เทพมหานครขาดการพัฒนาองคกรดานบุคลากรซึ่ง เปนทรัพยากรที่สําคัญที่สุดขององคกร ซึ่งอาจจะสงผลทํา ให การพั ฒ นาส ว นต า ง ๆ ไม สํา เร็ จ ดัง นั้ น ในการพัฒ นา องคกรจึงควรจะพัฒนาใหบุคลากรของกรุงเทพมหานครมี ศีลธรรมในการปฏิบัติหนาที่ดวย ดังที่ เฮนรี่ (ชุมพร สังข ปรีชา. 2529 : 20 – 21; อางอิงจาก Henry. 1975 : 28) ได กลาวไววา ถาชี้ชัดลงไปถึงจุดยืนอันเดนชัดของบริหารรัฐ กิจใหม ก็ตอบไดวาสิ่งนั้น คือ “จุดยืนทางศีลธรรม” ซึ่งมี ลักษณะเดนชัดอยางนอย 2 ประการ คือ
1. เน น จริ ย ธรรมภายในองค ก าร (internal ethics) กลาวคือ จริยธรรมอันเกี่ยวของกับบทบาทของ เจาหนาที่ที่เปนสมาชิกขององคการบริหาร เชน เจาหนาที่ หรือนักบริหารผูนั้นควรไดรับการปฏิบัติอยางไร ควรปฏิบัติ ตอผูอื่นอยางไร บุคคลเหลานี้มีคุณคาอยางไรตอองคการ เปนตน 2. เน น จริ ย ธรรมภายนอกองคการ (external ethics) กลาวคือ จริยธรรมอันเกี่ยวของกับบทบาทของ ประชาชนผูอยูภายนอกองคการ เชน ประชาชนผูติดตอ เกี่ยวของหรือรับบริการของหนวยงานควรไดรับการปฏิบัติ อยา งไร มีวัตถุ ป ระสงค มีความตอ งการ มีป ญ หาความ เดือดรอนอยางไร ทําอยางไรประชาชนจึงจะไดรับ “ความ เปนธรรม” หรือ “การปฏิบัติดวยดี” “เสมอภาค” จากการ ดํา เนิ น โครงการและนโยบายของหนว ยงานและรั ฐ บาล เปนตน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
93
บรรณานุกรม กรุงเทพมหานคร. (2550). สถิติของกรุงเทพมหานคร. สืบคนเมื่อ 1 มกราคม 2550, จาก http://www.bma.go.th/info จุมพล หนิมพานิช. (2548). การบริหารจัดการภาครัฐใหม: หลักการ แนวคิด และกรณีตัวอยางของไทย. นนทบุรี: สํานักพิมพมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ชุมพร สังขปรีชา. (2529). บริหารรัฐกิจใหม. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพโอเดียนสโตร. รัชนีกร แกวดีพรอม. (2547). การประเมินผลโครงการประกันสุขภาพถวนหนา (30 บาทรักษาทุกโรค) ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแหงชาติ พ.ศ. 2545 : ศึกษาเฉพาะกรณี โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกริก. วัลภา ชายหาด. (2536). ความพึงพอใจของประชาชนที่มีตอบริการสาธารณะดานการรักษาความสะอาดของ กรุงเทพมหานคร. กรุงเทพฯ : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร. วิรัช วิรัชนิภาวรรณ. (2548). แนวคิดทางรัฐประศาสนศาสตร การประยุกต และการพัฒนา. สืบคนเมื่อ 25 สิงหาคม 2549 ไมเคิล แฮมเมอร; และ เจมส แชมป. (2537). รีเอ็นจิเนียริ่ง เดอะ คอรเปอเรชั่น คัมภีรเพื่อการ ปฏิวัติธุรกิจ. แปลโดย ดร.ปริทรรศน พันธุบรรยงก. คูแขงบุคส. สมยศ สืบจากดี. (2548). รูปแบบการดําเนินการขนสงมวลชนที่เหมาะสมในการแกปญหาคุณภาพใน การบริการ : กรณีศึกษาการประกอบการขนสงมวลชนดวยรถประจําทางในเขต กรุงเทพมหานคร. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. อภิชาต สุทธิสอาด. (2543). ทัศนคติของขาราชการกรมการปกครองที่มีตอบทบาทของคณะกรรมการการเลือกตั้ง. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. Millet, John D. (1954). Management in the Public Service. New York : McGraw – Hill Book. Rattanathanya, Duangjai. (2001). Health Needs Assessment for Reinventing Health Centers in Bangkok Metropolis. Nation Institute of Development Administration.
94
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
องคประกอบที่มีอิทธิพลตอสัมพันธภาพระหวาง นัก เรี ย นกับ เพื่ อนของนั ก เรีย นชว งชั้น ที่ 3 โรงเรีย นอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี ACTORS AFFECTING ON INTERPERSONAL RELATIONSHIP BETWEEN STUDENTS AND THEIR PEER GROUPS OF THE THIRD LEVEL, SECONDARY GRADES 1-3 STUDENTS OF INBURI SCHOOL IN INBURI DISTRICT, SINGBURI PROVINCE อาจารีย ชางประดับ 1 รองศาสตราจารยเวธนี กรีทอง 2 อาจารย ดร.พาสนา จุลรัตน 2 บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุงหมายเพื่อศึกษาองคประกอบ ที่ มี อิ ท ธิ พ ลต อ สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ เพื่ อ นของ นักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัด สิงหบุรี องคประกอบที่ศึกษาแบงเปน 3 องคประกอบ คือ องคประกอบดานสวนตัว ไดแก เพศ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุคลิกภาพ อัตมโนทัศน ทัศนคติตอการคบเพื่อน และ สุ ข ภาพจิ ต องค ป ระกอบด า นครอบครั ว ได แ ก ฐานะทาง เศรษฐกิ จ ของครอบครั ว สภาพครอบครั ว และสั ม พั น ธภาพ ระหวางนักเรียนกับผูปกครอง และองคประกอบดานสิ่งแวดลอม ในโรงเรี ย น ได แ ก สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ครู และ ลักษณะทางกายภาพดานการเรียน กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาครั้งนี้ เปนนักเรียน ชว งชั้น ที่ 3 ปก ารศึกษา 2549 ซึ่ ง กํ า ลั ง ศึ ก ษาอยู ใ นโรงเรีย น อินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี จํานวนทั้งสิ้น 267 คน เปนนักเรียนชาย 127 คน และ นักเรียนหญิง 140 คน เครื่องมือ
1
นิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ที่ใชในการศึกษาคนควา ไดแก แบบสอบถามองคประกอบที่ มี อิ ท ธิ พ ลต อ สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ เพื่ อ น ของ นักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัด สิงหบุรี สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล คือ การวิเคราะหคา สัมประสิทธิ์ สหสัมพันธของเพียรสัน และการวิเคราะหการ ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา 1. องค ป ระกอบที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ท างบวกกั บ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี มีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 องคประกอบที่มีความสัมพันธทางบวก กับสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนชวง ชั้ น ที่ 3 โรงเรี ย นอิ น ทร บุ รี อํ า เภออิ น ทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .05 มี 2 องค ป ระกอบ ไดแก ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ( X4) และสภาพ ครอบครัว : บิดามารดาอยูดวยกัน (X5) 1.2 องคประกอบที่มีความสัมพันธทางบวกกับ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี อยางมี นัยสํา คั ญ ทางสถิติ ที่ระดั บ .01 มี 8 องคป ระกอบ ไดแ ก ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ( X3) เพศ : หญิง( X2) บุคลิกภาพ ( X8) อัตมโนทัศน ( X9) ทัศนคติตอการคบ เพื่อน ( X10) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับผูปกครอง ( X12) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู ( X13) และลักษณะทาง กายภาพดานการเรียน ( X14) 2. องค ป ระกอบที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ท างลบกั บ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรี ย นอิ น ทร บุ รี อํ า เภออิ น ทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี มี รายละเอียดดังนี้ 2.1 องคป ระกอบที่ มีความสั มพั น ธท างลบ กับสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้น ที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี อยาง มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 องคประกอบ ไดแก สภาพครอบครัว : บิดามารดาหยารางกัน ( X6) และ สุขภาพจิต( X11)
95
2.2 องคประกอบที่มีความสัมพันธทางลบกับ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอิน ทรบุรี อํา เภออิน ทรบุ รี จังหวั ดสิ ง หบุรี อยา งมี นัยสํ า คัญ ทางสถิ ติที่ร ะดั บ .01 มี 1 องค ป ระกอบ ไดแ ก เพศ : ชาย ( X1) 3. อ ง ค ป ร ะ ก อ บ ที่ ไ ม มี ค ว า ม สั ม พั น ธ กั บ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรี ย นอิ น ทร บุ รี อํ า เภออิ น ทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี มี 1 องคประกอบ ไดแก สภาพครอบครัว : บิดาหรือมารดาถึงแก กรรม ( X7) 4. องคประกอบที่มีอิทธิพลตอสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดั บ .01 มี 5 องค ป ระกอบ โดยเรี ย งลํ า ดั บ จาก องค ป ระกอบที่มีอิ ท ธิ พ ลมากที่สุ ด ไปหาองคป ระกอบที่ มี อิทธิพลนอยที่สุด ไดแก ทัศนคติตอการคบเพื่อน (X10) อัต มโนทัศน (X9) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับผูปกครอง (X12) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู (X13) และ ลักษณะทางกายภาพดานการเรียน (X14) ซึ่งองคประกอบ ทั้ง 5 องคประกอบ สามารถรวมกันอธิบายความแปรปรวน สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี ไดรอยละ 51.40 5. สมการพยากรณสัมพันธภาพระหวางนักเรียน กับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้น ที่ 3 โรงเรียนอิ นทรบุรี อําเภอ อินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี มีดังนี้ 5.1 สมการพยากรณสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี ในรูปคะแนนดิบ ไดแก Ŷ = .369 + .397 X10 + .257 X9 + .204X12+ .153X13+ .090X14 5.2 สมการพยากรณสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อํ า เภออิ น ทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี ในรู ป คะแนนมาตรฐาน ไดแก Z = .319 X10 + .224 X9 + .215X12 + .149X13 + .114X14
96
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ABSTRACT The purpose of this research was to study the factors affecting on interpersonal relationship between students and their peer groups of the third level, secondary grades 1- 3 students of Inburi School in Inburi District , Singburi Province. The factors were divided into 3 dimensions , first of them was personal factors : gender, learning achievement, personality,self-concept,attitude towards friends and mental health, second of them was family factors : guardians’ economic level, guardians’ marital status and interpersonal relationship between students and their guardians and third of them was learning environment factors : interpersonal relationship between students and their teachers and physical learning environment. The samples were 267 students of the third level, secondary grades 1-3 of Inburi school in Inburi District, Singburi Province. They were 127 males and 140 females in academic year of 2006. The instrument was a questionnaires of interpersonal relationship between students and their peer groups. The data was analyzed by using the Pearson Product Moment Correlation Coefficient and Stepwise Multiple Regression Analysis. The results were as follows : 1. There were significantly positive correlation among interpersonal relationship between students and their peer groups of the Third Level, Secondary Grades 1- 3 Students at Inburi School in Inburi District , Singburi Province and 2 factors : guardians’ economic level (X4) and guardians’ marital status : couple (X5) at .05 level. There were significantly positive correlation among interpersonal relationship between students and their peer groups of the Third Level, Secondary Grades
1- 3 Students at Inburi School in Inburi District , Singburi Province and 8 factors : gender : female (X2), learning achievement (X3), personality (X8), selfconcept (X9), attitude towards friends (X10), interpersonal relationship between students and their guardians (X12), interpersonal relationship between students and their teachers (X13), and physical learning environment (X14) at .01 level . 2. There were significantly negative correlation among interpersonal relationship between students and their peer groups of the third level, secondary grades 1- 3 students of Inburi School in Inburi District , Singburi Province. and 2 factors : guardians’ marital status : divorce (X6) and mental health (X11) at .05 level. There was significantly negative correlation between interpersonal relationship between students and their peer groups of students in Inburi School in Inburi District , Singburi Province. and 1 factors : gender : male (X1) at .01 level . 3. There was no significantly correlation between Interpersonal Relationship between students and their peer groups of students of Inburi School in Inburi District , Singburi Province and 1 factors : guardians’ marital status: parents pass away (X7). 4. There were 5 factors significantly affecting on interpersonal relationship between students and their peer groups of the third level, secondary grades 1- 3 students of Inburi School in Inburi District , Singburi Province, ranking from the most affecter to the least affecter were attitude towards friends (X10), self-concept (X9), interpersonal relationship between students and their guardians (X12), interpersonal relationship between students and and physical learning their teachers (X13) environment (X14) at .01 level . These 5 factors
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 could predict interpersonal relationship between students and their peer groups of students about percentage of 51.40. 5. The predicted equation of interpersonal relationship between students and their peer groups of the third level, secondary grades 1- 3 Students of Inburi School in Inburi District , Singburi Province at .01 level were as follows : 5.1 In terms of raw scores was : Ŷ = .369 + .397 X10 + .257 X9 + .204X12+ .153X13 + .090X14 5.2 In terms of standard scores was : Z = .319 X10 + .224 X9 + .215X12 + .149X13 + .114X14 ความสําคัญของการวิจัย นักเรียนในชวงชั้นที่ 3 มีอายุระหวาง 12 – 15 ป เปนวัยแรกรุน ทําใหนักเรียนในชวงชั้นนี้ เกิดความวิตกกังวล จากการเปลี่ยนแปลงทางดานรางกาย และการเปลี่ยนแปลง ทางดานอื่นๆ (ศรีเรือน แกวกังวาล. 2540:330) และการเรียน ในระดับ ชวงชั้น นี้เริ่มยากขึ้น ตองใชความรูความสามารถ มากขึ้น ถานักเรียนมีผลการเรียนไมดี จะสงผลใหนักเรียนมี ความรู สึ ก ไม ช อบโรงเรี ย น และอาจก อ ให เ กิ ด ป ญ หาอื่ น ๆ ตามมา (อุมาพร ตรังคสมบัติ. 2543:42 ) เนื่ อ งจากบุ ค คลส ว นมากเชื่ อ ว า ผู ที่ ส ามารถ ประสบความสําเร็จทั้งทางดานการเรียนและทางดานการ งานจะตองมีเชาวปญญาสูง มีความสามารถทางสมองดี มี ความคิดที่ปราดเปรื่องและประสบความสําเร็จทางการเรียน สามารถผานการทดสอบคัดเลือกเขาทํางานในตําแหนงที่ดีๆ ในองค ก รได แตก็ ไ ม ไ ด เ ป น หลั ก ประกัน ว า คนที่ I.Q. สู ง ๆ เหล า นี้ จ ะประสบความสํ า เร็ จ ในอาชี พ เสมอไป บางคน ลมเหลวในการทํางานไมอาจกาวไปสูตําแหนงที่สูงขึ้นไปได เนื่ อ งจากมี ป ญ หาทางด า นการควบคุ ม อารมณ แ ละด า น มนุษยสัมพันธ (วีระวัฒนะ ปนนิตามัย. 2542:31) การสรางสัมพันธภาพจึง เปนปจจัยสําคัญอยางหนึ่งในการดําเนินชีวิตใหราบรื่น และ การคบหาสมาคมมีความจําเปนสําหรับบุคคลที่ตองการมี ชี วิ ต อยู ใ นสั ง คมอย า งมี ค วามสุ ข (พิ ไ ลรั ต น ทองอุ ไ ร. 2529:96)
97
ความมุงหมายของการศึกษาคนควา 1. เพื่อศึกษาความสัมพันธระหวางองคประกอบ ดานสวนตัว ดานครอบครัว และดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียน กับสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้น ที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี 2. เพื่ อ ศึ ก ษาองค ป ระกอบด า นส ว นตั ว ด า น ครอบครั ว และดา นสิ่งแวดลอมในโรงเรี ยน ที่มีอิท ธิพลตอ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี 3. เพื่อสรางสมการพยากรณสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี สมมติฐานในการศึกษาคนควา 1.องคป ระกอบด า นสว นตัว ด า นครอบครัว และ ดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียน มีความสัมพันธกับสัมพันธภาพ ระหวา งนักเรียนกับ เพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียน อินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี 2.องค ป ระกอบดา นส ว นตั ว ดา นครอบครัว และ ดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียน มีอิทธิพลตอสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี อภิปรายผลการวิจัย ผลการศึกษาครั้งนี้ อภิปรายผลไดดังนี้ 1. องคประกอบที่มีความสัมพันธทางบวกกับ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี มีดังนี้ 1.1ฐานะทางเศรษฐกิ จ ของครอบครั ว มี ความสัมพัน ธทางบวกกับสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ เพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .05 แสดงวา นัก เรี ยนที่มี ฐ านะทางเศรษฐกิจ ของครอบครัว ดี มี สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้เพราะครอบครัว ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ยอมมีโอกาสและเวลาที่จะเอาใจใส อบรมสั่งสอนลูกและอยูใกลชิดสนิทสนมกับลูกไดมากกวา ครอบครั ว ที่ มี ฐ านะทางเศรษฐกิ จ ไม ดี ทํ า ให นั ก เรี ย นเกิ ด ความรู สึ ก อบอุ น มี ค วามสุ ข เกิ ด ความสบายใจ กล า ที่ จ ะ
98
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
พู ด คุ ย ป ญ หาต า งๆหรื อ เล า สิ่ ง ต า งๆที่ เ กิ ด ขึ้ น ให บุ ค คลใน ครอบครัวฟง ทําใหนักเรียนกลาที่จะสรางสัมพันธภาพกับ เพื่อนขึ้นมา ซึ่งสอดคลองกับ พันทิพา อุทัยสุข (2525 : 201 – 202) ไดศึกษาเรื่องสภาพเศรษฐกิจของครอบครัวที่มีตอ พฤติ ก รรมของนั ก เรี ย น คื อ นั ก เรี ย นที่ ค รอบครั ว มี ฐ านะ ยากจนจะรูสึกต่ําตอย รูสึกทอถอย นักเรียนมักจะเปนคนไม จริ ง ใจ รู สึ ก อั บ อายเพื่ อ นฝู ง และไม มี ค วามภาคภู มิ ใ จใน ครอบครัวของตนเอง ซึ่งสงผลทําใหนักเรียนมีสัมพันธภาพ กับบุคคลอื่นไมดี 1.2สภาพครอบครัว : บิดามารดาอยูดวยกัน มีความสัมพันธทางบวกกับสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ เพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .05 แสดงวานักเรียนที่มีสภาพครอบครัวที่บิดามารดาอยูดวยกัน มีสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้เพราะสภาพ ครอบครัวที่บิดามารดาอยูดวยกัน จะทําใหนักเรียนไดรับการ ดูแลเอาใจใสจากทั้งบิดามารดาในทุกเรื่อง ทําใหนักเรียนรูสึก ไดรับความรัก ความอบอุนและความไววางใจจากบิดาและ มารดาทั้งสองฝาย และเมื่อนักเรียนเกิดปญหาตางๆขึ้นมา นักเรียนก็กลาที่จะมาปรึกษาปญหาตางๆเหลานั้นกับทั้งบิดา และมารดาทําใหนักเรียนคลายความกังวลและความกดดันที่ เกิ ด จากป ญ หาต า งๆ ทํ า ให นั ก เรี ย นมี ค วามมั่ น คงทาง อารมณ มองโลกในแงดี และพรอมที่จะสรางสัมพันธภาพกับ บุคคลอื่น ดังที่จรรจา สุวรรณทัต (2510 : 19) กลาววา ผลอัน เกิดจากการหยารางในครอบครัวจะกระทบกระเทือนตอการ เกิ ดเจตคติ การมองดูโ ลก และชีวิตของนักเรียนเปน อยา ง มาก เด็กที่ประสบปญหาจากการหยารางของบิดามารดา มัก มี ป ญ หามากกว า เด็ ก ที่ ม าจากครอบครั ว ที่ บิ ด ามารดาอยู ดวยกันอยางปกติสุข 1.3 เพศ : นักเรี ยนหญิงมีความสัมพัน ธ ทางบวกกั บ สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ เพื่ อ นของ นักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัด สิ ง ห บุ รี อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 แสดงว า นักเรียนหญิงมีสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้ เพราะเพศหญิงเปนผูที่พรอมจะปรับตัวเขากับทุกคนอยูแลว และเพศหญิ ง เปน เพศที่มี ค วามละเอีย ดออ นและสามารถ
สรางสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นไดงาย เนื่องจากเพศหญิงมี ความสุภาพ ออนโยน มีบุคลิกภาพทาทีที่เปนมิตร ยิ้มแยม แจมใส ดังที่จิราภรณ สุทธิสานนท (2529 : 81) ศึกษาการ พัฒนาการปรับตัวดานสัมพันธภาพกับเพื่อนของนักเรียนชั้น ประถมศึก ษาปที่ 5 พบวา สั ง คมไดมี คา นิย มในการอบรม เลี้ยงดูเด็กหญิงใหมีกิริยามารยาทเรียบรอย มีความประพฤติ ดี และอยู ใ นกรอบของขนบธรรมเนี ย มประเพณี ม ากกว า เด็กชายและมีการแสดงออกอยางเหมาะสมจึงทําใหเพศหญิง มีสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี 1.4ผลสัม ฤทธิ์ท างการเรี ยนมีค วามสั มพัน ธ ทางบวกกั บ สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ เพื่ อ นของ นักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัด สิ ง ห บุ รี อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 แสดงว า นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดี มีสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนดี จะมีความภาคภูมิใจในตนเอง และมีความมั่นใจใน ตนเอง และนัก เรี ยนที่มีผ ลสั มฤทธิ์ท างการเรี ยนดี จ ะตั้ ง ใจ เรียนและเอาใจใสในการเรียน มีความกระตือรือรน ขยันอาน หนั ง สื อ และทบทวนบทเรี ย น พยายามปรั บ ปรุ ง แก ไ ขการ ทํางานใหดีขึ้น ปรึกษาครูเมื่อมีปญหาหรือไมเขาใจบทเรียน หรือปรึกษาพอแมหรือเพื่อนเพื่อทําความเขาใจในบทเรียน ทํ า ให นั ก เรี ย นที่ มี ผ ลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นดี มี ก ารสร า ง สัมพันธภาพกับบุคคลอื่นอยูเสมอๆ และบุคคลที่มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนดีจะไมมีความกดดันในเรื่องการเรียน และพรอม ที่จะแสดงใหบุคคลตางๆไดเห็นวาตนมีความรูในเรื่องใดบาง และจะมีการขวนขวายหาความรูอยูเสมอๆ ทําใหไดติดตอ สัมพันธกับบุคคลอื่นอยูเปนประจํา ทําใหพัฒนาสัมพันธภาพ กับบุคคลอื่นๆไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสอดคลองกับที่พวง รอย วรกุล (2522 : 19) อางอิงจาก Onoda ( 1975 : 7729 – A) วา เด็กที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงจะเปนคนที่มีความ รับผิดชอบ ขยันหมั่นเพียร ควบคุมตนเองได มีความสัมพันธ ที่ดีกับคนอื่น มีความสัมพันธที่ดีกับครู สวนคนที่มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนต่ํา เปนคนขี้เกียจ มีความสัมพันธกับคนอื่นไมดี มีความสับสนวุนวายใจ 1.5 บุคลิกภาพมีความสัมพันธทางบวกกับ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนชวงชั้นที่
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวา นักเรียนที่มี บุคลิกภาพแบบเอมีสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้ ง นี้ เ พราะนั ก เรี ย นที่ มี บุ ค ลิ ก ภาพแบบเอจะเป น คนที่ รั ก ความกาวหนาและเปนที่สนใจของบุคคลทั่วไป และเปนที่นา คบหามากกว า บุ ค คลที่ มี บุ ค ลิ ก ภาพแบบอื่ น ๆ และ บุคลิกภาพแบบเอไดแกลักษณะบุคลิกภาพของนักเรียนที่รัก ความกาวหนา ชอบฝาฟนอุปสรรค มีความกาวหนา ชอบ ทํางานใหประสบผลสําเร็จและสัมฤทธิ์ผล และชอบทํางาน ดวยความรวดเร็ว จะมีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นไดดี ซึ่ง การมีบุคลิกภาพแบบเอนั้น ทําใหเปนที่ชื่นชอบและยอมรับ กับบุคคลอื่นๆทั่วไป ดังที่ รัชนี ลาชโรจน (2527 : 293 – 294) ไดกลาวไววา บุคลิกภาพที่ดีนั้น จะตองสามารถปรับตัว เขากับบุคคลอื่นไดดวย 1.6 อัตมโนทัศนมีความสัมพันธทางบวกกับ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวา นักเรียนที่มีอัตมโน ทัศนดี มีสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้เพราะ นักเรียนที่มีอัตมโนทัศนตอตนเองดีมักจะเปนที่ชื่นชอบของ บุคคลอื่น เพราะนักเรียนที่มีอัตมโนทัศนตอตนเองดี จะมอง โลกในแงดี ไมมีความกดดันหรือคิดวาตนเองดอยกวาบุคคล อื่ น ทํ า ให ช อบเข า สั ง คม และพบปะกั บ บุ ค คลอื่ น ๆเสมอ สงผลใหมีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นดี 1.7 ทัศนคติตอการคบเพื่อนมีความสัมพันธ ทางบวกกั บ สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ เพื่ อ นของ นักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัด สิ ง ห บุ รี อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 แสดงว า นักเรียนที่มีทัศนคติทางบวกตอการคบเพื่อน มีสัมพันธภาพ ระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่มีทัศนคติ ทางบวกตอการคบเพื่ อน คื อ นักเรียนที่มีความคิดวา การ พูดคุยกับเพื่อนดวยถอยคําไพเราะ การแสดงออกถึงความ หวงใย และการใหความชวยเหลือแกเพื่อน ในดานการเรียน และดานการทํางานเปนสิ่งที่ดี ก็จะมีความรูสึกพอใจ และให ความสนใจต อ การคบหาเพื่ อ น ดั ง นั้ น นั ก เรี ย นจึ ง มี ก าร
99
แสดงออกกับเพื่อนดี และปฏิบัติตนกับเพื่อนดี ซึ่งเปนผลให นักเรียนมีสัมพันธภาพกับเพื่อนดี 1 . 8 สั ม พั น ธ ภ า พ ร ะ ห ว า ง นั ก เ รี ย น กั บ ผูปกครองมีความสัมพันธทางบวกกับสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 แสดงวานักเรียนที่มีสัมพันธภาพกับผูปกครองดี มี สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้ เพราะการที่ ผูปกครองใหความเห็นและคําปรึกษาทางดานการเรียนแก นักเรี ยน ความหว งใยใกลชิดสนิ ทสนมซึ่ ง กั น และกัน ทํา ให สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับผูปกครองแนนแฟนขึ้นก็ยอม สงผลใหนักเรียนมีความสุข นักเรียนมีความมั่นใจในตนเอง เปนการเสริมสรางมิตรภาพใหเกิดขึ้นในบาน ซึ่งจะสงผลให นักเรียนเห็นแบบอยางการมีสัมพันธภาพที่ดี สงผลใหนักเรียน สามารถสรางสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนได 1.9 สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ครู มี ความสัมพัน ธทางบวกกับสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ เพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 แสดงว า นั ก เรี ย นที่ มี สั ม พั น ธภาพกั บ ครู ดี มี สั ม พั น ธภาพ ระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้เพราะการที่ครูกับนักเรียนมี สัมพันธภาพที่ดีตอกัน ก็ยอมสงผลใหบรรยากาศการจัดการ เรียนการสอนในหองเรียนเปนไปดวยดี เปนการสงเสริมให นักเรียนเกิดการเรียนรู และนักเรียนสามารถปรับตัวทางการ เรี ย นได ดี ส ง ผลให ล ดความกดดั น ความตึ ง เครี ย ดที่ จ ะ เกิดขึ้นในหองเรียน ลดความเปนอคติของครูที่มีตอนักเรียน และครูใหความสนใจนักเรียนอยางสม่ําเสมอ ไมเลือกที่รัก มักที่ชัง สิ่งเหลานี้จะมีสวนชวยใหนักเรียนเกิดความสบายใจ มีความตั้งใจและสนใจเรียน การสอนก็จะเปนไปอยางราบรื่น ทํ า ให นั ก เรี ย นรั ก ที่ จ ะเรี ย น ส ง ผลให นั ก เรี ย นประสบ ความสําเร็จในการเรียน และสงผลใหนักเรียนมีสัมพันธภาพ ระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี เนื่องมาจากเมื่อสภาพบรรยากาศ ภายในหองเรียนไมมีความกดดัน นักเรียนก็เกิดความสบาย ใจ กลา คิดกลา พูด และมีสัมพัน ธภาพระหวา งนักเรียนกับ เพื่อนดี
100
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
1.10ลั ก ษณะทางกายภาพด า นการเรี ย นมี ความสัมพันธทางบวกกับสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ เพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 แสดงวานักเรียนที่ไดรับลักษณะทางกายภาพดานการเรียนดี มีสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดีทั้งนี้เพราะลักษณะ ทางกายภาพดานการเรียนดีเปนตัวแปรที่สําคัญที่ทําใหการ จั ด การเรี ย นการสอนเป น ไปได ด ว ยดี แ ละมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ นักเรี ยนไม มีความกดดัน และเกิดความสบายใจ สงผลให นักเรียนมีจิตใจที่แจมใส ร า เริ ง มี สั ม พั น ธภาพกั บ เพื่ อ นดี ดั ง นั้ น การที่ โ รงเรี ย นมี ลักษณะทางกายภาพที่ดี จึงสงผลใหนักเรียนมีสัมพันธภาพ กับเพื่อนดี 2. องคประกอบที่มีความสัมพันธทางลบกับ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี ไดแก 2.1 สภาพครอบครัว : บิดามารดาหยา ร า งกั น มี ค วามสั ม พั น ธ ท างลบกั บ สั ม พั น ธภาพระหว า ง นักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 แสดงวานักเรียนที่มีสภาพครอบครัวที่บิดามารดา หยารางกันมีสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้ เพราะนักเรียนที่มีสภาพครอบครัวที่ผูปกครองหยา รางกัน เปนนักเรียนที่ไมมีความมั่นใจในตนเองและมีความวาเหว เป น พื้นฐาน จึง พรอ มที่จะสร างสั มพัน ธภาพกับบุคคลอื่น เพื่อสรางความมั่นใจ และเพื่อหาบุคคลอื่นมาเปนที่พึ่งแทนที่ ผูปกครองที่หยารางกัน 2.2 สุขภาพจิตมีความสัมพันธทางลบกับ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี อยางมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .05 แสดงว า นั ก เรี ย นที่ มี สุขภาพจิตดี มีสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้ เพราะนั ก เรี ยนที่มี สุ ข ภาพจิ ตดี ( มี คะแนนสุข ภาพจิต นอ ย) เปนผูที่มองโลกในแงดี พึ่งตนเองได รวมทั้งเปนที่พึ่งของผูอื่น ได สามารถปรับตัวเขากับปญหาและอุปสรรคของชีวิตได มี การแสดงออกและการควบคุมอารมณของตนเองดี ซึ่งผูที่มี
สุ ข ภาพจิ ต ดี ย อ มจะมี สั ม พั น ธภาพกั บ บุ ค คลอื่ น ดี ด ว ย เนื่องจากสัมพันธภาพระหวางบุคคลคือความอดทนที่จะอยู รวมกับบุคคลอื่น และสามารถยอมรับความแตกตางระหวาง บุ ค คลได และให ค วามสนั บ สนุ น ช ว ยเหลื อ ซึ่ ง กั น และกั น (สมพงษ รังสีพราหมณกุล. 2525 : 1) 2.3 เพศ : นักเรียนชาย ( X1) มี ความสั ม พั น ธ ท างลบกั บ สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ เพื่อน ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 แสดงวา นักเรียนชายมีสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ไมดี ทั้งนี้เพราะในชวงพัฒนาการที่เปนวัยรุน นักเรียนชายมี บุ ค ลิ ก ภาพท า ที ที่ แ ข็ ง กร า ว ไม อ อ นหวานนุ ม นวลเหมื อ น นักเรียนหญิง ชอบเลนรุนแรง ชอบแกลงเพื่อน ขาดมนุษย สั ม พั น ธ กั บ บุ ค คลรอบข า ง เพราะนั ก เรี ย นชายติ ด การเล น เกมสคอมพิวเตอรมากกวานักเรียนหญิง จึงสงผลใหมีการ แสดงออกอยางไมเหมาะสม จึงทําใหมีสัมพันธภาพที่ไมดีกับ เพื่อน ซึ่งสอดคลองกับที่กาญจนา ควรสุภา (2516 : 19) อางอิงมาจาก Jones (1954 : 781) วา สังคมมักจะเขมงวด กับความประพฤติของเด็กหญิงมากกวาเด็กชาย ดวยเหตุนี้ อาจทําใหเด็กชายมีความประพฤติที่ไมเหมาะสมหรือกระทํา ผิดมากกวาเด็กหญิง 3. อ ง ค ป ร ะ ก อ บ ที่ ไ ม มี ค ว า ม สั ม พั น ธ กั บ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรี ย นอิ น ทร บุ รี อํ า เภออิ น ทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี มี 1 องคประกอบ ไดแก สภาพครอบครัว : บิดาหรือมารดาถึง แกกรรม ( X7) แสดงวา นักเรียนบางคนที่มีสภาพครอบครัวที่ บิดาหรือมารดาถึงแกกรรม มีสัมพันธภาพระหวางนักเรียน กับเพื่อนไมดี ทั้ง นี้เพราะ นักเรียนไมมีผูปกครองที่จะให ความรั ก และความอบอุ น แก นั ก เรี ย น ทํ า ให นั ก เรี ย นขาด ความมั่นใจ และไมกลาคุยกับบุคคลอื่น ซึ่งสงผลใหนักเรียนที่ มี ส ภาพครอบครั ว ที่ บิ ด าหรื อ มารดาถึ ง แก ก รรม จะมี สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนไมดี นั ก เรี ย นบางคนที่ มี ส ภาพครอบครั ว ที่ บิ ด าหรื อ มารดาถึ ง แก ก รรมบางครอบครั ว มี สั ม พั น ธภาพระหว า ง นักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่บิดาหรือมารดาถึง แกกรรมอาจเกิดความรูสึกวาเหว ไมมั่นคง เลยทําใหนักเรียน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 พยายามสรา งสัมพัน ธภาพกับ บุคคลอื่นเพื่อ ใหต นเองเกิด ความรู สึ ก ดี มั่ น คง และความสบายใจ ทํ า ให นั ก เรี ย นมี สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี 4. องคประกอบที่มีอิทธิพ ลตอ สัมพันธภาพ ระหวางนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียน อินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 องคประกอบโดยเรียงลําดับจาก องค ป ระกอบที่ มี อิ ท ธิ พ ลมากที่ สุ ด ไปหาองค ป ระกอบที่ มี อิทธิพลนอยที่สุด ไดแก ทัศนคติตอการคบเพื่อน (X10) อัต มโนทัศน (X9) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับผูปกครอง (X12) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู (X13) และ ลักษณะทางกายภาพดานการเรียน (X14) ซึ่งองคประกอบ ทั้ง 5 องคประกอบนี้ สามารถรวมกันอธิบายความแปรปรวน สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี ไดรอยละ 51.4 ซึ่งอภิปรายไดดังนี้ 4.1 ทัศนคติตอการคบเพื่อน (X10) มีอิทธิพล ตอสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนชวง ชั้ น ที่ 3 โรงเรี ย นอิ น ทร บุ รี อํ า เภออิ น ทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เปนอันดับหนึ่ง แสดง วานักเรียนที่มีทัศนคติทางบวกตอการคบเพื่อน ทําใหมี สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้เพราะ นักเรียน ที่มีทัศนคติทางบวกตอการคบเพื่อน ไดแก ความคิด เกี่ยวกับการพูดคุยกับเพื่อน การแสดงความหวงใย และให ความช ว ยเหลื อ กั บ เพื่ อ นในด า นการเรี ย นและการทํ า งาน ความพอใจ และความสนใจตอการคบเพื่อน ทําใหมีการ พูดคุยกับ เพื่อ น และการแสดงออกเพื่อ ใหเพื่อ นทราบวา ตนเองชื่นชมเพื่อน จึงทําใหเพื่อนก็มีความคิด ความรูสึก และมีการแสดงออกตอนักเรียนเชนเดียวกันจึงทําใหนักเรียน มีสัมพันธภาพกับเพื่อนดี มีอิทธิพลตอ 4.2 อัตมโนทัศน (X9) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี อยางมี นัย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ร ะดับ .01 เป น อั น ดั บ ที่ 2 แสดงว า นั ก เรี ย นที่ มี อั ต มโนทั ศ น ดี ทํ า ให มี สั ม พั น ธภาพระหว า ง นัก เรี ยนกับ เพื่ อ นดี ทั้ง นี้ เ พราะ การที่นั ก เรี ย นมี ค วามรู สึ ก
101
เกี่ยวกับตนเองในทางที่ดี สงผลใหนักเรียนมีความสัมพันธกับ ผูอื่นในดานดี เนื่องจากนักเรียนมีความมั่นใจในตนเอง และมี ความสุข สงผลใหเปนคนราเริง มองโลกในแงดี บุคคลตาง ๆ จึงอยากเขาใกลทําใหนักเรียนที่มีอัตมโนทัศนดี มีการสราง สัมพันธภาพกับเพื่อนดีดวย 4.3 สั ม พั น ธ ภ า พ ร ะ ห ว า ง นั ก เ รี ย น กั บ ผูปกครอง (X12) มีอิทธิพลตอสัมพันธภาพระหวางนักเรียน กับเพื่อนของนักเรียนชวงชั้น ที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภอ อิ น ทร บุ รี จั ง หวั ด สิ ง ห บุ รี อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ระดั บ .01 เป น อั น ดั บ ที่ 3 แสดงว า นั ก เรี ย นที่ มี สัมพันธภาพดีกับผูปกครอง ทําใหนักเรียนมีสัมพันธภาพ ระหว า งนั ก เรี ย นกั บ เพื่ อ นดี ทั้ ง นี้ เ พราะการปฏิ บั ติ ต นกั บ ผูปกครองนับไดวาเปนสิ่งสําคัญ เปนอยางมาก เพราะการ ปฏิบั ติตนกับ ผูป กครองได ถู กตอ งเหมาะสมจะทํา ให เ กิด มี สั ม พั น ธภาพที่ ดี ดํ า เนิ น ชี วิ ต อย า งมี ค วามสุ ข ดั ง นั้ น การ ปฏิบัติตนของนักเรียนและผูปกครองที่มีตอกันทั้งในและนอก หองเรียนเพื่อใหเกิดความสัมพันธที่ดีตอกันก็ยอมสงผลให นั ก เรี ย นมี ค วามสุ ข การที่ นั ก เรี ย นสามารถที่ จ ะปรึ ก ษา ปญหาตาง ๆ กับผูปกครองได เปนการเสริมสรางมิตรภาพ ใหเกิดขึ้น การประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสมของนักเรียนตอ ผูป กครองคือ มี กิริ ย ายิ้ มแยม แจม ใส มองโลกในแงดี รู จั ก ระงับอารมณ วางตัวอยูในฐานะที่เหมาะสม มีความจริงใจ รูจักชวยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีความคิดและความรูสึกที่ ดีใหแกกัน มีความเปนอิสระในการเสนอความคิดเห็น แตถา นักเรียนปฏิบัติตอผูปกครองอยางไมเหมาะสม ก็จะทําใหเกิด ปญหาขึ้นกับตนเองเชน มีความรูสึกตอตนเองในทางที่ไมดี เขากับผูปกครองไมได ไมสามารถดําเนินชีวิตอยางมีความสุข ดังนั้นการที่นักเรียนมีสัมพันธภาพดีกับผูปกครอง ทําให นักเรียนมีสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี 4.4 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู (X13) มี อิทธิพลตอสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ของ นักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัด สิงหบุรี อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เปนอันดับที่ 4 แสดงวา นักเรียนที่มีสัมพันธภาพกับครูดี ทําใหมีสัมพันธภาพ ระหวางนักเรียนกับเพื่อนดี ทั้งนี้เพราะ สัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับครูเปนการปฏิบัติตนของนักเรียนตอครู และการ
102
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ปฏิบัติตนของครูตอนักเรียน เพื่อใหเกิดความสัมพันธที่ดีตอ กัน การปฏิบัติตนของนักเรียนตอครู ไดแก การใหความ เคารพ เชื่อฟงคําสั่งสอน ปฏิบัติตามคําสั่งสอนของครู และ การตั้งใจเรียน และการปฏิบัติตนของครูตอนักเรียน ไดแก การใหการอบรมสั่งสอน ทั้งในเรื่องการเรียน และเรื่องสวนตัว ความเมตตาปราณีตอนักเรียน รวมทั้งการใหคําปรึกษาและ ชวยเหลือนักเรียนทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องสวนตัว การให ความรั ก ความอบอุ น การเอาใจใส ตั้ ง ใจอบรมสั่ ง สอน นั ก เรี ย น ยอมรั บ ฟ ง ความคิ ด เห็ น และให ค วามเป น กั น เอง การกระทํ า ดั ง กล า วทํ า ให นั ก เรี ย นมี ค วามสุ ข และมี ค วาม พรอมที่จะปฏิบัติตนดีกับเพื่อนดวย 4.5 ลักษณะทางกายภาพดานการเรียน (X14) มี อิ ท ธิ พ ลต อ สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ เพื่ อ น ของ นักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทรบุรี อําเภออินทรบุรี จังหวัด สิงหบุรี อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เปนอันดับที่ 5 ซึ่งเปนอันดับสุดทาย แสดงวา นักเรียนที่ไดรับลักษณะทาง กายภาพดานการเรียนดี ทําใหมีสัมพันธภาพระหวางนักเรียน กั บ เพื่ อ นดี ทั้ ง นี้เ พราะลัก ษณะทางกายภาพทางด า นการ เรียนที่ดี ประกอบดวย สถานที่เรียน ไดแก สภาพหองเรียน มี ขนาดหองเรียนเพียงพอกับจํานวนนักเรียน มีความสะอาด มีความเปนระเบียบของหองเรียน มีการถายเทอากาศ มี แสงสวาง ปราศจากเสียงและกลิ่นรบกวน และมีสื่อและ อุปกรณการเรียน ไดแก มีความพรอมของสื่อและอุปกรณ การเรียน มีความทันสมัยและมีคุณภาพการใชงาน ทําให นักเรียนสนุกกับการเรียน ดังที่ สุพิชญา ธีระกุล และคน
อื่นๆ (2524 : 182 – 187 ) ไดกลาวถึงลักษณะทางกายภาพ ด า น ก า ร เ รี ย น อ า ทิ เ ช น สื่ อ อุ ป ก ร ณ ก า ร เ รี ย น หองปฏิบัติการการเรียน และปจจัยอื่นๆ ที่ดีมีความพรอมจะ เปนตัวแปรที่สําคัญที่ทําใหการจัดการเรียนการสอนเปนไปได ดวยดีและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการที่นักเรียนไดรับลักษณะ ทางกายภาพดี จึงสงผลใหนักเรียนมีสัมพันธภาพกับเพื่อนดี ดวย ขอเสนอแนะ 1.1 ควรมีการศึกษาองคประกอบที่มีอิทธิพล ตอสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนใน ระดับอื่น ๆ เชน นักเรียนชวงชั้นที่ 4 และนักเรียนหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง เปนตน 1.2 ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบสัมพันธภาพ ระหวางนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียน ระหวางนักเรียนใน โรงเรียนสังกัดภาครัฐกับนักเรียนในโรงเรียนสังกัดภาคเอกชน 1.3 ควรพัฒนาองคประกอบที่มีอิทธิพลตอ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ไดแก ทัศนคติตอการ คบเพื่อน อัตมโนทัศน สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ ผูปกครอง และสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู โดย นําไปทําการทดลองเพื่อพัฒนาองคประกอบดังกลาวซึ่งจะ ชวยแกปญหา สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน โดยใช เทคนิค ทางจิต วิทยา เชน การปรับ พฤติก รรม และกลุ ม สัมพันธ เปนตน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
103
บรรณานุกรม กาญจนา ควรสุภา. (2516).ความสัมพันธระหวางบุคลิกภาพแสดงตัว – เก็บตัว ความรูสึกผิดชอบและคุณธรรม แหงพลเมืองดี. ปริญญานิพนธ กศ.ม. วิทยาลัยวิชาการศึกษา. ประสานมิตร. จิราภรณ สุทธิสานนท. (2529). การรับรูเกี่ยวกับยาเสพติดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 ในโรงเรียนสังกัด กรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 9. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (สุขศึกษา).กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. พิไลรัตน ทองอุไร. (2529). สัมพันธภาพระหวางบุคคลทางการพยาบาลจิตเวช. กรุงเทพฯ :ศูนยสงเสริม. รสชรินทร ฉายแกว.(2536). การศึกษาความสัมพันธระหวางบุคลิกภาพหาองคประกอบที่สําคัญแบบ การเรียนกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนิสิตนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร เขตกรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (การวัดผลการศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วีระวัฒนะ ปนนิตามัย.(2542, มกราคม–มิถุนายน.). “เชาวนอารมณดัชนีวัดความสําเร็จในชีวิต” วารสารแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา. 1(2) :11 ศรีเรือน แกวกังวาล. (2539). “ทฤษฎีจิตวิทยาบุคลิกภาพ รูเขา รูเรา,” หมอชาวบาน. พิมพครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : ม.ป.พ. สุพิชญา ธีระกุล และคนอื่นๆ . (2524).การนิเทศการศึกษา. กรุงเทพฯ : พิมพวิทยาคาร. สุรสิทธิ์ บุญสกุลณะ.(2531).ผลของการใชกลุมสัมพันธที่มีตอการปรับตัวดานสัมพันธภาพกับเพื่อน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5. ปริญญานิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สุรางค โควตระกูล.(2548). จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. อุมาพร ตรังคสมบัติ.(2543). ปญหาการเรียนและเทคนิคชวยใหลูกเรียนดี. กรุงเทพฯ : ศูนยวิจัยและพัฒนาครอบครัว. Ahmad, Raza Riahincjed and Albert B. Hood. (1984, November) “ The Development of Interpersonal Relationship in Collage,” Journal of Collage Student Personal. 25(6) : 498 – 502 Watson, R. L. and Henry Clay Lindgren.(1973). Psychology of the Child. 3rd ed, pp.326 – 327. New York : John Willing & Son. Yamane, Taro. (1970). Statistic : An Introductory Analysis. New York : Harper and Row.
104
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
องคประกอบที่มีอิทธิพลตอความสามารถในการ เรียนรูว ิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนพิบลู มังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี. FACTORS AFFECTING ON MATHEMATICAL LEARNIG ABILITY OF THE FOURTH LEVEL, SECONDARY GRADES 4-6 STUDENTS AT PHIBUNMUANGSAHARN SCHOOL IN PHIBUNMUANGSAHARN DISTRICT, UBONRATCHATANI PROVINCE นพรัตน สําเภา 1 อาจารยวิไลลักษณ พงษโสภา 2 อาจารยนันทวิทย เผามหานาคะ 2 ก า ร วิ จั ย ค รั้ ง นี้ มี จุ ด มุ ง ห ม า ย เ พื่ อ ศึ ก ษ า องค ป ระกอบที่ มี อิ ท ธิ พ ลต อ ความสามารถในการเรี ย นรู วิ ช า คณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อํา เภอพิบู ลมัง สาหาร จัง หวั ดอุบ ลราชธานี องคป ระกอบที่ ศึกษาแบงเปน 3 องคประกอบ คือ องคประกอบดานสวนตัว ไดแก ไดแก เพศ ระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แรงจูงใจ ใฝ สั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร นิ สั ย ทางการเรี ย น ความวิตกกังวลตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร บุคลิกภาพ และ สุขภาพจิต องคประกอบดานครอบครัว ไดแก สภาพครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว แ ล ะ ก า ร ส นั บ ส นุ น ข อ ง ผูปกครองดานการเรียน และองคประกอบดานสิ่งแวดลอมใน โรงเรี ย นเรี ย น ได แ ก ลั ก ษณะทางกายภาพด า นการเรี ย น สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู และสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับเพื่อน กลุมตัวอยางเปนนักเรียนชวงชั้นที่ 4 ปการศึกษา 2549 ซึ่งกําลังศึกษาอยูในโรงเรียนพิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร
1
นิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 จังหวัดอุบลราชธานี จํานวนทั้งสิ้น 423 คน เปนนักเรียนชาย 156 คน และนั ก เรี ย นหญิ ง 267 คน เครื่ อ งมื อ ที่ ใ ช ใ น การศึกษาคนควา เปนแบบสอบถามองคประกอบที่มีอทิธิพล ต อ ความสามารถในการเรี ย นรู วิ ช าคณิ ต ศาสตร และ แบบทดสอบความความสามารถในการเรี ย นรู วิ ช า คณิตศาสตร ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี สถิติที่ใชในการ วิเคราะหขอมูล คือ การวิเคราะหการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบวา 1.องค ป ระกอบที่มี อิ ท ธิ พ ลต อ ความสามารถใน การเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 โรงเรี ย นพิ บู ล มั ง สาหาร อํ า เภอพิ บู ล มั ง สาหาร จั ง หวั ด อุบ ลราชธานี อ ย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 มี 4 องคประกอบโดยเรียงลําดับจากองคประกอบที่มีอิทธิพลมาก ที่สุดไปหาองคประกอบที่มีอิทธิพลนอยที่สุด ไดแก ลักษณะ ทางกายภาพดานการเรียนวิชาคณิตศาสตร (X17) แรงจูงใจ ใฝสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร (X11) สุขภาพจิต (X15) และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X6) ซึ่งองคประกอบทั้ง 4 องค ป ระกอบ สามารถร ว มกั น อธิ บ ายความแปรปรวน ความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 4 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสา หาร จังหวัดอุบลราชธานี ไดรอยละ 50.70 จึงนําคา สัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณมาเขียนสมการไดดังนี้ สมการพยากรณความสามารถในการเรียนรูวิชา คณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 4 โรงเรี ย น พิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ในรูปคะแนนดิบ ไดแก Ŷ1 = 18.922 - 5.768 X17 + 3.004 X11 - 2.01 X15 + 3.216 X6 สมการพยากรณความสามารถในการเรียนรูวิชา คณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 4 โรงเรี ย น พิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ในรูปคะแนนมาตรฐาน ไดแก Z1 = -.542 X17 + .299 X11 - .196 X15 + .182 X6 2. องคประกอบที่มีอิทธิพลตอความสามารถใน การเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 โรงเรี ย นพิ บู ล มั ง สาหาร อํ า เภอพิ บู ล มั ง สาหาร จั ง หวั ด
105
อุ บ ลราชธานี อ ย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 มี 2 องคประกอบโดยเรียงลําดับจากองคประกอบที่มีอิทธิพลมาก ที่ สุ ด ไปหาองค ป ระกอบที่ มี อิ ท ธิ พ ลน อ ยที่ สุ ด ได แ ก ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน(X6) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ เพื่อน (X19) ซึ่งองคประกอบทั้ง 2 องคประกอบ สามารถ รวมกันอธิบายความแปรปรวนความสามารถในการเรียนรู วิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 โรงเรียน พิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ไดรอยละ 12.90 จึงนําคาสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณมา เขียนสมการไดดงั นี้ สมการพยากรณความสามารถในการเรียนรูวิชา คณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 5 โรงเรี ย น พิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ในรูปคะแนนดิบ ไดแก Ŷ2 = 16.882 + 1.995 X6 -1.787 X19 สมการพยากรณความสามารถในการเรียนรูวิชา คณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 5 โรงเรี ย น พิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ในรูปคะแนนมาตรฐาน ไดแก Z 2 = .295 X6 -.244 X19 3. องคประกอบที่มีอิทธิพลตอความสามารถใน การเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 โรงเรี ย นพิ บู ล มั ง สาหาร อํ า เภอพิ บู ล มั ง สาหาร จั ง หวั ด อุ บ ลราชธานี อ ย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 มี 3 องคประกอบโดยเรียงลําดับจากองคประกอบที่มีอิทธิพลมาก ที่สุดไปหาองคประกอบที่มีอิทธิพลนอยที่สุด ไดแก แรงจูงใจ ใฝสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร (X11) การสนับสนุน ของผูปกครองดานการเรียน(X16) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X6) ซึ่งองคประกอบทั้ง 3 องคประกอบ สามารถรวมกัน อธิ บ ายความแปรปรวนความสามารถในการเรี ย นรู วิ ช า คณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 6 โรงเรี ย น พิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ไดรอยละ 12.50 จึงนําคาสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณมา เขียนสมการไดดังนี้ สมการพยากรณความสามารถในการเรียนรูวิชา คณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 6 โรงเรี ย น
106
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
พิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ในรูปคะแนนดิบ ไดแก Ŷ3 = .182 + 3.315 X11 -1.664 X16 + 4.027 X6 สมการพยากรณความสามารถในการเรียนรูวิชา คณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มัธ ยมศึ ก ษาป ที่ 6 โรงเรี ย น พิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ในรูปคะแนนมาตรฐาน ไดแก Z3 = .230 X11 -.181 X 16 +.174 X 6 ABSTRACT The purposes of this research were to study the factors affecting on mathematical learning ability of the fourth level, secondary grades 4-6 students at Phibunmuangsaharn School in Phibunmuangsaharn District , Ubonratchatani Province. The factors were devided into 3 dimensions , first of them was personal factor : gender, class level, learning achievement , mathematical learning achievement motive, learning habit, mathematical learning anxiety, personality and mental health, second of them was family factor : guardians’ marital status , : guardians’ economic level and guardian’s learning supportive and third of them was learning environment factor: mathematic physical learning environment, interpersonal relationship between students and their teachers and interpersonal relationship between students and their peer groups. The 423 samples : 156 males and 267 females were the fourth level, secondary grades 4-6 students at Phibunmuangsaharn School in Phibunmuangsaharn District , Ubonratchatani Province. in academic year 2006. The instrument was a questionnaires of mathematical learning ability. The data was analysed by The Stepwise Multiple Regression Analysis. The results were as follows : 1. There were significantly 4 factors affecting on mathematical learning ability of the
fourth level, secondary grades 4 students : matthayom suksa IV students at Phibunmuangsaharn School in Phibunmuangsaharn District , Ubonratchatani Province at. 01 level ranking from the most affecter to the least affecter factors were mathematic physical learning environment (X17), mathematical learning achievement motive (X11), mental health (X15) and learning achievement (X6) . These 4 factors could predicted mathematical learning ability about percentage of 50.70. So their coefficient could show the predicted equation of mathematical learning ability were as follows : The predicted equation of mathematical learning ability of the fourth level, secondary grades 4 students matthayom suksa IV students at Phibunmuangsaharn School in Phibunmuangsaharn District , Ubonratchatani Province in terms of raw scores were : Ŷ1 = 18.922 - 5.768 X17 + 3.004 X11 - 2.01 X15 + 3.216 X6 The predicted equation of mathematical learning ability of the fourth level, secondary grades 4 students : matthayom suksa IV students at Phibunmuangsaharn School in Phibunmuangsaharn District , Ubonratchatani Province in terms of standard scores were : Z1 = -.542 X17 + .299 X11 - .196 X15 + .182 X6 2. There were significantly 2 factors affecting on mathematical learning ability of the fourth level, secondary grades 5 students : matthayom suksa V students at Phibunmuangsaharn School in Phibunmuangsaharn District , Ubonratchatani Province at. 01 level ranking from the most affecter to the least affecter factors were learning achievement (X6), and interpersonal relationship between students and their peer groups (X19) . These 2 factors could predicted mathematical learning ability about
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 percentage of 12.90. So their coefficient could show the predicted equation of mathematical learning ability were as follows : The predicted equation of mathematical learning ability of the fourth level, secondary grades 5 students : matthayom suksa V at Phibunmuangsaharn School in Phibunmuangsaharn District , Ubonratchatani Province in terms of raw scores were : Ŷ2 = 16.882 + 1.995 X6 -1.787 X19 The predicted equation of mathematical learning ability of the fourth level, secondary grades 5 students : matthayom suksa V at Phibunmuangsaharn School in Phibunmuangsaharn District , Ubonratchatani Province in terms of standard scores were Z 2 = .295 X6 -.244 X19 3. There were significantly 3 factors affecting on mathematical learning ability of the fourth level, secondary grades 6 students : matthayom suksa VI students at Phibunmuangsaharn School in Phibunmuangsaharn District , Ubonratchatani Province at. 01 level ranking from the most affecter to the least affecter factors were Mathematical learning achievement motive (X11), guardians learning supportive (X16) and learning achievement (X6) . These 3 factors could predicted mathematical learning ability about percentage of 12.50. So their coefficient could show the predicted equation of mathematical learning ability were as follows : The predicted equation of mathematical learning ability of the fourth level, secondary grades 6 students : matthayom suksa VI students at Phibunmuangsaharn School in Phibunmuangsaharn District , Ubonratchatani Province in terms of raw scores were : Ŷ3 = .182 + 3.315 X11 -1.664 X16 + 4.027 X6
107
The predicted equation of mathematical learning ability of the fourth level, secondary grades 6 students : matthayom suksa VI students at Phibunmuangsaharn School in Phibunmuangsaharn District , Ubonratchatani Province in terms of standard scores were : Z3 = .230 X11 -.181 X 16 +.174 X 6 ความเปนมาและความสําคัญของการวิจัย การจั ด การศึ ก ษาของไทยตั้ ง แต อ ดี ต จนถึ ง ปจจุบัน พบวา คณิตศาสตรเปนวิชาที่มีความสําคัญวิชา หนึ่ ง ที่ ช ว ยพั ฒ นาคนให เ กิ ด ศั ก ยภาพในตนเอง เนื่ อ งจาก ธรรมชาติ ข องวิ ช าคณิ ต ศาสตร จ ะเกี่ ย วข อ งกั บ ความคิ ด กระบวนการ และเหตุผล ฝกใหคนคิดอยางมีระบบระเบียบ และเป น รากฐานของวิ ท ยาการหลายสาขา ความ เ จ ริ ญ ก า ว ห น า ท า ง ด า น เ ท ค โ น โ ล ยี วิ ท ย า ศ า ส ต ร วิศวกรรมศาสตร คอมพิวเตอรและดานอื่นๆ ก็ลวนแตอาศัย คณิตศาสตรทั้งนั้น ปจจุบันนักเรียนมัธยมศึกษายังมีปญหา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคือมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยูใน ระดับต่ํา โดยคาคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของแต ละวิชา สวนใหญอยูในเกณฑที่ต่ํากวา โดยเฉพาะอยางยิ่ง วิช าที่ มี ค ะแนนเฉลี่ ย ต่ํ า มาก ได แ ก วิ ช าคณิ ต ศาสตร (กรม วิชาการ. 2541 : 1) สาเหตุที่ทําใหนักเรียนมีคะแนน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยูในเกณฑต่ํา อาจมีสาเหตุมาจาก ตัว ผู ส อน ตั ว เนื้ อ หาหลั กสู ต ร วิ ธี ก ารจั ด การเรีย นการสอน เอกสารสื่อการเรียนการสอน ตัวผูปกครอง รวมทั้งตัวผูเรียน เองดวย ดวยเหตุผลดังกลาวขางตนทําใหเห็นวา ตองมีการ พัฒนาศักยภาพทางคณิตศาสตรของนักเรียนใหพรอมที่จะ เขาสูการเปลี่ยนแปลงตางๆ ของสังคม คณะผูวิจัยจึงมีความ สนใจที่จะศึกษาความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร ของนั ก เรี ย น เพื่ อ พั ฒ นาความรู แ ละความสามารถในการ เรียนรูคณิตศาสตรของนักเรียนโรงเรียนพิบูลมังสาหารใหถึง ขีดสุดของผูเรียน วิธีวิจัย ประชากรและกลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาครั้ง นี้ เปนนักเรียนชวงชั้นที่ 4 ปการศึกษา 2549 ซึ่งกําลังศึกษา อยูในโรงเรียนพิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัด
108
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
อุบลราชธานี จํานวนทั้งสิ้น 1,695 คน โดยสุมกลุมตัวอยาง จํ า น ว น 423 ค น ซึ่ ง เ ค รื่ อ ง มื อ ที่ ใ ช ใ น ก า ร วิ จั ย เ ป น แบบสอบถามแบบมาตราสวนประมานคา (Rating Scale) 5 ระดับ และแบบทดสอบแบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลือก ที่ คณะผูวิจัยสรางขึ้น โดยสถิติที่ใชในการวิจัยคือ คาความถี่ (Frequency) คารอยละ (Percentage) คาเฉลี่ย ( X) สวน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) t – test คาความยากงาย (p) คา อํานาจจําแนก (r) วิเคราะหองคประกอบที่มีอิทธิพลความสามารถ ในการเรียนรูของของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนพิบูลมังสา หาร อํ า เภอพิ บู ล มั ง สาหาร จั ง หวั ด อุ บ ลราชธานี ด ว ยวิ ธี Stepwise Multiple Regression Analysis แบบ Stepwise ที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ.05 สรุปผลการวิจัย องคประกอบที่มีอิทธิพลตอความสามารถในการ เรี ย นรู วิ ช าคณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 4 โรงเรี ย นพิ บู ล มั ง สาหาร อํ า เภอพิ บู ล มั ง สาหาร จั ง หวั ด อุ บ ลราชธานี มี 4 องค ป ระกอบโดยเรี ย งลํ า ดั บ จาก องค ป ระกอบที่ มี อิ ท ธิ พ ลมากที่ สุ ด ไปหาองค ป ระกอบที่ มี อิทธิพลนอยที่สุด ไดแก ลักษณะทางกายภาพดานการเรียน วิ ช าคณิ ต ศาสตร แรงจู ง ใจใฝ สั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นวิ ช า คณิ ต ศาสตร สุ ข ภาพจิ ต ผลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย น องคประกอบที่มีอิทธิพลตอความสามารถในการเรียนรูวิชา คณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 5 มี 2 องคประกอบ ไดแก ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและสัมพันธภาพ ระหวางนักเรียนกับเพื่อน องคประกอบที่มีอิทธิพลตอ ความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 6 มี 3 องค ป ระกอบ ได แ ก แรงจู ง ใจใฝ สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร การสนับสนุนของ ผูปกครองดานการเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อภิปรายผลการวิจัย 1. ลั ก ษณะทางกายภาพด า นการเรี ย นวิ ช า คณิ ต ศาสตร มี อิ ท ธิ พ ลทางบวกต อ ความสามารถในการ เรี ยนรู วิช าคณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ยนชั้ น มั ธ ยมศึ กษาปที่ 4 โรงเรี ย นพิ บู ล มั ง สาหาร อํ า เภอพิ บู ล มั ง สาหาร จั ง หวั ด แสดงวา นักเรียนที่ไดรับลักษณะทาง อุบลราชธานี กายภาพดานการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่เหมาะสม ทําให
มีความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรอยูในระดับ คอนขางสูง ทั้งนี้เพราะ ลักษณะทางกายภาพทางดานการ เรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร ประกอบด ว ย สถานที่ เ รี ย น ได แ ก ห อ งเรี ย นมี อ ากาศถ า ยเท ห อ งเรี ย นมี ค วามเป น ระเบี ย บ เรี ย บร อ ย ห อ งเรี ย นมี ค วามสะอาด ห อ งเรี ย นมี ก ารติ ด แผนสูตรทางคณิตศาสตร บริเวณหองเรียนวิชาคณิตศาสตร ปราศจากกลิ่นและเสียงรบกวน ขนาดของหองเรียนของวิชา คณิ ต ศาสตร ไ ม แ ออั ด คั บ แคบ เมื่ อ เที ย บกั บ ปริ ม าณของ นักเรียนที่เรียนวิชาคณิตศาสตร สื่อ อุปกรณการเรียนการ สอน ไดแก มีเอกสารประกอบการเรียนคณิตศาสตรอ ยา ง เพี ย งพอ มี อุ ป กรณ ก ารเรี ย นที่ มี ค วามทั น สมั ย และมี ประสิทธิภาพในการใชงาน มีปริมาณเพียงพอเมื่อเทียบกับ จํานวนนักเรียนที่เรียนวิชาคณิตศาสตร ทําใหนักเรียนสนุก กับการเรียน สื่อการสอนที่มีความทันสมัยจะทําใหนักเรียน ไดรับประโยชนสูงสุดในการเรียน การสรางบรรยากาศที่ดีใน การเรียนทําใหจิตใจและอารมณของนักเรียนนั้นสดชื่นขึ้น ทํา ใหเกิด แรงจูงใจในการเรียนคณิตศาสตร ตลอดจนดํา เนิน กิจกรรมตางๆที่สงเสริมใหเกิดการเรียนรูที่ดีใหเกิดขึ้นดังนั้น หากโรงเรี ย นมี ลั ก ษณะทางกายภาพที่ เ หมาะสม ย อ มส ง อิทธิพลตอความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของ นั ก เรี ย น ซึ่ ง มี ค วามเกี่ ย วเนื่ อ งกั บ การจั ด การศึ ก ษาใน ภาพรวมของโรงเรีย นใหมีป ระสิท ธิภ าพยิ่ง ขึ้น ดว ย ดัง นั้น ลักษณะทางกายภาพดานการเรียนวิชาคณิตศาสตร จึงเปน ตั ว แปรที่ สํ า คั ญ ที่ ทํ า ให ค วามสามารถในการเรี ย นรู วิ ช า คณิตศาสตรของนักเรียนสูง 2. แรงจู ง ใจใฝ สั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตร มีอิทธิพลตอความสามารถในการเรียนรูวิชา คณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 4 และ 6 โรงเรี ย นพิ บู ล มั ง สาหาร อํ า เภอพิ บู ล มั ง สาหาร จั ง หวั ด อุ บ ลราชธานี แสดงว า นั ก เรี ย นที่ มี แ รงจู ง ใจใฝ สั ม ฤทธิ์ ทางการเรียนสูง ทําใหมีความสามารถในการเรียนรูวิชา คณิตศาสตรคอนขางสูง ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่มีแรงจูงใจใฝ สัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง มีความพยายาม ในการเรียน ให ประสบความสํ า เร็ จ โดยไม ย อ ท อ ต อ อุ ป สรรค และความ ล ม เหลว รู จั ก กํ า หนดเป า หมาย ที่ เ หมาะสมกั บ ความสามารถของตน สามารถคิดแกปญ หา และอุปสรรค
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ตาง ๆ ในการทํางาน และใหเวลาสวนมากแกการเรียน จึงมี ความสามารถในการเรี ย นรู วิ ช าคณิ ต ศาสตร สู ง ดั ง นั้ น นักเรียนที่มีแรงจูงใฝสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรจึง เปนองคประกอบที่มีอิทธิพลทางบวกตอความสามารถในการ เรียนรูวิชาคณิตศาสตรของนักเรียน 3. สุ ข ภาพจิ ต มี อิ ท ธิ พ ลทางบวกต อ ความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 4 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสา หาร จังหวัดอุบลราชธานี แสดงวา นักเรียนที่มีสุขภาพจิตดี ทําใหมีความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรสูง ทั้งนี้ เพราะ นักเรียนที่มีสุขภาพจิตดี เปนผูมีภาวะความสมบูรณ ทางจิตใจของนักเรียนที่มีตอตนเองและผูอื่น โดยสามารถ ปรับตัวใหเขากับสิ่งแวดลอม และสถานการณที่เปลี่ยนแปลง มี ค วามสามารถในการดํ า รงชี วิ ต อยู ใ นสั ง คมได อ ย า งมี ความสุ ข ตามสภาพความเป น จริ ง ของตนเอง และการ แก ปญ หาในชีวิ ต ประจํ า วัน ได ดั ง นั้ น นัก เรีย นที่ มี ความ สมบูรณท างดา นจิต ใจ สามารถเรี ยนรูสิ่ง ตา งๆ ไดอ ยา งมี ประสิ ท ธิ ภ าพ ซึ่ ง หากเกิ ด ความวิ ต กกั ง วล หรื อ ภาวะ ความเครียดทางดานการเรียน ไมสามารถควบคุมอารมณใน บางชวงเวลาในขณะนั้นได ทําใหนักเรียนมีศักยภาพและขีด ความสามรถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรต่ํา 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีอิทธิพลทางบวกตอ ความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 4 ,5 และ 6 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อําเภอ พิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี แสดงวา นักเรียนที่มี ผลสัม ฤทธิ์ท างการเรีย นสู ง ทํา ให มีค วามสามารถในการ เรียนรูวิชาคณิตศาสตรคอนขางสูง ทั้ง นี้เพราะนักเรียนที่มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงเปนนักเรียนที่มีความพรอมและ ตั้งใจในการเรียนอยูเปนพื้นฐาน นักเรียนจะมีความตั้งใจ เรียน และเอาใจใสในการเรียน มีความกระตือรือรน ขยัน อานหนังสือและทบทวนบทเรียน สงงานที่ไดรับมอบหมาย ตรงตามเวลาที่กําหนด พยายามปรับปรุงแกไขการทํางานให ดีขึ้น การปรึกษาครูเมื่อมีปญหาหรือไมเขาใจบทเรียน และ ศึ ก ษาค น คว า หาความรู เ พิ่ ม เติ ม อยู เ สมอ จึ ง ทํ า ให มี ความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรสูง
109
นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปานกลางหรือ ต่ํา ทําใหมีความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรปาน กลางและคอนขางต่ํา ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่มีผลผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนปานกลาง เปนนักเรียนที่มีไมคอยมีความพรอม และไมตั้งใจในการเรียนอยูเปนพื้นฐาน นักเรียนขาดความ ตั้ง ใจเรีย น และขาดการเอาใจใส ใ นการเรี ยน ขาดความ กระตือรือรน ไมขยันอานหนังสือและทบทวนบทเรียน ไมสง งานที่ ไ ด รั บ มอบหมายตรงตามเวลาที่ กํ า หนด ขาดความ พยายามปรับปรุงแกไขการทํางานใหดีขึ้น ไมปรึกษาครูเมื่อมี ป ญ หาหรื อ ไม เ ข า ใจบทเรี ย น และไม ศึ ก ษาค น คว า หา ความรูเพิ่มเติมอยูเสมอ 5. สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน มี อิ ท ธิ พ ลทางลบต อ ความสามารถในการเรี ย นรู วิ ช า คณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 5 โรงเรี ย น พิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี แสดงวา นักเรียนที่มีสัมพันธภาพไมดีกับเพื่อน ทําใหมี ความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรคอนขางต่ํา ทั้งนี้ เพราะการปฏิบัติตนของนักเรียนและเพื่อนที่มีตอ กันทั้งใน และนอกห อ งเรี ย นอย า งไม ถู ก ต อ งเหมาะสมทํ า ให เ กิ ด ความสัมพันธที่ไมดีตอกัน ไดแก การไมชวยเหลือพึ่งพาซึ่งกัน และกั น ด า นการเรี ย น การไม แ ลกเปลี่ ย นความคิ ด เห็ น กั น ทางการเรียน นักเรียนไมมีความหวงใยใกลชิดสนิทสนมซึ่งกัน และกัน การไมรวมทํา กิจกรรมตา ง ๆ ในกลุมเพื่อ น ก็ยอ ม สงผลใหนักเรียนไมสามารถดําเนินชีวิตอยางมีความสุข ไมมี ความสามั ค คี ไม ใ ห ค วามช ว ยเหลื อ เกื้ อ กู ล กั น ตาม ความสามารถ และโอกาส ไมสามารถที่จะปรึกษาปญหา ตาง ๆ กับเพื่อนได เปนการขาดการเสริมสรางมิตรภาพให เกิ ด ขึ้ น ในหมู ค ณะ ทํ า ให เ กิ ด ป ญ หาขึ้ น กั บ ตนเอง เช น มี ความรูสึกกับตนเองในทางที่ไมดี เขากับกลุมเพื่อนไมได ซึ่ง จะสงผลใหมีความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรต่ํา ดังนั้นสัมพันธภาพที่ดีระหวางนักเรียนกับเพื่อน ทําใหนักเรียน มีความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรสูง 6. การสนับสนุนของผูปกครองดานการเรียน มี อิ ท ธิ พ ลทางลบต อ ความสามารถในการเรี ย นรู วิ ช า คณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 6 โรงเรี ย น พิบูลมังสาหาร อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
110
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
แสดงวา นักเรียนที่ไดรับการสนับสนุนจากผูปกครองดาน การเรียนปานกลาง ทําใหนักเรียนมีความสามารถในการ เรียนรูวิชาคณิตศาสตรต่ํา ทั้งนี้เพราะ การที่ผูปกครองไมให การสนับสนุนทางการเรียนดานการเรียนแกนักเรียน โดยการ ไมใหความสนใจ ซักถาม แนะนํา ไมใหความชวยเหลือและ รวมมือในการทํากิจกรรมการเรียน ไมใหเวลาและโอกาส ทางการเรียน ไมใหการสนับสนุนดานทุนทรัพยในการใชจาย และไม ใ ห กํ า ลั ง ใจแก เด็ กนัก เรี ยน ทํ า ใหนัก เรี ยนไมส นใจ และเอาใจใส ต อ การเรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร จึ ง ทํ า ให มี ความสามารถในการเรี ย นรู วิ ช าคณิ ต ศาสตร ต่ํ า ดั ง นั้ น นั ก เรี ย นที่ ไ ด รั บ การสนั บ สนุ น จากผู ป กครองมากจะมี ความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร ไดดีกวานักเรียนที่ ไดรับการสนับสนุนดานการเรียนของผูปกครองนอย ขอเสนอแนะ ผลจากการวิจัยครั้งนี้ สามารถใชเปนแนวทางให ผูบริหาร ครูผูสอน อาจารยที่ปรึกษา อาจารยแนะแนว และผูปกครองไดทราบขอมูลเพื่อพิจารณา สามารถนําไปเปน ขอมูลประกอบวางแผนพัฒนา หรือหาวิธีการในการสงเสริม ใหนักเรียนมีความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของ นั ก เรี ย นให สู ง ขึ้ น โดยนํ า องค ป ระกอบที่ มี อิ ท ธิ พ ลต อ ความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร รวมทุกระดับชั้น มี 6 องคประกอบ ไดแก ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แรงจูงใจใฝ สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร สัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับเพื่อน การสนับสนุนของผูปกครองดานการเรียน ลักษณะทางกายภาพดานการเรียนวิชาคณิตศาสตร และ สุ ข ภาพจิ ต ดั ง นั้ น ผลจากการวิ จั ย ครั้ ง นี้ ผู วิ จั ย เสนอ แนวทางดังตอไปนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเปนองคประกอบที่มี อิทธิพลตอความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ,5และ 6 ดังนั้น ผูปกครอง ผูบริหาร ครูผูสอนตลอดจนผูที่เกี่ยวของกับนักเรียน ควรมี กิจกรรมและแนวทางการปฏิบัติการสงเสริมใหนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 4 ,5และ 6 ไดศึกษาคนควาหาความรู เพิ่มเติมนอกจากการเรียนการสอนภายในหองเรียนโดยมอบหมาย ใหนักเรียนไปคนหาความรูจากแหลงความรูอื่นๆ เชนหองสมุด อินเตอรเน็ตเพื่อใหนักเรียนมีผลการเรียนคณิตศาสตรที่สูงยิ่งขึ้น
2. แ ร ง จู ง ใ จ ใ ฝ สั ม ฤ ท ธิ์ ท า ง ก า ร เ รี ย น วิ ช า คณิตศาสตรเปนองคประกอบที่มีอิทธิพลตอความสามารถใน การเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 และ 6 ดังนั้น ผูปกครอง ผูบริหาร ครูผูสอนตลอดจนผูที่ เกี่ยวของกับนักเรียน ควรมีกิจกรรมสงเสริมใหนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 4 และ 6 ใหมีแรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตร เชน การจัดกรรมดานวิชาการทางดาน วิชาคณิตศาสตร หรือกิจกรรมการแขงขันตอบโจทยปญหา ทางคณิ ต ศาสตร เพื่ อ เป น การฝ ก ให นั ก เรี ย นมี ก ารพั ฒ นา ทักษะทางดานความคิดและสติปญญา และมีความพยายาม ตอการเรียนใหประสบความสําเร็จโดยไมยอทอตออุปสรรค และความล ม เหลว รู จั ก กํ า หนดเป า หมายที่ เ หมาะสมกั บ ความสามารถของตน รูจักวาตนเองเดนหรือดอยในดานไหน สามารถคิดแกปญหา และอุปสรรคตาง ๆ ในการทํางานได ดว ยตนเอง และเพื่อ ใหนัก เรียนมีค วามสนใจและใหเ วลา สวนมากแกการเรียนวิชาคณิตศาสตรมากขึ้น เปนตน 3. สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ เพื่ อ นเป น องคประกอบที่มีอิทธิพลตอความสามารถในการเรียนรูวิชา คณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ดังนั้น ครู และผูบริหารโรงเรียน ควรมีการจัดกิจกรรมใหนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 5 ไดมีการปฏิสัมพันธระหวางกันเพื่อใหเกิด สัมพันธภาพที่ดีตอกันทั้งใน และนอกหองเรียน เกิดความ สนิทสนม เขาใจ ชวยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และการทํา กิจกรรมตาง ๆ รวมกันในกลุมเพื่อน เพื่อใหเกิดความสําเร็จ ดานการเรียน เปนตน 4. การสนับสนุนของผูปกครองดานการเรียนเปน องคประกอบที่มีอิทธิพลตอความสามารถในการเรียนรูวิชา คณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 ดังนั้น บิดา มารดาและผูปกครองควรใหการสนับสนุนดานการเรียนแก นั ก เรี ย น โดยให ค วามสนใจ ซั ก ถาม แนะนํ า ให ค วาม ชวยเหลือและรวมมือในการทํากิจกรรมการเรียน ใหเงินและ ทุนทรัพยในการใชจาย ใหเวลาและใหโอกาสนักเรียนในการ ทํากิจกรรมการเรียน ดวยการชวยเหลือนักเรียนในดานตางๆ ไมวาจะเปนการสนับสนุนทางดานวัตถุ ซึ่งไดแก การจัดหา อุปกรณสื่อประกอบการเรียน ใหแกนักเรียนอยางเพียงพอ ตามความจําเปนทางดานการเรียนของนักเรียน และการสนับสนุน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ทางดานจิตใจ ซึ่งไดแก การใหความสนใจ กําลังใจ และเอา ใจใส ใหคําปรึกษาและชี้แนะทางดานการเรียนแกนักเรียน เปนตน 5. ลักษณะทางกายภาพดานการเรียนวิชา คณิตศาสตรเปนองคประกอบที่มีอิทธิพลตอความสามารถใน การเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ดั ง นั้ น ครู และผู บ ริ ห ารโรงเรี ย น ควรจั ด ห อ งเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตรใหมีความเหมาะสมกับบรรยากาศดานการเรียน การสอนวิ ช าคณิ ต ศาสตร โดยห อ งเรี ย นควรจะมี อ ากาศ ถายเท หองเรียนจะตองมีความสะอาดเปนระเบียบเรียบรอย หองเรียนควรมีการติดแผนสูตรทางคณิตศาสตร ขนาดของ ห อ งเรี ย นของวิ ช าคณิ ต ศาสตร ต อ งไม แ ออั ด คั บ แคบ สื่ อ อุปกรณการเรียนการสอน ควรมีเอกสารประกอบการเรียน
111
คณิ ต ศาสตร อ ย า งเพี ย งพอ มี อุ ป กรณ ก ารเรี ย นที่ มี ค วาม ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการใชงาน มีปริมาณเพียงพอ เมื่อเทียบกับจํานวนนักเรียนที่เรียนวิชาคณิตศาสตร ซึ่งจะ สงผลตอการจัดการเรียนการสอนในภาพรวมของโรงเรียนให มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นดวย 6. สุขภาพจิตเปนองคประกอบที่มีอิทธิพล ตอความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ดังนั้น ผูปกครอง ผูบริหาร ครูผูสอน ตลอดจนผูที่เกี่ยวของกับนักเรียน ควรจัดทําโครงการพัฒนา จิตใจ สงเสริมสุขภาพจิต เพื่อลดภาวะความเครียดและความ วิตกกังวลทางดานการเรียนวิชาคณิตศาสตร เพื่อใหนักเรียน ที่มีความสมบูรณทางดานจิตใจ สามารถเรียนรูสิ่งตางๆ ได อยางมีประสิทธิภาพ
บรรณานุกรม กรมวิชาการ. . (2541).เอกสารประกอบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2531 คูมือ การแนะแนว. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ. ถายเอกสาร ______.(2544). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพิมพคุรุสภา ลาดพราว. ______.(2545). กลุมสาระการเรียนรู คณิตศาสตร ชวงชั้นที่ 4 (ม.4-6). พิมพครั้งที่ 1 . กรุงเทพฯ : ประสานมิตร. ดี บางกระ. (2538) การศึกษาความสามารถของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 ในการเรียนเรื่องฟงกชัน กอกําเนิด. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (วิชาคณิตศาสตร) กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร. รุงรัก รุงรัตนเสถียร. (2543). การศึกษาความสามารถในการเรียนรูวิชาคณิตศาสตรของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดรับการสอนดวยการจัดกิจกรรมมุมคณิตศาสตร. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (การมัธยมศึกษา) กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร. Zung ,W.W. ;& J.O Covernar. (1980). Assessment Scales and Techniques : Handbook on Stress and Anxiety. San Francisco : Jossey Bass Publishers.
112
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ปจจัยทีส่ งผลตอพฤติกรรมการเรียนวิชา คณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุ ราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี FACTORS AFFECTING ON MATHEMATICS LEARNING BEHAVIOR OF THE THIRD LEVEL, SECONDARY GRADES 1-3 STUDENTS AT SURATPITTHAYA SCHOOL IN SURATTHANI PROVINCE สุพัตรา ผลรัตนไพบูลย 1 อาจารยวิไลลักษณ พงษโสภา 2 รองศาสตราจารยเวธนี กรีทอง 2 บทคัดยอ การวิจัยเรื่องปจจัยที่สงผลตอพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี มีจุดมุงหมายเพื่อศึกษาปจจัยที่สงผลตอ พฤติ ก รรมการเรีย นวิ ช าคณิต ศาสตรข องนั ก เรีย นช ว งชั้น ที่ 3 โรงเรียนสุร าษฎรพิทยา จัง หวัดสุร าษฎรธ านี ปจจัยที่ศึกษา แบงเปน 3 ปจจัย คือ ปจจัยดานสวนตัว ไดแก เพศ ระดับชั้น ผลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร บุ ค ลิ ก ภาพ และ ทั ศ นคติ ต อ การเรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร ป จ จั ย ด า นครอบครั ว ได แ ก ฐานะทางเศรษฐกิ จ ของครอบครั ว และสั ม พั น ธภาพ ระหวางนักเรียนกับผูปกครอง และปจจัยดานสิ่งแวดลอมใน โรงเรี ย น ได แ ก ลั ก ษณะทางกายภาพทางการเรี ย นวิ ช า คณิ ต ศาสตร สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ครู และ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย เปนนักเรียนระดับ ชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี ป การศึกษา 2549 จํานวน 337 คน เปนนักเรียนชาย 125 คน และนักเรียนหญิง 212 คน เครื่องมือที่ใชในการศึกษาคนควา 1
นิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ไดแก แบบสอบถามปจจัยที่สงผลตอพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตร สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล คือ การ วิ เ คราะหค า สั ม ประสิ ท ธิ์ ส หสั มพั น ธข องเพีย รสั น และการ วิเคราะหการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบวา 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับพฤติกรรม การเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุ ราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี อยางมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปจจัย ไดแก บุคลิกภาพ ( X8) ทัศนคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร (X9) สัมพันธภาพ ระหวางนักเรียนกับผูปกครอง (X10) ลักษณะทางกายภาพ และสัมพันธภาพ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร (X11) ระหวางนักเรียนกับครู ( X12) 2. ป จจัย ที่ไ ม มีค วามสัม พัน ธกับ พฤติ ก รรมการ เรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร ข องนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 3 โรงเรี ย นสุ ราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี มี 8 ปจจัย ไดแก เพศ : ชาย (X1) เพศ : หญิง (X2) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 1 (X3) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 2 (X4) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 3 (X5) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X6) ฐานะ ทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7) และสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับเพื่อน (X13) 3. ปจจัยที่สงผลตอพฤติกรรมการเรียนวิชา คณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียน สุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ป จจัยโดยเรียงลําดับจากปจจัยที่สงผลมากที่ สุด ไปหา ป จ จั ย ที่ ส ง ผลน อ ยที่ สุ ด ได แ ก ทั ศ นคติ ต อ การเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตร (X9) ลักษณะทางกายภาพในโรงเรียน (X11) บุคลิกภาพ (X8) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน (X13) และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X6) ซึ่งปจจัยทั้ง 5 ปจจัย สามารถรวมกันอธิบายความแปรปรวนพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา อําเภอเมือง จังหวัดสุราษฎรธานี ไดรอยละ 47.90 4. สมการพยากรณพฤติกรรมการเรียนวิชา คณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี มีดังนี้
113
4.1 สมการพยากรณพฤติกรรมการเรียนวิชา คณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี ในรูปคะแนนดิบ ไดแก Ŷ = -.183 + .699 X9 + .310 X11 + .238 X8 - .160 X13- .089 X6 Ŷ = -.183 + .699 X9 (ทัศนคติตอการ เรียนวิชาคณิตศาสตร ) + .310 X11 (ลักษณะทางกายภาพ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ) + .238 X8 (บุคลิกภาพ ) .160 X13 (สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ) - .089 X6 ( ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ) 4.2 สมการพยากรณพฤติกรรมการเรียนวิชา คณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี ในรูปคะแนนมาตรฐาน ไดแก Z = .512 X9 + .237 X11 + .193 X8 - .147 X13 - .091 X6 Z = .512 X9 (ทัศนคติตอการเรียนวิชา คณิตศาสตร )+ .237 X11 (ลักษณะทางกายภาพทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตร ) + .193 X8 (บุคลิกภาพ ) - .147 X13 (สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ) - .091 X6 ( ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ) ABSTRACT The purposes of this research were to study the factors affecting on mathematics learning behavior of the third level, secondary grades 1-3 students at Suratpitthaya School in Suratthani Province. The factors were divided into 3 dimensions, first of them was personal factors : gender, class level, learning achievement, personality and attitude towards mathematics learning, second of them was family factors : guardian’s economic level and interpersonal relationship between students and their guardian and third of them was school environment factors : physical mathematics learning environment, interpersonal relationship between students and their teachers and interpersonal relationship between students and their peer groups.
114
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
The 337 samples : 125 males and 212 females were the mathematics learning behavior of the third level, secondary grades 1-3 students at Suratpitthaya School in Suratthani Province in academic year 2006. The instrument was a questionnaires of factors affecting mathematics learning behavior of the third level, secondary grades 1-3 students at Suratpitthaya School in Suratthani Province. The data was analyzed by The Pearson Product Moment Correlation Coefficient and Stepwise Multiple Regression Analysis. The results were as follows : 1. There were significantly positive correlation between mathematics learning behavior of the third Level, secondary grades 1-3 students at Suratpitthaya School in Suratthani province and 5 factors : personality (X8), attitude towards mathematics learning (X9), interpersonal relationship between students their guardians (X10), physical mathematics learning environment (X11), interpersonal relationship between students and their teachers (X12) at .01 level . 2. There were no significantly correlation among mathematics learning behavior of the third level, secondary grades 1-3 students at Suratpitthaya School in Suratthani Province and 8 factors : gender : male (X1), gender : female (X2), class level : matthayom suksa I (X3), class level : matthayom suksa II (X4), class level : matthayom suksa III (X5), learning achievement (X6), guardians’ economic level (X7), interpersonal relationship between student and their peer groups (X13). 3. There were 5 factors got significantly affecting on mathematics learning behavior of the third level, secondary grades 1-3 students at
Suratpitthaya School in Suratthani Province ranking from the most affecter to the least affecter were attitude towards mathematics learning (X9), physical mathematics learning environment (X11), personality (X8), interpersonal relationship between student and their peer groups (X13) and learning achievement (X6) at .01 level. These 5 factors could predicted mathematics learning behavior of the third level, secondary grades 1-3 students at Suratpitthaya School In Suratthani province about percentage of 47.90. 4. The predicted equation of mathematics learning behavior of the third level, secondary grades 1-3 students at Suratpitthaya School in Suratthani Province at .01 level were as follows : 4.1 In terms of raw scores were : Ŷ = -.183 + .699 X9 + .310 X11 + .238 X8 - .160 X13- .089 X6 Ŷ = -.183 + .699 X9 (attitude towards mathematics learning ) + .310 X11 (physical mathematics learning environment ) + .238 X8 (personality ) - .160 X13 (interpersonal relationship between student and their peer group ) - .089 X6 (learning achievement) 4.2 In terms of standard scores were : Z = .512 X9 + .237 X11 + .193 X8 - .147 X13 - .091 X6 Z = .512 X9 (attitude towards mathematics learning ) + .237 X11 (physical mathematics learning environment ) + .193 X8 (personality ) – .147 X13 (interpersonal relationship between student and their peer group ) - .091 X6 (learning achievement ) ความเปนมาและความสําคัญของการศึกษาคนควา ในการจั ด การศึ ก ษาเพื่ อ พั ฒ นาผู เ รี ย นให มี คุณภาพทัดเทียมกับนานาประเทศนั้น ควรคํานึงถึงปจจัยที่ เอื้ออํานวยใหการเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้น หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนตน พุทธศักราช 2521 (ฉบับ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ปรับปรุง พ.ศ. 2533) จึงมุงปลูกฝงใหนักเรียนมีความรูและ ทักษะในวิชาสามัญทันตอความเจริญกาวหนาทางวิทยาการ ตางๆ มีความคิดสรางสรรค ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติที่จะทํา ใหเกิดความเจริญแกตนเองและชุมชน (กรมวิชาการ. 2545 : 1-5) คณิตศาสตรเปน วิชาที่ มีค วามสํา คัญและสัมพัน ธกับ ชีวิตประจําวัน เปนรากฐานของวิทยาการทุกแขนง รวมทั้ง การเรียนการสอนวิชาตางๆก็จําเปนตองอาศัยคณิตศาสตร เปนพื้นฐานในการศึกษา (นิพนธ สินพูน. 2545: 2 ; อางอิง จากยุพิน พิพิธกุล. 2530: 1) เนื่องจากผูวิจัยเปนศิษยเกาและมีนองเรียนอยูที่ โรงเรียนสุร าษฎร พิ ทยา ไดสัง เกตพฤติก รรมการเรีย นของ นักเรียนในวิชาตางๆ พบวา นักเรียนจะสนใจ และตั้งใจเรียน ในบางวิชาเทานั้น และมีปญหาเรื่องการเรียนไมเขาใจ เรียน ไม ทั น เพื่ อ น ซึ่ ง ป ญ หาเหล า นี้ เ กิ ด จากการที่ นั ก เรี ย นมี พฤติ ก รรมการเรี ย นที่ เ หมาะสมน อ ย จึ ง ได ทํ า การสํ า รวจ ปญหาเบื้องตน พบวานักเรียนโรงเรียน สุราษฎรพิทยา นาจะมีปญหาดานพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรมาก ที่สุด ซึ่ ง การเรี ยนวิชาคณิ ต ศาสตร ใ ห ป ระสบผลสํา เร็ จนั้ น นักเรียนตองมีพฤติกรรมในการเรียนคณิตศาสตรที่เหมาะสม โสภา ชูพิกุลชัย (2528 : 111) ไดใหความหมายของ พฤติ ก รรมการเรี ย น หมายถึ ง การกระทํ า หรื อ กิ จ กรรมที่ นักเรียนแสดงออกในการเรียน การตอบสนองหรือปฏิกิริยาที่ นักเรียนมีตอประสบการณ สิ่งแวดลอมในขณะที่เรียนตอดวย ดั ง นั้ น พฤติ ก รรมการเรี ย นของนั ก เรี ย นนั้ น ขึ้ น อยู กั บ ประสบการณของนักเรียนเปนสําคัญ ดว ยเหตุ นี้ ผูวิ จั ย จึ ง มี ค วามสนใจศึก ษาป จ จั ย ที่ สงผลตอพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรข องนักเรียน ระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี ความมุงหมายของการศึกษาคนควา 1. เพื่อศึกษาความสัมพันธระหวางปจจัยดานสวนตัว ดานครอบครัว และดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียนกับพฤติกรรม การเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร พิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี 2. เพื่อศึกษาป จจัยดานสวนตั ว ดานครอบครัว และดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียนที่สงผลตอพฤติกรรมการเรียน
115
วิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี 3. เพื่อสรางสมการพยากรณพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร พิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี สมมติฐานในการศึกษาคนควา 1. ปจจัยดานสวนตัว ดานครอบครัว และดาน สิ่งแวดลอมในโรงเรียน มีความสัมพันธกับพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร พิทยา จังหวัด สุราษฎรธานี 2. ป จ จั ย ด า นส ว นตั ว ด า นครอบครั ว และด า น สิ่ ง แวดล อ มในโรงเรี ย น ส ง ผลต อ พฤติ ก รรมการเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตร ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี วิธีดําเนินการศึกษาคนควา ประชากร ประชากรที่ใชในการศึกษาครั้งนี้ เปนนักเรียนชวง ชั้ น ที่ 3 ป ก ารศึ ก ษา 2549 ซึ่ ง กํา ลั ง ศึ ก ษาอยู ใ นโรงเรี ย น สุ ราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี จํานวนทั้งสิ้น 1,700 คน เปนนักเรียนชาย 633 คน และเปนนักเรียนหญิง 1,067 คน กลุมตัวอยาง กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาครั้งนี้ เปนนักเรียน ชวงชั้นที่ 3 ปการศึกษา 2549 ซึ่งกําลังศึกษาอยูในโรงเรียนสุ ราษฎรพิ ท ยา จั ง หวั ด สุ ร าษฎร ธ านี จํ า นวนทั้ ง สิ้น 337 คน เปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 จํานวน 114 คน ซึ่งเปน นั ก เรี ย นชาย 42 คน และนั ก เรี ย นหญิ ง 72 คน ชั้ น มัธยมศึกษาปที่ 2 จํานวน 113 คน ซึ่งเปนนักเรียนชาย 40 คน และนักเรียนหญิง 73 คน และชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 จํานวน 110 คน ซึ่งเปนนักเรียนชาย 43 คน และนักเรียน หญิง 67 คน ซึ่งไดมาจากการสุมแบบแบงชั้น (Stratified Random Sampling) จากประชากรที่ระดับความเชื่อมั่นรอย ละ 95 ของยามาเน (Yamane. 1967:88-886 ) โดยใช ระดับชั้นและเพศเปนชั้น (Strata) เครื่องมือที่ใชในการศึกษาคนควา เปน แบบสอบถามปจ จัย ที่ส ง ผลตอ พฤติ ก รรม การเรีย นวิช าคณิต ศาสตรข องนั ก เรีย นช ว งชั ้น ที ่ 3
116
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
โรงเรีย นสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี ซึ่งแบงออกเปน 8 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 แบบสอบถามขอมูลสวนตัว ไดแก เพศ ระดับชั้นที่กําลังศึกษา และฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ตอนที่ 2 แบบสอบถามบุคลิกภาพ จํานวน 16 ขอ มีคา t อยู ระหวาง 3.112– 8.741 มีคาความเชื่อมั่นเทากับ .6321 ตอน ที่ 3 แบบสอบถามทัศนคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร แบงเปน 3 ดาน ไดแก ดานความคิด ดานความรูสึก และดาน แนวโนมในการแสดงพฤติกรรม จํานวน 34 ขอ มีคา t อยู ระหวาง 2.562 – 11.299 มีคาความเชื่อมั่นเทากับ .907 ตอนที่ 4 แบบสอบถามสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ จํานวน 18 ขอ มีคา t อยูระหวาง 3.122 – 8.959 มีคาความ เชื่อมั่นเทากับ .9305 ตอนที่ 5 แบบสอบถามลักษณะทาง กายภาพทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร จํานวน 14 ขอ มีคา t อยูร ะหวา ง 3.186 – 13.042 มีคา ความเชื่อ มั่น เทากับ .9335 ตอนที่ 6 แบบสอบถามสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับครู จํานวน 15 ขอ มีคา t อยูระหวาง 2.858 8.204 มี ค า ความเชื่ อ มั่ น เท า กั บ .9149 ตอนที่ 7 แบบสอบถามสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน จํานวน 15 ขอ มีคา t อยูระหวาง 2.804 - 9.625 มีคาความเชื่อมั่น เทากับ .9066 ตอนที่ 8 แบบสอบถามพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตร จํานวน 24 ขอ มีคา t อยูระหวาง 2.620 10.507 มีคาความเชื่อมั่นเทากับ .9613 ตอนที่ 2 - 8 เปน แบบสอบถามชนิดมาตราสวนประมาณคา (Rating Scale) มี 5 ระดับ สรุปผลและอภิปรายผลการศึกษาคนควา 1. ป จ จั ย ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ท างบวกกั บ พฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปจจัย ซึ่งอภิปรายผลได ดังนี้ 1.1 บุคลิกภาพ (X8) แสดงวานักเรียนกลุม ตัวอยา ง ที่มีบุคลิกภาพแบบ เอ มีพฤติกรรมการเรียนวิชา คณิ ต ศาสตรเ หมาะสม ทั้ ง นี้ เ พราะนัก เรี ยนที่ มี บุค ลิก ภาพ แบบเอ เปนคนที่รักความกาวหนา มีความกระตือรือรน ชอบ การแขงขัน ทํางานดวยความรวดเร็ว ทนไมไดกับงานที่ลาชา
ไมชอบการรอคอย มีความมานะพยายามในการทํางานใน การทํางานใหประสบความสํา เร็จ ซึ่งปจจัยดังกลาว ทําให นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนคณิตศาสตรเหมาะสมมาก 1.2 ทัศนคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร (X9) แสดงว า นั ก เรี ย นที่ มี ทั ศ นคติ ท างบวกต อ การเรี ย นวิ ช า คณิ ต ศาสตร มี พ ฤติ ก รรมการเรีย นคณิ ต ศาสตร เ หมาะสม ทั้งนี้เพราะนักเรียนเห็นความสําคัญ และประโยชนของการ เรียนวิชาคณิตศาสตร 1.3 สัมพั น ธภาพระหว า งนัก เรีย นกับ ผูป กครอง (X10) แสดงว า นั ก เรี ย นที่ มี สั ม พั น ธภาพดี กั บ ผู ป กครองมี พฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรเหมาะสม ทั้งนี้เพราะ สัมพันธภาพที่แนนแฟนใน ครอบครัว จะชวยใหความเปนอยู ในครอบครั ว ราบรื่ น และทุ ก คนมี ค วามสุ ข กายสบายใจ นั ก เรี ย นก็ เ กิ ด ความอบอุ น เห็ น ความสํ า คั ญ ของการเรี ย น จัดระบบการเรียน พรอมที่จะศึกษาหาความรู 1.4 ลั ก ษณะทางกายภาพทางการเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตร (X11) แสดงวานักเรียนที่ไดรับลักษณะทาง กายภาพทางการเรี ยนวิชาคณิตศาสตรดี มีพ ฤติกรรมการ เรียนวิชาคณิตศาสตรเหมาะสม ทั้งนี้เพราะสภาพแวดลอม ทางการเรียนการสอนที่ดีมีผลตอนักเรียน ไดแก หองเรียนมี ความเปนระเบียบเรียบรอย อากาศถายเทไดสะดวก ขนาด ของห อ งเหมาะสมกั บ จํ า นวนนั ก เรี ย น บริ เ วณห อ งเรี ย น ปราศจากสิ่งรบกวนตางๆ ไดแก เสียงและกลิ่น อุปกรณการ เรียนการสอนมีความทันสมัย มีเพียงพอกับจํานวนนักเรียน และมีคุณภาพการใชงานดี 1.5 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู (X12) แสดงวานักเรียนที่มีสัมพันธภาพดีกับครูมีพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตรเหมาะสม ทั้งนี้เพราะการที่ครูมีความเมตตา กรุณา เห็นอกเห็นใจนักเรียน สนใจนักเรียนอยางสม่ําเสมอ มี ความยุ ติ ธ รรม ไม มี ค วามลํ า เอี ย ง หรื อ เลื อ กที่ รั ก มั ก ที่ ชั ง ตลอดจนมีความสัมพัน ธอัน ดีกับ นักเรียน ดัง ที่พรรณี ชูชัย (2532 : 361) กลาววาการที่ครูมีความเมตตากรุณาเห็นอก เห็นใจนักเรียน สนใจนักเรียนอยางสม่ําเสมอ มีความยุติธรรม ตลอดจนมีความสัมพันธอันดีกับนักเรียน ทําใหนักเรียนรักที่ จะเรีย น และส ง ผลใหนัก เรีย นประสบความสํา เร็จ ในการ เรี ยนดวย
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 2. ปจ จัยที่ไ มมีความสัม พัน ธกับพฤติก รรม การเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียน สุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี มี 8 ปจจัย ซึ่งอภิปราย ผลไดดังนี้ 2.1 เพศ : ชาย (X1) แสดงวานักเรียนชายบางคน มีพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรเหมาะสม ทั้งนี้เพราะ นักเรียนชายบางคน มีความคิด ความรูสึกชอบ และสนใจ วิ ช า ค ณิ ต ศ า ส ต ร ใ ห ค ว า มส น ใ จ ใ น เ รื่ อ ง ก า ร เ รี ย น กระตือรือรนและเอาใจใสตอการเรียน ไดแก ตั้งใจเรียน มี การทบทวนบทเรี ย น หมั่ น ฝ ก ฝนทํ า โจทย แ ละท อ งสู ต ร คณิตศาสตรเสมอ นัก เรีย นชายบางคน มีพ ฤติก รรมการเรียนวิช า คณิตศาสตรไมเหมาะสม ทั้งนี้เพราะนักเรียนในชวงชั้นที่ 3 อยูในชวงของวัยรุน ซึ่งธรรมชาติของวัยรุนเพศชาย ตองการ ความเปนอิสระ เปนตัวของตัวเอง ไมตองการอยูใตอํานาจ ของใคร ตองการแสวงหาประสบการณแปลกๆใหมๆ รวมทั้ง มีทัศนคติทางลบตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร 2.2 เพศ : หญิง (X2) แสดงวานักเรียนหญิงบาง คน มีพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรเหมาะสม ทั้งนี้ เพราะ นักเรียนหญิงบางคน มีความคิด ความรูสึกชอบ และ สนใจวิ ช าคณิ ต ศาสตร ให ค วามสนใจในเรื่ อ งการเรี ย น กระตือรือรนและเอาใจใสตอการเรียน ไดแก ตั้งใจเรียน มี การทบทวนบทเรี ย น หมั่ น ฝ ก ฝนทํ า โจทย แ ละท อ งสู ต ร คณิตศาสตรเสมอ นักเรียนหญิงบางคน มีพฤติกรรมการเรียนวิชา คณิตศาสตรไมเหมาะสม ทั้งนี้เพราะนักเรียนหญิงบางคนมี ความคิด ความรูสึกไมชอบ ไมสนใจวิชาคณิตศาสตร 2.3 ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 1 (X3) แสดงวา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 บางคนมีพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตรเหมาะสม ทั้งนี้เพราะนักเรียนเพิ่งเปลี่ยน ระดับการศึกษาจากระดับประถมศึกษามาเปนมัธยมศึกษา จึงมีความตั้งใจ และมีความมุงมั่นในการเรียน โดยเฉพาะ วิชาคณิตศาสตรเพราะเปนวิชาที่คอนขางยาก ถาไมสนใจ เรียนจะไมเขาใจบทเรียนและไมสามารถทําแบบฝกหัดและ การบานได
117
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 บางคนมีพฤติกรรม การเรียนวิชาคณิตศาสตรไมเหมาะสม ทั้งนี้เพราะนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 บางคนไมไดศึกษาและทําความเขาใจใน การเรียนวิชาคณิตศาสตรดีเทาที่ควร ประกอบกับที่นักเรียน ขาดความมั่น ใจในตนเอง และไมมี ค วามถนั ดในวิ ช า คณิ ต ศาสตร จึ ง ไม อ ยากเรี ย น ไม ซั ก ถามเมื่ อ ไม เ ข า ใจ บทเรียน 2.4 ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 2 (X4) แสดงวา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 บางคนมีพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตรเหมาะสม ทั้งนี้เพราะนักเรียนมีความตั้งใจ มี ค วามมุ ง มั่ น ในการเรี ย น มี ก ารศึ ก ษาหาความรู อ ย า ง สม่ําเสมอ ปฏิบัติตามคําแนะนําของครูผูสอน เขาเรียนอยาง สม่ําเสมอ นั ก เ รี ย น ชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ป ที่ 2 บ า ง ค น มี พฤติ ก รรมการเรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร ไ ม เ หมาะสม ทั้ ง นี้ เพราะนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 บางคนไมไดศึกษา และ ไม ทํ า ความเข า ใจในการเรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร เ ท า ที่ ค วร ประกอบกับ นักเรียนไมสนใจศึกษาหาความรู ไมใหความ รวมมือในการเรียนการสอน ขาดความอดทนตออุปสรรคใน การเรียน 2.5 ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 3 (X5) แสดงวา นั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 3 บางคนมี พ ฤติ ก รรมในการ เรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร เ หมาะสม ทั้ ง นี้ เ พราะนั ก เรี ย นชั้ น มัธยมศึกษาปที่ 3 บางคนมีความกระตือรือรนที่จะพัฒนา ตนเอง และมี ค วามทะเยอทะยานด า นการเรี ย นสู ง มี จุดมุงหมายในการเรียน สามารถที่จะเผชิญหนากับปญหา ดานตาง ๆ นั ก เ รี ย น ชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ป ที่ 3 บ า ง ค น มี พฤติกรรมในการเรียนวิชาคณิตศาสตรไ มเ หมาะสม ทั้ง นี้ เพราะนักเรียนขาดความกระตือรือรนที่จะพัฒนาตนเอง ไมมี จุดมุงหมายในการเรียน ไมสามารถคนพบความถนัด ความ สนใจ และความสามารถของตนเอง และมีทัศนคติทางลบ ตอวิชาคณิตศาสตรและตอครูผูสอน 2.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X6) แสดงวา นักเรียนบางคนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ํา มีพฤติกรรมใน การเรียนวิชาคณิตศาสตรเหมาะสม ทั้งนี้เพราะนักเรียน
118
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ตองการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใหสูงขึ้น จึงตั้งใจเรียน ในหองเรียน หมั่นทบทวน ฝกหัดทําโจทยคณิตศาสตร และ หมั่ น ท อ งสู ต รที่ ใ ช ใ นการคิ ด คํา นวณทางคณิ ต ศาสตร เพิ่ ม มากขึ้น นักเรียนบางคนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ํา มี พฤติกรรมในการเรียนวิชาคณิตศาสตรไมเหมาะสม ทั้งนี้ เพราะนักเรียนบางคนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ํา ไมตั้งใจ เรียน ไมขยันเรียน มีการทบทวนบทเรียนและฝกทําโจทยทาง คณิตศาสตรนอย ทําใหไมเขาใจบทเรียน มีทัศนคติทางลบ ตอวิชาคณิตศาสตร และไมเห็นความสําคัญของการเรียน วิชาคณิตศาสตร 2.7 ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7) แสดง วา นักเรียนบางคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวต่ํา มี พ ฤติ ก รรมในการเรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร เ หมาะสม ทั้ ง นี้ เพราะผูปกครองปรารถนาใหนักเรียนมีอาชีพที่มั่นคง เมื่อ เรียนจบแลวสามารถหางานทําไดงาย มีเงินเดือนมากพอใน การดํ า เนิ น ชี วิ ต จึ ง ให ก ารสนั บ สนุ น แก นั ก เรี ย นอย า งเต็ ม ความสามารถ นั ก เรี ย นบางคนมี ฐ านะทางเศรษฐกิ จ ของ ครอบครัว ต่ํา มี พ ฤติก รรมในการเรีย นวิชาคณิต ศาสตร ไ ม เหมาะสม ทั้งนี้เพราะ ผูปกครองไมมีเวลาในการอบรมเลี้ยง ดู เพราะตองทํางานหนัก ไมมีความพรอมในการจัดอุปกรณ การเรียนของนักเรียน นอกจากนี้ผูปกครองบางคนไมเห็น ความสําคัญของการเรียนของบุตรหลาน 2.8 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน (X13) แสดงว า นั ก เรี ย นบางคนที่ มี สั ม พั น ธภาพดี กั บ เพื่ อ น มี พฤติกรรมในการเรียนวิชาคณิตศาสตรเหมาะสม ทั้งนี้เพราะ การที่นักเรียนบางคนมีสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่ อนทํ าใหเกิด ความสบายใจ อบอุนใจ มีการชวยเหลือซึ่งกันและกัน หวงใย และไว ว างใจกั น เมื่ อ มี ป ญ หาทั้ ง ด า นการเรี ย นและด า น สวนตัวก็สามารถปรึกษาเพื่อนในหองได นั ก เรี ย นบางคนที่ มี สั ม พั น ธภาพดี กั บ เพื่ อ น มี พฤติกรรมในการเรียนวิชาคณิตศาสตรไมเหมาะสม ทั้ง นี้ เพราะการมีสัมพันธภาพที่ดีระหวางนักเรียนกับเพื่อน มีความ สนิทสนมกันจึงชวนกันพูดคุยเรื่องตางในหองเรียน ไมฟงที่ อาจารยสอน
3. ปจจัยที่สงผลตอพฤติกรรมการเรียนวิชา คณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปจจัย โดยเรียงลําดับจากปจจัยที่สงผลมากที่สุด ไปหา ปจจัยที่สงผลนอยที่สุด ซึ่งปจจัยทั้ง 5 ปจจัยนี้ สามารถ ร ว มกั น อธิ บ ายความแปรปรวนพฤติ ก รรมการเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธานี ไดรอยละ 47.90 ซึ่งอภิปรายผลไดดังนี้ 3.1 ทัศนคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร (X9) สงผลตอพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวง ชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา แสดงวา นักเรียนที่มีทัศนคติ ทางบวกต อ การเรี ย นวิ ช าคณิ ต ศาสตร ทํ า ให นั ก เรี ย นมี พฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรเหมาะสม ทั้งนี้เพราะ นักเรียนเห็นความสําคัญ และประโยชนของวิชาคณิตศาสตร มี ค วามชอบ ความสนใจ และความสนุ ก ในการเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตร ความพอใจตอการเรียนการสอน ครูผูสอน และ บรรยากาศการสอน ตั้งใจเรียน ปฏิบัติตามครูผูสอนกําหนด เตรียมอุปกรณการเรียน เตรียมตัวใหพรอมกอนการเรียน มา เรีย นสม่ํา เสมอ ทบทวนบทเรี ยน ฝ กทํ า โจทยค ณิ ต ศาสตร เพิ่มเติม กระตือ รือ รน หมั่น ทองสูตรทางคณิตศาสตร และ ซักถามเมื่อมีขอสงสัย 3.2 ลักษณะทางกายภาพทางการเรียนวิชา ส ง ผลต อ พฤติ ก รรมการเรี ย นวิ ช า คณิ ต ศาสตร (X11) คณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา แสดงวานักเรียนที่ไดรับลักษณะทางกายภาพทางการเรียน วิ ช าคณิ ต ศาสตร ที่ ดี ทํ า ให มี พ ฤติ ก รรมการเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตรเหมาะสม ทั้ง นี้เพราะสภาพแวดลอ มทางการ เรียนการสอนที่ดีมีผลตอนักเรียน ไดแก หองเรียนมีความเปน ระเบียบเรียบรอย อากาศถายเทไดสะดวก ขนาดของหอ ง เหมาะสมกั บ จํ า นวนนั ก เรี ย น บริ เ วณห อ งเรี ย นปราศจาก สิ่งรบกวนตางๆ ไดแก เสียงและกลิ่น อุปกรณการเรียนการ สอนมี ค วามทั น สมั ย มี เ พี ย งพอกั บ จํ า นวนนั ก เรี ย น และมี คุณภาพการใชงานดี ซึ่งสอดคลองกับ ลอรเรนซ (ชัชลินี จุงพิวัฒน. 2547: 82 ; อางอิงจาก Lawrence.1976) ที่กลาววา บรรยากาศในการเรียนการสอนเปนสภาพแวดลอมทางจิตวิทยา
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ที่มีผลตอสภาพจิตใจ อารมณ ความรูสึกที่จะทําใหนักเรียน สนใจการเรียนการสอน 3.3 บุคลิกภาพ (X8) สงผลตอพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร พิทยา แสดงวานักเรียนชวงชั้นที่ 3 ที่มีบุคลิกภาพแบบ เอ ทํา ใหนักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรเหมาะสม ทั้ ง นี้ เ พราะ นั ก เรี ย นที่ มี บุ ค ลิ ก ภาพแบบเอ เป น คนที่ รั ก ความกาวหนา มีความกระตือรือรน ชอบการแขงขัน ทํางาน ดวยความรวดเร็ว ทนไมไดกับงานที่ลาชา ไมชอบการรอคอย มีความมานะพยายามในการทํางานในการทํางานใหประสบ ความสําเร็จ ซึ่งปจจัยดังกลาว ทําใหนักเรียนมีพฤติกรรมการ เรียนคณิตศาสตรเหมาะสม ผลการวิจัยครั้งนี้สอดคลองกับ ผลการวิจัยของ ไควรเวอรและไวดเนอร ( Kleiwer and Weidner. 1987 : 204 ) ที่ศึกษาเรื่องลักษณะบุคลิกภาพ แบบ เอ และระดั บ ความมุ ง หวั ง โดยศึ ก ษาจากการ ตั้งเปาหมายของความสําเร็จของผูปกครอง พบวา เด็กที่มี บุคลิก ภาพแบบ เอ จะทํา งานสํ า เร็ จและมีค วามพยายาม เพื่อใหประสบความสําเร็จมากกวาเด็กที่มีบุคลิกภาพแบบ บี 3.4 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน (X13) สง ผลทางลบต อ พฤติ ก รรมการเรี ย นวิ ช าคณิต ศาสตร ข อง นักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎรพิทยา แสดงวา นักเรียน ที่มีสัมพันธภาพดีกับเพื่อน ทําใหนักเรียนมีพฤติกรรมในการ เรียนวิชาคณิตศาสตรไมเหมาะสม ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติตน กับเพื่อนไดเหมาะสมจะทําใหเกิดสัมพันธภาพที่ดี แตถามี สัมพันธภาพในทางที่ดีแตไมเอื้อตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร เชน คุยกัน อยา งสนุ ก สนานไมส นใจฟงครู สอน พากัน หนี เรียนวิชาคณิตศาสตรโดยเฉพาะวันที่ไมไดทําการบานวิชา
119
คณิ ต ศาสตร เ พราะยาก ไม เ ข า ใจ ทํ า ไม ไ ด ก ลั บ จะทํ า ให มี พฤติกรรมในการเรียนวิชาคณิตศาสตรไมเหมาะสมได 3.5 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X6) สงผลทางลบ ตอพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรี ย นสุ ร าษฎร พิ ท ยา แสดงว า นั ก เรี ย นที่ มี ผ ลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นต่ํ า ทํ า ให มี พ ฤติ ก รรมในการเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตรเหมาะสม ทั้งนี้เพราะเมื่อนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ย นต่ํ า ย อ มกลั ว ว า จะไม ส ามารถเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตรได เพราะเปนวิชาที่เขาใจยาก และตองมีความ ถนัดทางคณิ ต ศาสตรดว ย จึง ตอ งตั้ ง ใจเรียน ไม เล น ไมคุ ย ระหวา งเรียน กลาตอบคําถามครูใ นขณะที่ครูสอน ซึ่ง เปน พฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรที่เหมาะสม เพื่อทําใหมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรสูงขึ้น ขอเสนอแนะในการวิจัยครั้งตอไป 1 ควรศึกษาพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตร โดยศึ ก ษาป จ จั ย อื่ น ๆ เพิ่ ม เติ ม เช น ความคาดหวั ง ของ ผูปกครอง ลักษณะมุงอนาคต เปนตน 2 ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตร เชน สภาพปญหาของการเรียนการสอน วิชาคณิตศาสตร เปนตน 3 ควรมีการศึกษาปจจัยที่สงผลตอพฤติกรรมการ เรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนในระดับอื่นๆ เชน ระดับชวงชั้น ที่ 4 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และระดับอุดมศึกษา เปนตน 4 ควรพัฒนาปจจัยที่สงผลตอพฤติกรรมการเรียน วิชาคณิตศาสตร โดยนําไปทําการทดลองเพื่อพัฒนาปจจัย ดั ง กล า ว ซึ่ ง จะช ว ยแก ป ญ หาพฤติ ก รรมการเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตร โดยใชเทคนิคทางจิตวิทยา เชน การปรับพฤติกรรม กลุมสัมพันธ เปนตน
120
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
บรรณานุกรม กรมวิชาการ. ( 2545 ). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544. พิมพครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพองคการ รับสงสินคาและพัสดุภัณฑ ( ร.ส.พ. ). กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. ( 2535 ). หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนตน พุทธศักราช 2521 ( ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533 ). กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กันยา สุวรรณแสง. ( 2532 ). จิตวิทยาทั่วไป. กรุงเทพฯ : โรงพิมพบํารุงสาสน. เฉลียว บุตรเนียร. ( 2531 ). ความสัมพันธระหวางพฤติกรรมการเรียน พฤติกรรมการสอน พื้นฐานความรูทางคณิตศาสตร เจตคติตอคณิตศาสตรกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตรของนักเรียนมัธยมศึกษาปที่ 5 เขตการศึกษา 8. วิทยานิพนธ คบ. กรุงเทพ : จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ชัชลินี จุงพิวัฒน. ( 2547 ). ตัวแปรที่เกี่ยวของกับความขยันหมั่นเพียรในการเรียนการสอนขอนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนเวียงสระ จังหวัดสุราษฎรธานี. ปริญญานิพนธ กศ.ม. ( จิตวิทยาการศึกษา ) กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ชูชม ออนโคกสูง. ( 2522 ). จิตวิทยาการศึกษา. พิมพครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. นิพนธ สินพูน. ( 2545 ). ความสัมพันธระหวางความถนัดทางการเรียน ความรูพื้นฐานเดิม แรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ เจตคติตอ วิชาคณิตศาสตร พฤติกรรมการเรียนคณิตศาสตร และพฤติกรรมการสอนคณิตศาสตรกับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 3 ในจังหวัดมุกดาหาร. วิทยานิพนธ.กศ.ม. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. พรรณี ชูชัย. ( 2532 ). จิตวิทยาการสอน.กรุงเทพฯ : คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. พรรณี ชูทัย เจนจิต. ( 2523 ). จิตวิทยาการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ : บริษัทตนออ แกรมมี่ จํากัด. วิเชียร เกตุสิงห. ( 2538 ,กุมภาพันธ – มีนาคม ). คาเฉลี่ยกับการแปลความหมาย: เรื่องงายๆ ที่ บางครั้งก็พลาดได” ขาวสารการวิจัยการศึกษา. 18 ( 3 ) : 9. โสภา ชูพิชัยกุล. ( 2529 ). ความรูเบื้องตนทางจิตวิทยา. กรุงเทพฯ : หางหุนสวนจํากัด ศ.ส. เสริมศักดิ์ สรวัลลภ. ( 2540 ). คณิตศาสตรในโรงเรียนมัธยมศึกษา. กรุงเทพ : ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. Kleiwer, Wendy and Gerdi. Weidner. ( 1987 ). Type A Behavior and Aspiration : A Study of Parent’s and Children’ s Goal Setting. Developmental Psychology.
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
121
ปจจัยทีส่ งผลตอการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัด สมุทรปราการ FACTORS AFFECTING ON THE SELECTION OF MINI ENGLISH PROGRAMME LEARNING OF THE THIRD LEVEL, SECONDARY GRADE 1-3 STUDENTS AT RATWINIT BANGKAEO SCHOOL IN BANGPLEE DISTRICT, SAMUTPRAKARN PROVINCE สุภา ซูกูล 1 รองศาสตราจารยเวธนี กรีทอง 2 อาจารย ดร. พาสนา จุลรัตน 2 บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุงหมายเพื่อศึกษาปจจัยที่สงผล ตอการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของ นักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแกว อําเภอบาง พลี จังหวัดสมุทรปราการ ปจจัยที่ศึกษาแบงเปน 3 ปจจัย คือ ปจจัยดานสวนตัว ไดแก เพศ ระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทัศนคติตอวิชาภาษาอังกฤษ ปจจัยดานครอบครัว ไดแก ฐานะทาง เศรษฐกิจของครอบครัว ความคาดหวังของผูปกครอง ที่มีตอนักเรียน และการสนับสนุนของผูปกครอง ที่มีตอนักเรียน และป จ จั ย ด า นสิ่ ง แวดล อ มในโรงเรี ย น ได แ ก ลั ก ษณะทาง กายภาพของโรงเรียน กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาครั้ง นี้ เปนนักเรียน ชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแกว ปการศึกษา 2549 จํานวนทั้งสิ้น 180 คน ครื่องมือที่ใชในการศึกษา ไดแก แบบสอบถามปจจัยที่ สงผลตอการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME สถิติที่ใช วิเคราะหขอมูล ไดแก การวิเคราะหคาสหสัมพันธของเพียรสัน 1
นิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
122
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
(The Pearson Product Moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะหการถดถอยพหุคูณ (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบวา 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรี ย นรา ชวิ นิ ต บางแก ว อํ า เภอบางพลี จั ง หวั ด สมุทรปราการ มีดังนี้ 1.1 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการเลือก เรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับ ชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัด สมุทรปราการ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05มี 1 ปจจัย ไดแก การสนับสนุนของผูปกครองที่มีตอนักเรียน ( X10) 1.2ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการเลือก เรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับ ชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัด สมุท รปราการ อยา งมีนัยสํ า คัญทางสถิ ติที่ ร ะดับ .01 มี 4 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 3 ( X3) ทัศนคติตอ วิชาภาษาอังกฤษ ( X8) ความคาดหวังของผูปกครองที่มีตอ นักเรียน ( X9) และ ลักษณะทางกายภาพของโรงเรียน ( X11) 2. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของของนักเรียนระดับชวง ชั้ น ที่ 3 โรงเรี ย นราชวิ นิ ต บางแก ว อํ า เภอบางพลี จั ง หวั ด สมุทรปราการ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปจจัย ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 1 ( X3) 3. ปจจัยที่ไมมีความสัมพันธกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรี ย นราชวิ นิ ต บางแก ว อํ า เภอบางพลี จั ง หวั ด สมุทรปราการ มี 5 ปจจัย ไดแก เพศ : ชาย ( X1) เพศ : หญิง ( X2) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 2 ( X4) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ( X6) และ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ( X7) 4. ปจจัยที่สงตอการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราช วินิตบางแกว อําเภอ บางพลี จังหวัด สมุทรปราการ อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 2 ปจจัย โดยเรียงลําดับ
จากป จ จั ย ที่ ส ง ผลมากที่ สุ ด ไปหาป จ จั ย ที่ ส ง ผลน อ ยที่ สุ ด ไดแก ทัศนคติตอวิชาภาษาอังกฤษ (X8) และ ความคาดหวัง ของผูปกครองที่มีตอตัวนักเรียน (X9) ซึ่งปจจัยทั้ง 2 ปจจัยนี้ สามารถรวมกันอธิบายความแปรปรวนของการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของของนักเรียนระดับชวง ชั้ น ที่ 3 โรงเรี ย นราชวิ นิ ต บางแก ว อํ า เภอบางพลี จั ง หวั ด สมุทรปราการ ไดรอยละ 28.80 5 . ส ม ก า ร พ ย า ก ร ณ ก า ร เ ลื อ ก เ รี ย น MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โ ร ง เ รี ย น ร า ช วิ นิ ต บ า ง แ ก ว อํ า เ ภ อ บ า ง พ ลี จั ง ห วั ด สมุทรปราการ ในรูปคะแนนดิบ ไดแก Ŷ = .735 + .621 X8 + .197X9 สมการพยากรณการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราช วินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ในรูป คะแนนมาตรฐาน ไดแก Z = .481X8 + .140 X9 Abstract The purpose of this research was to study the factors affecting on the selection of Mini English Programme Learning of the third level, secondary grades 1- 3 students of Ratwinit Bangkaeo School in Bangplee District , Samutprakarn Province. The factors were divided into 3 dimensions , first of them was personal factor : gender, class level, learning achievement and attitude towards English, second of them was family factor : guardians’ economic level, guardians’ expectation towards student and supporting towards student and third of them was learning environment factors : physical learning environment of Mini English Programme Learning . The samples were 180 students of the third level, secondary grades 1-3 of Ratwinit Bangkaeo School in Bangplee District , Samutprakarn Province. They were 58 males and 122 females in academic year of 2006. The instrument was a
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 questionnaires of factors affecting on the selection of Mini English Programme Learning . The data was analyzed by using the Pearson Product Moment Correlation Coefficient and Stepwise Multiple Regression Analysis. The results were as follows : 1. There was significantly positive correlation between the selection of Mini English Programme Learning of the Third Level, Secondary Grades 1- 3 Students at Ratwinit Bangkaeo School in Bangplee District , Samutprakarn Province and 1 factors : guardians’ supporting towards student (X10) at .05 level. There were significantly positive correlation between the selection of Mini English Programme Learning of the Third Level, Secondary Grades 1- 3 Students at Ratwinit Bangkaeo School in Bangplee District , Samutprakarn Province and 4 factors : class level : matthayom suksa III (X5), attitude towards english (X8), guardians’ expectation towards student (X9), and physical learning environment of Mini English Programme Learning (X11) at .01 level . 2. There was significantly negative correlation between the selection of Mini English Programme Learning of the Third Level, Secondary Grades 13 Students at Ratwinit Bangkaeo School in Bangplee District , Samutprakarn Province and 1 factor : class level : matthayom suksa I (X3) at .05 level . 3. There were no significantly correlation among the selection of Mini English Programme Learning of the Third Level, Secondary Grades 13 Students at Ratwinit Bangkaeo School in Bangplee District , Samutprakarn Province and 5 factors ; gender : male (X1), gender : female (X2) ,
123
class level : matthayom suksa II (X4), learning achievement (X6) and guardians’ economic level (X7). 4. There were 2 factors significantly affecting on the selection of Mini English Programme Learning of the Third Level, Secondary Grades 1- 3 Students at Ratwinit Bangkaeo School in Bangplee District , Samutprakarn Province ranking from the most affecter to the least affecter were attitude towards English (X8) and guardians’ expectation towards student (X9) at .01 level . These 2 factors could predicted the selection of Mini English Programme Learning of the Third Level, Secondary Grades 1- 3 Students at Ratwinit Bangkaeo School in Bangplee District , Samutprakarn Province about percentage of 28.80. 5. The predicted equation of the selection of Mini English Programme Learning of the Third Level, Secondary Grades 1- 3 Students at Ratwinit Bangkaeo School in Bangplee District , Samutprakarn Province at .01 level were as follows : 5.3 In terms of raw scores were : Ŷ = .735 + .621 X8 + .197X9 5.2 In terms of standard scores were : Z = .481X8 + .140 X9 ความเปนมาและความสําคัญของการวิจัย ปจจุบันนี้ ประเทศไทยมีความเจริญกาวหนา และ มีการติดตอสื่อสารกับประเทศตางๆทั่วโลกอยางแพรหลาย ทั้ ง ในเรื่ อ งระบบ เศรษฐกิ จ สั ง คม การเมื อ ง และชี วิ ต สว นตัว สามารถสื่อ ถึง กัน ไดงายมาก และในปจจุบัน นี้ใ น กระแสโลกาภิวัฒน (GLOBALIZATION) ทําใหทุกประเทศ ทั่วทั้งโลกสามารถเชื่อมโยงกันและติดตอสื่อสารกันไดงาย มากขึ้ น เพราะเปรี ย บเสมื อ นโลกที่ ไ ร พ รมแดน การ ติดตอสื่อสารกัน จึงตองใชภาษากลางที่ทุกคนเขาใจนั้นก็คือ ภาษาอังกฤษ ในอดีตชนชั้นกลางมักจะสงลูกเขาโรงเรียน คาทอลิก หรือโรงเรียนในเครือคริสเตียนที่จัดการศึกษาอยู
124
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
เมืองไทยนานนับรอยป เปนจังหวะหรือโอกาสสรางให เขาเหลานั้นไดเรียนรูภาษาอังกฤษ และวัฒนธรรมตะวันตก (สุธิดา หอวัฒนกุล. 2548 : 5 ) โรงเรียนสองภาษา (ENGLISH PROGRAMME) เปนโรงเรียนที่เนนการเรียน การสอนตามหลั ก สู ต รการศึ ก ษาขั้ น พื้ น ฐาน พุ ท ธศั ก ราช 2544 โดยใชภาษาอังกฤษ เปนสื่อเพื่อพัฒนาศักยภาพ ดานความรูความสามารถและทักษะทางภาษาของผูเรียน และในการจั ด การเรี ย นการสอนในโรงเรี ย นต อ งคํ า นึ ง ถึ ง ความสามารถพื้ น ฐานในการใช ภ าษาของผู เ รี ย น การ สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และคานิยมอันดีงามตลอดจน การเรียนการสอนในระบบของความเปนไทย ผสมผสานกับ ความเปนสากล สําหรับรูปแบบ การจัดสามารถทําได 2 แบบ คือ ENGLISH PROGRAMME (EP) และ MINI ENGLISH PROGRAMME (MEP) ซึ่งมีความแตกตางกันคือ EP จัดการ เรี ย นการสอนเป น ภาษาอั ง กฤษได ทุ ก วิ ช า ยกเว น วิ ช า ภาษาไทยและสังคมศึกษาในสวนที่เกี่ยวของกับความเปน ไทย กฎหมายไทย ประเพณีและวัฒนธรรมไทย สวน MEP สอนไดไมเกิน 50 % ของชั่วโมงสอนทั้งหมดตอสัปดาห (สุ ธิดา หอวัฒนกุล. 2548 : 8 ) โรงเรียนราชวินิตบางแกว มี โครงการ การเรียนการสอนโดยใช ภ าษาอังกฤษเปน สื่อ ตามที่ ก ระทรวงศึ ก ษาธิ ก ารได กํ า หนดไว นั้ น ก็ คื อ MINI ENGLISH PROGRAMME (MEP) ทุกๆปมี นักเรียนจํานวน มากที่ ต อ งการอยากที่ จ ะเข า มาเรี ย นโปรแกรม MINI ENGLISH PROGRAMME (MEP) จึงเปนสาเหตุสําคัญที่ทํา ใหผูวิจัย สนใจที่จะศึกษา ปจจัยที่สงผลตอการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรี ย นราชวิ นิ ต บางแก ว อํ า เภอบางพลี จั ง หวั ด สมุทรปราการ วิธีวิจัย ประชากร และ กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษา คือ เปนนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิต บางแกว ปการศึกษา 2549 จํานวนทั้งสิ้น 180 คน ซึ่งครื่องมือที่ใช ในการศึกษา เปนแบบสอบถามปจจัยที่สงผลตอการเลือก เรียน MINI ENGLISH PROGRAMME สถิติที่ใช วิเคราะหขอมูล ไดแก การวิเคราะหคาสหสัมพันธของเพียร สัน (The Pearson Product Moment Correlation
Coefficient) และการวิเคราะหการถดถอยพหุคูณ(Stepwise Multiple Regression Analysis) แบบสอบถามแบบมาตรา สวนประมาณคา (Rating Scale) 5 ระดับ ที่ผูวิจัยสรางขึ้น โดยสถิติที่ใชในการวิจัยคือ คาความถี่ (Frequency) คารอย ละ (Percentage) ค า เฉลี่ ย ( x ) ส ว นเบี่ ย งเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบความสั ม พั น ธ ด ว ยวิ ธี ก ารวิ เ คราะห ค า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธของเพียรสัน(The Pearson Product Moment Correlation Coefficient) และคนหาตัวพยากรณ สัมพันธภาพระหวางปจจัยดานสวนตัว ดานครอบครัว และ ดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียนที่สงผลตอ การเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME โดยใชวิ ธีการวิเ คราะหการ ถดถอยพหุคูณ(Stepwise Multiple Regression Analysis) สมมติฐานการวิจัย 1. ป จ จั ย ด า นส ว นตั ว ด า นครอบครั ว และด า น สิ่ง แวดล อ มในโรงเรี ย น มี ค วามสั มพั น ธ กั บ การเลื อ กเรี ย น MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับ ชวงชั้นที่ 3 โรงเรี ย นราชวิ นิ ต บางแก ว อํ า เภอบางพลี จั ว หวั ด สมุทรปราการ 2. ป จ จั ย ด า นส ว นตั ว ด า นครอบครั ว และด า น สิ่ ง แวดล อ มในโรงเรี ย น ส ง ผลต อ การเลื อ กเรี ย น MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โ ร ง เ รี ย น ร า ช วิ นิ ต บ า ง แ ก ว อํ า เ ภ อ บ า ง พ ลี จั ง ห วั ด สมุทรปราการ ผลการวิจัย 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โ ร ง เ รี ย น ร า ช วิ นิ ต บ า ง แ ก ว อํ า เ ภ อ บ า ง พ ลี จั ง ห วั ด สมุทรปราการ มีดังนี้ 1.1 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการเลือก เรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับ ชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัด สมุทรปราการ สมุทรปราการ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .05มี 1 ปจจัย ไดแก การสนับสนุนของผูปกครองที่มี ตอนักเรียน ( X10) 1.2 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการเลือก เรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัด สมุท รปราการ อยา งมี นัยสํา คัญทางสถิ ติที่ร ะดับ .01 มี 4 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 3 ( X3) ทัศนคติตอ วิชาภาษาอังกฤษ ( X8) ความคาดหวังของผูปกครองที่มีตอ นักเรียน ( X9) และ ลักษณะทางกายภาพของโรงเรียน ( X11) 2. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรี ย นราชวิ นิ ต บางแก ว อํ า เภอบางพลี จั ง หวั ด สมุทรปราการ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปจจัย ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 1 ( X3) 3. ปจจัยที่ไมมีความสัมพันธกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรี ย นราชวิ นิ ต บางแก ว อํ า เภอบางพลี จั ง หวั ด สมุทรปราการ มี 5 ปจจัย ไดแก เพศ : ชาย ( X1) เพศ : หญิง ( X2) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 2 ( X4) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ( X6) และ ฐานะเศรษฐกิจของครอบครัว ( X7) 4. ปจจัยที่สงตอการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียน ราชวินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อยาง มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 2 ปจจัย โดยเรียงลําดับ จากป จ จั ย ที่ ส ง ผลมากที่ สุ ด ไปหาป จ จั ย ที่ ส ง ผลน อ ยที่ สุ ด และ ความ ไดแก ทัศนคติตอวิชาภาษาอังกฤษ (X8) คาดหวังของผูปกครองที่มีตอตัวนักเรียน (X9) ซึ่งปจจัยทั้ง 2 ปจจัยนี้ สามารถรวมกันอธิบายความแปรปรวนของการเลือก เรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของของนักเรียนชวง ชั้ น ที่ 3 โรงเรี ย นราชวิ นิ ต บางแก ว อํ า เภอบางพลี จั ง หวั ด สมุทรปราการ ไดรอยละ 28.80 5 . ส ม ก า ร พ ย า ก ร ณ ก า ร เ ลื อ ก เ รี ย น MINI ENGLISH PROGRAMME ของของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรี ย นรา ชวิ นิ ต บางแก ว อํ า เภอบางพลี จั ง หวั ด สมุทรปราการ ในรูปคะแนนดิบ ไดแก Ŷ = .735 + .621 X8 + .197X9 สมการพยากรณการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราช วินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ในรูป คะแนนมาตรฐาน ไดแก
125
Z = .481X8 + .140 X9 อภิปรายผล ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โ ร ง เ รี ย น ร า ช วิ นิ ต บ า ง แ ก ว อํ า เ ภ อ บ า ง พ ลี จั ง ห วั ด สมุทรปราการ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปจจัย ไดแก การสนับสนุนของผูปกครองที่มีตอ นักเรียน (X10) และปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียน ชวงชั้นที่ 3 โรงเรียน ราชวินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อยาง มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 3 ( X3) ทัศนคติตอวิชาภาษาอังกฤษ ( X8) ความคาดหวังของผูปกครองที่มีตอนักเรียน ( X9) และ ลักษณะทางกายภาพของโรงเรียน ( X11) อภิปรายผลได ดังนี้ 1.1 การสนับสนุนของผูปกครองที่มีตอนักเรียน มี ความสัมพันธทางบวกกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบาง แกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงวานักเรียนที่ไดรับการสนับสนุน ของผู ป กครองมาก มี ก ารเลื อ กเรีย น MINI ENGLISH PROGRAMME มาก ทั้งนี้เพราะการสนับสนุนของ ผูปกครองที่มีตอนักเรียน เปนพฤติกรรมที่บิดามารดา หรือ ผูปกครอง ปฏิบัติตอนักเรียนในดานการเรียน ไดแก การเอา ใจใส ต อ การเรี ย นของนั ก เรี ย น ให ค วามร ว มมื อ ในการทํ า กิจ กรรมทางการเรี ยนที่โ รงเรียนจั ดขึ้น ไวว างใจในการทํ า กิจกรรมของนักเรียนกับเพื่อน ใหคําปรึกษาแนะนําเกี่ยวกับ การเรียน การใหกําลังใจของบิดามารดา หรือผูปกครองเพื่อ กระตุนใหนักเรียนประสบความสําเร็จทางการเรียน ใหความ รั ก ความห ว งใยใกล ชิ ด ต อ นั ก เรี ย น พยายามส ง เสริ ม สนั บ สนุ น ในด า นการเรี ย นของนั ก เรี ย น เพื่ อ ต อ งการให นักเรียนประสบผลสําเร็จในดานการเรียน ซึ่งเปนผลให นักเรียนมีการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME มากตามไปดวย ดังที่ เชื้อ สาริมาน (2524 : 21) ที่ได กลาวถึงบทบาทการสนับสนุนการเรียนของผูปกครองไววา
126
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ผู ป กครองควรจั ด ให นั ก เรี ย นได มี เ วลาดู ห นั ง สื อ การทํ า การบา น การเตรียมตัวสอบ ควรมีอุปกรณการเรียนครบ คอยดู แ ลให นั ก เรี ย นเดิ น ทางไปเรี ย นได ทั น เวลา สอนให นักเรียนใชเวลาวางใหเปนประโยชน มีการใหรางวัลในการ เรียน ผลการวิจัยครั้งนี้สอดคลองกับผลการวิจัยของสิริพร ดาวัน (2540 : 95) ที่ไดศึกษาตัวแปรที่เกี่ยวของกับความ ขยันหมั่นเพียรในการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอน ปลาย ปการศึกษา 2539 โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จังหวัด ลพบุ รี ผลการศึ ก ษาพบว า บรรยากาศในครอบครั ว มี ความสั ม พั น ธ กั บ ความขยั น หมั่ น เพี ย รในการเรี ย นของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย กลาวคือ ถานักเรียนอยู ในครอบครัวที่บิดามารดาใหการดูแลเอาใจใส พรอมที่จะให การสนับสนุนดานการเรียน นักเรียนจะเกิดความอุนใจ และ เห็นความสําคัญของการเรียน ดังนั้นจะเห็นไดวา การสนับสนุนของผูปกครองมี ความสัมพันธทางบวกกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราช วินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 1.2 ระดับชั้น: มัธยมศึกษาปที่ 3มีความสัมพันธทางบวก กับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของ นักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแกว อําเภอ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ.01 แสดงวานักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 มี ความสนใจในการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME มาก ทั้งนี้เพราะนักเรียนในระดับชั้นมัธ ยมศึกษาปที่ 3 เห็นถึง ความสําคัญของ MINI ENGLISH PROGRAMME นี้วาจะ เป น ประโยชน ตอ ตนเอง สามารถฝ ก ทัก ษะทั้ ง ด า นการฟ ง ภาษาอังกฤษ การพูดภาษาอังกฤษ การอานภาษาอังกฤษ และการเขียนภาษาอังกฤษ ไดอยางเต็มความสามารถของ ตนเอง ประกอบกับ นักเรียนในระดับ ชั้น มัธยมศึกษาปที่ 3 เปนชวงวัยรุน และสามารถที่จะคิดเปนนามธรรมได สอดคลอง กับทฤษฎี พัฒนาการทางเชาวนปญญาของเด็กวัยรุน ของพีอา เจท (สุ ร างค โค ว ตระกู ล 2545 :88) ได ก ล า วไว ว า วั ย รุ น สามารถที่จะคิดเปนนามธรรมได เด็กวัยนี้จึงมีความสนใจใน ปรัชญาชีวิตและศาสนา สามารถที่จะใชเหตุผลเปนหลักใน
การตัดสินใจได สามารถคิดเหตุผลไดทั้งหลักอนุมาน และ อุปมาน และจะมีหลักการเหตุผลของตนเอง ดัง นั้ น จะเห็น ได วา ระดับ ชั้น มัธ ยมศึ ก ษาป ที่ 3 มี ความสัมพันธทางบวกกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราช วินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 1.3 ทั ศ นคติ ต อ วิ ช าภาษาอั ง กฤษมีค วามสั ม พั น ธ ทางบวกกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อยางมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 แสดงวา นักเรียนที่มีทัศนคติทางบวกตอ วิ ช าภาษาอั ง กฤษ มี ก ารเลื อ กเรี ย น MINI ENGLISH PROGRAMME มาก ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่มีทัศนคติ ทางบวกตอการเลือกเรียน คือ นักเรียนที่มีความคิดวา การ เรียน MINI ENGLISH PROGRAMMEมีความสําคัญ มี คุณคา และมีประโยชนตอการดํารงชีวิตประจําวันและการ ทํางานรวมกับผูอื่น นักเรียนมีความรูสึกชอบ พอใจ ตองการ ENGLISH เรี ย นรู เนื้ อ หาและวิ ช าต า งๆในMINI PROGRAMME นักเรียนจึงกระตือรือรนในเวลาเรียน หมั่น ศึกษาหาความรูเพิ่มเติม สนใจรับฟงเรื่องราวเกี่ยวกับวิชาที่ เรียนตามสื่อตาง ๆ และอยากที่จะพูดคุย ติดตอสื่อสาร สามารถ ฟ ง พู ด อ า น และเขี ย น ภาษาอั ง กฤษได อ ย า ง คลอ งแคลว และมีความเขาใจในการสือ สาร ก็จ ะทํา ใหมี ความรู สึ ก พอใจ ซึ่ ง ทํ า ให มี ผ ลต อ การเรี ย นวิ ช า ภาษาอังกฤษ ดังนั้นจึงเปนผลใหนักเรียนจึงมีการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME มาก ซึ่งสอดคลองกับ ผลการวิจัยของ สุดฤทัย มุขยวงศา (2533 : 7) ไดอธิบาย ทัศ นคติต อ การเรี ย น ว า เป น สภาพทางอารมณ ความรู สึ ก ความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออก เพื่อ ตอบสนองตอครู โรงเรียน ระบบการศึกษา เกิดขึ้นจากการ เรียนรู ซึ่งอาจแสดงออกเปน 2 ดาน 1. ทัศนคติในทางที่ดีตอการเรียน นักเรียนจะ แสดงออกในลักษณะของความพึงพอใจสนใจมาเรียนอยาง สม่ําเสมอยอมรับความสามารถและวิธีการสอนของครู และ เห็นคุณคาของการศึกษา
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
2. ทัศนคติที่ไมดีตอการเรียน นักเรียนจะแสดงออกใน ลักษณะไมพึงพอใจ ไมเห็นดวย ไมตั้งใจเรียน ขาดเรียนบอย ๆ และไมเห็นคุณคาของการศึกษา ดังนั้นจะเห็นไดวาทัศนคติตอวิชาภาษาอังกฤษมี ความสัมพันธทางบวกกับ การเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราช วินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 1.4 ความคาดหวังของผูปกครองที่มีตอนักเรียน มีความสัมพันธทางบวกกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิต บางแก ว อํ า เภอบางพลี จั ง หวั ด สมุ ท รปราการ อย า งมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวานักเรียนที่มี ผู ป กครองความคาดหวั ง มาก มี ก ารเลื อ ก เรี ย น MINI ENGLISH PROGRAMME มาก ทั้งนี้เพราะการที่นักเรียน รั บ รู ค วามคิ ด ของผู ป กครองที่ ต อ งการให นั ก เรี ย นประสบ ผลสําเร็จในการเรียน และสามารถเรียนตอไดในระดับที่สูงขึ้น ก็ยอ มส งผลใหนักเรียนมีค วามตั้ งใจในการเรียนเพื่อ ไมใ ห ผูปกครองผิดหวังในตัวนักเรียน ซึ่งสอดคลองกับผลการวิจัย ของ แอนเดอรสัน (วิรชาม กุลเพิ่มทวีรัชต. 2547:37; อางอิง จาก Anderson. 1995) ไดศึกษาผลกระทบของบรรยากาศ ทางสัง คมในหอ งเรียนตอ การเรียนรายบุคคล ผลการวิจั ย พบวา ความคาดหวังของบิดามารดามีอิทธิพลตอการปลูกฝง และการอบรมเลี้ยงดู โดยจะทําใหลูกเกิดความพยายามที่จะ ประสบผลสําเร็จตามที่บิดามารดาคาดหวัง ดังนั้นจะเห็นไดวาความคาดหวังของผูปกครองใน ด า นการเรี ย นมี ค วามสั ม พั น ธ ท างบวกกั บ การเลื อ กเรี ย น MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 1.5 ลั ก ษณะทางกายภาพของโรงเรี ย น มี ความสัมพันธทางบวกกับการเลือกเรียน MINI ENGLISH
127
PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โรงเรียนราช วินิตบางแกว อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวา นักเรียนที่ไดรับ ลักษณะทางกายภาพของโรงเรียนดี มีการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME มาก ทั้งนี้เพราะลักษณะทาง กายภาพของการเรี ย นโปรแกรมภาษาอั ง กฤษ เป น สภาพแวดล อ ม ทางการเรี ย นการสอนของโครงการ MINI ENGLISH PROGRAMME ที่ มี ผ ลต อ ตั ว นั ก เรี ย น ประกอบดวย สถานที่เรียน ไดแก ภายในหองเรียนของ โปรแกรมภาษาอังกฤษมีที่เนื้อที่กวางและเหมาะ ในการจัด กิจกรรมแขงขันการพูด การเขียน และการเลนเกมแขงขัน ภาษาอังกฤษ หองเรียนของโปรแกรมภาษาอังกฤษมีความ สะอาด ปราศจากกลิ่นและเสียงรบกวน และในหองเรียนมี ภาพและอักษรเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ รวมทั้งสื่อ อุปกรณการ เรียนการสอน ไดแก ปริมาณของสื่อ โปรแกรมภาษาอังกฤษ และอุ ป กรณ ก ารเรี ย นการสอนที่ เ กี่ ย วกั บ โปรแกรม ภาษาอังกฤษ มีความเพียงพอในการใชง าน เมื่อ เทียบกับ จํ า นวนนั ก เรี ย น และสื่ อ อุ ป กรณ ที่ เ กี่ ย วกั บ โปรแกรม ภาษาอังกฤษมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการใช งาน ซึ่งสภาพแวดลอ ม ทางการเรี ยนการสอนนี้เปนผลให นักเรียนมีการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME มากดวย ดังที่ วิจิตร วรุตบางกูร (2535 : 145) กลาววา สภาพแวดล อ มที่ ดี แ ละสวยงาม มี ผ ลต อ จิ ต ใจของผู เ รี ย น ทําใหมีทัศนคติทางบวกตอการเรียน ดั ง นั้ น จะเห็ น ได ว า ลั ก ษณะทางกายภาพของ โรงเรียน มีความสัมพัน ธ ทางบวกกับ การเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับชวงชั้นที่ 3 โ ร ง เ รี ย น ร า ช วิ นิ ต บ า ง แ ก ว อํ า เ ภ อ บ า ง พ ลี จั ง ห วั ด สมุทรปราการ
128
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
บรรณานุกรม กมลรัตน หลาสุวงศ. (2528). จิตวิทยาการศึกษา. พิมพครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ: โรงพิมพศรีเดชา. กรกช มีมงคล. (2548). การศึกษาสภาพปญหาและอุปสรรคในการเรียนการสอนโดยใช ภาษาอังกฤษ เปนสื่อ ของโครงการโรงเรียนสองภาษา ตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ. สารนิพนธ กศ.ม.(การสอนภาษาอังกฤษ) กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.ถายเอกสาร. กรมวิชาการ. (2539) การพัฒนาโรงเรียนเขาสูมาตรฐานการศึกษา: การจัดสิ่งแวดลอมในการเรียนการสอน. พิมพครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ______. (2539). หลักสูตรภาษาอังกฤษ พุธศักราช 2539. กรุงเทพฯ ละเมียด ลิมอักษร. (2519, กุมภาพันธ) “สิ่งแวดลอมที่ใหผลทางการศึกษา” ประชาศึกษา 27: 23-28. สมพงษ เกษมสิน. (2521). การบริหาร. พิมพครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนพานิช. สายพิณ อิณสม. (2548). การศึกษาระบบประกันคุณภาพภายในโรงเรียนของโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (บริหารการศึกษา) กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.ถายเอกสาร. สุชาดา เปลี่ยนสุภาพ. (2004). ทําเนียบโรงเรียนนานานชาติ และสองภาษา. Vol 2. สุธิดา หอวัฒนกุล. (2548). โรงเรียนสองภาษา:เกมลาแหงยุคสมัย. วารสารสวนดุสิต Allport, Gardon W. (1969). Attitude in C. Machison ed. Handbook of Serial Psychology. Massachusetts: Clark University Press. Wobreestor. Anastasia. (1958) Differential Psychology. 3rd ed New York : The Macmillan Company. Cheng Liying. (1998) Impact of PublicEnglish examination change on students’ perceptions and attitudes toward their English learning. Studies in Educational Evaluation V.24 No.3 Garison, Karl C., Albert J. Kingston and Arthurs Mcdonold. (1966) Education Psychology. Bombay : Valkis. Goussia-Rizou, Maria; Abeliotis, Konstan Dinos. (2004)Environmental Educationin Secondary Schools in Greece :The overview of the District Heads of Environment Education. The Journal of Environmental Education. V.35 No.3 (Spring 2004) Lawrence, Frances. (1976). “Student Perception of the classroom Learning Environment in Biology, Chemistry and Physics” Journal of Research in Science Teaching. 13 : 315 – 323
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
129
ปจจัยทีส่ งผลตอการประหยัด ของนักเรียนชวงชัน้ ที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร FACTORS AFFECTING ON ECONOMY OF THE FOURTH LEVEL, SECONDARY GRADES 4-6 STUDENTS AT SUANKULARB WITTAYALAI SCHOOL IN PHRANAKORN DISTRICT, BANGKOK. เอริสา มโนธรรม 1 ผูชวยศาสตราจารยพรหมธิดา แสนคําเครือ 2 รองศาสตราจารยเวธนี กรีทอง 2 บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุงหมายเพื่อศึกษาปจจัยที่สงผลตอ การประหยั ด ของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นสวนกุ ห ลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีปจจัยที่ศึกษา ประกอบไปด ว ย ป จ จั ย ด า นส ว นตั ว ได แ ก ระดั บ ชั้ น บุคลิกภาพ และความมีวินัย ปจจัยดานครอบครัว ไดแก สภาพ ครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว และการเลียนแบบ ผูปกครองในการประหยัด ปจจัยดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียน ไดแก การเลียนแบบครูในการประหยัด และการเลียนแบบเพื่อน ในการประหยัด และปจจัยดานสิ่งแวดลอมในสังคม ไดแก การ เลียนแบบสื่อในการประหยัด กลุมตัวอยางเปนนักเรียนระดับ ชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ปการศึกษา 2549 ประกอบดวยนักเรียน ชายระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 จํานวน 100 คน นักเรียนชาย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 จํานวน 100 คน และนักเรียนชาย
1
นิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
130
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ระดั บ ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 6 จํ า นวน 106 คน รวมทั้ ง สิ้ น จํานวน 306 คน เครื่องมือที่ใชในการศึกษาคนควา ไดแก แบบสอบถามปจจัยที่สงผลตอการประหยัด สถิติที่ใชในการ วิเคราะหขอมูล คือ การวิเคราะหคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ ของเพียรสัน (The Pearson Product Moment Correlation Coefficient) แ ล ะ ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห ก า ร ถ ด ถ อ ย พ หุ คู ณ (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบวา 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการ ประหยั ด ของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นสวนกุ ห ลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีดังนี้ 1.1 )ปจจัยที่ มีความสัมพันธทางบวกกับการประหยัดของนักเรียนชวงชั้น ที่ 4 โ ร ง เ รี ย น ส ว น กุ ห ล า บ วิ ท ย า ลั ย เ ข ต พ ร ะ น ค ร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 และ ป จ จั ย ได แ ก ระดั บ ชั้ น : มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 6 (X3) บุคลิกภาพ (X8) 1.2) ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับ การประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปจจัย ไดแก ความมีวินัย (X9), การเลี ย นแบบผู ป กครองในการประหยั ด (X10), การ เลียนแบบครูในการประหยัด(X11), การเลียนแบบเพื่อนในการ ประหยัด (X12) และการเลียนแบบสื่อในการประหยัด (X13) 2. ป จ จั ย ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ท างลบกั บ การใช เ งิ น อยางประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น: มัธยมศึกษา ปที่ 4 (X1) 3. ป จ จั ย ที่ ไ ม มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ การประหยั ด ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขต พระนคร กรุ ง เทพมหานคร มี 5 ป จ จั ย ได แ ก ระดั บ ชั้ น : มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 5 (X2), สภาพครอบครั ว : บิ ด ามารดาอยู รวมกัน (X4), สภาพครอบครัว: บิดาหรือมารดาหยารางกัน (X5), สภาพครอบครัว: บิดาหรือมารดาถึงแกกรรม(X6) และ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว(X7) 4. ปจจัยที่สงตอการประหยัดของนักเรียนชวงชั้น ที่ 4 โ ร ง เ รี ย น ส ว น กุ ห ล า บ วิ ท ย า ลั ย เ ข ต พ ร ะ น ค ร
กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปจจัย โดยเรียงลําดับจากปจจัยที่สงผลมากที่สุดไปหาปจจัย ที่สงผลนอ ยที่สุด ไดแก การเลียนแบบสื่ อในการประหยัด (X13), ความมีวินัย (X9), การเลียนแบบเพื่อนในการประหยัด (X12), ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7) และการ เลียนแบบผูปกครองในการประหยัด (X11) ซึ่งปจจัยทั้ง 5 ปจจัยนี้ สามารถรวมกันอธิบายความแปรปรวนการประหยัด ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขต พระนคร กรุงเทพมหานคร ไดรอยละ 26.50 5. สมการพยากรณการประหยัดของนักเรียนชวง ชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีดังนี้ 5.1) สมการพยากรณการประหยัด ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย Ŷ = 1.351 + .165 X13 + .165 X9 + .115 X12+ .095 X7+ .082 X11 5.2) สมการพยากรณการประหยัดของนักเรียน ชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ในรูปคะแนนมาตรฐาน ไดแก Z = .237 X13 + .223 X9 + .133 X12 + .117 X7+ .113 X11 Abstract The purposes of this research were to study the factors affecting on economy of the fourth level, secondary grades 4-6 students at Suankularb Wittayalai School in Phranakorn District, Bangkok. The factors were divided into 4 dimensions , first of them were personal factors : class level, personality and discipline , second of them were family factors : guardians’ marital status, guardians’ economic level, and modeling of economy upon guardians’, third of them were learning environmental factors : modeling of economy upon teachers and modeling of economy upon peer groups and fourth of them was social environmental factor : modeling of economy upon mass media. The 306 samples were the secondary grades 4-6 students at Suankularb Wittayalai School in Phranakorn District, Bangkok in academic year 2006.
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 The instrument was a questionaires of factors affecting on economy of the fourth level, secondary grades 4-6 students at Suankularb Wittayalai School in Phranakorn District, Bangkok. The data was analyzed by the Pearson Product Moment Correlation Coefficient and Stepwise Multiple Regression Analysis. The results were as follows : 1.There were significantly positive correlation among economy of the fourth level, secondary grades 4-6 students at Suankularb Wittayalai School in Phranakorn District, Bangkok as follow :1.1)There were significantly positive correlation among economy of the fourth level, secondary grades 4-6 students at Suankularb Wittayalai School in Phranakorn District , Bangkok and 2 factors : class level : matthayom suksa VI (X3) and personality (X8) at .05 level. 1.2) There were significantly positive correlation among economy of the fourth level, secondary grades 4-6 students at Suankularb Wittayalai School in Phranakorn District, Bangkok and 5 factors : discipline(X9), modeling of economy upon modeling of economy upon guardian(X10), teachers(X11), modeling of economy upon peer groups(X12) and modeling of economy upon mass media(X13) at .01 level. 2.There were significantly negative correlation between economy of the fourth level, secondary grades 4-6 students at Suankularb Wittayalai School in Phranakorn District , Bangkok and 1 factor : class level : matthayom suksa IV (X1) at .01 level . 3.There were no significantly correlation among economy of the fourth level, secondary grades 4-6 students at Suankularb Wittayalai School in Phranakorn District , Bangkok and 5 factors: class level : matthayom suksa V (X2), guardians’ marital status : couple (X4), guardians’ marital status : divorce
131
(X5), guardians’ marital status : parents pass away (X6), and guardians’ economic level (X7). 4. There were 5 factors significantly affecting on economy of the fourth level, secondary grades 4-6 students at Suankularb Wittayalai School in Phranakorn District , Bangkok ranking from the most affecter to the least affecter were modeling of economy upon mass media(X13),discipline(X9), modeling of economy upon peer groups(X12), guardians’ economic level(X7) and modeling of economy upon guardians’ (X11) at .01 level.These 5 factors could predicted economy of the fourth level, secondary grades 4-6 students at Suankularb Wittayalai School in Phranakorn District,Bangkok about percentage of 26.50. 5. The predicted equation of factors affecting on economy of the fourth level, secondary grades 4-6 students at Suankularb Wittayalai School in Phranakorn District , Bangkok at .01 level were as follows : 5.4 In terms of raw scores were : Ŷ = 1.351 + .165 X13 + .165 X9 + .115 X12+ .095 X7+ .082 X11 5.2 In terms of standard scores were : Z = .237 X13 + .223 X9 + .133 X12 + .117 X7+ .113 X11 ความเปนมาและความสําคัญของการวิจัย ในสภาวการณปจจุบัน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสั ง คมมี ก ารแข ง ขั น กั น สู ง มากขึ้ น ท า มกลางภาวะ เศรษฐกิ จ ตกต่ํ า ข า วของเครื่ อ งใช พ ากั น ปรั บ ราคาสู ง ขึ้ น หนทางแกไขเพื่อชวยใหเราใชชีวิตอยูอยางมีความสุข ผานพน วิ ก ฤติ ก ารณ เ หล า นี้ ไ ปได ก็ เ ห็ น จะเป น การกิ น อยู อ ย า ง ประหยัด ไมฟุมเฟอย ไมฟุงเฟอ สมดังพระปณิธานแหงองค พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวที่ทรงสอนสั่งลูกหลานไทยเสมอ ใหรูซึ้งถึงความหมายของคําวา “พอเพียง” (เดลินิวส. 2544 : 5) เยาวชนไทยใหความสําคัญกับวัตถุ สิ่งตอบแทนทาง วัตถุ ความสะดวกสบายหรูหรา โดยปจจัยสําคัญที่สงผลให วัยรุนและสังคมมีคานิยมดานวัตถุมาจากการที่สื่อมวลชนได
132
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
เผยแพรภาพ และขาวสารที่สะทอนใหเห็นเกี่ยวกับคานิยมใน เรื่องความหรูหราฟุมเฟอย มากกวาการสงเสริมพฤติกรรม ความประหยั ด แ ละการอดออม นั ก เรี ย นในระดั บ มัธยมศึกษาเปนชวงที่อยูในวัยรุน (12-18 ป) มีความตองการ ที่จะทําอะไรทุกอยางเหมือนเพื่อนรวมวัย ตั้งแตการแตงตัว ความประพฤติ การใชภาษา รวมทั้งความเชื่อและคานิยม การคบเพื่อนวัยนี้จึงมีความสําคัญมาก (สุรางค โควตระกูล. 2541 : 90) นักเรียนเรียนรูผานการเลียนแบบ โดยเฉพาะกับ คนใกลชิดอยางพอแมนั้น มีอิทธิพลตอพฤติกรรมของลูกมาก ที่สุด รองลงมาก็เปนสื่อ และผูคนในสังคมแวดลอม ซึ่งอยาง หลังนี้เปนปจจัยภายนอกที่ตามไปควบคุมยาก ดังนั้น คุณพอ คุณแมและผูใหญในบานตองทําตัวเปนแบบอยางที่ดีกอน (life&family. 2547 : Online) โรงเรียนเปนแหลงที่สองรอง จากบ า นที่ มี ส ว นในการปลู ก ฝ ง คุ ณ ธรรม จริ ย ธรรม สื่อมวลชน และสถาบันทางการเมืองก็เปนอีกสวนหนึ่งดวย เชนกัน นักเรียนที่มีคานิยมฟุงเฟอ ไมประหยัดอดออม จะ เปนในชวงนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เพราะเปนวัยที่ พอแมเริ่มใหอิสระ อีกทั้งเปนชวงที่เพื่อน และสื่อมวลชนมี อิ ท ธิ พ ลอย า งมากต อ วั ย รุ น และยั ง เป น ช ว งที่ วั ย รุ น เริ่ ม ตัดสินใจเลือก และยอมรับคานิยมที่เหมาะแกตนเอง (วัชรี ธุวธรรม. 2525 : 2 - 3) ดังนั้น วัยรุนควรพัฒนาคุณลักษณะ สําคัญไดแก พฤติกรรมประหยัด เพื่อใหมีพฤติกรรมการใช จายที่เหมาะสมกับการดําเนินชีวิต รวมทั้งตระหนักถึงความ จําเปนและวัตถุประสงคที่แทจริงในการบริโภค เพื่อใหเกิดผล ที่ดีตอตนเอง ครอบครัว รวมทั้งลดปญหาทางดานเศรษฐกิจ และสังคมของชาติได (ภัทราพันธ หรุนรักวิทย. 2545 : 2) จากประเด็นตางๆ ดังกลาวขางตนทําใหผูวิจัยมี ความสนใจที่ จ ะศึก ษาปจ จัย ที่ สง ผลตอ การประหยัด ของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระ นคร กรุงเทพมหานคร ความมุงหมายของการศึกษาคนควา 1. เพื่อศึกษาความสัมพันธระหวางปจจัยดานสวนตัว ปจจัยดานครอบครัว ปจจัยดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียน และ ปจจัยดานสิ่งแวดลอมในสังคม กับการประหยัดของนักเรียน ช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นสวนกุ ห ลาบวิ ท ยาลั ย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
2. เพื่อศึกษาปจจัยดานสวนตัว ปจจัยดานครอบครัว ปจจัยดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียนและปจจัยดานสิ่งแวดลอม ในสั ง คมที่ ส ง ผลต อ การประหยั ด ของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 3. เพื่อสรางสมการพยากรณการประหยัดของนักเรียน ช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นสวนกุ ห ลาบวิ ท ยาลั ย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร วิธีวิจัย ประชากรและกลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาคนควา คือ นักเรียนชวงชั้นที่4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ประจําป การศึ ก ษา 2549 จํ า นวน 1,841 คน โดยสุ ม กลุ ม ตั ว อย า ง จํานวน 306 คน ซึ่งเครื่ องมือที่ใ ชในการศึกษาคน ควา เปน แบบสอบถามแบบมาตราสวนประมาณคา (Rating Scale) 5 ระดับ ที่ผูวิจัยสรางขึ้น โดยสถิติที่ใชในการวิจัยคือ คาความถี่ (Frequency) คา รอยละ (Percentage) คาเฉลี่ย ( x ) สว น เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบความสัมพัน ธดว ย วิธีการวิเคราะหคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธของเพียรสัน(The Pearson Product Moment Correlation Coefficient) และ คนหาตัวพยากรณการประหยัดของนักเรียนระหวางปจจัย ดานสวนตัว ปจจัยดานครอบครัว ปจจัยดานสิ่งแวดลอมใน โรงเรียน และปจจัยดานสิ่งแวดลอมในสังคม โดยใชวิธีการ วิ เ คราะห ก ารถดถอยพหุ คู ณ (Stepwise Multiple Regression Analysis) สมมติฐานการวิจัย 1. ปจจัยดานสวนตัว ดานครอบครัว ดาน สิ่งแวดลอมในโรงเรียน และดานสิ่งแวดลอมในสังคม มี ความสัมพันธกับการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 2. ป จ จั ย ด า น ส ว น ตั ว ด านครอบครั ว ด า น สิ่งแวดลอมในโรงเรียน และดานสิ่งแวดลอมในสังคม สงผล ตอการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัย 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการประหยัด ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขต
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 พระนคร กรุ ง เทพมหานคร มี ดั ง นี้ 1.1) ป จ จั ย ที่ มี ความสัมพันธทางบวกกับการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โ ร ง เ รี ย น ส ว น กุ ห ล า บ วิ ท ย า ลั ย เ ข ต พ ร ะ น ค ร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 6 ( X3) และ บุคลิกภาพ ( X8) 1.2)ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการ ประหยั ด ของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นสวนกุ ห ลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปจจัย ไดแก ความมีวินัย (X9), การเลียนแบบผูปกครองในการประหยัด (X10), การเลียนแบบครู ในการประหยัด(X11) , การเลียนแบบเพื่อนในการประหยัด (X12) และการเลียนแบบสื่อในการประหยัด (X13) 2. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับการประหยัดของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระ นคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น: มัธยมศึกษาปที่ 4 (X1) 3. ป จ จั ย ที่ ไ ม มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ การประหยั ด ของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระ นคร กรุ ง เทพมหานคร มี 5 ป จ จั ย ได แ ก ระดั บ ชั้ น : มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 5 (X2), สภาพครอบครั ว : บิ ด ามารดาอยู รวมกัน (X4), สภาพครอบครัว: บิดาหรือมารดาหยารางกัน (X5), สภาพครอบครัว: บิดาหรือมารดาถึงแกกรรม(X6) และ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7) 4. ปจจัยที่สงตอการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 มี 5 ป จ จั ย โดย เรียงลํา ดั บจากปจจั ยที่สงผลมากที่สุดไปหาปจจัยที่สงผล น อ ยที่ สุ ด ได แ ก การเลี ย นแบบสื่ อ ในการประหยั ด (X13), ความมีวินัย (X9), การเลียนแบบเพื่อนในการประหยัด (X12), ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7) และการเลียนแบบ ผูปกครองในการประหยัด (X11) ซึ่งปจจัยทั้ง 5 ปจจัยนี้ สามารถร ว มกั น อธิ บ ายความแปรปรวนการประหยั ด ของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระ นคร กรุงเทพมหานคร ไดรอยละ 26.50 5. สมการพยากรณการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
133
มีดังนี้ 5.1) สมการพยากรณการประหยัดของนักเรียนชวงชั้น ที่ 4 โ ร ง เ รี ย น ส ว น กุ ห ล า บ วิ ท ย า ลั ย เ ข ต พ ร ะ น ค ร กรุงเทพมหานคร ในรูปคะแนนดิบ ไดแก Ŷ = 1.351 + .165 X13 + .165 X9 + .115 X12 + .095 X7+ .082 X11 5.2) สมการพยากรณการประหยัดของนักเรียน ชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ในรูปคะแนนมาตรฐาน ไดแก Z = .237 X13 + .223 X9 + .133 X12 + .117 X7+ .113 X11 อภิปรายผล 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการประหยัด ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขต พระนคร กรุ ง เทพมหานคร มี ดั ง นี้ 1.1) ป จ จั ย ที่ มี ความสัมพันธทางบวกกับการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรี ย นสวนกุ ห ลาบวิ ท ยาลั ย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 และ ปจจัยไดแก ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 6 (X3) บุคลิกภาพ (X8) ซึ่งอภิปรายผลไดดังนี้ 1.1.1) ระดับชั้น : มีความสัมพันธทางบวกกับการ มัธยมศึกษาปที่ 6 (X3) ประหยัดของนักเรียนชวงชั้น ที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงวานักเรียนที่เรียนอยูระดับชั้น มัธยมศึกษาปที่ 6 มีการประหยัดมาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียน เรียนอยูในระดับชั้นสุดทายของการเรียนขั้นพื้นฐาน และตอง เตรียมตัวที่จะสอบคัดเลือกเขามหาวิทยาลัย ตองใชจายเงิน มากทั้ ง การเตรี ย มตั ว สอบและการเก็ บ เงิ น ออมไว ใ ช ใ น การศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่ตองใชเงินเปนจํานวนมากขึ้น กว า เดิ ม จึ ง ทํ า ให นั ก เรี ย นมี ก ารประหยั ด มาก 1.1.2) บุคลิกภาพ (X8)มีความสัมพันธทางบวกกับการประหยัดของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงวานักเรียนที่มีบุคลิกภาพแบบแสดงตัว มีการประหยัด มาก ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่มีบุคลิกภาพแบบแสดงตัว ไดแก นักเรียนที่ชอบเขาสังคม ชอบงานสังสรรครื่นเริง มีเพื่อนมาก ชางพูดชางคุย ไมชอบการเรียน หรือการทํางานตามลําพัง
134
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ชอบความสนุ ก สนาน มองโลกในแง ดี จึ ง มองเห็ น วา การ ประหยัดเปนสิ่งที่ดี รูจักเก็บออมเงินไวเพื่อจะไดเขาสังคม และเปนที่ยอมรับของเพื่อน 1.2) ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการประหยัด ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขต อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ พระนคร กรุงเทพมหานคร ระดั บ .01 มี 5 ป จ จั ย ได แ ก ความมี วิ นั ย (X9), การ เลียนแบบผูปกครองในการประหยัด(X10), การเลียนแบบครู ในการประหยัด (X11), การเลียนแบบเพื่อนในการประหยัด (X12) และการเลียนแบบสื่อในการประหยัด(X13) ซึ่ง อภิปรายผลไดดังนี้ 1.2.1) ความมีวินัย (X9) มีความสัมพันธ ทางบวกกับการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียน สวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวานักเรียนที่มีวินัยมาก มี ก ารประหยั ด มาก ทั้ ง นี้ เ พราะ นั ก เรี ย นสามารถที่ จ ะ ประพฤติป ฏิบัติ แ ละควบคุมตนเองตามขอ บัง คับ ระเบียบ แบบแผน รวมทั้งในดานของการประหยัด การใชเงินใหอยูใน ความพอดี เพื่ อ ความสุ ข ในชี วิ ต ของตน และความเป น ระเบียบเรียบรอยของสังคม ดังที่ วสัน ปุนผล (2542:10) กลา ววา ความมี วินัย เปน ความสามารถของบุ คคลในการ ควบคุมอารมณ และพฤติกรรมของตนเองใหเปนไปตามที่ตน มุงหวัง ซึ่งจะตองเปนไปตามกฎระเบียบของสังคม เกิดจาก ความรูสึกมองเห็นคุณคาในการปฏิบัติ มิไดเกิดจากขอบังคับ จากภายนอกเทานั้น แมจะมีอุปสรรคก็ยังไมเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมนั้น ซึ่งสอดคลองกับ สุขใจ น้ําผุด (Online) กลาว วา การกําหนดเปาหมายการเงินจะฝกวินัยใหเด็กมีการใชเงิน อยางเปนระบบ และเมื่อเวลาผานพนไปเราจะสามารถสราง ทรัพยสินบางอยางขึ้นมาได หากการใชเงินเปนไปอยางไมมี เปาหมาย เชน ใชเงินสะเปะสะปะไรจุดหมายแลว เมื่อเวลา ผานพนไปเราจะรูสึกเสียดายวาเงินตั้งมากมายที่จายไปนั้น ไมไ ดเกิ ดผล เกิ ด ประโยชนอ ะไรเปน ชิ้น เปน อั น เลย 1.2.2) การเลียนแบบผูปกครองในการประหยัด(X10) มีความสัมพันธ ทางบวกกับการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียน สวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวานักเรียนมีการ เลียนแบบผูปกครองในการประหยัดมาก มีการประหยัดมาก
ทั้ ง นี้ เ พราะ นั ก เรี ย นสามารถประพฤติ ป ฏิ บั ติ ต ามอย า ง ผูปกครองในเรื่องของการใชเงินอยางรูคุณคาของเงิน การ รูจักใชเงินไดอยางเหมาะสมกับเงินที่ตนเองไดรับ เพื่อใหเกิด ประโยชน ม ากที่ สุ ด ทั้ ง ต อ ตนเอง และครอบครั ว ได แ ก ผูปกครองซื้อของที่มีประโยชน ไมซื้อของตามผูอื่น หรือตาม อยางในสื่อโฆษณา และรูจักจัดสรรเงินสวนหนึ่งในการอด ออม ดังนั้นการที่ผูปกครองเปนแบบอยางที่ดีงามและสําคัญ ในการปลูกฝงคานิยมดานการประหยัดที่ดี การใชจายอยางรู คุณคาของเงิน และการประหยัดอดออม จึงทําใหนักเรียนมี การประหยัดมาก ดังที่ วิกนิกานต (2547 : Online) กลาววา พอแมนั้นมีอิทธิพลตอพฤติกรรมของลูกมากที่สุด คุณพอคุณ แมและผูใหญในบานตองทําตัวเปนแบบอยางที่ดีกอน การ ประหยัดเปนเรื่องของทักษะ ตองอาศัยการปฏิบัติแบบย้ําคิด ย้ําทําจะเกิดผล ซึ่งและบานก็จะมีเทคนิคแตกตางกันไป แตที่ สําคัญตองฝกลูกใหมีความยับยั้งชั่งใจ รูจักระงับความอยาก ไดอยากมี ฝกการคิดวิเคราะหหาความสมเหตุสมผล 1.2.3) การเลี ย นแบบครู ใ นการประหยั ด (X12)มี ค วามสั ม พั น ธ ทางบวกกับการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวน กุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 แสดงว า นั ก เรี ย นที่ มี ก าร เลียนแบบครูในการประหยัดมาก มีการประหยัดมาก ทั้งนี้ เพราะ นักเรียนสามารถประพฤติปฏิบัติตามอยางครูในเรื่อง ของการใชเงินอยางรูคุณคาของเงิน การรูจักใชเงินไดอยาง เหมาะสมกับเงินที่ตนเองไดรับ เพื่อใหเกิดประโยชนมากที่สุด ทั้งตอตนเอง และครอบครัว ไดแก ครูซื้อของที่มีประโยชน ไม ซื้อของตามผูอื่น หรือตามอยางในสื่อโฆษณา และรูจักจัดสรร เงิน สว นหนึ่ง ในการอดออม ดัง ที่ วิไ ล ตั้งสมจิตสมคิ ด (come.to : Online) กลาววา ครูอาจารย มีบทบาทมากใน การปลูกฝงคานิยมเชิงจริยธรรม ปฏิบัติตัวเปนตัวอยางใหแก นักเรียนในเรื่องการรักษาสัญญาในดา นการประหยัด เด็ก และเยาวชนจะเลียนแบบครูอาจารย โดยที่เด็กคิดวาเปนสิ่งที่ ดีสําหรับพวกเขาที่จะตองปฏิบัติ 1.2.4) การเลียนแบบเพื่อน ในการประหยัด (X12) มีความสัมพันธทางบวกกับการ ประหยัดของนักเรียนชวงชั้น ที่ 4 โรงเรี ยนสวนกุหลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวานักเรียนที่มีการเลียนแบบเพื่อน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ในการประหยัดมาก มีการประหยัดมาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียน สามารถประพฤติปฏิบัติตามอยางเพื่อนในเรื่องของการใช เงินอยางรูคุณคาของเงิน การรูจักใชเงินไดอยางเหมาะสมกับ เงินที่ตนเองไดรับ เพี่อใหเกิดประโยชนมากที่สุดทั้งตอตนเอง และครอบครัว ไดแก เพื่อนซื้อของที่มีประโยชน ไมซื้อของ ตามผูอื่น หรือตามอยางในสื่อโฆษณา และรูจัดจัดสรรเงิน สวนหนึ่งในการอดออม ดังที่ ฉวีวรรณ สุขพันธโพธาราม (2527 : 112 – 113) กลาวถึงเพื่อนของวัยรุนวา เพื่อนชวยให วัยรุนลดความเพอฝน การปรับตัวเพื่อใหพนจากความกังวล ในปญหาตาง ๆ ทําใหวัยรุนหาทางออกดวยการสรางความ ฝนตาง ๆ ที่ตนเห็นวาตองการความสุขและความสําเร็จ การ ปรับตัวเขากับเพื่อนได มีเพื่อนคุย ไมมีเวลาวางที่จะเพอฝน และก็จะมีการใชจายที่นอยลง ซึ่งสอดคลองกับผลการวิจัย ของกรอนลันด (สุรชัย โกศิยะกุล.2526 : 106 ; อางอิงจาก Gronlund.1956) ที่ศึกษาการปรับตัวของวัยรุน ผลการวิจัย พบว า วั ย รุ น ที่ มี ผ ลการเรี ย นดี เป น กลุ ม วั ย รุ น ที่ ส ามารถ ปรับตัวเขากับเพื่อนได 1.2.5) การเลียนแบบสื่อในการ ประหยัด (X13) มีความสัมพันธทางบวกกับการประหยัดของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระ นคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวานักเรียนมีการเลียนแบบสื่อในการประหยัดมาก มี การประหยัดมาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียนสามารถประพฤติ ปฏิบัติตามอยางสื่อในเรื่องของการใชเงินอยางรูคุณคาของ เงิน การรูจักใชเงินไดอยางเหมาะสมกับเงิน ที่ตนเองไดรับ เพื่อใหเกิดประโยชนมากที่สุดทั้ง ตอตนเอง และครอบครัว จากการอานหนังสือ บทความ นิตยสาร การรับฟงรายการ วิทยุ การรับชมรายการโทรทัศน และการรับชมภาพยนตร เกี่ยวกับ การใชเงินอยางประหยัดในการซื้อเสื้อ ผา การซื้อ โทรศั พ ท และการซื้ อ ของใช ส ว นตั ว ดั ง ที่ สาวิ ต รี สุ ต รา (2539 : 70)กล า วว า การเป ด รั บ สื่ อ จากสื่ อ มวลชนมี ความสัมพันธกับความรูเกี่ยวกับการออม ทัศนคติเกี่ยวกับ การออม และพฤติกรรมการออมของประชาชน ดังนั้น จึง กลาวไดวาสื่อเปนสวนหนึ่งที่นําเสนอใหนักเรียนรูจักการอด ออมเงิน การใชจายเงินอยางประหยัดได 2. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับการประหยัดของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระ
135
นคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 4 (X3) โดย พบวาระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 4 (X3) มีความสัมพันธทาง ลบกับการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวน กุ ห ลาบวิ ท ยาลั ย เขตพระนคร กรุ ง เทพมหานคร อย า งมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงวา นักเรียนในระดับชั้น มัธยมศึกษาปที่ 4 มีการประหยัดนอย ทั้งนี้ เพราะ นักเรียน ชายในระดับนี้เริ่มเขาสูวัยรุนที่รักความสนุกสนาน ติดเพื่อน กลัวเพื่อนจะไมยอมรับเขากลุม เพราะฉะนั้น การใชจายสวน ใหญของนักเรียนชายในระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 สวน ใหญ จะอยูในลักษณะการไปเที่ยวกับกลุมเพื่อนฝูง การซื้อ ของตามอยางกัน ซึ่งกอใหเกิดความฟุมเฟอยและไมรูจักการ ประหยัด นําเงินไปใชจายในทางที่ผิด ที่ไมกอใหเกิดประโยชน 3. ป จ จั ย ที่ ไ ม มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ การประหยั ด ของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระ นคร กรุง เทพมหานคร มี 5 ป จจั ย ได แ ก ระดั บ ชั้ น : มัธยมศึกษาปที่ 5 (X2), สภาพครอบครัว : บิดามารดาอยู รวมกัน(X4 ), สภาพครอบครัว : บิดามารดาหยารางกัน (X5 ), สภาพครอบครัว :บิดาหรือมารดาถึงแกกรรม(X6 ) และฐานะ ทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7) ซึ่งอภิปรายผลไดดังนี้ 3.1) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 5 (X2) ไมมีความสัมพันธกับการ ประหยัดของนักเรียนชวงชั้น ที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร แสดงวานักเรียนบาง คน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 มีการประหยัดมาก ทั้งนี้ เพราะ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 บางคนมีความเอาใจใส ในเรื่องของการประหยัด รูจักการเก็บออมเงิน ดูแลคาใชจาย ของตนเอง ซึ่งอาจไดรับความดูแลเอาใจใสจากทางบานใน เรื่องของการประหยัดเปนอยางดี นักเรียนบางคน ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปที่ 5 มีการประหยัดนอย ทั้งนี้เพราะ นักเรียนใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 บางคนมีรายไดครอบครัวอยูใน เกณฑดี และตางมีกลุมเพื่อนที่ชอบใชเงินในการซื้อของ การ ไปเที่ยวสังสรรค 3.2) สภาพครอบครัว : บิดามารดาอยู รวมกัน (X4 )ไมมีความสัมพันธกับการประหยัดของนักเรียน ชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร แสดงวานักเรียนบางคนที่มีบิดามารดาอยู รวมกัน มีการประหยัดมาก ทั้งนี้เพราะบิดามารดามีความเอา
136
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ใจใสตอตัวนักเรียนในเรื่องของการใชเงินอยางประหยัด สอน ใหรูจักคุณคาของเงิน รูจักการวางแผนการใชเงิน นักเรียน ไดรับการฝกจากครอบครัวในเรื่องการประหยัด การอดออม เงิน ไดรับความสุขจากครอบครัวอยางเต็มที่ และไดรับการ เอาใจใสดูแลเปนอยางดี นักเรียนบางคนที่มีบิดามารดาอยู ร ว มกั น มี ก ารประหยั ด น อ ย ทั้ ง นี้ เ พราะบิ ด ามารดาบาง ครอบครัวอาจไมคอยมีเวลาในการอบรมสั่งสอน และดูแล นักเรียนมากเทาที่ควร หรือบางครอบครัวอาจมีการทะเลาะ เบาะแวงกันบอย ทําใหครอบครัวไมมีความสุข ไดแตเพียงให เงินกับนักเรียนโดยขาดการดูแลเอาใจใสในเรื่องการประหยัด จากครอบครัว 3.3) สภาพครอบครัว : บิดามารดาหยารางกัน (X5 )ไมมีความสัมพันธกับการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรี ย นสวนกุ ห ลาบวิ ท ยาลั ย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร แสดงวานักเรียนบางคน ที่มีบิดามารดา หยารางกัน มีการประหยัดมาก ทั้งนี้เพราะนักเรียนบางคนที่ มีบิดาหรือมารดาหยารางกัน อาจจะไดรับการดูแลเอาใจใส และสั่งสอนอบรมในเรื่องของการประหยัด การใชเงินอยาง คุมคา บางครั้งบิดาหรือมารดาที่เลี้ยงดูนักเรียนตองการที่จะ เติมเต็มนักเรียนใหรูสึกวามีทั้งพอและแม มีการเอาใจใสใน เรื่องของการประหยัด ในเรื่องสวนตัว และในเรื่องการเรียน เพิ่มมากยิ่งขึ้น นักเรียนบางคน ที่มีบิดามารดาหยารางกัน มี การประหยั ด น อ ย ทั้ ง นี้ เ พราะ เมื่ อ นั ก เรี ย นบางคนมี บิ ด า มารดาหยารางกัน อาจทําใหบิดาหรือมารดาใหความสําคัญ และเอาใจใสมากเกินควร เมื่อนักเรียนอยากไดสิ่งของอะไรก็ จะตามใจ และบิดาหรือมารดาที่เลี้ยงดูอาจยังทําใจมิไดที่ ต อ งเลิ ก ราหรื อ แยกทางกั น เพื่ อ จะเติ ม เต็ ม ให นั ก เรี ย นจึ ง ตามใจทุกอยาง เมื่ออยากไดอะไรก็จะใหเงินไปซื้อโดยไมมี การซักถาม การอบรมในเรื่องของการประหยัด หรือบิดาหรือ มารดาตองรับภาระในการเลี้ยงดูจึงตองทํางานอยางมากเพื่อ หารายไดมาจุนเจือครอบครัว ทําใหไมมีเวลาอบรมเลี้ยงดู ขาดการปลูกฝงการรูจักคุณคาของการใชเงิน การประหยัด อดออม 3.4) สภาพครอบครัว : บิดาหรือมารดาถึงแกกรรม (X6 ) ไมมีความสัมพันธกับการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรี ย นสวนกุ ห ลาบวิ ท ยาลั ย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร แสดงวานักเรียนบางคน ที่มาจากสภาพ ครอบครัวที่บิดาหรือมารดาถึงแกกรรม มีการประหยัดมาก
ทั้งนี้เพราะ บิดาหรือมารดาเขาใจถึงสถานภาพในครอบครัว ของตนเองจึงมีการสอนใหนักเรียนนั้นรูจักคุณคาของการใช เงิ น รู จั ก การอดออมเงิน รู จั ก การประหยั ด ในการเลื อ กซื้ อ สินคาอุปโภคและบริโภค พรอมกับใหความอบอุนกับนักเรียน มากขึ้นเพื่อชดเชยในสวนที่ขาดหายไป นักเรียนบางคนที่มี สภาพครอบครั ว ที่ บิ ด าหรื อ มารดาถึ ง แก ก รรม มี ก าร ประหยัดนอย ทั้งนี้เพราะ บิดาหรือมารดานั้นตองการชดเชย ในสวนที่ขาดหายไปใหกับนักเรียนจึงทุมเทกําลังแรงกายและ แรงเงิน โดยการซื้อของใหนักเรียนทุกอยางที่ตองการ ไมคอย มีเวลาอบรมเลี้ยงดู หรือบิดาหรือมารดาตองแบกรับภาระใน การเลี้ยงดูนักเรียนทําใหตองทํางานเพื่อหารายไดใหเพิ่มมาก ขึ้น จึงขาดการเอาใจใสนักเรียนในเรื่องสวนตัว ในเรื่องการ ประหยัด การรูจักคุณคาของการใชเงิน 3.5) ฐานะทาง ไมมีความสัมพันธกับการ เศรษฐกิจของครอบครัว (X7) ประหยัดของนักเรียนชวงชั้น ที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร แสดงวานักเรียนบาง คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวสูง มีการประหยัด มาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียนรูจักในคุณคาของการใชเงิน รูจักการ ประหยัดอดออม ทางครอบครัวของนักเรียนที่มีฐานะทาง เศรษฐกิจของครอบครัวสูงนั้นไดรับการอบรมเลี้ยงดูในเรื่อง ของการประหยัดอดออมเงิน มาตั้งแตรุนอดี ตถายทอดมา จนถึงรุนปจจุบันใหรูจักคุณคาของเงิน การใชจายเงินเทาที่ จําเปน มีการประหยัดอดออมเงินเพื่อสงผลตอไปยังลูกหลาน ในภายภาคหนา ดังที่จรรจา สุวรรณทัต (2535 : 48-52) กล า วถึ ง ครอบครั ว ที่ มี ค วามมั่ น คงทางเศรษฐกิ จ ไม ขั ด สน ย อ มนํ า มาซึ่ ง ความสงบสุ ข ของครอบครั ว เกิ ด ความกลม เกลี ย วสมั ค รสมานกั น ในครอบครั ว ซึ่ ง สอดคล อ งกั บ ธี ร ะ ประพฤติกิจ (Online) กลาววา เศรษฐีที่มีฐานะร่ํารวยอยูแลว เพราะทํางานหรือมีมรดกตกทอด ถารักษาคุณธรรมไวดวย การสอนลู ก สอนหลานและตนเองให ซื่ อ สั ต ย สุ จ ริ ต ขยั น ประหยัด อดออม ถอมตน อดทน อดกลั้น ไมโลภ ไมโกงเขา ก็ จ ะมี ท รั พ ย สิ น เหลื อ และล น จนได ชื่ อ ว า เป น ผู มี บ ารมี มี ทรัพยสินมากมาย พอที่จะแผเมตตาบารมี แบงปนใหผูอื่นที่ เดือดรอน หรือแกประเทศชาติได นักเรียนบางคนที่มีฐานะ ทางเศรษฐกิ จ ของครอบครั ว สู ง มี ก ารประหยั ด น อ ย ทั้ ง นี้ เพราะ ไม รู จั ก คุ ณ ค า ของการใช เ งิ น มี ก ารได รั บ เงิ น จาก
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ครอบครัวมามาก ก็จะใชจายโดยไมรูจักการอดออม ไมรูจัก การประหยั ด เงิ น ไม เ ห็ น คุ ณ ค า ของการประหยั ด ซึ่ ง สอดคลองกับประดินันท อุปรมัย (2532 : 263) ไดกลาววา บิดามารดาที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงจํานวนไมนอยที่เลี้ยง ลูกแบบตามใจทุกอยาง และปกปองลูกเกินไป ทําใหเด็กขาด ความเขาใจในสิ่งที่ควรและไมควร 4. ปจจัยที่สงตอการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 มี 5 ป จ จั ย โดย เรียงลํ า ดั บจากปจจัยที่ สงผลมากที่สุดไปหาปจจัยที่สงผล น อ ยที่ สุ ด ได แ ก การเลี ย นแบบสื่ อ ในการประหยั ด (X13), ความมีวินัย (X9), การเลียนแบบเพื่อนในการประหยัด (X12), ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7) และการเลียนแบบ ผูปกครองในการประหยัด (X11) ซึ่งปจจัยทั้ง 5 ปจจัยนี้ สามารถร ว มกั น อธิ บ ายความแปรปรวนการประหยั ด ของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระ นคร กรุงเทพมหานคร ไดรอยละ 26.50 ซึ่งอภิปรายผลได ดังนี้ 4.1) การเลียนแบบสื่อในการประหยัด (X13) สงผลตอ การประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 เปนอันดับที่หนึ่ง แสดงวานักเรียนมี การเลียนแบบสื่อในการประหยัดมาก ทําใหมีการประหยัด มาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียนสามารถประพฤติปฏิบัติตามอยาง สื่อในเรื่องของการใชเงินอยางรูคุณคาของเงิน การรูจักใชเงิน ไดอยางเหมาะสมกับเงินที่ตนเองไดรับ เพื่อใหเกิดประโยชน มากที่สุดทั้งตอตนเอง และครอบครัว จากการอานหนังสือ บทความ นิตยสาร การรับฟงรายการวิทยุ การรับชมรายการ โทรทัศน และการรับชมภาพยนตร เกี่ยวกับการใชเงินอยาง ประหยัดในการซื้อเสื้อผา การใชโทรศัพท และการซื้อของใช สวนตัว ซึ่งสอดคลองกับยุวดี เฑียรประสิทธิ์ (2536: 123) ได กลาววา วัยรุนเปนวัยแหงการเรียนรู มีความพรอมที่จะรับ ขาวสารตาง ๆ ทุกรูปแบบ โทรทัศน วิทยุ หนังสือพิมพ เปนสิ่ง ที่ ข าดไม ไ ด ใ นสภาพสั ง คมป จ จุ บั น และอิ ท ธิ พ ลของ สื่อ มวลชนจะครอบคลุมและเปลี่ ยนแปลงเจตคติ คา นิย ม ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของวัยรุน ซึ่งสอดคลองกับ งานวิจัยของสาวิตรี สุตรา (2539 : 70)กลาวถึง การเปดรับ
137
สื่อจากสื่อมวลชนมีความสัมพันธกับความรูเกี่ยวกับการออม ทั ศ นคติ เ กี่ ย วกั บ การออม และพฤติ ก รรมการออมของ ประชาชน 4.2) ความมีวินัย (X9) สงผลตอการประหยัดของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระ นคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เปนอันดับที่สอง แสดงวา นักเรียนที่มีวินัยมาก ทําใหมีการ ประหยั ด มาก ทั้ ง นี้ เ พราะนั ก เรี ย นมี ค วามสามารถที่ จ ะ ประพฤติปฏิบัติและควบคุมตนเองไดตามขอบังคับ ระเบียบ แบบแผน และในดานของการประหยัด การใชเงินใหอยูใน ความพอดี เพื่ อ ความสุ ข ในชี วิ ต ของตน และความเป น ระเบียบเรียบรอยของสังคม ซึ่งสอดคลองกับอุมาพร ตรังค สมบัติ (2542 : 28) ไดกลาววา การสอนเด็กใหรูจักควบคุม พฤติ กรรมของตนเอง เมื่ อ ยั ง เล็ ก ผู ใ หญ โ ดยเฉพาะพ อ แม จะตองเปนผูชวยเด็กควบคุมพฤติกรรมของเขา และดวยการ อบรมอยางเสมอตนเสมอปลายตั้งแตเล็ก เมื่อโตขึ้นเด็กจะ ควบคุมตนเองไดในที่สุด และนั่นคือ เปาหมายสูงสุดของการ ฝกวินัย คือ การที่บุคคลจะดํารงตนอยูในความถูกตอง รูดวย ตนเองวาสิ่งใดควรทํา และสิ่งใดไมควรทํา มีความสามารถที่ จะบัง คับตนเอง และควบคุมตนเองไดดี โดยไมตอ งมีผูอื่น หรือกฎเกณฑอื่นมาคอยควบคุม ซึ่งสอดคลองกับสุขใจ น้ํา ผุด (Online) กลาววา การกําหนดเปาหมายการเงินจะฝก วินัยใหเด็กมีการใชเงินอยางเปนระบบ และเมื่อเวลาผานพน ไปเราจะสามารถสรางทรัพยสินบางอยางขึ้นมาได หากการ ใชเงินเปนไปอยางไมมีเปาหมาย เชน ใชเงินสะเปะสะปะไร จุดหมายแลว เมื่อเวลาผานพนไปเราจะรูสึกเสียดายวาเงินตั้ง มากมายที่จายไปนั้นไมไดเกิดผล เกิดประโยชนอะไรเปนชิ้น เปนอันเลย 4.3) การเลียนแบบเพื่อนในการประหยัด(X12) สงผลตอการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวน กุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมี นั ย สํ า คั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 เป น อั น ดั บ ที่ ส าม แสดงว า นักเรียนที่มีการเลียนแบบเพื่อนในการประหยัดมาก ทําใหมี การประหยัดมาก ทั้งนี้เพราะ การเลียนแบบเพื่อนในการ ประหยัด หมายถึง พฤติกรรมที่นักเรียนประพฤติปฏิบัติตาม อยางเพื่อนในเรื่องของการใชเงินอยางรูคุณคาของเงิน การ รูจักใชเงินไดอยางเหมาะสมกับเงินที่ตนเองไดรับ เพี่อใหเกิด ประโยชนมากที่สุดทั้งตอตนเอง และครอบครัว ไดแก เพื่อน
138
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ซื้อของที่มีประโยชน ไมซื้อของตามผูอื่น หรือตามอยางในสื่อ โฆษณา และรูจัดจั ดสรรเงิน สวนหนึ่ง ในการอดออม ดัง ที่ ฉวีวรรณ สุขพันธโพธาราม(2527 : 112 – 113) กลาวถึง เพื่อนของวัยรุนวา เพื่อนชวยใหวัยรุนลดความเพอฝน การ ปรับตัวเพื่อใหพนจากความกังวลในปญหาตาง ๆ ทําใหวัยรุน หาทางออกดวยการสรางความฝนตาง ๆ ที่ตนเห็นวาตองการ ความสุขและความสําเร็จ การปรับตัวเขากับเพื่อนได มีเพื่อน คุย ไมมีเวลาวางที่จะเพอฝน และก็จะมีการใชจายที่นอยลง ซึ่งสอดคลองกับผลการวิจัยของกรอนลัน ด (สุรชัย โกศิยะ กุล.2526 ; อางอิงจาก Gronlund. 1956) ที่ศึกษาการปรับตัว ของวัยรุน ผลการวิจั ย พบว า วัยรุน ที่มีผลการเรียนดี เปน กลุมวัยรุนที่สามารถปรับตัวเขากับเพื่อนได 4.4) ฐานะทาง เศรษฐกิ จ ของครอบครั ว (X7)ส ง ผลต อ การประหยั ด ของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระ นคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เปนอันดับที่สี่ แสดงวานักเรียนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจของ ครอบครั ว สู ง ทํ า ให มี ก ารประหยั ด มาก ทั้ ง นี้ เ พราะ ทาง ครอบครัวของนักเรียนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว สูงนั้นไดรับการอบรมเลี้ยงดูในเรื่องของการประหยัดอดออม เงิ น มาตั้ ง แต รุ น อดี ต ถ า ยทอดมาจนถึ ง รุ น ป จ จุ บั น ให รู จั ก คุณคาของเงิน การใชจายเงินเทาที่จําเปน มีการประหยัดอด ออมเงินเพื่อสงผลตอไปยังลูกหลานในภายภาคหนา ดังที่ จรรจา สุวรรณทัต (2535 : 48-52) กลาวถึงครอบครัวที่มี ความมั่นคงทางเศรษฐกิจไมขัดสน ยอมนํามาซึ่งความสงบ สุ ข ของครอบครั ว เกิดความกลมเกลี ยวสมั ค รสมานกัน ใน ครอบครัว ซึ่งสอดคลองกับธีระ ประพฤติกิจ (Online) กลาว วา เศรษฐีที่มีฐานะร่ํารวยอยูแลว เพราะทํางานหรือมีมรดก ตกทอด ถารักษาคุณธรรมไวดวยการสอนลูกสอนหลานและ ตนเองให ซื่ อ สั ต ย สุ จ ริ ต ขยั น ประหยั ด อดออม ถ อ มตน อดทน อดกลั้น ไมโลภ ไมโกงเขา ก็จะมีทรัพยสินเหลือและ ลน จนไดชื่อวาเปนผูมีบารมี มีทรัพยสินมากมาย พอที่จะแผ เมตตาบารมี แบงปนใหผูอื่นที่เดือดรอน หรือแกประเทศชาติ ได 4.5) การเลียนแบบผูปกครองในการประหยัด (X10) สงผล ตอการประหยัดของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 เปนอันดับที่หาซึ่งเปนอันดับสุดทาย
แสดงวานักเรียนมีการเลียนแบบผูปกครองในการประหยัดมาก ทําใหมีการประหยัดมาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียนมีการประพฤติ ปฏิบัติตามแบบอยางผูปกครองในเรื่องของการใชเงินอยางรู คุ ณ ค า ของเงิ น การรู จั ก ใช เ งิ น ได อ ย า งเหมาะสมกั บ เงิ น ที่ ตนเองไดรับ เพื่อใหเกิดประโยชนมากที่สุดทั้งตอตนเอง และ ครอบครัว ดังนั้นการที่ผูปกครองเปนแบบอยางที่ดีงามและ สําคัญในการปลูกฝงคานิยมดานการประหยัดที่ดี การใชจาย อยางรูคุณคาของเงิน และการประหยัดอดออม ซึ่ง สอดคลองกับผลการวิจัยของพันคํา มีโพนทอง (2533 : 109) กลาวถึงนักเรียนที่มีปริมาณการไดรับการถายทอดคานิยม พื้นฐานจากผูปกครองสูง จะมีคานิยมพื้นฐานทั้งดานความรัก ชาติ ดานการประหยัดอดออม ดานการมีระเบียบวินัย ดาน ความขยันหมั่นเพียร ดานการพึ่งพาตนเอง สูงกวานักเรียนที่ ไดรับการถายทอดคานิยมพื้นฐานจากผูปกครองในปริมาณต่ํา ขอเสนอแนะ ขอเสนอแนะทั่วไป ผลจากการวิจัยครั้งนี้ สามารถใชเปนแนวทางให ผูบริหาร ครูผูสอน อาจารยที่ปรึกษา อาจารยแนะแนว และผูปกครองไดทราบขอมูลเพื่อพิจารณา สามารถนําไปเปน ขอมูลประกอบวางแผนพัฒนา หรือหาวิธีการในการสงเสริม ให นั ก เรี ย นในโรงเรี ย นสวนกุ ห ลาบวิ ท ยาลั ย เขตพระนคร กรุ ง เทพมหานคร มี ก ารประหยั ด และเหมาะสม โดยนํ า ป จ จั ย ที่ ส ง ผลต อ การประหยั ด ของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยเรียงลําดับจากปจจัยที่สงผลมากที่สุดไปหาปจจัยที่สงผล นอยที่สุด ไดแก การเลียนแบบสื่อในการประหยัด, ความมี วินัย, การเลียนแบบเพื่อนในการประหยัด, ฐานะทาง เศรษฐกิจของครอบครัว และการเลียนแบบผูปกครองในการ ประหยัด ไปเปนขอมูลประกอบการวางแผนพัฒนาการ ประหยั ด ของนั ก เรี ย น หรื อ หาวิ ธี ก ารในการส ง เสริ ม ให นั ก เรี ย นในโรงเรี ย นสวนกุ ห ลาบวิ ท ยาลั ย เขตพระนคร กรุ ง เทพมหานคร มี ก ารประหยั ด และเหมาะสม ดั ง นี้
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
1. การเลียนแบบสื่อในการประหยัด ทั้งผูปกครอง ผูบริหาร ครูผูสอนตลอดจนผูที่เกี่ยวของกับนักเรียน ควรมี การส ง เสริ ม ให นั ก เรี ย นมี ก ารการเลี ย นแบบสื่ อ ในการ ประหยัด ตั้งแตเล็ก ๆ โดย นําสื่อที่มีการประหยัด หรือสื่อที่ แสดงถึงการประหยัดมาสอนใหนักเรียนไดรูและเขาใจ 2. ความมีวินัย ทั้งผูปกครอง ผูบริหาร ครูผูสอน ตลอดจนผู ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ นั ก เรี ย น ควรมี ก ารส ง เสริ ม ให นั ก เรี ย นฝ ก ความมี วิ นั ย ตั้ ง แต เ ล็ ก ๆ ให นั ก เรี ย นมี ค วาม พยายาม ในการเตรียมตัวนักเรียนสําหรับการดําเนินชีวิตใน อนาคต เมื่อนักเรียนเติบโตเปนผูใหญ รูจักใชสิทธิเสรีภาพ และความรับผิดชอบอยางถูกตอง หากนักเรียนรักษาระเบียบ วินัยดี เมื่อขณะศึกษาอยูในระเบียบยอมมีผลหรือสงผลตาม ไป เมื่อนักเรียนเติบโตเปนผูใหญในภายหนา และดําเนินชีวิต อยูในสังคมอยางมีความสุข 3. การเลียนแบบเพื่อนในการประหยัด ทั้ง ผู ป กครอง ผู บ ริ ห าร ครู ผู ส อน ต อ งมี ค วามเข า ใจในตั ว นักเรียน มีการปลูกฝงใหนักเรียนรูจักการประหยัด รูจักการ วางแผนการใช เ งิ น อย า งประหยั ด ร ว มกั บ เพื่ อ น มี ก ารจั ด กิจกรรมกลุมรวมกันกับเพื่อนในเรื่องที่เกี่ยวกับการประหยัด มีการใหความรู ความเขาใจในเรื่องการรูคุณคาของเงิน การ ปฏิบัติตนตามแบบอยางที่ดีงามของเพื่อนในการประหยัด 4. ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ทั้งผูปกครอง ผูบริหารครูผูสอนตลอดจนผูที่เกี่ยวของกับนักเรียนควรมีการสงเสริม ใหนักเรียนรูจักใชจายใหเหมาะสมกับฐานะทางเศรษฐกิจ ของครอบครัว มีนอยใชนอย และมีมากก็รูจักเก็บออม
139
5. การเลี ย นแบบผู ป กครองในการประหยั ด ทั้ ง ผู ป กครอง ผู บ ริ ห าร ครู ผู ส อน ควรมี ก ารจั ด กิ จ กรรม จั ด นิทรรศการที่เกี่ยวกับการประหยัดเพื่อเปดโอกาสใหผูปกครอง และนั ก เรี ย นเข า มามี ส ว นร ว มในโรงเรี ย น พร อ มทั้ ง มี ก าร สั ม ภาษณ ผู ป กครองในเรื่ อ งของการรู คุ ณ ค า ของเงิ น การ วางแผนการใชเงินใหเกิดประโยชน การประหยัดอดออม เพื่อให นักเรียนทราบถึงสิ่งที่ผูปกครองของตนเองนั้นไดประพฤติปฏิบัติ ในเรื่ อ งของการประหยั ด และเป น ต น แบบที่ ดี ใ ห นั ก เรี ย นได ประพฤติ ป ฏิ บั ติ ต าม เพื่ อ ประโยชน แ ก ต นเอง ครอบครั ว โรงเรียน และสังคมตอไป ขอเสนอแนะในการวิจัยครั้งตอไป 1. ควรมีการศึกษาปจจัยที่เกี่ยวของกับการประหยัด ของผู เ รี ย นในระดั บ อื่ น ๆ เช น ผู เ รี ย นช ว งชั้ น ที่ 3 ผู เ รี ย นใน หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ และผูเรียนระดับอุดมศึกษา เปนตน 2. ควรมี ก ารศึ ก ษาเปรี ย บเที ย บการประหยั ด ของ นักเรียน โดยจําแนกตามขอมูลสวนตัวของนักเรียน และปจจัย ในส ว นอื่ น ๆ เช น อาชี พ ของบิ ด ามารดา เป น ต น และศึ ก ษา สภาพปญหาและความตองการในการใชจายเงินของนักเรียน 3. ควรพัฒนาปจจัยที่สงผลตอการประหยัด ไดแก การเลียนแบบสื่อในการประหยัด ความมีวินัย การเลียนแบบ เพื่อนในการประหยัด และการเลียนแบบผูปกครองในการ ประหยัด โดยนําไปทําการทดลองเพื่อพัฒนาปจจัยดังกลาวซึ่ง จะชวยพัฒนาการประหยัด โดยใชเทคนิคทางจิตวิทยา เชน การ ปรับพฤติกรรม กลุมสัมพันธ การใชเทคนิคแมแบบ เปนตน
140
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
บรรณานุกรม กษวรรณ ขจรเสรี. (2539). ปจจัยที่มีอิทธิพลตอรูปแบบและพฤติกรรมการบริโภคในโลกยุคไรพรมแดน. รมไทรทอง ปที่ 5, ฉบับที่ 6 (เม.ย. – พ.ค. 2539) หนา 8 – 11. ถายเอกสาร. จรรจา สุวรรณทัต. (2535). “แนวทางการพัฒนาการสื่อสารในครอบครัว เพื่อเสริมสรางเด็กและเยาวชน,” ประมวลบทความ วิชาการฉบับพิเศษ พ.ศ. 2525-2535. กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. จีระพรรณ นิลสภา. (2541). ความสัมพันธระหวางปจจัยลักษณะสวนบุคคลของผูปกครองและพฤติกรรมการดู โทรทัศนกับพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยในเขตการศึกษา 6. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ถายเอกสาร. ฉวีวรรณ สุขพันธโพธาราม. (2527). พัฒนาวัยรุนและบทบาทครู. กรุงเทพฯ : มิตรนราการพิมพ. พันคํา มีโพนทอง. (2533). การศึกษาคานิยมพื้นฐาน 5 ประการของครู ผูปกครอง และนักเรียนชั้นประถมศึกษา สังกัด สํานักการประถมศึกษาจังหวัดขอนแกน. ปริญญานิพนธ วท.ม. (วิจัยพฤติกรรมศาสตรประยุกต). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ ประสานมิตร. ถายเอกสาร. พฤติพล นิ่มพราว. (2547). ปจจัยที่สงผลตอการประหยัดของนักเรียน ชวงชัน้ ที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินทู ิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร. สารนิพนธ กศ.ม.จิตวิทยาการศึกษา กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร. พระจริยวัตร “ประหยัด” สื่อสอนสั่งลูกหลานไทย. หนังสือพิมพเดลินิวส ฉบับวันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ.2544 หนา 5. ภัทราพันธ หรุนรักวิทย. (2545). ผลของการใชการเรียนรูแบบสตอรีไลนที่มีพฤติกรรมการประหยัดของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตสถาบันราชภัฎสวนสุนันทา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร. สารนิพนธ กศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ถายเอกสาร. ยุวดี เฑียรประสิทธ. (2536). เอกสารประกอบการสอนจิตวิทยาวัยรุน. กรุงเทพฯ : ภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยา การศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วัชรี ธุวธรรม. (2525). ยุทธวิธีในการพิจารณาสรางเสริมคานิยม. กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ. วสันต ปุนผล. (2542). การพัฒนาความมีวินัยในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนบางไทรวิทยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วิเชียร เกตุสิงห. (2538). คาเฉลี่ยการแปลความหมาย : เรื่องงาย ๆ ที่บางครั้งก็พลาดได. ขาวสาร การวิจัยศึกษา. 18 (3) : 8 – 11. พฤษภาคม 2550. แหล ง ที่ ม า วิ ก นิ ก านต . (2547). (ออนไลน ) . บอกลู ก เรื่ อ งคุ ณ ประหยั ด . สื บ ค น เมื่ อ 9 http://brainbank.nesdb.go.th. วิไล ตั้งสมจิตสมคิด. (ออนไลน). ปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมควรเปนหนาที่ใคร. สืบคนเมื่อ 18/พฤษภาคม/2550 จาก http://come.to/wilai.
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
141
สาวิตรี สุตรา. (2539). การเปดรับสื่อ ความรู ทัศนคติ และพฤติกรรมการออมของ ชาวชนบทในจังหวัดสุรินทร. วิทยานิพนธมหาบัณฑิต. นิเทศศาสตร (นิเทศศาสตรพัฒนาการ). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัย. ถายเอกสาร. สุขใจ น้ําผุด. (ออนไลน). เด็ก : ควรปรับตัวเรื่องการเงินอยางไรในยุค ไอ เอ็ม เอฟ. สืบคนเมื่อ 12/พฤษภาคม/2550. แหลงที่มา www.childthai.org. สุรชัย โกศิยะกุล. (2526). การสรางแบบทดสอบวัดความสามารถทางการปรับตัวสําหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปที่ 3 ใน จังหวัดกําแพงเพชร. ปริญญานิพนธการศึกษามหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ. ถายเอกสาร. สุรางค โควตระกูล. (2541). จิตวิทยาการศึกษา. พิมพครั้งที่ 4. จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. อุมาพร ตรังคสมบัติ. (2542). จิตบําบัดและการใหคําปรึกษาครอบครัว. กรุงเทพฯ : ภาควิชาจิตเวชศาสตร คณะแพทยศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. Bandura, Albert. Jean E. Grusec and France L. Menlove. (1966, September). “Observational Learning as a Function of Symbolization and Incentive Set,” Child Development. Stinnett, Nicholas. (1985). “Strong Families,” Marriage and Family In a changing Society. New York : Free Press. Yamane, Taro. (1970). Statistic : An Introductory Analysis. New York : Harper and Row.
142
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ป จ จั ย ที่ ส ง ผลต อ ความสามารถในการรั บ รู วิ ช า วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนราชดําริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร. FACTORS AFFECTING ON PHYSICAL AND BIOLOGICAL SCIENCE PERCEPTUAL ABILITY OF THE FOURTH LEVEL SECONDARY GRADES 4-6 STUDENTS AT RATCHADAMRI SCHOOL IN PRAVATE DISTRICT, BANGKOK. อารยา สนโต 1 รองศาสตราจารยเวธนี กรีทอง 2 อาจารย ดร.พาสนา จุลรัตน 2 การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุงหมายเพื่อศึกษาปจจัยที่สงผล ตอความสามารถในการรับรูวิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ ของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นราชดํ า ริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ปจจัยที่ศึกษาแบงออกเปน 3 ปจจัย คือ ปจจัย ดานสวนตัว ไดแก เพศ อายุ ระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ และนิสัยทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตรกายภาพชีวภาพ ปจจัยดานครอบครัว ไดแก การ สนับสนุนการสนับสนุนดานการเรียนของผูปกครอง และ ฐานะ ทางเศรษฐกิจของครอบครัว ปจจัยดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียน ได แ ก ลั ก ษณะทางกายภาพด า นการเรี ย นวิ ช าวิ ท ยาศาสตร กายภาพ ชี ว ภาพ สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ครู และ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน
1
นิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัยครั้งนี้เปน นักเรียนชวง ชั้นที่ 4 ยกเวนแผนวิทย-คณิตปการศึกษา 2549 โรงเรียนราช ดําริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้นจํานวน 250 คน เป น นั ก เรี ย นชาย 111 คน และนั ก เรี ย นหญิ ง 139 คน เครื่องมือที่ใชในการวิจัยครั้งนี้ ไดแก แบบสอบถามปจจัยที่ สงผลตอความสามารถในการรับรูวิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนราชดําริ เขตประเวศ กรุง เทพมหานคร สถิติที่ใช ในการวิเคราะหขอ มู ล คือ การ วิเคราะหการถดถอยพหุคูณ (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษา พบวา 1. ปจจัยที่สงผลตอความสามารถในการรับรู วิ ช าวิ ท ยาศาสตร ก ายภาพ ชี ว ภาพ ของนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 4 โรงเรี ย นราชดํ า ริ เขต ประเวศ กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ.01 มี 2 ปจจัย โดยเรียงลําดับจากปจจัยที่สงผลมากที่สุดไปหาปจจัย ที่ ส ง ผลน อ ยที่ สุ ด ได แ ก การสนั บ สนุ น ด า นการเรี ย นของ ผูปกครอง(X5) และสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู( X7) ซึ่งปจจัยทั้ง 2 ปจจัยนี้สามารถรวมกันอธิบายความแปรปรวน ของความสามารถในการรั บ รู วิ ช า วิ ท ยาศาสตร ก ายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 โรงเรียนราชดําริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ไดรอยละ 22 จึงนําคา สัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณมาเขียนสมการไดดังนี้ สมการพยากรณความสามารถในการรับรูวิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาป ที่ 4 โรงเรียนราชดําริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ในรูป คะแนนดิบ ไดแก Ŷ = 1.756 + .300 X5+ .159 X7 สมการพยากรณความสามารถในการรับรูวิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาป ที่ 4 โรงเรียนราชดํา ริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานครในรูป คะแนนมาตรฐาน ไดแก Z = .400 X5 + .189 X7 2. ป จ จั ย ที่ ส ง ผลต อ ความสามารถในการ รั บ รู วิ ช าวิ ท ยาศาสตร ก ายภาพ ชี ว ภาพ ของนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 5 โรงเรี ย น ราชดํ า ริ เขตประเวศ
143
กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 2 ป จ จั ย โดยเรี ย งลํ า ดั บ จากป จ จั ย ที่ ส ง ผลมากที่ สุ ด ไปหา ปจจัยที่สงผลนอยที่สุด ไดแก ลักษณะทางกายภาพดาน การเรียนวิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ (X6) และการ สนับสนุนดานการเรียนของผูปกครอง(X5) ซึ่งปจจัยทั้ง 2 ปจจั ยนี้ สามารถร ว มกั น อธิบ าย ความแปรปรวนของ ความสามารถในการรับรูวิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ ของนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 5 โรงเรี ย นราชดํ า ริ เขต ประเวศ กรุงเทพมหานคร ไดรอยละ 23.6 จึงนําคา สัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณมาเขียนสมการไดดังนี้ สมการพยากรณความสามารถในการรับรูวิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนราชดําริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ในรูป คะแนนดิบ ไดแก Ŷ = 1.632+.288 X6 +.214 X5 สมการพยากรณความสามารถในการรับรูวิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 โรงเรี ย นราชดํ า ริ เขตประเวศ กรุ ง เทพมหานครในรู ป คะแนนมาตรฐาน ไดแก Z = .341X6 +.326X5 3. ปจจัยที่สงผลตอความสามารถในการรับรู วิ ช าวิ ท ยาศาสตร ก ายภาพ ชี ว ภาพ ของนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ป ที่ 6 โ ร ง เ รี ย น ร า ช ดํ า ริ เ ข ต ป ร ะ เ ว ศ กรุงเทพมหานคร อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 3 ปจจัยโดยเรียงลําดับจากปจจัยที่สงผลมากที่สุดไปหาปจจัยที่ สงผลนอยที่สุด ไดแก ลักษณะทางกายภาพดานการเรียน วิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ(X6) สัมพันธภาพระหวาง นั ก เรี ย นกั บ ครู ( X7) และผลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นวิ ช า วิท ยาศาสตร ก ายภาพ ชีว ภาพ(X2) ซึ่ง ป จ จัย ทั้ ง 3 ปจ จั ย นี้ สามารถรว มกันอธิบ าย ความสามารถในการรับ รูวิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 โรงเรียนราชดําริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ไดรอยละ 52.60 จึงนําคาสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณมาเขียนสมการ ไดดังนี้ สมการพยากรณความสามารถในการรับรูวิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่
144
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
6 โรงเรียนราชดําริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ในรูป คะแนนดิบ ไดแก Ŷ = .115 +.502 X6 +.323 X7 +.192 X2 สมการพยากรณความสามารถในการรับรูวิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาป ที่ 6 โรงเรียนราชดํา ริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานครในรูป คะแนนมาตรฐาน ไดแก Z = .402 X 6+.349 X7+.193 X2 ABSTRACT The purposes of this research were to study the factors affecting on physical and biological science perceptual ability of the fourth level, secondary grades 4 – 6 students at Ratchadamri School in Pravate District, Bangkok. The factors were devided into 3 dimensions , first of them was personal factor : gender, age , class level , learning achievement of physical and biological science and studying habits of physical and biological science , second of them was family factor : guardian’s learning supportive and : guardian’s economic level and third of them was learning environment factor: physical learning environment of physical and biological science , interpersonal relationship between students and their teachers and interpersonal relationship between students and their peer groups. The 250 samples : 111 males and 139 females were the fourth level, secondary grades 4 – 6 students except science-maths program at Ratchadamri School in Pravate District, Bangkok in academic year 2006. The instrument was a questionnaires of factors affecting on physical and biological science perceptual ability. The data was analysed by The Stepwise Multiple Regression Analysis. The results were as follows :
1. There were 2 factors got significantly affecting on physical and biological science perceptual ability of the fourth level, secondary grades 4 students at Ratchadamri School in Pravate District, Bangkok ranking from the most affecters to the least affecters were guardian’s learning supportive (X5) and interpersonal relationship between students and their teachers(X7) at .01 level .These 2 factors could predicted physical and biological science perceptual ability of the fourth level, secondary grades 4 students about percentage of 22 . 2. The predicted equation of factors affecting on physical and biological science perceptual ability of the fourth level, secondary grades 4 students at Ratchadamri School in Pravate District, Bangkok at .01 level were as follows : 2.1 In terms of raw scores were : Ŷ = 1.756 + .300 X5+ .159 X7 2.2 In terms of standard scores were : Z = .400 X5 + .189 X7 3. There were 2 factors got significantly affecting on physical and biological science perceptual ability of the fourth level, secondary grades 5 students at Ratchadamri School in Pravate District, Bangkok ranking from the most affecters to the least affecters were physical learning environment of physical and biological science(X6) and guardian’s learning supportive (X5) at .01 level .These 2 factors could predicted physical and biological science perceptual ability of the fourth level, secondary grades 5 students about percentage of 23.60. 4. The predicted equation of factors affecting on physical and biological science perceptual ability of the fourth level, secondary
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 grades 5 students at Ratchadamri School in Pravate District, Bangkok at .01 level were as follows : 4.1 In terms of raw scores were : Ŷ = 1.632+.288 X6 +.214 X5 4.2 In terms of standard scores were : Z = .341X6 +.326X5 5. There were 3 factors got significantly affecting on physical and biological science perceptual ability of the fourth level, secondary grades 6 students at Ratchadamri School in Pravate District, Bangkok ranking from the most affecters to the least affecters were physical learning environment of physical and biological science(X6) , interpersonal relationship between students(X7) and learning achievement of physical and biological science(X2) at .01 level .These 3 factors could predicted physical and biological science perceptual ability of the fourth level, secondary grades 6 students about percentage of 52.60. 6. The predicted equation of factors affecting on physical and biological science perceptual ability of the fourth level, secondary grades 6 students at Ratchadamri School in Pravate District, Bangkok at .01 level were as follows : 6.1 In terms of raw scores were : Ŷ = .115 +.502 X6 +.323 X7 +.192 X2 6.2 In terms of standard scores were : Z = .402 X 6+.349 X7+.193 X2 ความเปนมาและความสําคัญของงานวิจัย วิทยาศาสตรเปนศาสตรแขนงหนึ่งที่มีความสําคัญ ตอการพัฒนาประเทศผูวิจัยเล็งเห็นวามีความจําเปนสําหรับ เด็กทุกคน และจากการที่ผูวิจัยมีนองชายซึ่งกําลังศึกษาอยู ในชวงชั้นที่ 4 และไดสังเกตกลุมเพื่อนของนองชาย ซึ่งเปน
145
เด็กนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 โรงเรียนราชดําริ พบวา น อ งชายและกลุ ม เพื่ อ นมี ป ญ หาในเรื่ อ งการเรี ย น วิ ช า วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ ไดแก ไมเขาใจ ไมรูเรื่อง ไม สามารถคิ ด หรื อ แก ป ญ หาในการเรี ย นวิ ช าวิ ท ยาศาสตร กายภาพ ชี ว ภาพได ด ว ยตนเอง มี ก ารทํ า การทดลองที่ ผิ ด พลาด จากป ญ หาที่ เ กิ ด ขึ้ น ผู วิ จั ย จึ ง ได ทํ า การสํ า รวจ ปญหาเบื้องตนของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 ยกเวนแผนวิทย-คณิต จากผลการสํารวจปญหาเบื้องตนพบวา นักเรียนชวงชั้นที่ 4 ยกเว น แผนวิ ท ย -คณิ ต โรงเรี ย นราชดํ า ริ เขตประเวศ ก รุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร น า จ ะ มี ป ญ ห า ด า น ก า ร รั บ รู วิ ช า วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพมากที่สุดดวยเหตุนี้ ผูวิจัยจึงมี ความสนใจศึกษาปจจัยที่สงผลตอความสามารถในการรับรู วิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 ยกเว น แผนวิ ท ย -คณิ ต โรงเรี ย นราชดํ า ริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ความมุงหมายของงานวิจัย 1.เพื่อศึกษาปจจัยดานสวนตัว ปจจัยดานครอบครัว แ ล ะ ป จ จั ย ด า น สิ่ ง แ ว ด ล อ ม ใ น โ ร ง เ รี ย น ที่ ส ง ผ ล ต อ ความสามารถในการรับรูวิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ ของนัก เรีย นชว งชั้น ที่ 4 ยกเวน แผนวิท ย- คณิต โรงเรีย น ราชดําริ เขต ประเวศ กรุงเทพมหานคร 2.เพื่อสรางสมการพยากรณ ความสามารถในการ รับรูวิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 ยกเว น แผน วิ ท ย -คณิ ต โรงเรี ย นราชดํ า ริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร สมมติฐานในงานวิจัย ปจจัยดานสวนตัว ปจจัยดานครอบครัว และปจจัย ดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียนสงผลตอความสามารถในการรับรู วิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 ยกเว น แผนวิ ท ย - คณิ ต โรงเรี ย นราชดํ า ริ เขต ประเวศ กรุงเทพมหานคร วิธีดําเนินการวิจัย ประชากรและกลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย ประชากรที่ใชในการศึกษาครั้งนี้เปน นักเรียนชวงชั้นที่ 4 ยกเวน แผนวิท ย-คณิตปการศึกษา 2549 โรงเรียนราชดํา ริ เขตประเวศ กรุง เทพมหานคร จํ า นวน 250 คน เปน
146
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
นัก เรี ย นชาย 111 คน และเปนนักเรียนหญิง 139 คน ซึ่งใช เปนกลุมตัวอยางทั้งหมด เครื่องมือที่ใชในการวิจัย เครื่ อ งมื อ ที่ ใ ช ใ นการศึ ก ษาค น คว า ครั้ ง นี้ เป น แบบสอบถาม เรื่องปจจัยที่สงผลตอความสามารถในการรับรู วิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ การเก็บรวบรวมขอมูล ผูวิจัยนําหนังสือจากบัณฑิตวิทยาลัยไปขออนุญาต โรงเรียนราชดําริ เพื่อขอความอนุเคราะหในการเก็บขอมูล จากลุมตัวอยาง ตอจากนั้นผูวิจัยนําแบบสอบถามปจจัยที่ สงผลตอความสามารถในการรับรูวิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ ไปเก็บรวบรวมขอมูลของนักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 4 โรงเรียน ราชดําริ ระหวางวันที่ 20 ธันวาคม 2549 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2550 จํานวน 250 ฉบับ ไดรับคืนมา 226 ฉบับ คิด เปนรอยละ 90.4 สรุปผลการวิจัย ป จ จั ย ที่ ส ง ผลต อ ความสามารถในการรั บ รู วิ ช า วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ ของนักเรียนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 4 มี 2 ปจจัย ไดแก การสนับสนุนดานการ เรียนของผูปกครอง และ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู ปจจัยที่สงผลตอความสามารถในการรับรู วิชาวิทยาศาสตร กายภาพ ชี ว ภาพ ของนั ก เรี ยนชั้น มัธ ยมศึก ษาป ที่ 5 มี 2 ปจจัย ไดแก ลักษณะทางกายภาพดานการเรียนวิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ และการสนับสนุนดานการ เรียนของผูปกครอง และปจจัยที่สงผลตอความสามารถใน การรับรูวิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 6 มี 3 ปจจัย ไดแก ลักษณะทางกายภาพ ด า น ก า ร เ รี ย น วิ ช า วิ ท ย า ศ า ส ต ร ก า ย ภ า พ ชี ว ภ า พ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู และผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ อภิปรายผลการวิจัย 1 การสนั บ สนุ น ด า น การเรี ย นขอ ง ผูปกครองเปนปจจัยที่สงผลสําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาป ที่ 4 และ 5 ทั้ง นี้เพราะ การเอาใสใจในเรื่องการเรียนของ ผู ป กครองที่ มี ต อ บุ ต ร ย อ มเป น แรงผลั ก ดั น ทํ า ให บุ ต รมี กระตือรือรน สนใจในการเรียนมากขึ้น มีกําลังใจในการเรียน หรือการทํากิจกรรมตางๆถึงแมวาจะมีอุปสรรคแบบใด เด็กจะทราบ
วามีผูปกครองคอยดูแล สงเสริมชวยเหลือเขาอยู บิดามารดา หรือผูปกครองมีบทบาทสําคัญที่ตองสงเสริมการสนับสนุน การศึกษาของลูก โดยการเอาใจใสในการเรียนของลูก จัดหา วัสดุอุปกรณที่เกี่ยวกับการเรียน เปนแบบอยางที่ดีใหกับลูก สง เสริ ม การเรีย นรู ใ ห ลู ก สิ่ ง เหล า นี้เ ป น แรงกระตุน ใหลู ก มี ความตั้งใจเรียน เอาใจใสตอการเรียน และขยันหมั่นเพียรใน การเรียนแสดงใหเห็นวาการสนับสนุนดานการเรียนของผูปกครอง เปนแรงผลักดันใหเด็กมีความกระตือรือรนในการเรียนมากขึ้น การจะทําใหนักเรียนมีความสามารถในการรับรูมากขึ้นดวย 2. สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครูเปน ปจจัยที่สง ผลสํา หรั บ นักเรียนชั้น มัธ ยมศึก ษาปที่ 4 และ 6 ทั้งนี้เพราะ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู หมายถึง การ ปฏิ บั ติต นของนั ก เรี ย นตอ ครู และการปฏิ บั ติ ต นของครู ต อ นั ก เรี ย น ทั้ ง ภายในและภายนอกห อ งเรี ย นเพื่ อ ให เ กิ ด ความสัมพันธที่ดีตอกัน การที่นักเรียนปฏิบัติตอครู ไดแก เคารพเชื่อฟงในครูผูสอน ตั้งใจและสนใจในสิ่งที่ครูอบรมสั่งสอน และซักถามครูเมื่อมีขอสงสัยดานการเรียนและดานสวนตัว และการที่ ค รู ป ฏิ บั ติ ต อ นั ก เรี ย นได แ ก ให ค วามสนใจต อ นักเรียนสรางความสัมพันธที่ดีที่ทําใหนักเรียนเกิดความรูสึก เปนกันเอง ใหความรัก ความเอาใจใส ใหคําปรึกษาและขอชี้แนะ แกนักเรียนทั้งในดานการเรียน และดานสวนตัวที่นักเรียนมา ขอคําปรึกษา ดังนั้นเมื่อนักเรียนไมเขาใจเนื้อหาในวิชา วิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพก็กลาซักถามหรือปรึกษาครู 3. ลักษณะทางกายภาพทางการเรียนวิชา วิ ท ยาศาสตร ก ายภาพ ชี ว ภาพเป น ป จ จั ย ที่ ส ง ผลสํ า หรั บ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 และ 6 ทั้งนี้เพราะ ลักษณะทาง กายภาพทางการเรียนเปนตัวสงเสริมใหนักเรียนมีการรับรูในวิชา ที่เรียนใหมีความสนใจ มีสมาธิในการเรียน การบํารุง ดูแ ล สถานที่ เรี ยนให อยู ในสภาพที่ สมบู รณ มี ความพร อมในเรื่ องของ อุปกรณ สื่อการสอนที่มีความทันสมัยจะทําใหนักเรียนไดรับ ประโยชนสูงสุดในการเรียน การสรางบรรยากาศที่ดีในการ เรียนทําใหจิตใจและอารมณของนักเรียนนั้นสดชื่นขึ้น ทําใหเกิด แรงจูงใจในการเรียน ตลอดจนดําเนินกิจกรรมตางๆที่สงเสริม ใหเกิดการรับรู การเรียนรูที่ดีใหเกิดขึ้น 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร กายภาพ ชี ว ภาพเป น ป จ จั ย ที่ ส ง ผลสํ า หรั บ นั ก เรี ย นชั้ น
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 6 ทั้ ง นี้ เ พราะ ผลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นที่ แตกต า งกั น จะเป น ตั ว บ ง ชี้ ถึ ง ความสามารถและคุ ณ ภาพ ทางการศึกษา เพื่อที่จะดูพัฒนาการของการเรียนรูและการ รับรูตางๆในวิชาวิทยาศาสตรกายภาพ ชีวภาพ ดังนั้นการที่ นั ก เรี ย นจะมี ผ ลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นวิ ช าวิ ท ยาศาสตร กายภาพ ชีวภาพสูงนั้น จะตองมีการจัดการเรียนการสอนที่ เหมาะสม จึงจะชวยสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน ไดตามประสงค และกระตุนใหผูเรียนพัฒนาศักยภาพตนเอง ดานการคิดและการทํางานรวมกับผูอื่นไดดี
147
ขอเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งตอไป ค ว ร มี ก า ร ศึ ก ษ า ป จ จั ย ที่ ส ง ผ ล ต อ ความสามารถในการรั บ รู ใ นวิ ช าอื่ น ๆด ว ย เช น วิ ช า คณิตศาสตร เปนตน และควรมีการศึกษาปจจัยที่สงผลตอ ความสามารถในการรับ รู ข องนัก เรีย นชว งชั้น อื่ น ๆ หรื อ ไป ทําการศึกษาวิจัยเชิงทดลอง โดยใชเทคนิคทางจิตวิทยา เชน การใชบทบาทสมมติ การใชสถานการณจําลอง และการใช กรณีตัวอยาง เพิ่มเติม
บรรณานุกรม พงษธร ผาสุขมูล.(2544). การศึกษาการรับรูสภาพแวดลอมในการเรียนวิชาวิทยาศาสตรกายภาพของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 3 ในโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษาและโรงเรียนสังกัดสํานักงานการศึกษาเทศบาลเขต การศึกษา 9. รายงานการศึกษาคนควาอิสระ กศ.ม.(วิทยาศาสตรศึกษา) มหาสารคาม: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วัชรี ทรัพยมี.(2544).จิตวิทยาการศึกษา.จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.กรุงเทพฯ. วิเชียร เกตุสิงห.(2538).คาเฉลี่ยกับการแปลความหมาย เรื่องงายๆที่บางครั้งก็พลาดได.ขาวสารการวิจัยศึกษา. กรุงเทพฯ. สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี,สถาบัน.(2540).เอกสารสําหรับนักเรียนวิชาวิทยาศาสตรสิ่งแวดลอม กรุงเทพฯ: โรงพิมพคุรุสภา ลาดพราว. สุรางค โควตระกูล.(2537).จิตวิทยาการศึกษา.กรุงเทพฯ:สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย พิมพครั้งที่ 5. หทัยรัช รั ง สุ ว รรณ.(2539).ผลของการสอนโดยใชแ ผนที่ม โนมติที่มีต อผลสัมฤทธิ์ท างการเรียนวิช าวิท ยาศาสตร กายภาพชีวภาพดานมโนมติ และความสามารถในการคิด แกปญหา ทางวิทยาศาสตรของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 5.ปริญญานิพนธ กศ.ม.(วิทยาศาสตรศึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร. อภิญญา สุวรรณสิทธิ์.(2540). เจตคติตอวิทยาศาสตร และการรับรูสภาพแวดลอมในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร ของ นั ก เรี ย นระดั บ มั ธ ยมศึ ก ษาตอนต น สั ง กั ด กรมสามั ญ ศึ ก ษา และสั ง กั ด สํ า นั ก งานคณะกรรมการการ ประถมศึกษาแหงชาติ.วิทยานิพนธ กศ.ม.(วิทยาศาสตรศึกษา).มหาสารคาม: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. ถายเอกสาร. Conbrach,L.J.(1978).Essentials of Psychologgical Testing.3rd ed .New York:Harper and Row. Gallagher,J.J.(1991,January)” Prospecticing Secondary School Science Teachers’Knowledge and Beliefs about the Philosophy of Science,”Science Education.75(1) :121-133.
148
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
องคประกอบที่มีอิทธิพลตอ พฤติกรรมการทะเลาะ วิวาท ของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช. FACTORS AFFECTING CONDUCT BEHAVIOR OF THE FOURTH LEVEL, SECONDARY GRADES 4-6 STUDENTS AT KHANOMPITTAYA SCHOOL IN KHANOM DISTRICT, NAKHONSITHAMMARAT PROVINCE. พิชญา สมทรง 1 อาจารยวิไลลักษณ พงษโสภา 2 รองศาสตราจารยเวธนี กรีทอง 2 บทคัดยอ ก า ร วิ จั ย ค รั้ ง นี้ มี จุ ด มุ ง ห ม า ย เ พื่ อ ศึ ก ษ า องค ป ระกอบที่มีอิ ท ธิพ ลตอ พฤติก รรมการทะเลาะวิ ว าทของ นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัด นครศรี ธ รรมราช. องค ป ระกอบที่ ศึ ก ษาแบ ง เป น 3 องคประกอบคือ องคประกอบดานสวนตัว ไดแก เพศ อายุ ระดับชั้น บุคลิกภาพ สุขภาพจิต และความฉลาดทางอารมณ องค ป ระกอบด า นครอบครั ว ได แ ก อาชี พ ของผู ป กครอง สถานภาพสมรสของผู ป กครอง ฐานะทางเศรษฐกิ จ ของ ครอบครั ว และสั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ผู ป กครอง องคประกอบดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียน ไดแก ลักษณะทาง กายภาพทางการเรียน สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู และ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน
1
นิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 กลุมตัวอยางเปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชวง ชั้นที่4 ซึ่งกําลังศึกษาอยูในโรงเรียน ขนอมพิทยา อําเภอ ขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ปการศึกษา 2549 จํานวน 188 คน เปนนักเรียนชาย 68 คน และนักเรียนหญิง 120 คน เครื่ อ งมื อ ที่ ใ ช ใ นการศึ กษาค น คว า ได แ ก แบบสอบถาม องคประกอบที่มีอิทธิพลตอพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของ นั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นขนอมพิ ท ยา อํ า เภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล คือ การวิเคราะหคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธของเพียรสัน และการ วิเคราะหการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบวา 1. องคประกอบที่มีความสัมพันธทางบวกกับ พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียน ขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช อยางมี นัยสํา คัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 องคป ระกอบ ไดแ ก สุขภาพจิต ( X16) 2. องคประกอบที่มีความสัมพันธทางลบกับ พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียน ขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช อยางมี นัยสํา คัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 องคป ระกอบ ไดแ ก ความฉลาดทางอารมณ ( X17) สัมพันธภาพระหวางนักเรียน ลักษณะทางกายภาพทางการเรียน กับผูปกครอง (X18) ( X19) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู( X20) และ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน( X21) 3.องคประกอบที่ไมมีความสัมพันธกับพฤติกรรม การทะเลาะวิ ว าทของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นขนอม มี 15 พิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช องคประกอบ ไดแก เพศชาย ( X1) เพศหญิง ( X2) อายุ ( X3) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 4 ( X4) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 5 ( X5) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่6(X6) อาชีพ ของผูปกครอง: ขา ราชการพนัก งานรัฐวิ สาหกิจ(X7 ) อาชีพของ อาชีพของผูปกครอง: เกษตรกรรม( X8) อาชีพของ ผูปกครอง: คาขาย หรือธุรกิจสวนตัว( X9) ผูปกครอง: รับจาง ( X10) สถานภาพสมรสของบิดามารดา: บิดามารดาอยูดวยกัน ( X11) สถานภาพสมรสของบิดา มารดา: บิดามารดาแยกกันอยู ( X12) สถานภาพสมรสของ
149
บิดามารดา: บิดามารดาถึงแกกรรม ( X13) ฐานะทาง เศรษฐกิจของครอบครัว ( X14) และ บุคลิกภาพ ( X15) 4. องคประกอบที่มีอิทธิพลตอพฤติกรรมการ ทะเลาะวิวาทของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 มี 3 องคประกอบโดยเรียงลําดับจาก องค ป ระกอบที่ มี อิ ท ธิ พ ลมากที่ สุ ด ไปหาองค ป ระกอบที่ มี อิทธิพลนอยที่สุด ไดแก สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ เพื่อน (X21) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู(X20) และ ซึ่งองคประกอบทั้ง 3 องคประกอบ บุคลิกภาพ (X15) สามารถรวมกันอธิบายความแปรปรวนพฤติกรรมการทะเลาะ วิวาทของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอ ขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ไดรอยละ 39.10 5. สมการพยากรณพฤติกรรมการทะเลาะ วิ ว าทของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นขนอมพิ ท ยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช มีดังนี้ 5.1 สมการพยากรณพฤติกรรมการ ทะเลาะวิ ว าทของนั ก เรีย นช ว งชั้น ที่ 4 โรงเรี ย น ขนอม พิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ในรูปคะแนน ดิบ ไดแก Ŷ = 4.772 - .569 X21 - .336 X20 + .244 X15 5.2 สมการพยากรณพฤติกรรมการ ทะเลาะวิวาทของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียน ขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ในรูปคะแนนมาตรฐาน ไดแก Z = -.498 X21 - .205 X20 + .147 X15 The purposes of this research were to study factors affecting conduct behavior of a fourth level, secondary grades 4 – 6 students at Khanompittaya School in Khanom District, Nakhonsrithammarat Province. The factors were divided into 3 dimensions , the first factor was personal factor : gender, age, class level , personality , mental health and emotional intelligence , the second factor was family factor : guardian’s career guardian’s marital status , guardian’s
150
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
economic level and interpersonal relationship between students and their guardian and the third factors was learning environment factor : physical learning environment, interpersonal relationship between students and their teachers and interpersonal relationship between students and their peer groups. The samples 188 in leveled: 68 males and 120 females of the fourth level, secondary grades 4 – 6 students at Khanompittaya School in Khanom District, Nakhonsrithammarat Province in academic year 2006. The instrument was a questionnaire of factors affecting conduct behavior . The data analyzed by The Pearson Product Moment Correlation Coefficient and Stepwise Multiple Regression Analysis. The results of the study were as follows : 1. There was significantly positive correlation between conduct behavior and 1 factor : mental health (X16) at .05 level.of the fourth level, secondary grades 4 – 6 students at Khanompittaya School in Khanom District, Nakhonsrithammarat Province. 2. There were significantly negative correlation among conduct behavior and 5 factors : emotional intelligence ( X17 ), interpersonal relationship between students and their guardian (X18) , physical learning environment ( X19) , interpersonal relationship between students and their teachers ( X20) and interpersonal relationship between students and their peer groups ( X21) at .01 level .of the fourth level, secondary grades 4 – 6 students at Khanompittaya School in Khanom District, Nakhonsrithammarat Province. 3. There were no significantly correlation among conduct behavior and 15
factors : male ( X1) , female ( X2) ,age ( X3) ,class level : matthayom suksa IV ( X4), class level : matthayom suksa V ( X5), class level : matthayom suksa VI( X6), : guardian’s career ; officer (X7), guardian’s career ; agriculturer ( X8), guardian’s career ; personal business ( X9) , guardian’s career ; employee ( X10), guardian’s marital status : couple ( X11) , guardian’s marital status : seperated ( X12), guardian’s marital status : dead ( X13) , guardian’s of economic level ( X14) and personality ( X15) the fourth level, secondary grades 4 – 6 students at Khanompittaya School in Khanom District, Nakhonsrithammarat Province. 4. There were 3 factors significantly affected conduct behavior of the fourth level, secondary grades 4 – 6 students at Khanompittaya School in Khanom District, Nakhonsrithammarat Province at .01 level, ranking from the most affecters to the least affecters were as follows : interpersonal relationship between students and their peer groups ( X21) , interpersonal relationship between students and their teachers ( X20) and personality (X15).These 3 factors could predicted conduct behavior of The Fourth Level, Secondary Grades 4 – 6 Students at Khanompittaya School in Khanom District, Nakhonsrithammarat Province about percentage of 39.10. 5. The predicted equation of conduct behavior of the fourth level, secondary grades 4 – 6 students at Khanompittaya School in Khanom District, Nakhonsrithammarat Province at .01 level were as follows : 5.1 In terms of raw scores were : Ŷ = 4.772 - .569 X21 - .336 X20 + .244 X15 5.2 In terms of standard scores were : Z = -.498 X21 - .205 X20 + .147 X15
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ความสําคัญ ในศตวรรษที่ 20 โลกไดเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น อย า งรวดเร็ ว ทั้ ง ทางด า นเศรษฐกิ จ สั ง คม การเมื อ ง สภาพแวดลอมตลอดจนเทคโนโลยีตาง ๆ ซึ่งรวมถึงประเทศ ไทยดวยที่มีการเปลี่ยนแปลงไปสูความทันสมัยทําใหสภาพ สังคมในปจจุบัน มี แตความแกงแยงแข็งขันเพื่อความเปน หนึ่ ง และจากการเปลี่ ย นแปลงดั ง กล า วจึ ง ก อ ให เ กิ ด ผลกระทบตอวิถีชีวิตของบุคคลเยาวชนในสังคมโดยเฉพาะ อยางยิ่งปญหา ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ที่ถือ ได ว า เปน ทรัพ ยากรบุ ค คลที่ มีค า ต อ การพัฒ นาประเทศ ที่ กําลังอยูในชวงวัยรุน ซึ่งพบแนวโนมวาจะปฏิบัติตนขัดตอ ระเบี ย บข อ บั ง คั บ ต า งๆ ของโรงเรี ย นและขั ด ต อ ประเพณี วั ฒ นธรรมอั น ดี ง ามของสั ง คมไทย ดั ง จะเห็ น ได จ ากสื่ อ โทรทัศน วิทยุ และหนังสือพิมพ พบวาเด็กวัยรุนมีพฤติกรรม กอการทะเลาะวิวาท ทํารายรางกาย ใชภาษาถอยคําที่รุนแรง ใช ภ าษาท า ทางที่ ไ ม เ หมาะสม ทํ า ผิ ด กฎหมาย ป ญ หา ดังกลาวที่เกิดขึ้นจึงเปนปญหาที่ควรศึกษาเปนอยางยิ่ง พฤติ ก รรมการทะเลาะวิ ว าทเป น ป ญ หาสั ง คม ป ญ หาหนึ่ ง ที่ กํ า ลั ง ขยายตั ว อย า งรวดเร็ ว ทั้ ง ใน กรุงเทพมหานครและตางจังหวัด พฤติกรรมการทะเลาะวิวาท ของนักเรียนเปนพฤติกรรมที่รุนแรงมาก (ออมเดือน สดมณี. 2547 :48 )กอใหเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคม กลาวคือ พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของนักเรียน ยอมทํา ใหเกิดความสูญเสียทรัพยสิน ตลอดจนชีวิตและรางกาย ฝ า ฝ น กฎระเบี ย บบ า นเมื อ ง เป น ภาระของสั ง คม บิ ด า มารดาตองเสียเวลาในการประกอบอาชีพ ครู อาจารยตอง เสี ย เวลาในการสอน สิ้ น เปลื อ งกํ า ลั ง เจ า หน า ที่ แ ละ งบประมาณ สําหรับนักเรียนที่มีพฤติกรรมทะเลาะวิวาทเองก็ ถู ก ลงโทษตั้ ง แต ตั ด คะแนนความประพฤติ พั ก การเรี ย น จนถึ ง ขั้ น ไล อ อก ถึ ง แม ว า แต ล ะสถาบั น จะมี บ ทลงโทษ นักเรียนที่มีพฤติกรรมทะเลาะวิวาทถึงขั้นไลออกแลวก็ตาม แตก็ยังคงมีนักเรียนกอการทะเลาะวิวาทอยูเสมอ ซึ่งความ รุ น แรงของการทะเลาะวิ ว าทก็ มี ตั้ ง แต ก ารพู ด จาโต เ ถี ย ง ทะเลาะกัน จนถึงใชอาวุธทํารายรางกายกันทําใหทรัพยสิน ของสถาบันและบุคคลเสียหายมีผูบาดเจ็บเล็กนอยบาดเจ็บ สาหัสและเสียชีวิต (จิราภรณ อํานาจเถลิงศักดิ์.2540:1)
151
ผูวิจัยจึงสนใจศึกษาองคประกอบที่มีอิทธิพลตอ พฤติ ก รรมการทะเลาะวิว าทของนัก เรี ยนระดั บ ช ว งชั้น ที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ความมุงหมายของการศึกษาคนควา 1.เพื่อศึกษาความสัมพันธระหวางองคประกอบ ดานสวนตัว ดานครอบครัว และดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียน กั บ พฤติ ก รรมการทะเลาะวิ ว าทของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช 2.เพื่ อ ศึ ก ษาองค ป ระกอบด า นส ว นตั ว ด า น ครอบครัว และดา นสิ่งแวดลอมในโรงเรียน ที่มีอิท ธิพลตอ พฤติ ก รรมการทะเลาะวิ ว าทของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 ใน โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช 3.เพื่อสรางสมการพยากรณพฤติกรรมการทะเลาะ วิวาทของนักเรียนชวงชั้น ที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ขอบเขตของการศึกษาคนควา ประชากรและกลุมตัวอยาง ประชากรที่ใชในการศึกษาครั้งนี้เปนนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาชวงชั้นที่ 4 ซึ่งกําลังศึกษาอยูในโรงเรียนขนอม พิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ปการศึกษา 2549 จํานวน 188 คน เปนนักเรียนชาย 68 คน และเปน นักเรียนหญิง 120 คน ซึ่งใชเปนกลุมตัวอยางทั้งหมด วิธีการดําเนินการวิจัย ประชากรที่ใชในการศึกษาครั้งนี้เปนนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาชวงชั้นที่ 4 ซึ่งกําลังศึกษาอยูในโรงเรียนขน อมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ปการศึกษา พ.ศ. 2549 จํานวน 188 คน เปนนักเรียนชาย 68 คน และ เปนนักเรียนหญิง 120 คน ซึ่งใชเปนกลุมตัวอยางทั้งหมด เครื่ อ งมื อ ที่ ใ ช ใ นการศึ ก ษาค น คว า ได แ ก แบบสอบถาม องคประกอบที่มีอิทธิพลตอพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของ นั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นขนอมพิ ท ยา อํ า เภอ ขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล คือ การวิเคราะหคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธของเพียรสัน และการ วิเคราะหการถดถอยพหุคูณ โ ด ย ก า ร ใ ช แ บ บ ส อ บ ถ า ม แ บ บ ส อ บ ถ า ม องคประกอบที่มีอิทธิพลตอพฤติกรรมการทะเลาะวิวาท ของ นั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นขนอมพิ ท ยา อํ า เภอขนอม
152
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งแบงออกเปน 9 ตอน ไดแก แบบสอบถามขอมูลสวนตัว แบบสอบถามบุคลิกภาพ มีคา ความเชื่อมั่น .8937 แบบคัดกรองสุขภาพจิต Thai GHQ แบบประเมิ น ความฉลาดทางอารมณ แบบสอบถาม สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับผูปกครองมีคาความเชื่อมั่น.9400 แบบสอบถามลั ก ษณะกายภาพทางการเรี ย นมี ค า ความ เชื่อมั่น.8592 แบบสอบถามสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ ครูมีคาความเชื่อมั่น .9154 แบบสอบถามสัมพันธภาพ ระหวางนักเรียนกับเพื่อน มีคาความเชื่อมั่น.7813 แบบสอบถาม พฤติกรรมการทะเลาะวิวาท มีคาความเชื่อมั่น.9575 สมมติฐานในการศึกษาคนควา 1.องคประกอบดานสวนตัว องคประกอบดาน ครอบครัว และองคประกอบดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียนขน อมพิทยา มีความสัมพันธกับพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของ นั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นขนอมพิ ท ยา อํ า เภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช 2. องค ป ระกอบด า นส ว นตั ว องค ป ระกอบด า น ครอบครัว และองคประกอบดานสิ่งแวดลอมในโรงเรียนขน อมพิ ท ยามี อิ ท ธิ พ ลต อ พฤติ ก รรมการทะเลาะวิ ว าทของ นั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นขนอมพิ ท ยา อํ า เภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช สรุปผลและอภิปรายผลการวิจัย 1. องค ป ระกอบที่ มีความสัม พัน ธ ท างบวกกั บ พฤติ ก รรมการทะเลาะวิ ว าท ของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา ไดแก สุขภาพจิต ( X16) นักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียน ขนอมพิทยา มีสุขภาพจิตดี ทําให มีพฤติกรรมการทะเลาะ วิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ นักเรียนที่มีสุขภาพจิตดี จะมีรางกาย ที่สมบรูณแข็งแรง ราเริง ปฏิบัติตนไดอยางถูกตองตามกาลเทศะ สามารถแกปญหา สามารถปรับตัวและปรับจิตใจไดอยาง เหมาะสมกับสังคม และสภาพแวดลอมที่เปนจริง ยอมรับผล ที่เกิดขึ้นสามารถดํารงชีวิตอยูไดอยางมีความสุข 2. องคประกอบที่มีความสัมพันธทางลบกับพฤติกรรมการ ทะเลาะวิว าท ของนัก เรี ยนชว งชั้ น ที่ 4 โรงเรี ย นขนอม พิทยา มี 5 องคประกอบ ไดแก
ความฉลาดทางอารมณ ( X17) นักเรียนที่มี ความฉลาดทางอารมณเหมาะสม มีพฤติกรรมการทะเลาะ วิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ ความฉลาดทางอารมณ ชวยใหคน มองโลกในแง ดี มี ค วามสุ ข สามารถควบคุ ม ตนเองและ แสดงออกไดอยา งเหมาะสม มีสติที่สามารถรั บ รูวา ขณะนี้ กําลังทําอะไรอยู สามารถอดทนอดกลั้นตอสภาพตางๆ ที่ เกิดขึ้น สัม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ผู ป กครอง (X18) นักเรียนที่มีสัมพันธภาพกับผูปกครองดี มีพฤติกรรม การทะเลาะวิ ว าทน อ ย ทั้ ง นี้ เ พราะ การที่ นั ก เรี ย นมี สัมพันธภาพที่ดีในครอบครัวเกิดจากการที่บุคคลในครอบครัว ให ค วามรั ก ความห ว งใย ความเข า ใจซึ่ ง กั น และกั น เมื่ อ ประสบปญหาก็หันหนาเขาปรึกษากัน บิดามารดา เปนบุคคล สํา คัญ ที่เ ด็ก รัก และเคารพเชื่ อ ฟ ง ดั ง นั้ น ถ า บิ ด ามารดามี เวลาในการอบรมขัดเกลานิสัยเด็ก ใหความรักความอบอุน คอยดูแลและใหความชวยเหลือ เด็กก็จะประพฤติตนในทางที่ ดี ดังนั้น ถานักเรียนที่มีสัมพันธภาพกับผูปกครองดี นักเรียน ก็จะมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ลักษณะกายภาพทางการเรียน( X19) นักเรียน มี พ ฤติ ก รรมการทะเลาะวิ ว าทน อ ย ทั้ ง นี้ เ พราะ อาคาร สถานที่ รวมทั้ ง ตั ว อาคาร สื่ อ อุ ป กรณ ก ารเรี ย น สนาม ตลอดจนสิ่ ง ก อ สร า งต า งๆ ทางโรงเรี ย นจะต อ ง ดู แ ล บํ า รุ ง รั ก ษา ให ส ามารถอยู ใ นสภาพที่ ดี ใ ช ง านได อ ยู เ สมอ นอกจากนี้ ยั ง ต อ งรั ก ษาความสะอาด ตกแต ง สร า ง บรรยากาศที่ ดี มี สื่ อ อุ ป กรณ ที่ ทั น สมั ย ห อ งเรี ย นมี อ ากาศ ถ า ยเท มี แ สงสว า งเพี ย งพอ ทํ า ให จิ ต ใจและอารมณ ข อง นักเรียน สดชื่นพรอมที่จะเรียนรู เปนการสรางบรรยากาศที่ดี ในการเรียนรูอยางหนึ่ง จึงสงเสริมใหนักเรียนเกิดการเรียนรูที่ดี สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู( X20) นั ก เรี ย นที่ มี สั ม พั น ธภาพกั บ ครู ดี มี พ ฤติ ก รรมการทะเลาะ วิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครูดี ชว ยสง เสริม ใหบรรยากาศการเรียนการสอนดีขึ้น ทํา ใหมี ความเข า ใจซึ่ ง กั น และกั น ครู ส ามารถเข า ใจป ญ หาและ สภาพแวดลอมของนักเรียนดีขึ้น มีผลใหเกิดความเห็น ใจ ความหวงใย และความผูกพันอันแนนแฟน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน( X21) นักเรียนที่มีสัมพันธภาพกับเพื่อนดี มีพฤติกรรมการทะเลาะ วิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ การที่นักเรียนมีสัมพันธภาพที่ดีกับ เพื่อนทําใหเกิดความสัมพันธที่ดีตอ กัน ดวยการชวยเหลือ พึ่งพาซึ่งกันและกัน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน การ หวงใยใกลชิดสนิทสนมซึ่งกันและกัน การทํากิจกรรมตาง ๆ รวมกันในกลุมเพื่อนเพื่อใหเกิดความสําเร็จ ทําใหนักเรียน และเพื่ อ นมี ก ารอนุ เ คราะห ช ว ยเหลื อ กั น เมื่ อ มี ป ญ หาก็ ปรึกษา หาทางแกไข ทําใหมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทต่ํา 3.องค ป ระกอบที่ ไ ม มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ พฤติ ก รรมการ ทะเลาะวิวาทของนักเรียนชวงชั้นที่4 โรงเรียนขนอมพิทยา มี 15 องคประกอบ ไดแก เพศชาย ( X1) นักเรียนชายบางคน มีพฤติกรรม การทะเลาะวิวาทมาก ทั้งนี้เพราะจากวัฒนธรรมที่สืบทอดกัน มาสอนใหเพศชายตองเขมแข็งและมีความหนักแนน เปนเพศ ที่ ก ล า คิ ด กล า ทํ า โลดโผนและชอบความท า ทาย เมื่ อ นักเรียนมีปญหา หรือไมสนใจในการเรียน ก็จะทําใหนักเรียน ชายบางคน ไมตั้งใจเรียน ไมมีสมาธิในการเรียน ไมสามารถ ควบคุมตนเองไดเมื่อมีสิ่งเรามากระทบ ทําใหนักเรียนชาย บางคนแกปญหาโดยการ ใชแรงกายหรือกําลังอาวุธเขาทํา รายรางกาย หรือใชถอยคําที่ทําใหผูอื่นไดรับความเจ็บปวด ทางใจการพูดหยาบคาย พูดลอเลียน ลักษณะดังกลาวจึงทํา ใหนักเรียนชายบางคนมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทมาก นัก เรี ย นชายบางคน มี พ ฤติ ก รรมการทะเลาะ วิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ นักเรียนชายบางคน ไดรับการอบรม เลี้ยงดู ไดรับความรักความอบอุนจากผูปกครอง มีแบบอยาง ที่ดีในการประพฤติตน นักเรียนจึงตั้งใจเรียนมีสมาธิในการ เรียน สามารถควบคุมตนเองไดเมื่อมีสิ่งเรามากระทบ จึงทํา ใหนักเรียนชายบางคนมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย เพศหญิง ( X2) นักเรียนหญิงบางคน มีพฤติกรรม การทะเลาะวิวาทมาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียนหญิงบางคน มี อารมณรุนแรง ตองการเปนที่ยอมรับ ตองการเปนผูนําของ กลุม กาวราว มองโลกในแงราย ไมมีเหตุผล ขาดการอบรม เลี้ยงดู ไมไดรับการดูแลเอาใจใสจากผูปกครอง พอแม ผู ป กครองทะเลาะวิ ว าทกั น ให นั ก เรี ย นเห็ น บ อ ยๆ จาก
153
ลักษณะและเหตุการณดังกลาวจึงทําใหนักเรียนหญิงบางคน มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทมาก นั ก เรี ย นหญิ ง บางคน มี พ ฤติ ก รรมการทะเลาะ วิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ นักเรียนหญิงบางคนมองโลกในแงดี มีเหตุผล มีมนุษยสัมพันธดี มีวินยั ไมกาวราว มีสุขภาพจิตดี รูจักการแกปญหาที่ถูกตอง มีความรับผิดชอบ พึงพอใจใน ชีวิต ไดรับการดูแลเอาใจใสจากผูปกครอง จึงทําใหนักเรียน หญิงบางคนมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 4 ( X4) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 บางคนมีพฤติกรรมการ ทะเลาะวิวาทมาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 บางคน ยายมาจากโรงเรียนอื่นจึงยังไมสามารถปรับตัวเขา กับโรงเรียนใหมเพื่อนใหมได มีอารมณรุนแรง ตองการเปน ที่ยอมรับ ตองการเปนผูนําของกลุม กาวราว มองโลกในแง ราย ไมมีเหตุผล ไมยอมรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น ขาด การอบรมเลี้ยงดู ไมไดรับการดูแลเอาใจใสจากผูปกครอง จึงทําใหนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 บางคนมีพฤติกรรมการ ทะเลาะวิวาทมาก นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ( X4) บางคนมี พ ฤติ ก รรมการทะเลาะวิ ว าทน อ ย ทั้ ง นี้ เ พราะ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 บางคนมองโลกในแงดี มี เหตุผล มีมนุษยสัมพันธดีสามารถปรับตัวไดดี ยอมรับฟง ความคิดเห็นของผูอื่น ไดรับการดูแลเอาใจใสจากผูปกครอง จึงทําใหนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 บางคนมีพฤติกรรมการ ทะเลาะวิวาทนอย ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่ 5 ( X5) นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ( X5) บางคนมีพฤติกรรมการ ทะเลาะวิวาทมาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 บางคนเบื่อหนายการเรียน รูจักเพื่อนเยอะมากขึ้นรักสนุก ตองการความทาทายจึงอาจจะชวนกันหนีเรียนบาง ไมสนใจ การเรียน รังแกรุนนองบาง มีอารมณรุนแรง ตองการเปนที่ ยอมรับ ตองการเปนผูนําของกลุม กาวราว มองโลกในแง ราย ไมมีเหตุผล ไมยอมรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น ขาด การอบรมเลี้ยงดูไมไดรับการดูแลเอาใจใสจากผูปกครอง จึง ทําใหนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 บางคนมีพฤติกรรมการ ทะเลาะวิวาทมาก
154
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ( X5) บางคนมี พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 5 บางคนสนใจในการเรียนตั้งใจเรียน มอง โลกในแงดี มีเหตุผล มีมนุษยสัมพันธดี ยอมรับ ฟงความ คิดเห็นของผูอื่น ไดรับการดูแลเอาใจใสจากผูปกครอง ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปที่6(X6)นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 6 ( X6) บางคนมีพฤติกรรมการทะเลาะ วิวาทมาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 บาง คน ตองการเปนที่ยอมรับ ตองการเปนผูนําของกลุม ถือวา ตัวเองเปนรุนพี่มีอํานาจที่ใหญที่สุด ทุกคนตองเชื่อฟงจึงใช อํานาจในทางที่ผิดในการประพฤติปฎิบัติตนกับรุนนองหรือ เพื่อนๆ มีอารมณรุนแรง กาวราว มองโลกในแงราย ไม มีเหตุผล ไมยอมรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น ขาดการอบรม เลี้ยงดู จึงทําใหนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 บางคนมี พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทมาก นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 ( X6) บางคนมี พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 6 บางคน สนใจในการเรียนมุงมั่นในการ เรียนเพื่อที่จะเตรียมตัวสอบเอ็นทรานซ มองโลกในแงดี มี เหตุผล มีมนุษยสัมพันธดี มีวินัยไมกาวราว มีสุขภาพจิตดี รูจักการแกปญหาที่ถูกตอง มีความรับผิดชอบ พึงพอใจใน ชี วิ ต ได รั บ การดู แ ลเอาใจใส จ ากผู ป กครอง และเริ่ ม เป น ผูใหญมากขึ้น จึงทําใหนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 บางคน มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย อาชี พ ของผู ป กครอง : ข า ราชการพนั ก งาน รัฐวิสาหกิจ (X7) นักเรียนบางคนที่ผูปกครองรับขาราชการ พนักงานรั ฐวิส าหกิ จ มีพ ฤติก รรมการทะเลาะวิว าทมาก ทั้งนี้เพราะ ผูปกครองไมรูจักแบงเวลาใหเหมาะสมระหวาง การทํางานและครอบครัว ไมเอาใจใสอบรมดูแลลูก เลี้ยงดู ลูกแบบปลอยปละละเลย หรือเลี้ยงลูกแบบเขมงวด ทําให นักเรียนและครอบครัวไมมีความสุข จึงเห็นวาการใชกําลัง เปนการแกปญหาที่ดีที่สุด ทําใหเกิดพฤติกรรมการทะเลาะ วิวาทมาก นั ก เ รี ยน บา ง คน ที่ อ า ชี พ ข อ ง ผู ป ก ค ร อ ง :รั บ มีพฤติกรรมการ ขาราชการ : พนักงานรัฐวิสาหกิจ (X7) ทะเลาะวิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ ผูปกครองรูจักแบงเวลาให
เหมาะสมระหวางการทํางานและครอบครัว เอาใจใสอบรม ดูแลลูกใหความรักความอบอุน รับฟงความคิดเห็นและให คําปรึกษาแกลูกเมื่อลูกขอคําปรึกษา และเปนแบบอยางที่ดี ในการปฎิ บั ติ ต น นั ก เรี ย นจึ ง เห็ น ว า การใช กํ า ลั ง เป น การ แก ป ญ หาที่ ไ ม ถู ก ต อ ง ดั ง นั้ น จึ ง ทํ า ให เ กิ ด พฤติ ก รรมการ ทะเลาะวิวาทนอย อาชีพของผูปกครอง : เกษตรกรรม( X8) นักเรียนบางคนที่ผูปกครองประกอบอาชีพ เกษตรกรรม มี พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทมาก ทั้งนี้เพราะ ผูปกครองที่ ประกอบอาชีพ เกษตรกรรมบางคน ไมมีเวลาคอยอบรมสั่ง สอน ไมรูจักแบงเวลาใหเหมาะสมระหวางการทํางานและ ครอบครัว ไมเอาใจใสอบรมดูแลลูก เลี้ยงดูลูกแบบปลอย ปละละเลย หรือ เลี้ย งลู ก แบบเข ม งวด ทํา ใหนั ก เรีย นและ ครอบครัวไมมีความสุข เด็กใชเวลาสวนใหญกับเพื่อน ไมมี ใครคอยตั ก เตื อ นชี้ แ นะ จึ ง เห็ น ว า การใช กํ า ลั ง เป น การ แกปญหาที่ดีที่สุด จึงทําใหเกิดพฤติกรรมการทะเลาะวิวาท มาก นั ก เรี ย นบางคนที่ ผู ป กครองประกอบอาชี พ เกษตรกรรม ( X8) มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ทั้งนี้ เพราะ ผูปกครองที่ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม บางคน มี เวลาคอยวากลาวตักเตือน คอยชี้แนะวาสิ่งใดควรทําสิ่งใดไม ควรทํา และผูปกครองก็เปนแบบอยางที่ดีในการปฎิบัติตน อีกทั้ง นัก เรี ย นเองก็ ตอ งชว ยเหลือ ผูป กครองในการทํา งาน ดังนั้นจึงทําใหนักเรียน บางคนมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาท นอย อาชี พ ของผู ป กครอง :ค า ขาย หรื อ ธุ ร กิ จ สวนตัว( X9) นักเรียนบางคนที่ผูปกครองประกอบอาชีพ คาขาย หรือธุรกิจสวนตัว มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทมาก ทั้ ง นี้ เ พราะ ผู ป กครองประกอบอาชี พ ค า ขาย หรื อ ธุ ร กิ จ สวนตัวนั้น ผูปกครองไมรูจักแบงเวลาใหเหมาะสมระหวาง การทํางานและครอบครัว ไมมีเวลาเอาใจใสอบรมดูแลลูก เลี้ยงดูลูกแบบปลอยปละละเลย หรือเลี้ยงลูกแบบเขมงวด ทําใหนักเรียนและครอบครัวไมมีความสุข เด็กใชเวลาสวน ใหญกับเพื่อน ไมมีใครคอยตักเตือนชี้แนะ จึงเห็นวาการใช กํ า ลั ง เป น การแก ป ญ หาที่ ดี ที่ สุ ด ทํ า ให เ กิ ด พฤติ ก รรมการ ทะเลาะวิวาทมาก
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 นักเรีย นบางคนที่ผูป กครองประกอบอาชี พ คาขาย หรือธุรกิจสวนตัว ( X9) มีพฤติกรรมการทะเลาะ วิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ ผูปกครองรูจักแบงเวลาใหเหมาะสม ระหวางการทํางานและครอบครัว มีเวลาใหลูกหลาน เอา ใจใส อ บรมดู แ ลลู ก ให ค วามรั ก ความอบอุ น รั บ ฟ ง ความ คิดเห็นและใหคําปรึกษาแกลูกเมื่อลูกขอคําปรึกษา จึงเห็น ว า การใช กํ า ลั ง เป น การแก ป ญ หาที่ ไ ม ถู ก ต อ ง ทํ า ให เ กิ ด พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย อาชีพของผูปกครอง :รับจาง ( X10) ) ไมมี ความสัมพันธกับพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของนักเรียน ชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัด แสดงวา นักเรียนบางคนที่ผูปกครอง นครศรีธรรมราช ประกอบ อาชีพรับจาง มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทมาก ทั้งนี้เพราะ ผูปกครองที่ประกอบอาชีพรับจางตองใชแรงงาน ในการทํางานหาเงิน จึงทําใหไมมีเวลาใหกับบุตรหลาน ไมมี เวลาคอยวากลาวตักเตือน อบรมสั่งสอน หรือไมเอาใจใส ดูแลบุตรหลาน ปลอยปละละเลย ไมสนใจในความเปนอยู นักเรียนจึงไมรูวาสิ่งใดควรทําสิ่งใดไมควรทํา ทําใหนักเรียน เป น เด็ ก มี ป ญ หา ใช กํ า ลั ง ในการแก ไ ขป ญ หา จึ ง ทํ า ให มี พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทมาก นักเรีย นบางคนที่ผูป กครองประกอบอาชี พ รับจาง( X10) มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ ผูปกครองที่ประกอบอาชีพรับจาง แบงเวลาใหกับลูก เอาใจ ใสอบรมดูแลบุตรหลาน ใหความรักความอบอุน รับฟงความ คิดเห็นและใหคําปรึกษาแกบุตรหลานเมื่อขอคําปรึกษา ได ใกล ชิ ด กั บ บุ ต รหลาน ทํ า ให เ กิ ด สั ม พั น ธภาพที่ ดี ต อ กั น ใน ครอบครัว ทําใหนักเรียนมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย สถานภาพสมรสของบิ ดามารดา:บิดามารดา อยูดวยกัน ( X11) นักเรียนที่มีสถานภาพสมรสของบิดา มารดา:บิ ด ามารดาอยู ด ว ยกั น มี พ ฤติ ก รรมการทะเลาะ วิ ว าทมาก ทั้ง นี้เ พราะ บางครอบครัว ไม มีค วามอบอุ น บิดามารดามีการทะเลาะกันบอยครั้ง นักเรียนเห็นเปนแบบอยาง ทําใหนักเรียนเกิดความเครียด ไมมีความสุข และนักเรียนทํา ตัวเปนเด็กมีปญหา ทําใหมีพฤติกรรมการทะเลาะมาก นักเรียนบางคนที่มีสถานภาพสมรสของบิดา มารดา:บิดามารดาอยูดวย (X11) มีพฤติกรรมการทะเลาะ
155
วิวาทนอย ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่มีสถานถาพของครอบครัว: บิดามารดาอยูดวย นักเรียนจะมีครอบครัวที่มีความรักความ อบอุน มีสมาชิกในครอบครัวพรอมหนาพรอมตา สมาชิกใน ครอบครัวมีความสัมพันธที่ดีตอกัน มีความผูกพันใกลชิดจาก สมาชิกในครอบครัว มีการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานที่ถูกตองก็ จะทําใหมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย สถานภาพสมรสของบิดามารดา: บิดามารดา แยกกันอยู ( X12) นักเรียนที่มีสถานภาพสมรสของบิดา มารดา: บิดามารดาแยกกันอยู มีพฤติกรรมการทะเลาะ วิวาทมาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียนที่มีสถานภาพสมรสของบิดา มารดา:บิดามารดาแยกกันอยู ทําใหนักเรียนรูสึกมีปมดอย ขาดความรั ก ความอบอุ น ในครอบครั ว และไม มี ใ ครคอย แนะนํา แนวทางที่ถู กตอ งในการแก ปญ หา จึง คิ ดวา การใช กําลังเปนการแกปญหาที่ดีที่สุด ทําใหนักเรียนมีพฤติกรรม การทะเลาะวิวาทมาก นักเรียนบางคนที่มี บิดามารดาแยกกันอยู ( X12) มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่ มีส ถานภาพสมรสของบิ ด ามารดา:บิ ด ามารดาแยกกั น อยู ถึงแมจะเปนครอบครัวที่ไมสมบรูณแตเมื่อบิดาหรือมารดา เอาใจใสดูแล อบรม สั่งสอน ชี้แนะบุตรหลานไปในทางที่ ถู ก ต อ งนั ก เรี ย นก็ จ ะสามารถประพฤติ ต นไปในทางที่ ดี ที่ ถูกตอง ทําใหมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย สถานภาพสมรสของบิดามารดา: บิดา มารดาถึงแกกรรม ( X13) นักเรียนที่มีสถานภาพสมรสของ บิดามารดา: บิดามารดาถึงแกกรรม มีพฤติกรรมการทะเลาะ วิวาทมาก ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่มีสถานภาพสมรสของบิดา มารดา:บิดามารดาถึงแกกรรมบางครอบครัว นักเรียนจะขาด ความรักความอบอุนไมมีใครคอยชี้แนะหรืออบรมสั่งสอน ไม มีตัวแบบในการที่จะแสดงพฤติกรรม มี ป มด อ ยจากการ สู ญ เสี ย บิ ด าหรื อ มารดาทํ า ให นั ก เรี ย นรู สึ ก ไม มี ค วามสุ ข ตองการการยอมรับของกลุมเพื่อน จึงแสดงออกมาโดยการ กาวราว นักเรียนบางคนที่บิดามารดาถึงแกกรรม ( X13) มี พฤติ ก รรมการทะเลาะวิ ว าทน อ ย ทั้ ง นี้ เ พราะนั ก เรี ย นที่ มี สถานภาพสมรสของบิดามารดา:บิดามารดาถึงแกกรรมบาง ครอบครัว บิดามารดาที่เหลืออยูสามารถทําหนาที่ไดอยาง
156
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
สมบรู ณ ไม ทํ า ให นั ก เรี ย นเกิ ด ความรู สึ ก เป น ปมด อ ย สามารถเลี้ยงดูบุตรไดอยางมีคุณภาพ นักเรียนจึงมีความสุข และรูวาสิ่งใดควรทําสิ่งใดไมควรทํา จึงทําใหมีพฤติกรรมการ ทะเลาะวิวาทนอย ฐานะทางเศรษฐกิจในครอบครัว ( X14)นักเรียน บางคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวสูง อาจจะเลี้ยง ลูกดวยการตามใจ ผูปกครองไมมีเวลาในการอบรมสั่งสอน ชี้แนะสิ่งที่ถูกที่ควร สนใจแตการทํางานหาเงินใหแกนักเรียน เพียงอยางเดียว นักเรียนขาดความรักความอบอุน นักเรียนบางคนที่ผูปกครองมีฐานะทางเศรษฐกิจ ของครอบครัว สูง มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ทั้งนี้ เพราะ นักเรียนบางคนที่ผูปกครองมีฐานะทางเศรษฐกิจของ ครอบครัวสูง มีฐานะความเปนอยูที่ดี ผูปกครองมีเวลาใน การอบรมสั่งสอนชี้แนะสิ่งที่ถูกที่ควร นักเรียนมีความสุข ก็ ทําใหนักเรียนมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย นั ก เรี ย นบางคนที่ ผู ป กครองที่ มี ฐ านะทาง เศรษฐกิจของครอบครัวต่ํา มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาท มาก ทั้งนี้เพราะ ผูปกครองที่มีฐานะทางเศรษฐกิจของ ครอบครัวต่ําสวนใหญไดรับการศึกษาไมสูงมากนัก สนใจใน การทํางานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและตองทํางานอยาง หนัก จึงไมมีเวลาในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานใหประพฤติ ตนไปในทางที่ ถู ก ต อ ง และส ว นใหญ จ ะอาศั ย อยู ใ น สภาพแวดล อ มที่ ไ ม ดี เห็ น ตั ว อย า งที่ ไ ม เ หมาะสม ซึ่ ง สิ่ ง เหลานี้จะเปนองคประกอบที่สงผลตอพฤติกรรมการกรรม ทะเลาะวิวาทของเด็กมากขึ้น นั ก เรี ย นบางคนที่ ผู ป กครองที่ มี ฐ านะทาง เศรษฐกิจของครอบครัวต่ํามีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ นักเรียนที่มีผูปกครองที่มีฐานะทางเศรษฐกิจของ ครอบครั ว ต่ํ า บางคน เป น นั ก เรี ย นที่ มี ค วามประพฤติ ดี มี จิตสํานึก รูและเขาใจวามีฐานะความเปนอยูที่ลําบากอยูแลว เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของครอบครัว นักเรียนที่มีความรัก ดี รักครอบครัวจึงไมอยากที่จะหาเรื่องหนักอกหนักใจ เขามา เปนปญหาในครอบครัวอีก ซึ่งสิ่งเหลานี้จะเปนองคประกอบ ที่มีอิทธิพลใหเกิดพฤติกรรมการกรรมทะเลาะวิวาทนอย นักเรียนบางคนที่มี บุคลิกภาพ ( X15) บุคลิกภาพแบบแสดงตัว มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทมาก
ทั้งนี้เพราะ นักเรียนที่มีบุคลิกภาพแบบแสดงตัว เปนบุคคล ที่สนใจโลกภายนอก เปนบุคลิกภาพที่ชอบเขาสังคม เปดเผย ชอบกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหว ชอบเป น ผูนํ า อารมณไ ม คงที่เปลี่ยนแปลงไดบอย ไมคอยมีเหตุผล ซึ่งสิ่งเหลานี้จะเปน องคประกอบที่อิทธิพลใหมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทมาก นักเรียนบางคนที่มีบุคลิกภาพแบบแสดงตัวบาง คน มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ นักเรียน ที่มีบุคลิกภาพแบบแสดงตัวบางคนแมจะมีความเชื่ออยูบน รากฐานของความจริง มีอุปนิสัยที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได ตามความเหมาะสม พรอมที่จะเปลี่ยนไปตามสถานการณ ใหม ๆ อยู เ สมอแต ก็ ส ามารถปรั บ ตั ว ให เ ข า ได กั บ ทุ ก สถานการณได ก็จะทําใหมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย นักเรียนบางคนที่มีบุคลิกภาพแบบเก็บตัวบางคน มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทมาก ทั้งนี้เพราะ นักเรียนที่มี บุ ค ลิ ก ภาพแบบเก็ บ ตั ว จะไม มี ก ารยื ด หยุ น อะลุ ม อล ว ย ตั ด สิ น ใจโดยใช ต นเองเป น หลั ก ซึ่ ง สิ่ ง เหล า นี้ จ ะเป น องคประกอบที่อิทธิพลใหมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทมาก นักเรียนบางคนที่มีบุคลิกภาพแบบเก็บตัวบางคน มีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ สนใจแตเรื่อง ของตนเองเปนสําคัญ เก็บความรูสึกไมคอยแสดงออก มีการ วางแผนในการทํางาน อารมณคอนขางคงที่ สิ่งเหลานี้จะเปน องคประกอบที่มีอิทธิพลใหมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย 4. องค ป ระกอบที่ มี อิ ท ธิ พ ลต อ พฤติ ก รรมการ ทะเลาะวิวาทของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียน ขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช อยางมีนัยสําคัญทาง สถิ ติ ที่ ร ะดั บ .01 มี 3 องค ป ระกอบโดยเรี ย งลํ า ดั บ จาก องค ป ระกอบที่ มี อิ ท ธิ พ ลมากที่ สุ ด ไปหาองค ป ระกอบที่ มี อิทธิพลนอยที่สุด ไดแก สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน (X21) มีอิทธิพลทางลบตอพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของนักเรียน ชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช เ ป น อั น ดั บ แ ร ก อ ย า ง มี น ั ย สํ า คั ญ ท า ง ส ถิ ต ิ ที่ ร ะ ดั บ . 0 1 แ ส ด ง ว า นั ก เ รี ย น ที่ มี สัมพันธภาพกับ เพื่อนดี ทําใหมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย ทั้งนี้เพราะ การที่ น ัก เ ร ีย น ม ีส ัม พ ั น ธ ภ า พ ที ่ด ีก ับ เ พื ่อ น เ พื ่อ ใ ห เ ก ิด ความสัม พัน ธที่ดีตอกัน ดวยการชวยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและ
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 กัน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน การหวงใยใกลชิดสนิท สนมซึ่ ง กั นและกั น การทํ า กิ จ กรรมตา ง ๆ รว มกั น ในกลุ ม เพื่ อ นเพื่ อ ให เ กิ ด ความสํ าเร็ จ ทํ าให นั กเรี ยนและเพื่ อนมี การ อนุเคราะหชวยเหลือกัน เมื่อมีปญหาก็ปรึกษา หาทางแกไข ทําใหมี พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอย สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู(X20) มี อิทธิพลทางลบตอพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของนักเรียน ชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัด เปนอันดับที่ 2 อยางมีนัยสําคัญทาง นครศรีธรรมราช สถิติที่ระดับ .01 แสดงวา นักเรียนที่มีสัมพันธภาพกับครูดี ทํ า ให มี พ ฤติ ก รรมการทะเลาะวิ ว าทน อ ย ทั้ ง นี้ เ พราะ สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ครู ดี จะช ว ยส ง เสริ ม ให บรรยากาศการเรียนการสอนดีขึ้น ทําใหมีความเขาใจซึ่งกัน และกั น ครู ส ามารถเข า ใจป ญ หาและสภาพแวดล อ มของ นั ก เรี ย นดี ขึ้ น มี ผ ลให เ กิ ด ความเห็ น ใจ ความห ว งใย และความผูกพันอันแนนแฟน บุคลิกภาพ (X15) มีอิทธิพลตอพฤติกรรมการ ทะเลาะวิวาทของนักเรียนชวงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช เปนอันดับที่ 3 ซึ่งเปน อันดับสุดทาย อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดง วา นักเรียนที่มีบุคลิกภาพแบบแสดงตัวทําใหมีพฤติกรรม การทะเลาะวิ วาทมาก ทั้ง นี้เพราะนั กเรียนที่มีบุคลิก ภาพ แบบแสดงตั ว มีลั ก ษณะที่ ช อบเข า สั ง คม มีบุ ค ลิ ก ลั ก ษณะ สนใจสิ่งแวดลอมรอบตัว มีเพื่อนมาก ชางพูดชางคุย ไมชอบ การเรียนหรือการทํางานโดยลําพังชอบความสนุกสนาน ตลก ขบขัน มองโลกในแงดี ชอบการเคลื่อนไหวและชอบทําสิ่ง
157
ตา งๆ โดยไม ตอ งมีก ารวางแผนล ว งหนา อาจมีพ ฤติก รรม กาวราว และอารมณเสียงาย ทําใหมีพฤติกรรมการทะเลาะ วิวาทมาก ซึ่งตรงกันขามกับนักเรียนที่มีบุคลิกภาพแบบเก็บ ตัวมีลักษณะที่ เงียบขรึม เชื่อมั่นในความนึกคิดของตนเอง ไม ช อบพบปะพู ด คุ ย กั บ คนอื่ น ยกเวน คนใกล ชิด หรื อ เพื่ อ น สนิ ท ไม ช อบเข า สั ง คม ไม ช อบความตื่ น เต น ใช ชี วิ ต อย า ง เคร ง เครี ย ด มี ร ะเบี ย บแบบแผน ควบคุ ม อารมณ แ ละ ความรู สึ ก ได ดี มี อ ารมณ มั่ น คง โดยปกติ ไม มี พ ฤติ ก รรม ในทางกาวราว ทําใหมีพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทนอยกวา บุคลิกภาพแบบแสดงตัว ขอเสนอแนะในการวิจัยครั้งตอไป 2.1 ควรมี ก ารศึ ก ษาตั ว แปรเพิ่ ม เติ ม ที่ เกี่ย วขอ งกับ พฤติก รรมการทะเลาะวิว าท เชน การอบรม เลี้ยงดู ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การเลียนแบบจากตัวแบบ ที่กาวราว เปนตน 2.2 ควรมีการศึกษาองคประกอบที่มีอิทธิพล ตอพฤติกรรมการทะเลาะวิวาท กับนักเรียนในชวงชั้นอื่น ๆ เชน ชวงชั้นที่ 1 ชวงชั้นที่ 2 และชวงชั้นที่ 3 เปนตน 2.3 ควรพัฒ นาองคป ระกอบที่ มี อิท ธิ พ ลต อ พฤติ ก รรมการทะเลาะวิ ว าท ได แ ก สั ม พั น ธภาพระหว า ง นักเรียนกับเพื่อน สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู และ บุคลิกภาพ โดยนําไปทําการทดลองเพื่อพัฒนาองคประกอบ ดังกลา ว ซึ่งจะชวยแกปญ หาพฤติกรรมการทะเลาะวิวาท โดยใชเทคนิคทางจิตวิทยา เชน การปรับพฤติกรรมโดยการ ควบคุมตนเอง การปรับสินไหม กลุมสัมพันธ เปนตน
158
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
บรรณานุกรม การแพทย,กรม.สุขภาพจิต.กรุงเทพฯ : กองสุขภาพจิต กรมการแพทย กระทรวงสาธารณสุข, กาญจนา คําสุวรรณ. (2530). จิตวิทยาเบื้องตน. กรุงเทพฯ : ทวีการพิมพ. คมเพชร ฉัตรศุภกุล และผองพรรณเกิดพิทักษ. 2544.รายงานการวิจัยเรื่องการสรางมาตรา ประเมิ น และปกติ วิ สั ย ของความฉลาดทางอารมณ สํ า หรั บ วั ย รุ น ไทย.ภาควิ ช าการแนะแนวและจิ ต วิ ท ยา การศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. จิราภรณ ฐิตะโภคา. (2540). การศึกษาปจจัยบางประการที่เกี่ยวของกับพฤติกรรมทะเลาะวิวาทของนักเรียนระดับ อาชีวศึกษา ราชบุรี. ปริญญานิพนธ กศ.ม.(จิตวิทยาพัฒนาการ). กรุงเทพฯ: บัณทิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนคริ นทรวิโรฒ.ถายเอกสาร. จิราภรณ อํานาจเถลิงศักดิ์. (2540). การศึกษาปจจัยบางประการที่เกี่ยวของกับพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของ นักเรียนระดับอาชีวศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (จิตวิทยาพัฒนาการ). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร. ดวงเดื อน พัน ธุ มนาวิน และเพ็ญแข ประจนปจจนึก. (2535). จริยธรรมของเยาวชนไทย รายงานการวิจัย ฉบับ ที่ 21. กรุงเทพฯ : กรมการศาสนา. ประดินันท อุปรมัย. (2527). จิตวิทยาการสอน. พิมพครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : วิคตอรี่ เพาเวอรพอยท. วีระ ไชยศรีสุข. (2533). สุขภาพจิต.กรุงเทพฯ :โรงพิมพแสงศิลปการพิมพ. Allman, Lawrence R. and other.(1978) Abnormal – psychology in the Life Eyelet. New York: Harper and Row Pubishers. Bandura,A. (1970). Principles of Behavioral Modification. New York : Holt, Rinehart and Winston. Berkowitz,L. (1965). Advance in Experimental Social Psychology. New York : Academic Press. Bernard, Chester I. (1977). The Function of Executive. Cambridge : Harward University Press. Symond,p.m. (1973). Psychology of Parent – Child Relationship. New York : Appleton Centery Crofts. Inc.
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
159
ปจจัยทีส่ งผลตอแรงจูงใจในการมาเรียนของ นักเรียนชวงชัน้ ที่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย FACTORS AFFECTING LEARNING MOTIVATION OF THE FIRST LEVEL, PRIMARY GRADES 1-3 STUDENTS AT TANAKONSONGKROA SCHOOL IN NONGKHAI PROVINCE ปยะรัตน ดีกลาง 1 ผูชวยศาสตราจารยพรรณรัตน พลอยเลื่อมแสง 2 รองศาสตราจารยเวธนี กรีทอง 2 การวิ จั ย ครั้ ง นี้ มี จุ ด มุ ง หมายเพื่ อ ศึ ก ษาป จ จั ย ที่ ส ง ผลต อ แรงจู ง ใจในการมาเรี ย นของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย ปจจัยที่ศึก ษา แบงเปน 3 ปจจัย คือ ปจจัยดานสวนตัว ไดแก เพศ อายุ ระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุคลิกภาพ สุขภาพจิต และความศรัทธาตอโรงเรียน ปจจัยดานครอบครัว ไดแก ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ความคาดหวังของผูปกครอง ในดานการเรียน และระดับการศึกษาของผูปกครอง ปจจัย ดา นสิ่ง แวดลอมทางการเรียน ไดแ ก ลักษณะทางกายภาพ ทางดานการเรียน สัมพันธภาพระหวางครูกับ นักเรียน และ สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน กลุ ม ตั ว อย า งเป น นั ก เรี ย นระดั บ ช ว งชั้ น ที่ 1 โรงเรี ย นธนากรสงเคราะห จั ง หวั ด หนองคาย ป ก ารศึ ก ษา 2549 จํานวน 140 คน เปนนักเรียนชาย 71 คน และ นักเรียนหญิง 69 คน ซึ่งใชเปนตัวอยางทั้งหมด เครื่องมือที่ใช ในการศึก ษาคน ควา ได แ ก แบบสอบถามปจจัย ที่สง ผลต อ แรงจูงใจในการมาเรียนของนักเรียน สถิติที่ใชในการวิเคราะห ขอมูล คือ การวิเคราะหคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธของเพียรสัน และการวิเคราะหการถดถอยพหุคูณ 1
นิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2
อาจารยประจําภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
160
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
ผลการศึกษา พบวา 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับแรงจูงใจ ใ น ก า ร ม า เ รีย น ข อ ง นัก เ รีย น ใ น ร ะ ดับ ชว ง ชั ้น ที ่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย มีดังนี้ 1.1 ป จ จั ย ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ท างบวกกั บ แรงจู ง ใจในการมาเรี ย นของนั ก เรี ย นในระดั บ ช ว งชั้ น ที่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปจจัย ไดแก เพศ : ชาย ( X1) 1.2 ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับการ มาเรีย นของนัก เรีย นในระดับ ชว งชั้น ที่ 1 โรงเรีย นธนากร สงเคราะห จังหวัดหนองคาย อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 มี 5 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น : ประถมศึกษาปที่ 1 ( X4) ความศรัทธาตอโรงเรียน ( X14) ลักษณะทางกายภาพ ทางดานการเรียน ( X16) สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับครู (X17) และสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน ( X18) 2. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับแรงจูงใจใน การมาเรียนของนักเรียนในระดับชวงชั้น ที่ 1 โรงเรียนธนากร สงเคราะห จังหวัดหนองคาย มีดังนี้ 2.1 ป จ จั ย ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ท างลบกั บ แรงจู ง ใจในการมาเรี ย นของนั ก เรี ย นในระดั บ ช ว งชั้ น ที่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห จัง หวัดหนองคาย อยา งมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 ปจจัย ไดแก ระดับชั้น : ประถมศึกษาปที่ 2 ( X5) และระดับการศึกษาผูปกครอง : ปริญญาตรีหรือเทียบเทา ( X10) 2.2 ป จ จั ย ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ท างลบกั บ แรงจู ง ใจในการมาเรี ย นของนั ก เรี ย นในระดั บ ช ว งชั้ น ที่ 1 โรงเรี ย นธนากรสงเคราะห จั ง หวั ด หนองคาย อย า งมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 2 ปจจัย ไดแก อายุ ( X3) และระดับชั้น : ประถมศึกษาปที่ 3 ( X6) 3. ปจจัยที่ไมมีความสัมพันธกับแรงจูงใจในการ มาเรียนของนักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 1 โรงเรียนธนากรสง เคราะห จังหวัดหนองคาย มี 7 ปจจัย ไดแก เพศ : หญิง ( X2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน( X7) ฐานะทางเศรษฐกิจของ ครอบครัว( X8) ระดับการศึกษาผูปกครอง : ต่ํากวาปริญญา ตรี( X11) บุคลิกภาพ( X12) สุขภาพจิต( X13) และความ คาดหวังของผูปกครองตอการเรียนของนักเรียน( X15)
4. ปจจัยที่สงผลตอการแรงจูงในการมาเรียนของ นักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 1 โรงเรียน ธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4 ปจจัย โดยเรียงลําดับจากปจจัยที่สงผลมากที่สุดไปหา น อ ยที่ สุด ไดแ ก ลัก ษณะทางกายภาพทางดา นการเรีย น ( X16) ความศรัทธาตอโรงเรียน ( X14) สัมพันธภาพระหวาง และฐานะทางเศรษฐกิจ ของ นัก เรีย นกับ ครู( X17 ) ครอบครัว ( X8) ซึ่งปจจัยทั้ง 4 ปจจัยนี้ สามารถรวมกัน อธิ บ ายความแปรปรวนการแรงจู ง ใจในการมาเรี ย นของ นักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 1 โรงเรียน ธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย ไดรอยละ 50.90 5. สมการพยากรณแรงจูงใจในการมาเรียนของ นัก เรีย นในระดับ ชว งชั้น ที่ 1 โรงเรี ย น ธนากรสงเคราะห จัง หวัดหนองคาย มีดังนี้ 5.1 สมการพยากรณแรงจูงใจในการมาเรียน ของนั ก เรี ย นในระดั บ ช ว งชั้ น ที่ 1 โรงเรี ย น ธนากรสง เคราะห จังหวัดหนองคาย ในรูปคะแนนดิบ ไดแก Ŷ = .398 + .358X16 + .301X14 + .270X17+.046 X8 5.2 สมการพยากรณแรงจูงใจในการมาเรียน ของนักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 1 โรงเรียน ธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย ในรูปคะแนนมาตรฐาน ไดแก Z = .359X16 + .342 X14 + .255X17+.129 X8 ABSTRACT The purposes of this research were to study the factors affecting learning Motivation of The First level, Primary Grades 1 – 3 Students at Tanakonsongkroa School in Nongkhai Province. The factors were devided into 3 dimensions , first of them was personal factors : gender,age, class level, learning achievement, personality, mental health, and faith of school, second of them was family factors : guardian’s economic level, guardian’s educational expectation and guardian’s educational level and third of them was learning environment factors: physical learning environment, interpersonal relationship between students and their teachers and
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 interpersonal relationship between students and their peer groups. The 140 samples : 71 males and 69 females were the first level, primary grades 1 – 3 students at Tanakonsongkroa School in Nongkhai Province in academic year 2006. The instrument was a questionnaires of factors affecting on the learning motivation of the first level, primary grades 1 – 3 students. The data was analysed by The Pearson Product Moment Correlation Coefficient and Stepwise Multiple Regression Analysis. The results were as follows : 1. There were significantly positive correlation between learning motivation and 18 factor of The First level, Primary Grades 1 – 3 Students at Tanakonsongkroa School in Nongkhai Province were as follows: 1.1 There were significantly positive correlation between learning motivation and 1 factor : males (X1) of The First level, Primary Grades 1 – 3 Students at Tanakonsongkroa School in Nongkhai Province at .05 level. 1.2 There were significantly positive correlation among learning motivation and 5 factors : class level : prathom suksa I (X4), faith of school (X14), physical learning environment (X16), guardian’s educational expectation (X14), physical learning environment (X16), interpersonal relationship between students and their teachers (X17), and interpersonal relationship between students and their peer groups (X18) of The First level, Primary Grades 1 – 3 Students at .01 level . 2. There were significantly negative correlation between learning motivation and 18 factor of The First level, Primary Grades 1 – 3
161
Students at Tanakonsongkroa School in Nongkhai Province were as follows: 2.1 There were significantly negative correlation between learning motivation and 2 factors : class level : prathom suksa II (X5) and guardian’s educational level : bachelor degree (X10) of The First level, Primary Grades 1 – 3 Students at Tanakonsongkroa School in Nongkhai Province at .05 leve.l 2.2 There were significantly negative correlation among learning motivation and 2 factors : age (X3) and class level : prathom suksa III (X6) of The First level, Primary Grades 1 – 3 Students at .01 level . 3. There were no significantly correlation among learning motivation and 7 factors : female (X2), learning achievement (X7), guardian’s economic level (X8), guardian’s educational level : lower bachelor degree (X11), personality (X12) , mental health (X13), and guardian’s educational expectation (X15) of The First level, Primary Grades 1 – 3 Students at Tanakonsongkroa School in Nongkhai Province. 4. There were 4 factors significantly affected learning motivation of The First level, Primary Grades 1 – 3 Students at Tanakonsongkroa School in Nongkhai Province raking from the most affecters to the least affecters were : physical learning environment (X16) , faith of school (X14), interpersonal relationship between students and their teachers (X17) and guardian’s economic level (X8) at .01 level . These 2 factors could predicted learning Motivation of The First level, Primary Grades 1 – 3 Students about percentage of 50.90. 5. The predicted equation of affecting on learning motivation of The First level, Primary
162
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
Grades 1 – 3 Students at Tanakonsongkroa School in Nongkhai Province at .01 level were as follows : 5.5 In terms of raw scores were : Ŷ = .398 + .358X16 + .301X14 + .270X17+.046 X8 5.6 In terms of standard scores were : Z = .359X16 + .342 X14 + .255X17+.129 X8 ความเปนมาและความสําคัญของการวิจัย การศึกษาเปนกระบวนการสําคัญในการพัฒนา คนใหมีคุณภาพ ซึ่งหากคนมีคุณภาพแลวยอมทําใหสังคมมี ความเจริ ญ ก า วหน า การจั ด การศึ ก ษาให ค นมี คุ ณ ภาพ สอดคล อ งกั บ แผนพั ฒ นาแห ง ชาติ ฉบั บ ที่ 8 ที่ ว า การศึกษาเปนพื้นฐานที่สําคัญที่สุดประการหนึ่งในการสราง ใหเกิดความเจริญกาวหนาและสามารถแกไขปญหาตางๆ ใน สังคม ใหการศึกษามีศักยภาพในการพึ่งพาตนเองและสราง ความกาวหนา (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ. 2539 : 56-57) ในการพัฒนาคนตองพัฒนาอยางรอบดาน และสมดุลเพื่อเปนรากฐานหลักของการพัฒนาอยางยั่งยืน แมวาในสังคมปจจุบันจะเจริญกาวหนา สามารถ เชื่อมโยงกันไดอยางไรพรมแดนและขีดความสามารถของ เทคโนโลยีในอดีตจะไดยกระดับใหดียิ่งก็ตาม แตปรากฏวา ยังคงหลงเหลือความยากจนอยู การกระจายผลประโยชน ยั ง คงมี ค วามเหลื อ มล้ํ า กั น อย า งมาก เช น เดี ย วกั น กั บ การศึ กษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 จัดใหมีการศึกษาภาคบังคับ 9 ป และการศึกษาขั้น พื้นฐาน 12 ป ซึ่งรัฐเปนผูอุดหนุนคาใชจายโดยการใหเรียน ฟรีและมีโครงการอาหารกลางวันให แตอยางไรก็ตามในการ มาโรงเรียนตองประกอบดวยปจจัยอื่นๆ อีกจํานวนมาก เชน คาใชจายในการเดินทาง คาใชจายเกี่ยวกับอุปกรณการเรียน เครื่องแตงกาย เปนตน ปจจัยเหลานี้ในบางคนอาจจะถือ เปนเงินจํานวนนอยนิด แตในบุคคลอีกระดับหนึ่งซึ่งเปนคน สว นใหญ ใ นสังคม เชน คนที่ห าเชา กิ น ค่ํ า ไดคา แรงขั้น ต่ํ า คนเหลานั้นจะเห็นเงินจํานวนนี้เปนเงินจํานวนมาก ดวยเหตุ นี้ เ ด็ ก ที่ อ ยู ใ นครอบครั ว เช น นี้ จึ ง ขาดแรงกระตุ น ให อ ยากรู อยากเห็นและสนใจในการมาโรงเรียนเพื่อศึกษาหาความรู เนื่ อ งมาจากความไม พ ร อ มในหลายๆ ด า น (มาลี จุ ฑ า. 2544 : 151) ดังนั้น การที่โรงเรียนจะไดรับการตอบสนอง
จากนักเรียนจําเปนตองดําเนินการสรางแรงจูงใจตอนักเรียน ใหเกิดความคิดวาตนเองเปนสวนหนึ่งของโรงเรียนและไมคิด วาการมีรายไดนอยของผูปกครองจะเปนปมดอยในการเรียน จนนําไปสูการไมอยากมาโรงเรียนในที่สุด ความมุงหมายของการศึกษาคนควา 1. เพื่อศึกษาความสัมพันธระหวางปจจัยดาน สวนตัว ครอบครัวและสิ่งแวดลอมในโรงเรียนกับแรงจูงใจใน การมาเรี ย นของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 1 โรงเรี ย นธนากรสง เคราะห จังหวัดหนองคาย 2. เพื่อศึกษาปจจัยดานสวนตัว ครอบครัวและ สิ่งแวดลอมในโรงเรียนที่สงผลตอแรงจูงใจใน การมาเรียน ของนักเรียนชวงชั้นที่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัด หนองคาย 3. เพื่อสรางสมการพยากรณข องแรงจูง ใจใน การมาเรียนของนักเรียนชวงชั้นที่ 1 โรงเรียน ธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย สมมติฐานในการศึกษาคนควา 1. ปจจัยดานสวนตัว ดานครอบครัว และดาน สิ่งแวดลอมในโรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ แรงจู ง ใจในการมาเรี ย นของนั ก เรี ย น โรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย 2. ปจจัยดานสวนตัว ดานครอบครัว และดาน สิ่งแวดลอมในโรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย สงผลตอแรงจูงใจในการมาเรียนของนักเรียนโรงเรียนธนากร สงเคราะห จังหวัดหนองคาย วิธีวิจัย ประชากรที่ใชในการวิจัย ประชากรที่ ใ ช ใ นการศึ ก ษาค น คว า เป น นักเรียนชายและนักเรียนหญิงชวงชั้นที่ 1 ของโรงเรียนธนาก รสงเคราะห จังหวัดหนองคาย ปการศึกษา 2549 รวม ทั้งสิ้นจํานวน 141 คน เปนนักเรียนชาย 71 คน และ นักเรียนหญิง 70 คน ซึ่งใชเปนกลุมตัวอยางทั้งหมด สถิติที่ ใชใ นการวิเ คราะห ขอ มูล คือ การวิเ คราะหคา สั ม ประสิท ธิ์ สหสัมพันธของเพียรสัน และการวิเคราะหการถดถอยพหุคูณ การหาคุณภาพเครื่องมือ 1.หาความเที่ยงตรงเชิงประจักษ (Face Validity) โดยนําแบบสอบถามที่สรางขึ้นไปใหผูทรงคุณวุฒิ 3 คน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ตรวจสอบหาความเหมาะสมทั้งทางดานเนื้อหา ขอคําถาม และภาษาที่ใชใหสอดคลองกับนิยามศัพทเฉพาะ แลวนํามา ปรับปรุงแกไขกอนนําไปทดลองใช 2. หาคาความเชื่อมั่น ดังนี้ 2.1 หาคาอํานาจจําแนก (Item Discrimination) รายขอ ของแบบสอบถาม โดยผูวิจัยนําแบบสอบถามที่ได ปรับปรุงแกไขแลวไปทดลองใช (Try out) กับนักเรียนชวงชั้น ที่ 1 โรงเรียนบานพราวเหนือ จังหวัดหนองคาย ที่มีลักษณะ ใกลเคียงกับกลุมตัวอยาง จากนั้นจึงนํามาตรวจใหคะแนน ตามเกณฑที่กําหนดเพื่อหาคาอํานาจจําแนกเปนรายขอ โดย ใชเทคนิค 25% กลุมสูง – กลุมต่ํา แลวทดสอบดวย t – test จากนั้นคัดเลือกเฉพาะขอที่คา t ที่มีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 มาเปนแบบสอบถามในการวิจัย 2.2 หาคาความเชื่อมั่น (Reliability) ของ แบบสอบถาม โดยใชเฉพาะขอที่คัดเลือกแลวในขอ 2.1 ไปหา คาความเชื่อมั่น โดยหาคาสัมประสิทธิ์แอลฟา (α - Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) สรุปผลการวิเคราะหขอมูล ผลการวิเคราะหขอมูลพบวา 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับแรงจูงใจ ใ น ก า ร ม า เ รี ย น ข อ ง นั ก เ รีย น ใ น ร ะ ดับ ชว ง ชั ้น ที ่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย ไดแก เพศชาย ระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 1 ความศรัทธาตอโรงเรียน ลักษณะทางกายภาพทางดานการเรียน สัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับครู และสัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน 2. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับแรงจูงใจใน การมาเรียนของนักเรียนในระดับชวงชั้น ที่ 1 โรงเรียนธนาก รสงเคราะห จังหวัดหนองคาย ไดแก ระดับชั้นประถมศึกษา ปที่ 2 และระดับ การศึก ษาผู ป กครองปริ ญ ญาตรีห รื อ เทียบเทา อายุ และระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 3 3. ปจจัยที่ไมมีความสัมพันธกับแรงจูงใจในการ มาเรียนของนักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 1 โรงเรียนธนากรสง เคราะห จั ง หวั ด หนองคาย มี 7 ป จ จั ย ได แ ก เพศหญิ ง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ระดับการศึกษาผูปกครองต่ํากวาปริญญาตรี บุคลิกภาพ
163
สุขภาพจิต และความคาดหวังของผูปกครองตอการเรียนของ นักเรียน 4. ปจจัยที่สงผลตอการแรงจูงในการมาเรียนของ นักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 1 โรงเรียน ธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4 ปจจัย โดยเรียงลําดับจากปจจัยที่สงผลมากที่สุดไปหา น อ ยที่ สุ ด ได แ ก ลั ก ษณะทางกายภาพทางด า นการเรี ย น ความศรัทธาตอโรงเรียน สัมพันธภาพระหวางนักเรียนกับ ครู และฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ซึ่งปจจัยทั้ง 4 ประการ สามารถรวมกันอธิบายความแปรปรวนการแรงจูงใจ ในการมาเรียนของนักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 1 โรงเรียนธนากร สงเคราะห จังหวัดหนองคาย ไดรอยละ 50.90 อภิปรายผลการวิจัย 1. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางบวกกับแรงจูงใจใน การมาเรียนของนักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 1 โรงเรียนธนาก รสงเคราะห จังหวัดหนองคาย มีดังนี้ เพศ : ชาย นักเรียนชายมีแรงจูงใจในการ มาเรี ย นมาก ทั้ ง นี้ เ พราะตามธรรมชาติ ข องเพศชายจะมี ความสนุกในการเรียนรูสิ่งใหมๆ อยูเสมอ เพราะถือวาการ เรียนรูสิ่งใหมๆ เปนความทาทายที่เกิดขึ้น ทําใหอยากลอง และมี่ความสนใจในการเรียนรูสิ่งเหลานั้น ระดับชั้น : ประถมศึกษาปที่ 1 มีแรงจูงใจ ในการมาเรียนมาก ทั้งนี้เพราะนักเรียนเห็นความสําคัญของ การเรียน ขยันอานหนังสือและทบทวนบทเรียน วางแผนการ เรี ย น ส ง การบ า นและงานที่ ไ ด รั บ มอบหมายตามเวลาที่ กําหนด เมื่อไมเขาใจบทเรียนกลาที่จะถามครู มีเพื่อนที่ให ความเปนกันเอง มีครูที่เอาใจใสดูแล จึงสงผลใหนักเรียนมี แรงจูงใจในการมาเรียน ความศรัทธาตอโรงเรียน นักเรียนที่มีความ ศรัทธาตอโรงเรียนมาก มีแรงจูงใจในการมาเรียนมาก ทั้งนี้ เพราะความรูสึกที่ดีของนักเรียนที่มีตอโรงเรียน ตออาจารย ผูสอน และตอสภาพแวดลอมของโรงเรียน ยอ มสงผลให นักเรียนปฏิบัติตนไปในแนวโนมที่ถูกตองเหมาะสม ตาม เปาหมายของความคิดและจุดมุงหมาย ลั ก ษณะทางกายภาพทางการเรี ย น นั ก เรี ย นที่ ไ ด รั บ ลั ก ษณะกายภาพทางด า นการเรี ย นดี มี
164
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
แรงจูงใจในการมาเรียนมาก ทั้งนี้เพราะลักษณะกายภาพ ทางด า นการเรี ย นดี หมายถึ ง สิ่ ง ที่ ทํ า ให ก ารเรี ย นของ นักเรี ยนมีป ระสิท ธิภาพในการวิจัยครั้งนี้แ บง เปน 2 ดา น คือ สถานที่เรียน สื่อและวัสดุอุปกรณในการเรียน สถานที่ เรียน ไดแก ขนาดหองเรียนพอเหมาะกับจํานวนนักเรียน ความสะอาดของหองเรียน ความเปนระเบียบของหองเรียน การถ า ยเทอากาศดี มี แ สงสว า งเพียงพอ และปราศจาก เสียงและกลิ่นรบกวน สื่อและวัสดุอุปกรณในการเรียน ได แ ก สื่ อ และอุ ป กรณ ก ารเรี ย น มี ค วามทั น สมั ย และมี คุณภาพในการใชงาน ดังนั้นนักเรียนจึงมีความรูสึกพอใจ สนุกที่จะเรียน สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ครู นักเรียนที่มีสัมพันธภาพดีกับครู มีแรงจูงใจในการมาเรียน มาก ทั้ ง นี้ เ พราะสั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ครู หมายถึง การปฏิบัติของครูตอนักเรียน และการปฏิบัติของ นักเรียนตอครู ทั้งภายในและภายนอกหองเรียน เพื่อใหเกิด ความสัมพันธที่ดี ดังนั้น นักเรียนจึงเกิดแรงจูงใจในการมา เรียน สัมพั นธภาพระหวางนักเรียนกับเพื่อน นั ก เรี ย นที่ มี สั ม พั น ธภาพดี กั บ เพื่ อ น มี แ รงจู ง ใจในการมา เรียนมาก ทั้งนี้เพราะนักเรียนที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อน มี การเอาใจใสดูแลกันชวยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แสดง ความสนใจตอเพื่อน ชวยเหลือแนะนําในดานการเรียน มี การใหเกียรติซึ่งกันและกัน และชวยเหลือกันเมื่อเกิดปญหา 2. ปจจัยที่มีความสัมพันธทางลบกับแรงจูงใจใน การมาเรียนของนักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 1 โรงเรียนธนาก รสงเคราะห จังหวัดหนองคาย ไดแก ระดับชั้น : ประถมศึกษาปที่ 2 นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 2 มีแรงจูงใจในการมา เรียนนอย ทั้งนี้เพราะ เนื้อหาวิชาเรียน และกิจกรรมภายใน ชั้นเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 2 มีความยากและ ซับซอนขึ้นเปนลําดับ ซึ่งทําใหนักเรียนไมสามารถทําความ เขาใจในบทเรียนได จนเกิดความทอแท และขาดแรงจูงใจ ในการมาเรียนในที่สุด ระดับการศึกษาผูปกครอง : ปริญญาตรี หรือเทียบเทา นักเรียนที่ผูปกครองจบการศึกษาระดับ ปริญ ญาตรี ห รื อ เที ยบเท า มี แ รงจูง ใจในการมาเรี ยนนอ ย
ทั้ ง นี้ เ พราะในป จ จุ บั น ผู ป กครองที่ มี ก ารศึ ก ษาในระดั บ ปริญญาตรี ตองทํางานเพื่อนําเงินมาเปนคาใชจาย ทําให ผูปกครองไมมีเวลาในการดูแล สนใจบุตรเทาที่ควร ดังนั้น นักเรียนจึงไมไดรับการสนับสนุนและใหกําลังใจอยางเต็มที่ จึงสงผลใหนักเรียนขาดแรงจูงใจในการมาเรียน อายุ นักเรียนที่มีอายุนอย มีแรงจูงใจในการ มาเรี ย นมาก ทั้ ง นี้ เ พราะนั ก เรี ย นที่ มี อ ายุ น อ ยจะมี ค วาม กระตือรือรน สนใจ อยากเรียนรูสิ่งใหมๆ ที่เกิดขึ้นมาก อายุ เป น ส ว นสํ า คั ญ ที่ ทํ า ให นั ก เรี ย นมี ลั ก ษณะบางประการ แตกตางกัน เชน ดานแรงจูงใจ การเรียนรู ระดับชั้น : ประถมศึกษาปที่ 3 นักเรียน ระดับประถมศึกษาปที่ 3 มีแรงจูงใจในการมาเรียนนอย ทั้งนี้ เพราะ เนื้ อ หาวิ ช าเรี ย น และกิ จ กรรมภายในชั้ น เรี ย นใน ระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 3 มีความยากและซับซอนขึ้นเปน ลําดับ ซึ่งทําใหนักเรียนไมสามารถทําความเขาใจในบทเรียนได จนเกิดความทอแท และขาดแรงจูงใจในการมาเรียนในที่สุด 3. ปจจัยที่ไมมีความสัมพันธกับแรงจูงใจใน การมาเรียนของนักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 1 โรงเรียนธนาก รสงเคราะห จังหวัดหนองคาย มี 7 ปจจัย ไดแก เพศ : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ฐานะทางเศรษฐกิจของ หญิง ครอบครัว ระดับการศึกษาผูปกครองต่ํากวาปริญญาตรี บุคลิกภาพ สุขภาพจิต และความคาดหวังของผูปกครอง ตอการเรียนของนักเรียน 4. ปจจัยที่สงผลตอการแรงจูงในการมาเรียนของ นักเรียนในระดับชวงชั้นที่ 1 โรงเรียน ธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4 ปจจัย โดยเรียงลําดับจากปจจัยที่สงผลมากที่สุดไปหา น อ ยที่ สุ ด สามารถร ว มกั น อธิ บ ายความแปรปรวนการ แรงจู ง ใจในการมาเรี ย นของนั ก เรี ย นในระดั บ ช ว งชั้ น ที่ 1 โรงเรี ย นธนากรสงเคราะห จั ง หวั ด หนองคาย ได ร อ ยละ 50.90 ซึ่งอภิปรายไดดังนี้ ลั ก ษณะทางกายภาพทางการเรี ย น ส ง ผลต อ แรงจู ง ใจในการมาเรี ย นของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย เปนอันดับแรก แสดงวา ลักษณะกายภาพทางดาน การเรียนดี ทําใหนักเรียน
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 มี แ รงจู ง ใจในการมาเรี ย นมาก ทั้ ง นี้ เ พราะโรงเรี ย นมี บรรยากาศดี อากาศถายเทไดสะดวก แสงสวางเพียงพอ ปราศจากเสียงรบกวน บริเ วณรมรื่น สวยงาม มีสื่อ การ สอนที่ทันสมัย ครบครันเพียงพอตอจํานวนนักเรียน ความศรัทธาตอโรงเรียน สงผลตอ แรงจูงใจในการมาเรียนของนักเรียนชวงชั้นที่ 1 โรงเรียนธ นากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย เปนอันดับที่ 2 แสดงวา นักเรียนที่มีความศรัทธาตอโรงเรียน ทําใหมีแรงจูงใจในการ มาเรียนมาก ทั้งนี้เพราะความศรัทธาตอโรงเรียน หมายถึง ความรูสึกที่ดีของนักเรียนที่มีตอโรงเรียน อาจารยผูสอนที่ ทรงคุณวุฒิ และสภาพแวดลอมในโรงเรียน ไดแก ชอบ ชื่ อ เสี ย งของโรงเรี ย น ภู มิ ใ จในการสอนของครู ชอบ ห อ งเรี ย น สถานที่ พั ก ผ อ นนอกห อ งเรี ย น และสวั ส ดิ ก าร ตางๆ ในโรงเรียน จะสงผลใหนักเรียนปฏิบัติตนไปใน แนวโนมที่ถูกตองเหมาะสม ตามเปาหมายของความคิดและ จุดมุงหมาย สั ม พั น ธภาพระหว า งนั ก เรี ย นกั บ ครู สงผลต อ แรงจูง ใจในการมาเรีย นของนัก เรี ยนชว งชั้ น ที่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย เปนอันดับที่ 3 แสดงวา นักเรียนมีสัมพันธภาพที่ดีกับครู ทําใหมีแรงจูงใจ ในการมาเรียนมาก ทั้งนี้เพราะสัมพันธภาพระหวางนักเรียน กับ ครู หมายถึ ง การปฏิ บั ติ ข องครู ต อ นั ก เรี ย น และการ ปฏิบัติของนักเรียนตอครู ทั้งภายในและภายนอกหองเรียน เพื่อใหเกิดความสัมพันธที่ดี ดังนั้น นักเรียนจึงเกิดแรงจูงใจ ในการมาเรียน ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว สงผล ต อ แรงจู ง ใจในการมาเรี ย นของนั ก เรี ย นช ว งชั้ น ที่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห จังหวัดหนองคาย เปนอันดับที่สี่ ซึ่งเปนอันดับสุดทาย แสดงวานักเรียนที่มีฐานะทาง เศรษฐกิจของครอบครัวดี ทําใหมีแรงจูงใจในการมาเรียน
165
มาก เพราะ ไดรับการอบรมเลี้ยงดูอยางดี จากพอแมและ ผูปกครองโดยใหนักเรียนแสดงพฤติกรรมและคาใชจายตางๆ ที่เหมาะสมกับฐานะของตนเอง ไมฟุงเฟอใชจายมากจนเกิน ฐานะของตนเอง และสอนใหนักเรียนมีความตั้งใจที่จะเรียน ใหสูงขึ้นเพื่อเปนเกียรติแกวงศตระกูล แตอยางไรก็ตามมีนักเรียนบางคนที่ฐานะทาง เศรษฐกิจของครอบครัวไมดี ครอบครัวไมสามารถสนับสนุน คาใชจา ยตางๆ เกี่ยวกับ การเดินทาง อุปกรณการเรี ยน เครื่ อ งแต ง กาย อี ก ทั้ ง ผู ป กครองไม ไ ด ใ ห ค วามรั ก ความ หวงใย เอาใจใส อยางเพียงพอ จากความไมเทาเทียมกันนี้ นักเรียนถูกนําไปเปรียบเทียบกับเพื่อน จึงทําใหนักเรียนเกิด ความคิดวาตนเองมีปมดอย สงผลใหนักเรียนขาดแรงจูงใจ ในการมาเรียน ขอเสนอแนะในการวิจัยครั้งตอไป 1 ควรมีการศึกษาปจจัยเพิ่มเติมที่เกี่ยวของ กับแรงจูงใจในการมาเรียนนอกเหนือจากตัวแปรที่ศึกษา มาแลว เชน อัตมโนทัศน ความฉลาดทางอารมณ (EQ) สภาพครอบครัว เปนตน 2 ควรมีการศึกษาปจจัยที่สงผลตอแรงจูงใจ ในการมาเรียนกับนักเรียน ในชวงชั้นอื่น เชน ชวงชั้นที่ 2 ชวงชั้นที่ 3 และชวงชั้นที่ 4 เปนตน 3 ควรพัฒนาปจจัยที่สงผลตอแรงจูงใจในการ มาเรียนของนักเรียน ไดแก ลักษณะทางกายภาพทางดาน การเรียน ความศรัทธาตอโรงเรียน และสัมพันธภาพระหวาง นักเรียนกับครู โดยนําไปทําการทดลองเพื่อพัฒนาปจจัย ดังกลาวซึ่งจะชวยแกปญหาการมาเรียนของนักเรียน โดยใช เทคนิคทางจิตวิทยา เชน การปรับพฤติกรรม กลุมสัมพันธ เปนตน
บรรณานุกรม สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี. (2539). แผนพัฒนาการศึกษาแหงชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544). กรุงเทพฯ : สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ. มาลี จุฑา. (2544). การประยุกตจิตวิทยาเพื่อการเรียนรู. กรุงเทพฯ : อักษราพิพัฒนจํากัด.
166
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
การพัฒนาโปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตรสาํ หรับ เด็กที่มีปญหาทางการเรียนรู MATHEMATICS REMEDIAL PROGRAM DEVELOPMENT FOR CHILDREN WITH LEARNING DISABILITIES อาจารยสิริลักษณ โปรงสันเทียะ บทคัดยอ การศึ ก ษาครั้ ง นี้ มี จุ ด มุ ง หมายเพื่ อ พั ฒ นา โปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตรสําหรับ เด็กที่มีปญหาทางการ เรียนรู ดวยการดําเนินการวิจัยและพัฒนาเปน 3 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 สรางโปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตรสําหรับเด็กที่มี ปญหาทางการเรียนรู ขั้นตอนที่ 2 ศึกษา ประสิทธิผลของ โปรแกรมซ อมเสริ มคณิ ตศาสตร สํ าหรั บเด็ กที่ มี ป ญหาทางการ เรียนรู ขั้นตอนที่ 3 ประเมินความเหมาะสมของโปรแกรมซอม เสริ ม คณิ ต ศาสตร สํ า หรั บ เด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู แ ละ ปรับปรุงโปรแกรม กลุมตัวอยางที่ใชในการสรางเครื่องมือคัด แยกเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูดานคณิตศาสตร เปนนักเรียน ระดับประถมศึกษาปที่ 2 และ 3 ที่ไดจากการคัดกรองเด็กที่มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู โ ดยแบบสํ า รวจป ญ หาทางการเรี ย นรู จํานวน 199 คน กลุมตัวอยางที่ใชในการจัดกิจกรรมซอมเสริม คณิตศาสตร การประเมินความสามารถทางคณิตศาสตร และ การทดสอบการ รับรูความสามารถตนเองดานคณิตศาสตร เปน นักเรียนที่มีปญหาทางการเรียนรูระดับประถมศึกษาปที่ 2 และ 3 เลือกมาโดยวิธีเจาะจง จํานวน 23 คน เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ครั้งนี้มี 4 ชนิด คือ แบบคัดแยกเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรู ดานคณิตศาสตร แบบประเมินความสามารถทางคณิตศาสตร แบบวัดการรั บ รูค วามสามารถของตนดานคณิตศาสตร และ แผนการจัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตร การวิเคราะหขอมูล ใชสถิติคํานวณ คามัธยฐาน คาพิสัยควอไทล สถิติทดสอบ The Wilcoxon Matched – Pairs Signed – Rank Test และ สถิติวิเคราะหคุณภาพของเครื่องมือวัด อาจารยประจําโปรแกรมวิชาการศึกษาพิเศษ คณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ผลการศึกษา 1. โปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตรสําหรับเด็กที่มี ปญหาทางการเรียนรู ประกอบดวย (1) แบบคั ด แยกเด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู ด า น คณิตศาสตร ที่มีคาความเชื่อมั่นเทากับ 0.98 (2) แผนการ จัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตร สําหรับนักเรียนชั้นประถม ปที่ 2 และ 3 ดานการจําแนกทางสายตา การนับ การแทนคา ประจําหลัก การบวก การลบ และการแกโจทยปญหา (3) แบบประเมิ น ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร ที่ มี ค า ความ เชื่อมั่นเทากับ 0.92 คาความเชื่อมั่นของแบบประเมินราย ดาน อยูระหวาง 0.54 ถึง 0.86 มีคาความยากงายอยูระหวาง 0.34 – 0.80 และคาอํานาจจําแนกอยูระหวาง 0.22 ถึง 0.88 และ (4) แบบวัด การรับ รูค วามสามารถของตนด า น คณิตศาสตร ที่มีคาความเชื่อมั่นเทากับ 0.92 โปรแกรมซอม เสริ ม คณิ ต ศาสตร สํ า หรั บ เด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู มี ความเหมาะสมในระดับดีมาก 2. ป ร ะ สิ ท ธิ ผ ล ข อ ง โ ป ร แ ก ร ม ซ อ ม เ ส ริ ม คณิตศาสตรสําหรับเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรู ดาน (1) ความสามารถทางคณิตศาสตรของเด็ กที่มีปญหาทางการ เรียนรูหลังการจัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตร อยูในระดับ ดี ม าก และ (2) การรั บ รู ค วามสามารถของตนด า น คณิตศาสตรข องเด็กที่ทีปญ หาทางการเรียนรู หลังการจัด กิ จ กรรมซ อ มเสริ ม คณิ ต ศาสตร สู ง ขึ้ น อย า งมี นั ย สํ า คั ญ ที่ ระดับ .01 Abstract The main purpose of this research was to develop mathematics remedial program for children with learning disabilities. Three phases of the research were conducted. The first phase was the development of mathematics remedial program for children with learning disabilities. The second phase was the study of mathematics remedial program effectiveness. The final phase was the evaluation of math remedial program for children with learning disabilities and the improvement of this program. One hundred and ninety – nine prathom 2 and 3 students that were
167
subjects in the first phase were screened by Learning Disabilities Survey. The 23 subjects with learning disabilities were received math remedial activities, assessed math competency and self – efficacy. These subjects were selected from purposive sampling. Four instrumentation were used in this research that were math disabilities screening test, math competency assessment, self – efficacy assessment and math remedial activities. The data were analyzed by using Median, Interquartile Range, Wilcoxon Matched - Pairs Signed - Rank Test and statistic for instrumentation quality analysis. The results of this research revealed that 1. Mathematics remedial program for children with learning disabilities consisted (1) math disabilities screening test that had reliability as 0.98 (2) math remedial activities for prathom 2 and 3 students that had 6 units. They were visual discrimination, counting, place values, addition, subtraction and word problem solving (3) math competency assessment that had reliability as 0.92. The reliability of 6 subtests ranged from 0.54 – 0.86. The item difficulty was between 0.34 – 0.80. The test discrimination was between 0.22 – 0.88. (4) self – efficacy assessment that had reliability as 0.92. 2. The effectiveness of math remedial program for children with learning disabilities revealed that (1) the subjects showed excellent level from math competency assessment after finished math remedial program and (2) the subjects achieved higher scores in self – efficacy assessment during the post test .01 statistical significance. ความเปนมาของปญหาการวิจัย เด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู เ ป น เด็ ก ที่ มี ค วาม ต อ งการพิ เ ศษกลุ ม หนึ่ ง ที่ ไ ด รั บ โอกาสทางการศึ ก ษา ตาม
168
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 วรรคสองระบุวา “การจัดการศึกษาสําหรับบุคคลซึ่งมีความ บกพรองทางรางกาย จิตใจ สติปญญา และอารมณ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู หรือมีรางกายพิการหรือทุพลภาพ หรือบุคคลซึ่งไมสามารถพึ่งตนเองได หรือ ไมมีผูดูแ ล หรือ ดอยโอกาส ตองจัดใหบุคคลดังกลาวมีสิทธิและโอกาสไดรับ การศึกษาขั้นพื้นฐานเปนพิเศษ” (คณะกรรมการการศึกษา แหงชาติ, สํานักงาน. 2542) เด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูเปน เด็ ก ที่ มี ป ญ หาในการเรี ย นต า งๆ เช น การอ า น การเขี ย น คณิตศาสตร ซึ่งเด็กจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ํา ทั้งๆ ที่มี ระดับ สติ ป ญ ญาปกติ ห รื อ สูง กวา ปกติ (ศรีย า นิ ย มธรรม; ดารณี ศักดิ์ศิริผล. 2545: 68 – 71) โดยความบกพรอง ดังกลาวเกิดจากกระบวนการพื้นฐานทางจิตวิทยา ทั้งนี้ไม รวมเด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู อั น เนื่ อ งจากสภาพของ รางกาย ประสาทสัมผัส หรือการดอยโอกาสทางเศรษฐกิจ และสั ง คม (คณะอนุ ก รรมการคั ด เลื อ กและจํ า แนกความ พิการเพื่อการศึกษา, กระทรวงศึกษาธิการ. 2543: 27 – 31) โดย แนวโนมของประชากรของเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูจะ เพิ่มมากขึ้น การที่จํานวนเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูมีจํานวน มากขึ้น สวนใหญคือเด็กที่เรียนในโรงเรียนทั่วไป โดยสภาพ ความบกพร อ งของเด็ ก กลุ ม นี้ คื อ การเรี ย นรู ที่ ต่ํ า กว า ความสามารถที่แทจริง ในขณะที่พระราชบัญญัติการศึกษา แหงชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 22 ระบุวา “การจัดการศึกษาตองยึด หลักวาผูเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรูและพัฒนาตนเอง ได ถือวาผูเรียนมีความสําคัญที่สดุ กระบวนการจัดการศึกษา ตอ งส ง เสริ ม ให ผูเ รีย นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็ ม ศักยภาพ” ดังนั้นการจัดการศึกษาสําหรับเด็กที่มีปญหาทางการ เรียนรู ซึ่งเปนกลุมที่มีลักษณะการเรียนรูในรูปแบบเฉพาะอีกทั้ง ยังมีความแตกตางในขอจํากัดของแตละคนถึงแมจะเปนกลุม ที่มีป ญหาทางการเรียนรูเหมือนกันก็ตาม จึ งต องการการจัด การศึ กษาที่ ต อบสนองลั ก ษณะเฉพาะดั ง กล า ว โดยการ ประเมินเพื่อการชวยเหลือเด็กเปนรายบุคคล การศึกษาเกี่ยวกับเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรู ด า นคณิ ต ศาสตร ใ นประเทศไทยส ว นใหญ เ ป น การศึ ก ษา เกี่ยวกับวิธีการชวยเหลือหรือแกไขเด็กที่มีปญหาการเรียน คณิตศาสตร หรือมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชานี้ต่ํา จึงมีการ
วิจัย เกี่ ยวกั บ การซอ มเสริ ม เด็ก ตามเนื้ อ หาที่นั ก เรีย นยั ง ไม เข า ใจดี นั ก การวิ จั ย ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ เด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการ เรี ย นรู จ ะเป น เรื่ อ งการเพิ่ ม ทั ก ษะทางคณิ ต ศาสตร โ ดยใช วิธีการสอนแบบตางๆ (สายพิณ โคกทอง. 2542; สันติ เบา พูนทอง. 2544; ลออ เอี่ยมออน. 2546) การพัฒนาองค ความรูที่เปนรูปแบบจึงยังไมเกิดขึ้น ผูวิจัยจึงเล็งเห็นความ จําเปนในการพัฒนาองคความรูจากการวิจัยเรื่องการประเมิน เด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู ด า นคณิ ต ศาสตร เ พื่ อ พั ฒ นา โปรแกรมการชวยเหลือหรือการแกไขที่เหมาะสมสอดคลอง มีประสิทธิภาพกับบริบทของไทย วัตถุประสงคของการวิจัย 1. เพื่อสรางโปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตรสําหรับ เด็กที่มีปญหาทางการเรียนรู ดังนี้ 1.1 เพื่อสรางแบบคัดแยกเด็กที่มีปญหาทางการ เรียนรูดานคณิตศาสตรระดับประถมศึกษาปที่ 2 และ 3 1.2 เพื่อสรางแผนการจัดกิจกรรมการซอมเสริม คณิ ต ศาสตร สํ า หรั บ เด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู ร ะดั บ ประถมศึกษาปที่ 2 และ 3 1.3 เพื่ อ สร า งแบบประเมิ น ความสามารถทาง คณิ ต ศาสตร สํ า หรั บ เด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู ร ะดั บ ประถมศึกษาปที่ 2 และ 3 1.4 เพื่อสรางแบบวัดการรับรูความสามารถของ ตนดานคณิตศาสตร 2. เพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมซอมเสริม คณิตศาสตรสําหรับเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรู 2.1 ประเมินความสามารถทางคณิตศาสตร ดานการจําแนกทางสายตา การนับ การแทนคาประจําหลัก การบวก การลบ และการแกโจทยปญหา หลังการจัดกิจกรรม ซอมเสริมคณิตศาสตร 2.2 ป ร ะ เ มิ น โ ป ร แ ก ร ม ซ อ ม เ ส ริ ม คณิตศาสตรสําหรับเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรู 3. เพื่ อ ประเมิ น ความเหมาะสมของโปรแกรม ซอมเสริมคณิตศาสตรสําหรับเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรู สมมุติฐาน 1. แบบคั ด แยกเด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู ดานคณิตศาสตรที่สรางขึ้น มีคาความเชื่อมั่นไมต่ํากวา 0.80
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 2. แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ค ว า ม ส า ม า ร ถ ท า ง คณิตศาสตรที่สรางขึ้น มีคาความเชื่อมั่นไมต่ํากวา 0.80 3. แบบวัดการรับรูความสามารถของตนดาน คณิตศาสตรที่สรางขึ้น มีคาความเชื่อมั่นไมต่ํากวา 0.80 4. ประสิ ท ธิ ผ ลของโปรแกรมซ อ มเสริ ม คณิตศาสตรสําหรับเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูอยูในระดับ เหมาะสมดี 4.1 ความสามารถทางคณิตศาสตรดานการ จําแนกทางสายตาของเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูหลังการ จัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตร อยูในระดับดี 4.2 ความสามารถทางคณิตศาสตรดานการ นับของเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูหลังการจัดกิจกรรมซอม เสริมคณิตศาสตร อยูในระดับดี 4.3 ความสามารถทางคณิตศาสตรดานการ แทนคาประจําหลักของเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูหลังการ จัดแผนการจัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตร อยูในระดับดี 4.4 ความสามารถทางคณิตศาสตรดานดาน การบวกของเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูหลังการจัดกิจกรรม ซอมเสริมคณิตศาสตร อยูในระดับดี 4.5 ความสามารถทางคณิตศาสตรดานดาน การลบของเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูหลังการจัดกิจกรรม ซอมเสริมคณิตศาสตร อยูในระดับดี 4.6 ความสามารถทางคณิตศาสตรดานการ แกโจทยปญหาของเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูหลังการจัด กิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตร อยูในระดับดี 4.7 การรั บ รู ค วามสามารถของตนด า น คณิตศาสตรของเด็กที่มีปญหาทางการ เรียนรูห ลังการจัด แผนการจัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตรสูงขึ้น 5. ความเหมาะสมของโปรแกรมซ อ มเสริ ม คณิตศาสตรสําหรับเด็กที่มีปญหาทาง การเรียนรู อยูใน ระดับ เหมาะสมดี วิธีดําเนินการวิจัย การดําเนินการวิจัยในครั้งนี้ มีการดําเนินการเปน 6 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การคัดกรองเด็กที่มีปญหาเด็กที่ มีปญหาทางการเรียนรูดานคณิตศาสตร กับเด็กที่ไมมี ปญหาทางการเรียนรู
169
กลุมตัวอยางเปนนักเรียนระดับประถมศึกษาปที่ 2 และ 3 จํานวน 389 คน จาก ประชากร 10,429 คน กํา หนดขนาดกลุมตัวอยา งโดยใชต าราง Krejcie และ Morgan กลุม ตัวอยางไดมาโดยการเลือกแบบเจาะจง และให นั ก เรี ย น ทุ ก คนเป น หน ว ยการสุ ม ได ก ลุ ม ตั ว อย า ง จํานวน 5 โรงเรียน คือ โรงเรียนเทศบาล 2 (สมอราย) จํานวน 75 คน โรงเรียนเทศบาล 5 (วัดปาจิตตสามัคคี) จํานวน 40 คน โรงเรี ย นเมื อ ง คน โรงเรี ย นอั ส สั มชั ญ จํ า นวน 40 นครราชสีมา จํานวน 85 คน และโรงเรียนวัดสระแกว จํานวน 149 คน รวมเปน 389 คน การเก็ บ รวบรวมข อ มู ล ใช แ บบสํ า รวจทางการ เรียนรูเฉพาะดาน ของ ศาสตราจารย ดร.ผดุง อารยะวิญู เปนแบบสํารวจปญหาการเรียน 3 ดาน คือ ดานการอาน การ เขียนและการสะกดคํา และคณิตศาสตร ทําโดยใหครูผูสอนที่ รูจักเด็กเปนอยางดีประเมินเด็กตามแบบสํารวจปญหาการ เรียนรูเ ฉพาะด า น แลว แปลผลตามเกณฑ ข องแบบสํ า รวจ ปญหาทางการเรียนรูเฉพาะดาน ขั้นตอนที่ 2 การสรางแบบคัดแยกเด็กที่มี ปญหาทางการเรียนรูดานคณิตศาสตร กลุมตัวอยางเปนนักเรียนระดับประถมศึกษาปที่ 2 และ 3 ซึ่งผานการคัดกรองมาจากการดําเนินการวิจัย ขั้นตอนที่ 1 จากนักเรียนจํานวน 389 คน ไดคัดกรองนักเรียน ออกเปน 3 กลุม คือ นักเรียนที่มีปญหาทางการเรียนรูดาน คณิตศาสตร จํานวน 89 คน นักเรียนที่มีปญหาทางการเรียนรู ดานอื่น จํานวน 190 คน และนักเรียนที่ไมมีปญหาทางการ เรียนรู จํานวน 110 คน นํานักเรียนเฉพาะนักเรียนที่มีปญหา ทางการเรียนรูดานคณิตศาสตร และนักเรียนที่ไมมีปญหา ทางการเรียนรูไปใชในการหาคะแนนจุดตัดของแบบคัดแยก เด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูดานคณิตศาสตร การเก็บรวบรวมขอมูล ทําโดยใชแบบคัดแยกเด็ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู ด า นคณิ ต ศาสตร ที่ ส ร า งขึ้ น เป น แบบทดสอบที่มีแบบทดสอบยอย จํานวน 6 ดาน คือ ดาน การจํ า แนกตั ว เลข ด า นกระบวนการนั บ ด า นการแทนค า ประจําหลัก ดานกระบวนการบวก ดานโจทยปญหา และ ดานการบวกและการลบตามแนวตั้งและแนวนอน ไปทดสอบ กับนักเรียน ที่เปนกลุม ตัวอยาง จํานวน 199 คน เพื่อ
170
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
กําหนดเกณฑการตัดสิน และทดสอบเพื่อหาคาความเชื่อมั่น ของแบบคั ด แยกกั บ นั ก เรี ย นที่ เ ป น กลุ ม ตั ว อย า ง โรงเรี ย น เทศบาล 2 (สมอราย) จํานวน 39 คน ทําการวิเคราะหขอมูล โดยหาคาสถิติ ไดแก คาดัชนีความสอดคลอง คาสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธโดยวิธีสอบซ้ํา (Test – Retest Method) และ คะแนนจุดตัดและสัมประสิทธิ์ความแมนตรง ขั้ น ตอนที่ 3 การสร า งแบบประเมิ น ความสามารถทางคณิตศาสตร กลุมตัวอยางเปนนักเรียนระดับประถมศึกษาปที่ 2 และ 3 โรงเรียนสวนหมอน จํานวน 50 คน เพื่อใชในการ วิเคราะหคุณภาพของแบบวัดในเรื่องความยากงาย อํานาจ จําแนก และคาความเชื่อมั่นของแบบประเมินความสามารถ ทางคณิตศาสตร การเก็บรวบรวมขอ มูล ทํ าโดยใชแบบประเมิน ความสามารถทางคณิตศาสตรที่สรางขึ้น เปนแบบทดสอบ จํานวน 6 ดาน คือ ดานการจําแนกทางสายตา ดานการนับ ดานการแทนคาประจําหลัก ดานการบวก ดานการลบ และ ดานการแกโจทยปญหา ไปทดสอบกับนักเรียน ที่เปนกลุม ตัวอยาง เพื่อหาคาความยากงาย คาอํานาจจําแนก และคา ความเชื่อมั่น ทําการวิเคราะห ขอมูลโดยหาคาสถิติ ไดแก คาดัชนีความสอดคลอง คาความยากงาย คาอํานาจจําแนก และค า ความเชื่ อ มั่ น โดยวิ ธี ห าค า สั ม ประสิ ท ธิ์ แ อลฟา ของครอนบัค ( Cronbach α - Coefficient ) และวิธี คูเดอร – ริชารดสัน (Kuder – Richardson) ขั้นตอนที่ 4 การสรางแบบวัดการรับรู ความสามารถของตนดานคณิตศาสตร กลุมตัวอยางเปนนักเรียนระดับประถมศึกษาปที่ 2 และ 3 โรงเรียนเทศบาล 5 (วัดปาจิตตสามัคคี) จํานวน 50 คน ซึ่งเปนนักเรียนคนละกลุมกับการวิจัยขั้นตอนที่ 1 เพื่อใช ในการวิ เ คราะห ค า ความเชื่ อ มั่ น ของแบบวั ด การรั บ รู ความสามารถของตนดานคณิตศาสตร การเก็บรวบรวมขอมูล ทําโดยใชแบบวัดการรับรู ความสามารถทางคณิตศาสตร ที่สรางขึ้น เปนแบบวัดที่เปน สิ่งเราที่เปนโจทยการบวกและการลบ 20 ขอ ขอละ 2 ปญหา (คู) แตละคูมีลักษณะคลายคลึงกันทั้งรูปแบบและวิธี คํานวณ นักเรียนประเมินการรับรูความสามารถของตนเอง
โดยการเลือกภาพที่ตรงกับความมั่นใจในการแกปญหาของ นั ก เรี ย นมากที่ สุ ด ไปทดสอบกั บ นั ก เรี ย นที่ เ ป น กลุ ม ตัวอยาง เพื่อหาคาความเชื่อมั่น ทําการวิเคราะหขอมูลโดย หาคาสถิติ ไดแก คาดัชนีความสอดคลอง และคาความ เชื่ อ มั่ น โดยวิ ธี ห าค า สั ม ประสิ ท ธิ์ แ อลฟาของครอนบั ค (Cronbach α - Coefficient ) ขั้ น ตอนที่ 5 การสอนซ อ มเสริ ม ตาม โปรแกรมการสอนซอมเสริมคณิตศาสตรสําหรับเด็กที่มี ปญหาทางการเรียนรู กลุมตัวอยางเปนนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 3 (ยม ราชสามัคคี) ชั้นประถมศึกษาปที่ 2 และ 3 ซึ่งเปนนักเรียนที่มี คะแนนความสามารถต่ําที่สุดในหอง หองเรียนละ 5 คน จาก 8 หองเรียน จํานวน 40 คน ดําเนินการคัดแยกโดยแบบคัด แยกเด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู ด า นคณิ ต ศาสตร ที่ ห า คุณภาพของแบบวัดแลว เลือกเด็กที่มีคะแนนต่ํากวาเกณฑที่ กําหนด ดานการบวก จํานวน 8 คน ดานการลบ จํานวน 7 คน และดานโจทยปญหา จํานวน 8 คน รวมเปน 23 คน เลือกโดยวิธีเจาะจง (Purposive Sampling) การเก็ บ รวบรวมข อ มู ล ทํ า โดยการทดสอบ นักเรียนที่เปนกลุมตัวอยาง โดยใชเครื่องมือคัดแยกเด็กที่มี ปญหาทางการเรียนรูดานคณิตศาสตรที่สรางขึ้น และทดสอบ ระดับสติ-ปญญา โดยใชแบบทดสอบสติปญญา Coloured Progressive Matrices (CPM) เพื่อใหไดกลุมตัวอยางที่มี ระดับสติปญญาปานกลางขึ้นไป แลวทําการทดสอบการรับรู ความสามารถของตนดานคณิตศาสตร โดยใชแบบวัดการ รั บ รูค วามสามารถของตนดา นคณิต ศาสตร ที่สร า งขึ้น เริ่ ม ดําเนินการจัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตร โดยนักเรียนที่ เปนกลุมตัวอยาง จํานวน 23 คน ที่มีคะแนนไมผานเกณฑใน ดานการจําแนกตัวเลข และดานการแทนคาประจําหลัก เขา รั บ การสอนซ อ มเสริ ม ด า นการเตรี ย มความพร อ มทาง คณิตศาสตร จํานวน 5 ครั้ง แลวจึงจัดกิจกรรมซอมเสริม คณิ ต ศาสตร ด า นการบวก การลบ และด า นการแก โ จทย ปญหา ดานละ 22 ครั้ง เมื่อสิ้นสุดการจัด กิจกรรมซอมเสริม แลว ทําการประเมินความสามารถทางคณิตศาสตร ดานการ จําแนกทางสายตา ดานการแทนคาประจําหลัก ดานการบวก ด า นการลบ และด า นการแก โ จทย ป ญ หา และการรั บ รู
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 ความสามารถของตนด า นคณิ ต ศาสตร ทํ า การวิ เ คราะห ขอมูลโดยวิธีทดสอบแบบ Wilcoxon Matched – Pairs Signed - Rank Test ขั้ น ตอนที่ 6 การตรวจสอบคุ ณ ภาพของ โปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตรสําหรับเด็กที่มีปญหา ทางการเรียนรู เมื่อดําเนินการจัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตร เรียบรอยแลว รวบรวมขอมูลเกี่ยวกับปญหาอุปสรรคในขณะ ดํ า เนิ น การ เพื่ อ ปรั บ ปรุ ง โปรแกรมซ อ มเสริ ม ก อ นส ง ให ผู เ ชี่ ย วชาญด า นการศึ ก ษาพิ เ ศษ ด า นการจั ด การศึ ก ษา สํ า หรั บ เด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู ด า นหลั ก สู ต รและ รูปแบบการสอน ดานการวัดและประเมินผล และดานการ สอนคณิตศาสตร จํานวน 5 คน ตรวจสอบคุณภาพของ โปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตร โดยหาดัชนีความสอดคลอง (Index of Item Objective Congruence: IOC) เพื่อแกไขให ไดโปรแกรมที่เหมาะสม สรุปผลการวิจัย 1. โปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตรสําหรับเด็ก ที่มีปญหาทางการเรียนรูระดับประถมศึกษาปที่ 2 และ 3 ประกอบดวย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การคัดแยกเด็กที่มี ปญหาทางการเรียนรู ดานคณิตศาสตร โดยใชเครื่องมือคัด แยกที่สรา งขึ้ น ขั้น ตอนที่ 2 การจั ดกิจ กรรมซอมเสริ ม คณิ ต ศาสตร โดยใช แ ผนการจั ด กิ จ กรรมซ อ มเสริ ม คณิ ต ศาสตร ที่ ส ร า งขึ้ น ขั้ น ตอนที่ 3 การประเมิ น ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร โดยใช แ บบประเมิ น ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร ที่ ส ร า งขึ้ น ขั้ น ตอนที่ 4 การประเมินการรับรูความสามารถของตนดานคณิตศาสตร โดยใช แ บบวั ด การรั บ รู ความสามารถของตนด า น คณิตศาสตร ที่สรางขึ้นมีรายละเอียดดังนี้ 1.1 แบบคั ด แยกเด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการ เรียนรูดานคณิตศาสตร เปนแบบทดสอบ ใชทดสอบเด็กเปน รายบุคคล ประกอบดวยแบบคัดแยกยอย จํานวน 6 ดาน คือ ดานการจําแนก ตัวเลข ดานการนับ ดานการแทนคาประจํา หลัก ดานการบวก ดานการลบ และดานการแกโจทยปญหา จากการวิเคราะหโดยการหาความเชื่อมั่นของแบบคัดแยก จากการวิจัยนี้ มีคาเทากับ 0.98
171
1.2 แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ค ว า ม ส า ม า ร ถ ท า ง คณิ ต ศาสตร เป น แบบทดสอบ ใช ท ดสอบเป น กลุ ม ประกอบดวยแบบประเมิน จํานวน 6 ดาน คือ ดานการ จําแนกทางสายตา ดานการนับ ดานการแทนคาประจําหลัก ดานการบวก ดานการลบ และดานการแกโจทยปญหา จาก การวิเคราะหโดยการหาคาความเชื่อมั่นของแบบประเมินเปน รายดาน แบบประเมินความสามารถทางคณิตศาสตรทั้ง 6 ดาน มีคาความเชื่อมั่นตางกัน โดยมีคาความเชื่อมั่นระหวาง 0.54 ถึง 0.86 โดยดานการแทนคาประจําหลัก และดานโจทย ปญหา มีคาความเชื่อมั่นสูงที่สุด เทากับ 0.86 รองลงมาคือ ดานการบวก ดานการลบ และดานการนับ ดานการจําแนก ทางสายตา มีคาความเชื่อมั่นต่ําที่สุด เทากับ 0.54 จากผล การวิเคราะหจากการวิจัยนี้ แบบประเมินความสามารถดาน การแทนคาประจําหลัก ดานการบวก ดานการลบ และดาน โจทยปญหา 1.3 แผนการจัดกิจกรรมซอ มเสริม คณิตศาสตร เปนกิจกรรมที่ใชในการชวยเหลือ นักเรียนที่มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู ประกอบด ว ยการจั ด กิ จ กรรมด ว ย หนวยการเรียนรูความพรอมทางคณิตศาสตร ไดแก ดานการ จําแนกทางสายตา ดานการนับ และการแทนคาประจําหลัก หนวยการเรียนรูจํานวนและการดําเนินการ ไดแก ดานการ บวก และการลบ และ หนวยการเรียนรูทักษะกระบวนการ ทางคณิตศาสตร คือดานการแกโจทยปญหา 1.4 แบบวัดการรับรูความสามารถของตน ดานคณิตศาสตร เปนแบบวัดประกอบดวยสิ่งเราโจทยการ บวก และการลบ จํานวน 20 ขอ ขอละ 2 ปญหา ลักษณะของ แบบวัดมี 4 มาตรวัด มีระยะหาง 1 – 4 จากการ วิเคราะหโดยการหาความเชื่อมั่น มีคาความเชื่อมั่น เทากับ 0.92 2. ป ร ะ สิ ท ธิ ผ ล ข อ ง โ ป ร แ ก ร ม ซ อ ม เ ส ริ ม คณิ ต ศาสตร สํ า หรั บ เด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู จ าก การศึ ก ษา ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร แ ละการรั บ รู ความสามารถของตนดานคณิตศาสตร มีผลคะแนนดังนี้ 2.1 ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร ด า น การจําแนกทางสายตาของนักเรียนที่มีปญหาทางการเรียนรู หลังจากการจัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตรแลว มีคะแนน
172
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
อยูระหวาง 105 – 150 คะแนน คามัธยฐาน เทากับ 145 มี คาพิสัยควอไทล เทากับ 42 มีความสามารถทางคณิตศาสตร ดานการจําแนกทางสายตา อยูในระดับ ดีมาก 2.2 ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร ด า น การนับ นักเรียนที่เปนกลุมตัวอยางไมมีผู ที่มีคะแนนที่ไม ผ า นเกณฑ ด า นการนั บ จากแบบคั ด แยกเด็ ก ที่ มี ป ญ หา ท า ง ก า ร เ รี ย น รู ด า น ค ณิ ต ศ า ส ต ร จึ ง ไ ม มี ร า ย ง า น ความสามารถทางคณิตศาสตรดานการนับของนักเรียนที่มี ปญหาทางการเรียนรู 2.3 ความสามารถทางคณิตศาสตรดานการ แทนคาประจําหลักของนักเรียนที่มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู หลั ง จากการจั ด กิ จ กรรมซ อ มเสริ ม คณิตศาสตรแลว มีคะแนนอยูระหวาง 7 - 8 คะแนน คามัธยฐานเทากับ 7.5 และมีคาพิสัย ควอไทล เทากับ 1 มี ความสามารถดานการแทนคาประจําหลัก อยูในระดับดีมาก 2.4 ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร ด า น การบวก ของนักเรียนที่มีปญหาทางการเรียนรู หลังจากการ จัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตรแลว มีคะแนนอยูระหวาง 8 – 10 คะแนน คามัธยฐาน เทากับ 9 มีคาพิสัยควอไทล เทากับ 1 มีความสามารถทางคณิตศาสตรดานการบวก อยู ในระดับ ดีมาก 2.5 ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร ด า น การลบของนักเรียนที่มีปญหาทางการ เรียนรู หลังจากการ จัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตรแลว มีคะแนนอยูระหวาง 8 – 10 คะแนน คามัธยฐาน เทากับ 10 มีคาพิสัยควอไทล เทากับ 1 มีความสามารถทางคณิตศาสตรดานการลบ อยู ในระดับ ดีมาก 2.6 ความสามารถทางคณิ ต ศาสตร ด า น การแก โ จทย ป ญ หาของนั ก เรี ย นที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู หลังจากการจัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตรแลว มีคะแนน อยูระหวาง 8 – 14 คะแนน คามัธยฐาน เทากับ 12.5 มีคา พิสัยควอไทล เทากับ 2 มีความสามารถทางคณิตศาสตรดาน การแกโจทยปญหา อยูในระดับ ดีมาก 2.7 การรั บรูความสามารถของตนดา น คณิตศาสตรของนักเรียนที่มีปญหาทางการเรียนรูดานการ บวก ดานการลบ และดานโจทยปญหา กอนและหลังการจัด
กิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตรแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 3. คาดัชนีความสอดคลองของความเหมาะสม ของโปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตร อยูในระดับ เหมาะสมดีมาก อภิปรายผล จากการวิจัยพบวา เครื่องมือ ที่สรางขึ้น สําหรับ โปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตรสําหรับเด็กที่มีปญหาทางการ เรียนรู ไดแก แบบคัดแยกเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรูดาน คณิตศาสตร แบบประเมินความสามารถทางคณิตศาสตร และแบบวัดการรับรูความสามารถของตนดานคณิตศาสตร เปนเครื่องมือที่มีคุณภาพ แบบคั ด แยกเด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู ด า น คณิ ต ศาสตร มี ค า ความเที่ ย งตรงเชิ ง พิ นิ จ และมี ค า ความ เชื่อมั่นรวมทั้งชุด เทากับ 0.98 ซึ่งอยูในระดับที่มีคุณภาพ กิจกรรมที่ใชในการประเมินเด็กเปนไปตามลําดับขั้นตอนของ พัฒนาการ จึงเปนการตรวจสอบแบบอิงเกณฑ (Witt. et al. 1998 : 20-21) การใชคะแนนจุดตัดเปนเกณฑการตัดสินจึงมี ความเหมาะสม โดยนําคะแนนที่ไดจากการปฏิบัติกิจกรรมใน การประเมิ น นํ า มาใช ใ นการประมาณค า สั ด ส ว นของการ ปฏิบัติ โดยกําหนดจุดตัดจากการทดสอบนักเรียนสองกลุม คือ กลุม รอบรู และ ไมร อบรู (บุญ เชิ ด ภิญ โญอนั น ตพงษ . 2527 : 113 – 114) ในการวิจัยครั้งนี้ กลุมรอบรู คือ นักเรียน ที่ไมมีปญหาทางการเรียนรู และกลุมไมรอบรู คือ นักเรียนที่มี ปญหาทางการเรียนรูดานคณิตศาสตร ซึ่งประเมินจากแบบ สํ า รวจการเรี ย นรู เ ฉพาะด า นเมื่ อ นํ า แบบคั ด แยกเด็ ก ที่ มี ปญหาทางการเรียนรูดานคณิตศาสตรทดสอบกับนักเรียนทั้ง สองกลุมเพื่อกําหนดคะแนนจุดตัดที่เปนเกณฑการตัดสิน จึง เปนดัชนีชี้วัดที่ใชคัดแยกนักเรียนไดตามลักษณะของแบบวัด แบบอิงเกณฑ นอกจากนี้ แ บบคั ด แยกเด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการ เรียนรูดานคณิตศาสตร สําหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาป ที่ 2 และ 3 ซึ่งมีอายุตั้งแต 7 ปขึ้นไป ซึ่งเปนชวงพัฒนาการ ของทั ก ษะคณิ ต ศาสตร ขั้ น ความคิ ด ก อ นเกิ ด ปฏิ บั ติ ก าร (Preoperational thought) ตามทฤษฎีพัฒนาการของเพียร เจต (Piaget’s Development Theory) เด็กจะมีความพรอม ในเรื่องของจํานวนและปริมาณ หากดําเนินการคัดแยกเด็ก
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 กอนชวงอายุนี้ ความบกพรองที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความไม พรอมมากกวาเกิดจากปญหาทางการเรียนรู แบบคัดแยกนี้ เปนแบบทดสอบรายบุคคล ประกอบดวยแบบคัดแยกยอย จํา นวน 6 ด า น คื อ ด า นการจํ า แนกทางสายตา ด า น กระบวนการนั บ ด า นการแทนค า ประจํ า หลั ก ด า น กระบวนการบวก ดานโจทยปญหา และ ดานการบวกและ การลบตามแนวตั้งและแนวนอน ทําใหไดขอมูลของนักเรียน เปนรายทักษะ และรายบุคคล ซึ่งเหมาะสมกับการประเมิน ทางการศึก ษาพิ เ ศษ ที่ มีจุ ดประสงค เพื่ อ ใชข อ มูล เพื่ อ การ ตัดสินใจ (Decision Making) และเชื่อมโยงกับ การ ชวยเหลือ (Intervention) ที่มีประสิทธิภาพ ขั้นตอนการ ดํา เนิน การทดสอบไมซับ ซ อ น ครูผู ส อนสามารถนํา ไปใช เพื ่ อ การประเมิ น เพื่ อ การจั ด กิ จ กรรมซ อ มเสริ ม เพื่ อ การ แกไขขอบกพรองได แบบประเมินความสามารถทางคณิตศาสตร มี คาความเที่ยงตรงเชิงพินิจ คาความ ยากงาย อยูระหวาง 0.34 ถึง 0.80 คาอํานาจจําแนกอยูระหวาง 0.22 ถึง 0.88 คา ความเชื่อมั่น อยูระหวาง 0.54 ถึง 0.86 ซึ่งเปนชวงของคา ความยากงาย และคาอํานาจจําแนก ที่เหมาะสม เปนขอ ทดสอบ ที่มีคุณภาพรายขอดี ตรงตามเกณฑที่กําหนด เปน เครื่ อ งมื อ ที่ มี คุ ณ ภาพดี โดย มี ลั ก ษณะที่ ดี ข อง แบบทดสอบ 4 คุณลักษณะที่สามารถดําเนินการวิเคราะห คุณภาพโดยใชวิธีการทางสถิติได (ธนวัฒน ธิติธนานันท. 2548: 103 – 105) คือ มีความเที่ยงตรง (Validity) ความ เชื่อมั่น (Reliability) ความยากงาย (Difficulty) และอํานาจ จําแนก (Discrimination) เหมาะสมกับการนําไปใชในการ ประเมินความสามารถทางคณิตศาสตร แบบวั ด การรั บ รู ค วามสามารถของตนด า น คณิตศาสตร เปนแบบวัดที่ความเที่ยงตรงเชิงพินิจ และมีคา ความเชื่อมั่น เทากับ 0.92 เปนแบบวัดที่สามารถวัดการรับรู ความสามารถของตนเองดานคณิตศาสตรและเหมาะสมกับ นักเรียนระดับประถมศึกษา เนื่องจากการรับรูความสามารถ ของตนเองเป น การประมวลทั้ ง ความคิ ด และอารมณ ข อง ตนเองที่มีตอประสบการณ (จิตติมา จูมทอง. 2538: 15) แบบวัดนี้จึงใชการนําเสนอสิ่งเราในรูปของโจทยปญหาการ บวกลบ และเสนอสิ่ ง เร า ในเวลาที่ จํ า กั ด เพื่ อ ให เ กิ ด การ
173
ตัดสินใจตอการรับรูความสามารถของตนเอง สวนผลของการ ตัดสินใจกําหนดในรูปของใบหนาแสดงอารมณซึ่งนักเรียน ระดับประถมศึกษาเขาใจไดงายกวาการกําหนดเปนคาของตัวเลข การจัดกิจกรรมซอมเสริมตามแผนการจัดกิจกรรม ซอมเสริมคณิตศาสตรที่สรางขึ้น เพื่อชวยเหลือนักเรียนที่ มีปญหาทางการเรียนรูดานการจําแนกทางสายตา ดานการ แทนคา ประจําหลัก ดานการบวก ดานการลบ และดาน การแกโจทยปญหา พบวา ความสามารถทางคณิต ศาสตร ทั้ง 6 ดาน หลังจากการจัดกิจกรรมซอมเสริมอยูในระดับ ดี มาก ทั้งนี้เนื่องจากการ จัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตร เปนการจัด กิจ กรรมกลุม เล็ก รูป แบบการดึง นัก เรีย นออก จากชั้น เรียนเพื่อการแกไข (Pull – Out Program) กับ นักเรียนไมเกิน 8 คน ในระยะเวลาการจัด กิจกรรมประมาณ 20 – 40 นาที (Cegelka; & Berdine. 1995 : 4) ซึ่ง สอดคลองกับรูปแบบการสอนที่มีประสิทธิภาพสําหรับเด็กที่มี ปญหาทางการเรียนรู ที่ขนาดของกลุมมีผลตอประสิท ธิภ าพ ของกิจ กรรมการเรีย นรูแ ละผลสัม ฤทธิ์ข องเด็ก ที่มีปญหา ทางการเรียนรูในกลุมเล็ก การรับรูความสามารถของตนดานคณิตศาสตรของ นั ก เรี ย นที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู สู ง ขึ้ น หลั ง จากการจั ด กิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตรอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 ทั้งนี้เนื่องจากการที่นักเรียนไดรับการชวยเหลือเปน กลุมเล็กและเปนรายบุคคล ทําใหครูมีโอกาสในการชี้แนะเพื่อ การแกไขทักษะที่นักเรียนมีความบกพรอง และการสังเกต และบัน ทึกความถูกตอ งในการทํ า แบบฝกจากขั้น กิจกรรม เดี่ยว (Seat Work) ในคาบกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตร ลง ในแบบบัน ทึก คะแนนและความถูก ตอ งของการทํา แบบ ฝก ด ว ยตนเอง ซึ่ ง การที่ นั ก เรี ย นสั ง เกตและบั น ทึ ก คะแนน ความ ถูก ตอ งในการทํ า แบบฝก ของตนนั ้น จะทํ า ให นักเรียนรวบรวมขอมูลเกี่ยวกับความ ถูกตองของการทําแบบ ฝกของตนเอง ขอมูลที่ไดนี้จะทําหนาที่เปนขอมูลปอนกลับ (Feedbback) และขอมูลพื้นฐานสําหรับการทําแบบฝกใน ครั้ง ตอ ไปใหเ หมาะสมกับ ความสามารถของตนเองให มากยิ่งขึ้น ทําให นักเรียนทําแบบฝกไดถูกตองมากยิ่งขึ้น และเมื่อนักเรียนทําแบบฝกถูกตองมากยิ่งขึ้นแลว ก็จะทําให นัก เรีย นมีก ารรั บ รู ความสามารถของตนเองสู งขึ้ น (Bandura.
174
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
1997: 101 - 104) ทําซึ่งสอดคลองกับงานวิจัยของ ฐิติพัฒน สงบกาย (2533) ที่พบวานักเรียนที่ใชการบันทึกคะแนน ความถู ก ต อ งของแบบฝ ก หั ด เป น ข อ มู ล ป อ นกลั บ ทํ า ให นักเรียนมีการรับรูความสามารถของตนเองสูงขึ้น ประสิทธิผลของโปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตร สํ า หรั บ เด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการเรี ย นรู ที่ เ กิ ด จากการจั ด กิจ กรรมซ อ มเสริ ม ตามแผนการจั ด กิจ กรรมซ อ มเสริ ม การ เรี ย นรู เริ่ ม จากการคั ด เลื อ กนั ก เรี ย นเข า กลุ ม เพื่ อ การจั ด กิจกรรมตามรายดานไดแก ดานการบวก ดานการลบ และ ดานการแกโจทยปญหา โดยใชคะแนนจากแบบคัดแยกเด็กที่ มีปญหาทางการเรียนรูดานคณิตศาสตร ที่สรางขึ้น จากผล การประเมินพบวา นักเรียนมีแนวโนมที่จะมีปญหาทางการ เรียนรูดานคณิตศาสตรมากกวาหนึ่งดาน กลาวคือ นักเรียนที่ มีปญ หาดา นการบวก ก็ จ ะมี ปญ หาดา นการลบ และการ แกโจทยปญหาดวย สวนนักเรียนที่มีปญหาดานการลบ อาจ มีปญหาดานการแกโจทยปญหาสวนนักเรียน ที่มีปญหาดาน การแกโจทยปญหา นักเรียนที่เปนกลุมตัวอยางไมมีปญหา ดานการบวกและการลบ เนื่องจากระยะเวลาที่ใชในการจัด กิ จ กรรมแต ล ะด า นมี จํ า กั ด จึ ง จั ด กิ จ กรรมซ อ มเสริ ม คณิ ต ศาสตร ให เ ฉพาะด า นที่ มี ป ญ หาเพื่ อ เป น การแก ไ ข ทั ก ษะที่ เ ป น ทั ก ษะ เบื้ อ งต น ของการเรี ย นคณิ ต ศาสตร กล า วคื อ นั ก เรี ย นที่ ไ ด รั บ การช ว ยเหลื อ ด า นการบวก ยั ง ตองการการชวยเหลือตอไปในดานการลบ สวนนักเรียนที่มี ปญหาดานการลบบางคน ตองการการชวยเหลือดานการแก โจทยปญหาตอไป จากการศึกษาครั้ง นี้ พบวาความเหมาะสมของ โปรแกรมซ อ มเสริ ม คณิ ต ศาสตร สํ า หรั บ เด็ ก ที่ มี ป ญ หา ทางการเรียนรู มีคุณภาพเหมาะสมอยูในระดับ ดีมาก ทั้งนี้ เนื่ อ งมาจากเครื่ อ งมื อ แต ล ะชุ ด ผ า นการตรวจสอบหาค า ความเที่ย งตรงเชิง พินิจ จากผูเ ชี่ย วชาญ และหาค า ความ เชื่อมั่น โดยวิธีการทางสถิติ และการดําเนินการตามขั้นตอน ของโปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตร ตั้งแต การคัดแยกเด็กที่ มีปญหาทางการเรียนรูดานคณิตศาสตร การจัดกิจกรรมซอม
เสริม เพื่อชวยเหลือนักเรียนที่มีปญหาทางการเรียนรูเปนราย ด า น สามารถพั ฒ นานั ก เรี ย นให มี ค วามสามารถทาง คณิตศาสตรสูงขึ้น พรอมทั้งมีการปรับปรุงตามคําแนะนําของ ผูเชี่ยวชาญเพื่อใหเหมาะสมกับ การดําเนินการตอไป เพื่อ เป น รู ป แบบหนึ่ ง ของการช ว ยเหลื อ เด็ ก ที่ มี ป ญ หาทางการ เรียนรูดานคณิตศาสตร ขอเสนอแนะของการนําไปใช การนําโปรแกรมซอมเสริมคณิตศาสตรไปใชใน ระดับโรงเรียน ควรมีการจัดการฝกอบรมครูเพื่อใหมีความ เขาใจเกี่ยวกับลักษณะของเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรู และ การดํ า เนิ น การประเมิ น และคั ด แยกนั ก เรี ย นที่ มี ป ญ หา ทางการเรียนรูดานคณิตศาสตร การจัดกิจกรรมซอมเสริม คณิตศาสตรตามรายดานตองมีความตอเนื่อง เพื่อสามารถ ชวยเหลือนักเรียนใหเกิดทักษะการเรียนรูคณิตศาสตรไดทั้ง ด า นการบวก ด า นการลบ และด า นการแก โ จทย ป ญ หา รวมทั้งการบริหารเวลาในการดําเนินการตามโปรแกรมซอม เสริมคณิตศาสตร เนื่องจากเปนรูปแบบที่ตองแยกนักเรียน ออกจากหองเรียนเพื่อการแกไข จึงควรคํานึงถึงผลกระทบตอ การเรียนรายวิชาอื่นๆ ดวย ขอเสนอแนะในการทําการวิจัยครั้งตอไป 1. ควรมี ก ารศึ ก ษาวิ จั ย เกี่ ย วกั บ รู ป แบบและ วิธีการจัดกิจกรรมซอมเสริมคณิตศาสตร โดยครูผูสอนเปนผู จัดกิจกรรมซอมเสริม 2. ค ว ร มี ก า ร ศึ ก ษ า วิ จั ย ป ร ะ สิ ท ธิ ผลข อ ง โปรแกรมซ อ มเสริ ม คณิ ต ศาสตร สํ า หรั บ เด็ ก ที่ มี ป ญ หา ทางการเรียนรู เมื่อนําไปใชกับประชากรและกลุมตัวอยางที่ ใหญขึ้น เพื่อทําใหโปรแกรม ซอมเสริมคณิตศาสตรสามารถ นําไปใชไดอยางกวางขวางยิ่งขึ้น 3. ควรมีการศึกษาประสิทธิผลของแผนการจัด กิจกรรมซอ มเสริมคณิต ศาสตร สํา หรับ นัก เรียนที่มีปญ หา ทางการเรียนรูที่มีปญหาคณิตศาสตรมากกวา 1 ดาน โดยการ จัดกิจกรรมซอมเสริมแบบตอเนื่องทั้ง 3 ดาน คือ ดานการบวก ดาน การลบ และการแกโจทยปญหา
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
175
บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2543). คูมือการคัดแยกและสงตอคนพิการเพื่อการศึกษา คณะอนุกรรมการการคัดเลือกและ จําแนกความพิการเพื่อการศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว. คณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 และ ที่แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ. พริกหวานกราฟฟค. จิตติมา จูมทอง. (2538). ผลของการสอนตนเองตอการรับรูความสามารถของตนเองและผลสัมฤทธิ์ในวิชา คณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3. วิทยานิพนธ ค.ม. (จิตวิทยาการศึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิต วิทยาลัย จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ถายเอกสาร. ธนวัฒน ธิติธนานันท. (2548). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. นครราชสีมา : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. ฐิติพัฒน สงบกาย. (2533). ผลของการกํากับตนเองตอความคาดหวังเกี่ยวกับความสามารถของตนเองและผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที่ 5. วิทยานิพนธ ค.ม. (จิตวิทยาการศึกษา). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ถายเอกสาร. บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ. (2527). การทดสอบอิงเกณฑ : แนวคิดและวิธีการ. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร. ลออ เอี่ยมออน. (2546). การศึกษาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรของเด็กทีม่ ีปญหาทางการเรียนรูร ะดับอนุบาล ที่ ไดรับการจัดประสบการณละเลนพื้นบาน. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (การศึกษาพิเศษ). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร. ศรียา นิยมธรรม และ ดารณี ศักดิ์ศิริผล. (2545). รายงานการวิจัยการสํารวจเด็กที่มีปญหาทางการเรียนรู ของโรงเรียน ในเขตกรุงเทพมหานคร. กรุงเทพฯ: ภาควิชาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สายพิณ โคกทอง. (2542).การศึกษาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตรของเด็กที่มปี ญหาทางการเรียนรูระดับชั้นประถมศึกษา ปที่ 1 จากการจัดกิจกรรมบูรณาการเกมคณิตศาสตร. ปริญญานิพนธ กศ.ม. (การศึกษาพิเศษ). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร.. สันติ เบาพูนทอง. (2544). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องเศษสวนของนักเรียนที่มีปญหาในการเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 จากการสอนโดยใช บ ทเรี ย นคอมพิ ว เตอร ช ว ยสอน. ปริ ญ ญานิ พ นธ กศ.ม. กรุ ง เทพฯ : มหาวิ ท ยาลั ย ศรี นครินทรวิโรฒ. ถายเอกสาร. สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2546). คูมือแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล. กรุงเทพฯ: สํานัก บริหารงานการศึกษาพิเศษ. Bandura, Albert. (1997). Self –Efficacy The Exercise of Control. New York : W.H. and Company Cegelka, Patricia T;& Berdine, William H. (1995). Effective Instruction for Students with Learning Difficulties. London : Allyn and Bacon. Witt, Joseph.; et al. (1998). Assessment of At – Risk and Special Needs Children. Boston: McGraw Hill.
176
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือน กันยายน - ธันวาคม 2550
หลักสูตรที่เปดสอนในคณะศึกษาศาสตร หลักสูตรปริญญาตรี ปริญ ญาการศึก ษาบัณ ฑิต (กศ.บ.) Bachelor Degree Program of Education หลักสูตรระดับปริญญาตรี มี 3 หลักสูตร ดังนี้ 1. การประถมศึกษา 2. การแนะแนว 3. เทคโนโลยีสื่อสารการศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตร หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตสาขาวิชาชีพครู เปน โครงการรวมมือระหวาง คณะศึกษาศาสตร กับ สสวท. หลักสูตรปริญญาโท ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต (กศ.ม.) Master Degree Program of Education หลักสูตรระดับปริญญาโท มี 13 หลักสูตร ดังนี้ 1. การศึกษาปฐมวัย 8. อุตสาหกรรมศึกษา 2. การประถมศึกษา 9. การวัดผลการศึกษา 3. การมัธยมศึกษา 10. การวิจัยและสถิติทางการศึกษา 4. การอุดมศึกษา 11. เทคโนโลยีการศึกษา 5. การบริหารการศึกษา 12. การศึกษาพิเศษ 6. จิตวิทยาการศึกษา 13. การศึกษาผูใหญ 7. จิตวิทยาการแนะแนว นอกจากนี้คณะศึกษาศาสตรไดเปดโปรแกรมปริญญาโท ภาคพิเศษ ในสาขาวิชาเอก ดังนี้ 1. การศึกษาพิเศษ 2. การศึกษาผูใหญ 3. จิตวิทยาการศึกษา 4. จิตวิทยาการแนะแนว 5. การบริหารการศึกษา 6. การวัดผลการศึกษา 7. การวิจัยและสถิติทางการศึกษา 8. เทคโนโลยีการศึกษา 9. การศึกษาปฐมวัย 10. การประถมศึกษา
11. การมัธยมศึกษา - การสอนคณิตศาสตร - การสอนวิทยาศาสตร - การสอนสิ่งแวดลอมศึกษา - การสอนภาษาไทย - การสอนภาษาอังกฤษ - การสอนสังคมศึกษา 12. การอุดมศึกษา 13. อุตสาหกรรมศึกษา หลักสูตรปริญญาเอก ปริญญาการศึกษาดุษฎีบัณฑิต (กศ.ด.) Doctor Degree Program of Education หลักสูตรระดับ ปริญญาเอก มี 8 หลักสูตร ดังนี้ 1. จิตวิทยาการใหคําปรึกษา 2. การบริหารการศึกษา 3. การทดสอบและวัดผลการศึกษา 4. เทคโนโลยีการศึกษา 5. การศึกษาปฐมวัย 6. การอุดมศึกษา 7. การศึกษาพิเศษ 8. การศึกษาผูใหญ การคัดเลือกผูเขาศึกษา 1. คัดเลือกผ านสํา นั กงานคณะกรรมการการ อุดมศึกษา 2. คัดเลือกโดยวิธีการสอบตรงผานฝายรับนิสิตใหม ของมหาวิทยาลัยโดยมีกําหนดการรับสมัคร ดังนี้ ตุล าคม – พฤศจิก ายน ระดั บ ปริญ ญาตรี เปด สอบตรง (ชั้นปที่ 1) พฤศจิกายน – ธันวาคม ระดับ ประกาศนี ย บั ต ร ปริ ญ ญาโท และ ปริญญาเอก ติดตอสอบถาม สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการสมัครไดที่ งานรับนิสิตใหม โทร. 0-2664-1000 ตอ 5716 หรือ 0-2261-0531 เว็บไซต http://admission.swu.ac.th
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร ปที่ 8 ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550
รายชื่อกรรมการกลั่นกรอง (Peer reviews) วารสารวิชาการศึกษาศาสตร คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรรมการภายนอก 1. ศาสตราจารย ดร.ผองพรรณ เกิดพิทักษ 2. ศาสตราจารยศรียา นิยมธรรม 3. รองศาสตราจารย ดร.วิชัย วงษใหญ 4. รองศาสตราจารย ดร.ส.วาสนา ประวาลพฤกษ 5. รองศาสตราจารย ดร.วินัย วรีระวัฒนานนท 6. รองศาสตราจารย ดร.สุรชัย สิกขาบัณฑิต 7. รองศาสตราจารย ดร.อารี พันธมณี 8. รองศาสตราจารยชม ภูมิภาค 9. รองศาสตราจารยเมตตา วิวัฒนานุกุล 10. ผูชวยศาสตราจารย ดร.วชิราญา บัวศรี 11. ผูชวยศาสตราจารย ดร.อรทิพา สองศิริ 12. ผูชวยศาสตราจารย ดร.ชูศรี เลิศรัตนเดชากุล 13. ผูชวยศาสตราจารย ดร.สุวรรณา อนุสันติ 14. รองศาสตราจารย ดร.อัมพร สุขเกษม 15. ผูชวยศาสตราจารย ดร. ปรีชา ธรรมา 16 ผูชวยศาสตราจารยประจิตต อภินัยนุรักต 17. ผูชวยศาสตราจารยจิราภรณ บุญสง 18. คุณธีรภาพ โลหิตกุล
คณะกรรมการภายใน 1. รองศาสตราจารย ดร.ฉวีวรรณ เศวตมาลย 2. รองศาสตราจารย ดร.เยาวพา เดชะคุปต 3. รองศาสตราจารย ดร.เสาวนีย เลวัลย 4. รองศาสตราจารย ดร.สนอง โลหิตวิเศษ 5. รองศาสตราจารยสาลี่ สุภาภรณ 6. รองศาสตราจารยกฤตกรณ ประทุมวงษ 7. รองศาสตาจารยลัดดาวัลย เกษมเนตร 8. ผูชวยศาสตราจารย ดร.ไพโรจน กลิ่นกุหลาบ 9. ดร.สมปรารถนา วงศบุญหนัก 10. ดร.อัจฉรียา กะสิยะพัท 11. ดร.อรรณพ โพธิสุข 12. ดร.อุปวิทย สุวคันธกุล
177