«¡²¢ h²§
± µ È §± µÈ ¡µ ² ¡
À § µ wy ¥± ¸ ¡ i ´È ª¹h ² £ ´ §± l £ ° À ¨ Ä ¢ £±É µÈ £ ° ³ u
สุนทรพจน์ ‘สุรินทร์ พิศสุวรรณ’ เลขาธิการอาเซียน
สิ่งที่ท่านร่วมกันทำอยู่ ในขณะนี้ คือการเตรียมตัวเพื่ออาเซียน
การได้มาพบพวกท่านทั้งหลายในวันนี้ มาด้วยภารกิจ อีกอย่าง คือภารกิจสร้างประชาคมใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้ ซึ่งมีประชากรกว่า 600 ล้านคน ประกอบด้วย 10 ประเทศ เหตุที่เราต้องเป็นประชาคมก็เพื่อเป็นฐานในการแข่งกับประเทศ ยักษ์ใหญ่อื่นๆ สิ่งที่น่าภูมิใจที่สุดคือ การตั้งประชาคมอาเซียนเริ่มต้น ในประเทศไทย โดยคนไทย มันจึงเป็นมรดกทางปัญญาให้กับ ภู มิ ภ าคนี้ แ ละประชาคมโลก จนถึ ง เดี๋ ย วนี้ ยั ง มี อ าเซี ย น+3 อาเซียน+6 และหลังสุดมีสหรัฐอเมริกาและรัสเซียเข้ามาร่วมด้วย อาเซียนกำลังเป็นที่จับตามองเพราะมีขนาดใหญ่พอ สมควร รวมประชากรเกินครึง่ โลก รายได้ประชาชาติเกินครึง่ โลก และหลายๆ ประเทศกำลังเป็นพลังเศรษฐกิจใหม่ของโลก ที่น่า จับตาคือจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย ซึ่งมีประเทศเล็กๆ ใน อาเซียนประสานการเจรจาอยู่ตรงกลางประเทศยักษ์ใหญ่ที่ไม่ ถูกกัน เช่น ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น, จีนกับอินเดีย จึงไม่แปลกที่ เราจะได้เห็น ได้ยินเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC: ASEAN Economic Community) อย่างมากมายตามพื้นที่สื่อ ต่างๆ เพราะคนชัน้ กลางกำลังขยายตัว กำลังซือ้ เพิม่ ต่างชาติเข้า มาลงทุนเพื่อขายสินค้าและการบริการ ไม่ว่าการแพทย์ การ ศึกษา โลจิสติกส์ การค้าปลีก การศึกษา ฯลฯ แต่เสาหลักของอาเซียนยังมีอีก 2 เรื่องคือ การเมือง และความมั่นคง คือทำอย่างไรไม่ให้ 10 ประเทศนี้กระทบ กระทั่ ง กั น เพราะถ้ามีภาพความรุนแรงก็จะไม่มีใครอยากมา ลงทุน ทำการค้า มาท่องเที่ยว เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะ ประเทศต่างๆ ในอาเซียนนัน้ ต่างกันในแทบทุกเรือ่ ง การปกครอง
ศาสนา วัฒนธรรม ยกเว้นว่าตัง้ อยูใ่ นภูมภิ าคเดียวกัน ต่างแม้แต่ ประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างบรูไน ประเทศคอมมิวนิสต์ อย่างลาว ประเทศคริสเตียน พุทธ อิสลาม ฮินดู ล้วนอยู่ใน ประชาคมอาเซียนหมด แต่ที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเราผู้เข้าร่วมประชุมในวันนี้ คือเสาหลักว่าด้วยเรื่องวัฒนธรรมและสังคม อาเซียนไม่ต้องการ ให้ประเทศต่างๆ มาอยู่ในประชาคมเดียวกันแล้วสูญเสียความ เป็นตัวตน แต่ต้องการให้รักษาเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ เชื้อชาติ ค่านิยม ศาสนา ภาษาฯ ต้องเก็บเอาไว้ ไม่ต้องการให้คน 600 ล้านคนเหมือนกันหมด ปัญหาจึงอยู่ที่เรื่องการบริหารจัดการ ความหลากหลายที่มีอยู่ในสังคม ซึ่งไปคล้องจองกับสิ่งที่ท่านทั้ง หลายทำ คือทำอย่างไรให้ชุมชนของท่านจัดการปัญหา ดูแล ทรัพยากรของท่านเอง และพยายามสร้างคนรุ่นใหม่ให้สืบทอด มรดกตรงนัน้ ของท่านเอง นโยบายสาธารณะประเด็นต่างๆ ทั้ง 7 ประการที่ท่านตั้งไว้ คือสิ่งที่ต้องทำให้ได้ ผมได้เห็นความหลากหลายตรงนี้ด้วย ความภูมิใจ เพราะผมก็คือความหลากหลาย
หนึ่ ง และการที่ ผ มได้ มี โ อกาสยื น ตรงนี้ ก็ เ พราะสั ง คมไทย ยอมรับความหลากหลาย และมีความหลากหลายอีกสารพัด อย่างที่จะดึงมาเป็นประโยชน์กับประเทศชาติได้ ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่มีประชากรเหมือนกันใน ทุกๆ เรื่อง ความคิดเรื่องการจะเอาอำนาจเบ็ดเสร็จมาอยู่ตรง กลางเพื่ อ จะชี้ น ำออกไปทุ ก หมู่ บ้ า น เป็ น สิ่ ง ที่ เ ป็ น ไปไม่ ไ ด้ อาเซียนตระหนักตรงนี้ดี จึงได้เน้นย้ำว่า จงรักษาความหลาก หลายไว้ การมาอยู่ในหลังคาอาเซียน ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเอง แต่ ขอเพียงสำนึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียน ดังนั้น สิ่งแรกและเป็นสิ่งหลักที่ต้องตระหนักสำหรับ ท่านทัง้ หลาย ซึง่ เป็นหัวหอกทีจ่ ะทำความเข้าใจกับคนทัง้ ประเทศ ก็คือ เราอยู่ด้วยความแตกต่าง แต่เราเคารพ ให้เกียรติซึ่งกัน และกัน และไม่กีดกันโอกาสของกันและกัน เอาทุกส่วนที่เป็น ของดีมีค่ามารวมกัน เพื่อผลักดันประเทศไทยพัฒนาอย่างยั่งยืน เพราะไม่วา่ จะในอาเซียนหรือในโลกใบนีม้ นั เต็มไปด้วยการแข่งขัน ถ้าเราไม่เอาจุดแข็งมารวมกันก็จะแข่งกับคนอื่นไม่ได้ สิ่งที่ต้อง ทำคือ นอกจากจะตะระหนักในความแตกต่างหลากหลาย ใช้ มันให้เป็นประโยชน์แล้ว ยังต้องมองไปข้างหน้าเตรียมความ พร้อมให้ลูกหลานของเราออกไปแข่งขันได้ด้วย การที่ท่านหยิบยกเรื่องการศึกษาเป็นประเด็นหนึ่งใน 7 เรือ่ งทีท่ า่ นต้องการมีสว่ นร่วมในการพัฒนา เป็นเรือ่ งถูกต้องแล้ว เพราะถ้าการศึกษาไม่ดี เตรียมตัวไม่พร้อม ก็ไม่รู้จะแข่งกับใคร ตอนนี้ภายในประชาคมอาเซียนมีอาชีพ 7 สาขาที่เปิดเสรีในการ เคลือ่ นย้าย ไม่วา่ จะเรียนมาจากประเทศอะไร ก็สามารถไปทำงาน ยังประเทศอืน่ ๆ ในอาเซียนได้อย่างเสรี เรียกว่ายอมรับวิทยาฐานะ ของกันและกัน นั่นคือ วิศวกร, สถาปนิก, หมอ, หมอฟัน, พยาบาล, นักบัญชี, ภาคท่องเที่ยว, เจ้าหน้าที่สำรวจมาตรฐาน ต่างๆ แต่ลองพิจารณาดูคนของเราที่อยู่ในต่างจังหวัด สภาพ การศึกษาที่เป็นอยู่อย่างนี้ ที่สอนให้เด็กท่องจำ ใช้หลักสูตรส่วน กลาง ไม่มีการเสริมทักษะให้คิด วิเคราะห์ เรื่องภาษาไม่ต้อง พูดถึง คำถามคือ เราจะแข่งกับเขาได้หรือ ดังนั้น แม้การเข้าไปรวมกับอาเซียนจะไม่ได้บังคับให้ เปลี่ยนทุกอย่าง แต่สิ่งที่เรารู้เองว่าต้องทำคือ ความสามารถใน การแข่งขันที่จะต้องทำให้เพิ่มขึ้น เราพูดเรื่องปฏิรูปการศึกษา มาสิบกว่าปี แต่เราเล่นกีฬาสีกันบ่อย ประเทศอื่นเขาไม่พูดมาก แต่ทำเลย และเขาไปกันไกลแล้ว ถ้ากระทรวงศึกษาธิการยังไม่ ยอมปล่อย ไม่ให้ทา่ นทัง้ หลายในภูมภิ าคต่างๆ สามารถไปศึกษา วิเคราะห์วิจัยได้เองว่า วิธีการสอนอย่างไรจะมีประสิทธิภาพ สำหรับเด็กในพื้นที่ ก็เป็นเรื่องยากลำบากที่จะทำให้คุณภาพ การศึกษาของเราดีขึ้น
ฟื้นถิ่น {02}
อย่างน้อยๆ ต้องยืนรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ให้ได้ ถึ ง ไม่ชนะ ก็ไม่แพ้ แต่ถ้าไม่พร้อมอยู่อย่างนี้คงเป็นไปไม่ได้ เศรษฐกิจของเราขณะนี้เป็นเศรษฐกิจที่มีรายได้ระดับกลาง ไม่ เกินสามแสนบาทต่อหัวต่อปี และเราไม่สามารถจะขยับไปไหนได้ มากกว่านัน้ เหตุผลเพราะการศึกษา เราไม่มกี ารค้นคว้าวิจยั ไม่มี การเตรียมคนของเราเพื่ออนาคต แรงงานของเราก็ไม่มีคุณภาพ เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเพิ่งไปเยือนพม่ามา ผู้บริหารของพม่า บอกว่ า อยากได้ แ รงงานพม่ า 2-3 ล้ า นคนที่ อ ยู่ ใ นไทยและ มาเลเซียกลับไป ลองนึกดูวา่ ถ้าเขาดึงคนกลับไปพัฒนาเศรษฐกิจ เขา โรงงานในบ้านเราจะอยูไ่ ด้ไหม คนไทยไม่ยอมเข้าไปทำแล้ว และเราก็ ไ ม่ ย กระดั บ เศรษฐกิ จ ขึ้ น มาสู่ อุ ต สาหกรรมที่ ต้ อ งใช้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีให้มากขึ้น เรื่องภัยพิบัติ หลังจากสึนามิเมื่อปลายปี 2004 ที่ทำให้ มีผู้เสียชีวิตตายไปราว 300,000 คนในหลายประเทศ ปี 2008 ไซโคลนนากีสที่พม่าก็ทำให้มีผู้เสียชีวิต 140,000 คน เราจะเห็น ว่าภัยพิบัติมันมาบ่อยขึ้น ถ้าชุมชนไม่แข็งแรง ไม่พร้อมเราก็ จะประสบความสู ญ เสี ย ใหญ่ ร่ ำ ไป ตอนนี้ ที่ พ ม่ า โรงเรี ย น โรงพยาบาล เขายกสูงขึ้นเพื่อเป็นที่หลบภัยได้หมดแล้ว เพราะ เขาสรุปบทเรียนและมีการเตรียมตัวสำหรับภัยพิบัติ กรณีน้ำ ท่วมใหญ่ในประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมา ใครๆ ก็เห็นว่า “เอาไม่ อยู่” เพราะมันใหญ่เกินไป และคาดหวังว่าทุกอย่างจะกำหนด มาจากกรุงเทพฯ ทั้งนโยบาย คน งบประมาณ แต่โลกสมัยใหม่ โลกยุคอาเซียน เป็นไปไม่ได้ที่จะต้องรอฟังจากส่วนกลาง สิ่งที่เป็นของท่านท่านต้องประคองไว้ อย่าให้ราคา ทุน หรือปัจจัยข้างนอกมาทำลาย เรือ่ งเกษตรยัง่ ยืน เรือ่ งสิง่ แวดล้อม ก็เป็นเรื่องที่ท่านต้องยึดเอาไว้ รัฐธรรมนูญก็รองรับ เพียงแต่จะ สร้างกลไกอย่างไรให้เกิดการประสานกันเพื่อรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ ให้ได้ อาเซียนเป็นห่วงสิ่งเหล่านี้ ความขัดแย้งแย่งชิงจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน สิ่งที่ต้อง ทำให้ได้คือการแบ่งสรร ขอบข่ายอำนาจและสิทธิหน้าที่ และอยู่ กันให้ได้บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ที่กำหนด ถ้าทำไม่ได้สังคมจะ ไม่สมดุล ท่านเองก็จะสูญเสียทุกอย่างที่ควรเป็นของท่านใน ฐานะที่เป็นคนท้องถิ่น ใช่ เรามีประชาคมอาเซียน แต่ในประชาคม ไม่ตอ้ งการ ให้ใครสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง และการจะเข้ามาในอาเซียน ให้ได้ดที สี่ ดุ คือเป็นตัวของตัวเองโดยทีม่ อี ำนาจ มีความสามารถ พร้อมจะแข่งขัน ซึ่งจะทำสิ่งนั้นได้ต้องพัฒนาการศึกษา รักษา สิ่งที่ตัวเองมีอยู่ด้วยการผูกโยงเครือข่าย อย่าให้คนอื่นมาทำลาย เอาเปรี ย บ ดั ง นั้ น สิ่ ง ที่ ท่ า นร่ ว มกั น ทำอยู่ ใ นขณะนี้ ก็ คื อ การ เตรียมตัวเพือ่ อาเซียน เพราะอาเซียนไม่ได้ไกลไปจากตรงนีเ้ ลย
ชุมชนท้องถิ่น กับอาเซียน เคารพกัน ไปด้วยกัน
เวทีเสวนา “ชุมชนท้องถิ่นกับการสร้างอาเซียนน่าอยู่” ในวันสุดท้ายของการประชุมชุมชนท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุด มีสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ จากสถาบันธรรมรัฐเพื่อการ พัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม อภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. ผูอ้ ำนวยการสถาบันองค์ความรูแ้ ห่งเอเชีย ธนาวุฒิ ถาวรพราหมณ์ ประธานกองทุนสร้างเสริมสุขภาวะตำบลปากพูน อ.เมื อ ง จ.นครศรี ธ รรมราช ทำหน้ า ที่ ช วนคิ ด โดยมี จ อม เพชรประดับ ทำหน้าที่ดำเนินรายการ สุวรรณี คำมัน่ กล่าวว่า ประเทศไทยตัง้ อยูต่ รงใจกลาง ภู มิ ภ าคอาเซี ย น และไทยมี จุ ด แข็ ง ด้ า นความพร้ อ มในการ คมนาคมขนส่ง ซึ่งน่าจะเตรียมพร้อมเข้าสู่อาเซียนโดยเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันด้านนี้ นอกจากนี้ความก้าวหน้า เรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ (AEC: ASEAN Economic Community) เป็นเรื่องที่พูดถึงกันมาก แต่เรื่องความมั่นคงของ มนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงอัตลักษณ์ภายใต้เสาหลัก ด้านสังคม วัฒนธรรม นั้นยังไม่ค่อยมีคนพูดถึง สำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เราจะมุ่งพัฒนา เฉพาะสาขาอาชีพที่จะเปิดเสรีก่อนนั้นไม่เพียงพอ ต้องพัฒนาใน สาขาอื่นๆ ด้วย โดยชุมชนท้องถิ่นต้องเข้าใจประเด็นเหล่านี้ และพัฒนาทักษะอาชีพที่จะได้รับโอกาสมากขึ้นจากการรวมตัว เป็นประชาคมอาเซียน รองเลขาฯ สภาพัฒน์ กล่าวด้วยว่า คนไทยจะปรามาส ประเทศเพือ่ นบ้านไม่ได้วา่ ไม่มกี ารศึกษา เพราะปัจจุบนั นี้ ภาษา อังกฤษของคนลาวนั้นดีกว่าคนไทย “อย่าทนงตัวว่าเราดีกว่าคนอื่น ต้องรู้จักประเทศเพื่อน บ้านรวมทั้งคู่ค้าที่สำคัญทั้งจีนและอินเดีย รวมไปถึงประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น” สุวรรณีกล่าวและยังย้ำความสำคัญของการเรียน
ภาษา ขณะที่มองเห็นว่าจุดแข็งของชุมชนท้องถิ่นไทยซึ่ง มีศักยภาพในการจัดการภัยพิบัติ สุขภาวะ สวัสดิการ ซึ่งอาจจะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านได้ต่อไป เป็นการ ทำงานเชิงรุกเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งจะทำไปสู่ การพัฒนาด้านการค้าการลงทุนตามมา “ไทยปฏิเสธอาเซียนไม่ได้ ดังนั้นจึงมีหน้าที่ต้อง ทำความเข้าใจอาเซียน สำหรับชุมชนที่ยังอ่อนด้อย ไม่รู้ เท่าทันความเปลีย่ นแปลง ก็ตอ้ งเสริมหนุนความเข้าใจให้มากขึน้ ” รองเลขาฯ สภาพัฒน์ กล่าวพร้อมทิ้งท้ายว่า ประโยชน์ของ ความร่วมมือทั้งภาคเกษตร ทรัพย์สินทางปัญญา หรือแม้แต่ โครงสร้ า งพื้ น ฐานที่ ไ ปสร้ า งในลาว เวี ย ดนามนั้ น ไทยยังใช้ ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ได้น้อย นอกจากนี้ภาคการเมืองและ ความมั่นคงควรต้องเข้ามาทำหน้าที่ลดความขัดแย้งต่างๆ ที่ เกิดขึ้น สุ ว รรณี ย้ ำ ว่ า เราจะเห็ น ทั้ ง ความเปลี่ ย นแปลงและ ความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งทำให้มีโอกาสและความหวัง ที่จะตั้งเป้าหมายต่อไป บางชุมชนทำอยู่แล้ว แต่ขอให้น้อมนำ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักคิดและหลักปฏิบัติว่า เราต้องเดินหน้าตามศักยภาพของตนเอง ต้องประเมินตนเอง ติดตามข้อมูล หาความรู้ว่า ความเปลี่ยนแปลงไปถึงไหน และ เราอยู่ตรงไหน เพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็ง มีส่วนร่วม และสุดท้าย คือต้องมีสติ บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กล่าวถึงประเด็นผลกระทบจาก การพัฒนาภายใต้ความร่วมมือของประชาคมอาเซียน ซึ่งเขา แสดงความเป็นห่วงว่า เส้นทางทีจ่ ะลงมาจากจีนไปทางตะวันออก ของน่านผ่านลาว จะทำให้ป่าไม้ที่มีถูกเผาโค่นลงไป อบต. ใน พื้นที่ จ.น่าน ก็แสดงความกังวลในประเด็นนี้เช่นกัน ในด้านสิ่งแวดล้อมนั้น เขาเห็นว่า ขณะนี้ทุนก็เริ่มหัน ไปใช้พื้นที่ใหม่ในการปล่อยมลพิษในประเทศเพื่อนบ้าน จาก เดิมที่เคยใช้พื้นที่มาบตาพุด แต่ด้วยความใกล้ชิดของพื้นที่ก็จะ ส่งผลกระทบกับไทยในด้านมลภาวะด้วยเช่นกัน โดยเมื่อไม่นาน มานี้ มีการพูดคุยกันระหว่างผู้ป่วยชุมชนที่ประสบภัย 03 ในพื้นที่มินามาตะ ประเทศญี่ปุ่น (ตะกั่วรั่วไหล) กับผู้ป่วยจากมาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งถือเป็น
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ดี สำหรับภาคแรงงานนั้น ในส่วนของการประมงและ ภาคบริการ ขณะนี้แรงงานจากพม่าก็คืบเข้ามาแทนที่แรงงาน ไทยมากขึ้นเรื่อยๆ บัณฑูรกล่าวว่า ทิศทางของการมองชุมชนท้องถิ่นกับ การสร้างอาเซียนน่าอยู่นั้นเป็นทิศทางที่ถูกต้อง สามเสาหลัก ของประชาคมอาเซี ย นมี ทั้ ง โอกาสและความท้ า ทาย รั ฐ ไม่ สามารถผูกโยงทุกสิ่งเข้าหาตัว แต่ต้องกระจายอำนาจออกไป ภาคประชาสังคม เอ็นจีโอต้องมีบทบาท โดยเขาฝากความหวัง กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่แสดงศักยภาพและบทบาทเพิ่ม ขึ้นอย่างมาก และต้องเข้าใจว่าจะรักษาเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรมของตนเองอย่างไรเมื่อจะต้องปรับตัวสู่อาเซียน บัณฑูรเสนอรูปธรรมบางประการในการสร้างท้องถิ่น น่าอยู่ โดยเห็นว่า ในแง่การรับมือกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือเออีซี แม้กฎเกณฑ์ด้านการลงทุนผ่านจากรัฐส่วนกลางไป ผูกพันตัวเองไว้แล้ว แต่องค์กรปกครองท้องถิ่นสามารถบัญญัติ กฎเกณฑ์ในระดับท้องถิ่นได้เพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ในด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ สำหรับปัญหาการค้ามนุษย์และสิ่งแวดล้อมนั้น ที่ผ่าน มารัฐส่วนกลางมีการปรับแก้กฎหมายรวมไปถึงการมีความร่วมมือ ระหว่างรัฐ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเขามองว่าระดับ ท้องถิน่ ก็สามารถทีจ่ ะจัดการปัญหาโดยสร้างความร่วมมือระหว่าง ชุมชนท้องถิ่นด้วยกันเองได้ บัณฑูรย้ำว่า โลภาภิวตั น์ไม่ได้มปี ระเด็นเศรษฐกิจอย่าง เดียว แต่ มี ด้ า นสิ่ ง แวดล้ อ มและสั ง คมวั ฒ นธรรมด้ วย ซึ่ ง ทำ ระหว่างรัฐต่อรัฐ และชุมชนต่อชุมชนด้วย อีกประเด็นคือเมื่อพูด ถึงประชาคมอาเซียน ก็มีมิติของความหลากหลายของชุมชน ต่างๆ และความร่วมมือเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง ขณะที่ไทยนั้น ค่อยๆ ถอยอันดับลงเรื่อยๆ ในการผูกพันตัวเองกับอาเซียน จึง ต้องเร่งสร้างจินตภาพของการอยู่ร่วมกันของอาเซียน ซึ่งเป็น บทบาทของชุ ม ชนท้ อ งถิ่ น ที่ ต้ อ งทำให้ เ กิ ด ขึ้ น และเป็ น พื้ น ที่ ทำงานที่เปิดกว้าง ด้ า น อภิรักษ์ โกษะโยธิน กล่ า วว่ า สิ่ ง สำคั ญ คื อ ความตระหนักที่จะเห็นเป้าหมายร่วมกันในการเข้าสู่ประชาคม อาเซียน ซึ่งการสำรวจที่ผ่านมา คนไทยมีความตื่นตัวในการเข้า สู่ ค วามเป็ น ประชาคมอาเซี ย นเป็ น อั น ดั บ สองจากท้ า ย เมื่ อ เปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน ลาว กัมพูชา หรือพม่า เราเข้าใจว่า เราเติบโตกว่าเขา ประเทศที่ตระหนักถึงความเป็นประชาคม อาเซียนเป็นอันดับหนึ่งกลับเป็นประเทศลาว
ฟื้นถิ่น {04}
ทัง้ นีไ้ ทยต้องตระหนักในสามด้าน คือประชาคมเศรษฐกิจ ที่ มี ก ารขั บ เคลื่ อ นเตรี ย มความพร้ อ มแล้ ว แต่ ยั ง จำกั ด อยู่ ใ น เครือข่ายองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะทีด่ า้ นสังคมและวัฒนธรรม ทีเ่ ป็นประเด็นสำคัญมากทีส่ ดุ เพราะไทยมีเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ ที่บางเรื่องมีความคล้ายคลึงกับเพื่อนบ้าน แต่ก็ยังมีความหลาก หลาย ไทยจึงควรตระหนักในประเด็นนี้ สุ ด ท้ า ย ในความสั ม พั น ธ์ ข องไทยกั บ เพื่ อ นบ้ า นใน ภูมิภาคอาเซียนยังมีความรุนแรงตามตะเข็บชายแดน ไม่นับ ความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านซึ่งเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความรุนแรง ต่างๆ ตามมา ทำให้ประชาชนในตะเข็บชายแดนที่สภาพวิถี ชีวิตเป็นพี่น้องเพื่อนฝูง เครือญาติกันเกิดความไม่มั่นคง ไม่ ปลอดภัย นอกจากนี้ยังต้องส่งเสริมให้คนไทย เด็กและเยาวชน ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในการรวมตัวเป็น ประชาคมอาเซียนด้วย นายอภิรักษ์กล่าวด้วยว่า นอกเหนือจากสามเสาหลัก อาเซียน คือ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมแล้ว ยังมีอีก 3 ประเด็นที่ต้องตระหนักและส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทใน การร่วมพัฒนาและแก้ปัญหา รวมทั้งต้องเตรียมความพร้อมใน ด้านคนและองค์ความรู้ คือ 1) การเปลีย่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ และภัยพิบัติ 2) สังคมของผู้สูงอายุ 3) ความเป็นชุมชนเมือง ซึ่งโตขึ้นเรื่อยๆ และจะกระจายไปยังท้องถิ่น ต้องมองไปอีก 10-20 ปี ข้ า งหน้ า เพระการเปลี่ ย นแปลงจะเกิ ด ขึ้ น ต่ อ เนื่ อ ง อย่าลืมว่าเป้าหมายหนึง่ ของอาเซียน คือการธำรงรักษาอัตลักษณ์ ที่หลากหลาย ซึ่งถือเป็นความท้าทายของชุมชนท้องถิ่น ขณะที่ ธนาวุฒิ ถาวรพราหมณ์ ประธานกองทุนสร้าง เสริมสุขภาวะตำบลปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช มอง สามเสาหลักของอาเซียน คือ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมว่า จริงๆ แล้วองค์กรท้องถิ่นมีการพัฒนาในทิศทางที่สอดคล้องอยู่ แล้ว โดยตัวแสดงของอาเซียนมี 2 ส่วน คือ ตัวแสดงที่เป็นรัฐ กับตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ แต่จะทำอย่างไรให้ตัวแสดงทั้งสองนั้น ทำงานประสานสอดคล้องกัน ทั้งนี้เขาเห็นว่า อาวุธที่เหลืออยู่ ของภาคท้องถิ่น คือประเพณีและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นความมั่นคง ของประชาชน เขากล่าวในฐานะตัวแทนขององค์กรปกครองท้องถิ่นว่า องค์ ก รท้ อ งถิ่ น ต้ อ งเตรี ย มตั ว ให้ ดี โดยนโยบายสาธารณะ 7 ประเด็นได้แก่ การบริหารจัดการแบบมีสว่ นร่วม การจัดสวัสดิการ สังคมโดยชุมชน การเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน การจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกษตรกรรมยั่งยืน การ ดูแลสุขภาพชุมชน และการจัดการภัยพิบัติ จะเป็นสิ่งที่ค้ำจุน สามเสาหลักของอาเซียนได้
ปฏิญญาเครือข่าย ร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ณ วันที่ 3 มีนาคม 2555
3 มีนาคม 2555 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ ไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร นายสมพร ใช้บางยาง ประธานกรรมการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป พร้อมด้วยตัวแทนผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากหลากหลายจังหวัด นำกล่าว “ปฏิญญาเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่” บนเวที ‘ฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่นสู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย’ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2555 มีเนื้อหา ดังนี้ 0 0 0 เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ร่วมกันแสดงเจตจำนงที่จะขับเคลื่อนและรณรงค์ให้เกิดปฏิบัติการของพื้นที่ใน 7 ประเด็นนโยบายสาธารณะเพื่อร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ ดังนี้
นโยบายสาธารณะด้านการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม 1) จัดทำธรรมนูญท้องถิ่น เพื่อใช้เป็นกลไกในการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมวางแผน ร่วมรับผลประโยชน์ในทุกเรื่อง 2) ปฏิรูปกระบวนการประชาคม ในการจัดทำแผนแม่บทชุมชนและแผนพัฒนาท้องถิ่นเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของ ประชาชนอย่างแท้จริง 3) จัดทำระบบฐานข้อมูลเพื่อให้คนทั้งในและนอกชุมชนสามารถเข้าถึงข้อมูลของชุมชนและติดตามการทำงานของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ และการนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนางานขององค์กรชุมชน กลุ่มทางสังคม และประชาชน
นโยบายสาธารณะการจัดการสวัสดิการสังคมโดยชุมชน
1) จัดตั้งกองทุนแบ่งปันเพื่อจัดสรรทุนรูปแบบต่างๆในชุมชน เช่น เงิน แรงงาน ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น 2) สนับสนุนให้ประชาชนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มกิจกรรมมีการจัดสวัสดิการให้แก่กลุ่ม 3) สนับสนุนการจัดสวัสดิการให้ครอบคลุมทุกกลุม่ เป้าหมาย เช่น กลุม่ ผูถ้ กู ทอดทิง้ ผูด้ อ้ ยโอกาส และผูส้ งู อายุ เป็นต้น
นโยบายสาธารณะด้านการเกษตรยั่งยืน 1) สนับสนุนให้เกิดแหล่งเรียนรู้ระบบเกษตรยั่งยืนอย่างน้อย 1 แห่งทุกตำบล และขยายครอบครัวทำเกษตรกรรม ยั่งยืนอย่างน้อยร้อยละ 10 ของจำนวนครอบครัวในตำบลทุกปี 2) สนับสนุนให้มตี ลาดสีเขียวเพื่อจำหน่ายผลผลิตจากระบบเกษตรกรรมยั่งยืนในตำบล 3) จัดตั้งกองทุนเพื่อการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตสู่ระบบเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล
นโยบายสาธารณะด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
1) ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นว่าด้วยการดูแลรักษาและใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุกประเภท 2) ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเกี่ยวกับการใช้พื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว 3) สนับสนุนให้ทุกหมู่บ้านมีการจัดการขยะในระดับครัวเรือน
นโยบายสาธารณะด้านการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน 1) สนับสนุนให้เกิดกลุ่มองค์กรของเด็กและเยาวชน เช่น ศูนย์ประสานงานเด็กและเยาวชนระดับตำบล สภาเด็กและ เยาวชนประจำตำบล เป็นต้น 2) ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนให้มีการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย หรือการศึกษาทางเลือกอื่นๆ สำหรับ เด็กและเยาวชน โดยจัดการศึกษาตามความต้องการของเด็ก ส่งเสริมการเรียนรู้ในการเพิ่มสมรรถนะเด็กและเยาวชนทุกด้าน รวม ทั้งขยายการศึกษาให้ครอบคลุมเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษาด้วย 3) สร้างพื้นที่สร้างสรรค์ หรือลานกิจกรรมอย่างน้อย 1 พื้นที่ในตำบล
นโยบายสาธารณะด้านการดูแลสุขภาพชุมชน 1) จัดตั้งสนับสนุนส่งเสริมอาสาสมัครและผู้ที่มีจิตอาสาที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพชุมชนกลุ่มเป้าหมาย ในพื้นที่ 2) สนับสนุนการผลิตบุคลากรด้านสุขภาพที่เป็นคนของชุมชนท้องถิ่น 3) จัดตั้งและดำเนินการศูนย์บริการสุขภาพแบบบูรณาการและมีศักยภาพในการเชื่อมต่อกับระบบบริการสุขภาพในพื้นที่
นโยบายสาธารณะด้านการจัดการภัยพิบัติ 1) จัดตั้งศูนย์จัดการภัยพิบัติประจำตำบล เพื่อเป็นกลไกในการจัดทำแผนและศูนย์กลางบัญชาการเตรียมความพร้อม ควบคุมสั่งการในภาวะวิกฤติ ตลอดจนแจ้งเตือนภัยพิบัติของพื้นที่ 2) อาสาสมัครจัดการภัยพิบัติ โดยขยายผลให้เกิดความต่อเนื่องของสมาชิกจากรุ่นสู่รุ่น 3) จัดตั้งกองทุนการจัดการภัยพิบัติ โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมจัดสรรงบประมาณสมทบตามความเหมาะสม ปฏิบัติการในพื้นที่ 21 ประการที่กล่าวมา เป็นปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ที่สมาชิกเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ จักต้องขับเคลื่อนให้เกิดรูปธรรมในทุกชุมชนท้องถิ่น ภายใน 3 ปี นับแต่นี้ไป พร้อมๆ กับการสนับสนุนและผลักดันให้อกี กว่า 63 ปฏิบตั กิ ารพืน้ ฐานของชุมชนท้องถิน่ ในเครือข่าย ได้ดำเนินการ อย่างต่อเนื่องตามเงื่อนไขและภาวะแวดล้อมของแต่ละชุมชนท้องถิ่น
ฟื้นถิ่น {06}
ปาฐกถา นพ.ประเวศ วะสี “ประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” 3 มีนาคม 2555 น.พ.ประเวศ วะวี ปาฐกถาปิดท้ายเวทีฟื้นพลังชุมชน ท้องถิ่นสู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย ครั้งที่ 2 ประจำปี 2555 ในหั ว ข้ อ “ชุ ม ชน ท้ อ งถิ่ น คื อ ฐานประเทศ” โดยกล่ า วว่ า สิ่ ง สำคั ญ ในการขั บ เคลื่ อ นการอภิ วั ฒ น์ ชุมชนท้องถิ่นก็คือ วิธีคิด “ชุมชนท้องถิน่ คือฐานของประเทศ ที่ผ่านมาไม่ได้พัฒนารากฐาน เราจึงเกิด ปั ญ หา หากจั บ จุ ด นี้ ไ ด้ ไม่ ช้ า ก็ เ ร็ ว ประเทศจะมั่นคงยั่งยืน ทั้งนี้ประเทศไทย รวมศูนย์อำนาจต่อไปไม่ได้อีกแล้ว การ ประเด็นต่อมา น.พ.ประเวศกล่าวว่า ความถูกต้องนั้น รวมศู น ย์ อ ำนาจร้ อ ยกว่ า ปี ที่ ผ่ า นมาเป็ น การดู ด ซั บ พลั ง สร้ า ง สรรค์จากคนไทยและสังคมไทยไปหมด คนไทยมีสมรรถนะน้อย จะถักทอกันขึ้นมาเองจากหน่วยย่อยข้างล่าง ไม่มีใครเสกความ ลง มีความขัดแย้งมากขึ้น มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มีหลุม ถูกต้องมาจากข้างบน ชุมชนเป็นที่อยู่ของศีลธรรม ถ้าทำให้ ดำที่เป็นอุปสรรค ขึ้นจากหลุมดำไม่ได้เป็นเวลากว่าร้อยกว่าปี ชุมชนดี ก็จะเป็นฐานของความถูกต้องจากข้างล่าง จากนั้น น.พ.ประเวศ อธิบายรายละเอียดต่อไปถึง นั่นก็คือการรวมศูนย์อำนาจ ทำให้ชุมชนท้องถิ่นอ่อนแอ ทำให้ เกิดความขัดแย้งรุนแรง ระบบราชการอ่อนแอ คอร์รัปชั่นเข้มข้น กระบวนการชุมชนที่จะเป็นฐานสร้างความถูกต้องจากข้างล่าง การแย่งชิงอำนาจทางการเมืองรุนแรง เพราะอำนาจรวมศูนย์ คือต้องมีสภาผู้นำชุมชน สำรวจชุมชน ทำแผนชุมชน มีสภา รัฐล้มเหลวแก้ปัญหาไม่ได้ รัฐประหารง่าย ไร้ทางออก ไปสู ่ ประชาชน และจะก่อให้เกิดการพัฒนา 8 ด้าน คือ เศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ การศึกษาและ มิคสัญญียุค” น.พ.ประเวศ กล่าวว่า เมื่อการรวมศูนย์อำนาจทำให้ ประชาธิปไตย องค์กรท้องถิน่ กว่า 7,000 องค์กร จะสามารถสนับสนุน เกิดปัญหาก็ต้องปฏิรูปเสียใหม่ ทำฐานของประเทศให้มั่นคง จากเดิมที่การพัฒนารวมศูนย์อยู่ด้านบนเหมือนรูปปิรามิด ก็ให้ ชุ ม ชนท้ อ งถิ่ น ของตนเองขั บ เคลื่ อ นนโยบายสาธารณะทั้ ง 7 กลับรูปปิรามิดเสีย มาพัฒนาที่ฐาน เป็นการอภิวัฒน์ประเทศ ประการ ทั้งนี้ ความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น คือการจัดการ ไทยจากฐานของชุมชนท้องถิ่น น.พ.ประเวศเปรียบเทียบการพัฒนาว่ามี 2 รูปแบบ ตนเองได้ เป็น ‘อิทธิปัญญา’ ความรู้แบบท่องหนังสือยังเป็น คือ มิจฉาพัฒนากับสัมมาพัฒนา, “มิจฉาพัฒนา” คืออำนาจ ความรู้แบบจัดการไม่เป็น ไม่ใช่ปัญญา ต้องเป็นความรู้ที่นำมา และมายาคติ มุ่งเน้น กำไร ดอกเบี้ย ค่าเช่า ขณะที่ “สัมมา จัดการได้ คือนโยบายและการปฏิบัติ คำว่า ท้องถิ่นจัดการ พัฒนา” คือความจริงของชีวิต การอยู่ร่วมกัน ผลิตอาหาร ผลิต ตนเอง คื อ การจั ด การพั ฒ นาอย่ า งบู ร ณาการ และจั ด การ ข้าวและของใช้บริการต่างๆ “ข้างบนเป็นเรื่องของมายาคติ” นโยบาย โดย น.พ.ประเวศระบุว่า วิกฤตในอเมริกาหรือยุโรปนั้น แก้ไขไม่ ได้เพราะมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจมายาคติ 07
น.พ.ประเวศกล่าวถึงฝ่ายก้าวหน้าที่ผ่านมามักพูดเรื่อง การปฏิวัติประชาชน ซึ่งหมายถึงการรวมตัวไปยึดอำนาจรัฐ หรือโค่นล้มอำนาจ เมื่อผู้ปกครองเป็นทรราช ประชาชนจะรวม ตัวกัน แต่ส่วนใหญ่จะถูกปราบ ส่วนหนึ่งประสบความสำเร็จ แต่ส่วนน้อยก็ปกครองต่อไม่ได้ อย่างกรณีของอียิปต์ เมื่อประชา ชนโค่นมูบารัก ประชาชนก็ปกครองเองไม่ได้ ทหารก็กลับมา ปกครองแทน น.พ.ประเวศเสนอให้เกิดการปฏิรูปประเทศไทยโดย ประชาชน ในนามของ “ประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ซึ่งจะไป ไกลกว่ า การปฏิ วั ติ ป ระชาชนแบบเก่ า ที่ รุ น แรง มี ก ารล้ ม ตาย และไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จ ขณะที่การอภิวัฒน์นั้นไม่ รุนแรง และการันตีว่าจะสำเร็จ เพราะเรื่องที่ยากและซับซ้อน นั้นใช้อำนาจไม่ได้ผล น.พ.ประเวศระบุว่า แนวทางของ สสส. ที่ผ่านมา คือ การสนับสนุนองค์กรท้องถิ่น เพื่อเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง โดยเรื่องที่ยากและซับซ้อนที่สุด คือ เรื่องการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งชุมชน ท้องถิ่นจะจัดการปัญหาที่ยากและซับซ้อนได้ก็ต้องอาศัยพลัง 5 ประการ คือ พลังของความถูกต้อง เพราะถ้าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พักเดียวจะมอดไป พลังของความสามัคคี ไปด้วยความเป็น กลาง ไม่แยกข้าง ไม่แยกขั้ว-สี ด้วยความเมตตา กรุณา รัก
ฟื้นถิ่น {08}
ผู้คนทั้งหมด เพราะไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน นักวิชาการ นักธุรกิจ ก็มารวมตัวกันเป็นพลังทางสังคมได้ “พลังทางปัญญา ใช้ข้อมูล ใช้ความรู้เข้ามาวิเคราะห์ สังเคราะห์ เป็นประเด็นนโยบาย “การเสนอประเด็นนโยบาย สาธารณะเป็นยอดของปัญญา การไปเรียกร้องไม่ใช่ปัญญา แต่ เป็นอารมณ์ ถ้าเราสังเคราะห์เป็นนโยบายได้ นั่นคือเป็นปัญญา” “พลั ง ของการจั ด การสามารถรวมตั ว กั น ทุ ก พื้ น ที ่
ขับเคลื่อน เอาปัญหาและความรู้ต่างๆ มาสังเคราะห์ มี สสส. เป็นเครื่องมือหนุนการจัดการ ซึ่งจะเป็นพลังหนุนหลังชุมชน ท้องถิ่น “ภาคประชาชนและภาคสังคมเป็นภาคที่สำคัญที่สุด แต่ไม่มีเครื่องมือเชิงสถาบันเลย เรามีภาครัฐ ธุรกิจและภาค สังคม ซึ่งจำเป็นทั้งสามภาค แต่ต้องเสมอกันและสมานกัน เป็น สังคมสมานุภาพ” เป็นพลังสันติวิธี เพราะถ้าตีกันนองเลือดเสีย แล้วก็จะหมดพลังในการขับเคลื่อนต่อไป” นพ.ประเวศ กล่าว ในช่วงท้ายที่สุด น.พ.ประเวศ อวยพรให้กับคนรุ่นหลัง ที่เป็นอนาคตของประเทศว่า จงเป็นคนที่มีกำลังใจ กำลังกาย กำลังคิด ช่วยกันประคับประคองประเทศไทย “ประเทศไทยต้องมีอนาคตที่น่าอยู่ที่สุด เพราะ คนไทยเป็ น คนร่ ว มกั น สร้ า งประเทศไทยและอภิ วั ฒ น์ ประเทศไทยด้วยแนวทางชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง”
ร้อยทำนอง ร้อยประสาน
‘เพลง’ แห่ง ‘ชุมชนท้องถิ่น’
บรรยากาศปิดท้ายรายการ เป็นการแสดงของนักร้องจากค่ายแกรมมี่ ด้วยเพลง “ศักยภาพชุมชน” คำร้อง-ทำนอง วสุ ห้าวหาญ โดยมีสมาชิกเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ร่วมกันร้องเพลง ก่อนจะปิดท้ายเวทีฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่น สู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย ครั้งที่ 2 ปี 2555 ด้วยเพลงคำสัญญา ซึ่งบอกกับพวกเราว่า เราจะระดมแรงสร้างสรรค์ ดึงศักยภาพในตัวเรา สร้างชุมชมของเราให้น่าอยู่...แล้วพบกันใหม่ปีหน้า
เพลงศักยภาพชุมชน
คำร้อง-ทำนอง วสุ ห้าวหาญ เรียบเรียงดนตรี ศราวุช ทุ่งขี้เหล็ก ขับร้องโดย ฟางแก้ว พิชญาภา, ศราวุธ ทุ่งขี้เหล็ก, สมชาย ตรุพิมาย
หนึ่งสมองสองมือที่มี รวมเป็นหลายความคิดดีๆ ออกมายืนตรงนี้ ทำเพื่อเมืองไทยด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราเป็นคนไทยเปี่ยมความสามารถ เป็นกำลังของประเทศชาติ พัฒนาบ้านเมืองก้าวไกล เป็นคน เหนือ อีสาน กลาง ใต้ ก็รักเมืองไทยด้วยกันทั้งนั้น (สร้อย) หากเราร่วมมือร่วมใจ ทำสิ่งไหนก็ไม่เกินแรง โครงสร้างชุมชนแข็งแกร่ง เพราะเราร่วมแรงร่วมมือ สร้างสรรค์ จัดการทรัพยากรช่วยกัน ด้วยมุมมองที่เราแบ่งปัน ใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้เต็มศักยภาพ อยู่ชนบทห่างไกล ทำนาทำไร่ พอเพียงเลี้ยงตัว ใช้ชุมชนดูแลครอบครัว ใช้ครอบครัวดูแลชุมชน ปูพื้นฐานจากหมู่บ้านตำบล สร้างแปลงเมืองไทยให้น่าอยู่ดังฝัน ชุมชนท้องถิ่นบ้านเรา เรียนรู้ร่วมกันเพื่อการพัฒนา ชุมชนท้องถิ่นบ้านเรา เรียนรู้ร่วมกันช่วยกันพัฒนา อยู่ตามเมืองใหญ่เมืองหลวง หัวใจทุกดวงซ่อนไฟมุ่งมั่น ก้าวออกมาจากรั้วที่กั้นจับมือกันทำเพื่อเมืองไทย คนละมือ สองมือคือน้ำใจ โอบกอดชุมชนไว้ด้วยความสุขยืนนาน หนึ่งสมองสองมือที่มี รวมเป็นหลายความคิดดีๆ ออกมายืนตรงนี้ ทำเพื่อเมืองไทยด้วยกัน หากเราร่วมมือร่วมใจ ทำสิ่งไหนก็ไม่เกินแรง โครงสร้างชุมชนแข็งแกร่ง เพราะเราร่วมแรงร่วมมือ สร้างสรรค์ จัดการทรัพยากรช่วยกัน ด้วยมุมมองที่เราแบ่งปัน ใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้เต็มศักยภาพ ด้วยมุมมอง ที่เราแบ่งปัน ใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้เต็มศักยภาพ..
09
ขอให้ภาพเหล่านี้ ได้เล่าเรื่อง
ขอให้ภาพเหล่านี้ ได้เล่าเรื่อง