วฯงเจัฯลิฯ
เวียงเจ็ดลิน ปที่ ๗ ฉบับที่ ๑ (๒๕๖๐)
ปกหนา – จิตรกรรมลายคําน้ําแตม โดย ผศ.ลิปกร มาแกว: ลวจังกราชเทวบุตร ปกหลัง – จิตรกรรมลายคําน้าํ แตม โดย ผศ.ลิปกร มาแกว: พระญามังราย พระญางําเมือง และพระญารวง พบชัยมงคล ๗ ประการ ในตอนสรางเมืองเชียงใหม
คํ¶ฯบฯกแจ้ฯ คําบอกแจง
ศูนยวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ไดจัดทําวารสาร ทางศิลปะและวัฒนธรรมราย ๖ เดือน ในนามวารสาร “เวียงเจ็ดลิน” จัดพิมพมาแลว ๖ ป จํานวน ๑๒ ฉบับ เพื่อเปนการเผยแพรองคความรูทางศิลปวัฒนธรรมสูหนวยงาน ชุมชน และ ผูสนใจทั่วไป นอกจากนี้ถือวาเปนการเผยแพรภูมิปญญาอันมีคาของทองถิ่นใหเปนที่รูจักกัน อยางกวางขวาง ในปที่ ๗ ฉบับที่ ๑ นี้ นําเสนอองคความรูที่ไดจากการจัดการความรูเรื่อง “เวียงเจ็ด ลินกับชุมชนชางเคี่ยน” เพื่อใหองคความรูเกี่ยวกับเวียงเจ็ดลิน สมบูรณมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ที่ สํ า คั ญ ในฉบั บ นี้ ยั ง มี บ ทสั ม ภาษณ ศิ ล ป น และในขณะเดี ย วกั น เป น อาจารย ป ระจํ า คณะ ศิลปกรรมและสถาปตยกรรมศาสตร ที่รังสรรคผลงาน “ลายคํา น้ําแตม” ในฉบับนี้จะพาไป รูจักงานชิ้นนี้รวมถึงที่มาที่ไปของการสรางผลงานออกมา ขอใหเพลิดเพลินและเรียนรูไปพรอมๆ กัน กองบรรณาธิการ “เวียงเจ็ดลิน”
เจาของ : ศูนยวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ที่ปรึกษา: ชัยปฐมพร ธนพัฒนปวงวัน และหัวหนาศูนยวัฒนธรรมศึกษา ทุกเขตพื้นที่ บรรณาธิการ: ศักดิ์นรินทร ชาวงิ้ว กองบรรณาธิการ: ผศ.ลิปกร มาแกว ดร.ภาณุพงษ จงชานสิทโธ อ.ยุรธร จีนา อ.ชวรินทร คํามาเขียว วิภาพรรณ ติปญ โญ คชานนท จินดาแกว วันทนา มาลา อุไรพร ดาวเมฆลับ พิสูจนอกั ษร: น.ส.กนกวรรณ เฮาสแมนท, น.ส.เบญจวรรณ เสติละ, นายนฤพล เจริญ ออกแบบจัดทํารูปเลม: ศักดิ์นรินทร ชาวงิ้ว พิมพที่: แม็กซพรินติ้ง (MaxxPRINTIMG) โทร. ๐๘๙-๖๓๕๖๔๑๓, ๐๕๓-๒๒๑๐๙๗ ๑๔ ถ.ศิริมังคลาจารย ซ.สายน้ําผึ้ง ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม ๕๐๒๐๐
เส้ฯหฯาฯหฯ้า สารบัญ คําบอกแจง สารบัญ เวียงเจ็ดลินกับชุมชนชางเคี่ยน การบูรณาการการเรียนการสอนการประยุกตใชเศรษฐกิจพอเพียง กับภูมิปญญาทองถิ่นและพื้นฐานความรูดานวิทยาศาสตร และเทคโนโลยี บทสัมภาษณ ลายคําน้ําแตม ปุปผาลานนา ดอกผักกาด ครัวคชา แกงแค แวดบาน (มทร.)ลานนา
๒
๑ ๒ ๓ ๑๕ ๒๑ ๓๙ ๔๓ ๔๖
วฯงเจัฯลิฯ กัฯ ชุมช฿ฯช้าฯฅ่ฯร เวียงเจ็ดลิน กับชุมชนชางเคี่ยน * 0
ศูนยวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา
จากการที่เราทราบกันดีแลววา เวียงเจ็ดลินเปนเมืองโบราณที่มีลักษณะพิเศษอยาง ยิ่ ง แห ง หนึ่ ง ด ว ยเป น เวี ย งที่ มี อ ายุ นั บ ๑๔๐๐ กว า ป หากนั บ ตามการตรวจด ว ยเทคนิ ค วิทยาศาสตร หรือสรางเปนเวียงสําหรับแปรพระราชฐานของกษัตริยในสมัยเจาสามฝงแกน เปนตนมา ก็นับได ๖๐๖ ป (นับถึงปพ.ศ.๒๕๖๐) ซึ่งมีลักษณะเปนรูปวงกลมอยางนาอัศจรรย ในเทคโนโลยีสมัยกอน เปนเมืองโบราณที่มีถูกบุกรุกทําลายบาง แตก็ยังเห็นสภาพเวียงที่ ชัดเจนไดอยางยิ่ง หากเทียบกับเวียงสวนดอก ที่ถูกทําลายไป ๓ ดาน ดวยในเขตเวียงโบราณ เปนที่ตั้งของหนวยงานราชการ ที่มีการเปลี่ยนแปลงนอย จึงนับวาเปนประโยชนตอการรักษา สภาพความเปนเมืองโบราณเอาไว กอนที่จะเติมเต็มขอมูลในเรื่องของเวียงเจ็ดลินกับชุมชนชางเคี่ยน อันเปนชุมชน ๑ ใกลเคียงมาแตเดิม ดังนั้นจึงขอหยิบยกเอาประวัติเวียงเจ็ดลินมาใหทราบที่มาที่ไปโดยสังเขป ดังนี้ 1
แผนที่เวียงเจ็ดลินกับชุมชนชางเคี่ยน (ภาพจาก Google map) *
ถอดองคความรูจากโครงการ การจัดการความรูเรื่องเวียงเจ็ดลินอยางมีสวนรวมกับชุมชน โดยศูนย วัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ณ วัดชางเคี่ยน ต.ชางเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ๑ เนื้อหาฉบับเต็ม อยูในวารสารเวียงเจ็ดลิน ปที่ ๓ ฉบับที่ ๑ ๓
เวียงเจ็ดลิน เปนเมื องโบราณรูปวงกลม บริเวณเชิงดอยสุเ ทพ โดยคําวา คําว า “ลิน” นี้ ก็หมายถึง รางริน และ คําวา “เจ็ดลิน” ก็คือรางรินทั้งเจ็ด หรือสายน้ําทั้งเจ็ดสายที่ ไหลผานตัวเวียงเจ็ดลิน เวียงเจ็ดลินยุคกอนลานนา ยุคกอนประวัตศิ าสตร มีการขุดพบเครื่องมือหินกระเทาะบริเวณเวียงเจ็ดลิน ชี้ใหเห็นชัดเจนวา ในบริเวณเวียงเจ็ดลิน นั้น มีการอยูอาศัย หรือการใชประโยชน ในการหาของปาลาสัตวมาแตยุคหินใหมเรื่อยมา และกระจายตัวทั่วไปในบริเวณดอยสุเทพ เวียงเจ็ดลิน...กอนหริภุญไชย-ชนพื้นเมือง จากตํานานตาง ๆ ที่เกี่ยวของนี้ ชี้ใหเห็นวา แถบเชิงดอยสุเทพ เปนเขตที่มีการ พัฒนาและเจริญมาในระดับหนึ่ง มีการตั้งถิ่นฐานของผูคนในดินแดนนี้มาเนิ่นนานแลว โดยมี การรวมกันเปนกลุมตาง ๆ ที่ในตํานานจะใชสัญลักษณในรูปแบบของคนในรอยเทาสัตว หรือ ใชสัตวเปนสัญลักษณประจํากลุมตาง ๆ โดยภาพของแตละกลุมนั้นก็อาจจะสงผลทําใหการ รวมตัวกันของกลุมชนตางๆ บริเวณนี้ไมเขมแข็งเทาที่ควร จนลมสลายลง เมื่ออาณาจักรหริ ภุญไชยขยายตัว ดวยการอยูเปนกลุมตางๆ ยากตอการรวมกันเปนปกแผน กอปรกับลักษณะ แตละกลุมก็มีความแตกตางกัน การติดตอสื่อสารก็มีดวยความยากลําบาก ดังเชนกลุมลัวะ หรือละวาในปจจุบัน ก็จะพบวาชาวลัวะในแตละเขตมักจะมีภาษาเฉพาะและสื่อสารกันดวย ความลําบาก จากตํานานตาง ๆ ของการสรางบานแปลงเมืองบริเวณเชิงดอยสุเทพมาจนถึงสมัย ตนหริภุญไชยนั้น ก็มีหลักฐานสนับสนุนความเปนไปไดวามีการสรางเมืองในแถบนี้อยูจริง นั่น คือเมื่อประมาณ ๑,๔๔๐ ปกอน มีการสรางกําแพงเวียงเจ็ดลิน โดยสํานักโบราณคดีที่ ๘ เชียงใหม กรมศิลปากร นําดินจากกําแพงเวียงเจ็ดลินไปตรวจสอบหาอายุ โดยผลที่ออกมานั้น มีอายุเกากวาเมืองหริภุญไชยที่สรางราว พ.ศ.๑๓๑๐ – ๑๓๑๑ หรือตนพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ยุคหริภุญไชย จากตํานาน จะคาบเกี่ยวมาจนถึงสมัยหริภุญไชย จากเรื่องราวของจามเทวี และขุน หลวงวิรังคะ สื่อใหเห็นถึงชัยชนะของกลุมวัฒนธรรมใหมที่เหนือกวากลุมเดิมในแถบลุมน้ําปง ในบางเรื่องเลา ยังมีการสืบตอไปอีกวา เมื่อขุนหลวงวิรังคะพายตอพระนางจามเทวี มีการ ผนวกของสองกลุมเขาดวยกัน เมื่อมีการแตงงานระหวางโอรสแฝดของพระนางจามเทวี กับ ๔
ธิดาแฝดของขุนหลวงวิรังคะ อันเปนตัวแทนวา กลุมลัวะไดถูกผนวกเขาสูยังวัฒนธรรมของ หริภุญไชย เมื่อเวลาลวงเลยมาชวงสมัยหริภุญไชย การสถาปนาความเชื่อแบบพุทธ ในแถบที่ ราบลุมแมน้ําปง ก็เจริญรุงเรืองขึ้นมาก ทําใหมีการสรางวัด และสิ่งกอสรางตางๆ ตั้งแตเชิง ดอย ไปจนถึงสันกู ดังปรากฏหลักฐานศิลปะหริภุญไชย เวียงเจ็ดลินสมัยลานนา ตั้งแตสมัยราชวงศมังราย – สมัยเจาเจ็ดตน เวี ย งเจ็ ด ลิ น ที่ ป รากฏในเอกสารทางประวั ติ ศ าสตร นี้ สร า งในสมั ย ของพระญา สามฝงแกน ในป พ.ศ. ๑๙๕๔ เพื่อเปนปอมปราการ ในการปองกันเมืองเชียงใหม ในคราวที่ ทาวยี่กุมกามพี่ชาย ไดชักชวนพระญาไสลือไทแหงสุโขทัย ยกทัพมาตีเชียงใหม และมาตั้งทัพ อยูบริเวณเชิงดอยเจ็ดลิน อันเปนบริเวณเวียงเจ็ดลิน และน้ําจากเวียงเจ็ดลินก็เปนที่ลือชาปรากฏในสมัยของพระญาไสลือไทยกลาววา “คูไดกินน้ํา ๗ ลิน ลําแกใจนัก น้ําที่ใดยังจักเปนดั่งน้ํา ๗ ลินนั้นชา” และใชเปนน้ําทิพยในการ สรงน้ําพระธาตุเจาดอยทุง และใชเปนที่ตอนรับแขกเมือง ในสมัยพระนางจิรประภามหาเทวี อีกดวย เวี ยงเจ็ ดลิ นยั ง มีค วามสํ าคั ญมาจนถึง สมั ยของเจา เจ็ ดตน ดัง สมัย ของเจา หลวง พุทธวงศ (พ.ศ. ๒๓๖๙ – ๒๓๘๙) ก็มาประทับที่เวียงเจ็ดลิน ในระหวางที่มีเคราะห จนมีการ เปลี่ยนแปลงการใชที่ดินเมื่อมีการรวมเขากับสยามในเวลาตอมา เวียงเจ็ดลินในยุคการเปลี่ยนแปลง... หนึ่งฟาดินเดียว ในสมั ย พระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล า เจ า อยู หั ว รั ช กาลที่ ๖ ในระหว า งป พ.ศ. ๒๔๕๘ – ๒๔๖๘ เวียงเจ็ดลินก็ใชเปนที่ตั้งของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง เชียงใหม แตใน ปลายรัชกาลที่ ๖ จึงยุบรวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวงกรุงเทพฯ หรือวชิราวุธวิทยาลัยใน ปจจุบัน สวนพื้นที่เดิมของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม ปจจุบันคือ สํานักงานปศุสัตว เชียงใหม บางส ว นเป น พื้ น ที่ ข องทางป า ไม จั ง หวั ด เชี ย งใหม ณ บริ เ วณของสวนรุ ก ขชาติ ปจจุบัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็ไดเปนที่ตั้งฐานทัพญี่ปุน (สวนฐานทัพญี่ปุนที่ใชทําเปน โรงพยาบาล จะอยูดานทิศเหนือของเวียง) ทําใหพื้นที่มีความเสียหายหนัก ทางปาไมจังหวัด จึงไดจัดใหมีการฟนฟูเปนสวนพฤกษศาสตร ในนามของ “สวนพฤกษศาสตรหวยแกว” และ ตอมาในปพ.ศ.๒๔๙๙ มีการจัดพื้นที่เพื่อการทองเที่ยวสําหรับประชาชนทั่วไป ในนามวา “สวนรุกขชาติหวยแกว” ๕
กอปรกับระยะเวลานั้นนายฮาโรลด เมสัน ยัง (Mr.Harold Mason Young) มิชชั่นนารีชาวอเมริกัน ไดขอพื้นที่เชิงดอยสุเทพ จากทางผูวาราชการจังหวัดเชียงใหมสมัยนั้น เพื่อกอตั้งเปนสวนสัตว ที่ยายมาจากบานเวฬุวัน ของนายกี – นางกิมฮอ นิมมานเหมินท มายัง สวนสัตวเชียงใหมในปจจุบัน และเปดใหบริการตั้งแตวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๐ เปนตนมา ในวั น ที่ ๘ สิ ง หาคม ๒๕๐๐ ได มี ก ารวางศิ ล าฤกษ ก ารสร า งวิ ท ยาลั ย เทคนิ ค ภาคพายัพ ขึ้น ที่ตอมาคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ในปจจุบัน ในขณะนั้น มีการรื้อแนวกําแพงลงเพื่อสรางอาคารตาง ๆ นอกจากนี้ ยังมีการขยายถนนหวยแกวใน ป ๒๕๐๕ เพื่อรับพระราชอาคันตุกะจากตางประเทศ ในการนี้มีการถมคูน้ําและรื้อแนวกําแพง ดิน ก็เปนอีกปจจัยหนึ่ง ที่ทําลายโบราณสถานลงไปอีก แมนวาในสมัยหลังมีการสงเสริมการทองเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม โดยเฉพาะในเชิง ดอยสุ เ ทพ มี ก ารกล า วขวั ญ ถึ ง สถานที่ ต า งๆ เช น น้ํ า ตกห ว ยแก ว สวนรุ ก ขชาติ ห ว ยแก ว วังบัวบาน ฯลฯ แตเวียงเจ็ดลินกลับเลือนหาย จากการศึกษาประวัติเวียงเจ็ดลินโดยสังเขปดังกลาวมาทั้งหมดนี้ ลวนขาดการ ปะทะสังสรรค หรือความสัมพันธกับชุมชนโดยรอบ ในการนี้ เพื่อใหความรูเรื่องเวียงเจ็ดลินนี้ สมบูรณยิ่งขึ้น ทางศูนยวัฒนธรรมศึกษาจึงไดจัดโครงการการจัดการความรูเรื่องเวียงเจ็ดลิน อยางมีสวนรวมกับชุมชน โดยมีชุมชนชางเคี่ยนเปนชุมชนเปาหมาย ชุมชนชางเคี่ยน เปนชุมชนเกาแก หากยอนไปถึงในชวงสรางวัดพระธาตุดอยสุเทพ เปนตนมา ดวยตํานานเรื่องเลาวาชางไดมาเวียนอยูบริเวณนี้ จึงเรียกวา “ชางเวียน” การเวียน รอบ มีอีกคําหนึ่งในภาษาลานนา คือวา วาเคียน เชนผาเคียนหัว ซึ่งคือผาพันหัวหรือผาโพก ศีรษะ ชางเวียนจึงผันเปนชางเคียน และกลายมาเปนชางเคี่ยนในปจจุบัน แตคําวาชางเคี่ยน ยังกลับกลายมีความหมายถึงชางในลานนา เมื่อกลาวถึงชุมชน ช า ง มั ก จะอ า งว า ชุ ม ชนนี้ เ ป น ชุ ม ชนช า งกลึ ง โดยคํ า ว า เคี่ ย น คื อ ว า กลึ ง ในภาษาไทย เชนเดียวกับชื่อชุมชนที่ขึ้นตนดวยคําวาชางหลายๆ ชุมชน เชน ชางแตม ชางฆอง ชางคํา ชางกระดาษ เปนตน แตปรากฏวาในชุมชนแหงนี้ไมปรากฏการมีถึงชางเคี่ยนเลยแมแตนอย
๖
๒
ถึงแมวา ในสมัย กอนจะมีโรงงานแกะสลักไม ของนายวิเชีย ร พิมพ ประเสริฐ ที่ ชาวบา น ชางเคี่ยนเขามาเรียนรูและทํางานดวยเทานั้นเอง 2
อุโบสถวัดชางเคี่ยน
ชุมชนชางเคี่ยนนั้น แตเดิมจะอยูบริเวณใกลกับวัดชางเคี่ยน และบริเวณหาแยก ชางเคี่ยน และขยายไปทางทิศเหนือ เลยปา ชาไปเรียกวา “บานหั วโตง” หรื อบานหัวทุ ง เลยนั้นไปจะเปนที่ของทหาร ดวยชางเคี่ยนแตกอนทํานาเปนหลัก และอาศัยน้ําจากหวย ชางเคี่ยน ในการทํานา โดยนา จะกินบริเวณกวาง ตั้งแตชางเคี่ยนไปถึงเจ็ดยอด รวมถึงไปทาง ฝงหลังโรงแรมเชียงใหมภูคํา จนถึงบานปาหา พอหลวงบุญยืน อนนทสมิง ไดเลาใหฟงถึงอาชีพของชาวบานชางเคี่ยนวา นอกจาก ทํานาแลว ชาวบานชางเคี่ยนจะเก็บของปามาขาย ตามน้ําหวยชางเคี่ยนทางคายลูกเสือไป จนถึงนาไรหลวง (ปจจุบันเปนที่อยูชาวมง) โดยเฉพาะตองตึงมาขาย ตองตึงใชหอขาวก็ได นํามากรองเปนตับมุงหลังคาก็ได เก็บมาจนเต็มตะกรา ขายได ๖ – ๗ บาท นอกจากนี้ยัง รับจางตัดไมปอกเปลือกเอาลงปามา ไดตนละ ๖ บาท พอถึงฤดูมดแดงก็ไปสอยไขมดแดงมา
๒
โดยคุณเรือนแกว อนนทยี ไดเลาไวในหนังสือ ยานหวยแกว (สังคมเมืองเชียงใหมเลมที่ ๔๒) ของ พ.ต.อ.อนุ เนินหาด ๗
ขาย และมีการทุบหินขาย ๒๐ ปบ ได ๘ บาท นอกจากนี้ ปนอิฐ ปนกระเบื้อง อันเปนอาชีพ ของชาวบานชางเคี่ยน
นาไฮหลวง อยูบ นดอยตามหวยชางเคีย่ นขึ้นไป
สวนการใชพื้นที่ของลําหวยนั้น สวนใหญชาวบานชางเคี่ยนจะใชน้ําหวยชางเคี่ยน เปนสําคัญ ทั้งที่หาปู หาปลา บางแหงก็ไปตกเบ็ด บางแหงก็ใชลูกตะขบ (บาเกวน) ทุบให แหลก ลงแชน้ํา พอใหปลาเมาก็จับปลาขึ้นมา พอหลวงบุญยืน อนนทสมิงกลาวอีกวา แตลํา น้ําหวยนี้ใสมาก มีปริมาณมาก น้ําหวยกวางและลึก หากเวลาน้ํานองจะตองขี่ควายขามไป ถึงจะขามได บางทีก็ไปหาปลาบูที่หวยแกว สว นในพื้ น ที่ เวี ย งเจ็ ด ลิ น พ อ หลวงบุ ญ ยืน เล า ว า ที่นั้ น มี บ อ น้ํ า ศัก ดิ์ สิ ท ธิ์ ที่ ไ หล ออกมาตลอด และมักไดยินถึงการที่ มีคนไปขุดพระวัด หมูบุน ไปขายได ราคาแพง เพราะ พระเครื่องกรุวัดหมูบุนนี้ดัง อาจจะเปนพระคง พอหลวงบุญยืนเคยไดพระคงแดง ที่ปาชา ชางเคี่ยนนี้องคหนึ่ง เขาฝงไวกับคนตาย ขณะที่พอหลวงบุญยืนเปนทายรถขุดดินเอาไปถมที่ แลวมีคนไดพระมา เอามาขายให ๕ บาท ตอมามีกลุมผูกอการราย จะซื้อเอา ๘๐๐ บาท ดวย เงินแตกอนหายาก ปจจุบันนี้ราคาอาจจะเปนแสน ตอนนั้นเรารูเทาไมถึงการณจึงไดขายไป จากคําบอกเลาจะพบวา ชาวบานชางเคี่ยนจะหากินตามลําหวยชางเคี่ยนไปถึงบน ดอยขุนชางเคี่ยน ดวยดานบนมีนาเกา เรียกวานาไฮหลวง หรือนาลัวะ ที่เปนที่เลี้ยงควาย ๘
ในฤดูวางเวนจากการทํานา และเก็บของปาหากินในละแวกนี้ โดยมักจะไมขามไปทางหลังปา ชาชางเคี่ยนเทาใดนัก และนายตา สุขเกษม กลาววาผูเฒาผูแกมักจะหามเด็กไมใหไปในพื้นที่ แถวนั้น ดวยกลัววาผีจะทํารายทําใหไมสบายได การที่ออกไปหาของปาในละแวกใกลเคียง สวนทางดานเหนือบางทีก็สามารถวกลง ไปหาของปายังในเวียงเจ็ดลินได แมเรือนแกว อนนทยี ไดเลาใหฟงวา มีแมอุยตา ไปหวย ไปดอย แลวเห็นหมูทองคําออกมา แตไมสามารถจับเอามาได ใกลกับวัดรางตรงนั้นจึงไดชื่อวา วัดหมูบุน นอกจากนี้ยังเลาวาพื้นที่ ที่เปนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ไลเลยไป ถึงที่ของสมเด็จพระนางเจารําไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ มักใชเปนสถานที่เลี้ยง วัวเลี้ยงควายของชาวบานชางเคี่ยน
ซอยพระนาง โดยชื่อมาจากพระนามของสมเด็จพระนางเจารําไพพรรณีพระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ดวยพื้นที่ดา นตะวันออกของถนนเปนที่ของพระองค
สวนพื้นที่ดานทิศเหนือของเวียงเจ็ดลิน ชาวบานชางเคี่ยนมักไมยางกรายเขาไป คุณแมเรือนแกว อนนทยี ไดเลาวาแถวนั้นเปนพื้นที่ที่มีผีมาก ไมกลาขึ้นไปคนเดียว หรือหาก จะไปมักจะไปถึงแคซอยคายลูกเสือซอย ๑ ไปจรดซอยพระนางเทานั้น ไมขึ้นไป จากคําบอกเลาของชาวบานและอาจารยจําเหลาะ สมจิตต อาจารยอาวุโสของ มหาวิ ท ยาลั ย เทคโนโลยี ร าชมงคลล า นนา ที่ เ ข า มาอาศั ย ตั้ ง แต ตั้ ง เป น วิ ท ยาลั ย เทคนิ ค ๙
ภาคพายั พ ไดเ ลาวาต อมาพื้น ที่ตรงนั้ นมีการบุกเบิก แผวถางจับจอง จากคนที่อยู ในเมือ ง มาเบิกพื้นที่แถวนั้น กอปรกับมีชาวกะเหรี่ยงที่มากับครูบาศรีวิชัยในการสรางทางขึ้นดอย สุเทพ ก็เขามาอยูอาศัยในพื้นที่เหนือเวียง พรอมกับชาวดอยเตาที่หนีน้ําทวมก็มาอาศัยในดาน นอกเวียงเจ็ดลิน “เขาหาวาผมบา” อาจารยจําเหลาะ สมจิตต ไดกลาวเชนนั้น เพราะเขาไปอาศัยใน พื้นที่ ที่ชาวบานไมเขาไปอยูและเกรงกลัว
เลยจากจุดนี้ ชาวบานชางเคีย่ นมักไมคอยขึ้นมา
อาจารยจําเหลาะไดเลาถึงพื้นที่เวียงเจ็ดลินในชวงหนึ่งวา หลังจากที่หมดโรงเรียน มหาดเล็กหลวง พื้นที่ในเขตเวียงเจ็ดลินนั้นก็เปนพื้นที่ของราชพัสดุ กลุมที่มาใชประโยชน ไดแกกรมปศุสัตวโดยปลูกหญา ปลูกขาวโพด เพื่อการเลี้ยงสัตว ดวยหางไกลจากชุมชนและ ตัวเมือง ตอมาทางวิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพ ก็มาขอใชในพื้นที่ในเขตเวียงเจ็ดลิน เพียงเสี้ยว หนึ่ง (ทางดานตะวันออกของเวียงเจ็ดลิน) โดยแรกเริ่มมีการสรางเปนอาคารกํามะลอมุงตอง ตึง เปนอาคารฝกของโรงงาน บางสวนก็ไปเรียนที่บริเวณแจงหัวริน ณ ตึกอาสาสงคราม ทางวิทยาลัยเห็นวาพื้นที่วิทยาลัยที่อยูในตัวเวียงเกานั้นคับแคบ จึงทําเรื่องไปยัง มหาดไทย ขอใช พื้ น ที่ ต ะวั น ออกไปจรดลํ า ห ว ยช า งเคี่ ย น เพื่ อ ใช เ ป น พื้ น ที่ ข องวิ ท ยาลั ย ในตอนนั้น พื้นที่ที่เคยใชปลอยวัวปลอยควาย ก็ถูกใชเปนสถานศึกษาไป ๑๐
สวนพื้นที่ใกลเคียงนั้นก็เปนพื้นที่ของเอกชนที่มาจับจองและซื้อขายกันไปบางสวน ใช เปนพื้นที่ของการปลูกผักของโกสิ่ว หรือนายอุดมสิทธิ์ โกมลพงศภักดี ตอมาประมาณป พ.ศ. ๒๕๑๖ มีการปลูกสตรอวเบอรี โดยพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๙ ไดพระราชทาน พันธุสตรอวเบอรี มาแจกใหกับเกษตรกร ในชุมชนชางเคี่ยน และมีการปลูกสตรอวเบอรี กัน ๓ อยางกวางขวาง ในบานชางเคี่ยนไปจนถึงเจ็ดยอด และในพื้นที่ดานทิศเหนือของเวียงเจ็ดลิ นดวย นับวาเปนเจาแรกๆ ในจังหวัดเชียงใหมที่มีการปลูกสตรอวเบอรี แตตอมาการปลูกสต รอวเบอรี ในชุมชนชางเคี่ยนก็เลิกไป พื้นที่โดยรอบเวียงเจ็ดลินยังพบโบราณสถานเกาที่ปจจุบันไดสูญหายไปแลว จากคํา บอกเลาของอาจารยจําเหลาะ สมจิตต เลาวามีวัดเกานอกเวียงหลายวัด เชน วัดนอย ดาน ตะวันตกเฉียงเหนือของเวียงเจ็ดลิน ยังคงเหลือเศษอิฐ และใครมาอาศัยอยูในบริเวณนั้นไมได และอีกที่หนึ่ง เลยซอยพระนางขึ้นเนินกอนที่จะโคงเลี้ยวซาย เคยมีเจดียเกาอยูสามองคตรง นั้น และพื้นที่สวนดานทิศเหนือของเวียง นอกจากนี้ยังมีวัดกูดินขาว ในสวนสัตว ในเวียงก็จะ มี วั ด หมู บุ น นอกจากนี้ ยั ง มี ซ ากวั ด เก า ในมหาวิ ท ยาลั ย เชี ย งใหม ด ว ย เช น ที่ ป ระตู ห น า มหาวิทยาลัยเชียงใหม บริเวณศาลาธรรม เปนตน” นอกจากนี้ บรรยากาศของเวียงเจ็ดลิน ยังหลอหลอมศิลปนลานนาที่ยิ่งใหญคนหนึ่ง คือ จรัล มโนเพ็ชร สมัยที่จรัล มโนเพ็ชร มาเรียนหนังสือ เมื่อป ๒๕๐๙ และแตงเพลง “บาน บนดอย” ในป ๒๕๑๔ ตอนที่จรัล มโนเพ็ชร มาเรียนบัญชีกับ อ.จําเหลาะ สมจิตต และ ศึกษาเรียนรูถึงการแตงเพลง ในบรรยากาศของธรรมชาติเวียงเจ็ดลิน อันประกอบไปดวย เสียงน้ําตกของน้ําตกตาดเหมย น้ําตกหวยแกว และเสียงลมพัดหวีดหวิว ในขณะนั้นก็ไดแตง เพลง “ไลเหลา” ออกมา แตมาอีกหลายป เมื่อจบไป ก็ไดกลับมาเยี่ยม อ.จําเหลาะอีกครั้ง ในครั้งนั้นพบกับบรรยากาศของเวียงเจ็ดลินในฤดูหนาว ที่มีการจี่ขาวเหนียวกิน เลยออกมา เปนบทเพลงบานบนดอย ทอนหนึ่งที่วา 3
๓
อนุ เนินหาด,พ.ต.อ. ยานหวยแกว (สังคมเมืองเชียงใหมเลมที่ ๔๒), (เชียงใหม:บริษัทนพบุรีการพิมพ จํากัด, ๒๕๕๗) หนา๑๙๑ ๑๑
“...บานบนดอย บมีแสงสี บมีทีวี บมีน้ําประปา บมีโฮงหนัง โฮงนวด คลับบาร บมีโคลา แฟนตา เปบซี่ บมีเนื้อสัน ผัดน้ํามันหอย คนบนดอย ซอบกินขาวจี่ บมีน้ําหอม น้ําปรุงอยางดี แตหมูเฮามี ฮึม มีน้ําใจ” นอกจากนี้ เพลงของวิทยาลัยเทคนิค ภาคพายัพ ทั้ง ๔ เพลงก็ยังเปนที่รูจัก และทํา ใหผูคนทั้งชุมชนชางเคี่ยน, นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ไดยินถึง เวียงเจ็ดลินจากเพลงเหลานี้ เพลงวังเจ็ดลิน เปนเพลงที่ทําใหคนรูจักเวียงเจ็ดลินในระดับหนึ่ง เพลงนี้เกิดขึ้นใน คาบวิชาเศรษฐศาสตร โดย อ.จําเหลาะ สมจิตต ไดเลาประวัติความเปนมาของเวียงเจ็ดลิน ใหกับนักศึกษาในชั้นเรียนฟง และใหแตละคนเขียนเปนเพลงหรือเปนกลอนออกมา ในที่สุดก็ ไดเนื้อเพลงของคุณอรพรรณ จารุเศรณี และ อ.จําเหลาะ สมจิตต เปนผูใหทํานอง และทํา ดนตรีและขับรองโดยวงดนตรีสุนทราภรณ “วังเจ็ดรินถิ่นนี้เหมือนมีมนตรา ใครไดมาจะพาเคลิ้มใจยามมอง โนนดอยสุเทพเทพดํารงทรงเฝาคุมครอง พระธาตุเรืองรองดังตองดวยแสงสุรีย เพลินวิญญาณเพลินขวัญตาทุกยาม นั่นคือสนามแสนงามดวยความขจี แคฝรั่งวังของเรานี้ เห็นอยูแรมปผลิดอกออกเปนแถวไป เนินเขาเบื้องหลังวังชื่น ดาษดื่นดวยสักพะยอมมีดอกหอมยอมใจ เสียงนกในปาคะนองรองเพลงแตไกล หวยธารก็ใสเมื่อมองแลวใจชื่นบาน วังเจ็ดรินถิ่นนี้ทุกปเคยเนา ใจพวกเราผูกพันทุกวันและวาน หากแมนคิดเปรียบเทียบวังเราก็เทาวิมาน มีปามีธารตะหงานดอยสูงสุดตา” ๑๒
เราภูมิใจความวิไลของวัง หทัยเราฝงรักวังดังดวงชีวา อันพระธาตุงามเหนือภูผา ศูนยรวมบูชารวมหนาสามัคคี ครานี้พอเห็นแครวง สุดหวงสุดหักอาลัยจําจากไกลนองพี่ ถึงกายจะหางไมจางสัมพันธที่มี เทคนิคครานี้ลาทีหนอวังเจ็ดริน” สวนเพลงอื่นๆ ก็มี อ.สามภพ เชิญธงชัย ก็อยากจะเขียนเพลงบาง เลยเขียนเปน กลอนมา ในเพลงครูบาศรีวิชัย ตอมาเปลี่ยนชื่อมาเปน เพลงตามความฝน พอเปลี่ยนจาก เทคนิคภาคพายัพ มาเปนสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ก็เปลี่ยนชื่อเปนไหวสาครูบาเจาและ เปลี่ยนเนื้อเล็กนอย โดยเพลงนี้ ทํานองโดยครูเอื้อ สุนทรสนาน “สูงเดนเปนสงางามล้ําคาวิทยาลัย เทคนิคแหงเชียงใหมมิ่งขวัญใจชาวนครพิงค ครูบาศรีวิชัยปกปองภัยใหสุขยิ่ง รวมแรงรวมใจจริงทั้งชายหญิงทุกสิ่งสรรพ เราชาววังเจ็ดรินอันเปนถิ่นเมืองโบราณ ขุนเขาและสายธารหวยละหานกั้นเวียงมา บัดนี้เปนที่ตั้งแหงเวียงวังการศึกษา พวกเราชาวลานนาทุกถวนหนาภาคภูมิใจ...” สวนอีกสองเพลง คือเพลงมารชวิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพ และรําวงสาวชาววัง สองเพลงหลังนี้ อ.จําเหลาะ สมจิตต ไดเลาเรื่องราวของเวียงเจ็ดลิน และวิทยาลัยเทคนิค ภาคพายั พ ให ค รู เ อื้ อ สุ น ทรสนานฟ ง ขณะที่ ม าเป ด การแสดงอยู ที่ โ รงหนั ง จิ น ทั ศ นี ย เลยออกมาเปนอีกสองเพลง
๑๓
เพลงมารชวิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพ ขอคัดเนื้อเพลงบางสวนมาดังนี้ “วังเจ็ดรินถิ่นตั้งวิทยาลัย นามนั้นเกริกไกรกองไปทั่วในธาตรี เราภูมิภาคพายัพยงยศเยี่ยมในศักดิ์ศรี อาชีวะแหงนี้มากมีหลักการ ฯลฯ” สวนเพลงรําวงสาวชาววังขอยกทอนที่กลาวถึงวังเจ็ดลินมาเปนตัวอยาง ดังนี้ สาวนอยรอยชั่งชาววังเจ็ดริน สาวงามเวียงพิงคเสมือนตองมนต พี่ปรารถนาขวัญตาหนามน
“...โยนโยนแมสาวชาววัง นึกรักแมโฉมยุพิน นะแมสาวพายัพรับรักพี่สักคน มาสรางกุศลทําบุญรักไวรวมกัน...”
การที่เพลงของสถาบันสี่เพลงแรกที่ออกมา ทุกเพลงลวนแลวแตบอกกลาวถึง “เวียง เจ็ดลิน” ทุกเพลง ดวย ตัวอาจารยจําเหลาะ เปนผูศึกษาเรื่องเวียงเจ็ดลิน ทําอยางไรจะใหคน รูจักเวียงเจ็ดลินใหมากขึ้น และนี่เปนเวียงลัวะ ลานนา มีคนพื้นถิ่นเปนชาวลัวะ และชาวลัวะ ไมหายไปไหน และยังอยูจนทุกวันนี้ จึงไดเลาเรื่องราวเหลานี้ใหทางคณะสุนทราภรณถายทอด ออกมาเปนบทเพลง ใหไดรับฟงถึงปจจุบัน
บรรยากาศการบอกเลาเรื่องราวของชุมชน ๑๔
กาฯบูรณากาฯ กาฯรฯรกาฯสฯรกาฯแหฯ่ช้เสฏฯกิฯพํฯพฯง
กัฯภูมิบ¡าท้ฯงถิฯ¦พืฯรู้ท¶ฯฯวิทฯาศา�์§ฯเทฯโนโลยี การบูรณาการการเรียนการสอนการประยุกตใชเศรษฐกิจพอเพียง กับภูมิปญญาทองถิ่นและพื้นฐานความรูดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ศูนยวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา เชียงราย
อาจารยภีราวิชญ ชัยมาลา หัวหนาศูนยวัฒนธรรมศึกษา เชียงราย อาจารยประจํา กลุมวิชาสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา เชียงราย ไดจัดการเรียนการ สอนในรายวิชาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่มุงเนนใหนักศึกษามีความรู พื้น ฐานปรั ชญาเศรษฐกิ จ พอเพี ย ง ตระหนั กถึ ง คุ ณ ค า เห็ น ความสํา คั ญ และร ว มส ง เสริ ม อนุรักษ ภูมิปญญาไทย เพื่อเปนการเตรียมความพรอมในการนําความรูที่เรียนไปประยุกตใช ในการดํารงชีวิต การประกอบอาชีพและการอยูรวมกับผูอื่นในสังคมและรายวิชาสังคมวิทยา เบื้องตน โดยจัดการเรียนการสอน ที่บูรณาการประยุกตใชเศรษฐกิจพอเพียงกับภูมิปญญา ทองถิ่นโดยนําความรูดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีมาเปนพื้นฐานในการเรียนรู เพื่อสราง ผลงานนวัตกรรมที่นําเอาภูมิปญญาทองถิ่นมาเปนแนวทางในการพัฒนา
การนําเสนอผลงานของนักศึกษา ๑๕
คิดคนใหผลงานมีความทันสมัย สามารถใชงานไดอยางมีประสิทธิภาพ และอยูบน พื้ น ฐานของความพอเพี ย ง และความเป น ไปได ใ นทางปฏิ บั ติ ซึ่ ง เน น ให นั ก ศึ ก ษาได เ กิ ด กระบวนการคิดที่เปนระบบ มีการวางแผนการทํางานที่เปนขั้นตอน เพื่อใหเกิดทักษะในการ ทํ า งานที่ ดี เกิ ด การเรี ย นรู ใ นด า นศิ ล ปวั ฒ นธรรม และภู มิ ป ญ ญาควบคู กั บ ความรู ด า น วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี เพื่อสรางนักศึกษาใหเปนบัณฑิตนักปฏิบัติอยางแทจริง โดยใหนักศึกษาไดลงพื้นที่ศึกษาขอมูล จากชาวบานหรือปราชญชาวบาน ที่มีความรู ดานภูมิปญญา ฝกใหนักศึกษาเกิดทักษะชีวิต ในการอยูรวมกันกับผูอื่นในสังคม และสามารถ นําความรูที่ไดรับจากการลงพื้นที่ศึกษาขอมูล มาพัฒนากระบวนการเรียนรู จนสามารถสราง เปนผลงานนวัตกรรมตางๆ ที่พัฒนามาจากภูมิปญญาทองถิ่น หรือนําเอาภูมิปญญาทองถิ่นมา เปนแนวทางในการสรางสรรคผลงาน เชน เครื่องกะเทาะเมล็ดขาวโพด ที่นําเอาความรูดาน วิศวกรรม มารวมกับภูมิปญญาทองถิ่นที่มีอยูแลว มาพัฒนาใหมีความสะดวกสบาย สามารถ ใชงานไดอยางดี มีตนทุนการผลิตไมสูง, ที่แยกไขขาวไขแดง ที่นําเอาเรื่องใกลตัวมาคิดพัฒนา ออกมาเปนผลงานที่สามารถใชงานไดจริง ซึ่งนักศึกษาไดสะทอนความคิดสรางสรรคออกมายัง วัสดุที่เลือกใช ทําใหเห็นไดวานักศึกษาแตละคน มีกระบวนการคิดที่แตกตางกันออกไป และ โคมไฟจากเครื่องจักสาน และวัสดุเหลือใชถือวาเปนผลงานที่นักศึกษาวิศวกรรมอุตสาหการ ใชความรูในศาสตรที่ตนเองเรียนรูมา เปนพื้นฐานในการออกแบบโครงสราง และนําผลิตภัณฑ ที่เกิดจากภูมิปญญา และวัสดุเหลือใชมาเพิ่มมูลคาใหสูงขึ้น ตัวอยางผลงานนักศึกษา
ที่คัดแยกไขขาว ไขแดง ผลิตจากวัสดุเหลือใช
๑๖
ที่คัดแยกขนาดมะนาว ประยุกตจากสิง่ ของเหลือใช โดยใชภมู ิปญ ญาชาวบาน เมื่อคัดแยกผลมะนาว ได ตามขนาดทีต่ องการ ผลมะนาวก็จะตกลงมาในชองตามขนาดที่คัดแยกไว
ที่กะเทาะเมล็ดขาวโพด แบบใชมือหมุนหรือใชเครื่องสวาน สามารถกะเทาะเมล็ดไดเร็วและประหยัดเวลา
๑๗
ที่หอผลไม
โคมไฟจากฝาชีและกะลามะพราว
๑๘
แรวดักหนู
เครื่องสูบน้ําชนิดเพิ่มแรงดัน
๑๙
กาลักน้ํา (เครื่องสูบน้ําแบบสุญญากาศ) ไมใชน้ํามันและกระแสไฟฟา สูบน้ําไดทั้งวันทั้งคืนโดยไมเสียเงินสุดประหยัด
ผลงานนวัตกรรมทุกชิ้น ที่นักศึกษาไดคิดสรางสรรคขึ้นมา จะอยูบนพื้นฐานของการ ประยุกตใชเศรษฐกิจพอเพียง และนําความรูดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี มาประยุกตใช ผลงานที่ยกตัวอยางมา เปนเพียงผลงานสวนหนึ่ง ที่เกิดจากการจัดการเรียนการ สอนแบบบูรณาการ เนนใหนักศึกษาไดปฏิบัติจริง คิดเอง ทําเอง ใหสมกับเปนบัณฑิตนัก ปฏิบัติ (Hands on) อยางแทจริง สามารถนําความรูที่ไดรับจากการเรียนไปประยุกตใชใน ชีวิตประจําวัน ใหเกิดประโยชนสูงสุด
๒๐
บ฿ฯสมฯาษฯ์ ลาฯฅา ¢ํแต้ฯ กัฯ ผศ.ลิิกฯร มาแก้ฯ บทสัมภาษณ ลายคําน้ําแตม กับผศ.ลิปกร มาแกว * 0
ผศ.ลิปกร มาแกว ที่มา FB: Lipikorn Art
*
บทสัมภาษณ ผศ.ลิปกร มาแกว โดยกองบรรณาธิการวารสารเวียงเจ็ดลิน เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ๒๑
ผาพระบฏที่ไดจากวัดดอกเอื้อง อ.ฮอด ปจจุบันจัดแสดงที่หอศิลป ถนนเจาฟา กรุงเทพมหานคร ที่มา ศักดิ์นรินทร ชาวงิ้ว
- ภาพลายคําในบานเรา มีมาปรากฏแรกเริ่มที่ใด ผศ.ลิปกร มาแกว: บานเราที่หมายถึงวา ลานนาใชไหม... ถาตามหลักฐานภาพจิตรกรรม ฝาผนังที่เกาที่สุดในลานนาคือจิตรกรรมฝาผนังวัดอุโมงค แตในวัดอุโมงคไมไดเขียนเรื่อง เกี่ยวกับพุทธประวัติ ไมไดเขียนเรื่องเกี่ยวกับชาดก ไมไดเขียนเรื่องเกี่ยวของกับพุทธะ ใดๆ ซึ่ง จะเปนแคสวนหนึ่งก็คือการประดับตกแตงลวดลายของอุโมงค ใชแพตเทิรนของลายจาก เครื่องถวยลายครามของจีน ในราชวงศหยวน – หมิง ในกลุมนี้ ซึ่งมีหลักฐานวาลักษณะนี้ ปรากฏอยูที่เวียงทากาน เขาบอกวาไดไหที่มีลวดลายใกลเคียงกันนี้ และปรากฏในที่ตางๆ ซึ่งอายุก็ประมาณยุคราชวงศมังราย ประมาณ ๕๐๐ กวาป หลังสมัยพระเจาติโลกราชมา ๒๒
หนอยหนึ่ง ที่นี้หลักฐานที่ไปดู ที่มีหลักฐานอยู ถาพูดถึงการปดทองในจิตรกรรมฝาผนังที่นั่น ก็ไมมีการปรากฏวาใชทองในการปด ในการเขียน ปกติในสมัยกอน การใชทองติด ตองเปนตัว ละครที่สําคัญ เชนพระพุทธรูป หรือลวดลายที่เกี่ยวของกับพุทธะ ทั้งหลายแหล ลายหมอ บูรณฆฏะ หรืออะไรตางๆ ลานนาเราก็ถือคตินิยมประมาณนี้ แตวาสิ่งที่ใชทองปดนี้ มันก็มี ปรากฏในจิตรกรรมพระบฏ ของฮอด คือวัดเจดียสูง กับวัดดอกเงิน ผืนแรกที่มีความละเอียด มาก อยูที่พิพิธภัณฑหอศิลปเจาฟา กรุงเทพฯ ผืนที่สองผืนใหญ และผืนที่สาม ผืนเล็ก อยูที่ พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแห ง ชาติ เ ชี ย งใหม แต ก็ ป รากฏการใช ท องเข า ไปติ ด ในภาพพระบฏ เพราะฉะนั้น ถาเราดูแลว ตามหลักฐานก็อยูในยุคประมาณนี้ ที่มีการใชทอง
ผาพระบฏจากวัดเจดียสูง อ.ฮอด ปจจุบันจัดแสดงและจัดเก็บที่พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ เชียงใหม ที่มา ศักดิ์นรินทร ชาวงิ้ว ๒๓
- แสดงวายุคนั้นร่ํารวย ผศ.ลิปกร มาแกว: ก็เ ป น ไปได แต ว าไม ไ ดใ ช ท องเต็ มทั้ ง หมด แตจ ะมี ติด เฉพาะในส ว นที่ สําคัญ - ก็ยังมีการใชหางหรือชาดรวมดวย ผศ.ลิปกร มาแกว: ใช ในยุคกอน เกี่ยวกับเรื่องสีดวย แตก็เห็นรองรอย อีกสวนหนึ่งก็ปรากฏ ใน ที่เรียกวา หองสําหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เจดียของวัดอุโมงค ที่เปนลายเสน แตวา ลักษณะบอกวาเปนการปดทองหรือเขียนสี ซึ่งเห็นแตเพียงรองรอย เปนพระพุทธเจา อตีต พุทธเจา คลายๆกับพุกาม ที่มีพระพุทธเจาเรียงกันเปนแถว ถานับที่เห็น แตกอนก็อาจจะมี เยอะกวานี้อยู - แลวเอกสารอื่น ที่กลาวถึงหอคํา มีบางไหม ผศ.ลิปกร มาแกว: ที่จะมีอีกอยางหนึ่งคือ ลายคําที่กลาววา “ระเบียงเขียนขีดหั้น ลายคํา” ในโคลงมังทรารบเชียงใหม อยูในยุคพมา ซึ่งเปนยุคหลังแลว กอนหนานี้ก็ยังไมปรากฏ แตก็ กลาวถึงลายคํา การใชลายคํา การติดแตมทั้งหลายแหล - มีลายคํากี่แบบ ผศ.ลิปกร มาแกว: แยกตามสถานที่ ก็จะมีใชตามวัง ตามวัด เครื่องสักการะ เครื่องใชทั่วไป ถาโดยเทคนิควิธีการ แบบโบราณจริงๆ ในลานนา ก็จะมีที่วิหารพระพุทธ วัดพระธาตุลําปาง หลวง จะมีการปดคํา จะใชวิธีการดั้งเดิม คือวิธีการปดคําแลวจารลาย หรือลักษณะที่ว า ขูดลายฮายดอก หรือขูดดอกฮายลาย เหมือนเครื่องเขินที่ใชเหล็กจารหรือเหล็กแหลมขูด ซึ่งลักษณะนี้ชางจะตองมีความชํานาญ ในการเขียนลาย - เพราะวาเขียนครั้งเดียว ผศ.ลิปกร มาแกว: ใช ก็เหมือนกับแพตเทิรน พอลงรักลงหางเขาไป ปดคําเขาไปเปนแผง เปนแผนเรียบไปหมด ก็อาจจะรางเปนโครงรางใหญๆ รูปทรงใหญ สวนลายละเอียดตอง ดนสด หรือมีแพตเทิรนที่มองเห็นแลวเขียนลงไป แบบที่สองคือลายฉลุ หรือฉลุลาย สมัยแต กอนก็บอกวา จะใชวิธีการฉลุบนหนังสัตว เอาหนังวัวมาขูดใหบางๆ แลวใชสิ่วตอง(ฉลุ) ลาย ๒๔
เขา เขียนลายหรือตองลายใหเปนรู เปนการฉลุลาย ลงรักลงหาง แลวก็เอาทาบลงไป ปดคํา อันที่สาม คือการผสมผสาน กันระหวางลวดลายที่เปนลายฉลุกับจารลาย หรือขูดดอกฮายลาย
ลายคําที่วิหารพระพุทธ วัดพระธาตุลาํ ปางหลวง ที่มา ศักดิ์นรินทร ชาวงิ้ว
- คือการขูดดอกนี้เปนการตกแตงรายละเอียด ผศ.ลิปกร มาแกว: ใช. .. ซึ่ งลั กษณะนี้ ก็ป รากฏที่ ลํา ปาง ที่ยั งหลงเหลื ออยู แตที่ เชี ยงใหม ก็อนุมานไดวามันหายไป หลังจากที่ชวงพมาครองเมือง แลวหายไป ซึ่งในยุคนั้นมีหลายชวง ที่มีก ารบูร ณปฏิสั งขรณ พอเจา กาวิล ะฟ นม าน ก็ พาเอาสลา เอาช างเข ามา แต ในตํา นาน พื้นเมืองเชียงใหม ก็กลาวถึงการนําเอาชางหรือสลามาสองยุค ที่เปนครั้งใหญๆ ก็คือตอนที่ พระญามังรายยกทัพไปเมืองพุกาม – อังวะ ทางเมืองพุกาม – อังวะเองนั้น ก็มอบชางตางๆ ๕๐๐ ครอบครัว พระญามังรายก็สงชางเหลานั้นไปอยูตามเมืองตางๆ นอกจากนี้ ก็ยังมีเขามา อยูกลุมหนึ่ง กับอีกยุคหนึ่งที่ติดปากกันวา ยุคเก็บผักใสซา เก็บขาใสเมือง ในสมัยพระเจากาวิ ละ ที่เอาชางตามหัวเมืองตางๆ เชนเมืองเชียงตุง เมืองยอง ที่อยูรอบๆ ในยุคนี้ก็มีสลา มีชาง เขามา กอเกิดตางๆ ๒๕
อันที่สามที่เปนการผสมผสานในเทคนิคนี้ ก็ปรากฏอยูที่ลําปาง ซึ่งลําปาง นี้ มั น เหมื อ นเป น แหล ง ที่ เ ราเห็ น ล า นนาในอดี ต เราเห็ น ด า นงานช า ง ซึ่ ง เราจะเห็ น สถาปตยกรรมเกาที่สุดก็ที่ลําปาง ลายคําเกาที่สุดก็ที่ลําปาง มันมีอีกอยางหนึ่ง ก็คืออันที่สี่ คือลายคําน้ําหด หรือลายรดน้ํา บางก็วามา จากสุโขทัยหรือเปลา ก็มีหลักฐานไมชัดเจน หรืออยุธยาหรือเปลา ซึ่งมันก็แพรหลายในอยุธยา แตตนเคานั้นก็ไมรูวาไดเทคนิควิธีการนี้มาจากที่ไหน แตแพรหลายในอยุธยา รัตนโกสินทร
ลายคํา รูปเทวดา ประดับหีบธรรม วัดปงสนุกเหนือ ที่มา ศักดิ์นรินทร ชาวงิ้ว
๒๖
- แตวัตถุดิบตองอาศัยรัก ผศ.ลิปกร มาแกว: ใช พื้นมันตองอาศัยรัก เปนหาง แตถาลายกํามะลอ คือการใชหาง ผสม การเขียนสีเขาไป ไมใชลายรดน้ําจริง เราจะเห็นไดวายุครุงเรืองที่สุดของลายรดน้ําคืออยุธยา และสงตอไปยังรัตนโกสินทร และในชั้นหลังก็มีลายคําน้ําหด หรือลายรดน้ําเขามาในลานนา แลวมีอีกอยางหนึ่งก็คือ อันที่เกาที่สุดนั้น ไมแนใจวาที่ประตูอุโบสถสองสงฆ มีอยูสองชวง คือชวงกอนเขียนเปนลายรดน้ํา อีกยุคนึ่ง คือยุคที่ครูบาศรีวิชัยมาบูรณปฏิสังขรณ เลยเขียน เขาไปใหม แตในปจจุบันอันที่สองที่ ทาทับเขาไปเริ่มหลุด และก็จะเริ่ม เห็น รองรอยตัว นี้ ซึ่งมันเปนฝมือชั้นครู ดวยความพลิ้วไหวของเสน นาจะเปนทวารบาล แตทวารบาลเหมือนจะ เปนพรหมสี่หนา โดยมีหนาตรง และหนาดานขางสองขาง แตอีกดานจะไมเห็น และมีมือสี่มือ ซึ่งจะตองนาคนหา รูสึกวาในสมัยกรมพระยาดํารงราชานุภาพขึ้นมาก็ยังเปนภาพเกา แตเราก็ ยังไมทราบวาลายรดน้ําเขามาในสมัยใดกันแน แตที่แนๆ ก็คงตองหลังพระเจากาวิละ - ฉะนั้นก็มี ๔ เทคนิค ผศ.ลิปกร มาแกว: แตมีเทคนิคที่ ๕ สุดทาย ที่ทําขึ้นใหม ก็เปนเทคนิคที่ตอยอดจากการใช ยางมะเดื่อ ในสมัยกอนใชยางมะเดื่อในการปดคําในสวนที่ไมใหญมาก จะเขียนบนสมุดพับสา สมุดดํา ถาไปพบที่อยุธยา ของภาคกลางก็จะปดทองโดยใชยางมะเดื่อเขียน ซึ่งจะไมใหญมาก - ดังนั้นการใชยางมะเดื่อ พบไดทั้งของอยุธยาและลานนาเราดวย ผศ.ลิปกร มาแกว: ของเรานี่ถาไปเห็น ก็จะมีปรากฏอยูที่การเขียนสมุดดํา ที่พิพิธภัณฑวัด พระธาตุลําปางหลวง ซึ่งจะเขียนเปนตัวอักขระ เปนธรรมกรรมวาจา - ก็คือที่เขียนเปนอักขระ และปดทองเปนตัวอักษรสีทองๆ ผศ.ลิปกร มาแกว: ใชแลว... ใชยางมะเดื่อเขียนเปนตัวหนังสือขึ้นมา และมีลวดลายประดับ ตกแตงเล็กๆ นอยๆ ซึ่งเราจะเห็นลักษณะการใชเหลานี้มาก ก็เลยเปนสาเหตุในเบื้องตน และ ตอนนั้นก็ไดรับการติดตอใหเขียนรูปพระราชประวัติพระญามังราย เมื่อป พ.ศ.๒๕๕๐ - แลวกอนที่ จะรับเขียนรูปพระญามังราย ทําไม ถึงไดสนใจในเรื่องลายคําเหลานี้ ผศ.ลิปกร มาแกว: คือที่จริงกอนหนานี้ ก็ไมไดเขียนอะไรที่เปนลายคําแบบจริงๆ จังๆ เทาไร นัก เพียงแตเรานํามาใสงานของเรา คือเราชอบของเกา พับสา ใบลาน วาดรูป และเราก็มักจะ ๒๗
ใชยางมะเดื่อเขียนแตมๆ สรางโดยวิธีการใหรูปภาพเหมือนพับสาใบลาน โดยเอากาแฟ เอาสี เขาใสใหมันเหมือนเกาๆ แลวก็เขียนแตมเปนรูปเขาไป เหมือนทําใหมันเกา พอทําอยางนั้นปุบ ก็เริ่มใชยางมะเดื่อ ในป ๔๙ – ๕๐ และเริ่มจริงๆ ก็ป ๕๐
ลายคําเทคนิคปดทองจารลาย รูปขุนสังกรานต โดย ลิปกร มาแกว ที่มา FB: Lipikorn Art
- เราสามารถใชอยางอื่นไดอีกไหม นอกจากยางมะเดื่อ ผศ.ลิปกร มาแกว: ยางมะเดื่อแตกอนเปนยางมะเดื่ออุทุมพร แตกรีดออกมาจะเก็บไวไมนาน แตมันมียางมะเดื่อสังเคราะห ซึ่งก็ไมรูวาใครทําขึ้นมา ซึ่งไดนํามาใชในงานศิลปะนี้นานแลว ๒๘
แตกอนมีขายอยูแถวๆ ศิลปากร ก็เลยเอามาใช ถานับกอนนั้นตั้งแตไปเรียนในป ๒๕๓๐ ก็ใช ยางมะเดื่อแลว
การใชยางมะเดื่อและปดทอง โดย ผศ.ลิปกร มาแกว ที่มา FB: Lipikorn Art
๒๙
- แลวใชยางรักละ ผศ.ลิปกร มาแกว: ก็ไดอยูนะ แตมันก็มีขอจํากัดวา น้ํายางรักจะเขียนแลวทิ้งไวนานก็ยาก วิธีการที่เขียนแลวจะซึมลงไปในกระดาษ วูบหายไปเลย แตตอนนั้นตัวนี้หางายกวา สวนรักนั้น มันใชเขียนไดอยูแลว โดยใชรักน้ําเกลี้ยงและใชพูกันเขียน แตโดยปกติแลวยางรัก กับยาง มะเดื่อ ยางมะเดื่อหาไดงาย และใชกับงานไมใหญมาก งานกระดาษ ถารักจะใชกับงานพื้นผิว มัน เหมือนแล็กเกอร จากนั้นก็มาทําชุดพระญามังราย มันมีขอจํากัดก็คือ เขียนที่วิหารทั้งหลัง เราก็ไมมีเวลาไปเขียน เราก็ตองสอน เลยใชวิธีการเขียนที่บาน วัดขนาดใหพอดีกับล็อกใน วิหาร ไดทั้งหมด ๒๘ รูป พอทําไปแลวก็มีปญหา เลยใชยางมะเดื่อเขียนบนเฟรม ทีนี้พอเขียน บนเฟรมปุบ ปญหาก็มีอยูวาเราอยากใหงานไปนาน เลยเขียนสีอะคริลิก แลวเขียนยางมะเดื่อ ลงไป ปรากฏวามันเลอะ เพราะสีอะคริลิกมันเหนียว ดานขางมันเลอะออกหมด ไมคม นั่นก็ คือปญหา ก็เลยหาวิธีใชสีพลาสติกผสมกับสีอะคริลิก ลักษณะสีจะดานมาหนอย คือพื้นจะตอง ดาน เมื่อเรียนรูเทคนิคมา ก็เลยเขียนเปนภาพใหญขึ้นมา ปญหาตอมาอีกอยาง คือเศษสีที่ เขียนดวยดินสอสี ขัดอยางใดก็ไมออก แตไมรูวาตอนนั้นคิดอยางไร เลยเอาน้ําสาดดู ฉีดดู ปรากฏวาลางออกหมด แตยางมะเดื่อยังติดอยู สวนเศษทองที่อยูดานขางมันหลุดออกหมด ก็เลยรูสึกวา เออ...มันก็ไดอีกเทคนิควิธีการหนึ่ง และมันก็สะอาดสะอานขึ้น
การเขียนลายคําประวัติพระญามังราย ที่มา FB: Lipikorn Art ๓๐
- อยางกับลายรดน้ําเลยเนาะ ผศ.ลิปกร มาแกว: (หัวเราะ) ก็เหมือนกับเปนการผสมผสาน เหมือนเปนลายรดน้ําไปดวย แต มันเปนการลดขั้นตอนไง ถาเปนลายรดน้ํามันตองใชหอระดาน ตองมีน้ําปรุง น้ําสมปอย อะไร อีกหลายอยาง จากนั้นก็เลยใชเทคนิควิธีการนี้ ก็เหมือนกับวามันเปนอีกทางเลือกหนึ่งในการ เขียน จากนั้นก็ทําเรื่องทอง ทําเรื่องแล็กเกอร คราวกอนมีโอกาสไปแสดงงานเกี่ยวกับแล็ก เกอร ที่งานกลุม Lacquer Asian Art ก็มีกลุมของญี่ปุน มีอาจารยซากุราโกะ มีของพมา มีของเวียดนาม แตพอเราไปไดเรียนรูเหลานี้ ก็ใชเทคนิคดั้งเดิมมาทํา โดยใชแรงบันดาลใจใน ความเปนปจจุบัน และเทคนิคอันเปนของโบราณ คือเราถนัดในเรื่องของเสน เลยใชเทคนิคใน การจารลาย หรือขูดลายฮายดอก เขียนลายเสน เหมือนกับเปนสิ่งที่เราถนัดในเรื่องของการ เขียนลาย คือการลงรัก เสร็จแลวก็ใชรักเช็ดเขาไปและปดทอง แลวเขียนลาย เหมือนกับเรา Drawing เขียนเสนลงไป
ลายคําน้ําแตม พระราชประวัติพระญามังราย ที่วดั ตนโชค อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม ที่มา FB: Lipikorn Art
๓๑
- จริงๆ แลวมันก็คือเทคนิคการ “ฮายดอก” หรือเปลา ผศ.ลิปกร มาแกว: ถา ฮายนี้ เหมื อ นกั บ วา เป น การเอาออก มั น นา จะเปน การ ‘จารลาย’ ลักษณะการฮายคือการขูดพื้นผิวออก แตเราไมไดเอาพื้นผิวออก เราขูดออกเฉพาะแผนทอง ก็ คงจะเรียกวา จารลาย มากกวา เราไดรับแรงบันดาลใจแบบรวมสมัย มาใชในงานศิลปะโดยใช เทคนิควิธีการแบบดั้งเดิม เอามาใช ถาเรายอนไปดูในอดีตจะพบวา จีนเลนเรื่องนี้มานาน หรือ ทางญี่ปุน ในเรื่องการปดทอง การใชทองเดินเสน - อยางของจีนหรือญี่ปุน มักจะมีการใชสีอื่นเขามาประสม เชนสีเขียว สีฟา เปนตน แลว ทําไมเราถึงมักจะเปนสีทองลวน ผศ.ลิปกร มาแกว: มันอาจจะเปนคานิยม ก็ไดแสดงถึงความร่ํารวย ในดินแดนสุวรรณภูมิแหง นี้ ถาไปดูที่สิบสองปนนา ปจจุบันนี้เรียกวา ‘ลายจ้ําคํา’ หรือ ‘ลายน้ําคํา’ หรือ ‘ลายจ้ําน้ําคํา’ เคยไปสัมภาษณพี่หนานคนหนึ่งเขาก็ทําปดทองอยางนี้เหมือนกันเรียกวา ลายคํา แตถาเปน น้ําคําที่เปนสีทอง ฉลุลายปดแลวใชน้ําคําจ้ําลงไป ซึ่งเปนคนชั้นหลังแลว แตเดิมก็เปนลายคํา เหมือนกัน - แสดงวาแบบฉลุลายนี้เจอเยอะที่สุด ผศ.ลิปกร มาแกว: มันก็จะมีสิบสองปนนา เทาที่เจอมาก็อยางที่หลวงพระบาง ที่วัดเชียงทอง ก็เ ห็น ชั ดเจนทั้ งหลัง แตจ ะใช พื้น ดํา แต ถามแล ว ก็ป รากฏว า จะมี การแยกชั ด เจนว า งาน เกี่ยวกับวัดวาจะใชสีดํา - ทอง ถาเปนพระราชวังจะใชแดง – ทอง อยางในวันเจามหาชีวิต
๓๒
ลายทองบนพื้นรัก วัดเชียงทอง เมืองหลวงพระบาง ที่มา ศักดิ์นรินทร ชาวงิ้ว
- อยางมีคําวา หอคํา หอหาง ก็คงจะเปนแบบนี้ ผศ.ลิปกร มาแกว: สมัยกอนคําเปนสิ่งมีคาที่สุด ทําอะไรก็ตองใชคํา นํามาเขียนบานคนไม อาจจะใชได คงจะมีความเชื่อเขามากํากับอีก - แตก็ยังมีงานที่เขียนบนผาไหมดวย ผศ.ลิปกร มาแกว: งานเขียนบนผาไหม เปนงานที่พัฒนาจากการเขียนบนผาใบ และผาไหมมี ความนาสนใจ ของเรามีความพิเศษในเรื่องของไหม ซึ่งในการนํามาใชเขียนรูปปดทอง มันเปน การยากที่จะใชยางมะเดื่อเขียนแลวปดคํา ซึ่งไหม เปนเสนไหมเวลาใชยางมะเดื่อเขียนมันก็จะ ซึมลงไปหมด แตเดิมเขียนบนผาใบเราตองทาสีพื้นแลวถึงจะลงยางมะเดื่อ แตผาไหม พื้นมัน เปนสีอยูแลว แตจะเขียนยางมะเดื่อลงไปไมได จึงตองมีการระบายสีเฉพาะสวนรูปทรงในที่เรา
๓๓
จะปดทองลงไป แตตองผสมสีใหไดสีที่ใกลเคียงกับสีพื้นผาไหม จากนั้นก็ลงลายและปดทองลง ไป แตปจจุบันมีบริษัทสีที่ทําเฉดสีแบบโบราณเอาไว แตก็ตองเทียบสีโดยสายตา - การเขียนผาไหมจะตองมีการขึงใหตึงดวยสะดึงอยางเฟรมไมไหม ผศ.ลิปกร มาแกว: งานเขียนผาไหมจะแขวนใหทิ้งตัวลงมาแบบผาพระบฏ และเขียนแบบ ภาพพระบฏ แตตองรีดใหเรียบแลวเขียนไดเลย
ลายคําบนผาไหม โดย ผศ.ลิปกร มาแกว ที่มา หนังสือลายคํา น้าํ แตม
- ผลงานตอนนี้มีกี่ชุดแลว ผศ.ลิปกร มาแกว: หากชุดที่ไดรับการแสดงแบบจริงๆ จังๆ ก็จะเปนรูปจิตรกรรมบนฝาผนัง ของวัดตนโชค อําเภอไชยปราการ ๑๘ รูป แลวชุดที่ไปเขียนบนผาไหมชุดพระประจําวันเกิด แลวก็จะมีชุดที่เขียนบนเฟรมที่ถูกไฟไหม ที่พิพิธภัณฑพื้นถิ่นอําเภอแมสะเรียง ๔ ชิ้น ตอมาก็ ๓๔
เขียนบนวัสดุตางๆ ที่เปนการสรางงานบนวัสดุที่เปนพื้นรักบาง พื้นหางบาง ที่เปนปนเกาๆ ที่มาสรางเปนงานศิลปะ ก็มีหลายชิ้น - บนใบลานละ ผศ.ลิปกร มาแกว: ถาเปนใบลานจะเปนชุดเกาๆ แตก็มีปดทองอยูนะ พอจารใบลานเสร็จก็ เอาเขมาผสมน้ํามันเช็ด แลวก็เอากระดาษทรายขัดออก ในพื้นที่สวนที่จะปดทองก็ใชยาง มะเดื่อเขียนแลวก็ปดทองไดเลย ก็มีเหมือนกัน สรุปงานชุดตางๆ ที่เกิดขึ้น ก็จะมีทองเขาไป ประกอบเปนสวนมาก - แตสวนที่เปนทองลวนๆ ก็จะตั้งแตชุดที่ทําบนเฟรม บนผาไหม และที่วิหาร แลวอันใดที่ คิดวายากที่สุด ผศ.ลิปกร มาแกว: ก็คงจะเปนชุดพระญามังราย เพราะวาเปนชุดที่แกปญหาไปดวย
ภาพลายคําตอนสิบินนิมิตของนางเทพคําขาย ที่มา หนังสือลายคํา น้าํ แตม
- มันยากที่เทคนิคหรือ ผศ.ลิปกร มาแกว: มั น ยากที่ เ ราเริ่ ม ต น ไง ที่ จ ริ ง ก็ คื อ เรื่ อ งพระญามั ง รายลายคํ า น้ํ า แต ม เราอานจากตํานานพื้นเมืองเชียงใหม ในการคัดตอนใหได ๑๘ รูป ก็คัดเอาตอนสําคัญ เชน เกิด มีกิจกรรมอะไรบาง มีความเปนมาอยางไร ใหไดครบ ๑๘ หอง ไลจากสามเหลี่ยมบนสุด ๓๕
ลงมา คื อ ตั้ ง แต ส วรรค ลงมาดอยตุ ง ลวจั ง กราชไต เ กิ๋ น เงิ น หรื อ บั น ไดเงิ น ลงมาเกิ ด แบบโอปปาติกะ ที่ใตตนพุทรา จากนั้นก็ไลลงมา เกี่ยวของกับเวียงไชยปราการ แลวเราก็ เขียนในเนื้อหาที่เกี่ยวของกับพื้นถิ่นเขาไปดวย เพราะที่เจาะจงที่วัดนั้นเพราะทางวัดเชื่อวา ที่ตรงนั้นคือเวียงเกาของพระญามังราย ไลเรียงพระราชประวัติลงไปจนถึงสวรรคต แลวกลับ ขึ้นไปอยูบนสวรรค ก็คือเปนที่มาที่ไ ปของงาน ปจจุบันก็ยังทําอยู แตก็ยังคิดอยูในใจวาจะ ทดลอง ... คื อตอนที่ไปแสดงงาน Lacquer Asian Art โดยสนใจใน Lacquer Art มันนาสนใจตรงที่คนญี่ปุนก็ใชรักในการยอมกับกระดาษ ซึ่งเปนกระดาษทํามือ แลวมาสราง เปนรูปทรง แลวเอาไฟใสเขาไป แลวเกิดแสงเงา เลยมานึกวา เอ?? ที่จริงนาจะลองเอารักมา เขียนบนผาไหม แลวปดคําดู
ภาพลายคํา ตอนสามกษัตริยพบไชยมงคล ๗ ประการ ที่มา หนังสือลายคํา น้าํ แตม
- แตรักญี่ปุน กับรักบานเรามันคนละอยางกัน ผศ.ลิปกร มาแกว: ก็คงตองใชรักบานเรา... แตรักบานเรานี้ คือที่มาจากเมียนมานะ (หัวเราะ) ก็ใชเอาสิ่งที่มีอยูในบานเรา ก็มีความคิดวาถาเราลองมาละลายดู โดยใชน้ํามันสน หรือน้ํามัน พืช ๓๖
- แลวผลงานทั้งหมด มีความชอบหรือภูมิใจในชิ้นไหนชุดไหนมากที่สุด ผศ.ลิปกร มาแกว: ก็จะเปนชุดพระญามังราย คือเราไดเริ่มตนและไดเรียบรูกับสิ่งที่เราทํา พรอมกับไดเปนองคความรูใหมที่ตอยอดจากองคความรูเดิม และเราก็สามารถแตกออกมา เป น องค ค วามรู ย อ ยๆ อี ก มากในเทคนิ ค วิ ธี ก ารนี้ แต เ ราก็ พ อมี ฐ านความรู ใ นเรื่ อ งนี้ ไดแกปญหาไปดวย - แลวคํา ที่เราใชเอามาจากไหน ผศ.ลิปกร มาแกว: ก็ ค งต อ งมี ชา ง... ในสมั ย ก อ นคงต อ งตี กั น ในชุ ม ชน เพราะมี ชา งเยอะ ปจจุบันจะใชทองอยุธยา ที่มาขายบริเวณบานตําหนัก ทางเสนไปหางดง หรืออีกที่ก็รานแถว หนาโรงพักสารภี - ทองหรือวาคําปจจุบันมีกี่แบบ ผศ.ลิปกร มาแกว: แต เ ดิ ม ก็ มี คํ า หลายแบบ มี คํ า แดง คํ า เหลื อ ง ส ว นมาก็ มี ป ระมาณนี้ สวนปจจุบันมีแยกออกมาคือ ทองสําหรับปดพระ หรือทองเต็ม ทองเต็มก็คือทองที่ตีเปนแผน แลวตัดขอบออก และมันยังมีทองตอ เปนทองสําหรับติดลาย คือสีจะไมสม่ําเสมอกัน เพราะ เอาเศษจากที่ตัดออกจากทองเต็มนั้นเอามาตอกัน ราคามันก็จะถูกกวา ถาปดพระตองใชทอง เต็ม เพราะตองปดใหสม่ําเสมอกัน บายกันประมาณ ๒ มิลลิเมตรถึงจะเรียบสวย สวนปดลาย มันมีลายเล็กลายยอย ไมจําเปนตองใชคําที่มีสีเสมอกันก็ได สวนการตีทองที่บานเราไดยินวามี การตีทองแถวสันทรายแมยอย แตก็ยังไมไดเขาไปดูเหมือนกัน นึกถึงเมืองคานาซาวะ ของ ญี่ปุน ที่วาทําทองที่บางที่สุดในโลก และเฉดทองมีเปนรอยเฉด มีหลายขนาดเชน ๕ x ๕ นิ้ว ก็ มี มีแผนกระดาษที่รองแผนทองที่ดีที่สุด แตเขาใชเครื่องตี ที่มาจากเยอรมัน .- สวนใหญจะใชขนาดใดในการทํางานดานศิลปะ ผศ.ลิปกร มาแกว: สว นใหญ ที่ เ ห็ นก็ จ ะใช ๔ x ๔ หรื อ ขนาดกลาง หรื อเล็ ก ลงมาเป น ๒.๕ x ๒.๕
๓๗
- หากมีใครสนใจในเรื่องลายคํา หากไมใชนักศึกษา จะมาเรียนรูไดอยางไร ผศ.ลิปกร มาแกว: ก็ส ามารถไปที่ บา นแมค รูด วงกมล ใจคํา ปน ที่ บา นนั นทาราม หรือ ไป แลกเปลี่ ย นพู ด คุ ย ได ที่ เ ฮื อ นศิ ล ป ใ จ ย อง และมี ผ ลงานจั ด แสดงอยู ที่ นั่ น ตอนนี้ ท าง คณะศิลปกรรมฯ กําลังทําสื่อการสอนเกี่ยวกับลายคําอยู - แลวสื่อตัวนี้จะเผยแพรไหม ผศ.ลิปกร มาแกว: ก็จะเผยแพรอยู และจะเปดหลักสูตรอบรมระยะสั้น ตองรอตึกใหมเสร็จ กอน - ขอขอบพระคุณครับ
ผศ.ลิปกร มาแกว กับผลงานทีภ่ ูมิใจ ที่มา FB: Lipikorn Art
๓๘
ปุปผาลานนา: บุบฯฯาล้าฯ¢
จอน(ดอก)ผักกาด จ้ฯร(ดฯก)ผัฯกาฯ สลุงเงิน
๓๙
แทน
สําหรับดอกนี้ อาจจะแปลกหูสักหนอยที่ไมไดเรียกวา “ดอก” แตเรียกเปน “จอน”
จอน เปนภาษาลานนา แปลไดวา ดอก นั่นเอง หากแตไมไดใชกับดอกของพืชทั่ว ๆ ไป คําวา “จอน” นี้ จะจําเพาะเจาะจงเอากับ ผักกาดอยางเดียว นอกจากนี้ ยังเรียกผักกาดที่ มีดอกวา ผักกาดจอน อีกดวย มีเจี้ย หรือเรื่องเลาเชิงขบขันเกี่ยวกับผักกาดอยูวา มีวัดอยูวัดหนึ่ง ในฤดูของผักกาด พอออกแมออกศรัทธาทั้งหลายตางนําผักกาดที่ ขึ้นอยูตามทุงตามนา มาจอกิน ตามมีตามเกิด ในชนบทเมื่อมีอันใด ก็กินอันนั้น และก็ ‘ทาน’ อันนั้นดวย ทําใหที่วัดมีแตจอผักกาดกินทุกวัน ๆ จนสวาธุเจาที่วัดออกอาการเบื่อจอผักกาด จับจิตจับใจ คงจะเบื่ออยางที่เพลง ผักกาดจอ ของอายจรัลวาไววา “…โอย กลั๋วแลวตายแลว กลั๋วแลวเจาขา กลั๋วนักกลั๋วหนา กลั๋วจอผักกาด เจาตื่น ขึ้นมา สีมอยไปกาด ซื้อผักกาดมาจอ ใสสมบาขาม ตี้ฝกงอๆ คาบเดียว คาบเดียวบปอ กิ๋นผักกาดจอ จนตองไก ตองปอง ขึ้นเฮือน ขึ้นเฮือนมาตองแตง เปดผอหมอแกง โอะ ผักกาดจอ อายไปแอวสาวบาน เหนือ สาวมักสาบาเขือ กับผักกาดจอ อายไปแอวสาวบานใต สาวมักแคบไข กับผักกาดจอ. นองสาว หนาขาว อลองฉอง ซ้ํามัก น้ําพริกออง กับผักกาดจอ กึ๊ดไป เปนดีไคหุย กิ๋นยาหมูตุย กับผักกาดจอ. หนึ่งจอ สองจอ สามจอ สี่จอ หาจอ หกจอ เจ็ด..จอ ปอกอนหนอ. ผักกาดจอ.” ดวยอารมณเบื่อหนายผักกาดจอ ก็เลยออกมานั่งเลนที่หนาวัด พอดีมีแมออกคน หนึ่งหิ้วปนโตใสอาหารจะเอามาสงที่วัดที่เรียกวา ‘สงซาเขา’ ตุพี่ก็ทักไปวา “เอ??... แมออก วันนี้เอาอะหยังมาสงจา?” “ก็... ตมสมปูเขียวหางดอก นะกาตุ” เพียงไดยินวา ตมสมปูเ ขียวหางดอกเทานั้น ทุพี่ก็ยิ้มออกทันที “แตกาแมออก... อั้น ก็เอาใสตูไวเลยเนอ ยินดีนัก ๆ เนอแมออกเนอ” ดวยความหมายมาดวา วันนี้จักไดกินตมสมไกใหหนําใจ เปลี่ยนรสชาติจากผักกาด จอบาง ครั้นพอถึงเวลาเพล ขะโยมก็หางดาขันขาวเสร็จสรรพ ก็ออกมานิมนตตุพี่ไปฉันเพล ทั น ที ที่ ตุ พี่ เ ป ด ฝาดู กั บ ข า วเท า นั้ น ก็ ต ะโกนโหวกเหวกว า ต ม ส ม ไก ห าย กลั บ กลายเป น “ผักกาดจอ” อยางเดิม ถึงไดถึงบางออวา ‘ปูเขียวหางดอก’ ที่วานั้น หาไดหมายถึงไกไม แต หมายถึงผักกาดจอน ผักกาด มีอยูหลายพันธุ แตที่มีดอก หรือที่เรียกวาผักกาดจอนนี้ มักจะหมายถึง ผักกาดกวางตุง ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตรวา Brassica chinensis Jusl อยูวงศ Cruciferae ๔๐
เปนพืชลมลุกที่ชาวบานมักใชเมล็ดหวานไปตามรองแปลง หรือบนแปลงไปพรอม ๆ กับผักชี และผักกินใบอื่น ๆ ระหวางชองวางของพืชหลักเชน พริก หอม เปนตน ในระหวางที่รอใหพืชหลักที่ปลูกเติบโตเต็มที่ ผักกาดที่หวานก็พรอมที่จะเก็บไป ประกอบอาหารได โดยตั้งแตผักกาดยังตนเล็ก ๆ ใบเขียวไปจน ‘ออกจอน’ หรือแทงดอกสี เหลืองออกมา จ อ นผั ก กาด สี เ หลื อ งชู ชอ อยูในทองทุงนา หากวาทุงนา นั้นมีทั้งผักกาด และผักชีดวยแลว ดอกสีเหลืองของผักกาด และดอก สีขาวของผักชีบานเบงสอดแทรก สับ หว า งกั น เต็ ม แปลง เป น ความ งามเล็ก ๆ นอย ๆ ที่อิ่มเอมใหผอน หายคลายความเหนื่อยเมื่อยลาใน การทํางานลงไดบาง แตความงามของมัน ไม ฉูดฉาด หรือหอมกรุนละมุนละไม แ ล ะ ไ ม มี รั ต น ก วี ค น ใ ด ที่ จ ะ พรรณนาความงามใหเพริศแพร ว ชวนใหเคลิบเคลิ้มใหลหลงได หาก ดอกผักกาดนี้ ปรากฏอยูในธัมม... ธัมมที่วานี้ หาใชธัมมชาดกทั่วไปไม แตเปนถึงเวสสันตรชาดก ฉบับไมไผแจเรียวแดง ในกัณฑมหาราช ตอนที่ทาวปรัมมสัญเชยย ไดไถสองกุมารผูหลาน กัณหาและชาลี จาก พราหมณ เ ฒ า ชูชกะ ดว ยค า ที่พ ระเวสสั น ตระได กํ าหนดไวแ ล ว นั้ น หลั ง จากที่ ส องหลาน พรรณนาถึงความทุกขยากของพระเวสสันตระและพระนางมทรี ทาวปรัมมสัญเชยยก็ใครไป ราธนาใหพระเวสสันตระสึกออกมาครองเมืองสีพีตอไป กอนที่ทาวปรัมมสัญเชยยพรอมกับ พระนางผุสสดี กัณหา และชาลี จะออกเดินทางไปรับพระเวสสันตระและพระนางมทรีที่เขา วงกตนั้น ไดปาวประกาศใหชาวบานชาวเมืองทั้งหลายเตรียมการตอนรับพระเวสสันตระไววา
๔๑
“...เอวํ ราชา ทาวปรัมมสัญเชยยพิจจรณา จตุรงคเสนา ๔ จําพวกแลว ทีนั้นทาว ปรัมมสัญเชยยจักปลงราชอาชญา หื้อประดับประดาหองราชมัคคา อันกวางได ๘ อุสุภคณนา นับเปนวาวาได ๒ รอย ๘๐ วาเปนขนาด แตครุมนอยราชเชตุตตรนคอรไพจุจอด ตอเทารอด เขาวังกตปพพตคีรี มีประหมาณวาได ๖๐ โยชนะคณนา หื้อประดับประดาทุกสิ่ง จิ่งปลงราช อาณัต แกอามาตยบอรบัตวา สูทานทังหลาย จุงจักมารับเอาอาณญาสุภสาร หื้อเอาฅนการมา มวลมาก หื้อเผี้ยวถากซวากทางไพ หื้อเหมือนดั่งหนากลองไชยเรียงราบ บล้ํากวาอามาตยสู กะทําแทดีหลี จิ่งจักมีพระราชคาถาวา ‘ราชา โอโลกิยา ปุปฺผา’ ดั่งนี้ โภนฺโต อมจฺจา ดูราเสนาอามาตย อันมาเตมหองราช สิงสนาม อันลูกคูเจาพระญาเวสสันตระจักไตเตาเขามาเมืองดวยหนทางอันใด หนทางอันนั้น ทานทังหลายจุงประดับประดาหื้อรอดแลว ควรลูกแกวพอจักมา คือวา ปญจมาลา ๕ สิ่ง คือ ดอกทายหานดอกพุดดอกซอน ดอกหยาแพรด ดอกผักกาด แลเขาตอกเปนถวน ๕ ตอนอยู ถาดาผาย ไพกอนหนาลูกคูจักมานั้นเทิอะ...” ดอกผักกาด เปนหนึ่งใน ปญจมาลา ที่ทาวปรัมมสัญเชยยจัดแตงเตรียมดาใหผูคน ประปรายดอกไมทั้งหมดนําหนาขบวนเสด็จของพระญาเวสสันตระตอนเขาเมือง ยามนั้ นดอก ผั ก กาด แม น ไม บ านเบ ง ย อ ยหยาดเยิ้ ม แต ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ ร อรั บ โพธิ สั ต ว ที่ จ ะกลั บ คื น เมื อ ง เหมือนกับรอรับสิ่งที่ดีที่งามกลับมาสูตัวตน๚๛
๔๒
�฿ฯคชา: ครัวคชา: โดย คชานนท จินดาแกว
แกฯทูรใส่ปฯา ¦ใบผัฯแฅฯ แกงตูนใสปลาและใบตําลึง หนาฝนเริ่มเขามาแลวอาหารตามฤดูกาล อาหารที่คนภาคเหนือนิยมทํากินกันก็ไม พน แกงตูนกับผักแคบ(ผักตําลึง) ใสปลาหลิม (ปลาชอน) ปลากด ปลาเล็กปลานอย หรือกุง หอยปูปลาที่หาไดตามลําน้ํา หรือทุงนาที่ถูกน้ําทวม เปนอาหารตามฤดูกาลในฤดูฝน และ ในชวงนี้ตนตูนและผักแคบ(ผักตําลึง) กําลังขึ้นงาม ซึ่งการกินอาหารตามฤดูกาล ที่พืชผัก ขึ้นอยูตามธรรมชาติหรือการปลูกผักจําพวกนี้ โดยปลอดสารพิษ ผูเขียนเชื้อวาการกินอาหารที่ หลากหลายและตามฤดูกาล จึงเปนผลดีตอสุขภาพของเรา สวนประกอบของแกงตูนและผัก แคบใสปลา ซึ่งรสชาตของอาหารที่ปรุงนั้นขึ้นอยูกับวัสดุที่นํามาทําอาหารที่สดใหม แกงตูนใสปลา ดูจะเปนอะไรที่เขากัน และถือเปนของคูกันในทันที ในบทจอยมัก กลาวมาเปนคูกันวา “แกงหยวกใสงุน แกงตูนใสปลา น้ําพริกแมงดา บาเขือแจสา” นอกจากนี้ ยั ง มี คํ า สร อ ยในค า วที่ มั ก จะกล า วกั น ในบทค า ว หรื อ ในบทซอว า “แกงปลาใสตูน ลําเพื่อใสสม” นั่นก็แสดงวารสชาติของแกงชนิดนี้จะออกรสเปรี้ยว รสเปรี้ยว ของน้ําแกงจากการปรุงดวยน้ํามะกรูด จะใหรสชาติที่เปรี้ยวหอมอรอยกวาน้ํามะนาว ในสวนของการทําปลาชอนหรือปลากด เพราะปลาทั้งสองชนิดนี้มีน้ําเมือกของปลา ที่มีกลิ่นคาว ใหใชเกลือปน น้ํามะกรูดหรือน้ํามะนาว(อยางใดอยางหนึ่ง) คลุกเคลากอนที่จะ หั่นปลาเปนชิ้น สวนปลาที่หั่นแลวถาเราบีบมากรูดคลุกเคลากอนเวลาแกงปลาจะทําใหเนื้อ ปลาสด ไมเละ และไมคาวดวย วัตถุดิบหลักคือ กานตูน หรือกานคูน ที่เวลาตัดมาแลว ตองปอกเอาเปลือกออก กอน แลวหั่นเปนทอนๆ พอคํา ซึ่งกานตูนนี้เมื่อปอกเอาเปลือกออกแลว ก็จะสามารถกินสดๆ ได เปนผักที่ใชเปนเครื่องเคียงพวกตําผลไมที่มีรสเปรี้ยว และนํามาแกง นอกจากนี้จะตองมีการเตรียมผักแคบ หรือผักตําลึง เด็ดและลางน้ําใหสะอาด ใบแมงลัก (ทางภาคเหนือกอมกอขาว)
๔๓
เครื่องปรุง เนื้อปลาชอนหรือปลากด หรือปลาเล็กปลานอย ตนตูนที่ปอกเปลือกแลวหั่นเปนชิน้ ผักแคบ(ผักตําลึง) เด็ดกานใบ ใบแมงลักหรือใบอีตู(กอมกอขาว) มะกรูด(สวนอีกหนึ่งลูกใหใชบีบคลุก เคลากับปลาที่หั่นไว) มะเขือเทศลูกเล็ก น้ําเปลา
๒๐๐ กรัม ๑ ถวย ๒ ถวย ๑/๔ ถวย ๒ ลูก ๕ ลูก ๓ ถวย
๔๔
น้ําพริกแกง พริกสดเม็ดใหญ(พริกหนุม) หรือพริกชี้ฟา ตะไครหั่นฝอย ขมิ้นสดหั่นชิ้นเล็ก หอมแดงแกะเปลือก กระเทียมแกะเปลือก เกลือทะเลปน กะปอยางดี ปลารา
๕ เม็ด ๗ เม็ด ๓ ชอนโตะ ๑ ชอนโตะ ๓ หัว ๑ หัว ๑ ชอนชา ๑/๒ ชอนโตะ ๑ ชอนโตะ
โขลกขมิ้น กอนและตามดวยตะไครให ละเอียด และทั้งหมดเขาด วยกัน (วัส ดุ เครื่องปรุงจะใสมากกวานี้แลวแตผูปรุงอาจชอบรสชาติเขมขน ก็ใหเพิ่มอัตราสวนตามชอบ) วิธีทํา ๑. ตั้งหมอแกง ใสน้ําใหเดือดใสตูนลงไป ตมใหสุกและเติมน้ําพริกแกงที่เตรียม ไว ๒. เมื่อน้ําแกงเดือดแลว ใสปลาชอนหรือ ปลากด หรือปลาเล็กปลานอยลงไป (ขอใหน้ําเดือดเพื่อปลาจะไมคาว) ๓. ตามดวยผักแคบ(ผักตําลึง) และใบ แมงลัก หรือผักอีตู(กุมกอสม) แลวยก ลงตามดวยน้ํามะกรูด น้ําปลา ชอบ เปรียวหรือเค็มตามใจชอบ
๔๕
แวฯบ¶ฯ มทร.ล้าฯ¢ แวดบาน มทร.ลานนา
ศูนยวัฒนธรรมศึกษา มทร.ลานนา
- โครงการนิท รรศการใตร ม มงคลแห งราชา รอยยาตราด ว ยศาสตรแ ละศิ ลป ในวั น ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเปนการเผยแพรความรู จากการทรงงานของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ใหแกคณาจารย บุคลากร และนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ลานนา
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ศูนยวัฒนธรรมศึกษา รวมดวย คณะศิลปกรรม และสถาปตยกรรมศาสตร จัดโครงการจัดกิจกรรมสงเสริมการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม การ อนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ คณะศิลปกรรมและสถาปตยกรรมศาสตร ในงานประเพณียี่เปง จังหวัดเชียงใหม ในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ -
๔๖
- จัดโครงการงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา ครั้งที่ ๑๗ “สานศิลป ถิ่นสองแคว” ในระหวาง วันที่ ๑ – ๓ กุมภาพันธ ๒๔๖๐ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม โดยงานนี้ไดนําการ แสดงชุด “นบเกลาไหวสา พระธาตุแกงสรอย” ไปแลกเปลี่ยนเรียนรูในงานดังกลาว
- ศูนยวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา จัดโครงการนิทรรศการและ สงเสริมคุณธรรม อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ระหวางวันที่ ๑๕ – ๒๓ กุมภาพันธ ๒๕๖๐ ในงานจัดกิจกรรม “ธัมมนวราตรี ศรีราชมงคลลานนา” มีการ สวดมนต และฟงพระธรรมเทศนาจากพระนักเทศน เพื่อสงเสริมคุณธรรมใหกับคณาจารย บุคลากร และนักศึกษา
๔๗
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา เชียงราย - โครงการขวงวัฒนธรรมราชมงคลลานนา สืบสานตํานานภูมิปญญาทองถิ่น เชียงราย ครั้งที่ ๓ กิจกรรม ตานกวยสลาก วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ ลานกิจกรรมตึกศึกษา มทร. ลานนา เชียงราย โดยศูนยวัฒนธรรมศึกษา เชียงราย รวมกับ กลุมวิชาสังคมศาสตร และคณะ บริหารธุรกิจและศิลปศาสตร มทร.ลานนา เชียงราย
- โครงการ วัน สถาปนามหาวิ ทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล านนา เชียงราย ใน วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๐ ณ ลานธรรมพระเจาทันใจ มทร.ลานนา เชียงราย โดยศูนยวัฒนธรรม มทร. ลานนา เชียงราย จัดโครงการวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา เชียงราย (พิธีทําบุญเนื่องในวันครบรอบการกอตั้ง ๒๒ ป และครบรอบวันสถาปนามหาวิทยาลัย ๑๒ ป) โดยไดรับเกียรติจาก ผูชวยศาสตราจารยอุดม สุธาคํา รองอธิการบดี มทร.ลานนา เชียงราย เปนประธาน ณ ลานธรรมพระเจาทันใจ มทร.ลานนา เชียงราย กิจกรรมในชวงเชาประกอบ พิ ธี บ วงสรวงเทพไท เ ทวาและสิ่ ง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ พิ ธี บํ า เพ็ ญ กุ ศ ลแด พ ระปรมิ น ทรมหาภู มิ พ ลอดุลยเดช และพิธีสืบชะตาหลวง
๔๘
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ตาก - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ตาก รวมจัดงานประเพณีลอยกระทงสายไหล ประทีป ๑,๐๐๐ ดวง ประจําป ๒๕๕๙ ระหวางวันที่ ๑๒ - ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ภายใต แนวคิด “ประทีปทองสองธารา เลิศราชาแหงมหานที” เพื่อนอมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ และจัดนิทรรศการนอมสํานึกใน พระมหากรุณาธิคุณฯ และประเพณีลอยกระทง ๓ ยุค ประกอบดวย “ประทีปทองสองธารา” “บูรพประทีป” และ “ประทีป ๑,๐๐๐ ดวง” ใหประชาชนและนักทองเที่ยวไดรับชม
- มหาวิ ท ยาลั ย เทคโนโลยี ร าชมงคลล า นนา ตาก ร ว มจั ด ขบวนแห พิ ธี เ ป ด งานตากสิ น มหาราชานุสรณ และงานกาชาดจังหวัดตาก ประจําป ๒๕๕๙ – ๒๕๖๐ และจัดนิทรรศการ นอมระลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได และนิทรรศการเรียงรอยเรื่องราวจากปฐม อาชีพชางไมตาก สู มทร.ลานนา ตาก ครบรอบ ๘๐ ป ระหวางวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๐ ไดรับความสนใจมากมายจากประชาชนและนักทองเที่ยว และไดรับ รางวัลชนะเลิศผลการประกวดการออกรานประจําปของหนวยงานตางๆ ของจังหวัดตากใน งานฯ อีกดวย
๔๙
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา นาน กิจกรรมเดินเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ วั น เสาร ที่ ๑๘ กุ ม ภาพั น ธ ๒๕๖๐ มหาวิ ท ยาลั ย เทคโนโลยี ร าชมงคลล า นนา น า น จัดกิจกรรมเดินเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดวยสํานึก ในพระมหากรุ ณ าธิ คุ ณ เปน ล น พ นที่ พ ระบาทสมเด็ จพระปรมิ น ทรมหาภู มิ พ ลอดุ ล ยเดช พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวฯในรัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯใหสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จแทนพระองค พระราชทานปริญญาบัตรใหแกบัณฑิต และมหาบัณฑิตตอเนื่องทุกป และเพื่อรายไดเพื่อทูลเกลาถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตาม พระราชอั ธ ยาศั ย โดยมี รศ.ดร.คมสั น อํ า นวยสิ ท ธิ์ รองอธิ ก ารบดี มทร.ล า นนา น า น เปนประธานในพิธี ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ มีห นวยงานภายนอกเขารวม ไดแก ป องกันและ บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนาน มณฑลทหารบกที่ ๓๘ ตางก็สํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ พระองคทานทรงมีตอชาวราชมงคลลานนา และชาวจังหวัดนาน กิจกรรมดังกลาวจัดขึ้น ณ บริเวณหนาอาคารอํานวยการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา นาน หลังจากเดิน กิจกรรมเสร็จสิ้นแลว ยังมีการจับสลากหางบัตรอีกดวย ๕๐
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา พิษณุโลก - ศูนยวัฒนธรรมศึกษา มทร.ลานนา พิษณุโลก จัดนิทรรศการเรื่อง “ขาวเพื่อชีวิตและภูมิ ปญญาไทยที่มาจากขาว” ณ ศูนยเรียนรูเรื่องขาวและภูมิปญญาไทย และออกทํากิจกรรม รวมกับชาวบานวัดเดนโบสถ เพื่อใหนักศึกษา บุคลากร และประชาชนมีความรูเรื่องขาว และ ความสําคัญของขาวที่มีมาแตโบราณ รวมถึง สามารถนําขาวมาตอยอดภูมิปญญาไทย
- ศูนยวัฒนธรรมศึกษา มทร.ลานนา พิษณุโลก รวมกับหนวยงานในจังหวัดพิษณุโลก เจริญ พระพุ ท ธมนต อ ธิ ษ ฐานจิ ต เพื่ อ เป น พระราชกุ ศ ลแด พ ระบาทสมเด็ จ พระเจ า อยู หั ว ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก
๕๑
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ลําปาง - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา เปนเจาภาพถวายกฐินประจําปของมหาวิทยาลัย โดยในป ๒๕๕๙ นี้ มีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ลําปาง เปนเจาภาพหลัก ทอดถวาย ณ วัดมิ่งเมืองมูล ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลําปาง เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๙
- ศู นย วั ฒนธรรม มทร.ล านนา ลํ าปาง จั ดงานวั นวั ฒ นธรรม ขึ้น เมื่อ วั นที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๐ เพื่ อ ส ง เสริ ม ให นั ก ศึ ก ษาในด า นการมี ส ว นร ว ม ความสํ า นึ ก คุ ณ ค า ด า นประเพณี วัฒนธรรม อันดีงามของชาวไทยและเนนการบูรณาการ การเรียนการสอนกับงานดานทํานุ บํารุงศิลปวัฒนธรรม
๕๒