1
เดือน ๙ เหนือ เดือนแหงการเลี้ยงผีพลีครู
เรียบเรียงโดย ศักดิ์นรินทร ชาวงิ้ว 1 0
ในชว งเดื อ น ๙ เหนือ หรือ เดือ น ๗ ใตนั้น เป น เดือ นแห งการเลี้ ย งผีพ ลีค รู หรือ การเคารพผู มี พระคุณ นั่นคือการเลี้ยงผี ทั้งผีปูยา ผีครู ที่มีกันทั่วไปในลานนา นับเปนประเพณีการเลี้ยงประจําปที่จะจัด อยางยิ่งใหญในกลุมตระกูลนั้น ๆ หรือสายครูนั้น ๆ จึงขอยกเรื่อง ผีตางๆ ที่ทําการเลี้ยงหรือเคารพบูชากันในเดือน ๙ ดังนี้
ผีปูยา ผี ปู ย า เป น คํ า เรี ย กผี บ รรพบุ รุ ษ ของชาวล า นนา ซึ่ ง เป น ความเชื่ อ ที่ มี ม าก อ นที่ จ ะรั บ เอา พระพุทธศาสนา ผีปูยาเปนผีที่คุมครองดูแลลูกหลานในตระกูลใหอยูรมเย็นเปนสุข ไมมีภัยอันตรายที่จะเขา มากล้ํากราย “ผี” ในกลุมนี้ นอกจากจะเปนผีบรรพบุรุษแลว ยังเปนสิ่งที่จรรโลงความเปนระเบียบเรียบรอย ความประพฤติปฏิบัติของคนในสังคมญาติดวย โดยเฉพาะผูหญิงในตระกูลที่เสี่ยงตอการลวงเกินจากผูชาย หรือที่เรียกกันวา “ผิดผี” หากมีการลวงเกินเพียงจับมือถือแขน หรือแมแตนั่งแผนกระดานแผนเดียวกันก็ ถือเปนความผิดตอผีปูยา ผูชายผูนั้นก็จะตองมาขอขมาแกผีปูยาของฝายหญิง โดยหากยินยอมที่จะอยูกิน กับฝายหญิงก็จะ “ใสผี” เหมือนเชนตอนแตงงานกันโดยทั่วไปก็จะมีการไขวผี ใหผีของสองฝายรับรูและรับ เปนสมาชิกในผีเดียวกันนั่นเอง หากวาไมยนิ ยอมก็จะตอง “เสียผี” ตามแตทางฝายหญิงจะเรียก ฉะนั้นเรื่อง ผีปูยาจึงกลายเปนสิ่งที่ใชควบคุมสังคม โดยเฉพาะทางฝายผูหญิง ที่เปนเจาของทรัพยากรตางๆ ในชุมชน ดั้งเดิม ที่จะตองแตงผูชายเขาบาน ทําใหผูหญิงจึงเปนผูถือผีปูยาสืบตอมา (เมื่อพระพุทธศาสนาเขามา ที่ถือ เปนฝายชายเปนใหญ ทําใหมีการแบงทางดานพุทธศาสนาเปนของฝายชาย และผีปูยาเปนของฝายหญิงไป ในที่สุด) โดยจะสืบทอดผานทางผูหญิง และมักเปนลูกสาวคนโตของตระกูล
1
นักวิชาการศึกษา ศูนยวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา
2
หากใชการที่ลงทรงรางทรง หรือทางลานนาเรียกวา ลงมาขี่ ดวยแลว ก็จะจัดกลุมของผีปูยาอยู สองประเภทใหญๆ คือ แบบที่ไมมีมาขี่ และแบบที่มีมาขี่
๑. แบบที่ไมมีมาขี่ คือมักจะเปนผีปูยาที่อาศัยอยูบนหอ บนหิ้ง หรือในกระชุที่เปนผีปูยา ผูที่ทํา หนาที่สังเวยเรียกวา “ขาวจ้ํา” จะเปนผูทําหนาที่เชิญผีปูยาและทําพิธีทั้งหมด โดยที่การวัดวาผี ปูยามารับของสังเวยก็จะใชวิธีเสี่ยงทายตาง ๆ โดยมากจะใชวิธีวาไมถามผี คือใชไมยาว ๑ วา ของขาวจ้ําพอดี โดยเสี่ยงทายวาถาผีปูยามาหรือรับเอาของ ก็จะเห็นวาไมนั้นยาวเลยวาของ ขาวจ้ําออกมาอยางเห็นไดชัด ๒. แบบที่มีมาขี่ ก็ จะมีมาขี่หรือ รางทรงเปนผูรับเอาปูยาลงมา โดยสามารถพูด คุยกับ บรรดา ลูกหลานได และมาขี่สวนใหญก็จะเปนผูหญิง เมื่อปูยาเขารางก็จะมีอาการเปลี่ยนไป แบบที่มี มาขี่ก็จะแบงยอยออกเปนสองกลุมคือ ผีมด และผีเม็ง โดยผีมด หรือผีที่คอยปกปกษรักษา ของชาวลานนาทั่วไป (มด แปลวารักษา คุมครอง ดูแล) สวนผีเม็ง คือผีปูยาของคนที่สืบเชื้อ สายมาจากชาวเม็ง หรือมอญโบราณที่อยูในลานนา โดยผีปูยาที่มีมาขี่นี้จะมีพิธีกรรมที่ใหญ มี รายละเอียดมากมายและซับซอน โดยจําลองวิถีชีวิตมาไวในพิธีกรรม ผีในแตละตระกูลก็จะมี หลายตน ที่ทําหนาที่ตาง ๆ ในการฟอนผีแตละครั้ง เชน ผีผาขาว จะทําหนาที่โยงผา โยงขัน ผี บาว-ผีสาว ผีสองพี่นอง ผีศึก เปนตน แตเปนแบบแผน หรือที่รูจักกันในนามของการ “ฟอนผี”
3 โอกาสของการเลี้ยงมีหลายโอกาส คือ ๑. ตามครบกําหนดเวลา เชน ทุกปในเดือน ๙ เหนือ หรือทุกๆ ๓ ป เปนตน ๒. เมื่อบนบานสานกลาวเอาไวในบางเรื่อง เมื่อเสร็จเรื่องนั้นจึงตองมีการแกบน ๓. เมื่อคนในครอบครัวเจ็บปวยจากการกระทําของผีอื่น ขอใหผีปูยารักษา หรือ ๔. ทําการขอขมาผีปูยาเนื่องจากการเจ็บปวยจากการที่คนในครอบครัวผิดผี การเลี้ยงผีปูยา เปนการรวมแรงรวมใจ รวมถึงการรวมเงินเพื่อจัดงาน ทั้งเครื่องบูชา หากเปนผีที่ไม มีมาขี่ก็อาจจะงายหนอย แลวแตวาผีจะกินอะไร บางตระกูลก็ใชไก บางตระกูลก็ใชหมู เปนตน แตที่หนัก หนาสาหัสในเรื่องคาใชจายนั้นเห็นจะเปนผีที่มีปะรําการฟอนของบรรดามาขี่ ที่มีเครื่องในพิธีการมากมาย แมกระนั้น ชาวลานนาก็ยังมีความเชื่อและศรัทธาในผีปูยาอยู แตจะมากนอยเพียงใดก็อาจจะแปรเปลี่ยนไป ตามสังคม
ผีครู ผีค รู คือ ครูบ าอาจารยที่ลวงลั บดับ ขันธไ ป เปนรุน ๆ สืบ สายขึ้นไป ที่เ คยประสิท ธิ์ประสาทวิชา ความรูใหในแขนงตาง ๆ โดยคน ๆ หนึ่งอาจมีหลายครู (แตหากมากครูก็จะไมดีตอตัวผูถือ ถาบารมีไมมาก พอก็อาจจะเจ็บปวยหรือวิปลาสได) โดยมีไลเรียงกันขึ้นไปที่จําเพาะเจาะจงในสองรุนสามรุนกอนหนาหรือ แลวแตจะสืบสายครูกันไปถึง นอกนั้นก็กลาวกันโดยรวม โดยมักมีคํา ๆ หนึ่งที่รวบยอดนั่นคือ “ครูเคาครู ปลาย ครูตายครูยัง” ไลเรียงตั้งแตครูคนแรก มาถึงคนลาสุด ตั้งแตครูที่ไดตายไปแลว และครูที่ยังคงมีชีวิต อยู ไมวาจะเปนศาสตรศิลปทางสาขาใด เชน ลายเชิงการตอสู หมอยาเมือง ชางฟอน ชางซอ นักดนตรี ฯลฯ ก็จะมีการบูชาครู ขณะที่เริ่มเรียน ก็จะมีสวยดอกหรือกรวยดอกไมไป “ขึ้นขัน” เสียกอน จึงจะเรียนได นัยวาใหทั้ง ศิษยและครูรับรู และเปรียบเหมือนให “ผีครู” เปนผูกํากับลูกศิษยอีกตอหนึ่ง จนเมื่อเรียนจบครูผูสอน ก็จะ ทําการปลงขันให พรอมทั้งสอนคําฟายครูและเครื่องบูชา เพื่อจะไดทําการบูชาเลี้ยงครูสืบตอไป
4
เครื่องบูชาแตเดิมก็เปนสิ่งที่ลูกศิษยจะนํามามอบใหครูและดูแลครูอยางดี เชนขาวเปลือกขาวสาร หมากเมี่ยงบุหรี่ เงิน(เบี้ย) ผาขาวผาแดง ดอกไม เทียน เปนตน ตอมาเลยจัดเขากันเปนชุดพอใหเห็นเปนพิธี เทานั้น สวนอื่นนั้นก็ขึ้นกับสายครูของใครวาจะมีพิเศษ หรือยนยออะไรบาง เครื่องบูชาหรือที่เรียกวาขันครู ก็จะขึ้นกับครูของตนที่จะบอกมาพรอมกับคาถาและคําบูชา ตอนแบงครูมายึดถือและเลี้ยงบูชาเอง
ผีค รู น อกจากจะเป นครู ข องครู สืบ ๆ ขึ้น ไปที่ส อนสั่งศาสตรศิล ปแลว ยังถือ เปน ผูค วบคุมความ ประพฤติของศิษย เฉกเชนผีปูยาที่คอยควบคุมความประพฤติของลูกหลานในตระกูล การถือครูมักมีขอ หาม หรือขอวัตรปฏิบัติบางประการที่ถือกันเครงครัด ซึ่งเรียกวา “กํา” หากจะยึดถือในเรื่องของการกิน ก็ จะเรียกวา “กํากิน” (/ก๋ํา-กิ๋น/) เชนหามกินอาหารบานศพ เปนตน หากทําผิดขอกําหนดที่ครูไดสั่งไดสอน หรือทําผิดศีลผิดธรรมแลว ก็จะเรียกวา “ผิดครู” ทําใหผูนั้นเจ็บปวย ไมสบายได จึงตองทําการขอขมาและ จัดเครื่องบูชาชุดใหญ ฉะนั้นในเดือน ๙ เหนือ จะมีการจัดงานไหวครู กันทั่วไป นอกจากจะมีลูกศิษยที่มาเรียนดวยแลวก็ จะมาชุมนุม ตระเตรีย มงานดว ยความพรอมเพรีย งกัน จะไดทําการรูจักกัน ไปในตัว ดวยศิษยแตล ะคน อาจจะมาตางวาระเวลากัน เมื่อเรียนตางก็แยกยายกันไปหลายตอหลายรุน เมื่อมาเจอกันอีกครั้ง ก็นับเปน เวลาอันดี ที่ศิษยครูเดียวกันจะไดมาแลกเปลี่ยนประสบการณซึ่งกันและกันได
5
ผีปูยา และ ผีครู นั้น ถือวาเปนสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเปนผูควบคุมความประพฤติ โดยไม
จําเปนตองสั่งสอนกันอยางในโรงเรียนยุคปจจุบัน และตองเลี้ยงดีพลีถูกจะดลบันดาลใหอยูสุขสวัสดีและ ประสบความสําเร็จ หากใครละเลยนับวาสงผลรายตอลูกหลานหรือศิษยได เชื่อวาผีปูยาและผีครูนั้น สามารถแปรเปลี่ยนกลับกลายเปนอื่นได หากวาลูกหลานและลูกศิษยนั้น ละเลย ไมทําการสักการะ เลี้ยงไมดี พลีไมถูกแลว ก็จะกลายเปน “กละ” ผีกละ (คลายกับผีปอบ) เปนผีรายและเปนที่เกรงกลัวของของชาวลานนาเปนอยางมาก และเปน ภัยตอลูกหลานและลูกศิษยนั้นเอง ฉะนั้นเมื่อครั้งเดือน ๙ มาถึง จึงทําการสักการเลี้ยงพลีกันอยางยิ่งใหญ
ผีเสื้อบาน ผีเจานาย ผีเสื้อบาน คือผีที่คอยปกปกษรักษาหมูบาน ใหคนภายในหมูบาน บางก็มักถือโอกาสนี้เลี้ยงดวย โดยชาวบานทุกคนพรอมใจกันลงขันซื้อเครื่องบูชามาเลี้ยงกัน แลวแตวา ผีเสื้อบานนั้นจะมีมาขี่หรือไม ถา ไมมีก็วาไมหรือเสี่ยงอยางใดอยางหนึ่งเพื่อคําตอบ หากมีมาขี่ก็จะเปนการลงมาขี่หรือลงทรง พรอมกับทํา การฟอนดวย ผีเจานาย คือ วิญญาณของทแกลวทหาร ขุนศึกขุนหาญ ที่ไดลมตายอาจกลายเปนอารักษเฝายัง จุ ด ตางๆ เชนจุ ด ที่ต นเองตกตายไปนั้น ก็ก ลายเปน วิญ ญาณที่ยังคงทําหนาที่เ ดิม ในการปกปก ษรัก ษา ชาวเมือง โดยถือเปนการสั่งสมบุญบารมีใหเสริมเติมขึ้นไปเพื่อใหไดไปอยูในภพภูมิที่สูงขึ้น การชวยเหลือ ชาวบานเชน การรักษาโรค ทํานายทายทัก แกไขสิ่งรายที่เขามาในตน เปนตน
6
เนื่องจากตัวผีเจานายเอง จะทําการนั้นโดยตรงก็ลําบาก กอปรกับไปไหนมาไหนก็ไมสะดวก จึงตอง อาศัย “มาขี่” หรือคนทรง ที่เปรียบเหมือนเปนมาใหบรรดาผีเจานายขี่ไปชวยเหลือผูคน
ในช ว งเดื อ น ๙ นี้ ผูที่ เ ป นม าขี่ ก็ จะทํ าการบวงสรวงและเลี้ย งผี เ จ านาย โดยการเป ด ปะรํ าพิ ธี บวงสรวงและฟอ นบู ชา กั น อยางเอิกเกริก มีก ารเชิญผีเ จานายตนอื่น ๆ มารวมฟอ นในปะรํ าดวยอยาง สนุกสนาน มีเครื่องประโคมแห เชนเครื่องดนตรีพิ้นเมือง บางก็มีผสมผสานดวยเครื่องดนตรีสากล เลน เพลงตั้งแตเพลงพื้นเมืองโบราณไปจนถึงเพลงลูกทุงสมัยปจจุบันก็มี ผีเจานายมักจะแตงกายแผกไปจากผูคนทั่วไป มักสวมเสื้อคอกลมแขนสั้น นุงโสรง มีผาโพกศีรษะ และมีสีสันสดใสฉูดฉาด บางก็หันไปนุงผาแบบผีเม็ง โดยการนุงแบบ “พาดเกิ่งทุมเกิ่ง” คือนุงผาแลวนําชาย ผาที่เหลือมาพาดคอ ตามแบบผีเม็ง และปจจุบันก็พิถีพิถันมากขึ้น เชนเปนผาแพรบาง ผาไหมบาง นํามา อวดกันก็มี ที่กลาวมานั้น ก็จะพบเห็นไดทั่วไปในลานนาในชวงเดือน ๙ เหนือนี้ สวนในจังหวัดเชียงใหม ก็จะมี พิธีที่เปนเฉพาะของเมืองเชียงใหมอีกหลายประเพณี ดังจะกลาวตอไปนี้ ประเพณีเลี้ยงดง (ปูแสะยาแสะ) ปูแสะย าแสะ ถือ เป นผีบ รรพบุ รุ ษ ของชาวลั ว ะ ที่อ าศัย อยูเ ชิง ดอยสุ เ ทพและดอยคํามาแตเ ดิ ม ปรากฏอยูในตํานานเชียงใหมปางเดิม และตํานานพื้นเมืองเชียงใหม วาไวอาจจะมีแตกตางในรายละเอียด เล็กๆ นอยๆ อยูบ าง จะขอเลาโดยยอดังนี้ ครั้งเมื่อพระพุทธเจายังทรงพระชนชีพอยูนั้น ไดเสด็จมายังดอยคํา เมืองเชียงใหม มาพบยังชาวลัวะ บางสวนไดขอบวชเปนพระใหม แตผูคนเบาบาง บางแหงกลายเปนเมืองรางไป จึงสอบถามดูวา ดวยเหตุอัน ใด จึงไดความวาดวยยักษสองตนผัวเมีย คือปูแสะและยาแสะ ไดออกมาจับคนกินเปนอาหารอยูประจํา ผูคนจึงหางหายหนี ทิ้งบานรางเมืองรางไวเปนแหงๆ ไป พระพุทธเจาจึงไปเมตตาโปรดยักขสองผัวเมีย หาม มิใหยักษทั้งสองกินคน แตยักษทั้งสองก็อุทธรณวา ขอเดือนไหนละคน หรือปไหนละคน พระพุทธเจาก็ไม อนุญาติ จึงขอปไหนกินควายหนึ่งตัว เถิดดวยตามวิสัยยักษที่จะตองกินเนื้อดิบเปนปกติ พระพุทธเจาก็ไม
7
กลาวอนุญาตหรือหามแตประการใด ยักษทั้งสองจึงขอกินควายปละตัว และจําปกปกษรักษาชาวเมืองให อยูเย็นเปนสุข และรักษาพระพุทธศาสนาจนตราบ ๕,๐๐๐ พระวัสสา
ฉะนั้นในปหนึ่ง เดือน ๙ เหนือ ออก ๑๔ ค่ํา จึงมีประเพณีการเลี้ยงดง ที่เชิงดอยคํา ต.แมเหียะ อ. หางดง จ.เชียงใหม แตเดิมนั้น จะเลี้ยงปูแสะที่เชิงดอยสุเทพตางดานลางของวัดฝายหิน และเลี้ยงยาแสะที่ เชิงดอยคํา แตเมื่อมหาวิทยาลัยเชียงใหมไดทําการกอสรางในพื้นที่เชิงดอย จึงไดทําการเชิญปูแสะไปอยูที่ ดอยคํา ที่เดียวกันกับยาแสะเสียและเลี้ยงพรอมกันในทีเดียว จึงถือโอกาสทําการเลี้ยงปูแสะยาแสะในฐานะอารักษเมือง และบูชาใหน้ําฟาสายฝนบริบูรณ ดวย ปาแถวนั้นสืบเนื่องไปเปนปาตนน้ํา ทั้งดอยสุเทพ-ปุย ไลมาจนถึงดอยคํา เปนตนน้ําสายสําคัญของเมือง เชียงใหม การเลี้ยงปูแสะยาแสะในปาทั้งสองแหงจึงถือวาเปนการสรางเขตศักดิ์สิทธิ์แหงตนน้ําตนชีวิตไปใน ตัว
8 ปจจุบันการเลี้ยงดง(ปูแสะยาแสะ) นั้นไดกลายเปนการประชาสัมพันธเชิงทองเที่ยว และที่ผานมา รายการโทรทัศนหลายรายการไดนําเสนอเรื่องเลี้ยงดงออกสื่อ ทําใหแตละปจะมีผูคนหลั่งไหลกันมาชมกัน เต็มดงราวกับมีงานมหกรรมใหญๆ สืบชะตาเมืองเชียงใหม การสืบ ชะตา คือ การตออายุใ หยืนยาวสืบไป ใหมีค วามเจริญ กาวหนาเหมือนเดิมหรือรุ ดหนา กวาเดิม การสืบชะตานั้น ทําไดทั้ง คน สัตวมีคุณ ตลอดถึง “เมือง” เชนเมืองเชียงใหมเปนตน เมื่อดวงชะตา คน หรือเมืองนั้นๆ เขาตาจนหรืออาจเรียกวาชะตาขาด ก็จะทําการสืบชะตาครั้งใหญ เมืองเชียงใหม เปนเมืองที่สรางเปนพิเศษหลายๆ ประการเชน สรางตามนิมิตมงคล ๗ ประการ สรางเมืองตามภูมิสัณฐานของเมือง สรางดวยเทคโนโลยีวิธีพิเศษในการสรางแนวสี่เหลี่ยมที่เกือบจะจัตุรัส และที่สําคัญ สรางดวยคติแหงชีวิต นั่งคือเปรียบเหมือนเมืองนั้นมีชีวิต มีองคประกอบเชนเดียวกับคน มีหัว มีสะดือ เปนตน
9
ฉะนั้น เมื่อมีภัยประเหมาะเคราะหราย หรือในรอบหนึ่งป ก็จะมีการจัดทําพิธีสืบชะตาเมืองขึ้นครั้ง หนึ่ง เมืองอื่นๆ อาจจะมีการสืบชะตาประจําป หรือตามโอกาสวาระพิเศษตางๆ แตเมืองเชียงใหม มีเปน ประจําทุกป และตองอยูในชวงหนึ่งเดือนหลังจากออกอินทขีลแลว
โดยจัดมณฑลพิธี ๑๐ จุดดวยกัน ประกอบดวย ๑. บริเวณกลางเวียง อันเปนเกตุเมือง ปจจุบันจัดที่ขวงอนุสาวรียสามกษัตริย ๒. บริเวณประตูชางเผือก อันเปนเดชเมือง ๓. บริเวณแจงศรีภูมิ อันเปน ศรีเมือง ๔. บริเวณประตูเชียงเรือก (เดิม) หรือ ประตูทาแพ (ปจจุบัน) อันเปน มูลเมือง ๕. บริเวณแจงขะท้ํา อันเปน อุตสาหะเมือง ๖. บริเวณ ประตูเชียงใหม อันเปน มนตรีเมือง ๗. บริเวณ ประตูแสนปุง
๙. บริเวณประตูสวนดอก อันเปน บริวารเมือง ๑๐.
10
๘. บริเวณแจงกูเรือง อันเปน กาลกิณีเมือง บริเวณแจงหัวลิน อันเปน อายุเมือง
การแบงเมืองตามระบบทักษานี้ ไดรับการฟนฟูและชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่เจากาวิละ ฟนฟูเมือง เชียงใหมในยุคเก็บผักใสซา เก็บขาใสเมือง สวนรายละเอียดเครื่องบูชาตาง ๆ นั้น มีกลาวอยางละเอียดใน หนังสือตํานานเชียงใหมปางเดิม การบูชาชางเผือก ๒ ตัวหัวเวียง และ สิงห ๒ ตัวหัวเวียง ในรายนามของอารักษเชนเมืองเชียงใหม นอกจากบูรพกษัตริย เจาหลวงคําแดง ปูแสะยาแสะ ฯลฯ แลว ยังปรากฏพระญาชางเผือกทั้ง ๒ และพระญาราชสีหทั้ง ๒ หัวเวียงอีกดวย เมื่อมีการทําบุญ หรือ เดือนรอ นตอชาวเมือ ง ก็จะมาทําการบูชา ในแตล ะมีก็จะมีก ารจัด การสัก การะในชว งหลังจากการเขา อินทขีลและทําบุญสืบชะตาเมืองเสร็จสิ้นลงไปแลว ดวยเครื่องสักการะเฉกเดียวกัน คือ “เบี้ยหมื่น, หมากหมื่น, เหลาหมื่น, เงินพัน, คํารอย, ผาขาว ๕ รํา, ผาแดง ๕ รํา, ฉัตรขาว ๑๒ ใบ, ชอขาว ๑๒ ผืน, พัดคาว ๕, อาสนา ๕, เทียนคํา ๑๒ คู, เทียนเงิน ๑๒ คู, เทียนนอย ๑๒ คู, หมากพลู ๑๒ ขด ๑๒ กอม, สวยเขาตอกดอกไม ๑๒ สวย, ขันหมาก ๕ ขัน, พราว ๕ ฅะแนง, กลวย ๕ เครือ, ออย ๕ แบก, หญา ๕ หาบ, น้ําจิง ๕ หาบ, หมอใหม ๕ ลูก, สาดใหม ๕ ผืน, น้ําบวยใหม ๕ บวย, น้ําเขาหมิ้น สมปอย, ลูกสมของหวาน, เขาตมเขาหนมโภชนะรอยเยื่อง” สวนคํากลาวโอกาสบูชานั้น ก็จะกลาวถึงการขอใหทั้งชางเผือกทั้งสอง และราชสิงหทั้งสอง ชวยปก ปกษรัก ษาชาวเมืองทุกคนใหอยูสุขสวัสดี ปลอดจากภัยอันตรายขาศึกทั้งหลายที่จะมาบุกทําลายเมือง เชียงใหมนั่นเอง ชางเผือกสองตัวหัวเวียง แตเดิมเปนอนุสาวรียของขุนพลคูหาญของพระญาแสนเมืองมา คืออาย ออบและอายยี่ระขา ที่พาพระญาแสนเมืองมาหนีมาแตสุโขทัย โดยแตงตั้งใหเปนนายชาง และสรางรูป ชางเผือกอยูสองฟากขางประตูหัวเวียง ทําใหประตูหัวเวียงจึงไดชื่อวาประตูชางเผือกดวยเหตุดังนี้ ตอมาใน สมัยพระเจากาวิละ ก็ไดฟนฟูเวียงเชียงใหมจากที่เปนเมืองรางมาหลายป จึงกอรูปชางเผือกสองตัวไวหัว
เมืองมารเมืองยักษ” ในฐานะอารักษเมืองเชียงใหม ในป พ.ศ.๒๓๔๓
11
เวียง ตัวที่หันหนาไปทางเหนือชื่อวา “ปราบจักรวาฬ” สวนตัวที่หันหนาไปทาทิศตะวันตกชื่อวา “ปราบ
สิงหสองตัวหัวเวียง เปนสิงหทื่สรางขึ้นในสมัยพระเจากาวิละ เชนเดียวกันอารักษชางเผือกสองตัว หัวเวียง สรางสิงหขื้นในฐานะอารักษเมืองดวย ในป พ.ศ. ๒๓๔๔ ใสชื่อวา “มิคคินทสีหราชสีห” เพื่อเปน ไชยมงคลแกชาวเมือง สรางในทิศอันเปนมงคล โดยรอบคุมสิงหแตเดิมเปนขวงกวาง เรียกวา ขวงสิงห ใช เปนสถานที่ประชุมพลกอนออกรบ จะมีพิธีตัดไมขมนามกันยังสถานที่นี้เพื่อเปนขวัญและกําลังใจแกลขุนศึก ทแกลวทหารหาญที่จะออกศึก นอกจากนี้ยังเปนที่คัดเลือกขุนพลของเมืองเชียงใหมอีกดวย ในชวงเดือน ๙ นี้ เปนเดือนแหงการแสดงความเคารพผูมีคุณทั้งหลายทั้งบรรพบุรุษ ครูอาจารย และบรรดาผูคุมครองบานเมืองทั้งหลาย และแสดงถึงความเชื่อดั้งเดิมของชาวลานนาไดเปนอยางดี นั่นคือ การนับถือผี เพื่อความเปนสิริมงคลแกตัวและเปนขวัญกําลังใจในการทํางานและความมั่นใจในความเปนอยู ตลอดถึงผลผลิดจากภาคการเกษตรดวย ทําใหเดือน ๙ นี้จึงขอเรียกวาเปนเดือนแหงการ “เลี้ยงผีพลีครู” ๚๛