4 สไตล์บริหารจัดการเดินหมากอย่างไรให้มอเตอร์ไซค์ใส่หมวก

Page 1

4 สไตล์บริหารจัดการ

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ไซค์ใส่หมวก จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช


4 สไตล์บริหารจัดการ

จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

เดินหมากอย่างไร ให้ม อเตอร์ไซค์ใส่หมวก

เรียบเรียงจาก โครงการ ‘การศึกษากระบวนการและการบริหารจัดการ โครงการ ป้องกันและลดอุบัติเหตุจราจร สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ‘ โดย ผศ.ดร. ปนัดดา ชำนาญสุข และคณะ ผลการศึกษาการ ‘ถอดบทเรียนการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนน โดยใช้ภาคี: กรณี ‘จับสองเท่า คนขับรับคนซ้อนไม่สวมหมวก’ สภ. เมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช’ โดย วรรณี มีขวด พยาบาลวิชาชีพชำนาญการงานอุบัติเหตุ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช

จัดพิมพ์และเผยแพร่โดย ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ 1168 ซ.พหลโยธิน 22 แขวงจอมพล เขตจตุกจักร กทม. 10900 โทร. 02-511-5855 โทรสาร 02-939-2122

บทนำ

ในปี พ.ศ.2552 คนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 10,717 คน หรือเฉลี่ยวันละ 30 คน คิดเป็นอัตราการตาย 16.87 คนต่อประชากรแสน คน 1 ใน 3 ของผู้เสียชีวิต เป็นกำลังหลักของครอบครัว และร้อยละ 7075 ของผู้เสียชีวิต เป็นกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ หรือมีผู้ เสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์ปีละเกือบ 7,000 คน นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้เสียชีวิตเป็นกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีอายุน้อย กว่า 20 ปี โดยมีสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต คือ ‘การบาดเจ็บที่ศีรษะ’ ซึ่งพบสูงถึงร้อยละ 50 ของผู้บาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิต ในกลุ่มผู้บาดเจ็บที่เข้ารับรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น กลุ่มเด็กและ เยาวชนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา 0 0 0 ความรุนแรงและความสูญเสียที่เกิดขึ้น ทำให้องค์กรต่างๆ ร่วมมือ กั น เป็ น ภาคี เ ครื อ ข่ า ยเพื่ อ บู ร ณาการการทำงานตั้ ง แต่ ก ารกำหนด ยุทธศาสตร์และแนวทางในการปฏิบัติการ เพื่อบรรลุเป้าหมาย คือการ ป้องกันและลดอุบัติเหตุจราจรลงให้ได้ตามที่กำหนดไว้ โดยเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 รัฐบาลได้มีมติรับรองแผนแม่บท ความปลอดภัยทางถนน และประกาศให้อุบัติเหตุทางถนนเป็น ‘วาระแห่ง ชาติ’ พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายที่จะลดอัตราการเสียชีวิตให้เหลือน้อยกว่า 10 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคนให้ได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ยังได้กำหนดให้ ‘การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน’ เป็น ‘ตัวชี้วัดร่วม: Joint KPI’ ของสามหน่ ว ยงานหลั ก คื อ สำนั ก งานตำรวจแห่ ง ชาติ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย


กล่าวเฉพาะในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ได้ดำเนิน การจัดทำโครงการในระดับสถานีตำรวจในพื้นที่ต่างๆ จำนวนมาก เพื่อ ปรับเปลี่ยนและพัฒนากลยุทธ์การป้องกันและลดอุบัติเหตุจราจรอย่าง เข้มข้นตลอดมา เมื่อศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ร่วมกับภาคี เครือข่าย จัดให้มีการประชุมระดับกองบัญชาการในสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติเพื่อร่วมกันประเมินโครงการ จึงพบว่า มีโครงการที่สมควรได้รับการ ‘ถอดบทเรี ย น’ เพื่ อ นำมาใช้ เป็ นตั ว แบบให้ ห น่ ว ยงานอื่ น ๆ ได้ ศึ ก ษา กระบวนการบริ ห ารจั ด การ และนำไปพั ฒ นาหรื อ ประยุ ก ต์ ใ ช้ ให้ เ กิ ด ประสิทธิภาพในการป้องกันและลดอุบัติเหตุ หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอกรณีศึกษาจำนวน 4 พื้นที่ ซึ่งเรียบเรียงขึ้น จากโครงการ ‘การศึกษากระบวนการและการบริหารจัดการ โครงการ ป้องกันและลดอุบัติเหตุจราจร สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข และคณะรวม 3 พื้นที่ ได้แก่ โครงการ ‘3 ซ: จันทบุรี’ สังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 โครงการ ‘การรณรงค์ให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์สวม หมวกนิรภัย 100%’ สังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 โครงการ ‘บูรณาการทีมงานจังหวัดสงขลาเพื่อลดอุบัติเหตุจราจรโดย ใช้ระบบการสืบสวนอุบัติเหตุ’ สังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และอีก 1 พื้นที่ คือผลการศึกษาการ ‘ถอดบทเรียนการขับเคลื่อน ความปลอดภัยทางถนนโดยใช้ภาคี: กรณี ‘จับสองเท่า คนขับรับคนซ้อน ไม่สวมหมวก’ สภ.เมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช’ โดย วรรณี มีขวด พยาบาลวิ ช าชี พ ชำนาญการ งานอุ บั ติ เ หตุ โ รงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช

สารบัญ 3 ซ จันทบุรี

8

ตำรวจสงขลากับการสืบสวนอุบัติเหตุ

28

ตำรวจภูเก็ตกับการรณรงค์ สวมหมวกนิรภัย

52

‘จับสองเท่าคนขับรับคนซ้อนไม่สวมหมวกนิรภัย’ สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

66


บทสังเคราะห์

ทะลุกรอบคิด พิชิตอุบัติเหตุ วิธีคิดนำสู่วิธีการปฏิบัต ิ ผลการศึ ก ษา พบวิ ธี คิ ด ที่ น ำไปสู่ วิ ธี ก ารดำเนิ นการจนทำให้ เ กิ ด ความ สำเร็จ ดังนี้ วิธีคิดที่ 1 เราไม่สามารถทำงานได้เพียงลำพัง การมีคนอื่นร่วมมือ ร่วมใจ จะทำให้งานมีประสิทธิภาพ วิธีการ นำข้ อ มู ล ที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพไปคุ ย กั บ หน่ ว ยงานอื่ น ชวน สังเคราะห์ ชวนทำงาน เกิดทีมงาน เกิดการระดมทรัพยากร ระดมความร่วมมือร่วมใจ มีความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งกันและกัน วิธีคิดที่ 2 ทุกคนต่างก็เป็นเจ้าของปัญหาร่วมกัน วิธีการ ให้ความสำคัญกับการระดมความเห็นจากภาคีเครือข่าย ไม่ ผูกขาดผลงานไว้เฉพาะหน่วยตนหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง วิธีคิดที่ 3 ผลที่ได้จากการทำงานมิใช่ความก้าวหน้าเสมอไป วิธีการ ทำงานด้วยความสุขที่ได้เห็นการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในทาง ที่ดีขึ้นในแต่ละช่วงของกระบวนการทำงาน มีความสุขจาก การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงาน วิธีคิดที่ 4 ถ้าตนทำได้ ทำทันที วิธีการ เมื่อวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาได้อย่างชัดเจน จำแนกสาเหตุ เพื่อทำการแก้ปัญหาที่ตนเองสามารถแก้ไขได้ในทันที พร้อม ส่งต่อปัญหาทีไ่ ม่สามารถแก้ไขได้ให้หน่วยงานอืน่ ดำเนินการต่อ

วิธีคิดที่ 5 ทุกงานล้วนมีอุปสรรค อุปสรรคสร้างคน วิธีการ ไม่หนีปัญหา ไม่หมดกำลังใจ สร้างทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน เสริมสร้างแรงจูงใจร่วมกันกับภาคีเครือข่าย วิธีคิดที่ 6 ภาวะผู้นำ อยู่ในตัวทุกคน วิธีการ กระจายอำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และความดีความ ชอบไปยั ง ทุ ก คนที่ เ กี่ ย วข้ อ ง แม้ ก ระทั่ ง ประชาชนผู้ ที่ เคย กระทำพฤติกรรมที่ละเมิดกฎหมาย วิธีคิดที่ 7 ไม่คิดว่า ประชาชนทำอะไรผิด แต่คิดว่า ทำไมเขาจึงทำ ผิดกฎจราจร วิธีการ กำหนดวิธีการแก้ปัญหาที่รากเหง้า ที่มาของปัญหา ไม่มุ่งเน้น เพียงการจับ-ปรับเท่านั้น วิธีคิดที่ 8 การสร้างตัวตายตัวแทน เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพใน การทำงานและสร้างความยั่งยืน วิธีคิด ใช้ ห ลั ก การการฝึ ก อบรมและพั ฒ นาไปตลอดห้ ว งเวลาการ ปฏิบัติงาน (On the job training) และหลักการพัฒนาผู้ฝึก อบรม (Training the trainer) วิธีคิดที่ 9 การปรั บ เปลี่ ย นที่ ร ะบบงานจะขั บ เคลื่ อ นการเปลี่ ย น แปลงที่ยิ่งใหญ่ วิธีการ สร้ า งระบบและขั้ น ตอนการทำงานที่ ส อดรั บ กั น ในแต่ ล ะ หน่วยงาน มีขอบเขตหน้าที่การปฏิบัติที่ชัดเจน สร้างเครื่องมือ ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการทำงาน


ความจริงผู้คุมกฎ คือผู้ที่อยู่ข้างประชาชน ควรเป็นผู้ที่ห่วงใยและ เข้าใจประชาชน เพราะผู้คุมกฎยังเป็นประชาชนและเป็นส่วนหนึ่งของ สั ง คม ต่ า งกั น เพี ย งบทบาทหน้ า ที่ ที่ ถู ก กำหนดโดยสั ง คมเท่ า นั้ น แล้ ว แนวทางแบบใดจึงเป็นแนวทางที่จะเกื้อหนุนให้ผู้คุมกฎกลายเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคมโดยไม่แตกแยก และขับเคลื่อนงานเพื่อเกื้อกูลสังคมได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โครงการ ‘3 ซ จันทบุรี’ เป็นกรณีศึกษาการดำเนินงานด้านการ บั ง คั บ ใช้ ก ฎหมายที่ ไม่ แตกแยกจากสั ง คม และไม่ ได้ แ สดงตนว่ า เป็ น ‘ผู้คุมกฎ’

ระเบิดจากภายใน

“ผมไม่ขออะไร นอกจากต้องการให้ช่วยแก้ปัญหาเด็กแว๊น” คำพูดนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่มาของโครงการ 3 ซ จันทบุรี โครงการดีๆ ที่ทำให้ทุกคน เกิดความสุขที่ได้ร่วมกันป้องกันและแก้ไขพฤติกรรมเสี่ยงของเยาวชน จังหวัดจันทบุรี จุดกำเนิดของความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้ความ

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก


รุ น แรงที่ เ กิ ด ขึ้ น ในกลุ่ ม เยาวชนนี้ เกิ ด ขึ้ นจากความต้ อ งการของผู้ น ำ จังหวัดในการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนในจังหวัดจันทบุรีแบบถอนราก ถอนโคนโดยการบูรณาการการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม และพฤติกรรม ไม่เหมาะสมของเด็กและเยาวชน กรณี ซิ่ง ซ่า มั่วเซ็กส์ เสพยา เพื่อปรับ เปลี่ ย นพฤติ ก รรมที่ ไม่ เหมาะสม และป้ อ งกั น ปราบปรามการทำผิ ด กฎหมายของเด็กและเยาวชนในจังหวัดจันทบุรีอย่างยั่งยืน แต่ ค วามต้ อ งการของผู้ ว่ า ราชการจั ง หวั ด จั น ทบุ รี ที่ ก ล่ า วต่ อ ผู้ บังคับการคนใหม่ พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ ในการแก้ปัญหาการ กระทำรุนแรงระหว่างกันของกลุ่มเยาวชนที่เกิดขึ้นในจังหวัดจันทบุรีนี้คง ไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาเยาวชนได้ หากขาดการร่วมมือร่วมใจจากภาคี เครือข่ายทุกภาคส่วน การตระหนั ก ว่ า “ปั ญ หาดั ง กล่ า วเป็ น ปั ญ หาสำคั ญ ของจั ง หวั ด ที ่

ทุ ก ภาคี เครื อ ข่ า ยควรมี ส่ ว นร่ ว มในการแก้ ปั ญ หา” ทำให้ เ กิ ด การวาง เป้าหมายในการแก้ปัญหาร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ในระดับจังหวัด โดยมีจุดคานงัดที่สำคัญ (Focal point) ที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างการทำงานในระดับจังหวัดเป็นการทำงานบูรณาการในแนวราบ คือ ‘ตำรวจ’ ซึ่งมีบทบาทในการสังเคราะห์ วิเคราะห์ข้อมูล และเชิญภาคี ที่ เ กี่ ย วข้ อ งมาร่ ว มกั น ระดมความคิ ด โดยมี เป้ า หมายในการจั ด การ กั บ ต้ น เหตุ ข องปั ญ หามากกว่ า การมุ่ ง เป้ า หมายไปที่ ผ ลลั พ ธ์ ข องการ ดำเนินงานโครงการ ความคิดสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปลดล็อกความคิดในกรอบ คิดเดิมที่มุ่งเน้นเฉพาะการปราบปราม คือการคิดให้ทะลุกรอบว่า “ตำรวจ ไม่สามารถทำงานได้เพียงลำพัง การมีคนอื่นช่วยร่วมมือร่วมใจจะทำให้ งานมีประสิทธิภาพ” อีกทั้งการเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาอย่างชัดเจน จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่าจะแก้ปัญหาตรงไหน อย่างไร ถึงจะตรงเป้าหมาย 10

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

มากที่สุด และบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานคืออะไร ซึ่งส่งผลให้เกิด การกำหนดวิธีการปฏิบัติงานทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ขณะที่การเปลี่ยนมุมมองความคิดโดยไม่ได้คิดว่า ‘เด็กทำผิดอะไร’ แต่คิดว่า ‘ทำไมเด็กถึงทำผิด’ ก็เป็นกระบวนการคิดที่ใช้ทำความเข้าใจกับ ปัญหา ด้วยมุมมองที่ไม่ได้เน้นการหาตัวผู้กระทำผิดด้วยการกล่าวโทษเด็ก แต่ใช้มุมมองที่มากกว่าการหาปัญหา ด้วยการมองให้ลึกไปถึงรากเหง้า ที่แท้จริง ทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทราบว่า จะต้องทำอย่างไรกับสาเหตุ ของปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการสร้างตัวตายตัวแทน เพิ่มประสิทธิภาพใน การทำงานและสร้ า งความยั่ ง ยื น ดั ง ตั ว อย่ า งเช่ น การดำเนิ นการใน ลักษณะ Training the trainer-โครงการเพื่อนช่วยเพื่อน เมื่อผนวกเข้ากับรูปแบบการบริหารจัดการโครงการอย่างเป็นระบบ จึงก่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานอย่างบูรณาการ

ห่วงโซ่คล้องใจ

กลไกการทำงานเชิ งระบบของ 3 ซ ‘ซิ่ง ซ่า เซ็กส์’ เป็นปัญหาการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของ เยาวชนในปัจจุบัน โดยจุดเริ่มต้นของปัญหาในเยาวชนอาจเกิดจากจุดที่ เล็กที่สุด นั่นคือ ความรัก ซึ่งมีพลังเชื่อมโยง และสัมพันธ์กับวงจรของการ กระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราไม่สามารถแบ่งประเภทปัญหาของเยาวชนได้ เพราะปัญหาที่เกิด ขึ้นจากเยาวชนนั้นมีหลากมุมหลายมิติ ดังนั้นการแก้ปัญหาเยาวชนจึงต้อง ทำความเข้าใจกับสาเหตุของปัญหาควบคู่กับการหาหนทางแก้ปัญหาอย่าง เป็นระบบ เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

11


พ.ต.อ.วีระชัย วิสุทธิอุทัยกุล รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัด จันทบุรี เล่าถึงความเป็นมาของคำนิยาม 3 ซ ว่า “เป็นการมองที่ปัญหา ของเด็กกลุ่มเสี่ยงแบบครบวงจร” ไม่เพียงแต่ความต้องการที่จะแก้ปัญหา เด็กแว๊น ที่สร้างพฤติกรรมที่เป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและผู้อื่นจากการ ขับขี่รถเสี่ยงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มเด็กแว๊น และส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการยกพวกตีกัน (ซ่า) รวมไปถึงการมั่วเซ็กส์และเสพยาด้วย หากต้องการแก้ปัญหาให้ ครอบคลุมทุกมิติ จำเป็นต้องมองปัญหาให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นว่าเกิดขึ้นจาก อะไร และสามารถส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาอื่นๆ ต่อเนื่องอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากการนิยามผ่านการมองปัญหาเชิงระบบแล้ว 3 ซ ยังมี ความหมายถึงห่วงโซ่ 3 ห่วงที่จะเป็นกลไกให้เกิดแรงหนุนเสริมในการแก้ ปัญหาของจังหวัดอันประกอบด้วย ห่วงโซ่แรก คือ หน่วยงานราชการ โดยการรวมพลังความคิดและ ทรัพยากร (Sharing) เพื่อวางแผนและดำเนินงานในการแก้ปัญหา ห่วงโซ่ที่สอง คือ สังคมภายนอกครอบครัว อันได้แก่ ภาคประชา สังคมและหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อช่วยกันเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยง ของเยาวชนและเปิ ด โอกาสให้ เด็ ก ได้ มี พื้ นที่ ในการแสดงออกในทางที่ ถูกต้อง ห่วงโซ่ที่สาม คือ สังคมภายในครอบครัว เพื่อการสร้างเกราะป้องกัน การกลับไปกระทำผิดซ้ำของเยาวชน โดยการสร้างความเข้าใจ ความรัก ความอบอุ่นให้เกิดขึ้นภายในครอบครัว ห่วงโซ่ 3 ห่วงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยกัน ขับเคลื่อนให้สอดประสานกัน หากห่วงโซ่ใดห่วงโซ่หนึ่งไม่ทำงาน การ ขับเคลื่อนงานก็ไม่สามารถดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้ 12

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

‘วิ ธีคิด’ ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำ

หากจะกล่าวว่า ‘การกระทำมีผลมาจากความคิด’ คงเป็นคำจำกัด ความที่ใช้ได้ดีกับโครงการ 3 ซ จันทบุรี ด้วยเป้าหมายโครงการที่ต้องการให้เกิดการแก้ปัญหา-ลดปัญหา อาชญากรรมอย่างยั่งยืน จึงได้ยึดหลัก ‘เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา’ เพื่อให้ เกิดการสร้างพลังเครือข่ายแบบ Snow Ball Effect (ส่งต่อพลังแก้ปัญหา เป็นทอดๆ) หลักความเข้าใจ หมายถึง การที่ภาคีเครือข่ายเข้าใจรากเหง้าของ ปัญหาที่แท้จริงจากการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน หลักการเข้าถึง หมายถึง การเข้าถึงข้อมูล เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เข้าถึงสังคมและครอบครัว รวมถึงการเข้าถึงทรัพยากรในการบริหาร จัดการโครงการ หลักการพัฒนา หมายถึง การพัฒนารูปแบบ และวิธกี ารดำเนินงาน ให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่และสังคม วิธีดำเนินงานมีความยืดหยุ่น และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ หลักปรัชญา ‘เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา’ ส่งผลให้ได้แนวทางการ ทำงานที่ใช้ข้อมูลทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก โดยเริ่มต้นที่การปรับเปลี่ยน ทัศนคติและแนวทางการดำเนินงานของทุกภาคส่วน ให้เข้าใจร่วมกัน รู้สึกร่วมกัน ตระหนักร่วมกัน จนกระทั่งนำไปสู่การวางโครงสร้างและ กลไกที่สอดรับกับการทำงานของทุกภาคส่วน วางแผนกระบวนการดำเนิน งานจากระดับนโยบายสู่ระดับปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

13


การทำงานแบบเสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowerment)

กลวิธีในการสร้างการมีส่วนร่วม เริ่มจากการบูรณาการขับเคลื่อน งานภายในของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งงานสายสืบสวน และสายปราบปราม ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติ และเพื่อให้เกิดพลังเครือข่าย ต้อง เริ่มจากการสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของโครงการ และใช้ข้อมูลเพื่อสะท้อน ปัญหา สร้างภาคีเครือข่าย และวางแผนการทำงานเพื่อแก้ปัญหาอย่าง ครบวงจร การใช้ข้อมูลจึงถือเป็นเครื่องมือและกลไกที่สำคัญในการทำงานแบบ เสริมสร้างพลังอำนาจ นอกเหนือจากการใช้ข้อมูลแล้ว ระบบการบริหารจัดการก็เป็นอีก กลไกหนึ่งในการสร้างการทำงานแบบเสริมสร้างพลังอำนาจได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยโครงการ 3 ซ จันทบุรี ได้แบ่งโครงสร้างในการบริหาร จัดการโครงการออกได้เป็น 2 ระดับ คือ

ระดับอำนวยการ

ใช้รูปแบบการบริหารจัดการทั้งในแนวดิ่งและแนวราบ กล่าวคือ การ ใช้ระบบการสั่งการตามโครงสร้างและสายการบังคับบัญชา เพื่อขับเคลื่อน งานและกระตุ้นให้หน่วยงานระดับจังหวัดดำเนินงาน ตามยุทธศาสตร์ที่ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของจังหวัดจันทบุรีซึ่งกำหนดไว้ว่า ‘ประชาชนมี ความสุข’ ขณะเดียวกันก็เปิดเวทีให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการสร้างและ กำหนดแนวทางการดำเนินงาน ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนงานในแนวราบ ซึ่งช่วยให้เกิดการลื่นไหลของข้อมูล ผ่านการสะท้อนข้อมูลและแลกเปลี่ยน 14

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

มุมมองต่อปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหา และปรับสมดุลให้ทุกหน่วย งานสามารถดำเนินงานเสริมสร้างพลังอำนาจซึ่งกันและกัน

ระดับปฏิบัติการ

กลไกสำคัญในการดำเนินการในระดับพื้นที่ ได้แก่ ตำรวจ ในการ เชื่อมประสานการทำงานร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เขตพื้นที่การศึกษา ครอบครัว และเยาวชน การแบ่งบทบาทหน้าที่ของภาคีเครือข่ายอย่างชัดเจน การสื่อสาร ข้อมูลอย่างทั่วถึง และความสามารถในการปรับเปลี่ยนกระบวนการให้ สามารถดำเนินงานได้อย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง ส่งผลให้

ผู้ปฏิบัติงานเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์โดยใช้เหตุผล และดำเนินงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ มุ ม มองต่ อ บทบาทหน้ า ที่ ข องตำรวจเปลี่ ย นไป จากที่ เคยมองว่ า ‘ตำรวจเป็นพระเอก’ กลายเป็นทุกคนเป็นพระเอกร่วมกัน ส่งผลให้เกิด การร่วมระดมทรัพยากรและทุนเพื่อร่วมดำเนินโครงการ

ระบบการบริหารแบบทีม (Team Management)

นอกจากการบูรณาการการทำงานในส่วนงานที่เกี่ยวข้องของตำรวจ และการวางบทบาทเป็นผู้เชื่อมประสานภาคีเครือข่าย โดยใช้ข้อมูลเป็น เครื่องมือในการสร้างการมีส่วนร่วมแล้ว ในด้านการทำงานร่วมกัน ได้แบ่ง ระดับการทำงานออกเป็น 2 ระดับ คือ

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

15


ระดับนโยบาย ใช้ข้อมูลเชิงลึกที่เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ในระดับพื้นที่เพื่อวางแผน ยุทธศาสตร์ระดับจังหวัด และการวางกรอบการดำเนินการตามมติข้อ เสนอจากการประชุมระดับจังหวัด รวมถึงการออกแบบและวางแผนการ ทำงานในระดับอำเภอ

ระดับปฏิบัติการ

การปฏิบัติงานในระดับอำเภอ แบ่งออกเป็น 1.1 ฝ่ายยุทธศาสตร์ นำโดยสารวัตรป้องกันและปราบปราม ทำหน้าที่นำวัตถุประสงค์ เป้าหมาย กระบวนการทำงาน ของโครงการ ไปถ่ายทอดให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับ ปฏิ บั ติ ก ารและภาคี เครื อ ข่ า ยในระดั บ พื้ น ที่ รวมถึ ง มี บทบาทในการออกแบบการปฏิบัติงานระดับพื้นที่ และ เชื่อมประสานข้อมูลระหว่างจังหวัดและอำเภอ 1.2 ฝ่ายปฏิบัติการเชิงรุก แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.2.1 การสืบค้นและจัดทำฐานข้อมูลเยาวชนในพื้นที่ โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่สืบสวนปฏิบัติหน้าที่ ดั ง กล่ า ว โดยการสื บ สวนข้ อ มู ล จากประวั ติ อาชญากรรม 1.2.2 การลงปฏิบัติการกับกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้หลัก ปฏิ บั ติ ก ารชุ ม ชนสั ม พั นธ์ ใ นการค้ น หาตั ว กลุ่ ม เป้าหมายที่จะเข้าร่วมโครงการ และประสานงาน กับพืน้ ทีแ่ ละผูป้ กครองเพือ่ สนับสนุนการดำเนินงาน โครงการ

16

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

เพื่ อ ให้ บ รรลุ เป้ า หมายสู ง สุ ด รู ป แบบการทำงานจึ ง ใช้ ก รอบการ ทำงานอย่างกว้าง ยืดหยุ่น ไม่มีรูปแบบตายตัว โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้ ตามสถานการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งในทุกกระบวนการปฏิบัติงาน ทุกส่วนจะ นำปัญหาที่เกิดขึ้นมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อปรับแนวทางการแก้ ปัญหาให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

ล้ อมรั้วป้องกัน (สังคมภายนอก)

ความช่วยเหลือจากสังคมภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกิจกรรม เพื่อเปิดพื้นที่และสนับสนุนให้เด็กแว๊นได้ดำเนินชีวิตตามหนทางที่เหมาะ สม การเปิดทางเลือกให้เด็กได้มีโอกาสเรียนต่อ หรือการอบรมสร้างอาชีพ ให้แก่เด็กเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตและหาเลี้ยงครอบครัว ทำให้เด็กเหล่านั้น ไม่กลับไปใช้ชีวิตและมีพฤติกรรมเสี่ยงแบบเดิมได้ “การที่ผมได้มาเข้าร่วมโครงการ 3 ซ จันทบุรี เป็นการเปิดโอกาสให้ ผมได้ มี พื้ นที่ ในสั ง คมได้ อ ย่ า งภาคภู มิ ใจ ผมได้ มี ง านทำและหาเลี้ ย ง ครอบครัวได้” คำบอกเล่าจากเด็ก (เคย) แว๊น ผลจากการร่วมมือกันทำงาน ทำให้เยาวชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ผลที่ได้ตามมา คือกระแสความชื่นชมซึ่งกันและกัน ระหว่างคนทำงาน ครอบครัว และเยาวชน ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจและแรงผลักดันให้คน ทำงาน “อยากทำงานต่อไปเรื่อยๆ” โดยไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

17


ครอบครั วช่วยได้

ด้ ว ยวิ ธี คิ ด ที่ ว่ า “การบั ง คั บ ใช้ ก ฎหมายที่ ข าดการยอมรั บ ของ ประชาชน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนได้” โครงการ 3 ซ จันทบุรี จึงให้ความสำคัญกับการเข้าถึงผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบโดยตรง ต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน ซึ่งก็คือผู้ปกครอง และเป็นที่มา ของวิธีการดำเนินงานโดยการใช้แนวทางการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน และครอบครัวของเยาวชน การสร้างความเข้าใจกับผู้ปกครองของเยาวชน รวมถึ ง การขอความร่ ว มมื อ เพื่ อ ให้ เ กิ ด การปรั บ เปลี่ ย นพฤติ ก รรมของ เยาวชน ผลการดำเนินงานในหลายพืน้ ที่ พบว่า มีทงั้ พืน้ ทีท่ ปี่ ระสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ โดยปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อความสำเร็จ คือการให้ ความร่วมมือของครอบครัว หากปราศจากความร่วมมือของครอบครัว จะไม่สามารถทำให้เกิดความเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมของเยาวชนได้ จุดเปลี่ยนความคิดของครอบครัวต่อการยอมรับและให้ความร่วมมือ เพื่อช่วยกันปรับพฤติกรรมของเยาวชนคือ การสะท้อนข้อมูลของเยาวชนที่ ครอบครัวอาจไม่เคยรู้มาก่อน ด้วยท่าทีที่แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดี ที่มีต่อครอบครัวและเยาวชน การชักชวนให้ครอบครัวสังเกตพฤติกรรม ของเยาวชนเพื่อสนับสนุนข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้แก่ครอบครัว และ การร่วมหาแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นของเยาวชน ดังนั้น แนวทางการดำเนินงานโครงการกับกลุ่มเป้าหมายครอบครัว จึงเป็นการบังคับใช้กฎหมายในเชิงป้องกัน (Prevention) ด้วยการสร้าง ความรู้และความเข้าใจแก่ครอบครัว และสร้างพลังมวลชนให้มีบทบาทใน การร่ ว มรั บ ผิ ด ชอบต่ อ สั ง คม ก่ อ ให้ เ กิ ด จิ ต อาสาเพื่ อ นำสั ง คมไปสู่ ก าร เปลี่ยนแปลง 18

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

เยาวชนคื อหัวใจสำคัญ

ปั ญ หาเด็ ก แว๊ น เป็ น ปั ญ หาที่ เ กิ ด ขึ้ นทุ ก จั ง หวั ด รวมทั้ ง ในจั ง หวั ด จันทบุรี การแก้ปัญหา ‘เด็กแว๊น’ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากยังคงใช้การบังคับ ใช้กฎหมายที่เน้นการปราบปรามแบบเดิมๆ เพราะเยาวชนไม่ใช่ตัวปัญหา แต่เยาวชนคือผู้ที่ต้องการความช่วย เหลือต่างหาก โครงการ 3 ซ จันทบุรี เข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาเด็กแว๊น และจาก การเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเชิงลึก ทำให้การ วางแผนแก้ปัญหา ไม่ใช่เพียงแค่เป้าหมายที่เป็น ‘กลุ่มเด็กแรง’ เพียงอย่าง เดียว แต่ยังมองไปถึงกระบวนการในการป้องกันการกลับไปสู่วงจรเดิม และการสร้างเกราะป้องกันมิให้เด็กกลุ่มใหม่มีพฤติกรรมเสี่ยงตามอย่าง รุ่นพี่ด้วย “ผมไม่กลับไปรวมกลุ่มแบบเดิมอีกแล้ว ตอนนี้ผมรู้แล้ว ผมต้อง ทำงาน และเลี้ยงดูครอบครัว” คำพูดดังกล่าวทำให้คณะวิจัยพยายามที่จะวิเคราะห์หาคำตอบว่า ‘อะไรคือเหตุผลสำคัญ’ ที่ทำให้เด็กแว๊นที่เป็นคู่ตรงข้ามกับตำรวจมาโดย ตลอด เปลี่ ย นมุ ม มองต่ อ การใช้ ชี วิ ต และเปลี่ ย นสภาพความสั ม พั นธ์ เสมือนญาติสนิท ผลการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปฏิบัติการเกี่ยวกับจุดเริ่มต้น การดำเนินการพบว่า เมื่อครอบครัวไม่เปิดพื้นที่ให้วัยรุ่น เขาเหล่านี้ก็ จำเป็นต้องไปหาพื้นที่ภายนอกเพื่อค้นหาอัตลักษณ์ของตน เกิดการรวม กลุ่มทำกิจกรรมบางอย่างที่เสี่ยงต่ออันตราย ‘เด็กแว็น’ จึงเป็นเพียงเด็ก กลุ่มหนึ่งที่ต้องการเพื่อน ด้วยความเข้าใจว่า ‘เพื่อนคือผู้ที่เข้าใจเขามาก ที่สุด’ ดังนั้น ตำรวจต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนเพื่อนและญาติของเขา ให้ เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

19


เขารู้ว่าตำรวจปรารถนาดีต่อเขา และรักเขาเหมือนลูกเหมือนหลานของ เราเอง นี่คงเป็นหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาเด็กแว๊น เพื่อสร้างให้เด็กคน หนึ่งที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของตนเอง ให้เข้าใจและรู้ว่าเขาก็มีคุณค่ากับคน อื่นเช่นกัน ทั้งนี้ตำรวจไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง แต่เป็นไปในแบบบูรณาการ โดย แบ่งลักษณะการทำงานออกเป็น 2 รูปแบบ คือ ด้านการป้องกัน (Prevention) เป้าหมายคือเยาวชนกลุ่มเสี่ยงและ กลุ่ ม ดี โดยดำเนิ นการติ ด ตามเฝ้ า ระวั ง ผ่ า นเขตพื้ นที่ ก ารศึ ก ษาและ โรงเรี ย นที่ ช่ ว ยสะท้ อ นข้ อ มู ล เยาวชนแก่ ต ำรวจ เพื่ อ ดำเนิ น การวาง มาตรการต่อไป ด้านการแก้ไขปัญหา (Problem Solving) เป้าหมายคือเยาวชน กลุ่มซิ่ง ใช้กระบวนการจูงใจและปรับพฤติกรรมจนสามารถปรับทัศนคติ รวมถึงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ อีกทั้งยังสร้าง เยาวชนกลุ่มซิ่งให้เป็นผู้คอยสังเกตพฤติกรรมเสี่ยงในกลุ่มเยาวชน และ คอยเตือนเยาวชนที่เริ่มจะเข้าสู่วงจรพฤติกรรมเสี่ยง การชักชวนเด็กแว๊นเข้ามาร่วมกิจกรรมในโครงการ 3 ซ จันทบุรี เริ่ม จากการค้นหาข้อมูลแก๊งเด็ก ประวัติของเด็กในแก๊งที่คาดว่าจะมีอิทธิพล กับเด็กอื่นๆ เพื่อวิเคราะห์และหาแนวทางการดำเนินงานให้เป็นไปตาม เป้าประสงค์ จากนั้นลงพื้นที่เพื่อสร้างความคุ้นเคยและชักชวนให้เข้าร่วม โครงการ รวมถึ ง การให้ เด็ ก ชั ก ชวนเพื่ อ นในแก๊ ง เข้ า ร่ ว มโครงการด้ ว ย กิจกรรมของโครงการเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและเสริมสร้างภาวะ ผู้นำแก่เยาวชน เพื่อเป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงของเด็ก อื่นๆ ต่อไป

20

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่เล่าให้ฟังว่า “ในช่วงแรกของการดำเนินงานไม่ ได้มีความสุขกับการทำงานมากนัก ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม แต่พอลงไปทำ งานแล้วก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นมุมมองที่มีต่อตำรวจที่ เปลี่ ย นไป เห็ น ผลลั พ ธ์ จ ากการได้ เ ครื อ ข่ า ยร่ ว มมื อ และลดปั ญ หา อาชญากรรมได้ และรู้ สึ ก ภู มิ ใจที่ ส ามารถทำให้ เด็ ก เปลี่ ย นพฤติ ก รรม ทำให้อยากทำงานอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ” เด็ก (เคย) แว๊นทีเ่ ข้าร่วมโครงการ 3 ซ จันทบุรี สะท้อนความรูส้ กึ ทีม่ ี ต่อตำรวจให้คณะวิจัยฟังว่า “ตอนแรกที่ตำรวจเข้ามาหาพวกเรา พวกเรา รู้สึกกลัวมาก ว่าตำรวจจะมาจับเราด้วยข้อหาอะไร ต้องครั้งที่ 3-4 ไปแล้ว ถึงจะไว้ใจและรู้ว่า ตำรวจเขาไม่ได้จะมาจับเรา แต่เขาอยากจะช่วยเหลือ เราจริงๆ ประทับใจตำรวจมากที่อดทนและช่วยเหลือพวกเราทุกอย่าง ยัง มีเพื่อนบางคนอยากเข้าร่วมโครงการด้วยนะครับ” ผลจากการดำเนินงานที่ผ่านมา ทำให้ปัญหาอาชญากรรมในเยาวชน ของจังหวัดจันทบุรีลดลงอย่างเห็นได้ชัด และได้แนวร่วมทำงานเป็นเครือ ข่ายเยาวชนช่วยแจ้งเบาะแสพฤติกรรมเสี่ยงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย ดัง จะเห็นได้จากคำพูดของเด็ก(เคย)แว๊นว่า “เราประทับใจตอนแข่งฟุตบอล ระหว่างแก๊งต่างๆ ทำให้เรามีน้ำใจนักกีฬา หลังจากนั้นพวกเราไม่เคยตี กันอีกเลย เพราะเราเป็นเพื่อนกัน” “ผมรักน้าตำรวจมากครับ” คำพูดที่แสดงถึงมุมมองต่อภาพลักษณ์ ของตำรวจและแววตาที่บ่งบอกถึงความสุขของเด็ก (เคย) แว๊นนี้ คงเป็น หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ไม่ต้องหาข้อพิสูจน์ใดๆ สำหรับดอกผลอันเกิดจาก ความทุ่มเททั้งกายและใจของตำรวจจันทบุรี

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

21


งบประมาณ น่ะ! เรื่องเล็ก

เคล็ด (ไม่) ลับ : การสร้างการยอมรับและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็ก และเยาวชน 1. การเปิดพื้นที่ให้เด็กได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง และคนอื่นๆ ในชุมชน 2. การใช้ ก ระบวนการกิ จ กรรมจู ง ใจเพื่ อ เชื่ อ มโยงไปสู่ ก าร เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมมากกว่าการบังคับใช้กฎหมายเพื่อ การเปลี่ยนแปลง 3. การเปิดโอกาสและทางเลือกต่างๆ ทีห่ ลากหลายและเหมาะสม ให้กับเด็กและเยาวชน 4. การสร้างความภาคภูมิใจในการเข้าร่วมกิจกรรม และการ เสริมศักยภาพในเชิงสร้างสรรค์แก่เด็ก 5. การมีทีมสนับสนุนการทำงานกับเด็กและเยาวชนทั้งสองส่วน คือกลุ่มสนับสนุนและกลุ่มบังคับในกรณีที่มีพฤติกรรมรุนแรง ในระดับที่จำเป็นต้องใช้การบังคับใช้กฎหมาย 6. การแบ่ ง กลุ่ ม เด็ ก และเยาวชนที่ เข้ า ร่ ว มโครงการออกเป็ น 3 กลุ่มคือเด็กซิ่ง เด็กกลุ่มเสี่ยง และเด็กปกติ มีการดำเนิน โครงการกับเด็กทัง้ 3 กลุม่ อย่างเหมาะสม ทัง้ ในส่วนกิจกรรม และระยะเวลาดำเนินการ

22

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า “หากลงมือทำงานแล้ว ต้องหวังผลสำเร็จ” และความสำเร็จที่เกิดขึ้นสุดท้ายคงหนีไม่พ้นเรื่องความยั่งยืนของงาน ซึ่ง แต่ละคนก็มีความคิดเกี่ยวกับความยั่งยืนแตกต่างกันไป บางคนอยากเห็น งานของตนเองดำเนินต่อไป บางคนปรารถนาการต่อยอดขยายผล หรือมี งบประมาณจากแหล่งทุนมาสนับสนุน แต่ระยะทางในการก้าวเดินไปให้ถึง จุดหมายปลายทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากเปรียบเทียบการดำเนินโครงการคล้ายกับการเดินทาง วิธีการ และเส้ นทางในการเดิ นทางไปให้ ถึ ง จุ ด หมายของแต่ ล ะโครงการอาจ แตกต่างกัน กระบวนการที่จะไปถึงจุดหมายเมื่อใดอาจไม่สำคัญเท่ากับ ระหว่างทางผู้เดินทางได้เรียนรู้อะไร ซึ่งสิ่งที่ได้กลับมาจากการเรียนรู้ ทุกช่วงเวลาของการเดินทางอาจมีคา่ มากกว่าการไปถึงยังจุดหมายปลายทาง โครงการ 3 ซ จันทบุรี ทำให้เราได้สัมผัสถึง ‘พลังแห่งมิตรภาพ’ ซึ่ง ได้ถูกถักทอขึ้นเป็นผ้าห่มที่ปกคลุมซึ่งกันและกัน การวิเคราะห์ให้เห็นปัญหาที่แท้จริง ทำให้สามารถสะท้อนความจริง ของสังคม และความจริงนี้เองที่เป็นตัวกำหนดสำนึกของบุคคล ให้ทุกฝ่าย เข้าใจบทบาทและรับรู้ถึงสิทธิของตน ก่อให้เกิดการประสานพลังและผลัก ดันให้กลไกทางสังคม 3 ห่วงโซ่ (สังคมภายในครอบครัว สังคมภายนอก ครอบครัว และหน่วยงานภาครัฐ) ขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน รูปธรรมของการประสานพลังและผลักดันให้เกิดกลไกทางสังคม ได้แก่ การทำงานเป็นทีม (Team Work) เพราะทุกฝ่ายเห็นถึงช่องทาง และบทบาทหน้ า ที่ ที่ จ ะสามารถเกื้ อ หนุ น การนำผลการดำเนิ น งาน โครงการไปต่อยอด และเกิดการเรียนรู้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

23


การบรรจุ โ ครงการเข้ า สู่ แ ผนปฏิ บั ติ ก ารจั ง หวั ด และได้ รั บ งบ ประมาณสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการจากปี พ.ศ.2553 ไปจนถึงปี พ.ศ. 2556 และการได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดโครงการ To Be Number One คงเป็นเครื่องยืนยันถึงผลสัมฤทธิ์จากการเรียนรู้ที่จะทำงานเป็นทีม และมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มคนทำงานได้เป็นอย่างดี นอกจากความต่อเนื่องและยั่งยืนในเชิงโครงสร้างของจังหวัดแล้ว การได้สัมผัสกับความสุขที่เกิดจากการได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเด็ก(เคย)แว๊น อันเป็นผลลัพธ์จากความพยายามและการ ทำงานหนักของทุกภาคส่วน ก็เป็นพลังที่บ่งชี้ถึงความยั่งยืนอย่างหนึ่ง “ผมไม่กลับไปซิ่งรถและเกเรอีกแล้วครับ ผมจะตั้งใจทำงานช่วยพ่อ แม่ ” น้ ำ เสี ย งที่ แ สดงความมุ่ ง มั่ นของเด็ ก คนหนึ่ ง ที่ เคยถู ก ขั บ ออกจาก สังคมเพราะมีพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ แต่ได้รับการให้โอกาสจาก ทุ ก คนในการเริ่ ม ต้ น ชี วิ ต ใหม่ เป็ น สิ่ ง ยื น ยั น ในความสำเร็ จ ของการ แก้ปัญหาอย่างยั่งยืนของโครงการ

ภาวะผู ้นำแผ่ซ่าน

ภาวะผู้นำเป็นพลังที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนงานและสังคม คำที่ ว่า ‘สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ’ คงไม่ผิดนัก ถ้าจะนิยามใช้กับโครงการ 3 ซ จันทบุรี เพราะทุกช่วงเวลาของการดำเนินงานที่คนทำงานต่างเจอะเจอกับ สถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ทุกคนก็สามารถผ่านพ้นสถานการณ์ต่างๆ มาได้ และกลั่นเป็นประสบการณ์ชีวิตเฉพาะบุคคล หรือเกิดเป็นความรู้ ฝังลึก (Tacit Knowledge) ตัง้ แต่ผวู้ า่ ราชการจังหวัดจนถึงเด็ก (เคย) แว๊น ที่ต่างก็เป็นวีรบุรุษในสถานการณ์และบทบาทที่แตกต่างกันไป 24

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

การมีทักษะการบริหารจัดการที่ดี การมีวิธีคิดที่แตกต่างและเป็น ระบบ การหนุนเสริมให้เพื่อนร่วมงานได้แสดงศักยภาพและความเป็นผู้นำ ตามบทบาทและบริบทของตน เป็นหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของโครงการ ทั้งสิ้น อาทิ การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเปิดใจกว้างเพื่อรับฟังความคิดเห็น ของภาคีเครือข่ายและนำมาเป็นวิถีในการปฏิบัติ การที่ผู้บังคับการตำรวจ ภูธรจังหวัดและรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเปิดโอกาสให้สารวัตร ปราบปรามได้แสดงภาวะผู้นำในลักษณะการรับกรอบแนวคิดของโครงการ แล้วนำไปถ่ายทอด วางแผน ติดตาม และปรับเปลี่ยนกลวิธีตามความ เหมาะสม ไม่ เพี ย งแต่ ก ารเกิ ด ภาวะผู้ น ำในกลุ่ ม เครื อ ข่ า ยคนทำงานเท่ า นั้ น ภาวะผู้นำยังเกิดขึ้นกับเด็ก(เคย)แว๊นด้วยเช่นกัน จากการเปิดโอกาสให้ เด็กได้แสดงภาวะผู้นำในทางที่เหมาะสมด้วยการดึงศักยภาพความเป็น ผู้นำในตัวเด็ก(เคย)แว๊นมาใช้ในทางที่ถูก ถือเป็นกลวิธีอันแยบคายของ ผู้ปฎิบัติงาน ซึ่งก็สะท้อนภาวะผู้นำของตำรวจผู้ปฏิบัติด้วยเช่นกัน นอกจากการส่งเสริมให้เกิดการแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำแล้ว การชื่ นชมและการให้ ก ำลั ง ใจซึ่ ง กั น และกั น ยั ง ถื อ เป็ นกลยุ ท ธ์ ส ำคั ญ เพราะคณะวิจัยสัมผัสได้ถึงภาวะผู้นำที่แผ่ซานไปทั่วทุกพื้นที่ ทุกคนต่าง ชื่นชมซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะหันไปทางไหนทุกคนต่างบอกว่า “ทุกคนเป็น คนสำคัญ”

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

25


ส่ งท้าย 3 ซ จันทบุรี

ผลลัพธ์ที่เกิดจากการเชื่อมประสาน การบริหารจัดการข้อมูลและ เครือข่ายภายในจังหวัดจันทบุรีก่อให้เกิดกลไกการขับเคลื่อนงานอย่างเป็น ระบบ ดังนี้ 1. ระบบการแจ้งข่าวสาร โดยมีเครือข่ายสำคัญเป็นกำนัน ผู้ใหญ่ บ้าน ครอบครัว และหน่วยงานอื่นๆ เป็นผู้คอยเฝ้าระวังและส่ง ผ่านข้อมูลมายังศูนย์กลางในระดับจังหวัดซึ่งเก็บรวบรวมและ วิเคราะห์ข้อมูลโดยตำรวจ ทำให้เกิดระบบข้อมูลเยาวชนเชิงลึกที่ สามารถนำไปใช้ได้ในทุกระดับชั้น 2. ระบบการทำงานที่เชื่อมประสานทั้งแนวราบและแนวดิ่ง มีผลต่อ การพั ฒ นาศั ก ยภาพคนทำงานให้ เ กิ ด กระบวนการวิ เคราะห์ ข้ อ มู ล นำไปสู่ แนวทางการแก้ ปั ญ หาอย่ า งเป็ นขั้ นตอน และ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ 3. เกิดเครือข่ายคนทำงานจิตอาสา ด้วยความรู้สึกร่วมกันว่า “งานนี้ เป็นงานของทุกคน” และเกิดการพัฒนาระบบแรงจูงใจให้แก่

ผู้ปฏิบัติงาน เช่น การพิจารณาขั้นความดีความชอบ และการ สนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่อง

1. กลไกการทำงานและบทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการ เป็นผู้สะท้อนข้อมูลและเชื่อมประสานการขับเคลื่อนงานกับหน่วย งานภาครัฐและภาคประชาสังคม 2. การพัฒนาระบบการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่ตรงกับประเด็น ปัญหา 3. การผสมผสานแนวทางการบังคับใช้กฎหมายในลักษณะชุมชน สัมพันธ์ 4. การพัฒนาระบบ Core Team ในลักษณะฝ่ายอำนวยการ ได้แก่ การเป็นที่ปรึกษาและสนับสนุนการดำเนินงานในระดับพื้นที่ 5. การพัฒนาศักยภาพตำรวจในการเป็นนักเชื่อมประสานเพื่อให้เกิด พลั ง มวลชนร่ ว มป้ อ งกั น และลดอุ บั ติ เหตุ จ ราจร รวมถึ ง การ วิเคราะห์และสะท้อนข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

จากการศึกษาถึงกระบวนการและการบริหารจัดการโครงการ 3 ซ จันทบุรี หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่ ‘การมุ่งเน้นที่จะแก้ที่สาเหตุของปัญหา’ และ สามารถนำไปสู่การประยุกต์ใช้กับงานบริหารจัดการเพื่อป้องกันและลด ปัญหาอุบัติเหตุจราจร ดังนี้

26

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

27


“ฝนตก ถนนลื่น รถวันนั้นแย่ ล้อไม่มีดอกยาง น้ำมันขัง รถบรรทุก

ก็เบา รถก็เป๋ ตรงนัน้ ก็เป็นทีท่ เี่ กิดอุบตั เิ หตุบอ่ ย ไม่วา่ จะเป็นรถทัวร์รถอะไร ก็เจอบ่อย ผมประสบอุบัติเหตุที่ไขสันหลัง นอนอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราช ยี่สิบกว่าวัน ไปนอนที่ศิริราชอีกห้าเดือนกว่า สภาพกระดูกแตก ซี่โครงหัก สิบซี่ ซี่โครงทิ่มปอด กว่าจะฟื้นก็ยี่สิบกว่าวันที่ไอซียู จากเดิมที่เป็นคน ปกติ กลายเป็นคนที่เดินไม่ได้ มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะแย่ ทำใจไม่ได้อยู่ หกเดือน นอนแล้วไม่อยากตื่น มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะลำบาก ผมเลย มาทำเรื่องอุบัติเหตุ” หนึ่งในทีมสืบสวนอุบัติเหตุระดับจังหวัด เล่าถึงเหตุการณ์ชั่วเวลา ข้ามคืนที่ ‘ดอกยาง ถนน ฝน โค้ง รถหกล้อ’ ได้เปลี่ยนชีวิตที่สดใสของ คนๆ หนึ่งให้กลายเป็นผู้พิการอัมพาต

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

29


ทะลุ กรอบคิดด้วยการสืบสวนอุบัติเหตุ

การบังคับใช้กฎหมายจราจรเป็นงานหลักงานหนึ่งของตำรวจ ทำให้ มีผู้คาดหวังว่า หากตำรวจบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จะสามารถ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้รถใช้ถนนให้ขับขี่ปลอดภัยได้ แต่ตำรวจผู้ปฎิบัติกลับเห็นว่า ในบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพียงมาตรการเดียวอาจส่งผลข้าง เคียง นั่นคือการต่อต้านจากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ตัวอย่างเช่น การ เดินขบวนประท้วงขับไล่ผู้กำกับ หรือแม้แต่การใช้วัฒนธรรมอุปถัมภ์จาก ผู้ มี อ ำนาจเหนื อ ตำรวจมาบี บ บั ง คั บ ให้ ย กเว้ นการบั ง คั บ ใช้ ก ฎหมายใน รู ป แบบต่ า งๆ จนกระทั่ ง การบั ง คั บ ใช้ ก ฎหมายไม่ เ กิ ด ประสิ ท ธิ ภ าพ ไม่เสมอภาคและไม่เป็นธรรม คำถามที่สำคัญก็คือ ตำรวจจราจรสามารถดำเนินวิธีการอื่นได้หรือ ไม่ที่จะลดการบาดเจ็บและการเสียชีวิตของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน และ เสริมสร้างการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

ตำรวจจราจรในบทบาทของ ‘นักสืบ’ และ ‘ผู้เ ชื่อมประสาน’ ภาคีเครือข่าย

การมองเห็นศักยภาพ ‘ความเป็นนักสืบ’ ที่มีอยู่ในตำรวจทุกนาย ทำให้เกิดความคิดในการนำศักยภาพที่มีอยู่นี้มาใช้เพื่อพัฒนาข้อมูลที่จะ นำไปสู่การวางแผนและการปฏิบัติการในการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ ทางถนนให้เหมาะสมกับสภาพบริบทของพื้นที่ เพราะบริบททางสังคมและ วัฒนธรรมที่แตกต่างกันและส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนอันก่อให้ เกิดอุบัติเหตุที่แตกต่างกันด้วย 30

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

การสืบสวนอุบัติเหตุ เป็นการให้ความสำคัญกับข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ หาสาเหตุรากเหง้าของปัญหาเพื่อแก้ไขปัญหาที่สาเหตุ ตรงเป้าหมาย นอกเหนือจากการให้ความสำคัญกับข้อมูลเชิงสาเหตุที่มีคุณภาพ แล้ว การสร้างการมีส่วนร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อแสวงหาความร่วมมือใน การแก้ไขปัญหาก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยภาคีเครือข่ายประกอบ ไปด้วยกลุ่มบุคคลจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคท้องถิ่น ภาคประชาสังคม โดยก่อตั้งเป็นคณะอนุกรรมการป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดสงขลา การปฏิสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับภาคีเครือข่ายนั้น ดำเนินการผ่าน กระบวนการวิเคราะห์ วางแผนและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนร่วมกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้ได้ข้อมูลเชิงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาแล้วยังเป็น กลไกสร้างความตระหนักถึงปัญหาอุบัติเหตุทางถนน สร้างความร่วมมือ และบูรณาการความรู้ บูรณาการการบริหารจัดการเพื่อเป้าหมาย คือการ ลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของผู้ใช้รถใช้ถนนด้วย การปรับบทบาทหน้าที่ของตำรวจในการสืบสวนอุบัติเหตุจราจร จึง นับได้ว่าเป็นกระบวนการทำงานเชิงรุก ซึ่งนอกจากจะทำให้การแก้ไข ปัญหาอุบัติเหตุเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังทำให้ภาพลักษณ์ของ ตำรวจดี ขึ้ นกว่ า การทำหน้ า ที่ เป็ น เพี ย งผู้ มี บ ทบาทในการลงโทษผู้ ที่ มี พฤติกรรมการขับขี่ที่ผิดกฎหมายโดยมี ‘ใบสั่ง’ เป็นเครื่องมือเท่านั้น จะเห็นได้ว่า การสืบสวนอุบัติเหตุเป็นกลไกหนึ่งในการจัดการกับเหตุ ปั จ จั ย ที่ ท ำให้ เ กิ ด อุ บั ติ เหตุ อ ย่ า งเป็ น ระบบ โดยตำรวจจะเป็ น ผู้ เชื่ อ ม ประสานภาคีเครือข่ายให้เข้ามามีสว่ นร่วมในการรับรูส้ ถานการณ์ วิเคราะห์ สืบสวนอุบัติเหตุ ป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ โดยอยู่บนพื้นฐาน การใช้ข้อมูลที่มีคุณภาพ มีความถูกต้อง แม่นยำและเชื่อถือได้

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

31


เริ ่มต้นจากข้อมูลอุบัติเหตุที่ถูกต้อง วิธีคิดเกี่ยวกับข้อมูลอุบัติเหตุ

ในการสืบสวนคดีอาชญากรรม นักสืบจำเป็นต้องมีข้อมูลพื้นฐานเพื่อ ประกอบการวิเคราะห์ อนุมาน เชื่อมโยงเหตุการณ์ที่นำไปสู่เบาะแสการ หาตัวคนร้าย นักสืบจะเป็นผู้ไปถึงที่เกิดเหตุเป็นคนแรกๆ เสมอ ทำการ ถ่ายรูป และสอบถามพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ ฯลฯ วิธีการในการสืบสวนอุบัติเหตุก็ใช้หลักการเช่นเดียวกัน คือก่อนจะ วิเคราะห์และตัดสินว่า ปัจจัยใดคือสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ คณะ อนุกรรมการฯจะต้องมีข้อมูลที่ดี ถูกต้อง ครบถ้วนเสียก่อน มิฉะนั้นจะนำ ไปสู่วิธีการแก้ไขปัญหาที่ผิดพลาด ดังนั้นข้อมูลจึงเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่สำคัญที่จะนำไปสู่การวิเคราะห์ และกระบวนการในขั้นตอนต่อไป

1) ข้อมูลที่ใช้ได้

ข้อมูลที่เหมาะสม ละเอียด ครบถ้วน คือจุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์ อุบัติเหตุที่มีประสิทธิภาพ ตำรวจจะใช้แบบสืบสวนอุบัติเหตุ ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มีความ เหมาะสมกับการทำงานของตำรวจกล่าวคือ ไม่ละเอียดหรือหยาบเกินไป มีจำนวนข้อคำถามที่เหมาะสม มีเนื้อหาที่ครบถ้วนสมบูรณ์เพียงพอที่จะใช้ ในการวิเคราะห์อุบัติเหตุ อาทิ ข้อมูลส่วนบุคคล สภาพที่เกิดเหตุ ลักษณะ การเกิดเหตุ สภาพยานพาหนะ สภาพถนน สิ่งแวดล้อม แผนที่ รูปภาพ เป็นต้น

32

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

จากนั้นตำรวจจะนำข้อมูลที่ได้มาผลิตเป็นรายงานสืบสวนอุบัติเหตุ รายกรณี และนำส่งให้ภาคีเครือข่ายในนามของคณะอนุกรรมการป้องกัน และลดอุบัติเหตุระดับอำเภอเพื่อทำการวิเคราะห์ และนำเสนอในที่ประชุม ว่า อุบัติเหตุครั้งนั้นๆ มีสาเหตุจากอะไร จะดำเนินการป้องกันและแก้ไข ปัญหาอย่างไร สำหรับกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์ ได้แก่ คน (คนขับ คนโดยสาร คนข้างทาง) ยานพาหนะ สภาพถนน และสิ่งแวดล้อม (เวลา สภาพ อากาศ ทัศนวิสัย) ในการนำเสนอข้อมูล โดยเฉพาะภาพถ่าย ตำรวจควรมีความรู้และ ทั ก ษะในการนำเสนอ เช่ น ภาพถ่ า ยควรถ่ า ยมุ ม ใด เพื่ อ ให้ เ ห็ น

องค์ประกอบของปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ จุดใดบ้างที่ควรถ่าย ข้อมูลใด มีความสำคัญต่อการวิเคราะห์ ตำรวจควรรู้ว่าจะสอบถามข้อมูลจากใคร และถามอย่างไรเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นความจริง

2) ข้อมูลที่ได้ใช้

ข้ อ มู ล ที่ ใ ช้ ใ นการวิ เ คราะห์ ไม่ ใ ช่ ข้ อ มู ล ทั้ ง หมดที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ อุบัติเหตุ ประกอบกับตำรวจไม่ได้มีภารกิจในการสืบสวนอุบัติเหตุเพียง ภารกิจเดียว ดังนั้นเครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลอุบัติเหตุของตำรวจ จึงควรมี ความเหมาะสม บรรจุข้อมูลเท่าที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ เพื่อไม่ให้ ตำรวจรู้สึกว่า ต้องมีภาระในการเก็บข้อมูลมากเกินความจำเป็น ซึ่งอาจ เกิดผลข้างเคียง คือการต่อต้านการใช้เครื่องมือ หรือเกิดการบันทึกข้อมูล ที่คลาดเคลื่อน แบบสืบสวนอุบัติเหตุเป็นเครื่องมือที่ออกแบบขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับ การทำงานของตำรวจ มีเนื้อหาข้อคำถามทั้งส่วนที่เหมือนและแตกต่าง จากเครื่องมือการสืบสวนอุบัติเหตุที่สร้างขึ้นจากหน่วยงานอื่น เช่น แบบ เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

33


วิเคราะห์อุบัติเหตุของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) หรือ สำนักงาน ควบคุมโรค เป็นต้น ซึ่งแม้จะมีความละเอียด แต่ก็ต้องเก็บข้อมูลปริมาณ มาก หรือต้องใช้ความรู้ขั้นสูงในการเก็บข้อมูลจนไม่สามารถนำมาใช้ ปฏิบัติงานในลักษณะงานประจำได้ (Routine) แต่เหมาะสมสำหรับการ ศึกษาวิจัยเชิงลึกและศึกษาเฉพาะกรณีเท่านั้น ประโยชน์ที่เกิดจากระบบการสืบสวนอุบัติเหตุที่สร้างขึ้นจากทีมงาน ตำรวจนี้ นอกเหนือจากการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อการป้องกันและ แก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรที่ตรงจุดแล้ว ยังส่งผลเป็นการอำนวยความ สะดวกแก่นักวิชาการที่จะนำข้อมูลไปต่อยอดองค์ความรู้ เมื่อทีมตำรวจทำการรวบรวมข้อมูลเสร็จแล้ว จะทำการส่งต่อข้อมูล ไปยังคณะอนุกรรมการป้องกันและลดอุบัติเหตุก่อนที่จะเข้าร่วมประชุม ประจำเดื อ น นอกจากนี้ ข้ อ มู ล ดั ง กล่ า วจะถู ก ส่ ง ต่ อ ไปยั ง ศู น ย์ ข้ อ มู ล วิเคราะห์อุบัติเหตุในระดับ ภ.จว. อีกด้วย

3) ข้อมูลที่เชื่อได้

ความเชื่อถือได้ของข้อมูลมาจากการเก็บข้อมูลที่ดี บุคลากรที่ทำ หน้าที่เก็บข้อมูลมีความรู้และทักษะการเก็บข้อมูล รู้จักธรรมชาติของ ข้ อ มู ล ว่ า ควรไปถึ ง ที่ เ กิ ด เหตุ ที่ ใดเมื่ อ ไหร่ การเก็ บ ข้ อ มู ล แต่ ล ะข้ อ มี ธรรมชาติอย่างไร มีความอ่อนไหวหรือไม่ คุณภาพของข้อมูลเป็นเรื่องที่ ต้องพิจารณาก่อนการวิเคราะห์โดยทีมสืบสวน คนเก็ บ ข้ อ มู ล ควรเป็ น ผู้ ที่ มี ค วามรู้ ค วามเข้ า ใจเรื่ อ งอุ บั ติ เหตุ เพื่ อ ถ่ า ยทอดข้ อ มู ล อุ บั ติ เหตุ ในสถานการณ์ จ ริ ง ได้ อ ย่ า งถู ก ต้ อ ง ซึ่ ง จะลด ความคลาดเคลื่อนของข้อมูล นอกจากนี้พนักงานคนเดียวกันอาจต้องเป็น ผู้นำเสนอต่อที่ประชุม จึงควรมีความรู้เรื่องการทำสื่อ และการนำเสนออีก ด้วย 34

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

ภาคี ทีมสืบสวนที่มีประสิทธิภาพ วิธีคิดเกี่ยวกับภาคีทีมสืบสวนอุบัติเหตุ

ตำรวจไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้เรื่องอุบัติเหตุแต่เพียงผู้เดียว และไม่ได้มี อำนาจในการบังคับสั่งการองค์การต่างๆ ที่มีอำนาจหน้าที่ป้องกันและ แก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ ดังนั้นการผลักดันเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหา อุบัติเหตุจราจรจึงจำเป็นต้องใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ต่างๆ ภาคีเครือข่ายที่เข้าร่วมทีมสืบสวนอุบัติเหตุทางถนน ต้องเป็นภาคีที่ มีพลังและประสิทธิภาพ กล่าวคือ ควรจะเป็นภาคีที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับ อุบัติเหตุกรณีนั้นๆ เช่น ให้ความรู้และข้อมูลแก่ทีมสืบสวนอุบัติเหตุ ให้ ความคิดเห็น มีบทบาทอำนาจหน้าที่ในการจัดการ หรือสามารถให้การ สนับสนุนในการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนได้ ระดับของการทำงานของทีมสืบสวนอุบัติเหตุแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ระดับสถานีตำรวจ และระดับกองบังคับการ โดยในแต่ละระดับนั้น ภาคี เครือข่ายจะมีบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันไปด้วย แสดงดังตารางดังนี ้

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

35


36 4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก 37

ชมรมระดับอำเภอ

ชมรมระดับจังหวัด

ขนส่งจังหวัด, กรมทางหลวงชนบท

ชมรม มูลนิธิต่างๆ

ขนส่งอำเภอ

ขนส่ง

แขวงการทาง

ภ.จว.

มหาวิทยาลัย

แขวงการทาง

คมนาคม

สสจ.

ระดับของภาคี

อบจ.

รอง ผบก. ภ.จว. จร.

องค์กรการศึกษา โรงเรียน

สถานีอนามัย, รพ.ชุมชน

สภ. สาธารณสุข

องค์กรภาคีทีม สืบสวนอุบัติเหตุ

องค์ ก ารบริ ห าร อบต.,เทศบาล ส่วนท้องถิ่น

ผกก. สภ.

• ให้ข้อมูล, สนับสนุนกำลังคน. ทรัพยากร ต่างๆ ในการดำเนินงาน

• สนั บ สนุ น องค์ ค วามรู้ เ กี่ ย วกั บ อุ บั ติ เ หตุ จราจร • จัดหลักสูตรฝึกอบรม • ให้ความร่วมมือลดอุบัติเหตุในส่วนสถาน ศึกษา

• สนับสนุนงานด้านขนส่งมวลชน

• วิศวกรรมจราจรทางถนน

• สนับสนุนวิชาการด้านสาธารณสุข

บทบาทหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไข อุบัติเหตุทางถนน

• สนับสนุนงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์

• เชื่อมประสานภาคีเครือข่าย

• บริหารฐานข้อมูลอุบัติเหตุ

จร. ภจว.

ภ.จว.

บทบาทหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไข อุบัติเหตุทางถนน

ทีมสืบสวนอุบัติเหตุฝ่าย • เก็บข้อมูลอุบัติเหตุ ทีมสืบสวนอุบัติเหตุ • ประสานการจัดประชุมวิเคราะห์อุบัติเหตุ ฝ่ายอำนวยการ ระดับ อำนวยการ สภ. ประกอบด้วย ตำรวจระดับชั้นสัญญา บัตร 1 นาย และ ชั้นประทวน 2 นาย

สภ.

ระดับของภาคี

ตำรวจ

องค์กรภาคีทีม สืบสวนอุบัติเหตุ

ตารางที่ 1 บทบาทหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนของภาคี


• ประชาสัมพันธ์ • เก็บข้อมูลอุบัติเหตุจราจร

ปภ.

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

กระบวนการบริหารจัดการภาคี ที มสืบสวนอุบัติเหตุ

• สนับสนุนองค์ความรู้ และประสาน เครือข่ายภาคีอุบัติเหตุ สอจร.

• ให้ข้อมูล,สนับสนุนทรัพยากรต่างๆ ในการ ดำเนินงาน ผู้นำในชุมชน ประชาคม

ผู้นำในชุมชน

• ช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายจากอุบัติเหตุ,

สนับสนุนทรัพยากรต่างๆ ในการดำเนินงาน บ.กลาง ประกันภัย

สภ.

บ.กลางประกันภัย

ภ.จว.

บทบาทหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไข อุบัติเหตุทางถนน ระดับของภาคี องค์กรภาคีทีม สืบสวนอุบัติเหตุ 38

ที ม สื บ สวนอุ บั ติ เ หตุ ท างถนนในระดั บ สถานี ต ำรวจจะประชุ ม วิเคราะห์อุบัติเหตุทางถนนทุกเดือน เพื่อหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทาง ถนนในกรณี ที่ น่ า สนใจ และจั ด หาองค์ ก รผู้ รั บ ผิ ด ชอบในการติ ด ตาม ดำเนินการแก้ไขปัญหาในส่วนที่ตนสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น หาก พบว่า อุบัติเหตุเกิดจากการไม่มีป้ายสัญญาณเตือน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะทำหน้ า ที่ ติ ด ตั้ ง ป้ า ยเตื อ นโดยทั นที หรื อ ส่ ง ต่ อ การแก้ ปั ญ หาต่ อ ที ม สืบสวนอุบัติเหตุระดับจังหวัดในกรณีที่เกินศักยภาพที่จะแก้ปัญหาได้

ภาคีเครือข่ายในทีมสืบสวนอุบัติเหตุ เกิดขึ้นจากการเชื่อมประสาน ชักชวน โน้มน้าวให้เห็นถึงความสำคัญ ความเต็มใจที่จะร่วมแรงร่วมใจลด อุบัติเหตุทางถนน โดยมีตำรวจทำหน้าที่เป็นแกนหลัก การศึกษากระบวนการสร้างทีมสืบสวนอุบัติเหตุ พบว่า ในขั้นตอน ของการก่อร่างสร้างทีมให้สำเร็จนั้น ตำรวจจะต้องเป็นผู้เดินเข้าไปหาภาคี เครือข่าย มากกว่าที่จะให้ภาคีเครือข่ายเข้ามาหาตำรวจ มีการสร้างแรง บันดาลใจ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ ความพร้อม มุ่งมั่น ชัดเจน และ ต่ อ เนื่ อ งของหน่ ว ยงานตำรวจที่ จ ะเป็ น แกนเชื่ อ มประสานภาคี ในการ ทำงานสืบสวนอุบัติเหตุ ในขั้นตอนของการเริ่มต้น ความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการจะมีส่วน ช่วยในการสร้างทีมมากกว่าการใช้จดหมาย หรือหนังสือเชิญประชุมที่เป็น ลายลักษณ์อักษร และผู้เชื่อมประสานจะต้องเป็นผู้นำหน่วยงาน อาทิ

ผู้กำกับ และ รอง ผบก.ภ.จว. และท่าทีการเชิญชวนแบบยกย่องภาคี เครือข่ายนั้นก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการสร้างทีมงานในระยะเริ่มต้น เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

39


แผนภาพที่ 1 ขั้นตอนการบริหารภาคี

ความเป็นระบบในการบริหารจัดการทีม สืบสวนอุ บัติเหตุ วิธีคิดที่เป็นระบบ

วิธีการคิดที่เป็นระบบ คือจุดเริ่มต้นของโครงการสืบสวนอุบัติเหตุ การคิดเป็นระบบทำให้กำหนดคำถามที่ถูกต้อง โดยเริ่มต้นจากการตั้ง คำถามว่า ทำไมจึงเกิดอุบัติเหตุ แล้วจึงขจัด ปรับเปลี่ยนปัจจัยที่ทำให้เกิด อุ บั ติ เหตุ นั้ นจนกลายเป็ นความปลอดภั ย จากนั้ นจึ ง กำหนดวิ ธี ก ารที่ สอดคล้องกับคำถาม ผ่านการวิเคราะห์หาสาเหตุ และเะลือกวิธีการที่เป็น ไปได้หรือเหมาะสมกับบริบทของสังคมผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจาก ภาคีเครือข่าย 40

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

นอกจากนี้ การคิ ด เป็ น ระบบยั ง หมายถึ ง การคิ ด ตลอดทั้ ง กระบวนการ อาทิ จะทำอย่างไรให้ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติในพื้นที่อื่นได้ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกเหนื อ จากการมี ร ะบบโครงสร้ า งการทำงานที่ ชั ด เจนแล้ ว กระบวนการที่ดีก็สะท้อนออกมาจากวิธีคิดที่มีระบบ เช่น การนำเสนอ ข้อมูลของทีมสืบสวนอุบัติเหตุที่มีระเบียบวาระการประชุม การรายงาน กรณีศึกษาที่เป็นรูปแบบมาตรฐาน แบบสืบสวนอุบัติเหตุที่มีข้อคำถามที่ เป็นระบบ ง่ายต่อการจดบันทึก ซักถาม เก็บข้อมูล หรือการกำหนดการ ประชุมที่มีขึ้นเป็นประจำทุกวันที่ 7 ของเดือน เป็นต้น

วิธีการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความเป็นระบบ

ระบบโครงสร้างของทีมสืบสวนอุบัติเหตุ: ปัญหาสำคัญหนึ่งของการ ดำเนินโครงการในองค์กรภาครัฐ คือสภาพที่โครงการนั้นเป็นผลงานการ ริเริ่มของบุคคล ดังนั้น เมื่อหัวหน้าหน่วยงานต้องปรับเปลี่ยนโยกย้าย ตำแหน่งหน้าที่ จะส่งผลให้โครงการต้องยุติไปด้วย ทำให้เกิดความไม่ ต่อเนื่องของโครงการ การสร้างระบบที่มีโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ ที่ชัดเจนจึงเป็นวิธีการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว การแต่ ง ตั้ ง ที ม สื บ สวนอุ บั ติ เหตุ ท างถนนเป็ น คณะอนุ ก รรมการ ป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งประกอบไปด้วยภาคีเครือข่ายต่างๆ โดยคณะอนุกรรมการนี้จะอยู่ในศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุ ทางถนน (ศปถ.) ระดับจังหวัด โดยมี ผบก.ภ.จ.ว. เป็นประธานคณะ อนุกรรมการ ดังแผนภาพที่ 2

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

41


ในการประชุมวิเคราะห์อุบัติเหตุของทีมสืบสวนทั้งสองระดับ จะต้อง ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ มีวาระการประชุม บันทึกการประชุม มีระบบส่ง ต่อเอกสารการประชุมให้แก่ทีมสืบสวนระดับ ภ.จว.

ขั้นตอนการดำเนินงานการสืบสวนอุบัติเหตุทางถนน

แผนภาพที่ 2 โครงสร้างองค์กรทีมสืบสวนอุบัติเหตุ

เมื่อสร้างทีมสืบสวนอุบัติเหตุได้แล้ว ขั้นตอนดำเนินการของทีมสืบ สวนมีดังต่อไปนี้ 1. เมื่ อ เกิ ด อุ บั ติ เ หตุ ใ นกรณี ที่ น่ า สนใจและมี นั ย สำคั ญ ต่ อ การ วิเคราะห์อุบัติเหตุ ซึ่งมีหลักการประกอบการตัดสินใจว่าจะนำ กรณีดังกล่าวมาเป็นกรณีการวิเคราะห์สืบสวนอุบัติเหตุหรือไม่ ได้แก่ จำนวนความถี่ของอุบัติเหตุในสถานที่นั้นๆ มูลค่าความ เสียหายของอุบัติเหตุ จำนวนผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ความพึง พอใจโดยรวมของประชาชนในท้องที่ หรือกรณีที่ก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมความปลอดภัย 2. ทีมสืบสวนอุบัติเหตุซึ่งประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร 3 นาย ได้แก่ ตำรวจระดับชัน้ สัญญาบัตร 1 นาย และตำรวจระดับ ชั้นประทวน 2 นาย ทำหน้าที่เก็บข้อมูล ซึ่งประกอบไปด้วยข้อ คำถามและรูปภาพ ณ สถานที่เกิดเหตุด้วยแบบสืบสวนอุบัติเหตุ 3. ทีมตำรวจเสนอข้อมูลให้ผู้บังคับบัญชาระดับ สภ. 4. จัดประชุมทีมสืบสวนอุบัติเหตุระดับ สภ. ซึ่งประกอบไปด้วยภาคี เครือข่ายในระดับอำเภอ โดยจัดประชุมเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อ วิเคราะห์อุบัติเหตุว่ามีสาเหตุจากปัจจัยใด 5. หน่วยงานที่รับผิดชอบต่อสาเหตุของอุบัติเหตุรับมติของที่ประชุม ไปดำเนินการแก้ไขทันทีทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

42

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

43


44

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

• เก็ บ ข้ อ มู ล อุ บั ติ เหตุ ในจุ ด เกิ ด เหตุ โดยใช้ แบบสื บ สวน อุบัติเหตุ ทีมตำรวจจราจรสืบสวน อุบัติเหตุ

ทีมตำรวจจราจรสืบสวน อุบัติเหตุ

เกิดอุบัติเหตุ

ก่อนการประชุมทีมสืบสวน ระดับ สภ.

• ทำรายงานและเตรียมนำเสนอข้อมูลอุบัติเหตุแก่ทีม สืบสวนอุบัติเหตุ • ส่งข้อมูลให้ภาคีทีมสืบสวนอุบัติเหตุให้พิจารณาก่อนการ ประชุม

• ประสานการจัดตั้งทีมสืบสวนอุบัติเหตุ • ทำความเข้าใจแนวคิดการสืบสวนอุบัติเหตุแก่บุคลากร ในองค์กรตำรวจ • สนับสนุนการทำงานสืบสวนอุบัติเหตุ การก่อตั้งทีมสืบสวนอุบัติเหตุ ผู้บริหารงานจราจรใน องค์กรตำรวจ ทั้งระดับ ภ.จว. และ สภ.

ทำอะไร ใคร เหตุการณ์

ตารางที่ 2 ลักษณะงานของภาคีทีมสืบสวนอุบัติเหตุ

6. ทีมสืบสวนส่งมติที่ประชุมทีมสืบสวนฯ ระดับอำเภอพร้อมข้อ เสนอต่อทีมสืบสวนฯ ระดับจังหวัดไปยังศูนย์ข้อมูลของ ภ.จว. ก่อนวันที่ 7 ของเดือน 7. ทีมสืบสวนอุบัติเหตุระดับจังหวัดประชุมวิเคราะห์สาเหตุอุบัติเหตุ ระดั บ จั ง หวั ด เดื อ นละ 1 ครั้ ง เพื่ อ พิ จ ารณาข้ อ เสนอของที ม สืบสวนอุบัติเหตุระดับ สภ. 8. ทีมสืบสวนอุบัติเหตุทั้งสองระดับดำเนินการติดตามประเมินผล การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจร เพื่อให้เป็นไปตาม มติที่ประชุม 9. ทีมวิชาการจะช่วยสนับสนุนองค์ความรู้และทักษะต่างๆ ที่จำเป็น เช่น การพัฒนาเครื่องมือการสืบสวนอุบัติเหตุ การฝึกอบรม ทักษะการเก็บข้อมูล การนำเสนอ การวิเคราะห์อุบัติเหตุ ความรู้ เรื่องวิศวกรรมจราจร ตลอดจนทำการถอดบทเรียนจากภาค ปฏิบัติเป็นองค์ความรู้ทางวิชาการเพื่อการนำไปปฏิบัติในพื้นที่ อื่นๆ เป็นต้น

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

45


46 4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

• อำนวยความสะดวกในการประชุมทีมสืบสวน เช่น เป็น ผู้ ค วบคุ ม การประชุ ม ทำบั นทึ ก รายงานการประชุ ม เป็นต้น

ทีมตำรวจจราจรสืบสวน อุบัติเหตุ ระดับ สภ.

• ทำรายงานการประชุ ม ส่ ง ต่ อ ให้ ศู น ย์ ข้ อ มู ล สื บ สวน อุบัติเหตุระดับ ภ.จว.

• ผลักดันข้อเสนอจากที่ประชุมทีมสืบสวนอุบัติเหตุระดับ ภ.จว. เพื่ อ ให้ เ กิ ด การแก้ ไ ขอุ บั ติ เ หตุ ต ามขอบเขต อำนาจหน้าที่ของตน • ติดตามประเมินผลการแก้ไขอุบัติเหตุ • บริหารจัดการข้อมูลอุบัติเหตุ • พัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการสืบสวนอุบัติเหตุ • พั ฒ นาบุ ค ลากรในที ม สื บ สวนอุ บั ติ เหตุ ท างถนนให้ มี ความรู้และทักษะในการสืบสวนอุบัติเหตุ

ทีมสืบสวนอุบัติเหตุ

ศูนย์ข้อมูลสืบสวน อุบัติเหตุ ภาคีทางวิชาการ

หลังการประชุมทีมสืบสวน อุบัติเหตุระดับ ภ.จว.

• อำนวยความสะดวกในการประชุมทีมสืบสวน เช่น เป็น ผู้ ค วบคุ ม การประชุ ม ทำบั นทึ ก รายงานการประชุ ม เป็นต้น

ทีมตำรวจจราจรสืบสวน อุบัติเหตุ ระดับ ภ.จว.

ประชุมทีมสืบสวนอุบัติเหตุ ระดับ ภ.จว.

ทำอะไร

ใคร

ภาคีทีมสืบสวนอุบัติเหตุ • พิจารณาข้อเสนอของทีมสืบสวนอุบัติเหตุระดับ สภ.

ทีมตำรวจจราจรสืบสวน อุบัติเหตุ

ภาคีทีมสืบสวนอุบัติเหตุ • ดำเนินการแก้ไขในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน

• วิเคราะห์สาเหตุอุบัติเหตุรายกรณี • กำหนดมาตรการแก้ไขระยะสั้น กลาง ยาว • ทำข้อเสนอต่อที่ประชุมทีมสืบสวนอุบัติเหตุจราจรระดับ ภ.จว.

ทำอะไร

ภาคีทีมสืบสวนอุบัติเหตุ ระดับ สภ.

ใคร

เหตุการณ์

ประชุมทีมสืบสวนอุบัติเหตุ ระดับ ภ.จว.

หลังการประชุมทีมสืบสวน อุบัติเหตุ

การประชุมทีมสืบสวน อุบัติเหตุ ระดับ สภ.

เหตุการณ์

47


การบริหารงานในหน่วยงานของตำรวจ องค์กรที่มีผลต่อความสำเร็จของทีมสืบสวนอุบัติเหตุที่สำคัญที่สุด คือองค์กรของตำรวจ เพราะมีบทบาทเป็นแกนนำเชื่อมประสาน บริหาร ข้อมูล ขับเคลื่อนกิจกรรมการสืบสวนอุบัติเหตุ ดังนั้นจึงต้องมีบุคลากร ตำรวจหลายตำแหน่งที่เข้ามามีส่วนในกระบวนการขับเคลื่อนการสืบสวน อุบัติเหตุดังนี้ 1) ผู้จุดชนวนการสืบสวนอุบัติเหตุ ในระยะเริ่มต้น ผู้นำตำรวจ ต้องทำหน้าที่ในการชักชวน โน้มน้าว สร้างความมั่นใจ เชื่อม ประสาน องค์ ก รภาคี เครื อ ข่ า ยจากทั้ ง ที่ มี อ ยู่ แ ล้ ว และที่ ยั ง ต้องการให้เข้าร่วมทีม 2) ผู้ อ ำนวยการที ม สื บ สวนอุ บั ติ เ หตุ ผู้ น ำยั ง มี บ ทบาทเป็ น ผู้อำนวยการทีมสืบสวนอุบัติเหตุ บำรุงรักษาภาคีเครือข่ายให้มี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จัดหาการสนับสนุนให้การทำงาน สืบสวนอุบัติเหตุเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3) ผู้ประสานการประชุมสืบสวนอุบัติเหตุ ในการประชุมทีมงาน สืบสวนอุบัติเหตุประจำเดือนซึ่งมีเวลาไม่มากเพียง 2-3 ชั่วโมง ดังนั้นจึงต้องมีผู้ทำหน้าที่เป็นเลขาฯ ของที่ประชุม เพื่อประสาน การประชุมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด 4) ผู้ปฏิบัติงานสืบสวนอุบัติเหตุ มีบทบาทหน้าที่ในการเก็บข้อมูล อุ บั ติ เหตุ ในที่ เ กิ ด เหตุ ซึ่ ง ต้ อ งผ่ า นการเตรี ย มการให้ พ ร้ อ มใน การนำเสนอ มี ค วามถู ก ต้ อ ง ชั ด เจน สำหรั บ ส่ ง ต่ อ ให้ ภ าคี วิเคราะห์

48

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

5) ผู้บริหารข้อมูลอุบัติเหตุ มีบทบาทหน้าที่ในการจัดเก็บรักษา ข้อมูลอุบัติเหตุที่ผ่านการวิเคราะห์ ทั้งจากทีมระดับ สภ. และทีม ระดับ ภ.จว. โดยจัดเก็บฐานข้อมูลอุบัติเหตุไว้ที่ ภ.จว. เพื่อ ประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการสอบสวนอุบัติเหตุ และ เพื่ อ การบู ร ณาการข้ อ มู ล กั บ องค์ ก รภาคี ท างวิ ช าการ เพื่ อ วิเคราะห์สาเหตุอุบัติเหตุเชิงลึกในอนาคต

ส่งท้าย ตำรวจสงขลากับการสืบสวนอุบัติเหตุ

ผลการศึกษาทีมสืบสวนอุบัติเหตุนำร่อง พบว่า ปัจจัยแห่งความ สำเร็ จ ประการหนึ่ ง คื อ ต้ นทุ น เครื อ ข่ า ยอุ บั ติ เหตุ ที่ มี ก ารรวมตั ว ติ ด ต่ อ สื่อสารกันอยู่ก่อนแล้วจากเครือข่าย สอจร. ดังนั้นหากแกนนำตำรวจใน พื้นที่อื่นเลือกใช้ช่องทางเดียวกัน ก็น่าจะเป็นวิธีการที่ดีโดยไม่ต้องเริ่มต้น นับหนึ่งใหม่ การที่ ต ำรวจเข้ า มา ‘เล่ น ’ บทบาทในการป้ อ งกั น แก้ ไขปั ญ หา อุบัติเหตุอย่างจริงจัง นับเป็นบทบาทที่ ‘ถูกฝาถูกตัว’ โดยผู้ให้สัมภาษณ์ หลายคนให้ความเห็นตรงกันว่า การที่ตำรวจมาทำหน้าที่แกนนำนั้นเป็น สิ่งที่เหมาะสม เพราะตำรวจทำงานด้านอุบัติเหตุทางถนนอยู่แล้ว และเป็น องค์กรที่ใกล้ชิดกับปัญหาและข้อมูลมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ตำรวจยัง ต้ อ งได้ รั บ การพั ฒ นาความรู้ แ ละทั ก ษะอี ก หลายด้ า น ซึ่ ง จะทำให้ ประสิ ท ธิ ภ าพของการทำงานในที ม สื บ สวนดี ยิ่ ง ขึ้ น เช่ น ความรู้ ด้ า น วิ ศ วกรรมจราจรเบื้ อ งต้ น ความรู้ ด้ า นการเก็ บ ข้ อ มู ล อุ บั ติ เหตุ เพื่ อ การ วิเคราะห์ ทักษะในการนำเสนอข้อมูล ทักษะการบริหารโครงการ เป็นต้น ซึ่งช่องว่างนี้สามารถให้สถาบันทางวิชาการในท้องที่เป็นผู้สนับสนุนได้ เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

49


ภาคีชื่นชมการทำงานของตำรวจ ดีใจที่เห็นตำรวจเป็นฝ่ายเข้ามาหา และมีเจตนาในการลดอุบัติเหตุอย่างจริงจัง แต่ผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนยัง แสดงความกังวลว่า การทำงานของตำรวจในลักษณะเชิงรุก เป็นแกนนำ ภาคีเครือข่ายเช่นนี้จะมีความต่อเนื่องยั่งยืนเพียงใด ความเคลือบแคลง สงสัยดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการตอกย้ำ สร้างความเชื่อมั่นให้ได้ว่าจะ เป็นกิจกรรมที่มีความต่อเนื่อง จริงจัง จริงใจ ซึ่งต้องให้ความกระจ่างแก่ ที ม สื บ สวนอุ บั ติ เหตุ แ ละคนที่ เ กี่ ย วข้ อ งด้ ว ยการพั ฒ นาโครงสร้ า งของ บุคลากร งบประมาณ และภารกิจของงานให้อยู่ในระบบ รวมถึงระบบการ พิจารณาความดีความชอบของตำรวจเองด้วย โครงสร้างการทำงาน ในกรณีตำรวจสงขลานี้ แม้จะเป็นโครงสร้างที่ มี ค วามชั ด เจน มี ส ายบั ง คั บ บั ญ ชา มี ขั้ นตอนกระบวนการ แต่ ก็ ไม่ ได้ หมายความว่าโครงสร้างจะต้องแข็งตัว ตายตัว ปรับเปลี่ยนไม่ได้ ตรงกัน ข้าม การคิดอย่างเป็นระบบ ต้องผนวกรวมเอากรณีศึกษาและบทเรียนชิ้น นี้ไปประมวล ถกเถียงกับบริบทพื้นที่ของแต่ละท้องที่ด้วย เนื่องจากแต่ละ ท้องที่ต่างก็มีโครงสร้าง วัฒนธรรมชุมชน วัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่าง กันไป เนื่องด้วยพื้นที่ที่มีกิจกรรมสืบสวนอุบัติเหตุเป็นพื้นที่นำร่อง ทดลอง ปฏิบัติ ดังนั้นงานสืบสวนอุบัติเหตุจึงถือได้ว่าเป็น ‘งานงอก’ ที่เพิ่มขึ้นของ ตำรวจในทีมงานสืบสวนอุบัติเหตุ และอาจเป็นงานทับซ้อนของภาคีเครือ ข่ายต่างๆ ทั้งในระดับ สภ.และระดับ ภ.จว. ด้วย ดังนั้นหากจะมีการ พิจารณาการสืบสวนอุบัติเหตุให้เป็นหนึ่งในแผนงานของจราจร จึงต้องมี การพิ จ ารณาการปรั บ โครงสร้ า งบุ ค ลากรของตำรวจทั้ ง ด้ า นกำลั ง พล ภารกิ จ ของงาน หลั ก สู ต รการศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ งานจราจร งบประมาณ ตลอดจนอาจต้องพิจารณาหารือกับหัวหน้าองค์กรภาคีต่างๆ ให้กิจกรรม

50

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

สื บ สวนอุ บั ติ เ หตุ มี ร ะดั บ การบู ร ณาการที่ ลึ ก ไปกว่ า การประชุ ม คนที่ เกี่ ย วข้ อ ง แต่ควรจะไปให้ถึงระดับการบูรณาการระบบของหน่วยงาน ต่างๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหา คน เงิน ของ ที่จะตามมาในระยะยาว ข้อสังเกตประการสุดท้าย ถึงแม้ว่าตำรวจจะรับบทบาทเป็นแกนนำ ภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ แต่ตำรวจต้อง ไม่เป็นพระเอกแต่เพียงผู้เดียวของละครเรื่องนี้ แกนนำตำรวจควรเป็นผู้นำ แบบรั บ ใช้ หรื อ ทางที่ ดี ที่ สุ ด คื อ ทำให้ ล ะครเรื่ อ งนี้ มี พ ระเอกหลายคน เพราะการทำงานแบบภาคีเครือข่ายเป็นการทำงานแบบแนวราบ การรับ บทบาทที่โดดเด่นเพียงคนเดียวอาจบั่นทอนการทำงานของทีมสืบสวนใน ระยะยาว

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

51


ลั ก ษณะบุ ค ลิ ก ภาพของผู้ น ำมี ส่ ว นสำคั ญ มากในการทำงานให้ สัมฤทธิ์ผล ผู้นำต้องมีบุคลิกภาพที่สามารถทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายได้ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เข้ากับชาวบ้านได้ อันเป็นการทำงานในระดับระนาบ ซึ่งต้องมีศิลปะในการประสานงานอย่างมาก ขณะเดียวกัน ต้องพร้อมจะ ทุ่มเท เสียสละเวลา เนื่องจากการดำเนินการในระยะเริ่มต้นต้องอาศัยการ ผลักดันและเกาะติดจากผู้นำ

แนวความคิ ด และวัตถุประสงค์โครงการ

หากพูดกันอย่างเป็นทางการ ‘โครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัยใน เขตเทศบาลนครภูเก็ต 100%’ ก็คือโครงการที่บูรณาการภาคีเครือข่ายเพื่อ ช่วยกันจัดทำการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ การให้ความรู้ และการบังคับใช้ กฎหมาย โดยมุ่งหมายปรับทัศนคติเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การสวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ของทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อน ท้าย แต่ไม่ได้มุ่งเน้นที่ค่าปรับจากผู้กระทำผิดกฎหมายจราจร

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

53


กรอบแนวความคิด

ขั้นตอนการดำเนินการ โครงการนี้ได้วางขั้นตอนดำเนินการ โดยเริ่มจาก 1) การประชุม วางแผนการทำงาน กำหนดแผนการทำงาน โดยอาศั ย ผู้ รู้ แ ละผู้ มี ประสบการณ์ โดยมี ผู้ บั ง คั บ การตำรวจภู ธ รจั ง หวั ด ภู เ ก็ ต และรอง ผู้ บั ง คั บ การตำรวจภู ธ รจั ง หวั ด ภู เ ก็ ต เป็ น แกนหลั ก จากนั้ นจึ ง ค่ อ ยๆ 2) สร้างภาคีเครือข่าย โดยวิเคราะห์พื้นที่ที่รับผิดชอบว่าหน่วยงานภาครัฐ 54

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

ภาคเอกชน โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยใดบ้างที่จะมีใจและมีจุดประสงค์ ร่วม เพื่อนำเสนอโครงการให้กับภาคีเครือข่ายและเชิญชวนให้เข้าร่วม

นำไปสู่ ก ารทำบั น ทึ ก ความเข้ า ใจ MOU (Memorandum of Understanding) เป็นเครื่องมือร้อยรัดพลังเครือข่าย เมื่อเครือข่ายพร้อม 3) กำหนดงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินการ ประชาสัมพันธ์โครงการ 4) ขีดเส้นตายวันบังคับใช้กฎหมายที่ชัดเจน และ ร่วมมือภาคีเครือข่าย ประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบ ผ่าน 5) กิจกรรมเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ เชิญผู้หลักผู้ใหญ่ใน สังคมเพื่อกระตุ้นให้สังคมเกิดความตื่นตัว ตามด้วย 6) การบังคับใช้ กฎหมายอย่างเข้มงวด เพิ่มความถี่ในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เน้นจับกุม การกระทำผิดเกี่ยวกับการไม่สวมหมวกนิรภัยของผู้ขี่และผู้ซ้อนท้ายรถ จักรยานยนต์ 7) ใช้การเปรียบเทียบปรับกับผู้ขี่รถจักรยานยนต์ ส่วนผู้นั่ง ซ้อนท้ายให้มีทางเลือก คือเลือกเข้าอบรมปรับทัศนคติการสวมหมวก นิรภัย โดยการเข้าชมภาพยนตร์รณรงค์สวมหมวกนิรภัย โดยไม่มีการ เปรียบเทียบปรับ หรือเลือกเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายในอัตราสูง และ ขั้นตอนสุดท้ายของโครงการคือ 8) ติดตามผลการปฏิบัติ โดยสำรวจ ดูความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนในพื้นที่ และตรวจสอบสถิติ การเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุจราจร

อะไรและอย่างไรจึงเรียกว่า ‘สำเร็จ’

โครงการได้กำหนดดัชนีชี้วัดความสำเร็จไว้ 3 ข้อ 1) การลดอัตราการเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจร เนื่องการผู้ขี่หรือผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

55


2) การสร้างทัศนคติในการสวมหมวกนิรภัยให้กับประชาชนในเขต เทศบาลนครภูเก็ต โดยแสดงผลจากการเพิ่มจำนวนผู้สวมหมวก นิรภัยทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์บนถนนสาธารณะ 3) การสร้ า งภาคี เครื อ ข่ า ยที่ เ ข้ ม แข็ ง แต่ ล ะภาคี ส ามารถสร้ า ง มาตรการให้กับสมาชิกของแต่ละภาคีเครือข่าย พร้อมทั้งช่วย ประชาสัมพันธ์โครงการให้ประชาชนของแต่ละชุมชนทราบและ ปฏิบัติตาม

กระบวนการบริ หารจัดการ

โครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัยในเขตเทศบาลนครภูเก็ต 100% เป็นโครงการนำร่องในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต โดยมีแผนต่อไป คือการเพิ่มพื้นที่ดำเนินการให้กระจายไปทั่วทั้งจังหวัด ภูเก็ตในระดับสถานีตำรวจ และเพื่อการณ์นั้น กระบวนการบริหารจัดการ แต่ละขั้นตอนที่เข้มแข็ง มีกลยุทธ์และการดำเนินการที่ถูกต้อง ถือเป็น เครื่องมือสำคัญที่จะส่งผลให้เกิดความสำเร็จ เปรียบเสมือนเป็นพิมพ์เขียว หรื อ แผนในการเดิ น ทางเพื่ อ ไปให้ ถึ ง จุ ด หมายปลายทาง โดยมี อ งค์ ประกอบที่สำคัญ ได้แก่

1) ให้ความสำคัญต่อบริบททางสังคม วัฒนธรรม การดำเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่

เช่น ภูเก็ต เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมเยียนจำนวนมาก ในพื้นที่เทศบาลนครมี ถนนหนทางที่ดี สภาพการจราจรไม่ค่อยคับคั่ง มีติดขัดเป็นบางเวลาซึ่ง 56

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

เป็นเวลาเร่งด่วน คือ ช่วงเช้า 07.00-08.00 น. และช่วงเวลาเย็น 16.0018.00 น. สภาพเทศบาลนครภูเก็ตประกอบด้วยชุมชน จำนวน 17 ชุมชน จะสั ง เกตเห็ น ว่ า มี พื้ น ที่ ไ ม่ ม าก ง่ า ยต่ อ การประชาสั ม พั น ธ์ ข่ า วสาร เนื่องจากเป็นขนาดชุมชนที่เล็ก และค่อนข้างที่จะรู้จักกันหมด

2) ผู้นำหน่วยเริ่มต้นขับเคลื่อน

ลั ก ษณะบุ ค ลิ ก ภาพของผู้ น ำมี ส่ ว นสำคั ญ มากในการทำงานให้ สัมฤทธิ์ผล ผู้นำต้องมีบุคลิกภาพที่สามารถทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายได้ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เข้ากับชาวบ้านได้ อันเป็นการทำงานในระดับระนาบ ซึ่งต้องมีศิลปะในการประสานงานอย่างมาก ขณะเดียวกัน ต้องพร้อมจะทุ่มเท เสียสละเวลา เนื่องจากการดำเนิน การในระยะเริ่มต้นต้องอาศัยการผลักดันและเกาะติดจากผู้นำ ทั้งการ ติดต่อประสานงานภาคีเครือข่าย กิจกรรมการประชาสัมพันธ์โครงการ การบั ง คั บ บั ญ ชาเจ้ า หน้ า ที่ ต ำรวจภายในสถานี ต ำรวจ รวมไปถึ ง การ สื่อสารกับทุกระดับ ทั้งผู้บังคับบัญชา หน่วยงานที่เข้ามาดูงาน ไปจนถึง การบรรยายให้กับผู้ที่กระทำผิดกฎจราจรในห้องรับชมภาพยนตร์ ลักษณะภาวะผู้นำที่จะต้องมีอย่างขาดเสียไม่ได้ คือ อำนาจการ บังคับบัญชา ซึ่งต้องพร้อมจะเด็ดขาดที่ได้รับการตอบสนองจากผู้ใต้บังคับ บัญชา ชัดเจน เข้าใจได้อย่างง่าย ไม่เกิดความสับสน หากเกิดภาวะ

ฉุกเฉิน ต้องมีความกล้าตัดสินใจเข้าแก้ไขสถานการณ์ให้ทันท่วงที โดยโครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัยในเขตเทศบาลนครภูเก็ตนี้มี พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต เป็น

ผู้ขับเคลื่อนโครงการฯ

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

57


3) ภาคีเครือข่ายร่วมแรงร่วมใจ ปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมาก คือปัจจัยด้านความร่วมมือระหว่าง ภาคีเครือข่ายและเจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะเจ้าของโครงการ โดยโครงการ นี้ได้ประสานภาคีเครือข่ายให้รับทราบและเข้าใจรายละเอียดของโครงการ จัดบรรยายพิเศษ นำชมภาพยนตร์ที่ใช้ในการสร้างทัศนคติ ก่อนจะทำ บันทึกความเข้าใจ (MOU: Memorandum of Understanding) เป็น เอกสารลงนามร่วมกันโดยหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน บริษัท ห้าง ร้าน ผู้นำทางศาสนา ผู้นำชุมชน ซึ่งเป็นการประสานในระดับต้น หลั ง จากนั้ นจะเป็ นการทำงานร่ ว มกั น อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง อาทิ สร้ า ง มาตรการให้ ส มาชิ ก ภายในภาคี ข องตนดำเนิ น การตามโครงการฯ ประสานการทำงานกับสถานีตำรวจ เช่น เมื่อมีนักเรียนถูกจับไม่สวม หมวกนิรภัยขณะเป็นผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ และเข้ารับการอบรมที่ สถานีตำรวจ ทางสถานีตำรวจจะส่งรายชื่อให้กับภาคีเครือข่ายเพื่อมี มาตรการกับนักเรียนนั้น เช่น ว่ากล่าวตักเตือน ครั้งถัดมาอาจมีความ รุนแรงขึ้น เช่น เชิญผู้ปกครอง เป็นต้น

เพื่ อ ให้ ป ระชาชนในพื้ น ที่ ทุ ก คนรั บ ทราบรายละเอี ย ดโครงการ กำหนดวันที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อให้ประชาชนพร้อมรับ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัย ซึ่งโครงการนี้ได้ใช้ระยะ เวลาในการประชาสัมพันธ์โครงการก่อนการบังคับใช้กฎหมายเป็นเวลา 3 เดือน โดยการประชาสัมพันธ์นี้ใช้ช่องทางทุกช่อง อาทิ การชักชวนภาคี เครือข่ายให้ร่วมมือในการประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะภาคีเครือข่ายที่เป็น สื่อ เช่น วิทยุ เคเบิลท้องถิ่น มีป้ายประชาสัมพันธ์โครงการติดทั่วพื้นที่ เทศบาลนครภูเก็ต ใช้รถแห่ประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์โดยตรงให้ แก่สมาชิกของภาคี โดยเทคนิคหนึ่งที่ใช้สร้างความตระหนักให้กับสมาชิก ในภาคีเครือข่ายอย่างได้ผล คือการให้ผู้นำของภาคีเครือข่ายถ่ายภาพ รณรงค์สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อติดตั้งบริเวณด้าน หน้าที่ทำการของหน่วยงานภาคีเครือข่ายนั้นๆ

4) การมีส่วนร่วมของทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจ

การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับปฏิบัติการ เป็นอีกหนึ่ง ปัจจัยความสำเร็จ โดยเจ้าหน้าที่ต้องมีระเบียบวินัย ปฏิบัติตามคำสั่งการ ของผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาอย่ า งเคร่ ง ครั ด พร้ อ มรั บ กั บ สภาพภาระหน้ า ที่ ที่ จ ะ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจงานจราจร

5) เทคนิค กลยุทธ์ในการทำงาน การประชาสัมพันธ์โครงการ

58

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

59


นอกจากนี้ การให้ เ จ้ า หน้ า ที่ ต ำรวจระดั บ ปฏิ บั ติ ก ารทำการ ประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงประชาชนโดยตรง ก็เป็นอีกเทคนิคที่ได้ผล โดย ก่ อ นเริ่ ม บั ง คั บ ใช้ ก ฎหมาย เจ้ า หน้ า ที่ ต ำรวจได้ เพิ่ ม ความถี่ ในการตั้ ง จุดตรวจจุดสกัด โดยไม่มีจุดประสงค์เพื่อจับกุมหรือบังคับใช้กฎหมาย เป็นการตั้งด่านเพื่อแจกใบปลิวให้ผู้สัญจรไปมาทราบรายละเอียดโครงการ โดยเฉพาะวันที่กำหนดจะบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งทำให้ประชาชนทราบและ สามารถปรับตัวให้เข้ากับโครงการได้เป็นอย่างดี เทคนิคประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงกลุ่มอาชีพ โดยกลุ่มอาชีพที่สถานี ตำรวจภูธรภูเก็ตเน้นเป็นอย่างยิ่ง คือกลุ่มผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานยนต์ รับจ้างสาธารณะ ซึ่งในส่วนกลุ่มเป้าหมายนี้ นอกจากจะมีการประชุมร่วม กันแล้ว ยังได้แจกหมวกนิรภัยสำหรับให้บริการแก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ อีกด้วย

60

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

61


กิจกรรมเปิดตัวโครงการ (Grand Opening)

เป็นกิจกรรมเพื่อสร้างความสนใจให้กับประชาชน ที่เกิดขึ้นหลังจาก สร้างภาคีเครือข่าย และการประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนในพื้นที่ทราบ ทั่วกันแล้ว ซึ่งสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ตได้กำหนดให้วันเริ่มต้นการ บั ง คั บ ใช้ ก ฎหมายเป็ น วั น เปิ ด ตั ว โครงการ โดยมี ผู้ ว่ า ราชการจั ง หวั ด

ผู้ บั ง คั บ การระดั บ สู ง ของแต่ ล ะหน่ ว ย และภาคี เครื อ ข่ า ยทุ ก ภาคส่ ว น เข้าร่วมงาน ในกิจกรรมประกอบด้วย การเคลื่อนขบวนรถจักรยานยนต์ รอบพื้นที่เทศบาลเมืองภูเก็ตเพื่อรณรงค์และประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่

การใช้ตุ๊กตาสัญลักษณ์หรือ ‘มาสคอต’ โครงการ

ตุ๊ ก ตาสั ญ ลั ก ษณ์ ห รื อ มาสคอต ไม่ เ พี ย งแต่ เ ป็ น สั ญ ลั ก ษณ์ ข อง โครงการ ยังสร้างความสนใจให้กับประชาชน ทำให้ประชาชนจดจำ สร้าง ภาพและบรรยากาศที่เป็นมิตรระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชน

การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด (Law Enforcement) เมื่อถึงวันตามที่กำหนด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บังคับใช้กฎหมายอย่าง เคร่งครัด โดยเน้นการจับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัยในขณะขี่หรือซ้อนท้ายรถ จักรยานยนต์ และเนื่องจากได้มีการประชาสัมพันธ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้ ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งนี้การดำเนินการบังคับ ใช้กฎหมายต้องคำนึงถึงการใช้วาจาที่สุภาพ โดยมาตรการที่นำมาใช้จะ ใช้การเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายต่อผู้ขับขี่ ขณะที่ในส่วนของผู้ซ้อน ท้ า ยจะให้ ท างเลื อ ก (Choice) คื อ การเข้ า รั บ การอบรม พร้ อ มชม

62

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

ภาพยนตร์เพื่อปรับทัศนคติในการสวมหมวกนิรภัย หรือรับการเปรียบ เทียบปรับตามที่กฎหมายกำหนดในอัตราโทษสูงสุด ในประเด็นการบังคับใช้กฎหมายโดยการปรับตามโครงการนี้ จะเห็น ได้ว่า เป็นมาตรการที่มีผลเป็นการปรับเงิน และการปรับโดยใช้มิติด้าน เวลา กล่าวคือต้องเสียเวลาเข้ารับการอบรม ทั้งนี้เพราะการปรับเป็นเงิน นั้นมักจะไม่ค่อยได้ผลกับผู้ที่มีรายได้หรือมีฐานะดี แต่จะมีผลเป็นอย่าง มากหากใช้ มิ ติ ด้ า นเวลาเข้ า มาเสริ ม ซึ่ ง โดยมากผู้ มี ร ายได้ ดี ก ว่ า จะมี สัดส่วนเป็นผู้ซ้อนท้ายมากกว่าผู้ขับขี่

การบรรยายความรู้และชมภาพยนตร์เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ

สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดทำสื่อเพื่อ ปรั บ เปลี่ ย นทั ศ นคติ โดยมุ่ ง หมายให้ ผู้ ที่ เ ข้ า รั บ ฟั ง รั บ ชมภาพยนตร์ ตระหนักทราบถึงความสำคัญในการสวมหมวกนิรภัย ทราบถึงผลกระทบ โดยตรงต่อตัวผู้ที่ประสบอุบัติเหตุจราจรเสียชีวิตหรือพิการ และโดยอ้อมที่ ต้ อ งกระทบกั บ ครอบครั ว ญาติ มิ ต รจากความสู ญ เสี ย เพื่ อ ให้ เ กิ ด กระบวนการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ผลของการเผยแพร่สื่อชุดนี้ ปรากฏว่าได้สร้างความตื่นตัวจนกลาย เป็นกระแส Talk of the town โดยเฉพาะในเรื่องของความน่ากลัว ไม่ ต้องการตกเป็นเหยื่ออุบัติเหตุ และส่งผลให้หลายคนปรับเปลี่ยนทัศนคติ หลังรับชมภาพยนตร์ในที่สุด ในการเข้าอบรมนี้ จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 การบรรยาย ความรู้ ความเข้ า ใจเกี่ ย วกั บ การใช้ ห มวกนิ ร ภั ย โดยเจ้ า หน้ า ที่ ต ำรวจ ประกอบด้วยภาพจริงที่เคยเกิดขึ้น ภาพอุบัติเหตุที่เกิดบนถนน ส่วนที่ 2 ภาพยนตร์ที่ทำขึ้นโดยสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ตร่วมกับภาคีเครือข่าย เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

63


ผนวกเข้ากับเหตุการณ์อุบัติเหตุจราจรที่เกิดขึ้นจริงในเขตพื้นที่เมืองภูเก็ต ซึ่งได้รับการตอบรับมากที่สุด อาจเป็นเพราะภาพยนตร์นี้ มีแง่มุมพื้นที่ ทางแยก ถนนในเขตพื้นที่เมืองภูเก็ต ซึ่งผู้ชมรู้สึกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว ส่วน ที่ 3 ภาพยนตร์ที่ทำขึ้นโดย สสส. เป็นเรื่องอุบัติเหตุจราจรที่เกิดขึ้นกับเด็ก นักเรียนที่สอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ ซึ่งไม่สวมหมวก นิรภัยขับขี่และซ้อนท้ายในลักษณะซ้อน 3 คน เป็นเหตุให้เสียชีวิตทั้งหมด การจัดทำข้อมูลผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต และสถิติการเกิดอุบัติเหตุ จราจรทั้งหมด มุ่งเน้นการจัดทำข้อมูลสถิติอุบัติเหตุที่เกิดกับผู้ขับขี่หรือผู้ซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย โดยดำเนินการตั้งศูนย์ข้อมูลที่สถานี ตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเสนอผู้บังคับบัญชา เพื่อใช้ เป็นแนวทางในการทำงาน และการประชาสัมพันธ์ให้กับภาคีเครือข่ายและ ประชาชนทั่วไปทราบ

ส่ งท้าย

ตำรวจภู เ ก็ ต กั บ โครงการรณรงค์ ส วมหมวกนิ ร ภั ย ในเขตเทศบาล นครภูเก็ต 100% โครงการนี้เป็นโครงการที่มีที่มาจากสถิติการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น จริง และมีขึ้นเพื่อตอบโจทย์ที่เป็นปัญหาในพื้นที่ ดังนั้น จึงสามารถทำให้ ประชาชนทุกคนตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องป้องกันตนเอง ปัจจัยความสำเร็จของโครงการ ประกอบไปด้วย การสร้างภาคีเครือข่ายที่หลากหลาย ซึ่งเกิดจากความขยันตั้งใจของ ผู้กำกับการ โดยการเข้าพบภาคีเครือข่ายด้วยตนเอง และมีกลยุทธ์สร้าง ความเข้มแข็ง คือการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) 64

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

การสร้างสื่อเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติในการสวมหมวกนิรภัยให้กับ ประชาชนที่เข้ารับชม มุ่งหมายเพื่อให้เกิดความตระหนัก สำนึกในการ ป้องกันตนเองจากความเสี่ยงที่เกิดจากตนเอง แนวทางในการประชาสัมพันธ์โครงการที่ให้ประชาชนทราบถึงวันที่ กำหนดจะบังคับใช้กฎหมาย เป็นการลดแรงกดดันของประชาชน ให้มี ระยะเวลาในการปรับตัว อย่ า งไรก็ต าม หากจะมี จุ ดที่ ต้อ งคำนึง และเสริ มเพื่อ พั ฒนา คื อ ปัญหาเรื่องความยั่งยืนในระยะยาวของโครงการ เนื่องจากตัวโครงการมี เสาหลักค้ำโครงการอยู่เพียงคนเดียว คือผู้กำกับการ การขับเคลื่อนที่ อาศัยผู้นำเป็นหลักเกือบทุกอย่าง ส่งผลให้เกิดความเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า อาจทำให้ภาวะการนำลดลงได้ ทั้งนี้ภาวะการนำที่ลดลง ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงจากความไม่พอใจ ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกกดดันด้วยภาระงานที่เพิ่มขึ้น จนอาจจะแสดง ความไม่พอใจในรูปแบบต่างๆ อีกทั้งการประชาสัมพันธ์โครงการที่มุ่งเน้น มอบผลงานและความรับผิดชอบให้กับผู้กำกับการแต่เพียงผู้เดียว ส่งผลให้ มีความเสี่ยงต่อการถูกเป็นเป้าโจมตีได้ นอกจากนี้ ตามระบบราชการอาจ จะต้องมีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนตำแหน่ง ซึ่งจะส่งผลถึงความต่อเนื่อง ของโครงการได้ การดำเนินการแก้ไข จึงควรสร้างทีมทำงานภายในสถานีตำรวจเพื่อ กระจายบทบาทและความรับผิดชอบ โดยในระยะต่อไป ควรจะเน้นการ สร้างระบบและกลไกเพื่อความมั่นคงของโครงการมากกว่าการมอบให้เป็น ภาระของตัวบุคคล รวมไปถึงการพัฒนาภาคีเครือข่ายเชิงลึกให้กลายเป็น เครือข่ายที่ตระหนักในปัญหาร่วมกันอย่างแท้จริง เพราะลำพังการใช้ MOU หรือการลงนามในบันทึกความเข้าใจ ไม่ได้มีหลักประกันเพียงพอว่า การดำเนินโครงการจะมีความต่อเนื่องแต่อย่างใด เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

65


“คืนวันที่ 30 กันยา (2553) ผมนอนไม่หลับทั้งคืน ตั้งคำถามกับ ตัวเองว่า หากว่ารุ่งขึ้นไม่มีคนสวมหมวกกันน็อคเลย ผมจะทำอย่างไรต่อ ไป มาตรการ ‘จับสองเท่าคนขับรับคนซ้อนไม่สวมหมวกนิรภัย’ ทีป่ ระกาศ ไว้กับคนนครฯล่วงหน้าเป็นเดือนๆ จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้นหรือ ว่าถอยความแรงลงมา และหากว่าผมยังแข็งขืนดำเนินการต่อไป อะไร จะเกิดกับชีวิตราชการของผม”

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

67


“เช้าวันที่ 1 ตุลาคม ตีห้าผมออกจากบ้านพัก ภาพที่เห็นในเช้า วันนั้นเป็นภาพที่สวยงามและทำให้ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตการทำงาน” รองผู้กำกับการจราจร สภ.เมือง นครศรีธรรมราช เจ้าของโครงการ ‘ปรับสองเท่าคนขับรับคนซ้อนไม่สวมหมวกนิรภัย’ เล่าด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข

บาดแผลจากประวั ติศาสตร์

สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราช ภาพการสวมหมวกนิรภัยเต็มเมือง (เขตอำเภอเมือง) คือภาพประวัติศาสตร์ที่ยากจะเชื่อว่าได้เกิดขึ้นแล้ว

ทั้งยังเป็นบทพิสูจน์และตอกย้ำให้ทีมงานมั่นใจว่า การบังคับใช้กฎหมาย เรื่องหมวกนิรภัยที่เคยเชื่อกันว่ายากแสนยากนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ หากมีการ บริหารจัดการที่ดีภายใต้ความร่วมมือของภาคีจากทุกยุทธศาสตร์ และ ไม่ปล่อยให้ตำรวจทำงานอย่างโดดเดี่ยวอย่างที่แล้วมา ในปี 2543 ภายหลัง สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้ดำเนินการจับกุม ผู้ ขั บ ขี่ ร ถจั ก รยานยนต์ ที่ ไม่ ส วมหมวกนิ ร ภั ย อย่ า งจริ ง จั ง และต่ อ เนื่ อ ง ได้สร้างความไม่พอใจกับกลุ่มวัยรุ่นและประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ อย่างมาก จนกระทั่งเกิดการรวมตัวชุมนุมประท้วงที่หน้าสถานีตำรวจภูธร เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อเรียกร้องให้ยุติการจับกุมรถจักรยานยนต์/ รถยนต์บางข้อหา จนเหตุการณ์บานปลายไปสู่ความรุนแรงด้วยการวาง เพลิงเผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการ เอกชน ประชาชน ได้รับความ เสียหายหลายรายการ เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงสร้างบาดแผลในชีวิตราชการให้กับตำรวจ ที่เกี่ยวข้องในขณะนั้นเท่านั้น จังหวัดนครศรีธรรมราชเองยังถูกมองว่า

68

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

เป็นเมืองที่ประชาชนสามารถลุกขึ้นมา ‘ใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย’ ได้อย่าง น่าหวาดกลัว หลังจากเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร และเจ้าหน้าที่สายตรวจก็ไม่ได้กวดขันจับกุมหมวกนิรภัยอีก หรือถึงจะ จับกุมบ้างก็เป็นการจับกุมเพื่อว่ากล่าวตักเตือนเท่านั้น เพราะเหตุการณ์ ดั ง กล่ า วยั ง อยู่ ในความทรงจำของตำรวจ สภ.เมื อ งนครศรี ธ รรมราช ตลอดมาอย่างยากที่จะลืมเลือน ที่สำคัญไปกว่านั้น การบาดเจ็บและตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ของคนนครศรีธรรมราชดูเหมือนจะถูกฝากไว้ในมือของชะตากรรม ใน แต่ละปีชาวนครศรีธรรมราชเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนประมาณร้อย ละ 46 ของการบาดเจ็บรวม 19 สาเหตุที่มีการจัดเก็บข้อมูล หรือเสียชีวิต ปีละประมาณ 250-300 คน มากกว่าการตายจากคดีอาชญากรรม (ข้อมูล ปี 2548-2552 ข้อมูลตายจากอุบัติเหตุทางถนน: ตายจากคดีอาชญากรรม เป็น 1176 : 966 คน) ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยเรียน และวัยทำงาน ร้อยละ 70 ของอุบัติเหตุเกิดจากรถจักรยานยนต์ สาเหตุ ของการเสียชีวิตร้อยละ 90 เกิดจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ โดยมีอัตราการ สวมหมวกนิรภัยต่ำไม่ถึงร้อยละ 10 ในคนขับ และแทบจะไม่มีหรือเป็น 0 ในคนซ้อน

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

69


โครงการหมวกแสนใบปลอดภัยถ้วนหน้า: ต้นทางแห่ งความสำเร็จ

“ขณะอยู่ระหว่างการเดินทางไปกรุงเทพฯ ผมเห็นป้ายโฆษณาบวช ภิกษุณีแสนคน ใจผุดความคิดขึ้นมาว่า หากจะทำบุญด้วยโครงการหมวก แสนใบเพื่อลดการบาดเจ็บและตายบนถนนของคนนครฯบ้าง คงเป็นการ ทำบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” พล.ต.ต.กระจ่าง สุวรรณรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจ ภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เล่าถึงความเป็นมาของ ‘โครงการหมวกแสน ใบปลอดภัยถ้วนหน้า’ ที่เปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2552 คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินจริงหากจะพูดว่า ‘โครงการหมวกแสนใบ ปลอดภัยถ้วนหน้า’ คือกองทุนหมวกนิรภัยสำหรับคนนครศรีธรรมราช โดยใช้เงินจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ อบจ. อปท. เอกชน ประชาชน ช่วยกันลงขันตั้งกองทุนขึ้นมา เริ่มจากการให้ข้าราชการตำรวจในสังกัดเสียสละหมวกนิรภัยให้ ประชาชนคนละใบก่อน หลังจากนั้นก็ระดมทุนจากทุกภาคส่วนทั้งใน รูปแบบของการขอบริจาคและการจัดงานต่างๆ วิธีการดำเนิการของผู้บังคับการฯ คือมอบหมวกให้แต่ละ สภ.ใน สั ง กั ด ตำรวจภู ธ รจั ง หวั ด นครศรี ธ รรมราชไปทำโครงการรณรงค์ ใ ห้ สอดคล้ อ งกั บ พื้ นที่ ข องตั ว เอง โดยเน้ นการประชาสั ม พั นธ์ ผ่ า นทุ ก สื่ อ ทุกแขนง เน้นให้ประชาชนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รู้ถึงประโยชน์ของการ สวมหมวกนิรภัยเป็นหลัก

70

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

สู่ต้นแบบการบังคับใช้กฎหมาย เรื่อ งหมวกนิรภัย

สถานี ต ำรวจภู ธ รเมื อ งนครศรี ธ รรมราช เริ่ ม โครงการลู ก รองรั บ โครงการหมวกแสนใบปลอดภัยถ้วนหน้าด้วย ‘โครงการจับ ปรับ รับหมวก นิรภัย’ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 โดยการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ควบคู่ กับให้ประชาชนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาแสดงตนเพื่อรับหมวกนิรภัยไว้ สวมใส่ พร้อมทำคำมั่นสัญญาว่า เมื่อได้รับหมวกจากโครงการไปแล้วต้อง นำไปสวมใส่ หากไม่สวมใส่หมายความว่ายินยอมให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการจับ และปรับในอัตราสูงสุด และเมื่อถึงกำหนดเวลาที่ ‘โครงการจับ ปรับ รับหมวกนิรภัยบังคับ’ ใช้ ยังได้เปิดโอกาสให้ประชาชนที่ถูกจับกุมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดย หากเป็นการถูกจับกุมครั้งแรก ก็จะว่ากล่าวตักเตือน พร้อมกับมอบหมวก นิรภัยให้ หากแต่ต้องทำคำมั่นสัญญาว่าจะสวมใส่หมวกนิรภัยที่มอบให้ไป หากไม่สวมใส่ก็หมายความว่าพร้อมจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับ และปรับใน อัตราสูงสุด หากเป็นรายที่พร้อมจะเสียค่าปรับ ก็จะทำการปรับ ในอัตราที่ มีกำลัง แต่ไม่เกิน 200 บาท หากสวมใส่ก็มีใบประกาศเป็นคำอวยพรจาก สภ.เมืองว่า ขอพรจากสิ่งที่ผู้ถูกจับกุมเคารพนับถือดลบันดาลให้ตนและ ครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดไป ภายหลังการดำเนินการ ปรากฏผลว่า มีผู้ขับขี่สวมหมวกกว่าร้อยละ 80 ทำให้ ส ถิ ติ ข องผู้ ขั บ ขี่ ร ถจั ก รยานยนต์ ที่ ต้ อ งเสี ย ชี วิ ต จากข้ อ มู ล

โรงพยาบาลมหาราช ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับผู้ซ้อนท้าย ผลที่ได้ ยังไม่เป็นทีน่ า่ พอใจ และยังมีสถิตกิ ารเสียชีวติ จากการบาดเจ็บทีศ่ รี ษะสูงอยู่

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

71


พ.ต.ท.สุ ท ธิ นิ ติ อั ค รพงศ์ รองผู้ ก ำกั บ การจราจร สภ.เมื อ ง นครศรีธรรมราชเล่าว่า แม้จะมีกระแสต่อต้านการบังคับใช้กฎหมายของ ตำรวจทั้ ง จากเว็ บ ไซต์ การร้ อ งเรี ย นทางโทรศั พ ท์ และจากการสร้ า ง กระแสปากต่อปากจากร้านน้ำชายามเช้าซึ่งคนนครศรีธรรมราชมักใช้เป็น ที่ นั ด คุ ย กั น แต่ ด้ ว ยความมั่ น ใจว่ า กำลั ง ทำสิ่ ง ที่ ถู ก ต้ อ ง ราวต้ น เดื อ น สิงหาคม 2553 หลังจากประชุมกลุ่มทำงานกลุ่มเล็กๆ ที่รวมตัวกัน ‘กิน ข้าวเล่าเรื่อง’ และประชุมคณะทำงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนที่มีรองผู้ว่า เป็นประธาน ป้ายประกาศแจ้งแก่ประชาชนว่า ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไปตำรวจจะดำเนินการปรับสองเท่ากับคนขับรับที่คนซ้อนไม่สวม หมวกนิ ร ภั ย อย่ า งเคร่ ง ครั ด ก็ ติ ด ตั้ ง ไปทั่ ว ทั้ ง สี่ มุ ม เมื อ ง รวมทั้ ง การ ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อหลัก คือวิทยุชุมนุม สถานีเพื่อการจราจรและความ ปลอดภั ย ทางถนนความถี่ FM.89.75เมกะเฮิ ท ซ์ และสื่ อ อื่ น ๆ อย่ า ง ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีโครงการ ‘ปรับสองเท่าคนขับรับคนซ้อนไม่สวมหมวก นิรภัย’ ไม่ได้ดำเนินได้อย่างราบรื่นเช่นเดียวกับโครงการแรก กระแส ชักชวนกันมา ‘เผาโรงพักกันเถอะ’ นับวันจะดังยิ่งขึ้น จนคณะทำงานต้อง ประเมินสถานการณ์และแก้เกมกันเป็นระยะ กระทั่งวันที่ 1 ตุลาคม 2553 ภาพประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้นที่เมือง นครศรี ธ รรมราช สำนั ก งานป้ อ งกั น และบรรเทาสาธารณภั ย จั ง หวั ด นครศรีธรรมราช สำรวจการสวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับและคนซ้อนพบว่า มีอัตราการสวมหมวกร้อยละ 89 และ 84 ตามลำดับ ข้อมูลจากแบบ บันทึกการเฝ้าระวังการบาดเจ็บระดับจังหวัดของโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราชพบว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากการบาดเจ็บที่ศีรษะในเขต อำเภอเมือง ลดลงจาก 2-3 คนต่อเดือนเป็น 1 คน

72

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

ส่งท้าย: ปัจจัยแห่งความสำเร็จ การทำงานร่วมกันของสหสาขา “หั น มาเห็ น พวกเราแล้ ว อย่ า งไรเสี ย ผมคงไม่ ส ามารถถอดใจได้ หากว่ามีการเผาโรงพักจริง ขอแค่หันหลังกลับแล้วเห็นพวกเรายืนอยู่ข้าง หลัง ผมก็พอใจแล้ว” คำกล่าวของรองผู้กำกับการจราจรในวันที่กระแส เผาโรงพักร้อนระอุ ยืนยันถึงความเข้มแข็งของทีมทำงานเรื่องอุบัติเหตุทาง ถนนของจังหวัดนครศรีธรรมราชได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้ทีมดังกล่าวมี 2 ระดับ ทีมแนวราบ ซึ่งประกอบด้วยบุคลากร จากโรงพยาบาลมหาราช ปภ. ขนส่ง โรงเรียน บริษัทกลางฯ ตำรวจที่รวม ตัวกันด้วยเงินสนับสนุนจาก สอจร. และคณะทำงานป้องกันอุบัติเหตุทาง ถนน ที่จัดตั้งขึ้นโดยผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งแต่ปี 2551 ที่ดำเนินการประชุม ต่อเนื่องมาทุกเดือน โครงสร้างคณะทำงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนน จังหวัดนครศรีธรรมราช (2551-ปัจจุบัน) กลไกการทำงาน เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

73


ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ฝ่ายบังคับใช้กฎหมายจึงไม่ได้โดดเดี่ยว มี การนัดประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์และแก้ไขปัญหาอยู่เป็นระยะตลอด ระยะเวลาที่มีกระแสเผาโรงพัก โดยทีมฯได้นัดประชุมสื่อทุกแขนงเพื่อ ชี้แจงทำความเข้าใจ ขณะเดียวกันเพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อ ยืนยันถึงเจตนารมณ์ และเพื่อลดกระแสความไม่พอใจ ทีมได้ทำหนังสือ เชิญในนามคณะทำงานฯไปยังภาคส่วนต่างๆ ร่วมเดินขบวนให้กำลังใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงาน โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเกินคาด ส่งผลเป็นความมั่นใจมากขึ้น

การสื ่อสารและสารสนเทศ

ตลอดการดำเนินโครงการ จะใช้ข้อมูลเป็นฐาน โดยบูรณาการข้อมูล การบาดเจ็บ ตาย และพฤติกรรมเสี่ยงจากทั้งฝ่ายสาธารณสุข แฟ้มคดี ตำรวจ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และบริษัทกลางฯ มีการวาง เป้าหมายที่ชัดเจนที่ออกแบบให้สามารถสื่อถึงประชาชนได้

74

4 สไตล์บริหารจัดการ จันทบุรี-สงขลา-ภูเก็ต-นครศรีธรรมราช

เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวมาก ยังได้ศึกษาบทเรียนจากปี 2543 เพื่อสรุปและหาทางปิดช่องโหว่ดังกล่าว โดยบทสรุปที่ได้มีสองกรณี คือ ขาดการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชน และประชาชน สงสัยในความโปร่งใสของตำรวจ ในด้านการประชาสัมพันธ์ ได้กำหนดแผนระยะยาวและบอกกล่าว ประชาชนให้ทราบผ่านสื่อทุกชนิด ในด้านความโปร่งใสของตำรวจและ ทีมฯ มีการวางขั้นตอนการปรับไว้อย่างรัดกุม โดยเปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่ที่ บรรทุกคนซ้อนท้ายไม่สวมหมวกมีทางเลือก เช่น จับ ปรับ หรือรับหมวก นิรภัย

สร้ างการมีส่วนร่วม

เมื่อกระแสเผาโรงพักแรงมาก มีการหาข่าวเพื่อเจาะกลุ่มว่า กลุ่ม ไหนเป็นผู้จุดประเด็นและต้องการอะไร ซึ่งจากการหาข่าวเชิงลึกพบว่า มี คนสองกลุ่มที่เป็นผู้จุดประเด็น กลุ่มแรก คือกลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้าง และกลุ่มที่สอง คือกลุ่มวัยรุ่นว่างงาน และนักเลงในหมู่บ้าน ในกลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้าง ได้ดำเนินการเชิงรุกโดยเชิญเข้ามา พูดคุย ถามปัญหา พร้อมทั้งแจกหมวกเพื่อเตรียมไว้สำหรับคนซ้อนที่เป็น

ผู้โดยสาร ทำให้กระแสจากกลุ่มนี้ลดลงไป และกลายเป็นกลุ่มที่มาร่วม เดินขบวนให้กำลังใจในที่สุด ส่วนกลุ่มวัยรุ่น ได้ขอให้ผู้นำหมู่บ้านเข้าไป พูดคุยเพื่อยับยั้งกระบวนการสร้างกระแส ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี

เดินหมากอย่างไร ให้มอเตอร์ ไซค์ ใส่หมวก

75



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.