Acc 54008

Page 1

รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ โครงการ กระบวนการสรางวัฒนธรรมความปลอดภัย ทางถนนของนักศึกษาและชุมชนรอบ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ระยะที่ 1 โดย กาญจนา ทองทั่ว และคณะ

เมษายน 2555


รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการกระบวนการสร้ างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของ นักศึกษาและชุ มชนรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ระยะที่ 1 ตามสั ญญาเลขที่ ACC3 54008 โดย

นางสาวกาญจนา ทองทั่ว และคณะ

ได้ รับทุนสนับสนุนโดยศูนย์ วชิ าการความปลอดภัยทางถนน (ระยะ 3) สํ านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้ างเสริมสุ ขภาพ (สสส.) เดือนเมษายน ปี 2555


บทสรุปผู้บริหาร รายงานฉบับ สมบู ร ณ์ โครงการ “กระบวนการสร้ า งวัฒ นธรรมความปลอดภัย ทางถนนของ นักศึกษาและชุมชนรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี” เล่มนี้ เป็ นการจัดทํารายงานฉบับสมบูรณ์ระยะที่ 1 ของ โครงการ เริ่ มตั้งแต่วนั ที่ 1 เมษายน 2544 จนถึงวันที่ 30 เดือนเมษายน 2555 โดยมีเป้ าหมายที่สําคัญของ โครงการระยะที่ 1 คื อ ค้นหาภาคี เครื อ ข่า ย เพื่ อ จัด ทํา ฐานข้อ มู ล คนทํา งาน ข้อ มู ล ความรู ้ เ พื่ อ ศึ ก ษา สถานการณ์ สร้างความร่ วมมือระหว่างหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งระดับพื้นที่และจังหวัด ได้มาร่ วมกัน แลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้ประสบการณ์การทํางานด้านอุบตั ิเหตุ แสวงหาและพัฒนาศักยภาพแกนนํา Change Agent และพัฒนาให้เกิดโครงการย่อย 4 โครงการรวมทั้งการพัฒนาเครื อข่ายให้เป็ นนักข่าวอาสาเพื่อใช้การสื่ อสาร สาธารณะในการสร้างกระแสและขับเคลื่อนประเด็นวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนเพื่อให้สอดคล้องกับ สถานการณ์และบริ บทของพื้นที่ ผลจากการดําเนินโครงการในระยะที่ 1 ที่สาํ คัญสามารถสรุ ปได้ดงั นี้ 1. การ เกิดกลไกเพื่อสนับสนุ นการขับเคลื่อนงานโครงการ ที่มาจากภาคี เครื อข่ายและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ได้แก่ กลไกการประสานงานภายในโครงการ กลไกการประเมินภายใน กลไกกลาง กลไกระดับ พื้นที่ และกลไกการสื่ อสารสาธารณะโดยกลไกแต่ละประเภทจะมีการทํางานเชื่ อมโยงและประสานกันซึ่ ง กลไกที่ เกิ ดขึ้นมาจาก 2 ส่ วน ได้แก่ ส่ วนแรก เป็ นผูม้ ีจิตอาสาและมีความต้องการแก้ไ ขปั ญหาด้า น อุบ ตั ิ เหตุ ซึ่ ง ประกอบด้วย ผูน้ ํา ชุ ม ชน นัก วิช าการ นัก ศึ ก ษาและชาวบ้า น รวมทั้ง สื่ อมวลชนบางคน ขณะที่ ส่ วนที่สอง เป็ นตัวแทนของหน่ วยงานที่มีภาระงานที่เกี่ยวข้องด้านอุบตั ิเหตุท้ งั ในระดับพื้นที่และ จังหวัดซึ่งพบว่ากลไกทั้งสองส่ วนนี้ต่างเอื้อประโยชน์และเติมเต็มซึ่ งกันและกันอันเนื่องมาจากกระบวนการ ดําเนินงานโครงการได้ทาํ ให้ท้ งั สองส่ วนโอกาสเข้ามามีส่วนร่ วมในการทํางานร่ วมกัน ดังนั้น จึงถือว่าการ ก่อเกิ ดของกลไกข้างต้นเป็ นจุดเริ่ มต้นของการมีส่วนร่ วมในการทํางานการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ทางถนนของจังหวัดอุบลราชธานีของกลุ่มคนที่มีความแตกต่างและหลากหลายซึ่ งจะส่ งผลถึงการดําเนินงาน ในระยะที่ 2 ต่อไป 2. ได้เกิดโครงการย่อย จํานวน 4 โครงการ ประกอบด้วย 1) โครงการวิจยั กระบวนการจัดการความปลอดภัยทางถนนของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่ งเป็ นโครงการวิจยั ที่ตอ้ งการการสร้างวินยั จราจรแก่นกั ศึกษาผ่านกระบวนการสร้างจิตสํานึก การจัดการ เรี ยน การสอน กิจกรรมเสริ ม การแก้ไขจุดเสี่ ยง และการออกกฎระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่ งมีอาจารย์จกั เรศ อิฐรัตน์ อาจารย์จากคณะศิลปศาสตร์ เป็ นหัวหน้าทีมวิจยั


ข 2) โครงการรู ปแบบมาตรการการสร้ างความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างมีส่วนร่ วมการ สร้ างมาตรการความปลอดภัยทางถนนโดยการมี ส่วนร่ วมของชุ ม ชน นักศึก ษา อปท.และหน่ วยงานที่ เกี่ ย วข้อง เป็ นโครงการที่ เน้นการใช้ม าตรการทางสัง คมควบคู่ไ ปกับมาตรการทางกฎหมายเพื่อสร้ า ง วัฒนธรรมความปลอดภัยบนถนนสาย 24 ช่วงระหว่างสี่ แยกตลาดเจริ ญศรี ถึงเทศบาลตําบลเมืองศรี ไค ซึ่ ง มี อาจารย์ พ.ต.ท.กิตติวฒั น์ ฉัตรศรี โพธิ์ อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ เป็ นหัวหน้าทีม 3) โครงการ พัฒนาสื่ อสังคม สื่ อสาธารณะ เพื่อการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทาง เป็ นโครงการที่ตอ้ งการสร้างนักสื่ อสารชุมชนเพื่อนําเสนอข้อมูล ข่าวสาร และความรู้ดา้ นอุบตั ิเหตุแก่คนใน ชุมชน ผ่านกิจกรรมการเพิ่มทักษะการผลิตสื่ อ การสร้างเครื อข่ายสื่ อมวลชน การนําเสนอผูไ้ ด้รับผลกระทบ จากอุ บตั ิเหตุในชุ มชนสู่ สาธารณะในรู ปแบบต่างๆ เช่ น การจัดรายการวิทยุ สกู๊ปข่าว เครื อข่ายสังคม ออนไลน์ และเวทีสาธารณะ ซึ่ งโครงการนี้มีนายรพินทร์ ยืนยาว ซึ่ งมีประสบการณ์การทํางานด้านสื่ อ เป็ น หัวหน้าโครงการ 4) โครงการเสริ มสร้ างการมีส่วนร่ วมของชุ มชน เพื่อร่ วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ทางถนนการ เป็ นโครงการที่ตอ้ งการแก้ไขปั ญหาจุดเสี่ ยงโดยการมีส่วนร่ วมของชุ มชนและอปท. ผ่าน กิจกรรมการสํารวจจุดเสี่ ยง การวิเคราะห์จุดเสี่ ยง การปฏิบตั ิการแก้ไขจุดเสี่ ยง การสร้างผูน้ าํ การ เปลี่ยนแปลงและการ-เชื่ อมโยงการทํางานกับอปท. ซึ่ งโครงการนี้ มีนายสงกา สามารถ นักพัฒนาจาก มูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานีเป็ นหัวหน้าโครงการ 3. เกิ ดความร่ วมมือระหว่างหน่ วยงานภาครัฐ เอกชนและองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ นในการ สนับสนุ นให้เกิดกิจกรรมการสร้างวัฒนธรรมความปลดภัยทางถนนโดยการสนับสนุ นวัสดุอุปกรณ์ในการ จัดกิจกรรม อาทิเช่น หมวกนิรภัย ป้ ายไวนิล เป็ นต้น อย่างไรก็ตาม พบว่าการดําเนิ นโครงการะยะที่ 1 สามารถบรรลุผลสําเร็ จในระดับการสร้างการมี ส่ วนร่ วมของภาคี เครื อข่าย การเชื่ อมร้อยผูค้ นให้มาทํางานร่ วมกัน ทําให้ได้ คนที่ มีใจ มาร่ วมกันทํางาน ด้านความปลอดภัยทางถนนจนเกิดเป็ นกลไกในระดับต่างๆดังกล่าวมาแล้ว แต่เนื่องจากการสร้างวัฒนธรรม ทางถนนต้องอาศัยเวลาและความต่อเนื่องในการดําเนินงาน ดังนั้น การดําเนินงานโครงการในระยะที่ 2 จึง มุ่งเน้นไปที่การติดตามและสนับสนุ นการดําเนิ นงานของทั้ง 4 โครงการย่อย การพัฒนาศักยภาพแกนนํา (Change Agent) ควบคู่ไปกับการสร้างเครื อข่ายการเรี ยนรู้ในด้านวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนนใน ระดับพื้นที่และในระดับจังหวัด ตลอดจนการสังเคราะห์ขอ้ มูลของโครงการวิจยั และใช้ประโยชน์จากการ สังเคราะห์ขอ้ มูล เพื่อนําไปสู่ การเผยแพร่ เป็ นสื่ อในรู ปแบบต่างๆ ได้แก่ วีดีทศั น์ หนังสื อ เวทีสาธารณะ และผลักดันเข้าสู่ นโยบายในระดับต่างๆ


คํานํา

รายงานฉบับสมบูรณ์ฉบับนี้เป็ นการนําเสนอผลการดําเนิ นงานโครงการกระบวนการสร้าง วัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษาและชุมชนรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ตาม สัญญาเลขที่ ACC 3 54008 ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วนั ที่ 1 เมษายน 2554 – วันที่ 31 มีนาคม 2555 เนื้อหาในรายงานประกอบด้วย บทนํา รายละเอียดของกระบวนการวิจยั ผลการดําเนินงาน บทเรี ยน ข้อค้นพบ ปั ญหาอุปสรรค และแผนการทํางานในระยะที่ 2 ซึ่ งจะมุ่งเน้นในเรื่ องของการ การสร้างเครื อข่ายภาคีองค์กรที่เกี่ยวข้องในประเด็นความปลอดภัยบนท้องถนน การติดตามหนุ น เสริ มโครงการวิจยั ในพื้นที่ เพื่อพัฒนาให้โครงการวิจยั ในพื้นที่ท้ งั 4 โครงการเพื่อสามารถเป็ นพื้นที่ ต้นแบบในด้านการสร้ างวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนนในสถาบันอุดมศึกษาและชุ มชน รอบมหาวิทยาลัยซึ่ งจะนําไปสู่ การขยายผลในพื้นที่อื่นๆ ตลอดจนสามารถผลักดันผลการวิจยั ไปสู่ การขับเคลื่อนในระดับนโยบายของท้องถิ่นต่อไป

กาญจนา ทองทัว่ และคณะ


สารบัญ หน้ า บทสรุ ปผูบ้ ริ หาร คํานํา สารบัญ บทที่ 1 บทนํา 1.1 ความเป็ นมาและความสําคัญของปั ญหา 1.2 หลักการสําคัญ 1.3 วัตถุประสงค์ 1.4 พื้นที่เป้ าหมาย 1.5 กลุ่มเป้ าหมาย 1.6 ระยะเวลาในการดําเนินงาน 1.7 แผนการดําเนิ นงาน 1.8 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1.9 ผูเ้ สนอโครงการ 1.10 ที่ปรึ กษาโครงการ 1.11 ผูร้ ับผิดชอบโครงการ 1.12 ทีมประเมินภายใน 1.13 หน่วยงาน/องค์กรภาคีที่ร่วม

ก ค ง 1 1 3 3 4 5 5 5 6 7 7 7 7 7

บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้ อง 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมความปลอดภัย (Safety Culture) 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับอุบตั ิเหตุ 2.3 แนวคิดพฤติกรรมของผูข้ บั ขี่ยานพาหนะ 2.4 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนร่ วมของชุมชน 2.5 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการ ‘จุดเสี่ ยง’ ทางถนนในชุมชน 2.6 แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับภาวะผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลง 2.7 ผลงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง

9 9 11 18 20 28 50 54


บทที่ 3 กระบวนการดําเนินงาน 3.1 กระบวนการค้นหาคณะทํางานหลัก 3.2 กระบวนการค้นหาและชักชวนแกนนํา (Change Agent) 3.3 กระบวนการพัฒนาแกนนํา 3.4 เครื่ องมือและเทคนิคที่ใช้ในการพัฒนาแกนนํา 3.5 กระบวนการพัฒนาโจทย์วิจยั โครงการย่อย 3.6 กระบวนการเชื่อมประสานภาคีเครื อข่ายในพื้นที่ 3.7 กระบวนการเชื่อมโยงโครงการทํางานของชุดโครงการ 3.8 แหล่งข้อมูล และวิธีการเก็บข้อมูล 3.9 การวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล

หน้า 57 57 58 60 63 63 64 65 66 66

บทที่ 4 ผลการดําเนินงานในระยะที่ 1 4.1 การก่อเกิดของกลไกการดําเนินงานโครงการ 4.2 การค้นหา ภาคี เครื อข่าย 4.3 การสร้างความเข้าใจร่ วมกัน 4.4 การพัฒนาศักยภาพของแกนนํา 4.5 การพัฒนาโครงการย่อยในชุดโครงการ 4.6 ชุดข้อมูลความรู ้เบื้องต้นในพื้นที่ดาํ เนินการทั้ง 6 อปท. 4.7 ตารางสรุ ปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม

67 68 73 75 78 80 90 100

บทที่ 5 สรุ ปบทเรี ยนและแผนการดําเนินงานในระยะที่ 2 5.1 บทเรี ยนที่ได้จากการดําเนิ นโครงการ 5.2 ข้อจํากัดในการดําเนินงานโครงการ 5.3 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากเริ่ มดําเนินงานโครงการ

118 119 120 120

5.4 ปั จจัยเงื่อนไขความสําเร็ จและไม่สาํ เร็ จ 5.5 สถานะผลการดําเนินงานของโครงการย่อยทั้ง 4 โครงการ 5.6 ปั ญหา อุปสรรค 5.7 แผนการดําเนิ นงานในระยะที่ 2 บรรณานุกรม ภาคผนวก

121 122 125 126 134 136

0


บทที่ 1 บทนํา 1.1 ความเป็ นมาและความสํ าคัญของปัญหา อุบตั ิเหตุทางท้องถนนได้คร่ าชี วิตของผูค้ นลงอย่างน่าเศร้าสลดในทุกประเทศทัว่ โลก ตาม รายงานสถานภาพโลกในด้านความปลอดภัยทางถนนขององค์การอนามัยโลกในปี 2551 ได้ระบุ ว่าในแต่ละปี มีผูค้ นจํานวนมากกว่า 1.2 ล้านคนเสี ยชี วิตจากอุบตั ิ เหตุ ตามท้องถนนและมี ผูค้ น จํานวน 20 – 50 ล้านคนได้รับบาดเจ็บ การบาดเจ็บจากการจราจรทางถนนยังคงระบาดเพิ่มขึ้น เรื่ อยๆ และยังเป็ นปั ญหาด้า นสาธารณสุ ข ทัว่ โลกโดยเฉพาะประเทศกํา ลัง พัฒนาที่ป ระชาชนมี รายได้ต่าํ และปานกลาง นอกจากนี้ ยังพบว่าผูเ้ สี ยชีวิตจากอุบตั ิเหตุบนท้องถนนครึ่ งหนึ่งเป็ นคน เดินถนน คนขี่รถจักรยานและรถจักรยานยนต์ที่องค์การอนามัยโลกมองว่าเป็ นกลุ่ม “ผูใ้ ช้ถนนที่มี ภาวะความเสี่ ยงสู ง”และควรต้องได้รับการเอาดูแลเอาใจใส่ เป็ นพิเศษจากภาครัฐ ประเทศไทยเป็ นประเทศหนึ่ งที่ มีปัญหาด้า นความปลอดภัยทางถนนหรื ออุ บตั ิเหตุทาง การจราจร ดังจะเห็นจากรายงานสถิ ติคดีอุบตั ิเหตุจราจรของสํานักงานตํารวจแห่ งชาติในช่ วงเวลา 10 ปี ที่ผา่ นมา คือ ระหว่างปี พ.ศ. 2542 – 2552 พบว่า อัตราการเสี ยชีวิตจากอุบตั ิเหตุทางถนนของ ประเทศไทยเฉลี่ ยเป็ นปี ละ 20 คนต่อประชากรหนึ่ งแสนคน และจากรายงานการศึกษาของกรม ทางหลวงเมื่อปี 2550 พบว่ามีมูลค่าความสู ญเสี ยทางเศรษฐกิจจากปั ญหาอุบตั ิเหตุจราจรทางบกรวม ทั้งสิ้ นปี ละ 232,855 ล้านบาท หรื อประมาณร้อยละ 2.81 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งประเทศ ซึ่ งจาก ตัวเลขของการสู ญเสี ยดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าอุบตั ิเหตุได้นาํ มาซึ่ งความสู ญเสี ยอย่างมหาศาลของ ประเทศชาติ จังหวัดอุบลราชธานี เป็ นอีกจังหวัดหนึ่ งที่กาํ ลังเผชิ ญปั ญหาอุบตั ิเหตุทางถนน ดังจะเห็น ได้จากรายงานสถิติการเกิดอุบตั ิเหตุทางถนนของสถานีตาํ รวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ในช่วงเดือน มกราคม 2553 ถึงตุลาคม 2553 พบว่ามีการเกิดอุบตั ิเหตุทางถนน จํานวน 499 ราย มีผไู้ ด้รับ ความเสี ยหาย จํานวน 847 คน แยกเป็ นเสี ยชีวิ ต 148 คน บาดเจ็บ 699 คน มีทรัพย์เสี ยหายรวม ทั้งสิ้ น จํานวน 9,551,070 บาท โดยอําเภอวาริ นชําราบ มีทรัพย์สินเสี ยหายมากที่สุด จํานวน 3,375,270 บาท ประเภทรถที่ เกิ ดอุบตั ิเหตุมากที่สุด คือ รถจักรยานยนต์ จํานวน 462 ราย สาเหตุ การเกิ ดอุบ ตั ิเหตุ มากที่ สุด คือ การขับ รถเร็ วเกิ นอัตรา โดยอําเภอเมืองอุบลราชธานี เกิ ด อุบตั ิเหตุมากที่สุด จํานวน 145 ราย รองลงมา คือ อําเภอวาริ นชําราบ จํานวน 101 ราย โดย แต่ละปี จังหวัดอุบลราชธานีจะสู ญเสี ยมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่าํ กว่า สิ บล้านบาท นอกจากผูข้ บั ขี่ยานพาหนะที่ได้รับความเสี ยหายแล้ว พบว่ามีผโู้ ดยสารที่ได้รับผลกระทบ จากอุบตั ิเหตุทางถนนจํานวนไม่นอ้ ยทีเดียวที่ตอ้ งเผชิญกับความสู ญเสี ยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากอ รายงานการศึกษาของกลุ่มนักศึกษาแพทย์ช้ ันปี ที่ 5 และคณาจารย์ประจําศูนย์วิจยั โรงพยาบาล


2 สรรพสิ ทธิ ประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ที่ได้ศึกษาเรื่ องพฤติกรรมของผูโ้ ดยสารรถจักยานยนต์ กับความรุ นแรงของการบาดเจ็บจากการเกิดอุบตั ิเหตุรถจักรยานยนต์ในผูป้ ่ วยที่เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลสรรพสิ ทธิ ประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานีในช่วงเดือนมีนาคม ถึงเดือนสิ งหาคม 2553 ซึ่ ง ผลการศึ ก ษาพบว่า พฤติ ก รรมของผูโ้ ดยสารรถจัก รยานยนต์ที่ มี ผลต่ อความรุ นแรงของการ บาดเจ็บ ได้แก่ การนัง่ ข้าง 4.8% การสวมหมวกนิรภัย 4.3% การดื่มแอลกอฮอล์ 37.2% การ สวมใส่ เสื้ อผ้าที่เหมาะสม 39.6% ส่ วนช่วงอายุที่ได้รับบาดเจ็บอยูร่ ะหว่าง 15 – 59 ปี และช่วงอายุ ที่เกิดอุบตั ิเหตุมากที่สุดอยูใ่ นช่วงวัยรุ่ นซึ่งส่ วนใหญ่เป็ นนักเรี ยนและนักศึกษา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็ นสถาบันอุดมศึกษาแห่ งหนึ่ งในจังหวัดอุบลราชธานีที่กาํ ลัง เผชิ ญกับปั ญหาอุบตั ิเหตุทางถนนของนักศึกษา เนื่ องมาจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ต้ งั อยู่บน ถนนสายวาริ นชําราบ – เดชอุดม ที่มีรถยนต์สัญจรไปมาจํานวนมากทั้งรถบรรทุกหกล้อ สิ บล้อและ รถพ่วงเนื่องจากเป็ นถนนสายหลักที่ใช้ในการขนส่ งผลผลิตทางการเกษตรที่สําคัญจากอําเภอนํ้ายืน ซึ่ งเป็ นอําเภอที่อยูต่ ิดกับชายแดนและมีการปลูกพืชเศรษฐกิจเข้าสู่ ตวั เมืองอุบลราชธานีและส่ งต่อไป ยังจังหวัดต่างๆ การขับขี่ที่ใช้ความเร็ วสู งและการบรรทุกสิ นค้าเกินนํ้าหนักทําให้สภาพถนนชํารุ ด เป็ นหลุ ม เป็ นบ่ อ ซึ่ งเป็ นอันตรายและเสี่ ย งที่ จ ะเกิ ดอุ บ ตั ิ เ หตุ ประกอบกับ พฤติ ก รรมการขับ ขี่ รถจักรยานยนต์ของนักศึกษาที่อาจารย์และเจ้าหน้าที่กองกิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้ทาํ การศึกษาพบว่า นักศึกษาที่ได้รับอุบตั ิเหตุทางถนนมักมีพฤติกรรมไม่เคารพกฎจราจร ขับขี่ ย้อนศร ดื่ มเครื่ องดื่ มแอลกอฮอล์ ขับขี่ไม่สวมหมวกนิรภัย ตกแต่งและดัดแปลงรถจักรยานยนต์ และขับขี่ดว้ ยความประมาท จากสถานการณ์ ปั ญหาดัง กล่ า ว ทํา ให้ก องกิ จการนัก ศึ ก ษามหาวิท ยาลัย อุ บ ลราชธานี พยายามแก้ไขปั ญหาการเกิ ดอุบตั ิ เหตุ ทางถนนของนักศึก ษาโดยการจัดกิ จกรรมเพื่อลดการเกิ ด อุบตั ิเหตุ ได้แก่ การจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับกฎจราจรและการขับขี่อย่างปลอดภัยแก่นกั ศึกษา การเข้าค่ายพิเศษสําหรับเด็กนักศึกษาที่กระทําผิดวินยั จราจร การจัดทําโครงการ UBU WATCH ร่ วมกับตํารวจเพื่อตรวจจับร้านเหล้า การจัดเวรยามสายตรวจดูแลความปลอดภัยของนักศึกษา การ จัดตั้งชมรมสร้างวินยั เพื่อป้ องกันภัยตนเอง เป็ นต้น อย่างไรก็ตาม พบว่าการจัดกิจกรรมดังกล่าว สามารถแก้ไขปั ญหาได้ระดับหนึ่ง แต่การเกิดอุบตั ิเหตุทางถนนของนักศึกษาก็ยงั ปรากฏให้เห็นอยู่ เรื่ อยมา นอกจากนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่ได้รับ อันตรายจากอุบตั ิ เหตุทางถนนแล้ว พบว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีซ่ ึ งมีท้ งั หมด 11 หมู่บา้ น ก็ได้รับความ เสี ย หายทั้ง ชี วิต และทรั พ ย์สิ นจากอุ บ ตั ิ เหตุ ท างถนนด้วยเช่ นกัน โดยเฉพาะบนถนนที่ เชื่ อมต่ อ ระหว่างหมู่บา้ นที่อยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นนั้น พบว่ามีการเกิ ดอุบตั ิเหตุ เพิ่มขึ้น ดังจะเห็ นได้จากรายงานสถิ ติของการเกิ ดอุบตั ิเหตุจราจรทางถนนของสถานี ตาํ รวจภูธร จังหวัดอุบลราชธานี ในช่ วงเดื อนมกราคม ถึ งตุลาคม 2553 พบว่ามีการเกิดอุบตั ิเหตุบนถนนของ


3 องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ นซึ่ งดูแลโดยเทศบาลและองค์การบริ หารส่ วนตําบล มากถึง 178 ราย เมื่อเปรี ยบเทียบกับอุบตั ิเหตุที่เกิดขึ้นบนถนนทางหลวง จํานวน 60 ราย สถิติดงั กล่าวสอดคล้อง กับการรายงานการเกิดอุบตั ิเหตุของประเทศในช่วงปี 2546 – 2550 ที่พบว่าสถิติการเสี ยชี วิตบน ถนนทางหลวงหรื อถนนสายหลัก ของประชาชนได้ลดลง แต่ก ลับ พบว่ามี การเสี ยชี วิตบนถนน องค์ ก รปกครองส่ ว นท้อ งถิ่ น หรื อถนนสายรองที่ อ ยู่ใ นชุ ม ชนเพิ่ ม มากขึ้ น อย่า งต่ อ เนื่ อ ง ซึ่ ง สถานการณ์ดงั กล่าวแสดงให้เห็นว่า การแก้ไขปั ญหาอุบตั ิเหตุมีความจําเป็ นต้องเร่ งสร้างวัฒนธรรม ความปลอดภัยบนถนนให้กบั ประชาชน โดยชุมชน และท้องถิ่น ต้องเข้ามามีส่วนร่ วมในการแก้ไข ปั ญหาอุบตั ิเหตุของถนนในชุมชนของตนเอง ดังนั้น การที่จะแก้ไขปั ญหาอุบตั ิเหตุจราจรทางถนนได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพและลดการ สู ญเสี ยชี วิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างแท้จริ งนั้น โครงการจึงมีความเห็นว่าทุกๆฝ่ ายที่ เกี่ ย วข้อ งทั้ง ผู ้บ ริ ห าร อาจารย์ นัก ศึ ก ษา เจ้า หน้า ที่ องค์ก รปกครองส่ ว นท้อ งถิ่ น ชุ ม ชน หน่วยงานในระดับจังหวัดและเครื อข่ายภาคีในการป้ องกันอุบตั ิเหตุของจังหวัดอุบลราชธานีตอ้ งเข้า มามีส่วนร่ วมในการขับเคลื่ อนการสร้ างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนให้เกิ ดขึ้นอย่างจริ งจัง และต่อเนื่องทั้งในระดับพื้นที่และระดับนโยบาย 1.2 หลักการสํ าคัญ 1. เน้นพัฒนากระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะเรื่ องวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน โดยเน้นกระบวนการร่ วมคิด ร่ วมทํา จากเครื อข่ายทุก ภาคส่ วนควบคู่ไปกับประสานกับองค์ก ร ปกครองส่ วนท้องถิ่นและสถาบันการศึกษา 2. เน้นการมี ส่วนร่ วมในการขับเคลื่อนงานจาก 3 ภาคส่ วน ได้แก่ ภาควิชาการ - ภาครัฐ ภาคการเมื อ งท้อ งถิ่ น และภาคประชาชนหรื อ ประชาสั ง คม โดยเน้น การทํา งานร่ ว มกัน ด้ว ย ความสัมพันธ์ในแนวราบตามศักยภาพและบทบาทของแต่คนแต่ละองค์กร 3. ใช้ฐานข้อมูลและกระบวนการวิจยั เพื่อท้องถิ่นเป็ นเครื่ องมือสําคัญในการขับเคลื่อนให้ เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน 4. ร่ วมสร้ างข้อเสนอ ข้อตกลง ที่ได้รับการยอมรับร่ วมกันจากทุกภาคส่ วน และสามารถ นําไปปฏิบตั ิได้จริ งตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละภาคส่ วน 1.3 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อสนับสนุ นให้นักวิชาการ นักศึ กษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี รวมทั้งภาคี เครื อข่าย ชุ มชน อปท.รอบๆมหาวิทยาลัย เข้า มามี ส่วนร่ วมในการดํา เนิ นการแก้ไ ข ปั ญหาความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษาและชาวบ้าน


4 2. เพื่อพัฒนาให้เกิดระบบการจัดการฐานข้อมูลที่เหมาะสมเรื่ องความปลอดภัยทางถนน อย่างมีส่วนร่ วมของภาคีเครื อข่าย 3. เพื่อแสวงหา และพัฒนาศักยภาพแกนนํา Change Agent ในด้านการสร้างวัฒนธรรม ความปลอดภัยทางถนนในพื้นที่ อปท. 6 แห่ง 4. เพื่อสนับสนุ น ติดตามและหนุ นเสริ มให้เกิดโครงการและงานวิจยั เพื่อท้องถิ่ นด้านการ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนให้ได้อย่างน้อย 4 โครงการ 5. เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ ชุดความรู้ จากการดํา เนิ นโครงการทั้ง 4 โครงการเพื่ อ ขับเคลื่อนสู่ การสร้างกระบวนการนโยบายสาธารณะด้านความปลอดภัยทางถนน 1.4 พืน้ ทีเ่ ป้าหมาย 1. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อําเภอวาริ นชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี 2. ชุ มชนที่อยูบ่ ริ เวณพื้นที่โดยรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อําเภอวาริ นชําราบ จังหวัด อุบลราชธานี จํานวน 11 หมู่บา้ น 3. พื้นที่ อปท. 6 แห่ ง ได้แก่ เทศบาลตําบลศรี ไค อบต.ธาตุ อบต.โพธิ์ ใหญ่ อบต.คําขวาง เทศบาลตําบลแสนสุ ข อบต.คูเมือง อําเภอวาริ นชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี 4. ถนนวาริ น-เดช ช่วงตั้งแต่ตลาดอุบลเจริ ญศรี ถึงเทศบาลตําบลศรี ไค อําเภอวาริ นชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี


5 1.5 กลุ่มเป้าหมาย 1. นักศึกษาทุกชั้นปี ของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2. อาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 3. ชุมชน 11 หมู่บา้ นรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 4. องค์การบริ หารส่ วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่รอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 1.6 ระยะเวลาในการดําเนินงาน ระยะที่ 1 เป็ นเวลา 12 เดือน ระยะที่ 2 เป็ นเวลา 16 เดือน 1.7 แผนการดําเนินงาน ในการดําเนินโครงการจะมีการดําเนินงานใน 6 แผนงานดังนี้ 1. แผนงานพัฒนากลไกการลดอุบตั ิเหตุในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2. แผนงานพัฒนาโครงการและงานวิจยั การติดตาม หนุนเสริ ม 3. แผนงานพัฒนาศักยภาพคนทํางาน 4. แผนงานผลักดันสู่ นโยบายสาธารณะ 5. แผนงานสื่ อสารสาธารณะ 6. แผนประเมินผลภายใน 7. แผนงานบริ หารจัดการ ระยะที1่ จะเป็ นการค้นหาภาคี เครื อข่าย เพื่อจัดทําฐานข้อมูล คนทํางาน ข้อมูลความรู้เพื่อ ศึกษาสถานการณ์ สร้างความร่ วมมือระหว่างหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งระดับพื้นที่และจังหวัด ได้มาร่ วมกันแลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้ประสบการณ์การทํางานด้านอุบตั ิเหตุ แสวงหาและพัฒนาศักยภาพ แกนนํา Change Agent และพัฒนาให้เกิ ดโครงการ งานวิจยั 4 โครงการที่ ส ามารถพัฒนาให้ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ไปสู่ การเป็ นพื้นที่ตน้ แบบในด้านการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทาง ถนนได้รวมทั้งการพัฒนาเครื อข่ายให้เป็ นนักข่าวอาสาเพื่อใช้การสื่ อสารสาธารณะในการสร้ าง กระแสและขับ เคลื่ อนประเด็นวัฒนธรรมความปลอดภัย ทางถนนให้เป็ นนโยบายสาธารณะใน ท้องถิ่น ระยะที่ 2 เน้นการติดตาม สนับสนุนงานทั้ง 4 โครงการ พัฒนาศักยภาพโครงการโดยการ ประเมินแบบเสริ มพลังเพื่อให้เกิดการเรี ยนรู้ แก้ไข ตัดสิ นใจร่ วมกันในการดําเนินโครงการ และจัด ให้มีเวทีสาธารณะเพื่อสื่ อสารกับสังคม จัดกระบวนการผลักดันแผนงาน กระบวนการการสร้ าง วัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนสู่ นโยบายสาธารณะในระดับท้องถิ่น จังหวัด


6 แผนผังกรอบแนวคิด

1.8 ผลทีค่ าดว่ าจะได้ รับ 1. เกิดต้นแบบและภาคีเครื อข่ายลดอุบตั ิเหตุการทํางานด้านอุบตั ิเหตุจราจรโดยการมีส่วน ร่ วมใน สถาบันการศึกษาและพื้นที่ของภาคีเครื อข่าย 2. เกิดการสร้างกระบวนการเรี ยนรู้และภาคีเครื อข่ายในการแก้ไขอุบตั ิอย่างมีส่วนร่ วมใน มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและเขตพื้นที่องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นรอบๆมหาวิทยาลัย 3. เกิดกลุ่มวิทยากร แกนนํา เป็ นผูน้ าํ ในการเปลี่ยนแปลง(change Agent) ที่มาจาก สอจร. ,อปท. ,ภาคีเครื อข่าย นักศึกษา อาจารย์ เจ้าหน้าที่ ในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 4. เกิ ดระบบการจัดการฐานข้อมูลที่เหมาะสมในเรื่ องความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างมี ส่ วนร่ วมระหว่างองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


7 5. เกิดชุดความรู ้ในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยบนถนน 6. เกิดข้อเสนอเชิงนโยบายสู่ ยทุ ธศาสตร์ ขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นและระดับจังหวัด 1.9 ผู้เสนอโครงการ สถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น มูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี 1.10 ทีป่ รึกษาโครงการ 1. นายสุ รพล สายพันธ์ ผูว้ า่ ราชการจังหวัดอุบลราชธานี 2. นายแพทย์นิรันดร์ พิทกั ษ์วชั ระ กรรมการสิ ทธิ มนุษยชน 3. รศ.ดร.นงนิตย์ ธี ระวัฒนสุ ข อธิ การบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 1.11 ผู้รับผิดชอบโครงการ 1. นางสาวกาญจนา ทองทัว่ ผูอ้ าํ นวยการสถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นฯ 2. นางชุติมา จันทรมณี เจ้าหน้าที่สถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นฯ ที่อยู่ 126 อุปราช อ.เมือง จ.อุบลราชธานี 34000 1.12 ทีมประเมินภายใน ผศ.ดร.อินทิรา ซาฮีร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและคณะ 1.13 หน่ วยงาน/องค์ กรภาคีทรี่ ่ วม 1. คณะกรรมการสนับสนุน ป้ องกันอุบตั ิเหตุทางถนนระดับจังหวัด (สอจร.) 2. อาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 3. องค์การบริ หารส่ วนจังหวัดอุบลราชธานี 4. สํานักงานป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุบลราชธานี 5. สถานีตาํ รวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี 6. สถานีตาํ รวจภูธรวาริ นชําราบ จ.อุบลราชธานี 7. สํานักงานขนส่ งจังหวัดอุบลราชธานี 8. สํานักงานแขวงการทางจังหวัดอุบลราชธานี 9. สํานักงานทางหลวงชนบทจังหวัดอุบลราชธานี 10.โรงพยาบาลสรรพสิ ทธิ ประสงค์ อุบลราชธานี 11. องค์การบริ หารส่ วนตําบลธาตุ อ.วาริ นชําราบ จ.อุบลราชธานี 12. องค์การบริ หารส่ วนตําบลโพธิ์ ใหญ่ อ.วาริ นชําราบ จ.อุบลราชธานี


8 13. องค์การบริ หารส่ วนตําบลคูเมือง อ.วาริ นชําราบ จ.อุบลราชธานี 14. เทศบาลตําบลเมืองศรี ไค อ.วาริ นชําราบ จ.อุบลราชธานี 15. เทศบาลตําบลแสนสุ ข อ.วาริ นชําราบ จ.อุบลราชธานี 16. เทศบาลตําบลคําขวาง อ.วาริ นชําราบ จ.อุบลราชธานี 17. โรงพยาบาลวาริ นชําราบ อ.วาริ นชําราบ จ.อุบลราชธานี 18. ศูนย์อนามัยที่ 7 อุบลราชธานี 19. ชมรมศิษย์พระอรหันต์จ้ ีกง 20. มูลนิธิสว่างบูชาธรรมสถาน 21. มูลนิธิการกุศลจังหวัดอุบลราชธานี (จีตมั เกาะ) 23. บริ ษทั กลางคุม้ ครองผูป้ ระสบภัยจากรถ จํากัด 24. ศูนย์บริ การทางการแพทย์ฉุกเฉิ น 1669


บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้ อง ในการศึกษา เรื่ อง “โครงการกระบวนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของ นักศึกษาและชุ มชน รอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ”ในครั้งนี้ ผูศ้ ึกษาได้รวบรวมแนวคิด ทฤษฎี ตลอดจนเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนํามากําหนดเป็ นกรอบ และแนวทางในการศึกษาดังต่อไปนี้ 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมความปลอดภัย 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับอุบตั ิเหตุ 2.3 แนวคิดพฤติกรรมของผูข้ บั ขี่ยานพาหนะ 2.4 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนร่ วมของชุมชน 2.5 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการจุดเสี่ ยงทางถนนในชุมชน 2.6 แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับภาวะผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลง 2.7 ผลงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 2.1 แนวคิดเกีย่ วกับวัฒนธรรมความปลอดภัย (Safety Culture) จากการศึกษาประเทศที่ประสบความสําเร็ จด้านการจัดการความปลอดภัยทางถนนพบว่ามี พื้นฐานร่ วมกันสิ่ งหนึ่ งคือการปฏิเสธที่จะยอมรับโดยสังคมว่าการบาดเจ็บและการตายอันเนื่องมา จากอุบตั ิเหตุทางถนนเป็ นผลลัพธ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แนวคิดดังกล�าวนําไปสู �การแสวงหา ทางออกของสังคมเพื่อการแก้ปัญหาจากทุกภาคส่ วนที่เกี่ยวข้องในการที่จะเดินหน้าไปสู่ เป้ าหมาย ในการลดการตายและการบาดเจ็บบนท้องถนน และมุ่งสู่ ความพยายามที่จะเข�าไปมีส่วนร่ วมใน การกําหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน โดยไม่�จํากัดเฉพาะการแก้ปัญหาที่คน หรื อถนน หรื อยานพาหนะ แต่เป็ นการทํางานรวมกันของทุกปัจจัย ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่�าแนวคิดเรื่ องวัฒนธรรมความปลอดภัยได้�สะท้อนภาพการ ทํางานในลักษณะดังกล่าวของประเทศที่ประสบความสําเร็ จ โดย Wiegmann และคณะ (2002) ได้ ให้�นิยาม วัฒนธรรมความปลอดภัยไว้วา่ “วัฒนธรรมความปลอดภัยเป็ นคุณค่าความปลอดภัยที่ คงอยู่�และถู กกําหนดไว้�ในจิตสํานึ กของทุกคน จากทุกกลุ่�ม และในทุกระดับขององค์กร วัฒนธรรมได้บ่งชี้ ถึงบุคคลหรื อกลุ่มบุคคลที่มีความมุ่�งมัน่ ในอันที่จะรักษา ส่ งเสริ ม และสื่ อสาร เกี่ ยวกับความปลอดภัยภายในบุคคลหรื อองค์�กร และแสวงหาแนวทางเพื่อพัฒนาการเรี ยนรู้ � ปรับเปลี่ ย นหรื อปรั บ ปรุ งการกระทํา ซึ่ งได้� จากการเรี ยนรู้ �จากข้ออผิดพลาด และได้�รั บ ผลตอบแทนในคุณค่�าที่มุ่งหวังไว้�” สําหรับความปลอดภัยทางถนนนั้น การสร้างวัฒนธรรม ความปลอดภัยหมายถึ งการสร้างความเข้�าใจถึงผลลัพธ์�ที่คาดว่�าจะตามมาจากการกระทํา


10 หรื อการตัดสิ นใจของ คนหรื อองค์�กร ซึ่ งส่ งผลต่อความปลอดภัยทั้งกับตนเองและผู� ้ อื่น ตัวอย่ �างช่�น 1. วิศวกรที่มีหน�าที่ในการออกแบบถนนจะต้�องคํานึงถึงข้�อจํากัดของผู� ้ ขับขี่ใน การจะเลือกวาง แนวทางของถนน หรื อการกําหนดป้ �ายที่เหมาะสมเพื่อลดความผิดพลาดที่อาจ เกิดขึ้นได้�ทั้งจากอันตรายที่เกิดขึ้นกับผู� ้ ขับขี่เองหรื อกับผูใ้ ช้�ถนนคนอื่นๆ 2. การสร้�างสังคมแห่ �งการมีน้ าํ ใจที่ยอมรับการแบ่งปั นพื้นที่ถนนให้�กับผูใ้ ช้รถใช้ ถนนทุกประเภทให้�สามารถใช้�ถนนได้�โดยปลอดภัย 3. การที่ผ� ู้ ซื้ อรถได้�รับข้�อมูลเพื่อช่�วยในการตัดสิ นใจในการเลือกรถที่ปลอดภัย ่ ได้ และเหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู� แนวคิดเรื่ องระบบที่เอื้อต�อความปลอดภัย (Safe System) ร่ �างกายของมนุ ษย์�มีวิวฒั นาการจากการเป็ �นสิ่ งมีชีวิตที่เดินสองขามาเป็ �นระยะ เวลานานหลายแสนปี � ความเคยชิ นต่�อการเดินทางที่ไม่�เกิ นจากขีดจํากัดที่ร่�างกายของ มนุ ษย์�จึงเป็ �นสิ่ งที่ถูกคาดหวังว่�าจะเป็ �นเช่�นนั้น จนกระทัง่ มีการพัฒนายานพาหนะ ขึ้ นมา ยานพาหนะทํา ให�มนุ ษย์�สามารถเดิ นทางได้�เร็ วกว่�าที่ ขีดจํากัดของร่ �างกาย มนุษย์�ที่ธรรมชาติได้�ออกแบบไว้� ความเร็ วที่ตอ้ งการการประมวลผลของสายตา สมอง กล้ �ามเนื้ อ ของร่ � างกายที่ แ ม่ � นยํา และถู ก ต้� องอยู่� ตลอดเวลา ทํา ให้� มนุ ษ ย�ไม่ � สามารถตอบสนองได้� ทันและมี โอกาสที่ จะเกิ ดความผิดพลาดขึ้ นมาได้� ความผิดพลาดที่ เกิดขึ้นเป็ �นความผิดพลาดที่มีผลลัพธ์ในขั้นรุ นแรง และเกินกว่�าร่ �างกายมนุษย์�จะทนต่� อ แรงกระทําเหล่�านั้นได้ การสร้�างสมดุลภายใต้�หลักคิดที่ยอมรับขีดจํากัดของมนุษย์� ทั้งใน เชิ ง ความผิ ด พลาดที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการขับ ขี่ และความบอบบางของร่ � างกายมนุ ษ ย์� เป็ � นหลักการขั้นพื้นฐานของ แนวคิดระบบที่เอื้ อต่�อความปลอดภัย (Safe System) อันหมายถึ ง ระบบที่ออกแบบเพื่อรองรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการขับขี่ และการป้ องกันอันตรายที่จะส่ � งผลต่�อร่ �างกายของมนุ ษย์�ที่ไม่�สามารถทนต่�อแรงกระทําที่เกิดขึ้นได้� แนวคิดเชิ ง ระบบที่เอื้ อต่�อความปลอดภัยเชื่ อว่า หากมี ระบบที่ เอื้อต่อความปลอดภัยแล้�ว การบาดเจ็บ รุ นแรง หรื อเสี ยชีวติ อันเนื่องมาจากความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ก็จะลดลงไปเช่�นเดียวกัน “คนขับ ขี่ ที่ มี คุ ณ ภาพระดับ (เคารพในกฎหมาย) ที่ ขบั ขี่ อยู� บนยานพาหนะที่ มี ความ ปลอดภัยระดับห้�าดาว บนถนนที่มีคุณภาพในระดับห้�าดาว ที่มีการกําหนดขีดจํากัดความเร็ วที่ เหมาะสมกับสภาพแวดล�อมด้านข้�างของถนนในระดับห้าดาว ทั้งผู� ้ ขับขี่หรื อผู� ้ ใช้�ถนน ไม่ควรต้�องเสี ยชีวติ เพียงเพราะสาเหตุจากความผิดพลาดเพียงเล็กน้�อยจากคนเหล่�านั้น” แนวคิดระบบที่เอื้อต่�อความปลอดภัย เน้�นการป้ �องกันปั �ญหาความบาดเจ็บจาก แรงกระทําที่


11 เกิ นขี ดจํา กัดที่ ร่� างกายมนุ ษ ย์จะทนได้� โดยมุ่�งเป้ �าไปที่ อุบตั ิ เหตุ เฉพาะกลุ่ มที่ มี ความ รุ นแรงสู ง และให้�ความสําคัญกับการควบคุมหรื อสนับสนุ นให้�มีปัจจัยที่เอื้อต่�อการลดการ บาดเจ็บรุ นแรง ระบบดังกล่�าวชี้ให้�เห็นถึงความสําคัญของสิ่ งต่�อไปนี้ 1. การวิเคราะห์การชนและการพัฒนาความเข้าใจถึงสาเหตุเชิ งลึกของการชนเป็ �นสิ่ งที่ จําเป็ นและหน่�วยงานด้านความปลอดภัยทางถนนต้องดําเนินการอย่�างต่อเนื่อง 2. เพื่อการเดิ นทางที่ปลอดภัย กฎเกณฑ์�ในการใช้ถนนอย่�างปลอดภัยและมาตรการ ในการ บังคับใช้�เป็ นสิ่ งจําเป็ �นเพื่อให้�เกิดการปฏิบตั ิตาม 3. มีระบบในการดูแลด้�านคุณภาพของการออกใบขับขี่ 4. การจัดการความรู ้ � แก่ � ชุ ม ชนที่ มุ่ � งเน้นการสื่ อสารเพื่อ ให้� ความรู้ และการ ตระหนักถึงความสําคัญด้านความปลอดภัยทางถนนเป็ นสิ่ งจําเป็ น เพื่อรักษาระบบการขนส่ �งที่ ปลอดภัยให้�คงไว้� 2.2 แนวคิดเกีย่ วกับอุบัติเหตุ 2.2.1 ความหมายของอุบัติเหตุ อุบตั ิเหตุ : อุบตั ิเหตุตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึงเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดโดยความบังเอิญ ซึ่ งองค์การอนามัยโลกได้ให้คาํ จํากัดความของ อุบตั ิเหตุ ว่า An accident is an unpremeditated event resulting in recognizable damage อุบตั ิเหตุจากการขนส่ งหรื อการจราจร (transportation or traffic accidents) หมายถึงเหตุที่ เกิดขึ้นเนื่องจากการคมนาคม หรื อการขนส่ ง ได้แก่ (สาธิต อินตา, 2546) 1. อุบตั ิเหตุจากรถยนต์ในการจราจร 2. อุบตั ิเหตุจากรถไฟ 3. อุบตั ิเหตุในการขนส่ งทางนํ้า 4. อุบตั ิเหตุในการขนส่ งทางอากาศ ในจํานวนนี้อุบตั ิเหตุที่ก่อให้เกิดปั ญหามากที่สุดในด้านปริ มาณคือ อุบตั ิเหตุจากยานยนต์ ในการจราจร การสู ญเสี ยจากการเกิดอุบตั ิเหตุก่อให้เกิดการสู ญเสี ยหายขึ้นได้หลายทาง คือ 1. ความสู ญเสี ยทางกาย (human loss) ในที่น้ ีหมายถึง 1.1 ผูป้ ระสบอุบตั ิเหตุถึงแก่ชีวติ (death) 1.2 ผูบ้ าดเจ็บ 2. ความสู ญเสี ยทางจิตและสังคม (psychological and social loss)ความสู ญเสี ยทางจิตและ สังคมนี้ กล่ าวได้ว่าเป็ นความสู ญเสี ยที่ไม่อาจเห็นได้ดว้ ยตาเราเพราะเป็ นนามธรรม ขึ้นอยู่กบั ความคิด ความรู ้สึก ของผูป้ ระสบอุบตั ิเหตุ หรื อของสังคมนั้น ๆความสู ญเสี ยทางจิตและสังคมนี้


12 ได้แก่ ความเจ็บป่ วย ความเสี ยใจ ความเป็ นทุกข์ ความหวาดกลัวการเสี ยขวัญ การเสี ยจริ ต จิตฟั่น เฟื อน การถูกตัดออกจากสังคม และการถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว เป็ นต้น ความสู ญเสี ยเหล่านี้ไม่อาจ ทดแทนกันได้ดว้ ยเงิน และยังเป็ นผลให้ไม่อาจทํางาน หรื อ ดํารงชีวติ ได้ตามปกติอีกด้วย 3. ความสู ญเสี ยทางด้านเศรษฐกิจของชาติ (economic loss) ซึ่ งได้มีการประเมินออกมาเป็ น จํานวนเงินหลายพันล้านบาท และนอกจากนี้ การเกิดอุบตั ิเหตุในแต่ละครั้ง ทําให้เสี ยเวลาฟ้ องร้อง เป็ นคดีความ เสี ยเวลาในการทํางาน เสี ยรายได้ รวมทั้งเป็ นผลให้การจราจรติดขัดด้วยบางครั้ง นอกจากนี้ สามารถแบ่งความสู ญเสี ยที่เกิดจากอุบตั ิเหตุออกเป็ น 2 ประเภท คือ(วิทยา มาก ปาน, 2547 อ้างถึงใน คณะกรรมการป้ องกันอุบตั ิภยั , ม.ป.ป., หน้า 22) 1. ความสู ญเสี ยโดยตรง (direct loss) ได้แก่ ค่าบริ การฉุ กเฉิ น ค่ารักษาพยาบาลใน โรงพยาบาล ค่าดูแลผูไ้ ด้รับบาดเจ็บภายหลังออกจากโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการฟื้ นฟูสภาพค่าทํา ศพ ค่าชดเชยในระหว่างเจ็บป่ วย ค่าชดใช้ความพิการ ค่าทรัพย์สินเสี ยหาย เหล่านี้ เป็ นต้น 2. ความสู ญเสี ยทางอ้อม (indirect loss) เป็ นค่าเสี ยเวลาของเจ้าหน้าที่ตาํ รวจในการ ช่วยเหลือผูไ้ ด้รับบาดเจ็บ และการวิเคราะห์สาเหตุการหยุดชะงักของโรงงานชัว่ คราวเพื่อช่วยเหลือ ผูบ้ าดเจ็บ ผลิตภัณฑ์ที่ตอ้ งเสี ยหายในระหว่างเครื่ องจักรหยุดทํางาน หากมีการตาย และมีการพิการ เกิดขึ้น ก็ตอ้ งคํานึ งถึงการลงทุนสู ญเปล่า ที่ได้ให้การศึกษาอบรม และการอนามัยให้ แก่ผเู้ สี ยชีวิต และผูพ้ ิการ การสู ญเสี ยโอกาส (opportunity loss) ของคนตาย และพิการ หากไม่ได้รับบาดเจ็บและ สามารถหารายได้อีกต่อไป เป็ นต้น รวมทั้งการสู ญเสี ยซึ่ งเกิ ดจากความเจ็บปวด ความโศกเศร้า เสี ยใจ ของครอบครัวและผูเ้ ป็ นที่รัก ซึ่ งประเมินค่ามิได้ ดัง นั้นจะเห็ นได้ว่า ความสู ญเสี ย ที่ม องเห็ นโดยตรงนั้น มีค่า น้อยกว่า ความสู ญเสี ย ใน ทางอ้อมที่มองไม่เห็นมากมายนัก เปรี ยบเสมือนก้อนภูเขานํ้าแข็งที่ลอยขึ้นมาพ้นนํ้าให้เรามองเห็น นั้น มีเพียงน้อยนิ ดเมื่อเปรี ยบเทียบกับส่ วนที่จมอยูใ่ ต้น้ าํ และมองไม่เห็น ได้มีการศึกษาเรื่ องนี้ ใน ประเทศบราซิ ล โดยทีมงานจากมหาวิทยาลัย จอห์น ฮอพกินส์ พบว่าค่าของความสู ญเสี ยโดยตรงมี เพียงร้อยละ 6.00 ของความสู ญเสี ยทั้งหมดเท่านั้น สรุ ปได้วา่ อุบตั ิเหตุ หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ต้ งั ใจให้เกิดขึ้นไม่มีไม่มีการ วางแผนไว้ลว้ งหน้า และไม่สามารถควบคุมยับยั้งได้ อุบตั ิติเหตุทางจราจร หมายถึง อุบตั ิเหตุที่เกิ ดขึ้นจากยานพาหนะ เช่ น อุบตั ิจากรถยนต์ อุบตั ิจากจักรยานยนต์ อุบตั ิเหตุจากรถไฟ เป็ นต้น ซึ่ งอุบตั ิเหตุส่งผลกระทบแบ่งออกได้เป็ น 3 ด้าน คือ 1. ผลกระทบต่อตนเอง ทําให้บาดเจ็บ เสี ยชีวติ หรื อ พิการ เป็ นต้น 2. ผลกระทบต่อครอบครัว ทําให้ เกิดความโศกเศร้าเสี ยใจในการสู ญเสี ยบุคคลสําคัญ เช่น เป็ นหัวหน้าครอบครัว เป็ นบุตร เป็ นภรรยา เป็ นต้น


13 3. ผลกระทบต่อสังคม ในการเกิดอุบตั ิเหตุในแต่ละครั้งเกิดการสู ญเสี ยงบประมาณในการ ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการฟื้ นฟูสภาพค่าทําศพ ค่าชดเชยใน ระหว่างเจ็บป่ วย ค่าชดใช้ความพิการ ค่าซ่อมแซมถนนที่เสี ยหายจากอุบตั ิเหตุ เป็ นต้น 2.2.2 ปัจจัยทีเ่ กีย่ วข้ องกับการเกิดอุบัติเหตุการจราจร ปั จจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอุบตั ิเหตุการจราจร แบ่งได้ ประการ (สาธิต อินตา, 2546) 1. เกิดจากการทําที่ไม่ปลอดภัย (unsafe acts) ได้แก่ พฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดอุบตั ิเหตุข้ ึนได้ เช่น ความประมาทเลินเล่อ ความมักง่าย การฝ่ าฝื นกฎจราจร หรื อกฎระเบียบที่วางไว้ เป็ นต้นสาเหตุ ข้อนี้เกิดจากอุปนิ สัย หรื อทัศนคติของแต่ละบุคคลที่ถูกปลูกฝัง หรื อสั่งสอนมาในสภาพแวดล้อมที่ ไม่เหมือนกัน ระดับการคํานึ งถึ งความปลอดภัยของตนเอง และของผูอ้ ื่นแตกต่างกันจึงควรมีการ ออกระเบียบปฏิบตั ิอย่างเคร่ งครัดในการขับขี่นายพาหนะ 2. จากสภาวะที่ไม่ปลอดภัย (unsafe condition) ได้แก่ สภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดอุบตั ิเหตุ ได้ เช่น ถนนรื่ น แสงสว่างไม่เพียงพอ ถนนที่ไม่มีป้ายสัญญาณบอกทางโค้ง ไฟท้ายรถเสี ยสภาวะที่ ไม่ปลอดภัยเป็ นสาเหตุดา้ นกายภาพของอุบตั ิเหตุที่แก้ไขได้ง่ายกว่าปั ญหาด้านพฤติกรรมการเกิ ด อุบตั ิเหตุการจราจรส่ วนมากนั้นไม่ใช่เป็ นความบังเอิญ หรื อปราศจากสาเหตุที่เกิดที่เกิด นักวิชาการ หลายสาขาได้ศึกษาถึงสาเหตุของการเกิดอุบตั ิเหตุจราจรในแง่ของวิทยาการระบาด ซึ่ งมีการจําแนก ตาม เพศ วัย ชนิ ดของยานพาหนะ วัน เวลา สถานที่ อื่น ๆ แต่สาเหตุของการเกิดอุบตั ิเหตุ ไม่ สามารถมองเห็นได้ล่วงหน้า ดังนั้นจึงไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้ ครรชิ ต ผิวนวล (อ้างถึงใน วิเชี ยร มุริจนั ทร์ , 2541, หน้า 24-25) ให้ขอ้ สังเกตถึงปั จจัยการ เกิดอุบตั ิเหตุได้วา่ ผูใ้ ช้รถใช้ถนนเป็ นต้นเหตุสาํ คัญของการเกิดอุบตั ิเหตุจราจร โดยประมาณร้อยละ 90.00 ของจํานวนอุบตั ิเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด มีสาเหตุมาจากความบกพร่ องของคน 1. อายุของผูข้ บั ขี่ (driver’s age) จากการรายงานของ 23 รัฐในสหรัฐอเมริ กา เมื่อปี ค.ศ.1986 พบว่า อายุมีความสัมพันธ์กบั การเกิดอุบตั ิเหตุจราจร ผูข้ บั ขี่ 67 คนใน 100,000 คน จะเกี่ยวข้องกับอุบตั ิเหตุร้ายแรง และผูข้ บั ขี่ที่มี อายุระหว่าง 20-24 ปี จะเป็ นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุบตั ิเหตุร้ายแรงสู งสุ ด สําหรับประเทศไทย สถิติ อุบตั ิเหตุระหว่างปี พ.ศ. 2518-2522 พบว่าผูข้ บั ขี่ที่มีอายุระหว่าง 18-22 ปี เกี่ยวข้องกับการเกิ ด อุบตั ิเหตุสูงสุ ด ส่ วนผูข้ บั ขี่ที่มีอายุระหว่าง 23-27 ปี เกี่ยวข้องกับการเกิดอุบตั ิเหตุสูงสุ ดเป็ น อันดับ รองลงมา 2. เพศของผูข้ บั ขี่ (driver’s sex) เพศของผูข้ บั ขี่เป็ นอีกปั จจัยหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดอุบตั ิเหตุจราจร จากการศึกษา ในสหรัฐอเมริ กา เมื่อ ปี ค.ศ. 1968 พบว่า ผูข้ บั ขี่เพศชายมีจาํ นวนร้อยละ 59.00 ของจํานวนผูข้ บั ขี่ ทั้งหมด อุบตั ิเหตุเกิดจากผูข้ บั ขี่เพศชายมีจาํ นวนร้อยละ 75.00 ของจํานวนอุบตั ิเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด


14 พบว่าอัตราการเกิดอุบตั ิเหตุของผูข้ บั ขี่ที่เป็ นเพศชายสู งกว่าผูข้ บั ขี่เพศหญิงถึง 1.3เท่า แต่หากชาย และหญิงขับรถด้วยประมาณเท่า ๆ กัน จํานวนอุบตั ิเหตุที่เกิดขึ้น ผูข้ บั ขี่เพศหญิงจะมีสูงกว่าจํานวน อุบตั ิเหตุที่เกิ ดจากผูข้ บั ขี่เพศชาย ทั้งนี้ อาจเป็ นเพราะความสามารถในการตัดสิ นใจและปฏิกิริยา ตอบสนองในการขับขี่ยวดยานของชายและหญิงไม่เท่ากัน 3. ระดับการศึกษาของผูข้ บั ขี่ (driver’s education) จากการศึกษาอุบตั ิเหตุบนทางด่วนของประเทศไต้หวัน พบว่าพื้นฐานของการศึกษาของผู้ ขับขี่ยานพาหนะมีผลต่อการเกิดอุบตั ิเหตุจราจร จํานวนอุบตั ิเหตุที่เกิดขึ้นร้อยละ 18.90 มาจาก ผูท้ ี่มี การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ร้อยละ 18.10 มาจากผูท้ ี่มีการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ตอนต้น และร้อยละ 43.40 มาจากผูท้ ี่มีการศึกษาอยูใ่ นระดับชั้นประถมศึกษา จึงเห็นได้วา่ พื้นฐาน การศึกษาของผูข้ บั ขี่มีผลต่อการเกิดอุบตั ิเหตุจราจร 4. สภาพสมาธิ ของผูข้ บั ขี่ (medical condition) สภาพสมาธิ ของผูข้ บั ขี่สามารถแบ่งเป็ นระบบต่าง ๆ คือ ระบบสายตา ซึ่ งอาจมีสาเหตุมาจากการดื่ม สุ รา มีสายตาผิดปกติ ตาบอดสี สายตาสั้น เป็ นต้น ระบบหู เกี่ยวกับการได้ยินผิดปกติระบบของ หัวใจ ระบบสมอง มีโรคประจําตัว เช่น โรคลมบ้าหมู และโรคเบาหวาน สรุ ปได้วา่ สาเหตุที่ทาํ ให้เกิ ดอุบตั ิเหตุทางจราจร อาจจะแบ่งได้ 4 ด้าน คือ คน รถ ถนน และสิ่ งแวดล้อม โดยหากมองลึกลงไปจะพบว่า สาเหตุหลัก ๆ ที่ทาํ ให้เกิดอุบตั ิเหตุก็คือ คน ที่ขาด วินยั จราจร ไม่สวมหมวกนิรภัย เมาแล้วขับ ขับรถย้อนศร ขับรถฝ่ าไฟแดง เป็ น 2.2.3 ทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory) เฮนริ ช (Heinrich) ซึ่ งเป็ นผูศ้ ึกษาทฤษฎีโดมิโน (เกรี ยงศักดิ์ กองพลพรหม, 2537,หน้า 4344 อ้างถึงใน คณะกรรมการป้ องกันอุบตั ิภยั , ม.ป.ป. หน้า 17-18) กล่าวว่า การบาดเจ็บและความ เสี ยหายต่าง ๆ เป็ นผลที่สืบเนื่ องโดยตรงมาจากอุบตั ิภยั เป็ นผลมาจากการกระทําที่ไม่ปลอดภัย (หรื อสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย) ซึ่ งเปรี ยบเทียบได้เหมือนกับตัวโดมิโนที่เรี ยงกันอยู่ 5ตัวใกล้กนั เมื่อตัวหนึ่งล้มลงย่อมมีผลให้ตวั โดมิโนถัดล้มตามกันไปด้วย ตัวโดมิโนทั้ง 5 ตัว ได้แก่ 1. สภาพแวดล้อมหรื อภูมิหลังของบุคคล (social environment of background) 2. ความบกพร่ องผิดปกติของบุคคล (defects of person) 3. การกระทําหรื อสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย (unsafe acts / unsafe condition) 4. อุบตั ิภยั (accident) 5. การบาดเจ็บหรื อเสี ยหาย (injury / damage) ทฤษฎีโดมิโนนี้ มีผเู ้ รี ยกชื่ อใหม่เป็ น “ลูกโซ่ของอุบตั ิเหตุ” (accident chain) การป้ องกัน อุบตั ิภยั ตามทฤษฎีโดมิโน หรื อลูกโซ่ของอุบตั ิภยั เมื่อโดมิโนตัวที่ 1 ล้ม ตัวถัดไปก็ลม้ ตาม ดังนั้น หากไม่ให้โดมิโนตัวที่ 4 ล้ม (ไม่ให้เกิดอุบตั ิภยั ) ก็ตอ้ งเอาโดมิโนตัวที่ 3 ออก (กําจัดการกระทําหรื อ สถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย) การบาดเจ็บ หรื อความเสี ยหาย ก็จะไม่เกิดขึ้นด้วยการป้ องกันอุบตั ิภยั


15 ตามทฤษฎี โดมิโน หรื อลู กโซ่ อุบตั ิภยั ก็คือ การตัดลูกโซ่ อุบตั ิ ภยั โดยกําจัดการกระทํา หรื อ สภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัยด้วยวิธีการต่าง ๆ อุบตั ิภยั ก็ไม่เกิดขึ้น การที่จะแก้ไขป้ องกันที่โดมิโนตัวที่ 1 (สภาพแวดล้อมของสังคม หรื อภูมิหลังของบุคคล) หรื อตัวที่ 2 (ความบกพร่ องผิดปกติของบุคคล) เป็ นเรื่ องแก้ไขได้ยากกว่า เพราะเป็ นสิ่ งที่เกิดขึ้น และปลูกฝังเป็ นสมบัติส่วนบุคคล 2.2.4 แนวคิดการป้องกันอุบัติเหตุ ปรี ชา วิหคโต และคณะ (2540, หน้า 17) ให้ความหมาย การป้ องกันอุบตั ิเหตุ (accident prevention) หมายถึง กระบวนการควบคุมไม่ให้เกิดอุบตั ิเหตุจากความหมายดังกล่าวแล้วข้างต้น จะ พบว่า การป้ องกันอุบตั ิเหตุ เป็ นกระบวนการซึ่ งหมายถึง กิจกรรม (activity) ที่ทาํ อย่างมีข้ นั ตอน และกิ จกรรมที่ทาํ นั้นมีวตั ถุ ประสงค์เพื่อไม่ให้อุบตั ิเหตุเกิดขึ้น หรื อเกิดซํ้าขึ้นอีกส่ วนคําว่า การ ควบคุม หมายถึง การทําให้สาเหตุของความปลอดภัยให้เกิดขึ้นและระงับสาเหตุของอุบตั ิเหตุไม่ให้ เกิดขึ้น เช่น ถ้าจากการศึกษาพบว่า ความรู้เรื่ องกฎจราจร เป็ นสาเหตุของการขับรถยนต์ที่ปลอดภัย และการเมาสุ ราเป็ นสาเหตุของอุบตั ิเหตุการขับรถยนต์ชนกัน ดังนั้นกระบวนการที่ทาํ ให้ผขู้ บั ขี่ รถยนต์มีความรู ้เรื่ องกฎจราจร และไม่ให้ผขู้ บั ขี่รถยนต์เมาสุ รา นับเป็ นการควบคุมอุบตั ิเหตุการขับ รถยนต์ชนกัน ขอบข่ าย หลักการ และรู ปแบบของการป้องกันอุบัติเหตุ (ปรี ชา วิหคโต และคณะ (2540,หน้า 17-19) ขอบข่ ายของการป้องกันอุบัติเหตุ ขอบข่ายของการป้ องกันอุบตั ิเหตุ จําแนกได้ตามสาเหตุของการเกิดอุบตั ิเหตุดงั ภาพต่อไปนี้ อุบตั ิเหตุ สภาพที่สามารถแก้ไขได้สะดวก

สภาพที่ยากแก่การแก้ไขได้โดยตรง

(การป้ องกันทางตรง) (การป้ องกันทางอ้อม) ภาพที่ 1 ขอบข่ายของการป้ องกันอุบตั ิเหตุ จากภาพ อุบตั ิเหตุที่เกิดขึ้น หากใช้เกณฑ์ของความสามารถในการแก้ไขแล้ว แนวทางแก้ไข อุบตั ิเหตุ จําแนกเป็ น 2 ประเภทได้แก่ 1. สภาพที่สามารถแก้ไขได้สะดวก ได้แก่อุบตั ิเหตุที่เกิดจากขาดการจัดทํา เช่น ไม่มีฝา ครอบปลัก๊ ไฟทําให้ไปดูดนักเรี ยน วิธีการป้ องกันทําได้สะดวกด้วยการนําฝาครอบปลัก๊ ไฟมาครอบ การทําราวกั้นระเบียงบันได การตรวจเช็คสภาพรถยนต์ใช้ขบั ขี่ เป็ นต้น 2. สภาพที่ยากแก่การแก้ไขได้โดยตรง ได้แก่ อุบตั ิเหตุที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น อุบตั ิเหตุที่ เกิดจาก ฟ้ าผ่า นํ้าท่วม ความชื้ น หรื ออุบตั ิเหตุที่ยากแก่การแก้ไข เช่น จํานวนรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น


16 และลักษณะนิสัยเหม่อลอย อย่างไรก็ตาม สภาพเหล่านี้เปลี่ยนแปลงโดยตรงได้ยาก แต่สามารถหา วิธีป้องกันทางอ้อมได้ หรื อหลีกเลี่ยงได้ จากความสามารถในการแก้ไขอุบตั ิเหตุดงั กล่าว แนวทางการป้ องกันอุบตั ิเหตุจึงทําได้ท้ งั การป้ องกันทางตรง และการป้ องกันทางอ้อม หลักการของการป้องกันอุบัติเหตุ จากขอบข่ายแนวทางป้ องกันอุบตั ิเหตุ ตามความสามารถในการป้ องกันอุบตั ิเหตุดงั กล่าว จึงได้หลักการของการป้ องกันอุบตั ิเหตุดงั ภาพต่อไปนี้ อุบตั ิเหตุ สภาพที่สามารถแก้ไขได้สะดวก

สภาพที่ยากแก่การแก้ไขได้โดยตรง

สภาพที่สามารถแก้ไขได้สะดวก

สภาพที่สามารถแก้ไขได้สะดวก

ภาพที่ 2 หลักป้ องกันอุบตั ิเหตุ จากภาพหลักการป้ องกันอุบตั ิเหตุ จําแนกตามความสามารถในการป้ องกันอุบตั ิเหตุได้เป็ น 2 หลักการ ได้แก่ 1. หลักการขจัดสภาพที่ไม่ปลอดภัย (unsafe condition) หมายถึง การป้ องกันอุบตั ิเหตุที่ ต้องการการป้ องกันทางตรง เช่น การนําฝาครอบปลัก๊ ไฟมาครอบ เพื่อป้ องกันไฟฟ้ าดูดนักเรี ยนการ ทําราวกั้นระเบียงบันไดเพื่อป้ องกันนักเรี ยนตกจากชั้นบนลงชั้นล่าง การตรวจเช็คสภาพเบรกของ รถยนต์ที่ใช้ขบั ขี่ เพื่อป้ องกันการชนกันเมื่อเบรกรถไม่หยุด เป็ นต้น 2. หลักการขจัดการกระทําที่ไม่ปลอดภัย (unsafe act) หมายถึง การป้ องกันอุบตั ิเหตุที่ ต้องการป้ องกันทางอ้อม หรื อที่เกิดจากการกระทําที่ไม่ปลอดภัย และการกระทําที่ไม่ต้ งั ใจให้เกิด เช่น การหยอกล้อกันขณะเล่นทําให้หกล้ม หรื อมีนิสัยชอบเสี่ ยงจึงวิง่ ตัดหน้ารถยนต์ การกระทําที่ ไม่ปลอดภัยนี้ อาจเกิดจาก 1) ขากความรู ้ความชํานาญ 2) มีเจตคติที่ไม่ถูกต้อง และ 3) สภาพร่ างกาย ไม่สมบูรณ์ หรื อไม่เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทาํ รู ปแบบของการป้องกันอุบัติเหตุ จากหลักการป้ องกันอุบตั ิเหตุ สามารถกําหนดรู ปแบบการป้ องกันอุบตั ิเหตุได้ 3 รู ปแบบ ได้แก่ รู ปแบบให้การศึกษา (education) รู ปแบบการบังคับ (enforecment) รู ปแบบการป้ องกันและ แก้ไขทางวิศวกรรม (engineering) หรื อเรี ยก 3 รู ปแบบนี้วา่ 3’E ของรู ปแบบการป้ องกันอุบตั ิเหตุ ดังภาพต่อไปนี้


17

อุบตั ิเหตุ สภาพที่สามารถแก้ไขได้สะดวก

สภาพที่ยากแก่การแก้ไขได้โดยตรง

สภาพที่สามารถแก้ไขได้สะดวก

สภาพที่สามารถแก้ไขได้สะดวก

การป้ องกันแก้ไขทางวิศวกรรม

การให้การศึกษา และการใช้

ภาพที่ 3 รู ปแบบของการป้ องกันอุบตั ิเหตุ 1. รู ปแบบการให้การศึกษา หมายถึง รู ปแบบที่โรงเรี ยนจัดขึ้นเพื่อให้ความรู้ และเจตคติ และฝึ กทักษะการป้ องกันอุบตั ิเหตุให้กบั นักเรี ยนโดยตรง เช่นจัดสอนวิชาสวัสดิศึกษาในวิชาต่าง ๆ เชิญวิทยากรมาบรรยายเรื่ องการป้ องกันอุบตั ิเหตุ เป็ นต้น 2. รู ปแบบการบังคับ หมายถึง รู ปแบบที่โรงเรี ยนจัดขึ้นเพื่อให้นกั เรี ยนตระหนัก และ ควบคุมให้นกั เรี ยนต้องปฏิบตั ิ เช่น การออกกฎระเบียบของโรงเรี ยนในการข้ามทางม้าลาย การ ทํา ป้ ายเตือนให้ระมัดระวังการเล่นในสนามเด็กเล่น การจัดสารวัตรนักเรี ยนช่วยนักเรี ยนข้าม ทางเท้า หน้าโรงเรี ยน เป็ นต้น 3. รู ปแบบการป้ องกันและแก้ไขทางวิศวกรรม หมายถึง รู ปแบบที่ตอ้ งใช้ความรู้ทาง วิศวกรรมมาช่วยการป้ องกันอุบตั ิเหตุ เช่น พื้นของสนามบาสเกตบอลที่ทาํ ให้นกั เรี ยนล้มแล้วไม่ บาดเจ็บ มาตรการป้องกันอุบัติเหตุ มาตรการสากลที่ใช้ป้องกันอุบตั ิเหตุจราจร ประกอบด้วยมาตรการหลัก 3 ประการ คือ (คณะกรรมการป้ องกันอุบตั ิภยั , ม.ป.ป., หน้า 22) 1. การให้การศึกษาอบรม (education) เพื่อให้ประชาชนทุกระดับชั้น ตั้งแต่เด็กเล็กขึ้นมา จนถึงประชาชนทัว่ ไป มีความรู ้ ในการป้ องกันตนเองจากอุบตั ิเหตุได้ และให้เกิดความสํานึ กใน ความปลอดภัย (selffty conciousness)


18 2. การบังคับตามกฎจราจร (enforecment) เพื่อให้ผใู้ ช้รถใช้ถนนปฏิบตั ิตามกฎจราจรซึ่ ง เป็ นกฎแห่ งความปลอดภัย รวมทั้งกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การตรวจสภาพรถ การสอบต่อ ใบอนุญาตขับขี่ การสวมหมวกนิรภัย และการใช้เข็มขัดนิรภัย เป็ นต้น 3. การวิศวกรรม (engineering) การปรับปรุ งแก้ไขทางด้านวิศวกรรม โดยศึกษาข้อมูลจาก ลักษณะ และสาเหตุของอุบตั ิเหตุที่เกิดขึ้น และใช้วิธีการทางด้านวิศวกรรมเข้ามาปรับปรุ งแก้ไขทั้ง สภาพของทาง และสภาพสิ่ งแวดล้อมของทาง และการปรับปรุ งยานพาหนะ สรุ ปได้วา่ มาตรการป้ องกันอุบตั ิเหตุ แบ่งได้ 3 ประการ คือ 1. อบรมให้ความรู ้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร หรื อจัดกิจกรรมในการป้ องกันแก้ไข อุ บ ัติเ หตุ ร่ว มกันระหว่า งหน่ ว ยงานของภาครั ฐ และเอกชน องค์ก รภาคประชาชน เข้า มาสร้ า ง ภูมิคุม้ กันด้านอุบตั ิเหตุ 2. การบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ โดยให้ตาํ รวจ จับ ปรับ คุม ความประพฤติ ผูท้ ี่ทาํ ผิดกฎหมาย เช่น ไม่สวมหมวกกันน็อค ดัดแปลงสภาพรถ เมาแล้วขับ เป็ นต้น 3. วิศวกรรมทางถนน การปรับปรุ งแก้ไขให้สภาพถนนปลอดภัย โดยศึกษาสภาพ การเกิดอุบตั ิเหตุในแต่ละครั้ง ว่ามีส่วนใดของถนนบ้าง ทําให้เกิดอุบตั ิเหตุ เช่น ถนนชํารุ ด เป็ นหลุม เป็ นบ่อ ทางโค้งเยอะ ไม่มีป้ายบอกทาง ถนนลื่น เป็ นต้น 2.3 แนวคิดพฤติกรรมของผู้ขับขี่ยานพาหนะ สํานักงานคณะกรรมการการจัดระบบการจราจรทางบก กองพัฒนาระบบการจราจร (จิรพัฒน์ โชติไกร, 2531, หน้า 13) ได้รวบรวมพฤติกรรมของผูข้ บั ขี่ยานพาหนะไว้วา่ สมรรถภาพ ของแต่ละคนมีความแปรปรวนแตกต่างกันขึ้นอยูก่ บั อายุ ประสบการณ์ ความชํานาญ ความแข็งแรง ของร่ างกาย เช่น ดื่มของมึนเมา กินยากดประสาท ทํากิจกรรมอื่นร่ วมกับการขับรถ หรื อขับรถ ติดต่อกันเป็ นเวลานานหลายชัว่ โมง และสภาพแวดล้อมของทางที่ขบั รถผ่านไป การมองเห็น (vision) ความสามารถของตาคนปกติ ในขณะอยูก่ บั ที่จะมองเห็นภาพในลักษณะเป็ นกรวยจอกว้าง (peripheral) มีขอบเขตทํามุม 120-160 องศา เมื่อมีการเคลื่อนที่ขอบเขตของการมองเห็นชัดเจนจะ ลดลง เช่น ที่ความเร็ ว 40 กิโลเมตร/ชัว่ โมง มีมุมการมองเห็นได้ชดั 100 องศา ที่ความเร็ ว 75 กิโลเมตร/ชัว่ โมง มีมุมการมองเห็นได้ชดั 60 องศา และที่ความเร็ ว 75 กิโลเมตร/ชัว่ โมง มีมุมการ มองเห็นได้ชดั 40 องศาสภาพการมอบเห็นในเวลากลางคืน ถ้ามีแสงสว่างเข้าตาเราจากรถที่แล่น สวนทางมา หรื อจากการสะท้องของกระจกมาเข้าตามเรา จะทําให้ตามเกิดการพร่ ามัวชัว่ ขณะ ตาม ของมนุษย์จะต้องใช้เวลาปรับตัวขยายหรื อหดม่านตา ถ้าผ่านจากที่มืดออกสู่ ที่สว่างใช้เวลาประมาณ 3 วินาที และถ้าผ่านจากที่สว่างเข้าที่มืด ใช้เวลาประมาณ 6 วินาที การได้ ยนิ (hearing)


19 ผูข้ บั ขี่ใช้หูฟังร่ วมกับตามอง เพื่อบอกทิศทางของยาพาหนะคันอื่น ในขณะเปลี่ยนทิศทาง หรื อในขณะแซง แต่คนหูหนวกก็สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัยและมีอุบตั ิเหตุค่อนข้างตํ่า เพราะ จะเพิ่มความระมัดระวังตัวสู งขึ้นกว่าคนปกติ ประเทศไทยอยูใ่ นเขตร้อน รถยนต์ส่วนใหญ่จะต้อง ติดเครื่ องปรับอากาศ ทําให้ตอ้ งปิ ดกระจกรถยนต์ ซึ่ งทําให้การได้ยินของผูข้ บั ขี่ลดลงได้ และหากมี การทํากิจกรรมอื่น ๆ ในขณะขับรถทําให้ประสิ ทธิ ภาพการได้ยินลดลง ซึ่ งมีผลต่อความปลอดภัย ในขณะขับรถ เวลาในการรับรู้ และการตอบสนอง (perception and reaction time) ร่ างกายสามารถรับรู ้ได้จากทางตา หู และการสัมผัส สภาพการรับรู้จะถูกส่ งไปยังสมอง และสมองก็จะสั่งการให้มือ และเท้าทําหน้าที่ตามที่สมองกําหนดอีกทอดหนึ่ ง ระยะเวลาที่ตามเริ่ ม มองเห็ นวัตถุและสมองสั่งการให้เท้าเหยียบที่เบรก และยกเท้าไปเหยียบที่เบรก ประกอบด้วย ระยะเวลาต่าง ๆ ตามทฤษฎีของ PIEW ดังนี้ Perception time ระยะเวลาที่มองเห็นวัตถุชดั เจนและ รับทราบสถานการณ์ Intellection time ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา วิเคราะห์ให้ทราบว่าสิ่ งที่ มองเห็นคืออะไรEmotion time ระยะเวลาที่ใช้ในการตัดสิ นใจว่าจะทําอย่างไรต่อไปกับสถานการณ์ หรื อสิ่ งที่เห็ นนั้น Violation time ระยะเวลาที่ใช้ในการปฏิบตั ิการตามที่สมองสั่งการในสภาพ ร่ างกายของคนปกติ จะไม่มีอาการเมื่อยล้าจากการขับรถนาน ไม่ดื่มของมึนเมาหรื อเสพยากด ประสาท การตอบสนองของผูข้ บั ขี่ที่ถูกกระตุน้ โดยสภาพการจราจรนั้น ตามมาตรฐานของประเทศ สหรัฐอเมริ กา (AASHTO) แนะนําให้ใช้เวลาประมาณ 2.5 วินาที แต่ถา้ สภาพร่ างกายของเราเกิด เหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล หรื อพบปั ญหาที่ยากต่อการตัดสิ นใจ ระยะ เวลาในการตอบสนอง อาจเพิ่มเป็ น 4 วินาที องค์ประกอบที่มีผลต่อการตอบสนองในการจราจรมีดงั นี้ (จิรพัฒน์ โชติไกร, 2531) 1. สถานะของผูข้ บั ขี่ เช่น อายุ ประสบการณ์ และความชํานาญ ไหวพริ บ เพศ 2. สภาพของร่ างกาย เช่น ความเมื่อยล้า ความแข็งแรง ดื่มของมึนเมา กินยากระตุน้ ประสาท ขาดความรับผิดชอบในการควบคุมตนเอง 3. สภาพแวดล้อม เช่น ความร้อน ฝนตก ทัศนวิสัย สภาพการจราจร ทิวทัศน์ขา้ งทาง 4. ความรี บเร่ ง ทําให้เกิดความประมาท ขาดความรอบคอบ ขับรถเร็ ว 5. อารมณ์ เกิดจากสภาพการจราจรที่ไม่เป็ นระเบียบ ความร้อนจัด หรื อจากคนข้างเคียงทํา ให้เกิดโมโห ขาดสติย้งั คิด หรื อคึกคะนอง 6. ความกลัวต่อการถูกจับ และต่ออุบตั ิเหตุที่เกิดขึ้น มีผลให้ขบั รถช้าลงเมื่อผ่านตํารวจทาง หลวง หรื อในถนนที่มีรถบรรทุกแล่นสวนทางมามาก ทําให้เพิ่มความระมัดระวัง สรุ ปได้วา่ พฤติกรรมของผูข้ บั ขี่ยานพาหนะของผูใ้ ช้ถนนใช้ถนนจะมีสมรรถนะที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยูก่ บั อายุ ประสบการณ์ ความชํานาญในการขับรถ สภาพร่ างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้ เจ็บประจําตัว ซึ่ งอาจแบ่งองค์ประกอบที่มีผลต่อการตอบสนองในการจราจรมีดงั นี้


20 1. ความบกพร่ องของคน ในตัวมนุ ษย์น้ นั ประกอบด้วยกายกับจิต ถ้าหากมีความบกพร่ อง ส่ วนใดส่ วนหนึ่งเกิดขึ้น ก็จะเป็ นสาเหตุที่จะทําให้เกิดอุบตั ิเหตุได้ 1.1 ความบกพร่ องทางกาย ได้แก่ความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ ของร่ างกาย เช่น สายตาสั้น ตาบอดสี หูตึง มีโรคประจําตัว เช่น โรคหัวใจ โรคลมซัก โรคเบาหวาน หรื อโรคอื่น ๆ ที่ ทําให้เกิดการตอบสนองช้ากว่าปกติ ซึ่ งเป็ นสาเหตุสาํ คัญในการเกิดอุบตั ิเหตุทางจราจร 1.2 ความบกพร่ องทางจิตแลอารมณ์ ผูม้ ีอารมณ์ขุ่นมัว, โกรธ, แค้นเคืองและ ผิดหวัง จะแสดงออกทางการกระทํา ต่าง ๆ ที่ไม่ปลอดภัย การเสพสารเสพติดชนิดต่าง ๆ จะทําให้มี การเปลี่ยนแปลงทางร่ างกายและจิตใจเช่น การใช้ยากระตุน้ เพื่อให้ร่างกายทํางานได้นานกว่าปกติ ไม่ง่วง (ทานกาแฟ,กะทิงแดง,M150) สามารถขับรถ ได้นานขึ้นนั้น ทําให้สมองและร่ างกายเกิดการ กระตุน้ อยู่เสมอ โดยไม่ไ ด้รับ การพักผ่อน เมื่ อร่ างกายเกิ ดทํางานหนัก อยู่ตลอดเวลา ก็จะทําให้ ร่ า งกายเกิ ด อาการล้า ประสิ ท ธิ ภ าพทํา งานลดลง ทํา ให้เ กิ ด ประสาทหลอน คุ ้ม คลั่ง เกิ ด การ ตอบสนองทางร่ างกายช้าลง นําไปสู่ การเกิดอุบตั ิเหตุได้ง่าย 2. ความบกพร่ องของรถ ส่ วนประกอบของรถเกิ ดสภาพชํารุ ดทรุ ดโทรม เช่ น ยางเก่า ระบบห้ามล้อไม่ดีเครื่ องจักรกลได้มาตรฐานชํารุ ด เสื่ อมสภาพ เป็ นต้น 3. การขาดความรู ้ ความรู ้เท่าไม่ถึงการณ์น้ นั จะเป็ นอีกสาเหตุที่ทาํ ให้เกิดอุบตั ิเหตุ เช่น การ ดัดแปลงสภาพรถ ไม่มีความรู ้เรื่ องกฎหมายจราจร เป็ นต้น 4. สภาพดิน ฟ้ า อากาศและสิ่ งแวดล้อม ได้แก่ ฝนตก พายุเข้า ฟ้ าผ่า นํ้าท่วม หมอกจัด ควัน ไฟหนาทึบ ถนนที่ชาํ รุ ด เป็ นสาเหตุของการเกิดอุบตั ิเหตุขนาดใหญ่ได้ 5. พฤติกรรมและนิสัยที่ไม่ปลอดภัย การขับขี่ดว้ ยความคึกคะนอง มีนิสัยประมาท เลินเล่อ ขับขี่ตามใจชอบ ขาดความตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเองและผูอ้ ื่น ขาดวินยั จราจร เป็ นต้น 10

10

9

2.4 แนวคิดทฤษฎีเกีย่ วกับการมีส่วนร่ วมของชุ มชน 2.4.1 ความหมาย การมีส่วนร่ วมของชุมชนนั้นมีนกั วิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายไว้ดงั นี้ โคเฮนและอัฟฮอฟ (Cohen and Uphoff. 1981 : 6) ได้ให้ความหมาย การมีส่วนร่ วมของชุมชน ว่า สมาชิกของชุมชนต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องใน 4 มิติ ได้แก่ 1. การมีส่วนร่ วมการตัดสิ นใจว่าควรทําอะไรและทําอย่างไร 2. การมีส่วนร่ วมเสี ยสละในการพัฒนา รวมทั้งลงมือปฏิบตั ิตามที่ได้ตดั สิ นใจ 3. การมีส่วนร่ วมในการแบ่งปั นผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการดําเนินงาน 4. การมีส่วนร่ วมในการประเมินผลโครงการ โดยสร้างโอกาสให้สมาชิกทุกคนของชุม ชนได้เข้ามามีส่วนร่ วมช่วยเหลือและเข้า มามี อิท ธิ พ ลต่อกระบวนการดําเนิ นกิ จกรรมในการพัฒนา รวมถึงได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนา


21 นั้นอย่างเสมอภาค องค์การสหประชาชาติ (United Nation. 1981 : 5) และ รี เดอร์ (Reeder. 1974 : 39) ได้ให้ความหมายเจาะจงถึงการมีส่วนร่ วม ว่าการมีส่วนร่ วมเป็ นการปะทะสังสรรค์ทางสังคม ทั้งในลักษณะการมีส่วนร่ วมของปั จเจกบุคคล และการมีส่วนร่ วมของกลุ่ม นอกจากนี้ สุ ช าดา จัก รพิสุ ท ธิ์ (ออนไลน์. 2547) ศึก ษาเรื่ องชุ ม ชนกับ การ มีส่วนร่ วม จัดการศึกษา สรุ ปได้วา่ การมีส่วนร่ วมของชุมชน แบ่งได้ออกเป็ น 2 ลักษณะ ได้แก่ 1. ลัก ษณะการมี ส่ ว นร่ ว มจากความเกี่ ย วข้อ งทางด้า นเหตุผ ล โดยการเปิ ดโอกาสให้ สังคม องค์กรต่างๆ ในชุมชน ประชาชนมีบทบาทหลักตามสิ ทธิ หน้าที่ในการเข้ามามีส่วนร่ วมใน การดํา เนิ น งาน ตั้ง แต่ ก ารคิ ด ริ เ ริ่ ม การพิ จ ารณาตัด สิ น ใจ วางแผน การร่ ว มปฏิ บ ัติ แ ละการ รับ ผิดชอบในผลกระทบที ่เ กิดขึ้ น รวมทั้ง ส่ ง เสริ ม ชัก นํา สนับ สนุน ให้ก ารดํา เนินงานเกิด ผล ประโยชน์ต่อชุมชนตามจุดมุ่งหมายที่กาํ หนดด้วยความสมัครใจ 2. ลักษณะการมีส่วนร่ วมจากความเกี่ยวข้องทางด้านจิตใจ เป็ นการมีส่วนร่ วมของชุ มชน ที่ การเกี่ยวข้องทางด้านจิตใจ อารมณ์ รวมทั้ง ค่านิ ยมของประชาชนเป็ นเครื่ องชี้ นาํ ตนเองให้เข้ามามี ส่ วนร่ วม แสดงความคิดริ เริ่ มสร้างสรรค์ การกระทําให้บรรลุวตั ถุประสงค์ที่กาํ หนดไว้ ทําให้ผูท้ ี่ เข้า มามีส่ วนร่ ว ม เกิ ด ความผูก พัน มีค วามรู ้สึ ก รับ ผิด ชอบต่อกิ จกรรมที่ดาํ เนิ นงานด้ว ยความ สมัครใจ Reeder (1963 : 39) กล่าวว่า การมีส่วนร่ วมของประชาชน หมายถึง การร่ วมกันในการ ปะทะสังสรรค์ทางสังคม ซึ่ งรวมทั้งการมีส่วนร่ วมของปั จเจกบุคคลและการมีส่วนร่ วมเป็ นกลุ่ม WHO / UNICEF (1978 : 4-8) ให้ความหมายว่า การมีส่วนร่ วมคือการที่กลุ่มของประชาชน ก่ อให้เกิ ดการรวมตัวที่ ส ามารถจะกระทํา การตัดสิ นใจใช้ท รั พ ยากร และมี ความรั บ ผิดชอบใน กิจกรรมที่กระทําในกลุ่ม Peter Oakley and David Marsden (1991 : 17-20) กล่าวถึงความหมายของการมีส่วนร่ วม ของประชาชนไปสั ม พันธ์ ก ับ เรื่ อ งการสร้ า งประชาธิ ป ไตยทางการเมื อง หรื อมิ ฉ ะนั้นก็ เอาไป เกี่ยวพันกับกระบวนการเปลี่ ยนแปลงทางสังคม หรื อการเติบโตตามคําว่า “พัฒนา” ชี้ นาํ หรื อที่ใช้ กันบ่อยๆ คือ ในแง่ที่รัฐบาลจะเข้าไปกับสภาพของการ “มีส่วนร่ วม” ที่รัฐบาลใช้ ความหมายของการมี ส่วนร่ วมอย่างกว้างๆ เช่ น การมีส่วนช่ วยเหลื อโดยสมัครใจ การให้ ประชาชนเข้าร่ วมกับกระบวนการตัดสิ นใจและกระบวนการดําเนินการของโครงการ ตลอดจนร่ วม รับผลประโยชน์จากโครงการเหล่านี้ ล้วนเป็ นข้อความที่ดูจะมีความคล่องตัว ดูเป็ นการปฏิบตั ิงานที่ จริ งจัง ซึ่ งบ่งบอกว่าโครงการหรื อแผนงานนั้น การมีส่วนร่ วมจะมีการกําหนดวัตถุ ประสงค์และ ขั้นตอนการดําเนิ นงานอย่างไร สําหรับความหมายของการมีส่วนร่ วมที่ระบุค่อนข้างเฉพาะเจาะจง เช่น การที่จะให้ประชาชนมีท้ งั สิ ทธิ และหน้าที่ที่จะเข้าร่ วมแก้ปัญหาของเขา ให้เขาเป็ นผูม้ ีความริ เริ่ ม และมุ่งใช้ความพยายามและความเป็ นตัวของตัวเองเข้าดําเนินการและความคุมทรัพยากรและระเบียบ ในสถาบันต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ก็เป็ นการแสดงถึงความหมายที่บอกถึงสภาพการมีส่วนร่ วมที่


22 เน้นให้กลุ่มร่ วมดําเนิ นการ และมีจุดสําคัญที่จะให้การมีส่วนร่ วมนั้นเป็ นการปฏิบตั ิอย่างแข็งขัน มิใช่ เป็ นไปอย่างเฉยเมยหรื อมีส่วนร่ วมพอเป็ นพิธีเท่านั้น ยุวฒั น์ วุฒิเมธี (2526 : 20) กล่าวว่า การมีส่วนร่ วม หมายถึง การเปิ ดโอกาสให้ประชาชน ได้มีส่วนร่ วมในการคิดริ เริ่ ม การพิจารณาตัดสิ นใจ การร่ วมปฏิบตั ิและร่ วมรับผิดชอบในเรื่ องต่างๆ อันมีผลกระทบถึงตัวประชาชน นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ (2527 : 183) กล่าวว่า การมีส่วนร่ วม หมายถึง การเกี่ยวข้องทางด้านจิตใจ และอารมณ์ (Mental and Emotional involvement) ของบุคคลหนึ่ งในสถานการณ์กลุ่ม (Group situation) ซึ่ งผลของการเกี่ ยวข้องดังกล่าวเป็ นเหตุเร้าใจให้กระทําการให้ (Contribution) บรรลุ จุดมุ่งหมายของกลุ่มนั้น กับทั้งทําให้เกิดความรู ้สึกร่ วมรับผิดชอบกับกลุ่มดังกล่าวด้วย ทวีทอง หงษ์ววิ ฒั น์ (2527 : 2) ให้คาํ จํากัดความของการมีส่วนร่ วมของประชาชนว่าหมายถึง การที่ประชาชนหรื อชุมชนพัฒนาขีดความสามารถของตนเองในการจัดการและควบคุม การใช้และ กระจายทรัพยากร และปั จจัยการผลิ ตที่มีอยู่ในสังคม เพื่อประโยชน์ต่อการดํารงชี พทางเศรษฐกิ จ และสังคม ตามความจําเป็ นอย่างสมศักดิ์ศรี ในฐานะสมาชิกสังคม ไพรั ต น์ เตชะริ น ทร์ (2527 : 6) กล่ า วว่า การมี ส่ ว นร่ ว มของประชาชน หมายถึ ง กระบวนการที่รัฐบาลทําการส่ งเสริ ม ชักนํา สนับสนุ น การสร้างโอกาสให้ประชาชนในชุ มชนทั้ง รู ปแบบส่ วนบุคคล กลุ่มชนสมาคม มูลนิธิ และองค์การอาสาสมัครรู ปแบบต่างๆ ให้เข้ามามีส่วน ร่ วมในการดําเนินงานเรื่ องใดเรื่ องหนึ่งหรื อหลายเรื่ องรวมกัน ปรัชญา เวสารัชช์ (2528 : 5) ให้ความหมายของการมีส่วนร่ วมของประชาชนว่าหมายถึง การที่ประชาชนเข้ามาเกี่ ยวข้อง โดยการใช้ความพยายามหรื อใช้ทรัพยากรบางอย่างส่ วนตน ใน กิจกรรมซึ่ งมุ่งสู่ การพัฒนาของชุมชน สัญญา สัญญาวิวฒั น์ (2528 : 288) ให้ความหมายของการมีส่วนร่ วมของประชาชนว่า หมายถึง พฤติกรรมอันกอรปด้วยการร่ วมและสมยอมตามพฤติกรรมที่คาดหวังของกลุ่มทางการและ ไม่ใช่ทางการ หรื อในความหมายก็คือ การที่ประชาชนก่อให้เกิดสิ่ งต่างๆ ร่ วมกันนัน่ เอง สรุ ปได้วา่ การมีส่วนร่ วม ของประชาชน หมายถึง กระบวนการของประชาชนในรู ปแบบ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ นการร่ วมคิดร่ วมปฏิบตั ิร่วมรับผิดชอบโดยกระทําเพื่อประโยชน์ของตนหรื อของ กลุ่มซึ่งแสดงออกผ่านกลุ่ม หรื อผ่านกระบวนการการมีส่วนร่ วม ซึ่ งประกอบไปด้วย 4 อย่าง คือ 1. การมีส่วนร่ วมในการคิดและระดมปัญหา 2. การมีส่วนร่ วมในการวางแผนนโยบายหรื อกําหนดแผนงาน 3. การมีส่วนร่ วมในการตัดสิ นใจ 4. การมีส่วนร่ วมในการควบคุมติดตามและประเมินผล


23 2.4.2 เงื่อนไขและปัจจัยทีม่ ีผลต่ อการมีส่วนร่ วม การที่ชุมชนจะตัดสิ นใจเข้ามามีส่วนร่ วมกันในงานยุติธรรมชุ มชน และร่ วมรับผิดชอบ ในโครงการหรื อกิ จกรรมต่าง ๆ ทั้งระบบนั้น ขึ้นอยูก่ บั เงื่อนไขและปั จจัยหลายประการ ทั้งปั จจัย ส่ วนบุคคล ปั จจัยทางเศรษฐกิ จและสังคม ซึ่ งเป็ นคุณลักษณะภายในของบุคคล ซึ่ งเป็ นการรับรู้ ข้อมูลที่เกิดขึ้นจากภายนอก ดังมีผใู ้ ห้ความเห็นไว้ ดังต่อไปนี้ Cohen and Uphoff (1877 : 17-19) เสนอว่าบุคคล 4 ฝ่ ายมีส่วนสําคัญในการมีส่วนร่ วม ในโครงการพัฒนาสิ่ งแวดล้อมชนบท ประกอบด้วย ประชาชนในท้องถิ่น ผูน้ าํ ท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ ของรัฐ และบุคคลภายนอก สําหรับการมีส่วนร่ วมของประชาชนนั้นยังมีปัจจัยหลายปั จจัยที่มีส่วน ร่ วมเกี่ยวข้อง ได้แก่ 1. อายุและเพศ 2. สถานภาพในครอบครัว 3. ระดับการศึกษา 4. สถานภาพทางสังคม เช่น ชั้นทางสังคม ศาสนา 5. อาชีพ 6. รายได้และทรัพย์สิน 7. ระยะเวลาในท้องถิ่น และระยะเวลาที่อยูใ่ นโครงการ 8. ที่ดินถือครองและสถานภาพแรงงาน ทัดดาว บุญปาล (2530 : 27) กล่าวไว้วา่ การมีส่วนร่ วมทางสังคมของชุมชนของบุคคล นั้น มีปัจจัยที่เกี่ ยวข้อง คือ สถานภาพทางสังคม สถานภาพทางเศรษฐกิ จ สถานภาพทางอาชี พ และที่อยู่อาศัย โดยบุคคลที่มีสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจตกตํ่า จะเข้าร่ วมกิ จกรรมต่าง ๆ ของชุมชนน้อยกว่าบุคคลที่มีสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจสู ง นอกจากนั้นแล้วได้มีการแหล่ง อํานาจและการตัดสิ นใจในการเข้าร่ วมกิจกรรมต่าง ๆ ของชุ มชน 13 ตัวแปร ซึ่ งจากการศึกษา แสดงให้เห็นว่า ความรู้ ความเชี่ ยวชาญเฉพาะด้าน คือ ด้านการศึกษา และการเงิ นเป็ นสิ่ งหนึ่ งที่ แสดงถึงสถานภาพทางสังคม แหล่งอํานาจทั้งสองชนิดนี้ ถ้าผูใ้ ดได้ครอบครองหรื อมีไว้ ก็จะเป็ นผู ้ ที่มีบทบาทสู งในชุมชน โดยเฉพาะในการมีส่วนร่ วมในการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน นอกจากฐานะทางเศรษฐกิ จและระดับการศึกษาแล้ว คุณลักษณะทางสังคม ไม่ว่าจะ เป็ นความเชื่ อ ค่านิ ยม ตลอดจนนิ สัย ประเพณี ในชุมชน ก็อาจมีผลต่อการมีส่วนร่ วมของชุมชน เช่นเดียวกัน ขั้นตอนของการมีส่วนร่ วมของประชาชน Cohen and Uphoff (1980) กล่าวถึงขั้นตอนของการมีส่วนร่ วมของประชาชนว่ามีดงั นี้ 1. การมีส่วนร่ วมในการวิเคราะห์ปัญหา (Analysis) 2. การมีส่วนร่ วมในการเลือกวิธีการแก้ไขปัญหา (Decision Making)


24

ดังนี้

3. การมีส่วนร่ วมในการดําเนินการแก้ไขปัญหา (Implementation) 4. การมีส่วนร่ วมรับผลประโยชน์จากโครงการ (Benefits) 5. การมีส่วนร่ วมในการประเมินผล (Evaluation) ทัศนี ย ์ ไทยาภิรมย์ (2526) ได้แบ่งขั้นตอนการมีส่วนร่ วมของประชาชนเป็ น 4 ขั้นตอน

1. ร่ วมคิด : สภาพปั ญหาที่มีอยู่ และสาเหตุปัญหา 2. ร่ วมวางแผน : วิเคราะห์สาเหตุ จัดลําดับความสําคัญของปั ญหาพิจารณาทางเลือก 3. ร่ วมดําเนินการ : ดําเนินงานตามโครงการและแผนกําหนดโครงการและแผนงาน 4. ร่ วมติดตามประเมินผล : ประเมินผลความสําเร็ จหรื อล้มเหลวเป็ นระยะๆ และแก้ไข 2.4.3 แนวทางการจัดการการมีส่วนร่ วมของประชาชน สมลักษณา ไชยเสริ ฐ (2549 : 142-149) ได้แบ่งแนวทางการจัดการการมีส่วนร่ วมของ ประชาชนเป็ น 3 ด้านหลัก คือ ด้านประชาชน (Pubblic) ด้า นการมีส่วนร่ วม (Participation) และด้านภาครั ฐ โดยการมี ส่วนร่ วม (Participation) มีวตั ถุ ประสงค์หลักเพื่อให้ประชาชนที่เป็ น บุ ค คลหรื อคณะบุ ค คลเข้า มามี ส่ วนร่ วมในขั้นตอนต่ า งๆ ในการดํา เนิ น การพัฒ นา ช่ วยเหลื อ สนับ สนุ น ทํา ประโยชน์ ใ นเรื่ อ งต่ า งๆ หรื อ กิ จ กรรมต่ า งๆ ตั้ง แต่ ร่ ว มคิ ด ร่ ว มตัด สิ น ใจ ร่ ว ม ดํา เนิ นการ ร่ วมรั บ ผลประโยชน์ และร่ วมประเมิ นผล เพื่อให้เกิ ดการยอมรับ และก่ อให้เกิ ด ผลประโยชน์สูงสุ ดกันทุกฝ่ าย ดังนี้ 1. การรับรู้ (Perception) ต้องสร้างสํานึกให้ท้ งั ภาครัฐและประชาชน มีความตระหนัก การรับรู ้ การยอมรับใน สิ ทธิ หน้าที่และส่ วนร่ วมของทุกกลุ่มทุกฝ่ าย โดยภาครัฐนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องสร้างสํานึ กใหม่ ว่ากิจการที่ตนรับผิดชอบไม่ใช่ “รัฐกิจ” หรื อ “กิจการของรัฐ” ที่ตนเท่านั้น มีสิทธิ ตดั สิ นใจ แต่เป็ น สาธารณกิจที่สาธารณชนชอบที่จะมีส่วนร่ วมในการคิด ร่ วมกระทําหรื อตรวจสอบ หากเจ้าหน้าที่ ของรัฐไม่ปรับทัศนคติให้ได้เช่นนี้ ก็จะต้องเผชิญกับสภาวะที่อาจเกิดข้อขัดแย้งกับประชาชนกลุ่มที่ ต้องการมี ส่วนร่ วมได้ ส่ วนภาคประชาชน การตระหนัก การรับรู้และยอมรับในสิ ทธิ และหน้าที่ ตลอดจนการมีส่วนร่ วมนั้น ต้องเข้าใจว่าตนและผูอ้ ื่น ต่างก็มีสิทธิ หน้าที่และส่ วนร่ วมเสมอกันตาม หลัก การเท่ า เที ย มกัน ดัง นั้นผูท้ ี่ เ กี่ ย วข้อ งทุ ก ฝ่ ายต้อ งยอมรั บ การ “รอมชอม” และ “ประสาน ประโยชน์” มิฉะนั้นความแตกต่างในผลประโยชน์และจุดยืน จะนําไปสู่ ความขัดแย้งและความ รุ นแรงในที่สุด 2. ทัศนคติ (Attitude) ต้องสร้างความเข้าใจและปรับทัศนคติของบุคลากรภาครัฐและภาคประชาชนทั้งสอง ฝ่ าย ให้มีทศั นคติที่ดีต่อการมีส่วนร่ วมของประชาชน กล่าวคือ ภาครัฐจะต้องเห็นการมีส่วนร่ วม ของประชาชนเป็ นเรื่ องที่ ต้อ งส่ ง เสริ มเพื่ อ ประโยชน์ ห ลายประการ อาทิ เพื่ อ การได้ข ้อ มู ล


25 ข้อเท็จจริ งและความคิดที่หลากหลาย รวมทั้งบุคลากรภาครัฐผูร้ ับผิดชอบด้านการมีส่วนร่ วม จะต้อง มี ทศั นคติที่ ดีต่อประชาชนและต่อกระบวนการมีส่ วนร่ วม มีการปรั บปรุ งบทบาทและค่านิ ยม ตลอดจนต้องมี ความอดทนในการทํางานกับประชาชน เพราะการมี ส่ วนร่ วมต้องใช้ระยะเวลา ยาวนาน ต้องทําอย่างต่อเนื่ อง และมีความจริ งใจต่อประชาชน ในขณะเดียวกันภาคประชาชนเองก็ ควรมี ท่ า ที ที่ เ ข้า ใจความสํ า คัญของการมี ส่ ว นร่ ว มของประชาชน และจะต้อ งมี ท ัศ นคติ ที่ ดี ต่ อ กระบวนการมี ส่ ว นร่ ว มและต่ อ เจ้า หน้า ที่ เ ช่ น เดี ย วกัน ก่ อ ให้ เ กิ ด ความสั ม พัน ธ์ อ ัน ดี ร ะหว่า ง ประชาชนและเจ้าหน้าที่ ทําให้เกิ ดความไว้วางใจซึ่ งกันและกันมากขึ้น ส่ งผลให้กิจกรรมการมี ส่ วนร่ วมบรรลุ เป้ าหมายได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ ดังนั้น หากทั้งสองฝ่ ายต่างมีทศั นคติที่ดีต่อการมี ส่ วนร่ วมและต่อกันแล้ว ความร่ วมมือ “ประชารัฐ” ก็จะพัฒนาได้ดียงิ่ ขึ้น 3. การเป็ นตัวแทน (Representation) การสรรหาและคัดเลื อกตัวแทน จะต้องคํา นึ งถึ ง ประชาชนทุก กลุ่ ม ทุก ฝ่ าย เพื่อให้ ประชาชนกลุ่ ม ต่ า ง ๆ ที่ ห ลากหลายทุ ก กลุ่ ม นั้น มี ต ัว แทนเข้า ไปร่ วมด้ว ย จะได้ ประสาน ผลประโยชน์กนั จนลงตัวและเกิ ดความเป็ นธรรมขึ้น รวมทั้งควรคํานึ งถึงคุณสมบัติของตัวแทนที่ ต้องการด้วย โดยพิจารณาจากคุณสมบัติในด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะและความสามารถที่เกื้อหนุ นกัน ความสอดคล้องของเทคโนโลยี วัตถุประสงค์ ค่านิยม และวัฒนธรรมองค์กร การตอบสนองซึ่ งกัน และกัน ความรับผิดชอบ ความมัน่ คงด้านการเงิน ความสามารถในการสร้างความเชื่อมัน่ เป็ นต้น นอกจากนี้ กลุ่มที่เป็ นตัวแทนจะต้องมีความน่าเชื่อถือจากลุ่มทั้งหลายหรื อ ผูม้ ีส่วนได้เสี ย และ มีปัจจัยที่สาํ คัญอีกประการหนึ่งที่ตอ้ งตระหนักถึง คือสมาชิ กที่เป็ นตัวแทนต้องมีความรู้สึกที่จะต้อง อาศัยซึ่งกันและกัน 4. ความเชื่อมัน่ และไว้วางใจ (Trust) การมีส่วนร่ วมนั้น ต้องสร้ างให้สมาชิ กมีความเข้าใจและมีความจริ งใจในการเข้าร่ วม สิ่ งที่จะได้ตามมาคือความเชื่ อมัน่ และไว้วางใจ (Trust) ในองค์กร โดยการสร้างความเชื่ อมัน่ และ ไว้วางใจกันนั้น ต้องแสดงให้เห็ นอย่างชัดเจน กําหนดให้เป็ นรู ปธรรมและเป็ นวัฒนธรรมของ องค์กร ซึ่ งการสร้ างความเชื่ อถื อ ศรั ทธา ความไว้วางใจกันและกัน เป็ นเงื่ อนไขสําคัญที่จะทําให้ กระบวนการมีส่วนร่ วมประสบความสําเร็ จหรื อล้มเหลว การสร้างความเชื่ อถื อไว้วางใจอาจทําได้คือ การแลกเปลี่ ยนข้อมูลข่าวสาร การดําเนิ นกิจกรรมการมีส่วนร่ วมอย่างต่อเนื่ อง และนําเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริ งอย่างตรงไปตรงมาครบถ้วน รวมทั้งต้องมีการติดต่อระหว่างสมาชิ กอย่างสมํ่าเสมอบ่อยครั้ง และทําอย่างตั้งใจทั้ง ที่ เป็ นทางการและไม่เป็ นทางการภายในองค์กร ซึ่ ง เป็ นสิ่ งที่ จะทํา ให้เกิ ด ความสําเร็ จในการสร้าง และดํารงไว้ซ่ ึ งความเชื่อมัน่ และความไว้วางใจการร่ วมมือซึ่ งกันและกัน 5. การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร (Information-sharing) สร้างกลไกเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เนื่องจากการมีส่วนร่ วมเป็ นกระบวนการ ที่ทาํ ให้ขอ้ มูลข่าวสาร ทั้งด้านที่เป็ นข้อเท็จจริ งและด้านที่เป็ นความคิด ความรู้สึก ความคาดหวัง ได้


26 ถูกแสดงออกมาอย่างหลากหลายลุ่มลึกและสมบูรณ์ครบถ้วนมากขึ้น ซึ่ งจะทําให้การวินิจฉัยปั ญหา และการเสนอทางเลื อกในการแก้ไขปั ญหามีหลากหลาย และตรงกับ ความต้องการมากขึ้ น ผลที่ ตามมาคื อทําให้การตัดสิ นใจในการกําหนดนโยบาย และการวางแผนดําเนิ นไปได้อย่างรอบรู้ รอบคอบและรอบด้านยิง่ ขึ้น โดยการที่ประชาชนจะมีส่วนร่ วมได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพนั้น จําเป็ นที่ จะต้องมีความรู ้ และมีขอ้ มูลข่าวสารเพียงพอ ในนโยบายที่ตนต้องการมีส่วนร่ วม ข้อมูลข่าวสาร เหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็ นของหน่วยงานที่เป็ นผูร้ ิ เริ่ มนโยบาย บางส่ วนเกิ ดจากการศึกษาของ นักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชน ดังนั้นประชาชนที่สนใจการมีส่วนร่ วมกับนโยบายใดอาจไป ขอความร่ วมมือและข้อมูลจากบุคคลและองค์กรเหล่านั้น 6. ฉันทามติ (Consensus) การมีส่วนร่ วมเป็ นการสร้างฉันทามติ โดยการให้ประชาชนและผูท้ ี่เกี่ยวข้องทุกภาค ส่ วนเข้าร่ วม ในการหาวิธีแก้ไขปั ญหาที่ยงุ่ ยากซับซ้อนร่ วมกัน หาทางออกสําหรับการแก้ไขปั ญหา ต่าง ๆ ในทางสันติ เป็ นที่ยอมรับหรื อเป็ นฉันทามติของประชาสังคม ซึ่ งทุกคนยินยอมเห็นพ้อง ต้องกันในทุก ๆ ขั้นตอนของกระบวนการมีส่วนร่ วม โดยเสาหลักของการมีส่วนร่ วมที่ดีก็คือการที่ ประชาชนสามารถที่ จะร่ วมมื อ กัน ลดความขัด แย้ง สร้ า งข้อ ตกลงที่ ม ั่นคงยืน ยาว การยอมรั บ ระหว่างกลุ่ม และหาข้อสรุ ปร่ วมกันได้ทุกฝ่ าย แม้ว่าอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกันก็ตาม ก็ตอ้ ง สามารถที่จะปรับความเห็ นที่ต่างกัน โดยการเจรจาหาข้อยุติที่ทุกฝ่ ายยอมรับกันได้อย่างสันติวิธี เพื่อนําไปสู่ ขอ้ สรุ ปที่เห็นพ้องหรื อฉันทามติร่วมกันได้ทุกฝ่ าย 7. การมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) องค์กรการมี ส่วนร่ วมต้องสร้ างให้เกิ ดการมีปฏิ สัมพันธ์ระหว่างกันในองค์กร คือ จะต้องจัด กิจกรรมที่ทาํ ให้มีการพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความคิดเห็นของกันและ กันเป็ นการสื่ อสารแบบ 2 ทาง (Two Ways Communication) ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ซึ่ งจะนําไปสู่ การลดอคติที่มีต่อกันและเกิดความเข้าใจที่ดีข้ ึนระหว่าง ผูท้ ี่เข้าร่ วม สิ่ งเหล่านี้นบั ว่า เป็ นกลไกที่จะช่ วยป้ องกันความขัดแย้ง ที่อาจจะเกิดขึ้นหรื อกรณี ที่มีความขัดแย้งเกิ ดขึ้นแล้วก็จะ เป็ นกลไก ที่ ช่วยบรรเทาความขัดแย้ง ให้ล ดระดับความรุ นแรงลงได้ ซึ่ งการมี ป ฏิ สัม พันธ์ ใ น กระบวนการการมี ส่ ว นร่ ว มของประชาชนก็ เพื่ อ ที่ จ ะให้เ กิ ด การตัด สิ น ใจที่ ดี ข้ ึ น และรั บ การ สนับสนุ นจากสาธารณชน ซึ่ ง เป้ าหมายของกระบวนการมี ส่วนร่ วมของประชาชนก็คือ การให้ ข้อมูลต่อสาธารณชน และให้สาธารณชนแสดงความคิดเห็นต่อโครงการที่นาํ เสนอหรื อนโยบายรัฐ รวมทั้งมีส่วนร่ วมในการแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์ที่ดีสําหรับ ทุก ๆ คน 8. ความประสงค์หรื อความมุ่งหมาย (Purpose) ต้องกําหนดความประสงค์หรื อความมุ่งหมายในการมีส่วนร่ วมไว้อย่างชัดเจนว่าเป็ นไป เพื่ออะไร ผูเ้ ข้าร่ วมจะได้ตดั สิ นใจถูกว่า ควรเข้าร่ วมหรื อไม่ การมีความมุ่งหมายที่ตอ้ งการบรรลุ


27 ชัดเจน จะนําทางให้สมาชิกผูเ้ ข้าร่ วมได้เข้าใจตรงกันและเดินไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่ งจะสะท้อนให้ เห็ นความเป็ นเอกภาพทางความคิ ดเห็ น เอกภาพในการดํา เนิ นกิ จกรรม และความเข้ม แข็ง ของ องค์กร นอกจากนี้ การมีส่วนร่ วมต้องมีกิจกรรมเป้ าหมาย ในการให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่ วมต้อง ระบุลกั ษณะของกิจกรรมว่า มีรูปแบบและลักษณะอย่างไร เพื่อที่ประชาชนจะได้ตดั สิ นใจว่า ควร เข้าร่ วมหรื อไม่ รวมทั้งขั้นตอนของกิจกรรมจะต้องระบุว่าในกิ จกรรมแต่ละอย่างมีกี่ข้ นั ตอน และ ประชาชนสามารถเข้าร่ วมในขั้นตอนใดบ้าง 9. การประเมินผล (Appraisal) ต้องมีระบบการประเมินผล เนื่องจากการประเมินผลเป็ นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการมี ส่ วนร่ วม และถื อเป็ นเครื่ องมือสําคัญอย่างหนึ่ งของผูบ้ ริ หารในการบริ หารทรัพยากรบุคคลให้เกิ ด ประโยชน์สูงสุ ด องค์กรใดที่มีการประเมินผลการปฏิบตั ิงานที่เป็ นธรรม โปร่ งใส และขจัดทัศนคติ ส่ วนตัวออกได้มากที่สุด ถื อว่าองค์กรนั้นใช้เครื่ องมือนี้ อย่างได้ผลและเกิ ดประโยชน์ ในทํานอง เดี ย วกันการประเมิ นผลการปฏิ บตั ิ ง านของบุค ลากรในองค์กร ย่อมส่ งผลถึ งประสิ ท ธิ ภาพและ ประสิ ทธิ ผลขององค์กรได้เช่นเดียวกัน ซึ่ งผลของกระบวนการประเมินผลก็จะกลายเป็ นปั จจัยนําเข้า ในกระบวนการมีส่วนร่ วมในขั้นตอนการวางแผน เพื่อนําปั ญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในทางปฏิบตั ิมา ปรับ ปรุ งแก้ไ ขและพัฒนาผลการดํา เนิ นงานให้มีป ระสิ ท ธิ ภาพยิ่งขึ้ น ดัง นั้นการมี ส่วนร่ วมของ ประชาชนในการประเมินผลงาน (Performance Appraisal) จึงต้องเริ่ มตั้งแต่การเข้าร่ วมควบคุม ร่ วม ติดตาม ร่ วมประเมินผล ร่ วมบํารุ งรักษาโครงการและกิจกรรมที่จดั ทําไว้ท้ งั โดยเอกชนและรัฐบาล ให้ใช้ประโยชน์ได้ตลอดไป 10. ความโปร่ งใส (Transparency) ปรับปรุ งกลไกการทํางานขององค์กรการมีส่วนร่ วมให้มีความโปร่ งใส เนื่ องจากการมี ส่ วนร่ วมนั้น เป็ นกระบวนการที่ ท าํ ให้ประชาชนมีโอกาสตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจ สําหรับการ ตัดสิ นใจของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ซึ่ งจะก่อให้เกิดความโปร่ งใสในการดําเนินการ ลดการ ทุจริ ตและข้อผิดพลาดของนโยบาย แผน โครงการลงได้ โดยการสร้างความไว้วางใจซึ่ งกันและกัน ของคนในองค์ก ร ซึ่ ง ความโปร่ ง ใสเป็ นองค์ป ระกอบหนึ่ ง ของการบริ หารกิ จการบ้า นเมื องที่ ดี ประกอบด้วย ความไว้วางใจ การเปิ ดเผยข้อมูล การเข้าถึงข้อมูล และกระบวนการตรวจสอบ 11. ความเป็ นอิสระ (Independence) องค์กรการมีส่วนร่ วมจะต้องมีความเป็ นประชาธิ ปไตย โดยการให้เกียรติ ยอมรับความ คิดเห็นของกันและกัน สมาชิกทุกคนในองค์กรมีอิสระทางความคิด การที่สมาชิกมีส่วนร่ วมในการ เสนอความคิดเห็นและตัดสิ นใจ จะเป็ นปั จจัยให้เกิดความรู้สึกรับผิดชอบร่ วมกัน ซึ่ งหลักการและ เงื่อนไขสําคัญของการมีส่วนร่ วมประการหนึ่ งคือ ความเป็ นอิสระ หรื อความสมัครใจที่จะเข้าร่ วม หรื อไม่เข้าร่ วม การบังคับไม่วา่ จะอยูใ่ นรู ปแบบของการคุกคาม การระดม และการว่าจ้าง ไม่ถือว่าเป็ น การมีส่วนร่ วม


28 12. ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง (Onward-doing) องค์ ก รการมี ส่ ว นร่ ว ม ต้อ งเปิ ดโอกาสประชาชนเข้า มามี ส่ ว นร่ ว มอย่ า งต่ อ เนื่ อ ง สมํ่าเสมอ เนื่ องจากการมีส่วนร่ วมของประชาชน ทําให้เกิดประสบการณ์ การเรี ยนรู้ใหม่ ความคิด ใหม่ที่ทา้ ทายอย่างต่อเนื่ อง ดังนั้น เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่ วมของภาคประชาชนที่ก้าวไปข้างหน้า อย่างต่อเนื่อง ภาครัฐจะต้องเตรี ยมประชาชนให้มีความพร้อมและเห็นประโยชน์ของการมีส่วนร่ วม ด้วยการให้ความรู ้ และการสร้างความเข้าใจในบทบาทของการมีส่วนร่ วมภาคประชาชน รวมทั้งมี การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่ งกันและกันอย่างต่อเนื่อง โดยความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกจะ เป็ นตัวกําหนดที่สําคัญ ที่จะทําให้การมีส่วนร่ วมของประชาชนเป็ นไปอย่างต่อเนื่องสมํ่าเสมอ และ การมีส่วนร่ วมของประชาชนอย่างต่อเนื่อง จะเป็ นปั จจัยสําคัญที่จะบ่งบอกถึงความเข้มแข็งของการ มีส่วนร่ วม รวมทั้งจะทําให้เกิดความมัน่ ใจได้วา่ การเปลี่ยนแปลงจะเป็ นไปในทิศทางที่พึงปรารถนา ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุ ดต่อชุมชนและสังคม 13. เครื อข่าย (Network) ส่ ง เสริ ม ให้ มี ก ารผนึ ก กํา ลัง ร่ ว มกัน ของทั้ง ภาครั ฐ และภาคประชาชนในลัก ษณะ เครื อข่ายคือ การที่จะต้องมาทําความเข้าใจกัน มาผนึกกําลังกันเป็ นหนึ่งเดียวที่สําคัญต้องเป็ นไปเพื่อ สร้ างผลประโยชน์ในเชิ งการทํางานร่ วมในรู ปกิ จกรรม โครงการ แผนงาน ที่จะต้องอาศัยความ ร่ วมมือกัน ต้องผนึ กกําลังขอความร่ วมมื อ หรื ออาศัยการทํากิ จกรรมร่ วมมือกันหลายองค์กร ซึ่ ง เครื อข่ายความร่ วมมือจะต้องเกิ ดขึ้นจากวิธีคิดของสมาชิก ผูบ้ ริ หาร และบุคคลในชุ มชนเป็ นหลัก โดยเครื อข่ายความร่ วมมือนั้น จําเป็ นต้องให้มีตวั แทนของประชาชนมาพบปะพูดคุยเพื่อก่อตัวและ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ร่วมกัน ดังนั้น เครื อข่ายการมีส่วนร่ วมจึงเป็ นกระบวนการเชื่อมโยงสมาชิกใน กลุ่มหรื อเชื่ อมโยงองค์กรการมีส่วนร่ วมกับสมาชิก ประชาชน และกลุ่ม / องค์กรต่าง ๆ ในชุมชน เข้าด้วยกัน โดยมีรูปแบบความสัมพันธ์การมีส่วนร่ วมในแนวราบขององค์การการมีส่วนร่ วมและ ชุมชน รวมทั้งเป็ นกระบวนการส่ งเสริ มสนับสนุ นประชาชนให้สามารถพัฒนาชุมชนของตนเอง โดยอาศัยเครื อข่ายการมีส่วนร่ วมในการทํางานของคนในชุมชน เพื่อร่ วมกันแก้ไขปั ญหาของคน และปัญหาส่ วนรวมในชุมชน ซึ่ งการดําเนินงานของเครื อข่ายจะนําไปสู่ การพัฒนาการมีส่วนร่ วมที่ ยัง่ ยืนได้ในที่สุด 2.5 แนวคิดเกีย่ วกับการจัดการ ‘จุดเสี่ ยง’ ทางถนนในชุ มชน จุ ดเสี่ ยง หรื อ จุดเสี่ ย งอันตราย คือ ตําแหน่ ง ที่เกิ ดอุบ ตั ิเหตุ บ่อยครั้ งมี ความสู ญเสี ยจาก อุบตั ิเหตุสูง จะสังเกตจุดเสี่ ยงได้จากราวกันอันตรายจะเห็นร่ องรอยการชนนับครั้งไม่ถว้ นจะเห็น ได้วา่ ถนนกว้างวิง่ ได้เร็ วมีทางแยกไฟแดงขนาดใหญ่ซ่อนตัวอยูใ่ นหลุม เมื่อขับมาจะมองไม่เห็นว่ามี แยกไฟแดงอยูข่ า้ งหน้า หรื อสี่ แยกวัดใจ ซึ่ งเป็ นบริ เวณที่เกิดอุบตั ิเหตุบ่อยครั้งในชุมชนนอกจากจะ


29 ไม่รู้วา่ ใครควรจะได้ไปก่อนเพราะไม่รู้วา่ ทางไหนทางเอกทางไหนทางโทยังมองไม่เห็นว่าอีกทางมี รถวิง่ สวนมาหรื อไม่ หรื อทางโค้งหักศอกในชุมชน ซึ่ งมักจะมีรถวิง่ หลุดโค้งไปชนต้นไม้ 2.5.1 การจัดการห่ วงโซ่ อบุ ัติเหตุ ในประเทศที่ถนนพัฒนาไปไกลแล้วอย่างประเทศออสเตรเลีย พบว่า อุบตั ิเหตุไม่ได้เกิดจาก ดวง หรื อความโชคร้ายตามที่เรามักได้ยินกัน แต่มาจาก 3 ปั จจัยที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่ งรวมกันทําให้เกิด ห่วงโซ่ของเหตุการณ์ซ่ ึ งนําไปสู่ อุบตั ิเหตุ ได้แก่ 1. ปั จจัยจากคน (ประมาณ 95 ครั้งในการชน 100 ครั้ง) 2. ปั จจัยจากสิ่ งแวดล้อมบนถนน (ประมาณ 28 ครั้งในการชน 100 ครั้ง) 3. ปั จจัยจากรถ (ประมาณ 8 ครั้ง ในการชน 100 ครั้ง) คน(95%)

ถนนและสิ่ งแวดล้อม (28%)

67%

24% 4%

รถ(8%) อุบตั ิเหตุเกิดจาก 3 ปัจจัยเกี่ยวเนื่องกัน ตัวอย่ างห่ วงโซ่ อุบัติเหตุ แดงเมาขับรถเร็ ว+เข้าโค้งหักศอกในช่วงฝนตกถนนลื่น+ล้อรถดอกยางสึ กหรอมาก ผลคือ แดงหลุดโค้งและชนเสาไฟฟ้ าข้างทาง เสี ยชีวติ


30 ถ้าลองเปรี ยบเทียบระหว่างถนนในบ้านเราและในประเทศออสเตรเลีย คงไม่น่าจะเป็ นไป ได้ที่ถนนในบ้านเราจะปลอดภัยมากกว่า ดังนั้น ปั จจัยจากสิ่ งแวดล้อมบนถนน คงเกี่ยวเนื่ องมากกว่า 28 ครั้งในการชน 100 ครั้ง ดังนั้น ถ้าเราพยายามตัดห่วงโซ่ อุบตั ิเหตุดว้ ยการปรับปรุ งถนนให้ปลอดภัย ความเสี่ ยงที่จะ เกิดอุบตั ิเหตุก็จะลดลงด้วยหรื ออย่างน้อยก็ลดความรุ นแรงลงได้อย่างแน่ นอน เช่ น ติดตั้งราวกัน อันตรายบริ เวณทางโค้ง และติดตั้งหลักนําโค้งให้มองเห็นทางโค้งอย่างชัดเจน

ฝนตกโค้ง อันตราย

เมาขับรถซิ่ ง

ตายคาที่

รถดอกยางสึ ก หรอ

มาร่ วมกันทําบุญ โดยการปรับปรุ งจุดเสี่ ยงอันตรายเพื่อตัดห่ วงโซ่ อุบตั ิเหตุกนั เถอะไม่ตอ้ ง ลงทุนมากก็ช่วยชีวติ คนได้ 2.5.2 ขั้นตอนในการจัดการจุดเสี่ ยงอันตราย ขั้นตอนในการจัดการจุดเสี่ ยงอันตรายประกอบไปด้วยขั้นตอนหลักง่ายๆ 4 ขั้นตอน ซึ่ ง สามารถทําได้โดยคนในชุมชนได้แก่ การค้นหา การวิเคราะห์ การปรับปรุ ง และการเฝ้ าระวังติดตาม ผล ค้นหา วิเคราะห์ ปรับปรุ ง ประเมินผลติดตามผลเฝ้ าระวัง 1. การค้นหาจุดเสี่ ยงอันตราย เป็ นการระบุตาํ แหน่ งจุดเสี่ ยงอันตรายที่ตอ้ งการทําการ ปรับปรุ งแก้ไข 2. การวิเคราะห์จุดเสี่ ยงอันตราย เป็ นการค้นหาปั จจัยที่ทาํ ให้เกิดอุบตั ิเหตุ เพื่อทําแผนการ ปรับปรุ งจุดเสี่ ยงอันตราย 3. การปรับปรุ งจุดเสี่ ยงอันตราย เป็ นขั้นตอนที่ชุมชนช่ วยกันลงมือปรับปรุ งจุดเสี่ ยง อันตรายตามแผนที่ได้วางไว้ 4. การเฝ้ าระวัง ติ ดตามผล หลัง จากทําการปรับ ปรุ งแก้ไข ต้องมีก ารติ ดตามผลการ ดําเนินงาน โดย • ติดตามสถิติอุบตั ิเหตุบริ เวณจุดเสี่ ยงที่ได้รับการปรับปรุ ง • กําหนดแผนปฏิบตั ิการจุดเสี่ ยงเข้าสู่ แผนประจําปี ของชุมชน • เฝ้ าระวังจุดเสี่ ยงบริ เวณใหม่ที่เกิดขึ้นในชุมชน


31 2.5.3 การค้ นหาจุดเสี่ ยงอันตราย ชุมชนสามารถค้นหาจุดเสี่ ยงได้โดยการร่ วมกันสร้างแผนที่จุดเสี่ ยงจากแผนที่ชุมชนโดย สามารถทําตามขั้นตอนดังนี้ 1. แผนทีช่ ุ มชน แกนนําร่ วมกันสร้ างแผนที่ ชุมชนขนาด A0 (841 x 1189 มิลลิเมตร หรื อประมาณ 1 ตารางเมตร) โดยอาจขยายแผนที่ที่มีอยูเ่ ดิม หรื อช่วยกันเขียนขึ้นใหม่ แผนที่ควรประกอบด้วย ถนน และสถานที่สําคัญ เช่ น วัด โรงเรี ยน ที่ทาํ การผูใ้ หญ่บา้ นหนองนํ้า และบ้านสมาชิ กในชุ มชนสิ่ ง สํา คัญคื อ การที่ แกนนํา สามารถอธิ บ ายแผนที่ ชุ ม ชนให้แก่ เพื่อนสมาชิ ก เพื่อให้ส ามารถค้นหา ตําแหน่ งต่างๆ ในแผนที่ ได้ถูกต้อง อาจทดสอบด้วยการให้สมาชิ กค้นหาตําแหน่ งสถานที่สําคัญ ต่างๆ ตําแหน่ งที่จดั เวทีหมู่บา้ น ตําแหน่งปากทางเข้าออกหมู่บา้ น ตําแหน่ งบ้านของเพื่อนสมาชิ ก เป็ นต้น 2. สร้ างแผนทีจ่ ุดเสี่ ยง เมื่อได้ทาํ ความเข้าใจแผนที่ร่วมกันแล้ว สมาชิ กในชุ มชนสามารถร่ วมกันสร้างแผนที่จุด เสี่ ยง โดยช่วยกันระบุตาํ แหน่ งจุดเกิดอุบตั ิเหตุในรอบ 3 ปี ต่อไปนี้ ลงบนแผนที่เปล่า ตําแหน่ งที่มี ผูเ้ สี ยชี วิต ตําแหน่งที่มีผบู ้ าดเจ็บสาหัส ตําแหน่งที่มีผบู้ าดเจ็บเล็กน้อย (ทายาหม่องยาแดง) และจุด ฮิยาริ (บริ เวณที่มีประสบการณ์การเกือบเกิดอุบตั ิเหตุ เกือบล้ม เกื อบชน) โดยการกําหนดตําแหน่ ง อาจใช้สติ๊กเกอร์ หลากสี หรื อเข็มหมุดติดลงบนแผนที่ โดยอาจกําหนดให้ สี แดง แทนจุดเกิดอุบตั ิเหตุที่มีผเู้ สี ยชีวติ สี เขียว แทนจุดเกิดอุบตั ิเหตุที่มีผบู้ าดเจ็บสาหัส สี เหลื อง แทนจุดเกิดอุบตั ิเหตุที่มีบาดเจ็บเล็กน้อย และจุดฮิยาริ (จุดที่เกิดเหตุการณ์เสี่ ยงใน การเกิดอุบตั ิเหตุ เกือบเกิดอุบตั ิเหตุ) 3. คัดเลือกจุดเสี่ ยงเพือ่ ปรับปรุงแก้ไข เมื่อได้แผนที่จุดเสี่ ยงที่เกิดจากการกระจุกตัวของสี ดงั แสดงในรู ป ชุมชนสามารถร่ วมกัน คัดเลือกบริ เวณที่ตอ้ งการทําการปรับปรุ งแก้ไขก่อนหลัง และยังสามารถใช้แผนที่จุดเสี่ ยงติดในที่ เห็นได้ชดั ให้เป็ นเครื่ องเตือนใจคนในชุมชนถึงจุดเสี่ ยงอันตรายในชุมชนที่ได้ร่วมกันค้นหาและเฝ้ า ระวังจุดเสี่ ยงใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในชุมชน 2.5.4 การวิเคราะห์ จุดเสี่ ยงอันตราย ชุมชนร่ วมกันวิเคราะห์จุดเสี่ ยงที่คดั เลือกไว้ โดย • ค้นหารู ปแบบอุบตั ิเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยๆ • สรุ ปปั จจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นปัญหาด้านถนนและสิ่ งแวดล้อมเพื่อทําการปรับปรุ ง • วางแผนปฏิบตั ิการ


32 1. การค้ นหารู ปแบบอุบัติเหตุทเี่ กิดขึน้ บ่ อยๆ หาข้อมูลลักษณะอุบตั ิเหตุบริ เวณจุดเสี่ ยงที่ตอ้ งการทําการแก้ไข จากการระดมความ คิดเห็น ช่วยกันตอบคําถามง่ายๆ เพื่อทําความเข้าใจร่ วมกันถึงลักษณะของอุบตั ิเหตุบริ เวณจุดเสี่ ยง อันตราย เช่น ใคร เมื่อใด ที่ไหน อย่างไรทําไม เพศ วัย อาชีพ เป็ นคนพื้นที่ ความรุ นแรง เจ็บ ตาย

ใคร เมื่อใด

จุดเสี่ ยง

เวลาไหน วันไหน เดือนไหน ฝนตก มืด สว่าง

ที่ไหน

สถานที่เกิดการชน ทางโค้ง ทางตรง สี่ แยก

อย่างไร

ลักษณะการชน ชนประสานงา ชนด้านหลัง เบียดกัน ทําไม

สาเหตุการชน ปั จจัยจาก คน รถ ถนนที่บกพร่ อง

2. สรุ ปปัจจัยทีเ่ กีย่ วข้ อง จากการตอบคําถามว่า ทําไมจึงเกิดอุบตั ิเหตุ จะสามารถช่วยกันสรุ ปได้ว่า อุบตั ิเหตุที่ เกิดบ่อยๆ มาจากปั จจัยใดบ้าง (จากคน จากรถ จากถนนและสิ่ งแวดล้อม) แต่ละปั จจัยมีส่วนทําให้ เกิดอุบตั ิเหตุมากน้อยเพียงใด ข้อมูลเหล่านี้สามารถนําไปหาแนวทางปรับปรุ งและป้ องกันอุบตั ิเหตุ ตัวอย่ าง กรณี จุดเสี่ ยงบริ เวณทางแยกในหมู่บา้ นซึ่ งมักมีการชนกันที่ทางแยกในเวลา กลางคืนพบว่า • ปั จจัยจากคน เกิดจากเด็กวัยรุ่ นในหมู่บา้ นขี่รถเร็ ว ไม่ชะลอรถเมื่อถึงทางแยก ชอบซิ่ง เมาสุ รา ชอบเอาสิ่ งของขนาดใหญ่วางในตะแกรงหน้ารถบังไฟหน้ารถ • ปั จจัยจากรถ พบว่า รถจักรยานยนต์ไฟเสี ย รถอีแต๊กไม่มีไฟท้าย รถอื่นมองไม่ เห็น • ปั จจัยจากถนน พบว่า ผูข้ บั ขี่ไม่ทราบว่าข้างหน้าเป็ นทางแยก บริ เวณทางแยกมืด ไม่มีไฟฟ้ าส่ องสว่าง มองไม่เห็นรถที่มาอีกทาง ข้ อสั งเกต โดยมากชุ มชนจะสามารถตอบคําถามจากปั จจัยของคนได้อย่างง่ายดาย เพราะเรามักโทษว่าอุบตั ิเหตุเกิดจากคน บางครั้งก็วา่ เกิดจากดวงของแต่ละคนทั้งที่จริ งๆ แล้ว ปั จจัย จากถนนก็มีส่วนที่ทาํ ให้เกิดอุ บตั ิเหตุ แต่เรามักไม่โทษถนน เรามักจะไม่สังเกตเห็ นและมองข้าม


33 ปัจจัยจากถนนไป ถนนสามารถปรับปรุ งให้ปลอดภัยขึ้นได้โดยคนในชุมชนเอง ดังนั้น มาค้นหา ปัจจัยจากถนนและสิ่ งแวดล้อมและปรับปรุ งให้ปลอดภัยกันเถอะ 3. วางแผนปฏิบัติการ เมื่อทราบสภาพปั ญหาที่มาจากปั จจัยจากถนนและสิ่ งแวดล้อม ขั้นตอนต่อไปคือการ วิเคราะห์หาทางแก้ไข โดยมีแนวทางการจัดการปั ญหากว้างๆ ง่ายๆ 2 แนวทางได้แก่ • กําจัดปั ญหาให้หมดไป เช่ น เคลื่ อนย้ายวัตถุ อนั ตรายออกจากทางโค้งตัดสาง ต้นไม้ • หากไม่สามารถกําจัดปั ญหาให้หมดไปได้ในระยะสั้น ให้ทาํ ปั ญหาให้เห็นเด่นชัด โดยการเตือนผูข้ บั ขี่ให้รับทราบถึ งปั ญหาล่วงหน้าพอที่จะสามารถระมัดระวังตัว เช่น ทาสี สะท้อน แสงที่ วตั ถุ อนั ตรายให้เห็ นอย่า งเด่ น ชัด เป็ นต้น เมื่ อได้แ นวทางแก้ปั ญหาแล้ว สามารถจัดทํา แผนปฏิบตั ิการแก้ไขปั ญหา โดยระบุแนวทางแก้ไข วิธีดาํ เนินการ รวมทั้งผูร้ ับผิดชอบดําเนินการ ตัวอย่ างการแก้ ปัญหาทีท่ าํ ในชุ มชน ชุดที่ แนวทางแก้ไข วิธีดาํ เนินงาน ผูร้ ับผิดชอบ 1 ตัดต้นไม้ตดั สาง -ประสานงานการไฟฟ้ าฝ่ ายผลิ ตมาดําเนิ นการตัด ชุมชน พุม่ ไม้ สางต้นไม้ -จัดทําป้ ายสัญญาณจราจรจากแผ่นป้ ายติดประกาศ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว -ทําหลักนําทางไม้ ทาสี -ประชาคมหมู่บา้ นขอความร่ วมมือจากเจ้าของที่ดิน ตัดสางกิ่งไม้ -ขอความร่ วมมือประสานเทศบาล ขอยางมะตอยทํา ลูกระนาด 2.5.5 ปัจจัยทางถนนและสิ่ งแวดล้อม เพื่ออํานวยความสะดวกในการสังเกตลักษณะของถนนและสิ่ งแวดล้อมที่บกพร่ อง แบ่ง ปั ญหาที่ พ บบ่ อยๆในถนนชุ ม ชน เป็ น 4 ลัก ษณะ ได้แก่ ปั ญหาบริ เวณทางแยก บริ เวณทางโค้ง บริ เวณทางตรง และปั ญหาเรื่ องความเร็ ว


34

1. บริเวณทางแยก ค้นหาว่าเมื่อขับรถเข้าสู่ ทางแยกอันตรายในชุมชน มีลกั ษณะเหล่านี้หรื อไม่

ปั ญหาบริ เวณทางแยกที่พบบ่อยในถนนชุมชน การมองเห็นทางแยก สามารถมองเห็ นทางแยกและรับรู้ ว่าเป็ นทางแยกข้างหน้าหรื อไม่ รู้หรื อไม่ว่า แยกข้างหน้ามีลกั ษณะอย่างไรเป็ นสามแยก สี่ แยก มีการเตือนทางแยกหรื อไม่ ตัวอย่ าง ทางแยกในภาพ เมื่อขับขี่มาในระยะไกล จากสภาพถนนจะมองไม่เห็นว่า ข้างหน้าเป็ นทางแยก ไม่มีการเตือนผูข้ บั ขี่ว่ามีทางแยกข้างหน้าผูข้ บั ขี่จะรู้ว่าข้างหน้าเป็ นทางแยก ลักษณะคล้ายสี่ แยกก็เมื่อมองเห็นรถที่ว่งิ ผ่านทางแยก แต่เมื่อเข้าใกล้ทางแยกจะพบว่า แท้จริ งแล้ว บริ เ วณดัง กล่ า วเป็ นทางเชื่ อ มกับ ถนนใหญ่ ที่ มี เ กาะกลางลัก ษณะเป็ นคู ร ะบายนํ้า ขนาดใหญ่ (Depressed Median) ลักษณะที่หลอกสายตาดังกล่าวอาจทําให้ผขู ้ บั ขี่เกิดอุบตั ิเหตุได้ ตัวอย่ าง ทางแยกบางทางแยกมีการเตือนทางแยกด้วยป้ ายและเครื่ องหมายจราจรที่ เหมาะสม แต่ขาดการบํารุ งรักษา เช่น ป้ ายสี ซีดจางไม่สามารถมองเห็นได้ในเวลากลางคืน หรื อป้ าย ถูกบดบังด้วยพุม่ ไม้หรื อป้ ายโฆษณา


35 แนวทางแก้ ปัญหาอย่ างง่ าย • ถ้ามองไม่เห็ นทางแยก อาจเตือนผูข้ บั ขี่ว่ามีทางแยกข้างหน้าด้วยป้ ายทางแยก และ เลือกใช้ป้ายที่เหมาะสม ให้สามารถสะท้อนลักษณะของทางแยก โดยหากทําป้ ายขึ้นเอง ควร ทาป้ ายใช้สีสะท้อนแสงเพื่อให้สามารถมองเห็นป้ ายได้ท้ งั ในเวลากลางวันกลางคืน หรื อถ้ามีป้าย เตือนอยู่เดิม พิจารณาว่ามีอะไรบดบัง สามารถกําจัดออกได้หรื อไม่ เช่น การตัดแต่งพุ่มไม้ที่บดบัง หรื อกําจัดป้ ายโฆษณาที่บดบังป้ ายจราจร ตัวอย่ าง ป้ ายเตือนทางแยกเตือนทางแยกด้วยป้ ายที่ทาํ จากป้ ายเก่าในชุมชน • ถ้ามองไม่เห็นทางแยก อาจเตือนผูข้ บั ขี่วา่ มีทางแยกข้างหน้าด้วยการสร้างความ แตกต่างและสร้างความโดดเด่นให้ทางแยก ให้สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย ได้ชดั เจนยิ่งขึ้นสร้างความ แตกต่าง สร้างความโดดเด่นให้ทางแยกชุมชนสร้างความโดดเด่นให้ทางแยกด้วยหลักลาย ทัศวิสัยในการมองเห็น เมื่อขับรถเข้าสู่ ทางแยกมองเห็นรถที่เข้าสู่ ทางแยกในทิศทางอื่นๆ หรื อไม่? มีอะไร ที่บดบังการมองเห็นรถในทิศทางอื่นๆ? ตัวอย่ าง บริ เวณทางสามแยกสี่ แยก ที่มีแนวกําแพง มีพุ่มไม้บดบังรถในทิศทาง อื่นๆ พบได้บ่อยครั้งในหมู่บา้ น ซึ่ งสภาพดังกล่าว ทําให้ ผูข้ บั ขี่เข้าทางแยก ไม่สามารถมองเห็นรถ ที่มาจากทิศทางอื่นๆนําไปสู่ การชนกันที่ทางแยก ทางแยกที่มีแนวกําแพงและพุ่มไม้บดบังการ มองเห็นรถในทิศทางอื่นๆ แนวทางแก้ ปัญหาอย่ างง่ าย • ถ้ามองไม่เห็นรถอีกทาง ทําให้มองเห็ นรถที่เข้าสู่ ทางแยก โดยการเพิ่มระยะ มองเห็น เช่น ตัดแต่งกิ่งไม้บริ เวณมุมทางแยก ติดตั้งกระจกสะท้อน ทํากําแพงมุมทางแยกให้โปร่ ง ลบมุมกําแพงที่ทางแยกจากการขอบริ จาคที่ดิน • ถ้ามองไม่เห็นรถอีกทางและไม่สามารถกําจัดสิ่ งกีดขวาง ให้ควบคุมทางแยกด้วย ป้ ายหยุดที่ทางโท หรื อลดความเร็ วของรถที่เข้าสู่ ทางแยกด้วยป้ าย หรื อระนาดชะลอความเร็ วที่ทาง โท สภาพพืน้ ผิวทางลืน่ เป็ นหลุม บริ เวณทางแยกมี ส ภาพผิวทางที่ ลื่ นเป็ นหลุ ม เป็ นบ่ อเป็ นอุ ป สรรคในการขับ ขี่ หรื อไม่ ตัวอย่ าง ทางแยกในภาพมีสภาพที่ก่อให้เกิดอันตรายจากผิวทางที่ลื่นจากเศษหิ น และเป็ นหลุ มบ่อ โดยสภาพผิวทางดังกล่าวอาจทําให้ผขู้ บั ขี่เกิ ดอุบตั ิเหตุบริ เวณทางแยก ซึ่ งเป็ น บริ เวณที่คบั ขัน ทางแยกที่มีผวิ ทางลื่นเป็ นหลุมบ่อ ตัวอย่ าง วัตถุอื่นๆ บริ เวณทางแยก สามารถเป็ นสาเหตุของอุบตั ิเหตุ เช่น สภาพฝา ท่อระบายนํ้าในรู ปอาจทําให้รถจักรยานยนต์ที่ขี่ผา่ นเสี ยหลักล้มบริ เวณทางแยกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง


36 ในเวลากลางคื น ซึ่ งไม่สามารถมองเห็ นความต่างระดับได้อย่างชัดเจนฝาท่อระบายนํ้าต่างระดับ บริ เวณทางแยก แนวทางแก้ ปัญหาอย่ างง่ าย • ลดปั ญหาทางแยก ลื่น เป็ นหลุมเป็ นบ่อ โดยการทําความสะอาด ทาสี หรื อทํา เครื่ องหมายบริ เวณหลุมบ่อ ให้ผใู ้ ช้ทางสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน สภาพพืน้ ทีก่ ารเกิดอุบัติเหตุ หากเกิดอุบตั ิเหตุที่ทางแยกมีสภาพอันตรายข้างทางบริ เวณทางแยกอะไรบ้างที่จะ ทําให้อุบตั ิเหตุมีความรุ นแรงมากขึ้น ตัวอย่ าง วัตถุ อื่นๆ บริ เวณทางแยกสามารถเป็ นสาเหตุของอุบตั ิเหตุหรื อเพิ่มความ รุ นแรงของอุบตั ิเหตุบริ เวณทางแยกเช่น ท่อระบายนํ้าคอนกรี ตแบบเปิ ดในรู ปอาจเพิ่มความรุ นแรง ของอุบตั ิเหตุหากรถที่เสี ยหลักพุง่ เข้าชน หรื อตกลงในท่อระบายนํ้า รางระบายนํ้าคอนกรี ตแบบเปิ ด บริ เวณทางแยกในชุมชนอาจเพิม่ ความรุ นแรงของอุบตั ิเหตุ แนวทางแก้ ปัญหาอย่ างง่ าย • กําจัดสภาพอันตรายบริ เวณทางแยก เช่น ทําฝาครอบท่อระบายนํ้า หรื อหากไม่ สามารถกําจัด พิจารณาสร้างการมองเห็นของวัตถุอนั ตรายเพื่อเตือนผูข้ บั ขี่ให้ระมัดระวัง 2. บริเวณทางโค้ ง ค้นหาว่าเมื่อขับรถเข้าสู่ ทางโค้ง ทางโค้งในชุมชนมีลกั ษณะที่ไม่ปลอดภัยต่อไปนี้ หรื อไม่


37 ปั ญหาบริ เวณทางโค้งที่พบบ่อยในชุมชน การมองทางโค้ ง มองเห็นว่าเป็ นแนวทางโค้งหรื อไม่ ทราบหรื อไม่วา่ โค้งมาก โค้งน้อยมีหลายโค้ง ต่อกันหรื อมีทางเชื่อมบริ เวณทางโค้งมีการเตือนทางโค้งและลักษณะของทางโค้งหรื อไม่ ตัวอย่ าง เมื่อขับรถเข้าสู่ ทางโค้งในภาพในเวลากลางคืน จะไม่สามารถสังเกตเห็น ได้วา่ เป็ นทางโค้ง หรื อแม้แต่ในช่วงเวลากลางวัน ก็ไม่สามารถสังเกตได้วา่ เป็ นทางโค้งที่มีความโค้ง มาก/น้อยเพียงใด ทั้งที่ทางโค้งในภาพซ้ายเป็ นทางโค้งหักศอกที่มีทางเชื่ อมอยู่กลางโค้ง และทาง โค้งภาพขวาเป็ นทางโค้งสลับทาง (ทางโค้งที่มีสองโค้งอยู่ติดกัน ในทิศทางตรงกันข้าม) ลักษณะ ดังกล่าว อาจทําให้ผขู ้ บั ขี่ใช้ความเร็ วในการเข้าโค้งอันตรายที่ไม่เหมาะสม และเกิดอันตรายขึ้นได้ แนวทางแก้ ปัญหาอย่ างง่ าย • ถ้ามองไม่เห็นเป็ นโค้ง ติดตั้งป้ ายเตือนโค้ง ให้ผขู้ บั ขี่ทราบว่าใกล้ถึงทางโค้ง โดย เลือกรู ปแบบป้ ายที่สามารถสะท้อนลักษณะของทางโค้ง ให้ผขู้ บั ขี่เข้าใจสภาพของทางโค้ง ว่าทาง โค้งข้างหน้าเป็ นทางโค้งลักษณะใดเตือนทางโค้งด้วยป้ ายที่ทาํ จากป้ ายเก่าไม่ใช้แล้วในชุมชน • ถ้าไม่เห็ นเป็ นโค้ง ตัดถางต้นไม้บริ เวณโค้งใน และติดตั้งหลักนําโค้งและวัสดุ สะท้อนแสงบนหลักนําโค้ง ให้สามารถมองเห็นแนวทางโค้งในยามคํ่าคืน ตัดถางพุ่มไม้บริ เวณ โค้งด้านในและติดตั้งหลักนําโค้ง ตัดถางพุม่ ไม้และติดตั้งหลักนําโค้งบริ เวณโค้งที่มีทางเชื่อม • อย่า งไรก็ ต าม การติ ด ตั้ง หลัก นํา โค้ง ในชุ ม ชน ควรระมัด ระวัง เรื่ อ งความ สมํ่าเสมอของหลักนําโค้ง ให้สามารถมองเห็นเป็ นแนวทางโค้งได้อย่างชัดเจน แต่ปัญหาที่พบบ่อย เมื่ อติ ดตั้งหลักนําโค้งในชุ มชนคือ ไม่สามารถติ ดตั้งบริ เวณทางเข้าออกบ้านได้หลักนําโค้งที่ไ ม่ สมํ่าเสมอเนื่องจากทางเข้าออกบ้านพัก ทัศนวิสัยในการมองเห็น มองเห็ นรถที่แล่ นสวนมาหรื อไม่ มีอะไรบดบังรถที่สวนมาหรื อไม่ หากมีเหตุ ฉุกเฉินจะสามารถหยุดรถได้ทนั หรื อไม่ ตัวอย่ าง เมื่อขับรถเข้าสู่ ทางโค้งในภาพ จะไม่สามารถสังเกตเห็นตลอดแนวโค้ง จนถึงหลังโค้งได้ และมองไม่เห็นรถที่วงิ่ สวนทางมา ซึ่ งอาจก่อให้เกิดอันตรายในกรณี ที่ตอ้ งหยุดรถ กะทันหัน เช่น มีรถอีกคันวิง่ ตัดโค้งสวนทางมา แนวทางแก้ ปัญหาอย่ างง่ าย • หากมองไม่เห็ นรถที่ส วนมา ทําให้มองเห็ นรถที่แล่นสวนมาโดยการตัดถาง ต้นไม้บริ เวณโค้งด้านในเพื่อเพิ่มระยะการมองเห็น ถอยร่ นแนวกําแพงหรื อทํากําแพงให้โปร่ งให้ สามารถสามารถมองเห็นรถที่สวนมา หรื อติดกระจกเพื่อให้มองเห็นอีกด้าน


38 ตัวอย่ าง โค้งในภาพ จากการประชาคมหมู่บา้ นสามารถขอความร่ วมมือเจ้าของที่ เอกชน ให้สามารถตัดถางพุ่มไม้บริ เวณโค้งด้านในเพื่อเพิ่มระยะการมองเห็นในทางโค้งการตัดสาง พุ่มไม้เพื่อเพิ่มระยะมองเห็นในโค้ง การตัดสางพุ่มไม้บริ เวณโค้งด้านในเพื่อเพิ่มระยะมองเห็นใน โค้ง สภาพพืน้ ผิวทางลืน่ เป็ นหลุม บริ เวณทางโค้งมีเศษดินเศษหิ นทําให้ลื่นผิวทางลื่นเป็ นหลุมเป็ นบ่อขอบทางโค้ง ต่างระดับสู งกว่าหรื อตํ่ากว่าดินข้างทางหรื อไม่ ตัวอย่ าง ขอบด้านในทางโค้งในรู ป มีระดับที่แตกต่างกับพื้นดินข้างทางลักษณะ ดังกล่าวอาจเกิดอันตรายกับผูข้ บั ขี่ที่มกั มีพฤติกรรมขับรถตัดทางโค้งหรื อผูข้ บั ขี่ที่หลบรถขนาดใหญ่ ที่ขบั สวนทางมาโดยเฉพาะอย่างยิง่ ทางโค้งในถนนชุมชนที่มีผวิ ทางแคบไม่มีเส้นขอบทางช่วยเตือน และมืด เนื่องจากไม่มีไฟฟ้ าส่ องสว่างอย่างเพียงพอขอบทางโค้งด้านในต่างระดับกับดินข้างทาง แนวทางแก้ ปัญหาอย่ างง่ าย • ลดปั ญหาทางโค้ง ลื่ น เป็ นหลุ มเป็ นบ่อ ในระยะสั้นควรทําความสะอาด ทาสี หรื อทําเครื่ องหมายบริ เวณหลุมบ่อ ให้ผใู ้ ช้ทางสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน • ลดปั ญหาทางโค้ง ต่างระดับ โดยการตีเส้นขอบทางที่ชดั เจน ให้สามารถมองเห็น ขอบทางได้ชดั เจน หรื อปรับดินข้างทางให้ได้ระดับเดียวกันกับผิวทาง สภาพพืน้ ทีก่ ารเกิดอุบัติเหตุ ถ้ามีอุบตั ิเหตุบริ เวณทางโค้ง เช่นหลุดโค้งหรื อชนประสานงาในทางโค้งจะมีสภาพ ข้างทางที่ทาํ ให้เกิดอันตรายมากขึ้นหรื ออุบตั ิเหตุมีความรุ นแรงมากขึ้นหรื อไม่ เช่นหลุดโค้งไปชน เข้ากับต้นไม้เสาไฟ หรื อตกลงแอ่งนํ้าในบริ เวณทางโค้ง ตัวอย่ าง ทางโค้งในภาพ มีสภาพอันตรายข้างทางบริ เวณโค้งด้านนอก ซึ่ งหากผูข้ บั ขี่เสี ยหลักหลุดออกนอกโค้ง อาจชนเข้ากับท่อคอนกรี ตซึ่ งมองไม่เห็นในเวลากลางคืนหรื อ รถอาจ พุง่ ตกลงในนํ้า เพิ่มความรุ นแรงของอุบตั ิเหตุที่เกิดขึ้นทางโค้งมีสภาพอันตราย บริ เวณโค้งนอก (ท่อ คอนกรี ตและบ่อนํ้า) แนวทางแก้ ปัญหาอย่ างง่ าย • หากมี สภาพที่ อนั ตราย ให้กาํ จัดออกจากบริ เวณโค้ง หรื อเตื อนวัตถุ อนั ตราย บริ เวณทางโค้ง ด้วยการทําให้สามารถมองเห็นวัตถุ อนั ตรายอย่างชัดเจนทั้งในเวลากลางวันและ กลางคืน การเตือนวัตถุอนั ตรายบริ เวณทางโค้ง 3. บริเวณทางตรง ค้นหาว่า เมื่ อ ขับ รถผ่า นบริ เวณอันตรายในช่ วงที่ เ ป็ นทางตรง มี ล ัก ษณะที่ ไ ม่ ป ลอดภัย ต่อไปนี้ หรื อไม่


39

ความสมํ่าเสมอของถนน หน้ า ตัด ถนนกว้า งสมํ่า เสมอหรื อ ไม่ มี ก ารควบคุ ม การเตื อ นเมื่ อ หน้า ตัด ถนน เปลี่ยนไป เช่น เมื่อมีทางแคบทางชํารุ ดทางก่อสร้างหรื อไม่ ตัวอย่ าง เมื่อขับขี่มาบนถนนในรู ป รถจักรยานยนต์ซ่ ึ งมักใช้พ้ืนที่บริ เวณไหล่ทาง (พื้นที่นอกเส้นสี ขาว) ในการสัญจรจะไม่สามารถขับขี่ได้อย่างต่อเนื่ อง เนื่ องจากไหล่ทางหายไป อย่างกะทันหันบริ เวณท่อลอดระบายนํ้า ลัก ษณะดังกล่ า ว หากไม่มีก ารเตื อนให้ดีพอ (สามารถ มองเห็ นได้ท้ งั ในเวลากลางวันและกลางคืน) อาจทําให้ผูข้ บั ขี่เสี ยหลักตกลงในท่อลอดระบายนํ้า หรื อเบี่ยงเข้าใช้ช่องจราจรด้านในอย่างกะทันหันและเกิดเฉี่ ยวชนกับรถที่ว่งิ ตรงตามมาหน้าตัดถนน ที่ไม่สมํ่าเสมอโดยไหล่ทางขาดหายไปในช่วงท่อลอดระบายนํ้า ตัวอย่ าง ลักษณะเดี ยวกันกับตัวอย่างก่อนหน้า คือมีหน้าตัดถนนไม่สมํ่าเสมอ โดยมีไหล่ ทางแคบลงในช่ วงเชิ งสะพานหน้าตัดถนนไม่สมํ่าเสมอ โดยไหล่ทางแคบลงกะทันหันในช่วงเชิ ง สะพาน แนวทางแก้ ปัญหาอย่ างง่ าย • หากมีบริ เวณที่มีหน้าตัดไม่สมํ่าเสมอ เช่น เมื่อมีทางแคบ ทางชํารุ ด ทางก่อสร้าง ควรมี การเตือนผูข้ บั ขี่ล่วงหน้า เช่ น การทาสี สะท้อนแสงบริ เวณเชิ งสะพานให้สามารถมองเห็ น บริ เวณหน้าตัดที่เปลี่ยนไปได้ในเวลากลางคืนอย่างชัดเจน ผิวทางเป็ นร่ องหลุมหรื อไม่? ผิวทางเป็ นหลุมเป็ นบ่อหรื อไม่? เป็ นรอยร่ องล้อตามแนวยาวหรื อไม่? ขอบทางต่างระดับกับดินข้างทางหรื อไม่? มีฝาตะแกรงเหล็กฝาท่อระบายนํ้าคอนกรี ตที่ต่างระดับกับผิวทางหรื อไม่?


40 แนวทางแก้ ปัญหาอย่ างง่ าย • ทําความสะอาด ทาสี หรื อทําเครื่ องหมายบริ เวณหลุมบ่อ หรื อบริ เวณที่ต่างระดับ ให้ผใู ้ ช้ทางสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน การทาสี ให้สัญลักษณ์บริ เวณที่ผวิ จราจรมีความต่างระดับ 4. ความเร็ว ค้นหาว่าถนนในชุมชน มีลกั ษณะการใช้ความเร็ วที่เป็ นอันตรายเหล่านี้หรื อไม่

• รถวิ่งเร็ วเข้ าโค้ ง? บริ เวณทางโค้งอันตรายในหมู่บา้ น รถวิ่งเข้าโค้งด้วยความเร็ ว และมักแหกโค้งเกิดอุบตั ิเหตุ ใช่หรื อไม่ • รถวิ่งเร็ วเข้ าแยก? บริ เวณทางแยกอันตรายในหมู่บา้ น รถวิ่งเข้าทางแยกด้วย ความเร็ วโดยไม่ชะลอเป็ นสาเหตุให้เกิดอุบตั ิเหตุบริ เวณทางแยก ใช่หรื อไม่ • รถวิง่ เร็วในหมู่บ้าน? รถในหมู่บา้ นมักวิง่ เร็ ว เป็ นอันตรายต่อผูอ้ ยูอ่ าศัย 2 ข้างทาง และเด็กเล็กที่เล่นอยูร่ ิ มถนน ใช่หรื อไม่ • รถวิ่งเร็ วผ่ านหมู่บ้าน? ในหมู่บา้ นมีถนนที่เป็ นทางเชื่ อมต่อไปยังที่อื่นๆหรื อ หมู่บา้ นอื่นๆ และมักมีรถต่างถิ่ นใช้เส้นทางวิ่งผ่านหมู่บา้ นเพื่อไปยังหมู่บา้ นอื่นๆ รถเหล่านี้ มกั วิ่ง เร็ ว สร้างฝุ่ น มลพิษ เกิ ดอุบตั ิเหตุ ทําอันตรายต่อผูอ้ ยู่อาศัยสองข้างทางและเด็กเล็กในหมู่บา้ น ใช่ หรื อไม่ แนวทางแก้ ปัญหาอย่ างง่ าย ใช้เทคนิ คการยับยั้งการจราจรหรื อการสยบการจราจร (Traffic Calming) และป้ าย เตือน ในการลดความเร็ วของรถในชุมชน ตั ว อย่ า ง การติ ด ตั้ง ป้ ายเตื อ น เขตชุ ม ชนลดความเร็ ว เพื่ อ เตื อ นให้ ผู้ข ับ ขี่ ล ด ความเร็ วเมื่อเข้าเขตชุ มชน แต่จากภาพจะเห็นได้วา่ แม้มีป้ายแต่ขาดการบํารุ งรักษาปล่อยให้พุ่มไม้ ขึ้นบดบัง ผูข้ บั ขี่ก็ไม่สามารถมองเห็นป้ ายเตือนได้อย่างชัดเจน จากระยะไกลป้ ายเตือนเขตชุ มชนลด ความเร็ วที่ขาดการบํารุ งรักษา


41 ตั ว อย่ า ง การจัดทํา ทางเข้า ชุ ม ชน เพื่อเตื อนให้ผูข้ บั ขี่ ล ดความเร็ วเมื่ อ เข้า สู่ เขต ชุ มชนโดยจากภาพ ชุ มชนใช้ลกั ษณะภูมิทศั น์ เช่น ศาลา 2 ข้างทางและท่อคอนกรี ตทาสี ขาวและ ข้อ ความให้ ล ดความเร็ ว ในการเตื อ นเพื่อ ลดความเร็ ว ซึ่ งหากสามารถทํา ให้ล ัก ษณะภู มิ ท ัศ น์ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งในเวลากลางวันและในเวลากลางคืน ก็สามารถบีบปากทางเข้า ชุมชนให้เป็ นคอคอด (ถนนแคบลง) เพื่อบังคับให้ผขู ้ บั ขี่เข้าชุมชนต้องลดความเร็ ว ตัวอย่ าง การใช้เนิ นชะลอความเร็ วเพื่อลดความเร็ วของยวดยาน ข้อควรระวังใน การจัดทําเนินชะลอความเร็ วคือ ความสู งและการมองเห็นของเนิน 2.5.5 แนวคิดเชิ งกระบวนการ กระบวนการจัดการจุดเสี่ ยงอันตราย เป็ นกระบวนการที่เริ่ มต้นจากฐานของชุมชนท้องถิ่น ที่ป ระสบภัย ปั ญหาการประสบอุ บ ตั ิ เหตุจากถนนภายในชุ ม ชน หรื อจากถนนที่ เป็ นจุ ดเชื่ อมต่อ ระหว่างชุ มชน ความรุ นแรงของอุบตั ิเหตุมีระดับความรุ นแรงแตกต่างกันไปตามสภาพของถนน หรื อปั ญหาของผูใ้ ช้รถใช้ถนน ซึ่ งกลุ่มเป้ าหมายซึ่ งประสบกับอุบตั ิเหตุมกั จะเป็ นทั้งคนในท้องถิ่ น และคนภายนอกท้องถิ่น ดังนั้นการสร้างคู่มือกระบวนการจัดการจุดเสี่ ยงอันตรายในท้องถิ่นชุมชน จึ ง เริ่ ม จากกระบวนการศึ ก ษาชุ ม ชนการวิเคราะห์ ชุ ม ชน และการปฏิ บ ตั ิ ก ารเพื่ อแก้ไ ขจุ ด เสี่ ย ง อันตราย โดยมีกระบวนการดังต่อไปนี้ 1. กระบวนการศึกษาชุ มชน (Community Study) โดยจําแนกกระบวนการการศึกษา ชุมชนได้ดงั นี้ 1.1 การสํารวจพื้นที่ปฏิบตั ิการเพื่อแก้ไขจุดเสี่ ยง (กรณี ศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคาม) โดยกําหนดหลักเกณฑ์ของการสํารวจพื้นที่เบื้องต้นไว้ดงั นี้ • เป็ นเขตพื้นที่ที่ต้งั อยูโ่ ดยรอบมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มีการขยายตัวของความ เป็ นเมืองค่อนข้างสู ง มีการก่อสร้ างหอพักและอาคารร้านค้าเพื่อรองรับกับความต้องการของนิ สิต และบุคคลากรของมหาวิทยาลัย ซึ่ งมีจาํ นวนมาก และมีการเพิ่มขึ้นของปริ มาณรถจักรยานยนต์ รถ ขนดินจากการก่อสร้าง ส่ งผลให้อตั ราการเกิดอุบตั ิเหตุค่อนข้างสู ง • เป็ นพื้นที่พบจุดเสี่ ยงของการเกิดอุบตั ิเหตุในชุมชน และยังไม่มีมาตรการในการ แก้ไขจุดเสี่ ยงทั้งในระดับองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น และระดับชุมชน • พื้นที่จุดเสี่ ยงดังกล่าว มักจะเป็ นถนนในชุมชน ซึ่ งมีความคาบเกี่ยวในการจัดการกับหน่วยงานที่ เกี่ ยวข้อง เช่ น ถนนของทางหลวงชนบท หรื อถนนของเทศบาลตําบล อันเป็ นพื้นที่ที่ยากต่อการ จําแนกสภาพของความเป็ นเจ้าของอย่างชัดเจน 1.2 การสัมภาษณ์ ผนู ้ าํ ชุ มชนเบื้องต้น (Informal Interview) เพื่อทราบถึ งสถานการณ์ ความรุ นแรงของปั ญหา สร้างการมีส่วนร่ วมของชุมชนในการเข้ามามีส่วนร่ วมในการจัดการแก้ไข ปั ญ หาจุ ด เสี่ ย งของชุ ม ชนตนเอง อี ก ทั้ง เพื่ อ เป็ นการสร้ า งความเป็ นเจ้า ภาพร่ ว มในการดํา เนิ น


42 โครงการ ในฐานะของผูม้ ีส่วนได้ ส่ วนเสี ย (Stakeholder) และเปิ ดโอกาสให้ชุมชนได้ตดั สิ นเลือกที่ จะเข้าร่ วมโครงการหรื อไม่ 1.3 การสํ า รวจเพื่ อ ค้น หานัก วิจ ัย ท้อ งถิ่ น และแกนนํา การสํา รวจเพื่ อ ค้น หานัก วิจ ัย ท้องถิ่ นตั้ง อยู่บ นฐานของวิเคราะห์ ถึ ง ผูม้ ี ส่ วนได้ส่ วนเสี ย ของการดํา เนิ นโครงการ ด้วยการให้ ความสําคัญในบทบาทหน้าที่ของนักวิจยั ท้องถิ่ น ที่นกั วิจยั ดังกล่าวจะต้องเป็ นบุคคลที่มีบทบาท สํา คัญต่อการพัฒนาท้องถิ่ นหรื อ ชุ ม ชน อาจจะโดยโครงสร้ างหน้าที่ หรื อโดยตํา แหน่ งในการ รับ ผิดชอบ โดยคาดหวัง ว่า บทบาทของนัก วิจยั ท้องถิ่ นจะเป็ นกํา ลัง สําคัญของการนํา พาชุ ม ชน ขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปั ญหาจุดเสี่ ยงในชุมชน ด้วยการใช้ขอ้ มูลจากการศึกษาชุมชน และข้อมูลในการ วิเคราะห์จุดเสี่ ยง เป็ นฐานในการปฏิ บตั ิการเพื่อแก้ไขปั ญหา โดยผูว้ ิจยั ได้คดั เลื อกนักวิจยั ท้องถิ่น อันประกอบด้วย กํานัน, ผูอ้ าํ นวยการโรงพยาบาลชุมชน, ปลัดองค์การบริ หารส่ วนตําบล ในขณะที่ แกนนําชุมชนมีกระบวนการคัดเลือกแกนนําชาวบ้านโดยเริ่ มจากการเข้าไปพูดคุยกับผูน้ าํ ชุมชนถึง สถานการณ์ อุบตั ิเหตุในชุ มชน การพิจารณาค้นหาแกนนําชาวบ้านที่จะสามารถเป็ นแกนนําชุมชน ในการปฏิบตั ิการ แก้ไขปั ญหา โดยเน้นการคัดเลือกจากคณะกรรมการชุมชนและผูม้ ีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ ผูใ้ หญ่บา้ น, อสม, อปพร., สมาชิ กจากกลุ่มสตรี , แม่บา้ น, ผูช้ ่วยผูใ้ หญ่บา้ นซึ่ งโดยบทบาท หน้าที่แล้วมีความสําคัญต่อการบําบัดทุกข์บาํ รุ งสุ ขแก่ประชาชนในท้องถิ่นในขณะเดียวกัน กลุ่ม แกนนํา ดัง กล่ า วยัง มี บ ทบาทในการขับ เคลื่ อนการแก้ไ ขปั ญหาจุ ดเสี่ ย งในชุ ม ชนอย่า งต่ อเนื่ อ ง เนื่องจากเป็ นกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทสําคัญเกี่ยวข้องกับบริ หารจัดการเงินกองทุนของชุมชนเพื่อการ ปรับปรุ งจุดเสี่ ยงในอนาคตได้และทางทีมวิจยั คาดหวังว่า แกนนําชาวบ้านจะสามารถนําเอาความรู้ จากการวิเคราะห์ จุดเสี่ ยงมาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเอง ทั้งในแง่ของการปรับปรุ งจุดเสี่ ยงเชิ ง กายภาพและกระบวนการทางสังคม เช่น การรณรงค์การขับขี่อย่างปลอดภัยการออกกฎระเบียบของ ชุมชนเพื่อการใช้รถใช้ถนนร่ วมกันอย่างปลอดภัย 1.4 การศึกษาชุมชนเบื้องต้นการศึกษาบริ บทชุมชนทําให้สามารถเห็นภาพของชุ มชนได้ ทุกมิติ โดยกระบวนการนําเอานิ สิตสาขาวิชาเอกการพัฒนาชุมชนร่ วมกับชาวบ้านในการเก็บข้อมูล ชุ มชนใน 8 มิติด้วยกัน ได้แก่ ข้อมูลด้า นเศรษฐกิ จ ด้านสังคม ด้า นสาธารณสุ ขและอุบตั ิเหตุใ น ชุมชน ด้านศาสนา ประเพณี วฒั นธรรม ด้านการเมืองการปกครอง ด้านทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่ งแวดล้อม ด้านการศึกษา ซึ่ งจากการศึกษาข้อมูลชุมชนเบื้องต้น นํา มาสู่ ก ารจัดเวที ส ะท้อนข้อมู ล สู่ ชุ ม ชน ทําให้ส ามารถเห็ นศัก ยภาพปั ญหาต่า งๆในชุ ม ชน ใน ขณะเดียวกันก็นาํ มาสู่ การสร้างการพูดคุยเบื้องต้นถึงปั ญหาอุบตั ิเหตุ และจุดเสี่ ยงที่พบเห็นในชุมชน ตลอดจนข้อมูลความถี่ ของการเกิ ดอุบตั ิเหตุในชุ มชน เพื่อใช้ในการเป็ นฐานของการวิเคราะห์จุด เสี่ ยงในชุมชน


43 1.5 การประชุ มเพื่อชี้ แจงโครงการในระดับแกนนําและระดับชุ มชนการประชุ มชี้ แจง โครงการ เป็ นกระบวนการที่มีความสําคัญในแง่ของการสร้างการเป็ นเจ้าภาพร่ วมกันของการจัดการ โครงการ อันเป็ นภารกิจที่ตอ้ งให้ความสําคัญ ใน 4 ประการร่ วมกัน คือ 1. การให้ความสําคัญของสถานการณ์อุบตั ิเหตุในชุมชนที่จาํ เป็ นต้องเร่ งแก้ไข โดยการสร้างการมีส่วนร่ วมและความเข้มแข็งของชุมชนในการแก้ไขปั ญหา 2. การสร้างความเข้าใจต่อภารกิจร่ วมของโครงการ รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับ จากโครงการ 3. การเสนอหรื อการคัดเลือกแกนนําชุมชนที่เหมาะสมต่อการดําเนิ นโครงการ 4. การระดมข้อมูลสถานการณ์จุดเสี่ ยงเบื้องต้นของแต่ละชุมชน เพื่อสร้างการ แลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้ร่วมกัน และแสวงหาความร่ วมมือเบื้องต้น 1.6 การฝึ กอบรมและศึกษาดูงานของแกนนําชาวบ้านและนักวิจยั ท้องถิ่นฝึ กอบรมเป็ น กระบวนการในการพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ของนักวิจยั ท้องถิ่นและแกนนําชุ มชนให้มีองค์ ความรู ้ เบื้องต้นในการวิเคราะห์จุดเสี่ ยง โดยแบ่งรู ปแบบการอบรม เป็ นสองส่ วนด้วยกัน ได้แก่ ภาคทฤษฎี และภาคปฏิ บ ัติ โดยมี รายละเอี ย ดแสดงในหัวข้อ แนวคิ ดและสื่ อในการฝึ กอบรม กระบวนการศึกษาดู งานทําให้นกั วิจยั ท้องถิ่ นและแกนนําชุ มชนกระตื อรื อร้ นในการแลกเปลี่ ยน เรี ยนรู ้ การจัดการจุดเสี่ ยง มีการระดมความคิดเห็ นต่อเนื่ องว่าเมื่อตนศึ กษาดูงานเสร็ จแล้วจะรั บ กลับมาประชาคมหมู่บา้ น เพื่อวางแผนแก้ไขจุดเสี่ ยง โดยทางทีมวิจยั ได้กาํ หนดให้แต่ละชุมชนเปิ ด เวทีชาวบ้านเพื่อระดมความคิดและวิเคราะห์จุดเสี่ ยงในชุมชนของตนเอง 2. การวิเคราะห์ จุดเสี่ ยงในชุ มชน โดยกระบวนการ Transect walkและ Social Mapping กระบวนการวิเคราะห์จุดเสี่ ยงในชุ มชน เริ่ มต้นจากการที่แกนนําชุ มชนและผูใ้ หญ่บา้ นในฐานะ นักวิจยั ท้องถิ่นได้นดั หมายร่ วมกับทีมวิจยั เพื่อกําหนดวันเวลาในการวิเคราะห์จุดเสี่ ยงในชุมชน โดย มีกระบวนการดังนี้ 1. รวมกลุ่มชี้แจงเส้นทางการเดิน 2. การออกเดินสํารวจไปตามถนนในหมู่บา้ น เพื่อเห็นสภาพจริ งของพื้นที่จุดเสี่ ยง พร้อมร่ วมกันเดินสํารวจทางแยก ทางโค้ง มีการวาดภาพประกอบตัวอย่างเส้นทางเดินที่บา้ นมะกอก ดังแสดงในภาพประกอบ 3. ร่ วมกันวิเคราะห์จุดเสี่ ยงลงในแผนที่ของชุมชน หลังจากนั้นได้มีการแบ่งกลุ่ม ย่อยในชุมชนเพื่อคัดเลือกจุดเสี่ ยงที่ชุมชนเห็นว่าควรปรับปรุ งแก้ไขอย่างเร่ งด่วน จํานวน 3 จุด 4. วิเคราะห์จุดเสี่ ยงตามตารางที่กล่าวมาแล้ว 5. นําเสนอผลการวิเคราะห์จุดเสี่ ยงและอภิปรายร่ วม 3. การวางแผนปฏิบัติการเพื่อแก้ ไขจุดเสี่ ยง กระบวนการคัดเลื อกจุดเสี่ ยงจากชุ มชน จํานวน 3 พื้นที่ ต่อชุ มชน ส่ งผลต่อการวางแผนการปฏิ บตั ิการแก้ไขปั ญหาที่แตกต่างกันไปตาม


44 สภาพพื้นที่ โดยขั้นตอนของการวางแผนปฏิบตั ิการแก้ไขได้ลงไปที่การระดมความคิดเห็นของแต่ ละพื้นที่ของจุดเสี่ ยง และจัดทําแผนปฏิบตั ิการดังตาราง จุดเสี่ ยง

วิธีการแก้ ไขปัญหา

วิธีดําเนินการ

งบประมาณ

โดยคณะทีมวิจยั ได้ร่วมกันวิเคราะห์ในขณะการเดินสํารวจชุ มชนเพื่อวิเคราะห์จุดเสี่ ยง ว่า ในมุมของวิศวกรรมศาสตร์ ควรแก้ไขอย่างไร อะไรที่ชาวบ้านทําได้ อะไรที่จาํ เป็ นต้องประสาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการ ดังนั้นการจัดทําแผนปฏิบตั ิการร่ วมกันจึงระบุถึงรู ปธรรมของ การแก้ไขปั ญหาที่อยูบ่ นฐานของความรู้ชุมชน ผนวกกับความรู้เชิงวิศวกรรม โดยชาวบ้านสามารถ ออกแบบรู ปแบบการแก้ไขจุดเสี่ ยงตามสภาพของปั ญหาของพื้นที่ในส่ วนที่สามารถทําได้ ได้แก่ การสร้างป้ าย การสร้ างสัญลักษณ์ เพื่อบ่งชี้ ถึงบริ เวณดังกล่าวมีความเสี่ ยงต่อการเกิดอุบตั ิเหตุ การ ปรับปรุ ง ภูมิทศั น์เพื่อทําให้ทศั นวิสัยการมองเห็นความโค้งของถนนได้มากขึ้น การให้กระบวนการ ทางสังคมในการทําความเข้าใจร่ วมกับชาวบ้านที่มีบา้ นที่ติดถนน และ จําเป็ นต้องตัดถางกิ่งไม้เพื่อ สร้างการมองเห็นที่เพียงพอ หรื อการขอขยายพื้นที่ผิวถนนในบริ เวณที่ขา้ งกําแพงวัด การสร้างเกาะ กลางโดยการใช้ตน้ ไม้ใหญ่ของชุ มชนเป็ นเกาะกลางธรรมชาติ และมีการทาสี ติดสติกเกอร์ และ แผ่น CD เพื่อสร้างความแตกต่างและสะดุดตาต่อผูใ้ ช้รถใช้ถนน รวมถึงการฝึ กอบรมกฎจราจรแก่ ผูใ้ ช้รถใช้ถนนในชุมชน 4. กระบวนการปรับปรุงจุดเสี่ ยงอันตราย กระบวนการปรับปรุ งจุดเสี่ ยงอันตราย ควรเป็ น กิ จกรรมที่ เกิ ดขึ้ นทันที หลังจากผ่านกระบวนการฝึ กอบรมและจัดให้มีการศึกษาดูงานของพื้นที่ ต้นแบบ ทั้งนี้ เพื่อสร้ างความกระตือรื อร้ นในการแก้ไขปั ญหา ซึ่ งจากผลการวิจยั พบว่า หลังจาก การศึ กษาดูงานพื้นที่ตน้ แบบมาแล้ว พบว่าเนื่ องจากอุบตั ิเหตุภายในชุ มชนเป็ นเรื่ องใกล้ตวั ที่ ใน เบื้องต้น ชุ มชนเองสามารถจัดการจุดเสี่ ยงได้ดว้ ยตัวของชุมชนเอง ด้วยการใช้ทุนทางสังคมที่มีอยู่ ในพื้นที่ เช่น การทําแผงสัญลักษณ์เตือนจุดอันตราย ทางโค้ง ทางแยก ทางเลี้ยว โดยการใช้เศษวัสดุ ในชุมชน การตัดถางกิ่งไม้ที่บดบังทัศนวิสัยของผูข้ บั ขี่ยานพาหนะ 1. ขอความร่ วมมือจากชุมชนในการนําเศษไม้หรื อเศษวัสดุเหลือใช้มาบริ จาคเพื่อ นํามาเป็ นวัสดุในการนํามาจัดการจุดเสี่ ยง 2. ปฏิบตั ิการแก้ไขจุดเสี่ ยง ด้วยการสร้างการมีส่วนร่ วมของชุมชน เน้นการใช้ทุน ทางสังคม โดยให้ความสําคัญไปที่การแก้ไขจุดเสี่ ยงอย่างง่ ายๆ ที่ชุมชนสามารถทําได้เอง หรื อ สามารถบูรณาการทําร่ วมกันระหว่างท้องถิ่ นกับชุ มชนการขอความอนุเคราะห์สีสเปรย์ เพื่อสร้าง การมองเห็นในระยะไกล


45 3. ทดลองขับรถผ่านจุดเสี่ ยง สังเกตและประเมินผลการปรับปรุ ง ว่าตรงตาม วัตถุประสงค์หรื อไม่ ควรมีการปรับปรุ งเปลี่ยนแปลงหรื อไม่ 4. การสรุ ปบทเรี ยน 5. กระบวนการประเมิน เฝ้ าระวัง และติด ตามผลจุ ดเสี่ ย งอันตรายภายหลังจากการ ปรับปรุ งแก้ไขจุดเสี่ ยงภายในชุ มชนของตนเองแล้ว กระบวนการต่อไปคือ การประเมินผลของการ ดําเนิ นแก้ไขจุดเสี่ ยง ตลอดจนติดตามและเฝ้ าระวังจุดเสี่ ยงอันตรายในชุ มชน โดยมีลาํ ดับขั้นตอน ดังนี้ 1. ติดตามสถิ ติการเกิดอุบตั ิเหตุบริ เวณจุดเสี่ ยง ว่าลดลงหรื อไม่ภายหลังจากการ ปฏิบตั ิการเพื่อแก้ไขปั ญหาจุดเสี่ ยงในชุ มชน ได้มีการมอบหมายหน้าที่ให้กบั นักวิจยั ท้องถิ่ นและ แกนนําชุมชนได้ร่วมกันสังเกตบริ เวณที่ปรับปรุ งจุดเสี่ ยงว่าจุดดังกล่าวหรื อบริ เวณดังกล่าวได้มีเสี ยง วิจารณ์หรื อให้ขอ้ คิดเห็ นจากชุ มชน หรื อผูใ้ ช้รถใช้ถนนของการสัญจรไปมาอย่างไร นอกจากนั้น แล้วกําหนดให้มีการติดตามสถิติการเกิดอุบตั ิบริ เวณจุดเสี่ ยง ว่ามีอตั ราการลดลงหรื อเพิ่มขึ้นอย่างไร โดยอาจจะใช้วธิ ี การเปรี ยบเทียบในช่วงเวลาปกติของชุมชนกับช่วงเทศกาลต่างๆ เช่นเทศกาลปี ใหม่ สงกรานต์ ที่มีปริ มาณการใช้รถใช้ถนนมากกว่าในช่วงเวลาปกติ ซึ่ งพบว่าภายหลังจากการปรับปรุ ง จุดเสี่ ยงแล้ว สถานการณ์อุบตั ิเหตุในชุมชนไม่มีการเกิดอุบตั ิเหตุในบริ เวณดังกล่าวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ ตาม การปรั บ ปรุ ง และแก้ไ ขจุ ดเสี่ ย งจํา เป็ น จะต้องดํา เนิ นการในกระบวนการต่อมาคือ การนํา ข้อเสนอแนะจากชุ มชนมาปรับปรุ งแก้ไขจุดเสี่ ยงอีกรอบ เช่ น การทาสี เพิ่ม การติดสติกเกอร์ เพิ่ม กํา หนดให้มี ก ารจัด เวที แ ลกเปลี่ ย นเรี ย นรู ้ ร่ ว มกัน โดยให้ แ ต่ ล ะชุ ม ชนได้อ อกมานํา เสนอการ ปรั บปรุ งจุ ดเสี่ ย งใน ชุ ม ชนของตัวเองให้พ้ืนที่อื่นได้เรี ยนรู้ และนํา เอาองค์ค วามรู้ ที่เกิ ดจากการ แลกเปลี่ยนไปปรับปรุ งจุดเสี่ ยงในชุ มชนของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็รับฟั งข้อเสนอแนะจาก ที่ ปรึ กษาโครงการวิจยั และผูร้ ับผิดชอบโครงการในการปรับปรุ งจุดเสี่ ยงเพิ่มเติม 2. การกําหนดแผนปฏิบตั ิการจุดเสี่ ยงเข้าสู่ แผนประจําปี ของชุมชน การดําเนินการ แก้ไขปั ญหาจุดเสี่ ยงโดยชุ มชน จําเป็ นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบํารุ งรักษาจุดเสี่ ยงเพื่อให้สามารถทํา หน้าที่ในการป้ องกันการเกิดอุบตั ิเหตุได้แก่ การทาสี ซ้ าํ การซ่อมบํารุ งจุดชะลอความเร็ ว แผงกั้นทาง โค้ง หรื อการตัดสางต้นไม้เพื่อเปิ ดให้มองเห็ นถนน ฯลฯ ดังนั้นกระบวนการซ่ อมบํารุ งดังกล่ าว จะต้องถูกดําเนิ นการในชุ มชน โดยใช้ทุนทางสังคมที่มีอยูไ่ ด้แก่ ทรัพยากรบุคคล งบประมาณและ ทรัพยากรในท้องถิ่น โดยการร่ วมกันกับนักวิจยั ท้องถิ่นและแกนนําชุมชนในการประชุมระดมความ คิดเห็นร่ วมกันกับชุมชนในการกําหนดให้มีช่วงเวลาบํารุ งรักษาจุดเสี่ ยงเป็ นประจําอย่างต่อเนื่องทุก ปี โดยอาจจะเลือกกําหนดวันสําคัญ หรื อเทศกาลที่สําคัญ เช่น ทําทุกวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี หรื อ วันที่ 12 สิ งหาคม หรื อทุกเทศกาลปี ใหม่หรื อสงกรานต์ที่ชุมชนมีการกําหนดช่ วงเวลาในการทํา ความสะอาดหมู่บา้ นร่ วมกัน พยายามผลักดันให้เข้าไปสู่ แผนของชุ มชน และสร้างแกนนําให้ทาํ หน้าที่เป็ นแกนหลักของการบํารุ งรักษาจุดเสี่ ยง


46 3. เฝ้ าระวังจุดเสี่ ยงบริ เวณใหม่ที่เกิดขึ้นในชุมชน ภายหลังจากการสร้างระบบการ บํา รุ ง รั ก ษาแก้ไ ขปั ญหาจุ ดเสี่ ย งของชุ ม ชนแล้ว ภายในชุ ม ชนอาจจะมี จุดเสี่ ย งที่ เกิ ดขึ้ นมาใหม่ กระบวนการดังกล่าวจะสามารถแก้ไขปั ญหาได้อย่างต่อเนื่ องหากเราสามารถสร้างนักวิจยั ท้องถิ่น หรื อแกนนําให้มีความรู ้ และทักษะในการวิเคราะห์จุดเสี่ ยง และสามารถนํามาสู่ การสร้างทางเลือก ในการปรับปรุ ง จุดเสี่ ยงเพื่อลดอุบตั ิเหตุ โดยอาจจะต้องมีการเชื่อมประสานความรู้ทอ้ งถิ่นและ ความรู ้ในชิงวิศวกรรมประกอบกันเข้าไป เช่น ความรู้ของท้องถิ่นว่าด้วยเรื่ องพฤติกรรมของผูใ้ ช้รถ ใช้ถนน ในขณะที่ความรู ้ทางวิศวกรรม อาจจะต้องการเสริ มในเรื่ องของการออกแบบแก้ไขปั ญหา จุดเสี่ ยงให้สอดคล้องเทคนิ คทางวิศวกรรม เช่น การทาสี ป้าย การทําลูกระนาดเพื่อชะลอความเร็ ว หรื อการทําราวไม้ไผ่เพื่อสร้างการมองเห็นดังนั้นกระบวนการเฝ้ าระวังจุดเสี่ ยงบริ เวณใหม่ในชุมชน จําเป็ นจะต้องจัดให้มีแกนนําหรื อนักวิจยั ท้องถิ่นที่ผา่ นกระบวนการมาแล้วมาทําบทบาทหน้าที่ใน การวิเคราะห์จุดเสี่ ยงใหม่ที่เกิดขึ้นในชุ มชน และใช้กระบวนการทํางานเหมือนกับการแก้ไขปั ญหา ที่ผา่ นมา ในขณะเดียวกัน ควรมีการอบรมความรู้เพิ่มเติมในเชิงวิศวกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพูน ทักษะและยกระดับองค์ความรู ้ของชุ มชนในการจัดการจุดเสี่ ยงนอกจากนั้นแล้วกิจกรรมการขยาย ผล อาจจะเป็ นกิจกรรมต่อเนื่ องจากกระบวนเฝ้ าระวังจุดเสี่ ยง โดยส่ งเสริ มและพัฒนาทักษะแกนนํา ให้ส ามารถทํา หน้า ที่ เป็ นพี่ เลี้ ย งให้กบั หมู่บ ้า นข้างเคี ย งที่ อยากจะแก้ไ ขจุ ดเสี่ ย งของตนเองผ่า น กระบวนการแลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้ระหว่างชุมชนร่ วมกัน ซึ่ งกระบวนการนี้ มีความจําเป็ นอย่างมากใน กรณี ที่ชุมชนดังกล่าวมีลกั ษณะของการเป็ นชุมชนขนาดใหญ่ประกอบไปด้วยหลายหมู่บา้ น และมี อาณาเขต หรื ออาณาบริ เวณ หรื อมีการใช้ถนนร่ วมกันทั้งในระบบถนนหลักและถนนย่อยในชุมชน เมื่อดําเนินการแก้ไขจุดเสี่ ยง ควรดําเนิ นการวิเคราะห์จุดเสี่ ยงในภาพรวมของชุมชนและเลือกที่จะ ปรับปรุ งแก้ไขจุ ดเสี่ ยงเพื่อลดอุ บตั ิ เหตุ ในชุ มชนอย่างเป็ นระบบเพื่อแก้ไขปั ญหา ไม่เช่ นนั้นเมื่ อ ชุ มชนสามารถปรับปรุ งแก้ไขปั ญหาจุ ดเสี่ ยงได้บางจุด อาจจะไปส่ งผลกระทบให้เกิ ดจุดเสี่ ยงใน บริ เวณอื่นของชุมชนตามมา เนื่องจากผูข้ บั ขี่ยานพาหนะต้องการหลบเลี่ยงเส้นทางที่มีการปรับปรุ ง จุดเสี่ ยง และหันไปใช้เส้นทางอื่น อันเป็ นการสร้างความคับคัง่ ของการสัญจรของบริ เวณอื่นให้มี ความหนาแน่นและอาจเกิดอุบตั ิเหตุได้ง่าย และจะพัฒนามาเป็ นจุดเสี่ ยงใหม่ของชุมชนนั้นเอง 6. สรุ ปบทเรียน กิจกรรมการสรุ ปบทเรี ยนเป็ นอีกหนึ่ งกิ จกรรมที่จะช่ วยทําให้แกนนํา และนักวิจยั ท้องถิ่นได้ทบทวนความคาดหวังในการเข้าร่ วมกิจกรรมและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นโครงการ กํา หนดให้มี ก ารถอดบทเรี ย นในช่ วงสุ ดท้า ยของการดํา เนิ นโครงการโดยกําหนดให้มีก ารถอด บทเรี ยนรายพื้นที่ เพื่อเน้นข้อมูลเชิงลึกระดับหมู่บา้ น ซึ่ งอาจมีความแตกต่างกันของบริ บทพื้นที่และ ทุนทางสังคมที่มีอยู่ เน้นการเข้าร่ วมของสามองค์ประกอบได้แก่ 1) นักวิจยั ท้องถิ่น 2) แกนนํา ชุมชน และ 3) ตัวแทนชาวบ้าน ซึ่ งมีประเด็นในการถอดบทเรี ยน ดังต่อไปนี้


47 ระยะก่ อนเข้ าร่ วมโครงการพัฒนาคู่มือการสํ ารวจและวิเคราะห์ จุดเสี่ ยง 1. ก่อนเข้าร่ วมโครงการฯ แกนนําชุมชนคิดอย่างไรในเรื่ องจุดเสี่ ยงและอุบตั ิเหตุบน ท้องถนนในชุมชน 2. เมื่ อเข้า ร่ วมโครงการฯ นัก วิจ ัย ท้อ งถิ่ น แกนนํา ชาวบ้า น มี เ ป้ าหมายและ วัตถุประสงค์อย่างไรบ้าง 3. ระยะเริ่ มแรกมีใครบ้างที่เข้ามาเกี่ยวข้องและเข้าร่ วมโครงการฯ ระยะระหว่ างเข้ าร่ วมโครงการพัฒนาคู่มือการสํ ารวจและวิเคราะห์ จุดเสี่ ยง 1. นักวิจยั ท้องถิ่น แกนนําชุมชน ได้เข้าร่ วมกิจกรรมอะไรที่โครงการฯ จัดขึ้น 2. นักวิจยั ท้องถิ่น แกนนําชุมชน ได้กลับมาปฏิบตั ิการในชุมชนมีกิจกรรมอย่างไรบ้าง 3. เปรี ยบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังการดําเนินโครงการ 4. หน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่ เช่น เทศบาลตําบล สถานีอนามัย โรงเรี ยนเข้ามามีส่วน ร่ วมในโครงการนี้อย่างไร 5. ปั ญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบตั ิงานเป็ นอย่างไรบ้าง และแก้ไขกัน อย่างไร ระยะสิ้นสุ ดของโครงการ 1. อะไรคื อ ตัว ชี้ วัด ความสํา เร็ จ ที่ เ กิ ด ขึ้ น จากโครงการวิเ คราะห์ จุด เสี่ ย งรู ป ธรรม ความสําเร็ จคืออะไร 2. ประเมินดูวา่ การทํางานทั้งหมดอะไรที่คน้ พบสิ่ งดีๆที่เกิด คืออะไร 3. เกิดการเรี ยนรู ้เชิงกระบวนการทํางานร่ วมกันอย่างไร 4. การแก้ไขปั ญหาจุดเสี่ ยงที่เกิดในชุมชนเหมือนหรื อแตกต่างจากที่อื่น 5. บทบาทของทีมวิจยั ท้องถิ่น แกนนํา ชาวบ้าน ที่ตอ้ งการให้โครงการฯหนุ นเสริ ม ต่อไปมีอะไรบ้าง 6. ชุ ม ชนได้ว างแผนงาน แก้ไ ขและป้ องกัน จุ ด เสี่ ย งอุ บ ัติ เ หตุ ใ นชุ ม ชนหรื อ ช่ ว ง เทศกาลอย่างไรบ้าง 7. นักวิจยั ท้องถิ่ น แกนนําชุ มชน สามารถมีทกั ษะและศักยภาพในการวิเคราะห์จุด เสี่ ยงเพิ่มขึ้นและสามารถนําไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้หรื อไม่ 8. ข้อเสนอแนะต่อการดําเนินโครงการ ผลของการสรุ ปบทเรี ยนการทํางานจะทําให้ แกนนําและนักวิจยั ได้มี โอกาสในการทบทวนเป้ าหมายและความคาดหวังของตนเองตลอดจน กลวิธีในการดําเนิ น โครงการ การสร้ างการมีส่วนร่ วมของชุ มชน และความสามารถในการเชื่ อม ประสานสู่ หน่วยงานในระดับท้องถิ่นที่เข้ามาเกี่ยวข้อง อันจะสามารถชี้ ให้เห็นศักยภาพของชุมชน ในการจัดการจุดเสี่ ยงภายในชุมชนของตนเอง


48 9. การประกวดนวัตกรรมจุ ดเสี่ ยง การประกวดนวัตกรรมจุ ดเสี่ ยงในโครงการ มี เป้ าหมายเพื่อค้นหาพื้นที่ตน้ แบบที่สามารถแก้ไขปั ญหาจุดเสี่ ยงของชุมชนได้อย่างเหมาะสม มีการ พัฒนาทักษะ และองค์ความรู ้ของแกนนํา มาปรับปรุ งแก้ไขจุดเสี่ ยงในชุมชน โดยเน้นไปที่การให้ คนในชุ ม ชนได้เข้า มามี ส่ วนร่ วมในการวิเคราะห์ จุดเสี่ ย งและหาแนวทางแก้ไ ขจุ ดเสี่ ย งร่ วมกัน (Incentive) ตลอดจนการสร้ างมาตรการระยะยาวในการเฝ้ าระวังและติดตามเพื่อแก้ไขปั ญหาจุด เสี่ ย งในชุ มชนอย่างยัง่ ยืน สามารถยกระดับพื้นที่ที่ ชนะเลิ ศ การประกวดนวัตกรรมให้เป็ นพื้นที่ ต้นแบบของการขยายผลสู่ พ้นื ที่อื่นที่เกี่ยวข้องโดยมีเกณฑ์ในการประกวดพื้นที่ตน้ แบบดังนี้ • ความเข้มแข็งในการบริ หารจัดการทีมนักวิจยั ท้องถิ่นและแกนนํา • การสร้างการมีส่วนร่ วมของชุมชน (งบประมาณ, แรงงาน, ความรู้) ในการจัดการจุด เสี่ ยง • การบริ หารจัดการงบประมาณอย่างมีประสิ ทธิ ภาพและประสิ ทธิ ผล • ความสามารถในการวิเคราะห์จุดเสี่ ยง และมีขอ้ มูลนําไปสู่ การแก้ไขปั ญหาในชุ มชน ตามหลักวิชาการ • การเกิดนวัตกรรมการแก้ไขจุดเสี่ ยงในชุมชน โดยการผสมผสานความรู้ และความรู้ ภายนอก • ความสามารถในการเชื่อมประสานภาคีเครื อข่าย (เทศบาลตําบล อบจ. สถานีอนามัย โรงเรี ยน วัด) ในการทํางานร่ วมกัน • ความชัดเจนในการจัดทําแผนปฏิบตั ิการเพื่อขอรับงบประมาณในการแก้ไขจุดเสี่ ยง • การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ยานพาหนะของชาวบ้านในชุมชน • ความสามารถในการเป็ นชุมชนต้นแบบเพื่อการขยายผลให้แก่ชุมชนข้างเคียง • ความยัง่ ยืนและต่อเนื่ องของโครงการภายหลังจากการประกวดนวัตกรรมแล้ว ควร จัดให้มีการมอบรางวัลและป้ ายประกาศในระดับจังหวัดหรื อในระดับภาค เพื่อสร้างการรับรู้ของ การดําเนินโครงการแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ สร้างขวัญและ กําลังใจให้กบั ชุมชนในการขับเคลื่อนเพื่อป้ องกันปั ญหาอุบตั ิเหตุในชุมชน 10. การเชื่อมประสานแผนงานปรับปรุ งจุดเสี่ ยงแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็ นที่ทราบกัน ดี ว่ า การปรั บ ปรุ งจุ ด เสี่ ย งโดยการมี ส่ ว นร่ วมของชุ ม ชน เป็ นภารกิ จ ที่ ค่ อ นข้า งท้า ทายต่ อ ความสามารถของชุมชนในการจัดการจุดเสี่ ยงอันตรายในชุ มชน ซึ่ งในอดีตจุดเสี่ ยงดังกล่าวถูกมอง ว่าหน้าที่ของหน่ วยงานภาครัฐที่เกี่ ยวข้องและต้องอาศัยองค์ความรู้เชิงวิศวกรรมที่ชาวบ้านยากจะ เข้าใจและเข้าถึ งได้อย่า งไรก็ตาม งานวิจยั ชิ้ นนี้ เป็ นงานวิจยั อีกชิ้ นหนึ่ งที่พิสู จน์และยืนยันได้ว่า ชุมชนสามารถเข้ามามีส่วนร่ วมในการจัดการจุดเสี่ ยงอันตรายภายในชุมชนของตนเองได้ ในหลาย ระดับ ตั้งแต่การเข้ามามีส่วนร่ วมในการกระบวนการคิด วิเคราะห์จุดเสี่ ยงการวางแผนเพื่อแก้ไข ปั ญหา การปฏิ บตั ิ ก ารเพื่ อแก้ไ ขปั ญหา และการมี ส่ วนร่ วมในการร่ วมรั บ ผลประโยชน์ร่วมกัน


49 อย่า งไรก็ตาม องค์ค วามรู ้ ข องชุ ม ชน และบทบาท อํา นาจหน้า ที่ ของชุ ม ชนในการจัด การหรื อ ปรับปรุ งจุดเสี่ ยงยังคงมีขอ้ จํากัดอยูห่ ลายประการได้แก่ 1. ข้อจํากัดในเชิงองค์ความรู ้เชิงวิศวกรรมศาสตร์ 2. อํานาจหน้าที่ในการปรับปรุ งจุดเสี่ ยงที่เกี่ยวข้องกับถนนภายในชุ มชน มักจะอยู่ ภายใต้อาํ นาจของทางหลวงชนบท หรื อแขวงการทาง หรื อองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด หรื อองค์การ บริ ห ารส่ วนตํา บล ซึ่ ง ทํา ให้ชุ ม ชนไม่มี อ าํ นาจหน้า ที่ ใ นการปรั บ ปรุ ง หรื อแก้ไ ขปั ญหาจุ ดเสี่ ย ง ประกอบกับ จุ ดเสี่ ย งบางพื้ น ที่ บางบริ บ ทที่ ชุ ม ชนอยากจะแก้ไ ขแต่ ไ ม่ ส ามารถ ดํา เนิ น การได้ เนื่องจากเกินศักยภาพของชุ มชนในการดําเนินการ เช่น การขยายไหล่ทาง การทํา Guard Rail ฯลฯ ซึ่งภารกิจดังกล่าวเกินศักยภาพที่ชุมชนจะทําได้ นอกจากการขีดสี ตีเส้นเพื่อสร้างระยะการมองเห็น หรื อเพื่อชะลอความเร็ วของรถเท่านั้นเอง ดังนั้นเพื่อให้งานการปรับปรุ งจุดเสี่ ยง สามารถบรรลุตาม เป้ าหมายที่ต้ งั ไว้จาํ เป็ นต้องมีการส่ งต่อภารกิจที่เกินความสามารถของชุ มชน ในการปรับปรุ งจุด เสี่ ยงไปสู่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันให้มีการบรรจุเข้าสู่ แผนงานของหน่วยงานนั้นๆโดยสรุ ป กระบวนการในการวิเคราะห์และปรับปรุ ง แก้ไขจุดเสี่ ยงในชุ มชนจําเป็ นต้องให้มีนกั วิชาการใน ระดับพื้นที่ได้เข้ามามีบทบาทในการกระตุน้ แนะนําและให้ขอ้ เสนอแนะต่อเทคนิ คการวิเคราะห์จุด เสี่ ยง การปรับปรุ งจุดเสี่ ยงที่สอดคล้องกับ หลักความรู้ เชิ งวิศวกรรมศาสตร์ โดยจะสามารถสรุ ป กระบวนการเพื่อให้เห็นภาพรวมของการปรับปรุ ง และแก้ไขจุดเสี่ ยงโดยการมีส่วนร่ วมของชุมชน ได้ดงั นี้ ค้นหาทีมวิจยั ท้องถิ่น

ค้นหาแกนนําชุมชน เก็บข้อมูลชุมชนเบื้องต้น

5คน/ชุมชน

(นักวิจยั ท้องถิ่น+แกนนําชุมชน+นิสิต)

อบรมดูงานแกนนํา จัดเวทีระดับหมู่บา้ น สํารวจวิเคราะห์ปัญหาจุด

เวทีสร้างความร่ วมมือ

ปฏิบตั ิการแก้ไขจุดเสี่ ยง ในชุมชน

เวทีแลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้ ต้นแบบการขยายผล

สรุ ปบทเรี ยน


50 2.6 แนวคิดทฤษฏีเกีย่ วกับภาวะผู้นําการเปลีย่ นแปลง ภาวะผูน้ าํ การเปลี่ ยนแปลงเป็ นกระบวนการที่มีอิทธิ พลต่อการเปลี่ ยนแปลงเจตคติ และ สมมุติ ฐานของสมาชิกในองค์การ สร้างความผูกพันในการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ และกลยุทธ์ที่ สําคัญขององค์การ ภาวะผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวข้องกับอิทธิ พลของผูน้ าํ ที่มีต่อผูต้ าม แต่อิทธิ พล นั้น เป็ นการให้ อ ํา นาจแก่ ผู้ต ามให้ ก ลับ กลายเป็ นผู ้นํา แ ล ะ ผู ้ที ่ เ ป ลี ่ ย น แ ป ล ง หน่ ว ยง า น ใน กระบวนการของการเปลี่ยน แปลงองค์การ ดังนั้นสภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงจึงได้รับการมองว่าเป็ นกระบวนการที่เป็ นองค์รวม และ เกี่ยวข้องกับการดําเนินการของผูน้ าํ ในระดับต่างๆ ในหน่วยงานย่อยขององค์การ 2.6.1 ความหมายของผู้นําการเปลีย่ นแปลง เบิ ร์ น (Burn.1978 ) ได้ใ ห้ค วามหมายของภาวะผูน้ ํา การเปลี่ ย นแปลงไว้ว่า คื อ กระบวนการซึ่ งทั้งผูน้ าํ และผูต้ ามต่างยกระดับที่สูงขึ้นทั้งแรงจูงใจและจริ ยธรรมซึ่ งกันและกันโดย ผูน้ าํ จะค้นหา เพื่อยก ระดับความสํานึกของผูต้ ามให้ไปสู่ อุดมการณ์ที่สูงส่ ง แบส (Bass.1985 ) ให้ความหมายว่า ภาวะผูน้ าํ หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลง ผูน้ าํ ต้องเป็ นผูเ้ ปลี่ ยนแปลงการปฏิ บตั ิงานของผูต้ าม ต้องได้ผลเกิ นเป้ าหมายที่กาํ หนด ทัศนคติ ความ เชื่อมัน่ และความต้องการของผูต้ ามต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงจากระดับตํ่าสู่ ระดับที่สูงกว่า กริ ฟฟิ น ( Griffin. 1996:504 ) ให้ความหมายของคําว่า ภาวะผูน้ าํ หมายถึง การไม่ใช้ อิทธิ พลบังคับกลุ่มหรื อให้ทาํ ตามวัตถุ ประสงค์ขององค์กร แต่เป็ นการกระตุน้ พฤติกรรมของคนที่ นําไปสู่ ความ สําเร็ จของหน่วยงาน ดูบริ น( Dubrin. 1998:2 )ให้ความหมายของคําว่า ภาวะผูน้ าํ หมายถึง ความสามารถที่จะ สร้างความเชื่อมัน่ และให้การสนับสนุนบุคคลเพื่อให้บรรลุเป้ าหมาย ดาฟท์ ( Daft .1999:5 ) ให้ความหมายของคําว่า ภาวะผูน้ าํ หมายถึง ความสัมพันธ์ที่มี อิทธิ พลระหว่างผูน้ าํ และผูต้ ามซึ่ งทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บรรลุเป้ าหมายร่ วมกัน ภาวะผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลง (Transformational Leadership) มีชื่อเรี ยกเป็ นภาษาไทยที่พบ โดยทัว่ ไปเช่น ภาวะผูน้ าํ แบบเปลี่ ยนสภาพ (เสริ มศักดิ์ วิศาลาภรณ์.2544:60) ภาวะผูน้ าํ การปฏิรูป (รังสรรค์ ประเสริ ฐศรี .2544:63) ภาวะผูน้ าํ แบบปริ วรรต (รัชนี วิเศษสังข์.2537 :18) บัณ ฑิ ต แท่ นพิ ท ัก ษ์ (2540:15-16) ให้ค วามหมาย ของภาวะผูน้ ํา การเปลี่ ย นแปลงว่า หมายถึง ภาวะผูน้ าํ ของผูบ้ ริ หารที่ใช้วิธีการต่างๆในการยกระดับความต้องการ ความตระหนักและ ความสํานึ กของผูต้ าม ทําให้ผตู ้ ามก้าวพ้นจากความสนใจตนเองมาเป็ นการทํางานเพื่อประโยชน์ ส่ วนรวมของหน่วยงานและมุ่งมัน่ ใช้ความพยายามอย่างสู งในการทํางานเพื่อให้บรรลุผลสําเร็ จ วรรณดี ชู ก าล (2540:8) ให้ ค วามหมายของภาวะผู ้นํ า การเปลี่ ย นแปลงหมายถึ ง ความสามารถของผูบ้ ริ หารในการยกระดับแรงจูใจของผูต้ าม กระตุน้ ให้ผตู ้ ามมีความต้องการสู งขึ้น


51 กว่าที่เป็ นอยู่และเห็ นคุ ณค่าตลอดจนการที่จะบรรรลุ วตั ถุ ประสงค์โดยไม่คาํ นึ งถึ งประโยชน์ของ ส่ วนตัว สุ ดา ทัพสุ วรรณ (2541:8) ให้ความหมายของภาวะผูน้ าํ การเปลี่ ยนแปลงว่า หมายถึ ง ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างผูน้ าํ และผูต้ าม ผูน้ าํ จะเน้นให้ผตู ้ ามเกิดความรู ้สึกเห็นความสําคัญและ คุณค่าของงานที่ผลิ ตออกมา จูงใจให้ผตู ้ ามสนใจทํางานเพื่อหน่ วยงาน ตลอดจนเปลี่ ยนแปลระดับ ความต้องการในผลงานของผูต้ ามให้สูงขึ้น และใช้ความสามารถของตนเองตามศักยภาพทั้งหมดใน การทํางาน เบอร์ น (ประเสริ ฐ สมพงษ์ธรรม. 2538 : 50-51; อ้าอิงจาก Burns.1978 Leadership.) กล่าว ว่า ภาวะผูน้ าํ เป็ นปฏิสัมพันธ์ของบุคคลที่มีความแตกต่างกันในด้านอํานาจ ระดับแรงจูงใจ และ ทักษะเพื่อไปสู่ จุดมุ่งหมายร่ วมกัน ซึ่งเกิดได้ใน 3 ลักษณะ คือ 1. ภาวะผูน้ าํ แบบแลกเปลี่ยน( Transactional Leadership.) เป็ นปฏิสัมพันธ์ที่ผนู้ าํ ติดต่อกับ ผูต้ ามเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซ่ ึ งกันและกัน ผูน้ าํ จะใช้รางวัลเพื่อตอบสนองความต้องการและ เพื่อแลกเปลี่ ยนกับความสําเร็ จในการทํางาน ถื อว่าผูน้ าํ และผูต้ ามมีความต้องการ อยู่ในระดับขั้น แรกตามทฤษฎีความต้องการลําดับขั้นของมาสโลว์(Maslow’s Need Hierachy Theory) 2. ภาวะผูน้ าํ การเปลี่ ย นแปลง (Transformational Leadership) ผูน้ ํา และผูต้ ามมี ปฏิ สั ม พัน ธ์ ก ัน ก่ อ ให้ เ กิ ด การเปลี่ ย นแปลงสภาพทั้ง สองฝ่ าย คื อ เปลี่ ย นผูต้ ามไปเป็ นผูน้ ํา การ เปลี่ ย นแปลง และเปลี่ ย นผูน้ ํา การเปลี่ ย นแปลงไปเป็ นผู้นํา แบบจริ ย ธรรม กล่ า วคื อ ผู้นํา การ เปลี่ ย นแปลงจะตระหนัก ถึ ง ความต้องการของผูต้ ามและจะกระตุ ้นตามให้เกิ ดความสํานึ ก และ ยกระดับความต้องการขอผูต้ ามให้สูงขึ้นตามลําดับขั้นความต้องการของมาสโลว์และทําให้ผตู้ าม เกิดจิตสํานึกของอุดมการณ์ยดึ ถือค่านิยมเชิงจริ ยธรรม เช่น อิสรภาพ ความยุติธรรม ความเสมอภาค สันติภาพ และสิ ทธิ มนุษยชน 3. ภาวะผูน้ าํ แบบจริ ยธรรม (Moral Leadership) ผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลจะเปลี่ยนเป็ นผูน้ าํ แบบจริ ยธรรมอย่างแท้จริ งเมื่อได้ยกระดับความประพฤติและความปรารถนาเชิงจริ ยธรรมของผูน้ าํ และผูต้ ามให้สูงขึ้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสองฝ่ าย สร้างจิตสํานึกให้ผตู้ ามเกิดความต้องการ ในระดับขั้นที่สูงกว่าเดิ มตามลําดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ หรื อระดับการพัฒนาจริ ยธรรม ของโคลเบิร์กแล้วจึงดําเนินการเปลี่ยนสภาพทําให้ผนู ้ าํ และผูต้ ามไปสู่ จุดมุ่งหมายที่สูงขึ้น ผูน้ าํ ทั้งสามลักษณะตามทฤษฎีของเบอร์ น มีลกั ษณะเป็ นแกนต่อเนื่อง ภาวะผูน้ าํ แบบแลก เปลี่ยนอยู่ปลายสุ ดของแกน ซึ่ งตรงกันข้ามกับภาวะผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลงซึ่ งมุ่งเปลี่ยนสภาพไปสู่ ภาวะผูน้ าํ แบบจริ ยธรรม จากความหมายโดยสรุ ปกล่าวได้วา่ ภาวะผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลง หมายถึง ระดับพฤติกรรม ของผูบ้ ริ หารที่แสดงให้เห็ นในการจัดการหรื อการทํางานที่เป็ นกระบวนการเปลี่ ยนแปลงความ พยายามของผูร้ ่ วมงานให้สูงขึ้นกว่าความพยายามที่คาดหวัง เป็ นผลให้การปฏิ บตั ิงานเกิ นความ


52 คาดหวัง พัฒนาความสามารถและศักยภาพไปสู่ ระดับ ที่สูงขึ้ นโดยผูบ้ ริ หารแสดงบทบาททําให้ ผูร้ ่ วมงานไว้วางใจ ตระหนักรู ้ภารกิจและวิสัยทัศน์ มีความจงรักภักดีและเป็ นข้อจูงใจให้ผรู้ ่ วมงาน มองการณ์ไกลกว่าความสนใจของตน ซึ่ งจะนําไปสู่ ประโยชน์ขององค์กร 2.6.2 คุณลักษณะของผู้นําการเปลีย่ นแปลง โดยทัว่ ๆ ไปจะเป็ นดังนี้ ทิชชีและดีเวนนา (เสริ มศักดิ์ วิศาลาภรณ์.2536:62; อ้างอิงจาก Tichy & Devanna. 1986. Training and Development. P.19-32) 1. เป็ นผูน้ าํ การเปลี่ ย นแปลง จะเปลี่ยนองค์การที่ตนเองรับผิดชอบไปสู่ เป้ าหมายที่ ดีกว่าคล้ายกับผูฝ้ ึ กสอนหรื อโค้ชนักกีฬาที่ตอ้ งรับผิดชอบทีมที่ไม่เคยชนะใครเลย ต้องมีการเปลี่ยน เป้ าหมายเพื่อความเป็ นผูช้ นะ และต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกทีมเล่นให้ดีที่สุดเพื่อชัยชนะ 2. เป็ นคนกล้าและเปิ ดเผย เป็ นคนที่ตอ้ งเสี่ ยงแต่มีความสุ ขและมีจุดยืนของตนเอง กล้า เผชิญกับความจริ ง กล้าเปิ ดเผยความจริ ง 3. เชื่อมัน่ ในคนอื่น ผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เผด็จการแต่มีอาํ นาจ และสนใจคนอื่น ๆ มีการทํางานโดยมอบอํานาจให้คนอื่นทําโดยเชื่ อว่าคนอื่นก็มีความสามารถ 4. ใช้คุณค่าเป็ นแรงผลักดัน ผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลงนี้ จะชี้ นาํ ให้ผตู้ ามตระหนักถึงคุณค่า ของเป้ าหมาย และสร้างแรงผลักดันในการปฏิบตั ิงานเพื่อบรรลุเป้ าหมายที่มีคุณค่า 5. เป็ นผูเ้ รี ยนรู ้ตลอดชีวติ ผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลงนี้จะนึกถึงสิ่ งที่ตนเองเคยทําผิดพลาดใน ฐานะที่เป็ นบทเรี ยน และจะพยายามเรี ยนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาตนเองตลอดเวลา 6. มี ค วามสามารถที่ จ ะเผชิ ญ กับ ความสลับ ซับ ซ้อน ความคลุ ม เครื อ และความไม่ แน่นอน ผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลงจะมีความสามารถในการเผชิญปั ญหาที่เปลี่ยนแปลงอยูเ่ สมอ 7. เป็ นผูม้ องการณ์ไกล ผูน้ าํ การเปลี่ ย นแปลงจะมี ความสามารถในการมองการณ์ไกล สามารถที่จะนําความหวัง ความฝันมาทําให้เป็ นความจริ งได้ 2.6.3 องค์ ประกอบของภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลง (Transformational Leadership) ประกอบไปด้วย องค์ประกอบเฉพาะทั้ง 4 ประการ ซึ่ งมีความสัมพันธ์กนั (Intercorrelated) และมี การแบ่งแยกแต่ละองค์ประกอบ เนื่องจากต่างก็มีความเฉพาะเจาะจง และมีความสําคัญที่แตกต่างกัน ซึ่ งมีรายละเอียดเฉพาะของแต่ละองค์ประกอบดังนี้ 1. การมีอิทธิ พลอย่างมีอุดมการณ์ (Idealized Influence or Leadership : II or CL) หมายถึง การที่ผนู ้ าํ ประพฤติตวั เป็ นแบบอย่างหรื อเป็ นโมเดลสําหรับผูต้ าม ผูน้ าํ จะเป็ นที่ยกย่อง เคารพนับถือ ศรัทธา ไว้วางใจและทําให้ผตู ้ ามเกิดความภาคภูมิใจเมื่อได้ร่วมงานกัน ผูต้ ามจะพยายามประพฤติ ปฏิ บ ตั ิ เ หมื อน กับ ผูน้ ํา และต้องการเลี ย นแบบผูน้ ํา ของเขา สิ่ ง ที่ ผูน้ ํา ต้องปฏิ บ ตั ิ เพื่อบรรลุ ถึ ง คุณลักษณะนี้ คือ ผูน้ าํ จะต้องมีวิสัยทัศน์และสามารถถ่ายทอดไปยังผูต้ าม ผูน้ าํ จะมีความสมํ่าเสมอ มากกว่าการเอาแต่อารมณ์ สามารถควบคุมอารมณ์ได้ในสถานการณ์วกิ ฤต ผูน้ าํ เป็ นผูท้ ี่ไว้ใจได้วา่ จะ ทําในสิ่ งที่ถูกต้อง ผูน้ าํ จะเป็ นผูท้ ี่มีศีลธรรมและมีจริ ยธรรมสู ง ผูน้ าํ จะหลีกเลี่ยงที่จะใช้อาํ นาจเพื่อ


53 ประโยชน์ส่วนตน แต่จะประพฤติตนเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผอู้ ื่นและเพื่อประโยชน์ของกลุ่ม ผูน้ าํ จะแสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาด ความมีสมรรถภาพ ความตั้งใจ การเชื่อมัน่ ในตนเอง ความแน่ว แน่ในอุดมการณ์ ความเชื่ อและค่านิ ยมของเขา ผูน้ าํ จะเสริ มความภาคภูมิใจ ความจงรักภักดี และ ความมัน่ ใจของผูต้ าม และทําให้ผตู้ ามมีความเป็ นพวกเดียวกับผูน้ าํ โดยอาศัยวิสัยทัศน์และการมี จุดประสงค์ร่วมกัน ผูน้ าํ แสดงความมัน่ ใจช่ วยสร้ างความรู้ สึก เป็ นหนึ่ ง เดี ยวกันเพื่อการบรรลุ เป้ าหมายที่ตอ้ งการ ผูต้ ามจะเลี ยนแบบผูน้ าํ และพฤติกรรมของผูน้ าํ จากการสร้ างความมัน่ ใจใน ตนเอง ประสิ ทธิ ภาพและความเคารพในตนเอง ผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลง จึงรักษาอิทธิ พลของตนใน การบรรลุเป้ าหมายและปฏิบตั ิภาระหน้าที่ขององค์การ 2. การสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration Motivation : IM ) หมายถึง การที่ผนู ้ าํ จะประพฤติ ในทางที่จูงใจให้เกิดแรงบันดาลใจกับผูต้ าม โดยการสร้างแรงจูงใจภายใน การให้ความหมายและ ท้าทายในเรื่ องงานของผูต้ าม ผูน้ าํ จะกระตุน้ จิตวิญญาณของทีม (Team Spirit) ให้มีชีวิตชีวา มีการ แสดงออกซึ่ งความกระตือรื อร้ น โดยการสร้างเจตคติที่ดีและการคิดในแง่บวก ผูน้ าํ จะทําให้ผตู ้ าม สัมผัสกับภาพที่งดงามของอนาคต ผูน้ าํ จะสร้างและสื่ อความหวังที่ผนู้ าํ ต้องการอย่างชัดเจน ผูน้ าํ จะ แสดงการอุทิศตัวหรื อความผูกพันต่อเป้ าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมกัน ผูน้ าํ แสดงความเชื่ อมัน่ และ แสดงให้เห็ นความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าสามารถบรรลุเป้ าหมายได้ ผูน้ าํ จะช่วยให้ผตู้ ามมองข้าม ผลประโยชน์ของตนเพื่อวิสัยทัศน์และภารกิจขององค์การ ผูน้ าํ จะช่วยให้ผตู้ ามพัฒนาความผูกพัน ของตนต่อเป้ าหมายระยะยาว และบ่อยครั้งพบว่าการสร้างแรงบันดาลใจนี้ เกิดขึ้นผ่านการคํานึงถึง ความเป็ นปั จเจกบุคคล และการกระตุน้ ทางปั ญญา โดยการคํานึงถึงความเป็ นปั จเจกบุคคลทําให้ผู้ ตามรู ้ สึกเหมือนตนเองมีคุณค่า และกระตุน้ ให้พวกเขาสามารถจัดการกับปั ญหาที่ตนเองเผชิญได้ ส่ วนการกระตุน้ ทางปั ญญาช่ วยให้ผูต้ ามจัดการกับอุปสรรคของตนเอง และเสริ มความคิ ดริ เริ่ ม สร้างสรรค์ 3. การกระตุน้ ทางปั ญญา (Intellectual Stimulation : IS) หมายถึง การที่ผนู ้ าํ มีการกระตุน้ ผูต้ ามให้ตระหนักถึงปั ญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในหน่วยงาน ทําให้ผตู้ ามมีความต้องการหาแนวทางใหม่ มาแก้ ปัญหาในหน่วยงาน เพื่อหาข้อสรุ ปใหม่ที่ดีกว่าเดิม เพื่อทําให้เกิดสิ่ งใหม่และสร้างสรรค์ โดย ผูน้ าํ มีการคิดและแก้ปัญหาอย่างเป็ นระบบ มี ความคิ ดริ เริ่ มสร้ างสรรค์ มีการตั้งสมมติฐาน การ เปลี่ยนกรอบ (Reframing) การมองปั ญหา และการเผชิญกับสถานการณ์เก่าๆ ด้วยวิถีทางแบบใหม่ๆ มีการจูงใจและสนับสนุนความคิดริ เริ่ มใหม่ๆในการพิจารณาปั ญหาและการหาคําตอบของปั ญหา มี การให้กาํ ลังใจผูต้ ามให้พยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยวิธีใหม่ๆ ผูน้ าํ มีการกระตุน้ ให้ผูต้ ามแสดง ความคิดและเหตุผล และไม่วจิ ารณ์ความคิดของผูต้ าม แม้วา่ มันจะแตกต่างไปจากความคิดของผูน้ าํ ผูน้ าํ ทําให้ผตู ้ ามรู ้สึกว่าปั ญหาที่เกิดขึ้นเป็ นสิ่ งที่ทา้ ทายและเป็ นโอกาสที่ดีที่จะแก้ปัญหาร่ วมกัน โดย ผูน้ าํ จะสร้ างความเชื่ อมัน่ ให้ผตู้ ามว่าปั ญหาทุกอย่างต้องมีวิธีแก้ไข แม้บางปั ญหาจะมีอุปสรรค มากมาย ผูน้ าํ จะพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้ จากความร่ วมมือร่ วมใจใน


54 การแก้ปัญหาของผูร้ ่ วมงานทุกคน ผูต้ ามจะได้รับการกระตุน้ ให้ต้ งั คําถามต่อคํานิ ยมของตนเอง ความเชื่อและประเพณี การกระตุน้ ทางปั ญญาเป็ นส่ วนสําคัญของการพัฒนาความสามารถของผูต้ าม ในการที่จะตระหนักและแก้ไขปั ญหาด้วยตนเอง 4. การคํานึ งถึงความเป็ นปั จเจกบุคคล (Individualized Consideration:IC) ผูน้ าํ จะมีความ สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลในฐานะเป็ นผูน้ าํ ในการดูแลเอาใจใส่ ผตู้ ามเป็ นรายบุคคล และทําให้ผู้ ตามรู้สึกมีคุณค่าและมีความสําคัญ ผูน้ าํ จะเป็ นโค้ช (Coach) และเป็ นที่ปรึ กษา (Advisor) ของผู้ ตามแต่ละคน เพื่อการพัฒนาผูต้ าม ผูน้ าํ จะเอาใจใส่ เป็ นพิเศษในความต้องการของปั จเจกบุคคล เพื่อ ความสัมฤทธิ์ และเติบโตของแต่ละคน ผูน้ าํ จะพัฒนาศักยภาพของผูต้ ามและเพื่อนร่ วมงานให้สูงขึ้น นอกจากนี้ ผนู ้ าํ จะมีการปฏิบตั ิต่อผูต้ าม โดยการให้โอกาสในการเรี ยนรู ้สิ่งใหม่ๆ สร้างบรรยากาศ ของการให้การสนับสนุ น คํานึ งถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้านความจําเป็ น และความ ต้องการการประพฤติของผูน้ าํ แสดงให้เห็นว่า เข้าใจและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่ น บางคนได้รับ กําลังใจมากกว่า บางคนได้รับอํา นาจการตัดสิ นใจด้วยตนเองมากกว่า บางคนมี มาตรฐานที่เคร่ งครัดกว่า บางคนมีโครงสร้างงานที่มากกว่า ผูน้ าํ มีการส่ งเสริ มการสื่ อสารสองทาง และมีการจัดการด้วยการเดินดูรอบๆ (Management by walking around) มีปฏิสัมพันธ์กบั ผูต้ ามเป็ น การส่ วนตัว ผูน้ าํ สนใจในความกังวลของแต่ละบุคคล เห็นปั จเจกบุคคลเป็ นบุคคลทั้งคน (As a Whole Person) มากกว่า เป็ นพนัก งานหรื อเป็ นเพีย งปั จจัย การผลิ ต ผูน้ ํา จะมี ก ารฟั ง อย่า งมี ประสิ ทธิ ภาพ มีการเอาใจเขามาใส่ ใจเรา (Empathy) ผูน้ าํ จะมีการมอบหมายงานเพื่อเป็ นเครื่ องมือ ในการพัฒนาผูต้ าม เปิ ดโอกาสให้ผตู ้ ามได้ใช้ความสามารถพิเศษอย่างเต็มที่ และเรี ยนรู ้สิ่งใหม่ๆที่ ท้าทายความสามารถ ผูน้ าํ จะดูแลผูต้ ามว่าต้องการคําแนะนํา การสนับสนุนและการช่วยให้กา้ วหน้า ในการทํางานที่รับผิดชอบอยูห่ รื อไม่ โดยผูต้ ามจะไม่รู้สึกว่าเขากําลังถูกตรวจสอบ 2.7 ผลงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้ อง กฤตพงศ์ โรจน์รุ่งศศิธร (2549) การศึกษาเรื่ อง “สาเหตุการเกิดอุบตั ิเหตุจราจรของผูข้ บั ขี่ ยวดยานในเขตนิ คมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี” มีวตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็น เกี่ ย วกับ สาเหตุ ก ารเกิ ดอุ บ ตั ิ เหตุ จราจรของผูข้ บั ขี่ ย วดยานในเขตนิ ค มอุ ตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และเพื่อเปรี ยบเทียบสาเหตุการเกิดอุบตั ิเหตุจราจรของผูข้ บั ขี่ยวดยานของผูข้ บั ขี่ใน เขตนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ผลจากการศึ กษา พบว่า ความคิดเห็นเกี่ ยวกับสาเหตุการเกิ ดอุบตั ิเหตุจราจรของผูข้ บั ขี่ ยวดยานในเขตนิ คมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง อยูใ่ นระดับมาก โดยแยกและเรี ยงระดับความคิดเห็น เกี่ยวกับสาเหตุการเกิดกันอุบตั ิเหตุจราจร ดังนี้คือ ด้านสาเหตุของการเกิดอุบตั ิเหตุที่เกิดจากผูข้ บั ขี่ อยูใ่ นระดับมาก พบว่าอุบตั ิเหตุที่เกิดจากความประมาทของผูข้ บั ขี่มีมากที่สุด ด้านลักษณะการขับขี่ ที่เป็ นสาเหตุของการเกิดอุบตั ิเหตุ อยูใ่ นระดับมากที่สุด ได้แก่ เกิดจากขับรถในขณะมึนเมาสุ รา มี


55 มากที่สุด ด้านการขับขี่ระหว่างผูข้ บั ขี่ดว้ ยกันเองเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิ ดอุบตั ิเหตุ และในด้าน การกระทําผิดกฎหมายจราจรของผูข้ บั ขี่เอง พบว่า มีการกระทําผิดอยูใ่ นระดับน้อย ได้แก่ ไม่ยอม เนื่องจากรถคันอื่นเห็นแก่ตวั ท่านจึงไม่ยอมให้รถขับผ่านไป และคิดว่าเจ้าหน้าที่ตาํ รวจไม่เห็นมีมาก ที่สุด ในส่ วนของการเปรี ยบเทียบสาเหตุการเกิดอุบตั ิเหตุจราจรของผูข้ บั ขี่ยวดยานของผูข้ บั ขี่ในเขต นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จําแนกตามข้อมูลทัว่ ไปและประสบการณ์ในการขับขี่ยวดยาน พบว่า อายุ ประเภทรถที่ใช้ขบั ขี่และการประสบอุบตั ิเหตุ มีผลต่อสาเหตุการเกิดอุบตั ิเหตุจราจรของผูข้ บั ขี่ ยวดยานในเขตนิ คมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ส่ วนตัวแปรด้านเพศ ระดับการศึกษา อาชี พ ประเภท ใบอนุญาต ประสบการณ์ในการขับขี่รถ ความเร็ วในการขับขี่ ช่วงเวลาในการขับขี่ และ การกระทํา ผิดกฎหมายจราจร พบว่าไม่มีผลต่อสาเหตุการเกิดอุบตั ิเหตุจราจรของผูข้ บั ขี่ยวดยาน ในเขตนิคม อุตสาหกรรมแหลมฉบัง ที่ระดับนัยสําคัญ .05 วิเชียร มุริจนั ทร์ (2541, หน้า 92-99) ได้ศึกษาถึงภูมิหลังของผูป้ ระสบอุบตั ิเหตุขณะขับขี่ รถจักรยานยนต์ พบว่าสถานภาพสมรสไม่มีผลต่อการเกิ ดอุบตั ิเหตุ ผูข้ บั ขี่เพศชายจะประสบ อุ บตั ิ เหตุจราจรมากกว่า เพศหญิ ง ผูข้ บั ขี่ ที่มีการศึกษาตํ่าจะประสบอุบ ตั ิเหตุ จราจรมากกว่าผูม้ ี การศึกษาระดับสู ง ผูข้ บั ขี่ที่มีรายได้นอ้ ยจะประสบอุบตั ิเหตุมากกว่าผูข้ บั ขี่มีรายได้สูงและผูข้ บั ขี่ที่มี ประสบการณ์ในการขับขี่นอ้ ย จะประสบอุบตั ิเหตุจราจรมากกว่าผูข้ บั ขี่ที่มีประสบการณ์ในการขับ ขี่มาก ชูศกั ดิ์ หทัยธรรมและสรชัย หลํ่าสาคร (2543) ได้ศึกษาวิจยั เรื่ องปั จจัยที่มีความสัมพันธ์กบั การเกิดอุบตั ิเหตุในนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิ คสมุทรสาคร จากการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างนักศึกษา วิทยาลัยเทคนิ คสมุทรสาคร มีอตั ราการเกิดอุบตั ิเหตุร้อยละ 77.40 มีประสบการณ์ ในการได้รับ อุบตั ิเหตุจากการขับขี่รถจักรยานยนต์เฉลี่ย 1.9 ครั้ง เพศชาย มีอตั ราการเกิดอุบตั ิเหตุมากกว่าเพศ หญิง ซึ่ งมีความเสี่ ยงมากกว่า 2 เท่าของเพศหญิงและมีอายุมากกว่า 19 ปี นักศึกษาที่มีใบอนุ ญาตขับ ขี่ ร ถจัก รยานยนต์ มี ค วามเสี่ ย งต่ อ การเกิ ด อุ บ ัติ เ หตุ ม ากกว่ า และประสบการณ์ ก ารขับ ขี่ รถจักรยานยนต์ เท่ากับหรื อมากกว่า 2 ปี มีความเสี่ ยงต่อการเกิดอุบตั ิเหตุมากเช่นกัน ความรู ้ อุ ม าภรณ์ ไชยแก้ว (2550) บทบาทของผูบ้ ริ ห ารองค์ก ารบริ ห ารส่ วนตํา บลในการ ปฏิบตั ิงานการป้ องกันอุบตั ิเหตุจราจร ตามมาตรการ 6E กรณี ศึกษาจังหวัดเชียงราย การศึกษานี้ มีวตั ถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาบทบาทของผูบ้ ริ หารองค์การบริ หารส่ วนตําบลใน การปฏิบตั ิงานการป้ องกันอุบตั ิเหตุจราจร ตามมาตรการ 6E 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อบทบาทของ ผูบ้ ริ หารองค์การบริ หารส่ วนตําบลในการปฏิบตั ิงานการป้ องกันอุบตั ิเหตุจราจร ตามมาตรการ 6E 3. เพื่อศึกษาถึ งปั ญหาและข้อเสนอแนะของผูบ้ ริ หารองค์การบริ หารส่ วนตําบลในการปฏิบตั ิงาน การป้ องกันอุบตั ิเหตุจราจร ตามมาตรการ 6E


56 ผลการศึกษาพบว่า 1. ข้อมูลพื้นฐานของประชากรที่ศึกษา ส่ วนใหญ่เป็ นชาย มีอายุระหว่าง 41-50 ปี จบ การศึกษาระดับมัธยมศึกษา ประกอบอาชีพค้าขายและธุ รกิจส่ วนตัว รายได้ครอบครัวต่อปี มากกว่า 60,000 บาท ดํารงตําแหน่ งเป็ นรองนายกองค์การบริ หารส่ วนตําบล มีระยะเวลาที่เข้ามาอาศัยใน พื้นที่ เป็ นเวลา 31-40 ปี 2. บทบาทของผูบ้ ริ หารองค์การบริ หารส่ วนตําบล ในการปฏิบตั ิงานการป้ องกันอุบตั ิเหตุ จราจร ตามมาตรการ 6E โดยรวม มีบทบาท อยู่ในระดับปานกลาง วิเคราะห์เป็ นรายด้าน พบว่า ด้า นที่ อยู่ใ นระดับ ปานกลาง คื อ ด้า นการสร้ า งให้เกิ ดความรู้ ค วามเข้า ใจ และด้า นการสร้ า งให้ ท้องถิ่นหรื อชุ มชนมีพลังอํานาจ ด้านที่อยู่ในระดับน้อย คือ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ด้าน วิศวกรรมจราจร ด้านระบบบริ การการแพทย์ฉุกเฉิ น ด้านการเก็บรวบรวมข้อมูลและประเมินผล 3. ปั จจัยที่มีผลต่อบทบาทของผูบ้ ริ หารองค์การบริ หารส่ วนตําบล ในการปฏิบตั ิงานการ ป้ องกันอุบตั ิเหตุจราจร ตามมาตรการ 6E จากการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ ตําแหน่ง ระยะเวลาที่เข้ามาอยูอ่ าศัยในพื้นที่ การมีส่วนร่ วมในการแก้ไขปั ญหาชุ มชน ระดับ การบริ หารจัดการในองค์กรของผูบ้ ริ หารองค์การบริ หารส่ วนตํา บล ความรู้ ความเข้าใจเกี่ ยวกับ องค์การบริ หารส่ วนตําบล และความรู ้ความเข้าใจเกี่ยวกับอุบตั ิเหตุจราจร 4. ปั ญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะของผูบ้ ริ หารองค์การบริ หารส่ วนตําบล ในการ ปฏิบตั ิงานการป้ องกันอุบตั ิเหตุจราจร ตามมาตรการ 6E พบว่า ประชาชนขาดความตระหนักในการ ปรั บ เปลี่ ย นพฤติ ก รรมที่ เสี่ ยงต่อการเกิ ดอุ บ ตั ิ เหตุ จราจร เช่ น ดื่ ม แล้วขับ รถ ไม่นิย มใช้อุป กรณ์ ป้ องกัน ประชาชนไม่ ป ฏิ บ ัติ ต ามกฎหมายและกฎจราจร งบประมาณในการจัด ทํา ป้ ายหรื อ สัญลักษณ์เตือน ปรับปรุ งถนนที่เป็ นหลุมเป็ นบ่อไม่เพียงพอ ขาดความรู ้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการ ป้ องกันอุบตั ิเหตุจราจร ควรจัดอบรมให้ประชาชนเกี่ยวกับกฎหมายจราจร เครื่ องมือจราจร และ การขับขี่ปลอดภัย ปฏิบตั ิตามกฎหมาย กฎจราจรอย่างเคร่ งครัด


บทที่ 3 กระบวนการดําเนินงาน โครงการกระบวนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษาและชุ มชนรอบ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเป็ นการปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วมระหว่างคณะทํางานหลักที่เป็ นเครื อข่าย นักวิชาการจากสถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น มูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานีกบั คณะทํางานร่ วมที่เป็ นอาจารย์ บุคลากร นักศึกษาในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี องค์การบริ หารส่ วน ท้องถิ่ น ทั้ง 6 แห่ งคื อเทศบาลตําบลเมืองศรี ไค อบต.ธาตุ อบต.โพธิ์ ใหญ่ เทศบาลตําบลคําขวาง เทศบาลตําบลแสนสุ ข อบต.คูเมือง อําเภอวาริ นชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี และชุ มชนรอบ มหาวิท ยาลัย โดยมี เป้ าหมาย สนับ สนุ นให้นักวิชาการ นัก ศึก ษาและบุ คลากรในมหาวิท ยาลัย อุ บ ลราชธานี ร วมทั้ง ภาคี เครื อ ข่ า ย ชุ ม ชน อปท.รอบๆมหาวิท ยาลัย เข้า มามี ส่ ว นร่ ว มในการ ดําเนิ นการแก้ไขปั ญหาความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษาและชาวบ้าน ซึ่ งกระบวนการและ วิธีการดําเนินงานที่โครงการนํามาใช้เพื่อขับเคลื่อนการทํางานในระยะ 1 ได้แก่ 3.1 กระบวนการค้ นหาคณะทํางานหลัก ในช่ วงเริ่ มต้นของโครงการ Node Action จังหวัดอุบลราชธานี ได้ประสานเครื อข่าย นักวิชาการของสถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น มูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี ซ่ ึ ง เป็ นศูนย์ประสานงานวิจยั เพื่อท้องถิ่นชุ ดนักวิชาการจังหวัดอุบลราชธานี ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สํานักงานกองทุนสนับสนุ นการวิจยั (สกว.) ฝ่ ายวิจยั เพื่อท้องถิ่นเพื่อชี้ แจงทําความเข้าใจเกี่ ยวกับ เป้ าหมายการดําเนิ นงานของโครงการ ทําให้ได้เครื อข่ายนักวิชาการที่ มีความสนใจเข้าร่ วมเป็ น คณะทํางานหลักเพื่อดําเนินการขับเคลื่อนงานโครงการ ดังนี้ 1. นางสาวกาญจนา ทองทัว่ ผูอ้ าํ นวยการสถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น มูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี 2. ผศ.ดร.อินทิรา ซาฮีร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 3. อาจารย์จกั เรศ อิฐรัตน์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 4. อาจารย์จกั รพันธ์ แสงทอง คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 5. อาจารย์กิ่งกาญจน์ สํานวนเย็น คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 6. ผศ.ดร.รุ่ งรัศมี บุญดาว คณะบริ หารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 7. ดร.จริ ยาภรณ์ อุ่นวงษ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 8. ดร.อรทัย เลียงจินดาถาวร คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 9. ดร.สุ มาลี เงยวิจิตร คณะบริ หารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


58 10. ดร.ถนอมศักดิ์ บุญสู่ วิทยาลัยการสาธารณสุ ขสิ รินธรจังหวัดอุบลราชธานี โดยเครื อข่ายนักวิชาการได้มีการกําหนดบทบาทหน้าที่ ดังนี้ 1. คัดเลือก ค้นหาคณะทํางาน อาสาสมัคร นักวิจยั ที่เข้าร่ วมทํางานในโครงการฯ 2. เสริ มสร้างศักยภาพให้กบั คณะทํางานทุกทีม 3. ติดตามสนับสนุ นการปฏิบตั ิงานของคณะทํางานและทีมวิจยั ทั้ง 4 โครงการตาแผนงาน ที่กาํ หนด 4. สร้างความเข้าใจและการเรี ยนรู้ จากการลงพื้นที่ปฏิ บตั ิการจริ งให้กบั คณะทํางาน 4 โครงการ 5. ถอดบทเรี ยน สังเคราะห์องค์ความรู ้ การดําเนินงานทั้ง 4 โครงการ 6. หารู ปแบบ กระบวนการสร้ างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของนักศึ กษาและ ชุมชนรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 7. สร้างความเข้าใจและความร่ วมมือของผูบ้ ริ หาร อาจารย์ในสถาบันการศึกษา ผูบ้ ริ หาร องค์การบริ หารส่ วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที ชุมชนชาวบ้านใน 6 พื้นที่ 8. เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์โครงการกับสาธารณะ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีทีมผูช้ ่วยนักวิจยั ดังนี้ 1. นางชุติมา จันทรมณี เจ้าหน้าสถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น มูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี 2. นายอุทิศ ทาหอม เจ้าหน้าสถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น มูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี 3. นายสุ ภวัฒน์ โสวรรณี เจ้าหน้าที่ส่งเสริ มการวิจยั กองส่ งเสริ มการวิจยั ฯ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยทีมผูช้ ่วยนักวิจยั มีบทบาทหน้าที่ ดังนี้ 1. สนับสนุนการดําเนินโครงการทั้ง 4 โครงการ 2. ดูแลระบบการเงินของทุกโครงการ 3. ทํางานในส่ วนของธุ รการ ติดต่อประสานงาน 3.2 กระบวนการค้ นหาและชั กชวนแกนนํา (Change Agent) Node Action จังหวัดอุบลราชธานี ได้ใช้กระบวนการค้นหาและชักชวนแกนนําแบ่ง ออกเป็ น 3 ประเภท ได้แก่ 1. แกนนําระดับจังหวัด เป็ นกลุ่มคนที่ Node วางเป้ าหมายให้เป็ นคณะทํางาน/กลไก กลางของโครงการฯ การค้นหาและชักชวนแกนนําประเภทนี้ Node ได้ใช้วิธีการประสานผ่าน เครื อข่ายการทํางานเดิ ม คือ มูลนิ ธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อขอข้อมูลบุคคล กลุ่ ม


59 องค์กรและหน่วยงานที่ทาํ งานเกี่ยวข้องกับการลดอุบตั ิเหตุในจังหวัดอุบลราชธานี ในขณะเดียวกัน Node ก็ได้สืบค้นข้อมูลหน่วยงานต่างๆด้วยตนเองโดยพิจารณาดูจากงานและภารกิจของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับการลดอุบตั ิเหตุทางถนนภายในจังหวัด หลังจากนั้น จึงได้โทรศัพท์ติดต่อนัดหมาย เพื่อขอเข้าพบหัวหน้าหน่วยงานเพื่อทําความรู ้จกั และชี้แจงทําความเข้าใจรายละเอียดการดําเนินงาน โครงการให้กบั หัวหน้าหน่วยงานและเชิ ญเข้าร่ วมเป็ นภาคีดาํ เนินงานโครงการพร้อมกันนี้ ได้มอบ เอกสารสรุ ปย่อโครงการให้หน่วยงานไว้ศึกษา ซึ่ งผลจากการไปชี้ แจงและชักชวนหน่วยงานพบว่า ทุกหน่วยงานให้การตอบรับเป็ นอย่างดีเนื่องจากเป็ นภารกิจและความรับผิดชอบของหน่วยงานอยู่ แล้ว ในส่ วนเครื อข่าย กลุ่ม องค์กรและมูลนิธิต่างๆที่ทาํ งานเกี่ยวกับอุบตั ิเหตุ เช่น มูลนิธิ สว่า งบูช าธรรม ชมรมศิ ษ ย์พ ระอรหันต์จ้ ี ก ง มูล นิ ธิ ก ารกุ ศ ลจัง หวัดอุ บ ลราชธานี (จี ต ัม เกาะ) เครื อข่ายงดเหล้า สภาเด็กและเยาวชนจังหวัดอุบลราชธานี สื่ อสร้างสุ ข Node ได้ใช้วิธีโทรศัพท์ และส่ งหนังสื อเชิญให้เข้าร่ วมเวทีเปิ ดตัวโครงการและสร้างอนาคตร่ วมกัน จึงได้คนจากลุ่มเหล่านี้ เข้าร่ วมเป็ นแกนนําระดับจังหวัดด้วย 2. แกนนําระดับพื้นที่ เป็ นกลุ่มคนสําคัญ (key actor) ที่ Node วางเป้ าหมายให้เป็ นผู้ ขับเคลื่ อนงานความปลอดภัยทางถนนในพื้นที่อย่างต่อเนื่ อง ดังนั้น Node จึ งได้คน้ หาแกนนํา ประเภทนี้ โดยการเดิ นทางลงพื้นที่ไปพบปะกับนายกองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ น (อปท.) ทั้ง 6 แห่ ง เพื่อทําความรู ้ จกั และสร้ างความเข้าใจเกี่ยวกับการดําเนิ นงานโครงการให้กบั ผูบ้ ริ หารอปท. พร้อมกับเชิ ญชวนให้เข้าร่ วมเป็ นภาคีในการดําเนินงานเนื่องจากพื้นที่ของอปท.เป็ นพื้นที่เป้ าหมาย ในการทํางานของโครงการ ซึ่ งผลจากการไปพบปะและพูดคุยกับผูบ้ ริ หารพบว่าทุกอปท.ต่างตอบ รับเข้าร่ วมเป็ นภาคีการทํางานของโครงการเนื่องจากโครงการฯเป็ นประโยชน์ต่อประชาชนในเขต ปกครองของอปท. หลัง จากนั้น Node ได้เริ่ ม ทํา งานกับ อปท.โดยร่ วมกันจัดเวที สัญจรเพื่อทํา mapping ค้นหาทุนทางสังคมของชุ มชน ทําความเข้าใจกับสถานการณ์ปัญหาด้านอุบตั ิเหตุ กลไก และความรู ้ ในการจัดการอุบตั ิเหตุที่ผ่านของชุ มชน ซึ่ งกระบวนการที่ใช้ในการจัดเวที คือ Node ได้ให้บทบาทกับเจ้าหน้าที่ของอปท.ทําหน้าที่ดา้ นการจัดการ เช่น ประสานเรื่ องอาหาร สถานที่ ผูเ้ ข้าร่ วมและจัดทําแผนที่ของตําบล ส่ วน Node และคณะทํางานระดับจังหวัดทําหน้าที่ช้ ี แจง รายละเอียดโครงการแก่ผเู ้ ข้าร่ วมประชุม เป็ นวิทยากรกระบวนการระดมความคิดเห็นในกลุ่มย่อย ซึ่งผลจากจัดกิจกรรมเวทีสัญจรในพื้นที่อปท.ทั้ง 6 แห่งทําให้ได้ผมู้ ีจิตอาสาเข้าร่ วมเป็ นแกนนําใน ระดับพื้นที่ อาทิเช่น อบต.โพธิ์ ใหญ่ 7 คน อบต.คูเมือง 11 คน อบต.ธาตุ 9 คน เทศบาลตําบลคํา ขวาง 10 คน เทศบาลตําบลแสนสุ ข 7 คน และเทศบาลตําบลเมืองศรี ไค 9 คน 3. แกนนํา ในมหาวิท ยาลัย อุ บ ลราชธานี เป็ นกลุ่ ม คนที่ จะขับ เคลื่ อนงานความ ปลอดภัยทางถนนในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ต่อไปเมื่อโครงการสิ้ นสุ ดลง ดังนั้น Node จึงเริ่ ม


60 จากการไปพบและทําความเข้าใจกับอธิ การบดีและฝ่ ายกิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่ งได้รับการตอบรับด้วยดี จากผูบ้ ริ หารของมหาวิทยาลัย หลังจากนั้น Node ได้จดั ประชุ มพูดคุย และทําความเข้าใจรายละเอียดโครงการกับเครื อข่ายนักวิชาการที่ทาํ งานวิจยั เพื่อท้องถิ่นร่ วมกับ Node นักวิชาการอุบลราชธานี เพื่อค้นหาคนที่สนใจทํางานด้านความปลอดภัยทางถนน ซึ่ งทําให้ ได้ท้ ัง นัก วิช าการจากเครื อ ข่า ยนัก วิช าการและนัก วิช าการที่ มี จิต อาสาและต้องการทํา งานเพื่ อ ส่ วนรวมมาเป็ นหัวหน้าโครงการ แล้วนักวิชาการเหล่ านั้นไปชักชวนเพื่อน รุ่ นพี่ รุ่ นน้องเข้า มาร่ วมเป็ นทีมด้วย และตามมาด้วยอาจารย์ได้ไปชักชวนลูกศิษย์เข้ามาร่ วมเป็ นทีมเพิ่มและลูกศิษย์ก็ ไปชักชวนเพื่อนๆมาร่ วมเป็ นทีมเพิ่มมากขึ้น ซึ่ งกระบวนการดังกล่าวพบว่ามีจุดแข็ง คือ ทําให้ได้ คนที่มีใจเดียวกัน มีเป้ าหมายเหมือนกันเข้ามาร่ วมเป็ นทีมงาน สรุ ปได้วา่ หัวใจสําคัญของกระบวนการค้นหาและชักชวนแกนนําให้เข้ามาร่ วมทํางานนั้น ขึ้นอยูก่ บั โครงสร้างขององค์กรเป็ นหลัก อาทิเช่น หน่วยงานภาครัฐที่มีรูปแบบการทํางานแบบ แนวตั้ง กระบวนการเปิ ดใจและสร้างความเข้าใจกับผูม้ ีอาํ นาจในการตัดสิ นใจในหน่วยงานถือว่า เป็ นสิ่ งจําเป็ นและเป็ นเงื่ อนไขหนึ่ งของความสําเร็ จในการขับเคลื่อนงาน ขณะที่ เครื อข่าย กลุ่ม องค์กร มูลนิ ธิ มีความยืดหยุ่นมากกว่า การเข้าร่ วมเป็ นทีมงานขึ้นอยู่กบั เวลาที่ว่างและความพึง พอใจในประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อส่ วนรวม แต่ในส่ วนของชาวบ้าน การเข้าร่ วมเป็ นแกนนําขึ้นอยู่ กับ การสร้ า งความเข้า ใจในรู ป ธรรมและประโยชน์ที่ จะเกิ ดขึ้ นกับ ตัว เขาและสมาชิ ก ในชุ ม ชน อย่างไรก็ตาม พบว่าการชักชวนโดยคนคุ น้ เคยกันหรื อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก่อนเป็ นวิธีที่มี ประสิ ทธิ ภาพสู งสุ ดเพราะทําให้ได้แกนนําที่มีใจเดียวกันมีเป้ าหมายเดียวกันมาร่ วมกันทํางาน 3.3 กระบวนการพัฒนาแกนนํา แม้ว่าแกนนําในโครงการมีด้วยกัน 3 ประเภท แต่คน้ พบว่าการทํางานด้านความ ปลอดภัยทางถนนยังเป็ นเรื่ องใหม่สําหรับแกนนําทุกประเภทแม้แต่ตวั Node ก็ยงั ต้องการการเติม เต็มข้อมูลและความรู ้ดา้ นนี้ ดังนั้น กระบวนการในการพัฒนาแกนนําที่ Node นํามาใช้จึงอยูบ่ น พื้นฐานการวิเคราะห์ศกั ยภาพของตนเองและของแกนนําว่ายังขาดข้อมูลและความรู้ด้านใดบ้าง Node ก็ จ ะทํา หน้ า ที่ ป ระสานผู ้รู้ วิ ท ยากรมาเติ ม เต็ ม ความรู้ ใ ห้ ซึ่ งที่ ผ่ า นมา Node ได้ใ ช้ กระบวนการพัฒนาแกนนําตามประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1) เนื้อหาด้านความปลอดภัยทางถนน เนื่องจากการทํางานด้านความปลอดภัยทาง ถนนเป็ นสิ่ งใหม่ที่ Node เองก็ยงั ขาดความรู้ดา้ นนี้ การให้ความรู้ดา้ นความปลอดภัยทางถนนจึง จําเป็ นสําหรับทั้งตัว Node และแกนนํา กระบวนการที่ Node นํามาใช้สําหรับพัฒนาตนเอง คือ การเข้าร่ วมเวทีแลกเปลี่ ยนเรี ยนรู ้กบั ส่ วนกลางเป็ นประจํา ศึกษาเอกสารที่ศวปถ.ส่ งมาให้และการ ค้นคว้า ศึ ก ษาจากอิ นเตอร์ เนตและแหล่ งเรี ย นรู้ อื่น แต่ในส่ วนกระบวนการพัฒนาแกนนํา คื อ


61 Node ได้ส่งแกนนําไปเรี ยนรู ้ กบั พื้นที่รูปธรรมอื่นๆในเวทีระดับชาติ ซึ่ งส่ งผลให้แกนนําเกิ ดการ ตื่นตัวที่จะทํางานลดอุบตั ิเหตุในพื้นที่มากขึ้น นอกจากนี้ ได้เชิญวิทยากรจากศูนย์วิชาการเพื่อความ ปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มาบรรยายให้ความรู้แก่แกนนํา และได้จดั เวทีให้แกนนําพบปะพูดคุย กับพื้นที่ ตน้ แบบด้านความปลอดภัยทางถนนโดยการเชิ ญวิทยากรจากบ้านไผ่และเขาสวนกวาง โมเดลมาเล่าและถ่ายทอดเรื่ องราวและกระบวนการทํางานให้แกนนําได้เรี ยนรู้ แลกเปลี่ ยนและ ซัก ถาม ทํา ให้แกนนํา ได้เรี ย นรู ้ เทคนิ ค และวิธี ก ารในการทํา งานสร้ า งความปลอดภัย ทางถนน เพิ่มขึ้น 2) กระบวนการคิ ดวิเคราะห์ ข องแกนนํา เนื่ องจากปั ญหาการเกิ ดอุ บ ตั ิ เหตุ มี ความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบหลายด้าน การทําความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงรากเหง้าของ ปั ญหาจึงมีความจําเป็ นอย่างยิ่ง ดังนั้น กระบวนการคิดวิเคราะห์จึงเป็ นเครื่ องมือสําคัญที่จะช่วยทํา ให้แกนนําสามารถมองทะลุถึงต้นตอของปั ญหา ซึ่ งกระบวนการดังกล่าวถูกออกแบบบนความเชื่อ พื้นฐานที่ ว่า หากคนสามารถคิ ดวิ เคราะห์ เป็ น การแก้ ปัญหาถึ งจะเกิ ดขึ น้ โดยกระบวนการที่ Node นํามาใช้ในการเพิ่มศักยภาพการคิดวิเคราะห์ของแกนนํา มีดงั นี้ (1) การจัดเวทีให้หน่วยงาน กลุ่ม องค์กร และชาวบ้านได้มาพบปะพูดคุยและ ระดมความคิดร่ วมกันโดยใช้สื่อวีดีทศั น์เกี่ยวกับอุบตั ิเหตุที่รุนแรงจนก่อให้เกิดการเสี ยชีวิตและเกิด ความสะเทือนใจ อาทิเช่น หนังสั้นเรื่ อง “ทางโค้ง” มาให้ชมเพื่อจุดประกายทางความคิด และเป็ น ประเด็นชวนพูด ชวนคุย ชวนคิด โดย Node ต้องกําหนดโจทย์ให้ทุกคนมาช่ วยกันคิดวิเคราะห์ ซึ่ งกระบวนการนี้ได้ใช้สาํ หรับแกนนําทั้ง 3 ประเภท แต่พบว่ามีจุดอ่อน คือ แกนนําระดับจังหวัด มักครอบงําชุ มชนชาวบ้าน ซึ่ งแนวทางแก้ไข คือ วิทยากรกระบวนการในกลุ่ มย่อยต้องจัดสรร เวลาให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่ วม (2) การใช้จุดเสี่ ยงมากระตุก การคิดวิเคราะห์ ของแกนนํา ซึ่ ง กระบวนการนี้ ใ ช้ สําหรับแกนนําดับพื้นที่เนื่ องจากเป็ นคนในชุ มชนที่มีขอ้ มูล สถานการณ์ ปัญหาอุบตั ิเหตุอยู่แล้ว การจุดประเด็นโดยการใช้คาํ ถามชวนพูด ชวนคุย และชวนวิเคราะห์ถึงความเสี่ ยงที่แกนนําและ ครอบครัวอาจได้รับอันตรายมากกว่าคนภายนอกทําให้แกนนําเกิดความตระหนักถึงภาวะเสี่ ยงของ ตนเองและครอบครัว เพราะพวกเขาเป็ นคนในพื้นที่ที่ตอ้ งขับขี่ผ่านจุดเสี่ ยงเหล่านั้นเกือบทุกวัน นอกจากนี้ การให้ชาวบ้านช่ วยกันวาดแผนผังหมู่บา้ นแล้วให้ใ ช้สติ๊ กเกอร์ สีต่างๆ เช่ น สี แดง สําหรับจุดที่มีการตาย สี เหลืองสําหรับจุดที่มีการบาดเจ็บสาหัส และสี เขียวสําหรับบาดเจ็บเล็กน้อย นําไปติดในแผนผังหมู่บา้ น ทําให้แกนนําเห็นภาพจุดเสี่ ยงที่มีในชุมชนของตนเองชัดขึ้น (3) การใช้กระบวนการของทีมประเมินภายในมาช่วยกระตุน้ การคิดวิเคราะห์ใน ด้านกระบวนการทํางานของโครงการย่อย เพื่อประเมินดูว่ากระบวนการหรื อกิจกรรมที่ทีมวิจยั นํามาใช้ในการขับเคลื่ อนงานมีความเหมาะสมหรื อไม่ มีจุดเด่น จุดด้อยอย่างไร มีอะไรที่ตอ้ ง


62 ปรั บ ปรุ ง กระบวนการดัง กล่ า วได้ ช่ ว ยให้ ที ม วิ จ ัย โครงการย่ อ ยได้ เ รี ยนรู้ ก ารคิ ด ทบทวน กระบวนการทํางานและมีการปรับปรุ งการทํางานให้มีประสิ ทธิ ภาพมากขึ้น 3) การพัฒนากระบวนการวิจยั เพื่อท้องถิ่น เนื่องจากสถานภาพของ Node เป็ นชุ ด นักวิชาการจัง หวัดอุ บ ลราชธานี ข องสํานักงานกองทุนสนับ สนุ นการวิจยั (สกว.) ฝ่ ายวิจยั เพื่อ ท้องถิ่นที่ทาํ งานสนับสนุนการทํางานวิจยั เพื่อท้องถิ่นของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีจึงทํา ให้ มี เ ครื อข่ า ยนั ก วิ ช าการที่ มี ป ระสบการณ์ แ ละทัก ษะในการทํา งานวิ จ ัย เพื่ อ ท้อ งถิ่ น อยู่ ใ น มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ดังนั้น กระบวนการพัฒนากระบวนงานวิจยั เพื่อท้องถิ่ นจึง ใช้อยู่ 2 แบบ คือ แบบที่ 1 รุ่ นพี่ สอนรุ่ นน้ อง โดยการใช้เครื อข่ายนัก วิชาการมาเสริ มทีมให้ โครงการย่อ ยโดยพี่ เลี้ ย งทํา หน้า ที่ เป็ นตัว กลางจัด ให้มี ก ารพบปะพูดคุ ย ทํา ความเข้า ใจกัน ซึ่ ง กระบวนการดังกล่าวเป็ นการเสริ มที มให้มีความเข้มแข็งมากขึ้ นและเป็ นการเพิ่มศักยภาพให้กบั นักวิชาการรุ่ นพี่และรุ่ นน้องไปพร้อมๆกัน กล่าวคือ รุ่ นพี่ก็ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ที่ ตนเองมีอยู่ให้รุ่นน้อง ขณะที่ รุ่นน้องก็ได้เรี ยนรู้ บทเรี ยนจากรุ่ นพี่ว่าสิ่ งใดควรทําสิ่ งใดไม่ควรทํา เป็ นต้น แบบที่ 2 จับมือพาทํา โดยเริ่ มการจากให้ความรู้ก่อนแล้วจึงให้ทีมวิจยั ทดลองทํา ด้วยตนเอง เช่ น การทํา เครื่ องมื อ ในเริ่ ม แรกพี่เลี้ ย งได้อธิ บ ายถึ ง วิธี ก ารทํา เครื่ องมื อ การใช้ เครื่ องมือและการเก็บข้อมูลให้ทีมวิจยั ได้เข้าใจก่อน หลังจากนั้น ก็ให้ทีมวิจยั ไปร่ วมกันออกแบบ เครื่ องมือและส่ งให้พี่เลี้ ยงช่ วยตรวจสอบความเหมาะสมและครบถ้วนของเครื่ องมือก่อนนําไปใช้ จริ ง ซึ่ ง ตลอดช่ ว งเวลาการทํา เครื่ องมื อพี่เลี้ ย งได้ค าํ แนะนํา ในการปรั บ แก้เครื่ องมื อเป็ นระยะๆ จนกระทัง่ เครื่ องมือมีความสมบูรณ์และพร้อมนําไปใช้งาน 4) การสื่ อสารสาธารณะ เนื่องจากภายในโครงการย่อยที่ Node ดูแลอยูม่ ีโครงการสื่ อ ซึ่ งจะมาทําหน้าที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของแกนนําที่มีความสนใจด้านสื่ อให้สามารถนําเสนอข้อมูล ด้านอุบตั ิเหตุในพื้นที่และเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ความรู้ดา้ นความปลอดภัยทางถนนให้กบั คนใน ชุมชน กระบวนการที่นาํ มาใช้ในพัฒนาการเป็ นนักข่าวชาวบ้านหรื อนักสื่ อสารชุมชน ได้แก่ การ จัดอบรมการจัดรายการวิทยุ การทําสปอร์ ท การเขีย นสคริ ป และการฝึ กปฏิ บตั ิจริ ง โดยทาง โครงการสื่ อได้เชิญสื่ อมวลชนที่เป็ นมืออาชีพมาเป็ นวิทยากรถ่ายทอดความรู ้ให้แก่แกนนํา 5) การบริ หารจัดการโครงการ Node ได้ให้ความสําคัญกับกระบวนการบริ หารจัดการ โครงการเนื่องจากเชื่อว่าหากมีระบบการบริ หารจัดการที่ดีก็จะทําให้ปวดหัว/มีปัญหาน้อยลง ดังนั้น เพื่อไม่เป็ นภาระในการทํางานของโครงการย่อย ทีม Node จึงใช้วิธีการสัญจรไปพบปะและชี้ แจง ทําความเข้าใจเรื่ องการบริ หารจัดการกับโครงการย่อยเป็ นรายทีม ซึ่ งเนื้ อหาที่ได้ให้คาํ แนะนําแก่


63 โครงการประกอบด้วยการเงินและการบัญชี อาทิเช่น วิธีการใช้ใบเสร็ จรับเงินประเภทต่างๆ การ จัดเก็บเอกสารหลักฐานการเงินและการทําบันทึกรายงานกิจกรรม เป็ นต้น 3.4 เครื่องมือและเทคนิคทีใ่ ช้ ในการพัฒนาแกนนํา Node Action จังหวัดอุบลราชธานีใช้เครื่ องมือและเทคนิคในการพัฒนาแกนนํา ดังนี้ 1) สื่ อ เป็ นการใช้สื่อ อยู่ 2 ประเภท คือ หนึ่ ง สื่ อบุคคล (person media) โดยการ เชิ ญวิทยากรจากพื้นที่ตน้ แบบมาเล่าและถ่ายทอดประสบการณ์การทํางานด้านความปลอดภัยทาง ถนนให้แกนนําได้รับรู้ สอง สื่ อวีดีทศั น์และหนังสั้นซึ่ งเป็ นสื่ อที่ได้รับจากส่ วนกลางและคลิ ป ต่างๆที่นกั ศึกษาผลิตขึ้น ซึ่ ง Node ได้ใช้สื่อเหล่านี้สาํ หรับสร้างการเรี ยนรู ้ของแกนนํา 2) เวที Node ใช้การจัดเวทีเพื่อรวมคนทํางานให้ได้มาแลกเปลี่ยนเรี ยนรู้กนั โดยการ จัดเวทีมีดว้ ยกัน 2 แบบ คือ หนึ่ ง เวทียอ่ ยในพื้นที่ มีเป้ าหมายเพื่อให้แกนนําในพื้นที่มาประชุม พูดคุย วิเคราะห์ ถกเถี ยงกันในเรื่ องภายในพื้นที่ของตนเอง เช่น การวิเคราะห์จุดเสี่ ยงในชุ มชน สถานการณ์ปัญหาอุบตั ิเหตุของชุ มชน หรื อทุนทางสังคมที่มีอยูใ่ นชุมชน เป็ นต้น สอง เวทีใหญ่ หรื อเวทีรวม ซึ่ งมักจะจัดในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยการเชิ ญแกนนําทั้ง 3 ประเภทและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาประชุม พูดคุย แลกเปลี่ยนและเติมเต็มความรู ้ 3) การอบรมเชิ งปฏิบตั ิการ ใช้สําหรับการเรี ยนรู ้กระบวนการวิจยั เพื่อท้องถิ่น ซึ่ ง Node ได้เป็ นวิทยากรเองและให้ทีมวิจยั ได้ทดลองปฏิบตั ิการ 4) การเสริ มทีมนักวิชาการที่เคยทํางานวิจยั เพื่อท้องถิ่นให้กบั หัวหน้าโครงการที่ไม่มี ประสบการณ์ การทํางานวิจยั เพื่อท้องถิ่นมาก่อน และการเสริ มทีมโดยนักวิชาการที่สอนวิชาศึกษา ทัว่ ไปให้มาเป็ นทีมของโครงการวิจยั ในมหาวิทยาลัยเนื่องจากมีเป็ นผูม้ ีศกั ยภาพในการรวมนักศึกษา จากหลายคณะ โดย Node ต้องทําหน้าที่เป็ นตัวกลางในการชักชวนอาจารย์เหล่านั้นเข้ามาร่ วมเป็ น ทีมวิจยั ของโครงการย่อย 5) การหนุนให้คนที่ผา่ นงานวิจยั เพื่อท้องถิ่นมาสร้างการเรี ยนรู้ในเรื่ องใหม่ เทคนิคนี้ ใช้กบั เครื อข่ายนักวิชาการที่มีทกั ษะการทํางานวิจยั เพื่อท้องถิ่นอยูแ่ ล้ว เช่น การชักชวนให้ อาจารย์ จักเรศ อิฐรัตน์ มาทําวิจยั เรื่ องความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษา เป็ นต้น 3.5 กระบวนการพัฒนาโจทย์ วจิ ัยโครงการย่อย กระบวนการพัฒนาโจทย์วิจยั ของโครงการย่อยนั้น Node ใช้หลักการการมีส่วนร่ วมของ ผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสี ยทุกภาคส่ วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน (Stakeholders)เป็ นสําคัญและ ใช้กระบวนการจับมือพาทํา อาทิเช่น การพัฒนาโจทย์ในพื้นที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี Node ได้ พาทีมนักวิชาการไปพัฒนาโจทย์ร่วมกับรองอธิ การบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา 1 ครั้ง เพื่อปรับแนวคิด


64 กับ ผูบ้ ริ หารให้ ม องเห็ นปั ญ หาไปในทิ ศ ทางเดี ย วกัน กับ ที ม วิจ ัย หลัง จากนั้น ได้ช่ วยที ม วิจ ัย ออกแบบเวทีการพัฒนาโจทย์แล้วให้ทีมวิจยั เป็ นผูพ้ ฒั นาโจทย์ดว้ ยตนเองเนื่องจากนักวิจยั หลักเป็ น นัก วิช าการที่ เคยทํา งานวิจยั เพื่อท้องถิ่ นมาก่ อน การพัฒนาโจทย์วิจยั ของทีม นี้ ใช้กระบวนการ วิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาการเกิดอุบตั ิเหตุของนักศึกษาโดยแยกจัดเวที เป็ นเวทีสําหรับอาจารย์ 1 ครั้ง และเวทีสําหรับนักศึกษา 1 ครั้ง หลังจากนั้น ทีมวิจยั ได้นาํ มาข้อมูลที่ได้จากเวทีมาเขียนเป็ น ร่ างข้อเสนอโครงการส่ งให้ Node ให้ขอ้ เสนอแนะปรับแก้เป็ นระยะๆ ในขณะที่ ทีมอ.กิตติวฒั น์ ฉัตรศรี โพธิ์ ใช้พ้ืนที่ถนนหน้ามหาวิทยาลัยจากสี่ แยกเจริ ญศรี ถึงเทศบาลตําบลเมืองศรี ไค ทําให้มีผมู ้ ีส่วนได้ส่วนเสี ยมากกว่า Node จึงได้ช่วยทีมวิจยั ออกแบบ กระบวนการพัฒนาโจทย์ โดยให้ทีมวิจยั สัญจรไปพูดคุยกับหน่ วยงานทั้งแขวงการทาง ตํารวจ นายกอปท. ไปสัมภาษณ์อย่างไม่เป็ นทางการกับชาวบ้าน ร้านค้าที่อยูต่ ิดถนน และลงพื้นที่เข้าร่ วม เวที สัญจรกับ ที ม พี่เลี้ ย งเพื่อเปิ ดตัวกับชุ มชนหลัง จากผ่านขั้นตอนดังกล่า ว ที มวิจยั จึง จัดทํา ร่ า ง ข้อเสนอโครงการขึ้นมาแล้วจัดเวทีเชิ ญหน่วยงาน อปท. โรงเรี ยน และชุมชนเข้าร่ วมแสดงความ คิดเห็นเพื่อนําข้อเสนอแนะมาจัดปรับโครงการ ซึ่ งจากเวทีน้ ีทาํ ให้ได้คนที่สนใจเข้าร่ วมเป็ นทีมวิจยั ด้วย หลังจากนั้น ทีมวิจยั ได้นาํ ข้อเสนอแนะไปปรับแก้โดยมี Node ช่วยจัดปรับเป็ นระยะๆ 3.6 กระบวนการเชื่ อมประสานภาคีเครือข่ ายในพืน้ ที่ Node Action จังหวัดอุบลราชธานี ได้ใช้กระบวนการในการเชื่อมประสานภาคีเครื อข่าย สรุ ปได้ดงั นี้ 1) ศึกษาข้อมูลของหน่วยงาน กลุ่ม องค์กร เพื่อให้ร้ ู เขา รู้ เรา และหาช่องทางใน การเชื่ อมประสานการทํา งานให้เหมาะสมและลงตัวโดยต้องยึดหลัก ไม่เพิ่มภาระงานให้เพื่อน ดังนั้น เนื้องานของภาคีเครื อข่ายต้องสอดรับกันกับโครงการฯ 2) ประสานผ่านเครื อข่ายการทํางานเดิม เช่ น การให้เครื อข่ายนักวิชาการที่ทาํ งาน CBR ในคณะต่างๆช่ วยคัดเลื อกคนและชักชวนให้เข้ามาร่ วมโครงการด้วย หรื อ การขอให้ เครื อข่ายเดิมที่ทาํ งานด้านด้านสื่ อ เช่น คุณสุ ชยั ช่วยประสานสื่ อคนอื่นๆให้เข้าร่ วมเวทีดว้ ย เป็ น ต้น 3) หลังจากได้ตวั แกนนําแต่ละประเภทแล้ว ต้องใช้วิธีการ จับไม่ ปล่ อย หมายความ ว่าต้องเชิ ญชวนให้เข้าร่ วมกิ จกรรมอย่างต่อเนื่ อง และบางครั้ ง Node ต้องไปช่วยงานของภาคี เครื อข่ายด้วย เป็ นการ ช่ วยเขา ช่ วยเรา และสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้ นมากขึ้น 4) การใช้ความเป็ นเจ้าของร่ วม โดยการเปิ ดโอกาสให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่ วมจะทําให้ ทุกคนต่างมุ่งมัน่ ทํางานให้สําเร็ จ เช่น การจัดเวทีสัญจรในพื้นที่อปท. ทาง Node ได้ให้อปท. เข้า มาเป็ นเจ้าภาพร่ วม ทําให้อปท.รู ้สึกเป็ นเจ้าของร่ วมในงาน


65 5) การใช้ขอ้ มูลในการเชื่ อมประสาน เช่น การเข้าพบผูบ้ ริ หารมหาวิทยาลัยหรื อ หัวหน้าหน่ วยงานเพื่อนําเสนอรายงานความก้าวหน้าในทราบเป็ นระยะๆ ทําให้ได้รับรู้ขอ้ มูลจริ ง จากพื้นที่ ซ่ ึ ง จะเป็ นประโยชน์สํา หรั บวางแผนการทํา งานของหน่ วยงานเนื่ องจากผูบ้ ริ หารและ หัวหน้ายังขาดข้อมูลของพื้นที่อยูม่ าก

3.7 กระบวนการเชื่ อมโยงโครงการทํางานของชุ ดโครงการ

ในการดําเนินงานร่ วมกันของทั้งทีม Node action จังหวัดอุบลราชธานี และโครงการย่อย ทั้ง 3 โครงการที่มีพ้ืนที่ดาํ เนิ นงานใน 6 อปท.กับอีก 1 มหาวิทยาลัย ได้ใช้โครงการพัฒนาสื่ อสังคม สื่ อสาธารณะเพื่อการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน เป็ นโครงการเชื่อมการทํางานร่ วมกัน ของทีมคณะทํางานในแต่ละโครงการโดยการนําเรื่ องราว ความก้าวหน้าในการดําเนินโครงการมา ประสาน ผลิตเป็ นสื่ อเช่น คลิปวิดีโอ การจัดรายการวิทยุ การเขียนข่าว บทความเพื่อเผยแพร่ ตามสื่ อ ต่างๆเช่ นรายการวิทยุร่วมด้วยช่ วยกันจังหวัดอุ บลราชธานี หนังสื่ อพิม พ์ทอ้ งถิ่ น การโพสต์ข่า ว ความเคลื่ อนไหวในเฟซบุ๊ก ทําให้เกิ ดความตื่นตัว ได้รับรู้ ความก้าวหน้าในการดํา เนิ นงานของ โครงการอื่นๆ


66 3.8 แหล่งข้ อมูล และวิธีการเก็บข้ อมูล ในการดําเนิ นโครงการฯครั้งนี้เป็ นโครงการต่อเนื่อง 2 ระยะโดยระยะที่ 1 ใช้ระยะเวลา 12 เดื อน ระยะที่ 2 ใช้เวลา 16 เดือนโดยประมาณ ซึ่ งสามารถหาแหล่งข้อมูลและวิธีการเก็บข้อมูลได้ ดังนี้ 1) การจัดเวทีเสริ มศักยภาพของทีม เช่ นการอบรมให้ความรู้ เกี่ ยวกับอุบตั ิเหตุ การเขียน รายงาน การออกแบบเครื่ องมือ การเก็บข้อมูล 2) การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรี ยนรู้ท้ งั 4 ทีมของคณะทํางาน โดยทีมศูนย์ประสานงานกลาง ในจังหวัดอุบลฯเป็ นผูด้ าํ เนินการเตรี ยมประเด็นสําหรับการแลกเปลี่ยนกับทุกทีม 3) การถอดบทเรี ยน มีการถอดบทเรี ยนการดําเนินโครงการการและการเปลี่ยนแปลงทีเกิด ขึ้นกับทีมทํางานรวมทั้งบทเรี ยนที่ได้รับจากการทํางานของทุกทีมเป็ นระยะๆ 4) จากการเข้าร่ วมกิจกรรมและการสังเกตอย่างมีส่วนร่ วมในเวทีกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งใน พื้นที่และการเข้าร่ วมเวทีที่ทีมกลางจัดให้กบั ทีมวิจยั ทั้ง 4 โครงการ 3.9 การวิเคราะห์ และประมวลผลข้ อมูล ข้อมูลที่ได้จากการทํากิ จกรรมต่าง ๆ จะถูกบันทึกด้วยเทปคลาสเซ็ ท วีดิโอ และการจด บันทึกของทีมผูช้ ่ วยนักวิจยั จากนั้นก็จะนํามาถอดเทปจัดระเบียบข้อมูลใหม่ โดยการจําแนกเป็ น หมวดหมู่ตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาและกิจกรรมในแต่ละขั้นตอนของการขับเคลื่อน แล้วนํา ข้อมูลมาวิเคราะห์ควบคู่บริ บท รวมทั้งการเปิ ดเวที รายงานความก้าวหน้า เวที แลกเปลี่ ยนเรี ยนรู้ ของที มวิจยั การถอด บทเรี ยนการทํางานวิจยั ในพื้นที่ของนักวิชาการ การดําเนินโครงการของคณะทํางาน


67

บทที่ 4 ผลการดําเนินงานในระยะที่ 1 โครงการกระบวนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษาและชุ มชนรอบ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีหลักการที่สาํ คัญคือเน้นการมีส่วนร่ วมในการขับเคลื่อนงานจาก 3 ภาค ส่ วน ได้แก่ ภาควิชาการ - ภาครัฐ ภาคการเมืองท้องถิ่น และภาคประชาชนหรื อประชาสังคม โดย เน้นการทํางานร่ วมกันด้วยความสัมพันธ์ใ นแนวราบตามศัก ยภาพและบทบาทของแต่ คนแต่ล ะ องค์กรและการใช้ฐานข้อมูลความรู ้ร่วมกับกระบวนการงานวิจยั เพื่อท้องถิ่นเป็ นเครื่ องมือสําคัญใน การขับเคลื่อนให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนจึงมีวตั ถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อสนับสนุ นให้นักวิชาการ นัก ศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี รวมทั้งภาคี เครื อข่า ย ชุ มชน อปท.รอบๆมหาวิท ยาลัยเข้ามามีส่วนร่ วมในการดําเนิ นการแก้ไ ข ปั ญหาความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษาและชาวบ้าน 2. เพื่อพัฒนาให้เกิดระบบการจัดการฐานข้อมูลที่เหมาะสมเรื่ องความปลอดภัยทางถนน อย่างมีส่วนร่ วมของภาคีเครื อข่าย 3. เพื่อแสวงหา และพัฒนาศักยภาพแกนนํา Change Agent ในด้านการสร้างวัฒนธรรม ความปลอดภัยทางถนนในพื้นที่ อปท. 6 แห่ง 4. เพื่อสนับสนุ น ติดตามและหนุ นเสริ มให้เกิดโครงการและงานวิจยั เพื่อท้องถิ่นด้านการ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนให้ได้อย่างน้อย 4 โครงการ 5. เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ ชุดความรู้ จากการดําเนิ นโครงการทั้ง 4 โครงการเพื่อ ขับเคลื่อนสู่ การสร้างกระบวนการนโยบายสาธารณะด้านความปลอดภัยทางถนน ในโครงการมี 6 แผนงานเพื่ อ สนั บ สนุ น ให้ นั ก วิ ช าการ นั ก ศึ ก ษาและบุ ค ลากรใน มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีรวมทั้งภาคี เครื อข่าย ชุมชน อปท.รอบๆมหาวิทยาลัยเข้ามามีส่วนร่ วมใน การดําเนินการแก้ไขปั ญหาความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษาและชาวบ้าน เกิดระบบการจัดการ ฐานข้อมูล แสวงหาและพัฒนาศักยภาพแกนนําในพื้นที่ดาํ เนินการ รวมทั้งสนับสนุน ติดตาม หนุน เสริ มให้เกิ ดโครงการและงานวิจยั เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทาง ถนนของนักศึกษาและชุมชนรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้แบ่งการดําเนินงานออกเป็ น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 ได้ดาํ เนินการมาตั้งแต่เดือน เมษายน 2554 – มีนาคม 2555 เป็ นระยะเวลา 12 เดือนซึ่ ง มีเป้ าหมาย ค้นหาภาคี เครื อข่าย เพื่อจัดทําฐานข้อมูล คนทํางาน ข้อมูลความรู้เพื่อศึกษาสถานการณ์ สร้ างความร่ วมมือระหว่างหน่ วยงาน องค์กรที่เกี่ ยวข้องทั้งระดับพื้นที่และจังหวัด ได้มาร่ วมกัน แลกเปลี่ ยนเรี ยนรู ้ ประสบการณ์ การทํางานด้านอุบตั ิเหตุ แสวงหาและพัฒนาศักยภาพแกนนํา Change Agent และพัฒนาให้เกิ ดโครงการ งานวิจยั 4 โครงการรวมทั้งการพัฒนาเครื อข่ายให้เป็ น


68 นักข่าวอาสาเพื่อใช้การสื่ อสารสาธารณะในการสร้างกระแสและขับเคลื่อนประเด็นวัฒนธรรมความ ปลอดภัย ทางถนนเพื่ อให้ส อดคล้องกับ สถานการณ์ บริ บ ทของพื้นที่ ซึ่ ง จากเป้ าหมายดัง กล่ า ว คณะทํางาน Node Action จังหวัดอุบลราชธานีจึงได้ออกแบบกระบวนการการขับเคลื่อน หนุ นเสริ ม หลากหลายกิจกรรมเพื่อให้บรรลุวตั ถุประสงค์ สามารถนําเสนอรายละเอียดผลการดําเนิ นโครงการ ในระยะที่ 1 ได้ดงั นี้ 4.1 การก่ อเกิดของกลไกการดําเนินงานโครงการ 4.1.1 กลไกเชื่ อมประสานงาน เนื่ องจาก Node Action จังหวัดอุบลราชธานี เป็ นชุดนักวิชาการอุบลราชธานีที่หน้าที่เป็ น พี่เลี้ยงดูแล ติดตามและสนับสนุ นการทํางานวิจยั เพื่อท้องถิ่น ( Community Based Research : CBR) ของนักวิชาการที่ได้รับทุนจากสํานักงานกองทุนสนับสนุ นการวิจยั (สกว.) ฝ่ ายวิจยั เพื่อ ท้องถิ่นมาตั้งแต่ปี 2549 จนถึ งปั จจุบนั จึงทําให้มีชุดประสบการณ์และความรู้ในการทํางานวิจยั แบบ CBR และกระบวนการทํางานกับนักวิชาการในสถาบันอุดมศึกษา โดยการทํางานของ Node Action จังหวัดอุบลราชธานีน้ นั อยูบ่ นฐานความเชื่อและศรัทธาในกระบวนการงานวิจยั แบบ CBR ว่าจะสามารถสร้างพลังอํานาจให้กบั ชุ มชน (Empowerment)ให้สามารถลุกขึ้นมาจัดการและแก้ไข ปั ญหาของตนเองจนนําไปสู่ เปลี่ยนแปลงที่ดีข้ ึนกับชุมชนและท้องถิ่น จากฐานคิดข้างต้นทําให้ชุดนักวิชาการอุบลราชธานี มีค วามตั้ง ใจที่จะขยายแนวคิดและ เครื่ องมือ CBR ไปยังหน่ วยงานอื่นๆเพื่อนําไปใช้ในการทํางานแก้ไขปั ญหาของชุมชน ซึ่ งจาก ความพยายามดังกล่าว ทําให้เกิดความร่ วมมือระหว่าง Node Action จังหวัดอุบลราชธานีกบั ศูนย์ วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.)ในการทําโครงการกระบวนการสร้างวัฒนธรรมความ ปลอดภัยทางถนนของนักศึกษาและชุมชนรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีข้ ึน โดยการทํางานในครั้ง นี้ มีเป้ าหมายในการนํากระบวนการวิจยั แบบ CBR มาใช้เป็ นเครื่ องมือในการขับเคลื่อนประเด็น ความปลอดภัยทางถนนในสถาบันอุดมศึกษา อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การขับเคลื่อนงานไปอย่าง สะดวกและราบรื่ นจึงจําเป็ นต้องมีกลไกในการประสานงานระหว่างเครื อข่ายนักวิชาการ โครงการ การย่อย คณะทํางานระดับจังหวัด คณะทํางานระดับพื้นที่ หน่ วยงานระดับจังหวัดและองค์กร ปกครองส่ วนท้องถิ่น โครงการจึงได้ใช้ทุนเดิมที่มีอยู่ คือ ศูนย์ประสานงานชุดนักวิชาการจังหวัด อุบลราชธานี ที่ประกอบด้วย อาจารย์กาญจนา ทองทัว่ ผูอ้ าํ นวยการสถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนา ชุมชนท้องถิ่นฯ นางชุ ติมา จันทรมณี ผูช้ ่วยนักวิจยั และนายอุทิศ ทาหอม ผูช้ ่ วยนักวิจยั เป็ น ตัวกลางในการเชื่ อมประสานการทํางานของทุกภาคส่ วนให้เข้ามาทํางานร่ วมกันและมีการสื่ อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน


69 4.1.2 กลไกการประเมินภายใน เป็ นกลไกที่มีบทบาทสําคัญในการช่วยเสริ มสร้างพลังของคนทํางาน(Empowerment) เพื่อ ขับเคลื่อนการทํางานของชุ ดโครงการให้บรรลุตามเป้ าหมายที่ต้ งั ไว้ โดย Node Action จังหวัด อุบลราชธานี ได้รับความร่ วมมือจากกองส่ งเสริ มการวิจยั ฯ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่ งมี ผศ.ดร. อินทิรา ซาฮีร์ รองอธิ การบดีฝ่ายวิจยั และนวตกรรมและนายสุ ภวัฒน์ โสวรรณี เจ้าหน้าที่ส่งเสริ ม การวิจยั ซึ่ งมีบทบาทหน้าที่ในการหนุ นเสริ ม สนับสนุ นนักวิชาการในมหาวิทยาลัยทํางานวิจยั เพื่อ ท้องถิ่นซึ่ งเป็ นหนึ่ งในยุทธศาสตร์ การทํางานของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มาทําหน้าที่เป็ นที ม ประเมินภายในโดยทีมนี้ จะทําหน้าที่เป็ นทีมประเมินแบบเสริ มพลังให้กบั นักวิจยั และคนทํางานทั้ง 4 โครงการเป็ นระยะ 4.1.3 กลไกกลาง เป็ นทีมกลไกกลางที่มีบทบาทหน้าที่ในการคอยติดตาม หนุนเสริ ม ให้คาํ แนะนําปรึ กษา และเสริ มศักยภาพให้กบั ทีมคณะทํางานในโครงการย่อยทุกโครงการรวมทั้งหน้าที่ในการเชื่ อม ประสานกับคณะทํางานความปลอดภัยทางถนนของจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่ งทีมกลไกกลางมาจากผู ้ ที่เกี่ยวข้องใน 2 ส่ วน ได้แก่ ส่ วนแรก คือ ผูท้ ี่มีความสนใจในการทํางานด้านการลดอุบตั ิเหตุทาง ถนนจึงสมัครเข้าร่ วมเป็ นทีมกลไกกลางซึ่ งมาจากการเข้าร่ วมเวทีเปิ ดตัวโครงการในระยะแรก และ ส่ วนที่สอง เป็ นตัวแทนจากหน่วยงานที่มีภารกิจและความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านอุบตั ิเหตุของ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่ งรายชื่อของกลไกกลางมีดงั นี้ 1. คุณสุ ขอรุ ณ ด่านจอมฟอน เทศบาลตําบลเมืองศรี ไค 2. ดร.ประภาพร สุ วรัตน์ชยั ศูนย์ EMS ร.พ.สรรพสิ ทธิประสงค์ 3. สอ.ไพรวรรณ ธนูสาย องค์การบริ หารส่ วนตําบลโพธิ์ ใหญ่ 4. พ.ต.อ.ไอยศูรย์ สิ งหนาท สํานักงานตํารวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี 5. คุณวรวุฒิ มัธผา ชมรมศิษย์พระอรหันต์จ้ ีกง 6. คุณวรปรัชญ์ แว่นฉิ ม องค์การบริ หารส่ วนจังหวัดอุบลราชธานี 7. คุณสุ รเดช เงินมัน่ โรงพยาบาลวาริ นชําราบ 8. คุณวิทยา บุญฉวี เครื อข่ายองค์กรงดเหล้า 9. คุณจรู ญศักดิ์ คงนิล องค์การบริ หารส่ วนตําบลคูเมือง ผูใ้ หญ่บา้ น หมู่ที่ 9 ต.ธาตุ อ.วาริ นฯ จ.อุบลฯ 10. คุณบุญลอด พงษ์กิ่ง 11. คุณสุ ริยา โชคสวัสดิ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 12. คุณชาติชาย ศรี นอ เครื อข่ายอาสาสมัครนักสื่ อสารชุมชน อุบลราชธานี(ค.อสช.อบ) 13. คุณวันทนีย ์ ธารณ์ธนบูลย์ พี่เลี้ยง สอจร.ภาคอีสาน


70 14. นายสมบูรณ์ เพ็ญพิมพ์

สํานักงานสาธารณสุ ขจังหวัดอุบลฯ (ศูนย์ EMS 1669)

4.1.4 กลไกระดับพืน้ ที่ เป็ นกลไกที่เกิดขึ้นจากการที่กลไกกลางลงไปจัดเวทีสัญจรในพื้นที่เพื่อชี้แจงโครงการ ศึกษา สถานการณ์ปัญหาด้านอุบตั ิเหตุในพื้นที่อปท.ทั้ง 6 แห่ง จึงทําให้ผเู้ ข้าร่ วมเวทีที่มีความสนใจใน การทํางานด้านการลดอุบตั ิเหตุทางถนนสมัครเข้าร่ วมเป็ นอาสาสมัครแกนนําในระดับพื้นที่แต่ละ แห่งซึ่ งกลไกนี้มีบทบาทหน้าที่ประสาน ขับเคลื่อนงานระดับพื้นที่ร่วมกับทีมวิจยั ในโครงการแต่ละ พื้นที่ และร่ วมกับทีมกลางในการประสานความร่ วมมือกับโครงการย่อยอื่นๆเพื่อสร้างผูน้ าํ ความ เปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ ซึ่ งกลไกระดับพื้นที่ของแกนนําในอปท.ทั้ง 6 แห่ งและใน มหาวิทยาลัย มีดงั นี้ รายชื่ ออาสาสมัครเทศบาลตําบลเมืองศรีไค 1. นายมณี ภารการ ผูช้ ่วยผูใ้ หญ่บา้ น ม.9 2. นายทศพล ไกรพันธุ์ ผูใ้ หญ่บา้ น ม.4 3. นายมัน่ บุญรัก ผูช้ ่วยผูใ้ หญ่บา้ น ม.11 4. นายสมปอง ประสมศรี สมาชิกสภาเทศบาล ม.7 5. นางดวงพร ธานี สมาชิกสภาเทศบาล ม.4 6. นายประสาร แพงศรี สมาชิกสภาเทศบาล 7. นางสุ ขอรุ ณ ด่านจอมฟอน นักวิชาการสุ ขาภิบาล 8. นายกรม คําบุญมา ม.7 9. นายอวน วงมาเกษ ม.11 รายชื่ ออาสาสมัครเทศบาลตําบลแสนสุ ข 1. นางสมบูรณ์ พวงผกา ม.16 2. นางวินิต มาผาบ ม.2 3. นางพนาสวรรค์ เจริ ญนิจ ม.19 4. นายสุ รสิ ทธิ์ เมทาสิ งห์ ผูใ้ หญ่บา้ น ม.8 5. นายสง่า สิ ริมา ม.5 6. นายตงฉิ น ประสิ ทธิ์ ภูริปรี ชา รองนายกเทศมนตรี เทศบาลฯ 7. นางสาวชโนทัย คุณาคุณ นักพัฒนาชุมชน รายชื่ ออาสาสมัครองค์ การบริหารส่ วนตําบลคูเมือง 1. นายจรู ญศักดิ์ คงนิล นักพัฒนาชุมชน 084-6053288 2. นายธวัช ดวงสนิท ผญ.บ.ม.6 089-2847474 3. นายบัญชา นิลบารันดร์ ส.อบต.9 089-4903477


71 4. นายทองมาก พิมพ์สวัสดิ์ ผญ.บ. ม.2 083-9658332 5. นายเพช็รรัตน์ สี ดารักษ์ ผญ.บ.ม.12 086-2633238 6. นายแสวง ประสารทอง ส.อบต.3 087-2444596 7. นางเพ็ญศรี มาลัยพวง ส.อบต.ม.4 080-1492792 8. นายสัมฤทธิ์ มัน่ วงศ์ เลขาประธานสภา 086-2636338 9. นายทอง ก้อนคําดี ส.อบต.ม.2 085-6135382 10. นายทวี บังเขียว รองประธานสภา 088-0162896 11. ร.ต.วิเชียร แก้วกัญญา กรรมการหมู่บา้ น ม.12 081-2663021 รายชื่ ออาสาสมัครองค์ การบริหารส่ วนตําบลธาตุ 1. นายทวีศกั ดิ์ ดํารงชูตินนั ท์ ม.1 088-1099516 2. นายไพบูลย์ มวลสุ ข ม.3 3. นายบุญลอด พงษ์กิ่ง ผูใ้ หญ่บา้ น 083-7420355 4. นางสุ รีรัตน์ สมรักษ์ ส.อบต. ม.5 087-9584435 5. นางดวงใจ ทิพย์อามาตย์ ส.อบต. ม.9 084-4788685 6. นายสมศักดิ์ ธิ อามาตย์ ผูช้ ่วย ม.4 7. นายอมร คะเนแสน อปพร.ม.10 8. นางพรพิมล ช้างสาร ศูนย์อนามัยที่ 7 080-4903302 9. นางสาวปทุมวรรณ ดวงราช ผูช้ ่วยนักพัฒนาชุมชน อบต.ธาตุ รายชื่ ออาสาสมัครองค์ การบริหารส่ วนตําบลโพธิ์ใหญ่ 1. นายหนูดา ดวงใจ ม.5 โทรศัพท์ 087-9615376 2. นายกมล หวานใจ ประธานสภา อบต. โทรศัพท์ 082-3771037 3. นายไมตรี ดวงศรี ม.6 โทรศัพท์ 081-5488954 4. นายบันจง คงวิสุทธิ์ ม.11 โทรศัพท์ 083-3705463 5. นายถาวร แสงโมลา ม.9 6. นายสุ นทร จันทาพุฒ ม.4 โทรศัพท์ 084-8803149 7. สอ.ไพรวรรณ ธนูผายเจ้าหน้าที่ อบต. โทรศัพท์ 081-0670638 รายชื่ อแกนนําในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและเครือข่ าย 1. พันตํารวจโท กิตติวฒั น์ ฉัตรศรี โพธิ์ คณะนิติศาสตร์ 2. ดร.จริ ยาภรณ์ อุ่นวงค์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ 3. ดร.สุ มาลี เงยวิจิตร คณะบริ หารศาสตร์ 4. อาจารย์ กิ่งกาญจน์ สํานวนเย็น คณะรัฐศาสตร์ 5. อาจารย์ พลากร สื บสําราญ คณะแพทย์ศาสตร์


72 6. อาจารย์ จักเรศ อิฐรัตน์ คณะศิลปะศาสตร์ 7. อาจารย์ กรรณศลักษณ์ อุ่นณพลักษณ์ คณะศิลปะศาสตร์ 8. อาจารย์ จักรพันธ์ แสงทอง คณะศิลปะศาสตร์ 9. อาจารย์ เชาวนันท์ ทะนอก คณะศิลปะศาสตร์ 10. อาจารย์ จารุ วรรณ ชุปวา คณะพยาบาลศาสตร์ 11. อาจารย์ ชัดชัย แก้วตา คณะบริ หารศาสตร์ 12. ดร.ศันสนีย ์ ชวนะกุล คณะวิทยาศาสตร์ 13. ดร.อรทัย เลียงจินดาการ คณะรัฐศาสตร์ 14. อาจารย์ อมตะ ยอดคุณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ 15. ดร.สุ ภาวดี แก้วระหัน คณะเกษตรศาสตร์ 16. ดร.ถนอมศักดิ์ บุญสู่ วิทยาลัยสาธารณสุ ขสิ รินธรอุบลราชธานี 4.1.5 กลไกการสื่ อสารสาธารณะ เป็ นกลไกที่เกิดจากกิจกรรมการอบรมการผลิตสื่ อของโครงการย่อย ซึ่ งผูท้ ี่ผา่ นการอบรม ที่มีความสนใจได้มีการขับเคลื่อนงานต่อโดยมีบทบาทหน้าที่ในการผลิตสื่ อ เผยแพร่ ขอ้ มูลความรู้ เหตุการณ์ สถานการณ์ ความปลอดภัยทางถนนให้สังคม สาธารณะได้รู้ เข้าใจ เกิดความตระหนัก ในเรื่ องความปลอดภัยทางถนน ซึ่ งทีมกลไกนี้ ได้แก่ 1.นายทศพล ไกรพันธ์ เทศบาลตําบลเมืองศรี ไค โทรศัพท์ 0880879487 2.นายภูมิศกั ดิ์ พันธ์งาม เทศบาลตําบลเมืองศรี ไค โทรศัพท์ 0810721719 3.นายจรู ญศักดิ์ คงนิล อบต.คูเมือง โทรศัพท์ 0846053288 4.นายสมาน ขลังวิเชียร อบต.คูเมือง โทรศัพท์ 0878589190 5.นายอุทยั ดีช่วย จี้กงอุบลฯ โทรศัพท์ 0837385045 6.นางสาวมนัสนันท์ ศรี รักษา จี้กงอุบลฯ โทรศัพท์ 0800030085 7.นายไชยวัฒน์ ศักดิ์สยาม จีตมั เกาะอุบล โทรศัพท์ 0868560800 8.นางดวงใจ ทิพย์อามาตย์ อบต.คูเมือง โทรศัพท์ 0844788685 9.นายเพชรรัตน์ สี ดารัตร์ อบต.คูเมือง 10.นายประภักดิ์ นนทไสย เทศบาลตําบลคําขวาง โทรศัพท์ 0844297036 11.นายศุภชัย นามแก้ว อบต.ธาตุ โทรศัพท์ 0879621585 สรุ ปได้วา่ การก่อเกิดกลไกในการทํางานโครงการในระยะที่ 1 นั้นมีดว้ ยกันหลายประเภท เพื่อหนุ นเสริ มการทํางานโครงการย่อยทั้ง 4 โครงการให้บรรลุ เป้ าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ พบว่าผูท้ ี่เข้าร่ วมเป็ นทีมงานของแต่ละกลไกนั้นมาจากทั้งสองภาคส่ วน คือ ผูม้ ีจิตอาสาและผูม้ ี ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบในเนื้องานด้านอุบตั ิเหตุของจังหวัดซึ่ งพบว่ากลไกทั้งสองส่ วนนี้ต่าเอื้อ ประโยชน์และเติมเต็มซึ่งกันและกัน ดังเช่น ในส่ วนของผูท้ ี่มีจิตอาสาที่ตอ้ งการทํางานแก้ไขปั ญหา


73 ด้านอุบตั ิเหตุแต่ไม่มีอาํ นาจหน้าที่ในการดําเนินงานกับหน่วยงานที่มีอาํ นาจหน้าที่แต่ไม่มีเครื อข่าย ชุมชนที่จะเข้ามาร่ วมช่วยกันให้การขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนให้เป็ นรู ปธรรมและ เป็ นจริ งได้ ดังนั้น การทํางานร่ วมกันของกลไกต่างๆจึงต่างสนับสนุนซึ่ งกันและกัน เป็ นต้น 4.2 การค้ นหา ภาคี เครือข่ าย การดําเนินโครงการที่เน้นหลักการสําคัญคือการมีส่วนร่ วมของภาคีเครื อข่ายที่จะเข้ามาร่ วม กระบวนการ การค้นหาภาคีเครื อข่ายตัวจริ ง เสี ยงจริ ง ที่มีส่วนได้ส่วนเสี ยกับการสร้างวัฒนธรรม ความปลอดภัยทางถนนจึงต้องค้นหา และทําความเข้าใจร่ วมให้เห็นเป้ าหมายเดียวกัน คณะทํางาน ได้ดาํ เนินการใน 2 กิจกรรมดังนี้ 4.2.1 การศึกษาข้ อมูลจากผู้รู้ เอกสาร หน่ วยงานทีเ่ กีย่ วข้ อง วัตถุประสงค์ เพื่อจัดทําฐานข้อมูลเรื่ องความปลอดภัยทางถนนอย่างมีส่วนร่ วม ขั้นตอนวิธีการ 1. คณะทํา งานร่ วมกันวิ เ คราะห์ ข้อ มู ล หน่ วยงานภายในจัง หวัด ที่ มี บ ทบาทหน้า ที่ เกี่ ยวข้องกับงานด้านอุ บตั ิเหตุทางถนน แล้วประสานหาข้อมูล ผูร้ ับผิดชอบ ภาระ งานของแต่ละองค์กร 2. ให้ภาคีเครื อข่ายเดิมที่รู้จกั แนะนํา 3. ในการจัดเวทีของทีม Node Action จะประสานขอข้อมูลจากอาสาสมัครและ ผูเ้ ข้าร่ วมในเวที 4. นําข้อมูลมาจัดระเบียบ ทําเป็ นฐานข้อมูลเบื้องต้น เทคนิคและเครื่องมือ 1.ใช้ทุนเดิมของมูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี ที่มีเครื อข่ายภาคี กลุ่มคนทํางาน ที่มีจิตอาสาในแต่ละองค์กร หน่วยงาน ประสานข้อมูลและชี้ เป้ าคนทํางานที่มีจิตอาสา ที่ อ ยู่ใ นองค์ ก รต่ า งๆเช่ น โรงพยาบาลสรรพสิ ท ธิ์ ศู น ย์ก ารแพทย์ฉุ ก เฉิ น ( EMS) เครื อข่ายองค์กรงดเหล้าจังหวัดอุบลฯ ประสานพูดคุยและขอความร่ วมมือ 2.ทําแบบฟอร์ มจัดระบบฐานข้อมูลไว้เพื่อความสะดวกในการลงรายละเอียด ผลการดําเนินงาน 1.ได้รายชื่อบุคคล องค์กร หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง 2.ได้รายละเอียดเกี่ยวกับหน่วยงานที่จาํ เป็ นต้องประสานในการปฏิบตั ิการ 3.ได้รายชื่ออาสาสมัครที่เข้าร่ วมเป็ นคณะทํางานทีมกลางทีมาจากความสมัครใจ บทเรียนทีเ่ กิดขึน้


74 การค้นหาภาคี เครื อข่าย ถ้าต้องการคนประเภทไหน คนที่เราประสานด้วยก็ตอ้ งเป็ นคน ประเภทนั้นเช่นต้องการคนที่เป็ นจิตอาสา คนที่ช้ ีเป้ าให้ก็ตอ้ งเป็ นคนมีจิตอาสาด้วย เป็ นแนวคิดที่วา่ คนเหมือนกันมักจะไหลหากัน 4.2.2 การลงพืน้ ทีส่ ั ญจรใน 6 อปท. วัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างความเข้าใจในการจัดทําโครงการฯในระดับพื้นที่ อปท. 2. เพื่อนําเสนอแผนการดําเนินงานโครงการฯทีมกลาง และวางแผนการดําเนินงานใน พื้นที่ร่วมกัน 3. เพื่อระดมสมอง เก็บข้อมูลเบื้องต้นในการทํางานด้านความปลอดภัยบนท้องถนน ในระดับตําบล ขั้นตอนวิธีการ 1. นายกเทศมนตรี เทศบาลฯ กล่าวเปิ ดงานและกล่าวต้อนรับ 2. แนะนําตัวผูเ้ ข้าร่ วมประชุมและทีมงาน 3. ชมวีดีทศั น์การเกิดอุบตั ิเหตุเรื่ อง “ทางโค้ง” (ระดมสิ่ งที่ได้เรี ยนรู ้จากการชม วีดีทศั น์) 4. ชี้แจงความสําคัญของโครงการ(สถิติการเกิดอุบตั ิเหตุ การบาดเจ็บ การเสี ยชี วิต และ มูลค่าความเสี ยหายต่างๆ) 5. ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการประชุม/โครงการ 6. ทํา ความเข้า ใจแผนการดํา เนิ น งาน/โครงการย่อ ยที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น ภายใต้โ ครงการ วัฒนธรรม ความปลอดภัยทางถนน ทั้ง 4 โครงการ 7. แบ่งกลุ่มย่อย 3 กลุ่ม เพื่อระดมสมองในการค้นข้อมูลทั้ง 4 ประเด็น หลัก 8. นําเสนอข้อมูลตามกลุ่มย่อย 9. สรุ ปข้อมูลจากการนําเสนอของกลุ่มย่อย 10. ชี้จุดเสี่ ยงในตําบลลงในแผนที่ใหญ่ 11. ระดมความคิดเห็นจากผูเ้ ข้าร่ วมเพื่อร่ วมกันวิเคราะห์จุดเสี่ ยง 12. หาอาสาสมัครการดําเนินงานโครงการฯในพื้นที่ เทคนิคและเครื่องมือ 1. การใช้วีดิทศั น์ “ทางโค้ง” เพื่อกระตุก ให้ผูเ้ ข้าร่ วมเห็นปั ญหา ความสําคัญของ อุบตั ิเหตุที่เป็ นเรื่ องใกล้ตวั 2. การใช้ power point เชื่อมโยงให้เห็นภาพรวมการทํางานทั้งโครงการทั้งโครงการ กลางและโครงการย่อย 4 โครงการ ทํา ให้เกิ ดพลัง และมองเห็ นปลายทางของ


75 ความสําเร็ จของโครงการที่ไม่ใช่ ทาํ งานเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะจุดเหมือนที่ผ่านมา ของโครงการต่างๆในพื้นที่ 3. การแบ่งกลุ่มย่อยในการระดมความคิดเห็นใน 4 ประเด็นคือ1.สิ่ งดีดีและมีคุณค่าที่ มี อยู่ใ นพื้ นที่ 2. สาเหตุ ข องการเกิ ด อุ บ ตั ิ เ หตุ 3.แนวทางการป้ องกันและแก้ไ ข ปั ญหาอุบตั ิเหตุและความปลอดภัยบนท้องถนนที่ผ่านมา 4.ข้อเสนอแนะในการ ป้ องกันและแก้ไขปั ญหาอุบตั ิเหตุและความปลอดภัยบนท้องถนน เมื่อประชุมใน กลุ่ มที่ เล็กลง ทุกคนจะมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นมากขึ้น(รายละเอียดอยู่ใน ภาคผนวก) 4. ใช้ก ระดาษคลิ ป ชาร์ ต วาดแผนที่ ถ นนให้ชัดเจนพร้ อมแจกสติ๊ ก เกอร์ ในทุ ก คน ออกมากําหนดจุดเสี่ ยง 3 ระดับคือสี แดง -จุดที่มีคนตาย สี เขียว-จุดที่บาดเจ็บ สี เหลือง -จุดที่คาดว่าจะเกิดอุบตั ิเหตุ สร้างความกระตือรื อร้นให้กบั ที่ประชุมได้มาก มีการพูดคุยกันอย่างกว้างขวาง ผลทีเ่ กิดขึน้ 1. เห็นความกระตือรื อร้นของชุมชน หน่วยงานที่พร้อมจะเข้าร่ วมในการสร้างความ ปลอดภัยทางถนน 2. ได้ขอ้ มูลที่เป็ นทุนทางสังคมเดิมของชุมชน พบปั ญหา สาเหตุ แนวทางการแก้ไข ปั ญหาที่ผา่ นมาและข้อเสนอแนะ สิ่ งที่ชุมชนต้องการเข้ามาทํางานร่ วมกัน 3. ได้อาสาสมัครคณะทํางานในแต่ละพื้นที่ ๆละประมาณ 7-10 คน 4. ได้มี ก ารกํา หนดทิ ศ ทางการทํา งานร่ วมกัน ของคณะทํา งานโครงการย่อ ยทั้ง 4 โครงการของNode Actionจ.อุบลราชธานี บทเรียนทีเ่ กิดขึน้ 1. การติ ดต่อประสานงานกับ อปท.ถ้ามี ค นในอปท.เป็ นคณะทํา งานกลางซึ่ ง เห็ น ความสําคัญและเข้าใจประเด็นการทํางานเรื่ องอุบตั ิเหตุจะมีการประสานคนเข้า ร่ วมเวที การจัดเตรี ยมสถานที่ ได้อย่างเรี ยบร้อย 2. การแบ่งกลุ่มในการระดมความคิ ดเห็ นควรอยู่ระหว่าง 10-15 คนเมื่อประชุ มใน กลุ่มที่เล็กลง ทุกคนจะมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นมากขึ้น 3. การให้ผูเ้ ข้า ร่ ว มในเวที ไ ด้มี โ อกาสร่ ว มกันกํา หนดจุ ดเสี่ ย งเป็ นการสร้ า งความ กระตือรื อร้นให้กบั ที่ประชุมได้มาก เกิดประเด็นพูดคุยกันอย่างกว้างขวาง 4.3 การสร้ างความเข้ าใจร่ วมกัน Node Action จังหวัดอุบลราชธานี ได้ดาํ เนิ นการเพื่อสร้ างความเข้าใจร่ วมกันระหว่าง ผูบ้ ริ หารหน่วยงานด้วย 2 กิจกรรมดังนี้


76 4.3.1 การเข้ าพบผู้บริหารหน่ วยงาน ได้ดาํ เนิ นการเข้าพบผูบ้ ริ หารทั้งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และอปท.ทั้ง 6 พื้นที่รวมทั้ง หน่วยงานองค์กรที่ เกี่ ยวข้องเช่ น ขนส่ งจังหวัด, สํานักงานป้ องกันภัยจังหวัดอุบลฯ (ปภ.) ,สถานี ตํารวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ,ศูนย์การแพทย์ฉุกเฉิ น(EMS) ,โรงพยาบาลวาริ นชําราบ ฯลฯ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผบู ้ ริ หารได้รับทราบการขับเคลื่อนงานด้านวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน ในมหาวิทยาลัยและชุมชนรอบมหาวิทยาลัย 2. เพื่อประสานความร่ วมมือในการขับเคลื่อนงานโครงการ ขั้นตอนวิธีการ 1. ติดต่อประสานงานเพื่อขอเข้าพบผูบ้ ริ หารมหาวิทยาลัยและนายกองค์กรปกครองส่ วน ท้องถิ่นทั้ง 6 แห่ง 2. ทีม Node Action จังหวัดอุบลราชธานีเดินทางไปพบตามนัดหมาย 3. ชี้แจงรายละเอียดโครงการพร้อมมอบเอกสารไว้ให้ศึกษา 4. รั บ ฟั ง ความคิ ดเห็ นของผูบ้ ริ หารมหาวิท ยาลัย และอปท.รวมทั้ง เชิ ญชวน ขอความ ร่ วมมือในการเข้าร่ วมดําเนินงานในโครงการ เทคนิคและเครื่องมือ 1.ในการเข้าพบผูน้ าํ องค์กรเพื่อทําความเข้าใจในโครงการต้องชี้ ให้เห็นถึงประโยชน์ที่จะ เกิ ดขึ้ นจากการทําโครงการ รวมทั้งยกตัวอย่างรู ปธรรมจากพื้นที่อื่นให้มองเห็นวิธีการ ดําเนินงาน 2.เอกสารข้อเสนอโครงการของ Node action จ.อุบลฯฉบับย่อ เข้าใจง่าย ซึ่ งผูบ้ ริ หารส่ วน ใหญ่จะมีเวลาน้อย ไม่ควรแนบเอกสารรายละเอียดมากเกินไป ผลทีเ่ กิดขึน้ ผูน้ าํ อปท.และผูบ้ ริ หารเห็ นความสําคัญและให้ความร่ วมมื อเป็ นอย่า งดี โดยให้ เจ้าหน้าที่ นักวิชาการที่เกี่ ยวข้องมาร่ วมรับฟังโครงการเพื่อจะได้เข้าร่ วมในการดําเนินงาน ในพื้นที่ต่อไป บทเรียน การเดิ นทางไปพบปะกับนายก อปท. ทั้ง 6 แห่ งและผูบ้ ริ หารมหาวิทยาลัยเป็ น วิธีการที่เหมาะสมแม้ว่าจะใช้เวลานานแต่ก็เกิดผลดีในแง่การสร้างความสัมพันธ์ เปิ ดใจ ได้รับทราบทัศนคติและบุคลิกภาพของผูบ้ ริ หารแต่ละแห่งเพื่อสามารถนํามาใช้ในการวาง แผนการทํางานในระยะต่อไป


77 4.3.2 การจัดเวทีชี้แจงโครงการ ภายหลังจากการเข้าพบเพื่อทําความรู้ จกั กับผูบ้ ริ หารในส่ วนต่างๆแล้วทีม Node Action ก็ได้ร่วมกันจัดเวที “ร่ วมสร้ างอนาคตเพื่อลดอุ บตั ิเหตุทางถนน” เป็ นเวที เปิ ดตัว โครงการที่มุ่งหมายให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องได้มาร่ วมกันกําหนดอนาคตการทํางานร่ วมกันเพื่อ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน ลดอุบตั ิเหตุในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และชุมชนโดยรอบ วัตถุประสงค์ 1.เพื่อชี้แจงการดําเนินงานโครงการร่ วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนฯ ให้ กลุ่มเป้ าหมาย และพื้นที่การดําเนินงานรับทราบ 2.เพื่อระดมความคิดเห็นถึงปั จจัยที่มีผลต่อการลดอุบตั ิเหตุและแนวทางการป้ องกันเพื่อ สร้างให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนร่ วมกัน 3.เพื่อสรรหาอาสาสมัครจากทุกภาคส่ วนให้เข้ามามีส่วนร่ วมเป็ นคณะทํางานร่ วม ดําเนินงานโครงการ ขั้นตอนวิธีการ 1. ผูบ้ ริ หารมหาวิทยาลัยกล่าวต้อนรับ 2. ผูว้ า่ ราชการจังหวัดกล่าวปาฐกถาพิเศษ “คนอุบลกับการลดอุบตั ิเหตุทางถนน” 3. นําเสนอภาพรวมของโครงการฯ 4. ระดมความคิดเห็นในกลุ่มใหญ่“ทบทวนสถานการณ์โลก สังคม ชุมชนและท้องถิ่นต่อ การเกิดอุบตั ิเหตุทางถน” 5. แบ่ งกลุ่ มย่อยตามอปท. 6 แห่ ง ในประเด็นปั จจัยในการลดอุบ ตั ิ เหตุและสร้ า งความ ปลอดภัยทางถนนและอนาคตที่พึงปรารถนาในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทาง ถนน 6. นําเสนอผลของการระดมความคิดเห็นในกลุ่มย่อย 7. สรรหาอาสาสมัค รคณะทํา งานโครงการกลางของที ม Node Action จัง หวัด อุบลราชธานี เทคนิคและเครื่องมือ 1. การเชิญผูว้ า่ ราชการจังหวัดมากล่าวปาฐกถาพิเศษทําเวทีให้มีความสําคัญ 2. สร้างความตระหนักในเรื่ องอุบตั ิเหตุวา่ เป็ นเรื่ องใกล้ตวั สร้างความสู ญเสี ยให้กบั ชาติโดย วิทยากรจากส่ วนกลางมาร่ วมให้ขอ้ มูล 3. สร้างความเป็ นทีมเดียวกันโดยการให้ผเู ้ ข้าร่ วมเวทีนงั่ แบ่งตามกลุ่มทั้ง 6 อปท.และแทรก ด้วยหน่วยงาน องค์กรจากหน่วยงานส่ วนกลางในทุกกลุ่ม 4. ช่วงนําเสนอของแต่ละกลุ่มใช้ผเู ้ ชี่ยวชาญทําMappingเพื่อให้เห็นภาพรวมของภาพ


78 อนาคตที่ตอ้ งการเห็น โดยสิ่ งที่ทุกกลุ่มนําเสนอจะถูกบันทึกรวมกันเป็ นหนึ่งเดียวแสดง ให้เห็นถึงการมีส่วนร่ วมในการกําหนดอนาคตการสร้างความปลอดภัยทางถนนร่ วมกัน ผลทีเ่ กิดขึน้ 1. ผูเ้ ข้าร่ วมเห็นความสําคัญและเข้าใจโครงการ 2. ผูเ้ ข้าร่ วมตระหนักถึงความรุ นแรงของปั ญหาอุบตั ิเหตุ 3. มีการพูดคุย ระดมความคิดเห็นภายในกลุ่มอย่างคึกคัก 4. ผูเ้ ข้าร่ วมเห็นภาพความเชื่อมโยงของการทํางานร่ วมกัน 5. ได้อาสาสมัครคณะทํางานทีมกลางของทีม Node Actionจํานวน 16 คน บทเรียน 1. กลุ่มย่อยทําให้เกิดการมีส่วนร่ วมจากผูเ้ ข้าร่ วมเวที 2. การใช้กระบวนการF.S.C (Future Search Conference) สร้างบรรยากาศในการมอง อนาคตกําหนดการทํางานร่ วมกันได้ดี สรุ ป ได้ว่ า ผลการดํา เนิ น งานการสร้ า งความเข้า ใจร่ ว มกัน ทั้ง ระดับ ผู้บ ริ ห าร ผูป้ ฏิบตั ิงาน ทั้งมหาวิทยาลัย องค์การบริ หารส่ วนท้องถิ่นและหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง ทํา ให้เกิ ดความร่ วมมื อและนําไปสู่ การประสานแผนงานในบางหน่วยงานเกิ ดขึ้นในการทํา กิจกรรมเช่น มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีสนับสนุนแผ่นป้ ายไวนิลในการรณรงค์สร้างความ ปลอดภัยทางถนน 13 ผืน เทศบาลแสนสุ ขสนับสนุ นป้ ายไวนิ ลขนาดใหญ่เวทีเปิ ดตัว โครงการ ภาคเอกชนสนับสนุนหมวกนิรภัย 70 ใบ ขนส่ งจังหวัดสนับสนุ นหมวกนิ รภัย 60 ใบในการจัดงานรณรงค์ และตํารวจทางหลวงสนับสนุ นวิทยากรในการดําเนิ นกิ จกรรม เป็ นต้น 4.4 การพัฒนาศักยภาพของแกนนํา หลังจากที่มีการพัฒนาศักยภาพของแกนนําพบว่าแกนนํามีศกั ยภาพมากขึ้นในด้านต่างๆ สรุ ปได้ดงั นี้ 4.4.1. ด้ านการเป็ นวิทยากร การทําหน้าที่เป็ นวิทยากรในการสร้างความปลอดภัยทางถนน ได้แก่ อาจารย์ถนอมศักดิ์ บุญสู่ อาจารย์กิตติวฒั น์ ฉัตรศรี โพธิ์ อาจารย์จกั เรศ อิฐรัตน์ อาจารย์ จักรพันธ์ แสงทอง ผูใ้ หญ่ทศ พล ไกรพันธุ์ นายทวีศกั ดิ์ ดํารงชูตินนั ท์ นายอุทิศ ทาหอม ดร.ศันสนีย ์ ชวนะกุล 4.4.2 ด้ านการประสานงาน 1) ผูป้ ระสานงานในระดับจังหวัด ได้แก่ อาจารย์ถนอมศักดิ์ บุญสู่ อาจารย์จกั พันธ์ แสงทอง นายอุทิศ ทาหอม


79 2) ผูป้ ระสานงานในระดับพื้นที่ศึกษา ได้แก่ - มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้แก่ อาจารย์กิตติวฒั น์ ฉัตรศรี โพธิ์ อาจารย์ จักเรศ อิฐรัตน์ อาจารย์อมต ยอดคุณ ดร.จริ ยาภรณ์ อุ่นวงษ์ ดร.อรทัย เลียงจินดาถาวร - วิทยาลัยสาธารณสุ ขสิ รินธร ได้แก่ อาจารย์ถนอมศักดิ์ บุญสู่ - เทศบาลตําบลแสนสุ ข ได้แก่ นายตงฉิ น ประสิ ทธิ์ ภูริปรี ชา นางสาวชิโนทัย คุณาคุณ นางสมบูรณ์ พวงผกา นางพนาสวรรค์ เจริ ญนิจ นายสง่า สิ ริมา - เทศบาลตําบลเมืองศรี ไค ได้แก่ ผูใ้ หญ่ทศพล ไกรพันธุ์ ,นายภูมิศกั ดิ์ พันธ์งาม นายมณี ภารการ - เทศบาลตําบลคําขวาง ได้แก่ สิ บเอกยุทธนา กุลบุญญา นายประภักดิ์ นนทไสย - อบต.ธาตุ ได้แก่นายทวีศกั ดิ์ ดํารงชูตินนั ท์ นางสุ รีรัตน์ สมรักษ์ นางดวงใจ ทิพย์อามาตย์ นางสาวปทุมวรรณ ดวงราช - อบต.โพธิ์ ใหญ่ ได้แก่ ส.อ.ไพรวรรณ ธนูผาย ,นายกมล หวานใจ - อบต. คูเมือง ได้แก่ นายจรู ญศักดิ์ คงนิล นายสมาน ขลังวิเชียร นายเพชรรัตน์ สี ดารักษ์ ร.ต.วิเชียร แก้วกัญญา 3) ผูป้ ระสานงานหน่วยงานที่เข้าร่ วมในการดําเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ - สํานักงานป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ นายเวชสุ วรรณ อาจวิชยั นางสาวอนุชชิดา ตาน้อย - สถานีตาํ รวจภูธรอําเภอวาริ นชําราบ ได้แก่ พ.ต.ต.เสรี วริ ศ ปริ ญญากร - สํานักงานขนส่ งจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ นายวสันต์ แสงวรรณ, และน.ส.ณัฐสรัญ บวรภัทรกุล - บริ บทั กลางคุม้ ครองผูป้ ระกันภัย ได้แก่ นางสาวณัฐธยาน์ ทองย้อย - ศูนย์ EMS 1669 ได้แก่ คุณสมบูรณ์ เพ็ญพิมพ์ - ชมรมศิษย์พระอรหันต์จ้ ีกง ได้แก่ นายอุทยั ดีช่วย - มูลนิธิสว่างบูชาธรรมสถาน ได้แก่ นายไพศาล ตฤณานนทกูล - มูลนิธิการกุศลจังหวัดอุบลราชธานี (จีตมั เกาะ) ได้แก่ นายชัยวัฒน์ ตักสยาม - สํานักงานแขวงการทางอุบลราชธานีที่ 2 ได้แก่ นายวินยั เฉลิมพงษ์ - สํานักงานทางหลวงชนบทจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ นายสุ วฒั น์ ศรี ดาคุณ - ศูนย์อนามัยที่ 7 อุบลราชธานี ได้แก่ นางพรพิมล ช้างสาร - สํานักงานควบคุมโรคติดต่อที่ 7(สอจร.) ได้แก่ นางสาววันทนีย ์ ธารณ์ธนบูลย์ - สถานีวทิ ยุร่วมด้วยช่วยกัน ได้แก่ นางสาวนิชรา บุญตะนัย - สถานีตาํ รวจทางหลวงจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ พันตํารวจโท สุ ชาติ ผิวอ่อน


80 4.5 การพัฒนาโครงการย่ อยในชุ ดโครงการ ในการดําเนิ นโครงการกระบวนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษา และชุมชนรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้กาํ หนดแผนงานในการพัฒนาโครงการและโจทย์วิจยั ย่อยจํานวน 4 โครงการเพื่อเชื่อมโยงการทํางานกับกลุ่มเป้ าหมายในพื้นที่ปฏิบตั ิการ จากการออก แบบร่ วมกันของคณะทํางาน ในการพัฒนาโครงการของแต่ละทีม มี กระบวนการและวิธีก ารที่ แตกต่างกันไปตามประเด็นและข้อมูลในพื้นที่ ที่มีความแตกต่างกันโดยมีรายละเอียดดังนี้ 4.5.1 การค้ นหานักวิชาการและแกนนํา วัตถุประสงค์ 1. เพื่อแสวงหาคนทํางาน นักวิชาการที่มีจิตอาสามาร่ วมในการพัฒนาโครงการ และโจทย์ วิจยั 2. เพื่อทําความเข้าใจในรายละเอียดของชุดโครงการกลาง ขั้นตอนวิธีการ 1. รวบรวมรายชื่ อ ค้น หา ประวัติ ค วามเป็ นมาของแต่ ล ะคนหรื อที ม จากองค์ ก ร หน่วยงาน มูลนิธิและพูดคุยกับนักวิชาการที่เคยทํางานวิจยั เพื่อท้องถิ่นร่ วมกันมาก่อน 2. ประสานงานทางโทรศัพ ท์ พบปะ พูดคุ ย กันในเวที ต่ างๆ และเล่ า รายละเอี ยดของ โครงการกระบวนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษาและชุ มชน รอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้ฟัง และชักชวนมาทํางานร่ วมกัน 3. พูดคุ ยเป็ นรายบุ คคลและเป็ นรายกลุ่มเพื่ออธิ บายให้เห็ นภาพของการทํางานวิจยั เพื่อ ท้องถิ่ นในกลุ่มที่ยงั ไม่เคยทํางานวิจยั แบบมีส่วนร่ วม รวมทั้ง ให้เอกสารลี ลาวิจยั ไท บ้า นซึ่ งที ม กลางเขี ย นจากบทเรี ย นประสบการณ์ ก ารทํา งานวิจยั เพื่ อ ท้องถิ่ น และ หนังสื อประสบการณ์งานวิจยั จากพื้นที่ ของสกว.ไว้ศึกษา เทคนิคและเครื่องมือ 1. ใช้การเชื่อมประสานนักวิชาการโดยผ่านเครื อข่ายนักวิชาการที่ทาํ งานวิจยั เพื่อท้องถิ่น ในคณะต่างๆให้ช่วยประสานเลือกคนเข้าร่ วมทีมวิจยั 2. ในโครงการงานพัฒนาที่มีขอ้ มูลความต้องการของพื้นที่ดาํ เนิ นการแล้ว ใช้การเลือกลุ่ม คน หน่วยงานที่เข้าร่ วมในเวทีของโครงการฯเช่นมูลนิธิประชาสังคมที่ร่วมงานเป็ น วิทยากรกระบวนการในเวทีเปิ ดตัวโครงการฯ จากนั้นทีมNode Action เข้าทําความ เข้าใจร่ วมกับทีมงานมูลนิธิประชาสังคม จ.อุบลฯ ทั้งหมด เพื่อให้ทุกคนเข้าใจการ ทํางาน ไปในทิศทางเดียวกัน 3. เชิญทีมอาสาสมัครจาก โครงการของ Node action จ.อุบลฯ ที่สมัครเข้าร่ วมโครงการ อยูแ่ ล้วใน 6 พื้นที่อปท.เข้าเป็ นทีมงานในพื้นที่


81 ผลทีเ่ กิดขึน้ 1. ได้ทีมวิจยั ร่ วมอาจารย์นกั วิชาการจาก 8 คณะมาเป็ นทีมวิจยั ใน 2 โครงการ 2. ได้ทีมงานของมูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานีที่มีความเชี่ยวชาญในการทํางาน กับชุมชนและงานด้านสื่ อสารสาธารณะมาเป็ นทีมทํางานในโครงการของชุมชน ใช้ การสื่ อสารเชื่อมโยงทุกโครงการ 3. ทุกคนที่เข้าร่ วมเห็นความสําคัญและยินดีเข้าร่ วมเพื่อแก้ปัญหา หาทางออก ในการลด อุบตั ิเหตุสร้างความปลอดภัยทางถนน บทเรียน 1. ทีมNode Action จังหวัดต้องทําหน้าที่เป็ นตัวกลางในการเชื่อมร้อยนักวิชาการให้เข้ามา ทําความรู ้จกั กันและทํางานด้วยกันเนื่องจากนักวิชาการรุ่ นใหม่ในสถาบันอุดมศึกษาจะ ไม่ค่อยรู ้จกั กัน 2. การชักชวนให้นกั วิชาการเข้ามาร่ วมทํางานต้องสร้างการมีส่วนร่ วมตั้งแต่เริ่ มต้นจะทํา ให้พวกเขารู ้สึกเป็ นเจ้าของร่ วมกัน 3. อาสาสมัครนักวิจยั ในชุมชนที่มีความสามารถ นักวิจยั หลักควรค้นหาจากทีมวิจยั ชุมชนที่มีอยู่ เพื่อสร้างทีมในพื้นที่ให้เข้มแข็ง 4.5.2 การพัฒนาโจทย์ วจิ ัยและโครงการพัฒนา ภายหลัง จากการค้นหานัก วิจยั และหัวหน้าโครงการได้แล้วคณะทํา งานทั้ง 4 ทีม ก็ไ ด้ พัฒนาโจทย์วจิ ยั และโครงการพัฒนาดังนี้ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อค้นหาข้อมูล ความรู ้ ความต้องการต่างๆทีมีในพื้นที่ปฏิบตั ิการ 2. เพื่อสร้างความเป็ นเจ้าของโครงการร่ วมกันของทุกคนในทีม ขั้นตอนวิธีการ 1. แต่ละทีมจะได้ขอ้ มูลจากการลงพื้นที่ในเวทีสัญจรร่ วมกับทีม Node action จ.อุบลฯ 2. ลงพื้นที่พูดคุ ยกับกลุ่มเป้ าหมายรายโครงการเช่น คุยกับกลุ่มนักศึกษา กลุ่มอาจารย์ที่ สนใจ แม่คา้ ริ มถนน หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเรื่ องอุบตั ิเหตุ กลุ่มผูบ้ ริ หารองค์กร 3. จัดเวทีพฒั นาโจทย์วจิ ยั ร่ วมกับอาสาสมัครที่ได้จากการลงเวทีสัญจรใน 6 อปท. เทคนิคและเครื่องมือ 1. ใช้ Power point ภาพรวมโครงการและภาพการดําเนินงานที่ผา่ นมาเพื่อทําความเข้าใจ 2. ใช้วดี ีทศั น์ ภาพเหตุการณ์การเกิดอุบตั ิเหตุในพื้นที่ถนนวาริ น-เดชเพื่อสร้างความ ตระหนัก 4. เปิ ดโอกาสให้ทีมคณะทํางานโครงการย่อยได้พดู คุยซักถามแลกเปลี่ยน ผลทีเ่ กิดขึน้


82 1. ในการพัฒนาโจทย์ โครงการของแต่ละทีมเมื่อเชิ ญคนเข้าร่ วมพูดคุยมากขึ้น ทําให้ได้ ทีมวิจยั ในพื้นที่จากทั้งชุมชน หน่วยงานภาคีเครื อข่ายต่างๆมากขึ้นด้วย 2. การขึ้นโจทย์วิจยั มี ความชัดเจน และตรงกับความต้องการของคนในพื้นที่ปฏิบตั ิการ มากขึ้น 3. ทีมนักวิจยั ในสถาบันการศึกษาและทีมวิจยั ในพื้นที่มีความสนิทสนม คุน้ เคยกันมากขึ้น บทเรียน 1. ในการพัฒนาโจทย์วิจยั ควรเชิ ญหน่ วยงานที่ เกี่ ย วข้อง และผูท้ ี่ มี ส่ วนได้เสี ย เข้า มา ประชุมปรึ กษาร่ วมให้ได้ 2. อาสาสมัค รนักวิจยั ในชุ ม ชนที่ มี ความสามารถ นัก วิจยั หลัก ควรค้นหาจากที ม วิจยั ชุมชนที่มีอยู่ เพื่อสร้างทีมในพื้นที่ให้เข้มแข็ง 3. การพัฒนาโจทย์จากคนหลายกลุ่มทําให้ได้มุมมองที่หลากหลาย 4. การดํา เนิ น โครงการถ้า มี ข ้อ มู ล มากพอ เห็ น คนทํา งานสามารถกํา หนดทิ ศ ทาง กระบวนการทํางานในพื้นที่ได้เลยโดยไม่ควรเสี ยเวลากับการเก็บข้อมูลซํ้า 4.5.3 การเขียนเอกสาร ข้ อเสนอโครงการ การพัฒนาโจทย์วจิ ยั และโครงการเพื่อนํามาเขียนโครงร่ างงานวิจยั (proposal) โครงการเพื่อ ส่ งแหล่งทุนโดยมีวธิ ี การเขียนโครงการดังนี้ วัตถุประสงค์ เพื่อเขียนเอกสารข้อเสนอโครงการอย่างมีส่วนร่ วมส่ งแหล่งทุน ขั้นตอนวิธีการ 1. ภายหลังจากการหาข้อมูล และพูดคุยกับทีมวิจยั ในแต่ละโครงการแล้วแต่ละทีม จะได้รับ คํา อธิ บ ายพร้ อมเอกสารตัวอย่า งของโครงร่ า งงานวิจยั ของโครงการอื่ น เพื่อ ดู ประกอบการเขียนของตนจากทีม Node action จ.อุบลฯ โดยแต่ละทีมจะมีความยากง่ายที่ แตกต่างกัน ตามประสบการณ์เดิมของแต่ละคน 2. นําข้อเสนอโครงการร่ างแรกมาพูดคุยกับผูป้ ระสานงาน Node action จ.อุบลฯ เพื่อจัดปรับเอกสาร การลงรายละเอียดของแต่ละขั้นตอนกิจกรรมในโครงการ 2-3 ครั้ง 3. นํา ข้อ เสนอโครงการที่ ป รั บ แล้ว ไปให้ค ณะทํา งานของแต่ล ะที ม เติ ม เต็ม ให้ สมบูรณ์ ชัดเจนยิง่ ขึ้น 4. ส่ งข้อเสนอที่จดั ปรับแล้วให้ศปวถ.พิจารณาโครงการ เทคนิคและเครื่องมือ 1. ใช้ขอ้ เสนอโครงการเก่าเป็ นการทําความเข้าใจกับนักวิจยั หลักและทีมในพื้นที่


83 2. ใช้การพูดคุ ย แลกเปลี่ ยนเป็ นรายโครงการจะได้ความละเอียดในการทําความเข้าใจ มากกว่า การทํา รวมกัน ทั้ง 4 โครงการเพราะรายละเอี ย ดในแผนการดํา เนิ น งานมี ค่อนข้างมาก ผลทีเ่ กิดขึน้ ได้ขอ้ เสนอโครงการที่ทีมวิจยั ทุกคนได้เข้ามามีส่วนร่ วมในการกําหนดแผนงาน และประเมินความเป็ นไปได้ของแผนปฏิบตั ิการ บทเรียน 1. ก่อนเขียน ข้อเสนอโครงการควรให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนของงานวิจยั เพื่อท้องถิ่น ให้ชดั ก่อนเพื่อชี้ให้เห็นถึงความสําคัญของการใช้งานวิชาการนําการพัฒนา 2. ในการเขียนขั้นตอน กระบวนการในการดําเนินงานควรให้แต่ละทีมลงรายละเอียดให้ ได้มากที่สุดว่า ทําอะไร กับใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อมีการปฏิบตั ิจะได้เป็ นคัมภีร์ในการ ดําเนินงานได้จริ ง กล่าวโดยสรุ ป จากการพัฒนาโจทย์วิจยั ของโครงการย่อยพบว่า Node ใช้หลักการการมี ส่ วนร่ วมของผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสี ยทุกภาคส่ วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนนเป็ นสําคัญและ ใช้กระบวนการจับมือพาทํา อาทิเช่น การพัฒนาโจทย์ในพื้นที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี Node ได้ พาทีมนักวิชาการไปพัฒนาโจทย์ร่วมกับรองอธิ การบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา 1 ครั้ง เพื่อปรับแนวคิด กับ ผูบ้ ริ หารให้ ม องเห็ นปั ญ หาไปในทิ ศ ทางเดี ย วกัน กับ ที ม วิจ ัย หลัง จากนั้น ได้ช่ วยที ม วิจ ัย ออกแบบเวทีการพัฒนาโจทย์แล้วให้ทีมวิจยั เป็ นผูพ้ ฒั นาโจทย์ดว้ ยตนเองเนื่องจากนักวิจยั หลักเป็ น นัก วิช าการที่ เคยทํา งานวิจยั เพื่อท้องถิ่ นมาก่ อน การพัฒนาโจทย์วิจยั ของทีม นี้ ใช้กระบวนการ วิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาการเกิดอุบตั ิเหตุของนักศึกษาโดยแยกจัดเวที เป็ นเวทีสําหรับอาจารย์ 1 ครั้ง และเวทีสําหรับนักศึกษา 1 ครั้ง หลังจากนั้น ทีมวิจยั ได้นาํ มาข้อมูลที่ได้จากเวทีมาเขียนเป็ น ร่ างข้อเสนอโครงการส่ งให้ Node ให้ขอ้ เสนอแนะปรับแก้เป็ นระยะๆ ในขณะที่ ที มอาจารย์กิตติวฒั น์ ฉัตรศรี โพธิ์ ใช้พ้ืนที่ถนนหน้ามหาวิทยาลัยจากสี่ แยก เจริ ญศรี ถึงเทศบาลตําบลเมืองศรี ไค ทําให้มีผมู้ ีส่วนได้ส่วนเสี ยมากกว่า พี่เลี้ ยงจึงได้ช่วยทีมวิจยั ออกแบบกระบวนการพัฒนาโจทย์ โดยให้ทีมวิจยั สัญจรไปพูดคุ ยกับหน่วยงานทั้งแขวงการทาง ตํารวจ นายกอปท. ไปสัมภาษณ์อย่างไม่เป็ นทางการกับชาวบ้าน ร้านค้าที่อยูต่ ิดถนน และลงพื้นที่ เข้าร่ วมเวทีสัญจรกับทีมพี่เลี้ยงเพื่อเปิ ดตัวกับชุ มชนหลังจากผ่านขั้นตอนดังกล่าว ทีมวิจยั จึงจัดทํา ร่ างข้อเสนอโครงการขึ้นมาแล้วจัดเวทีเชิ ญหน่วยงาน อปท. โรงเรี ยน และชุ มชนเข้าร่ วมแสดง ความคิดเห็นเพื่อนําข้อเสนอแนะมาจัดปรับโครงการ ซึ่ งจากเวทีน้ ี ทาํ ให้ได้คนที่สนใจเข้าร่ วมเป็ น ทีมวิจยั ด้วย หลังจากนั้น ทีมวิจยั ได้นาํ ข้อเสนอแนะไปปรับแก้โดยมี Node ช่วยจัดปรับเป็ นระยะๆ ดังนั้น สรุ ปผลจากการพัฒนาโครงการดังกล่าวมาข้างต้นทําให้ได้โครงการย่อยทั้งสิ้ น 4 โครงการ ดังรายละเอียดต่อไปนี้


84 1. โครงการรูปแบบมาตรการการสร้ างความปลอดภัยบนท้ องถนนอย่ างมีส่วนร่ วม ทีม่ าและความสํ าคัญของปัญหา การเกิ ดอุ บ ตั ิ เหตุ บ นถนนเส้ นทางหมายเลข 24 ช่ วงตั้ง แต่ สี่ แยกเจริ ญศรี -มหาวิท ยาลัย อุบลราชธานี นับวันมี ความรุ นแรงและบ่อยครั้งยิ่งขึ้นเนื่ องมาจากมีปริ มาณรถมากขึ้นทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถบรรทุ กดิ น วิ่งเข้าออกในชุ มชนและเส้ นทางสายหลัก ตลอดเวลาโดยเฉพาะ รถจักรยานยนต์ที่วิ่งอยู่ระหว่างชุ มชนกับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในแต่ละวันมีจาํ นวนมากกว่า 1,000 คันขึ้นไป นอกจากนี้ พฤติกรรมการขับขี่รถของคนที่ฝ่าฝื นกฎจราจรก็มีมากขึ้นด้วย เช่ น ขับขี่ยอ้ น ศร ไม่สวมหมวกนิ รภัย จอดรถซ้อนคัน จอดรถกีดขวางทางจราจร ขับขี่รถขณะเมา โทรศัพท์ ขณะขับ รถ ฝ่ าไฟแดง ขับ เร็ ว ฯลฯ ขณะเดี ย วกัน สภาพของถนนก็ ช ํา รุ ด เป็ นหลุ ม เป็ นบ่ อ ไฟสัญญาณจราจรชํารุ ดเสี ยหาย ไม่มีเครื่ องหมายจราจรห้าม เครื่ องหมายเตือนบนทางจราจรในจุดที่ อาจเป็ นอันตราย ทางโค้งทางแคบ โรงเรี ยน ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่บดบังทัศนวิสัยของ การขับขี่ เช่น ป้ ายโฆษณาต่างๆตามทางร่ วม ทางแยก รวมทั้งต้นไม้ที่ปลูกไว้บนเกาะกลางถนน ร่ องระบายนํ้าที่ไหล่ทางไม่มีสิ่งปกปิ ดล้วนเป็ นปั จจัยหลักที่ทาํ ให้เกิ ดอุบตั ิเหตุบนท้องถนนสายนี้ ดังนั้น การแก้ไขปั ญหาอุบตั ิเหตุในช่ วงตั้งแต่สี่แยกตลาดเจริ ญศรี -มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ทุก ภาคส่ วนจําเป็ นต้องมาร่ วมกันแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนจะต้องเข้ามามีบทบาทในการร่ วมคิด ร่ วมทํา ร่ วมกันศึกษาเรี ยนรู ้ กําหนดรู ปแบบมาตรการทางสังคมเพื่อนําไปใช้ควบคู่ไปกับมาตรการ ทางกฎหมาย วัตถุประสงค์ ของการวิจัย 1.เพื่อศึกษาสภาพพื้นที่และสถานการณ์ปัญหาของความไม่ปลอดภัยทางถนน 2.เพื่อศึกษาทัศนคติ พฤติกรรมการขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์ของนักศึกษาและชาวบ้าน 3.เพื่อศึกษาปั จจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่ วมในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน 4.เพื่อหารู ปแบบมาตรการที่เหมาะสมในการเสริ มสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างมี ส่ วนร่ วม พืน้ ทีด่ ําเนินการวิจัย ทางหลวงเส้นทางหมายเลข 24 ถนนสายอําเภอวาริ นชําราบ – อําเภอเดชอุดม ช่วงระหว่างสี่ แยกตลาดเจริ ญศรี – มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีระยะทางประมาณ 7-8 กิโลเมตร กลุ่มเป้าหมาย : ชุ มชนและ 3 อปท.คือ เทศบาลตําบลเมืองศรี ไค เทศบาลตําบลแสนสุ ข และองค์การบริ หารส่ วนตําบลธาตุ เจ้าหน้าที่ตาํ รวจท้องที่ และเจ้าหน้าที่ตาํ รวจทางหลวง ผู้รับผิดชอบโครงการ : พ.ต.ท. กิตติวฒั น์ ฉัตรศรี โพธิ์ คณะนิ ติศาสตร์ มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี


85 วิธีการดําเนินงาน 1. จัดเวทีประชุมชี้แจงโครงการเพื่อให้คนในพื้นที่ได้รับรู ้การก่อเกิดของโครงการ 2. จัดเวทีเสวนา กรณี ศึกษามาบอกเล่าเรื่ องราวการสร้างมาตรการความปลอดภัยฯของพื้นที่ รู ปธรรม 3. การอบรมการออกแบบเครื่ องมือในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและพฤติกรรม 4. ทีมวิจยั ลงพื้นที่เก็บข้อมูล จากนั้น นําข้อมูลของแต่ละทีมนํามารวมกันรวบรวมเรี ยบเรี ยง ข้อมูล 5. จัดเวทีคืนข้อมูลในพื้นที่ โดยใช้รูปแบบการสัญจรใน 3 อปท.เมืองศรี ไค บ้านธาตุ ต. แสนสุ ข 6. จัดเวทีกาํ หนดรู ปแบบมาตรการความปลอดภัยทางถนน 7. นํารู ปแบบที่ร่วมกันกําหนดมาทดลองปฏิบตั ิการครั้งที่ 1และสรุ ปผลทดลอง 8.นํารู ปแบบที่ร่วมกันแก้ไขมาทดลองปฏิบตั ิการครั้งที่ 2 และสรุ ปผลทดลอง 9.ประชุมสรุ ป ประเมินผล 10.นําข้อสรุ ปเสนอต่อองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นทั้ง 3 พื้นที่เพื่อผลักดันเข้าสู่ นโยบาย ของท้องถิ่น 2.โครงการวิจัยกระบวนการจัดการความปลอดภัยทางถนนของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ความสํ าคัญของปัญหา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็ นสถานศึกษาที่มีปริ มาณของรถจักรยานยนต์จาํ นวนมาก จาก การสํารวจพฤติกรรมการขับขี่ของนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยและพื้นที่รอบมหาวิทยาลัยเบื้องต้น พบว่าส่ วนใหญ่มกั ละเลยที่จะปฏิบตั ิตามกฎจราจร และมีพฤติกรรมในการใช้รถ ใช้ถนนที่เสี่ ยงต่อ การเกิดอุบตั ิเหตุ หรื อเพิม่ ความรุ นแรงจากการเกิดอุบตั ิเหตุ จํา นวนอุ บ ัติเ หตุ ก ารจราจรของนัก ศึ ก ษาที่ มี จาํ นวนมากนํา มาซึ่ งความสู ญเสี ย ในชี วิต ทรัพย์สิน และโอกาสทางการศึกษา แม้ทางมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้จดั กิ จกรรมรณรงค์ และ กวดขันวินัยจราจรในกลุ่มนักศึกษา แต่ไม่ประสบความสําเร็ จเท่าที่ควร ส่ วนหนึ่ งเป็ นเพราะขาด ความชัดเจนในด้านนโยบายการป้ องกันอุบตั ิเหตุ ความต่อเนื่ องของกิจกรรมที่รณรงค์เรื่ องการการ ขับขี่ปลอดภัย ขาดการวางแผนที่เป็ นระบบ ขาดความร่ วมมือจากผูเ้ กี่ยวข้อง และขาดมาตรการที่ ต่ อ เนื่ อ ง รวมถึ ง การขาดทัศ นคติ ที่ ดี เ กี่ ย วกับ วิ นัย จราจรของนัก ศึ ก ษาเอง ดัง นั้น เพื่ อ เป็ นการ สนับสนุ นให้เกิ ดการแก้ปัญหาที่ ต่อเนื่ องและเป็ นรู ปธรรมมากขึ้น โครงการวิจยั นี้ จึงต้องการหา กระบวนการจัดการความปลอดภัยทางถนนโดยศึกษารู ปแบบ กระบวนการสร้างจิตสํานึ ก ความ ตระหนักเกี่ยวกับวินยั จราจรที่ถูกต้องเหมาะสม


86 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัญหา ปั จจัยเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดความเสี่ ยงและทัศนคติการใช้รถ ใช้ถนน 2. เพื่อสํารวจและรวบรวมผลการดําเนิ นงานกิจกรรมนอกหลักสู ตรและโครงการรณรงค์ ต่างๆ ในการสร้างวินยั จราจรของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 3. เพื่ อ ค้น หารู ป แบบกระบวนการจัด การความปลอดภัย ทางถนนที่ เ หมาะสมของม. อุบลราชธานี กลุ่มเป้าหมาย : นัก ศึ ก ษา คณาจารย์ บุ ค ลากร และงานกิ จ การนัก ศึ ก ษามหาวิท ยาลัย อุบลราชธานี ระยะเวลาโครงการ : 1 ปี ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 – พฤศจิกายน 2555 ผู้รับผิดชอบโครงการ : อาจารย์จกั เรศ อิฐรัตน์ คณะศิลปศาสตร์ และคณะ ขั้นตอนการดําเนินการ 1. จัดเวที ป ระชุ ม คณะทํา งาน อาสาสมัค ร เพื่อ ร่ วมกัน วางแผน และแบ่ ง บทบาทความ รับผิดชอบ 2. อบรมการสร้ า งเครื่ องมื อ และการเก็ บ ข้อมูล แก่ อาสาสมัค รวิจยั ทั้ง อาจารย์ บุ ค ลากร นักศึกษา 3. จัดเวทีประชุมเพื่อจัดทีมการลงพื้นที่ และทดสอบเครื่ องมือ 4. ลงพื้นที่ปฏิ บตั ิการเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลเอกสาร การสนทนากลุ่ม (Focus Group) และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) โดยจัดเป็ นเวทีสัญจรไปตามคณะที่สนใจอย่าง น้อย 6 คณะ(จากทั้งหมด 11 คณะในมหาวิทยาลัย) 5. วิเคราะห์ขอ้ มูลที่ได้จากการเก็บข้อมูลของทุกทีมเพื่อ เตรี ยมคืนข้อมูลต่อนักศึกษาและ บุคคลากร 6. จัด เวที ใ หญ่ นํา เสนอข้อ มู ล สู่ ส าธารณะเพื่ อ ระดมความคิ ด เห็ น เพื่ อ หารู ปแบบ กระบวนการจัดการความปลอดภัยทางถนน และแนวทางการสร้างวินัยจราจรของมหาวิทยาลัย อุบลราชธานี 7. ประชุ ม ที ม วิ จ ัย ร่ ว มกัน กํา หนดกระบวนการจัด การความปลอดภัย ทางถนนใน มหาวิทยาลัย 8. ทดลองใช้กระบวนการการจัดการความปลอดภัยทางถนน โดยจัดกิจกรรมตามที่ร่วมกัน กําหนด 9. ประเมินผลกิจกรรม หาปั จจัย เงื่อนไขที่ทาํ ให้กิจกรรมประสบความสําเร็ จ หรื อล้มเหลว 10. ประชุ มสรุ ปและ จัดเวที “กํา หนดกระบวนการจัดการความปลอดภัยทางถนนใน มหาวิทยาลัยอุบลฯ”


87 11.นําเสนอผลต่อผูบ้ ริ หารมหาวิทยาลัย และฝ่ ายกิจการนักศึกษา เพื่อร่ วมกําหนดทิศทาง 12. ดําเนินการติดตามผล สนับสนุน หนุนเสริ มกระบวนการการจัดการความปลอดภัยทาง ถนน 13. อุบลราชธานี

สรุ ป ประเมิ น ผลรู ป แบบการจัด การความปลอดภัย ทางถนนในมหาวิ ท ยาลัย

3.โครงการ พัฒนาสื่ อสั งคม สื่ อสาธารณะ เพือ่ การสร้ างวัฒนธรรมความปลอดภัยทาง หลักการและเหตุผล การใช้สื่อในการลดอุบตั ิเหตุในโครงการจะเกิด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางสังคมได้ นั้น จะต้องมี ก ารสร้ า งการรั บ รู ้ สร้ า งความเข้า ใจ สร้ า งความตระหนัก แก่ ค นในชุ ม ชนนั้นก่ อน เพื่อให้เกิดแนวคิด ทัศนคติให้เห็ นคุณค่าของการลดอุบตั ิเหตุ ดังนั้น การสร้างนักสื่ อสารชุมชนคือ การสร้างผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลงในอีกลักษณะหนึ่ง “นักสื่ อสารชุ มชน” คือผูท้ ี่จะทําหน้าที่สื่อสารกับ คนในชุ ม ชนและสื่ อ สารกับ ผูท้ ี่ เ กี่ ย วข้อ ง เพื่ อ เปิ ดโอกาสให้ค นในชุ ม ชนมาเล่ า ประสบการณ์ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู ้สึกที่ตนเองประสบในพื้นที่ให้สาธารณะได้รับรู้และเกิดความตระหนัก นัก สื่ อสารชุ มชนจึ งเป็ นผูก้ ระตุ ้นให้เกิ ดการรับรู้ ภยั ที่จะเกิ ดขึ้ นทางท้องถนนในทุกรู ปแบบ เพื่อให้ เข้าถึงทุกกลุ่มเป้ าหมายให้มากที่สุด และบางส่ วนต้องอาศัยอาสาสมัครนักสื่ อสารชุมชนเข้ามาช่วย เป็ นตัวกลางในการสื่ อสารกับบุคคลในชุมชนกันเอง วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนากลุ่ มเป้ าหมายในพื้นที่ดาํ เนิ นงานให้สามารถเป็ นนักสื่ อสารชุ มชนในการ นําเสนอข่าวสารการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในท้องถิ่น 2. เพื่อศึกษารู ปแบบและใช้การสื่ อสารสาธารณะในการสร้างกระแสและขับเคลื่อนประเด็น วัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนให้เป็ นนโยบายสาธารณะในท้องถิ่น 3. เพื่อเชื่ อมประสานสื่ อมวลชนในท้องถิ่ นในการนํา เสนอข่า วสารการสร้ างวัฒนธรรม ความปลอดภัยทางถนน พืน้ ที่ดําเนินการ : มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ชุ มชนและองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น 6 แห่ งที่อยูร่ อบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้แก่ เทศบาลตําบลศรี ไค องค์การบริ หารส่ วนตําบลธาตุ องค์การบริ หารส่ วนตําบลโพธิ์ ใหญ่ เทศบาลตําบลคําขวาง เทศบาลตําบลแสนสุ ข องค์การบริ หาร ส่ วนตําบลคูเมือง อําเภอวาริ นชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มเป้าหมาย : อาสาสมัครจากชุมชนและนักศึกษาของ โครงการย่อย 3 โครงการ ระยะเวลาดําเนินการ : 1 ปี ตั้งแต่เดือนเดือนธันวาคม 2554 ถึงเดือน พฤศจิกายน 2555 ผู้รับผิดชอบโครงการ : นายรพินทร์ ยืนยาว มูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี แผนการดําเนินโครงการ ดังนี้


88 1.แผนพัฒนาศักยภาพนักสื่ อสารชุมชนวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน (สร้างคน สร้างทีมนักข่าวชุมชน) วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาส่ งเสริ มอาสาสมัครให้เป็ นนักสื่ อสารชุ มชน สามารถส่ งข่าว และรายงาน ความเคลื่อนไหวในพื้นที่ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนได้ 2. เพื่อสร้างเครื อข่ายนักสื่ อสารชุมชน 3. เพื่อส่ งเสริ มการผลิตสื่ อในพื้นที่ 2. แผนการสื่ อสารสาธารณะ (ผลิตสื่ อ เกาะประเด็น สร้างกระแส) วัตถุประสงค์ 1.เพื่อหารู ปแบบและวิธีการสื่ อสารที่ใช้รณรงค์วฒั นธรรมความปลอดภัยทางถนน 2.เพื่อเชื่อมประสานเครื อข่ายสื่ อมวลชนในท้องถิ่นจังหวัดอุบลราชธานี และส่ วนกลาง 3.เพื่อเสริ มศักยภาพในการใช้สื่อในพื้นที่เป้ าหมาย 3. แผนสรุ ปบทเรี ยนและติดตามประเมินผลการใช้สื่อในพื้นที่ วัตถุประสงค์ 1.เพื่อหนุนเสริ มการทํางานในพื้นที่เป้ าหมาย 2.เพื่อทบทวนการทํางานด้านการสื่ อสารวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน 3.เพื่อแลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้ประสบการณ์ให้การทํางานสื่ อสารมีประสิ ทธิ ภาพมากขึ้น 4.โครงการเสริมสร้ างการมีส่วนร่ วมของชุ มชน เพือ่ ร่ วมสร้ างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน ความเป็ นมา จากการลงพื้ นที่ จดั เวที ระดมความคิดเห็ นการสร้ า งวัฒนธรรมความปลอดภัย ทางถนน (Mapping) ในพื้นที่ตาํ บลโพธิ์ ใหญ่ ตําบลศรี ไค ตําบลธาตุ ตําบลแสนสุ ข ตําบลคูเมือง และตําบล คําขวาง อําเภอวาริ นชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี พบว่าปั ญหาการเกิ ดอุบตั ิเหตุในชุ มชน มาจาก พฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของผูค้ น สภาพรถที่ไม่ได้ตรวจสภาพและชํารุ ด เช่น ไฟหน้าไฟเลี้ยวไฟ ท้ายชํารุ ด ยางรถหมดสภาพ เป็ นต้น และสภาพถนน ซึ่ งเป็ นถนนในเขตหมู่บา้ น เชื่ อมต่อระหว่าง เขต อบต. และทางหลวงชนบท ได้แก่ ถนนแคบ ไม่มีไหล่ทาง มีทางโค้งหลายแห่ ง ถนนไม่ได้ รวมทั้ง สาเหตุจากสิ่ งแวดล้อมที่พบบ่อยในชุมชนมีการปล่อยสัตว์เลี้ยงตามหมู่บา้ น ต้นไม้หน้าบ้าน และริ มถนนบดบังทัศนียภาพ และสิ่ งก่อสร้างบดบังทัศนียภาพ ซึ่ งสถานการณ์ดงั กล่าวแสดงให้เห็น ว่า การแก้ไขปั ญหาอุบตั ิ เหตุจึงมี ความจําเป็ นต้องเร่ งสร้ างความปลอดภัยทางถนนตั้งแต่ในระดับ ชุมชนเป็ นลําดับต้น และทําให้ประชาชนเกิ ดความตระหนัก ความสําคัญการป้ องกันอุบตั ิเหตุทาง ถนน โดยคนในชุ มชนและหน่วยงานในท้องถิ่นต้องเข้ามามีส่วนร่ วมในการแก้ไขปั ญหาอุบตั ิเหตุ ของถนนในชุมชนของตนเอง


89 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างจิตสํานึ กชุ มชน และมีส่วนร่ วมในกระบวนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ทางถนน 2. เพื่ อพัฒนาศัก ยภาพแกนนํา อาสาสมัค รให้เป็ นผูน้ ํา การเปลี่ ย นแปลง และขับ เคลื่ อน กระบวนการ 3. เพื่อพัฒนารู ปแบบ วิธีการ แนวทาง กระบวนการสร้ างวัฒนธรรมความปลอดภัยทาง ถนน 4. เพื่อพัฒนาแนวนโยบายการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนร่ วมกับอปท. กลุ่มเป้าหมายและพืน้ ทีด่ ําเนินงาน กลุ่มเป้ าหมายหลัก ได้แก่ ชาวบ้าน นักเรี ยนระดับมัธยมศึกษา และผูบ้ ริ หารในตําบลโพธิ์ ใหญ่ , ตําบลคูเมือง , ตําบลคําขวาง อําเภอวาริ นชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มเป้ าหมายรอง ได้แก่ ชุ มชนที่มีพ้ืนที่และถนนเชื่ อมต่อกับตําบลกลุ่มเป้ าหมายหลัก ได้แก่ ชาวบ้านและองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นในชุ มชนตําบลศรี ไค , ตําบลธาตุ ,ตําบลแสนสุ ข อําเภอวาริ นชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี ผู้ประสานงานโครงการ นายสงกา สามารถ มูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี ขั้นตอนการดําเนินงาน 1. เวทีช้ ีแจงทําความเข้าใจโครงการกับอาสาสมัครชุมชนและวางแผนการดําเนิ นงาน 2. ลงพื้นที่เพื่อสํารวจและเก็บข้อมูลถนนและพื้นที่ที่เป็ นจุดเสี่ ยงการเกิดอุบตั ิเหตุ 3. เวทีหาแนวทางและวิธีการกําจัดจุดเสี่ ยง และการจัดทําแผนปฏิบตั ิการสร้ างวัฒนธรรม ความปลอดภัยทางถนน 4. สนับสนุ นการพัฒนาการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของพื้นที่ เช่นรู ปแบบ ที่ 1 ถนนปลอดอุบตั ิเหตุ เช่น การกําจัดจุดเสี่ ยง การทําป้ ายสัญญาณจราจร การสร้างจิตสํานึ กและ พฤติการณ์การใช้รถใช้ถนนที่ปลอดภัย ถนนสี ขาว รู ปแบบที่ 2 โรงเรี ยนปลอดอุบตั ิเหตุ เช่น การทํา คู่มือหรื อหลักสู ตรการอบรมในโรงเรี ยน “อาสาจราจรน้อย” รู ปแบบที่ 3 หมู่บา้ นต้นแบบการจัดการ จราจรชุมชน เช่น การจัดการถนนสี ขาวปลอดอุบตั ิเหตุในหมู่บา้ น การกําจัดจุดเสี่ ยงในหมู่บา้ น การ อบรมพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครจราจรชุ มชน โดยแต่ละพื้นที่จะดําเนิ นการตามความเหมาะสม ของพื้นที่ๆ ละรู ปแบบ 5. การอบรมให้ความรู ้และการพัฒนาศักยภาพ 6. การสนับสนุนการปฏิบตั ิงาน การสร้างความปลอดภัยทางถนนทั้ง 3 7. สรุ ปการดําเนินงานเพื่อจัดทําข้อเสนอเชิงนโยบายในระดับพื้นที่


90 8. ถอดบทเรี ยนรู ปแบบการดําเนิ นงานที่เป็ นรู ปธรรม และจัดทําเอกสารการถอดบทเรี ยนที่ เป็ นรู ปธรรมจากการดําเนินงาน ทั้ง 3 9. จัดมหกรรมวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน (สรุ ปผลการดําเนินงานโครงการ) 4.6 ชุ ดข้ อมูลความรู้เบือ้ งต้ นในพืน้ ทีด่ ําเนินการทั้ง 6 อปท. จากการลงพื้ น ที่ ท้ งั 6 อปท.คื อ เทศบาลตํา บลแสนสุ ข องค์ก ารบริ ห ารส่ ว นตํา บลธาตุ องค์ก ารบริ ห ารส่ ว นตํา บลโพธิ์ ใหญ่ องค์ก ารบริ ห ารส่ ว นตํา บลคู เ มื อ ง เทศบาลตํา บลศรี ไ ค เทศบาลตําบลคําขวาง พบข้อมูล ทุนทางสังคมเดิมของทั้ง 6 พื้นที่ ข้อมูลสาเหตุของการเกิดอุบตั ิเหตุ แนวทางการป้ องกันและแก้ไขปั ญหาอุบตั ิเหตุและความปลอดภัยบนท้องถนนที่ผา่ นมา จุดเสี่ ยงใน บริ เวณต่างๆรวมทั้งข้อเสนอแนะจากการระดมความคิดเห็นร่ วมกัน สามารถเสนอผลการดําเนิ นงาน ได้ดงั นี้ 4.6.1 สิ่ งดีดีและมีคุณค่ าในพืน้ ที่ 6 อปท. ดังนี้ 1. ด้ านวัฒนธรรม ประเพณี - ปราชญ์ ภูมิปัญญา เช่น หมอนํ้ามัน หมอนวด หมอสู ท-หมอเป่ า หมอลํา - บุญประเพณี ประจําปี เช่น บุญเทศมหาชาติ บุญข้าวประดับดิน บุญข้าว สาก - ฮีด 12 คลอง 14 เช่น เทศกาลสงกรานต์ บุญเข้าพรรษา ออกพรรษา ลอย กระทง บุญเทศมหาชาติ บุญสังฆทาน บุญกฐิน บุญผ้าป่ า - ความเชื่ อ สู ทบ้าน(เป็ นประเพณี ที่ เกี่ ยวกับ การสะเดาะเคราะห์รวมทั้ง หมู่บา้ น เพื่อขจัดสิ่ งไม่ดีออกไป) , ผีตาแฮก , ดอนเจ้าปู่ -ดอนปู่ ตา แห่ นาง แมว เซิ้งนางด้ง เพื่อขอฝนให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล 2. ด้ านสิ่ งแวดล้ อม - ดอนปู่ ตา - ป่ าชุมชน - ร่ องแสง - หนองสาธารณะประจําหมู่บา้ น - ห้วยตองแวด ห้วยข้าวสาร ห้วยซัน ในตอนนี้ พบว่า ห้วยตองแวดเริ่ มมี ปั ญหาเรื่ องนํ้าเน่าเสี ย ทําให้ไม่สามารถนํามาอุปโภค-บริ โภคได้ 3. ด้ านสถานที่ สิ่ งปลูกสร้ าง - สถานศึ ก ษา โรงเรี ย น มหาวิท ยาลัย เช่ น มหาวิท ยาลัย อุ บ ลราชธานี โรงเรี ยนวิจิตรา โรงเรี ยนลือคําหาญ โรงเรี ยนเทศบาลแสนสุ ข โรงเรี ยน บ้านคูเมือง (อ่อนอนุเคราะห์)


91 - วัดบ้านศรี ไค วัดบ้านศรี ไคออก วัดบ้านแขม - เกจิอาจารย์ - โรงไฟฟ้ า - ตลาดเจริ ญศรี - โรงพยาบาลส่ งเสริ มสุ ขภาพตําบล - ศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง - ห้างบิ๊กซี - พระธาตุอุโมงค์ - โรงพยาบาลค่ายสรรพสิ ทธิ ประสงค์ - ศูนย์ยตุ ิธรรมชุมชน - องค์เจ้าพระมหาธาตุ - วิทยาลัยการอาชีพวาริ นชําราบ - ศูนย์อนามัยที่ 7 4.6.2 เส้ นทาง จุดเสี่ ยงทีม่ ีในชุ มชน แผนทีจ่ ุดเสี่ ยง เทศบาลตําบลแสนสุ ข สี่ แยกตลาดเจริ ญศรี 1. จุดกลับรถบิ๊กซี 2. สี่ แ ย ก ไ ป โรงพยาบาลค่าย 3. สี่ แยกไปบิ๊กซี 4. ท า ง ไ ป อ . พิ บู ล มั ง สาหาร ม.10


92 แผนทีจ่ ุดเสี่ ยงอบต.ธาตุ 1. จุ ด กลั บ รถหน้ า อบต.ธาตุ และ หน้า ศู นย์อนามัย ที่ 7 2. จุดกลับรถบริ เวณ โรงงานกุนเชียง 3. จุ ด กลับ รถโรงสี แหลมทอง

\

แผนทีจ่ ุดเสี่ ยงเทศบาลตําบลเมืองศรีไค

1. บ้านมดง่าม 2. หน้ามหาวิทยาลัย อุบลราชธานี 3. จุ ด ก ลั บ ร ถ สุ ด ท้ า ย ห น้ า โรงเรี ย นเมื องศรี ไค


93 แผนทีจ่ ุดเสี่ ยงเทศบาลคําขวาง 1. โค้งบ้านหนามแท่ง หมู่ที่ 3 2. หน้า โรงเรี ย นบ้า น แฮหนามแท่ง 3. แยกวัดป่ าบ้านแฮ 4. ส า ม แ ย ก บ้ า น หนองบักแข้ง 5. สี่ แยกกํ า แพงวั ด บ้านแต้ 6. สี่ แ ย ก ศ า ล า กลางบ้านแต้ 7. สี่ แ ย ก ท า ง เ ลี่ ย ง เมือง

แผนทีจ่ ุดเสี่ ยงอบต.โพธิ์ใหญ่ 1. 2. 3. 4. 5. 6.

ม.7 ม.12 ม.5 ม.9 ม.8 ม.6 (จุดเสี่ ยงอยู่ที่ โค้ง) 7. ม.3 8. ทางแยก ม.1


94 แผนทีจ่ ุดเสี่ ยงอบต.คูเมือง 1. เส้ นทางคู เมื อง ค้อหวาง (แดง) 2. สามแยก ผญ.บ. ม.12(แดง) 3. เส้นทางสามแยก ท่ า ห ล ว ง (เหลือง) 4. เส้นทางม.8 – ม. 11 โค้งไม่รับวิถี รถ (เขียว)

• สาเหตุทเี่ กิดอุบัติเหตุในจุดเสี่ ยงมากทีส่ ุ ด มีดังนี้ 1. เป็ นการเปิ ดช่องกลับรถที่ไม่เหมาะสม ไม่สัมพันธ์กนั ในการใช้รถใช้ถนน 2. ไฟส่ องสว่างไม่เพียงพอ ทําให้มองไม่เห็นจุดกลับรถ และมองไม่เห็นรถที่กาํ ลังจะข้าม ถนน 3. ทางไป อ.พิ บู ล มัง สาหาร ม.10 (รถขับ เร็ วมาก เป็ นทางขึ้ นเนิ น และมี ท างแยกจาก หมู่บา้ นออกมา ทําให้เกิดการประสานงาน) 4. เป็ นเส้นทางที่มีคนใช้รถใช้ถนนจํานวนมาก แต่ไม่มีสัญญาณไฟ และมีรถเข้าออกทุก ทิศทาง จึงกลายเป็ นแยกวัดใจ 5. ถนนเป็ นหลุมเป็ นบ่อ (หลบหลุมมาชนกัน) 6. ทางโค้งที่ไม่รับกับวิถีรถ ทําให้รถแหกโค้ง หรื อล้ม 7. จุดกลับรถหน้า อบต.ธาตุ และหน้าศูนย์อนามัยที่ 7 เพราะเป็ นทางเข้าหอพักและชุมชน มาก มีรถเข้าออกตลอด และเป็ นช่วงที่รถทางตรงขับเร็ วมาก 8. จุดกลับรถบริ เวณโรงงานกุนเชี ยง ส่ วนใหญ่ผปู้ ระสบอุบตั ิเหตุจะเป็ นบุคคลนอก ชุมชน เพราะเป็ นเส้นที่ไม่มีไฟส่ องสว่าง และจุดกลับรถแคบมาก 9. จุดกลับรถโรงสี แหลมทอง • ช่ วงเวลาและผลกระทบทีเ่ กิดอุบัติเหตุมากทีส่ ุ ดตามจุดเสี่ ยงต่ างๆ คือ 1. ชัว่ โมงเร่ งด่วน


95 1.1 เช้า 07.00 - 09.00 น. 1.2 เย็น 16.00 – 20.00 น. 1.3 กลางคืน 24.00-01.00 น. 2. งานประเพณี ต่างๆ 2.1 เทศกาลสงกรานต์ 2.2 เทศกาลปี ใหม่ 2.3 งานบุญประเพณี 3. ผลกระทบที่เกิดจากการเกิดอุบตั ิเหตุ 3.1 เสี ยชีวติ 3.2 พิการ 3.3 บาดเจ็บ 4.6.3 ระบบความปลอดภัยในชุ มชน - ศูนย์ EMS,ER,REFER ,แพทย์ฉุกเฉิน,แพทย์ประจํา - มีโรงพยาบาลส่ งเสริ มสุ ขภาพตําบลเมืองศรี ไค - มูลนิธิเหยีย่ วเวหา - มีชุ ดรั ก ษาความปลอดภัย ต่างๆ เช่ น อาสาสมัค รสาธารณะสุ ข ประจํา หมู่บา้ น (อสม.), อาสาสมัครป้ องกันภัยฝ่ ายพลเรื อน (อปพร.), ตํารวจ บ้ า น, ฝ่ ายรั ก ษาความสงบ (ฝรส.), สถานี ต ํา รวจภู ธ รย่ อ ยหน้ า มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ไทยอาสาสมัครป้ องกันชาติ (ทสปช.) , สาย ตรวจ สภ.วาริ น , ตูย้ ามณรงค์พนั ธ์ - มีการตั้งด่านตรวจเพื่อรักษาความปลอดภัย 4.6.4 สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ 1.สาเหตุทมี่ าจากคน เนื่องจากหลายปัจจัยเช่น - คนไม่ เ คารพกฎจราจร (ไม่ ส วมหมวกกัน น็ อ ค,โทรศัพ ท์ข ณะขับ รถ ,ซ้อน3,ย้อนศร,ผ่าไฟแดง) - เมาแล้วขับ - ไม่มีใบขับขี่ - เด็กอายุไม่ถึง 15 ปี ขับขี่รถ - จอดรถซ้อนกัน - ไม่ขา้ มสะพานลอย - จอดรถในที่หา้ มจอด - ขับขี่รถไม่มีน้ าํ ใจ


96 - ขับรถเร็ ว - นักศึกษาไม่กลัวตํารวจ จึงไม่สวมหมวกกันน็อคและขับย้อนศร ทําให้ เกิดอุบตั ิเหตุได้ง่าย 2. สาเหตุทมี่ าจากรถ - ดัดแปลง เปลี่ยนสภาพรถ แต่งรถ - ไม่ตรวจสภาพรถ - มีรถบรรทุกวิง่ ผ่านชุมชนเยอะ - รถไม่มีสัญญาณไฟเลี้ยว 3. สาเหตุทมี่ าจากถนน - ถนนเป็ นหลุมเป็ นบ่อ ถนนชํารุ ดไม่เรี ยบ เป็ นคู - ไม่มีไหล่ทาง - มีทางโค้งที่ไม่รับกับวิถีของการขับรถ ไม่ได้มาตรฐาน - มีทางแยกที่ไม่มีป้ายเตือน - มีทางแคบที่รถยนต์ไม่สามารถขับสวนกันได้ - ถนนลื่น - ถนนไม่มีที่กลับรถ - มีไฟส่ องทางไม่เพียงพอ - เครื่ องหมายจราจรไม่ชดั - มีทางต่างระดับ ลูกระนาดเยอะ - มีตรอกซอยเยอะ 4. สาเหตุทมี่ าจากสิ่ งแวดล้ อม - ถนนพัง เนื่องจากมีรถบรรทุกดิน บรรทุกหิ นใช้เส้นทางนี้ - ทัศนวิสัยไม่ดี เช่น กําแพงบัง ป้ ายโฆษณาบัง เป็ นต้น - ไฟแดง (อันตราย) เนื่องจากระบบการปล่อยไฟแดงไม่ดีทาํ ให้คนชอบผ่า ไฟแดง และเกิดอุบตั ิเหตุได้ง่าย - คนไม่ข้ ึนสะพานลอย เนื่องจากสะพานลอยอยู่ไกลจากจุดข้ามถนนและ ประตูเข้า-ออกของมหาวิทยาลัย - ขาดป้ ายสัญญาณไฟจราจร ป้ ายเตือนในจุดสําคัญ เช่น บริ เวณโรงเรี ยน ทําให้เด็กนักเรี ยนมีความเสี่ ยงในการเกิดอุบตั ิเหตุเวลาข้ามถนน และเดิน ตามริ มถนน เพราะไม่มีฟุตบาท หรื อไหล่ทาง - มีแสงสว่างไม่เพียงพอ - ต้นไม้ที่เกาะกลางถนนบังสายตา


97 - ป้ ายโฆษณายังถนน - กําแพงวัด กําแพงบ้านบังถนน - วางท่อระบายนํ้าไม่ได้มาตรฐาน ทําให้น้ าํ ขังในฤดูฝน - มีสัตว์เลี้ยงออกมาเดินตามถนน เช่น ไก่ เป็ ด สุ นขั วัว ควาย เป็ นต้น 4.6.5 แนวทางการป้องกันและแก้ ไขปัญหาอุบัติเหตุและความปลอดภัยบนท้องถนนทีผ่ ่านมา - เรี ยก EMS 1669 - บาดเจ็บเล็กน้อยส่ งโรงพยาบาลสุ ขภาพตําบลแล้วส่ งต่อไปที่โรงพยาบาลวาริ นชําราบ - ขอความร่ วมมือจากตํารวจให้ช่วยเหลือผูบ้ าดเจ็บ - อาสาสมัครสาธารณสุ ข(อสม.) ปฐมพยาลเบื้องต้น - แจ้งญาติพี่นอ้ ง - มีการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กบั ผูน้ าํ และอสม.สามารถนําไปปฏิบตั ิจริ ง - ตั้งจุดตรวจ ให้เจ้าหน้าที่ตาํ รวจตั้งด่าน จับ-ปรับ - ติดไฟกระพริ บ, ติดกระจกในทางแยก/จุดเสี่ ยง - เมื่อบาดเจ็บเรี ยก 1669 ส่ งต่อ รพ. วาริ น หรื อ รพ.ค่ายสรรพสิ ทธิ์ ประสงค์ (ม. 2,7,19) - อปพร. สามารถช่วยเหลือผูบ้ าดเจ็บ , ปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ - ผูใ้ หญ่บา้ น ประชาสัมพันธ์เตือนเรื่ องอุบตั ิเหตุ ให้ระวังในการขับขี่ยานพาหนะ - เกิดโครงการสวมหมวกนิรภัย 100% - ประชาสัมพันธ์ผา่ นหอกระจายข่าว - มีการฝึ กอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กบั ผูน้ าํ หมู่บา้ น อสม. และชาวบ้าน - มีศูนย์ อปพร.ตําบลโพธิ์ ใหญ่ไว้คอยบริ การ 4.6.6 ข้ อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ ไขปัญหาอุบัติเหตุและความปลอดภัยบนท้องถนน 1) การแก้ ไขปัญหาที่ คน 1.1)อบรมให้ความรู ้ สร้างจิตสํานึก สร้างความตระหนัก ความปลอดภัยทางถนน - อบรมให้กบั ผูป้ กครอง - จัดทําหลักสู ตร/การเรี ยนการสอนในโรงเรี ยน เด็กนักเรี ยน วัยรุ่ น - รณรงค์ให้ความรู ้ผา่ นเสี ยงตามสาย กฎจราจร เมาไม่ขบั - อบรมให้ความรู ้เยาวชน เด็กแว◌๊นเรื่ องกฎจราจร - มีการอบรมให้ความรู ้ กฎจราจร การปฐมพยาบาลเบื้องต้น 1.2) สร้างกฎชุมชน ข้อตกลงของชุมชน - จับ/ปรับ ผูท้ ี่กระทําความผิดทางการจราจร ทั้งเด็กและผูใ้ หญ่ - จัดทําข้อตกลงออกกฎชุมชนผูน้ าํ ชุมชน เป็ นผูด้ ูแล ตักเตือน ปรับ - รณรงค์งานบุญ งานศพปลอดเหล้า ปลูกจิตสํานึกให้กบั คน


98 - ผูป้ กครองต้องตักเตือนให้เคารพกฎจราจรดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ให้เด็กขับรถ ก่อนมีใบขับขี่ - จัดเวทีชุมชน เพื่อจุดประกาย/สร้างความตระหนักป้ องกันอุบตั ิเหตุ 1.3) ควบคุมกํากับดูแล เพื่อไม่ให้คนกระทําความผิด - จัดให้มีตาํ รวจชุมชน ตั้งจุดตรวจตลอดทั้งปี - จัดเวรยามดูแล สายตรวจชุมชน - อบรมให้ความรู ้แก่ อปพร. เพื่อเป็ นผูจ้ ดั ดูแลความปลอดภัยทางถนน - ประสานความร่ วมมือจากหน่ วยงานต่างๆเพื่อปฏิบตั ิตามกฎจราจร และใช้ วิธีการป้ องกันอุบตั ิเหตุอย่างจริ งจัง - ผูใ้ หญ่บา้ น และหน่วยงานเทศบาล ตักเตือน ใช้ขอ้ บัญญัติกบั รถขนดิน (ล้าง ถนน) และธุ รกิจต่างๆที่ทาํ ให้ถนนเสื่ อมสภาพเร็ ว - ใช้กฎหมายบังคับ จับ ปรับ ทําฑัณบน - จัดให้มีอาสาจราจรในหมู่บา้ น - จัดให้มีอาสาสมัคร อปพร. เพิ่มในช่วงเวลาเร่ งด่วนบริ เวณโรงเรี ยนเพื่อเพิ่ม ความสะดวกมากขึ้น - ขอความร่ วมมือจากหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการป้ องกันอุบตั ิเหตุเพื่อให้ คําแนะนําช่วยเหลือ 2. การแก้ ไขปัญหาที่ รถ - ตรวจสอบสภาพรถก่อนใช้งาน - จัดกิจกรรมรนณรงค์ อบรมความรู ้เกี่ยวกับจราจรแก่เยาวชนอย่างต่อเนื่ อง - จัดอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ อปพร.,อสม และชาวบ้านเพื่อกรณี เร่ งด่วนจะช่วยชีวติ คนอื่นได้ 3. การแก้ ไขปัญหาที่ ถนน - ติดกระจก ป้ ายจราจรในจุดเสี่ ยงและจุดสําคัญ - แก้ไขจุดกลับรถ ให้ทาํ จุดกลับรถ 2 ชั้น - ทําไฟจราจรตรงจุดกลับรถบ้านธาตุ - ติดไฟส่ องสว่างในถนนวาริ นชําราบ – กันทรลักษณ์ - ทํา ป้ ายประชาสั ม พัน ธ์ ป้ ายเตื อ น บอกว่า มี ผูเ้ สี ย ชี วิต มากตรงจุ ด เกิ ด อุบตั ิเหตุ - ทําไฟแดง ทําไฟกระพริ บเพิ่ม ติดกระจกในจุดเสี่ ยง - แจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ดาํ เนินการแก้ไขปัญหาถนนชํารุ ด - ผูป้ กครองอบรมสั่งสอนบุตรหลานถึงการใช้รถใช้ถนนอย่างถูกต้อง


99 -

ปรับปรุ งผิวจราจร เพิ่มจุดกลับรถ,กําจัดจุดเสี่ ยง ขยายถนน เพิ่มไหล่ทาง ติดป้ ายสัญลักษณ์ ป้ ายเตือน ป้ ายสะท้อนแสง ป้ ายจราจรต่างๆ เพิ่ ม ไฟส่ อ งสว่ า งในเส้ น ทางที่ มื ด ไฟเตื อ น ไฟกระพริ บ ไฟระวัง ไฟสัญญาณจราจร - ติ ดกระจกในจุ ดเสี่ ยงที่ มีแยกหรื อโค้ง ที่มองเห็ นถนน รถสวนมาไม่ชัด เพื่อเพิ่มการมองได้ดีข้ ึน 4. การแก้ ไขปัญหาด้ าน สิ่ งแวดล้อม - เพิ่มไฟสว่างให้เพียงพอ - แก้ปัญหาสถานบันเทิง ร้านค้า แผงลอย(การจอดรถหน้าร้าน) - นําป้ ายโฆษณาที่บดบังทัศนะวิสัยออก - ทํา ป้ ายเตื อ นในบริ เ วณสถานที่ ร าชการ เช่ น โปรดระมัด ระวัง ลด ความเร็ ว โรงเรี ยน ชุมชน - เพิ่มไฟส่ องสว่างเส้นทางสาย คูเมือง-ค้อหวาง - เพิม่ ป้ ายเตือน,สัญญาณไฟต่างๆ 5. ขอความร่ วมมือจาก หน่ วยงาน องค์ กรทีเ่ กีย่ วข้ อง - อบต.จัดอบรมให้ความรู้ เรื่ องกฎหมายจราจร และเปิ ดสอบใบขับขี่ที่ได้ มาตรฐาน - ตั้งคณะกรรมการจัดตรวจสภาพรถฟรี - โรงเรี ย นเสริ ม หลัก สู ต รการเรี ย นการสอนเรื่ อ งกฎหมายจราจร เพื่ อ ปลูกฝังวินยั จราจรให้กบั เด็กและเยาวชน - โรงเรี ยนช่วยสอดส่ องดูแลนักเรี ยนให้ปฏิบตั ิตามกฎจราจร และมีการออก เยี่ยมบ้าน เพื่อสร้ างความตระหนัก ความคุน้ เคยเรื่ องการใช้รถ ใช้ถนน อย่างปลอดภัย - จัดกิจกรรมเสริ มให้กบั เยาวชน เช่น กิจกรรมเรี ยนรู ้ผลกระทบของการเกิด อุบตั ิเหตุ เพื่อให้เยาวชนได้ศึกษาเรี ยนรู้ ผลกระทบของการเกิดอุบตั ิเหตุ จากกรณี ศึกษาที่เกิดขึ้นจริ ง และให้กาํ ลังใจผูป้ ่ วยที่เกิดจากอุบตั ิเหตุ


100

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) 1. ค้นหาภาคี เครื อข่าย ข้อมูล - เ พื่ อ ไ ด้ ชุ ด ค ว า ม รู ้ ความรู ้ดา้ นอุบตั ิเหตุ คนทํา งาน หน่ ว ยงาน ดําเนินการระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ อ ง ค์ ก ร ง า น วิ จั ย - มีนาคม 2554 โ ค ร ง ก า ร ต่ า ง ๆ ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ เ รื่ อ ง อุ บั ติ เ ห ตุ ใ น จั ง ห วั ด อุบลราชธานี

2. ค้ น หานั ก วิ ช าการ แกนนํ า - เพื่อ ให้ไ ด้นัก วิช าการ ดําเนินการในเดือนมีนาคม 2554 และแกนนําคนทํางานที่ มี ค วาม สน ใ จ มี จิ ต อาสาทํา งานเพื่ อ สัง คม ม า เ ป็ น ผู ้ รั บ ผิ ด ชอ บ โครงการ

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลผลิต ผลลัพธ์ ผลกระทบ -ไ ด้ ข้ อ มู ล ภ า คี - เครื อ ข่ า ยภาคี ไ ด้เ ข้า - เทศบาลเมื อ งศรี ไ ค เครื อข่ายที่ ทาํ งานด้าน ม า ร่ ว ม เ ป็ น ได้ นํ า แนวคิ ด ความ อุ บั ติ เ หตุ ใ นจั ง หวั ด คณะทํางานโครงการ ปลอดภัยทางถนนไป ใช้ใ นการจัด การป้ าย อุ บ ลฯ เช่ น เครื อ ข่ า ย โฆษณาที่ บ ดบัง ทัศ น งดเหล้า ศู น ย์ EMS วิสยั ของผูข้ บั ขี่ 1669, ป้ องกัน ภัย , ตํารวจภูธร,ทางหลวง - เทศบาลเมื อ งศรี ไ ค ชนบท,แขวงการทาง, ไ ด้ เ ขี ย น โ ค ร ง ก า ร ขนส่ ง ,อบจ.,อปท. 6 ป้ องกัน อุ บัติ เ หตุ ห น้า แห่ ง,สอจร.,รพ.สรรพ โรงเรี ยนบ้ า นศรี ไค สิ ทธิ์ ,รพ.วาริ นชําราบ จากงบกองทุนสุ ขภาพ ,ศูนย์อนามัยที่ 7 สป.สช.ปี 54 -ได้นัก วิช าการที่ มี จิ ต - เกิดทีมวิจยั 2 ทีมที่ - ขยายเครื อข่ายคนทํา อาสาและมีความสนใจ เป็ นนักวิชาการ งานโดยนักวิชาการไป การทํ า งานวิ จั ย แบบ และอี ก 2 ที ม เป็ น ช ว น เ พื่ อ น ใ น CBR เช่น อ.กิตติวฒั น์ นักพัฒนา (NGOs) มหาวิ ท ยาลัย มาร่ วม ,อ.จักเรศ,อ.จักรพันธุ์, เป็ นทีมงาน

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด -ทีม Node action ไม่ เคยมี ป ระสบการณ์ ก า ร ทํ า ง า น ด้ า น อุบตั ิเหตุมาก่อนทําให้ ไม่มีขอ้ มูลการทํางาน ของภาคีเครื อข่าย ทํา ให้ใช้เวลานานในการ ค้นพบภาคีเครื อข่าย

- กระบวนการพัฒนา โ ค ร ง ก า ร ที่ ใ ช้ เ ว ล า น า น ทํ า ใ ห้ นั ก วิ ช าการ ชุ ม ชน บ า ง ค น ที่ ใ จ ร้ อ น หงุดหงิด ไม่พอใจ

บทเรียนทีไ่ ด้ -การค้นพบภาคี เครื อข่าย โดยการแนะนําของต่อ ๆ กัน ไป ช่ ว ยลดเวลาการ ค้นหา

- ก า ร ป ร ะ ส า น ผ่ า น เครื อข่ า ยนั ก วิ ช าการซึ่ ง เป็ นทุนเดิมของโหนด ทํา ให้ได้ตวั จริ ง


101

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ)

2. ค้นหานักวิชาการฯ (ต่อ)

3.ชี้แจงและทําความเข้าใจโครงการ กับผูบ้ ริ หาร อปท. -ทต.เมืองศรี ไค เมื่อ 14 ก.พ. 2554 จํานวน 5 คน -อบต.ธาตุ เมื่อ 28 มี.ค. 2554 จํานวน 4 คน -ทต.แสนสุข เมื่อ 4 เม.ย. 2554 จํานวน 4 คน

- ได้ ท ํ า ความรู ้ จั ก กั บ นายก อปท.และทีมงาน ทั้ง 6 แห่ งซึ่ งเป็ นการ เตรี ยมความพร้ อ มใน การทํา งานร่ ว มกัน ใน อนาคต

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลผลิต ผลลัพธ์ ผลกระทบ ดร.ถนอมศั ก ดิ์ ,ดร. ใ น ส่ ว น ข อ ง ศั น ส นี ย์ , ด ร . สุ ม า ลี สื่ อมวลชนก็เข้ามาร่ วม ฯลฯ ในที มวิทยากรและจัด รายการวิทยุ เคเบิ้ลทีวี - ไ ด้ รู ้ จั ก ห น้ า ต า - นายกอปท.ทั้ง 6 แห่ ง -อ ป ท . ใ ห้ ก า ร บุ ค ลิ ก ภาพ ทั ศ นคติ มีท่าทีตอบรับและเห็น ส นั บ ส นุ น วั ส ดุ ของนายกอปท.แต่ล ะ ด้วยกับการดําเนิ นงาน อุ ป ก ร ณ์ ใ น ก า ร จั ด แห่งซึ่งมีความแตกต่าง โครงการ กิจกรรมของโครงการ และมีสไตล์การทํางาน - ผูบ้ ริ หารอปท.ได้ส่ง ย่อ ย เช่ น เทศบาลต. ที่เป็ นของตนเอง จนท.หรื อตัวแทนเข้า แสนสุขสนับสนุนป้ าย ร่ ว ม กิ จ ก ร ร ม กั บ ไวนิ ล เก้า อี้ และนํ้า โครงการทุ ก ครั้ งที่ มี ดื่ม จดหมายเชิญ - อปท.และหน่ วยงาน สนับสนุ นการใช้ห้อ ง ประชุม บางครั้งที่เป็ น การประชุ ม ที่ ค นไม่ มาก

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด

บทเรียนทีไ่ ด้

- การประสานงานนัด หมายทางโทรศั พ ท์ ก่ อ น เ ข้ า พ บ น า ย ก อปท.บางแห่ ง ทํา ได้ ค่ อ น ข้ า ง ลํ า บ า ก เนื่องจากการบริ หารที่ รวมศูนย์และผูบ้ ริ หาร ไม่ค่อยอยูใ่ นพื้นที่

- การเข้าไปพบปะเปิ ดใจ นายกอปท.ตั้ง แต่ เ ริ่ ม ต้น ทําให้การทํางานประสาน กับ จนท.ในระยะต่ อ มา ทํา ได้ ส ะดวกขึ้ นเพราะ หั ว หน้ า หน่ ว ยงานเห็ น ประโยชน์ของโครงการ


102

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

3.ชี้แจงและทําความเข้าใจโครงการ กับผูบ้ ริ หาร อปท. (ต่อ) -อบต.โพธิ์ใหญ่ เมื่อ 5 เม.ย. 2554 จํานวน 5 คน -อบต.คูเมือง เมื่อ 7 เม.ย. 2554 จํานวน 4 คน -ทต.คําขวาง เมื่อ 3 พ.ค. 2554 จํานวน 4 คน 4. ชี้ แ จงโครงการและทํา ความ เข้าใจร่ วมกับผูบ้ ริ หารมหาวิทยาลัย อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2554 จํานวน 10 คน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ)

- เพื่ อ ให้ อ ธิ ก ารบดี ไ ด้ เข้ า ใจเป้ าหมายและ ร า ย ล ะ เ อี ย ด ก า ร ดํา เนิ น งานโครงการฯ แ ล ะ เ พื่ อ แ น ะ นํ า ที ม นักวิชาการที่ จ ะทํา วิจัย เ รื่ อ ง อุ บั ติ เ ห ตุ ใ ห้ ผูบ้ ริ หารได้รับทราบ

ผลผลิต

- ผูบ้ ริ หารตอบรับการ ดํา เนิ น งานโครงการ และแสดงความพร้อม ในการสนับ สนุ น การ ทํ า ง า น ข อ ง ที ม นักวิชาการ

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์

- ทั้ ง ชุ ด โ ค ร ง ก า ร ส า ม า ร ถ เ ข้ า ไ ป ใ ช้ ท รั พ ย า ก ร ข อ ง มหาวิ ท ยาลั ย ทั้ งใน ส่ ว นของสถานที่ แ ละ บุ คลากร ในการจั ด กิจกรรมได้

ผลกระทบ - การส่ ง ตั ว แทนเข้ า ร่ วมกิจกรรม

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด

-นั ก วิ จั ย ม อ ง เ ห็ น -ไม่มี เป้ าหมายและโอกาส ค ว า ม สํ า เ ร็ จ ข อ ง โครงการและการให้ การสนับสนุ นที่ น่าจะ ต่อเนื่อง

บทเรียนทีไ่ ด้

- การทํา ความเข้า ใจกั บ ผูบ้ ริ ห ารหน่ ว ยงานหรื อ อ ง ค์ ก ร ตั้ ง แ ต่ เ ริ่ ม ต้ น โครงการเป็ นสิ่ ง จํา เป็ น เ พ ร า ะ จ ะ ทํ า ใ ห้ ก า ร ผลักดันเชิงนโยบายทําได้ สะดวกขึ้น


103

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) 4. ชี้แจงโครงการ (ต่อ) โดยคาดหวังว่าผูบ้ ริ หาร จ ะ มี ก า ร นํ า เ อ า ผลการวิ จัย ไปกํา หนด เป็ นนโยบายหลัง จาก ง า น วิ จั ย เ ส ร็ จ สิ้ น เนื่ อ งจากได้ รั บ รู ้ แ ละ เ ห็ น ช อ บ ม า ตั้ ง แ ต่ เริ่ มต้น 5. ประชุ ม ชี้ แจงทํ า ความเข้ า ใจ - เกิ ด กลไกในการลด โครงการและสร้างอนาคตร่ วมกัน อุบตั ิ เหตุท้ งั ภายในและ ภายนอกมหาวิ ท ยาลัย ในการลดอุบตั ิเหตุ จัดขึ้นใน วันที่ 19 พ.ค. 54 มีผเู ้ ข้าร่ วม 66 อุบลฯ และเกิ ดแกนนํา อาสาสมัครในการสร้าง คน วั ฒ น ธ ร ร ม ค ว า ม ปลอดภัย ทางถนนใน พื้นที่ รอบมหาวิทยาลัย อุบลราชธานี

ผลผลิต

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์

ผลกระทบ

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด

บทเรียนทีไ่ ด้ - ต้ อ ง นํ า เ ส น อ ผ ล ความก้าวหน้าสมํ่าเสมอ

-หน่วยงาน องค์กรที่ ทํางานด้านอุบตั ิเหตุ ในจังหวัด อุบลราชธานีได้รู้จกั กันและได้ร่วมกัน เสนอแนวทางในการ ลดอุบตั ิเหตุ

- เกิ ดคณะทํางานที่ ม า จากการอาสาเข้ า มา ทํ า งาน จํ า นวน 16 คน

- ค ณ ะ ทํ า ง า น ไ ด้ ชักชวนเพื่อนร่ วมงาน เข้ามาร่ วมดํา เนิ นงาน โครงการ

- ตัวแทนหน่ วยงานที่ เกี่ ยวข้ อ งกั บ ความ ปลอดภั ย ทางถนน ไม่ได้สมัครเข้ามาร่ วม เ ป็ น ค ณ ะ ทํ า ง า น เ นื่ อ ง จ า ก เ ป็ น เ จ้ า ห น้ า ที่ ร ะ ดั บ ป ฏิ บั ติ ก า ร ไ ม่ มี อํานาจตัดสิ นใจ

- กลไกการทํา งานสร้ า ง วัฒนธรรมความปลอดภัย ทางถนนจําเป็ นต้องอาศัย อํา นาจการสั่ ง การไปยัง หน่ วยงานที่ เกี่ ยวข้ อ ง ผนวกกับ การมี จิ ต อาสา ของเครื อข่ายภาคีจึงจะทํา ให้เกิ ดการขับเคลื่อนงาน ไปได้ดว้ ยดี


104

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ)

ผลผลิต

- ได้แ ผนลงพื้ น ที่ เพื่ อ ทํา Mapping พื้นที่อปท. 6 แห่ ง และได้ ข้ อ เสนอแนะต่ อ ร่ าง โครงการย่อย

- คณะทํ า งานได้ ใ ห้ ข้ อ เ ส น อ แ น ะ ต่ อ โ ค ร ง ก า ร ย่ อ ย เ พื่ อ นําไปปรับเนื้ อหาให้มี ความสมบูรณ์มากขึ้น

5. ประชุ ม ชี้ แจงทํ า ความเข้ า ใจ โครงการ ฯ (ต่อ)

6. ประชุ ม คณะทํา งานโครงการ ครั้งที่ 1 จัดในวันที่ 22 มิถุนายน 2554 มีผ ้ เข้าร่ วม 22 คน

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์

ผลกระทบ - คณะทํ า งานเป็ นผู ้ ป ร ะ ส า น ง า น กั บ หน่วยงานในพื้นที่และ ชุมชน - คณะทํา งานจาก 6 - ค ณ ะ ทํ า ง า น เ ป็ น อปท.ได้ช่วยประสาน ตัว กลางประสานงาน ชุ ม ช น ใ ห้ เ ข้ า ร่ ว ม กั บ ชุ ม ช น แ ล ะ กิจกรรม หน่วยงาน

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด

บทเรียนทีไ่ ด้

- มีการแลกเปลี่ยนกัน ค่ อ น ข้ า ง น้ อ ย เนื่ องจากคณะทํางาน มี ค วามแตกต่ า งกั น ด้ า น ตํ า แ ห น่ ง แ ล ะ หน้า ที่ ก ารงาน คนที่ เป็ นผู ้ใ หญ่ จ ะแสดง ความคิ ดเห็ นมากกว่า ผูน้ อ้ ย

- ก า ร จั ด ว า ง บ ท บ า ท หน้ า ที่ ที่ เ หมาะสมของ ภาคีเครื อข่ายจะทําให้การ ขับเคลื่อนงานวัฒนธรรม ความปลอดภัยทางถนนมี ประสิ ทธิภาพมากขึ้น


105

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

7. ลงพื้ น ที่ Mapping อบต.โพธิ์ ใหญ่ จัดในวันที่ 11 กรกฎาคม 2554 มีผเู ้ ข้าร่ วม 64 คน 8. ลงพื้นที่ Mapping ทต. เมืองศรี ไค จัดในวันที่ 20 กรกฎาคม 2554 มีผเู ้ ข้าร่ วม 60 คน 9. ลงพื้นที่ Mapping อบต.ธาตุ จัด ในวัน ที่ 3 สิ ง หาคม 2554 มี ผูเ้ ข้าร่ วม 34 คน 10.ลงพื้ น ที่ Mapping เทศบาล ตํ า บ ล แ สน สุ ข จั ด ใ น วั น ที่ 9 สิ งหาคม 25544 มีผเู ้ ข้าร่ วม 63 คน 11.ลงพื้นที่ Mapping อบต.คูเมือง จัดในวันที่ 18 สิ งหาคม 2554 มี ผูเ้ ข้าร่ วม 60 คน 12.ลงพื้นที่ Mapping เทศบาล ตํ า บลคํ า ขวาง จั ด ในวั น ที่ 21 ธันวาคม 2554 มีผเู ้ ข้าร่ วม 49 คน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) -ทําความรู ้จกั และเข้าใจ พื้นที่อปท. 6 แห่ งทั้ง ในด้ า นกายภาพ คน จุ ด เสี่ ย ง สถานการณ์ อุบตั ิเหตุของแต่ละพื้นที่ ทุนเดิ มที่ มีอยู่ในพื้นที่ ที่ เอื้ อ ประโยชน์ ใ นการ ทํางานด้านอุบตั ิเหตุ -ได้กลุ่มคนมาร่ วมเป็ น ทีมอาสาสมัครในแต่ละ พื้ น ที่ เ พื่ อ ม า ร่ ว ม ดําเนินงานโครงการ

ผลผลิต - ได้ขอ้ มูลสภาพพื้นที่ ทุนเดิมของแต่ละพื้นที่ - ชุ ม ช น ไ ด้ ร่ วม กั น วิ เ คราะห์ ส าเหตุ ข อง การเกิดอุบตั ิเหตุทาํ ให้ ไ ด้ ข้ อ มู ล ก า ร เ กิ ด อุบตั ิเหตุของชุมชน - ได้อาสาสมัครชุมชน แต่ละแห่ งเพื่อเข้าร่ วม ดําเนินงานโครงการ

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์ - อาสาสมั ค รทั้ ง 6 แ ห่ ง เ ข้ า ร่ ว ม เ ป็ น ค ณ ะ ทํ า ง า น ข อ ง โครงการย่อย

ผลกระทบ - อาสาสมั ค รที่ เป็ น ผู ้นํา ชุ ม ชน เช่ น ส. อบต . ส.ท. ไ ด้ ท ํ า หน้าที่ส่งต่อข้อมูลการ ดํา เนิ น งานโครงการ ให้ กับ ผู ้บ ริ หารอปท. ได้รับทราบเวลามีการ ประชุมประจําเดือน

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด - การประสานงาน เพื่ อ ลงพื้ น ที่ ใ นบาง อ ป ท . เ ป็ น ไ ป ด้ ว ย ค ว า ม ลํ า บ า ก เนื่ องจากมีการทํางาน แบบรวมศู น ย์อ าํ นาจ และผูบ้ ริ ห ารไม่ ค่ อ ย อยู่ ใ นพื้ นที่ ทํ า ให้ ต้ อ ง ป ร ะ ส า น ง า น หลายครั้ง

บทเรียนทีไ่ ด้ - พื้นที่ หน่ วยงานต่างๆที่ มีคณะทํางานอยู่ จะทําให้ การดําเนิ นงานสะดวก มี การประสานงานและ เตรี ยมการที่ดี


106

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) ผลผลิต 13. พัฒ นาโจทย์วิ จั ย ร่ วมกั บ -ได้ โ จทย์วิ จั ย ที่ ไ ด้ รั บ - ผู ้ บ ริ หารได้ แ สดง ผู ้บ ริ หารม.อุ บ ลฯ จัด ในวัน ที่ 5 ค ว า ม เ ห็ น ช อ บ จ า ก ค ว า ม คิ ด เ ห็ น ต่ อ สถ าน การ ณ์ ปั ญ ห า กันยายน 2554 มีผเู ้ ข้าร่ วม 8 คน ผูบ้ ริ หาร ด้ า น อุ บั ติ เ ห ตุ แ ล ะ เ ห็ น ช อ บ ที่ จ ะ มี โ ค ร ง ก า ร วิ จั ย เ พื่ อ แก้ไขปั ญหาเรื่ องนี้ 14.พัฒ นาโจทย์วิ จ ัย ที ม คุ ณ สงกา -ให้ ไ ด้โ ครงการวิ จ ัย ที่ - ทุ ก ภ า ค ส่ ว น ที่ สามารถเมื่อวันที่ 7 สิ งหาคม 2554 สอดคล้อ งกับ ปั ญ หาที่ เกี่ยวข้องได้เข้าร่ วมกัน 15.พัฒนาโจทย์วิจยั ที มคุณรพินทร์ แท้จ ริ งของพื้ น ที่ อ ย่า ง พั ฒ น า โ จ ท ย์ วิ จั ย ยืนยาวเมื่อวันที่ 7 สิ งหาคม 2554 ส่ ว นร่ ว มตั้ง แต่ เ ริ่ มต้น ร่ วมกัน มีผเู ้ ข้าร่ วม 5 คน โครงการและตรงกั บ - มี อ า สา ส มั ค ร เ ข้ า 16.พัฒ นาโจทย์วิ จ ั ย ที ม อ.กิ ต ติ ค ว า ม ส น ใ จ ข อ ง ม า ร่ ว ม เ ป็ น วัฒน์ ฉัตรศรี เมื่อวันที่ 22 สิ งหาคม นักวิชาการและแกนนํา คณะทํางานโครงการ 2554 มีผเู ้ ข้าร่ วม 56 คน 17.พัฒ นาโจทย์วิ จ ัย ที ม อ.จัก เรศ อิฐรัตน์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2554 มีผเู ้ ข้าร่ วม 10 คน

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์ ผลกระทบ -ได้รั บ การสนับ สนุ น - ผู ้บ ริ ห ารสนั บ สนุ น สิ่ ง อํ า น ว ย ค ว า ม ให้นัก วิชาการออกมา ส ะ ด ว ก เ ว ล า จั ด ทํางานวิจยั มากขึ้น กิจกรรมต่างๆ

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด - ผูบ้ ริ หารมีภาระงาน มาก ทํา ให้ไ ม่ ไ ด้เ ข้า ร่ วมกิ จกรรมอย่ า ง ต่อเนื่อง

- เกิ ด โครงการย่อ ย 4 โครงการเพื่ อ แก้ ไ ข ปั ญ ห า อุ บั ติ เ ห ตุ ม ห า วิ ท ย า ลั ย อุ บ ล ร าช ธา นี แ ล ะ ชุ ม ช น ร อ บ ม ห า วิ ท ย า ลั ย อุบลราชธานี

- นักวิชาการและแกน นํ า ยั ง ไ ม่ เ ข้ า ใ จ กระบวนการงานวิจัย แบบ CBR ทําให้ตอ้ ง มี ก ารปรั บ ข้ อ เสนอ โครงการหลายรอบ - การพิ จ ารณาของ ส่วนกลางใช้เวลานาน ทํ า ใ ห้ ไ ม่ ส า ม า ร ถ ขับเคลื่อนงานได้อย่าง ต่อเนื่อง

- อาสาสมัค รในบาง อปท. เช่ น ต.เมื อ งศรี ไ ค ไ ด้ ดํ า เ นิ น ก า ร แก้ปั ญ หาจุ ด เสี่ ย งใน พื้นที่ ไปก่อนเนื่ องจาก โครงการมี ข้ ัน ตอนที่ ล่าช้า

บทเรียนทีไ่ ด้ - การเปิ ดใจกับ หั ว หน้ า ห น่ ว ย ง า น ทํ า ใ ห้ ก า ร ทํ า ง า น ไ ด้ รั บ ก า ร สนับสนุนด้วยดี

- พี่เลี้ยงต้องทําหน้าที่เป็ น ตัวกลางในการเชื่ อมร้ อย นั ก วิ ช า ก า ร ใ ห้ เ ข้ า ม า ทํา งานด้ว ยกัน เนื่ อ งจาก นั ก วิ ช าการรุ่ นใหม่ ใ น มหาวิ ท ยาลัย จะไม่ ค่ อ ย รู ้จกั กัน


107

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) 18.ประชุ ม คณะทํา งานโครงการ - เ พื่ อ เ สน อ ร า ย ง า น ครั้งที่ 2 ค ว า ม ก้ า ว ห น้ า ใ ห้ จัดในวันที่ 17 กรกฎาคม 2554 มี คณะทํางานได้รับทราบ ผูเ้ ข้าร่ วม 10 คน เพื่อและให้คณะทํางาน ให้ขอ้ เสนอแนะ

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลผลิต ผลลัพธ์ - คณะทํางานเสนอให้ - ได้ข ้อ เสนอแนะใน มีการแต่งตั้งแบบเป็ น ก า ร จั ด ป รั บ ก า ร ทางการคณะกรรมการ ดําเนินงานของ Node สร้ างวัฒนธรรมความ ป ล อ ด ภั ย ท า ง ถ น น จัง หวัด อุ บ ลฯโดยให้ ผูว้ า่ ลงนาม 19.จัด เวที ท ํา ความเข้า ใจในการ - ให้โครงการย่อยได้ทาํ - คณะทํ า งานแต่ ล ะ - อ า ส า ส มั ค ร จ า ก ขั บ เ ค ลื่ อ น ง า น ร่ ว ม กั น ทั้ ง 4 ความรู ้ จักกันและเชื่ อม โ ค ร ง ก า ร ย่ อ ย ไ ด้ โครงการย่อยได้เข้ามา โ ค ร ง กา ร ย่ อ ย จั ด ใ น วั น ที่ 5 การทํางานกัน นํา เสนอรายละเอี ย ด เ ป็ น ที ม สื่ อ ข อ ง พฤศจิกายน 2554 โครงการของตนเอง โครงการพั ฒ นาสื่ อ - ไ ด้ รั บ ท ร า บ สังคม รายละเอี ย ดโครงการ ของเพื่อน - โ ค ร ง ก า ร ย่ อ ย ไ ด้ เข้ า ใ จ บ ทบ าท แ ล ะ แผนงานของพีเ่ ลี้ยง

ผลกระทบ -

-

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด - คณะทํ า งานหลาย คนติ ดภาระห น้ า ที่ แก้ปั ญ หานํ้าท่ ว มทํา ให้ ไ ม่ ส ามารถร่ วม ประชุมได้

บทเรียนทีไ่ ด้

- อ า ส า ส มั ค ร จ า ก ชุมชนยังขาดกลุ่มเด็ก และเยาวชนซึ่ งเป็ น กลุ่ ม ที่ มี พ ฤติ กรรม เสี่ ยงในการขับขี่

- ก า ร ทํ า ง า น เ ป็ น ที ม จําเป็ นที่ ทุกทีมต้องเข้าใจ และเห็ นแผนงานของที ม อื่นเพื่อที่ จะประสานแผน และขอความช่ ว ยเหลื อ จากทีมอื่นได้

-


108

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) ผลผลิต 20.ติ ด ตามสนับ สนุ น การประชุ ม - ให้ขอ้ เสนอแนะแก่ทีม - ที ม วิ จั ย ได้ท ํา ความ ทีมวิจยั ของทีมอ.กิตติวฒั น์ วิจัยเกี่ ยวกับกกระบวน เข้าใจรายละเอียดและ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 การขับเคลื่อนงาน แผนงานของโครงการ - ที ม วิ จัย ได้แ บ่ ง บาท หน้าที่กนั

21.อบรมการบริ หารงานโครงการ - ให้โครงการย่อยเข้าใจ แ ล ะ ก า ร เ งิ น จั ด ใ น วั น ที่ 6 เกี่ยวกับเอกสารการเงิ น พฤศจิกายน 2554 และวิธีการเก็บหลักฐาน การเงิน

- โครงการย่อ ยได้ท ํา ความเข้ า ใจเกี่ ย วกั บ ใบเสร็ จรับเงินประเภท ต่างๆ - โ ค ร ง ก า ร ย่ อ ย ไ ด้ เรี ย นรู ้ ก ารวิธีก ารเก็ บ หลักฐานการเงิน

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์ - ที ม วิ จั ย ได้ ก ํ า หนด รู ป แ บ บ ก า ร จั ด กิ จ ก ร ร ม เ ปิ ด ตั ว โครงการที่ตลาดวาริ น เจริ ญศรี

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด -

ผลกระทบ - ที ม วิ จัย มี ค วามรู ้ สึ ก เป็ นเจ้า ของกิ จ กรรม จึ งทุ่ มเท ลงแรงเต็ม ที่ เพื่อให้กิจกรรมสําเร็ จ ลุ ล่ ว งไปด้ ว ยดี เช่ น ไปขอหมวกนิ รภัยจาก ร้ า นค้ า ,ไปประสาน สถานที่จดั งาน,ทําแผ่น พับ - โครงการย่ อ ยมี ก าร - โครงการย่ อ ยมี ก าร - ใ น ช่ ว ง อ บ ร ม เก็ บ หลัก ฐานการเงิ น เก็ บ หลัก ฐานการเงิ น โครงการย่อยยังไม่รับ ทุกครั้งที่มีค่าใช้จ่าย อย่างเป็ นระบบ การอนุ ม ัติ โ ครงการ ทํ า ใ ห้ ยั ง ไ ม่ ไ ด้ ชื่ อ โครงการที่ ส ามารถ ระบุในใบเสร็ จ

บทเรียนทีไ่ ด้ - กา ร ส ร้ า ง ค ว า ม เ ป็ น เจ้า ของโครงการร่ ว มกัน จะทํา ให้ ก ารขับ เคลื่ อ น งานมีความต่อเนื่อง

- การอบรมการเงินควรทํา ห ลั ง จ า ก ก า ร อ นุ มั ติ โครงการแล้ว เพราะจะมี ความชัดเจนมากกว่า


109

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) 22.เวที แลกเปลี่ ยนเรี ยนรู ้ แ ละ - ชุ มชนและหน่ วยงาน ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ก า ร ทํ า ง า น ล ด ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ไ ด้ ม า อุ บั ติ เ ห ตุ จั ด ใ น วั น ที่ 29 แ ล ก เ ป ลี่ ย น เ รี ย น รู ้ พฤศจิกายน 2554 บ ท เ รี ย น แ ล ะ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ก า ร ทํางานด้านอุบตั ิเหตุ

ผลผลิต - ชุ ม ช น ไ ด้ เ ข้ า ใ จ บทบาทหน้ า ที่ ค วาม รั บ ผิ ด ช อ บ แ ล ะ ข้ อ จํ า กั ด ข อ ง หน่ ว ยงานแต่ ล ะแห่ ง มากขึ้น เช่น แขวงการ ทาง ทางหลวงชนบท ขนส่ง - หน่วยงานได้สะท้อน ข้ อ จํ า กั ด และปั ญหา การทํา งานให้ ชุ ม ชน ได้รับทราบ

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์ - ชุมชนและหน่วยงาน เกิดความเข้าใจกันมาก ขึ้ น และมี ทัศ นคติ ที่ ดี ต่อกันเพิ่มขึ้น

ผลกระทบ - โ ค ร ง ก า ร ย่ อ ย สามารถเชื่ อมโยงการ ทํา งานกับ หน่ ว ยงาน องค์ ก ร เช่ น มู ล นิ ธิ สว่างบู ชาธรรมมี ภาพ อุบัติเหตุทุกจุดในเขต อํา เภอวาริ นชํา ราบที่ โครงการสื่ อ สามารถ นํ า ไ ป ใ ช้ ใ น ก า ร เผยแพร่ หรื อขนส่ งมี โครงการรณรงค์ ใ ห้ ความรู ้ น อกเรื่ องกฎ จราจรนอกสถานที่

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด - หน่ ว ยงานมี ภ าระ มากทํ า ใ ห้ เ ข้ า ร่ วม ก ร ะ บ ว น ก า ร ไ ม่ ต่อเนื่อง

บทเรียนทีไ่ ด้ - การสร้ า งความเข้ า ใจ แ ล ะ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ระหว่ า งที่ ดี ชุ ม ชนและ หน่ ว ยงานจะทํ า ให้ เ กิ ด ความร่ วมมื อที่ ดีในระยะ ต่อไป


110

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) 23.เวที นําเสนอผลการดําเนิ นงาน - ชุ มชนและหน่ วยงาน ชุดความรู ้ที่ได้จากเวทีสญ ั จร จัดใน ที่ เกี่ ยวข้องได้รับทราบ วันที่ 30 พฤศิกายน 2554 ข้อ มู ลที่ ค ณะทํา งานลง ไป Mapping ในพื้นที่ อปท. 6 แห่ง

ผลผลิต -โ ห น ด พี่ เ ลี้ ย ง ไ ด้ นําเสนอข้อมูล สภาพ พื้ น ที่ จุ ด เ สี่ ย ง สถ าน การ ณ์ ปั ญ ห า และปั จจัยที่ ก่อให้เกิ ด อุ บัติ เ หตุ ใ นชุ ม ชน 6 แห่ งให้หน่ วยงานและ ชุมชนได้รับทราบ - หน่ ว ยงานได้แ สดง ความคิ ด เห็ น เพิ่ ม เติ ม ในส่ ว นปั จ จัย ที่ ท ํา ให้ เกิดอุบตั ิเหตุ

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์ - ได้ ชุ ด ข้ อ มู ล ที่ ผ่ า น การตรวจสอบของ ชุ ม ชนและหน่ ว ยงาน ในระดับพื้นที่

ผลกระทบ - อปท.ที่ ยงั ไม่มีขอ้ มูล สถานการณ์ ใ นพื้ น ที่ ขอบตนเองเนื่ อ งจาก ยั ง ไ ม่ ส า ม า ร ถ จั ด กิ จ กรรมได้ เ กิ ด การ ตื่ น ตั ว ที่ จ ะ ช่ ว ย ประสานให้เกิดการจัด กิจกรรม

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด - ข้อ มู ล บางเรื่ องไป กระทบความรู ้สึกของ หน่ วยงาน เช่ น การ ซื้ อ ใ บ ขั บ ขี่ , ก า ร ให้ บ ริ การรถฉุ ก เฉิ น (EMS 1669) ใช้ เวลานานมากจึ งมาถึง จุดเกิดเหตุ

บทเรียนทีไ่ ด้ - การนําเสนอข้อมูลในที่ สาธารณะที่ มี ผ ลกระทบ กับหน่วยงานควรใช้ความ ระมัดระวัง


111

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) 24.ติ ด ตามสนั บ สนุ น การจั ด เวที - ให้กาํ ลังใจ ช่วยแก้ไข ชี้แจง โครงการของทีมคุณรพินทร์ ปั ญ ห า แ ล ะ ใ ห้ ข้ อ เ ส น อ แ น ะ แ ก่ จัดในวันที่ 7 ธันวาคม 2554 คณะทํางานโครงการ

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลผลิต ผลลัพธ์ ผลกระทบ - ได้ใ ห้ ข ้อ เสนอแนะ - คณะทํา งานมี ค วาม - ผู ้ บ ริ ห า ร เ ค เ บิ้ ล วิธีการจัดกระบวนการ มั่ น ใ จ ใ น ก า ร จั ด ท้ อ ง ถิ่ น เ ปิ ด พื้ น ที่ ประชุ ม ที่ ส ร้ า งสรรค์ กิจกรรมในครั้งต่อไป ร า ย ก า ร ที วี ใ ห้ กั บ แก่คณะทํางาน โครงการสื่ อ

25.ติ ด ตามสนั บ สนุ น การจั ด เวที - ให้กาํ ลังใจ ช่วยแก้ไข ชี้ แจงโครงการของที ม อ.จัก เรศ ปั ญ ห า แ ล ะ ใ ห้ จัดในวันที่ 8 ธันวาคม 2554 ข้ อ เ ส น อ แ น ะ แ ก่ โครงการ

- ได้ช่วยที มวิจัยชี้ แจง ขั้นตอนการดําเนินงาน โครงการโดยยก รู ปธรรม เพื่ อ ทํ า ใ ห้ ผูเ้ ข้าร่ วมมองเห็ นภาพ กิ จ กรรมที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น มากขึ้น - ช่ ว ยดํา เนิ น การแบ่ ง บท บาทห น้ า ที่ ข อ ง อาสาสมัคร

- มี นั ก ศึ ก ษาที่ ส นใจ สมัครเป็ นอาสาสมัคร ของโครงการ จํานวน 17 คน จาก หลากหลายคณะ

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด - สื่ อมวลชนมี ภารกิ จ ไปทํา ข่ า ว ทํา ให้ ไ ม่ ส า ม า ร ถ เ ข้ า ร่ ว ม กิ จ กรรมได้จ นเสร็ จ สิ้นกระบวนการ

บทเรียนทีไ่ ด้

- การทํา งานกั บ สื่ อ ต้อ ง เ ข้ า ใ จ ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง สื่ อมวลชนที่ ไม่ ค่ อ ยมี เวลามากนักเนื่ องจากต้อง วิ่งทําข่าวในที่ ต่างๆ การ จั ด ประชุ ม ต้ อ งสั้ นและ ก ร ะ ชั บ เ ข้ า ใ จ ง่ า ย ไ ด้ ข้อสรุ ปชัดเจน - นัก ศึ ก ษาได้ไ ปชวน - นั ก ศึ ก ษาที่ ม าจาก - ก า ร จั ด ป ร ะ ชุ ม กั บ เพื่ อ นในคณะมาร่ ว ม หลากหลายคณะทํ า นั ก ศึ ก ษาควรใช้ ภ ายใน ให้ แ ต่ ล ะคนว่ า งไม่ ชัว่ โมงเรี ยนในสาขาวิชาที่ เป็ นอาสาสมัครของ โครงการ ตรงกัน เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ค ว า ม ปลอดภัยทางถนน เช่ น ศึ กษาทั่วไป จะทําให้ได้ นักศึกษาจากหลายคณะ


112

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

26.เวทีเติมเต็มพลังและความรู ้เพื่อ มุ่งสู่ ความปลอดภัยทางถนน. สาย 24 จัด ขึ้ นใน วันที่ 9 ธันวาคม 2554 มีผเู ้ ข้าร่ วม 99 คน (รวมเวที อ บรมให้ ค วามรู ้ เ รื่ อง อุ บั ติ เ ห ตุ แ ล ะ เ ว ที เ ติ ม เ ต็ ม สถ าน การ ณ์ วั ฒ น ธร ร ม ค วาม ปลอดภัยทางถนนฯ) 27.ติ ด ตามสนั บ สนุ น การจั ด เวที เปิ ดตัว โครงการของ ที ม อ.กิ ต ติ วัฒน์ จัดในวันที่ 16 ธันวาคม 2554

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) - เพื่ อ เติ ม เต็ ม ความรู ้ เรื่ อ งอุ บัติ เ หตุ แ ละการ ทํ า ง า น ด้ า น ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ท า ง ถ น น ให้กับ คณะทํา งานและ อ า ส า ส มั ค ร ข อ ง โครงการย่อ ยโดยการ เ รี ย น รู ้ จ า ก พื้ น ที่ รู ปธรรม - ให้กาํ ลังใจ ช่วยแก้ไข ปั ญ ห า แ ล ะ ใ ห้ ข้ อ เ ส น อ แ น ะ แ ก่ โครงการ

ผลผลิต - ค ณ ะ ทํ า ง า น แ ล ะ อาสาสมัค รได้เ รี ย นรู ้ วิ ธี การแก้ ไ ขปั ญหา อุ บั ติ เ ห ตุ จ า ก พื้ น ที่ รู ปธรรม - ทีมงานโครงการย่อย ได้แ ลกเปลี่ ย นเรี ย นรู ้ กั บ พื้ น ที่ ต ้ น แบบเขา สวนกวางและบ้านไผ่ - ได้ช่ ว ยประสานกับ เทศบาลตําบลแสนสุ ข เพื่ อ ขอรั บ สนั บ สนุ น ป้ า ย ไ ว นิ ล ประชาสัมพันธ์ - ให้ ข ้อ เสนอแนะใน การจัดกิจกรรม

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์ - ที ม วิ จั ย แ ล ะ อาสาสมัค รโครงการ ย่ อ ย มี ก า ร ป ร ะ ชุ ม กํ า ห น ด แ ผ น ก า ร ทํางานร่ วมกัน

- ที มวิจัย เข้า มามี ส่ ว น ร่ วมในการจัดกิจกรรม อย่ า งเต็ ม ที่ แ ละเป็ น เจ้าของงาน

ผลกระทบ - สื่ อได้ ถ่ า ยทอดสด ข้ อ มู ล ความรู ้ ข อง พื้นที่รูปธรรมทางวิทยุ ร่ ว มด้ว ยช่ ว ยกัน และ เคเบิ้ลทีวี

- หน่ ว ยงาน ร้ า นค้า มูลนิ ธิ เจ้าของกิ จการ และอปท.ต่างให้ความ ร่ วมมือสนับสนุนวัสดุ อุ ป ก ร ณ์ ใ น ก า ร จั ด กิจกรรม

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด - ผู ้บ ริ หารอปท.ติ ด ภารกิ จ ไม่ ไ ด้เ ข้า ร่ ว ม กิ จ ก ร ร ม แ ต่ ส่ ง ตัว แทนมา จะทําให้ ขาดข้อ มู ล ความรู ้ ที่ จะนําไปใช้กบั พื้นที่

- ช่ ว งเวลาในการจัด กิ จกรรมสั้นไปเพราะ อากาศหนาวเย็น ลม แรงทําให้ชาวบ้านรี บ กลับบ้านเร็ ว

บทเรียนทีไ่ ด้ - ค ว ร ใ ห้ ผู ้ บ ริ ห า ร มหาวิ ท ยาลัย และนายก อปท.เข้า ร่ ว มเสวนาด้ว ย จะทํา ให้ผูบ้ ริ หารอยู่ร่ว ม กิ จกรรมด้วยจนเสร็ จสิ้ น กระบวนการ

-การ เปิ ดตั ว โค รง การ จํ า เ ป็ น ต้ อ ง ใ ช้ พื้ น ที่ สาธารณะที่ ง่ า ยต่ อ การ เดินทางของผูเ้ ข้าร่ วมและ ทุ ก คนสามารถเข้ า ร่ วม กิ จ กรรมได้ โ ดยสะดวก จะทําให้การสื่ อสารทําได้ กว้างกับคนทุกกลุ่ม


113

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) 28.ติ ด ตามสนั บ สนุ น การจั ด เวที - ให้กาํ ลังใจ ช่วยแก้ไข ชี้แจงโครงการของทีมคุณสงกา ปั ญ ห า แ ล ะ ใ ห้ จัดในวันที่ 26 ธันวาคม 2554 ข้ อ เ ส น อ แ น ะ แ ก่ โครงการ

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลผลิต ผลลัพธ์ ผลกระทบ - คณะทํางานได้เข้าใจ - เ กิ ด แ ผ น ง า น ล ง - ชุมชนเกิ ดการตื่ นตัว ขั้นตอนการทํางาน สํารวจพื้นที่อบต.โพธิ์ ในเรื่ องการกํา จัด จุ ด - ค ณ ะ ทํ า ง า น ไ ด้ ใ ห ญ่ ใ น วั น ที่ 17 เสี่ ยง ร่ วมกันกําหนดจะเสี่ ยง มกราคม 2555 และแนวทางการแก้ไข - โหนดพี่ เ ลี้ ยงได้ใ ห้ คํ า แ น ะ นํ า เ กี่ ย วกั บ กลุ่มเป้ าหมายที่ควรดึง เข้ามาร่ วมคื อเด็กและ เยาวชนเนื่ องจากเป็ นผู ้ ที่ มีพฤติกรรมเสี่ ยงใน การขับขี่

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด - บ า ง อ ป ท . ไ ม่ สามารถกํ า หนดวัน เวลาในการลงสํารวจ พื้นที่ได้เนื่ องจากต้อง รอผูน้ าํ

บทเรียนทีไ่ ด้ - การนํ า เสนอขั้ นตอน กระบวนการใน Powerpoint ไม่เหมาะสม กับ เวที ช าวบ้า น ต้อ งใช้ ก า ร เ ขี ย น ล ง ใ น กระดาษบรู๊ ฟ


114

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

29.อบรมทํา เครื่ อ งมื อ ของที ม อ. จักเรศ จัดในวันที่ 5 มกราคม 2555 30.อบรมทํา เครื่ อ งมื อ ของที ม อ. กิ ต ติ วั ฒ น์ จั ด ขึ้ น ใ น วั น ที่ 18 มกราคม 2555

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) - ที ม วิ จั ย ไ ด้ เ รี ย น รู ้ วิธีก ารออกแบบเครื่ อ ง แ ล ะ ส า ม า ร ถ ส ร้ า ง เครื่ องมื อ อย่ า งมี ส่ ว น ร่ วม

ผลผลิต - ที ม วิ จั ย ได้ เ รี ย น รู ้ วิ ธี ก า ร อ อ ก แ บ บ เครื่ องมือ - ที ม วิ จั ย ได้ ท ดลอง สร้างเครื่ องมือร่ วมกัน

31.ลงพื้ น ที่ ติ ด ตามสนับ สนุ น การ - ทํ า ค วาม รู ้ จั ก พื้ น ที่ - ได้ เ ห็ น สภาพพื้ น ที่ สํารวจจุดเสี่ ยงในพื้นที่ อบต.โพธิ์ และจุ ด เสี่ ยงในอบต. และจุ ด เสี่ ย งในอบต. ใหญ่ของที มคุณสงกา จัดในวันที่ โพธิ์ใหญ่ โพธิ์ใหญ่ 17 มกราคม 2555

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์ ผลกระทบ - ไ ด้ เ ค รื่ อ ง มื อ ที่ เหมาะสมในการใช้ เก็บข้อมูลกับเป้ าหมาย ที่แตกต่างๆกัน - ที ม วิ จ ั ย สามารถลง เก็บข้อมูลได้ - ได้เส้นทาง จุ ดเสี่ ยง - ชุ ม ช น เ กิ ด ค ว า ม ในอบต.โพธิ์ใหญ่ ต้อ งการแก้ไ ขปั ญ หา จุดเสี่ ยงในชุมชน

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด - ข ณะ ร ะ ด ม ค วา ม คิ ด เห็ น ในกลุ่ ม ย่ อ ย นั ก วิ ช า ก า ร มั ก มี บทบาทชี้นาํ ชุมชน

- การสํา รวจจุ ด เสี่ ย ง ทําในวันธรรมดา ทํา ให้ เ ด็ ก และเยาวชน ไม่ ไ ด้ เ ข้ า มามี ส่ วน ร่ วม

บทเรียนทีไ่ ด้ - การจัดกลุ่มย่อยที่มีความ แ ต ก ต่ า ง กั น ด้ า น สถานะภาพจะทํา ให้เ กิ ด การแลกเปลี่ ย นน้อยและ เกิดการครอบงํา - กลุ่มเป้ าหมายที่เป็ นกลุ่ม เ สี่ ย ง ค ว ร เ ข้ า ม า ร่ ว ม กระบวนการแก้ไขปั ญหา จุดเสี่ ยง


115

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) 32.จัด เวที เ พื่ อ สร้ า งความรู ้ ค วาม - ให้โครงการย่อยได้ทาํ เข้า ใจเกี่ ย วกับ วัต ถุ ป ระสงค์ แ ละ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ก า ร เป้ าหมายของโครงการร่ วมกัน จัด ดํา เนิ น งานของแต่ ล ะ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555 โครงการและมากําหนด เป้ าหมายร่ วมกัน

ผลผลิต - โครงการย่อ ยแต่ ล ะ โครงการได้นํา เสนอ ร า ย ล ะ เ อี ย ด ข อ โ ค ร ง ก า ร แ ล ะ เ ล่ า ความก้า วหน้า ในการ ดํ า เนิ นงาน ปั ญหา อุ ป ส ร ร ค แ น ว ทางแก้ไ ข แผนงานที่ จะทําต่อไป - คณะทํางานโครงการ ย่ อ ยร่ ว มกั น ให้ ค วาม คิ ด เ ห็ น แ ล ะ ข้อเสนอแนะ แก่เพื่อนๆ

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์ - เกิ ด การแลกเปลี่ ย น เรี ยนรู ้ระหว่างการย่อย - เ กิ ด การ ป ร ะ สา น แ ผ น ง า น ร ะ ห ว่ า ง โ ค ร ง ก า ร สื่ อ กั บ โครงการย่อยอื่นๆ

ผลกระทบ - นักศึกษาสาขาพัฒนา สังคมเข้ามาเป็ นผูช้ ่วย วิ ท ย า ก ร ส น ใ จ เ ข้ า มาร่ วมเป็ นที มงาน โครงการวิจยั ของอ.จักเรศ

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด - โครงการย่ อ ยบาง โครงการมี ผู ้เ ข้า ร่ ว ม ไ ม่ เ ป็ น ไ ป ต า ม เป้ าหมาย ทําให้ตอ้ งมี การปรับกระบวนการ นําเสนอ

บทเรียนทีไ่ ด้ - รู ปแบบการนํ า เสนอ แ บ บ ส ถ า นี เ รี ย น รู ้ เ ห ม า ะ ส ม กั บ ก า ร แ ล เปลี่ ย นเรี ยนรู ้ ม ากการ นําเสนอเป็ น Powerpoint


116

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) ผลผลิต 33.ติ ด ต า ม ส นั บ ส นุ น ก า ร จั ด - ให้กาํ ลังใจ ช่วยแก้ไข - โหนดพี่ เ ลี้ ยง ที ม กิ จ กรรมอบรมนัก สื่ อ สารชุ ม ชน ปั ญหาและเข้าไปเรี ยนรู ้ วิ จั ย และอาสาสมัค ร ครั้งที่ 1 ของทีมคุณรพินทร์ จัด เรื่ องเทคนิคการทําสื่ อ ชุมชนและนักศึกษาได้ ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2555 เรี ยนวิธีการจัดรายการ วิทยุการเขียนข่าว - โครงการสื่ อมี ค วาม ร่ วมที่ ดีกบั สื่ อมวลชน ใ น จั ง ห วั ด อุบลราชธานี 34.ติ ด ต า ม ส นั บ ส นุ น ก า ร จั ด - ให้กาํ ลังใจ ช่วยแก้ไข - ผู ้เ ข้า ร่ ว มได้ฝึ ก กิ จ กรรมอบรมนัก สื่ อ สารชุ ม ชน ปั ญหาและเข้าไปเรี ยนรู ้ ปฏิ บั ติ รายงานข่ า ว เรื่ องเทคนิคการทําสื่ อ และเขี ย นสคริ ปข่ า ว ครั้งที่ 2 เช่ น การไปสัม ภาษณ์ นั ก ศึ ก ษ า แ ล ะ ประชาชนที่ สัญจรไป มาหน้ า มหาวิ ท ยาลัย อุ บ ล และนํ า มาผลิ ต เป็ นวีดีโอและ ข่าวสั้น

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์ - เกิดนักสื่ อสารชุมชน ที่ เป็ นชาวบ้ า นและ นักศึ กษา จํานวน 7 คน

- เกิดนักสื่ อสารชุมชน ใน 6 พื้นที่ และได้นกั สื่ อสารชุ ม ชนที่ เ ป็ น ภาคี เ ครื อข่ า ยในการ ป้ องและแก้ไ ขปั ญ หา อุบตั ิเหตุ ได้แก่ มูลนิ ธิ จีตมั เกาะ

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด ผลกระทบ - รายการวิทยุร่วมด้วย - นักศึกษาที่สนใจเข้า ช่วยกันให้เวลาสําหรับ ร่ ว ม บ า ง ส่ ว น ติ ด นั ก สื่ อ สารชุ ม ชนไป กิ จกรรมการแข่งกี ฬา สถาบัน จัดรายการวิทยุ - ขาดเด็กและเยาวชน ใ น พื้ น ที่ เ ข้ า ร่ ว ม กิจกรรม

-

- ก ลุ่ ม เ ป้ า ห ม า ย บางส่ วนเป็ นผูส้ ู งอายุ แ ล ะ ไ ม่ มี ค ว า ม รู ้ เกี่ ยวกับคอมพิวเตอร์ ทําให้ไม่สามารถผลิต สื่ อ ออกมาเป็ นวีดี โ อ ได้

บทเรียนทีไ่ ด้ - ความชอบและความ สนใจของคนเป็ นปั จ จัย สําคัญในการเรี ยนรู ้ เ รื่ อ ง การทําสื่ อ

- การจัดกิจกรรมการผลิต สื่ อ ผูเ้ ข้าร่ วมจําเป็ นต้อง มี ทั ก ษ ะ แ ล ะ ค ว า ม รู ้ พื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์


117

4.7 ตารางสรุปผลการดําเนินงานรายกิจกรรม กิจกรรม/วันที/่ จํานวนคน

เป้ าหมายของกิจกรรม (ทีต่ ้งั ไว้ ในโครงการ) 34.ติ ด ต า ม ส นั บ ส นุ น ก า ร จั ด กิจกรรมฯ (ต่อ)

35.ติดตามสนับสนุนการจัดเวทีคืน - ให้ ก ํา ลัง ใจและช่ ว ย ข้อมูลของทีม ออกแบบกิ จ กรรมที่ จ ะ ดํา เนิ น การต่ อ หลัง จาก อ.กิตติวฒั น์ ฉัตรศรี โพธิ์ เวทีคืนข้อมูล

ผลผลิต -

- ผูเ้ ข้าร่ วมได้ทราบถึง สถานการณ์จุดเสี่ ยงใน พื้นที่ - ผูเ้ ข้าร่ วมได้เพิ่มเติม ข้อมูล - ได้ร่วมกันค้น หา วิ ธี ก า ร ที่ จ ะ เ ชื่ อ ม ประสานกั บ องค์ ก ร ภาคี เ ครื อข่ า ยในการ ป้ อ ง กั น แ ล ะ แ ก้ ไ ข ปั ญหาอุ บั ติ เ หตุ ท าง ถนน

ผลการดําเนินกิจกรรม ผลลัพธ์ - ได้คลิปวีดีโอรายงาน ข่ า วด้ า นอุ บั ติ เ หตุ ที่ ผ ลิ ต โ ด ย ผู ้ เ ข้ า ร่ ว ม อบรม - ได้พ้ืนที่ จุดเสี่ ยงที่ เ กิ ด อุ บั ติ เ ห ตุ บ่ อ ย เพิ่ ม ขึ้ น ได้แ ก่ หนอง โก จุ ดกลั บ รถหน้ า เทศบาลเมืองศรี ไค - ได้ขอ้ เสนอแนะแนว ทางการเคลื่อนงาน

ผลกระทบ -

- ผูบ้ ริ หารพื้นที่ อบต. ธาตุ มี ค วามตื่ น ตัว ใน การแก้ไ ขปั ญ หามาก ขึ้น

ปัญหา/อุปสรรค/ ข้ อจํากัด -

บทเรียนทีไ่ ด้

- ผูบ้ ริ หารท้องถิ่ น ผูน้ ําชุ มชน เจ้าหน้าที่ อปท. ทั้ง 3 พื้นที่ ไม่ ได้มาเข้าร่ วมกิจกรรม เนื่ อ งจากอยู่ ใ นช่ ว ง เตรี ยมการตั้งจุดตรวจ ช่วงเทศกาลสงกรานต์

- ไม่ควรจัดเวทีคืนข้อมูล ในช่ วงที่ มีเทศกาลสําคัญ เพร าะจ ะ ใ ห้ ผู ้ บ ริ ห าร เ จ้ า ห น้ า ที่ อ ป ท . ไ ม่ สามารถเข้าร่ วมกิ จกรรม ในเวทีได้

-


บทที่ 5 สรุปบทเรียนและแผนการดําเนินงานในระยะที่ 2 ในระยะแรก Node Action จังหวัดอุบลราชธานีได้ดาํ เนินการค้นหาภาคีเครื อข่าย แกน นํา ศึกษาสถานการณ์ปัญหาอุบตั ิเหตุ สร้างความร่ วมมือระหว่างหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทั้งระดับพื้นที่และระดับจังหวัด จัดกระบวนการพัฒนาศักยภาพของแกนนําและลงพื้นที่พฒั นา โครงการจนทําให้เกิดโครงการย่อย 4 โครงการ รวมทั้งได้พฒั นาแกนนําให้เป็ นนักสื่ อสารชุมชน เพื่อใช้สื่อเป็ นเครื่ องมือในการกระตุน้ กระตุกให้เกิดการตื่นตัวของชุ มชนและสังคม ซึ่ งจากการ ดํา เนิ น งานโครงการฯที่ ผ่า นเป็ นเวลา 12 เดื อนมี ก ารดํา เนิ น กิ จกรรมทั้ง หมด 35 กิ จกรรม (ดัง รายละเอียดด้านล่าง) ในการดําเนิ นโครงการที่ผ่านมา Node Action จังหวัดอุบลฯได้ให้การสนับสนุ น นักวิชาการ บุคลากรและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย รวมทั้งองค์กรภาคีเครื อข่ายเข้ามามีส่วนร่ วมใน ระยะที่ 1 อย่างหลากหลายพบว่า มีบุคลากรที่เป็ นทั้งอาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ เป็ นแกนหลักเข้ามามีส่วนร่ วมในการดําเนินโครงการจํานวน 16 คน ส่ วนชุมชนชาวบ้านทั้ง 6 พื้นที่ อปท. จํานวน 43 คน เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานองค์กรและภาคีเครื อข่ายอื่นๆจาก 17 องค์กรจํานวน 20-30 คนซึ่ งบางหน่ วยงานจะส่ งคนเข้าร่ วมกิจกรรมสลับกัน 1- 2 คน รวมแล้วมีผเู้ ข้าร่ วมในการ ดําเนินโครงการร่ วมกับทีมNode Action จังหวัดอุบลราชธานีเกือบแปดสิ บคน ในขณะเดียวกันได้ดาํ เนิ นการจัดทําฐานข้อมูลพื้นฐานของกลุ่ม คณะทํางานในโครงการ ชุดความรู ้เรื่ องอุบตั ิเหตุท้ งั 6 พื้นที่อปท.และ 1 มหาวิทยาลัยในหลายประเด็นเช่น ทุนเดิมของพื้นที่ ความรู้ ภูมิปัญญา วัฒนธรรมชุ มชน รวมทั้งทรัพยากรในพื้นที่ มีการรวบรวมจุดเสี่ ยง สาเหตุการ เกิดอุบตั ิเหตุ แนวทางการแก้ไขและอาสาสมัครการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนนทั้ง 6 พื้นที่ ซึ่ งมีทีม 4 โครงการย่อย ดําเนิ นการเป็ นหลัก ร่ วมกับ Node Action และอีกหนึ่งชุดความรู้ ที่ได้จากการสังเคราะห์กระบวนการขับเคลื่อน สนับสนุนงานในพื้นที่จนได้รูปแบบการหนุนเสริ ม ที่จะสามารถนําไปปรับใช้ได้ในการหนุ นเสริ มคนทํางานในพื้นที่ กระบวนการเหล่านี้ได้ก่อให้เกิด ผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลง (Chang Agent ) ที่อยูใ่ นแต่ละโครงการโดยมีทีม Node Action หนุ นเสริ ม เติ ม ศัก ยภาพให้ มี ท้ งั เรื่ องของการสร้ า งเวที แลกเปลี่ ย นเรี ย นรู้ และเชิ ญผูม้ ี ค วามรู้ เข้า มาพูดคุ ย แลกเปลี่ยน ทําให้แต่ละโครงการดําเนิ นการได้อย่างมีคุณภาพ สามารถสรุ ปบทเรี ยนและสังเคราะห์ ความรู ้ได้ดงั นี้


119 5.1 บทเรียนทีไ่ ด้ จากการดําเนินโครงการ จากการดําเนินงานโครงการในระยะที่ 1 พบว่ามีบทเรี ยนที่ได้จากการทํางาน ดังนี้ 1. การใช้ทุนเดิ มที่ Node มีอยู่ทาํ ให้สามารถขับเคลื่อนการทํางานได้รวดเร็ วขึ้น และมีความผิดพลาดน้อยลงไม่วา่ จะเป็ นการค้นหาคน แกนนําและพื้นที่เพื่อดําเนินงานโครงการ 2. การค้นหาภาคีเครื อข่ายนั้นควรใช้แนวคิดนํ้าดีไหลรวมนํ้าดี นํ้าเสี ยไหลรวมนํ้า เสี ยหมายถึง คนประเภทเดียวก็มกั จะไหลหากัน อาทิเช่น หากต้องการค้นหาคนมีจิตอาสา ก็ตอ้ ง ให้คนที่มีจิตอาสาเป็ นคนแนะนํา 3. การเดิ น ทางไปพบปะกั บ หั ว หน้ า หน่ ว ยงาน นายกอปท.และผู ้บ ริ หาร มหาวิทยาลัยเป็ นวิธีการสร้างความสัมพันธ์และเปิ ดใจที่ดีเนื่องจากทําให้รู้จกั ทัศนคติและบุคลิกภาพ ของผูบ้ ริ หารแต่ละคนซึ่ งเป็ นประโยชน์ในการวางแผนการทํางานได้อย่างเหมาะสม 4. การเลือกใช้กระบวนการมองไปข้างหน้า/สร้างอนาคตร่ วมกัน (Future Search Conference : F.S.C) สามารถสร้างบรรยากาศการทํางานร่ วมกันได้เป็ นอย่างดีเนื่องจากทุกคนได้ ก้าวข้ามการหาคนผิดและการตําหนิซ่ ึ งกันและกัน ทําให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนงานต่อไป 5. การสร้างการมีส่วนร่ วมระหว่างแกนนําและภาคีเครื อข่ายจะทําให้เกิดความรู้สึก เป็ นเจ้าของโครงการ ดังเช่น การจัดเวทีสัญจรในอปท. 6 แห่ งที่ให้อปท.เป็ นเจ้าภาพร่ วม ทําให้ การเชื่อมการทํางานในระยะต่อไปเป็ นไปด้วยดี 6. การเลือกใช้สื่อที่เหมาะสมและสื่ อความหมายได้ดีจะทําให้เกิ ดการตื่นตัวของ คนทํางาน เช่น การใช้วดี ีทศั น์ที่สะท้อนปั ญหา เช่น เรื่ องทางโค้งสามารถกระตุน้ ให้คนคิดและคุย ต่อ 7. การเข้าพบหัวหน้าหน่ วยงานและผูบ้ ริ หารมหาวิทยาลัยโดยจัดทําเป็ น Power Point รายงานความก้าวหน้าให้กบั ผูบ้ ริ หารและหัวหน้าหน่วยงานได้รับทราบจะทําให้การเชื่อมตัว ข้อมูลระหว่างโครงการกับผูม้ ีอาํ นาจตัดสิ นใจมีการ Update ตลอดเวลา 8. การเชื่ อ มโยงเรื่ อ งความปลอดภัย ทางถนนเข้า ไปในวิช าการเรี ย นจะเป็ น ตัวกระตุน้ ให้นกั ศึกษาตื่นตัวในการเรี ยนรู ้และผลิตสื่ อเอง 9. การใช้พ้ืนที่ทางสังคมออนไลน์ เช่น Facebook มาจัดกลุ่มวัฒนธรรมความ ปลอดภัยทางถนน ทําให้แกนนํา ภาคีเครื อข่ายมีการติดต่อสื่ อสารและรับรู้ขอ้ มูลของซึ่ งกันและกัน อย่างรวดเร็ วและต่อเนื่อง 10. การนําเสนอข้อมูลให้หน่วยงานได้รับทราบ วิธีที่มีประสิ ทธิ ภาพที่สุด คือ การสรุ ปภาพรวมของโครงการโดยย่อให้ได้ใจความให้มากที่สุด และต้องไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ A 4 เนื่องจากหน่วยงานมีภาระมากจึงไม่มีเวลาอ่านเอกสารจํานวนหลายๆหน้า


120 11. การใช้ โ ครงการสื่ อ มาเชื่ อ มร้ อ ยโครงการย่ อ ยอื่ น ๆทํา ให้ เ กิ ด การทํา งาน เชื่ อมโยง และเติมเต็มระหว่างคนทํางานเนื่องจากโครงการสื่ อมีจุดเด่น คือ ทักษะการผลิตสื่ อแต่ ขาดเนื้อหาที่จะนําเสนอขณะที่โครงการย่อยอื่นๆมีเนื้ อหาที่จะนําเสนอแต่ขาดทักษะการทําสื่ อ 5.2 ข้ อจํากัดในการดําเนินงานโครงการ ในการดําเนินโครงการพบข้อจํากัดและสิ่ งที่ตอ้ งปรับปรุ งหลายประการ ได้แก่ 1. กลุ่มคนทํางานของโครงการและของจังหวัดเป็ นกลุ่มเดียวกันทําให้ที่ผ่านมาการ ทํา งานมีค วามซํ้าซ้อนกัน ปั จจุ บนั ทาง Node จึง ได้เข้าร่ วมกับเวทีของจังหวัดโดยทํา หน้า ที่ สนับสนุ นข้อมูลและความรู ้ ให้กบั กลไกของจังหวัด ประกอบกับคณะทํางานระดับจังหวัดมีภาระ งานมากทําให้ไม่สามารถลงพื้นที่สนับสนุ นการทํางานของชุ มชน จึงได้แต่ให้ขอ้ เสนอแนะแนว ทางการทํางาน 2. การโยกย้ายของหัวหน้าหน่ วยงานและเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ ยวข้องทําให้ตอ้ งไปเริ่ มทํา ความเข้าใจกับผูบ้ ริ หารและเจ้าหน้าที่คนใหม่ ทําให้การทํางานขาดช่วง 3. การบริ หารงานแบบรวมศูนย์อาํ นาจของบาง อปท. ทําให้การขับเคลื่ อนงานใน พื้นที่สะดุดและเกิดความล่าช้าเนื่องจากต้องรอการเห็นชอบจากนายกเพียงผูเ้ ดียว 5.3 การเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ หลังจากเริ่มดําเนินงานโครงการ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากเริ่ มดําเนินงานโครงการแบ่งออกได้เป็ น 3 ส่ วน ดังนี้ 1. ทีมพีเ่ ลีย้ ง เป็ นกลุ่ ม คนที่ ค ลุ ก อยู่วงในกับ โครงการทํา ให้รับ รู้ ข ้อ มูล ข่า วสาร ตลอดจน สถานการณ์ การเกิดอุบตั ิเหตุตลอดเวลา จนทําให้เกิดความตระหนักและกลัวการสู ญเสี ยชี วิตจาก อุบตั ิเหตุ ดังจะเห็นได้จากเจ้าหน้าที่ที่ไม่ชอบใส่ หมวกกันนิ รภัยเวลาขับขี่มอเตอร์ ไซด์ได้เปลี่ยน พฤติกรรมหันมาใส่ หมวกทุกครั้งที่ขบั ขี่ 2. ตัวแกนนํา พบว่าหลังจากเข้าร่ วมโครงการ แกนนํามีความกระตือรื อร้นเข้าร่ วมเวทีทุกครั้ง บางครั้งก็ชกั ชวนเพื่อนให้เข้ามาร่ วมกิจกรรมด้วย แกนนํามีการแสดงความคิดเห็นและเข้ามามีส่วน ร่ วมในการจัดกิ จกรรม เช่ น รับหน้าที่เป็ นคนไปติดต่อสถานที่ ไปประสานขอรับบริ จาคหมวก นิ รภัยจากร้ านค้า ขณะที่แกนนําที่เป็ นเจ้าหน้าที่อปท.เมืองศรี ไค ได้ทาํ โครงการของบจากสปส ช.มาแก้ไ ขปั ญ หาอุ บ ตั ิ เหตุ ห น้า โรงเรี ย นบ้า นศรี ไ ค ขณะเดี ย วกัน พบว่า หลัง จากการร่ วมกัน วิเคราะห์จุดเสี่ ยง แกนนําจากตําบลศรี ไคก็ช่วยกันรื้ อถอนป้ ายโฆษณาที่บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ ในเวลาต่อมา สําหรับแกนนําที่เป็ นผูใ้ หญ่บา้ น เช่น ผูใ้ หญ่ทศพล ได้นาํ ข้อมูลความรู้เรื่ องการขับขี่


121 ปลอดภัยไปพูดให้ชาวบ้านฟั งตามหอกระจายข่าวยามเช้าทุกวันใช้เครื อข่ายทางสังคม ส่ วนแกนนํา ที่เป็ นนักศึกษาก็ใช้ศกั ยภาพของตนเองมาช่วยผลิตสื่ อ ออกแบบป้ าย สร้างเครื อข่ายสังคมออนไลน์ เป็ นต้น 3. ภาคีเครือข่ าย พบว่าได้เข้ามามีส่วนร่ วมโดยการสนับสนุนบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ และสถานที่ใน การจัดกิจกรรม เช่น เทศบาลตําบลแสนสุ ขสนับสนุ นป้ ายไวนิ ลรณรงค์ลดอุบตั ิเหตุ มหาวิทยาลัย อุ บ ลราชธานี ส นับ สนุ น สถานที่ ใ นการจัด กิ จ กรรม มู ล นิ ธิ ส ว่า งบู ช าธรรมมาให้ส าธิ ต วิธี ก าร ช่ ว ยเหลื อ ผู ้ไ ด้ รั บ บาดเจ็ บ ที่ ติ ด ค้า งอยู่ ใ นซากรถ วิ ท ยาลัย การสาธารณสุ ข สิ ริ นธรจัง หวัด อุบลราชธานี ได้ให้นกั ศึกษามาสาธิ ตวิธีการช่วยเหลือผูไ้ ด้รับบาดเจ็บในเบื้องต้น ธุ รกิจภาคเอกชน สนับสนุนหมวกกันน๊อกในการจัดกิจกรรมของโครงการ 5.4 ปัจจัยเงื่อนไขความสํ าเร็จและไม่ สําเร็จ การดําเนิ นงานในระยะที่ 1 เน้นการค้นหาภาคี เครื อข่าย เพื่อจัดทําฐานข้อมูล คนทํางาน ข้อมูลความรู ้เพื่อศึกษาสถานการณ์ สร้างความร่ วมมือระหว่างหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งระดับ พื้นที่และจังหวัด ได้มาร่ วมกันแลกเปลี่ยนเรี ยนรู้ประสบการณ์การทํางานด้านอุบตั ิเหตุ แสวงหา และพัฒนาศักยภาพแกนนํา Change Agent และพัฒนาให้เกิ ดโครงการ งานวิจยั 4 โครงการที่ สามารถพัฒนาให้มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีไปสู่ การเป็ นพื้นที่ตน้ แบบในด้านการสร้างวัฒนธรรม ความปลอดภัย ทางถนนได้ร วมทั้ง การพัฒ นาเครื อ ข่ า ยให้เ ป็ นนัก ข่ า วอาสาเพื่ อ ใช้ก ารสื่ อ สาร สาธารณะในการสร้ างกระแสและขับเคลื่ อนประเด็นวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนให้เป็ น นโยบายสาธารณะในท้องถิ่น ตลอดระยะเวลา 12 เดือนพบความสําเร็ จและไม่สําเร็ จในโครงการขอ เสนอข้อมูลดังต่อไปนี้ 5.4.1 ความสํ าเร็จของโครงการในช่ วงทีผ่ ่านมา 1. สามารถทําให้เกิดโครงการย่อยในพื้นที่ได้ 4 โครงการคือ ( 1) รู ปแบบมาตรการการ สร้างความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างมี ส่ วนร่ วม (2)กระบวนการจัดการความปลอดภัยทางถนน ของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (3) เสริ มสร้างการมีส่วนร่ วมของชุมชน เพื่อสร้างวัฒนธรรมความ ปลอดภัยทางถนน (4) พัฒนาสื่ อสังคม สื่ อสาธารณะ เพื่อการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทาง ถนน 2. เชื่ อมภาคี เครื อข่ายทั้งในระดับพื้นที่และจังหวัดได้บางส่ วนทั้งระดับบุคคลและ หน่วยงานเช่นระดับเจ้าหน้าที่ปฏิ บตั ิการของอปท.ทั้ง 6 แห่ ง สถานีตาํ รวจภูธรอําเภอวาริ นชําราบ ศูนย์อนามัยที่ 7 มูลนิ ธิสว่างบูชาธรรม มูลนิ ธิพระอรหันต์จ้ ี กง สํานักงานป้ องกันและบรรเทาสา ธารณภัยจังหวัด กลุ่มสื่ อมวลชนในพื้นที่


122 3. ค้นหา change agent ในระดับจังหวัดและพื้นที่ได้ 4. คนทํางานเปลี่ยนพฤติกรรมเรื่ องของความปลอดภัย 5.4.2 สิ่ งทีย่ งั ไม่ บรรลุตามเป้าหมายของโครงการในช่ วงทีผ่ ่ านมา 1. การเข้า มาทํา งานในการสร้ า งความปลอดภัย ทางถนนยัง ไม่ ส ามารถเชื่ อมภาคี เครื อข่ายในจังหวัดได้ท้ งั หมด 2. ในชุดโครงการโดยเฉพาะโครงการย่อยซึ่ งเพิ่งดําเนินงานมาได้ประมาณ 4 เดือนยัง หาผูน้ าํ การเปลี่ยนแปลงได้จาํ นวนน้อยไม่ถึง 10 คนคณะทํางานคาดหวังว่าจะได้ไม่ต่าํ กว่า 50 คน ที มงานจึงต้องพยายามที่จะทีมทํางานให้เข้มแข็งและตระหนักถึ งความสําคัญในการสร้ างความ ปลอดภัยในท้องถนนให้ได้ 3. เครื อข่ายที่เข้ามาร่ วมในการดําเนิ นการส่ วนใหญ่ที่เป็ นชุ มชน ชาวบ้านยังเสี ยสละ เวลาในการเข้าร่ วมกระบวนการน้อยซึ่ งคิดว่าเป็ นช่วงของการเก็บข้อมูลยังไม่มีการปฏิบตั ิการ จึงมี เฉพาะแกนนําชุมชนที่เข้าร่ วมอย่างสมํ่าเสมอ 5.5 สถานะผลการดําเนินงานของโครงการย่อยทั้ง 4 โครงการ จากการสนับสนุน ติดตามการดําเนิ นโครงการทั้ง 4 โครงการสามารถรายงานความก้าวหน้าได้ ดังต่อไปนี้ 5.5.1 โครงการ รูปแบบมาตรการการสร้ างความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างมีส่วนร่ วม ซึ่ งมี พ ัน ตํา รวจโท กิ ต ติ ว ัฒ น์ ฉั ต รศรี โพธิ์ อาจารย์ ป ระจํา สาขาวิ ช านิ ติ ศ าสตร์ มหาวิ ท ยาลั ย อุ บ ลราชธานี แ ละคณะ เป็ นที ม วิ จ ัย หลั ก ขณะนี้ ได้ ด ํ า เนิ น งานตามขั้ น ตอน กระบวนการวิจยั เพื่อท้องถิ่นตามแผนงานที่กาํ หนดไว้ ตั้งแต่การจัดเวทีเปิ ดตัวโครงการที่ตลาดสด เจริ ญศรี ได้รับ ความร่ วมมื อจากภาคี หน่ วยงานต่า งๆมากมายเช่ นการบริ จาคหมวกนิ รภัย จาก ภาคเอกชน การเข้าร่ วมจัดแสดงนิ ทรรศการ ความรู้ จากมูลนิ ธิสว่างบูชาธรรม การเป็ นวิทยากร เกมส์บนเวทีของสํานักงานตํารวจทางหลวง การจัดป้ ายไวนิลรณรงค์ของเทศบาลตําบลแสนสุ ข การ นํานักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีร่วมกับวิทยาลัยสาธารณสุ ขสิ รินธรเข้าร่ วมเดินรณรงค์กบั ผูม้ าใช้บริ การและผูค้ า้ ในตลาดรวมทั้งการทําแบบสอบถาม เก็บข้อมูลบางส่ วนกับกลุ่มผูใ้ ช้บริ การ ตลาดเจริ ญศรี เรื่ องความปลอดภัยทางถนน ได้มีการอบรม ทําเครื่ องมื อการเก็บข้อมูลอย่างมีส่วนร่ วมให้กบั ทีมวิจยั ซึ่ งมีท้ งั นักศึกษา อาจารย์ ชุ มชนชาวบ้าน เจ้าหน้าที่จากหน่ วยงานที่เป็ นทีมวิจยั เพื่อนําเครื่ องมือมาช่ วยในการเก็บ ข้อมูลของทีมวิจยั ซึ่ งต้องจัดทําเครื่ องมือ 3 ชุดและแบ่งทีมเป็ น 4 -5 ทีมในการเก็บข้อมูล ขณะนี้ได้ ข้อมูลดิ บที่ มีการสั งเคราะห์ บางส่ วนแล้วและมีก ารนําข้อมูลมาให้ทีม วิจยั ชุ ม ชนและหน่ วยงาน บางส่ ว นช่ ว ยตรวจสอบเพื่ อ ที่ จ ะใช้ ใ นการคื น ข้อ มู ล ให้ ก ับ 3 อปท.ในเวที ข องการประชุ ม


123 ประจําเดือนของแต่ละอปท. เพื่อจะนํามาสู่ การหามาตรการความปลอดภัยที่จะแก้ไขปั ญหาอุบตั ิใน แต่ละพื้นที่ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผา่ นมาทางทีมได้ร่วมกับทางจังหวัดในการรณรงค์ “ปลอดตาย ปลอดเจ็บบนถนนสาย 24 ” โดยการประสานอาสาสมัครทีมวิจยั ชุมชนทั้ง 3 พื้นที่และนักศึกษาจาก วิทยาลัยสาธารณสุ ขสิ รินธร เข้าร่ วมในการขับมอเตอร์ ไซด์สวมหมวกนิ รภัย เข้าร่ วมในขบวนจัด งานของจังหวัดและภาคีเครื อข่าย รวมทั้งประสานท่านนายอําเภอวาริ นชําราบในการให้ใบประกาศ แก่ หมู่บา้ น ตําบลในเขตอําเภอวาริ นชําราบ ที่ในพื้นที่ “ปลอดเจ็บ ปลอดตาย”ในเทศกาลสงกรานต์ ปั ญหาอุปสรรคของทีมวิจยั อยูท่ ี่เวลาว่างของทีมวิจยั ไม่ค่อยตรงกันทําให้การทํางานต้องใช้ เวลาในการประสานงานกันหลายครั้งและการเคลื่อนงานในพื้นที่เป้ าหมายบางพื้นที่สะดุดเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบมีคาํ สั่งย้ายไปอยูท่ ี่อปท.อื่น และเจ้าหน้าที่เดิมถูกเปลี่ยนสายงานจึงทําให้การ เข้าร่ วมในการขับเคลื่อนไม่ได้ตามแผนที่วางไว้ในพื้นที่ดาํ เนินการได้ดีเท่าที่ควร 5.5.2 โครงการวิ จั ย กระบวนการจั ด การความปลอดภั ย ทางถนนของมหาวิ ท ยาลั ย อุบลราชธานี มีอาจารย์จกั เรศ อิฐรัตน์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และคณะ เป็ นทีม วิจยั หลัก ได้ดาํ เนิ นการเปิ ดตัวโครงการ การประสานแผนงานวิจยั กับทีมผูบ้ ริ หารมหาวิท ยาลัย ดําเนิ นการอบรมการทําเครื่ องมือและเก็บข้อมูล ทีมวิจยั ได้ลงเก็บข้อมูลไปแล้ว 3 ครั้งโดยการทํา Focus group กับนักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัย จากนั้นทีมวิจยั ได้นาํ ข้อมูลทั้ง 3 ครั้งมา รวบรวมและเรี ยบเรี ยงข้อมูลเพื่อนําเสนอมาตรการ ข้อเสนอแนวทางการแก้ไขที่กลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มูลได้ นําเสนอไว้ในเวทีให้กบั ผูบ้ ริ หารได้รับทราบ ทีมวิจยั พร้อมกับทีม Node Action จังหวัดอุบลฯ ได้ เข้าพบรองอธิ การบดี ฝ่ายกิ จกรรมนักศึ ก ษาพร้ อมเจ้า หน้า ที่ ที่รับผิดชอบเพื่อนําเสนอข้อมู ลและ ประสานแผนกิจกรรม มาตรการที่จะนํามาทดลองปฏิบตั ิการในปี การศึกษาหน้าที่กาํ ลังจะเปิ ดเทอม ในเดือนมิถุนายน 2555 นี้ซ่ ึ งผูบ้ ริ หารก็ได้ให้เจ้าหน้าที่กบั ทีมวิจยั ได้ร่วมกันกําหนดแผนงานร่ วมกัน เพื่อนําเข้าแผนทดลองปฏิบตั ิการ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผา่ นมาทางทีมได้ร่วมกับทางจังหวัดในการรณรงค์ “ปลอดตาย ปลอดเจ็บบนถนนสาย 24 ” โดยการประสานอาสาสมัครนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเข้า ร่ วมในการขับมอเตอร์ ไซด์สวมหมวกนิรภัยในขบวนจัดงานของจังหวัดและภาคีเครื อข่าย ปั ญหาอุปสรรคของทีมวิจยั อยูท่ ี่ทีมวิจยั ที่เป็ นนักศึกษาจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามา ทํางานวิจยั ร่ วมกันเป็ นระยะๆ ไม่มีทีมหลักที่เกาะติดตลอดเนื่องจากส่ วนใหญ่จะเป็ นนักศึกษาปี 3 – 4เป็ นส่ วนใหญ่ส่วนนักศึกษาปี 1-2 ก็จะเข้าร่ วมบ้างในบางกิจกรรม จึงทําให้กระบวนงานส่ วนใหญ่ ผูกติดกับทีมวิจยั ที่เป็ นอาจารย์และบุคลากร


124 5.5.3โครงการเสริมสร้ างการมีส่วนร่ วมของชุ มชน เพือ่ ร่ วมสร้ างวัฒนธรรมความปลอดภัย ทางถนน มี คุ ณ สงกา สามารถ จากมู ล นิ ธิ ป ระชาสั ง คม จัง หวัด อุ บ ลราชธานี แ ละคณะเป็ นที ม ดําเนิ นการ ขณะนี้ ได้จดั เวที ช้ ี แจงโครงการกับอปท.ทั้ง 3 พื้นที่คือ เทศบาลตําบลคําขวาง อบต.คู เมือง อบต.โพธิ์ ใหญ่ และสรรหาอาสาสมัครในพื้นที่เพิ่มเติมจากรายชื่ อที่ได้จากอาสาสมัครที่ทีม กลางลงมาทําเวที ขณะนี้ ได้ทาํ การเดินสํารวจสภาพพื้นที่และกําหนดจุดเสี่ ยงในชุมชนตามจุดต่างๆ ที่มกั เกิดอุบตั ิเหตุโดยทีมวิจยั ชุ มชนและเจ้าหน้าที่ในแต่ละอปท.เป็ นหลัก มีการจัดระดับความเสี่ ยง ในแต่ละจุดและลงในแผนที่ที่ทีมวิจยั ชุ มชนร่ วมกันจัดทําไว้ ขณะนี้ ได้ดาํ เนินการเสร็ จสิ้ นไปแล้ว 2 อปท.ยังเหลืออีก 1 อปท.คือพื้นที่ของเทศบาลตําบลคําขวางเนื่องจากนายกเทศมนตรี ลาออกจึงต้อง มีการเลือกตั้งใหม่ เจ้าหน้าที่และสมาชิ กสภาเทศบาลจึงไม่วา่ งในการดําเนินกิ จกรรมในพื้นที่ ใน ขณะเดียวกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผา่ นมาทางทีมได้ร่วมกับทางจังหวัดในการรณรงค์ “ปลอด ตาย ปลอดเจ็บบนถนนสาย 24 ” โดยการประสานอาสาสมัครทีมวิจยั ชุ มชนทั้ง 3 พื้นที่เข้าร่ วมใน การขับมอเตอร์ ไซด์สวมหมวกนิรภัย ในขบวนจัดงานของจังหวัดและภาคีเครื อข่าย ปั ญหาอุปสรรคของโครงการนี้ คือในพื้นที่ดาํ เนิ นการขณะนี้ มีการเลือกตั้งใหม่ 2 อปท.คือ อบต.โพธิ์ ใหญ่ เ นื่ อ งจากนายกและคณะสมาชิ ก สภาตํา บลหมดวาระ ส่ ว นเทศบาลคํา ขวาง นายกเทศมนตรี ลาออก จึงมีการเลือกตั้งใหม่และเพิ่งได้นายกเทศมนตรี คนใหม่เมื่อสัปดาห์ที่ผา่ นมา ทําให้คณะทํางานทั้งหมดต้องนัดหมายลงพื้นที่เพื่อแนะนําตัวและชี้แจงโครงการอีกครั้งกับผูบ้ ริ หาร ทั้งสองพื้นที่ แล้วจึงจะสามารถดําเนิ นการหารู ปแบบแนวทางในการกําจัดจุดเสี่ ยงในพื้นที่อย่างมี ส่ วนร่ วมได้เนื่องจากอาสาสมัครส่ วนหนึ่งทําหน้าที่เป็ นหัวคะแนนและผูส้ มัครด้วย 5.5.4 โครงการ พัฒนาสื่ อสั งคม สื่ อสาธารณะ เพื่อการสร้ างวัฒนธรรมความปลอดภัยทาง ถนน มีคุณระพินทร์ ยืนยาว เป็ นหัวหน้าโครงการได้จดั เวทีเปิ ดตัวโครงการโดยการเชิ ญตัวแทน สื่ อมวลชนจากหลายแขนงเช่นโสภณเคเบิ้ลทีวี ราชธานีเคเบิ้ลทีวี นายกสมาคมนักข่าวจังหวัดอุบลฯ หนัง สื อพิ มพ์ป ทุ ม าลัย รายการวิทยุร่วมด้วยช่ วยกัน และนัก ข่า วอิส ระอีก หลายท่า นเพื่อเปิ ดตัว โครงการและขอความร่ วมมื อในการประชาสัมพันธ์และรณรงค์เรื่ องการสร้ างวัฒนธรรมความ ปลอดภัยทางถนนภาย ขณะเดียวกันก็ได้ดาํ เนินการแผนพัฒนาศักยภาพนักสื่ อสารชุ มชนวัฒนธรรม ความปลอดภัยทางถนนโดยประสานงานกับโครงการย่อยทั้ง 3 โครงการหาอาสาสมัครที่สนใจงาน ด้านการสื่ อสารเข้ารับการอบรมการจัดรายการวิทยุ การตัดต่อเสี ยง การผลิตจิ้งเกิ้ลรายการในครั้งที่ 1 ส่ วนการอบรมครั้งที่ 2 เป็ นการอบรมเรื่ องการถ่ายทําวีดิทศั น์ส้ ัน การเขียนบทสคริ ป การตัดต่อ วีดีโอโดยการใช้โปรแกรมในคอมพิวเตอร์ อย่างง่าย เป็ นกิจกรรมที่สนุ กและได้รับความสนใจจาก


125 ชุมชนและนักศึกษาเป็ นอย่างมาก ในการอบรมส่ งผลให้มีผลงานนํามาใช้ในการรณรงค์ท้ งั ในเวป ไซด์และ Facebook ในนามกลุ่ม “Road Safety Ubon” ได้เป็ นอย่างดี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผา่ นมาทางทีมงานสื่ อได้เป็ นแกนประสานให้อาสาสมัครจากทั้ง 3 โครงการเข้าร่ วมกับทางจังหวัดในการรณรงค์ “ปลอดตาย ปลอดเจ็บบนถนนสาย 24 ” โดยการ ประสานอาสาสมัค รที มวิจยั ชุ มชนทั้ง 6 พื้นที่ และสถานศึ กษาจํา นวน 60 คนเข้า ร่ วมในการขับ มอเตอร์ ไซด์สวมหมวกนิ รภัยในขบวนจัดงานของจังหวัดและภาคีเครื อข่าย รวมทั้งประสานขอรับ การสนับสนุนหมวกนิรภัยและเสื้ อยืดจากสํานักงานป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ขนส่ ง จังหวัด นํามาแจกจ่ายกับทีมรณรงค์ ปั ญหาของทีมในขณะนี้คือทีมงานส่ วนใหญ่ที่เก่งทางไอทีเป็ นนักศึกษา ช่วงการอบรมตรง กับการสอบปลายภาคจึงทําให้แกนนําบางส่ วนไม่ส ามารถเข้าอบรมได้ ส่ วนชุ มชนชาวบ้านก็ มี จุดอ่อนในการใช้เทคโนโลยี่ ขณะนี้ ยงั ไม่มีเยาวชนในหมู่บา้ นเข้าร่ วมโครงการมากนัก จึงต้องใช้ ระยะเวลาในการสร้างความคุน้ เคยเพื่อชักชวนให้เข้าร่ วมในโครงการต่อไป 5.6 ปัญหา อุปสรรค 1.ในการดําเนิ นงานที่ผา่ นมาของโครงการ Node Action จังหวัดอุบลราชธานี พบปั ญหา อุปสรรคดังต่อไปนี้ 2.ในบางอปท.ไม่สามารถจัดเวทีได้เนื่ องจากการทํางานภายในอปท.เป็ นลักษณะของการ รวมศูนย์ อํานาจการตัดสิ นใจอยูท่ ี่ผบู้ ริ หารแต่เพียงผูเ้ ดียว การเข้าพบ การประสานงานเป็ นไป ด้วยความลําบากและใช้เวลามากเนื่องจากผูบ้ ริ หารไม่อยูใ่ นพื้นที่เป็ นส่ วนใหญ่ 3.เป็ นช่วงของการเกิดสถานการณ์น้ าํ ท่วมในจังหวัดอุบลราชธานี จึงทําให้คณะทํางานของ Node Action จังหวัดอุบลฯส่ วนใหญ่ซ่ ึ งอยูใ่ นทีมงานของหน่วยงานที่ตอ้ งไปช่วยชาวบ้านไม่ ว่างมาร่ วมประชุมและดําเนินการ 4.แผนการทํางานไม่เป็ นไปตามที่กาํ หนด เนื่องจากแต่ละกิจกรรมไม่สามารถแยกจัดได้เป็ น กิจกรรมต่อเนื่อง เมื่อมีการเลื่อนออกไปของกิจกรรมหนึ่งก็มีผลต่ออีกกิจกรรมหนึ่งไปด้วย 5.ในการพัฒนาโจทย์วิจยั อย่า งมี ส่ วนร่ วมใช้เวลาและการพูดคุ ย กับ กลุ่ ม เป้ าหมายนาน รวมทั้งการหาทีมงานที่เข้าร่ วมได้ค่อยข้างลําบาก ทําให้นกั วิชาการบางคนก็ขอถอนตัวเนื่องจาก ติดภารกิจอย่างอื่น 6. ในการพัฒนาโครงการในส่ วนของภาคีเครื อข่ายที่จะขึ้ นโครงการร่ วมกัน 1โครงการ ปรากฏว่าเมื่อลงเวทีสัญจรในพื้นที่อปท. ได้พูดคุยกับแกนนําพบว่ามีภาระงานมากไม่สามารถ จะเป็ นผูด้ ูแลโครงการที่จะขึ้นเป็ นของภาคีเครื อข่ายได้


126 7. การขึ้นโครงการย่อย 4 โครงการภายใต้ชุดโครงการใหญ่มีความล่าช้าทั้งในส่ วนของการ พัฒนาโจทย์วิจยั และการอนุ มตั ิโครงการทําให้กิจกรรมตามแผนงานดําเนิ นการต่อไปไม่ได้ 8. ระหว่างการดําเนินโครงการเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตําบลศรี ไคที่รับผิดชอบโครงการได้มี คําสัง่ ย้ายไปอีกตําบลจึงทําให้งานในพื้นที่ขาดผูป้ ระสานที่มีใจและความสามารถ ปั ญหา อุปสรรคข้างต้นคณะทํางานNode Action จังหวัดอุบลฯ ได้ดาํ เนินการ แก้ปัญหาและดําเนิ นงานได้ตามเป้ าหมายที่วางไว้แล้วเป็ นส่ วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ดีจากปั ญหา ข้างต้นได้ส่งผลต่อการดําเนินงานบางกิจกรรมที่ยงั ไม่สามารถดําเนิ นการได้เนื่ องจากระยะเวลา ยังไม่เหมาะสมในการหนุ นเสริ ม จึงเหลือกิจกรรมที่ตอ้ งยกมาดําเนินการในระยะที่ 2 จํานวน 3 กิ จกรรมคื อ 1.อบรมการเขี ยนรายงานความก้า วหน้า 2.จัดเวทีนําเสนอผลการดํา เนิ นงาน 4 โครงการ 3. ถอดบทเรี ยน/สังเคราะห์ชุดความรู้4 โครงการ ซึ่ งจะได้นาํ มาดําเนินการในระยะที่ 2 ต่อไป 5.7 แผนการดําเนินงานในระยะที่ 2 การดําเนินงานในระยะที่ 1 ซึ่ งเป็ นช่วงของการเตรี ยมคน เตรี ยมทีม เตรี ยมพื้นที่ ค้นหาข้อมูล ความรู ้ดา้ นอุบตั ิเหตุความปลอดภัยทางถนน รวมทั้งการพัฒนาโครงการ โจทย์วิจยั และการลงพื้นที่ ปฏิบตั ิการร่ วมกับทีม Node Action จังหวัดอุบลฯซึ่ งมีความก้าวหน้าในการดําเนิ นงานไปตามบริ บท ของพื้นที่และแผนการดําเนิ นงาน มีปัญหาอุปสรรคบ้างในบางแผนงานโครงการเช่ นการพัฒนา โครงการวิจยั การสร้ างวินยั จราจรในกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่ งมีคนหลากหลาย กลุ่มที่ตอ้ งประสานงานให้เข้ามาร่ วมเป็ นทีมวิจยั ซึ่ งมหาวิทยาลัยมีท้ งั หมด 11 คณะจึงต้องทําความ เข้า ใจกับคณะอาจารย์ นักศึ กษาและทีมของกลุ่ม งานกิ จกรรมนักศึ กษา ผูบ้ ริ หาร จนท้ายที่ สุดก็ สามารถขึ้นโจทย์วจิ ยั ได้อย่างมีส่วนร่ วมและชัดเจนในขั้นตอนกระบวนการทํางานร่ วมกัน แผนงานส่ วนใหญ่ได้ดาํ เนิ นการไปตามเป้ าหมายที่วางไว้ มีการเพิ่มเวทีบา้ งตามสถานการณ์ ในพื้นที่ ซึ่ งก็เป็ นการดี ทาํ ให้การจัดเวทีมีประสิ ทธิ ภาพยิ่งขึ้นเช่ น การเข้าพบผูบ้ ริ หารมหาวิทยาลัย การเข้าร่ วมในการจัดเวทีพฒั นาโจทย์วิจยั ของทีมนักวิชาการกับกลุ่มเป้ าหมายซึ่ งต้องทําหลายครั้ง มากกว่าที่กาํ หนดไว้ในแผนงาน ซึ่ งในขณะนี้ โครงการทั้ง 4 โครงการมีสถานะของโครงการคือได้ดาํ เนิ นการเก็บข้อมูลไป แล้ว 80-90 %อยูร่ ะหว่างการคืนข้อมูลสู่ เจ้าของพื้นที่ ให้ตรวจสอบความถูกต้องก่อนร่ วมกันกําหนด แนวทางในการแก้ไข ส่ วนโครงการ พัฒนาสื่ อสังคม สื่ อสาธารณะ เพื่อการสร้างวัฒนธรรมความ ปลอดภัยทางถนน ได้ดาํ เนิ นการฝึ กอบรมนักสื่ อสารความปลอดภัยทางถนนให้สามารถผลิตสื่ อ และเป็ นผูส้ ื่ อสารโดยการเป็ นผูด้ าํ เนิ นรายการ วิทยุ ทีวี รวมทั้งการทดลองผลิตสื่ อนํามาเผยแพร่ ใน facebook ในนามกลุ่ม Road Safety Ubon และร่ วมในการจัดรายการ “ร่ วมด้วยช่วยกัน”


127 โครงการในระยะที่ 2 จึงเป็ นการดําเนิ นโครงการต่อเนื่องในการหนุ นเสริ ม สนับสนุ นให้ โครงการทั้ง 4 โครงการดําเนิ นงานได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพโดยจัดให้มีเวทีสาธารณะเพื่อสื่ อสารกับ สังคม จัดกระบวนการผลักดันแผนงาน กระบวนการการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนสู่ นโยบายสาธารณะในระดับท้องถิ่น จังหวัด จากการดําเนิ นงานตามแผนในระยะที่ 1 ดังรายละเอียดในการรายงานผลการดําเนิ นงาน เบื้องต้นในหัวข้อที่ 5.1 แล้วนั้นได้มีการยกบางกิจกรรมที่ยงั ไม่สามารถดําเนิ นงานได้ในระยะที่ 1 มาดําเนินการในแผนงานระยะที่ 2 จึงได้กาํ หนดกิจกรรมใน 6 แผนงานเดิมไว้ดงั นี้ 1.แผนงานพัฒนากลไกการลดอุบัติเหตุในม.อุบลฯ - นําเสนอผลต่อเวทีประชุมจังหวัด 2. แผนงานพัฒนาศักยภาพนักวิจัยและภาคีเครือข่ ายในพืน้ ทีป่ ฏิบัติการ 2.1 การศึกษาดูงานแลกเปลี่ ยนเรี ยนรู้ กบั พื้นที่ที่ประสบความสําเร็ จในการสร้ างความ ปลอดภัยทางถนนที่ อ.เขาสวนกวาง และหมู่บา้ นรอบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2.1อบรมการเขียนรายงานความก้าวหน้า 2.2 อบรมการเขียนรายงานฉบับสมบูรณ์และการเขียนเรื่ องเล่าจากพื้นที่ 2.3 ประชุมคณะทํางาน/ คณะกรรมการ และที่ปรึ กษาเพื่อติดตามสถานการณ์โครงการ การ จัดทําแผนสนับ สนุ นการทํางานในพื้นที่ปฏิ บตั ิ การ และการเชื่ อมประสานความร่ วมมือกับภาคี เครื อข่ายจังหวัดอุบลราชธานี 3. แผนงานพัฒนาโครงการวิจัย ติดตาม หนุนเสริม 3.1 ลงพื้นที่ติดตามสนับสนุนงานเป็ นระยะๆ 3.2 จัดเวทีนาํ เสนอผลการดําเนินงาน 4 โครงการ 3.3 จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้ขา้ มประเด็น 4 โครงการ 3.4 ถอดบทเรี ยน/สังเคราะห์ชุดความรู ้4 โครงการ 4. แผนงานผลักดันสู่ นโยบายสาธารณะ 4.1 เวทีระดมความคิดเห็นในการนําเสนอประเด็นที่จะนํามากําหนดเป็ นนโยบาย 4.2 นักวิชาการนําประเด็นมาสกัดปั ญหาและหาข้อเสนอเพื่อพัฒนาเป็ นเอกสารเชิงวิชาการ 4.3 เปิ ดเวทีประชาพิจารณ์กบั กลุ่มผูเ้ กี่ยวข้อง เพื่อหาฉันทามติ 4.4 นัก วิช าการพิจารณาปรั บ ปรุ ง ร่ างข้อเสนอและประชุ ม ร่ วมกันแกนนําเครื อข่ ายเพื่อ เตรี ยมเอกสารนําเข้ายุทธศาสตร์ จงั หวัด 4.5 นําข้อเสนอสู่ ยทุ ธศาสตร์ จงั หวัด 5. แผนงานสื่ อสารสาธารณะ 5.1 ผลิตวีดีทศั น์ การทํางานของ 4 โครงการ


128

ในพื้นที่

5.2 ผลิตหนังสื อเล่มเล็ก 6.แผนงานประเมินผลภายใน 6.1 พัฒนาความสามารถในการ วิเคราะห์และกําหนดเป้ าหมายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง

6.2 ถอดบทเรี ยนภาพรวมการดําเนินงานของโครงการ(Retrospect)เพื่อกําหนดทิศทางการ ทํางานอย่างต่อเนื่องในอนาคต 6.3 เขียนรายงานผลการประเมินภายใน รายละเอียดแผนปฏิบัติการ วัตถุประสงค์ ก.หมวดดําเนินงาน โครงการ 1.เพื่อสนับสนุนให้ นักวิชาการ นักศึกษาและ บุคลากรในมหาวิทยาลัย อุบลราชธานีรวมทั้งภาคี เครื อข่าย ชุมชน อปท. รอบๆมหาวิทยาลัยเข้ามามี ส่ วนร่ วมในการดําเนินการ แก้ไขปั ญหาความปลอดภัย ทางถนนของนักศึกษาและ ชาวบ้าน 2.เพื่อพัฒนาให้เกิดระบบ การจัดการฐานข้อมูลที่ เหมาะสมเรื่ องความ ปลอดภัยทางถนนอย่างมี ส่ วนร่ วมของภาคีเครื อข่าย 3.เพื่อแสวงหา และพัฒนา ศักยภาพแกนนํา Change

แผนงาน/ กิจกรรม 1.แผนงานพัฒนา กลไกการลดอุบตั ิเหตุ ในม.อุบลฯ 1.1นําเสนอผลต่อเวที ประชุมจังหวัด

วิธีการดําเนินงาน

ตัวชี้วดั

- ให้ตวั แทนกลไก การสร้างวัฒนธรรม ความปลอดภัยทาง ถนน นําข้อมูล ผล การขับเคลื่อนงาน ไปนําเสนอเพื่อเป็ น การเผยแพร่ ขอ้ มูล ให้กบั องค์กร หน่วยงานในจังหวัด ให้ทราบเพื่อการ ขยายผลต่อไป

- ทีมกลไกภาคี เครื อข่ายมีการ นําเสนอผลการ ดําเนินงานต่อที่ ประชุมระดับจังหวัด ทุก 3 เดือน


129 วัตถุประสงค์ Agent ในด้านการสร้าง วัฒนธรรมความปลอดภัย ทางถนนในพื้นที่ อปท. 6 แห่ง

แผนงาน/ กิจกรรม

วิธีการดําเนินงาน

ตัวชี้วดั

4.เพื่อสนับสนุน ติดตาม และหนุนเสริ มให้เกิด โครงการและงานวิจยั เพื่อ ท้องถิ่นด้านการสร้าง วัฒนธรรมความปลอดภัย ทางถนนให้ได้อย่างน้อย 4 โครงการ 5.เพื่อวิเคราะห์และ สังเคราะห์ชุดความรู ้จาก การดําเนิ นโครงการทั้ง 4 โครงการเพื่อขับเคลื่อนสู่ การสร้างกระบวนการ นโยบายสาธารณะด้าน ความปลอดภัยทางถนน 6.เพื่อเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์สร้าง ความรู ้ ความเข้าใจ ขยาย ผลกับประชาชน องค์กร ต่างๆในการสร้าง วัฒนธรรมความปลอดภัย ทางถนน

2. แผนงานพัฒนา ศักยภาพนักวิจัยและ ภาคีเครือข่ ายในพืน้ ที่ ปฏิบัติการ 2.1อบรมการเขียน รายงาน ความก้าวหน้า 2.2 อบรมการเขียน รายงานฉบับ สมบูรณ์และเขียน เรื่องเล่ าจากพืน้ ที่ 2.3 ประชุม คณะทํางาน/ คณะกรรมการ และที่ ปรึ กษาเพื่อติดตาม สถานการณ์โครงการ การจัดทําแผน สนับสนุนการทํางาน ในพื้นที่ปฏิบตั ิการ และการเชื่อมประสาน ความร่ วมมือกับภาคี เครื อข่าย จังหวัดอุบลราชธานี (6 ครั้ง)

-อบรมเชิงปฏิบตั ิการ การเขียนรายงาน ความก้าวหน้าและ รายงานฉบับ สมบูรณ์แก่ทีมวิจยั โดยใช้ขอ้ มูลที่ได้ ปฏิบตั ิการไปแล้วใน พื้นที่นาํ มารวบรวม เรี ยบเรี ยงอย่างมี ส่ วนร่ วมกับทีมวิจยั

-ทีมวิจยั สามารถ เขียนรายงานได้ อย่างมีประสิ ทธิ ภา -ได้รายงาน ความก้าวหน้าการ ดําเนินงานและ รายงานฉบับ สมบูรณ์

-จัดประชุม คณะทํางานกลาง และทีมอาสาสมัคร

-คณะทํางานกลาง และอาสมัครมีความ เข้าใจและร่ วมให้ ความคิดเห็นรวมทั้ง ปฏิบตั ิการร่ วมใน การลดอุบตั ิเหตุและ สร้างความปลอดภัย ทางถนน


130 วัตถุประสงค์ 7.เพื่อเสริ มพลัง (Empowerment)ให้กบั 4 โครงการโดยใช้การ ประเมินผล มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้าง ผลลัพธ์ทาง การเรี ยนรู ้ มุ่งการ วิเคราะห์ วินิจฉัย ปรากฏการณ์ เพื่อพัฒนา เน้นการเรี ยนรู ้ตรวจสอบ ตนเองและการทํางาน อย่างต่อเนื่ อง ตลอดจน พัฒนาศักยภาพ รวมทั้ง ความไว้วางใจระหว่างกัน ของผูด้ าํ เนินโครงการและ ผูม้ ีส่วนได้เสี ย ดังนั้น เพื่อให้การประเมินเป็ นไป เพื่อการพัฒนาศักยภาพผู ้ ทํางานให้สามารถ ปฏิบตั ิงานได้บรรลุผล สําเร็ จตามเป้ าหมาย จึง กําหนดวัตถุประสงค์ของ การทํางานไว้ดงั นี้ 8. เพื่อพัฒนา ความสามารถในการ วิเคราะห์และกําหนด เป้ าหมายเพื่อสร้างการ เปลี่ยนแปลง 9. เพื่อพัฒนา ความสามารถในการ

แผนงาน/ กิจกรรม วิธีการดําเนินงาน 3. แผนงานพัฒนา โครงการวิจัย ติดตาม หนุนเสริม 3.1 ลงพื้นที่ติดตาม สนับสนุนงานเป็ น ระยะๆ (4 โครงการ ๆ ละ 3 ครั้ง รวม 12ครั้ง) 3.2 จัดเวทีนาํ เสนอผล การดําเนิ นงาน 4 โครงการ 3.3 จัดเวทีแลกเปลี่ยน เรี ยนรู ้ขา้ มประเด็น 4 โครงการ 3.4 ถอดบทเรี ยน/ สังเคราะห์ชุดความรู ้4 โครงการ

ตัวชี้วดั -เกิดโครงการวิจยั ประเด็นการลด อุบตั ิเหตุ 4 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการวิจยั รู ปแบบ กฎเกณฑ์ และวิธีการ เสริ มสร้าง วัฒนธรรมความ ปลอดภัยบนท้อง ถนนที่สนับสนุน การ

การใช้กระบวนการ บังคับใช้กฎหมาย งานวิจยั เพื่อท้องถิ่น เกี่ยวกับการจราจร ในการขับเคลื่อน 2.การสร้าง วัฒนธรรมความ ปลอดภัยทางถนน แก่นกั ศึกษา 3. สื่ อสารวัฒนธรรม


131 วัตถุประสงค์ เชื่อมโยงคน เชื่ อมโยง ความคิดและเชื่อมโยง ทรัพยากรในท้องถิ่น

แผนงาน/ กิจกรรม

วิธีการดําเนินงาน

4. แผนงานผลักดันสู่ นโยบายสาธารณะ 4.1 เวทีระดมความ คิดเห็นในการนําเสนอ ประเด็นที่จะนํามา กําหนดเป็ นนโยบาย 4.2 นักวิชาการนํา ประเด็นมาสกัดปั ญหา และหาข้อเสนอเพื่อ พัฒนาเป็ น เอกสารเชิงวิชาการ 4.3 เปิ ดเวทีประชา พิจารณ์กบั กลุ่ม ผูเ้ กี่ยวข้อง เพื่อหา ฉันทามติ 4.4 นักวิชาการ พิจารณาปรับปรุ งร่ าง

-ประสาน นักวิชาการรวบรวม ข้อมูล ความรู ้ จาก ภาคีเครื อข่ายและจัด เวทีระดมความ คิดเห็น ในการ นําเสนอประเด็นที่ จะนํามากําหนดเป็ น นโยบาย -นักวิชาการ วิเคราะห์และ สังเคราะห์ชุดความรู ้ จากการดําเนิน โครงการวิจยั เพื่อ ท้องถิ่นด้านการ สร้างวัฒนธรรม ความปลอดภัยและ

ตัวชี้วดั ความปลอดภัยทาง ถนน 4.รู ปแบบการ สร้างวัฒนธรรม ความปลอดภัยทาง ถนนจังหวัดอุบลฯ (โครงการจากภาคี เครื อข่าย) - เกิดชุดความรู้ รู ปแบบในการ ขับเคลื่อนการสร้าง วัฒนธรรมความ ปลอดภัยทางถนน อย่างน้อย4 เรื่ อง - เกิดกลุ่ม นักวิชาการที่มีความ เข้าใจ และเป็ น วิทยากรแกนนําใน การสร้างวัฒนธรรม ฯ -เกิดแผนงานใน ระดับพื้นที่ และ จังหวัด -เกิดพื้นที่รูปธรรม4 โครงการ -โครงการวิจยั ถูก นําไปใช้ประโยชน์ และขยายผลสู่ หน่วยงานต่างๆของ ภาคีเครื อข่าย -มีแผนงาน


132 วัตถุประสงค์

แผนงาน/ กิจกรรม ข้อเสนอและประชุม ร่ วมกันแกนนํา เครื อข่ายเพื่อเตรี ยม เอกสารนําเข้า ยุทธศาสตร์ และ สมัชชาชาติ 4.5 นําข้อเสนอสู่ ยุทธศาสตร์ จงั หวัด และสมัชชาสุ ขภาพ 5. แผนงานสื่ อสาร สาธารณะ 5.1 ผลิตวีดีทศั น์ การ ทํางานของ 4 โครงการ 5.2 ผลิตหนังสื อเล่ม เล็ก

วิธีการดําเนินงาน ขับเคลื่อนสู่ การ สร้างกระบวนการ นโยบายสาธารณะ ด้านความปลอดภัย ทางถนน

-ดําเนิ นการติดตาม และถ่ายทําการทํา งานของทั้ง 4 โครงการตั้งแต่เริ่ ม ดําเนินงานจนเสร็ จ สิ้ นโครงการ -ถอดบทเรี ยนและ สังเคราะห์องค์ความ รู ้เพื่อนํามาจัดทําเป็ น หนังสื อ 2 เรื่ อง 6.แผนงานประเมินผล เริ่ มดําเนินการ หลังจากโครงการ ภายใน ย่อยทั้ง 4 โครงการ 6.1 พัฒนา ความสามารถในการ ดําเนินงานได้2- 3 วิเคราะห์และกําหนด เดือนโดย -จัดเวทีถอดบทเรี ยน เป้ าหมายเพื่อ สร้างการเปลี่ยนแปลง ภาพรวมการ ดําเนินงานของทั้ง 4 ในพื้นที่ โครงการเพื่อกําหนด 6.2 ถอดบทเรี ยน ทิศทางการทํางาน ภาพรวมการ วัฒนธรรมความ

ตัวชี้วดั โครงการด้าน วัฒนธรรมความ ปลอดภัยทางถนน เข้าไปในแผนของ จังหวัดและท้องถิ่น

-มีการ ผลิตวีดิทศั น์ 4 เรื่ องใน 3 ปี -เขียนหนังสื อเล่ม เล็ก 2 เรื่ อง

- ขณะนี้ได้ ดําเนินการไปแล้ว ในระยะที่1จํานวน 2 ครั้ง คงเหลือ 2 ครั้ง ในระยะที่ 2 -คณะทํางาน โครงการย่อยทั้ง 4 โครงการสามารถ ปรับปรุ ง แก้ไข -แผนการดําเนิ นงาน ได้อย่างมี


133 วัตถุประสงค์

แผนงาน/ กิจกรรม ดําเนินงานของ โครงการ (Retrospect)เพื่อ กําหนดทิศทางการ ทํางานอย่างต่อเนื่ อง ในอนาคต 6.3 เขียนรายงานผล การประเมินภายใน

วิธีการดําเนินงาน ปลอดภัยอย่าง ต่อเนื่องในอนาคต - เขียนรายงานผล การประเมินภายใน

ตัวชี้วดั ประสิ ทธิภาพ ได้ผล ลัทธ์ตามเป้ าหมายที่ วางไว้


บรรณานุกรม กฤตพงศ์ โรจน์รุ่งศศิธร. 2549 . สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุจราจรของผู้ขับขี่ยวดยานในเขตนิคมอุตสาหกรรม แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ปริ ญญารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะ วิทยาลัยการบริ หารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา กัลยาณี พรมทอง. 2546. ความสั ม พั น ธ์ ระหว่ า งความฉลาดทางอารมณ์ กั บ ภาวะผู้ นํา การเปลี่ ย นแปลงของผู้ บ ริ ห ารในวิ ท ยาลั ย พลศึ ก ษา สารนิ พ นธ์ กศ.ม. (สาขาบริ หารการศึกษา). กรุ งเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ . ชูศกั ดิ์ หทัยธรรม และสรชัย หลําสาคร. 2543. ปัจจัยทีม่ ีความสั มพันธ์ กบั การเกิดอุบัติเหตุในนักศึกษา วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ. วารสารสาธารณะสุ ขมูลฐาน ภาคกลาง,16 (1), หน้า 45-55. ณัฎฐ์สิตา ศิริรัตน์ . 2549. การมีอทิ ธิพลอย่ างมีอุดมการณ์. (ออนไลน์ ). แหล่งข้ อมูล : http://www.nidtep.go.th/emag/research/data/aboutus.htm. วันที่สื บค้ น 10 กรกฎาคม 2550 ตวงรัตน์ จินตชาติ. 2546. ภาวะผู้ นํา การเปลี่ ย นแปลงทีม่ ีต่อความผูกพันต่ อองค์ การของพนักงาน องค์ การค้ าครุ ส ภา ศึ ก ษาเฉพาะภาคการค้ า .ปริ ญญาบริ หารธุ รกิจมหาบัณฑิต. (สาขาวิชาการ จัดการ). กรุ งเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ. ทิ พ วรรณ โอษคลัง .2549. ความสั ม พั น ธ์ ระหว่ า งพ ฤ ติ ก ร ร ม ภ า ว ะ ผู้ นํ า การเปลี่ ย นแปลงของ ผู้บริหารสถานศึกษากับความผูกพันต่ อสถานศึกษาของครู สั งกัดสํ านักงานการประถมศึกษา จังหวัดขอนแก่ น. ปริ ญญาการศึกษามหาบัณฑิต .(สาขาบริ หารการศึกษา).เลย: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎเลย. ประยูร ศรัประสาธน์. 2542. รายงานการวิจัย เรื่อง ปัจจัยทีส่ ่ งผลต่ อการมีส่วนร่ วม ในการดําเนินงานของ ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ จํ า โ ร ง เ รี ย น ป ร ะ ถ ม ศึ ก ษ า . ป ทุ ม ธ า นี . มหาวิทยาลัยสุ โขทัยธรรมาธิ ราช ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม. แลหน้ าเศรษฐกิจสั งคมไทย. (ออนไลน์ ). แหล่งทีม่ า : http://www.thailabour.org/thai/news/47120601.html. สื บค้ น วันที่ 25 มกราคม 2555. มูหมั มัดมันซูร หมัดเร๊ าะ . 2551. อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับต่ อสั งคมมลายูในจังหวัดปัตตานี วิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี วิชุดา โค้วธนพานิช โครงการ “การศึกษาและพัฒนาคู่มือการสํ ารวจและวิเคราะห์ จุดเสี่ ยง เพือ่ ความปลอดภัยทางถนนอย่ างมีส่วนร่ วม จ.มหาสารคาม” คู่มือจัดการ ‘จุดเสี่ ยง’ ทางถนนใน ชุมชน ศูนย์วชิ าการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุ ขแห่งชาติ (มสช.) วิชิต นันทสุ วรรณ และจํานงค์ แรกพินิจ. 2541. " บทบาทของชุ มชนกับการศึกษา ". รายงานการศึกษา วิจัยเสนอสํ านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่ งชาติ. กรุ งเทพฯ : สํานักนายกรัฐมนตรี 0


135 วิเชียร มุริจนั ทร์ . 2541. ภูมิหลังของผู้ประสบอุบัติเหตุขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ . วิทยานิพนธ์ ครุ ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการศึกษาศาสตร์ , บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิรัช วิรัชนิภาวรรณ. 2546. การบริหารและจัดการเทศบาลในยุคปฏิรูปการเมือง. กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์โฟร์ เฟซ , วาสนา สายเสมา .2548. พฤติกรรมป้องกันอุบัติเหตุในการขับขี่จักรยานยนต์ รับจ้ าง ในอําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม วิทยานิพนธ์ ศิลปะศาสตร์ สาขาจิตวิทยาชุมชน มหาวิทยาลัยศิลปากร ศุภกิจ สานุสัตย์. 2546. ความสั มพันธ์ ระหว่างภาวะผู้นําการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียนกับ ความพึงพอใจในการปฏิ บั ติ ง านของครู ผู้ ส อนในโรงเรี ยนประถมศึ ก ษาสั งกัด สํ า นั ก งานการ ประถมศึกษา จังหวัดขอนแก่ น. ปริ ญญาการศึกษามหาบัณฑิต. (สาขาบริ หารการศึกษา).เลย : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎเลย. ศูนย์อาํ นวยการความปลอดภัยทางถนน กรมป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัย. 2552-2555. แผนแม่ บทความ ปลอดภัยทางถนน 2552-2555 สนิท รัตนศฤงค์ .2553. การประเมินผลของโครงการปรับปรุงแก้ไขจุดเกิดอุบัติเหตุ ศึกษากรณีเส้ นทาง สาย นม.1020 แยกทางหลวงหมายเลข 2 – บ้ านหนองปลิง อําเภอเมือง จังหวัดนครราชสี มา วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต การบริ หารงานก่อสร้างและสาธารณูปโภค สาขาวิชาวิศวกรรม โยธา สานักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี สมควร ไกลพน. 2546 . แบบภาวะผู้นําการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สั ง กั ด กรมสามัญศึกษา จังหวัดขอนแก่น. ปริ ญญาการศึกษามหาบัณฑิต. ( สาขาบริ หารการ ศึกษา). เลย : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎเลย. สุ ชาดา จักรพิสุทธิ์ . 2547 “การศึกษาทางเลือกของชุ มชน”, วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 27 (4) : 18 – 23. อคิน รพีพฒั น์. 2547. การมีส่วนร่ วมของประชาชนในงานพัฒนา. กรุงเทพฯ : ศูนย์การศึกษานโยบายสาธารณสุ ข, อุมาภรณ์ ไชยแก้ว .2550. บทบาทของผู้บริหารองค์ การบริหารส่ วนตําบลในการปฏิบัติงานการป้องกัน อุบัติเหตุจราจร ตามมาตรการ 6E กรณีศึกษาจังหวัดเชียงราย


ภาคผนวก


กิจกรรมภาพ

ทําความเข้าใจร่ วมกับผูบ้ ริ หารมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและ นายก อปท. ทั้ง 6 พื้นที่

ผูว้ า่ ราชการจังหวัดเปิ ด เวทีช้ ีแจงโครงการ “ร่ วมสร้างอนาคต เพื่อลดอุบตั ิเหตุ”

ประชุมคณะทํางานกลางเพื่อวางแผนปฏิบตั ิการในพื้นที่


เคลื่อนงาน จัดเวทีสัญจรใน พื้นที่ 6 อปท.เป้ าหมาย

การพัฒนาโจทย์วจิ ยั และโครงการย่อยทั้ง 4 ประเด็น


เวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทํางานลดอุบตั ิเหตุ

เวทีรายงานความก้าวหน้าของ 4 โครงการย่อย

อบรมให้ความรู ้เกี่ยวกับอุบตั ิเหตุโดยผูเ้ ชี่ยวชาญ


การติดตามหนุนเสริ ม สนับสนุนโครงการย่อยทั้ง 4 โครงการ



ประวัตินกั วิจยั หลัก ชื่อ 1. การศึกษา

นางสาว กาญจนา ทองทัว่ ปริ ญญาตรี ศิลปศาสตร์ บณั ฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปริ ญญาโท ศิลปศาสตร์ มหาบัณฑิต พัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริ หารศาสตร์ 2. ประสบการณ์ การทํางาน 2.1 นักวิชาการผลิตภัณฑ์อาหาร ศูนย์พฒั นาประมงนํ้าจืด กรมประมง (ปี 2526 – 2530) 2.2 อาจารย์พิเศษคณะเกษตรศาสตร์ และคณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี (ปี 2530 - 2553) 2.3 อาจารย์พิเศษคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ปี 2543 - 2545) 2.4 อาจารย์พิเศษคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี(ปี 2549 - ปั จจุบนั ) 2.5 กรรมการที่ปรึ กษาวิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์ ของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา คณะศิลปศาสตร์ คณะบริ หารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี 2551-2553 2.6 คณะกรรมการจริ ยธรรมการวิจยั ในมนุษย์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ปี 2550-ปั จจุบนั ) 2.7 กรรมการประจําคณะผูท้ รงคุณวุฒิคณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัอุบลราชธานี(ปี 2552-ปั จจุบนั ) 2.8 คณะทํางานกองทุนเพื่อสังคม (SIF) จังหวัดอุบลราชธานี (ปี 2540 - 2542) 2.9 คณะทํางานกองทุนเพื่อสังคม (SIF) ภาค 6 (ปี 2540 - 2542) 2.10 ทีมพัฒนาโครงการ กองทุนเพื่อสังคม จังหวัดอุบลราชธานี (SIF) (ปี 2542 - 2543) 2.11 วิทยากรหลักสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดอุบลราชธานี (ปี 2542 - 2543) 2.12 วิทยากรทบวงมหาวิทยาลัยโครงการบัณฑิตอาสา (ปี 2542 - 2543) 2.13 คณะกรรมการมูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี ( ปี 2543 – ปั จจุบนั ) 2.14 คณะทํางานองค์กรชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี ฝ่ ายติดตามและประเมินผล สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ปี 2543 2.15 คณะกรรมการมูลนิธิพิทกั ษ์ธรรมชาติเพื่อชีวติ อุบลราชธานี (ปี 2535 - ปั จจุบนั ) 2.16 คณะกรรมการกลัน่ กรองโครงการสมัชชาสุ ขภาพปี 2551-52 สํานักงาน สุ ขภาพแห่งชาติ 2.17 คณะกรรมการการพัฒนาการวิจยั ระบบสุ ขภาพเพื่อสนับสนุนธรรมนูญว่าด้วยระบบ


2.18 2.19 2.20 2.21 2.22 2.23 2.24 2.25 2.26

สุ ขภาพแห่งชาติ (ปี 2552-ปั จจุบนั ) คณะกรรมการจัดงานสมัชชาสุ ขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3-4 (ปี 2553-54) สํานักงาน สุ ขภาพแห่งชาติ คณะอนุกรรมการบริ หารสมัชชาสุ ขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3-4 (ปี 2553-54) สํานักงาน สุ ขภาพแห่งชาติ คณะอนุกรรมการวิชาการสมัชชาสุ ขภาพแห่งชาติครั้งที่ 4 (ปี 2554) สํานักงาน สุ ขภาพแห่งชาติ คณะทํางานจัดประชุมวิชชาการ “๑ ทศวรรษวิชชา สมัชชาสุ ขภาพ” ปี 2554 สํานักงานสุ ขภาพแห่งชาติ คณะอนุกรรมการวิชาการ “๑ ทศวรรษวิชชา สมัชชาสุ ขภาพ” ปี 2554 สํานักงานสุ ขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการส่ งเสริ มการเรี ยนรู ้ชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ สํานักงานกองทุนสนับสนุ น การสร้างเสริ มสุ ขภาพ (สสส. )ปี 2553 ผูอ้ าํ นวยการสถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น มูลนิธิประชาสังคม จ.อุบลราชธานี ( ปี 2551-ปัจจุบนั ) เจ้าของธุ รกิจร้านอุบลโฟโต้ (ปี 2530 - ปั จจุบนั ) นักวิจยั อิสระ ( ปี 2545 – ปั จจุบนั )

3. ผลงานวิจัย 3.1 การจัดการป่ าด้วยวิถีชุมชน : กรณี ศึกษา บ้านเตยงาม ตําบลนํ้าสวย อําเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ภาคนิพนธ์ ศิลปศาสตร์ มหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒน บริ หารศาสตร์ ( ปี 2545 ) 3.2 งานวิจยั โครงการรู ปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์บา้ นวังอ้อ ต.หัวดอน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ได้รับรางวัลงานวิจยั ดีเด่นจากสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.)ปี 2546 3.3 ทีมสังเคราะห์ โครงการสังเคราะห์พลังการวิจยั ท้องถิ่นภาคอีสานจากสํานักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจยั ( สกว.) ปี 2551 3.4 หัวหน้าชุดโครงการวิจยั เสริ มสร้างศักยภาพนักวิชาการให้เป็ นนักวิจยั แบบPARเพื่อ พัฒนาท้องถิ่น ปี 2549-50 ได้รับรางวัลงานวิจยั ดีเด่นจากสํานักงานกองทุนสนับสนุน การวิจยั สกว.ปี 2551 3.5 หัวหน้าชุดโครงการวิจยั นักวิชาการกับงานวิจยั เพื่อท้องถิ่นระยะที่2จากสํานักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.)ปี 2551-52 3.6 หัวหน้าชุดโครงการวิจยั การสนับสนุนการทําวิจยั เชิ งปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่ วมใน


รายวิชาการศึกษาอิสระของนักศึกษาระดับปริ ญญาตรี ของสถาบันการศึกษาในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี จากสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.)ปี 2552 3.7 หัวหน้าชุดโครงการวิจยั รู ปแบบในการขับเคลื่อน หนุนเสริ มงานวิจยั เพื่อท้องถิ่นในระบบ การทํางานวิจยั ของมหาวิทยาลัย:กรณี ศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานีจากสํานักงานกองทุน สนับสนุนการวิจยั (สกว.) ปี 2553 3.8 งานวิจยั ประเมินโครงการพันธมิตรการสร้างสุ ขภาพ กรณี ศึกษา จังหวัดอุบลราชธานี จากสํานักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริ มสุ ขภาพ ( สสส.) ปี 2549 3.9 งานวิจยั โครงการศึกษากระบวนการพัฒนาหลักประกันสุ ขภาพแบบมีส่วนร่ วม ในระดับพื้นที่ จากสํานักงานหลักประกันสุ ขภาพ ( สปสช. ) ปี 2550 3.10 โครงการวิจยั รู ปแบบการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เครื อข่ายควาย–วัวบ้านหนองผือ ตําบลโนนกาเล็น อําเภอสําโรง จังหวัดอุบลราชธานี จากสํานักงานคณะกรรมการการ อุดมศึกษา ( สกอ.) ปี 2549 3.11 โครงการวิจยั และพัฒนารู ปแบบการท่องเที่ยวเชิงอนุ รักษ์กลุ่มเครื่ องปั้นดินเผา ตําบลปทุม อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี จากสํานักงานคณะกรรมการการ อุดมศึกษา( สกอ.) ปี 2549 4. ผลงานทางวิชาการ 4.1 เอกสารประกอบการสอน กาญจนา ทองทัว่ . 2553. เอกสารประกอบการสอนตามหลักสู ตรมหาวิทยาลัย รายวิชา 1451301เทคนิ คการฝึ กอบรมเพื่อการพัฒนา(Techniques for Training in Development)คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 4.2 งานแต่ ง เรียบเรียง แปลหนังสื อ หรือเขียนบทความทางวิชาการ (1) หนังสื องานเขียน นวตกรรมสร้างสุ ขปี 2547 “ โรงรี ยนโรงสี ชุมชนคนปลูกข้าวลุ่มนํ้า โขง” จากสํานักงานปฏิรูประบบสุ ขภาพแห่งชาติ(สปรส.) ตีพิมพ์ กันยายน 2547 (2) หนังสื องานเขียน นวตกรรมสร้างสุ ข ปี 2548 “ศูนย์พฒั นาคุณธรรมป่ าดงใหญ่ วังอ้อ คืนคนดี สู่ สังคม ” จากสํานักงานปฏิรูประบบสุ ขภาพแห่งชาติ ตีพิมพ์ กรกฏาคม 2548 (3) งานเขียน นวตกรรมสร้างสุ ข ปี 2549 “จิต ชีวติ พอเพียงที่ศูนย์พลาญข่อย ” จากสํานักงานปฏิรูประบบสุ ขภาพแห่งชาติ( สปรส. ) (4) งานเขียน นวตกรรมสร้างสุ ข ปี 2549 “ บ้านเปื อย โรงเรี ยนวิถีพุทธ” จาก สํานักงานปฏิรูประบบสุ ขภาพแห่งชาติ ( สปรส. ) (5) หนังสื องานเขียน โครงการพัฒนาเครื อข่ายภาคประชาสังคมในการส่ งเสริ มและ คุม้ ครองสิ ทธิ มนุษยชนฯ ปี 2549 “ บ้านดอนยูง :พลังเยาวชนเพื่อการเปลี่ยนแปลง สังคม ” จากมูลนิธิสาธารณสุ ขแห่งชาติ( มสช. ) ตีพิมพ์ เมษายน 2549 (6) หนังสื องานเขียน กระบวนการเรี ยนรู ้อย่างมีความสุ ขที่ โรงเรี ยนบ้านคูเมือง :


ตีพิมพ์มกราคม 2551 จากสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.) (7) หนังสื องานเขียน เติมหัวใจให้สังคม คนดี ความดี สู่ สังคมอุบลราชธานี :ตีพิมพ์ สิ งหาคม 2552 จากมูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี (8) หนังสื องานเขียน”ลีลาวิจยั ไทบ้าน”พิมพ์ครั้งที่1 ธันวาคม 2550 พิมพ์ครั้งที่2 ตุลาคม 2552จากสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.)


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.