ลงมือทำลดอุบัติเหตุทางถนน

Page 1

ลงมือทำ ลดอุบัติเหตุทางถนน ตัวอย่างดีดีที่ทำได้


จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัติเหตุ รพ.มหาราช จ.นครศรีธรรมราช

อาการประหม่า แสดงออกมาทางแววตา แพทย์หนุ่ม กระสับกระส่าย เขาเริ่มนับ 1-2-3-4 พร้อมผ่อนคลายลมหายใจเข้าออกยาวๆๆ ภารกิจ ของเขาครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เวทีประชุมคณะกรรมการระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัด คนใหม่พร้อมกับส่วนราชการที่สำคัญระดับจังหวัดทุกหน่วยงาน จะเริ่ม ขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขาและทีมเตรียมข้อมูลเพื่อนำเสนอ แต่วาระการประชุมเรื่องการ ลดอุ บั ติ เ หตุ ถู ก จั ด เอาไว้ ท้ า ยสุ ด นั่ น เท่ า กั บ ความหวั ง ที่ จ ะให้ ผู้ ว่ า ราชการจังหวัดหันมาสนใจข้อมูลลดน้อยลงไป


นพ.ต่อพงศ์ ครองไตรเวทย์ นายแพทย์หนุ่มเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ประจำหน้าห้องฉุกเฉิน รพ.มหาราช จ.นครศรีธรรมราช เริ่มเครียดขึ้นมาอีกรอบ เพราะรุ่นพี่ พยาบาล เคย พยายาม เตรียมข้อมูลอุบัติเหตุในการนำเสนอเวทีระดับจังหวัดมาหลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ “ผมเริ่มเครียดเพราะว่าเตรียมข้อมูลมาเยอะมาก ถ้าได้คิวสุดท้าย คงแย่แน่เพราะว่า ความสนใจของที่ประชุมจะอยู่ที่ 2-3 วาระแรกเท่านั้น คิวสุดท้ายไม่มีใครอยากฟังเราแน่” โชคดีเป็นของเขาเมื่อคนประสานงานวาระการประชุมอยู่ในทีมเดียวกัน หันมาบอกว่า “หมอคิวสุดท้ายไม่ดีแน่

จะขยับมาคิวแรกๆ บอกว่าหมอจะรีบไปผ่าตัดนะ” แพทย์หนุ่มพยักหน้ารับทันทีเพราะตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก จุดเริ่มต้นของการเชื่อมภาคีลดอุบัติเหตุในจังหวัด นครศรีธรรมราช จะเดินหน้าต่อไปได้ คือการผลักดันข้อมูลให้ ทุกหน่วยงานเข้ามาร่วมและเป็นเจ้าของร่วมกัน ข้อมูลต้องไม่จบอยู่แค่หน้าห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล หรือหน่วยงานไม่กี่แห่ง แต่ต้องเชื่อมข้อมูลให้ถึงทุกหน่วยงาน

1. ข้อมูลเชื่อมภาคีจังหวัด

การรวบรวมข้อมูลในระดับพื้นที่และการจัดระบบการนำเสนอข้อมูลที่ดี คือคีย์ที่สำคัญในการสร้างเครือข่ายและ เชื่อมโยงหน่วยงานในระดับจังหวัดให้เข้ามาร่วมกันทำงาน “ผมโชคดีที่ตอนเรียน เวชศาสตร์ฉุกเฉินที่ รพ.ราชวิถี มีแพทย์หลายท่านมีวิธีการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจ” ระฆังนับหนึ่ง แพทย์หนุ่มเริ่มนำเสนอข้อมูล ด้วยการท้าให้ผู้เข้าร่วมประชุมช่วยกันนับผู้ขับขี่มอเตอรไซค์ในจังหวัด ทุกสี่แยกว่ามีคนสวมหมวกกันนิรภัยกี่คนเพื่อเพิ่มความสนใจ ท้าทายเพื่อกระตุ้นคำถามก่อนที่จะตอกย้ำข้อมูล สถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งชัดเจนว่า สถิติการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดมาจากการขับขี่มอเตอรไซค์ ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตส่วนใหญ่บาดแผลเกิดขึ้นที่บริเวณศีรษะ และเสียชีวิตในช่วงอายุระหว่าง 20-25 ปี ข้อมูลที่ชัดเจน บวกกับการนำเสนอที่ตรงจุดแปลกใหม่การนำเสนอในวันนั้นสามารถจุดประกายและสร้างความ สนใจ ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งพึ่งเข้ามารับตำแหน่งหมาดๆ สั่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดเพื่อให้เกิดการทำงานอย่าง บูรณาการร่วมกันทุกหน่วยงานทันที “พอดีผมไปได้เทคนิคมาจากเครือข่ายจังหวัดขอนแก่นบอกว่าเทคนิคที่สำคัญที่ถือเป็นจุดเปลี่ยน คือช่วงรอยต่อ นโยบายใหม่ ระหว่างการเปลี่ยนแปลงผู้ว่าราชการต้องเข้าไปนำเสนอข้อมูลให้ได้”

2. ร่วมเป็นเจ้าของปัญหา

หลังจากการนำเสนอข้อมูลอุบัติเหตุในเวทีประชุมระดับจังหวัด เดือนตุลาคม 2551 และผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่ง ตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดขึ้นมาทันที โดยมีการประชุมทุกเดือน และมีผู้ว่าราชการนั่งหัวโต๊ะในการประชุมทุกครั้ง “ไม่น่าเชื่อว่าผู้ว่าฯจะให้ความสนใจเรื่องนี้ เพราะปกติแล้วปัญหาอุบัติเหตุทางถนนจะเป็นเรื่องรายงานเพื่อทราบ แต่ท่านมาประชุมด้วยทุกครั้งและจะเริ่มวาระแรกด้วยเรื่องอุบัติเหตุก่อน จากเดิมที่จะเป็นเรื่องความมั่นคง อาชญากรรม มากกว่า” จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ


ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มาจากผลการรวบรวมข้อมูลที่ดี เพราะชัดเจนว่า ปัญหาอุบัติเหตุบนถนน มีอัตราการตาย มากกว่า ปัญหาอาชญากรรมในจังหวัด 4 เท่า โดยสถิติในจังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ที่ 200-300 คนต่อปี ซึ่งถือว่าสูงมาก ข้อมูลชัดเจน ระดับนโยบายเห็นด้วย เป้าหมายต่อไปคือการสร้างทีมที่ยั่งยืน และการสร้างการประสานงานระหว่าง หน่วยงานที่ดี รวมไปถึงการสร้างระบบการทำงาน เพื่อว่าการขับเคลื่อนดังกล่าวจะไม่ใช่งานระดับบุคคลหากใครคนใดคน หนึ่งหายไป หรือผู้ว่าราชการย้ายออกจากพื้นที่ แต่ทีมต้องเดินต่อไปได้

3. สร้างทีม-ระบบทำงาน

การตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด และผู้ว่าราชการที่มีความเข้าใจกับงานด้านอุบัติเหตุทำให้การทำงานเดินหน้าไป อย่างมาก แต่การสร้างทีมทำงานให้ยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน “ตอนนั้นทุกหน่วยงานเข้ามาร่วมแล้วทั้ง ตำรวจ ขนส่งจังหวัด กรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระดับ จังหวัดทุกส่วนเข้ามาร่วมหมดเลย ยกเว้นโรงเรียน” การสร้างทีมทำงานต้องเริ่มจากการนำเสนอข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงไม่โกหก และนำเสนอให้ทุกส่วนเป็นเจ้าของข้อมูล ร่วมกัน ซึ่งเทคนิคที่เครือข่ายจังหวัดนครศรีธรรมราชใช้คือ ชวนกันคุยอย่างสม่ำเสมอ แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ “ชวนกันคุยเพื่อให้เห็นปัญหาร่วมกัน เพื่อให้ทุกคนเห็นภาระความรับผิดชอบที่เกิดกับความมูลร่วมกัน ซึ่งใช้วิธีการ ชวนกันกินข้าว จิบน้ำชา เวทีสบายๆ แต่มาคุยกันเรื่องเครียดๆ” นพ.ต่อพงศ์บอกว่า การคุยแบบไม่เป็นทางการจิบน้ำชา ทานข้าวไปด้วย ทำให้เกิดงานขึ้นในวงคุยมากมาย การ ทำงานของเราเดินหน้า โดยขับเคลื่อนประเด็นแรกเรื่อง สวมหมวกนิรภัยก่อนเพราะ เห็นตรงกันว่าการสวมหมวกลดอัตรา การเสียชีวิตได้ แม้จะไม่ลดอุบัติเหตุก็ตาม จึงเริ่มจากตรงนั้นก่อน

4. ขับเคลื่อนงานร่วมกัน

ผลจากการเชียร์ให้เกิดความรับผิดชอบข้อมูลจาก วงจิบน้ำชา ทานข้าว ทำให้เครือข่ายเดินไปข้างหน้า ชวนครูใน โรงเรียนที่เดิมไม่เคยสนใจงานด้านอุบัติเหตุเท่ากับงานขับเคลื่อนทางวิชาการมาร่วมวงทานข้าว จนสามารถดึงโรงเรียนมา ร่วมลงนามเอ็มโอยูร่วมกันในอำเภอเมืองทุกโรงเรียน ถ้านักเรียนขับขี่มอเตอร์ไซค์ไม่สวมหมวกนิรภัยจะส่งใบเตือนไปยัง

ผู้ปกครอง เพื่อให้มาร่วมทำความสะอาดโรงเรียนร่วมกัน ขนส่งจังหวัด ตื่นตัวเข้าร่วมในภาคีเต็มที่ นำงบเลขสวยมาทำหนังสั้นเพื่อให้ความรู้เรื่องอุบัติเหตุกับประชาชนทั่วไป เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ.เมืองกระโดดเข้าร่วมอย่างจริงจัง ติดป้ายทุกสี่มุมเมืองหากไม่สวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับ คนซ้อน จับ ปรับสองเท่า “ตอนนั้นผมชื่นชมตำรวจ สภอ.เมืองมากเพราะเขากล้ามากที่ขึ้นป้ายขนาดใหญ่ทุกมุมเมือง เนื่องจากประสบการณ์ ของ จ.นครศรีธรรมราชคือ สถานีตำรวจถูกเผาจากการจับชาวบ้านที่ไม่สวมหมวกกันน๊อก” ทุกส่วนเข้ามาร่วมมือกันเทศบาลเข้ามาช่วยรณรงค์ โรงพยาบาลนำข้อมูลออกมาช่วยและเข้าไปเป็นวิทยากรในทุก โรงเรียนจนทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุของจังหวัดนครศรีธรรมราชลดลงชัดเจนในช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ในปี 2552

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


5. เสียแชมป์อุบัติเหตุสูงสุด

การทำงานที่ประสานกันเป็นทีม โดยเฉพาะการนำเอาข้อมูลจากหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลออกมาช่วยให้การ ทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจง่ายขึ้น พันตำรวจโทสุทธิ นิติอัครพงศ์ อดีต รองผู้กับฝ่ายจราจร สภอ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งปัจจุบันเขาย้ายไปประจำ ที่ สภอ.เมืองสุราษฏร์ธานี เครียดและหวั่นใจโรงพักจะถูกเผาหลังจากที่เขาเริ่มรณรงค์การใส่หมวกกันน็อกขับขี่ปลอดภัย นครศรีธรรมราชเป็นเมืองมีต้นทุนด้านนี้ต่ำ การบังคับกฎหมายในเรื่องการสวมหมวกกันน็อค ไม่ง่ายนัก เพราะโรงพัก เมืองถูกเผามา 2 รอบแล้ว รอบแรกปี 2543 และในปี 2550 ก็ถูกเผาอีกรอบรถเสียหายไป 30 คันจากปัญหาเดียวกันคือ การบังคับกฎหมายไม่สวมหมวกกันน็อก พันตำรวจโทสุทธิ บอกว่า ข้อดีคือการทำงานกันเป็นทีมจากข้อมูลโรงพยาบาลที่เกิดขึ้นจริง ทีมของ สอจร และ ปภ. มาร่วมกันทำข้อมูลและให้ความรู้กับประชาชน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกล้าพอที่จะเริ่มติดประกาศ ทั่วทุกสี่มุมเมืองในเรื่อง การใส่หมวกกันน็อก จับปรับ 2 เท่า คนซ้อนไม่ใส่จับปรับ 2 เท่าเช่นกัน “ตอนนั้นหวั่นใจคืนวันที่ 30 กันยายน 2551 นอนไม่หลับ เพราะวันที่ 1 ต.ค.จะเริ่มบังคับใช้กฎหมาย ผมตื่นตีสาม ออกไปทำงานตรวจตามสี่แยกตอนตี่สี่เพราะกลัวว่าการณรงค์ของเราไม่ได้ผล” เช้าวันที่ 1 ต.ค ไม่เพียงการเผาโรงพักไม่เกิดขึ้น หากประชาชนให้ความร่วมมือ ใส่หมวกกันน็อกกันเต็มเมืองทุก

สี่แยกทั้งคนขับและคนซ้อนท้ายร่วมกันใส่หมวกทั้งหมด “ผมดีใจมาก ได้รับความร่วมมือ ชาวบ้านเข้าใจไม่เผาโรงพัก แถมชมเชยตำรวจอีก แต่ที่สำคัญที่สุด คือยอดการ เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตลดลง” การให้ความรู้และสร้างทางเลือกให้ประชาชนมากขึ้นทำให้เขาได้ดอกไม้แทนที่จะเป็นเปลวไฟ ซึ่งทั้งหมดเกิดจาก ความร่วมมือของภาคี แทนที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียว ก็เพิ่มทางเลือกไม่ยึดรถ แต่ลงนามคำมั่นสัญญาเป็นราย บุคคลว่าจะไม่ทำผิดอีก และแจกหมวกตามโครงการหมวกแสนใบ พร้อมให้ไปดูหนังที่เกี่ยวกับปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นใน พื้นที่ “ประชาชนเข้าใจ ไม่อึดอัดไม่คิดว่าตำรวจตามจับเพราะต้องการค่าสินบนนำจับ แต่แสดงความจริงใจว่า ต้องการ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง” ผลจากความร่วมมือทำให้ เดิมจังหวัดนครศรีธรรมราชเคยเป็นแชมป์อุบัติเหตุติดต่อกัน และในปี 2553 พลาด แชมป์ยอดการเสียชีวิตลดลงจากในช่วงสงกรานต์เคยเสียชีวิต 11 คนลดลง 3 คนเหลือ 8 คน และในช่วงปีใหม่ 2553 สถิติการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตลดลงไปอีกจาก 10 คน ลดลงไป 6 คนเหลือเพียง 4 คน เท่านั้น ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในระดับจังหวัดแพทย์หนุ่มและรุ่นพี่พยาบาลหน้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลมหาราชและภาคี จังหวัดเตรียมขยายงานไปยังอำเภอรอบนอก เพื่อให้เกิดทีมและการขับเคลื่อนของข้อมูล

จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ


เรื่องเล่ากระแทกใจ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุ เป็นเรื่องเล่าที่เธอยังจดจำได้เสมอ วันนั้นเมื่อโรงพยาบาลได้รับ แจ้ ง เหตุ ใ ห้ อ อกไปรั บ ผู้ บ าดเจ็ บ ตรงกั บ วั น ลอยกระทง วั น ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 เป็นอุบัติเหตุรถยนต์ชนรถมอเตอร์ไซด์ ผู้บาดเจ็บเป็นหญิงกำลังตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด 1 ราย และผู้ชาย อีกคนที่เป็นขับรถมอเตอร์ไซด์ สองสามีภรรยา ซึ่งไม่รู้สึกตัวทั้งคู่ ขณะ ที่กำลังช่วยชีวิตผู้หญิงที่ตั้งครรภ์อยู่นั้น พลังของความห่วงลูกเฮือกสุดท้ายของลมหายใจของผู้เป็นแม่ได้ ถามถึงลูก “ลูกฉันอยู่ไหน” แม้เจ้าหน้าที่ให้การช่วยเหลือพยายามบอก ว่าลูกคุณอยู่นี่ เพราะคิดว่าผู้เป็นแม่คงหมายถึงลูกที่อยู่ในครรภ์ “เค้าส่ายหน้าเหมือนจะสื่อกับพวกเราว่าไม่ใช่ ทำให้เราได้ย้อนกลับ ไปที่เกิดเหตุอีกครั้ง และก็พบว่ายังมีเด็กผู้ชายอีกคนกระเด็นตกอยู่ใน ท้องร่อง”


จิรวรรณ กิจเลิศพรไพโรจน์ พยาบาลวิชาชีพ รพ. บ้านไผ่ ที่เริ่มลุกขึ้นมาสร้าง

เครือข่ายป้องกันอุบัติเหตุ จากการทำงานหน้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาล และมักจะนำเรื่องราว ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ยกขึ้นมาเล่าเพื่อสร้างความร่วมมือในการสร้างเครือข่ายลด อุบัติเหตุ กรณีน้องภูมินทร์ที่รอดตายได้เพราะความรักของแม่ก่อนสิ้นลม ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่าน ไป 6-7 ปี ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างที่ดึงความสนใจของผู้คนได้เสมอ “เรื่องเล่าของน้องภูมินทร์ที่ได้เล่าสู่กันฟัง เป็นแรงจูงใจที่ทำให้พวกเราเกิดการมารวมตัวกันเพื่อทำงานป้องกัน อุบัติเหตุจนกลายเป็นทีมภาคีเครือข่ายป้องกันอุบัติเหตุอำเภอบ้านไผ่”

1. ยกเรื่องเล่า ชวนคนทำงาน

จุดเริ่มจากข้อมูลอุบัติเหตุของโรงพยาบาลบ้านไผ่ ที่พบและเพิ่มจำนวนมาก จึงเริ่มเห็นว่าควรต้องลดอัตราการตาย จากอุบัติเหตุที่พบว่า เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์จำนวนมาก “เราเริ่มประสานข้อมูลตำรวจ พุทธญาณสมาคม แขวงการทางขนส่ง ผู้ประสบภัยและครอบครัว หาภาคีเครือข่าย นอกหน่วยงาน ไม่ใช่ทำงานเฉพาะในโรงพยาบาล” ขั้นตอนการดำเนินงาน เริ่มจากการหาทีมที่มีใจเดียวกัน (ค้นพบ ฝันให้ไกล ออกแบบ ไปให้ถึง) ตั้งวงคุยกัน

อย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ case อุบัติเหตุนำเสนอผลการวิเคราะห์เข้าสู่คณะกรรมการระดับอำเภอ ติดตามผลสะท้อนกลับ

โดยได้นำกรอบแนวคิดการดำเนินงานของ MIS (นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์) มาใช้ในการดำเนินงาน

2. เคล็ดไม่ลับ ข้อมูลกระแทกใจคน

เคล็ดไม่ลับของการนำเสนอข้อมูลของทีมภาคีเครือข่ายบ้านไผ่สู่เวทีการประชุม ทุกระดับทีมทำงานจะนำเสนอข้อมูล ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การนำเสนอเชิงคุณภาพจะใช้การเล่าเรื่องหรือเรื่องเล่า ซึ่งจะได้ผลมากสำหรับผู้ได้รับฟังเพราะเป็นเรื่องราวที่จะ กระแทกใจคนฟังได้ดีกว่าข้อมูลที่นำเสนอเชิงปริมาณหรือสถิติเพียงอย่างเดียว ธนวัตร์ ถาวรวิริยะตระกูล กรรมการบริหาร หน่วยกู้ภัยพุทธญาณสมาคมบ้านไผ่ คืออีกคนหนึ่งที่กระโดดเข้ามา ร่วมในทีมทำงาน บอกว่า วิธีการขอข้อมูลสร้างความแปลกใจ เพราะทีม MIS จะนำข้อมูลไปวิเคราะห์ปัญหาจนหาทางแก้ไข ได้ หลังการเสนอข้อมูลเห็นทางออก และเริ่มเห็นเพื่อนร่วมกันทำงานเป็นภาคีเครือข่ายเห็นพลังของข้อมูลที่จะสามารถ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้ “ปกติทีมกู้ภัยของผมจะเข้าถึงที่เกิดเหตุก่อนอยู่แล้ว เราเก็บภาพทั้งภาพนิ่ง วิดีโอ และมีการวิเคราะห์สาเหตุของ อุบัติเหตุ เราเก็บข้อมูลย้อนหลัง 4 -5 ปี แต่ข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้ใช้ประโยชน์เมื่อการทำงานร่วมกันทำให้เห็นถึงการจัดเก็บ ข้อมูล”

เรื่องเล่ากระแทกใจ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุ


หลังจากมาร่วมทีมMIS ทำให้เขาเก็บข้อมูลในพื้นที่เกิดเหตุละเอียดมากขึ้นเพื่อง่ายต่อการประเมินวิเคราะห์ความ เสี่ยง หาทางออกในการแก้ไขปัญหาว่า เกิดจากจุดไหนกันแน่ “พวกผมทำงานและเห็นเหตุการณ์มามาก บางครั้งวิเคราะห์สาเหตุกันเองรู้ว่าเกิดจากอะไร แต่ก็แก้ไขไม่ได้ ตอนนี้ เป็นภาคีร่วมกันทำงานทำให้ทุกอย่างเดินไปถึงทางออกในการแก้ไขปัญหาได้”

3. สร้างทีมจัดการข้อมูลร่วมกัน

ปัจจัยแห่งความสำเร็จได้แก่ ทีมงานเครือข่ายซึ่งเกาะติดปัญหาและจัดการข้อมูลอุบัติเหตุจราจรที่มีความมุ่งมั่นและ ทุ่มเท มีเวทีพูดกันสม่ำเสมอทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เกิดกระบวนการใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนสู่การแก้ไขปัญหา อุบัติเหตุจราจร การบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ชุมชนและเอกชน รวมไปถึงวิทยาลัยการอาชีพที่เริ่มสอนหลักสูตรป้องกันอุบัติเหตุ มีชมรมป้องกันอุบัติเหตุเกิดขึ้น และเครือข่ายสามารถสร้างการมีส่วนร่วมโดย ใช้สื่อโทรทัศน์ สื่อเคเบิ้ลท้องถิ่นและสื่ออื่นๆ เข้ามาช่วยในการกระตุ้นการ แก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจร เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แกนนำเครือข่ายมีทักษะและองค์ความรู้ในการวิเคราะห์ สาเหตุ ปัจจัย การเกิดอุบัติเหตุและการเสียชีวิต จุดเสี่ยงหลายแห่งได้รับการแก้ไข สามารถลดอุบัติเหตุและการเสียชีวิตลงได้ จากพลัง ข้อมูลที่เกิดขึ้นและร่วมกันในการแก้ไขปัญหา

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


EMS DAY ชุมชนกู้ชีพ รพ.ศูนย์ขอนแก่น

ทุกเดือน ห้องประชุม รพ.ขอนแก่น แน่นขนัดไปด้วย หน่วยแพทย์ ฉุกเฉินหรือหน่วยอาสากู้ชีพ ระดับท้องถิ่นกว่า 250 แห่ง ที่เข้ามาร่วม แลกเปลี่ ย นประสบการณ์ ใ นการช่ ว ยเหลื อ ผู้ ป่ ว ยด้ ว ยหลั ก การแพทย์ ฉุกเฉินและการป้องกันการบาดเจ็บกระทั่งนำไปสู่การป้องกันอุบัติเหตุ ทุกครั้งที่หน่วยแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นเข้ามารวมตัวกัน พวกเขาพร้อมใจกันเรียกวันนั้นว่า “EMS DAY” กติกา ประสบการณ์การ ทำงานจะเริ่มพรั่งพรู พร้อมร่วมกันแลกเปลี่ยน เพื่อพัฒนางานแพทย์ ฉุกเฉินในท้องถิ่นร่วมกัน


เครือข่ายหน่วยแพทย์ฉุกเฉินเกิดขึ้นและเติบโตมานานกว่า 10 ปี เริ่มจาก ปี 2535 ที่แพทย์และพยาบาล โดย เฉพาะเจ้าหน้าที่หน้าห้องฉุกเฉิน จากโรงพยาบาลขอนแก่น เห็นปัญหาร่วมกันว่า การรอให้ผู้ป่วยเข้ามาหาที่ โรงพยาบาลไม่ ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลงได้เลย โดยเฉพาะผู้ป่วยอุบัติเหตุ การทำงานเชิงรุกด้วยการลงไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุและออกไปหาผู้ป่วย น่าจะเป็นทางออกที่ช่วยลดอัตราการ เสียชีวิตและการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงการสร้างความเข้าใจปัญหามากขึ้น “พวกเราเห็นปัญหาอุบัติเหตุจากรถยนต์โดยเฉพาะมอเตอร์ไซด์มาตลอดและพบว่าหลายกรณีกว่าผู้ป่วยจะมาถึง

โรงพยาบาลจะเสียชีวิตก่อน ตอนนั้นเราก็เริ่มคิดกันว่า ควรจะมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินขึ้นมาเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยก่อน

เข้ามาถึงโรงพยาบาล” ธัญรัษม์ ปิยวัชร์เวลา พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น รับผิดชอบงานห้องฉุกเฉิน บอกว่า นายแพทย์ วิทยา จารุพูนผล และนายแพทย์วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เริ่มมองเห็นปัญหาและคิดว่าจะ ปล่อยให้ผู้ป่วยเข้ามาหาเราเองคงไม่ได้แล้ว ควรจะต้องทำงานเชิงรุกโดยเดินเข้าไปหาผู้ป่วยก่อน ระบบการแพทย์ฉุกเฉินของจังหวัดจึงเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2535 โดยการทำงานเชิงรุกในช่วงแรก ยังคงจำกัดอยู่ เพียงที่ รพ.ศูนย์ขอนแก่นเท่านั้น ด้วยการจัดทีมรถพยาบาลฉุกเฉินของโรงพยาบาล ขับรอบเมืองเพื่อดูว่ามีพื้นที่ไหนมี อุบัติเหตุบ้าง ซึ่งก็พบบ้างแต่ไม่มากนัก “ตอนนั้นพึ่งเริ่ม ไม่มีหมายเลขฉุกเฉิน 1669 ทุกอย่างไม่เป็นระบบ เริ่มจากโรงพยาบาลขอนแก่นทำกันเองไปก่อน ทำกันมาสักระยะจนคิดว่าควรจะคิดระบบการแพทย์ฉุกเฉินขึ้นมา โดยเริ่มประสานงานเครือข่ายมูลนิธิกู้ชีพต่างๆ มาร่วมกัน”

1. จัดหลักสูตรการแพทย์ฉุกเฉิน

การร่วมสร้างเครือข่ายจาก มูลนิธิกู้ชีพเข้ามาร่วมแบ่งโซนพื้นที่ทำงานพร้อมกำหนดกติกาทำงานร่วมกัน ดูจะไม่ เพียงพอ จึงเห็นว่าควรจะต้องจัดหลักสูตรการแพทย์ฉุกเฉินขึ้นมา “ที่ผ่านมา นพ.วิทยาได้ส่งพยาบาล ส่งเจ้าหน้าที่ไปดูงานต่างประเทศกันบ้างพอสมควร และเริ่มมีกลุ่มที่ออกไปดู คนไข้ที่จุดเกิดเหตุจนคิดว่าควรจะมีการอบรม หรือควรจะมีหลักสูตรการแพทย์ฉุกเฉินขึ้น โดยให้สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดจัดหลักสูตร เรียกว่า การแพทย์ฉุกเฉิน หรือ กู้ชีพ” การเข้าเรียนหลักสูตรการแพทย์ฉุกเฉิน ผู้ที่จะเข้ามาเรียนต้องมีวุฒิจบชั้นมัธยมปีที่ 6 มีระยะเวลาเรียน 2 ปีจบ หลักสูตรจะได้ประกาศนียบัตรและเข้าทำงานประจำหน่วย เริ่มเปิดหลักสูตรแบ่งโรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นออกเป็น 5 โซน รุ่นแรก 16 คนเริ่มเรียนเมื่อปี 2539

จบปี 2541 รุ่นที่ 2 อีก 16 คนรวมเป็นทั้งหมดประมาณ 32 คน “ปี 41 เริ่มแบ่งโซนการทำงาน ก็ไปได้ค่อนข้างดีมูลนิธิกู้ชีพเข้ามาร่วมงานกัน ไม่ได้ทะเลาะกันแย่งศพเพราะมีการ แบ่งพื้นที่ทำงานกันอย่างชัดเจน”

10

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


2. ขยายงานแพทย์ฉุกเฉินสู่ท้องถิ่น

การสร้างเครือข่ายเริ่มชัดเจนมากขึ้นเมื่อ เจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉินที่จบมาทั้งสองรุ่น ทำหน้าที่ประสานงานลงไป ในระดับท้องถิ่น โดยจัดแบ่งพื้นที่นำร่องจาก รพ.17 แห่งใน 5 อำเภอ ซึ่งขณะนั้น ยังไม่ได้เป็นเครือข่ายการทำงานที่ชัดเจน แต่เริ่มวางแผนกันบ้างแต่ยังไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน กระทั่งในปี 2546 ได้รับงบประมาณจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช) การแพทย์ฉุกเฉินเริ่มขยาย งานลงไปในระดับอำเภอ โดยใช้จังหวัดเป็นแม่ข่ายและอำเภอเป็นลูกข่าย ลงลึกไปในระดับตำบลที่ร่วมเอา รพ.อำเภอ มูลนิธิต่างๆ เข้ามาเป็นเครือข่ายร่วมกัน “เริ่มรวมตัวกันได้มีการจัดประชุมทุกเดือนเพื่อออกระเบียบ รวมถึงพื้นที่การทำงาน พร้อมทั้งสนับสนุนให้เกิด หน่วยในพื้นที่ต่างๆ ขึ้นมา” ครั้งแรกเริ่มต้นจากการคุยการนัด หัวหน้าห้องฉุกเฉิน หัวหน้าส่วนงาน รวมไปถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลเพื่อนำ ข้อมูลประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนกันก่อน เพราะตอนนั้นไม่มีตำรา สอนทุกอย่างตามประสบการณ์ การบันทึกลักษณะ

บาดเจ็บผู้ป่วยการทำแบบฟอร์มข้อมูล

3. สร้างให้เกิดหน่วยแพทย์ในท้องถิ่น

เพื่อขยายหน่วยแพทย์ฉุกเฉินลงไปสู่ท้องถิ่นที่อยู่ห่างออกไป รพ.ขอนแก่น จึงยอมเสียเจ้าหน้าที่และรถพยาบาล ฉุกเฉินไปประจำยังองค์การบริหารส่วนตำบลเพื่อสร้างหน่วยการแพทย์ฉุกเฉินในระดับลูกข่ายในระดับตำบลให้ได้ “ในช่วงแรกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้แลกเปลี่ยนการทำงานเราส่งเจ้าหน้าที่รถฉุกเฉินไปประจำที่ องค์การบริหารส่วน ตำบลทำให้เกิดระบบในท้องถิ่น โดยเขาต้องส่งเจ้าหน้าที่มาเรียนรู้กับเรา” เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลขอนแก่นช่วยสร้างการตื่นตัวและการเรียนรู้เรื่องการแพทย์ฉุกเฉินในระดับตำบล ประมาณ 12 ปี ทำให้เกิดหน่วยกู้ชีพระดับตำบลและเพิ่มเครือข่ายมากขึ้นกว่า 200-250 หน่วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่เกิดอุบัติเหตุ ในจำนวนมากทั้งหมด “เมื่อมีหน่วยแพทย์เริ่มเข้ามาขึ้นทะเบียนมากขึ้น มีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ทำงานร่วมกัน โดยการนัดพบกันทุกเดือน พวกเราเรียกวันนัดพบว่า “EMS DAY”

4. จากวิชาการสู่การป้องกัน

การจัดประชุมพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนปัญหาหรือ EMS DAY ครั้งแรก จัดแยกวงประชุมออกเป็น 2 วงคุย คือทีม

กู้ชีพฉุกเฉินหนึ่งทีม และทีมท้องถิ่นอีกหนึ่งทีม ซึ่งการแยกการคุยทำให้การแลกเปลี่ยนปัญหาเกิดขึ้นได้ไม่มากนักกระทั่ง พัฒนา 2 กลุ่มมาร่วมกันแลกเปลี่ยนปัญหา “เราพัฒนามากระทั่งเห็นว่าต้องรวมกันคุยทั้งสองกลุ่ม จะได้แลกเปลี่ยนปัญหากันได้เต็มที่ จนขณะนี้หลาย อบต.พัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินมีเจ้าหน้าที่มีรถ ฉุกเฉินของตัวเอง”

EMS DAY ชุมชนกู้ชีพ 11


เวทีการคุย EMS DAY พัฒนาจากการสร้างเครือข่ายหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน นำไปสู่งานป้องกันมากขึ้น เนื่องจาก ข้อมูลและประสบการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้หน่วยแพทย์ฉุกเฉินเห็นร่วมกันว่าต้องทำงานรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุไป พร้อมๆ กันไปด้วย “ตอนนี้ ทีม EMS DAY เริ่มมองงานด้านการป้องกันโดยเริ่มทำงานรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุ ให้ความรู้กับประชาชน รวมไปถึงการรณรงค์ สวมหมวกกันน็อกเพื่อลดงานอัตราการเสียชีวิตร่วมด้วย” จากจุดเริ่มที่หน้าห้องฉุกเฉิน รพ.ขอนแก่นได้ขยายหน่วยแพทย์ฉุกเฉินลงไปในพื้นที่ระดับท้องถิ่นและพัฒนา

สู่งานป้องกันปัญหาไปพร้อมๆ กัน


รร.มหิศราธิบดี ร่วมลดอุบัติเหตุ “ใกล้แค่นี้เอง ไม่เป็นไร” หนึ่งใน 10 เหตุผล

ยอดนิ ยม ไม่สวมหมวกกันน็อก “ฉั ต รดาว เปลี่ ย นพิ ม าย” นั ก เรี ย นหญิ ง ม.2 โรงเรี ย น

มหิ ศ ราธิ บ ดี อำเภอเมื อ ง จั ง หวั ด นครราชสี ม า เสี ย ชี วิ ต ลงหลั ง ขี่

มอเตอร์ไซด์ ไม่สวมหมวกกันน็อก เพียงคิดว่าออกไปทำธุระใกล้บ้าน ไม่คาดคิดว่า อุบัติเหตุร้ายแรงจะเกิดขึ้นได้ บนระยะการเดินทางที่แสน สั้นนี้


“ทันทีที่เลี้ยวออกถนน ฉัตรดาวต้องหักเลี้ยวมอเตอร์ไซด์ หลบรถขนควายที่จอดอยู่ด้านข้าง จังหวะเดียวกับรถทัวร์ ที่วิ่งสวนเลนถนนฝั่งตรงกันข้าม ทำให้ต้องหักหัวรถมอเตอร์ไซด์กลับ พุ่งชนกับรถขนควายเข้าอย่างจัง ร่างถูกแรงอัดล้มลง หัวกระแทกกับพื้นถนนอย่างแรง จนกระโหลกศีรษะแตก” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลายเป็นปมติดค้างในใจ ความสะเทือนใจในวันสูญเสียลูกศิษย์ที่น่ารักก่อนถึงวัยอันควรของ “คุณครูนิศาชล มณีวรรณ” ครูพละ โรงเรียนหิศราธิบดี ถูกเปลี่ยนเป็นพลังมุ่งมั่น มุทำงานลดอุบัติเหตุจราจร เพื่อสร้าง ความตระหนัก ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยให้กับเด็กนักเรียน เพราะด้วยมุมมอง “อุบัติเหตุจราจรเป็นเรื่องที่ป้องกันและ ลดความรุนแรงลงได้ หากใส่ใจ ไม่ประมาท” หลังการเข้าร่วมอบรม “อุบัติเหตุทางถนนและขับขี่ปลอดภัย” จัดโดยบริษัทเกริกไกร เอ็นเตอร์ไพร์ท จำกัด คุณครู นิศาชล เล่าว่า ได้กลับมาเริ่มต้นทำงานลดอุบัติเหตุภายในโรงเรียน ช่วงแรกยังเป็นแค่การทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ชักชวน เด็กนักเรียนเข้าร่วมกลุ่ม เริ่มตั้งแต่การอบรมกฎจราจรและพาไปทำใบขับขี่ การฉายภาพความรุนแรงของอุบัติเหตุทางถนน ให้ตระหนักและเห็นความสำคัญการป้องกัน การประกวดแข่งขันตกแต่งหมวกกันน็อก โดยได้ทำกิจกรรมเหล่านี้มาตลอด ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ด้วยความพยายามที่จริงจัง ประกอบกับแรงผลักดันที่อยู่ในใจ หลายคนเริ่มมองเห็นความตั้งใจของคุณครูนิศาชล มีผู้ขออาสาร่วมลงมือทำงานนี้ด้วย ไม่เพียงแต่เหล่าบรรดาคุณครูในโรงเรียนเท่านั้น แต่รวมถึงตำรวจ ชาวบ้าน และ

เครือข่ายชุมชนในพื้นที่ ทั้งยังให้งบประมาณสนับสนุนเพื่อทำกิจกรรม เพราะมองว่าเป็นประโยชน์

14

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


คุณครูนิศาชล บอกว่า หลักคิดในการทำงานลดอุบัติเหตุคือ มุ่งปลูกฝั่งวินัยจราจรให้เกิดการปฏิบัติเช่นเดียวกับ การทำกิจวัตรประจำวัน แนวคิดนี้เกิดขึ้นได้ จากการพูดคุยกับคุณตำรวจในพื้นที่ ซึ่งเล่าว่า ทุกวันจะมีเด็กนักเรียนขับขี่มอ เตอร์ไซด์และซ้อนท้ายทำผิดกฎจราจรจำนวนมาก ปัญหาเรื่องจับปรับไม่เท่าไหร่ แต่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ ใหญ่กว่า หากเราสามารถนำเรื่องระเบียนวินัยจราจรมาสอนเด็กในโรงเรียนได้ คงเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะเป็นการปลูกฝั่ง วินัยจราจรที่คุ้มครองความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนให้กับตัวนักเรียนเอง อย่างการใส่หมวกกันน็อกทันทีที่ขี่มอเต อร์ไซด์ ต้องทำให้ได้เหมือนกับการล้างหน้าแปรงฟันทุกครั้งหลังตื่นและก่อนเข้านอน ความคิดนี้ตรงกับสิ่งที่ตั้งใจ กิจกรรมเพื่อลดอุบัติเหตุจราจรในโรงเรียนจึงถูกเพิ่มความเข้มข้นขึ้น เริ่มต้นจาก “รณรงค์สวมใส่หมวกกันน็อก” เป็นด่านแรก สิ่งง่ายๆ ทุกคนทำได้ เพื่อดูแลความปลอดภัย ที่เริ่มจากตัวเองก่อน “เด็กนักเรียนที่ขับมอเตอร์ไซดมีทั้ง ม.ต้น และ ม.ปลาย มักทำผิดกฎจราจรบริเวณหน้าโรงเรียนให้เห็นอยู่บ่อยๆ ทั้ง ขี่รถย้อนศร ขี่มอเตอร์ไซด์ซ้อนสาม ส่วนพฤติกรรมไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่ต้องพูดถึง มีให้เห็นเป็นประจำ” คุณครู นิศาชล เล่าและบอกต่อว่า ที่ผ่านมาจึงลองถ่ายภาพนักเรียนที่ไม่สวมหมวกกันน็อกไว้ และเรียกตัวมาตักเตือน หลายคน เตือนครั้งเดียวก็เชื่อฟัง แต่หลายคนต้องเตือนซ้ำหลายครั้งจึงทำตาม มีอยู่รายหนึ่งเป็นนักร้องประจำโรงเรียน ทำยังไงก็ไม่ยอมสวมหมวกกันน็อก คุณครูนิศาชล บอก พร้อมเสียง

หัวเราะเบาๆ และเล่าต่อว่า พอเรียกมาคุย ถามเหตุผล เขาตอบแค่ว่า “กลัวไม่หล่อ กลัวผมเสียทรงครับ” แต่เราเองก็ไม่ละ ความพยายาม ยังเรียกเตือนต่อไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเห็นเขาขี่มอเตอร์ไซด์สวมหมวกกันน็อก รู้สึกดีใจและเดินตรงเข้าไป ถามว่าทำไมวันนี้ถึงใส่หมวกกันน็อกได้ เขาก็ตอบว่า “จะไม่ให้ใส่ได้ยังไง ก็ถูกครูเรียกเตือนทุกวัน ผมเองก็รู้ว่าครูหวังดี” สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ความพยายามที่ทำเริ่มเห็นผลแล้ว แต่เห็นว่า การมานั่งคอยเตือนนักเรียนเป็นรายคน คงไม่ไหว ควรต้องออกกฎ ทำเป็นมาตรการบังคับใช้ในโรงเรียน น่าจะได้ผลที่ดีกว่า แต่ก่อนจะนำมาตรการบังคับมาใช้ได้ นั้น ต้องได้รับการยอมรับจากทุกคนในโรงเรียนก่อน ดังนั้นก่อนเดินหน้า “โครงการรณรงค์หมวกนิรภัย 100%” จึงมีการ จัดทำเวทีประชาคมขึ้นภายในโรงเรียนก่อน เพื่อให้นักเรียนทั้งหมดร่วมกันคิดว่าจะทำอย่างไรกับผู้ที่ไม่ใส่หมวกกันน็อก และลงความเห็นที่ถือเป็นประชามติ โดยมีผู้ปกครองนักเรียน และผู้ใหญ่จากหน่วยงานภายนอกร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อให้ นักเรียนรู้สึกถึงความสำคัญ สำหรับมติทไ่ี ด้ในวันนัน้ คือ การจัดหาหมวกกันน็อกในราคาต้นทุน มาขายให้กบั นักเรียนราคาถูก เพียงใบละ 99 บาท หรือจัดเตรียมไว้ให้เช่า เพียงวันละ 1-2 บาท และหากนักเรียนคนใดยังขี่หรือซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ โดยไม่หาหมวกกันน็ อกมาสวมใส่ก็จะให้ตำรวจลงโทษทันที ทั้งจับและปรับตามกฎหมาย ถือเป็นฉันทามติที่นักเรียนต่างยอมรับในเวที ประชาคมในโรงเรียน คุณครูนิศาชล บอกต่อว่า แค่การทำประชามติคงไม่พอ การลดอุบัติเหตุจราจรในโรงเรียนให้ยั่งยืน ต้องดึงเด็ก นักเรียนเข้ามีส่วนร่วมมากขึ้น ก่อนหน้านี้จึงได้เริ่ม “โครงการลูกเจ้าพระยามหิศรา” หรือ “ยุวจราจร” ขึ้นมา เป็นโครงการที่ จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 15


สอดแทรกอยู่ในการเรียนการสอน ร่วมกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรพื้นที่จอหอ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิพุทธธรรมฮุก 31, หมวดการทางจังหวัดนครราชสีมา ร่วมเป็นวิทยากรอบรม พร้อมมีการคัดเลือกแกนนำยุวจราจร มาเป็นผู้นำในการทำงานกิจกรรมนี้ “เราได้อบรมยุวจราจรเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว เป็นโครงการที่ทำต่อเนื่อง แต่ละรุ่นจะมีประมาณ 20 คนได้ รุ่นแรกที่อบรม ไปนั้น ตอนนี้เรียนอยู่ชั้น ม.6 แล้ว ส่วนรุ่นอบรมล่าสุดยังอยู่ ม.4 โดยเราจะให้นักเรียนรุ่นพี่ที่ผ่านอบรมไปก่อนหน้านี้ เป็น ผู้ทำหน้าที่ช่วยสอนวินัยจราจรให้กับน้องๆ ด้วย และยังทำหน้าที่เป็นแกนนำ คอยช่วยอำนวยความสะดวก จัดการจราจร บริเวณหน้าโรงเรียนช่วงเช้าและเลิกเรียน ทั้งยังเป็นหูเป็นตาให้กับคุณครู สอดส่องดูแลนักเรียนไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร หากนักเรียนคนใดทำผิดจะถูกรายงาน ตัดคะแนนพฤติกรรม” นอกจากนี้บางครั้งยุวจราจรยังออกไปช่วยจัดการจราจรนอกพื้นที่ อย่างงานเทศกาลในหมู่บ้าน หรือช่วงวันหยุด ยาวที่มีรถวิ่งผ่านจำนวนมาก ซึ่งโรงเรียนมหิศราธิบดีเป็นสถานที่จุดแวะพักรถ นักเรียนกลุ่มนี้จะมาช่วยเสริฟน้ำ บอกทาง แก่ผู้ที่แวะพักเดินทาง เป็นต้น เรียกว่ายังเป็นการปลูกฝั่งในเรื่องจิตอาสา และหากใครปฏิบัติหน้าที่ได้ดี ยังได้รับการ

คัดเลือกเข้ารับมอบประกาศนีย์บัตรที่หน้าเสาธง ทำให้เด็กๆ รู้สึกตื่นเต้นและภาคภูมิใจ นอกจากได้ทำประโยชน์ให้กับ

ส่วนร่วม ยังเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนๆ ทำประโยชน์ให้กับส่วนร่วม ปรากฎว่า พฤติกรรมที่เคยเกเร “เด็กบางคนเคยเป็นคนเกเร แต่เมื่อได้เข้าอบรมและได้ เริ่มปรับเปลี่ยนไปในทางดีขึ้น และมีเด็กๆ หลายคนบอกว่า ชอบที่ได้ร่วมทำกิจกรรมแบบนี้ เพราะทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจ ในความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย แถมเรายังไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเวลาเด็กๆ ออกไปทำงานกิจกรรมที่ไหน มักจะ โทรมารายงานกับครูเอง ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไร และกลับบ้านแล้วหรือยัง” คุณครูนิศาชล เล่าและบอกต่อว่า ส่วน

ผู้ปกครองที่รู้ว่าเรานำเด็กมาอบรมและทำกิจกรรมยุวจราจรนี้ ต่างให้การสนับสนุนและบอกว่า “ลูกไปอยู่กับครู ไปอยู่กับ ตำรวจ ได้ทำกิจกรรมที่ดี มีประโยชน์ก็ดีแล้ว ดีกว่าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ออกเกเรและก่อเรื่องเดือดร้อน” คุณครูนิศาชล บอกต่อว่า นอกจากโครงการอบรมยุวจราจรแล้ว ยังได้จัดทำหลักสูตร “โครงงานเรื่องความ ปลอดภัยทางถนน” บรรจุอยู่ในหลักสูตรการสอนนักเรียนชั้น ม.3 โดยเป็น 1 ใน 8 วิชาเลือกในคาบวิชาโครงงาน เพื่อ เป็นการปูพื้นฐานจราจรให้กับนักเรียนชั้น ม.ต้น ขึ้นอยู่กับความสมัครใจนักเรียนที่จะเลือกเรียน ที่ผ่านมามีนักเรียนกลุ่ม หนึ่งให้ความสนใจเข้าร่วม การเรียนในวิชานี้ เน้นอบรมการจราจรและลดอุบัติเหตุ รวมถึงการพานักเรียนออกไปทำกิจกรรมนอกพื้นที่ และให้ เด็กคิดวิธีการรณรงค์ใหม่ๆ เพื่อให้คนตระหนักและเห็นความสำคัญของปัญหาอุบัติเหตุจราจร หลักสูตรนี้ได้ไฟเขียวจาก

ผู้อำนวยการโรงเรียนไม่ยาก เพราะที่ผ่านมาเราได้นำเสนอรูปแบบจากกิจกรรมต่างๆ ที่ทำไปก่อนหน้านี้แล้ว หลังทำโครงการและกิจกรรมต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ผลที่ได้ทำให้รู้สึกชื่นใจ เพราะจากสถิติพฤติกรรมนักเรียนที่

ทำผิดกฎจราจร พบว่าลดลงอย่างเห็นได้ชัด เดือนพฤศจิกายน 2552 มีนักเรียนที่มีพฤติกรรมไม่สวมหมวกกันน็อก อยู่ที่ 16

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


ร้อยละ 35 สวมหมวกกันน็อกร้อยละ 65 พฤติกรรมขี่มอเตอร์ไซด์ซ้อนสามร้อยละ 0.79 และขี่ย้อนศรช่องทางจราจร

ร้อยละ 0.63 แต่เมื่อเปรียบเทียบสถิติในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 พบว่ามีนักเรียนไม่สวมหมวกกันน็อกเพียงร้อยละ 9.18 สวมหมวกกันน็อกถึงร้อยละ 90.82 พฤติกรรมขี่มอเตอร์ไซด์ซ้อนสามเหลือเพียงร้อยละ 0.50 ขณะที่พฤติกรรมขับขี่ย้อน ศรไม่มีเลย คุณครูนิศาชล ยังได้บอกต่ออีกว่า วิธีการสอนวินัยจราจรและความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนนั้น ไม่มีขีดจำกัด ขึ้นอยู่กับการคิดและนำมาปรับใช้ ที่ผ่านมาจึงได้นำเรื่องการจราจรนี้ สอดแทรกไว้ได้ในทุกๆ กิจกรรมของโรงเรียน อย่าง เช่น การจัดงานห้องสมุด ได้นำเรื่องอุบัติเหตุจราจรเข้าไปด้วย โดยขอเปิดพื้นที่ฉายคลิปอุบัติเหตุจราจรร้ายแรงเพื่อให้ เด็กๆ ได้เรียนรู้ รวมไปถึงกิจกรรมการรักการอ่านสัญจรที่หมุนเวียนไปอ่านหนังสือให้เด็กเล็กในโรงเรียนต่างๆ ฟัง เราก็ขอ ตามไปด้วย นำเครื่องหมายจราจรไปสอนให้กับเด็กๆ รวมถึงการรณรงค์สวมหมวกกันน็อก ที่จัดการประกวดแข่งขัน ตกแต่งหมวกกันน็อก และหลายๆ กิจกรรมที่เกิดขึ้น มาจากความคิดของนักเรียนเอง งานป้องกันและลดอุบัติเหตุจราจลที่ทำจนถึงวันนี้ คุณครูนิศาชล บอกทิ้งท้ายว่า ได้ช่วยแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจร ลดการบาดเจ็บและการสูญเสียที่เกิดขึ้นซ้ำซากกับเด็กนักเรียนลงได้ วันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปมที่ติดค้างในใจ จากความ เสียดายที่ต้องสูญเสียลูกศิษย์ที่ดีจากอุบัติเหตุทางถนนเท่านั้น แต่กิจกรรมต่างๆ ที่ทำเหล่านี้ ยังกลับช่วยสร้างความสุขใน อาชีพครู รู้สึกสนุกกับงานที่ทำ และตั้งมั่นแล้วว่า จากนี้จะยังคงเดินหน้าทำงานเพื่อลดอุบัติเหตุจราจรต่อไป

จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 17


แกะรอยความสำเร็จ อบจ.ภูเก็ต 20% คือตัวเลขยืนยันถึงความสำเร็จในช่วง

3 ปี ภายหลังจากไพบูลย์

อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วน

จัง หวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) ลงมาเล่นบทบาทผู้นำในการแก้ไขปัญหา อุ บั ติ เ หตุ จ ราจรบนท้ อ งถนนของเมื อ งไข่ มุ ก อั น ดามั น อย่ า งเต็ ม ตั ว

จนวันนี้โมเดลความสำเร็จ กำลังถูกขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ ในฐานะ เมื อ งที่ มี ก ารจั ด การความปลอดภั ย บนท้ อ งถนนผ่ า นความร่ ว มมื อ จากทุกเครือข่ายในชุมชน


จับปัญหามาเป็นโจทย์

“3 ปีก่อนภูเก็ต ยังมีสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุถึงปีละ 200 ราย แต่ตอนนี้ลดลงไปถึง 20%” ไพบูลย์ บอกถึง อัตราการสูญเสียที่เกิดขึ้น พร้อมขยายความต่อว่า ปริมาณนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศที่เข้ามามากในภูเก็ต ส่ง ผล โดยตรงต่อการจราจร และการขนส่งในภูเก็ตที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว บวกกับจากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและ การท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว ทำให้อัตราการบาดเจ็บ สูญเสียชีวิต และทรัพย์สินของภูเก็ตจึงสูงสุดเป็นอันดับ 1 ใน 5 ของ ประเทศตลอดในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา จากปัญหาถือเป็นโจทย์ที่ท้าทาย “ขั้นแรก” ที่ทำให้คณะอนุกรรมการจัดระบบจราจรทางบก ของจังหวัดภูเก็ต ที่มี

ผู้ว่าราชการเป็นประธาน ต้องนัดประชุม และถกกันทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด กรมทางหลวง ขนส่ง ตำรวจ เทศบาลภูเก็ต รวมทั้งระดับท้องถิ่นคือนายก อบจ.ทุกแห่งเข้ามาหารือและหาทางออก “กรรมการทั้งคณะมีส่วนร่วมกันวางแผนแก้ปัญหาการจราจร และปัญหาอุบัติเหตุจราจรของจังหวัดภูเก็ต โดยนำ ข้อมูลปัญหาจากหลายหน่วยงานมาวิเคราะห์วางแผน เช่น การบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุของประชาชนและนักท่อง เที่ยว ปัญหาการจราจรติดขัด ปัญหาความเดือดร้อนของเด็กนักเรียนในการการเดินทางไปโรงเรียน โดยวิเคราะห์ความ เสี่ยงต่างๆเช่นจุดเสี่ยงต่างๆ การใช้ความเร็ว การฝ่าฝืนสัญญาณไฟ การดื่มแล้วขับ รวมทั้งการวิเคราะห์ความต้องการของ ประชาชนเป็นต้น โดยอบจ.ภูเก็ต ก็เข้าร่วมเป็นภาคี ให้การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรด้วยการบรรจุการ แก้ไขปัญหาจราจรเป็นนโยบายสำคัญ และบรรจุในแผนการใช้งบประมาณประจำปีและแผนระยะ 3 ปีขององค์การบริหาร ส่วน อบจ.ภูเก็ต”

แก้ตรงจุด เริ่มอุดจุดเสี่ยง

ไพบูลย์ บอกว่า เป้าหมายแรกๆ ที่เราพยายามลดการใช้รถบนท้องถนน คือการจัดหารถขนส่งประจำทาง หรือ เรียกว่ารถเมล์โพถ้อง ซึ่งเป็นรถที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นภูเก็ต มาเป็นเป็นรถบริการสาธารณะ ให้กับนักเรียนขึ้นฟรี ส่วน ประชาชนและนักท่องเที่ยวคิดราคา 10 บาท และสามารถบริการ ได้มากกว่าวันละ 4,000 คนต่อวัน ซึ่งนอกจากจะ ปลอดภัยแล้ว สิ่งที่ได้คือลดปัญหาการจราจรในเขตเมือง ซึ่งอบจ.ภูเก็ตมีรถบริการเส้นทางหนึ่ง 12 คันจัดให้มีรถโพถ้องวิ่ง ให้บริการประชาชน ตั้งแต่เวลา 6.00 น. ถึง 20.00 น. ของทุกวัน จำนวน 3 สายสำคัญ คือจากบิ๊กซีไปที่ตลาดสี่มุมเมือง ส่วนสายที่ 2 วิ่งสายถนนซุปเปอร์ผ่านวิทยาลัยอาชีวะ และสุดท้ายจะ ผ่านโรงพยาบาลไปยังไปชุมชนเกาะสิเหร่ รวม 34 เที่ยวต่อวัน โดยช่วงที่จราจรไม่ติดทุก 8 นาทีจะมา แต่ถ้าช่วงเวลาเร่งด่วนโรงเรียนทุก 5 นาที (ซึ่งอยูในเขตเมืองก่อน) ที่ สำคัญมีการติดตั้งระบบติดตามยานพาหนะ (จีพีเอส) เพื่อควบคุมเวลาและบริหารจัดการ นอกจากนี้ยังติดตั้งสายด่วน 1131 และตั้งกล่องรับความคิดเห็นเพื่อให้ประชาชนสามารถสอบถามให้คำแนะนำหรือ ร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการอีกด้วย จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 19


ผลจากการริเริ่มรถบริการสาธารณะเพื่อลดอุบัติเหตุและจราจรในเมืองภูเก็ต ทำให้โครงการนี้ได้รับรางวัลโครงการ รถโดยสารสาธารณะดีเด่นของสำนักนายกรัฐมนตรีในปีที่ผ่านมา ส่วนโครงการการแก้ไขปัญหาการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร ไพบูลย์ บอกว่า ที่ผ่านมาได้สนุนงบประมาณในการติด ตั้งอุปกรณ์ไฟสัญญาณจราจรนับถอยหลัง (เคาท์ดาวน์) ตามบริเวณจุดแยกที่สำคัญตามเส้นทางสายหลักของจังหวัดภูเก็ต ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันความปลอดภัย และสร้างความตระหนักในการรักษาวินัยจราจรให้ ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โดยติดตั้งไฟสัญญาณ จราจรนับถอยหลังที่มีประสิทธิภาพสูง จำนวน 8 จุด ทั่วจังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้ หนึ่งในโครงการที่ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนภูเก็ตก็คือ โครงการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยในการ ขับขี่ 100% ทุกพื้นที่ทั้งจังหวัดเป็นแห่งแรกของประเทศ โดยร่วมมือกับจังหวัดภูเก็ต (โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต) กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต สำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต และภาคีเครือข่าย การรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุอุบัติภัยบนท้องถนน ซึ่งใช้วธีการเอาผู้ฝ่าฝืนมาให้ความรู้ความเสี่ยงก่อน ไม่ใช้บทลงโทษ ทำให้ คนเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แม้แต่ไปซื้อกับข้าว ซื้อของระยะทางใกล้ๆ ก็ยังใส่หมวกกันน็อค รวมทั้งชาวต่างชาติที่ เคยมีกรณีหนึ่งเข้ามาเที่ยวและลูกชายประสบอุบัติเหตุหัวน็อคพื้น และรอดตายเพราะใส่หมวกกันน็อค ทำให้เขาเลยมาช่วย รณรงค์ เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันอัตราการสวมหมวกนิรภัยในจังหวัดภูเก็ตสูงในอันดับต้นๆ ของประเทศ

ใช้เหยื่อเมาไม่ขับ ช่วยงานเฝ้าระวัง

ไพบูลย์ บอกว่า หนึ่งในโครงการสำคัญที่โดดเด่นกว่าพื้นที่อื่นๆ ก็คือการสนับสนุนเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ เป็น

ผู้ปฏิบัติงานติดตามข้อมูลจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (ซีซีทีวี) ซึ่งทำงานกันเป็นเครือข่ายร่วมกับเทศบาลนครภูเก็ต

เทศบาลตำบลรัษฎา เทศบาลตำบลวิชติ องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะแก้ว กองบังคับการตำรวจภูธร สำนักงานสาธารณสุข จังหวัด ขนส่งจังหวัด โดยสามารถติดตั้งกล้องคุณภาพสูงในพื้นที่สำคัญที่เป็นจุดเสี่ยงสำคัญไปแล้ว 53 ตัว และอยู่ระหว่าง ติดตั้งเพิ่มเติมอีก 197 ตัว “ตลอด 24 ชั่วโมงเหยื่อเมาไม่ขับจะมีจัดเวรชุดละ 2 คนมาอยู่ที่ศูนย์ควบคุมและบันทึกอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรเมือง ภูเก็ต และเป็นผู้ปฏิบัติงานติดตามข้อมูลจากกล้องซีซีทีวี เช่น ภาพบันทึกการไม่สวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ การฝ่าฝืนกฎจราจร และเหตุอาชญากรรมอื่นๆ งานตำรวจเพื่อบังคับใช้กฏหมาย นอกจากนี้ยังประสาน

ส่งข้อมูลไปยังสำนักงานขนส่งเพื่องดต่อทะเบียน และเสียค่าปรับกรณีไม่มาตามหมายเรียกจราจรเป็นต้น อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้เรายังเตรียมสนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อกล้องตรวจจับความเร็วรถ จำนวน 6 จุดติดตั้ง จุดที่เกิดอุบัติเหตุ สูงจากการใช้ความเร็วอีกด้วย”

20

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


ปรับวิศวกรรมจราจร

ไม่เพียงแต่โครงการที่เริ่มต้นจากปัญหามาปรับแก้ให้ชุมชนปลอดภัย แต่ในทางวิศวกรรมจราจร ไพบูลย์ ก็ยังให้ ความสำคัญ เพราะเชื่อว่าจะช่วยการแก้ไขปัญหาจุดเสี่ยงของจังหวัดได้ ร่วมกับภาคีเครือข่ายท้องถิ่นอื่นๆ ซึ่ง เช่น สนับสนุนงบประมาณในการทำเกาะกลางถนน ติดตั้งสัญญาณไฟแดงเพิ่มบริเวณทางแยก การตีเส้นจราจรเป็นต้น นอกจากนี้ในปี 2554 นี้ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยังประกาศนโยบายสนับสนุนการแก้ไขจุดเสี่ยงทั่วทั้ง จังหวัดจากข้อมูลที่คณะกรรมการพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุของจังหวัดสำรวจวิเคราะห์โดยจะสนับสนุนงบประมาณเสริม ให้ทุกพื้นที่ที่ไม่สามารถหางบประมาณของหน่วยงานหรือท้องถิ่นขนาดเล็กในการดำเนินการ โดยจะทำให้จุดเสี่ยงทั่วจังหวัด หมดไปภายใน 2-3 ปีข้างหน้าซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเริ่มต้นดำเนินการ นายกอบจ.ภูเก็ต ย้ำว่า ผลจากการดำเนินงานในลักษณะของภาคีเครือข่าย และความทุ่มเทตั้งใจของทุกหน่วย

และด้วยการสนับสนุนอย่างสำคัญของผู้นำระดับจังหวัดได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด

ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดและเครือข่าย 5 E ในการจนทำให้ปัจจุบัน รูปแบบของการดำเนินงานได้ขยายแนวคิดไปจัง หวัดอื่นๆ ทั้งเรื่องการบังคับใช้กฎหมายหมวกนิรภัย การแก้ไขจุดเสี่ยง และการทำงานในลักษณะภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็ง และดัชนีชี้วัดสำคัญก็คือ ผลการดำเนินงานของจังหวัดภูเก็ตสามารถลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรได้ลง

ร้อยละ 30 ภายในระยะเวลา 3 ปีจากเดิมที่เคยมีอุบัติเหตุเฉลี่ย ปีละประมาณ 200 รายในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เหลือ 137 รายในปี 2553 โดยในระยะ 3 ปีที่ผ่านมาองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตสนับสนุนงบประมาณในการจัดการจราจร และขนส่งกว่า 133 ล้านบาท แต่ไพบูลย์ ก็เชื่อว่าปัญหาอุบัติเหตุยังไม่สมบูรณ์ 100% เนื่องจากความเจริญเติบโตของเมือง และการพัฒนาความเจริญ เช่น ห้างสรรพสินค้า ถนน เมือง ก็ยังจำเป็นต้องสานต่อโครงการนี้ไปเรื่อยๆ และอาศัยความ ร่วมมือจากทุกๆ คน ทุกภาคส่วนต่อไป ปัจจุบันโครงการของไพบูลย์ ทีทุ่มเทมาตลอด 3 ปีเพื่อป้องกันและลดปัญหาอุบติเหตุในพื้นที่อย่างจริงจัง ทำให้ทาง สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตโดย นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ เสนอชื่อผู้เหมาะสมเข้ารับรางวัล Prime Minister Award

อีกด้วย จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 21


อบต. พลับพลาไชย….

ชุมชนต้นแบบ ถนนปลอดอุบัติเหตุ

ถ้วยรางวัลมากมาย ถูกเก็บวางไว้เรียงรายอย่างสวยงาม

ในตู้โชว์ไม้แกะสลักขนาดกลาง เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จที่เกิด จากการทุม ่ เทของคนในชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบลพลับพลาไชย อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เพื่อพัฒนาให้ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้ กลายเป็น ชุ ม ชนที่ มี ค วามเข้ ม แข็ ง และมี ค วามปลอดภั ย ในชุ ม ชน โดยเฉพาะ สองถ้ ว ยรางวั ล สำคั ญ ที่ ยื น ยั น ถึ ง ความสำเร็ จ ในการจั ด การลด อุ บั ติ ภั ย บนท้ อ งถนน โดยรางวั ล แรก เป็ น ถ้ ว ยรางวั ล ของนายก รั ฐ มนตรี อภิ สิ ท ธิ์ เวชชาชี ว ะ เมื่ อ ปี พ.ศ.2552 ภายใต้ ชื่ อ ของ “Prime Minister Road Safety Award” และอีกหนึ่งรางวัลแห่ง ความภาคภู มิ ใ จในปี ถั ด มา คื อ รางวั ล “โครงการรางวั ล ชุ ม ชน ร่วมใจ สร้างความปลอดภัยบนท้องถนน ครั้งที่ 6” จัดโดยกรม ทางหลวง


ความสำเร็จของชุมชนเล็กๆแห่งนี้ ถูกเล่าถ่ายทอด และพร้อมที่จะถูกถอดรหัสเป็นบทเรียนชุมชนต้นแบบให้กับ

ชุมชนอื่นๆ ผ่านคนทำงานกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่พยายามสร้างจุดเปลี่ยนของชุมชน ให้เป็นชุมชนที่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ ทางท้องถนน

ทำในสิ่งที่ชอบ…. ชอบในสิ่งที่ทำ

พีระศักดิ์ มาตรศรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพลับพลาไชย ย้อนความให้ฟังว่า จากนโยบายของจังหวัดที่ให้มี การอบรม อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) โดยให้มีจำนวนร้อยละ 2 ของประชากรในพื้นที่เป็นอาสาสมัคร ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน เพื่อฝึกบรรเทาสาธารณภัยจากอุบัติเหตุ และภัยธรรมชาติต่างๆ ซึ่งกลุ่มอาสาสมัครของ อบต. พลับพลาไชย มีความสนใจเป็นพิเศษในด้านป้องกันและบรรเทาภัยจากอุบัติเหตุทางท้องถนน นอกจากนี้ในชุมชนเองก็มี ปัญหาในเรื่องอุบัติเหตุ ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้ง และก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ทำให้ทาง ชุมชนเองให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ จากสถิตกิ ารเกิดอุบตั เิ หตุชมุ ชน พบว่ามี 3 จุดอันตราย นัน่ คือ สีแ่ ยกตัวเอส อยูร่ ะหว่างถนนเลียบคลองมะขามเฒ่า โดยมีถนนทางหลวงหมายเลข 33 ตัดผ่านเป็นรูปตัวเอส จุดที่สอง เป็นจุดสี่แยกตัวเอ็กซ์ จากถนนเลียบคลองมะขามเฒ่า กับถนนพลับพลาไชย ถึงบ้านท่าเสด็จ ซึ่งเป็นจุดที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด โดยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นโดยเฉลี่ย 2 ครั้งต่อ เดือน และจุดสุดท้ายคือ สามแยกตัวที ตั้งอยู่ระหว่างสถานีตำรวจตำบลพลับพลาไชย “เรามีจำนวนคนทีม่ าฝึกเป็น อปพร อยูป่ ระมาณ 200 คน แต่ทอ่ี ยูเ่ ป็นอาสาสมัครกูภ้ ยั อุบตั เิ หตุมอี ยูด่ ว้ ยกัน 13 คน ซึ่ง คนเหล่านี้มีความทุ่มเท และใจรักในงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างจริงจัง ถึงแม้จำนวนจะน้อย แต่พูดถึงประสิทธิภาพ คนเหล่านี้เป็นบุคลากรที่มีศักยภาพเกินร้อย” โดยแต่ละคน จะต้องฝึกอบรมการกู้ชีพ และการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต และพิการของ

ผู้ประสบภัย โดยทาง อบต.พลับพลาไชย ได้จัดหารถพยาบาลกู้ชีพประจำตำบลไว้ในกรณีฉุกเฉินจำนวน 1 คัน โดยได้

รับการสนับสนุนเปลอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น จากโรงพยาบาลใกล้เคียง เหตุ และทันทีที่มีการรับแจ้งการเกิดอุบัติเหตุ ทีมกู้ภัยก็พร้อมที่จะปฎิบัติหน้าที่ได้ทันที ซึ่งทีมกู้ภัยสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะหน่วยกู้ภัย จะแบ่ง เป็น 4 ทีม และทำงานเป็นกะละ 8 ชั่วโมง สลับปรับเปลี่ยนกันไป

จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 23


ขัดแย้งความคิด ….. สู่สิ่งที่ดีกว่า

“ทางกรมทางหลวง เขามารื้อออกไปตั้งหลายรอบ เขาบอกว่ามันทำไม่ได้ มันผิดกฎหมาย เราก็บอกว่า มันช่วยลด อุบัติเหตุ ถ้าไม่มี อุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นบ่อยนะ เราก็เอาสถิติไปให้เขาดู เถียงกันไปมา โดยทางกรมทางหลวงยืนยันมาว่าทำ ไม่ได้ ผมก็สู้ด้วยข้อมูลของผม รายงานการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง จนเขาบอกให้ผมเลิกรายงานได้แล้ว เขารู้แล้ว ในที่สุด

ผมก็ได้ไฟแดงมาติดที่ทางแยก” นายก อบต. 3 สมัย เล่าให้ฟังว่า ทางชุมชนพยายามที่จะลดอุบัติเหตุ บริเวณ 3 จุดหลัก แต่เนื่องจากมีงบประมาณ อันจำกัด จึงขอบริจาคยางแอสฟันต์จากผู้รับเหมาเพื่อทำลูกคลื่น ให้รถที่ขับขี่มาด้วยความเร็วชะลอลงเมื่อผ่านลูกคลื่น ซึ่ง หลังจากแล้วที่ทำลูกคลื่น ปรากฏว่าอัตราของการเกิดอุบัติเหตุลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากเดือนละประมาณ 2 ราย เหลือ เพียง 1 รายใน 2 เดือน เป็นต้น ผู้ขับขี่ใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เมื่อขับรถผ่านลูกคลื่น แต่สิ่งที่ทางชุมชนทำ ขัดกับหลัก กฏระเบียบของกรมทางหลวง ตามระเบียบของกรมทางหลวง ถนนทางหลวงจะไม่สามารถมีลูกคลื่นได้ ยกเว้นแต่จะเป็นถนนของชุมชน หรือถนน ของหมู่บ้านเท่านั้น ต่อมากรมทางหลวงตัดสินใจที่จะรื้อลูกคลื่นเหล่านั้นออกไป ส่วนทางชุมชนก็ไม่ยอม เมื่อกรมทางหลวง รื้อออก ชุมชนก็สร้างอีก ความขัดแย้งเกิดขึ้นมาหลายรอบ จนในที่สุด เรื่องก็ไปถึงระดับจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด สุพรรณบุรี เชิญหน่วยงานราชการ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือกัน เพื่อหาทางออกในเรื่องนี้ กรมทางหลวงเสนอให้มี การติดตั้งสัญญาณไฟจราจรที่แยกตัวเอ็กซ์ เพื่อลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ ส่วนในจุดแยกอื่นๆ ก็จะมีการใช้ป้ายสัญญาณเตือนแยก ให้ผู้ขับขี่มองเห็นสัญญาณเตือน และลดความเร็วลง นอกจากนี้ในช่วงเทศกาลชมดอกกระเจียวบานในเดือนสิงหาคม และดอกทานตะวันบานในช่วงเดือนธันวาคม รวมถึง เทศกาลสำคัญอย่างวันสงกรานต์ ทางอบต. พลับพลาไชย ได้ระดมเจ้าหน้าที่ อปพร มาประจำตามจุดแยกที่สำคัญ เพื่อลด การเกิดอุบัติเหตุในช่วงเวลาที่มีการจราจรคับคั่ง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สถิติการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเวลา

ดังกล่าวค่อนข้างต่ำมาก

โต แล้ว แตก

จากความสำเร็จของอบต. พลับพลาไชย ทำให้มีแนวคิดว่า ความสำเร็จของชุมชนเล็กๆ เพียงชุมชนเดียว ยังไม่ สามารถที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับคนอื่นอีกเป็นจำนวนมาก จึงมีแนวคิดที่จะขยายความสำเร็จไปให้กับชุมชนใกล้ เคียง โดยขณะนี้มีเพื่อนร่วมเครือข่ายด้วยกันอยู่ 2 ตำบล ประกอบไปด้วย ต. บ้านโด่ง และ ต. คอนคา ซึ่งทั้งสองตำบล ต่างก็มีสมาชิก อปพร เป็นเครือข่าย โดยจะมีการประสานงานกันในกรณีที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น “อบต. พลับพลาไชย จะเป็นศูนย์บริการรถกู้ชีพฉุกเฉินในกรณีที่มีอุบัติเหตุในเขตตำบลดังกล่าว สมาชิก อปพร จะ

24

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


วิทยุมาเครือข่ายของเรา ซึ่งพร้อมทันทีที่จะนำรถออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย เนื่องจากเรามีประสบการณ์ด้านนี้ และมี ความพร้อมมากกว่า จึงเป็นพี่เลี้ยงไปก่อน หลังจากนั้นท้องถิ่นอื่นๆ ก็ต้องพัฒนาระบบ เพื่อสร้างเป็นระบบเครือข่ายชุมชน ที่เข้มแข็ง เพื่อช่วยกันทำงานลดอุบัติเหตุในชุมชน” นายพีระศักดิ์ ยังกล่าวต่อไปอีกว่า เมื่อเครือข่ายรอบข้างเข้มแข็ง ก็สามารถที่จะขยายไปยังชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อ สร้างเครือข่ายให้มีความเข้มแข็ง และยั่งยืนต่อไป โดยที่ทาง อบต.พลับพลาไชย ไม่สามารถที่จะทำให้ชุมชนทุกชุมชนมี ความเข้มแข็งได้ด้วยตนเอง แต่จะต้องใช้เครือข่ายใกล้เคียงสร้างแบบอย่างที่ยั่งยืนต่อไป ความสำเร็จของ อบต.พลับพลาไชย ไม่ใช่เกิดจากความมุ่งมั่น และความสามัคคีกันภายในชุมชนเท่านั้น แต่กำลังใจ เล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากผู้ประสบภัยก็เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ชุมชนมีขวัญและกำลังใจที่จะทำงานเพื่อสังคมต่อไป ย้อนหลังไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว สองสามีภรรยาคู่หนึ่ง ขับรถมาจากกรุงเทพ เพื่อมาเที่ยวชมทุ่งดอก ทานตะวันบาน ปรากฏว่ารถคันดังกล่าวจอดชะลอดูเหตุการณ์อุบัติเหตุที่แยกตัวที หลังจากนั้นก็ขับรถออกมา แต่เกิดอุบัติ เหตุชนกับรถกระบะที่แยกตัวเอส ภรรยาได้รับบาดเจ็บ ทางทีมกู้ภัยของอบต. รีบนำตัวผู้ประสบอุบัติเหตุส่งโรงพยาบาล หลังจากออกจากโรงพยาบาล คู่สามีภรรยาได้มาแสดงความขอบคุณกับทีมกู้ชีพที่ได้ช่วยเหลือจากอุบัติเหตุดังกล่าว “กำลังใจจากคนที่เราได้ช่วยชีวิต เป็นพลังอันสำคัญที่ทำให้เรามีกำลังใจในการทำงาน รวมถึงรางวัลต่างๆ ที่เราได้รับ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่เราทุ่มเท ทำลงไปนั้น ผู้ใหญ่มองเห็น และพร้อมที่จะให้การสนับสนุน” อบต.พลับพลาชัย ประกอบไปด้วย 14 หมู่บ้าน ประชากรประมาณ 13,000 คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร จากการเก็บรวบรวมสถิติการเกิดอุบัติเหตุของจังหวัด สุพรรณบุรี พบว่าสถิติการเกิดอุบัติเหตุช่วงปีที่ผ่านมา มี

ผู้เสียชีวิต 61 ราย บาดเจ็บ 392 ราย ในขณะที่ อุบัติเหตุทางถนนทั้งประเทศประมาณ 12,500 คน โดยเฉลี่ยต่อปี ซึ่งสูง กว่าการเสียชีวิตจากการก่ออาชญากรรมประมาณ 4-5 เท่า โดยผู้บาดเจ็บร้อยละ 30 มีอายุระหว่าง 15-19 ปี เท่านั้น สำนักงานอำนวยการความปลอดภัยทางถนน กรมทางหลวง ได้ประมาณการมูลค่าความสูญเสียจากอุบัติเหตุทาง ถนน ตลอดปี 2550 พบว่า มีผู้บาดเจ็บ 79,029 คน พิการ 7,902 คน เสียชีวิต 12,492 คน มูลค่าความสูญเสียจาก อุบัติเหตุบนท้องถนนตลอดปี 2550 สูงถึง 249,290,550,000 บาท ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิถึง

2 แห่ง และยังมากกว่างบประมาณการสร้างรถไฟฟ้า 6 สาย ของปี 2551 อีกด้วย ก้าวย่างเล็กๆ จาก อบต.พลับพลาไชย และ อีกหลายร้อยล้านก้าวของคนทั้งประเทศ จะสามารถช่วยกันลดอัตรา การบาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราพร้อมและตั้งใจทำตามแบบอย่างของชุมชนต้นแบบอบต. พลับพลาไชย ได้เมื่อใด จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 25


กันน็อค…กันตาย :

คนภูเก็ตสวมหมวกนิรภัย 100% ภูเก็ตถือเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ที่มีชื่อ เสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปไกลทั่วโลก จนได้รับการขนานนามว่า “ไข่มุก แห่ ง อั น ดามั น ” ด้ ว ยความสวยงามของสถานที่ ท่ อ งเที่ ย วทาง ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหาดทราย ชายทะเล หมู่เกาะน้อยใหญ่ที่มีความ สวยสดงดงามตระการตา จึงทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลาง ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่สำคัญด้านฝั่งอันดามันของไทย

26

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


อย่างไรก็ตามการเติบโตและความคับคั่งด้านการท่องเที่ยวของเมืองภูเก็ตตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้จะส่งผลดีใน แง่ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เป็นไปในทิศทางบวก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดและหลายคนอาจคาดไม่ถึง คือ สถิติอุบัติเหตุบน ท้องถนนที่คร่าชีวิตคนภูเก็ตและคนต่างถิ่นที่มาเยือนเมืองนี้ในแต่ละปี เมื่อนับยอดกันแล้วภูเก็ตครองแชมป์การตายจาก อุบัติเหตุอันดับต้นๆ ประเทศเลยทีเดียว ข้อมูลระบุว่าสถิติอุบัติเหตุจากการจราจรของจังหวัดภูเก็ตนั้น มีอัตราการบาดเจ็บและตายจากอุบัติเหตุจราจรสูงติด อันดับ 1-5 ของประเทศไทยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยบาดเจ็บ 33-35 คนต่อวัน เสียชีวิต 15-16 คนต่อเดือน การเสีย ชีวิตจากอุบัติเหตุเทียบได้กับจำนวนนักเรียนปีละ 4 ห้องเรียน หรือราว 200 คน คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 66.58 คน ต่อ ประชากรแสนคน มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณปีละ 1,355-1,492 ล้านบาท หรือประมาณวันละ 3.7-4 ล้าน บาท โดยเป็นการคำนวณนับตั้งแต่คนที่เสียชีวิตได้รับการเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กจนโต และมีโอกาสที่จะทำมาหากินได้เงินต่อไป หากมีชีวิตอยู่ ซึ่งอุบัติเหตุมากกว่า 80% เกิดจากรถจักรยานยนต์ ด้วยยอดอุบัติเหตุที่ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล จึงได้มีการรวมตัวของคนจากทุกภาคส่วนในจังหวัดภูเก็ต ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น เอกชน และภาคประชาสังคม ในนามคณะทำงานสนับสนุนการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ จราจรทางถนนในระดับจังหวัด (สอจร.) ภูเก็ต เพื่อผลักดันแผนงานและโครงการในการลดอุบัติเหตุที่สร้างความเสียหาย ในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนลงให้ได้ หนึ่งในโครงการที่จัดทำขึ้นคือโครงการ “รณรงค์ให้ผู้ขับขี่และซ้อนท้าย

รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย ในเขตเทศบาลนครภูเก็ต 100%”

ทำอย่างไรให้คนกลัวตาย

อรชร อัฐทวีลาภ นักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ผู้ประสานงานโครงการรณรงค์ให้

ผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยฯ ตั้งคำถามว่าทำไมคนเราถึงต้องกลัวความตาย จริงอยู่สิ่งใดถ้าเรา ไม่รู้ล่วงหน้า เราก็คงไม่กลัว ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเราในอนาคต แต่ถ้าเราทราบข้อมูลว่าอุบัติเหตุจราจร ที่เกิดขึ้นบน ท้องถนน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต มากกว่า 1.2 ล้านคน มีคนบาดเจ็บ และพิการ อีกกว่า 50 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าทาง เศรษฐกิจความเสียหาย มากกว่าร้อยละ 1.5 ของรายได้ประชาชาติ (GDP) ทั่วโลก แม้ประเทศไทยได้มีความพยายามที่จะลดอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะในปี พ.ศ.2553 จำนวน 13,276 คน หรือเฉลี่ยวันละ 30 คน ต่อวัน มีคนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลปีละมากกว่า 100,000 คน ต้อง กลับกลายเป็นคนพิการ ปีละกว่า 3,000 คน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล มีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบน ท้องถนนร้อยละ 80 “สิ่งที่น่าห่วงคือ การเสียชีวิตใน จำนวน 12 คน เป็นเด็กและเยาวชนถึง 4 คน ซึ่งมากกว่าร้อยละ 40 ของผู้เสียชีวิต ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ การเสียชีวิต จากอุบัติเหตุจึงสูงกว่าอาชญากรรมถึง 5 เท่า คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 27


กว่า 2 แสนล้าน เท่ากับว่าในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยเสียชีวิตไปกับอุบัติเหตุไปแล้ว 1.2 ล้านคน” อรชรบอกเล่าให้ เห็นภาพความตายบนท้องถนนจากอุบัติเหตุว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวเพียงใด

ชวนคนภูเก็ตสวมหมวกกันน็อค

คนทั่วไปมักเข้าใจกันว่า สิ่งที่ทำให้มีชีวิตอยู่ได้คือการมีงานทำ มีเงินเยอะๆ การไม่เจ็บป่วยหรือเป็นโรคร้าย น้อย คนนักที่จะเรียงลำดับความสำคัญของชีวิต การที่จะให้อยู่อย่างปลอดภัย เราจะให้ความสำคัญกับสุขภาพ ก็ต่อเมื่อมีอาการ บ่งบอกว่าไม่สบาย ต้องไปพบแพทย์ เมื่อตรวจร่างกายก็จะพบว่าไขมันในเลือดและ ไตรกลีเซอร์ไลด์สูง ถ้าไม่รับประทาน ยาควบคุม ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร ก็จะกลายเป็นโรคหัวใจ ไขมันอุดตัน เมื่อตอนนั้นก็จะกลัวตาย และจะเริ่มวางแผนชีวิต กำหนดเวลาการทานอาหาร ออกกำลังกาย รวมทั้งศึกษาข้อมูลต่างๆเพื่อใช้ชีวิตอยู่ให้ได้นานที่สุด แม้จะต้องใช้เงินทองมากมายในการรักษาสุขภาพ เพิ่มการจัดลำดับการใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท และเปลี่ยนพฤติกรรมการ บริโภค เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ แสดงให้เห็นว่าเพียงเรื่องรู้ข้อมูลสุขภาพของตัวเองจากแพทย์ ก็ ทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมได้ทันที ดังนั้นอรชรจึงเชื่อว่า หากคนไทยทราบตัวเลขการเสียชีวิตจากการขับขี่และนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ว่ามาจาก สาเหตุของการขับขี่รถที่ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร ขับรถประมาท เมาสุราขณะขับรถ การขับรถเร็ว เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ คร่าชีวิตของคนขับรถที่ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ปีละ 12,000 คน ซึ่งมากกว่าการตายจากการเกิดคดี อุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญถึง 5 เท่า และสภาพของการเสียชีวิตก็เละเทะ ไม่น่าดู คู่กรณีก็ไม่เคยรู้จักกันและไม่เคยโกรธเคือง กันมาก่อน รวมทั้ง ความหนักเบาของโทษก็ต่างกัน ตัวอย่างเช่น ผู้กระทำความผิดฐาน ฆ่าคนตายมีโทษถึงประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต แต่ผู้กระทำความผิดฐาน ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิตหรือทรัพย์สินเสียหาย แล้วหลบหนี กลับได้รับโทษน้อยกว่า ก็จะทำให้ผู้ขับขี่ต้องเข้าใจ และเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่เนื่องจากเกิดความกลัว “สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการทำให้คนภูเก็ต เห็นคุณค่าของการสวมหมวกนิรภัยหรือหมวกกันน็อค เพราะสภาพที่เป็น อยู่ที่คนพกพาหมวกกันน็อคก็จริง แต่เป็นการวางไว้ตระกร้าหน้ารถมอเตอร์ไซค์เพื่อกันตำรวจจับเท่านั้น ไม่ได้มีใครคิดว่า หมวกกันน็อคสามารถช่วยชีวิตเขาได้ นั่นเป็นเพราะเพราะคนขับรถไม่เคยรู้มาก่อนว่าทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถ ได้เกิด อุบัติเหตุบนท้องถนน จนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และคนไทยประมาณ 17 ล้านคน นิยมการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์เป็น อันดับ 8 ของโลก แต่มีคนไทยเพียงส่วนน้อย ที่เข้าใจถึงคุณค่าของหมวกกันน็อค ว่าเมื่อสวมหมวกกันน็อคแล้ว หากเรา เกิดอุบัติเหตุ จะทำให้ลดการเจ็บ พิการ และเสียชีวิต ได้ถึง 37% และประมาณ 67% จะทำให้สมองไม่กระทบอย่างรุนแรง” อรชรกล่าว ทั้งหมดนี้จึงนำไปสู่การรณรงค์ตามโครงการรณรงค์ให้ผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย ในเขต เทศบาลนครภูเก็ต 100% โดยมีทีมงานภาคีระดับจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยภาคีหลัก คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธร เมืองภูเก็ต ตั้งแต่ผู้กำกับการหัวหน้าสถานีตำรวจ จนถึงระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการ ทีมงานด้านสาธารณสุข ตลอดจน 28

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


ประชาสัมพันธ์จังหวัด และสื่อมวลชน ภาคีรอง คือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น โรงพยาบาล สำนักงานขนส่งจังหวัด สถานศึกษา มูลนิธิอาสาสมัครกู้ภัย แขวงการทาง สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น แต่งตั้งเป็นคณะ ทำงานขึ้นมาเพื่อความเข้าใจกับทุกฝ่าย ให้ทราบถึงสถิติ ข้อมูล ต่างๆ ที่เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุท้องถนนเป็นเหตุให้มีผู้ได้ รับบาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิต เพื่อให้ภาคี เครือข่ายได้ร่วมกันสร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับคนจังหวัดภูเก็ต มีวัฒนธรรม ใหม่ คือ ร่วมกันสวมหมวกนิรภัย ทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ 100 % ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมจังหวัดภูเก็ต และสังคมไทย

ปฏิบัติการคนภูเก็ตใส่ใจสวมหมวกนิรภัย 100%

อรชรเล่าถึงระยะเวลาและขั้นตอนในการดำเนินโครงการฯ ว่า เริ่มต้นจากการสร้างเครือข่าย และทำความเข้าใจกับ เครือข่ายกำหนดบทบาทหน้าที่ของแต่ละฝ่ายในการสร้างความเข้าใจกับประชาชน จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการดำเนินงาน โดยเริ่มต้นจากมาตรการประชาสัมพันธ์ กำหนดระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 1 เมษายน-30 มิถุนายน 2553 มีการติดป้าย ประชาสัมพันธ์ทั่วเมืองภูเก็ต บรรยาย ฉายวิดิทัศน์ ภาพยนตร์เรื่องหมวกนิรภัยตามหน่วยงานภาคีและเครือข่ายของ โครงการ ที่สำคัญคือการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับทุกภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่นและเอกชน “คณะกรรมการทั้ง 3 ฝ่ายจะต้องปรับทัศนคติให้ตรงกัน ทั้งนี้เนื่องจากว่าทุกคนทราบดีว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาการ บังคับใช้กฎหมายเรื่อง การสวมหมวกนิรภัย ได้บังคับใช้มาประมาณ 20 กว่าปีมาแล้ว กระทั่งทุกวันนี้ คนไทยที่เป็นผู้ขับขี่ รถจักรยานยนต์ยังสวมหมวกนิรภัย ประมาณ 60 % ขณะที่ผู้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย แต่เพียง 4 % เท่านั้น” จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 29


ขณะที่การสำรวจอัตราการสวมหมวกนิรภัย โดยดูจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด( CCTV) ในเขตอำเภอเมือง จังหวัด ภูเก็ต ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2553 พบว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ไม่สวมหมวกนิรภัย ถึงร้อยละ 60 และ

ผู้ซ้อนท้ายไม่สวมหมวกนิรภัย ถึงร้อยละ 96 เมื่อจำแนกตามเวลาที่ผู้ขับขี่สวมหมวกนิรภัย พบว่าเวลาที่ผู้ขับขี่ไม่สวม หมวกนิรภัย ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเวลา 21.00 - 22.00 น. และเมื่อจำแนกตามอายุพบว่า เด็กไม่สวมหมวกนิรภัย มีอัตราสูง ถึงร้อยละ 100 รองลงมาเป็นกลุ่มวัยรุ่น ร้อยละ 62.04 ทั้งนี้หลังจากสิ้นสุดระยะประชาสัมพันธ์ก็จะเข้าสู่มาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง กำหนดระยะเวลา 1 ปีเริ่ม ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2553 - 1 กรกฎาคม 2554 ซึ่งในมาตรการนี้ตำรวจต้องเพิ่มความเข้มในการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง หัวหน้าสถานีตำรวจ ต้องให้ความสำคัญไม่ทิ้งงาน ประเมินและติดตามผลตลอดเวลา จะมีการอลุ่มอล่วยไม่ได้ผู้ขับขี่ต้อง ชำระค่าปรับเป็นสองเท่าหากฝ่าฝืน ส่วนผู้ซ้อนท้าย จะต้องมีใบนัดเพื่อเข้ารับการอบรมและชมภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาแสดงถึง ผลร้ายที่เกิดจากการไม่สวมหมวกนิรภัย ที่สถานตำรวจจำนวน 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย โดยไม่ต้องชำระค่าปรับแต่อย่างใด รวมทั้งจะถูกแจ้งรายชื่อไปยังหน่วยงานบังคับบัญชาของผู้ฝ่าฝืนที่ได้ตกลงทำเอ็มโอยูกันไว้เพื่อให้มีมาตรการลงโทษตาม

ข้อตกลงที่ทำไว้ร่วมกัน ในส่วนของผู้ซ้อนท้ายหากไม่ยอมเข้าฟังการอบรม เรียนรู้ชมภาพยนตร์ภายใน 7 วัน ให้ทำหนังสืออายัดไปยังขนส่ง จังหวัด ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตั้งจุดตรวจในพื้นที่ต่อเนื่อง และไม่ซ้ำจุด อย่างไรก็ตามคนที่ไม่สวมหมวกนิรภัย ให้สันนิษฐานว่า เขายังไม่ทราบข้อมูลการเสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนน นอกจากนี้โทรทัศน์วงจรปิดต้องเฝ้าระวังและ บันทึกข้อมูล ผู้ฝ่าฝืนอย่างต่อเนื่อง และส่งข้อมูลผู้ฝ่าฝืนไปที่บ้านเลขที่ตามที่อยู่พร้อมภาพถ่ายเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมาย ต่อไป

สู่วัฒนธรรมใหม่คนภูเก็ตสวมหมวกนิรภัย 100%

อรชรย้อนเวลาให้ฟังว่า วันที่ 1 กรกฎาคม 2553 นับเป็นวันแรกของการเป่านกหวีดส่งสัญญาณให้คนภูเก็ตต้อง สวมหมวกนิรภัย 100% ซึ่งในวันดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเป็นประธานปล่อยขบวนรถไปตามเส้นทางต่างในพื้นที่ เป้าหมาย เพื่อให้ปรากฏต่อสายตา ประชาชน และสื่อมวลชน ว่าได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ ที่เสมือนเป็นนวัตกรรมที่ไม่เคย ปรากฏมาก่อนนั่นคือ ความพร้อมเพรียง มีระเบียบวินัย ของผู้คนในจังหวัดภูเก็ต และเป็นการสร้างกระแสทางสังคม

จนกระทั่งกลายเป็นวัฒนธรรมของคนจังหวัดภูเก็ตในการสวมหมวกนิรภัย 100% ทีส่ ำคัญมาตรการนีจ้ ะไม่มกี ารว่ากล่าวตักเตือน หรืออนุเคราะห์ใดๆ ทัง้ สิน้ หากผูข้ บั ขีย่ งั ฝ่าฝืนกฎหมาย ด้วยการไม่ สวมหมวก ก็จะถูกชำระค่าปรับตามกฎหมายเพราะถือว่าบุคคลนั้น ยังไม่มีจิตสำนึก หรือยังไม่ทราบข้อมูล หรือองค์ความรู้ เกี่ยวกับการรณรงค์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สำหรับผู้ซ้อนท้ายหากไม่สวมหมวกนิรภัย ก็จะถูกตำรวจจับ แม้ไม่ต้องชำระ

ค่าปรับเป็นเงิน แต่จะถูกจับและปรับเป็นเวลา 1 ชัว่ โมง 30 นาที เพือ่ ฟังการบรรยาย ชมวีดที ศั และภาพยนตร์ ทีช่ น้ั 4 สถานี ตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต ซึ่งกระบวนการนี้ได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับหน่วยงานตำรวจ โดยที่ไม่หวังเงินหรือรางวัลตอบแทน 30

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


“ในทางปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ในลักษณะดังกล่าว ได้ผลมากยิ่งกว่าเพียงแค่ถูกจับและ ชำระค่าปรับแล้วปล่อยไป เพราะนอกจากผู้ขับขี่ที่กระทำ ความผิดจะถูกจับปรับเป็น 2 เท่าแล้ว ยังต้องเสียเวลาเพื่อ ฟังการอบรม เรียนรู้ ซึ่งต้องใช้เวลานานเป็นชั่วโมง โดยมี สถิติพอสังเขปคือ ผู้นั่งซ้อนท้ายไม่สวมหมวกนิรภัย ทั้ง ชายและหญิง ในรอบ 4 เดือน และจำนวนเงินค่าปรับ ใน กรณี ท ี ่ เ จ้ า หน้ า ที ่ ต ำรวจจั บ กุ ม นั ้ น เป็ น เงิ น จำนวนถึ ง 2,109,500 บาท ในส่วนของผู้นั่งซ้อนท้ายหลังการ อบรม แล้วจะต้องไปซื้อหมวกนิรภัย หากถูกจับเป็นครั้งที่ 2 จะ ถูกส่งรายชื่อไปยังต้นสังกัดอีกครั้ง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ จราจร จะบันทึกข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะปรากฏ ข้อมูลว่าถูกจับแล้วมากี่ครั้ง เพื่อเพิ่มเวลาในการอบรมเป็น 2 ชั่วโมง” อรชรบอกกล่าวถึงรายละเอียดความเข้มข้นของ มาตรการทางกฎหมาย ตลอด 1 ปีที่ผ่านมามีบุคคลที่ผ่านการเรียนรู้ จากทีมงาน ตำรวจจราจร สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ตและถูกส่งชื่อไปยัง หน่วยงาน โรงเรียน โรงพยาบาล โรงแรม สถานประกอบการ ต่างๆ หรือต้นสังกัดของตัวเอง ซึ่งหน่วยงานเหล่านั้นก็จะมี มาตรการลงโทษ ตามที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงกันไว้กับสถานี ตำรวจภูธรเมืองภูเก็ตไปแล้วจำนวนมาก จึงเชื่อว่าคนกลุ่มนี้จะ เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในเรื่องการสวมหมวกนิรภัย 100% จน กลายเป็นวัฒนธรรมของคนภูเก็ตในที่สุด ท้ า ยที ่ สุ ด เมื ่ อ ทุ ก คนเคารพกฎกติ ก า คำนึ ง ถึ ง ความ ปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น ร่วมกันก้าวเดินสู่วัฒนธรรมสวม หมวกนิรภัย 100% ภูเก็ตก็จะกลายเป็นเมืองปลอดภัยจาก อุบัติเหตุสำหรับคนภูเก็ตเองและผู้มาเยือนทุกคนอย่างแท้จริง

จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 31


เกมต่อ “จิ๊กซอร์”

งานลดอุบัติ “สปส.อุดรธานี” “ทำงานอยู่สำนักงานประกันสังคม แล้วเกี่ยวข้อง กับงานลดอุบัติเหตุจราจรด้วยเหรอ...?”

คำถามที่ได้ยินจนชินหู พร้อมกับความรู้สึกที่คุ้นตา ในสีหน้า แววตา และท่าทางที่สงสัยของผู้ถาม เนื่องจากผู้ทำงานลดอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่ มักเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่แขวง

การทาง และเทศบาล ไม่คิดว่า เจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม จะ เกี่ยวข้องและเข้ามาเป็นแกนหลักทำงานนี้ด้วย

32

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


นันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ช่วยสำนักงานประกันสังคม จังหวัดอุดรธานี หรือที่ใครๆ เรียกอย่างคุ้นเคยว่า

“พี่ต้อม” บอกว่า บ่อยครั้งที่ออกไปทำงานลดอุบัติเหตุ หรือเข้าร่วมประชุมงานอุบัติเหตุที่ไหน มักต้องตอบคำถามนี้เสมอ เพราะยังมีคนไม่เข้าใจ แม้ว่าปีนี้ เป็นปีที่ 8 แล้ว ที่เข้าร่วมทำงานลดอุบัติเหตุจราจร หลังจากถูกเชิญเข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการด้านอุบัติเหตุของจังหวัด พี่ต้อม เล่าว่า ได้รับรู้ความสำคัญของ งานลดอุบัติเหตุจราจร ที่เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ จึงได้ลองกลับมาทบทวนข้อมูลผู้ประกันตนในส่วนของสำนักงาน ประกันสังคมจังหวัดดู พบว่า ค่าใช้จ่ายในกองทุนรักษาพยาบาล 80 เปอร์เซ็นของเงินที่ถูกเรียกเก็บจากโรงพยาบาล มี สาเหตุเกิดจากอุบัติเหตุจราจรทั้งนั้น นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ในกลุ่มคนงานพิการ 70 เปอร์เซ็น สาเหตุเกิดจากอุบัติเหตุ จราจรเช่นกัน โดยเฉพาะการขี่และซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ ในฐานะคนทำงานหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลสวัสดิภาพผู้ประกันตน ที่เป็นคนงาน พนักงาน และลูกจ้าง จึงควรมีส่วน ช่วยแก้ไขปัญหา ลดอุบัติเหตุจราจรในกลุ่มผู้ประกันตนได้บ้าง และเห็นว่า โรงงานและสถานประกอบการ น่าจะเป็นผู้ที่มี บทบาทสำคัญในงานนี้มากที่สุด ต้องดึงเข้ามีส่วนร่วม โดยเฉพาะกลุ่มที่ตั้งอยู่บริเวณถนนวงแหวนก่อนเข้าตัวจังหวัด ซึ่ง เป็นจุดที่เกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก การทำงานเพื่อลดอุบัติเหตุจราจรจึงได้เริ่มขึ้น แรกเริ่ม เน้นการออกไปให้ข้อมูลแก่คนงานก่อน ปกติสำนักงานประกันสังคมจะมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ออกบริการ ตรวจสุขภาพคนงานตามโรงงานและสถานประกอบการเป็นประจำอยู่แล้ว จึงขอติดตาม นำงานอุบัติเหตุเข้าไปร่วมด้วย เลือกโรงงานที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดก่อน นำภาพไปติด นำสถิติไปแสดง นำวีดีโอไปฉาย อธิบายให้คนงานเห็น ความรุนแรงของอุบัติเหตุจราจร ผลกระทบในชีวิตที่ตามมา หากประมาทและไม่ป้องกัน เรียกว่า กระตุ้นคนงานหันมาให้ ความสำคัญกับการป้องกันอุบัติเหตุและขับขี่อย่างปลอดภัยก่อน โดยเป็นการทำในรูปแบบกิจกรรมเท่าที่จะทำได้ ภายใต้งบ ที่จำกัดก่อน และด้วยการทำงานที่ตั้งใจ ทางศูนย์อำนายการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) จึงสนับสนุนงบประมาณทำ กิจกรรม 2 ล้านบาท และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ช่วยอีก 7 หมื่นบาท ทำให้มีเงินมาก พอที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างจริงจังมากขึ้น จึงได้รุกเข้าไปยังโรงงานและสถานประกอบการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง พี่ต้อม บอกว่า ภาพข้าราชการ มักถูกมองในแง่ไม่ดีในสายตาผู้ประกอบการอยู่แล้ว การเข้าไปขอทำกิจกรรมใน โรงงาน กลัวว่า เราจะไปขออะไรจากเขา ดังนั้นต้องแสดงให้เห็นว่า เรามาเพื่อให้ และรบกวนเขาให้น้อยที่สุด เพียงแต่ขอ เวลาคนงาน พื้นที่ทำกิจกรรมลดอุบัติเหตุจราจรในโรงงานเท่านั้น โดยเราจัดน้ำหวานให้ดื่ม มีขนมไปเลี้ยง มีข้าวให้กิน มี เสื้อไปแจก มีเกมให้เล่น และมีหมวกกันน็อกไปให้ เมื่อเห็นคนงานได้ประโยชน์ ผู้ประกอบการก็รู้สึกดี และเรายังอธิบาย เพิ่มเติมถึงข้อดีในส่วนที่ผู้ประกอบการจะได้รับ แค่สามารถลดอุบัติเหตุจราจร ที่นำไปสู่การบาดเจ็บและหยุดงาน ในกลุ่ม คนงาน ก็ถือว่าได้ประโยชน์ ได้กำไรแล้ว

จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 33


“ไม่ว่าโรงงานไหน สถานประกอบการไหน อยากมีคนงานมาทำงานเต็มร้อยทุกวันอยู่แล้ว แค่ชี้ให้เห็นว่า การที่คน งานประสบอุบัติเหตุจราจร บาดเจ็บ และหยุดงานเป็นประจำนั้น เช่น หากขาหักต้องลาหยุดงานนาน 3 เดือน โรงงานต้อง เสียแรงงานในการทำงานและพัฒนาไป แต่หากลดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บลงได้ ย่อมเป็นผลบวกต่อโรงงานเองมากกว่า ทั้งยังนำไปลดจ่ายเบี้ยกองทุนแทนกรณีประสบอุบัติเหตุ ในกองทุนประกันสังคมลงได้อีก เรียกว่ามีแต่ได้กับได้” พี่ต้อม บอกต่อว่า การทำงานกับโรงงานและสถานประกอบการ วิธีที่ใช้นั้นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของ

ผู้บริหารแต่ละที่ ดังนั้นรูปแบบจึงมีทั้งให้กำลังใจและขู่ โดยการขู่นั้น เนื่องจากงานอุบัติเหตุระดับจังหวัด จะมีผู้ว่าราชการ จังหวัดอุดรธานีเป็นประธาน ดังนั้งหากสถานประกอบการไหน มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมากและไม่ให้ความร่วมมือ เราจะอ้างว่า เป็นเรื่องที่ผู้ว่าฯ สั่งมาและอยากให้ทำ ผู้ประกอบการจึงต้องให้ความร่วมมือ เพราะไม่อยากมีปัญหา แต่หากเขาทำดี มีผลงาน ยอดอุบัติเหตุจราจรของคนงานลดลง เรามีรางวัลให้ โดยรับมอบจากมือผู้ว่าราชการ จังหวัดด้วยตนเองเลย และยังประชาสัมพันธ์ เชิญสื่อมวลชนมาทำข่าวให้ เห็นได้ว่า งานลดอุบัติเหตุจราจรที่ทำนี้ เป็นงานที่ win win ทุกฝ่าย ทั้งลูกจ้าง ผู้ประกอบการ และส่วนราชการ ซึ่ง หลังดำเนินการได้ระยะหนึ่ง โรงงานต่างๆ ได้ให้ความร่วมมือด้วยดี มีโรงสีแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ มีคนงานตายอย่างน้อยปีละ 1 คน เพราะหลังรับค่าแรง มักไปนั่งดื่มเหล้า และ ขี่มอเตอร์ไซด์กันกลับบ้านเป็นประจำ จนประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิต เมื่อเราเสนอตัวเข้าไปแก้ไขปัญหา เขายินดี เปิด ประตูต้อนรับ เช่นเดียวกับอีกหลายแห่งที่ขอให้เราทำในเรื่องนี้ โดยบางโรงงานมีการจัดตรวจแถวคนงานก่อนเข้างาน ว่ามี กลิ่นเหล้า กลิ่นแอลกอฮอล์หรือไม่ หากพบจะไล่ให้กลับบ้านไป และถือเป็นวันลา ตัดคะแนนความประพฤติ นอกจากนี้ ยังมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้คนงานหยุดงานทั้งแผนก เพื่อเข้ากิจกรรมอบรมกับเราก็มี และยังบอกด้วยว่า “วันนี้ผมเสีย 200,000 บาท ให้พี่ต้อมจากการจ่ายค่าจ้างคนงาน และการงดการผลิต เพื่อให้คนงานได้ อบรม แต่รู้สึกยินดีและเต็มใจเพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่า” ช่วงหลังมานีก้ ารดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ Corporate Social Responsibility (CSR) กำลัง เป็นกระแส ทำให้มีสถานประกอบการด้านค้าปลีกและบริการขนาดใหญ่ให้ความสนใจและขอร่วมงานลดอุบัติเหตุจราจรกับ เรามากขึ้น เนื่องจากต้องการมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะในชุมชนท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ ถือเป็นนโยบาย ประกอบกับ เรื่องลดอุบัติเหตุจราจรกำลังเป็นกระแส จึงเลือกทำงานนี้ ซึ่งผู้ประกอบการที่เข้าร่วม อาทิ บิ๊กซี อินเด็กซ์ โกลเบิ้ลเฮาส์ เป็นต้น “งานลดอุบัติเหตุ เป็นงานที่ชัดเจน จับต้องได้ แค่คุณติดป้ายเตือนภัยให้กับลูกค้า เช่น ระวังอุบัติเหตุตรงทางแยก หรือการเตือนให้สวมหมวกกันน็อกเพือ่ ความปลอดภัยของตัวเขาเอง ก็ชว่ ยสร้างความประทับใจให้กบั ลูกค้าแล้ว อีกทัง้ ทีมงาน เรายังเข้าไปจัดบูธรณรงค์ มีการตรวจสุขภาพ ไม่แค่เฉพาะคนงาน แต่รวมถึงลูกค้าทีม่ าซือ้ ของ เรียกว่าช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ให้กับองค์กร งานนี้เท่ากับว่า งานลดอุบัติเหตุจราจรได้ขยายการรณรงค์ไปถึงลูกค้าที่เป็นประชาชนทั่วไปด้วย” 34

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


หากเป็นสถานประกอบการ ห้างร้านดั้งเดิมจังหวัดอุดรธานีด้วยแล้ว พี่ต้อม บอกว่า ยิ่งได้รับการสนับนุนด้วยดี เพราะเขามองว่า เป็นการทำเพื่อลูกหลานคนอุดรธานีเอง จะได้ไม่บาดเจ็บล้มตายจากอุบัติเหตุจราจร อย่างห้างอุดรนำทรง ชัยที่มีการติดป้ายลดอุบัติเหตุจราจร การให้โบนัสแก่พนักงานที่ขับขี่ปลอดภัย ส่วนห้างยีส่ นุ่ ปีนเ้ี ขาให้เงินมา 1 ล้านบาท จัดคอนเสริตห์ มวกกันน็อกเพือ่ เยาวชน เชิญเอเอฟ มา 5 คน พร้อมดารา

นักแสดง มีการจัดกิจกรรม แสดงละครเวทีผลร้ายจากการไม่สวมหมวกน็อก การเต้นบีบอยหมวกกันน็อก แจกหมวกกันน็อก ให้เยาวชน 1,200 คน และการให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่มีพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัย ทั้งหมดนี้ เป็นการกระตุ้นกระแส วินัยจราจร หลังทำงานลดอุบัติเหตุมา 8 ปี ผลที่ตอบกลับมา ทำให้รู้สึกดี เพราะคนงานมีความประพฤติขับขี่ใช้รถใช้ถนนดีขึ้น อุบัติเหตุในกลุ่มคนงานลดลง อีกทั้งโรงงานและสถานประกอบการต่างเข้าใจและให้ความร่วมมือมากขึ้น และงานที่ทำอยู่น ี้ วันนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะในกลุ่มโรงงานและสถานประกอบการแล้ว แต่ได้ขยายออกไปในกลุ่มอื่นๆ จากการร่วมทำงานเป็น เครือข่าย ประสานโรงพยาบาล ตำรวจ และเทศบาล ที่เป็นผลจากการเริ่มต่อจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ จนเป็นรูปเป็นร่าง และยัง ต่อยอดออกไปได้อย่างไม่รู้จบ สำหรับแผนงานลดอุบัติเหตุที่คิดเพิ่มปีนี้ คือการดึงผู้ประกอบการที่ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ เข้า ร่วมเป็นเครือข่าย เชื่อว่าน่าจะได้รับความร่วมมือ เพราะเป็นผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนโดยตรง หากเข้ามา ช่วยรณรงค์ลดอุบัติเหตุจราจร จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีแผนงาน นำกิจกรรมลด อุบัติเหตุจราจรเข้าไปในโรงเรียน ดึงคุณครู และนักเรียนมาร่วมทำกิจกรรม เพื่อให้เป็นโรงเรียนที่ปลอดภัย เพราะเป็น พื้นที่ซึ่งเกิดอุบัติเหตุจราจรบ่อยครั้งเช่นกัน พี่ต้อม เล่าต่ออีกว่า วันนี้หากมีคนถามว่า การที่สำนักงานประกันสังคมมาจับงานลดอุบัติเหตุนี้ แล้วสำนักงาน ประกันสังคมได้อะไร ตอบได้งา่ ยมาก เมือ่ การบาดเจ็บของผูป้ ระกันตนลดลง การเบิกจ่ายเงินกองทุนย่อมต้องลดลงเป็นวิธหี นึง่ ในการลดค่าใช้จ่าย สร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กองทุนประกันสังคม ที่ถือเป็นวิสัยทัศน์ของสำนักงานประกันสังคม “กองทุนรักษาพยาบาลมีตัวเลขชัดเจนว่า อุบัติเหตุจราจรแต่ละครั้ง เราจะต้องจ่ายรักษาพยาบาล ตั้งแต่ 70,000200,000 บาทต่อราย ไม่นับรวมการจ่ายในส่วนกองทุนทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย รวมไปถึงการจ่ายค่าชดเชย กรณีทุรพลภาพและเสียชีวิต” ดังนั้นแทนที่เราจะนั่งอยู่เฉยๆ ทำหน้าที่เป็นผู้จ่ายเงินตามใบเสร็จที่โรงพยาบาลเรียกเก็บมา เราเพียงแต่ปรับบทบาท ลุกขึ้นมาทำงานป้องกันและลดอุบัติจราจรไปด้วย เป็นข้าราชการแบบใหม่ ซึ่งจะเป็นผลบวกทั้งกับกองทุนประกันสังคมและ ตัวผู้ประกันตนเอง แถมใช้งบประมาณไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่ายออกไป อีกทั้งอุบัติเหตุเป็น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วน ที่ต่างถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาอย่างไร ทั้งหมดนี้จึงเป็นบทสรุปของคำตอบว่า สำนักงานประกันสังคมเกี่ยวข้องกับงานลดอุบัติเหตุได้อย่างไร. จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 35


เคล็ดไม่ลับ” ลดอุบัติเหตุ ภูเก็ต ถึง นาทวี”

หลั ง เรี ย นจบชั้ น ป.6 แม้ ค รอบครั ว ไม่ มี เ งิ น ส่ ง เสี ย ให้ เ รี ย นต่ อ เพราะฐานะยากจน แต่ด้วยความเป็นเด็กใฝ่ดี เก็บหอมรอมริบ หยอด กระปุกทีละเล็กละน้อย ทำให้มีเงินออมกว่าหมื่นบาท นำมาจ่ายเป็นค่า เทอมด้วยตัวเอง หนึ่งปีผ่านไป หลังขึ้นชั้นเรียนมัธยมปีที่ 2 ชีวิตอุตส่าห์ดิ้นรนเพื่อ ได้ เ รี ย นต่ อ อนาคตที่ ส ดใสต้ อ งจบลง พร้ อ มกั บ ความหวั ง ของ ครอบครัว เพียงเพราะอุบัติเหตุทางถนน เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2552 หลัง ขี่มอเตอร์ไซด์ไปซื้อกับข้าวให้แม่ แต่กลับชนกับรถกระบะที่วิ่งมาอย่างจัง บริเวณหน้า สภ.นาทวี เพียงเพราะ “ขาดแสงสว่างจากหลอดไฟริม ถนนที่ถูกมือดีขโมยไปขาย”

36

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


เด็กดีของแม่ นักเรียนคนเก่งของคุณครู จากไปด้วยอุบัติเหตุจราจรที่ป้องกันได้ เรื่องเล่าเรื่องแรก จากการถอดบทเรียนอุบัติเหตุจราจรของ คุณหมอสุวัฒน์ วิริยพงษ์สุกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล สมเด็จพระบรมราชินีนาถ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ที่นำมาถ่ายทอด ดึงอารมณ์ ดึงใจ สร้างความรู้สึกร่วม ให้กับ

ผู้เข้าร่วมประชุมได้ทุกครั้ง ต่อความสูญเสียที่ไม่น่าเกิดขึ้น “เคล็ดไม่ลับ”นี้ ได้โน้มน้าวใจ ผู้ฟังให้เข้ามามีส่วนร่วม เป็นเครือข่าย ช่วยทำงานลดอุบัติเหตุทางถนน ได้อย่างมี ประสิทธิผล ที่คุณหมอสุวัฒน์ได้นำรูปแบบมาจากงานลดอุบัติเหตุจราจรของจังหวัดภูเก็ต คุณหมอสุวัฒน์ เริ่มต้นเล่าว่า สนใจงานลดอุบัติเหตุทางจราจร เมื่อ 2 ปีที่แล้ว หลังย้ายจากโรงพยาบาลเทพา

เข้ามาทำงานที่อำเภอนาทวี และได้ดูรายงานข้อมูลสุขภาพในพื้นที่พบว่า อุบัติเหตุจราจรเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่ง สูง ถึง 25 คนต่อปี จากจำนวนประชากรในพืน้ ที่ 70,000 คน มากกว่าอัตราการตายจากมะเร็ง 20 คนต่อปีเสียอีก แถมอนาคตยัง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพราะนาทวีเป็นเมืองที่เริ่มเติบโต รวมถึงถนนหนทางที่มีการขยาย จากด่านไทย-มาเลเซียที่เพิ่งเปิดใหม่ ประกอบกับได้แรงเชียร์จาก นพ.วิวัฒน์ ศิตมโนชญ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ประธานชมรมผู้พิการ จากอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดภูเก็ต ชักชวนร่วมทำงานลดอุบัติเหตุจราจร พร้อมส่งตัวอย่างรูปแบบวิธีการทำงานที่น่าสนใจ จึงตัดสินใจรับทำงานนี้ เพราะไม่เพียงแต่ชาวบ้านได้ประโยชน์ แต่ยังเป็นการลดผู้บาดเจ็บในโรงพยาบาล ยุทธศาสตร์ “ล้อมวง กินข้าว เล่าเรื่อง” จึงถูกนำมาใช้ที่นี่ด้วย คุณหมอสุวัฒน์ บอกว่า หลังได้รวบรวมข้อมูลอุบัติเหตุ จึงได้ชักชวนคนทำงานที่เกี่ยวข้องกับงานจราจรในพื้นที่ มา ประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน มีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ แขวงการทาง โรงพยาบาล ที่ต่างเห็นความสำคัญงานลดอุบัติเหตุ จากการใช้รถใช้ถนนนี้ ก่อนการประชุมอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้น ขอล้อมวงกินข้าวกันก่อน แค่ข้าวหม้อ แกงหม้อ กินไป คุยไป ด้วยรูป แบบไม่เป็นทางการ แต่ออกรสออกชาด และเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระ แถมได้โอกาสดี ชักชวนเข้าร่วมเครือข่าย ปรับเปลี่ยน รูปแบบการทำงานลดอุบัติเหตุ เน้นใช้วิธีสืบสวน สอบสวน เพื่อหาสาเหตุอุบัติเหตุ และลงไปแก้ไขอย่างตรงจุด เริ่มต้นที่ผู้ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ทุกคนต่างเห็นพ้อง การเจรจาครั้งแรกนี้ เป็นผลสำเร็จ แต่วาระการประชุมทางการยังไม่เริ่มขึ้น หลังจากนั้น ปฏิบัติการแรกจึงเริ่มขึ้น ทันทีได้รับแจ้งมีเด็กนักเรียนชาย ชั้นมัธยมปีที่ 2 ขี่มอเตอร์ไซด์ชนรถกระบะ ต่างรุดไปที่เกิดเหตุ วันนั้นภารกิจไม่ได้เสร็จสิ้นที่การรายงานอุบัติเหตุและมีผู้เสียชีวิตอย่างทุกคราว แต่เพิ่มการสำรวจ

ณ จุดเกิดเหตุ เพื่อหาสาเหตุอุบัติเหตุร่วมด้วย รวมถึงการตามดูครอบครัวผู้เสียชีวิตไปถึงที่บ้าน ร่วมงานศพ พูดคุยกับ ญาติพี่น้อง ที่ล้วนแต่เป็นการค้นหาข้อมูล จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 37


สิ่งที่พบนั้นน่าสนใจ เพราะเด็กนักเรียนที่เสียชีวิต นอกจากเป็นเด็กที่ใฝ่เรียนแล้ว ยังเป็นเด็กดี ช่วยดูแลน้อง ซ้ำยัง เป็นความหวังของครอบครัวในอนาคต เหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูล ช่วยสะท้อนให้เห็นความสูญเสียที่มากกว่าแค่คำว่าอุบัติเหตุ จนนำมาสู่เรื่องเล่าข้างต้น “เป้าหมายของเรื่องเล่ากินใจนี้ เพื่อชี้ว่า อุบัติเหตุป้องกันได้ และไม่ได้เป็นงานหรือหน้าที่ของใคร คนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่โรงพยาบาล ตำรวจ หรือแขวงการทาง เท่านั้น แต่เป็นงานที่ทุกคนต้องร่วมมือ ร่วมใจกัน ทำงานเป็นเครือข่าย ทั้ง เทศบาล โรงเรียน ผู้ปกครอง นักเรียน และชุมชน ที่ช่วยกันมีส่วนร่วม แก้ไขปัญหาและลดความสูญเสียของคนในพื้นที่ กันเอง” คุณหมอสุวัฒน์ เล่าว่า หลังการนำเสนอเรื่องราว การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เพราะแค่หลอดไฟริมถนนถูกขโมยไป ทำให้ขาดแสงสว่าง คนที่ฟังต่างรู้สึกเสียดาย และพูดตรงกันว่า เรื่องแค่นี้เองเหรอ..? เพียงสองวันหลังการถ่ายทอดสาเหตุอุบัติเหตุ แสงไฟที่ถนนแห่งนี้กลับสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง โดยทางเทศบาลรีบลง ไปแก้ไข ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำรอย แต่ที่ผ่านมาปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ถูกดำเนินการ เพราะขาดการส่งข้อมูล การสร้างความรู้ และความรู้สึกร่วมกัน และเมื่อมีการเชื่อมต่อประสานข้อมูล งานนี้...ผลลัพธ์ที่ได้ จึงเร็วกว่าที่คิดไว้ รูปแบบการทำงานนี้ คุณหมอสุวัฒน์ บอกต่อว่า ได้มีการขยายไปยังจุดอื่น โดยเฉพาะพื้นที่เกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก

ไม่แต่เฉพาะในอำเภอนาทวีเท่านั้น แต่ขยายต่อไปในอีก 5 อำเภอ คือ อำเภอเมือง หาดใหญ่ ระโนด สิงหนคร และรัตภูมิ ที่มีอุบัติเหตุจราจรมากเช่นกัน เพราะเห็นว่า งานลดอุบัติเหตุเป็นงานเชื่อมต่อ รถราไม่ได้วิ่งอยู่แค่อำเภอเดียว หากทำให้ ถนนทั้งหมดเกิดความปลอดภัยได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นจึงใช้อำเภอนาวีเป็นต้นแบบ ชักชวนอำเภออื่นๆ เข้าร่วม และ จัดตั้ง “คณะทำงานโครงการศึกษาสาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรระดับอำเภอ” เพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ วิธีการรุกทำงานในอำเภออื่นๆ เริ่มจากการ “ล้อมวงกินข้าว เล่าเรื่อง” เช่นกัน คุณหมอสุวัฒน์ บอกว่า แต่ครั้งนี้ไม่ได้เริ่มจากผมคนเดียวแล้ว แต่เรายกทีมงานทั้งหมดไปนำเสนอ เรียกว่า เรา ช่วยกันกิน ช่วยกันพูดคุย ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง เพื่อดึงเข้าร่วมทีมและเป็นเครือข่ายในการขับเคลื่อน และยังคง ใช้เรื่องราวของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เป็นแรงบันดาลใจร่วมกันแก้ไขปัญหา ซึ่งก็ได้ผลอีกเช่นกัน โดยครั้งนี้ ได้กำหนดบันได 7 ขั้น เพื่อแสดงวิธีการทำงานที่เข้าใจง่าย หรือเรียกว่า “7 ช. กลัยาณมิตร” ที่ขยายมา จาก 5 ช. ของทาง สอจร.เพื่อกำหนดทิศทางการทำงาน เริ่มจาก “ชักชวน” คนมีจิตอาสาเข้าร่วมงาน “เชื่อม” ทีมแกนนำเครือข่าย “ชง” ข้อมูลเพื่อจุดฉนวนการแก้ไข “ช้อน” วางแผน วิธีลดอุบัติเหตุ “เชค” ประเมินผล หลังดำเนินการ “ชม” เพื่อให้คนทำงานเกิดกำลังใจ “เชียร์” ผลักดันให้มีการทำงาน

ต่อยอด และ “แชร์” ขายและขยายความคิด สร้างเครือข่ายทำงานลดอุบัติเหตุไปยังพื้นที่อื่น 38

นาทีฉุกเฉิน ณ ที่เกิดเหตุ สู่เครือข่ายลดอุบัติเหตุทางถนน


ส่วนวิธีการแก้ไข ลดอุบัติเหตุจราจรนั้น เราเน้นวิธีการแบบเรียบง่าย ประหยัด ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ ที่สามารถ จัดการโดยท้องถิ่นและชุมชนกันเอง เหมือนกับที่จังหวัดภูเก็ต เน้นที่การมีส่วนร่วม ให้ทุกภาคส่วนร่วมคิดและแก้ไข เพื่อ ให้มาตรการลดอุบัติเหตุเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ตัวอย่างผลสำเร็จที่เห็นได้ชัดคือ จุดกลับรถบริเวณถนนเยื้องทางออกจากโรงงานผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ ใน อำเภอรัตภูมิ ซึ่งในอดีตเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก ไม่ต่ำกว่า 50 ครั้ง จากการสอบสวนพบว่า เกิดจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ มักกลับรถทันทีเมื่อออกจากโรงงาน ด้วยเหตุนี้ ทางคณะทำงานฯ จึงได้เปิดเวที เชิญตำรวจ แขวนการทาง ชาวบ้าน และผู้จัดการโรงงาน มาร่วมพูดคุย โดยมีข้อเสนอให้ปิดจุดกลับรถดังกล่าว แต่ชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนละแวกนั้นกลับคัดค้าน เพราะความเดือนร้อนจากจุดกลับ รถที่ถูกขยับให้ไกลออกไป อีกทั้งรถเล็กของชาวบ้านยังไม่ใช่ปัญหาของอุบัติเหตุซ้ำซากนี้ ในที่สุดทางผู้จัดการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ จึงเสนอทางออก โดยจะสั่งรถบรรทุกที่ออกจากโรงงานทุกคัน ห้าม กลับรถตรงจุดดังกล่าว และยังจะเป็นผู้สั่งปรับ ลงโทษ พนักงานขับรถที่ฝ่าฝืนเอง พร้อมนำป้ายห้ามรถบรรทุกกลับรถ ราคา 200 บาทไปติดไว้ หลังจากนั้นหนึ่งปีผ่านไป ไม่เคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลย เช่นเดียวกับอุบัติเหตุรถชนคนข้ามถนน ตรงหน้าทางเข้าโรงงานผลิตอาหารแช่แข็ง การสอบสวนพบว่า เกิดจาก พฤติกรรมของคนงานที่ไม่ยอมใช้สะพานลอย ดังนั้นทีมงานจึงได้เข้าไปหารือกับผู้ประกอบการโรงงานแห่งนี้เพื่อแก้ไข ปัญหาอุบัติเหตุ จากนั้นทางโรงงานจึงได้มีการออกระเบียนให้คนงานทุกคนต้องข้ามถนนโดยใช้สะพานลอย ให้ใครไม่ ปฏิบัติตามจะถูกตัดคะแนนความประพฤติและตัดเงินเดือน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาไม่มีสัญญาณไฟจราจรตรงทางแยก การทำเรื่องของงบประมาณติดตั้ง คงต้องรออีกนาน

ดังนั้นจึงแก้ไขด้วยการนำป้ายขนาดใหญ่ที่มีข้อความว่า “โปรดระวังแยกหน้า เกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง” ไปติดตั้งก่อนถึง ทางแยกให้ผู้ขับรถได้อ่าน ซึ่งลงทุนเพียงไม่กี่บาท แต่ก็สามารถลดการเกิดอุบัติเหตุลงได้ วิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ หากร่วมมือและตั้งใจ อย่างไรก็ตาม หลังการดำเนินมาตรการลดอุบัติเหตุ 2 ปี ถึงแม้จำนวนอุบัติเหตุในพื้นที่อำเภอนาทวีจะไม่ลดลง แต่ ก็คงที่ ขณะที่ประชากรและยานพาหนะเพิ่มขึ้นจากการย้ายถิ่น อีกทั้งความรุนแรงของอุบัติเหตุลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้ง คนตาย พิการ และบาดเจ็บรุนแรงลดลง ซึ่งเป็นแรงใจในการเดินหน้างานลดอุบัติเหตุ คุณหมอสุวัฒน์ บอกทิ้งท้ายว่า “ผมเชื่อว่าสรรพกำลังของอำเภอมีเพียงพอขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรได้ ไม่ต้องรอนโยบายจากส่วนกลางหรืองบประมาณก้อนโต มีแค่ไหนเราทำไปก่อน และหากทำโดยคนในพื้นที่ ซึ่งมองเห็น ปัญหา ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดกว่า ซึ่งหากหลายๆ พื้นที่ช่วยกันทำแบบนี้ จะเป็นการสานต่อ กลายเป็นพลังขับ เคลื่อนขนาดใหญ่ต่อไปได้” จิบน้ำชา ตั้งเครือข่ายอุบัตเหตุ 39



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.