นสพ.ข่าวอโศก รวมปักษ์ ธ.ค.58 465/487

Page 1

ธรรมะพ่ ท่าน : (๔๘๗) พรปีใหม่ น.๔ ฉบับทีอ่ ๔๖๕

1

สดจากปัจฉา : ทำ�ไมประเทศไทยจะกลายเป็น จุดศูนย์กลางของโลกข่ในอนาคต??? าวอโศก น.๙

โรงบุญ เทิดพระเกียรติ ๕ ธันวามหาราช ถวายเป็นพระราชกุศลทั่วประเทศ ๘๘๘ แห่ง

ฉบับที่ ๔๖๕(๔๘๗) รวมปักษ์ ธันวาคม ๒๕๕๘

อ่านต่อหน้า

ค่าย “เส้นทางสู่สัมมาทิฏฐิ” เพื่อเตรียมงานว.บบบ. โครงการอนุรักษ์เรือไทย อ่านต่อหน้า ๓

สัมมนาคุรุชาวอโศก บูรณาการตอบโจทย์ชุมชน สังคม สืบทอดงานพระโพธิสัตว์ อ่านต่อหน้า ๕


รวมปักษ์ ธันวาคม ๒๕๕๘ ภาพจาก www.health.mthai.com

2

“ลักษณะโรงบุญ พ.ศ. นี”้ ใ น ว โ ร ก า ส ที่ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๙ ทรงมี พระชนมพรรษาถึง ๘๘ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ชาวอโศกในฐานะ ประชาชนชาวไทย ซึ่งมีความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยสำ�นึก ถึงความเป็นพสกนิกรของพระองค์ ก็มี ความปรารถนาที่จะให้พระองค์มีพระ ชนมายุยิ่งยืนนาน ด้วยเหตุนี้จึงได้ร่วมใจจัดตั้งโรงบุญ ให้ถึง ๘๘๘ โรงบุญ เพื่อถวายเป็นพระ ราชกุศล ก็ ข อบอกลั ก ษณะของโรงบุ ญ ชาว อโศกใน พ.ศ. นี้ ว่าจะมีลกั ษณะอย่างไร ๑. อาหารทีแ่ จกในโรงบุญ จะเป็นอาหาร มังสวิรัติ ๒. ไม่รบั บริจาคเงินในขณะเปิดโรงบุญ เว้ น แต่ บ ริ จาคเป็นวัตถุดิบหรืออาหาร มังสวิรัติมาร่วม ๓. ผู้ให้ไหว้ผู้รับ ๔. ไม่มกี ารซือ้ – ขายใดๆ ในขณะที่เปิด โรงบุญ ในข้อ ๔ นี้ ยังเป็นทีส่ งสัยกันอยูว่ า่ จะตัง้ โรงบุญหน้าร้านค้าของชาวอโศกได้หรือไม่ ก็ขอตอบว่า “ ได้ “ แล้วจะต้องห่างจากร้านค้าที่ค้าขาย ปกติประมาณเท่าใดจึงจะจัดว่าเป็นโรงบุญ ก็ขอตอบว่า “ประมาณ ๕–๑๐ เมตร” ในปีนี้ยังมีความแปลกแตกต่างจาก โรงบุญในปีก่อนๆที่ผ่านมา คือสามารถ แจกเป็นของใช้กไ็ ด้ หรือจะตัดผมฟรีกไ็ ด้ อาจจะมีกรณีอน่ื ๆอีกทีไ่ ม่ได้ระบุไว้ ก็ คงมีอีกหลายแบบก็ให้ปรึกษาไปที่ส่วน กลางได้ แต่การตัง้ โรงบุญ ก็มเี นือ้ หาสาระหรือ เป้าหมายที่สำ�คัญประการเดียว คือ การ ได้เสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทนแก่ผู้ อื่นหรือสังคมนั่นเอง.

โรคสครับไทฟัส ไข้รากสาดใหญ่ หรือโรคไข้รากสาดพุ่มไม้ (ตอนที่๑) อีกไม่นานก็จะถึงงานฉลองหนาวที่ภูผาฟ้าน้ำ�แล้ว ปีนี้ก็ตรงกับวันที่ ๒๓-๒๕ มกราคม ๒๕๕๙ ข้าพเจ้า รู้สึกว่าวันเวลาช่างผ่านเร็วเหลือเกิน งานปีที่แล้วเหมือนเพิ่งผ่านไปหยกๆ ปีนี้จะถึงอีกแล้ว จึงจะนำ�เสนอ เรื่องความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยบนดอยแพงค่าแห่งนี้ และโรคนี้อาจเกิดกับชุมชนอื่นๆด้วยก็เป็นได้ นะคะ ถ้าเรามีความรู้ก็จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ฉบับนี้จึงขอนำ�เสนอเรื่องราวความเจ็บป่วยของญาติธรรมท่านหนึ่ง ที่ป่วยเป็นโรคสครับไทฟัส (Scrub typhus) หรือโรครากสาดพุ่มไม้ หรือรากสาดใหญ่ บางที่ก็เรียกว่าไข้รากสาดไรอ่อน ซึ่งเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นกับญาติธรรมของเรา หลังเทศกาลกินเจที่ผ่านไปนี้เองค่ะ ญาติธรรมหญิงค่ะ อายุราว ๖๐ ปีแล้ว ท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมมานานเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจดีมากท่านหนึ่ง ท่านได้ขึ้นมาบำ�เพ็ญเพียรบนดอยแพงค่าของเราในช่วงเข้าพรรษา ก่อนที่ท่านจะเกิดอาการท่านตั้งใจอดอาหาร ๓ วันเพื่อเป็นการฝึกฝนตนเอง หลังจากท่านอดอาหาร ๓ วันแล้ว วันที่ ๔ ท่านก็เริ่มจะรับประทานอาหาร แต่ก็รับ ประทานอาหารไม่ได้ ต่อมาอีก ๓ วัน มีอาการเบื่ออาหารและคลื่นไส้ อ่อนเพลียมาก มีไข้ขึ้นสูงมาก กลุ่มพยาบาล ได้ปรึกษากันว่าควรให้น้ำ�เกลือและฉีดกลูโคสให้แล้วรีบนำ�ส่งโรงพยาบาลด่วน เมื่อถึงโรงพยาบาลแพทย์ได้เจาะเลือด และตรวจปัสสาวะ พบว่ามีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (ผู้ป่วยบอกชอบกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำ�ให้ เกิดโรคนี้ได้) และพบว่ามีการขาดสมดุลของเกลือแร่ในร่างกายอย่างมาก (ข้าพเจ้าคิดว่าเนื่องจากการรับประทาน อาหารไม่ได้ติดต่อกัน ๖ วัน ประกอบกับท่านอายุมากแล้ว) แพทย์จึงให้นอนพักรักษาตนในรพ.ซึ่งเป็น รพ.ประจำ� จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากนอนอยู่ ๓ วันไข้ยังไม่ลดลง เช้าวันที่ข้าพเจ้าไปเยี่ยมไข้สูงมากวัดไข้ ๓๙.๗ องศาเซลเซียส ผู้ป่วยหน้าแดงตาแดง ต่อมน้ำ�เหลืองโต รู้สึกกระวนกระวายและทรมาน อ่อนเพลียลงอีก เนื่องจากยังรับประทาน อาหารไม่ได้แม้ว่าจะเป็นข้าวต้ม น้ำ�ผักปั่น แม้แต่น้ำ�ก็รับได้น้อยมาก เนื่องจากมีอาการคลื่นไส้อยู่ ความดันโลหิต ต่ำ�ลงมาก ชีพจรเต้นเร็ว ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นห่วงและกังวลใจมากในอาการที่ไม่ดีขึ้นเพราะอาจช็อคได้ง่ายๆ ข้าพเจ้าจึง เช็ดตัวให้เพื่อเป็นการลดไข้ ก็ได้พบว่าผิวหนังมีผื่นแดงทั้งตัวและทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้พบกุญแจดอกสำ�คัญของโรค ผ่านการเช็ดตัว ข้าพเจ้าเห็นผิวหนังบริเวณเอวผู้ป่วยมีสีดำ�คล้ำ�คล้ายบุหรี่จี้ ข้าพเจ้าดีใจและคลายกังวลลงไปมาก แพทย์มาตรวจเยี่ยมผู้ป่วยพอดีจึงรายงานสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นให้แพทย์ทราบ แพทย์เห็นจุดนี้ท่านก็ทราบทันทีว่าเป็น รอยที่ถูกไรอ่อนกัดและเป็นไรอ่อนที่ทำ�ให้เกิดโรคไทฟัส เมื่อทราบเหตุแห่งโรคแล้วแพทย์จึงสั่งยารักษาโรคนี้เพิ่มให้ ได้แก่ ยาดอกซีไซคลีน (doxycycline) ให้รับประทานทันที ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะสำ�หรับทำ�ลายเชื้อริกเกตเซีย (Rickettsia sutsugamushi) ที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ หลังจากได้ยาเพียง ๑ วันอาการไข้เริ่มลดลง ยังรับประทานอาหารได้ น้อยอยู่ เกลือแร่ต่างๆ อันได้แก่ โซเดียม โปตัสเซี่ยม คลอไรด์ ฟอสฟอรัส ยังไม่สมดุลคือยังต่ำ�มากอยู่ แพทย์จึง ให้สารเกลือแร่เพิ่ม ทั้งรับประทานและทางเส้นเลือด วันที่ ๒ อาการดีขึ้นอย่างชัดเจน เริ่มรับประทานอาหารได้และ วันที่ ๓ หลังได้ยา แพทย์ก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ พวกเราซึ่งก็มีทั้งพยาบาลและผู้ที่ช่วยเหลือที่แม้ไม่ได้เป็นพยาบาล ก็ได้ช่วยกันดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารเป็นกิจวัตรประจำ�วันเหมือนญาติพี่น้องของเราคนหนึ่ง จนผู้ป่วยหายเกือบเป็น ปกติ ผู้ป่วยท่านนี้ต้องการไปร่วมงานมหาปวารณาที่ปฐมอโศก ท่านก็ได้ไปดังที่ตั้งใจไว้ และท่านก็ได้ไปพบหมู่กลุ่ม และญาติพี่น้องทางสายเลือดที่มาให้กำ�ลังใจทำ�ให้ท่านมีแรงกายแรงใจเพิ่มขึ้น ข้าพเจ้าอยากจะฝากข้อสังเกตจากเหตุการณ์การป่วยครั้งนี้ของท่านญาติธรรมท่านนี้ว่า ท่านหายช้ากว่าปกติ กว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากร่างกายอ่อนเพลียมากจากการอดอาหารถึง ๖ วันก่อนมารพ. ร่างกายจึงอ่อนแอมาก อายุมาก เกลือแร่ขาดสมดุล ภูมิต้านทานลดลงและท่านเป็นทางเดินปัสสาวะอักเสบร่วมด้วย ซึ่งอาการโรคก็จะ คล้ายๆกันในระยะแรกคือ ไข้สูง ทำ�ให้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรค แต่เมื่อพบสาเหตุที่แท้จริงของโรคแล้ว โรคนี้จะหายเร็วมาก ผู้ที่มีภูมิต้านทานดีร่างกายอาจกำ�จัดโรคได้เองและหายเองได้ แต่โรคนี้ยังมีรายละเอียดของโรค ที่ควรรู้เพิ่มเติมอีกหลายเรื่อง เช่น การดูแลตนเอง การป้องกันตนเองจากโรค และรายละเอียดอื่นๆที่ยังไม่ได้กล่าว ให้ทราบ ฉบับนี้เล่าเรื่องผู้ป่วยเป็นหลัก แต่ฉบับหน้าข้าพเจ้าจะนำ�เสนอเรื่องโรคอย่างละเอียด ไม่ควรพลาดนะคะ เพื่อ เพิ่มการดูแลตนเองและผู้อื่นให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพื่อการพึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกัน ร่วมสร้างบารมีกับ กิ่งธรรม พ่อท่านนานๆค่ะ เอวัง.


ฉบับที่ ๔๖๕ (๔๘๗)

ข่าวอโศก

3

เดือนธันวาคม ๒๕๕๘ (ต่อจากหน้า ๑) ค่าย “เส้นทางสู่สัมมาทิฏฐิ” เพื่อเตรียม งานว.บบบ. จัดระหว่างวันที่ ๒๒ ธ.ค. – ๒๖ ธ.ค. ๒๕๕๘ ณ พุทธสถานราชธานีอโศก ซึ่ง เป็นกิจกรรมของนร.สัมมาสิกขา ชั้นม.๓ จากทุกพุทธสถาน และสังฆสถานจำ�นวน ๕๖ คน โดย แบ่งเป็นกลุ่มชาย ๓ กลุ่มและกลุ่มหญิง ๒ กลุ่ม มาเพิ่มเติมสัมมาทิฏฐิโดยหมู่สมณะ สิกขมาตุ และคุรุ ร่วมเรียนรูแ้ ละทำ�กิจกรรมร่วมกัน ภายใต้หลักปรัชญา “ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา” สำ�หรับคณะคุรุผู้ดูแลเด็กเอง ก็เป็นการเพิ่มความเป็นคุรุโลกุตระในตน โดยยึดหลักทีว่ า่ “ไม่ถอื สา ไม่หาเรือ่ ง ไม่โยนความผิด” ซึ่งในทุกๆวันของงานค่ายจะมีการประชุมสรุปงานของทีม คุรทุ ด่ี แู ลเด็ก เพือ่ มาร่วมรับฟัง แก้ไขข้อบกพร่องและเติมเต็มสัมมาทิฏฐิ รวมทั้งร่วมเรียนรู้โลก ทั้ง ๓ คือ โลกุตระ โลกะวิทู โลกานุกัมปายะ เป็นทั้งประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านอย่างสมบูรณ์

โครงการอนุรักษ์เรือไทย “การขนเรือกระแชง จากอ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี จ.อุบลราชธานี” โดย เป็นการขนเป็นครั้งที่ ๑๒ ของชาวอโศก ครั้งสุดท้ายขนเมื่อปี ๒๕๕๑ โดยมีผู้ ถวายเรือกระแชง ๒ ลำ� ถวายมาเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว และถวายเงินค่าขนด้วย แต่เพิ่ง ได้มาขนเพราะติดช่วงชุมนุมทางการเมือง โดยเมื่อวันที่ ๒๑ ธ.ค. ๕๘ ได้เริ่มขนออกจากท่าเรือเมื่อเวลา ๑๗.๐๐ น. เคลื่อนออกบริเวณถนนใหญ่เวลา ๑๙.๐๐ น. ทีมงานมี ๔๘ ชีวิต มีท่านสมณะ ๕ รูป เล็กสุดคือน้องเกาลัดอายุ ๙ ขวบ มีการป้องกันอุบัติเหตุด้วยการใช้รถนำ� ขบวนให้มีไฟหมุนไฟบอก ในขบวนมีรถหัวลาก รถเรือ รถนำ�จราจร รถตู้ปิดขบวนศิษย์เก่าจราจร พี่แก่นคม พี่เป้ง พี่สุวรรณ มีเด็กอยู่บนเรือ ๓-๔ คน คอยขันโซ่ ตลอดเส้นทาง พอรถจอดก็จะเคาะยางรถ รัว่ มั้ย, รถเสบียง ลุงหัวโต อาเดือนแก้ว อาเศษดิน อาอีด๊ -แก้วภูไพร, รถทีมสือ่ พีธ่ รรมชาติ พีด่ เิ รก เกาะติดบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้น.


4

รวมปักษ์ ธันวาคม ๒๕๕๘

พรปีใหม่ ๒๕๕๙

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ให้พรวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ๒๕๕๙ ณ พุทธสถานราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี “จะเป็นปีเก่าหรือปีใหม่ ทุกคนก็จะต้องอยูก่ บั ธรรมะทัง้ นัน้ แหละ! ปีใหม่ หรือปีเก่า มันก็เป็นเรื่องของจักรวาล เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของเอกภพ เป็นวัตถุ มันมีพลังงาน มีแรงเหวี่ยงแรงหมุนไป ตามปกติไม่มีอะไร จนกว่า จะหมดแรงหมุน มันก็หยุด ถ้าไม่หมดแรงหมุน มันก็หมุนเวียนไป เพราะงั้น มันไม่หยุด จนกว่าจะหมดแรงหมุน ส่วนคนนั้น ยังมีธาตุรู้ ยังมีสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ ก็ต้องต่อไป เก่าหรือใหม่ ก็ต้องศึกษาธรรมะไป จนกว่าจะจบ จบนี้คือ จบกิจของเรา อัตตาของเรา เรารู้แจ้งหมด เรียบร้อยนั่นคือ..จบ! เมื่อเราหมดอัตตาเกลี้ยงแล้ว เราก็อยู่กับสังคม ที่จะเรียนรู้อัตตาของ คนอื่นอีกต่อไป อัตตาของเราเอง ถ้าเผื่อไปคล้ายๆกับของใครๆ นั่นก็พอเข้าใจ..พอไป กันได้ แต่ของคนอื่นที่มันแตกต่างกับเรานี่แหละ เราต้องเรียนรู้ ศึกษาต่อไป นัน่ คืองานทีโ่ พธิสตั ว์รเู้ ข้าใจ ว่าอ้อ..ว่าตนเองจบ แต่คนอืน่ ทีย่ งั ไม่เคยเป็น ไม่เคยมี เราก็ต้องเรียนรู้เค้า แล้วเราก็จะได้ประนีประนอม หรือปรองดอง ด้วยว่าอยู่กันสงบสงัดอย่างไร ประมาณถูกประมาณเป็นมัตตัญญุตาเป็น แล้วเราก็อยู่กันอย่างสังคมอลุ้มอล่วยกัน สามัคคีกัน ก็มีการยืดหยุ่นกันไป ตามสมควร ผูร้ กู้ เ็ ป็นผูย้ อม..ยืดหยุน่ ผูไ้ ม่รกู้ ไ็ ม่ยดึ เรียนรูก้ ารยึด การยอมเท่านัน้ เอง ในโลก ผู้ใดยอมก่อน ผู้นั้นไม่มีอัตตา ผู้ใดยึดอยู่ ผู้นั้นมีอัตตา”

ชื่อเดิม : นายเสน่ห์ จะเชนรัมย์ ชื่อที่พ่อครูตั้งให้ : ดินเหนียว อโศกตระกูล อายุ : ๔๓ ปี สถานภาพ : โสด มีบุตร ๒ คน การศึกษา : ชั้นป.๖ ภูมิลำ�เนาเดิม : จ.บุรีรัมย์

ชีวิตก่อนพบชาวอโศก ความจริงแล้วชีวิตนี้เหมือนกับได้พบ ชาวอโศกโดยตรงเลยก็ว่าได้นะ เพราะว่า วัดที่หมู่บ้านของผมเป็นวัดสายธุดงค์ รวม ท่ า นได้ ม าศึ ก ษาแบบอย่ า งของชาวอโศก กล่าวคือฉันมื้อเดียวและก็ฉันมังสวิรัติ มี การเปิดธรรมะของชาวอโศกเป็นหลัก ยก ตัวอย่างเช่น เสียงปลุก เสียงปลง โอวาท ๔ ท่านเหลี ่ ยวฝานของท่ า นเสี ยงศี ล และ ท่ านสุขฌาโนบ้าง เป็นประจำ�ทุกๆเช้าและ เย็น คือว่าเปิดอยู่ที่วัดแต่ก็ดังถึง หมู่บ้าน ชาวบ้านก็ได้ยินได้ฟัง เสมือนได้รู้จักชาวอโศกมาแต่ไหน แต่ไร แต่ก็ยังเผินๆอยู่ดี รู้ จั ก ชาวอโศกได้ อ ย่ า งไร และชี วิ ต มี ก ารเปลี่ ย นแปลง อย่างไร? พออายุครบ ๒๐ ปีก็ได้บวช ตามประเพณี ข องชาวไทย จึ ง ถื อ โอกาสนี้ เ องเดิ น ทางมาร่ ว ม ศึกษากับชาวอโศก ในนามพระ อาคันตุกะอยูจ่ �ำ พรรษาทีป่ ฐมอโศก พอออกพรรษาก็ สึ ก เป็ น เด็ ก วั ด อยู่ได้ประมาณ ๕ ปี ก็ยอมรับว่า เข้าใจธรรมะของชาวอโศกได้ไม่ดีพอสักเท่า ไหร่ ทำ�ให้หลงไปกับการทำ�งานเป็นหลัก อีกอย่างงานก็เยอะมาก ยังไม่รู้ประมาณ ตน จึงขาดการทบทวนธรรมะ เพราะการ

พรปีใหม่ให้ชาวพุทธจงหยุดขอ แต่จงก่อกรรมงามตามคำ�สอน ผลแห่งกรรมจะทำ�ให้ได้รับพร การวิงวอนอ้อนขอส่องมงาย มีอายุที่ยังเหลือเพื่อดับชาติ ด้วยแรงฤทธิ์อิทธิบาทไม่ขาดหาย จาคะธรรมย้ำ�ดำ�ริมิเสื่อมคลาย ก่อนชีพวายได้ละลดหมดตัวตน ให้อาจองค์ทรงวรรณะอันประเสริฐ ยัญพิธีที่ล้ำ�เลิศจงเกิดผล มีศีลเคร่งเก่งธุดงค์จงฝึกตน ให้กล้าจนทนเสียดสีมีน้ำ�ใจ ให้มีสุขในทุกฌานการเพ่งเผา ล้างนิวรณ์รากเหง้าเหล่าอนุสัย ขณะที่มีผัสสะกระทบใจ เกิดวสีมีวิจัยใฝ่ประจัญ เป็นเศรษฐีมีโภคะมหาศาล พรหมวิหารบานในใจใฝ่สร้างสรร ประโยชน์ตนสนใจไม่รอวัน ประโยชน์ท่านหมั่นก่อไม่รอนาน เกิดอินทรีย์มีพลังล้างสังโยชน์ เกิดนิโรธเห็นโทษภัยในสังสาร เกิดวิมุติหลุดพ้นเกิดผลญาณ เกิดนิพพานทุกกาลกับป์ทุกท่านเทอญ

ที่จะเข้าใจธรรมะได้ลึกซึ้ง รู้จัก ปล่อยวาง ตัดรอบ ประสานงาน จนถึ ง ขั้ น บริ ห ารงานควบคู่ กั บ ความเจริญในธรรม เป็นเรื่อง สุ ด ยอดของนั ก ประพฤติปฏิบัติ อโศกสัมปวังโก : ผู้ประพันธ์ ธรรม นี้คือการเปลี่ยนแปลงที่ ทำ�ให้ตัวเองต้องออกจากวัดไป อยู่บ้านได้ราว ๕ ปี ก็ไหลไปมีครอบครัว จนมีลูกสาว ๒ คน เวียนกลับเข้าวัด อยู่กับภรรยาได้ราว ๑๐ ปีก็ให้อิสระแก่กัน แยกทางกับภรรยาได้ไม่ถึง ๕ ปีก็เวียนกลับเข้าวัดอีกครั้ง โดยมาอยู่ที่บ้านราชฯ เพือ่ พาลูกสาวทัง้ สองให้มาอยูใ่ นสังคมทีด่ ี มีการฝึกฝนปฏิบัติให้กับตนเองอย่างไร ? ๑.ต้องหมั่นฟังธรรมจากพ่อครู หมู่สมณะ สิกขมาตุ รวมทั้งเพื่อนนักปฏิบัติด้วยกัน ๒.ช่วยเหลือทำ�การงานของหมู่กลุ่มตามที่ได้รับมอบหมายให้ดี มีความรับผิดชอบ ๓.ประสานสัมพันธ์ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นผู้ฟังที่ดีและพูดคุยแต่เรื่องดีๆ ๔. หมัน่ ตรวจตราความเจริญในธรรมของตัวเองอยู่เสมอๆ ๕. ฝึกทานมื้อเดียวอยู่ พรรษานี้ อยากจะฝากอะไรให้กบั ญาติธรรม หรือลูกหลานชาวอโศก พ่อครูอายุมากแล้ว ทำ�งานมาเหนื่อย มากแล้ว ผู้ที่ยังไม่มาขอให้รีบมา จะมัว รออะไรอยู่ โอกาสที่จะพบเจอสัจธรรม มันยากนัก การที่จะได้ช่วยเหลืองานของ สัตบุรุษก็ยากยิ่งนัก คุณเห็นความสำ�คัญ นี้หรือเปล่า แม้แต่ตัวท่านเองก็มีอายุมาก ขึ้นแล้ว ตอนนี้กี่ปีแล้ว ถามตัวเองดู จะมัว รออะไรอยู่ หมูก่ ลุม่ นีย้ งั รอคุณอยู่.


ฉบับที่ ๔๖๕ (๔๘๗) สัมมนาคุรุ

ข่าวอโศก (ต่อจากหน้า ๑๒)

ในวันที่ ๒๔-๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ โรงเรียนใน เครือสัมมาสิกขาฯ จำ�นวน ๗ แห่งได้มาร่วมประชุมสัมมนา การศึกษาบุญนิยม ครัง้ ที่ ๒/๒๕๕๘ ทีห่ มูบ่ า้ นชุมชนราชธานี อโศกต่อยอดการจัดกระบวนการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง (ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้) โดยอาจารย์จำ�รัส (ดั่งชัย) ช่วงชิง มาเป็นวิทยากร วันที่ ๒๔ ธ.ค. ๒๕๕๘ เวลา ๐๕.๐๐ น. เปิดการสัมมนาโดยท่านสมณะ เดินดิน ติกขวีโร ท่านพูดให้เห็นความสำ�คัญของชีวติ ครูสัมมา สิกขาฯ การเป็นคุรุจะต้องปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา จึงจะ เกิดความรวม ความสามัคคี เดินตามรอยพระโพธิสัตว์ บุญญาวุธหมายเลข ๔ คือการศึกษาบุญนิยม งานสร้างคน เป็นงานของพระโพธิสัตว์ แม้ยากก็ต้องมีการพัฒนาตาม ลำ�ดับ เป็นงานพัฒนาชาติ คุรุได้รับการถ่ายทอดวิชาของพระโพธิสัตว์ ได้สืบทอด วิชานี้โดยตรงจากท่าน จะทำ�ให้ประสบความสำ�เร็จอย่างไร นี่เป็นการแก้ปัญหาสังคม นอกจากนี้ท่านยังได้เน้นย้ำ�ว่า ปัญหาของเด็กเกิดจาก ปัญหาของคุรุ การแก้ปญ ั หาทีค่ รุ กุ อ่ นจึงจะแก้ปญ ั หาของเด็กได้

หลังจากท่านสมณะให้โอวาทเปิดการสัมมนาแล้ว คุรุ ตั ว แทนแต่ ล ะโรงเรี ย นนำ � เสนอทิ ศ ทางการพั ฒ นาวิ ธี ก าร จัดกิจกรรมและประเมินผลด้านศีลเด่น กิจกรรมนี้มีการ อภิปรายอย่างกว้างขวาง ช่วง ๑๒.๐๐ น. เรียนรู้วิธีการเขียนแผนการจัดการ เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงอิงวิถีชีวิตชุมชน จากอ.ดั่งชัย ช่วงชิง เสร็จแล้วไปเรียนรู้วิธีการสอนบูรณาการโดยใช้ฐาน โฮ่งปัว ผ่านกิจกรรมการทำ�ขี้ผึ้งถอนพิษและน้ำ�มันเขียว ถอนพิษ บรรยากาศการเรียนบูรณาการผ่านการปฏิบัติ ในช่วงบ่ายสนุกสนาน คุรุทุกคนร่วมกันทำ�กิจกรรมอย่าง กระตือรือร้น วันที่ ๒๕ ธ.ค. ๒๕๕๘ เวลา ๐๕.๐๐ – ๐๙.๐๐ น. คุรุแบ่งกลุ่มวางแผนเขียน แผนการจั ด การเรี ย นรู้ ผ่ า นประสบการณ์ จ ริ ง อิ ง วิ ถี ชี วิ ต ชุมชน โดยกำ�หนดฐานงานที่อยู่ในชุมชนของตนเอง พร้อม ทั้งเตรียมวิธีการนำ�เสนอที่จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ จึงเข้าสูก่ จิ กรรมนำ�เสนอ การบูรณาวิชาการจากตัวแทนคุรุพุทธสถานต่างๆ วันที่ ๒๖ ธ.ค. ๒๕๕๘ เวลา ๐๖.๐๐ น. เป็นการอภิปรายเพื่อพัฒนาการ จัดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงอิงวิถีชีวิตชุมชน เวลา ๐๘.๐๐-๐๙.๐๐ น. ฟังโอวาทปิดการสัมมนาจากพ่อครูสมณะ โพธิรักษ์ คุณฟังฝน จังคศิริ (ผู้ดำ�เนินการประชุมสัมมนา) “การ สัมมนาครั้งนี้เป็นที่น่าประทับใจ ทำ�ให้รู้ข้อมูลว่ามีโรงเรียน ทีน่ า่ เป็นห่วง ซึง่ ล้วนมีสาเหตุสบื เนือ่ งจากการมีครุ นุ อ้ ย หรือ ในทีมคุรุขาดความสามัคคีกัน ทำ�ให้การขับเคลื่อนงานการ ศึกษาเป็นไปได้ยาก ส่วนที่อื่นๆก็น่าพึงพอใจอยู่ในขั้นกำ�ลัง ดำ�เนินการพัฒนา จุดที่น่าประทับใจเห็นโมเดลของการ พัฒนาศีลเด่นของคณะคุรุและนักเรียน มี ๒ โรงเรียนคือ ราชธานีอโศก จะเห็นว่ามีเรื่องของการขับเคลื่อนการ ทำ�งานตั้งแต่นักบวชจนถึงคุรุ ร่วมมือร่วมใจกัน เป็นการ

5

ทำ�งานที่อบอุ่นและการเพ่งโทษถือสาน้อย เด็กได้รับการ ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนักเรียนชาย สมณะขึ้นไปดูแล ในบรรยากาศแบบครอบครัว มีเมตตาดูแลและขัดเกลาไปด้วย เป็นการดูแลทุกภาคส่วนทั้งผู้ใหญ่และเด็ก คุรุจะให้เด็กทำ� อะไร ฝึกฝนอะไรก็จะเอากรอบนั้นมาฝึกฝนตน แล้วจึงจะ นำ�ไปสู่เด็ก จะมีการปรับกรอบที่เหมาะสมกับเด็กและเรียน ตามวิถีชีวิตความเป็นอยู่ นำ�มาบูรณาการพุทธศาสนาและ สุขศึกษาได้อย่างเห็นเป็นรูปธรรม อีกที่คือ สัมมาสิกขาภูผาฟ้าน้ำ� จุดเด่นคือครูที่จะมา ดูแลเด็กจะต้องผ่านการอบรมฝึกฝนตนเองก่อนทีจ่ ะมาสร้าง เด็กและจะมีการดูแลระหว่างผูใ้ หญ่สง่ ต่อไม่ขาดตอน ส่งผล ให้ผู้ใหญ่ดูแลเด็กได้อย่างใกล้ชิด เด็กก็จะเกิดการพัฒนา อย่างต่อเนื่อง กรอบกติกาต่างๆ ที่จะนำ�มาสู่เด็กคุรุจะต้อง พัฒนาศึกษาและฝึกปฏิบัติก่อนจึงจะนำ�มาสู่เด็ก” คุณพรตะวัน ธนะโภค (ฐานสาธิตการสอนโฮ่งปัว) “เห็นคุรุทุกคนมีความกระตือรือร้นที่จะร่วมกิจกรรมทำ�ให้ รูส้ กึ สนุกเป็นธรรมชาติ รูส้ กึ ว่าการมีปฏิสมั พันธ์กนั ทำ�ระหว่าง ครู กั บ นั ก เรี ย นช่ ว ยส่ ง เสริ ม การจั ด กระบวนการเรี ย นการ สอน เห็นชัดว่าการทีจ่ ะนำ�เข้าสูบ่ ทเรียนเป็นกิจกรรมทีส่ ำ�คัญ คุรุต้องทำ�กับนักเรียน ให้นักเรียนมีส่วนร่วม และที่สำ�คัญคุรุ ต้องมีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน” ผอ.จำ�รัส (ดั่งชัย) ช่วงชิง (วิทยากรในการสัมมนาการ ศึกษาบุญนิยม) “การบูรณาการเป็นการเรียนที่ไม่ไกลตัว ทุกอย่างเรียนรู้ได้ ถ้าคุรุฝึกทำ�ได้นิดๆ หน่อยๆ ก็จะค่อยๆ พัฒนา คุรุต้องออกจากโลกส่วนตัว มีแผนและมีวิธีการที่จะ ก้าวสู่ความสำ�เร็จ พ่อครูบอกเป็นนัยๆว่า เราจะต้องร่วมมือ เพื่อปักธงชัยเรื่องการศึกษา ถ้าคุรุร่วมมือกันก็จะสามารถ ปักธงชัยและสามารถจุดเทียนชัยส่องทางลูกหลานได้ แต่ ถ้าเราไม่ทำ�ก็ปราชัย เรื่องการบูรณาการการเรียนรู้ต้องยึด ความเหมาะสมเป็นหลัก เหมาะกับบริบทและสถานการณ์ และการจัดการศึกษาภายใต้ปรัชญา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญ วิชา คุรุต้องมั่นใจและแม่นในเรื่องนี้ด้วย”.


6 โรงบุญ เทิดพระเกียรติ

รวมปักษ์ ธันวาคม ๒๕๕๘ (ต่อจากหน้า ๑)

เนื่องในวโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๘ พรรษา เมื่อวัน ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ อันถือเป็นวันมหามงคลยิ่ง เหล่า พสกนิกรชาวไทย ทุกทิศทั่วแคว้นแดนไทย รวมทั้งที่อยู่ใน ต่างประเทศ ต่างก็พร้อมใจร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อ เฉลิมพระเกียรติ ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ พระองค์ทรงบำ�เพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ เพื่อบำ�บัด ทุกข์ บำ�รุงสุขให้แก่อาณาประชาราษฎร์ทั่วหล้า ด้วยเหตุนี้ หมู่กลุ่มชาวอโศก ซึ่งได้อาศัยภายใต้ร่มพระ บารมีของพระองค์ ในการศึกษาปฏิบัติธรรมมาได้อย่างสุข สงบ ร่มเย็น ต่างสำ�นึกในพระมหาเมตตา จึงพร้อมใจกัน แสดงออกถึงความจงรักภักดี โดยการจัดโรงบุญ แจกอาหาร มังสวิรัติ ให้กับพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า รับประทานฟรี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล

ในปีนี้มีเป้าหมายในเบื้องต้น จะจัดแจกให้ได้ไม่น้อย กว่า ๘๘ โรงบุญ ทั่วทุกภาคของประเทศ ซึ่งก็บรรลุเป้า หมายไปเรียบร้อยแล้ว และด้วยพลังความสามัคคีแห่งความ จงรักภักดี โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ภาคเดียวก็สามารถจัด โรงบุญแล้วไม่ต่ำ�กว่า ๘๘ โรงบุญ จึงเพิ่มเป้าหมายใหม่ไป ที่ ๘๘๘ โรงบุญ และปีนี้ก็ยังมีความพิเศษคือ เพิ่มการแจก เป็นข้าวสาร น้ำ�มันพืช เสื้อผ้า ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว หรือของ ใช้อื่นๆที่จำ�เป็นต่อการดำ�รงชีพด้วย ณ ขณะนี้ การจัดโรงบุญทั้งในประเทศและต่างประเทศ นับรวมสถิติได้เกินครึ่งเป้าหมายใหม่ไปแล้ว ทั้งนี้ ยังมีผู้ที่มีความประสงค์ จะจัดโรงบุญแจกอาหาร มังสวิรัติฟรี และแบ่งปันข้าวของเครื่องใช้ให้กับพี่น้อง ประชาชน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พ่อหลวงของ แผ่นดินต่อไปอีก เพราะซาบซึ้งในคำ�สอนของพ่อ ที่ว่าการ ให้หรือเสียสละออกไป คือกำ�ไรของชีวิต

สวนป่านาบุญ

ทะเลธรรม

ปฐมอโศก

บ้านราชฯ


ฉบับที่ ๔๖๕ (๔๘๗)

ข่าวอโศก ภูผาฟ้าน้ำ�

สันติอโศก

สีมาอโศก

7


8

รวมปักษ์ ธันวาคม ๒๕๕๘

สายลมแห่งผู้กล้า

พระ ดร.อนิล ธมฺมสากิโย (ศากยะ) ผู้สืบเชื้อสายพระอานนท์ จากสามเณรน้อยชาวเนปาล ที่ได้รับการอุปถัมภ์จาก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก จนสำ�เร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ณ วันนี้ พระดอกเตอร์ ผู้สืบเชื้อสาย “ศากยวงศ์” ได้ทำ�หน้าที่เผยแผ่ธรรมะแก่คนทั้งโลกตาม รอยธรรมแห่งพระพุทธองค์ ก้าวย่างในรอยธรรมของพระ ดร.อนิล ธมฺมสากิโย (ศากยะ) เริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เนื่องด้วยพระอาจารย์ได้บวชเป็น สามเณรที่บ้านเกิดในประเทศเนปาล กระทั่งได้รับการอุปถัมภ์ จากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายกให้มาศึกษาพระธรรม ณ วัดบวรนิเวศวิหาร จวบจน เมื่ออายุครบบวชพระ จึงอุปสมบทโดยมีสมเด็จพระสังฆราชทรง เป็นพระอุปัชฌาย์ จนต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการ สมเด็ จ พระสั ง ฆราช และยัง สนองงานเจ้าประคุณสมเด็จ จนกระทั่งบัดนี้ จากสามเณรเนปาลเดินทางสู่แผ่นดินไทย พระอนิล ธมฺมสากิโย หรือ พระ ดร.อนิล ศากยะ นามของ ท่านมีความหมายว่า “สายลมแห่งผู้กล้าหาญ” ด้วยแรงศรัทธา แห่งธรรมมาแต่วัยเยาว์ จากการได้เห็นโยมพ่อและญาติ เข้าวัด เป็นประจำ� จึงซึมซับไปโดยปริยาย “ครอบครัวอาตมามีพี่น้องอยู่ ๕ คน จริงๆแล้วโยมพ่อ อยากให้พช่ี ายบวช แต่พช่ี ายคนโตเอนทรานซ์ได้ท่ี ๑ ของประเทศ ได้ทุนไปเรียนอินเดีย พ่อเลยมองมาที่อาตมาเป็นคนที่ ๒ ตอน นัน้ ยังเด็ก อยูก่ ไ็ ม่คดิ อะไรมาก เบือ่ อยูบ่ า้ นเพราะต้องเลีย้ งน้องๆ เลยตัดสินใจบวชเณรเลย” พระอาจารย์อนิล ถ่ายทอดชีวิต บนเส้นทางธรรมในถิ่นกำ�เนิดที่เนปาล กระทั่งในปี ๒๕๑๓ เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเสด็จไปเนปาล ทรงเห็นว่าพระสงฆ์เถรวาทที่นั่นไม่แข็งแรง พระองค์จึงตรัสถาม ว่า มีอะไรให้คณะสงฆ์ไทยช่วยบ้างหรือไม่ ทางคณะสงฆ์เนปาล จึงขอพรสมเด็จพระสังฆราชเพียง ๒ ข้อ ข้อ ๑ ขอให้พระสงฆ์ ไทยส่งสมณทูตไปเผยแผ่ ข้อ ๒ ขอให้ฝึกภิกษุ สามเณร เพื่อจะ ได้ช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในเนปาล “พระองค์ท่านตรัสถามกลับว่า มีพระภิกษุ สามเณรพร้อม ที่จะเดินทางมาฝึกในเมืองไทยไหม ท่านจะเป็นผู้อุปการะเอง ถ้า มีก็ให้ส่งไปได้เลย” สามเณรน้อยอนิล จึงถือเป็นคณะสงฆ์รุ่น ๒ ที่เดินทางมาเมืองไทยเมื่อปี ๒๕๑๘ หลังบวชได้เพียง ๙ เดือน “จริงๆ อาตมามาด้วยกัน ๓ รูป แต่อกี ๒ รูปไม่รเู้ ป็นยังไง ถูกใจ สาวไทยเยอะเหลือเกิน (หัวเราะ) เขาก็บอกว่าท่านทัง้ สองหล่อ อาตมาเพิ่งอายุ ๑๔-๑๕ ก็ไม่รู้ว่าหล่อเป็นยังไง เณรรุ่นพี่ที่อายุ ๑๗ ปี มีนารีอุปถัมภ์เยอะเหลือเกิน มีสาวไทยมาช่วยทำ�การ บ้านทุกวัน แต่อาตมารู้สึกเบื่อ ไม่ชอบ บอกกับตัวเองว่า ถ้าจะ เรียนจะต้องทำ�เอง ไปๆ มาๆ เณรองค์โตก็เลยสึกไปแต่งงานกับ

สาวไทย มีลูกด้วยกัน ๑ คน อยู่จ.สุรินทร์ ตอนหลังรู้ว่าหย่ากัน แล้วก็เดินทางกลับเนปาลไปแล้ว ส่วนเณรองค์เล็กถูกส่งไปเรียนที่ จิตตภาวันวิทยาลัย ชลบุรี แต่พ่อแม่มาเห็นแล้วรับสภาพไม่ได้ เพราะเณรเป็นร้อย การดูแลไม่ทั่วถึง ยิ่งอยู่ชายทะเลทำ�ให้เณร เป็นหิดขึ้นเต็มตัวไปหมด พ่อแม่เห็นเช่นนั้นก็เลยพาตัวลูกกลับ เนปาล” ต้นตระกูล “ศากยวงศ์” สำ�หรับประวัติของพระ ดร.อนิล นั้น ท่านเป็น “ศากยวงศ์” ที่สืบเชื้อสายของพระอานนท์ซึ่งย้ายมาอยู่ที่กาฐมาณฑุตั้งแต่ สมัยพุทธกาล การดำ�รงอยู่ของศากยะ ตามหลักฐานระบุว่า การ แต่งงานต้องแต่งในตระกูล แต่หมายความว่า จะต้องไม่ใกล้ญาติ โดยต้องห่างกันไม่ต่ำ�กว่า ๗ ชั่วคน และนามสกุลต้องเป็นศากยะ ด้วยกัน เพื่อต้องการรักษาเลือด ให้บริสุทธิ์ไว้ ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ที่แสดงว่าเป็นศากยวงศ์คือ พิธีกรรม ซึ่งเชื้อสายนี้ต้องบวชเณร ต้องแสดงตัวเองเหมือนเจ้าชาย ในตระกูล เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะ ดังนั้นเด็กชายในตระกูลนี้ อายุ ๔ หรือ ๕ ขวบ ต้องบวชเณร ๔ หรือ ๕ วัน การบวชเป็น พิธีกรรมอย่างหนึ่งของตระกูลศากยะ ผู้ชายทุกคนต้องบวช ต้อง ออกบิณฑบาต ถ้าไม่ได้บวชถือว่าไม่สมบูรณ์ ศากยะทุกตระกูล ต้องมีวัดประจำ�ตระกูล และมีห้องพระในบ้านเป็นห้องสำ�คัญ ที่สุดนี้ ถ้าใครไม่ได้ผ่านพิธีกรรมจะเข้าไม่ได้ ถือเป็นการยืนยัน ความบริสุทธิ์ทางสายเลือด ตระกูลศากยะ ในพุทธประวัติระบุว่า พระเจ้าวิฑูฑภะ ฆ่าศากยะหมด ตรง นี้พระอาจารย์อนิล อธิบายว่า “แม่พระเจ้าวิฑูฑภะถูกหลอกว่า เป็นเจ้าหญิงแห่งศากยะ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เรื่องนี้มีมูลเหตุมา จาก พระเจ้าปเสนทิโกศลอยากเป็นญาติกับพระพุทธเจ้า ก็เลย ขอลูกสาวจากกรุงกบิลพัสดุ์มาแต่งงานกัน แต่ศากยะไม่ต้องการ ยกลูกสาวของตนให้พระเจ้าปเสนทิโกศลที่มีอำ�นาจมากกว่า จึง หลอกเอาลูกช่างทาสีมาย้อมแมวส่งให้ เมื่อมีลูกออกมา ลูกรู้ ว่าปู่ตัวเองถูกหลอกก็แค้น เลยไปฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ศากยะ เอา เลือดมาล้างบัลลังก์ของตัวเอง แม้จะถูกฆ่าล้างตระกูล แต่ไม่ได้ หมายความว่าศากยะจะถูกฆ่าทั้งหมด เพราะศากยวงศ์ไม่ได้อยู่ ที่กรุงกบิลพัสดุ์เท่านั้น ทว่ายังมีอยู่ในเมืองอื่นๆ อีก “พุทธศาสนาในเนปาล ลัทธิเถรวาท เคยหายไปพักหนึ่ง ใน ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ เพราะพระมหากษัตริย์ฝักใฝ่ฮินดู แล้วบังคับพระเถรวาทให้สึกและจับแต่งงาน ส่วนมหายาน วัชรญาณยังรักษาไว้ได้ เพราะสามารถปรับเข้าได้กับการเมือง ต้นตระกูลอาตมาเกีย่ วโยงกับตระกูลทีย่ า้ ยมาค้าขายทีก่ าฐมาณฑุ สมัยพุทธกาล หลักฐานที่มีอยู่เป็นภาษาสันสกฤต เป็นคัมภีร์ที่ เขียนขึ้นในราวศตวรรษที่ ๒ หรือ ๓ ชื่อ มูลสราวาสติวาทิน ใน คัมภีร์กล่าวว่า มีญาติของพระอานนท์มาค้าขายอยู่ที่กาฐมาณฑุ

เมื่อมีพ่อค้าจากกรุงกบิลพัสดุ์มาค้าขายที่กาฐมาณฑุ ญาติ พระอานนท์จึงเข้าถามพ่อค้าว่า เจอพระอานนท์บ้างหรือไม่ พ่อค้าบอกว่าเจอประจำ� เมื่อใดที่เห็นพระพุทธเจ้าก็จะเห็นพระ อานนท์นั่งอยู่ข้างๆ “ดังนั้น ญาติพี่น้องเลยขอร้องให้พ่อค้าช่วยกราบทูลพระ อานนท์ว่า มีญาติพี่น้องของท่านมาตกยากอยู่ที่กาฐมาณฑุ อากาศหนาว เดินทางลำ�บาก อยากจะไปกราบพระอานนท์ แต่ ไม่สามารถเดินทางไปได้ เลยอยากให้มาโปรดญาติพี่น้องบ้าง เมื่อพ่อค้าส่งข่าวถึงพระอานนท์ ท่านจึงเดินทางไปเยี่ยมญาติ เมื่อกลับถึงที่ประทับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏว่าเท้าแตก พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็น ตรัสถามได้ความว่า เพราะพระ อานนท์ไปเยี่ยมญาติที่กาฐมาณฑุมา อากาศหนาวมาก จะสวม รองเท้าก็ไม่ได้ เพราะผิดพระวินัย พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ถ้า เป็นการเดินทางลักษณะนี้ควรใส่รองเท้าได้ คัมภีรมูลสราวาสติ วาทินนี้ โยงได้ว่า ต้นตระกูลของอาตมาที่กาฐมาณฑุเป็นตระกูล เดียวกันกับพระอานนท์” พระอาจารย์อนิล เล่าความเป็นมาของ ผู้สืบเชื้อสายของพระอานนท์ในประเทศไทย บวชลืมสึก…เพราะสมเด็จพระสังฆราช การเป็นองค์อุปถัมภ์หน่อเนื้อเชื้อธรรมแห่งศากยะ สมเด็จ พระสังฆราช ทรงมองเห็นอัจฉริยภาพและทรงใส่พระทัยด้าน การศึกษาของพระ ดร.อนิล อย่างมาก จึงทรงอบรมเคี่ยวเข็ญให้ สามเณรน้อยอ่านหนังสือ แล้วให้นั่งอยู่กับพระองค์ “ช่วงนั้นภาษาอังกฤษอาตมาไม่ดี ท่านทรงสอนให้อ่านให้ ถูกต้อง และให้แปลได้เป็นอย่างดี สาเหตุที่ทำ�ให้อาตมารอดจาก การสึกมาได้นั้น น่าจะมาจากสมเด็จพระสังฆราช เพราะทุกๆ เช้าไม่ว่าท่านจะไปไหน ท่านก็ตรัสว่า อ้าว!! เณรสะพายย่าม ท่านก็จะพาไปตามที่ต่างๆ ถ้าวันไหนไม่เห็นอาตมา ท่านก็จะส่ง เด็กไปตาม เรียกว่าอาตมาไปไหนไม่ได้เลย ทำ�ให้ต้องนั่งคุกเข่า อยู่กับท่านแบบนี้ จนเข่าด้านไปหมดตอนนั้น (หัวเราะ)” ด้ ว ยบวชเรี ย นและมี โ อกาสรั บ ใช้ ใ กล้ ชิ ด กั บ สมเด็ จ พระ สังฆราช เหตุนี้พระอาจารย์อนิลจึงซึมซับคำ�สอนหลายอย่าง จากพระองค์ “ท่านจะแนะนำ�ให้ทุกอย่าง เวลาทำ�งานพลาด อย่างร่างหนังสือ พออาตมาทำ�ผิดท่านก็จะสอนว่าต้องร่าง แบบนี้ คำ�แนะนำ�ของท่านทำ�ให้ทุกวันนี้วัดบวรฯ เวลาจะมีการ ร่างหนังสือ หรือร่างหนังสือถึงในวัง อาตมาคิดว่าคนไทยด้วยกัน คงสู้อาตมาไม่ได้ เพราะถูกสอนมาจากท่านโดยตรง ทำ�ให้เวลา ได้คุยกับเชื้อพระวงศ์ก็ใช้คำ�ราชาศัพท์ได้อย่างคล่องแคล่ว” ในหลวงพระราชทานทุนเรียนปริญญาเอก พระอาจารย์ ดร.อนิล สำ�เร็จการศึกษา ศาสนศาสตรบัณฑิต (ศน.บ) จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราช วิทยาลัย ในปี ๒๕๒๕ และปี ๒๕๓๐ ศึกษาต่อระดับ ปริญญาโท (MA) ด้านมานุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยตรีภูวนั ประเทศเนปาล นอกจากนีย้ งั ศึกษาต่อระดับปริญญาโท (MPhil) ด้าน มานุษยวิทยาสังคม จากวิทยาลัยคราอิสต์ คอลเลจ (Christ College) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) ประเทศ อังกฤษ โดยทุนพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปี ๒๕๓๗ แล้วศึกษาต่อระดับปริญญาเอก (PhD) ด้าน มานุษยวิทยาสังคม จากมหาวิทยาลัยบรูเนล (Brunel University) ใน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยทุนพระราชทานจากพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกเช่นกัน สำ�เร็จในปี ๒๕๔๓ “ปี ๒๕๓๕ สมเด็จพระสังฆราช ได้ถามอาตมาว่า ไม่คิดที่ จะไปเรียนต่อ อาตมาก็เฉย เห็นไหมว่ามีผู้ใหญ่วางแผนชีวิตให้ หมด ท่านก็ถามแล้วถามอีก อาตมาก็เลยบอกท่านไปว่า ถ้าไป เรียนแล้วใครจะดูแลที่นี่ ท่านก็ตอบกลับมาว่า แล้วคุณไปเกี่ยว อะไร ไปกังวลทำ�ไม ท่านยังไม่สนใจเลย แล้วคุณไปคิดมากทำ�ไม (หัวเราะ) เราก็คิดได้ว่า เออเราทำ�ไมไปยึดมั่นถือมั่นตรงนั้นได้นะ อาตมาก็แอบไปสมัครมหาวิทยาลัยดังในอเมริกากับยุโรป เกือบ ๒๐ แห่ง ตอนนั้นกิเลสยังเยอะ (หัวเราะ) ผลปรากฏว่ามีเกือบ ๑๐ แห่งที่ตอบรับมา ที่จำ�ได้ก็จะมีมหาวิทยาลัยแอริโซนา มหา วิทยาลัยเพนซิลเวเนีย อย่างทีอ่ งั กฤษก็เป็น มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ “ตอนนั้นอยากไปเรียนที่แอริโซนา เพราะพระถูกฆ่าตาย ทั้งวัด ยิ่งเป็นคนแปลเอกสารให้กับทางวัด ยิ่งอยากจะไปดูว่า


ฉบับที่ ๔๖๕ (๔๘๗)

ข่าวอโศก

9

ทำ�ไมประเทศไทยจะกลายเป็น จุดศูนย์กลางของโลก ในอนาคต??? ...กองงานเลขาฯ

ขออภั ย ที่ ต้ อ งพู ด เรื่ อ งของตั ว เอง ใครจะหมั่นไส้ถึงอาเจียนก็ขออภัย อาตมาเกิดมายุคนี้เป็นยุคกึ่งพุทธกาล ซึ่งใกล้จะหมดศาสนาแล้วจึงต้องมาช้อนไว้ อาตมาทำ�งานมา ๔๕ พรรษาซึ่งพระ สมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายเป็น ศาสนาพุทธที่สั้นที่สุดเล็กที่สุด ต่อจากนี้ไป เป็ น ศาสนาของพระศรี อ ริ ย เมตไตรยที่ จ ะ ใหญ่ที่สุดนานที่สุด อาตมาจึงต้องมาช่วย กอบกู้ศาสนาที่ใกล้จะหมดนี้ให้คืนมา พระศาสนาก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือ ศาสนา การเมืองก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือ การเมืองอันเดียวกัน ก็ค่อยทำ�อย่างสุขุม ไม่ผลีผลาม อาตมาทำ�งานแบบมาเดีย่ วๆ คนช่วยก็ จะตามมาทีหลัง ถ้าไม่ดกี ไ็ ม่มคี นมาช่วยนะ แต่ ก็ไม่เคยย่อท้อทำ�มา ๔๕ ปีซึ่งพระพุทธเจ้า ทรงงาน ๔๕ ปีทา่ นก็จบก็เสร็จ ปรินพิ พานไป ส่วนอาตมาเพิ่งเริ่มต้นจากวันที่ ๗ พฤศจิกายน เลข ๗ นี้เป็นรอบของการเกิด ๑๐ หรือ ๐ คือวงวัฏฏะ ที่ถือว่าเครื่องติด แล้ว จะมีพลังทดไปได้ด้วยตัวเองแล้ว ไปได้ นิรันดรเลย แต่จริงๆในโลกไม่มีอะไรนิรันดร เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เมืองไทยจะเป็นเมืองทีเ่ ป็นจุดศูนย์กลาง ของโลกในอนาคตไม่ใช่ค�ำ พยากรณ์นะ แต่เป็น คำ�พูดที่มั่นใจ

เมืองไทยจะเป็นเมือง “มหาอำ�นาจแห่ง คนจน” มหาอำ�นาจแห่งคนรวยนั้นให้ดู ตัวอย่างไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น ก็ลงไปแล้ว อเมริกาทำ�ทีเป็นมหาอำ�นาจทาง ความรวยแต่หารู้ไม่ว่าไส้กลวง ถ้ า ประเทศไทยสามารถปราบมาร คอร์รปั ชัน่ ได้ ประเทศไทยจะเป็นมหาอำ�นาจ แบบคนจนไม่ใช่มหาอำ�นาจแบบคนรวย แต่ คนจนจะไปไล่แจกให้คนรวย เอาเงินคนจน ไปไล่แจกคนรวยให้หนีเข้าป่า จะเป็นเรื่อง มหัศจรรย์มากที่พูดนี้จริง ขอยืนยันว่าจริง เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของโลก เมืองไทยจะเป็นเมืองบริหารประเทศ แบบคนจน ก็เห็นใจที่ในหลวงตรัสเศรษฐกิจ พอเพียงก็ประมาณไม่ถกู ว่าเมือ่ ไหร่จงึ “พอ” หรือเท่าไหร่จึงพอ? ดีไม่ดีก็จะบอกกันว่า จนไม่ได้นะ? คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่เข้าใจว่ามาหมด เนื้อหมดตัวได้ แล้วมีแต่สร้างสรรค์ ขยัน แจกจ่ายคนอื่น เมื่อขยันก็ย่อมมีส่วนเกินมากขึ้น ยิ่ง สามารถลดกิเลสไปจนเป็นอรหันต์ ส่วนตัวไม่ สะสมแล้ว แต่ทำ�เพื่อคนอื่นต่อไป พหุชน หิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวล มหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้ โลก ช่วยโลก)

จะมีวงจรที่หนุนเนื่องกันเป็น cyclic order ที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ มีอัตราก้าวหน้า เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากบวกเป็นคูณ จากคูณ เป็นยกกําลัง เป็นอัตราความก้าวหน้าทีท่ ับทวี แบบเรขาคณิต geometric ของจริงจะไม่มี ศูนย์ไม่มเี สือ่ ม จะไม่เปลีย่ นแปลง จะยืนนาน ไปเรื่อย เมื อ งไทยจะเป็ น แกนของอาเซี ย นใน ทางคุณธรรม เสริมสารสร้างแกนให้โลก อย่า ไปกังวลด้านวัตถุ ให้เอาคุณธรรมเจริญ งอกงามก่อน ส่วนทางวัตถุจะเป็นภาวะที่ ซ้อนส่งเสริมขึ้นมาเอง อาตมาทำ�งานมา ๔๕ ปี ก็เห็นด้วย ดวงตาที่เป็นตาวิเศษมองว่ามีอัตราก้าวหน้า เป็นความจริงทีม่ ขี องจริงเกิดขึน้ เช่นเกิดมวล ของ “คนจนที่เข้าใจและมีปัญญา” เพิ่มขึ้น มารวมกันมากขึ้น มาร่วมกันก่อสร้างสรรค์ ที่จะเป็นแบบอย่างของระบอบคนจน ระบอบที่ “ขาดทุนคือกำ�ไร” จะชัดเจน ว่า ขาดทุนนี้คือของจริง ถ้าขาดทุนคืออะไร คิดไม่ออกก็โง่! ต่อไปเราไม่เอาเปรียบจริงๆ ไม่มภี าวะซุกซ่อนภาวะแฝง เราขาดทุนให้แก่ มนุษยชาติ สังคมเรากินน้อยใช้นอ้ ยแค่น้ี “พอ” ก็ไม่สะสม เรามาทำ � ตามในหลวงที่ ต รั ส ไว้ ก็ เ กิ ด วิวัฒนาการให้เห็นจริง สิ่งนี้เท่านั้นที่จะ แก้ปัญหาโลกทั้งโลก จึงได้ตั้งชื่อว่า “บุญ

นิยม” ให้ล้อกับทุนนิยม พวกทุนนั้นสะสม แต่บุญนั้นเสียสละด้วยจริงใจ พวกทุนนิยมก็จริงใจทีจ่ ะสะสม แต่พวก บุญนิยมก็จริงใจที่จะสละออก สรุปให้เข้าเป้าว่านี่คือพัฒนาการของ สังคมมนุษยชาติ อาตมาได้ทำ�งานศาสนา มา ๔๕ ปี ตอนนี้ก็ประกาศตนเองไปจน ล่อนจ้อนเป็นดารานู๊ดที่ประกาศหมดเนื้อ หมดตัวแล้ว ก็แสดงตัวเองออกมาหมดแล้ว มีแต่คนบอกว่าอาตมาจะมาทำ�ชั่ว ก็ ใ ห้ ช่ ว ยออกมาบอกด้ ว ยว่ า อาตมา เคยทำ�ชั่วในเรื่องอะไร? เคยแสดงให้คนเขาต้องเจ็บปวดอะไรก็ ว่ามา... เคยไปแย่งยศ แย่งลาภกับใครก็บอกมา อาตมาไม่เคยไปแย่งลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข ทางกามทางอัตตาก็ไม่เคยไปแย่ง เพราะฉะนั้ น อาตมาไม่ มี ศั ต รู ไ ม่ เ คย แย่งใคร เคยเล่าให้ฟังว่าชาตินี้ไม่เคยมีใครตบ ใครเตะอาตมาเลย ทัง้ ทีอ่ าตมาเป็นคนยวนนะ แต่กร็ วู้ า่ ขีดไหนถึงจะพอดี มีสปั ปุรสิ ธรรม ๗ กับมหาประเทศ ๔ ของพระพุทธเจ้าจริง อาศัยทฤษฎีทางธรรมเป็นหลักในการทำ�งาน ส่วนทฤษฎีทางโลกอาตมาไม่เก่ง...... (๕๘๑๑๑๔ เทศน์ก่อนฉันวังน้ำ�เขียว ในงานตามรอยพ่อ)

ก้าวตามรอยพระโพธิสัตว์ ในเส้นทางชีวิตของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ต่างพากันใช้ชีวิตอย่างเสียสละและ ยากจน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ�ของมนุษยชาติให้มีความเท่าเทียมกัน ชีวิตของพวก เราที่พยายามพากเพียรไปสู่ความยากจนนั่นคือการเจริญรอยตามพระโพธิสัตว์ แต่ หากเรากำ�ลังเดินทางไปสู่ความมั่งคั่งร่ำ�รวยหรือความอยากได้มั่งมีเงินทอง นั่นคือ การเดินตามรอยของสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ชีวิตของพ่อท่านถูกติเตียนและถูกรังเกียจจากผู้คนที่ยังไม่เข้าใจ เป็นดั่งแร้งของสังคม แม้จะถูกด่าว่าอย่างไร ท่านก็ไม่เคยท้อถอยและไม่เคยถือสาคนที่มาด่าว่าท่านแต่อย่างใด การที่เรายอมถูกตำ�หนิ ถูกว่าถูกด่าได้โดยไม่มีจิตถือสา นั่นคือการเจริญรอยตามพระ โพธิสตั ว์ ส่วนการไม่ยอมให้ใครมาตำ�หนิ มาด่าว่า นัน่ คือการเดินตามรอยของสัตว์ใต้ตน้ โพธิ์ พ่อท่านทำ�งานแบบปิดทองหลังพระจนถึงปิดในลำ�ไส้พระมาตลอด เมือ่ ใดทีเ่ ราทำ�งาน แบบไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน ไม่หวังได้หน้าได้ตา เป็นพวกบุญแรงแห้งรางวัล นั่นคือการ เจริญรอยตามพระโพธิสตั ว์ แต่ถา้ ทำ�งานแบบอยากได้หน้าได้ตา ต้องการได้บญ ุ มากศักดิใ์ หญ่ นั่นคือการเดินตามรอยของสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ชีวิตของพ่อท่านเกิดมาเป็นผู้แพ้ตลอดและจะเป็นผู้แพ้ต่อๆไป การยอมเป็นผู้แพ้ได้ คือการเจริญรอยตามพระโพธิสัตว์และการไม่ยอมแพ้หรือแพ้ไม่ได้ นั่นคือคือการเดินตาม รอยของสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ พ่อท่านทุม่ เทชีวติ ให้กบั ธรรมะตลอดเวลาแบบเอาชีวติ เข้าแลก แล้วก็พยายามเผยแพร่ ธรรมะ ทั้งพูด ทั้งเขียน ทั้งสอน แต่การทุ่มเทของพวกเรานั้น แม้แต่เพียงแค่มีเวลาฟังธรรม

ก็ยังไม่มีเวลา เมื่อไม่มีเวลาให้กับธรรมะ นั่นคือการเดินตามรอยของสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ และ เมื่อใดที่เรากำ�ลังอยู่กับธรรมะ นั่นคือการเจริญรอยตามพระโพธิสัตว์ พ่อท่านเป็นตัวอย่างของการอยู่เหนือโลก เหนืออัตตาและคอยกำ�ชับกำ�ชาพวกเรา ว่าอย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก ซึ่งเราเองก็พยายามตั้งตนอยู่บน ความลำ�บาก ขวนขวาย ทั้งกิจใหญ่น้อยของหมู่และไม่ละเลยในการเจริญอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาของตนเองให้เจริญไปด้วยกัน นั่นคือการเจริญรอยตามพระโพธิสัตว์ ส่วนการ ตั้งตนอยู่บนความสบาย หลงใหลไปกับโลก (ศีลหย่อนยาน-หลงงานสร้างอัตตา-ติดไวรัสอี เบื่อศาลา อาการหนัก) นั่นคือ กำ�ลังเดินตามรอยของสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ พ่อท่านเห็นอุปสรรคเหมือนได้อยู่ใกล้สวรรค์ เห็นปัญหาคือสิ่งที่จะทำ�ให้เกิดปัญญา ท่านพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเอาตามความเห็นของหมู่ แม้จะรู้ว่าของท่านถูกต้องกว่า ก็ตาม (เพราะผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นได้แล้ว ก็ย่อมยึดตาม อนุโลมตามผู้อื่นได้) พ่อท่านยิ้ม ได้ทุกทิศ เพราะไม่มีจิตยึดมั่นถือมั่น การยิ้มได้ทุกทิศด้วยจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น นั่นคือ การเจริญรอยตามพระโพธิสัตว์ ส่วนการยึดเอาให้ได้ตามที่จิตเราคิดจนเห็นหมู่ผิด แต่เรานั้นถูก จึงอยู่ร่วมกันไม่ได้ ยิ้มไม่ออก นั่นคือเรากำ�ลังเดินตามรอยของสัตว์ ใต้ต้นโพธิ์ ดังนั้น ในฐานะที่เป็นลูกกตัญญู การตอบแทนบุญคุณของพ่อท่าน คงไม่มีอะไร ที่จะมีค่าเท่ากับการปฏิบัติบูชาด้วยการเจริญรอยตามเส้นทางของพระโพธิสัตว์ ที่ได้ พานำ�พาทำ�มาตลอด ๔๕ ปี ที่ผ่านมา...


10 สายลมแห่งผู้กล้า

รวมปักษ์ ธันวาคม ๒๕๕๘

(ต่อจากหน้า ๘)

เป็นไปได้ยังไงพระถูกฆ่าตายทั้งวัด อยากจะไปสืบดูว่าเกิด อะไรขึ้น อาตมาก็ติดต่อกับมหาวิทยาลัยแอริโซนา รับปาก เรียบร้อยแล้วว่าจะดูแลความปลอดภัยทุกอย่าง มาได้เลย พอ ใกล้จะเดินทาง ทุกคนก็ไม่อยากให้ไป ในที่สุดก็ไม่ได้ไป เลยมีตัว เลือกอื่น คือ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ปัญหาก็เกิดขึ้นอยู่ที่ทุน ก็ ไม่ได้บอกสมเด็จพระสังฆราช ท่านก็ถามติดต่อหรือยัง ก็เลย กราบทูลท่านว่า ติดต่อแล้ว มหาวิทยาลัยตอบรับเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้กำ�ลังรอเรื่องทุนอยู่ พอท่านรู้ก็กริ้วว่า ทำ�ไมไม่บอก เรื่องแค่นี้ทางวัดบวรฯ ส่งไม่ได้หรือ ท่านทำ�งานให้กับวัดมาตั้ง มากมาย ที่สุดก็ได้ไปดูสถานที่เรียนที่เคมบริดจ์ โดยมีอาจารย์ ภาควิชาจัดการเรื่องสมัครเรียนให้หมดเลย” ก่อนที่จะเดินทางไปเรียนอีก ๗ วัน พระอาจารย์ได้คุยกับ ท่านราชเลขาในขณะนัน้ (ม.ล.ทวีสนั ต์ ลดาวัลย์) ซึง่ ท่านตกใจ เกิด ความไม่พอใจว่าไปได้ยังไง “ท่านก็บอกว่าไปไม่ได้ แล้ว อาตมา เป็นที่คุ้นเคยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระ นางเจ้าฯ หากท่านรับสั่งถาม ขึ้นมาจะทูลตอบพระองค์ท่านยัง ไง ท่านราชเลขาก็แนะนำ�ให้เขียนหนังสือกราบบังคมทูลลา จาก นั้นก็โทร.มาถามว่า ในหลวงมีพระราชกระแสรับสั่งว่าเอาทุน มาจากไหน อาตมาก็ตอบไปว่าก็ทุนของสมเด็จพระสังฆราชท่าน ประทาน วันต่อมาท่านราชเลขาก็บอกว่า ในหลวงไม่โปรดให้ สมเด็จพระสังฆราชออกทุน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะพระราชทานทุนเอง พระองค์มีพระราชกระแสรับสั่งว่า ให้ ตั้งใจเรียน ไม่ต้องกังวลเรื่องทุน ไม่พอก็บอกมา” พระอาจารย์ กล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณด้วยใบหน้าปลื้มปีติยากจะลืมเลือน สร้างบารมี...ก้าวสู่พระอินเตอร์ จากความรู้ทางธรรมที่ได้จากการปฏิบัติและการศึกษาเล่า เรียนในปี ๒๕๔๘ พระอาจารย์อนิลได้ด�ำ รงตำ�แหน่งเป็นรองคณบดี คณะสั ง คมศาสตร์ แ ละเป็ น อาจารย์ ป ระจำ � คณะสั ง คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย แล้วยังรับหน้าทีเ่ ป็นอาจารย์ พิเศษประจำ�อยู่ที่วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยซานตา คลารา มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา (Santa Clara University, CA, USA) นอกจากนีย้ งั ดำ�รงตำ�แหน่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ อีกมากมาย “ถ้าถามว่าอนาคตวางแผนชีวิตภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ยังไง หรือจะมีการสึกเพื่อไปใช้ชีวิต แบบฆราวาสหรือเปล่า จริงๆ ชีวิต

ของอาตมาไม่มีเป้าหมายเพราะไม่เคยวางแผนชีวิตด้วยตัวเอง ตั้งแต่เล็กๆก็มีผู้ใหญ่วางแผนชีวิตให้หมด เพียงแต่เราแค่เดิน ตาม ตั้งแต่คณะสงฆ์เนปาลส่งให้มาอยู่กับสมเด็จพระสังฆราช ก็ให้มาเคี่ยวเข็ญสั่งสอนจนจบปริญญาตรี เรียนจบขอกลับบ้าน ๓-๔ ครั้งท่านก็ไม่ยอม จริงๆอาตมาอยากจะกลับไปสร้างวัดที่ นั่น เพราะเห็นวัดในเมืองไทยสวยงามใหญ่โต ท่านบอกว่า คุณ กลับไปจะทำ�อะไรได้ แม้จะอ้างว่าที่ดิน วัสดุมันจะแพง ท่านพูด มาคำ�เดียวว่า คุณมีเงินหรือ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีปัญหา เพราะท่าน สร้างวัดได้ก็ตอนอายุ ๖๐ ปีแล้ว แต่คุณต้องอยู่ที่นี่ ท่านก็เลย แต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเลขา ไม่น่าเชื่อหลังจากนั้นโครงการสร้างวัดก็เกิดขึ้น ท่านก็ให้ อาตมาไปสร้างวัด แล้วก็สร้างเสร็จ ซึ่งวัดที่ไปสร้างก็อยู่ติดกับ มหาวิทยาลัยเนปาล ระหว่างนั้นก็มีอาจารย์มาให้เซ็น เพื่อเข้า เรียนปริญญาโท พอสร้างวัดเสร็จอาตมาก็เรียนจบปริญญา โทกลับมาอีกหนึ่งใบ แล้ววัดที่สร้างได้ชื่อว่าวัดไทยสิริกิติ์วิหาร เป็นวัดในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระ สังฆราช แห่งวัดบวรนิเวศวิหารจากประเทศไทยนั่นเอง” วัดไทย ในเนปาลกลายเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาทีท่ กุ คนเลือ่ มใสศรัทธา “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ตลอดชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อพระอาจารย์อนิลไป บรรยายที่ไหน จะมีญาติโยมทุกระดับ จนถึงท่านเจ้าคุณมาฟัง มากมาย ยิ่งปัจจุบันเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบเช่นนี้ ธรรมะ ย่อมเป็นหนึ่งทางออกของปัญหานี้ได้ “อาตมาไม่รู้จะเอาลาภ ยศ สรรเสริญไปทำ�ไม พยายามคิด เสมอว่า เราอย่าไปยึดติดตรงนั้น เพื่อที่จะมาพัฒนาตัวเอง ถ้า ไม่พัฒนาตัวเองเราก็จะโง่ทันที จริงๆเราก็เหมือนกำ�ลังยืนอยู่ที่ ปากเหวนั่นเอง ใครเห็นก็ว่าเรากล้า เก่ง แต่ถ้าเผลอไปเมื่อไหร่ เราก็ตกเหวเมื่อนั้น นั่นก็เป็นเป้าหมายของพระพุทธศาสนาที่ ให้พัฒนาตนด้วยการภาวนา นั่นคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่ เป็นความไม่เที่ยงของชีวิต ถ้าทุกคนเข้าใจตรงนี้ได้มันก็จะเป็น ปัญญาให้เราได้ปรับตัวอยู่กับความไม่แน่นอนของชีวิตได้อย่างมี ความสุข โดยที่ไม่ต้องไปยึดติดว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา ที่สุดเราก็จะ โล่งและความสงบสุขก็จะเกิดขึ้น” เพราะเมื่อใดที่ต่างฝ่ายยังยึดมั่น ถือมั่น ความโลภในลาภ ยศ สรรเสริญ คงไม่อาจทำ�ให้บ้านเมืองเกิดสันติสุขได้โดยง่าย ทีม่ า : http://sut1919.blogspot.com/2010/06/blog-post.html เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : มาโนช ภาชีรัตน์

บิก๊ ตู”่ ปลืม้ กิจกรรม bike for dad

“บิ๊กตู่” ปลื้ม “bike for dad” ลุล่วง หวังเป็นจุด เริ่มความปรองดอง เมื่อวันที่ ๑๑ ธ.ค. พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำ�เนิด โฆษกประจำ�สำ�นักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. รู้สึกปลาบปลื้มอย่างมาก ที่ทุกฝ่ายได้ร่วมแรงและ มุ่งมั่นจัดกิจกรรม bike for dad เพื่อถวายพระเกียรติแด่ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สำ�เร็จลุล่วงงดงาม น่า

(ต่อจากหน้า ๘)

ประทับใจอย่างที่สุด พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนคน ไทยทั้งชาติ ที่มีส่วนร่วมกับกิจกรรมในครั้งนี้ ทั้งที่เข้าร่วม ปั่นจักรยาน เฝ้ารอรับเสด็จตลอดเส้นทางทรงปั่น เพื่อร่วม ชื่นชมพระบารมีและส่งกำ�ลังใจให้นักปั่นผ่านการถ่ายทอด สดอยู่ที่บ้าน ถือเป็นการรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ของคนไทยทั้ง ชาติด้วยจุดประสงค์เดียวกัน ถือถวายความจงรักภักดีและ พระเกียรติแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็น ที่เคารพรักและศูนย์รวมจิตใจไทยทั้งชาติ พล.ต.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า นายกฯ ยังขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ปฏิบัติ หน้าที่อย่างเข้มแข็งเต็มความสามารถ ทั้งตำ�รวจ ทหาร อาสาสมัคร หน่วยแพทย์ และกรุงเทพมหานคร รวมทั้ง ขอขอบคุณห้างร้านและอาคารสำ�นักงานตลอดแนว เสด็จ พระราชดำ�เนินที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคำ�แนะนำ�ของ เจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี ทำ�ให้ทุกอย่างเรียบร้อยราบรื่นงดงาม และคาดหวังว่าพี่น้องประชาชนชาวไทยจะได้ถือเอาการ รวมพลังครั้งประวัติศาสตร์นี้เป็นจุดเริ่มต้นศักราชใหม่ แห่ง ความสามัคคี ความปรองดองของคนในชาติ และเป็นพลัง ในการพัฒนาประเทศต่อไป. จาก www.dailynews.co.th

๑๐๐ ปี อ.นิลวรรณ

(ต่อจากหน้า ๘)

วันที่ ๖ ธ.ค. ๕๘ เป็นวันครบรอบ ๑๐๐ ปี อ.นิลวรรณ ปิ่นทอง คุณย่า บก. แห่งวงการภาษาและหนังสือไทย บุญ นิยมทีวไี ด้มกี ารจัดรายการวิถอี าริยธรรม ตอนพิเศษ ๑๐๐ ปี ชาตกาล คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง (๖ ธ.ค. ๕๘) ร่วมดำ�เนิน รายการโดย ท่านจันทร์ และอาหญิง อำ�ภา สันติเมทนีดล มีผู้ร่วมรายการคือ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ (รัก รักพงษ์), คุณพงษ์ศักดิ์ พยัคฆวิเชียร (อดีต บก.มติชน) อ.วารยา, อ.รวิอร (ทั้งสองท่านทำ�งานใกล้ชิดอ.คุณย่า บ.ก.) พ่อครูบอกว่าเหตุทจ่ี ดั รายการนีข้ น้ึ มาเพราะอ.นิลวรรณ ปิ่นทอง เป็นผู้มีพระคุณกับพ่อครูอย่างมาก ท่านช่วยเกื้อกูล ยามที่พ่อครูยากลำ�บากทางเศรษฐกิจ ด้วยวิธีให้งานทำ� สอนงาน เกื้อกูลช่วยมาออกรายการรับค่าตอบแทนแล้วคืน มาให้พ่อครูเป็นทุนในการจัดรายการต่ออีก ฯลฯ การเกื้ อ กู ล ของอาจารย์ ด้ ว ยวิ ธี ต่ า งๆทำ � ให้ พ่ อ ครู ไ ด้ ประโยชน์มาจนทุกวันนี้ โดยอาจารย์ไม่เคยพูดเล่าเลย พ่อครูได้ไปเยี่ยมอาจารย์มาเมื่อไม่กี่วันมานี้ วันนี้เป็น วันคล้ายวันเกิดของอ.นิลวรรณ ปิ่นทอง (๖ ธ.ค. ๕๘) จึงจัด รายการนี้ขึ้น เพื่อรำ�ลึกถึงพระคุณของคุณครู หรือที่นักเขียน รุ่นต่อๆมาเรียกขานท่านว่า อาจารย์คุณย่าบ.ก. ขอคารวะย้ำ� รำ�ลึก ด้วยค่าสุดสำ�นึก แน่วน้อม พระคุณกว่าเกินตรึก ต่อดนุ มาแฮ อายุแม่ร้อยค้อม นอบไหว้ คุณานุคุณ สมณะโพธิรักษ์ (รัก รักพงษ์)


ฉบับที่ ๔๖๕ (๔๘๗)

เจริญธรรมสำ�นึกดี พบกับน.ส.พ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๔๖๕ (๔๘๗) รวมปักษ​์ธันวาคม ๒๕๕๘ v ขุมทรัพย์ส่งท้ายปีเก่าเพื่อชีวิต ที่ดีกว่า จิ้งหรีดได้ยินมาจึงนำ�มาเล่าต่อ เพราะ คิ ด ว่ า น่ า จะเป็ น ประโยชน์ ต่ อ ชาวอโศกที่ กำ � ลั ง พยายามเสี ย สละให้ สั ง คมมากขึ้ น เรื่อยๆ โดยเฉพาะในปีนี้มีทั้งเปิดโรงบุญ และเปิดตลาดอาริยะมากขึ้นกว่าทุกปี แถม ยั ง มี อี ก ตลาดที่ เ กิ ด ใหม่ ใ นพ.ศ.๒๕๕๘ ตลาดที่ว่านี้คือ ตลาดบุญนิยม ที่เน้นราคา บุญนิยมถึง ๔ ระดับ ไม่มุ่งขายขาดทุน เท่านั้น เช่น ตลาดอาริยะ สิ่งที่จิ้งหรีดได้ยินมานั้น เรื่องก็มีอยู่ว่า อาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสถาบันการศึกษาที่ โด่งดังของประเทศท่านหนึ่งได้วิจารณ์ร้าน ค้าของชาวอโศกแห่งหนึ่ง ที่มีการขายแบบ “๐ บาทก็ทานได้” ว่าอาจารย์ได้ไปทีร่ า้ นค้า ดังกล่าวแล้วไม่พบว่ามี “๐บาทก็ทานได้” ตามที่ได้รับการบอกกล่าวจากเพื่อนๆทั้งนี้ ก็อาจเป็นเพราะอาจารย์ไม่ได้ตักข้าว ๑ อย่าง กับข้าว ๑ อย่าง แต่อาจารย์ก็มองว่า ไม่มปี า้ ยติด (อาจมีแต่ตดิ อยูใ่ นมุมทีไ่ ม่โดดเด่น นัก) และไม่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์เลย บอกดูบรรยากาศเหมือนไม่ค่อยอยากให้คน รู้ว่าที่นี่ขาย ๐บาทก็ทานได้หรือมีแจกฟรี ใ น ป ร ะ เ ด็ น ข า ย พื ช ผั ก ไร้ ส า ร พิ ษ อาจารย์ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกว่า เห็นร้านค้า หน้าชุมชนของชาวอโศกไม่ได้ขายพืชผักไร้ สารพิษจริง เพราะได้ไปซื้อผักไร้สารพิษอยู่ บ่อยๆ และเคยนำ�ไปตรวจดูแล้ว พบว่ามี สารพิษตกค้าง แถมอาจารย์ยังบอกอีกว่า “บางร้านนะเค้าทำ�เหมือนว่าไร้สารพิษมาก เลย มีรอยแมลงแทะเป็นรูๆด้วย แต่มันไม่ ไร้สารพิษจริง” อาจารย์กไ็ ด้รบั คำ�ชีแ้ จงว่า ร้านค้าหน้า ชุมชนก็มิใช่ของส่วนกลางทั้งหมด ก็มีของ ส่ ว นตั ว ไม่ ไ ด้ ทำ � ตามนโยบายส่ ว นกลาง ของชุมชนชาวอโศก ซึ่งเราก็ไม่สามารถไป ควบคุมการขายของเขาได้ อาจารย์ยงั แนะนำ�เพิม่ เติมว่า ทางวัดจะ มีมาตรการอย่างไรที่จะดูแลควบคุม เพราะ คนภายนอกที​ี่ตั้งใจมาซื้อสินค้านั้นไม่รู้เรื่อง เค้าก็เหมารวมว่านี่เป็นของวัดทั้งหมด จากเหตุ ก ารณ์ นี้ จิ้ ง หรี ด ก็ ไ ด้ แ ง่ คิ ด ว่ า เราควรมีป้ายบอกชัดเจนว่า มีขาย “๐ บาท ก็ทานได้” ที่ร้านค้าให้ลูกค้าเห็นชัดเจน หรือ จะใช้การประชาสัมพันธ์ในร้านให้ลูกค้าที่มา รับบริการด้วยได้ก็ยิ่งดี

ข่าวอโศก ส่วนเรื่องพืชผักไร้สารพิษ น่าจะมีป้าย ให้โทรสอบถามเจ้ า หน้ า ที่ ที่รั บผิ ด ชอบคน ใดคนหนึ่ง ที่สามารถให้คำ�ตอบกับลูกค้าได้ ชัดเจนว่า จุดขายพืชผักไร้สารพิษของส่วน กลางชุมชน อยู่จุดใดชัดๆ ลูกค้าจะได้ไม่ เข้าใจผิด ในบางร้านที่มิได้อยู่ในการดูแล ของส่วนกลาง ข้ อ สำ � คั ญ จิ้ ง หรี ด คิ ด ว่ า เราก็ ต้ อ ง ขอบคุณอาจารย์ท่านนี้ ที่ช่วยสะท้อนจุดที่ ทำ�ให้ลูกค้าที่มาแถวชุมชนของเรา ได้รู้ว่า ร้านไหนที่คนส่วนกลางดูแลอยู่ เพราะคน ส่วนใหญ่ที่มาบริเวณนั้นซื้อสินค้า เพราะ ต่างมั่นใจว่าเป็นของชาวอโศกเท่านั้น เหตุการณ์ที่จ้ิงหรีดได้ยินมานี้ ก็น่าจะ เป็ น ขุ ม ทรั พ ย์ ใ ห้ กั บ ชุ ม ชนบุ ญ นิ ย มแต่ ล ะ แห่ง ถือว่าเป็นขุมทรัพย์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อส่ิงดีๆที่ชัดเจนจะได้เกิด ขึ้นในหมู่ชาวอโศกยิ่งๆขึ้นไปนะฮะ สาธุ... จี๊ดๆๆ v รับผิดชอบหรือยึด? จากคอลัมน์ “แปรขยะเป็นบุญ” ที่ หมายถึงการชำ�ระกิเลสในใจ ซึ่งชาวสขจ. ได้ ต อบปั ญ หาเพื่ อ กำ � จั ด ขยะออกจากจิ ต วิญญาณของเรา เป็นคำ�ถามเรื่องอัตตาใน การทำ�งาน เขียนไว้ได้อย่างน่าคิด ลองอ่าน ดูนะฮะ...จี๊ดๆๆ เส้นแบ่งระหว่าง “ความรับผิดชอบ” ใน การทำ�งานกับ “การยึด” ในการทำ�งาน จน เกิดอัตตาคืออะไร? และการที่เรารู้สึกว่าเรา กำ�ลังรับผิดชอบ แต่คนอื่นบอกว่าเรายึด ทำ�ไมถึงเป็นเช่นนั้น? “ความรับผิดชอบ” หมายความถึง การ พร้อมน้อมรับทั้งส่วนที่ได้รับคำ�ตำ�หนิว่าไม่ ถูกต้องและส่วนที่เหมาะสมดีแล้ว ซึ่งหาก คำ�ติเพือ่ ก่อนัน้ ชัดเจนว่าผิดจริง นัน่ คือความ ชอบหรือส่วนที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน คำ�ว่า “ชอบ” จึงมีนัยลึกซึ้งที่หมายถึง ความเหมาะควรและเห็นด้วย พึงใจ ยินดี น้อมรับได้เพราะเป็นสัจจะ ด้วยเหตุน้ี คนมีความรับผิดชอบจึงเป็น ผู้เข้าถึงสัจจะ ไม่สุดโต่งไป ไม่หลงตนว่าถูก ต้องเสมอ แต่เชื่อมั่นในตน และทำ�อย่างถูก ต้องที่สุดเท่าภูมิปัญญาของตนเสมอ ส่วน ที่เมื่อทำ�ไปแล้ว กลายเป็นผิด ก็จะศึกษา อย่างชอบธรรม เมื่อชัดว่าผิดจริงก็น้อมรับ แก้ไขทันที หากไม่ผิดก็รับไว้ สังวรระวังไม่ ประมาท นี้คือการรับผิดชอบโดยชอบธรรม มิได้เข้าข้างตนหรือเกรงกลัวใคร แต่ว่ากัน ตามสาระสัจจะที่แท้จริง ส่วน “การยึด” นั้น หมายถึงการเข้าข้าง สิง่ ทีย่ ดึ โดยถ่ายเดียว ต่างจากนีผ้ ดิ หมด ไม่รับ พิจารณาใดๆ จึงเป็นเรื่องของอัตตาเต็มๆ ขาดความรับผิดชอบต่อสาระประโยชน์ที่แท้ จริงของงาน เพราะเอาตัวเองเป็นใหญ่ เป็น ตัวตัดสิน มัน่ ใจว่าตามทีเ่ รารู้ เราเห็น เราเป็น นี่แหละ ถูกต้องที่สุดแล้ว เป็นอื่นจากนี้แล้ว ทำ�ไปเสียงานทัง้ นัน้ อย่างไรๆก็สสู้ ง่ิ ทีเ่ รายึด เราเห็นดีแล้วนี่ไม่ได้ ผู้มีการยึดงานเช่นนี้ ก็จะขาด “ปรโตโฆษะ” คือขาดการเปิดใจ กว้างรับรู้หลากหลายแง่มุม การที่เรารู้สึกว่าเรากำ�ลังรับผิดชอบ แต่

คนอื่นบอกว่า เรายึด แล้วถามว่าทำ�ไมถึง เป็นเช่นนั้น คำ�ตอบคือ โอกาสที่จะเป็นเช่น นั้นมาจากสาเหตุต่างๆ เหนือการคาดเดา คงเป็นคำ�ถามที่จะรู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์สัก เท่าไร เพราะเป็นการวิเคราะห์คาดความน่า จะเป็นเท่านั้น แต่ทแ่ี น่ๆ คือเมือ่ เราได้รบั การกล่าวหา ว่า “ยึด” ทั้งที่เรารู้สึกว่า เราก็กำ�ลังรับผิด ชอบอยู่แท้ๆนั้น เราได้อ่านจิต อ่านใจ อ่าน อารมณ์ อ่านอาการ กระเพื่อมไหว ที่เกิดใน ใจเราขณะโดนตำ�หนิอยู่นั้นหรือไม่ อย่างไร เพราะถ้าเรามีสติไหวทัน รวบรวมสมาธิ พุ่ง ตรงไปในภาวะที่กำ�ลังเกิดอยู่ภายในใจ เรา จะเห็นและรูจ้ กั ตัวยึด “อย่างชัดเจน”…เรายึด ว่า เรารับผิดชอบดีแล้ว… “ภาวะยึด” ยังเป็นสิ่งที่เราจับไม่ได้ ไม่รู้ จักเอาจริงๆ เมื่อไม่รู้จักตัวยึด การปล่อยใจ จากการยึด ก็ไม่อาจเกิดได้เลย ผูท้ �ำ ดีโดยไม่ยดึ ดี จะเห็นคำ�ทักท้วงเป็น อุปกรณ์ล้างตัวยึด ฉะนั้นเมื่อเราทำ�งาน ด้วยความรับผิดชอบ นั่นคือสิ่งที่ดีแล้ว คำ� ทักท้วงว่าเรายึดงาน จึงเป็นใบเบิกทางให้ เดิ น ไปล้ า งตั ว ยึ ด ที่ มี ผ สมผเสอยู่ กั บ ความ สำ�นึกดีที่รับผิดชอบในงานนั่นเอง ตอบโดย…สม.สัจฉิกตา...จี๊ดๆๆ v ไม่ยินดีในการทำ�บุญ อีกเรื่องหนึ่งที่มีผู้ถามในคอลัมน์ “แปร ขยะเป็นบุญ” ซึี่งได้รับความเมตตาจาก สิกขมาตุสัจฉิกตาช่วยตอบคำ�ถาม เพื่อเติม สั ม มาทิ ฏ ฐิ ที่ ส ามารถใช้ ใ นชี วิ ต ประจำ � วั น ของเราได้ฮะ...จี๊ดๆๆ เวลาไม่สบายใจ แทบจะไม่เคยรู้สึก อยากไปทำ�บุญที่วัดเลย มักจะไปบริจาคโลง ศพมากกว่า การไปทำ�บุญที่วัด มักจะไปกับ พี่น้องตอนทำ�บุญประจำ�ปีอุทิศส่วนกุศลให้ พ่อกับแม่ หรือเวลาไปเที่ยวแล้วแวะที่วัด โดยทำ�บุญตามๆเขาไป เพราะในส่วนลึก แล้วไม่ชอบทำ�บุญโดยใช้เงิน ชอบช่วยเหลือ ผูอ้ น่ื มากกว่า จึงมาเป็นจิตอาสาเพราะคิดว่า ชีวิตเรามีค่ามากกว่าการอยู่เฉยๆ ในเวลา ว่าง แต่กลับไม่มคี วามรูส้ กึ ปิตยิ นิ ดีเกิดขึน้ กับ สิ่งที่เราได้ทำ� เมื่อมาได้ฟังเรื่องที่เราควรมี จิตยินดี ปิติเมื่อเวลาทำ�บุญ หรือเมื่อได้รับ รู้ว่าผู้อื่นทำ�บุญ ทำ�ให้รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ จึงขอคำ�ปรึกษาว่าจะต้องทำ�จิตปิติให้เ กิ ด ขึ้น หรือตามหาว่าทำ�ไมจึงไม่มีจิตปิติเกิด

11

ขึ้น หรือมีคำ�แนะนำ�เพิ่มเติมไหมคะ? ตอบ...“ทำ�บุญ” ก็คือ การชำ�ระล้างสิ่ง สกปรกออกจากใจ ยิ่งล้างได้ลึกเท่าไร ก็เป็น บุญที่แท้จริงมากขึ้นเท่านั้น ร่ า งกายนั้ น คนเราต้ อ งอาบน้ำ � ชำ � ระ ล้างอยู่ทุกวัน จิตใจก็ต้องทำ�ความสะอาด มันเช่นกัน และควรทำ�ยิ่งกว่าด้วยซ้ำ�ไป เพราะจิตคือตัวบงการให้ชีวิตดีหรือเลว จิต สกปรกย่อมทำ�ให้บทบาทชีวิตสกปรกด้วย พูดไม่ดี ทำ�ไม่ดีก็เพราะจิตไม่ดี คนมีจิตใจสะอาด ย่อมมีพฤติกรรมที่ ดี เรียกว่ากุศล เวลาคนทำ�ดีมีกุศล จิตจะเกิด ปิติ แต่ถา้ เราชัดเจนในความดีและทำ�ดีมีกุศล เป็นปกติชีวิตแล้ว อาการปิติจะไม่ตูมตาม ออกมาข้างนอกให้สัมผัสได้ จะแนบแน่น สนิทเนียน อิ่มใจอยู่ลึกๆ เป็นพลังชีวิตที่พา ขยันทำ�งานด้วยความเบิกบานแจ่มใสเสมอ แต่ถ้าใครมีอาการขี้เกียจ อาการเฉื่อย เนือย อาการห่อเหี่ยว หมดพลังใจในการ สร้างกุศลเมื่อไร ก็ต้องรีบยกจิตยกใจ ปรับ อารมณ์เดี๋ยวนั้นทันที อย่าปล่อยแช่ไว้ ถ้า สามารถสร้างจิตปิติเกิดได้ก็รีบทำ� ดีกว่าเสีย เวลาขบคิดว่าทำ�ไมปิติจึงไม่เกิด ปิตินั้นเป็น พลังธรรมชาติที่เกิดเป็นเงาตามตัวของผู้มี ศรัทธาในการทำ�ดี การชำ�ระใจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่สมควร ทำ�อย่างยิ่ง นั่นคือ การทำ�บุญที่แท้จริง ไม่ ว่าจะไปวัด ไปไหน หรืออยูบ่ า้ นทำ�ได้ทกุ เมื่อ ทำ�เมื่อไรก็เป็นการอุทิศส่วนกุศลที่แท้จริงให้ กับผู้มีบุญคุณให้ชีวิตเรามาคือ คุณพ่อ คุณ แม่นั่นเอง ท่านมอบชีวิตให้เราดูแล แม้ท่าน ล่วงลับไปแล้ว แต่ส่วนหนึ่งของชีวิตท่านยัง ได้รับการยืนหยัดดูแลรักษาทำ�ความดี นี้จึง เป็นกุศลแท้ที่อุทิศถึงท่านโดยตรง ไม่ต้อง ผ่านต่อการประกอบพิธีกรรมใดๆ ทำ�กุศล เมื่อไร ก็เมื่อนั้นเป็นกุศลของชีวิตท่านส่วน หนึ่งที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ทันที...จี๊ดๆๆ

v มรณัสสติ นายอาภรณ์ สิมศรีพมิ พ์ อายุ ๕๖ ปี เป็นสามีคุณน้อมน้อย เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๓ ม.ค. ๒๕๕๘ ด้วยโรคเส้นโลหิตหัวใจ ตีบ ตั้งศพที่สีมาอโศก พบกันใหม่ฉบับหน้า


12

รวมปักษ์ ธันวาคม ๒๕๕๘

บิ๊กตู่ปลื้ม Bike for Dad หวังเป็นจุดเริ่มปรองดอง

ฉบับที่ ๔๖๕ (๔๘๗) รวมปักษ์ ธันวาคม ๒๕๕๘

รำ�ลึก ๑๐๐ ปี ชาตกาล อาจารย์คุณย่าบ.ก.

อ่านต่อหน้า

๑๐

“บิ๊กตู่” ปลื้มกิจกรรม bike for dad ถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ลุล่วงไปด้วยดี ขอบคุณ พี่น้องประชาชนคนไทยที่ร่วมเป็นน้ำ�หนึ่ง ใจเดียวกัน สร้างประวัตศิ าสตร์ หวังเป็นจุดเริม่ ศักราชใหม่แห่งความ สามัคคีปรองดองในแผ่นดิน วันศุกร์ท่ี ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เวลา ๒๒:๓๐ น. อ่านต่อหน้า ๑๐


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.