ถอดบทเรียนธุรกิจเขียว...ไทย ปีที่ 2

Page 1

ถอดบทเรียนธุรกิจเขียว…ไทย ปีที่ 2 โครงการเสวนาสาธารณะ เศรษฐกิจแห่งวันพรุ่งนี้ (Economy of Tomorrow) โดยมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ประเทศไทย (FES) ร่วมกับบริษัท ป่าสาละ จากัด

25 พฤศจิกายน 2558


ป่าสาละคือใคร?

“Sustainable Business Accelerator” ป่าสาละเป็นบริษัท “ปลูกธุรกิจที่ยั่งยืน” แห่งแรกในประเทศไทย ก่อตั้งเดือน ก.ค. 2556 เป้าหมายของเราคือจุดประกายและดาเนินวาทกรรมสาธารณะเกี่ยวกับธุรกิจที่ ยั่งยืน ผ่านการจัดสัมมนา อบรม ประชุมเชิงปฏิบัติการ ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และออนไลน์ รวมทั้งผลิตงานวิจัยในประเด็นความยั่งยืน และส่งเสริมการวัดผลตอบแทนทางสังคม 2


สินค้าและบริการ ทัวร์

การเผยแพร่ ความรู้เกี่ยวกับ ธุรกิจที่ยั่งยืน

อบรม หนังสือ

วิจัย

การสร้างความรู้ เกี่ยวกับธุรกิจที่ ยั่งยืน

การสร้าง เครือข่าย เกี่ยวกับธุรกิจที่ ยั่งยืน

วางระบบ ประเมิน ผลลัพธ์

สัมมนา 3


เป้าหมายโครงการ “จัดทากรณีศึกษาและรายงาน “นวัตกรรมเขียว” (green innovation) และ “ผลิตภาพเขียว” (green productivity)”  จุดประกายการอภิปรายถกเถียงเรื่อง “ธุรกิจที่ยั่งยืน” ในสังคมไทย  สร้างความตระหนักใน “เหตุผลทางธุรกิจ” (business case) ของการ เปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน  กระตุ้นให้บริษัทอื่นๆ รวมถึงผู้ดาเนินนโยบายในประเทศได้เล็งเห็น ความสาคัญและประโยชน์ของการใช้กลยุทธ์ “นวัตกรรมเขียว” (green innovation) และ “ผลิตภาพเขียว” (green productivity) สร้าง มูลค่าเพิ่มทางธุรกิจและประโยชน์ต่อสังคม

4


สู่เศรษฐกิจเขียว: ความท้าทายคู่แฝด

รอยเท้านิเวศโลก (เฮคเตอร์ต่อหัว)

ประเทศในแอฟริกา ประเทศในเอเชีย ประเทศในยุโรป ประเทศในอเมริกาใต้และทะเลคาริบเบียน ประเทศในอเมริกาเหนือ ประเทศในโอเชียเนีย

เส้น “การพัฒนามนุษย์ระดับสูง”ของ UNDP

สถานการณ์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

ขีดความสามารถทางชีวภาพเฉลี่ยต่อหัวของโลก ปี 1961 ขีดความสามารถทางชีวภาพเฉลี่ยต่อหัว ของโลก ปี 2006 พัฒนามนุษย์ระดับสูงได้ ภายในขีดจากัดของโลก ดัชนีพัฒนามนุษย์ของสหประชาชาติ

ที่มา: The Ecological Wealth of Nations: Earth’s Biocapacity as New Framework for International Cooperation. Global Footprint Network (2010) หน้า 13; ข้อมูลดัชนีพัฒนามนุษย์จาก Human Development Report 2009. UNDP (2009). 5


นวัตกรรมเขียว (green innovation) แก้ปัญหา+รักษาอัตราการเติบโต เทคโนโลยี กระแสหลัก มลพิษ

การเติบโตที่ยั่งยืนด้วย “นวัตกรรมเขียว” การเติบโตทางเศรษฐกิจ 6


กรณีศึกษา “ธุรกิจเขียว” 4 บริษัท ปีที่ 1 เพิ่มมูลค่าไปตลาดพรีเมี่ยม เพื่อหนี ภาวะแข่งขันสูง

ความสนใจของผู้ก่อตั้ง และเป็นกลยุทธ์การตลาด ความสนใจของผู้ก่อตั้ง และลดต้นทุนการผลิต นโยบายสนับสนุนของรัฐ สร้างมูลค่าจาก ของเหลือทิ้ง และลดต้นทุนการผลิต 7


กรณีศึกษา “ธุรกิจเขียว” 4 บริษัท ปีที่ 2

8


เติมนวัตกรรมเขียว แปลงขยะเป็นความยั่งยืน


จาก “กะทิชาวเกาะ” สู่แบรนด์อาหารหลากหลาย

10


“ขยะ” จากกระบวนการผลิตกะทิสาเร็จรูป • การผลิตกะทิสาเร็จรูป เคยก่อให้เกิดขยะมากมาย • มะพร้าวที่เข้าสู่โรงงานวันละหลายแสนลูก เมื่อถูกคั้นออกมาเป็นกะทิแล้ว ของเหลือหรือของเสียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ามะพร้าว กะลามะพร้าว เปลือก มะพร้าว กากมะพร้าว น้าเสียจากการทาความสะอาดเครื่องจักรที่มีไขมัน ปนเปื้อน ก็กลายสภาพเป็นของเสีย • หากปล่อยทิ้งไว้ก็จะส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชน ซึ่งย้อนกลับมาเป็น ผลเสียต่อภาพลักษณ์ของบริษัท • แต่หากกาจัดหรือบาบัดก็เสียค่าใช้จ่ายมหาศาล กลายเป็นต้นทุนทางธุรกิจที่ อาจจะทาให้เสียเปรียบในการแข่งขัน 11


ค่าใช้จ่ายสูง คู่แข่งมาก  เริ่มคิดเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต • สมัครเข้าร่วมโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อยกระดับ ความสามารถการแข่งขัน หรือ MDICP Standard (Manufacturing Development to Improve Competitiveness Program) ของกรม ส่งเสริมอุตสาหกรรม นาไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสาคัญของบริษัท

12


ตัวอย่างจุดเริ่มต้น “Green Productivity” จากมาตรฐาน ISO14001 • ลดของเสียในกระบวนการผลิต : เปลี่ยนมอเตอร์ในการทิวผิวดาๆ ของ มะพร้าว จากมอเตอร์ตัวใหญ่มาเป็นมอเตอร์ตัวเล็กลง เพื่อลดการสูญเสีย เนื้อมะพร้าว และลดค่าไฟฟ้า • ใช้วัตถุดิบให้คุ้มค่า : นาผิวดาๆ ของมะพร้าวที่ทิวออกมาไปผลิตเป็นกะทิ จากผิวมะพร้าวเพื่อจาหน่าย นาน้ามะพร้าวซึ่งเคยทิ้งมาทาวุ้นมะพร้าว และบรรจุกล่องส่งจาหน่ายต่างประเทศภายใต้แบรนด์ “คิงไอซ์แลนด์” • เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต : จัดสายการผลิตเพื่อให้สามารถ เดินเครื่องได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องล้างเครื่องหลายครั้ง เพื่อลดการ ใช้น้า 13


แปลงน้าเสียเป็นเงิน • จากเดิมที่เคยขุดบ่อเพื่อบาบัดน้าเสีย ก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นการนาน้าเสียมาใช้ในการ ผลิตก๊าซชีวภาพ แม้ว่าจะเป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูงถึง 65 ล้านบาท โดยได้รับเงิน ช่วยเหลือจากภาครัฐบางส่วน แต่ก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก – ไขมันจากมะพร้าวที่ลอยขึ้นสู่ผิวน้าในบ่อพักมีผู้มารับซื้อถึงโรงงาน ในราคาลิตรละ 10 บาท เพื่อนาไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ามันไบโอดีเซล บริษัทมีรายได้ปีละกว่า 12 ล้านบาท – น้าเสียที่แยกไขมันออกไปแล้วจะถูกผันเข้าบ่อผลิตก๊าซชีวภาพ เพื่อนาไปปั่นเป็นกระแสไฟฟ้า ใช้ในโรงงาน แต่ละปีจะได้ไฟฟ้าจากส่วนนี้ประมาณ 2 ล้านหน่วย (ประมาณ 20% ของ ปริมาณการใช้ไฟของโรงงาน) คิดเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 7 ล้านบาทต่อปี – เมื่อน้าหมดคุณภาพที่จะนาไปผลิตก๊าซชีวภาพแล้ว จะกลายเป็นน้าทิ้งที่ถูกนาไปไว้ในบ่อพัก 3 บ่อ เพื่อสูบไปใช้ในการรดน้าต้นไม้ภายในโรงงาน อีกส่วนถูกนาไปผ่านกระบวนการตกตะกอน ผ่านการดูดซับสี กลิ่น ด้วย activated carbon และฆ่าเชื้อ เพื่อผลิตเป็นน้าประปา ซึ่ง ปัจจุบันมีกาลังการผลิตวันละ 1,000 ลูกบาศก์เมตร ลดค่าน้าเกือบ 50% ทุกปี – อนาคต บริษัทมีเป้าหมายที่จะทาให้น้าทิ้งเป็นน้าอุตสาหกรรมหรือน้า RO 14


แปลงเปลือก กะลา และกากมะพร้าวเป็นเงิน • ด้วยความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีในการคิดค้นนวัตกรรมการอัด ใยเปลือกมะพร้าวที่มีน้าหนักเบาให้กลายเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด หรือ wood pellets ทาให้สามารถนาเปลือกมะพร้าวมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการให้ความร้อนกับ บอยเลอร์ควบคู่ไปกับกะลามะพร้าว ประหยัดค่าน้ามันเตาไป 30 กว่าล้านบาทต่อปี ปัจจุบันบริษัทใช้พลังงานชีวมวลประมาณ 80% ในการผลิตพลังงานความร้อนป้อน โรงงาน อีก 20% เป็นการใช้น้ามันเตา • จากเดิมกากมะพร้าวที่ผ่านการคั้นกะทิแล้ว อาพลฟูดส์จะขายเป็นกากสดให้กับพ่อค้า คนกลาง เพื่อนาไปใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ ในราคากิโลกรัมละ 3 บาท จึงหาวิธีการ อบกากมะพร้าวให้แห้ง เพื่อให้สามารถเก็บไว้ได้นานขึ้น และจาหน่ายได้ในราคา สูงขึ้นด้วย คือกิโลกรัมละ 13 บาท แม้ว่าจะต้องใช้วัตถุดิบเพิ่มขึ้น

15


ใช้ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” เป็นเครื่องมือช่วยบริหารจัดการ  กะทิสาเร็จรูปยูเอชที ตราชาวเกาะ ของอาพลฟูดส์ ได้รับใบรับรองการขึ้นทะเบียน ฉลากลดคาร์บอนจากคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย (TBCSD) ในปี 2553 สืบเนื่องมาจากการที่สามารถลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ ชั้นบรรยากาศจากกระบวนการผลิตได้ถึง 20%  ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ 3 แบรนด์หลัก ที่ได้รับฉลากคาร์บอนผลิตภัณฑ์จากองค์การ บริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก มีนโยบายที่จะทาให้ครบทุกผลิตภัณฑ์ในอนาคต  ไม่ได้เผยแพร่คาร์บอนฟุตพรินท์ไว้บนบรรจุภัณฑ์ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง – ใช้เป็นวิธี ช่วยบริหารจัดการกระบวนการผลิต มากกว่าสร้างจุดขาย  “หลักการของคาร์บอนฟุตพรินต์ก็คือการเช็คสุขภาพในการผลิตว่าแต่ละจุดใช้อะไร ไปเท่าไร เพื่อให้เราสามารถวัด หรือบริหารได้ว่าเราควรลดการปล่อยคาร์บอนในส่วน ไหนได้บ้าง” 16


โครงการ “กล่องวิเศษ”  เกิดจากความรับผิดชอบในฐานะผู้ใช้กล่องยูเอชที ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์หลักที่ใช้  หากปล่อยให้กล่องยูเอชทีย่อยสลายเองตาม ธรรมชาติ จะต้องใช้เวลานานหลายร้อยปี หาก นาไปเผาก็จะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ  กล่องยูเอชที 2,500 กล่องจะผลิตโต๊ะเก้าอี้ได้ 1 ชุด ทีผ่ ่านมาอาพลฟูดส์มีการส่งมอบโต๊ะเก้าอี้นักเรียน ให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลนไปแล้ว 7,851 ชุด  นาชิพบอร์ดไปสร้างอาคารโรงเรียนที่บุรีรัมย์ 1 หลัง และกาลังก่อสร้างที่สมุทรสาครอีก 1 หลัง 17


ใช้ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” เป็นเครื่องมือช่วยบริหารจัดการ  กะทิสาเร็จรูปยูเอชที ตราชาวเกาะ ของอาพลฟูดส์ ได้รับใบรับรองการขึ้นทะเบียน ฉลากลดคาร์บอนจากคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย (TBCSD) ในปี 2553 สืบเนื่องมาจากการที่สามารถลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ ชั้นบรรยากาศจากกระบวนการผลิตได้ถึง 20%  ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ 3 แบรนด์หลัก ที่ได้รับฉลากคาร์บอนผลิตภัณฑ์จากองค์การ บริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก มีนโยบายที่จะทาให้ครบทุกผลิตภัณฑ์ในอนาคต  ไม่ได้เผยแพร่คาร์บอนฟุตพรินท์ไว้บนบรรจุภัณฑ์ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง – ใช้เป็นวิธี ช่วยบริหารจัดการกระบวนการผลิต มากกว่าสร้างจุดขาย  “หลักการของคาร์บอนฟุตพรินต์ก็คือการเช็คสุขภาพในการผลิตว่าแต่ละจุดใช้อะไร ไปเท่าไร เพื่อให้เราสามารถวัด หรือบริหารได้ว่าเราควรลดการปล่อยคาร์บอนในส่วน ไหนได้บ้าง” 18


สู่อนาคตด้วยแนวคิด “Green Value Chain”

• มีการใช้ข้าวจากฟาร์มเกษตรอินทรีย์มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเครื่องดื่มวีฟิท ปัจจุบันมี 4 รสชาติคือ น้านมข้าวไรซ์เบอรี่ออร์แกนิค น้านมข้าวกล้องงอกออร์แกนิค น้านมข้าว กล้องงอกออร์แกนิคสูตรน้าตาลน้อย และน้านมข้าวกล้องงอกออร์แกนิคสูตรผสมงาดา • คาดว่าภายใน 5 ปี จะมีมะพร้าวออร์แกนิกป้อนเข้าโรงงานบริษัท 19


ก้าวข้ามจุดขายความเป็น ธรรมชาติ สู่ออร์แกนิค


ผลิตภัณฑ์บารุงผิวและสปา ตั้งเป้า “แบรนด์หรูระดับโลก”

วางจาหน่ายใน 27 ประเทศทั่วโลก อาทิ ห้างแกลเลอรีลาฟาแยตต์ ห้าง BHV ในฝรั่งเศส ห้างแฮร์ รอดส์ สหราชอาณาจักร โรงแรมริทซ์คาร์ลตัน อิสตันบูล ตุรกี โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล มิลาน อิตาลี รวมทั้งอยู่ในห้องสวีทของโรงแรม Ritz Carlton ดูไบ 21


“ความเป็นปัญญ์ปุริ” • ขายความเป็นตะวันออก – ในฐานะสินค้าจากเมืองไทย เลือกนาเสนอ การดูแลร่างกายและจิตใจตามหลักปรัชญาตะวันออก เพื่อเป็นกรอบใน การพัฒนาสินค้า และเสนอเรื่องราวของแบรนด์ เพื่อรอเวลาให้แบรนด์ ปัญญ์ปุริมีเรื่องราวของตัวเองเมื่อกาลเวลาล่วงไป • ส่วนผสมจากธรรมชาติ – กาหนดอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ (product identity) ว่า ต้องใช้วัตถุดิบและส่วนผสมต่างๆ ที่สะท้อนถึงความเป็น ตะวันออก อาทิ มะลิ กระดังงา ตะไคร้ ไม้จันทน์หอม สะระแหน่ ว่านหาง จระเข้ โหระพา น้าผึ้ง มะละกอ รวงข้าว มะขาม ขมิ้น • นาเสนอผลิตภัณฑ์แบบหรูหรา – กาหนดให้ใช้สีดาและสีทอง สีหลักของ วัดและวัง เป็นสีของแบรนด์ เพื่อสื่อถึงความลึกลับ หรูหรา และคลาสสิก 22


จากส่วนผสมธรรมชาติ สู่ออร์แกนิค • ได้รับทราบจากซัพพลายเออร์ในปี 2549 ว่า มี ส่วนผสมสาหรับทาสบู่ก้อนที่มาจากเกษตรอินทรีย์ นามาสู่ “สบู่ก้อนออร์แกนิค” หรือ Panpuri Signature Collection Organic Wash Bars ได้รับการรับรองส่วนผสมจากพืชออร์แกนิคจาก Soil Association ของสหราชอาณาจักร • เอสเต้ ลอเดอร์ เจ้าของแบรนด์ออริจินส์ (Origins) นาสบู่ไปวางขายในร้านออริจินส์ทั่วสหรัฐอเมริกา • ปี 2551 ได้ลงนิตยสาร O ของโอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรรายการทอล์คโชว์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา 23


Panpuri Organic Spa เปิดตัวปี 2552 • เปิด ณ ศูนย์การค้าเกษรพลาซ่าในปี 2552 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ทุกอย่างที่สัมผัสกับ คุณล้วนเป็นออร์แกนิค” (“Everything that touches you is organic”) • สปาออร์แกนิคล้วนแห่งแรกในไทย ต่อมาเปิดที่ปีนัง มาเลเซีย • ทุกอย่างที่นามาใช้ในสปาล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ผ้าขนหนู เสื้อคลุมอาบน้า ผ้าปูเตียง และชาที่ให้ลูกค้าดื่ม

24


รุกต่อด้วย Panpuri Organics  ปัจจุบันปัญญ์ปุริใช้วัตถุดิบที่เป็นธรรมชาติและได้รับการรับรองออร์แกนิคถึง 80% ที่ เหลือเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติ  กล่องกระดาษก็ทาจากกระดาษไม่ฟอกคลอรีน และพิมพ์ด้วยหมึกจากถั่วเหลือง  ปลายเดือนมกราคม ปี 2558 ปัญญ์ปุริได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลผิวคอลเลคชั่นใหม่ Panpuri Organics มีตั้งแต่สบู่อาบน้า บัตเตอร์ทาตัว น้ามันบารุงผิว น้ามันนวด สครับ ซึ่งได้รับการรับรองจากนาทรู (NATRUE) องค์กรที่ให้การรับรองเครื่องสาอาง ออร์แกนิคระดับโลกของยุโรป  ผลิตภัณฑ์เครื่องสาอางที่จะได้รับการรับรองจากนาทรูต้องมีสัดส่วนของวัตถุดิบที่ ได้รับการรับรองมาตรฐานออร์แกนิค 75% ขึ้นไป โดยวัตถุดิบที่นามาใช้ต้องมี ใบรับรองมาตรฐานออร์แกนิคที่น่าเชื่อถือในระดับสากล ส่วนที่เหลือต้องเป็นวัตถุดิบ จากธรรมชาติ ที่ไม่มีการเจือปนด้วยสารเคมี 25


วิถีเกษตรอินทรีย์ เพื่อ สุขภาพและความยั่งยืน


จากการช่วยเหลือเกษตรกรยุคต้มยากุ้ง สู่ร้านเพื่อสุขภาพ • เริ่มเปิดดาเนินการในปี 2542 ให้บริการครั้งแรกที่สถานีบริการน้ามัน บางจาก สาขาประชาชื่น เพื่อเป็นกลไก เชื่อมต่อระหว่างเกษตรกรในชนบทและ ผู้บริโภคในเมือง • ปี 2544 ผู้บริหารเริ่มมองหาวิถีทางใน การดาเนินธุรกิจที่ชัดเจนกว่าช่วย ชาวบ้านขายของ เมื่อรัฐบาลเริ่มมี นโยบาย “หนึ่งตาบลหนึ่งผลิตภัณฑ์” หรือโอท็อป (OTOP) • ปัจจุบันมี 12 สาขา ร้านอาหาร 1 ร้าน 27


เลือกเกษตรอินทรีย์เป็นวิถี เพราะตอบโจทย์สุขภาพและยั่งยืน • การใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ปุ๋ยเคมี อย่างหนักหน่วง ไม่เพียงแต่ส่งผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังทาให้เกษตรกรเสียค่าใช้จ่ายมาก แถมยัง ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ปลูกและผู้บริโภค • ปี 2554 กรมควบคุมโรคเปิดเผยว่า ตรวจพบสารเคมีปนเปื้อนในเลือด ระดับเกินมาตรฐานในเกษตรกร 32% จากจานวนที่ตรวจ 533,524 ราย และพบในผู้บริโภคถึง 37% จากจานวนที่ตรวจ 99,283 ราย • เลมอนฟาร์มเลือกวิถีเกษตรอินทรีย์ในการทาธุรกิจ เพราะหวังว่าจะช่วย ลดการใช้สารเคมี อย่างน้อยก็ในกลุ่มที่ผลิตเกษตรอินทรีย์ให้กับเลมอน ฟาร์ม และช่วยให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีจากการได้รับประทานอาหารที่ สะอาดปลอดภัย 28


ส่งเสริมเกษตรกรเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้สินค้าในร้าน • นอกจากการเฟ้นหาผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ที่มีเกษตรกรผลิตอยู่แล้วเข้ามา จาหน่ายภายในร้าน เลมอนฟาร์มยังต้องทามากกว่านั้น คือ ไปช่วยส่งเสริม ให้เกษตรกรรายย่อยอื่นๆ เปลี่ยนมาทาเกษตรอินทรีย์ เพื่อทาให้ผู้บริโภคมี สินค้าเกษตรอินทรีย์ให้เลือกบริโภคมากขึ้น • จากช่วงเริ่มต้นที่มีเพียง 10% แต่ปัจจุบันร้านเลมอนฟาร์มมีผลิตภัณฑ์ เกษตรอินทรีย์อย่าง ผัก ผลไม้ ข้าว ธัญพืช จาหน่ายอยู่ที่ 80% ส่วนอีก 20% ที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยจากสารพิษ เพราะยังไม่สามารถผลิต ในแบบเกษตรอินทรีย์ได้ • ให้ความสาคัญกับการตรวจสอบวิธีคิดของเกษตรกรอย่างมากว่าถึงคิดเรื่อง สุขภาพและสิ่งแวดล้อมแบบเดียวกันไหม มีผู้นากลุ่มที่เข้มแข็งหรือไม่ 29


“การรวมกลุ่ม” หัวใจสาคัญของเกษตรอินทรีย์ “เราก็ต้องพูดกันว่าถ้าชาวบ้านจะทาจะต้องส่งผลผลิตมาที กี่ร้อยกิโลถึงจะคุ้ม เช่น ต้องส่งสินค้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้ง ละ 300-500 กิโลกรัม เพราะถ้าส่งมาน้อยๆ ค่าขนส่งเฉลี่ย ต่อกิโลก็จะสูง เกษตรกรที่เขาเคยทาเกษตรเคมีมาก่อนเคย บอกเราว่าเมื่อก่อนส่งกะหล่าปลีเคมีทีละ 1 รถปิกอัพ คือ ประมาณ 2-3 ตัน ราคาเฉลี่ยค่าขนส่งก็จะอยู่ที่กิโลละบาท แต่พอเขามาปลูกกะหล่าปลีอินทรีย์เขาเก็บผลผลิตได้ทีละ 300 กิโล เราก็ต้องให้เขาส่งแม้ค่าใช้จ่ายจะสูง เพราะไม่งั้น เขาก็ไปต่อไม่ได้ เราก็ต้องอะลุ้มอล่วย ประคับประคอง เกษตรกร เพราะกลัวว่าเขาจะเลิกทา” - สุวรรณา หลั่งน้าสังข์ ผู้จัดการ 30


31


ร่วมกันกาหนดราคากับเกษตรกร โดยให้สูงกว่าตลาด • ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวในการตั้งราคารับซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์ของเล มอนฟาร์ม โดยบริษัทจะถามเกษตรกรว่าต้องการราคาเท่าไร และราคา ผลผลิตประเภทเดียวกันในพื้นที่อยู่ที่เท่าไร โดยเลมอนฟาร์มจะให้สูงกว่า • เช่น ราคาข้าวอินทรีย์ เลมอนฟาร์มจะให้ราคาสองหมื่นกว่าบาทต่อ เกวียน โดยไม่หักค่าเปอร์เซ็นต์ความชื้น ส่วนผักอาจจะให้ราคาสูงกว่า 30% โดยราคารับซื้อจะเป็นราคาทั้งปี • ผลไม้จะให้ราคาสูงกว่าผลไม้เคมีเป็นเท่าตัว เพราะว่าทายาก และ เกษตรกรต้องทางานเหนื่อย ปริมาณผลผลิตมีน้อย • ทั้งนี้ก็จะมีการปรับราคาขึ้นลงตามปริมาณของผลผลิตด้วย 32


สินค้าทุกชนิดต้องปลอดสารพิษ • ไม่ขายสินค้าประเภทเหล้า บุหรี่ เครื่องดื่มชูกาลัง หรือน้าอัดลม ที่ มองเห็นชัดเจนว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ • ไข่และเนื้อสัตว์ที่จาหน่ายในเลมอนฟาร์มต้องมาจากสัตว์ที่ได้รับการเลี้ยง แบบธรรมชาติ ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่ง • ปลาก็คัดสรรจากกลุ่มที่ทาประมงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม • เกณฑ์การพิจารณาสินค้าหากมีบริษัทหรือผู้ผลิตนาสินค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของ สด มาเสนอเพื่อวางจาหน่าย ทางร้านจะดูส่วนผสมทุกอย่าง ดูที่มาของ สินค้าว่าจริงไม่จริง และบางทีขอไปดูโรงงานด้วย • ต้องไม่มีส่วนผสมของผงชูรส สารกันบูดก็เป็นวัตถุต้องห้าม ยกเว้นว่าไม่รู้ 33


เร่งทาตลาดเพื่อให้เดินไปได้ทั้งห่วงโซ่อุปทาน • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ ในส่วน ของสุขภาพกายจะเรียกว่า “เวทีสุขภาพ” มีตั้งแต่การฝึกโยคะ การรา ตะบอง การสอนปลูกผัก ซึ่งรวมแล้วมีคนมาเรียนประมาณ 1,000 คน • เรื่องของสุขภาพใจจะเรียกว่า “เวทีใจสบาย” หลักๆ ก็จะมีพระจากวัด ป่าสุคะโต มาสอนแนวทางการเจริญสติ รวมถึงมีการพาลูกค้าไปปลูกป่า ทอดผ้าป่า ที่วัดป่าสุคะโตเป็นประจาทุกปี นอกจากนี้ก็มีการจัดกิจกรรม ร่วมกับกลุ่มกฤษณมูรติไทยแลนด์เดือนละ 1 ครั้ง เป็นกิจกรรมไดอะล็อก คือมานั่งคุยกัน โดยใช้ประสบการณ์ด้านใน • สอนทาอาหารเพื่อสุขภาพในลักษณะของการสาธิตเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะตามแนวทางแมคโครไบโอติก 34


35


ก้าวไกลด้วยนวัตกรรม SEMI-OPEN CUT MINING


โจทย์ที่ SCG เผชิญ ก่อนการเปิดโรงงานปูนซีเมนต์ที่ลาปาง • ขั้นตอนการทาเหมืองในอดีตทุกขั้นตอนมีปัญหาที่ต้องพยายามแก้ไข เช่น ปัญหาการฟุ้งกระจายของฝุ่นและเสียงดังจากการระเบิด ปัญหาในการ ฟื้นฟูเหมือง นอกจากนั้นคนยังมองว่าการตั้งเหมืองและโรงงานผลิต ปูนซีเมนต์ในพื้นที่ป่าไปกันไม่ได้เลยกับเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม • SCG ต้องขบคิดหาวิธีการแก้ปัญหาจากการทาเหมืองแบบเดิมมากยิ่งขึ้น เพราะเหมืองและโรงงานแห่งใหม่นี้จะไปตั้งอยู่ในพื้นที่ป่า คือเขตป่าสงวน แห่งชาติแม่ทรายคา แม้ว่าจะเป็นสวนป่าเศรษฐกิจที่ถูกทาลายจนแทบไม่ เหลือสภาพป่าแล้วก็ตาม • ช่วงที่ปูนลาปางเริ่มดาเนินการ โดยเริ่มพัฒนาหน้าเหมืองและก่อตั้ง โรงงานในปี 2537 เป็นช่วงที่เกิดกระแสการต่อต้านโรงงานอุตสาหกรรม 37


38


39


วิธีลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของ SCG ลาปาง • เว้นพื้นที่แนวขอบเหมือง 100 เมตร เป็นกาแพงป้องกันตามธรรมชาติ • ควบคุมผลกระทบเรื่องฝุ่นด้วยการฉีดพรมน้าบริเวณหน้าเหมืองก่อนการ ระเบิด ติดตั้งตัวจับฝุ่นที่เครื่องขุด • แก้ไขปัญหาเรื่องเสียงด้วยการติดตั้ง silencer กับเครื่องจักรเหมือง • กาหนดให้มีการทางานภายในเหมืองเพียงวันละ 1 กะ และทาการระเบิด หินเฉพาะเวลากลางวัน ระหว่างเวลา 15.00-16.00 น. สัปดาห์ละ 3 ครั้ง • การจัดการน้าบนเหมืองหินปูนด้วยการวางระบบรางระบายน้า เพื่อ รวบรวมและเก็บกักน้าฝนลงในบ่อพัก และสูบกลับมาใช้ในการควบคุม ฝุ่นที่เกิดจากการบดย่อยหิน ฝุ่นจากการจราจรขนส่งบนเหมือง และรด น้าต้นไม้ที่ปลูกเพื่อฟื้นฟูเหมือง ทาให้ไม่ให้มีการปล่อยน้าทิ้งออก 40


คิดเรื่องฟื้นฟูเหมืองก่อนเปิดเหมือง • หลังจากโดนระเบิดและนาหินปูนออกไปใช้ประโยชน์จนหมดแล้ว พื้นที่ เหมืองร้างที่ถูกทิ้งไว้ก็กลายเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก เนื่องจากระดับความ ต่างระหว่างพื้นที่ขอบเหมืองกับพื้นที่ด้านล่างอาจจะมากถึง 200-300 เมตร ทาให้การเข้าไปปรับปรุงดินและปลูกต้นไม้ทาได้ยาก ใช้เวลา และ ใช้เงินสูง จึงไม่น่าแปลกใจที่มีเหมืองมากมายทิ้งความเสียหายไว้เบื้องหลัง • สาหรับเหมืองปูนลาปาง การฟื้นฟูเหมืองเริ่มตั้งแต่การเริ่มเปิดเหมือง โดยปลูกต้นไม้เพิ่มเติมในพื้นที่แนวกันชน • นับจากปี 2551 เป็นต้นมาได้มีการเชิญทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูป่ามา เป็นที่ปรึกษา เพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และฟื้นฟูป่าได้อย่างเหมาะสม กับระบบนิเวศของพื้นที่อย่างแท้จริง 41


42


43


44


SCG ได้อะไร? “semi-open cut อาจจะไม่ได้สร้างความได้เปรียบ ในการแข่งขันให้กับเอสซีจีในเรื่องต้นทุน แต่เราได้ ประโยชน์ในเรื่อง license to operate คือได้รับการ ยอมรับจากชุมชนให้เราเข้ามาทาธุรกิจในพื้นที่ ซึ่งมี ความสาคัญมาก เพราะการขอต่อประทานบัตร การ ต่อใบอนุญาต การเดินโรงงานทั้งหลาย ก็ต้องได้รับ ความเห็นชอบจากทางชุมชนทั้งสิ้น ซึ่งเรามองตรงนี้ เป็นหลักมากกว่า และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเอส ซีจีว่าเราจะอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างไรให้มีความสุข” - สุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ลาปาง) จากัด 45


46


บทบาทของ “เขียว” ที่แตกต่างกัน ผลิตภาพเขียว

นวัตกรรมเขียว

สร้างรายได้

ลดต้นทุน

สร้างการยอมรับ 47


เทคโนโลยีเขียวกับนโยบายรัฐ • การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีโดยปกติเกิดขึ้นในสามช่วงเวลาด้วยกัน – “คิดค้น” (Invention) : เกิดความคิดใหม่ – “นวัตกรรม” (Innovation) : พัฒนาความคิดใหม่เป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ ใช้ได้และขายได้ (เชิงพาณิชย์) – “แพร่หลาย” (Diffusion) : บุคคลและองค์กรต่างๆ ใช้เทคโนโลยีนั้นแพร่หลาย

• การสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งในระดับของกฏกติกา และมาตรการ สนับสนุน จาเป็นสาหรับการพัฒนาเทคโนโลยีเขียว ลาพังพลังของตลาด ไม่เพียงพอด้วยเหตุผลหลักสองข้อด้วยกัน ได้แก่ ผลกระทบภายนอกด้าน สิ่งแวดล้อม และการ “ล้นไหล” ของความรู้ (knowledge spillover) 48


“ผลกระทบภายนอกด้านสิ่งแวดล้อม” • Environmental Externalities – ต้นทุนมลพิษที่เกิดในกระบวนการ ผลิตหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ปกติไม่รวมอยู่ในราคาของผลิตภัณฑ์ • ด้วยเหตุนี้ ปกติบริษัทและผู้บริโภคจึงขาดแรงจูงใจที่จะลดมลพิษลงเอง • ภาวะขาดแคลนแรงจูงใจเป็นข้อจากัดสาคัญของการเติบโตของตลาด เทคโนโลยีการลดการปล่อยมลพิษ • ประโยชน์เอกชน เช่น ค่าเชื้อเพลิงที่ลดลง หรือความต้องการจาก “ผู้บริโภคเขียว” อาจมีอยู่ ความต้องการเทคโนโลยีเขียวจึงมักจะไม่ เท่ากับศูนย์ทีเดียว • แต่ความต้องการก็ยังน้อยเกินไป ฉะนั้นกติกาและนโยบายรัฐจึงสาคัญ 49


แนวโน้มบางประการที่น่าจับตา • ความอิ่มตัว (?) และ diminishing returns ของการทาโครงการซีเอสอาร์ แบบ after-process (ปลูกป่า สร้างฝาย ฯลฯ) • AEC กับความท้าทายระดับภูมิภาค • ความเข้มข้นและเร่งด่วนขึ้นเรื่อยๆ ของ push factors โดยเฉพาะวิกฤต สิ่งแวดล้อม เพิ่มแรงกดดันให้รัฐใช้มาตรการเชิงบังคับ อาทิ ภาษีคาร์บอน มากขึ้น แทนที่จะพึ่งพามาตรการแบบสมัครใจ เช่น ตลาดคาร์บอนเครดิต เพียงอย่างเดียว • ความตื่นตัวของนักลงทุนเรื่อง “ความเสี่ยงทางธุรกิจ” จากผลกระทบด้าน สังคมและสิ่งแวดล้อมของธุรกิจ • ความตื่นตัว และการรวมพลังของผู้บริโภคผ่านเน็ต 50


ความเสี่ยงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม = ความเสี่ยงทางธุรกิจ

51


การมองเห็น “ผลตอบแทนที่แท้จริง” จากนวัตกรรม

กระแสเงินสด

พยากรณ์กระแสเงินสดในอนาคต จากการลงทุนในนวัตกรรม กระแสเงินสด “กรณี ฐาน” (base case) สมมุติว่าไม่ทาอะไรเลย

วิธีวิเคราะห์แบบ คิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow) และ มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value) เวลา

ผลตอบแทนที่แท้จริงจากนวัตกรรมจะต้อง เปรียบเทียบกับพยากรณ์กระแสเงินสดที่ น่าจะลดน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าไม่ทาอะไร ที่มา: Clayton Christensen.

52


“กลยุทธ์ห้าระดับ” สู่ธุรกิจเขียวที่ยั่งยืน

ที่มา: IDG, 2008.

53


54


ดาวน์โหลดกรณีศึกษา “ธุรกิจเขียว” ปีที่ 1 และ 2 ได้จาก www.salforest.com http://www.facebook.com/SalforestCo สนใจติดต่อ info@salforest.com 02 258 7383 บริษัท ป่าสาละ จากัด 2 สุขุมวิท 43, คลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 55


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.