TEEB for Business (Thai) - Case Studies

Page 1



( ก ด ท ่ ี ช ่ ื อ เ ร ่ ื อ ง เ พ ่ ื อ ไ ป ย ั ง ห น  า ก ร ณี ศ ึ ก ษ า )

U n i l e v e r ใ ส  ใ จ น ิ เ ว ศ บ ร ิ ก า รล ด ค ว า ม เ ส ี ย ห า ย ใ ห  ธ ุ ร ก ิ จ H i t a c h i C h e mi c a l ค ุ ณค  า ร ะ บ บ น ิ เ ว ศช  ว ย ล ด ค  า ใ ช  จ  า ย ใ น บ ร ิ ษ ั ท S t a r b u c k sค ุ ณค  า ร ะ บ บ น ิ เ ว ศก ั บ ค ว า ม ม ่ ั น ค ง ท า ง ธ ุ ร ก ิ จ

ป ู น ซ ิ เ ม น ต  ไ ท ย( ล ํ า ป า ง ) ค ุ ณค  า ร ะ บ บ น ิ เ ว ศก ั บ ก า ร ย อ ม ร ั บ ข อ ง ช ุ ม ช น ซ ี พ ี เ อ ฟร ะ บ บ น ิ เ ว ศก ั บ ค ว า ม เ ส ่ ี ย ง ด  า น ช ่ ื อ เ ส ี ย ง แ ด ร โ ่ ี ฮ มร ะ บ บ น ิ เ ว ศ ส ร  า ง ค ว า ม ไ ด  เ ป ร ี ย บ ใ น ก า ร แ ข  ง ข ั น



Unilever ใส่ ใจนิเวศบริ การ ลดความเสียหายให้ ธุรกิจ Unilever เป็ นบริ ษั ท ข้ า มชาติ ที่ ก่อ ตัง้ ขึ น้ ในประเทศเนเธอร์ แ ลนด์ และประเทศ อังกฤษ ผลิ ตภัณฑ์ ห ลักของบริ ษัทได้ แก่ ผลิ ตภัณฑ์ อาหาร (Foods) ผลิ ตภัณฑ์ ทํา ความ สะอาดในครัวเรื อน (Home Care) และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ สว่ นบุคคล (Personal Care) ในปี พ.ศ. 2558 มียอดขายโดยรวมกว่า 48.4 พัน ล้ า นยูโร มี พนักงาน 173,000 คนใน 100 ประเทศทัว่ โลก ปั จจุบนั ผลิ ตภัณฑ์ ในเครื อ Unilever จัดจําหน่ายในกว่า 160 ประเทศ และมีฐาน การผลิ ตกว่า 270 โรงงานใน 6 ทวีปทัว่ โลก ครอบคลุมตราสิ นค้ ากว่า 400 ยี่ห้อ โดยตรา สิ นค้ า 14 ยี่ห้อหลักที่มียอดขายมากกว่า 1 พันล้ านยูโร ได้ แก่ Axe, Lynx, Dove, Omo, Becel/Flora, Heartbrand, Hellmann’s, Knorr, Lipton, Lux, Magnum, Rama, Rexona, Sunsilk และ Surf กลุ่มบริ ษัท Unilever ถือว่าเป็ นกลุ่มบริ ษัทที่เป็ นผู้นําตลาดโลกอย่างแท้ จริ ง ปั จจุบนั Unilever ได้ ยกเลิกสายการผลิตอาหารทะเลแช่แข็ง แต่ในอดีตกลุ่มบริ ษัท Unilever เป็ นหนึง่ ในผู้ซื ้อปลาทะเลรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีตราสินค้ าที่เกี่ยวข้ องกับผลิตภัณฑ์ อาหารทะเล แช่แข็งได้ แก่ Birds Eye, Iglo และ Findus โดยสัดส่วนของยอดขายอาหารทะเลแช่แข็ งของ กลุ่ม Unilever ในอดีตคิดเป็ นร้ อยละ 2 ของยอดขายทังหมด ้ ปั ญหา จากการศึกษาขององค์ การอาหารและการเกษตรแห่ง สหประชาชาติ (United Nations Food and Agriculture Organization หรื อFAO) พบว่าระหว่าง พ.ศ. 2543 ถึง 2553 มีประชากรปลาร้ อยละ 48 ตกอยูภ่ ายใต้ การประมงอย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่สามารถ เพิ่มปริ มาณการจับได้ อีก (fully exploited) ร้ อยละ 16 ตกอยู่ภายใต้ การประมงที่เกินขี ด ความสามารถในการขยายเผ่าพันธุ์ ทดแทนได้ (overexploited) และร้ อยละ 9 มีประชากร ลดลงอย่างมาก โดยปริ มาณที่จบั ได้ ตํ่ากว่าร้ อยละ 10 ของปริ มาณที่เคยจับได้ สูงสุดในอดีต (depleted)


นอกจากนี ้ ยังมีการประเมินว่าในแต่ละปี มีสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น เช่นเต่า นก และ สัตว์เลี ้ยงลูกด้ วยนมที่อาศัยอยูใ่ นทะเล รวมถึงปลาชนิดอื่นๆที่ไม่เป็ นที่ต้องการของตลาด ถูก จับและเสียชีวิตเนื่องจากการทําประมงมากถึง 20 ล้ านตันต่อปี หรื อประมาณหนึ่งในสาม ของปริ มาณสัตว์ทะเลที่จบั ได้ ทงหมด ั้ Unilever ขณะนันเป็ ้ นบริ ษัทที่รับซื ้อปลาค็อดกว่าร้ อยละ 5 ของปริ มาณปลาค็อดที่ จับได้ ทวั่ โลก และถือเป็ นผู้ซื ้อปลาทะเลรายใหญ่ที่สุดของโลก เล็ งเห็นถึงความสํ าคัญของ การทํ า ประมงอย่ า งยั่ง ยื น เพราะการลดจํ า นวนลงอย่า งกะทัน หัน ของประชากรปลา โดยเฉพาะปลาค็อดซึง่ เป็ นหนึง่ ในผลิตภัณฑ์หลักในธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งของบริ ษัท และ เป็ นที่ต้องการของผู้บริ โภคเป็ นอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ ได้ ส่งผลกระทบทาง ธุรกิจต่อกลุ่มบริ ษัทโดยตรง ราคาของปลาค็อดที่เพิ่มสูงขึ ้นอย่างมากเนื่องจากการลดลงของปริ มาณปลาที่จบั ได้ ส่งผลให้ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ปลาค็อดเป็ นวัตถุดิบมีราคาสูงขึน้ และทําให้ กลุ่มบริ ษัทมีอตั รา กําไรจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากปลาค็อดลดลงกว่าร้ อยละ 30 โดยในปี พ.ศ. 2535 ปลาค็อด ได้ ถูกจับจนสู ญพัน ธุ์ ไปจากน่า นนํ ้าด้ า นตะวันออกของประเทศแคนาดา ส่ งผลให้ ธุ ร กิ จ ประมงซบเซาและเกิดการพิ พาทระหว่า งชาวประมงจากหลายประเทศที่ต้อ งการแย่งชิ ง ทรัพยากรที่เหลืออยู่ Marine Stewardship Council (MSC) Anthony Burgmans กรรมการบริ ห ารแผนกอาหารทะเลแช่แ ข็ ง ในยุโรปของ Unilever ได้ ตระหนักถึงผลกระทบจากปริ มาณปลาค็ อ ดที่ ล ดลง ที่อ าจส่ ง ผลกระทบต่อ เสถียรภาพทางธุ รกิจของกลุ่มบริ ษัท จึงร่ วมมือกับ World Wide Fund for Nature (WWF) องค์กรไม่แสวงหากําไรซึง่ ทํางานด้ านการอนุรักษ์ ธรรมชาติและทรัพยากรสิ่งแวดล้ อมทัว่ โลก จัดตัง้ Marine Stewardship Council (MSC) ขึ ้นในปี พ.ศ. 2539 เพื่อพัฒนามาตรฐานการ รั บ รองโดยสมัครใจ (Independent Certification Program) ที่ จ ะช่ว ยในการกํ า หนด มาตรฐานการทําประมงอย่างยัง่ ยืน (Sustainable Fishing)


ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 MSC ได้ เริ่ มต้ นสังเกตการณ์ ประเมินแนวโน้ มของ ประชากรปลา และรวบรวมข้ อมูลเกี่ยวกับวิธีการทํ าประมง ณ เวลานัน้ Michael Sutton กรรมการบริ ห ารโครงการ Endangered Seas Campaign ของ WWF ได้ กล่า วว่า การ แสวงหาทางออกระยะยาวที่ให้ ความสํ าคัญกับสิ่ งแวดล้ อม และพัฒนาแรงจูงใจทางธุ รกิจ เพื่อให้ สามารถนําไปประยุกต์ใช้ ได้ ง่ายขึ ้นนันเป็ ้ นสิ่งทีจ่ ําเป็ น เพราะปั ญหาการทําประมงเกิน ขนาดไม่สามารถแก้ ไขได้ โดยรัฐบาลของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ต้องอาศัยการร่ วมมือ จากหลายฝ่ าย Sutton และ Burgmans ต่างได้ รับเสียงคัดค้ านจากภายในองค์กรของตนเกี่ยวกับ การร่ วมมือกันของระหว่างสององค์กร แต่ Burgmans ได้ ยืนยันถึงจุดยืนที่สําคัญคือการ เปลี่ ยนคู่ต่อ สู้ให้ มาเป็ นผู้ร่ว มงานที่ เพื่อ ให้ บรรลุเ ป้าหมายขัน้ พื ้นฐานที่เหมือนกัน โดยไม่ จําเป็ นต้ องมีแรงจูงใจที่ตรงกันเสมอไป โดย Burgmans เชื่อว่านี่จะเป็ นกุญแจสู่ความสํ าเร็ จ ของแก้ ไขปั ญหาการทําประมงเกินขนาด มาตรฐานการรับ รองของ MSC ได้ ถูกกํ า หนดขึ น้ ตามหลักการและเกณฑ์ ชี ว้ ัด (Principles and Criteria) ที่ประกอบขึ ้นจากจุดมุง่ หมายต่างๆ ซึง่ สอดคล้ องกับจรรยาบรรณ ทางธุ ร กิ จ สํ า หรั บการประมงอย่า งรั บ ผิ ดชอบ (Code of Conduct for Responsible Fisheries) ซึง่ กําหนดโดย FAO ดังนี ้: • เพื่ออนุรักษ์ และเพิ่มจํานวนประชากรของชนิดพันธุ์ปลาที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ • เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ • เพื่ อพัฒนาและรักษาระบบการประมงที่มีประสิ ทธิ ภาพ โดยให้ ความสํ า คัญแก่ ประเด็นทางชีววิทยา เทคโนโลยี เศรษฐศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้ อมและการทําธุรกิจ • เพื่อให้ สอดคล้ องกับกฎระเบียบและมาตรฐาน ทังในระดั ้ บท้ องถิ่นและระดับชาติ รวมถึงข้ อตกลงระหว่างประเทศ นอกจากนี ้ หลักการและเกณฑ์ชี ้วัดของ MSC ยังถูกออกแบบมาเพื่อแสดงให้ เห็นว่า การจัด การที่ จ ะประสบความสํ า เร็ จ ในการอนุรั ก ษ์ แ ละพัฒ นาไปสู่ ก ารประมงที่ ยั่ง ยื น


จําเป็ นต้ องเกิดขึ ้นจากการร่วมมือกันระหว่างผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียทุกฝ่ ายที่เกี่ยวข้ องกับการทํา ประมง โดยหลักการของ MSC ประกอบไปด้ วย 1) การทําประมงจําเป็ นต้ องยึดตามแนวทางที่จะไม่นําไปสู่การประมงที่มากจนเกินขี ด ความสามารถที่ปลาจะขยายเผ่าพันธุ์ ทดแทนได้ หรื อเมื่อจํานวนที่จบั ได้ มีตํ่ากว่า ร้ อยละ 10 ของปริ มาณที่ เคยจับได้ สูง สุดในอดี ต สํ าหรั บกรณี ห ลัง การประมง จํ า เป็ นต้ อ งเป็ นไปตามแนวทางที่ เ อื อ้ ให้ ป ลาสามารถขยายเผ่ า พัน ธุ์ เ พื่ อ เพิ่ ม ประชากรได้ จุดประสงค์: เพื่อรับประกันว่าความอุดมสมบูรณ์ ของทรัพยากรจะถูกรักษาไว้ และ ไม่ถกู นําไปใช้ ไปเพื่อผลประโยชน์ระยะสัน้ โดยประชากรของปลาที่นํามาบริ โภคนัน้ จําเป็ นต้ องได้ รับการรักษาเอาไว้ ในปริ มาณที่เพียงพอสําหรับการทําประมงอย่างมี ประสิทธิ ภาพในระยะยาว 2) การทําประมงควรเอื ้อให้ เกิดการบํารุ งรักษาโครงสร้ าง ประสิ ทธิ ภาพ การทําหน้ าที่ และความหลากหลายของระบบนิเ วศที่จําเป็ นต่อความยั่งยืนของการทําประมง รวมถึง แหล่ ง ที่ อ ยู่อ าศัย สภาพแวดล้ อ มทางธรรมชาติ และสิ่ ง มี ชี วิ ตชนิ ดอื่ น ที่ เชื่อมโยงในระบบนิเวศ จุดประสงค์: เพื่อกระตุ้นให้ เกิดการจัดการที่ให้ ความสํ าคัญกับระบบนิเวศและอยู่ ภายใต้ โครงสร้ างที่ อ อกแบบมาเพื่ อ ประเมิ นและควบคุมผลกระทบของการทํ า ประมงต่อระบบนิเวศ 3) การทําประมงจําเป็ นต้ องดําเนินการภายใต้ ระบบการจัดการที่มีประสิ ทธิ ภาพและ เคารพซึ่ง กฎระเบี ยบและมาตรฐานทัง้ ในระดับท้ อ งถิ่ น ระดับชาติ และระดับ นานาชาติ รวมทังอยู ้ ่ภายใต้ โครงสร้ างที่กําหนดให้ การใช้ ท รัพยากรเป็ นไปอย่า ง รับผิดชอบและยัง่ ยืน


จุดประสงค์: เพื่อรับรองว่าการดํา เนินการตามหลักการที่ 1 และ 2 เป็ นไปตาม โครงสร้ างทางสถาบัน และการดํ า เนิ น การ (Institutional and operational framework) ที่สอดคล้ องกับขนาดของการทําประมง หลักการในแต่ละข้ อจะมีรายละเอียดของเกณฑ์ชี ้วัดที่ใช้ ในการประเมินระบุเอาไว้ โดยผู้ค้าที่ทําการประมงสอดคล้ องตามข้ อกําหนดของ MSC และได้ รับการตรวจสอบแล้ ว สามารถประทับตราสั ญ ลั ก ษณ์ ข อง MSC ลงบนผลิ ต ภั ณ ฑ์ ข องตนเองได้ โดยจะมี กระบวนการตรวจสอบใหม่ทกุ ปี และได้ รับการประเมินอย่างละเอียดทังระบบทุ ้ ก 5 ปี เป้าหมายและการดําเนินงานของ Unilever ทันทีหลังจากที่ Unilever ร่ วมมือกับ WWF ในการก่อตัง้ Marine Stewardship Council บริ ษัทฯได้ ตงเป ั ้ ้ าหมายที่ดําเนินการให้ ผลิ ตภัณฑ์ ปลาทังหมดมาจากแหล่ ้ งที่มาที่ ยัง่ ยืนภายในปี พ.ศ. 2548 โดยในปี พ.ศ. 2544 กลุ่มบริ ษัทได้ เริ่ มจําหน่ายผลิ ตภัณฑ์ ปลา ชนิ ดแรกที่ ได้ รั บการรับ รองตามมาตรฐานของ MSC นัน่ ก็ คือปลาโฮกิ นิว ซี แ ลนด์ (New Zealand Hoki) ภายในปี พ.ศ. 2545 กลุ่มบริ ษัทมีผลิ ตภัณฑ์ ปลาแช่แข็ งที่มีแหล่งที่มาจากการทํา ประมงอย่างยัง่ ยืนและได้ รับการรับรองโดยมาตรฐานของ MSC เป็ นสัดส่วนร้ อยละ 5 ของ ผลิตภัณฑ์ปลาทังหมด ้ และภายในปี พ.ศ. 2549 ผลิ ตภัณฑ์ ปลาของ Unilever กว่าร้ อยละ 60 ได้ รับการรั บรองว่า มีแหล่งที่ มาจาการทําประมงอย่างยัง่ ยืน โดยร้ อยละ 50 เป็ นการ รับรองโดยมาตรฐานของ MSC ส่วนอีกร้ อยละ 10 เป็ นผลิ ตภัณฑ์ ที่ได้ รับการรับรองจาก มาตรฐานอื่นๆ ทว่าการเพิ่มขึ ้นของปริ มาณผลิตภัณฑ์ปลาที่ได้ รับการรองรับโดยมาตรฐาน MSC ก็ ยังไม่เพียงพอสําหรับกลุ่มบริ ษัทที่จะบรรลุเป้าหมายภายในปี พ.ศ. 2548 ได้ ทางกลุ่มบริ ษัท จึงริ เริ่ มโครงการ Fish Sustainability Initiative (FSI) เพื่อค้ นหาและพัฒนากลุ่มผู้ทําประมง ที่มีการทํ าประมงในแนวทางที่ ยงั่ ยื น และช่วยต่อ ยอดให้ พวกเขาสามารถพัฒนาการทํ า ประมงจนสามารถบรรลุตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดโดย MSC


หลักการต่างๆของโครงการพิเศษนี ้ก็ยดึ ตามข้ อกําหนดของจรรยาบรรณทางธุ รกิจ สําหรับการประมงอย่างรับผิดชอบ ซึง่ กําหนดโดย FAO เช่นเดียวกันกับมาตรฐานของ MSC โดยกระบวนการดําเนินงานภายใต้ FSI นันสามารถแบ่ ้ งออกได้ เป็ น 4 ขันตอนหลั ้ ก ดังนี ้ • ขันแรก: ้ กลุ่มผู้ทําประมงทุกรายที่ทําสัญญาซื ้อขายกับ Unilever จะได้ รับการ ประเมินโดยใช้ เกณฑ์ ชี ้วัดด้ านความยัง่ ยืนที่ทางกลุ่มบริ ษัทได้ กําหนดขึน้ เพื่อ รวบรวมข้ อมูล • ขันที ้ ่สอง: หากผู้ทําประมงรายใดยังไม่ได้ รับการรับรองผ่านมาตรฐานของ MSC ทาง Unilever จะทําการประเมินการทําประมงของกลุ่มนันๆผ่ ้ านเกณฑ์ ชี ้วัด ด้ านความยัง่ ยืนทังหมด ้ 5 ข้ อ ซึ่งอ้ างอิงตามข้ อกําหนดของจรรยาบรรณทาง ธุรกิจสําหรับการประมงอย่างรับผิดชอบ จากนันจึ ้ งตัดสินและจัดหมวดหมู่กลุ่ม ผู้ ทํ า ประมงออกเป็ น 3 กลุ่ มตามสี ข องสัญญาณไฟจราจร (Traffic light approach) ได้ แก่สีเขียว สีเหลือง และสีแดง โดยกลุ่มสีเขียวคือกลุ่มที่มีการทํา ประมงอย่างยัง่ ยืนและรับผิ ดชอบมากที่สุด และสี แดงคือกลุ่มผู้ทําประมงที่มี ความรับผิดชอบน้ อยที่สุด เพื่อให้ กลุ่ม Unilever สามารถระบุกลุ่มผู้ทําประมงที่ มีการทําประมงอย่างยัง่ ยืนและรับผิดชอบมากที่สุดเพื่อมาเป็ นผู้ร่วมค้ า • ขัน้ ที่สาม: Unilever จะพูดคุยและส่ง เสริ มให้ ผ้ ูทําประมงตอบรับและนําเอา หลักเกณฑ์ชี ้วัดด้ านความยัง่ ยืนมาประยุกต์ใช้ กบั แนวทางการทําประมงของตน • ขันที ้ ่สี่: Unilever จะสนับสนุนให้ ผ้ ูทําประมงที่ได้ รับคะแนนสูง ให้ ต่อยอดไปสู่ การประเมินผ่านมาตรฐานของ MSC อย่างไรก็ตาม บริ ษัทก็ยงั ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตงเอาไว้ ั้ สําหรับปี พ.ศ. 2548 ได้ โดยทางบริ ษัทได้ ให้ เหตุผลว่าเกิดจากการขาดความมุง่ มัน่ ของบางภาคส่วนซึง่ ส่งผลให้ ไม่ สามารถขยายปริ มาณผลิ ตภัณฑ์ ที่ได้ รับการรับรองโดยมาตรฐาน MSC ได้ มากเท่าที่ควร นอกจากนี ้รัฐบาลของหลายประเทศยังคงไม่ตื่นตัวในประเด็นเกี่ยวกับการทําประมงอย่าง


ยัง่ ยืน ส่วนหนึง่ เป็ นเพราะยังขาดข้ อมูลทางวิชาการที่จะช่วยเน้ นยํ ้าให้ เห็นถึงความสํ าคัญ ของการป้องกันไม่ให้ เกิดการทําประมงที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศมากจนเกินไป ในปี พ.ศ. 2549 Unilever ได้ ขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งเกือบทังหมดของบริ ้ ษัทที่ ดําเนินการในทวีปยุโรป เนื่องจากเล็ งเห็นว่าธุ รกิจอาหารทะเลแช่แข็ งนันเป็ ้ นธุ รกิจที่มีการ อัตราการเติ บโตตํ่ า ประกอบกับ สภาวะทางการเงิ นของบริ ษัท ที่ยํ่าแย่ เหลื อ ไว้ เพี ยงการ ดําเนินงานธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งในสหรัฐอเมริ กา อินเดีย อิตาลีและเวียดนาม Unilever จึงจํ าเป็ นต้ อ งปรั บปรุ งกลยุท ธ์ ด้า นการทํ าธุ ร กิจอาหารทะเลแช่แ ข็ งใหม่ โดยแสดงความ รับผิดชอบอย่างเต็มที่ตอ่ การทําประมงอย่างยัง่ ยืน ผ่านการร่ วมงานอย่างใกล้ ชิดกับ MSC รวมถึงรัฐบาลทัว่ โลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ได้ วตั ถุดิบที่มาจากการประมงที่ยงั่ ยืน แต่สุดท้ าย กลุ่มบริ ษัทได้ ตดั สินใจขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งไปทังหมด ้ ความสําคัญทางธุรกิจของระบบนิเวศ ประชากรของปลาที่ลดลงส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริ มาณการผลิตอาหารทะเลแช่ แข็ ง ของบริ ษั ท เนื่ องจากทํ าให้ ร าคาของผลิ ตภัณฑ์ อ าหารทะเลแช่แ ข็ ง เพิ่ มสูง ขึ น้ อย่า ง ต่อเนื่อง ผลกระทบที่ ตามมาคือยอดขายที่ล ดลง โดยเฉพาะผลิ ตภัณฑ์ จากปลาค็อดซึ่ง มี ราคาสูงขึน้ มาก เนื่องจากราคาของปลาค็อดได้ เพิ่มขึน้ อย่างต่อเนื่องตังแต่ ้ ราวพ.ศ. 2533 และเพิ่มขึ ้นกว่าร้ อยละ 50 ระหว่างปี พ.ศ. 2539 และ พ.ศ. 2543 ราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ ้น ทําให้ บริ ษัทต้ องแบกรับค่าใช้ จ่ายเพิ่มเติมกว่าร้ อยละ 30ทําให้ อตั รากําไรลดลง ขณะทีต่ ้ นทุนที่เพิ่มขึ ้นราวร้ อยละ 30 ถูกผลักภาระไปให้ ยงั ผู้บริ โภค จึงกล่าวได้ วา่ ความอุดมสมบูรณ์ของของระบบนิเวศและประชากรปลาค็อดมีความสํ าคัญ ทางธุรกิจต่อกลุ่ม Unilever เป็ นอย่างมาก นอกเหนือไปจากการก่อตัง้ MSC ร่วมกับ WWF แล้ ว Unilever ได้ พยายามหาทาง ออกโดยเลือกใช้ วตั ถุดิบจากปลาประเภทอื่นเพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ปลาค็อดเป็ นวัตถุดิบ ซึง่ มีแนวโน้ มที่ราคาจะสูงขึ ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ รับการตอบรับที่ดีในระดับหนึ่ง เนื่องจาก ยอดขายจากผลิตภัณฑ์อื่นค่อยๆปรับตัวสูงขึ ้น


อย่างไรก็ตามผู้บริ โภคส่วนใหญ่ยงั คงต้ องการซื ้อผลิ ตภัณฑ์ จากปลาค็อดเท่านัน้ ส่งผลให้ เกิดค่านิยมเกี่ยวกับคุณภาพของผลิ ตภัณฑ์ โดยเชื่อว่าผลิ ตภัณฑ์ ที่ผลิ ตจากปลา ประเภทอื่นเป็ นผลิ ตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพด้ อยกว่าผลิ ตภัณฑ์ ที่ผ ลิ ตจากปลาค็อดเนื่องจากมี ราคาที่ถกู กว่า ทําให้ อตั รากําไรของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากปลาประเภทอื่นเหล่านี ้จึงยังคงตํ่า กว่าอัตรากําไรของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากปลาค็อดแท้ สรุ ป ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งของกลุ่ม Unilever จําเป็ นต้ องพึง่ พิงนิเวศบริ การด้ านการ เป็ นแหล่ ง ผลิ ต (Provisioning services) เพราะต้ อ งอาศัย ความอุ ด มสมบู ร ณ์ ข อง ทรัพยากรธรรมชาติเป็ นหลักในการทําธุรกิจ การลดจํานวนของประชากรปลาค็อดจึงส่งผล กระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพทางธุรกิจของกลุ่มบริ ษัท เพราะจํานวนประชากรที่ลดลงย่อม หมายถึงปริ มาณวัตถุดิบที่ลดลง ส่งผลให้ ราคาสินค้ าปรับตัวสูงขึ ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ ทําให้ อตั รากําไรลดลงตามไปด้ วย ด้ วยเหตุนี ้ กลุ่ม Unilever จึงร่วมมือกับ WWF เพื่อกําหนดมาตรฐานการทําประมง อย่างยัง่ ยืนผ่านการก่อตัง้ Marine Stewardship Council หรื อ MSC โดยตังเป ้ ้ าหมายให้ ปลาทุกประเภทที่กลุ่มบริ ษัทรับซื ้อต้ องได้ รับการรับรองโดยมาตรฐาน MSC ว่ามีแหล่งที่มาที่ ยัง่ ยื น เพื่ อ รั กษาสมดุล และความอุดมสมบูร ณ์ ข องระบบนิเ วศใต้ ท ะเล ที่ น อกจากจะมี ความสําคัญทางตรงต่อกลุ่มบริ ษัทในแง่ของการเป็ นแหล่งผลิตแล้ ว ยังสร้ างผลลัพธ์ เชิงบวก ทางอ้ อมต่อภาพลักษณ์ของบริ ษัทในการรับรู้ ของสังคมอีกด้ วย นอกจากนี ้ Unilever ยังได้ ดํา เนิน โครงการ Fish Sustainability Initiative เพื่ อ ส่งเสริ มให้ ผ้ ทู ําประมงที่ชายวัตถุดิบให้ กบั บริ ษัทสามารถพัฒนาแนวทางการทําประมงของ ตนเพื่อให้ นําไปสู่การทําประมงอย่างรับผิ ดชอบและยัง่ ยืนมากยิ่งขึน้ และท้ ายที่สุดเพื่อให้ ได้ รับการรับรองตามมาตรฐานของ MSC และเอื ้อให้ ระบบนิเวศสามารถฟื น้ ฟูและรักษา สมดุลเอาไว้ ได้


ถึงแม้ วา่ ท้ ายที่สุดกลุ่ม Unilever จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของการรับซื ้อปลา ทังหมดจากแหล่ ้ งผลิ ตที่ ยงั่ ยืนตามที่ตงเอาไว้ ั้ ได้ แต่การดําเนินงานของกลุ่มบริ ษัทในการ ก่อ ตัง้ และผลักดัน MSC ร่ ว มกับ WWF ได้ ส ร้ างมาตรฐานใหม่ใ นการทํ า ประมงที่ ใ ห้ ความสําคัญกับระบบนิเวศ และมีส่วนช่วยในการฟื น้ ฟูประชากรปลา นําไปสู่การทําธุ รกิจ เกี่ยวกับการประมงอย่างยัง่ ยืนมากยิ่งขึ ้น



Hitachi Chemical คุณค่ าระบบนิเวศ ช่ วยลดค่ าใช้ จ่ายในบริ ษัท บริ ษัท Hitachi Chemical เป็ นบริ ษัทในเครื อ Hitachi ก่อตังขึ ้ ้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2505 สํานักงานใหญ่ตงอยู ั ้ ่ ณ เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปนุ่ มีฐานปฏิบตั ิการกระจายอยู่ ในหลายจังหวัดของประเทศญี่ปนุ่ ได้ แก่ อิบารากิ ฟุกโุ อกะ ชิบะ ฟุกุชิมา ซากะ โทชิกิ โอซา กา ไซทามะ และ นากาโน นอกจากนันยั ้ งมีฐานการขายและฐานการผลิ ต กระจายอยู่ใน ประเทศจีน ฮ่องกง ไต้ ห วัน เกาหลี ใ ต้ ไทย สิ งคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลี ย สหรัฐอเมริ กา เม็กซิโก และเยอรมนี ผลิตภัณฑ์หลักของบริ ษัทได้ แก่ชิ ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และวัสดุเคมีภณ ั ฑ์ เช่น แผ่น เคลื อบทองแดง (Copper clad laminates :CCL) และวัสดุที่ ใช้ ในการผลิ ตสารกึ่งตัวนํ า (semiconductor) บริ ษัท Hitachi Chemical จึงถือว่าเป็ นตัวกลางในห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) สํ า หรั บการผลิ ตอุป กรณ์ อิ เ ล็ กทรอนิ กส์ เช่นโทรศัพท์ มือถื อ กล้ อ งดิจิ ตอล และ จอแสดงผลแบบ LCD Hitachi Chemical ได้ ให้ ความสํ าคัญกับการลดผลกระทบด้ านสิ่ งแวดล้ อมที่เกิด จากการทําธุรกิจ การผลิตสินค้ าและการให้ บริ การของบริ ษัท เพราะเล็งเห็นถึงประโยชน์ของ การรักษาระบบนิเวศต่อภาคธุรกิจ ด้ วยเหตุนี ้ทางบริ ษัทจึงกําหนดให้ การอยู่ร่วมกันระหว่าง ธุรกิจและสิ่งแวดล้ อมเป็ นหัวใจหลักของการดําเนินงานของบริ ษัท ดังที่แสดงผ่านวิสัยทัศน์ ด้ านสิ่งแวดล้ อมของบริ ษัท (แผนภาพที่ 1) ซึง่ ประกอบไปด้ วย 3 ปั จจัยหลักที่จะนําพาบริ ษัท ไปสู่การสร้ างสังคมที่ยงั่ ยืน ปั จจัยเหล่านี ้ได้ แก่ การป้องกันภาวะโลกร้ อน การรักษาระบบ นิเวศ และการอนุรักษ์ แหล่งทรัพยากร บริ ษัทได้ เริ่ มต้ นจากการใช้ ข้อมูลด้ าน CSR บวกกับแนวทางสําหรับการอนุรักษ์ ของ Hitachi Chemical Group เพื่อพัฒนาสินค้ าและเทคโนโลยี รวมถึงจัดการวัตถุดิบ ทรัพยากร และของเสีย ภายใต้ หลักแนวคิด ‘Monozukuri’ หมายถึงการให้ ความสําคัญกับการเอาใจใส่ ในกระบวนการผลิตและพัฒนาสินค้ าอย่างจริงจัง เสริมสร้ างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้ อม และพัฒนาการสื่อสารระหว่างผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียทุกกลุ่ม ซึง่ เป็ นแนวคิดของประเทศญี่ปนุ่


แผนภาพที่ 1 วิสยั ทัศน์ด้านสิ่งแวดล้ อมของบริษัทในเครือ Hitachi (ที่มา http://www.hitachi-chem.co.jp/english/csr/stakeholder/environment/index.html)

Hitachi Chemical และ Corporate Ecosystem Value (CEV) Hitachi Chemical ได้ กําหนดขอบเขตของการศึกษามูลค่าของระบบนิเวศต่อธุ รกิจ หรื อ Corporate Ecosystem Value (CEV) ในกระบวนการผลิ ตแผ่ นเคลื อบทองแดง (Copper clad laminates) ซึ่งเป็ นวัตถุดิบหลักสํ าหรับการผลิ ตแผ่นวงจรพิมพ์ (Printed circuit board) ทังหมด ้ ตังแต่ ้ จดั หาวัตถุดิบไปจนถึงผลิตภัณฑ์ปลายทาง โดยบริ ษัทต้ องการ ประเมินผลกระทบเชิงปริ มาณของการผลิตก๊ าซคาร์ บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่เกิดขึน้ โดยใช้ วิธีการประเมินวัฏจักรชีวิต หรื อ Life Cycle Assessment (LCA) เพื่อคํานวณค่าใช้ จ่ายที่ เกี่ ยวข้ องกับการผลิ ตสิ นค้ า ดัง กล่ า ว โดยข้ อ มูลที่ ได้ จ ากการประเมิ น จะถูกนํ า ไปใช้ เ พื่ อ พิจารณาทางเลือกอื่นๆในการผลิต แผ่นเคลือบทองแดงต่อไป บริ ษัทได้ เริ่ มจัดทําโครงการศึกษามูลค่าของระบบนิเวศต่อธุรกิจในช่วงปลายปี พ.ศ. 2552 และดําเนินการไปจนถึงกลางปี พ.ศ. 2553 โดยคณะศึกษาประกอบด้ วยพนักงาน แผนกความรั บผิ ดชอบต่ อ สัง คม (Corporate Social Responsibility) พนักงานแผนก สิ่ งแวดล้ อมและความปลอดภัย (Environment & Safety) และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ รวมถึง ผู้จดั การในแผนกที่เกี่ยวข้ องกับการควบคุมเครื่ องมือและการจัดการสิ่ ง แวดล้ อ มในพื ้นที่


ปฏิบตั ิการ (Operation site) เพื่อแสดงให้ เห็นว่าบริ ษัทคํานึงถึงความสําคัญของการอนุรักษ์ ระบบนิเ วศและมี ความสามารถในการคิดค้ นกระบวนการผลิ ตที่ส่งผลดีต่อทังบริ ้ ษัทและ สังคมโดยรวม จุดประสงค์ จุ ด ประสงค์ ข องโครงการศึ ก ษามู ล ค่ า ของระบบนิ เ วศต่ อ ธุ ร กิ จ ของ Hitachi Chemical คือรวบรวมและเปรี ยบเทียบค่าใช้ จ่ายที่เกิดขึน้ จากผลกระทบด้ านสิ่ งแวดล้ อม โดยเฉพาะค่าใช้ จา่ ยที่เกี่ยวข้ องกับการปล่อยก๊ าซคาร์ บอนไดออกไซด์จากกรรมวิธีการผลิ ต แผ่ น เคลื อ บทองแดงด้ ว ยวิ ธี ต่า งๆ โดยปรั บเปลี่ ยนวัตถุดิบ และแหล่ ง พลัง งานอาทิ เ ช่ น เปรี ยบเทียบระหว่างการใช้ พลังงานไฟฟ้าจากก๊ าซธรรมชาติ และไอนํ ้า ในการผลิตสินค้ าที่มี คุณภาพไม่แตกต่างกัน เป้าหมายของโครงการคือ 1) เพื่อลดต้ นทุนและค่าใช้ จ่าย รวมถึงเพิ่มโอกาสทาง ธุรกิจให้ แก่บริ ษัท ผ่านการคัดเลือกกรรมวิธีการผลิตที่เหมาะสมและยัง่ ยืนที่สุด 2) การลงทุน ที่ค้ มุ ค่าเพื่อลดปริ มาณก๊ าซคาร์ บอนไดออกไซด์ที่ถกู ปล่อยในกระบวนการผลิ ต และ 3) เพื่อ ลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้ องกับเสถียรภาพของกระบวนการผลิตที่อาจเกิดขึ ้นได้ ในอนาคต การประเมินวัฏจักรชีวิตเป็ นเครื่ องมือที่บริ ษัทใช้ ในการประเมินมูลค่าการผลิ ต โดย ผลลัพธ์ ของการประเมินวัฏจักรชีวิตจะถูกนํามาประเมินเป็ นตัวเงิ นและเปรี ยบเทียบกันเพื่อ หาช่องทางในการลดค่าใช้ จา่ ย เพิ่มรายได้ และสร้ างเสถียรภาพทางการเงินให้ แก่บริ ษัท กระบวนการดําเนินงาน 1. รวบรวมข้ อมูลภายในที่เกี่ยวข้ องกับกระบวนการผลิต เช่น วิธีการผลิต วัตถุดิบที่ใช้ ประเภทและปริ มาณของสาธารณูปโภคที่ใช้ 2. ค้ น หาความเป็ นไปได้ ที่ จ ะผลิ ตสิ น ค้ า ชนิ ด เดี ยวกัน และมี คุณ ภาพเท่ า กัน ผ่ า น กรรมวิธีการผลิ ตที่แตกต่างกันหลายรู ปแบบ โดยต้ องทราบปริ มาณพลังงานที่ใช้ และพลังงานที่สามารถนํากลับมารี ไซเคิลได้ เพื่อให้ สามารถบรรลุเป้าหมายในการ เลือกกรรมวิธีการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้ อมน้ อยที่สุด


3. บริ ษั ท ใช้ ซอฟท์ แ วร์ ก ารประเมิ น วั ฏ จั ก รชี วิ ต ในการคํ า นวณปริ ม าณก๊ าซ คาร์ บอนไดออกไซด์ที่ถกู ปล่อยผ่านกรรมวิธีการผลิตแผ่นเคลือบทองแดงที่แตกต่าง กัน 3 วิ ธี โดยขัน้ ตอนการเก็ บ ข้ อ มูล สํ า หรั บ การคํ า นวณผ่ า นซอฟท์ แ วร์ ก าร ประเมินวัฏจักรชีวิต ได้ แก่การเก็บรวบรวมข้ อมูลผลกระทบด้ านสิ่ งแวดล้ อมและ แปลงให้ เป็ นมูลค่าทางตัวเงิน โดยยึดหลักเกณฑ์ การตังราคาซื ้ ้อขายคาร์ บอนตาม ข้ อกําหนดของสหภาพยุโรป เพื่อให้ ผลกระทบด้ านสิ่งแวดล้ อมของแต่ละวิธีการผลิต สามารถคํานวณมูลค่าได้ 4. การวิเคราะห์ความอ่อนไหว (Sensitivity analysis) เป็ นกระบวนการสํ าคัญในการ ประเมินมูลค่าของผลกระทบ โดยวิเคราะห์ตามอัตราการเปลี่ ยนแปลงของราคา คาร์ บอน ระหว่างกรณีที่ราคาลดลงครึ่งหนึง่ จนถึงเพิ่มขึน้ เป็ นสองเท่าของราคาตัง้ ต้ น และค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊ าซเรื อนกระจก (Emission factor) ในอัตราการ เปลี่ยนแปลงระหว่าง 5% ถึง 7.5% โดยผลลัพธ์ ของการวิเคราะห์ชี ้ให้ เห็นว่าราคา คาร์ บอนที่ ผั น แปรนัน้ ส่ ง ผลต่อ การประเมิ น มูล ค่า ของผลกระทบและการวาง แผนการลงทุนเป็ นอย่างมาก และช่วยให้ บริ ษัทสามารถวางแผนล่วงหน้ าเพื่อรับมือ กับการเปลี่ ยนแปลงที่อ าจเกิ ดขึ น้ ได้ รวมถึง สามารถกํา หนดเกณฑ์ การประเมิ น สําหรับกระบวนการตัดสินใจ ผลลัพธ์ 1. บริ ษัทสามารถลดต้ นทุนและค่ าใช้ จ่ายรวมถึงเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ การศึกษามูลค่าของผลกระทบด้ านสิ่งแวดล้ อมส่งผลดีทงทางตรงและทางอ้ ั้ อมต่อ บริ ษัท ผลทางตรงคือบริ ษัทสามารถลดค่าใช้ จา่ ยที่ต้องสูญเสียไปในกระบวนการผลิ ต ผ่าน การคัดเลื อ กวิธี การผลิ ตที่ ค้ ุมค่า ต่อ การลงทุน และมี ประสิ ท ธิ ภ าพในการใช้ ว ัตถุดิบและ พลัง งานมากที่ สุ ด ส่ ว นผลทางอ้ อ มคื อ ทํ าให้ บริ ษั ท ได้ รั บการยอมรั บจากกลุ่มธุ ร กิจ และ ผู้บริ โภคมากยิ่งขึ ้น เนื่องจากวิธีการผลิตที่คดั เลือกนันต้ ้ องส่งผลกระทบต่อสิ่ งแวดล้ อมน้ อย ที่สุด


ประโยชน์ของการศึกษามูลค่าของผลกระทบด้ านสิ่ งแวดล้ อมนันสามารถสะท้ ้ อน ออกมาเป็ นตัวเงินผ่านการทําบัญชีสิ่งแวดล้ อม (Environmental Accounting) ซึง่ ทางบริ ษัท ได้ เริ่ มจัดทําตังแต่ ้ ปี พ.ศ. 2542 โดยยึดตามหลักเกณฑ์ ที่กําหนดโดยกระทรวงสิ่ งแวดล้ อม (Ministry of Environment) ของประเทศญี่ปนุ่ โดยการทําบัญชีสิ่งแวดล้ อมนันช่ ้ วยให้ บริ ษัท สามารถจัดแจงทรัพยากรสําหรับพัฒนากิจกรรมต่างๆของบริ ษัทได้ อย่างถูกต้ องเหมาะสม และมีประสิทธิ ภาพมากยิ่งขึ ้น ตารางที่ 1 แสดงผลประโยชน์ทางธุรกิจจากการลงทุนด้ านสิ่งแวดล้ อมทังหมดในปี ้ พ.ศ. 2554 และ พ.ศ. 2555 โดยผลประโยชน์หลักได้ แก่การลดค่าใช้ จ่ายที่เกี่ยวข้ องกับการ ใช้ พลังงาน ผ่านการเพิ่มประสิทธิ ภาพในการใช้ พลังงานและการนําพลังงานกลับมาใช้ ใหม่ รวมถึงการประหยัดค่าใช้ จา่ ยผ่านการนําของเสียมารี ไซเคิล นอกจากนี ้ทางบริ ษัทยังสามารถ เพิ่มรายได้ จากการปรับปรุ งกระบวนการผลิตให้ มีประสิทธิภาพมากขึ ้นผ่านการเพิ่มกําลังการ ผลิ ตอีกด้ วย โดยผลประโยชน์ทางธุ รกิจเหล่านี ้รวมเป็ นมูลค่ากว่า 1,101.5 ล้ านบาทในปี พ.ศ. 2554 และ 741.8 ล้ านบาทในปี พ.ศ. 2555 ตารางที่ 1 ผลประโยชน์ ทางธุรกิจของการทําบัญชีส่ งิ แวดล้ อม รายละเอียดของผลประโยชน์ ผลประโยชน์ ทางธุรกิจ (ล้ านบาท) FY2011 FY2012 การประหยัดพลังงาน

89.9

89.9

กําลังการผลิตทีเ่ พิ่มขึ ้น

565.2

301.9

การรี ไซเคิลของเสีย

163.8

122

อื่นๆ

282.6

228

รวม

1,101.5

741.8

(ดัดแปลงจาก http://www.hitachi-chem.co.jp/english/csr/stakeholder/environment/environmental_accounting.html) (อัตราการแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2557)


ผลประโยชน์ ที่เกิ ดขึ น้ จากการประหยัดพลัง งานนัน้ เกิดจากการดํ าเนิ นการตาม เป้าหมายของบริ ษัททีจ่ ะประหยัดพลังงานที่ใช้ ในกระบวนการผลิต โดยทางบริ ษัทได้ กําหนด กลยุทธ์ ในการประหยัดพลังงานทังหมด ้ 4 กลยุทธ์ ดังนี ้ 1) ประหยัดการใช้ พลังงานภายในอาคารและสิ่งก่อสร้ างเดิมที่มีอยูแ่ ล้ ว 2) ติดตังเครื ้ ่ องมือและอุปกรณ์ที่ชว่ ยในการประหยัดพลังงาน 3) เพิ่มประสิทธิ ภาพของการใช้ พลังงานในกระบวนการผลิต 4) พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดพลังงาน รวมถึงวิธีการผลิตที่ดียิ่งขึ ้น หนึ่ง ในมาตรการหลักที่ บ ริ ษั ท ได้ นํ า มาใช้ เ พื่ อ ประหยัดพลั ง งานคื อ การเปลี่ ย น ประเภทของเชื ้อเพลงที่ใช้ โดยทางบริ ษัทตังเป ้ ้ าในการเปลี่ยนจากการใช้ นํ ้ามันเชื ้อเพลิงและ นํ ้ามันก๊ าด (Kerosene) มาเป็ นการใช้ ก๊าซธรรมชาติ เพื่อลดปริ มาณก๊ าซคาร์ บอนไดออกไซด์ ที่ถกู ปล่อยต่อหน่วยพลังงานให้ เหลือเพียงร้ อยละ 20 ของปริ มาณก๊ าซคาร์ บอนไดออกไซด์ ทังหมดที ้ ่เกิดจากกระบวนการผลิตของบริ ษัท ณ ปั จจุบนั ได้ มีการเปลี่ยนการใช้ เชื ้อเพลิงจากนํ ้ามันเชื ้อเพลิงและนํ ้ามันก๊ าดมาเป็ น ก๊ า ซธรรมชาติ ใ นฐานปฏิ บ ัติการทัง้ หมด 4 แห่ง ได้ แ ก่ฐ านปฏิ บัติการชิ โมดาเตะ ฐาน ปฏิ บัติก ารยามาซากิ ฐานปฏิ บัติก ารโกโชมิ ยะ และฐานปฏิ บ ัติ การบริ ษั ท Shin-Kobe Electric Machinery โดยอัตราการปล่อยก๊ าซคาร์ บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการใช้ นํ ้ามัน เชื ้อเพลิ ง ภายในปี พ.ศ. 2548 นันสู ้ งถึงร้ อยละ 55 ของปริ มาณก๊ า ซคาร์ บอนไดออกไซด์ ทังหมดและลดลงเหลื ้ อเพียงร้ อ ยละ 9 ในปี พ.ศ. 2555 เนื่ องจากการลดการใช้ นํ ้ามัน เชื ้อเพลิ งเหลื อ เพี ยงร้ อยละ 10 ของปี พ.ศ. 2548 โดยผลจากการเปลี่ ยนแหล่ง พลัง งาน เชื ้อเพลิ งที่ใช้ นนั ้ นอกจากจะส่งผลให้ บริ ษัทสามารถประหยัดค่าใช้ จ่ายได้ แล้ ว ยังช่วยให้ บริ ษั ท สามารถลดปริ มาณก๊ า ซคาร์ บ อนไดออกไซด์ ที่ ปล่ อยได้ มากถึง 20,000 ตัน ต่อ ปี ภายในปี พ.ศ. 2555 อี ก หนึ่ ง มาตรการหลั ก ที่ ช่ ว ยให้ บ ริ ษั ท สามารถลดต้ นทุ น และค่ า ใช้ จ่ า ยใน กระบวนการผลิ ตได้ ก็คือ การนํ า ของเสี ย ที่ เ ดิ ม จํ า เป็ นต้ อ งนํ า ไปกํ า จัดด้ ว ยการเผาไหม้


(Incineration) มาเปลี่ ยนให้ เป็ นพลังงานเชื ้อเพลิ งในรู ปแบบที่เรี ยกว่า Refuse Paper & Plastic Fuel หรื อ RPF ซึง่ นอกจากจะส่งผลให้ บริ ษัทสามารถลดต้ นทุนด้ านพลังงานแล้ ว ยัง ช่วยให้ สามารถลดปริ มาณก๊ าซซัลเฟอร์ ออกไซด์ซงึ่ เป็ นหนึง่ ในก๊ าซเรื อนกระจกได้ อีกด้ วย นอกจากนี ก้ ารนํ า ของเสี ยมารี ไซเคิ ล ยัง ช่ว ยให้ บ ริ ษั ท สามารถลดค่ า ใช้ จ่า ยใน กระบวนการจัดการของเสียได้ อีกด้ วย เป้าหมายที่ทางบริษัทได้ กําหนดเอาไว้ คือลดปริ มาณ ของเสียจากฐานการปฏิบตั ิการทังหมด ้ ทังในประเทศญี ้ ่ ปนและประเทศอื ุ่ ่นๆให้ เหลื อเพียง ร้ อยละ 22 จากปริ มาณของเสียที่ผลิตในปี พ.ศ. 2548 ภายในปี พ.ศ. 2558 จากรายงานใน ปี พ.ศ. 2555 บริ ษัทสามารถลดปริ มาณของเสี ยเหลื อเพียง 63,200 ตัน คิดเป็ นร้ อยละ 28 ของปริ มาณของเสี ยที่บริ ษัทผลิ ตในปี พ.ศ. 2548 จึงถือได้ ว่าบริ ษัทได้ เข้ าใกล้ เป้าหมายที่ กําหนดไว้ 2. บริ ษัทสามารถลงทุนอย่ างคุ้มค่ าเพื่อลดปริ มาณก๊ าซคาร์ บอนไดออกไซด์ ถึงแม้ ว่าค่าใช้ จ่ายสํ าหรับคาร์ บอนยัง เป็ นต้ นทุนภายนอก (External cost) ของ บริ ษัท เพราะประเทศญี่ปนุ่ ในขณะที่กําลังจัดทําการศึกษานัน้ ยังไม่ได้ เข้ าร่วมสัญญาการซื ้อ ขายคาร์ บอนใดๆ ทว่า “ภาษี สิ่ง แวดล้ อม” ถูกเริ่ มนํา มาใช้ ใ นประเทศญี่ ปุ่นตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2554 ดังนันการปรั ้ บปรุ งกระบวนการผลิตเพื่อลดปริ มาณก๊ าซคาร์ บอนไดออกไซด์ล่วงหน้ า จึง ช่ว ยให้ บริ ษั ท สามารถลดค่า ใช้ จ่า ยก่อ นภาษี สิ่ ง แวดล้ อ มจะประกาศใช้ การลงทุน ที่ เกี่ยวข้ องกับการพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบด้ านสิ่งแวดล้ อมจึงคุ้มค่า 3. บริ ษัทสามารถลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้ องกับเสถียรภาพของกระบวนการผลิต ผลลัพธ์ ของการศึกษา CEV ช่วยให้ บริ ษัทสามารถกําหนด ‘switching point’ หรื อ จุดที่บริ ษัทจําเป็ นต้ องตัดสินใจเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการการปล่อยก๊ าซคาร์ บอนไดออกไซด์ เพราะจะส่ ง ผลกระทบต่ อ ธุ ร กิ จ ของบริ ษั ท และระบบนิ เ วศที่ เ กี่ ยวข้ อ ง โดยผลจากการ วิเคราะห์ความอ่อนไหวชี ้ให้ เห็นว่าบริ ษัทควรตัดสิ นใจลงทุนปรับปรุ งการผลิ ต หากปริ มาณ ก๊ า ซคาร์ บ อนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อ ยในการผลิ ตแผ่ น เคลื อบทองแดงจํา นวน 1 กิ โลกรั ม เปลี่ยนแปลงไป 8%


วัตถุดิบและแหล่งพลังงานที่ใช้ ในการผลิ ตเป็ นปั จจัยสํ าคัญที่ส่งผลต่อผลกระทบ ทางสิ่งแวดล้ อม ผลของการศึกษาช่วยให้ บริ ษัทสามารถเข้ าใจถึงความสํ าคัญของวัตถุดิบ และพลังงานแต่ละประเภทที่ใช้ และความสําคัญของการนําพลังงานกลับมาใช้ ใหม่ ความ เข้ าใจนี ้ส่งผลให้ บริ ษัทสามารถค้ นพบวิธีปรับปรุ งกระบวนการผลิ ตและเปลี่ ยนแปลงหรื อ พัฒนาเครื่ องมือที่ใช้ ในการผลิตเพื่อให้ สามารถใช้ พลังงานได้ อย่างมีประสิทธิ ภาพมากยิ่งขึ ้น จึงอาจกล่าวได้ วา่ ผลของการศึกษานี ้ช่วยให้ บริ ษัทสามารถค้ นพบวิธีใหม่ๆที่อาจไม่เคยนึกถึง ในการอนุรักษ์ ระบบนิเวศในฐานะตัวกลางในห่วงโซ่คุณค่าผ่านกระบวนการผลิ ตตามปกติ ของบริ ษัท แนวทางประยุกต์ ใช้ ผลของการศึกษาจะถูกนําไปเผยแพร่ ให้ ผ้ ูจดั การและพนักงานในฐานการผลิ ตได้ เข้ าใจถึงผลกระทบด้ านสิ่งแวดล้ อมของการใช้ พลังงานและการนําพลังงานกลับมาใช้ ใหม่ใน กระบวนการผลิต การเผยแพร่ข้อมูลนี ้ได้ มีการขัดเกลาภาษาเพื่อให้ พนักงานในแต่ละแผนก ของบริ ษัทสามารถเข้ าใจได้ กลวิ ธี เ ดี ยวกัน นี ท้ ี่ ใ ช้ ใ นการศึกษากระบวนการผลิ ต แผ่ น เคลื อ บทองแดงจะถู ก นําไปใช้ วิเคราะห์การผลิตสินค้ าชนิดอื่นๆหรื อสินค้ าชนิดเดียวกันในแหล่งผลิตอื่นต่อไป เพื่อ ลดต้ นทุนค่าใช้ จ่า ยและผลกระทบด้ านสิ่ งแวดล้ อมของกระบวนการผลิ ตนันๆ ้ นอกจากนี ้ บริ ษั ท ยัง ได้ ทํา การประเมิ น ผลกระทบด้ า นสิ่ ง แวดล้ อ มโดยรวมทัง้ หมดที่ เกิ ดขึ น้ จากทุก กิจกรรมของบริ ษัท แผนภาพที่ 2 แสดงให้ เห็นถึงกระบวนการที่ใช้ วตั ถุดิบ ทรัพยากรและ พลัง งานซึ่ง ส่ง ผลกระทบต่อสิ่ งแวดล้ อมสู ง เพื่ อให้ บริ ษัทสามารถดํา เนิน การพัฒ นาและ ปรับปรุ งกระบวนการดังกล่าวให้ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้ อมน้ อยลง สรุ ป การศึกษา Corporate Ecosystem Value หรื อ CEV ช่วยส่งผลให้ บริ ษัท Hitachi Chemical สามารถทราบถึงมูลค่าของผลกระทบทางสิ่งแวดล้ อมที่เกิดขึน้ จากกระบวนการ ผลิตของบริ ษัท รวมถึงค่าใช้ จา่ ยที่ต้องสูญเสียไปเพื่อชดเชยผลกระทบทางสิ่ งแวดล้ อมนันๆ ้


จากนันเปรี ้ ยบเทียบกันระหว่างวิธีการผลิตที่แตกต่างกัน เช่นใช้ แหล่งพลังงานหรื อวัตถุดิบที่ ต่า งกัน แต่ส ามารถผลิ ตสิ น ค้ า ประเภทเดี ยวกัน และมี คุณภาพเท่ า กัน ได้ เพื่ อ ให้ บ ริ ษั ท สามารถตัดสินใจเลือกวิธีการผลิตที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้ อมน้ อยที่สุด และมีคา่ ใช้ จา่ ย ที่เกี่ยวข้ องกับสิ่ ง แวดล้ อมน้ อ ยที่สุ ด ไม่ว่าจะเป็ นค่าใช้ จ่ายที่ เกี่ยวข้ องกับการใช้ พลังงาน ทรัพยากร การกําจัดของเสีย หรื อการปล่อยก๊ าซเรื อนกระจก ผลลัพธ์ คือบริ ษัทสามารถลดต้ นทุนและค่าใช้ จ่ายในการดําเนินการ ทังค่ ้ าใช้ จ่าย เดิมและต้ นทุนที่อาจเกิดขึ ้นได้ ในอนาคต โดยเฉพาะจากข้ อกําหนดที่เกี่ยวข้ องกับมาตรฐาน ด้ านสิ่งแวดล้ อมที่เข้ มงวดขึ ้นเรื่ อยๆ รวมถึงสามารถกําหนด ‘switching point’ เพื่อเตือนให้ บริ ษั ทปรั บปรุ งกระบวนการผลิ ตและการจัดการผลกระทบด้ า นสิ่ ง แวดล้ อ มได้ ท ันท่ว งที ก่อนที่จะเกิดผลกระทบอันเป็ นผลเสียต่อทังธุ ้ รกิจและสิ่งแวดล้ อม

แผนภาพที่ 2 ภาพรวมของผลกระทบด้ านสิ่งแวดล้ อม (สมดุลของทรัพยากร) (ที่มา http://www.hitachi-chem.co.jp/english/csr/stakeholder/environment/material_balance.html)



Starbucks คุณค่ าระบบนิเวศ กับความมั่นคงทางธุรกิจ Starbucks เป็ นบริ ษัทกาแฟยักษ์ ใหญ่ของโลก ร้ านค้ าปลี ก Starbucks ให้ บริ การ ลูกค้ าทัว่ โลกวันละหลายล้ านคน มีสาขากว่า 21,000 แห่ง ใน 60 ประเทศ มีพนักงาน 191,000 คน ในปี พ.ศ. 2557 มีรายได้ สุทธิ 16.4 พันล้ านเหรี ยญสหรัฐหรื อประมาณ 524 พันล้ านบาท โดยรายได้ ประมาณ 75% ของบริ ษัทมาจากการจําหน่ายกาแฟ แหล่งเม็ด กาแฟที่ Starbucks รับซื ้อมาจากพื ้นที่เกษตรในลาตินอเมริ กา แอฟริ กาและเอเชีย ส่วนการ คัว่ และผสมกาแฟจะดําเนินการภายในโรงงานของบริ ษัท ในปี พ.ศ. 2554 บริ ษัทรับซื ้อกาแฟ จํานวนกว่า 194 ล้ านกิโลกรัม เอกสารแนะนําบริ ษัท Starbucks ระบุถึงความรับผิ ดชอบต่อสังคมและการสร้ าง สมดุลระหว่างการสร้ างกําไรและสังคมภายใต้ คณ ุ ค่า “โลกที่อยูร่ ่วมกัน” หรื อ Shared Planet โดยแบ่งความรับผิดชอบของบริ ษัทออกเป็ น 3 ด้ านคือ 1) การจัดซื ้อสิ น ค้ า อย่างมีจ ริ ยธรรม (ethical sourcing) โดยตัง้ เป้าหมายว่า ภายในปี พ.ศ. 2558 เมล็ดกาแฟที่จดั ซื ้อทังหมดจะต้ ้ องผ่านระบบการค้ าที่มีจริ ยธรรม และ เกษตรวิธีที่รับผิดชอบ 2) การดูแลสิ่ งแวดล้ อม โดยตังเป ้ ้ าหมายว่า ภายในปี พ.ศ. 2558 ถ้ วยกาแฟของ Starbucks ทังหมดจะต้ ้ องย่อยสลายได้ หรื อสามารถนํากลับมาใช้ ใหม่ได้ 3) การมีส่วนร่วมของชุมชน โดยตังเป ้ ้ าหมายว่า ภายในปี พ.ศ. 2558 บริ ษัทจะใช้ เวลาอย่า งน้ อ ย 1 ล้ า นชั่ว โมงเพื่ อ ทํ า งานอาสาให้ กับ ชุมชนโดยรอบร้ านค้ า และแปลง เพาะปลูกของ Starbucks ปั ญหา Starbucks ถูกต่อต้ านครัง้ แรกจากองค์กรภาคประชาสังคมในปี พ.ศ. 2537 โดยนัก กิจกรรมจาก U.S./Guatemalan Labour Education Project (US/GLEP) ได้ แจกใบปลิ ว เรี ยกร้ องที่ ร้ านค้ า ปลี กของ Starbucks แสดงความกัง วลถึง ประเด็ น ด้ า นแรงงานและ สิ่งแวดล้ อม


แม้ วา่ การรณรงค์นี ้จะดําเนินการโดยองค์กรภาคประชาสังคมที่ขนาดไม่ใหญ่มาก นัก แต่ Starbucks ก็ดําเนินการร่างแนวปฏิบตั ิสําหรับคูค่ ้ าที่ออกแบบมาเพื่อกําหนดค่าจ้ าง สวัสดิการ ที่พกั อาศัยและมาตรฐานสุขอนามัยของคูค่ ้ า โดยการหารื อกับองค์กรไม่แสวงหา กําไรที่ทํางานในหลายๆ ด้ าน เช่น CARE และ ANACAFE (The Guatemalan Coffee Producers’ Association) ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 Starbucks ตีพิมพ์แนวปฏิ บตั ิต่อคู่ค้าชื่อว่า the Starbucks’ Commitment to Do our Part เพื่อ เผยแพร่ ความมุ่งมัน่ ของบริ ษั ทที่ ต้องการยกระดับ คุณภาพชีวิตของผู้ปลูกและผลิตกาแฟ อย่างไรก็ดี ปี ต่อๆ มา Starbucks ก็ยงั ถูกกดดันให้ รับ ซื ้อกาแฟแฟร์ เทรด (Fair Trade) จากเอ็นจีโอ เช่น Global Exchange โดยผู้ประท้ วงปรากฏ ตัวในงานประชุมประจํา ปี ของบริ ษัท หน้ าร้ า นค้ าปลี กของ Starbucks รวมทังเดิ ้ นขบวน ประท้ วง บริ ษัทจึงเซ็นสัญญาตกลงกับ Transfair USA องค์กรไม่แสวงหากําไรที่กําหนด มาตรฐานและรับรองสินค้ าที่มีการค้ าที่เป็ นธรรม เพื่อรับซื ้อกาแฟแฟร์ เทรด มาขายในร้ านค้ า ปลีก เมื่อปี พ.ศ. 2543 แรงกดดันจากภาคประชาสังคมต่อ Starbucks ยังเกิดขึน้ ต่อเนื่องมาอีกหลายปี เนื่อ งจากวิ กฤตการณ์ กาแฟที่ร าคากาแฟโลกลดลงอย่างรุ นแรงในช่ว ง พ.ศ. 2541-2545 ส่ง ผลให้ เ กิ ดการทํ าลายป่ ามากขึ น้ และเกิ ดความเสี่ ยงต่อ อุป ทานกาแฟจากที่ ร าบสู ง โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่ยากจนและอยู่ในพื ้นที่ห่างไกลซึ่งพบเห็นได้ ทวั่ ไปในห่วงโซ่ อุปทานกาแฟในประเทศกําลังพัฒนา เมื่อเกษตรกรประสบปั ญหาขาดทุน เนื่องจากราคากาแฟ ณ หน้ าฟาร์ ม (farm-gate pricing) ตํ่ากว่าต้ นทุนในการผลิต เกษตรกรรายย่อยในลาตินอเมริ กาทีอ่ าศัยอยูใ่ นเขตที่ราบ สูงต้ องเผชิญภาวะยากจน วิกฤตการณ์ ราคาผลักดันให้ พวกเขาต้ องเอาตัวรอด เกษตรกร หลายพันคนจึงเลิกปลูกกาแฟและอพยพไปขายแรงงานในสหรัฐอเมริ กา หรื อเลื อกปลูกพืช อื่นที่ต้องแผ้ วถางพื ้นที่เพื่อการเพาะปลูกมากขึ ้น ส่งผลต่อเนื่องให้ เกิดการบุกรุ กพื ้นที่ป่า


งานวิ จ ัย “Reducing Risk – Landscape Approaches to Sustainable Sourcing, Starbucks and Conservation International Case Study” ปี พ.ศ. 2556 โดย Landscapes for People, Food and Nature Initiative ระบุว่า Starbucks เผชิญความ เสี่ยงด้ านการปฏิบตั ิการ (operational risk) จากปั จจัยการเปลี่ ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ ส่งผลต่อปริ มาณผลผลิตจากพื ้นที่เพาะปลูกสําคัญ และปั จจัยคุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่ ยากจนในอุตสาหกรรมกาแฟ เพราะราคาเมล็ดกาแฟที่ตกตํ่า แม้ วา่ ปริ มาณการบริ โภคกาแฟทัว่ โลกจะเพิ่มขึน้ ตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา แต่การผลิ ต กาแฟชนิดพันธุ์หลักของโลกกลับต้ องเผชิญกับความเสี่ยงด้ านปริ มาณผลผลิต เนื่องจากการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลมากต่อปริ มาณผลผลิตของกาแฟพันธุ์อราบิกาซึง่ คิดเป็ น ร้ อยละ55 ถึง58 ของปริ มาณการผลิตกาแฟทัว่ โลก และโรบัสตาซึ่งคิดเป็ นร้ อยละ 42 ถึง45 ของปริ มาณการผลิตกาแฟทัว่ โลก การเปลี่ยนแปลงพื ้นที่เพาะปลูก การกําจัดแมลง และวิธีชลประทานของเกษตรกร ส่งผลให้ คุณภาพกาแฟตํ่ าลงและเพิ่ มความผันผวนของราคา พื ้นที่เ พาะปลูกกาแฟและ ปริ มาณผลผลิ ตที่ไม่แ น่น อนกลายเป็ นปั ญหาสํ าคัญในรอบสิ บปี ที่ ผ่า นมา ทังๆ ้ ที่พืน้ ที่ เพาะปลูกกาแฟทัว่ โลกเพิ่มขึ ้น แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทําให้ ปริ มาณผลผลิ ตที่ ได้ ลดลง เช่นปริ มาณผลผลิตในโคลัมเบียที่ตกตํ่าที่สดุ ในรอบ 40 ปี โดยเฉพาะระหว่างปี พ.ศ. 2551 – 2556 เนื่องจากได้ รับผลกระทบอย่างหนักจากศัตรู พืชและสภาพอากาศ นอกจากต้ องเผชิญความเสี่ยงด้ านการปฏิบตั ิการแล้ ว Starbucks ยังต้ องเผชิญกับ ความเสี่ ยงด้ านชื่อเสี ยงของบริ ษัทอี กด้ วย เพราะการปลูกกาแฟมักก่อให้ เ กิดการบุกรุ ก ทํา ลายป่ า ความเสี่ ยงดัง กล่ าวเป็ นสาเหตุสํ า คัญในการพัฒ นาการออกใบรับ รองและ กระบวนการตรวจสอบกาแฟ โดยข้ อกําหนดนี ้ได้ ร ะบุไว้ ใ นมาตรฐาน C.A.F.E หรื อ the Coffee and Farmer Equity Practices ของบริ ษัท Starbucks กังวลถึงอนาคตของการเพาะปลูกกาแฟ เพราะความผันแปรของสภาพ ภูมิอากาศ และราคาที่ตกตํ่าในตลาดสินค้ าโภคภัณฑ์ ทําให้ เกษตรกรเริ่ มทบทวนว่าจะปลูก


กาแฟต่อหรื อไม่ นอกจากนี ้ ตัวเลขประชากรที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมในประเทศกําลัง พัฒนาได้ ลดลงจากร้ อยละ 81.8 ใน พ.ศ. 2493 เป็ นร้ อยละ 49.4 ใน พ.ศ. 2553 การทําให้ เกษตรกรและชุมชนยังยึดมัน่ ในอาชีพปลูกกาแฟจึงเป็ นโจทย์ที่ Starbucks ต้ องขบคิด โดยปกติ หากเกษตรกรโค่นต้ นกาแฟทิ ้งเพื่อใช้ ที่ดินทําอย่างอื่นไปแล้ ว แม้ ว่าราคา กาแฟจะกลับมาดีขึน้ พวกเขาก็จะไม่กลับมาปลูกกาแฟอีก เพราะการปลูกกาแฟต้ องใช้ เวลานาน การแผ้ ว ถางที่ดินเพื่ อปลูกพื ชใหม่ยังเป็ นการเพิ่มความเสี่ ยงด้ านสิ่ ง แวดล้ อ ม เนื่องจากเป็ นการปลดปล่อยก๊ าซเรื อนกระจกทางอ้ อมวิธีแก้ ปัญหาของบริ ษัทคือการจ่ายเงิ น ให้ เกษตรกรสูงกว่าราคากาแฟที่ซื ้อขายอยูใ่ นตลาด รวมถึงมีวิธีปฏิบตั ิที่ดีเพื่อดูแลผลกระทบ ทางสังคมและสิ่งแวดล้ อมควบคูไ่ ปด้ วย Starbucks ตระหนักดีวา่ ถึงแม้ บริ ษัทจะเป็ นผู้รับซื ้อรายสําคัญในตลาดโลก แต่ห่วง โซ่อปุ ทานของธุ รกิจกาแฟทังหมดมี ้ ขนาดใหญ่มาก ดังนันเพื ้ ่อสนับสนุนการปลูกกาแฟใน ชุมชนให้ มีความยัง่ ยืน Starbucks ต้ องสร้ างการเปลี่ ยนแปลงนอกเหนื อไปจากในห่วงโซ่ อุปทานของตัวเอง เช่น การริ เริ่ มมาตรฐาน C.A.F.E เพื่อปรับใช้ ในการรับซื ้อเม็ดกาแฟของ บริ ษัท ความสําคัญทางธุรกิจของระบบนิเวศ เนื่องจากปั ญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถือเป็ นหนึง่ ในความเสี่ยงที่ส่งผล กระทบต่อปริ มาณผลผลิตเมล็ดกาแฟ การอนุรักษ์ ไว้ ซงึ่ ระบบนิเวศที่สมบูรณ์จะช่วยลดความ เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและเพิ่มความยัง่ ยืนในการเพาะปลูกกาแฟ พื ้นที่ที่นา่ สนใจคือ รัฐ Chiapas รัฐทางตอนใต้ ของเม็กซิโก พื ้นที่เพาะปลูกที่สําคัญ ซึ่งส่งออกเมล้ ดกาแฟให้ กบั Starbucks พื ้นที่ส่วนใหญ่ในรัฐ Chiapas ยัง เป็ นพื น้ ที่ป่าที่ สมบูรณ์ และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก โดยเฉพาะพื ้นที่ 303,500 ไร่ ในเขต อนุรักษ์ ภูมินิเวศ El Triunfo ซึง่ เป็ นที่อยูอ่ าศัยของสัตว์เลี ้ยงลูกด้ วยนมกว่า 30 ชนิด เช่น เสื อ จากัวร์ ลิงและสมเสร็ จ นกกว่า 300 ชนิด รวมถึงนกขุนแผนมรกตที่มีความเสี่ ยงขัน้ อันตราย ต่อสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้ และสัตว์เลื ้อยคลานอีกกว่า 45 ชนิด สิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่พบ


ใน El Triunfo เป็ นชนิดพันธุ์ เฉพาะถิ่น (endemic species) ที่ไม่สามารถพบได้ ในพื ้นที่อื่น นอกจากนี ้พื ้นที่ของ El Triunfo ยังครอบคลุมเขตภูมิอากาศ (Climate zone) มากถึง 4 เขต และยังเป็ นป่ าเมฆ (Cloud forest) ผืนที่ใหญ่ที่สุดในอเมริ กากลางอีกด้ วย ในขณะเดียวกันรัฐ Chiapas ยังเป็ นพื ้นที่เพาะปลูกที่มีความเสี่ ยงต่อผลกระทบที่ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเนื่องมาจากการเปลี่ ยนแปลงของระบบนิเวศ ของพื ้นที่โดยรอบที่ส่วนมากเกิดจากการบุกรุ กทําลายป่ าเพื่อขยายพื ้นที่เพาะปลูก สภาพ อากาศที่เ ปลี่ ยนแปลงจะส่ง ผลให้ พื ้นที่ที่เหมาะสมในการเพาะปลูกกาแฟในรัฐ Chiapas ลดลง โดยเฉพาะพื ้นที่เพาะปลูกกาแฟอราบิกาที่คาดการณ์ ว่าจะลดลงจาก 1.65 ล้ านไร่ เหลือเพียงราว 378,000 ไร่ภายในปี พ.ศ. 2593 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ ้นจากอุณหภูมิที่คาดว่าจะสูงขึ ้น 2.2 องศาเซลเซียส และปริ มาณนํ ้าฝนที่ลดลงประมาณ 80-85 มิลลิ เมตร ส่งผลให้ พื ้นที่สูงจากระดับนํ ้าทะเล ประมาณ 600 เมตรไม่สามารถเพาะปลูกได้ ดี เกษตรกรจะต้ องย้ ายที่ดินทํากินไปยังพื ้นที่ที่ สูงขึน้ ในระดับ 850-900 เมตรเหนือระดับนํ ้าทะเล การต้ องย้ ายพื ้นที่เพาะปลูกนี ้จะส่งผล กระทบต่อระบบนิเวศเป็ นทอดๆเนื่องจากการแผ้ วถางพื ้นที่ใหม่ รวมถึงส่งผลกระทบต่อการ ขนส่งและศักยภาพของตลาดอีกด้ วย การเพาะปลูกกาแฟใต้ ร่มไม้ ใหญ่ (shade-grown coffee) นับว่าเป็ นทางเลื อกหนึ่ง ที่เชื่อ มโยงการอนุรักษ์ ร ะบบนิเวศและการปลูกกาแฟเอาไว้ ด้วยกัน และสามารถช่วยลด ความเสี่ ยงจากการเปลี่ ยนแปลงสภาพภู มิอากาศได้ เพราะจากการวิจยั พบว่า การปลู ก กาแฟใต้ ร่มไม้ ใหญ่จะช่วยคงความหลากหลายทางชีวภาพของป่ าเดิม เช่น ชนิดของพืชและ แมลง และยังเป็ นที่อยูอ่ าศัยของนกชนิดต่างๆ ช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศดังเดิ ้ มเอาไว้ ให้ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน อย่างไรก็ดีเกษตรกรรายย่อยที่อยู่ติดชายป่ าและได้ รับผลกระทบจากวิกฤติราคา กาแฟตกตํ่ามักจะสร้ างรายได้ เพิ่มขึ ้นโดยการตัดต้ นไม้ และหันไปทําฟาร์ มปศุสัตว์ ซึ่งสร้ าง มลพิษทางนํ ้าและรุ กลํ ้าพื ้นที่ป่า รวมถึงส่งผลให้ เกิดการเปลี่ ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ


โดยรวม การปลูกกาแฟใต้ ร่มไม้ ใหญ่จึงเป็ นวิธีสร้ างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ ป่ากับ ความอยูร่ อดของเกษตรกร ความร่ วมมือระหว่ าง Starbucks และ Conservation International Conservation International หรื อ CI เป็ นเอ็นจีโอระหว่างประเทศที่ก่อตังขึ ้ น้ ในปี พ.ศ. 2530 ด้ วยพันธกิจ “ต้ องการรักษามรดกทางธรรมชาติของโลก ความหลากหลายทาง ชีวภาพของโลก และเพื่อแสดงให้ เห็นว่าสังคมมนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ อย่าง ราบรื่ น” CI ต้ องการสร้ างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยการสนับสนุนการใช้ มาตรฐานทาง สิ่ งแวดล้ อม กิจกรรมที่ดําเนินการมีทงด้ ั ้ านรณรงค์ผลักดันการเปลี่ ยนแปลงด้ านนโยบาย (advocacy) และการสนับ สนุนชุมชนในพื ้นที่ที่ มีความสํ า คัญด้ านความหลากหลายทาง ชีวภาพโดยตรง CI เป็ นหนึง่ ในสามองค์กรไม่แสวงหากําไรที่ทางานด้ านอนุรักษ์ ที่ใหญ่ที่สุด ในโลก อีกสององค์กรคือ World Wide Fund for Nature และ The Nature Conservancy CI เริ่ มทํางานร่วมกับ Starbucks ในปี พ.ศ. 2540 เพื่อสร้ างความมัน่ คงและยัง่ ยืน ในอุปทานการปลูกกาแฟ โดย CI พยายามคิดค้ นกลไกตลาดเพื่อสร้ างแรงจูงใจ ในการสร้ าง ผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้ อมที่ดีขึ ้นจากการเพาะปลูก การแปรรู ป และการกระจาย สิ นค้ า โดย CI มองว่าหาก Starbucks ซึ่งเป็ นผู้รับซื ้อรายใหญ่รับซื ้อสิ นค้ าจากโครงการนี ้ เกษตรกรจะมีรายได้ มากขึ ้น และสร้ างอุปทานกาแฟที่มนั่ คงควบคูก่ นั ไปกับการอนุรักษ์ ความ หลากหลายทางชีวภาพ นอกเหนือไปจาก Starbucks แล้ ว CI ยังเป็ นพันธมิตรกับบริ ษัท กาแฟรายใหญ่หลายราย เช่น Green Mountain Coffee และ Frontier Organic Coffee ความร่ วมมือระหว่าง Starbucks และ CI เกิดมาจากการผลักดันของ CI ในการ คัดเลื อก Starbucks เข้ าร่ วมโครงการกาแฟเพื่อการอนุรั กษ์ หรื อ Coffee Conservation Project (CCP) ในทางใต้ ข องประเทศเม็ กซิ โกที่ ต้องการสร้ างแนวคิ ดด้ า นการอนุรั กษ์ ธรรมชาติ กับเกษตรกรรายย่อ ย โดยการสนับสนุน ให้ พวกเขาปลู กกาแฟใต้ ร่ มไม้ ใ หญ่ (shade-grown coffee) โดย CI ได้ ริเริ่ มโครงการนี ้ในปี พ.ศ. 2539-2540 ในรัฐ Chiapas


โดยสาธิ ตให้ เกษตรกรเห็นว่าการปลูกกาแฟลักษณะนี ้ นอกจากจะสร้ างกําไรให้ เกษตรกร แล้ วยังเพิ่มคุณค่าทางสังคมและสิ่ งแวดล้ อมด้ วย โครงการนี ้ร่ วมมือสหกรณ์ 6 แห่งโดยใช้ เงิ นทุนจาก Ford Foundation และ the US Agency for International Development (USAID) อุปสรรคสําคัญของโครงการคือการหาสิ่งจูงใจที่จะทําให้ เกษตรกรหันมาสนใจวิถี เกษตรที่ยงั่ ยืน พร้ อมกับการหาวิธีสร้ างอุปสงค์ที่มนั่ คงและต่อเนื่องจากตลาด ในช่วงแรกเริ่ ม CI ทําหน้ าที่ให้ ข้อมูลกับเกษตรกรเพื่อให้ พวกเขาเปลี่ ยนวิธีปลูก กาแฟเป็ นการปลูกแบบใต้ ร่มไม้ ใหญ่ ต่อมา Starbucks ให้ เงิ นสนับสนุนจํานวน 150,000 ดอลล่า ร์ ส หรั ฐ แต่ยงั ไม่ได้ ตกลงรับซื อ้ กาแฟอย่า งเป็ นทางการ กระทั่งในปี พ.ศ. 2542 Starbucks ได้ ทําข้ อตกลงรับซื ้อกาแฟ และเริ่ มจําหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อ “Organic Shade Grown Mexico” ซึง่ เป็ นกาแฟที่มาจากโครงการกาแฟเพื่อการอนุรักษ์ ของ CI Starbucks จะรับซื ้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เพาะปลูกกาแฟใต้ ร่มไม้ ใหญ่ในราคาที่ สูงกว่าราคาท้ องถิ่นถึงร้ อยละ 60 โดยในปี พ.ศ. 2544 มีเกษตรกรเข้ าร่วมโครงการเพาะปลูก กาแฟใต้ ร่ มไม้ ใ หญ่ จํ า นวน 691 ราย และเพิ่ มขึ น้ เป็ นกว่า 1,000 รายในปี ถัดมา โดย ผลิตภัณฑ์ใหม่นี ้ได้ รับความนิยมเป็ นอย่างมาก ส่งผลให้ Starbucks รับซื ้อเมล็ ดกาแฟจาก เกษตรกรที่เข้ าร่วมโครงการเพิ่มขึน้ อย่างก้ าวกระโดด โดยในปี พ.ศ. 2543 หลังการเริ่ มต้ น ของโครงการ Starbucks ได้ รับซื ้อเมล็ ดกาแฟสํ าหรับผลิ ตภัณฑ์ “Organic Shade Grown Mexico” เป็ นจํานวน 304,000 ปอนด์ ในปี พ.ศ. 2544 จํานวนของเมล็ ดกาแฟที่ได้ รับซื ้อ เพิ่มขึ ้นเป็ น 723,000 ปอนด์ และมากกว่า 1.5 ล้ านปอนด์ในปี ถัดมา เนื่องจากความสําเร็ จของโครงการปลูกกาแฟใต้ ร่มไม้ ใหญ่ ต่อมา Starbucks และ CI ได้ ขยายความร่ วมมือในการเพิ่มพื ้นที่ของเกษตรกรที่เข้ าร่ วมโครงการ และพัฒนาสาย ผลิ ตภัณฑ์ กาแฟที่ยั่งยื น เป็ นสายผลิ ตภัณฑ์ ถาวรของ Starbucks พร้ อมกับ พัฒ นา มาตรฐานร่วมกันในการจัดหากาแฟ และชักชวนให้ ผ้ ูนํารายอื่นๆ ในอุตสาหกรรมกาแฟเข้ า ร่วมโครงการเพื่อขยายวิธีปฏิบตั ินี ้ไปในวงกว้ าง


สรุ ป Starbucks ประสบความสําเร็ จด้ านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ Organic Shade Grown Mexico ที่ น อกจากจะสร้ างภาพลัก ษณ์ ที่ ดี ข องบริ ษั ท ยัง สร้ างรายได้ ใ ห้ กับ Starbucks เนื่องจากมีอปุ ทานจากที่ราบสูงต่างๆที่ยงั่ ยืน และก่อให้ เกิดผลดีตอ่ ทังเกษตรกร ้ ผู้ผลิตและระบบนิเวศ เนื่องจาก Starbucks ได้ เล็ งเห็นถึงความสํ าคัญของการรักษาระบบ นิเวศ และคุณค่าของนิเวศบริ การ ซึ่งเป็ นตัวแปรที่สําคัญในการรักษาเสถียรภาพของการ เพาะปลูกกาแฟบนที่ร าบสูง เพราะหากขาดสมดุล ของระบบนิเวศแล้ ว ผลผลิ ตกาแฟก็ มี แนวโน้ มที่จะลดตํ่าลงจนอาจถึงขันจํ ้ าเป็ นต้ องล้ มเลิ กการเพาะปลูก ถือว่าบริ ษัทได้ หยิบยก เอาความสําคัญของระบบนิเวศมาใช้ เพื่อสร้ างโอกาสทางธุรกิจ ผ่านการสร้ างผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ให้ ความสําคัญต่อการรักษาระบบนิเวศและอุปทานที่ยงั่ ยืน การทํางานร่ วมกับ CI ยังทําให้ Starbucks มีโอกาสลงทุนและสนับสนุนชุมชนใน พื ้นที่ หลายประเทศที่เ กษตรกรมีวิ ถีการเกษตรที่ เป็ นมิ ตรต่อ สิ่ ง แวดล้ อม มี การรั กษาป่ า พัฒนาที่ดินเสื่อมโทรม และลดการปล่อยคาร์ บอนไดออกไซด์ ความร่วมมือของ CI และ Starbucks ได้ รับการปรับไปตามสถานการณ์ เช่น ความ กังวลของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงซึง่ ถือเป็ นความเสี่ยงที่สําคัญ โครงการในช่วงหลังจึงมี การนําความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ เข้ ามาสนับสนุนในการจัดการโครงการ นอกจากนี ้ CI ยังเป็ น พันธมิตรที่ชว่ ยเสริ มความสัมพันธ์ กบั รัฐบาลและผลักดันในเชิงนโยบาย ความร่วมมือกันของ ทังสององค์ ้ กรได้ รับการทบทวนในปี พ.ศ. 2554 และยังคงความร่วมมือนี ้ไว้ จนถึง พ.ศ. 2558



ปูนซิเมนต์ ไทย (ลําปาง) คุณค่ าระบบนิเวศ กับการยอมรั บของชุมชน บริ ษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) หรื อที่ร้ ู จกั กันในชื่อ เอสซีจี เป็ นกลุ่มบริ ษัทที่ ก่อตังขึ ้ ้นเมื่อปี พ.ศ. 2456 ดําเนินการภายใต้ อุดมการณ์ 4 ข้ อคือ ตังมั ้ น่ ในความเป็ นธรรม มุ่งมั่นในความเป็ นเลิ ศ เชื่ อมั่นในคุณค่า ของคน และถือ มัน่ ในความรั บผิ ดชอบต่อสังคม ตังแต่ ้ ปี พ.ศ. 2556 เอสซีจีได้ ปรับโครงสร้ างการบริ หารงาน โดยจัดกลุ่มให้ เหลื อเพียงสาม ธุรกิจหลักคือ • เอสซี จี ซี เ มนต์ -ผลิ ตภัณฑ์ ก่อ สร้ าง โดยมี สิ น ค้ า หลักคื อ ปูน ซี เ มนต์ ผลิ ตภัณฑ์ ก่อสร้ าง และสินค้ าเซรามิก • เอสซีจี เคมีคอลล์ โดยมีสินค้ าและบริ หารหลักคือ โอเลฟิ นส์ เม็ดพลาสติกโพลิ โอ เลฟิ นส์ เม็ดพลาสติกพีวีซี และบริ การท่าเทียบเรื อและคลังเก็บผลิตภัณฑ์ • เอสซีจีเปเปอร์ มีสินค้ าหลักคือ กระดาษ บรรจุภณ ั ฑ์ และเยื่อกระดาษ จากงบการเงินปี พ.ศ. 2557 กลุ่มบริ ษัท เอสซีจี มีรายได้ รวมราวห้ าแสนล้ านบาท โดยมีสดั ส่วนรายได้ จาก เอสซีจี เคมีคอลส์ ร้ อยละ 50.3 เอสซีจี ซีเมนต์-ผลิ ตภัณฑ์ ก่อสร้ าง ร้ อยละ 35.43 และ เอสซีจี เปเปอร์ ร้ อยละ 13.09 ภายใต้ วิสยั ทัศน์ที่ต้องการเป็ นผู้นําตลาดในภูมิภาคอาเซียน เอสซีจีมงุ่ ดําเนินธุ รกิจ ควบคูก่ บั การเสริ มสร้ างการเติบโตอย่างยัง่ ยืนให้ แก่ทกุ ชุมชนที่เข้ าไปดําเนินงาน ภายใต้ หลัก บรรษัทภิบาลที่ดี โดยเอสซีจีได้ รับการจัดอันดับเป็ นผู้นําอุตสาหกรรม (Industry Leader) ใน สาขาวัสดุกอ่ สร้ างใน Dow Jones Sustainable Indices ต่อเนื่องตังแต่ ้ ปี พ.ศ. 2554 ปั จจุบนั ทังสามธุ ้ รกิจหลักของ เอสซีจี ต่างเดินหน้ าขยายฐานการผลิตไปยังประเทศ ในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มธุ รกิจผลิ ตปูนซีเมนต์ที่มีโครงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น การลงทุนก่อสร้ า งโรงงานปูนซีเ มนต์แ ห่งแรกในสาธารณรัฐ ประชาธิ ปไตยประชาชนลาว กําลังการผลิต 1.8 ล้ านตันต่อปี โรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศอินโดนีเซียที่จะแล้ วเสร็ จและ เริ่ มผลิตได้ ในปี พ.ศ. 2558 และโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศเมียนมา ที่จะแล้ วเสร็จและ


เริ่ มผลิ ตในปี พ.ศ. 2559 การขยายกํา ลัง การผลิ ตดังกล่า ว จะทํา ให้ เอสซีจี เป็ นผู้ผ ลิ ต ปูนซีเมนต์รายใหญ่ในอาเซียน ความเสี่ยงในธุรกิจผลิตปูนซีเมนต์ ธุรกิจปูนซีเมนต์เติบโตอย่างต่อเนื่องตังแต่ ้ พ.ศ. 2493 โดยมีแหล่งผลิ ตกว่าร้ อยละ 60 ตังอยู ้ ่ในทวีปเอเชีย ปั จจุบนั อุตสาหกรรมซีเมนต์ต้องเผชิญกับความท้ าทายในรู ปแบบ ใหม่จ ากกลุ่ มผู้ มีส่ว นได้ ส่ วนเสี ยที่ เริ่ มมี อํ า นาจต่อ รองมากขึ น้ กว่า ในอดี ต รวมถึง ความ ต้ องการใช้ ซีเมนต์ที่เพิ่มสูงขึ ้นจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) นําไปสู่แรงกดดันจาก ผู้มีส่วนได้ ส่ว นเสี ยฝ่ ายต่า งๆที่มีความต้ องการแตกต่างกัน เช่น ชุมชนที่ต้องการยกระดับ คุณภาพชีวิต หรื อผู้ถือหุ้นที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ ้น การผลิตปูนซีเมนต์แบ่งออกเป็ น 5 ขันตอนหลั ้ ก ได้ แก่ 1.การทําเหมืองและการเตรี ยมวัตถุดิบ คือการคัดเลื อดวัตถุดิบที่มีองค์ประกอบแร่ ธาตุที่ต้องการ การทําเหมืองหินและขนส่งวัตถุดิบจากเหมืองหินมาย่อยให้ มีขนาดเล็กลง 2.การบดวัตถุดิบ คือการนําวัตถุดิบชนิดต่างๆ เข้ าสู่หม้ อบดวัตถุดิบ 3.การเผาปูนเม็ด คื อการนํ าวัตถุดิบที่บดแล้ ว ลํ า เลี ยงเข้ าสู่เ ตาเผา ณ อุณหภู มิ สูงสุดประมาณ 1,450 องศาเซลเซียส ที่อุณหภูมิดงั กล่าวจะเกิดการเปลี่ ยนแปลงทางเคมี ของวัตถุดิบจนได้ เป็ นปูนเม็ดที่มีลกั ษณะก้ อนกลม สีเทาเข้ ม ขนาดเส้ นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2 เซนติเมตร 4.การบดปูนซีเมนต์ คือการลําเลียงปูนเม็ดเข้ าหม้ อบดปูนซีเมนต์ โดยจะมีการเติม ยิปซัมเล็กน้ อย บดจนได้ ความละเอียดตามต้ องการ 5.การบรรจุและการขนส่งปูนซีเมนต์ คือการลําเลียงปูนซีเมนต์เพื่อเตรี ยมบรรจุ หรื อ อาจขนส่งในรู ปของปูนซีเมนต์ผง ปฏิเสธไม่ได้ วา่ กระบวนการผลิ ตซีเมนต์ทงั ้ 5 ขัน้ ตอนจําเป็ นต้ องใช้ พลังงานและ ทรั พ ยากรธรรมชาติ ที่ ไ ม่ ส ามารถทดแทนได้ จํ า นวนมาก โดยรายงาน “Toward a Sustainable Cement Industry” โดย World Business Council for Sustainable


Development ระบุประเด็นสําคัญ 3 ด้ านที่อตุ สาหกรรมซีเมนต์ต้องคํานึงถึง เพื่อเดินไปบน เส้ นทางการพัฒนาอย่างยัง่ ยืน ดังนี ้ • ประเด็นด้ านสิ่งแวดล้ อม ประกอบด้ วย o การใช้ ทรัพยากรที่ไม่สามารถนํากลับมาใช้ ใหม่ได้ เช่น เชื ้อเพลิ งฟอสซิล หินปูน และสินแร่ตา่ งๆ o มลภาวะฝุ่ น จากการทําเหมืองปูน การผลิตซีเมนต์ และการขนส่ง o มลภาวะอื่นๆที่ส่งผลต่อคุณภาพอากาศ เช่น ไนโตรเจนออกไซด์ ซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ และคาร์ บอนมอนอกไซด์ o การปลดปล่อ ยคาร์ บ อนไดออกไซด์ ที่ส่ งผลต่อ การเปลี่ ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ ปั จจุบนั อุตสาหกรรมซีเมนต์ทิ ้ง ‘รอยเท้ า’ ในกระบวนการผลิ ตลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะข้ อบังคับที่เข้ มข้ นขึ ้น อย่างไรก็ดี การปลดปล่อยมลภาวะของโรงงานผลิ ตซีเมนต์ใน บางพื ้นที่ยงั คงเกินระดับที่ระบบนิเวศจะรองรับได้ การตังโรงงานหรื ้ อเหมืองปูนแห่งใหม่ใกล้ พื ้นที่ชมุ ชนก็มีโอกาสที่จะเผชิญกับการต่อต้ านอย่างรุ นแรงได้ • ประเด็นด้ านสังคม อุตสาหกรรมซีเมนต์สร้ างผลกระทบทังทางบวกและทางลบต่ ้ อสังคม การ ตังโรงงานผลิ ้ ตซีเมนต์สร้ างความกังวลให้ กบั ชุมชนทีอ่ ยูใ่ กล้ เคียง เช่น ผลกระทบต่อ สุข ภาพ ความปลอดภัยด้ านแรงงาน มลภาวะเสี ยงและฝุ่ น การคมนาคมที่ ไม่ สะดวก รวมถึงอันตรายบนท้ องถนน แต่ผลผลิตจากอุตสาหกรรมซีเมนต์เป็ นองค์ประกอบสําคัญในการพัฒนา โครงสร้ า งพื ้นฐานเพื่ อ ตอบสนองความต้ อ งการของชุมชน เช่น ที่ อยู่อ าศัย การ คมนาคม และแหล่งกักเก็บนํ ้า นอกจากนี ้ การตังโรงงานผลิ ้ ตซีเมนต์ในพื ้นที่ยากจน อาจเป็ นปั จจัยหนึง่ ในการบรรเทาความแร้ นแค้ นโดยโครงการพัฒนาชุมชน หรื อการ พัฒนาสาธารณูปโภคในชุมชน


• ประเด็นด้ านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมซีเมนต์มีส่วนสําคัญในการขับเคลื่ อนเศรษฐกิจในระดับโลก เนื่ อ งจากได้ ผ ลิ ต วัส ดุ ร าคาถูก ที่ ส ามารถนํ า ไปใช้ ได้ อ ย่า งหลากหลาย การตัง้ โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ยงั ช่วยสร้ างงาน และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การตัง้ โรงงานในประเทศกําลังพัฒนายังเป็ นการส่งต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมจะต้ อ งคํ า นึง ถึง การปิ ดโรงงานที่ ต้อ งดํ า เนิ น การอย่า งรั บผิ ดชอบ เนื่องจากการปิ ดโรงงานอาจส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียหลายฝ่ าย ความเสี่ยงสําคัญในการดําเนินธุรกิจปูนซีเมนต์มีที่มาจากประเด็นด้ านสิ่ งแวดล้ อม และประเด็นด้ านสังคม ความกังวลของชุมชนต่อทรัพยากรธรรมชาติและผลกระทบจะทําให้ การเปิ ดพื ้นที่ใหม่เพื่อทําเหมืองปูนหรื อตังโรงงานยากที ้ ่จะดําเนินการได้ บริ ษัทจึงจําเป็ นต้ อง ดําเนินกระบวนการสร้ างความเข้ าใจ เพื่อให้ ได้ มาซึ่ง ‘การอนุญาตให้ ประกอบกิจการจาก สังคม’ หรื อ ‘License to Operate’ ที่มีความแตกต่างจากใบอนุญาตประกอบกิจการจาก หน่วยงานภาครัฐ ที่มีหลักเกณฑ์ และกรอบเวลาการให้ อนุญาตที่ชดั เจน และมีผลบังคับใช้ ตามกฎหมาย การพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม หรื อกระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบต่อสังคม และสิ่งแวดล้ อม นอกจากจะสร้ างประโยชน์ให้ กบั องค์กรในแง่การลดค่าใช้ จ่าย ยังสามารถ สร้ างความเชื่ อ มั่น ให้ กับชุมชนโดยรอบ และลดความเสี่ ยงที่ จ ะสู ญเสี ยการอนุญาตให้ ประกอบกิจการจากสังคมที่อาจทําลายมูลค่าขององค์กร ปูนลําปาง กับการจัดการด้ านสังคมและสิ่งแวดล้ อม ปั จ จุบัน เอสซี จี มี โรงงานผลิ ตปูน ซีเ มนต์ เ ทาในประเทศทังหมด ้ 5 แห่ง ได้ แ ก่ โรงงานท่า หลวง โรงงานเขาวง โรงงานแก่ง คอย จัง หวัด สระบุรี โรงงานทุ่ง สง จัง หวัด นครศรี ธรรมราช และโรงงานลํ าปาง จังหวัดลํ าปาง โดยมีกําลังการผลิ ตในประเทศ 23.2 ล้ า นตัน ต่อ ปี และมี ส่ ว นแบ่ง ทางการตลาดมากที่ สุ ดเมื่ อ เปรี ยบเที ยบกับผู้ ผ ลิ ตอื่ น ๆ ใน ประเทศ


บริ ษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ลํ าปาง) จํากัด หรื อปูนลํ าปาง เป็ นบริ ษัทลูกซึ่งถือหุ้นโดย กลุ่มบริ ษัท เอสซีจี ทังหมด ้ ปูนลําปางจดทะเบียนจัดตังบริ ้ ษัทเมื่อ พ.ศ. 2537 เริ่ มผลิ ตและ จัดจํ า หน่า ยเมื่อ พ.ศ. 2539 โรงงานผลิ ตและเหมื อ งปูน ตัง้ อยู่บนพื น้ ที่ 7,590 ไร่ พื น้ ที่ ดังกล่าวส่วนหนึง่ อยูใ่ นเขตป่ าสงวนแห่งชาติแม่ทรายคํา ในอดีตเป็ นป่ าเสื่อมโทรมซึง่ มีไฟป่ า เกิดขึ ้นบ่อยครัง้ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็ นป่ าเบญจพรรณ โรงงานปูนลํ าปางมีกําลังการผลิ ตราว 2.3 ล้ านตันต่อปี คิดเป็ นสัดส่วนประมาณ ร้ อยละ 10 ของกําลังการผลิตปูนทังหมดของเอสซี ้ จี แม้ กลุ่มบริ ษั ท เอสซีจี จะได้ ประทานบัตรสํ าหรับการดํา เนิ นการเหมื องปูน และ ใบอนุญาตในการตังโรงงานผลิ ้ ตปูนซีเมนต์ แต่ขณะนัน้ ชาวลํ าปางมีความไม่ไว้ วางใจใน โรงงานอุตสาหกรรม ซึง่ ส่วนหนึง่ มีสาเหตุมาจากผู้ป่วยที่ได้ รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าขนาด ใหญ่ในลําปาง ซึง่ ปล่อยมลภาวะเช่นซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ หรื อไนโตรเจนออกไซด์ เกินระดับที่ ปลอดภัย จึงทํา ให้ ปูนลํ า ปางต้ อ งดําเนิน นโยบายเพื่อให้ ได้ มาซึ่งการอนุญาตให้ ประกอบ กิจการจากสังคม หรื อ License to Operate หลังจากทําการพูดคุยทําความเข้ าใจกับชุมชน เอสซีจี ก็ได้ กําหนดหลักการพื ้นฐาน 4 ประการของปูนลําปาง คือ • สร้ างงาน โดยกํา หนดให้ พนักงานในบริ ษัทปูนลํ าปางอย่างน้ อยร้ อยละ 70 และ แรงงานจ้ างเหมา หรื อพนักงานคูธ่ ุรกิจอย่างน้ อยร้ อยละ 97 โดยในตอนจัดตังบริ ้ ษัท ได้ มีการลดเกณฑ์ การรับสมัครพนักงานเพื่อ เปิ ดโอกาสให้ กบั คนลํ าปางมากขึ น้ ปั จจุบนั ปูนลําปางมีพนักงานทังสิ ้ ้น 291 ราย และพนักงานคูธ่ ุรกิจ 1,300 ราย โดย ยังคงรักษาสัดส่วนตามข้ อกําหนดอย่างเคร่งครัด • สร้ างความเจริ ญ โดยการจดทะเบียนจัดตัง้ บริ ษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ลํ าปาง) จํากัด เพื่อให้ ภาษี จากบริ ษัทนํามาใช้ ประโยชน์กบั คนในพื ้นที่ โดยในแต่ละปี ปูนลํ าปาง เสียภาษี รวมราว 500 ล้ านบาท


• รักษาสิ่งแวดล้ อม โดยการกําหนดมาตรการด้ านสิ่ งแวดล้ อมภายในโรงงานอย่าง เคร่งครัด ฟื น้ ฟูพื ้นที่ป่าโดยรอบโรงงาน รวมทังร่ ้ วมกิจกรรมกับชุมชนในการสร้ าง ฝายชะลอนํ ้า • เป็ นพลเมือ งดี ของลํ า ปาง ผ่ านโครงการสนับสนุน ชุมชนในลักษณะเงิ นให้ เ ปล่ า สําหรับกิจกรรมในจังหวัดลําปาง ปูนลําปางยึดหลักการทัง้ 4 ข้ อจวบจนปั จจุบนั โดยพยายามลดความกังวลให้ กบั ชุมชนในพื ้นที่ในเรื่ องมลภาวะเช่น ฝุ่ น เสี ยง กลิ่ น โดยมีการตรวจวัดคุณภาพอากาศและ ผลกระทบทุกๆ 6 เดื อ น เพื่ อ จัดทํ า รายงานการปฏิ บตั ิ ตามมาตรการป้องกัน และแก้ ไข ผลกระทบสิ่งแวดล้ อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้ อม ส่งให้ กบั สํ านัก นโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อม ปูนลํ าปางดํา เนิน หลายมาตรการเพื่ อคลายความกัง วลของคนในพื ้นที่ เช่น การ ระเบิดหินจะกระทําในช่วงเวลา 15.00 – 16.00 น. โดยจํากัดเพียงวันละ 1 ครัง้ และต้ องแจ้ ง ให้ ชมุ ชนทราบก่อน อีกทังจะต้ ้ องสํารวจโพรงหิน โดยจะไม่ทําการระเบิดหากพบว่าเป็ นแหล่ง ที่อยู่อาศัยของสัตว์ ส่วนเรื่ องฝุ่ นและกลิ่ นนัน้ โรงงานของปูนลํ าปางได้ มีการใช้ การขนส่ ง ระบบปิ ด มี แ นวป่ าช่ว ยป้ องกันฝุ่ นละออง และใช้ เ ทคโนโลยี Electrostatic precipitator (ESP) ในการดักจับฝุ่ นละอองจากกระบวนการผลิต เพื่อนําเข้ าสู่กระบวนการผลิต นอกจากนี ้ ปูนลําปางยังกําหนดมาตรการเพื่อลดความกังวลในการคมนาคม โดย ห้ ามการขนส่งในเวลากลางคืน กําหนดความเร็ วของรถขนส่งทังของโรงงานและคู ้ ค่ ้ า และรถ ทุกคันต้ องมีผ้าใบคุลมมิดชิดทุกครัง้ จึงจะผ่านด่านตรวจของโรงงาน จากข้ อมูลการตรวจวัดเมื่อปี พ.ศ.2557 พบว่ามลภาวะทังฝุ่ ้ น ไนโตรเจนออกไซด์ และซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ มีปริ มาณตํ่ากว่าเกณฑ์ มาตรฐานกําหนดอย่างมาก เช่นเดียวกับ ระดับเสียง และแรงสั่นสะเทือน ของทังบริ ้ เวณสํ านักงานและชุมชนโดยรอบ ที่ยงั คงอยู่ใน เกณฑ์มาตรฐาน


นอกจากการควบคุมมลภาวะ อีกความสําเร็ จที่โดดเด่นของปูนลํ าปางคือการฟื น้ ฟู พื ้นที่ป่าโดยรอบโรงงาน โดยร่วมมือกับหน่วยวิจยั การฟื น้ ฟูป่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อ เลือกชนิดพันธุ์ไม้ ที่เหมาะสมกับสภาพพื ้นที่ และเป็ นชนิดพันธุ์ พื ้นถิ่น รวมทังเริ ้ ่ มสร้ างฝาย โดยใช้ ศูน ย์ ศึกษาการพัฒ นาห้ ว ยฮ่อ งไคร้ อัน เนื่ อ งมาจากพระราชดํ า ริ จ.เชียงใหม่ เป็ น ต้ นแบบ ในการฟื ้นฟูพื ้นที่ ป่า ปูน ลํ าปางได้ จดั ให้ มีพนักงานจํานวนหนึ่งในการรั บผิ ดชอบ ด้ านดูแลและป้องกันป่ า ตังแต่ ้ กระบวนการเฝ้าระวังไฟป่ า การลักลอบตัดไม้ และล่าสัตว์ ไป จนถึง การดูแลกล้ าไม้ แ ละการปลูกทดแทน จากสถิติไฟป่ าพบว่า ปี พ.ศ.2542 ที่ บริ เวณ ดังกล่าวเผชิญไฟป่ า 226 ครัง้ แต่ระหว่างปี พ.ศ. 2553 ถึง พ.ศ. 2557 สถิติการเกิดไฟป่ าใน พื ้นที่ก็ลดลงอย่างมาก เฉลี่ยเกิดไฟป่ าราวปี ละ 2 ครัง้ เท่านัน้ บริ ษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ลํ า ปาง) ยังทํางานร่ วมกันองค์กรภาคเอกชนเช่น กองทุน สัตว์ป่าโลกประเทศไทย (World Wide Fund for Nature: WWF) และชมรมอนุรักษ์ นกและ ธรรมชาติล้านนา เพื่อสํารวจประชากรสัตว์ป่าและพันธุ์พืช พบว่าในพื ้นที่ปนู ลําปาง พบสัตว์ ทังหมด ้ 210 ชนิดพันธุ์ ประกอบด้ วยสัตว์เลื อ้ ยคลาน 19 ชนิด สัตว์ครึ่ งบกครึ่ งนํ ้า 11 ชนิด สัตว์เลี ้ยงลูกด้ วยนม 14 ชนิด และนก 166 ชนิด ส่วนพืชทังหมด ้ 57 ชนิดพันธุ์ ตัวเลขดังกล่าวนับเป็ นสถิติที่นา่ สนใจ โดยเฉพาะชนิดพันธุ์นก ซึง่ ในปี พ.ศ. 2542 มี การสํ ารวจพบเพียง 32 ชนิด แต่ปัจจุบนั เพิ่มขึน้ เป็ น 166 ชนิด คิดเป็ นราวร้ อยละ 15 ของ ชนิดพันธุ์นกที่พบทังหมดในประเทศไทย ้ นอกจากนี ้ เอสซี จี ยัง ได้ ดํา เนิ น โครงการ เอสซี จี รั กษ์ นํ า้ เพื่ อ อนาคต โดยการ สนับสนุนการสร้ างฝายตามแนวพระราชดําริ ในพื ้นที่การดําเนินงานของเครื อเอสซีจี โดยมี พื ้นที่ลําปางเป็ นพื น้ ที่ขับเคลื่ อนหลัก ผ่านการทํางานร่ วมกับ 43 ชุมชน ในการสร้ างฝาย ชะลอนํ ้าจํานวน 53,641 ฝายตังแต่ ้ เริ่ มดําเนินโครงการจนถึงปี พ.ศ. 2557


ปูนลําปาง กับนวัตกรรมการทําเหมือง พื ้นที่ สัมปทานเหมื อ งปูน ของ บริ ษั ท ปูน ซิเ มนต์ ไทย (ลํ า ปาง) จํ า กัด เป็ นพื น้ ที่ ต้ นแบบในการนํานวัตกรรมการทําเหมืองรู ปแบบใหม่เรี ยกว่า Semi-Open Cut Mining ซึ่ง จะแตกต่างจากการทําเหมืองแบบดังเดิ ้ มที่จะระเบิดจากแนวภูเขาด้ านนอก (Side Hill Cut) การทําเหมืองในรู ปแบบ Semi-Open Cut เป็ นการประยุกต์มาจากการทําเหมือง แบบ Top Cut หรื อ Open Cut โดยตัดถนนสู่ยอดเขา ค่อยๆปรับพื ้นที่ด้านบนให้ ราบเรี ยบ แล้ วดําเนินการระเบิดหิน จากด้ านใน เว้ นพื ้นที่ภูเขาโดยรอบไว้ อย่างน้ อยร้ อ ยละ 30 เพื่ อ รักษาทัศนียภาพรวมถึงทิศทางลมดังเดิ ้ มไว้ นอกจากนี ้ แนวเขาโดยรอบยังเป็ นแนวกําบัง ตามธรรมชาติที่ ช่ว ยลดมลภาวะทังเสี ้ ยง และฝุ่ น จากการทํ าเหมือ ง การทํ า เหมือ งแบบ Semi-Open Cut ได้ รับการยกย่องว่าเป็ นนวัตกรรมการทําเหมืองที่มีผลกระทบสิ่ งแวดล้ อม ตํ่าโดย Cement Sustainability Initiative เมื่อปี พ.ศ. 2545 การทํา เหมื องแบบ Semi-Open Cut ยังสามารถดํ าเนินแผนการฟื น้ ฟูเหมือ งไป พร้ อมกับการผลิตได้ เนื่องจากการระเบิดหินในเหมืองจะดําเนินการเป็ นขัน้ ๆคล้ ายขัน้ บันได ขันละประมาณ ้ 15 เมตร เมื่อบดย่อยปูนในขันนั ้ นเสร็ ้ จเรี ยบร้ อยแล้ วก็จะระเบิดขันต่ ้ อไป ทํา ให้ พื ้นที่ในเหมืองบางส่วนจะไม่มีการดําเนินการผลิ ตอีก ปูนลํ าปางจึงจับมือกับหน่วยวิจยั การฟื น้ ฟูป่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อคัดเลือกชนิดพันธุ์ไม้ และพัฒนาวิธีการที่เหมาะสม ในการฟื น้ ฟูพื ้นที่เหมืองหินปูนให้ กลับมามีสภาพใกล้ เคียงกับระบบนิเวศดังเดิ ้ มมากที่สุด การทยอยลงทุนในการฟื น้ ฟูระบบนิเวศ เป็ นการกระจายความเสี่ ยงด้ านค่าใช้ จ่าย ภายหลังหยุดดําเนินการ ที่จากเดิมต้ องใช้ เงิ นทุนก้ อนใหญ่ครัง้ เดียวในโครงการปิ ดเหมือง ตามเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนดไว้ อย่า งไรก็ ดี การทํ า เหมื อ งในรู ป แบบ Semi-Open Cut ยัง มี ข้ อ เสี ยเปรี ยบเช่ น ระยะเวลาในการปรับพื ้นที่หน้ าเหมืองซึง่ ต้ องมีการวางแผนและใช้ เวลาประมาณ 2 ปี ก่อนที่ จะสามารถดําเนินการผลิตได้ ซึง่ จะแตกต่างจากการทําเหมืองแบบระเบิดภูเขาด้ านนอกที่


สามารถดําเนินการได้ ทนั ที นอกจากนี ้ บริ ษัทยังเสียโอกาสในการผลิ ตหินปูนราวร้ อยละ 30 จากปริ มาณสํารองที่ขอประทานบัตร หลั ง จากการทดลองนํ า นวัต กรรมการทํ า เหมื อ งมาทดลองใช้ ที่ ปู น ลํ า ปางได้ ผลสําเร็ จ บริ ษัทในกลุ่ม เอสซีจี ก็ได้ นํารู ปแบบ Semi-Open Cut ไปปรับใช้ กบั ทุกเหมืองปูน ที่มีอยู่ นอกจากนี ้ โรงงานปูนลําปางยังกลายเป็ นพื ้นที่ตวั อย่างที่สําคัญในการได้ มาซึ่งการ อนุญาตให้ ประกอบกิจการจากสังคม โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผา่ นมา กลุ่มบริ ษัท เอสซีจี ได้ เริ่ มดําเนินการขยายตลาดและแหล่งผลิตปูนซีเมนต์สู่ประเทศในอาเซียน ปูนลํ าปางจึงเป็ น ตัวอย่างการอยูร่ ่วมกันระหว่างสังคม ธรรมชาติ และอุตสาหกรรม ที่เป็ นรู ปธรรม ซึง่ สามารถ โน้ มน้ าวให้ ชมุ ชนยอมรับการเข้ าไปดําเนินการของ เอสซีจี นอกจากการนํานวัตกรรมการทําเหมืองที่ลดผลกระทบด้ านสิ่ งแวดล้ อมมาใช้ ปูน ลําปางยังนําเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อลดค่าใช้ จา่ ย และลดการพึ่งพิงการใช้ ลิ กไนต์ ใ นกระบวนการเผาปูน เม็ ด เช่น การติ ดตัง้ ระบบการผลิ ตไฟฟ้าแบบ Gasifier ที่ สามารถนําเชื ้อเพลิงลิกไนต์ผสมเปลือกดิน ซึง่ เป็ นเชื ้อเพลิงคุณภาพตํ่าและเป็ นของเหลือทิ ้ง จากการทําเหมืองลิกไนต์ เชื ้อเพลิงดังกล่าวมีราคาถูกกว่าลิกไนต์ราวครึ่งหนึง่ โดยปูนลําปาง นํามาใช้ เพื่อทดแทนลิกไนต์ราวร้ อยละ 16 โรงงานปูนลํ าปางยังรับซื ้อเชื ้อเพลิ งแข็ งทดแทน (Refuse Derived Fuel : RDF) จากชุมชน โดยจัดตังศู ้ นย์จดั การขยะอย่างมีส่วนร่วม โดยเริ่ มจากภายในโรงงานปูนลํ าปาง และขยายผลไปยังเทศบาลตําบลบ้ านสา เทศบาลตําบลจุน บ้ านสามขา และบ้ านสบลื น โดยจะคัดแยกขณะ และส่งเชื ้อเพลิ งแข็ งทดแทนปริ มาณราว 10 ถึง 15 ตันต่อเดือนมายัง โรงงานปูนลําปาง เพื่อใช้ เป็ นเชื ้อเพลิง เมื่อปี พ.ศ. 2552 ปูนลําปางยังดําเนินการติดตังระบบผลิ ้ ตไฟฟ้าโดยลมร้ อนที่เหลือ จากกระบวนการเผาปูนเม็ด ปั จจุบนั ระบบสามารถผลิ ตไฟฟ้าได้ 8.5 เมกะวัตต์ ช่วยลด ภาระการซื ้อไฟฟ้าจากภายนอกลงประมาณร้ อยละ 30 และลดการปล่อยก๊ าซเรื อนกระจก 7,723 ตันต่อปี


การนํ า นวัตกรรมและเทคโนโลยี ท งั ้ การผลิ ตไฟฟ้าและการทํ าเหมื อ งปูน ทํ า ให้ บริ ษั ทปูน ซิเมนต์ไทย (ลํ า ปาง) จํ ากัดเป็ นผู้ประกอบการรายแรกของประเทศไทยที่ได้ รั บ รางวัลโรงงานสีเขียวระดับที่ 5 หรื อ ระดับ “เครื อข่ายสีเขี ยว” โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่ง หัวใจสําคัญของรางวัลดังกล่าวคือการเสริ มสร้ าง ทําความเข้ าใจ และสานสัมพันธ์ กิจกรรม ด้ านสิ่งแวดล้ อมกับผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่อปุ ทาน สรุ ป บริ ษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) หรื อกลุ่มบริ ษัท เอสซีจี เผชิญกับความท้ า ทายในการขยายฐานการผลิตปูนซีเมนต์ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้ านในอาเซียน เนื่องจากความ กัง วลต่อ ผลกระทบที่ อ าจเกิดจากการทํ าเหมือ งปูน เช่น ฝุ่ นละออง ซัล เฟอร์ ไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ มลภาวะทางเสียง การทําลายพื ้นที่ป่า และทัศนียภาพ เอสซีจีตอบรับความท้ าทายนันโดยคิ ้ ดค้ นนวัตกรรมการทําเหมืองแบบ Semi-open Cut และเลือกจังหวัดลํ าปางที่กําลังจะเปิ ดดําเนินการผลิ ตปูนซีเมนต์แห่งใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2537 เป็ นพื ้นที่ต้นแบบ ภายใต้ การดูแลของ บริ ษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ลํ าปาง) จํากัด ที่กลุ่ม บริ ษัท เอสซีจี ถือหุ้นทังหมด ้ การทําเหมืองแบบ Semi-open Cut แตกต่างจากการทําเหมืองแบบทัว่ ไป โดยจะ เว้ นพื ้นที่ภูเขาโดยรอบไว้ เพื่อรักษาทัศนียภาพรวมถึงทิศทางลมดังเดิ ้ ม และแนวเขาโดยรอบ ยังเป็ นแนวกําบังตามธรรมชาติช่วยลดมลภาวะทังเสี ้ ยง และฝุ่ นจากการทําเหมือง การทํา เหมืองแบบ Semi-Open Cut ได้ รับการยกย่องว่าเป็ นนวัตกรรมการทําเหมืองที่มีผลกระทบ สิ่งแวดล้ อมตํ่า โดย Cement Sustainability Initiative เมื่อปี พ.ศ. 2545 นอกจากนี ้ ปูนลํ าปางยังดําเนินการเพิ่มประสิ ทธิ ภาพการใช้ ไฟฟ้าเพื่อลดการซื อ้ ไฟฟ้าจากภายนอก และลดการพึง่ พิงลิกไนต์ โดยติดตังเครื ้ ่ อง Gasifier ที่สามารถใช้ ลิกไนต์ ผสมเปลือกดินเป็ นเชื ้อเพลิง ติดตังเตาเผาเชื ้ ้อเพลิงแข็งทดแทน โดยร่วมมือกับชุมชนในการ กําจัดขยะ และติดตังระบบผลิ ้ ตไฟฟ้าจากลมร้ อนที่เหลือจากกระบวนการเผาปูนเม็ด


ความโดดเด่นอีกประการหนึ่ง คือการตังพั ้ นธกิจของบริ ษัทในการรับพนักงานที่มี ภูมิลําเนาอยูใ่ นจังหวัดลําปาง ซึง่ นอกจากจะสร้ างงานให้ กบั ชุมชนใกล้ เคียง ลดแรงต่อต้ าน และยังเพิ่มระดับธรรมาภิบาลภายในบริ ษัท เนื่องจากมีกลไกตรวจสอบภายในที่เข้ มข้ นจาก คนภายในชุมชนเอง สิ่งที่นา่ แปลกใจสําหรับโรงงานปูนลําปางคือสภาพพื ้นที่โดยรอบโรงงานผลิตซีเมนต์ และเหมืองปูน ซึง่ ปูนลําปางได้ ดําเนินการพลิกฟื น้ จากป่ าเสื่อมโทรมให้ กลับมาเป็ นป่ าที่อดุ ม สมบูรณ์ และมี ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีการสํ ารวจพบชนิดพันธุ์ สัตว์กว่า 200 ชนิด และชนิดพันธุ์พืชกว่า 50 ชนิด สอดรับกับพันธกิจของ เอสซีจี ที่ต้องการแสดงให้ เห็นว่า อุตสาหกรรมสามารถอยูร่ ่วมกับธรรมชาติได้ การดําเนินงานอย่างต่อเนือ่ งของปูนลําปางทําให้ เกิดผลลัพธ์ ที่เป็ นรู ปธรรม ปั จจุบนั โรงงานปูนลํ าปางได้ กลายเป็ นพื ้นที่ต้นแบบในการขอการอนุญาตให้ ประกอบกิจการจาก สัง คม หรื อ License to Operate สํ า หรั บการขยายฐานการผลิ ตปูน ซีเ มนต์ แห่งใหม่ท งั ้ ภายในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยสามารถคลายกังวลถึงผลกระทบจากการทําเหมือง ปูนลงได้ จากการมาเห็นพื ้นที่ดําเนินการจริ ง



เจริ ญโภคภัณฑ์ อาหาร ระบบนิเวศ กับความเสี่ยงด้ านชื่อเสียง บริ ษัท เจริ ญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) หรื อซีพีเอฟ เป็ นหนึ่งบริ ษัทในเครื อ เจริ ญ โภคภั ณ ฑ์ กลุ่ ม ธุ ร กิ จ ที่ ใ หญ่ ที่ สุ ด ในประเทศไทย หรื อ เครื อ ซี พี ซึ่ง ดํ า เนิ น ธุ ร กิ จ หลากหลายตัง้ แต่ เ กษตรกรรม อาหาร ร้ านค้ า ปลี ก โทรคมนาคม ไปจนถึ ง พัฒ นา อสังหาริ มทรัพย์ ซีพีเอฟ นับว่าเป็ นธุรกิจดังเดิ ้ มของเครื อเจริ ญโภคภัณฑ์ ปั จจุบนั ดําเนินการภายใต้ วิสัยทัศน์การก้ าวขึ น้ เป็ น “ครัวของโลก” โดยดําเนินธุ รกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตังแต่ ้ ต้นนํ ้าถึงปลายนํ ้า โดยธุรกิจของซีพีเอฟ แบ่งออกเป็ น 4 ส่วนงานหลักคือ ธุ รกิจอาหาร สัตว์ ธุรกิจเลี ้ยงสัตว์ ธุรกิจอาหาร และธุรกิจค้ าปลี กและร้ านอาหาร ที่มีการจําหน่ายสิ นค้ า ตังแต่ ้ เนื ้อสัตว์ ไปจนถึงอาหารพร้ อมรับประทานภายใต้ ตราสิ นค้ าซีพี โดยสิ นค้ าของซีพีเอฟ ได้ มีการส่งไปจําหน่ายครอบคลุมประมาณ 40 ประเทศทัว่ โลก จากสัดส่วนโครงสร้ างรายได้ ของซีพีเอฟและบริ ษัทย่อยในปี พ.ศ. 2557 พบว่า ซีพี เอฟมีแ หล่ง รายได้ ภายในประเทศไทยคิดเป็ นร้ อยละ 40 ในขณะที่มีร ายได้ จากกิจ การ ต่างประเทศสูงถึงร้ อยละ 58 โดยมีแนวโน้ มสูงขึ ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจที่เป็ นแหล่งรายได้ หลัก ของซีพีเอฟคืออาหารสัตว์ ที่มีแหล่งรายได้ จากในประเทศร้ อยละ 12 และต่างประเทศร้ อยละ 40 รองลงมาคื อผลิ ตผลจากฟาร์ มเลี ย้ งสัตว์ คิ ดเป็ นสัดส่ว นในประเทศร้ อยะ 18 และ ต่างประเทศร้ อยละ 16 ส่วนรายได้ จากธุรกิจอาหารในประเทศคิดเป็ นเพียงร้ อยละ 10 และ ร้ อยละ 2 ในตลาดต่างประเทศ ซีพีเอฟดําเนินธุรกิจหลักในประเทศไทยโดยการทําฟาร์ มสุกร ไก่เนื ้อ ไก่ไข่ เป็ ด กุ้ง และปลา ในรู ปแบบครบวงจร ตังแต่ ้ การผลิตอาหารสัตว์เพื่อจัดจําหน่าย การขายพันธุ์ สัตว์ การแปรรู ปขัน้ พื ้นฐาน ไปจนถึงการเพิ่มมูลค่า เป็ นอาหารปรุ งสุก อาหารกึ่งสํ าเร็ จรู ป และ อาหารพร้ อมรับประทาน การทําธุรกิจตังแต่ ้ ต้นนํ ้าถึงปลายนํ ้าของซีพีเอฟ ส่งผลให้ บริ ษัทมีห่วงโซ่อุปทานที่ ใหญ่และยาว โดยเฉพาะห่วงโซ่อุปทานอาหารสัตว์ที่ซีพีเอฟดําเนินการจัดซื ้อวัตถุดิบผ่าน


หน่วยงานกลาง โดยมีวตั ถุดิบหลักที่จดั ซื ้อคือ ข้ าวโพด กากถัว่ เหลือง ปลาป่ น และแป้งสาลี โดยในปี พ.ศ. 2557 ซีพีเอฟจัดซื ้อสินค้ าจากภายในประเทศคิดเป็ นร้ อยละ 59 จากทังหมด ้ ระบบการจัดซื ้อที่ผ่านหน่วยงานกลางนี ้เอง ทําให้ ซีพีเอฟไม่ได้ เข้ าถึงคูค่ ้ าในระดับที่ สูงกว่า Tier 1 เช่นเกษตรกร เนื่องจากการจัดซื ้อวัตถุดิบส่วนใหญ่มกั จะซื ้อผ่านพ่อค้ าคน กลาง เช่น ไซโลรวบรวมข้ า วโพด เป็ นต้ น ระบบดัง กล่ า วทํา ให้ เ กิดความเสี่ ยงในห่ว งโซ่ อุปทาน โดยเฉพาะในด้ านชื่อเสียง เช่น การกล่าวพาดพิงถึงซีพีเอฟ ในกรณี การละเมิดสิ ทธิ มนุษยชนในอุตสาหกรรมประมง และการทําประมงแบบทําลายล้ าง หรื อกรณี หมอกควัน และการทําลายป่ าในพื ้นที่สูงทางตอนเหนือของไทย ที่ ซีพีเอฟ ต้ องรับผิ ดชอบในฐานะที่ บริ ษัทเป็ นผู้รับซื ้อข้ าวโพดเลี ้ยงสัตว์รายใหญ่ ความไม่ยั่งยืนในห่วงโซ่อุป ทานของ ซีพีเอฟ เป็ นสิ่ ง ที่บริ ษัทยากจะปฏิ เสธความ รั บผิ ดชอบ อย่า งไรก็ ดี ความไม่ยั่ง ยื น ดัง กล่ า วนอกจากจะกระทบต่อ สิ่ ง แวดล้ อ ม และ ภาพลักษณ์ ข ององค์ กร ในท้ า ยที่ สุ ด ก็ จ ะเป็ นความเสี่ ยงในการดํ า เนิ น ธุ ร กิ จ ของบริ ษั ท เนื่องจากอุตสาหกรรมการเกษตรและการได้ มาซึง่ วัตถุดิบเพือ่ ผลิตอาหารสัตว์ ต่างต้ องพึง่ พิง นิเวศบริ การ ไม่วา่ จะเป็ นนํ ้า แร่ธาตุ หรื อถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งหากปล่อยให้ เกิดผลกระทบทาง สิ่งแวดล้ อมเฉกเช่นที่เป็ นอยูป่ ั จจุบนั สุดท้ าย ซีพีเอฟ ย่อมจะเผชิญกับความเสี่ ยงที่วตั ถุดิบ จะขาดแคลน ซึง่ ส่งผลไปตลอดห่วงโซ่คณ ุ ค่าของธุรกิจ ปั ญหาห่ วงโซ่ อุปทานปลาป่ นในประเทศไทย ปลาป่ น คือวัตถุดิบหลักที่จะให้ สารอาหารประเภทโปรตีนในอาหารสัตว์ ปลาป่ น ส่วนใหญ่ถกู นําไปใช้ เป็ นวัตถุดิบในอาหารกุ้ง และอาหารปลา จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศ ไทยซึง่ เป็ นผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ที่สุดในโลกจะมีอตุ สาหกรรมอาหารสัตว์ที่จําเป็ นต้ องใช้ ปลา ป่ นจํานวนมาก ปลาป่ นโดยทั่วไปมีลักษณะเป็ นผงสี นํ ้าตาล ผลิ ตมาจากปลาเป็ ด (thrash fish) หมายถึงปลาที่มีมลู ค่าทางเศรษฐกิจตํ่า เช่น ลูกปลา หรื อปลาที่ผ้ บู ริ โภคไม่นิยมรับประทาน


ซึง่ เป็ นผลผลิตพลอยได้ จากการประมง และเศษปลา (trimmings) หมายถึงผลผลิตพลอยได้ จากโรงงานแปรรู ปอาหารทะเล เช่น หัวปลา หรื อกระดูก สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย แจกแจงวัตถุดิบในการผลิ ตปลาป่ นในประเทศไทย ดังนี ้ เศษปลาจากโรงงานผลิตปลากระป๋ องร้ อยละ 35 เศษปลาจากโรงงานผลิ ตซูริมิร้อยละ 20 ปลาเป็ ดร้ อยละ 18 ปลาชนิดอื่นๆ ร้ อยละ 15 เศษปลาจากโรงงานผลิตอาหารทะเลอื่นๆ ร้ อยละ 10 และปลาเป็ ดจากน่านนํ ้าต่างประเทศร้ อยละ 2 โดยราคาของปลาป่ นจะขึ ้นอยูก่ บั ระดับคุณภาพที่อ้างอิงจากสัดส่วนโปรตีน เถ้ า เกลือ ความชื ้น และกาก จากสถิติของสมาคมผู้ผลิตปลาป่ นไทย ไทยมีประมาณปริ มาณปลาป่ นที่ผลิตได้ ใน ประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2549 – 2554 เฉลี่ยราวปี ละ 500,000 ตัน นับว่าเป็ นผู้ผลิตรายใหญ่ อันดับ 3 ของโลกรองจากประเทศเปรู และชิลี ปริ มาณปลาป่ นที่ผลิ ตได้ ในประเทศไทยมี แนวโน้ มคงที่ แ ม้ ว่า จะมี ค วามต้ อ งการปลาป่ นเพิ่ ม ขึ น้ อย่ า งต่อ เนื่ อ ง สะท้ อ นให้ เ ห็ น ถึ ง ทรัพยากรในทะเลไทยที่ร่อยหรอลงอย่างมีนยั สําคัญ การรับซื ้อปลาเป็ ดเพื่อนํามาผลิ ตเป็ นปลาป่ นสร้ างแรงจูงใจไปสู่การใช้ เครื่ องมื อ ประมงผิดกฎหมาย เช่นการใช้ อวนลาก หรื ออวนรุ น ที่มีตาขนาดเล็ กกว่าขนาดที่เหมาะสม ตามแผนแม่บทจัดการทะเลไทย ส่งผลให้ เกิดการจับปลาเกินขนาด โดยมีปลาเป็ ดซึ่งมีราคา ตํ่าเป็ นรายได้ เสริ มจากการประมง แต่ส่งผลร้ ายต่อระบบนิเวศใต้ ทะเลในระยะยาว ที่ผ่านมา ผู้รับซื ้อปลาเป็ ดไม่ได้ สนใจถึงที่มาหรื อวิธีการได้ มาของปลาเป็ ดเหล่านัน้ โดยจะรั บ ซื อ้ ตามคุ ณภาพของสิ น ค้ า เป็ นหลั ก แต่ ปั จ จุ บ ัน การผู้ รั บ ซื อ้ ปลาเป็ ดก็ ต้ อ ง ดํ า เนิ น การอย่ า งระมัด ระวัง มากขึ น้ หลั ง จากที่ สํ า นัก ข่ า วเดอะการ์ เ ดี ย นเปิ ดเผยว่ า อุตสาหกรรมประมงไทยมีการใช้ แรงงานทาส อีกทังเรื ้ อประมงของไทยหลายลําก็ยงั เป็ นเรื อที่ ไม่มีทะเบียนถูกต้ องตามกฎหมาย โดยมีการเชื่อมโยงห่วงโซ่อปุ ทานจากการใช้ ปลาเป็ ดเพื่อ ผลิ ตปลาป่ น ใช้ ปลาป่ นเพื่อผลิ ตอาหารสัตว์ และใช้ อาหารสัตว์เพื่อผลิ ตสิ นค้ าเกษตร ซึ่ง กระทบผู้ส่งออกกุ้งชันนํ ้ าของโลกอย่างเครื อซีพี


การเปิ ดเผยข้ อมูลดังกล่าวทําให้ สหภาพยุโรปส่งสัญญาณเตือนโดยให้ ‘ใบเหลื อง’ เนื่องจากประเทศไทยไม่ให้ ความร่วมมือในการต่อต้ านการทําประมงผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้ การควบคุม หรื อ ไอยูยู (Illegal, Unreported and Unregulated Finishing: IUU) อย่างเพียงพอ โดยสหภาพยุโรปเรี ยกร้ องให้ ประเทศไทยปรับปรุ งกฎหมายด้ านการประมงให้ สอดคล้ องกับหลักการสากล ปรับปรุ งแผนระดับชาติในการป้องกัน ขจัด และยับยัง้ การทํา ประมงผิ ดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้ การควบคุม รวมถึง จัดทํ า ระบบตรวจสอบ ย้ อนกลับสินค้ าประมง ปั ญหาการประมงที่ ไม่ยั่งยื น ในประเทศไทย ส่ ง ผลโดยตรงต่อ ซีพีเอฟ ทัง้ ในแง่ ภาพลักษณ์ และห่วงโซ่อปุ ทาน ที่หากบริ ษัทยังไม่ดําเนินการแก้ ไขให้ มีความยัง่ ยืนยิ่งขึน้ ก็ จะประสบปั ญหาทังส่ ้ วนของต้ นนํ ้า คือการจัดหาวัตถุดิบเพื่อผลิ ตปลาป่ นที่นบั วันจะยิ่งร่ อย หรอลงเพราะการประมงเกินขนาด และปลายนํ ้า คือการกีดกันทางการค้ าจากสหภาพยุโรป ซึง่ เป็ นตลาดกุ้งแช่แข็งสําคัญของซีพีเอฟ ปั ญหาห่ วงโซ่ อุปทานข้ าวโพดเลีย้ งสัตว์ ในประเทศไทย ในปี พ.ศ.2555 ประเทศไทยผลิ ตข้ าวโพดเลี ย้ งสัตว์ได้ เกือบ 5 ล้ านตันจากพื ้นที่ เพาะปลูกทัว่ ประเทศกว่า 7.3 ล้ านไร่ โดยข้ าวโพดเลี ย้ งสัตว์กว่าร้ อยละ 94 ถูกนําไปใช้ ใน อุต สาหกรรมการผลิ ต อาหารสั ตว์ โดยจัง หวัด ที่ มี ก ารเพาะปลู กข้ าวโพดมากที่ สุ ด คื อ เพชรบูรณ์ รองลงมาคือนครราชสีมา เลย น่าน และตาก จากสถิติของสมาคมผู้ผลิ ตอาหารสัตว์ไทย พบว่าข้ าวโพดเลี ย้ งสัตว์เป็ นวัตถุดิบ หลักที่ ใช้ ใ นการผลิ ตอาหารสัตว์ โดยคิดเป็ นกว่าร้ อ ยละ 50 ของปริ มาณวัตถุดิบทัง้ หมด ความต้ องการอาหารเลี ย้ งสัตว์ มีแ นวโน้ มสู งขึ น้ อย่า งต่อเนื่อง จากความต้ อ งการบริ โภค เนื อ้ สัตว์ แ ละประชากรที่ มากขึ น้ ข้ า วโพดเลี ย้ งสัตว์ เ ป็ นอาหารเพื่ อให้ คาร์ โบไฮเดรต ซึ่ง สามารถทดแทนด้ ว ยพื ช ชนิดอื่ นเช่น มัน สํ า ปะหลัง และข้ า วสาลี แต่ก็ไม่ส ามารถนํ า มา ทดแทนได้ ทงหมด ั้ เนื่องจากข้ าวโพดมีสารอาหารจําเป็ นบางชนิดที่วตั ถุดิบอื่นไม่มี


ที่ผ่ า นมา ภาครั ฐ เองก็ มีน โยบายอุดหนุนราคาข้ า วโพดเลี ย้ งสัตว์ ในช่ว งที่ ร าคา วัตถุดิบมีแนวโน้ มตกตํ่า เช่นนโยบายจํานําข้ าวโพดเลี ้ยงสัตว์ แต่ปัจจัยหลักที่เป็ นตัวกําหนด ราคาในประเทศไทยนอกจากความชื ้น เชื อ้ รา และสิ่ ง เจือ ปน คือ ราคารับซื อ้ ของโรงงาน อาหารสัตว์ในเครื อซีพีเอฟ ที่ถือว่าเป็ นผู้มีอํานาจต่อรองสูงที่สุดในห่วงโซ่อปุ ทาน มีงานวิจยั หลายชิ ้นบ่งชี ้ว่า เกษตรกรที่ปลูกข้ าวโพดเลี ้ยงสัตว์โดยเฉพาะที่เพาะปลูก บนพื น้ ที่ ช ัน มี แ นวโน้ ม เข้ า ไปติ ดอยู่ ใ นวงจรของความยากจน เพิ่ ม ความเหลื่ อ มลํ า้ ทาง เศรษฐกิจเนื่องจากการกู้ยืมนอกระบบ ในขณะที่เกษตรกรผู้ปลูกข้ าวโพดบนที่ราบอาจสะสม ความมั่ง คั่ง ได้ บ้ า ง นอกจากนี ้ การเพาะปลู ก ข้ าวโพดเลี ย้ งสั ตว์ ยัง ส่ ง ผลกระทบทาง สิ่งแวดล้ อมอย่างชัดเจน จากการใช้ สารเคมี และการเผาเพื่อเตรี ยมพื ้นที่เพาะปลูก เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2558 ปั ญหาการเผาเพื่อเตรี ยมแปลงเพาะปลูกสะท้ อนให้ เห็นอย่างเด่นชัด เนื่องจากหมอกควันจากการเผาได้ ลอยปกคลุมเหนือน่านฟ้าเมืองท่องเที่ยว สําคัญอย่าง จ.เชียงใหม่ โดยมีปริ มาณฝุ่ นละอองขนาดเล็กหรื อ PM10 อยู่ในระดับอันตราย คือเกินค่ามาตรฐานที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็ นปั ญหาเรื อ้ รังของภาคเหนือที่ มักเกิดขึ ้นทุกปี และยังไม่สามารถหาทางแก้ ไขได้ นอกจากปั ญหาหมอกควัน เครื อซีพียงั โดนโจมตีว่าเป็ นสาเหตุในฐานะผู้รับซื ้อราย ใหญ่ที่ทําให้ เกษตรกรบุกรุ กพื ้นที่ป่าเพื่อเปลี่ ยนเป็ นพื ้นที่เพาะปลูกข้ าวโพด โดยเฉพาะการ แปรสภาพพื ้นที่ป่าต้ นนํ ้าสู่การเป็ นพื ้นที่เกษตรกรรม ที่อาจนําไปสู่การเกิดภัยธรรมชาติ เช่น นํ ้าหลาก หรื อดินถล่ม ที่รุนแรงยิ่งขึ ้น โดยมีการศึกษาใน จ.น่าน บ่งชี ้ว่าในแต่ละปี มีการบุก รุ กพื ้นที่ป่าราว 70,000 – 100,000 ไร่ ระหว่างปี พ.ศ.2550 – 2555 และพื ้นที่ดงั กล่าวเกิน กว่าครึ่งได้ กลายเป็ นพื ้นที่ปลูกข้ าวโพด ทังสองปั ้ ญหาส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์ ของบริ ษัท ซีพีเอฟ แม้ จะมีการ ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนในการส่งเสริ มการเผาไร่ หรื อการบุกรุ กพื ้นที่ป่า แต่ก็ยากจะปฏิเสธ ว่าผู้กอ่ ปั ญหาเหล่านันอยู ้ ใ่ นห่วงโซ่อปุ ทานข้ าวโพดเลี ย้ งสัตว์ที่ส่งมายัง ซีพีเอฟ เพื่อใช้ เป็ น


วัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ นอกจากนี ้ ยังเป็ นความเสี่ยงในห่วงโซ่อปุ ทาน เนื่องจากอาจ มีวตั ถุดิบต้ นนํ ้าไม่เพียงพอต่อความต้ องการ การแก้ ไขปั ญหาห่ วงโซ่ อุปทานปลาป่ นและข้ าวโพด หลังจากมีการเรี ยกร้ อง และกล่าวโจมตีการได้ มาซึ่งวัตถุดิบของ ซีพีเอฟ ว่าขาด ความยัง่ ยื น บริ ษัทก็ ได้ ทําการปรับปรุ ง ภาพลักษณ์ โดยจับมือกับพัน ธมิตรทังภาครั ้ ฐและ ภาคเอกชน ดําเนินโครงการเพื่อแก้ ไขปั ญหาโดยเริ่ มจากห่วงโซ่อปุ ทานปลาป่ นเพื่อการผลิ ต กุ้งอย่างยัง่ ยืน ต้ นปี 2556 ซีพีเอฟ ได้ ประกาศแผนการ 10 ข้ อเพื่อแก้ ปัญหาความไม่ยงั่ ยืนในห่วง โซ่อปุ ทานปลาป่ น โดยมีใจความสําคัญคือ การใช้ วตั ถุดิบทดแทนปลาป่ นให้ มากที่สุด และ ทําการวิจยั เพื่อหาส่วนผสมที่จะมาทดแทนปลาป่ นในอาหารสัตว์ รวมทังกํ ้ าหนดว่าคู่ค้าใน ห่วงโซ่อปุ ทานปลาป่ นของ ซีพีเอฟ จะต้ องทําตามระบบการรับรองปลาป่ นของประเทศไทย และได้ รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ระบบรับรองปลาป่ นในประเทศไทยเริ่ มใช้ อย่างเป็ นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 ด้ วยความร่ วมมือของ 5 องค์กร ประกอบด้ วย สมาคมผู้ผลิ ตอาหารสัตว์ไทย สมาคมผู้ผลิตปลาป่ นไทย กรมประมง กรมปศุสตั ว์ และสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ซึง่ ระบบดังกล่าว ชางประมงจะต้ องลงทะเบียนอุปกรณ์ทําประมงอย่างถูกกฎหมาย และต้ อง บันทึกข้ อมูลประเภทของปลาที่จบั ได้ เพื่อส่งข้ อมูลให้ กบั โรงงานปลาป่ นต่อไป โดยมีกรม ประมงเป็ นหน่วยงานหลักในการตรวจสอบเอกสาร ระบบรับรองปลาป่ นในประเทศไทยในปั จจุบนั ยังเป็ นระบบแบบสมัครใจ โดยมี ซีพี เอฟ รายเดียวเท่านัน้ ที่ดําเนินการตามกรอบข้ อกําหนดดังกล่าว โดยคู่ค้าที่ทําตามเงื่ อนไข ของซีพีเอฟจะได้ รับค่าตอบแทนพิเศษ (premium pays) จากบริ ษัท อย่างไรก็ดี ราวกลางปี 2557 ซีพีเอฟ ถูกโจมตีอีกครัง้ หลังจากมีการเปิ ดโปงถึงการ ใช้ แรงงานทาสในอุตสาหกรรมประมงไทย ซีพีเอฟ จึง กํ าหนดหลักเกณฑ์ การตรวจสอบ เอกสารปลาป่ นและผลิ ตภัณฑ์ ของปลาป่ น ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2557 โดยปลาป่ นที่


บริ ษัทจะรับซื ้อนอกจากจะต้ องมีเอกสารแหล่งที่มาและการทําประมงที่ถกู ต้ องตามแนวทาง ของระบบรับรองปลาป่ นในไทย คูค่ ้ าของ ซีพีเอฟ ยังต้ องมีเอกสารด้ านแรงงานเพื่อป้องกัน การค้ า มนุษ ย์ โดยจะต้ อ งแสดงใบรั บ รองสถานประกอบกิ จ การที่ ไม่ใ ช่ แ รงงานเด็ กผิ ด กฎหมาย และแรงงานบังคับ ซึง่ รับรองโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นอกจากนี ้ ซีพีเอฟ ยังร่วมผลักดันการจัดตังกลุ ้ ่มการพัฒนาความยัง่ ยืนการประมง ของไทย (Thai Sustainable Fisheries Roundtable: TFSR) ซึ่งได้ รวบรวมผู้มีส่วนได้ ส่วน เสียจาก 8 สมาคม ในห่วงโซ่อปุ ทานประมงตังแต่ ้ ต้นนํ ้าถึงปลายนํ ้า สามองค์กรสากล และ สองหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้ อง ปั จจุบนั TFSR อยู่ในระหว่างการทํางานร่ วมกับกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wide Fund for Nature - WWF) เพื่อปรับปรุ งการทําประมงรวมทังการจั ้ ดการเพาะเลี ้ยงสัตว์ นํ ้าให้ เกิดความยัง่ ยืน โดยยึดตามหลักมาตรฐานการทําประมงของสํานักงานคณะกรรมการ รับรองมาตรฐานสิ นค้ าประมง (MSC – Marine Stewardship Council) และสํ านักงาน คณะกรรมการรับรองมาตรฐานการเพาะเลี ย้ งสัตว์นํ ้า (ASC – Aquaculture Stewardship Council) ซึง่ อยูใ่ นขันการประเมิ ้ นเบื ้องต้ น คือเก็บรวบรวมข้ อมูล และค้ นหาช่องว่างระหว่าง แนวปฏิบตั ิของประมงไทยและมาตรฐานสากล ส่วนวัตถุดิบชนิดอื่นนัน้ เมื่อปี พ.ศ. 2557 ซีพีเอฟ ได้ จดั ทํานโยบายด้ านการจัดหา อย่างยัง่ ยืนและแนวปฏิบตั ิสําหรับคูค่ ้ าธุรกิจ เพื่อเป็ นการแสดงเจตนารมณ์ในการขับเคลื่ อน ทังห่ ้ วงโซ่อปุ ทานสู่ความยัง่ ยืน นโยบายดังกล่าวกําหนดกรอบการดําเนินการกว้ างๆ 4 ด้ าน คือ ด้ านผลิตภัณฑ์และบริ การ เน้ นคุณภาพและความปลอดภัยในอาหาร ด้ านบุคลากร ให้ ความสําคัญด้ านสิทธิ มนุษยชน ด้ านกระบวนการ มุ่งสร้ างความตระหนักด้ านสิ่ งแวดล้ อม และด้ านการดําเนินงาน ส่งเสริ มการดําเนินธุรกิจตามหลักการกํากับดูแลกิจการที่ดี ซีพีเอฟ ได้ วางแผนจะดําเนินการตามนโยบายข้ างต้ น โดยเริ่ มส่งต่อแนวปฏิ บตั ิไป ยังคูค่ ้ าธุรกิจเป้าหมาย คือ ผู้ผลิตวัตถุดิบหลักเพื่อการผลิตอาหารสัตว์ เครื่ องปรุ ง และบรรจุ


ภัณฑ์ Tier 1 ให้ ครบ 100 เปอร์ เซ็นต์ภายในปี พ.ศ. 2558 และทําการประเมินให้ ครบถ้ วน ภายในปี พ.ศ. 2562 อย่างไรก็ดี แนวปฏิ บตั ิข้างต้ นยังเป็ นเพียงกรอบดําเนินการกว้ างๆ ซึ่งในส่วนการ แก้ ไขปั ญหาห่วงโซ่อปุ ทานข้ าวโพดเลี ้ยงสัตว์นนั ้ ทางบริ ษัทได้ วางแผนจะกําหนดระเบียบการ รับซื ้อเพิ่มเติมโดยจะรับซื ้อข้ าวโพดเลี ย้ งสัตว์จากแปลงเกษตรที่มีเอกสารสิ ทธิ ถูกต้ องตาม กฎหมายเท่านัน้ ส่วนการแก้ ปัญหาการเผาแปลงเกษตรหลังเก็บเกี่ยวโดยสร้ างแรงจูงใจทาง เศรษฐกิจให้ เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมยังดําเนินการได้ ยาก เนื่องจากผลผลิตข้ าวโพดที่ ได้ จากไร่ ที่ เผาและไม่เผามี ลักษณะไม่แตกต่างกัน ทําให้ จํา เป็ นต้ องตรวจสอบย้ อนไปยัง แปลงเกษตรเพื่อยืนยันว่าไม่มีการเผา นอกจากแนวทางการแก้ ไขปั ญหาข้ างต้ น ซีพีเอฟ มีแผนจะดําเนินโครงการ ‘เกษตร พึง่ ตน ข้ าวโพดยัง่ ยืน’ ซึง่ ได้ ดําเนินการในพื ้นที่นําร่องคือ จ.นครราชสีมา เพื่อนํามาปรับใช้ ใน พื ้นที่ที่มีความเสี่ยงจะก่อให้ เกิดปั ญหาหมอกควันทางภาคเหนือ โครงการดังกล่าวเป็ นการ สร้ างองค์ความรู้ ที่ถูกต้ องในการปลูกข้ าวโพด เช่น การปรั บปรุ งคุณภาพเครื่ องมือเกษตร และการนําเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เพื่อลดต้ นทุนและเพิ่มผลผลิต แม้ จะอยูใ่ นช่วงเริ่ มต้ นการแก้ ไขปั ญหาความไม่ยงั่ ยืนในห่วงโซ่อุปทานทังปลาป่ ้ น และข้ าวโพดเลี ย้ งสั ต ว์ แต่ ก ารเปลี่ ย นแปลงของบริ ษั ท ชนาดใหญ่ อ ย่ า ง ซี พี เ อฟ ก็ เปรี ยบเสมือนการตังบรรทั ้ ดฐานใหม่ให้ กบั อุตสาหกรรมการเกษตร และมีโอกาสผลักดันให้ แนวทางการปฏิบตั ิดงั กล่าวได้ รับการยอมรับทังในภาครั ้ ฐและภาคเอกชน อีกทังยั ้ งตอกยํ ้าให้ เห็นถึงความเสี่ยงและปั ญหาของห่วงโซ่อปุ ทานที่ไม่ยงั่ ยืน ซึง่ ที่ผ่านมามีเพียงไม่กี่บริ ษัทที่ให้ ความสําคัญ ส่วนการแก้ ปัญหาจะมีผลลัพธ์ เป็ นเช่นไรนันก็ ้ เป็ นเรื่ องยากที่จะให้ คําตอบ สรุ ป บริ ษัท เจริ ญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) นับเป็ นกรณีศกึ ษาที่นา่ สนใจในแง่ผ้ ู ก่อ ให้ เ กิ ดผลกระทบทางอ้ อม เนื่อ งจากเป็ นผู้ รั บซื อ้ วัตถุดิบรายใหญ่ และผลกระทบต่อ


สิ่งแวดล้ อมเกิดจากกิจกรรมในห่วงโซ่อปุ ทานของบริ ษัท ส่งผลให้ ประชาสังคมมองเครื อซีพี ในแง่ลบ และเรี ยกร้ องให้ บริ ษัทออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ปั ญหาในห่วงโซ่อุปทานที่น่าสนใจ คือห่วงโซ่อุปทานผลิ ตอาหารสัตว์ในกิจกรรม จัดหาวัตถุดิบเพื่อผลิตอาหารสัตว์ ซึง่ ถือเป็ นกิจกรรมต้ นนํ ้าของ ซีพีเอฟ ก่อนที่จะนําอาหาร สัตว์เหล่านันป ้ ้ อนสู่ฟาร์ มปศุสตั ว์ และผลิตเป็ นเนื ้อสัตว์ ก่อนจะนําไปแปรรู ปเพื่อเพิ่มมูลค่าที่ ปลายทาง วัตถุดิบเพื่อผลิตอาหารเลี ้ยงสัตว์ที่สําคัญและมีปัญหาในห่วงโซ่อปุ ทานคือ ปลาป่ น ซึง่ บางส่วนผลิตมาจากปลาเป็ ด ซึง่ หมายถึงปลาเล็ กปลาน้ อยที่ติดมากับอวน หรื อปลาที่มี มูลค่าตํ่าทางเศรษฐกิจ โดยมีการเปิ ดเผยว่าในอุตสาหกรรมประมงไทยมีการใช้ แรงงานทาส และยัง มี การทํ า ประมงผิ ดกฎหมาย ไม่ร ายงาน และไร้ การควบคุม หรื อ ไอยูยู (Illegal, Unreported and Unregulated Finishing: IUU) อี กทังยั ้ งประสบปั ญหาผลผลิ ตตกตํ่ า เนื่องจากการใช้ เครื่ องมือประมงทําลายล้ าง เช่น อวนลาก อวนรุ น ส่วนข้ าวโพดเลี ้ยงสัตว์ก็นบั เป็ นวัตถุดิบที่โดนโจมตีหนักไม่แพ้ กนั โดยภาคประชา สังคมมองว่าการปลูกข้ าวโพดเลี ้ยงสัตว์ที่แพร่หลายมากยิ่งขึ ้นเป็ นการสนับสนุนให้ ประชาชน บุกรุ กพื ้นที่ป่า โดยเฉพาะพื ้นที่ป่าต้ นนํ ้าในพื ้นที่ลาดชัน เช่น จ.น่าน อีกทังปั ้ ญหาหมอกควัน จากการเผาแปลงเกษตร ที่เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2558 หมอกควันดังกล่าวได้ ปกคลุมเหนือ จ.เชียงใหม่ ส่งผลให้ มีฝุ่นละอองในอากาศเกินเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัย ซีพีเ อฟ แก้ ไขปั ญหาในส่ วนของปลาป่ น โดยกํ า หนดหลักเกณฑ์ การตรวจสอบ เอกสารปลาป่ นและผลิ ตภัณฑ์ จ ากปลาป่ น โดยปลาป่ นที่ บริ ษั ท จะรั บซื อ้ ต้ อ งมี เอกสาร แหล่งที่มาและการทําประมงที่ถกู ต้ อง รวมถึงเอกสารด้ านแรงงานเพื่อป้องกันการค้ ามนุษย์ โดยให้ คา่ ตอบแทนพิเศษแก่คคู่ ้ าที่สามารถทําตามเงื่อนไข นอกจากนี ้ ซีพีเอฟ ยังผลักดันการจัดตังกลุ ้ ่มการพัฒนาความยัง่ ยืนการประมงของ ไทย (Thai Sustainable Fisheries Roundtable: TFSR) โดยร่ วมกับกองทุนสัตว์ป่าโลก สากล (World Wide Fund for Nature - WWF) เพื่อปรับปรุ งการทําประมงรวมทังการจั ้ ดการ


เพาะเลี ย้ งสั ตว์ นํ า้ ให้ เ กิ ดความยั่ง ยื น ตามหลักมาตรฐานการทํ า ประมงของสํ า นักงาน คณะกรรมการรับรองมาตรฐานสินค้ าประมง (MSC – Marine Stewardship Council) และ สํ านักงานคณะกรรมการรั บรองมาตรฐานการเพาะเลี ย้ งสัตว์นํ ้า (ASC – Aquaculture Stewardship Council) ส่วนปั ญหาห่วงโซ่อปุ ทานข้ าวโพดเลี ้ยงสัตว์นนั ้ ซีพีเอฟ มีแผนจะดําเนินการโดยไม่ รับซื ้อข้ าวโพดที่ไม่มีเอกสารสิทธิที่ดินที่ถกู ต้ องตามกฎหมาย รวมทังมี ้ แผนจะดําเนินโครงการ เผยแพร่วิธีปฏิบตั ิที่เหมาะสมแก่เกษตรกรเพื่อลดปั ญหาการเผาไร่ข้าวโพดหลักการเก็บเกี่ยว แม้ ปัจ จุบัน จะยัง ไม่เ ห็ น ผลลัพธ์ ที่ ช ัดเจนนัก แต่ก็น ับว่า ซี พีเ อฟ ได้ ตระหนักถึง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้ อมที่เกิดขึ ้นในห่วงโซ่อปุ ทาน และความเสี่ยงต่อชื่อเสียงหากบริ ษัทไม่ ลงมือแก้ ไขปั ญหา ในฐานะบริ ษัทเกษตรกรรมรายใหญ่ การวางมาตรฐานและหลักเกณฑ์ใน การแก้ ไ ขปั ญหา ย่อ มสามารถสร้ างบรรทัด ฐานให้ กับ อุ ตสาหกรรมโดยรวม และเป็ น แบบอย่างให้ ธุรกิจตลอดห่วงโซ่อปุ ทานมุง่ สู่การทําธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ ้น



แดรี่ โฮม ระบบนิเวศสร้ างความได้ เปรี ยบในการแข่ งขัน ตลาดผลิ ตภัณฑ์ น มพร้ อมดื่มในไทยเมื่อปี พ.ศ. 2557 เติบโตเพิ่มขึน้ ถึงร้ อยละ 7 และมีมลู ค่าสูงถึง 51,000 ล้ านบาท ผลิตภัณฑ์ที่เติบโตอย่างโดดเด่นคือนมสดและนมพาส เจอร์ ไรซ์ ที่เติบโตสูงถึงร้ อยละ 12 โดยปั จจัยหลักที่กระตุ้นให้ มีการเติบโตคือผลิ ตภัณฑ์ นม พร้ อมดื่มในระดับพรี เมียมที่ผ้ เู ล่นรายใหญ่เข้ ามาบุกตลาดไม่นานนัก แม้ มลู ค่าตลาดจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ต้นทุนในการผลิ ตนํ ้านมดิบก็มีแนวโน้ ม เพิ่มสูงขึ ้นเช่นกัน ภายใต้ กลไกการควบคุมราคาโดยคณะกรรมการโคนมและผลิ ตภัณฑ์ นม ซึง่ จะทําการพิจารณาถึงต้ นทุนนํ ้านมดิบจากทังรายเล็ ้ ก รายกลาง และรายใหญ่ โดยนํามา เฉลี่ยเพื่อหาราคารับซื ้อที่เหมาะสม ทําให้ เกษตรกรรายเล็ กมักจะเสี ยเปรี ยบเนื่องจากส่วน ใหญ่จะมีต้นทุนสูงกว่าต้ นทุนเฉลี่ย นอกจากนี ้ แนวโน้ มราคานํ ้านมดิบที่เพิมสูงขึ ้น ยังอาจทํา ให้ ผ้ บู ริ โภคหันไปบริ โภคสินค้ าทดแทนเช่น นมถัว่ เหลืองที่ราคายังไม่เปลี่ยนแปลง ตลาดนมพร้ อมดื่มนับว่ามีการแข่งขันค่อนข้ างสูง ทังภายในตลาดสิ ้ นค้ าจากนํ ้านม และตลาดสินค้ าทดแทน โดยมีผ้ เู ล่นรายใหญ่ เช่น รอยัลฟรี สแลนด์คมั พิน่า ผู้ผลิ ตนมยี่ห้อ โฟร์ โมสต์ ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึงร้ อยละ 17 รองลงมาคือ แลคตาซอย ผู้ผลิ ตนมถัว่ เหลื อง รายใหญ่ โดยมีส่วนแบ่งตลาดราวร้ อยละ 15 และอันดับสามคือ กรี นสปอต อีกหนึง่ ผู้ผลิตนม ถัว่ เหลืองรายใหญ่แบรนด์ไวตามิลค์ โดยมีส่วนแบ่งตลาดราวร้ อยละ 14 นอกจากนี ้ ส่วนแบ่งตลาดของผลิ ตภัณฑ์ นํ ้านมวัวมีแนวโน้ มลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะการเติบโตของผลิตภัณฑ์ทดแทนอย่างนมถัว่ เหลื อง และการเข้ ามาในตลาดของนม แพะ ซึง่ มีอตั ราการเติบโตในระดับตัวเลขสองหลักต่อเนื่องมาราว 5 ปี สภาวะการแข่งขันที่สูงขึ ้น และการเข้ ามาของคูแ่ ข่งรายใหม่ คือภาพที่ พฤฒิ เกิดชู ชื่น คาดเดาได้ กอ่ นดําเนินการบริ ษัท แดรี่ โฮม จํากัด บริ ษัทที่เน้ นผลิ ตผลิ ตภัณฑ์ จากนํ ้านม อินทรี ย์ โดยมียอดขายราว 80 ล้ านบาท แม้ อาจจะไม่มากนักหากเปรี ยบเทียบกับผู้เล่นราย ใหญ่ แต่ก็นบั ว่าแดรี่ โฮมสามารถมีที่ยืนในตลาดระดับพรี เมียม ในฐานะแบรนด์ที่ผ้ ูบริ โภค ยอมจ่ายราคาแพงเพื่อให้ ได้ สินค้ าคุณภาพดีและรสชาติอร่อย


ปั จ จุบัน แดรี่ โฮมมี ผ ลิ ตภัณฑ์ ท งั ้ สิ น้ 41 รายการ แบ่ง เป็ นนมพาสเจอร์ ไรซ์ 23 รายการ 11 รสชาติ โยเกิร์ตแบบถ้ วย 12 รายการ และโยเกิร์ตพร้ อมดื่ม 6 รายการ โดยมี สินค้ าโดดเด่นที่ยงั ไม่มีคแู่ ข่งเช่น Bed Time Milk ที่มีระดับเมลาโทนินตามธรรมชาติสูง ช่วย ให้ นอนหลับสนิท หรื อ Grass Fed Milk นํ ้านมจากวัวนมที่เลี ย้ งตามธรรมชาติในทุ่งหญ้ า อินทรี ย์ ความได้ เปรี ย บในการแข่ ง ขั น ของแดรี่ โ ฮมคื อ การใช้ ว ั ต ถุ ดิ บ นํ า้ นมอิ น ทรี ย์ คุณภาพสูง โดยมีการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้ มงวด ณ ฟาร์ มที่จําหน่ายนํ ้านมดิบให้ กบั แด รี่ โฮม แต่ด้วยมาตรฐานเหล่านี ้เอง ที่ทําให้ ในตอนแรกเริ่ มดําเนินธุรกิจแดรี่ โฮมต้ องเผชิญกับ ความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากความเข้ าใจผิ ดบางประการในการทําฟาร์ มโคมนม อินทรี ย์ของเกษตรกร ผลกระทบสิ่งแวดล้ อมของฟาร์ มโคนม ความต้ องการผลิตภัณฑ์นมนันเพิ ้ ม่ สูงขึ ้นอย่างต่อเนื่องทัว่ โลก และยังมีศกั ยภาพใน การเติบโตได้ อีกมาก เนื่องจากปริ มาณการบริ โภคนมต่อคนต่อปี ในประเทศกําลังพัฒนานัน้ ตํ่ากว่าประเทศพัฒนาแล้ วราว 5 – 7 เท่า รายได้ ที่เพิ่มขึ ้นย่อมทําให้ ประชากรที่เริ่ มมีกําลังซื ้อ มีความต้ องการอาหารประเภทโปรตีนมากขึ ้นและนมคือผลิตภัณฑ์หนึง่ ในนัน้ ปั จจุบนั เกษตรกรนับล้ านคนดูแลโคนมราว 270 ล้ านตัวทัว่ โลกเพื่อผลิตนํ ้านมป้อน ตลาด แต่น้อยคนที่จะทราบว่าการทําฟาร์มโคนมส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้ อมอย่างมากในแง่ ของก๊ าซเรื อนกระจก ฟาร์ มปศุสตั ว์เป็ นแหล่งปลดปล่อยก๊ าซเช่น มีเทน ไนตรัสออกไซด์ และ คาร์ บอนไดออกไซด์ โดยในประเทศที่มีการทําฟาร์ มโคมนมอย่างแพร่ หลายเช่น นิวซีแลนด์ การปล่ อยก๊ าซเรื อนกระจกจากอุตสาหกรรมฟาร์ มโคนมคิ ดเป็ นราวร้ อ ยละ 20 ของการ ปลดปล่อยก๊ าซเรื อนกระจกของทังประเทศ ้ ส่วนรอยเท้ าคาร์ บอนจะมีปริ มาณมากน้ อยเท่าไร ขึ ้นอยูก่ บั วิธีทางการเกษตรของเกษตรกร และขนาดของฟาร์ ม นอกจากการปลดปล่อยก๊ าซเรื อนกระจกแล้ ว ฟาร์ มโคมนมยังก่อให้ เกิดมลภาวะ ทางนํ ้าจากการกําจัดมูลโคโดยกรรมวิธีที่ไม่เหมาะสมเช่นใช้ นํ ้าชะล้ างและไม่มีการบําบัด


ก่อนปล่อยลงสูค่ ลองสาธารณะ ซึง่ อาจทําให้ เกิดโรคระบาดจากนํ ้าที่สกปรก รวมไปถึงห่วงโซ่ อุปทานการผลิตอาหารโคที่มกั มีการใช้ สารเคมีที่มีองค์ประกอบของไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ซึง่ เป็ นมลภาวะต่อทังนํ ้ ้าผิวดินและนํ ้าใต้ ดิน นอกจากนี ้ การปลูกพืชเชิงเดี่ยวเช่น ข้ าวโพด มันสําปะหลัง และถัว่ เหลือง เพื่อผลิตอาหารโคยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการชะล้ างพังทลายของ ดินเนื่องจากการสูญเสียพืชคลุมหน้ าดินอีกด้ วย ในบางประเทศที่มีการทําฟาร์ มโคมนมอย่างหนาแน่น เช่น ทางตอนเหนือของทวีป ยุโรปและเอเชีย การทําฟาร์ มโคนมยังทําให้ เกิดปั ญหามลภาวะทางอากาศจากแอมโมเนีย จากระบบการจัดเก็บมูลโคที่ไม่เหมาะสม สร้ างปั ญหากลิ่นรบกวนในชุมชนบริ เวณใกล้ เคียง การทําปศุสัตว์นบั ว่าเป็ นการเกษตรที่ใช้ พื ้นที่ราว 2 ใน 3 ของพื ้นที่เกษตรทัว่ โลก ส่งผลให้ เกิดการตัดไม้ ทําลายป่ า ในบางพื ้นที่ที่มีการปลูกหญ้ าเพื่อเลี ้ยงโคก็อาจกลายสภาพ เป็ น ‘ทะเลทรายสี เ ขี ย ว’ เนื่ อ งจากการทํ า ฟาร์ ม โคมนมอย่ า งเข้ มข้ นได้ ทํ า ลายความ หลากหลายทางชีวภาพในชนิดพันธุ์พืช แมลง และนก ซึง่ เป็ นข้ อกังวลโดยเฉพาะในฟาร์ มโค นมซึง่ ตังอยู ้ บ่ นภูเขา หากมีการทําฟาร์ มโคนมแบบอุตสาหกรรมที่ขงั โคไว้ อย่างแออัดในพื ้นที่แคบและเร่ง โคให้ ผลิตนํ ้านมจํานวนมากโดยเพิ่มอาหารข้ นและอาหารเม็ด อาจนําไปสู่ความเครี ยดและ โรคในโค ซึง่ ทําให้ โคมีผลิตภาพตํ่าลง เพิ่มการปลดปล่อยก๊ าซเรื อนกระจก และจําเป็ นต้ องใช้ ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการ อย่างไรก็ดี ผลกระทบสิ่ งแวดล้ อมต่อการผลิ ตนมหนึ่งลิ ตรมีแนวโน้ มลดลงอย่า ง ต่ อ เนื่ อ ง เนื่ อ งจากการพัฒ นาเทคโนโลยี ใ หม่ ที่ เ พิ่ ม ประสิ ท ธิ ภ าพในการผลิ ต ตัง้ แต่ กระบวนการผลิตอาหารโค ไปจนถึงการพัฒนาความรู้ ทางปศุสตั ว์ อย่างไรก็ดี ประสิ ทธิ ภาพ ที่เพิ่มสูงขึ ้นไม่ได้ ชว่ ยแก้ ปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้ อมจากฟาร์ มโคนม เนื่องจากอุปสงค์จาก ประเทศกําลังพัฒนาที่เพิ่มมากขึ ้น ทําให้ อตุ สาหกรรมฟาร์ มโคนมก็เร่ งขยายกําลังการผลิ ต เพื่อตอบสนองความต้ องการดังกล่าว


ความท้ าทายในการทําฟาร์ มโคนมอินทรี ย์ นอกจากการทํา ฟาร์ มโคนมแบบอุตสาหกรรมที่ จํ าเป็ นต้ อ งมีข นาดใหญ่เ พื่อ ลด ต้ นทุน ฟาร์ มโคนมอินทรี ย์ก็นบั ว่าเป็ นทางเลื อกที่ตอบโจทย์สําหรับเจ้ าของฟาร์ มขนาดเล็ ก และขนาดกลาง โดยกระแสบริ โภคผลิตภัณฑ์จากนํ ้านมอินทรี ย์นนเกิ ั ้ ดจากการตระหนักถึง คุณค่าทางโภชนาการที่สูงกว่านมทัว่ ไป รวมถึงความกังวลผลกระทบด้ านสิ่ งแวดล้ อม และ ประเด็นด้ านสวัสดิภาพสัตว์ โดยตลาดผลิตภัณฑ์จากนมอินทรี ย์โลกมีขนาดใหญ่เป็ นอันดับ สองรองจากตลาดผักผลไม้ อินทรี ย์เท่านัน้ ข้ อ กํ า หนดหลัก ที่ ทํ า ให้ ฟ าร์ ม โคนมอิ น ทรี ย์ แ ตกต่ า งจากฟาร์ ม โคนมทั่ว ไปคื อ แหล่ง ที่มาของอาหารโคต้ อ งเป็ นพื ชอิ นทรี ย์ โดยจะห้ า มไม่ใ ห้ ใช้ ป๋ ยเคมี ุ เพื่ อเพิ่ มผลผลิ ต รวมถึงห้ ามใช้ ยากําจัดศัตรู พืชในแปลงเกษตร สําหรับการดูแลโคนมก็จะมีข้อห้ ามไม่ให้ ใช้ ยา ปฏิ ชี ว นะในกรณี ที่ เ จ็ บ ป่ วย หรื อ การให้ ฮ อร์ โมนเพื่ อ เพิ่ มโอกาสในการผสมเที ย ม และ กําหนดให้ ที่อยูอ่ าศัยของโคนมต้ องมีความเหมาะสมในแง่ขนาดและความสะอาด โดยมีการ วิจยั พบว่าการทําฟาร์ มโคนมแบบอินทรี ย์จะมีความเสี่ยงด้ านผลกระทบสิ่ งแวดล้ อมตํ่ากว่า การทําฟาร์ มโคนมแบบทัว่ ไป ข้ อกําหนดจํานวนมากข้ างต้ นได้ กลายเป็ นอุปสรรคต่อเกษตรกรในการปรับเปลี่ ยน วิถีฟาร์ มโคนมแบบดังเดิ ้ มมาสู่วิถีอินทรี ย์ อีกทังเกษตรกรยั ้ งมีความเชื่อว่าการทําฟาร์ มโคนม อินทรี ย์จะทําให้ มีรายได้ ลดลงเนื่องจากมีปริ มาณนํ ้านมที่ผลิตได้ ตํ่ากว่าการเลี ย้ งโคนมแบบ ทัว่ ไป ซึง่ พฤฒิ เกิดชูชื่น ผู้กอ่ ตัง้ แดรี่ โฮม อธิ บายว่า โคนมที่เลี ย้ งแบบอินทรี ย์จะให้ ผลผลิ ต ตํ่ากว่าโคนมที่เลี ้ยงโดยทัว่ ไปเพียงเล็กน้ อยเท่านัน้ แม้ วา่ ผลผลิตจะน้ อยกว่า แต่ราคาขายต่อกิโลกรัมที่มากกว่าก็ทําให้ รายได้ จากการ ขายไม่แตกต่างกันมากนัก นอกจากนี ้การทําฟาร์ มโคนมอินทรี ย์ยงั มีข้อได้ เปรี ยบคือมีต้นทุน ในการเลี ย้ งที่ตํ่าลง โดยเฉพาะค่าอาหารข้ น ที่มีต้นทุนลดลงราว 4 เท่า อีกทัง้ ยังช่ว ยลด ค่าใช้ จา่ ยในการดูแลรักษาโคนม เนื่องจากโคที่เลี ้ยงในฟาร์ มอินทรี ย์จะมีอตั ราการเจ็บป่ วยที่ ตํ่ามาก


งานวิจยั “การวิเคราะห์เปรี ยบเทียบต้ นทุนในการเลี ้ยงโคนมอินทรี ย์กบั การเลี ย้ งโค นมทัว่ ไป” โดย กษริ ณ ตริณตระกูล ยืนยันถึงข้ อมูลดังกล่าวผ่านการเปรี ยบเทียบรายได้ และ ต้ นทุน จากกรณี การทําฟาร์ มโคมนมอินทรี ย์ และฟาร์ มโคนมทัว่ ไป ซึ่ง การทํ าฟาร์ มโคนม อินทรี ย์นนจะมี ั ้ อตั รากําไรสุทธิ ที่ราวร้ อยละ 20 สูงกว่าการทําฟาร์ มโคนมทัว่ ไปถึง 3 เท่า นอกจากการปรับ เปลี่ ยนความคิดของเกษตรกรแล้ ว พฤฒิ ยังพบความท้ าทาย สํ า คัญในการทํา ฟาร์ มโคนมอิ นทรี ย์คือการจัดหาวัตถุดิบอิ นทรี ย์เ พื่อ ผลิ ตเป็ นอาหารข้ น สําหรับโคนมเช่น มันสําปะหลัง ถัว่ เหลือง ข้ าวโพด และรํ า ซึง่ เป็ นวัตถุดิบอินทรี ย์ที่ค่อนข้ าง หายากในประเทศไทย เว้ นแต่วา่ ผู้ทําฟาร์ มจะปลูกขึน้ เอง แดรี่ โฮมจึงต้ องเป็ นแกนกลางใน การจัดหาวัตถุดิบดังกล่าวมาให้ เกษตรกร แม้ การปรับเปลี่ ยนสู่วิถีเ กษตรอิน ทรี ย์จะเต็มไปด้ วยความยุ่งยาก แต่ แดรี่ โฮม ก็ สร้ างแรงจูง ใจให้ เกษตรกรโดยนอกจากจะดูแ ลในฐานะพี่เ ลี ย้ ง แดรี่ โฮมยัง รับ ซื อ้ นํ า้ นม อิน ทรี ย์โดยมีการจ่า ยค่า พรี เ มี ยมให้ และเพิ่มราคาเป็ นพิ เ ศษหากฟาร์ มผ่ านการรั บ รอง มาตรฐานปศุสัตว์อินทรี ย์ รวมทังตรวจสอบคุ ้ ณภาพของนํ ้านมดิบโดยเปรี ยบเทียบกับค่า มาตรฐาน เช่น เปอร์ เซ็นต์ไขมัน จํานวนโซมาติกเซลล์ และจํานวนจุลินทรี ย์ โดยมีอตั ราบวก ให้ ในกรณีที่นํ ้านมดิบมีคณ ุ ภาพสูงกว่ามาตรฐานและอัตราลบหากตํ่ากว่ามาตรฐาน นับตังแต่ ้ ปี 2547 จนถึงปั จจุบนั แดรี่ โฮม มีฟาร์ มเครื อข่ายรวม 11 แห่ง โดย 3 แห่ง ได้ รั บการรั บรองมาตรฐานปศุสัตว์ อิ น ทรี ย์ อี ก 7 ฟาร์ มผ่า นระยะเวลาการปรั บ เปลี่ ยน เรี ยบร้ อยและสามารถผลิ ตนํ า้ นมอิ นทรี ย์แล้ ว แต่ยังไม่ผ่ านการรั บรองมาตรฐานอิน ทรี ย์ เนื่องจากข้ อกําหนดบางประการ และอีก 1 ฟาร์ มใหม่ที่กําลังอยูใ่ นกระบวนการปรับเปลี่ยน นมอินทรี ย์ โรงงานสีเขียว และความได้ เปรี ยบในการแข่ งขัน นอกจากการชักชวนเกษตรกรให้ หนั มาเลี ้ยงโคนมอินทรี ย์ที่มีผลกระทบสิ่งแวดล้ อม ในระดับตํ่ากว่าโคนมทัว่ ไป กระบวนการผลิตของแดรี่ โฮมยังได้ รับมาตรฐานความปลอดภัย ด้ านอาหาร รวมทังให้ ้ ความสําคัญกับมาตรการด้ านสิ่ งแวดล้ อม เช่น นโยบายการไม่ปล่อย นํ ้าเสียออกจากโรงงาน โดยปั จจุบนั นํ ้าเสียที่มีการปนเปื อ้ นตะกอนนมจะใช้ วิธีการบําบัดโดย


จุลิน ทรี ย์แลคติกเพื่อให้ นํ ้าเสี ยกลายเป็ นปุ๋ยสํ าหรับทุ่งหญ้ านอกโรงงาน ส่ วนนํ า้ เสี ยที่ใ ช้ สําหรับล้ างเครื่ องจักรจะพักทิ ้งไว้ ในบ่อ และทําการบําบัดโดยใช้ จลุ ินทรี ย์อีเอ็ม ส่ ว นการจัดการด้ า นพลัง งาน โรงงานแดรี่ โฮมได้ เ ข้ าร่ ว มโครงการจัดการด้ า น พลังงาน (Total Energy Management) กับสํ านักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเพื่อวิเคราะห์ ประสิทธิ ภาพการใช้ พลังงานภายในโรงงาน เช่น การกําหนดระเบียบการใช้ ห้องเย็นเพื่อลด การใช้ ไฟฟ้า อีกทังยั ้ งทําการติดตังระบบผลิ ้ ตนํ ้าร้ อนด้ วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อนํานํ ้าร้ อน ดังกล่าวมาใช้ ในกระบวนการพาสเจอร์ ไรซ์ ซึ่งช่วยลดค่าใช้ จ่ายของโรงงานได้ ราวเดือนละ 60,000 บาท สํ าหรับบรรจุภัณฑ์ ของโยเกิร์ตแดรี่ โฮม พฤฒิ ก็เลื อกใช้ บรรจุภัณฑ์ จากพลาสติ ก ชีวภาพซึง่ ถือเป็ นนวัตกรรมด้ านสิ่งแวดล้ อมที่สามารถย่อยสลายได้ ภายใน 6 เดือน สะท้ อน ให้ เห็นถึงความพยายามทิ ้งรอยเท้ าในกระบวนตังแต่ ้ ต้นนํ ้า กลางนํ ้า และปลายนํ ้า ให้ น้อย ที่สุด ความใส่ใจด้ านสิ่ งแวดล้ อมของแดรี่ โฮม กลายเป็ นความได้ เปรี ยบในการแข่งขัน เพราะนอกจากจะช่วยลดต้ นทุนการผลิต และการปลดปล่อยก๊ าซคาร์ บอนไดออกไซด์ แดรี่ โฮมยังมีที่ยืนในตลาดผลิตภัณฑ์นมที่มีการแข่งขันสูง และสามารถขายได้ ในราคาที่สูงกว่า ผลิตภัณฑ์ นมทัว่ ไปราว 35 – 40 เปอร์ เซ็นต์ โดยนําเสนอสิ นค้ าที่แตกต่างด้ านรสชาติจาก ปริ มาณธาตุนํ ้านมที่มีมากกว่าผลิตภัณฑ์นมทัว่ ไปเนื่องจากแดรี่ โฮมจะเลี ้ยงวัวด้ วยหญ้ าเป็ น หลัก ซึง่ นับว่าเป็ นความได้ เปรี ยบที่ผ้ เู ล่นรายใหญ่ยากจะทําตาม ความแตกต่างของผลิ ตภัณฑ์ นมอินทรี ย์ของแดรี่ โฮมสร้ างโอกาสให้ ผลิ ตภัณฑ์ ไป วางจําหน่ายตามร้ านค้ าปลี กขนาดใหญ่โดยเริ่ มจากร้ านค้ าปลี กเพื่อสุขภาพอย่างเลมอน ฟาร์ ม ก่อนที่การโฆษณาแบบปากต่อปากจะทํ าให้ ลู กค้ าซึ่ง อยู่ห่า งไกลแหล่ งผลิ ตได้ ชิ ม รสชาติของนมอินทรีย์ผ่านร้ านค้ าปลีกแบบโมเดิร์นเทรดแห่งอื่นๆ เช่นท็อปส์ซูเปอร์ มาร์ เก็ต กู เมต์ มาร์ เ ก็ ต แม็ กซ์ แ วลู วิ ล ล่ า ร์ มาร์ เ ก็ ต ฟู้ ดแลนด์ เทสโก้ โลตัส และบิ๊ กซี โดยตัว แทน จําหน่ายเข้ ามาติดต่อกับแดรี่ โฮมโดยตรง


นอกจากรสชาติ นํ ้านมอินทรี ย์ยงั มีจดุ เด่นด้ านคุณค่าทางอาหารที่สูงกว่านมทัว่ ไป คือ Conjugated Linoleic Acid หรื อ CLA และกรดไขมันโอเมก้ า 3 ซึ่ง มีประโยชน์ต่อ ร่างกาย และยังมีงานวิจยั พบว่าการเลี ย้ งโคนมแบบปล่อยในทุ่งหญ้ าจะได้ นํ ้านมที่มีไขมัน โปรตีน ธาตุนํ ้านม CLA โอเมก้ า 9 วิตามินเอ วิตามินอี และแคลเซียม สูงที่ สุด เรื่ องราว เหล่านี ้คือโจทย์ของแดรี่ โฮมในการสื่อสารข้ อมูลกับผู้บริ โภค เพื่อสร้ างมูลค่าให้ กบั ผลิตภัณฑ์ สรุ ป ตลาดผลิตภัณฑ์นมในประเทศไทยมีแนวโน้ มการแข่งขันที่รุนแรงขึ ้น จากต้ นทุนการ ผลิตนํ ้านมดิบที่สูงขึ ้นอย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์ทดแทนที่ยงั คงราคาตํ่า และผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ เข้ ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดอย่างนมแพะ นอกจากการแข่งขันที่รุนแรง การทําฟาร์ มโคนมยัง เป็ นอุตสาหกรรมที่มีรอยเท้ าคาร์ บอนขนาดใหญ่ เนื่องจากเป็ นแหล่งปลดปล่อยก๊ าซเรื อน กระจก มลภาวะในนํ ้า และอากาศ รวมถึง การใช้ สารเคมี เพื่อ ปลู กพื ชเชิ งเดี่ยวในห่ว งโซ่ อุปทานอาหารสัตว์ ในฐานะที่เ ป็ นผู้ เล่ นขนาดกลางในตลาด ทังสองโจทย์ ้ ใ หญ่คือสิ่ งที่แ ดรี่ โฮมต้ อ ง ครุ่ น คิ ด ซึ่ง พฤฒิ เกิ ด ชูชื่ น ก็ พ บทางออกที่ ต อบทัง้ สองโจทย์ พร้ อมกัน คื อ การริ เ ริ่ ม ทํ า ผลิตภัณฑ์จากนํ ้านมอินทรี ย์ การทําฟาร์ มโคนมอินทรี ย์ นอกจากจะช่วยลดผลกระทบภายนอกด้ านสิ่ งแวดล้ อม ของฟาร์ ม เกษตรกรที่ตดั สินใจปรับเปลี่ยนฟาร์ มของตนสู่วิถีอินทรี ย์ก็พบว่ามีรายได้ เพิ่มขึน้ จากราคาขายที่มีผลตอบแทนพิเศษ และรายจ่ายที่ลดลงจากการลดใช้ อาหารข้ นรวมถึงยา ปฏิชีวนะ แต่ก้าวแรกของความพยายามหนุนเสริ มฟาร์ มโคนมนันไม่ ้ ง่าย แดรี่ โฮมต้ องเผชิญ กับความเสี่ ยงด้ านปั จจัยการผลิ ตเนื่องจากเกษตรกรหลายรายยังคงมีความเชื่อผิ ดๆ บาง ประการเกี่ยวกับการทํา ฟาร์ มโคนมอินทรี ย์ รวมถึงความท้ าทายในการจัดหาอาหารสัตว์ อินทรี ย์ให้ เพียงพอต่อความต้ องการของเกษตรกร แต่แดรี่ โฮมก็ผา่ นพ้ นความท้ าทายดังกล่าว มาได้ ด้วยดี โดยปั จจุบนั มีฟาร์ มโคนมส่งวัตถุดิบให้ กบั แดรี่ โฮมรวมทังสิ ้ ้น 11 แห่ง


การใช้ นํ ้านมอิ นทรี ย์เป็ นวัตถุดิบยังช่วยสร้ างความได้ เปรี ยบในการแข่งขันให้ กับ ผลิตภัณฑ์ของแดรี่ โฮม แม้ วา่ ราคาสินค้ าแดรี่ โฮมที่สูงกว่าตลาดราวร้ อยละ 35 – 40 แต่ก็ยงั สามารถจับกลุ่มลูกค้ าตลาดพรี เมียมที่ยินดีจะจ่า ยเพื่อให้ ได้ สินค้ าที่ ทงรสชาติ ั้ ดีและดีต่อ สุข ภาพ ซึ่ง ปั จ จุบนั ผลิ ตภัณฑ์ แ ดรี่ โฮมได้ เ ข้ าถึงตลาดในร้ านค้ าปลี กสมัยใหม่ห ลายแห่ง เนื่องจากความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ แม้ จะมีที่ยืนที่ชดั เจนในตลาด แดรี่ โฮมก็ยงั ไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น Bed Time Milk ที่มีระดับเมลาโทนินตามธรรมชาติสูง ช่วยให้ นอนหลับสนิท หรื อ Grass Fed Milk นํ ้านมจากวัวนมที่เลี ้ยงตามธรรมชาติในทุง่ หญ้ าอินทรี ย์ ซึ่งถือเป็ นผลิ ตภัณฑ์ ที่ยงั ไม่มี คู่แข่ งในตลาด พร้ อมกับ งานศึกษาวิ จยั ที่ร องรับว่า ผลิ ตภัณฑ์ นํ ้านมอิน ทรี ย์มีคุณค่า ทาง สารอาหารสู งกว่าผลิ ตภัณฑ์ น มทั่วไป ซึ่ง เป็ นโจทย์ใ หม่ใ นการสื่ อสารข้ อ มูล เหล่ านี ้ไปยัง ผู้บริ โภค แดรี่ โ ฮม จึ ง ถื อ เป็ นกรณี ศึก ษาของธุ ร กิ จ ขนาดกลางที่ น่ า สนใจ โดยใช้ ก ารลด ผลกระทบภายนอกด้ านสิ่งแวดล้ อม และการคํานึงถึงระบบนิเวศผ่านวิถีเกษตรอินทรี ย์ เพื่อ ผลิตสินค้ าที่มีความได้ เปรี ยบทางการแข่งขัน และสร้ างจุดยืนในตลาดที่ชดั เจนของตนเอง



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.