01_

Page 1


บทอ่านที่ 1

กดว 6:22-27

บทอ่านที่ 2

กท 4:4-7

พระวรสาร

ลก 2:16-21

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกอาโรนและบรรดาบุตรว่า “ท่านทั้งหลาย จะต้องอวยพรชาวอิสราเอลดังนี้ ท่านจะต้องกล่าวว่า ‘ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงอวยพร ท่านและพิทกั ษ์รกั ษาท่าน ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสำ�แดงพระพักตร์แจ่มใสต่อท่านและ โปรดปรานท่าน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงผินพระพักตร์มายังท่านและประทานสันติแก่ ท่านด้วยเทอญ’” สมณะจะต้องเรียกขานนามของเราให้ลงมาเหนือชาวอิสราเอลเช่นนี้ แล้วเราจะ สมโภชพระนางมารีย์ อวยพรเขาทั ้งหลาย พระชนนีพระเป็นเจ้า สดด 67:1-2,3-7 วันขึ้นปีใหม่

พี่น้อง เมื่อถึงเวลาที่กำ�หนดไว้ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิด จากหญิงผู้หนึ่ง เกิดมาอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อทรงไถ่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และทำ�ให้ เราได้เป็นบุตรบุญธรรม ข้อพิสจู น์วา่ ท่านทัง้ หลายเป็นบุตรก็คอื พระเจ้าทรงส่งพระจิตของ พระบุตรลงมาในดวงใจของเรา พระจิตผูต้ รัสด้วยเสียงดังว่า “อับบา พ่อจ๋า” ดังนัน้ ท่าน จึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร ถ้าเป็นบุตรก็ย่อมเป็นทายาทตามพระประสงค์ของ พระเจ้า ขณะนั้น คนเลี้ยงแกะจึงรีบไปและพบพระนางมารีย์ โยเซฟ และพระกุมารซึ่ง บรรทมอยู่ในรางหญ้า เมื่อคนเลี้ยงแกะเห็น ก็เล่าเรื่องที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับพระกุมาร ทุกคนทีไ่ ด้ยนิ ต่างประหลาดใจในเรือ่ งทีค่ นเลีย้ งแกะเล่าให้ฟงั ส่วนพระนางมารียท์ รงเก็บ เรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัยและยังทรงคำ�นึงถึงอยู่ คนเลี้ยงแกะกลับไปโดยถวาย พระพรและสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องต่างๆ ที่พวกเขาได้ยินและได้เห็น ตามที่ทูตสวรรค์ บอกไว้ เมือ่ ครบกำ�หนดแปดวัน ถึงเวลาทีพ่ ระกุมารจะต้องทรงเข้าสุหนัต เขาถวายพระนาม พระองค์วา่ เยซู เป็นพระนามทีท่ ตู สวรรค์ให้ไว้กอ่ นทีพ่ ระองค์จะทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ ของพระมารดา

พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดจากหญิงผูห้ นึง่ เพือ่ ช่วยเราให้เป็นอิสระ พระนางมารียไ์ ตร่ตรองเรือ่ งทัง้ หมด และ ได้ตั้งชื่อ เยซู ตามที่พระเจ้าได้สั่งไว้ สมเด็จพระสันตะปาปาปอล ที่ 6 ได้เขียนในพระสมณลิขิตเรื่องความศรัทธาภักดีต่อพระนางมารีย์ ว่า วันฉลองนี้ระลึกถึงบทบาทของแม่พระในธรรมลํ้าลึกการไถ่กู้ แม่พระเป็นมารดาพระเจ้า เป็นโอกาสให้เรา นมัสการพระเยซู เจ้าชายแห่งสันติภาพ ด้วยการฟังข่าวดีจากทูตสวรรค์ และวอนขอสันติภาพเพื่อชุมชนของ เรา อาศัยราชินีแห่งสันติภาพ


บทอ่านที่ 1

1 ยน 2:22-28

ลูกทีร่ กั ทัง้ หลาย ใครเป็นคนพูดคำ�เท็จ ถ้าไม่ใช่คนทีพ่ ดู ว่า พระเยซูไม่ใช่พระคริสต เจ้า ผูน้ คี้ อื ปฏิปกั ษ์ของพระคริสตเจ้า เขาปฏิเสธทัง้ พระบิดาและพระบุตร ทุกคนทีป่ ฏิเสธ พระบุตรก็ไม่มพี ระบิดา คนทีย่ อมรับพระบุตรย่อมมีพระบิดาด้วย ขอให้สงิ่ ทีท่ า่ นทัง้ หลาย ฟังมาตัง้ แต่แรกเริม่ นัน้ คงอยูใ่ นท่าน ถ้าสิง่ ทีท่ า่ นฟังมาตัง้ แต่แรกเริม่ นัน้ คงอยูใ่ นท่าน ท่าน ก็ด�ำ รงอยูใ่ นพระบุตร และในพระบิดา พระสัญญาทีพ่ ระองค์ประทานไว้กค็ อื ชีวติ นิรนั ดร ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลายมามากแล้ว เกี่ยวกับบุคคลที่พยายามชักนำ�ให้หลงผิด แต่ สำ�หรับท่าน การได้รับเจิมจากพระองค์ยังคงอยู่ในท่าน และไม่จำ�เป็นต้องให้ใครมาสอน ท่านอีก เพราะการเจิมของพระองค์นั้นสอนทุกสิ่งให้ท่าน และเพราะการเจิมนั้นเป็นจริง และไม่หลอกลวง จงดำ�รงอยู่ในพระองค์ตามคำ�สั่งสอนที่ท่านได้รับมา ลูกที่รักทั้งหลาย บัดนี้จงดำ�รงอยู่ในพระองค์ เพื่อเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะ ได้มีความมั่นใจ ไม่ต้องหลบเลี่ยงไปจากพระองค์ด้วยความอับอาย ในวันที่พระองค์ เสด็จมา

พระวรสาร

ระลึกถึง น.บาซิล และ น.เกรโกรี่ แห่งเมืองนาซีอันเซน พระสังฆราช และนักปราชญ์ สดด 98:1-2,3-4

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

ยน 1:19-28

ยอห์นเป็นพยานดังนี้ เมื่อชาวยิวจากกรุงเยรูซาเล็มส่งบรรดาสมณะและชาวเลวี ไปถามยอห์นว่า “ท่านเป็นใคร” เขามิได้ปดิ บังความจริง แต่ยนื ยันว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระ คริสต์” ดังนัน้ เขาเหล่านัน้ จึงถามว่า “ถ้าเช่นนัน้ ท่านเป็นใคร เป็นเอลียาห์หรือ” ยอห์น ตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นประกาศกหรือ” เขาตอบอีกว่า “ไม่ใช่” เขา เหล่านัน้ จึงถามว่า “ท่านเป็นใคร เราจะได้น�ำ คำ�ตอบไปให้ผทู้ สี่ ง่ เรามา ท่านพูดถึงตนเอง อย่างไร” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสียงของผู้ที่ร้องตะโกนในถิ่นทุรกันดารว่าจงทำ� ทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงเถิด ดังที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้” ผูท้ ถี่ กู ส่งไปถามนัน้ เป็นชาวฟาริสี เขาถามยอห์นอีกว่า “ทำ�ไมท่านจึงทำ�พิธลี า้ ง ถ้า ท่านไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ และไม่ใช่ประกาศก” ยอห์นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้า ใช้นํ้าทำ�พิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่มีผู้หนึ่งประทับอยู่ในหมู่ท่าน เป็นผู้ที่ท่านไม่รู้จัก ผู้ นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา” เหตุการณ์นเี้ กิดขึน้ ทีห่ มูบ่ า้ นเบธานี อีกฟากหนึง่ ของแม่นาํ้ จอร์แดนซึง่ ยอห์นกำ�ลัง ทำ�พิธีล้างอยู่ พระศาสนจักรระลึกถึงนักบุญยิ่งใหญ่สององค์ของพระศาสนจักรตะวันออก คือ นักบุญบาซิล และ นักบุญเกรโกรี ทั้งสองเกิดที่กัปปาโดเชีย (ตุรกี) ในปี ค.ศ. 329 มาจากครอบครัวครู ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิท กัน เป็นพระสังฆราชด้วยกัน นักบุญบาซิลเป็นพระสังฆราชของเมืองเชซารียา เป็นผู้นำ�ที่ดี สิ้นชีวิตวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 379 อายุ 50 ปี ส่วนนักบุญเกรโกรี ปกครองเมืองคอนสตันติโนเปิล ไม่นานก็ขอลาออกจาก ตำ�แหน่ง กลับไปดำ�เนินชีวิตภาวนา ศึกษาและเขียนหนังสือ สิ้นชีวิตประมาณ ค.ศ. 389/390


พระนามศักดิ์สิทธิ์ ของพระเยซูเจ้า สดด 98:1-2,3-4,5-6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันศุกร์ต้นเดือน

บทอ่านที่ 1

1 ยน 2:29-3:6

พระวรสาร

ยน 1:29-34

ลูกที่รักทั้งหลาย ถ้าท่านรู้ว่า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็ต้องยอมรับว่าทุกคนที่ ประพฤติชอบ ย่อมบังเกิดจากพระองค์ จงดูเถิดว่า ความรักทีพ่ ระบิดาประทานให้เรานัน้ ยิ่งใหญ่เพียงใด เพื่อทำ�ให้เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนั้นจริง โลก ไม่รู้จักเรา เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์ ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย บัดนี้ เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว แต่เราจะเป็นอย่างไรในอนาคต นั้นยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง เราตระหนักดีว่า เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็นเหมือน พระองค์ เพราะเราจะได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์ ย่อมชำ�ระใจของตนให้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่ พระองค์ทรงบริสุทธิ์ ทุกคนที่ทำ�บาป ย่อมฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ เพราะบาปเป็นการฝ่าฝืน ธรรมบัญญัติ ท่านทัง้ หลายตระหนักดีแล้วว่า พระองค์ทรงปรากฏเพือ่ ทรงลบล้างบาปให้ สิ้นไป และไม่มีบาปใดในพระองค์ ทุกคนที่ดำ�รงอยู่ในพระองค์ย่อมไม่ทำ�บาป และทุก คนที่ทำ�บาป ย่อมไม่เคยเห็นและไม่รู้จักพระองค์ วันรุง่ ขึน้ ยอห์นเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมาหาตน จึงกล่าวว่า “นีค่ อื ลูกแกะของพระเจ้า ผูท้ รงลบล้างบาปของโลก ผูน้ คี้ อื ผูท้ ขี่ า้ พเจ้าเคยพูดถึงว่า ‘บุรษุ ผูห้ นึง่ มาภายหลังข้าพเจ้า แต่นำ�หน้าข้าพเจ้า เพราะอยู่มาก่อนข้าพเจ้า’ ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้าถูกส่ง มาให้ทำ�พิธีล้าง เพื่อทำ�ให้พระองค์เป็นที่รู้จักแก่อิสราเอล” ยอห์นยังยืนยันอีกว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนนกพิราบ และทรงอยูเ่ หนือพระองค์ ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ผู้ที่ทรงส่งข้าพเจ้ามาใช้นํ้าทำ�พิธีล้าง ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้า เห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับอยู่เหนือผู้ใด ผู้นั้นคือผู้ที่ทำ�พิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า” ข้าพเจ้าเห็นและเป็นพยานยืนยันว่าท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า’” นักบุญยอห์น แบปติสต์ บอกเราว่า พระเยซูเจ้าคือ ลูกแกะของพระเจ้า ทำ�ให้เรา คิดถึงลูกแกะที่ถูกนำ�ไปฆ่า ที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวถึงผู้รับใช้ผู้ทนทุกข์ (53:7) ทำ�ให้ เราคิดถึงลูกแกะปัสกาในหนังสืออพยพ (12:3) ซึง่ หมายถึงการไถ่กจู้ ากการถูกกดขี่ ทัง้ สองประเด็นคือชี้ให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าไถ่บาปเรา มิใช่แค่บาปของแต่ละคนเท่านั้น พระองค์ทรงขจัดอำ�นาจบาป และมอบพลังใหม่ของพระจิตเจ้าแก่เรา


บทอ่านที่ 1

1 ยน 3:7-10

ลูกทีร่ กั ทัง้ หลาย จงอย่าให้ใครชักนำ�ท่านให้หลงผิด ผูป้ ระพฤติชอบย่อมเป็นผูช้ อบ ธรรม ดังที่พระองค์ทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม ผู้ที่ทำ�บาปย่อมมาจากปีศาจ เพราะปีศาจนั้น ทำ�บาปมาตั้งแต่แรกเริ่ม พระบุตรของพระเจ้าทรงปรากฏ เพื่อทรงทำ�ลายงานของปีศาจ ทุกคนที่บังเกิดจากพระเจ้าย่อมไม่ทำ�บาป เพราะเชื้อชีวิตของพระเจ้าดำ�รงอยู่ในตัวเขา และเขาไม่อาจทำ�บาปได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า เราจำ�แนกบุตรของพระเจ้าจาก บุตรของปีศาจได้โดยวิธีนี้ คือทุกคนที่ไม่ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ก็ไม่ได้ มาจากพระเจ้า

พระวรสาร

ยน 1:35-42

วันรุ่งขึ้น ยอห์นกำ�ลังยืนอยู่ที่นั่นกับศิษย์สองคน เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไป จึงพูดว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า” เมื่อศิษย์ทั้งสองคนได้ยินยอห์นพูดดังนี้จึงติดตาม พระเยซูเจ้าไป พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรเห็นเขากำ�ลังติดตาม พระองค์ จึงตรัสถามว่า “ท่านต้องการสิง่ ใด” เขาทูลตอบว่า “รับบี” แปลว่า พระอาจารย์ “พระองค์ทรงพำ�นักอยู่ที่ไหน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มาดูซิ” เขาจึงไปดู เห็นที่ประทับ ของพระองค์ และพักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสี่โมง อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรเป็นคนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินคำ�พูดของยอห์น และตามพระเยซูเจ้าไป อันดรูว์พบซีโมนพี่ชายเป็นคนแรก จึงพูดว่า “เราพบพระ เมสสิยาห์แล้ว” พระเมสสิยาห์ หรือพระคริสตเจ้า แปลว่า ผู้รับเจิม เขาพาพี่ชายไปเฝ้า พระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขา จึงตรัสว่า “ท่านคือซีโมน บุตรของยอห์น ท่านจะมีชื่อว่า เคฟาส” แปลว่า “เปโตร” หรือ “ศิลา” บรรดาศิษย์ของนักบุญยอห์น แบปติสต์ เริม่ ติดตามพระเยซูเจ้า การเป็นศิษย์ไม่ใช่ แค่การเป็นสมาชิกทางการของวัด หรือท่องจำ�คำ�สอนได้ แต่หมายถึงการดำ�เนินชีวิต เหมือนที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ความเชื่อจึงเป็นวิถีชีวิต มิใช่แค่อารมณ์ความรู้สึก การเรียนรู้การติดตามพระคริสตเจ้า เป็นประสบการณ์ที่เราสืบสานต่อกันมา และ เป็นหัวใจของการเลียนแบบพระคริสตเจ้าของคริสตชน

เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 98:1-2,7-8,9

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์

สมโภชพระคริสตเจ้า แสดงองค์

อสย 60:1-6

เยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด จงฉายแสงเจิดจ้า เพราะความสว่างของเจ้ามาแล้ว พระสิรริ งุ่ โรจน์ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทอแสงเหนือเจ้า ดูซิ ความมืดปกคลุมแผ่นดิน และ ความมืดทึบปกคลุมประชาชาติทั้งหลาย แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทอแสงเหนือเจ้า ทุกคนจะเห็นพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระองค์เหนือเจ้า นานาชาติจะเดินมาหาความสว่างของ เจ้า บรรดากษัตริย์จะทรงพระดำ�เนินมาสู่ความสดใสที่ทอแสงเหนือเจ้า จงเงยหน้าขึ้น มองไปโดยรอบเถิด เขาเหล่านัน้ ทุกคนมาชุมนุมกันและเดินมาพบเจ้า บุตรชายทัง้ หลาย ของเจ้ามาจากที่ไกล บุตรหญิงของเจ้าก็ถูกอุ้มมาด้วย เมื่อเจ้าเห็นดังนี้ก็จะปลาบปลื้ม ใจของเจ้าจะตืน่ เต้นและยินดี เพราะความมัง่ คัง่ ของทะเลจะกลับมาหาเจ้า ทรัพย์สมบัติ ของนานาชาติจะมายังเจ้า ฝูงอูฐจะมาอยู่เต็มถนนของเจ้า รวมทั้งคาราวานอูฐจาก มีเดียนและเอฟาห์ ทุกคนจะมาจากเชบา นำ�ทองคำ�และกำ�ยานมาด้วย และจะสรรเสริญ องค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าคนทั้งหลาย

เพลงสดุดี

สดด 72:1-2,7-8,10-11,12-13

ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานวิจารณญาณของพระองค์แด่พระราชา และประทานความเที่ยงธรรมของพระองค์แก่พระโอรสของพระราชาด้วย ขอพระราชาทรงปกครองประชากรของพระองค์ด้วยความชอบธรรม และทรงดูแลคนยากจนของพระองค์ด้วยวิจารณญาณ ข) ในรัชสมัยของพระราชา ขอให้ความชอบธรรมเจริญงอกงาม และมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งตราบสิ้นแสงจันทร์ ขอให้พระอาณาจักรแผ่ขยายจากทะเลจรดทะเล จากแม่นํ้าจนสุดปลายแผ่นดิน ค) ขอบรรดากษัตริย์แห่งทาร์ซิสและหมู่เกาะทั้งหลายนำ�บรรณาการมาถวาย กษัตริย์แห่งเชบาและซาบานำ�ของกำ�นัลมาถวายด้วย ขอกษัตริย์ทั้งหลายกราบถวายบังคมพระราชา และนานาชาติรับใช้พระองค์ ง) ขอพระราชาทรงปลดปล่อยผู้ขัดสนที่ร้องหาพระองค์ และทรงช่วยคนยากจนที่ไม่มีผู้ช่วยให้รอดพ้น

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 3:2-3ก,5-6

พี่น้อง ท่านคงรู้แล้วถึงพระหรรษทาน ซึ่งพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้าประกอบพันธ กิจเพื่อประโยชน์ของท่าน ข้าพเจ้ารู้ธรรมลํ้าลึกนี้เพราะพระเจ้าทรงเปิดเผย ธรรมลํ้าลึก นี้พระองค์มิได้ทรงเปิดเผยให้มนุษย์ในอดีตรู้ แต่บัดนี้พระเจ้าทรงเปิดเผยเดชะพระจิต เจ้าให้แก่บรรดาอัครสาวกและประกาศกผู้ศักดิ์สิทธิ์รู้ว่า คนต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมใน กองมรดกเดียวกัน ร่วมเป็นกายเดียวกัน ร่วมรับพระสัญญาเดียวกันในพระคริสตเยซู อาศัยข่าวดี


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 2:1-12

ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด พระเยซูเจ้า ประสู ติ ที่ เ มื อ งเบธเลเฮมในแคว้ น ยู เ ดี ย โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวันออก เดินทาง มายังกรุงเยรูซาเล็ม สืบถามว่า “กษัตริย์ชาว ยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาว ประจำ � พระองค์ ขึ้ น จึ ง พร้ อ มใจกั น มาเพื่ อ นมัสการพระองค์” เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรง ทราบข่าวนี้ พระองค์ทรงวุ่นวายพระทัย ชาว กรุงเยรูซาเล็มทุกคนต่างก็วุ่นวายใจไปด้วย พระองค์ทรงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ ตรัสถามเขาว่า “พระคริสต์จะประสูติที่ ใด” เขาจึงทูลตอบว่า “ในเมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย เพราะประกาศกเขียนไว้ว่า เมืองเบธเลเฮม ดินแดนยูดาห์ เจ้ามิใช่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์ เพราะผู้นำ�คนหนึ่งจะ ออกมาจากเจ้า จะเป็นผู้นำ�อิสราเอล ประชากรของเรา” ดังนั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเรียกบรรดาโหราจารย์มาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ทรงซักถามถึงวันเวลา ที่ดาวปรากฏ แล้วทรงใช้บรรดาโหราจารย์ไปที่เมืองเบธเลเฮม ทรงกำ�ชับว่า “จงไปสืบถามเรื่องพระกุมาร อย่างละเอียด และเมื่อพบพระกุมารแล้ว จงกลับมาบอกให้เรารู้ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย” เมื่อ บรรดาโหราจารย์ได้ฟังพระดำ�รัสแล้วก็ออกเดินทาง ดาวที่เขาเห็นทางทิศตะวันออกปรากฏอีกครั้งหนึ่ง นำ�ทางให้ และมาหยุดนิง่ อยูเ่ หนือสถานทีป่ ระทับของพระกุมาร เมือ่ เห็นดาวอีกครัง้ หนึง่ บรรดาโหราจารย์ มีความยินดียิ่งนัก เขาเข้าไปในบ้าน พบพระกุมารกับพระนางมารีย์พระมารดา จึงคุกเข่าลงนมัสการ พระองค์ แล้วเปิดหีบสมบัตินำ�ทองคำ� กำ�ยาน และมดยอบออกมาถวายพระองค์ แต่พระเจ้าทรงเตือน เขาในความฝันมิให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรด เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น

วันสมโภชนี้ระลึกถึงการแสดงพระองค์ประทับท่ามกลางเรา 3 ประการ คือ 1. พระเยซูเจ้าแสดงพระองค์แก่บรรดาโหราจารย์ คือ มนุษย์ทุกชาติทุกภาษา 2. เวลาพระองค์ทรงรับพิธีล้างที่แม่นํ้าจอร์แดน มีการเผยแสดงว่าทรงเป็นบุตรสุดที่รักของพระบิดา 3. งานแต่งงานที่หมู่บ้านคานา ทรงทำ�อัศจรรย์เปลี่ยนนํ้าเป็นเหล้าองุ่น ประกาศกอิสยาห์ทำ�นายถึงกรุงเยรูซาเล็ม เกีย่ วกับพระคริสตเจ้าและพระศาสนจักรว่าเป็นผูน้ ำ�ความ สว่างสู่นานาชาติ วันนี้เป็นวันยุวธรรมทูตสากลด้วย ส่งเสริมเด็กๆ ให้พาเพื่อนมาหาพระเยซู


บทอ่านที่ 1

เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 2:7-8,10-11

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร

1 ยน 3:22-4:6

ลูกทีร่ กั ทัง้ หลาย ถ้าเราวอนขอสิง่ ใด เราย่อมจะได้รบั สิง่ นัน้ จากพระองค์ เพราะเรา ปฏิบตั ติ ามบทบัญญัติ และกระทำ�สิง่ ทีพ่ ระองค์พอพระทัย นีเ่ ป็นบทบัญญัตขิ องพระองค์ คือ ให้เราเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระองค์ และให้เรารักกัน ดังที่พระองค์ทรงบัญญัติให้เรา ผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ย่อมดำ�รงอยู่ในพระเจ้า และ พระเจ้าทรงดำ�รงอยู่ในผู้นั้น... ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย อย่าเชือ่ การดลใจทุกประการ แต่จงทดสอบการดลใจต่างๆ ก่อน ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะมีประกาศกเทียมอยู่ทั่วไปในโลก... ลูกทีร่ กั ทัง้ หลาย ท่านมาจากพระเจ้า และชนะประกาศกเทียมเหล่านัน้ แล้ว เพราะ พระองค์ผู้สถิตในท่าน ทรงยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก คือผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า เขาเหล่านั้นมาจากโลก ดังนั้น จึงพูดตามวิถีโลก และโลกย่อมฟังเขา แต่เรามาจาก พระเจ้า ผูท้ รี่ จู้ กั พระเจ้าย่อมฟังเรา ส่วนผูท้ ไี่ ม่ได้มาจากพระเจ้า ย่อมไม่ฟงั เรา เราจึงรูจ้ กั การดลใจที่เป็นความจริงและการดลใจที่เป็นความหลงผิด

มธ 4:12-17,23-25

เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบว่ายอห์นถูกจองจำ� จึงเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงออกจากเมืองนาซา เร็ธ มาประทับอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม บนฝั่งทะเลสาบ ในดินแดนเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลี ทั้งนี้ เพื่อให้พระ ดำ�รัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์ เป็นความจริงว่า ดินแดนเศบูลุนและนัฟทาลี เส้นทางไปสู่ทะเล ฟากโน้นของแม่นํ้าจอร์แดน แคว้นกาลิลีแห่งบรรดา ประชาชาติ ประชาชนที่จมอยู่ในความมืด ได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนและในเงาแห่ง ความตาย แสงได้ส่องขึ้นมาเหนือพวกเขาแล้ว นับแต่นั้นมา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศเทศนาว่า “จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว” พระองค์เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรง รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิดของประชาชน กิตติศพั ท์เกีย่ วกับพระองค์เลือ่ งลือไปทัว่ แคว้นซีเรีย ประชาชนจึงนำ�ผูเ้ จ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ผูท้ ถี่ กู ความ ทุกข์เบียดเบียน ผูถ้ กู ปีศาจสิง ผูเ้ ป็นลมบ้าหมู และผูท้ เี่ ป็นง่อยมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาคนเหล่านัน้ ให้หายจากโรคและความเจ็บไข้ ประชาชนมากมายจากแคว้นกาลิลี จากทศบุรี จากกรุงเยรูซาเล็ม จากแคว้น ยูเดีย และจากฟากโน้นของแม่นํ้าจอร์แดนต่างติดตามพระองค์ พระเยซูเจ้าเสด็จจากนาซาเร็ธสู่คาเปอรนาอุม เพื่อเริ่มภารกิจเปิดเผยสู่สังคม ทรงเริ่มสร้างอาณาจักร สวรรค์ด้วยคำ�สอนคล้ายกับของนักบุญยอห์น แบปติสต์ ที่ว่า “จงกลับใจเถิด อาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว” จงเปลี่ยนแปลง เพราะพลังของพระเจ้าช่วยเรา ช่วยเราให้สัมพันธ์กับพระเจ้าได้ง่ายขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ให้มีชีวิต สมบูรณ์ขึ้น พระองค์ทรงรักษาผู้เจ็บป่วย ผู้ถูกปีศาจสิง... ทรงพาเราไปหาพระบิดา สิ่งสำ�คัญคือ เราต้องเรียน รู้แยกแยะว่า อะไรมาจากพระเจ้า


บทอ่านที่ 1

1 ยน 4:7-10

ท่านที่รักทั้งหลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่มีความ รัก ย่อมบังเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระองค์ ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะ พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้ คือ พระเจ้าทรงส่ง พระบุตรพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น ความรักอยู่ที่ ว่าพระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพือ่ ชดเชยบาปของเรา มิใช่อยู่ ที่เรารักพระเจ้า

พระวรสาร

มก 6:34-44

เมือ่ เสด็จขึน้ จากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนจำ�นวนมากก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่า นั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง เนื่องจากเป็น เวลาเย็นมากแล้ว บรรดาศิษย์จึงเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลว่า “สถานที่นี้เป็นที่เปลี่ยวและ เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปซื้ออาหารกินตามชนบท และตามหมู่บ้านรอบๆ นี้เถิด” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” บรรดาศิษย์จงึ ทูลถามว่า “พวกเราจะต้องไปซือ้ อาหารสักสองร้อยเหรียญมาให้เขา กินหรือ” พระองค์ตรัสว่า “ท่านมีขนมปังกีก่ อ้ น ไปดูซ”ิ บรรดาศิษย์ไปดูแล้วกลับมารายงาน ว่า “มีขนมปังอยู่ห้าก้อนกับปลาสองตัว” พระองค์จึงทรงสั่งให้ทุกคนนั่งลงเป็นกลุ่มๆ ตามพื้นหญ้าสีเขียว เขาก็นั่งลงเป็น กลุ่มๆ กลุ่มละหนึ่งร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง พระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลา สองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า แล้วทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิ ขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่ายให้กับประชาชน ทั้งยังทรงแบ่งปลาสองตัวแจกจ่าย ให้ทุกคนด้วย ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้ถึงสิบสอง กระบุงเต็ม จำ�นวนคนที่กินขนมปังครั้งนั้นมีผู้ชายถึงห้าพันคน

นักบุญเรมอนด์ เกิดที่เปญาฟอร์ต ในแคว้นกาตาโลเนีย ประเทศสเปน ประมาณ ค.ศ.1175 เป็นครูและนักวิชาการ สอนวิชากฎหมายพระศาสนจักร 15 ปี ทีม่ หาวิทยาลัย บาร์เซโลน่า และได้เข้านักบวชคณะโดมีนีกัน ค.ศ.1222 เป็นผู้อภิบาลที่กระตือรือร้น ด้วยการชอบฟังแก้บาป รักคนยากจน และทำ�งานหนัก ช่วยนักโทษที่เป็นคริสตชนจาก พวกมัวร์ ช่วยให้คนกลับใจมากกว่า 10,000 คน มีนักบุญน้อยองค์ที่อายุยืน น่าจดจำ� นักบุญเรมอนด์สิ้นชีวิตเมื่ออายุ 100 ปี ท่านเป็นองค์อุปถัมภ์ของนักกฎหมายของพระ ศาสนจักร

น.เรมอนด์ เด เปญาฟอร์ต พระสงฆ์ สดด 72:1-2,3-4ก 7ก,8ก

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 72:1-2,10, 12-13

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1

1 ยน 4:11-18

พระวรสาร

มก 6:45-52

ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย ไม่มีผู้ใดเคย เห็นพระเจ้า แต่ถ้าเรารักกัน พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ ในเราก็จะสมบูรณ์ เรารูว้ า่ เราดำ�รงอยูใ่ นพระองค์ และพระองค์ทรงดำ�รงอยูใ่ นเรา เพราะ พระองค์ประทานพระพรของพระจิตเจ้าให้เรานัน่ เอง เราเห็นและเราเป็นพยานได้วา่ พระ บิดาทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระผู้ไถ่โลก ผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ ในเขา และเขาย่อมอยูใ่ นพระเจ้า เรารูแ้ ละเชือ่ ในความรักทีพ่ ระเจ้าทรงมีตอ่ เรา พระเจ้า ทรงเป็นความรัก ผู้ใดดำ�รงอยู่ในความรัก ย่อมดำ�รงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรง ดำ�รงอยู่ในเขา ความรักสมบูรณ์อยู่ในเรา เพื่อให้เรามีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะ พระองค์ทรงเป็นอย่างไร เราในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้นด้วย ไม่มีความกลัวในความรัก ความรักที่สมบูรณ์ย่อมขจัดความกลัว เพราะความกลัว คือความคาดหมายว่าจะถูก ลงโทษ ความรักของผู้มีความกลัวจึงยังไม่สมบูรณ์ ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปที่ เมืองเบธไซดา ขณะทีพ่ ระองค์ทรงให้ประชาชนกลับ เมือ่ ทรงอำ�ลาจากเขาแล้ว พระองค์ ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนา ครั้นถึงเวลาคํ่าเรืออยู่กลางทะเลสาบ พระองค์ ท รงอยู่ บ นฝั่ ง ตามลำ � พั ง ทรงเห็ น ว่ า บรรดาศิ ษ ย์ ต้ อ งกรรเชี ย งเรื อ อย่ า ง เหน็ดเหนื่อยเพราะเรือทวนลม ครั้นถึงเวลาประมาณยามที่สี่ พระองค์ทรงพระดำ�เนิน บนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ ทรงตั้งพระทัยจะผ่านเขาไป บรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรง พระดำ�เนินอยู่บนทะเล ก็คิดว่าเป็นผี จึงส่งเสียงร้องอื้ออึง เพราะทุกคนได้แลเห็น พระองค์ จึงตกใจกลัว แต่ทันใดนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ทำ�ใจให้ดี เราเอง อย่ากลัว เลย” แล้วพระองค์เสด็จไปหาเขาในเรือ และลมก็หยุด บรรดาศิษย์รู้สึกประหลาดใจ อย่างยิ่ง เพราะยังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง ใจของเขายังแข็งกระด้างอยู่

ลมในพระวรสารวันนี้ เป็นมากกว่าลมพายุ ปิตาจารย์สมัยแรกอธิบายว่า ลมเป็น สัญลักษณ์หมายถึงสภาพชีวิตของพระศาสนจักรสมัยแรก และของเราแต่ละคนด้วย พระเยซูเจ้าทรงอยู่กับเราในพายุ ตอนท้ายของเรื่องสรุปแปลกๆ ว่า บรรดาศิษย์ยังไม่ เข้าใจเรื่องขนมปัง หมายถึงพวกเขายังไม่เข้าใจการเผยแสดงอำ�นาจของพระเจ้า การ ประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าหลังกลับคืนพระชนม์ การประทับในศีลมหาสนิท แม้ไม่ สามารถเห็นได้ แต่มีผลอาศัยความรักและการริเริ่มของเราในการช่วยเหลือผู้อื่น


บทอ่านที่ 1

1 ยน 4:19-5:4

ท่านที่รักทั้งหลาย จงมีความรักเถิด เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน ถ้าผู้ใดพูดว่า “ฉันรักพระเจ้า” แต่เกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จ เพราะผู้ไม่รักพี่ น้องที่เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้ เราได้รับบทบัญญัตินี้จาก พระองค์ คือให้ผู้ที่รักพระเจ้า รักพี่น้องของตนด้วย ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า ย่อมบังเกิดจากพระเจ้า ทุกคนที่รักบิดา ย่อมรักบุตรของเขาด้วย เรารู้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้า เมื่อเรารักพระเจ้าและ ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ ความรักต่อพระเจ้าคือการปฏิบัติตามบทบัญญัติ บทบัญญัติของพระองค์มิใช่ภาระหนัก เพราะทุกคนที่บังเกิดจากพระเจ้าชนะโลกแล้ว ชัยชนะที่ชนะโลกก็คือความเชื่อของเรา

พระวรสาร

ลก 4:14-22

เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 72:1-2,14 15ขค,17

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปแคว้นกาลิลีพร้อมด้วยพระอานุภาพของพระจิต เจ้า กิตติศพั ท์ของพระองค์เลือ่ งลือไปทัว่ แว่นแคว้นนัน้ พระองค์ทรงสอนตามศาลาธรรม ของชาวยิวและทุกคนต่างสรรเสริญพระองค์ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวัน สับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์ มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า “พระจิตขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงอยูเ่ หนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้า ไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผถู้ กู จองจำ� คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความ โปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่งลง สายตาของ ทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์ พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว” ทุกคนสรรเสริญ พระองค์และต่างประหลาดใจในถ้อยคำ�น่าฟังที่พระองค์ตรัส

พระเยซูเจ้าทรงพบข้อความของประกาศกอิสยาห์ 61:1-2 ประกาศปีแห่งพระหรรษทาน ปียูบีลีในพันธ สัญญาเดิม หมายถึงการยกหนี้สินและการให้อภัย พระศาสนจักรคาทอลิกรับเข้ามาเรียกว่าปีศักดิ์สิทธิ์ มิได้ หมายถึงอิสรภาพฝ่ายจิตวิญญาณเท่านั้น แต่หมายถึงอิสรภาพจากโครงสร้างกดขี่ทางเศรษฐกิจ สังคม และ การเมืองด้วย ในบริบทของเราหมายถึงอิสรภาพภายใน ที่ทำ�ให้กล้าพูดความจริง กล้าดำ�เนินชีวิตที่ถูกต้อง ยุติธรรมและด้วยความรักเมตตา ขอให้พลังรักของพระจิตเจ้าช่วยเรา


เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 147:12-14, 15-16,19-20

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1

1 ยน 5:5-13

พระวรสาร

ลก 5:12-16

ท่านที่รักทั้งหลาย ใครเล่าชนะโลกได้ ถ้ามิใช่ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระบุตร ของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผูเ้ สด็จมาโดยนาํ้ และโดยพระโลหิต พระองค์คอื พระเยซู คริสตเจ้า พระองค์มิได้เสด็จมาโดยนํ้าเพียงอย่างเดียว แต่เสด็จมาโดยนํ้าและโดยพระ โลหิต และพระจิตเจ้าทรงเป็นพยานถึงเรื่องนี้ เพราะพระจิตเจ้าทรงเป็นความจริง พยานมีสามอย่าง คือพระจิตเจ้า นํ้าและพระโลหิต และพยานทั้งสามอย่างก็ตรง กัน ถ้าเรายอมรับการเป็นพยานของมนุษย์ การเป็นพยานของพระเจ้านั้นย่อมยิ่งใหญ่ กว่า คือการเป็นพยานที่พระเจ้าทรงให้เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ใดเชื่อในพระ บุตรของพระเจ้า ย่อมมีการเป็นพยานอยู่ในตัวเขาแล้ว แต่ผู้ที่ไม่เชื่อ ย่อมทำ�ให้พระเจ้า เป็นผูต้ รัสคำ�เท็จ เพราะเขาไม่เชือ่ การเป็นพยานซึง่ พระเจ้าประทานให้เกีย่ วกับพระบุตร ของพระองค์ การเป็นพยานนี้คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดรแก่เรา และชีวิตนี้อยู่ในพระบุตร ของพระองค์ ผูใ้ ดมีพระบุตรย่อมมีชวี ติ และผูใ้ ดไม่มพี ระบุตรของพระเจ้าย่อมไม่มชี วี ติ ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ถึงท่านทั้งหลาย ซึ่งเชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อ ท่านจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร วันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ในเมืองหนึ่ง ชายคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อนเต็ม ตัว เมื่อเห็นพระองค์ ก็กราบพระบาทอ้อนวอนว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัส ว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” พระองค์ทรงกำ�ชับเขามิให้บอกผู้ใด แต่ “จงไปแสดงตนแก่ สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำ�หนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่า ท่านหายจากโรคแล้ว” ข่าวเกี่ยวกับพระองค์กลับกระจายออกไปมากขึ้น ประชาชนจำ�นวนมากต่างมาฟัง พระองค์และรับการรักษาโรค แต่พระองค์เสด็จไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนา

พระเยซูเจ้ามิได้ทรงเทศน์สอนอย่างเดียว แต่ทรงเยียวยารักษาและมอบพระจิตเจ้า ให้เรา โรคเรื้อนในพระวรสารเป็นโรคติดต่อ สังคมรังเกียจมาก แต่พระองค์ทรงรักษาให้ หาย เปรียบเสมือนพันธกิจของเราต้องไปช่วยเหลือคนที่ถูกทอดทิ้ง คนเจ็บไข้ คนที่ กฎหมายไม่สามารถช่วยได้ การบังเกิดของพระองค์มิใช่ฉากน่าชื่นชมด้านวัตถุ แต่พันธ กิจที่พระองค์ทรงมอบให้เรา เป็นคำ�สั่ง ให้ไปประสานสังคม และพระศาสนจักร อาศัย พระพรของพระจิตเจ้า


บทอ่านที่ 1

1 ยน 5:14-21

ท่านที่รักทั้งหลาย ความมั่นใจของเราต่อพระองค์มีอยู่ว่า ถ้าเราวอนขอสิ่งใดที่เป็น ไปตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์จะทรงฟังเรา และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟัง สิ่งที่เราวอนขอ เราย่อมรู้ว่า เรามีสิ่งที่เราวอนขอนั้นแล้ว ผู้ใดเห็นพี่น้องกระทำ�บาป ซึ่ง ไม่ใช่บาปที่ทำ�ให้ตาย จงอธิษฐานภาวนาเพื่อพี่น้องคนนั้น แล้วพระเจ้าจะประทานชีวิต แก่เขา แต่ตอ้ งไม่ใช่บาปทีท่ �ำ ให้ตาย มีบาปทีท่ �ำ ให้ตาย และข้าพเจ้าไม่บอกให้ทา่ นอธิษฐาน เพื่อบาปชนิดนี้ ความอธรรมทุกชนิดเป็นบาป แต่ไม่ใช่บาปทุกชนิดทำ�ให้ตาย เรารู้ว่า ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าย่อมไม่ทำ�บาป เพราะพระผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้า ทรงเฝ้ารักษาเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้ เรารู้ว่า เรามาจากพระเจ้า โลก ทั้งหมดอยู่ใต้อำ�นาจของมารร้าย เรารู้อีกว่า พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว พระองค์ ประทานความเข้าใจให้เรา เพือ่ เราจะได้รจู้ กั พระเจ้าแท้ เราอยูใ่ นพระองค์ และอยูใ่ นพระ เยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และทรงเป็นชีวติ นิรนั ดร ลูกที่รัก จงระวังตนจากรูปเคารพเถิด

พระวรสาร

ยน 3:22-30

หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์เข้าไปในแคว้นยูเดีย พระองค์ ประทับอยู่กับเขาที่นั่นและทรงทำ�พิธีล้าง ส่วนยอห์นก็ทำ�พิธีล้างอยู่ที่ไอโนน ใกล้ตำ�บล ซาลิม เพราะที่นั่นมีนํ้าบริบูรณ์ ประชาชนต่างมารับพิธีล้าง เวลานั้นยอห์นยังไม่ถูกจำ�คุก ชาวยิวคนหนึง่ เริม่ โต้เถียงกับศิษย์บางคนของยอห์นเรือ่ งการชำ�ระล้าง คนเหล่านัน้ จึงไปหายอห์น พูดว่า “รับบี ขณะนีผ้ ทู้ เี่ คยอยูก่ บั ท่านทีแ่ ม่นาํ้ จอร์แดนฟากโน้น และท่าน เป็นพยานถึงเขากำ�ลังทำ�พิธีล้างอยู่ และทุกคนก็ไปหาเขา” ยอห์นตอบว่า “มนุษย์มีสิ่งใดไม่ได้นอกจากสิ่งที่ได้รับจากสวรรค์ ท่านทั้งหลายก็ เป็นพยานได้ที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้แล้วว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสตเจ้า แต่ข้าพเจ้าถูกส่ง มาก่อนพระองค์ ผูท้ มี่ เี จ้าสาวคือเจ้าบ่าว แต่เพือ่ นเจ้าบ่าวทีย่ นื ฟังอยู่ ย่อมยินดีเมือ่ ได้ยนิ เสียงของเจ้าบ่าว ข้าพเจ้ามีความยินดีเช่นนี้ และความยินดีของข้าพเจ้าก็สมบูรณ์ พระองค์ จะต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนข้าพเจ้าจะต้องด้อยลง’”

นักบุญยอห์น แบปติสต์ เป็นผู้เตรียมทางให้ประชาชนพบกับพระเยซูเจ้า จนศิษย์ ของยอห์นกังวลว่าประชาชนกำ�ลังละทิง้ อาจารย์ไปหาพระเยซูเจ้า ยอห์นจึงตอบว่า ท่าน เป็นเพียงผูช้ หี้ นทางเท่านัน้ เหมือนกับบทบาทของเพือ่ นเจ้าบ่าว พาเจ้าสาวมาพบเจ้าบ่าว ยอห์นเตรียมชาวยิวให้พบพระเมสสิยาห์ สำ�หรับเราก็เช่นกัน หน้าที่ของเราคือนำ�ประชาชนมาพบพระเยซูเจ้า ส่วนการรับ หรือปฏิเสธ เป็นความรับผิดชอบของแต่ละคน เราต้องอธิษฐานเสมอ

เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 149:1-2,3-4, 5-7,8-9

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันเด็กแห่งชาติ


ฉลองพระเยซูเจ้า ทรงรับพิธีล้าง วันผู้อพยพ

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์

อสย 42:1-4,6-7

เพลงสดุดี

สดด 29:1-2,3-4,9-10

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก

กจ 10:34-38

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “นี่คือผู้รับใช้ของเรา ซึ่งเราเชิดชู เราเลือกเขาเพราะเรา พอใจเขา เราให้จติ ของเราแก่เขา เขาจะนำ�ความยุตธิ รรมไปให้แก่นานาชาติ เขาจะไม่รอ้ ง ตะโกนหรือเปล่งเสียงดัง จะไม่ท�ำ ให้ใครได้ยนิ เสียงของเขาตามถนน ไม้ออ้ ทีช่ าํ้ แล้ว เขา จะไม่หกั และไส้ตะเกียงทีร่ บิ หรีอ่ ยู่ เขาจะไม่ดบั เขาจะประกาศความยุตธิ รรมด้วยความ สัตย์จริง เขาจะไม่หมดหวังหรือท้อใจ จนกว่าจะได้สถาปนาความยุติธรรมไว้บนแผ่นดิน ดินแดนชายทะเลจะรอคอยคำ�สอนของเขา เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม เราจับมือของท่าน และรักษาท่านไว้ เราให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร และเป็นแสงสว่างส่อง นานาชาติ เพื่อเปิดตาคนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ�จากคุก ปลดปล่อยผู้ที่อยู่ใน ความมืดจากที่คุมขัง” ก) บุตรทั้งหลายของพระเจ้า จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์และพระอานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อทรงสำ�แดงความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข) พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าก้องอยู่เหนือน่านนํ้า พระเจ้าผู้ทรงสิริแผดพระสุรเสียงกึกก้อง องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่เหนือห้วงนํ้ากว้างใหญ่ พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอานุภาพ พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้ากึกก้องกัมปนาท ค) พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าทำ�ให้ต้นโอ๊กสะท้านสะเทือน ทรงปลิดใบต้นไม้ในป่าจนหมดต้น ในพระวิหารของพระองค์ทุกคนร้องขานพร้อมกันว่า “พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์” องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับเหนือห้วงมหรรณพ องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับเป็นกษัตริย์ตลอดไป

เวลานั้น เปโตรเริ่มพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงลำ�เอียง ทุกคนที่ ยำ�เกรงพระองค์และปฏิบัติความชอบธรรม ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติใด ย่อมเป็นที่พอพระทัย ของพระองค์ พระองค์ทรงมอบพระวาจาแก่ลูกหลานของชาวอิสราเอล โดยทรงประกาศข่าวดี


แห่งสันติสขุ เดชะพระเยซูคริสตเจ้า พระเยซูเจ้าพระองค์ นี้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของทุกคน ท่านทั้งหลายรู้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดีย เริ่มต้นที่แคว้นกาลิ ลี หลังจากที่ยอห์นได้เทศน์สอนและทำ�พิธีล้าง พระเจ้า ทรงเจิมพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพเดชะ พระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปที่ใด ทรงกระทำ� ความดีและทรงรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำ�นาจของปีศาจ เพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์”

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 3:14-17

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากแคว้นกาลิลีถึง แม่นํ้าจอร์แดน เพื่อทรงรับพิธีล้างจากยอห์น ยอห์นพยายามชักชวนพระองค์ให้เปลี่ยนพระทัย เขากล่าว ว่า “ข้าพเจ้าควรจะรับพิธลี า้ งจากท่าน แต่ทา่ นกลับมาพบข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เวลานี้ ปล่อย ให้เป็นเช่นนี้ก่อน เพราะเราควรจะทำ�ทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระเจ้า” ยอห์นจึงยอมทำ�ตาม เมือ่ พระเยซูเจ้าทรงรับพิธลี า้ งแล้ว เสด็จขึน้ จากนาํ้ ทันใดนัน้ ท้องฟ้าเปิดออก พระองค์ทอดพระเนตร เห็นพระจิตของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดจุ นกพิราบ และมีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “ผูน้ เี้ ป็นบุตร สุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา”

พิธีกรรมวันนี้ชวนเชิญให้คิดถึงพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง ก็ทำ�ให้เราคิดถึงเวลาที่เรารับศีลล้างบาป นักบุญยอห์นทำ�พิธีที่แม่น้ําจอร์แดน กล่าวว่า “ข้าพเจ้าทำ�พิธีด้วยนํ้า แต่ผู้ที่กำ�ลังมา... จะล้างท่านด้วย พระจิตเจ้าและไฟ” (มธ 3:11 - ไฟ เป็นสัญลักษณ์หมายถึง การที่พระเจ้าแทรกเข้ามาในประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติ เป็นสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าผู้ทรงชำ�ระจิตใจมนุษย์) ศีลล้างบาปทำ�ให้เราได้รบั พระจิตเจ้า พร้อมกับชีวติ เหนือธรรมชาติ หากเราได้รบั ศีลล้างเมือ่ เป็นทารก เราไม่เข้าใจว่าเกิดอะไร แต่พระเจ้าทรงพระเมตตาให้เราได้รับผลแห่งการไถ่กู้ชีวิตเหนือธรรมชาติในเรา


น.ฮีลารี พระสังฆราช และนักปราชญ์ สดด 116:12-13,14-15 และ 17, 18-19

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1

1 ซมอ 1:1-8

พระวรสาร

มก 1:14-20

ชายผู้หนึ่งชื่อเอลคานาห์อยู่ที่เมืองรามาธาอิม ในแถบภูเขาเอฟราอิม เขาเป็น ชนเผ่าเอฟราอิมจากตระกูลศูฟ เป็นบุตรของเยโรฮัม ซึ่งเป็นบุตรของเอลีฮู บุตรของ โทหุ บุตรของศูฟ เขามีภรรยาสองคน คนหนึ่งซื่อฮันนาห์ และอีกคนหนึ่งชื่อเปนินนาห์ นางเปนินนาห์มีบุตรชายหญิงหลายคน แต่นางฮันนาห์ไม่มีบุตรเลย ทุกปีชายผู้นี้จะเดิน ทางจากเมืองของตนขึ้นไปนมัสการและถวายบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล ที่ เมืองชิโลห์ (โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรสองคนของเอลีเป็นสมณะขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอยู่ ที่นั่น) ทุกครั้งที่เอลคานาห์ถวายเครื่องบูชา เขาจะให้เนื้อสัตว์ที่ถวายหลายส่วนแก่นาง เปนินนาห์ภรรยา และบุตรชายหญิงทุกคนของนาง แต่เขาให้ส่วนพิเศษแก่นางฮันนาห์ เพียงเพราะเขารักนางฮันนาห์มากกว่า แม้องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงให้นางมีบุตร นาง เปนินนาห์คแู่ ข่งมักจะเยาะเย้ยให้นางต้องอับอายและยัว่ ยุนางให้โกรธ ในการทีอ่ งค์พระ ผูเ้ ป็นเจ้าไม่ทรงให้นางมีบตุ ร เหตุการณ์เช่นนีเ้ กิดขึน้ ปีแล้วปีเล่า ทุกครัง้ ทีค่ รอบครัวของ เอลคานาห์ขนึ้ ไปยังวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า นางเปนินนาห์มกั จะเยาะเย้ยนางฮันนาห์ จนนางร้องไห้ไม่ยอมกินอะไรเลย เอลคานาห์สามีของนาง จึงถามว่า “ฮันนาห์ที่รัก เธอ ร้องไห้ท�ำ ไม ทำ�ไมเธอจึงไม่กนิ อาหารเลย ทำ�ไมจึงเศร้าใจเช่นนี้ ฉันคนเดียวไม่ดกี ว่าบุตร สิบคนหรือ”

หลังจากที่ยอห์นถูกจองจำ� พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนา ข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า “เวลาทีก่ �ำ หนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยูใ่ กล้ แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด” ขณะที่ทรงพระดำ�เนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทอดพระเนตรเห็น ซีโมนกับอันดรูว์น้องชายกำ�ลังทอดแห เขาเป็นชาวประมง พระเยซูเจ้าตรัสสั่งว่า “จง ตามเรามาเถิด เราจะทำ�ให้ทา่ นเป็นชาวประมงหามนุษย์” ซีโมนกับอันดรูวก์ ท็ งิ้ แหไว้ แล้ว ตามพระองค์ไปทันที เมื่อทรงพระดำ�เนินไปอีกเล็กน้อย พระองค์ทอดพระเนตรเห็นยากอบบุตรของ เศเบดี และยอห์นน้องชายกำ�ลังซ่อมแหอยูใ่ นเรือ พระองค์ทรงเรียกเขา ทัง้ สองคนก็ละ ทิ้งเศเบดีบิดาของตนไว้ในเรือกับลูกจ้าง แล้วตามพระองค์ไปทันที นักบุญฮีลารี เกิดที่ปัวเตียร์ ประเทศฝรั่งเศส ค.ศ. 315-367 ในครอบครัวต่าง ความเชื่อ และมีการศึกษาดี ได้เป็นคริสตชนเมื่ออายุ 35 ปี และได้รับเลือกให้เป็นพระ สังฆราชในบ้านเกิดเมืองนอน ท่านเป็นผูต้ อ่ ต้านคำ�สอนผิดของลัทธิอาเรียนในตะวันตก ซึ่งสอนผิดว่า พระเยซูเจ้ามิได้เป็นพระเจ้าแท้


บทอ่านที่ 1

1 ซมอ 1:9-20

พระวรสาร

มก 1:21-28

ครั้งหนึ่งที่เมืองชิโลห์ เมื่อนางฮันนาห์กินและดื่มแล้ว ก็ลุกขึ้นไปอยู่เฉพาะพระ พักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า สมณะเอลีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างประตูวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า นางเศร้าโศกมาก ร้องไห้อย่างขมขื่น พลางอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า นางบนบานว่า ดังนี้ “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล โปรดทอดพระเนตรมายังผู้รับใช้ท่ีมีความ ทุกข์ของพระองค์เถิด โปรดระลึกถึงข้าพเจ้า โปรดอย่าลืมผู้รับใช้ของพระองค์เลย ถ้า สัปดาห์ที่ 1 พระองค์ประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่ผู้รับใช้ ข้าพเจ้าจะถวายเขาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เทศกาลธรรมดา ตลอดชีวิตของเขา ใบมีดจะไม่โกนศีรษะของเขาเลย” 1 ซมอ 2:1,4-5, ขณะทีน่ างอธิษฐานทูลองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอยูเ่ ป็นเวลานาน เอลีเฝ้าดูอากัปกิรยิ าจาก 6-7ก,7ข-8ค ริมฝีปากของนาง นางฮันนาห์อธิษฐานในใจ ริมฝีปากขมุบขมิบ แต่มิได้เปล่งเสียงออก มา เอลีคิดว่านางเมาเหล้า จึงถามนางว่า “เธอจะเมาอีกนานเท่าใด จงเลิกเมาเสียเถิด” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 นางฮันนาห์ตอบว่า “นายเข้าขา ดิฉันไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัยใดๆ ดิฉันเป็นหญิงมี ความทุกข์สาหัส จึงอธิษฐานระบายความทุกข์ในใจเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าคิดว่าผู้รับใช้ผู้นี้ของท่านเป็นหญิงเหลวไหลเลย ที่ดิฉันอธิษฐานเช่นนี้ ก็เพราะดิฉัน เป็นทุกข์โศกเศร้ามาก” เอลีจึงว่า “จงไปเป็นสุขเถิด ขอพระเจ้าแห่งอิสราเอลประทานให้ตามที่เธอทูลขอจาก พระองค์” นางตอบว่า “ขอท่านโปรดปรานผู้รับใช้ผู้นี้เถิด” แล้วนางก็ลาจากไปกินอาหารและไม่เศร้าโศกอีก วันรุ่งขึ้น เอลคานาห์และครอบครัวลุกขึ้นแต่เช้าตรู่นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเดินทางกลับบ้านที่ เมืองรามาห์ เอลคานาห์หลับนอนกับนางฮันนาห์ภรรยา แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงระลึกถึงนาง นางฮันนาห์ ก็ตั้งครรภ์และเมื่อถึงเวลากำ�หนดก็ให้กำ�เนิดบุตรชาย นางตั้งชื่อเขาว่าซามูเอล “เพราะนางเคยทูลขอบุตรนี้ จากองค์พระผู้เป็นเจ้า” เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์ เสด็จเข้าไปในศาลาธรรม และทรงเริม่ สัง่ สอน คำ�สัง่ สอนของพระองค์ท�ำ ให้ผฟู้ งั รูส้ กึ ประทับใจอย่างมาก เพราะ ทรงสอนเขาอย่างทรงอำ�นาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์ ขณะนั้น ในศาลาธรรม ชายคนหนึ่งซึ่งปีศาจสิงอยู่ ร้องตะโกนว่า “ท่านมายุ่งกับเราทำ�ไม เยซู ชาว นาซาเร็ธ ท่านมาทำ�ลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงดุ ปีศาจและตรัสสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” เมื่อปีศาจทำ�ให้ชายผู้นั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออกไป จากเขา ทุกคนต่างประหลาดใจจึงถามกันว่า “นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำ�สั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำ�นาจ เขาสั่งแม้ กระทั่งปีศาจ และมันก็เชื่อฟัง” แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทุกแห่งตลอดทั่วแคว้นกาลิลีทันที​ี พระเจ้าทรงฟังคำ�อธิษฐานภาวนาของนางฮันนาห์ และให้กำ�เนิดซามูเอล พระเจ้าทรงฟังการอธิษฐานอย่าง กระตือรือร้นนี้ แม้นางจะเป็นหมัน นางบนบานและทำ�ตาม คือ ยกถวายซามูเอลแด่พระเจ้า เป็นบุคคลตัวอย่าง สำ�คัญในพันธสัญญาเดิม เป็นพิเศษบทบาทประกาศก


บทอ่านที่ 1

1 ซมอ 3:1-10,19-20

หนุ่มซามูเอลรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในความดูแลของเอลี... คืนหนึ่ง เอลีซึ่ง บัดนี้นัยน์ตามืดมัวจนเกือบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว นอนอยู่ในห้องของตน... องค์พระ ผู้เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอล เขาทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” แล้ววิ่งไปถามเอลีว่า “ท่าน เรียกข้าพเจ้าหรือ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” แต่เอลีตอบว่า “พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอน เถอะ” ซามูเอลก็กลับไปนอน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกอีกว่า “ซามูเอล” ซามูเอลก็ สัปดาห์ที่ 1 ลุกขึ้นไปหาเอลี ถามว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” เอลีตอบว่า “ลูก เทศกาลธรรมดา เอ๋ย พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ” ซามูเอลยังไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียก สดด 40:1 และ 4, 6-7ก, เขา เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้ายังไม่ทรงเปิดเผยพระวาจาแก่เขามาก่อน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า 7ข-8,9 ทรงเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สาม เขาก็ลุกขึ้นไปหาเอลีแล้วถามว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 หรือ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” เอลีจึงเข้าใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเด็กนั้น เอลีบอก ซามูเอลว่า “กลับไปนอนเถอะ ถ้ามีเสียงเรียกลูกอีกก็จงตอบว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็น เจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำ�ลังฟังอยู่’” ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาประทับที่นั่น ตรัสเรียกเช่นครั้งก่อนว่า “ซามูเอล ซามูเอล” ซามูเอลทูลตอบ ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำ�ลังฟังอยู่” ซามูเอลเจริญวัยขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และทรงทำ�ให้คำ�พูดทุกคำ�ของซามูเอลเป็นจริง ดังนั้น ชาวอิสราเอลทุกคนตั้งแต่เมืองดานจนถึงเมืองเบเออร์เชบารู้ว่า ซามูเอลได้รับแต่งตั้งเป็นประกาศกขององค์ พระผู้เป็นเจ้า

พระวรสาร

มก 1:29-39

ทันทีที่ออกจากศาลาธรรม พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์พร้อมกับยากอบและ ยอห์น มารดาของภรรยาซีโมนกำ�ลังนอนป่วยเป็นไข้อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ให้ทรงทราบทันที พระองค์เสด็จ เข้าไปจับมือนาง พยุงให้ลุกขึ้น นางก็หายไข้ จึงรับใช้ทุกคน เย็นวันนัน้ เมือ่ ดวงอาทิตย์ตกแล้ว มีคนนำ�ผูป้ ว่ ยและผูถ้ กู ปีศาจสิงมาเฝ้าพระองค์ คนทัง้ เมืองมารวมกัน ทีป่ ระตู พระองค์ทรงรักษาหลายคนทีเ่ ป็นโรคต่างๆ ให้หาย ทรงขับไล่ปศี าจออกไป แต่ไม่ทรงอนุญาตให้มนั พูด เพราะมันรู้จักพระองค์ วันต่อมา พระองค์ทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เสด็จออกจากบ้านไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่น ซีโมนและผูท้ อี่ ยูก่ บั เขาตามหาพระองค์ เมือ่ พบแล้ว จึงทูลพระองค์วา่ “ทุกคนกำ�ลังแสวงหาพระองค์” พระองค์ ตรัสตอบว่า “เราไปที่อื่นกันเถิด ไปตามตำ�บลใกล้เคียง เพื่อจะได้เทศน์สอนที่นั่นด้วย เพราะเรามาด้วยจุด ประสงค์นี้” พระองค์จึงเสด็จไปเทศน์สอนตามศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลี ทรงขับไล่ปีศาจด้วย “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผูร้ บั ใช้ของพระองค์กำ�ลังฟังอยู”่ ซามูเอลตอบรับกระแสเรียกของ พระเจ้า อันที่จริง เรามิสามารถรู้ได้ทันที แต่ต้องมีคนอื่น (เหมือนเอลี) ช่วยให้เราสามารถค้นพบได้ สิ่งสำ�คัญ คือต้องตั้งใจฟัง เพราะพระเจ้าตรัสในความเงียบสงบ


บทอ่านที่ 1

1 ซมอ 4:1-11

พระวรสาร

มก 1:40-45

ในครัง้ นัน้ ชาวอิสราเอลทุกคนจึงฟังถ้อยคำ�ของซามูเอล เนือ่ งจากเอลีชรามากและ บุตรของเขายังดื้อรั้นอยู่ในความประพฤติชั่วต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า... ชาวอิสราเอลพ่าย แพ้ชาวฟีลิสเตียซึ่งฆ่าชาวอิสราเอลประมาณสี่พันคนในสนามรบ เมื่อกำ�ลังพลอิสราเอลกลับมาในค่าย บรรดาผู้อาวุโสถามว่า “ทำ�ไมวันนี้องค์พระ ผู้เป็นเจ้าจึงทรงปล่อยให้เราพ่ายแพ้ชาวฟีลิสเตีย เราจงไปนำ�หีบพันธสัญญาขององค์ สัปดาห์ที่ 1 พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาลมาจากเมืองชิโลห์เถิด เพือ่ พระองค์จะเสด็จไปกับเรา และทรง เทศกาลธรรมดา ช่วยเราให้รอดพ้นจากศัตรู”... สดด 44:9-10, เมือ่ หีบพันธสัญญาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้ามาถึงค่าย ชาวอิสราเอลทุกคนโห่รอ้ งเสียง 13-14,23-26 ดังสนั่น จนแผ่นดินสั่นสะเทือน... เมื่อชาวฟีลิสเตียรู้ว่าหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้ เป็นเจ้ามาถึงค่ายชาวฮีบรู เขาก็มีความกลัว พูดกันว่า “พระเจ้าเสด็จมาในค่ายของเขา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 แล้ว เราแพ้แน่ๆ ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก่อนเลย เราแพ้แน่ๆ ใครจะช่วยเราให้ รอดพ้นจากอำ�นาจของพระเจ้าผู้ทรงอานุภาพนี้ได้... จงสู้รบอย่างลูกผู้ชายเถิด” ชาวฟีลิสเตียเข้าสู้รบ ชาว อิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างหนีกลับบ้านของตน เป็นความปราชัยอย่างใหญ่หลวง ชาวอิสราเอลถูกฆ่าตายถึงสาม หมื่นคน หีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไป โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรทั้งสองคนของเอลีก็ถูกฆ่าด้วย เวลานั้น ผู้เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้า คุกเข่าอ้อนวอนว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรงกำ�ชับ อย่างแข็งขันว่า “ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครรูเ้ ลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครือ่ งบูชาตามทีโ่ มเสส กำ�หนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว” แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขาก็ป่าวประกาศ กระจายข่าวไปทั่ว จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จึงประทับอยู่นอก เมืองในที่เปลี่ยว แม้กระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์

โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรทัง้ สองคนของผูเ้ ฒ่าเอลี เป็นตัวแทนของคนในทุกยุคทุกสมัยทีเ่ อาหน้าทีต่ ำ�แหน่ง ของตนแสวงหาผลประโยชน์เข้าหาตัวเองอย่างเกินเลย โดยไม่ฟังเสียงมโนธรรม ความบกพร่องของเขามิใช่ แค่เอาผลประโยชน์เท่านัน้ แต่ยงิ่ กว่านัน้ ก็คอื ความเข้าใจในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเขาบกพร่องโดยสิน้ เชิง เขา ไม่คิดว่าพระองค์ทรงมีความเป็นอยู่ แม้มิได้มีตัวตนปรากฏให้เห็นก็ตาม ความตายของเขาในขณะที่อยู่เคียง ข้างหีบพระบัญญัติที่แห่ออกไปในสมรภูมิสงครามนั้น บ่งบอกว่าเขาตาบอดสนิทในสิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาทำ�ต่อ พระผู้ศักดิ์สิทธิ์เสมอมา พระผู้เป็นเจ้ามิได้ห่วงสลวนกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่หมายถึงพระองค์ และพร้อมเสมอที่ จะให้สงิ่ เหล่านัน้ พินาศและหายไปในทีส่ ดุ แต่พระองค์ทรงห่วงความชอบธรรมทีแ่ ท้จริงในจิตวิญญาณและความ ประพฤติของมนุษย์มากกว่า


บทอ่านที่ 1

ระลึกถึง น.อันตน อธิการ สดด 89:15-16,17-18

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร

1 ซมอ 8:4-7,10-22ก

บรรดาผูอ้ าวุโสของชาวอิสราเอลจึงมาชุมนุมกันไปหาซามูเอลทีเ่ มืองรามาห์ พูดว่า “ท่านชราแล้ว และบุตรของท่านไม่ประพฤติตามแบบอย่างของท่าน ดังนั้น ท่านจงแต่ง ตัง้ กษัตริยข์ นึ้ ปกครองพวกเราเหมือนกับชนชาติอนื่ เถิด” ซามูเอลไม่พอใจทีเ่ ขาเหล่านัน้ ขอกษัตริย์มาปกครอง จึงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบ ซามูเอลว่า “จงฟังถ้อยคำ�ทุกประการทีป่ ระชากรพูดกับท่านเถิด เขาไม่ได้ละทิง้ ท่านแต่ละ ทิ้งเรา ไม่ยอมให้เราเป็นกษัตริย์ปกครองเขา” ซามูเอลบอกให้ประชากรที่มาขอกษัตริย์รู้ทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส... ประชากรไม่ยอมฟังเสียงของซามูเอล กลับพูดว่า “จะไม่เป็นเช่นนี้ พวกเราต้องการ กษัตริย์ปกครอง เราจะได้เป็นเหมือนชนชาติอื่นที่มีกษัตริย์ปกครอง พระองค์จะทรงนำ� พวกเราออกไปสู้รบกับศัตรูพร้อมกับเรา” ซามูเอลฟังถ้อยคำ�ทุกคำ�ที่ประชากรพูด และ นำ�เรื่องไปทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับซามูเอลว่า “จงทำ�ตามข้อ เสนอของเขาให้เขามีกษัตริย์ปกครองเถิด” แล้วซามูเอลบอกชาวอิสราเอลว่า “แต่ละ คนจงกลับไปเมืองของตนเถิด”

มก 2:1-12

ต่อมาอีกสองสามวัน พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาทีเ่ มืองคาเปอรนาอุม เมือ่ เป็นทีร่ กู้ นั ว่าพระองค์ประทับอยู่ ในบ้าน ประชาชนจำ�นวนมากจึงมาชุมนุมกันจนไม่มีที่ว่างแม้กระทั่งที่ประตู พระองค์ประทานพระโอวาทสอน ประชาชนเหล่านั้น ชายสี่คนหามคนอัมพาตคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ แต่เขานำ�คนอัมพาตนั้นฝ่าฝูงชนเข้าไปถึง พระองค์ไม่ได้ เขาจึงเปิดหลังคาบ้านตรงที่พระองค์ประทับอยู่ แล้วหย่อนแคร่ที่คนอัมพาตนอนอยู่ลงมาทาง ช่องนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับ การอภัยแล้ว” ที่นั่นมีธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ด้วย เขาคิดในใจว่า “ทำ�ไมคนนี้จึงพูดเช่นนี้ เขากล่าวดูหมิ่น พระเจ้า ใครเล่าอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านัน้ ” ทันใดนัน้ พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาด้วยพระ จิตของพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายคิดเช่นนี้ในใจทำ�ไม อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกคนอัมพาตว่า ‘บาป ของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น แบกแคร่เดินไปเถิด’ แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรแห่งมนุษย์มี อำ�นาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้” พระองค์ตรัสแก่คนอัมพาตว่า “เราสั่งท่าน จงลุกขึ้น แบกแคร่กลับไปบ้าน เถิด” เขาก็ลุกขึ้นแบกแคร่ออกเดินไปทันทีต่อหน้าคนทั้งปวง ทุกคนต่างประหลาดใจ ถวายพระเกียรติแด่ พระเจ้าและพูดว่า “พวกเรายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย”

การสอนลูกให้เป็นคนดีช่างมีผลเลยปากประตูบ้านของเรา และในครั้งนี้ได้เกิดขึ้นกับตัวของซามูเอลเอง และส่งผลให้เกิดความสิ้นหวังแก่อนาคตของชาติอิสราเอล ถึงกับพวกเขาขอให้ซามูเอลตั้งสถาบันกษัตริย์ให้ พวกเขา อันเป็นการเริ่มสถาบันใหม่ที่มีแต่จะนำ�หายนะเรื่องการหันไปกราบไหว้พระเท็จเทียมมาสู่อิสราเอล ชีวติ ของเราเช่นกัน เรือ่ งเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้านต้องเอาใจใส่จดั การเสียตัง้ แต่เริม่ ต้นมีปญ ั หา อย่าปล่อยปละ ละเลยทิ้งไว้จนลุกลามไปใหญ่โตและแก้ไม่ได้ในที่สุด


บทอ่านที่ 1

1 ซมอ 9:1-4,17-19;10:1

พระวรสาร

มก 2:13-17

ชายผู้หนึ่งจากเผ่าเบนยามินชื่อ คีช เป็นคนรํ่ารวย... คีชมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ ซาอูล เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีรูปร่างงามสง่ากว่าชาวอิสราเอลทั้งหลาย สูงกว่าคนอื่น ราวหนึ่งศอก วันหนึ่ง ฝูงลาของคีช บิดาของซาอูลพลัดหลงไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูล บุตรของ ตนว่า “จงนำ�ผู้รับใช้ไปด้วยคนหนึ่ง ออกตามหาลาเหล่านั้นเถิด” ทั้งสองคนจึงข้ามเขต สัปดาห์ที่ 1 ภูเขาเอฟราอิม ผ่านไปถึงแผ่นดินชาลิชาแต่กห็ าไม่พบ เขาจึงไปหาทีแ่ ผ่นดินชาอาลิม แต่ เทศกาลธรรมดา ลาก็ไม่อยู่ที่นั่น เขาข้ามเขตแดนเบนยามิน แต่ก็ยังไม่พบอีก สดด 21:1-2, เมื่อซามูเอลเห็นซาอูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับเขาว่า “ชายผู้นี้คือผู้ที่เราบอก 3-4,5-6 ท่านว่า ‘เขาจะปกครองประชากรของเรา’” ซาอูลเข้าไปพบซามูเอลที่ประตูเมือง ถามว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า บ้านของผู้ทำ�นายอยู่ที่ไหน” ซามูเอลตอบซาอูลว่า “ข้าพเจ้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 คือผู้ทำ�นาย จงเดินนำ�หน้าข้าพเจ้าขึ้นไปยังสักการสถานบนภูเขา ท่านทั้งสองคนจะร่วม กินอาหารกับข้าพเจ้าในวันนี้ พรุ่งนี้เช้า ข้าพเจ้าจะตอบคำ�ถามทุกอย่างของท่าน แล้วจะให้ท่านไป” ซามูเอลเอาขวดนํ้ามันมะกอกเทศขึ้นมา เทนํ้ามันลงบนศีรษะของซาอูล จูบเขาแล้วพูดว่า “องค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงเจิมท่านให้เป็นผู้นำ�ชาวอิสราเอลประชากรของพระองค์ ท่านจะปกครองประชากรขององค์พระผู้ เป็นเจ้า ช่วยเขาให้พ้นจากมือของศัตรูที่อยู่โดยรอบ นี่จะเป็นเครื่องหมายพิสูจน์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิม ท่านให้เป็นผู้นำ�ประชากรอิสราเอลซึ่งเป็นส่วนมรดกของพระองค์”

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปริมฝั่งทะเลสาบอีก ประชาชนต่างมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงสั่ง สอนเขา ขณะที่ทรงพระดำ�เนินไป พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวี บุตรของอัลเฟอัสกำ�ลังนั่งอยู่ที่ด่าน ภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเลวี คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมา ร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์มา บรรดาธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสีเห็น พระองค์เสวยร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำ�ไมอาจารย์ของท่านกินอาหาร กับคนเก็บภาษีและคนบาป” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คน เจ็บไข้ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป”

การเรียกและการเลือกของพระเป็นเจ้าต่อพวกเรานั้น เป็นการให้เปล่าๆเสมอ เราไม่เคยต้องเสียค่าอะไร เลยเมือ่ คราวได้รบั พระพรอันใดจากพระองค์ ซาอูลก็แค่กำ�ลังเดินทางหาฝูงลาของบิดาทีห่ ายไปเท่านัน้ แต่กลับ กลายเป็นการเดินทางไปรับตำ�แหน่งที่พระให้แก่เขาโดยไม่ต้องเสียหรือแลกกับอะไรเลย และต่อมา มนุษย์เรา ส่วนใหญ่กม็ กั จะหลงใหลพร้อมกับอ้างจองสิทธิสารพัดจากสิง่ ทีเ่ ราได้มาฟรีๆ เราอยากได้อาณาจักรพระเจ้า แต่ ไม่ต้องการให้พระเจ้าอยู่ในนั้น


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันสันติภาพสากล

อสย 49:3,5-6

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลเอ๋ย ท่านเป็นผู้รับใช้ของเรา เราจะ แสดงสิริรุ่งโรจน์ของเราโดยทางท่าน” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสร้างข้าพเจ้ามาในครรภ์มารดาให้เป็นผูร้ บั ใช้พระองค์ เพือ่ นำ� ยาโคบกลับมาหาพระองค์ และรวบรวมอิสราเอลมาอยู่กับพระองค์ บัดนี้ พระองค์ตรัส กับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รับเกียรติเฉพาะพระพักตร์พระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้าทรง เป็นพละกำ�ลังของข้าพเจ้า พระองค์ตรัสว่า “เป็นการน้อยไปที่ท่านจะเป็นผู้รับใช้ของเรา เพื่อสถาปนาเผ่าพันธุ์ของยาโคบขึ้นใหม่ และรวบรวมอิสราเอลที่เหลืออยู่อีกครั้งหนึ่ง เราจะให้ท่านเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อความรอดพ้นที่เรานำ�มาให้จะได้แผ่ไปจน สุดปลายแผ่นดิน”

เพลงสดุดี

สดด 40:1,3ก,6-7ก,7ข-8,9กข

ก) ข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความหวัง แล้วพระองค์ก็ทรงก้มลงมาหาข้าพเจ้า และทรงฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้า พระองค์ทรงใส่เพลงบทใหม่ไว้ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา ข) พระองค์ไม่ทรงประสงค์เครื่องบูชาหรือของถวายใดๆ แต่ประทานหูให้ข้าพเจ้าฟัง พระองค์มิได้ทรงเรียกร้องเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องบูชาชดเชยบาป ข้าพเจ้าจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ กำ�ลังมาแล้ว” ค) ในม้วนหนังสือมีเขียนไว้สำ�หรับข้าพเจ้า ให้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าปรารถนาเช่นนั้น ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ลึกในหัวใจของข้าพเจ้า ง) ข้าพเจ้าประกาศความเที่ยงธรรมของพระองค์ในที่ประชุม ใหญ่ ถูกแล้ว ข้าพเจ้ามิได้ปิดปากเลย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบอยู่แล้ว

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 1:1-3

จากเปาโล ซึง่ พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครสาวกของพระคริสตเยซูตามพระประสงค์ ของพระองค์ และจากโสสเธเนสพี่น้องของเรา ถึงพระศาสนจักรของพระเจ้าที่อยู่ ณ เมืองโครินธ์ ถึงผู้ที่ได้รับความศักดิ์สิทธิ์ใน พระคริสตเยซู คือได้รับเรียกให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับทุกคนในทุกสถานที่ ทุกคนซึ่ง


เรียกหาพระนามของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งของเขาและของเราด้วย ขอพระหรรษทานและสันติสขุ จากพระเจ้าพระบิดา ของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิต กับท่านทั้งหลายเถิด

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 1:29-34

วันรุ่งขึ้น ยอห์นเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมาหาตน จึง กล่าวว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาป ของโลก ผู้นี้คือผู้ที่ข้าพเจ้าเคยพูดถึงว่า ‘บุรุษผู้หนึ่งมา ภายหลังข้าพเจ้า แต่นำ�หน้าข้าพเจ้า เพราะอยู่มาก่อนข้าพเจ้า’ ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้าถูกส่ง มาให้ท�ำ พิธีล้าง เพื่อทำ�ให้พระองค์เป็นที่รู้จักแก่อิสราเอล ยอห์นยังยืนยันอีกว่า ข้าพเจ้าเห็นพระจิตเจ้า เสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนนกพิราบ และทรงอยู่เหนือพระองค์ ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ผู้ที่ทรงส่ง ข้าพเจ้ามาใช้นํ้าทำ�พิธีล้าง ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับอยู่เหนือผู้ใด ผู้นั้นคือ ผู้ที่ทำ�พิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า’ ข้าพเจ้าเห็นและเป็นพยานยืนยันว่าท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

ขนาดของมาตรฐานของพระเจ้าล้วนยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เรามนุษย์จะคาดถึงได้เสมอ และความ ล้มเหลวของเรามนุษย์ผอู้ วดฉลาดย่อมเล็กกว่าความรักและความเมตตาของพระเจ้าเสมอเช่นกัน พระองค์ ทรงเก็บเอาเศษซากอันเกิดจากความอ่อนแออวดดีของมนุษย์ ประดุจพ่อทีก่ ม้ ลงสำ�รวจแผลของลูก แล้ว ก็ทรงเยียวยารักษาแผลนั้นให้ ไม่เพียงแต่แค่นั้น พระองค์ยังประดับประดาลูกล้างผลาญด้วยเสื้อผ้า สวยงามกว่าเดิมและแหวนที่มีอัญมณีที่ยอดขนาดใหญ่กว่าเดิม เราในฐานะผู้รับใช้ของพระองค์จะรับใช้ พระองค์ด้วยท่าทีอย่างไรดี?


บทอ่านที่ 1

1 ซมอ 15:16-23

ในครั้งนั้น ซามูเอลทูลตอบซาอูลว่า “พอแล้ว อย่าตรัสอะไรอีก ข้าพเจ้าจะทูลให้ ทรงทราบว่า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสอะไรกับข้าพเจ้าเมือ่ คืนทีแ่ ล้ว...แม้พระองค์จะทรงคิด ว่าไม่ทรงเป็นคนสำ�คัญอะไร แต่พระองค์ก็ทรงเป็นหัวหน้าของเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเจิมพระองค์ให้เป็นกษัตริยข์ องอิสราเอล องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส่ง พระองค์ไปปฏิบัติภารกิจตรัสว่า ‘จงไปทำ�ลายล้างชาวอามาเลขคนบาปเหล่านั้นให้หมด น.เฟเบียน สิ้นเถิด จงสู้รบกับเขาจนกว่าจะทำ�ลายเขาให้หมด’ ทำ�ไมพระองค์จึงไม่ทรงเชื่อฟังพระ พระสันตะปาปาและ สุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า... และทรงทำ�สิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็น มรณสักขี เจ้า” กษัตริยซ์ าอูลทรงตอบซามูเอลว่า “ข้าพเจ้าเชือ่ ฟังพระบัญชาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า น.เซบัสเตียน แล้ว และออกไปปฏิบัติภารกิจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา... แต่ประชากรเก็บแพะ มรณสักขี แกะ และโคตัวดีที่สุดที่ยึดมาได้และจะต้องถูกฆ่าทำ�ลายเสียนั้น นำ�มาที่เมืองกิลกาล เพื ่อถวายเป็นบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน” สดด 50:8-9,16-18,21,23 ซามูเอลก็ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เท่ากับที่พอพระทัยให้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ฟังเถิด การเชื่อฟังย่อมดี กว่าการถวายบูชา การอ่อนน้อมย่อมดีกว่าไขมันแกะ การใช้เวทมนตร์คาถาเป็นบาปเหมือนการกบฏ การไม่ ยอมเชื่อฟังเป็นความผิดเหมือนการกราบไหว้รูปปฏิมา เพราะพระองค์ทรงละทิ้งไม่ยอมปฏิบัติตามพระวาจา ขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงละทิ้งไม่ให้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ด้วย”

พระวรสาร

มก 2:18-22

เวลานัน้ บรรดาศิษย์ของยอห์นและชาวฟาริสกี �ำ ลังจำ�ศีลอดอาหาร มีผทู้ ลู ถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมศิษย์ ของยอห์นและศิษย์ของชาวฟาริสีจำ�ศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำ�ศีลเลย” พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้รับ เชิญมาในงานแต่งงานจะจำ�ศีลอดอาหารได้หรือขณะทีเ่ จ้าบ่าวยังอยูก่ บั เขา ตราบใดทีเ่ จ้าบ่าวยังอยูด่ ว้ ย เขาย่อม ไม่จำ�ศีลอดอาหาร แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกพรากไป ในวันนั้น เขาจะจำ�ศีลอดอาหาร ไม่มีใครนำ�ผ้าใหม่ ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำ�มาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัวมากกว่า ทำ�ให้รอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มีใครใส่เหล้า องุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าจะทำ�ให้ถุงหนังขาด ทั้งเหล้า และถุงก็จะเสียไป แต่ต้องใส่เหล้าใหม่ลง ในถุงหนังใหม่”

สิ่งที่คนเราต้องระมัดระวังที่สุดก็คือวิธีคิดของเราเอง เราคิดเหมือนกับซาอูลหรือไม่? ที่ว่าพระเป็นเจ้า หรือ? ก็เอาของไปเผาถวายบูชาพระองค์ ก็เสร็จแล้วนี่! พระองค์พอพระทัยแค่นั้น ดูคล้ายพระองค์ทรงหิวก็ เลยพอพระทัยอิ่มกับควันจากเครื่องเผาบูชาที่เราเผาไปให้ ดังนั้นให้เราเผาแบงค์กงเต็ก! เผารถยนต์กระดาษ! เผาคนรับใช้กระดาษ! ไปให้พระองค์ อย่างนั้นหรือ? แล้วส่วนซาอูลเมื่อทำ�ตามวิธีคิดของเขาดังนี้แล้ว ก็คุม กองกำ�ลังทหารของตนออกปล้นยึดข้าวของทรัพย์สินจากชาวเมืองที่ตัวเองยกทัพเข้าตีเพื่อยึดดินแดนให้กลับ คืนมาเป็นของอิสราเอลอีกครั้ง โดยมิสนใจว่าที่กำ�ลังทำ�นั้นเป็นการปล้น การฆ่าชิง การฉุดคร่า ซึ่งพระเป็นเจ้า ไม่พอพระทัยและไม่ได้สอนให้ทำ�แต่อย่างใด


บทอ่านที่ 1

1 ซมอ 16:1-13

พระวรสาร

มก 2:23-28

ในครั้งนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ซามูเอลว่า “ท่านจะเป็นทุกข์ใจถึงซาอูลต่อไป อีกนานเท่าใด บัดนี้เราละทิ้งเขาไม่ยอมให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลอีกแล้ว จงเอา นํ้ามันมะกอกเทศบรรจุใส่ขวดเขาสัตว์จนเต็ม และออกเดินทาง เราส่งท่านไปที่เมือง เบธเลเฮม ไปหาเจสซี เพราะเราเลือกบุตรคนหนึ่งของเขาเป็นกษัตริย์”... ซามูเอลก็ท�ำ ตามพระบัญชาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า... ซามูเอลให้เจสซีกบั บุตรทำ�พิธี ระลึกถึง ชำ�ระตน แล้วเชิญให้มาถวายเครื่องบูชา น.อักแนส เมื่อเจสซีกับบุตรมาถึง ซามูเอลเห็นเอลีอับก็คิดว่า “ผู้ที่อยู่เฉพาะพระพักตร์องค์ พระผู้เป็นเจ้า ผู้นี้คือผู้ที่จะต้องรับเจิม” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “อย่า พรหมจารี มรณสักขี สนใจมองแต่รูปร่างหน้าตา หรือความสูงของเขา เพราะเราไม่เลือกเขา องค์พระผู้เป็น สดด 89:19-20,21, เจ้าไม่ทรงมองอย่างมนุษย์มอง มนุษย์มองแต่รูปร่างภายนอก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง 26-27 มองจิตใจ”... เจสซีพาบุตรทัง้ เจ็ดคนมาพบซามูเอลทีละคน แต่ซามูเอลกล่าวแก่เจสซีวา่ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าไม่ทรงเลือกคนเหล่านีเ้ ลย” ซามูเอลถามเจสซีวา่ “บุตรชายของท่าน มาหมดแล้วหรือ” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง แต่ขณะนี้เขากำ�ลังเลี้ยง แกะอยู่” ซามูเอลสั่งเจสซีว่า “จงส่งคนไปตามเขามาเถิด เราจะไม่นั่งกินอาหารจนกว่าเขาจะมา” เจสซีจึงส่ง คนไปตามมา เด็กหนุ่มนั้นมีผมแดง ดวงตางดงาม และรูปร่างดี องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงลุกขึ้น เจิมเขา เถอะ เป็นคนนี้แหละ” ซามูเอลก็เอาขวดเขาสัตว์ที่บรรจุนํ้ามันมะกอกเทศมาเจิมดาวิดต่อหน้าบรรดาพี่ชาย พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา... วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์ที่เดินทางอยู่ด้วยเด็ดรวงข้าว ชาว ฟาริสีทูลถามพระองค์ว่า “ทำ�ไมศิษย์ของท่านทำ�สิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้ อ่านพระคัมภีร์หรือว่า กษัตริย์ดาวิดทรงทำ�สิ่งใดในยามที่มีความจำ�เป็นและความหิวโหยทั้งพระองค์และผู้ ติดตาม พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าเมือ่ อาบียาธาร์เป็นมหาสมณะ เสวยขนมปังทีต่ งั้ ถวาย ซึง่ ใครจะกินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น พระองค์ยังทรงให้ผู้ติดตามกินอีกด้วย” แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า “วันสับบาโตมีไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์มีไว้เพื่อวันสับบาโต ดังนั้น บุตรแห่ง มนุษย์จึงเป็นนายเหนือแม้กระทั่งวันสับบาโตด้วย”

เมื่อมนุษย์ดำ�เนินชีวิตไปเรื่อยๆ ในสังคมและในโลก สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวของเขาผ่านไปเป็นชีวิต ประจำ�วันอย่างคุ้นเคยและจมปลัก หากเขาไม่เคยหยุดเพื่อจะคิดพิจารณาเรื่องต่างๆ อย่างลึกซึ้ง ปล่อยให้ ความจำ�เป็นทางวัตถุและความชอบตามกิเลสเข้ามากำ�กับวิธีคิดและการดำ�เนินชีวิตไปเรื่อยๆ เมื่อนั้นแหละที่ ทุกอย่างรอบชีวติ ของเขาจะกลายเป็นปัญหาในจุดทีพ่ ระเยซูมาแก้ไขให้วา่ วันสับบาโตมีไว้เพือ่ มนุษย์ มิใช่มนุษย์ มีไว้เพื่อวันสับบาโต และเป็นเรื่องเดียวกับที่ซามูเอลมองแต่ภายนอกในการเจิมตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ของชาว อิสราเอล จนพระเป็นเจ้าต้องตรัสเตือนว่า มนุษย์มองแต่รูปภายนอก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมองจิตใจ


บทอ่านที่ 1

1 ซมอ 17:32-33,37,40-51

ในครั้งนั้น ดาวิดทูลกษัตริย์ซาอูลว่า “อย่าให้ใครหมดกำ�ลังใจเพราะชาวฟีลิสเตีย ผู้นี้ ผู้รับใช้ของพระองค์จะไปต่อสู้กับเขาเอง...องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้ รอดพ้นจากเล็บของสิงโตและหมีมาแล้ว จะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของชาวฟีลิส เตียผู้นี้ด้วย” ซาอูลตรัสตอบดาวิดว่า “ไปเถิด ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้า” ดาวิดหยิบไม้เท้ามาถือไว้ แล้วเก็บก้อนหินเกลี้ยงห้าก้อนจากท้องห้วยใส่ย่ามที่ผู้ เลีย้ งแกะใช้ ถือสลิง เดินเข้าไปหาชาวฟีลสิ เตียคนนัน้ ชาวฟีลสิ เตียค่อยๆ เดินเข้ามาหา น.วินเซนต์ ดาวิด มีคนถือโล่เดินนำ�หน้า เมื่อชาวฟีลิสเตียมองดูดาวิดเห็นถนัดแล้ว ก็นึกดูถูก... สังฆานุกร ตะโกนถามดาวิดว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นสุนัขหรือจึงถือไม้เท้าเข้ามาหา” ชาวฟีลิสเตียออก และมรณสักขี นามเทพเจ้าของตนสาปแช่งดาวิด แล้วร้องท้าดาวิดว่า “เข้ามาซิ ข้าจะเอาร่างของเจ้าให้ สดด 144:1-2,9-11ก นกและสัตว์ป่ากิน” ดาวิดตอบชาวฟีลิสเตียว่า “ท่านถือดาบ หอก และแหลนมาสู้กับ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ข้าพเจ้า แต่ขา้ พเจ้ามาสูก้ บั ท่าน เดชะพระนามขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล พระเจ้า แห่งกองทัพอิสราเอล ที่ท่านดูหมิ่น... เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้กำ�หนดว่าใคร จะชนะในสงคราม และจะทรงมอบท่านทั้งหลายไว้ในมือของเรา” ชาวฟีลสิ เตียเดินตรงเข้ามาหาดาวิดอีก ดาวิดวิง่ ลงสูส่ นามรบ ไปต่อสูช้ าวฟีลสิ เตีย ดาวิดล้วงลงไปในย่าม หยิบหินขึน้ มาก้อนหนึง่ ใส่สลิงเหวีย่ งไปถูกหน้าผากของชาวฟีลสิ เตีย ก้อนหินเจาะหน้าผากเข้าไป เขาล้มหน้า ควํ่าลงกับพื้นดิน ดาวิดพิชิตชาวฟีลิสเตียโดยใช้สลิงและก้อนหิน... เมื่อบรรดาชาวฟีลิสเตียเห็นว่านักรบของ ตนตายแล้ว ต่างก็ออกวิ่งหนีไป

พระวรสาร

มก 3:1-6

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ที่นั่นมีชายมือลีบคนหนึ่ง ประชาชนบางคน คอยจ้องมองดูว่า พระองค์จะทรงรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ พระองค์ตรัสสั่งชายมือลีบว่า “ลุกขึ้น มายืนตรงกลางนี่ซิ” แล้วตรัสถามคนทั้งหลายว่า “ในวันสับบาโตนั้น ควรทำ�ความดีหรือความชัว่ ควรจะช่วยชีวติ หรือปล่อยให้ตายไป” คนเหล่านัน้ ก็นงิ่ อยู่ พระองค์จงึ ทอดพระเนตร เขาเหล่านั้นด้วยความกริ้ว เศร้าพระทัยเพราะจิตใจแข็งกระด้างของเขา แล้วตรัสสั่งชายมือลีบว่า “จงเหยียด มือซิ” เขาก็เหยียดมือ มือนั้นก็หายลีบเป็นปกติ ชาวฟาริสีจึงออกไป และประชุมกับผู้นิยมกษัตริย์เฮโรดทันที เพื่อปรึกษาว่าจะกำ�จัดพระองค์ได้อย่างไร

เราจงดำ�เนินชีวิตอย่างชอบธรรมแม้ในขณะที่ไม่มีวิกฤตการณ์ใดๆ ให้ต้องประสบ อย่างชอบธรรมคือ ดำ�เนินชีวิตด้วยความเชื่อถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าอยู่เหนือชีวิตของเราทุกวัน เมื่อเวลาแห่งวิกฤตมาเยือน คำ� พูดของดาวิดน่าจะเป็นคำ�พูดของเราด้วย ทุกถ้อยคำ�ของเขาบ่งบอกว่า พระเป็นเจ้าทรงครอบครองทุกอย่างใน โลกและในทุกเหตุการณ์ เขาไม่กลัว ไม่เดือดร้อน เพราะเมือ่ แล้วเสร็จ ทุกอย่างจะดีไปหมดตามทีพ่ ระองค์ทรง ต้องการ สิ่งนี้ก่อให้เกิดอย่างอัตโนมัติถึงความกล้าหาญในท่ามกลางคนที่มาจับผิดหรือเล่นงานเรา เขามิอาจ เล่นงานประเด็นอันถูกต้องตามเหตุผลและชอบธรรมตามแบบฉบับของพระเจ้าได้ ดุจเดียวกับพระเยซูทรง กระทำ�การช่วยเหลือคนพิการท่ามกลางการจ้องจับผิดของคนอธรรม เราก็น่าจะทำ�ได้เช่นเดียวกัน


บทอ่านที่ 1

1 ซมอ 18:6-9;19:1-7

ในครั้งนั้น เมื่อบรรดาทหารกลับไปบ้านหลังจากที่ดาวิดฆ่าชาวฟีลิสเตียผู้นั้นแล้ว บรรดาสตรีได้ออกจากทุกเมืองของอิสราเอลมารับเสด็จกษัตริย์ซาอูล เขาร้องเพลงเริง ระบำ� เล่นรำ�มะนา ส่งเสียงร้องด้วยความยินดีและเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆ บรรดาสตรีพา กันเต้นรำ�และขับร้องรับกันว่า “ซาอูลฆ่าศัตรูเป็นพัน ดาวิดฆ่าศัตรูเป็นหมื่น” กษัตริย์ซาอูลทรงได้ยินบทเพลงนี้ก็ไม่พอพระทัย กริ้วมาก... ทรงแจ้งให้โยนาธาน พระโอรส และข้าราชบริพารทุกคนรูว้ า่ พระองค์ตงั้ พระทัยจะฆ่าดาวิด แต่โยนาธานโอรส ของกษัตริย์ซาอูลทรงรักดาวิดมาก โยนาธานจึงทรงนำ�ข่าวไปบอกดาวิดว่า “ซาอูล พระ บิดาทรงพยายามจะฆ่าท่าน พรุ่งนี้เช้าจงระวังตัวให้ดี จงไปซ่อนให้ลับตาและคอยอยู่ที่ นั่น ฉันจะพาพระบิดาออกไปยืนในทุ่งที่ท่านซ่อนอยู่ แล้วฉันจะถามพระบิดาเรื่องท่าน เมื่อฉันรู้อะไรแล้ว ก็จะบอกให้ท่านรู้” โยนาธานตรัสยกย่องดาวิดให้ซาอูลพระบิดาฟังว่า... กษัตริยซ์ าอูลทรงฟังโยนาธาน พูดแล้วทรงสาบานว่า “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงพระชนมชีพอยูฉ่ นั ใด เราจะไม่ฆา่ ดาวิดฉัน นัน้ ” โยนาธานจึงทรงเรียกดาวิด มาเล่าเรือ่ งทัง้ หมดให้ฟงั แล้วทรงพาดาวิดไปเฝ้าซาอูล ดาวิดก็รับราชการตามเดิม

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา สดด 56:1-3,8-9, 11,12-13

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

มก 3:7-12

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปยังทะเลสาบกับบรรดาศิษย์ ผูค้ นหมูใ่ หญ่จากแคว้นกาลิลตี ดิ ตามพระองค์ ผูค้ นจากแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากแคว้นอิดเู มอา จากอีกฟากหนึง่ ของแม่นาํ้ จอร์แดน และจากบริเวณ เมืองไทระและไซดอนเป็นหมู่ใหญ่ ได้ยินสิ่งที่ทรงทำ�ก็มาเฝ้าพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสสั่งบรรดาศิษย์ให้จัด เรือไว้ล�ำ หนึง่ เพือ่ ประชาชนจะได้ไม่เบียดเสียดพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักษาผูป้ ว่ ยจำ�นวนมาก จนบรรดา ผูป้ ว่ ยด้วยโรคต่างๆ เบียดเสียดกันเข้ามาเพือ่ สัมผัสพระองค์ เมือ่ ปีศาจทัง้ หลายเห็นพระองค์ ก็กราบลง พลาง ตะโกนว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงกำ�ชับอย่างแข็งขันมิให้มันแพร่งพรายว่าพระองค์ เป็นใคร

อนิจจจา ความเป็นพระบุตรของพระเป็นเจ้าที่พระเยซูทรงเป็นอยู่นั้น ครั้นเข้ามาอยู่ในโลก ถือเอาเนื้อ หนังเป็นการปรากฏกายเยี่ยงมนุษย์ปุถุชน ก็กลับได้เพียงแค่เสียงบอกเล่าจากพวกปีศาจเท่านั้นว่า สถานะ แท้จริงของพระองค์คือใคร “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่การบอกความจริงข้อนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้งานของ พระเยซูในการไถ่บาปเราง่ายขึ้นแต่อย่างใด เงื่อนไขต่างๆ ของโลกและมนุษย์ยังมักเป็นอุปสรรคในงานและ ชีวิตของพระองค์อยู่ดี แล้วท่านทั้งหลายจะเอาอะไรมากกว่านี้เล่า เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ในโลกใบเดียวกันกับที่ พระองค์เคยอยู่มาแล้ว แม้กษัตริย์ซาอูลที่ว่าทรงอำ�นาจทุกอย่างก็ยังเจออุปสรรค เมื่อมองดูซาอูลแล้ว ท่าน จงยอมรับเสียเถิดว่า ส่วนใหญ่ของอุปสรรคในชีวิตของเรานั้นมาจากตัวของเราเองที่เสื่อมลงในหลายๆ ทาง เช่น ทางกาย ทางสังคม ทางความประพฤติ และทางความคิดอ่านต่างๆ พระเป็นเจ้าทรงชี้แจงให้เราได้รู้สึกถึง จุดหมายที่มิใช่เอาดีในโลกนี้ แต่เป็นชีวิตนิรันดรในโลกหน้า


บทอ่านที่ 1

1 ซมอ 24:2-21

เมื่อกษัตริย์ซาอูลเสด็จกลับจากการรบกับชาวฟีลิสเตีย ก็ทรงทราบว่าดาวิดอยู่ใน ถิ่นทุรกันดารใกล้เอน-เกดี กษัตริย์ซาอูลทรงเลือกทหารฝีมือเยี่ยมสามพันคนจากทั่ว อิสราเอล เสด็จไปค้นหาดาวิดและพรรคพวกทางด้านตะวันออกของหินแพะป่า พระองค์ เสด็จมาถึงคอกแกะริมทาง ที่นั่นมีถํ้าแห่งหนึ่ง จึงเสด็จเข้าไปเพื่อทรงบังคนหนัก ดาวิด กับพรรคพวกแอบอยู่ลึกในถํ้าเดียวกันนั้น... ดาวิดจึงลุกขึ้นเข้าไปลอบตัดชายเสื้อคลุม ระลึกถึง น.ฟรังซิส ของซาอูล... กษัตริยซ์ าอูลเสด็จออกจากถํา้ และทรงพระดำ�เนินต่อไป ดาวิดก็ออกจากถํา้ ตามมา เดอซาลส์ และทูลเรียกกษัตริย์ซาอูลว่า “ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพเจ้า” กษัตริย์ซาอูลทรง พระสังฆราช เหลียวมา ดาวิดก็กราบลงหน้าจรดพืน้ ด้วยความเคารพ ทูลว่า “ทำ�ไมพระองค์จงึ ทรงเชือ่ และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร ฟังผู้ที่ใส่ความว่าข้าพเจ้าจะทำ�ร้ายพระองค์ พระองค์ทรงเห็นกับตาในวันนี้แล้วว่า องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพระองค์ไว้ในมือของข้าพเจ้าในถํ้า มีคนยุให้ข้าพเจ้าฆ่าพระองค์ สดด 57:1-8,3,5,10 แต่ข้าพเจ้าไว้ชีวิตพระองค์...พระบิดาของข้าพเจ้า ดูนี่ซิ โปรดทอดพระเนตรดูชายเสื้อ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 คลุมในมือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตัดมาจากเสื้อคลุมของพระองค์ แต่ไม่ได้ฆ่าพระองค์ ขอ พระองค์ทรงยอมรับเถิดว่า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดกบฏต่อพระองค์หรือคิดทำ�ร้ายพระองค์ เลย... ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้าจะไม่ทำ�ร้ายพระองค์เป็นอัน ขาด ดังที่สุภาษิตโบราณเคยกล่าวว่า ‘ความชั่วย่อมมาจากคนชั่ว’ แต่ข้าพเจ้าจะไม่ทำ�ร้ายพระองค์เลย... ขอ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงป้องกันข้าพเจ้าจากพระหัตถ์ของพระองค์เถิด”...

พระวรสาร

มก 3:13-19

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปบนภูเขา ทรงเรียกผู้ที่พระองค์ทรงต้องการให้มาพบ เขาเหล่านั้นก็มาเฝ้า พระองค์ พระองค์จงึ ทรงแต่งตัง้ อัครสาวกสิบสองคนให้อยูก่ บั พระองค์ และเพือ่ จะทรงส่งเขาออกไปเทศน์สอน โดยให้มีอำ�นาจขับไล่ปีศาจด้วย อัครสาวกสิบสองคนที่ทรงแต่งตั้ง คือ ซีโมน พระองค์ทรงตั้งชื่อใหม่ให้เขาว่า “เปโตร” ยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์น น้องชายของยากอบ พระองค์ทรงตั้งชื่อให้สองพี่น้องนี้ว่า “โบอาแนรเกส” ซึ่งแปลว่า “ลูกฟ้าร้อง” อันดรูว์ ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โทมัส ยากอบบุตรของอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ได้ทรยศต่อพระองค์ การเป็นคนดีเรียกร้องการเสียสละอย่างสูงเสมอ การให้อภัยศัตรูที่คิดร้ายเป็นการกระทำ�ที่ยากยิ่ง ความ อดทนในขณะถูกกลัน่ แกล้งเป็นชัยชนะต่อตนเองทีส่ วรรค์ปรบมือให้มาโดยตลอด ความทุกข์ทตี่ อ้ งแบกอยูใ่ น ใจขณะที่รู้ว่าตนเองมีความชอบธรรมอยู่เต็มเปี่ยมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้น เป็นกางเขนอันเดียวกันกับที่ พระเยซูเคยแบกมาแล้ว การอยู่ในสภาพเสมือนการเนรเทศโดยไม่มีความผิด หากสามารถอยู่สงบกับเสียง ตะโกนหาความยุตธิ รรมทีก่ อ้ งอยูใ่ นส่วนลึกของตนนัน้ คือเส้นทางจากในนครเยรูซาเล็ม ล้มลุกคลุกคลานสาม หน ทะลุออกสูน่ อกเมือง แล้วมุง่ ตรงไปทีเ่ นินหัวกะโหลก ทีน่ นั่ ความตายรอเราอยู่ ถ้าเราสมัครใจเพือ่ นํา้ พระทัย พระเป็นเจ้าจะได้เป็นไปในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ การได้กลับคืนชีพอีกครั้งจึงเป็นสิ่งที่คู่ควรกับเราเป็นที่สุด พระผู้เป็นเจ้าผู้ควบคุมเหตุการณ์จะอยู่ในทุกคำ�ภาวนาของเราตลอดเส้นทางสายนี้


บทอ่านที่ 1

กจ 22:3-16

พระวรสาร

มก 16:15-18

เปาโลจึงกล่าวกับประชาชนว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัสในแคว้นซิลี เซีย แต่เติบโตในเมืองนี้ กามาลิเอลเป็นอาจารย์สอนข้าพเจ้าให้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยความกระตือรือร้นอยู่เสมอเช่น เดียวกับที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติอยู่ในวันนี้ ผู้ที่ดำ�เนินตามวิถีทางนี้ เคยถูกข้าพเจ้า เบียดเบียนถึงตาย... เวลาประมาณเที่ยงวัน ขณะที่ข้าพเจ้ากำ�ลังเดินทางใกล้จะถึงเมือง ดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าล้มลงที่พื้น ฉลองการกลับใจ ดินและได้ยินเสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า “เซาโล เซาโล เจ้าเบียดเบียนเราทำ�ไม” ข้าพเจ้าจึง ของนักบุญเปาโล ถามว่า “พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร” พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เราคือเยซูชาวนาซา อัครสาวก เร็ธ ซึ่งเจ้ากำ�ลังเบียดเบียนอยู่”... แล้วข้าพเจ้าถามอีกว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำ� สดด 117:1-2 อะไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้น เข้าไปในเมืองดามัสกัส ที่นั่นจะ มีคนบอกทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกำ�หนดให้เจ้าทำ�”... ชายคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เป็นผู้ยำ�เกรงพระเจ้าและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ เป็นที่เคารพนับถือของชาว ยิวทุกคนซึง่ อยูท่ นี่ นั่ เขามาพบข้าพเจ้า ยืนใกล้ๆ พูดกับข้าพเจ้าว่า “เซาโล น้องเอ๋ย จงกลับมองเห็นเถิด” และ ในเวลานัน้ เองข้าพเจ้าก็มองเห็นเขา อานาเนียบอกข้าพเจ้าว่า “พระเจ้าแห่งบรรพบุรษุ ของเราทรงเลือกสรรท่าน ให้รู้พระประสงค์ของพระองค์... บัดนี้ท่านรออะไรอยู่อีกเล่า จงลุกขึ้น รับศีลล้างบาปและเรียกขานพระนาม ของพระองค์ชำ�ระล้างบาปของท่านเถิด” เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง ผู้ที่ เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ ผู้ที่เชื่อจะทำ�อัศจรรย์เหล่านี้ได้ คือจะขับไล่ ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ๆ ได้ จะจับงูได้ และถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือ คนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย”

กำ�เนิดของใครก็ตาม ล้วนเป็นพระพรของพระเป็นเจ้าทีใ่ ห้แก่เขา พระพรนีค้ อื คุณลักษณะต่างๆ ทีเ่ ขาเกิด มาเป็น พระเป็นเจ้าจึงขอใช้พระคุณต่างๆ ในตัวเขาเพื่องานของพระองค์ แม้ว่าเขาจะเคยเป็นคนบาปมาก่อน ก็ตาม แต่พระเป็นเจ้าไม่ทรงดูแคลนพระพรพิเศษใดๆ ทีเ่ คยให้ไว้แก่ลกู คนหนึง่ คนใดของพระองค์เลย พระองค์ จะขอให้เขาใช้พระพรนั้นๆ มิใช่เพื่อตนเอง แต่ให้ใช้เพื่อคนอื่น เพื่อพระองค์ คนที่ทำ�กิจการทุกอย่างโดยแอบ ประโยชน์เพื่อตัวเองเอาไว้เบื้องหลัง ย่อมไม่เข้าใจความคิดของพระเป็นเจ้าดังกล่าว เขาจะแอบกวาดทุกอย่าง เพื่อมาเสริมและประกาศตัวตนของเขา เขาใช้ทุกคนเป็นเครื่องมือเพื่อหาความรุ่งเรืองแก่ตนเอง เขาเอาทุก ชีวิตภายใต้ความรับผิดชอบของเขามาเป็นขั้นบันไดให้เขาเดินขึ้นไปหาสิ่งที่เขาฝันเพื่อตนเอง พระผู้เป็นเจ้าจะ ทำ�อย่างไรต่อเขาดี? พระองค์จะประทานสิง่ ทีเ่ ขาไล่คว้าให้เขา เพือ่ ให้เขารูใ้ นตอนหลังทีแ่ ก้ไขอะไรไม่ได้แล้วว่า สิ่งที่เขาไล่คว้าก็เป็นสมบัติของเขา แต่สมบัติของพระองค์นั้น พระองค์ทรงยึดคืนไป...ความสุขใจที่แท้จะอยู่ที่ ใดเล่า?


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์

สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

อสย 8:23-9:3

ในอดีต พระองค์ทรงทำ�ให้แผ่นดินเศบูลนุ และแผ่นดินนัฟทาลีตกตํา่ แต่ในอนาคต จะทรงบันดาลให้หนทางจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถึงแม่นาํ้ จอร์แดน ซึง่ เป็นดินแดนของ ชนต่างชาติมีความรุ่งเรือง ประชากรทีเ่ ดินในความมืดแลเห็นความสว่างยิง่ ใหญ่ บรรดาผูอ้ าศัยในแผ่นดินมืด มิด ความสว่างส่องแสงมาเหนือเขา พระองค์ทรงเพิ่มจำ�นวนประชากร ทรงเพิ่มความ ชื่นบานของเขา เขาทั้งหลายจะยินดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ดั่งความชื่นบานในฤดู เก็บเกี่ยว ดั่งความยินดีเมื่อเขาแบ่งของเชลยให้แก่กัน เพราะว่าแอกอันเป็นภาระของ เขา ท่อนไม้ทเ่ี ขาต้องแบก ไม้ตะพดของผูก้ ดขี่ พระองค์ทรงหักเสียอย่างทีท่ รงเคยกระทำ� กับชาวมีเดียน

เพลงสดุดี

สดด 27:1,4,13-14

ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความสว่างและทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นป้อมปราการปกป้องชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะหวาดกลัวผู้ใด ข) ข้าพเจ้าขอเพียงสิ่งเดียวจากองค์พระผู้เป็นเจ้า สิ่งเดียวนี้ข้าพเจ้าแสวงหา คือการได้พำ�นักอยู่ในพระเคหาขององค์พระผู้เป็นเจ้าทุกวันตลอดชีวิต เพื่อชมความงามขององค์พระผู้เป็นเจ้า และคอยเฝ้าอยู่ในพระวิหารของพระองค์ ค) ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าจะได้เห็นความดีขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในแผ่นดินแห่งผู้เป็น จงมีความหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงเข้มแข็ง จงทำ�ใจกล้า จงมีความหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 1:10-13,17

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องท่านในพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็น เจ้าของเรา ให้ทา่ นปรองดองกัน อย่าแตกแยก แต่จงมีจติ ใจและความเห็นตรงกัน พีน่ อ้ ง ทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้จากคนในครอบครัวของคะโลเอว่า ท่านทั้งหลายทะเลาะวิวาทกัน ข้าพเจ้าหมายความว่าดังนี้ ท่านต่างก็พูดว่า “ฉันเป็นพวกของเปาโล” “ฉันเป็นพวกของ อปอลโล” “ฉันเป็นพวกของเคฟาส” “ฉันเป็นพวกของพระคริสตเจ้า” มีการแบ่งแยก ในองค์พระคริสตเจ้าหรือ เปาโลถูกตรึงกางเขนเพื่อท่านหรือ ท่านได้รับพิธีล้างบาปใน นามของเปาโลหรือ


พระคริสตเจ้ามิได้ทรงส่งข้าพเจ้ามาทำ�พิธีล้างบาป แต่ทรงส่งมาประกาศข่าวดีมิใช่ด้วยการใช้โวหาร อันชาญฉลาด ด้วยเกรงว่าจะทำ�ให้ไม้กางเขนของพระคริสตเจ้าเสื่อมประสิทธิภาพ

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว

มธ 4:12-23

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบว่ายอห์นถูกจองจำ� จึงเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงออกจากเมืองนาซาเร็ธ มาประทับอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม บนฝั่งทะเลสาบ ในดินแดนเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลี ทั้งนี้ เพื่อให้พระ ดำ�รัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์ เป็นความจริงว่า “ดินแดนเศบูลนุ และนัฟทาลี เส้นทางไปสูท่ ะเล ฟากโน้นของแม่นาํ้ จอร์แดน แคว้นกาลิลแี ห่งบรรดา ประชาชาติ ประชาชนทีจ่ มอยูใ่ นความมืด ได้เห็นความสว่างยิง่ ใหญ่ ผูท้ อี่ าศัยอยูใ่ นดินแดนและในเงาแห่ง ความตาย แสงได้ส่องขึ้นมาเหนือพวกเขาแล้ว” นับแต่นั้นมา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศเทศนาว่า “จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้ แล้ว” ขณะที่ทรงดำ�เนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องสองคนคือซีโมน ที่เรียกว่าเปโตรกับอันดรูว์น้องชายกำ�ลังทอดแห เขาเป็นชาวประมง พระองค์ตรัสสั่งว่า “จงตามเรามา เถิด เราจะทำ�ให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์” เขาทั้งสองก็ทิ้งแหไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที เมื่อทรงดำ�เนินไปจากที่นั่น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องอีกสองคนคือ ยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์นน้องชายกำ�ลังซ่อมแหอยู่ในเรือกับเศเบดีผู้บิดา พระองค์ทรงเรียกเขา ทันใดนั้น เขาทั้งสองก็ ทิ้งเรือและบิดา แล้วตามพระองค์ไป พระองค์เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิดของประชาชน

“การประกาศข่าวดี” ที่เคยใช้กล่าวกัน “การประกาศข่าวดีแบบใหม่” ที่เริ่มพูดถึงกัน และ “การ ประกาศข่าวดีขนึ้ ใหม่” ทีค่ ดิ ค้นกันขึน้ มาเพือ่ ให้แตกต่าง ทัง้ สามคำ�ล้วนต้องการความจริงใจ ความรัก และ การคิดถึงผู้อื่นก่อนตนเองเป็นสำ�คัญ คำ�คือการพูด จะใช้คำ�ใดก็ได้แล้วแต่จะสร้างภาพอะไรเป็นหลัก แต่ การกระทำ�ความรักอย่างจริงใจและไม่เห็นแก่ตัวนั้น เป็นการเริ่มการประกาศข่าวดีไปแล้ว แม้จะพูดผิดๆ ถูกๆ เพียงใดก็ตาม ประชาชนทีจ่ มอยูใ่ นความมืด ได้เห็นแสงสว่างยิง่ ใหญ่นนั้ คือลูกแกะทีพ่ ระเจ้ากำ�หนด ให้ต้องได้รับการเอาใจใส่ทะนุถนอมด้วยความรักและความจริงใจ และไม่หมกมุ่นบ้าคลั่งอยู่กับเรื่องของ ตัวเอง มิใช่ด้วยการสรรหาถ้อยคำ�ประดับเพื่อความแตกต่าง อันเป็นผลมาจากความหลอกลวงที่ซ่อนอยู่ แต่จุดประสงค์ห่างไกลจากการประกาศข่าวดี และจบลงด้วยการไม่มีการประกาศข่าวดีใดๆ ในที่สุด มีแต่ การประกาศเรื่องของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่ข่าวดีด้วยประการทั้งปวง


บทอ่านที่ 1

2 ซมอ 5:1-7,10

ชาวอิสราเอลทุกเผ่ามาเฝ้ากษัตริย์ดาวิดที่เมืองเฮโบรน ทูลว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นสายเลือดเดียวกันกับพระองค์ ในอดีตเมื่อกษัตริย์ซาอูลทรงปกครอง พระองค์ทรง นำ�ชาวอิสราเอลออกรบ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่พระองค์ว่า ‘ท่านจะเลี้ยงดูอิสราเอล ประชากรของเรา ท่านจะเป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล’” บรรดาผู้อาวุโสชาวอิสราเอลจึง มาเฝ้ากษัตริยท์ เี่ มืองเฮโบรน และกษัตริยด์ าวิดทรงทำ�พันธสัญญากับเขาเฉพาะพระพักตร์ น.อังเยลา เมริชี องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เมืองเฮโบรน เขาจึงเจิมดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล พรหมจารี ดาวิดมีพระชนมายุสามสิบพรรษาเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ และทรงเป็นกษัตริย์อยู่ สดด 89:20-21,23-26 เป็นเวลาสี่สิบปี พระองค์ทรงปกครองชนเผ่ายูดาห์ ที่เมืองเฮโบรนเป็นเวลาเจ็ดปีหก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เดือน ทรงปกครองชาวอิสราเอลทุกเผ่าและชนเผ่ายูดาห์ที่กรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลา สามสิบสามปี กษัตริย์ดาวิดเสด็จพร้อมกับบรรดาทหารเข้าโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม โจมตีชาวเยบุสที่อยู่ในแผ่นดินนั้น ชาว เยบุสกล่าวแก่กษัตริยด์ าวิดว่า “ท่านไม่มวี นั จะเข้ามาทีน่ ไี่ ด้ คนตาบอดและคนพิการก็ยงั จะกันท่านไว้ได้” คล้าย กับกล่าวว่า ดาวิดจะเข้าไปที่นั่นไม่ได้เลย แต่กษัตริย์ดาวิดทรงยึดป้อมศิโยน คือเมืองของดาวิดไว้ได้ นับวันกษัตริย์ดาวิดยิ่งทรงมีพระอำ�นาจมากขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมจักรวาลสถิตกับพระองค์

พระวรสาร

มก 3:22-30

เวลานั้น บรรดาธรรมาจารย์ที่มาจากกรุงเยรูซาเล็มพูดว่า “เขามีปีศาจเบเอลเซบูลสิงอยู่” และ “ขับไล่ ปีศาจด้วยอำ�นาจของเจ้าแห่งปีศาจนัน่ เอง” พระองค์จงึ ทรงเรียกเขาเหล่านัน้ เข้ามาพบ ตรัสเป็นอุปมาว่า “ซาตาน จะขับซาตานได้อย่างไร ถ้าอาณาจักรหนึ่งแตกแยก อาณาจักรนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึ่งแตกแยก ครอบครัวนัน้ ก็ตงั้ มัน่ อยูต่ อ่ ไปไม่ได้ ถ้าซาตานลุกขึน้ ต่อสูก้ นั เองและแตกแยก มันก็อยูไ่ ม่ได้ ต้องถึงจุดจบ ไม่มี ใครเข้าไปในบ้านของคนเข้มแข็งและปล้นเอาทรัพย์ของเขาได้ ถ้าไม่มัดคนเข้มแข็งนั้นไว้ก่อน เมื่อนั้นแหละจึง จะเข้าปล้นบ้านได้ เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า มนุษย์จะรับการอภัยบาปทุกประการรวมทั้งคำ�ดูหมิ่นพระเจ้าที่ได้ พูดออกไป แต่ใครทีพ่ ดู ดูหมิน่ พระจิตเจ้าจะไม่ได้รบั การอภัยเลย เขามีความผิดตลอดนิรนั ดร” พระเยซูเจ้าตรัส เช่นนี้เพราะมีผู้พูดว่า “คนนี้มีปีศาจสิงอยู่”

ไม่มีความทุกข์ใดจะทุกข์ลึกและทำ�ความเสียหายแก่ชีวิตและจิตใจได้เท่ากับความทุกข์แห่งการโกหกตัว เอง สิ่งใดที่รู้ดีอยู่กับใจของตน แต่ไม่ยอมรับ ยังเป็นเชื้อร้ายของความผิดปกติทางจิต สภาพเช่นนี้มักกลาย เป็นความคับแคบแห่งการมองออกไปสู่ภายนอก ทั้งนี้เพราะเขาไม่เคยยอมที่จะมองดูภายในของเขา เหตุก็ เพราะกลัวทีจ่ ะต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันเกีย่ วกับความบกพร่องของตนเอง และความด้อยของตนเองใน แง่ต่างๆ รวมกับความอิจฉาตาร้อน พระเยซูจึงต้องอธิบายเรื่องบาปที่ผิดต่อพระจิตเจ้าแก่คนที่กล่าวหาว่า พระองค์ไล่ผีด้วยอำ�นาจของเจ้าแห่งผี ทั้งๆ ที่พวกเขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจของตนว่าไม่ใช่


บทอ่านที่ 1

2 ซมอ 6:12ข-15,17-19

ในครัง้ นัน้ กษัตริยด์ าวิดจึงเสด็จไปนำ�หีบของพระเจ้าขึน้ จากบ้านของโอเบด-เอโดม มาที่เมืองของดาวิดด้วยความยินดี เมื่อคนหามหีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าเดินไปหกก้าว กษัตริย์ดาวิดก็ทรงถวายโคเพศผู้และแกะอ้วนพีอย่างละตัวเป็นเครื่องบูชา กษัตริย์ ดาวิดทรงคาดเอโฟดผ้าป่านเพียงผืนเดียว เต้นรำ�สุดกำ�ลังเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้ เป็นเจ้า กษัตริยด์ าวิดกับชาวอิสราเอลทัง้ หลายนำ�หีบขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าขึน้ มา พร้อม กับโห่ร้องด้วยความยินดี และเป่าแตร เมื่อนำ�หีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้ามาประดิษฐานไว้ในที่กำ�หนดกลางกระโจมซึ่ง กษัตริย์ดาวิดทรงตั้งขึ้นไว้ พระองค์ทรงถวายเครื่องบูชาและศานติบูชาเฉพาะพระพักตร์ องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อทรงถวายเครื่องเผาบูชาและศานติบูชาแล้ว กษัตริย์ดาวิดก็ทรง อวยพรประชาชนในพระนามขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล และประทานอาหารแก่ ประชาชนชาวอิสราเอลทุกคน ทั้งชายและหญิง คือขนมปังคนละก้อน เนื้อย่างคนละ ชิ้น และผลองุ่นแห้งอัดคนละก้อน หลังจากนั้น ประชาชนต่างกลับบ้าน

พระวรสาร

มก 3:31-35

เวลานัน้ พระมารดาและพระญาติของพระองค์มาถึง ยืนรออยูข่ า้ งนอก ส่งคนเข้าไป ทูลพระองค์ ประชาชนกำ�ลังนั่งล้อมพระองค์อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ว่า “มารดาและพี่ น้องของท่านกำ�ลังตามหาท่าน คอยอยู่ข้างนอก” พระองค์ตรัสถามว่า “ใครเป็นมารดา และพี่น้องของเรา” แล้วพระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่นั่งเป็นวงล้อมอยู่ ตรัสว่า “นี่คือ มารดาและพี่น้องของเรา ผู้ใดทำ�ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิง และเป็นมารดาของเรา”

เป็นการยากที่จะเข้าใจความซาบซึ้งของใครสักคนที่แสดงออกมาอย่างไม่อายฟ้า อายดิน เพราะความซาบซึ้งของเขานั้น มิได้เกิดขึ้นกับเราโดยตรงนั่นเอง พระเจ้าให้เรา มนุษย์เกิดมา และประดับมนุษย์ดว้ ยสิง่ ทีเ่ รียกว่า “ความรูส้ กึ ” อะไรทีค่ นไม่รสู้ กึ ก็เพียง แค่ได้ฟงั ผ่านๆ หรือรับรูเ้ ฉยๆ อะไรเล่าทีเ่ กิดขึน้ ในใจของกษัตริยด์ าวิดเมือ่ พระองค์เต้นรำ� จนสุดกำ�ลังตามขบวนแห่หีบพันธสัญญา ในวันนั้นมีผู้คนมากมายที่เป็นประชาชนและ ข้าราชบริพารเห็นกษัตริย์ของตนกระทำ�ตัวพระองค์เป็นนางรำ� แน่นอนพวกเขาไม่ได้มี ศรัทธาที่ตนเองได้รับสัมผัสจากพระทัยดีและฤทธิ์เดชของพระเจ้าเหมือนที่ดาวิดได้ ประสบในใจและในชีวติ ท่านจงเรียนรูจ้ กั ตนเองและคนอืน่ จาก “ความรูส้ กึ ” เถิด เพราะ เป็นสิ่งที่โกหกกันได้ยากที่สุด

ระลึกถึง น.โทมัส อาไควนัส พระสงฆ์และ นักปราชญ์ สดด 24:7-10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา สดด 89:3-4,28-29, 30-32,33-35

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1

2 ซมอ 7:4-17

พระวรสาร

มก 4:1-20

ในคืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า “จงไปบอกดาวิดผูร้ บั ใช้ของเราว่า ‘องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านจะไม่เป็นผูส้ ร้าง วิหารให้เราอยู่ ตั้งแต่เรานำ�ชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์จนกระทั่งถึงวันนี้ เราไม่เคยอยู่ ในวิหาร เรามีกระโจมเป็นทีอ่ ยู่ เดินทางกับเขาไปตามทีต่ า่ งๆ... ทำ�ไมท่านทัง้ หลายไม่สร้าง วิหารไม้สนสีดาร์ให้เราอยู่’ บัดนี้ ท่านจงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็น เจ้า จอมจักรวาลตรัสดังนี้ เราให้ท่านเลิกเลี้ยงแกะในทุ่งหญ้ามาเป็นผู้นำ�อิสราเอล ประชากรของเรา เราอยู่กับท่านไม่ว่าท่านไปที่ใด...’” นาธันทูลกษัตริย์ดาวิดให้ทรงทราบทุกสิ่งตามที่พระเจ้าทรงสำ�แดงแก่เขา

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสั่งสอนที่ริมทะเลสาบอีกครั้งหนึ่ง... พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำ�ลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็ จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินอยู่เล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผา และเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมมันไว้ จึงไม่เกิดผล บางเมล็ดตกในทีด่ นิ ดี จึงงอกขึน้ เติบโต และเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” แล้วพระองค์ ตรัสว่า “ใครมีหูสำ�หรับฟัง ก็จงฟังเถิด” เมื่อประชาชนจากไปแล้ว อัครสาวกสิบสองคนกับผู้ที่อยู่รอบๆ พระองค์ ทูลถามเรื่องอุปมา พระองค์ ตรัสตอบว่า... “ท่านไม่เข้าใจอุปมานี้ แล้วจะเข้าใจอุปมาอื่นๆ ได้อย่างไร ผู้หว่านพืชนั้นหว่านพระวาจา เมล็ด ที่ตกริมทางหมายถึงบุคคลซึ่งรับพระวาจาที่หว่าน เมื่อเขาได้ฟังพระวาจา ซาตานก็มาช่วงชิงพระวาจาที่หว่าน ในตัวเขาไป เช่นเดียวกัน เมล็ดที่ตกบนหินหมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา และมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขา ไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำ�บากหรือถูกข่มเหงเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่นๆ เข้ามาปกคลุมพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดพืชที่ตกในที่ดินดี หมายถึงบุคคล ที่ฟังพระวาจาแล้วรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า และร้อยเท่า”

มิใช่ทุกอย่างที่เราอยากทำ�แล้วก็จะได้ทำ� แต่เราจะได้ทำ�เฉพาะสิ่งที่พระเป็นเจ้าเห็นควรให้เราทำ�เท่านั้น ท่านทั้งหลายไม่ต้องเสียใจหรือน้อยใจในเรื่องอะไรเลย เพราะเส้นทางของท่านนั้น พระเป็นเจ้าได้วางเอาไว้ให้ หมดแล้ว ท่านก็เพียงสวดภาวนา และถามตัวเองเสมอว่า พระเป็นเจ้ากำ�ลังบอกอะไรแก่ท่านในกรณีต่างๆ ที่ เกิดขึ้นกับตัวท่าน มนุษย์ที่อยู่โดยไม่ตรงกับความเป็นจริงของตัวเอง จะเอาแต่ต่อสู้ดิ้นรนไปในวิธีการที่ตัวเอง คิดว่าดีเลิศแล้ว แต่คนที่อยู่โดยมีความตรงกับตนเอง เขาพิจารณาดูนํ้าพระทัยของพระเป็นเจ้าในทุกกรณีของ เขา เขาจึงต่อสู้ดิ้นรนแต่ในเส้นทางที่พระเป็นเจ้าพอพระทัยให้เขาทำ�เท่านั้น ดาวิดอยากจะสร้างพระวิหารแด่ พระเจ้า เขาได้แต่เพียงเริ่มเก็บรวบรวมวัสดุและเครื่องมือกับช่างฝีมือไว้ ตามที่พระเจ้าตรัสผ่านทางนาธัน เขา ยอมรับว่าพระเจ้าต้องการให้ลูกของท่านเป็นคนสร้างพระวิหาร ท่านจึงทำ�ไปตามนั้น


บทอ่านที่ 1

2 ซมอ 7:18-19,24-29

กษัตริย์ดาวิดเสด็จเข้าไปประทับเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้า ข้าพเจ้าเป็นใคร และครอบครัวของข้าพเจ้าสำ�คัญ อย่างไร พระองค์จึงทรงนำ�ข้าพเจ้ามาไกลถึงเพียงนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า พระองค์ยงั ทรงเห็นว่าทัง้ หมดนีน้ อ้ ยเกินไป จึงทรงสัญญาถึงอนาคตอันไกลของครอบครัว ผู้รับใช้พระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า พระองค์ทรงปฏิบัติเช่นนี้กับมนุษย์ เทียวหรือ พระองค์ทรงสถาปนาอิสราเอลประชากรของพระองค์ให้เป็นประชากรของ พระองค์ตลอดไป ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเขา ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า บัดนี้ขอทรงรักษาพระสัญญาที่ตรัสไว้แก่ผู้รับใช้ ของพระองค์และครอบครัวตลอดไป ขอทรงปฏิบตั ติ ามทีพ่ ระองค์ได้ตรัสไว้เถิด พระนาม ของพระองค์จะเป็นที่เลื่องลือตลอดไป และทุกคนจะพูดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าจอม จักรวาลเป็นพระเจ้าของอิสราเอล’ และเชื้อสายของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์จะมั่นคง เฉพาะพระพักตร์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ ทรงเปิดเผยแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า เราจะสร้างราชวงศ์ให้ท่าน ผู้รับใช้ของพระองค์ จึงกล้าอธิษฐานภาวนาเช่นนี้ต่อพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า พระองค์ทรง เป็นพระเจ้า พระวาจาของพระองค์เป็นความจริง พระองค์ทรงสัญญาจะประทานพระพร เหล่านีแ้ ก่ผรู้ บั ใช้ของพระองค์ ขอพระองค์ทรงอวยพรเชือ้ สายของผูร้ บั ใช้ของพระองค์ เขาจะได้คงอยู่เฉพาะพระพักตร์ตลอดไป ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า พระองค์ทรง สัญญาแล้ว เชื้อสายของผู้รับใช้จะได้รับพรของพระองค์ตลอดไป’”

พระวรสาร

มก 4:21-25

เวลานัน้ พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “เขาจุดตะเกียงวางไว้ใต้ถงั หรือใต้เตียงหรือ มิใช่ วางไว้บนที่ตั้งตะเกียงหรือ เช่นเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง ไม่มีสิ่ง ใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ปรากฏออกมา ใครมีหูสำ�หรับฟัง ก็จงฟังเถิด” พระองค์ตรัสอีกว่า “จงตั้งใจฟังให้ดี ท่านตวงให้เขาอย่างไร เขาก็จะตวงให้ท่าน อย่างนั้น และจะเพิ่มให้อีกด้วย ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อย ที่เขามี จะถูกริบไปด้วย”

ตรรกะของมนุษย์มีว่า ใครมีมากก็ควรพอแล้ว และใครที่มีน้อยก็ควรได้รับมากขึ้น แต่พระผูเ้ ป็นเจ้ามีตรรกะทีแ่ ตกต่างออกไปจากเรามนุษย์เสมอ ไม่เป็นทีเ่ ข้าใจของมนุษย์ อีกด้วย ต้นเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องนี้อยู่ที่ มนุษย์รู้แต่เพียงบางอย่างและอย่าง จำ�กัด แต่พระเป็นเจ้าทรงทราบทุกอย่างไม่จำ�กัด

สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา สดด 96:1-2,3,7-8, 10-11

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


บทอ่านที่ 1

2 ซมอ 11:1-4ก,5-10ก,13-17

ในฤดูใบไม้ผลิตอ่ มา... กษัตริยด์ าวิดทรงส่งโยอาบพร้อมกับนายทหารและกองทัพ อิสราเอลทัง้ หมดออกไปปราบชาวอัมโมนและเข้าล้อมเมืองรับบาห์ของชาวอัมโมนไว้ ... เย็นวันหนึ่ง กษัตริย์ดาวิดเสด็จจากพระที่บรรทมไปทรงพระดำ�เนินบนดาดฟ้า พระราชวัง ทอดพระเนตรเห็นหญิงคนหนึ่งกำ�ลังอาบนํ้า นางเป็นคนสวยมาก กษัตริย์ ดาวิดทรงใช้คนไปสืบถามว่านางเป็นใคร ก็ทรงทราบว่านางชือ่ บัทเชบา เป็นบุตรสาวของ ระลึกถึง เอลีอัมและเป็นภรรยาของอุรียาห์ ชาวฮิตไทต์ กษัตริย์ดาวิดทรงส่งคนไปนำ�ตัวนางมา น.ยอห์น บอสโก นางก็เข้ามาเฝ้า กษัตริยด์ าวิดทรงหลับนอนกับนาง นางเพิง่ ชำ�ระตนให้พน้ มลทินจากการ พระสงฆ์ มีประจำ�เดือน แล้วนางก็กลับไปบ้าน เมื่อนางรู้ว่าตนตั้งครรภ์จึงส่งคนไปทูลกษัตริย์ ดาวิดว่า “ดิฉันตั้งครรภ์แล้ว” สดด 51:1-2,3-5,8-10 กษัตริยด์ าวิดจึงทรงใช้คนไปหาโยอาบสัง่ ให้สง่ อุรยี าห์ ชาวฮิตไทต์กลับมาเฝ้า... เช้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันรุง่ ขึน้ กษัตริยด์ าวิดทรงเขียนจดหมายถึงโยอาบให้อรุ ยี าห์น�ำ ไป ทรงเขียนในจดหมาย วันตรุษจีน ว่า “จงจัดให้อรุ ยี าห์อยูแ่ นวหน้าตรงทีก่ ารรบเป็นไปอย่างดุเดือดทีส่ ดุ แล้วถอยทัพ ปล่อย ให้เขาถูกฆ่า” โยอาบกำ�ลังล้อมเมืองอยู่ จึงจัดให้อุรียาห์ไปอยู่ตรงที่เขารู้ว่าข้าศึกเข้มแข็ง ชาวเมืองออกมารบ กับโยอาบ ฆ่าพลทหารและนายทหารบางคนของกษัตริย์ดาวิด อุรียาห์ชาวฮิตไทต์ก็ถูกฆ่าด้วย

พระวรสาร

มก 4:26-34

เวลานั้น พระองค์ยังตรัสอีกว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำ�เมล็ดพืชไปหว่านใน ดิน เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้ ดิน นั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครั้งแรกก็เป็นลำ�ต้น แล้วก็ออกรวง ต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง เมื่อข้าวสุก เกิดผล แล้ว เขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว” พระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร หรือจะใช้อุปมาอะไรอธิบายเรื่องนี้ พระอาณาจักรเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งเมื่อหว่านในดิน ก็เป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วแผ่นดิน แต่ ครั้นได้หว่านแล้วก็งอกขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชผักทุกชนิด มีกิ่งก้านใหญ่โตจนบรรดานกในอากาศ มาพักอาศัยร่มเงาได้”...

ให้เราเตือนใจตนเองอยูเ่ สมอว่า เส้นทางทีโ่ รยด้วยกลีบกุหลาบย่อมเป็นเส้นทางทีเ่ ราเพลิดเพลินเจริญใจ จนถลำ�เข้าทำ�บาปที่แก้ไขยาก กลีบกุหลาบได้แก่ มีเงิน มีทอง มีวาสนา มียศ มีเกียรติ มีคนนับหน้าถือตา และ สุขสบาย บางส่วนของชีวิตของกษัตริย์ดาวิดได้เล่าสัจธรรมข้อนี้ให้เราได้ตระหนักอย่างชัดเจน แต่ในความจริง แล้ว เส้นทางที่โรยด้วยความครบถ้วนจะมิดีกว่าหรือ? ความครบถ้วนได้แก่ มีสุขและมีทุกข์สมํ่าเสมอ เข้าใจ ในทุกข์อย่างมีความหมาย และใช้ความสุขอย่างมีสติกำ�กับไว้เสมอ มีเงินมีทองก็ไม่เคยยอมให้พวกมันปกครอง ใจของเรา มีวาสนาก็รจู้ กั ถ่อมตัวและขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่เคยลืมตัว มียศมีเกียรติกเ็ ตือนตัวเองให้รจู้ กั คุณค่าของการเดินติดดิน เรารูจ้ กั ใช้ทกุ อย่างให้เป็นเครือ่ งช่วยเหลือชีวติ ทุกชีวติ มิได้โง่เขลาจนปล่อยให้ทกุ สิง่ ที่มีที่เป็นกลายเป็นสัตว์ร้ายมหึมากัดกินชีวิตและคุณธรรมอันพึงจะต้องมี



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.