สมโภชพระนางมารีย์ พระชนนีพระเป็นเจ้า สดด 67:1-2,3-7 วันศุกร์ต้นเดือน วันขึ้นปีใหม่
บทอ่านที่ 1
กดว 6:22-27
บทอ่านที่ 2
กท 4:4-7
พระวรสาร
ลก 2:16-21
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกอาโรนและบรรดาบุตรว่า “ท่านทัง้ หลายจะต้องอวยพรชาวอิสราเอลดังนี้ ท่านจะต้องกล่าวว่า ขอองค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงอวยพรท่านและพิทกั ษ์รกั ษาท่าน ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส�ำแดงพระพักตร์ แจ่มใสต่อท่านและโปรดปรานท่าน ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงผินพระพักตร์มายังท่านและ ประทานสันติแก่ท่านด้วยเทอญ” สมณะจะต้องเรียกขานนามของเราให้ลงมาเหนือชาวอิสราเอลเช่นนี้ แล้วเราจะ อวยพรเขาทั้งหลาย พี่น้อง เมื่อถึงเวลาที่ก�ำหนดไว้ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิด จากหญิงผู้หนึ่ง เกิดมาอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อทรงไถ่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และท�ำให้ เราได้เป็นบุตรบุญธรรม ข้อพิสจู น์วา่ ท่านทัง้ หลายเป็นบุตรก็คอื พระเจ้าทรงส่งพระจิตของ พระบุตรลงมาในดวงใจของเรา พระจิตผู้ตรัสด้วยเสียงดังว่า “อับบา พระบิดาเจ้าข้า” ดังนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรก็ย่อมเป็นทายาทตาม พระประสงค์ของพระเจ้า ขณะนั้น พวกเลี้ยงแกะจึงรีบไปและพบพระนางมารีย์ โยเซฟ และพระกุมารซึ่ง บรรทมอยู่ในรางหญ้า เมื่อคนเลี้ยงแกะเห็น ก็เล่าเรื่องที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับพระกุมาร ทุกคนที่ได้ยินต่างประหลาดใจในเรื่องที่คนเลี้ยงแกะเล่าให้ฟัง ส่วนพระนางมารีย์ทรง เก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัยและยังทรงค�ำนึงถึงอยู่ คนเลี้ยงแกะกลับไปโดย ถวายพระพรและสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องต่างๆ ที่พวกเขาได้ยินและได้เห็น ตามที่ทูต สวรรค์บอกไว้ เมือ่ ครบก�ำหนดแปดวัน ถึงเวลาทีพ่ ระกุมารจะต้องทรงเข้าสุหนัต เขาถวายพระนาม พระองค์วา่ เยซู เป็นพระนามทีท่ ตู สวรรค์ให้ไว้กอ่ นทีพ่ ระองค์จะทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ ของพระมารดา
คนเลีย้ งแกะได้เห็นและเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า พระนางมารียไ์ ด้ให้กำ� เนิดพระกุมารเยซูผทู้ รงเป็น พระวจนาตถ์ (ยน 1:14) และพระวจนาตถ์ทรงเป็นพระเจ้า” (ยน 1:1) พระนางจึงเป็น “พระชนนีของพระเจ้า” อย่าง ไม่ต้องสงสัย น่าภูมิใจสักเพียงใดที่บนไม้กางเขน พระเยซูเจ้าทรงมอบ “พระชนนีของพระเจ้า” ให้เป็น “แม่ของเราทุกคน” ด้วย (ยน 19:26-27) และจะยิ่งน่าชื่นชมยินดีมากกว่านี้สักเพียงใดหากเราเป็น “ลูก” ที่พร้อมจะกล่าวเช่นเดียวกับ “แม่” ของเราว่า “ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” เพื่อพระเจ้าจะได้ผินพระพักตร์มายังเราและประทานสันติสุขแก่เรา ตลอดปีนี้และตลอดไป!
บทอ่านที่ 1
1 ยน 2:22-28
ลูกที่รักทั้งหลาย ใครเป็นคนพูดค�าเท็จ ถ้าไม่ใช่คนที่พูดว่า พระเยซูไม่ใช่พระ คริสตเจ้า ผูน้ คี้ อื ปฏิปกั ษ์ของพระคริสตเจ้า เขาปฏิเสธทัง้ พระบิดาและพระบุตร ทุกคนที่ ปฏิเสธพระบุตรก็ไม่มพี ระบิดา คนทีย่ อมรับพระบุตรย่อมมีพระบิดาด้วย ขอให้สงิ่ ทีท่ า่ น ทัง้ หลายฟังมาตัง้ แต่แรกเริม่ นัน้ คงอยูใ่ นท่าน ถ้าสิง่ ทีท่ า่ นฟังมาตัง้ แต่แรกเริม่ นัน้ คงอยูใ่ น ท่าน ท่านก็ดา� รงอยูใ่ นพระบุตรและในพระบิดา พระสัญญาทีพ่ ระองค์ประทานไว้กค็ อื ชีวติ นิรนั ดร ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านีถ้ งึ ท่านทัง้ หลายแล้ว เกีย่ วกับบุคคลทีพ่ ยายามชักน�า ให้หลงผิด แต่สา� หรับท่าน การได้รบั เจิมจากพระองค์ยงั คงอยูใ่ นท่าน และไม่จา� เป็นต้อง ให้ใครมาสอนท่านอีก เพราะการเจิมของพระองค์นั้นสอนทุกสิ่งให้ท่าน และเพราะการ เจิมนั้นเป็นจริงและไม่หลอกลวง จงด�ารงอยู่ในพระองค์ตามค�าสั่งสอนที่ท่านได้รับมา ลูกทีร่ กั ทัง้ หลาย บัดนีจ้ งด�ารงอยูใ่ นพระองค์ เพือ่ เมือ่ พระองค์ทรงปรากฏ เราจะได้ มีความมัน่ ใจ ไม่ตอ้ งหลบเลีย่ งไปจากพระองค์ดว้ ยความอับอาย ในวันทีพ่ ระองค์เสด็จมา
พระวรสาร
ยน 1:19-28
ยอห์นเป็นพยานดังนี้ เมื่อชาวยิวจากกรุงเยรูซาเล็มส่งบรรดาสมณะและชาวเล วีไปถามยอห์นว่า “ท่านเป็นใคร” เขามิได้ปิดบังความจริง แต่ยืนยันว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ พระคริสต์” ดังนั้น เขาเหล่านั้นจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นใคร เป็นเอลียาห์หรือ” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นประกาศกหรือ” เขาตอบอีกว่า “ไม่ใช่” เขาเหล่านั้นจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร เราจะได้น�าค�าตอบไปให้ผู้ที่ส่งเรามา ท่านพูดถึง ตนเองอย่างไร” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสียงของผู้ที่ร้องตะโกนในถิ่นทุรกันดารว่า จงท�าทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงเถิด” ดังที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้ ผูท้ ี่ถูกส่งไปถามนั้นเป็นชาวฟาริสี เขาถามยอห์นอีกว่า “ท�าไมท่านจึงท�าพิธีล้าง ถ้า ท่านไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ และไม่ใช่ประกาศก” ยอห์นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้า ใช้น�้าท�าพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่มีผู้หนึ่งประทับอยู่ในหมู่ท่าน เป็นผู้ที่ท่านไม่รู้จัก ผู้ นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานี อีกฟากหนึ่งของแม่น�้าจอร์แดนซึ่งยอห์น ก�าลังท�าพิธีล้างอยู่ ชาวยิวไม่ได้ยินเสียงของประกาศกมานานกว่า 400 ปีแล้ว เมื่อยอห์น ผูท้ า� พิธลี า้ งปรากฏตัวมาเทศน์สอนเหมือนประกาศก ท่านจึงได้รบั การยอมรับและยกย่องอย่าง สูงจนผู้คนพากันคาดหมายว่าท่านน่าจะเป็นพระคริสต์ หรือเอลียาห์ หรือประกาศกผู้ยิ่งใหญ่ที่ ชาวยิวรอคอย กระนั้นก็ตามท่านปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่ใช่” ตรงกันข้ามกับเราหลายคนที่แม้ยังไม่มีผู้ใดมาถามว่าเราเป็นใคร แต่เรากลับด�าเนินชีวิต ราวกับจะประกาศว่า “ฉันคือพระเจ้า” และพระเยซูเจ้าไม่ใช่พระคริสตเจ้า จงหันกลับมา ด�ารงอยู่ในพระองค์เถิด เพื่อเมื่อพระองค์ปรากฏมา เราจะได้ไม่ต้องหลบเลี่ยงไปจากพระองค์ ด้วยความอับอาย
ระลึกถึง น.บาซิล และ น.เกรโกรี่ แหงเมืองนาซีอันเซน พระสังฆราช และนักปราชญ์ สดด 98:1-2,3-4 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์
สมโภชพระคริสตเจ้า แสดงองค์
อสย 60:1-6
เยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด จงฉายแสงเจิดจ้า เพราะความสว่างของเจ้ามาแล้ว พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทอแสงเหนือเจ้า ดูซิ ความมืดปกคลุมแผ่นดิน และความมืดทึบปกคลุมประชาชาติทั้งหลาย แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทอแสงเหนือ เจ้า ทุกคนจะเห็นพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระองค์เหนือเจ้า นานาชาติจะเดินมาหาความสว่าง ของเจ้า บรรดากษัตริยจ์ ะทรงพระด�าเนินมาสูค่ วามสดใสทีท่ อแสงเหนือเจ้า จงเงยหน้าขึน้ มองไปโดยรอบเถิด เขาเหล่านัน้ ทุกคนมาชุมนุมกันและเดินมาพบเจ้า บุตรชายทัง้ หลาย ของเจ้ามาจากทีไ่ กล บุตรหญิงของเจ้าก็ถกู อุม้ มาด้วย เมือ่ เจ้าเห็นดังนีก้ จ็ ะปลาบปลืม้ ใจ ของเจ้าจะตื่นเต้นและยินดี เพราะความมั่งคั่งของทะเลจะกลับมาหาเจ้า ทรัพย์สมบัติ ของนานาชาติจะมายังเจ้า ฝูงอูฐจะมาอยูเ่ ต็มถนนของเจ้า รวมทัง้ คาราวานอูฐจากมีเดียน และเอฟาห์ ทุกคนจะมาจากเชบา น�าทองค�าและก�ายานมาด้วย และจะสรรเสริญองค์ พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าคนทั้งหลาย
เพลงสดุดี
สดด 72:1-2,7-8,10-11,12-13
ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานวิจารณญาณของพระองค์แด่พระราชา และประทานความเที่ยงธรรมของพระองค์แก่พระโอรสของพระราชาด้วย ขอพระราชาทรงปกครองประชากรของพระองค์ด้วยความชอบธรรม และทรงดูแลคนยากจนของพระองค์ด้วยวิจารณญาณ ข) ในรัชสมัยของพระราชา ขอให้ความชอบธรรมเจริญงอกงาม และมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งตราบสิ้นแสงจันทร์ ขอให้พระอาณาจักรแผ่ขยายจากทะเลจรดทะเล จากแม่น�้าจนสุดปลายแผ่นดิน ค) ขอบรรดากษัตริย์แห่งทาร์ซิสและหมู่เกาะทั้งหลายน�าบรรณาการมาถวาย กษัตริย์แห่งเชบาและซาบาน�าของก�านัลมาถวายด้วย ขอกษัตริย์ทั้งหลายกราบถวายบังคมพระราชา และนานาชาติรับใช้พระองค์ ง) ขอพระราชาทรงปลดปล่อยผู้ขัดสนที่ร้องหาพระองค์ และทรงช่วยคนยากจนที่ไม่มีผู้ช่วยให้รอดพ้น ขอทรงสงสารผู้อ่อนแอและผู้ขัดสน ทรงช่วยผู้ขาดแคลนให้รอดจากความตาย
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 3:2-3ก,5-6
พี่น้อง ท่านคงรู้แล้วถึงพระหรรษทาน ซึ่งพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้าประกอบ พันธกิจเพื่อประโยชน์ของท่าน ข้าพเจ้ารู้ธรรมล�้าลึกนี้เพราะพระเจ้าทรงเปิดเผย ธรรม ล�้าลึกนี้พระองค์มิได้ทรงเปิดเผยให้มนุษย์ในอดีตรู้ แต่บัดนี้พระเจ้าทรงเปิดเผยเดชะ พระจิตเจ้าให้แก่บรรดาอัครสาวกและประกาศกผู้ศักดิ์สิทธิ์รู้ว่า คนต่างชาติเข้ามามี
ส่วนร่วมในกองมรดกเดียวกัน ร่วมเป็นกายเดียวกัน ร่วมรับพระสัญญาเดียวกันในพระคริสตเยซูอาศัย ข่าวดี
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว
มธ 2:1-12
ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด พระเยซูเจ้าประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย โหราจารย์บางท่าน จากทิศตะวันออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม สืบถามว่า “กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเรา ได้เห็นดาวประจ�าพระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์” เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงทราบข่าว นี้ พระองค์ทรงวุ่นวายพระทัย ชาวกรุงเยรูซาเล็มทุกคนต่างก็วุ่นวายใจไปด้วย พระองค์ทรงเรียกประชุม บรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ ตรัสถามเขาว่า “พระคริสต์จะประสูติที่ใด” เขาจึงทูลตอบว่า “ใน เมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย เพราะประกาศกเขียนไว้ว่า เมืองเบธเลเฮม ดินแดนยูดาห เจามิใชเล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแหงยูดาห เพราะผูนําคนหนึ่งจะออกมาจากเจา จะเปนผูเลี้ยงดูอิสราเอล ประชากรของเรา” ดังนัน้ กษัตริยเ์ ฮโรดทรงเรียกบรรดาโหราจารย์มาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ทรงซักถามถึงวันเวลาที่ ดาวปรากฏ แล้วทรงใช้บรรดาโหราจารย์ไปที่เมืองเบธเลเฮม ทรงก�าชับว่า “จงไปสืบถามเรื่องพระกุมาร อย่างละเอียด และเมื่อพบพระกุมารแล้ว จงกลับมาบอกให้เรารู้ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย” เมื่อ บรรดาโหราจารย์ได้ฟังพระด�ารัสแล้วก็ออกเดินทาง ดาวที่เขาเห็นทางทิศตะวันออกปรากฏอีกครั้งหนึ่ง น�าทางให้ และมาหยุดนิง่ อยูเ่ หนือสถานทีป่ ระทับของพระกุมาร เมือ่ เห็นดาวอีกครัง้ หนึง่ บรรดาโหราจารย์มี ความยินดียงิ่ นัก เขาเข้าไปในบ้าน พบพระกุมารกับพระนางมารียพ์ ระมารดา จึงคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ แล้วเปิดหีบสมบัตนิ า� ทองค�า ก�ายาน และมดยอบ ออกมาถวายพระองค์ แต่พระเจ้าทรงเตือนเขาในความ ฝันมิให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรด เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น เราคิดว่าเรารูพ้ ระคัมภีรม์ ากกว่าคนต่างศาสนา แต่นไี่ ม่ใช่ประเด็นส�าคัญ เพราะประเด็นส�าคัญอยู่ ที่ใครได้พบพระเยซูเจ้าและนมัสการพระองค์ต่างหาก ปรากฏว่าโหราจารย์ซึ่งไม่รู้พระคัมภีร์แต่ออกแรงเดินทาง ไกลตามดวงดาวมากลับได้พบและนมัสการพระองค์ ส่วนบรรดามหาสมณะและธรรมาจารย์ แม้จะรูพ้ ระคัมภีรล์ กึ ซึ้งและได้รับการไขแสดงที่ดีกว่า แต่ก็มาไม่ถึงพระองค์ เราจึงต้องไม่รงั เกียจหรือดูหมิน่ เหยียดหยามคนต่างศาสนา แต่ตอ้ งพยายามสุดความสามารถ ท�าให้พวกเขา เข้าถึงพระเยซูเจ้าและความรักของพระองค์ผ่านทางการด�าเนินชีวิตของเรา จงลุกขึ้นเถิด จงฉายแสงเจิดจ้า เพราะความสว่างของเรามาแล้ว
บทอ่านที่ 1
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 2:7-8,10-11 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร
1 ยน 3:22-4:6
ลูกที่รักทั้งหลาย ถ้าเราวอนขอสิ่งใด เราย่อมจะได้รับสิ่งนั้นจากพระองค์ เพราะ เราปฏิบตั ติ ามบทบัญญัติ และท�ำสิง่ ทีพ่ ระองค์พอพระทัย นีเ่ ป็นบทบัญญัตขิ องพระองค์ คือ ให้เราเชื่อในพระนามพระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระองค์ และให้เรารักกัน ดัง ที่พระองค์ทรงบัญญัติให้เรา ผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ย่อมด�ำรงอยู่ในพระเจ้า และ พระเจ้าทรงด�ำรงอยูใ่ นผูน้ นั้ เรารูว้ า่ พระองค์ทรงด�ำรงอยูใ่ นเราจากพระจิตเจ้า ซึง่ พระองค์ ประทานให้เรา... ลูกทีร่ กั ทัง้ หลาย ท่านมาจากพระเจ้า และชนะประกาศกเทียมเหล่านัน้ แล้ว เพราะ พระองค์ผู้สถิตในท่าน ทรงยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก คือผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต เจ้า เขาเหล่านั้นมาจากโลก ดังนั้น จึงพูดตามวิถีโลก และโลกย่อมฟังเขา แต่เรามาจาก พระเจ้า ผูท้ รี่ จู้ กั พระเจ้าย่อมฟังเรา ส่วนผูท้ ไี่ ม่ได้มาจากพระเจ้า ย่อมไม่ฟงั เรา เราจึงรูจ้ กั การดลใจที่เป็นความจริงและการดลใจที่เป็นความหลงผิด
มธ 4:12-17,23-25
เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบว่ายอห์นถูกจองจ�ำ จึงเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงออกจากเมือง นาซาเร็ธ มาประทับอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม บนฝั่งทะเลสาบ ในดินแดนเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลี ทั้งนี้ เพื่อให้ พระด�ำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า ดินแดนเศบูลุนและดินแดนนัฟทาลี เส้นทางไปสู่ทะเล ฟากโน้นของแม่น�้ำจอร์แดน แคว้นกาลิลีแห่ง บรรดาประชาชาติ ประชาชนที่จมอยู่ในความมืดได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนและในเงา แห่งความตาย แสงได้ส่องขึ้นมาเหนือพวกเขาแล้ว นับแต่นั้นมา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศเทศนาว่า “จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว” พระองค์เสด็จไปทัว่ แคว้นกาลิลี ทรงสัง่ สอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรือ่ งพระอาณาจักร ทรงรักษาโรค และความเจ็บไข้ทุกชนิดของประชาชน กิตติศพั ท์เกีย่ วกับพระองค์เลือ่ งลือไปทัว่ แคว้นซีเรีย ประชาชนจึงน�ำผูเ้ จ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ผูท้ ถี่ กู ความ ทุกข์เบียดเบียน ผู้ถกู ปีศาจสิง ผู้เป็นลมบ้าหมู และผู้ที่เป็นง่อยมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาคนเหล่านั้น ให้หายจากโรคและความเจ็บไข้...
ภารกิจส�ำคัญของพระเยซูเจ้ามี 3 ประการ คือ 1. ประกาศข่าวดี พระองค์ทรงท�ำให้ความไม่รู้ ความโง่เขลา หรือการคาดเดาของเราหมดสิ้นไป นับจากนี้ไปเรา รู้ความจริงด้วยความแน่ใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด ทรงดีงาม และน่ารักสักเพียงใด 2. สอน การประกาศข่าวดีท�ำให้เรารู้ความจริงด้วยความแน่ใจ ส่วนการสอน ช่วยอธิบายความหมายและความ ส�ำคัญของความจริงนั้น 3. รักษาโรค พระองค์ไม่เพียงบอกความจริงแก่มนุษย์ด้วย “ค�ำพูด” เท่านั้น แต่ทรงเปลี่ยนความจริงให้เป็น “การกระท�ำ” ด้วย หากเราไม่ประกาศข่าวดี ไม่อธิบายความจริงให้ถ่องแท้ และไม่เปลี่ยนความจริงให้เป็นการกระท�ำ เราก�ำลังเดิน คนละทางกับพระเยซูเจ้า...!!
บทอ่านที่ 1
1 ยน 4:7-10
ท่านที่รักทั้งหลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่มีความ รัก ย่อมเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระองค์ ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะ พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้ คือ พระเจ้าทรงส่ง พระบุตรเพียงพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น ความ รักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของ เรา มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า
พระวรสาร
มก 6:34-44
เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ พระเยซูเจ้าทรงแลเห็นประชาชนจ�านวนมากก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านัน้ เป็นดังฝูงแกะไม่มคี นเลีย้ ง พระองค์จงึ ทรงเริม่ สัง่ สอนเขาหลายเรือ่ ง เนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้ว บรรดาศิษย์จึงเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลว่า “สถานที่นี้เป็น ทีเ่ ปลีย่ วและเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปซือ้ อาหารกิน ตามชนบทและตามหมู่บ้านรอบๆ นี้เถิด” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า “พวกเราจะต้องไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญมาให้ เขากินหรือ” พระองค์ตรัสว่า “ท่านมีขนมปังกีก่ อ้ น ไปดูซ”ิ บรรดาศิษย์ไปดูแล้วกลับมารายงาน ว่า “มีขนมปังอยู่ห้าก้อนกับปลาสองตัว” พระองค์จึงทรงสั่งให้ทุกคนนั่งลงเป็นกลุ่มๆ ตามพื้นหญ้าสีเขียว เขาก็นั่งลงเป็น กลุ่มๆ กลุ่มละหนึ่งร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง พระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลา สองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า แล้วทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิ ขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่ายให้กับประชาชน ทั้งยังทรงแบ่งปลาสองตัวแจกจ่าย ให้ทุกคนด้วย ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้ถึงสิบสอง กระบุงเต็ม จ�านวนคนที่กินขนมปังครั้งนั้นมีผู้ชายถึงห้าพันคน
พระเยซูเจ้าทรงสงสารประชาชน ทรงเลี้ยงอาหาร ทรงยอมทนทรมาน และ ที่สุดทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อชดเชยบาปของเรา ทั้งๆ ที่เราไม่สมควรจะได้รับ ความรักจากพระองค์ พระองค์ทรงรักเราโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน นี่เป็นความรักแท้ เป็น ความรักอันบริสุทธิ์ ส่วนเรา เรารักพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงสมควรได้รับความรักทั้งมวลจากเรา เรารัก พระองค์เพราะเราหวังรางวัลนิรนั ดรจากพระองค์ ความรักของเราจึงยังมีผลประโยชน์แอบแฝง เพราะฉะนั้น ความรักแท้จริงจึงอยู่ที่พระเจ้าทรงรักเรา และเราต้องหมั่นวอนขอความ รักเช่นนี้จากพระองค์
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 72:1-2,3-4ก 7ก,8ก ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 72:1-2,10, 12-13 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1
1 ยน 4:11-18
พระวรสาร
มก 6:45-52
ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย ไม่มีผู้ใดเคย เห็นพระเจ้า แต่ถ้าเรารักกัน พระเจ้าย่อมทรงด�ารงอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ ในเราก็จะสมบูรณ์ เรารูว้ า่ เราด�ารงอยูใ่ นพระองค์ และพระองค์ทรงด�ารงอยูใ่ นเรา เพราะ พระองค์ประทานพระพรของพระจิตเจ้าให้เรานั่นเอง เราเห็นและเราเป็นพยานได้ว่า พระบิดาทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระผูไ้ ถ่โลก ผูใ้ ดยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรง เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าย่อมทรงด�ารงอยูใ่ นเขา และเขาย่อมอยูใ่ นพระเจ้า เรา รู้และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ใดด�ารงอยู่ในความรัก ย่อมด�ารงอยู่ในพระเจ้า และ พระเจ้าย่อมทรงด�ารงอยู่ในเขา ความรักสมบูรณ์อยู่ในเรา เพื่อให้เรามีความมั่นใจในวัน พิพากษา เพราะพระองค์ทรงเป็นอย่างไร เราในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้นด้วย ไม่มีความ กลัวในความรัก ความรักที่สมบูรณ์ย่อมขจัดความกลัว เพราะความกลัว คือความคาด หมายว่าจะถูกลงโทษ ความรักของผู้มีความกลัวจึงยังไม่สมบูรณ์ ทันทีหลังจากนัน้ พระเยซูเจ้าทรงสัง่ ให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปทีเ่ มือง เบธไซดา ขณะที่พระองค์ทรงให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงอ�าลาจากเขาแล้ว พระองค์ก็ เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนา ครั้นถึงเวลาค�่าเรืออยู่กลางทะเลสาบ พระองค์ทรงอยู่บนฝั่งตามล�าพัง ทรงเห็นว่า บรรดาศิษย์ตอ้ งกรรเชียงเรืออย่างเหน็ดเหนือ่ ยเพราะเรือทวนลม ครัน้ ถึงเวลาประมาณ ยามที่สี่ พระองค์ทรงพระด�าเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ ทรงตั้งพระทัยจะผ่านเขาไป บรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงพระด�าเนินอยู่บนทะเล ก็คิดว่าเป็นผี จึงส่งเสียงร้องอื้ออึง เพราะทุกคนได้แลเห็นพระองค์ จึงตกใจกลัว แต่ทนั ใดนัน้ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท�าใจ ให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” แล้วพระองค์เสด็จไปหาเขาในเรือ และลมก็หยุด บรรดาศิษย์ รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะยังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง ใจของเขายังแข็งกระด้างอยู่ ทันทีทที่ อดพระเนตรเห็นบรรดาศิษย์กรรเชียงเรืออย่างเหน็ดเหนือ่ ยเพราะทวน ลม พระเยซูเจ้าทรงรีบเสด็จไปหาพวกเขาในเรือ แล้วลมก็หยุด ที่ใดมีพระองค์ประทับอยู่ ที่นั่นพายุก็สงบ มรสุมในชีวิตจะกลับกลายเป็นสันติสุข สิ่งที่คิด ว่าท�าไม่ได้ก็จะท�าได้ สิ่งที่คิดว่าทนไม่ได้ก็จะทนได้ จุดที่คิดว่าจะแตกหักก็ไม่แตกหัก ทุกวันนี้ พระองค์ยังเสด็จมาประทับอยู่กับเรา ด�ารงอยู่ในเรา และเดินเคียงข้างไปกับ เรา หากเรารักกัน!
บทอ่านที่ 1
1 ยน 4:19-5:4
ท่านที่รักทั้งหลาย จงมีความรักเถิด เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน ถ้าผู้ใดพูดว่า “ฉันรักพระเจ้า” แต่เกลียดชังพีน่ อ้ งของตน ผูน้ นั้ ย่อมเป็นคนพูดเท็จ เพราะผูไ้ ม่รกั พีน่ อ้ ง ที่เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้ เราได้รับบทบัญญัตินี้จากพระองค์ คือให้ผู้ที่รักพระเจ้า รักพี่น้องของตนด้วย ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า ย่อมบังเกิดจากพระเจ้า ทุกคนที่รักบิดา ย่อมรักบุตรของเขาด้วย เรารู้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้า เมื่อเรารักพระเจ้าและ ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ ความรักต่อพระเจ้าคือการปฏิบัติตามบทบัญญัติ บทบัญญัติของพระองค์มิใช่ภาระหนัก เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าชนะโลกแล้ว ชัยชนะที่ชนะโลกก็คือความเชื่อของเรา
พระวรสาร
ลก 4:14-22
เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปแคว้นกาลิลีพร้อมด้วยพระอานุภาพของพระจิต เจ้า กิตติศพั ท์ของพระองค์เลือ่ งลือไปทัว่ แว่นแคว้นนัน้ พระองค์ทรงสอนตามศาลาธรรม ของชาวยิวและทุกคนต่างสรรเสริญพระองค์ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวัน สับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์ มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า “พระจิตขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงอยูเ่ หนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้า ไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูก จองจ�า คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่ง ความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าทีแ่ ละประทับนัง่ ลง สายตาของทุก คนทีอ่ ยูใ่ นศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์ พระองค์จงึ ทรงเริม่ ตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความ จากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว” ทุกคนสรรเสริญพระองค์และ ต่างประหลาดใจในถ้อยค�าน่าฟังที่พระองค์ตรัส
ในเมือ่ พระเจ้าทรงรักเราก่อน ทรงส่งพระเยซูคริสตเจ้ามาประกาศข่าวดีแก่เรา ผูย้ ากจน ปลดปล่อยเราผูถ้ กู จองจ�าจากปีศาจ คืนสายตาให้แก่เราคนตาบอด ปลดปล่อยเราผูถ้ กู กดขี่ให้เป็นอิสระ และประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้าแก่เรา ซึ่งประกาศกอิสยาห์ และชาวยิวต่างก็เฝาคอยมานานกว่า 700 ปีแล้ว เราจึงต้องตอบรับรักพระเจ้า และในเวลาเดียวกันก็ต้องรักเพื่อนมนุษย์ ซึ่งต่างก็เป็น บุตรที่เราแลเห็นได้ของพระองค์อีกด้วย หาไม่แล้วเราจะพูดว่า “ฉันรักพระเจ้า” ไม่ได้เด็ดขาด
น.เรมอนด์ เด เปญาฟอร์ต พระสงฆ์ สดด 72:1-2,14 15ขค,17 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 147:12-14, 15-16,19-20 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1
1 ยน 5:5-13
พระวรสาร
ลก 5:12-16
ท่านที่รักทั้งหลาย ใครเล่าชนะโลกได้ ถ้ามิใช่ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระ บุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้เสด็จมาโดยน�้าและโดยพระโลหิต พระองค์คือ พระเยซูคริสตเจ้า พระองค์มไิ ด้เสด็จมาโดยน�า้ เพียงอย่างเดียว แต่เสด็จมาโดยน�า้ และโดย พระโลหิต และพระจิตเจ้าทรงเป็นพยานถึงเรื่องนี้ เพราะพระจิตเจ้าทรงเป็นความจริง พยานมีสามอย่าง คือพระจิตเจ้า น�้าและพระโลหิต และพยานทั้งสามอย่างก็ตรงกัน ถ้า เรายอมรับการเป็นพยานของมนุษย์ การเป็นพยานของพระเจ้านั้นย่อมยิ่งใหญ่กว่า คือ การเป็นพยานที่พระเจ้าทรงให้เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผูใ้ ดเชือ่ ในพระบุตรของพระเจ้า ย่อมมีการเป็นพยานอยูใ่ นตัวเขาแล้ว แต่ผทู้ ไี่ ม่เชือ่ ย่อมท�าให้พระเจ้าเป็นผูต้ รัสค�าเท็จ เพราะเขาไม่เชือ่ การเป็นพยานซึง่ พระเจ้าประทานให้ เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ การเป็นพยานนี้คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดรแก่เรา และชีวติ นีอ้ ยูใ่ นพระบุตรของพระองค์ ผูใ้ ดมีพระบุตรย่อมมีชวี ติ และผูใ้ ดไม่มพี ระบุตร ของพระเจ้าย่อมไม่มีชีวิต ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ถึงท่านทั้งหลาย ซึ่งเชื่อในพระนาม พระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร วันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ในเมืองหนึ่ง ชายคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อนเต็ม ตัว เมื่อเห็นพระองค์ ก็กราบพระบาทอ้อนวอนว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัส ว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” พระองค์ทรงก�าชับเขามิให้บอกผู้ใด แต่ “จงไปแสดงตนแก่ สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสก�าหนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่า ท่านหายจากโรคแล้ว” ข่าวเกี่ยวกับพระองค์กลับกระจายออกไปมากขึ้น ประชาชนจ�านวนมากต่างมา ฟังพระองค์และรับการรักษาโรค แต่พระองค์เสด็จไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนา ผู้เป็นโรคเรื้อนต้องสวมเสื้อผ้าขาด ไม่โพกศีรษะ ปิดหน้าส่วนล่าง ร้องตะโกน ว่า “มีมลทิน มีมลทิน” และต้องแยกไปอยู่นอกค่าย (ลนต 13:45-56) ทุกคนรังเกียจเขา แม้แต่ ตัวเขาเองก็ยังรังเกียจและดูหมิ่นตัวเอง กระนั้นก็ตาม พระเยซูเจ้ามิได้ทรงรังเกียจ แต่ทรงยื่น พระหัตถ์สัมผัสเขา และรักษาเขาให้หายจากโรค เมือ่ ใดก็ตามทีเ่ ราส�านึกผิดและรูส้ กึ ดูหมิน่ เหยียดหยามตนเอง เมือ่ ใดก็ตามทีห่ วั ใจของเรา เต็มไปด้วยความอับอายและขมขื่น อย่าลืมว่าพระหัตถ์ของพระองค์พร้อมจะยื่นมาสัมผัสและ ประทานชีวิตนิรันดรให้แก่เราเสมอ
บทอ่านที่ 1
1 ยน 5:14-21
ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย ความมัน่ ใจของเราต่อพระองค์มอี ยูว่ า่ ถ้าเราวอนขอสิง่ ใดทีเ่ ป็น ไปตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์จะทรงฟังเรา และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟัง สิง่ ทีเ่ ราวอนขอ เราย่อมรูว้ า่ เรามีสงิ่ ทีเ่ ราวอนขอนัน้ แล้ว ผูใ้ ดเห็นพีน่ อ้ งท�าบาป ซึง่ ไม่ใช่ บาปที่น�าไปสู่ความตาย จงอธิษฐานภาวนาเพื่อพี่น้องคนนั้น แล้วพระเจ้าจะประทาน ชีวิตแก่เขา แต่ต้องไม่ใช่บาปที่น�าไปสู่ความตาย มีบาปที่น�าไปสู่ความตาย และข้าพเจ้า ไม่บอกให้ท่านอธิษฐานเพื่อบาปชนิดนี้ ความอธรรมทุกชนิดเป็นบาป แต่ไม่ใช่บาปทุก ชนิดน�าไปสู่ความตาย เรารูว้ า่ ทุกคนทีเ่ กิดจากพระเจ้าย่อมไม่ทา� บาป เพราะพระผูท้ รงบังเกิดจากพระเจ้า ทรงเฝ้ารักษาเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้ เรารู้ว่า เรามาจากพระเจ้า โลก ทั้งหมดอยู่ใต้อ�านาจของมารร้าย เรารู้อีกว่า พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว พระองค์ ประทานความเข้าใจให้เรา เพื่อเราจะได้รู้จักพระเจ้าแท้ เราอยู่ในพระองค์ และอยู่ใน พระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และทรงเป็นชีวิต นิรันดร ลูกที่รัก จงระวังตนจากรูปเคารพเถิด
พระวรสาร
ยน 3:22-30
หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์เข้าไปในแคว้นยูเดีย พระองค์ ประทับอยู่กับเขาที่นั่นและทรงท�าพิธีล้าง ส่วนยอห์นก็ท�าพิธีล้างอยู่ที่ไอโนน ใกล้ต�าบล ซาลิม เพราะทีน่ นั่ มีนา�้ บริบรู ณ์ ประชาชนต่างมารับพิธลี า้ ง เวลานัน้ ยอห์นยังไม่ถกู จ�าคุก ชาวยิวคนหนึง่ เริม่ โต้เถียงกับศิษย์บางคนของยอห์นเรือ่ งการช�าระล้าง คนเหล่านัน้ จึงไปหายอห์น พูดว่า “รับบี ขณะนีผ้ ทู้ เี่ คยอยูก่ บั ท่านทีแ่ ม่นา�้ จอร์แดนฟากโน้น และท่าน เป็นพยานถึงเขาก�าลังท�าพิธีล้างอยู่ และทุกคนก็ไปหาเขา” ยอห์นตอบว่า “มนุษย์มีสิ่งใดไม่ได้นอกจากสิ่งที่ได้รับจากสวรรค์ ท่านทั้งหลายก็ เป็นพยานได้ที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้แล้วว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสตเจ้า แต่ข้าพเจ้าถูก ส่งมาก่อนพระองค์’ ผู้ที่มีเจ้าสาวคือเจ้าบ่าว แต่เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังอยู่ ย่อมยินดีเมื่อ ได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว ข้าพเจ้ามีความยินดีเช่นนี้ และความยินดีของข้าพเจ้าก็สมบูรณ์ พระองค์จะต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนข้าพเจ้าจะต้องด้อยลง”
ยอห์นด�าเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า ท่านยึดมั่นในภารกิจที่ได้รับ มอบหมายคือการเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ซึ่งต้องเฝาปกปองเจ้าสาวคือชาวอิสราเอล จนกว่าจะส่ง มอบให้แก่เจ้าบ่าวคือพระเยซูเจ้า จิตใจของเราคงเป็นสุขและเปี่ยมด้วยความยินดีเช่นเดียวกับยอห์น หากเรายอมรับว่า พระเจ้าทรงมอบภารกิจบางอย่างให้แก่ผู้อื่น แล้วน้อมรับภารกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายแก่ เรามาปฏิบัติด้วยสิ้นสุดจิตใจและสิ้นสุดก�าลัง ทุกภารกิจที่กระท�าเพื่อพระเจ้า แม้จะเป็นสองรองจากภารกิจอื่น ล้วนยิ่งใหญ่เสมอ!
เทศกาล พระคริสตสมภพ
สดด 149:1-2,3-4, 5-7,8-9 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2 วันเด็กแหงช�ติ
ฉลองพระเยซูเจ้า ทรงรับพิธีล้าง
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์
อสย 42:1-4,6-7
เพลงสดุดี
สดด 29:1-2,3-4,9-10
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก
กจ 10:34-38
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “นี่คือผู้รับใช้ของเรา ซึ่งเราเชิดชู เราเลือกเขาเพราะ เราพอใจเขา เราให้จิตของเราแก่เขา เขาจะน�าความยุติธรรมไปให้แก่นานาชาติ เขาจะ ไม่ร้องตะโกนหรือเปล่งเสียงดัง จะไม่ท�าให้ใครได้ยินเสียงของเขาตามถนน ไม้อ้อที่ช�้า แล้ว เขาจะไม่หัก และไส้ตะเกียงที่ริบหรี่อยู่ เขาจะไม่ดับ เขาจะประกาศความยุติธรรม ด้วยความสัตย์จริง เขาจะไม่หมดหวังหรือท้อใจ จนกว่าจะได้สถาปนาความยุติธรรมไว้ บนแผ่นดิน ดินแดนชายทะเลจะรอคอยค�าสอนของเขา เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เรา เรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม เราจับมือของท่านและรักษาท่านไว้ เราให้ท่านเป็น พันธสัญญาของประชากร และเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อเปิดตาคนตาบอด ปลด ปล่อยผู้ถูกจองจ�าจากคุก ปลดปล่อยผู้ที่อยู่ในความมืดจากที่คุมขัง” ก) บุตรทั้งหลายของพระเจ้า จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์และพระอานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อทรงส�าแดงความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข) พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าก้องอยู่เหนือน่านน�้า พระเจ้าผู้ทรงสิริแผดพระสุรเสียงกึกก้อง องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่เหนือห้วงน�้ากว้างใหญ่ พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอานุภาพ พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้ากึกก้องกัมปนาท ค) พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าท�าให้ต้นโอ๊กสะท้านสะเทือน ทรงปลิดใบต้นไม้ในป่าจนหมดต้น ในพระวิหารของพระองค์ทุกคนร้องขานพร้อมกันว่า “พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์” องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับเหนือห้วงมหรรณพ องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับเป็นกษัตริย์ตลอดไป
ขณะนั้น เปโตรเริ่มพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงล�าเอียง ทุกคนที่ ย�าเกรงพระองค์และปฏิบัติความชอบธรรม ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติใด ย่อมเป็นที่พอพระทัย พระองค์ พระองค์ทรงมอบพระวาจาแก่ลูกหลานของชาวอิสราเอล โดยทรงประกาศข่าวดี แห่งสันติสุขเดชะพระเยซูคริสตเจ้า พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ของทุกคน ท่านทั้งหลายรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดีย เริ่มต้นที่แคว้นกาลิลี หลัง
จากทีย่ อห์นได้เทศน์สอนและท�าพิธลี า้ ง พระเจ้าทรงเจิม พระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิต เจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปทีใ่ ด ทรงกระท�าความดีและ ทรงรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อ�านาจของปีศาจ เพราะพระเจ้า สถิตกับพระองค์”
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 3:15-16,21-22
ขณะนั้น ประชาชนก�าลังรอคอย ทุกคนต่างคิดใน ใจว่า ยอห์นเป็นพระคริสต์หรือ ยอห์นจึงประกาศต่อ หน้าทุกคนว่า “ข้าพเจ้าใช้น�้าท�าพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่ผู้ที่ทรงอ�านาจยิ่งกว่าข้าพเจ้าจะมา และข้าพเจ้าไม่ สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา เขาจะท�าพิธีล้างให้ท่านเดชะพระจิตเจ้าและด้วยไฟ” ขณะนั้นประชาชนทั้งหมดก�าลังรับพิธีล้าง พระเยซูเจ้าก็ทรงรับพิธีล้างด้วย และขณะที่ทรงอธิษฐาน ภาวนาอยู่นั้น ท้องฟ้าก็เปิดออก และพระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ มีรูปร่างที่เห็นได้ดุจนกพิราบ แล้วมีเสียงจากสวรรค์ว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” การปรากฏตัวของยอห์นก่อให้เกิด “ความเคลือ่ นไหวทีจ่ ะแสวงหาพระเจ้า” อย่างทีไ่ ม่เคยพบเห็น มาก่อน ผูค้ นจ�านวนมากฟังยอห์นและรับพิธลี า้ งจากท่าน นีค่ อื เครือ่ งหมายชัดเจนส�าหรับพระเยซูเจ้าว่าเวลาแห่ง การเริ่มต้นภารกิจของพระองค์มาถึงแล้ว พระองค์จึงเสด็จมา “รับพิธีล้าง” เพื่อร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับประชาชน ในความเคลื่อนไหวที่จะแสวงหาและมุ่งหน้าไปสู่พระเจ้า พระองค์ไม่เพียงน�าความยุติธรรมมาสู่นานาชาติเท่านั้น แต่ยังทรงร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษยชาติผู้รู้ตาย ทรงด�าเนินชีวิตโดยไม่หมดหวังหรือท้อใจ ไปที่ใดก็ทรงกระท�าแต่ความดีและช่วยทุกคนที่อยู่ใต้อ�านาจของปีศาจ โดยไม่ทรงซ�้าเติมผู้ที่ชอกช�้าอยู่แล้ว ผู้ที่ย�าเกรงพระเจ้าและปฏิบัติความชอบธรรมเช่นนี้แหละ ย่อมเป็นที่พอพระทัยของพระองค์
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา
สดด 116:12-13,14-15 และ 17, 18-19 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันผู้อพยพ
บทอ่านที่ 1
1 ซมอ 1:1-8
พระวรสาร
มก 1:14-20
ชายผู้หนึ่งชื่อเอลคานาห์อยู่ที่เมืองรามาธาอิม ในแถบภูเขาเอฟราอิม เขาเป็นชน เผ่าเอฟราอิมจากตระกูลศูฟ เป็นบุตรของเยโรฮัม ซึ่งเป็นบุตรของเอลีฮู บุตรของโทหุ บุตรของศูฟ เขามีภรรยาสองคน คนหนึ่งชื่อฮันนาห์ และอีกคนหนึ่งชื่อเปนินนาห์ นาง เปนินนาห์มบี ตุ รชายหญิงหลายคน แต่นางฮันนาห์ไม่มบี ตุ รเลย ทุกปี ชายผูน้ จี้ ะเดินทาง จากเมืองของตนขึ้นไปนมัสการและถวายบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลที่เมือง ชิโลห์ (โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรสองคนของเอลีเป็นสมณะขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอยูท่ นี่ นั่ ) ทุกครั้งที่เอลคานาห์ถวายเครื่องบูชา เขาจะให้เนื้อสัตว์ที่ถวายหลายส่วนแก่นาง เปนินนาห์ภรรยา และบุตรชายหญิงทุกคนของนาง แต่เขาให้ส่วนพิเศษแก่นางฮันนาห์ เพราะรักนางฮันนาห์มาก แม้องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงให้นางมีบุตร นางเปนินนาห์คู่แข่ง มักจะเยาะเย้ยให้นางต้องอับอายและยัว่ ยุนางให้โกรธ ในการทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าไม่ทรง ให้นางมีบตุ ร เหตุการณ์เช่นนีเ้ กิดขึน้ ปีแล้วปีเล่า ทุกครัง้ ทีค่ รอบครัวขางเอลคานาห์ขนึ้ ไป ยังวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า นางเปนินนาห์มักจะเยาะเย้ยนางฮันนาห์ จนนางร้องไห้ ไม่ยอมกินอะไรเลย เอลคานาห์สามีของนาง จึงถามว่า “ฮันนาห์ที่รัก เธอร้องไห้ท�ำไม ท�ำไมเธอจึงไม่กนิ อาหารเลย ท�ำไมจึงเศร้าใจเช่นนี้ ฉันคนเดียวไม่ดกี ว่าบุตรสิบคนหรือ” หลังจากทีย่ อห์นถูกจองจ�ำ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนา ข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า “เวลาทีก่ ำ� หนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยูใ่ กล้ แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด” ขณะที่ทรงพระด�ำเนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทอดพระเนตรเห็น ซีโมนกับอันดรูว์น้องชายก�ำลังทอดแห เขาเป็นชาวประมง พระเยซูเจ้าตรัสสั่งว่า “จง ตามเรามาเถิด เราจะท�ำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์” ซีโมนกับอันดรูว์ก็ทิ้งแหไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที เมื่อทรงพระด�ำเนินไปอีกเล็กน้อย พระองค์ทอดพระเนตรเห็นยากอบบุตรของ เศเบดี และยอห์นน้องชายก�ำลังซ่อมแหอยู่ในเรือ พระองค์ทรงเรียกเขา ทั้งสองคนก็ ละทิ้งเศเบดีบิดาของตนไว้ในเรือกับลูกจ้าง แล้วตามพระองค์ไปทันที
เราเรียนรู้มาว่า เพื่อจะกลับใจจ�ำเป็นต้องเป็นทุกข์ถึงบาป แต่ในทางปฏิบัติเรามักสับสนระหว่างการ เป็นทุกข์ถึง “บาป” และการเป็นทุกข์ถึง “ผลของบาป” มีคนเป็นจ�ำนวนมากที่เป็นทุกข์เสียใจอย่างจริงจังถึงผลร้ายที่สืบเนื่องมาจากความผิดบาปที่ตนเองได้กระท�ำลง ไป แต่หากเขาแน่ใจว่าสามารถหลบหลีกหรือรอดพ้นจากผลร้ายที่น่าจะติดตามมาได้ เป็นไปได้ว่าเขาจะกลับไปท�ำผิด เช่นเดิมอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะสิ่งที่เขาเกลียดคือผลของบาป ไม่ใช่ตัวบาปเอง แต่การกลับใจที่แท้จริงอยู่ที่การเกลียดบาป ไม่ใช่ผลของบาป ผู้ที่เคย “รักบาป” ต้องเปลี่ยนเป็น “เกลียดบาป” จึงจะเรียกว่ากลับใจจริง
บทอ่านที่ 1
2 ทธ 2:1-13
พระวรสาร
ยน 15:9-17
ลูกรัก ท่านจงรับพละก�ำลังจากพระหรรษทานซึ่งอยู่ในพระคริสตเยซู จงถ่ายทอด สิ่งที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้าโดยมีหลายคนเป็นพยานแก่คนที่น่าเชื่อถือซึ่งจะสอนคนอื่น ต่อไปได้ จงร่วมทนทุกข์กบั ผูอ้ นื่ เหมือนทหารทีด่ ขี องพระคริสตเยซู ทหารทุกคนจะไม่เข้าไป เกี่ยวกับกิจการของพลเรือน เขามุ่งท�ำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ นักกีฬาก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครได้ชัยชนะนอกจากจะได้แข่งขันตามกติกา ชาวนาที่ตรากตร�ำท�ำงานควรเป็นผู้ ระลึกถึง ที่จะได้รับผลก่อนผู้อื่น จงพิจารณาสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดนี้ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทาน บุญราศีนิโคลาส ให้ท่านเข้าใจทุกๆ เรื่อง บุญเกิด กฤษบำ�รุง จงระลึกถึง “พระเยซูคริสตเจ้าผูท้ รงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย ทรงสืบ พระสงฆ์และมรณสักขี เชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด” ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศ เพราะข่าวดีนี้เอง ข้าพเจ้า สดด34:1-8 จึงต้องทนทุกข์จนต้องถูกจองจ�ำเหมือนเป็นอาชญากร แต่พระวาจาของพระเจ้าจะถูก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 จองจ�ำไม่ได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทนทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่ผู้ที่ได้รับเลือกสรร เพื่อพวกเขาจะได้ รับความรอดพ้นซึ่งอยู่ในพระคริสตเยซู พร้อมกับชีวิตในสิริรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดรด้วย ต่อไปนี้คือถ้อยค�ำที่เชื่อถือได้ ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ ถ้าเราอดทน มั่นคง เราย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์ ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ย่อมจะทรงปฏิเสธเรา ถ้าเรา ไม่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไป เพราะจะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้ เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงด�ำรงอยู่ในความรักของเราเถิด ถ้า ท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะด�ำรงอยู่ในความรักของเรา เหมือนกับที่เราปฏิบัติตามบทบัญญัติ ของพระบิดาของเรา และด�ำรงอยู่ในความรักของพระองค์ เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรัก กัน เหมือนดังที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย ท่านทั้งหลาย เป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านท�ำตามที่เราสั่งท่าน เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่า นายของตนท�ำอะไร เราเรียกท่านเป็นมิตรสหาย เพราะเราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของ เรา มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปท�ำจนเกิดผล และผลของท่านจะ คงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน” พระเยซูเจ้าตรัสซํ้าแล้วซํ้าอีก ให้เราอยู่กับพระ ให้เราเพียงด�ำรงอยู่ในความรักของพระองค์ มิใช่อยู่ กับงานเกี่ยวกับพระองค์ หรืออยู่กับความชื่นชมยินดีที่ได้มาจากความศรัทธาในการปฏิบัติกิจศรัทธาต่างๆ... ในการ ท�ำงานเกี่ยวกับพระ เราอาจจะรู้สึกภาคภูมิใจหรือรู้สึกปลอดภัยที่ว่า เรามิได้ออกนอกลู่นอกทาง หรือเมื่อเรารู้สึกถึง ความศรัทธา เราอาจจะรู้สึกว่าเราใกล้ชิดพระ ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้มิได้ผิด แต่ความรู้สึกเช่นนี้อาจท�ำให้เราเผลอยึด ติดและแสวงหาเพียงความภาคภูมิใจ ความปลอดภัย ความมั่นใจว่าใกล้ชิดพระ ซึ่งเป็นการแสวงหาเพื่อตัวเอง แล้ว เราจะพลาดจากการแสวงหาพระอย่างแท้จริง
บทอ่านที่ 1
น.ฮีลารี พระสังฆราช และนักปราชญ์ สดด 40:1 และ 4, 6-7ก, 7ข-8,9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร
1 ซมอ 3:1-10,19-20
หนุม่ ซามูเอลรับใช้องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอยูใ่ นความดูแลของเอลี ในสมัยนัน้ พระด�ำรัส ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้ามีนอ้ ย และไม่คอ่ ยมีนมิ ติ จากพระองค์ คืนหนึง่ เอลีซงึ่ บัดนีน้ ยั น์ตา มืดมัวจนเกือบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว นอนอยู่ในห้องของตน ดวงประทีปในสักการ สถานของพระเจ้ายังไม่ดับ ซามูเอลก�ำลังนอนอยู่ในสักการสถานขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่มีหีบพันธสัญญาของพระเจ้าประดิษฐานอยู่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอล เขา ทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” แล้ววิ่งไปหาเอลีพูดว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ แล้ว” แต่เอลีตอบว่า “พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ” ซามูเอลก็กลับไปนอน... องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สาม เขาก็ลุกขึ้นไปหาเอลีพูดว่า “ท่าน เรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” เอลีจึงเข้าใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเด็กนั้น เอลีบอกซามูเอลว่า “กลับไปนอนเถอะ ถ้ามีเสียงเรียกลูกอีกก็จงตอบว่า ‘ข้าแต่องค์ พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์ก�ำลังฟังอยู่’” ซามูเอลจึงกลับไปนอน ในที่ของตน องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาประทับที่นั่น ตรัสเรียกเช่นครั้งก่อนว่า “ซามูเอล ซามูเอล” ซามูเอลทูลตอบว่า “ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์ก�ำลังฟังอยู่” ซามูเอลเจริญวัยขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และทรงท�ำให้ค�ำพูดทุกค�ำของ ซามูเอลเป็นจริง...
มก 1:29-39
ทันทีที่ออกจากศาลาธรรม พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์พร้อมกับยากอบและ ยอห์น มารดาของภรรยาซีโมนก�ำลังนอนป่วยเป็นไข้อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ให้ทรงทราบทันที พระองค์เสด็จ เข้าไปจับมือนาง พยุงให้ลุกขึ้น นางก็หายไข้ และรับใช้ทุกคน เย็นวันนั้น เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว มีคนน�ำผู้ป่วยและผู้ถูกปีศาจสิงมาเฝ้าพระองค์ คนทั้งเมืองมารวม กันที่ประตู พระองค์ทรงรักษาหลายคนที่เป็นโรคต่างๆ ให้หาย ทรงขับไล่ปีศาจออกไป แต่ไม่ทรงอนุญาตให้ มันพูด เพราะมันรู้จักพระองค์ วันต่อมา พระองค์ทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เสด็จออกจากบ้านไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่น ซีโมนและผูท้ อี่ ยูก่ บั เขาตามหาพระองค์ เมือ่ พบแล้ว จึงทูลพระองค์วา่ “ทุกคนก�ำลังแสวงหาพระองค์” พระองค์ ตรัสตอบว่า “เราไปที่อ่ืนกันเถิด ไปตามต�ำบลใกล้เคียง เพื่อจะได้เทศน์สอนที่นั่นด้วย เพราะเรามาด้วยจุด ประสงค์นี้” พระองค์จึงเสด็จไปเทศน์สอนตามศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลี ทรงขับไล่ปีศาจด้วย ชาวยิวมีธรรมเนียมรับประทานอาหารมือ้ ส�ำคัญของวันสับบาโตหลังเสร็จสิน้ พิธที ศี่ าลาธรรมแล้ว ทัง้ ๆ ทีท่ รงหิวและเหน็ดเหนือ่ ยหลังออกจากศาลาธรรม แต่พระเยซูเจ้าก็ไม่ทรงรีรอทีจ่ ะรักษาแม่ยายของเปโตรให้หายจากไข้ พระองค์ไม่เคยเหนือ่ ยหน่ายทีจ่ ะช่วยเหลือผูค้ น ความต้องการของผูอ้ น่ื อยูเ่ หนือความต้องการส่วนตัวของพระองค์ เสมอ พระองค์พร้อมจะช่วยเหลือทุกคน ทุกแห่ง และทุกเวลา ไม่ว่าจะต่อหน้าฝูงชนจ�ำนวนมากในศาลาธรรม หรือ ต่อหน้าคนหยิบมือเดียวในบ้านของเปโตร ที่ส�ำคัญพระองค์ทรงใส่ใจต่อ “ทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์” และไม่เคยมองผู้ใดเป็นภาระเลย!
บทอ่านที่ 1
1 ซมอ 4:1-11
พระวรสาร
มก 1:40-45
ชาวอิสราเอลทุกคนจึงฟังถ้อยค�ำของซามูเอล เนื่องจากเอลีชรามากและบุตรของ เขายังดื้อรั้นอยู่ในความประพฤติชั่วต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกไปสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย... ชาวอิสราเอลพ่ายแพ้ชาว ฟีลสิ เตียซึง่ ฆ่าชาวอิสราเอลประมาณสีพ่ นั คนในสนามรบ เมือ่ ก�ำลังพลอิสราเอลกลับมา ในค่าย บรรดาผู้อาวุโสถามว่า “ท�ำไมวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงปล่อยให้เราพ่ายแพ้ ชาวฟีลิสเตีย เราจงไปน�ำหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลมาจากเมือง สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา ชิโลห์เถิด เพือ่ พระองค์จะเสด็จไปกับเรา และทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากศัตรู” ประชากร จึงส่งคนไปที่เมืองชิโลห์ เพื่อน�ำหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล ผู้ สดด 44:9-10, 13-14,23-26 ประทับอยู่เหนือบัลลังก์ระหว่างเครูบ โฮฟนี และฟีเนหัส บุตรทั้งสองคนของเอลีก็ มาพร้อมกับหีบพันธสัญญา เมื่อหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่าย ชาว ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 อิสราเอลทุกคนโห่รอ้ งเสียงดังสนัน่ จนแผ่นดินสัน่ สะเทือน เมือ่ ชาวฟีลสิ เตียได้ยนิ เสียง โห่ร้อง ก็ถามกันว่า “เสียงโห่ร้องดังเช่นนี้ในค่ายของชาวฮีบรูหมายความว่าอะไร” เมื่อ ชาวฟีลิสเตียรู้ว่า หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่ายชาวฮีบรู เขาก็มีความ กลัว พูดกันว่า “พระเจ้าเสด็จมาในค่ายของเขาแล้ว เราแพ้แน่ๆ ไม่เคยมีเหตุการณ์ เช่นนี้เกิดขึ้นก่อนเลย... พระเจ้าองค์นี้แหละทรงส่งภัยพิบัติมาท�ำลายชาวอียิปต์ในถิ่น ทุรกันดาร ชาวฟีลิสเตียทั้งหลาย จงกล้าหาญ และเป็นลูกผู้ชายเถิด มิฉะนั้น ท่านจะต้องเป็นทาสของชาว ฮีบรู เหมือนที่เขาเคยเป็นทาสของท่าน จงสู้รบอย่างลูกผู้ชายเถิด” ชาวฟีลิสเตียเข้าสู้รบ ชาวอิสราเอลก็พ่าย แพ้ ต่างหนีกลับบ้านของตน เป็นความปราชัยอย่างใหญ่หลวง ชาวอิสราเอลถูกฆ่าตายถึงสามหมื่นคน หีบ พันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไป โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรทั้งสองคนของเอลีก็ถูกฆ่าด้วย เวลานั้น ผู้เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้า คุกเข่าอ้อนวอนว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรงก�ำชับ อย่างแข็งขันว่า “ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครรูเ้ ลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครือ่ งบูชาตามทีโ่ มเสส ก�ำหนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว” แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขาก็ป่าวประกาศ กระจายข่าวไปทั่ว จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จึงประทับอยู่นอก เมืองในที่เปลี่ยว แม้กระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์ คนเป็นโรคเรือ้ นนอกจากร่างกายจะเจ็บปวดทรมานเพราะโรคแล้ว กฎหมายยังก�ำหนดให้เขาต้องอาศัย อยู่นอกค่ายตามล�ำพัง สวมเสื้อผ้าฉีกขาด ไม่โพกศีรษะ ปิดหน้าส่วนล่าง เวลาจะไปไหนให้ร้องตะโกนว่า “มีมลทิน มี มลทิน” (ลนต 13:45-46) แต่พระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสผู้เป็นโรคเรื้อน และรักษาเขาให้หายโดยปราศจากความรังเกียจใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดสกปรกในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงพร้อมเสมอที่จะต้อนรับมนุษย์ทุกคนที่สิ้นหวัง ด้วย ดวงพระทัยที่เข้าใจและเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร
บทอ่านที่ 1
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา สดด 89:15-16,17-18 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร
1 ซมอ 8:4-7,10-22ก
บรรดาผูอ้ าวุโสของชาวอิสราเอลจึงมาชุมนุมกันไปหาซามูเอลทีเ่ มืองรามาห์ พูดว่า “ท่านชราแล้ว และบุตรของท่านไม่ประพฤติตามแบบอย่างของท่าน ดังนั้น ท่านจงแต่ง ตัง้ กษัตริยข์ นึ้ ปกครองพวกเราเหมือนกับชนชาติอนื่ เถิด” ซามูเอลไม่พอใจทีเ่ ขาเหล่านัน้ ขอกษัตริย์มาปกครอง จึงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า... ซามูเอลบอกให้ประชากรที่มาขอกษัตริย์รู้ทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เขา กล่าวว่า “นี่เป็นสิทธิของกษัตริย์ที่จะมาปกครองท่าน... เมื่อถึงเวลานั้นกษัตริย์ที่ท่าน ได้เลือกส�ำหรับท่านนี้จะเป็นเหตุให้ท่านร้องขอความช่วยเหลือ แต่ในวันนั้น องค์พระ ผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงฟังท่าน” ประชากรไม่ยอมฟังเสียงของซามูเอล กลับพูดว่า “จะไม่เป็นเช่นนี้ พวกเราต้องการ กษัตริย์ปกครอง เราจะได้เป็นเหมือนชนชาติอื่นที่มีกษัตริย์ปกครอง พระองค์จะทรงน�ำ พวกเราออกไปสู้รบกับศัตรูพร้อมกับเรา” ซามูเอลฟังถ้อยค�ำทุกค�ำที่ประชากรพูด และ น�ำเรื่องไปทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับซามูเอลว่า “จงท�ำตามข้อ เสนอของเขาให้เขามีกษัตริย์ปกครองเถิด”
มก 2:1-12
ต่อมาอีกสองสามวัน พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาทีเ่ มืองคาเปอรนาอุม เมือ่ เป็นทีร่ กู้ นั ว่าพระองค์ประทับอยู่ ในบ้าน ประชาชนจ�ำนวนมากจึงมาชุมนุมกันจนไม่มีที่ว่างแม้กระทั่งที่ประตู พระองค์ประทานพระโอวาทสอน ประชาชนเหล่านั้น ชายสี่คนหามคนอัมพาตคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ แต่เขาน�ำคนอัมพาตนั้นฝ่าฝูงชนเข้าไปถึง พระองค์ไม่ได้ เขาจึงเปิดหลังคาบ้านตรงที่พระองค์ประทับอยู่ แล้วหย่อนแคร่ที่คนอัมพาตนอนอยู่ลงมาทาง ช่องนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับ การอภัยแล้ว” ที่นั่นมีธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ด้วย เขาคิดในใจว่า “ท�ำไมคนนี้จึงพูดเช่นนี้ เขากล่าวดูหมิ่น พระเจ้า ใครอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น” ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาด้วยพระจิต ของพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายคิดเช่นนีใ้ นใจท�ำไม อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกคนอัมพาตว่า ‘บาปของ ท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น แบกแคร่เดินไปเถิด’ แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอ�ำนาจ อภัยบาปได้บนแผ่นดิน” พระองค์ตรัสแก่คนอัมพาตว่า “เราสั่งท่าน จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับไปบ้านเถิด” เขา ก็ลุกขึ้นแบกแคร่ออกเดินไปทันทีต่อหน้าคนทั้งปวง ทุกคนต่างประหลาดใจ ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและ พูดว่า “พวกเรายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย” ชาวยิวเชื่อปักใจว่าผู้ใดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือตกทุกข์ได้ยากก็แปลว่าผู้นั้นได้ท�ำบาป บรรดาธรรมาจารย์จึง สอนว่าต้องอภัยบาปก่อนจึงจะรักษาคนป่วยให้หายได้ การพูดว่า “บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” เป็นเรื่องง่าย นักต้มตุ๋นคนไหนๆ ก็พูดได้เพราะไม่มีข้อพิสูจน์ แต่ การสั่งคนอัมพาตให้ “ลุกขึ้น แบกแคร่เดินไปเถิด” ก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมจับต้องได้ จึงยากที่จะหลอกลวงผู้อื่น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงท�ำเรื่องยากคือรักษาคนอัมพาตให้เดินได้ ก็แปลว่าพระองค์มีสิทธิ์และอ�ำนาจที่จะยกบาปได้ ซึ่งท�ำให้ประชาชนพากันสรรเสริญพระเจ้า แต่พวกธรรมาจารย์กลับเสียหน้าและคิดจะก�ำจัดพระองค์ ในเมื่อพระองค์ทรงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่าสามารถอภัยบาปให้เราได้แล้ว เรายังจะใจเย็นเฉยอยู่อีกหรือ?
บทอ่านที่ 1
1 ซมอ 9:1-4,17-19;10:1
พระวรสาร
มก 2:13-17
ชายผู้หนึ่งจากเผ่าเบนยามินชื่อ คีช เป็นคนร�่ำรวย เขาเป็นบุตรของอาบีเอล บุตร ของเศโรห์ บุตรของเบโครัท บุตรของอาฟียาห์ บุตรของคนเผ่าเบนยามิน คีชมีบุตรชาย คนหนึ่งชื่อ ซาอูล เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีรูปร่างงามสง่ากว่าชาวอิสราเอลทั้งหลาย สูง กว่าคนอื่นราวหนึ่งศอก วันหนึ่ง ฝูงลาของคีช บิดาของซาอูลพลัดหลงไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูล บุตรของ สัปดาห์ที่ 1 ตนว่า “จงน�ำผู้รับใช้ไปด้วยคนหนึ่ง ออกตามหาลาเหล่านั้นเถิด” ทั้งสองคนจึงข้ามเขต เทศกาลธรรมดา ภูเขาเอฟราอิม ผ่านไปถึงแผ่นดินชาลิชาแต่ก็หาไม่พบ เขาจึงไปหาที่แผ่นดินชาอาลิม สดด 21:1-2, แต่ลาก็ไม่อยู่ที่นั่น เขาข้ามเขตแดนเบนยามิน แต่ก็ยังไม่พบอีก 3-4,5-6 เมื่อซามูเอลเห็นซาอูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับเขาว่า “ชายผู้นี้คือผู้ที่เราบอก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ท่านว่า ‘เขาจะปกครองประชากรของเรา’” ซาอูลเข้าไปพบซามูเอลทีป่ ระตูเมือง ถามว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า บ้านของผู้ท�ำนายอยู่ที่ไหน” ซามูเอลตอบซาอูลว่า “ข้าพเจ้า คือผู้ท�ำนาย จงเดินน�ำหน้าข้าพเจ้าขึ้นไปยังสักการสถานบนภูเขา ท่านทั้งสองคนจะร่วมกินอาหารกับข้าพเจ้า ในวันนี้ พรุ่งนี้เช้า ข้าพเจ้าจะตอบค�ำถามทุกอย่างของท่าน แล้วจะให้ท่านไป” ซามูเอลเอาขวดน�้ำมันมะกอกเทศขึ้นมา เทน�้ำมันลงบนศีรษะของซาอูล จูบเขาแล้วพูดว่า “องค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงเจิมท่านให้เป็นผู้น�ำชาวอิสราเอลประชากรของพระองค์ ท่านจะปกครองประชากรขององค์พระผู้ เป็นเจ้า ช่วยเขาให้พ้นจากมือของศัตรูที่อยู่โดยรอบ นี่จะเป็นเครื่องหมายพิสูจน์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิม ท่านให้เป็นผู้น�ำประชากรอิสราเอลซึ่งเป็นส่วนมรดกของพระองค์” เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปริมฝั่งทะเลสาบอีก ประชาชนต่างมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงสั่ง สอนเขา ขณะที่ทรงพระด�ำเนินไป พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวี บุตรของอัลเฟอัสก�ำลังนั่งอยู่ที่ด่าน ภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเลวี คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมา ร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์มา บรรดาธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสีเห็น พระองค์เสวยร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ท�ำไมอาจารย์ของท่านกินอาหาร กับคนเก็บภาษีและคนบาป” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คน เจ็บไข้ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป” การที่พระเยซูเจ้าทรงเลือก “เลวี” คนเก็บภาษีและศัตรูของคนยากจนเป็นสาวกคนหนึ่งของพระองค์ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความรักของพระองค์ไร้ขอบเขต พวกฟาริสมี องดูพระองค์วา่ เป็นมิตรของเจ้าหน้าทีเ่ ก็บภาษี แม้ พระองค์จะประณามระบบศาสนา แต่พระองค์กระท�ำกับผู้น�ำด้วยความเคารพต่อพวกเขา เช่นนิโคเดมัส แม้พระองค์ จะตรัสถึงอันตรายของเงินทอง และความรุนแรง พระองค์ก็ทรงแสดงความรักและความเมตตาต่อผู้น�ำที่มั่งมี คือนาย ร้อยนิโคเดมัส สรุปได้ว่า พระเยซูเจ้าทรงให้เกียรติแก่บุคคล ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเห็นด้วยกับพระองค์หรือไม่ก็ตาม แม้โจรที่ถูก ตรึงกางเขนกับพระองค์ พระองค์ก็ต้อนรับเขาเข้าพระอาณาจักรของพระองค์
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2 วันสันติภ�พส�กล
อสย 62:1-5
เพราะเห็นแก่ศิโยน ข้าพเจ้าจะไม่นิ่งเงียบ เพราะเห็นแก่กรุงเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจะ อยูเ่ ฉยไม่ได้ จนกว่าการปลดปล่อยทีพ่ ระเจ้าประทานแก่กรุงนีจ้ ะปรากฏขึน้ ดุจแสงอรุณ และความรอดพ้นของกรุงนีจ้ ะส่องแสงเหมือนคบเพลิงทีก่ า� ลังลุกไหม้ นานาชาติจะเห็น ว่าพระเจ้าทรงปลดปล่อยเจ้า บรรดากษัตริย์จะทรงเห็นสิริรุ่งโรจน์ของเจ้า เจ้าจะได้ชื่อ ใหม่ ซึ่งพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานให้ เจ้าจะเป็นเสมือนมงกุฎงามใน พระหัตถ์องค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเหมือนมงกุฎของกษัตริย์ในพระหัตถ์พระเจ้าของเจ้า เขาจะไม่เรียกเจ้าอีกว่า “ผู้ถูกทอดทิ้ง” เขาจะไม่เรียกแผ่นดินของเจ้าอีกว่า “แม่ร้าง” แต่เขาจะเรียกเจ้าว่า “ความยินดีของเราอยู่ในเธอ” และเรียกแผ่นดินของเจ้าว่า “มีคู่ สมรสแล้ว” เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะทรงยินดีในเจ้า และแผ่นดินของเจ้าจะมีคสู่ มรส ใช่แล้ว ชายหนุ่มแต่งงานกับสาวพรหมจารีฉันใด พระผู้สร้างของเจ้าก็จะแต่งงานกับเจ้า ฉันนั้น เจ้าบ่าวยินดีเพราะเจ้าสาวฉันใด พระเจ้าของเจ้าก็จะทรงยินดีเพราะเจ้าฉันนั้น
เพลงสดุดี
สดด 96:1-3,7-9,11-12ก
ก) จงร้องเพลงบทใหม่ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงร้องเพลงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าจากทั่วแผ่นดิน จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงถวายพระพรแด่พระนามพระองค์เถิด จงประกาศทุกวันว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้น จงเล่าถึงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์แก่นานาชาติ จงประกาศกิจการน่าพิศวงของพระองค์แก่บรรดาประชาชาติ ข) ครอบครัวประชาชาติทั้งหลาย จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์และพระอานุภาพของพระองค์ จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงน�าของถวายและจงเข้ามาในท้องพระโรงของพระองค์ จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อทรงส�าแดงความศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์ทั่วแผ่นดินจงตัวสั่นเฉพาะพระพักตร์พระองค์เถิด ค) สวรรค์จงยินดี แผ่นดินจงเปรมปรีดิ์ ทะเลและทุกสิ่งที่อยู่ในทะเลจงส่งเสียงครึกโครมดังฟ้าคะนองเถิด ทุ่งนาและทุกสิ่งที่อยู่ในทุ่งนาจงร่าเริง
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 12:4-11
พี่น้อง พระพรพิเศษมีหลายประการ แต่มีพระจิตเจ้าพระองค์เดียว มีหน้าที่หลาย อย่างต่างกัน แต่มอี งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว กิจการมีหลายอย่าง แต่มพี ระเจ้า
พระองค์เดียวผูท้ รงกระท�ำทุกอย่างในทุกคน พระจิตเจ้าทรงแสดงพระองค์ในแต่ละคนเพือ่ ประโยชน์สว่ น รวม พระจิตเจ้าประทานถ้อยค�ำทีป่ รีชาแก่คนหนึง่ พระจิตเจ้าพระองค์เดียวกันประทานถ้อยค�ำทีร่ อบรูแ้ ก่ อีกคนหนึ่ง พระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน ประทานความเชื่อแก่อีกคนหนึ่ง พระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน ประทานพระพรบ�ำบัดรักษาโรค ประทานอ�ำนาจท�ำอัศจรรย์ให้อีกคนหนึ่ง ประทานให้อีกคนหนึ่งประกาศ พระวาจา ให้อีกคนหนึ่งรู้จักจ�ำแนกจิตต่างๆ ให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ และให้อีกคนหนึ่ง ตีความอธิบายความหมายของภาษานั้นได้ พระพรพิเศษทั้งมวลเป็นผลงานจากพระจิตเจ้าพระองค์เดียว ผู้ทรงแจกจ่ายพระพรต่างๆ ให้แต่ละคนตามที่พอพระทัย
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น
ยน 2:1-12
สามวันต่อมา มีงานมงคลสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงอยู่ใน งานนั้น พระเยซูเจ้าทรงได้รับเชิญพร้อมกับบรรดาศิษย์มาในงานนั้นด้วย เมื่อเหล้าองุ่นหมด พระมารดา ของพระเยซูเจ้าจึงมาทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “แม่ครับ แม่ต้องการ อะไรจากลูก เวลาของลูกยังมาไม่ถึง” พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงกล่าวแก่บรรดาผู้รับใช้ว่า “เขาบอก ให้ท่านท�ำอะไร ก็จงท�ำเถิด” ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่หกใบ เพื่อใช้ช�ำระตนตามธรรมเนียมของชาวยิว แต่ละ ใบจุนำ�้ ได้ประมาณหนึง่ ร้อยลิตร พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาผูร้ บั ใช้วา่ “จงตักน�ำ้ ใส่โอ่งให้เต็ม” เขาก็ตกั น�ำ้ ใส่จนเต็มถึงขอบ แล้วพระองค์ทรงสั่งเขาอีกว่า “จงตักไปให้ผู้จัดงานเลี้ยงเถิด” เขาก็ตักไปให้ ผู้จัดงาน เลี้ยงได้ชิมน�้ำที่เปลี่ยนเป็นเหล้าองุ่นแล้ว ไม่รู้ว่าเหล้านี้มาจากไหน แต่ผู้รับใช้ที่ตักน�้ำรู้ดี ผู้จัดงานเลี้ยงจึง เรียกเจ้าบ่าวมา พูดว่า “ใครๆ เขาน�ำเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อบรรดาแขกดื่มมากแล้ว จึงน�ำเหล้า องุ่นอย่างรองมาให้ แต่ท่านเก็บเหล้าอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้” พระเยซูเจ้าทรงกระท�ำเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งแรกนี้ที่หมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี พระองค์ทรง แสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ และบรรดาศิษย์เชื่อในพระองค์ หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปเมือง คาเปอรนาอุมพร้อมกับพระมารดา ญาติพี่น้องและบรรดาศิษย์ ทุกคนพ�ำนักอยู่ที่นั่นเพียงสองสามวัน
พระวรสารวันนี้ ชี้ให้เราเห็นถึงบทบาทของแม่พระในชีวิตของเรา พระมารดามารีย์กับพระเยซู เจ้าเสด็จไปร่วมในงานมงคลสมรส เหล้าองุน่ เป็นเครือ่ งดืม่ ทีใ่ ช้ในการกินเลีย้ ง ชาวยิวมิได้ถอื ว่าเป็นเหล้า อันทีจ่ ริง เป็นเหล้าองุ่นที่มีดีกรีต�่ำ แต่เมื่อเหล้าองุ่นหมดไป เจ้าภาพก็หน้าแตก พระมารดามารีย์ทรงเห็นสิ่งเหล่านี้จึงไปทูล พระองค์วา่ “เขาไม่มเี หล้าองุน่ แล้ว” ค�ำตอบของพระเยซูเจ้าดูเหมือนว่าพระองค์ไม่สนพระทัยนัก และทีพ่ ระองค์ ตรัสว่า “เวลาของลูกยังมาไม่ถึง” แต่พระองค์ก็ได้ท�ำอัศจรรย์หลังจากที่พระมารดาตรัสกับพระองค์ ทั้งนี้ เราพอจะเห็นได้ว่า พระองค์จะตอบสนองข้อเสนอของพระมารดา ดังนั้น ให้เรากราบทูลพระองค์ โดยผ่านทางพระนาง เราก็มั่นใจได้ว่าพระองค์จะยินดีรับฟังเรา เพราะพระนางได้ชื่อว่าเป็น “พระมารดา นิจจานุเคราะห์”
บทอ่านที่ 1
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา สดด 50:8-9,16-18, 21,23 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร
1 ซมอ 15:16-23
ในครั้งนั้น ซามูเอลทูลตอบซาอูลว่า “พอแล้ว อย่าตรัสอะไรอีก ข้าพเจ้าจะทูลให้ ทรงทราบว่า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสอะไรกับข้าพเจ้าเมือ่ คืนทีแ่ ล้ว” กษัตริยซ์ าอูลตรัสว่า “บอกมาเถิด” ซามูเอลทูลตอบว่า “แม้พระองค์จะทรงคิดว่าไม่ทรงเป็นคนส�ำคัญอะไร แต่พระองค์ก็ทรงเป็นหัวหน้าของเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิม พระองค์ให้เป็นกษัตริยข์ องอิสราเอล องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส่งพระองค์ไปปฏิบตั ภิ ารกิจ ตรัสว่า ‘จงไปท�ำลายล้างชาวอามาเลขคนบาปเหล่านั้นให้หมดสิ้นเถิด จงสู้รบกับเขา จนกว่าจะท�ำลายเขาให้หมด’ ท�ำไมพระองค์จึงไม่ทรงเชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้ เป็นเจ้า ท�ำไมพระองค์จงึ ทรงเข้าไปไขว่คว้าสิง่ ของทีย่ ดึ มาได้ และทรงท�ำสิง่ ชัว่ ร้ายเฉพาะ พระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” กษัตริย์ซาอูลทรงตอบซามูเอลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อฟังพระ บัญชาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแล้ว และออกไปปฏิบตั ภิ ารกิจทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงบัญชา ข้าพเจ้าน�ำอากัก กษัตริยข์ องชาวอามาเลขมา และท�ำลายล้างชาวอามาเลขจนหมดสิน้ แต่ ประชากรเก็บแพะแกะ และโคตัวดีที่สุดที่ยึดมาได้และจะต้องถูกฆ่าท�ำลายเสียนั้น น�ำ มาทีเ่ มืองกิลกาลเพือ่ ถวายเป็นบูชาแด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน” ซามูเอลก็วา่ องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ เท่ากับที่พอ พระทัยให้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ฟังเถิด การเชื่อฟังย่อมดีกว่าการถวาย บูชา การอ่อนน้อมย่อมดีกว่าไขมันแกะ การใช้เวทมนตร์คาถาเป็นบาปเหมือนการกบฏ การไม่ยอมเชื่อฟังเป็นความผิดเหมือนการกราบไหว้รูปปฏิมา เพราะพระองค์ทรงละทิ้งไม่ยอมปฏิบัติตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์ พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงละทิ้งไม่ให้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ด้วย”
มก 2:18-22
เวลานัน้ บรรดาศิษย์ของยอห์นและชาวฟาริสกี ำ� ลังจ�ำศีลอดอาหาร มีผทู้ ลู ถามพระเยซูเจ้าว่า “ท�ำไมศิษย์ ของยอห์นและศิษย์ของชาวฟาริสีจ�ำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จ�ำศีล” พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้รับเชิญ มาในงานแต่งงานจะจ�ำศีลอดอาหารได้หรือขณะทีเ่ จ้าบ่าวยังอยูก่ บั เขา ตราบใดทีเ่ จ้าบ่าวยังอยูด่ ว้ ย เขาย่อมไม่ จ�ำศีลอดอาหาร แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกพรากไป ในวันนั้น เขาจะจ�ำศีลอดอาหาร ไม่มีใครน�ำผ้าใหม่ไป ปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่น�ำมาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัวมากกว่า ท�ำให้เป็นรอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มีใครใส่ เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าจะท�ำให้ถุงหนังขาด ทั้งเหล้า และถุงก็จะเสียไป แต่ต้องใส่เหล้า ใหม่ลงในถุงหนังใหม่” พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสเกีย่ วกับพระองค์เองว่า “แต่จะมีวนั หนึง่ ทีเ่ จ้าบ่าวจะถูกพรากไป ใน วันนัน้ เขาจะจ�ำศีลอดอาหาร” แน่นอนทัง้ หมดจะมีความหมายถึงการจากไปของพระองค์ดว้ ยการสิน้ พระชนม์ เราก็จะ ต้องหาสิ่งที่มีคุณค่ามาก กล่าวคือความใกล้ชิด เราจะต้องใช้จนถึงวันสิ้นพิภพ เพื่อเราจะสามารถสัมผัสพระองค์ ผู้ทรง ประทับอยู่ในศีลมหาสนิทตลอดไป นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนเขียนไว้ในบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ของท่านว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ที่ข้าพเจ้ารักมากที่สุด พระองค์ทรงซ่อนพระองค์ที่ไหน ปล่อยให้ลูกเจ็บปวดอยู่คนเดียว ลูกวิ่ง ตามพระองค์ไป แต่พระองค์หายไปจากลูก”
บทอ่านที่ 1
1 ซมอ 16:1-13
พระวรสาร
มก 2:23-28
ในครัง้ นัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสแก่ซามูเอลว่า “ท่านจะเป็นทุกข์ใจถึงซาอูลต่อไป อีกนานเท่าใด บัดนี้เราละทิ้งเขาไม่ยอมให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลอีกแล้ว จงเอา น�้ำมันมะกอกเทศบรรจุใส่ขวดเขาสัตว์จนเต็ม และออกเดินทาง เราส่งท่านไปที่เมือง เบธเลเฮม ไปหาเจสซี เพราะเราเลือกบุตรคนหนึง่ ของเขาเป็นกษัตริย”์ ซามูเอลทูลถาม ว่า “ข้าพเจ้าจะไปได้อย่างไร ถ้ากษัตริย์ซาอูลทรงทราบเรื่อง ก็จะทรงฆ่าข้าพเจ้า” องค์ พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงเอาลูกโคเพศเมียตัวหนึ่งไปด้วย แล้วจงบอกว่า ‘ข้าพเจ้ามา สัปดาห์ที่ 2 ถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า’ ท่านจะเชิญเจสซีมาร่วมถวายบูชาด้วย แล้วเรา เทศกาลธรรมดา จะบอกท่านว่าจะต้องท�ำอะไร ท่านจะต้องเจิมผู้ที่เราจะบอกนั้นให้เป็นกษัตริย์” สดด 89:19-20,21, ซามูเอลก็ทำ� ตามพระบัญชาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า... เมือ่ เจสซีกบั บุตรมาถึง ซามูเอล 26-27 เห็นเอลีอับ ก็คิดว่า “ผู้ที่อยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้นี้คือผู้ที่จะต้องรับ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เจิม” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “อย่าสนใจมองแต่รูปร่างหน้าตา หรือ ความสูงของเขา เพราะเราไม่เลือกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงมองอย่างมนุษย์มอง มนุษย์มองแต่รปู ร่างภายนอก แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงมองจิตใจ”... ซามูเอลถามเจสซี ว่า “บุตรชายของท่านมาหมดแล้วหรือ” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง แต่ ขณะนี้เขาก�ำลังเลี้ยงแกะอยู่” ซามูเอลสั่งเจสซีว่า “จงส่งคนไปตามเขามาเถิด เราจะไม่ นั่งกินอาหารจนกว่าเขาจะมา” เจสซีจึงส่งคนไปตามมา เด็กหนุ่มนั้นมีผมแดง ดวงตา งดงาม และรูปร่างดี องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงลุกขึ้น เจิมเขาเถอะ เป็นคนนี้แหละ” ซามูเอลก็เอาขวด เขาสัตว์ทบี่ รรจุนำ�้ มันมะกอกเทศมาเจิมดาวิดต่อหน้าบรรดาพีช่ าย พระจิตขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าสถิตกับดาวิด ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ส่วนซามูเอลก็ออกเดินทางกลับไปที่เมืองรามาห์ วันสับบาโตวันหนึง่ พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์ทเี่ ดินทางอยูด่ ว้ ยเด็ดรวงข้าว ชาวฟาริสี ทูลถามพระองค์ว่า “ท�ำไมศิษย์ของท่านท�ำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่าน พระคัมภีร์หรือว่า กษัตริย์ดาวิดทรงท�ำสิ่งใดในยามที่มีความจ�ำเป็นและความหิวโหยทั้งพระองค์และผู้ติดตาม พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าเมื่ออาบียาธาร์เป็นมหาสมณะ เสวยขนมปังที่ตั้งถวาย ซึ่งใครจะ กินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น พระองค์ยังทรงให้ผู้ติดตามกินอีกด้วย” แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า “วันสับบาโตมีไว้เพือ่ มนุษย์ มิใช่มนุษย์มไี ว้เพือ่ วันสับบาโต ดังนัน้ บุตรแห่ง มนุษย์จึงเป็นนายเหนือแม้กระทั่งวันสับบาโตด้วย” ในบทอ่านจากหนังสือประกาศกซามูเอล เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงมอบให้ทา่ นท�ำหน้าทีไ่ ปเลือกผูท้ ตี่ อ้ ง ท�ำหน้าที่ผู้ปกครองชาวยิว ในการนี้ ผู้ที่ได้รับเลือกคือดาวิด ท่านได้เจิมน�้ำมันให้ดาวิด บุตรชายคนสุดท้องของเจสซี มนุษย์เราบางคนก็ตรงไปตรงมาในการปฏิบัติหน้าที่และการด�ำเนินชีวิต แต่บางคนก็หละหลวมและพยายามหา ข้อยกเว้นในการปฏิบัติตามภาระหน้าที่ของเขา พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงสอนให้เรารู้ว่า เราควรปฏิบัติตัวอย่างไรในเรื่องนี้ ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายในชีวิต คริสตชนของเรา พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นว่า ในขอบเขตอันตรายในชีวติ ของเรา โดยทรงประทานหลักเกณฑ์ใน การตัดสินที่เรียบง่ายและชัดเจน “วันสับบาโตมีไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์มีไว้เพื่อวันสับบาโต”
บทอ่านที่ 1
น.เฟเบียน พระสันตะปาปา และมรณสักขี น.เซบัสเตียน มรณสักขี สดด 144:1-2,9-11ก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร
1 ซมอ 17:32-33,37,40-51
ในครัง้ นัน้ ดาวิดทูลกษัตริยซ์ าอูลว่า “อย่าให้ใครหมดก�ำลังใจเพราะชาวฟีลสิ เตียผูน้ ี้ ผูร้ บั ใช้ของพระองค์จะไปต่อสูก้ บั เขาเอง...องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าผูท้ รงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น จากเล็บของสิงโตและหมีมาแล้ว จะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พน้ จากมือของชาวฟีลสิ เตียผูน้ ี้ ด้วย” ซาอูลตรัสตอบดาวิดว่า “ไปเถิด ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าสถิตกับเจ้า” ดาวิดหยิบไม้เท้ามาถือไว้ แล้วเก็บก้อนหินเกลีย้ งห้าก้อนจากท้องห้วยใส่ยา่ มทีผ่ เู้ ลีย้ ง แกะใช้ ถือสลิง เดินเข้าไปหาชาวฟีลสิ เตียคนนัน้ ... เมือ่ ชาวฟีลสิ เตียมองดูดาวิดเห็นถนัด แล้ว ก็นกึ ดูถกู เพราะดาวิดเป็นเพียงเด็กหนุม่ ผมแดงมีรปู ร่างหน้าตาดี ชาวฟีลสิ เตียตะโกน ถามดาวิดว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นสุนขั หรือจึงถือไม้เท้าเข้ามาหา” ชาวฟีลสิ เตียออกนามเทพเจ้า ของตนสาปแช่งดาวิด... ดาวิดตอบชาวฟีลสิ เตียว่า “ท่านถือดาบ หอก และแหลนมาสูก้ บั ข้าพเจ้า แต่ขา้ พเจ้ามาสูก้ บั ท่าน เดชะพระนามองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล พระเจ้าแห่ง กองทัพอิสราเอลทีท่ า่ นดูหมิน่ วันนีแ้ หละ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะทรงมอบท่านให้อยูใ่ นมือ ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะฆ่าและตัดศีรษะของท่าน เอาร่างของบรรดาทหารชาวฟีลสิ เตียให้ นกในอากาศและสัตว์ปา่ กิน แล้วทัว่ แผ่นดินจะรูว้ า่ อิสราเอลมีพระเจ้า...” ชาวฟีลสิ เตียเดินตรงเข้ามาหาดาวิดอีก ดาวิดวิง่ ลงสูส่ นามรบ ไปต่อสูช้ าวฟีลสิ เตีย... ดาวิดพิชติ ชาวฟีลสิ เตียโดยใช้สลิงและก้อนหิน เขาปราบและฆ่าชาวฟีลสิ เตียได้ทงั้ ๆ ที่ ตนไม่มดี าบในมือ ดาวิดวิง่ ไปยืนคร่อมร่างชาวฟีลสิ เตียไว้ เขาชักดาบของชาวฟีลสิ เตียอ อกจากฝัก ฆ่าเขา และตัดศีรษะออกจากร่าง เมือ่ บรรดาชาวฟีลสิ เตียเห็นว่านักรบของตน ตายแล้ว ต่างก็ออกวิง่ หนีไป
มก 3:1-6
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมอีกครัง้ หนึง่ ทีน่ นั่ มีชายมือลีบคนหนึง่ ประชาชนบางคนคอย จ้องมองดูว่า พระองค์จะทรงรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ พระองค์ ตรัสสัง่ ชายมือลีบว่า “ลุกขึน้ มายืนตรงกลางนีซ่ ”ิ แล้วตรัสถามคนทัง้ หลายว่า “ในวันสับบาโตนัน้ ควรท�ำความ ดีหรือความชั่ว ควรจะช่วยชีวิตหรือปล่อยให้ตายไป” คนเหล่านั้นก็นิ่งอยู่ พระองค์จึงทอดพระเนตรเขาเหล่า นั้นด้วยความกริ้ว เศร้าพระทัยเพราะจิตใจแข็งกระด้างของเขา แล้วตรัสสั่งชายมือลีบว่า “จงเหยียดมือซิ” เขาก็เหยียดมือ มือนั้นก็หายลีบเป็นปกติ ชาวฟาริสีจึงออกไป และประชุมกับผู้นิยมกษัตริย์เฮโรดทันทีเพื่อ ปรึกษาว่าจะก�ำจัดพระองค์ได้อย่างไร
พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติตามกฎของวันสับบาโตอย่างมีเหตุผล พร้อมทรงต�ำหนิความใจแคบของพวก ฟาริสี พระเยซูเจ้าทรงต�ำหนิพวกฟาริสีที่มีใจแคบ ในความเข้าใจค�ำว่า “ท�ำงาน” ชาวฟาริสีโจมตีพระองค์เมื่อทรง รักษาคนเจ็บป่วยในวันสับบาโต เพื่อทรงเน้นค�ำสอนในเรื่องนี้ พระเยซูเจ้าทรงท�ำการรักษาในวันสับบาโตต่อไป ในพระวรสารทั้งสี่ เราจะได้พบ กับเรื่องการรักษาคนป่วยในวันสับบาโตถึง 7 ครั้งด้วยกัน พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า กฎข้อห้ามท�ำงานในวันสับบาโตเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ การตัดสินใจของมนุษย์ ที่จะตัดสินว่าเมื่อไร พระเยซูเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์ได้รับประโยชน์จากวันสับบาโต แต่มิใช่เป็นทาสของ วันสับบาโต
บทอ่านที่ 1
1 ซมอ 18:6-9;19:1-7
พระวรสาร
มก 3:7-12
ในครั้งนั้น เมื่อบรรดาทหารกลับไปบ้านหลังจากที่ดาวิดฆ่าชาวฟีลิสเตียผู้นั้นแล้ว บรรดาสตรีได้ออกจากทุกเมืองของอิสราเอลมารับเสด็จกษัตริย์ซาอูล เขาร้องเพลงเริง ระบ�ำ เล่นร�ำมะนา ส่งเสียงร้องด้วยความยินดีและเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆ บรรดาสตรีพา กันเต้นร�ำและขับร้องรับกันว่า “ซาอูลฆ่าศัตรูเป็นพัน ดาวิดฆ่าศัตรูเป็นหมื่น” กษัตริยซ์ าอูลทรงได้ยนิ บทเพลงนีก้ ไ็ ม่พอพระทัย กริว้ มาก... กษัตริยซ์ าอูลทรงแจ้ง ระลึกถึง ให้โยนาธานพระโอรส และข้าราชบริพารทุกคนรู้ว่าพระองค์ตั้งพระทัยจะฆ่าดาวิด แต่ น.อักแนส โยนาธานพระโอรสของกษัตริย์ซาอูลทรงรักดาวิดมาก โยนาธานจึงทรงน�ำข่าวไปบอก พรหมจารี มรณสักขี ดาวิดว่า “ซาอูลพระบิดาทรงพยายามจะฆ่าท่าน พรุ่งนี้เช้าจงระวังตัวให้ดี จงไปซ่อนให้ สดด 56:1-3,8-9, ลับตาและคอยอยูท่ นี่ นั่ ฉันจะพาพระบิดาออกไปยืนในทุง่ ทีท่ า่ นซ่อนอยู่ แล้วฉันจะถาม 11,12-13 พระบิดาเรื่องท่าน เมื่อฉันรู้อะไรแล้ว ก็จะบอกให้ท่านรู้” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 โยนาธานตรัสยกย่องดาวิดให้ซาอูลพระบิดาฟังว่า “ขอกษัตริยอ์ ย่าท�ำร้ายดาวิดผูร้ บั ใช้ของพระองค์เลย เขาไม่เคยท�ำผิดอย่างใดต่อพระองค์ ตรงกันข้ามเขากลับท�ำทุกอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อพระองค์อย่างมาก... พระบิดาทรงเห็น ก็ยังทรงยินดี แล้วพระองค์ จะยังทรงท�ำผิดต่อโลหิตของผู้บริสุทธิ์ ฆ่าดาวิดโดยไม่มีเหตุผลอีกหรือ” กษัตริย์ซาอูล ทรงฟังโยนาธานพูดแล้วทรงสาบานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนมชีพอยู่ฉันใด เราจะไม่ฆ่าดาวิดฉันนั้น” โยนาธานจึงทรงเรียกดาวิด มาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วทรงพาดาวิดไปเฝ้าซาอูล ดาวิดก็รับราชการตามเดิม เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปยังทะเลสาบกับบรรดาศิษย์ ผู้คนหมู่ใหญ่จากแคว้นกาลิลีติดตาม พระองค์ ผู้คนจากแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากแคว้นอิดูเมอา จากอีกฟากหนึ่งของแม่น�้ำจอร์แดน และจากบริเวณเมืองไทระและไซดอนเป็นหมู่ใหญ่ ได้ยินสิ่งที่ทรงกระท�ำก็มาเฝ้าพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัส สั่งบรรดาศิษย์ให้จัดเรือไว้ล�ำหนึ่ง เพื่อประชาชนจะได้ไม่เบียดเสียดพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักษาผู้ป่วย จ�ำนวนมาก จนบรรดาผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆ เบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อสัมผัสพระองค์ เมื่อปีศาจทั้งหลายเห็น พระองค์ ก็กราบลง พลางตะโกนว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงก�ำชับอย่างแข็งขันมิให้ มันแพร่งพรายว่าพระองค์เป็นใคร คนส่วนมากต้องการได้รับความนิยมชมชอบ เราอยากให้ผู้อื่นเห็นคุณค่าของเรา แต่สิ่งที่เราต้อง ระมัดระวังก็คือ การแสวงหาความนิยมชมชอบเท่านั้น เราเพียงอยากได้ แต่เราไม่สนใจที่จะท�ำตัวของเราเองให้เป็นผู้ ที่เหมาะสมจะได้รับความนิยมชมชอบเหล่านี้ เราจะเห็นในพระวรสารวันนี้ ครั้งหนึ่งพระเยซูเจ้าทรงเป็นที่นิยมชมชอบ มีประชาชนจากใกล้และไกล จากทั่วทุก ทิศเข้ามาหาพระองค์ พระองค์ชื่นชมในความนิยมนี้หรือเปล่า? พระวรสารมิได้ให้ค�ำตอบแก่เรา แต่พระวรสารแสดง ให้เราเห็นว่า พระองค์ทรงระวังพระองค์เอง ในอันที่จะประกาศหรือกระท�ำสิ่งที่ไม่เป็นที่นิยม เช่นเมื่อพระองค์ทรง ประกาศว่า จงให้เงินทองของจักรพรรดิ์แก่พระจักรพรรดิ์ พระองค์ทรงประกาศว่า เราต้องรักศัตรู หรือการท�ำนายว่า มหาวิหารจะถูกท�ำลายในอนาคต ในเรื่องนี้ก็เช่นกันพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างให้แก่เรา การเป็นผู้ที่ได้รับความนิยม ชมชอบด้วยก็ได้ แต่ความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าต้องดีกว่าแน่ๆ
บทอ่านที่ 1
1 ซมอ 24:2-21
เมื่อกษัตริย์ซาอูลเสด็จกลับจากการรบกับชาวฟีลิสเตีย ก็ทรงทราบว่าดาวิดอยู่ใน ถิ่นทุรกันดารใกล้เอนเกดี กษัตริย์ซาอูลทรงเลือกทหารฝีมือเยี่ยมสามพันคนจากทั่ว อิสราเอล เสด็จไปค้นหาดาวิดและพรรคพวกทางด้านตะวันออกของหินแพะป่า พระองค์ เสด็จมาถึงคอกแกะริมทาง ที่นั่นมีถ�้ำแห่งหนึ่ง จึงเสด็จเข้าไปเพื่อทรงบังคนหนัก ดาวิด กับพรรคพวกแอบอยูล่ กึ ในถ�ำ้ เดียวกันนัน้ พรรคพวกจึงกล่าวแก่ดาวิดว่า “นีเ่ ป็นโอกาส ของท่านแล้ว องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสแก่ทา่ นว่า ‘เราจะมอบศัตรูไว้ในมือของท่าน ท่านจะ น.วินเซนต์ ท�ำกับเขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ’” ดาวิดจึงลุกขึน้ เข้าไปลอบตัดชายเสือ้ คลุมของซาอูล สังฆานุกร แต่แล้วดาวิดก็รู้สึกไม่สบายใจที่ไปตัดชายเสื้อคลุมของซาอูล... และมรณสักขี กษัตริย์ซาอูลเสด็จออกจากถ�้ำและทรงพระด�ำเนินต่อไป ดาวิดก็ออกจากถ�้ำตาม สดด 57:1-8,3,5,10 มาและทูลเรียกกษัตริย์ซาอูลว่า “ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพเจ้า...ท�ำไมพระองค์ จึงทรงเชื่อฟังผู้ที่ใส่ความว่าข้าพเจ้าจะท�ำร้ายพระองค์ พระองค์ทรงเห็นกับตาในวันนี้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 แล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพระองค์ไว้ในมือของข้าพเจ้าในถ�้ำ มีคนยุให้ข้าพเจ้า ฆ่าพระองค์ แต่ขา้ พเจ้าไว้ชวี ติ พระองค์...ขอให้องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงพิสจู น์ความบริสทุ ธิ์ ของข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้าจะไม่ท�ำร้ายพระองค์เป็นอันขาด... ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง ป้องกันข้าพเจ้าจากพระหัตถ์ของพระองค์เถิด” เมื่อดาวิดกล่าวถ้อยค�ำเหล่านี้จบแล้ว กษัตริย์ซาอูลตรัสว่า “ดาวิดลูกเอ๋ย นั่นเป็นเสียงของเจ้าหรือ” กษัตริย์ซาอูลทรงกันแสงเสียงดัง แล้วตรัสแก่ดาวิดต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ชอบธรรมมากกว่าเรา... ขอองค์พระ ผู้เป็นเจ้าทรงตอบแทนความดีที่เจ้าได้ท�ำกับเราในวันนี้เถิด...”
พระวรสาร
มก 3:13-19
เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปบนภูเขา ทรงเรียกผู้ที่พระองค์ทรงต้องการให้มาพบ เขาเหล่านั้นก็มา เฝ้าพระองค์ พระองค์จงึ ทรงแต่งตัง้ อัครสาวกสิบสองคนให้อยูก่ บั พระองค์ และเพือ่ จะทรงส่งเขาออกไปเทศน์ สอน โดยให้มีอ�ำนาจขับไล่ปีศาจด้วย อัครสาวกสิบสองคนที่ทรงแต่งตั้ง คือ ซีโมน พระองค์ทรงตั้งชื่อใหม่ให้ เขาว่า “เปโตร” ยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์น น้องชายของยากอบ พระองค์ทรงตั้งชื่อให้สองพี่น้องนี้ว่า “โบอาแนรเกส” ซึ่งแปลว่า “ลูกฟ้าร้อง” อันดรูว์ ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โทมัส ยากอบบุตรของอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ได้ทรยศต่อพระองค์ พวกสาวกทัง้ 12 องค์ทพี่ ระเยซูเจ้าทรงเรียกให้อยูใ่ กล้ชดิ กับพระองค์ นับว่าเป็นช่วงเวลาทีส่ ำ� คัญมาก ความใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสเรียกของอัครสาวกสิบสองท่านแรก เหตุว่าต่อมาพวกท่านจะต้อง ด�ำเนินชีวิตโดยไม่มีพระองค์ การแยกตัวจากพระเยซูเจ้าเพื่อเผยแพร่พระวรสารในแถบปาเลสไตน์ และต่อมาหลังจาก ทีพ่ ระองค์สนิ้ พระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพ ในทีส่ ดุ พวกเขาก็ตอ้ งแยกจากพระองค์อย่างถาวร เมือ่ พระเยซูเจ้า เสด็จขึ้นสวรรค์ ในช่วงทีพ่ วกท่านอยูก่ บั พระเยซูเจ้าเป็นการปลูกความรักต่อพระองค์ลงในจิตใจของพวกเขา พร้อมกับความร้อนรน ในการประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า และหลังจากที่พวกท่านได้รับพระจิตเจ้าแล้ว พวกท่านก็ต้องไปประกาศ ข่าวดีแห่งพระอาณาจักรสวรรค์ต่อไป ชีวิตของเราในฐานะคริสตชนก็ควรจะมีทั้งสองแง่มุมนี้ กล่าวคือความใกล้ชิดกับพระคริสตเจ้า และการเผยแพร่ พระอาณาจักรของพระเจ้าแก่คนทั่วไปตามแบบฉบับของบรรดาอัครสาวกของพระเยซูเจ้า
บทอ่านที่ 1
2 ซมอ 1:1-4,11-12,17,19,23-27
หลังจากกษัตริย์ซาอูลสิ้นพระชนม์ ดาวิดรบชนะชาวอามาเลข แล้วกลับมาอยู่ที่ เมืองศิกลากได้สองวัน วันที่สาม ชายคนหนึ่งจากค่ายของกษัตริย์ซาอูลมาถึง เขาฉีก เสื้อผ้าเอาฝุ่นดินโรยศีรษะเป็นการไว้ทุกข์ เข้ามากราบลงกับพื้นดินแสดงคารวะต่อหน้า ดาวิด ดาวิดถามเขาว่า “ท่านมาจากไหน” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าหนีมาจากค่ายอิสราเอล” ดาวิดถามต่อไปว่า “จงเล่าซิว่าเกิดอะไรขึ้น” เขาตอบว่า “ทหารอิสราเอลต้องหนีจาก สนามรบ หลายคนถูกฆ่า กษัตริย์ซาอูลและโยนาธานพระโอรสก็สิ้นพระชนม์ด้วย” ดาวิดจึงฉีกเสื้อผ้าของตนแสดงการไว้ทุกข์ ทุกคนที่อยู่กับเขาก็ท�าเช่นเดียวกัน ทุกคนร�่าไห้ ไม่ยอมกินอะไรเลยจนถึงเวลาเย็นเป็นการไว้ทุกข์ให้กษัตริย์ซาอูลและ โยนาธานพระโอรส ไว้ทุกข์ให้ประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและชาวอิสราเอลที่ถูก ฆ่าในสมรภูมิ ดาวิดคร�่าครวญถึงกษัตริย์ซาอูลและโยนาธาน พระโอรสด้วยเพลงบทนี้ อิสราเอลเอ๋ย เกียรติยศของท่านถูกฆ่าบนเนินเขาของท่าน บรรดาวีรบุรุษล้มได้ อย่างไร ซาอูลและโยนาธานที่รักและสุดเสน่หาไม่พรากจากกันทั้งในชีวิตและในความ ตาย ทั้งสองคนคล่องแคล่วมากกว่านกอินทรี แข็งแรงมากกว่าสิงโต บรรดาบุตรหญิง แห่งอิสราเอลเอ๋ย จงร�่าไห้ถึงกษัตริย์ซาอูลเถิด พระองค์ประทานเสื้อผ้าสีแดงเข้มและ ผ้าเนือ้ ละเอียดให้เธอทัง้ หลายสวม ทรงประดับเสือ้ ผ้าของเธอด้วยเครือ่ งประดับทองค�า บรรดาวีรบุรุษล้มระหว่างรบได้อย่างไร โยนาธานเอ๋ย ข้าพเจ้าเป็นทุกข์อย่างยิ่งเมื่อท่าน สิ้นชีวิต โยนาธานพี่ที่รัก ข้าพเจ้าโศกเศร้าถึงท่าน ท่านเป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้า ความ รักของท่านต่อข้าพเจ้าประเสริฐกว่าความรักของหญิงใดๆ บรรดาวีรบุรุษล้มได้อย่างไร ศัสตราวุธทั้งหลายถูกท�าลายได้อย่างไร
พระวรสาร
มก 3:20-21
เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ประชาชนมาชุมนุมกันอีกจน พระองค์ไม่อาจเสวย และบรรดาศิษย์ก็ไม่อาจกินอาหารได้ เมื่อพระประยูรญาติของ พระองค์ได้ยินเช่นนี้ ก็ออกไปควบคุมพระองค์ไว้ เพราะคิดว่าทรงเสียพระสติ
ในพระวรสารวันนี้ เราพบว่าญาติพ่ีน้องของพระเยซูเจ้าคิดว่าพระองค์เป็น คนบ้า มันเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ พระเยซูเจ้ามิใช่ทรงเป็นแต่ผู้ที่ดีสุดเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรง เป็นบุคคลที่เราเองก็คิดไม่ถึง ทรงไร้ซึ่งบาปหรือมลทินใด พระคุณความดีของพระเยซูเจ้านั้น ส�าหรับพวกเขาเป็นสิ่งดีที่ไม่น่าเชื่อ เมื่อพวกเขาไม่กระท�าความดี พระองค์ตัดสินว่าพวกเขา เป็นคนซื่อ ไม่ฉลาดพอที่จะเป็นศิษย์ของพระองค์ หากเราเคยอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ในแวดวงเดียวกันปีแล้วปีเล่า เราจะปฏิบัติอย่างไรต่อ พระองค์ เราจะคิดอย่างไรต่อความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา สดด 80:1-2,4-6 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2
บทอ่านจากหนังสือเนหะมีย์
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3
นหม 8:2-4ก,5-6,8-10
วันทีห่ นึง่ เดือนเจ็ด เอสราสมณะน�าธรรมบัญญัตอิ อกมาต่อหน้าชุมชนทัง้ ชายหญิง และเด็กทีม่ วี ยั พอจะฟังเข้าใจได้... เอสรายืนอยูส่ งู กว่าประชากรทัง้ ปวง ทุกคนจึงเห็นเขา ได้ เมื่อเขาเปิดหนังสือ ประชากรทุกคนก็ยืนขึ้น เอสราถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็น เจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ประชากรทั้งปวงก็ชูมือขึ้นพูดว่า “อาเมน อาเมน” และก้มลงหน้า จรดพื้นนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาทั้งหลายแปลข้อความจากหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆ และ อธิบายความหมายให้ประชากรเข้าใจ ประชากรทุกคนที่ฟังถ้อยค�าของธรรมบัญญัติก็ ร้องไห้ เนหะมีย์ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการ เอสราซึ่งเป็นสมณะและธรรมาจารย์ และชนเลวี ผู้สอนประชากรจึงพูดกับประชากรทั้งปวงว่า “วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้ เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน อย่าเป็นทุกข์โศกเศร้าหรือร�า่ ไห้เลย จงกลับไปบ้าน เลีย้ งอาหาร เลิศรส ดืม่ เหล้าองุน่ อย่างดี และแบ่งปันอาหารให้คนทีไ่ ม่มี เพราะวันนีเ้ ป็นวันศักดิส์ ทิ ธิ์ ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อย่าเศร้าใจเลย เพราะความยินดีจากองค์พระผู้เป็น เจ้าเป็นพละก�าลังของท่าน”
เพลงสดุดี
สดด 19:7-10,14
ก) ธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าสมบูรณ์ทุกประการ ให้ความชื่นบานแก่จิตวิญญาณ กฤษฎีกาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มั่นคง ให้ปรีชาญาณแก่ผู้ด้อยปัญญา ข้อบังคับขององค์พระผู้เป็นเจ้าสุจริต ท�าให้ดวงจิตปีติยินดี
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 12:12-30
พี่น้อง แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียว แต่ก็มีอวัยวะหลายส่วน อวัยวะต่างๆ เหล่า นี้แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วมเป็นร่างกายเดียวกันฉันใด พระคริสตเจ้าก็ฉันนั้น เดชะพระ จิตเจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะ เป็นชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นไทยก็ตาม เราทุกคนต่างได้รับพระ จิตเจ้าพระองค์เดียวกัน ร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะส่วนเดียว แต่มีอวัยวะหลาย ส่วน ถ้าเท้าจะพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่มือ จึงไม่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย” แต่เท้าไม่ได้ เป็นอวัยวะของร่างกายน้อยกว่าอวัยวะส่วนอื่น เพราะเป็นเพียงเท้า หรือถ้าหูจะพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ดวงตา จึงไม่ใช่สว่ นหนึง่ ของร่างกาย” แต่กไ็ ม่ได้ทา� ให้หไู ม่เป็นอวัยวะของ ร่างกายเลย ถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นดวงตา แล้วจะได้ยินได้อย่างไร ถ้าร่างกายทั้งหมด เป็นหู แล้วจะได้กลิ่นได้อย่างไร โดยแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงจัดอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้อยูใ่ นทีท่ ที่ รงพระประสงค์ ถ้าร่างกายทุกส่วนเป็นอวัยวะเดียวแล้ว ร่างกายจะอยูท่ ไี่ หน เท่าทีเ่ ป็นอยู่ มีอวัยวะหลาย ส่วน แต่มีร่างกายเดียว ดวงตาพูดกับมือไม่ได้ว่า “เราไม่ต้องการเจ้า” และศีรษะก็พูด กับเท้าไม่ได้ว่า “เราไม่ต้องการเจ้า”
ตรงกันข้าม ส่วนทีเ่ ราคิดว่าเป็นอวัยวะทีอ่ อ่ นแอของร่างกายกลับเป็นอวัยวะทีจ่ ำ� เป็นมากกว่า อวัยวะ ส่วนที่เราคิดว่าไม่มีเกียรติในร่างกาย เรากลับทะนุถนอมด้วยความเคารพเป็นพิเศษ และอวัยวะที่น่า อับอายของเรากลับได้รับการตกแต่งให้งดงามมากกว่าส่วนอื่น อวัยวะที่น่าดูอยู่แล้วไม่ต้องการตกแต่ง อะไรอีก พระเจ้าทรงประกอบร่างกายขึ้น โดยให้เกียรติแก่อวัยวะที่ไม่มีเกียรติมากกว่าอวัยวะอื่นๆ เพื่อ ร่างกายจะได้ไม่มีการแตกแยกใดๆ ตรงกันข้าม อวัยวะแต่ละส่วนจะเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ถ้าอวัยวะ หนึ่งเป็นทุกข์ อวัยวะอื่นๆ ทุกส่วนก็ร่วมเป็นทุกข์ด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะอื่นๆ ทุกส่วน ก็ร่วมยินดีด้วยเช่นเดียวกัน ท่านทั้งหลายเป็นพระกายของพระคริสตเจ้า แต่ละคนต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น...
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา
ลก 1:1-4 และ 4:14-21
ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพยิ่ง คนจ�ำนวนมากได้เรียบเรียงเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเรา ผู้ที่เป็นพยานรู้เห็นและประกาศพระวาจามาตั้งแต่แรกได้ถ่ายทอดเหตุการณ์เหล่านี้ให้เรารู้แล้ว ข้าพเจ้า จึงตกลงใจค้นคว้าเรือ่ งราวทัง้ หมดตัง้ แต่ตน้ อย่างละเอียด แล้วเรียบเรียงตามล�ำดับเหตุการณ์อกี ครัง้ หนึง่ ส�ำหรับท่านด้วย ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าค�ำสอนที่ท่านรับมานั้นเป็นความจริง พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปแคว้นกาลิลีพร้อมด้วยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า กิตติศัพท์ของพระองค์ เลือ่ งลือไปทัว่ แว่นแคว้นนัน้ พระองค์ทรงสอนตามศาลาธรรมของชาวยิวและทุกคนต่างสรรเสริญพระองค์ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ซึง่ เป็นสถานทีท่ พี่ ระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์ เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์ มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศ ข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจ�ำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าทีแ่ ละประทับนัง่ ลง สายตาของทุกคนทีอ่ ยูใ่ นศาลา ธรรมต่างจ้องมองพระองค์ พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหู อยู่นี้เป็นความจริงแล้ว” ประกาศกเอสรา ในบทอ่านแรก และพระเยซูเจ้าในบทอ่านทีส่ าม ทัง้ สองมิใช่เป็นแต่เพียงผูเ้ ทศน์ เกีย่ วกับคุณธรรม แต่ทง้ั สองเป็นผูป้ ระพฤติปฏิบตั ติ ามทีท่ า่ นเทศน์ การเทศน์สอนคุณธรรมกับการปฏิบตั ติ ามทีส่ อน ไม่เหมือนกัน น่าเสียดายที่มีคนจ�ำนวนไม่น้อยที่เทศน์ แต่ไม่ปฏิบัติสิ่งที่ตนเทศน์ นี่คือปัญหาของพวกชาวฟาริสีในสมัยของพระเยซูเจ้า ครั้งหนึ่งพระเยซูเจ้าทรงชี้ให้เห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติ ตนดังกล่าวว่า “พวกเขาเทศน์แต่ไม่ปฏิบัติตาม” (มัทธิว 23:3) ตรงกันข้ามกับพวกฟาริสีก็คือบรรดานักบุญ ส่วนมากมิใช่พระสงฆ์ และพวกท่านไม่เคยเทศน์เกี่ยวกับ คุณธรรม แต่ท่านเจริญชีวิตตามคุณธรรมต่างๆ อย่างเคร่งครัด สิ่งที่ท่านนักบุญกระท�ำเป็นบทเทศน์ที่มีน�้ำหนัก มากที่สุด พระเยซูเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “พระบิดาของท่านประทับอยู่ในสวรรค์ ทรงเห็นความดีเสมอ” และทรงหลั่งพระพรเข้ามาในชีวิตของบรรดานักบุญ และให้ก�ำลังใจแก่พวกท่าน ในอันที่จะเจริญชีวิตที่ใกล้ชิด กับพระองค์ตลอดเวลา
บทอ่านที่ 1
กจ 22:3-16
เวลานั้น เปาโลจึงกล่าวกับประชาชนว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัส ในแคว้นซีลีเซีย แต่เติบโตในเมืองนี้ กามาลิเอลเป็นอาจารย์สอนข้าพเจ้าให้ปฏิบัติตาม ธรรมบัญญัติของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยความกระตือรือร้น อยู่เสมอเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติอยู่ในวันนี้ ผู้ที่ด�ำเนินตามวิถีทางนี้ เคยถูก ข้าพเจ้าเบียดเบียนถึงตาย ข้าพเจ้าจับกุมทัง้ ชายและหญิงจองจ�ำไว้ในคุก ดังทีม่ หาสมณะ และสภาผูอ้ าวุโสทุกคนเป็นพยานยืนยันได้ เพราะเขามอบจดหมายให้ขา้ พเจ้าน�ำไปให้แก่ ฉลองการกลับใจ บรรดาพีน่ อ้ งชาวยิวทีเ่ มืองดามัสกัส ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางเพือ่ ไปจับกุมบรรดาคริสตชน ของนักบุญเปาโล ซึ่งอยู่ที่นั่น น�ำกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อลงโทษ อัครสาวก เวลาประมาณเทีย่ งวัน ขณะทีข่ า้ พเจ้าก�ำลังเดินทางใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ทันใด สดด 117:1-2 นัน้ มีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าล้มลงทีพ่ นื้ ดินและได้ยนิ เสียง พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโล เจ้าเบียดเบียนเราท�ำไม’ ข้าพเจ้าจึงถามว่า ‘พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร’ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธ ซึ่งเจ้าก�ำลังเบียดเบียนอยู่’ คนที่อยู่กับข้าพเจ้าเห็นแสงสว่าง แต่ไม่ได้ยินเสียงคนที่พูดกับข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าถามอีกว่า ‘พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องท�ำอะไร’ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงลุกขึ้น เข้าไปในเมืองดามัสกัส ที่นั่นจะมีคนบอกทุกสิ่งที่พระเจ้า ทรงก�ำหนดให้เจ้าท�ำ’ แสงนั้นสว่างจ้าจนข้าพเจ้ามองไม่เห็นสิ่งใด ผู้ร่วมเดินทางกับข้าพเจ้าจึงจูงมือข้าพเจ้า เข้าไปในเมืองดามัสกัส ชายคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เป็นผู้ย�ำเกรงพระเจ้าและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ เป็นที่เคารพนับถือของชาว ยิวทุกคนซึ่งอยู่ที่นั่น เขามาพบข้าพเจ้า ยืนใกล้ๆ พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล น้องเอ๋ย จงกลับมองเห็นเถิด’ และ ในเวลานั้นเองข้าพเจ้าก็มองเห็นเขา...
พระวรสาร
มก 16:15-18
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงส�ำแดงพระองค์กบั อัครสาวกสิบเอ็ดคน ตรัสกับเขาว่า “ท่านทัง้ หลายจงออกไป ทัว่ โลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทงั้ ปวง ผูท้ เี่ ชือ่ และรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผูท้ ไี่ ม่เชือ่ จะถูกตัดสินลงโทษ ผู้ ที่เชื่อจะท�ำอัศจรรย์เหล่านี้ได้ คือจะขับไล่ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ๆ ได้ จะจับงูได้ และถ้าดื่มยา พิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย” ในบทอ่านแรกแสดงให้เราเห็นว่าพระเยซูเจ้าพระองค์เองทรงติดต่อกับท่านนักบุญเปาโลโดยตรง เมือ่ ท่านเดินทางไปพบกับอานาเนีย ก็ได้รับค�ำแนะน�ำว่าจะต้องท�ำอะไรต่อไป เรื่องการกลับใจของเปาโลนี้ นับว่าพระเจ้า ทรงมีแผนการให้ท่านท�ำงานเพื่อพระศาสนจักร โดยใช้ท่านเป็นเครื่องมือ พระเจ้าทรงมีงานให้เราท�ำ หน้าทีข่ องเราก็คอื พยายามแสวงหาพระประสงค์ของพระองค์ทเี่ ราได้รบั การเผยแสดง ด้วยวิธตี า่ งๆ เราต้องมีความเชือ่ นักบุญเปาโลท�ำการเผยแพร่พระอาณาจักรของพระเจ้าในทีซ่ งึ่ ยังไม่มสี าวกคนใดเข้าไป ถึง จนท่านได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกของคนต่างศาสนา ให้เราท�ำใจเตรียมรับกระแสเรียกส�ำหรับเรา เราจะได้เป็นเครือ่ งมือรับใช้พระองค์ในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า ด้วยวิธีต่างๆ สุดแล้วแต่พระองค์
บทอ่านที่ 1
2 ทธ 1:1-8
จากเปาโล อัครสาวกของพระคริสตเยซูโดยพระประสงค์ของพระเจ้าตามพระ สัญญาที่จะประทานชีวิตให้เราในพระคริสตเยซู ถึงทิโมธีลูกรัก ขอพระหรรษทาน พระเมตตาและสันติจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระคริสต เยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราสถิตกับท่านเถิด ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงเป็น พระเจ้าที่ข้าพเจ้าปรนนิบัติรับใช้ด้วยมโนธรรมบริสุทธิ์เช่นเดียวกับบรรพบุรุษ ข้าพเจ้า ระลึกถึงท่านอยูเ่ สมอในการอธิษฐานทัง้ วันทัง้ คืน ข้าพเจ้ายังระลึกถึงน�ำ้ ตาของท่าน และ ปรารถนาที่จะพบท่านเพื่อจะได้มีความยินดีเต็มเปี่ยม และยังระลึกถึงความเชือ่ ที่จริงใจ ของท่าน เป็นความเชื่อแต่เดิมของโลอิส ยายของท่าน เป็นความเชื่อของยูนิส มารดา ของท่าน และข้าพเจ้ามั่นใจว่าเป็นความเชื่อของท่านด้วย ข้าพเจ้าจึงเตือนความจ�ำของท่านเพื่อให้พระพรพิเศษของพระเจ้าเป็นไฟที่รุ่งโรจน์ ขึ้นอีก ท่านได้รับพระพรนี้โดยการปกมือของข้าพเจ้า พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่บันดาล ความขลาดกลัว แต่ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเอง แก่เรา ดังนัน้ ท่านอย่าอายทีจ่ ะเป็นพยานถึงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา หรืออายทีข่ า้ พเจ้า ต้องถูกจองจ�ำเพราะพระองค์ แต่จงเข้ามามีสว่ นร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพือ่ ข่าวดี โดยพระอานุภาพของพระเจ้า
พระวรสาร
ระลึกถึง น.ทิโมธี และ น.ทิตัส พระสังฆราช สดด 96:1-2,3,7-8, 10-11 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
ลก 10:1-9
ต่อจากนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์อีกเจ็ดสิบสองคน และทรงส่งเขาล่วงหน้าพระองค์เป็น คู่ๆ ไปทุกต�ำบลทุกเมืองที่พระองค์จะเสด็จ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่จะเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จง วอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด จงไปเถิด เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะ ในฝูงสุนัขป่า อย่าน�ำถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตามทาง เมื่อท่านเข้าบ้านใด จงกล่าวก่อนว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด’ ถ้ามีผู้สมควรจะรับสันติสุขอยู่ที่นั่น สันติสุขของท่านจะอยู่กับ เขา มิฉะนั้น สันติสุขของท่านจะกลับมาอยู่กับท่านอีก จงพักอาศัยในบ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะน�ำมาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใดและเขา ต้อนรับท่าน จงกินของที่เขาจะน�ำมาตั้งให้ จงรักษาผู้เจ็บป่วยในเมืองนั้นและบอกเขาว่า ‘พระอาณาจักรของ พระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว’” วันนี้เป็นวันฉลองนักบุญทิโมธีและทิตัส ทิตัสเป็นชาวกรีกที่กลับใจ ภายหลังท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็น พระสงฆ์ที่กรีก ส่วนทิโมธีนั้นเราทราบว่าบิดาของท่านเป็นคนต่างศาสนา แต่มารดาเป็นชาวยิว ในจดหมายที่เปาโล เขียนถึงทิโมธี ท่านติดตามเปาโลและเป็นมิตรที่เปาโลไว้ใจมากอย่างใกล้ชิด เราควรพิจารณาจดหมายฉบับที่สองถึงทิโมธีเพราะจะช่วยให้เราเป็นผู้ติดตามพระคริสตเจ้าอย่างซื่อสัตย์มากยิ่ง ขึ้น “ข้าพเจ้าจึงเตือนความจ�ำของท่าน เพื่อให้พระพรพิเศษของพระเจ้าเป็นไฟที่รุ่งโรจน์ขึ้นอีก ท่านได้รับพระพรนี้ โดยการปกมือของข้าพเจ้า” (2 ทธ 1:6) ดังนั้น ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า ส�ำหรับพระพรที่พระองค์ประทานให้แก่ เรา กล่าวคือพระพรแห่งความเชื่อ
น.อังเยลา เมริชี พรหมจารี สดด 89:3-4,28-29, 30-32,33-35 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1
2 ซมอ 7:4-17
พระวรสาร
มก 4:1-20
ในคืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า... “จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า จอมจักรวาลตรัสดังนี้ เรา ให้ทา่ นเลิกเลีย้ งแกะในทุง่ หญ้ามาเป็นผูน้ ำ� อิสราเอล ประชากรของเรา เราอยูก่ บั ท่านไม่ ว่าท่านไปที่ใด... เราจะตั้งเชื้อสายคนหนึ่งของท่าน ซึ่งเป็นบุตรของท่าน ให้เป็นกษัตริย์ ต่อจากท่าน เราจะพิทักษ์รักษาอาณาจักรของเขาให้มั่นคง เขาจะเป็นผู้สร้างวิหารให้แก่ นามของเรา เราจะดูแลให้ลูกหลานของเขาเป็นกษัตริย์ครองราชย์ตลอดไป เราจะเป็น บิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา... ราชวงศ์และอาณาจักรของท่านจะมั่นคงอยู่ ต่อหน้าเราตลอดไป อ�ำนาจปกครองของท่านจะตั้งมั่นอยู่ตลอดไป’” นาธันทูลกษัตริย์ ดาวิดให้ทรงทราบทุกสิ่งตามที่พระเจ้าทรงส�ำแดงแก่เขา
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสั่งสอนที่ริมทะเลสาบอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนจ�ำนวน มากมาชุมนุมห้อมล้อมพระองค์จนต้องเสด็จลงไปประทับบนเรือในทะเลสาบ ส่วนประชาชนทัง้ หมดอยูบ่ นฝัง่ พระองค์ทรงสอนเขาหลายเรือ่ งเป็นอุปมา ในการสอนนัน้ พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึง่ ออกไปหว่าน เมล็ดพืช ขณะทีเ่ ขาก�ำลังหว่านอยูน่ นั้ บางเมล็ดตกอยูร่ มิ ทางเดิน นกก็จกิ กินจนหมด บางเมล็ดตกบนพืน้ หินทีม่ ี ดินอยูเ่ ล็กน้อย ก็งอกขึน้ ทันทีเพราะดินไม่ลกึ แต่เมือ่ ดวงอาทิตย์ขนึ้ ก็ถกู แดดเผา และเหีย่ วแห้งไปเพราะไม่มี ราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมมันไว้ จึงไม่เกิดผล บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้น เติบโต และเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหสู ำ� หรับฟัง ก็จงฟังเถิด” เมื่อประชาชนจากไปแล้ว อัครสาวกสิบสองคนกับผู้ที่อยู่รอบๆ พระองค์ ทูลถามเรื่องอุปมา... พระองค์ตรัสว่า “ท่านไม่เข้าใจอุปมานี้ แล้วจะเข้าใจอุปมาอื่นๆ ได้อย่างไร ผู้หว่านพืชนั้นหว่านพระวาจา เมล็ดที่ตกริมทางหมายถึงบุคคลซึ่งรับพระวาจาที่หว่าน เมื่อเขาได้ฟังพระวาจา ซาตานก็มาช่วงชิงพระวาจาที่ หว่านในตัวเขาไป เช่นเดียวกัน เมล็ดที่ตกบนพื้นหินหมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา และมีความยินดีรับไว้ ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากล�ำบากหรือถูกข่มเหงเพราะพระวาจานั้น เขาก็ ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลง ในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่นๆ เข้ามาปกคลุมพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดพืชที่ตกในที่ดิน ดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า และร้อยเท่า” พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงอธิบายเรือ่ งอุปมาต่างๆ ทีพ่ ระองค์ใช้เปรียบเทียบพระอาณาจักรของ พระเจ้า เหมือนกับเมล็ดพืชซึง่ ก็คอื พระวาจาของพระเจ้าทีถ่ กู หว่านลงในโลก ไปตกอยูใ่ นดินดีคอื ผูท้ พี่ ร้อมจะรับฟังพระ วาจา ผลที่ได้รับหลายสิบเท่า แต่พระวาจาของพระเจ้าที่ตกในพงหนาม หนามก็ปกคลุมพระวาจาท�ำให้มีผลน้อย หรือ ไม่มีผลเลย เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเราได้รับเมล็ดพระวาจาของพระเจ้าครบทั้งเล่ม ที่ได้พิมพ์พระคัมภีร์ภาษา ไทยเล่มครบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรในประเทศไทย ขอให้เราท�ำจิตใจของเราเป็นเสมือนดินดีที่พระเยซูเจ้าตรัสเปรียบเทียบให้เราฟังในพระวรสารวันนี้ เราแต่ละคน ควรจะขอบพระคุณพระเจ้า และเริม่ สนใจในการอ่านพระคัมภีรภ์ าษาไทย เพือ่ เป็นการขอบพระคุณพระเจ้า ทีท่ ำ� ให้เรา มีพระคัมภีร์ที่ได้รับการรวบรวมในเล่มเดียวเป็นครั้งแรก ให้เราจดจ�ำไว้เสมอว่า “พระวาจาประทานชีวิต”
บทอ่านที่ 1
2 ซมอ 7:18-19,24-29
กษัตริย์ดาวิดเสด็จเข้าไปประทับเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า ข้าพเจ้าเป็นใคร และครอบครัวของข้าพเจ้าส�าคัญ อย่างไร พระองค์จึงทรงน�าข้าพเจ้ามาไกลถึงเพียงนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ยงั ทรงเห็นว่าทัง้ หมดนีน้ อ้ ยเกินไป จึงทรงสัญญาถึงอนาคตอันไกลของครอบครัว ผูร้ บั ใช้พระองค์ ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ทรงปฏิบตั เิ ช่นนีก้ บั มนุษย์เทียว หรือ พระองค์ทรงสถาปนาอิสราเอลประชากรของพระองค์ให้เป็นประชากรของพระองค์ ตลอดไป ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเขา ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า บัดนี้ขอทรงรักษาพระสัญญาที่ตรัสไว้แก่ผู้รับใช้ ของพระองค์และครอบครัวตลอดไป ขอทรงปฏิบตั ติ ามทีพ่ ระองค์ได้ตรัสไว้เถิด พระนาม พระองค์จะเป็นทีเ่ ลือ่ งลือตลอดไป และทุกคนจะพูดว่า ‘องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล เป็นพระเจ้าของอิสราเอล’ และเชื้อสายของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์จะมั่นคงเฉพาะ พระพักตร์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า จอมจักรวาล พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ทรง เปิดเผยแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘เราจะสร้างราชวงศ์ให้ท่าน’ ผู้รับใช้ของพระองค์จึง กล้าอธิษฐานภาวนาเช่นนีต้ อ่ พระองค์ ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ทรงเป็น พระเจ้า พระวาจาของพระองค์เป็นความจริง พระองค์ทรงสัญญาจะประทานพระพรเหล่า นีแ้ ก่ผรู้ บั ใช้ของพระองค์ ขอพระองค์ทรงอวยพรเชือ้ สายของผูร้ บั ใช้ของพระองค์ เขาจะ ได้คงอยูเ่ ฉพาะพระพักตร์ตลอดไป ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ทรงสัญญา แล้ว เชื้อสายของผู้รับใช้จะได้รับพรของพระองค์ตลอดไป”
พระวรสาร
มก 4:21-25
เวลานัน้ พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “เขาจุดตะเกียงวางไว้ใต้ถงั หรือใต้เตียงหรือ มิใช่ วางไว้บนที่ตงั้ ตะเกียงหรือ เช่นเดียวกัน ไม่มสี ิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง ไม่มีสิ่ง ใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ปรากฏออกมา ใครมีหูส�าหรับฟัง ก็จงฟังเถิด” พระองค์ตรัสอีกว่า “จงตั้งใจฟังให้ดี ท่านตวงให้เขาอย่างไร เขาก็จะตวงให้ท่าน อย่างนั้น และจะเพิ่มให้อีกด้วย ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อย ที่เขามี จะถูกริบไปด้วย”
พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องการประพฤติตนของสานุศิษย์ของ พระองค์ว่า คนเราเมื่อจุดตะเกียงก็จะไปวางในที่ซึ่งเราจะได้รับความสว่าง เพราะนี่คือจุด ประสงค์ของการใช้ตะเกียง พระองค์ทรงสอนให้เราเป็นผู้ที่ท�าอะไรอย่างเปิดเผย พระองค์ ตรัสว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้จะไม่ปรากฏออกมา” คือให้เป็นบุคคลที่เปิดเผย ซื่อตรง มิให้เรา เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก แต่ให้เป็นคนตรงไปตรงมา ให้เราวอนขอพระพรนี้จากพระบิดาเจ้า ของเรา
ระลึกถึง น.โทมัส อาไควนัส พระสงฆ์ และนักปราชญ์ แหงพระศาสนจักร สดด 32:1-2,3-5, 12,13-14 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1
2 ซมอ 11:1-4ก,5-10ก,13-17
ในฤดูใบไม้ผลิต่อมา ซึ่งเป็นเวลาที่บรรดากษัตริย์มักจะออกศึก กษัตริย์ดาวิดทรง ส่งโยอาบพร้อมกับนายทหารและกองทัพอิสราเอลทัง้ หมดออกไปปราบชาวอัมโมนและ เข้าล้อมเมืองรับบาห์ของชาวอัมโมนไว้ ส่วนกษัตริยด์ าวิดคงประทับอยูใ่ นกรุงเยรูซาเล็ม เย็นวันหนึ่ง กษัตริย์ดาวิดเสด็จจากพระที่บรรทมไปทรงพระด�ำเนินบนดาดฟ้า พระราชวัง ทอดพระเนตรเห็นหญิงคนหนึ่งก�ำลังอาบน�้ำ นางเป็นคนสวยมาก กษัตริย์ ดาวิดทรงใช้คนไปสืบถามว่านางเป็นใคร ก็ทรงทราบว่านางชือ่ บัทเชบา เป็นบุตรสาวของ สัปดาห์ที่ 3 เอลีอัมและเป็นภรรยาของอุรียาห์ ชาวฮิตไทต์ กษัตริย์ดาวิดทรงส่งคนไปน�ำตัวนางมา เทศกาลธรรมดา สดด 51:1-2,3-5,8-10 นางก็เข้ามาเฝ้า กษัตริย์ดาวิดทรงหลับนอนกับนาง เมื่อนางรู้ว่าตนตั้งครรภ์จึงส่งคนไป ทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “ดิฉันตั้งครรภ์แล้ว” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 กษัตริย์ดาวิดจึงทรงใช้คนไปหาโยอาบสั่งให้ส่งอุรียาห์ ชาวฮิตไทต์กลับมาเฝ้า โยอาบจึงส่งอุรียาห์กลับมาเฝ้ากษัตริย์ดาวิด... แล้วกษัตริย์ดาวิดตรัสกับอุรียาห์ว่า “จง กลับไปบ้านและพักผ่อนให้สบายเถิด” อุรยี าห์กอ็ อกไปจากพระราชวัง กษัตริยป์ ระทานอาหารเป็นของขวัญตาม ไปให้ที่บ้าน แต่อุรียาห์ไม่ได้กลับบ้าน เขาไปนอนอยู่ที่ประตูพระราชวังพร้อมกับทหารองครักษ์ของเจ้านาย... เช้าวันรุง่ ขึน้ กษัตริยด์ าวิดทรงเขียนจดหมายถึงโยอาบให้อรุ ยี าห์นำ� ไป ทรงเขียนในจดหมายว่า “จงจัดให้ อุรียาห์อยู่แนวหน้าตรงที่การรบเป็นไปอย่างดุเดือดที่สุด แล้วถอยทัพ ปล่อยให้เขาถูกฆ่า” โยอาบก�ำลังล้อม เมืองอยู่ จึงจัดให้อุรียาห์ไปอยู่ตรงที่เขารู้ว่าข้าศึกเข้มแข็ง ชาวเมืองออกมารบกับโยอาบ ฆ่าพลทหารและนาย ทหารบางคนของกษัตริย์ดาวิด อุรียาห์ชาวฮิตไทต์ก็ถูกฆ่าด้วย
พระวรสาร
มก 4:26-34
เวลานัน้ พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนทีน่ ำ� เมล็ดพืชไปหว่าน ในดิน เขาจะหลับหรือตืน่ กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนัน้ ก็งอกขึน้ และเติบโต เป็นเช่นนีไ้ ด้อย่างไรเขาไม่รู้ ดิน นั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครั้งแรกก็เป็นล�ำต้น แล้วก็ออกรวง ต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง เมื่อข้าวสุก เกิดผล แล้ว เขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว” พระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร หรือจะใช้อุปมาอะไรอธิบายเรื่องนี้ พระอาณาจักรเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึง่ เมือ่ หว่านในดิน ก็เป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทัง้ ปวงทัว่ แผ่นดิน แต่ ครัน้ ได้หว่านแล้วก็งอกขึน้ และกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชผักทุกชนิด มีกงิ่ ก้านใหญ่โตจนบรรดานกในอากาศ มาพักอาศัยร่มเงาได้” พระองค์ตรัสเป็นอุปมาเช่นนีอ้ กี มากตามทีเ่ ขาเหล่านัน้ ฟังเข้าใจได้ พระองค์มไิ ด้ตรัสกับเขาโดยไม่ใช้อปุ มา แต่เมื่อทรงอยู่เฉพาะกับบรรดาศิษย์ก็ทรงอธิบายทุกเรื่องให้กับเขาเหล่านั้น พระเยซูเจ้าทรงสอนโดยใช้อปุ มาเรือ่ งคนทีน่ ำ� เมล็ดพืชไปหว่านแล้วก็ไม่ตอ้ งท�ำอะไร เมล็ดนัน้ ก็จะงอก และเติบโต คนทีห่ ว่านเมล็ดพืชก็ไม่รวู้ า่ ท�ำไมจึงเป็นเช่นนัน้ ค�ำตอบก็คอื พระเจ้าทรงเป็นผูป้ ระทานความสามารถเติบโต ในตัวของมันเอง หรืออีกนัยหนึง่ ก็คอื พระเจ้าทรงสร้างมันมาเช่นนัน้ ให้ทำ� งานแทนพระองค์ จากเมล็ด มันเติบโตเป็นต้น ไม้ใหญ่โตจนนกเข้ามาอาศัยอยู่ได้ นี่คือภาพลักษณ์ของพระอาณาจักรของพระเจ้า อาศัยความเชือ่ เราเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าในธรรมชาติทเี่ ราสัมผัสอยูท่ กุ วัน ให้เราถือโอกาสขอบพระคุณพระเจ้า ส�ำหรับสิ่งที่อัศจรรย์ที่เราสัมผัสอยู่ทุกวัน และส�ำนึกในพระมหากรุณาอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์
บทอ่านที่ 1
2 ซมอ 12:1-7ก,10-17
พระวรสาร
มก 4:35-41
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งประกาศกนาธันไปพบกษัตริย์ดาวิด ประกาศกนาธันจึง เข้าเฝ้าทูลกษัตริย์ว่า “ในเมืองหนึง่ มีชายสองคน คนหนึง่ ร�ำ่ รวย อีกคนหนึง่ ยากจน คนร�ำ่ รวยมีฝงู แกะ และโคจ�ำนวนมาก ส่วนคนยากจนมีลกู แกะเพศเมียเพียงตัวเดียว เป็นลูกแกะทีเ่ ขาซือ้ มา และเลี้ยงดูอย่างดี แกะตัวนั้นเติบโตขึ้นในบ้านกับเขาและลูกๆ กินอาหารกับเขา และ ดื่มจากถ้วยของเขา นอนซบอกของเขา เขารักแกะตัวนั้นเหมือนบุตรสาว วันหนึ่ง มีคน สัปดาห์ที่ 3 เดินทางมาแวะที่บ้านของคนร�่ำรวย ซึ่งไม่อยากฆ่าแกะหรือโคของตนน�ำมาท�ำอาหารให้ เทศกาลธรรมดา คนเดินทางทีบ่ งั เอิญมาเยีย่ ม เขาจึงเอาลูกแกะของคนยากจน มาท�ำอาหารให้แขกแทน” สดด 51:11-13, กษัตริย์ดาวิดกริ้วชายผู้นั้นมาก ตรัสกับนาธันว่า “ตราบใดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง 14-15,16-17 พระชนม์อยู่ ผู้ที่ท�ำเช่นนี้จะต้องถูกประหารชีวิต เขาต้องชดใช้ราคาลูกแกะนั้นสี่เท่า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เพราะเขามีใจร้ายกระท�ำเช่นนี้” ประกาศกนาธันจึงทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระองค์คือชายคนนั้น...เพราะท่านได้ ลบหลู่เรา เอาภรรยาของอุรียาห์ชาวฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของท่าน”... กษัตริย์ดาวิดตรัสกับนาธันว่า “ข้าพเจ้าได้ท�ำบาปผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” นาธันทูลตอบว่า “องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยบาปพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ต้องสิ้นพระชนม์ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงดูหมิ่น องค์พระผู้เป็นเจ้า โดยกระท�ำการนี้ พระโอรสที่จะเกิดมาจะต้องตาย” แล้วนาธันก็กลับบ้าน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงท�ำให้พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดที่เกิดจากภรรยาของอุรียาห์ป่วยหนัก กษัตริย์ ดาวิดทูลอ้อนวอนพระเจ้าขอให้ทารกนั้นหายป่วย ไม่ยอมเสวยอะไรเลย บรรทมบนพื้นทุกคืน... เย็นวันเดียวกันนัน้ พระเยซูเจ้าตรัสสัง่ บรรดาศิษย์วา่ “เราจงข้ามไปทะเลสาบฝัง่ โน้นกันเถิด” บรรดาศิษย์ จึงละประชาชนไว้ และออกเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้นไป มีเรือล�ำอื่นๆ ติดตามไปด้วย ขณะนั้นเกิดพายุแรง กล้า คลื่นซัดเข้าเรือจนน�้ำเกือบจะเต็มเรืออยู่แล้ว พระองค์บรรทมหลับหนุนหมอนอยู่ที่ท้ายเรือ บรรดาศิษย์ จึงปลุกพระองค์ ทูลถามว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่สนพระทัยที่พวกเราก�ำลังจะตายอยู่แล้วหรือ” พระองค์ จึงทรงลุกขึ้น บังคับลม ตรัสสั่งทะเลว่า “เงียบซิ จงสงบลงเถิด” ลมก็หยุด ท้องทะเลราบเรียบอย่างยิ่ง แล้ว พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ตกใจกลัวเช่นนี้ท�ำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ” เขาเหล่านั้นกลัวมาก พูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้”
พระวรสารวันนี้ เล่าถึงเรือ่ งทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงบังคับลมพายุแรงให้สงบลง บรรดาศิษย์ทขี่ นึ้ เรือมาพร้อม กับพระองค์พากันตกใจ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นว่าพระองค์บรรทมหลับอยู่ พวกเขาจึงปลุกพระองค์ เมื่อพายุสงบ แล้ว พระเยซูเจ้าทรงหันไปตรัสกับพวกเขาว่า “ตกใจกลัวเช่นนี้ท�ำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ” ในบทเพลง “พักพิงในพระเจ้า” มีข้อเตือนใจเราประโยคหนึ่งว่า “พระทรงเป็นศิลามั่นคง” ในชีวิตมนุษย์ต้อง เผชิญกับพายุบ้างไม่มากก็น้อย ให้เราวอนขอพระองค์ให้ทรงเป็น “โล่เป็นก�ำลังที่เข้มแข็ง” ของเรา ผู้ที่ยังไม่เคยพบ กับพายุรนุ แรงควรเตรียมตัวเตรียมใจของเราไว้ ให้เราวอนขอพระพรนีจ้ ากพระเจ้าเสมอ เอาเพลง “พักพิงในพระเจ้า” มาซ้อมร้องอยู่เสมอเพื่อเตือนใจเราให้ “พักพิงในพระเจ้า” เมื่อเจอพายุมาถึงตัวเรา
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4
ยรม 1:4-5,17-19
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ก่อนที่เราปันท่านในครรภ์มารดา เราก็รู้จักท่านแล้ว ก่อนที่ท่านจะเกิด เราก็แยก ท่านไว้เป็นของเราแล้ว เราแต่งตั้งท่านให้เป็นประกาศกส�าหรับนานาชาติ ดังนั้น ท่านจงคาดสะเอว จงลุกขึ้นไปบอกทุกสิ่งที่เราจะสั่งท่านให้เขาฟัง อย่ากลัว เขาเลย เพราะเราจะท�าให้ท่านไม่พรั่นพรึงต่อหน้าเขา ดูซิ วันนี้เราท�าให้ท่านเป็นเหมือน เมืองป้อม เป็นเหมือนเสาเหล็ก และเป็นเหมือนก�าแพงทองสัมฤทธิ์ ต่อสูก้ บั ทัว่ แผ่นดิน กับบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์และเจ้านาย บรรดาสมณะและประชากรของแผ่นดิน เขา ทัง้ หลายจะต่อสูก้ บั ท่าน แต่จะไม่ชนะท่าน เพราะเราอยูก่ บั ท่านเพือ่ ช่วยท่านให้รอดพ้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส
เพลงสดุดี
สดด 71:1-2,3-5,14-15,16-17ก
ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าลี้ภัยมาพึ่งพระองค์ ข้าพเจ้าไม่มีวันจะต้องได้รับความอับอายเลย พระองค์ทรงเที่ยงธรรม โปรดทรงช่วยชีวิตข้าพเจ้า โปรดทรงปลดปล่อยข้าพเจ้า โปรดทรงเงี่ยพระกรรณฟังข้าพเจ้า และทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นด้วยเถิด ข) ขอพระองค์ทรงเป็นหลักศิลาที่ก�าบังส�าหรับข้าพเจ้า ขอทรงเป็นที่มั่นที่ข้าพเจ้าจะเข้าถึงได้เสมอ พระองค์ทรงสัญญาจะช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นหลักศิลาและทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 12:31-13:13
พี่น้อง ท่านทั้งหลายจงพยายามแสวงหาพระพรพิเศษที่ประเสริฐยิ่งกว่านี้เถิด ข้าพเจ้าจะขอชี้ทางที่ดีที่สุดให้ท่าน แม้ขา้ พเจ้าพูดภาษาของมนุษย์และของทูตสวรรค์ได้ ถ้าไม่มคี วามรัก ข้าพเจ้าก็เป็น แต่เพียงฉาบหรือฉิ่งที่ส่งเสียงอึกทึก แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา เข้าใจธรรมล�้าลึก ทุกข้อและมีความรู้ทุกอย่าง หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความส�าคัญแต่อย่างใด แม้ข้าพเจ้าจะแจกจ่ายทรัพย์สินทั้งปวงให้แก่คน ยากจน หรือยอมมอบตนเองให้นา� ไปเผาไฟ ถ้าไม่มคี วามรัก ข้าพเจ้าก็มไิ ด้รบั ประโยชน์ใด ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟอ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบ คาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจ�าความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ ร่วมยินดีในความถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทน ทุกอย่าง
ความรักไม่มีสิ้นสุด แม้การประกาศพระวาจาจะถูกยกเลิก แม้การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจะยุติ แม้ความรู้จะหมดสิ้น เพราะเรารู้อย่างไม่สมบูรณ์ และประกาศพระวาจาอย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อสิ่งที่ สมบูรณ์มาถึง ความไม่สมบูรณ์จะสูญสิ้นไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าก็พูดจาเหมือนเด็กๆ คิด เหมือนเด็กๆ ใช้เหตุผลเหมือนเด็กๆ แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกประพฤติเหมือนเด็ก ใน เวลานี้ เราเห็นพระเจ้าเพียงรางๆ เหมือนเห็นในกระจกเงา แต่เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเห็นพระองค์เหมือน พระองค์ทรงอยู่ต่อหน้าเรา เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้อย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือน ที่พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า ขณะนี้ยังมีความเชื่อ ความหวังและความรักอยู่ทั้งสามประการ แต่ที่ยิ่งใหญ่ กว่าสิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา
ลก 4:21-30
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงเริม่ ตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีรท์ ที่ า่ นได้ยนิ กับหูอยูน่ เี้ ป็นความ จริงแล้ว” ทุกคนสรรเสริญพระองค์และต่างประหลาดใจในถ้อยค�ำน่าฟังที่พระองค์ตรัส เขากล่าวกันว่า “นีเ่ ป็นลูกของโยเซฟมิใช่หรือ” พระองค์จงึ ตรัสกับเขาว่า “ท่านคงจะกล่าวค�ำพังเพย นีแ้ ก่เราเป็นแน่วา่ ‘หมอเอ๋ย จงรักษาตนเองเถิด สิง่ ทีพ่ วกเราได้ยนิ ว่าเกิดขึน้ ทีเ่ มืองคาเปอรนาอุมนัน้ ท่าน จงท�ำทีน่ ใี่ นบ้านเมืองของท่านด้วยเถิด’ แล้วพระองค์ยงั ทรงเสริมอีกว่า ‘เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลาย ว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิด ความอดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศก เอลียาห์ไปหาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน ในสมัยประกาศก เอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามาน ชาวซีเรียเท่านั้น’” เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจาก เมือง น�ำไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงด�ำเนินฝ่ากลุ่ม คนเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป จดหมายของนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์เขียนไว้วา่ “เราจะเห็นพระองค์เหมือนพระองค์ ทรงอยู่ต่อหน้าเรา แต่เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า” (1 คร 13:12) และท่านให้ตัวอย่างชีวิตของท่านว่า เมื่อเป็นเด็ก ท่านประพฤติตัวเหมือนเด็ก นั่นคือ ท่านหมายถึง ตัวเราที่เป็น เสมือนเด็กเมื่อเราเริ่มต้นรู้จักพระเจ้า แต่ถ้าเราสนใจและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับความเชื่อของเรา เราก็จะเจริญ ชีวิตความเชื่อที่สมบูรณ์มากขึ้น และหนึ่งในขบวนการเป็นผู้ใหญ่ก็คือ การสนใจกับการอธิษฐานภาวนา ซึ่งเป็น เวลาที่เราสัมผัสกับพระเจ้า และพระองค์เท่านั้นที่จะช่วยให้เราเติบโตในความเชื่อ การอธิษฐานภาวนาจึงเปรียบ เสมือนอาหารเลี้ยงจิตวิญญาณของเราให้เติบโตในความใกล้ชิดกับพระเจ้า และนี่คือหนทางเดียวที่จะช่วยให้เรา รู้จักพระเจ้า ผู้ทรงเป็นทุกสิ่งแก่ทุกคนที่ใกล้ชิดกับพระองค์ นักบุญเปาโลสรุปความว่า “ขณะนีย้ งั มีความเชือ่ ความหวังและความรักอยูท่ งั้ สามประการ แต่ทยี่ งิ่ ใหญ่ กว่าสิ่งอื่นใดคือความรัก”