บรรดาปิตาจารย์แห่งสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 กล่าวถึงพระคัมภีร์ไว้อย่าง น่าประทับใจว่า “ในพระคัมภีรพ์ ระบิดาในสวรรค์ทรงพบกับบรรดาบุตรของพระองค์ ด้วยความรักอย่างสุดซึง้ และทรงสนทนากับเขา” (DV 21) ดังนัน้ เมือ่ อ่านพระคัมภีร์ แบบภาวนา พระเจ้าและมนุษย์สนทนากัน เพราะ “เราพูดกับพระเจ้าเมื่อเราภาวนา เราฟังพระองค์เมื่อเราอ่านพระวาจา” (น.อัมโบรส) ไบเบิล ไดอารี่เป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ช่วยให้การอ่านพระคัมภีร์แบบภาวนา ง่ายขึ้น ด้วยการรวบรวมข้อคิดจากบรรดาผู้รู้ทั้งหลายซึ่งดึงออกมาจากบทอ่านต่างๆ ของวันอาทิตย์ ข้อคิดเหล่านี้เป็นคำ�อธิบายสั้นๆ ที่ให้ทั้งกำ�ลังใจและแนวทางในการ ดำ�เนินชีวิตตามประสงค์ของพระเจ้า ขอขอบคุณคณะกรรมการจัดทำ�ไบเบิล ไดอารี่ ทุกท่าน ที่ได้เสียสละเวลาอัน มีคา่ ในการจัดหาอาหารฝ่ายจิตนีแ้ ก่บรรดาคริสตชนไทย ในปีพธิ กี รรมทีพ่ ระศาสนจักร เชิญชวนเราให้ก้าวเดินไปพร้อมกับนักบุญมาระโก ให้เราเปิดใจรับฟังสิ่งที่พระเยซูเจ้า พระบุตรสุดทีร่ กั ของพระเจ้าตรัสกับเราด้วยความตัง้ ใจ เพือ่ เข้าใจแนวทางและข้อเรียก ร้องต่างๆ ของการเป็นศิษย์ที่ดีของพระองค์
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน (พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย) ประธานคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม แผนกพระคัมภีร์
คณะผูจ้ ดั ทำ�ไบเบิล ไดอารี่ ได้จดั ให้ไบเบิล ไดอารี่ 2018 เป็นฉบับเตรียมฉลอง 350 ปี แห่งการสถาปนามิสซังสยาม เพือ่ เตือนใจท่านผูอ้ า่ นให้คดิ ถึงประวัตศิ าสตร์การ ก่อตั้งมิสซังสยาม และเป็นโอกาสให้เราใช้เวลาในปีนี้เตรียมฉลองอย่างดี อันจะก่อให้ เกิดพลังขับเคลื่อนชีวิตของเราให้เป็นคริสตชนที่ร้อนรน กระตือรือร้น ดังเช่นบรรดา มิชชันนารีและบรรพชนของเราในอดีต และทราบว่า เราจะต้องถ่ายทอดมรดกความ เชื่อนี้ไปสู่บุตรหลาน และชนชาวไทยได้อย่างไร คณะผู้จัดทำ�ไบเบิล ไดอารี่ จึงได้ออกแบบปกของไบเบิล ไดอารี่ ปีนี้เป็นรูป เรือใหญ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ถึงเรือที่ได้นำ�บรรดามิชชันนารี่ให้เดินทางมาประกาศข่าวดี แก่ชาวสยาม และใช้พื้นที่ปกหน้าด้านในและปกหลังด้านใน พูดถึงความเป็นมาของ 350 ปี มิสซังสยามแต่พอสังเขป คณะผู้ จั ด ทำ � ไบเบิ ล ไดอารี่ ขอขอบพระคุ ณ พระเป็ น เจ้ า ที่ โปรดให้ มี มิชชันนารี่ผู้มีนํ้าใจดีและเสียสละมาประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้าแก่ชาวสยาม บรรพบุรุษของเรา ทำ�ให้เราและลูกหลานรู้จักพระเจ้าและทางแห่งความรอด จึงขอ ถือโอกาสนี้ขอบพระคุณบรรดามิชชันนารี่ทั้งในอดีตและปัจจุบันด้วย คณะผู้จัดทำ�ไบเบิล ไดอารี่ มุ่งมั่นจะทำ�ให้ไบเบิล ไดอารี่ เป็นสื่อนำ�พระวาจา พระพร และความรักของพระเจ้าไปสู่ท่านผู้อ่าน ทั้งนี้ โดยความช่วยเหลือ ความร่วม มือ ร่วมใจจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาพระสังฆราชและพระสงฆ์หลาย องค์ทชี่ ว่ ยเขียนข้อคิด หลายท่านช่วยซือ้ ไบเบิล ไดอารี่ ไปแจกจ่ายให้พระสงฆ์ นักบวช และสัตบุรุษ ผู้ขาดแคลนและยากจน ขอบคุณคณะพระหฤทัยฯ ที่อนุญาตให้ใช้สถาน ที่เป็นสำ�นักงาน ฯลฯ คณะผู้จัดทำ�ไบเบิล ไดอารี่ ขอกราบขอบพระคุณทุกท่าน ที่ได้เสียสละ ร่วม แรงร่วมใจ ส่งเสริม สนับสนุนการจัดทำ�ไบเบิล ไดอารี่ ดังที่กล่าวมาแล้ว ขอพระเจ้าทรงอำ�นวยพระพร ตอบแทนนํ้าใจอันดีของทุกท่าน คณะผู้จัดทำ�
การอ่านพระวาจาร่วมกัน 7 ขัน้ ตอน ช่วยให้คริสตชนมีประสบการณ์กบั การประทับ อยู่ของพระเจ้าและสัมผัสอย่างลึกซึ้งกับพระเยซูผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ทั้งส่วนตัวและ ระดับกลุ่ม การแบ่งปันพระวาจา ช่วยสร้างความสัมพันธ์ต่อกันและกันในกลุ่ม ก่อให้เกิด ความไว้วางใจกัน ช่วยให้มีบรรยากาศทางด้านชีวิตจิตที่จะร่วมกันวางแผนงานรับใช้พระเจ้า และมนุษย์ 1. เชิญพระมาประทับท่ามกลางเรา • ขอเชิญคนหนึ่งหรือสองคนเชิญพระเยซูให้มาประทับกับเรา 2. อ่านข้อความจากพระคัมภีร์ ให้เราเปิด (พระคัมภีร์).........บทที่.......ข้อที่........ถึง.........(บอกซํ้าอีกครั้ง) • เชิญทุกคนอ่านพระวาจาพระเจ้าด้วยจิตตารมณ์ภาวนา • เชิญอีกคนหนึ่งอ่านข้อความเดิมซํ้าอีกครั้ง (หากเป็นไปได้จากหนังสือที่มี สำ�นวนต่างกัน) 3. กล่าวพระวาจาด้วยจิตตารมณ์ภาวนา • เชิญแต่ละคนกล่าวคำ� หรือ วลี ข้อความสั้นๆ ที่โดนใจ ประทับใจ หรือสะกิด ใจด้วยเสียงดังฟังชัด อย่างสำ�รวม 3 ครั้ง • เชิญอ่านข้อความเดิมอีกครั้งหนึ่ง 4. ปล่อยให้พระตรัสกับเราในความเงียบ ให้เราเงียบสัก 3 นาที อยูก่ บั พระวาจา ที่กล่าวไปแล้ว (เพื่อสัมผัสสิ่งที่พระตรัสผ่านทางพระวาจา) 5. เล่าสิ่งที่ผุดขึ้นในความเงียบในใจ • เชิญท่านเล่าสิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจขณะอยู่กับพระวาจา (ใช้แทนตัวเองว่า ฉัน/ ดิฉัน /ผม) 6. ปฏิบัติตามพระวาจา • เชิญรายงานสิ่งที่แต่ละคนทำ�มาแล้ว • เชิญร่วมวางแผนงานที่เราจะทำ�ต่อไป ใคร ทำ�อะไร เมื่อไหร่ 7. ภาวนาจากใจของแต่ละคน • เชิญเราภาวนาจากใจ • จบการภาวนาพร้อมกันด้วยเพลงหรือบทภาวนาที่ทุกคนสวดได้ ขอพระเจ้าทรงอำ�นวยพระพรทุกท่าน
มกราคม
การประกาศข่าวดี : เพื่อบรรดาชนกลุ่มน้อยด้านศาสนาในเอเชีย เพื่อบรรดาคริสตชนและบรรดาชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอื่นๆ ใน ประเทศต่างๆ ในเอเชีย สามารถปฏิบัติความเชื่อของพวกเขาอย่าง มีอิสรภาพสมบูรณ์
กุมภาพันธ์ พระศาสนจักรสากล : ปฏิเสธการคอร์รัปชั่น เพื่อบรรดาผูน้ �ำที่มีอ�ำนาจทางวัตถุ การเมือง และจิตใจ ร่วมกันต่อต้าน การยั่วยวนของการทุจริต มีนาคม
การประกาศข่าวดี : การอบรมเพื่อการไตร่ตรองแยกแยะทางจิตใจ เพื่อพระศาสนจักรให้ความสนใจเร่งด่วนเรื่องการฝึกอบรมไตร่ตรอง แยกแยะทางจิตใจ ทั้งระดับส่วนตัวและส่วนรวม
เมษายน พระศาสนจักรสากล : ส�ำหรับผู้มีความรับผิดชอบในเรื่องเศรษฐกิจ เพื่อบรรดานักเศรษฐศาสตร์มีความกล้าหาญที่จะปฏิเสธเศรษฐศาสตร์ แบบกีดกันคนอืน่ และรู้จักวิธีเปิดสู่หนทางใหม่ๆ พฤษภาคม การประกาศข่าวดี : พันธกิจของฆราวาส เพื่อบรรดาคริสตชนฆราวาสสามารถปฏิบัติพันธกิจพิเศษของพวกเขา ให้ส�ำเร็จ โดยการตอบสิ่งท้าทายที่ก�ำลังเผชิญในโลกทุกวันนี้อย่าง สร้างสรรค์ มิถุนายน พระศาสนจักรสากล : การประสานงานกันทางด้านสังคม เพื่อการประสานงานทางด้านสังคม ท�ำงานมุ่งหน้าให้ครอบคลุมทุกคน เคารพผู้อื่นทีแ่ ตกต่างจากพวกเขา
กรกฎาคม
การประกาศข่าวดี : บรรดาพระสงฆ์และพันธกิจงานอภิบาล เพือ่ บรรดาพระสงฆ์ผปู้ ระสบความเหนือ่ ยล้าและโดดเดีย่ วในการท�ำงาน อภิบาล พบความช่วยเหลือและความบรรเทาใจภายในกับพระเยซูเจ้า และในมิตรภาพกับพี่น้องพระสงฆ์
สิงหาคม พระศาสนจักรสากล : ครอบครัว เพื่อการตัดสินใจของนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง ช่วยคุ้มครอง ครอบครัว ในฐานะเป็นสมบัติล�้ำค่าของมนุษยชาติ กันยายน พระศาสนจักรสากล : บรรดาเยาวชนในอาฟริกา เพื่อบรรดาเยาวชนในอาฟริกาจะได้รับการศึกษาอบรม และมีงานท�ำ ในประเทศต่างๆ ของพวกเขา ตุลาคม
การประกาศข่าวดี : พันธกิจของบรรดานักพรต เพื่อบรรดานักพรตชายหญิงผู้ถวายตัว มุมานะและอยู่ท่ามกลางคนจน ผู้ถูกทอดทิ้ง และบรรดาผู้ไร้เสียง
พฤศจิกายน พระศาสนจักรสากล : เพื่อสร้างสันติภาพ เพื่อภาษาแห่งความรักและการเสวนา มีพลังมากกว่าภาษา แห่งความขัดแย้ง ธันวาคม การประกาศข่าวดี : เพื่องานถ่ายทอดความเชื่อ เพื่อผู้ที่เกี่ยวข้องในงานและการถ่ายทอดความเชื่อ จะได้ใช้ภาษาที่ เหมาะสมกับเงื่อนไขเวลาในปัจจุบนั ในการเสวนากับวัฒนธรรม
บทอ่านที่ 1 กดว 6:22-27 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกอาโรนและบรรดาบุตรว่า “ท่านทั้งหลายจะต้องอวยพรชาวอิสราเอลดังนี้ ท่านจะต้องกล่าวว่า ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรท่านและพิทักษ์รักษาท่าน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำ�แดงพระพักตร์แจ่มใสต่อท่านและโปรดปรานท่าน สมโภช ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงผินพระพักตร์มายังท่านและประทานสันติแก่ท่านด้วย พระนางมารีย์ เทอญ” พระชนนีพระเป็นเจ้า สมณะจะต้องเรียกขานนามของเราให้ลงมาเหนือชาวอิสราเอลเช่นนี้ แล้วเราจะ อวยพรเขาทั้งหลาย สดด 67:1-2,3-7 วันขึ้นปี ใหม่
บทอ่านที่ 2 กท 4:4-7 พี่น้อง เมื่อถึงเวลาที่กำ�หนดไว้ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิด จากหญิงผู้หนึ่ง เกิดมาอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อทรงไถ่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และทำ�ให้ เราได้เป็นบุตรบุญธรรม ข้อพิสูจน์ว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรก็คือ พระเจ้าทรงส่งพระจิต ของพระบุตรลงมาในดวงใจของเรา พระจิตผู้ตรัสด้วยเสียงดังว่า “อับบา พระบิดาเจ้าข้า” ดังนั้น ท่านจึงไม่ เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรก็ย่อมเป็นทายาทตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระวรสาร ลก 2:16-21 เมือ่ บรรดาทูตสวรรค์จากเขากลับสูส่ วรรค์แล้ว คนเลีย้ งแกะจึงรีบไปและพบพระนางมารีย์ โยเซฟ และ พระกุมารซึ่งบรรทมอยู่ในรางหญ้า เมื่อคนเลี้ยงแกะเห็น ก็เล่าเรื่องที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับพระกุมาร ทุกคน ที่ได้ยินต่างประหลาดใจในเรื่องที่คนเลี้ยงแกะเล่าให้ฟัง ส่วนพระนางมารีย์ทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ใน พระทัยและยังทรงคำ�นึงถึงอยู่ คนเลี้ยงแกะกลับไปโดยถวายพระพรและสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องต่างๆ ที่ พวกเขาได้ยินและได้เห็น ตามที่ทูตสวรรค์บอกไว้ เมื่อครบกำ�หนดแปดวัน ถึงเวลาที่พระกุมารจะต้องทรงเข้าสุหนัต เขาถวายพระนามพระองค์ว่าเยซู เป็นพระนามที่ทูตสวรรค์ให้ไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดา
พระเจ้าทรงรักประชากรทีพ่ ระองค์ทรงเลือกสรร พร้อมกันนัน้ พระองค์ทรงเตรียมพวกเขาเพือ่ ให้ พวกเขาส่งต่อความรักและการเลือกสรรของพระองค์ตอ่ ไปให้ชนทุกชาติในโลก พระองค์ทรงดำ�เนินตามแผนการ นี้อย่างต่อเนื่องในรูปแบบต่างๆ ทรงสำ�แดงพระพักตร์แจ่มใสและโปรดปรานพวกเขามาโดยตลอด เมื่อถึงเวลา ที่ทรงกำ�หนด พระองค์ทรงลงมาและประทับอยู่ท่ามกลางมนุษย์อย่างเป็นทางการโดยทางพระเยซูเจ้า เพื่อเผย โฉมพระพักตร์ให้มนุษย์ได้เห็นและได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดา ทรงความรักและความเมตตาอย่างไม่มี ขอบเขต ตลอดชีวิตของพระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ด้วยชีวิตและด้วยคำ�เทศน์สอนของพระองค์ ทรงตอกยํ้าให้เห็นประจักษ์ว่าความเป็นมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่ เพราะแม้แต่พระเจ้าเองก็ไม่ทรงรังเกียจที่จะรับเอา กายเป็นมนุษย์เหมือนมนุษย์ทั้งหลายผ่านทางพระมารดามารีย์ ผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรรให้มีศักดิ์ศรีเป็น พระมารดาของพระองค์*
บทอ่านที่ 1 1 ยน 2:22-28 ลูกที่รักทั้งหลาย ใครเป็นคนพูดคำ�เท็จ ถ้าไม่ใช่คนที่พูดว่า พระเยซูไม่ใช่พระ คริสตเจ้า ผูน้ คี้ อื ปฏิปกั ษ์ของพระคริสตเจ้า เขาปฏิเสธทัง้ พระบิดาและพระบุตร ทุกคน ที่ปฏิเสธพระบุตรก็ไม่มีพระบิดา คนที่ยอมรับพระบุตรย่อมมีพระบิดาด้วย ขอให้สิ่งที่ ท่านทัง้ หลายฟังมาตัง้ แต่แรกเริม่ นัน้ คงอยูใ่ นท่าน ถ้าสิง่ ทีท่ า่ นฟังมาตัง้ แต่แรกเริม่ นัน้ คง อยู่ในท่าน ท่านก็ดำ�รงอยู่ในพระบุตร และในพระบิดา พระสัญญาที่พระองค์ประทาน ระลึกถึง น.บาซิล ไว้ก็คือชีวิตนิรันดร ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายแล้ว เกี่ยวกับบุคคล และ น.เกรโกรี ที่พยายามชักนำ�ให้หลงผิด แต่สำ�หรับท่าน การได้รับเจิมจากพระองค์ยังคงอยู่ในท่าน แห่งเมืองนาซีอันเซน และไม่จำ�เป็นต้องให้ใครมาสอนท่านอีก เพราะการเจิมของพระองค์นั้นสอนทุกสิ่งให้ พระสังฆราช ท่าน และเพราะการเจิมนั้นเป็นจริงและไม่หลอกลวง จงดำ�รงอยู่ในพระองค์ตามคำ�สั่ง และนักปราชญ์ สอนทีท่ า่ นได้รบั มา ลูกทีร่ กั ทัง้ หลาย บัดนีจ้ งดำ�รงอยูใ่ นพระองค์ เพือ่ เมือ่ พระองค์ทรง สดด 98:1-2,3-4,5-6 ปรากฏ เราจะได้มีความมั่นใจ ไม่ต้องหลบเลี่ยงไปจากพระองค์ด้วยความอับอายในวัน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ที่พระองค์เสด็จมา พระวรสาร ยน 1:19-28 ยอห์นเป็นพยานดังนี้ เมื่อชาวยิวจากกรุงเยรูซาเล็มส่งบรรดาสมณะและชาวเลวี ไปถามยอห์นว่า “ท่านเป็นใคร” เขามิได้ปิดบังความจริง แต่ยืนยันว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ พระคริสต์” ดังนั้น เขาเหล่านั้นจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นใคร เป็นเอลียาห์หรือ” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นประกาศกหรือ” เขาตอบอีกว่า “ไม่ใช่” เขาเหล่านั้นจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร เราจะได้นำ�คำ�ตอบไปให้ผู้ที่ส่งเรามา ท่านพูดถึง ตนเองอย่างไร” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสียงของผูท้ รี่ อ้ งตะโกนในถิน่ ทุรกันดารว่า จงทำ�ทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงเถิด” ดังที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้ ผู้ที่ถูกส่งไปถามนั้นเป็นชาวฟาริสี เขาถามยอห์นอีกว่า “ทำ�ไมท่านจึงทำ�พิธีล้าง ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ และไม่ใช่ประกาศก” ยอห์นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าใช้นํ้าทำ�พิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่มีผู้หนึ่งประทับอยู่ในหมู่ท่าน เป็นผู้ที่ท่าน ไม่รู้จัก ผู้นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานี อีกฟากหนึ่งของแม่นํ้าจอร์แดนซึ่งยอห์นกำ�ลังทำ� พิธีล้างอยู่ พระเยซูเจ้าทรงยืนยันเสมอว่าพระองค์กับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะนั่นเป็นความ จริง หากยอมรับคำ�ยืนยันของพระองค์ มนุษย์ก็น่าจะภาคภูมิใจและอบอุ่นใจ เพราะสามารถมั่นใจได้ว่าทุกสิ่งที่ พระเยซูเจ้าทรงเป็น และทุกอย่างที่พระองค์ทรงสอน ล้วนมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เสด็จมา อยู่ท่ามกลางมนุษย์ในฐานะ “เอมมานูเอล” ทว่าหลายคนในสมัยนั้นยังรับไม่ได้ และคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงยก ตนขึ้นเสมอพระเจ้า พร้อมกันนั้นก็กล่าวหาว่าพระองค์ตรัสผรุสวาท นักบุญยอห์นจึงยืนยันความจริงที่ว่า หาก ไม่ยอมรับพระเยซูเจ้าซึง่ เป็นพระบุตร ก็เป็นการไม่ยอมรับพระบิดาด้วย ยอห์นผูท้ �ำ พิธลี า้ งเข้าถึงความจริงนีเ้ มือ่ ท่านยืนยันว่าพระคริสต์เสด็จมาแล้ว
พระนามศักดิ์สิทธิ์ ของพระเยซูเจ้า สดด 98:1-2,3-4,5-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 1 ยน 2:29-3:6 ลูกที่รักทั้งหลาย ถ้าท่านรู้ว่า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็ต้องยอมรับว่าทุกคน ที่ประพฤติชอบ ย่อมบังเกิดจากพระองค์ จงดูเถิดว่า ความรักที่พระบิดาประทานให้เรานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เพื่อทำ�ให้เราได้ ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนั้นจริง โลกไม่รู้จักเรา เพราะโลกไม่รู้จัก พระองค์ ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้ เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว แต่เราจะเป็นอย่างไรใน อนาคตนั้นยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง เราตระหนักดีว่า เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็น เหมือนพระองค์ เพราะเราจะได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์ ย่อมชำ�ระใจของตนให้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่ พระองค์ทรงบริสทุ ธิ์ ทุกคนทีท่ �ำ บาป ย่อมฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ เพราะบาปเป็นการฝ่าฝืน ธรรมบัญญัติ ท่านทั้งหลายตระหนักดีแล้วว่า พระองค์ทรงปรากฏเพื่อทรงลบล้างบาป ให้สิ้นไป และไม่มีบาปใดในพระองค์ ทุกคนที่ดำ�รงอยู่ในพระองค์ย่อมไม่ทำ�บาป และ ทุกคนที่ทำ�บาป ย่อมไม่เคยเห็นและไม่รู้จักพระองค์ พระวรสาร ยน 1:29-34 วันรุ่งขึ้น ยอห์นเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมาหาตน จึงกล่าวว่า “นี่คือลูกแกะของ พระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก ผู้นี้คือผู้ที่ข้าพเจ้าเคยพูดถึงว่า ‘บุรุษผู้หนึ่งมาภาย หลังข้าพเจ้า แต่นำ�หน้าข้าพเจ้า เพราะอยู่มาก่อนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ ข้าพเจ้าถูกส่งมาให้ทำ�พิธีล้าง เพื่อทำ�ให้พระองค์เป็นที่รู้จักแก่อิสราเอล’” ยอห์นยัง ยืนยันอีกว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนนกพิราบ และทรง อยูเ่ หนือพระองค์ ข้าพเจ้าไม่รจู้ กั พระองค์ แต่ผทู้ ที่ รงส่งข้าพเจ้ามาใช้นาํ้ ทำ�พิธลี า้ ง ตรัส กับข้าพเจ้าว่า ‘ท่านเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับอยู่เหนือผู้ใด ผู้นั้นคือผู้ที่ทำ�พิธี ล้างเดชะพระจิตเจ้า’ ข้าพเจ้าเห็นและเป็นพยานยืนยันว่าท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของ พระเจ้า” พระเยซูเจ้าเสด็จมาด้วยภารกิจยิ่งใหญ่สำ�หรับมนุษยชาติ เสด็จมาเพื่อคืน ศักดิศ์ รีให้มนุษย์ มนุษย์เคยมีศกั ดิศ์ รีแห่งการเป็นพระฉายาพระเจ้า แต่ตอ้ งสูญเสียศักดิศ์ รี ไปเพราะเลือกทำ�ตามใจชอบ มากกว่าจะทำ�ตามทีพ่ ระเจ้าทรงสัง่ ให้ท�ำ มนุษย์ท�ำ บาปและ ตกเป็นทาสของบาป เพื่อการนี้ พระเยซูเจ้าทรงยอมตายเพื่อไถ่กู้มนุษย์ให้พ้นจากบาป และการเป็นทาส ไม่เพียงเท่านัน้ นอกจากคืนศักดิศ์ รีให้มนุษย์แล้ว พระองค์ทรงยกศักดิศ์ รี มนุษย์ขึ้นสู่การเป็นบุตรพระเจ้า กระนั้นก็ดี นักบุญยอห์นยืนยันว่าศักดิ์ศรีนี้ขึ้นกับแต่ละ คนว่าจะดำ�เนินชีวิตให้สอดคล้องกับศักดิ์ศรีนี้หรือไม่ พระบิดาทรงเป็นความดี คนที่เป็น บุตรของพระองค์ก็ต้องเป็นคนดีด้วย
บทอ่านที่ 1 1 ยน 3:7-10 ลูกที่รักทั้งหลาย จงอย่าให้ใครชักนำ�ท่านให้หลงผิด ผู้ประพฤติชอบย่อมเป็นผู้ ชอบธรรม ดังทีพ่ ระองค์ทรงเป็นผูเ้ ทีย่ งธรรม ผูท้ ที่ �ำ บาปย่อมมาจากปีศาจ เพราะปีศาจ นั้นทำ�บาปมาตั้งแต่แรกเริ่ม พระบุตรของพระเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์ เพื่อทรงทำ�ลาย งานของปีศาจ ทุกคนที่บังเกิดจากพระเจ้าย่อมไม่ทำ�บาป เพราะเชื้อชีวิตของพระเจ้า ดำ�รงอยูใ่ นตัวเขา และเขาไม่อาจทำ�บาปได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า เราจำ�แนกบุตร ของพระเจ้าจากบุตรของปีศาจได้โดยวิธนี ี้ คือทุกคนทีไ่ ม่ประพฤติชอบ และไม่รกั พีน่ อ้ ง ของตน ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระวรสาร ยน 1:35-42 วันรุ่งขึ้น ยอห์นกำ�ลังยืนอยู่ที่นั่นกับศิษย์สองคน เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จผ่าน ไป จึงพูดว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า” เมื่อศิษย์ทั้งสองคนได้ยินยอห์นพูดดังนี้จึง ติดตามพระเยซูเจ้าไป พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรเห็นเขากำ�ลัง ติดตามพระองค์ จึงตรัสถามว่า “ท่านทั้งหลายแสวงหาอะไร” เขาทูลตอบว่า “รับบี” แปลว่า พระอาจารย์ “พระองค์ทรงพำ�นักอยู่ที่ไหน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มาดูซิ” เขา จึงไปดู เห็นที่ประทับของพระองค์ และพักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น ขณะนั้นเป็นเวลา ประมาณบ่ายสี่โมง อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรเป็นคนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินคำ�พูดของยอห์น และตามพระเยซูเจ้าไป อันดรูว์พบซีโมนพี่ชายเป็นคนแรก จึงพูดว่า “เราพบพระ เมสสิยาห์แล้ว” พระเมสสิยาห์หรือพระคริสตเจ้า แปลว่า ผู้รับเจิม เขาพาพี่ชายไปเฝ้า พระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขา จึงตรัสว่า “ท่านคือซีโมนบุตรของยอห์น ท่านจะมีชื่อว่า ‘เคฟาส’ แปลว่า ‘เปโตร’ หรือ ‘ศิลา’” นักบุญยอห์นเป็นผู้ที่สอนเข้าถึงประเด็นและเป็นรูปธรรม ท่านชี้ให้เห็น ชัดเจนว่าคนที่สำ�นึกว่าตนเป็นบุตรพระเจ้าย่อมตั้งมั่นอยู่บนความชอบธรรม ความดีและ ความรัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความชอบธรรม ความดีและความรัก การเป็นบุตรพระเจ้า ไม่ใช่เกิดมาเป็น แต่ต้องสร้างความเป็นบุตรพระเจ้าด้วยการยึดมั่นในความชอบธรรม ปฏิบัติความดีและมีความรักเป็นที่ตั้ง เมื่อนั้นจึงจะได้ชื่อว่า “คริสตชน” แท้จริง เป็นชื่อที่ พระเจ้าทรงตัง้ ให้เราแต่ละคน เป็นชือ่ ทีบ่ ง่ บอกความเป็นและบทบาทหน้าที่ ดังทีพ่ ระเยซู เจ้าทรงตั้งชื่อใหม่ให้ซีโมน
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 98:1-2,7-8,9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 100:1-4,5 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันศุกร์ต้นเดือน
บทอ่านที่ 1 1 ยน 3:11-21 ลูกที่รักทั้งหลาย นี่คือคำ�สอนที่ท่านทั้งหลายได้ฟังมาตั้งแต่แรกเริ่ม คือเราจงรัก กัน อย่าเป็นเหมือนกาอิน ซึ่งมาจากมารร้าย และฆ่าน้องชายของตน เหตุใดเขาจึงฆ่า น้องชาย เพราะการกระทำ�ของเขาเลวร้าย แต่การกระทำ�ของน้องชายชอบธรรม พีน่ อ้ ง ทัง้ หลาย อย่าแปลกใจเลยถ้าโลกเกลียดชังท่าน เรารูว้ า่ เราผ่านพ้นความตายมาสูช่ วี ติ แล้ว เพราะเรารักพี่น้อง ผู้ใดไม่มีความรัก ย่อมดำ�รงอยู่ในความตาย ทุกคนที่เกลียด ชังพี่น้องของตน ย่อมเป็นฆาตกร และท่านก็รู้ว่า ไม่มีฆาตกรคนใดมีชีวิตนิรันดรอยู่ใน ตน เรารูจ้ กั ความรักจากการทีพ่ ระองค์ทรงสละชีวติ ของพระองค์เพือ่ เรา เราจึงควรสละ ชีวติ ของเราเพือ่ พีน่ อ้ งเช่นเดียวกัน ถ้าผูใ้ ดมีทรัพย์สมบัตขิ องโลกนี้ และเห็นพีน่ อ้ งของ ตนขาดแคลน แต่ยังมีใจแคบต่อเขา ความรักของพระเจ้าจะดำ�รงอยู่ในผู้นั้นได้อย่างไร ลูกทีร่ กั ทัง้ หลาย เราอย่ารักกันแต่ปาก เพียงด้วยคำ�พูดเท่านัน้ แต่เราจงรักกันด้วย การกระทำ�และด้วยความจริง จากการกระทำ�นี้ เราจะรู้ว่าเราอยู่กับความจริง เราจะ มั่นใจเฉพาะพระพักตร์พระองค์ แม้ใจของเราอาจจะยังกล่าวโทษเราอยู่ก็ตาม เพราะ พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และทรงล่วงรู้ทุกสิ่ง ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเรา ไม่กล่าวโทษเรา เราย่อมมั่นใจได้เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
พระวรสาร ยน 1:43-51 วันรุง่ ขึน้ พระเยซูเจ้าทรงตัดสินพระทัยเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงพบฟีลปิ และตรัสกับเขาว่า “จงตาม เรามาเถิด” ฟีลิปมาจากเมืองเบธไซดาเช่นเดียวกับอันดรูว์และเปโตร ฟีลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า “เราพบผู้ที่โมเสสในธรรมบัญญัติและบรรดาประกาศกเขียนถึง ผู้นั้นคือพระเยซูบุตรของโยเซฟ ชาว นาซาเร็ธ” นาธานาเอลจึงพูดกับฟีลิปว่า “จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธได้รึ” ฟีลิปตอบว่า “มาดูซิ” พระเยซู เจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถึงเขาว่า “นี่คือชาวอิสราเอลแท้ เป็นคนไม่มีมารยา” นาธานาเอลทูลถามว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ก่อนที่ฟีลิปจะเรียก ท่าน เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อเทศ” นาธานาเอลทูลตอบว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริยข์ องชนชาติอสิ ราเอล” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านเชือ่ เพราะเราพูดว่า เราเห็นท่านอยู่ ใต้ต้นมะเดื่อเทศหรือ ท่านจะเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” แล้วพระองค์ตรัสเสริมว่า “เราบอกความ จริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าเปิด และจะเห็นบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงรับใช้บุตรแห่ง มนุษย์” นักบุญยอห์นได้รับการขนานนามว่าสาวกแห่งความรัก เพราะท่านได้เข้าถึงความรักของพระเยซู เจ้าอย่างเป็นรูปธรรม ถึงขนาดมีบุญได้แนบศีรษะที่พระอุระของพระเยซูเจ้าและได้ยืนอยู่เชิงไม้กางเขนในขณะ ที่พระองค์สิ้นพระชนม์ตามที่พระองค์ตรัสไว้ “ไม่มีใครรักเพื่อนเท่ากับคนยอมตายแทนเพื่อน” ท่านจึงอยากให้ ศิษย์ของพระเยซูเจ้าเลียนแบบวิธีรักของพระองค์ รักด้วยเสียสละ รักด้วยชีิวิต ไม่ใช่ด้วยคำ�พูด คนที่จะรักได้ แบบนี้ต้องดำ�เนินชีวิตแต่ละวันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเยซูเจ้าและซึมซับพลังแห่งความรักจากพระองค์ เหมือนศิษย์ของพระองค์ทรี่ ว่ มชีวติ กับพระองค์ ก่อนทีพ่ ระองค์จะทรงแต่งตัง้ ให้เป็นสาวกเพือ่ ประกาศข่าวดีของ พระองค์
บทอ่านที่ 1 1 ยน 5:5-13 ลูกที่รักทั้งหลาย ใครเล่าชนะโลกได้ ถ้ามิใช่ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระบุตร ของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผูเ้ สด็จมาโดยนํา้ และโดยพระโลหิต พระองค์คอื พระเยซู คริสตเจ้า พระองค์มไิ ด้เสด็จมาโดยนํา้ เพียงอย่างเดียว แต่เสด็จมาโดยนํา้ และโดยพระ โลหิต และพระจิตเจ้าทรงเป็นพยานถึงเรือ่ งนี้ เพราะพระจิตเจ้าทรงเป็นความจริง พยาน มีสามอย่าง คือพระจิตเจ้า นํ้าและพระโลหิต และพยานทั้งสามอย่างก็ตรงกัน ถ้าเรา ยอมรับการเป็นพยานของมนุษย์ การเป็นพยานของพระเจ้านัน้ ย่อมยิง่ ใหญ่กว่า คือการ เป็นพยานที่พระเจ้าทรงให้เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ใดเชื่อในพระบุตรของ พระเจ้า ย่อมมีการเป็นพยานอยู่ในตัวเขาแล้ว แต่ผู้ที่ไม่เชื่อ ย่อมทำ�ให้พระเจ้าเป็นผู้ ตรัสคำ�เท็จ เพราะเขาไม่เชื่อการเป็นพยานซึ่งพระเจ้าประทานให้เกี่ยวกับพระบุตรของ พระองค์ การเป็นพยานนี้คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดรแก่เรา และชีวิตนี้อยู่ในพระ บุตรของพระองค์ ผูใ้ ดมีพระบุตรย่อมมีชวี ติ และผูใ้ ดไม่มพี ระบุตรของพระเจ้าย่อมไม่มี ชีวิต ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ถึงท่านทั้งหลาย ซึ่งเชื่อในพระนามพระบุตรของพระเจ้า เพื่อ ท่านจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร พระวรสาร มก 1:7-11 เวลานั้น ยอห์นประกาศว่า “มีอีกผู้หนึ่งกำ�ลังมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงอำ�นาจยิ่ง กว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะก้มลงแก้สายรัดรองเท้าของเขา ข้าพเจ้าใช้นํ้า ทำ�พิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่เขาจะทำ�พิธีล้างให้ท่าน เดชะพระจิตเจ้า” ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี และทรงรับพิธีล้างจาก ยอห์นในแม่นาํ้ จอร์แดน ทันทีทพี่ ระองค์เสด็จขึน้ จากนํา้ ก็ทรงเห็นท้องฟ้าถูกแหวกออก พระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจนกพิราบ และมีเสียงมาจากฟากฟ้าว่า “ท่าน เป็นบุตรที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” เมือ่ พระเยซูเจ้าทรงรับพิธลี า้ ง พระเจ้าทรงเผยพระองค์อย่างเต็มเปีย่ ม พระ จิตเสด็จมาเหนือพระองค์ พระบิดาทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรสุดทีร่ กั เป็นการ เริม่ ต้นแห่งศีลล้างของทุกคนทีเ่ ชือ่ ในพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงสัง่ สาวกให้ไปประกาศข่าวดี และใครทีเ่ ชือ่ ให้ท�ำ พิธลี า้ งในพระนามของพระบิดา พระบุตรและพระจิต นักบุญยอห์นจึง เตือนทุกคนทีไ่ ด้รบั ศีลล้างต้องเป็นพยานถึงการเป็นบุตรพระเจ้าด้วยชีวติ และพฤติกรรมที่ สอดคล้องกับชีวติ พระเยซูเจ้าและคำ�สอนของพระองค์ ใครทีม่ ชี วี ติ ของพระเยซูเจ้าก็มชี วี ติ เพราะพระองค์ทรงเป็นชีวิต ในขณะที่ใครที่ไม่มีชีวิตของพระองค์ ก็ไม่มีชีวิตนั่นเอง
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 148 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
สมโภช พระคริสตเจ้า ทรงแสดงองค์
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 60:1-6 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด จงฉายแสงเจิดจ้า เพราะความสว่างของเจ้ามาแล้ว พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทอแสงเหนือเจ้า ดูซิ ความมืดปกคลุมแผ่นดิน และความมืดทึบปกคลุมประชาชาติทงั้ หลาย แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะทรงทอแสงเหนือ เจ้า ทุกคนจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์เหนือเจ้า นานาชาติจะเดินมาหาความ สว่างของเจ้า บรรดากษัตริย์จะทรงพระดำ�เนินมาสู่ความสดใสที่ทอแสงเหนือเจ้า จง เงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบเถิด เขาเหล่านั้นทุกคนมาชุมนุมกันและเดินมาพบเจ้า บุตร ชายทั้งหลายของเจ้ามาจากที่ไกล บุตรหญิงของเจ้าก็ถูกอุ้มมาด้วย เมื่อเจ้าเห็นดังนี้ก็ จะปลาบปลื้ม ใจของเจ้าจะตื่นเต้นและยินดี เพราะความมั่งคั่งของทะเลจะกลับมาหา เจ้า ทรัพย์สมบัติของนานาชาติจะมายังเจ้า ฝูงอูฐจะมาอยู่เต็มถนนของเจ้า รวมทั้ง คาราวานอูฐจากมีเดียนและเอฟาห์ ทุกคนจะมาจากเชบา นำ�ทองคำ�และกำ�ยานมาด้วย และจะสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าคนทั้งหลาย เพลงสดุดี สดด 72:1-2,7-8,10-11,12-13 ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานวิจารณญาณของพระองค์แด่พระราชา และประทานความเที่ยงธรรมของพระองค์แก่พระโอรสของพระราชาด้วย ขอพระราชาทรงปกครองประชากรของพระองค์ด้วยความชอบธรรม และทรงดูแลคนยากจนของพระองค์ด้วยวิจารณญาณ ข) ในรัชสมัยของพระราชา ขอให้ความชอบธรรมเจริญงอกงาม และมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งตราบสิ้นแสงจันทร์ ขอให้พระอาณาจักรแผ่ขยายจากทะเลจรดทะเล จากแม่น�้ำจนสุดปลายแผ่นดิน ค) ขอบรรดากษัตริย์แห่งทาร์ซิสและหมู่เกาะทั้งหลายน�ำบรรณาการมาถวาย กษัตริย์แห่งเชบาและซาบาน�ำของก�ำนัลมาถวายด้วย ขอกษัตริย์ทั้งหลายกราบถวายบังคมพระราชา และนานาชาติรับใช้พระองค์ ง) ขอพระราชาทรงปลดปล่อยผู้ขัดสนที่ร้องหาพระองค์ และทรงช่วยคนยากจนที่ไม่มีผู้ช่วยให้รอดพ้น ขอทรงสงสารผู้อ่อนแอและผู้ขัดสน ทรงช่วยผู้ขาดแคลนให้รอดจากความตาย บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 3:2-3ก, 5-6 พี่น้อง ท่านคงรู้แล้วถึงพระหรรษทานซึ่งพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้าประกอบ
พันธกิจเพื่อประโยชน์ของท่าน ข้าพเจ้ารู้ธรรมลํ้าลึกนี้เพราะ พระเจ้าทรงเปิดเผย ธรรมลํ้าลึกนี้พระองค์มิได้ทรงเปิดเผย ให้มนุษย์ในอดีตรู้ แต่บัดนี้พระเจ้าทรงเปิดเผยเดชะพระจิต เจ้าให้แก่บรรดาอัครสาวกและประกาศกผู้ศักดิ์สิทธิ์รู้ว่า คน ต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมในกองมรดกเดียวกัน ร่วมเป็นกาย เดียวกัน ร่วมรับพระสัญญาเดียวกันในพระคริสตเยซูอาศัย ข่าวดี
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 2:1-12 ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด พระเยซูเจ้าประสูติที่เมือง เบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวัน ออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม สืบถามว่า “กษัตริยช์ าวยิว ที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำ�พระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์” เมื่อ กษัตริย์เฮโรดทรงทราบข่าวนี้ พระองค์ทรงวุ่นวายพระทัย ชาวกรุงเยรูซาเล็มทุกคนต่างก็วุ่นวายใจไปด้วย พระองค์ทรงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ ตรัสถามเขาว่า “พระคริสต์จะประสูติที่ใด” เขาจึงทูลตอบว่า “ในเมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย เพราะประกาศกเขียนไว้ว่า เมืองเบธเลเฮม ดินแดนยูดาห์ เจ้ามิใช่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์ เพราะผู้นำ�คนหนึ่งจะออกมาจากเจ้า จะเป็นผู้เลี้ยงดูอิสราเอลประชากรของเรา” ดังนั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเรียกบรรดาโหราจารย์มาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ทรงซักถามถึงวันเวลาที่ ดาวปรากฏ แล้วทรงใช้บรรดาโหราจารย์ไปทีเ่ มืองเบธเลเฮม ทรงกำ�ชับว่า “จงไปสืบถามเรือ่ งพระกุมารอย่าง ละเอียด และเมื่อพบพระกุมารแล้ว จงกลับมาบอกให้เรารู้ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย” เมื่อบรรดาโหราจารย์ได้ฟังพระดำ�รัสแล้วก็ออกเดินทาง ดาวที่เขาเห็นทางทิศตะวันออกปรากฏอีกครั้ง หนึง่ นำ�ทางให้ และมาหยุดนิง่ อยูเ่ หนือสถานทีป่ ระทับของพระกุมาร เมือ่ เห็นดาวอีกครัง้ หนึง่ บรรดาโหราจารย์ มีความยินดียงิ่ นัก เขาเข้าไปในบ้าน พบพระกุมารกับพระนางมารียพ์ ระมารดา จึงคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ แล้วเปิดหีบสมบัติ นำ�ทองคำ� กำ�ยาน และมดยอบ ออกมาถวายพระองค์ แต่พระเจ้าทรงเตือนเขาในความ ฝันมิให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรด เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น พระเจ้าทรงเผยแสดงพระองค์อย่างต่อเนือ่ ง เพราะนัน่ คือพระประสงค์ของพระองค์ เพือ่ ให้ทกุ คน ทีร่ บั รูแ้ ละเข้าถึงพระองค์จะได้รบั ความรักและความรอดทีพ่ ระองค์ทรงสัญญา และเมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จมาบังเกิด เป็นมนุษย์ การเผยแสดงของพระเจ้าก็สมบูรณ์และเป็นรูปธรรม พระเยซูเจ้าทรงเผยให้มนุษย์รู้ว่าพระเจ้าทรง เป็นใครด้วยความเป็นมนุษย์ของพระองค์ ด้วยการกระทำ�และด้วยพระวาจาของพระองค์ ไม่เพียงแก่ชนชาติ อิสราเอล แต่แก่ชนทุกชาติ พร้อมกันนั้น พระองค์ทรงประสงค์ให้ศิษย์ของพระองค์สานต่อการเผยแสดงนี้เพื่อ ให้ทุกคนได้รับรู้และร่วมรับมรดกของพระเจ้าและข่าวดีของพระเยซูเจ้าดังที่นักบุญเปาโลยืนยันไว้
ฉลองพระเยซูเจ้า ทรงรับพิธีล้าง สดด 29:1-2,3-4,9-10
บทอ่านที่ 1 อสย 42:1-4,6-7 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “นีค่ อื ผูร้ บั ใช้ของเรา ซึง่ เราเชิดชู เราเลือกเขาเพราะเรา พอใจเขา เราให้จิตของเราแก่เขา เขาจะนำ�ความยุติธรรมไปให้แก่นานาชาติ เขาจะไม่ ร้องตะโกนหรือเปล่งเสียงดัง จะไม่ทำ�ให้ใครได้ยินเสียงของเขาตามถนน ไม้อ้อที่ชํ้า แล้ว เขาจะไม่หกั และไส้ตะเกียงทีร่ บิ หรีอ่ ยู่ เขาจะไม่ดบั เขาจะประกาศความยุตธิ รรม ด้วยความสัตย์จริง เขาจะไม่หมดหวังหรือท้อใจ จนกว่าจะได้สถาปนาความยุติธรรมไว้ บนแผ่นดิน ดินแดนชายทะเลจะรอคอยคำ�สอนของเขา เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เรา เรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม เราจับมือของท่านและรักษาท่านไว้ เราให้ท่านเป็น พันธสัญญาของประชากร และเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อเปิดตาคนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ�จากคุก ปลดปล่อยผู้ที่อยู่ในความมืดจากที่คุมขัง
บทอ่านที่ 2 กจ 10:34-38 ขณะนั้น เปโตรเริ่มพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงลำ�เอียง ทุกคนที่ยำ�เกรงพระองค์และ ปฏิบัติความชอบธรรม ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติใด ย่อมเป็นที่พอพระทัยพระองค์ พระองค์ทรงมอบพระวาจาแก่ลกู หลานของชาวอิสราเอล โดยทรงประกาศข่าวดีแห่งสันติสขุ เดชะพระ เยซูคริสตเจ้า พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของทุกคน ท่านทั้งหลายรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั่วแคว้นยูเดีย เริ่มต้นที่แคว้นกาลิลี หลังจากที่ยอห์นได้เทศน์สอนและทำ�พิธีล้าง พระเจ้าทรงเจิมพระเยซู เจ้าชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปที่ใด ทรงกระทำ�ความดีและทรง รักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำ�นาจของปีศาจ เพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์ พระวรสาร มก 1:7-11 เวลานัน้ ท่านยอห์นประกาศว่า “มีอกี ผูห้ นึง่ กำ�ลังมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงอำ�นาจยิง่ กว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้า ไม่สมควรแม้แต่จะก้มลงแก้สายรัดรองเท้าของเขา ข้าพเจ้าใช้นํ้าทำ�พิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่เขาจะทำ�พิธี ล้างให้ท่าน เดชะพระจิตเจ้า” ครัง้ นัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี และทรงรับพิธลี า้ งจากยอห์นในแม่นาํ้ จอร์แดน ทันทีที่พระองค์เสด็จขึ้นจากนํ้า ก็ทรงเห็นท้องฟ้าถูกแหวกออก พระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจ นกพิราบ และมีเสียงมาจากฟากฟ้าว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” นักบุญเปโตรยืนยันว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของทุกคนทีย่ �ำ เกรงพระองค์และยึดมัน่ ในความชอบ ธรรม และพระเยซูเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของทุกคน ไม่ใช่แค่ของชาติใดชาติหนึ่ง เพราะพระองค์ทรงไถ่ กูท้ กุ คนด้วยความตายของพระองค์ ทุกคนจึงมีสทิ ธิใ์ นข่าวดีของพระองค์และในทุกอย่างในพันธกิจของพระองค์ ในฐานะพระบุตรสุดทีร่ กั ของพระบิดา ดังทีม่ กี ารบรรยายไว้ในหนังสือประกาศกอิสยาห์ ซึง่ หลังจากนัน้ พระองค์ จะยืนยันอีกครัง้ หนึง่ ในศาลาธรรมทีเ่ มืองนาซาเร็ธ เป็นการตอกยํา้ สำ�หรับทุกคนทีไ่ ด้รบั ศีลล้างและกลับเป็นบุตร ของพระเจ้าว่า แต่ละคนจะต้องเป็นและทำ�เช่นเดียวกันกับพระองค์
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 1:9-20 ครั้งหนึ่งที่เมืองชิโลห์ เมื่อนางฮันนาห์กินและดื่มแล้ว ก็ลุกขึ้นไปอยู่เฉพาะ พระพักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า สมณะเอลีนงั่ อยูท่ เี่ ก้าอีข้ า้ งประตูวหิ ารขององค์พระผูเ้ ป็น เจ้า นางเศร้าโศกมาก ร้องไห้อย่างขมขื่น พลางอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า นาง บนบานว่าดังนี้ “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล โปรดทอดพระเนตรมายังผูร้ บั ใช้ สัปดาห์ที่ 1 ทีม่ คี วามทุกข์ของพระองค์เถิด โปรดระลึกถึงข้าพเจ้า โปรดอย่าลืมผูร้ บั ใช้ของพระองค์ เลย ถ้าพระองค์ประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่ผู้รับใช้ ข้าพเจ้าจะถวายเขาแด่องค์พระผู้ เทศกาลธรรมดา เป็นเจ้าตลอดชีวิตของเขา ใบมีดจะไม่โกนศีรษะของเขาเลย” 1 ซมอ 2:1,4-5,6-7ก, ขณะที่นางอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เป็นเวลานาน เอลีเฝ้าดูอากัปกิริยา 7ข-8ค จากริมฝีปากของนาง นางฮันนาห์อธิษฐานในใจ ริมฝีปากขมุบขมิบ แต่มิได้เปล่งเสียง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ออกมา เอลีคิดว่านางเมาเหล้า จึงถามนางว่า “เธอจะเมาอีกนานเท่าใด จงเลิกเมาเสีย เถิด” นางฮันนาห์ตอบว่า “นายเจ้าขา ดิฉันไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัยใดๆ ดิฉันเป็น หญิงมีความทุกข์สาหัส จึงอธิษฐานระบายความทุกข์ในใจเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าคิดว่า ผู้รับใช้ผู้นี้ของท่านเป็นหญิงเหลวไหลเลย ที่ดิฉันอธิษฐานเช่นนี้ ก็เพราะดิฉันเป็นทุกข์โศกเศร้ามาก” เอลี จึงว่า “จงไปเป็นสุขเถิด ขอพระเจ้าแห่งอิสราเอลประทานให้ตามทีเ่ ธอทูลขอจากพระองค์” นางตอบว่า “ขอ ท่านโปรดปรานผู้รับใช้ผู้นี้เถิด” แล้วนางก็ลาจากไปกินอาหารและไม่เศร้าโศกอีก วันรุ่งขึ้น เอลคานาห์และครอบครัวลุกขึ้นแต่เช้าตรู่นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเดินทางกลับบ้านที่ เมืองรามาห์ เอลคานาห์หลับนอนกับนางฮันนาห์ภรรยา แล้วองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงระลึกถึงนาง นางฮันนาห์ ก็ตั้งครรภ์และเมื่อถึงเวลากำ�หนดก็ให้กำ�เนิดบุตรชาย นางตั้งชื่อเขาว่าซามูเอล “เพราะนางเคยทูลขอบุตรนี้ จากองค์พระผู้เป็นเจ้า” พระวรสาร มก 1:21-28 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์ เสด็จเข้าไปในศาลาธรรม และทรงเริ่มสั่งสอน คำ�สั่งสอนของพระองค์ทำ�ให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำ�นาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์ ขณะนั้น ในศาลาธรรมชายคนหนึ่งซึ่งปีศาจสิงอยู่ ร้องตะโกนว่า “ท่านมายุ่งกับเราทำ�ไม เยซูชาวนาซา เร็ธ ท่านมาทำ�ลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงดุ ปีศาจและตรัสสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” เมื่อปีศาจทำ�ให้ชายผู้นั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออก ไปจากเขา ทุกคนต่างประหลาดใจ จึงถามกันว่า “นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำ�สั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำ�นาจ เขาสั่ง แม้กระทัง่ ปีศาจ และมันก็เชือ่ ฟัง” แล้วกิตติศพั ท์ของพระองค์กเ็ ลือ่ งลือไปทุกแห่งตลอดทัว่ แคว้นกาลิลที นั ที พระเยซูเจ้าทรงสอนอย่างทรงอำ�นาจต่างกับบรรดาธรรมาจารย์ เพราะทรงสอนสิง่ ทีพ่ ระองค์ทรง เป็นและทรงทำ� ในขณะทีธ่ รรมาจารย์สอนคนอืน่ แต่ไม่ท�ำ สิง่ ทีพ่ ระองค์ทรงสอนคือตัวพระองค์เอง คำ�สอนของ พระองค์จงึ ทรงฤทธิ์ กระทัง่ ปีศาจทีส่ งิ อยูใ่ นชายคนหนึง่ ถึงขนาดร้อนตัว กระนัน้ ก็ดี ฤทธิอ์ �ำ นาจของพระองค์จะ เกิดผลทางพระวาจาของพระองค์หรือไม่ ขนาดไหน ก็ขนึ้ อยูค่ นทีฟ่ งั จะเปิดใจรับหรือไม่ ขนาดไหน ตัวอย่างของ นางฮันนาห์ชี้ให้เห็นถึงท่าทีของคนที่เปิดใจกับพระเจ้าในทุกสิ่ง
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 3:1-10,19-20 หนุม่ ซามูเอลรับใช้องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอยูใ่ นความดูแลของเอลี ในสมัยนัน้ พระดำ�รัส ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีน้อย และไม่ค่อยมีนิมิตจากพระองค์ คืนหนึ่ง เอลีซึ่งบัดนี้ นัยน์ตามืดมัวจนเกือบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว นอนอยู่ในห้องของตน ดวงประทีปใน สักการสถานของพระเจ้ายังไม่ดับ ซามูเอลกำ�ลังนอนอยู่ในสักการสถานขององค์ พระผูเ้ ป็นเจ้า ทีม่ หี บี พันธสัญญาของพระเจ้าประดิษฐานอยู่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเรียก สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา ซามูเอล เขาทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” แล้ววิ่งไปหาเอลีพูดว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้า สดด 40:1 และ 4, 6-7ก, ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” แต่เอลีตอบว่า “พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ” ซามูเอลก็ กลับไปนอน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกอีก...ซามูเอลยังไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง 7ข-8,9 เรียกเขา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงเปิดเผยพระวาจาแก่เขามาก่อน องค์พระผู้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สาม เขาก็ลุกขึ้นไปหาเอลีพูดว่า “ท่านเรียก ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” เอลีจึงเข้าใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเด็กนั้น เอลี บอกซามูเอลว่า “กลับไปนอนเถอะ ถ้ามีเสียงเรียกลูกอีกก็จงตอบว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำ�ลังฟังอยู่’” ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเสด็จมาประทับทีน่ นั่ ตรัสเรียกเช่นครัง้ ก่อนว่า “ซามูเอล ซามูเอล” ซามูเอลทูลตอบ ว่า “ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำ�ลังฟังอยู่” ซามูเอลเจริญวัยขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และทรงทำ�ให้คำ�พูดทุกคำ�ของซามูเอลเป็นจริง... พระวรสาร มก 1:29-39 ทันทีที่ออกจากศาลาธรรม พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์พร้อมกับยากอบและ ยอห์น มารดาของภรรยาซีโมนกำ�ลังนอนป่วยเป็นไข้อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ให้ทรงทราบทันที พระองค์เสด็จ เข้าไปจับมือนาง พยุงให้ลุกขึ้น นางก็หายไข้ และรับใช้ทุกคน เย็นวันนั้น เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว มีคนนำ�ผู้ป่วยและผู้ถูกปีศาจสิงมาเฝ้าพระองค์ คนทั้งเมืองมารวม กันที่ประตู พระองค์ทรงรักษาหลายคนที่เป็นโรคต่างๆ ให้หาย ทรงขับไล่ปีศาจออกไป แต่ไม่ทรงอนุญาตให้ มันพูด เพราะมันรู้จักพระองค์ วันต่อมา พระองค์ทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เสด็จออกจากบ้านไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่น ซีโมนและผู้ที่อยู่กับเขาตามหาพระองค์ เมื่อพบแล้ว จึงทูลพระองค์ว่า “ทุกคนกำ�ลังแสวงหาพระองค์” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราไปที่อื่นกันเถิด ไปตามตำ�บลใกล้เคียง เพื่อจะได้เทศน์สอนที่นั่นด้วย เพราะเรามา ด้วยจุดประสงค์นี้” พระองค์จึงเสด็จไปเทศน์สอนตามศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลี ทรงขับไล่ปีศาจด้วย พระเจ้าตรัสกับมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ตรัสผ่านทางความรัก ความเมตตา และการให้อภัย หากแต่ เป็นมนุษย์เองที่ไม่เปิดใจรับฟังพระองค์ นอกจากไม่ดำ�เนินชีวิตอย่างมีสติพร้อมฟังพระองค์แล้ว ยังมีเสียงพูด เสียงจาและกระแสสังคมรอบข้างทีท่ �ำ ให้พระสุรเสียงของพระเจ้าดับไปหรือแผ่วเบาลง แล้วทีส่ ดุ มนุษย์กด็ �ำ เนิน ชีวิตตามกระแสนิยมและคำ�พูดคำ�จาที่ได้ยินไปจนกระทั่งหลงออกนอกเส้นทางพระวาจา การดำ�เนินชีวิตอย่าง มีสติจึงเป็นสิ่งสำ�คัญเพื่อจะได้ยินพระองค์ และเมื่อใดที่สับสนกับสิ่งที่กระแสสังคมและคนรอบข้างบอก เมื่อนั้น ต้องเข้าหาพระเจ้าแบบพระเยซูเจ้าและทูลพระองค์เหมือนซามูเอลว่า “ตรัสมาเถิด ผูร้ บั ใช้ของพระองค์ก�ำ ลังฟัง อยู่”
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 4:1-11 ชาวอิสราเอลทุกคนจึงฟังถ้อยคำ�ของซามูเอล เนือ่ งจากเอลีชรามากและบุตรของ เขายังดื้อรั้นอยู่ในความประพฤติชั่วต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ครัง้ นัน้ ชาวอิสราเอลออกไปสูร้ บกับชาวฟีลสิ เตีย ตัง้ ค่ายอยูท่ เี่ อเบนเอเซอร์ ส่วน ชาวฟีลสิ เตียตัง้ ค่ายอยูท่ อี่ าเฟก ชาวฟีลสิ เตียตัง้ แนวรบเข้าต่อสูก้ บั ชาวอิสราเอล และ สัปดาห์ที่ 1 สูร้ บกันอย่างหนัก ชาวอิสราเอลพ่ายแพ้ชาวฟีลสิ เตียซึง่ ฆ่าชาวอิสราเอลประมาณสีพ่ นั คนในสนามรบ เมื่อกำ�ลังพลอิสราเอลกลับมาในค่าย บรรดาผู้อาวุโสถามว่า “ทำ�ไมวัน เทศกาลธรรมดา นีอ้ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงทรงปล่อยให้เราพ่ายแพ้ชาวฟีลสิ เตีย เราจงไปนำ�หีบพันธสัญญา สดด 44:9-10, ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลมาจากเมืองชิโลห์เถิด เพื่อพระองค์จะเสด็จไปกับ 13-14,23-26 เรา และทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากศัตรู” ประชากรจึงส่งคนไปที่เมืองชิโลห์ เพื่อนำ�หีบ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 พันธสัญญาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล ผูป้ ระทับอยูเ่ หนือบัลลังก์ระหว่างเครูบ โฮฟนีและฟีเนหัสบุตรทั้งสองคนของเอลีก็มาพร้อมกับหีบพันธสัญญา เมื่อหีบพันธ สัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่าย ชาวอิสราเอลทุกคนโห่ร้องเสียงดังสนั่น จนแผ่นดินสั่นสะเทือน... เมื่อชาวฟีลิสเตียรู้ว่า หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่ายชาวฮีบรู เขาก็มีความกลัว พูดกันว่า “พระเจ้าเสด็จมาในค่ายของเขาแล้ว เราแพ้แน่ๆ ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก่อนเลย เราแพ้แน่ๆ ใคร จะช่วยเราให้รอดพ้นจากอำ�นาจของพระเจ้าผูท้ รงอานุภาพนีไ้ ด้ พระเจ้าองค์นแี้ หละทรงส่งภัยพิบตั มิ าทำ�ลาย ชาวอียิปต์ในถิ่นทุรกันดาร ชาวฟีลิสเตียทั้งหลาย จงกล้าหาญ และเป็นลูกผู้ชายเถิด มิฉะนั้น ท่านจะต้อง เป็นทาสของชาวฮีบรู เหมือนที่เขาเคยเป็นทาสของท่าน จงสู้รบอย่างลูกผู้ชายเถิด” ชาวฟีลิสเตียเข้าสู้รบ ชาวอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างหนีกลับบ้านของตน เป็นความปราชัยอย่างใหญ่หลวง ชาวอิสราเอลถูกฆ่าตาย ถึงสามหมื่นคน หีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไป โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรทั้งสองคนของเอลีก็ถูกฆ่าด้วย พระวรสาร มก 1:40-45 เวลานัน้ ผูเ้ ป็นโรคเรือ้ นคนหนึง่ มาเฝ้าพระเยซูเจ้า คุกเข่าอ้อนวอนว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัส ว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรง กำ�ชับอย่างแข็งขันว่า “ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครรู้เลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชา ตามที่โมเสสกำ�หนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว” แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขา ก็ปา่ วประกาศกระจายข่าวไปทัว่ จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จงึ ประทับอยู่นอกเมืองในที่เปลี่ยว แม้กระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์ ชาวอิสราเอลคิดว่าตราบใดทีพ่ วกเขามีหบี พระบัญญัติ พวกเขาก็มพี ระเจ้าอยูก่ บั พวกเขา พวกเขา ไม่กลัวใคร ทว่า แม้พวกเขาจะมีหบี พระบัญญัตอิ ยูท่ า่ มกลางพวกเขา แต่จติ ใจของพวกเขาอยูห่ า่ งไกลจากพระเจ้า ไม่ยอมทำ�ตามที่พระองค์ทรงสั่ง เมื่อพฤติกรรมของพวกเขาไม่อยู่กับพระเจ้า แม้จะมีหีบพระบัญญัติอยู่ ก็หาใช่่ ว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่นไม่ เพราะที่ที่พระเจ้าประทับอยู่แท้จริงคือจิตใจของมนุษย์ เป็นจิตใจที่เชื่อฟังพระองค์ จิตใจ ที่เปิดกว้างให้การต้อนรับพระองค์ จิตใจที่ไว้วางใจในพระองค์ ถึงขนาดปล่อยให้พระองค์ทรงทำ�กับชีวิตตนตาม ที่พระองค์ทรงเห็นดี ดังท่าทีของคนโรคเรื้อนที่มาพบพระเยซูเจ้า
ÈØ¡Ã
บทอ่านที่ 1 2 ทธ 2:1-13 ลูกรัก ท่านจงรับพละกำ�ลังจากพระหรรษทานซึง่ อยูใ่ นพระคริสตเยซู จงถ่ายทอด สิ่งที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้า... จงร่วมทนทุกข์กบั ผูอ้ น่ื เหมือนทหารทีด่ ขี องพระคริสตเยซู ทหารทุกคนจะไม่เข้าไป เกี่ยวกับกิจการของพลเรือน เขามุ่งทำ�ให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ นักกีฬาก็เช่นเดียวกัน ระลึกถึง ไม่มีใครได้ชัยชนะนอกจากจะได้แข่งขันตามกติกา ชาวนาที่ตรากตรำ�ทำ�งานควรเป็นผู้ บุญราศีนิโคลาส ทีจ่ ะได้รบั ผลก่อนผูอ้ นื่ จงพิจารณาสิง่ ทีข่ า้ พเจ้าพูดนี้ และองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะประทาน บุญเกิด กฤษบำ�รุง ให้ท่านเข้าใจทุกๆ เรื่อง จงระลึกถึง “พระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ทรง พระสงฆ์ มรณสักขี สืบเชือ้ สายมาจากกษัตริยด์ าวิด” ตามข่าวดีทขี่ า้ พเจ้าประกาศ เพราะข่าวดีนเี้ อง ข้าพเจ้า สดด 34:1-8 จึงต้องทนทุกข์จนต้องถูกจองจำ�เหมือนเป็นอาชญากร แต่พระวาจาของพระเจ้าจะถูก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 จองจำ�ไม่ได้ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงทนทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่ผู้ที่ได้รับเลือกสรร เพื่อพวกเขาจะ ได้รบั ความรอดพ้นซึง่ อยูใ่ นพระคริสตเยซู พร้อมกับชีวติ ในสิรริ งุ่ โรจน์ตลอดนิรนั ดรด้วย ต่อไปนี้คือถ้อยคำ�ที่เชื่อถือได้ ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ ถ้าเราอดทน มั่นคง เราย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์ ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ย่อมจะทรงปฏิเสธเรา ถ้าเรา ไม่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไป เพราะจะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้
Á¡ÃÒ¤Á
พระวรสาร ยน 15:9-17 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รกั ท่านทัง้ หลายอย่างนัน้ จงดำ�รงอยูใ่ นความรักของเราเถิด ถ้า ท่านปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตขิ องเรา ท่านก็จะดำ�รงอยูใ่ นความรักของเรา เหมือนกับทีเ่ ราปฏิบตั ติ ามบทบัญญัติ ของพระบิดาของเรา และดำ�รงอยู่ในความรักของพระองค์ เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรัก กัน เหมือนดังที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย ท่านทั้งหลาย เป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำ�ตามที่เราสั่งท่าน เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ ว่านายของตนทำ�อะไร เราเรียกท่านเป็นมิตรสหาย เพราะเราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดา ของเรา มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำ�จนเกิดผล และผลของ ท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน เราสั่งท่าน ทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน” พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ที่ดำ�รงอยู่ในความรักก็ดำ�รงอยู่ในพระองค์ ผู้ที่ดำ�รงอยู่ในพระองค์ก็มี พลังของพระองค์ในตน พลังแห่งความรัก หนังสือบุตรสิราสรรเสริญพระเจ้าสำ�หรับพลังและฤทธิ์อำ�นาจของ พระเจ้า ที่ทรงพิทักษ์รักษาคุ้มครองให้ปลอดภัยจากแผนการของคนชั่วร้าย ในทำ�นองเดียวกันนักบุญเปาโล ยืนยันว่าการดำ�เนินชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าคือที่มาของพลังแห่งความสัตย์ซื่อในการเป็นศิษย์ของ พระองค์ ศิษย์ของพระองค์คือผู้ที่รักเหมือนพระองค์ทรงรัก รักได้แม้กระทั่งเสียสละชีวิตตามแบบอย่างของ พระองค์
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 9:1-4,17-19,และ 10:1 ชายผู้หนึ่งจากเผ่าเบนยามินชื่อ คีช เป็นคนรํ่ารวย เขาเป็นบุตรของอาบีเอล บุตร ของเศโรห์ บุตรของเบโครัท บุตรของอาฟียาห์ บุตรของคนเผ่าเบนยามิน คีชมีบุตร ชายคนหนึง่ ชือ่ ซาอูล เป็นชายหนุม่ หน้าตาดี มีรปู ร่างงามสง่ากว่าชาวอิสราเอลทัง้ หลาย สูงกว่าคนอื่นราวหนึ่งศอก น.ฮีลารี วันหนึง่ ฝูงลาของคีชบิดาของซาอูลพลัดหลงไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูลบุตรของตน ว่า “จงนำ�ผู้รับใช้ไปด้วยคนหนึ่ง ออกตามหาลาเหล่านั้นเถิด” ทั้งสองคนจึงข้ามเขต พระสังฆราช ภูเขาเอฟราอิม ผ่านไปถึงแผ่นดินชาลิชาแต่ก็หาไม่พบ เขาจึงไปหาที่แผ่นดินชาอาลิม และนักปราชญ์ แต่ลาก็ไม่อยู่ที่นั่น เขาข้ามเขตแดนเบนยามิน แต่ก็ยังไม่พบอีก สดด 21:1-2,3-4,5-6 เมื่อซามูเอลเห็นซาอูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับเขาว่า “ชายผู้นี้คือผู้ที่เราบอก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ท่านว่า ‘เขาจะปกครองประชากรของเรา’” ซาอูลเข้าไปพบซามูเอลที่ประตูเมือง ถาม ว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า บ้านของผู้ทำ�นายอยู่ที่ไหน” ซามูเอลตอบซาอูลว่า “ข้าพเจ้าคือผู้ทำ�นาย จงเดินนำ�หน้าข้าพเจ้าขึ้นไปยังสักการสถานบนภูเขา ท่านทั้งสอง คนจะร่วมกินอาหารกับข้าพเจ้าในวันนี้ พรุ่งนี้เช้า ข้าพเจ้าจะตอบคำ�ถามทุกอย่างของ ท่าน แล้วจะให้ท่านไป” ซามูเอลเอาขวดนํ้ามันมะกอกเทศขึ้นมา เทนํ้ามันลงบนศีรษะของซาอูล จูบเขาแล้วพูดว่า “องค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงเจิมท่านให้เป็นผู้นำ�ชาวอิสราเอลประชากรของพระองค์ ท่านจะปกครองประชากรขององค์พระ ผู้เป็นเจ้า ช่วยเขาให้พ้นจากมือของศัตรูที่อยู่โดยรอบ นี่จะเป็นเครื่องหมายพิสูจน์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง เจิมท่านให้เป็นผู้นำ�ประชากรอิสราเอลซึ่งเป็นส่วนมรดกของพระองค์” พระวรสาร มก 2:13-17 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปริมฝั่งทะเลสาบอีก ประชาชนต่างมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรง สั่งสอนเขา ขณะที่ทรงพระดำ�เนินไป พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวี บุตรของอัลเฟอัสกำ�ลังนั่งอยู่ที่ ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป ขณะทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารทีบ่ า้ นของเลวี คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมา ร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์มา บรรดาธรรมาจารย์ทเี่ ป็นฟาริสเี ห็น พระองค์เสวยร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์วา่ “ทำ�ไมอาจารย์ของท่านกินอาหาร กับคนเก็บภาษีและคนบาป” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คน เจ็บไข้ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป” พระเจ้าทรงปกครองดูแลประชากรของพระองค์ผ่านทางผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร ทรงเจิม และ ทรงแต่งตั้งให้ช่วยดูแลพวกเขาอย่างเป็นรูปธรรม ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงเป็นดังตัวแทนของพระองค์ จน กระทัง่ เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ “ผูร้ บั เจิม” ของพระเจ้าอย่างแท้จริง ทรงทำ�หน้าที่ดูแลมนุษย์ ไม่ใช่อย่างคนอื่นๆ ที่ผ่านมาในฐานะกษัตริย์และผู้ปกครอง แต่ทรงดูแลมนุษย์ด้วยรัก และรับใช้...ทุกคน ไม่เว้นใคร ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด เพราะพระองค์ทรงถือว่าทุกคนมีอย่างหนึ่งเหมือนกันหมด นั่นคือการเป็นลูกของพระเจ้า
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 3:3-10,19 ขณะนั้น ดวงประทีปในสักการสถานของพระเจ้ายังไม่ดับ ซามูเอลกำ�ลังนอนอยู่ ในสักการสถานขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่มีหีบพันธสัญญาของพระเจ้าประดิษฐานอยู่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอล เขาทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” แล้ววิ่งไปหาเอลี พูดว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” แต่เอลีตอบว่า “พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับ ไปนอนเถอะ” ซามูเอลก็กลับไปนอน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกอีกว่า “ซามูเอล” ซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีพูดว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” เอลีตอบว่า “ลูกเอ๋ย พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ” ซามูเอลยังไม่รวู้ า่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรง เรียกเขา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงเปิดเผยพระวาจาแก่เขามาก่อน องค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สาม เขาก็ลุกขึ้นไปหาเอลีพูดว่า “ท่านเรียก ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” เอลีจึงเข้าใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเด็กนั้น เอลี บอกซามูเอลว่า “กลับไปนอนเถอะ ถ้ามีเสียงเรียกลูกอีกก็จงตอบว่า ‘ข้าแต่องค์ พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำ�ลังฟังอยู่’” ซามูเอลจึงกลับไปนอน ในที่ของตน องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาประทับที่นั่น ตรัสเรียกเช่นครั้งก่อนว่า “ซามูเอล ซามูเอล” ซามูเอลทูลตอบว่า “ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำ�ลังฟังอยู่” ซามูเอลเจริญวัยขึน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าสถิตกับเขา และทรงทำ�ให้ค�ำ พูดทุกคำ�ของ ซามูเอลเป็นจริง เพลงสดุดี สดด 40:1 และ 3,6-7,8,9 ก) ข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความหวัง แล้วพระองค์ก็ทรงก้มลงมาหาข้าพเจ้า และทรงฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้า พระองค์ทรงใส่เพลงบทใหม่ไว้ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา หลายคนจะแลเห็นและมีความย�ำเกรง จะวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข) พระองค์ไม่ทรงประสงค์เครื่องบูชาหรือของถวายใดๆ แต่ประทานหูให้ข้าพเจ้าฟัง พระองค์มิได้ทรงเรียกร้องเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องบูชาชดเชยบาป ข้าพเจ้าจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ ก�ำลังมาแล้ว ในม้วนหนังสือมีเขียนไว้ส�ำหรับข้าพเจ้า ให้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์
ค) ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าปรารถนาเช่นนั้น ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ลึกในหัวใจของข้าพเจ้า
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 6:13-15,17-20 พี่น้อง ท่านพูดอีกว่า “อาหารมีไว้สำ�หรับท้อง ท้องมีไว้สำ�หรับอาหาร” แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า “พระเจ้า จะทรงทำ�ลายทั้งสองอย่าง” ร่างกายมิได้มีไว้สำ�หรับการล่วงประเวณี แต่มีไว้สำ�หรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และ องค์พระผู้เป็นเจ้ามีไว้สำ�หรับร่างกาย พระเจ้าผู้ทรงปลุกองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ จะ ทรงปลุกเราให้กลับคืนชีพด้วยพระอานุภาพของพระองค์เช่นเดียวกัน ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็น ส่วนประกอบพระวรกายของพระคริสตเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะเอาส่วนประกอบพระวรกายของพระคริสตเจ้านี้ ไปร่วมกับร่างกายของหญิงโสเภณีหรือ เป็นไปไม่ได้ แต่ผู้ที่สนิทสัมพันธ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตใจ เดียวกันกับพระองค์ จงหลีกหนีการล่วงประเวณี บาปทัง้ หลายนัน้ มนุษย์ท�ำ นอกร่างกาย แต่ผทู้ ลี่ ว่ งประเวณีท�ำ บาปต่อร่างกาย ของตนเอง ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าผู้สถิตในท่าน ท่านได้รับพระจิตนี้ จากพระเจ้า ท่านจึงไม่เป็นเจ้าของของตนเอง พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาแพง ดังนั้นจงใช้ร่างกายของ ท่านถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 1:35-42 วันรุ่งขึ้น ยอห์นกำ�ลังยืนอยู่ที่นั่นกับศิษย์สองคน เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไป จึงพูดว่า “นี่คือ ลูกแกะของพระเจ้า” เมื่อศิษย์ทั้งสองคนได้ยินยอห์นพูดดังนี้จึงติดตามพระเยซูเจ้าไป พระเยซูเจ้าทรงหัน พระพักตร์มาทอดพระเนตรเห็นเขากำ�ลังติดตามพระองค์ จึงตรัสถามว่า “ท่านทั้งหลายแสวงหาอะไร” เขา ทูลตอบว่า “รับบี” แปลว่า พระอาจารย์ “พระองค์ทรงพำ�นักอยู่ที่ไหน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มาดูซิ” เขา จึงไปดู เห็นที่ประทับของพระองค์ และพักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสี่โมง อันดรูวน์ อ้ งชายของซีโมนเปโตรเป็นคนหนึง่ ในสองคนทีไ่ ด้ยนิ คำ�พูดของยอห์น และตามพระเยซูเจ้าไป อันดรูว์พบซีโมนพี่ชายเป็นคนแรก จึงพูดว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” พระเมสสิยาห์หรือพระคริสตเจ้า แปลว่า ผู้รับเจิม เขาพาพี่ชายไปเฝ้าพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขา จึงตรัสว่า “ท่านคือ ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านจะมีชื่อว่า ‘เคฟาส’ แปลว่า ‘เปโตร’ หรือ ‘ศิลา’” ตัง้ แต่แรก พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มคี วามเหมือนกับพระองค์ พระองค์คอื ความรัก ความเหมือน ของพระองค์ในมนุษย์แต่ละคนคือความรัก แล้วนัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพือ่ ตอกยาํ้ ศักดิศ์ รีมนุษย์ มนุษย์ไม่เพียง มีความเหมือนพระเจ้าเท่านัน้ แต่มศี กั ดิศ์ รีแห่งการเป็นลูกของพระเจ้า ทรงยกความเหมือนให้เป็นความสัมพันธ์ พ่อ-ลูก โดยทรงประทานพระจิตของพระองค์ให้แก่แต่ละคน มนุษย์มจี ติ ใจเหมือนพระองค์ผา่ นทางพระจิต นักบุญ เปาโลเตือนทุกคนให้ส�ำ นึกถึงความจริงนีแ้ ละรักษาร่างกายให้ศกั ดิส์ ทิ ธิส์ มกับการประทับอยูข่ องพระจิตเจ้า เพือ่ การนี้ เราต้องหมั่นฟังเสียงเรียกของพระองค์เหมือนซามูเอลและร่วมดำ�เนินชีวิตกับพระเยซูเจ้า เหมือนศิษย์ที่ ติดตามไปที่ที่พระองค์ทรงพัก
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา สดด 50:8-9,16-18, 21,23 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 15:16-23 ในครั้งนั้น ซามูเอลทูลตอบซาอูลว่า “พอแล้ว อย่าตรัสอะไรอีก ข้าพเจ้าจะทูลให้ ทรงทราบว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสอะไรกับข้าพเจ้าเมื่อคืนที่แล้ว” กษัตริย์ซาอูลตรัส ว่า “บอกมาเถิด” ซามูเอลทูลตอบว่า “แม้พระองค์จะทรงคิดว่าไม่ทรงเป็นคนสำ�คัญ อะไร แต่พระองค์ก็ทรงเป็นหัวหน้าของเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง เจิมพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งพระองค์ไปปฏิบัติ ภารกิจ...ทำ�ไมพระองค์จึงไม่ทรงเชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทำ�ไม พระองค์จึงทรงเข้าไปไขว่คว้าสิ่งของที่ยึดมาได้ และทรงทำ�สิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์ องค์พระผู้เป็นเจ้า” กษัตริย์ซาอูลทรงตอบซามูเอลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อฟังพระบัญชาของ องค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และออกไปปฏิบัติภารกิจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา... แต่ ประชากรเก็บแพะแกะ และโคตัวดีที่สุดที่ยึดมาได้ และจะต้องถูกฆ่าทำ�ลายเสียนั้น นำ�มาที่เมืองกิลกาลเพื่อถวายเป็นบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน” ซามูเอลก็ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ เท่ากับที่พอพระทัยให้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ฟังเถิด การเชื่อฟังย่อมดี กว่าการถวายบูชา การอ่อนน้อมย่อมดีกว่าไขมันแกะ การใช้เวทมนตร์คาถาเป็นบาป เหมือนการกบฏ การไม่ยอมเชื่อฟังเป็นความผิดเหมือนการกราบไหว้รูปปฏิมา เพราะพระองค์ทรงละทิ้งไม่ยอมปฏิบัติตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์ พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงละทิ้งไม่ให้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ด้วย”
พระวรสาร มก 2:18-22 เวลานั้น บรรดาศิษย์ของยอห์นและชาวฟาริสีกำ�ลังจำ�ศีลอดอาหาร มีผู้ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไม ศิษย์ของยอห์นและศิษย์ของชาวฟาริสีจำ�ศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำ�ศีล” พระองค์ตรัสตอบว่า “ผูร้ บั เชิญมาในงานแต่งงานจะจำ�ศีลอดอาหารได้หรือขณะทีเ่ จ้าบ่าวยังอยูก่ บั เขา ตราบใดทีเ่ จ้าบ่าวยังอยูด่ ว้ ย เขาย่อมไม่จำ�ศีลอดอาหาร แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกพรากไป ในวันนั้น เขาจะจำ�ศีลอดอาหาร ไม่มีใคร นำ�ผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำ�มาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัวมากกว่า ทำ�ให้เป็นรอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าจะทำ�ให้ถุงหนังขาด ทั้งเหล้า และถุงก็จะเสียไป แต่ ต้องใส่เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่”
หลังจากที่ได้รับเจิมให้เป็นกษัตริย์และปกครองประชากรของพระเจ้า กษัตริย์ซาอูลเริ่มทำ�ตามใจ ชอบ ทำ�สิ่งที่ตรงข้ามกับพระประสงค์ของพระเจ้า ประกาศกซามูเอลจึงเตือนให้รู้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวทำ�ให้ พระองค์ออกห่างพระเจ้าและไม่ได้รบั พรจากพระเจ้าเหมือนก่อน ไม่ใช่วา่ พระเจ้าจะทรงเปลีย่ นพระทัยและทรง ถอยห่างไปจากกษัตริย์ซาอูล แต่เป็นกษัตริย์ซาอูลเองที่ทำ�ตัวออกห่างจากพระเจ้า ประวัติศาสตร์ยังคงซํ้ารอย ต่อมาจนถึงสมัยพระเยซูเจ้า บรรดาธรรมาจารย์ ฟาริสี และสมณะต่างทำ�ตัวออกห่างจากพระเจ้าด้วยการทำ� ตามใจชอบ จนกลายเป็นศาสนกิจที่ไม่มุ่งถึงพระเจ้า แต่มุ่งสู่ผลประโยชน์แห่งตน พระเยซูเจ้าทรงนำ�ความใหม่ มาให้ แต่พวกเขายังยึดมั่นถือมั่นเหมือนเดิม จึงไม่ได้ผลอะไรจากการเสด็จมาของพระองค์ เหมือนถุงหนังเก่า แตกเมื่อใส่นํ้าองุ่นใหม่
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 16:1-13 ในครั้งนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ซามูเอลว่า “ท่านจะเป็นทุกข์ใจถึงซาอูลต่อ ไปอีกนานเท่าใด บัดนี้เราละทิ้งเขาไม่ยอมให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลอีกแล้ว จง เอานาํ้ มันมะกอกเทศบรรจุใส่ขวดเขาสัตว์จนเต็ม และออกเดินทาง เราส่งท่านไปทีเ่ มือง เบธเลเฮม ไปหาเจสซี เพราะเราเลือกบุตรคนหนึ่งของเขาเป็นกษัตริย์”... สัปดาห์ที่ 2 ซามูเอลก็ทำ�ตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า... ซามูเอลให้เจสซีกับบุตรทำ� เทศกาลธรรมดา พิธีชำ�ระตน แล้วเชิญให้มาถวายเครื่องบูชา เมือ่ เจสซีกบั บุตรมาถึง ซามูเอลเห็นเอลีอบั ก็คดิ ว่า “ผูท้ อี่ ยูเ่ ฉพาะพระพักตร์องค์ สดด 89:19-20,21, 26-27 พระผู้เป็นเจ้าผู้นี้คือผู้ที่จะต้องรับเจิม” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “อย่า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 สนใจมองแต่รูปร่างหน้าตา หรือความสูงของเขา เพราะเราไม่เลือกเขา องค์พระผู้เป็น เจ้าไม่ทรงมองอย่างมนุษย์มอง มนุษย์มองแต่รปู ร่างภายนอก แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรง มองจิตใจ”... เจสซีพาบุตรทัง้ เจ็ดคนมาพบซามูเอลทีละคน แต่ซามูเอลกล่าวแก่เจสซีวา่ “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ไม่ทรงเลือกคนเหล่านี้คนใดเลย” ซามูเอลถามเจสซีว่า “บุตรชายของท่านมาหมดแล้วหรือ” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง แต่ขณะนี้เขากำ�ลังเลี้ยงแกะอยู่” ซามูเอลสั่งเจสซีว่า “จงส่งคนไปตามเขามา เถิด เราจะไม่นั่งกินอาหารจนกว่าเขาจะมา” เจสซีจึงส่งคนไปตามมา เด็กหนุ่มนั้นมีผมแดง ดวงตางดงาม และรูปร่างดี องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงลุกขึ้น เจิมเขาเถอะ เป็นคนนี้แหละ” ซามูเอลก็เอาขวดเขาสัตว์ ทีบ่ รรจุนาํ้ มันมะกอกเทศมาเจิมดาวิดต่อหน้าบรรดาพีช่ าย พระจิตขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าสถิตกับดาวิดตัง้ แต่ วันนั้นเป็นต้นมา ส่วนซามูเอลก็ออกเดินทางกลับไปที่เมืองรามาห์ พระวรสาร มก 2:23-28 วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์ที่เดินทางอยู่ด้วยเด็ดรวงข้าว ชาว ฟาริสีทูลถามพระองค์ว่า “ทำ�ไมศิษย์ของท่านทำ�สิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่า กษัตริย์ดาวิดทรงทำ�สิ่งใดในยามที่มีความจำ�เป็นและความหิวโหยทั้งพระองค์และ ผูต้ ดิ ตาม พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าเมือ่ อาบียาธาร์เป็นมหาสมณะ เสวยขนมปังทีต่ งั้ ถวาย ซึ่งใครจะกินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น พระองค์ยังทรงให้ผู้ติดตามกินอีกด้วย” แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า “วันสับบาโตมีไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์มีไว้เพื่อวันสับบาโต ดังนั้น บุตร แห่งมนุษย์จึงเป็นนายเหนือแม้กระทั่งวันสับบาโตด้วย” หลายครัง้ มนุษย์รจู้ กั กันจากการมอง การได้ยนิ และตัดสินตามทีไ่ ด้เห็นและได้ยนิ แต่ในพระคัมภีร์ วันนี้ พระเจ้าบอกซามูเอลประกาศกให้ไปเจิมคนทีพ่ ระองค์จะตัง้ ให้เป็นกษัตริยแ์ ห่งอิสราเอลว่า “อย่าสนใจมอง แต่รูปร่างหน้าตา เพราะพระเจ้าไม่มองเหมือนมนุษย์มอง มนุษย์มองแต่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทรงมอง จิตใจ” จิตใจของมนุษย์นนั่ แหละ คือความเป็นคนทีแ่ ท้จริงของเขา เราวอนขอพระเจ้าช่วยขัดเกลาจิตใจของเราให้ สวยงามทุกวัน
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 17:32-33,37,40-51 ในครั้งนั้น ดาวิดทูลกษัตริย์ซาอูลว่า “อย่าให้ใครหมดกำ�ลังใจเพราะชาวฟีลิสเตีย ผู้นี้ ผู้รับใช้ของพระองค์จะไปต่อสู้กับเขาเอง” ซาอูลตรัสกับดาวิดว่า “เจ้าจะไปสู้รบ กับชาวฟีลิสเตียคนนี้ไม่ได้ เจ้ายังเป็นเด็ก ส่วนเขาเป็นนักรบมาตั้งแต่วัยหนุ่ม” ดาวิดเสริมว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากเล็บของสิงโต ระลึกถึง และหมีมาแล้ว จะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของชาวฟีลิสเตียผู้นี้ด้วย” ซาอูลตรัส ตอบดาวิดว่า “ไปเถิด ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้า” น.อันตน ดาวิดหยิบไม้เท้ามาถือไว้ แล้วเก็บก้อนหินเกลี้ยงห้าก้อนจากท้องห้วยใส่ย่ามที่ผู้ เจ้าอธิการ เลี ย ้ งแกะใช้ ถือสลิง เดินเข้าไปหาชาวฟีลิสเตียคนนั้น ชาวฟีลิสเตียค่อยๆ เดินเข้ามา สดด 144:1-2,9-11ก หาดาวิด มีคนถือโล่เดินนำ�หน้า เมื่อชาวฟีลิสเตียมองดูดาวิดเห็นถนัดแล้ว ก็นึกดูถูก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เพราะดาวิดเป็นเพียงเด็กหนุม่ ผมแดงมีรปู ร่างหน้าตาดี ชาวฟีลสิ เตียตะโกนถามดาวิด ว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นสุนัขหรือจึงถือไม้เท้าเข้ามาหา” ชาวฟีลิสเตียออกนามเทพเจ้าของ ตนสาปแช่งดาวิด... ดาวิดตอบชาวฟีลิสเตียว่า “ท่านถือดาบ หอก และแหลนมาสู้กับ ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ามาสู้กับท่าน เดชะพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ที่ท่านดูหมิ่น วันนี้แหละ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบท่านให้อยู่ในมือของข้าพเจ้า...” ชาวฟีลิสเตียเดินตรงเข้ามาหาดาวิดอีก ดาวิดวิ่งลงสู่สนามรบ ไปต่อสู้ชาวฟีลิสเตีย ดาวิดล้วงลงไปใน ย่าม หยิบหินขึน้ มาก้อนหนึง่ ใส่สลิงเหวีย่ งไปถูกหน้าผากของชาวฟีลสิ เตีย ก้อนหินเจาะหน้าผากเข้าไป เขา ล้มหน้าควํ่าลงกับพื้นดิน ดาวิดพิชิตชาวฟีลิสเตียโดยใช้สลิงและก้อนหิน เขาปราบและฆ่าชาวฟีลิสเตียได้ ทั้งๆ ที่ตนไม่มีดาบในมือ ดาวิดวิ่งไปยืนคร่อมร่างชาวฟีลิสเตียไว้ เขาชักดาบของชาวฟีลิสเตียออกจากฝัก ฆ่าเขา และตัดศีรษะออกจากร่าง... พระวรสาร มก 3:1-6 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ที่นั่นมีชายมือลีบคนหนึ่ง ประชาชนบางคน คอยจ้องมองดูว่า พระองค์จะทรงรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ พระองค์ตรัสสั่งชายมือลีบว่า “ลุกขึ้น มายืนตรงกลางนี่ซิ” แล้วตรัสถามคนทั้งหลายว่า “ในวันสับบาโตนั้น ควรทำ�ความดีหรือความชั่ว ควรจะช่วยชีวิตหรือปล่อยให้ตายไป” คนเหล่านั้นก็นิ่งอยู่ พระองค์จึงทอด พระเนตรเขาเหล่านั้นด้วยความกริ้ว เศร้าพระทัยเพราะจิตใจแข็งกระด้างของเขา แล้วตรัสสั่งชายมือลีบว่า “จงเหยียดมือซิ” เขาก็เหยียดมือ มือนัน้ ก็หายลีบเป็นปกติ ชาวฟาริสจี งึ ออกไป และประชุมกับผูน้ ยิ มกษัตริย์ เฮโรดทันที เพื่อปรึกษาว่าจะกำ�จัดพระองค์ได้อย่างไร เมื่อกษัตริย์ซาอูลยับยั้งไม่ให้ดาวิดออกสู้รบกับโกลิอัทนั้น พระองค์มีเหตุผลถูกต้องเพราะรู้ว่าเด็ก ไม่มีทางสู้กับผู้ใหญ่ได้ และการเอาประเทศมาเป็นเดิมพันด้วยเด็กคนหนึ่งเป็นการเสี่ยงมาก แต่เมื่อทราบอดีต ของดาวิดว่า เขารอดพ้นจากเล็บของสิงโตและหมีมาแล้วด้วยอำ�นาจของพระเจ้า พระองค์ก็ยอม และในการ สู้รบ โกลิอัทถูกฆ่าตายไม่ใช่ด้วยดาบหรือหอก แต่เพราะพระเจ้าช่วย อำ�นาจความชัว่ ร้ายดูแล้วใหญ่โตน่ากลัวมาก แต่ถา้ เราเข้าพึง่ พระเจ้าผูย้ งิ่ ใหญ่กว่ามารแล้ว เราจะไม่ผดิ หวัง
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 18:6-9,และ 19:1-7 ในครั้งนั้น เมื่อบรรดาทหารกลับไปบ้านหลังจากที่ดาวิดฆ่าชาวฟีลิสเตียผู้นั้นแล้ว บรรดาสตรีได้ออกจากทุกเมืองของอิสราเอลมารับเสด็จกษัตริย์ซาอูล เขาร้องเพลง เริงระบำ� เล่นรำ�มะนา ส่งเสียงร้องด้วยความยินดีและเล่นเครือ่ งดนตรีอนื่ ๆ บรรดาสตรี พากันเต้นรำ�และขับร้องรับกันว่า สัปดาห์ที่ 2 “ซาอูลฆ่าศัตรูเป็นพัน ดาวิดฆ่าศัตรูเป็นหมื่น” กษัตริย์ซาอูลทรงได้ยินบทเพลงนี้ก็ไม่พอพระทัย กริ้วมาก ตรัสว่า “เขายกย่อง เทศกาลธรรมดา สดด 56:1-3,8-9, ดาวิดว่าฆ่าศัตรูหลายหมื่น ส่วนเรา เขาว่าฆ่าศัตรูหลายพันเท่านั้น เขาจะให้อะไรแก่ 11,12-13 ดาวิด นอกจากจะให้ราชสมบัติ” ตั้งแต่วันนั้น กษัตริย์ซาอูลทรงอิจฉาดาวิดเรื่อยมา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 กษัตริยซ์ าอูลทรงแจ้งให้โยนาธานพระโอรส และข้าราชบริพารทุกคนรูว้ า่ พระองค์ ตั้งพระทัยจะฆ่าดาวิด แต่โยนาธานพระโอรสของกษัตริย์ซาอูลทรงรักดาวิดมาก โยนาธานจึงทรงนำ�ข่าวไปบอกดาวิด... โยนาธานตรัสยกย่องดาวิดให้ซาอูลพระบิดาฟังว่า “ขอกษัตริยอ์ ย่าทำ�ร้ายดาวิดผูร้ บั ใช้ของพระองค์เลย เขาไม่เคยทำ�ผิดอย่างใดต่อพระองค์ ตรงกันข้ามเขากลับทำ�ทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพระองค์อย่างมาก เขาเสี่ยงชีวิต เมื่อฆ่าชาวฟีลิสเตียคนนั้น และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ชาวอิสราเอลมีชัยชนะยิ่งใหญ่ พระ บิดาทรงเห็น ก็ยังทรงยินดี แล้วพระองค์จะยังทรงทำ�ผิดต่อโลหิตของผู้บริสุทธิ์ ฆ่าดาวิดโดยไม่มีเหตุผลอีก หรือ” กษัตริยซ์ าอูลทรงฟังโยนาธานพูดแล้วทรงสาบานว่า “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงพระชนมชีพอยูฉ่ นั ใด เรา จะไม่ฆา่ ดาวิดฉันนั้น” โยนาธานจึงทรงเรียกดาวิดมาเล่าเรือ่ งทั้งหมดให้ฟงั แล้วทรงพาดาวิดไปเฝ้าซาอูล ดา วิดก็รับราชการตามเดิม พระวรสาร มก 3:7-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปยังทะเลสาบกับบรรดาศิษย์ ผู้คนหมู่ใหญ่จากแคว้นกาลิลีติดตาม พระองค์ ผู้คนจากแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากแคว้นอิดูเมอา จากอีกฟากหนึ่งของแม่นํ้าจอร์แดน และจากบริเวณเมืองไทระและไซดอนเป็นหมูใ่ หญ่ ได้ยนิ สิง่ ทีท่ รงกระทำ�ก็มาเฝ้าพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัส สัง่ บรรดาศิษย์ให้จดั เรือไว้ล�ำ หนึง่ เพือ่ ประชาชนจะได้ไม่เบียดเสียดพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักษาผูป้ ว่ ย จำ�นวนมาก จนบรรดาผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆ เบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อสัมผัสพระองค์ เมื่อปีศาจทั้งหลายเห็น พระองค์ ก็กราบลง พลางตะโกนว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงกำ�ชับอย่างแข็งขัน มิให้มันแพร่งพรายว่าพระองค์เป็นใคร เมือ่ คนปล่อยตัวให้เป็นคนชัว่ เขาก็เล่นบทบาทเป็นฆาตกร เป็นลูกน้องของปีศาจซึง่ มีนโยบายเดียว คือทำ�ลายชีวติ มนุษย์ เหมือนกษัตริยซ์ าอูลมีความตัง้ ใจจะฆ่าดาวิดก็เพราะมีคนสรรเสริญดาวิดมากกว่าพระองค์ โชคดีที่ดาวิดมีเพื่อนเป็นโอรสกษัตริย์และได้เตือนสติบิดา ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงทำ�ลายรังของปีศาจทุกแห่งที่พระองค์เสด็จ และพระองค์อยากจะบอกเรา ว่า ถ้าเราอยู่กับพระองค์ เราก็สามารถทำ�ลายอำ�นาจของปีศาจได้เช่นกัน
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 24:2-21 เมือ่ กษัตริยซ์ าอูลเสด็จกลับจากการรบกับชาวฟีลสิ เตีย ก็ทรงทราบว่าดาวิดอยูใ่ น ถิ่นทุรกันดารใกล้เอนเกดี กษัตริย์ซาอูลทรงเลือกทหารฝีมือเยี่ยมสามพันคนจากทั่ว อิสราเอล เสด็จไปค้นหาดาวิดและพรรคพวก...พระองค์เสด็จมาถึงคอกแกะริมทาง ที่ นัน่ มีถาํ้ แห่งหนึง่ จึงเสด็จเข้าไปเพือ่ ทรงบังคนหนัก ดาวิดกับพรรคพวกแอบอยูล่ กึ ในถาํ้ สัปดาห์ที่ 2 เดียวกันนัน้ พรรคพวกจึงกล่าวแก่ดาวิดว่า “นีเ่ ป็นโอกาสของท่านแล้ว... ท่านจะทำ�กับ เทศกาลธรรมดา เขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ’” ดาวิดจึงลุกขึ้นเข้าไปลอบตัดชายเสื้อคลุมของซาอูล แต่ แล้วดาวิดก็รู้สึกไม่สบายใจ...จึงกล่าวแก่พรรคพวกว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้าม สดด 57:1-8,3,5,10 ข้าพเจ้ามิให้ท�ำ สิง่ นีแ้ ก่ผรู้ บั เจิมขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า คือมิให้ท�ำ ร้ายพระองค์แต่ประการ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้รับเจิมขององค์พระผู้เป็นเจ้า”... กษัตริยซ์ าอูลเสด็จออกจากถํา้ และทรงพระดำ�เนินต่อไป ดาวิดก็ออกจากถํา้ ตามมาและทูลเรียกกษัตริย์ ซาอูล... ทูลว่า “ทำ�ไมพระองค์จึงทรงเชื่อฟังผู้ที่ใส่ความว่าข้าพเจ้าจะทำ�ร้ายพระองค์ พระองค์ทรงเห็นกับ ตาในวันนีแ้ ล้วว่า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงมอบพระองค์ไว้ในมือของข้าพเจ้าในถาํ้ มีคนยุให้ขา้ พเจ้าฆ่าพระองค์ แต่ข้าพเจ้าไว้ชีวิตพระองค์... แต่พระองค์กลับทรงตามล่าจะเอาชีวิตของข้าพเจ้า ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง เป็นผู้ตัดสินระหว่างข้าพเจ้าและพระองค์เถิด... ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงป้องกันข้าพเจ้าจากพระหัตถ์ของ พระองค์เถิด” เมือ่ ดาวิดกล่าวถ้อยคำ�เหล่านีจ้ บแล้ว กษัตริยซ์ าอูลตรัสว่า... “ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงตอบแทนความ ดีที่เจ้าได้ทำ�กับเราในวันนี้เถิด...” พระวรสาร มก 3:13-19 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปบนภูเขา ทรงเรียกผู้ที่พระองค์ทรงต้องการให้มาพบ เขาเหล่านั้นก็มา เฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งอัครสาวกสิบสองคนให้อยู่กับพระองค์ และเพื่อจะทรงส่งเขาออกไป เทศน์สอน โดยให้มีอำ�นาจขับไล่ปีศาจด้วย อัครสาวกสิบสองคนที่ทรงแต่งตั้ง คือ ซีโมน พระองค์ทรงตั้งชื่อ ใหม่ให้เขาว่า “เปโตร” ยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์น น้องชายของยากอบ พระองค์ทรงตั้งชื่อให้ สองพี่น้องนี้ว่า “โบอาแนรเกส” ซึ่งแปลว่า “ลูกฟ้าร้อง” อันดรูว์ ฟีลิป บาร์โธโลมิว มัทธิว โทมัส ยากอบ บุตรของอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ได้ทรยศต่อ พระองค์ พระคัมภีร์ฉายให้เราเห็นตัวละครต่างๆ และกิจการทั้งดีและชั่วร้ายของเขา วันนี้ เราสะดุดใจที่ เห็นกษัตริยซ์ าอูลวิง่ ไล่ลา่ หมายเอาชีวติ เด็กหนุม่ ดาวิดแบบเอาเป็นเอาตาย และพูดจาปลิน้ ปล้อนอย่างน่าละอาย แต่ดาวิดซึ่งเป็นคนดีจริงเคารพกษัตริย์ที่พระเจ้าตั้งขึ้น ในชีวิตเรา การเคารพผู้ใหญ่ด้วยนํ้าใสใจจริง ก็แสดงให้ เห็นว่า เราเป็นคนดีจริงๆ ส่วนในพระวรสาร พระเยซูเจ้าเลือกสาวกที่ไม่มีคุณสมบัติที่โลกต้องการ เพื่อบอกเราว่า การเป็นศิษย์ของ พระคริสต์ ไม่จำ�เป็นต้องเป็นคนฉลาด แต่ต้องซื่อสัตย์ต่อพระองค์เท่านั้น
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 1:1-4,11-12,17,19,23-27 หลังจากกษัตริย์ซาอูลสิ้นพระชนม์ ดาวิดรบชนะชาวอามาเลข แล้วกลับมาอยู่ที่ เมืองศิกลากได้สองวัน วันที่สาม ชายคนหนึ่งจากค่ายของกษัตริย์ซาอูลมาถึง เขาฉีก เสือ้ ผ้าเอาฝุน่ ดินโรยศีรษะเป็นการไว้ทกุ ข์ เข้ามากราบลงกับพืน้ ดินแสดงคารวะต่อหน้า ดาวิด ดาวิดถามเขาว่า “ท่านมาจากไหน” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าหนีมาจากค่ายอิสราเอล” ดาวิดถามต่อไปว่า “จงเล่าซิว่าเกิดอะไรขึ้น” เขาตอบว่า “ทหารอิสราเอลต้องหนีจาก สนามรบ หลายคนถูกฆ่า กษัตริย์ซาอูลและโยนาธานพระโอรสก็สิ้นพระชนม์ด้วย” ดาวิดจึงฉีกเสื้อผ้าของตนแสดงการไว้ทุกข์ ทุกคนที่อยู่กับเขาก็ทำ�เช่นเดียวกัน ทุกคนรํ่าไห้ ไม่ยอมกินอะไรเลยจนถึงเวลาเย็นเป็นการไว้ทุกข์ให้กษัตริย์ซาอูลและ โยนาธานพระโอรส ไว้ทุกข์ให้ประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและชาวอิสราเอล ที่ถูก ฆ่าในสมรภูมิ ดาวิดครํ่าครวญถึงกษัตริย์ซาอูลและโยนาธานพระโอรสด้วยเพลงบทนี้ อิสราเอลเอ๋ย เกียรติยศของท่านถูกฆ่าบนเนินเขาของท่าน บรรดาวีรบุรุษล้มได้ อย่างไร ซาอูลและโยนาธานทีร่ กั และสุดเสน่หา ไม่พรากจากกันทัง้ ในชีวติ และในความ ตาย ทั้งสองคนคล่องแคล่วมากกว่านกอินทรี แข็งแรงมากกว่าสิงโต บรรดาบุตรหญิง แห่งอิสราเอลเอ๋ย จงรํา่ ไห้ถงึ กษัตริยซ์ าอูลเถิด พระองค์ประทานเสือ้ ผ้าสีแดงเข้มและ ผ้าเนื้อละเอียดให้เธอทั้งหลายสวม ทรงประดับเสื้อผ้าของเธอด้วยเครื่องประดับ ทองคำ� บรรดาวีรบุรุษล้มระหว่างรบได้อย่างไร โยนาธานเอ๋ย ข้าพเจ้าเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เมื่อท่านสิ้นชีวิต โยนาธานพี่ที่รัก ข้าพเจ้าโศกเศร้าถึงท่าน ท่านเป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้า ความรักของท่านต่อข้าพเจ้าประเสริฐกว่าความรักของหญิงใดๆ บรรดาวีรบุรุษล้มได้ อย่างไร ศัสตราวุธทั้งหลายถูกทำ�ลายได้อย่างไร พระวรสาร มก 3:20-21 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ประชาชนมาชุมนุมกันอีกจน พระองค์ไม่อาจเสวย และบรรดาศิษย์ก็ไม่อาจกินอาหารได้ เมื่อพระประยูรญาติของ พระองค์ได้ยินเช่นนี้ ก็ออกไปควบคุมพระองค์ไว้ เพราะคิดว่าทรงเสียพระสติ ความรักแท้จริงจะไม่มคี วามอิจฉาเจือปน เมือ่ ดาวิดได้ยนิ ว่าทัง้ กษัตริยแ์ ละ โยนาธานเพื่อนรัก อีกทั้งทหารอิสราเอลอีกมากมายถูกฆ่าตายในสนามรบ ท่านร้องไห้ ครํ่าครวญ พระวรสารเล่าว่า ญาติของพระเยซูเจ้าเมือ่ ได้ยนิ คนกล่าวว่าพระองค์เสียสติกจ็ ะมา รับพระองค์กลับบ้าน คนเราชอบข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี ชอบใส่ความมากกว่าชอบความ จริง ชอบทำ�ให้คนอื่นวุ่นวายมากกว่าหวังดีต่อเขา
น.เฟเบียน พระสันตะปาปา และมรณสักขี น.เซบัสเตียน มรณสักขี สดด 80:1-2,4-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันสันติภาพสากล
บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์ ยนา 3:1-5,10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์อีกครั้งหนึ่งว่า “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์นคร ใหญ่ และประกาศเรือ่ งทีเ่ ราจะบอกท่านแก่เมืองนัน้ ” โยนาห์กล็ กุ ขึน้ ไปยังกรุงนีนะเวห์ ตามพระวาจาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า กรุงนีนะเวห์เป็นนครใหญ่มาก ถ้าจะเดินข้ามเมือง ก็กินเวลาสามวัน โยนาห์เริ่มเดินเข้าไปในเมืองเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน ร้องประกาศ ว่า “อีกสี่สิบวัน กรุงนีนะเวห์จะถูกทำ�ลาย” ชาวกรุงนีนะเวห์เชื่อฟังพระเจ้า และ ประกาศให้อดอาหาร สวมผ้ากระสอบทุกคน ตั้งแต่คนยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงคนตํ่าต้อย ที่สุด พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความพยายามของเขา ที่จะกลับใจไม่ประพฤติชั่วอีก ต่อไป พระเจ้าทรงพระเมตตาไม่ลงโทษตามที่ตรัสไว้ว่าจะทรงลงโทษเขา เพลงสดุดี สดด 25:4-5,6-7,8-9 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ารู้จักทางของพระองค์ โปรดทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่ข้าพเจ้า โปรดทรงน�ำข้าพเจ้าด้วยความจริงของพระองค์และทรงสอนข้าพเจ้า เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข้าพเจ้าหวังในพระองค์ตลอดทั้งวัน ข) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงพระกรุณา และความรักมั่นคงที่ทรงมีตลอดมา ขออย่าทรงระลึกถึงบาปและความผิดที่ข้าพเจ้าท�ำไว้ในวัยเยาว์ โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าตามความรักมั่นคงของพระองค์ ค) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าเพราะพระทัยดี ของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงความดีและทรงเที่ยงธรรม พระองค์จึงทรงสอนทางให้คนบาป ทรงน�ำผู้ถ่อมตนให้เดินตามทางแห่งความยุติธรรม ทรงสอนคนยากจนให้รู้ทางของพระองค์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 7:29-31 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า เวลานั้นสั้นนัก ตั้งแต่นี้ไปผู้ที่มีภรรยาจง เป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีภรรยา ผู้ที่ร้องไห้จงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่ร้องไห้ ผู้ที่มีความสุขจงเป็น เสมือนผู้ที่ไม่มีความสุข ผู้ที่ซื้อจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีสิ่งใดเป็นกรรมสิทธิ์ และผู้ที่ใช้ ของของโลกนี้จงเป็นเสมือนผู้ที่มิได้ใช้ เพราะโลกดังที่เป็นอยู่กำ�ลังจะผ่านไป
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก มก 1:14-20 หลังจากที่ยอห์นถูกจองจำ� พระเยซูเจ้าเสด็จไปยัง แคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า “เวลาที่กำ�หนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด” ขณะที่ทรงพระดำ�เนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทอดพระเนตรเห็นซีโมนกับอันดรูว์น้องชายกำ�ลัง ทอดแห เขาเป็นชาวประมง พระเยซูเจ้าตรัสสั่งว่า “จงตาม เรามาเถิด เราจะทำ�ให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์” ซีโมน กับอันดรูว์ก็ทิ้งแหไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที เมื่ อ ทรงพระดำ � เนิ น ไปอี ก เล็ ก น้ อ ย พระองค์ ท อด พระเนตรเห็นยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์นน้องชาย กำ�ลังซ่อมแหอยู่ในเรือ พระองค์ทรงเรียกเขา ทั้งสองคนก็ละทิ้งเศเบดีบิดาของตนไว้ในเรือกับลูกจ้าง แล้ว ตามพระองค์ไปทันที วันนี้ พระเจ้าทรงเรียกเราให้สำ�นึกผิดและกลับใจ ดังที่ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเรียกชาวนีนะเวห์ เพราะพระองค์มีความเมตตากรุณามากกว่าความยุติธรรม นักบุญเปาโลบอกเราว่า อายุคนเราสั้นนัก โลกปัจจุบันกำ�ลังผ่านไป ให้เรารู้จักปล่อยวางความสลวนและ ความห่วงใยในสิ่งของของโลกและให้ติดยึดกับพระเจ้า
น.วินเซนต์ สังฆานุกร และมรณสักขี สดด 89:20-21,23-26 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 5:1-7,10 ชาวอิสราเอลทุกเผ่ามาเฝ้ากษัตริย์ดาวิดที่เมืองเฮโบรน ทูลว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นสายเลือดเดียวกันกับพระองค์ ในอดีตเมือ่ กษัตริยซ์ าอูลทรงปกครอง พระองค์ทรง นำ�ชาวอิสราเอลออกรบ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสแก่พระองค์วา่ ‘ท่านจะเลีย้ งดูอสิ ราเอล ประชากรของเรา ท่านจะเป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล’” บรรดาผูอ้ าวุโสชาวอิสราเอลจึง มาเฝ้ากษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน และกษัตริย์ดาวิดทรงทำ�พันธสัญญากับเขาเฉพาะพระ พักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทีเ่ มืองเฮโบรน เขาจึงเจิมดาวิดขึน้ เป็นกษัตริยป์ กครองอิสราเอล ดาวิดมีพระชนมายุสามสิบพรรษาเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ และทรงเป็นกษัตริย์อยู่ เป็นเวลาสี่สิบปี พระองค์ทรงปกครองชนเผ่ายูดาห์ ที่เมืองเฮโบรนเป็นเวลาเจ็ดปีหก เดือน ทรงปกครองชาวอิสราเอลทุกเผ่าและชนเผ่ายูดาห์ท่ีกรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลา สามสิบสามปี กษัตริย์ดาวิดเสด็จพร้อมกับบรรดาทหารเข้าโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม โจมตีชาวเยบุส ทีอ่ ยูใ่ นแผ่นดินนัน้ ชาวเยบุสกล่าวกับกษัตริยด์ าวิดว่า “ท่านไม่มวี นั จะเข้ามาทีน่ ไี่ ด้ คน ตาบอดและคนพิการก็ยังจะกันท่านไว้ได้ คล้ายกับกล่าวว่า ดาวิดจะเข้าไปที่นั่นไม่ได้ เลย แต่กษัตริย์ดาวิดทรงยึดป้อมศิโยน คือเมืองของดาวิดไว้ได้ นับวันกษัตริย์ดาวิดยิ่งทรงมีพระอำ�นาจมากขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอม จักรวาลสถิตกับพระองค์
พระวรสาร มก 3:22-30 เวลานั้น บรรดาธรรมาจารย์ที่มาจากกรุงเยรูซาเล็มพูดว่า “เขามีปีศาจเบเอลเซบูลสิงอยู่” และ “ขับไล่ ปีศาจด้วยอำ�นาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” พระองค์จึงทรงเรียกเขาเหล่านั้นเข้ามาพบ ตรัสเป็นอุปมาว่า “ซาตานจะขับซาตานได้อย่างไร ถ้าอาณาจักรหนึ่งแตกแยก อาณาจักรนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึ่ง แตกแยก ครอบครัวนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าซาตานลุกขึ้นต่อสู้กันเองและแตกแยก มันก็อยู่ไม่ได้ ต้อง ถึงจุดจบ ไม่มีใครเข้าไปในบ้านของคนเข้มแข็งและปล้นเอาทรัพย์ของเขาได้ ถ้าไม่มัดคนเข้มแข็งนั้นไว้ก่อน เมื่อนั้นแหละจึงจะเข้าปล้นบ้านได้ เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า มนุษย์จะรับการอภัยบาปทุกประการรวมทั้งคำ�ดูหมิ่นพระเจ้าที่ได้ พูดออกไป แต่ใครที่พูดดูหมิ่นพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย เขามีความผิดตลอดนิรันดร” พระเยซูเจ้า ตรัสเช่นนี้เพราะมีผู้พูดว่า “คนนี้มีปีศาจสิงอยู่” อาณาจักรใดแตกแยกกันย่อมเป็นเหยื่อของศัตรู เมื่ออาณาจักรอิสราเอลแตกแยกกันก็อ่อนแอ และเป็นเป้าหมายของชาติที่เข้มแข็ง เมื่อกษัตริย์ดาวิดตีกรุงเยรูซาเล็มได้แล้ว ก็รวมอิสราเอลให้เป็นหนึ่งเดียว และมีความแข็งแกร่ง ชาวเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุข ในพระวรสาร บรรดาธรรมาจารย์หมดหนทางต่อสู้กับพระเยซูเจ้าจึงตั้งข้อกล่าวหาหนักมากคือ หาว่า พระองค์เป็นหัวหน้าผี หรือพระองค์มีผีสิงอยู่ พระเยซูเจ้าตรัสว่า ผู้ท่ีพูดดูหมิ่นพระจิตเจ้า เขาจะไม่ได้รับการ อภัย
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 6:12ข-15,17-19 ในครัง้ นัน้ กษัตริยด์ าวิดจึงเสด็จไปนำ�หีบของพระเจ้าขึน้ จากบ้านของโอเบดเอโดม มาทีเ่ มืองของดาวิดด้วยความยินดี เมือ่ คนหามหีบขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเดินไปหกก้าว กษัตริย์ดาวิดก็ทรงถวายโคเพศผู้และแกะอ้วนพีอย่างละตัวเป็นเครื่องบูชา กษัตริย์ ดาวิดทรงคาดเอโฟดผ้าป่านเพียงผืนเดียว เต้นรำ�สุดกำ�ลังเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้ เป็นเจ้า กษัตริยด์ าวิดกับชาวอิสราเอลทัง้ หลายนำ�หีบขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าขึน้ มา พร้อม กับโห่ร้องด้วยความยินดี และเป่าแตร เมื่อนำ�หีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้ามาประดิษฐานไว้ในที่กำ�หนดกลางกระโจมซึ่ง กษัตริยด์ าวิดทรงตัง้ ขึน้ ไว้ พระองค์ทรงถวายเครือ่ งบูชาและศานติบชู าเฉพาะพระพักตร์ องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อทรงถวายเครื่องเผาบูชาและศานติบูชาแล้ว กษัตริย์ดาวิดก็ทรง อวยพรประชาชนในพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล และประทานอาหารแก่ ประชาชนชาวอิสราเอลทุกคน ทั้งชายและหญิง คือขนมปังคนละก้อน เนื้อย่างคนละ ชิ้น และผลองุ่นแห้งอัดคนละก้อน หลังจากนั้น ประชาชนต่างกลับบ้าน พระวรสาร มก 3:31-35 เวลานัน้ พระมารดาและพระประยูรญาติของพระองค์มาถึง ยืนรออยูข่ า้ งนอก ส่ง คนเข้าไปทูลพระองค์ ประชาชนกำ�ลังนัง่ ล้อมพระองค์อยู่ เขาจึงทูลพระองค์วา่ “มารดา และพี่น้องชายหญิงของท่านกำ�ลังตามหาท่าน คอยอยู่ข้างนอก” พระองค์ตรัสถามว่า “ใครเป็นมารดาและพี่น้องของเรา” แล้วพระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่นั่งเป็นวงล้อมอยู่ ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา ผู้ใดทำ�ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นเป็น พี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา” การพัฒนาบ้านเมืองก็เหมือนการพัฒนาความเชื่อ ดาวิดเมื่อยึดกรุง เยรูซาเล็มได้แล้วก็ท�ำ ให้กรุงนีเ้ ป็นศูนย์กลางทางศาสนา ได้มกี ารอัญเชิญหีบพระบัญญัติ มาไว้ที่กรุงนี้ ผลที่ตามมาคือรัฐต่างๆ ยอมรับว่าอิสราเอลเป็นประเทศหนึ่งเดียว ในพระคัมภีร์โดยท่านนักบุญมาระโก พระเยซูเจ้าประกาศเป็นทางการว่า สมาชิก ครอบครัวของพระองค์ประกอบด้วยทุกคนทีท่ �ำ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า เราทุกคน มีสิทธิ์ใช้นามสกุลเดียวกันคือ ณ พระคริสตเจ้า
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา สดด 24:7-10 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
ระลึกถึง น.ฟรังซิส เดอ ซาลส์ พระสังฆราช และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 7:4-17 ในคืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า “จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านจะไม่เป็นผู้ สร้างวิหารให้เราอยู่ ตั้งแต่เรานำ�ชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์จนกระทั่งถึงวันนี้ เราไม่ เคยอยู่ในวิหาร...’ บัดนี้ ท่านจงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าจอม จักรวาลตรัสดังนี้ เราให้ทา่ นเลิกเลีย้ งแกะในทุง่ หญ้ามาเป็นผูน้ �ำ อิสราเอลประชากรของ เรา เราอยูก่ บั ท่านไม่วา่ ท่านไปทีใ่ ด... เราจะตัง้ เชือ้ สายคนหนึง่ ของท่าน ซึง่ เป็นบุตรของ ท่าน ให้เป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน เราจะพิทักษ์รักษาอาณาจักรของเขาให้มั่นคง... เราจะ เป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา... ราชวงศ์และอาณาจักรของท่านจะมัน่ คง อยู่ต่อหน้าเราตลอดไป อำ�นาจปกครองของท่านจะตั้งมั่นอยู่ตลอดไป’” นาธันทูลกษัตริย์ดาวิดให้ทรงทราบทุกสิ่งตามที่พระเจ้าทรงสำ�แดงแก่เขา
สดด 89:3-4,28-29, 30-32,33-35 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร มก 4:1-20 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงเริม่ สัง่ สอนทีร่ มิ ทะเลสาบอีกครัง้ หนึง่ ... พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำ�ลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ด ตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินอยู่เล็กน้อย ก็งอก ขึน้ ทันทีเพราะดินไม่ลกึ แต่เมือ่ ดวงอาทิตย์ขนึ้ ก็ถกู แดดเผา และเหีย่ วแห้งไปเพราะไม่มรี าก บางเมล็ดตกใน พงหนาม ต้นหนามก็ขนึ้ คลุมมันไว้ จึงไม่เกิดผล บางเมล็ดตกในทีด่ นิ ดี จึงงอกขึน้ เติบโต และเกิดผลสามสิบ เท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหูสำ�หรับฟัง ก็จงฟังเถิด” เมื่อประชาชนจากไปแล้ว อัครสาวกสิบสองคนกับผู้ที่อยู่รอบๆ พระองค์ ทูลถามเรื่องอุปมา พระองค์ ตรัสตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมลํ้าลึกเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่สำ�หรับคนที่ อยู่ภายนอก ทุกสิ่งแสดงออกเป็นเพียงอุปมา...” พระองค์ตรัสว่า “ท่านไม่เข้าใจอุปมานี้ แล้วจะเข้าใจอุปมาอื่นๆ ได้อย่างไร ผู้หว่านพืชนั้นหว่านพระ วาจา เมล็ดที่ตกริมทางหมายถึงบุคคลซึ่งรับพระวาจาที่หว่าน เมื่อเขาได้ฟังพระวาจา ซาตานก็มาช่วงชิงพระ วาจาทีห่ ว่านในตัวเขาไป เช่นเดียวกัน เมล็ดทีต่ กบนพืน้ หินหมายถึงบุคคลทีไ่ ด้ฟงั พระวาจา และมีความยินดี รับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำ�บากหรือถูกข่มเหงเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความ ลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่นๆ เข้ามาปกคลุมพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดพืชที่ ตกในที่ดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า และร้อยเท่า”
ใน 2 ซมอ 7:4-7 พระเจ้าไม่สนใจในการสร้างวิหารมากเท่ากับการสร้างจิตใจของมนุษย์ พระองค์ จึงเดินไปกับเขาในที่ต่างๆ พระองค์ตรัสว่า (1) “เราอยู่กับท่านในทุกแห่งที่ท่านไป” (2) เราจะกำ�จัดศัตรูทั้งปวง ของท่าน (3) เราจะทำ�ให้ทา่ นมีชอื่ เสียง (4) เราจะเลือกทีห่ นึง่ ให้ชาวอิสราเอลตัง้ หลักแหล่ง (5) เราจะตัง้ ผูว้ นิ จิ ฉัย ปกครองท่าน (6) เราจะตั้งเชื้อสายของท่านเป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน ราชวงศ์และอาณาจักรของท่านจะมั่นคง ตลอดไป พระวาจาของพระเยซูเจ้าเป็นเมล็ดพืชที่ผู้ใดอ่านสมํ่าเสมอด้วยความเพียรทนก็จะเกิดผลเป็นร้อยเท่า หก สิบเท่า สามสิบเท่า
บทอ่านที่ 1 กจ 22:3-16 เวลานั้น เปาโลจึงกล่าวกับประชาชนว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัส ในแคว้นซีลีเซีย แต่เติบโตในเมืองนี้ กามาลิเอลเป็นอาจารย์สอนข้าพเจ้าให้ปฏิบัติตาม ธรรมบัญญัตขิ องบรรพบุรษุ อย่างเคร่งครัด ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยความกระตือรือร้น อยู่เสมอเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติอยู่ในวันนี้ ผู้ที่ดำ�เนินตามวิถีทางนี้เคยถูก ข้าพเจ้าเบียดเบียนถึงตาย ข้าพเจ้าจับกุมทัง้ ชายและหญิงจองจำ�ไว้ในคุก ดังทีม่ หาสมณะ ฉลองการกลับใจ และสภาผู้อาวุโสทุกคนเป็นพยานยืนยันได้ เพราะเขามอบจดหมายให้ข้าพเจ้านำ�ไปให้ ของนักบุญเปาโล แก่บรรดาพี่น้องชาวยิวที่เมืองดามัสกัส... อัครสาวก เวลาประมาณเทีย่ งวัน ขณะทีข่ า้ พเจ้ากำ�ลังเดินทางใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ทันใด สดด 117:1-2 นั้นมีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าล้มลงที่พื้นดินและได้ยิน เสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโล เจ้าเบียดเบียนเราทำ�ไม’ ข้าพเจ้าจึงถามว่า ‘พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร’ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธ ซึง่ เจ้ากำ�ลังเบียดเบียนอยู’่ คนทีอ่ ยูก่ บั ข้าพเจ้าเห็น แสงสว่าง แต่ไม่ได้ยินเสียงคนที่พูดกับข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าถามอีกว่า ‘พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำ�อะไร’ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงลุกขึน้ เข้าไปในเมืองดามัสกัส ทีน่ นั่ จะมีคนบอกทุกสิง่ ทีพ่ ระเจ้า ทรงกำ�หนดให้เจ้าทำ�’ แสงนั้นสว่างจ้าจนข้าพเจ้ามองไม่เห็นสิ่งใด ผู้ร่วมเดินทางกับข้าพเจ้าจึงจูงมือข้าพเจ้า เข้าไปในเมืองดามัสกัส ชายคนหนึง่ ชือ่ อานาเนีย เป็นผูย้ �ำ เกรงพระเจ้าและปฏิบตั ติ ามธรรมบัญญัติ เป็นทีเ่ คารพนับถือของชาว ยิวทุกคนซึ่งอยู่ที่นั่น เขามาพบข้าพเจ้า ยืนใกล้ๆ พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล น้องเอ๋ย จงกลับมองเห็นเถิด’ และในเวลานั้นเองข้าพเจ้าก็มองเห็นเขา อานาเนียบอกข้าพเจ้าว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรษุ ของเราทรงเลือกสรรท่านให้รพู้ ระประสงค์ของพระองค์ ให้เห็นพระคริสตเจ้าผู้ทรงชอบธรรมและได้ยินพระสุรเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพราะท่านจะเป็น พยานของพระองค์ยืนยันสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยินแก่มนุษย์ทุกคน บัดนี้ท่านรออะไรอยู่อีก จงลุกขึ้น รับ ศีลล้างบาปและเรียกขานพระนามพระองค์ชำ�ระล้างบาปของท่านเถิด’” พระวรสาร มก 16:15-18 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์กับอัครสาวกสิบเอ็ดคน ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออก ไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสิน ลงโทษ ผูท้ เี่ ชือ่ จะทำ�อัศจรรย์เหล่านีไ้ ด้ คือจะขับไล่ปศี าจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ๆ ได้ จะจับงูได้ และ ถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย” อัศจรรย์ที่นักบุญเปาโลได้รับคือได้ยินเสียงพระเยซูเจ้าต่อว่าท่านที่ไปเบียดเบียนคริสตชน ถือว่า เป็นการเบียดเบียนพระองค์ ทำ�ให้เปาโลกลับใจอย่างสิ้นเชิง ท่านมอบกายถวายใจแด่พระเจ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ทำ�การประกาศพระวรสารอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ไม่สะทกสะท้านเมื่อพบปัญหา ท่านทำ�ได้เช่นนี้ เพราะ ท่านเชื่อว่าพระเยซูเจ้าเพิ่งมาเมื่อวานนี้ รับการทรมานและกลับคืนชีพวันนี้ และจะเสด็จมารับท่านในวันพรุ่งนี้ ก่อนตายท่านยังบอกเราว่า ท่านได้วิ่งมาจนถึงเส้นชัยแล้วและรอรับมงกุฎที่พระเยซูเจ้าจะประทานให้ท่าน
ระลึกถึง น.ทิโมธี และ น.ทิตัส พระสังฆราช สดด 96:1-2,3,7-8, 10-11 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 2 ทธ 1:1-8 จากเปาโล อั ค รสาวกของพระคริ ส ตเยซู โดยพระประสงค์ ข องพระเจ้ า ตาม พระสัญญาที่จะประทานชีวิตให้เราในพระคริสตเยซู ถึงทิโมธีลูกรัก ขอพระหรรษทาน พระเมตตาและสันติจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระคริสต เยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราสถิตกับท่านเถิด ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่ข้าพเจ้าปรนนิบัติรับใช้ด้วย มโนธรรมบริสุทธิ์เช่นเดียวกับบรรพบุรุษ ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านอยู่เสมอในการอธิษฐาน ทั้งวันทั้งคืน ข้าพเจ้ายังระลึกถึงนํ้าตาของท่าน และปรารถนาที่จะพบท่านเพื่อจะได้มี ความยินดีเต็มเปี่ยม และยังระลึกถึงความเชื่อที่จริงใจของท่าน เป็นความเชื่อแต่เดิม ของโลอิสยายของท่าน เป็นความเชือ่ ของยูนสิ มารดาของท่าน และข้าพเจ้ามัน่ ใจว่าเป็น ความเชื่อของท่านด้วย ข้าพเจ้าจึงเตือนความจำ�ของท่านเพือ่ ให้พระพรพิเศษของพระเจ้าเป็นไฟทีร่ งุ่ โรจน์ ขึน้ อีก ท่านได้รบั พระพรนีโ้ ดยการปกมือของข้าพเจ้า พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตทีบ่ นั ดาล ความขลาดกลัว แต่ประทานจิตทีบ่ นั ดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเอง แก่เรา ดังนัน้ ท่านอย่าอายทีจ่ ะเป็นพยานถึงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา หรืออายทีข่ า้ พเจ้า ต้องถูกจองจำ�เพราะพระองค์ แต่จงเข้ามามีสว่ นร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพือ่ ข่าวดี โดยพระอานุภาพของพระเจ้า
พระวรสาร ลก 10:1-9 ต่อจากนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์อีกเจ็ดสิบสองคน และทรงส่งเขาล่วงหน้าพระองค์เป็น คู่ๆ ไปทุกตำ�บลทุกเมืองที่พระองค์จะเสด็จ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่จะเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด จงไปเถิด เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูก แกะในฝูงสุนัขป่า อย่านำ�ถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตามทาง เมื่อท่านเข้าบ้าน ใด จงกล่าวก่อนว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด’ ถ้ามีผู้สมควรจะรับสันติสุขอยู่ที่นั่น สันติสุขของท่านจะอยู่ กับเขา มิฉะนั้น สันติสุขของท่านจะกลับมาอยู่กับท่านอีก จงพักอาศัยในบ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะนำ� มาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใด และเขาต้อนรับท่าน จงกินของที่เขาจะนำ�มาตั้งให้ จงรักษาผู้เจ็บป่วยในเมืองนั้นและบอกเขาว่า ‘พระ อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว’” การทำ�การประกาศพระวรสารต้องมีทมี งาน และก้าวเดินไปด้วยกันภายใต้การนำ�ขององค์พระจิต เจ้า ปกติการประกาศพระวรสารที่ดีไม่มีสูตรสำ�เร็จรูป แต่เราต้องตระหนักว่า เรากำ�ลังเป็นพยานถึงพระเจ้า ทุกหนทุกแห่งที่เราไป อีกทั้งเราควรมีคุณธรรมสำ�คัญๆ คือ ความเข้มแข็งในความเชื่อ ความรักพระเจ้าไม่เสื่อม คลายและการควบคุมตนเอง
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 12:1-7ก,10-17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งประกาศกนาธันไปพบกษัตริย์ดาวิด ประกาศกนาธันจึง เข้าเฝ้าทูลกษัตริย์ว่า “ในเมืองหนึ่ง มีชายสองคน คนหนึ่งรํ่ารวย อีกคนหนึ่งยากจน คนรํ่ารวยมีฝูง แกะและโคจำ�นวนมาก ส่วนคนยากจนมีลูกแกะเพศเมียเพียงตัวเดียว เป็นลูกแกะที่ เขาซื้อมาและเลี้ยงดูอย่างดี แกะตัวนั้นเติบโตขึ้นในบ้านกับเขาและลูกๆ กินอาหารกับ น.อังเยลา เมริชี พรหมจารี เขา และดื่มจากถ้วยของเขา นอนซบอกของเขา เขารักแกะตัวนั้นเหมือนบุตรสาว วัน สดด 51:11-13, หนึ่ง มีคนเดินทางมาแวะที่บ้านของคนรํ่ารวย ซึ่งไม่อยากฆ่าแกะหรือโคของตนนำ�มา 14-15,16-17 ทำ�อาหารให้คนเดินทางที่บังเอิญมาเยี่ยม เขาจึงเอาลูกแกะของคนยากจนมาทำ�อาหาร ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ให้แขกแทน” กษัตริยด์ าวิดกริว้ ชายผูน้ นั้ มาก... ประกาศกนาธันจึงทูลกษัตริยด์ าวิดว่า “พระองค์ คือชายคนนั้น จะมีคนในวงศ์ตระกูลของท่านถูกฆ่าอยู่เรื่อยๆ เพราะท่านได้ลบหลู่เรา เอาภรรยาของอุรียาห์ชาวฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของท่าน” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสอีกว่า “เราจะให้คนในครอบครัวของท่านนำ�เหตุรา้ ยมาให้ทา่ น เราจะพรากภรรยา ของท่านต่อหน้าท่าน ไปให้แก่ผู้ใกล้ชิดของท่าน เขาจะหลับนอนกับภรรยาของท่านอย่างเปิดเผย ท่านได้ ทำ�การนี้อย่างลับๆ แต่เราจะทำ�การนี้อย่างเปิดเผยให้อิสราเอลทุกคนได้เห็น” กษัตริยด์ าวิดตรัสกับนาธันว่า “ข้าพเจ้าได้ท�ำ บาปผิดต่อองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแล้ว” นาธันทูลตอบว่า “องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยบาปพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ต้องสิ้นพระชนม์ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงดูหมิน่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า โดยกระทำ�การนี้ พระโอรสทีจ่ ะเกิดมาจะต้องตาย” แล้วนาธันก็กลับบ้าน ... พระวรสาร มก 4:35-41 เย็นวันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าตรัสสั่งบรรดาศิษย์ว่า “เราจงข้ามไปทะเลสาบฝั่งโน้นกันเถิด” บรรดา ศิษย์จึงละประชาชนไว้ และออกเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้นไป มีเรือลำ�อื่นๆ ติดตามไปด้วย ขณะนั้นเกิด พายุแรงกล้า คลื่นซัดเข้าเรือจนนํ้าเกือบจะเต็มเรืออยู่แล้ว พระองค์บรรทมหลับหนุนหมอนอยู่ที่ท้ายเรือ บรรดาศิษย์จึงปลุกพระองค์ ทูลถามว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่สนพระทัยที่พวกเรากำ�ลังจะตายอยู่แล้ว หรือ” พระองค์จึงทรงลุกขึ้น บังคับลม ตรัสสั่งทะเลว่า “เงียบซิ จงสงบลงเถิด” ลมก็หยุด ท้องทะเล ราบเรียบอย่างยิ่ง แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า “ตกใจกลัวเช่นนี้ทำ�ไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ” เขาเหล่า นั้นกลัวมาก พูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้” พระคัมภีร์เล่าเรื่องความอ่อนแอของกษัตริย์ดาวิดที่เป็นที่สะดุดแก่มวลไพร่ฟ้าทั่วแผ่นดิน ความ อับอายแก่วงศ์ตระกูล และความอยุตธิ รรมแก่ครอบครัวของผูอ้ ยูใ่ ต้อ�ำ นาจ คือการวางแผนฆ่าสามีและเอาภรรยา ของเขามาเป็นภรรยาของตน พระเจ้าไม่รอเช็คบิลกับกษัตริยเ์ มือ่ เขาตาย แต่ให้มกี รรมมาสนองเขาขณะยังมีชวี ติ บางทีเราดูเขาแล้วมาดูเรา เพื่อให้ชีวิตเราปลอดภัย เราต้องเดินต่อหน้าพระเจ้าด้วยใจสุภาพถ่อมตน เมื่อ เผชิญกับการประจญเหมือนสาวกเผชิญพายุในทะเลสาบ พวกเขาอ้อนวอนขอพระองค์ระงับลมพายุ เราก็ควร ทำ�เช่นเดียวกันด้วย
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ฉธบ 18:15-20 ในเวลานั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านจะทรงบันดาลให้ประกาศกเหมือน ข้าพเจ้าเกิดขึ้นสำ�หรับท่าน จากบรรดาพี่น้องของท่าน ท่านจะต้องเชื่อฟังเขา เมื่อท่าน มาชุมนุมกันที่ภูเขาโฮเรบ ท่านวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านว่า “ขออย่า ให้ข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้าอีก หรือเห็นไฟ กองใหญ่นี้อีกต่อไป เกรงว่าข้าพเจ้าจะต้องตาย” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับข้าพเจ้า ว่า “ทีเ่ ขาขอร้องมาก็ถกู ต้อง เราจะบันดาลให้ประกาศกคนหนึง่ เหมือนท่านเกิดขึน้ จาก บรรดาพี่น้องของเขา เราจะใส่ถ้อยคำ�ของเราไว้ในปากของเขา และเขาจะพูดทุกอย่าง ที่เราสั่ง ใครที่ไม่ยอมฟังถ้อยคำ�ของเราที่ประกาศกจะพูดในนามของเรา เราจะลงโทษ เขา แต่ถา้ ประกาศกคนใดบังอาจพูดในนามของเราโดยทีเ่ ราไม่ได้สงั่ หรือพูดในนามของ เทพเจ้าอื่น ประกาศกผู้นั้นจะถูกประหารชีวิต” เพลงสดุดี สดด 95:1-2,6-7ก,8-9 ก) มาเถิด เราจงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดี เราจงโห่ร้องสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นหลักศิลาที่ช่วยเราให้รอดพ้น เราจงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์เพื่อขอบพระคุณ เราจงโห่ร้องเพลงสดุดีถวายพรพระองค์ด้วยความยินดี ข) มาเถิด เราจงกราบนมัสการพระองค์ เราจงคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างเรา เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา และเราเป็นประชากรที่ทรงเลี้ยงดูดุจฝูงแกะที่ทรงน�ำไปยังทุ่งหญ้า ท่านทั้งหลายจงฟังพระสุรเสียงของพระองค์ในวันนี้เถิด ค) “ท่านอย่าท�ำใจให้แข็งกระด้างเหมือนกับที่เกิดขึ้นที่เมรีบาห์ เหมือนในวันนั้นที่มัสสาห์ในถิ่นทุรกันดาร เมื่อบรรพบุรุษของท่านทดลองเรา เขาทดสอบเรา แม้ได้เห็นการกระท�ำของเราแล้ว” บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 7:32-35 พีน่ อ้ ง ข้าพเจ้าต้องการให้ทา่ นปราศจากความกังวล ผูท้ มี่ ไิ ด้แต่งงานย่อมสาละวน ในการงานขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า หาวิธที �ำ ให้พระองค์พอพระทัย ผูท้ แี่ ต่งงานแล้วก็ยอ่ ม สาละวนกับการงานของโลก หาวิธีทำ�ให้ภรรยาพอใจ เป็นความกังวลหลายด้าน หญิง ทีไ่ ม่แต่งงานและสาวพรหมจารีนนั้ ย่อมสาละวนในการงานขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เพือ่
จะได้ เป็ น ผู้ ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ทั้ ง ร่ า งกายและจิ ต ใจ ส่ ว นหญิ ง ที่ แต่งงานแล้วย่อมสาละวนอยูก่ บั การงานของโลก หาวิธที �ำ ให้ สามีพอใจ ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนีเ้ พือ่ ประโยชน์ของท่านเอง มิใช่ เพื่อจำ�กัดสิทธิของท่าน แต่เพื่อให้ท่านดำ�เนินชีวิตอย่าง ถูกต้อง อุทิศตนแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้โดยปราศจากความ กังวล
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก มก 1:21-28 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุม พร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์เสด็จ เข้าไปในศาลาธรรม และทรงเริ่มสั่งสอน คำ�สั่งสอนของ พระองค์ทำ�ให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำ�นาจไม่เหมือนกับบรรดา ธรรมาจารย์ ขณะนั้น ในศาลาธรรมชายคนหนึ่งซึ่งปีศาจสิงอยู่ ร้องตะโกนว่า “ท่านมายุ่งกับเราทำ�ไม เยซู ชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำ�ลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้า ทรงดุปีศาจและตรัสสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” เมื่อปีศาจทำ�ให้ชายผู้นั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มัน ก็ออกไปจากเขา ทุกคนต่างประหลาดใจ จึงถามกันว่า “นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำ�สั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำ�นาจ เขาสั่งแม้กระทั่งปีศาจ และมันก็เชื่อฟัง” แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทุกแห่งตลอดทั่วแคว้น กาลิลีทันที น.เปาโลพูดวันนี้ว่า มีสถานะของชีวิต 2 สถานะคือ เป็นโสดและแต่งงาน ทั้งสองสถานะต้องเปิด ใจของตนต่อพระเจ้า และให้ทั้งสองสถานะนั้นอุทิศตนเองแด่พระเจ้าตามสถานะของตน ทั้งนี้เพราะว่า คน แต่งงานหรือคนถือโสดได้รับเรียกให้เป็นคนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าไล่ปีศาจออกจากชายคนหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ พระองค์ไล่ผีออกจากใจทุกคน จาก ความวุ่นวายต่างๆ ซึ่งเป็นผลของบาป พระองค์ไล่ผีออกจากคนที่เป็นทาสของปีศาจ “จงเงียบ ออกจากชายผู้ นี้” (มก 1:26) ที่สำ�คัญคือเรารู้ตัวหรือไม่ว่า เรามีผีในใจและต้องการความช่วยเหลือจากพระเยซูเจ้า
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา สดด 3:1-3,4-5,6-7 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 15:13-14,30 และ 16:5-13ก มีผู้มากราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “ชาวอิสราเอลมีใจไปเข้ากับอับซาโลมแล้ว” กษัตริยด์ าวิดจึงตรัสกับข้าราชบริพารทัง้ หลายทีอ่ ยูก่ บั พระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มว่า “จง รีบหนีกันเถิด มิฉะนั้น พวกเราจะไม่มีใครหนีรอดพ้นอับซาโลมได้...” เมื่อกษัตริย์ดาวิดเสด็จมาถึงบาหุริม ชายคนหนึ่งชื่อชิเมอีบุตรของเกราออกมา แช่งด่าพระองค์ พลางเดินตามไป... อาบีชัยบุตรของนางเศรุยาห์ทูลกษัตริย์ว่า “ทำ�ไม ไอ้หมาตายตัวนีจ้ ะต้องแช่งด่าพระราชาเจ้านายของข้าพเจ้า โปรดอนุญาตให้ขา้ พเจ้าไป ตัดหัวของมันเถิด”... กษัตริย์ดาวิดตรัสกับอาบีชัยและข้าราชบริพารทั้งหลายว่า “ดูซิ แม้กระทั่งลูกที่ เกิดจากเรายังพยายามจะฆ่าเรา แล้วสาอะไรกับชาวเบนยามินผู้นี้ ปล่อยเขาเถอะ ปล่อยให้เขาแช่งด่าเรา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้เขาทำ� บางที องค์พระผู้ เป็นเจ้าจะทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของเรา แล้วประทานพรให้เราแทนคำ�แช่ง ด่าในวันนี้” กษัตริย์ดาวิดทรงพระดำ�เนินต่อไปพร้อมกับคนของพระองค์
พระวรสาร มก 5:1-20 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ขา้ มทะเลสาบมาถึงดินแดนของชาวเกราซา ครัน้ พระองค์เสด็จขึน้ จากเรือ ชายคนหนึ่งซึ่งถูกปีศาจสิงออกมาจากบริเวณหลุมศพ เข้ามาเฝ้าพระองค์ทันที... เมื่อเห็นพระเยซู เจ้าแต่ไกล เขาก็วงิ่ เข้ามากราบเฉพาะพระพักตร์ ร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูบตุ รของพระเจ้าผูส้ งู สุด ท่าน มายุง่ เกีย่ วกับข้าพเจ้าทำ�ไม ข้าพเจ้าวอนขอท่านในพระนามพระเจ้า อย่าทรมานข้าพเจ้าเลย” ทัง้ นีเ้ พราะพระ เยซูเจ้าตรัสสั่งปีศาจว่า “เจ้าปีศาจ จงออกจากชายผู้นี้” แล้วพระองค์ทรงถามว่า “เจ้าชื่ออะไร” มันตอบว่า “ชื่อกองพล เพราะเราอยู่กันจำ�นวนมาก” และมันพรํ่าวอนพระองค์มิให้ขับไล่มันออกจากบริเวณนั้น หมูฝูง ใหญ่กำ�ลังหากินอยู่บนเนินเขาที่นั่น พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า “ขอได้โปรดส่งพวกเราเข้าไปในหมู ฝูงนั้นเถิด” พระองค์ก็ทรงอนุญาต พวกปีศาจจึงออกไปสิงอยู่ในร่างหมู หมูฝูงนั้นซึ่งมีประมาณสองพันตัว ก็พากันวิ่งกระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ และจมนํ้าตายทั้งหมด คนเลี้ยงหมูต่างวิ่งหนีไปเล่าเรื่องนี้ ตามเมืองและตามชนบท ประชาชนออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเยซูเจ้า ก็แลเห็นคน ที่เคยถูกปีศาจกองพลสิงนั่งอยู่ สวมเสื้อผ้า มีสติดี พวกเขาต่างมีความกลัว ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าเรื่องที่ เกิดขึน้ กับผูท้ ถี่ กู ปีศาจสิงและเล่าเรือ่ งหมูให้ฟงั ประชาชนจึงขอร้องพระเยซูเจ้าให้เสด็จออกไปจากเขตแดน ของเขา... เรื่องกษัตริย์ดาวิดถูกอับซาโลมลูกชายของพระองค์ไล่ล่าหมายจะฆ่าพระองค์ เพราะแค้นที่ถูก เนรเทศสองปีอันเนื่องมาจากความผิดฐานฆ่าอัมโนนพี่ชายคนโต อับซาโลมได้ข้าราชบริพารมาเป็นฝ่ายเขา มากมาย และวันนี้ยกทัพมาประชิดกรุงเยรูซาเล็ม กษัตริย์ดาวิดต้องหนีเพื่อเอาตัวรอด แต่ระหว่างทางมีคนมา ด่าว่าหยาบคายต่างๆ นานา พระองค์สุภาพมาก ไม่ตอบโต้ เราได้บทเรียนคือ เมื่อเราไม่โต้ตอบต่อการกระทำ� หรือวาจาของคนเกลียดชังเรา คนที่หวังร้ายต้องรับมันคืนไป ส่วนในพระวรสาร พระเยซูเจ้าสอนเราว่า ชีวติ มนุษย์ทกุ ชีวติ มีคณ ุ ค่ามากกว่าชีวติ สัตว์ เพราะพระเจ้าสร้าง เขามาเพื่อชีวิตนิรันดร
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 18:9-10,14ข,24-25ก,30 ถึง 19:3 ในครั้งนั้น อับซาโลมทรงมาพบกับทหารรักษาพระองค์ของกษัตริย์ดาวิดโดย บังเอิญ อับซาโลมกำ�ลังทรงล่อลอดใต้กิ่งต้นโอ๊กใหญ่ พระเกศาของอับซาโลมไปติด อยู่กับกิ่งต้นโอ๊กนั้น ล่อที่ทรงอยู่วิ่งเลยไป พระวรกายจึงห้อยอยู่กลางอากาศ ทหาร คนหนึ่งเห็นเข้าก็ไปรายงานโยอาบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอับซาโลมห้อยอยู่กับต้นโอ๊ก” โยอาบจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะไม่เสียเวลากับท่านอีกต่อไป” แล้วนำ�หลาวสามอัน พุ่งเข้าปักอกอับซาโลมซึ่งยังมีชีวิต ห้อยอยู่บนต้นโอ๊ก ...
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา สดด 86:1-2,3-4,5-7
พระวรสาร มก 5:21-43 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฟากอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนชุมนุมกันเนืองแน่น รอบพระองค์ขณะที่ยังทรงอยู่ริมทะเลสาบ หัวหน้าศาลาธรรมคนหนึ่งชื่อไยรัสเดินมา เมื่อเห็นพระองค์ เขากราบลงที่พระบาท พรํ่าวิงวอนว่า “บุตรหญิงเล็กๆ ของข้าพเจ้า จวนจะสิ้นใจอยู่แล้ว เชิญพระองค์เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขาจะได้หายจาก โรค กลับมีชีวิต” พระเยซูเจ้าจึงเสด็จไปกับเขา ประชาชนกลุ่มใหญ่ติดตามไปและ เบียดเสียดพระองค์ ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว ได้รับความทรมานมากจากการรักษาของแพทย์ หลายคน เสียทรัพย์จนหมดสิ้น โรคก็มิได้บรรเทา ตรงกันข้ามกลับทรุดหนัก นางได้ยินเขาพูดกันถึงเรื่อง พระเยซูเจ้า จึงเดินปะปนกับประชาชนเข้ามาเบื้องหลัง และสัมผัสฉลองพระองค์ นางคิดว่า “ถ้าฉันเพียง ได้สัมผัสฉลองพระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” ทันใดนั้น เลือดก็หยุด นางรู้สึกว่าร่างกายหายจากโรค แล้ว... จึงกราบลงเฉพาะพระพักตร์และทูลให้ทรงทราบความจริงทุกประการ พระองค์จึงตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุข หายจากโรคเถิด” ขณะกำ�ลังตรัสอยู่นั้น มีคนมาจากบ้านหัวหน้าศาลาธรรม บอกเขาว่า “บุตรหญิงของท่านตายแล้ว ไป รบกวนพระอาจารย์อีกทำ�ไม” แต่พระเยซูเจ้าทรงได้ยินเขาพูดดังนั้น จึงตรัสแก่หัวหน้าศาลาธรรมว่า “อย่า กลัวเลย จงมีความเชื่อไว้เถิด”... เมื่อทุกคนมาถึงบ้านหัวหน้าศาลาธรรม พระเยซูเจ้าทรงเห็นความวุ่นวาย และเห็นผู้คนรํ่าไห้พิลาปรำ�พันเป็นอันมาก... พระองค์ทรงไล่เขาออกไปข้างนอก ทรงนำ�บิดามารดาของเด็ก และศิษย์ที่ติดตามเข้าไปยังที่ที่เด็กนอนอยู่ ทรงจับมือเด็ก ตรัสว่า “ทาลิธาคูม” แปลว่า “หนูเอ๋ย เราสั่งให้ หนูลกุ ขึน้ ” เด็กหญิงนัน้ ก็ลกุ ขึน้ ทันที และเดินไปมา เด็กนัน้ อายุสบิ สองขวบแล้ว คนทัง้ หลายต่างประหลาด ใจอย่างยิ่ง พระองค์ทรงกำ�ชับอย่างแข็งขันมิให้แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใด และทรงสั่งให้เขานำ�อาหารมาให้ เด็กนั้นกิน อับซาโลมตามล่าบิดา แต่ขณะขีล่ อ่ ผ่านกิง่ ไม้ คอของเขาเสียบเข้ากับกิง่ ไม้ และถูกโยอาบแทงด้วย หลาว เมื่อกษัตริย์ดาวิดทราบข่าวนี้ แทนที่พระองค์จะยินดี พระองค์กลับร้องไห้ครํ่าครวญ หลายครัง้ ในชีวติ ครอบครัว บิดามารดาจะเป็นผูร้ บั วาจาไม่สภุ าพหรือการกระทำ�ใดๆ ของลูก ท่านก็พร้อม ที่จะให้อภัย บทพระวรสารบอกเราว่า สตรีทั้งสองคนคือไยรัสซึ่งเป็นแม่ของเด็กที่ตายแล้ว และหญิงตกโลหิตได้รับ อัศจรรย์จากพระเยซูเจ้า เพราะเขาทั้งสองมีความเชื่อ ความเชื่อจึงเป็นเงื่อนไขสำ�หรับเราที่จะได้รับอัศจรรย์
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 24:2,9-17 กษัตริย์จึงรับสั่งแก่โยอาบและบรรดาผู้บังคับบัญชากองทัพ ซึ่งอยู่กับเขาว่า “จง ไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า ตั้งแต่เมืองดานจนถึงเบเออร์เชบาเพื่อสำ�รวจจำ�นวนประชากร เราอยากจะรู้ว่ามีคนเท่าไร”... หลังจากสำ�รวจจำ�นวนประชากรแล้ว กษัตริย์ดาวิดทรงรู้สึกผิดจึงทูลองค์พระผู้ ระลึกถึง เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าทำ�บาปมากทีไ่ ด้ท�ำ เช่นนี้ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ขอทรงอภัย น.ยอห์นบอสโก ความผิดของผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะข้าพเจ้าทำ�ไปโดยโง่เขลา” เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อ กษัตริย์ดาวิดตื่นบรรทมแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ประกาศกกาด ผู้ทำ�นาย พระสงฆ์ ของกษัตริย์ดาวิดว่า “จงไปทูลกษัตริย์ดาวิดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราให้ท่าน สดด 32:1-2,5,6-7 เลือกการลงโทษจากสามประการนี้ เราจะทำ�ตามที่ท่านเลือก’” ประกาศกกาดจึงเข้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เฝ้ากษัตริย์ดาวิดทูลตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์จะทรงเลือก อย่างไหน ให้แผ่นดินของพระองค์กันดารอาหารเป็นเวลาสามปี หรือให้พระองค์ต้อง ทรงหนีศัตรูเป็นเวลาสามเดือน หรือให้เกิดโรคระบาดในแผ่นดินเป็นเวลาสามวัน...” กษัตริย์ดาวิดตรัสตอบประกาศกกาดว่า “เรารู้สึกลำ�บากใจมาก ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษเราดีกว่า จะให้มนุษย์ลงโทษ เพราะพระเมตตาของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่” ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้เกิด โรคระบาดขึ้นในอิสราเอลตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาที่ทรงกำ�หนด มีผู้คนล้มตาย ตั้งแต่เมืองดานจนถึงเบเออร์ เชบาถึงเจ็ดหมื่นคน เมื่อทูตสวรรค์กำ�ลังจะทำ�ลายกรุงเยรูซาเล็ม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ ทรงปรารถนาให้ภัยพิบัติลุกลามต่อไป จึงตรัสห้ามทูตสวรรค์ที่กำ�ลังจะคร่าชีวิตผู้คน... พระวรสาร มก 6:1-6 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นกลับไปยังถิ่นกำ�เนิดของพระองค์ บรรดาศิษย์ติดตามไปด้วย ครั้นถึงวันสับบาโตพระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในศาลาธรรม ผู้ฟังจำ�นวนมากต่างประหลาดใจ และพูดว่า “เขา เอาเรื่องทั้งหมดนี้มาจากไหน ปรีชาญาณที่เขาได้รับมานี้คืออะไร อะไรคืออัศจรรย์ที่สำ�เร็จด้วยมือของเขา คนนี้เป็นช่างไม้ ลูกนางมารีย์ เป็นพี่น้องของยากอบ โยเสท ยูดาและซีโมนไม่ใช่หรือ พี่สาวน้องสาวของเขา ก็อยู่ที่นี่กับพวกเรามิใช่หรือ” คนเหล่านั้นรู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำ�เนิด ท่ามกลางวงศ์ญาติ และในบ้านของตน” พระองค์ ทรงทำ�อัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้ นอกจากทรงปกพระหัตถ์รักษาผู้เจ็บป่วยบางคนให้หายจากโรคภัย พระองค์ทรง แปลกพระทัยที่เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ พระองค์เสด็จไปทรงสั่งสอนตามหมู่บ้านต่างๆ ในบริเวณนั้น กษัตริยด์ าวิดให้ส�ำ รวจชายชาตรีเพือ่ ให้ออกศึก พระองค์ได้รบั รายงานว่าในเขตอิสราเอลมี 8 แสน คน และในเขตยูดาห์ 6 แสนคน พระเจ้าเคืองพระทัยที่ดาวิดทำ�เช่นนี้ เพราะพลังและชัยชนะทั้งหมดของพวก อิสราเอลมาจากพระเจ้าไม่ได้มาจากมนุษย์ การสำ�รวจนั้นจึงเป็นการแสดงออกว่าเขาไม่ต้องการพึ่งพิงพระเจ้า ดาวิดเสียใจที่ได้ทำ�ผิดและขอโทษพระเจ้า ในพระวรสาร เราเห็นชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ไม่ยอมรับคำ�สัง่ สอนของพระองค์ เขาดูถกู ตระกูลของ พระองค์ เพราะมองเห็นแต่ภายนอกเท่านั้น ความจริง เรายังดูถูกกันทุกสมัย เพราะมองกันแต่ภายนอกเท่านั้น