ในคำ�ปราศรัยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส โอกาสเข้าเฝ้าของผู้ ร่วมประชุมสหพันธ์พระคัมภีรค์ าทอลิกสากลทีก่ รุงโรม เมือ่ วันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2019 มีข้อความตอนหนึ่งว่า “พระวาจาของพระเจ้าเป็นพระวาจาที่มีชีวิต” (ฮบ 4:12) ไม่มีวันตายหรือแก่ชรา แต่ “ดำ�รงอยู่ตลอดนิรันดร” (1 ปต 1:25) มีความ หนุ่มสดอยู่เสมอในสายตาของทุกคนที่ทำ�ให้พระวาจาบังเกิดในชีวิต (เทียบ มธ 24:25) และดำ�รงรักษาผู้นำ�พระวาจาไปปฏิบัติ เป็นสิ่งที่มีชีวิตและประทานชีวิต” ไบเบิล ไดอารีเ่ ป็นเครือ่ งมือชิน้ หนึง่ ทีน่ �ำ พระวาจาของพระเจ้าไปสูห่ วั ใจทีเ่ ปิดกว้าง ของผู้อ่านเพื่อบังเกิดและออกผลในชีวิตของเขา โอกาสฉลอง 350 ปีมิสซังสยาม เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่คาทอลิกไทยทุก คนควรให้ความสำ�คัญต่อการนำ�พระวาจาของพระเจ้าไปหว่านในดวงใจพีน่ อ้ งต่าง ความเชื่อที่อยู่รอบข้าง เพื่อทุกคนจะมีหลักยึดเหนี่ยวและแสงสว่างนำ�ทางชีวิต ซึง่ จะเป็นการสานต่อพันธกิจและเจตนารมณ์ของบรรดาธรรมทูตทีเ่ ข้ามาเผยแผ่ ข่าวดีในแผ่นดินของเรา ขอขอบคุณคณะกรรมการจัดทำ�ไบเบิล ไดอารี่ทุกท่านที่ได้เสียสละเวลา อันมีค่าในการรวบรวมข้อคิดจากพระวาจาทรงชีวิตในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยผู้อ่าน ให้เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าที่แฝงอยู่ในนั้นมากขึ้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการดำ�เนินชีวิตและเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งในการ ประกาศข่าวดีตลอดปีนี้ ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน (พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย) ประธานคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม แผนกพระคัมภีร์
ปีนี้ เราคริสตชนมีความยินดีเป็นพิเศษ ที่เรากำ�ลังจะเฉลิมฉลอง 1600 ปีแห่งมรณกรรมของนักบุญเยโรม พระสงฆ์และนักปราชญ์ ซึ่งเป็นผู้แปล พระคัมภีร์เล่มครบเป็นภาษาลาติน และเป็นองค์อุปถัมภ์ของนักพระคัมภีร์ ปีนี้ พระศาสนจักรยังจัดให้เป็นปีพระคัมภีร์อีกด้วย ซึ่งถือว่ามีความสำ�คัญต่อเรา คริสตชนทุกคน เพือ่ จะเป็นโอกาสให้เราหันไปทบทวนบทบาทของเราต่อพระคัมภีร์ และให้ความสำ�คัญต่อการอ่าน การศึกษาพระคัมภีร์ ซึง่ เป็นพระวาจาของพระเจ้า มากขึ้น และนำ�พระวาจามาเป็นแนวทางในการดำ�เนินชีวิต ผู้เขียนเห็นว่า คริสตชนที่ไม่รู้จักพระคัมภีร์ และไม่ยึดพระวาจาในพระ คัมภีรเ์ ป็นแนวทางในการดำ�เนินชีวติ ผูน้ นั้ เปรียบเสมือนเป็นคนหลักลอย จะบรรลุ เป้าหมายของชีวิตนิรันดรได้ยาก นักบุญเยโรมกล่าวว่า “ผู้ใดไม่รู้จักพระคัมภีร์ ผู้นั้นไม่รู้จักพระคริสตเจ้า” ด้วยความสำ�คัญดังกล่าว ผู้จัดทำ�ไบเบิล ไดอารี่จึงได้นำ�ภาพนักบุญ เยโรมมาใส่เป็นปกหน้าและปกหลังของไบเบิล ไดอารี่ และนำ�ประวัติอย่างย่อๆ ของท่านมาลงไว้ที่ปกหน้าด้านในของหนังสือเล่มนี้ เพื่อท่านผู้อ่านจะได้ทราบ ประวัติของท่าน คณะผู้จัดทำ�ไบเบิล ไดอารี่ มุ่งมั่นที่จะจัดทำ�ไบเบิล ไดอารี่ให้เป็นสื่อที่ ช่วยให้ท่านผู้อ่านได้พบกับพระเจ้าโดยทางพระวาจาของพระองค์ และยึดเป็น แนวทางในการดำ�เนินชีวิต ซึ่งท่านผู้อ่านก็ได้ตอบสนองและให้การส่งเสริม สนับสนุนเป็นอย่างดีตลอดมา คณะผู้จัดทำ�จึงขอกราบขอบพระคุณผู้มีอุปการคุณทุกท่าน โดยเฉพาะ อย่างยิง่ พระสังฆราช และพระสงฆ์ทกุ ท่านทีช่ ว่ ยเขียนข้อคิด คณะภคินพี ระหฤทัย ของพระเจ้าแห่งกรุงเทพฯ ที่ได้เอื้อเฟื้อสถานที่ที่ตั้งสำ�นักงาน และอีกหลายท่าน ทีส่ นับสนุนโดยการสัง่ ซือ้ ให้กบั สังฆมณฑลทีย่ ากจน ขาดแคลน หรือคณะนักบวช รวมทั้งญาติสนิทมิตรสหาย ขอพระเจ้าทรงอำ�นวยพระพร ตอบแทนนํ้าใจอันดีของทุกท่าน คณะผู้จัดทำ�
ภาคพันธสัญญาเดิม
ภาคพันธสัญญาใหม่
1. ปฐมกาล............................ปฐก 26. เพลงซาโลมอน........พซม
1. มัทธิว.................................มธ
2. อพยพ.................................อพย. 27. ปรีชาญาณ.............ปชญ
2. มาระโก..............................มก
3. เลวีนิติ................................ลนต. 28. บุตรสิรา...................บสร
3. ลูกา.....................................ลก
4. กันดารวิถี..........................กดว. 29. อิสยาห์.....................อสย
4. ยอห์น................................ยน
5. เฉลยธรรมบัญญัติ.........ฉธบ. 30. เยเรมีย์......................ยรม
5. กิจการอัครสาวก...........กจ
6. โยชูวา..................................ยชว. 31. เพลงครํ่าครวญ.... พคค
6. โรม......................................รม
7. ผู้วินิจฉัย.............................วนฉ. 32. บารุค........................บรค
7-8 โครินธ์....................1-2 คร
8. นางรูธ.................................นรธ. 33. เอเสเคียล................อสค
9. กาลาเทีย..........................กท
9-10 ซามูเอล.................1-2 ..ซมอ 34. ดาเนียล....................ดนล
10. เอเฟซัส.............................อฟ
11-12 พงศ์กษัตริย์.......1-2 .พกษ 35. โฮเชยา......................ฮชย
11. ฟีลิปปี............................... ฟป
13-14 พงศาวดาร.........1-2 พ. ศด 36. โยเอล........................ยอล
12. โคโลสี................................คส
15. เอสรา..................................อสร 37. อาโมส.......................อมส
13-14 เธสะโลนิกา.....1-2 ธส
16. เนหะมีย์..............................นหม 38. โอบาดีย์...................อบด
15-16 ทิโมธี...................1-2 ทธ
17. โทบิต....................................ทบต 39. โยนาห์.......................ยนา
17. ทิตัส...................................ทต
18. ยูดิธ.....................................ยดธ 40. มีคาห์........................ มคา
18. ฟีเลโมน............................ ฟม
19. เอสเธอร์............................อสธ 41. นาฮูม........................นฮม
19. ฮีบรู....................................ฮบ
20-21 มัคคาบี............... 1-2 มคบ 42. ฮาบากุก...................ฮบก
20. ยากอบ..............................ยก
22. โยบ........................................โยบ 43. เศฟันยาห์................ศฟย
21-22 เปโตร.................1-2 ปต
23. เพลงสดุดี......................... สดด 44. ฮักกัย.........................ฮกก
23-25 ยอห์น................1-2 ยน
24. สุภาษิต.............................. สภษ 45. เศคาริยาห์..............ศคย
26. ยูดา....................................ยด
25. ปัญญาจารย์....................ปญจ 46. มาลาคี.......................มลค
27. วิวรณ์.................................วว
ปีนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาทรงขอให้ทั่วโลกเสนอความเห็นมา และมี คณะกรรมการที่กรุงโรมสรุปให้พระองค์ได้ดังนี้ มกราคม : ส่งเสริมสันติภาพในโลก เราภาวนาเพื่อคริสตชน ศาสนิกชนศาสนาอื่นๆ และประชาชนทุกคน ผู้มีน�้ำใจดี ช่วยกันส่งเสริมสันติภาพ และความยุติธรรมในโลก กุมภาพันธ์ : ฟังเสียงร้องของบรรดาผู้อพยพย้ายถิ่น เราภาวนาเพื่อให้มีผู้ได้ยินและสนใจพิจารณาเสียงร้องของพี่น้องชาย หญิง ผู้อพยพ บรรดาเหยื่อของการค้าสิ่งผิดกฎหมายที่เป็นอาชญากรรม มีนาคม : ชาวคาทอลิกในประเทศจีน เราภาวนาเพื่อพระศาสนจักรในประเทศจีน จะพากเพียร ซื่อสัตย์ต่อ พระวรสาร และเป็นน�้ำหนึ่งใจเดียวกัน เมษายน : อิสรภาพจากภาวะติดยาเสพติด เราภาวนาเพื่อบรรดาผู้ทนทุกข์จากการติดยาเสพติด จะได้รับความ ช่วยเหลือ และมีผู้ร่วมก้าวเดินในชีวิต พฤษภาคม : เพื่อบรรดาสังฆานุกร เราภาวนาเพื่อบรรดาสังฆานุกร ให้ซื่อสัตย์ในงานรับใช้พระวาจา และ คนยากจน ให้พวกเขาเป็นสัญลักษณ์ที่มีชีวิตชีวาของพระศาสนจักรทั้งมวล
มิถุนายน : หนทางแห่งดวงใจ เราภาวนาเพื่อทุกคนผู้ทนทุกข์ จะพบหนทางในชีวิต ให้พวกเขาสัมผัส ดวงหทัยของพระเยซูเจ้า กรกฎาคม : ครอบครัวของเรา เราภาวนาเพือ่ ครอบครัวปัจจุบนั มีความรัก ความเคารพ และการชีแ้ นะ สิงหาคม : โลกที่เกี่ยวกับการเดินเรือสมุทร เราภาวนาเพื่อบรรดาผู้ท�ำงานและอาศัยในทะเล รวมทั้งบรรดากะลาสี เรือ ชาวประมง และครอบครัวของพวกเขา กันยายน : การเคารพทรัพยากรของโลก เราภาวนาเพื่อทรัพยากรของโลกจะไม่ถูกปล้นยักยอก แต่ได้รับการ แบ่งปันอย่างยุติธรรมและเคารพ ตุลาคม : พันธกิจของฆราวาสในพระศาสนจักร เราภาวนาเพื่อบรรดาฆราวาส เป็นพิเศษสตรี โดยอาศัยศีลล้างบาป จะ มีส่วนร่วมรับผิดชอบมากขึ้นในงานต่างๆ ของพระศาสนจักร พฤศจิกายน : ปัญญาประดิษฐ์ เราภาวนาเพื่อความก้าวหน้าด้านหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ จะ รับใช้มนุษยชาติเสมอ ธันวาคม : เพื่อชีวิตแห่งการภาวนา เราภาวนาเพื่อความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรากับพระเยซูคริสตเจ้า ได้รับ การหล่อเลี้ยงด้วยพระวาจาของพระเจ้า และชีวิตแห่งการภาวนา
สมโภช พระนางมารีย์ พระชนนีพระเจ้า สดด 67:1-2,3-7 วันขึ้นปีใหม่
บทอ่านที่ 1 กดว 6:22-27 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสสัง่ โมเสส ให้บอกอาโรนและบรรดาบุตรว่า “ท่านทัง้ หลาย จะต้องอวยพรชาวอิสราเอลดังนี้ ท่านจะต้องกล่าวว่า ‘ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงอวยพร ท่านและพิทักษ์รักษาท่าน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำ�แดงพระพักตร์แจ่มใสต่อท่าน และโปรดปรานท่าน ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงผินพระพักตร์มายังท่านและประทานสันติ แก่ท่านด้วยเทอญ’” สมณะจะต้องเรียกขานนามของเราให้ลงมาเหนือชาวอิสราเอลเช่นนี้ แล้วเราจะ อวยพรเขาทั้งหลาย บทอ่านที่ 2 กท 4:4-7 พี่น้อง เมื่อถึงเวลาที่กำ�หนดไว้ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิด จากหญิงผู้หนึ่ง เกิดมาอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อทรงไถ่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และทำ�ให้ เราได้เป็นบุตรบุญธรรม ข้อพิสูจน์ว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรก็คือพระเจ้าทรงส่งพระจิต ของพระบุตรลงมาในดวงใจของเรา พระจิตผู้ตรัสด้วยเสียงดังว่า “อับบา พ่อจ๋า” ดังนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร ถ้าเป็นบุตรก็ย่อมเป็นทายาทตาม พระประสงค์ของพระเจ้า พระวรสาร ลก 2:16-21 ขณะนั้น คนเลี้ยงแกะจึงรีบไปและพบพระนางมารีย์ โยเซฟ และพระกุมารซึ่ง บรรทมอยูใ่ นรางหญ้า เมือ่ คนเลีย้ งแกะเห็น ก็เล่าเรือ่ งทีเ่ ขาได้ยนิ มาเกีย่ วกับพระกุมาร ทุกคนที่ได้ยินต่างประหลาดใจในเรื่องที่คนเลี้ยงแกะเล่าให้ฟัง ส่วนพระนางมารีย์ทรง เก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัยและยังทรงคำ�นึงถึงอยู่ คนเลี้ยงแกะกลับไปโดย ถวายพระพรและสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องต่างๆ ที่พวกเขาได้ยินและได้เห็น ตามที่ ทูตสวรรค์บอกไว้ เมื่อครบกำ�หนดแปดวัน ถึงเวลาที่พระกุมารจะต้องทรงเข้าสุหนัต เขาถวาย พระนามพระองค์ว่าเยซู เป็นพระนามที่ทูตสวรรค์ให้ไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของพระมารดา
เพือ่ จะไถ่มนุษย์ให้พน้ จากบาปตามพระประสงค์นนั้ พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรเพือ่ มารับสภาพ มนุษย์ เป็นบุตรของมารีย์ ซึ่งหลังจากการไตร่ตรองประสบการณ์ของตนกับพระเจ้า แม่พระได้ตั้งชื่อบุตร ของตนว่า “เยซู” ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ตรัสผ่านทางทูตสวรรค์ และเรื่องราวการบังเกิดของ พระเยซูเจ้าในเมืองเบธเลเฮม ผู้ซึ่งจะเป็นพระผู้ไถ่ ถูกเล่าต่อโดยปากของบรรดาผู้เลี้ยงแกะ ซึ่งชื่นชมยินดี ในสิง่ ทีพ่ วกเขาได้เห็น ได้ยนิ ได้ถวายพระพรสรรเสริญพระเจ้าตามคำ�แนะนำ�ของทูตสวรรค์ ดังนัน้ ไม่วา่ ชีวติ มนุษย์จะจบสิ้น เริ่มต้นใหม่อย่างไร พระเจ้าทรงทราบ และทรงมีพระประสงค์สำ�หรับมนุษย์แต่ละคน แตกต่างกันตามที่ทรงพอพระทัย
บทอ่านที่ 1 1 ยน 2:22-28 ลู ก ที่ รั ก ทั้ ง หลาย ใครเป็ นคนพู ด คำ � เท็ จ ถ้ า ไม่ ใช่ ค นที่ พู ด ว่ า พระเยซู ไม่ ใช่ พระคริสตเจ้า ผู้นี้คือปฏิปักษ์ของพระคริสตเจ้า เขาปฏิเสธทั้งพระบิดาและพระบุตร ทุกคนที่ปฏิเสธพระบุตรก็ไม่มีพระบิดา คนที่ยอมรับพระบุตรย่อมมีพระบิดาด้วย ขอ ให้สิ่งที่ท่านทั้งหลายฟังมาตั้งแต่แรกเริ่มนั้นคงอยู่ในท่าน ถ้าสิ่งที่ท่านฟังมาตั้งแต่แรก เริ่มนั้นคงอยู่ในท่าน ท่านก็ดำ�รงอยู่ในพระบุตร และในพระบิดา พระสัญญาที่พระองค์ ระลึกถึง ประทานไว้ก็คือชีวิตนิรันดร ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลายมามากแล้ว เกี่ยวกับบุคคล น.บาซิล และ น.เกรโกรี่ ที่พยายามชักนำ�ให้หลงผิด แต่สำ�หรับท่าน การได้รับเจิมจากพระองค์ยังคงอยู่ในท่าน แห่งเมืองนาซีอันเซน และไม่จำ�เป็นต้องให้ใครมาสอนท่านอีก เพราะการเจิมของพระองค์นั้นสอนทุกสิ่ง พระสังฆราช และนักปราชญ์ ให้ท่าน และเพราะการเจิมนั้นเป็นจริงและไม่หลอกลวง จงดำ�รงอยู่ในพระองค์ตามคำ� สั่งสอนที่ท่านได้รับมา สดด 98:1-2,3-4 ลูกที่รักทั้งหลาย บัดนี้จงดำ�รงอยู่ในพระองค์ เพื่อเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ได้มีความมั่นใจ ไม่ต้องหลบเลี่ยงไปจากพระองค์ด้วยความอับอาย ในวันที่พระองค์ เสด็จมา พระวรสาร ยน 1:19-28 ยอห์นเป็นพยานดังนี้ เมื่อชาวยิวจากกรุงเยรูซาเล็มส่งบรรดาสมณะและชาวเลวี ไปถามยอห์นว่า “ท่านเป็นใคร” เขามิได้ปิดบังความจริง แต่ยืนยันว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ พระคริสต์” ดังนั้น เขาเหล่านั้นจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นใคร เป็นเอลียาห์หรือ” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นประกาศกหรือ” เขาตอบอีกว่า “ไม่ใช่” เขาเหล่านัน้ จึงถามว่า “ท่านเป็นใคร เราจะได้น�ำ คำ�ตอบไปให้ผทู้ สี่ ง่ เรามา ท่าน พู ด ถึ ง ตนเองอย่ า งไร” ยอห์ น ตอบว่ า “ข้ า พเจ้ า เป็ น เสี ย งของผู้ ที่ ร้ อ งตะโกนใน ถิ่นทุรกันดารว่า จงทำ�ทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงเถิด ดังที่ประกาศกอิสยาห์ได้ กล่าวไว้” ผูท้ ถี่ กู ส่งไปถามนัน้ เป็นชาวฟาริสี เขาถามยอห์นอีกว่า “ทำ�ไมท่านจึงทำ�พิธลี า้ ง ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ และไม่ใช่ประกาศก” ยอห์นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าใช้นํ้าทำ�พิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่มี ผู้หนึ่งประทับอยู่ในหมู่ท่าน เป็นผู้ที่ท่านไม่รู้จัก ผู้นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้ สายรัดรองเท้าของเขา” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานี อีกฟากหนึ่งของแม่นํ้าจอร์แดนซึ่งยอห์นกำ�ลังทำ�พิธีล้างอยู่ สำ�หรับคริสตชนผู้ได้รับการเจิม เขามีโอกาสเรียนรู้มากมายจากการฟัง อ่าน รำ�พึง ไตร่ตรอง หากสิ่งเหล่านั้นคงอยู่ในจิตใจ นำ�ไปปฏิิบัติ ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถชักนำ�ให้เขาหลงผิดได้ แม้อยู่ในสถานการณ์ ที่คับขัน มีอันตรายเสี่ยงต่อชีวิตก็ตาม เช่นเดียวกับนักบุญยอห์น เลือกที่จะยืนยันในสิ่งที่ถูกต้อง ปฏิเสธใน สิ่งที่ไม่เป็นความจริง และร้องเตือนให้ดำ�เนินชีวิตในทางตรงที่มุ่งสู่องค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น เมื่อจำ�เป็นต้อง เลือก จงพร้อมที่จะเลือก ยืนยันความจริง ความถูกต้องเสมอในชีวิต
พระนามศักดิ์สิทธิ์ ของพระเยซูเจ้า สดด 98:1-2,3-4,5-6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันศุกร์ต้นเดือน
บทอ่านที่ 1 1 ยน 2:29-3:6 ลูกที่รักทั้งหลาย ถ้าท่านรู้ว่า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็ต้องยอมรับว่าทุกคน ที่ประพฤติชอบ ย่อมบังเกิดจากพระองค์ จงดูเถิดว่า ความรักที่พระบิดาประทานให้ เรานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เพื่อทำ�ให้เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนั้น จริง โลกไม่รู้จักเรา เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์ ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้ เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว แต่เราจะเป็นอย่างไรใน อนาคตนั้นยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง เราตระหนักดีว่า เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็น เหมือนพระองค์ เพราะเราจะได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์ ย่อมชำ�ระใจของตนให้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่ พระองค์ทรงบริสทุ ธิ์ ทุกคนทีท่ �ำ บาป ย่อมฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ เพราะบาปเป็นการฝ่าฝืน ธรรมบัญญัติ ท่านทั้งหลายตระหนักดีแล้วว่า พระองค์ทรงปรากฏเพื่อทรงลบล้างบาป ให้สิ้นไป และไม่มีบาปใดในพระองค์ ทุกคนที่ดำ�รงอยู่ในพระองค์ย่อมไม่ทำ�บาป และ ทุกคนที่ทำ�บาป ย่อมไม่เคยเห็นและไม่รู้จักพระองค์ พระวรสาร ยน 1:29-34 วันรุ่งขึ้น ยอห์นเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมาหาตน จึงกล่าวว่า “นี่คือลูกแกะของ พระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก ผู้นี้คือผู้ที่ข้าพเจ้าเคยพูดถึงว่า ‘บุรุษผู้หนึ่งมา ภายหลังข้าพเจ้า แต่นำ�หน้าข้าพเจ้า เพราะอยู่มาก่อนข้าพเจ้า’ ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้าถูกส่งมาให้ทำ�พิธีล้าง เพื่อทำ�ให้พระองค์เป็นที่รู้จักแก่อิสราเอล” ยอห์นยัง ยืนยันอีกว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนนกพิราบ และทรง อยูเ่ หนือพระองค์ ข้าพเจ้าไม่รจู้ กั พระองค์ แต่ผทู้ ที่ รงส่งข้าพเจ้ามาใช้นาํ้ ทำ�พิธลี า้ ง ตรัส กับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับอยูเ่ หนือผูใ้ ด ผูน้ นั้ คือผูท้ ที่ �ำ พิธลี า้ ง เดชะพระจิตเจ้า” ข้าพเจ้าเห็นและเป็นพยานยืนยันว่าท่านผูน้ เี้ ป็นพระบุตรของพระเจ้า’” แม้ยอห์นจะไม่เคยพบ ไม่รู้จักพระเยซูเจ้า แต่หน้าที่ของท่านคือ ทำ�ให้ พระเยซูเจ้าเป็นทีร่ จู้ กั ด้วยใจทีบ่ ริสทุ ธิข์ องท่าน โดยการเชือ่ ฟังผูท้ สี่ ง่ ท่านมา เมือ่ ยอห์น เห็นพระเยซูเจ้า จึงสามารถเป็นพยานยืนยันได้อย่างมั่นใจว่า พระเยซูเจ้า “คือ ลูกแกะของพระเจ้า” นักบุญยอห์นเตือนว่า ผูท้ มี่ คี วามหวังในพระเจ้า ย่อมชำ�ระใจของ ตนให้บริสุทธิ์ ไม่ประพฤติตนให้ตกในบาป ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพเจ้าทั้งหลายได้เห็น ความรักของพระองค์ผ่านทางการมอบชีวิตของพระเยซูเจ้า โปรดทรงสอนข้าพเจ้า ทัง้ หลาย ให้รจู้ กั ทีจ่ ะเลียนแบบ ด้วยการปฏิบตั คิ วามรักนัน้ ต่อบุคคลรอบข้าง ด้วยหัวใจ ที่บริสุทธิ์
บทอ่านที่ 1 1 ยน 3:7-10 ลูกที่รักทั้งหลาย จงอย่าให้ใครชักนำ�ท่านให้หลงผิด ผู้ประพฤติชอบย่อมเป็นผู้ ชอบธรรม ดังทีพ่ ระองค์ทรงเป็นผูเ้ ทีย่ งธรรม ผูท้ ที่ �ำ บาปย่อมมาจากปีศาจ เพราะปีศาจ นั้นทำ�บาปมาตั้งแต่แรกเริ่ม พระบุตรของพระเจ้าทรงปรากฏ เพื่อทรงทำ�ลายงานของ ปีศาจ ทุกคนทีบ่ งั เกิดจากพระเจ้าย่อมไม่ท�ำ บาป เพราะเชือ้ ชีวติ ของพระเจ้าดำ�รงอยูใ่ น ตัวเขา และเขาไม่อาจทำ�บาปได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า เราจำ�แนกบุตรของพระเจ้า จากบุตรของปีศาจได้โดยวิธีนี้ คือทุกคนที่ไม่ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ก็ ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระวรสาร ยน 1:35-42 วันรุ่งขึ้น ยอห์นกำ�ลังยืนอยู่ที่นั่นกับศิษย์สองคน เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จผ่าน ไป จึงพูดว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า” เมื่อศิษย์ทั้งสองคนได้ยินยอห์นพูดดังนี้จึง ติดตามพระเยซูเจ้าไป พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรเห็นเขากำ�ลัง ติดตามพระองค์ จึงตรัสถามว่า “ท่านต้องการสิ่งใด” เขาทูลตอบว่า “รับบี” แปลว่า พระอาจารย์ “พระองค์ทรงพำ�นักอยู่ที่ไหน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มาดูซิ” เขาจึงไปดู เห็นทีป่ ระทับของพระองค์ และพักอยูก่ บั พระองค์ในวันนัน้ ขณะนัน้ เป็นเวลาประมาณ บ่ายสี่โมง อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรเป็นคนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินคำ�พูดของยอห์น และตามพระเยซูเจ้าไป อันดรูว์พบซีโมนพี่ชายเป็นคนแรก จึงพูดว่า “เราพบพระ เมสสิยาห์แล้ว” พระเมสสิยาห์หรือพระคริสตเจ้า แปลว่า ผูร้ บั เจิม เขาพาพีช่ ายไปเฝ้า พระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขา จึงตรัสว่า “ท่านคือซีโมนบุตรของยอห์น ท่านจะมีชื่อว่า เคฟาส” แปลว่า “เปโตร” หรือ “ศิลา” ในฐานะบุคคลที่เคารพรักยำ�เกรงพระเจ้า ตระหนักถึงการประทับอยู่ ของพระในจิตใจ นักบุญยอห์นเตือนว่า อย่าให้ใครชักนำ�ให้หลงผิด เพราะผู้ประพฤติ ดี จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม คนที่ไม่ประพฤติดี และไม่ได้รักพี่น้องของตน ก็ไม่ได้ มาจากพระเจ้า เมือ่ ยอห์นเห็นพระเยซูเจ้า ได้แนะนำ�ศิษย์สองคนว่า “นีค่ อื ลูกแกะของ พระเจ้า” ศิษย์สองคนจึงติดตาม เพราะได้ยินยอห์นพูดยืนยัน เมื่ออันดรูว์ได้มี ประสบการณ์ของการพบและอยูก่ บั พระเยซูเจ้า กลับมาพบพีช่ ายเป็นคนแรก จึงแนะนำ� และพาไปหาพระเยซูเจ้า ประสบการณ์ของการได้พบความสุข ความชื่นชมยินดี เมื่อ ได้แบ่งปัน ทั้งด้วยการบอกเล่า แนะนำ� พาไปสัมผัส มีประสบการณ์ เป็นคุณค่าที่น่า จดจำ� นำ�ความสุขสู่ผู้ที่ได้ทำ�เป็นประจำ�
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 98:1-2,7-8,9
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
สมโภช พระคริสตเจ้า แสดงองค์
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 60:1-6 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด จงฉายแสงเจิดจ้า เพราะความสว่างของเจ้ามาแล้ว พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทอแสงเหนือเจ้า ดูซิ ความมืดปกคลุมแผ่นดิน และความมืดทึบปกคลุมประชาชาติทงั้ หลาย แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะทรงทอแสงเหนือ เจ้า ทุกคนจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์เหนือเจ้า นานาชาติจะเดินมาหาความ สว่างของเจ้า บรรดากษัตริย์จะทรงพระดำ�เนินมาสู่ความสดใสที่ทอแสงเหนือเจ้า จงเงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบเถิด เขาเหล่านั้นทุกคนมาชุมนุมกันและเดินมาพบเจ้า บุตรชายทั้งหลายของเจ้ามาจากที่ไกล บุตรหญิงของเจ้าก็ถูกอุ้มมาด้วย เมื่อเจ้าเห็น ดังนี้ก็จะปลาบปลื้ม ใจของเจ้าจะตื่นเต้นและยินดี เพราะความมั่งคั่งของทะเลจะกลับ มาหาเจ้า ทรัพย์สมบัติของนานาชาติจะมายังเจ้า ฝูงอูฐจะมาอยู่เต็มถนนของเจ้า รวม ทั้งคาราวานอูฐจากมีเดียนและเอฟาห์ ทุกคนจะมาจากเชบา นำ�ทองคำ�และกำ�ยานมา ด้วย และจะสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าคนทั้งหลาย เพลงสดุดี สดด 72:1-2,7-8,10-11,12-13 ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานวิจารณญาณของพระองค์แด่พระราชา และประทานความเที่ยงธรรมของพระองค์แก่พระโอรสของพระราชาด้วย ขอพระราชาทรงปกครองประชากรของพระองค์ด้วยความชอบธรรม และทรงดูแลคนยากจนของพระองค์ด้วยวิจารณญาณ ข) ในรัชสมัยของพระราชา ขอให้ความชอบธรรมเจริญงอกงาม และมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งตราบสิ้นแสงจันทร์ ขอให้พระอาณาจักรแผ่ขยายจากทะเลจรดทะเล จากแม่นํ้าจนสุดปลายแผ่นดิน ค) ขอบรรดากษัตริย์แห่งทาร์ซิสและหมู่เกาะทั้งหลายนำ�บรรณาการมาถวาย กษัตริย์แห่งเชบาและซาบานำ�ของกำ�นัลมาถวายด้วย ขอกษัตริย์ทั้งหลายกราบถวายบังคมพระราชา และนานาชาติรับใช้พระองค์ ง) ขอพระราชาทรงปลดปล่อยผู้ขัดสนที่ร้องหาพระองค์ และทรงช่วยคนยากจนที่ไม่มีผู้ช่วยให้รอดพ้น บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 3:2-3ก,5-6 พี่น้อง ท่านคงรู้แล้วถึงพระหรรษทาน ซึ่งพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้าประกอบ พันธกิจเพื่อประโยชน์ของท่าน ข้าพเจ้ารู้ธรรมลํ้าลึกนี้เพราะพระเจ้าทรงเปิดเผย ธรรมลํ้าลึกนี้พระองค์มิได้ทรงเปิดเผยให้มนุษย์ในอดีตรู้ แต่บัดนี้พระเจ้าทรงเปิดเผย เดชะพระจิตเจ้าให้แก่บรรดาอัครสาวกและประกาศกผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิร์ วู้ า่ คนต่างชาติเข้ามา มีส่วนร่วมในกองมรดกเดียวกัน ร่วมเป็นกายเดียวกัน ร่วมรับพระสัญญาเดียวกันใน พระคริสตเยซูอาศัยข่าวดี
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 2:1-12 ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด พระเยซูเจ้าประสูติที่เมือง เบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวัน ออก เดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม สืบถามว่า “กษัตริย์ชาว ยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำ�พระองค์ ขึ้น จึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์” เมื่อกษัตริย์ เฮโรดทรงทราบข่าวนี้ พระองค์ทรงวุ่นวายพระทัย ชาวกรุง เยรูซาเล็มทุกคนต่างก็วุ่นวายใจไปด้วย พระองค์ทรงเรียก ประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ ตรัสถามเขาว่า “พระคริสต์จะประสูติที่ใด” เขาจึงทูลตอบว่า “ในเมือง เบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะประกาศกเขียนไว้ว่า เมืองเบธเลเฮม ดินแดนยูดาห์ เจ้ามิใช่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์ เพราะผู้นำ�คนหนึ่งจะออกมาจากเจ้า จะเป็นผู้นำ�อิสราเอลประชากรของเรา” ดังนั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเรียกบรรดาโหราจารย์มาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ทรงซักถามถึงวันเวลาที่ ดาวปรากฏ แล้วทรงใช้บรรดาโหราจารย์ไปทีเ่ มืองเบธเลเฮม ทรงกำ�ชับว่า “จงไปสืบถามเรือ่ งพระกุมารอย่าง ละเอียด และเมื่อพบพระกุมารแล้ว จงกลับมาบอกให้เรารู้ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย” เมื่อบรรดา โหราจารย์ได้ฟังพระดำ�รัสแล้วก็ออกเดินทาง ดาวที่เขาเห็นทางทิศตะวันออกปรากฏอีกครั้งหนึ่งนำ�ทางให้ และมาหยุดนิง่ อยูเ่ หนือสถานทีป่ ระทับของพระกุมาร เมือ่ เห็นดาวอีกครัง้ หนึง่ บรรดาโหราจารย์มคี วามยินดี ยิ่งนัก เขาเข้าไปในบ้าน พบพระกุมารกับพระนางมารีย์พระมารดา จึงคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ แล้วเปิด หีบสมบัตนิ �ำ ทองคำ� กำ�ยาน และมดยอบออกมาถวายพระองค์ แต่พระเจ้าทรงเตือนเขาในความฝันมิให้กลับ ไปหากษัตริย์เฮโรด เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น
เพียงได้เห็น “ดาว” สัญลักษณ์ของกษัตริย์ที่เฝ้ารอ…โหราจารย์ออกเดินทางจากดินแดนห่าง ไกล ตามหาเพือ่ จะพบและนมัสการ เมือ่ แสงสว่างจาก “ดาว” ดวงนัน้ นำ�ทางโหราจารย์จนได้พบพระกุมาร ผู้เป็นความสุขแห่งความชื่นชมยินดีของการพบเจอ บรรดาโหราจารย์แสดงออกด้วยการนำ�สิ่งที่มีค่าที่สุด “ถวายมอบ” แด่พระกุมาร นั ก บุ ญ เปาโลยื น ยั น ว่ า เมื่ อ พระเจ้ า ได้ ท รงเลื อ กสรรผู้ ที่ ท รงพอพระทั ย พระองค์ ไ ด้ ป ระทาน พระหรรษทาน เพื่อประกอบภารกิจ มิใช่เพื่อประโยชน์ของตนเอง แต่สำ�หรับเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้าง ทุกคน ในท่ามกลางที่มืดมิดของความขัดแย้ง ขอทรงโปรดให้ประชากรเลือกสรรของพระองค์ พร้อมที่จะ เป็นเครื่องมือที่ฉายแสงแห่งรัก ความเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียว เพื่อนำ�ผู้คนที่ตกอยู่ในความมืด ให้ได้พบกับ แสงสว่างแท้จริงในองค์พระคริสตเจ้า
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 2:7-8,10-11
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 1 ยน 3:22-4:6 ลูกที่รักทั้งหลาย ถ้าเราวอนขอสิ่งใด เราย่อมจะได้รับสิ่งนั้นจากพระองค์ เพราะ เราปฏิบัติตามบทบัญญัติ และกระทำ�สิ่งที่พระองค์พอพระทัย นี่เป็นบทบัญญัติของ พระองค์ คือ ให้เราเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระองค์ และ ให้เรารักกัน ดังที่พระองค์ทรงบัญญัติให้เรา ผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ย่อมดำ�รงอยู่ใน พระเจ้า และพระเจ้าทรงดำ�รงอยู่ในผู้นั้น... ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อการดลใจทุกประการ แต่จงทดสอบการดลใจต่างๆ ก่อนว่า มาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะมีประกาศกเทียมอยู่ทั่วไปในโลก... ลูกทีร่ กั ทัง้ หลาย ท่านมาจากพระเจ้า และชนะประกาศกเทียมเหล่านัน้ แล้ว เพราะ พระองค์ผู้สถิตในท่าน ทรงยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก คือผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต เจ้า เขาเหล่านั้นมาจากโลก ดังนั้น จึงพูดตามวิถีโลก และโลกย่อมฟังเขา แต่เรามา จากพระเจ้า ผู้ที่รู้จักพระเจ้าย่อมฟังเรา ส่วนผู้ที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า ย่อมไม่ฟังเรา เรา จึงรู้จักการดลใจที่เป็นความจริงและการดลใจที่เป็นความหลงผิด
พระวรสาร มธ 4:12-17,23-25 เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบว่ายอห์นถูกจองจำ� จึงเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงออกจากเมือง นาซาเร็ธ มาประทับอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม บนฝั่งทะเลสาบ ในดินแดนเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลี ทั้งนี้ เพื่อ ให้พระดำ�รัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า ดินแดนเศบูลุนและนัฟทาลี เส้นทางไปสู่ทะเล ฟากโน้นของแม่นํ้าจอร์แดน แคว้นกาลิลีแห่งบรรดา ประชาชาติ ประชาชนที่จมอยู่ในความมืด ได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนและในเงาแห่ง ความตาย แสงได้ส่องขึ้นมาเหนือพวกเขาแล้ว นับแต่นั้นมา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศเทศนาว่า “จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้ แล้ว” พระองค์เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรง รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิดของประชาชน กิตติศัพท์เกี่ยวกับพระองค์เลื่องลือไปทั่วแคว้นซีเรีย ประชาชนจึงนำ�ผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ผู้ที่ถูก ความทุกข์เบียดเบียน ผู้ถูกปีศาจสิง ผู้เป็นลมบ้าหมู และผู้ที่เป็นง่อยมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาคน เหล่านั้นให้หายจากโรคและความเจ็บไข้ ประชาชนมากมายจากแคว้นกาลิลี จากทศบุรี จากกรุงเยรูซาเล็ม จากแคว้นยูเดีย และจากฟากโน้นของแม่นํ้าจอร์แดนต่างติดตามพระองค์ ธรรมบัญญัติของพระเจ้าคือ ให้เรามีความเชื่อในพระเจ้า รักกันและกัน ใครที่ปฏิบัติตาม บทบัญญัติ ย่อมดำ�รงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าทรงประทับอยู่กับผู้นั้น นักบุญยอห์นแนะนำ�ว่า เมื่อเราได้ ปฏิบัติตามบทบัทญัติ และกระทำ�สิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ถ้าเราวอนขอสิ่งใด เราย่อมได้รับสิ่งนั้น พระเยซูเจ้าสามารถภาวนาวอนขอพระเมตตาแห่งการรักษาจากพระบิดาเจ้าสำ�หรับบุคคลทีเ่ จ็บป่วย บุคคล ทีม่ คี วามทุกข์ทงั้ ทางกายและทางใจ เพราะพระองค์ได้ทรงปฏิบตั ติ ามธรรมบัญญัตนิ นั่ เอง คือเชือ่ ในพระเจ้า... รักเพือ่ นพีน่ อ้ ง พระเยซูเจ้ามีชอื่ เสียง จนประชาชนมากมายอยากติดตามพระองค์ เพราะ...พระองค์ไม่เพียง เทศนาสั่งสอน ประกาศข่าวดีเท่านั้น แต่ทรงปฏิบัติตามธรรมบัญญัติให้เห็นเป็นแบบอย่าง
บทอ่านที่ 1 1 ยน 4:7-10 ท่านที่รักทั้งหลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่มี ความรัก ย่อมบังเกิดจากพระเจ้า และรูจ้ กั พระองค์ ผูไ้ ม่มคี วามรัก ย่อมไม่รจู้ กั พระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้ คือ พระเจ้า ทรงส่งพระบุตรพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น ความรักอยูท่ วี่ า่ พระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพือ่ ชดเชยบาป ของเรา มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า พระวรสาร มก 6:34-44 เมือ่ เสด็จขึน้ จากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนจำ�นวนมากก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่า นัน้ เป็นดังฝูงแกะไม่มคี นเลีย้ ง พระองค์จงึ ทรงเริม่ สัง่ สอนเขาหลายเรือ่ ง เนือ่ งจากเป็น เวลาเย็นมากแล้ว บรรดาศิษย์จงึ เข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลว่า “สถานทีน่ เี้ ป็นทีเ่ ปลีย่ วและ เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปซือ้ อาหารกินตามชนบท และตามหมู่บ้านรอบๆ นี้เถิด” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า “พวกเราจะต้องไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญมาให้ เขากินหรือ” พระองค์ตรัสว่า “ท่านมีขนมปังกีก่ อ้ น ไปดูซ”ิ บรรดาศิษย์ไปดูแล้วกลับมารายงาน ว่า “มีขนมปังอยู่ห้าก้อนกับปลาสองตัว” พระองค์จึงทรงสั่งให้ทุกคนนั่งลงเป็นกลุ่มๆ ตามพื้นหญ้าสีเขียว เขาก็นั่งลงเป็น กลุ่มๆ กลุ่มละหนึ่งร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง พระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลา สองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า แล้วทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิ ขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่ายให้กบั ประชาชน ทัง้ ยังทรงแบ่งปลาสองตัวแจกจ่าย ให้ทกุ คนด้วย ทุกคนได้กนิ จนอิม่ แล้วยังเก็บเศษขนมปังและปลาทีเ่ หลือได้ถงึ สิบสอง กระบุงเต็ม จำ�นวนคนที่กินขนมปังครั้งนั้นมีผู้ชายถึงห้าพันคน ความรักของพระเยซูเจ้า แสดงออกในการ take care ดูแลคนที่อยู่ด้วย และสอนคนที่คิดจะติดตามพระองค์ให้รัก โดยปราศจาก “ข้ออ้าง” ในสถานการณ์ที่ ยากจะรัก ให้รู้จักลงมือทำ�เท่าที่จะทำ�ได้ แล้วภาวนา พระเจ้าทรงดูแลจัดการในส่วนทีข่ าดหาย…จดหมายของนักบุญยอห์นตอกยํา้ “เรา จงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า” ความรักอยู่ที่พระเจ้าเป็นฝ่ายเริ่มรักเราก่อน ด้วยความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลง แสดงออกในการมอบสละสิ่งที่พระองค์รักที่สุดเพื่อ มนุษย์ ดังนั้น ความรักที่ไม่มีการกระทำ� อาจเป็นคำ�ที่ “เลื่อนลอย” พลอยนำ�ไปสู่วัน ของการจากลา
น.เรมอนด์ เด เปญาฟอร์ต พระสงฆ์ สดด 72:1-2,3-4ก 7ก,8ก
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 72:1-2,10, 12-13
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 1 ยน 4:11-18 ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย ไม่มผี ใู้ ดเคย เห็นพระเจ้า แต่ถา้ เรารักกัน พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยูใ่ นเรา และความรักของพระองค์ ในเราก็จะสมบูรณ์ เรารู้ว่าเราดำ�รงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงดำ�รงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ประทานพระพรของพระจิตเจ้าให้เรานั่นเอง เราเห็นและเราเป็นพยาน ได้ว่า พระบิดาทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระผู้ไถ่โลก ผูใ้ ดยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ ในเขา และเขาย่อมอยูใ่ นพระเจ้า เรารูแ้ ละเชือ่ ในความรักทีพ่ ระเจ้าทรงมีตอ่ เรา พระเจ้า ทรงเป็นความรัก ผู้ใดดำ�รงอยู่ในความรัก ย่อมดำ�รงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อม ทรงดำ�รงอยู่ในเขา ความรักสมบูรณ์อยู่ในเรา เพื่อให้เรามีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะพระองค์ทรงเป็นอย่างไร เราในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้นด้วย ไม่มีความกลัวใน ความรัก ความรักที่สมบูรณ์ย่อมขจัดความกลัว เพราะความกลัว คือความคาดหมาย ว่าจะถูกลงโทษ ความรักของผู้มีความกลัวจึงยังไม่สมบูรณ์ พระวรสาร มก 6:45-52 ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปที่ เมืองเบธไซดา ขณะทีพ่ ระองค์ทรงให้ประชาชนกลับ เมือ่ ทรงอำ�ลาจากเขาแล้ว พระองค์ ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนา ครั้นถึงเวลาคํ่าเรืออยู่กลางทะเลสาบ พระองค์ ท รงอยู่ บ นฝั่ ง ตามลำ � พั ง ทรงเห็ น ว่ า บรรดาศิ ษ ย์ ต้ อ งกรรเชี ย งเรื อ อย่ า ง เหน็ดเหนือ่ ยเพราะเรือทวนลม ครัน้ ถึงเวลาประมาณยามทีส่ ี่ พระองค์ทรงพระดำ�เนิน บนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ ทรงตั้งพระทัยจะผ่านเขาไป บรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรง พระดำ�เนินอยู่บนทะเล ก็คิดว่าเป็นผี จึงส่งเสียงร้องอื้ออึง เพราะทุกคนได้แลเห็น พระองค์ จึงตกใจกลัว แต่ทันใดนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ทำ�ใจให้ดี เราเอง อย่า กลัวเลย” แล้วพระองค์เสด็จไปหาเขาในเรือ และลมก็หยุด บรรดาศิษย์รู้สึกประหลาดใจ อย่างยิ่ง เพราะยังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง ใจของเขายังแข็งกระด้างอยู่
ความรักที่พระเยซูเจ้ามีต่อพระบิดาเจ้า เมื่อเสร็จภารกิจ พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนา เพื่อ โมทนาคุณความรักที่พระเยซูเจ้ามีต่อบรรดาศิษย์ เมื่อพวกเขาพบกับสถานการณ์ที่เลวร้าย หวาดกลัว พระองค์ทรงเข้าไปหา หยิบยื่นความช่วยเหลือ และเมื่อตรัสว่า “ทำ�ใจให้ดี เราเอง อย่ากลัว” สถานการณ์ ต่างๆ กลับกลายเป็นความสงบ นักบุญยอห์นสอนว่า ไม่มใี ครเคยเห็นพระเจ้า แต่ถา้ เรารักกัน พระเจ้าย่อมดำ�รงอยูใ่ นเรา และความรัก ของพระองค์ในเราจะสมบูรณ์ พระเจ้าเป็นฝ่ายเริ่มรักเราก่อน ด้วยความรักที่ล้นเหลือ ความรักที่พระเจ้า ทรงรักเราจะสมบูรณ์ เมื่อเราได้รักเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้าง เหมือนกับที่พระเจ้าทรงรักเรา
บทอ่านที่ 1 1 ยน 4:19-5:4 ท่านที่รักทั้งหลาย จงมีความรักเถิด เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน ถ้าผู้ใดพูดว่า “ฉันรักพระเจ้า” แต่เกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จ เพราะผู้ไม่รัก พี่น้องที่เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้ เราได้รับบทบัญญัตินี้จาก พระองค์ คือให้ผู้ที่รักพระเจ้า รักพี่น้องของตนด้วย ทุกคนทีเ่ ชือ่ ว่าพระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า ย่อมบังเกิดจากพระเจ้า ทุกคนทีร่ กั บิดา ย่อมรักบุตรของเขาด้วย เรารู้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้า เมื่อเรารักพระเจ้าและ ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ ความรักต่อพระเจ้าคือการปฏิบัติตามบทบัญญัติ บทบัญญัติของพระองค์มิใช่ภาระหนัก เพราะทุกคนที่บังเกิดจากพระเจ้าชนะโลกแล้ว ชัยชนะที่ชนะโลกก็คือความเชื่อของเรา
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 72:1-2,14 15ขค,17
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร ลก 4:14-22ก เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปแคว้นกาลิลพี ร้อมด้วยพระอานุภาพของพระจิต เจ้า กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นนั้น พระองค์ทรงสอนตามศาลา ธรรมของชาวยิวและทุกคนต่างสรรเสริญพระองค์ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ใน วันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่าน พระคัมภีร์ มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วน หนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า “พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ� คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าทีแ่ ละประทับนัง่ ลง สายตาของ ทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์ พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว” ทุกคนสรรเสริญ พระองค์และต่างประหลาดใจในถ้อยคำ�น่าฟังที่พระองค์ตรัส พระจิตของพระเจ้าประทับอยูก่ บั ผูร้ บั เจิม เพือ่ พันธกิจการประกาศข่าวดี นำ�ความชืน่ ชมยินดี สู่เพื่อนพี่น้อง เมื่อผู้รับเจิมประกาศข่าวดี นำ�ความรักสู่สังคม ด้วยการช่วยเหลือผู้ที่ทนทุกข์ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ พระเจ้าประทับอยู่ที่นั่น และบันดาลให้สิ่งที่เขา...พูดและทำ�..นำ�ความสุขสู่บุคคลรอบข้าง เมื่อมี ความรักเป็นแรงผลักดัน ทุกสิง่ สามารถทำ�ให้เกิดขึน้ ได้ ถ้าฉันไม่สามารถรักเพือ่ นพีน่ อ้ งทีม่ องเห็นได้ การจะ บอกว่ารักพระเจ้าที่มองไม่เห็น คงเป็นสิ่งที่ไร้ค่า เพราะพระเจ้าทรงเป็น “ความรัก”
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 147:12-14, 15-16,19-20
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 1 ยน 5:5-13 ท่านที่รักทั้งหลาย ใครเล่าชนะโลกได้ ถ้ามิใช่ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระบุตร ของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้เสด็จมาโดยนํ้าและโดยพระโลหิต พระองค์คือพระ เยซูคริสตเจ้า พระองค์มไิ ด้เสด็จมาโดยนาํ้ เพียงอย่างเดียว แต่เสด็จมาโดยนาํ้ และโดย พระโลหิต และพระจิตเจ้าทรงเป็นพยานถึงเรื่องนี้ เพราะพระจิตเจ้าทรงเป็นความจริง พยานมีสามอย่าง คือพระจิตเจ้า นํ้าและพระโลหิต และพยานทั้งสามอย่างก็ตรง กัน ถ้าเรายอมรับการเป็นพยานของมนุษย์ การเป็นพยานของพระเจ้านั้นย่อมยิ่งใหญ่ กว่า คือการเป็นพยานที่พระเจ้าทรงให้เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ใดเชื่อใน พระบุตรของพระเจ้า ย่อมมีการเป็นพยานอยู่ในตัวเขาแล้ว แต่ผู้ที่ไม่เชื่อ ย่อมทำ�ให้ พระเจ้าเป็นผูต้ รัสคำ�เท็จ เพราะเขาไม่เชือ่ การเป็นพยานซึง่ พระเจ้าประทานให้เกีย่ วกับ พระบุตรของพระองค์ การเป็นพยานนี้คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดรแก่เรา และชีวิตนี้อยู่ในพระบุตร ของพระองค์ ผู้ใดมีพระบุตรย่อมมีชีวิต และผู้ใดไม่มีพระบุตรของพระเจ้าย่อมไม่มี ชีวิต ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ถึงท่านทั้งหลาย ซึ่งเชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร พระวรสาร ลก 5:12-16 วันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ในเมืองหนึ่ง ชายคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อนเต็ม ตัว เมื่อเห็นพระองค์ ก็กราบพระบาทอ้อนวอนว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ยอ่ มทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระเยซูเจ้าทรงยืน่ พระหัตถ์สมั ผัสเขา ตรัส ว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” พระองค์ทรงกำ�ชับเขามิให้บอกผู้ใด แต่ “จงไปแสดงตน แก่สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำ�หนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลาย ว่าท่านหายจากโรคแล้ว” ข่าวเกีย่ วกับพระองค์กลับกระจายออกไปมากขึน้ ประชาชนจำ�นวนมากต่างมาฟัง พระองค์และรับการรักษาโรค แต่พระองค์เสด็จไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนา
เมื่อชายโรคเรื้อนที่ถูกสังคมรังเกียจเข้ามาหาพระเยซูเจ้าด้วยความเชื่อ เพื่อขอรับการรักษา พระเยซูเจ้าไม่ได้กลัวหรือรังเกียจที่จะพบปะพูดคุยกับชายคนนี้ ด้วยท่าทีของความรัก และทรงช่วยเขาให้หายจากโรค จากนัน้ จึงส่งเขาไปแสดงตนเป็น พยานถึงข่าวดีดว้ ยชีวติ จดหมายนักบุญยอห์นตอกยาํ้ ว่า...มนุษย์เป็นพยานถึงพระเจ้า ได้ผา่ นทาง “ความเชือ่ ” และการเป็นพยานถึงพระเจ้าด้วยความเชือ่ เพือ่ จะให้เป็นชีวติ จำ�เป็นต้องติดตามพระคริสตเจ้า แล้วเรียนรู้ว่า พระองค์ทำ�อะไร...ทำ�อย่างไร ดังนั้น หากจะเป็นพยานชีวิต จงพูดให้น้อย แล้วให้การกระทำ�เป็นผู้ส่งเสียง
บทอ่านที่ 1 1 ยน 5:14-21 ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย ความมัน่ ใจของเราต่อพระองค์มอี ยูว่ า่ ถ้าเราวอนขอสิง่ ใดทีเ่ ป็น ไปตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์จะทรงฟังเรา และถ้าเรารูว้ า่ พระองค์ทรงฟัง สิง่ ทีเ่ ราวอนขอ เราย่อมรูว้ า่ เรามีสงิ่ ทีเ่ ราวอนขอนัน้ แล้ว ผูใ้ ดเห็นพีน่ อ้ งกระทำ�บาป ซึง่ ไม่ใช่บาปที่ทำ�ให้ตาย จงอธิษฐานภาวนาเพื่อพี่น้องคนนั้น แล้วพระเจ้าจะประทานชีวิต แก่เขา แต่ต้องไม่ใช่บาปที่ทำ�ให้ตาย มีบาปที่ทำ�ให้ตาย และข้าพเจ้าไม่บอกให้ท่าน อธิษฐานเพื่อบาปชนิดนี้ ความอธรรมทุกชนิดเป็นบาป แต่ไม่ใช่บาปทุกชนิดทำ�ให้ตาย เรารูว้ า่ ทุกคนทีเ่ กิดจากพระเจ้าย่อมไม่ท�ำ บาป เพราะพระผูท้ รงบังเกิดจากพระเจ้า ทรงเฝ้ารักษาเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้ เรารู้ว่า เรามาจากพระเจ้า โลก ทัง้ หมดอยูใ่ ต้อ�ำ นาจของมารร้าย เรารูอ้ กี ว่า พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว พระองค์ ประทานความเข้าใจให้เรา เพื่อเราจะได้รู้จักพระเจ้าแท้ เราอยู่ในพระองค์ และอยู่ใน พระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และทรงเป็นชีวิต นิรันดร ลูกที่รัก จงระวังตนจากรูปเคารพเถิด
เทศกาล พระคริสตสมภพ สดด 149:1-2,3-4, 5-7,8-9
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันเด็กแห่งชาติ
พระวรสาร ยน 3:22-30 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์เข้าไปในแคว้นยูเดีย พระองค์ ประทับอยูก่ บั เขาทีน่ นั่ และทรงทำ�พิธลี า้ ง ส่วนยอห์นก็ท�ำ พิธลี า้ งอยูท่ ไี่ อโนน ใกล้ต�ำ บล ซาลิม เพราะที่นั่นมีนํ้าบริบูรณ์ ประชาชนต่างมารับพิธีล้าง เวลานั้นยอห์นยังไม่ถูก จำ�คุก ชาวยิวคนหนึ่งเริ่มโต้เถียงกับศิษย์บางคนของยอห์นเรื่องการชำ�ระล้าง คนเหล่า นัน้ จึงไปหายอห์น พูดว่า “รับบี ขณะนีผ้ ทู้ เี่ คยอยูก่ บั ท่านทีแ่ ม่นาํ้ จอร์แดนฟากโน้น และ ท่านเป็นพยานถึงเขากำ�ลังทำ�พิธีล้างอยู่ และทุกคนก็ไปหาเขา” ยอห์นตอบว่า “มนุษย์มีสิ่งใดไม่ได้นอกจากสิ่งที่ได้รับจากสวรรค์ ท่านทั้งหลาย ก็เป็นพยานได้ที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้แล้วว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสตเจ้า แต่ข้าพเจ้าถูก ส่งมาก่อนพระองค์ ผู้ที่มีเจ้าสาวคือเจ้าบ่าว แต่เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังอยู่ ย่อมยินดีเมื่อ ได้ยนิ เสียงของเจ้าบ่าว ข้าพเจ้ามีความยินดีเช่นนี้ และความยินดีของข้าพเจ้าก็สมบูรณ์ พระองค์จะต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนข้าพเจ้าจะต้องด้อยลง’” ศิษย์ของยอห์นทีไ่ ม่ได้รบั รูพ้ ระประสงค์ของพระเจ้า เขาไม่เข้าใจพันธกิจ รูส้ กึ ไม่สบายใจทีเ่ ห็น คนอื่นได้ดีกว่าอาจารย์ของตน แต่สำ�หรับยอห์น ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ต่อพระประสงค์ของพระเจ้า ในพันธกิจที่ ตนกำ�ลังทำ� เขาตระหนักดีว่า หน้าที่ของเขาคือ ทำ�พันธกิจให้ลุล่วง เพื่อให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำ�เร็จ ไป โดยไม่เรียกร้องสิ่งใด ความชื่นชมยินดีของยอห์นผู้ทำ�พิธีล้างสมบูรณ์ เมื่อได้ทำ�ทุกสิ่งตามพระประสงค์ ของพระเจ้า เพื่อให้พระเยซูคริสตเจ้าเด่นชัดขึ้น แม้ตนเองจะต้องด้อยลงก็ตาม เป็นการดีทจี่ ะภาวนาบ่อยๆ เพือ่ ขอให้พระประสงค์ของพระเจ้าในชีวติ ของเราสำ�เร็จไป ตามทีพ่ ระองค์ ทรงพอพระทัย มิใช่ตามที่ใจเราปรารถนา
ฉลอง พระเยซูเจ้า ทรงรับพิธีล้าง
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 42:1-4,6-7 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “นีค่ อื ผูร้ บั ใช้ของเรา ซึง่ เราเชิดชู เราเลือกเขาเพราะเรา พอใจเขา เราให้จิตของเราแก่เขา เขาจะนำ�ความยุติธรรมไปให้แก่นานาชาติ เขาจะไม่ ร้องตะโกนหรือเปล่งเสียงดัง จะไม่ทำ�ให้ใครได้ยินเสียงของเขาตามถนน ไม้อ้อที่ชํ้า แล้ว เขาจะไม่หกั และไส้ตะเกียงทีร่ บิ หรีอ่ ยู่ เขาจะไม่ดบั เขาจะประกาศความยุตธิ รรม ด้วยความสัตย์จริง เขาจะไม่หมดหวังหรือท้อใจ จนกว่าจะได้สถาปนาความยุติธรรมไว้ บนแผ่นดิน ดินแดนชายทะเลจะรอคอยคำ�สอนของเขา เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม เราจับมือของท่าน และรักษาท่านไว้ เราให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร และเป็นแสงสว่างส่อง นานาชาติ เพื่อเปิดตาคนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ�จากคุก ปลดปล่อยผู้ที่อยู่ใน ความมืดจากที่คุมขัง” เพลงสดุดี สดด 29:1-2,3-4,9-10 ก) บุตรทั้งหลายของพระเจ้า จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์และพระอานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อทรงสำ�แดงความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข) พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าก้องอยู่เหนือน่านนํ้า พระเจ้าผู้ทรงสิริแผดพระสุรเสียงกึกก้อง องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่เหนือห้วงนํ้ากว้างใหญ่ พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอานุภาพ พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้ากึกก้องกัมปนาท ค) พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าทำ�ให้ต้นโอ๊กสะท้านสะเทือน ทรงปลิดใบต้นไม้ในป่าจนหมดต้น ในพระวิหารของพระองค์ทุกคนร้องขานพร้อมกันว่า “พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์” องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับเหนือห้วงมหรรณพ องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับเป็นกษัตริย์ตลอดไป บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 10:34-38 เวลานั้น เปโตรเริ่มพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงลำ�เอียง ทุกคนที่ ยำ�เกรงพระองค์และปฏิบตั คิ วามชอบธรรม ไม่วา่ จะมีเชือ้ ชาติใด ย่อมเป็นทีพ่ อพระทัย ของพระองค์ พระองค์ทรงมอบพระวาจาแก่ลูกหลานของชาวอิสราเอล โดยทรงประกาศข่าวดี แห่งสันติสุขเดชะพระเยซูคริสตเจ้า พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็น
เจ้าของทุกคน ท่านทั้งหลายรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้น ยูเดีย เริ่มต้นที่แคว้นกาลิลี หลังจากที่ยอห์นได้เทศน์สอน และทำ�พิธลี า้ ง พระเจ้าทรงเจิมพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธด้วย พระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปที่ใด ทรงกระทำ�ความดีและทรงรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำ�นาจของ ปีศาจ เพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์”
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 3:13-17 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากแคว้นกาลิลีถึงแม่นํ้า จอร์แดน เพื่อทรงรับพิธีล้างจากยอห์น ยอห์นพยายาม ชักชวนพระองค์ให้เปลีย่ นพระทัย เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าควร จะรับพิธีล้างจากท่าน แต่ท่านกลับมาพบข้าพเจ้า” พระเยซู เจ้าตรัสตอบว่า “เวลานี้ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก่อน เพราะเราควรจะทำ�ทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระเจ้า” ยอห์นจึงยอมทำ�ตาม เมื่อพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างแล้ว เสด็จขึ้นจากนํ้า ทันใดนั้นท้องฟ้าเปิดออก พระองค์ทอดพระเนตร เห็นพระจิตของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจนกพิราบ และมีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตร สุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” นักบุญยอห์นประกาศยอมรับความจริงทีว่ า่ ท่านด้อยค่าเพียงใด เมือ่ ไปเทียบกับผูท้ จี่ ะมาภาย หลัง เพราะตนเป็นเพียงผู้รับใช้ มีหน้าที่ในการทำ�พิธีล้างด้วยนํ้าเท่านั้น ส่วนผู้ที่มาภายหลังนั้น ท่านทำ� พิธีล้างด้วยพระจิตของพระเจ้า ประกาศกอิสยาห์บรรยายลักษณะของ “ผู้รับใช้” ที่พระเจ้าทรงพอพระทัย เพราะได้สวมใส่จิตของพระองค์ เขาจะเป็นผู้นำ�ความยุติธรรมด้วยความจริง ไม่หมดหวัง หรือท้อแท้ใจ เมื่อ พระจิตของพระเจ้าสถิตกับพระเยซูเจ้าผ่านทางพิธีล้าง หนังสือกิจการอัครสาวกบันทึกว่า พระเยซูเจ้าผ่าน ไปที่ไหน ก็ทรงทำ�แต่ความดี… ผู้รับใช้ที่ดีจึงไม่กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่จะคำ�นึงถึงสิ่งที่กำ�ลังทำ�ว่านำ�สิ่ง ดีหรือยัง
น.ฮีลารี พระสังฆราช และนักปราชญ์ สดด 116:12-13,14-15 และ 17, 18-19
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 1:1-8 ชายผู้หนึ่งชื่อเอลคานาห์อยู่ที่เมืองรามาธาอิม ในแถบภูเขาเอฟราอิม เขาเป็น ชนเผ่าเอฟราอิมจากตระกูลศูฟ เป็นบุตรของเยโรฮัม ซึ่งเป็นบุตรของเอลีฮู บุตรของ โทหุ บุตรของศูฟ เขามีภรรยาสองคน คนหนึง่ ซือ่ ฮันนาห์ และอีกคนหนึง่ ชือ่ เปนินนาห์ นางเปนินนาห์มีบุตรชายหญิงหลายคน แต่นางฮันนาห์ไม่มีบุตรเลย ทุกปี ชายผู้นี้จะ เดินทางจากเมืองของตนขึน้ ไปนมัสการและถวายบูชาแด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล ทีเ่ มืองชิโลห์ (โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรสองคนของเอลีเป็นสมณะขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า อยู่ที่นั่น) ทุกครั้งที่เอลคานาห์ถวายเครื่องบูชา เขาจะให้เนื้อสัตว์ที่ถวายหลายส่วนแก่นาง เปนินนาห์ภรรยา และบุตรชายหญิงทุกคนของนาง แต่เขาให้ส่วนพิเศษแก่นางฮันนาห์ เพียงเพราะเขารักนางฮันนาห์มากกว่า แม้องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงให้นางมีบุตร นาง เปนินนาห์คู่แข่งมักจะเยาะเย้ยให้นางต้องอับอายและยั่วยุนางให้โกรธ ในการที่องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าไม่ทรงให้นางมีบตุ ร เหตุการณ์เช่นนีเ้ กิดขึน้ ปีแล้วปีเล่า ทุกครัง้ ทีค่ รอบครัว ของเอลคานาห์ขึ้นไปยังวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า นางเปนินนาห์มักจะเยาะเย้ยนาง ฮันนาห์ จนนางร้องไห้ไม่ยอมกินอะไรเลย เอลคานาห์สามีของนางจึงถามว่า “ฮันนาห์ ที่รัก เธอร้องไห้ทำ�ไม ทำ�ไมเธอจึงไม่กินอาหารเลย ทำ�ไมจึงเศร้าใจเช่นนี้ ฉันคนเดียว ไม่ดีกว่าบุตรสิบคนหรือ”
พระวรสาร มก 1:14-20 หลังจากทีย่ อห์นถูกจองจำ� พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนา ข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า “เวลาที่กำ�หนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด” ขณะที่ทรงพระดำ�เนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทอดพระเนตรเห็นซีโมนกับอันดรูว์น้อง ชายกำ�ลังทอดแห เขาเป็นชาวประมง พระเยซูเจ้าตรัสสั่งว่า “จงตามเรามาเถิด เราจะทำ�ให้ท่านเป็นชาว ประมงหามนุษย์” ซีโมนกับอันดรูว์ก็ทิ้งแหไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที เมื่อทรงพระดำ�เนินไปอีกเล็กน้อย พระองค์ทอดพระเนตรเห็นยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์นน้อง ชายกำ�ลังซ่อมแหอยู่ในเรือ พระองค์ทรงเรียกเขา ทั้งสองคนก็ละทิ้งเศเบดีบิดาของตนไว้ในเรือกับลูกจ้าง แล้วตามพระองค์ไปทันที จงเชื่อในการเลี้ยงดูเอาใจใส่ของพระเจ้า ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมมอง วิธีคิด แทนที่จะน้อยใจ กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่จง “ชื่นชมยินดี” กับ “สิ่งที่มีในปัจจุบัน” ซึ่งพระเจ้าประทานให้ แม้นางฮันนาห์จะ โศกเศร้าเสียใจกับการไม่มีบุตร ถูกยั่วยุ เยาะเย้ย จากนางเปนินนาห์ คู่แข่งในชีวิต แต่เธอก็ได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่จากเอลคานาห์ ผูเ้ ป็นสามีอย่างดี สำ�หรับบางคนเมือ่ หันไปมองอดีต บางทีอาจจะเห็นภาพ ของความล้มเหลว ผิดหวัง เสียใจ แต่ความชืน่ ชมยินดีกบั ชีวติ ในปัจจุบนั ทีย่ งั คงยืนหยัดในความเชือ่ จะกลับ กลายเป็นเครื่องหมายที่ชัดเจนว่า พระเจ้าไม่ได้หายไปไหน พระองค์ยังคงเลี้ยงดูผู้ที่พระองค์ทรงรักเสมอ
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 1:9-20 ครั้งหนึ่งที่เมืองชิโลห์ เมื่อนางฮันนาห์กินและดื่มแล้ว ก็ลุกขึ้นไปอยู่เฉพาะ พระพักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า สมณะเอลีนงั่ อยูท่ เี่ ก้าอีข้ า้ งประตูวหิ ารขององค์พระผูเ้ ป็น เจ้า นางเศร้าโศกมาก ร้องไห้อย่างขมขื่น พลางอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า นาง บนบานว่าดังนี้ “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล โปรดทอดพระเนตรมายังผูร้ บั ใช้ ทีม่ คี วามทุกข์ของพระองค์เถิด โปรดระลึกถึงข้าพเจ้า โปรดอย่าลืมผูร้ บั ใช้ของพระองค์ สัปดาห์ที่ 1 เลย ถ้าพระองค์ประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่ผู้รับใช้ ข้าพเจ้าจะถวายเขาแด่องค์พระผู้ เทศกาลธรรมดา เป็นเจ้าตลอดชีวิตของเขา ใบมีดจะไม่โกนศีรษะของเขาเลย” 1 ซมอ 2:1,4-5, ขณะที่นางอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เป็นเวลานาน เอลีเฝ้าดูอากัปกิริยา 6-7ก,7ข-8ค จากริมฝีปากของนาง นางฮันนาห์อธิษฐานในใจ ริมฝีปากขมุบขมิบ แต่มิได้เปล่งเสียง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ออกมา เอลีคิดว่านางเมาเหล้า จึงถามนางว่า “เธอจะเมาอีกนานเท่าใด จงเลิกเมาเสีย เถิด” นางฮันนาห์ตอบว่า “นายเข้าขา ดิฉันไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัยใดๆ ดิฉันเป็น หญิงมีความทุกข์สาหัส จึงอธิษฐานระบายความทุกข์ในใจเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าคิดว่า ผู้รับใช้ผู้นี้ของท่านเป็นหญิงเหลวไหลเลย ที่ดิฉันอธิษฐานเช่นนี้ ก็เพราะดิฉันเป็นทุกข์โศกเศร้ามาก” เอลี จึงว่า “จงไปเป็นสุขเถิด ขอพระเจ้าแห่งอิสราเอลประทานให้ตามทีเ่ ธอทูลขอจากพระองค์” นางตอบว่า “ขอ ท่านโปรดปรานผู้รับใช้ผู้นี้เถิด” แล้วนางก็ลาจากไปกินอาหารและไม่เศร้าโศกอีก วันรุ่งขึ้น เอลคานาห์และครอบครัวลุกขึ้นแต่เช้าตรู่นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเดินทางกลับบ้านที่ เมืองรามาห์ เอลคานาห์หลับนอนกับนางฮันนาห์ภรรยา แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงระลึกถึงนาง นาง ฮันนาห์ก็ตั้งครรภ์และเมื่อถึงเวลากำ�หนดก็ให้กำ�เนิดบุตรชาย นางตั้งชื่อเขาว่าซามูเอล “เพราะนางเคยทูล ขอบุตรนี้จากองค์พระผู้เป็นเจ้า” พระวรสาร มก 1:21-28 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์ เสด็จเข้าไปในศาลาธรรม และทรงเริ่มสั่งสอน คำ�สั่งสอนของพระองค์ทำ�ให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำ�นาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์ ขณะนั้น ในศาลาธรรม ชายคนหนึ่งซึ่งปีศาจสิงอยู่ ร้องตะโกนว่า “ท่านมายุ่งกับเราทำ�ไม เยซูชาว นาซาเร็ธ ท่านมาทำ�ลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรง ดุปศี าจและตรัสสัง่ ว่า “จงเงียบ ออกไปจากผูน้ ”ี้ เมือ่ ปีศาจทำ�ให้ชายผูน้ นั้ ชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออก ไปจากเขา ทุกคนต่างประหลาดใจจึงถามกันว่า “นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำ�สั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำ�นาจ เขาสั่ง แม้กระทั่งปีศาจ และมันก็เชื่อฟัง” แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทุกแห่งตลอดทั่วแคว้นกาลิลี ทันทีี กิจการต่างๆ ที่ทำ�โดยอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า กิจการนั้นทรงพลังเสมอ ความ สัมพันธ์ที่ดีของพระเยซูเจ้ากับพระบิดาเจ้า ทำ�ให้ทุกกิจการที่พระองค์ทรงกระทำ� นำ�มาซึ่งพลังอำ�นาจ ชวน ให้ติดตาม เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่ดีของฮันนาห์กับพระเจ้า ทำ�ให้นางไม่อายที่จะระบายความทุกข์ของ ตนต่อพระเจ้า และทูลขอในสิง่ ทีต่ นเองปรารถนา เมือ่ พระเจ้าทรงระลึกถึงนาง และโปรดให้นางได้ตามทีท่ ลู ขอ นางก็ไม่ลืมที่จะโมทนาคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ดี... “เพื่อจะมีจำ�เป็นต้องสร้าง”...
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 3:1-10,19-20 หนุ่มซามูเอลรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในความดูแลของเอลี... คืนหนึ่ง เอลีซึ่ง บัดนีน้ ยั น์ตามืดมัวจนเกือบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว นอนอยูใ่ นห้องของตน... องค์พระ ผูเ้ ป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอล เขาทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยูท่ นี่ ”ี่ แล้ววิง่ ไปถามเอลีวา่ “ท่าน เรียกข้าพเจ้าหรือ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” แต่เอลีตอบว่า “พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอน เถอะ” ซามูเอลก็กลับไปนอน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกอีกว่า “ซามูเอล” ซามูเอล สัปดาห์ที่ 1 ก็ลกุ ขึน้ ไปหาเอลี ถามว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ ข้าพเจ้าอยูท่ น่ี แี่ ล้ว” เอลีตอบว่า “ลูก เทศกาลธรรมดา เอ๋ย พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ” ซามูเอลยังไม่รวู้ า่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเรียก สดด 40:1 และ 4, เขา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงเปิดเผยพระวาจาแก่เขามาก่อน องค์พระผู้เป็น 6-7ก,7ข-8,9 เจ้าทรงเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สาม เขาก็ลุกขึ้นไปหาเอลีแล้วถามว่า “ท่านเรียก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ข้าพเจ้าหรือ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” เอลีจึงเข้าใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเด็กนั้น เอลีบอกซามูเอลว่า “กลับไปนอนเถอะ ถ้ามีเสียงเรียกลูกอีกก็จงตอบว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมา เถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำ�ลังฟังอยู่’” ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเสด็จมาประทับทีน่ นั่ ตรัสเรียกเช่นครัง้ ก่อนว่า “ซามูเอล ซามูเอล” ซามูเอลทูลตอบ ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำ�ลังฟังอยู่” ซามูเอลเจริญวัยขึ้น องค์พระผู้ เป็นเจ้าสถิตกับเขา และทรงทำ�ให้ค�ำ พูดทุกคำ�ของซามูเอลเป็นจริง ดังนัน้ ชาวอิสราเอลทุกคนตัง้ แต่เมืองดาน จนถึงเมืองเบเออร์เชบารู้ว่า ซามูเอลได้รับแต่งตั้งเป็นประกาศกขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระวรสาร มก 1:29-39 ทันทีที่ออกจากศาลาธรรม พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์พร้อมกับยากอบและ ยอห์น มารดาของภรรยาซีโมนกำ�ลังนอนป่วยเป็นไข้อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ให้ทรงทราบทันที พระองค์เสด็จ เข้าไปจับมือนาง พยุงให้ลุกขึ้น นางก็หายไข้ จึงรับใช้ทุกคน เย็นวันนั้น เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว มีคนนำ�ผู้ป่วยและผู้ถูกปีศาจสิงมาเฝ้าพระองค์ คนทั้งเมืองมารวม กันที่ประตู พระองค์ทรงรักษาหลายคนที่เป็นโรคต่างๆ ให้หาย ทรงขับไล่ปีศาจออกไป แต่ไม่ทรงอนุญาตให้ มันพูด เพราะมันรู้จักพระองค์ วันต่อมา พระองค์ทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เสด็จออกจากบ้านไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่น ซีโมนและผู้ที่อยู่กับเขาตามหาพระองค์ เมื่อพบแล้ว จึงทูลพระองค์ว่า “ทุกคนกำ�ลังแสวงหาพระองค์” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราไปที่อื่นกันเถิด ไปตามตำ�บลใกล้เคียง เพื่อจะได้เทศน์สอนที่นั่นด้วย เพราะเรามา ด้วยจุดประสงค์นี้” พระองค์จึงเสด็จไปเทศน์สอนตามศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลี ทรงขับไล่ปีศาจด้วย การรู้จักสังเกตและยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเวลาเพียงเล็กน้อยของเรา บางทีอาจเป็นการ หยิบยื่น “ชีวิตใหม่” ให้กับผู้ที่กำ�ลังทนทุกข์ เพราะหมดหวัง เมื่อเห็นแม่ยายเจ็บป่วย เปโตรนำ�ความทุกข์ ทรมานของนาง ทูลให้พระเยซูทรงทราบ พระเยซูเจ้าช่วยเหลือด้วยการ “ยื่นมือ” พยุงให้ลุกขึ้น เมื่อนาง หายไข้... “นางรับใช้ทุกคน”... เมื่อภารกิจสำ�เร็จ พระเยซูเจ้าไม่ได้ต้องการให้ผู้คนสรรเสริญพระองค์ โดย เลือกที่จะปลีกตัว เพื่อโมทนาคุณพระเจ้าในพระพรอันยิ่งใหญ่จากพระองค์ที่ได้ทรงทำ�งานผ่านมือของ พระองค์ เมื่อผู้รับใช้... สังเกต...“ฟัง”...เสียงของพระเจ้า และปฏิบัติตาม พระเจ้าจะทรงบันดาลให้กิจการ ที่เขาทำ�ประสบความสำ�เร็จเป็นจริงตามที่ทรงพอพระทัย...
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 4:1-11 ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลทุกคนจึงฟังถ้อยคำ�ของซามูเอล เนื่องจากเอลีชรามาก และบุตรของเขายังดื้อรั้นอยู่ในความประพฤติชั่วต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ครัง้ นัน้ ชาวอิสราเอลออกไปสูร้ บกับชาวฟีลสิ เตีย ตัง้ ค่ายอยูท่ เี่ อเบนเอเซอร์ ส่วน ชาวฟีลสิ เตียตัง้ ค่ายอยูท่ อี่ าเฟก... ชาวอิสราเอลพ่ายแพ้ชาวฟีลสิ เตียซึง่ ฆ่าชาวอิสราเอล ประมาณสี่พันคนในสนามรบ สัปดาห์ที่ 1 เมื่อกำ�ลังพลอิสราเอลกลับมาในค่าย บรรดาผู้อาวุโสถามว่า “ทำ�ไมวันนี้องค์พระ เทศกาลธรรมดา ผู้เป็นเจ้าจึงทรงปล่อยให้เราพ่ายแพ้ชาวฟีลิสเตีย เราจงไปนำ�หีบพันธสัญญาขององค์ สดด 44:9-10, พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลมาจากเมืองชิโลห์เถิด เพื่อพระองค์จะเสด็จไปกับเรา และ 13-14,23-26 ทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากศัตรู” ประชากรจึงส่งคนไปที่เมืองชิโลห์ เพื่อนำ�หีบพันธ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 สัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล ผู้ประทับอยู่เหนือบัลลังก์ระหว่างเครูบ โฮฟนี และฟีเนหัส บุตรทั้งสองคนของเอลีก็มาพร้อมกับหีบพันธสัญญา เมื่อหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่าย ชาวอิสราเอลทุกคนโห่ร้องเสียงดังสนั่น จน แผ่นดินสั่นสะเทือน... เมื่อชาวฟีลิสเตียรู้ว่าหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่ายชาวฮีบรู เขาก็ มีความกลัว พูดกันว่า “พระเจ้าเสด็จมาในค่ายของเขาแล้ว เราแพ้แน่ๆ ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก่อน เลย เราแพ้แน่ๆ ใครจะช่วยเราให้รอดพ้นจากอำ�นาจของพระเจ้าผูท้ รงอานุภาพนีไ้ ด้ พระเจ้าองค์นแี้ หละทรง ส่งภัยพิบัติมาทำ�ลายชาวอียิปต์ในถิ่นทุรกันดาร ชาวฟีลิสเตียทั้งหลาย จงกล้าหาญ และเป็นลูกผู้ชายเถิด มิฉะนั้น ท่านจะต้องเป็นทาสของชาวฮีบรู เหมือนที่เขาเคยเป็นทาสของท่าน จงสู้รบอย่างลูกผู้ชายเถิด” ชาวฟีลิสเตียเข้าสู้รบ ชาวอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างหนีกลับบ้านของตน เป็นความปราชัยอย่างใหญ่หลวง ชาวอิสราเอลถูกฆ่าตายถึงสามหมื่นคน หีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไป โฮฟนีและฟีเนหัสบุตรทั้งสอง คนของเอลีก็ถูกฆ่าด้วย พระวรสาร มก 1:40-45 เวลานัน้ ผูเ้ ป็นโรคเรือ้ นคนหนึง่ มาเฝ้าพระเยซูเจ้า คุกเข่าอ้อนวอนว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัส ว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรง กำ�ชับอย่างแข็งขันว่า “ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครรู้เลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชา ตามที่โมเสสกำ�หนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว” แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขา ก็ปา่ วประกาศกระจายข่าวไปทัว่ จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จงึ ประทับอยู่นอกเมืองในที่เปลี่ยว แม้กระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์ สังคมทุกวันนี้มีความเกลียดชัง การแบ่งแยก ล้วนมาจากฝีมือของมนุษย์ทั้งสิ้น เราขาดการ ตระหนักรู้ เราแต่ละคนถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า แต่เรากลับมองไม่เห็น พระวรสาร วันนี้พระองค์ทรงแสดงให้เราเห็นภาพลักษณ์ของพระองค์อย่างชัดเจน โดยการทำ�ลายความเกลียดชัง การ แบ่งแยก พระองค์นำ�ความรัก ความเมตตา และความสงสารเข้ามาแทนที่ ทำ�ให้คนโรคเรื้อนเหล่านี้ได้รับ การรักษาให้หาย ไม่เพียงเฉพาะฝ่ายกายเท่านั้น แต่รวมไปถึงฝ่ายจิตด้วย
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 8:4-7,10-22ก บรรดาผู้อาวุโสของชาวอิสราเอลจึงมาชุมนุมกันไปหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ พูด ว่า “ท่านชราแล้ว และบุตรของท่านไม่ประพฤติตามแบบอย่างของท่าน ดังนั้น ท่านจง แต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นปกครองพวกเราเหมือนกับชนชาติอื่นเถิด” ซามูเอลไม่พอใจที่เขา เหล่านัน้ ขอกษัตริยม์ าปกครอง จึงอธิษฐานต่อองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส ตอบซามูเอลว่า “จงฟังถ้อยคำ�ทุกประการที่ประชากรพูดกับท่านเถิด เขาไม่ได้ละทิ้ง ระลึกถึง ท่าน แต่ละทิ้งเรา ไม่ยอมให้เราเป็นกษัตริย์ปกครองเขา” น.อันตน ซามูเอลบอกให้ประชากรที่มาขอกษัตริย์รู้ทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เขา เจ้าอธิการ กล่าวว่า “นีเ่ ป็นสิทธิของกษัตริยท์ จี่ ะมาปกครองท่าน พระองค์จะทรงเกณฑ์บรรดาบุตร สดด 89:15-16,17-18 ชายของท่านไปเป็นทหารประจำ�รถรบและประจำ�ม้า วิ่งนำ�หน้ารถรบของพระองค์ พระองค์จะทรงแต่งตัง้ บุตรของท่านบางคนเป็นนายทหารคุมทหารพันคนบ้าง ห้าสิบคน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 บ้าง พระองค์จะทรงบังคับบุตรของท่านให้ไถนาและเก็บเกี่ยวผลผลิตจากทุ่งนาของ พระองค์หรือให้เป็นช่างทำ�อาวุธและอุปกรณ์รถรบของพระองค์ พระองค์จะทรงเกณฑ์บุตรสาวของท่านไป ทำ�นํ้าหอม ปรุงอาหารและทำ�ขนมสำ�หรับพระองค์...” ประชากรไม่ยอมฟังเสียงของซามูเอล กลับพูดว่า “จะไม่เป็นเช่นนี้ พวกเราต้องการกษัตริยป์ กครอง เราจะได้เป็นเหมือนชนชาติอนื่ ทีม่ กี ษัตริยป์ กครอง พระองค์ จะทรงนำ�พวกเราออกไปสู้รบกับศัตรูพร้อมกับเรา” ซามูเอลฟังถ้อยคำ�ทุกคำ�ที่ประชากรพูด และนำ�เรื่องไป ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับซามูเอลว่า “จงทำ�ตามข้อเสนอของเขาให้เขามีกษัตริย์ ปกครองเถิด” แล้วซามูเอลบอกชาวอิสราเอลว่า “แต่ละคนจงกลับไปเมืองของตนเถิด” พระวรสาร มก 2:1-12 ต่อมาอีกสองสามวัน พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อเป็นที่รู้กันว่าพระองค์ประทับ อยู่ในบ้าน ประชาชนจำ�นวนมากจึงมาชุมนุมกันจนไม่มีที่ว่างแม้กระทั่งที่ประตู พระองค์ประทานพระโอวาท สอนประชาชนเหล่านั้น ชายสี่คนหามคนอัมพาตคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ แต่เขานำ�คนอัมพาตนั้นฝ่าฝูงชน เข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้ เขาจึงเปิดหลังคาบ้านตรงที่พระองค์ประทับอยู่ แล้วหย่อนแคร่ที่คนอัมพาตนอนอยู่ ลงมาทางช่องนัน้ เมือ่ พระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชือ่ ของคนเหล่านีจ้ งึ ตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย บาปของ ท่านได้รับการอภัยแล้ว” ที่นั่นมีธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ด้วย เขาคิดในใจว่า “ทำ�ไมคนนี้จึงพูดเช่นนี้ เขา กล่าวดูหมิ่นพระเจ้า ใครเล่าอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น” ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิด ของเขาด้วยพระจิตของพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายคิดเช่นนี้ในใจทำ�ไม อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอก คนอัมพาตว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น แบกแคร่เดินไปเถิด’ แต่เพื่อให้ท่านรู้ ว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำ�นาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้” พระองค์ตรัสแก่คนอัมพาตว่า “เราสั่งท่าน จงลุกขึ้น แบกแคร่กลับไปบ้านเถิด” เขาก็ลุกขึ้นแบกแคร่ออกเดินไปทันทีต่อหน้าคนทั้งปวง ทุกคนต่างประหลาดใจ ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและพูดว่า “พวกเรายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย” ในพระวรสารวันนี้เราเห็นเอกลักษณ์อันหนึ่งของความเป็นคริสตชนอย่างชัดเจน ที่เราได้ แสดงออกในวิถีชุมชนแห่งความเชื่อเดียวกันในพระเยซูเจ้า และผลของความเชื่อนั้น ทำ�ให้พี่น้องของเราได้ รับการรักษาให้หาย และได้รับการอภัยบาปจากพระองค์ นี่เป็นการพิสูจน์ว่าความเชื่อของชุมชนทำ�ให้ แผนการและอาณาจักรของพระองค์เกิดขึ้นในท่ามกลางเราเสมอ
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 9:1-4,17-19;10:1 ชายผู้หนึ่งจากเผ่าเบนยามินชื่อ คีช เป็นคนรํ่ารวย เขาเป็นบุตรของอาบีเอล บุตร ของเศโรห์ บุตรของเบโครัท บุตรของอาฟียาห์ บุตรของคนเผ่าเบนยามิน คีชมีบุตร ชายคนหนึง่ ชือ่ ซาอูล เป็นชายหนุม่ หน้าตาดี มีรปู ร่างงามสง่ากว่าชาวอิสราเอลทัง้ หลาย สูงกว่าคนอื่นราวหนึ่งศอก วันหนึง่ ฝูงลาของคีชบิดาของซาอูลพลัดหลงไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูลบุตรของตน สัปดาห์ที่ 1 ว่า “จงนำ�ผู้รับใช้ไปด้วยคนหนึ่ง ออกตามหาลาเหล่านั้นเถิด” ทั้งสองคนจึงข้ามเขต เทศกาลธรรมดา ภูเขาเอฟราอิม ผ่านไปถึงแผ่นดินชาลิชาแต่ก็หาไม่พบ เขาจึงไปหาที่แผ่นดินชาอาลิม สดด 21:1-2, แต่ลาก็ไม่อยู่ที่นั่น เขาข้ามเขตแดนเบนยามิน แต่ก็ยังไม่พบอีก 3-4,5-6 เมื่อซามูเอลเห็นซาอูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับเขาว่า “ชายผู้นี้คือผู้ที่เราบอก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ท่านว่า ‘เขาจะปกครองประชากรของเรา’” ซาอูลเข้าไปพบซามูเอลที่ประตูเมือง ถาม ว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า บ้านของผู้ทำ�นายอยู่ที่ไหน” ซามูเอลตอบซาอูลว่า “ข้าพเจ้าคือผู้ทำ�นาย จงเดินนำ�หน้าข้าพเจ้าขึ้นไปยังสักการสถานบนภูเขา ท่านทั้งสอง คนจะร่วมกินอาหารกับข้าพเจ้าในวันนี้ พรุ่งนี้เช้า ข้าพเจ้าจะตอบคำ�ถามทุกอย่างของ ท่าน แล้วจะให้ท่านไป” ซามูเอลเอาขวดนํ้ามันมะกอกเทศขึ้นมา เทนํ้ามันลงบนศีรษะของซาอูล จูบเขาแล้วพูดว่า “องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเจิมท่านให้เป็นผูน้ �ำ ชาวอิสราเอลประชากรของพระองค์ ท่านจะปกครองประชากรขององค์ พระผู้เป็นเจ้า ช่วยเขาให้พ้นจากมือของศัตรูที่อยู่โดยรอบ นี่จะเป็นเครื่องหมายพิสูจน์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเจิมท่านให้เป็นผู้นำ�ประชากรอิสราเอลซึ่งเป็นส่วนมรดกของพระองค์” พระวรสาร มก 2:13-17 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปริมฝั่งทะเลสาบอีก ประชาชนต่างมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรง สั่งสอนเขา ขณะที่ทรงพระดำ�เนินไป พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวี บุตรของอัลเฟอัสกำ�ลังนั่งอยู่ที่ ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป ขณะทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารทีบ่ า้ นของเลวี คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมา ร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์มา บรรดาธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสี เห็นพระองค์เสวยร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำ�ไมอาจารย์ของท่านกิน อาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาป” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป” เราทุกคนย่อมตระหนักและรู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป พระองค์ปรารถนาที่จะเรียกเราให้มาเป็น หนึง่ เดียวกับพระองค์เสมอ เราควรจะเปิดใจและเชือ้ เชิญพระองค์ให้มารักษา หรือเราจะเดินจากไป พระองค์ ทรงรู้ว่าทุกคนจำ�เป็นต้องได้รับการรักษาจากพระองค์เท่านั้น เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำ�ให้เราเป็นผู้ เหมาะสมและผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะพระองค์เสด็จมาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจ ไปสู่หนทางของพระองค์
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันสันติภาพสากล
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 49:3,5-6 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลเอ๋ย ท่านเป็นผู้รับใช้ของเรา เรา จะแสดงสิริรุ่งโรจน์ของเราโดยทางท่าน” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างข้าพเจ้ามาในครรภ์มารดาให้เป็นผู้รับใช้พระองค์ เพื่อ นำ�ยาโคบกลับมาหาพระองค์ และรวบรวมอิสราเอลมาอยู่กับพระองค์ บัดนี้ พระองค์ ตรัสกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รบั เกียรติเฉพาะพระพักตร์พระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้า ทรงเป็นพละกำ�ลังของข้าพเจ้า พระองค์ตรัสว่า “เป็นการน้อยไปที่ท่านจะเป็นผู้รับใช้ ของเรา เพื่อสถาปนาเผ่าพันธุ์ของยาโคบขึ้นใหม่ และรวบรวมอิสราเอลที่เหลืออยู่อีก ครั้งหนึ่ง เราจะให้ท่านเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อความรอดพ้นที่เรานำ�มาให้จะ ได้แผ่ไปจนสุดปลายแผ่นดิน” เพลงสดุดี สดด 40:1,3ก,6-7ก,7ข-8,9กข ก) ข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความหวัง แล้วพระองค์ก็ทรงก้มลงมาหาข้าพเจ้า และทรงฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้า พระองค์ทรงใส่เพลงบทใหม่ไว้ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา ข) พระองค์ไม่ทรงประสงค์เครื่องบูชาหรือของถวายใดๆ แต่ประทานหูให้ข้าพเจ้าฟัง พระองค์มิได้ทรงเรียกร้องเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องบูชาชดเชยบาป ข้าพเจ้าจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่ กำ�ลังมาแล้ว” ค) ในม้วนหนังสือมีเขียนไว้สำ�หรับข้าพเจ้า ให้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าปรารถนาเช่นนั้น ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ลึกในหัวใจของข้าพเจ้า ง) ข้าพเจ้าประกาศความเที่ยงธรรมของพระองค์ในที่ประชุมใหญ่ ถูกแล้ว ข้าพเจ้ามิได้ปิดปากเลย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบอยู่แล้ว บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 1:1-3 จากเปาโล ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครสาวกของพระคริสตเยซูตามพระ ประสงค์ของพระองค์ และจากโสสเธเนสพี่น้องของเรา ถึงพระศาสนจักรของพระเจ้าที่อยู่ ณ เมืองโครินธ์ ถึงผู้ที่ได้รับความศักดิ์สิทธิ์ใน พระคริสตเยซู คือได้รบั เรียกให้เป็นผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิพ์ ร้อมกับทุกคนในทุกสถานที่ ทุกคนซึง่
เรียกหาพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทัง้ ของ เขาและของเราด้วย ขอพระหรรษทานและสันติสขุ จากพระเจ้าพระบิดาของ เรา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน ทั้งหลายเถิด
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 1:29-34 วันรุง่ ขึน้ ยอห์นเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมาหาตน จึงกล่าว ว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก ผู้ นีค้ อื ผูท้ ขี่ า้ พเจ้าเคยพูดถึงว่า ‘บุรษุ ผูห้ นึง่ มาภายหลังข้าพเจ้า แต่นำ�หน้าข้าพเจ้า เพราะอยู่มาก่อนข้าพเจ้า’ ข้าพเจ้าไม่รู้จัก พระองค์ แต่ขา้ พเจ้าถูกส่งมาให้ท�ำ พิธลี า้ ง เพือ่ ทำ�ให้พระองค์ เป็นที่รู้จักแก่อิสราเอล ยอห์นยังยืนยันอีกว่า ข้าพเจ้าเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนนกพิราบ และทรงอยู่เหนือพระองค์ ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ผู้ที่ทรงส่งข้าพเจ้ามาใช้นํ้าทำ�พิธีล้าง ตรัสกับข้าพเจ้า ว่า ‘เจ้าเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับอยู่เหนือผู้ใด ผู้นั้นคือผู้ที่ทำ�พิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า’ ข้าพเจ้าเห็น และเป็นพยานยืนยันว่าท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า” การเผชิญหน้ากันของยอห์นกับพระเยซูเจ้า ยอห์นได้ประกาศว่าพระองค์เป็นลูกแกะของ พระเจ้าผู้ทรงลบล้างบาปของโลก เป็นบุคคลที่ท่านได้พูดถึง พระองค์ผู้ทรงเสด็จมาก่อนท่าน พระองค์จะ ล้างท่านทั้งหลายด้วยนํ้าและพระจิต นี่เป็นคำ�ยืนยันจากยอห์น คำ�ยืนยันนี้เราเชื่อจริงๆ ไหม เราเติบโตมา จากคำ�สอนที่เรียนและได้รับถ่ายทอดมาตอนเด็กๆ วันนี้จึงเชิญชวนเราให้ค้นหาจิตใจและถามหัวใจเราสิว่า เราเข้าใจและเชื่อพระองค์ ในฐานะที่ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้าหรือไม่
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 15:16-23 ในครั้งนั้น ซามูเอลทูลตอบซาอูลว่า “พอแล้ว อย่าตรัสอะไรอีก ข้าพเจ้าจะทูลให้ ทรงทราบว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสอะไรกับข้าพเจ้าเมื่อคืนที่แล้ว” กษัตริย์ซาอูลตรัส ว่า “บอกมาเถิด” ซามูเอลทูลตอบว่า “แม้พระองค์จะทรงคิดว่าไม่ทรงเป็นคนสำ�คัญ อะไร แต่พระองค์ก็ทรงเป็นหัวหน้าของเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง เจิมพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งพระองค์ไปปฏิบัติ น.ฟาเบียน ภารกิจตรัสว่า ‘จงไปทำ�ลายล้างชาวอามาเลขคนบาปเหล่านั้นให้หมดสิ้นเถิด จงสู้รบ พระสันตะปาปา กับเขาจนกว่าจะทำ�ลายเขาให้หมด’ ทำ�ไมพระองค์จงึ ไม่ทรงเชือ่ ฟังพระสุรเสียงขององค์ และมรณสักขี พระผู้เป็นเจ้า ทำ�ไมพระองค์จึงทรงเข้าไปไขว่คว้าสิ่งของที่ยึดมาได้ และทรงทำ�สิ่ง น.เซบัสเตียน ชัว่ ร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า” กษัตริยซ์ าอูลทรงตอบซามูเอลว่า “ข้าพเจ้า มรณสักขี เชื่อฟังพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และออกไปปฏิบัติภารกิจที่องค์พระ สดด 50:8-9,16-18, ผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา ข้าพเจ้านำ�อากัก กษัตริย์ของชาวอามาเลขมา และทำ�ลายล้างชาว 21,23 อามาเลขจนหมดสิน้ แต่ประชากรเก็บแพะแกะ และโคตัวดีทสี่ ดุ ทีย่ ดึ มาได้และจะต้อง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ถูกฆ่าทำ�ลายเสียนัน้ นำ�มาทีเ่ มืองกิลกาลเพือ่ ถวายเป็นบูชาแด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า ของท่าน” ซามูเอลก็ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ เท่ากับที่พอพระทัยให้ เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ฟังเถิด การเชื่อฟังย่อมดีกว่าการถวายบูชา การอ่อนน้อมย่อมดีกว่า ไขมันแกะ การใช้เวทมนตร์คาถาเป็นบาปเหมือนการกบฏ การไม่ยอมเชื่อฟังเป็นความผิดเหมือนการกราบ ไหว้รูปปฏิมา เพราะพระองค์ทรงละทิ้งไม่ยอมปฏิบัติตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ทรงละทิ้งไม่ให้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ด้วย” พระวรสาร มก 2:18-22 เวลานั้น บรรดาศิษย์ของยอห์นและชาวฟาริสีกำ�ลังจำ�ศีลอดอาหาร มีผู้ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไม ศิษย์ของยอห์นและศิษย์ของชาวฟาริสีจำ�ศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำ�ศีลเลย” พระองค์ตรัสตอบว่า “ผูร้ บั เชิญมาในงานแต่งงานจะจำ�ศีลอดอาหารได้หรือขณะทีเ่ จ้าบ่าวยังอยูก่ บั เขา ตราบใดทีเ่ จ้าบ่าวยังอยูด่ ว้ ย เขาย่อมไม่จำ�ศีลอดอาหาร แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกพรากไป ในวันนั้น เขาจะจำ�ศีลอดอาหาร ไม่มีใคร นำ�ผ้าใหม่ไปปะเสือ้ เก่า เพราะผ้าใหม่ทนี่ �ำ มาปะเสือ้ เก่านัน้ จะหดตัวมากกว่า ทำ�ให้รอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มี ใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าจะทำ�ให้ถุงหนังขาด ทั้งเหล้า และถุงก็จะเสียไป แต่ต้องใส่ เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่” การก้าวเดินติดตามพระองค์ในแต่ละวันเวลาของเรา จะต้องเต็มเปีย่ มไปด้วยความชืน่ ชมยินดี เป็นความสัมพันธ์ที่ดี ที่แสดงออกมาในชีวิตประจำ�วันอย่างลึกซึ้ง ตราบใดที่พระองค์ยังทรงประทับอยู่ ท่ามกลางเรา จากประสบการณ์นี้ช่วยให้เราพร้อมที่จะก้าวผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต แม้กระทั่งช่วงเวลา ที่ต้องเจอความทุกข์ยากลำ�บากก็ตาม เราต้องพร้อมที่จะแสดงความเชื่อ ความไว้ใจในพระองค์ทุกๆ วัน ให้ สมกับการเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ในโลกปัจจุบันอย่างมีความหมายและชัดเจน
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 16:1-13 ในครั้งนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ซามูเอลว่า “ท่านจะเป็นทุกข์ใจถึงซาอูลต่อ ไปอีกนานเท่าใด บัดนี้เราละทิ้งเขาไม่ยอมให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลอีกแล้ว จง เอานาํ้ มันมะกอกเทศบรรจุใส่ขวดเขาสัตว์จนเต็ม และออกเดินทาง เราส่งท่านไปทีเ่ มือง เบธเลเฮม ไปหาเจสซี เพราะเราเลือกบุตรคนหนึ่งของเขาเป็นกษัตริย์” ซามูเอลทูล ถามว่า “ข้าพเจ้าจะไปได้อย่างไร ถ้ากษัตริย์ซาอูลทรงทราบเรื่อง ก็จะทรงฆ่าข้าพเจ้า” ระลึกถึง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงเอาลูกโคเพศเมียตัวหนึ่งไปด้วย แล้วจงบอกว่า ‘ข้าพเจ้า น.อักแนส มาถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า’ ท่านจะเชิญเจสซีมาร่วมถวายบูชาด้วย แล้ว พรหมจารี เราจะบอกท่านว่าจะต้องทำ�อะไร ท่านจะต้องเจิมผู้ที่เราจะบอกนั้นให้เป็นกษัตริย์’” และมรณสักขี ซามูเอลก็ทำ�ตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า... ซามูเอลให้เจสซีกับบุตรทำ� สดด 89:19-20,21, 26-27 พิธีชำ�ระตน แล้วเชิญให้มาถวายเครื่องบูชา เมือ่ เจสซีกบั บุตรมาถึง ซามูเอลเห็นเอลีอบั ก็คดิ ว่า “ผูท้ อี่ ยูเ่ ฉพาะพระพักตร์องค์ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 พระผู้เป็นเจ้า ผู้นี้คือผู้ที่จะต้องรับเจิม” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “อย่า สนใจมองแต่รูปร่างหน้าตา หรือความสูงของเขา เพราะเราไม่เลือกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงมองอย่าง มนุษย์มอง มนุษย์มองแต่รูปร่างภายนอก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมองจิตใจ”... เจสซีพาบุตรทั้งเจ็ดคนมา พบซามูเอลทีละคน แต่ซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงเลือกคนเหล่านี้เลย” ซามูเอล ถามเจสซีว่า “บุตรชายของท่านมาหมดแล้วหรือ” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง แต่ขณะนี้เขา กำ�ลังเลี้ยงแกะอยู่” ซามูเอลสั่งเจสซีว่า “จงส่งคนไปตามเขามาเถิด เราจะไม่นั่งกินอาหารจนกว่าเขาจะมา” เจสซีจึงส่งคนไปตามมา เด็กหนุ่มนั้นมีผมแดง ดวงตางดงาม และรูปร่างดี องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จง ลุกขึน้ เจิมเขาเถอะ เป็นคนนีแ้ หละ” ซามูเอลก็เอาขวดเขาสัตว์ทบี่ รรจุนาํ้ มันมะกอกเทศมาเจิมดาวิดต่อหน้า บรรดาพี่ชาย พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา... พระวรสาร มก 2:23-28 วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์ที่เดินทางอยู่ด้วยเด็ดรวงข้าว ชาว ฟาริสีทูลถามพระองค์ว่า “ทำ�ไมศิษย์ของท่านทำ�สิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่า กษัตริย์ดาวิดทรงทำ�สิ่งใดในยามที่มีความจำ�เป็นและความหิวโหยทั้งพระองค์และ ผูต้ ดิ ตาม พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าเมือ่ อาบียาธาร์เป็นมหาสมณะ เสวยขนมปังทีต่ งั้ ถวาย ซึ่งใครจะกินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น พระองค์ยังทรงให้ผู้ติดตามกินอีกด้วย” แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า “วันสับบาโตมีไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์มีไว้เพื่อวันสับบาโต ดังนั้น บุตร แห่งมนุษย์จึงเป็นนายเหนือแม้กระทั่งวันสับบาโตด้วย” ทุกๆ วันในชีวติ ของเราคริสตชนจะต้องเป็นวันของพระเจ้า พระองค์เป็นส่วนสำ�คัญในชีวติ เรา เราดำ�เนินชีวิตปราศจากพระองค์ไม่ได้ การที่เราจะเอาตัวรอดไปสวรรค์ได้ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตาม บทบัญญัติแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องแสดงออกมาจากความรัก ความเมตตา ที่มาจากพระเจ้าเช่นกัน เพราะพระองค์เป็นผู้เดียวที่ประทานความรอดให้เรามนุษย์
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 17:32-33,37,40-51 ในครั้งนั้น ดาวิดทูลกษัตริย์ซาอูลว่า “อย่าให้ใครหมดกำ�ลังใจเพราะชาวฟีลิสเตีย ผู้นี้ ผู้รับใช้ของพระองค์จะไปต่อสู้กับเขาเอง” ซาอูลตรัสกับดาวิดว่า “เจ้าจะไปสู้รบ กับชาวฟีลิสเตียคนนี้ไม่ได้ เจ้ายังเป็นเด็ก ส่วนเขาเป็นนักรบมาตั้งแต่วัยหนุ่ม” ดาวิดเสริมว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากเล็บของสิงโต และหมีมาแล้ว จะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของชาวฟีลิสเตียผู้นี้ด้วย” ซาอูลตรัส น.วินเซนต์ ตอบดาวิดว่า “ไปเถิด ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้า” สังฆานุกร ดาวิดหยิบไม้เท้ามาถือไว้ แล้วเก็บก้อนหินเกลี้ยงห้าก้อนจากท้องห้วยใส่ย่ามที่ผู้ และมรณสักขี เลี ย ้ งแกะใช้ ถือสลิง เดินเข้าไปหาชาวฟีลิสเตียคนนั้น ชาวฟีลิสเตียค่อยๆ เดินเข้ามา สดด 144:1-2,9-11ก หาดาวิด มีคนถือโล่เดินนำ�หน้า เมื่อชาวฟีลิสเตียมองดูดาวิดเห็นถนัดแล้ว ก็นึกดูถูก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เพราะดาวิดเป็นเพียงเด็กหนุม่ ผมแดงมีรปู ร่างหน้าตาดี ชาวฟีลสิ เตียตะโกนถามดาวิด ว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นสุนัขหรือจึงถือไม้เท้าเข้ามาหา” ชาวฟีลิสเตียออกนามเทพเจ้าของ ตนสาปแช่งดาวิด แล้วร้องท้าดาวิดว่า “เข้ามาซิ ข้าจะเอาร่างของเจ้าให้นกและสัตว์ป่า กิน” ดาวิดตอบชาวฟีลสิ เตียว่า “ท่านถือดาบ หอก และแหลนมาสูก้ บั ข้าพเจ้า แต่ขา้ พเจ้ามาสูก้ บั ท่าน เดชะ พระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ที่ท่านดูหมิ่น... เพราะองค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงเป็นผู้กำ�หนดว่าใครจะชนะในสงคราม และจะทรงมอบท่านทั้งหลายไว้ในมือของเรา” ชาวฟีลิสเตียเดินตรงเข้ามาหาดาวิดอีก ดาวิดวิ่งลงสู่สนามรบ ไปต่อสู้ชาวฟีลิสเตีย ดาวิดล้วงลงไปใน ย่าม หยิบหินขึน้ มาก้อนหนึง่ ใส่สลิงเหวีย่ งไปถูกหน้าผากของชาวฟีลสิ เตีย ก้อนหินเจาะหน้าผากเข้าไป เขา ล้มหน้าควํ่าลงกับพื้นดิน ดาวิดพิชิตชาวฟีลิสเตียโดยใช้สลิงและก้อนหิน เขาปราบและฆ่าชาวฟีลิสเตียได้ ทั้งๆ ที่ตนไม่มีดาบในมือ ดาวิดวิ่งไปยืนคร่อมร่างชาวฟีลิสเตียไว้ เขาชักดาบของชาวฟีลิสเตียออกจากฝัก ฆ่าเขา และตัดศีรษะออกจากร่าง เมื่อบรรดาชาวฟีลิสเตียเห็นว่านักรบของตนตายแล้ว ต่างก็ออกวิ่งหนีไป พระวรสาร มก 3:1-6 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ที่นั่นมีชายมือลีบคนหนึ่ง ประชาชนบางคน คอยจ้องมองดูว่า พระองค์จะทรงรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ พระองค์ตรัสสั่งชายมือลีบว่า “ลุกขึ้น มายืนตรงกลางนี่ซิ” แล้วตรัสถามคนทั้งหลายว่า “ในวันสับบาโตนั้น ควรทำ�ความดีหรือความชั่ว ควรจะช่วยชีวิตหรือปล่อยให้ตายไป” คนเหล่านั้นก็นิ่งอยู่ พระองค์จึงทอด พระเนตรเขาเหล่านั้นด้วยความกริ้ว เศร้าพระทัยเพราะจิตใจแข็งกระด้างของเขา แล้วตรัสสั่งชายมือลีบว่า “จงเหยียดมือซิ” เขาก็เหยียดมือ มือนัน้ ก็หายลีบเป็นปกติ ชาวฟาริสจี งึ ออกไป และประชุมกับผูน้ ยิ มกษัตริย์ เฮโรดทันที เพื่อปรึกษาว่าจะกำ�จัดพระองค์ได้อย่างไร พระเมตตาของพระองค์อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของมนุษย์ พระองค์เสด็จไปที่ใดก็ทรงกระทำ�แต่ ความดี นีเ่ ป็นคุณลักษณะพระเจ้าของเรา จึงทำ�ให้หลายคนไม่พอใจต่อการกระทำ�ของพระองค์ แต่พระองค์ ทรงท้าทายคนทีต่ อ่ ต้านพระองค์ โดยอาศัยหลักคำ�สอนแห่งความจริง ทีพ่ ระองค์ทรงนำ�มาประกาศ เน้นการ ดำ�เนินชีวติ ตามวิถที างของพระองค์ ฉะนัน้ เราก็จะต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกับพระองค์ เราพร้อมหรือไม่
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 18:6-9;19:1-7 ในครั้งนั้น เมื่อบรรดาทหารกลับไปบ้านหลังจากที่ดาวิดฆ่าชาวฟีลิสเตียผู้นั้นแล้ว บรรดาสตรีได้ออกจากทุกเมืองของอิสราเอลมารับเสด็จกษัตริย์ซาอูล เขาร้องเพลง เริงระบำ� เล่นรำ�มะนา ส่งเสียงร้องด้วยความยินดีและเล่นเครือ่ งดนตรีอนื่ ๆ บรรดาสตรี พากันเต้นรำ�และขับร้องรับกันว่า “ซาอูลฆ่าศัตรูเป็นพัน ดาวิดฆ่าศัตรูเป็นหมื่น” กษัตริย์ซาอูลทรงได้ยินบทเพลงนี้ก็ไม่พอพระทัย กริ้วมาก ตรัสว่า “เขายกย่อง ดาวิดว่าฆ่าศัตรูหลายหมื่น ส่วนเรา เขาว่าฆ่าศัตรูหลายพันเท่านั้น เขาจะให้อะไรแก่ ดาวิด นอกจากจะให้ราชสมบัติ” ตั้งแต่วันนั้น กษัตริย์ซาอูลทรงอิจฉาดาวิดเรื่อยมา กษัตริยซ์ าอูลทรงแจ้งให้โยนาธานพระโอรส และข้าราชบริพารทุกคนรูว้ า่ พระองค์ ตั้งพระทัยจะฆ่าดาวิด แต่โยนาธานโอรสของกษัตริย์ซาอูลทรงรักดาวิดมาก โยนาธาน จึงทรงนำ�ข่าวไปบอกดาวิดว่า “ซาอูลพระบิดาทรงพยายามจะฆ่าท่าน พรุง่ นีเ้ ช้าจงระวัง ตัวให้ดี จงไปซ่อนให้ลับตาและคอยอยู่ที่นั่น ฉันจะพาพระบิดาออกไปยืนในทุ่งที่ท่าน ซ่อนอยู่ แล้วฉันจะถามพระบิดาเรื่องท่าน เมื่อฉันรู้อะไรแล้ว ก็จะบอกให้ท่านรู้” โยนาธานตรัสยกย่องดาวิดให้ซาอูลพระบิดาฟังว่า “ขอกษัตริย์อย่าทำ�ร้ายดาวิด ผู้รับใช้ของพระองค์เลย เขาไม่เคยทำ�ผิดอย่างใดต่อพระองค์ ตรงกันข้ามเขากลับทำ� ทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพระองค์อย่างมาก เขาเสี่ยงชีวิต เมื่อฆ่าชาวฟีลิสเตียคน นั้น และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ชาวอิสราเอลมีชัยชนะยิ่งใหญ่ พระบิดาทรงเห็น ก็ ยังทรงยินดี แล้วพระองค์จะยังทรงทำ�ผิดต่อโลหิตของผู้บริสุทธิ์ ฆ่าดาวิดโดยไม่มี เหตุผลอีกหรือ” กษัตริยซ์ าอูลทรงฟังโยนาธานพูด แล้วทรงสาบานว่า “องค์พระผูเ้ ป็น เจ้าทรงพระชนมชีพอยู่ฉันใด เราจะไม่ฆ่าดาวิดฉันนั้น” โยนาธานจึงทรงเรียกดาวิดมา เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วทรงพาดาวิดไปเฝ้าซาอูล ดาวิดก็รับราชการตามเดิม
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา สดด 56:1-3,8-9, 11,12-13
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร มก 3:7-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปยังทะเลสาบกับบรรดาศิษย์ ผู้คนหมู่ใหญ่จากแคว้นกาลิลตี ดิ ตาม พระองค์ ผูค้ นจากแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากแคว้นอิดเู มอา จากอีกฟากหนึง่ ของแม่นาํ้ จอร์แดน และ จากบริเวณเมืองไทระและไซดอนเป็นหมูใ่ หญ่ ได้ยนิ สิง่ ทีท่ รงทำ�ก็มาเฝ้าพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสสัง่ บรรดา ศิษย์ให้จัดเรือไว้ลำ�หนึ่ง เพื่อประชาชนจะได้ไม่เบียดเสียดพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยจำ�นวน มาก จนบรรดาผูป้ ว่ ยด้วยโรคต่างๆ เบียดเสียดกันเข้ามาเพือ่ สัมผัสพระองค์ เมือ่ ปีศาจทัง้ หลายเห็นพระองค์ ก็กราบลง พลางตะโกนว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงกำ�ชับอย่างแข็งขันมิให้มัน แพร่งพรายว่าพระองค์เป็นใคร มีผู้คนจำ�นวนมากติดตามพระองค์ จนกระทั่งพระองค์และบรรดาศิษย์แทบไม่มีเวลาในการ พักผ่อน เพราะพระองค์ทรงรักษาคนเป็นจำ�นวนมาก ทุกคนที่เข้ามาสัมผัสพระองค์ ได้รับการรักษาให้หาย เราคริสตชนทุกคนก็เช่นเดียวกันจะต้องไม่ละสายตาไปจากพระองค์ เพื่อเราแต่ละคนจะได้รับการเยียวยา รักษา และจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ทางพระวาจาที่เราได้มีโอกาสรับฟังและอ่านแต่ละวันเสมอ
บทอ่านที่ 1 1 ซมอ 24:2-21 เมือ่ กษัตริยซ์ าอูลเสด็จกลับจากการรบกับชาวฟีลสิ เตีย ก็ทรงทราบว่าดาวิดอยูใ่ น ถิ่นทุรกันดารใกล้เอนเกดี กษัตริย์ซาอูลทรงเลือกทหารฝีมือเยี่ยมสามพันคนจากทั่ว อิสราเอล เสด็จไปค้นหาดาวิดและพรรคพวกทางด้านตะวันออกของหินแพะป่าพระองค์ เสด็จมาถึงคอกแกะริมทาง ที่นั่นมีถํ้าแห่งหนึ่ง จึงเสด็จเข้าไปเพื่อทรงบังคนหนัก ดาวิดกับพรรคพวกแอบอยู่ลึกในถํ้าเดียวกันนั้น... ดาวิดจึงลุกขึ้นเข้าไปลอบตัดชาย ระลึกถึง เสื้อคลุมของซาอูล... น.ฟรังซิส เดอ ซาลส์ กษัตริย์ซาอูลเสด็จออกจากถํ้าและทรงพระดำ�เนินต่อไป ดาวิดก็ออกจากถํ้าตาม พระสังฆราช มาและทูลเรียกกษัตริย์ซาอูลว่า “ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพเจ้า” กษัตริย์ซาอูล และนักปราชญ์ ทรงเหลียวมา ดาวิดก็กราบลงหน้าจรดพื้นด้วยความเคารพ ทูลว่า “ทำ�ไมพระองค์จึง แห่งพระศาสนจักร ทรงเชือ่ ฟังผูท้ ใี่ ส่ความว่าข้าพเจ้าจะทำ�ร้ายพระองค์ พระองค์ทรงเห็นกับตาในวันนีแ้ ล้ว สดด 57:1-8,3,5,10 ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพระองค์ไว้ในมือของข้าพเจ้าในถํ้า มีคนยุให้ข้าพเจ้าฆ่า พระองค์ แต่ข้าพเจ้าไว้ชีวิตพระองค์...พระบิดาของข้าพเจ้า ดูนี่ซิ โปรดทอดพระเนตร ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ดูชายเสื้อคลุมในมือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตัดมาจากเสื้อคลุมของพระองค์ แต่ไม่ได้ฆ่า พระองค์ ขอพระองค์ทรงยอมรับเถิดว่า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดกบฏต่อพระองค์หรือคิดทำ�ร้ายพระองค์เลย... ขอ ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้าจะไม่ทำ�ร้ายพระองค์เป็นอันขาด ดังที่ สุภาษิตโบราณเคยกล่าวว่า ‘ความชั่วย่อมมาจากคนชั่ว’ แต่ข้าพเจ้าจะไม่ทำ�ร้ายพระองค์เลย... ขอองค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงป้องกันข้าพเจ้าจากพระหัตถ์ของพระองค์เถิด” เมื่อดาวิดกล่าวถ้อยคำ�เหล่านี้จบแล้ว กษัตริย์ซาอูลตรัสว่า “ดาวิดลูกเอ๋ย นั่นเป็นเสียงของเจ้าหรือ” กษัตริย์ซาอูลทรงกันแสงเสียงดัง แล้วตรัสแก่ดาวิดต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ชอบธรรมมากกว่าเรา เพราะเจ้าทำ� ดีต่อเรา ขณะที่เราทำ�ร้ายเจ้า วันนี้เจ้าแสดงให้เห็นแล้วว่า เจ้าดีต่อเราเพียงไร เพราะเจ้าไว้ชีวิตเรา ทั้งๆ ที่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงมอบเราไว้ในมือของเจ้าแล้ว ไม่มผี ใู้ ดพบศัตรู แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปโดยปลอดภัย ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบแทนความดีที่เจ้าได้ทำ�กับเราในวันนี้เถิด บัดนี้ เรารู้แล้วว่าเจ้าจะเป็นกษัตริย์ และอาณาจักรอิสราเอลจะตั้งมั่นในมือของเจ้า” พระวรสาร มก 3:13-19 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปบนภูเขา ทรงเรียกผู้ที่พระองค์ทรงต้องการให้มาพบ เขาเหล่านั้นก็มา เฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งอัครสาวกสิบสองคนให้อยู่กับพระองค์ และเพื่อจะทรงส่งเขาออกไป เทศน์สอน โดยให้มีอำ�นาจขับไล่ปีศาจด้วย อัครสาวกสิบสองคนที่ทรงแต่งตั้ง คือ ซีโมน พระองค์ทรงตั้ง ชื่อใหม่ให้เขาว่า “เปโตร” ยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์นน้องชายของยากอบ พระองค์ทรงตั้งชื่อให้ สองพี่น้องนี้ว่า “โบอาแนรเกส” ซึ่งแปลว่า “ลูกฟ้าร้อง” อันดรูว์ ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โทมัส ยากอบ บุตรของอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ได้ทรยศต่อ พระองค์ เราแต่ละคนได้รับการเชื้อเชิญให้มาติดตามและร่วมงานกับพระองค์ มาสานต่อภารกิจของ พระองค์ ทุกวันนี้พระองค์ยังคงเรียกเราทั้งหลายอย่างต่อเนื่องให้ร่วมงานในพระศาสนจักร และทรงส่งเรา ออกไปเป็นประจักษ์พยานถึงคำ�สอนของพระองค์
บทอ่านที่ 1 กจ 22:3-16 เวลานั้น เปาโลจึงกล่าวกับประชาชนว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัส ในแคว้นซีลีเซีย แต่เติบโตในเมืองนี้ กามาลิเอลเป็นอาจารย์สอนข้าพเจ้าให้ปฏิบัติตาม ธรรมบัญญัตขิ องบรรพบุรษุ อย่างเคร่งครัด ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยความกระตือรือร้น อยู่เสมอเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติอยู่ในวันนี้ ผู้ที่ดำ�เนินตามวิถีทางนี้ เคยถูก ข้าพเจ้าเบียดเบียนถึงตาย ข้าพเจ้าจับกุมทัง้ ชายและหญิงจองจำ�ไว้ในคุก ดังทีม่ หาสมณะ ฉลองการกลับใจ และสภาผู้อาวุโสทุกคนเป็นพยานยืนยันได้ เพราะเขามอบจดหมายให้ข้าพเจ้านำ�ไปให้ ของนักบุญเปาโล แก่บรรดาพี่น้องชาวยิวที่เมืองดามัสกัส ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางเพื่อไปจับกุมบรรดา อัครสาวก คริสตชนซึ่งอยู่ที่นั่น นำ�กลับมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อลงโทษ สดด 117:1-2 เวลาประมาณเทีย่ งวัน ขณะทีข่ า้ พเจ้ากำ�ลังเดินทางใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ทันใด วันตรุษจีน นั้นมีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าล้มลงที่พื้นดินและได้ยิน เสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโล เจ้าเบียดเบียนเราทำ�ไม’ ข้าพเจ้าจึงถามว่า ‘พระเจ้าข้า พระองค์คอื ใคร’ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธ ซึง่ เจ้ากำ�ลังเบียดเบียนอยู’่ คนทีอ่ ยูก่ บั ข้าพเจ้าเห็น แสงสว่าง แต่ไม่ได้ยินเสียงคนที่พูดกับข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าถามอีกว่า ‘พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำ�อะไร’ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงลุกขึน้ เข้าไปในเมืองดามัสกัส ทีน่ นั่ จะมีคนบอกทุกสิง่ ทีพ่ ระเจ้า ทรงกำ�หนดให้เจ้าทำ�’ แสงนั้นสว่างจ้าจนข้าพเจ้ามองไม่เห็นสิ่งใด ผู้ร่วมเดินทางกับข้าพเจ้าจึงจูงมือข้าพเจ้า เข้าไปในเมืองดามัสกัส ชายคนหนึง่ ชือ่ อานาเนีย เป็นผูย้ �ำ เกรงพระเจ้าและปฏิบตั ติ ามธรรมบัญญัติ เป็นทีเ่ คารพนับถือของชาว ยิวทุกคนซึ่งอยู่ที่นั่น เขามาพบข้าพเจ้า ยืนใกล้ๆ พูดกับข้าพเจ้าว่า “เซาโล น้องเอ๋ย จงกลับมองเห็นเถิด” และในเวลานั้นเองข้าพเจ้าก็มองเห็นเขา อานาเนียบอกข้าพเจ้าว่า “พระเจ้าแห่งบรรพบุรษุ ของเราทรงเลือกสรรท่านให้รพู้ ระประสงค์ของพระองค์ ให้เห็นพระคริสตเจ้าผู้ทรงชอบธรรมและได้ยินพระสุรเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพราะท่านจะเป็น พยานของพระองค์ยืนยันสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยินแก่มนุษย์ทุกคน บัดนี้ท่านรออะไรอยู่อีกเล่า จงลุกขึ้น รับศีลล้างบาปและเรียกขานพระนามของพระองค์ชำ�ระล้างบาปของท่านเถิด” พระวรสาร มก 16:15-18 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง ผู้ ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ ผู้ที่เชื่อจะทำ�อัศจรรย์เหล่านี้ได้ คือจะ ขับไล่ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ๆ ได้ จะจับงูได้ และถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะ ปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย” พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับเราเช่นกัน เหมือนกับที่ตรัสกับบรรดาอัครสาวกของพระองค์ ให้เรา ประกาศข่าวดีของพระองค์ ด้วยการแสดงออกจากคำ�พูดและการกระทำ� การเอาใจใส่ทุกๆ คน มีส่วนร่วม ในความทุกข์ยาก ความโดดเดี่ยว และบุคคลที่ถูกทอดทิ้ง โดยนำ�พระวาจาของพระองค์ ในการขับไล่ ปลดปล่อย ให้เราหลุดพ้นจากพันธนาการต่างๆ ในโลกนี้ เหมือนกับท่านนักบุญเปาโลทีไ่ ด้พบปะกับพระเยซู เจ้า และทำ�ให้ท่านได้หลุดพ้นจากพันธนาการของโลก และดำ�เนินชีวิตเพื่อพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 8:23-9:3 ในอดีต พระองค์ทรงทำ�ให้แผ่นดินเศบูลนุ และแผ่นดินนัฟทาลีตกตํา่ แต่ในอนาคต จะทรงบันดาลให้หนทางจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถึงแม่นํ้าจอร์แดน ซึ่งเป็นดินแดน ของชนต่างชาติมีความรุ่งเรือง ประชากรที่เดินในความมืดแลเห็นความสว่างยิ่งใหญ่ บรรดาผู้อาศัยในแผ่นดิน มืดมิด ความสว่างส่องแสงมาเหนือเขา พระองค์ทรงเพิ่มจำ�นวนประชากร ทรงเพิ่ม ความชื่นบานของเขา เขาทั้งหลายจะยินดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ดั่งความชื่นบาน ในฤดูเก็บเกีย่ ว ดัง่ ความยินดีเมือ่ เขาแบ่งของเชลยให้แก่กนั เพราะว่าแอกอันเป็นภาระ ของเขา ท่อนไม้ทเี่ ขาต้องแบก ไม้ตะพดของผูก้ ดขี่ พระองค์ทรงหักเสียอย่างทีท่ รงเคย กระทำ�กับชาวมีเดียน เพลงสดุดี สดด 27:1,4,13-14 ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความสว่างและทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นป้อมปราการปกป้องชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะหวาดกลัวผู้ใด ข) ข้าพเจ้าขอเพียงสิ่งเดียวจากองค์พระผู้เป็นเจ้า สิ่งเดียวนี้ข้าพเจ้าแสวงหา คือการได้พำ�นักอยู่ในพระเคหาขององค์พระผู้เป็นเจ้าทุกวันตลอดชีวิต เพื่อชมความงามขององค์พระผู้เป็นเจ้า และคอยเฝ้าอยู่ในพระวิหารของพระองค์ ค) ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าจะได้เห็นความดีขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในแผ่นดินแห่งผู้เป็น จงมีความหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงเข้มแข็ง จงทำ�ใจกล้า จงมีความหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 1:10-13,17 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องท่านในพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็น เจ้าของเรา ให้ท่านปรองดองกัน อย่าแตกแยก แต่จงมีจิตใจและความเห็นตรงกัน พีน่ อ้ งทัง้ หลาย ข้าพเจ้ารูจ้ ากคนในครอบครัวของคะโลเอว่า ท่านทัง้ หลายทะเลาะวิวาท กัน ข้าพเจ้าหมายความว่าดังนี้ ท่านต่างก็พูดว่า “ฉันเป็นพวกของเปาโล” “ฉันเป็น พวกของอปอลโล” “ฉันเป็นพวกของเคฟาส” “ฉันเป็นพวกของพระคริสตเจ้า” มีการ แบ่งแยกในองค์พระคริสตเจ้าหรือ เปาโลถูกตรึงกางเขนเพื่อท่านหรือ ท่านได้รับพิธี ล้างบาปในนามของเปาโลหรือ
พระคริสตเจ้ามิได้ทรงส่งข้าพเจ้ามาทำ�พิธีล้างบาป แต่ ทรงส่งมาประกาศข่าวดีมิใช่ด้วยการใช้โวหารอันชาญฉลาด ด้ ว ยเกรงว่ า จะทำ � ให้ ไ ม้ ก างเขนของพระคริ ส ตเจ้ า เสื่ อ ม ประสิทธิภาพ
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 4:12-23 เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบว่ายอห์นถูกจองจำ� จึงเสด็จ ไปยังแคว้นกาลิลี ทรงออกจากเมืองนาซาเร็ธ มาประทับอยู่ ทีเ่ มืองคาเปอรนาอุม บนฝัง่ ทะเลสาบ ในดินแดนเผ่าเศบูลนุ และนัฟทาลี ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำ�รัสที่ตรัสไว้ทางประกาศก อิสยาห์เป็นความจริงว่า “ดินแดนเศบูลุนและนัฟทาลี เส้นทางไปสู่ทะเล ฟากโน้นของแม่นํ้าจอร์แดน แคว้นกาลิลีแห่งบรรดาประชาชาติ ประชาชนที่จมอยู่ในความมืด ได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนและในเงาแห่งความตาย แสงได้ส่องขึ้นมาเหนือพวกเขาแล้ว” นับแต่นั้นมา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศเทศนาว่า “จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้ แล้ว” ขณะที่ทรงดำ�เนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องสองคนคือซีโมน ที่ เรียกว่าเปโตรกับอันดรูว์น้องชายกำ�ลังทอดแห เขาเป็นชาวประมง พระองค์ตรัสสั่งว่า “จงตามเรามาเถิด เราจะทำ�ให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์” เขาทั้งสองก็ทิ้งแหไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที เมื่อทรงดำ�เนินไปจากที่นั่น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องอีกสองคนคือ ยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์นน้องชายกำ�ลังซ่อมแหอยู่ในเรือกับเศเบดีผู้บิดา พระองค์ทรงเรียกเขา ทันใดนั้น เขาทั้งสองก็ทิ้ง เรือและบิดา แล้วตามพระองค์ไป พระองค์เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรง รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิดของประชาชน
พระวาจาวันนี้ทำ�ให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนและลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับภารกิจของพระเยซูเจ้า พระองค์ปรารถนาให้เราเปลีย่ นทัศนคติใหม่ของคุณค่าต่างๆ ในโลกนี้ และพร้อมทีจ่ ะละทิง้ ทุกสิง่ เพือ่ ติดตาม พระองค์อย่างเด็ดเดี่ยว น้อมรับคุณค่าแห่งพระวรสารที่ให้ความหมายต่อชีวิต ในการประกาศข่าวดีเรื่อง พระอาณาจักรสวรรค์
น.อังเยลา เมริชี พรหมจารี สดด 89:20-21,23-26
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 5:1-7,10 ชาวอิสราเอลทุกเผ่ามาเฝ้ากษัตริย์ดาวิดที่เมืองเฮโบรน ทูลว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นสายเลือดเดียวกันกับพระองค์ ในอดีตเมือ่ กษัตริยซ์ าอูลทรงปกครอง พระองค์ทรง นำ�ชาวอิสราเอลออกรบ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสแก่พระองค์วา่ ‘ท่านจะเลีย้ งดูอสิ ราเอล ประชากรของเรา ท่านจะเป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล’” บรรดาผูอ้ าวุโสชาวอิสราเอลจึง มาเฝ้ากษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน และกษัตริย์ดาวิดทรงทำ�พันธสัญญากับเขาเฉพาะ พระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เมืองเฮโบรน เขาจึงเจิมดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครอง อิสราเอล ดาวิดมีพระชนมายุสามสิบพรรษาเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ และทรงเป็นกษัตริย์อยู่ เป็นเวลาสี่สิบปี พระองค์ทรงปกครองชนเผ่ายูดาห์ ที่เมืองเฮโบรนเป็นเวลาเจ็ดปีหก เดือน ทรงปกครองชาวอิสราเอลทุกเผ่าและชนเผ่ายูดาห์ท่ีกรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลา สามสิบสามปี กษัตริย์ดาวิดเสด็จพร้อมกับบรรดาทหารเข้าโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม โจมตีชาวเยบุส ทีอ่ ยูใ่ นแผ่นดินนัน้ ชาวเยบุสกล่าวแก่กษัตริยด์ าวิดว่า “ท่านไม่มวี นั จะเข้ามาทีน่ ไี่ ด้ คน ตาบอดและคนพิการก็ยังจะกันท่านไว้ได้” คล้ายกับกล่าวว่า ดาวิดจะเข้าไปที่นั่นไม่ได้ เลย แต่กษัตริย์ดาวิดทรงยึดป้อมศิโยน คือเมืองของดาวิดไว้ได้ นับวันกษัตริย์ดาวิดยิ่งทรงมีพระอำ�นาจมากขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอม จักรวาลสถิตกับพระองค์
พระวรสาร มก 3:22-30 เวลานัน้ บรรดาธรรมาจารย์ทม่ี าจากกรุงเยรูซาเล็มพูดว่า “เขามีปศี าจเบเอลเซบูล สิงอยู่” และ “ขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” พระองค์จึงทรงเรียก เขาเหล่านั้นเข้ามาพบ ตรัสเป็นอุปมาว่า “ซาตานจะขับซาตานได้อย่างไร ถ้าอาณาจักร หนึง่ แตกแยก อาณาจักรนัน้ ก็ตงั้ อยูไ่ ม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึง่ แตกแยก ครอบครัวนัน้ ก็ตงั้ มัน่ อยูต่ อ่ ไปไม่ได้ ถ้า ซาตานลุกขึน้ ต่อสูก้ นั เองและแตกแยก มันก็อยูไ่ ม่ได้ ต้องถึงจุดจบ ไม่มใี ครเข้าไปในบ้านของคนเข้มแข็งและ ปล้นเอาทรัพย์ของเขาได้ ถ้าไม่มัดคนเข้มแข็งนั้นไว้ก่อน เมื่อนั้นแหละจึงจะเข้าปล้นบ้านได้ เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า มนุษย์จะรับการอภัยบาปทุกประการรวมทั้งคำ�ดูหมิ่นพระเจ้าที่ ได้พูดออกไป แต่ใครที่พูดดูหมิ่นพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย เขามีความผิดตลอดนิรันดร” พระเยซู เจ้าตรัสเช่นนี้เพราะมีผู้พูดว่า “คนนี้มีปีศาจสิงอยู่” ธรรมาจารย์ประณามพระเยซูเจ้าว่าใช้อำ�นาจแห่งปีศาจ แต่พระองค์ก็ไม่ปล่อยให้ความคิด ของเขามาขัดขวางภารกิจนี้ พระองค์มีพระประสงค์เพื่อมาปลดปล่อยพวกเขาให้หลุดพ้นจากพันธนาการ ของบาป มนุษย์เองไม่สามารถที่จะให้อภัยต่อความผิดบาปของตัวเองที่ได้กระทำ� นอกเสียจากพระเป็นเจ้า เท่านั้นที่ทรงให้อภัยเราได้ แต่เราปรารถนาที่จะให้พระองค์ปลดปล่อยเราหรือไม่ เราเปิดใจและพร้อมที่จะ ให้พระองค์รักษาเราไหม เพราะพระองค์ทรงรอเราและพร้อมที่จะช่วยเรา
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 6:12ข-15,17-19 ในครัง้ นัน้ กษัตริยด์ าวิดจึงเสด็จไปนำ�หีบของพระเจ้าขึน้ จากบ้านของโอเบดเอโดม มาทีเ่ มืองของดาวิดด้วยความยินดี เมือ่ คนหามหีบขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเดินไปหกก้าว กษัตริย์ดาวิดก็ทรงถวายโคเพศผู้และแกะอ้วนพีอย่างละตัวเป็นเครื่องบูชา กษัตริย์ ดาวิดทรงคาดเอโฟดผ้าป่านเพียงผืนเดียว เต้นรำ�สุดกำ�ลังเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้ เป็นเจ้า กษัตริยด์ าวิดกับชาวอิสราเอลทัง้ หลายนำ�หีบขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าขึน้ มา พร้อม กับโห่ร้องด้วยความยินดี และเป่าแตร เมื่อนำ�หีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้ามาประดิษฐานไว้ในที่กำ�หนดกลางกระโจมซึ่ง กษัตริยด์ าวิดทรงตัง้ ขึน้ ไว้ พระองค์ทรงถวายเครือ่ งบูชาและศานติบชู าเฉพาะพระพักตร์ องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อทรงถวายเครื่องเผาบูชาและศานติบูชาแล้ว กษัตริย์ดาวิดก็ทรง อวยพรประชาชนในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล และประทานอาหาร แก่ประชาชนชาวอิสราเอลทุกคน ทั้งชายและหญิง คือขนมปังคนละก้อน เนื้อย่าง คนละชิ้น และผลองุ่นแห้งอัดคนละก้อน หลังจากนั้น ประชาชนต่างกลับบ้าน พระวรสาร มก 3:31-35 เวลานัน้ พระมารดาและพระประยูรญาติของพระองค์มาถึง ยืนรออยูข่ า้ งนอก ส่ง คนเข้าไปทูลพระองค์ ประชาชนกำ�ลังนัง่ ล้อมพระองค์อยู่ เขาจึงทูลพระองค์วา่ “มารดา และพี่น้องชายหญิงของท่านกำ�ลังตามหาท่าน คอยอยู่ข้างนอก” พระองค์ตรัสถามว่า “ใครเป็นมารดาและพี่น้องของเรา” แล้วพระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่นั่งเป็นวงล้อมอยู่ ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา ผู้ใดทำ�ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นเป็น พี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา” พื้นฐานสำ�คัญของการเป็นศิษย์พระเยซูเจ้านั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะต้อง ฟังเป็น เพื่อช่วยให้เราสามารถเข้าใจพระประสงค์และนำ�ไปปฏิบัติตามเสียงของ พระองค์ในชีวติ ได้อย่างถูกต้อง เหมือนดัง่ แม่พระทีเ่ ป็นบุคคลตัวอย่างสำ�หรับเราทุกคน คริสตชนถึงแม้ว่าหลายครั้งมีบางสิ่งที่ไม่เข้าใจหรือไม่มีคำ�ตอบ แต่พระนางทรงใช้เวลา ในการรำ�พึงไตร่ตรอง แยกแยะ เพือ่ ทีจ่ ะเข้าใจถึงพระประสงค์ของพระเยซูเจ้าพระบุตร ของพระนาง ด้วยความเชื่อ ไว้ใจ และความสุภาพถ่อมตน ดังนั้น ผู้ที่ปฏิบัติตามวาจา ของเราผู้นั้นคือพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา
ระลึกถึง น.โทมัส อาไควนัส พระสงฆ์ และนักปราชญ์ สดด 24:7-10
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา
สดด 89:3-4,28-29, 30-32,33-35
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 7:4-17 ในคืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า “จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านจะไม่เป็นผู้ สร้างวิหารให้เราอยู่ ตั้งแต่เรานำ�ชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์จนกระทั่งถึงวันนี้ เราไม่ เคยอยู่ในวิหาร เรามีกระโจมเป็นที่อยู่ เดินทางกับเขาไปตามที่ต่างๆ... ทำ�ไมท่าน ทัง้ หลายไม่สร้างวิหารไม้สนสีดาร์ให้เราอยู’่ บัดนี้ ท่านจงไปบอกดาวิดผูร้ บั ใช้ของเราว่า ‘องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัสดังนี้ เราให้ทา่ นเลิกเลีย้ งแกะในทุง่ หญ้ามาเป็นผูน้ �ำ อิสราเอลประชากรของเรา เราอยู่กับท่านไม่ว่าท่านไปที่ใด...’” นาธันทูลกษัตริย์ดาวิดให้ทรงทราบทุกสิ่งตามที่พระเจ้าทรงสำ�แดงแก่เขา
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 พระวรสาร มก 4:1-20 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงเริม่ สัง่ สอนทีร่ มิ ทะเลสาบอีกครัง้ หนึง่ ประชาชนจำ�นวนมากมาชุมนุมห้อมล้อม พระองค์จนต้องเสด็จลงไปประทับบนเรือในทะเลสาบ ส่วนประชาชนทั้งหมดอยู่บนฝั่ง พระองค์ทรงสอน เขาหลายเรือ่ งเป็นอุปมา ในการสอนนัน้ พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึง่ ออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะ ทีเ่ ขากำ�ลังหว่านอยูน่ นั้ บางเมล็ดตกอยูร่ มิ ทางเดิน นกก็จกิ กินจนหมด บางเมล็ดตกบนพืน้ หินทีม่ ดี นิ อยูเ่ ล็ก น้อย ก็งอกขึน้ ทันทีเพราะดินไม่ลกึ แต่เมือ่ ดวงอาทิตย์ขนึ้ ก็ถกู แดดเผา และเหีย่ วแห้งไปเพราะไม่มรี าก บาง เมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมมันไว้ จึงไม่เกิดผล บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้น เติบโต และ เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหูสำ�หรับฟัง ก็จงฟังเถิด” เมื่อประชาชนจากไปแล้ว อัครสาวกสิบสองคนกับผู้ที่อยู่รอบๆ พระองค์ ทูลถามเรื่องอุปมา พระองค์ ตรัสตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมลํ้าลึกเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่สำ�หรับคนที่ อยู่ภายนอก ทุกสิ่งแสดงออกเป็นเพียงอุปมา ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพื่อเขาจะมองแล้วมองเล่า แต่ไม่เห็น ฟังแล้วฟังเล่า แต่ไม่เข้าใจ มิฉะนั้นแล้วเขาคงได้กลับใจ และพระเจ้าคงจะทรงให้อภัยเขา” พระองค์ตรัสว่า “ท่านไม่เข้าใจอุปมานี้ แล้วจะเข้าใจอุปมาอื่นๆ ได้อย่างไร ผู้หว่านพืชนั้นหว่านพระ วาจา เมล็ดที่ตกริมทางหมายถึงบุคคลซึ่งรับพระวาจาที่หว่าน เมื่อเขาได้ฟังพระวาจา ซาตานก็มาช่วงชิงพระ วาจาทีห่ ว่านในตัวเขาไป เช่นเดียวกัน เมล็ดทีต่ กบนพืน้ หินหมายถึงบุคคลทีไ่ ด้ฟงั พระวาจา และมีความยินดี รับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำ�บากหรือถูกข่มเหงเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่ม หลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่นๆ เข้ามาปกคลุมพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดพืชที่ตกใน ที่ดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า และร้อยเท่า” พระวาจาวันนี้ผู้หว่านเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้ทรงหว่านเมล็ดพันธ์ุแห่งความเชื่อลงใน จิตใจเราแต่ละคน จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเปิดใจให้เมล็ดพันธ์ุนี้เจริญงอกงาม และหยั่งรากลึกลงใน ชีวติ ประจำ�วันของเรา เพือ่ ช่วยให้เมล็ดพันธ์แุ ห่งพระวาจานีเ้ ปลีย่ นแปลงร่างกายและจิตใจของเราไปตามวิถี ทางของพระองค์ และเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์มากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 7:18-19,24-29 กษัตริย์ดาวิดเสด็จเข้าไปประทับเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า ข้าพเจ้าเป็นใคร และครอบครัวของข้าพเจ้าสำ�คัญ อย่างไร พระองค์จึงทรงนำ�ข้าพเจ้ามาไกลถึงเพียงนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ยังทรงเห็นว่าทั้งหมดนี้น้อยเกินไป จึงทรงสัญญาถึงอนาคตอันไกลของ ครอบครัวผูร้ บั ใช้พระองค์ ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ทรงปฏิบตั เิ ช่นนีก้ บั มนุษย์เทียวหรือ พระองค์ทรงสถาปนาอิสราเอลประชากรของพระองค์ให้เป็นประชากร ของพระองค์ตลอดไป ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเขา ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า บัดนี้ขอทรงรักษาพระสัญญาที่ตรัสไว้แก่ผู้รับใช้ ของพระองค์และครอบครัวตลอดไป ขอทรงปฏิบัติตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้เถิด พระนามของพระองค์จะเป็นที่เลื่องลือตลอดไป และทุกคนจะพูดว่า ‘องค์พระผู้เป็น เจ้าจอมจักรวาลเป็นพระเจ้าของอิสราเอล’ และเชื้อสายของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ จะมั่นคงเฉพาะพระพักตร์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ทรงเปิดเผยแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า เราจะสร้างราชวงศ์ให้ท่าน ผู้รับใช้ของ พระองค์จึงกล้าอธิษฐานภาวนาเช่นนี้ต่อพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระวาจาของพระองค์เป็นความจริง พระองค์ทรงสัญญาจะ ประทานพระพรเหล่านี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ขอพระองค์ทรงอวยพรเชื้อสายของ ผู้รับใช้ของพระองค์ เขาจะได้คงอยู่เฉพาะพระพักตร์ตลอดไป ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้ า พระองค์ ท รงสั ญ ญาแล้ ว เชื้ อ สายของผู้ รั บ ใช้ จ ะได้ รั บ พรของพระองค์ ตลอดไป’” พระวรสาร มก 4:21-25 เวลานั้น พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “เขาจุดตะเกียงวางไว้ใต้ถังหรือใต้เตียงหรือ มิใช่วางไว้บนที่ตั้งตะเกียงหรือ เช่นเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ปรากฏออกมา ใครมีหูสำ�หรับฟัง ก็จงฟังเถิด” พระองค์ตรัสอีกว่า “จงตั้งใจฟังให้ดี ท่านตวงให้เขาอย่างไร เขาก็จะตวงให้ท่าน อย่างนั้น และจะเพิ่มให้อีกด้วย ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อย ที่เขามี จะถูกริบไปด้วย” ทุกสิ่งที่เรามี แม้จะมีมากหรือน้อยนิดก็ตาม ล้วนเป็นของประทานจาก พระเป็นเจ้าทั้งสิ้น เราจะใช้สิ่งเหล่านี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์ในการรับใช้ เพื่อให้ ภาพลักษณ์ของพระองค์ปรากฏในวิถีชีวิตเราคริสตชน ถ้าท่านปรารถนาให้เขากระทำ� กับท่านอย่างไร ก็จงกระทำ�กับเขาเช่นนั้น ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำ�นั้น เพื่อ ถวายเกียรติแด่พระองค์มากยิ่งๆ ขึ้น
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา สดด 96:1-2,3,7-8, 10-11
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 11:1-4ก,5-10ก,13-17 ในฤดูใบไม้ผลิตอ่ มา... กษัตริยด์ าวิดทรงส่งโยอาบพร้อมกับนายทหารและกองทัพ อิสราเอลทัง้ หมดออกไปปราบชาวอัมโมนและเข้าล้อมเมืองรับบาห์ของชาวอัมโมนไว้... เย็นวันหนึ่ง กษัตริย์ดาวิดเสด็จจากพระที่บรรทมไปทรงพระดำ�เนินบนดาดฟ้า พระราชวัง ทอดพระเนตรเห็นหญิงคนหนึ่งกำ�ลังอาบนํ้า นางเป็นคนสวยมาก กษัตริย์ ดาวิดทรงใช้คนไปสืบถามว่านางเป็นใคร ก็ทรงทราบว่านางชื่อบัทเชบา เป็นบุตรสาว ระลึกถึง ของเอลีอมั และเป็นภรรยาของอุรยี าห์ ชาวฮิตไทต์ กษัตริยด์ าวิดทรงส่งคนไปนำ�ตัวนาง น.ยอห์น บอสโก มา นางก็เข้ามาเฝ้า กษัตริย์ดาวิดทรงหลับนอนกับนาง นางเพิ่งชำ�ระตนให้พ้นมลทิน พระสงฆ์ สดด 51:1-2,3-5,8-10 จากการมีประจำ�เดือน แล้วนางก็กลับไปบ้าน เมื่อนางรู้ว่าตนตั้งครรภ์จึงส่งคนไปทูล กษัตริย์ดาวิดว่า “ดิฉันตั้งครรภ์แล้ว” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 กษัตริย์ดาวิดจึงทรงใช้คนไปหาโยอาบสั่งให้ส่งอุรียาห์ ชาวฮิตไทต์กลับมาเฝ้า โยอาบจึงส่งอุรียาห์กลับมาเฝ้ากษัตริย์ดาวิด เมื่ออุรียาห์มาถึง กษัตริย์ดาวิดทรงถาม เขาว่าโยอาบกับกองทัพเป็นอย่างไรบ้าง การสงครามดำ�เนินไปอย่างไร แล้วกษัตริย์ดาวิดตรัสกับอุรียาห์ว่า “จงกลับไปบ้านและพักผ่อนให้สบายเถิด” อุรียาห์ก็ออกไปจากพระราชวัง กษัตริย์ประทานอาหารเป็นของ ขวัญตามไปให้ที่บ้าน แต่อุรียาห์ไม่ได้กลับบ้าน... เช้าวันรุ่งขึ้น กษัตริย์ดาวิดทรงเขียนจดหมายถึงโยอาบให้อุรียาห์นำ�ไป ทรงเขียนในจดหมายว่า “จงจัด ให้อุรียาห์อยู่แนวหน้าตรงที่การรบเป็นไปอย่างดุเดือดที่สุด แล้วถอยทัพ ปล่อยให้เขาถูกฆ่า” โยอาบกำ�ลัง ล้อมเมืองอยู่ จึงจัดให้อุรียาห์ไปอยู่ตรงที่เขารู้ว่าข้าศึกเข้มแข็ง ชาวเมืองออกมารบกับโยอาบ ฆ่าพลทหาร และนายทหารบางคนของกษัตริย์ดาวิด อุรียาห์ชาวฮิตไทต์ก็ถูกฆ่าด้วย พระวรสาร มก 4:26-34 เวลานัน้ พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนทีน่ �ำ เมล็ดพืชไปหว่าน ในดิน เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้ ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครั้งแรกก็เป็นลำ�ต้น แล้วก็ออกรวง ต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง เมื่อข้าวสุก เกิดผลแล้ว เขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว” พระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร หรือจะใช้อุปมาอะไรอธิบายเรื่อง นี้ พระอาณาจักรเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึง่ เมือ่ หว่านในดิน ก็เป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทัง้ ปวงทัว่ แผ่นดิน แต่ครั้นได้หว่านแล้วก็งอกขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชผักทุกชนิด มีกิ่งก้านใหญ่โตจนบรรดานกใน อากาศมาพักอาศัยร่มเงาได้” พระองค์ตรัสเป็นอุปมาเช่นนี้อีกมากตามที่เขาเหล่านั้นฟังเข้าใจได้ พระองค์มิได้ตรัสกับเขาโดยไม่ใช้ อุปมา แต่เมื่อทรงอยู่เฉพาะกับบรรดาศิษย์ก็ทรงอธิบายทุกเรื่องให้กับเขาเหล่านั้น ทุกๆ กิจการและการกระทำ�ของเราในชีวิตนั้นล้วนเป็นผลงานของพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะ ร่วมมือกับพระองค์หรือไม่ก็ตาม เราเชื่อว่าพระองค์เท่านั้นจะเป็นผู้ทำ�ให้สิ่งเหล่านั้นเจริญเติบโตไปตาม พระประสงค์ของพระองค์ เพียงให้เราทำ�ด้วยความสุภาพและด้วยความซื่อสัตย์ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็สุดแต่พระองค์ ขอให้ฉันเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพของพระองค์ก็เพียงพอ