02_

Page 1


บทอ่านที่ 1

2 ซมอ 12:1-7ก,10-17

พระวรสาร

มก 4:35-41

ในครั้งนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งประกาศกนาธันไปพบกษัตริย์ดาวิด ประกาศก นาธันจึงเข้าเฝ้าทูลกษัตริย์ว่า “ในเมืองหนึ่ง มีชายสองคน คนหนึ่งรํ่ารวย อีกคนหนึ่งยากจน คนรํ่ารวยมีฝูงแกะ และโคจำ�นวนมาก ส่วนคนยากจนมีลูกแกะเพศเมียเพียงตัวเดียว เป็นลูกแกะที่เขาซื้อ มาและเลีย้ งดูอย่างดี แกะตัวนัน้ เติบโตขึน้ ในบ้านกับเขาและลูกๆ กินอาหารของเขา และ สัปดาห์ที่ 3 ดื่มจากถ้วยของเขา นอนซบอกของเขา เขารักแกะตัวนั้นเหมือนบุตรสาว วันหนึ่ง มีคน เทศกาลธรรมดา เดินทางมาแวะที่บ้านของคนรํ่ารวย ซึ่งไม่อยากฆ่าแกะหรือโคของตนนำ�มาทำ�อาหารให้ สดด 51:11-13, คนเดินทางที่บังเอิญมาเยี่ยม เขาจึงเอาลูกแกะของคนยากจนมาทำ�อาหารให้แขกแทน” 14-15,16-17 กษัตริย์ดาวิดกริ้วชายผู้นั้นมาก ตรัสแก่นาธันว่า “ตราบใดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง พระชนม์อยู่ ผู้ที่กระทำ�เช่นนี้จะต้องถูกประหารชีวิต เขาต้องชดใช้ราคาลูกแกะนั้นสี่เท่า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เพราะเขามีใจร้ายกระทำ�เช่นนี้” ประกาศกนาธันจึงทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระองค์คือชายคนนั้น เพราะเหตุนี้ จะมี คนในวงศ์ตระกูลของท่านถูกฆ่าอยูเ่ รือ่ ยๆ เพราะท่านได้ลบหลูเ่ รา เอาภรรยาของอุรยี าห์ มาเป็นภรรยาของท่าน”... กษัตริย์ดาวิดตรัสกับนาธันว่า “ข้าพเจ้าได้ทำ�บาปผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” นาธันทูลตอบว่า “องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยบาปพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ต้องสิ้นพระชนม์ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงดูหมิ่น องค์พระผู้เป็นเจ้าโดยกระทำ�การนี้ พระโอรสที่จะเกิดมาจะต้องตาย” แล้วนาธันก็กลับบ้าน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�ให้พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดที่เกิดจากภรรยาของอุรียาห์ป่วยหนัก... เย็นวันเดียวกันนัน้ พระเยซูเจ้าตรัสสัง่ บรรดาศิษย์วา่ “เราจงข้ามไปทะเลสาบฝัง่ โน้นกันเถิด” บรรดาศิษย์ จึงละประชาชนไว้ และออกเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้นไป มีเรือลำ�อื่นๆ ติดตามไปด้วย ขณะนั้นเกิดพายุแรง กล้า คลื่นซัดเข้าเรือจนนํ้าเกือบจะเต็มเรืออยู่แล้ว พระองค์บรรทมหลับหนุนหมอนอยู่ที่ท้ายเรือ บรรดาศิษย์ จึงปลุกพระองค์ ทูลถามว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่สนพระทัยที่พวกเรากำ�ลังจะตายอยู่แล้วหรือ” พระองค์ จึงทรงลุกขึ้น บังคับลม ตรัสสั่งทะเลว่า “เงียบซิ จงสงบลงเถิด” ลมก็หยุด ท้องทะเลราบเรียบอย่างยิ่ง แล้ว พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ตกใจกลัวเช่นนี้ทำ�ไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ” เขาเหล่านั้นกลัวมาก พูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้” “Amazing grace” เป็นบทเพลงที่คริสตชนทั่วโลกรู้จัก ผู้ประพันธ์เพลงนี้คือ จอห์น นิวตัน ผู้ประกาศ ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้าในชีวิตของเขา เขามีอาชีพค้าทาสในช่วง ค.ศ.1700 วันหนึ่งเกิดลมพายุ เรือของเขาทำ�ท่าจะอับปาง เขาได้สัญญากับพระเจ้าว่า ถ้ารอดชีวิต เขาจะเลิกค้าทาส เขาได้รอดชีวิต และได้ แต่งเพลงนีข้ นึ้ เป็นการโมทนาคุณพระเป็นเจ้า ขอให้เราทบทวนชีวติ ของเราว่า พระเป็นเจ้าได้ชว่ ยเราให้พน้ จาก อันตรายใดๆ บ้าง และเราได้ตอบแทนพระคุณพระองค์อย่างไร?


บทอ่านจากหนังสือประกาศกมาลาคี มลค 3:1-4

องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้ “ดูซิ เราจะส่งผู้ถือสารของเราเพื่อเตรียมทางไว้ต่อหน้าเรา ทันใดนั้น องค์พระผู้ เป็นเจ้าทีท่ า่ นแสวงหาจะเสด็จเข้ามาในพระวิหารของพระองค์ ทูตแห่งพันธสัญญาซึง่ ท่าน ปรารถนา ดูซิ กำ�ลังมาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัส ใครจะทนวันที่เขามาได้ และใครจะยืนหยัดอยู่ได้เมื่อเขาปรากฏ เพราะเขาจะเป็นเหมือนไฟของช่างถลุงโลหะ ฉลองการถวาย และเหมือนสบู่ของคนซักฟอก เขาจะนั่งลงเหมือนช่างหลอมและช่างถลุงเงิน เขาจะ พระกุมารในพระวิหาร ชำ�ระบุตรหลานของเลวีให้บริสทุ ธิ์ จะถลุงเขาเหมือนถลุงทองคำ�และถลุงเงิน เพือ่ เขาจะ เสกและแห่เทียน ถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความชอบธรรม เครื่องบูชาของยูดาห์และ เยรูซาเล็มจะเป็นทีพ่ อพระทัยองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเหมือนในสมัยโบราณ เหมือนในปีกอ่ นๆ โน้น”

เพลงสดุดี

สดด 24:7-8,9-10

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู

ฮบ 2:14-18

ก) ประตูเอ๋ย จงยกไม้ขวางของเจ้าขึ้นเถิด จงยกบานประตูโบราณขึ้นให้สูง ให้พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์เสด็จเข้ามา พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์พระองค์นี้คือผู้ใด พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพลังและทรงอานุภาพ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอานุภาพในยุทธภูมิ ข) ประตูเอ๋ย จงยกไม้ขวางของเจ้าขึ้นเถิด จงยกบานประตูโบราณขึ้นให้สูง ให้พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์เสด็จเข้ามา พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์พระองค์นี้คือผู้ใด พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมจักรวาล พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์

บุตรทุกคนมีเลือดเนือ้ ร่วมกันฉันใด พระองค์กท็ รงมีเลือดเนือ้ ร่วมกับมนุษย์ทกุ คน ด้วยฉันนัน้ เพือ่ ว่าโดยการสิน้ พระชนม์ พระองค์จะทรงทำ�ลายมารผูม้ อี ำ�นาจเหนือความ ตายลงได้ เพื่อทรงปลดปล่อยผู้ตกเป็นทาสอยู่ตลอดชีวิตเพราะความกลัวตายให้เป็น อิสระได้ โดยแท้จริงแล้ว พระองค์มิได้เอาพระทัยใส่บรรดาทูตสวรรค์ แต่เอาพระทัยใส่ ต่อเชื้อสายของอับราฮัม จึงจำ�เป็นที่พระองค์จะต้องทรงเป็นเหมือนกับบรรดาพี่น้องทุก ประการ เพือ่ พระองค์จะทรงเป็นมหาสมณะทีเ่ พียบพร้อมด้วยพระกรุณาและทรงน่าเชือ่ ถือในการติดต่อกับพระเจ้า ไถ่โทษชดเชยบาปของประชากรได้ ในฐานะที่พระองค์ทรง รับการทรมานและทรงผ่านการผจญมาแล้ว พระองค์จงึ ทรงช่วยเหลือผูท้ ถี่ กู ผจญได้ดว้ ย


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 2:22-32

เมื่อครบกำ�หนดเวลาที่มารดาและบุตรจะต้องทำ� พิธชี ำ�ระมลทินตามธรรมบัญญัตขิ องโมเสส โยเซฟพร้อม กับพระนางมารีย์นำ�พระกุมารไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อ ถวายแด่พระเจ้า มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติขององค์พระ ผู้เป็นเจ้าว่า จะต้องถวายบุตรชายคนแรกแด่องค์พระผู้ เป็นเจ้า และถวายเครื่องบูชาคือนกเขาหนึ่งคู่หรือนก พิ ร าบสองตั ว ตามที่ มี กำ�หนดไว้ ในธรรมบั ญ ญั ติ ข อง พระเจ้า เวลานั้น ที่กรุงเยรูซาเล็ม ชายผู้หนึ่งชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและยำ�เกรงพระเจ้า เขารอคอยความรอดพ้นของอิสราเอล พระจิตเจ้าสถิตกับเขา และ ทรงเปิดเผยให้เขารู้ว่า เขาจะไม่ตายก่อนที่จะได้เห็นพระคริสต์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระจิตเจ้าทรงนำ�สิ เมโอนเข้าไปในพระวิหาร ขณะทีโ่ ยเซฟพร้อมกับพระนางมารียน์ ำ�พระกุมารเข้ามาปฏิบตั ติ ามทีธ่ รรมบัญญัติ กำ�หนดไว้ สิเมโอนรับพระกุมารมาอุ้มไว้ และกล่าวถวายพระพรแด่พระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า บัดนี้ พระองค์ทรงปล่อยผูร้ บั ใช้ของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำ�รัสของ พระองค์ เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำ�หรับ นานาประชาชาติ เป็นแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์ และเป็นสิริรุ่งโรจน์สำ�หรับอิสราเอล ประชากรของพระองค์”

ฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหาร เป็นการย้อนเหตุการณ์ในสมัยที่พระเป็นเจ้าได้ช่วยชาว อิสราเอลให้พ้นจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์ เมื่อกษัตริย์ฟาโรห์ยอมให้ชาวอิสราเอลอพยพออกจาก อียปิ ต์ หลังจากทีบ่ ตุ รชายหัวปีและสัตว์ของชาวอียปิ ต์ถกู ฆ่าตาย ในขณะทีบ่ ตุ รชายหัวปีของชาวอิสราเอล รอดชีวิต เพราะฉะนั้นพวกเขาถือว่าบุตรชายหัวปีเป็นสมบัติของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ไว้ชีวิตและได้ช่วยให้ พวกเขาพ้นจากการเป็นทาสของชาวอียปิ ต์... “ข้าแต่พระแม่มารีอา ขอพระแม่โปรดรับลูกไว้ในความอารักขา ของพระแม่ เหมือนที่พระแม่ได้ดูแลเอาใจใส่พระกุมารเยซูเจ้าด้วยเทอญ”


บทอ่านที่ 1

2 ซมอ 15:13-14,30;16:5-13

พระวรสาร

มก 5:1-20

มีผมู้ ากราบทูลกษัตริยด์ าวิดว่า “ชาวอิสราเอลมีใจไปเข้ากับอับซาโลมแล้ว” กษัตริย์ ดาวิดจึงตรัสแก่ขา้ ราชบริพารทัง้ หลายทีอ่ ยูก่ บั พระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มว่า “จงรีบหนีกนั เถิด มิฉะนั้น พวกเราจะไม่มีใครหนีรอดพ้นอับซาโลมได้...” เมือ่ กษัตริยด์ าวิดเสด็จมาถึงบาหุรมิ ชายคนหนึง่ ชือ่ ชิเมอีบตุ รของเกราออกมาแช่ง ด่าพระองค์ พลางเดินตามไป... อาบิชยั บุตรของนางเศรุยาห์ทลู กษัตริยว์ า่ “ทำ�ไมไอ้หมา น.บลาซีโอ พระสังฆราช ตายตัวนี้จะต้องแช่งด่าพระราชาเจ้านายของข้าพเจ้า โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปตัดหัว และมรณสักขี ของมันเถิด” แต่กษัตริยต์ รัสตอบว่า “บุตรของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีความคิดเห็นไม่ตรง น.อันสการ์ กัน ถ้าเขาแช่งด่าเราเพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงบอกเขาว่า ‘จงไปแช่งด่าดาวิดเถิด’ ใคร พระสังฆราช จะมีสิทธิ์ถามเขาว่า ‘ทำ�ไมท่านจึงทำ�เช่นนี้’”... สดด 89:20-21,23-26

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

เวลานั้น พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ข้ามทะเลสาบมาถึงดินแดนของชาวเกราซา ครัน้ พระองค์เสด็จขึน้ จากเรือ ชายคนหนึง่ ซึง่ ถูกปีศาจสิงออกมาจากบริเวณหลุมศพ เข้า มาเฝ้าพระองค์ทันที... เขาก็วิ่งเข้ามากราบเฉพาะพระพักตร์ ร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าผู้ สูงสุด ท่านมายุ่งเกี่ยวกับข้าพเจ้าทำ�ไม ข้าพเจ้าวอนขอท่านในพระนามของพระเจ้า อย่าทรมานข้าพเจ้าเลย” ทัง้ นีเ้ พราะพระเยซูเจ้าตรัสสัง่ ปีศาจว่า “เจ้าปีศาจ จงออกจากชายผูน้ ”ี้ แล้วพระองค์ทรงถามว่า “เจ้าชือ่ อะไร” มันตอบว่า “ชื่อกองพล เพราะเราอยู่กันจำ�นวนมาก” และมันพรํ่าวอนพระองค์มิให้ขับไล่มันออกจากบริเวณ นั้น หมูฝูงใหญ่กำ�ลังหากินอยู่บนเนินเขาทีน่ ั่น พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า “ขอได้โปรดส่งพวกเราเข้าไป ในหมูฝูงนั้นเถิด” พระองค์ก็ทรงอนุญาต พวกปีศาจจึงออกไปสิงอยู่ในร่างหมู หมูฝูงนั้นซึ่งมีประมาณสองพัน ตัวก็พากันวิ่งกระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ และจมนํ้าตายทั้งหมด คนเลี้ยงหมูต่างวิ่งหนีไปเล่าเรื่องนี้ ตามเมืองและตามชนบท ประชาชนออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเยซูเจ้า ก็แลเห็นคนที่ เคยถูกปีศาจกองพลสิงนั่งอยู่ สวมเสื้อผ้า มีสติดี พวกเขาต่างมีความกลัว ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าเรื่องที่เกิด ขึ้นกับผู้ที่ถูกปีศาจสิงและเล่าเรื่องหมูให้ฟัง ประชาชนจึงขอร้องพระเยซูเจ้าให้เสด็จออกไปจากเขตแดนของ เขา เมื่อพระองค์เสด็จลงเรือ ผู้ที่เคยถูกปีศาจสิงขออนุญาตตามเสด็จด้วย แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า “จงกลับบ้าน ไปหาญาติพนี่ อ้ งของท่าน เล่าให้เขาฟังถึงเหตุการณ์ทอี่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงกระทำ�และแสดงพระ เมตตาต่อท่าน” ชายนั้นจากไป เริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ�ต่อตน...

บางครั้งเราสนใจรายละเอียดมากเกินไป จนทำ�ให้ลืมแก่นแท้ของเหตุการณ์นั้น พระวรสารในวันนี้กล่าว ถึงอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงขับไล่ปีศาจที่สิงชายคนหนึ่ง หัวใจของเรื่องนี้ คือ พระเยซูเจ้าทรงแสดงอำ�นาจ เหนือปีศาจ ส่วนรายละเอียดอื่น ไม่ใช่สาระสำ�คัญ เช่น ชายคนนี้อาศัยอยู่ตามหลุมศพ หรือการที่ปีศาจเข้าสิง สุกร ที่วิ่งกระโจนลงไปยังหน้าผา... “ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดเปิดหัวใจของลูก เพื่อลูกจะได้รับการอภัยบาป และการบำ�บัดวิญญาณของลูก”


บทอ่านที่ 1

2 ซมอ 18:9-10,14ข,24-25ก,30-19:3

ในครัง้ นัน้ อับซาโลมทรงมาพบกับทหารรักษาพระองค์ของกษัตริยด์ าวิดโดยบังเอิญ อับซาโลมกำ�ลังทรงล่อลอดใต้กงิ่ ต้นโอ๊กใหญ่ พระเกศาของอับซาโลมไปติดอยูก่ บั กิง่ ต้น โอ๊กนั้น ล่อที่ทรงอยู่วิ่งเลยไป พระวรกายจึงห้อยอยู่กลางอากาศ ทหารคนหนึ่งเห็นเข้า ก็ไปรายงานโยอาบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอับซาโลมห้อยอยู่กับต้นโอ๊ก” โยอาบจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะไม่เสียเวลากับท่านอีกต่อไป” แล้วนำ�หลาวสามอัน พุ่งเข้าปักอกอับซาโลมซึ่งยังมีชีวิตห้อยอยู่บนต้นโอ๊ก... ทหารชาวคูชมาถึง ทูลว่า “ข้าพเจ้ามีข่าวดีสำ�หรับพระราชาเจ้านายของข้าพเจ้า วัน นีอ้ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงช่วยพระองค์ให้พน้ มือของผูท้ กี่ บฏต่อพระองค์” กษัตริยต์ รัสถาม ทหารชาวคูชว่า “หนุ่มอับซาโลมสบายดีหรือ” ทหารชาวคูชทูลตอบว่า “ขอให้ศัตรูทั้ง หลายของพระราชาเจ้านายของข้าพเจ้า และทุกคนที่เป็นกบฏมุ่งร้ายต่อพระองค์จงเป็น เหมือนหนุ่มอับซาโลมคนนั้นเถิด” กษัตริย์ทรงสะเทือนพระทัย เสด็จขึ้นไปในห้องเหนือประตู ทรงพระกรรแสง...

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา สดด 24:7-10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

มก 5:21-43

เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฟากอีกครั้งหนึ่ง... หัวหน้าศาลาธรรมคนหนึ่งชื่อไยรัสเดินมา เมื่อเห็น พระองค์ เขากราบลงทีพ่ ระบาท พรํา่ วิงวอนว่า “บุตรหญิงเล็กๆ ของข้าพเจ้าจวนจะสิน้ ใจอยูแ่ ล้ว เชิญพระองค์ เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขาจะได้หายจากโรค กลับมีชีวิต” พระเยซูเจ้าจึงเสด็จไปกับเขา... ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว... นางได้ยินเขาพูดกันถึงเรื่องพระเยซูเจ้า จึงเดินปะปนกับประชาชนเข้ามาเบื้องหลัง และสัมผัสฉลองพระองค์ นางคิดว่า “ถ้าฉันเพียงได้สัมผัสฉลอง พระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” ทันใดนั้น โลหิตก็หยุดไหล นางรู้สึกว่าร่างกายหายจากโรคแล้ว ขณะ เดียวกัน พระเยซูเจ้าทรงรูส้ กึ ว่ามีอทิ ธิฤทธิอ์ อกจากพระองค์ไป... พระองค์ทรงหันไปรอบๆ เพือ่ ทอดพระเนตร ผูท้ กี่ ระทำ�เช่นนัน้ หญิงคนนัน้ รูส้ กึ กลัวจนตัวสัน่ เพราะรูด้ วี า่ อะไรได้เกิดขึน้ แก่ตน จึงกราบลงเฉพาะพระพักตร์ และทูลให้ทรงทราบความจริงทุกประการ พระองค์จึงตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้น แล้ว จงไปเป็นสุข หายจากโรคเถิด” ขณะกำ�ลังตรัสอยู่นั้น มีคนมาจากบ้านหัวหน้าศาลาธรรม บอกเขาว่า “บุตรหญิงของท่านตายแล้ว ไป รบกวนพระอาจารย์อีกทำ�ไมเล่า” แต่พระเยซูเจ้าทรงได้ยินเขาพูดดังนั้น จึงตรัสแก่หัวหน้าศาลาธรรมว่า “อย่า กลัวเลย จงมีความเชือ่ ไว้เถิด”... เมือ่ ทุกคนมาถึงบ้านหัวหน้าศาลาธรรม พระเยซูเจ้าทรงเห็นความวุน่ วาย และ เห็นผู้คนรํ่าไห้พิลาปรำ�พันเป็นอันมาก พระองค์เสด็จเข้าไป...ทรงจับมือเด็ก ตรัสว่า “ทาลิธาคูม” แปลว่า “หนู เอ๋ย เราสั่งให้หนูลุกขึ้น” เด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้นทันที และเดินไปมา เด็กนั้นอายุสิบสองขวบแล้ว... บิดาคนหนึ่งได้เขียนจดหมายถึงบุตรชายที่เสียชีวิตในสงครามเวียดนาม มีใจความว่า “พ่อจะบอกเจ้าได้ อย่างไรว่า ชีวิตและความตายเกิดขึ้นตอนไหน? พ่อนึกถึงภาพที่พ่อเคยเห็นเจ้าขณะที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ นอนตายเสียชีวิต โดยที่พ่อไม่รู้มาก่อน” ความเศร้าโศกของบิดาคนนี้ คล้ายกับความเศร้าโศกของดาวิด เมื่อ พระองค์ได้สูญเสียพระโอรสไปอย่างไม่มีวันกลับ ชายคนนั้นน่าจะมีเวลาบอกกับบุตรชายว่า “เขารักลูกของ เขาเพียงใด”


บทอ่านที่ 1

2 ซมอ 24:2,9-17

กษัตริย์จึงรับสั่งแก่โยอาบและผู้บังคับบัญชากองทัพซึ่งอยู่กับเขาว่า “จงไปทั่ว อิสราเอลทุกเผ่า ตัง้ แต่เมืองดานจนถึงเบเออร์เชบาเพือ่ สำ�รวจจำ�นวนประชากร เราอยาก จะรู้ว่ามีคนเท่าไร”... หลังจากสำ�รวจจำ�นวนประชากรแล้ว กษัตริยด์ าวิดทรงรูส้ กึ ผิดจึงทูลองค์พระผูเ้ ป็น เจ้าว่า “ข้าพเจ้าทำ�บาปมากที่ได้ทำ�เช่นนี้ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ทรง ระลึกถึง น.อากาทา อภัยความผิดของผูร้ บั ใช้ของพระองค์ เพราะข้าพเจ้าทำ�ไปโดยโง่เขลา” เช้าวันรุง่ ขึน้ เมือ่ กษัตริยด์ าวิดตืน่ บรรทมแล้ว องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงบัญชาให้ประกาศกกาด ผูท้ ำ�นายของ พรหมจารี กษัตริย์ดาวิดว่า “จงไปทูลกษัตริย์ดาวิดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราให้ท่านเลือก และมรณสักขี การลงโทษจากสามประการนี้ เราจะทำ�ตามทีท่ า่ นเลือก’” ประกาศกกาดจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ สดด 89:3-4,28-29, ดาวิดทูลตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์จะทรงเลือกอย่างไหน ให้ 30-32,33-35 แผ่นดินของพระองค์กันดารอาหารเป็นเวลาสามปี หรือให้พระองค์ต้องทรงหนีศัตรูเป็น ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เวลาสามเดือน หรือให้เกิดโรคระบาดในแผ่นดินเป็นเวลาสามวัน...” กษัตริย์ดาวิดตรัส ตอบประกาศกกาดว่า “เรารู้สึกลำ�บากใจมาก ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษเราดี กว่าจะให้มนุษย์ลงโทษ เพราะพระเมตตาของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่” ดังนั้น องค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงบันดาลให้เกิดโรคระบาดขึ้นในอิสราเอลตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาที่ทรงกำ�หนด มีผู้คนล้มตาย ตั้งแต่ เมืองดานจนถึงเบเออร์เชบาถึงเจ็ดหมืน่ คน เมือ่ ทูตสวรรค์กำ�ลังจะทำ�ลายกรุงเยรูซาเล็ม องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรง เปลี่ยนพระทัยไม่ทรงปรารถนาให้ภัยพิบัติลุกลามต่อไป...

พระวรสาร

มก 6:1-6

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากทีน่ นั่ กลับไปยังถิน่ กำ�เนิดของพระองค์ บรรดาศิษย์ตดิ ตามไปด้วย ครัน้ ถึงวันสับบาโตพระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในศาลาธรรม ผู้ฟังมากมายต่างประหลาดใจ และพูดว่า “เขาเอาเรื่อง ทั้งหมดนี้มาจากไหน ปรีชาญาณที่เขาได้รับมานี้คืออะไร อะไรคืออัศจรรย์ที่สำ�เร็จด้วยมือของเขา คนนี้เป็น ช่างไม้ ลูกนางมารีย์ เป็นพี่น้องของยากอบ โยเสท ยูดาและซีโมนไม่ใช่หรือ พี่สาวน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี่กับ พวกเรามิใช่หรือ” คนเหล่านัน้ รูส้ กึ สะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ประกาศกย่อม ไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำ�เนิด ท่ามกลางวงศ์ญาติ และในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำ�อัศจรรย์ที่ นั่นไม่ได้ นอกจากทรงปกพระหัตถ์รักษาผู้เจ็บป่วยบางคนให้หายจากโรคภัย พระองค์ทรงแปลกพระทัยที่เขา เหล่านั้นไม่มีความเชื่อ พระองค์เสด็จไปทรงสั่งสอนตามหมู่บ้านต่างๆ ในบริเวณนั้น

คนมีชื่อเสียงในสาขาอาชีพต่างๆ ไม่เคยได้รับความสนใจจากคนบ้านเดียวกัน จนกว่าพวกเขาจะได้รับ การยกย่องชมเชยจากบุคคลภายนอกหรือสือ่ มวลชน เราจึงยอมรับว่า เขาเป็นคนทีม่ คี วามรูแ้ ละความสามารถ จริงๆ จนมีบางคนกล่าวว่า “ท่านจะเป็นคนสำ�คัญก็ตอ่ เมือ่ ท่านอาศัยอยูใ่ นสถานทีห่ า่ งจากบ้านท่าน 200 ไมล์” พระเยซูเจ้าประสบปัญหาเช่นเดียวกัน จึงได้ตรัสว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำ�เนิด ท่ามกลางวงศ์ญาติ และในบ้านของตน”


บทอ่านที่ 1

1 พกษ 2:1-4,10-12

เมือ่ กษัตริยด์ าวิดทรงตระหนักว่าใกล้จะสิน้ พระชนม์ จึงทรงเรียกกษัตริยซ์ าโลมอน พระโอรสและทรงสั่งว่า “พ่อกำ�ลังจะตายในไม่ช้า ลูกจงเข้มแข็งอย่างลูกผู้ชายเถิด จง ปฏิบัติตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของลูก จงเดินตามหนทางของ พระองค์ ปฏิบัติตามข้อกำ�หนด บทบัญญัติ พระวินิจฉัยและกฤษฎีกาของพระองค์ ดัง ที่เขียนไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสส แล้วลูกจะประสบความสำ�เร็จ ไม่ว่าลูกจะทำ�สิ่งใด และจะไปที่ไหน เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันดาลให้พระสัญญาที่ตรัสไว้กับพ่อเป็น ความจริง คือพระสัญญาทีว่ า่ ‘ถ้าบุตรหลานของท่านประพฤติตนตามทำ�นองคลองธรรม ดำ�เนินชีวิตต่อหน้าเราด้วยความซื่อสัตย์สุดจิตสุดใจ เชื้อสายคนหนึ่งของท่านจะนั่ง บัลลังก์ของอิสราเอลตลอดไป’” กษัตริย์ดาวิดเสด็จสวรรคตไปอยู่กับบรรพบุรุษ ทรงถูกฝังไว้ในนครของกษัตริย์ ดาวิด พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลเป็นเวลาสี่สิบปี ทรงปกครองที่เมือง เฮโบรนเจ็ดปี และที่กรุงเยรูซาเล็มสามสิบสามปี กษัตริยซ์ าโลมอนทรงสืบราชสมบัตติ อ่ จากกษัตริยด์ าวิด พระบิดา ราชบัลลังก์ของ พระองค์ตั้งอยู่อย่างมั่นคง

พระวรสาร

มก 6:7-13

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามาพบ และทรงเริ่มส่งเขา เป็นคู่ๆ ประทานอำ�นาจเหนือปีศาจ ทรงกำ�ชับเขามิให้นำ�สิ่งใดไปด้วย นอกจากไม้เท้า เท่านั้น ไม่ให้มีอาหาร ไม่ให้มีย่าม ไม่ให้มีเศษเงินใส่ไถ้ ให้สวมรองเท้าได้ แต่ไม่ให้เอา เสื้อสำ�รองไปด้วย พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านเข้าไปในบ้านใด จงพักอยู่ที่นั่นจนกว่า จะออกเดินทางต่อไป ถ้าที่ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากที่นั่น พลางสลัด ฝุน่ จากเท้าไว้เป็นพยานปรักปรำ�เขา” บรรดาอัครสาวกจึงไปเทศน์สอนคนทัง้ หลายให้กลับ ใจ ขับไล่ปศี าจจำ�นวนมาก เจิมนํา้ มันผูเ้ จ็บป่วยหลายคน และรักษาเขาให้หายจากโรคภัย

นักบุญเปาโล มีกิ พระสงฆ์และเพื่อนมรณสักขี ท่านเกิดในประเทศญี่ปุ่น และได้ สมัครเข้าคณะเยซูอติ ประสบความสำ�เร็จในการประกาศข่าวดี ต่อมาเกิดการเบียดเบียน ท่านและคาทอลิกอีก 25 คนถูกจับและถูกประหารชีวิตที่ชายหาดใกล้เมืองนางาซากิ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1597 พระสันตะปาปาปีโอที่ 9 ได้แต่งตั้งท่านเหล่านี้เป็นนักบุญ ในปี 1862 มรณสักขีสอนเราว่า เราต้องน้อมรับไม้กางเขนที่พระเยซูเจ้าทรงมอบให้ เพื่อเราจะกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์

ระลึกถึง น.เปาโล มีกิ พระสงฆ์และ เพื่อนมรณสักขี สดด 132:1-2,3-5, 12,13-14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา สดด 51:1-2,3-5, 8-10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 วันศุกร์ต้นเดือน

บทอ่านที่ 1

บสร 47:2-11

พระวรสาร

มก 6:14-29

เมื่อถวายศานติบูชา ไขมันย่อมถูกแยกออกมาฉันใด ดาวิดก็ได้รับเลือกสรรออก มาจากชาวอิสราเอลทั้งปวงฉันนั้น เขาเคยเล่นกับสิงโตเหมือนเล่นกับลูกแพะ เล่นกับ หมีเหมือนเล่นกับลูกแกะ เมื่อเป็นหนุ่ม เขาได้ฆ่ายักษ์มิใช่หรือ เขาลบล้างความอับอาย ของประชากร ใช้สลิงขว้างก้อนหิน ทำ�ให้โกลิอัทผู้โอหังต้องล้มควํ่าลง เขาร้องทูลองค์ พระผู้เป็นเจ้าผู้สูงสุด พระองค์จึงประทานกำ�ลังแก่มือขวาของเขา เพื่อทำ�ลายนักรบที่ แกร่งกล้า และยกอำ�นาจประชากรของตนขึ้นมาอีก ดังนั้น ประชาชนจึงให้เกียรติเขาว่า ได้ฆา่ คนเป็นหมืน่ สรรเสริญเขา ถวายพระพรแด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และนำ�มงกุฎรุง่ โรจน์ มาถวายให้เป็นกษัตริย์ พระองค์จึงทรงปราบศัตรูโดยรอบ ทรงทำ�ลายล้างชาวฟีลิสเตีย ที่เป็นศัตรู ทรงโค่นอำ�นาจของเขาจนถึงทุกวันนี้ ในพระราชกิจทุกอย่าง พระองค์ทรง ถวายพระพรแด่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์และสูงสุดด้วยถ้อยคำ�สรรเสริญพระเจ้า...

เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า เพราะพระนามของ พระเยซูเจ้าเลื่องลือไป ... ก็ตรัสว่า “ยอห์นคนที่เราให้ตัดศีรษะ ได้กลับคืนชีพมาอีก” กษัตริยเ์ ฮโรดองค์นเี้ คยทรงสัง่ ให้จบั กุมยอห์น และล่ามโซ่ขงั คุกไว้ เพราะเรือ่ งของนางเฮโรเดียส ภรรยา ของฟีลปิ พระอนุชา ซึง่ กษัตริยเ์ ฮโรดทรงรับมาเป็นมเหสี ยอห์นเคยทูลกษัตริยเ์ ฮโรดว่า “ไม่ถกู ต้องทีพ่ ระองค์ ทรงรับภรรยาของน้องชายมาเป็นมเหสี” นางเฮโรเดียสจึงโกรธแค้นและปรารถนาจะฆ่ายอห์นเสีย แต่ฆา่ ไม่ได้ เพราะกษัตริย์เฮโรดยังทรงเกรงยอห์นอยู่... นางเฮโรเดียสได้โอกาสเมือ่ กษัตริยเ์ ฮโรดทรงจัดให้มงี านเลีย้ งขุนนางกับนายทหารชัน้ ผูใ้ หญ่และคนสำ�คัญ ในแคว้นกาลิลีในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำ�เป็นที่พอพระทัย ของกษัตริย์เฮโรด และเป็นที่พอใจของผู้รับเชิญ กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ท่านอยากได้อะไรก็ขอมา เถิด เราจะให้” และยังทรงสาบานอีกว่า “ท่านขออะไรเราก็จะให้ แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักรของเรา ก็ตาม” หญิงสาวจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี” มารดาตอบว่า “จงขอศีรษะของยอห์น ผู้ทำ�พิธี ล้าง” หญิงสาวจึงรีบกลับมาทูลกษัตริยท์ นั ทีวา่ “หม่อมฉันขอศีรษะของยอห์นผูท้ ำ�พิธลี า้ งใส่ถาดมาให้เดีย๋ วนี”้ กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้... จึงทรงสั่งเพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นมาทันที เพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก ใส่ถาดนำ�มาให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำ�ไปให้มารดา เมื่อบรรดาศิษย์ ของยอห์นรู้เรื่อง จึงมารับศพของยอห์น นำ�ไปฝังไว้ในคูหา

โทมัส เมอร์ตัน เป็นเด็กกำ�พร้าเมื่ออายุ 16 ปี รับศีลล้างบาปเมื่ออายุ 23 ปี ได้สมัครเป็นฤษีคณะ ตัปปิสต์ เมือ่ อายุ 26 ปี และได้อยูใ่ นอารามจนเสียชีวติ ท่านได้สะท้อนความดี ทีม่ กี ลิน่ เหมือนนาํ้ หอม เหมือน หนังสือบุตรสิราได้ชมเชยความดีของดาวิดเช่นกันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยบาปของกษัตริย์ดาวิด ทรง ทวีอ�ำ นาจของพระองค์ให้มากยิง่ ขึน้ เสมอ ประทานพันธสัญญาให้มผี สู้ บื ราชสมบัตติ อ่ จากพระองค์ และประทาน พระบัลลังก์รุ่งโรจน์ในอิสราเอล” (บสร 47:11)


บทอ่านที่ 1

1 พกษ 3:4-13

พระวรสาร

มก 6:30-34

ครัง้ หนึง่ กษัตริยซ์ าโลมอนเสด็จไปทีเ่ มืองกิเบโอนเพือ่ ถวายเครือ่ งบูชา เพราะทีน่ นั่ มีสักการสถานสำ�คัญมาก กษัตริย์ซาโลมอนทรงเผาสัตว์หนึ่งพันตัวเป็นเครื่องบูชาบน พระแท่น คืนนัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่กษัตริยซ์ าโลมอนในพระสุบนิ ที่เมืองกิเบโอน พระเจ้าตรัสว่า “จงขอสิ่งที่ท่านอยากให้เราประทานแก่ท่าน” กษัตริย์ ซาโลมอนทูลตอบว่า “พระองค์ทรงสำ�แดงความรักมัน่ คงยิง่ ใหญ่ตอ่ ดาวิดพระบิดาข้ารับ ใช้พระองค์ เพราะพระบิดาทรงดำ�เนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์ น.เยโรม เอมีลีอานี พระสงฆ์ ความชอบธรรมและด้วยใจซือ่ ตรง พระองค์ยงั ทรงรักษาความรักมัน่ คงยิง่ ใหญ่นตี้ อ่ พระ น.โยเซฟิน บาคีตา บิดาโดยประทานให้บุตรคนหนึ่งได้สืบพระบัลลังก์ ดังที่เป็นอยู่ในวันนี้ พรหมจารี บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงตั้งข้าพเจ้าขึ้นเป็น กษัตริย์สืบต่อจากดาวิดพระบิดา แต่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร สดด 51:11-13,14-15, 16-17 ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องปกครองประชากรที่ทรงเลือกสรร ซึ่งเป็นประชากรจำ�นวนมาก จนนับไม่ถว้ น ขอประทานความเข้าใจแก่ผรู้ บั ใช้ของพระองค์ เพือ่ จะได้ปกครองประชากร ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ของพระองค์อย่างยุติธรรม และรู้จักวินิจฉัยแยกความดีจากความชั่ว ถ้าพระองค์ไม่ ประทาน ใครเล่าจะปกครองประชากรจำ�นวนมากเช่นนี้ของพระองค์ได้” องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยที่กษัตริย์ซาโลมอนทูลขอเช่นนี้ พระเจ้าจึงตรัสตอบว่า “เพราะท่านได้วอน ขอเช่นนี้ แทนที่จะวอนขอชีวิตยืนยาว หรือความมั่งคั่ง หรือขอให้เราทำ�ลายชีวิตของศัตรู แต่ได้ขอความเข้าใจ เพื่อจะตัดสินอย่างถูกต้อง เราจะทำ�ตามที่ท่านขอ เราจะให้ความเข้าใจและปรีชาญาณในการตัดสินอย่างที่ผู้ใด ไม่เคยมีมาก่อน หรือจะมีในภายหลัง สิ่งที่ท่านไม่ได้ขอ เราก็จะให้ด้วย คือความมั่งคั่งและเกียรติยศอย่างที่ ไม่มีกษัตริย์องค์ใดเคยมี” เวลานั้น บรรดาอัครสาวกกลับมาเฝ้าพระเยซูเจ้าและทูลรายงานให้ทรงทราบถึงทุกสิ่งที่เขาได้ทำ�และได้ สอน พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำ�พังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด” เพราะมี คนไปมาจนเขาไม่มเี วลาแม้กระทัง่ จะกินอาหาร พระเยซูเจ้าจึงทรงลงเรือไปยังทีส่ งัดพร้อมกับบรรดาอัครสาวก ประชาชนหลายคนเห็นพระเยซูเจ้ากับบรรดาอัครสาวกแล่นเรือออกไป ก็คาดคะเนได้ว่า พระองค์จะทรงไปที่ ใด จึงรีบเดินเท้าออกจากเมืองต่างๆ ไปที่นั่นและไปถึงก่อน เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนจำ�นวน มากก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง พระเยซูเจ้าทรงเป็นตัวอย่างในการหาเวลาเงียบๆ สำ�หรับการรำ�พึงภาวนา โดยพาบรรดาอัครสาวกไป พักผ่อนตามลำ�พังกับพระองค์ “ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำ�พังในที่สงัดระยะหนึ่ง” (มก 6:31) ชีวิตที่สับสนวุ่นวายทำ�ให้เราไม่มีเวลาเงียบ สำ�หรับการรำ�พึงภาวนา ขอให้เราหาเวลาทุกวัน เพื่ออ่านพระวาจา และรำ�พึงภาวนาเงียบๆ เพื่อเพิ่มพลังให้แก่วิญญาณของเรา... “สิ่งที่จำ�เป็นในชีวิตปัจจุบัน คือ การหาเวลาสงบ เงียบ”


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 58:7-10

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงแบ่งปันอาหารกับผู้หิวโหย นำ�คนยากจนไร้ที่อยู่อาศัยเข้า มาในบ้าน ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ท่านเห็นว่าไม่มีเสื้อผ้าสวม และไม่หันหน้าหนีจากญาติพี่น้อง แล้วความสว่างของท่านจะขึน้ มาเหมือนรุง่ อรุณ แผลของท่านจะหายอย่างรวดเร็ว ความ ชอบธรรมจะเดินนำ�หน้าท่าน และพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเดินตามท่าน ท่านจะทูลขอ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบ ท่านจะร้องขอความช่วยเหลือ และ พระองค์จะตรัสว่า “เราอยู่ที่นี่” ถ้าท่านจะเลิกข่มเหงผู้อื่น เลิกชี้หน้ากล่าวหาและพูด ร้ายต่อเขา ถ้าท่านแบ่งอาหารให้แก่คนหิว และตอบสนองความต้องการของผู้มีทุกข์ ความสว่างของท่านจะปรากฏขึ้นในความมืด และความมืดของท่านจะเป็นเหมือนเวลา เที่ยงวัน”

เพลงสดุดี

สดด 112:4-5,6-7,8-9

ก) พระเจ้าทรงส่องแสงในความมืดสำ�หรับผู้ชอบธรรม พระองค์โปรดปราน ทรงเมตตากรุณา และทรงเที่ยงธรรม ผู้ที่มีใจเอื้อเฟื้อและให้ยืมย่อมอยู่เป็นสุข เขาดำ�เนินกิจการอย่างยุติธรรม ข) เขาจะไม่มีวันสั่นคลอนตลอดไป ผู้คนจะระลึกถึงผู้ชอบธรรมอยู่เสมอ เขาจะไม่หวาดหวั่นต่อข่าวร้าย จิตใจของเขามั่นคง เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ค) ใจของเขาหนักแน่น ไม่มีความกลัวใดๆ จนกว่าจะได้มองศัตรูอย่างสาแก่ใจ เขาให้แก่คนยากจนอย่างใจกว้าง ความชอบธรรมของเขาจะดำ�รงอยู่เป็นนิตย์ เขาจะมีอำ�นาจและมีเกียรติยศ

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 2:1-5

พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาพบท่าน ข้าพเจ้ามิได้มาประกาศธรรมลํ้าลึก เรื่อง พระเจ้าโดยใช้สำ�นวนโวหาร หรือโดยใช้หลักเหตุผลอันฉลาดปราดเปรือ่ ง ข้าพเจ้าตัดสิน ใจว่าจะไม่สอนเรื่องใดแก่ท่านนอกจากเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า คือพระองค์ผู้ทรงถูกตรึง กางเขน ข้าพเจ้ายังอยู่กับท่านด้วยความอ่อนแอ มีความกลัวและหวาดหวั่นมาก วาจา และคำ�เทศน์ของข้าพเจ้ามิใช่คำ�พูดชวนเชื่ออย่างชาญฉลาด แต่เป็นถ้อยคำ�แสดงพระ อานุภาพของพระจิตเจ้า เพือ่ มิให้ความเชือ่ ของท่านเป็นผลจากปรีชาญาณของมนุษย์ แต่ เป็นผลจากพระอานุภาพของพระเจ้า


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:13-16

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืด ไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำ�ให้เค็มอีกเล่า เกลือนั้นย่อม ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบยํ่า ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่ บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามา วางไว้ใต้ถงั แต่ยอ่ มตัง้ ไว้บนเชิงตะเกียง จะได้สอ่ งสว่าง แก่ทุกคนในบ้าน ในทำ�นองเดียวกัน แสงสว่างของท่าน ต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็น กิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”

พระสงฆ์องค์หนึ่งได้เล่าตัวอย่างของคุณพ่อของท่านเองว่าดังนี้: เมื่อตอนที่ท่านอายุ 6 ขวบ ได้เกิด พายุฝนอย่างหนัก คุณพ่อเป็นทุกข์มากที่คุณแม่ยังไม่กลับจากโรงเรียน ท่านได้ไปคุกเข่าที่หน้าแท่น ก้ม ศีรษะสวดภาวนาอย่างตั้งอกตั้งใจ และยังเรียกท่านให้ไปสวดด้วย ท่านจำ�ไม่ได้ว่าเราสวดนานเท่าไหร่ แต่ สิ่งที่สร้างความประทับใจ คือ เราสองคนพ่อลูกสวดขอพระแม่มารีอา เพื่อให้คุณแม่ปลอดภัย ... “ท่าน ทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก” โดยทำ�ตัวเป็นตัวอย่างที่ดีต่อคนอื่น


บทอ่านที่1

1 พกษ 8:1-7,9-13

บรรดาผูอ้ าวุโส หัวหน้าเผ่าและผูน้ ำ�ครอบครัวสำ�คัญๆ ของชาวอิสราเอลมาชุมนุม กันเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ซาโลมอนที่กรุงเยรูซาเล็มตามรับสั่ง เพื่ออัญเชิญหีบพันธ สัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นมาจากศิโยน นครของกษัตริย์ดาวิด ชายชาวอิสราเอล ทุกคนมาชุมนุมเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ซาโลมอนในงานฉลองเดือนเอธานิม คือเดือน เจ็ด เมื่อผู้อาวุโสทุกคนของอิสราเอลมาถึง บรรดาสมณะก็ยกหีบขึ้น อัญเชิญหีบของ ระลึกถึง น.สกอลัสติกา องค์พระผู้เป็นเจ้าและกระโจมนัดพบ พร้อมกับเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดซึ่งอยู่ใน พรหมจารี กระโจม ชาวเลวีช่วยบรรดาสมณะในงานนี้ กษัตริย์ซาโลมอนพร้อมกับชาวอิสราเอลทั้งหลายที่มาชุมนุมกับพระองค์ต่อหน้า สดด 132:6-7,8-9,10 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 หีบพันธสัญญา ทรงถวายแกะและโคจำ�นวนมากจนนับไม่ถ้วนเป็นเครื่องบูชา บรรดา สมณะอัญเชิญหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปประดิษฐานไว้ใต้ปีกของเครูบใน ที่เฉพาะ คือพระวิหารชั้นในสุดที่เรียกว่า “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด” เครูบกางปีกเหนือที่ ตั้งของหีบ คลุมหีบและคานหามจากเบื้องบน ในหีบพันธสัญญามีเพียงศิลาสองแผ่น ซึ่งโมเสสวางไว้ตั้งแต่เมื่ออยู่ที่ภูเขาโฮเรบ คือแผ่นศิลาจารึกพันธ สัญญา ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ�กับชาวอิสราเอล เมื่อเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เมือ่ สมณะออกจากสถานทีศ่ กั ดิส์ ทิ ธิ์ มีเมฆเต็มพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า จนบรรดาสมณะประกอบ พิธีกรรมต่อไปไม่ได้เนื่องจากเมฆ เพราะพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เต็มพระวิหาร แล้วกษัตริย์ซาโลมอนทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์พอพระทัยประทับใน เมฆมืดทึบ ข้าพเจ้าสร้างพระวิหารสง่างามถวายพระองค์ เป็นที่พำ�นักถาวรสำ�หรับพระองค์”

พระวรสาร

มก 6:53-56

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์ มาจอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเร็ธ เมื่อเสด็จ ขึ้นจากเรือประชาชนก็จำ�พระองค์ได้ทันที และคนในบริเวณนั้นต่างรีบมาหา นำ�ผู้เจ็บป่วยนอนบนแคร่มาเฝ้า พระองค์ ณ สถานที่ที่เขาได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่ ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใด ในหมู่บ้าน ในเมืองหรือใน ชนบท เขาก็นำ�ผูเ้ จ็บป่วยมาวางตามลานสาธารณะ ทูลขอพระองค์ให้เขาสัมผัสเพียงชายฉลองพระองค์เท่านัน้ และทุกคนที่สัมผัสแล้วก็หายจากโรคภัย

ในพระวรสารวันนี้ ประชาชนได้นำ�คนเจ็บป่วยมาให้พระองค์รักษา ไม่ว่าในหมู่บ้าน ในตัวเมือง ในชนบท หรือตามลานสาธารณะ ในสมัยพระเยซูเจ้า ไม่มีโรงพยาบาล พระองค์จึงเปรียบเหมือนหมอ ที่ทำ�การรักษา ทั้งโรคฝ่ายจิตใจด้วยคำ�เทศนาสั่งสอน และรักษาโรคฝ่ายร่างกายด้วยการสัมผัสคนเจ็บ “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้า ไม่สมควรจะรับเสด็จมาประทับอยู่กับข้าพเจ้า โปรดตรัสเพียงพระวาจาเดียว แล้วจิตใจข้าพเจ้าก็จะบริสุทธิ์”


บทอ่านที่ 1

1 พกษ 8:22-23,27-30

กษัตริย์ซาโลมอนทรงยืนอยู่หน้าพระแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าชาว อิสราเอลทุกคนที่มาชุมนุมกัน ทรงชูพระกรขึ้นสู่สวรรค์ อธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้ เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเหมือนพระองค์ทั้งในสวรรค์เบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง พระองค์ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อผู้รับใช้ ของพระองค์ ที่ดำ�เนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์อย่างสุดจิตสุดใจ... โปรดทรงรับคำ�ภาวนา และคำ�วอนขอของผู้รับใช้ของพระองค์ โปรดทรงฟังเสียงร้องและคำ�อธิษฐานภาวนาซึ่ง ผูร้ บั ใช้ของพระองค์กราบทูลเฉพาะพระพักตร์ในวันนีเ้ ถิด ขอพระองค์ทอดพระเนตรดูแล พระวิหารนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน... โปรดทรงฟังคำ�วอนขอของผู้รับใช้และของ อิสราเอลประชากรของพระองค์ เมือ่ เขาอธิษฐานในสถานทีแ่ ห่งนี้ โปรดทรงฟังจากสวรรค์ ที่พำ�นักของพระองค์ โปรดทรงฟังและประทานอภัยด้วยเถิด”

พระวรสาร

แม่พระประจักษ์ ที่เมืองลูร์ด สดด 84:1-2,3-4,8-10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันผู้ป่วยโลก

มก 7:1-13

เวลานัน้ ชาวฟาริสแี ละธรรมาจารย์บางคนจากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระองค์พร้อม กัน เขาสังเกตว่าศิษย์บางคนของพระองค์กินอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาด คือไม่ได้ล้างมือ ก่อน เพราะชาวฟาริสแี ละชาวยิวโดยทัว่ ไปย่อมถือขนบธรรมเนียมของบรรพบุรษุ เขาไม่ กินอาหารโดยมิได้ล้างมือตามพิธีก่อน เมื่อกลับจากตลาด เขาจะไม่กินอาหารเว้นแต่จะได้ทำ�พิธีชำ�ระร่างกาย ก่อน เขายังถือขนบธรรมเนียมอื่นๆ อีกมาก เช่น การล้างถ้วย จานชามและภาชนะทองเหลือง ชาวฟาริสีและ ธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำ�ไมศิษย์ของท่านไม่ปฏิบัติตามขนมธรรมเนียมของบรรพบุรุษ และทำ�ไม เขาจึงกินอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาด” พระองค์ตรัสตอบว่า “ประกาศกอิสยาห์ได้พูดอย่างถูกต้องถึงท่าน คน หน้าซื่อใจคด ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจาก เรา เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย เขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม ท่านทั้งหลาย ละเลยบทบัญญัตขิ องพระเจ้ากลับไปถือขนบธรรมเนียมของมนุษย์” แล้วพระองค์ทรงเสริมว่า “ท่านช่างชำ�นาญ ในการละเลยบทบัญญัตขิ องพระเจ้า เพือ่ ถือขนบธรรมเนียมของท่านเองเสียจริงๆ เช่นโมเสสกล่าวว่า จงนับถือ บิดามารดา และใครด่าบิดาหรือมารดา จะต้องรับโทษถึงตาย แต่ท่านกลับสอนว่า ‘ถ้าใครคนหนึ่งพูดกับบิดา หรือมารดาว่า ทรัพย์สินที่ลูกนำ�มาช่วยเหลือพ่อแม่ได้นั้นเป็นคอร์บัน คือของถวายแด่พระเจ้า’ ท่านก็อนุญาต ให้เขาไม่ต้องช่วยเหลือบิดามารดาอีกต่อไป ท่านใช้ขนบธรรมเนียมที่ท่านสอนต่อๆ กันมาทำ�ให้พระวาจาของ พระเจ้าเป็นโมฆะ ท่านยังปฏิบัติเช่นนี้อีกมากมาย”

ในการประจักษ์ของพระแม่มารีอาทีล่ รู ด์ ครัง้ ที่ 6 เดือน ก.พ. 1858 พระแม่ได้ขอร้องแบร์นาแด๊ตว่า “เธอ จะต้องภาวนาต่อพระเจ้า สำ�หรับคนบาป” ในวันที่ 24 ก.พ. ปีเดียวกัน แบร์นาแด๊ตได้เปล่งเสียงขณะที่เธอ สงบนิ่งว่า “ใช้โทษบาป ใช้โทษบาป ใช้โทษบาป” และในวันที่ 27 ก.พ. ปีเดียวกัน พระแม่ได้ขอร้องให้แบร์นา แด๊ตจูบพืน้ เป็นการใช้โทษบาปแทนคนบาป และได้ขอร้องให้เธอไปบอกคุณพ่อเจ้าวัดให้สร้างวัดหลังหนึง่ และ ได้ตรัสว่า “เราคือการปฏิสนธินิรมล”


บทอ่านที่ 1

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา สดด 37:5-6,30-31, 37-40

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร

1 พกษ 10:1-10

พระราชินีแห่งเชบาทรงได้ยินกิตติศัพท์ของกษัตริย์ซาโลมอน จึงเสด็จมาทดสอบ พระองค์ด้วยปริศนายากๆ... กษัตริย์ซาโลมอนทรงตอบคำ�ถามทุกข้อของพระนาง ไม่มี คำ�ถามใดที่ไม่ทรงทราบและทรงอธิบายไม่ได้ เมื่อพระราชินีแห่งเชบาทรงเห็นพระปรีชา ญาณของกษัตริย์ซาโลมอน... พระนางทรงประหลาดพระทัยอย่างยิ่ง ทูลกษัตริย์ว่า “ที่ หม่อมฉันได้ยินในแผ่นดินของหม่อมฉันถึงเรื่องพระองค์ และพระปรีชาญาณของ พระองค์นั้นก็เป็นความจริง หม่อมฉันไม่เชื่อจนกระทั่งได้มาเห็นด้วยตาตนเอง ที่ได้ยิน มานัน้ ก็ไม่ได้ครึง่ หนึง่ ของทีเ่ ห็นนี้ พระปรีชาญาณและความมัง่ คัง่ ของพระองค์นนั้ มากยิง่ กว่าทีเ่ ขาเล่าลือกันอีก... ขอถวายพระพรแด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของพระองค์ องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าโปรดปรานพระองค์ ทรงแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล องค์พระ ผู้เป็นเจ้าทรงรักอิสราเอลตลอดไป จึงทรงแต่งตั้งพระองค์เพื่อทรงปกครองด้วยพระ วินิจฉัยและด้วยความเที่ยงธรรม” พระราชินีแห่งเชบาทรงถวายทองคำ�หนักมากกว่าสี่ ตัน กับเครือ่ งเทศและเพชรพลอยจำ�นวนมากแด่กษัตริยซ์ าโลมอน ไม่เคยมีใครนำ�เครือ่ ง เทศจำ�นวนมากเท่าที่พระราชินีแห่งเชบาทรงถวายแด่กษัตริย์ซาโลมอน

มก 7:14-23

เวลานั้น พระองค์ทรงเรียกประชาชนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตรัสว่า “ทุกคนจงฟังและเข้าใจเถิด ไม่มีสิ่งใด เลยจากภายนอกของมนุษย์ทำ�ให้เขามีมลทินได้ แต่สงิ่ ทีอ่ อกมาจากภายในของมนุษย์นนั้ แหละทำ�ให้เขามีมลทิน ใครมีหูสำ�หรับฟัง ก็จงฟังเถิด” เมือ่ พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้าน ห่างจากประชาชน บรรดาศิษย์จงึ ทูลถามพระองค์ถงึ ข้อความทีเ่ ป็นปริศนา นั้น พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านก็ไม่มีปัญญาด้วยหรือ ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งต่างๆ จากภายนอกที่เข้าไปใน มนุษย์นนั้ ทำ�ให้เขามีมลทินไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้อง แล้วออกไปจากร่างกาย” ดังนี้ ทรง ประกาศว่าอาหารทุกชนิดไม่เป็นมลทิน พระองค์ยังตรัสอีกว่า “สิ่งที่ออกจากภายในมนุษย์นั้นแหละทำ�ให้เขา มีมลทิน จากภายในคือจากใจมนุษย์นั้นเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การฆ่าคน การมีชู้ ความโลภ การทำ�ร้าย การฉ้อโกง การสำ�ส่อน ความอิจฉา การใส่ร้าย ความหยิ่งยโส ความ โง่เขลา สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกมาจากภายใน และทำ�ให้มนุษย์มีมลทิน”

อันติโอกัสที่ 4 เป็นกษัตริย์ชาวซีเรียที่โหดร้าย ทรงเบียดเบียนศาสนา มีพี่น้องเจ็ดคนซึ่งได้ยอมถูกฆ่า ตาย เพราะไม่รบั ประทานเนือ้ หมูทมี่ มี ลทินต่อหน้าแม่ทยี่ นื ให้ก�ำ ลังใจลูกทัง้ เจ็ด (2 มคบ 7) พระเยซูเจ้าได้ตรัส กับประชาชนว่า “ไม่มสี งิ่ ใดจากภายนอกของมนุษย์ทที่ �ำ ให้เขามีมลทินได้ แต่สงิ่ ทีอ่ อกมาจากภายในของมนุษย์ นั้นแหละทำ�ให้เขามีมลทิน” เช่น การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การฆ่าคน การมีชู้ ความโลภ การ ทำ�ร้าย การฉ้อโกง ความอิจฉา การใส่ร้าย เป็นต้น


บทอ่านที่ 1

1 พกษ 11:4-13

เมือ่ กษัตริยซ์ าโลมอนทรงพระชราแล้ว หญิงเหล่านีท้ ำ�ให้พระทัยของพระองค์หนั เห ไปนมัสการเทพเจ้าของชนต่างชาติ พระทัยของพระองค์ไม่ซอื่ สัตย์ตอ่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของพระองค์ ต่างจากพระทัยของกษัตริย์ดาวิดพระบิดา กษัตริย์ซาโลมอน นมัสการเทพีอาเชราห์ของชาวไซดอน และเทพเจ้ามิลโคมที่น่าสะอิดสะเอียนของชาว อัมโมน กษัตริย์ซาโลมอนทรงกระทำ�สิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ ซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเต็มที่ ต่างจากกษัตริย์ดาวิดพระบิดา บนภูเขาทาง ตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม กษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างสักการสถานบนที่สูงถวายแด่ เทพเจ้าเคโมชที่น่าสะอิดสะเอียนของชาวโมอับ และทรงสร้างสักการสถานถวายแด่ เทพเจ้ามิลโคมที่น่าสะอิดสะเอียนของชาวอัมโมน พระองค์ยังทรงสร้างสักการสถานให้ หญิงต่างชาติทุกคนของพระองค์เผากำ�ยานและถวายบูชาแด่เทพเจ้าของตน... องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสแก่กษัตริย์ซาโลมอนว่า “ท่านได้ปฏิบัติเช่นนี้ ไม่ได้รักษา พันธสัญญาและข้อกำ�หนดซึ่งเราสั่งท่านไว้ เราจึงจะฉีกอาณาจักรไปจากท่านและให้แก่ ผู้รับใช้คนหนึ่งของท่าน แต่เพราะเห็นแก่ดาวิดบิดาของท่าน เราจะไม่ทำ�ดังนี้ในชีวิตของ ท่าน แต่เราจะฉีกอาณาจักรไปจากมือบุตรของท่าน ถึงกระนั้น เราจะไม่ฉีกอาณาจักร ทั้งหมดไปจากเขา แต่จะเหลือเผ่าหนึ่งไว้ให้เขา เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และ เพราะเห็นแก่กรุงเยรูซาเล็มซึ่งเราเลือกไว้

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา สดด 106:3-4,35-36, 37 และ 40-41

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

มก 7:24-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่น เข้าไปในเขตเมืองไทระและเสด็จเข้าในบ้านหลังหนึ่ง ไม่ทรง ต้องการให้ผใู้ ดรู้ แต่ทรงซ่อนพระองค์ไม่ได้ ทันใดนัน้ หญิงคนหนึง่ มีบตุ รหญิงถูกปีศาจสิงได้ยนิ พูดถึงพระองค์ ก็มากราบพระบาท นางไม่ใช่ชาวยิว เป็นชาวซีโรฟีนเี ซียโดยกำ�เนิด นางทูลอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงขับไล่ปศี าจ ออกจากบุตรหญิง พระองค์ตรัสกับนางว่า “ให้ลูกๆ กินอิ่มเสียก่อน เพราะไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกมา โยนให้ลูกสุนัขกิน” หญิงนั้นทูลตอบว่า “ถูกแล้ว พระเจ้าข้า แต่ลูกสุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะก็ยังได้กินเศษอาหารของ ลูกๆ” พระองค์จึงตรัสกับนางว่า “เพราะถ้อยคำ�นี้ จงไปเถิด ปีศาจออกจากลูกสาวของเธอแล้ว” เมื่อกลับมา ถึงบ้าน นางก็พบลูกนอนอยู่บนเตียง ปีศาจออกไปแล้ว

กษัตริย์ซาโลมอนมีพระปรีชาญาณฉลาด (1 พกษ 3:12) แต่มีจุดอ่อน คือ การมีมเหสีต่างชาติหลาย องค์ ซึ่งได้นำ�พระเท็จเทียมมาในอาณาจักรของพระองค์ ทำ�ให้พระองค์หลงลืมพระเจ้าเที่ยงแท้ นอกจากนี้ พระองค์ยังสร้างวังอย่างใหญ่โต ทำ�ให้ต้องเก็บภาษีจากประชาชน และบังคับให้ประชาชนทำ�งานก่อสร้างเพิ่ม ขึน้ พระองค์ออ่ นแอเกินไปต่ออิทธิพลของบรรดามเหสีตา่ งชาติ ซึง่ เป็นคนต่างศาสนา ซึง่ นำ�ไปสูก่ ารสร้างสถาน ที่นมัสการสำ�หรับพระเท็จเทียม ให้เราถามตัวเราเองว่า “มีใครบ้างที่มีอิทธิพลต่อการดำ�เนินชีวิตของเรา ทั้ง ด้านบวกและลบ?”


ระลึกถึง น.ซีริล นักบวช และ น.เมโทดิโอ พระสังฆราช สดด 81:9-10,11-12, 13-14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1

1 พกษ 11:29-32 และ 12:19

พระวรสาร

มก 7:31-37

วันหนึ่ง เยโรโบอัมเดินทางออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ประกาศกคนหนึ่งชื่ออาคิยาห์ ชาวชิโลห์มาพบเขากลางทาง มีเพียงเขาสองคนในทุ่งนา อาคิยาห์สวมเสื้อคลุมตัวใหม่ เขาถอดเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาฉีกเป็นสิบสองชิ้น แล้วพูดกับเยโรโบอัมว่า “ท่านจงเอา ไปสิบชิน้ เถิด เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘เราจะฉีกอาณาจักร ไปจากมือของซาโลมอนแล้วมอบให้ทา่ นสิบเผ่า เขาจะมีเหลือเพียงเผ่าเดียว เพราะเห็น แก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพราะเห็นแก่กรุงเยรูซาเล็มเมืองที่เราเลือกไว้เป็นของเรา จากทุกเผ่าของอิสราเอล’” ตั้งแต่นั้นมาอิสราเอลเป็นกบฏต่อราชวงศ์ดาวิดจนถึงวันนี้ เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอน ไปยังทะเลสาบ กาลิลีกลางดินแดนทศบุรี มีผู้นำ�คนใบ้หูหนวกคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ ทูลขอร้องให้ พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ พระองค์ทรงแยกคนใบ้หูหนวกคนนั้นไปจากกลุ่มชน ทรงใช้ นิ้วพระหัตถ์ยอนหูของเขา ทรงใช้พระเขฬะแตะลิ้นของเขา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้อง บน ถอนพระทัย แล้วตรัสว่า “เอฟฟาธา” แปลว่า “จงเปิดเถิด” ทันใดนัน้ หูของเขากลับ ได้ยิน สิ่งที่ขัดลิ้นอยู่ก็หลุด เขาพูดได้ชัดเจน พระเยซูเจ้าทรงห้ามประชาชนเหล่านั้นมิให้พูดเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ยิ่งห้าม ก็ยิ่งเล่า ลือกันมากขึ้น ต่างก็ประหลาดใจมาก กล่าวว่า “คนคนนี้ทำ�สิ่งใดดีทั้งนั้น เขาทำ�ให้คนหู หนวกกลับได้ยิน และคนใบ้กลับพูดได้” เนื่องจากกษัตริย์ซาโลมอนได้ละทิ้งพระเจ้าเที่ยงแท้ และหันไปนมัสการพระเท็จ เทียมตามมเหสีตา่ งศาสนา หลังการสิน้ พระชนม์ของพระองค์ เยโรโบอัมได้ครองอำ�นาจ โดยประกาศกอาคิยาห์ ชาวชิโลห์ ได้ท�ำ เครือ่ งหมาย ด้วยการฉีกเสือ้ ของตนเองออกเป็น สิบสองชิ้น และบอกกับเยโรโบอัมว่า “ท่านจงเอาไปสิบชิ้นเถิด” การแบ่งอาณาจักรจึงมี สาเหตุมาจากความไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเป็นเจ้าของกษัตริย์ซาโลมอน เพราะฉะนั้นถ้าเรา ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเป็นเจ้า เราก็จะประสบชะตากรรมเดียวกันกับซาโลมอน


บทอ่านที่ 1

1 พกษ 12:26-32; 13:33-34

กษัตริย์เยโรโบอัมทรงคิดว่า “ในสถานการณ์เช่นนี้อาณาจักรคงจะต้องกลับไป สวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ดาวิด ถ้าประชาชนนี้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายเครื่องบูชา ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะเปลี่ยนใจกลับไปจงรักภักดีต่อเจ้านายของเขา คือเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ แล้วจะฆ่าเรา” กษัตริย์จึงทรงปรึกษากับข้าราชบริพาร และทรงสร้างรูปโคทองคำ�ขึน้ สองตัว ทรงประกาศแก่ประชาชนว่า “ท่านทัง้ หลายไม่ตอ้ ง เดินทางขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มอีกแล้ว ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่คือพระเจ้าของท่าน ผู้ทรง นำ�ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์” กษัตริย์เยโรโบอัมทรงประดิษฐานรูปโคทองคำ�ตัวหนึ่ง ไว้ที่เมืองเบธเอล และอีกตัวหนึ่งไว้ที่เมืองดาน การกระทำ�เช่นนี้เป็นเหตุให้ประชาชน ทำ�บาป เขาเดินทางไปนมัสการรูปโคทองคำ�ทั้งที่เมืองเบธเอลและที่เมืองดาน พระองค์ ทรงสร้างสักการสถานไว้บนที่สูง และทรงแต่งตั้งสมณะจากตระกูลต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ลูก หลานของเลวี กษัตริยเ์ ยโรโบอัมยังทรงกำ�หนดวันฉลองในวันทีส่ บิ ห้าเดือนแปด เหมือน งานฉลองในเผ่ายูดาห์ เมื่อพระองค์ทรงถวายเครื่องบูชาแก่รูปโคทองคำ�ที่ทรงสร้างขึ้นที่ เมืองเบธเอล พระองค์ทรงขึ้นบนพระแท่นถวายด้วยพระองค์เอง และพระองค์ยังทรง แต่งตั้งสมณะจากสักการสถานที่ทรงสร้างในที่สูงมาปฏิบัติหน้าที่ที่เมืองเบธเอลด้วย... การกระทำ�ดังนี้เป็นบาปของราชวงศ์เยโรโบอัม เป็นบาปที่นำ�หายนะมาทำ�ลายล้าง ราชวงศ์ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดิน

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา สดด 106:6-7ก,19-20, 21-22

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

มก 8:1-10

ครั้งนั้น ประชาชนจำ�นวนมากชุมนุมกันอีก และไม่มีอะไรกิน พระองค์จึงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสกับ เขาว่า “เราสงสารประชาชนเพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และเวลานี้ไม่มีอะไรกิน ถ้าเราให้เขากลับบ้าน โดยไม่ได้กินอะไร เขาจะหมดเรี่ยวแรงขณะเดินทาง เพราะมีหลายคนเดินทางมาจากที่ไกล” บรรดาศิษย์จึงทูล ตอบว่า “ใครจะหาอาหารในที่เปลี่ยวเช่นนี้มาให้คนเหล่านี้กินจนอิ่มได้” พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านมีขนมปังกี่ ก้อน” เขาทูลว่า “เจ็ดก้อน” พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นดิน ทรงหยิบขนมปังเจ็ดก้อนนั้น ตรัส ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงบิขนมปัง ประทานให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่าย เขาก็แจกจ่ายขนมปังให้ประชาชน เขายังมีปลาตัวเล็กๆ อยู่บ้าง พระองค์ทรงกล่าวถวายพระพรพระเจ้า ทรงสั่งให้แจกจ่ายปลาเช่นเดียวกัน ทุก คนกินจนอิ่ม และยังเก็บเศษที่เหลือได้อีกเจ็ดตะกร้า ผู้ที่กินขนมปังและปลามีประมาณสี่พันคน พระองค์ทรง ส่งเขากลับไป แล้วพระองค์เสด็จลงเรือพร้อมกับบรรดาศิษย์ไปยังบริเวณเมืองดาลมานูธาทันที พระเยซูเจ้าได้ทรงทวีขนมปังเจ็ดก้อนและปลาเล็กๆ และยังเก็บเศษที่เหลือได้เจ็ดตระกร้า อัศจรรย์ใน ครั้งนี้พิสูจน์ว่าพระเยซูเจ้าทรงมีพระทัยเมตตาสงสาร และสนองความต้องการของประชาชนที่ได้ติดตาม พระองค์ โดยพระองค์ได้ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราสงสารประชาชน เพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และ เวลานีไ้ ม่มอี ะไรกิน” ปัจจุบนั นีพ้ ระองค์กย็ งั เลีย้ งดูเราทุกวัน พระองค์ได้ประทานอาหารฝ่ายกาย และมีศลี มหา สนิทเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณแก่เรา


บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา

บสร 15:15-20

สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

ถ้าท่านต้องการ ท่านก็ปฏิบัติตามบทบัญญัติได้ ท่านจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่าน พระองค์ทรงวางนํ้ากับไฟไว้ต่อหน้าท่าน ท่านต้องการสิ่งใดก็จงยื่นมือหยิบด้วยตนเอง ทั้งชีวิตและความตายอยู่ต่อหน้า มนุษย์ เขาเลือกสิ่งใดก็จะได้รับสิ่งนั้น พระปรีชาญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงสรรพานุภาพและทรงเห็นทุกสิ่ง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นผู้ยำ�เกรง พระองค์ทรงรู้กิจการทุกอย่างของมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงบัญชาผู้ใดให้เป็นคนอธรรม พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดทำ�บาป

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

เพลงสดุดี

สดด 119:1-2,3-6,17-19,33-34

ก) ผู้ดำ�เนินชีวิตไร้ตำ�หนิย่อมเป็นสุข เขาเดินตามธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ปฏิบัติตามกฤษฎีกาของพระองค์ย่อมเป็นสุข เขาแสวงหาพระองค์สุดจิตใจ ข) เขาไม่กระทำ�ผิด ดำ�เนินอยู่ในทางของพระองค์ พระองค์ทรงกำ�หนดข้อบังคับของพระองค์ไว้ ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ขอให้วิถีชีวิตของข้าพเจ้ามั่นคง ในการปฏิบัติตามข้อกำ�หนดของพระองค์

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 2:6-10

พี่น้อง เราพูดถึงปรีชาญาณในหมู่ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่มิใช่ปรีชาญาณของโลกนี้ หรือของผูป้ กครองโลกนีซ้ งึ่ กำ�ลังจะสูญสิน้ ไป แต่เรากล่าวถึงพระปรีชาญาณของพระเจ้า เป็นธรรมลํ้าลึกอันซ่อนเร้นซึ่งพระเจ้าทรงกำ�หนดล่วงหน้าไว้ก่อนปฐมกาลสำ�หรับสิริ รุ่งโรจน์ของเรา ไม่มีผู้ใดในบรรดาผู้ปกครองโลกนี้ล่วงรู้พระปรีชาญาณนี้ เพราะถ้าเขารู้ เขาคงไม่ตรึงกางเขนองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ แต่ตามที่มีเขียนไว้ในพระ คัมภีร์ว่า “สิ่งที่ตาไม่เคยเห็น และหูไม่เคยได้ยิน และจิตใจของมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่ พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำ�หรับผู้ที่รักพระองค์” นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เรารู้โดย ทางพระจิตเจ้า เพราะพระจิตเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งที่ลึกลํ้าของพระเจ้า

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:17-37

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำ�สอนของบรรดาประกาศก เรา


มิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและ ดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่าง จะสำ�เร็จไป ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ตํ่าต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความ ชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้วท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ท่านได้ยินคำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุก คนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่ พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำ�เครื่องบูชาไปถวายยัง พระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับ ไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำ�ลัง เดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่ง จะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ทา่ นว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำ�ระหนีจ้ นเศษสตางค์ สุดท้าย ท่านได้ยนิ คำ�กล่าวทีว่ า่ อย่าล่วงประเวณี แต่เรากล่าวแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ผูใ้ ดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียง แต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ ท่านทำ�บาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมด ตกนรก มีคำ�กล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงทำ�หนังสือหย่ามอบให้นาง แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับทำ�ให้นางล่วงประเวณี และผู้ ใดที่แต่งกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย ท่านยังได้ยนิ คำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำ�สาบาน แต่จงทำ�ตามทีไ่ ด้สาบานไว้ตอ่ องค์พระผูเ้ ป็น เจ้า แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า อย่า อ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของพระองค์ อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์ อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน เพราะ ท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำ�เป็นขาวได้ ท่านจงพูดเพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ คำ�พูดที่มากไปกว่า นั้นมาจากปีศาจ”

บัญญัติ 10 ประการ หนทางกางเขนและบัญญัติแห่งความรัก เส้นทางทั้งสามประการนี้ นำ�สันติสุข มาสู่มวลมนุษย์ เป็นพระปรีชาญาณของพระเจ้า ผู้ที่เชื่อและปฏิบัติตามนั้นก็กลายเป็นสมาชิกอาณาจักร สวรรค์...เมืองสวรรค์มิใช่เป็นที่อยู่ของคนอธรรมและคนบาป


นักบุญเจ็ดองค์ผู้ตั้ง คณะผู้รับใช้พระแม่ มารีย์ สดด 119:67-69, 70-72,75-76

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1

ยก 1:1-11

พระวรสาร

มก 8:11-13

ยากอบ ผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอ ส่งความคิดถึงตระกูลทั้งสิบสองตระกูลที่กระจายอยู่ทั่วโลก พี่น้องทั้งหลาย จงคิดว่าเป็นที่น่ายินดีเมื่อประสบความยากลำ�บากต่างๆ เพราะ ท่านรูอ้ ยูแ่ ล้วว่าการทีค่ วามเชือ่ ของท่านถูกทดสอบก่อให้เกิดความพากเพียร จงพากเพียร ให้ถึงที่สุด เพื่อท่านจะได้เป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ไม่มีที่ตำ�หนิ และไม่ขาดสิ่งใด ท่านใดขาดปรีชาญาณ จงขอปรีชาญาณนัน้ จากพระเจ้าเถิด พระองค์ประทานให้ทกุ คนด้วยพระทัยกว้างโดยไม่ทรงตำ�หนิเลย แล้วเขาจะได้รับปรีชาญาณตามที่ขอ แต่เขา ต้องขอด้วยความเชื่อ โดยไม่สงสัย เพราะผู้ที่สงสัยนั้นเปรียบเสมือนคลื่นในทะเลที่ถูก ลมพัดซัดไปมา คนเช่นนี้จะไม่ได้รับอะไรจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นคนจิตใจโลเล ไม่มั่นคงในกิจการทั้งหลายของเขา พี่น้องผู้ต่ําต้อยจงภูมิใจเมื่อได้รับการเชิดชู ส่วนคนมั่งมีก็จงภูมิใจเมื่อถูกกดให้ ตํ่าต้อย เพราะเขาจะต้องล่วงพ้นไปดุจดอกหญ้า เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแดดร้อนระอุแล้ว หญ้าก็เหี่ยวแห้งไป ดอกหญ้าจะร่วงโรยและความงดงามจะสูญไป คนมั่งมีจะร่วงโรยไป ขณะที่กำ�ลังทำ�ธุรกิจของตนเช่นเดียวกัน เวลานั้น ชาวฟาริสีเข้ามาโต้เถียงกับพระองค์ ขอให้ทรงแสดงเครื่องหมายจากฟ้า เพื่อทดสอบ พระองค์ถอนพระทัยลึกๆ ตรัสว่า “คนยุคนี้แสวงหาเครื่องหมายอย่างใด อย่างหนึง่ เพือ่ อะไร เราบอกความจริงกับท่านว่า คนยุคนีจ้ ะไม่ได้รบั เครือ่ งหมายอย่างใด เลย” แล้วพระองค์ทรงแยกจากคนเหล่านั้น เสด็จลงเรือข้ามไปอีกฟากหนึ่ง

ทุกสรรพสิ่งบนโลกเป็นประจักษ์พยานถึงพระปรีชาญาณความยิ่งใหญ่และน่า มหัศจรรย์สดุ คำ�บรรยายใดใดถึงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า...แต่ส�ำ หรับผูไ้ ม่มคี วามเชือ่ ประจักษ์ พยานทัง้ หลายนัน้ ก็ไม่สามารถช่วยเขาให้เข้าถึงพระเจ้าได้...ความเชือ่ จึงเป็นพระพรพิเศษ ที่ช่วยเราให้เข้าใจพระปรีชาญาณโดยผ่านทางสรรพสิ่งบนโลกนี้...ความเชื่อทำ�ให้เรา ยอมรับการถูกทดสอบเมื่อประสบความลำ�บากต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความซื่อสัตย์ของเรา ต่อพระเจ้าตลอดไป


บทอ่านที่ 1

ยก 1:12-18

ผู้ที่มีมานะอดทนต่อการถูกผจญย่อมเป็นสุข เพราะเมื่อเขาผ่านการผจญนั้น เขา จะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้ผู้ที่รักพระองค์ อย่าให้ผู้ใดที่ถูกผจญพูดว่า “ข้าพเจ้าถูกพระเจ้าผจญ” เพราะความชั่วไม่อาจผจญ พระเจ้าได้ และพระองค์ไม่ทรงผจญผู้ใด แต่เราทุกคนถูกกิเลสตัณหาผจญ ดึงดูด และ หลอกลวง กิเลสตัณหาทำ�ให้เกิดบาปและเมื่อมีบาปมาก บาปก็จะทำ�ให้เกิดความตาย พีน่ อ้ งทีร่ กั อย่าหลงผิด ของประทานทุกอย่างทีด่ แี ละบริบรู ณ์ยอ่ มมาจากเบือ้ งบน ลงมาจากพระบิดาผูท้ รงสร้างความสว่าง พระองค์ไม่ทรงเปลีย่ นแปลง ไม่ทรงมีแม้แต่เงา แห่งความแปรปรวนใดๆ พระองค์พอพระทัยให้เราบังเกิดโดยพระวาจาแห่งความจริง เพื่อให้เราเป็นดุจผล แรกในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง

พระวรสาร

มก 8:14-21

เวลานั้น บรรดาศิษย์ลืมนำ�ขนมปังไปด้วย และในเรือของเขามีขนมปังเหลือเพียง ก้อนเดียว พระองค์ทรงกำ�ชับเขาว่า “จงระวังให้ดี จงระวังเชื้อแป้งของชาวฟาริสี และ เชื้อแป้งของกษัตริย์เฮโรด” บรรดาศิษย์จึงพูดกันว่า “นี่เป็นเพราะเราไม่มีขนมปัง” พระเยซูเจ้าทรงทราบ จึงตรัสว่า “ทำ�ไมท่านจึงถกเถียงกันเรื่องไม่มีขนมปัง ท่านยัง ไม่รู้ไม่เข้าใจอีกหรือ ท่านยังมีใจแข็งกระด้างกันอยู่อีกหรือ มีตา แต่ไม่เห็น มีหู แต่ไม่ ได้ยินหรือ ท่านจำ�ไม่ได้หรือว่า เมื่อเราบิขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคน ท่านเก็บเศษ ที่เหลือได้เต็มกี่กระบุง” เขาทูลตอบว่า “สิบสองกระบุง” “เมื่อเราบิขนมปังเจ็ดก้อน เลีย้ งคนสีพ่ นั คน ท่านเก็บเศษทีเ่ หลือได้เต็มกีต่ ะกร้า” เขาทูลตอบว่า “เจ็ดตะกร้า” แล้ว พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ”

มารผจญเกิดจากเนื้อหนังในตนเอง เกิดจากอุดมการณ์ทางโลกและเกิดจากปีศาจ โดยตรง พระเยซูเจ้าตรัสสอนว่า จงตื่นเฝ้าและสวดภาวนาเพื่อเราจะได้ไม่อยู่ในความ ผิดหนัก...ชีวิตครอบครัวและชีวิตหมู่คณะก็สามารถช่วยเราให้เอาชนะการประจญได้

สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา สดด 94:12-13, 14-15,18-19

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา สดด 15:2-3ก,3ข-4,5

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านทีื่ 1

ยก 1:19-27

พระวรสาร

มก 8:22-26

พี่น้องที่รัก พึงตระหนักว่า ทุกคนจงฉับไวที่จะฟัง แต่ช้าที่จะพูด และช้าที่จะโกรธ คนทีโ่ กรธย่อมไม่ปฏิบตั ติ นชอบธรรมตามพระประสงค์ของพระเจ้า ดังนัน้ จงละทิง้ ความ โสมมทั้งหลาย และความชั่วร้ายที่ยังตกค้างอยู่ จงน้อมรับพระวาจาที่ทรงปลูกฝังไว้ใน ท่าน พระวาจานั้นช่วยวิญญาณท่านให้รอดพ้นได้ จงปฏิบัติตามพระวาจา มิใช่เพียงแต่ฟัง ซึ่งเท่ากับหลอกตนเอง เพราะถ้าผู้ใดฟัง พระวาจาแล้วไม่ปฏิบตั ติ าม ก็เหมือนคนทีม่ องใบหน้าของตนในกระจกเงา เมือ่ มองตนเอง และจากไปแล้ว ก็ลมื ทันทีวา่ ตนเป็นอย่างไร ส่วนผูท้ พี่ จิ ารณาบัญญัตแิ ห่งอิสรภาพ และ ยึดมั่นในบัญญัตินั้น มิใช่ฟังแล้วลืม แต่ฟังแล้วนำ�ไปปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมประสบความ สุขในการปฏิบัตินั้น ผู้ใดคิดว่าตนปฏิบัติศาสนกิจแต่ไม่ควบคุมลิ้นของตน ผู้นั้นย่อมหลอกลวงตนเอง การปฏิบตั ศิ าสนกิจของเขาย่อมไร้คา่ การปฏิบตั ศิ าสนกิจบริสทุ ธิแ์ ละไร้มลทินเฉพาะพระ พักตร์ของพระเจ้าพระบิดา คือการเยีย่ มเด็กกำ�พร้าและหญิงม่ายทีม่ คี วามทุกข์รอ้ น และ การรักษาตนให้พ้นจากมลทินของโลก เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพร้อมกับบรรดาศิษย์ถึงเมืองเบธไซดา มีผู้นำ�คน ตาบอดคนหนึ่งมาขอให้พระองค์ทรงสัมผัส พระองค์ทรงจูงคนตาบอดออกไปนอก หมูบ่ า้ น ทรงใช้พระเขฬะแตะตาของเขา ทรงปกพระหัตถ์เหนือเขา ตรัสถามเขาว่า “ท่าน เห็นอะไรไหม” เขาเงยหน้าขึ้น ทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นผู้คนเหมือนกับต้นไม้เดินไปเดินมา” พระองค์ทรงวางพระหัตถ์แตะตาของเขาอีก เขาก็เห็นชัด และหายเป็นปกติ มอง เห็นทุกอย่างได้ชัดเจน พระเยซูเจ้าทรงส่งเขากลับบ้าน ตรัสว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้าน”

พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายตาบอดอย่างลับๆ ต่างกันกับเรือ่ งเล่าของนักบุญยอห์นที่ พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดอย่างเปิดเผย ซึ่งนำ�ไปสู่การถกเถียงอย่างรุนแรงระหว่าง ฟาริสีและผู้พบเห็น...พระเยซูเจ้าทรงสอนประชาชนที่ท�ำ ความดีว่า “ท่านทั้งหลายเมื่อ จะทำ�ทาน อย่าให้มอื ซ้ายรูว้ า่ มือขวาทำ�สิง่ ใด ทานของท่านจะต้องเป็นความลับ และพระ บิดาจะประทานบำ�เหน็จรางวัลให้”


บทอ่านที่ 1

ยก 2:1-9

พี่น้องทั้งหลาย อย่าให้ความเชื่อของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือพระเยซู คริสต์ ผูท้ รงพระสิรริ งุ่ โรจน์ มีความลำ�เอียงปนอยูด่ ว้ ย สมมติวา่ ใครคนหนึง่ สวมแหวน ทองคำ�และเสื้อผ้าหรูหราเข้ามาในที่ประชุมของท่าน และขณะเดียวกันมีคนจนอีกคน หนึ่งแต่งตัวมอซอเข้ามา ท่านเข้าไปต้อนรับคนแต่งตัวหรูหราและบอกเขาว่า “เชิญนั่ง ตามสบายที่นี่เถิด” ส่วนคนจนนั้นท่านบอกเขาว่า “จงยืนที่นั่น” หรือ “จงนั่งข้างๆ ที่วาง เท้าของฉันซิ” ท่านก็เป็นผู้เลือกชั้นวรรณะ และตัดสินโดยมาตรการเลวร้ายมิใช่หรือ พีน่ อ้ งทีร่ กั ทัง้ หลาย จงฟังเถิด พระเจ้าทรงเลือกผูท้ โี่ ลกตัดสินว่ายากจนเพือ่ ให้เขา มั่งมีในความเชื่อ และเป็นทายาทรับมรดกพระอาณาจักรซึ่งทรงสัญญาไว้สำ�หรับผู้ที่รัก พระองค์มใิ ช่หรือ แต่ทา่ นกลับดูหมิน่ คนยากจน มิใช่คนรํา่ รวยหรือทีก่ ดขีข่ ม่ เหงท่าน มิใช่ พวกเขาหรือที่ฉุดลากท่านไปขึ้นศาล มิใช่พวกเขาหรือที่กล่าวร้ายต่อพระนามประเสริฐ ซึง่ บันดาลให้ทา่ นเป็นของพระเจ้า ถ้าท่านปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตสิ ำ�คัญทีส่ ดุ ดังทีพ่ ระคัมภีร์ กล่าวไว้วา่ “จงรักเพือ่ นบ้านของท่านเหมือนรักตนเอง” ท่านก็ทำ�ดีแล้ว แต่ถา้ ท่านลำ�เอียง ท่านย่อมทำ�บาป และถูกธรรมบัญญัติกล่าวโทษว่าเป็นผู้ละเมิด

พระวรสาร

มก 8:27-33

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์ไปตามหมูบ่ า้ นต่างๆ ในบริเวณเมือง ซีซารียาแห่งฟีลปิ ขณะทรงพระดำ�เนิน พระองค์ตรัสถามบรรดาศิษย์วา่ “คนทัง้ หลายว่า เราเป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างว่าเป็นยอห์น ผู้ทำ�พิธีล้าง บ้างว่าเป็นประกาศก เอลียาห์ บ้างก็ว่าเป็นประกาศกองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสถามอีกว่า “ท่านล่ะ ว่าเราเป็น ใคร” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า” พระองค์ทรงกำ�ชับบรรดาศิษย์มิให้ กล่าวเรื่องเกี่ยวกับพระองค์แก่ผู้ใด พระเยซูเจ้าทรงเริม่ สอนบรรดาศิษย์วา่ “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานอย่าง มาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะ และธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูก ประหารชีวิต แต่สามวันต่อมา จะกลับคืนชีพ” พระองค์ทรงประกาศพระวาจานี้อย่าง เปิดเผย เปโตรนำ�พระองค์แยกออกไป ทูลทัดทาน แต่พระเยซูเจ้าทรงหันไปทอด พระเนตรบรรดาศิษย์ ทรงตำ�หนิเปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลังเรา อย่าขัดขวาง เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” “การเป็นพระคริสต์ พระบิดาเจ้าทรงกำ�หนดชะตาชีวิตไว้เรียบร้อยแล้ว กล่าวคือ จะต้องรับทุกข์ทรมานอย่างมาก จะถูกผูอ้ าวุโส ธรรมาจารย์ ปฏิเสธและถูกประหารชีวติ แต่พระองค์จะมีชยั ชนะในวันทีส่ าม...คริสตชนในฐานะผูส้ บื ทอดภารกิจของพระองค์ตอ้ ง ยอมรับเงือ่ นไขเดียวกัน...ความเชีอ่ ทำ�ให้เรามีความกล้าหาญทีจ่ ะเอาชนะความทุกข์ยาก ทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าเราเหมาะสมที่จะเป็นคริสตชน

สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา สดด 34:1-3,4,5-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


บทอ่านที่ 1

น.เปโตร ดามีอานี พระสังฆราช และนักปราชญ์ สดด 112:1-3,4,5-6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร

ยก 2:14-24,26

พี่น้องทั้งหลาย จะมีประโยชน์ใดหากผู้หนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่มีการกระทำ� ความเชือ่ เช่นนีจ้ ะช่วยให้เขารอดพ้นได้หรือ ถ้าพีน่ อ้ งชายหญิงคนใดขัดสนเครือ่ งนุง่ ห่ม และไม่มีอาหารประจำ�วัน แล้วท่านคนหนึ่งพูดกับเขาว่า “จงไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่น และอิ่มเถิด” แต่มิได้ให้สิ่งที่จำ�เป็นสำ�หรับร่างกายแก่เขา จะมีประโยชน์ใดเล่า ความ เชื่อก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีการกระทำ� ก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว อาจมีผู้พูดว่า “บางคนมีความเชื่อ บางคนมีการกระทำ�” ถ้าเป็นเช่นนั้นจงแสดง ความเชื่อที่ไม่มีการกระทำ�ให้ข้าพเจ้าเห็นเถิด แล้วข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อให้ท่านเห็น ด้วยการกระทำ� ท่านเชือ่ ว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวหรือ ดีแล้ว แม้พวกปีศาจก็เชือ่ เช่นนั้นและยังกลัวจนตัวสั่นด้วย คนเบาปัญญาเอ๋ย ท่านอยากรู้หรือไม่ว่าความเชื่อที่ ปราศจากการกระทำ�นั้นไร้ประโยชน์ อับราฮัมบรรพบุรุษของเราได้รับความชอบธรรมเพราะการกระทำ� เมื่อถวายอิสอัค บุตรของตนบนแท่นบูชามิใช่หรือ ท่านเห็นแล้วว่า ความเชือ่ กับการกระทำ�ของเขาดำ�เนิน ไปพร้อมๆ กัน และเพราะการกระทำ�นั้นความเชื่อจึงสมบูรณ์ ดังข้อความในพระคัมภีร์ ว่า “อับราฮัมเชือ่ พระเจ้า พระองค์ทรงคิดว่าความเชือ่ นีเ้ ป็นความชอบธรรมของเขา” เขา จึงได้ชื่อว่า “เป็นมิตรของพระเจ้า” ท่านทั้งหลายเห็นแล้วว่า มนุษย์จะเป็นผู้ชอบธรรมได้ก็ด้วยการกระทำ� มิใช่ด้วย ความเชือ่ แต่อย่างเดียว ร่างกายทีป่ ราศจากวิญญาณย่อมตายแล้วฉันใด ความเชือ่ ทีไ่ ม่มี การกระทำ�ก็ย่อมตายแล้วฉันนั้น

มก 8:34-9:1

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนและบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขา เลิกนึกถึงตนเอง ให้แบกไม้กางเขนของตน และติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น จะต้องสูญ เสียชีวิตนั้น แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา และเพราะข่าวดี ก็จะรักษาชีวิตได้ มนุษย์จะได้ประโยชน์ใด ในการทีจ่ ะได้โลกทัง้ โลกเป็นกำ�ไร แต่ตอ้ งเสียชีวติ มนุษย์จะให้อะไรเพือ่ แลกกับชีวติ ทีส่ ญ ู เสียไป ถ้าผูใ้ ดอับอาย เพราะเราและเพราะถ้อยคำ�ของเราในยุคของคนไม่ซื่อสัตย์และชั่วร้ายนี้ บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอับอายเพราะเขา เมือ่ พระองค์จะเสด็จมาในพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระบิดา พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ผศู้ กั ดิส์ ทิ ธิด์ ว้ ยเช่นเดียวกัน” พระองค์ยังตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า บางท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่ลิ้มรสความ ตายจนกว่าจะเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพร้อมด้วยพระอานุภาพ” ความเชือ่ “เป็นพระพรประทานให้เฉพาะบางคน เพือ่ เป็นสักขีพยานของพระเยซูเจ้า” พระองค์มชี วี ติ อยู่ ท่ามกลางเราแม้จะมองไม่เห็น พระองค์ตรัสเรียกเราทุกวันผ่านทางพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ให้รักและรับใช้ พระองค์ ผู้มีความเชื่อจึงเป็นประจักษ์พยานด้วยการช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องที่ตกทุกข์ ทั้งยอมเสียสละชีวิต ทั้งหมดเพื่อพระเจ้า และเพื่อพระอาณาจักรของพระองค์


บทอ่านที่ 1

1 ปต 5:1-4

โดยเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง เป็นพยานถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า และมีสว่ นจะรับพระสิรริ งุ่ โรจน์ทจี่ ะปรากฏในอนาคตด้วย ข้าพเจ้าขอร้องบรรดาผูอ้ าวุโส ในกลุ่มของท่านทั้งหลาย จงเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่าน จง ดูแลด้วยความเต็มใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า มิใช่ดแู ลด้วยความจำ�ใจ จงดูแลด้วย ความสมัครใจ มิใช่ดแู ลเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง จงเป็นแบบอย่างแก่ฝงู แกะ มิใช่เป็น เหมือนเจ้านายเหนือผูท้ อี่ ยูใ่ ต้ปกครอง เมือ่ พระคริสตเจ้าพระผูเ้ ลีย้ งสูงสุดจะทรงแสดง พระองค์ ท่านจะได้รับสิริรุ่งโรจน์เป็นมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย

พระวรสาร

มธ 16:13-19

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟิลปิ และตรัสถามบรรดาศิษย์ ว่า “คนทัง้ หลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์น ผู้ทำ�พิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือ ประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์ คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลา และบนศิลานี้ เราจะตั้งพระ ศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มวี นั ชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักร สวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ใน แผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” ผู้ได้รับพระพรความเชื่อ พระเจ้าจะทรงยกฐานะของเขาเป็นเพื่อนร่วมงานของ พระองค์ มีหน้าที่ดูแลประชากรของพระคริสตเจ้าด้วยจิตตารมณ์รักและรับใช้ เขายัง ต้องดำ�เนินชีวิตสุภาพถ่อมตนไม่แสดงตนเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น แต่ประพฤติตัวเป็นคน ต้นแบบ ดำ�เนินชีวิตตามพระวรสารเพื่อให้คนอื่นเข้าใจพระวาจาและดำ�เนินชีวิตตามนั้น

ฉลองธรรมาสน์ นักบุญเปโตร อัครสาวก สดด 23:1-3,4,5,6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือเลวีนิติ

ลนต 19:1-2,17-18

เพลงสดุดี

สดด 103:1-2,3-4,8-10,12-13

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์เพราะเรา องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็น ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะต้องไม่เก็บความเกลียดชังพี่น้องไว้ในใจ แต่จงตักเตือนเพื่อนบ้าน อย่างตรงไปตรงมา ท่านจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบบาปของเขา ท่านจะต้องไม่แก้แค้น หรือ อาฆาตชนชาติเดียวกับท่าน แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราคือองค์พระผู้เป็น เจ้า” ก) จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ส่วนลึกของข้าพเจ้า จงถวายพระพรแด่พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงอย่าลืมพระคุณต่างๆ ที่พระองค์ประทานให้ ข) พระองค์ประทานอภัยความผิดทั้งหลายของท่าน ทรงรักษาโรคภัยทั้งหมดของท่าน ทรงช่วยชีวิตท่านให้พ้นจากเหวลึก ประทานความรักมั่นคงและพระเมตตาเป็นดังมงกุฎแก่ท่าน ค) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระกรุณาและทรงเมตตาสงสาร กริ้วช้า ทรงความรักมั่นคงอย่างเต็มเปี่ยม พระองค์ไม่ทรงกล่าวโทษเราตลอดไป ไม่ทรงเคืองแค้นเป็นเวลานาน พระองค์ไม่ทรงปฏิบัติต่อเราตามที่บาปของเราสมควรจะได้รับ ไม่ทรงตอบแทนเราให้สาสมกับความผิดของเรา ง) ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ก็ทรงกันความผิดของเราออกไปห่างไกลจากเราเท่านั้น บิดาเมตตาสงสารบุตรของตนฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเมตตาสงสารผู้ยำ�เกรงพระองค์ฉันนั้น

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 3:16-23

พี่น้อง ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระจิตของ พระเจ้าทรงพำ�นักอยู่ในท่าน ถ้าใครทำ�ลายพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำ�ลาย เขา เพราะพระวิหารของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ และท่านก็คือพระวิหารนั้น จงอย่าหลอกลวงตนเอง ถ้าท่านใดคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดในโลกนี้ ก็จงยอมเป็น


คนโง่ จึงจะเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง เพราะความเฉลียว ฉลาดของมนุษย์ในโลกนี้เป็นความโง่เขลาเฉพาะพระ พั ก ตร์ ข องพระเจ้ า ดั ง ที่ มี เ ขี ย นไว้ ใ นพระคั ม ภี ร์ ว่ า “พระองค์ทรงจับคนฉลาดด้วยอุบายของเขาเอง” และ ยังมีเขียนไว้อกี ว่า “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงทราบว่าความ คิดของคนฉลาดเป็นสิ่งไร้ประโยชน์” ฉะนั้น อย่าให้ใคร ยกเอามนุษย์มาอวด เพราะทุกสิ่งเป็นของพวกท่าน เปาโลก็ดี อปอลโล เคฟาส โลก ชีวิต ความตาย สิ่ง ปัจจุบนั หรือสิง่ ทีจ่ ะเกิดขึน้ ในอนาคตก็ดี ทุกสิง่ ล้วนเป็น ของท่าน แต่ท่านเป็นของพระคริสต์และพระคริสต์เป็น ของพระเจ้า

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:38-48

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วย ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด ผู้ใด ขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน ท่านทั้งหลายได้ยินคำ�กล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จง อธิษฐานภาวนาให้ผทู้ เี่ บียดเบียนท่าน เพือ่ ท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวง อาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรัก แต่คนทีร่ กั ท่าน ท่านจะได้บำ�เหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมไิ ด้ทำ�เช่นนีด้ อกหรือ ถ้าท่านทักทาย แต่พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำ�อะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ฉะนั้น ท่านจงเป็น คนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด”

มาตรฐานศีลธรรมของศาสนาคริสต์คอื 1. จงเป็นคนดีบริบรู ณ์ดงั่ พระบิดาเจ้าสวรรค์ 2. อย่าโต้ตอบ คนชั่วด้วยความชั่ว 3. จงรักเพื่อนบ้านและจงรักศัตรู 4. จงประพฤติตนเป็นคนศักดิ์สิทธิ์เพราะพระจิต ของพระเจ้าทรงประทับอยู่ในตัวเรา


บทอ่านที่ 1

สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา สดด 19:7,8-9,14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร

ยก 3:13-18

พี่น้องที่รักยิ่ง ใครบ้างคิดว่าตนฉลาดและมีปรีชาญาณ จงแสดงความฉลาดและ ปรีชาญาณนัน้ อย่างอ่อนโยนด้วยการกระทำ�และความประพฤติดี แต่ถา้ ใจของท่านขมขืน่ ด้วยความอิจฉาริษยา และมีความทะเยอทะยาน จงอย่าโอ้อวดและอย่ามุสาต่อต้าน ความจริง ปรีชาญาณเช่นนีม้ ไิ ด้มาจากเบือ้ งบน แต่เป็นปรีชาญาณตามธรรมดาโลก ตาม แบบวัตถุนิยมและตามแบบปีศาจ ที่ใดมีความอิจฉาริษยาและความทะเยอทะยาน ที่ นั่นย่อมมีแต่ความวุ่นวายและความชั่วร้ายนานาชนิด ส่วนปรีชาญาณที่มาจากเบื้องบน ประการแรกเป็นสิ่งบริสุทธิ์ แล้วจึงก่อให้เกิดสันติ เห็นอกเห็นใจ อ่อนน้อม เปี่ยมด้วย ความเมตตากรุณา บังเกิดผลที่ดีงาม ไม่ลำ�เอียง ไม่เสแสร้ง ผู้ที่สร้างสันติย่อมเป็นผู้ หว่านในสันติ และจะเก็บเกี่ยวผลเป็นความชอบธรรม

มก 9:14-29

เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงจากภูเขาพร้อมกับศิษย์ทั้งสามคน มาพบศิษย์คนอื่น ทรงเห็นประชาชนจำ�นวน มากห้อมล้อมบรรดาศิษย์ ธรรมาจารย์บางคนกำ�ลังถกเถียงกับเขาเหล่านั้น ทันทีที่เห็นพระองค์ ประชาชนทั้ง หลายต่างประหลาดใจและและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์ พระองค์ตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “ท่านกำ�ลังถกเถียง เรื่องอะไรหรือ” คนหนึ่งในกลุ่มชนตอบว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าพาบุตรชายที่ปีศาจสิงให้เป็นใบ้มาเฝ้า พระองค์ เมื่อปีศาจสิง มันผลักเขาให้ล้มลง นํ้าลายฟูมปาก กัดฟัน และตัวแข็งทื่อ ข้าพเจ้าได้ขอให้ศิษย์ของ พระองค์ขับไล่มัน แต่เขาทำ�ไม่สำ�เร็จ” พระองค์ตรัสตอบว่า “คนหัวดื้อ เชื่อยาก เราจะต้องอยู่กับท่านอีกนาน เท่าใด จะต้องทนท่านอีกนานเท่าใด จงพาเด็กมาพบเราเถิด” เขาจึงพาเด็กนัน้ มาเฝ้าพระองค์ เมือ่ เห็นพระองค์ ปีศาจก็ทำ�ให้เด็กชักล้มลงกับพื้นดิน กลิ้งไปมา นํ้าลายฟูมปาก พระเยซูเจ้าทรงถามบิดาของเด็กว่า “เป็นดังนี้ นานเท่าไรแล้ว” เขาทูลตอบว่า “ตัง้ แต่ยงั เป็นเด็กเล็กๆ ปีศาจได้ผลักเด็กลงในกองไฟหลายครัง้ บางครัง้ ผลัก ลงในนํ้าเพื่อให้ตาย ถ้าพระองค์ทรงทำ�สิ่งใดได้ ก็ทรงกรุณาช่วยเราด้วยเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าทำ�ได้น่ะ หรือ ทุกสิ่งเป็นไปได้ทั้งนั้นสำ�หรับผู้มีความเชื่อ” ทันใดนั้นบิดาของเด็กก็ร้องว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยความ เชื่ออันเล็กน้อยของข้าพเจ้าด้วยเถิด” เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนเข้ามามากยิ่งขึ้น พระองค์ จึงตรัสสำ�ทับปีศาจว่า “เจ้าปีศาจหนวกใบ้ เราสั่งเจ้าให้ออกจากเด็กคนนี้ และอย่ากลับเข้ามาอีกเลย” ปีศาจ จึงร้องเสียงดังและทำ�ให้เด็กมีอาการชักอย่างรุนแรง แล้วปีศาจก็ออกไป เด็กนอนนิ่งเหมือนคนตาย จนคน ส่วนมากพูดกันว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูเจ้าทรงจับมือเด็ก ทรงช่วยพยุงให้ลกุ ขึน้ เขาก็ยนื ขึน้ เมือ่ พระองค์ เสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ทำ�ไมพวกเราจึงขับไล่มันไม่ได้” พระองค์ตรัสตอบว่า “ปีศาจชนิดนี้ขับไล่ออกไม่ได้เลย นอกจากด้วยการอธิษฐานภาวนาเท่านั้น”

ในสถานการณ์ปกติ พระเจ้าประทานความช่วยเหลือผ่านทางพระปรีชาญาณ กล่าวคือ การดำ�เนินชีวิต บริสทุ ธิ์ รักสันติ เห็นอกเห็นใจผูอ้ นื่ อ่อนน้อมถ่อมตนและเปีย่ มด้วยความเมตตา ...ในสถานการณ์พเิ ศษเป็นต้น การเอาชนะปีศาจหรือเหตุการณ์ทซ่ี บั ซ้อนลำ�บาก พระเยซูเจ้าทรงแนะนำ�ให้สวดภาวนาขอพละกำ�ลังจากเบือ้ งบน


บทอ่านที่ 1

ยก 4:1-10

พี่น้องที่รักยิ่ง การต่อสู้และการทะเลาะวิวาทในหมู่ท่านนั้นมาจากที่ใด มิใช่มาจาก กิเลสตัณหาซึง่ ต่อสูอ้ ยูภ่ ายในร่างกายของท่านหรือ ท่านอยากได้ แต่ไม่ได้ จึงฆ่ากัน ท่าน อยากได้ แต่ไม่สมหวัง จึงทะเลาะวิวาทและต่อสู้กัน ท่านไม่มีเพราะไม่ได้วอนขอ ท่าน วอนขอ แต่ไม่ได้รบั เพราะท่านวอนขอไม่ถกู ต้อง คือวอนขอเพือ่ นำ�ไปสนองกิเลสตัณหา ของท่าน ท่านทีไ่ ม่ซอื่ สัตย์เหมือนหญิงคบชู้ ท่านไม่รหู้ รือว่า การเป็นมิตรกับโลกคือการ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้น ผู้ใดต้องการเป็นมิตรกับโลก ก็ตั้งตนเป็นศัตรูกับพระเจ้า ท่านคิดว่าพระคัมภีรก์ ล่าวไร้สาระหรือว่า “พระเจ้าทรงรักจิตอย่างหวงแหน จิตทีพ่ ระองค์ ประทานให้สถิตในเรา” พระองค์ยังประทานพระหรรษทานที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่านั้นอีก ดัง นัน้ พระคัมภีรจ์ งึ กล่าวอีกว่า “พระเจ้าทรงต่อต้านคนเย่อหยิง่ แต่ประทานพระหรรษทาน แก่ผู้ถ่อมตน” ท่านทั้งหลายอยู่ใต้อำ�นาจพระเจ้า จงต่อต้านปีศาจ แล้วมันจะหลบหนี ไปจากท่าน จงเข้าใกล้พระเจ้าแล้วพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลาย จงล้าง มือให้สะอาด คนใจโลเลทั้งหลาย จงทำ�ใจให้บริสุทธิ์เถิด จงครํ่าครวญ จงเป็นทุกข์โศก เศร้าและร้องไห้เถิด จงให้การหัวเราะของท่านกลายเป็นความเศร้าโศก จงให้ความยินดี ของท่านกลายเป็นความเศร้าใจ จงถ่อมตนลงเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และพระองค์ จะทรงยกย่องท่าน

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา สดด 55:6-8,9-10ก,23

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

มก 9:30-37

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นพร้อมกับบรรดาศิษย์ผ่านแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดรู้ ทรงสั่งสอนบรรดาศิษย์ และตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์ จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย เขาจะประหารชีวิตพระองค์ แต่เมื่อถูกประหาร แล้ว ในวันที่สามพระองค์จะกลับคืนชีพ” บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจพระวาจานี้ แต่ก็ไม่กล้า ทูลถาม พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมือ่ เสด็จเข้าไปในบ้าน พระองค์ตรัสถาม เขาว่า “ท่านถกเถียงกันเรื่องอะไรขณะที่เดินทาง” เขาก็นิ่ง เพราะระหว่างทางเขาถกเถียงกันว่า ผู้ใดยิ่งใหญ่ กว่ากัน พระองค์จึงประทับนั่ง แล้วทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามา ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่ง ก็ให้ผู้นั้นทำ�ตนเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน” ครั้นแล้วพระองค์ทรงจูงเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืน กลางกลุ่มพวกเขา ทรงโอบเด็กนั้นไว้ ตรัสว่า “ผู้ใดที่ต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ก็ต้อนรับเรา และ ผู้ใดที่ต้อนรับเรา ก็มิใช่ต้อนรับเพียงเราเท่านั้น แต่ต้อนรับผู้ที่ทรงส่งเรามาด้วย”

การเป็นมิตรกับโลกคือ การดำ�เนินชีวิตตามกิเลสตัณหา หยิ่งผยองชอบการทะเลาะวิวาทแบ่งฝ่ายและ เป็นศัตรูกัน...การเป็นมิตรกับพระเจ้าคือการดำ�เนินชีวิตถ่อมตนรับใช้ผู้อื่น ต้อนรับเด็กน้อยประดุจต้อนรับ พระเจ้า


สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา สดด 49:1-3,5-6, 7,8-9,10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1

ยก 4:13-17

พระวรสาร

มก 9:38-40

พี่น้องที่รักยิ่ง ท่านพูดว่า “วันนี้หรือพรุ่งนี้ เราจะไปเมืองนี้เมืองนั้น จะอยู่ที่นั่นสัก หนึ่งปี จะค้าขายได้กำ�ไร” ท่านไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าชีวิตของท่านจะ เป็นอย่างไร ท่านทัง้ หลายเป็นเหมือนหมอกซึง่ ปรากฏอยูเ่ พียงชัว่ ครูแ่ ล้วก็หายไป ดังนัน้ ท่านควรจะพูดว่า “หากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระประสงค์ เราจะมีชีวิตอยู่และจะทำ�สิ่ง นี้สิ่งนั้น” แต่บัดนี้ ท่านได้แต่โอ้อวดในความเย่อหยิ่งของท่าน การโอ้อวดเช่นนี้ล้วนแต่ เลวร้าย คนที่รู้ว่าต้องทำ�ความดี แต่ไม่ทำ� ก็ทำ�บาป เวลานั้น ยอห์นทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เราได้เห็นคนคนหนึ่งขับไล่ ปีศาจเดชะพระนามของพระองค์ เราจึงพยายามห้ามปรามไว้ เพราะเขาไม่ใช่พวกเดียว กับเรา” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อย่าห้ามเขาเลย ไม่มีใครทำ�อัศจรรย์ในนามของเรา แล้ว ต่อมาจะว่าร้ายเราได้ ผู้ใดไม่ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา” ผู้เป็นศิษย์พระคริสตเจ้าย่อมสำ�นึกว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นศูนย์รวมของ สรรพสิ่งทั้งหลาย พระองค์ประทานชีวิตและทรงช่วยเหลือเราให้ทำ�ความดี...ส่วนเรา มนุษย์ไม่ควรที่จะโอ้อวดตนเองและไม่อิจฉาผู้อื่นเมื่อเขาสามารถทำ�ความดีได้


บทอ่านที่ 1

ยก 5:1-6

นี่แน่ะ ผู้มั่งมีทั้งหลาย จงร้องไห้ครํ่าครวญเพราะความทุกข์ยากกำ�ลังจะมาถึงท่าน แล้ว ทรัพย์สมบัติของท่านเสื่อมสลาย เสื้อผ้าก็ถูกมอดกัดกินหมดแล้ว เงินทองของ ท่านก็เป็นสนิม และสนิมนั้นจะเป็นพยานปรักปรำ�ท่าน มันจะกัดกินเนื้อของท่านประดุจ ไฟซึ่งท่านสะสมไว้สำ�หรับวันสุดท้าย ท่านคดโกง ไม่จ่ายค่าจ้างให้กรรมกรที่เก็บเกี่ยวใน ทุง่ นาของท่าน ค่าจ้างนีก้ ำ�ลังร้อง และเสียงร้องของคนเก็บเกีย่ วไปถึงพระกรรณขององค์ พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลแล้ว ท่านมีชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยในโลกนี้ และกินเลี้ยง อย่างสนุกสนาน ท่านบำ�รุงจิตใจของท่านไว้รอวันประหาร ท่านตัดสินลงโทษและฆ่าผู้ ชอบธรรม เขาก็มิได้ขัดขืนท่าน

พระวรสาร

มก 9:41-50

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์วา่ “ผูใ้ ดให้นาํ้ ท่านดืม่ เพียงแก้วหนึง่ เพราะ ท่านเป็นคนของพระคริสตเจ้า เราบอกความจริงกับท่านว่า เขาจะได้บำ�เหน็จรางวัลอย่าง แน่นอน” “ผู้ใดเป็นเหตุให้คนธรรมดาๆ ที่มีความเชื่อเหล่านี้ทำ�บาป ถ้าเขาจะถูกผูกคอด้วย หินโม่ถว่ งในทะเลก็ยงั ดีกว่ากระทำ�ดังกล่าว ถ้ามือข้างหนึง่ ของท่านเป็นเหตุให้ทา่ นทำ�บาป จงตัดมันทิ้งเสีย ท่านจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรโดยมีมือข้างเดียว ยังดีกว่ามีมือทั้งสองข้างแต่ ต้องตกนรกในไฟที่ไม่รู้ดับ ถ้าเท้าข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงตัดมันทิ้ง เสีย ท่านจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรโดยมีเท้าข้างเดียว ยังดีกว่ามีเท้าทั้งสองข้างแต่ถูกโยนลง นรก ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงควักมันออกเสีย ท่านจะเข้าสู่พระ อาณาจักรของพระเจ้า โดยมีตาข้างเดียว ยังดีกว่ามีตาทั้งสองข้างแต่ต้องถูกโยนลงนรก ที่นั่นหนอนไม่รู้ตาย ไฟไม่รู้ดับ เพราะทุกคนจะถูกดองด้วยเกลือและไฟ เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเกลือจืด ท่านจะนำ�สิ่งใดมาทำ�ให้เกลือเค็มอีกเล่า จงมีเกลือไว้ในท่านเถิด และจง อยู่อย่างสันติกับผู้อื่น” ผู้มั่งมีฝ่ายโลกที่ใช้ชีวิตหรูหรา ฟุ่มเฟือย ควรตรวจสอบตนเองว่าเป็นคนขี้โกง ไม่ จ่ายค่าจ้างกรรมกร หรือเอาเปรียบผู้ชอบธรรมโดยที่เขาไม่กล้าขัดขืน...ผู้เป็นศิษย์พระ คริสตเจ้าย่อมไม่ทำ�บาป เขาบังคับมือและเท้า บังคับลูกตาไม่เป็นที่สะดุดแก่ผู้อื่น เขา รักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม เขาอยู่อย่างสันติกับทุกคน

สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา สดด 49:13-14ก, 14ข-15,

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา สดด 103:1-2,3-4, 9-11,12

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1

ยก 5:9-12

พระวรสาร

มก 10:1-12

พี่น้องทั้งหลาย อย่าบ่นนินทากัน เพื่อจะได้ไม่ถูกพิพากษา พระผู้พิพากษาทรงยืน อยูห่ น้าประตูแล้ว พีน่ อ้ งทัง้ หลาย จงยึดบรรดาประกาศกซึง่ พูดในพระนามขององค์พระ ผู้เป็นเจ้ามาเป็นแบบฉบับในความพากเพียรอดทนต่อความยากลำ�บาก เราเรียกบรรดา ผูท้ พี่ ากเพียรอดทนว่าเป็นผูม้ คี วามสุข ท่านได้ยนิ เรือ่ งความพากเพียรอดทนของโยบและ รู้แล้วว่าในที่สุดองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�สิ่งใดแก่เขา พระองค์ทรงพระเมตตาและทรง พระกรุณาอย่างมาก พี่น้องทั้งหลาย สิ่งสำ�คัญที่สุด จงอย่าสาบาน ไม่ว่าโดยอ้างสวรรค์ หรืออ้างแผ่นดิน หรืออ้างอะไรอื่นใดทั้งสิ้น ถ้า “ใช่” จงบอกว่า “ใช่” ถ้า “ไม่ใช่” ก็จง บอกว่า “ไม่ใช่” เพื่อท่านจะไม่ถูกพิพากษา เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นเข้าไปในเขตแคว้นยูเดียและอีกฟากหนึ่ง ของแม่นาํ้ จอร์แดน ประชาชนมาเฝ้าพระองค์อกี ครัง้ หนึง่ พระองค์จงึ ทรงสอนเขาอีกเช่น เคย ชาวฟาริสีบางคนทูลถามหวังจะจับผิดพระองค์ว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่ชายจะ หย่ากับภรรยา” พระองค์ตรัสตอบว่า “โมเสสได้บญ ั ญัตไิ ว้วา่ อย่างไร เขาทูลตอบว่า “โมเสสอนุญาต ให้ทำ�หนังสือหย่าร้างและหย่ากันได้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เพราะใจดือ้ แข็งกระด้างของท่าน โมเสสจึงได้เขียนบัญญัติ ข้อนี้ไว้ แต่เมื่อแรกสร้างโลกนั้นพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง ดังนั้น ชาย จะละบิดามารดา และชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนี้ เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่ เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าแยกเลย” เมื่อกลับเข้าไป ในบ้านแล้ว บรรดาศิษย์ทลู ถามถึงเรือ่ งนีอ้ กี พระองค์จงึ ตรัสตอบว่า “ผูใ้ ดหย่าร้างภรรยา และแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง ก็ทำ�ผิดประเวณีต่อภรรยาคนเดิม และถ้าหญิงคนหนึ่งหย่า กับสามีไปแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง ก็ทำ�ผิดประเวณีเช่นเดียวกัน” ผู้เป็นศิษย์พระคริสตเจ้า ย่อมพากเพียรอดทนต่อความทุกข์ยากลำ�บาก ซื่อสัตย์ ต่อครอบครัว รักเดียวใจเดียว และไม่คิดหย่าร้างกับคู่ครองของตน



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.