สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา สดด 103:1-2,13, 14,17-18 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1 ฮบ 12:4-7,11-15 พี่น้อง ในการต่อสู้กับบาป ท่านยังมิได้ต้านทานจนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย ท่านลืมคำ�เตือนทีพ่ ระเจ้าตรัสกับท่านในฐานะทีเ่ ป็นบุตรแล้วหรือ ลูกเอ๋ย อย่าดูถกู การเฆี่ยนตีสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อถอยเมื่อพระองค์ทรงตำ�หนิเจ้า เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเฆีย่ นตีสงั่ สอนผูท้ พี่ ระองค์ทรงรัก และทรงเฆีย่ นตีทกุ คนที่ทรงรับไว้เป็นบุตร ท่านจงอดทนรับการเฆี่ยนตีสั่งสอนเถิด พระเจ้าทรงกระทำ�ต่อท่านเยี่ยง กระทำ�ต่อบุตร มีบตุ รคนใดบ้างทีบ่ ดิ าไม่เฆีย่ นตีสงั่ สอนเลย เป็นความจริงทีว่ า่ ขณะ ที่ถูกเฆี่ยนตีสั่งสอน ไม่มีความน่ายินดี มีแต่ความทุกข์ แต่ให้ผลเป็นสันติและเป็น ความชอบธรรมแก่ผทู้ ยี่ อมรับการเฆีย่ นตีสงั่ สอน เป็นการฝึกฝนตนเอง ดังนัน้ ท่าน ทัง้ หลายจงทำ�ให้มอื ทีอ่ อ่ นเปลีย้ และหัวเข่าทีส่ นั่ เทามีก�ำ ลังมัน่ คงขึน้ จงเดินให้ตรง ทาง เพื่อว่าขากะเผลกจะได้ไม่ต้องพิการ แต่จะหายเป็นปกติ จงพยายามอยูอ่ ย่างสันติกบั ทุกคน จงมีความศักดิส์ ทิ ธิซ์ งึ่ จำ�เป็นเพือ่ จะได้เห็น พระเจ้า จงระวังอย่าให้มผี ใู้ ดขาดพระหรรษทานของพระเจ้า และอย่าให้มรี ากแห่ง ความขมขื่นใดๆ งอกขึ้นมาก่อความวุ่นวายซึ่งอาจจะเป็นพิษแก่คนจำ�นวนมาก พระวรสาร มก 6:1-6 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นกลับไปยังถิ่นกำ�เนิดของพระองค์ บรรดาศิษย์ติดตามไปด้วย ครั้นถึงวันสับบาโตพระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในศาลา ธรรม ผู้ฟังจำ�นวนมากต่างประหลาดใจ และพูดว่า “เขาเอาเรื่องทั้งหมดนี้มาจาก ไหน ปรีชาญาณที่เขาได้รับมานี้คืออะไร อะไรคืออัศจรรย์ที่สำ�เร็จด้วยมือของเขา คนนี้เป็นช่างไม้ ลูกนางมารีย์ เป็นพี่น้องของยากอบ โยเสท ยูดาและซีโมนไม่ใช่ หรือ พีส่ าวน้องสาวของเขาก็อยูท่ นี่ กี่ บั พวกเรามิใช่หรือ” คนเหล่านัน้ รูส้ กึ สะดุดใจ และไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียด หยามนอกจากในถิน่ กำ�เนิด ท่ามกลางวงศ์ญาติ และในบ้านของตน” พระองค์ทรง ทำ�อัศจรรย์ทนี่ นั่ ไม่ได้ นอกจากทรงปกพระหัตถ์รกั ษาผูเ้ จ็บป่วยบางคนให้หายจาก โรคภัย พระองค์ทรงแปลกพระทัยที่เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ พระเยซูเจ้าทรงต้องการความร่วมมือจากมนุษย์ด้วย แต่ถ้าเราปิดกั้น และสงสัยต่อกิจการหรือการกระทำ�ของพระองค์ เราก็ไม่สามารถเข้าถึงข่าวดีของ พระองค์แน่นอน เหมือนพระวรสารวันนี้ ที่ผู้คนต่างประหลาดใจกับคำ�พูดและปรีชา ญาณ พวกเขาสะดุดและไม่เปิดใจยอมรับพระองค์ จึงเป็นสาเหตุที่ทำ�ให้พระองค์ไม่ สามารถปฏิบตั ภิ ารกิจของพระองค์ได้มากกว่านี้ ทีส่ ดุ พวกเขาก็ไม่ได้สมั ผัสถึงข่าวดีของ พระองค์เลย ส่วนเรามีอะไรที่มาปิดกั้นระหว่างพระเป็นเจ้ากับเราบ้างไหม
บทอ่านที่ 1 ฮบ 2:14-18 พี่น้อง บุตรทุกคนมีเลือดเนื้อร่วมกันฉันใด พระองค์ก็ทรงมีเลือดเนื้อร่วมกับ มนุษย์ทุกคนด้วยฉันนั้น เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะทรงทำ�ลายมารผู้ มีอ�ำ นาจเหนือความตายลงได้ เพือ่ ทรงปลดปล่อยผูต้ กเป็นทาสอยูต่ ลอดชีวติ เพราะ ความกลัวตายให้เป็นอิสระได้ โดยแท้จริงแล้ว พระองค์มิได้เอาพระทัยใส่บรรดา ทูตสวรรค์ แต่เอาพระทัยใส่ต่อเชื้อสายของอับราฮัม จึงจำ�เป็นที่พระองค์จะต้อง ทรงเป็นเหมือนกับบรรดาพีน่ อ้ งทุกประการ เพือ่ พระองค์จะทรงเป็นมหาสมณะที่ เพียบพร้อมด้วยพระกรุณาและทรงน่าเชื่อถือในการติดต่อกับพระเจ้า ไถ่โทษ ชดเชยบาปของประชากรได้ ในฐานะที่พระองค์ทรงรับการทรมานและทรงผ่าน การผจญมาแล้ว พระองค์จึงทรงช่วยเหลือผู้ที่ถูกผจญได้ด้วย พระวรสาร ลก 2:22-32 เมื่อครบกำ�หนดเวลาที่มารดาและบุตรจะต้องทำ�พิธีชำ�ระมลทินตามธรรม บัญญัติของโมเสส โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำ�พระกุมารไปที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อถวายแด่พระเจ้า มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จะต้อง ถวายบุตรชายคนแรกแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และถวายเครื่องบูชาคือนกเขาหนึ่งคู่ หรือนกพิราบสองตัวตามทีม่ กี �ำ หนดไว้ในธรรมบัญญัตขิ องพระเจ้า เวลานัน้ ทีก่ รุง เยรูซาเล็ม ชายผูห้ นึง่ ชือ่ สิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและยำ�เกรงพระเจ้า เขารอคอย ความรอดพ้นของอิสราเอล พระจิตเจ้าสถิตกับเขา และทรงเปิดเผยให้เขารูว้ า่ เขา จะไม่ตายก่อนที่จะได้เห็นพระคริสต์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระจิตเจ้าทรงนำ� สิเมโอนเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำ�พระกุมารเข้า มาปฏิบัติตามที่ธรรมบัญญัติกำ�หนดไว้ สิเมโอนรับพระกุมารมาอุ้มไว้ และกล่าว ถวายพระพรแด่พระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ พระองค์ทรงปล่อยผู้รับใช้ของพระองค์ไป เป็นสุข ตามพระดำ�รัสของพระองค์ เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้ ช่วยให้รอดพ้น ผูท้ พี่ ระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ส�ำ หรับนานาประชาชาติ เป็นแสงสว่าง เปิดเผยให้คนต่างชาติรจู้ กั พระองค์ และเป็นสิรริ งุ่ โรจน์ส�ำ หรับอิสราเอลประชากร ของพระองค์” ในวันนี้พระวรสารช่วยให้เราเข้าใจตัวตนของพระเยซูเจ้ามากขึ้น ที่ พระองค์ทรงมีพระธรรมชาติเหมือนกับเรามนุษย์ และได้ผ่านประสบการณ์ต่างๆ ดัง เช่นเรามนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย จึงกลายเป็นหนทางที่พระองค์วางไว้เพื่อให้เรามนุษย์ เจริญรอยตาม เพื่อจะได้มีชีวิตนิรันดร ทำ�ให้เราเชื่อมั่นและไม่หวาดกลัวต่อความตาย อีก ดังทีเ่ ราเห็นสิเมโอนวันนีไ้ ด้ประกาศเสียงดังว่า “ข้าพเจ้าพร้อมทีจ่ ะตายอย่างเป็นสุข เพราะว่าได้พบองค์พระผูช้ ว่ ยให้รอดแล้ว” ขอให้เรามีประสบการณ์ในการพบพระองค์ เช่นเดียวกันในชีวิตประจำ�วัน
ฉลองการถวาย พระกุมาร ในพระวิหาร สดด 24:7-8,9-10 เสกและแห่เทียน
น.บลาซีโอ พระสังฆราช และมรณสักขี น.อันสการ์ พระสังฆราช
บทอ่านที่ 1 ฮบ 13:1-8 พี่น้อง ท่านทั้งหลายจงรักกันฉันพี่น้องต่อไป อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขก แปลกหน้า เพราะเมือ่ ต้อนรับแขกแปลกหน้า บางคนได้ตอ้ นรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ ตัว จงระลึกถึงผู้ที่ถูกจองจำ�ประหนึ่งว่าท่านกำ�ลังถูกจองจำ�ร่วมกับเขาด้วย จง ระลึกถึงผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะท่านก็มีร่างกายเช่นเดียวกัน จงให้การสมรสเป็นที่ นับถือจากทุกคน สามีภรรยาจงซือ่ สัตย์ตอ่ กัน เพราะพระเจ้าจะทรงตัดสินลงโทษ ผูผ้ ดิ ประเวณีและผูเ้ ป็นชู้ อย่าให้ความโลภทรัพย์สนิ เงินทองครอบงำ�ชีวติ ของท่าน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมี... จงประพฤติตามอย่างความเชือ่ ของเขา พระเยซูคริสตเจ้าทรงเหมือนเดิมเสมอ ทั้งอดีต ปัจจุบันและตลอดไป
สดด 27:1,2-3,8-9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 วันศุกร์ต้นเดือน
พระวรสาร มก 6:14-29 เวลานัน้ กษัตริยเ์ ฮโรดทรงได้ยนิ เรือ่ งราวเกีย่ วกับพระเยซูเจ้า เพราะพระนาม ของพระเยซูเจ้าเลือ่ งลือไป... แต่เมือ่ กษัตริยเ์ ฮโรดทรงได้ยนิ เช่นนี้ ก็ตรัสว่า “ยอห์น คนที่เราให้ตัดศีรษะได้กลับคืนชีพมาอีก” กษัตริย์เฮโรดองค์นี้เคยทรงสั่งให้จับกุมยอห์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟีลิปพระอนุชา ซึ่งกษัตริย์เฮโรดทรงรับมาเป็นมเหสี ยอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า “ไม่ถูก ต้องที่พระองค์ทรงรับภรรยาของน้องชายมาเป็นมเหสี” นางเฮโรเดียสจึงโกรธแค้นและปรารถนาจะ ฆ่ายอห์นเสีย แต่ฆ่าไม่ได้ เพราะกษัตริย์เฮโรดยังทรงเกรงยอห์นอยู่ ทรงทราบว่ายอห์นเป็นคนชอบ ธรรมและศักดิ์สิทธิ์ จึงทรงป้องกันไว้ เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงฟังคำ�พูดของยอห์น ทรงรู้สึกสับสน แต่ก็ ทรงยินดีที่จะฟัง นางเฮโรเดียสได้โอกาสเมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงจัดให้มีงานเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่และ คนสำ�คัญในแคว้นกาลิลีในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำ� เป็นทีพ่ อพระทัยของกษัตริยเ์ ฮโรด และเป็นทีพ่ อใจของผูร้ บั เชิญ กษัตริยจ์ งึ ตรัสกับหญิงคนนัน้ ว่า “ท่าน อยากได้อะไรก็ขอมาเถิด เราจะให้” และยังทรงสาบานอีกว่า “ท่านขออะไรเราก็จะให้ แม้จะเป็นครึ่ง หนึง่ ของอาณาจักรของเราก็ตาม” หญิงสาวจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี” มารดาตอบว่า “จงขอศีรษะของยอห์นผูท้ �ำ พิธลี า้ ง” หญิงสาวจึงรีบกลับมาทูลกษัตริยท์ นั ทีวา่ “หม่อมฉันขอศีรษะของ ยอห์นผู้ทำ�พิธีล้างใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และ เพราะทรงเห็นแก่ผู้รับเชิญ ไม่ทรงปรารถนาจะขัดใจหญิงสาว จึงทรงสั่งเพชฌฆาตไปตัดศีรษะของ ยอห์นมาทันที เพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก ใส่ถาดนำ�มาให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำ�ไปให้ มารดา เมื่อบรรดาศิษย์ของยอห์นรู้เรื่อง จึงมารับศพของยอห์น นำ�ไปฝังไว้ในคูหา ในชีวติ ของคนเราแต่ละวันจะต้องมีการเลือกและตัดสินใจเสมอๆ การเลือกและการตัดสินใจ นั้นก็จะมีผลต่อตัวเราและผู้อื่น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้อะไรเป็นบรรทัดฐานที่จะนำ�ไปสู่การตัดสินใจในแต่ละ ครั้ง พระวรสารวันนี้ เราเห็นกษัตริย์เฮโรดได้เลือกระหว่างการรักษาหน้าตาของตนเองกับการที่ปล่อยให้ผู้ ชอบธรรมต้องตายไป เพราะท่านต้องการรักษาอำ�นาจและบทบาทของตนเองไว้ ถึงแม้จะต้องเลือกและ ตัดสินใจในสิ่งที่ผิดก็ตาม โดยไม่สนใจความดี ความชอบธรรม ความยุติธรรมและความถูกต้อง
บทอ่านที่ 1 ฮบ 13:15-17,20-21 พี่น้อง เดชะพระคริสตเจ้าเราจงถวายคำ�สรรเสริญเป็นบูชาแด่พระเจ้าเสมอ ไป เป็นถ้อยคำ�จากปากถวายพระเกียรติแด่พระนามพระองค์ อย่าละเลยที่จะทำ� กิจการที่ดีและจงรู้จักแบ่งปัน เกื้อกูลกัน เพราะนี่คือเครื่องบูชาที่พระเจ้าพอ พระทัย จงเชือ่ ฟังและอยูใ่ ต้อ�ำ นาจผูน้ �ำ ของท่าน เพราะเขาเหล่านัน้ คอยเอาใจใส่ดแู ล วิญญาณของท่านเสมือนผู้ที่ต้องเสนอรายงาน เพื่อให้เขาทำ�งานนี้ด้วยความยินดี มิใช่ด้วยความเศร้า ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์อะไรสำ�หรับท่านเลย พระเจ้าแห่งสันติทรงนำ�พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้เลี้ยงแกะผู้ยิ่ง ใหญ่ ให้กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เพราะทรงหลั่งพระโลหิตแห่งพันธ สัญญานิรันดร ขอพระองค์โปรดให้ท่านพร้อมสรรพที่จะทำ�ตามพระประสงค์ใน กิจการที่ดีทุกชนิด และขอพระองค์ทรงทำ�สิ่งที่พอพระทัยในเรา เดชะพระเยซู คริสตเจ้า ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดร อาเมน พระวรสาร มก 6:30-34 เวลานัน้ บรรดาอัครสาวกกลับมาเฝ้าพระเยซูเจ้าและทูลรายงานให้ทรงทราบ ถึงทุกสิ่งที่เขาได้ทำ�และได้สอน พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงมาพัก ผ่อนกับเราตามลำ�พังในทีส่ งัดระยะหนึง่ เถิด” เพราะมีคนไปมาจนเขาไม่มเี วลาแม้ กระทั่งจะกินอาหาร พระเยซูเจ้าจึงทรงลงเรือไปยังที่สงัดตามลำ�พังพร้อมกับ บรรดาอัครสาวก ประชาชนหลายคนเห็นพระเยซูเจ้ากับบรรดาอัครสาวกแล่นเรือ ออกไป ก็คาดคะเนได้วา่ พระองค์จะทรงไปทีใ่ ด จึงรีบเดินเท้าออกจากเมืองต่างๆ ไปที่นั่นและไปถึงก่อน เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนจำ�นวนมากก็ ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่ม สั่งสอนเขาหลายเรื่อง
ทุกวันนี้เราแต่ละคนได้บริหารเวลาของเราอย่างไร กับสังคมที่มีการ แข่งขันทางด้านความคิด ด้านวัตถุ จึงเป็นเหตุให้เรามนุษย์ต้องทำ�งานหนักมากขึ้น ทำ� จนแทบไม่มเี วลาพักผ่อน ไม่มเี วลาในการพบพระเจ้า แม้กระทัง่ เวลาให้กบั ตัวเองในการ พิจารณาไตร่ตรองชีวติ จึงทำ�ให้ชวี ติ ของเราขาดมิตชิ วี ติ ภายในไป มีแต่วตั ถุอย่างเดียว ที่แสวงหา ดังนั้น เราจะต้องหาเวลาพักผ่อนเพื่อหยุดคิดถึงพระ ดูจากชีวิตของพระ เยซูเจ้า พระองค์มีเวลาทำ�งาน และมีเวลาสวดภาวนากับพระบิดา อย่าปล่อยให้ชีวิต เราเป็นเสมือนหุ่นยนต์หรือเครื่องจักร พระองค์เชิญชวนเราให้มีเวลาอยู่กับพระองค์ และกับตัวเองบ้าง เพื่อจะได้มีสันติสุขในการดำ�เนินชีวิตติดตามพระองค์ในสังคมทุก วันนี้
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา สดด 23:1-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 58:7-10 พระเจ้าตรัสดังนีว้ า่ “จงแบ่งปันอาหารกับผูห้ วิ โหย นำ�คนยากจนไร้ทอี่ ยูอ่ าศัย เข้ามาในบ้าน ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ท่านเห็นว่าไม่มีเสื้อผ้าสวม และไม่หันหน้าหนีจาก ญาติพี่น้อง แล้วความสว่างของท่านจะขึ้นมาเหมือนรุ่งอรุณ แผลของท่านจะหาย อย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมจะเดินนำ�หน้าท่าน และพระสิรริ งุ่ โรจน์ขององค์พระ ผู้เป็นเจ้าจะเดินตามท่าน ท่านจะทูลขอ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบ ท่าน จะร้องขอความช่วยเหลือ และพระองค์จะตรัสว่า “เราอยู่ที่นี่” ถ้าท่านจะเลิก ข่มเหงผู้อื่น เลิกชี้หน้ากล่าวหาและพูดร้ายต่อเขา ถ้าท่านแบ่งอาหารให้แก่คนหิว และตอบสนองความต้องการของผู้มีทุกข์ ความสว่างของท่านจะปรากฏขึ้นใน ความมืด และความมืดของท่านจะเป็นเหมือนเวลาเที่ยงวัน” เพลงสดุดี สดด 112:4-5,6-7,8-9 ก) พระเจ้าทรงส่องแสงในความมืดสำ�หรับผู้ชอบธรรม พระองค์โปรดปราน ทรงเมตตากรุณา และทรงเที่ยงธรรม ผู้ที่มีใจเอื้อเฟื้อและให้ยืมย่อมอยู่เป็นสุข เขาดำ�เนินกิจการอย่างยุติธรรม ข) เขาจะไม่มีวันสั่นคลอนตลอดไป ผู้คนจะระลึกถึงผู้ชอบธรรมอยู่เสมอ เขาจะไม่หวาดหวั่นต่อข่าวร้าย จิตใจของเขามั่นคง เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ค) ใจของเขาหนักแน่น ไม่มีความกลัวใดๆ จนกว่าจะได้มองศัตรูอย่างสาแก่ใจ เขาให้แก่คนยากจนอย่างใจกว้าง ความชอบธรรมของเขาจะดำ�รงอยู่เป็นนิตย์ เขาจะมีอำ�นาจและมีเกียรติยศ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 2:1-5 พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาพบท่าน ข้าพเจ้ามิได้มาประกาศธรรมลํ้าลึก เรื่องพระเจ้าโดยใช้สำ�นวนโวหาร หรือโดยใช้หลักเหตุผลอันฉลาดปราดเปรื่อง ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าจะไม่สอนเรื่องใดแก่ท่านนอกจากเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า คือ พระองค์ผทู้ รงถูกตรึงกางเขน ข้าพเจ้ายังอยูก่ บั ท่านด้วยความอ่อนแอ มีความกลัว และหวาดหวั่นมาก วาจาและคำ�เทศน์ของข้าพเจ้ามิใช่คำ�พูดชวนเชื่ออย่างชาญ ฉลาด แต่เป็นถ้อยคำ�แสดงพระอานุภาพของพระจิตเจ้า เพื่อมิให้ความเชื่อของ ท่านเป็นผลจากปรีชาญาณของมนุษย์ แต่เป็นผลจากพระอานุภาพของพระเจ้า
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:13-16 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ท่านทัง้ หลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไป แล้ว จะเอาอะไรมาทำ�ให้เค็มอีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มี ประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบยํ่า ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่ บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามา วางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่าง แก่ทุกคนในบ้าน ในทำ�นองเดียวกัน แสงสว่างของท่าน ต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็น กิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผูส้ ถิต ในสวรรค์” พระเยซูเจ้าต้องการตักเตือนเรื่องเอกลักษณ์ของความเป็นศิษย์ของพระองค์ จะต้องมี ลักษณะและตัวตนอย่างไร โดยใช้คำ�เปรียบเทียบ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่า ผู้ที่จะเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ นัน้ จะต้องมีจติ ตารมณ์และวิถคี วามคิดตามแบบอย่างของพระองค์ คือ ต้องเป็นผูม้ ใี จเมตตากรุณา มีความ รักและการให้อภัยเสมอ เมื่อพวกเขาดำ�เนินชีวิตแบบนี้ เขาจะเป็นดั่งความสว่างที่ฉายแสงอยู่ในความมืด ทำ�ให้คนทั้งหลายได้เห็นองค์พระคริสตเจ้าในโลกนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น
6
บทอ่านที่ 1 ปฐก 1:1-19 เมือ่ แรกเริม่ นัน้ พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่นดินยังเป็นทีร่ า้ ง ไร้รูปร่าง ความมืดมิดปกคลุมอยู่เหนือทะเลลึก และลมพายุแรงกล้า พัดอยู่เหนือ นํ้า พระเจ้าตรัสว่า “จงมีความสว่าง” และความสว่างก็อบุ ตั ขิ นึ้ พระเจ้าทรงเห็น ว่าความสว่างนั้นดี ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความ ระลึกถึง สว่างว่า “วัน” ทรงเรียกความมืดว่า “คืน” มีเวลาคํ่า มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่หนึ่ง น.เปาโล มีกิ พระเจ้าตรัสว่า “จงมีแผ่นฟ้าขึ้นระหว่างนํ้า เพื่อแยกนํ้าออกจากกัน” และก็ พระสงฆ์ และเพื่อนมรณสักขี เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงสร้างแผ่นฟ้า และทรงแยกนํ้าใต้แผ่นฟ้าออกจากนํ้าที่อยู่ เหนือแผ่นฟ้า พระเจ้าทรงเรียกแผ่นฟ้าว่า“ท้องฟ้า” มีเวลาคํ่า มีเวลาเช้า นับเป็น สดด 104:1-2,5-6, วันที่สอง 10-12,24 และ 35ค พระเจ้าตรัสว่า “นาํ้ ใต้ทอ้ งฟ้าจงมารวมอยูใ่ นทีเ่ ดียวกัน ทีแ่ ห้งจงปรากฏขึน้ ” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 และก็เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงเรียกที่แห้งว่า “แผ่นดิน” ทรงเรียกมวลนํ้าว่า “ทะเล” พระเจ้าทรงเห็นว่าดี พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงผลิตหญ้าเขียว คือพืชที่มีเมล็ดและไม้ผลที่มีเมล็ดในผลแต่ละชนิดบน แผ่นดิน” และก็เป็นเช่นนั้น แผ่นดินผลิตหญ้าเขียว พืชที่มีเมล็ด และไม้ผลที่มีเมล็ดในผลแต่ละชนิด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี มีเวลาคํ่า มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่สาม พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างบนแผ่นฟ้าเพื่อแยกวันออกจากคืน เป็นเครื่องกำ�หนดเทศกาล วัน และปี ใช้เป็นตะเกียงบนท้องฟ้าเพื่อส่องแสงเหนือแผ่นดิน” และก็เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงสร้างดวง สว่างใหญ่สองดวง ทรงให้ดวงใหญ่กำ�หนดวัน ดวงเล็กกำ�หนดคืนและทรงสร้างดวงดาวด้วย พระเจ้า ทรงจัดสิ่งเหล่านี้ไว้บนแผ่นฟ้า เพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน เพื่อกำ�หนดวันและคืน เพื่อแยกความสว่าง จากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี มีเวลาคํ่า มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่สี่ พระวรสาร มก 6:53-56 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์ มาจอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเร็ธ เมื่อ เสด็จขึ้นจากเรือประชาชนก็จำ�พระองค์ได้ทันที และคนในบริเวณนั้นต่างรีบมาหา นำ�ผู้เจ็บป่วยนอน บนแคร่มาเฝ้าพระองค์ ณ สถานที่ที่เขาได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่ ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใด ใน หมูบ่ า้ น ในเมืองหรือในชนบท เขาก็น�ำ ผูเ้ จ็บป่วยมาวางตามลานสาธารณะ ทูลขอพระองค์ให้เขาสัมผัส เพียงชายฉลองพระองค์เท่านั้น และทุกคนที่สัมผัสแล้วก็หายจากโรคภัย พระเจ้าทรงสร้างทุกสิง่ ให้เป็นไปตามวิถที างของพระองค์ ทุกสิง่ ทีส่ ร้างเป็นอันหนึง่ อันเดียวกัน กับพระองค์ และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดี และเมื่อทุกสิ่งดำ�เนินไปตามกฎเกณฑ์และ ธรรมชาติของมันก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เรารู้ว่าหลายครั้งสิ่งสร้างของพระองค์ได้ถูกบิดเบือนไปจากวิถีทางของ พระองค์ จึงทำ�ให้เกิดความสับสนวุน่ วาย ความเจ็บปวด ความทุกข์ยากและอืน่ ๆ อีกมากมายทีต่ ามมา มนุษย์ เราก็เป็นสิง่ สร้างของพระองค์เช่นกัน เราจะรักษาวิถที างของพระองค์ได้อย่างไร เพือ่ เราจะสามารถเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกับพระองค์ในบรรดาสิ่งสร้างทั้งหลาย
บทอ่านที่ 1 ปฐก 1:20-2:4ก พระเจ้าตรัสว่า... “เราจงสร้างมนุษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของเรา ให้มีความ คล้ายคลึงกับเรา ให้เป็นนายปกครองปลาในทะเล นกในท้องฟ้า สัตว์เลี้ยง สัตว์ ป่า และสัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดิน” พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างเขา ตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพรเขาทั้งสองคนและตรัสว่า “จงมีลูกมาก และทวีจำ�นวน ขึน้ จนเต็มแผ่นดิน จงปกครองแผ่นดิน จงเป็นนายเหนือปลาในทะเล นกในอากาศ และสัตว์ทกุ ชนิดทีเ่ คลือ่ นไหวอยูบ่ นแผ่นดิน”... และก็เป็นเช่นนัน้ พระเจ้าทรงเห็น ว่าทุกสิ่งที่ทรงสร้างนั้นดีมาก มีเวลาคํ่า มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่หก ฟ้า แผ่นดิน และสิ่งประดับทั้งปวงก็ส�ำ เร็จบริบูรณ์ ในวันที่เจ็ดพระเจ้าทรง เสร็จสิ้นจากงานที่ทรงกระทำ� พระองค์ทรงหยุดพักในวันที่เจ็ดจากงานทั้งหมดที่ ทรงกระทำ� พระเจ้าทรงอวยพรวันที่เจ็ดและทรงทำ�ให้วันนั้นเป็นวันศักดิ์สิทธิ์...
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา สดด 8:3-9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร มก 7:1-13 เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนจากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระเยซูเจ้าพร้อมกัน เขา สังเกตว่าศิษย์บางคนของพระองค์กินอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาด คือไม่ได้ล้างมือก่อน เพราะชาวฟาริสี และชาวยิวโดยทั่วไปย่อมถือขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ เขาไม่กินอาหารโดยมิได้ล้างมือตามพิธี ก่อน เมื่อกลับจากตลาด เขาจะไม่กินอาหารเว้นแต่จะได้ทำ�พิธีชำ�ระตัวก่อน เขายังถือขนบธรรมเนียม อื่นๆ อีกมาก เช่น การล้างถ้วย จานชามและภาชนะทองเหลือง ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จึงทูลถาม พระองค์วา่ “ทำ�ไมศิษย์ของท่านไม่ปฏิบตั ติ ามขนบธรรมเนียมของบรรพบุรษุ และทำ�ไมเขาจึงกินอาหาร ด้วยมือที่ไม่สะอาด” พระองค์ตรัสตอบว่า “ประกาศกอิสยาห์ได้พูดอย่างถูกต้องถึงท่าน คนหน้าซื่อใจ คด ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา เขานมัสการเราอย่างไร้ ความหมาย เขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม ท่านทั้งหลายละเลยบทบัญญัติของพระเจ้ากลับไปถือขนบธรรมเนียมของมนุษย์” แล้วพระองค์ ทรงเสริมว่า “ท่านช่างชำ�นาญในการละเลยบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อถือขนบธรรมเนียมของท่าน เองเสียจริงๆ เช่นโมเสสกล่าวว่า จงนับถือบิดามารดา และใครด่าบิดาหรือมารดา จะต้องรับโทษถึง ตาย แต่ท่านกลับสอนว่า ‘ถ้าใครคนหนึ่งพูดกับบิดาหรือมารดาว่า ทรัพย์สินที่ลูกนำ�มาช่วยเหลือพ่อ แม่ได้นนั้ เป็นคอร์บนั คือของถวายแด่พระเจ้า’ ท่านก็อนุญาตให้เขาไม่ตอ้ งช่วยเหลือบิดามารดาอีกต่อ ไป ท่านใช้ขนบธรรมเนียมที่ท่านสอนต่อๆ กันมาทำ�ให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นโมฆะ ท่านยังปฏิบัติ เช่นนี้อีกมากมาย” กฎระเบียบข้อบังคับถือว่าเป็นสิ่งสำ�คัญของการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งเราเห็นในพระวรสาร ในวันนีท้ พี่ วกชาวฟารีสกี เ็ ป็นกลุม่ หนึง่ ทีเ่ น้น ยึดถือกฎเกณฑ์ ขนบธรรมเนียมอย่างละเอียดปลีกย่อยภายนอก แต่ขาดมิติความหมายของตัวกฎที่แท้จริง คือความรัก ความเมตตา และความเข้าใจอย่างแท้จริง ซึ่งเราจะ เห็นว่าวิธกี ารสอนของพระเยซูเจ้านัน้ แตกต่างจากสิง่ ทีช่ าวฟารีสปี ฏิบิ ตั ิ พระเยซูเจ้าทรงเน้นด้านภายในจิตใจ มากกว่าสิ่งภายนอก มลทินหรือบาปนั้นที่มามันอยู่ที่จิตใจ นี่คือรากเหง้าของบาปที่แท้จริง
น.เยโรม เอมีลานี พระสงฆ์ น.โยเซฟิน บาคีตา พรหมจารี สดด 104:1-2ก, 27-29,30 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 ปฐก 2:4ข-9,15-17 เมือ่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน บนแผ่นดินยังไม่มพี มุ่ ไม้และตามทุง่ นาหญ้ายังไม่ได้งอกขึน้ เลย เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้ายังไม่ได้ ทรงทำ�ให้ฝนตกบนแผ่นดิน และยังไม่มีมนุษย์ใช้แผ่นดินเป็นที่เพาะปลูก แต่มีนํ้า ขึ้นมาจากแผ่นดิน เพื่อรดหน้าดินทั้งหมด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเอาฝุ่น จากพื้นดินมาปั้นมนุษย์ และทรงเป่าลมแห่งชีวิตเข้าในจมูกของเขา มนุษย์จึงเป็น ผู้มีชีวิต องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงปลูกสวนขึ้นทางทิศตะวันออกในแคว้นเอเดน และทรงนำ�มนุษย์ที่ทรงปั้นมาไว้ที่นั่น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงบันดาลให้ ต้นไม้ทุกชนิดงอกขึ้นจากดิน ต้นไม้เหล่านี้งดงามชวนมองและมีผลน่ากิน มีต้นไม้ แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ที่กลางสวน และมีต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าทรงนำ�มนุษย์มาไว้ในสวนเอเดน เพือ่ เพาะปลูกและ ดูแลสวน แล้วองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าทรงบัญชามนุษย์นนั้ ว่า “ท่านจะกินผลไม้ จากต้นไม้ทุกต้นในสวนได้ แต่อย่ากินจากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว วันใดที่ท่านกิน ผลจากต้นนั้น ท่านจะต้องตาย”
พระวรสาร มก 7:14-23 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตรัสว่า “ทุกคน จงฟังและเข้าใจเถิด ไม่มีสิ่งใดเลยจากภายนอกของมนุษย์ทำ�ให้เขามีมลทินได้ แต่ สิ่งที่ออกมาจากภายในของมนุษย์นั้นแหละทำ�ให้เขามีมลทิน ใครมีหูสำ�หรับฟัง ก็ จงฟังเถิด” เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้าน ห่างจากประชาชน บรรดาศิษย์จึงทูลถาม พระองค์ถึงข้อความที่เป็นปริศนานั้น พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านก็ไม่มีปัญญา ด้วยหรือ ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิง่ ต่างๆ จากภายนอกทีเ่ ข้าไปในมนุษย์นนั้ ทำ�ให้เขา มีมลทินไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้อง แล้วออกไปจากร่างกาย” ดังนี้ ทรงประกาศ ว่าอาหารทุกชนิดไม่เป็นมลทิน พระองค์ยังตรัสอีกว่า “สิ่งที่ออกจากภายในมนุษย์นั้นแหละทำ�ให้เขา มีมลทิน จากภายในคือจากใจมนุษย์นั้นเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย การประพฤติผิดทางเพศ การลัก ขโมย การฆ่าคน การมีชู้ ความโลภ การทำ�ร้าย การฉ้อโกง การสำ�ส่อน ความอิจฉา การใส่ร้าย ความ หยิ่งยโส ความโง่เขลา สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกมาจากภายใน และทำ�ให้มนุษย์มีมลทิน” คำ�สอนของพระองค์วนั นีท้ �ำ ให้เราเข้าใจชัดเจนมากขึน้ เกีย่ วกับสาเหตุทที่ �ำ ให้เรามีบาปหรือมี มลทิน หลายครั้งในชีวิตของเรา เรามักจะมองแต่สิ่งที่อยู่ภายนอกเท่านั้น เน้นแต่เฉพาะรูปลักษณะ และ การกระทำ�ภายนอก ทำ�ให้เราไม่สามารถเข้าถึงความเคลื่อนไหวภายในจิตใจของตนเองและสัมผัสคำ�สอน ของพระองค์ได้ จึงทำ�ให้เราไม่ต่างอะไรกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ ที่ได้ฟังแต่ไม่เข้าใจ แต่การวอนขอให้ พระองค์ทรงอธิบาย ก็เท่ากับว่าเขาเองก็ต้องแสวงหาคำ�ตอบเพื่อที่จะเข้าใจคำ�สอนของพระองค์ เราก็เช่น กันต้องแสวงหาแสงสว่างจากพระองค์ เพื่อเข้าใจสิ่งที่พระองค์สอน
บทอ่านที่ 1 ปฐก 2:18-25 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า “มนุษย์อยู่เพียงคนเดียวนั้น ไม่ดีเลย เรา จะสร้างผู้ช่วยที่เหมาะสมให้เขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงทรงเอาดินมาปั้น สัตว์ป่าทุกชนิดและนกทุกชนิดในท้องฟ้า ทรงนำ�สัตว์เหล่านี้มาให้มนุษย์ เพื่อดูว่า เขาจะตั้งชื่อมันว่าอย่างไร สัตว์แต่ละตัวจะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ มนุษย์จึงตั้งชื่อ ให้สัตว์เลี้ยง นกในอากาศ และสัตว์ป่าทั้งหมด แต่มนุษย์ยังไม่พบผู้ช่วยที่เหมาะ กับตน ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงทำ�ให้มนุษย์หลับสนิท และขณะที่เขา กำ�ลังนอนหลับ ก็ทรงเอากระดูกซี่โครงของเขาออกมาหนึ่งซี่ และทรงบันดาลให้ เนือ้ ปิดสนิท องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าทรงเอาซีโ่ ครงนัน้ มาสร้างหญิง แล้วทรงนำ� มาให้มนุษย์ มนุษย์จึงพูดว่า “นี่คือกระดูกจากกระดูกของฉัน และเนื้อจากเนื้อ ของฉัน นางจะมีชื่อว่าหญิง เพราะนางมาจากชาย” เพราะฉะนั้น ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และทั้งสอง จะเป็นเนื้อเดียวกัน เขาทั้งสองคนคือมนุษย์และภรรยาต่างเปลือยกายอยู่ แต่ไม่ อายกัน พระวรสาร มก 7:24-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่น เข้าไปในเขตเมืองไทระ และเสด็จ เข้าในบ้านหลังหนึ่ง ไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดรู้ แต่ทรงซ่อนพระองค์ไม่ได้ ทันใดนั้น หญิงคนหนึ่งมีบุตรหญิงถูกปีศาจสิงได้ยินพูดถึงพระองค์ ก็มากราบพระบาท นาง ไม่ใช่ชาวยิว เป็นชาวซีโรฟีนีเซียโดยกำ�เนิด นางทูลอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงขับไล่ ปีศาจออกจากบุตรหญิง พระองค์ตรัสกับนางว่า “ให้ลูกๆ กินอิ่มเสียก่อน เพราะ ไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกมาโยนให้ลูกสุนัขกิน” หญิงนั้นทูลตอบว่า “ถูก แล้ว พระเจ้าข้า แต่ลูกสุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะก็ยังได้กินเศษอาหารของลูกๆ” พระองค์ จึงตรัสกับนางว่า “เพราะถ้อยคำ�นี้ จงไปเถิด ปีศาจออกจากลูกสาวของเธอแล้ว” เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางก็พบลูกนอนอยู่บนเตียง ปีศาจออกไปแล้ว
มนุษย์เราทุกคนต่างต้องการมีความสุขทีแ่ ท้จริงในชีวติ แต่ในความเป็น จริงแล้วชีวิตเรามีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป และวันนี้ในพระวรสาร เราพบหญิงที่มี บุตรสาวถูกผีสิง นางจึงทุกข์ทรมาน สงสารลูกสาวของนาง ถึงแม้นางไม่ใช่ชาวยิว ก็ตาม นางกลับมาวอนขอความช่วยเหลือจากพระเยซูเจ้าให้ทรงช่วยลูกสาวของนาง ด้วยความกล้าหาญ ดูเหมือนพระองค์ไม่ทรงสนพระทัยในคำ�ขอของนาง กลับตรัส ประชดนางค่อนข้างแรง แต่นางกลับแสดงความสุภาพและความเชือ่ ในพระองค์อย่าง ชัดเจน จนทำ�ให้พระองค์ประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะถ้อยคำ�นี้ พระองค์จึงได้ ช่วยบรรเทาทุกข์ของนางทันที
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา
สดด 128:1-2,3,4-5 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
ระลึกถึง น.สกอลัสติกา พรหมจารี
สดด 32:1-2,5,6-7 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 ปฐก 3:1-8 งูเป็นสัตว์เจ้าเล่หท์ สี่ ดุ ในบรรดาสัตว์ปา่ ทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าทรงสร้าง มันถามหญิงว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่าอย่ากินผลจากต้นไม้ใดๆ ในสวน นี้” หญิงจึงตอบงูว่า “ผลของต้นไม้ต่างๆ ในสวนนี้ เรากินได้ แต่ผลของต้นไม้ที่อยู่ กลางสวนเท่านัน้ ” พระเจ้าตรัสห้ามว่า “อย่ากินหรือแตะต้องเลย มิฉะนัน้ ท่านจะ ต้องตาย” งูบอกกับหญิงว่า “ท่านจะไม่ตายดอก พระเจ้าทรงทราบว่า ท่านกินผล ไม้นั้นวันใด ตาของท่านจะเปิดในวันนั้น ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ดีรู้ชั่ว” หญิงเห็นว่าต้นไม้นนั้ มีผลน่ากิน งดงามชวนมอง ทัง้ ยังน่าปรารถนาเพราะให้ปญ ั ญา นางจึงเด็ดผลไม้มากิน แล้วยังให้สามีซึ่งอยู่กับนางกินด้วย เขาก็กิน ทันใดนั้น ตา ของทัง้ สองคนก็เปิดและเห็นว่าตนเปลือยกายอยู่ จึงเอาใบมะเดือ่ มาเย็บเป็นเครือ่ ง ปกปิดร่างไว้ เย็นวันนั้นมนุษย์และภรรยาได้ยินเสียงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้ากำ�ลังทรง พระดำ�เนินในสวน จึงหลบไปซ่อนให้พ้นจากพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ในหมู่ต้นไม้ของสวน พระวรสาร มก 7:31-37 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอน ไปยัง ทะเลสาบกาลิลีกลางดินแดนทศบุรี มีผู้นำ�คนใบ้หูหนวกคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ ทูลขอร้องให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ พระองค์ทรงแยกคนใบ้หูหนวกคนนั้นไป จากกลุม่ ชน ทรงใช้นวิ้ พระหัตถ์ยอนหูของเขา ทรงใช้พระเขฬะแตะลิน้ ของเขา ทรง เงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ถอนพระทัย แล้วตรัสว่า “เอฟฟาธา” แปลว่า “จงเปิด เถิด” ทันใดนั้น หูของเขากลับได้ยิน สิ่งที่ขัดลิ้นอยู่ก็หลุด เขาพูดได้ชัดเจน พระ เยซูเจ้าทรงห้ามประชาชนเหล่านัน้ มิให้พดู เรือ่ งนีก้ บั ผูใ้ ด แต่ยงิ่ ห้าม ก็ยงิ่ เล่าลือกัน มากขึ้น ต่างก็ประหลาดใจมาก กล่าวว่า “คนคนนี้ทำ�สิ่งใดดีทั้งนั้น เขาทำ�ให้คนหู หนวกกลับได้ยิน และคนใบ้กลับพูดได้” พระเจ้าผู้ทรงพระเมตตาทรงมีความเป็นห่วงเป็นใยลูกๆ ของพระองค์ เสมอ จากเหตุการณ์ในพระวรสาร เราเห็นพระองค์ทรงให้เวลาของพระองค์ในการ รักษาคนใบ้หูหนวก พระองค์ทรงนำ�เขาออกมาจากฝูงชน และทรงใช้นิ้วพระหัตถ์แยง ทีห่ แู ละลิน้ ของชายคนนัน้ การสัมผัสนีเ้ ป็นนัยว่า พระองค์ทรงเปิดดวงใจของเขาให้พบ กับความเมตตาและความรักของพระ ซึง่ เป็นของประทานจากพระจิตเจ้า เขาจึงได้รบั การรักษาให้หายทันที จึงทำ�ให้ทุกคนทึ่งและประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เขาได้ประสบ ในกิจการที่พระองค์ทรงกระทำ�ล้วนแต่เป็นสิ่งดี
บทอ่านที่ 1 ปฐก 3:9-24 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ ตรัสถามว่า “ท่านอยูไ่ หน” มนุษย์ ทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์ในสวน ก็กลัวเพราะข้าพเจ้าเปลือย กายอยู่ จึงได้ซ่อนตัว” พระองค์ตรัสถามว่า “ใครบอกท่านว่าท่านเปลือยกายอยู่ ท่านได้กินผลจากต้นไม้ที่เราห้ามมิให้กินนั้นแล้วหรือ” มนุษย์ทูลตอบว่า “หญิงที่ พระองค์ประทานให้อยู่กับข้าพเจ้าได้ให้ผลจากต้นไม้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกิน” แม่พระประจักษ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสกับหญิงว่า “ท่านทำ�อะไรไป” หญิงทูลตอบว่า “งู ที่เมืองลูร์ด หลอกลวงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกิน” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสกับงูว่า “เพราะเจ้าทำ�เช่นนี้ เจ้าจงถูกสาป สดด 90:1-3,4,12-13 แช่ง ในบรรดาสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าทั้งปวง เจ้าจะต้องใช้ท้องเลื้อยไปตามพื้นดิน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 และกินฝุ่นเป็นอาหารทุกวันตลอดชีวิต เราจะทำ�ให้เจ้าและหญิงเป็นศัตรูกัน ให้ วันผู้ป่วยโลก ลูกหลานของเจ้าและลูกหลานของนางเป็นศัตรูกันด้วย เขาจะเหยียบหัวของเจ้า วันมาฆบูชา และเจ้าจะกัดส้นเท้าของเขา”... พระองค์ตรัสกับมนุษย์ว่า “เพราะท่านได้ฟังเสียงของภรรยา และกินผลจาก ต้นไม้ที่เราห้ามมิให้กิน แผ่นดินจะถูกสาปแช่งเพราะท่าน ท่านจะต้องหากินจาก แผ่นดินด้วยความทุกข์ยากทุกวันตลอดชีวติ แผ่นดินจะผลิตต้นหนามและกอหนาม และท่านจะกินพืชที่งอกในทุ่งนา ท่านจะมีอาหารกินก็ด้วยหยาดเหงื่อบนใบหน้า จนกว่าท่านจะกลับ เป็นดินอีก เพราะท่านถูกปั้นมาจากดิน ท่านเป็นฝุ่นดิน และจะกลับไปเป็นฝุ่นดินอีก” มนุษย์เรียกภรรยาของตนว่า “เอวา” เพราะนางเป็นมารดาของผู้มีชีวิตทั้งหลาย องค์พระผู้เป็น เจ้าพระเจ้าทรงเอาหนังสัตว์มาทำ�เสื้อให้มนุษย์และภรรยาสวมปกปิดกาย... พระวรสาร มก 8:1-10 ครั้งนั้น ประชาชนจำ�นวนมากชุมนุมกันอีก และไม่มีอะไรกิน พระองค์จึงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสกับเขาว่า “เราสงสารประชาชนเพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และเวลานี้ไม่มีอะไรกิน ถ้าเรา ให้เขากลับบ้านโดยไม่ได้กินอะไร เขาจะหมดเรี่ยวแรงขณะเดินทาง เพราะมีหลายคนเดินทางมาจากที่ ไกล” บรรดาศิษย์จึงทูลตอบว่า “ใครจะหาอาหารในที่เปลี่ยวเช่นนี้มาให้คนเหล่านี้กินจนอิ่มได้” พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านมีขนมปังกี่ก้อน” เขาทูลว่า “เจ็ดก้อน” พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลง บนพืน้ ดิน ทรงหยิบขนมปังเจ็ดก้อนนัน้ ตรัสขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงบิขนมปัง ประทานให้บรรดา ศิษย์ไปแจกจ่าย เขาก็แจกจ่ายขนมปังให้ประชาชน เขายังมีปลาตัวเล็กๆ อยู่บ้าง พระองค์ทรงกล่าว ถวายพระพรพระเจ้า ทรงสัง่ ให้แจกจ่ายปลาเช่นเดียวกัน ทุกคนกินจนอิม่ และยังเก็บเศษทีเ่ หลือได้อกี เจ็ดตะกร้า ผู้ที่กินขนมปังและปลามีประมาณสี่พันคน พระองค์ทรงส่งเขากลับไป แล้วพระองค์เสด็จ ลงเรือพร้อมกับบรรดาศิษย์ไปยังบริเวณเมืองดาลมานูธาทันที พระวรสารวันนี้ทำ�ให้เราเห็นพระเมตตาของพระเยซูเจ้าต่อประชาชนที่ติดตามพระองค์ แต่ บรรดาศิษย์ของพระองค์กลับมีความวิตกกังวลว่าจะทำ�อย่างไรกับคนเหล่านี้ พวกเขาขาดความเชื่อและ ความไว้ใจในองค์พระเยซูเจ้า เพราะการที่พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่าเราต้องดูแลคนเหล่านี้ ยิ่งทำ�ให้พวก เขายิ่งกังวลและก็เกินความสามารถที่จะทำ�ด้วย แต่เพราะการที่พวกเขาฟังพระองค์และกระทำ�ตาม สิ่งที่ เป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้สำ�หรับพระองค์ และพวกเขาได้เชื่อ
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา บสร 15:15-20 ถ้าท่านต้องการ ท่านก็ปฏิบัติตามบทบัญญัติได้ ท่านจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์ หรือไม่ขึ้นอยู่กับท่าน พระองค์ทรงวางนํ้ากับไฟไว้ต่อหน้าท่าน ท่านต้องการสิ่งใด ก็จงยื่นมือหยิบด้วยตนเอง ทั้งชีวิตและความตายอยู่ต่อหน้ามนุษย์ เขาเลือกสิ่งใด ก็จะได้รับสิ่งนั้น พระปรีชาญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรง สรรพานุภาพและทรงเห็นทุกสิง่ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นผูย้ �ำ เกรงพระองค์ ทรง รู้กิจการทุกอย่างของมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงบัญชาผู้ใดให้เป็นคนอธรรม พระองค์ ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดทำ�บาป เพลงสดุดี สดด 119:1-2,3-6,17-19,33-34 ก) ผู้ดำ�เนินชีวิตไร้ตำ�หนิย่อมเป็นสุข เขาเดินตามธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ปฏิบัติตามกฤษฎีกาของพระองค์ย่อมเป็นสุข เขาแสวงหาพระองค์สุดจิตใจ ข) เขาไม่กระทำ�ผิด ดำ�เนินอยู่ในทางของพระองค์ พระองค์ทรงกำ�หนดข้อบังคับของพระองค์ไว้ ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 2:6-10 พี่น้อง เราพูดถึงปรีชาญาณในหมู่ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่มิใช่ปรีชาญาณของ โลกนีห้ รือของผูป้ กครองโลกนีซ้ งึ่ กำ�ลังจะสูญสิน้ ไป แต่เรากล่าวถึงพระปรีชาญาณ ของพระเจ้า เป็นธรรมลํ้าลึกอันซ่อนเร้นซึ่งพระเจ้าทรงกำ�หนดล่วงหน้าไว้ก่อน ปฐมกาลสำ�หรับสิริรุ่งโรจน์ของเรา ไม่มีผู้ใดในบรรดาผู้ปกครองโลกนี้ล่วงรู้พระ ปรีชาญาณนี้ เพราะถ้าเขารู้ เขาคงไม่ตรึงกางเขนองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริ รุง่ โรจน์ แต่ตามทีม่ เี ขียนไว้ในพระคัมภีรว์ า่ “สิง่ ทีต่ าไม่เคยเห็น และหูไม่เคยได้ยนิ และจิตใจของมนุษย์คดิ ไม่ถงึ คือสิง่ ทีพ่ ระเจ้าทรงเตรียมไว้ส�ำ หรับผูท้ รี่ กั พระองค์” นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เรารู้โดยทางพระจิตเจ้า เพราะพระจิตเจ้าทรง หยั่งรู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งที่ลึกลํ้าของพระเจ้า บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:17-37 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพือ่ ลบล้างธรรมบัญญัตหิ รือคำ�สอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้ง
หลายว่า ตราบใดทีฟ่ า้ และดินยังไม่สญ ู สิน้ ไป แม้แต่ตวั อักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจาก ธรรมบัญญัตจิ นกว่าทุกอย่างจะสำ�เร็จไป ดังนัน้ ผูใ้ ดละเมิดธรรมบัญญัตเิ พียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยทีส่ ดุ และสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ตํ่าต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอน ผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดา ธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ท่านได้ยินคำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนทีโ่ กรธเคืองพีน่ อ้ ง จะต้องขึน้ ศาล ผูใ้ ดกล่าวแก่พนี่ อ้ งว่า ‘ไอ้โง่’ ผูน้ นั้ จะต้องขึน้ ศาลสูง ผูใ้ ดกล่าว แก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำ�เครื่องบูชาไปถวาย ยังพระแท่น ถ้าระลึกได้วา่ พีน่ อ้ งของท่านมีขอ้ บาดหมางกับท่านแล้ว จงวางเครือ่ งบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกบั พีน่ อ้ งเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครือ่ งบูชานัน้ จงคืนดีกบั คูค่ วามของท่านขณะ ที่กำ�ลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่าน ให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำ�ระ หนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย ท่านได้ยินคำ�กล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความ ใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก ถ้ามือขวาของ ท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ ร่างกายทั้งหมดตกนรก มีคำ�กล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงทำ�หนังสือหย่ามอบให้นาง แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลาย ว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับทำ�ให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่งกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย ท่านยังได้ยินคำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำ�สาบาน แต่จงทำ�ตามที่ได้สาบานไว้ต่อองค์พระ ผู้เป็นเจ้า แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของ พระเจ้า อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของพระองค์ อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์ อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำ�เป็นขาวได้ ท่านจงพูดเพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ คำ�พูดที่ มากไปกว่านั้นมาจากปีศาจ” สำ�หรับพระองค์การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ไม่เป็นการเพียงพอ ผู้ที่เป็นศิษย์ของพระองค์ จำ�เป็นจะต้องเข้าถึงความหมายที่ว่า ธรรมบัญญัติตั้งอยู่บนความรัก ความเมตตา การรักษาธรรมบัญญัติ โดยปราศจากความรัก ความเมตตา จึงเป็นเหมือนกับร่างกายที่ปราศจากจิตวิญญาณ พระองค์ทรงชมเชย บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสใี นการปฏิบตั ติ ามธรรมบัญญัติ แต่พระองค์ทรงตำ�หนิพวกเขาทีไ่ ม่ถอื ปฏิบตั ิ ตามจิตตารมณ์ของธรรมบัญญัติ เพราะพวกเขาถือตามกฎเกณฑ์แต่เพียงภายนอกเพื่อสนองตอบความพึง พอใจของตนเอง แต่ไม่ได้เข้าถึงรากของความรักทีม่ ตี อ่ พระเจ้าและเพือ่ นพีน่ อ้ ง เพือ่ นำ�มาปฏิบตั ใิ นชีวติ จริง
บทอ่านที่ 1 ปฐก 4:1-15,25 มนุษย์มีเพศสัมพันธ์กับเอวาภรรยาของตน นางก็ตั้งครรภ์และให้กำ�เนิด กาอิน เอวาพูดว่า “ดิฉนั ได้ลกู ชายมาเดชะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า” ต่อมานางก็ให้ก�ำ เนิด น้องชายของกาอินชื่ออาแบล อาแบลเป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนกาอินเป็นคนเพาะ ปลูก วันหนึง่ กาอินนำ�ผลทีเ่ กิดจากแผ่นดินมาถวายเป็นบูชาแด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า สัปดาห์ที่ 6 ส่วนอาแบลนำ�แกะทีเ่ กิดจากฝูงรุน่ แรกและไขมันแกะมาถวายด้วย องค์พระผูเ้ ป็น เทศกาลธรรมดา เจ้าพอพระทัยอาแบลและเครื่องบูชาของเขา แต่ไม่พอพระทัยกาอินและเครื่อง บูชาของเขา กาอินโกรธมากหน้าตาบึ้งตึง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามกาอินว่า สดด 50:1 และ 8,9, “ท่านโกรธหน้าตาบึ้งตึงทำ�ไม ถ้าท่านทำ�ดี ท่านย่อมเงยหน้าขึ้นได้ แต่ถ้าท่านทำ� 16-18,19-21 ไม่ดี บาปกำ�ลังหมอบอยู่ที่ประตู คอยตะครุบตัวท่าน แต่ท่านจะต้องเอาชนะมัน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ให้ได้” กาอินพูดกับอาแบลน้องชายว่า “เราจงไปในทุ่งนากันเถิด” ขณะที่ทั้งสอง คนอยู่ในทุ่งนา กาอินก็ลงมือทำ�ร้ายอาแบลน้องชายและฆ่าเสีย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามกาอินว่า “อาแบลน้องชายท่านอยู่ที่ไหน” เขาทูล ตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ ข้าพเจ้าเป็นผูด้ แู ลน้องหรือ” พระองค์ตรัสว่า “ท่านทำ� อะไรลงไป เลือดของน้องชายท่านจากพื้นดินร้องดังมาถึงเรา บัดนี้ท่านจะต้องถูก สาปแช่งให้ออกไปจากแผ่นดินที่อ้าปากรับโลหิตของน้องชายที่ท่านฆ่า เมื่อท่าน เพาะปลูก แผ่นดินจะไม่ให้ผลแก่ทา่ นอีก ท่านจะต้องเร่รอ่ นหลบหนีไปบนแผ่นดิน” กาอินทูลองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าว่า “โทษของข้าพเจ้าหนักเกินกว่าจะแบกรับได้ ดูซิ วัน นี้พระองค์ทรงขับไล่ข้าพเจ้าออกจากแผ่นดินนี้ ข้าพเจ้าต้องหลบซ่อนจากพระ พักตร์พระองค์ เร่ร่อนหนีหน้าผู้คนบนแผ่นดิน ใครพบข้าพเจ้าก็จะฆ่าข้าพเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ไม่ได้ ใครฆ่ากาอิน จะถูกแก้แค้นเป็นเจ็ดเท่า” และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�เครื่องหมายไว้ที่ตัวกาอิน เพื่อเตือนคนที่พบไม่ให้ ฆ่าเขา อาดัมมีเพศสัมพันธ์กบั ภรรยาอีก นางให้ก�ำ เนิดบุตรชายคนหนึง่ เรียกชือ่ ว่าเสท นางพูดว่า “เพราะ พระเจ้าประทานบุตรชายอีกคนหนึ่งแก่ข้าพเจ้าแทนอาแบล ซึ่งถูกกาอินฆ่า” พระวรสาร มก 8:11-13 เวลานั้น ชาวฟาริสีเข้ามาโต้เถียงกับพระเยซูเจ้า ขอให้ทรงแสดงเครื่องหมายจากฟ้าเพื่อทดสอบ พระองค์ถอนพระทัยลึกๆ ตรัสว่า “คนยุคนี้แสวงหาเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่ออะไร เราบอก ความจริงกับท่านว่า คนยุคนี้จะไม่ได้รับเครื่องหมายอย่างใดเลย” แล้วพระองค์ทรงแยกจากคนเหล่า นั้น เสด็จลงเรือข้ามไปอีกฟากหนึ่ง บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ทำ�ให้เราเข้าใจถึงพระเมตตาของพระเป็นเจ้าแบบไม่มีขอบเขต ถึงแม้วา่ บรรพบุรษุ ของเราจะกระทำ�บาปผิดต่อพระองค์ แต่พระเป็นเจ้าก็ยงั ทรงเห็นพวกเขามีคณ ุ ค่าในสาย พระเนตรของพระองค์เสมอ พวกเขายังคงเป็นคนของพระองค์ ถึงแม้เขาจะทำ�บาปผิดต่อพระองค์ก็ตาม พระเป็นเจ้าก็ไม่ทรงรักเราน้อยลงเลย แต่กลับให้โอกาสเราในการกลับใจมาหาพระองค์
บทอ่านที่1 ปฐก 6:5-8,7:1-5,10 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และ ใจของเขาคิดแต่สิ่งชั่วร้ายอยู่ตลอดเวลา องค์พระผู้เป็นเจ้าเสียพระทัยที่ได้ทรง สร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดิน และเศร้าพระทัย จึงตรัสว่า “เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่ เราสร้างมานี้ให้หมดสิ้นจากแผ่นดิน ไม่ว่าคนหรือสัตว์ สัตว์เลื้อยคลานหรือนกใน ท้องฟ้า เพราะเรารู้สึกเสียใจที่ได้สร้างมา” แต่โนอาห์เป็นที่โปรดปรานขององค์ พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับโนอาห์วา่ “ท่านจงเข้าไปในเรือ พร้อมกับครอบครัว ของท่าน เพราะในท่ามกลางคนร่วมสมัย เราเห็นว่าท่านเท่านั้นเป็นผู้ชอบธรรม ต่อหน้าเรา ท่านจงเอาสัตว์ทุกชนิดที่ไม่มีมลทินไปด้วยอย่างละเจ็ดคู่ ทั้งตัวผู้และ ตัวเมีย และสัตว์ที่มีมลทินอย่างละคู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย และจงเอานกในท้องฟ้า อย่างละเจ็ดคู่ ทัง้ ตัวผูแ้ ละตัวเมีย เพือ่ ช่วยชีวติ สัตว์ไว้ให้สบื พันธุท์ วั่ แผ่นดิน อีกเจ็ด วัน เราจะทำ�ให้ฝนตกบนแผ่นดินสีส่ บิ วันสีส่ บิ คืน และเราจะทำ�ลายล้างสัตว์มชี วี ติ ทั้งหมดที่เราได้สร้างไปจากพื้นแผ่นดิน” โนอาห์ทำ�ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง บัญชาทุกประการ เจ็ดวันต่อมา นํ้าวินาศก็เริ่มท่วมแผ่นดิน พระวรสาร มก 8:14-21 เวลานั้น บรรดาศิษย์ลืมนำ�ขนมปังไปด้วย และในเรือของเขามีขนมปังเหลือ เพียงก้อนเดียว พระเยซูเจ้าทรงกำ�ชับเขาว่า “จงระวังให้ดี จงระวังเชื้อแป้งของ ชาวฟาริสี และเชื้อแป้งของกษัตริย์เฮโรด” บรรดาศิษย์จึงพูดกันว่า “นี่เป็นเพราะ เราไม่มีขนมปัง” พระเยซูเจ้าทรงทราบ จึงตรัสว่า “ทำ�ไมท่านจึงถกเถียงกันเรื่อง ไม่มีขนมปัง ท่านยังไม่รู้ไม่เข้าใจอีกหรือ ท่านยังมีใจแข็งกระด้างกันอยู่อีกหรือ มี ตา แต่ไม่เห็น มีหู แต่ไม่ได้ยินหรือ ท่านจำ�ไม่ได้หรือว่า เมื่อเราบิขนมปังห้าก้อน เลี้ยงคนห้าพันคน ท่านเก็บเศษที่เหลือได้เต็มกี่กระบุง” เขาตอบว่า “สิบสอง กระบุง” “เมื่อเราบิขนมปังเจ็ดก้อนเลี้ยงคนสี่พันคน ท่านเก็บเศษที่เหลือได้เต็มกี่ ตะกร้า” เขาทูลตอบว่า “เจ็ดตะกร้า” แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านยังไม่ เข้าใจอีกหรือ” ผลของการที่มนุษย์ไม่ได้ฟังเสียงของพระ บาปจึงเข้ามาครอบงำ�จิตใจ ของเรามนุษย์ เป็นเหตุให้มนุษย์ตกในบาป โดยที่เราใช้อิสรภาพที่พระองค์มอบให้ไป ในทางตรงกันข้ามกับพระประสงค์ของพระองค์ จึงทำ�ให้พระพิโรธของพระเจ้ามาถึง พวกเขาโดยนํ้าวินาศ มีเพียงผู้ที่เชื่อฟังพระองค์เท่านั้นที่ได้รอดพ้นคือ โนอาห์และ ครอบครัวของเขาที่รอด ทำ�ให้เราเห็นว่าการที่เราฟังเสียงของพระในชีวิตของเรา จะ ทำ�ให้เราได้รับการอวยพรจากพระองค์เสมอ ไม่ว่าเราจะทำ�สิ่งใด พระเจ้าพร้อมที่จะ ปกป้องเราจากอันตรายทั้งหลายในการดำ�เนินชีวิตติดตามพระองค์
ระลึกถึง น.ซีริล นักบวช น.เมโทดิโอ พระสังฆราช สดด 29:1ก และ 2, 3-4,9-10 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา สดด 116:12-13, 14-15,18-19 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 ปฐก 8:6-13,20-22 ต่อมาอีกสี่สิบวัน โนอาห์เปิดหน้าต่างที่เขาสร้างไว้ในเรือ และปล่อยนกกา ออกไปตัวหนึง่ มันบินไปและกลับมาทุกวันจนกระทัง่ นํา้ บนแผ่นดินลดแห้ง เขายัง ปล่อยนกพิราบตัวหนึ่งเพื่อดูว่านํ้าลดจากพื้นแผ่นดินแล้วหรือยัง แต่นกพิราบหา ทีเ่ กาะไม่พบ มันจึงบินกลับมาหาเขาในเรือ เพราะนาํ้ ยังท่วมพืน้ แผ่นดินอยู่ เขาจึง ยื่นมือออกไปรับมันกลับเข้ามาในเรือกับเขา เขาคอยอยู่อีกเจ็ดวัน จึงปล่อยนก พิราบออกไปจากเรืออีก ครั้นถึงเวลาเย็น นกพิราบก็กลับมาหาเขา และคาบใบ มะกอกเทศเขียวสดมาด้วย โนอาห์จึงรู้ว่า นํ้าลดจากพื้นแผ่นดินแล้ว เขาคอยอีก เจ็ดวัน และปล่อยนกพิราบออกไปอีกครั้งหนึ่ง มันไม่กลับมาหาเขาอีกเลย เมือ่ โนอาห์มอี ายุหกร้อยหนึง่ ปี ในวันทีห่ นึง่ เดือนแรก นํา้ เริม่ แห้งจากแผ่นดิน โนอาห์เปิดหลังคาเรือ มองดูและเห็นว่า พื้นดินกำ�ลังแห้ง โนอาห์สร้างพระแท่นบูชาสำ�หรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเลือกสัตว์และนกที่ ไม่มมี ลทินแต่ละชนิดมาเผาเป็นเครือ่ งบูชาบนพระแท่นนัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรง ได้กลิ่นหอมของเครื่องบูชา จึงทรงดำ�ริในพระทัยว่า “เราจะไม่สาปแช่งแผ่นดิน เพราะการกระทำ�ของมนุษย์อีกเลย แม้เรารู้ว่าใจของมนุษย์มักปรารถนาแต่สิ่งชั่ว ร้ายตั้งแต่เป็นเด็ก เราก็จะไม่ทำ�ลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายอย่างที่เราได้กระทำ�มาแล้ว อีก ตราบใดที่แผ่นดินยังคงอยู่ ฤดูหว่านและฤดูเก็บเกี่ยว เวลาเย็นและเวลาร้อน ฤดูร้อนและฤดูหนาว วันและคืน ยังมีอยู่ต่อไปตราบนั้น” พระวรสาร มก 8:22-26 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมาพร้อมกับบรรดาศิษย์ถงึ เมืองเบธไซดา มีผนู้ �ำ คน ตาบอดคนหนึง่ มาขอให้พระองค์ทรงสัมผัส พระองค์ทรงจูงคนตาบอดออกไปนอก หมู่บ้าน ทรงใช้พระเขฬะแตะตาของเขา ทรงปกพระหัตถ์เหนือเขา ตรัสถามเขา ว่า “ท่านเห็นอะไรไหม” เขาเงยหน้าขึ้น ทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นผู้คนเหมือนกับ ต้นไม้เดินไปเดินมา” พระองค์ทรงวางพระหัตถ์แตะตาของเขาอีก เขาก็เห็นชัด และหายเป็นปกติ มองเห็นทุกอย่างได้ชดั เจน พระเยซูเจ้าทรงส่งเขากลับบ้าน ตรัส ว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้าน” ผลของการที่โนอาห์เชื่อฟังพระเจ้า ทำ�ให้เราและสมาชิกทุกคนใน ครอบครัวได้รับความรอดพ้นจากภัยนํ้าท่วม พระเจ้าจะทรงอวยพรทุกๆ คนที่เชื่อฟัง พระองค์ด้วยความสุภาพ ในทางกลับกัน สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ในวันนี้ ผล ของการไม่เชือ่ ฟังพระเจ้าจะนำ�ไปสูค่ วามหายนะและการสูญเสียอันยิง่ ใหญ่ทเี่ ราไม่อาจ จะคาดคิด ซึ่งทุกวันนี้เราได้เห็นเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภัย ธรรมชาติ ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ต่างก็พาความแตกแยกและภัยพิบัติ ต่างๆ มาในโลกของเรา ซึ่งมีแต่พระองค์เท่านั้นที่ช่วยเราได้
บทอ่านที่ 1 ปฐก 9:1-15 พระเจ้าทรงอวยพรโนอาห์และบรรดาบุตรของเขา ตรัสว่า “จงมีลูกมาก ทวี จำ�นวนขึ้นจนเต็มแผ่นดิน บรรดาสัตว์ทั้งปวงบนแผ่นดิน บรรดานกในท้องฟ้า บรรดาสิ่งที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน และปลาทั้งสิ้นในทะเลจะกลัวท่าน เรามอบ สัตว์ทั้งปวงไว้ในอำ�นาจของท่าน สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวทั้งหมดจะเป็นอาหารของ ท่าน ดังทีเ่ ราให้พชื เขียวเป็นอาหารแก่ทา่ นแล้ว แต่ทา่ นอย่ากินเนือ้ ทีม่ เี ลือดติดอยู่ เพราะเลือดนัน้ คือชีวติ เราจะทวงเลือดซึง่ เป็นชีวติ ของท่าน เราจะทวงจากสัตว์ทงั้ ปวงและจากมนุษย์ด้วย เราจะทวงชีวิตมนุษย์จากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน...” พระเจ้าตรัสว่า “นี่คือเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาซึ่งเวลานี้เรากำ�ลังทำ� ระหว่างเรากับท่าน และกับบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่กับท่านสืบไปทุกชั่วอายุ เราจะตั้งรุ้งของเราไว้บนเมฆ รุ้งนี้จะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรา กับแผ่นดิน เมื่อเราจะให้เมฆอยู่เหนือแผ่นดิน และรุ้งจะปรากฏขึ้นบนเมฆ เราจะ ระลึกถึงพันธสัญญาระหว่างเรากับท่านและกับสรรพสิ่งที่มีชีวิต และนํ้าวินาศจะ ไม่ท่วมทำ�ลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดอีก”
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา
สดด 102:15-17,18-20, 28 และ 21-22 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร มก 8:27-33 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์ไปตามหมู่บ้านต่างๆ ในบริเวณเมืองซีซารียาแห่ง ฟีลิป ขณะทรงพระดำ�เนิน พระองค์ตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร” เขาทูลตอบ ว่า “บ้างว่าเป็นยอห์นผู้ทำ�พิธีล้าง บ้างว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างก็ว่าเป็นประกาศกองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสถามอีกว่า “ท่านล่ะ ว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า” พระองค์ทรงกำ�ชับบรรดาศิษย์มิให้กล่าวเรื่องเกี่ยวกับพระองค์แก่ผู้ใด พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสอนบรรดาศิษย์ว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานอย่างมาก จะถูก บรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะ และธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่สามวันต่อ มาจะกลับคืนชีพ” พระองค์ทรงประกาศพระวาจานี้อย่างเปิดเผย เปโตรนำ�พระองค์แยกออกไป ทูล ทัดทาน แต่พระเยซูเจ้าทรงหันไปทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ ทรงตำ�หนิเปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไป ข้างหลังเรา อย่าขัดขวาง เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” นับตัง้ แต่พระเยซูเจ้าได้ทรงเริม่ ภารกิจแห่งการไถ่กมู้ วลมนุษย์อย่างเปิดเผยจนถึงวันทีน่ กั บุญ เปโตรประกาศความเชือ่ ของท่าน พระองค์ได้ทรงเผยแสดงตนเองผ่านทางการเทศน์สอนและอัศจรรย์ตา่ งๆ มากมาย วันนีพ้ ระองค์ทรงพูดกับผูท้ ตี่ อ้ งการติดตามพระองค์อย่างตรงๆ และชัดเจนว่าวิถที างการเป็นพระ เมสสิยาห์ของพระองค์เป็นวิถีทางแห่งไม้กางเขนหรือวิถีทางแห่งความทุกข์ทรมาน ด้วยความนบนอบต่อ พระประสงค์ของพระบิดา พระองค์จะทรงมอบชีวิตทั้งครบเพื่อเป็นสินไถ่สำ�หรับมวลมนุษย์ วิถีทางแห่งไม้ กางเขนที่พระองค์ทรงพูดถึงนั้นเรียกร้องการตัดสละนํ้าใจและความต้องการของตนเอง เพื่อจะได้มีช่อง ว่างในหัวใจและคิดถึงคนอื่นมากขึ้น แน่นอน วิถีทางนี้เป็นวิถีทางของทุกคนที่ต้องการติดตามพระองค์ โดย ไม่ยกเว้นใคร
น.เจ็ดองค์ผู้ตั้งคณะ ผู้รับใช้พระแม่มารีย์ สดด 33:10-12,13-15 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 ปฐก 11:1-9 มนุษย์ทั่วโลกพูดภาษาเดียวกัน ใช้ถ้อยคำ�เดียวกัน เมื่อเขาอพยพมาจากทิศ ตะวันออก ก็พบที่ราบในแผ่นดินชินาร์ จึงตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นั่น ต่างก็พูดกันว่า “มาเถิด เราจงทำ�อิฐ เผาให้สุกจนแข็ง” เขาใช้อิฐแทนหิน และใช้ยางมะตอยต่าง ปูนสอ แล้วพูดว่า “มาเถิด เราจงสร้างเมืองและสร้างหอให้ยอดสูงเทียมฟ้า เราจง สร้างชื่อเสียงไว้เพื่อเราจะไม่ต้องกระจัดกระจายกันไปทั่วแผ่นดิน” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเสด็จลงมาทอดพระเนตรเมืองและหอซึง่ มนุษย์ได้สร้างขึน้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ดูซิ เขาทุกคนเป็นชนชาติเดียวกัน มีภาษาเดียวกัน นี่ เป็นเพียงการเริม่ ต้นการงานของเขา บัดนี้ ไม่มอี ะไรทีเ่ ขาอยากทำ�แล้วทำ�ไม่ได้ มา เถิด เราจงลงไปและทำ�ให้ภาษาของมนุษย์สับสนวุ่นวาย จนเขาไม่เข้าใจกันอีกต่อ ไป” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงทรงกระทำ�ให้เขากระจัดกระจายจากทีน่ น่ั ไปทัว่ แผ่นดิน เขาจึงเลิกสร้างเมือง เพราะฉะนัน้ เมืองนีจ้ งึ มีชอื่ ว่า บาเบล เพราะว่าทีน่ นั่ องค์พระ ผูเ้ ป็นเจ้าทรงกระทำ�ให้ภาษาทัว่ แผ่นดินสับสนวุน่ วาย และทีน่ นั่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ทรงกระทำ�ให้มนุษย์กระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดิน
พระวรสาร มก 8:34-9:1 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนและบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง ให้แบกไม้กางเขนของตน และติดตามเรา ผูใ้ ดใคร่รกั ษาชีวติ ของตนให้รอดพ้น จะต้องสูญเสียชีวิตนั้น แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา และเพราะข่าวดี ก็จะรักษาชีวิตได้ มนุษย์ จะได้ประโยชน์ใดในการทีจ่ ะได้โลกทัง้ โลกเป็นกำ�ไร แต่ตอ้ งเสียชีวติ มนุษย์จะให้อะไรเพือ่ แลกกับชีวติ ที่สูญเสียไป ถ้าผู้ใดอับอายเพราะเราและเพราะถ้อยคำ�ของเราในยุคของคนไม่ซื่อสัตย์และชั่วร้ายนี้ บุตรแห่งมนุษย์กจ็ ะอับอายเพราะเขา เมือ่ พระองค์จะเสด็จมาในพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระบิดาพร้อมกับ บรรดาทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นเดียวกัน” พระองค์ยังตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า บางท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่ลิ้ม รสความตาย จนกว่าจะเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพร้อมด้วยพระอานุภาพ” พระเยซูเจ้าทรงให้สตู รพิเศษสำ�หรับการสร้างความเป็นนาํ้ หนึง่ ใจเดียวกันด้วยการประกาศว่า เราต้องเลิกนึกถึงตนเอง เพื่อจะได้นึกถึงคนอื่นมากขึ้น พระองค์ได้ทรงทำ�เป็นตัวอย่างสำ�หรับเราในเรื่องนี้ โดยการสละชีวิตบนไม้กางเขน และโดยทางกิจการอันยิ่งใหญ่นี้เอง พระองค์ได้ทรงนำ�พระพรของพระจิต เจ้ามาให้เรา เมือ่ พระจิตเจ้าเสด็จมาในวันเปนเตกอสเต การเปลีย่ นแปลงยิง่ ใหญ่ประการหนึง่ ได้เกิดขึน้ ความ พยายามของมนุษย์ที่จะสร้างหอบาเบลจบลงด้วยความสับสนวุ่นวายในเรื่องภาษา แต่ในวันเปนเตกอสเต พระจิตเจ้าได้ทรงนำ�มนุษย์ทพี่ ดู ภาษาต่างกันให้มารวมเป็นนํา้ หนึง่ ใจเดียวกัน เพือ่ สรรเสริญพระเจ้าเป็นเสียง เดียวกัน สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงต้องการจากเราคือ ความเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน สิ่งนี้เรียกร้องความไม่เห็น แก่ตัว ตัดสละนํ้าใจและผลประโยชน์ของตนเอง และความเต็มใจที่จะแบกไม้กางเขนของตนติดตามพระ เยซูเจ้า นี่แหละคือหนทางที่นำ�ไปสู่ความสุขแท้และสามารถสร้างสวรรค์บนโลกนี้
บทอ่านที่ 1 ฮบ 11:1-7 พี่น้อง ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นข้อพิสูจน์ถึงสิ่งที่มองไม่ เห็น เพราะความเชื่อนี้ คนในสมัยก่อนจึงได้รับการยกย่องในพระคัมภีร์... เพราะความเชื่อ อาแบลจึงถวายเครื่องบูชาที่ดีกว่าเครื่องบูชาของกาอินแด่ พระเจ้า ทำ�ให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ชอบธรรม... เพราะความเชื่อ เมื่อโนอาห์ได้รับคำ�เตือนของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องที่ยังไม่ เห็น เขาจึงมีความยำ�เกรงพระองค์และสร้างเรือใหญ่เพือ่ ช่วยให้ครอบครัวของตน รอดตาย และเพราะความเชื่อนี้เอง เขาตัดสินลงโทษโลก และได้เป็นทายาทแห่ง ความชอบธรรมซึ่งมาจากความเชื่อ
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา สดด 145:2-3, 4-5,10-11 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร มก 9:2-13 ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึน้ ไปบนภูเขาสูงตามลำ�พัง แล้วพระ วรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวเจิดจ้า ขาวผ่องอย่างที่ไม่มีช่าง ซักฟอกคนใดในโลกทำ�ให้ขาวเช่นนั้นได้ แล้วประกาศกเอลียาห์กับโมเสสแสดงตนสนทนาอยู่กับพระ เยซูเจ้า เปโตรจึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ทีน่ สี่ บายน่าอยูจ่ ริงๆ เราจงสร้างเพิงขึน้ สามหลัง เถิด หลังหนึ่งสำ�หรับพระองค์ หลังหนึ่งสำ�หรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำ�หรับประกาศกเอลียาห์” เขาไม่รู้ ว่ากำ�ลังพูดอะไรเพราะศิษย์ทงั้ สามคนต่างตกใจกลัว ครัน้ แล้วเมฆก้อนหนึง่ ลอยมาปกคลุมเขาไว้ มีเสียง หนึ่งออกมาจากเมฆก้อนนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด”... ขณะที่กำ�ลังลงจากภูเขา พระองค์ตรัสสั่งเขามิให้เล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่ง มนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ศิษย์ทั้งสามคนเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่บอกใครแต่ยังปรึกษากันว่า “จนกว่าจะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย” นี้ หมายความว่าอย่างไร เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “เหตุใด บรรดาธรรมาจารย์กล่าวว่า ประกาศกเอลียาห์จะต้องมาก่อน” พระองค์ตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว เอลียาห์ มาก่อนเพื่อจัดทุกสิ่งให้เข้าสภาพเดิม พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไรเกี่ยวกับบุตรแห่งมนุษย์ พระคัมภีร์ เขียนว่าบุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทุกข์ทรมานอย่างมาก และถูกเหยียดหยาม ดังนั้น เราบอกท่านว่า ‘ประกาศกเอลียาห์ได้มาแล้ว และประชาชนได้ทำ�กับเขาตามความพอใจ ดังที่มีเขียนถึงเขาไว้ในพระ คัมภีร์’” หลายครั้งเราไม่ต่างจากอัครสาวกในพระวรสารวันนี้เท่าใดนัก เมื่อเราได้รับพระพรและทุก สิง่ ทุกอย่างดำ�เนินไปอย่างราบรืน่ เรามีความสุขและไม่อยากให้ชว่ งเวลาดีๆ ผ่านพ้นไป แต่เมือ่ เราเผชิญหน้า กับการทดลอง เจอมรสุมชีวิต เราทุกข์ใจและต้องการหนีไปไกลๆ จนลืมเงื่อนไขของการเป็นศิษย์ที่พระเยซู เจ้าทรงเรียกร้องจากเราให้เลิกนึกถึงตนเอง แบกไม้กางเขนของตน และติดตามพระองค์ไปเหมือนอัครสาวก เราต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเส้นทางสู่พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ แต่ต้องผ่าน สวนเกทเสมนีและเนินเขากัลวารีโอ อย่างไรก็ตาม สิง่ ทีเ่ กิดขึน้ กับพระเยซูเจ้าจะเกิดขึน้ กับเราผูเ้ ป็นศิษย์ของ พระองค์ด้วย ถ้าเราเต็มใจร่วมเดินทางไปพร้อมกับพระองค์บนเส้นทางสายนี้ เราจะมีส่วนร่วมในพระสิริ รุ่งโรจน์ของพระองค์อย่างแน่นอน ขอให้การแสดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าเป็นกำ�ลังใจและ แรงบันดาลใจให้เราติดตามพระองค์บนเส้นทางแห่งไม้กางเขนบนโลกนี้อย่างมั่นใจตลอดไป
สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านจากหนังสือเลวีนิติ ลนต 19:1-2,17-18 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของ ท่านเป็นผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิ์ ท่านจะต้องไม่เก็บความเกลียดชังพีน่ อ้ งไว้ในใจ แต่จงตักเตือน เพือ่ นบ้านอย่างตรงไปตรงมา ท่านจะได้ไม่ตอ้ งรับผิดชอบบาปของเขา ท่านจะต้อง ไม่แก้แค้น หรืออาฆาตชนชาติเดียวกับท่าน แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า” เพลงสดุดี สดด 103:1-2,3-4,8-10,12-13 ก) จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ส่วนลึกของข้าพเจ้า จงถวายพระพรแด่พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงอย่าลืมพระคุณต่างๆ ที่พระองค์ประทานให้ ข) พระองค์ประทานอภัยความผิดทั้งหลายของท่าน ทรงรักษาโรคภัยทั้งหมดของท่าน ทรงช่วยชีวิตท่านให้พ้นจากเหวลึก ประทานความรักมั่นคงและพระเมตตาเป็นดังมงกุฎแก่ท่าน ค) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระกรุณาและทรงเมตตาสงสาร กริ้วช้า ทรงความรักมั่นคงอย่างเต็มเปี่ยม พระองค์ไม่ทรงกล่าวโทษเราตลอดไป ไม่ทรงเคืองแค้นเป็นเวลานาน พระองค์ไม่ทรงปฏิบัติต่อเราตามที่บาปของเราสมควรจะได้รับ ไม่ทรงตอบแทนเราให้สาสมกับความผิดของเรา ง) ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ก็ทรงกันความผิดของเราออกไปห่างไกลจากเราเท่านั้น บิดาเมตตาสงสารบุตรของตนฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเมตตาสงสารผู้ยำ�เกรงพระองค์ฉันนั้น บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 3:16-23 พี่น้อง ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระจิต ของพระเจ้าทรงพำ�นักอยู่ในท่าน ถ้าใครทำ�ลายพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะ ทรงทำ�ลายเขา เพราะพระวิหารของพระเจ้านัน้ ศักดิส์ ทิ ธิ์ และท่านก็คอื พระวิหาร นั้น
จงอย่าหลอกลวงตนเอง ถ้าท่านใดคิดว่าตนเองเป็น คนฉลาดในโลกนี้ ก็จงยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนฉลาด อย่างแท้จริง เพราะความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ในโลก นี้เป็นความโง่เขลาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ดังที่มี เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “พระองค์ทรงจับคนฉลาดด้วย อุบายของเขาเอง” และยังมีเขียนไว้อีกว่า “องค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงทราบว่าความคิดของคนฉลาดเป็นสิ่งไร้ ประโยชน์” ฉะนั้น อย่าให้ใครยกเอามนุษย์มาอวด เพราะทุกสิง่ เป็นของพวกท่าน เปาโลก็ดี อปอลโล เคฟาส โลก ชีวิต ความตาย สิ่งปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน อนาคตก็ดี ทุกสิง่ ล้วนเป็นของท่าน แต่ทา่ นเป็นของพระ คริสต์และพระคริสต์เป็นของพระเจ้า บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:38-48 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคน ชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของ ท่าน ก็จงแถมเสือ้ คลุมให้เขาด้วย ผูใ้ ดจะเกณฑ์ให้ทา่ นเดินไปกับเขาหนึง่ หลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด ผู้ใดขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน ท่านทั้งหลายได้ยินคำ�กล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผทู้ เี่ บียดเบียนท่าน เพือ่ ท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรด ให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำ�เหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำ�อะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด” คำ�สัง่ ของพระองค์ในวันนีช้ ดั เจนคือ เราต้องรักศัตรูและอธิษฐานภาวนาให้ผทู้ เี่ บียดเบียนเรา แน่นอน คนต่างความเชื่อบางคนอาจคิดว่าแนวทางในการดำ�เนินชีวิตแบบนี้เป็นเรื่องเหลวไหล มีแต่คนบ้า เท่านั้นที่ปฏิบัติตามคำ�สั่งนี้ แต่พระเยซูเจ้าทรงหมายถึงสิ่งที่พระองค์ทรงพูดจริงๆ และคำ�พูดของพระองค์ ก็ไม่ได้เป็นอุดมคติทเี่ ลือ่ นลอย พระองค์ไม่ทรงเคยเรียกร้องสิง่ ทีพ่ ระองค์เองไม่ได้ทรงกระทำ�จากผูต้ ดิ ตาม พระองค์ เราทราบดีวา่ พระองค์ทรงรักแม้แต่ศตั รูของพระองค์ พระองค์ทรงสิน้ พระชนม์บนไม้กางเขนเพือ่ คนบาปทัง้ หลาย พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาเพือ่ ทุกคนทีม่ สี ว่ นเกีย่ วข้องในการประหารชีวติ พระองค์ “พระ บิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำ�ลังทำ�อะไร” (ลก 23:34) พระองค์ไม่ทรงเคย คิดทำ�ร้ายใครและทรงพร้อมที่จะให้อภัยแก่ทุกคน
สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา
บทอ่านที่ 1 บสร 1:1-10 ปรีชาญาณทัง้ มวลมาจากองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และอยูก่ บั พระองค์ตลอดไป เม็ด ทรายในทะเล หยาดนํ้าฝน วันที่โลกคงอยู่ ใครเล่าจะนับได้ ความสูงของท้องฟ้า ความกว้างของแผ่นดิน ความลึกแห่งห้วงสมุทร ใครเล่าจะสำ�รวจได้ ปรีชาญาณ ถูกเนรมิตขึ้นมาก่อนสิ่งใด ความรู้รอบคอบมีมาแต่นิรันดร ใครเล่าได้รับการเปิด เผยถึงที่มาของปรีชาญาณ ใครเล่ารู้ความคิดลึกลํ้าของปรีชาญาณ มีเพียงผู้เดียว เท่านั้นที่มีปรีชาและน่าเกรงขาม คือพระองค์ผู้ประทับบนพระบัลลังก์...
สดด 93:1,2,5 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร มก 9:14-29 เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงจากภูเขาพร้อมกับศิษย์ทั้งสามคน มาพบ ศิษย์คนอื่น ทรงเห็นประชาชนจำ�นวนมากห้อมล้อมบรรดาศิษย์... ทันทีที่เห็น พระองค์ ประชาชนทั้งหลายต่างประหลาดใจและและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์ พระองค์ตรัสถาม บรรดาศิษย์ว่า “ท่านกำ�ลังถกเถียงเรื่องอะไรหรือ” คนหนึ่งในกลุ่มชนตอบว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าพาบุตรชายที่ปีศาจสิงให้เป็นใบ้มาเฝ้าพระองค์ เมื่อปีศาจสิง มันผลักเขาให้ล้มลง นํ้าลายฟูม ปาก กัดฟัน และตัวแข็งทื่อ ข้าพเจ้าได้ขอให้ศิษย์ของพระองค์ขับไล่มัน แต่เขาทำ�ไม่สำ�เร็จ” พระองค์ ตรัสตอบว่า “คนหัวดื้อ เชื่อยาก เราจะต้องอยู่กับท่านอีกนานเท่าใด จะต้องทนท่านอีกนานเท่าใด จง พาเด็กมาพบเราเถิด” เขาจึงพาเด็กนั้นมาเฝ้าพระองค์ เมื่อเห็นพระองค์ ปีศาจก็ทำ�ให้เด็กชักล้มลงกับ พื้นดิน กลิ้งไปมา นํ้าลายฟูมปาก พระเยซูเจ้าทรงถามบิดาของเด็กว่า “เป็นดังนี้นานเท่าไรแล้ว” เขา ทูลตอบว่า “ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ ปีศาจได้ผลักเด็กลงในกองไฟหลายครั้ง บางครั้งผลักลงในนํ้าเพื่อ ให้ตาย ถ้าพระองค์ทรงทำ�สิ่งใดได้ ก็ทรงกรุณาช่วยเราด้วยเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าทำ�ได้น่ะหรือ ทุกสิง่ เป็นไปได้ทงั้ นัน้ สำ�หรับผูม้ คี วามเชือ่ ” ทันใดนัน้ บิดาของเด็กก็รอ้ งว่า “ข้าพเจ้าเชือ่ โปรดช่วยความ เชื่อเล็กน้อยของข้าพเจ้าด้วยเถิด” เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนเข้ามามากยิ่งขึ้น พระองค์จึงตรัสสำ�ทับปีศาจว่า “เจ้าปีศาจหนวกใบ้ เราสั่งเจ้าให้ออกจากเด็กคนนี้ และอย่ากลับเข้ามา อีกเลย” ปีศาจจึงร้องเสียงดังและทำ�ให้เด็กมีอาการชักอย่างรุนแรง แล้วปีศาจก็ออกไป เด็กนอนนิ่ง เหมือนคนตาย จนคนส่วนมากพูดกันว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูเจ้าทรงจับมือเด็ก ทรงช่วยพยุงให้ ลุกขึ้น เขาก็ยืนขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์เป็นการส่วน ตัวว่า “ทำ�ไมพวกเราจึงขับไล่มนั ไม่ได้” พระองค์ตรัสตอบว่า “ปีศาจชนิดนีข้ บั ไล่ออกไม่ได้เลย นอกจาก ด้วยการอธิษฐานภาวนาเท่านั้น”
เรือ่ งราวในพระวรสารวันนี้ เป็นเครือ่ งหมายทีช่ ใี้ ห้เห็นว่าความตายจะไม่มวี นั เอาชนะพระองค์ ได้ พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งชีวิต ผู้ทรงมีอำ�นาจเหนือบาปและความตาย การรักษาเด็กที่ถูกปีศาจสิงเป็น ภาพล่วงหน้าของอำ�นาจที่พระองค์จะทรงใช้เพื่อช่วยเหลือเราแต่ละคน บาปครอบงำ�เราและทำ�ให้เราเจ็บ ป่วยปางตาย พระเยซูเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีอำ�นาจรักษาเราได้ ผ่านทางนํ้าแห่งศีลล้างบาปพระองค์ทรงชำ�ระ เราให้บริสุทธิ์จากบาปกำ�เนิด ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงฟื้นฟูพละกำ�ลังและทำ�ให้ชีวิตฝ่ายจิตของเราเข้มแข็ง ด้วยศีลมหาสนิท ซึ่งเป็นพระกายและพระโลหิตของพระองค์ สักวันหนึ่งเราทุกคนต้องตาย แต่ด้วยความ เชือ่ ในพระเยซูเจ้า เรามัน่ ใจว่าพระองค์จะทรงพยุงเราให้ลกุ ขึน้ และนำ�เรามายืนอยูเ่ ฉพาะพระพักตร์ของพระ บิดาเจ้าสวรรค์
บทอ่านที่ 1 บสร 2:1-11 ลูกเอ๋ย ถ้าท่านปรารถนาจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จงเตรียมตัวรับการ ทดลองเถิด จงมีใจเทีย่ งตรงและมัน่ คง อย่าตกใจเมือ่ ตกทุกข์ได้ยาก จงยึดพระองค์ ไว้ อย่าพรากจากพระองค์ไปเลย เพื่อท่านจะได้รับเกียรติในวันสุดท้ายของท่าน จงยอมรับทุกสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ กับท่าน จงพากเพียรเมือ่ ต้องเผชิญกับเคราะห์รา้ ย เพราะ ทองคำ�ต้องถูกทดลองในไฟฉันใด ผู้ที่พระเจ้าพอพระทัยก็ต้องรับการทดลองให้ ตกตํ่าประหนึ่งอยู่ในไฟฉันนั้น จงวางใจในพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงช่วยเหลือ ท่าน จงเดินตามทางตรง และมีความหวังในพระองค์เถิด ท่านทั้งหลายที่ยำ�เกรง องค์พระผู้เป็นเจ้า จงรอรับพระเมตตา อย่าเดินนอกทาง เพื่อจะไม่ต้องล้ม ท่าน ทั้งหลายที่ยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงวางใจพระองค์ แล้วรางวัลของท่านจะไม่ หลุดมือไป ท่านทัง้ หลายทีย่ �ำ เกรงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า จงหวังรับสิง่ ดี ความสุขนิรนั ดร และพระเมตตาจากพระองค์... เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้ามีพระทัยสงสารและเมตตา ทรงอภัยบาปและทรงช่วยให้รอดพ้นในยามทุกข์ร้อน
น.เปโตร ดามีอานี พระสังฆราช นักปราชญ์ สดด 37:3-4,17-19, 27-28,39-40 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร มก 9:30-37 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นพร้อมกับบรรดาศิษย์ผ่านแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรง ต้องการให้ผใู้ ดรู้ ทรงสัง่ สอนบรรดาศิษย์ และตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบในเงือ้ มมือของคนทัง้ หลาย เขาจะประหารชีวติ พระองค์ แต่เมือ่ ถูกประหารแล้ว ในวันทีส่ ามพระองค์จะกลับคืนชีพ” บรรดา ศิษย์ไม่เข้าใจพระวาจานี้ แต่ก็ไม่กล้าทูลถาม พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อเสด็จเข้าไปในบ้าน พระองค์ ตรัสถามเขาว่า “ท่านถกเถียงกันเรื่องอะไรขณะที่เดินทาง” เขาก็นิ่ง เพราะระหว่างทางเขาถกเถียงกัน ว่า ผู้ใดยิ่งใหญ่กว่ากัน พระองค์จึงประทับนั่ง แล้วทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามา ตรัสว่า “ถ้าผู้ ใดอยากเป็นคนที่หนึ่ง ก็ให้ผู้นั้นทำ�ตนเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน” ครั้นแล้วพระองค์ ทรงจูงเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนกลางกลุ่มพวกเขา ทรงโอบเด็กนั้นไว้ ตรัสว่า “ผู้ใดที่ต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ก็ต้อนรับเรา และผู้ใดที่ต้อนรับเรา ก็มิใช่ต้อนรับเพียงเราเท่านั้น แต่ต้อนรับผู้ที่ ทรงส่งเรามาด้วย” วันนีพ้ ระเยซูเจ้าทรงทำ�นายถึงพระทรมานทีพ่ ระองค์จะทรงรับ บนโลกนีค้ งไม่มใี ครทีต่ อ้ งทน ทุกข์ทรมานทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตใจมากกว่าพระเยซูเจ้า อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงทำ�นายถึงไม่เพียง พระทรมานและการสิน้ พระชนม์เท่านัน้ แต่การกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ดว้ ย พระองค์ทรงมอบชีวติ แด่พระบิดาอย่างสมบูรณ์แบบโดยการสิน้ พระชนม์บนไม้กางเขน และพระบิดาได้ทรงตอบสนองกิจการแห่ง ความนบนอบสูงสุดของพระองค์ด้วยการทำ�ให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม พระเยซูเจ้าทรงผ่านจากความโศกเศร้าไปสูค่ วามยินดี จากความทุกข์ยากลำ�บากสูพ่ ระสิรริ งุ่ โรจน์ จากความ ตายสู่ชีวิต ในยามที่เราต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลำ�บาก ให้เรามองดูชีวิตของพระเยซูเจ้าด้วยความ เชือ่ แล้วเราจะพบว่าความไว้วางใจในพระบิดาของพระองค์ไม่ท�ำ ให้พระองค์ผดิ หวังเลย ความไว้วางใจของ เราในพระเจ้าก็จะไม่มีวันผิดหวังเช่นเดียวกัน
ฉลองธรรมาสน์ นักบุญเปโตร อัครสาวก สดด 23:1-3,4,5,6
บทอ่านที่ 1 1 ปต 5:1-4 พี่น้องที่รัก โดยเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง เป็นพยานถึงพระทรมาน ของพระคริสตเจ้า และมีส่วนจะรับพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะปรากฏในอนาคตด้วย ข้าพเจ้าขอร้องบรรดาผู้อาวุโสในกลุ่มของท่านทั้งหลาย จงเลี้ยงดูฝูงแกะของ พระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่าน จงดูแลด้วยความเต็มใจตามพระประสงค์ของ พระเจ้า มิใช่ดแู ลด้วยความจำ�ใจ จงดูแลด้วยความสมัครใจ มิใช่ดแู ลเพราะเห็นแก่ อามิสสินจ้าง จงเป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะ มิใช่เป็นเหมือนเจ้านายเหนือผู้ที่อยู่ใต้ ปกครอง เมื่อพระคริสตเจ้าพระผู้เลี้ยงสูงสุดจะทรงสำ�แดงพระองค์ ท่านจะได้รับ สิริรุ่งโรจน์เป็นมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย พระวรสาร มธ 16:13-19 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟีลิป และตรัสถาม บรรดาศิษย์วา่ “คนทัง้ หลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้าง กล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำ�พิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่า เป็นประกาศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คอื พระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผูท้ รงชีวติ ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบ เขาว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ทเี่ ปิดเผยให้ทา่ นรู้ แต่ พระบิดาเจ้าของเราผูส้ ถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านเป็นศิลา และ บนศิลานี้ เราจะสร้างพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระ ศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิง่ ทีท่ า่ นจะผูกบนแผ่นดิน นี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” ในภาษากรีกคำ�ว่า “เปโตร” แปลว่า “ศิลา” ดังนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรง เรียกซีโมนว่า “เปโตร” พระองค์ทรงกำ�ลังบอกว่าท่านเป็นคนที่มั่นคงและเข้มแข็งดุจ ศิลา เป็นบางสิ่งที่เหมาะสมสำ�หรับใช้เป็นฐานของสิ่งปลูกสร้างทั้งหลาย ก่อนหน้านี้ พระเยซูเจ้าทรงพูดเป็นอุปมาว่าคนมีปญ ั ญาสร้างบ้านไว้บนศิลา เมือ่ ฝนตก นํา้ ไหลเชีย่ ว และลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านจะไม่พัง เพราะมีฐานที่มั่นคง อันที่จริง เปโตร ไม่ใช่คนทีม่ นั่ คงเข้มแข็งเท่าใดนัก ท่านอ่อนแอมากจนกระทัง่ ปฏิเสธพระเยซูเจ้าถึงสาม ครั้ง อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้าทรงเลือกท่านให้เป็นฐานที่มั่นคงและเข้มแข็งของพระ ศาสนจักร และพระองค์ทรงมั่นใจในการเลือกครั้งนี้มากจนถึงกับให้คำ�มั่นสัญญาต่อ ไปอีกว่า “ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้” (มธ 16:18) พระองค์ทรงมั่นใจ ว่า เมื่อกระแสนํ้าเชี่ยวทะลักเข้ามาและลมพายุพัดโหมกระหนํ่าเข้าใส่ พระศาสนจักร จะสามารถยืนหยัดตั้งมั่นและไม่มีวันพังทลายลง เพราะตั้งมั่นอยู่บน “เปโตร” หรือ “ศิลา” นั่นเอง
บทอ่านที่ 1 บสร 5:1-8 อย่าวางใจในทรัพย์สมบัตขิ องท่าน อย่าพูดว่า “ฉันไม่ตอ้ งพึง่ ใคร” อย่าคล้อย ตามความโน้มเอียงและกำ�ลังของท่าน จงทำ�ทุกอย่างที่ใจปรารถนา อย่าพูดว่า “ใครจะมามีอำ�นาจเหนือฉัน” เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงโทษท่านอย่าง แน่นอน อย่าอวดว่า “ฉันทำ�บาปก็ไม่เห็นเป็นไร” เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง รู้จักคอยเวลาของพระองค์ อย่ามั่นใจว่าจะได้รับอภัย จนทำ�บาปมากยิ่งขึ้น อย่า พูดว่า “พระเมตตาของพระองค์ใหญ่ยงิ่ นัก พระองค์จะทรงอภัยบาปมากมายของ ฉัน” เพราะพระองค์ทงั้ ทรงให้อภัยและทรงลงโทษ พระองค์จะทรงลงโทษคนบาป เมื่อใดก็ได้ อย่ารีรอที่จะกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงโทษโดยฉับพลัน และท่านจะพินาศในวัน พิพากษา อย่าวางใจในทรัพย์สมบัติที่ได้มาอย่างอยุติธรรม ทรัพย์สินเช่นนี้จะไม่ เป็นประโยชน์ในวันเคราะห์ร้าย
ระลึกถึง น.โปลีการ์ป พระสังฆราช มรณสักขี
สดด 1:1-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร มก 9:41-50 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดให้นํ้าท่านดื่มเพียงแก้วหนึ่งเพราะท่านเป็นคนของพระคริสตเจ้า เราบอกความจริงกับท่าน ว่า เขาจะได้บำ�เหน็จรางวัลอย่างแน่นอน” “ผู้ใดเป็นเหตุให้คนธรรมดาๆ ที่มีความเชื่อเหล่านี้ทำ�บาป ถ้าเขาจะถูกผูกคอด้วยหินโม่ถ่วงใน ทะเลก็ยังดีกว่ากระทำ�ดังกล่าว ถ้ามือข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงตัดมันทิ้งเสีย ท่าน จะเข้าสูช่ วี ติ นิรนั ดรโดยมีมอื ข้างเดียว ยังดีกว่ามีมอื ทัง้ สองข้างแต่ตอ้ งตกนรกในไฟทีไ่ ม่รดู้ บั ถ้าเท้าข้าง หนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงตัดมันทิ้งเสีย ท่านจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรโดยมีเท้าข้างเดียว ยังดี กว่ามีเท้าทั้งสองข้างแต่ถูกโยนลงนรก ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงควักมันออก เสีย ท่านจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า โดยมีตาข้างเดียว ยังดีกว่ามีตาทั้งสองข้างแต่ต้องถูกโยน ลงนรก ที่นั่นหนอนไม่รู้ตาย ไฟไม่รู้ดับ เพราะทุกคนจะถูกดองด้วยเกลือและไฟ เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้า เกลือจืด ท่านจะนำ�สิง่ ใดมาทำ�ให้เกลือเค็มได้อกี จงมีเกลือไว้ในท่านเถิด และจงอยูอ่ ย่างสันติกบั ผูอ้ นื่ ” เหมือนคนทั่วไปในสมัยนั้น พระเยซูเจ้าทรงใช้สำ�นวนโวหารที่เรียกว่า “การกล่าวเกินจริง” ซึ่ง นิยมใช้กัน เพื่อเน้นความสำ�คัญและความจำ�เป็นของสิ่งที่ต้องการบอกผู้ฟัง แน่นอน เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถ้ามือข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงตัดมันทิ้งเสีย” (มก 9:43) หรือ “ถ้าเท้าข้างหนึ่งของท่าน เป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงตัดมันทิ้งเสีย” (มก 9:45) หรือ “ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จง ควักมันออกเสีย” (มก 9:47) พระองค์ไม่ได้ทรงต้องการให้เราตัดมือ ตัดเท้า หรือควักลูกตาของเราออกเพือ่ เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะนั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องและตรงประเด็น อวัยวะภายนอกดังกล่าวนี้ไม่ ได้เป็นต้นตอของบาป จริงๆ แล้วบาปมีตน้ กำ�เนิดอยูใ่ นจิตใจของเรามากกว่า สิง่ ทีพ่ ระองค์ทรงต้องการบอก เราคือ เราต้องพยายามทุกวิถที างและพร้อมทีจ่ ะตัดขาดจากทุกอย่างทีอ่ าจเป็นสาเหตุให้เราทำ�บาปหนัก ซึง่ จะทำ�ให้เราสูญเสียชีวิตนิรันดร
สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา
สดด 119:12,15-17, 18-20,27,34-35 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 บสร 6:5-17 ปากหวานทวีจ�ำ นวนมิตรสหาย วาจาสุภาพส่งเสริมอัธยาศัยไมตรี มีมติ รมาก ไว้เป็นการดี แต่จงมีที่ปรึกษาเพียงคนเดียวในพันคน ถ้าท่านต้องการมีเพื่อน จง ลองใจเขาก่อน อย่าด่วนไว้ใจเขา บางคนเป็นเพื่อนเมื่อได้ประโยชน์ แต่เมื่อท่าน ลำ�บาก เขาก็หายหน้าไป มิตรบางคนกลายเป็นศัตรู และนำ�การวิวาทกับท่านไป โพนทะนาให้ท่านต้องอับอาย บางคนเป็นเพื่อนกิน แต่เมื่อท่านลำ�บาก เขาก็หาย หน้าไป เมื่อทุกอย่างราบรื่น เขาก็เป็นเพื่อนคู่ใจ ทำ�ตนเป็นนาย บังอาจสั่งผู้รับใช้ ของท่าน แต่เมื่อท่านตกอับ เขาก็จะลุกขึ้นมาเป็นศัตรูกับท่าน คอยหลีกเลี่ยงไม่ พบหน้าท่าน จงอยู่ห่างจากศัตรูของท่าน และจงคอยระวังเพื่อนของท่าน เพื่อน ซือ่ สัตย์เป็นทีป่ กป้องแข็งแรง ใครพบมิตรเช่นนีก้ เ็ หมือนได้พบสมบัติ เพือ่ นซือ่ สัตย์ หาค่ามิได้ ไม่มีมาตรใดวัดค่าของเขาได้ เพื่อนซื่อสัตย์เป็นเสมือนยาอายุวัฒนะ ผู้ ยำ�เกรงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเท่านัน้ จะพบเขาได้ ผูย้ �ำ เกรงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าย่อมรักษา มิตรภาพอย่างมั่นคง เขาเป็นเช่นใด เพื่อนของเขาก็เป็นเช่นนั้น
พระวรสาร มก 10:1-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นเข้าไปในเขตแคว้นยูเดียและอีกฟากหนึ่งของแม่นํ้า จอร์แดน ประชาชนมาเฝ้าพระองค์อีกครั้งหนึ่ง พระองค์จึงทรงสอนเขาอีกเช่นเคย ชาวฟาริสีบางคน ทูลถามหวังจะจับผิดพระองค์ว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่ชายจะหย่ากับภรรยา” พระองค์ตรัสตอบ ว่า “โมเสสได้บัญญัติไว้ว่าอย่างไร” เขาทูลตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้ทำ�หนังสือหย่าร้างและหย่ากัน ได้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เพราะใจดื้อแข็งกระด้างของท่าน โมเสสจึงได้เขียนบัญญัติข้อนี้ไว้ แต่ เมื่อแรกสร้างโลกนั้นพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง ดังนั้น ชายจะละบิดามารดา และ ชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนี้ เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้า ทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าแยกเลย” เมือ่ กลับเข้าไปในบ้านแล้ว บรรดาศิษย์ทลู ถามถึงเรือ่ งนีอ้ กี พระองค์ จึงตรัสตอบว่า “ผูใ้ ดหย่าร้างภรรยา และแต่งงานกับอีกคนหนึง่ ก็ท�ำ ผิดประเวณีตอ่ ภรรยาคนเดิม และ ถ้าหญิงคนหนึ่งหย่ากับสามีไปแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง ก็ทำ�ผิดประเวณีเช่นเดียวกัน” ปัจจุบันนี้ในแทบทุกประเทศสถิติการหย่าร้างของคู่สมรสพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่อง ปกติ แม้แต่ในแวดวงคาทอลิกของเรา ในฐานะศิษย์ของพระเยซูเจ้าเราควรยอมรับเรือ่ งปกติส�ำ หรับคนทัว่ ไป ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่? แน่นอน “ไม่” จำ�ไว้เสมอคือ ไม่มีคำ�ว่า “การหย่าร้าง” อยู่ในพจนานุกรมของ พระเจ้าสำ�หรับคาทอลิกที่แต่งงานอย่างถูกต้อง พระศาสนจักรอนุญาตให้บางคนแต่งงานใหม่ได้เฉพาะใน กรณีที่พิสูจน์ได้ว่าการแต่งงานของเขาที่ผ่านมาไม่ถูกต้องหรือเป็นโมฆะเท่านั้น พระศาสนจักรถือว่าการ แต่งงานของคาทอลิกเป็นการแสดงออกแบบมนุษย์ของความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเราผู้ซึ่งเป็นประชากร ของพระองค์ ซึ่งเป็นความรักที่ไร้เงื่อนไขและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ความรักที่สามีและภรรยามีต่อกัน จึงต้องเป็นความรักแท้ที่ปราศจากเงื่อนไขและไม่มีวันเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาอาจต้อง เผชิญหน้ากับอุปสรรคและปัญหามากมายในชีวิตก็ตาม
บทอ่านที่ 1 บสร 17:1-15 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเนรมิตสร้างมนุษย์จากดิน และทรงบันดาลให้เขากลับ เป็นดินอีก พระองค์ทรงกำ�หนดวันและเวลาไว้แก่มนุษย์ ทรงมอบอำ�นาจเหนือทุก สิง่ บนแผ่นดินให้เขา ประทานให้มนุษย์มกี �ำ ลังเหมือนพระองค์ ทรงเนรมิตเขาตาม ภาพลักษณ์ของพระองค์ ทรงบันดาลให้สตั ว์ทงั้ หลายเกรงกลัวมนุษย์ มนุษย์จะได้ เป็นนายปกครองสัตว์ปา่ และนกทัง้ ปวง พระองค์ประทานความคิด ลิน้ ตา หู และ ใจแก่มนุษย์ เพือ่ เขาจะรูจ้ กั คิด พระองค์โปรดให้เขามีความรูแ้ ละความเข้าใจอย่าง เต็มเปีย่ ม ทรงชีน้ �ำ ให้เขารูจ้ กั ความดีและความชัว่ พระองค์ประทานแสงสว่างของ พระองค์ในจิตใจของเขา ทรงสำ�แดงให้เขาเห็นความยิ่งใหญ่แห่งพระราชกิจของ พระองค์ มนุษย์จะได้สรรเสริญพระนามศักดิส์ ทิ ธิข์ องพระองค์ และบอกเล่าความ ยิ่งใหญ่แห่งพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ประทานความรู้แก่เขา ทรงมอบกฎ แห่งชีวติ เป็นมรดกแก่เขา ทรงกระทำ�พันธสัญญานิรนั ดรกับเขา ทรงเผยให้เขารูจ้ กั บทบัญญัติของพระองค์ ตาของเขาได้ชมพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ หูของเขาได้ยิน พระสุรเสียงดังกังวานของพระองค์ พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “จงละเว้นความ อยุติธรรมทั้งปวง” ประทานบทบัญญัติให้แต่ละคนปฏิบัติต่อเพื่อนบ้าน ความ ประพฤติของมนุษย์อยูเ่ ฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ ไม่ซอ่ นพ้นสายพระเนตรไป ได้เลย
สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา สดด 103:13-14, 15-16,17-18 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร มก 10:13-16 เวลานั้น มีผู้นำ�เด็กเล็กๆ มาเฝ้าพระเยซูเจ้าเพื่อทรงสัมผัสอวยพร แต่บรรดา ศิษย์กลับดุว่าคนเหล่านั้น เมื่อทรงเห็นเช่นนี้ พระองค์กริ้ว ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้า เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้ เราบอกความจริงกับท่านว่า ผู้ใดไม่รับพระ อาณาจักรของพระเจ้าอย่างเด็กเล็กๆ เขาจะไม่เข้าสู่พระอาณาจักรนั้นเลย” แล้ว พระองค์ทรงอุ้มเด็กเหล่านั้นไว้ ทรงปกพระหัตถ์ และประทานพระพร เมือ่ พูดถึงเด็กๆ เรามักจะนึกถึงความน่ารัก ความร่าเริงแจ่มใส และความไร้เดียงสาของพวก เขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้คำ�พูดและการ กระทำ�ของเด็กๆ มีพลังมาก สิ่งนั้นคือ ความเชื่อซึ่งแสดงออกมาให้เห็นในความมั่นใจในความรักและความ เอาใจใส่ของพ่อแม่ที่มีต่อพวกเขา ในความคิดของเด็กๆ ไม่มีสิ่งใดที่พ่อแม่จะทำ�เพื่อพวกเขาไม่ได้ ทุกสิ่งทุก อย่างเป็นไปได้เสมอ ถ้าพวกเขามีพอ่ แม่อยูเ่ คียงข้าง นีแ่ หละคือ ลักษณะของ “ผูท้ ยี่ งิ่ ใหญ่ทสี่ ดุ ในอาณาจักร สวรรค์” (มธ 18:1) ตามทรรศนะของพระเยซูเจ้า กล่าวคือ ใครก็ตามที่อยากเข้าอาณาจักรสวรรค์ เขาคน นัน้ ต้องมีความเชือ่ นัน่ คือ ความมัน่ ใจในความรักและพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระเจ้า แม้วา่ หลาย ครั้งเขาอาจมองไม่เห็นความจริงประการนี้ เพราะเหตุการณ์เลวร้ายหรือมรสุมชีวิตกำ�ลังประดังเข้ามาหา เขาอย่างไม่ขาดสายก็ตาม
สัปดาห์ที่ 8 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 49:14-15 ศิโยนพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงละทิ้งข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของ ข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าแล้ว” “หญิงคนหนึง่ จะลืมบุตรทีย่ งั กินนม และจะไม่สงสารบุตรทีเ่ กิดจากครรภ์ของ นางได้หรือ”แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย เพลงสดุดี สดด 62:1-2,6-7,8 ก) จิตใจข้าพเจ้าพักผ่อนในพระเจ้าเท่านั้น ความรอดพ้นของข้าพเจ้ามาจากพระองค์ พระองค์ผู้เดียวทรงเป็นหลักศิลาและทรงเป็นความรอดพ้นของข้าพเจ้า ทรงเป็นที่มั่นป้องกันข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ข) พระองค์ทรงเป็นหลักศิลาและทรงเป็นความรอดพ้นของข้าพเจ้า ทรงเป็นที่มั่นป้องกันข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ความรอดพ้นและสิริรุ่งโรจน์ของข้าพเจ้าอยู่ในพระเจ้า หลักศิลาแข็งแกร่งและที่หลบภัยของข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ ค) ประชากรเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ทุกเวลา จงระบายความในใจของท่านให้พระองค์ทรงทราบ พระเจ้าทรงเป็นที่หลบภัยส�ำหรับเรา บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 4:1-5 พี่น้อง คนทั้งหลายจงยึดถือว่าเราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเจ้า เป็นผู้จัดการ ดูแลธรรมลํ้าลึกของพระเจ้า คุณสมบัติที่เขาแสวงหาในผู้จัดการก็คือ ต้องเป็นผู้ที่ วางใจได้ ส่วนข้าพเจ้าการทีท่ า่ นหรือมนุษย์คนใดจะตัดสินข้าพเจ้านัน้ เป็นเรือ่ งไม่ สำ�คัญ แม้ข้าพเจ้าก็ยังไม่ตัดสินตนเอง จริงอยู่ มโนธรรมไม่ได้ตำ�หนิอะไรข้าพเจ้า เลย แต่นี่ไม่หมายความว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ตัดสินข้าพเจ้าคือองค์พระผู้ เป็นเจ้า ดังนั้น จงอย่าตัดสินเรื่องใดๆ ก่อนจะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้ เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงฉายแสงให้ความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดจะ ปรากฏชัด และจะทรงเปิดเผยความในใจของทุกคนให้ปรากฏ เมื่อนั้น ทุกคนจะ ได้รับคำ�ชมเชยจากพระเจ้าตามสมควร บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 6:24-34 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายคนหนึ่งและจะรักนาย อีกคนหนึ่ง เขาจะจงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้ง
หลายจะปรนนิบตั ริ บั ใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ ได้ ฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากังวลถึงชีวิต ของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่า จะนุ่งห่มอะไร ชีวิตย่อมสำ�คัญกว่าอาหาร และร่างกาย ย่อมสำ�คัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ จงมองดูนกใน อากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ใน ยุง้ ฉาง แต่พระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์ทรงเลีย้ งมัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือ ท่านใดบ้างที่ กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้ ท่านจะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำ�ไม จงสังเกตดูดอกไม้ใน ทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำ�งาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงาม เท่าดอกไม้นดี้ อกหนึง่ แม้แต่หญ้าในทุง่ นา ซึง่ มีชวี ติ อยูว่ นั นี้ รุง่ ขึน้ จะถูกโยนทิง้ ในเตาไฟ พระเจ้ายังทรง ตกแต่งให้งดงามเช่นนี้ พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านั้นหรือ ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง ดัง นั้น อย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร หรือเราจะนุ่งห่มอะไร’ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่ง เหล่านี้ จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะ ทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้ ดังนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำ�หรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์ พออยู่แล้ว” เราต้องเลือกระหว่างมุมมองของพระเจ้าเกี่ยวกับชีวิตและความหมกมุ่นในเงินทอง สำ�หรับ พระเยซูเจ้าทั้งสองอย่างนี้ไม่สามารถไปด้วยกันได้ คริสตชนประเภทวัตถุนิยมอาจปฏิบัติศาสนาได้เพียงผิว เผิน แต่เขาไม่สามารถเป็นคริสตชนที่อุทิศตนทั้งครบแด่พระเจ้าได้ เพราะสิ่งสำ�คัญที่สุดและศูนย์กลางชีวิต ของเขาไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นเงินทอง แน่นอน วัตถุสิ่งของหลายอย่างเป็นสิ่งที่จำ�เป็นและขาดไม่ได้ในการ ดำ�เนินชีวิต เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค การศึกษา และอื่นๆ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีสิ่ง ต่างๆ เหล่านี้ แต่เมื่อเรามีพวกมันแล้ว เราต้องระมัดระวังในการใช้พวกมัน เราต้องใช้พวกมันไม่ใช่เพื่อตัว เราเองเท่านั้น แต่เพื่อรักและรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์คนอื่นด้วย
สัปดาห์ที่ 8 เทศกาลธรรมดา สดด 32:1-2,5,6-7 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1 บสร 17:24-29 พระองค์ทรงให้ผู้สำ�นึกผิดกลับมา ประทานกำ�ลังใจแก่ผู้ขาดความพากเพียร จงกลับใจมาหาองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ละทิง้ บาป จงอธิษฐานภาวนาเฉพาะพระพักตร์ พระองค์ จงเลิกทำ�ขัดเคืองพระทัย จงกลับมาเฝ้าพระผู้สูงสุด จงหันหลังให้ความ อธรรม จงเกลียดชังความชั่วร้ายโดยสิ้นเชิง ในแดนมรณะใครเล่าจะสรรเสริญ พระผู้สูงสุด ใครจะขอบพระคุณพระองค์แทนผู้มีชีวิตได้ ผู้ตายที่ไม่อยู่แล้วจะ สรรเสริญพระองค์ไม่ได้อีก ผู้มีชีวิตและมีสุขภาพดีเท่านั้นจะสรรเสริญองค์พระผู้ เป็นเจ้าได้ พระกรุณาขององค์พระผู้เป็นเจ้าช่างยิ่งใหญ่ พระองค์ประทานอภัยแก่ ผู้กลับใจมาเฝ้าพระองค์
พระวรสาร มก 10:17-27 เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้ากำ�ลังทรงพระดำ�เนินอยู่ระหว่างทาง ชายคนหนึ่งรีบเข้ามาคุกเข่าลง ทูลถามว่า “พระอาจารย์ผทู้ รงความดี ข้าพเจ้าต้องทำ�อะไรเพือ่ จะได้ชวี ติ นิรนั ดร” พระเยซูเจ้าตรัสกับ เขาว่า “ทำ�ไมเรียกเราว่าผูท้ รงความดี ไม่มใี ครทรงความดีนอกจากพระเจ้าเท่านัน้ ท่านรูจ้ กั บทบัญญัติ แล้ว คือ อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงนับถือบิดามารดา” ชายผู้นั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเขาด้วยพระทัยเอ็นดู ตรัสกับเขาว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่ มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” เมื่อได้ฟังพระ วาจานี้ ชายผู้นั้นหน้าสลดลงเพราะเขามีทรัพย์สมบัติจำ�นวนมาก จึงจากไปด้วยความทุกข์ พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรโดยรอบ แล้วตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ยากจริงหนอที่คนมั่งมีจะเข้าสู่ พระอาณาจักรของพระเจ้า” บรรดาศิษย์แปลกใจกับพระวาจานี้ พระเยซูเจ้าจึงตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ยากจริงหนอทีจ่ ะเข้าสูพ่ ระอาณาจักรของพระเจ้า อูฐจะลอดรูเข็มยังง่ายกว่าคนมัง่ มีเข้าสูพ่ ระอาณาจักร ของพระเจ้า” บรรดาศิษย์ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น พูดกันว่า “ดังนี้ ใครจะรอดพ้นได้” พระเยซูเจ้าทอด พระเนตรบรรดาศิษย์แล้วตรัสว่า “สำ�หรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำ�หรับพระเจ้าเป็นเช่นนั้นได้ เพราะ พระองค์ทรงทำ�ได้ทุกสิ่ง” จริงอยู่ ในแง่หนึ่งทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องหมายแห่งพระพรของพระเจ้า แต่เราต้องไม่ลืมว่า พระพรทุกอย่างมีไว้เพื่อแบ่งปัน ยิ่งเรามีมาก เราก็ควรช่วยคนอื่นมากขึ้น ถ้าเรายึดติดอยู่กับพระพรนี้มาก เกินไปและคิดว่ามันเป็นของส่วนตัวของเราเท่านั้น จนกระทั่งมองไม่เห็นความต้องการและความเดือดร้อน ของเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้าง ทีละเล็กทีละน้อยเราจะกลายเป็นพวกวัตถุนิยมไปโดยไม่รู้ตัว พวกวัตถุนิยม เชือ่ ว่าปราศจากทรัพย์สนิ เงินทอง ชีวติ จะไร้ความหมาย เศรษฐีหนุม่ ในพระวรสารวันนีเ้ ป็นคนประเภทนีแ้ หละ ดังนั้น ให้เราวอนขอพระปรีชาญาณจากพระเจ้า เพื่อว่าเราจะสามารถสลัดตนเองออกจากลัทธิวัตถุนิยมใน ทุกรูปแบบ ทั้งนี้ก็เพราะว่า “มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำ�ไร แต่ต้องเสียชีวิต” (มก 8:36)
บทอ่านที่ 1 บสร 35:1-12 การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติก็เป็นเสมือนการถวายเครื่องบูชามากมาย การ ปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตกิ เ็ ป็นเสมือนการถวายศานติบชู า การรูบ้ ญ ุ คุณก็เป็นเสมือน การถวายแป้งสาลีดีเยี่ยม การให้ทานก็เป็นเสมือนการถวายเครื่องบูชาสรรเสริญ พระเจ้า สิ่งที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้าก็คือการละทิ้งความชั่วร้าย การละเว้น ความอยุตธิ รรมก็เป็นเสมือนการถวายเครือ่ งบูชาชดเชยบาป อย่าเข้าเฝ้าองค์พระ ผู้เป็นเจ้าโดยไม่นำ�ของถวายมาด้วย เพราะบทบัญญัติเรียกร้องให้ถวายสิ่งเหล่านี้ ทัง้ หมด เมือ่ ผูช้ อบธรรมถวายสัตว์อว้ นพีเป็นเครือ่ งบูชาบนพระแท่น กลิน่ หอมฟุง้ ก็ลอยขึ้นไปเฉพาะพระพักตร์พระผู้สูงสุด เครื่องบูชาของผู้ชอบธรรมเป็นที่พอ พระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะไม่ทรงลืมเครื่องบูชานี้เลย จงถวายเกียรติ แด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าด้วยใจกว้าง อย่าตระหนีผ่ ลิตผลแรกจากผลงานทีท่ า่ นทำ� ทุก ครัง้ ทีท่ า่ นถวายเครือ่ งบูชา จงมีหน้าตายิม้ แย้ม จงถวายรายได้หนึง่ ในสิบส่วนด้วย ความยินดี จงถวายแด่พระผู้สูงสุดให้สมกับพระพรที่ท่านได้รับจากพระองค์ด้วย ใจกว้างตามที่ท่านจะทำ�ได้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานบำ�เหน็จตอบแทน เสมอ พระองค์จะประทานรางวัลให้ท่านถึงเจ็ดเท่า อย่าติดสินบนพระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงรับ อย่าไว้ใจเครื่องบูชาที่ไม่ชอบ ธรรม เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา พระองค์ไม่ทรงเลือกที่รักมัก ที่ชัง
สัปดาห์ที่ 8 เทศกาลธรรมดา สดด 50:5-6,7-10, 14 และ 23 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร มก 10:28-31 เวลานั้น เปโตรทูลพระเยซูเจ้าว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สละทุกสิ่งและติดตามพระองค์แล้ว” พระ เยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีใครที่ละทิ้งบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตรหรือไร่นาเพราะเห็นแก่เรา และเพราะเห็นแก่ข่าวดี จะไม่ได้รับการตอบแทนร้อยเท่าในโลกนี้ เขา จะได้บ้านเรือน พี่น้องชายหญิง มารดา บุตร ไร่นา พร้อมกับการเบียดเบียนและในโลกหน้าจะได้ชีวิต นิรันดร หลายคนที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย และกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นกลุ่มแรก” การติดตามพระเยซูเจ้าเป็นบางสิง่ ทีเ่ ราต้องจ่ายด้วยราคาสูง แต่ผลตอบแทนนัน้ มากมายเกิน กว่าที่เราจะสามารถจินตนาการได้ เมื่อเปโตรทูลถามพระองค์ว่า ท่านและบรรดาศิษย์ทั้งหลายจะได้อะไร เป็นการตอบแทนสำ�หรับการสละทุกสิ่งและติดตามพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงพูดถึงทั้งราคาที่พวกเขาต้อง จ่ายและรางวัลทีพ่ วกเขาจะได้รบั นัน่ คือ เพือ่ เป็นศิษย์ตดิ ตามพระองค์ พระองค์ตอ้ งเป็นศูนย์กลางชีวติ ของ พวกเขา เป็นที่หนึ่งและสำ�คัญกว่าทุกคนและทุกสิ่งที่พวกเขามี ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา พี่น้องชายหญิง ภรรยา บุตร รวมทั้งบ้านเรือน เรือกสวนไร่นา และทรัพย์สมบัติทั้งหลาย เมื่อพวกเขามาถึงจุดที่ต้องเลือก พวกเขาต้องไม่ลังเลใจที่จะเลือกพระองค์ เราจะเห็นราคาของการเป็นศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้านั้นสูงมาก แต่สำ�หรับผู้ที่เต็มใจจะจ่าย ไม่ว่าราคาจะสูงแค่ไหน พระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่า เขาจะ “ได้รับการตอบแทน ร้อยเท่าในโลกนี้” (มก 10:30) “และในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร” (มก 10:30)