03_

Page 1


บทอ่านที่ 1

ยก 5:13-20

ท่านใดทนทุกข์ จงอธิษฐานภาวนาเถิด ท่านใดร่าเริงยินดี จงร้องเพลงสดุดเี ถิด ท่าน ใดเจ็บป่วย จงเชิญบรรดาผูอ้ าวุโสของพระศาสนจักรให้มาอธิษฐานภาวนาเพือ่ ผูป้ ว่ ย เจิม นํ้ามันผู้นั้นในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คำ�อธิษฐานภาวนาด้วยความเชื่อจะช่วย ผู้ป่วยให้รอดชีวิต องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดให้ผู้ป่วยลุกขึ้น และถ้าเขาเคยทำ�บาป เขาก็จะได้รับการอภัย ดังนั้น จงสารภาพบาปแก่กัน และจงอธิษฐานให้กันเพื่อท่านจะ หายจากโรค คำ�อ้อนวอนของผูช้ อบธรรมมีพลังทำ�ให้เกิดผลมากมาย ประกาศกเอลียาห์ เป็นมนุษย์ที่มีธรรมชาติเหมือนกับเรา เขาอธิษฐานภาวนาอย่างแรงกล้าขออย่าให้ฝนตก ฝนก็ไม่ตกบนแผ่นดินเป็นเวลาสามปีหกเดือน เขาอธิษฐานภาวนาอีก ท้องฟ้าก็ให้ฝน และแผ่นดินก็ผลิตพืชผล พีน่ อ้ งทัง้ หลาย ถ้าท่านใดหลงผิดไปจากความจริงและอีกคนหนึง่ นำ�เขากลับมา จง รูไ้ ว้เถิดว่า ผูท้ ชี่ ว่ ยคนบาปให้กลับมาจากทางผิด ก็จะช่วยวิญญาณของตนให้รอดพ้นจาก ความตาย และจะได้รับการอภัยบาปทั้งมวล

พระวรสาร

มก 10:13-16

เวลานั้น มีผู้นำ�เด็กเล็กๆ มาเฝ้าพระเยซูเจ้าเพื่อทรงสัมผัสอวยพร แต่บรรดาศิษย์ กลับดุว่าคนเหล่านั้น เมื่อทรงเห็นเช่นนี้ พระองค์กริ้ว ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ปล่อยให้ เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่ เหมือนเด็กเหล่านี้ เราบอกความจริงกับท่านว่า ผูใ้ ดไม่รบั พระอาณาจักรของพระเจ้าอย่าง เด็กเล็กๆ เขาจะไม่เข้าสูพ่ ระอาณาจักรนัน้ เลย” แล้วพระองค์ทรงอุม้ เด็กเหล่านัน้ ไว้ ทรง ปกพระหัตถ์ และประทานพระพร พระวาจาของพระเจ้าให้ความสำ�คัญกับการสวดภาวนา การสวดภาวนาจะบังเกิด ผล ต่อเมื่อเราสวดภาวนาด้วยความเชื่อ ความวางใจ ความสุภาพ และซื่อตรงเหมือน เด็กๆ ที่พระเยซูคริสตเจ้ายกเอาเด็กๆ มาเป็นแบบอย่างสมาชิกแห่งพระอาณาจักรของ พระเจ้า ไม่ใช่เพราะเด็กโกหก เด็กเกเรไม่เป็น แต่เป็นเพราะเด็กส่วนใหญ่ต้องการอะไร คิดอะไรก็จะแสดงออกอย่างนั้น และเด็กมีคุณสมบัติสำ�คัญประการหนึ่งคือต้องพึ่งพา ผู้ใหญ่ ดังนั้นคนที่วอนขอพระเมตตาพึ่งพาพระเจ้าอยู่เสมอจะได้เข้าพระอาณาจักรของ พระองค์

สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา สดด 141:1-2,3,8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 49:14-15

โยบพูดว่า “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงละทิง้ ข้าพเจ้า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรง ลืมข้าพเจ้าแล้ว” “หญิงคนหนึ่งจะลืมบุตรที่ยังกินนม และจะไม่สงสารบุตรที่เกิดจากครรภ์ของนาง ได้หรือ”แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย สัปดาห์ที่ 8 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

เพลงสดุดี

สดด 62:1-2,6-7,8

ก) จิตใจข้าพเจ้าพักผ่อนในพระเจ้าเท่านั้น ความรอดพ้นของข้าพเจ้ามาจากพระองค์ พระองค์ผู้เดียวทรงเป็นหลักศิลาและทรงเป็นความรอดพ้นของข้าพเจ้า ทรงเป็นที่มั่นป้องกันข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ข) พระองค์ทรงเป็นหลักศิลาและทรงเป็นความรอดพ้นของข้าพเจ้า ทรงเป็นที่มั่นป้องกันข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ความรอดพ้นและสิริรุ่งโรจน์ของข้าพเจ้าอยู่ในพระเจ้า หลักศิลาแข็งแกร่งและที่หลบภัยของข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ ค) ประชากรเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ทุกเวลา จงระบายความในใจของท่านให้พระองค์ทรงทราบ พระเจ้าทรงเป็นที่หลบภัยสำ�หรับเรา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโครินธ์​์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 4:1-5

พี่น้อง คนทั้งหลายจงยึดถือว่าเราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเจ้า เป็นผู้จัดการดูแล ธรรมลํ้าลึกของพระเจ้า คุณสมบัติที่เขาแสวงหาในผู้จัดการก็คือ ต้องเป็นผู้ที่วางใจได้ ส่วนข้าพเจ้าการทีท่ า่ นหรือมนุษย์คนใดจะตัดสินข้าพเจ้านัน้ เป็นเรือ่ งไม่สำ�คัญ แม้ขา้ พเจ้า ก็ยังไม่ตัดสินตนเอง จริงอยู่ มโนธรรมไม่ได้ตำ�หนิอะไรข้าพเจ้าเลย แต่นี่ไม่หมายความ ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ตัดสินข้าพเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น จงอย่าตัดสิน เรื่องใดๆ ก่อนจะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรง ฉายแสงให้ความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดปรากฏชัด และจะทรงเปิดเผยความในใจของ ทุกคนให้ปรากฏ เมื่อนั้น ทุกคนจะได้รับคำ�ชมเชยจากพระเจ้าตามสมควร

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 6:24-34

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคน หนึ่ง เขาจะจงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะ ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้


ฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากังวลถึงชีวิต ของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่า จะนุ่งห่มอะไร ชีวิตย่อมสำ�คัญกว่าอาหาร และร่างกาย ย่อมสำ�คัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ จงมองดูนกใน อากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ ในยุง้ ฉาง แต่พระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์ทรงเลีย้ ง มัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือ ท่านใดบ้างที่ กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึง่ วันได้ ท่านจะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำ�ไม จงสังเกตดูดอกไม้ใน ทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำ�งาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่า ดอกไม้นดี้ อกหนึง่ แม้แต่หญ้าในทุง่ นา ซึง่ มีชวี ติ อยูว่ นั นี้ รุง่ ขึน้ จะถูกโยนทิง้ ในเตาไฟ พระเจ้ายังทรงตกแต่ง ให้งดงามเช่นนี้ พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านั้นหรือ ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง ดังนั้น อย่า กังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร หรือเราจะนุ่งห่มอะไร’ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้คนต่าง ศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ จงแสวงหา พระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์กอ่ น แล้วพระองค์จะทรงเพิม่ ทุกสิง่ เหล่านีใ้ ห้ ดังนัน้ ท่านทัง้ หลายอย่ากังวลถึงวันพรุง่ นี้ เพราะวันพรุง่ นีจ้ ะกังวลสำ�หรับตนเอง แต่ละวันมีทกุ ข์พอ อยู่แล้ว”

เราปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้ เงินทองเป็นทาสที่ดีแต่เป็นเจ้านายที่เลวที่สุด เพราะฉะนั้นการยึดติดกับทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกจนถือมันเป็นพระเจ้า เป็นเอกในชีวิต จึงเป็นเรื่องของผู้ที่ ไม่เข้าใจสัจธรรมความเป็นจริง ทั้งๆ ที่สัจธรรมปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกวัน มีคนหนุ่มสาว มีคนแก่ชรา มีคน เกิด มีคนตาย ผูท้ มี่ คี วามเชือ่ จึงต้องมองสิง่ เหล่านีด้ ว้ ยความเข้าใจ ทุกสิง่ ในโลกล้วนอนิจจังยึดเป็นสรณะ แท้ไม่ได้ สรณะแท้มีเพียงผู้เดียวคือองค์พระเจ้า ผู้ทรงรักและเอาใจใส่เราในทุกๆ เรื่องแม้เรื่องเล็กน้อย ที่สุด


บทอ่านที่ 1

สัปดาห์ที่ 8 เทศกาลธรรมดา สดด 111:1-2,4-5,9-10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร

1 ปต 1:3-9

ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ทรงพระกรุณาอย่างยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงบันดาลให้เราบังเกิดใหม่และมีความ หวังที่จะมีชีวิต อาศัยการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าจากบรรดาผู้ตาย เพื่อรับมรดกที่ไม่เสื่อมสลายไร้มลทิน ไม่มีวันร่วงโรยซึ่งเก็บรักษาไว้ในสวรรค์เพื่อท่าน พระเจ้าทรงปกป้องท่านไว้ด้วยพระอานุภาพให้มีความเชื่อ จนกว่าจะประทานความ รอดพ้นซึ่งกำ�ลังจะได้รับการเปิดเผยในวาระสุดท้าย ดังนั้น ท่านจงชื่นชม แม้ว่าในเวลานี้ท่านยังต้องทนทุกข์จากการถูกทดสอบต่างๆ ชั่วขณะหนึ่ง เพื่อคุณค่าที่แท้จริงแห่งความเชื่อของท่านจะได้รับการสรรเสริญ รับสิริ รุ่งโรจน์และรับเกียรติเมื่อพระเยซูคริสตเจ้าจะทรงแสดงพระองค์ ความเชื่อนี้ประเสริฐ ยิ่งกว่าทองคำ�ที่เสื่อมสลายได้ แต่ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ...

มก 10:17-27

ขณะที่พระองค์กำ�ลังทรงพระดำ�เนินอยู่ระหว่างทาง ชายคนหนึ่งรีบเข้ามาคุกเข่าลง ทูลถามว่า “พระ อาจารย์ผู้ทรงความดี ข้าพเจ้าต้องทำ�อะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ทำ�ไมเรียกเราว่า ผู้ทรงความดี ไม่มีใครทรงความดีนอกจากพระเจ้าเท่านั้น ท่านรู้จักบทบัญญัติแล้ว คือ อย่าฆ่าคน อย่าล่วง ประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงนับถือบิดามารดา” ชายผู้นั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าได้ปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตเิ หล่านีท้ กุ ข้อมาตัง้ แต่เป็นเด็กแล้ว” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเขาด้วยพระทัย เอ็นดู ตรัสกับเขาว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน แล้วท่านจะมีขุมทรัพย์ใน สวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” เมือ่ ได้ฟงั พระวาจานี้ ชายผูน้ นั้ หน้าสลดลงเพราะเขามีทรัพย์สมบัตมิ ากมาย จึงจากไปด้วยความทุกข์ พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรโดยรอบ แล้วตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ยากจริงหนอที่คนมั่งมีจะเข้าสู่พระ อาณาจักรของพระเจ้า” บรรดาศิษย์แปลกใจกับพระวาจานี้ พระเยซูเจ้าจึงตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ยากจริงหนอที่ จะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า อูฐจะลอดรูเข็มยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า” บรรดา ศิษย์ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น พูดกันว่า “ดังนี้ ใครเล่าจะรอดพ้นได้” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรบรรดาศิษย์แล้วตรัสว่า “สำ�หรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำ�หรับพระเจ้าเป็นเช่น นั้นได้ เพราะพระองค์ทรงทำ�ได้ทุกสิ่ง”

“สำ�หรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่ส�ำ หรับพระเจ้าเป็นเช่นนัน้ ได้” ประโยคนีแ้ สดงถึงความเชือ่ มัน่ ในพระเจ้า อย่างเต็มเปี่ยม เป็นประสบการณ์ความเชื่อซึ่งคนคนหนึ่งเข้าไปสัมผัสความดีงาม ความรักของพระเจ้าด้วย ตนเอง โดยอาศัยการสวดภาวนา การปฏิบัติตามพระวาจา และศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จนกระทั่งเขาสามารถถวาย ตนเองเป็นบูชาที่มีชีวิตแด่พระเจ้า เพราะเขาเชื่อมั่นว่าพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งที่ดีที่สุดสำ�หรับผู้ที่รัก พระองค์ เขาจึงสามารถน้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสิ่งนั้นจะตรงกับความปรารถนาของ เขาหรือไม่ก็ตาม


บทอ่านที่ 1

1 ปต 1:10-16

พี่น้องที่รักยิ่ง ความรอดพ้นนี้คือความรอดพ้นที่บรรดาประกาศกค้นหาและ วิเคราะห์ ประกาศกเหล่านีป้ ระกาศพระวาจากล่าวถึงพระหรรษทานทีท่ รงเตรียมไว้สำ�หรับ ท่าน เขาเหล่านัน้ วิเคราะห์เวลาและกรณีแวดล้อมของเหตุการณ์ทพี่ ระจิตของพระคริสต เจ้าตรัสไว้ล่วงหน้า พระจิตของพระคริสตเจ้าทรงเป็นพยานอยู่ในตัวเขา ทรงเปิดเผยให้ รูถ้ งึ พระทรมานทีพ่ ระคริสตเจ้าจะต้องทรงรับ และรูถ้ งึ พระสิรริ งุ่ โรจน์ทจี่ ะตามมา พระเจ้า ทรงเปิดเผยเรื่องเหล่านี้แก่บรรดาประกาศก มิใช่สำ�หรับประกาศกเหล่านั้น แต่สำ�หรับ ท่านทัง้ หลาย บัดนี้ ผูป้ ระกาศข่าวดีแจ้งเรือ่ งดังกล่าวให้ทา่ นรูเ้ ดชะพระจิตเจ้าผูท้ พี่ ระเจ้า ทรงส่งมาจากสวรรค์ เรื่องเหล่านี้แม้แต่ทูตสวรรค์ก็ปรารถนาที่จะได้เห็นเช่นเดียวกัน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงเตรียมจิตใจไว้ให้พร้อมที่จะปฏิบัติงาน จงบังคับตนเอง ตั้ง ความหวังทั้งหมดไว้ในพระหรรษทานซึ่งพระเจ้าจะทรงนำ�มาประทานให้เมื่อพระเยซู คริสตเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์ จงประพฤติตนดังบุตรที่เชื่อฟัง อย่าประพฤติตามกิเลส ตัณหาดังแต่ก่อนเมื่อท่านยังขาดความรู้ แต่จงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในความประพฤติทุก ประการตามแบบฉบับขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้ทรงเรียกท่าน เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์”

พระวรสาร

มก 10:28-31

เวลานั้น เปโตรทูลพระเยซูเจ้าว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สละทุกสิ่งและติดตาม พระองค์แล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีใครที่ละทิ้งบ้าน เรือน พีน่ อ้ งชายหญิง บิดามารดา บุตรหรือไร่นาเพราะเห็นแก่เรา และเพราะเห็นแก่ขา่ วดี จะไม่ได้รบั การตอบแทนร้อยเท่าในโลกนี้ เขาจะได้บา้ นเรือน พีน่ อ้ งชายหญิง มารดา บุตร ไร่นา พร้อมกับการเบียดเบียน และในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร หลายคนที่เป็นกลุ่ม แรกจะกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย และกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นกลุ่มแรก” ทุกๆ ขณะจิตของชีวิตคริสตชนเป็นการอุทิศตนเพื่อข่าวดี โดยการดำ�เนินชีวิตเป็น แบบอย่างที่ดีตามคำ�สอนขององค์พระเยซูคริสตเจ้า นักบุญเปโตรจึงเตือนใจเราให้ พยายามบังคับตนเอง ดำ�เนินชีวติ ตามแบบอย่างของผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิท์ งั้ หลาย โดยงดเว้นจาก การดำ�เนินชีวติ ตามการชักนำ�ของกิเลสตัณหา ผูท้ ดี่ �ำ เนินชีวติ อุทศิ ตน สละทุกสิง่ ติดตาม องค์พระเยซูคริสตเจ้า บนหนทางของพระองค์เช่นนี้ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะไม่ขาดสิ่ง ใด “ร้อยเท่าในโลกนี้...ในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร”

น.กาสิมีร์ สดด 98:1-2,3-4

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


วันพุธรับเถ้า สดด 51:1-2,3-5, 11-12,14-15

บทอ่านทีื่ 1

ยอล 2:12-18

บทอ่านทีื่ 2

2 คร 5:20-6:2

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับมาหาเราด้วยสุดจิตสุดใจเถิดจง จำ�ศีลอดอาหาร รํ่าไห้ และไว้ทุกข์ครํ่าครวญ จงฉีกใจของท่าน มิใช่ฉีกเสื้อผ้า จงกลับมา หาองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เพราะพระองค์ทรงเมตตาและกรุณา ไม่ทรงโกรธ ง่าย ทรงเปีย่ มด้วยความรักมัน่ คง ทรงสงสารและไม่ทรงลงโทษ ใครจะรูไ้ ด้ พระองค์อาจ จะทรงเปลีย่ นพระทัยสงสาร กลับมาประทานพระพร ท่านถวายผลิตผลเป็นธัญบูชาและ เทเหล้าองุ่น ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน...”

พี่น้อง เราจึงเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้า ประหนึ่งว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้เชิญชวน ท่านทั้งหลาย เราจึงขอร้องแทนพระคริสตเจ้าว่า จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด เพราะเห็น แก่เราพระเจ้าจึงทรงทำ�ให้พระองค์ผไู้ ม่รจู้ กั บาปเป็นผูร้ บั บาป เพือ่ ว่าในพระองค์เราจะได้ กลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ในฐานะผูร้ ว่ มงานของพระเจ้า เราขอร้องท่านทัง้ หลาย อย่าเพียงแต่รบั พระหรรษทานของพระองค์ไว้โดย ไม่เกิดผล พระองค์ตรัสว่า “ในเวลาที่เหมาะสม เราได้รับฟังท่าน และในวันแห่งความรอดพ้น เราได้ช่วยเหลือ ท่าน” ขณะนี้คือเวลาที่เหมาะสม ขณะนี้คือวันแห่งความรอดพ้น

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร

มธ 6:1-6,16-18

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำ�เหน็จจาก พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนที่บรรดาคนหน้า ซือ่ ใจคดมักทำ�ในศาลาธรรมและตามถนนเพือ่ จะได้รบั คำ�สรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลาย ว่า เขาได้รับบำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำ�ลังทำ�สิ่งใด เพื่อ ทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลา ธรรม และตามมุมลานเพื่อให้ใครๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่ง แล้ว พระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน

กิจการดีแม้เล็กน้อยทีส่ ดุ ทีเ่ รากระทำ�จะมีคณ ุ ค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ก็ตอ่ เมือ่ กิจการนัน้ เรากระทำ� จากนํ้าใสใจจริงของเรา ประกาศกโยเอลจึงเตือนเราว่า “จงฉีกจิตใจของเจ้า มิใช่ฉีกเสื้อผ้า จงกลับใจเข้ามา หาพระเป็นเจ้าของเจ้าเสีย” พระเยซูคริสตเจ้าจึงสอนว่า “อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่อ อวดคนอื่น” เพราะกิจการเหล่านี้จะไม่มีคุณค่าอะไรเลยถ้าไม่ได้มาจากจิตใจของเรา จงจำ�ไว้เสมอว่าพระเจ้า ทรงหยั่งรู้ถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจมนุษย์ทุกคน


บทอ่านที่ 1

ฉธบ 30:15-20

โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “จงฟังเถิด ในวันนี้ ข้าพเจ้ากำ�ลังเสนอให้ท่านเลือก ชีวิตหรือความตาย เลือกความดีหรือความชั่ว ข้าพเจ้าจึงสั่งท่านในวันนี้ ให้รักองค์พระ ผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และเดินตามวิถีทางของพระองค์ ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ข้อ กำ�หนดและกฎเกณฑ์ของพระองค์ แล้วท่านจะมีชีวิตและทวีจำ�นวนขึ้น องค์พระผู้เป็น เจ้า พระเจ้าของท่านจะทรงอวยพรท่านในแผ่นดินทีท่ า่ นกำ�ลังจะเข้าไปครอบครอง แต่ถา้ ท่านเปลี่ยนใจไปจากพระองค์ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ แต่ยอมกราบไหว้รับใช้เทพเจ้าอื่น ข้าพเจ้าขอบอกท่านในวันนีว้ า่ ท่านจะต้องพินาศอย่างแน่นอน ท่านจะไม่มชี วี ติ ยืนยาวใน แผ่นดินที่ท่านกำ�ลังข้ามแม่นํ้าจอร์แดนเข้าไปครอบครอง ในวันนี้ ข้าพเจ้าขอเรียกฟ้าดิน มาเป็นพยานต่อหน้าท่าน ข้าพเจ้าเสนอให้ทา่ นเลือกชีวติ หรือความตาย เลือกคำ�อวยพร หรือคำ�สาปแช่ง ท่านจงเลือกชีวิตเถิด เพื่อท่านและบุตรหลานของท่านจะมีชีวิต รักพระ ยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์และซื่อสัตย์ต่อพระองค์ เพราะพระองค์เพียงพระองค์เดียวประทานชีวติ แก่ทา่ น ทรงบันดาลให้ทา่ นอาศัยอยูน่ าน ในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสาบานไว้ว่าจะประทานแก่บรรพบุรุษของท่าน คือ อับราฮัม อิสอัคและยาโคบ

พระวรสาร

ลก 9:22-25

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะ และธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวติ แต่จะกลับคืนชีพในวันทีส่ าม” หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึง ตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้อง สูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้ มนุษย์จะได้ประโยชน์ใด ในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำ�ไร แต่ต้องเสียชีวิตและพินาศไป”

ความดีแท้ทุกชนิดจะต้องเป็นการกระทำ�เพื่อผู้อื่น หรือเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพราะการกระทำ�เพื่อตนเองเป็นความเห็นแก่ตัว ดังนั้นพระเยซูคริสตเจ้าจึงวางเงื่อนไข ในการติดตามพระองค์ไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องเลิกคิดถึงตนเอง เสียสละอุทิศตนเพื่อรัก และรับใช้ผู้อื่น “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของ ตนทุกวันและติดตามเรา” พระองค์ไม่ได้สอนด้วยคำ�พูดเท่านัน้ แต่พระองค์ด�ำ เนินชีวติ เป็นแบบอย่าง ทรงล้างเท้าอัครสาวก ทรงยอมรับทนทรมาน สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่โทษมนุษยชาติ

หลังวันพุธรับเถ้า สดด 1:1-6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


บทอ่านที่ 1

อสย 58:1-9ก

พระวรสาร

มธ 9:14-15

พระเจ้าตรัสว่า “จงร้องตะโกนให้เต็มกำ�ลัง อย่าออมเสียงไว้ จงเปล่งเสียงเหมือน เป่าเขาสัตว์ จงประกาศให้ประชากรของเรารูว้ า่ เขาได้ลว่ งละเมิด จงประกาศแก่เชือ้ สาย ของยาโคบให้เขารู้บาปที่เขาได้ทำ� เขาทั้งหลายแสวงหาเราทุกวัน ปรารถนาจะรู้จักทาง ของเรา ประหนึง่ ว่าเขาเป็นประชากรทีป่ ฏิบตั คิ วามชอบธรรม และมิได้ละทิง้ พระวินจิ ฉัย ของพระเจ้าของตน เขาขอให้เราให้การวินจิ ฉัยทีช่ อบธรรม และปรารถนาทีจ่ ะเข้ามาใกล้ ระลึกถึง น.แปร์เปตูอา พระเจ้า เขาพูดว่า “ทำ�ไมข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องจำ�ศีลอดอาหาร ถ้าพระองค์ไม่ทอด และ น.เฟลีซีตัส พระเนตร ทำ�ไมข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องละเว้นความสุขสบาย ถ้าพระองค์ไม่ทรงทราบ” มรณสักขี ดูซิ ในวันทีท่ า่ นทัง้ หลายจำ�ศีลอดอาหาร ท่านยังแสวงหาผลประโยชน์ของตน และ สดด 51:1-2,3-5, ข่มเหงคนงานทุกคนของท่าน ดูซิ ท่านจำ�ศีลอดอาหาร แต่ยังทะเลาะวิวาทและโต้เถียง 16-17 กัน ชกต่อยตีกันอย่างอยุติธรรม การจำ�ศีลอดอาหารดังที่ท่านปฏิบัติในวันนี้ จะไม่ทำ�ให้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เสียงของท่านได้ยินไปถึงเบื้องบนเลย นี่หรือเป็นการจำ�ศีลอดอาหารที่เราพอใจ คือวันที่ วันศุกร์ต้นเดือน มนุษย์ละเว้นความสุขสบาย ก้มศีรษะลงเหมือนต้นอ้อ ใช้ผ้ากระสอบและขี้เถ้าปูนอน ท่านจะเรียกการทำ�เช่นนีว้ า่ เป็นการจำ�ศีลอดอาหาร และวันทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพอพระทัย กระนั้นหรือ แต่การจำ�ศีลอดอาหารที่เราต้องการ คือการแก้โซ่ตรวนที่อธรรม แก้สายรัด แอก ปล่อยผู้ถูกข่มเหงให้เป็นอิสระ และหักแอกทุกอัน แบ่งปันอาหารกับผู้หิวโหย นำ�คนยากจนไร้ทอี่ ยูอ่ าศัยเข้ามาในบ้าน ให้เสือ้ ผ้าแก่ผทู้ ที่ า่ นเห็นว่าไม่มเี สือ้ ผ้าสวม และ ไม่หันหน้าหนีจากญาติพี่น้อง แล้วความสว่างของท่านจะขึ้นมาเหมือนรุ่งอรุณ แผลของ ท่านจะหายอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมจะเดินนำ�หน้าท่าน และพระสิรริ งุ่ โรจน์ขององค์ พระผู้เป็นเจ้าจะเดินตามท่าน ท่านจะทูลขอ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบ ท่านจะ ร้องขอความช่วยเหลือ และพระองค์จะตรัสว่า “เราอยู่ที่นี่” วันหนึง่ บรรดาศิษย์ของยอห์นเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมพวกเราและพวก ฟาริสีจำ�ศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำ�ศีลเลย” พระองค์ทรงตอบว่า “ผูร้ บั เชิญมาในงานแต่งงานจะโศกเศร้าหรือ ขณะทีเ่ จ้าบ่าวยัง อยู่กับเขา แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกแยกไป วันนั้นเขาจะจำ�ศีลอดอาหาร

พระวาจาของพระเจ้าในวันนีเ้ ตือนใจเรา ให้กระทำ�ทุกสิง่ ด้วยความเข้าใจ รูค้ วามหมาย และรูจ้ กั กาลเทศะ หลายๆครัง้ เราคริสตชนเคร่งครัดต่อการปฏิบตั กิ จิ การต่างๆ ทีพ่ ระศาสนจักรเสนอให้เราทำ�ในเทศกาลมหาพรต แต่เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราไปในทางที่ดีขึ้น ดังที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวไว้ว่า “ท่านจำ�ศีล อดอาหาร แต่ยังแสวงหาผลประโยชน์ของตน และข่มเหงคนงาน... แต่ยังทะเลาะวิวาทและโต้เถียงกัน ชกต่อยตีกันอย่างอยุติธรรม” การกระทำ�เช่นนี้ไม่สามารถทำ�ให้เราเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้


บทอ่านที่ 1

อสย 58:9ข-14

พระเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านจะเลิกข่มเหงผู้อื่น เลิกชี้หน้ากล่าวหาและพูดร้ายต่อเขา ถ้าท่านแบ่งอาหารให้แก่คนหิว และตอบสนองความต้องการของผูม้ ที กุ ข์ ความสว่างของ ท่านจะปรากฏขึ้นในความมืด และความมืดของท่านจะเป็นเหมือนเวลาเที่ยงวัน องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าจะทรงนำ�ท่านตลอดไป จะตอบสนองความต้องการของท่านในแผ่นดินแห้ง แล้ง จะทรงทำ�ให้กระดูกของท่านแข็งแรง ท่านจะเป็นเหมือนสวนที่มีนํ้ารด เป็นเหมือน พุนาํ้ ทีม่ นี าํ้ ไหลไม่หยุด ประชากรของท่านจะบูรณะซากปรักหักพังโบราณขึน้ ใหม่ ท่านจะ วางรากฐานที่เคยวางไว้แต่โบราณขึ้นมาอีก ท่านจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ซ่อมกำ�แพงที่พังแล้ว เป็นผู้บูรณะถนนให้มีบ้านเรือนเป็นที่อาศัย ถ้าท่านหยุดละเมิดวันสับบาโต คือไม่ทำ�ตามใจชอบในวันศักดิ์สิทธิ์ของเรา เรียก วันสับบาโตว่า “วันปีติยินดี” และเรียกวันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “วันน่า เคารพ” ถ้าท่านให้เกียรติวันนั้นโดยไม่เดินทาง เลิกแสวงหาสิ่งที่ท่านพอใจ และเลิกพูด เรือ่ งไร้สาระ ท่านจะได้ความปีตยิ นิ ดีในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และเราจะให้ทา่ นขีม่ า้ ฉลองชัย อยู่บนที่สูงของแผ่นดิน เราจะเลี้ยงท่านด้วยมรดกของยาโคบบิดาของท่าน เพราะ พระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแล้ว

พระวรสาร

ลก 5:27-32

หลังจากนั้น พระองค์เสด็จออกไป ทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวี นั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เลวีก็ลุกขึ้น ละทิ้งทุกสิ่ง แล้ว ตามพระองค์ไป เลวีจัดเลี้ยงใหญ่ในบ้านของตนเป็นเกียรติแด่พระองค์ คนเก็บภาษีและคนอื่น ๆ จำ�นวนมากมาร่วมโต๊ะด้วย บรรดาชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ของเขาเหล่านั้นกล่าวด้วย ความไม่พอใจกับบรรดาศิษย์ของพระองค์วา่ “ทำ�ไมท่านทัง้ หลายจึงกินอาหารและดืม่ กับ คนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการ หมอ แต่คนป่วยต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้ กลับใจ” เทศกาลมหาพรตไม่ใช่เป็นเพียงเทศกาล ลด ละ เลิก กิจการไม่ดีหรืออบายมุข เพียงชัว่ คราว แต่เป็นเทศกาลทีพ่ ระศาสนจักรปรารถนาให้คริสตชนฝึกฝนตนเอง ให้รจู้ กั บังคับตนเอง และทำ�คุณงามความดีต่างๆ เพื่อเราคริสตชนจะได้มีแนวทางในการดำ�เนิน ชีวิต จนกว่าจะบรรลุจุดหมายปลายทาง ประกาศกอิสยาห์เตือนเราให้เลิกข่มเหงทำ�ร้าย ผู้อื่น พระเยซูคริสตเจ้าเป็นแบบอย่างสอนเราให้รู้จักให้อภัย ให้โอกาสผู้อื่นในการ เปลี่ยนแปลงวิถีการดำ�เนินชีวิตให้ดีขึ้น “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วย ต้องการ”

น.ยอห์น แห่งพระเจ้า นักบวช สดด 86:1,2-3, 4-5,6-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล

ปฐก 2:7-9; 3:1-7

เพลงสดุดี

สดด 51:1-2,3-5,10-12ก,12ข,15

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าทรงเอาฝุน่ จากพืน้ ดินมาปัน้ มนุษย์และทรงเป่าลมแห่งชีวติ เข้าในจมูกของเขา มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงปลูกสวนขึ้นทางทิศตะวันออกในแคว้นเอเดน และ ทรงนำ�มนุษย์ที่ทรงปั้นมาไว้ที่นั่น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงบันดาลให้ต้นไม้ทุกชนิด งอกขึ้นจากดิน ต้นไม้เหล่านี้งดงามชวนมองและมีผลน่ากิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ ที่กลางสวน และมีต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว งูเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์ท่ีสุดในบรรดาสัตว์ป่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงสร้าง มัน ถามหญิงว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่าอย่ากินผลจากต้นไม้ใดๆ ในสวนนี้” หญิงจึง ตอบงูวา่ “ผลของต้นไม้ตา่ งๆ ในสวนนี้ เรากินได้ แต่ผลของต้นไม้ทอี่ ยูก่ ลางสวนเท่านัน้ ” พระเจ้าตรัสห้ามว่า “อย่ากินหรือแตะต้องเลย มิฉะนั้นท่านจะต้องตาย” งูบอกกับหญิง ว่า “ท่านจะไม่ตายดอก พระเจ้าทรงทราบว่า ท่านกินผลไม้นั้นวันใด ตาของท่านจะเปิด ในวันนัน้ ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรูด้ รี ชู้ วั่ ” หญิงเห็นว่าต้นไม้นนั้ มีผลน่ากิน งดงาม ชวนมอง ทัง้ ยังน่าปรารถนาเพราะให้ปญ ั ญา นางจึงเด็ดผลไม้มากิน แล้วยังให้สามีซงึ่ อยู่ กับนางกินด้วย เขาก็กิน ทันใดนั้น ตาของทั้งสองคนก็เปิดและเห็นว่าตนเปลือยกายอยู่ จึงเอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้ ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าตามความรักมั่นคงของพระองค์เถิด โปรดทรงลบล้างการล่วงละเมิดของข้าพเจ้าเพราะพระกรุณาของพระองค์ โปรดทรงล้างข้าพเจ้าให้สะอาดหมดจดจากความผิดของข้าพเจ้า โปรดชำ�ระข้าพเจ้าให้บริสุทธิ์จากบาปที่ข้าพเจ้าได้ทำ�

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโรม รม 5:12-19

พีน่ อ้ ง บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำ�บาปฉันนั้น ก่อนที่จะมีธรรม บัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป ถึงกระนั้น ความตายก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพเหนือแม้ คนที่ไม่ได้ทำ�บาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะ มาในภายหลัง แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่า ถ้ามวลมนุษย์ต้องตายเพราะการ ล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระ หรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำ�หรับมวลมนุษย์ ของประทานต่างกับการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวทีท่ ำ�บาป บาปของมนุษย์คนเดียว เป็นเหตุให้มนุษยชาติถกู พระเจ้าลงโทษ แต่เมือ่ มนุษย์ทำ�บาปมากแล้ว ของประทานทีใ่ ห้


เปล่านัน้ กลับนำ�ความชอบธรรมมาให้ ถ้ามนุษย์คนเดียวล่วงละเมิด ทำ�ให้ความตายมีอำ�นาจปกครองเหนือ มนุษยชาติเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวนั้น เดชะพระเยซูคริสตเจ้าพระองค์เดียว ทุกคนที่ได้ รับพระหรรษทานอย่างสมบูรณ์และความชอบธรรมเป็นของประทาน ก็ยิ่งจะมีชีวิตและมีอำ�นาจปกครอง มากขึน้ ด้วยเหตุนี้ การล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษย์ทกุ คนถูกลงโทษฉันใด กิจการชอบ ธรรมของมนุษย์คนเดียวก็นำ�ความชอบธรรมทีบ่ นั ดาลชีวติ มาให้มนุษย์ทกุ คนฉันนัน้ มวลมนุษย์กลายเป็น คนบาปเพราะความไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันใด มวลมนุษย์ก็จะเป็นผู้ชอบธรรม เพราะความเชื่อ ฟังของมนุษย์คนเดียวฉันนั้น

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 4:1-11

เวลานั้น พระจิตเจ้าทรงนำ�พระเยซูเจ้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้ปีศาจมาผจญพระองค์ เมื่อทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว ทรงหิว ปีศาจผู้ผจญจึงเข้ามาใกล้ ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นบุตร พระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปังเถิด” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ว่า มนุษย์มิได้ดำ�รงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำ�รงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำ�ที่ออกจากพระโอษฐ์ของ พระเจ้า” ต่อจากนั้น ปีศาจอุ้มพระองค์ไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า “ถ้า ท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงกระโดดลงไปเบื้องล่างเถิด เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าทรงสั่งทูต สวรรค์เกี่ยวกับท่าน ให้คอยพยุงท่านไว้ มิให้เท้ากระทบหิน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ในพระคัมภีรย์ งั มีเขียนไว้ดว้ ยว่า อย่าท้าทายองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของ ท่านเลย” อีกครั้งหนึ่ง ปีศาจนำ�พระองค์ไปบนยอดเขาสูงมาก ชี้ให้พระองค์ทอดพระเนตรอาณาจักรรุ่งเรือง ต่างๆ ของโลก แล้วทูลว่า “เราจะให้ทุกสิง่ นี้แก่ท่าน ถ้าท่านกราบนมัสการเรา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เจ้า ซาตาน จงไปให้พน้ ยังมีเขียนไว้ในพระคัมภีรว์ า่ จงกราบนมัสการองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และ รับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น” ปีศาจจึงได้ละพระองค์ไป แล้วทูตสวรรค์ก็เข้ามาปรนนิบัติรับใช้พระองค์

พระจิตเจ้าทรงนำ�พระเยซูเจ้าไป เพื่อให้ปีศาจมาผจญพระองค์ เพื่อสอนให้เรารู้เท่าทันกลอุบายของ ปีศาจ และรู้วิธีการต่อสู้กับการผจญของมัน หลักใหญ่ในการผจญของมันก็คือ เรื่องปากท้อง การกินดี อยูด่ ี เรือ่ งความวางใจในพระเจ้าเป็นต้นเมือ่ มีความทุกข์ยากลำ�บากเกิดขึน้ ในชีวติ และเรือ่ งของความเชือ่ ในพระเจ้า จากการผจญทีพ่ ระเยซูคริสตเจ้าได้รบั แสดงให้เราเห็นว่าปีศาจมันจะให้ทกุ สิง่ ทีเ่ ราต้องการ ขอ เพียงให้เรากราบนมัสการมันเป็นพระเจ้า แต่เราจะสามารถชนะการผจญเหล่านี้โดยอาศัยพระวาจาของ พระเจ้า


สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต สดด 19:7-8,10, 13,14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1

ลนต 19:1-2,11-18

พระวรสาร

มธ 25:31-46

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ท่านทั้ง หลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์เพราะเรา องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์” “ท่านจะต้องไม่ลักขโมย ฉ้อโกง หรือพูดเท็จต่อกัน ท่านจะต้องไม่สาบานเท็จโดย ใช้นามของเรา... ท่านจะต้องยำ�เกรงพระเจ้าของท่าน เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องไม่ตัดสินคดีอย่างอยุติธรรม ท่านจะต้องไม่ลำ�เอียงเข้าข้างคนยากจน หรือคนมีอำ�นาจ แต่จงตัดสินคดีของเพือ่ นบ้านอย่างยุตธิ รรม...แต่จงรักเพือ่ นบ้านเหมือน รักตนเอง เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า”

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อ บุต รแห่ง มนุษย์จ ะเสด็จ มาในพระสิริรุ่งโรจน์พร้อมกับ บรรดาทูตสวรรค์ พระองค์จะประทับเหนือพระบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ บรรดาประชาชาติจะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์ จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลีย้ งแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้แกะอยูเ่ บือ้ งขวา ส่วนแพะอยูเ่ บือ้ ง ซ้าย แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ‘เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดา ของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านให้เรา กิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เรา เจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’...พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่าน ทั้งหลายว่า ท่านทำ�สิ่งใดต่อพี่น้องผู้ตํ่าต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำ�สิ่งนั้นต่อเรา’ แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดร ที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและพรรคพวกของมัน เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้ อะไรเราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ใน คุก ท่านก็ไม่มาเยี่ยม’ พวกนั้นจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรง กระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ’ พระองค์จะ ตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำ�สิ่งใดต่อผู้ตํ่าต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำ� สิ่งนั้นต่อเรา’ แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร”

เทศกาลมหาพรตนอกจากจะเป็นเทศกาลฝึกฝนตนเองให้เข้มแข็ง สามารถบังคับตนเองไม่ให้ด�ำ เนินชีวิต ตามกิเลสตัณหาชักนำ�แล้ว ยังเป็นเทศกาลที่ต้องปฏิบัติกิจเมตตา และเตรียมตัวเผชิญกับความตายที่จะมาถึง ในวันเวลาที่เราไม่คาดคิดอีกด้วย พระวรสารนักบุญมัทธิวบอกกับเราว่า “การแสดงความรัก ความเมตตาต่อ เพื่อนพี่น้องเป็นการเตรียมตัวเผชิญกับความตายอย่างดีที่สุด เพราะในวันพิพากษา พระเยซูคริสตเจ้าจะถาม เราว่า เราได้ปฏิบัติต่อเพื่อนพี่น้องของเราอย่างไร “สิ่งใดที่เราปฏิบัติต่อพี่น้องที่ตํ่าต้อยที่สุด เท่ากับปฏิบัติ ต่อพระองค์เอง”


บทอ่านที่ 1

อสย 55:9-11

พระเจ้าตรัสว่า “ฝนและหิมะลงมาจากท้องฟ้า และไม่กลับไปที่นั่นถ้าไม่ได้รด แผ่นดิน ทำ�ให้แผ่นดินอุดม ทำ�ให้พืชงอกขึ้น เพื่อให้ผู้หว่านมีเมล็ดพันธุ์ และให้ผู้กินมี อาหารฉันใด ถ้อยคำ�ที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาหาเราโดยไม่เกิดผล ไม่ทำ�ตามที่เรา ปรารถนา และไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่งมาฉันนั้น”

พระวรสาร

มธ 6:7-15

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซํ้าเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูด มากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง อย่าทำ�เหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้ว ว่าท่านต้องการอะไร ก่อนทีท่ า่ นจะขอเสียอีก ดังนัน้ ท่านทัง้ หลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำ�เร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์ โปรดประทานอาหารประจำ�วันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้ โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การประจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’ เพราะถ้าท่านให้อภัยผูท้ ำ�ความผิด พระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์ ก็จะประทาน อภัยแก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำ�ความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทาน อภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน”

พระวาจาของพระเจ้าเป็นความหวังเป็นกำ�ลังใจสำ�หรับเรา พระเจ้าทรงเอาพระทัย ใส่ดูแลเราตลอดเวลา ทรงทราบถึงความอ่อนแอและความต้องการของเราอยู่ก่อนแล้ว จึงทรงประทานพระหรรษทานคอยช่วยเหลือเกือ้ กูลเราอยูเ่ สมอ ประกาศกอิสยาห์เปรียบ พระหรรษทานที่พระองค์ประทานให้เหมือนฝนที่ตกลงมาแล้วไม่เสียเปล่า แต่จะทำ�ให้ พืน้ ดินอุดมเกิดพืชพันธุธ์ ญ ั ญาหารมากมายสำ�หรับมนุษย์ เราจึงต้องดำ�เนินชีวติ ด้วยความ หวังและวางใจในพระเจ้าผูซ้ งึ่ เป็น “พ่อของเรา” สวดภาวนาวอนขอความช่วยเหลือจาก พระองค์บ่อยๆ

สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต สดด 34:4-7,16-18

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต สดด 51:1-2,10-11, 16-17

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1

ยนา 3:1-10

พระวรสาร

ลก 11:29-32

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์อีกครั้งหนึ่งว่า “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์นคร ใหญ่ และประกาศเรื่องที่เราจะบอกท่านแก่เขา” โยนาห์ก็ลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า กรุงนีนะเวห์ เป็นนครใหญ่มาก ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กนิ เวลาสามวัน โยนาห์เริม่ เดินเข้าไปในเมืองเป็น ระยะทางเดินหนึ่งวัน ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน กรุงนีนะเวห์จะถูกทำ�ลาย” ชาวกรุง นีนะเวห์เชื่อฟังพระเจ้า และประกาศให้อดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบทุกคน ตั้งแต่คน ยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงคนตํ่าต้อยที่สุด ข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์กรุงนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุก ขึน้ จากพระบัลลังก์ ทรงเปลือ้ งฉลองพระองค์ออก ทรงสวมเสือ้ ผ้ากระสอบและประทับ นั่งบนกองขี้เถ้า กษัตริย์ทรงประกาศกฤษฎีกาในกรุงนีนะเวห์พร้อมกับข้าราชบริพารชั้น สูงว่า “ทัง้ คนและสัตว์ไม่วา่ ใหญ่หรือเล็กอย่ากินสิง่ ใด อย่ากินหญ้าหรือดืม่ นํา้ เลย ทัง้ คน และสัตว์จงสวมผ้ากระสอบและร้องหาพระเจ้าสุดกำ�ลัง แต่ละคนจงกลับใจจากความ ประพฤติชั่วและเลิกใช้การกระทำ�ที่รุนแรง ใครจะรู้ได้ พระเจ้าอาจทรงเปลี่ยนพระทัย ทรงพระเมตตา และคลายพระพิโรธที่รุนแรง เพื่อเราจะไม่ต้องพินาศ” พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความพยายามของเขา ที่จะกลับใจไม่ประพฤติชั่วอีกต่อ ไป พระเจ้าทรงพระเมตตาไม่ลงโทษตามที่ตรัสไว้ว่าจะทรงลงโทษเขา เวลานั้น เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย อยากเห็นเครื่องหมาย แต่จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น นอกจากเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์เป็นเครื่องหมายสำ�หรับชาว นีนะเวห์ฉนั ใด บุตรแห่งมนุษย์กจ็ ะเป็นเครือ่ งหมายสำ�หรับคนยุคนีฉ้ นั นัน้ ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจาก สุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่า กษัตริยซ์ าโลมอนอีก ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะลุกขึน้ และกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะ ชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำ�เทศน์ของประกาศกโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่า โยนาห์อีก”

การที่พระเจ้าทรงส่งประกาศกโยนาห์ไปเตือนชาวเมืองนีนะเวห์ ซึ่งไม่ใช่ชาวอิสราเอล เผยให้เราเข้าใจ พระประสงค์ของพระเจ้าอย่างชัดเจนว่า “พระองค์ทรงรักมนุษยชาติและไม่ปรารถนาให้ใครเสียไปแม้แต่คน เดียว” พระประสงค์ของพระองค์ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อทรงมอบพระบุตรสุดที่รักให้แก่มนุษยชาติ โดยให้พระบุตร บังเกิดมาเป็นมนุษย์ดุจเรา มาไถ่เราให้พ้นจากบาป พระองค์ทรงกระทำ�ถึงขนาดนี้แล้วแต่หลายคนยังไม่รู้สึกรู้ สม ยังทำ�บาปไม่ยอมกลับใจ ก็สมควรแล้วที่บุคคลเหล่านี้จะต้องถูกกล่าวโทษในวันพิพากษา


บทอ่านที่ 1

อสธ 4:17K-17M,17R-17U

พระวรสาร

มธ 7:7-12

พระราชินเี อสเธอร์ทรงเป็นทุกข์แทบจะสิน้ พระชนม์ จึงทรงแสวงหาความช่วยเหลือ จากองค์พระผู้เป็นเจ้า พระนางทรงเปลื้องฉลองพระองค์ที่หรูหราออก แล้วทรงชุดไว้ ทุกข์แสดงความโศกเศร้า ทรงโปรยขีเ้ ถ้าและฝุน่ ดินบนพระเศียรแทนเครือ่ งหอมมีคา่ ไม่ สนพระทัยที่จะประดับพระกายให้งดงามอย่างที่เคย แต่ทรงสยายพระเกศาให้ยุ่งเหยิง แล้วทรงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า สัปดาห์ที่ 1 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระมหากษัตริย์ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เทศกาลมหาพรต พระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้าเถิด สดด 138:1-2ก,2ข-3, ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือข้าพเจ้านอกจากพระองค์เท่านั้น ข้าพเจ้ากำ�ลัง 7ข-8 เผชิญอันตรายเสีย่ งชีวติ ตัง้ แต่เป็นเด็ก ข้าพเจ้าเคยได้ยนิ จากบุคคลในครอบครัว เล่าว่า พระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเลือกสรรชาวอิสราเอลจากชนชาติทั้งหลาย ทรง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เลือกบรรพบุรษุ ของข้าพเจ้าจากบรรพบุรษุ ของเขา เป็นมรดกถาวรของพระองค์ พระองค์ ทรงกระทำ�ตามที่ทรงสัญญาไว้กับเขาทุกประการ ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าทัง้ หลายเถิด โปรดทรงสำ�แดงพระองค์ในเวลาทีข่ า้ พเจ้า ทัง้ หลายมีความทุกข์ โปรดให้ขา้ พเจ้ามีความกล้าหาญเถิด... โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทัง้ หลายให้รอดพ้นอันตราย ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือนอกจาก พระองค์...” เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับ ท่าน เพราะคนทีข่ อย่อมได้รบั คนทีแ่ สวงหาย่อมพบ คนทีเ่ คาะประตูยอ่ มมีผเู้ ปิดประตูให้ ท่านใดทีล่ กู ขออาหาร แล้ว จะให้กอ้ นหิน ถ้าลูกขอปลาท่านจะให้งหู รือ แม้แต่ทา่ นทัง้ หลายทีเ่ ป็นคนชัว่ ยังรูจ้ กั ให้ของดีๆ แก่ลกู แล้ว พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานของดีๆ แก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ ท่านอยากให้เขาทำ�กับท่านอย่างไร ก็จงทำ�กับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและคำ�สอนของบรรดา ประกาศก”

“จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รบั จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตู รับท่าน” พระเยซูคริสตเจ้าทรงสอนให้เราวอนขอ เพราะการวอนขอเป็นการสรรเสริญฤทธานุภาพยิง่ ใหญ่ของ พระเจ้า และเป็นการแสดงความวางใจในพระองค์ว่าพระองค์สามารถประทานความช่วยเหลือต่างๆ แก่เราได้ แต่มไิ ด้หมายความว่าการสวดภาวนาเป็นการวอนขอเพียงอย่างเดียว การสวดภาวนาที่ดีต้องประกอบด้วยการ สรรเสริญ การขอบพระคุณ การขอโทษ และการวอนขอสิ่งที่จำ�เป็นตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจ เราเสมอไป


บทอ่านที่ 1

สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต สดด 130:1-4,5-6, 7-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร

อสค 18:21-28

พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “แต่ถ้าคนชั่วร้ายกลับใจไม่ทำ�บาปทุกอย่างที่เขาเคยทำ� แล้ว กลับมารักษาข้อกำ�หนดทุกข้อของเรา ปฏิบัติความถูกต้องและความยุติธรรม เขาจะมี ชีวติ อยูแ่ น่นอน เขาจะไม่ตอ้ งตาย... เขาจะมีชวี ติ อยูเ่ พราะความชอบธรรมทีเ่ ขาได้ทำ� เรา พอใจในความตายของคนอธรรมหรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราพอใจที่เขากลับใจจาก ความประพฤติชั่วของเขาและมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ” “แต่ถ้าผู้ชอบธรรมละทิ้งความชอบธรรมของตนไปทำ�ความชั่ว ประพฤติตามการ กระทำ�น่าสะอิดสะเอียนทุกอย่างที่คนชั่วทำ� ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ การกระทำ�ชอบ ธรรมทั้งหมดที่เขาได้ทำ�มาแล้วจะไม่ถูกจดจำ�ไว้อีกเลย เขาจะต้องตายเพราะความผิดที่ เขาไม่ได้ซื่อสัตย์ และเพราะบาปที่เขาได้ทำ�” “ท่านพูดว่า ‘วิธีการขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จง ฟังเถิด วิธีการของเราไม่ยุติธรรม หรือวิธีการของท่านไม่ยุติธรรม... ถ้าคนชั่วร้ายเลิก ทำ�ความชัว่ ร้ายทีเ่ ขาได้ทำ� มาปฏิบตั คิ วามยุตธิ รรมและความชอบธรรม เขาก็จะรักษาชีวติ ของตนไว้ เขาเลือกจะเลิกการล่วงละเมิดทัง้ หมดทีเ่ คยทำ� เขาจะมีชวี ติ อย่างแน่นอน เขา จะไม่ต้องตาย”

มธ 5:20-26

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์ และชาวฟาริสีแล้วท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ท่านได้ยินคำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่ โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำ�เครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึก ได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว “จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสีย ก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำ�ลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิ ฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความ จริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำ�ระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย”

มาตรฐานการดำ�เนินชีวิตของคริสตชนต้องสูงกว่าคนทั่วไป เพราะคริสตชนได้รับมากกว่าคนอื่น คนที่ได้ รับมากก็จะต้องคืนมากเป็นสัดส่วนไป เป็นพระเจ้าเองที่เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ มาเผยแสดงพระองค์เอง ให้เรารู้จัก สอนและเป็นแบบอย่างในการดำ�เนินชีวิตให้กับเรา ทำ�ให้เราทราบพระประสงค์ของพระองค์และ หนทางที่จะเข้าพระอาณาจักรสวรรค์ ดังนั้นเราคริสตชนจึงต้องพยายามดำ�เนินชีวิตให้สมกับการเป็นคริสตชน ผู้ได้รับเลือกสรร ด้วยเหตุนี้จึงมีคำ�กล่าวว่า “ก่อนที่จะเป็นคริสตชนที่ดี จงเป็นคนดีให้ได้ก่อน”


บทอ่านที่ 1

ฉธบ 26:16-19

โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “ในวันนีอ้ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ทรงบัญชาให้ทา่ นปฏิบตั ติ ามข้อกำ�หนด และกฎเกณฑ์เหล่านี้อย่างเคร่งครัดสุดจิตใจ และสุดวิญญาณ ในวันนี้ ท่านได้ยินองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของ ท่าน ถ้าท่านดำ�เนินตามหนทางของพระองค์ ปฏิบัติตามข้อกำ�หนด บทบัญญัติและกฎ เกณฑ์ของพระองค์ ทั้งเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ในวันนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง บัญชาให้ท่านประกาศว่า ท่านจะเป็นประชากรของพระองค์ เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของ พระองค์ดงั ทีต่ รัสไว้ และท่านจะปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตขิ องพระองค์ทกุ ประการ พระองค์ จะทรงบันดาลให้ท่านมีศักดิ์ศรี มีชื่อเสียงและมีเกียรติยศเหนือชนชาติอื่นๆ ทั้งปวงที่ ทรงสร้างขึ้นมา และท่านจะเป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ของท่านดังที่ทรงสัญญาไว้”

พระวรสาร

มธ 5:43-48

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ท่านทัง้ หลายได้ยนิ คำ�กล่าวว่า จงรักเพือ่ นบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ทา่ น ว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระ บิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรด ให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่คนทีร่ กั ท่าน ท่านจะได้บำ�เหน็จ รางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของ ท่านเท่านั้น ท่านทำ�อะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ฉะนั้น ท่านจง เป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด”

“ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดี อย่างสมบูรณ์เถิด” นีเ่ ป็นมาตรฐานการดำ�เนินชีวติ ของเราคริสตชน คริสตชนต้องปฏิบตั ิ ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเราก่อนแล้ว ทรงให้ฝนตก แดดส่องเหนือคนดี และคนชัว่ เท่าเทียมกัน และต้องเป็นคนดีอย่างทีพ่ ระเจ้าทรงเป็นความดีสมบูรณ์แบบ ข้อ เรียกร้องอย่างนีเ้ ราจะปฏิบตั ไิ ด้หรือ คำ�ตอบก็คอื ข้อเรียกร้องนีเ้ ป็นข้อเรียกร้องทีต่ อ้ งการ ให้เราแสดงความพยายามในการดำ�เนินชีวติ สุดความสามารถ ทีจ่ ะเป็นและปฏิบตั เิ หมือน พระเจ้ามากที่สุด

สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต สดด 119:1-2,3-6, 7-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล

ปฐก 12:1-4ก

เพลงสดุดี

สดด 33:4-5,18-19,20-22

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่อับรามว่า “จงออกจากแผ่นดินของท่าน จากญาติพี่น้อง จากบ้านของบิดา ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้ท่าน เราจะทำ�ให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่ จะ อวยพรท่าน จะทำ�ให้ท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่านจะนำ�พระพรมาให้ผู้อื่น เราจะอวยพร ผู้ที่อวยพรท่าน เราจะสาปแช่งผู้ที่สาปแช่งท่าน บรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดินจะได้ รับพรเพราะท่าน” อับรามจึงออกเดินทางตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส ก) พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเที่ยงตรง พระราชกิจของพระองค์น่าเชื่อถือ พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและความยุติธรรม ความรักมั่นคงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปี่ยมล้นทั่วแผ่นดิน ข) แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าพิทักษ์ผู้ที่ยำ�เกรงพระองค์ ผู้ที่หวังในความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อจะช่วยชีวิตของเขาให้พ้นจากความตาย และรักษาเขาไว้ในยามอาหารขาดแคลน ค) จิตใจของเราทั้งหลายกำ�ลังรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือและทรงเป็นโล่ป้องกันภัยของเรา ใช่แล้ว จิตใจของเราชื่นชมในพระองค์ เพราะเราวางใจในพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอความรักมั่นคงของพระองค์สถิตกับข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายมีความหวังในพระองค์

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง 2 ทธ 1:8ข-10

พีน่ อ้ ง จงเข้ามามีสว่ นร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพือ่ ข่าวดีโดยพระอานุภาพของ พระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอดพ้น และทรงเรียกเราให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เรา กระทำ� แต่เพราะพระประสงค์และพระหรรษทานของพระองค์ พระองค์ประทานพระ หรรษทานนีแ้ ก่เราแล้วในพระคริสตเยซูกอ่ นกาลเวลา แต่บดั นีท้ รงเปิดเผยโดยการแสดง พระองค์ของพระผู้ไถ่คือพระคริสตเยซู ผู้ทรงทำ�ลายความตาย และทรงนำ�ชีวิตและ ความไม่รู้จักตายให้ปรากฏอย่างชัดแจ้งโดยทางข่าวดี

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 17:1-9

ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายไปบนภูเขา


สู ง ที่ ป ราศจากผู้ ค น แล้ ว พระวรกายของพระองค์ ก็ เปลีย่ นไปต่อหน้าเขา พระพักตร์เปล่งรัศมีดจุ ดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสขี าวดุจแสงสว่าง โมเสสและประ กาศกเอลียาห์สำ�แดงตนสนทนาอยู่กับพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ที่นี่สบาย น่าอยู่จริงๆ ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ข้าพเจ้าจะสร้าง เพิงขึ้นสามหลัง หลังหนึ่งสำ�หรับพระองค์ หลังหนึ่ง สำ�หรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำ�หรับเอลียาห์” ขณะที่ เปโตรกำ�ลังพูดอยู่นั้น มีเมฆสว่างจ้าก้อนหนึ่งปกคลุม พวกเขาไว้ เสียงหนึง่ ดังจากเมฆนัน้ ว่า “ท่านผูน้ เี้ ป็นบุตร สุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด” เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์ทั้งสามคนซบหน้าลงกับพื้นดิน มีความกลัวอย่างยิ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามา ใกล้ ทรงสัมผัสเขา ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาไม่เห็นผู้ใด นอกจากพระ เยซูเจ้าเท่านั้น ขณะที่กำ�ลังลงจากภูเขา พระเยซูเจ้าทรงกำ�ชับศิษย์ทั้งสามคนว่า “อย่าเล่านิมิตที่ได้เห็นนี้ให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย” การเรียกอับรามออกจากแผ่นดินของท่านโดยไม่รู้ว่าจะต้องไปไหนและพบอะไร คือการยอมรับพระ ประสงค์ของพระ เราไม่รวู้ า่ เพราะอะไร รูแ้ ต่วา่ จากพระต้องดีแน่ๆ การยอมรับแบบนีต้ อ้ งมีความเชือ่ ความ วางใจและความรักเท่านั้น นักบุญเปาโลบอกว่าพระเรียกเรามาให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เราก็ไม่รู้ว่าเราจะเป็นได้ อย่างไร ต้องทำ�อย่างไร คนอย่างเราจะเป็นได้หรือไม่ แต่พระก็จะให้พระหรรษทานช่วยเราให้เป็นได้เพราะ นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำ�หรับเรา ดังนั้นการฟังเสียงเรียกของพระจึงสำ�คัญมากๆ ท่านผู้นี้คือบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด


น.ปาตริก พระสังฆราช สดด 79:8-9,10-11, 12-13

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1

ดนล 9:4ข-10

พระวรสาร

ลก 6:36-38

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว พระองค์ทรงรักษา พันธสัญญาและความรักมัน่ คงต่อผูท้ รี่ กั พระองค์และปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตขิ องพระองค์ ข้าพเจ้าทัง้ หลายได้ทำ�บาป ทำ�ผิด ประพฤติชวั่ ร้าย เป็นกบฏ หันเหไปจากบทบัญญัตแิ ละ กฎเกณฑ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าทัง้ หลายมิได้เชือ่ ฟังบรรดาประกาศก ผูร้ บั ใช้ของพระองค์ ซึ่งพูดในพระนามของพระองค์ต่อบรรดากษัตริย์ บรรดาเจ้านาย บรรดาบรรพบุรุษของ ข้าพเจ้าทั้งหลาย และต่อประชากรทั้งมวลของแผ่นดิน ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความ เที่ยงธรรมเป็นของพระองค์ ส่วนความอับอายเป็นของข้าพเจ้าทั้งหลาย ดังที่เป็นอยู่ทุก วันนี้ เป็นของชาวยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และชาวอิสราเอลทัง้ มวล ทัง้ เป็นของผูท้ อี่ ยู่ ใกล้และอยูไ่ กล ผูท้ อี่ ยูใ่ นแผ่นดินทีพ่ ระองค์ทรงบันดาลให้เขาไปอยูอ่ ย่างกระจัดกระจาย เพราะความทรยศซึง่ เขาได้ทำ�ต่อพระองค์ ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ความอับอายเป็นของ ข้าพเจ้าทัง้ หลาย เป็นของบรรดากษัตริย์ บรรดาเจ้านายและบรรดาบรรพบุรษุ ของข้าพเจ้า ทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำ�บาปผิดต่อพระองค์ ส่วนพระกรุณาและการ อภัยโทษเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย ที่ได้กบฏต่อพระองค์ มิได้ เชือ่ ฟังพระสุรเสียงขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ไม่ปฏิบตั ติ ามธรรมบัญญัตทิ พี่ ระองค์ประทาน ให้โดยบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของพระองค์” เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด อย่าตัดสิน เขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษ ท่าน จงให้อภัยเขา แล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ทา่ น ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น เพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย”

ความแตกต่างระหว่างความเมตตากรุณา การไม่ตัดสิน การไม่กล่าวโทษ การให้ อภัยของพระและของเรามนุษย์ไม่ได้อยู่ที่พระมีและเราไม่มี แต่อยู่ที่ทั้งพระและเราต่าง ก็มีอยู่ ต่างกันตรงที่ว่าความเมตตากรุณาและการให้อภัย การไม่กล่าวโทษ การไม่ตัดสิน ของพระนัน้ ไม่มขี อบเขตและเงือ่ นไข ส่วนเรามนุษย์จะทำ�ภายใต้เงือ่ นไขมากมายต่างหาก เราจะเมตตากรุณา เราจะให้อภัยใครสักครั้งเราก็จะมีคำ�ถามคำ�ตอบ ใครที่สามารถลด เงื่อนไขเหล่านั้นออกไปได้ก็เท่ากับมีคุณสมบัติจากสวรรค์ นั่นคือมีความรักที่น่ายกย่อง ในหัวใจ


บทอ่านที่ 1

อสย 1:10,16-20

“ท่านทั้งหลายผู้มีอำ�นาจปกครองเมืองโสโดมเอ๋ย จงฟังพระวาจาขององค์พระผู้ เป็นเจ้าเถิด ประชาชนแห่งเมืองโกโมราห์เอ๋ย จงเงี่ยหูฟังคำ�สอนของพระเจ้าของเราเถิด จงล้าง จงชำ�ระตนให้สะอาด จงนำ�กิจการชัว่ ร้ายของท่านออกไปให้พน้ จากสายตาของเรา จงเลิกทำ�ความชั่ว จงเรียนรู้ที่จะทำ�ความดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงช่วยเหลือผู้ถูก ข่มเหง จงให้ความเป็นธรรมแก่ลูกกำ�พร้า จงปกป้องสิทธิของหญิงม่าย” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด มาพิจารณาความด้วยกันกับเรา แม้บาปของท่าน เป็นสีแดงเหมือนผ้าสีเลือดหมู ก็จะขาวอย่างหิมะ แม้บาปของท่านจะเป็นสีแดงเหมือน ผ้าสีแดงเข้ม ก็จะขาวเหมือนขนแกะ ถ้าท่านทัง้ หลายยอมเชือ่ ฟัง ท่านจะได้กนิ ผลดีของ แผ่นดิน แต่ถ้าท่านดื้อรั้นและเป็นกบฏ ท่านจะเป็นเหยื่อของคมดาบ เพราะพระโอษฐ์ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้”

พระวรสาร

มธ 23:1-12

น.ซีริลแห่งกรุงเยรูซาเล็ม พระสังฆราช และนักปราชญ์แห่ง พระศาสนจักร

สดด 50:8-10,16-18, 22-23

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

ครัง้ นัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์วา่ “พวกธรรมาจารย์และชาว ฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสส ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่อย่า ปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่า คนอืน่ แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิว้ เขาทำ�กิจการทุกอย่างเพือ่ ให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขึ้น ผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่น เขาชอบ ที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยง ชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม ชอบให้ผู้คนคำ�นับตามลาน สาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’ ส่วนท่านทั้งหลาย อย่าให้ผู้ใดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียว และทุกคนเป็นพี่น้องกัน ในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดาของท่านมี เพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์ อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ เพราะพระ อาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า ในกลุม่ ของท่าน ผูใ้ ดเป็นใหญ่จะ ต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ตํ่าลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการ ยกย่องให้สูงขึ้น”

ความจองหองของเรามนุษย์แสดงออกมาได้หลายทาง บางคนจองหองในความเก่งกาจของตน ในสมอง อันชาญฉลาด ในความสามารถต่างๆ หรือแม้แต่ในความดีที่ตนมี หลายคนพยายามคุยโอ้อวดตนเพื่อให้คน อื่นๆ ยอมรับและชื่นชมในความดีและความเก่งเหล่านั้นด้วยวิธีการต่างๆ ราวกับว่าความดีและความเก่งเหล่า นั้นเป็นของตนเองและไม่ได้รับมาจากพระ ที่น่าวิตกที่สุดก็คือผู้ท่ีแสร้งเป็นคนดี สอนผู้อื่นให้ทำ� ตำ�หนิผู้อื่น เสมอโดยไม่สำ�รวจตนเองเลยน่าจะเป็นคนที่จองหองที่สุดแล้ว ความสุภาพถ่อมตนและขอบคุณพระเสมอ สำ�หรับพระพรและพระคุณต่างๆ จึงสมควรได้รับการเคารพยกย่องที่สุด


สมโภชนักบุญโยเซฟ ภัสดาของพระนาง มารีย์พรหมจารี สดด 89:1-2,3-4, 26,28

บทอ่านที่ 1

2 ซมอ 7:4-5ก,12-14ก,16

บทอ่านที่ 2

รม 4:13,16-18,22

ในคืนนัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า “จงไปบอกดาวิดผูร้ บั ใช้ของเราว่า ‘องค์ พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านจะไม่เป็นผู้สร้างวิหารให้เราอยู่ เมื่อท่านสิ้นชีวิตในวัยชรา และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษแล้ว เราจะตั้งเชื้อสายคนหนึ่งของท่าน ซึ่งเป็นบุตรของท่าน ให้เป็นกษัตริยต์ อ่ จากท่าน เราจะพิทกั ษ์รกั ษาอาณาจักรของเขาให้มนั่ คง เขาจะเป็นผูส้ ร้าง วิหารให้แก่นามของเรา เราจะดูแลให้ลูกหลานของเขาเป็นกษัตริย์ครองราชย์ตลอดไป เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา...’”

พระสัญญาที่ประทานให้อับราฮัมและลูกหลานที่ว่าเขาจะได้ครอบครองโลกเป็น วันคล้ายวันสมณภิเษก มรดกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมบัญญัติ แต่เกิดขึ้นโดยความชอบธรรมอันเนื่องมาจาก สมเด็จพระสันตะปาปา ความเชือ่ เพราะเหตุนี้ การรับมรดกโดยอาศัยพระสัญญาจึงมาจากความเชือ่ เพือ่ ให้พระ สัญญาเป็นของประทานทีใ่ ห้เปล่า... แม้ดเู หมือนจะไม่มคี วามหวัง แต่อบั ราฮัมก็หวังและ ฟรังซิส เชื่อว่า เขาจะเป็นบิดาของประชาชาติจำ�นวนมากสมจริงตามพระสัญญาที่ว่า ลูกหลาน ของเจ้าจะมีจำ�นวนมากเช่นนัน้ นีค่ อื ความเชือ่ ซึง่ นับได้วา่ เป็นความชอบธรรมสำ�หรับเขา

พระวรสาร

ลก 2:41-51ก

โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึน้ ไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมือ่ พระองค์ มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟัง และทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนทีไ่ ด้ฟงั พระองค์ตา่ งประหลาดใจในพระปรีชาทีท่ รงแสดงในการตอบคำ�ถาม เมือ่ โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำ�ไม จึงทำ�กับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำ�ไม พ่อ แม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก”...

สมโภชนักบุญโยเซฟ ชายทีส่ ภุ าพทีส่ ดุ แมนทีส่ ดุ และรับผิดชอบทีส่ ดุ ชายทีม่ สี ว่ นร่วมในงานไถ่บาปของ พระอย่างใกล้ชิดที่สุดและเงียบที่สุด ชายที่มีคุณธรรมที่น่าเลียนแบบมากที่สุดคนหนึ่ง เรารู้จักท่านน้อยที่สุด คนหนึง่ ในพระคัมภีร์ พระศาสนจักรให้ทา่ นได้รบั เกียรติมากทีส่ ดุ เท่าทีจ่ ะทำ�ได้กเ็ พือ่ ให้เราได้เลียนแบบคุณธรรม เหล่านี้ นอกจากนี้ยังให้เราได้ภาวนาวอนขอความช่วยเหลือเหมือนดั่งที่ท่านได้ช่วยเหลืองานไถ่บาปจนวัน สุดท้ายของชีวิต ท่านทำ�ให้ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ให้เราภาวนาให้พ่อบ้านทุกคนได้ทำ�หน้าที่สามี และบิดาที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมเช่นท่านด้วย


บทอ่านที่ 1

ยรม 17:5-10

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “คนทีว่ างใจในมนุษย์ยอ่ มถูกสาปแช่ง เขาพึง่ พลังของมนุษย์ ใจของเขาหันออกจาก องค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นเหมือนพุ่มไม้ในถิ่นทุรกันดาร ไม่เห็นความดีใดๆ ที่มาถึง... คนที่วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมได้รับพระพร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความ หวังของเขา เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมนํ้า ซึ่งหยั่งรากออกไปที่ลำ�นํ้า เมื่อความ ร้อนมาถึง เขาก็ไม่กลัว ใบของเขาคงเขียวอยู่เสมอ... จิตใจหลอกลวงมากกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ไม่อาจแก้ไข ผู้ใดจะรู้จักใจได้ เรา องค์พระ ผู้เป็นเจ้า สำ�รวจจิต และทดสอบใจเพื่อจะตอบแทนแต่ละคนตามความประพฤติของ เขา”

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 1:1-6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

ลก 16:19-31

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกฟาริสีว่า “เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน คนยากจนผู้หนึ่งชื่อ ลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของ เศรษฐี มีแต่สนุ ขั มาเลียแผลของเขา วันหนึง่ คนยากจนผูน้ ตี้ าย ทูตสวรรค์นำ�เขาไปอยูใ่ นอ้อมอกของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้ เศรษฐีซึ่งกำ�ลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มอง เห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยูใ่ นอ้อมอก จึงร้องตะโกนว่า ‘ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณา ส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มนํ้ามาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำ�ลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลว ไฟนี้’ แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย จงจำ�ไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลวๆ บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จน ใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ ได้ด้วย’ เศรษฐีจึงพูดว่า ‘ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพี่น้องอีก ห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย’ อับราฮัมตอบว่า ‘พี่น้องของลูกมีโมเสส และบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด’ แต่เศรษฐีพูดว่า ‘มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ’ อับราฮัมตอบว่า ‘ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดา ประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ’” คนที่วางใจในมนุษย์ หมายความถึงคนที่วางใจในโลกนี้ วางใจในความสามารถและความก้าวหน้าต่างๆ ของโลก วางใจในทรัพย์สมบัติและวางใจในชีวิตทางโลก ดำ�เนินชีวิตเหมือนมีทุกอย่างบนโลกนี้ก็พอแล้ว ทำ� อะไรได้ทุกอย่างตามใจและตามเนื้อหนังของตนเอง จิตใจหันเหออกจากพระ ออกจากความเชื่อเพราะไม่ สามารถทำ�ตามใจตนเองได้ แต่สำ�หรับคนที่วางใจในพระเขาจะได้รับพระพรอย่างแน่นอน อาจจะไม่เป็นไม่มี ตามที่เขาต้องการแต่ด้วยความวางใจนี้เขากลับมีทุกสิ่งที่สำ�คัญที่สุดแล้ว


บทอ่านที่ 1

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 105:16-18,19, 20-22

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร

ปฐก 37:3-4,12-13ก,17ข-28

ยาโคบรักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่นๆ เพราะโยเซฟเกิดมาเมื่อยาโคบชราแล้ว ...เมือ่ พีช่ ายเห็นว่าบิดารักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอืน่ ๆ ต่างก็เกลียดชังเขามากจนไม่ยอม พูดดีด้วย พี่ชายของโยเซฟไปเลี้ยงแพะแกะของบิดาในบริเวณเมืองเชเคม อิสราเอล บอกโยเซฟว่า “พี่ๆ ของลูกกำ�ลังเลี้ยงแพะแกะอยู่ที่เชเคม มาซิ พ่อจะส่งลูกไปพบเขา” โยเซฟจึงตามไปพบพี่ชายที่เมืองโดธาน พี่ชายเห็นโยเซฟแต่ไกลก่อนที่โยเซฟจะมาถึง จึงวางแผนจะฆ่าเสีย... รูเบนได้ยิน เข้าก็หาทางจะช่วยโยเซฟให้พ้นจากเงื้อมมือน้องๆ ของตน... เมื่อโยเซฟมาถึง พี่ชายก็ ช่วยกันจับเขาถอดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษซึ่งเขาสวมอยู่ แล้วโยนเขาลงไปในบ่อ บ่อ นั้นแห้งไม่มีนํ้า แล้วพี่ชายทุกคนก็นั่งลงกินอาหาร ทันใดนั้น เขาเงยหน้าขึ้น เห็นกองคาราวานของชาวอิชมาเอลกำ�ลังเดินทางมาจาก แคว้นกิเลอาดจะไปอียิปต์... ยูดาห์จึงแนะนำ�พี่น้องว่า “...เราจงขายน้องแก่ชาวอิชมา เอลดีกว่า เราจะได้ไม่ต้องทำ�ร้ายเขา เพราะเขาก็ยังเป็นน้องและเป็นสายเลือดเดียวกับ เรา” พี่น้องทุกคนก็เห็นด้วย... พ่อค้าเหล่านี้จึงพาโยเซฟไปอียิปต์

มธ 21:33-43,45-46

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวน หนึง่ ... ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมือ่ ใกล้ถงึ ฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผรู้ บั ใช้ไปพบคน เช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคน หนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำ�นวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำ�กับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคน เช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เราจะได้มรดกของเขา’ เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำ�ตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย... พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านใน พระคัมภีร์หรือว่า หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำ�เช่นนั้น เป็นที่น่า อัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้ แก่ชนชาติอื่นที่จะทำ�ให้บังเกิดผล”... ทำ�ไมมนุษย์เราช่างมีค่าและความหมายต่อพระเจ้ามาก พระทรงทำ�ทุกสิ่งเพื่อช่วยเราให้รอด คำ�ตอบมี เพียงประการเดียวก็เพราะว่าพระองค์ทรงรักเรา เพื่อช่วยเราให้รอดพระองค์มอบลูกชายสุดที่รักให้มาไถ่บาป เรา พระองค์ตอ้ งวางแผนการไถ่บาปนี้ โยเซฟบุตรของยาโคบเป็นสัญลักษณ์ทชี่ ดั เจนของการเปิดเผย สิง่ ทีพ่ ระ ต้องการมากที่สุดจากเราก็คือ ความรัก พระเจ้าที่แท้ก็คือความรักนั่นเอง ต่างจากเราก็เพียงความรักของพระ นั้นไม่มีขอบเขต ไม่มีเงื่อนไขใดๆ แต่ความรักของเรามนุษย์มีเงื่อนไขและมีขอบเขต ความรอดจะทำ�ให้เรารู้จัก รักแบบไม่มีขอบเขตและไม่มีเงื่อนไข


บทอ่านที่ 1

มคา 7:14-15,18-20

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงใช้ไม้ขอของผู้เลี้ยงแกะเลี้ยงดูประชากร คือฝูง แพะแกะที่เป็นมรดกของพระองค์ ซึ่งอาศัยโดดเดี่ยวอยู่ในป่า ที่มีแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ อยู่โดยรอบ... โปรดทรงแสดงปาฏิหาริย์แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย เหมือนในสมัยที่ทรงนำ� ข้าพเจ้าทั้งหลายออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เทพเจ้าใดเล่าเป็นเหมือนพระองค์ ผูท้ รงให้อภัยความผิด และทรงมองข้ามการล่วง ละเมิดแก่ผทู้ เี่ หลืออยูเ่ ป็นมรดกของพระองค์... ทรงแสดงความรักมัน่ คงแก่อบั ราฮัม ดัง ที่เคยทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งแต่นานมาแล้ว

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

พระวรสาร

สดด 103:1-2,3-4, 9-10,11-12

ลก 15:1-3,11-32

เวลานั้น บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า... พระองค์ จึงตรัสเรื่องอุปมานี้ให้เขาฟังว่า “ชายผู้หนึ่งมีลูกสองคน ลูกคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด’ บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูก ทัง้ สองคน ต่อมาไม่นาน ลูกคนเล็กรวบรวมทุกสิง่ ทีม่ แี ล้วเดินทางไปยังประเทศห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน... เขาจึงรู้สำ�นึกและคิดว่า ‘คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อ ว่า ‘พ่อครับ ลูกทำ�บาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็น ผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด’’ เขาก็กลับไปหาพ่อ ขณะที่เขายังอยู่ไกล พ่อมองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา... พ่อพูดกับผู้รับใช้ว่า ‘เร็ว เข้า จงไปนำ�เสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำ�แหวนมาสวมนิ้ว นำ�รองเท้ามาใส่ให้ จงนำ�ลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไป ฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’... ส่วนลูกคนโตอยูใ่ นทุง่ นา เมือ่ กลับมาใกล้บา้ น ได้ยนิ เสียงดนตรีและการร้องรำ� จึงเรียกผูร้ บั ใช้คนหนึง่ มา ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้รับใช้บอกเขาว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว พ่อสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะ เขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย’ ลูกคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน...พ่อพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับ พ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก แต่จำ�เป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูก ตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’”

ความรักของพระไม่มีขอบเขตและเงื่อนไขหมายความถึงพระองค์ทรงรักแม้คนบาปด้วย พระบุตรเสด็จ มาเพื่อคนบาป บิดารอคอยลูกล้างผลาญกลับมาอย่างไร พระบิดาของเราก็ทรงรอคอยอย่างนั้น พระเยซูเจ้า ตรัสเปรียบเทียบว่า เมือ่ คนบาปคนหนึง่ กลับใจ บนสวรรค์มคี วามชืน่ ชมยินดี มีงานเลีย้ งยิง่ ใหญ่บนสวรรค์เสมอ เราทุกคนล้วนเป็นคนบาปซึง่ ควรสำ�นึกผิดและกลับไปหาพ่อของเรา สารภาพกับพระองค์และตัง้ ใจเปลีย่ นแปลง ชีวติ ของเราเสียใหม่ พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกนีก้ เ็ พือ่ ช่วยเรา พระองค์เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนเราก็เพือ่ เข้าใจ เรา ไม่มีพระใดเข้าใจเรามนุษย์เท่านี้อีกแล้ว


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านจากหนังสืออพยพ

อพย 17:3-7

เพลงสดุดี

สดด 95:1-2,6-7ข,7ค-9

วันหนึง่ ประชาชนกำ�ลังกระหายนํา้ มาก จึงบ่นตำ�หนิโมเสสว่า “ทำ�ไมท่านจึงพาพวก เราออกจากอียิปต์ จะให้พวกเรา ลูกๆ และฝูงสัตว์ของเราอดนํ้าตายหรือ” โมเสสก็อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า “ข้าพเจ้าจะทำ�อย่างไร กับประชากรนี้ เขาเกือบจะเอาหินขว้างข้าพเจ้าอยู่แล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบ โมเสสว่า “จงเดินไปข้างหน้าประชาชน จงนำ�ผูอ้ าวุโสชาวอิสราเอลบางคนไปกับท่าน เอา ไม้เท้าทีท่ า่ นใช้ตนี าํ้ ในแม่นาํ้ ไนล์ไปด้วย เราจะยืนอยูต่ อ่ หน้าท่านทีห่ น้าผา บนภูเขาโฮเรบ จงตีหนิ จะมีนาํ้ ไหลออกมาให้ประชาชนดืม่ ” โมเสสทำ�ดังนีต้ อ่ หน้าผูอ้ าวุโสชาวอิสราเอล สถานที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่ามัสสาห์และเมรีบาห์ เพราะชาวอิสราเอลได้ต่อว่าและ ทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเราหรือไม่” ก) มาเถิด เราจงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดี เราจงโห่ร้องสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นหลักศิลาที่ช่วยเราให้รอดพ้น เราจงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์เพื่อขอบพระคุณ เราจงโห่ร้องเพลงสดุดีถวายพระพระองค์ด้วยความยินดี ข) มาเถิด เราจงกราบนมัสการพระองค์ เราจงคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างเรา เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา และเราเป็นประชากรที่ทรงเลี้ยงดูดุจฝูงแกะที่ทรงนำ�ไปยังทุ่งหญ้า

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโรม รม 5:1-2,5-8

พี่น้อง เมื่อได้เป็นผู้ชอบธรรมด้วยความเชื่อแล้ว เราย่อมมีสันติกับพระเจ้า เดชะ พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา โดยทางพระองค์ เราจึงเข้าถึงพระหรรษทาน และกำ�ลังดำ�รงอยูใ่ นพระหรรษทานนี้ เราภูมใิ จในความหวังทีจ่ ะได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ของ พระเจ้า ความหวังนีไ้ ม่ทำ�ให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้าซึง่ พระเจ้าประทานให้เรา ทรงหลัง่ ความรักของพระเจ้าลงในดวงใจของเรา ขณะทีเ่ รายังอ่อนแอ พระคริสตเจ้าสิน้ พระชนม์ เพื่อคนบาปตามเวลาที่กำ�หนด ยากที่จะหาคนที่ยอมตายเพื่อคนชอบธรรม บางครั้งอาจ จะมีคนยอมตายแทนคนดีจริงๆ ได้ แต่พระเจ้าทรงพิสูจน์ว่าทรงรักเรา เพราะพระคริสต เจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเราขณะที่เรายังเป็นคนบาป

บกอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 4:5-15,19ข-26,39ก,40-42

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียชื่อสิคาร์ ใกล้ที่ดินที่ ยาโคบยกให้โยเซฟบุตรชาย ที่นั่นมีบ่อนํ้าของยาโคบ พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจาก


การเดินทาง จึงประทับที่ขอบบ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักนํ้า พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “ขอนํ้าดื่มสักหน่อยเถิด” บรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหารในเมือง หญิง ชาวสะมาเรียทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นชาวยิว ทำ�ไมจึงขอนํ้าดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรีย” เพราะ ชาวยิวไม่ติดต่อกับชาวสะมาเรียเลย พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า “หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า ‘ขอนํ้า ดื่มสักหน่อยเถิด’ ท่านคงกลับเป็นผู้ขอ และผู้นั้นจะให้ ‘นํ้าที่ให้ชีวิต’ แก่ท่าน” นางจึงทูลว่า “นายเจ้าข้า ท่านไม่มีถังตักนํ้า และบ่อก็ลึกมาก ท่านจะเอานํ้าที่ให้ชีวิตมาจากไหน ท่าน ยิ่งใหญ่กว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบให้บ่อนํ้านี้แก่เรา ยาโคบ ลูกหลานและฝูงสัตว์ก็ได้ดื่ม นํ้าจากบ่อนี้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มนํ้านี้ จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มนํ้าซึ่งเราจะให้นั้น จะไม่กระหาย อีกเลย นํ้าที่เราจะให้เขา จะกลายเป็นธารนํ้าในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร” หญิงนั้นจึงทูลว่า “นายเจ้าขา โปรดให้นํ้านั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายหรือต้องมาตัก นํ้าที่นี่อีก ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่าน พูดว่าสถานที่สำ�หรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย เชื่อเราเถิด ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้า ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จัก แต่เรานมัสการพระเจ้าที่ เรารู้จัก เพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว แต่จะถึงเวลา คือเวลานี้ เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระ บิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้ พระเจ้า ทรงเป็นจิต ผู้ที่นมัสการพระองค์ จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้าและตามความจริง” หญิงผูน้ นั้ จึงทูลว่า “ดิฉนั รูว้ า่ พระเมสสิยาห์คอื พระคริสต์กำ�ลังจะเสด็จมา และเมือ่ เสด็จมา พระองค์ จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เรารู้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราที่กำ�ลังพูดอยู่กับเธอคือพระเมสสิยาห์” ชาวสะมาเรียหลายคนจากเมืองนั้นมีความเชื่อในพระองค์ เมื่อชาวสะมาเรียมาเฝ้าพระองค์แล้ว ก็ วอนขอให้ประทับอยูก่ บั เขา พระองค์ประทับอยูท่ นี่ นั่ สองวัน คนทีม่ คี วามเชือ่ เพราะพระวาจาของพระองค์ มีจำ�นวนมากขึน้ เขากล่าวกับหญิงผูน้ นั้ ว่า “เรามีความเชือ่ ไม่ใช่เพราะคำ�พูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยนิ และรู้ว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของโลกโดยแท้จริง”

พระเยซูเจ้าเป็นทุกสิ่งในชีวิตคริสตชนของเรา พระองค์เป็นองค์ความรัก พระองค์เป็นหนทาง เป็น ความจริง เป็นชีวิต พระองค์เป็นต้นองุ่น พระองค์เป็นนํ้าทรงชีวิตที่มาจากสวรรค์ พระองค์เป็นแกะที่ยอม ตายเพื่อเป็นบูชา พระวรสารบอกเราว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของเรา พระองค์ยังเป็นอาหารทรงชีวิตที่มา จากสวรรค์ เทศกาลมหาพรตเป็นเทศกาลแห่งความชืน่ ชมยินดีเพราะพระเจ้าทรงเปิดเผยทุกสิง่ ให้เราทราบ พระองค์ปฏิบตั ติ อ่ เราเป็นสหาย ให้เรารูท้ กุ สิง่ ทีเ่ กีย่ วกับพระองค์เอง ให้เราวอนขอนํา้ ทรงชีวติ จากพระองค์ เหมือนดั่งหญิงต่างชาติผู้นี้ ความรอดที่พระประทานให้นี้มีค่าสำ�หรับมนุษย์ทุกคน


บทอ่านที่ 1

2 พกษ 5:1-15ข

ในครั้งนั้น นาอามาน ผู้บัญชาการกองทัพของกษัตริย์แห่งอารัม...ป่วยเป็นโรค ผิวหนังร้ายแรง ครั้งหนึ่ง เมื่อชาวอารัมออกไปปล้นแผ่นดินอิสราเอล เขาจับเด็กหญิง คนหนึ่งมาด้วย เด็กหญิงคนนั้นมาเป็นสาวใช้ของภรรยานาอามาน เธอบอกนายหญิงว่า “ถ้าเจ้านายผู้ชายเพียงแต่ไปหาประกาศกที่กรุงสะมาเรีย ประกาศกคงจะรักษาเจ้านาย ให้หายจากโรคได้” นาอามานไปเฝ้ากษัตริย์ ทูลว่าเด็กหญิงจากแผ่นดินอิสราเอลบอก สัปดาห์ที่ 3 อย่างนี้ กษัตริย์แห่งอารัมตรัสตอบว่า “ไปเถิด เราจะส่งสารไปถวายกษัตริย์แห่ง เทศกาลมหาพรต อิสราเอล” นาอามานจึงออกเดินทางไป... เขานำ�สารไปถวายกษัตริยแ์ ห่งอิสราเอล...เมือ่ กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงอ่านสารนั้นแล้ว ก็ทรงฉีกฉลองพระองค์... สดด 42:1-2,43:3,4 เมื่อเอลีชาคนของพระเจ้าได้ยินว่ากษัตริย์ทรงฉีกฉลองพระองค์ ก็ส่งคนไปทูล ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 กษัตริย.์ ..นาอามานจึงขึน้ รถม้าไปหยุดทีป่ ระตูบา้ นของเอลีชา เอลีชาใช้คนไปบอกเขาว่า “จงไปชำ�ระตัวในแม่นาํ้ จอร์แดนเจ็ดครัง้ แล้วเนือ้ หนังของท่านจะหายจากโรคและสะอาด เหมือนเดิม” นาอามานโกรธมากจึงจากไป... เขาหันหลังกลับไปด้วยความโกรธ บรรดา ผูร้ บั ใช้ของเขาเข้ามาเตือนว่า “นายขอรับ ถ้าประกาศกบอกท่านให้ทำ�สิง่ ยาก ท่านก็คงจะทำ�ตามไม่ใช่หรือ บัดนี้ เขาบอกแต่เพียงว่า จงไปชำ�ระตัว แล้วท่านจะหายจากโรค” นาอามานจึงลงไปจุ่มตัวในแม่นํ้าจอร์แดนเจ็ดครั้ง ตามที่คนของพระเจ้าบอก แล้วเนื้อหนังของเขาก็หายจากโรค สะอาดเหมือนผิวของเด็กเล็กๆ...

พระวรสาร

ลก 4:24-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ พระองค์ตรัสกับประชาชนในศาลาธรรมว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมือ่ ฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความอดอยาก ครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหาหญิงม่าย เหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลาย คนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น” เมือ่ คนทีอ่ ยูใ่ นศาลาธรรมได้ยนิ เช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิง่ นัก จึงลุกขึน้ ขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำ� ไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำ�เนินฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป

นาอามานเป็นโรคเรือ้ นและต้องการการรักษาเพือ่ ตนเองจะได้สะอาด หากคนบาปทุกคนมีความตัง้ ใจแบบ นาอามานคือต้องการรักษาตนเองให้สะอาด หากเขามาหาพระเจ้าและขอพระองค์ให้รักษาให้ เขาก็จะสะอาด ถ้าจะพูดถึงยุคนี้พระเยซูเจ้าให้คนบาปไปพบผู้แทนพระองค์และรับการยกบาปและการชำ�ระล้าง พระองค์ให้ อำ�นาจพระสงฆ์เช่นเดียวกับให้อำ�นาจเอลีชาชำ�ระล้างร่างกายของนาอามาน คนบาปอย่างเราจึงควรเข้าไปขอ การชำ�ระล้างนี้ด้วยใจสุภาพและเราทุกคนก็จะสะอาดทั้งกายและวิญญาณ จิตใจที่สุภาพมีความสำ�คัญในเรื่อง นี้มาก อย่าเข้าไปด้วยใจหยิ่งจองหองแบบนาอามานตอนแรกเลย


บทอ่านที่ 1

อสย 7:10-14

พระวรสาร

ลก 1:26-38

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับกษัตริยอ์ าหัสอีกว่า “จงขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของพระองค์ ให้ทรงส่งเครือ่ งหมายจากทีล่ กึ ของแดนผูต้ าย หรือจากทีส่ งู เบือ้ งบนเถิด” แต่กษัตริยอ์ าหัสตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทลู ขอ เราจะไม่ทดลององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า” ประกาศกอิสยาห์จงึ ทูลว่า “ราชวงศ์กษัตริยด์ าวิดเอ๋ย จงฟังเถิด... องค์พระผูเ้ ป็น เจ้าจะประทานเครื่องหมายให้ท่านด้วยพระองค์เอง หญิงสาวผู้หนึ่งจะตั้งครรภ์และให้ กำ�เนิดบุตรชาย และนางจะเรียกเขาว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา” สมโภชการแจ้งสารเรื่อง พระวจนาตถ์ทรงรับ บทอ่านที่ 2 ฮบ 10:4-10 สภาพมนุษย์ เลือดโคเพศผูแ้ ละเลือดแพะชำ�ระบาปให้หมดสิน้ ไปไม่ได้ ดังนัน้ เมือ่ พระคริสตเจ้า สดด 40:6-7ก, เสด็จมาในโลก จึงตรัสว่า “พระองค์ไม่มีพระประสงค์เครื่องบูชาและของถวายอื่นใด 7ข-8,9,10 พระองค์จงึ ทรงเตรียมร่างกายไว้ให้ขา้ พเจ้า พระองค์ไม่พอพระทัยในเครือ่ งเผาบูชาและ เครือ่ งบูชาชดเชยบาป ข้าพเจ้าจึงทูลว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าอยูท่ น่ี ่ี ในม้วนหนังสือมี ข้อความเขียนเกีย่ วกับข้าพเจ้าไว้วา่ ข้าพเจ้ามาเพือ่ ปฏิบตั ติ ามพระประสงค์ของพระองค์”... เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้น กาลิลชี อื่ เมืองนาซาเร็ธ มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึง่ ซึง่ หมัน้ อยูก่ บั ชายชือ่ โยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริยด์ าวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์... ทูตสวรรค์กล่าวแก่พระนางว่า “มารีย์ อย่ากลัวเลย ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน ท่านจะตั้งครรภ์และ ให้กำ�เนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สูงสุดจะทรงเรียกเขาเป็น บุตรของพระองค์ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะประทานพระบัลลังก์ของกษัตริยด์ าวิดบรรพบุรษุ ให้แก่เขา เขาจะปกครอง วงศ์ตระกูลของยาโคบตลอดไปและพระอาณาจักรของเขาจะไม่สนิ้ สุดเลย” พระนางมารียจ์ งึ ทรงถามทูตสวรรค์ ว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารี” ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระจิตเจ้าจะ เสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผูส้ งู สุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนัน้ บุตรทีเ่ กิดมาจะเป็น ผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า ดูซิ เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้งๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์บุตร ชาย...ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มสี งิ่ ใดทีพ่ ระเจ้าจะทรงกระทำ�ไม่ได้” พระนางมารียจ์ งึ ตรัสว่า “ข้าพเจ้าเป็นผูร้ บั ใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” แล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป

สมโภชการแจ้งสารทำ�ให้เราทราบถึงแผนการไถ่บาปมนุษย์ของพระ ทราบถึงการเลือกผูท้ จ่ี ะมาเป็นมารดา พระเจ้าและทราบถึงความสุภาพถ่อมตนอย่างที่สุดของพระมารดามารีย์ เราได้พบความเข้มแข็งที่สุดจากสตรี ที่ดูเหมือนอ่อนแอที่สุด เราพบจิตใจที่กล้าหาญที่สุดที่มีอยู่ในดวงพระทัยของแม่พระ วันฉลองนี้ทำ�ให้เราได้มี แม่ทางวิญญาณที่ประเสริฐที่สุดจริงๆ การสมโภชนี้จึงควรนำ�เราให้ขอบพระคุณพระเจ้าสำ�หรับการไถ่บาปและ ขอบพระคุณพระองค์อีกครั้งหนึ่งสำ�หรับการมอบพระนางมารีย์ให้เป็นมารดาของเราคริสตชนทั้งปวงด้วย พระนางไม่ใช่เพียงรับสาร แต่พระนางได้ส่งสารแห่งความรักและความสุภาพถ่อมตนให้แก่เราด้วย


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 147:12-13, 15-16,19-20

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1

ฉธบ 4:1,5-9

พระวรสาร

มธ 5:17-20

โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “บัดนี้ ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังข้อกำ�หนดและกฎ เกณฑ์ที่ข้าพเจ้าสอนท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติ แล้วท่านจะมีชีวิต และเข้ายึดครองแผ่นดิน ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงมอบให้ท่าน ดูซิ ข้าพเจ้าสอนท่านให้รจู้ กั ข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์ดงั ทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า ของข้าพเจ้าทรงบัญชา เพือ่ ท่านจะได้ปฏิบตั ติ ามในแผ่นดินทีท่ า่ นกำ�ลังจะเข้าไปยึดครอง ท่านจะต้องปฏิบตั ติ ามอย่างซือ่ สัตย์ เพือ่ ชนชาติอนื่ ๆ จะได้เห็นว่าท่านมีความเข้าใจและ ปรีชาญาณ เมือ่ เขาได้ยนิ คำ�พูดถึงข้อกำ�หนดเหล่านี้ เขาจะพูดว่า “ชนชาติยงิ่ ใหญ่นเี้ ท่านัน้ เป็นประชากรที่มีความเข้าใจและปรีชาญาณ” เพราะไม่มีชนชาติใดแม้ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ตามจะมีพระเจ้าอยู่ใกล้ชิด ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราสถิตอยู่ใกล้ชิดเรา ทุกครั้งที่เราร้องทูลพระองค์ ไม่มีชนชาติย่ิงใหญ่ชาติใดมีข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์เที่ยง ธรรมเท่ากับธรรมบัญญัตินี้ที่ข้าพเจ้ากำ�ลังสอนท่านอยู่ในวันนี้ จงจำ�ใส่ใจ จงทำ�ทุกอย่างเพื่อจะไม่ลืมเหตุการณ์ที่ท่านได้เห็นกับตา ตราบที่ท่านยัง มีชวี ติ อยู่ อย่าให้เหตุการณ์เหล่านีเ้ ลือนไปจากใจ ท่านจะต้องเล่าให้บตุ รหลานทุกรุน่ ของ ท่านฟัง” เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำ�สอนของบรรดาประกาศก เรา มิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหาย ไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำ�เร็จไป ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อ เดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ตํ่าต้อยที่สุดใน อาณาจักรสวรรค์ ส่วนผูท้ ปี่ ฏิบตั แิ ละสอนผูอ้ นื่ ให้ปฏิบตั ดิ ว้ ย จะได้ชอื่ ว่าเป็นผูย้ งิ่ ใหญ่ใน อาณาจักรสวรรค์” พระเจ้าได้มอบกฎเกณฑ์ บทบัญญัตแิ ละข้อกำ�หนดต่างๆ ให้แก่เรามนุษย์ได้ถอื ตาม มาทุกยุคทุกสมัย และในทุกยุคทุกสมัยก็มีมนุษย์ที่ไม่ชอบถือตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น เหตุผลประการเดียวก็เพราะว่ามนุษย์ต้องการทำ�ตามใจตนเอง การทำ�ตามใจตนเองนั้น ทำ�ให้ตนเองสบาย เป็นอิสระที่จะทำ�ทั้งความดีและความชั่วได้ แต่เรามีความโน้มเอียง ไปในทางไม่ดเี พราะการทำ�ไม่ดนี นั้ ให้ประโยชน์ ให้ความสุขสนุกสนานมากกว่า บทบัญญัติ ต่างๆนั้นจะไม่มีประโยชน์เลยหากเราไม่มีจิตใจน้อมรับบทบัญญัตินั้นหรือไม่พยายาม บังคับตนเอง มีวินัยกับตนเอง ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียวแม้เล็กน้อยที่สุด และสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วยจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ตํ่าต้อย


บทอ่านที่ 1

ยรม 7:23-28

พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราได้สั่งเขาดังนี้ “จงฟังเสียงของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้า ของท่าน และท่านจะเป็นประชากรของเรา จงเดินตามทางที่เราจะสั่งท่านไว้ แล้วท่านจะ ได้อยูอ่ ย่างเป็นสุข” แต่เขาทัง้ หลายมิได้เชือ่ ฟังหรือเงีย่ หูฟงั กลับดำ�เนินตามแผนการใน ความดื้อกระด้างของใจชั่วของตน หันหลังให้เราแทนที่จะหันหน้า ตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษ ของท่านทัง้ หลายออกจากแผ่นดินอียปิ ต์จนทุกวันนี้ เราได้สง่ ประกาศกผูร้ บั ใช้ทกุ คนของ เราไปหาท่านทั้งหลายครั้งแล้วครั้งเล่าเสมอมา แต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง กลับดือ้ ดึงทำ�ความชัว่ มากกว่าบรรพบุรษุ เสียอีก ท่านจงไปบอกถ้อยคำ�เหล่านีท้ งั้ หมดแก่ เขา แต่เขาจะไม่ฟงั ท่าน ท่านจะเรียกเขา แต่เขาจะไม่ตอบ ท่านจงบอกเขาว่า ‘นีค่ อื ชนชาติ ทีไ่ ม่เชือ่ ฟังพระสุรเสียงขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของตน และไม่ยอมรับคำ�สัง่ สอน ความซื่อสัตย์ไม่มีอีกแล้ว หายไปจากปากของเขาแล้ว’”

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 95:1-2,6-7, 8-9

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

ลก 11:14-23

เวลานัน้ พระเยซูเจ้ากำ�ลังทรงขับไล่ปศี าจซึง่ ทำ�ให้คนเป็นใบ้ เมือ่ ปีศาจออกไปแล้ว คนใบ้กพ็ ดู ได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ แต่บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ปศี าจด้วยอำ�นาจ ของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนัน่ เอง” บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เรา ขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเบเอลเซบูล ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มันด้วยอำ�นาจของใครเล่า พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสิน ลงโทษท่าน แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักร ของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว เมื่อคนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย แต่ ถ้าผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่เขามั่นใจนั้น และแบ่งปันข้าวของที่ปล้นได้ ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่างๆ ไว้กับเรา ย่อมทำ�ให้สิ่งเหล่านั้น กระจัดกระจายไป”

คนหลายคนคิดว่าพระเจ้ามักจะลงโทษเวลาที่เขาทำ�ผิดหรือทำ�บาปไป แท้ที่จริงพระเจ้าไม่ลงโทษเราบน โลกนี้ บางอย่างเกิดขึ้นในชีวิตเราเพราะพระใช้มาเตือนเราให้กลับมาในหนทาง พระใช้ทุกทางที่จะเตือนเรา เสมอ นีเ่ ป็นความรักทีพ่ ระเจ้าแสดงต่อเรา วันหนึง่ พระองค์จ�ำ เป็นทีต่ อ้ งให้ความยุตธิ รรม เวลานัน้ พระองค์ไม่มี ทางเลือกเพราะพระเจ้าก็คือองค์ความยุติธรรมอยู่แล้ว หากเราไม่ฟังเสียงพระ หากเราไม่ปฏิบัติตามบัญญัติ ของพระก็เท่ากับกำ�ลังบังคับพระให้ลงโทษเราสักวันหนึ่ง ใช้เวลาทุกวันที่เรามีเพื่อฟังเสียงของพระบ้างเพราะ เวลานี้ยังเป็นเวลาแห่งความรัก หากเราไม่รักกันบนโลกใบนี้เราก็กำ�ลังหาโลกที่มีแต่ความอยุติธรรมนั่นเอง


บทอ่านที่ 1

ฮชย 14:2-10

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ของท่านเถิด ท่านได้สะดุดล้มลงเพราะความผิดของท่าน จงเตรียมถ้อยคำ�ที่จะพูดมา ด้วย และกลับมาเฝ้าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ทูลพระองค์วา่ “โปรดทรงลบล้างความผิดทัง้ หมด และทรงรับสิง่ ทีด่ .ี .. ข้าพเจ้าทัง้ หลายจะไม่ขมี่ า้ อีก จะไม่เรียกสิง่ ทีม่ อื ของข้าพเจ้าได้สร้าง ขึน้ อีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าของข้าพเจ้าทัง้ หลาย’ เพราะลูกกำ�พร้าพบพระกรุณาในพระองค์” สัปดาห์ที่ 3 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะรักษาเขาให้หายจากความไม่ซื่อสัตย์ของเขา เรา เทศกาลมหาพรต จะรักเขาด้วยใจจริง เพราะเราจะไม่โกรธเขาอีกแล้ว เราจะเป็นเหมือนนํ้าค้างสำ�หรับ สดด 81:5-6,7ค-8, อิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี.่ .. เขาจะงดงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และจะ 9-10,13-14,16 มีกลิ่นหอมเหมือนเลบานอน เขาทั้งหลายจะกลับมานั่งอยู่ใต้ร่มเงาของเรา เขาจะปลูก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ข้าวสาลีอีก จะทำ�ให้เถาองุ่นผลิตผลอุดม มีชื่อเสียงเหมือนเหล้าองุ่นแห่งเลบานอน เอฟราอิมจะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับรูปเคารพอีก เราเองจะตอบและดูแลเขา เราเป็น เหมือนต้นไซเปรสใบเขียวสดอยู่เสมอ ท่านจะได้รับผลของท่านจากเรา ผู้มีปรีชาพึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ผู้ใดฉลาดก็จงรู้ เพราะหนทางทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนเที่ยง ธรรม ผู้ชอบธรรมย่อมเดินตามทางนี้ แต่ผู้ล่วงละเมิดจะสะดุดล้ม”

พระวรสาร

มก 12:28-34

เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบ ได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและ สุดกำ�ลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติ ข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้ ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มพี ระเจ้าอืน่ เลย การจะรักพระองค์ สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดกำ�ลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใดๆ ทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกล จากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย จงกลับมาเฝ้าองค์พระเจ้า เราจะรักษาเขาให้หาย เราจะรักเขา ไม่ว่ามนุษย์จะเป็นอย่างไรพระเจ้าก็ยังคง หวงแหนเราเสมอ พระองค์ต้องการเราเป็นลูกและมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ เราเข้าใจความรักที่พระมีต่อเราได้โดย ง่าย พระเยซูเจ้าจึงมอบบัญญัติที่สำ�คัญที่สุดนี้คือบัญญัติแห่งความรักให้แก่เรา รักพระเจ้านั้นง่าย บางทีการรัก เพื่อนพี่น้อง รักมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละที่ยากกว่า แต่ก็เป็นความรักที่พระเจ้าต้องการจากเรามากกว่าเช่น เดียวกัน ทุกครั้งที่เรารักเพื่อนมนุษย์จึงมีค่าเสมอในสายพระเนตรของพระเจ้าเพราะเท่ากับเรารักพระเจ้าเอง ด้วย เมื่อเราได้รับการรักษาด้วยความรักของพระ เราก็สามารถให้การรักษาด้วยความรักต่อเพื่อนมนุษย์


บทอ่านที่ 1

ฮชย 6:1-6

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด พวกเราจงกลับไปหาองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระองค์ ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้เรา อีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้น วันที่สามจะทรงทำ�ให้เราลุกขึ้น แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ เฉพาะพระพักตร์ พวกเราจงรู้จัก จงรีบรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด พระองค์จะเสด็จมา อย่างแน่นอนเหมือนรุง่ อรุณ จะเสด็จมาหาเราเหมือนฝน เหมือนฝนต้นฤดูใบไม้ผลิทรี่ ด พื้นแผ่นดิน” “เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำ�อย่างไรดีกับท่าน ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำ�อย่างไรดีกับท่าน ความรักของท่านเป็นเหมือนเมฆในยามเช้า เหมือนนํ้าค้างที่หายไปตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้น เราจึงใช้บรรดาประกาศกให้ทุบเขาทั้งหลายจนแหลกลาญ เราใช้คำ�พูดจากปากของเรา ฆ่าเขา คำ�พิพากษาของเราจะออกมาเหมือนแสงสว่าง เพราะเราต้องการความรักมั่นคง ไม่ประสงค์การถวายบูชา เราต้องการการรู้จักพระเจ้า มากกว่าเครื่องเผาบูชา”

พระวรสาร

ลก 18:9-14

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเล่าเรื่องอุปมานี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรม และดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาว ฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ทขี่ า้ พเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอืน่ ทีเ่ ป็นขโมย อยุตธิ รรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำ�ศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า’ ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อนอก พูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรง พระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด’ เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ตํ่าลง ผู้ ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”

ความรักของเรามนุษย์เป็นเหมือนเมฆในยามเช้า เหมือนนํ้าค้างที่หายไปตั้งแต่เช้า ตรู่ ความรักของมนุษย์ไม่หนักแน่นโดยเฉพาะความรักที่เราพึงมีต่อพี่น้องของเรา เรามี เงื่อนไขต่างๆ นานา ที่จะรักหรือไม่รัก มนุษย์เรามีทิฐิ มีตัวตนและคิดเสมอว่าเราถูก คิดถึงแต่คณ ุ งามความดีของตนจนบางครัง้ มองไม่เห็นถึงความถูกต้องของผูอ้ นื่ หรือความ ดีของผู้อื่น ความดีและความรักจึงเรียกร้องให้เรามีใจสุภาพถ่อมตน ไม่จองหองและไม่ ยกตนสูงกว่าคนอื่น เราล้วนเสมอกันในสายพระเนตรของพระ ผู้ใดยกตนขึ้นก็จะถูกกด ให้ตํ่าลง

สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 51:1-2,16-17, 18-19

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 16:1ข,6-7,10-13ก

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ซามูเอลว่า “จงเอานํ้ามันมะกอกบรรจุใส่ขวดเขาสัตว์จน เต็ม และออกเดินทาง เราส่งท่านไปที่เมืองเบธเลเฮม ไปหาเจสซี เพราะเราเลือกบุตร คนหนึ่งของเขาเป็นกษัตริย์” เมื่อเจสซีกับบุตรมาถึง ซามูเอลเห็นเอลีอับ ก็คิดว่า “ผู้ที่อยู่เฉพาะพระพักตร์องค์ พระผู้เป็นเจ้า ผู้นี้คือผู้ที่จะต้องรับเจิม” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “อย่า สนใจมองแต่รูปร่างหน้าตา หรือความสูงของเขา เพราะเราไม่เลือกเขา องค์พระผู้เป็น เจ้าไม่ทรงมองอย่างมนุษย์มอง มนุษย์มองแต่รูปร่างภายนอก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง มองจิตใจ” เจสซีพาบุตรทั้งเจ็ดคนมาพบซามูเอลทีละคน แต่ซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “องค์ พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงเลือกคนเหล่านี้เลย” ซามูเอลถามเจสซีว่า “บุตรชายของท่านมา หมดแล้วหรือ” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง แต่ขณะนี้เขากำ�ลังเลี้ยงแกะ อยู่” ซามูเอลสั่งเจสซีว่า “จงส่งคนไปตามเขามาเถิด เราจะไม่นั่งกินอาหารจนกว่าเขาจะ มา” เจสซีจงึ ส่งคนไปตามมา เด็กหนุม่ นัน้ มีผมแดง ดวงตางดงาม และรูปร่างดี องค์พระ ผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงลุกขึ้น เจิมเขาเถอะ เป็นคนนี้แหละ” ซามูเอลก็เอาขวดเขาสัตว์ที่ บรรจุนํ้ามันมะกอกเทศมาเจิมดาวิดต่อหน้าบรรดาพี่ชาย พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า สถิตกับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

เพลงสดุดี

สดด 23:1-3ก,3ข,4,5,6

ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนพักอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี ทรงนำ�ข้าพเจ้าไปริมสายนทีที่เงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจของข้าพเจ้า ข) ทรงชี้ทางให้ข้าพเจ้าเดินไปบนมรรคาแห่งความชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ แม้ข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในหุบเขาที่มืดมิด ข้าพเจ้าก็จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า พระคทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ ค) พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้สำ�หรับข้าพเจ้าต่อหน้าเหล่าศัตรู ทรงเทนํ้ามันเจิมศีรษะของข้าพเจ้า ทรงเทเครื่องดื่มลงในถ้วยของข้าพเจ้าจนล้นปรี่

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 5:8-14

พี่น้อง ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็น เจ้า จงดำ�เนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด ผลแห่งความสว่างคือความดี ความชอบ


ธรรมและความจริงทุกประการ จงแสวงหาสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย จงอย่าเกี่ยวข้องกับกิจการ แห่งความมืดซึง่ ไร้ผล ตรงกันข้าม จงประณามกิจการเหล่านัน้ เพราะสิง่ ต่างๆ ทีก่ ระทำ�กันอย่างปิดบังซ่อน เร้นนั้น แม้เพียงพูดถึงก็น่าละอายแล้ว ทุกสิ่งที่ถูกประณามนั้นย่อมปรากฏชัดในความสว่าง และทุกสิ่งที่ ปรากฏชัดนั้นคือความสว่าง จึงมีคำ�กล่าวไว้ว่า “ผู้หลับใหล จงตื่นเถิด จงลุกขึ้นจากบรรดาผู้ตาย และพระคริสตเจ้าจะทรงส่องสว่างเหนือท่าน”

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 9:1,6-9,13-17,34-38

เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินผ่านไป พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนตาบอดแต่กำ�เนิด คนหนึ่ง พระองค์ทรงถ่มพระเขฬะลงบนพื้นผสมกับดิน ป้ายตาคนตาบอด แล้วตรัสกับเขาว่า “จงไปล้าง ตาที่สระสิโลอัมเถิด” “สิโลอัม” หมายความว่า “ถูกส่งไป” คนตาบอดจึงไปล้างตา แล้วกลับมามองเห็น เพือ่ นบ้านและคนทีเ่ คยเห็นเขาเป็นขอทานมาก่อน พูดว่า “คนนีเ้ ป็นคนทีเ่ คยนัง่ ขอทานอยูม่ ใิ ช่หรือ” บางคนพูดว่า “ใช่แล้ว” บางคนพูดว่า “ไม่ใช่ แต่เป็นคนอื่นที่คล้ายคลึงกัน” แต่คนที่เคยตาบอดพูดว่า “ใช่แล้ว เป็นฉันเอง” คนเหล่านัน้ จึงพาคนทีเ่ คยตาบอดไปหาชาวฟาริสี วันทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงถ่มพระเขฬะผสมดิน และทรง รักษาตาของคนตาบอดนั้นเป็นวันสับบาโต ชาวฟาริสีได้ถามเขาอีกว่า เขามองเห็นได้อย่างไร เขาจึงตอบ ว่า “คนนั้นเอาโคลนป้ายตาของฉัน ฉันไปล้างตาแล้วก็มองเห็น” ชาวฟาริสีบางคนพูดว่า “คนนั้นไม่ได้มา จากพระเจ้า เขาไม่ถอื วันสับบาโต” แต่บางคนแย้งว่า “คนบาปจะทำ�เครือ่ งหมายอัศจรรย์อย่างนีไ้ ด้อย่างไร” ชาวฟาริสเี หล่านัน้ มีความคิดเห็นแตกต่างกัน จึงถามคนทีเ่ คยตาบอดอีกว่า “ท่านล่ะ ท่านคิดอย่างไรเกีย่ ว กับคนนั้น ที่เขาทำ�ให้ตาของท่านกลับมองเห็น” เขาตอบว่า ”คนนั้นเป็นประกาศก” คนเหล่านั้นตอบว่า “ท่านเกิดมาในบาปทั้งตัว แล้วยังกล้ามาสั่งสอนพวกเราอีกหรือ” แล้วจึงขับไล่ เขาออกไป พระเยซูเจ้าทรงได้ยินว่าชาวฟาริสีขับไล่คนที่ตาบอดออกไปจากศาลาธรรม เมื่อทรงพบเขา จึง ตรัสถามว่า “ท่านเชื่อในบุตรแห่งมนุษย์หรือ” เขาทูลถามว่า “บุตรแห่งมนุษย์คือใคร พระเจ้าข้า ข้าพเจ้า จะได้เชือ่ ในพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านได้เห็นแล้ว เป็นผูท้ กี่ ำ�ลังพูดอยูก่ บั ท่านนีแ้ หละ” เขา จึงทูลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ พระเจ้าข้า” แล้วกราบลงนมัสการพระองค์

พระเจ้าทรงเรียกและเลือกดาวิดจากเด็กเลี้ยงแกะมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิว พระเจ้าทรงรักษาคน ตาบอดและให้ความเชื่อแก่เขา พระเจ้าทรงเรียกและเลือกเราทุกคนเข้ามาสู่ความเชื่อและความรอด พระองค์ทรงเปิดตาเราให้เราเห็นแสงสว่างในชีวิต ให้เราเห็นกิจการต่างๆ ที่พระกระทำ� เทศกาลมหาพรต เป็นเวลาทีเ่ ราต้องพิจารณาเป็นพิเศษถึงความรอดทีพ่ ระประทานให้ เราแต่ละคนมาจากทีใ่ ด พระองค์กย็ งั คงถามเราเสมอว่า ท่านเชือ่ ในบุตรแห่งมนุษย์หรือ พระเยซูเจ้าพยายามเปิดตาเราให้มองเห็นความจริงใน โลกนี้ อย่าปล่อยให้โลกปิดตาเราให้มดื มัวอีกต่อไป บางครัง้ เรามองไม่เห็นพระเจ้าเลย เห็นแต่ตวั เราเท่านัน้


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 30:1,3,4-5, 10-11,12

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1

อสย 65:17-21

พระวรสาร

ยน 4:43-54

พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะสร้างฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ จะไม่มีผู้ใดคิดถึงและจดจำ�เรื่องราวใน อดีตอีก แต่จงร่าเริงและยินดีเสมอในสิ่งซึ่งเรากำ�ลังจะสร้างขึ้น เพราะเรากำ�ลังจะสร้าง กรุงเยรูซาเล็มให้เป็นความยินดี และสร้างประชากรของเมืองนัน้ ให้เป็นความชืน่ บาน เรา จะยินดีเพราะกรุงเยรูซาเล็ม และร่าเริงเพราะประชากรของเรา จะไม่มีผู้ใดได้ยินเสียง ร้องไห้ และเสียงครํ่าครวญในเมืองนั้นอีก ที่นั่นจะไม่มีทารกที่มีชีวิตเพียงสองสามวัน หรือคนชราที่ตายก่อนถึงกำ�หนด เพราะคนหนุ่มที่สุดจะตายเมื่อมีอายุหนึ่งร้อยปี ผู้ที่ มีอายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปีจะนับได้ว่าเป็นผู้ถูกสาปแช่ง เขาจะสร้างบ้านและจะเข้ามาอาศัย จะปลูกสวนองุ่นและจะกินผล”

หลังจากนัน้ สองวัน พระเยซูเจ้าทรงออกเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์เคย ทรงประกาศไว้วา่ ประกาศกมักไม่ได้รบั เกียรติในบ้านเมืองของตน แต่เมือ่ พระองค์เสด็จ มาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์อย่างดี เพราะเห็นการกระทำ�ต่างๆ ของ พระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในระหว่างวันฉลองที่เขาไปร่วมด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์เคยทรงเปลี่ยนนํ้าเป็นเหล้า องุ่นที่นั่น ข้าราชการคนหนึ่งมีบุตรป่วยหนักอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม เขาได้ยินว่าพระเยซูเจ้าเสด็จจากแคว้นยู เดียมายังแคว้นกาลิลีแล้ว จึงมาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึ่งใกล้จะสิ้นชีวิต พระ เยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์แล้ว ท่านจะไม่เชื่อเลย” ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะสิ้นใจเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขา ว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผู้นั้นเชื่อพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขา จึงเดินทางจากไป ขณะที่เขากำ�ลังเดินทางกลับ คนรับใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว เขาซักถามถึง เวลาที่บุตรมีอาการดีขึ้น คนรับใช้ตอบว่า “เมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมงอาการไข้ก็หาย” บิดาจึงรู้ว่านั่นเป็นเวลาที่ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขากับทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ พระเยซูเจ้าทรง กระทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่สองนี้หลังจากเสด็จกลับจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี

จริงหรือไม่หากเราได้เห็นอัศจรรย์แล้วเราจะกลับใจ จริงหรือไม่หากพระเจ้าประทานทุกสิ่งที่เราต้องการ ในโลกนี้แล้วเราจะกลับใจ เราจะใช้ทุกสิ่งที่มีเพื่อพระเจ้า คนที่สบายเท่านั้นหรือจึงจะสามารถรักพระได้ หาก เรามีทกุ สิง่ เราจะยังคงรักพระแน่หรือ หรือเราจะรักตัวเองมากขึน้ กันแน่ หลายคนต้องการอัศจรรย์และพระพร มากมายในชีวิต ที่จริงพระเจ้าประทานพรต่างๆ แก่เราแล้วโดยผ่านทางพระเยซูเจ้า คนจำ�นวนมากไม่รับรู้ด้วย ซํ้าว่าเป็นพระพร คนมั่งมีจำ�นวนมากที่กำ�ลังจมอยู่ในบาป คนที่มีทุกสิ่งในโลกนี้มากมายที่ไม่เชื่อในพระ ความ เชื่อและความรอดที่พระให้เรานี้มีค่ากว่าสิ่งต่างๆ บนโลกนี้มากเพราะเป็นสมบัติถาวร



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.