บทอ่านที่ 1
ดนล 3:25,34-43
อาซาริยาห์ยืนอธิษฐานภาวนาเสียงดังอยู่กลางไฟว่าดังนี้ “ขออย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดไป เพราะเห็นแก่พระนามพระองค์ ขอ อย่าทรงท�ำลายพันธสัญญาของพระองค์เลย... เพราะเห็นแก่อับราฮัมมิตรสหายของ พระองค์ เพราะเห็นแก่อสิ อัคผูร้ บั ใช้ของพระองค์ และเพราะเห็นแก่อสิ ราเอลผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิ์ ของพระองค์... ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า บัดนีข้ า้ พเจ้าทัง้ หลายกลายเป็นชนชาติเล็กน้อย ทีส่ ดุ วันนี้ ข้าพเจ้าทัง้ หลายต้องอับอายทัว่ แผ่นดินเพราะบาปของข้าพเจ้าทัง้ หลาย บัดนี้ ข้าพเจ้าทัง้ หลายไม่มผี นู้ ำ� ไม่มปี ระกาศก ไม่มเี จ้านาย ไม่มเี ครือ่ งเผาบูชา ไม่มเี ครือ่ งบูชา ไม่มขี องถวาย ไม่มกี ารถวายก�ำยาน ไม่มสี ถานทีท่ จี่ ะถวายผลิตผลแรกแด่พระองค์เพือ่ จะ ได้รบั พระกรุณา แต่ขอให้จติ ทีต่ รมตรอมและใจทีถ่ อ่ มตนเป็นทีพ่ อพระทัย ดังแกะเพศผู้ และโคเพศผู้ที่ถวายเป็นเครื่องเผาบูชา ดังลูกแกะอ้วนพีนับพันๆ ตัวถวายพระองค์ ขอ ทรงพระกรุณารับข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นเครื่องบูชาเฉพาะพระพักตร์ในวันนี้ แล้วข้าพเจ้า ทั้งหลายจะติดตามพระองค์ต่อไป...”
พระวรสาร
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 25:4-6,7, 8-9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
มธ 18:21-35
เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องท�ำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษ ให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้น�ำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ เขาไม่มีสิ่งใดจะช�ำระหนี้ ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาททูล อ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะช�ำระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึง ทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อย เหรียญ เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’ เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะช�ำระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอม ฟัง น�ำลูกหนีไ้ ปขังไว้จนกว่าจะช�ำระหนีท้ งั้ หมด เพือ่ นผูร้ บั ใช้อนื่ ๆ เห็นดังนัน้ ต่างสลดใจมาก จึงน�ำความทัง้ หมด ไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้า ขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้ น�ำผูร้ บั ใช้นนั้ ไปทรมานจนกว่าจะช�ำระหนีท้ งั้ หมด พระบิดาของเราผูส้ ถิตในสวรรค์จะทรงกระท�ำต่อท่านท�ำนอง เดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง” มหาพรตเป็นเทศกาลที่เชิญชวนเรามองเข้ามายังตนเอง เพื่อเห็นความเป็นจริงที่ว่า “...วันนี้ข้าพเจ้า ทั้งหลายต้องอับอายไปทั่วแผ่นดินเพราะบาปของข้าพเจ้าทั้งหลาย...” ความจริงก็คือ ข้าพเจ้าเป็นคนบาปนั่นเอง และ ความบาปท�ำให้เราอ่อนแอ ท�ำให้สายตาของเราพร่ามัว เรามองอะไรไม่ไกลเกินไปกว่าตัวเรา ส่วนคนอื่นเราเห็นเขา รางๆ เมื่อเราเห็นเราชัดอยู่คนเดียว เราจึงว่า “เรานี้ดีที่สุด” เมื่อมีความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นในตัวเรา จงรับรู้เถิดว่า “วิญญาณเราก�ำลังใกล้จะมืดบอด” เข้าไปทุกที จงรีบเข้ารับ การรักษาจากพระเยซูในคลีนิคที่ตู้แก้บาปเถิด
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 147:12-13, 15-16,19-20 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3
บทอ่านทีื่ 1
ฉธบ 4:1,5-9
พระวรสาร
มธ 5:17-20
โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “บัดนี้ ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังข้อก�าหนดและกฎ เกณฑ์ที่ข้าพเจ้าสอนท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติ แล้วท่านจะมีชีวิต และเข้ายึดครองแผ่นดิน ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงมอบให้ท่าน ดูซิ ข้าพเจ้าสอนท่านให้รจู้ กั ข้อก�าหนดและกฎเกณฑ์ดงั ทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า ของข้าพเจ้าทรงบัญชา เพือ่ ท่านจะได้ปฏิบตั ติ ามในแผ่นดินทีท่ า่ นก�าลังจะเข้าไปยึดครอง ท่านจะต้องปฏิบตั ติ ามอย่างซือ่ สัตย์ เพือ่ ชนชาติอนื่ ๆ จะได้เห็นว่าท่านมีความเข้าใจและ ปรีชาญาณ เมือ่ เขาได้ยนิ ค�าพูดถึงข้อก�าหนดเหล่านี้ เขาจะพูดว่า ชนชาติยงิ่ ใหญ่นเี้ ท่านัน้ เป็นประชากรที่มีความเข้าใจและปรีชาญาณ เพราะไม่มีชนชาติใดแม้ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ตามจะมีพระเจ้าอยู่ใกล้ชิด ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราสถิตใกล้ชิดเรา ทุก ครัง้ ทีเ่ ราร้องทูลพระองค์ ไม่มชี นชาติยงิ่ ใหญ่ชาติใดมีขอ้ ก�าหนดและกฎเกณฑ์เทีย่ งธรรม เท่ากับธรรมบัญญัตินี้ที่ข้าพเจ้าก�าลังสอนท่านอยู่ในวันนี้ จงจ�าใส่ใจ จงท�าทุกอย่างเพื่อจะไม่ลืมเหตุการณ์ที่ท่านได้เห็นกับตาตราบที่ท่านยัง มีชีวิตอยู่ อย่าให้เหตุการณ์เหล่านี้เลือนไปจากใจ ท่านจะต้องเล่าให้บุตรหลานทุกรุ่น ของท่านฟัง” เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือค�าสอนของบรรดาประกาศก เรา มิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหาย ไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะส�าเร็จไป ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อ เดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ช่ือว่าเป็นผู้ต�่าต้อยที่สุดใน อาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ในอาณาจักรสวรรค์ เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดไี ปกว่าความชอบธรรมของ บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย” สวรรค์ คือ เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้... เรียนเก่ง ได้ปริญญามา หลายใบ คนชื่นชมทั่วหน้า แต่ไม่ได้ไปสวรรค์... มีประโยชน์อะไร ท�างานเก่งมาก ลูกน้องเยอะ แยะ กิจการยิ่งใหญ่ แต่ไม่ได้ไปสวรรค์... มีประโยชน์อะไร มีเงินในบัญชีธนาคารมากมาย ใช้ อย่างไรก็ไม่มีวันหมด ฟุ้งเฟ้ออย่างไรก็ไม่มีวันเกลี้ยง แต่ไม่ได้ไปสวรรค์... ชีวิตที่ผ่านมามี ประโยชน์อะไร!!! เพราะมนุษย์ทุกคน “ต้องการความสุข” นั่นก็คือ “ต้องการไปสวรรค์” ดัง นั้น การด�าเนินชีวิตบนโลกนี้ จึงต้องด�าเนินชีวิตคล้ายคลึงกับที่ชาวสวรรค์เขาด�าเนินกัน... ท�า อย่างไร? จงฟังที่พระเยซูสอนและปฏิบัติตาม เพราะพระองค์คือผู้ที่ลงมาจากสวรรค์นั่นเอง
บทอ่านที่ 1
ยรม 7:23-28
พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงฟังเสียงของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของท่าน และ ท่านจะเป็นประชากรของเรา จงเดินตามทางที่เราจะสั่งท่านไว้ แล้วท่านจะได้อยู่อย่าง เป็นสุข” แต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง กลับด�าเนินตามแผนการในความดื้อ กระด้างของใจชั่วของตน หันหลังให้เราแทนที่จะหันหน้า ตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษของท่าน ทั้งหลายออกจากแผ่นดินอียิปต์จนทุกวันนี้ เราได้ส่งประกาศกผู้รับใช้ทุกคนของเราไป หาท่านทั้งหลายครั้งแล้วครั้งเล่าเสมอมา แต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง กลับ ดื้อดึงท�าความชั่วมากกว่าบรรพบุรุษเสียอีก ท่านจงไปบอกถ้อยค�าเหล่านี้ทั้งหมดแก่เขา แต่เขาจะไม่ฟังท่าน ท่านจะเรียกเขา แต่เขาจะไม่ตอบ ท่านจงบอกเขาว่า “นี่คือชนชาติ ที่ไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของตน และไม่ยอมรับค�าสั่งสอน ความซื่อสัตย์ไม่มีอีกแล้ว หายไปจากปากของเขาแล้ว”
พระวรสาร
ลก 11:14-23
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าก�าลังทรงขับไล่ปศี าจซึง่ ท�าให้คนเป็นใบ้ เมือ่ ปีศาจออกไปแล้ว คนใบ้กพ็ ดู ได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ แต่บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ปศี าจด้วยอ�านาจ ของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนัน่ เอง” บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ปีศาจด้วยอ�านาจของ เบเอลเซบูล ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอ�านาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มัน ด้วยอ�านาจของใคร พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจ ด้วยอ�านาจของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว เมื่อ คนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย แต่ถ้าผู้ใด แข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่เขามั่นใจนั้น และแบ่งปัน ข้าวของที่ปล้นได้ ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่างๆ ไว้กับเรา ย่อม ท�าให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป” พระวาจาของพระในวันนีใ้ ห้กา� ลังใจเราว่า “แม้มนุษย์จะดือ้ ดึงต่อพระเจ้ามาก เท่าไหร่ ก็ไม่มากไปกว่าความเพียรของพระเจ้าและพระเมตตาของพระองค์ แม้บาปของมนุษย์ จะใหญ่ปานมหาสมุทรทั้งโลกมารวมกันและสูงเท่ากับภูเขาทั้งหมดที่มี แต่มันก็ไม่ใหญ่ไปกว่า ท้องฟ้าหรือความรักของพระเจ้าไปได้เลย” แต่เราจะดื้อดึงต่อพระเจ้าไปเพื่ออะไร? เพราะเมื่อ เราดื้อดึงต่อพระเจ้า เราก็ก�าลัง “เชื่อฟัง” ปีศาจนั่นเอง และปีศาจจะน�าเราไปสวรรค์หรือ? ไม่ เลย ... ดังนั้น ค�าสอนของพระเจ้า จง “พยายาม” ที่จะท�าตามเถิด มันอาจไม่สมบูรณ์ในเร็ววัน แต่เมื่อมีค�าว่า “พยายาม” พระเจ้าก็ดีใจที่สุด และพระองค์จะช่วยให้เราส�าเร็จอย่างแน่นอน
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต
สดด 95:1-2,6-7,8-9
ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1
น.กาสิมีร์ สดด 81:5-6,7ค-8, 9-10,13-14,16
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันศุกร์ต้นเดือน
พระวรสาร
ฮชย 14:2-10
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ของท่านเถิด ท่านได้สะดุดล้มลงเพราะความผิดของท่าน จงเตรียมถ้อยค�ำทีจ่ ะพูดมาด้วย และกลับมาเฝ้าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ทูลพระองค์วา่ ‘โปรดทรงลบล้างความผิดทัง้ หมด และ ทรงรับสิ่งที่ดี... ข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ขี่ม้าอีก จะไม่เรียกสิ่งที่มือของข้าพเจ้าได้สร้างขึ้น อีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย’ เพราะลูกก�ำพร้าพบพระกรุณาในพระองค์’” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะรักษาเขาให้หายจากความไม่ซื่อสัตย์ของเขา เรา จะรักเขาด้วยใจจริง เพราะเราจะไม่โกรธเขาอีกแล้ว เราจะเป็นเหมือนน�้ำค้างส�ำหรับ อิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี่ เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นสนสีดาร์แห่ง เลบานอน กิง่ ก้านของเขาจะแผ่ขยาย เขาจะงดงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และจะมีกลิน่ หอมเหมือนเลบานอน เขาทัง้ หลายจะกลับมานัง่ อยูใ่ ต้รม่ เงาของเรา เขาจะปลูกข้าวสาลี อีก จะท�ำให้เถาองุ่นผลิตผลอุดม มีชื่อเสียงเหมือนเหล้าองุ่นแห่งเลบานอน เอฟราอิม จะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับรูปเคารพอีก เราเองจะตอบและดูแลเขา เราเป็นเหมือนต้น ไซเปรสใบเขียวสดอยู่เสมอ ท่านจะได้รับผลของท่านจากเรา ผูม้ ปี รีชาพึงเข้าใจเรือ่ งเหล่านี้ ผูใ้ ดฉลาดก็จงรู้ เพราะหนทางทัง้ หลายขององค์พระ ผู้เป็นเจ้าล้วนเที่ยงธรรม ผู้ชอบธรรมย่อมเดินตามทางนี้ แต่ผู้ล่วงละเมิดจะสะดุดล้ม”
มก 12:28-34
เวลานัน้ ธรรมาจารย์คนหนึง่ เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟงั การโต้เถียงเรือ่ งนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบ ได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา ทรงเป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุด วิญญาณ สุดสติปญ ั ญาและสุดก�ำลังของท่าน บทบัญญัตปิ ระการทีส่ องก็คอื ท่านจะต้องรักเพือ่ นมนุษย์เหมือน รักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้” ธรรมาจารย์คนนัน้ ทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวทีท่ า่ นกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์ เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย การจะรักพระองค์สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดก�ำลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใดๆ ทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยูไ่ ม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย “กลับใจ” เป็นค�ำส�ำคัญที่สุดในเทศกาลมหาพรต เป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมและความคิดใหม่ เป็นการ เรียกร้องให้เรา “เข้าหาพระเจ้า” ผูเ้ ป็นต้นก�ำเนิดชีวติ ของเรา...เหตุทพี่ ระเจ้าเรียกร้องให้เรา “รักพระองค์” ก่อนทีจ่ ะรัก เพือ่ นมนุษย์ดว้ ยกัน เพราะหัวใจของมนุษย์นนั้ มัน “คับแคบ” เราไม่สามารถทีจ่ ะรักเพือ่ นมนุษย์ได้ทงั้ ครบ เมือ่ หัวใจเรา คับแคบ เราจึงรับได้เฉพาะส่วนที่ดี ส่วนที่ไม่ดีเราจะปฏิเสธ ซึ่งความเป็นจริงเราจะต้องเปิด “รับ” เพื่อนพี่น้องทั้งครบ และนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งของความทุกข์ของมนุษย์...ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงเรียกร้องให้เรา “รักพระองค์” ก่อน เพื่อหัวใจ ของเราจะได้ถูก “ขยายออก” อย่างใหญ่โต จะส่งผลให้เรา “รัก” เพื่อนมนุษย์หรือแม้แต่ตัวเราได้ทั้งครบ หรือ “อย่าง ที่เขาเป็น” เมื่อนั้นแหละ เราจะพบความสุขของชีวิตอย่างแท้จริง ตั้งแต่บนโลกใบนี้
บทอ่านที่ 1
ฮชย 6:1-6
องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด พวกเราจงกลับไปหาองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระองค์ ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้เรา อีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้น วันที่สามจะทรงท�าให้เราลุกขึ้น แล้วเราจะมีชีวิต อยู่เฉพาะพระพักตร์ พวกเราจงรู้จัก จงรีบรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด พระองค์จะเสด็จ มาอย่างแน่นอนเหมือนรุ่งอรุณ จะเสด็จมาหาเราเหมือนฝน เหมือนฝนต้นฤดูใบไม้ผลิ ที่รดพื้นแผ่นดิน” “เอฟราอิมเอ๋ย เราจะท�าอย่างไรดีกับท่าน ยูดาห์เอ๋ย เราจะท�าอย่างไรดีกับท่าน ความรักของท่านเป็นเหมือนเมฆในยามเช้า เหมือนน�้าค้างที่หายไปตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้น เราจึงใช้บรรดาประกาศกให้ทบุ เขาทัง้ หลายจนแหลกลาญ เราใช้คา� พูดจากปากของเราฆ่า เขา ค�าพิพากษาของเราจะออกมาเหมือนแสงสว่าง เพราะเราต้องการความรักมั่นคง ไม่ ประสงค์การถวายบูชา เราต้องการการรู้จักพระเจ้า มากกว่าเครื่องเผาบูชา”
พระวรสาร
ลก 18:9-14
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรม และดูหมิน่ ผูอ้ นื่ ฟังว่า “มีชายสองคนขึน้ ไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึง่ เป็นชาว ฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ทขี่ า้ พเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอืน่ ทีเ่ ป็นขโมย อยุตธิ รรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจ�าศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า’ ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ ข้อน-อก พูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด’ เรา บอกท่านทัง้ หลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รบั ความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสไี ม่ได้รบั เพราะว่าผูใ้ ดทีย่ กตนขึน้ จะถูกกดให้ตา�่ ลง ผูใ้ ดทีถ่ อ่ มตนลง จะได้รบั การยกย่องให้สงู ขึน้ ” วันนี้พระวาจาของพระก�าลังพูดถึงเรื่อง “ศีลอภัยบาป” “บาป” ส่งผลให้ วิญญาณของเรามี “บาดแผล” เราจึงรู้สึกไม่สบายใจ ทุกข์ทนและเจ็บปวดกับชีวิต ตู้แก้บาป คือคลีนคิ ท�าแผลทีพ่ ระองค์เยียวยาวิญญาณเราแต่ละคนผ่านทางพระสงฆ์และศีลอภัยบาป แต่ เงือ่ นไขหนึง่ คือ เราจะต้องรูต้ วั ก่อนว่าเราเป็น “คนบาป” หรือ “เราเป็นคนป่วย” และ “ต้องการ การรักษา” ดังนัน้ ในพระวรสาร ฟาริสเี ขาไม่รสู้ กึ ตัวว่าเขาป่วย เขาจึงไปหาพระเจ้าหรือหมอแต่ ไม่ได้อะไรกลับมา นอกจากบาปและแผลในวิญญาณที่ก�าเริบมากขึ้น แต่คนเก็บภาษีเขารู้ตัว “ว่าเขาป่วยและมีบาป” ท�าให้เขาได้รับการรักษาอย่างดี
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 51:1-2,16-17, 18-19 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือโยชูวา
ยชว 5:9ก,10-12
เพลงสดุดี
สดด 34:1-2,3-4,5-7
องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “วันนี้ เราจะยกความอับอายขายหน้าของอียปิ ต์ ไปจากท่านทั้งหลาย” เพราะเหตุนี้ สถานที่นั้นจึงถูกเรียกว่ากิลกาล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวอิสราเอลตัง้ ค่ายทีก่ ลิ กาล และท�าพิธปี สั กาในตอนเย็นของวันทีส่ บิ สีข่ องเดือน ณ บริเวณทีร่ าบเมืองเยรีโค วันถัดมาจากวันปัสกา เขาได้กนิ ผลิตผลของแผ่นดิน ขนมปัง ไร้เชื้อและรวงข้าวย่างในวันเดียวกัน มานนาได้หยุดในวันถัดมาจากที่เขาได้กินผลผลิต จากแผ่นดิน ไม่มีมานนาอีกเลยส�าหรับชาวอิสราเอล แต่ปีนั้นเขาได้กินผลิตผลของ แผ่นดินคานาอัน ก) ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล ค�าสรรเสริญพระองค์จะติดอยู่กับริมฝีปากของข้าพเจ้าเสมอ จิตใจข้าพเจ้าจะภูมิใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาผู้ต�่าต้อยจงฟังและชื่นชมเถิด ข) จงประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกับข้าพเจ้าเถิด เราจงโห่ร้องถวายชัยแด่พระนามพระองค์พร้อมกัน ข้าพเจ้าแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความกลัวทั้งหลาย ค) จงจับตาดูพระองค์ แล้วใบหน้าของท่านจะสดใส ไม่มีวันจะต้องอับอายเลย คนยากจนร้องทูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงฟัง ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากความคับแค้นทั้งหลาย
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์์ ฉบับที่สอง 2 คร 5:17-21
พี่น้อง ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้วทุกสิ่งมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงท�าให้เราคืนดีกับพระองค์เดชะ พระคริสตเจ้า และทรงมอบภารกิจการคืนดีนใี้ ห้เรา กล่าวคือ พระเจ้าทรงท�าให้โลกคืนดี กับพระองค์ในองค์พระคริสตเจ้า พระองค์มิได้ทรงเอาผิดกับมนุษย์ แต่ทรงมอบให้เรา ประกาศสารแห่งการคืนดีนี้ ดังนั้น เราจึงเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้า ประหนึ่งว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้เชิญชวน ท่านทั้งหลาย เราจึงขอร้องแทนพระคริสตเจ้าว่า จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด เพราะเห็น แก่เรา พระเจ้าจึงทรงท�าให้พระองค์ผู้ไม่รู้จักบาปเป็นผู้รับบาป เพื่อว่าในพระองค์เราจะ ได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา
ลก 15:1-3,11-32
เวลานัน้ บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพือ่ ฟังพระเยซูเจ้า ชาวฟาริสแี ละธรรมาจารย์ตา่ ง บ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา” พระองค์จึงตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้เขาฟัง พระองค์ยังตรัสอีกว่า “ชายผู้หนึ่งมีลูกสองคน ลูกคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์ สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด’ บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน ต่อมาไม่นาน ลูกคนเล็ก รวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังดินแดนห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วดินแดนนั้น และเขาเริ่มขัดสน จึงไปรับจ้างอยู่กับ ชาวเมืองคนหนึ่ง คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้ เขาจึงรู้ส�ำนึกและคิดว่า ‘คนรับใช้ของ พ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า ‘พ่อ ครับ ลูกท�ำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับ ใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด’ เขาก็กลับไปหาพ่อ ขณะที่เขายังอยู่ไกล พ่อมองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา ลูกจึงพูดกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ลูกท�ำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก’ แต่พ่อพูดกับผู้รับ ใช้ว่า ‘เร็วเข้า จงไปน�ำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา น�ำแหวนมาสวมนิ้ว น�ำรองเท้ามาใส่ให้ จงน�ำลูกวัว ทีข่ นุ อ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลีย้ งฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผูน้ ตี้ ายไปแล้วกลับมีชวี ติ อีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’ แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น ส่วนลูกคนโตอยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องร�ำ จึงเรียกผู้รับใช้คน หนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้รับใช้บอกเขาว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว พ่อสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วน แล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย’ ลูกคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน พ่อจึงออกมา ขอร้องให้เข้าไป แต่เขาตอบพ่อว่า ‘ลูกรับใช้พอ่ มานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนค�ำสัง่ ของพ่อเลย พ่อก็ไม่ เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา เขาคบหญิง เสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด พ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย’ พ่อพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก แต่จ�ำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและ ชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’” เทศกาลมหาพรต คือ เทศกาลแห่ง “ความรักและความเมตตา” ของพระเจ้าผู้เป็น “พ่อ” ของ เรา เมือ่ เราท�ำบาป เราก็กำ� ลังถูกล่อลวงให้หา่ งออกจากพระเจ้าไปเรือ่ ยๆ “ความสุข” ก็เริม่ ลดลงไปตามความห่าง ระหว่างเรากับพระเจ้า...มนุษย์จะไม่มีวันมีความสุขจริงๆ ตราบใดที่เขายังอยู่ห่างจากพระองค์ เพราะพระเจ้าคือ “ต้นก�ำเนิด” แห่งความสุขแท้ทั้งมวล ดังนั้น การ “พาชีวิต” ของเราที่เต็มไปด้วยบาปกลับมาหาพระเจ้า ก็เพื่อ เราจะได้รับ “ชีวิตใหม่” เหมือนกับลูกล้างผลาญที่ได้เสื้อ รองเท้า แหวน และการเป็นลูกของพ่อที่สมบูรณ์อีกครั้ง หนึ่ง...แต่ความเลวร้ายที่เราได้กระท�ำ ก็ต้องมี “ค่าใช้จ่าย” และ “พ่อ” ได้จ่ายให้เรา “บนกางเขน” นั่นเอง ดังนัน้ เทศกาลมหาพรต จึงไม่ใช่การเห็นแต่ความทุกข์ทรมานของพระเยซูเจ้า แต่ให้เห็นถึง “ความรัก” ของ พ่อและแม่ที่ยอมตายเพื่อลูกได้ และเป็นแรงบันดาลใจให้ท�ำดีกับคนอื่นๆ ต่อไป
ระลึกถึง น.แปร์เปตูอา และ น.เฟลีซีตัส มรณสักขี สดด 30:1,3,4-5, 10-11,12 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1
อสย 65:17-21
พระวรสาร
ยน 4:43-54
พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะสร้างฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ จะไม่มีผู้ใดคิดถึงและจดจ�ำเรื่องราวใน อดีตอีก แต่จงร่าเริงและยินดีเสมอในสิ่งซึ่งเราก�ำลังจะสร้างขึ้น เพราะเราก�ำลังจะสร้าง กรุงเยรูซาเล็มให้เป็นความยินดี และสร้างประชากรของเมืองนัน้ ให้เป็นความชืน่ บาน เรา จะยินดีเพราะกรุงเยรูซาเล็ม และร่าเริงเพราะประชากรของเรา จะไม่มีผู้ใดได้ยินเสียง ร้องไห้ และเสียงคร�่ำครวญในเมืองนั้นอีก ที่นั่นจะไม่มีทารกที่มีชีวิตเพียงสองสามวัน หรือคนชราที่ตายก่อนถึงก�ำหนด เพราะคนหนุ่มที่สุดจะตายเมื่อมีอายุหนึ่งร้อยปี ผู้ที่ มีอายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปีจะนับได้ว่าเป็นผู้ถูกสาปแช่ง เขาจะสร้างบ้านและจะเข้ามาอาศัย จะปลูกสวนองุ่นและจะกินผล” หลังจากนัน้ สองวัน พระเยซูเจ้าทรงออกเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์เคย ทรงประกาศไว้วา่ ประกาศกมักไม่ได้รบั เกียรติในบ้านเมืองของตน แต่เมือ่ พระองค์เสด็จ มาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์อย่างดี เพราะเห็นการกระท�ำต่างๆ ของ พระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในระหว่างวันฉลองที่เขาไปร่วมด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาทีห่ มูบ่ า้ นคานาในแคว้นกาลิลอี กี ครัง้ หนึง่ พระองค์เคยทรง เปลีย่ นน�ำ้ เป็นเหล้าองุน่ ทีน่ นั่ ข้าราชการคนหนึง่ มีบตุ รป่วยหนักอยูท่ เี่ มืองคาเปอรนาอุม เขาได้ยนิ ว่าพระเยซูเจ้าเสด็จจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลแี ล้ว จึงมาเฝ้าพระองค์และ ทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึง่ ใกล้จะสิน้ ชีวติ พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่าน ทั้งหลายไม่เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์แล้ว ท่านจะไม่เชื่อเลย” ข้าราชการ ผู้นั้นทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะสิ้นใจเถิด” พระเยซูเจ้า ตรัสกับเขาว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผูน้ นั้ เชือ่ พระวาจาทีพ่ ระเยซู เจ้าตรัสกับเขา จึงเดินทางจากไป ขณะทีเ่ ขาก�ำลังเดินทางกลับ ผูร้ บั ใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว เขาซักถามถึงเวลาที่บุตรมีอาการดีขึ้น ผู้รับใช้ตอบ ว่า “เมือ่ วานนีเ้ วลาบ่ายโมงอาการไข้กห็ าย” บิดาจึงรูว้ า่ นัน่ เป็นเวลาทีพ่ ระเยซูเจ้าตรัสว่า “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขากับทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ พระเยซูเจ้าทรงกระท�ำเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่สองนี้หลังจากเสด็จกลับจาก แคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี
จุดมุง่ หมายของชีวติ ของเราคือ...การมีชวี ติ ทีด่ กี ว่าเดิมและสุขสมบูรณ์ การมีความหวังในอนาคตทีด่ กี ว่า คือ เหตุผลส�ำคัญในการด�ำเนินชีวิตที่ดีบนโลกใบนี้ การมีพระเจ้าที่บอกแก่เราว่า อนาคตที่ดีรอเราอยู่ ท�ำให้เรามีความ หวัง เพราะในพระองค์ไม่มีความหลอกลวง การด�ำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือการเลือก “อนาคตนิรันดร” ซึ่งในแต่ละวัน เวลาของเราบนโลกใบนี้ก็ลดลงทุกวัน และอนาคตนิรันดร์ก็ใกล้เขามาทุกที จงด�ำเนินชีวิต “ดีดี” เพื่อจะได้มีสิทธิ์ใช้ชีวิต ในสวรรค์นิรันดร
บทอ่านที่ 1
อสค 47:1-9,12
ในครั้งนั้น เขาน�ำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร ข้าพเจ้าเห็นน�้ำไหลออกมาจาก ใต้ธรณีประตูพระวิหารด้านตะวันออก เพราะพระวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก น�้ำ นีไ้ หลลงมาจากใต้ดา้ นขวาของพระวิหาร ทางทิศใต้ของพระแท่นบูชา เขาน�ำข้าพเจ้าออก ไปทางประตูดา้ นเหนือ และพาข้าพเจ้าอ้อมภายนอกจนถึงประตูชนั้ นอกซึง่ หันหน้าไปทาง ทิศตะวันออก ข้าพเจ้าเห็นว่าน�ำ้ นีไ้ หลออกมาทางด้านขวา ชายผูน้ นั้ เดินออกไปทางตะวัน ออก ถือเชือกวัดและวัดระยะทางหนึ่งพันศอก เขาน�ำข้าพเจ้าลุยน�้ำข้ามไป น�้ำลึกเพียง ตาตุม่ ... เขาวัดระยะทางอีกหนึง่ พันศอก บัดนีเ้ ป็นแม่นำ�้ ทีข่ า้ พเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะน�ำ้ สูงขึน้ เป็นน�ำ้ ทีต่ อ้ งว่ายข้าม เป็นแม่นำ�้ ทีล่ ยุ ข้ามไม่ได้ เขาถามข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์ เอ๋ย ท่านเห็นไหม” เขาจึงน�ำข้าพเจ้ากลับมาที่ฝั่งแม่น�้ำ เมื่อข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้า ก็เห็นต้นไม้จ�ำนวนมากบนฝั่งแม่น�้ำทั้งสองฟาก เขาบอกข้าพเจ้าว่า “น�้ำนี้ไหลไปทางทิศ ตะวันออก ลงไปถึงลุ่มแม่น�้ำจอร์แดน เข้าไปในทะเล เมื่อไหลเข้าไปในทะเล ก็ท�ำให้น�้ำ ทะเลจืด แม่น�้ำนี้ไปถึงที่ใด สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวในนั้นก็จะมีชีวิต จะมีปลาจ�ำนวนมาก เพราะน�้ำนี้ไหลไปถึงที่ใด น�้ำทะเลก็จืด แม่น�้ำไหลไปถึงที่ใด ทุกสิ่งก็มีชีวิต...”
พระวรสาร
น.ยอห์น แห่งพระเจ้า นักบวช สดด 46:1-2,3-4, 5-6,7-8, ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 วันสตรีสากล
ยน 5:1-3ก,5-16
หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็ถงึ วันฉลองวันหนึง่ ของชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จขึน้ ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ทีก่ รุง เยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่าเบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน ตามระเบียง เหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจ�ำนวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต ที่นั่น มีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบ ว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” ผู้ป่วยนั้นตอบว่า “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วย จุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อน�้ำกระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขา ว่า “จงลุกขึ้น ยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด” ชายผู้นั้นก็หายเป็นปกติทันที เขายกแคร่ที่นอนและเริ่มเดินไป วันนั้นเป็นวันสับบาโต ชาวยิวจึงพูดกับชายที่หายป่วยนั้นว่า “วันนี้เป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ที่นอน ไม่ได้” เขาจึงตอบว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด’” เขา เหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอนและเดินไป” แต่ชายที่หายป่วยไม่รู้ว่าเป็น ใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแล้ว ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีกใน พระวิหาร จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าท�ำบาปอีก มิฉะนัน้ เหตุรา้ ยกว่านีจ้ ะเกิดขึน้ แก่ทา่ น” ชาย ผู้นั้นจากไปแล้วบอกชาวยิวว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขาให้หายป่วย ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวจึงเริ่มเบียดเบียน พระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงกระท�ำการนี้ในวันสับบาโต น�้ำที่สระเบเธสดา เปรียบดังน�้ำทรงชีวิตที่สามารถรักษาผู้ป่วยให้หายได้...พระเยซูเจ้าคือน�้ำทรงชีวิต ที่ขึ้นมาหาผู้ป่วยหรือคนบาปอย่างเรา เพราะเรานั้นอ่อนแอเกินกว่าที่เราจะเข้าหาพระองค์ได้ และอนาคตก็คือเราก็ จะต้องตายไปในบาป ไม่สามารถจะกลับสู่สวรรค์ได้อีกเลย เรามนุษย์ผู้เป็นคนบาปแม้จะมีบาปที่น่ารังเกียจเพียงใด แต่เราก็คือลูกของพระองค์ พระองค์ไม่รอให้เราต้อง เข้าหาพระองค์ เพราะเราอ่อนแอและพิการ พระองค์จึงมาหาเราและประทานน�้ำทรงชีวิตให้ คือตัวพระองค์เอง... มหาพรตนี้จึงขอให้เราถ่อมใจลง และวอนขอน�้ำทรงชีวิตที่หลั่งไหลมาจากหัวใจที่เมตตาของพระองค์ ช�ำระและรักษา เราให้พ้นบาปและลุกขึ้นเดินได้อีกครั้งหนึ่งด้วยเถิด
บทอ่านที่ 1
น.ฟรังซิสกา ชาวโรม นักบวช สดด 145:8-9, 13คง-14,16-19 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร
อสย 49:8-15
องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนีว้ า่ “ในเวลาแห่งความโปรดปราน เราจะตอบท่าน ในวัน แห่งความรอดพ้น เราจะช่วยเหลือท่าน เราจะปกป้องท่าน และให้ท่านเป็นพันธสัญญา ของประชากร เพื่อท�ำให้แผ่นดินกลับเป็นเหมือนเดิม เพื่อจะคืนมรดกที่ถูกท�ำลายแล้ว ให้ท่าน บอกผู้ถูกจองจ�ำว่า ‘จงออกมาเถิด’ บอกผู้ที่อยู่ในความมืดว่า ‘จงแสดงตัวเถิด’ เขาทั้งหลายจะเป็นเหมือนฝูงแกะที่หากินตามถนน และที่สูงโล่งจะเป็นทุ่งหญ้าของเขา เขาจะไม่หวิ หรือกระหายอีก ลมร้อนและดวงอาทิตย์จะไม่ทำ� ร้ายเขา เพราะพระองค์ผทู้ รง สงสารเขาจะทรงน�ำเขา จะทรงน�ำเขาไปยังพุน�้ำ เราจะท�ำให้ภูเขาทุกลูกของเราเป็นทาง เดิน ทางหลวงของเราจะอยู่บนที่สูง ดูซิ คนเหล่านี้จะมาจากแดนไกล บางคนจะมาจาก ทิศเหนือ บางคนจะมาจากทิศตะวันตก บางคนจะมาจากแผ่นดินซีนิม... หญิงคนหนึง่ จะลืมบุตรทีย่ งั กินนม และจะไม่สงสารบุตรทีเ่ กิดจากครรภ์ของนางได้ หรือ แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย”
ยน 5:17-30
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “พระบิดาของเราทรงท�ำงานอยู่เสมอ เราก็ท�ำงานด้วยเช่นเดียวกัน” เพราะค�ำยืนยันนี้ ชาวยิวยิ่งพยายามจะฆ่าพระองค์ให้ได้ เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่ละเมิดวันสับบาโตเท่านั้น แต่ยังทรงเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดาของพระองค์อีกด้วย ซึ่งเป็นการท�ำตนเสมอพระเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า พระบุตรไม่ทำ� สิง่ ใดตามใจของตน แต่ทำ� เฉพาะสิง่ ทีไ่ ด้เห็นพระบิดาทรงกระท�ำเท่านัน้ เพราะสิง่ ใดทีพ่ ระบิดาทรงกระท�ำ พระบุตรก็ยอ่ มท�ำเช่นเดียวกัน เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิง่ ทีท่ รงกระท�ำ และจะทรงแสดงให้พระบุตร เห็นการกระท�ำที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก เพื่อให้ท่านทั้งหลายรู้สึกประหลาดใจ พระบิดาทรงท�ำให้ผู้ตายกลับคืนชีวิต และประทานชีวิตให้ฉันใด พระบุตรก็ประทานชีวิตให้แก่ผู้ที่พอพระทัยฉันนั้น... เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ผูท้ ฟี่ งั วาจาของเรา และมีความเชือ่ ในพระองค์ผทู้ รงส่งเรามา ก็ยอ่ ม มีชีวิตนิรันดร และไม่ต้องถูกพิพากษา แต่เขาได้ผ่านจากความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านทั้ง หลายว่า เวลานัน้ ก�ำลังจะมาถึง และขณะนีก้ ก็ ำ� ลังเริม่ แล้ว เมือ่ ผูต้ ายจะได้ยนิ พระสุรเสียงของพระบุตรพระเจ้า และผูท้ ไี่ ด้ยนิ แล้วจะมีชวี ติ เพราะพระบิดาทรงมีชวี ติ ในพระองค์ฉนั ใด พระองค์กป็ ระทานให้พระบุตรมีชวี ติ ใน พระองค์เองฉันนั้น พระบิดาได้ประทานให้พระบุตรมีอ�ำนาจพิพากษา เพราะพระบุตรทรงเป็นบุตรแห่งมนุษย์ ท่านทั้งหลายอย่าแปลกใจในเรื่องนี้เลย เพราะถึงเวลาแล้วที่ทุกคนในหลุมศพจะได้ยินพระสุรเสียงของพระ บุตร และจะออกมา ผูท้ ไี่ ด้ทำ� ความดีจะกลับคืนชีวติ มารับชีวติ นิรนั ดร ส่วนผูท้ ที่ ำ� ความชัว่ ก็จะกลับคืนชีวติ มา รับโทษทัณฑ์ เราท�ำอะไรตามใจของเราไม่ได้ เราได้ยินมาอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น และค�ำพิพากษาของ เราก็ถูกต้อง เพราะเรามิได้แสวงหาที่จะท�ำตามใจของเรา แต่ท�ำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ฟังวาจาของเรา และมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ก็ย่อมมีชีวิตนิรันดร และไม่ต้องถูกพิพากษา...” “ฟังและเชื่อ” เท่ากับ ฟังแล้ว “กระท�ำตาม” จึงส่งผลให้ได้รับชีวิต นิรันดร เพราะค�ำว่า “เชื่อ” ต้องมีการปฏิบัติตามมาด้วย ถ้าเชื่อแต่ไม่ท�ำก็เท่ากับ “รู้” เท่านั้น ซึ่งแค่ “รู้” ชีวิตเราก็ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย... ดุจดังปีศาจ ที่รู้จักพระคัมภีร์ เคยได้ยินพระวาจา แต่ท�ำไมยังคงเป็นปีศาจ เพราะมัน แค่ฟัง แต่ “ไม่ปฏิบัติตาม” เลยยังคงเป็นปีศาจอยู่ ดังนั้น “คนที่มีความเชื่อ” ก็คือคนที่ “รู้” และ “ท�ำ” ตามที่พระเยซู สอนนั่นเอง
บทอ่านที่ 1
อพย 32:7-14
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงรีบลงไปข้างล่างเถิด เพราะประชากรของ ท่านซึ่งท่านได้น�ำออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ได้ท�ำผิดอย่างสาหัส เขาเปลี่ยนวิถีทางอย่าง รวดเร็วออกจากทางทีเ่ ราได้สงั่ ให้เขาเดิน เขาหล่อรูปลูกโคขึน้ แล้วกราบนมัสการ ทัง้ ยัง ถวายบูชาแก่รปู นัน้ พร้อมกับกล่าวว่า ชาวอิสราเอลทัง้ หลาย นีแ่ หละเป็นพระเจ้าของท่าน ผู้ทรงน�ำท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสต่อไปว่า “เรา รูจ้ กั คนเหล่านีด้ ี เขาดือ้ ดึงเหลือเกิน อย่าห้ามเราเลย ความโกรธของเราจะเผาผลาญเขา ทั้งหลาย และเราจะท�ำลายเขา เราจะท�ำให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่” โมเสสอ้อนวอนองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของตนว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ท�ำไม พระองค์ทรงปล่อยให้พระพิโรธเผาผลาญประชากรของพระองค์ทพี่ ระองค์ได้ทรงน�ำออก มาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยอานุภาพยิ่งใหญ่และด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ ท�ำไมจะให้ชาว อียปิ ต์เยาะเย้ยได้วา่ ‘พระองค์ทรงน�ำเขาออกมาด้วยความประสงค์รา้ ย จะฆ่าเสียทีภ่ เู ขา จะท�ำลายให้หมดสิน้ จากแผ่นดิน’ ขอทรงระงับพระพิโรธเถิด ขอทรงเปลีย่ นพระทัยอย่า ท�ำร้ายประชากรของพระองค์เลย ขอทรงระลึกถึงอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ผู้รับใช้ พระองค์เถิด พระองค์ทรงสัญญากับเขาโดยทรงสาบานอาศัยพระนามพระองค์วา่ เราจะ ให้ลกู หลานของท่านมีจำ� นวนมากมายเหมือนดาวในท้องฟ้า เราจะให้แผ่นดินทีเ่ ราสัญญา ไว้นที้ งั้ หมดแก่ลกู หลานของท่าน และเขาจะครอบครองเป็นมรดกตลอดไป” องค์พระผู้ เป็นเจ้าจึงทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทรงลงโทษประชากรของพระองค์
พระวรสาร
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 106:19-20, 21-22,23
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
ยน 5:31-47
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวว่า “ถ้าเราเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง ค�ำยืนยันของเราก็ใช้ไม่ได้ แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานยืนยันให้เรา และเรารู้ว่าค�ำยืนยันของเขาถึงเรานั้นเป็นความจริง ท่านทั้งหลายได้ส่งคนไปถามยอห์น และยอห์นก็ได้เป็น พยานยืนยันถึงความจริง เราไม่ตอ้ งการค�ำยืนยันจากมนุษย์ แต่เรากล่าวเช่นนัน้ เพือ่ ท่านทัง้ หลายจะได้รอดพ้น ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงสว่างไสวที่จุดอยู่ ท่านทั้งหลายก็พอใจที่จะชื่นชมกับแสงสว่างของเขาอยู่ชั่วระยะ หนึ่งเท่านั้น แต่เรามีค�ำยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าค�ำยืนยันของยอห์น คืองานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เราท�ำจน ส�ำเร็จ งานที่เราก�ำลังท�ำอยู่นี้ เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาทรงส่งเรามา พระบิดาผู้ทรงส่งเรามา ยังทรงเป็น พยานถึงเราอีกด้วย ท่านทัง้ หลายไม่เคยได้ยนิ พระสุรเสียงของพระองค์ ทัง้ ไม่เคยเห็นพระพักตร์ของพระองค์”
โมเสสอ้อนวอนต่อพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็เปลี่ยนพระทัยไม่ลงโทษ ... เหตุการณ์นี้ไม่ได้แสดงว่าโมเสส นัน้ มีเมตตามากกว่าพระเจ้า แต่พระเจ้าก�ำลังแสดงพระเมตตาผ่านทางตัวโมเสสและจะเห็นชัดอีกครัง้ ในพระเยซูคริสต เจ้า ... ดังนัน้ การทีโ่ มเสสโต้ตอบกับพระเจ้าก็เป็นดังความเมตตาและความยุตธิ รรมก�ำลังคุยกันอยู่ สุดท้ายความเมตตา ก็มีชัย ... และภารกิจของพระเยซูเจ้าก็คือ การเผยพระพักตร์แห่งความเมตตาของพระบิดานั่นเอง ดังนั้นคริสตชน คน ของพระคริสต์ก็คือบุคคล “ผู้มีเมตตา” นั่นเอง
บทอ่านที่ 1
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 34:16-17, 19-20,22 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร
ปชญ 2:1ก,12-22
ผู้ไม่ย�ำเกรงพระเจ้าใช้เหตุผลผิดๆ คิดว่า “เราจงดักซุ่มท�ำร้ายผู้ชอบธรรม เพราะ เขาท�ำให้เราร�ำคาญใจ เขาต่อต้านกิจการของเรา เขาต�ำหนิเราว่าฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ กล่าว หาว่าเราไม่ปฏิบตั ติ ามการอบรมทีไ่ ด้รบั เขาอ้างว่าเขารูจ้ กั พระเจ้า เรียกตนเองว่าเป็นบุตร ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ชีวติ ของเขาเป็นการติเตียนความรูส้ กึ นึกคิดของเรา เพียงแต่เห็น เขา เราก็ทนไม่ได้ เพราะชีวิตของเขาไม่เหมือนกับผู้อื่น ความประพฤติของเขาก็ต่างกับ ของเรามาก เขาคิดว่าเราเป็นคนไร้ค่า เขาหลีกเลี่ยงวิถีชีวิตของเราประหนึ่งว่าเป็นสิ่ง ปฏิกูล เขาประกาศว่าผู้ชอบธรรมจะมีความสุขในวาระสุดท้าย อวดอ้างว่าพระเจ้าทรง เป็นพระบิดาของเขา เราจงดูเถิดว่าค�ำพูดของเขาจะจริงหรือไม่ เราจงพิสจู น์วา่ จะเกิดอะไร ขึ้นแก่เขาในวาระสุดท้าย ถ้าผู้ชอบธรรมเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงปกป้อง เขา และทรงช่วยเขาให้พ้นเงื้อมมือของศัตรู เราจงสาปแช่งและทรมานลองใจเขา ให้รู้ ว่าเขาอ่อนโยนเพียงใด และจงทดสอบว่าเขาอดทนเพียงใด เราจงตัดสินลงโทษให้เขา ตายอย่างอัปยศ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเขา” ผู้ไม่ย�ำเกรงพระเจ้าคิดเช่นนี้ แต่เขาคิดผิด ความชั่วร้ายท�ำให้เขาตาบอด เขาไม่รู้ แผนการเร้นลับของพระเจ้า เขาไม่หวังว่าพระเจ้าจะทรงตอบแทนความศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ เชื่อว่าพระองค์จะประทานรางวัลแก่ผู้ด�ำเนินชีวิตไร้ต�ำหนิ
ยน 7:1-2,10,25-30
หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงพระประสงค์จะเสด็จไปทั่วแคว้นยูเดีย เพราะชาวยิวก�ำลังพยายามจะฆ่าพระองค์ งานฉลองเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บรรดาพี่น้องของพระองค์ ขึ้นไปร่วมงานฉลองแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปด้วยอย่างเงียบๆ ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดเห็น ชาวเยรูซาเล็มบางคนพูดว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เขาพยายามจะฆ่า ดูซิ คนนี้ก�ำลังพูดคุยอย่างเปิดเผย และ ไม่มีใครห้ามปรามเขา หรือบางทีบรรดาหัวหน้าอาจยอมรับว่าเขาเป็นพระคริสต์ พวกเรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน พระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน” ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในพระวิหาร พระองค์ตรัสเสียงดังว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามา จากไหน เราไม่ได้มาตามใจตนเอง พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ ท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงส่งเรามา” คนเหล่านั้นพยายามจะจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง มนุษย์มักจะมองสิ่งต่างๆ รับรู้ และผ่านสิ่งนั้นเข้าไปในใจก่อน แล้วจึงเกิดเป็นความคิด ต่อด้วยการ กระท�ำที่เป็นผลมาจากความคิดนั้น... ดังนั้น ตัวแปรที่ส�ำคัญคือ “ความบาป” หรือ “กิเลส” ถ้าความบาปหนา เราจะ มีความคิดต่อสิ่งต่างๆ ออกไปในเชิงลบ เป็นการคิดด่า ต�ำหนิ ว่า สุดท้ายคือคิด “ท�ำลาย” ในตัวเรามีความบาปมาก ก็สัมผัสได้ถึงกระแสลบมาก เพราะมันเป็นประเภทเดียวกัน ในขณะที่อีกคน มองเห็นเหมือนกัน แต่ความบาปน้อยกว่า เขาก็จะคิดออกมาในเชิงบวกมากกว่า เช่น สงสาร อยากช่วย อยากสวดให้ คือ อยากให้เขาหรือเธอดีขึ้น ดังนั้นการรู้จักตนเอง พิจารณาตนเองเป็น ก็จะช่วยให้เรา “ลด บาป เพิ่มบุญ” ได้ ชีวิตก็จะมีแต่ดีขึ้น มหาพรตนี้ “การรับศีลอภัยบาป” อย่างดี จะช่วยเราได้
บทอ่านที่ 1
ยรม 11:18-20
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งเรื่องนี้แก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็รู้ พระองค์ทรงเปิด เผยแผนร้ายของเขาทั้งหลายแก่ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกแกะว่าง่ายซึ่งถูก น�ามายังที่ฆ่า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเขาก�าลังวางแผนร้ายต่อข้าพเจ้า พูดว่า “เราจงท�าลาย ต้นไม้ที่ก�าลังงอกงาม เราจงก�าจัดเขาออกจากแผ่นดินของผู้เป็น ชื่อของเขาจะได้ไม่มี ผู้ใดระลึกถึงอีกเลย” บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม ทรงทดสอบทัง้ ความรูส้ กึ และจิตใจของมนุษย์ โปรดให้ขา้ พเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษ เขา เพราะข้าพเจ้าได้มอบคดีของข้าพเจ้าไว้กับพระองค์แล้ว
พระวรสาร
ยน 7:40-53
เมื่อประชาชนบางคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ จึงพูดว่า “คนนี้เป็น ประกาศกจริงๆ” บางคนพูดว่า “คนนี้เป็นพระคริสตเจ้า” บางคนพูดว่า “พระคริสตเจ้า จะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ พระคัมภีร์มิได้กล่าวหรือว่าพระคริสตเจ้าจะต้องมาจาก ราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดและจากเมืองเบธเลเฮม เมืองที่กษัตริย์ดาวิดเคยอยู่” ประชาชน จึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับพระองค์ บางคนต้องการจับกุมพระองค์ แต่ไม่มี ใครลงมือจับกุม ทหารยามรักษาพระวิหารกลับมาหาบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ซึง่ ถามเขา ว่า “ท�าไมท่านทัง้ หลายไม่นา� เขามาด้วย” ทหารยามตอบว่า “ไม่มคี นใดพูดจาเหมือนกับ ชายผู้นี้เลย” ชาวฟาริสีถามว่า “ท่านทั้งหลายถูกเขาหลอกลวงไปแล้วหรือ มีหัวหน้า หรือชาวฟาริสีคนใดบ้างที่เชื่อเขา แต่ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่รู้เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาป แช่งอยู่แล้ว” ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ที่เคยไปหาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้นกล่าว กับเขาว่า “ธรรมบัญญัติของพวกเราไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดโดยที่มิได้ฟังค�าให้การของผู้ นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาท�าอะไร” เขาเหล่านั้นจึงตอบว่า “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วย หรือ จงค้นดูจากพระคัมภีร์เถิด แล้วจะเห็นว่าไม่มีประกาศกคนใดมาจากแคว้นกาลิลี เลย” แล้วทุกคนก็กลับบ้าน
โดยธรรมชาติของคนทีย่ งั อ่อนแอ มักจะ “อวดรู”้ เพือ่ ชูตนเองว่าเหนือกว่าใคร สิ่งนี้มันตรงกันข้ามกับพระธรรมชาติของพระเจ้าคือ “ความสุภาพ” คนที่อวดรู้มักจะมีความ จองหองเป็นพื้นฐาน ท�าให้เป็นคนที่ไม่ฟังคนอื่น และนี่เป็นการล่อลวงอย่างหนึ่งจากปีศาจ เพราะมันจะส่งผลให้เขา “ไม่ฟังเสียงของพระเจ้าด้วย” แต่คนที่สุภาพเขาจะฟังผู้อื่น เพราะ การรับฟังเป็นการ “เคารพศักดิ์ศรี” ของผู้พูด เป็น “การให้เกียรติ” และจะท�าให้เขาพบพระ ปรีชาญาณที่พระเจ้าจะตรัสผ่านทางบุคคลทั่วไป สุดท้ายเขาจะได้ยินเสียงของพระองค์อย่าง ง่ายดาย และส่งผลให้การด�าเนินชีวิตเขาถูกต้องด้วย
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 7:1-2,8-9,10-11 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1
อสย 43:16-21
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “พระองค์ผู้ทรงเบิกทางในทะเล ทรงสร้างทางเดิน ในน�้าเชี่ยว พระองค์ทรงน�ารถศึกและม้า ทรงน�ากองทัพและนักรบที่กล้าหาญออกมา เขาเหล่านั้นล้มลงแล้วลุกขึ้นไม่ได้อีกเลย เขามอดดับเหมือนไส้ตะเกียงและสูญหาย” พระองค์ตรัสว่า “อย่าจดจ�าเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องราวในอดีตอีก ต่อไป ดูเถิด เราก�าลังจะท�าสิง่ ใหม่ โดยแท้จริง เหตุการณ์นเี้ กิดขึน้ แล้ว ท่านไม่รดู้ อกหรือ เราจะเบิกทางในถิ่นทุรกันดาร เราจะท�าให้เกิดแม่น�้าขึ้นในที่แห้งแล้ง แม้กระทั่งสัตว์ป่า ก็จะถวายเกียรติแก่เรา คือหมาในและนกกระจอกเทศ เพราะเราให้น�้าในถิ่นทุรกันดาร และให้แม่นา�้ ในทีแ่ ห้งแล้ง เพือ่ ประชากรทีเ่ ราเลือกสรรจะได้มนี า�้ ดืม่ ประชากรทีเ่ ราสร้าง ไว้ส�าหรับเราจะร้องสรรเสริญเรา”
เพลงสดุดี
สดด 126:1-2,3-4,5-6
ก) เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงน�าบรรดาเชลยกลับมาสู่ศิโยน ดูเหมือนว่าเราก�าลังฝันอยู่ ขณะนั้น ปากของเราก�าลังหัวเราะ ลิ้นของเรามีแต่เสียงโห่ร้องยินดี ขณะนั้น นานาชาติก็พูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระท�ากิจการยิ่งใหญ่เพื่อเขาทั้งหลาย” ข) ถูกต้องแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระท�ากิจการยิ่งใหญ่เพื่อเรา และเราก็มีความยินดี ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า โปรดทรงเปลีย่ นสภาพของข้าพเจ้าทัง้ หลายให้กลับดีเช่นเดิม เหมือนธารน�้าบริเวณเนเกบ ค) ผู้ที่หว่านด้วยน�้าตา ย่อมโห่ร้องยินดีเมื่อเก็บเกี่ยว เขาเดินพลาง ร้องไห้พลาง หอบเมล็ดพืชไปหว่าน ยามกลับมา เขาโห่ร้องด้วยความยินดี น�าฟ่อนข้าวกลับมาด้วย
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟลิปป ฟป 3:8-14
พี่น้อง นับแต่บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งไม่มีประโยชน์อีกเมื่อเปรียบกับประโยชน์ ล�้าค่าคือการรู้จักพระคริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงยอมสูญเสีย ทุกสิ่ง ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งเป็นปฏิกูล เพื่อจะได้องค์พระคริสตเจ้ามาเป็นก�าไร และ อยู่ในพระองค์ ข้าพเจ้าไม่มีความชอบธรรมที่มาจากธรรมบัญญัติ แต่มีความชอบธรรม เพราะความเชือ่ ในพระคริสตเจ้า เป็นความชอบธรรมซึง่ พระเจ้าประทานให้ผมู้ คี วามเชือ่
ข้าพเจ้าต้องการรู้จักพระองค์ รู้จักฤทธานุภาพของการ กลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ ต้องการมีส่วนร่วม ในพระทรมานของพระองค์โดยมีสภาพเหมือนพระองค์ ในความตาย จะได้บรรลุถึงการกลับคืนชีพจากบรรดา ผู้ตายด้วย ข้าพเจ้ายังไม่บรรลุเป้าหมายหรือยังท�ำไม่ ส�ำเร็จ ข้าพเจ้ายังมุ่งหน้าวิ่งต่อไป เพื่อจะช่วงชิงรางวัล ให้ได้ดังที่พระคริสตเยซูทรงช่วงชิงข้าพเจ้าไว้ได้แล้ว พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่คิดว่า ข้าพเจ้าชนะแล้ว ข้าพเจ้าท�ำเพียงอย่างเดียวคือ ลืมสิง่ ทีอ่ ยูเ่ บือ้ งหลัง มุง่ สู่ เบือ้ งหน้าอย่างสุดก�ำลัง ข้าพเจ้าก�ำลังวิง่ เข้าสูเ่ ส้นชัยไป หารางวัลทีพ่ ระเจ้าทรงเรียกจากสวรรค์ให้ขา้ พเจ้าเข้าไป รับในพระคริสตเยซู
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น
ยน 8:1-11
เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีน�ำหญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้ นางยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” เขาถามพระองค์เช่นนี้เพื่อจับผิด พระองค์ หวังจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิว้ พระหัตถ์ขดี เขียนทีพ่ นื้ ดิน เมือ่ คนเหล่านั้นยังทูลถามย�้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่ม นางเป็นคนแรกเถิด” แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อยๆ ทยอย ออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามล�ำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลย หรือ” หญิงคนนั้นทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไป เถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าท�ำบาปอีก” “พระเจ้าเป็นความรัก” เป็นภาพใหม่ของพระเจ้าที่แสดงให้เห็นผ่านทางพระเยซู หญิงคนนี้เป็น คนบาปจริง และนางก็คงตกใจและกลัวตายอย่างทีส่ ดุ และมัน่ ใจว่าจะต้องตายเพราะโดนหินทุม่ อย่างแน่นอน พระ เยซูจงึ ไม่ได้ชว่ ยนางจากการถูกลงโทษ แต่ชว่ ยนางมาจากความตาย พระวรสารไม่ได้บอกว่าพระองค์ขดี เขียนอะไร บนพื้นดิน แต่เชื่อว่าพระองค์คงไม่ท�ำไปโดยไม่มีจุดหมาย ดังนั้นบางท่านจึงบอกว่า พระองค์ได้เขียนรายการบาป ของพวกเขาทั้งหลายที่จะเอาหินทุ่มนาง ประโยคถัดมา พระองค์จึงบอกว่า “ผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็น คนแรกเถิด” พระองค์ก็ได้ช่วยคนเหล่านั้นให้รับรู้ว่า “เขาทั้งหลายก็เป็นคนบาปเหมือนกัน” เราจงอย่าตัดสินใคร เลย แต่ให้เราภาวนาให้เขา เพื่อเขาจะได้มีก�ำลังที่จะไม่กระท�ำบาปอีก
บทอ่านที่ 1
ดนล 13:41ค-62
ทุกคนทีม่ าประชุมกันเชือ่ เขา เพราะเขาเป็นผูอ้ าวุโสผูพ้ พิ ากษาประชากร จึงตัดสิน ลงโทษให้ประหารชีวิตนาง นางสุสันนาร้องตะโกนดังสุดเสียง... องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง ฟังเสียงของนาง... พระเจ้าทรงดลใจชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อดาเนียล... ดาเนียลยืนอยู่ใน หมู่คนทั้งหลาย พูดว่า “ชาวอิสราเอลเอ๋ย... จงกลับไปพิจารณาคดีเถิด เพราะคนเหล่า นี้เป็นพยานเท็จปรักปร�ำนาง” ประชาชนทุกคนก็รบี กลับไป บรรดาผูอ้ าวุโสพูดกับดาเนียลว่า “เชิญมานัง่ กับพวก สัปดาห์ที่ 5 เรา จงแสดงความคิดของท่านให้เราฟังเถิด เพราะพระเจ้าประทานความเฉลียวฉลาด เทศกาลมหาพรต เยี่ยงผู้อาวุโสให้แก่ท่าน” ดาเนียลตอบเขาว่า “จงแยกสองคนนี้ให้อยู่คนละแห่ง แล้ว สดด 23:1-6 ข้าพเจ้าจะสอบสวนเขา” เมื่อแยกทั้งสองคนจากกันแล้ว ดาเนียลก็เรียกคนหนึ่งมาถาม ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ว่า “ท่านนี่ ยิ่งแก่ก็ยิ่งชั่ว... ถ้าท่านเห็นหญิงคนนี้จริงๆ จงบอกซิว่า ท่านเห็นเขาทั้งสอง คนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นยาง” ดาเนียลพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษ ตนเอง...” ดาเนียลส่งเขากลับไปยังทีข่ องตน สัง่ ให้นำ� อีกคนหนึง่ ออกมา พูดว่า “...จงบอกมาซิ ท่านพบเขาทัง้ สองคนอยูด่ ว้ ยกันใต้ตน้ ไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ตน้ โอ๊ก” ดาเนียลจึงพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าว โทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบคอยฟันท่านเป็นสองท่อน ท่านทัง้ สองคนจะต้องตายแน่” คนทัง้ หลาย ทีช่ มุ นุมกันต่างตะโกนเสียงดังด้วยความยินดี ถวายพระพรแด่พระเจ้าผูท้ รงช่วยผูว้ างใจในพระองค์ให้รอดพ้น...
พระวรสาร
ยน 8:12-20
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนอีกว่า “เราเป็นแสงสว่างส่องโลก ผูท้ ตี่ ามเรามา จะไม่เดินในความ มืด แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต” ชาวฟาริสกี ล่าวกับพระองค์วา่ “ท่านเป็นพยานให้กบั ตนเอง ค�ำยืนยันเป็นพยานของท่านจึงไม่นา่ เชือ่ ถือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “แม้เราจะเป็นพยานให้ตนเอง ค�ำยืนยันเป็นพยานของเราก็น่าเชื่อถือ เพราะ เรารู้ว่า เรามาจากไหน และก�ำลังจะไปไหน แต่ท่านทั้งหลายไม่รู้ว่า เรามาจากไหน และก�ำลังจะไปไหน ท่าน พิพากษาตามมาตรการของมนุษย์ แต่เราไม่พิพากษาผู้ใด และถึงแม้ว่าเราพิพากษาผู้ใด ค�ำพิพากษาของเราก็ น่าเชื่อถือ เพราะเราไม่อยู่คนเดียว แต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงอยู่กับเราด้วย ในธรรมบัญญัติของท่าน ทั้งหลายมีเขียนไว้ว่า ‘ค�ำยืนยันเป็นพยานของคนสองคนเป็นที่น่าเชื่อถือ’ เราเป็นพยานให้ตนเอง และพระ บิดาผู้ทรงส่งเรามาทรงเป็นพยานให้เราด้วย” เขาเหล่านั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระบิดาของท่านอยู่ที่ใด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้จักทั้งเรา ทั้งพระบิดาของเรา ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านคงรู้จักพระบิดา ของเราด้วย” พระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ในบริเวณที่วางของถวาย ขณะที่ทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร ไม่มีผู้ ใดจับกุมพระองค์ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง ตอนนี้เราใช้อะไรอ่านชีวิตของเราอยู่ ถ้าเรามองอนาคตของเราไว้แค่ “ความตาย” อนาคตเราก็คงน่า เศร้าสิ้นดี แต่ถ้าเรามองอนาคตตัวเราไว้ที่ “สวรรค์” เราก็คงท�ำดีมากขึ้น ท�ำบาปน้อยลง เหมือนคนที่รู้จุดหมายของ ชีวิตว่า ถ้าเขาต้องการไปต่างประเทศ เขาก็คงต้องเตรียมเสื้อผ้า อาหาร ภาษา และเรียนรู้ประเทศนั้นๆ และถ้าเป็น ไปได้ก็หาคนประเทศนั้นเป็นเพื่อนกันก่อนก็จะอุ่นใจอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราไม่สนใจอะไรเลย แล้วถ้าเราต้องไปจริงๆ เราคง ตกใจ เตรียมตัวไม่ทันและในที่สุดก็อดไปหรือถ้าได้ไปก็จะล�ำบากอย่างยิ่ง “ความตาย” ยังไงเราก็ต้องเจอ แต่ “สวรรค์” จะได้ไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเดินทางและเตรียมตัวของเราบนโลก ใบนี้ “ลมหายใจของเราสั้นลงไปทุกวัน” จงเดินตามพระเจ้าเถิด แล้วเราจะถึงสวรรค์อย่างแน่นอน
บทอ่านที่ 1
กดว 21:4-9
ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกกเพื่อเลี่ยง แผ่นดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทาง ประชากรเริ่มหมดความอดทน จึงพากันบ่น ว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ท�ำไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่น ทุรกันดารนี้ ที่นี่ไม่มีทั้งน�้ำและอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ท�ำให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจ�ำนวน มาก คนทั้งปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราท�ำบาปเพราะบ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า และบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทลู องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพษิ เหล่านีอ้ อกไปเถิด” โมเสส จึงวอนขอพระเจ้าเพื่อประชากร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงท�ำงูโลหะ ติดไว้บนเสา ผูท้ ถี่ กู งูกดั และมองดูงโู ลหะนัน้ จะรอดชีวติ ” โมเสสจึงท�ำงูทองสัมฤทธิข์ นึ้ ติดไว้ที่เสา ผู้ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต
พระวรสาร
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต สดด 102:1-2,15-17, 18-20 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
ยน 8:21-30
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาเหล่านั้นอีกว่า “เราจากไปแล้วท่านทั้งหลายจะ แสวงหาเรา แต่ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง แต่เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็น ของโลกนี้ แต่เรามิได้เป็นของโลกนี้ ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของ ท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็น ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน” เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็นดังทีเ่ ราได้บอกท่านไว้ตงั้ แต่แรกแล้ว เรายังมีอกี หลาย เรื่องที่เราจะต้องพูดและพิพากษาเกี่ยวกับท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ สิ่ง ใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์ เราก็บอกสิ่งนั้นให้โลกรู้” คนเหล่านัน้ ไม่เข้าใจว่า พระองค์กำ� ลังตรัสกับเขาเรือ่ งพระบิดา พระเยซูเจ้าตรัสกับ เขาอีกว่า “เมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้น เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็น และรู้ว่าเราไม่ ท�ำอะไรตามใจตนเอง แต่พูดอย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้ พระผู้ทรงส่งเรามาสถิต กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิง้ เราไว้ตามล�ำพัง เพราะเราท�ำตามทีพ่ ระองค์พอพระทัย เสมอ” เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์ “บาป” คือ การต่อต้านพระเจ้าและไม่ยอมรับในน�้ำพระทัยของพระองค์ “การบ่นว่า” จึงเป็นผลมา จากการทีเ่ ราปรารถนาจะท�ำตามใจตนเอง ไม่แสวงหาความเข้าใจในพระประสงค์ของพระเจ้า นอกจากนัน้ เรายังอยาก ให้พระเจ้าท�ำตามใจของเราด้วย การบ่นว่าจึงโยงไปถึงบาป “จองหอง” อยากเป็นใหญ่กว่าพระองค์ เมื่อมาถึงจุดนี้จง ระลึกไว้เลยว่า “ปีศาจ” ก�ำลังท�ำงานของมันซ�้ำอีกครั้งกับที่มันเคยท�ำกับเอวาไว้ พระเจ้ารักเราลูกของพระองค์มาก จนยอมตายบนกางเขน ดังนั้นการที่พระองค์ขอร้องอะไรเรา แสดงว่ามันดี ที่สุดและดีแบบระยะยาว ส่วนเรามนุษย์ “วินาที” ถัดไปจะเกิดอะไรขึ้น เรายังไม่รู้เลย แล้วเรายังจะใช้ความคิดของ เราอันคับแคบต่อต้านความรักอันยิง่ ใหญ่ของพระองค์ได้อย่างไรเล่า... “จงสุภาพและมอบตัวทัง้ ครบแด่พระองค์ผมู้ อบ ชีวิตให้เราจนหมดสิ้นเถิด”
บทอ่านที่ 1
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ดนล 3:53-56 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร
ดนล 3:14-20,24-25,28
กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรัสถามเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก เป็นความ จริงหรือไม่ ที่ท่านไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของเรา และไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองค�ำที่เรา ตั้งไว้ บัดนี้ เมื่อท่านได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงปี่ เสียงพิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุงและเครื่องดนตรีทุกชนิด จงเตรียมพร้อมที่จะกราบนมัสการรูปปั้นที่เราสร้างขึ้น ถ้า ท่านไม่ยอมท�ำเช่นนี้ ท่านจะต้องถูกโยนทันทีเข้าไปในเตาทีม่ ไี ฟลุกโพลง แล้วพระเจ้าใด จะช่วยท่านให้พ้นจากมือของเราได้” ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกกราบทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าพเจ้าทั้ง หลายไม่จ�ำเป็นจะต้องทูลตอบพระองค์ในเรื่องนี้ ขอทรงทราบเถิดว่า พระเจ้าที่ข้าพเจ้า ทั้งหลายรับใช้จะทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากเตาที่มีไฟลุกโพลง และให้พ้น พระหัตถ์พระองค์ได้...” กษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์กริว้ มาก...รับสัง่ ให้ทหารบางคนทีแ่ ข็งแรงทีส่ ดุ ในกองทัพมา มัดชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก โยนเข้าไปในเตาทีม่ ไี ฟลุกโพลง เขาทัง้ สามคนเดินไป มากลางเปลวไฟ สรรเสริญพระเจ้าและถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า...
ยน 8:31-42
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็ เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะท�ำให้ท่านเป็นอิสระ” คนเหล่านัน้ จึงตอบว่า “พวกเราเป็นเชือ้ สายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร ท่านพูดได้อย่างไร ว่า ‘ท่านทั้งหลายจะเป็นอิสระ’” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ทุกคนทีท่ ำ� บาปก็เป็นทาสของบาป ทาส ย่อมไม่พ�ำนักอยู่ในบ้านตลอดไป แต่บุตรพ�ำนักอยู่ตลอดไป ดังนั้น ถ้าพระบุตรท�ำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านก็จะ เป็นอิสระอย่างแท้จริง เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านพยายามจะฆ่าเรา เพราะวาจา ของเราไม่ซึมซาบเข้าไปในท่าน เราบอกสิ่งที่เราได้เห็นเมื่อเราอยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดา ท่านทั้งหลายก็ท�ำ ตามที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย” คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “บิดาของพวกเราคืออับราฮัม” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม ท่านจงท�ำกิจการของอับราฮัมเถิด แต่บดั นี้ ท่าน ก�ำลังพยายามจะฆ่าเรา ซึ่งเป็นคนบอกความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้าให้ท่านฟัง อับราฮัมไม่เคยท�ำเช่นนี้ เลย ท่านไม่ท�ำกิจการของอับราฮัม แต่ท�ำกิจการของบิดาของท่าน” คนเหล่านั้นเถียงว่า “เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ บิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า เราไม่ได้มาตามใจตนเอง แต่พระองค์ทรงส่งเรามา 200 ปี ก่อน ค.ศ. ชาวยิวทนทุกข์จากการถูกบังคับให้นมัสการพระเท็จเทียม ชัดรัค เมชาค และอาเบดเน โก เมื่อไม่ยอมนมัสการรูปปฏิมากร ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการโยนเข้ากองไฟ แต่พระเจ้าส่งเทวดามาช่วยเขาให้ รอด บาปทุกชนิดลิดรอนเสรีภาพของการเป็นบุตรของพระเจ้า พระเยซูเจ้ามาช่วยเราให้เป็นอิสระ
บทอ่านที่ 1
ปฐก 17:3-9
ในครั้งนั้น อับรามจึงกราบลงกับพื้นดิน พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่คือพันธสัญญาที่ เราให้ไว้กับท่าน ท่านจะเป็นบิดาของชนชาติจ�านวนมาก ท่านจะไม่ชื่อว่าอับรามอีกแล้ว ท่านจะมีชอื่ ใหม่วา่ อับราฮัม เพราะเราจะท�าให้ทา่ นเป็นบิดาของชนชาติจา� นวนมาก เราจะ ท�าให้ท่านมีลูกหลานจ�านวนมากยิ่งๆ ขึ้น จะให้ท่านเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลาย พระองค์จะเกิดจากท่าน เราจะรักษาพันธสัญญาของเราไว้กบั ท่าน และกับลูกหลานของ ท่านที่จะตามมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นพันธสัญญาที่คงอยู่ตลอดไป เราจะเป็นพระเจ้าของ ท่าน และเป็นพระเจ้าของลูกหลานของท่านที่จะตามมา เราจะให้แผ่นดินที่ท่านอาศัย อยู่อย่างคนแปลกหน้า ถิ่นนี้คือแผ่นดินคานาอันทั้งหมดแก่ท่านและแก่ลูกหลานที่จะ ตามมาภายหลังท่านเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย” พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ท่านและลูกหลานของท่านที่จะตามมาทุกรุ่นจะต้อง รักษาพันธสัญญาของเราไว้”
พระวรสาร
ยน 8:51-59
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชือ่ ในพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ น ทั้งหลายว่า ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย” ชาวยิวพูดกับพระองค์ว่า “บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านถูกปีศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วเช่นเดียวกัน แต่ทา่ นพูดว่า ‘ถ้าผูใ้ ดปฏิบตั ติ ามวาจาของเรา ผูน้ นั้ จะไม่ตอ้ งลิม้ รสความตายเลย’ ท่านยิง่ ใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเรา ซึง่ ตายไปแล้ว หรือ บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นใครกัน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติตนเอง เกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไร ผู้ ที่ให้เกียรติเราคือพระบิดาของเรา ผู้ที่ท่านพูดว่า ‘เป็นบิดาของพวกเรา’ แต่ท่านไม่ รู้จักพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราจะพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’ เราก็เป็นคนพูดเท็จ เหมือนกับท่าน แต่เรารู้จกั พระองค์ และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ อับราฮัมบิดา ของท่านได้ยินดี ที่จะเห็นวันของเรา เขาได้เห็น และได้ยินดีแล้ว” ชาวยิวจึงค้านว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ” พระเยซู เจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น” คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าเสด็จเลี่ยงออกไป จากพระวิหาร เมื่อพระเจ้าท�าสัญญากับอับราฮัม พระองค์บอกว่าพระองค์จะเป็นพระเจ้า ของเขาและลูกหลาน ซึ่งประกอบด้วยชาวยิว และคริสตชนที่สืบเชื้อสายความเชื่อทางอิสอัค และมุสลิมที่สืบเชื้อสายทางเอซาว ดังนั้น คนทั้งสามกลุ่มควรตระหนักว่าเขาเป็นพี่น้องกันและ ควรรักกันเพราะมีบิดาเดียวกัน เพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องชีวิตหลังความ ตายว่า “จงเชื่อฟังค�าของเรา แล้วเจ้าจะมีชีวิตนิรันดร”
น.ปาตริก พระสังฆราช สดด 105:4-5,6,7-10 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1
ยรม 20:10-13
พระวรสาร
ยน 10:31-42
ข้าพเจ้าได้ยนิ เสียงหลายคนซุบซิบว่า “ความหวาดกลัวอยูโ่ ดยรอบมาแล้ว จงกล่าว หาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด” มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า คอยเฝ้าดูความล่มจม ของข้าพเจ้า พูดว่า “เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง แล้วเราจะเอาชนะเขาได้ และจะแก้ แค้นเขา” แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงอยูข่ า้ งข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง ดังนัน้ ผูข้ ม่ เหง ข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้องอับอายมาก เพราะไม่ประสบ น.ซีริลแห่งกรุงเยรูซาเล็ม ความส�ำเร็จ ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม พระสังฆราช ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงทดสอบผู้ชอบธรรม ทรงส�ำรวจ และนักปราชญ์ ใจและจิต ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้ทูลเสนอ แห่งพระศาสนจักร คดีของข้าพเจ้าให้ทรงทราบแล้ว จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญองค์ สดด 18:1-2กข,2ค-3, พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสน ให้พ้นมือของผู้ท�ำความชั่วร้าย 4-5,6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
เวลานั้น ชาวยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์อีก พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้แสดงกิจการที่ดีหลายอย่างจากพระบิดา แล้วท่านจะเอาก้อนหินขว้างเราเพราะ กิจการใด” ชาวยิวตอบว่า “พวกเราจะเอาหินขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะกิจการที่ดี แต่เพราะ ท่านพูดดูหมิ่นพระเจ้า ท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตนเป็นพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายว่า ‘เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระเจ้า’ พระคัมภีร์เรียกผู้รับพระวาจาของพระเจ้าว่า ‘เป็นพระเจ้า’ และพระคัมภีร์จะลบล้างไม่ได้ พระบิดาทรงบันดาลให้เราศักดิ์สิทธิ์ และทรงส่งเรามา ในโลก แล้วท�ำไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวหาว่าเราพูดดูหมิ่นพระเจ้า เมื่อเราพูดว่า ‘เรา เป็นบุตรของพระเจ้า’ ถ้าเราไม่ท�ำกิจการของพระบิดาของเรา ท่านก็อย่าเชื่อเราเลย แต่ ถ้าเราท�ำ แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราท�ำนั้นเถิด แล้ว ท่านจะรู้และเข้าใจว่า พระบิดาสถิตในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” คนทั้งหลายพยายามจะจับกุมพระองค์อีก แต่พระองค์ทรงเลี่ยงพ้นจากมือของ พวกเขาไปได้ พระองค์เสด็จข้ามแม่นำ้� จอร์แดนอีกครัง้ หนึง่ กลับไปยังสถานทีซ่ งึ่ แต่กอ่ นนัน้ ยอห์น ได้ท�ำพิธีล้าง พระองค์ทรงพ�ำนักอยู่ที่นั่น ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ พูดว่า “ยอห์นไม่ได้ ท�ำเครื่องหมายอัศจรรย์อะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงชายคนนี้ก็เป็นความจริง” และที่นั่นหลายคนเชื่อในพระองค์ แม้ประกาศกเยเรมียจ์ ะถูกข่มขูต่ ลอดชีวติ แต่ทา่ นก็เชือ่ ในพระเจ้าอย่างเด็ดเดีย่ ว พระเจ้าก็ทดสอบเรา เช่นเดียวกับช่างทองหลอมทองเพื่อได้ทองแท้ ชาวยิวจะต�ำหนิพระเยซูเจ้าว่า พระองค์เป็นเพียงมนุษย์ แต่ทำ� ตัวเป็นพระเจ้า ทัง้ นี้ เพราะเขาตัดสินพระองค์จาก ภายนอก นักดนตรีคนหนึ่งแต่งตัวมอซอ ถูกจับมัดมือขณะถือทรัมเป็ทเข้าแสดงดนตรี รปภ.คิดว่าเขาเป็นคนวิกลจริต หัวหน้าวงดนตรีหัวเสียเพราะเมื่อเล่นไปขาดเสียงทรัมเป็ท ชาวยิวก็กระท�ำเช่นนี้กับองค์พระเยซูเจ้า
บทอ่านที่ 1
2 ซมอ 7:4-5ก,12-14ก,16
ในคืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า “จงไปบอกดาวิดผูร้ บั ใช้ของเราว่า ‘องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ เมือ่ ท่านสิน้ ชีวติ ใน วัยชรา และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษแล้ว เราจะตั้งเชื้อสายคนหนึ่งของท่าน ซึ่งเป็นบุตร ของท่าน ให้เป็นกษัตริยต์ อ่ จากท่าน เราจะพิทกั ษ์รกั ษาอาณาจักรของเขาให้มนั่ คง เขาจะ เป็นผูส้ ร้างวิหารให้แก่นามของเรา เราจะดูแลให้ลกู หลานของเขาเป็นกษัตริยค์ รองราชย์ ตลอดไป เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ราชวงศ์และอาณาจักรของ ท่านจะมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราตลอดไป อ�ำนาจปกครองของท่านจะตั้งมั่นอยู่ตลอดไป’”
บทอ่านที่ 2
รม 4:13,16-18,22
พระวรสาร
ลก 2:41-51ก
พี่น้อง พระสัญญาที่ประทานให้อับราฮัมและลูกหลานที่ว่าเขาจะได้รับโลกเป็น มรดกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมบัญญัติ แต่เกิดขึ้นโดยความชอบธรรมอันเนื่องมาจาก ความเชื่อ เพราะเหตุนี้ การรับมรดกโดยอาศัยพระสัญญาจึงมาจากความเชื่อ เพื่อให้ พระสัญญาเป็นของประทานที่ให้เปล่า และประทานให้เชื้อสายทั้งหมดของอับราฮัม... แม้ดูเหมือนจะไม่มีความหวัง แต่อับราฮัมก็หวังและเชื่อว่า เขาจะเป็นบิดาของ ประชาชาติจ�ำนวนมาก...นี่คือความเชื่อซึ่งนับได้ว่าเป็นความชอบธรรมส�ำหรับเขา
สมโภชนักบุญโยเซฟ ภัสดาของพระนาง มารีย์พรหมจารี สดด 89:1-2,3-4, 26,28 วันคล้ายวันสมณภิเษก สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส
โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึน้ ไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมือ่ พระองค์ มีพระชนมายุสบิ สองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขนึ้ ไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนัน้ เมือ่ วันฉลองสิน้ สุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยูท่ กี่ รุงเยรูซาเล็มโดยทีบ่ ดิ ามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยูใ่ นหมูผ่ รู้ ว่ มเดินทาง เมือ่ เดินทางไปได้หนึง่ วันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟัง และทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนทีไ่ ด้ฟงั พระองค์ตา่ งประหลาดใจในพระปรีชาทีท่ รงแสดงในการตอบค�ำถาม เมือ่ โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ท�ำไม จึงท�ำกับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกท�ำไม พ่อ แม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสองคน พระคัมภีรพ์ ดู ถึงนักบุญโยเซฟค่อนข้างน้อย แต่ทา่ นรับผิดชอบมากทีส่ ดุ หลังจากเทวดาได้แจ้งท่านใน ความฝันท่านก็รับพระแม่มารีเป็นภรรยา ท่านไปลงทะเบียนกับพระแม่มารีที่เบธเลเฮม ที่ๆ พระเยซูเจ้าประสูติ จาก นั้นก็พาพระแม่มารีไปท�ำพิธีช�ำระตนและพาพระเยซูเจ้าไปพระวิหารเพื่อถวายแด่พระเจ้า และในอีกฉากหนึ่ง ท่านพา พระแม่มารีและพระกุมารไปอียิปต์เพื่อหนีการเข่นฆ่า และต่อมาก็ไปหาพระกุมารและพบในพระวิหาร นักบุญโยเซฟ และพระแม่มารีมีพระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต พระสันตะปาปาฟรังซิสมีความศรัทธาพิเศษต่อนักบุญโยเซฟ เมื่อพระองค์มีปัญหาก็จะสอดกระดาษค�ำภาวนา และการงานไว้ใต้รูปนักบุญโยเซฟให้ช่วยพระองค์ให้ฝันเห็นพระประสงค์ของพระเจ้า
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์
อาทิตย์มหาทรมาน แหใบล�น ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2
อสย 50:4-7
องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ท่ีพระองค์ ทรงสอน เพือ่ ข้าพเจ้าจะได้รจู้ กั พูดจาให้กา� ลังใจแก่ผเู้ หน็ดเหนือ่ ย ทุกๆ เช้า พระองค์ทรง ปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูขา้ พเจ้าให้ฟงั เหมือนศิษย์ทพี่ ระองค์ทรงสอน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลัง ให้แก่ผู้โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่ผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบ ประมาทและถ่มน�า้ ลายรด องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนัน้ ข้าพเจ้าจึงไม่ ต้องละอาย ข้าพเจ้าท�าหน้าของข้าพเจ้าให้ดา้ นเหมือนหิน ข้าพเจ้ารูว้ า่ ข้าพเจ้าจะไม่อบั อาย
เพลงสดุดี
สดด 22:7-8,18-19,22-23ก
ก) ผู้ใดเห็นข้าพเจ้าก็เยาะเย้ย เขายิ้มหยันและสั่นศีรษะ พลางพูดว่า “เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ให้พระองค์ทรงช่วยซิ ถ้าพระองค์ทรงรักเขา ก็ให้พระองค์ทรงปลดปล่อยเขา” ข) เขาน�าเสื้อผ้าของข้าพเจ้ามาแบ่งปันกัน น�าเสื้อยาวของข้าพเจ้ามาจับสลากกัน ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าทรงอยู่ห่างจากข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นพลังของข้าพเจ้า โปรดเสด็จมาช่วยข้าพเจ้าโดยเร็วเถิด
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟลิปป ฟป 2:6-11
พีน่ อ้ ง แม้วา่ พระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์กม็ ไิ ด้ทรงถือว่าศักดิศ์ รีเสมอ พระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพ ดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึง กับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรง เทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนี้ประเสริฐกว่า นามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลง นมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา
บกอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา
ลก 23:1-49
ทุกคนในที่ประชุมลุกขึ้น น�าพระองค์ไปมอบให้ปีลาต เขาเหล่านั้นตั้งข้อกล่าวหา พระองค์โดยพูดว่า “เราพบคนคนนีย้ ยุ งประชาชนของเรา ห้ามเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิ และอ้างว่าตนเป็นพระคริสต์ กษัตริย”์ ปีลาตจึงถามพระองค์วา่ “ท่านเป็นกษัตริยข์ องชาว ยิวหรือ” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านพูดเองแล้ว” ปีลาตจึงพูดกับบรรดาหัวหน้าสมณะ และประชาชนว่า “เราไม่พบความผิดข้อใดในคนคนนี”้ แต่พวกเขาย�า้ อีกว่า “เขาก่อกวน
ประชาชน เที่ยวสั่งสอนทั่วแคว้นยูเดีย โดยเริ่มตั้งแต่แคว้นกาลิลีจนถึงที่นี่” เมื่อปีลาตได้ยินดังนี้จึงถาม ว่า “คนนี้เป็นชาวกาลิลีหรือไม่” เมื่อทราบว่าพระองค์ทรงอยู่ในอ�ำนาจของกษัตริย์เฮโรด จึงส่งพระองค์ ไปให้กษัตริย์เฮโรด ซึ่งในขณะนั้นประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม เมื่อกษัตริย์เฮโรดทอดพระเนตรเห็นพระเยซูเจ้า ก็ทรงยินดีมาก เพราะทรงได้ยินเรื่องต่างๆ เกี่ยว กับพระเยซูเจ้า มีพระประสงค์จะเห็นพระองค์มานานแล้ว และทรงหวังจะได้เห็นอัศจรรย์จากพระเยซู เจ้าบ้าง... ปีลาตเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะ บรรดาผูน้ ำ� และประชาชน แล้วพูดกับเขาว่า “ท่านทัง้ หลาย น�ำชายผูน้ มี้ าหาเราในฐานะเป็นผูย้ ยุ งประชาชนให้กบฏ เราไต่สวนเขาต่อหน้าท่านทัง้ หลายแล้ว แต่ไม่พบ ว่าเขามีความผิดประการใดตามที่ท่านกล่าวหา กษัตริย์เฮโรดก็ไม่ทรงพบความผิดประการใดด้วย จึงทรง ส่งเขากลับมาให้เราอีก ท่านก็เห็นแล้วว่า เขาไม่ได้ท�ำผิดที่ควรจะมีโทษถึงตาย เพราะฉะนั้น เราจะสั่ง ให้เฆี่ยนเขา แล้วปล่อยไป” แต่ประชาชนร้องตะโกนพร้อมกันว่า “ฆ่าเขาเสีย ปล่อยบารับบัสให้เรา”... ปีลาตจึงตัดสินให้เป็นไปตามค�ำเรียกร้องของประชาชน ปล่อยคนทีถ่ กู จ�ำคุกเพราะก่อการจลาจลและ ฆ่าคน และมอบพระเยซูเจ้าให้เขาจัดการตามความพอใจ ขณะที่บรรดาทหารน�ำพระองค์ออกไป พวกเขาเกณฑ์ชายคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีนซึ่งก�ำลังกลับ จากชนบท วางไม้กางเขนบนบ่าของเขาให้แบกตามพระเยซูเจ้า... เมือ่ มาถึงสถานทีท่ เี่ รียกว่าเนินหัวกะโหลก บรรดาทหารตรึงพระองค์ทนี่ นั่ พร้อมกับผูร้ า้ ยสองคน คน หนึ่งอยู่ข้างขวาและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขา เถิด เพราะเขาไม่รู้ว่าก�ำลังท�ำอะไร” ทหารน�ำเสื้อผ้าของพระองค์ไปจับสลากแบ่งกัน... ประชาชนยืนดูอยู่ที่นั่น ส่วนบรรดาผู้น�ำเยาะเย้ยพระองค์ว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดพ้นได้ ก็ให้เขา ช่วยตนเองซิ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร” แม้แต่บรรดาทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย เขาน�ำเหล้าองุ่นเปรี้ยวเข้ามาถวาย พลางกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ก็จงช่วยตนเองให้ รอดพ้นซิ” มีค�ำเขียนไว้เหนือพระองค์ว่า “ผู้นี้คือกษัตริย์ของชาวยิว”... ขณะนั้น เป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน ทั่วแผ่นดินมืดไปจนถึงเวลาบ่ายสามโมง เพราะดวงอาทิตย์มืด ลง ม่านในพระวิหารฉีกขาดตรงกลาง พระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้ามอบจิตของ ข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ก็สิ้นพระชนม์ เมื่อนายร้อยเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า พูดว่า ‘ชายคนนี้เป็นผู้ชอบ ธรรมแน่ทีเดียว’ ประชาชนที่มาชุมนุมกันดูเหตุการณ์นี้ เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ข้อน-อก พากันกลับไป ทุกคนที่รู้จักคุ้นเคยกับพระองค์ รวมทั้งบรรดาสตรีที่ติดตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีต่างยืนอยู่ห่างๆ คอยดูเหตุการณ์นี้ พระจิตเจ้าดลใจประกาศกอิสยาห์ให้ท�ำนายว่าพระเยซูเจ้าผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์จะรับทรมาน และสิ้นพระชนม์อย่างไร พระองค์ทรงกระท�ำตามพระประสงค์ของพระบิดาโดยยอมรับการทรมานและความ ตาย เพื่อช่วยให้มนุษยชาติได้รอด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมามนุษย์จึงมีฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ มนุษย์สามารถเรียก พระเจ้าว่าพระบิดา เรียกเพื่อนร่วมโลกว่าเป็นพี่น้องกัน
วันจันทร์ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 27:1,7-8ก, 8ข-9กข,13-14 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1
อสย 42:1-7
พระวรสาร
ยน 12:1-11
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “นี่คือผู้รับใช้ของเรา ซึ่งเราเชิดชู เราเลือกเขาเพราะเรา พอใจเขา เราให้จติ ของเราแก่เขา เขาจะน�าความยุตธิ รรมไปให้แก่นานาชาติ เขาจะไม่รอ้ ง ตะโกนหรือเปล่งเสียงดัง จะไม่ทา� ให้ใครได้ยนิ เสียงของเขาตามถนน ไม้ออ้ ทีช่ า�้ แล้ว เขา จะไม่หกั และไส้ตะเกียงทีร่ บิ หรีอ่ ยู่ เขาจะไม่ดบั เขาจะประกาศความยุตธิ รรมด้วยความ สัตย์จริง เขาจะไม่หมดหวังหรือท้อใจ จนกว่าจะได้สถาปนาความยุติธรรมไว้บนแผ่นดิน ดินแดนชายทะเลจะรอคอยค�าสอนของเขา” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าผูท้ รงสร้างท้องฟ้ากว้างใหญ่ ทรงคลีแ่ ผ่นดินและทุกสิง่ ที่ เกิดจากทีน่ นั่ ประทานชีวติ แก่ประชากรบนแผ่นดิน และประทานลมหายใจแก่ผทู้ ดี่ า� เนิน อยูท่ นี่ นั่ ตรัสว่า“เราคือองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เราเรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม เราจับมือ ของท่านและรักษาท่านไว้ เราให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร และเป็นแสงสว่าง ส่องนานาชาติ เพื่อเปิดตาคนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกจองจ�าจากคุก ปลดปล่อยผู้ที่อยู่ ในความมืดจากที่คุมขัง” หกวันก่อนฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าเสด็จไปทีห่ มูบ่ า้ นเบธานี ต�าบลทีอ่ ยูข่ องลาซารัส ที่พระองค์ทรงท�าให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ผู้คนที่นั่นจัดงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่ พระองค์ มารธาคอยรับใช้ ขณะที่ลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์ด้วย มารีย์ ใช้น�้ามันหอมสมุนไพรบริสุทธิ์ราคาแพงหนักประมาณครึ่งชั่งชโลมพระบาทพระเยซูเจ้า และใช้ผมเช็ดพระบาท กลิ่นน�้ามันหอมอบอวลไปทั่วบ้าน ยูดาสอิสคาริโอท ศิษย์คน หนึ่งที่จะทรยศต่อพระองค์พูดว่า “ท�าไมไม่เอาน�้ามันหอมนี้ไปขายราคาสามร้อยเหรียญ แล้วน�าเงินไปแจกให้คนยากจน” ทีเ่ ขาพูดเช่นนีม้ ใิ ช่เพราะเขาห่วงใยคนยากจน แต่เพราะ เขาเป็นขโมย เขาเป็นผู้ถือถุงเงินและยักยอกเงินในถุงนั้น พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ช่าง เถิด ปล่อยให้นางเก็บน�้ามันหอมนี้ไว้ส�าหรับวันฝังศพของเรา คนยากจนนั้นอยู่กับท่าน ทั้งหลายเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านตลอดไป” ชาวยิวจ�านวนมากรูว้ า่ พระองค์ประทับอยูท่ นี่ นั่ จึงมา มิใช่เพียงเพือ่ เฝ้าพระเยซูเจ้า แต่เพือ่ มาดูลาซารัส ซึง่ พระองค์ได้ทรงท�าให้กลับคืนชีพจากบรรดาผูต้ าย บรรดาหัวหน้า สมณะจึงตกลงกันจะฆ่าลาซารัสด้วย เพราะลาซารัสท�าให้ชาวยิวจ�านวนมากไปเฝ้าพระ เยซูเจ้าและเชื่อในพระองค์ อิสยาห์พดู เรือ่ งผูร้ บั ใช้ของพระเจ้า คือพระเยซูเจ้าเมือ่ มาในโลก พระองค์จะท�า ตามพระประสงค์ของพระบิดา ผู้ทรงรักและสงสารคนบาป จะช่วยเขาให้ฟนขึ้นจากความเจ็บ ป่วยทั้งกายและวิญญาณ พระองค์ตรัสใน มธ. 11:29 ว่า “จงเลียนแบบจากเรา เพราะเรามี ใจสุภาพและอ่อนโยน” ยูดาสกล่าวต�าหนิมารีย ์ ทีไ่ ม่ขายน�า้ หอมนีเ้ พือ่ น�าเงินไปช่วยคนจน เขาพูดเช่นนี ้ เพราะเขา มองเห็นสิง่ ต่างๆ ไม่ใช่อย่างทีม่ นั เป็น แต่อย่างทีเ่ ขาเป็นต่างหาก ยูดาสตัดสินมารียด์ ว้ ยเบาความ
บทอ่านที่ 1
อสย 49:1-6
ดินแดนชายทะเลและเกาะทัง้ หลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนทีอ่ ยูส่ ดุ แดน ไกล จงตัง้ ใจฟังเถิด องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนทีข่ า้ พเจ้าเกิด ทรงขานชือ่ ข้าพเจ้าตัง้ แต่อยูใ่ นครรภ์มารดา พระองค์ทรงท�ำให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือนดาบคม ทรง ซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์พระองค์ ทรงท�ำให้ขา้ พเจ้าเป็นเสมือนลูกศรแหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์... แต่ขา้ พเจ้ากลับคิดว่า “ข้าพเจ้าได้ทำ� งานเหนือ่ ยเปล่า ข้าพเจ้าเสียแรงไปเปล่าๆ ไร้ ประโยชน์” ถึงกระนัน้ รางวัลของข้าพเจ้าอยูก่ บั องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอย่างแน่นอน และค่า ตอบแทนของข้าพเจ้าก็อยูก่ บั พระเจ้าของข้าพเจ้า...
พระวรสาร
ยน 13:21-33,36-38
วันอังคาร สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์
สดด 71:1-3ก,3ข-5, 6,16-18ก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกหวั่นไหวพระทัย จึงตรัสยืนยันว่า “เราบอก ความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ท่านคนหนึง่ จะทรยศเรา” บรรดาศิษย์ตา่ งมองหน้ากัน ไม่รู้ ว่าพระองค์ทรงหมายถึงใคร ศิษย์คนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักนั่งโต๊ะติดกับพระองค์ ซีโมนเปโตรจึงท�ำสัญญาณให้เขาทูลถามว่า “ผูท้ พี่ ระองค์กำ� ลังตรัสถึงนีเ้ ป็นใคร” เขาจึง เอนกายชิดพระอุระของพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “พระเจ้าข้า เป็นใครหรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เป็นผู้ที่เราจะจุ่มขนมปังส่งให้” แล้วทรงจุ่มขนมปังชิ้นหนึ่งส่งให้ยูดาสบุตรของ ซีโมนอิสคาริโอท แต่เมื่อยูดาสได้รับขนมปังชิ้นนี้แล้ว ซาตานก็เข้าสิงในตัวเขา พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านจะท�ำอะไร ก็จงท�ำโดยเร็วเถิด” ผูร้ ว่ มโต๊ะด้วยกันไม่มใี ครเข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จงึ ตรัสเช่นนี้ บางคนคิด ว่าเนือ่ งจากยูดาสเป็นผูถ้ อื ถุงเงิน พระเยซูเจ้าทรงบอกเขาว่า “จงไปซือ้ ของทีจ่ ำ� เป็นส�ำหรับวันฉลอง” หรือบอก ว่า “จงไปแจกทานแก่คนยากจน” ดังนัน้ เมือ่ ยูดาสรับชิน้ ขนมปังแล้ว ก็ออกไปทันที ขณะนัน้ เป็นเวลากลางคืน เมือ่ ยูดาสออกไปแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์ได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ และพระเจ้าทรงได้ รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ด้วย ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ พระเจ้าจะทรง ให้บตุ รแห่งมนุษย์ได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ในพระองค์ดว้ ย และจะทรงให้บตุ รแห่งมนุษย์ได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ทนั ที ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับท่านอีกไม่นาน ท่านจะแสวงหาเรา แต่เราบอกท่านบัดนี้เหมือนกับที่เราเคยบอก ชาวยิวว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ก�ำลังจะไปไหน” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ที่ที่เราไปนั้น ท่าน ยังตามไปเวลานี้ไม่ได้ แต่จะตามไปได้ในภายหลัง” เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ท�ำไมข้าพเจ้าจึงตาม พระองค์ไปเวลานี้ไม่ได้ ข้าพเจ้าจะสละชีวิตเพื่อพระองค์” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านจะสละชีวิตเพื่อเรา หรือ เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะบอกถึงสามครั้งว่าไม่รู้จักเรา” พระเจ้าตรัสกับผูร้ บั ใช้ผศู้ กั ดิส์ ทิ ธิข์ องพระองค์ ให้พระเยซูเจ้าเป็นแสงสว่างส�ำหรับประชาชาติ ค�ำถาม วันนี้คือ เมื่อประสบปัญหา เราหันมาหาพระเยซูเจ้าเพื่อรับแสงสว่างและการน�ำทางหรือไม่ พระองค์ตรัสว่า “เราเป็น แสงสว่างของโลก ใครที่ติดตามเราจะมีแสงสว่างส�ำหรับชีวิตและจะไม่เดินในความมืด” (ยน 8:12) พระเยซูเจ้าพูดเรื่องการทรยศ ยูดาสเมื่อรับปังแล้วก็ออกไป สิ่งที่แปลกคือยูดาสมีแผนขายพระเยซูเจ้า แต่ท�ำไม สาวกองค์อนื่ ไม่รู้ อย่างไรก็ดี กฎธรรมชาติของมนุษย์คอื สิง่ ทีค่ นมีในใจ สักวันหนึง่ เขาจะท�ำตาม พระเจ้าไม่มองเราอย่าง ที่คนอื่นมอง เพราะคนเห็นแต่สิ่งที่ปรากฏ แต่พระเจ้ามองทะลุจิตใจ” (1 ซมอ 19:7)
บทอ่านที่ 1
วันพุธ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 69:7-9,20-21, 30,32-33 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร
อสย 50:4-9
องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ท่ีพระองค์ ทรงสอน เพือ่ ข้าพเจ้าจะได้รจู้ กั พูดจาให้กำ� ลังใจแก่ผเู้ หน็ดเหนือ่ ย ทุกๆ เช้า พระองค์ทรง ปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูขา้ พเจ้าให้ฟงั เหมือนศิษย์ทพี่ ระองค์ทรงสอน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลัง ให้แก่ผู้โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่ผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบ ประมาทและถ่มน�้ำลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึง ไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าท�ำหน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ อับอาย พระองค์ผู้ประทานความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้าทรงอยู่ใกล้ข้าพเจ้า ใครจะสู้คดีกับ ข้าพเจ้า เราจงยืนขึน้ เผชิญหน้ากันเถิด ใครจะกล่าวหาข้าพเจ้า ก็จงเข้ามาใกล้ขา้ พเจ้าเถิด ดูซิ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษข้าพเจ้า ดูซิ เขาทุกคน จะผุพังเหมือนเสื้อผ้า แมลงกินผ้าจะกัดกินเขาเหล่านั้น
มธ 26:14-25
เวลานั้น คนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ชื่อ ยูดาสอิสคาริโอท ไปพบบรรดาหัวหน้าสมณะ ถาม ว่า “ถ้าข้าพเจ้ามอบเขาให้ท่าน ท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้า” บรรดาหัวหน้าสมณะจ่ายเงินสามสิบเหรียญให้แก่ ยูดาส ตั้งแต่นั้นมา ยูดาสก็หาโอกาสที่จะมอบพระองค์ วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระองค์มีพระประสงค์ ให้เราจัดเตรียมการเลี้ยงปัสกาที่ไหน” พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปในกรุง ไปพบชายคนหนึ่ง บอกเขาว่า ‘พระ อาจารย์บอกว่าเวลาก�ำหนดของเราใกล้เข้ามาแล้ว เราจะกินปัสกากับศิษย์ของเราทีบ่ า้ นของท่าน’” บรรดาศิษย์ ก็ท�ำตามที่พระเยซูเจ้าทรงบัญชา และจัดเตรียมปัสกา ครั้นถึงเวลาค�่ำ พระองค์ประทับร่วมโต๊ะกับศิษย์ทั้งสิบสองคน ขณะที่ทุกคนก�ำลังกินอาหารพร้อมกับ พระเยซูเจ้าอยูน่ นั้ พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า คนหนึง่ ในพวกท่านจะทรยศต่อเรา” บรรดาอัครสาวกรู้สึกสลดใจและทูลถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสตอบ ว่า “คนที่จิ้มอาหารในชามเดียวกันกับเรานี่แหละจะทรยศต่อเรา บุตรแห่งมนุษย์จะจากไปตามที่มีเขียนเกี่ยว กับพระองค์ในพระคัมภีร์ วิบัติจงเกิดแก่คนที่ทรยศต่อบุตรแห่งมนุษย์ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาก็จะดีกว่า” ยูดาสผู้ ทรยศต่อพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระอาจารย์” พระองค์ตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว” ผู้รับใช้ของพระเจ้าพูดผ่านทางประกาศกอิสยาห์ว่า “พวกเขาสบประมาทเราและถ่มน�้ำลายรดหน้า เรา” พระเยซูเจ้าตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะนบนอบพระบิดาที่ให้พระองค์มาไถ่บาปมนุษย์ และพระองค์ไม่สนใจว่ามนุษย์ จะท�ำอะไรหรืออย่างไรต่อพระองค์ เราก็ควรเลียนแบบพระองค์ในการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ โดยยึดพระประสงค์ ของพระเจ้าเป็นหลัก พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องผู้ทรยศต่อพระองค์ ยูดาสถามว่า “ใช่ข้าพเจ้าหรือไม่”ยูดาสปิดบังแผนร้ายจากบรรดาสาวก แต่ไม่อาจปิดบังพระเยซูเจ้าได้ เราจึงเรียนรู้ว่า พระเยซูเจ้ากระท�ำอย่างไรกับเราคนบาป พระองค์ไม่บังคับคนบาปให้ กลับใจ แต่เชื้อเชิญให้เปลี่ยนแปลงตนเอง
บทอ่านที่ 1
อพย 12:1-8,11-14
บทอ่านที่ 2
1 คร 11:23-26
พระวรสาร
ยน 13:1-15
องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในแผ่นดินอียปิ ต์วา่ “...วันทีส่ บิ เดือนนี้ แต่ละคนต้องเลือกลูกแกะหรือลูกแพะตัวหนึง่ ส�ำหรับครอบครัวของตน หนึง่ ตัวต่อหนึง่ ครอบครัว... แล้วให้ชมุ ชนของชาวอิสราเอลทัง้ หมดฆ่าลูกแกะนัน้ ในตอนเย็น เอาเลือด ทากรอบด้านข้างและด้านบนของประตูบา้ น... เลือดทีก่ รอบประตูจะเป็นเครือ่ งหมายว่า เป็นบ้านที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นเลือด เราจะผ่านเลยไป...”
วันพฤหัสบดี สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์
พี่น้อง ข้าพเจ้าได้รับสิ่งใดมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้มอบสิ่งนั้นต่อให้ สดด 116:12-13, ท่าน คือในคืนทีท่ รงถูกทรยศนัน้ เอง พระเยซูองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ 15-16ขค,17-18 แล้วทรงบิออก ตรัสว่า “นี่คือกายของเราเพื่อท่านทั้งหลาย จงท�ำการนี้เพื่อระลึกถึงเรา เช้า : พิธีเสกนํ้ามันศักดิ์สิทธิ์ เถิด” เช่นเดียวกัน หลังอาหารค�่ำ ก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ คํ่ำ� : ระลึกถึงพระเยซูเจ้า ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงท�ำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” ทุกครั้งที่ท่านกิน ทรงตั้งศีลมหาสนิท ปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการสิ้นพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่า พระองค์จะเสด็จมา ก่อนวันฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่จะทรงจากโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดา... ระหว่าง การเลี้ยงอาหารค�่ำ ปีศาจดลใจยูดาสอิสคาริโอทบุตรของซีโมนให้ทรยศต่อพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบว่า พระบิดาประทานทุกสิง่ ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว และทรงทราบว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้าและก�ำลัง เสด็จกลับไปหาพระเจ้า จึงทรงลุกขึ้นจากโต๊ะ ทรงถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ ทรงใช้ผ้าเช็ดตัวคาดสะเอว แล้ว ทรงเทน�้ำลงในอ่าง ทรงเริ่มล้างเท้าบรรดาศิษย์ และทรงใช้ผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้ เมื่อเสด็จมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพเจ้าหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราท�ำอยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง” เปโตรทูลว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ล้างเท้าข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าท่านไม่ให้เราล้าง ท่านจะไม่มีส่วน เกีย่ วข้องกับเรา” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า อย่าทรงล้างเฉพาะเท้าเท่านัน้ แต่ลา้ งทัง้ มือและศีรษะด้วย”... เมื่อทรงล้างเท้าของบรรดาศิษย์เสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าทรงสวมเสื้อคลุมอีกครั้งหนึ่ง เสด็จกลับไปที่โต๊ะ ตรัสว่า “ท่านเข้าใจไหมว่าเราท�ำอะไรให้ท่าน ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนัน้ จริงๆ ในเมือ่ เราซึง่ เป็นทัง้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าและอาจารย์ยงั ล้างเท้าให้ทา่ น ท่านก็ตอ้ งล้าง เท้าให้กันและกันด้วย เราวางแบบอย่างไว้ให้แล้ว ท่านจะได้ท�ำเหมือนกับที่เราท�ำกับท่าน พระเยซูเจ้าทรงล้างเท้าอัครสาวก พระองค์เทน�้ำใส่อ่าง สมัยก่อน การล้างเท้าเป็นหน้าที่ของทาสหรือ คนใช้ แต่พระเยซูเจ้าทรงท�ำทั้งๆ ที่พระองค์เป็นพระเจ้า...ส�ำหรับพระเจ้า ความรักและการรับใช้มาเป็นที่หนึ่ง จึงไม่มี งานที่มีเกียรติหรือไร้เกียรติ วันนี้ เราระลึกถึงการทีพ่ ระเยซูเจ้าตัง้ ศีลมหาสนิทและศีลบวชพระสงฆ์ ศีลมหาสนิทเป็นทัง้ เครือ่ งบูชาและอาหาร ทิพย์ฝ่ายวิญญาณที่เราคริสตชนต้องรับการหล่อเลี้ยงชีวิตสม�่ำเสมอเพื่อความสมดุลย์ของชีวิต
วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 31:1,5,11-13, 14-15,16,24 พระเยซูเจ้าทรงรับ ทรมานและสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน (ถือศีลอดอาหาร และอดเนื้อ)
พระวรสาร
บทอ่านที่ 1
อสย 52:13-53:12
บทอ่านที่ 2
ฮบ 4:14-16,5:7-9
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ผู้รับใช้ของเราจะเจริญรุ่งเรือง เขาจะได้รับการยกย่อง เทิดทูนให้สูงยิ่ง คนจ�ำนวนมากจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา หน้าตาของเขาเสียโฉมจนไม่ เหมือนหน้าตามนุษย์ รูปร่างของเขาก็ผิดไปจากรูปร่างของผู้คน ดังนั้น ชนหลายชาติ จะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา บรรดากษัตริย์จะทรงเงียบงันต่อหน้าเขา เพราะจะทรงเห็นสิ่ง ที่ไม่มีใครเคยบอก และจะทรงเข้าใจสิ่งที่ไม่ทรงเคยได้ยิน”... องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า “...เราจะมอบคนจ�ำนวนมากให้เป็นส่วนมรดก ของเขา เขาจะได้แบ่งของเชลยกับบรรดาผู้ทรงอ�ำนาจ เพราะเขายอมตาย ยอมให้ทุก คนคิดว่าเป็นผูล้ ว่ งละเมิด แต่ทจี่ ริง เขาแบกบาปของคนทัง้ ปวง และวอนขอแทนบรรดา ผู้ล่วงละเมิด” พี่น้อง ในเมื่อเรามีมหาสมณะยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งผ่านเข้าสู่สวรรค์แล้ว คือพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้า เราจงยึดมัน่ อยูใ่ นการแสดงความเชือ่ ของเราเถิด เพราะเหตุวา่ เรา ไม่มีมหาสมณะที่ร่วมทุกข์กับเราผู้อ่อนแอไม่ได้ แต่เรามีมหาสมณะผู้ทรงผ่านการผจญ ทุกอย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป...
ยน 18:1-19:42
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ข้ามห้วยขิดโรน ที่น่ันมีสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ยูดาสผู้ทรยศรู้จักสถานที่นั้นด้วย เพราะพระองค์เคยทรงพบกับ บรรดาศิษย์ทนี่ นั่ บ่อยๆ ยูดาสน�ำกองทหารและยามรักษาพระวิหารทีบ่ รรดาหัวหน้าสมณะ และชาวฟาริสจี ดั หา ให้มาที่นั่น ถือตะเกียง ไต้ และอาวุธมาด้วย พระเยซูเจ้าทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์... บรรดาทหารน�ำพระเยซูเจ้าไปประหารชีวติ พระองค์ทรงแบกไม้กางเขน เสด็จออกไปยังสถานทีท่ เี่ รียกว่า “เนินหัวกะโหลก” ภาษาฮีบรูวา่ “กลโกธา” เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขนทีน่ นั่ พร้อมกับนักโทษอีกสองคน อยู่ คนละข้าง... วันนั้นเป็นวันเตรียมฉลอง ชาวยิวไม่ต้องการให้ศพค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันสับบาโต เพราะวัน สับบาโตวันนั้นเป็นวันฉลองยิ่งใหญ่ เขาจึงขออนุญาตปีลาตให้ทุบขาผู้ที่ถูกตรึงและน�ำศพไป บรรดาทหารทุบ ขาคนทั้งสองคนซึ่งถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ เมื่อทหารมาถึงพระเยซูเจ้าและเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงมิได้ทุบขาของพระองค์ แต่ทหารคนหนึ่งใช้หอกแทงด้านข้างพระวรกาย โลหิตและนํ้าก็ไหลออกมาทันที ผู้ ที่ได้เห็นก็เป็นพยาน ค�ำพยานของเขาน่าเชื่อถือ เขารู้ว่าตนพูดความจริง... พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์ พระองค์ตรัสว่า “ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว” ตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา เรามนุษย์ได้ รับการไถ่บาปอย่างสมบูรณ์จากพระเจ้า กางเขนของพระเยซูเจ้าเป็นความรอดของมนุษยชาติ ที่มาเก๊า มีวัดร้างวัดหนึ่งที่หันหน้าไปทางทะเล บนวัดมีกางเขนทองแดง ที่คนมองเห็นได้จากหลายกิโลเมตร ใน ประวัติศาสตร์ มีเรืออับปางบ่อย และหลายคนมองเห็นกางเขนและว่ายเข้าฝั่งได้ปลอดภัย กางเขนของพระเยซูเจ้า เป็นเครื่องหมายความรักแท้ของพระต่อมนุษย์ เป็นการเชิญเราให้ตรึงตนเองบนกางเขนเหมือนพระองค์ และเป็นค�ำ สัญญาว่าจะได้กลับคืนชีพ
บทอ่านที่ 1
รม 6:3-11
พี่น้อง ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รับศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ดังนั้น เราถูกฝังไว้ใน ความตายพร้อมกับพระองค์อาศัยศีลล้างบาป เพือ่ ว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนม ชีพจากบรรดาผูต้ ายเดชะพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะด�ำเนินชีวติ แบบใหม่ ด้วยฉันนัน้ ถ้าเรารวมเป็นหนึง่ เดียวกับพระองค์ในการสิน้ พระชนม์ เราก็จะรวมเป็นหนึง่ เดียวกับพระองค์ในการกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นเดียวกัน... แต่เราเชื่อว่า ถ้าเราตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว เราก็จะมีชีวิตพร้อมกับ พระองค์ด้วย เรารู้ว่าพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้วจะ ไม่สนิ้ พระชนม์อกี ความตายไม่มอี ำ� นาจเหนือพระองค์อกี ต่อไป เพราะเมือ่ สิน้ พระชนม์ พระองค์ก็ทรงตายครั้งเดียวจากบาปตลอดไป เมื่อมีพระชนมชีพก็มีพระชนมชีพเพื่อ พระเจ้า ดังนี้ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันต้องถือว่า ท่านตายจากบาปแล้ว แต่มีชีวิตอยู่ เพื่อพระเจ้าในพระคริสตเยซู
พระวรสาร
วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 118:1-2,16-17, 22-23 คืนตื่นเฝ้าปัสกา (เสกไฟ แห่เทียนปัสกา เสกนํ้า)
ลก 24:1-12
ตั้งแต่เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ บรรดาสตรีน�ำเครื่องหอมที่เตรียมไว้มาที่พระคูหา เขาพบว่าก้อนหินถูกกลิ้ง ออกไปจากพระคูหาแล้ว เมื่อเข้าไปในพระคูหาก็ไม่พบพระศพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ขณะที่บรรดา สตรีประหลาดใจกับเหตุการณ์นี้ บุรุษสองคนสวมเสื้อที่เป็นประกายรุ่งโรจน์ยืนอยู่ใกล้ๆ สตรีเหล่านั้นตกใจ กลัวและก้มหน้าลงมองพื้นดิน แต่บุรุษทั้งสองคนพูดว่า “ท�ำไมท่านมองหาผู้เป็นในหมู่ผู้ตายเล่า พระองค์ มิได้ประทับอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว จงระลึกถึงพระวาจาที่พระองค์ตรัสกับท่านขณะที่ ยังประทับอยู่ในแคว้นกาลิลีว่า บุตรแห่งมนุษย์จ�ำต้องถูกมอบในมือของคนบาป จะต้องถูกตรึงกางเขนและ จะกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม” บรรดาสตรีจึงระลึกถึงพระวาจาของพระองค์ได้ เมื่อกลับจากพระคูหาแล้ว บรรดาสตรีเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้อัครสาวกสิบเอ็ดคนและศิษย์ทุกคน สตรี เหล่านี้คือมารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา และมารีย์มารดาของยากอบ สตรีอื่นๆ ที่ไปพร้อมกันก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้ อัครสาวกฟังด้วย แต่เขาคิดว่าถ้อยค�ำเหล่านี้เป็นเรื่องเหลวไหลและไม่เชื่อ เปโตรวิง่ ไปทีพ่ ระคูหา ก้มลงดู เห็นแต่ผา้ ห่อพระศพเท่านัน้ จึงกลับมาบ้านและประหลาดใจในเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น วันนี้เป็นวันที่คริสตชนรู้สึกเศร้าใจและมีความยินดี ที่เศร้าใจเพราะพระเยซูเจ้าถูกทรมานสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ ทีย่ นิ ดีคอื รอการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าอย่างรุง่ เรือง เราพากันตืน่ เฝ้าและฟังพระวาจาของพระเจ้าทีเ่ ล่าถึง การสร้างมนุษย์ มนุษย์ท�ำบาป การรอคอยพระผู้ไถ่ การที่พระเจ้าริเริ่มเลือกชนชาติหนึ่งเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า แต่ต้องผ่านการทดสอบหลายประการ ออกจากอียิปต์ ระเหระหนอยู่ในทะเลทราย 40 ปีได้เพราะพระเจ้าช่วย และใน ที่สุดเข้าสู่ดินแดนพระสัญญา และในที่สุดพระผู้ไถ่มาบังเกิด เทศน์สอนมนุษย์ให้รู้จักแผนการของพระเจ้า ถูกจับกุม และถูกตรึงบนกางเขน แต่การตายของพระองค์ไม่ใช่จุดจบของทุกอย่าง พระองค์ได้กลับคืนชีพอย่างรุ่งเรือง เราจึง ร้องอัลเลลูยาด้วยความยินดี
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก
กจ 10:34ก,37-43
เวลานัน้ เปโตรเริม่ พูดว่า “ท่านทัง้ หลายรูเ้ หตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ ทัว่ แคว้นยูเดีย เริม่ ต้น ที่แคว้นกาลิลี หลังจากที่ยอห์นได้เทศน์สอนและท�าพิธีล้าง พระเจ้าทรงเจิมพระเยซูเจ้า ชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปทีใ่ ด ทรงกระท�า ความดีและทรงรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อ�านาจของปีศาจ เพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์ เราทั้งหลายเป็นพยานยืนยันถึงกิจการทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระท�าในเขตแดนของชาว สมโภชปัสกา ยิวและที่กรุงเยรูซาเล็ม เขาประหารชีวิตพระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงกลับคืน ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม และโปรดให้พระองค์แสดง พระชนมชีพ พระองค์ มิใช่แก่ประชาชนทั้งปวง แต่ทรงแสดงพระองค์แก่บรรดาพยานที่พระเจ้าทรง เลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้ว คือเราทั้งหลายที่ได้กินและได้ดื่มร่วมกับพระองค์ หลังจาก ที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระเยซูเจ้าทรงบัญชาให้เราประกาศสอน ประชาชน และเป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระองค์ให้เป็นผู้พิพากษามนุษย์ ทุกคน ทั้งผู้เป็นและผู้ตาย บรรดาประกาศกทั้งปวงเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ว่า ‘ทุก คนที่มีความเชื่อในพระองค์จะได้รับการอภัยบาปเดชะพระนามพระองค์’”
เพลงสดุดี
สดด 118:1-2,16-17,22-23
ก) จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์พระทัยดี ความรักมั่นคงของพระองค์ด�ารงอยู่เป็นนิตย์ เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ด�ารงอยู่เป็นนิตย์” ข) พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชูขึ้น พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีชัยชนะ” ข้าพเจ้าจะไม่ตาย ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และจะประกาศพระราชกิจยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ค) ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างทิ้งไป กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระท�าการนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ตาของเรา
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโคโลสี คส 3:1-4
พีน่ อ้ ง ถ้าท่านทัง้ หลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่หาแต่สงิ่ ทีอ่ ยู่ เบือ้ งบนเถิด ณ ทีน่ นั้ พระคริสตเจ้าประทับเบือ้ งขวาของพระเจ้า จงคิดถึงแต่สงิ่ ทีอ่ ยูเ่ บือ้ ง บน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้ เพราะท่านทั้งหลายตายไปแล้วและชีวิตของท่าน ก็ซ่อนอยู่กับพระคริสตเจ้าในพระเจ้า เมื่อพระคริสตเจ้าองค์ชีวิตของท่านจะทรงส�าแดง พระองค์ เมื่อนั้นท่านจะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์ด้วย
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:1-9
เช้ า ตรู ่ วั น ต้ น สั ป ดาห์ ขณะที่ยัง มืด มารีย ์ช าว มักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไป จากพระคูหาแล้ว นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์ อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักบอกว่า “เขาน�าองค์ พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขาน�า พระองค์ไปไว้ที่ไหน” เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา ทั้งสองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพ วางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน ซีโมนเปโตรซึ่งตาม ไปติดๆ ก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวางอยูท่ พี่ นื้ รวมทัง้ ผ้าพันพระเศียรซึง่ ไม่ได้วางอยู่ กับผ้าพันพระศพ แต่พบั แยกวางไว้อกี ทีห่ นึง่ ศิษย์คนทีม่ าถึงพระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นและ มีความเชือ่ เขาทัง้ สองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีรท์ วี่ า่ พระองค์ตอ้ งทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย สารของปัสกาคือพระเยซูเจ้าได้กลับคืนชีพแล้ว ยังด�ารงชีวิตอยู่และก�าลังท�างานในชีวิตของเรา พระองค์ได้ชนะทุกสิ่ง และเราเองก็สามารถชนะได้ ถ้าเรามีความเชื่อในพระองค์ ข่าวดีของวันปัสกาคือถ้าไม่มวี นั ศุกร์ศกั ดิส์ ทิ ธิก์ ไ็ ม่มวี นั อาทิตย์ปสั กา ไม่มกี ารตรึงกางเขนก็ไม่มกี ารกลับคืนชีพ เราจึงเข้าใจว่า ไม่มอี งค์พระเยซูเจ้าทีป่ ราศจากไม้กางเขน และไม่มกี างเขนใดทีป่ ราศจากองค์พระเยซูเจ้า ถ้าเลือก พระองค์ก็ต้องยอมรับกางเขนด้วย
อัฐมวารปัสกา สดด 16:1-2,7-8, 9-10,11
บทอ่านที่ 1
กจ 2:14,22-32
พระวรสาร
มธ 28:8-15
เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนและพูดกับประชาชนด้วยเสียง ดังว่า “ท่านทั้งหลาย ชาวยูเดีย และท่านที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงตั้งใจฟังวาจา ของข้าพเจ้าเถิด แล้วท่านจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชาวอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังวาจาเหล่านี้เถิด พระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นบุรุษที่ พระเจ้าทรงส่งมาหาท่าน พระเจ้าทรงรับรองพระองค์โดยประทานอ�ำนาจท�ำอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์และเครื่องหมายต่างๆ เดชะพระเยซูเจ้า พระเจ้าทรงกระท�ำการเหล่านี้ในหมู่ ท่านทั้งหลายดังที่ท่านรู้อยู่แล้ว...ดังที่กษัตริย์ดาวิดตรัสถึงพระองค์ว่า ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าเสมอ พระองค์ประทับอยู่เบื้อง ขวา ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ดังนั้น จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี ปากของข้าพเจ้ากล่าว ถ้อยค�ำแสดงความเกษมเปรมปรีดิ์ ร่างกายที่ตายได้ของข้าพเจ้าพ�ำนักอยู่ในความหวัง เพราะพระองค์จะไม่ทรงละทิ้งข้าพเจ้าไว้ในแดนผู้ตาย และจะไม่ทรงปล่อยผู้ศักดิ์สิทธิ์ ของพระองค์ให้เน่าเปื่อย พระองค์ทรงสอนข้าพเจ้าให้รู้จักทางแห่งชีวิต พระองค์จะทรง ท�ำให้ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความยินดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์’ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านตรงๆ ว่า กษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษของเรา สิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ ที่ฝังพระศพของพระองค์ยังคงอยู่ในหมู่เราจนถึงทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงเป็นประกาศกด้วย ทรงทราบว่าพระเจ้าทรงปฏิญาณและทรงสัญญาว่า จะทรงให้เชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งของพระองค์ประทับบนพระบัลลังก์สืบต่อมา...พระเยซูเจ้า พระองค์นี้ พระเจ้าทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนมชีพ เราทุกคนเป็นพยานได้”
เวลานัน้ สตรีทงั้ สองคนมีทง้ั ความกลัวและความยินดีอย่างยิง่ รีบออกจากพระคูหา วิ่งไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ ทันใดนัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทงั้ สองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทัง้ สองคน จึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไป แจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น” เมื่อสตรีทั้งสองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่บรรดา หัวหน้าสมณะ บุคคลเหล่านี้จึงประชุมปรึกษากันกับบรรดาผู้อาวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ทหาร สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เราก�ำลังหลับอยู่’ ถ้าเรื่อง มาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาท�ำให้ท่านพ้นโทษ” ทหารได้รับเงินและท�ำตามค�ำแนะน�ำ เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้ นักบุญเปโตรกล่าวแก่ฝูงชนว่า มีการกล่าวท�ำนายถึงการกลับเป็นขึ้นมาของพระเยซูเจ้าล่วงหน้าแล้ว ในพระคัมภีร์เดิม พระเมสสิยาห์ทจี่ ะถูกตรึงกางเขนและกลับคืนชีพเป็นสิง่ ทีช่ าวยิวรอคอยน้อยทีส่ ดุ และเขาก็ปดิ ตาปิดใจจนถึงทุกวัน นี้ แต่ข้อเท็จจริงคือ พระคัมภีร์ทั้งหมดพูดถึงเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าและการกลับเป็นขึ้นมาของพระองค์ ซึ่งเป็นรางวัลและความหวังยิ่งใหญ่ส�ำหรับเราทุกคน
บทอ่านที่ 1 ดังว่า
กจ 2:36-41
เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียง
“ดังนั้น ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซู ผู้นี้ที่ท่านทั้งหลายน�ำไปตรึงบนไม้กางเขนให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า” ถ้อยค�ำเหล่านีเ้ สียดแทงใจของทุกคน เขาเหล่านัน้ จึงถามเปโตรและอัครสาวกอืน่ ๆ ว่า “พีน่ อ้ ง พวกเราจะต้องท�ำอย่างไร” เปโตรตอบว่า “ท่านทัง้ หลายจงกลับใจเถิด แต่ละ คนจงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้า เพือ่ จะได้รบั การอภัยบาป แล้วท่าน จะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า พระสัญญานี้มไี ว้สำ� หรับท่านทั้งหลาย ส�ำหรับบุตรหลาน ของท่านและส�ำหรับทุกคนที่อยู่ห่างไกล ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราจะทรง เรียก” เปโตรกล่าวถ้อยค�ำอีกมาก อ้อนวอนและตักเตือนเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงช่วย ตนให้รอดพ้นจากคนชัว่ ร้ายในยุคนีเ้ ถิด” คนเหล่านัน้ รับถ้อยค�ำของเปโตรและได้รบั ศีล ล้างบาป วันนั้นผู้มีความเชื่อมีจ�ำนวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน
พระวรสาร
อัฐมวารปัสกา สดด 33:4-5,18-19, 20-22
ยน 20:11-18
เวลานั้น มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็นทูต สวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึง่ นัง่ อยูท่ างเบือ้ งพระบาท ทูตสวรรค์ทงั้ สององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ� ไม” นางตอบว่า “เขา น�ำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขาน�ำพระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับ มา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ ท�ำไม ก�ำลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านน�ำพระองค์ไป ช่วย บอกดิฉันว่าท่านน�ำพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปน�ำพระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไป ทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่ จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เราก�ำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไป เฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉัน ได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง
นักบุญเปโตรกล่าวแก่ฝูงชนว่า “จงปรับปรุงตนเองและรับศีลล้างบาปเถิด” ในอินเดีย ครั้งหนึ่งเมื่อมีการฉายสไลด์เรื่องพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนให้ชุมชนดู มีชายคนหนึ่งร้องขึ้นว่า “ข้าแต่ พระเยซูเจ้า ขอพระองค์ลงจากกางเขนเถิด ลูกควรจะถูกตรึงบนกางเขน ไม่ใช่พระองค์” แสดงว่า คนๆ นี้ถูกแทงใจ ด�ำแล้ว และเราล่ะ พระเยซูเจ้าประจักษ์แก่มารีย์ชาวมักดาลา พระองค์ยังประจักษ์แก่บรรดาสาวกหลายครั้งเพื่อให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่ พระองค์ตรัสก่อนนี้เป็นจริง คือพระองค์ต้องกลับเป็นขึ้นมาอย่างรุ่งเรือง
กจ 3:1-10
บทอ่านที่ 1
อัฐมวารปัสกา สดด 105:1-3,4-6, 7-10
พระวรสาร
วันหนึ่ง เวลาบ่ายสามโมง เปโตรและยอห์นก�ำลังขึ้นไปที่พระวิหารเพื่ออธิษฐาน ภาวนา ที่ประตูพระวิหารซึ่งเรียกกันว่า “ประตูงาม” มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยแต่ก�ำเนิด มี ผูห้ ามคนง่อยผูน้ มี้ าไว้ทนี่ นั่ ทุกวันเพือ่ ขอทานจากคนทีเ่ ข้าไปในพระวิหาร เมือ่ เห็นเปโตร และยอห์นก�ำลังเดินเข้าพระวิหาร คนง่อยจึงขอทานจากเขาทัง้ สองคน เปโตรและยอห์น จ้องมองเขา กล่าวว่า “จงมองเรา” คนง่อยก็จ้องดูเขาทั้งสองคน หวังว่าจะได้อะไรบ้าง เปโตรกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่มีเงินไม่มีทอง แต่ข้าพเจ้ามีอะไรจะให้ท่าน เดชะพระนาม พระเยซูคริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ จงเดินไปเถิด” แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาช่วยพยุงให้ ลุกขึ้น ทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขากลับมีก�ำลัง เขากระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดิน แล้ว จึงเข้าไปในพระวิหารพร้อมกับเปโตรและยอห์น...
ลก 24:13-35
วันนั้น ศิษย์สองคนก�ำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณสิบเอ็ด กิโลเมตร ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ขณะที่ก�ำลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจ�ำพระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านเดินสนทนากันเรื่องอะไร” ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง ศิษย์ที่ชื่อเคลโอปัสถามว่า “ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่แวะมาในกรุงเยรูซาเล็มหรือ ซึ่งไม่รู้เรื่องราวที่เกิด ขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้” พระองค์ตรัสถามว่า “เรื่องอะไรกัน” เขาตอบว่า “ก็เรื่องพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ ประกาศกทรงอ�ำนาจในกิจการและค�ำพูดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าประชาชนทัง้ ปวง บรรดาหัวหน้า สมณะและผู้น�ำของเรามอบพระองค์ให้ต้องโทษประหารชีวิต และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน เราเคยหวังไว้ ว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่นี่เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น สตรีบาง คนในกลุ่มของเราท�ำให้เราประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาไปที่พระคูหาตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อไม่พบพระศพ เขากลับมา เล่าว่าได้เห็นนิมติ ของทูตสวรรค์ซงึ่ พูดว่า พระองค์ยงั ทรงพระชนม์อยู่ บางคนในกลุม่ ของเราไปทีพ่ ระคูหา และ พบทุกอย่างดังที่บรรดาสตรีเล่าให้ฟัง แต่ไม่เห็นพระองค์”... เมือ่ พระองค์ทรงพระด�ำเนินพร้อมกับศิษย์ทงั้ สองคนใกล้จะถึงหมูบ่ า้ นทีเ่ ขาตัง้ ใจจะไป พระองค์ทรงท�ำท่า ว่าจะทรงพระด�ำเนินเลยไป แต่เขาทัง้ สองคนรบเร้าพระองค์วา่ “จงพักอยูก่ บั พวกเราเถิด เพราะใกล้คาํ่ และวัน ก็ล่วงไปมากแล้ว” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักกับเขา ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรง ถวายพระพร ทรงบิขนมปังและทรงยื่นให้เขา เขาก็ตาสว่างและจ�ำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตา ของเขา ศิษย์ทั้งสองคนจึงพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับเรา ขณะเดินทาง และทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง”... เขาทั้งสองคนจึงรีบออกเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม...
น.เปโตรและยอห์นรักษาคนๆ หนึ่ง “ในพระนามของพระเยซูเจ้า จงเดินไปเถิด” พระนามอันทรงฤทธิ์ ของพระเยซูเจ้าช่วยเราทุกคนได้ ถ้าเราติดต่อกับพระองค์และเอ่ยพระนามบ่อยๆ ในแต่ละวันเราออกพระนามพระเยซู เจ้าบ่อยไหม พระเยซูเจ้าประจักษ์พระองค์แก่สานุศิษย์ 2 คน ที่เดินทางไปเอมมาอูส ตัวอย่างนี้ให้ก�ำลังใจเราทุกคนที่ได้รับ ศีลล้างบาปแล้ว และก�ำลังเดินทางผ่านโลกนี้ไปยังบ้านเกิดเมืองนอน พระองค์เป็นเพื่อนทางของเราเสมอทั้งในยาม สงสัยและยามไร้กังวล
บทอ่านที่ 1
กจ 3:11-26
พระวรสาร
ลก 24:35-48
ขณะทีค่ นซึง่ เคยเป็นง่อยคนนัน้ หน่วงเหนีย่ วเปโตรและยอห์นไว้ ประชาชนทุกคน ประหลาดใจอย่างยิ่ง ต่างวิ่งไปหาเขาทั้งสองคนที่เฉลียงซึ่งเรียกว่า “เฉลียงซาโลมอน” เมือ่ เปโตรเห็นดังนัน้ จึงกล่าวปราศรัยกับประชาชนว่า “ชาวอิสราเอลทัง้ หลาย ท�ำไม ท่านจึงประหลาดใจในเรื่องนี้ ท�ำไมท่านจึงจ้องมองเราเหมือนกับว่าเราท�ำให้ชายผู้นี้เดิน ได้ด้วยอ�ำนาจหรือความเลื่อมใสของเราต่อพระเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และ ยาโคบ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงส�ำแดงอ�ำนาจรุ่งเรืองของพระเยซูเจ้าผู้รับ อัฐมวารปัสกา ใช้ของพระองค์ ท่านทัง้ หลายได้มอบพระเยซูเจ้านีใ้ ห้แก่บรรดาผูป้ กครองและได้ปฏิเสธ สดด 8:1,4-8 พระองค์ต่อหน้าปีลาต ทั้งๆ ที่ปีลาตตัดสินใจจะปล่อยพระองค์อยู่แล้ว ท่านปฏิเสธ พระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์และชอบธรรม แต่กลับขอให้ปล่อยฆาตกร ท่านประหารเจ้าชีวิต แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เราเป็น พยานได้ในเรื่องนี้... ท่านทัง้ หลายเป็นบุตรหลานของบรรดาประกาศก และของพันธสัญญาทีพ่ ระเจ้าทรงกระท�ำไว้กบั บรรพบุรษุ ของท่าน เมือ่ ตรัสแก่อบั ราฮัมว่า “ประชาชาติทงั้ หลายบนแผ่นดินจะได้รบั พระพรโดยทางเชือ้ สายของท่าน” ดัง นัน้ พระเจ้าทรงบันดาลให้ผรู้ บั ใช้ของพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพ และทรงส่งมาหาท่านก่อนผูอ้ นื่ เพือ่ น�ำ พระพรมาให้ท่านแต่ละคนกลับใจละทิ้งวิถีทางชั่วร้ายของตน” เวลานั้น ศิษย์ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางและเล่าว่าตนจ�ำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง ขณะ ที่บรรดาศิษย์ก�ำลังสนทนากันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ในหมู่เขา ตรัสว่า “สันติสุขจงด�ำรงอยู่กับท่านทั้ง หลายเถิด” เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี แต่พระองค์ตรัสว่า “ท่านวุ่นวายใจท�ำไม เพราะเหตุใดท่านจึงมี ความสงสัยในใจ จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริงๆ จงคล�ำตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูกอย่างที่ ท่านเห็นว่าเรามี” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และพระบาท เขายินดีและแปลกใจจนไม่อยาก เชื่อ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านมีอะไรกินบ้าง” เขาถวายปลาย่างชิ้นหนึ่งแด่พระองค์ พระองค์ทรงรับมา เสวยต่อหน้าเขา หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่คือความหมายของถ้อยค�ำที่เรากล่าวไว้ขณะที่ยังอยู่กับท่าน ทุก สิง่ ทีเ่ ขียนไว้เกีย่ วกับเราในธรรมบัญญัตขิ องโมเสส บรรดาประกาศกและเพลงสดุดจี ะต้องเป็นความจริง” แล้ว พระองค์ทรงท�ำให้เขาเกิดปัญญาเข้าใจพระคัมภีร์ ตรัสว่า “มีเขียนไว้ดงั นีว้ า่ พระคริสตเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมาน และจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายในวันทีส่ าม จะต้องประกาศในพระนามพระองค์ให้นานาชาติกลับ ใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้” นักบุญเปโตรกล่าวแก่ฝงู ชนว่า “เป็นความเชือ่ ในพระเยซูเจ้าทีร่ กั ษาชายคนนีใ้ ห้หาย” อัศจรรย์แห่งการ รักษาที่เกิดขึ้นบ่อยในสมัยพระเยซูเจ้าก็เพราะผู้คนมีความเชื่อในพระองค์ ต่อมาความเชื่อในพระเยซูเจ้าก็ยังรักษาเรา คนบาปทุกยุคทุกสมัย พระเยซูเจ้าสอนบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า “ท่านต้องเป็นพยานยืนยันถึงเรา” คนยุคนี้ไม่ต้องการทฤษฎี แต่ ต้องการการปฏิบัติ เขาต้องการเห็นการเป็นพยานมากกว่าค�ำพูด ส�ำหรับเราคริสตชน การเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้า ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางเดียวที่จะท�ำให้คนได้เห็นพระเยซูเจ้าในตัวเราที่เป็นศิษย์ของพระองค์