03 march 2017

Page 1


วันพุธรับเถ้า

สดด 51:1-2,3-5, 11-12,14-15

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เริ่มเทศกาลมหาพรต ถือศีลอดอาหาร และอดเนื้อ

บทอ่านที่ 1 ยอล 2:12-18 บัดนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับมาหาเราด้วยสุดจิต สุดใจเถิด จงจำ�ศีลอดอาหาร รํ่าไห้ และไว้ทุกข์ครํ่าครวญ จงฉีกใจของท่าน มิใช่ ฉีกเสื้อผ้า จงกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เพราะพระองค์ทรง เมตตาและกรุณา ไม่ทรงโกรธง่าย ทรงเปี่ยมด้วยความรักมั่นคง ทรงสงสารและ ไม่ทรงลงโทษ... บทอ่านที่ 2 2 คร 5:20-6:2 พีน่ อ้ ง เราจึงเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้า ประหนึง่ ว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้เชิญ ชวนท่านทั้งหลาย เราจึงขอร้องแทนพระคริสตเจ้าว่า จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด เพราะเห็นแก่เราพระเจ้าจึงทรงทำ�ให้พระองค์ผู้ไม่รู้จักบาปเป็นผู้รับบาป เพื่อว่า ในพระองค์เราจะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า...

พระวรสาร มธ 6:1-6,16-18 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับ บำ�เหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่าน เหมือนทีบ่ รรดาคนหน้าซือ่ ใจคดมักทำ�ในศาลาธรรมและตามถนนเพือ่ จะได้รบั คำ�สรรเสริญจากมนุษย์ ... เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำ�ลังทำ�สิ่งใด เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่ เปิดเผย แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนา ในศาลาธรรม และตามมุมลานเพือ่ ให้ใครๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ทา่ นว่า เขาได้รบั บำ�เหน็จของเขา แล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ สถิตทั่วทุกแห่ง แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน เมือ่ ท่านทัง้ หลายจำ�ศีลอดอาหาร จงอย่าทำ�หน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซือ่ ใจคด เขาทำ� หน้าหมองคลํ้า เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำ�ลังจำ�ศีลอดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับ บำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อจำ�ศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้นํ้ามันหอมใส่ศีรษะ เพื่อไม่แสดงให้ ผู้คนรู้ว่าท่านกำ�ลังจำ�ศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่านผู้สถิตทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดา ของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน” กิจการดีท่ีทำ�...ไม่สำ�คัญว่าจะใหญ่หรือเล็ก แต่สำ�คัญที่... “ท่าที”... กิจเมตตา การจำ�ศีล ภาวนา ล้วนแล้วแต่เป็นกิจการทีด่ ี พระเยซูเจ้าเตือนศิษย์ของพระองค์วา่ อย่าทำ�ไปเพียงเพือ่ “อวดกัน”.. ดัง นั้น เมื่อจะให้ทาน ก็อย่าหวังเพียงคำ�สรรเสริญ เมื่อจำ�ศีลอดอาหาร ก็อย่าทำ�หน้าเศร้า เมื่อภาวนา ก็อย่า ทำ�เพียงแค่ต้องการให้คนเห็น ท่าทีของการกลับใจที่ดี ต้องมีจุดเริ่มที่ “ภายใน”...ฉีกที่ใจ..มิใช่เสื้อผ้าที่สวมใส่ เพราะแท้จริงแล้ว พระเจ้านั้นทรงเปี่ยมด้วยความรัก เป็นผู้มีใจเมตตากรุณาสงสาร ไม่โกรธง่าย พระองค์ จะทรงมองดูที่ใจเช่นกัน วิธีการเพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรม สำ�หรับพระเจ้า คือ “ท่าที” ของการ “คืนดี”... โดยไม่ปล่อยให้มีสิ่งใดติด ค้างทั้งระหว่างพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์


บทอ่านที่ 1 ฉธบ 30:15-20 โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “จงฟังเถิด ในวันนี้ ข้าพเจ้ากำ�ลังเสนอให้ท่าน เลือกชีวิตหรือความตาย เลือกความดีหรือความชั่ว ข้าพเจ้าจึงสั่งท่านในวันนี้ ให้ รักองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน และเดินตามวิถที างของพระองค์ ปฏิบตั ติ าม บทบัญญัติ ข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์ของพระองค์ แล้วท่านจะมีชวี ติ และทวีจ�ำ นวน ขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านจะทรงอวยพรท่านในแผ่นดินที่ท่านกำ�ลัง จะเข้าไปครอบครอง แต่ถ้าท่านเปลี่ยนใจไปจากพระองค์ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ แต่ยอมกราบไหว้รบั ใช้เทพเจ้าอืน่ ข้าพเจ้าขอบอกท่านในวันนีว้ า่ ท่านจะต้องพินาศ อย่างแน่นอน ท่านจะไม่มีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่ท่านกำ�ลังข้ามแม่นํ้าจอร์แดน เข้าไปครอบครอง ในวันนี้ ข้าพเจ้าขอเรียกฟ้าดินมาเป็นพยานต่อหน้าท่าน ข้าพเจ้า เสนอให้ทา่ นเลือกชีวติ หรือความตาย เลือกคำ�อวยพรหรือคำ�สาปแช่ง ท่านจงเลือก ชีวิตเถิด เพื่อท่านและบุตรหลานของท่านจะมีชีวิต รักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ของท่าน เชือ่ ฟังพระสุรเสียงของพระองค์และซือ่ สัตย์ตอ่ พระองค์ เพราะพระองค์ เพียงพระองค์เดียวประทานชีวิตแก่ท่าน ทรงบันดาลให้ท่านอาศัยอยู่นานใน แผ่นดินทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสาบานไว้วา่ จะประทานแก่บรรพบุรษุ ของท่าน คือ อับราฮัม อิสอัคและยาโคบ พระวรสาร ลก 9:22-25 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหา สมณะและธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวติ แต่จะกลับคืนชีพ ในวันที่สาม” หลังจากนัน้ พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผูใ้ ดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึง ตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะ ต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้ มนุษย์จะได้ ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำ�ไร แต่ต้องเสียชีวิตและพินาศไป” เมือ่ ตัดสินใจ... “เลือก”...ไปแล้ว จงพร้อมทีจ่ ะรับผิดชอบ พระเยซูเจ้า ตรัสถึงบุตรแห่งมนุษย์ว่า เขาเลือกหนทางแห่งความทรมาน ถูกปฎิเสธ และที่สุดถูก ตัดสินประหารชีวิต นั่นก็เพราะว่า เขาให้คุณค่า และความสำ�คัญของชีวิตหลังความ ตาย แล้วทรงเสนอเงื่อนไขของศิษย์ที่คิดจะเดินตาม พวกเขาต้อง...เลิกคิดถึงตนเอง.. พร้อมกับแบกกางเขนของตน...โมเสสในฐานะผูน้ �ำ เสนอให้ประชากรของพระเจ้าเลือก ชีวิตที่เชื่อฟัง และซื่อสัตย์ต่อเสียงของพระเจ้า ด้วยการรักพระเจ้า ปฏิบัติตาม บทบัญญัติ เดินตามวิถที างของพระองค์ เพราะถ้าเลือกเช่นนี.้ ..พวกเขาจะได้รบั พระพร กลับมีชีวิตทวีเพิ่มมากขึ้น

หลังวันพุธรับเถ้า สดด 1:1-6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


หลังวันพุธรับเถ้า สดด 51:1-2,3-5, 16-17

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 วันศุกร์ต้นเดือน

บทอ่านที่ 1 อสย 58:1-9ก พระเจ้าตรัสว่า “จงร้องตะโกนให้เต็มกำ�ลัง อย่าออมเสียงไว้ จงเปล่งเสียง เหมือนเป่าเขาสัตว์ จงประกาศให้ประชากรของเรารู้ว่าเขาได้ล่วงละเมิด จง ประกาศแก่เชือ้ สายของยาโคบให้เขารูบ้ าปทีเ่ ขาได้ท�ำ เขาทัง้ หลายแสวงหาเราทุก วัน ปรารถนาจะรู้จักทางของเรา ประหนึ่งว่าเขาเป็นประชากรที่ปฏิบัติความชอบ ธรรม และมิได้ละทิ้งพระวินิจฉัยของพระเจ้าของตน เขาขอให้เราให้การวินิจฉัยที่ ชอบธรรม และปรารถนาทีจ่ ะเข้ามาใกล้พระเจ้า เขาพูดว่า “ทำ�ไมข้าพเจ้าทัง้ หลาย จะต้องจำ�ศีลอดอาหาร ถ้าพระองค์ไม่ทอดพระเนตร ทำ�ไมข้าพเจ้าทัง้ หลายจะต้อง ละเว้นความสุขสบาย ถ้าพระองค์ไม่ทรงทราบ” ดูซิ ในวันที่ท่านทั้งหลายจำ�ศีลอดอาหาร ท่านยังแสวงหาผลประโยชน์ของ ตน และข่มเหงคนงานทุกคนของท่าน ดูซิ ท่านจำ�ศีลอดอาหาร แต่ยงั ทะเลาะวิวาท และโต้เถียงกัน ชกต่อยตีกันอย่างอยุติธรรม การจำ�ศีลอดอาหารดังที่ท่านปฏิบัติ ในวันนี้ จะไม่ทำ�ให้เสียงของท่านได้ยินไปถึงเบื้องบนเลย นี่หรือเป็นการจำ�ศีล อดอาหารที่เราพอใจ คือวันที่มนุษย์ละเว้นความสุขสบาย ก้มศีรษะลงเหมือนต้น อ้อ ใช้ผ้ากระสอบและขี้เถ้าปูนอน ท่านจะเรียกการทำ�เช่นนี้ว่าเป็นการจำ�ศีล อดอาหาร และวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยกระนั้นหรือ แต่การจำ�ศีล อดอาหารที่เราต้องการ คือการแก้โซ่ตรวนที่อธรรม แก้สายรัดแอก ปล่อยผู้ถูก ข่มเหงให้เป็นอิสระ และหักแอกทุกอัน แบ่งปันอาหารกับผูห้ วิ โหย นำ�คนยากจน ไร้ที่อยู่อาศัยเข้ามาในบ้าน ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ท่านเห็นว่าไม่มีเสื้อผ้าสวม และไม่หัน หน้าหนีจากญาติพนี่ อ้ ง แล้วความสว่างของท่านจะขึน้ มาเหมือนรุง่ อรุณ แผลของ ท่านจะหายอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมจะเดินนำ�หน้าท่าน และพระสิริรุ่งโรจน์ ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะเดินตามท่าน ท่านจะทูลขอ และองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะทรง ตอบ ท่านจะร้องขอความช่วยเหลือ และพระองค์จะตรัสว่า “เราอยู่ที่นี่”

พระวรสาร มธ 9:14-15 วันหนึ่งบรรดาศิษย์ของยอห์นเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมพวกเราและพวกฟาริสีจำ�ศีล อดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำ�ศีลเลย” พระองค์ทรงตอบว่า “ผูร้ บั เชิญมาในงานแต่งงานจะโศกเศร้าหรือ ขณะทีเ่ จ้าบ่าวยังอยูก่ บั เขา แต่ จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกแยกไป วันนั้นเขาจะจำ�ศีลอดอาหาร” ทุกกิจการดีทที่ �ำ มีคา่ ในตัวมันเอง ถ้าไม่ระวัง..กิจการดีทที่ �ำ ...เพียงเพราะหวังคำ�ชืน่ ชม อาจ เหลือค่าเพียงคำ�หวาน..ผ่านลมปาก จากคนที่ไม่จริงใจ... พระเยซูเจ้าสอนให้เข้าใจถึงจิตตารมณ์ของการ จำ�ศีลอดอาหารว่า...ความดีทที่ �ำ ไม่จ�ำ เป็นต้องนำ�ไปเปรียบกับใคร..ขอแค่ใจเรา...เห็นคุณค่าในสิง่ ทีท่ �ำ ...มากกว่า คำ�สรรเสริญชืน่ ชม คงไม่เป็นการดี ถ้าคนหนึง่ จำ�ศีลอดอาหาร แต่การกระทำ�ในชีวติ คิดถึงแต่เพียงประโยชน์ ส่วนตน เอาเปรียบข่มเหงคนรอบข้าง ประกาศกอิสยาห์ป่าวประกาศถึงท่าทีของการจำ�ศีลอดอาหารที่ พระองค์ต้องการ คือ การปลดปล่อยผู้ถูกข่มเหงให้เป็นอิสระ แบ่งปันอาหารกับผู้หิวโหย ต้อนรับคนยากจน ซึ่งไร้ที่อยู่ ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ไม่มี


บทอ่านที่ 1 อสย 58:9ข-14 พระเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านจะเลิกข่มเหงผูอ้ นื่ เลิกชีห้ น้ากล่าวหาและพูดร้ายต่อ เขา ถ้าท่านแบ่งอาหารให้แก่คนหิว และตอบสนองความต้องการของผูม้ ที กุ ข์ ความ สว่างของท่านจะปรากฏขึน้ ในความมืด และความมืดของท่านจะเป็นเหมือนเวลา เที่ยงวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำ�ท่านตลอดไป จะตอบสนองความต้องการ ของท่านในแผ่นดินแห้งแล้ง จะทรงทำ�ให้กระดูกของท่านแข็งแรง ท่านจะเป็น เหมือนสวนที่มีนํ้ารด เป็นเหมือนพุนํ้าที่มีนํ้าไหลไม่หยุด ประชากรของท่านจะ บูรณะซากปรักหักพังโบราณขึน้ ใหม่ ท่านจะวางรากฐานทีเ่ คยวางไว้แต่โบราณขึน้ มาอีก ท่านจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ซ่อมกำ�แพงที่พังแล้ว เป็นผู้บูรณะถนนให้มีบ้านเรือน เป็นที่อาศัย ถ้าท่านหยุดละเมิดวันสับบาโต คือไม่ทำ�ตามใจชอบในวันศักดิ์สิทธิ์ของเรา เรียกวันสับบาโตว่า ‘วันปีติยินดี’ และเรียกวันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘วันน่าเคารพ’ ถ้าท่านให้เกียรติวันนั้นโดยไม่เดินทาง เลิกแสวงหาสิ่งที่ท่านพอใจ และเลิกพูดเรื่องไร้สาระ ท่านจะได้ความปีติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า และเราจะ ให้ทา่ นขีม่ า้ ฉลองชัยอยูบ่ นทีส่ งู ของแผ่นดิน เราจะเลีย้ งท่านด้วยมรดกของยาโคบ บิดาของท่าน เพราะพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแล้ว” พระวรสาร ลก 5:27-32 หลังจากนัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จออกไป ทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึง่ ชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เลวีก็ลุกขึ้น ละทิ้ง ทุกสิ่ง แล้วตามพระองค์ไป เลวีจัดเลี้ยงใหญ่ในบ้านของตนเป็นเกียรติแด่พระองค์ คนเก็บภาษีและคน อื่นๆ จำ�นวนมากมาร่วมโต๊ะด้วย บรรดาชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ของเขาเหล่า นัน้ กล่าวด้วยความไม่พอใจกับบรรดาศิษย์ของพระองค์วา่ “ทำ�ไมท่านทัง้ หลายจึง กินอาหารและดื่มกับคนเก็บภาษีและคนบาป” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “คน สบายดียอ่ มไม่ตอ้ งการหมอ แต่คนป่วยต้องการ เราไม่ได้มาเพือ่ เรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจ” เพื่อจะแน่วแน่...กับหนทางที่ตั้งใจ ..ในการเปลี่ยนแปลงนั้น จง ออกแรง เพื่อเคร่งครัดต่อตนเอง...และเป็นกันเองกับผู้อื่น เมื่อพระเยซูเจ้ามีท่าที... “เปิดใจ” ต้อนรับเลวีทเี่ ป็นคนบาป เขาแสดงออกถึงท่าทีของการกลับใจ ด้วยการละทิง้ ทุกสิ่ง จากการเป็นคนที่มีรายได้มากมายจากการโกง เอาเปรียบผู้อื่น เพื่อมาติดตาม พระเยซู วิธีที่จะทำ�ให้ชีวิตฉายแสงแห่งความดี ท่ามกลางสังคมที่มืดมิด ประกาศก อิสยาห์แนะนำ�ให้เลิกข่มเหงกันและกัน เลิกชี้หน้ากล่าวหา พูดร้ายแก่กันและกัน แต่ จงแบ่งปันอาหารให้แก่คนที่หิว และตอบสนองความต้องการของคนที่มีทุกข์

น.กาสิมีร์

สดด 86:1,2-3, 4-5,6-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ปฐก 2:7-9; 3:1-7 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเอาฝุ่นจากพื้นดินมาปั้นมนุษย์และทรงเป่าลม แห่งชีวิตเข้าในจมูกของเขา มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงปลูกสวนขึ้นทางทิศตะวันออกในแคว้นเอเดน และทรงนำ�มนุษย์ที่ทรงปั้นมาไว้ที่นั่น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงบันดาลให้ ต้นไม้ทุกชนิดงอกขึ้นจากดิน ต้นไม้เหล่านี้งดงามชวนมองและมีผลน่ากิน มีต้นไม้ แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ที่กลางสวน และมีต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว งูเป็นสัตว์เจ้าเล่หท์ สี่ ดุ ในบรรดาสัตว์ปา่ ทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าทรงสร้าง มันถามหญิงว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่าอย่ากินผลจากต้นไม้ใดๆ ในสวน นี้” หญิงจึงตอบงูว่า “ผลของต้นไม้ต่างๆ ในสวนนี้ เรากินได้ แต่ผลของต้นไม้ที่อยู่ กลางสวนเท่านัน้ ” พระเจ้าตรัสห้ามว่า “อย่ากินหรือแตะต้องเลย มิฉะนัน้ ท่านจะ ต้องตาย” งูบอกกับหญิงว่า “ท่านจะไม่ตายดอก พระเจ้าทรงทราบว่า ท่านกินผล ไม้นั้นวันใด ตาของท่านจะเปิดในวันนั้น ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ดีรู้ชั่ว” หญิงเห็นว่าต้นไม้นนั้ มีผลน่ากิน งดงามชวนมอง ทัง้ ยังน่าปรารถนาเพราะให้ปญ ั ญา นางจึงเด็ดผลไม้มากิน แล้วยังให้สามีซึ่งอยู่กับนางกินด้วย เขาก็กิน ทันใดนั้น ตา ของทัง้ สองคนก็เปิดและเห็นว่าตนเปลือยกายอยู่ จึงเอาใบมะเดือ่ มาเย็บเป็นเครือ่ ง ปกปิดร่างไว้ เพลงสดุดี สดด 51:1-2,3-5,10-12ก,12ข,15 ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าตามความรักมั่นคงของพระองค์เถิด โปรดทรงลบล้างการล่วงละเมิดของข้าพเจ้าเพราะพระกรุณาของพระองค์ โปรดทรงล้างข้าพเจ้าให้สะอาดหมดจดจากความผิดของข้าพเจ้า โปรดชำ�ระข้าพเจ้าให้บริสุทธิ์จากบาปที่ข้าพเจ้าได้ทำ� ข) เพราะข้าพเจ้าตระหนักดีถึงการล่วงละเมิดของตน บาปของข้าพเจ้าอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าทำ�บาปผิดต่อพระองค์ ต่อพระองค์เพียงผู้เดียว บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 5:12-19 พี่น้อง บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะ บาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำ�บาปฉันนั้น ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับ ว่าเป็นบาป ถึงกระนัน้ ความตายก็มอี านุภาพเหนือมนุษยชาติตงั้ แต่อาดัมมาจนถึง โมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำ�บาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะมาในภายหลัง แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่า ถ้ามวลมนุษย์ต้องตายเพราะ


การล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทาน จากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำ�หรับมวลมนุษย์ ของประทานต่างกับการ ล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวทีท่ �ำ บาป บาปของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษยชาติถกู พระเจ้าลงโทษ แต่เมื่อมนุษย์ทำ�บาปมากแล้ว ของประทานที่ให้เปล่านั้นกลับนำ�ความชอบธรรมมาให้ ถ้ามนุษย์คน เดียวล่วงละเมิด ทำ�ให้ความตายมีอ�ำ นาจปกครองเหนือมนุษยชาติเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คน เดียวนั้น เดชะพระเยซูคริสตเจ้าพระองค์เดียว ทุกคนที่ได้รับพระหรรษทานอย่างสมบูรณ์และความ ชอบธรรมเป็นของประทาน ก็ยิ่งจะมีชีวิตและมีอำ�นาจปกครองมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ การล่วงละเมิดของ มนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษย์ทกุ คนถูกลงโทษฉันใด กิจการชอบธรรมของมนุษย์คนเดียวก็น�ำ ความ ชอบธรรมที่บันดาลชีวิตมาให้มนุษย์ทุกคนฉันนั้น มวลมนุษย์กลายเป็นคนบาปเพราะความไม่เชื่อฟัง ของมนุษย์คนเดียวฉันใด มวลมนุษย์กจ็ ะเป็นผูช้ อบธรรม เพราะความเชือ่ ฟังของมนุษย์คนเดียวฉันนัน้ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 4:1-11 เวลานั้น พระจิตเจ้าทรงนำ�พระเยซูเจ้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้ปีศาจมาผจญพระองค์ เมือ่ ทรงอดอาหารสีส่ บิ วันสีส่ บิ คืนแล้ว ทรงหิว ปีศาจผูผ้ จญจึงเข้ามาใกล้ ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นบุตร พระเจ้า จงสัง่ ก้อนหินเหล่านีใ้ ห้กลายเป็นขนมปังเถิด” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ว่า มนุษย์มิได้ดำ�รงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำ�รงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำ�ที่ออกจากพระโอษฐ์ของ พระเจ้า” ต่อจากนั้น ปีศาจอุ้มพระองค์ไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า “ถ้า ท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงกระโดดลงไปเบือ้ งล่างเถิด เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีรว์ า่ พระเจ้าทรงสัง่ ทูต สวรรค์เกี่ยวกับท่าน ให้คอยพยุงท่านไว้ มิให้เท้ากระทบหิน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ในพระคัมภีร์ยังมีเขียนไว้ด้วยว่า อย่าท้าทายองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ของท่านเลย” อีกครัง้ หนึง่ ปีศาจนำ�พระองค์ไปบนยอดเขาสูงมาก ชีใ้ ห้พระองค์ทอดพระเนตรอาณาจักรรุง่ เรือง ต่างๆ ของโลก แล้วทูลว่า “เราจะให้ทุกสิ่งนี้แก่ท่าน ถ้าท่านกราบนมัสการเรา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น ยังมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของ ท่าน และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น” ปีศาจจึงได้ละพระองค์ไป แล้วทูตสวรรค์ก็เข้ามาปรนนิบัติรับใช้พระองค์ “โอกาส” ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับ คนที่เคยได้รับแล้ว ก็ใช่ว่าทุกครั้งจะได้รับเหมือนเดิม ฉะนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจทำ�อะไร พึงคิดให้ดี เพราะบางทีอาจไม่มีโอกาสให้ “แก้ตัว”... เมื่อมนุษย์คู่แรกใช้โอกาส ในทางที่ผิดต่อคำ�มั่นสัญญากับพระเจ้า พ่ายแพ้แก่การผจญ เพราะความไม่เชื่อฟัง หลงใหลในอำ�นาจ ปรารถนาที่จะเป็นเหมือนพระเจ้า เขาต้องพบความจริงว่า ตนยังอ่อนแอ และห่างไกลจากพระเจ้ายิ่งนัก... สำ�หรับพระเยซูเจ้า ความซื่อสัตย์ และเชื่อฟังต่อพระวาจาของพระเจ้า ช่วยให้พระองค์ยังคงสามารถรักษา ความเชื่อ ไม่พ่ายแพ้แก่การผจญ นักบุญเปาโลได้ยํ้าเตือนสิ่งที่ทำ�ให้มนุษย์มีความเสี่ยง และโอกาสที่จะต้อง อยู่ในบาป คือ ความไม่เชื่อฟัง


สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต สดด 19:7-8,10, 13,14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 ลนต 19:1-2,11-18 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ท่าน ทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านเป็นผู้ ศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะต้องไม่ลักขโมย ฉ้อโกง หรือพูดเท็จต่อกัน ท่านจะต้องไม่สาบานเท็จ โดยใช้นามของเรา มิฉะนั้นท่านจะลบหลู่พระนามพระเจ้าของท่าน... ท่านจะต้อง ยำ�เกรงพระเจ้าของท่าน เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องไม่ตัดสินคดีอย่างอยุติธรรม ท่านจะต้องไม่ลำ�เอียงเข้าข้างคน ยากจนหรือคนมีอำ�นาจ แต่จงตัดสินคดีของเพื่อนบ้านอย่างยุติธรรม... ท่านจะ ต้องไม่แก้แค้น หรืออาฆาตชนชาติเดียวกับท่าน แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรัก ตนเอง เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า”

พระวรสาร มธ 25:31-46 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์... พระองค์จะทรง แยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลีย้ งแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้แกะอยูเ่ บือ้ งขวา ส่วนแพะอยูเ่ บือ้ ง ซ้าย แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ‘เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจาก พระบิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก เพราะว่า เมื่อ เราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’ บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว... หรือทรงกระหาย... ทรงเป็นแขกแปลกหน้า... หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า... เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็น พระองค์ประชวรหรือทรงอยูใ่ นคุกแล้วไปเยีย่ ม’ พระมหากษัตริยจ์ ะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำ�สิ่งใดต่อพี่น้องผู้ตํ่าต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำ�สิ่งนั้นต่อเรา’ แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกทีอ่ ยูเ่ บือ้ งซ้ายว่า ‘ท่านทัง้ หลายทีถ่ กู สาปแช่ง จงไปให้พน้ ลงไปในไฟ นิรนั ดรทีไ่ ด้เตรียมไว้ให้ปศี าจและบริวารของมัน เพราะว่า เมือ่ เราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เรา เจ็บป่วยและอยูใ่ นคุก ท่านก็ไม่มาเยีย่ ม’ พวกนัน้ จะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมือ่ ใดเล่าทีข่ า้ พเจ้าทัง้ หลาย เห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มเี สือ้ ผ้า เจ็บป่วย หรืออยูใ่ นคุก และ ไม่ได้ช่วยเหลือ’ พระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำ�สิ่งใดต่อผู้ ตํ่าต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำ�สิ่งนั้นต่อเรา’... หนทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์...ที่จริงแล้ว..แค่คิดสักนิดว่าอะไรดีก็ทำ� ส่วนที่นำ�ความชั่ว ก็อย่า มัวไปทำ�...พระเยซูเจ้าแนะนำ�ศิษย์ถงึ วิธดี �ำ เนินชีวติ สูค่ วามศักดิส์ ทิ ธิน์ นั้ ให้รจู้ กั มองความต้องการของเพือ่ น มนุษย์ แล้วลงมือทำ�ทันที ด้วยตระหนักว่า สิ่งใดที่ปฏิบัติกับเพื่อนพี่น้อง สิ่งนั้นกำ�ลังปฏิบัติต่อพระเจ้า เสียง ของพระเจ้าตรัสผ่านทางโมเสส เพือ่ ยํา้ ให้ประชากรของพระองค์เป็นผูศ้ ักดิส์ ิทธิ์ ด้วยการไม่ลักขโมย ไม่โกง ไม่พูดเท็จต่อกัน ไม่เอาเปรียบกัน ไม่สะสมความเกลียดชังไว้ในใจ เมื่อผิดพ้องหมองใจ ต้องไม่แก้แค้น หรือ อาฆาตมาดร้าย จงให้อภัย ตักเตือนกันและกัน...แล้วจงรักเพื่อนพี่น้องเหมือนรักตัวเอง


บทอ่านที่ 1 อสย 55:10-11 พระเจ้าตรัสว่า “สวรรค์อยู่สูงกว่าแผ่นดินฉันใด ทางของเราก็อยู่สูงกว่าทาง ของท่าน และความคิดของเราก็อยู่เหนือความคิดของท่านฉันนั้น ฝนและหิมะลง มาจากท้องฟ้า และไม่กลับไปทีน่ นั่ ถ้าไม่ได้รดแผ่นดิน ทำ�ให้แผ่นดินอุดม ทำ�ให้พชื งอกขึ้น เพื่อให้ผู้หว่านมีเมล็ดพันธุ์ และให้ผู้กินมีอาหารฉันใด ถ้อยคำ�ที่ออกจาก ปากของเรา จะไม่กลับมาหาเราโดยไม่เกิดผล ไม่ทำ�ตามที่เราปรารถนา และไม่ บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่งมาฉันนั้น” พระวรสาร มธ 6:7-15 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซํ้าเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้า เขาพูดมากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง อย่าทำ�เหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่าน ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก ดังนั้น ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานภาวนาดังนี้ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำ�เร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์ โปรดประทานอาหารประจำ�วันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้ โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’ เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ทำ�ความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะ ประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำ�ความผิด พระบิดาของท่านก็ จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน” ชีวติ ทีป่ ราศจากความเป็นหนึง่ ระหว่างความคิด จิตใจ... ปากจึงมักกล่าว ได้สารพัดสิง่ ...แต่ไม่เคยแฝงความ “จริงใจ”... เสียงของพระเจ้าผ่านทางประกาศก อิสยาห์ ทำ�ให้เข้าใจว่า พระเจ้าทรงหยัง่ รูค้ วามคิดของเรา ดังนัน้ เมือ่ ปากจะอธิษฐาน ภาวนากล่าวสิง่ ใด อย่าลืมให้ใจเป็นหนึง่ เดียวกับคำ�ทีพ่ รา่ํ พรรณนา ไม่งน้ั จะถูกมองว่า “ดราม่า”...พระเยซูเจ้าสอนศิษย์ถงึ รูปแบบของการภาวนาทีค่ วรค่าแก่การนำ�ไปใช้ คือ ให้ เริม่ ด้วยการคิดพิจารณา สรรเสริญ ขอโทษ แล้วขอพรจากพระเจ้า ในสิง่ ท่จ่ี �ำ เป็นสำ�หรับ ชีวติ

ระลึกถึง น.แปร์เปตูอา และ น.เฟลีซีตัส มรณสักขี

สดด 34:4-7,16-18

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


บทอ่านที่ 1 ยนา 3:1-10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์อีกครั้งหนึ่งว่า “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์ นครใหญ่ และประกาศเรื่องที่เราจะบอกท่านแก่เมืองนั้น” โยนาห์ก็ลุกขึ้นไปยัง กรุงนีนะเวห์ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า กรุงนีนะเวห์เป็นนครใหญ่มาก ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์เริ่มเดินเข้าไปในเมืองเป็นระยะทาง น.ยอห์น แห่งพระเจ้า เดินหนึ่งวัน ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน กรุงนีนะเวห์จะถูกทำ�ลาย” ชาวกรุง นีนะเวห์เชื่อฟังพระเจ้า และประกาศให้อดอาหาร สวมผ้ากระสอบทุกคน ตั้งแต่ นักบวช คนยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงคนตํ่าต้อยที่สุด ข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์กรุงนีนะเวห์ พระองค์ สดด 51:1-2,10-11, ทรงลุกขึน้ จากพระบัลลังก์ ทรงเปลือ้ งฉลองพระองค์ออก ทรงสวมผ้ากระสอบและ 16-17 ประทับนั่งบนกองขี้เถ้า กษัตริย์ทรงประกาศกฤษฎีกาในกรุงนีนะเวห์พร้อมกับ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ข้าราชบริพารชั้นสูงว่า “ทั้งคนและสัตว์ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กอย่ากินสิ่งใด อย่ากิน วันสตรีสากล หญ้าหรือดืม่ นาํ้ เลย ทัง้ คนและสัตว์จงสวมผ้ากระสอบและร้องหาพระเจ้าสุดกำ�ลัง แต่ละคนจงกลับใจจากความประพฤติชั่วและเลิกใช้การกระทำ�ที่รุนแรง ใครจะรู้ ได้ พระเจ้าอาจทรงเปลี่ยนพระทัย ทรงพระเมตตา และคลายพระพิโรธที่รุนแรง เพื่อเราจะไม่ต้องพินาศ” พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความพยายามของเขา ที่จะ กลับใจไม่ประพฤติชั่วอีกต่อไป พระเจ้าทรงพระเมตตาไม่ลงโทษตามที่ตรัสไว้ว่า จะทรงลงโทษเขา พระวรสาร ลก 11:29-32 เวลานัน้ เมือ่ ประชาชนมาชุมนุมกันมากขึน้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนีเ้ ป็น คนชั่วร้าย อยากเห็นเครื่องหมาย แต่จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น นอกจาก เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์เป็นเครื่องหมายสำ�หรับชาว นีนะเวห์ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเป็นเครื่องหมายสำ�หรับคนยุคนี้ฉันนั้น ในวัน พิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะ พระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะ ลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำ�เทศน์ของ ประกาศกโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก” เพื่อจะทำ�ความคุ้นเคยกับคำ�ว่า “กลับใจ”...บางทีต้องเริ่มจากการ กล้าที่จะทำ�การปรับเปลี่ยนวิถีทางดำ�เนินชีวิตดูบ้าง เมื่อโยนาห์กลับใจไปทำ�หน้าที่ พร้อมกับพระเจ้า ตามที่ได้รับมอบหมาย พระเจ้าทรงเห็นความพยายามของโยนาห์ และชาวเมืองที่กลับใจจากความประพฤติชั่ว เลิกการกระทำ�ที่รุนแรง เมื่อนั้นพระเจ้า ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ลงโทษ พระเยซูเจ้าทรงตรัสสอนบรรดาศิษย์ ด้วยการยํ้าว่า เครื่องหมายเดียวที่จะเปลี่ยนสังคมที่ชั่วร้าย คือเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์ เพราะก่อนทีจ่ ะไปนำ�คนอืน่ ให้ ... “กลับใจ”...ท่านต้องเริม่ จากการกลับใจของตนเองก่อน


บทอ่านที่ 1 อสธ 4:17K-17M,17R-17U พระราชินีเอสเธอร์ทรงเป็นทุกข์แทบจะสิ้นพระชนม์ จึงทรงแสวงหาความ ช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า พระนางทรงเปลื้องฉลองพระองค์ที่หรูหราออก แล้วทรงชุดไว้ทกุ ข์แสดงความโศกเศร้า ทรงโปรยขีเ้ ถ้าและฝุน่ ดินบนพระเศียรแทน เครื่องหอมมีค่า ไม่สนพระทัยที่จะประดับพระกายให้งดงามอย่างที่เคย แต่ทรง สยายพระเกศาให้ยุ่งเหยิง แล้วทรงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่ง น.ฟรังซิสกา ชาวโรม อิสราเอลว่า นักบวช “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระมหากษัตริย์ของข้าพเจ้าทั้ง สดด 138:1-2ก, หลาย พระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า โปรดทรงช่วยเหลือ 2ข-3,7ข-8 ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าอยูค่ นเดียว ไม่มผี ใู้ ดช่วยเหลือข้าพเจ้านอกจากพระองค์เท่านัน้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ข้าพเจ้ากำ�ลังเผชิญอันตรายเสี่ยงชีวิต ตั้งแต่เป็นเด็ก ข้าพเจ้าเคยได้ยินจากบุคคล ในครอบครัวเล่าว่าพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเลือกสรรชาวอิสราเอล จากชนชาติทั้งหลาย ทรงเลือกบรรพบุรุษของข้าพเจ้าจากบรรพบุรุษของเขาเป็น มรดกถาวรของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำ�ตามทีท่ รงสัญญาไว้กบั เขาทุกประการ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด โปรดทรงสำ�แดงพระองค์ในเวลา ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความทุกข์ โปรดให้ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญเถิด... โปรดทรงใส่ถ้อยคำ�จูงใจไว้ใน ปากของข้าพเจ้า เมื่อต้องเผชิญกับสิงโต โปรดทรงเปลี่ยนใจของเขาให้เกลียดชังศัตรูที่ต่อสู้กับข้าพเจ้า ทัง้ หลาย เพือ่ เขากับพวกจะพินาศ โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทัง้ หลายให้รอดพ้นอันตรายด้วยพระหัตถ์ของ พระองค์ โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือนอกจากพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงรอบรู้ทุกอย่าง ทรงทราบว่าข้าพเจ้าชังเกียรติยศจากคนอธรรม และรังเกียจการร่วมเตียงกับผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตและคนต่างชาติ พระวรสาร มธ 7:7-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิด ประตูรบั ท่าน เพราะคนทีข่ อย่อมได้รบั คนทีแ่ สวงหาย่อมพบ คนทีเ่ คาะประตูยอ่ มมีผเู้ ปิดประตูให้ ท่าน ใดทีล่ กู ขออาหาร แล้วจะให้กอ้ นหิน ถ้าลูกขอปลา ท่านจะให้งหู รือ แม้แต่ทา่ นทัง้ หลายทีเ่ ป็นคนชัว่ ยัง รูจ้ กั ให้ของดีๆ แก่ลกู แล้วพระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์จะไม่ประทานของดีๆ แก่ผทู้ ที่ ลู ขอพระองค์ มากกว่านั้นหรือ ท่านอยากให้เขาทำ�กับท่านอย่างไร ก็จงทำ�กับเขาอย่างนัน้ เถิด นีค่ อื ธรรมบัญญัตแิ ละคำ�สอนของ บรรดาประกาศก” คำ�พูดทีม่ กั ได้ยนิ กันจนคุน้ หู..ของฟรี..ดีๆ ไม่มใี นโลก... พระเยซูเจ้าตรัสสอนบรรดาศิษย์ “ถ้า อยากได้สิ่งใด จงออกแรง”... เพราะใครที่แสวงหาก็จะพบ และเหนือสิ่งอื่นใด “ถ้าอยากให้ใครปฏิ​ิบัติกับเรา อย่างไร ก็จงทำ�สิง่ นัน้ กับเขาก่อน” ดังเช่นตัวอย่างของพระราชินเี อสเธอร์ ในความทุกข์ เมือ่ พระนางแสวงหา ความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระนางทรงออกแรงด้วยการสละละทิ้งความสุข ความสะดวกสบายส่วนตน เพื่ออธิษฐานภาวนาร้องหาพระเจ้า แล้วในที่สุดพระนางก็ได้รับความบรรเทาช่วยเหลือ


บทอ่านที่ 1 อสค 18:21-28 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “แต่ถา้ คนชัว่ ร้ายกลับใจไม่ท�ำ บาปทุกอย่างทีเ่ ขาเคยทำ� แล้วกลับมารักษาข้อ กำ�หนดทุกข้อของเรา ปฏิบัติความถูกต้องและความยุติธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่ แน่นอน เขาจะไม่ต้องตาย การล่วงละเมิดใดๆ ที่เขาเคยทำ�จะไม่ถูกจดจำ�ไว้เพื่อ เอาโทษเขา เขาจะมีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรมที่เขาได้ทำ� เราพอใจในความ สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต ตายของคนอธรรมหรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส เราพอใจที่เขากลับใจจาก ความประพฤติชั่วของเขาและมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ สดด 130:1-4,5-6, แต่ถ้าผู้ชอบธรรมละทิ้งความชอบธรรมของตนไปทำ�ความชั่ว ประพฤติตาม การกระทำ�น่าสะอิดสะเอียนทุกอย่างที่คนชั่วทำ� ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ การ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 กระทำ�ชอบธรรมทัง้ หมดทีเ่ ขาได้ท�ำ มาแล้วจะไม่ถกู จดจำ�ไว้อกี เลย เขาจะต้องตาย เพราะความผิดที่เขาไม่ได้ซื่อสัตย์ และเพราะบาปที่เขาได้ทำ� ท่านพูดว่า ‘วิธีการขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด วิธีการ ของเราไม่ยุติธรรม หรือวิธีการของท่านไม่ยุติธรรม เมื่อผู้ชอบธรรมเปลี่ยนใจไม่ปฏิบัติความชอบธรรม มาทำ�ผิด เขาจะต้องตายเพราะการนี้ เขาจะต้องตายเพราะความผิดทีเ่ ขาได้ท�ำ ถ้าคนชัว่ ร้ายเลิกทำ�ความ ชั่วร้ายที่เขาได้ทำ� มาปฏิบัติความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาก็จะรักษาชีวิตของตนไว้ เขาเลือก จะเลิกการล่วงละเมิดทั้งหมดที่เคยทำ� เขาจะมีชีวิตอย่างแน่นอน เขาจะไม่ต้องตาย” พระวรสาร มธ 5:20-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดา ธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย” “ท่านได้ยินคำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนทีโ่ กรธเคืองพีน่ อ้ ง จะต้องขึน้ ศาล ผูใ้ ดกล่าวแก่พนี่ อ้ งว่า ‘ไอ้โง่’ ผูน้ นั้ จะต้องขึน้ ศาลสูง ผูใ้ ดกล่าว แก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำ�เครื่องบูชาไปถวาย ยังพระแท่น ถ้าระลึกได้วา่ พีน่ อ้ งของท่านมีขอ้ บาดหมางกับท่านแล้ว จงวางเครือ่ งบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกบั พีน่ อ้ งเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครือ่ งบูชานัน้ จงคืนดีกบั คูค่ วามของท่านขณะ ที่กำ�ลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่าน ให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำ�ระ หนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย” แม้จะมีกิจการหลายสิ่งหลายอย่างที่ “น่าทำ�”...ใครที่ยอมให้ “ความชอบธรรม” นำ�หน้า เขาจะพบว่า สิง่ ใดต้องทำ�ก่อน...พระเยซูเจ้ายํา้ เตือนศิษย์ของพระองค์ ถึง ...“มาตรฐานชีวติ ” ในการติดตาม พระองค์ พวกเขาถูกเรียกร้องให้มี ... “ความชอบธรรม” นำ�หน้าความชอบ “ทำ�” เสียงของพระเจ้ายํ้าเตือน ผ่านทางประกาศกเอเสเคียล ถ้าคนชัว่ ร้ายกลับใจไม่ท�ำ บาปทีเ่ ขาเคยทำ� แล้วกลับมาปฎิบตั ติ ามความถูกต้อง และความยุติธรรม เขาจะได้รับพร แต่สำ�หรับผู้ชอบธรรม ที่ละทิ้งความชอบธรรม แล้วไป “ทำ�” ในสิ่งที่ชั่ว ร้าย เขาจะต้องรับโทษ เพราะ...ความไม่ซื่อสัตย์ และบาปผิดที่เขาได้ “ทำ�”


บทอ่านที่ 1 ฉธบ 26:16-19 โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “ในวันนีอ้ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ทรงบัญชาให้ทา่ นปฏิบตั ติ ามข้อ กำ�หนด และกฎเกณฑ์เหล่านี้อย่างเคร่งครัดสุดจิตใจ และสุดวิญญาณ ในวันนี้ ท่านได้ยนิ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ของท่าน ถ้าท่านดำ�เนินตามหนทางของพระองค์ ปฏิบตั ติ ามข้อกำ�หนด บทบัญญัติ และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ทั้งเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ในวันนี้ องค์พระ ผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ท่านประกาศว่า ท่านจะเป็นประชากรของพระองค์ เป็น กรรมสิทธิ์พิเศษของพระองค์ดังที่ตรัสไว้ และท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของ พระองค์ทุกประการ พระองค์จะทรงบันดาลให้ท่านมีศักดิ์ศรี มีชื่อเสียงและมี เกียรติยศเหนือชนชาติอื่นๆ ทั้งปวงที่ทรงสร้างขึ้นมา และท่านจะเป็นประชากร ศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านดังที่ทรงสัญญาไว้” พระวรสาร มธ 5:43-48 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำ�กล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าว แก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็น บุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ข้ึนเหนือ คนดีและคนชัว่ โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่คน ที่รักท่าน ท่านจะได้บำ�เหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำ�เช่นนี้ดอก หรือ ถ้าท่านทักทายแต่พนี่ อ้ งของท่านเท่านัน้ ท่านทำ�อะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนา มิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้า สวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด” “รัก” คำ�เดียวสั้นๆ ที่พูดให้ได้ยินเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไม่ง่าย ที่จะต้องใช้ ทั้งชีวิต เพื่อ “ทำ�”...เพราะวิธีคิดแบบปุถุชนคนทั่วไป คือ ใครดีมา เราก็ดีไป ใครร้าย มา เราก็ร้ายตอบ แต่ “มาตรฐาน” สำ�หรับผู้ที่เป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า เพื่อจะเป็น คนดีอย่างสมบูรณ์นั้น พวกเขาต้องรักศัตรู และภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนเขาให้ได้... โมเสสยํา้ เตือนประชากรของพระเจ้าว่า...พวกเขาจะได้ชอื่ ว่าเป็นประชากรของพระเจ้า ถ้าพวกเขาดำ�เนินชีวิตด้วยการปฏิบัติตามข้อกำ�หนด กฎเกณฑ์ของความรัก พวกเขา จะได้รับเกียรติจากพระเจ้า

สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต สดด 119:1-2, 3-6,7-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ปฐก 12:1-4ก องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่อับรามว่า “จงออกจากแผ่นดินของท่าน จากญาติ พี่น้อง จากบ้านของบิดา ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้ท่าน เราจะทำ�ให้ท่านเป็น ชนชาติใหญ่ จะอวยพรท่าน จะทำ�ให้ท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่านจะนำ�พระพรมา ให้ผู้อื่น เราจะอวยพรผู้ที่อวยพรท่าน เราจะสาปแช่งผู้ที่สาปแช่งท่าน บรรดาเผ่า พันธุ์ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดิน จะได้รับพรเพราะท่าน” อับรามจึงออกเดินทางตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เพลงสดุดี สดด 33:4-5,18-19,20-22 ก) พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเที่ยงตรง พระราชกิจของพระองค์น่าเชื่อถือ พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและความยุติธรรม ความรักมั่นคงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปี่ยมล้นทั่วแผ่นดิน ข) แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าพิทักษ์ผู้ที่ยำ�เกรงพระองค์ ผู้ที่หวังในความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อจะช่วยชีวิตของเขาให้พ้นจากความตาย และรักษาเขาไว้ในยามอาหารขาดแคลน ค) จิตใจของเราทั้งหลายกำ�ลังรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือและทรงเป็นโล่ป้องกันภัยของเรา ใช่แล้ว จิตใจของเราชื่นชมในพระองค์ เพราะเราวางใจในพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอความรักมั่นคงของพระองค์ สถิตกับข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายมีความหวังในพระองค์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง 2 ทธ 1:8ข-10 พี่น้อง จงเข้ามามีส่วนร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพื่อข่าวดีโดยพระ อานุภาพของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอดพ้น และทรงเรียกเราให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะสิง่ ทีเ่ รากระทำ� แต่เพราะพระประสงค์และพระหรรษทานของพระองค์ พระองค์ประทานพระหรรษทานนี้แก่เราแล้วในพระคริสตเยซูก่อนกาลเวลา แต่ บัดนีท้ รงเปิดเผยโดยการแสดงพระองค์ของพระผูไ้ ถ่คอื พระคริสตเยซู ผูท้ รงทำ�ลาย ความตาย และทรงนำ�ชีวิตและความไม่รู้จักตายให้ปรากฏอย่างชัดแจ้งโดยทาง ข่าวดี


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 17:1-9 ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายไปบนภูเขาสูงที่ปราศจากผู้คน แล้ว พระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระ พักตร์เปล่งรัศมีดจุ ดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสขี าว ดุจแสงสว่าง โมเสสและประกาศกเอลียาห์สำ�แดงตน สนทนาอยู่กับพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ที่นี่สบาย น่าอยู่จริงๆ ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ข้าพเจ้าจะสร้าง เพิงขึ้นสามหลัง หลังหนึ่งสำ�หรับพระองค์ หลังหนึ่ง สำ�หรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำ�หรับเอลียาห์” ขณะที่ เปโตรกำ�ลังพูดอยูน่ นั้ มีเมฆสว่างจ้าก้อนหนึง่ ปกคลุมพวก เขาไว้ เสียงหนึ่งดังจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด” เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์ทั้งสามคนซบหน้าลงกับพื้นดิน มีความกลัวอย่างยิ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามา ใกล้ ทรงสัมผัสเขา ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาไม่เห็นผู้ใด นอกจากพระ เยซูเจ้าเท่านั้น ขณะที่กำ�ลังลงจากภูเขา พระเยซูเจ้าทรงกำ�ชับศิษย์ทั้งสามคนว่า “อย่าเล่านิมิตที่ได้เห็นนี้ให้ผู้ใด ฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย” “ได้ยิน” มันต่างกับ “ฟัง” ก็ตรงที่อย่างหลังนั้นมีความตั้งใจมาเกี่ยวข้อง... เปโตรในฐานะ ศิษย์ผู้ติดตามใกล้ชิดพระเยซูเจ้า เมื่อได้เห็นล่วงหน้าถึงความสุข ความชื่นชมยินดีกับพระอาจารย์ ได้ยิน เสียงสนทนาของประกาศก ท่านเสนอให้ทำ�สิ่งนั้น สิ่งนี้ทันที เพื่อที่จะได้อยู่ไปนานๆ แต่เสียงของพระเจ้า ตอกยาํ้ ในฐานะศิษย์ แทนทีจ่ ะเป็นผูเ้ สนอ จงรูจ้ กั ทีจ่ ะฟังก่อน เมือ่ อับราฮัมฟังเสียงของพระเจ้าแล้วทำ�ตาม ท่านได้รับพระพรมากมายจากพระเจ้า ทั้งยังกลับเป็นพระพรสำ�หรับคนอื่นๆ


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 79:8-9,10-11, 12-13

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 ดนล 9:4ข-10 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว พระองค์ทรง รักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักพระองค์และปฏิบัติตามบทบัญญัติ ของพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำ�บาป ทำ�ผิด ประพฤติชั่วร้าย เป็นกบฏ หันเห ไปจากบทบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้เชื่อฟังบรรดา ประกาศกผูร้ บั ใช้ของพระองค์ซงึ่ พูดในพระนามพระองค์ตอ่ บรรดากษัตริย์ บรรดา เจ้านาย บรรดาบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย และต่อประชากรทั้งมวลของ แผ่นดิน ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความเที่ยงธรรมเป็นของพระองค์ ส่วนความ อับอายเป็นของข้าพเจ้าทั้งหลาย ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นของชาวยูดาห์ ชาวกรุง เยรูซาเล็ม และชาวอิสราเอลทั้งมวล ทั้งเป็นของผู้ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล ผู้ที่อยู่ใน แผ่นดินทีพ่ ระองค์ทรงบันดาลให้เขาไปอยูอ่ ย่างกระจัดกระจาย เพราะความทรยศ ซึ่งเขาได้ทำ�ต่อพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความอับอายเป็นของข้าพเจ้าทั้ง หลาย เป็นของบรรดากษัตริย์ บรรดาเจ้านายและบรรดาบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ทัง้ หลาย เพราะข้าพเจ้าทัง้ หลายได้ท�ำ บาปผิดต่อพระองค์ ส่วนพระกรุณาและการ อภัยโทษเป็นขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของข้าพเจ้าทัง้ หลาย ทีไ่ ด้กบฏต่อพระองค์ มิได้ เชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติที่พระองค์ ประทานให้โดยบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของพระองค์” พระวรสาร ลก 6:36-38 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด อย่า ตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขา แล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน จงให้ แล้ว พระเจ้าจะประทานแก่ทา่ น ท่านจะได้รบั เต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น เพราะ ว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนัน้ ตวงตอบแทนให้ทา่ น ด้วย” ก่อนที่จะ “ให้” จำ�เป็นต้องมี และเมื่อมีแล้ว...อย่าลืมเรียนรู้ที่จะเป็น “ผู้ให้ต่อ” เมื่อใดก็ตามที่สามารถ “ให้” ด้วยใจที่ไม่ยึดติด เมื่อนั้นจะสามารถให้อภัย ใครก็ตามที่ทำ�ผิดต่อเรา พระเยซูให้แรงบันดาลใจ เพื่อจะทำ�ดังนี้ คือ ตระหนักเสมอ ว่า ถ้าเราปฏิบัติแบบใดกับเพื่อนพี่น้อง พระเจ้าก็จะทรงปฏิบัติกับเราแบบนั้นเช่น เดียวกัน ดังทีป่ ระกาศกดาเนียลได้ปา่ วประกาศว่า แม้ประชากรของพระเจ้าได้ท�ำ บาป ผิดต่อพระองค์ เมือ่ พวกเขากลับใจ ปรับปรุงเปลีย่ นแปลงท่าที พระเจ้าทรงพระกรุณา เมตตา อภัยโทษเสมอ เพราะพระองค์ทรงรักษาพันธสัญญา และความรักมั่นคงต่อผู้ ที่รัก และปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์


บทอ่านที่ 1 อสย 1:10,16-20 ท่านทัง้ หลายผูม้ อี �ำ นาจปกครองเมืองโสโดมเอ๋ย จงฟังพระวาจาขององค์พระ ผูเ้ ป็นเจ้าเถิด ประชาชนแห่งเมืองโกโมราห์เอ๋ย จงเงีย่ หูฟงั คำ�สอนของพระเจ้าของ เราเถิด จงล้าง จงชำ�ระตนให้สะอาด จงนำ�กิจการชั่วร้ายของท่านออกไปให้พ้นจาก สายตาเรา จงเลิกทำ�ความชั่ว จงเรียนรู้ที่จะทำ�ความดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงช่วยเหลือผู้ถูกข่มเหง จงให้ความเป็นธรรมแก่ลูกกำ�พร้า จงปกป้องสิทธิของ หญิงม่าย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด มาพิจารณาความด้วยกันกับเรา แม้บาป ของท่านเป็นสีแดงเหมือนผ้าสีเลือดหมู ก็จะขาวอย่างหิมะ แม้บาปของท่านจะ เป็นสีแดงเหมือนผ้าสีแดงเข้ม ก็จะขาวเหมือนขนแกะ ถ้าท่านทัง้ หลายยอมเชือ่ ฟัง ท่านจะได้กินผลดีของแผ่นดิน แต่ถ้าท่านดื้อรั้นและเป็นกบฏ ท่านจะเป็นเหยื่อ ของคมดาบ เพราะพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้” พระวรสาร มธ 23:1-12 ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์ว่า “พวกธรรมาจารย์ และชาวฟาริสนี งั่ บนธรรมาสน์ของโมเสส ถ้าเขาสัง่ สอนเรือ่ งใด ท่านจงปฏิบตั ติ าม เถิด แต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ เขามัด สัมภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้วไปยกขึ้น เขาทำ�กิจการทุกอย่างเพือ่ ให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขนึ้ ผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่น เขาชอบที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยง ชอบนั่ง แถวหน้าในศาลาธรรม ชอบให้ผู้คนคำ�นับตามลานสาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียก ว่า ‘รับบี’ ส่วนท่านทั้งหลายอย่าให้ผู้ใดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียง ผูเ้ ดียวและทุกคนเป็นพีน่ อ้ งกัน ในโลกนีอ้ ย่าเรียกผูใ้ ดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดา ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์ อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ เพราะพระอาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า ใน กลุ่มของท่าน ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ตํ่า ลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” ถ้อยคำ�ทีพ่ ดู ...แนะนำ�สัง่ สอนผูอ้ นื่ ...จะเพิม่ คุณค่า ถ้ามาจากการกระทำ�... พระเยซูเจ้าเตือนศิษย์ และผู้ที่ติดตามว่าอย่าทำ�ตัวให้ถูกเรียกว่า “รับบี” เพราะพวกนี้ “ดีแต่พูด แต่ไม่ค่อยยอมทำ�” พร้อมกันนี้ พระเยซูได้ให้แนวทาง เพื่อจะเป็นผู้ที่สมจะ ได้รบั เกียรติแท้จริง คือ “จงถ่อมตน เป็นผูร้ บั ใช้ผอู้ นื่ ” ประกาศกอิสยาห์รอ้ งเตือน เพือ่ จะเป็นผูพ้ ดู สอนผูอ้ นื่ ให้เริม่ จากการสอนด้วยชีวติ ของตน โดยการเลิกทำ�สิง่ ทีช่ วั่ เรียน รู้ที่จะทำ�ดี แสวงหาความยุติธรรม

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 50:8-10, 16-18,22-23

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 31:4-5, 13,14-15

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านทีื่ 1 ยรม 18:18-20 ชาวยิวที่คิดร้ายต่อประกาศกเยเรมีย์กล่าวกันว่า “มาเถิด เราจงวางแผนปองร้ายประกาศกเยเรมีย์ เพราะว่าธรรมบัญญัติจะ ไม่สญ ู หายไปจากบรรดาสมณะ คำ�ปรึกษาย่อมไม่ขาดไปจากบรรดาผูม้ ปี รีชา และ การประกาศพระวาจาไม่ขาดไปจากบรรดาประกาศก มาเถิด เราจงพูดใส่ร้ายเขา อย่าไปสนใจฟังคำ�พูดของเขาเลย” ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงสนพระทัยข้าพเจ้า โปรดทรงฟังเสียงคู่อริ ของข้าพเจ้าเถิด ความชั่วเป็นการตอบแทนความดีหรือ เขากำ�ลังขุดหลุมไว้ดัก ข้าพเจ้า โปรดทรงระลึกว่าข้าพเจ้าเคยยืนเฉพาะพระพักตร์ เพื่อทูลขอความดีให้ เขา เพื่อหันพระพิโรธของพระองค์ไปจากเขา

พระวรสาร มธ 20:17-28 เวลานั้น พระเยซูเจ้ากำ�ลังเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพาเฉพาะอัครสาวกสิบสอง คนออกไป แล้วตรัสแก่เขาขณะเดินทางว่า “บัดนี้ พวกเรากำ�ลังขึน้ ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม บุตรแห่งมนุษย์ จะถูกมอบแก่บรรดาหัวหน้าสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิต และจะถูก มอบให้คนต่างชาติสบประมาทเยาะเย้ย โบยตีและนำ�ไปตรึงกางเขน แต่ในวันทีส่ ามบุตรแห่งมนุษย์จะ กลับคืนชีพ” มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสอง คนของข้าพเจ้า นัง่ ข้างขวาคนหนึง่ นัง่ ข้างซ้ายคนหนึง่ ในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัส ตอบว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำ�ลังขออะไร ท่านดื่มถ้วย ซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองคนทูลตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของ เรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำ�หรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้” เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมา พบ ตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายย่อมรูว้ า่ ในหมูค่ นต่างชาติ ผูป้ กครองย่อมเป็นเจ้านายเหนือผูอ้ นื่ และผูใ้ หญ่ ย่อมใช้อำ�นาจบังคับ แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ท่ีปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำ�ตนเป็น ผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำ�ตนเป็นผู้รับใช้ เหมือนกับทีบ่ ตุ รแห่งมนุษย์มไิ ด้มาเพือ่ ให้ผอู้ นื่ รับใช้ แต่มาเพือ่ รับใช้ผอู้ นื่ และมอบชีวติ ของตนเป็นสินไถ่ เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย” เพื่อจะทำ�หน้าที่ “รับใช้” ด้วยใจอิสระ พึงเริ่มที่จิตตารมณ์ “ความรัก” ในทุกสิ่งที่ทำ�กับทุกคน ที่พบเจอ ธรรมชาติของอำ�นาจฝ่ายโลกคือ ความเป็นนาย การได้รับการดูแล และบริการรับใช้ จากบุคคล ที่อยู่รอบข้าง พระเยซูเจ้าทรงสอนศิษย์ของพระองค์ถึงท่าทีที่ถูกต้องของการเป็นผู้นำ� คือ การเป็นผู้รับใช้ ทุกคนในหน้าที่ของการรับใช้ แม้ประกาศกเยเรมีย์จะถูกปฎิเสธ กลั่นแกล้ง ด้วยการพูดนินทา ให้ร้าย ท่าน ยังคงซื่อสัตย์ในหน้าที่ของการรับใช้ พร้อมกับภาวนา เพื่อแสวงหาพละกำ�ลังจากพระเจ้า ความศักดิ์สิทธิ์ ในชีวิตของท่านนักบุญกาสิมีร์ อยู่บนพื้นฐานชีวิตของการเป็นผู้นำ�ที่ตระหนักว่า การมีอำ�นาจก็คือการรับใช้ มิใช่การบังคับหรือมีอำ�นาจเหนือผู้อื่น


บทอ่านที่ 1 ยรม 17:5-10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “คนที่วางใจในมนุษย์ย่อมถูกสาปแช่ง เขาพึ่ง พลังของมนุษย์ ใจของเขาหันออกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นเหมือนพุ่มไม้ใน ถิ่นทุรกันดาร ไม่เห็นความดีใดๆ ที่มาถึง เขาจะอาศัยอยู่ในที่แห้งแล้งของถิ่น ทุรกันดาร ในแผ่นดินเค็มที่ไม่มีผู้คนอาศัย” “คนทีว่ างใจในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าย่อมได้รบั พระพร องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเป็น ความหวังของเขา เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ทปี่ ลูกไว้รมิ นาํ้ ซึง่ หยัง่ รากออกไปทีล่ �ำ นาํ้ เมื่อความร้อนมาถึง เขาก็ไม่กลัว ใบของเขาคงเขียวอยู่เสมอ เขาจะไม่กังวลใจใน ปีที่แห้งแล้ง จะไม่หยุดออกผล”...

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 1:1-6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ลก 16:19-31 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกฟาริสีว่า “เศรษฐีผหู้ นึง่ แต่งกายหรูหราด้วยเสือ้ ผ้าเนือ้ ดีราคาแพง จัดงานเลีย้ งใหญ่ทกุ วัน คนยากจนผูห้ นึง่ ชือ่ ลาซารัส นอนอยูท่ ปี่ ระตูบา้ นของเศรษฐีผนู้ นั้ เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารทีต่ กจาก โต๊ะของเศรษฐี มีแต่สนุ ขั มาเลียแผลของเขา วันหนึง่ คนยากจนผูน้ ตี้ าย ทูตสวรรค์น�ำ เขาไปอยูใ่ นอ้อมอก ของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้ เศรษฐีซึ่งกำ�ลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก จึงร้องตะโกนว่า “ท่านพ่อ อับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มนํ้ามาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะ ลูกกำ�ลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้” แต่อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย จงจำ�ไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รบั แต่สงิ่ ดีๆ ส่วนลาซารัสได้รบั แต่สงิ่ เลวๆ บัดนีเ้ ขาได้รบั การบรรเทาใจทีน่ ี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไป ไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย” เศรษฐีจึงพูดว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพี่ น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย” อับราฮัมตอบว่า “พี่น้อง ของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยูแ่ ล้ว ให้เขาเชือ่ ฟังท่านเหล่านัน้ เถิด” แต่เศรษฐีพดู ว่า “มิใช่เช่น นัน้ ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึง่ จากบรรดาผูต้ ายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ” อับราฮัมตอบว่า “ถ้า เขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่ เชื่อ” ความราํ่ รวยมีพลังดึงดูดทุกคน เพราะมันนำ�ความสุขมาให้ บันดาลทุกอย่างได้ตามใจปรารถนา ทุกคนจึงอยากรํ่ารวย ความรํ่ารวยในตัวมันเองไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่การยึดติดในทรัพย์สมบัติต่างหากที่เป็น สิ่งเลวร้าย ทำ�ให้คนตาบอดได้ เศรษฐีในพระวรสารวันนี้ถูกตำ�หนิไม่ใช่เพราะความรํ่ารวยของเขา แต่เพราะ การใช้ทรัพย์สมบัติที่ไม่ถูกต้อง เขาเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักแบ่งปันให้คนอื่น แม้แต่เศษอาหารก็ไม่ยอมแบ่งให้คน ยากจนที่นั่งรออยู่ คนที่ยึดติดกับความสุขทางโลก ก็เป็นเหมือนกับพุ่มไม้ในถิ่นทุรกันดาร มีแต่จะเหี่ยวเฉา ตาย (บทอ่านแรก) แต่คนที่สนใจความต้องการของคนยากไร้ และฟังพระวาจาของพระเจ้า เป็นเหมือน ต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมลำ�ธาร


น.ปาตริก พระสังฆราช สดด 105:16-18, 19,20-22

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 ปฐก 37:3-4,12-13ก,17ข-28 ยาโคบรักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอืน่ ๆ เพราะโยเซฟเกิดมาเมือ่ ยาโคบชราแล้ว ยาโคบตัดเสือ้ ยาวทีส่ วยเป็นพิเศษให้โยเซฟ เมือ่ พีช่ ายเห็นว่าบิดารักโยเซฟมากกว่า บุตรคนอื่นๆ ต่างก็เกลียดชังเขามากจนไม่ยอมพูดดีด้วย พี่ชายของโยเซฟไปเลี้ยงแพะแกะของบิดาในบริเวณเมืองเชเคม อิสราเอล บอกโยเซฟว่า “พีๆ่ ของลูกกำ�ลังเลีย้ งแพะแกะอยูท่ เี่ ชเคม มาซิ พ่อจะส่งลูกไปพบ เขา” โยเซฟจึงตามไปพบพี่ชายที่เมืองโดธาน พี่ชายเห็นโยเซฟแต่ไกลก่อนที่โยเซฟจะมาถึง จึงวางแผนจะฆ่าเสีย... เมือ่ โยเซฟมาถึง พีช่ ายก็ชว่ ยกันจับเขาถอดเสือ้ ยาวทีส่ วยเป็นพิเศษซึง่ เขาสวม อยู่ แล้วโยนเขาลงไปในบ่อ บ่อนั้นแห้งไม่มีนํ้า แล้วพี่ชายทุกคนก็นั่งลงกินอาหาร ทันใดนั้น เขาเงยหน้าขึ้น เห็นกองคาราวานของชาวอิชมาเอลกำ�ลังเดินทาง มาจากแคว้นกิเลอาดจะไปอียิปต์... ยูดาห์จึงแนะนำ�พี่น้องว่า “ถ้าเราฆ่าน้อง และ กลบเลือดไว้ จะได้อะไรขึ้นมาเล่า เราจงขายน้องแก่ชาวอิชมาเอลดีกว่า เราจะได้ ไม่ตอ้ งทำ�ร้ายเขา เพราะเขาก็ยงั เป็นน้องและเป็นสายเลือดเดียวกันกับเรา” พีน่ อ้ ง ทุกคนก็เห็นด้วย...

พระวรสาร มธ 21:33-43,45-46 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้ สวนหนึ่ง ทำ�รั้วล้อม ขุดบ่อยํ่าองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อใกล้ ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวนได้ จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำ�นวนมากกว่า พวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำ�กับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบ คนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด เราจะได้มรดกของเขา’ เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำ�ตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำ� อย่างไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น” บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำ�จัดพวกใจอำ�มหิตนี้อย่างโหด เหี้ยม และจะยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำ�หนดเวลา... ดังนัน้ เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทัง้ หลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติ อื่นที่จะทำ�ให้บังเกิดผล”... พี่ๆ ของโยเซฟทำ�ผิดเพราะความอิจฉา พวกเขารู้สึกเศร้าและโกรธแค้นที่โยเซฟได้รับความ โปรดปรานจากยาโคบผู้บิดา พวกเขามองความโชคดีของโยเซฟเป็นภัยสำ�หรับตน คนเช่าสวนในพระวรสาร ก็ทำ�ผิดเพราะความอิจฉาเช่นกัน เมื่อเขาเห็นลูกของเจ้าของสวนก็พูดกันว่า “คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขา เถิด เราจะได้มรดกของเขา” บางครั้งคนดีก็อาจทำ�ผิดเพราะความอิจฉาได้เช่นกัน เวลาที่เราพยายามเป็น คริสตชนที่ดี เราอาจรู้สึกว่าทำ�ไมคนอื่นได้ดีกว่าเรา ยิ่งเมื่อเห็นคนไม่ดีรํ่ารวยและเจริญก้าวหน้ามากกว่าเรา เรายิง่ ไม่พอใจพระเป็นเจ้ามากขึน้ ขอให้เรามีความสุภาพ ขอบพระคุณพระองค์ทปี่ ระทานพระพรแก่เรา และ ดีใจเมื่อพระองค์ประทานให้คนอื่นด้วย


18

บทอ่านที่ 1 มคา 7:14-15,18-20 โปรดทรงใช้ไม้ขอของผูเ้ ลีย้ งแกะเลีย้ งดูประชากร คือฝูงแพะแกะทีเ่ ป็นมรดก ของพระองค์ ซึ่งอาศัยโดดเดี่ยวอยู่ในป่า ที่มีแผ่นดินอุดมสมบูรณ์อยู่โดยรอบ... เทพเจ้าใดเล่าเป็นเหมือนพระองค์ ผู้ทรงให้อภัยความผิด และทรงมองข้าม การล่วงละเมิดแก่ผทู้ เี่ หลืออยูเ่ ป็นมรดกของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงเก็บพระพิโรธ ไว้ตลอดไป แต่พอพระทัยแสดงความรักมั่นคง ขอพระองค์ทรงพระเมตตาต่อ น.ซีริล แห่งเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง... พระสังฆราช และนักปราชญ์ พระวรสาร ลก 15:1-3,11-32 แห่งพระศาสนจักร เวลานั้น บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า ชาว สดด 103:1-2,3-4, ฟาริสแี ละธรรมาจารย์ตา่ งบ่นว่า “คนนีต้ อ้ นรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา” 9-10,11-12 พระองค์จึงตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้เขาฟัง ทำ � วั ตรสัปดาห์ที่ 2 พระองค์ยังตรัสอีกว่า “ชายผู้หนึ่งมีลูกสองคน ลูกคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อ ครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด’ บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้ แก่ลูกทั้งสองคน ต่อมาไม่นาน ลูกคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังดิน แดนห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วดินแดนนั้น และเขาเริ่มขัดสน จึงไปรับจ้างอยู่ กับชาวเมืองคนหนึง่ คนนัน้ ใช้เขาไปเลีย้ งหมูในทุง่ นา เขาอยากกินฝักถัว่ ทีห่ มูกนิ เพือ่ ระงับความหิว แต่ ไม่มีใครให้ เขาจึงรู้สำ�นึกและคิดว่า ‘คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะ ตายอยูแ่ ล้ว ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ลูกทำ�บาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควร ได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด’ เขาก็กลับไปหาพ่อ ขณะที่เขายังอยู่ไกล พ่อมองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา... พูดกับผู้รับใช้ว่า ‘เร็วเข้า จงไปนำ�เสือ้ สวยทีส่ ดุ มาสวมให้ลกู เรา นำ�แหวนมาสวมนิว้ นำ�รองเท้ามาใส่ให้ จงนำ�ลูกวัวทีข่ นุ อ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้ พบกันอีก’ แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น ส่วนลูกคนโต อยูใ่ นทุง่ นา เมือ่ กลับมาใกล้บา้ น ได้ยนิ เสียงดนตรีและการร้องรำ� จึงเรียกผูร้ บั ใช้คน หนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้รับใช้บอกเขาว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว พ่อสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุน อ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย’ ลูกคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน... พ่อพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก แต่จำ�เป็นต้องเลี้ยงฉลองและ ชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’” เราทุกคนรู้จักอุปมา “บิดาผู้ใจดี” หรือที่เมื่อก่อนเราเรียกว่า “ลูกช่างล้างช่างผลาญ” เป็น อย่างดี และต่างได้รับรู้ถึงความมีพระทัยดีของพระเป็นเจ้าต่อคนบาป อยากเชิญชวนให้เรามาพิจารณา คำ�ถามที่ว่า “เราเป็นเหมือนลูกคนโตหรือลูกคนเล็ก” คำ�ตอบที่ถูกต้องน่าจะเป็นคำ�ตอบที่ว่า บางครั้งเราก็ เป็นเหมือนลูกคนเล็ก เพราะเราเคยทำ�บาปและยังทำ�บาปอยูเ่ รือ่ ย บางครัง้ เราก็เป็นเหมือนลูกคนโต ทีต่ �ำ หนิ คนที่ทำ�บาปหนักต่างๆ มองตัวเองว่าดีกว่าเขาเหล่านั้น ในช่วงเทศกาลมหาพรต ขอให้เรายอมรับในบาปผิด ต่างๆ ของเรา แม้เราจะทำ�บาปมากมาย หนักแค่ไหน เราก็มั่นใจว่าพระเป็นเจ้าจะต้อนรับเราเมื่อเรากลับมา หาพระองค์เหมือนอุปมาที่เราฟังในวันนี้


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันคล้ายวันสมณภิเษก สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส

บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 17:3-7 วันหนึ่ง ประชาชนกำ�ลังกระหายนํ้ามาก จึงบ่นตำ�หนิโมเสสว่า “ทำ�ไมท่าน จึงพาพวกเราออกจากอียิปต์ จะให้พวกเรา ลูกๆ และฝูงสัตว์ของเราอดนํ้าตาย หรือ” โมเสสก็อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า “ข้าพเจ้าจะทำ� อย่างไรกับประชากรนี้ เขาเกือบจะเอาหินขว้างข้าพเจ้าอยู่แล้ว” องค์พระผู้เป็น เจ้าตรัสตอบโมเสสว่า “จงเดินไปข้างหน้าประชาชน จงนำ�ผู้อาวุโสชาวอิสราเอล บางคนไปกับท่าน เอาไม้เท้าทีท่ า่ นใช้ตนี าํ้ ในแม่นาํ้ ไนล์ไปด้วย เราจะยืนอยูต่ อ่ หน้า ท่านทีห่ น้าผา บนภูเขาโฮเรบ จงตีหนิ จะมีนาํ้ ไหลออกมาให้ประชาชนดืม่ ” โมเสส ทำ�ดังนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสชาวอิสราเอล สถานที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่ามัสสาห์และเมรีบาห์ เพราะชาวอิสราเอลได้ต่อว่า และทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเราหรือไม่” เพลงสดุดี สดด 95:1-2,6-7ข,7ค-9 ก) มาเถิด เราจงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดี เราจงโห่ร้องสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นหลักศิลาที่ช่วยเราให้รอดพ้น เราจงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์เพื่อขอบพระคุณ เราจงโห่ร้องเพลงสดุดีถวายพรพระองค์ด้วยความยินดี ข) มาเถิด เราจงกราบนมัสการพระองค์ เราจงคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างเรา เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา และเราเป็นประชากรที่ทรงเลี้ยงดูดุจฝูงแกะที่ทรงนำ�ไปยังทุ่งหญ้า บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 5:1-2,5-8 พี่น้อง เมื่อได้เป็นผู้ชอบธรรมด้วยความเชื่อแล้ว เราย่อมมีสันติกับพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา โดยทางพระองค์ เราจึงเข้าถึงพระ หรรษทานและกำ�ลังดำ�รงอยู่ในพระหรรษทานนี้ เราภูมิใจในความหวังที่จะได้รับ พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ความหวังนี้ไม่ทำ�ให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานให้เรา ทรงหลั่งความรักของพระเจ้าลงในดวงใจของเรา ขณะที่เรายังอ่อนแอ พระคริสต เจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปตามเวลาที่กำ�หนด ยากที่จะหาคนที่ยอมตายเพื่อคน ชอบธรรม บางครั้งอาจจะมีคนยอมตายแทนคนดีจริงๆ ได้ แต่พระเจ้าทรงพิสูจน์ ว่าทรงรักเรา เพราะพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเราขณะที่เรายังเป็นคนบาป


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 4:5-15,19ข-26,39ก,40-42 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียชื่อสิคาร์ ใกล้ที่ดินที่ยาโคบยกให้ โยเซฟบุตรชาย ที่นั่นมีบ่อนํ้าของยาโคบ พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงประทับที่ ขอบบ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักนํ้า พระเยซูเจ้าตรัสกับ นางว่า “ขอนํ้าดื่มสักหน่อยเถิด” บรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียทูล ถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นชาวยิว ทำ�ไมจึงขอนํ้าดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรีย” เพราะชาวยิวไม่ ติดต่อกับชาวสะมาเรียเลย พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า “หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า ‘ขอนํ้าดื่มสักหน่อยเถิด’ ท่านคงกลับเป็นผู้ขอ และผู้นั้นจะให้ ‘นํ้าที่ให้ชีวิต’ แก่ท่าน” นางจึงทูลว่า “นายเจ้าข้า ท่านไม่มีถังตักนํ้า และบ่อก็ลึกมาก ท่านจะเอานํ้าที่ให้ชีวิตมาจากไหน ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบให้บ่อนํ้านี้แก่เรา ยาโคบ ลูกหลานและฝูงสัตว์ก็ ได้ดื่มนํ้าจากบ่อนี้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ทุกคนทีด่ มื่ นํา้ นี้ จะกระหายอีก แต่ผทู้ ดี่ มื่ นํา้ ซึง่ เราจะให้นนั้ จะไม่กระหาย อีกเลย นํ้าที่เราจะให้เขา จะกลายเป็นธารนํ้าในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร” หญิงนั้นจึงทูลว่า “นายเจ้าขา โปรดให้นํ้านั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายหรือต้องมา ตักนาํ้ ทีน่ อี่ กี ดิฉนั เห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก บรรพบุรษุ ของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ ท่านพูดว่าสถานที่สำ�หรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย เชื่อเราเถิด ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดา เจ้า ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จัก แต่เรานมัสการ พระเจ้าที่เรารู้จัก เพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว แต่จะถึงเวลา คือเวลานี้ เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะ นมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผูน้ มัสการพระองค์ เช่นนี้ พระเจ้าทรงเป็นจิต ผู้ที่นมัสการพระองค์ จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้าและตามความจริง” หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์คือพระคริสต์กำ�ลังจะเสด็จมา และเมื่อเสด็จมา พระองค์จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เรารู้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราที่กำ�ลังพูดอยู่กับเธอคือพระเมสสิยาห์” ชาวสะมาเรียหลายคนจากเมืองนั้นมีความเชื่อในพระองค์ เมื่อชาวสะมาเรียมาเฝ้าพระองค์แล้ว ก็วอนขอให้ประทับอยู่กับเขา พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสองวัน คนที่มีความเชื่อเพราะพระวาจาของ พระองค์มีจำ�นวนมากขึ้น เขากล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เรามีความเชื่อไม่ใช่เพราะคำ�พูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยินและรู้ว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของโลกโดยแท้จริง” การพบปะระหว่างพระเยซูเจ้ากับหญิงชาวสะมาเรียผู้นี้ ถือเป็นการพบปะที่ผิดปกติ เพราะ ชาวยิวจะไม่ติดต่อคบค้ากับชาวสะมาเรียเลย การพบปะครั้งนี้ทำ�ให้หญิงชาวสะมาเรียได้รับสิ่งที่ประเสริฐ ที่สุด แต่พระเยซูเจ้าที่ขอ (นํ้า) จากเธอก่อน ก่อนที่พระองค์จะประทาน (นํ้าที่ให้ชีวิต) สิ่งที่ดีกว่าให้ เราเอง มักจะอ้างว่าเราพบปะกับพระองค์บ่อยๆ แต่ถามว่าเราได้พบพระองค์จริงๆ หรือ เมื่อพระองค์ขอบางอย่าง จากเรา เราให้พระองค์ได้หรือเปล่า หากพระองค์ขออะไรจากเรา ก็เพราะพระองค์มีบางสิ่งที่ดีกว่าจะมอบ ให้เราต่างหาก


สมโภชนักบุญโยเซฟ ภัสดาของพระนาง มารีย์พรหมจารี สดด 89:1-2,3-4, 26,28

บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 7:4-5ก,12-14ก,16 ในคืนนัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า “จงไปบอกดาวิดผูร้ บั ใช้ของเรา ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เมื่อท่านสิ้นชีวิตในวัยชรา และถูกฝังไว้กับ บรรพบุรุษแล้ว เราจะตั้งเชื้อสายคนหนึ่งของท่าน ซึ่งเป็นบุตรของท่าน ให้เป็น กษัตริย์ต่อจากท่าน เราจะพิทักษ์รักษาอาณาจักรของเขาให้มั่นคง เขาจะเป็นผู้ สร้างวิหารให้แก่นามของเรา เราจะดูแลให้ลกู หลานของเขาเป็นกษัตริยค์ รองราชย์ ตลอดไป เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา...’” บทอ่านที่ 2 รม 4:13,16-18,22 พี่น้อง พระสัญญาที่ประทานให้อับราฮัมและลูกหลานที่ว่าเขาจะได้รับโลก เป็นมรดกนัน้ ไม่ได้เกิดขึน้ โดยธรรมบัญญัติ แต่เกิดขึน้ โดยความชอบธรรมอันเนือ่ ง มาจากความเชือ่ ... แม้ดเู หมือนจะไม่มคี วามหวัง แต่อบั ราฮัมก็หวังและเชือ่ ว่า เขา จะเป็นบิดาของประชาชาติจำ�นวนมากสมจริงตามพระสัญญาที่ว่า ลูกหลานของ เจ้าจะมีจ�ำ นวนมากเช่นนัน้ นีค่ อื ความเชือ่ ซึง่ นับได้วา่ เป็นความชอบธรรมสำ�หรับเขา

พระวรสาร ลก 2:41-51 โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมื่อ พระองค์มพี ระชนมายุสบิ สองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขนึ้ ไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียม ของเทศกาลนัน้ เมือ่ วันฉลองสิน้ สุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยูท่ กี่ รุงเยรูซาเล็ม โดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารียต์ ามหาพระองค์ในหมูญ ่ าติและคนรูจ้ กั เมือ่ ไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการ ตอบคำ�ถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถาม พระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำ�ไมจึงทำ�กับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบ ว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำ�ไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อม กับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสองคน พระคัมภีร์ได้ให้ความเคารพสูงสุดแก่นักบุญโยเซฟโดยกล่าวว่า “ท่านเป็นผู้ชอบธรรม” เมื่อ พระคัมภีรก์ ล่าวว่าพระองค์ทรงทำ�ให้บางคนเป็นผูช้ อบธรรม ก็หมายความว่าพระองค์ได้ท�ำ ให้ผนู้ นั้ ร่วมส่วน ในความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เอง แน่ละ พระองค์ทรงรักผู้นั้น เมื่อพระคัมภีร์บอกว่านักบุญโยเซฟเป็นผู้ ชอบธรรม ก็หมายความว่าท่านพร้อมทีจ่ ะทำ�ทุกอย่างทีพ่ ระองค์ประสงค์ ผูช้ อบธรรมคือผูน้ บนอบและอุทศิ ตนแด่พระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ท่านน้อมรับที่จะรับพระนางมารีย์มาเป็นภรรยา เลี้ยงดูครอบครัวที่อียิปต์ นำ� ครอบครัวกลับมาที่นาซาเร็ธ มีชีวิตเรียบง่ายที่นั่นอีกหลายปี นักบุญเบอร์นาดีนแห่งเซียนากล่าวว่า “ท่านได้ รับเลือกจากพระบิดาเจ้าสวรรค์ ให้เป็นผูป้ กป้องและดูแลสมบัตอิ นั ลํา้ ค่าทีส่ ดุ ของพระองค์ คือพระบุตรและ พระนางมารีย์”


บทอ่านที่ 1 ดนล 3:25,34-43 อาซาริยาห์ยืนอธิษฐานภาวนาเสียงดังอยู่กลางไฟว่าดังนี้ “ขออย่าทรงละทิง้ ข้าพเจ้าทัง้ หลายตลอดไป เพราะเห็นแก่พระนามพระองค์ ขออย่าทรงทำ�ลายพันธสัญญาของพระองค์เลย ขออย่าทรงเพิกถอนพระกรุณาไป จากข้าพเจ้าทั้งหลาย... บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่มีผู้นำ� ไม่มีประกาศก ไม่มีเจ้า นาย ไม่มีเครื่องเผาบูชา ไม่มีเครื่องบูชา ไม่มีของถวาย ไม่มีการถวายกำ�ยาน ไม่มี สถานที่ที่จะถวายผลิตผลแรกแด่พระองค์เพื่อจะได้รับพระกรุณา แต่ขอให้จิตที่ ตรมตรอมและใจทีถ่ อ่ มตนเป็นทีพ่ อพระทัย ดังแกะเพศผูแ้ ละโคเพศผูท้ ถี่ วายเป็น เครื่องเผาบูชา ดังลูกแกะอ้วนพีนับพันๆ ตัวถวายพระองค์ ขอทรงพระกรุณารับ ข้าพเจ้าทัง้ หลายเป็นเครือ่ งบูชาเฉพาะพระพักตร์ในวันนี้ แล้วข้าพเจ้าทัง้ หลายจะ ติดตามพระองค์ตอ่ ไป เพราะผูท้ วี่ างใจในพระองค์ยอ่ มไม่ได้รบั ความอับอาย... ข้า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานพระเกียรติแก่พระนามพระองค์เถิด”

สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 25:4-6,7,8-9

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร มธ 18:21-35 เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำ�ผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้อง ยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษ ให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำ�ชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ เขาไม่มีสิ่งใด จะชำ�ระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้ กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนีไ้ ว้กอ่ นเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนีใ้ ห้ทงั้ หมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วย กันซึง่ เป็นหนีเ้ ขาอยูห่ นึง่ ร้อยเหรียญ เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนีข้ า้ อยูเ่ ท่าไร จงจ่าย ให้หมด’ เพือ่ นคนนัน้ คุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนีไ้ ว้กอ่ นเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนีใ้ ห้’ แต่เขาไม่ ยอมฟัง นำ�ลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำ�ระหนี้ทั้งหมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึง นำ�ความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สิน ของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่ หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำ�ผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำ�ระหนี้ทั้งหมด พระบิดาของเราผู้ สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำ�ต่อท่านทำ�นองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจ จริง” นักการเมืองคนหนึ่งซึ่งทำ�ผิดมามาก ในนาทีสุดท้ายของชีวิต เขาได้พูดกับพระสงฆ์ว่า “คุณ พ่อครับ ผมขอขอบพระคุณพระเจ้า ที่ผมจะถูกพิพากษาจากพระองค์ ไม่ใช่จากมนุษย์” คำ�พูดนี้สะท้อนบท พระวรสารในวันนี้ได้เป็นอย่างดี พระเป็นเจ้าไม่ใช่เป็นพระผู้ทรงสรรพฤทธิ์และสัพพัญญูเท่านั้น แต่ทรงพระ เมตตาเหลือล้นไม่มีขอบเขตอีกด้วย ชายผู้เป็นหนี้หมื่นตะลันต์ เพียงขอผัดการชำ�ระหนี้ไว้ก่อน แต่กษัตริย์ ซึ่งก็คือพระองค์เองกลับยกหนี้ให้ทั้งหมด ให้มากกว่าที่เขาขอเสียอีก แต่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องพร้อมที่จะยก หนีใ้ ห้คนอืน่ เสียก่อน ดังนัน้ เราต้องพร้อมทีจ่ ะยกโทษให้คนอืน่ ก่อน เพือ่ เราจะได้รบั การยกโทษจากพระเป็น เจ้า การให้อภัยคือรูปแบบหนึ่งของความรัก


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 147:12-13, 15-16,19-20

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 ฉธบ 4:1,5-9 โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “บัดนี้ ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังข้อกำ�หนดและ กฎเกณฑ์ทขี่ า้ พเจ้าสอนท่านทัง้ หลายให้ปฏิบตั ิ แล้วท่านจะมีชวี ติ และเข้ายึดครอง แผ่นดินซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงมอบให้ท่าน ดูซิ ข้าพเจ้าสอนท่านให้รู้จักข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงบัญชา เพือ่ ท่านจะได้ปฏิบตั ติ ามในแผ่นดินทีท่ า่ นกำ�ลังจะ เข้าไปยึดครอง ท่านจะต้องปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์ เพื่อชนชาติอนื่ ๆ จะได้เห็นว่า ท่านมีความเข้าใจและปรีชาญาณ เมื่อเขาได้ยินคำ�พูดถึงข้อกำ�หนดเหล่านี้ เขาจะ พูดว่า ชนชาติยงิ่ ใหญ่นเี้ ท่านัน้ เป็นประชากรทีม่ คี วามเข้าใจและปรีชาญาณ เพราะ ไม่มีชนชาติใดแม้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตามจะมีพระเจ้าอยู่ใกล้ชิด ดังที่องค์พระผู้เป็น เจ้าพระเจ้าของเราสถิตใกล้ชดิ เรา ทุกครัง้ ทีเ่ ราร้องทูลพระองค์ ไม่มชี นชาติยงิ่ ใหญ่ ชาติใดมีข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์เที่ยงธรรมเท่ากับธรรมบัญญัตินี้ที่ข้าพเจ้ากำ�ลัง สอนท่านอยู่ในวันนี้ จงจำ�ใส่ใจ จงทำ�ทุกอย่างเพื่อจะไม่ลืมเหตุการณ์ที่ท่านได้เห็นกับตาตราบที่ ท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่าให้เหตุการณ์เหล่านี้เลือนไปจากใจ ท่านจะต้องเล่าให้บุตร หลานทุกรุ่นของท่านฟัง” พระวรสาร มธ 5:17-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพือ่ ลบล้างธรรมบัญญัตหิ รือคำ�สอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้ง หลายว่า ตราบใดทีฟ่ า้ และดินยังไม่สญ ู สิน้ ไป แม้แต่ตวั อักษรหรือจุดเพียงจุดเดียว จะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำ�เร็จไป ดังนั้น ผู้ใดละเมิด ธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อ ว่าเป็นผู้ตํ่าต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติ ด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบ ธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสแี ล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้ เลย”

กฎจราจรมีไว้เพือ่ ป้องกันอุบตั เิ หตุบนท้องถนน แต่ถา้ เราถือกฎตามตัวอักษรโดยไม่ได้ดทู เี่ จตนา ของกฎ โดยอ้างสิทธิ์ของเรา อุบัติเหตุก็อาจเกิดขึ้นได้ พระเยซูเจ้าทรงเน้นจิตตารมณ์ของกฎ คือรักพระ เป็นเจ้าและรักเพือ่ นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการถือกฎ คำ�สอนและแบบอย่างของพระองค์คอื สิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราเดินตาม ไม่ใช่ถือกฎตามตัวอักษร แบบอย่างของเราแต่ละคนจะมีอิทธิพลต่อ คนอื่น ถ้าเราให้แบบอย่างที่ดี เราก็จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์


บทอ่านที่ 1 ยรม 7:23-28 พระเจ้าตรัสดังนีว้ า่ “จงฟังเสียงของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของท่าน และ ท่านจะเป็นประชากรของเรา จงเดินตามทางที่เราจะสั่งท่านไว้ แล้วท่านจะได้อยู่ อย่างเป็นสุข” แต่เขาทัง้ หลายมิได้เชือ่ ฟังหรือเงีย่ หูฟงั กลับดำ�เนินตามแผนการใน ความดื้อกระด้างของใจชั่วของตน หันหลังให้เราแทนที่จะหันหน้า ตั้งแต่วันที่ บรรพบุรษุ ของท่านทัง้ หลายออกจากแผ่นดินอียปิ ต์จนทุกวันนี้ เราได้สง่ ประกาศก ผู้รับใช้ทุกคนของเราไปหาท่านทั้งหลายครั้งแล้วครั้งเล่าเสมอมา แต่เขาทั้งหลาย มิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง กลับดื้อดึงทำ�ความชั่วมากกว่าบรรพบุรุษเสียอีก ท่านจง ไปบอกถ้อยคำ�เหล่านี้ทั้งหมดแก่เขา แต่เขาจะไม่ฟังท่าน ท่านจะเรียกเขา แต่เขา จะไม่ตอบ ท่านจงบอกเขาว่า “นี่คือชนชาติที่ไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้ เป็นเจ้าพระเจ้าของตน และไม่ยอมรับคำ�สั่งสอน ความซื่อสัตย์ไม่มีอีกแล้ว หาย ไปจากปากของเขาแล้ว” พระวรสาร ลก 11:14-23 เวลานั้น พระเยซูเจ้ากำ�ลังทรงขับไล่ปีศาจซึ่งทำ�ให้คนเป็นใบ้ เมื่อปีศาจออก ไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ แต่บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ ปีศาจด้วยอำ�นาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” บางคนต้องการจับผิด พระองค์ จึงขอให้พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยก ภายใน อาณาจักรนัน้ ย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน ถ้าซาตานแตกแยก กันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ปีศาจ ด้วยอำ�นาจของเบเอลเซบูล ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเบเอลเซบูล พวก พ้องของท่านขับไล่มนั ด้วยอำ�นาจของใคร พวกพ้องของท่านจะเป็นผูต้ ดั สินลงโทษ ท่าน แต่ถา้ เราขับไล่ปศี าจด้วยอำ�นาจของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักร ของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว เมื่อคนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์ สมบัติของเขาก็ปลอดภัย แต่ถ้าผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ ย่อมริบอาวุธที่เขามั่นใจนั้น และแบ่งปันข้าวของที่ปล้นได้ ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่างๆ ไว้กับเรา ย่อมทำ�ให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป” ประวัติศาสตร์ของโลกเรา เป็นประวัติศาสตร์ของสงคราม ของการ แก่งแย่งชิงความยิ่งใหญ่ ฯลฯ นี่คือเครื่องยืนยันว่ามีปีศาจแห่งความชั่วร้ายอยู่ในโลก ของเรา สงครามระหว่างความดีกับความชั่ว การต่อสู้ระหว่างพระคริสตเจ้ากับปีศาจ ยังคงมีอยู่ในโลก เราต้องเลือกระหว่างพระเป็นเจ้าหรือปีศาจ ในยุคปัจจุบันปีศาจใช้ อาวุธมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่ว่าเราอยู่ได้ด้วยตัวเองไม่ต้องพึ่งพระ เป็นเจ้า หรือวัตถุนิยมที่มุ่งสะสมทรัพย์สมบัติ หรือความเย็นเฉย หรือความหละหลวม ในการดำ�เนินชีวิต ฯลฯ เราต้องเลือกระหว่างพระเจ้ากับปีศาจ

น.ตูรีบิโอ แห่งมอนโกรเวโย พระสังฆราช สดด 95:1-2, 6-7,8-9

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 81:5-6,7ค-8, 9-10,13-14,16

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 ฮชย 14:2-10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเถิด ท่านได้สะดุดล้มลงเพราะความผิดของท่าน จงเตรียมถ้อยคำ� ทีจ่ ะพูดมาด้วย และกลับมาเฝ้าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ทูลพระองค์วา่ ‘โปรดทรงลบล้าง ความผิดทั้งหมด และทรงรับสิ่งที่ดี ข้าพเจ้าทั้งหลายจะนำ�คำ�สรรเสริญจากปาก มาถวายแทนโคเพศผู้ อัสซีเรียจะไม่ช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้น ข้าพเจ้าทั้ง หลายจะไม่ขมี่ า้ อีก จะไม่เรียกสิง่ ทีม่ อื ของข้าพเจ้าได้สร้างขึน้ อีกต่อไปว่า ‘พระเจ้า ของข้าพเจ้าทั้งหลาย’ เพราะลูกกำ�พร้าพบพระกรุณาในพระองค์’” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะรักษาเขาให้หายจากความไม่ซอื่ สัตย์ของเขา เราจะรักเขาด้วยใจจริง เพราะเราจะไม่โกรธเขาอีกแล้ว เราจะเป็นเหมือนนํ้าค้าง สำ�หรับอิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี่ เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นสน สีดาร์แห่งเลบานอน กิ่งก้านของเขาจะแผ่ขยาย เขาจะงดงามเหมือนต้นมะกอก เทศ และจะมีกลิ่นหอมเหมือนเลบานอน เขาทั้งหลายจะกลับมานั่งอยู่ใต้ร่มเงา ของเรา เขาจะปลูกข้าวสาลีอีก จะทำ�ให้เถาองุ่นผลิตผลอุดม มีชื่อเสียงเหมือน เหล้าองุ่นแห่งเลบานอน เอฟราอิมจะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับรูปเคารพอีก เราเอง จะตอบและดูแลเขา เราเป็นเหมือนต้นไซเปรสใบเขียวสดอยู่เสมอ ท่านจะได้รับ ผลของท่านจากเรา...”

พระวรสาร มก 12:28-34 เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ ทรงตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของ ท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำ�ลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะ ต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้” ธรรมาจารย์คนนัน้ ทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวทีท่ า่ นกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียง พระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มพี ระเจ้าอืน่ เลย การจะรักพระองค์สดุ จิตใจ สุดความเข้าใจ และสุดกำ�ลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการ บูชาใดๆ ทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยูไ่ ม่ไกลจากพระอาณาจักรของ พระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย ในวัยชรา นักบุญยอห์นอัครสาวกไม่สามารถเทศน์ได้ นอกจากข้อความสั้นๆ และเหมือนเดิม เสมอ ที่ท่านพูดก็คือ “ลูกรัก จงรักกันและกัน” ศิษย์ของท่านถามว่า “อาจารย์ ทำ�ไมพูดแต่เรื่องเดิมๆ” ท่าน ตอบว่า “เพราะมันเป็นบทบัญญัติของพระเจ้า” นักบุญยอห์นเลียนแบบพระเยซูเจ้าที่ไม่เคยหยุดที่จะสอนให้ รักกันและกัน รักพระเจ้าและรักเพื่อนพี่น้อง เป็นบทบัญญัติที่สำ�คัญที่สุด พระเยซูเจ้าไม่เคยหยุดที่จะสอน เรือ่ งนีแ้ ละเป็นแบบอย่างในเรือ่ งนี้ ดังนัน้ เราจะต้องไม่เบือ่ ทีจ่ ะฟัง เพราะโลกของเราต้องการความรักมาก ถ้าโลกมีความรัก โลกคงไม่มีสงคราม ไม่มีการจลาจล ไม่มีการก่อการร้าย ฯลฯ


บทอ่านที่ 1 อสย 7:10-14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกษัตริย์อาคัสอีกว่า “จงขอองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพระองค์ ให้ทรงส่งเครื่องหมายจากที่ ลึกของแดนผู้ตาย หรือจากที่สูงเบื้องบนเถิด”... ประกาศกอิสยาห์จึงทูลว่า “ราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดเอ๋ย จงฟังเถิด... องค์พระ ผู้เป็นเจ้าจะประทานเครื่องหมายให้ท่านด้วยพระองค์เอง หญิงสาวผู้หนึ่งจะตั้ง ครรภ์และให้ก�ำ เนิดบุตรชายและนางจะเรียกเขาว่า ‘อิมมานูเอล’ แปลว่า ‘พระเจ้า สถิตกับเรา’”

สมโภชการแจ้งสาร เรื่องพระวจนาตถ์ ทรงรับสภาพมนุษย์

สดด 40:6,7-8,9,10 บทอ่านที่ 2 ฮบ 10:4-10 เพราะเลือดโคเพศผู้และเลือดแพะชำ�ระบาปให้หมดสิ้นไปไม่ได้ ดังนั้น เมื่อ พระคริสตเจ้าเสด็จมาในโลก จึงตรัสว่า “พระองค์ไม่มีพระประสงค์เครื่องบูชาและของถวายอื่นใด พระองค์จึงทรงเตรียมร่างกายไว้ให้ ข้าพเจ้า พระองค์ไม่พอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาชดเชยบาป ข้าพเจ้าจึงทูลว่า ข้าแต่ พระเจ้า ข้าพเจ้าอยูท่ นี่ ี่ ในม้วนหนังสือมีขอ้ ความเขียนเกีย่ วกับข้าพเจ้าไว้วา่ ข้าพเจ้ามาเพือ่ ปฏิบตั ติ าม พระประสงค์ของพระองค์”...

พระวรสาร ลก 1:26-38 เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งใน แคว้นกาลิลชี อื่ เมืองนาซาเร็ธ มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึง่ ซึง่ หมัน้ อยูก่ บั ชายชือ่ โยเซฟ ในราชวงศ์ของ กษัตริย์ดาวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์ ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า “จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน” เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำ�นี้ พระนางมารีย์ทรงวุ่นวายพระทัยมากทรงถามพระองค์เองว่า คำ�ทักทาย นี้หมายความว่ากระไร... พระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะ เป็นพรหมจารี” ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้ สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของ พระเจ้า ดูซิ เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้งๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์บุตรชาย ใครๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำ�ไม่ได้” พระนางมารีย์จึงตรัส ว่า “ข้าพเจ้าเป็นผูร้ บั ใช้ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” แล้วทูต สวรรค์ก็จากพระนางไป คำ�ตอบรับด้วยความสุภาพของแม่พระ “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็น ไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” ได้นำ�ความรอดพ้นมาสู่มนุษยชาติ แม่พระตอบรับโดยไม่รู้ว่าจะเกิด อะไรขึ้น แต่ก็พร้อมที่จะน้อมรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น แม่พระจึงมีบทบาทสำ�คัญในแผนการความรอดของ พระเป็นเจ้า การอุทศิ ตนอย่างสิน้ เชิงของพระนาง นับตัง้ แต่การตัง้ ครรภ์ การให้ก�ำ เนิด การเลีย้ งดูและการ ร่วมในพระทรมานของพระเยซูเจ้า เป็นเครื่องยืนยันว่า “พระนางคือผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ขอให้ เรามีความสุภาพพร้อมที่จะน้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้าเหมือนกับแม่พระเถิด


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 16:1ข,6-7,10-13ก องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ซามูเอลว่า “จงเอานํ้ามันมะกอกเทศบรรจุใส่ขวด เขาสัตว์จนเต็ม และออกเดินทาง เราส่งท่านไปทีเ่ มืองเบธเลเฮม ไปหาเจสซี เพราะ เราเลือกบุตรคนหนึ่งของเขาเป็นกษัตริย์” เมือ่ เจสซีกบั บุตรมาถึง ซามูเอลเห็นเอลีอบั ก็คดิ ว่า “ผูท้ อี่ ยูเ่ ฉพาะพระพักตร์ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้นี้คือผู้ที่จะต้องรับเจิม” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับซามูเอล ว่า “อย่าสนใจมองแต่รูปร่างหน้าตา หรือความสูงของเขา เพราะเราไม่เลือกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงมองอย่างมนุษย์มอง มนุษย์มองแต่รูปร่างภายนอก แต่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมองจิตใจ” เจสซีพาบุตรทั้งเจ็ดคนมาพบซามูเอลทีละคน แต่ซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงเลือกคนเหล่านี้เลย” ซามูเอลถามเจสซีว่า “บุตรชาย ของท่านมาหมดแล้วหรือ” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึง่ แต่ขณะนีเ้ ขา กำ�ลังเลี้ยงแกะอยู่” ซามูเอลสั่งเจสซีว่า “จงส่งคนไปตามเขามาเถิด เราจะไม่นั่ง กินอาหารจนกว่าเขาจะมา” เจสซีจงึ ส่งคนไปตามมา เด็กหนุม่ นัน้ มีผมแดง ดวงตา งดงาม และรูปร่างดี องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงลุกขึ้น เจิมเขาเถอะ เป็นคนนี้ แหละ” ซามูเอลก็เอาขวดเขาสัตว์ที่บรรจุนํ้ามันมะกอกเทศมาเจิมดาวิดต่อหน้า บรรดาพี่ชาย พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เพลงสดุดี สดด 23:1-3ก,3ข,4,5,6 ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนพักอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี ทรงนำ�ข้าพเจ้าไปริมสายนทีที่เงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจของข้าพเจ้า ข) ทรงชี้ทางให้ข้าพเจ้าเดินไปบนมรรคาแห่งความชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ แม้ข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในหุบเขาที่มืดมิด ข้าพเจ้าก็จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า พระคทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ ค) พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้สำ�หรับข้าพเจ้าต่อหน้าเหล่าศัตรู ทรงเทนํ้ามันเจิมศีรษะของข้าพเจ้า ทรงเทเครื่องดื่มลงในถ้วยของข้าพเจ้าจนล้นปรี่ พระกรุณาและความรักมั่นคงของพระองค์จะติดตามข้าพเจ้าไปทุกวัน ตลอดชีวิต


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 5:8-14 พี่น้อง ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำ�เนิน ชีวติ เช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด ผลแห่งความสว่างคือความดี ความชอบธรรมและความจริงทุกประการ จงแสวงหาสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย จงอย่าเกี่ยวข้องกับกิจการแห่งความมืดซึ่งไร้ผล ตรงกัน ข้าม จงประณามกิจการเหล่านั้น เพราะสิ่งต่างๆ ที่กระทำ�กันอย่างปิดบังซ่อนเร้นนั้น แม้เพียงพูดถึงก็ น่าละอายแล้ว ทุกสิง่ ทีถ่ กู ประณามนัน้ ย่อมปรากฏชัดในความสว่าง และทุกสิง่ ทีป่ รากฏชัดนัน้ คือความ สว่าง จึงมีคำ�กล่าวไว้ว่า “ผู้หลับใหล จงตื่นเถิด จงลุกขึ้นจากบรรดาผู้ตาย และพระคริสตเจ้าจะทรงส่องสว่างเหนือท่าน” บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 9:1,6-9,13-17,34-38 เวลานัน้ ขณะทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินผ่านไป พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนตาบอดแต่ก�ำ เนิด คนหนึ่ง พระองค์ทรงถ่มพระเขฬะลงบนพื้นผสมกับดิน ป้ายตาคนตาบอด แล้วตรัสกับเขาว่า “จงไป ล้างตาที่สระสิโลอัมเถิด” “สิโลอัม” หมายความว่า “ถูกส่งไป” คนตาบอดจึงไปล้างตา แล้วกลับมา มองเห็น เพื่อนบ้านและคนที่เคยเห็นเขาเป็นขอทานมาก่อน พูดว่า “คนนี้เป็นคนที่เคยนั่งขอทานอยู่ มิใช่หรือ” บางคนพูดว่า “ใช่แล้ว” บางคนพูดว่า “ไม่ใช่ แต่เป็นคนอื่นที่คล้ายคลึงกัน” แต่คนที่เคย ตาบอดพูดว่า “ใช่แล้ว เป็นฉันเอง” คนเหล่านัน้ จึงพาคนทีเ่ คยตาบอดไปหาชาวฟาริสี วันทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงถ่มพระเขฬะผสมดิน และ ทรงรักษาตาของคนตาบอดนั้นเป็นวันสับบาโต ชาวฟาริสีได้ถามเขาอีกว่า เขามองเห็นได้อย่างไร เขา จึงตอบว่า “คนนั้นเอาโคลนป้ายตาของฉัน ฉันไปล้างตาแล้วก็มองเห็น” ชาวฟาริสีบางคนพูดว่า “คน นั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาไม่ถือวันสับบาโต” แต่บางคนแย้งว่า “คนบาปจะทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ อย่างนี้ได้อย่างไร” ชาวฟาริสีเหล่านั้นมีความคิดเห็นแตกต่างกัน จึงถามคนที่เคยตาบอดอีกว่า “ท่าน ล่ะ ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับคนนั้น ที่เขาทำ�ให้ตาของท่านกลับมองเห็น” เขาตอบว่า “คนนั้นเป็น ประกาศก” คนเหล่านั้นตอบว่า “ท่านเกิดมาในบาปทั้งตัว แล้วยังกล้ามาสั่งสอนพวกเราอีกหรือ” แล้วจึงขับ ไล่เขาออกไป พระเยซูเจ้าทรงได้ยินว่าชาวฟาริสีขับไล่คนที่ตาบอดออกไปจากศาลาธรรม เมื่อทรงพบเขา จึง ตรัสถามว่า “ท่านเชือ่ ในบุตรแห่งมนุษย์หรือ” เขาทูลถามว่า “บุตรแห่งมนุษย์คอื ใคร พระเจ้าข้า ข้าพเจ้า จะได้เชื่อในพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านได้เห็นแล้ว เป็นผู้ที่กำ�ลังพูดอยู่กับท่านนี้แหละ” เขาจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ พระเจ้าข้า” แล้วกราบลงนมัสการพระองค์ ถ้าให้เราต้องพิการอย่างใดอย่างหนึ่ง คงไม่มีใครเลือกที่จะพิการจากการมองไม่เห็น เพราะ เราจะอยูใ่ นโลกมืด ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก วันนีพ้ ระเยซูเจ้าได้รกั ษาคนตาบอดแต่ก�ำ เนิด ให้กลับมามอง เห็น เขาไม่เพียงหายจากตาบอดทางกายเท่านั้น แต่เขาหายจากตาบอดฝ่ายจิตด้วย เพราะเขามองเห็นพระ เยซูเจ้าว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า ขณะที่พวกฟาริสีกลับตาบอดมองไม่เห็น เราทุกคนต่างตาบอดในแบบ ต่างๆ ขอให้เรายอมรับมันเพื่อพระเป็นเจ้าจะได้รักษาเรา


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 30:1,3,4-5, 10-11,12

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 อสย 65:17-21 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะสร้างฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ จะไม่มผี ใู้ ดคิดถึงและจดจำ�เรือ่ งราว ในอดีตอีก แต่จงร่าเริงและยินดีเสมอในสิ่งซึ่งเรากำ�ลังจะสร้างขึ้น เพราะเรากำ�ลัง จะสร้างกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นความยินดี และสร้างประชากรของเมืองนั้นให้เป็น ความชื่นบาน เราจะยินดีเพราะกรุงเยรูซาเล็ม และร่าเริงเพราะประชากรของเรา จะไม่มผี ใู้ ดได้ยนิ เสียงร้องไห้ และเสียงครํา่ ครวญในเมืองนัน้ อีก ทีน่ นั่ จะไม่มที ารก ทีม่ ชี วี ติ เพียงสองสามวัน หรือคนชราทีต่ ายก่อนถึงกำ�หนด เพราะคนหนุม่ ทีส่ ดุ จะ ตายเมื่อมีอายุหนึ่งร้อยปี ผู้ท่ีมีอายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปีจะนับได้ว่าเป็นผู้ถูกสาปแช่ง เขาจะสร้างบ้านและจะเข้ามาอาศัย จะปลูกสวนองุ่นและจะกินผล”

พระวรสาร ยน 4:43-54 หลังจากนั้นสองวัน พระเยซูเจ้าทรงออกเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์เคยทรงประกาศ ไว้ว่า ประกาศกมักไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตน แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงแคว้นกาลิลี ชาว กาลิลีต้อนรับพระองค์อย่างดี เพราะเห็นการกระทำ�ต่างๆ ของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในระหว่างวัน ฉลองที่เขาไปร่วมด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาทีห่ มูบ่ า้ นคานาในแคว้นกาลิลอี กี ครัง้ หนึง่ พระองค์เคยทรงเปลีย่ นนํา้ เป็น เหล้าองุน่ ทีน่ นั่ ข้าราชการคนหนึง่ มีบตุ รป่วยหนักอยูท่ เี่ มืองคาเปอรนาอุม เขาได้ยนิ ว่าพระเยซูเจ้าเสด็จ จากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลแี ล้ว จึงมาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึง่ ใกล้ จะสิน้ ชีวติ พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านทัง้ หลายไม่เห็นเครือ่ งหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริยแ์ ล้ว ท่านจะไม่เชื่อเลย” ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะสิ้นใจ เถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผู้นั้นเชื่อพระวาจาที่พระ เยซูเจ้าตรัสกับเขา จึงเดินทางจากไป ขณะที่เขากำ�ลังเดินทางกลับ ผู้รับใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่า บุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว เขาซักถามถึงเวลาที่บุตรมีอาการดีขึ้น ผู้รับใช้ตอบว่า “เมื่อวานนี้เวลา บ่ายโมงอาการไข้กห็ าย” บิดาจึงรูว้ า่ นัน่ เป็นเวลาทีพ่ ระเยซูเจ้าตรัสว่า “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขากับทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ พระเยซูเจ้าทรงกระทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่สองนี้หลังจากเสด็จกลับจากแคว้นยูเดียมายัง แคว้นกาลิลี ข้าราชการคนนี้เป็นคนมีตำ�แหน่งสูง เป็นที่รู้จักของทุกคน แน่นอนการมาขอความช่วยเหลือ จากพระเยซูเจ้าลูกช่างไม้ จึงเป็นเรื่องแปลก เขาต้องถ่อมตนอย่างมาก หลังจากที่เขาทราบว่าพระองค์ไม่ เพียงแต่มีอำ�นาจในการรักษาเท่านั้น ยังมีอำ�นาจให้ชีวิตด้วย เขาได้กลายเป็นผู้มีความเชื่อในพระองค์ทันที ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นศิษย์ของพระองค์มาก่อน ผู้ที่มีความเชื่อที่แท้จริง จะไม่คิดถึงพระเป็นเจ้าเฉพาะเวลาที่ ต้องการความช่วยเหลือเท่านัน้ แต่ตอ้ งคิดถึงพระองค์เสมอโดยทางการสวดภาวนา สรรเสริญ และนมัสการ พระองค์


บทอ่านที่ 1 อสค 47:1-9,12 ในครั้งนั้น เขานำ�ข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร ข้าพเจ้าเห็นนํ้าไหลออก มาจากใต้ธรณีประตูพระวิหารด้านตะวันออก... ชายผู้นั้นเดินออกไปทางตะวัน ออก ถือเชือกวัดและวัดระยะทางหนึ่งพันศอก เขานำ�ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป... เขา ถามข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านเห็นไหม” เขาจึงนำ�ข้าพเจ้ากลับมาที่ฝั่ง แม่นาํ้ เมือ่ ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นต้นไม้จ�ำ นวนมากบนฝัง่ แม่นาํ้ ทัง้ สอง ฟาก เขาบอกข้าพเจ้าว่า “นาํ้ นีไ้ หลไปทางทิศตะวันออก ลงไปถึงลุม่ แม่นาํ้ จอร์แดน เข้าไปในทะเล เมื่อไหลเข้าไปในทะเล ก็ทำ�ให้นํ้าทะเลจืด แม่นํ้านี้ไปถึงที่ใด สิ่งมี ชีวิตที่เคลื่อนไหวในนั้นก็จะมีชีวิต จะมีปลาจำ�นวนมาก เพราะนํ้านี้ไหลไปถึงที่ใด นํ้าทะเลก็จืด แม่นํ้าไหลไปถึงที่ใด ทุกสิ่งก็มีชีวิต ตามฝั่งทั้งสองฟากของแม่นํ้า ต้นไม้ผลทุกชนิดจะเจริญเติบโต ใบของมันจะไม่เหี่ยวแห้ง และผลของมันจะไม่ วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทกุ เดือน เพราะนํา้ ทีห่ ล่อเลีย้ งต้นไม้เหล่านีไ้ หลมาจากสักการ สถาน ผลของต้นไม้เหล่านี้ใช้เป็นอาหาร และใบก็ใช้เป็นยารักษาโรค”

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 46:1-2,3-4, 5-6,7-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 5:1-3ก,5-16 หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็ถงึ วันฉลองวันหนึง่ ของชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จขึน้ ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ที่กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่าเบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน ตามระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำ�นวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต ทีน่ นั่ มีชายคนหนึง่ ป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรง ทราบว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” ผู้ป่วยนั้นตอบว่า “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วยจุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อนํ้ากระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” พระเยซู เจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด” ชายผู้นั้นก็หายเป็นปกติทันที เขายก แคร่ที่นอนและเริ่มเดินไป วันนัน้ เป็นวันสับบาโต ชาวยิวจึงพูดกับชายทีห่ ายป่วยนัน้ ว่า “วันนีเ้ ป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ ทีน่ อนไม่ได้” เขาจึงตอบว่า “คนทีร่ กั ษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ทนี่ อนและเดิน ไปเถิด’” เขาเหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอนและเดินไป” แต่ชายที่ หายป่วยไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแล้ว ต่อมา พระเยซู เจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีกในพระวิหาร จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำ�บาปอีก มิฉะนั้น เหตุร้ายกว่านี้จะเกิดขึ้นแก่ท่าน” ชายผู้นั้นจากไปแล้วบอกชาวยิวว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขา ให้หายป่วย ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวจึงเริ่มเบียดเบียนพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงกระทำ�การนี้ในวัน สับบาโต เมื่อพระเยซูเจ้าได้พบกับชายพิการที่พระองค์ได้ทรงรักษาให้หายจากโรคหลังจากที่ป่วยมา สามสิบแปดปี พระองค์ได้บอกกับเขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำ�บาปอีก มิฉะนั้น เหตุร้ายกว่านี้จะ เกิดขึ้นแก่ท่าน” พระองค์ต้องการบอกว่า บาปนั้นเป็นสิ่งเลวร้ายกว่าความเจ็บป่วยฝ่ายร่างกาย ความเจ็บ ป่วยอาจทำ�ให้พิการ แต่บาปนำ�ไปสู่ความตายนิรันดร คำ�พูดนี้พระองค์ไม่ได้พูดกับคนพิการคนนี้เท่านั้น แต่ พูดกับเราทุกคนด้วย


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 145:8-9, 13คง-14,16-19

บทอ่านที่ 1 อสย 49:8-15 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ในเวลาแห่งความโปรดปราน เราจะตอบท่าน ในวันแห่งความรอดพ้น เรา จะช่วยเหลือท่าน เราจะปกป้องท่าน และให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร เพื่อทำ�ให้แผ่นดินกลับเป็นเหมือนเดิม เพื่อจะคืนมรดกที่ถูกทำ�ลายแล้วให้ท่าน... เขาทั้งหลายจะเป็นเหมือนฝูงแกะที่หากินตามถนน และที่สูงโล่งจะเป็นทุ่งหญ้า ของเขา เขาจะไม่หิวหรือกระหายอีก...” “หญิงคนหนึง่ จะลืมบุตรทีย่ งั กินนม และจะไม่สงสารบุตรทีเ่ กิดจากครรภ์ของ นางได้หรือ แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย”

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 5:17-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “พระบิดาของเราทรงทำ�งานอยู่เสมอ เรา ก็ท�ำ งานด้วยเช่นเดียวกัน”... พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ น ทั้งหลายว่า พระบุตรไม่ทำ�สิ่งใดตามใจของตน แต่ทำ�เฉพาะสิ่งที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำ�เท่านั้น เพราะสิง่ ใดทีพ่ ระบิดาทรงกระทำ� พระบุตรก็ยอ่ มทำ�เช่นเดียวกัน เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตร และ ทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิง่ ทีท่ รงกระทำ� และจะทรงแสดงให้พระบุตรเห็นการกระทำ�ทีย่ งิ่ ใหญ่กว่า นี้อีก เพื่อให้ท่านทั้งหลายรู้สึกประหลาดใจ พระบิดาทรงทำ�ให้ผู้ตายกลับคืนชีวิต และประทานชีวิตให้ ฉันใด พระบุตรก็ประทานชีวิตให้แก่ผู้ที่พอพระทัยฉันนั้น... เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ฟังวาจาของเรา และมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรา มา ก็ย่อมมีชีวิตนิรันดร และไม่ต้องถูกพิพากษา แต่เขาได้ผ่านจากความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว เราบอก ความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เวลานั้นกำ�ลังจะมาถึง และขณะนี้ก็กำ�ลังเริ่มแล้ว เมื่อผู้ตายจะได้ยินพระ สุรเสียงของพระบุตรพระเจ้า และผู้ที่ได้ยินแล้วจะมีชีวิต เพราะพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์ฉันใด พระองค์ก็ประทานให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองฉันนั้น พระบิดาได้ประทานให้พระบุตรมีอำ�นาจ พิพากษา เพราะพระบุตรทรงเป็นบุตรแห่งมนุษย์ ท่านทั้งหลายอย่าแปลกใจในเรื่องนี้เลย เพราะถึง เวลาแล้วทีท่ กุ คนในหลุมศพจะได้ยนิ พระสุรเสียงของพระบุตร และจะออกมา ผูท้ ไี่ ด้ท�ำ ความดีจะกลับ คืนชีวิตมารับชีวิตนิรันดร ส่วนผู้ที่ทำ�ความชั่ว ก็จะกลับคืนชีวิตมารับโทษทัณฑ์ เราทำ�อะไรตามใจของ เราไม่ได้ เราได้ยินมาอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น และคำ�พิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเรามิได้ แสวงหาที่จะทำ�ตามใจของเรา แต่ทำ�ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”

มีบางคนรูส้ กึ ว่าพระเป็นเจ้าอยูห่ า่ งไกลเขาเหลือเกิน และดูเหมือนพระองค์ไม่สนพระทัยด้วย ซํ้าว่ากำ�ลังเกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้บ้าง ชาวยิวที่ตกเป็นเชลยที่เมืองบาบิโลนก็มีความรู้สึกว่าพระเป็นเจ้าได้ ละทิ้งพวกเขาแล้ว เราเองหลายครั้งก็เคยมีความสงสัยว่าพระเป็นเจ้าทรงสนพระทัยเราหรือเปล่า โดย เฉพาะเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น เช่น ญาติใกล้ชิดตาย ธุรกิจล้มเหลว ฯลฯ เพื่อนพี่น้องอาจทิ้งเราได้ แต่เราอย่า คิดว่าพระองค์ทอดทิ้งเราเด็ดขาด เหมือนกับที่พระองค์ตรัสผ่านทางประกาศกอิสยาห์ว่า “หญิงคนหนึ่งจะ ลืมบุตรที่ยังกินนม และจะไม่สงสารบุตรที่เกิดจากครรภ์ของนางได้หรือ แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มี วันลืมเจ้าเลย” บททดสอบความเชื่อที่แท้จริงเกิดขึ้นในเวลาที่เราลำ�บาก ไม่ใช่เวลาที่เราสบาย


บทอ่านที่ 1 อพย 32:7-14 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงรีบลงไปข้างล่างเถิด เพราะประชากร ของท่านซึง่ ท่านได้น�ำ ออกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์ได้ท�ำ ผิดอย่างสาหัส เขาเปลีย่ นวิถี ทางอย่างรวดเร็วออกจากทางทีเ่ ราได้สงั่ ให้เขาเดิน เขาหล่อรูปลูกโคขึน้ แล้วกราบ นมัสการ ทั้งยังถวายบูชาแก่รูปนั้น พร้อมกับกล่าวว่า ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่ แหละเป็นพระเจ้าของท่านผูท้ รงนำ�ท่านออกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์” องค์พระผูเ้ ป็น สัปดาห์ที่ 4 เจ้าตรัสกับโมเสสต่อไปว่า “เรารู้จักคนเหล่านี้ดี เขาดื้อดึงเหลือเกิน อย่าห้ามเรา เทศกาลมหาพรต เลย ความโกรธของเราจะเผาผลาญเขาทัง้ หลาย และเราจะทำ�ลายเขา เราจะทำ�ให้ สดด 106:19-20, ท่านเป็นชนชาติใหญ่” 21-22,23 โมเสสอ้อนวอนองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของตนว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ทำ�ไมพระองค์ทรงปล่อยให้พระพิโรธเผาผลาญประชากรของพระองค์ที่พระองค์ ได้ทรงนำ�ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยอานุภาพยิ่งใหญ่และด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ ทำ�ไมจะให้ชาว อียปิ ต์เยาะเย้ยได้วา่ ‘พระองค์ทรงนำ�เขาออกมาด้วยความประสงค์รา้ ย จะฆ่าเสียทีภ่ เู ขา จะทำ�ลายให้ หมดสิ้นจากแผ่นดิน’ ขอทรงระงับพระพิโรธเถิด ขอทรงเปลี่ยนพระทัยอย่าทำ�ร้ายประชากรของ พระองค์เลย ขอทรงระลึกถึงอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ผู้รับใช้พระองค์เถิด พระองค์ทรงสัญญากับ เขาโดยทรงสาบานอาศัยพระนามพระองค์วา่ เราจะให้ลกู หลานของท่านมีจ�ำ นวนมากมายเหมือนดาว ในท้องฟ้า เราจะให้แผ่นดินที่เราสัญญาไว้นี้ทั้งหมดแก่ลูกหลานของท่าน และเขาจะครอบครองเป็น มรดกตลอดไป” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทรงลงโทษประชากรของพระองค์ พระวรสาร ยน 5:31-47 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวว่า “ถ้าเราเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง คำ�ยืนยันของเราก็ใช้ไม่ได้ แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานยืนยัน ให้เรา และเรารู้ว่าคำ�ยืนยันของเขาถึงเรานั้นเป็นความจริง ท่านทั้งหลายได้ส่งคนไปถามยอห์น และ ยอห์นก็ได้เป็นพยานยืนยันถึงความจริง เราไม่ตอ้ งการคำ�ยืนยันจากมนุษย์ แต่เรากล่าวเช่นนัน้ เพือ่ ท่าน ทั้งหลายจะได้รอดพ้น ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงสว่างไสวที่จุดอยู่ ท่านทั้งหลายก็พอใจที่จะชื่นชมกับ แสงสว่างของเขาอยู่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น แต่เรามีคำ�ยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำ�ยืนยันของยอห์น คืองานที่ พระบิดาทรงมอบหมายให้เราทำ�จนสำ�เร็จ งานที่เรากำ�ลังทำ�อยู่นี้ เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาทรงส่ง เรามา พระบิดาผู้ทรงส่งเรามา ยังทรงเป็นพยานถึงเราอีกด้วย ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระสุรเสียง ของพระองค์ ทั้งไม่เคยเห็นพระพักตร์ของพระองค์” เราได้เห็นภาพโมเสสอยู่ต่อพระพักตร์พระเป็นเจ้า อ้อนวอนไม่ให้ลงโทษชาวอิสราเอลที่ได้ ละทิ้งพระองค์ไปกราบนมัสการรูปโคทองคำ� พระองค์ทรงพระพิโรธอย่างมากถึงกับเรียกชาวอิสราเอลว่า “ประชากรของท่าน” แทนที่จะเรียก “ประชากรของเรา” คำ�อ้อนวอนของโมเสสได้ทำ�ให้พระองค์เปลี่ยน พระทัย เวลานี้เรามีผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโมเสสอยู่ท่ามกลางเราคือพระเยซูเจ้า พระองค์เป็นเหมือนโมเสสใหม่ที่ ยืนต่อหน้าพระบิดาอ้อนวอนว่า “ข้าแต่พระเป็นเจ้า ทำ�ไมพระองค์ทรงปล่อยให้พระพิโรธเผาผลาญผูท้ ขี่ า้ พเจ้า ได้ไถ่มาด้วยโลหิตของข้าพเจ้าเอง คนเหล่านีเ้ ป็นประชากรของข้าพเจ้า และเป็นประชากรของพระองค์ดว้ ย” ขอบคุณพระเป็นเจ้าที่เรามีพระเยซูเจ้าอ้อนวอนแทนเรา


บทอ่านที่ 1 ปชญ 2:1ก,12-22 ผู้ไม่ยำ�เกรงพระเจ้าใช้เหตุผลผิดๆ คิดว่า “เราจงดักซุ่มทำ�ร้ายผู้ชอบธรรม เพราะเขาทำ�ให้เรารำ�คาญใจ เขาต่อต้าน กิจการของเรา เขาตำ�หนิเราว่าฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ กล่าวหาว่าเราไม่ปฏิบตั ติ ามการ อบรมทีไ่ ด้รบั เขาอ้างว่าเขารูจ้ กั พระเจ้า เรียกตนเองว่าเป็นบุตรขององค์พระผูเ้ ป็น เจ้า ชีวิตของเขาเป็นการติเตียนความรู้สึกนึกคิดของเรา เพียงแต่เห็นเขา เราก็ทน สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต ไม่ได้ เพราะชีวติ ของเขาไม่เหมือนกับผูอ้ นื่ ความประพฤติของเขาก็ตา่ งกับของเรา มาก เขาคิดว่าเราเป็นคนไร้คา่ เขาหลีกเลีย่ งวิถชี วี ติ ของเราประหนึง่ ว่าเป็นสิง่ ปฏิกลู สดด 34:16-18, เขาประกาศว่าผู้ชอบธรรมจะมีความสุขในวาระสุดท้าย อวดอ้างว่าพระเจ้าทรง 19-20,22 เป็นพระบิดาของเขา เราจงดูเถิดว่าคำ�พูดของเขาจะจริงหรือไม่ เราจงพิสจู น์วา่ จะ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เกิดอะไรขึ้นแก่เขาในวาระสุดท้าย ถ้าผู้ชอบธรรมเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ก็ จะทรงปกป้องเขา และทรงช่วยเขาให้พ้นเงื้อมมือของศัตรู เราจงสาปแช่งและ ทรมานลองใจเขา ให้รู้ว่าเขาอ่อนโยนเพียงใด และจงทดสอบว่าเขาอดทนเพียงใด เราจงตัดสินลงโทษ ให้เขาตายอย่างอัปยศ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเขา” ผู้ไม่ยำ�เกรงพระเจ้าคิดเช่นนี้ แต่เขาคิดผิด ความชั่วร้ายทำ�ให้เขาตาบอด เขาไม่รู้แผนการเร้นลับ ของพระเจ้า เขาไม่หวังว่าพระเจ้าจะทรงตอบแทนความศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่เชื่อว่าพระองค์จะประทาน รางวัลแก่ผู้ดำ�เนินชีวิตไร้ตำ�หนิ พระวรสาร ยน 7:1-2,10,25-30 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงพระประสงค์จะเสด็จไปทั่วแคว้น ยูเดียเพราะชาวยิวกำ�ลังพยายามจะฆ่าพระองค์ งานฉลองเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บรรดาพี่น้องของ พระองค์ขึ้นไปร่วมงานฉลองแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปด้วยอย่างเงียบๆ ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดเห็น ชาวเยรูซาเล็มบางคนพูดว่า “คนนีม้ ใิ ช่หรือทีเ่ ขาพยายามจะฆ่า ดูซิ คนนีก้ �ำ ลังพูดคุยอย่างเปิดเผย และไม่มใี ครห้ามปรามเขา หรือบางทีบรรดาหัวหน้าอาจยอมรับว่าเขาเป็นพระคริสต์ พวกเรารูว้ ่าคนนี้ มาจากไหน พระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน” ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในพระวิหาร พระองค์ตรัสเสียงดังว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่า เรามาจากไหน เราไม่ได้มาตามใจตนเอง พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ ท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรา รู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงส่งเรามา” คนเหล่านั้นพยายามจะจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง ประโยคที่ว่า “ชาวยิวกำ�ลังพยายามจะฆ่าพระองค์” ถ้าผู้พูดหมายถึงตัวเรา เราคงจะสั่นกลัว แน่ ปฏิกิริยาของชาวยิวโดยเฉพาะบรรดาผู้นำ�ทั้งหลาย เขามองพระเยซูเจ้าเป็นผู้คุกคาม เป็นอันตรายต่อ พวกเขา คำ�สอนและแบบอย่างของพระองค์ทำ�ให้พวกเขาไม่พอใจ เพราะทำ�ให้พวกเขาอับอาย เราต้อง กล้าหาญเหมือนพระเยซูเจ้า เราต้องกล้าที่จะทำ�ตัวต่างจากคนชั่ว มีความชั่วมากมายในโลกที่ทำ�ให้เราทำ�ดี ได้ยาก ความตายไม่ใช่จุดจบของผู้ชอบธรรม แต่เป็นประตูสู่ชีวิตนิรันดรต่างหาก




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.