03 march 2018

Page 1


บทอ่านที่ 1 ยรม 17:5-10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “คนที่วางใจในมนุษย์ย่อมถูกสาปแช่ง เขาพึ่งพลัง ของมนุษย์ ใจของเขาหันออกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นเหมือนพุ่มไม้ในถิ่น ทุรกันดาร ไม่เห็นความดีใดๆ ทีม่ าถึง เขาจะอาศัยอยูใ่ นทีแ่ ห้งแล้งของถิน่ ทุรกันดาร ใน แผ่นดินเค็มที่ไม่มีผู้คนอาศัย” “คนทีว่ างใจในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าย่อมได้รบั พระพร องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเป็นความ หวังของเขา เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ทปี่ ลูกไว้รมิ นํา้ ซึง่ หยัง่ รากออกไปทีล่ ำ�นํา้ เมือ่ ความ ร้อนมาถึง เขาก็ไม่กลัว ใบของเขาคงเขียวอยูเ่ สมอ เขาจะไม่กงั วลใจในปีทแี่ ห้งแล้ง จะ ไม่หยุดออกผล” “จิตใจหลอกลวงมากกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ไม่อาจแก้ไข ผู้ใดจะรู้จักใจได้ เรา องค์ พระผู้เป็นเจ้า สำ�รวจจิต และทดสอบใจ เพื่อจะตอบแทนแต่ละคนตามความประพฤติ ของเขา”

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 1:1-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันมาฆบูชา

พระวรสาร ลก 16:19-31 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกฟาริสีว่า “เศรษฐีผู้หนึ่งแต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน คนยากจนผู้หนึ่งชื่อ ลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของ เศรษฐี มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำ�เขาไปอยู่ในอ้อมอกของ อับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้ เศรษฐีซึ่งกำ�ลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงน หน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก จึงร้องตะโกนว่า “ท่านพ่ออับราฮัม จง สงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิว้ จุม่ นํา้ มาแตะลิน้ ให้ลกู สดชืน่ ขึน้ บ้าง เพราะลูกกำ�ลังทุกข์ทรมาน อย่างสาหัสในเปลวไฟนี้” แต่อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย จงจำ�ไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ ส่วน ลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลวๆ บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้าม จากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย” เศรษฐีจงึ พูดว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ทา่ นส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพนี่ อ้ งอีก ห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย” อับราฮัมตอบว่า “พี่น้องของลูกมี โมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด” แต่เศรษฐีพูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่อ อับราฮัม ถ้าใครคนหนึง่ จากบรรดาผูต้ ายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ” อับราฮัมตอบว่า “ถ้าเขาไม่เชือ่ ฟังโมเสส และบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ” เรื่องเศรษฐีกับลาซารัส เป็นภาพสะท้อนให้เห็นการเทศน์สอนเรื่อง ความสุขแท้จริง และคำ� สาปแช่งของพระเยซูเจ้า “ท่านที่หิวในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะอิ่ม” (ลก 6:21) “วิบัติจงเกิดกับท่านที่ รํ่ารวย เพราะท่านได้รับความเบิกบานใจแล้ว” (ลก 6:24) เศรษฐีถูกลงโทษไม่ใช่เพราะว่าเขารํ่ารวย แต่เพราะ ความเห็นแก่ตัว ไม่ได้ยินเสียงของลาซารัส ไม่ได้ยินเสียงผู้ที่ขาดแคลน ไม่สนใจคนยากจน เก็บความรํ่ารวยเพื่อ ความสุขของตนเอง มหาพรตนี้สิ่งที่เราสะสม เราสะสมเพื่อตนเองหรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 105:16-18,19, 20-22 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันศุกร์ต้นเดือน

บทอ่านที่ 1 ปฐก 37:3-4,12-13ก,17ข-28 ยาโคบรักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่นๆ เพราะโยเซฟเกิดมาเมื่อยาโคบชราแล้ว ยาโคบตัดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษให้โยเซฟ เมื่อพี่ชายเห็นว่าบิดารักโยเซฟมากกว่า บุตรคนอื่นๆ ต่างก็เกลียดชังเขามากจนไม่ยอมพูดดีด้วย พี่ชายของโยเซฟไปเลี้ยงแพะแกะของบิดาในบริเวณเมืองเชเคม อิสราเอลบอก โยเซฟว่า “พี่ๆ ของลูกกำ�ลังเลี้ยงแพะแกะอยู่ที่เชเคม มาซิ พ่อจะส่งลูกไปพบเขา” โยเซฟจึงตามไปพบพี่ชายที่เมืองโดธาน พี่ชายเห็นโยเซฟแต่ไกลก่อนที่โยเซฟจะมาถึง จึงวางแผนจะฆ่าเสีย... เมื่อโยเซฟมาถึง พี่ชายก็ช่วยกันจับเขาถอดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษซึ่งเขาสวม อยู่ แล้วโยนเขาลงไปในบ่อ บ่อนั้นแห้งไม่มีนํ้า แล้วพี่ชายทุกคนก็นั่งลงกินอาหาร... เวลานั้น พ่อค้าชาวมีเดียนผ่านมา พี่ๆ จึงดึงโยเซฟขึ้นจากบ่อ แล้วขายให้แก่ ชาวอิชมาเอลเป็นราคาเงินหนักยี่สิบบาท พ่อค้าเหล่านี้จึงพาโยเซฟไปอียิปต์

พระวรสาร มธ 21:33-43,45-46 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวน หนึ่ง ทำ�รั้วล้อม ขุดบ่อยํ่าองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อใกล้ถึงฤดู เก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำ�นวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำ�กับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็น ทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด เราจะได้มรดกของเขา’ เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำ�ตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมือ่ เจ้าของสวนมา เขาจะทำ�อย่างไร กับคนเช่าสวนพวกนั้น” บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำ�จัดพวกใจอำ�มหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะ ยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำ�หนดเวลา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านในพระ คัมภีร์หรือว่า ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำ�เช่นนั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก’ ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่ จะทำ�ให้บังเกิดผล” เมือ่ บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสไี ด้ยนิ อุปมาเหล่านีก้ เ็ ข้าใจว่า พระองค์ตรัสถึงพวกเขา จึงพยายาม จับกุมพระองค์ แต่ยังเกรงประชาชน เพราะประชาชนนับถือพระองค์เป็นประกาศก อุปมาเรือ่ งคนเช่าสวนชัว่ ร้าย เป็นอุปมาทีส่ รุปประวัตศิ าสตร์แห่งความรอดของชาวอิสราเอล อุปมา วันนี้พระเยซูเจ้าทรงประณามการใช้อำ�นาจที่ผิดของผู้เช่าสวน หมายถึงสมณะและผู้อาวุโสที่ไม่ดูแลประชากร ของพระเจ้า แต่กลับทำ�ร้ายบุตรเจ้าของสวน (35) ตอนท้ายของพระวรสารบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี เข้าใจสิง่ ทีพ่ ระเยซูตรัส (45) แต่เพราะจิตใจหยาบ จิตใจทีแ่ ข็งกระด้าง แม้เข้าใจก็ยงั ทำ�ร้ายพระเยซูเจ้า มหาพรต นี้ให้เราไตร่ตรอง กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เราทำ�ร้ายเพื่อนพี่น้องรอบข้าง


บทอ่านที่ 1 มคา 7:14-15,18-20 โปรดทรงใช้ไม้ขอของผูเ้ ลีย้ งแกะเลีย้ งดูประชากร คือฝูงแพะแกะทีเ่ ป็นมรดกของ พระองค์ ซึง่ อาศัยโดดเดีย่ วอยูใ่ นป่า ทีม่ แี ผ่นดินอุดมสมบูรณ์อยูโ่ ดยรอบ โปรดทรงให้ เขาหากินอยูใ่ นแคว้นบาชานและกิเลอาดเหมือนในสมัยก่อน โปรดทรงแสดงปาฏิหาริย์ แก่ขา้ พเจ้าทัง้ หลาย เหมือนในสมัยทีท่ รงนำ�ข้าพเจ้าทัง้ หลายออกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์... ขอพระองค์ทรงพระเมตตาต่อข้าพเจ้าทัง้ หลายอีกครัง้ หนึง่ โปรดทรงเหยียบยํา่ ความ ผิดของข้าพเจ้าทัง้ หลาย พระองค์จะทรงเหวีย่ งบาปของข้าพเจ้าทัง้ หลายลงไปในทะเลลึก... ดังทีเ่ คยทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรษุ ของข้าพเจ้าทัง้ หลาย ตัง้ แต่นานมาแล้ว

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 103:1-2,3-4, 9-10,11-12 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ลก 15:1-3,11-32 เวลานั้น บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า ชาวฟาริสี และธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา” พระองค์ จึงตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้เขาฟังว่า “ชายผู้หนึ่งมีลูกสองคน ลูกคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ ลูกเถิด’ บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน ต่อมาไม่นาน ลูกคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทาง ไปยังดินแดนห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วดินแดนนั้น และเขาเริ่มขัดสน จึงไปรับจ้างอยู่กับชาว เมืองคนหนึ่ง คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้ เขาจึงรู้สำ�นึกและคิดว่า ‘...ฉันจะกลับไป หาพ่อ พูดกับพ่อว่า พ่อครับ ลูกทำ�บาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด’ เขาก็กลับไปหาพ่อ ขณะทีเ่ ขายังอยูไ่ กล พ่อมองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา ลูกจึงพูดกับพ่อ...แต่พอ่ พูดกับผู้รับใช้ว่า ‘เร็วเข้า จงไปนำ�เสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำ�แหวนมาสวมนิ้ว นำ�รองเท้ามาใส่ให้ จง นำ�ลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด...’ แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น ส่วนลูกคนโต อยูใ่ นทุง่ นา เมือ่ กลับมาใกล้บา้ น ได้ยนิ เสียงดนตรีและการร้องรำ� จึงเรียกผูร้ บั ใช้คนหนึง่ มาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้รับใช้บอกเขาว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว พ่อสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย’ ลูกคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน พ่อจึงออกมาขอร้องให้ เข้าไป แต่เขาตอบพ่อว่า ‘ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำ�สั่งของพ่อเลย พ่อก็ไม่เคยให้ลูก แพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ...’ พ่อพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยูก่ บั พ่อเสมอมา ทุกสิง่ ทีพ่ อ่ มีกเ็ ป็นของลูก แต่จำ�เป็นต้องเลีย้ งฉลองและชืน่ ชม ยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’”

อุปมาเรื่องลูกล้างผลาญและลูกที่คิดว่าตนทำ�ดีแล้ว เป็นอุปมาที่จะตอบคำ�ถามของฟาริสีและ ธรรมาจารย์ที่ไม่พอใจที่พระองค์ทรงต้อนรับคนบาป เป็นอุปมาแสดงให้เห็นถึงความรัก พระเมตตากรุณาและ การให้อภัยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ เป็นท่าทีของบิดาที่เต็มไปด้วยความเมตตาโดยไม่สนใจในความผิดที่ผ่าน มาของบุตรชาย (20) มหาพรตนี้ให้เราวอนขอต่อพระเป็นเจ้าว่า “พ่อครับ ลูกทำ�บาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด” (18)


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 20:1-3,7-8,12-17 พระเจ้าตรัสทุกถ้อยคำ�ต่อไปนี้ว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เป็น ผู้นำ�ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ ให้พ้นจากการเป็นทาส ท่านต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา ท่านต้องไม่กล่าวพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างไม่เหมาะสม เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะไม่ทรงละเว้นโทษผูท้ กี่ ล่าวพระนามพระองค์อย่างไม่เหมาะ สม จงระลึกถึงวันสับบาโตเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ จงนับถือบิดามารดา เพื่อท่านจะได้มีอายุยืนอยู่ในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านประทานให้ อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้ภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือ บ่าวไพร่ชายหญิง โค ลา หรือทรัพย์สินใดที่เป็นของเพื่อนบ้าน” เพลงสดุดี สดด 19:7,8,9,10 ก) ธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าสมบูรณ์ทุกประการ ให้ความชื่นบานแก่จิตวิญญาณ กฤษฎีกาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มั่นคง ให้ปรีชาญาณแก่ผู้ด้อยปัญญา ข) ข้อบังคับขององค์พระผู้เป็นเจ้าสุจริต ทำ�ให้ดวงจิตปีติยินดี บทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ชัดเจน ให้แสงสว่างแก่ดวงตา ค) ความย�ำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์ด�ำรงอยู่ตลอดไป กฎเกณฑ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็สัตย์จริง เที่ยงธรรมทุกประการ ง) เป็นที่พึงปรารถนามากกว่าทองค�ำ ยิ่งกว่าทองค�ำบริสุทธิ์มากมาย หวานล�้ำกว่าน�้ำผึ้งที่หยดลงมาจากรวง


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 1:22-25 พี่น้อง ขณะที่ชาวยิวเรียกร้องขอดูอัศจรรย์ และชาว กรีกแสวงหาปรีชาญาณ เรากลับประกาศเรือ่ งพระคริสตเจ้า ผู้ทรงถูกตรึงกางเขน อันเป็นข้อขัดข้องมิให้ชาวยิวรับไว้ได้ และเป็นเรื่องโง่เขลาสำ�หรับชาวกรีก แต่สำ�หรับผู้ท่ีพระเจ้า ทรงเรียกนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก พระคริสตเจ้า ทรงเป็นทั้งพระอานุภาพและพระปรีชาญาณของพระเจ้า เพราะความโง่เขลาของพระเจ้ายังฉลาดยิ่งกว่าปรีชาญาณ ของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยงั เข้มแข็งยิง่ กว่า พละกำ�ลังของมนุษย์ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 2:13-25 เทศกาลปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในบริเวณพระวิหาร พระองค์ทรงพบพ่อค้าขายโค พ่อค้าขายแกะ พ่อค้าขายนกพิราบ และคนแลกเงินนั่งอยู่ที่โต๊ะ พระองค์ทรง ใช้เชือกเป็นแส้ ทรงขับไล่ทกุ คนรวมทัง้ แกะและโคออกจากพระวิหาร ทรงปัดเงินกระจายเกลือ่ นกลาด และ ทรงควํ่าโต๊ะของผู้แลกเงิน แล้วตรัสกับคนขายนกพิราบว่า “จงนำ�ของเหล่านี้ออกไป อย่าทำ�บ้านของพระ บิดาของเราให้เป็นตลาด” บรรดาศิษย์จงึ ระลึกได้ถงึ คำ�ทีเ่ ขียนไว้ในพระคัมภีรว์ า่ “ความรักทีข่ า้ พเจ้ามีตอ่ บ้าน ของพระองค์เป็นเสมือนไฟทีเ่ ผาผลาญข้าพเจ้า” ชาวยิวจึงเข้ามาทูลถามพระองค์วา่ “ท่านมีเครือ่ งหมายอะไร แสดงให้เรารูว้ า่ ท่านมีอำ�นาจทำ�ดังนี”้ พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “จงทำ�ลายพระวิหารนี้ แล้วเราจะสร้างขึน้ ใหม่ ภายในสามวัน” ชาวยิวพูดว่า “พระวิหารหลังนี้ต้องใช้เวลาสร้างถึงสี่สิบหกปี แล้วท่านจะสร้างขึ้นใหม่ใน สามวันหรือ” แต่พระองค์กำ�ลังตรัสถึงพระวิหารซึ่งหมายถึงพระกายของพระองค์ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรง กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสไว้ดังนี้ เขาจึงเชื่อทั้งพระ คัมภีร์และพระวาจาที่พระองค์ตรัสไว้ ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา คนจำ�นวนมากเชื่อในพระนามพระองค์ เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ต่างๆ ที่ทรงกระทำ� แต่พระเยซูเจ้าไม่วางพระทัยในคนเหล่านั้น ทรงรู้จัก ทุกคน พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้ใดเป็นพยานในเรื่องมนุษย์ เพราะทรงทราบดีว่ามีสิ่งใดอยู่ในใจมนุษย์ พระวรสารนักบุญยอห์นวันนี้นำ�เสนอความเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า พระองค์โกรธ ขุ่นเคือง ไม่ พอใจ ทำ�ไมพระเยซูเจ้าจึงโกรธ? เพราะ “ทำ�บ้านของพระบิดาของเราให้เป็นตลาด” (16) พระวิหารของพระ เป็นเจ้าถูกใช้ไปในทางที่ผิด เป็นการหมิ่นพระเป็นเจ้า ร่างกายของเราคริสตชนเป็นวิหารของพระจิตเจ้า (2 คร 4:10-14) หากภายในตัวเราทำ�ให้เป็นตลาด หวังแต่แสวงหาผลประโยชน์ กำ�ไร ขาดทุน เอาเปรียบผู้อื่น ไม่ต่าง อะไรกับพ่อค้าในพระวิหารในพระวรสารนักบุญยอห์นในวันนี้


บทอ่านที่ 1 2 พกษ 5:1-15 ในครั้งนั้น นาอามานผู้บัญชาการกองทัพของกษัตริย์แห่งอารัม เป็นคนสำ�คัญที่ กษัตริย์ทรงยกย่องนับถืออย่างยิ่ง เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานชัยชนะแก่ชาว อารัมโดยทางเขา แต่ชายฉกรรจ์ผู้น้ีป่วยเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง ครั้งหนึ่ง เมื่อชาว อารัมออกไปปล้นแผ่นดินอิสราเอล เขาจับเด็กหญิงคนหนึ่งมาด้วย เด็กหญิงคนนัน้ มา เป็นสาวใช้ของภรรยานาอามาน เธอบอกนายหญิงว่า “ถ้าเจ้านายผู้ชายเพียงแต่ไปหา สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต ประกาศกที่กรุงสะมาเรีย ประกาศกคงจะรักษาเจ้านายให้หายจากโรคได้” นาอามาน ไปเฝ้ากษัตริย์ ทูลว่าเด็กหญิงจากแผ่นดินอิสราเอลบอกอย่างนี้ กษัตริย์แห่งอารัมตรัส สดด 42:1-2,43:3,4 ตอบว่า “ไปเถิด เราจะส่งสารไปถวายกษัตริยแ์ ห่งอิสราเอล” นาอามานจึงออกเดินทาง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ไป... เขานำ�สารไปถวายกษัตริย์แห่งอิสราเอล...เมื่อกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงอ่านสาร นั้นแล้ว ก็ทรงฉีกฉลองพระองค์... เมือ่ เอลีชาคนของพระเจ้าได้ยนิ ว่ากษัตริยท์ รงฉีกฉลองพระองค์ ก็สง่ คนไปทูลกษัตริยว์ า่ “พระองค์ทรง ฉีกฉลองพระองค์ทำ�ไม ขอพระองค์ทรงส่งชายคนนั้นมาหาข้าพเจ้า แล้วเขาจะรู้ว่ามีประกาศกในอิสราเอล” นาอามานจึงขึ้นรถม้าไปหยุดที่ประตูบ้านของเอลีชา เอลีชาใช้คนไปบอกเขาว่า “จงไปชำ�ระตัวในแม่นํ้า จอร์แดนเจ็ดครั้ง แล้วเนื้อหนังของท่านจะหายจากโรคและสะอาดเหมือนเดิม” นาอามานโกรธมากจึงจาก ไป... เขาหันหลังกลับไปด้วยความโกรธ บรรดาผู้รับใช้ของเขาเข้ามาเตือนว่า “นายขอรับ ถ้าประกาศกบอก ท่านให้ทำ�สิ่งยาก ท่านก็คงจะทำ�ตามไม่ใช่หรือ บัดนี้ เขาบอกแต่เพียงว่า จงไปชำ�ระตัว แล้วท่านจะหายจาก โรค” นาอามานจึงลงไปจุม่ ตัวในแม่นาํ้ จอร์แดนเจ็ดครัง้ ตามทีค่ นของพระเจ้าบอก แล้วเนือ้ หนังของเขาก็หาย จากโรค สะอาดเหมือนผิวของเด็กเล็กๆ... พระวรสาร ลก 4:24-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ พระองค์ตรัสกับประชาชนในศาลาธรรมว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ไม่มปี ระกาศกคนใดได้รบั การต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความ อดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไป หาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรค เรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น” เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำ�ไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำ�เนินฝ่ากลุ่มคนเหล่า นั้น แล้วเสด็จจากไป หลังจากพระเยซูเจ้าประกาศภารกิจของพระองค์ (ลก 4:18-19) ปฏิกริยาของผู้ฟังมีทั้งยอมรับ และปฏิเสธพระองค์ พระวรสารวันนี้ พระเยซูได้ยกตัวอย่างการหายจากโรคเรือ้ นของนาอามานชาวซีเรีย ในสมัย ประกาศกเอลีชา มาสอนผู้ที่ปฏิเสธพระองค์ แทนที่พวกเขาจะกลับใจ กลับโกรธเคืองยิ่งกว่าเดิม (28) มหาพรตเป็นช่วงเวลาทีเ่ ราจะมีประสบการณ์เดียวกับพระเยซูเจ้า หลายๆ ครัง้ เราตักเตือนเพือ่ นพีน่ อ้ ง เรา กลับได้รับความโกรธแค้น เป็นการตอบแทน ให้เราเดินฝ่าคนเหล่านั้นไปด้วยความอดทน (30)


บทอ่านที่ 1 ดนล 3:25,34-43 อาซาริยาห์ยืนอธิษฐานภาวนาเสียงดังอยู่กลางไฟว่าดังนี้ “ขออย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดไป เพราะเห็นแก่พระนามพระองค์ ขอ อย่าทรงทำ�ลายพันธสัญญาของพระองค์เลย ขออย่าทรงเพิกถอนพระกรุณาไปจาก ข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะเห็นแก่อับราฮัมมิตรสหายของพระองค์ เพราะเห็นแก่อิสอัค ผูร้ บั ใช้ของพระองค์ และเพราะเห็นแก่อสิ ราเอลผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิข์ องพระองค์ พระองค์ทรง สัญญาแก่เขาเหล่านี้ว่า จะให้เขามีลูกหลานจำ�นวนมากดุจดวงดาวในท้องฟ้า ดุจเม็ด ทรายบนชายทะเล ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า บัดนีข้ า้ พเจ้าทัง้ หลายกลายเป็นชนชาติเล็ก น้อยที่สุด วันนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องอับอายทั่วแผ่นดินเพราะบาปของข้าพเจ้าทั้ง หลาย... ขอทรงพระกรุณารับข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นเครื่องบูชาเฉพาะพระพักตร์ในวันนี้ แล้วข้าพเจ้าทัง้ หลายจะติดตามพระองค์ตอ่ ไป เพราะผูท้ วี่ างใจในพระองค์ยอ่ มไม่ได้รบั ความอับอาย... โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นด้วยกิจการอัศจรรย์ของ พระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานพระเกียรติแก่พระนามพระองค์เถิด”

สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 25:4-6,7, 8-9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร มธ 18:21-35 เวลานัน้ เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพีน่ อ้ งทำ�ผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษ ให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะ ที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำ�ชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ เขาไม่มีสิ่งใดจะชำ�ระ หนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาท ทูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสาร จึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่ง ร้อยเหรียญ เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’ เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอม ฟัง นำ�ลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำ�ระหนี้ทั้งหมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำ�ความ ทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมด เพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำ�ผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำ�ระหนี้ทั้งหมด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำ� ต่อท่านทำ�นองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง” ธรรมาจารย์สอนว่า ควรยกโทษให้คนที่ทำ�ผิด แต่ให้อภัยสามครั้งเท่านั้น แต่พระวรสารในวันนี้ สำ�หรับพระเยซูเจ้า ไม่นับจำ�นวนครั้งสำ�หรับการยกโทษ พระองค์ไม่จดจำ�การยกโทษให้กับคนใดคนหนึ่งไม่ว่า จะกี่ครั้งกี่หนก็ตาม การยกโทษของพระเป็นเจ้า ไม่ได้หมายความว่า สนับสนุนเราให้ทำ�บาปเยอะๆ โกงมากๆ แต่พระองค์ให้อภัยสำ�หรับผูส้ �ำ นึกผิดและพร้อมทีจ่ ะกลับใจเสมอ มหาพรตนี้ ในเมือ่ พระเยซูเจ้าให้อภัยบาปของ เราอย่างหมดจด เราเองควรจะมีใจกว้างให้อภัยเพื่อนพี่น้องด้วยเช่นเดียวกัน


ระลึกถึง น.แปร์เปตูอา และ น.เฟลีชีตัส มรณสักขี สดด 147:12-13, 15-16,19-20 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 ฉธบ 4:1,5-9 โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “บัดนี้ ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังข้อกำ�หนดและ กฎเกณฑ์ที่ข้าพเจ้าสอนท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติ แล้วท่านจะมีชีวิต และเข้ายึดครอง แผ่นดินซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงมอบให้ท่าน ดูซิ ข้าพเจ้าสอนท่านให้รจู้ กั ข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์ดงั ทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า ของข้าพเจ้าทรงบัญชา เพือ่ ท่านจะได้ปฏิบตั ติ ามในแผ่นดินทีท่ า่ นกำ�ลังจะเข้าไปยึดครอง ท่านจะต้องปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์ เพื่อชนชาติอื่นๆ จะได้เห็นว่าท่านมีความเข้าใจ และปรีชาญาณ เมื่อเขาได้ยินคำ�พูดถึงข้อกำ�หนดเหล่านี้ เขาจะพูดว่า ชนชาติยิ่งใหญ่ นี้เท่านั้นเป็นประชากรที่มีความเข้าใจและปรีชาญาณ เพราะไม่มีชนชาติใดแม้ยิ่งใหญ่ เพียงใดก็ตามจะมีพระเจ้าอยูใ่ กล้ชดิ ดังทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของเราสถิตใกล้ชดิ เรา ทุกครั้งที่เราร้องทูลพระองค์ ไม่มีชนชาติยิ่งใหญ่ชาติใดมีข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์ เที่ยงธรรมเท่ากับธรรมบัญญัตินี้ที่ข้าพเจ้ากำ�ลังสอนท่านอยู่ในวันนี้ จงจำ�ใส่ใจ จงทำ�ทุกอย่างเพือ่ จะไม่ลมื เหตุการณ์ทที่ า่ นได้เห็นกับตาตราบทีท่ า่ นยัง มีชีวิตอยู่ อย่าให้เหตุการณ์เหล่านี้เลือนไปจากใจ ท่านจะต้องเล่าให้บุตรหลานทุกรุ่น ของท่านฟัง” พระวรสาร มธ 5:17-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพือ่ ลบล้างธรรมบัญญัตหิ รือคำ�สอนของบรรดาประกาศก เรา มิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดทีฟ่ า้ และดินยังไม่สญ ู สิน้ ไป แม้แต่ตวั อักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหาย ไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำ�เร็จไป ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียง ข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ตํ่าต้อยที่สุด ในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรม ของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย” ในหนังสืออพยพ พระบัญญัติสั่งว่า “อย่าฆ่าคน” (20:13) แต่สำ�หรับ พระเยซูเจ้าสอนว่า ไม่ควรแม้แต่จะโกรธเพื่อนพี่น้อง เพราะเป็นการฆ่าคนอยู่ในใจแล้ว (มธ 5:21-22) นี่คือตัวอย่างที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า พระองค์มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ขึ้น มหาพรตเป็นช่วงเวลาทีม่ องชีวติ ภายในตัวตนของเรา การปฏิบตั พิ ระบัญญัตขิ องพระเป็น เจ้า ปฏิบัติตามพระวาจาของพระเป็นเจ้า มาจากหัวใจที่รักพระอย่างแท้จริง หรือหัวใจที่ อยากให้คนสรรเสริญยกย่องว่า ฉันเป็นผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้า


บทอ่านที่ 1 ยรม 7:23-28 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงฟังเสียงของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของท่าน และท่าน จะเป็นประชากรของเรา จงเดินตามทางที่เราจะสั่งท่านไว้ แล้วท่านจะได้อยู่อย่าง เป็นสุข” แต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง กลับดำ�เนินตามแผนการในความดื้อ กระด้างของใจชัว่ ของตน หันหลังให้เราแทนทีจ่ ะหันหน้า ตัง้ แต่วนั ทีบ่ รรพบุรษุ ของท่าน ทั้งหลายออกจากแผ่นดินอียิปต์จนทุกวันนี้ เราได้ส่งประกาศกผู้รับใช้ทุกคนของเราไป หาท่านทัง้ หลายครัง้ แล้วครัง้ เล่าเสมอมา แต่เขาทัง้ หลายมิได้เชือ่ ฟังหรือเงีย่ หูฟงั กลับ ดือ้ ดึงทำ�ความชัว่ มากกว่าบรรพบุรษุ เสียอีก ท่านจงไปบอกถ้อยคำ�เหล่านีท้ งั้ หมดแก่เขา แต่เขาจะไม่ฟังท่าน ท่านจะเรียกเขา แต่เขาจะไม่ตอบ ท่านจงบอกเขาว่า “นี่คือชนชาติ ทีไ่ ม่เชือ่ ฟังพระสุรเสียงขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของตน และไม่ยอมรับคำ�สัง่ สอน ความซื่อสัตย์ไม่มีอีกแล้ว หายไปจากปากของเขาแล้ว”

น.ยอห์น แห่งพระเจ้า นักบวช สดด 95:1-2,6-7,8-9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันสตรีสากล

พระวรสาร ลก 11:14-23 เวลานัน้ พระเยซูเจ้ากำ�ลังทรงขับไล่ปศี าจซึง่ ทำ�ให้คนเป็นใบ้ เมือ่ ปีศาจออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ แต่บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ปีศาจด้วย อำ�นาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้ พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตัง้ อยูไ่ ด้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ปศี าจด้วยอำ�นาจของ เบเอลเซบูล ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มัน ด้วยอำ�นาจของใคร พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจ ด้วยอำ�นาจของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว เมื่อ คนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย แต่ถ้าผู้ใด แข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่เขามั่นใจนั้น และแบ่งปัน ข้าวของที่ปล้นได้ ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่างๆ ไว้กับเรา ย่อม ทำ�ให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป” พระวาจาวันนี้ ประชาชนตื่นเต้น ประหลาดใจ ที่พระเยซูเจ้าทำ�ให้คนเป็นใบ้พูดได้ แทนที่จะเชื่อ ในพระองค์ กลับคิดว่าพระองค์ทรง “เป็นนายของปีศาจ” (15) ใช้อำ�นาจของปีศาจ พระเยซูเจ้าได้ใช้พระคัมภีร์ (อสย 49:24-26) มาตอบข้อสงสัยของผู้ที่คิดว่าพระองค์ใช้อำ�นาจของปีศาจ พระเยซูเจ้าก็คือผู้ที่ปลดปล่อยคน ใบ้ที่อยู่ในอำ�นาจของปีศาจ พระองค์คือผู้ที่แข็งแรงที่สุด พระองค์ไม่ใช่ปีศาจ พิจารณาดูว่ามหาพรตนี้ สิ่งที่เรา พลีกรรม ให้ทาน จำ�ศีลอดอาหาร มาจากแรงบันดาลใจของพระเป็นเจ้าหรือมาจากเกียรติยศ


บทอ่านที่ 1 ฮชย 14:2-10 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาเฝ้าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า ของท่านเถิด ท่านได้สะดุดล้มลงเพราะความผิดของท่าน จงเตรียมถ้อยคำ�ที่จะพูดมา ด้วย และกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลพระองค์ว่า ‘โปรดทรงลบล้างความผิด ทั้งหมด และทรงรับสิ่งที่ดี ข้าพเจ้าทั้งหลายจะนำ�คำ�สรรเสริญจากปากมาถวายแทนโค น.ฟรังซิสกา เพศผู้ อัสซีเรียจะไม่ช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ขี่ม้าอีก จะ ไม่เรียกสิง่ ทีม่ อื ของข้าพเจ้าได้สร้างขึน้ อีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าของข้าพเจ้าทัง้ หลาย’ เพราะ ชาวโรม ลูกกำ�พร้าพบพระกรุณาในพระองค์’” นักบวช องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะรักษาเขาให้หายจากความไม่ซื่อสัตย์ของเขา เรา สดด 81:5-6,7ค-8, 9-10,13-14,16 จะรักเขาด้วยใจจริง เพราะเราจะไม่โกรธเขาอีกแล้ว เราจะเป็นเหมือนนํ้าค้างสำ�หรับ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 อิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี่ เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นสนสีดาร์แห่ง เลบานอน กิง่ ก้านของเขาจะแผ่ขยาย เขาจะงดงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และจะมีกลิน่ หอมเหมือนเลบานอน เขาทัง้ หลายจะกลับมานัง่ อยูใ่ ต้รม่ เงาของเรา เขาจะปลูกข้าวสาลีอกี จะทำ�ให้เถาองุน่ ผลิตผลอุดม มีชอื่ เสียง เหมือนเหล้าองุน่ แห่งเลบานอน เอฟราอิมจะต้องเกีย่ วข้องอะไรกับรูปเคารพอีก เราเองจะตอบและดูแลเขา เราเป็นเหมือนต้นไซเปรสใบเขียวสดอยู่เสมอ ท่านจะได้รับผลของท่านจากเรา ผู้มีปรีชาพึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ผู้ใดฉลาดก็จงรู้ เพราะหนทางทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนเที่ยง ธรรม ผู้ชอบธรรมย่อมเดินตามทางนี้ แต่ผู้ล่วงละเมิดจะสะดุดล้ม” พระวรสาร มก 12:28-34 เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรง ตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของ เราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุด จิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำ�ลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อน มนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้” ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียง พระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มพี ระเจ้าอืน่ เลย การจะรักพระองค์สดุ จิตใจ สุดความเข้าใจและ สุดกำ�ลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใดๆ ทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของ พระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย มีผู้นับบัญญัติในโตราห์มีทั้งหมด 613 ข้อ แต่สำ�หรับพระเยซูเจ้าสรุปพระบัญญัติได้ 2 ข้อ คือรัก พระเป็นเจ้าและรักเพื่อนพี่น้อง ผลของการรักพระเป็นเจ้า ต้องแสดงออกด้วยการรักเพื่อนพี่น้อง ไม่ใช่รัก พระเป็นเจ้าเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเหมือนกับฟาริสี มหาพรตนี้ให้เราไตร่ตรองดูว่า ความคิด การตัดสินใจ และการ กระทำ�ของเราเป็นการแสดงออกเพื่อรักพระเป็นเจ้า หรือเพื่อหวังผลประโยชน์เหมือนฟาริสี


บทอ่านที่ 1 ฮชย 6:1-6 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด พวกเราจงกลับไปหาองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระองค์ ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้เรา อีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้น วันที่สามจะทรงทำ�ให้เราลุกขึ้น แล้วเราจะมีชีวิต อยู่เฉพาะพระพักตร์ พวกเราจงรู้จัก จงรีบรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด พระองค์จะเสด็จ มาอย่างแน่นอนเหมือนรุ่งอรุณ จะเสด็จมาหาเราเหมือนฝน เหมือนฝนต้นฤดูใบไม้ผลิ ที่รดพื้นแผ่นดิน” “เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำ�อย่างไรดีกับท่าน ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำ�อย่างไรดีกับท่าน ความรักของท่านเป็นเหมือนเมฆในยามเช้า เหมือนนํ้าค้างที่หายไปตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้น เราจึงใช้บรรดาประกาศกให้ทุบเขาทั้งหลายจนแหลกลาญ เราใช้คำ�พูดจากปากของเรา ฆ่าเขา คำ�พิพากษาของเราจะออกมาเหมือนแสงสว่าง เพราะเราต้องการความรักมัน่ คง ไม่ประสงค์การถวายบูชา เราต้องการการรู้จักพระเจ้า มากกว่าเครื่องเผาบูชา” พระวรสาร ลก 18:9-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรม และดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็น ชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า ‘ข้าแต่ พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ทขี่ า้ พเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอืน่ ทีเ่ ป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำ�ศีลอดอาหารสัปดาห์ ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า’ ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ ข้อน-อก พูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด’ เรา บอกท่านทั้งหลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้ รับ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ตํ่าลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้ สูงขึ้น”

ฟาริสีในพระวรสารวันนี้ ไม่ได้ภาวนาสรรเสริญพระเป็นเจ้า แต่กำ�ลัง สรรเสริญตนเอง (12) การสรรเสริญตนเอง นำ�เขาไปสู่ความเย่อหยิ่ง รังเกียจผู้อื่น กีดกัน ตนเองให้พบปะกับพระเป็นเจ้า คนเก็บภาษีมีความจริงใจที่ยอมรับความบาปและร้องขอ ความเมตตาจากพระเป็นเจ้า แสดงความจริงใจต้องการการให้อภัยจากพระเป็นเจ้า ด้วย เหตุนี้ คนเก็บภาษีได้รับความชอบธรรม (14) มหาพรตเป็นช่วงเวลาที่เราต้องการพระ เมตตาของพระเป็นเจ้าทุกๆ วัน อย่าให้ความเย่อหยิ่งตัดขาดเราจากพระเป็นเจ้าเลย

สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 51:1-2,16-17, 18-19 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านจากหนังสือพงศาวดาร ฉบับที่สอง 2 พศด 36:14-16,19-23 บรรดาหัวหน้าชาวยูดาห์ สมณะ และประชากรทำ�บาปมากยิง่ ๆ ขึน้ ตามแบบอย่าง ความชั่วร้ายของบรรดาชนต่างชาติ ทำ�ให้พระวิหารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�ให้ ศักดิส์ ทิ ธิเ์ ป็นของพระองค์ทกี่ รุงเยรูซาเล็มนัน้ เป็นมลทิน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของ บรรพบุรุษทรงส่งผู้ถือสารของพระองค์มาเตือนเขาทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง เพราะทรง พระเมตตาต่อประชากรและต่อที่ประทับของพระองค์ แต่เขาเหล่านั้นเยาะเย้ยผู้ถือ สารของพระเจ้า ดูหมิน่ พระวาจา และหัวเราะเยาะบรรดาประกาศก จนกระทัง่ องค์พระ ผู้เป็นเจ้ากริ้วประชากรของพระองค์อย่างยิ่ง ไม่มีทางแก้ไข พระองค์ทรงเผาพระวิหาร ของพระเจ้า ทรงทำ�ลายกำ�แพงกรุงเยรูซาเล็ม จุดไฟเผาอาคารบ้านเรือนทั้งหมด และ ทำ�ลายสิ่งของที่มีค่าทั้งหลาย พระองค์ทรงกวาดต้อนทุกคนที่รอดชีวิตไม่ถูกฆ่าไปเป็น เชลยที่กรุงบาบิโลน เขาเหล่านี้ได้เป็นทาสรับใช้พระองค์และราชวงศ์จนกระทั่ง อาณาจักรเปอร์เซียขึ้นมีอำ�นาจปกครองแทน และดังนี้พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ประกาศกเยเรมีย์ประกาศไว้จึงเป็นความจริงว่า แผ่นดินจะร้างอยู่เป็นเวลาเจ็ดสิบปี เพื่อชดเชยการหยุดพักในปีที่เจ็ดที่เขาไม่ได้ปฏิบัติมาหลายครั้ง ปีแรกในรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พระ วาจาทีต่ รัสโดยประกาศกเยเรมียเ์ ป็นความจริง จึงทรงดลใจกษัตริยไ์ ซรัสแห่งเปอร์เซีย ให้ทรงประกาศไปทัว่ พระราชอาณาจักร และมีพระราชสาสน์เป็นลายลักษณ์อกั ษรด้วย ว่า “กษัตริยไ์ ซรัสแห่งเปอร์เซียตรัสว่า ‘องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้ประทาน อาณาจักรทัง้ หลายบนแผ่นดินแก่เรา และพระองค์ทรงบัญชาให้เราสร้างพระวิหารถวาย พระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูดาห์ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับทุกคนที่เป็น ประชากรของพระองค์ และให้เขากลับขึ้นไปเถิด’” เพลงสดุดี สดด 137:1-2,3-4,5-6 ก) พวกเรานั่งและร�่ำไห้อยู่ริมฝั่งแม่น�้ำแห่งบาบิโลน และระลึกถึงศิโยน พวกเราแขวนพิณใหญ่ของเรา ไว้บนต้นหลิวในแผ่นดินนั้น ข) ที่นั่น ผู้กวาดต้อนเรามายังถิ่นเนรเทศชวนเราให้ร้องเพลง ผู้กดขี่เรา สั่งเราให้ร้องเพลงยินดี พูดว่า “จงร้องเพลงแห่งศิโยนให้เราฟังเถิด” พวกเราจะร้องเพลงขององค์พระผู้เป็นเจ้า บนผืนดินของชนต่างด้าวได้อย่างไร ค) กรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย ถ้าข้าลืมเจ้า ก็ขอให้มือขวาของข้าจงลีบเถิด


ลิ้นของข้าจงติดเพดานปาก หากข้าไม่ระลึกถึงเจ้า หากข้าไม่คิดว่ากรุงเยรูซาเล็ม เป็นความยินดีสูงสุดของข้า

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาว เอเฟซัส อฟ 2:4-10 พี่น้อง พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ทรงสำ�แดง ความรักยิ่งใหญ่ต่อเรา เมื่อเราตายไปแล้วเพราะการล่วง ละเมิด พระองค์กท็ รงบันดาลให้เรากลับมีชวี ติ กับพระคริสต เจ้า ท่านได้รับความรอดพ้นก็เพราะพระหรรษทาน พระเจ้า โปรดให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเยซู โปรดให้เรา มีทนี่ งั่ ในสวรรค์พร้อมกับพระคริสตเจ้า เพือ่ จะทรงแสดงพระหรรษทานอุดมเหลือล้นของพระองค์แก่มนุษย์ ทุกยุคสมัยในอนาคต โดยทรงพระกรุณาต่อเราในพระคริสตเยซู ท่านได้รับความรอดพ้นเพราะพระ หรรษทานอาศัยความเชื่อ ความรอดพ้นนี้มิได้มาจากท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า มิได้มาจากการ กระทำ�ใดๆ ของท่าน เพื่อมิให้ใครโอ้อวดตนได้ เราเป็นผลงานของพระองค์ ถูกสร้างมาในพระคริสตเยซูเพื่อ ให้ประกอบกิจการดี ซึ่งพระเจ้าทรงกำ�หนดไว้ล่วงหน้าให้เราปฏิบัติ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 3:14-21 เวลานั้น พระเยซูตรัสกับนิโคเดมัสว่า “โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความ เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของ พระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตร มาในโลกนี้ มิใช่เพือ่ ตัดสินลงโทษโลก แต่เพือ่ โลกจะได้รบั ความรอดพ้นเดชะพระบุตรนัน้ ผูท้ มี่ คี วามเชือ่ ใน พระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อใน พระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือ ความสว่างเข้ามา ในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำ�ของเขานั้นชั่วร้าย ทุกคนที่ ทำ�ความชั่วย่อมเกลียดความสว่างและไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำ�ของตนจะปรากฏชัดแจ้ง แต่ ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาทำ�นั้นได้ทำ�โดยพึ่งพระเจ้า” ไม้กางเขนคือความรักของพระเป็นเจ้าที่มีต่อเรา ไม้กางเขนเป็นแหล่งพระหรรษทานมากมาย หลั่งไหลมาชำ�ระบาปของเรา (16) ไม้กางเขนเป็นแสงสว่างสำ�หรับมนุษย์ เป็นแสงสว่างส่องในความมืด และ ความมืดกลืนแสงสว่างนั้นไม่ได้ (ยน 1:4-5) แม้ว่าเราทิ้งพระเป็นเจ้า แม้ว่าเราทำ�บาปซํ้าแล้วซํ้าเล่า แม้ว่าเรา ดูหมิ่นพระเป็นเจ้าในเรื่องต่างๆ พระเป็นเจ้ายังคงรักเราเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ขึ้นกับการกระทำ� พฤติกรรม ของเรา เพราะพระเจ้าเป็นองค์แห่งความรัก ( 1 ยน 4:8)


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 30:1,3,4-5, 10-11,12 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 อสย 65:17-21 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะสร้างฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ จะไม่มีผู้ใดคิดถึงและจดจำ�เรื่องราวใน อดีตอีก แต่จงร่าเริงและยินดีเสมอในสิง่ ซึง่ เรากำ�ลังจะสร้างขึน้ เพราะเรากำ�ลังจะสร้าง กรุงเยรูซาเล็มให้เป็นความยินดี และสร้างประชากรของเมืองนั้นให้เป็นความชื่นบาน เราจะยินดีเพราะกรุงเยรูซาเล็ม และร่าเริงเพราะประชากรของเรา จะไม่มีผู้ใดได้ยิน เสียงร้องไห้ และเสียงครํา่ ครวญในเมืองนัน้ อีก ทีน่ นั่ จะไม่มที ารกทีม่ ชี วี ติ เพียงสองสาม วัน หรือคนชราที่ตายก่อนถึงกำ�หนด เพราะคนหนุ่มที่สุดจะตายเมื่อมีอายุหนึ่งร้อยปี ผู้ที่มีอายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปีจะนับได้ว่าเป็นผู้ถูกสาปแช่ง เขาจะสร้างบ้านและจะเข้ามา อาศัย จะปลูกสวนองุ่นและจะกินผล” พระวรสาร ยน 4:43-54 หลังจากนั้นสองวัน พระเยซูเจ้าทรงออกเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ เคยทรงประกาศไว้วา่ ประกาศกมักไม่ได้รบั เกียรติในบ้านเมืองของตน แต่เมือ่ พระองค์ เสด็จมาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์อย่างดี เพราะเห็นการกระทำ�ต่างๆ ของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในระหว่างวันฉลองที่เขาไปร่วมด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์เคย ทรงเปลี่ ย นนํ้ า เป็ น เหล้ า องุ่ นที่ นั่ น ข้ า ราชการคนหนึ่ ง มี บุ ต รป่ ว ยหนั ก อยู่ ที่ เมื อ ง คาเปอรนาอุม เขาได้ยินว่าพระเยซูเจ้าเสด็จจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลีแล้ว จึง มาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึ่งใกล้จะสิ้นชีวิต พระเยซูเจ้า ตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านทัง้ หลายไม่เห็นเครือ่ งหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริยแ์ ล้ว ท่านจะ ไม่เชื่อเลย” ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะ สิ้นใจเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผู้ นั้นเชื่อพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขา จึงเดินทางจากไป ขณะที่เขากำ�ลังเดินทาง กลับ ผู้รับใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว เขาซักถามถึง เวลาที่บุตรมีอาการดีขึ้น ผู้รับใช้ตอบว่า “เมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมงอาการไข้ก็หาย” บิดา จึงรู้ว่านั่นเป็นเวลาที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขากับทุก คนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ พระเยซูเจ้าทรงกระทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่สองนี้หลังจากเสด็จกลับจาก แคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี

การรักษาบุตรชายของข้าราชการให้หายป่วยเป็นเครื่องหมายอัศจรรย์ พระองค์ไม่เสด็จไปรักษา บุตรชายข้าราชการ แต่พระองค์เพียงแต่ตรัสพระวาจา เป็นพระวาจาทรงชีวิต เป็นพระวจนาถต์ผู้ทรงรับสภาพ มนุษย์ ซึ่งพระเจ้าทรงส่งมายังมนุษย์ทั้งหลายนั้น จึงได้ “ตรัสพระวาจาของพระเจ้า” (การเผยความจริงของ พระเจ้า ข้อ 4) ข้าราชการผู้นั้นเชื่อในวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัส อัศจรรย์จึงเกิดขึ้น


บทอ่านที่ 1 อสค 47:1-9,12 ในครั้งนั้น เขานำ�ข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร ข้าพเจ้าเห็นนํ้าไหลออกมาจาก ใต้ธรณีประตูพระวิหารด้านตะวันออก... ชายผู้นั้นเดินออกไปทางตะวันออก ถือเชือก วัดและวัดระยะทางหนึ่งพันศอก เขานำ�ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป นํ้าลึกเพียงตาตุ่ม เขาวัด ระยะทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำ�ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป นํ้าลึกถึงเข่า เขาวัดระยะทางอีก หนึ่งพันศอกแล้วนำ�ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป นํ้านั้นลึกถึงบั้นเอว เขาวัดระยะทางอีกหนึ่ง พันศอก บัดนีเ้ ป็นแม่นาํ้ ทีข่ า้ พเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะนํา้ สูงขึน้ เป็นนํา้ ทีต่ อ้ งว่ายข้าม เป็น แม่นํ้าที่ลุยข้ามไม่ได้ เขาถามข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านเห็นไหม” เขาจึงนำ� ข้าพเจ้ากลับมาที่ฝั่งแม่นํ้า เมื่อข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นต้นไม้จำ�นวนมากบน ฝั่งแม่นํ้าทั้งสองฟาก เขาบอกข้าพเจ้าว่า “...เพราะนํ้านี้ไหลไปถึงที่ใด นํ้าทะเลก็จืด แม่นํ้าไหลไปถึงที่ใด ทุกสิ่งก็มีชีวิต ตามฝั่งทั้งสองฟากของแม่นํ้า ต้นไม้ผลทุกชนิดจะ เจริญเติบโต ใบของมันจะไม่เหี่ยวแห้ง และผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุก เดือน เพราะนํ้าที่หล่อเลี้ยงต้นไม้เหล่านี้ไหลมาจากสักการสถาน ผลของต้นไม้เหล่านี้ ใช้เป็นอาหาร และใบก็ใช้เป็นยารักษาโรค”

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 46:1-2,3-4, 5-6,7-8, ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 5:1-3ก,5-16 หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็ถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ที่ กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่าเบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน ตาม ระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำ�นวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต ทีน่ นั่ มีชายคนหนึง่ ป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบ ว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” ผู้ป่วยนั้นตอบว่า “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วย จุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อนํ้ากระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขา ว่า “จงลุกขึน้ ยกแคร่ทน่ี อนและเดินไปเถิด” ชายผูน้ น้ั ก็หายเป็นปกติทนั ที เขายกแคร่ทน่ี อนและเริม่ เดินไป วันนัน้ เป็นวันสับบาโต ชาวยิวจึงพูดกับชายทีห่ ายป่วยนัน้ ว่า “วันนีเ้ ป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ทนี่ อน ไม่ได้” เขาจึงตอบว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด’” เขา เหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอนและเดินไป” แต่ชายที่หายป่วยไม่รู้ว่าเป็น ใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแล้ว ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีกใน พระวิหาร จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำ�บาปอีก มิฉะนัน้ เหตุรา้ ยกว่านีจ้ ะเกิดขึน้ แก่ทา่ น” ชายผู้นั้นจากไปแล้วบอกชาวยิวว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขาให้หายป่วย ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวจึงเริ่ม เบียดเบียนพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงกระทำ�การนี้ในวันสับบาโต คนหนึ่งที่ป่วยมา 38 ปี เลข 38 นี้อ้างถึงหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 2 ข้อที่ 14 เหตุการณ์ชาว อิสราเอลเดินทางจากคาเดชถึงแม่นํ้าอารโนน ใช้เวลา 38 ปีและ “จนกระทั่งคนในรุ่นนั้นที่ทำ�สงครามได้ต้อง ล้มหายตายจากไปจนหมด” (ฉธบ 2:14) คนรุ่นนั้นหมดหวัง แต่สำ�หรับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงช่วยเราได้ อย่า ปล่อยให้ปญ ั หา การป่วยในชีวติ เป็นเวลานานๆ ทำ�ให้เราหมดหวังในพระเยซูเจ้า พระองค์จะถามเรา “ท่านอยาก จะหายป่วยไหม” (6) พระองค์จะตรัสกับเราว่า “จงยกแคร่ที่นอน และเดินไปเถิด” (11)


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 145:8-9, 13คง-14,16-19 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 อสย 49:8-15 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ในเวลาแห่งความโปรดปราน เราจะตอบท่าน ในวันแห่งความรอดพ้น เราจะช่วย เหลือท่าน เราจะปกป้องท่าน และให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร เพื่อทำ�ให้ แผ่นดินกลับเป็นเหมือนเดิม เพื่อจะคืนมรดกที่ถูกทำ�ลายแล้วให้ท่าน... เขาทั้งหลาย จะเป็นเหมือนฝูงแกะทีห่ ากินตามถนน และทีส่ งู โล่งจะเป็นทุง่ หญ้าของเขา เขาจะไม่หวิ หรือกระหายอีก ลมร้อนและดวงอาทิตย์จะไม่ทำ�ร้ายเขา เพราะพระองค์ผู้ทรงสงสาร เขาจะทรงนำ�เขา จะทรงนำ�เขาไปยังพุนํ้า เราจะทำ�ให้ภูเขาทุกลูกของเราเป็นทางเดิน ทางหลวงของเราจะอยู่บนที่สูง ดูซิ คนเหล่านี้จะมาจากแดนไกล บางคนจะมาจากทิศ เหนือ บางคนจะมาจากทิศตะวันตก บางคนจะมาจากแผ่นดินซีนิม...” “หญิงคนหนึง่ จะลืมบุตรทีย่ งั กินนม และจะไม่สงสารบุตรทีเ่ กิดจากครรภ์ของนาง ได้หรือ แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย”

พระวรสาร ยน 5:17-30 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “พระบิดาของเราทรงทำ�งานอยูเ่ สมอ เราก็ทำ�งานด้วยเช่นเดียวกัน” เพราะคำ�ยืนยันนี้ ชาวยิวยิ่งพยายามจะฆ่าพระองค์ให้ได้... พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พระบุตรไม่ทำ�สิ่งใดตามใจของตน แต่ ทำ�เฉพาะสิ่งที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำ�เท่านั้น เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทรงกระทำ� พระบุตรก็ย่อมทำ�เช่น เดียวกัน เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิง่ ทีท่ รงกระทำ� และจะทรงแสดง ให้พระบุตรเห็นการกระทำ�ทีย่ งิ่ ใหญ่กว่านีอ้ กี เพือ่ ให้ทา่ นทัง้ หลายรูส้ กึ ประหลาดใจ พระบิดาทรงทำ�ให้ผตู้ าย กลับคืนชีวิต และประทานชีวิตให้ฉันใด พระบุตรก็ประทานชีวิตให้แก่ผู้ที่พอพระทัยฉันนั้น... เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ฟังวาจาของเรา และมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ก็ ย่อมมีชีวิตนิรันดร และไม่ต้องถูกพิพากษา แต่เขาได้ผ่านจากความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว เราบอกความจริงแก่ ท่านทั้งหลายว่า เวลานั้นกำ�ลังจะมาถึง และขณะนี้ก็กำ�ลังเริ่มแล้ว เมื่อผู้ตายจะได้ยินพระสุรเสียงของพระ บุตรพระเจ้า และผู้ที่ได้ยินแล้วจะมีชีวิต เพราะพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์ฉันใด พระองค์ก็ประทานให้ พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองฉันนั้น พระบิดาได้ประทานให้พระบุตรมีอำ�นาจพิพากษา เพราะพระบุตรทรง เป็นบุตรแห่งมนุษย์ ท่านทั้งหลายอย่าแปลกใจในเรื่องนี้เลย เพราะถึงเวลาแล้วที่ทุกคนในหลุมศพจะได้ยิน พระสุรเสียงของพระบุตร และจะออกมา ผูท้ ไี่ ด้ทำ�ความดีจะกลับคืนชีวติ มารับชีวติ นิรนั ดร ส่วนผูท้ ที่ ำ�ความ ชั่ว ก็จะกลับคืนชีวิตมารับโทษทัณฑ์ เราทำ�อะไรตามใจของเราไม่ได้ เราได้ยินมาอย่างไร เราก็พิพากษาอย่าง นั้น และคำ�พิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเรามิได้แสวงหาที่จะทำ�ตามใจของเรา แต่ทำ�ตามพระประสงค์ ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” ในวันนี้พระวรสารกล่าวถึงสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสหลังจากที่พระองค์ทรงรักษาคนง่อยใน วันสับบาโต (พระวรสารเมื่อวานนี้) เพราะชาวยิวมีความคิดว่าไม่ควรทำ�กิจการใดๆ ในวันเสาร์หรือวันสับบาโต เพราะพระเจ้าเองทรงพักผ่อนในวันที่เจ็ด แต่พระเยซูเจ้าทรงยืนยันชัดเจนว่า ความรักและความเมตตาของ พระเจ้าไม่มีวันหยุด ประทานให้กับเราทุกวัน (17) เพราะความคิดแคบๆ ของฟาริสี พวกเขาจึงถูกปิดกั้นจาก อัศจรรย์พระเมตตาของพระเป็นเจ้า


บทอ่านที่ 1 อพย 32:7-14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงรีบลงไปข้างล่างเถิด เพราะประชากรของ ท่านซึง่ ท่านได้นำ�ออกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์ได้ทำ�ผิดอย่างสาหัส เขาเปลีย่ นวิถที างอย่าง รวดเร็วออกจากทางที่เราได้สั่งให้เขาเดิน เขาหล่อรูปลูกโคขึ้น แล้วกราบนมัสการ ทั้ง ยังถวายบูชาแก่รูปนั้น พร้อมกับกล่าวว่า ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่แหละเป็นพระเจ้า ของท่านผู้ทรงนำ�ท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสต่อ ไปว่า “เรารู้จักคนเหล่านี้ดี เขาดื้อดึงเหลือเกิน อย่าห้ามเราเลย ความโกรธของเราจะ เผาผลาญเขาทั้งหลาย และเราจะทำ�ลายเขา เราจะทำ�ให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่” โมเสสอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของตนว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำ�ไมพระองค์ทรงปล่อยให้พระพิโรธเผาผลาญประชากรของพระองค์ทพี่ ระองค์ได้ทรง นำ�ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยอานุภาพยิ่งใหญ่และด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ ทำ�ไมจะ ให้ชาวอียิปต์เยาะเย้ยได้ว่า ‘พระองค์ทรงนำ�เขาออกมาด้วยความประสงค์ร้าย จะฆ่า เสียทีภ่ เู ขา จะทำ�ลายให้หมดสิน้ จากแผ่นดิน’ ขอทรงระงับพระพิโรธเถิด ขอทรงเปลีย่ น พระทัยอย่าทำ�ร้ายประชากรของพระองค์เลย ขอทรงระลึกถึงอับราฮัม อิสอัค และ ยาโคบผู้รับใช้พระองค์เถิด พระองค์ทรงสัญญากับเขาโดยทรงสาบานอาศัยพระนาม พระองค์วา่ เราจะให้ลกู หลานของท่านมีจำ�นวนมากมายเหมือนดาวในท้องฟ้า เราจะให้ แผ่นดินที่เราสัญญาไว้นี้ทั้งหมดแก่ลูกหลานของท่าน และเขาจะครอบครองเป็นมรดก ตลอดไป” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงทรงเปลีย่ นพระทัยไม่ทรงลงโทษประชากรของพระองค์

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 106:19-20, 21-22,23 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 5:31-47 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวว่า “ถ้าเราเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง คำ�ยืนยันของเราก็ใช้ไม่ได้ แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานยืนยันให้เรา และเรารูว้ า่ คำ�ยืนยันของเขาถึงเรานัน้ เป็นความจริง ท่านทัง้ หลายได้สง่ คนไปถามยอห์น และยอห์น ก็ได้เป็น พยานยืนยันถึงความจริง เราไม่ตอ้ งการคำ�ยืนยันจากมนุษย์ แต่เรากล่าวเช่นนัน้ เพือ่ ท่านทัง้ หลายจะได้รอดพ้น ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงสว่างไสวทีจ่ ดุ อยู่ ท่านทัง้ หลายก็พอใจทีจ่ ะชืน่ ชมกับแสงสว่างของเขาอยูช่ วั่ ระยะ หนึ่งเท่านั้น แต่เรามีคำ�ยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำ�ยืนยันของยอห์น คืองานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เราทำ� จนสำ�เร็จ งานที่เรากำ�ลังทำ�อยู่นี้ เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาทรงส่งเรามา พระบิดาผู้ทรงส่งเรามา ยังทรง เป็นพยานถึงเราอีกด้วย ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ทั้งไม่เคยเห็นพระพักตร์ ของพระองค์ พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าแจ้งเหตุผลที่พระองค์ทำ�อัศจรรย์ในวันสับบาโต เพราะ “บุตรแห่ง มนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต” (ลก 6:5) ผู้ที่เป็นพยานถึงเรื่องนี้คือ (1) ยอห์นบัปติสต์ (33-34) (2) งานที่ พระบิดาทรงมอบหมายให้พระองค์กระทำ� (36) (3) พระบิดา (37)[ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา มก 1:11] และ (4) พระคัมภีร์ (39-40) [แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟัง ลก 24:27] (5) คือคริสตชนทุกคนที่เป็นพยานถึงพระเยซูเจ้า


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 34:16-18, 19-20,22 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 ปชญ 2:1ก,12-22 ผู้ไม่ยำ�เกรงพระเจ้าใช้เหตุผลผิดๆ คิดว่า “เราจงดักซุ่มทำ�ร้ายผู้ชอบธรรม เพราะเขาทำ�ให้เรารำ�คาญใจ เขาต่อต้านกิจการ ของเรา เขาตำ�หนิเราว่าฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ กล่าวหาว่าเราไม่ปฏิบัติตามการอบรมที่ได้ รับ เขาอ้างว่าเขารู้จักพระเจ้า เรียกตนเองว่าเป็นบุตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของ เขาเป็นการติเตียนความรู้สึกนึกคิดของเรา เพียงแต่เห็นเขา เราก็ทนไม่ได้ เพราะชีวิต ของเขาไม่เหมือนกับผูอ้ นื่ ความประพฤติของเขาก็ตา่ งกับของเรามาก เขาคิดว่าเราเป็น คนไร้ค่า เขาหลีกเลี่ยงวิถีชีวิตของเราประหนึ่งว่าเป็นสิ่งปฏิกูล เขาประกาศว่าผู้ ชอบธรรมจะมีความสุขในวาระสุดท้าย อวดอ้างว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเขา เรา จงดูเถิดว่าคำ�พูดของเขาจะจริงหรือไม่ เราจงพิสูจน์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่เขาในวาระ สุดท้าย ถ้าผูช้ อบธรรมเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์กจ็ ะทรงปกป้องเขา และทรงช่วย เขาให้พ้นเงื้อมมือของศัตรู เราจงสาปแช่งและทรมานลองใจเขา ให้รู้ว่าเขาอ่อนโยน เพียงใด และจงทดสอบว่าเขาอดทนเพียงใด เราจงตัดสินลงโทษให้เขาตายอย่างอัปยศ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเขา” ผู้ไม่ยำ�เกรงพระเจ้าคิดเช่นนี้ แต่เขาคิดผิด ความชั่วร้ายทำ�ให้เขาตาบอด เขา ไม่รู้แผนการเร้นลับของพระเจ้า เขาไม่หวังว่าพระเจ้าจะทรงตอบแทนความศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่เชื่อว่าพระองค์จะประทานรางวัลแก่ผู้ดำ�เนินชีวิตไร้ตำ�หนิ

พระวรสาร ยน 7:1-2,10,25-30 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงพระประสงค์จะเสด็จไปทั่วแคว้น ยูเดียเพราะชาวยิวกำ�ลังพยายามจะฆ่าพระองค์ งานฉลองเทศกาลอยูเ่ พิงของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากทีบ่ รรดาพีน่ อ้ งของพระองค์ ขึ้นไปร่วมงานฉลองแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปด้วยอย่างเงียบๆ ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดเห็น ชาวเยรูซาเล็มบางคนพูดว่า “คนนีม้ ใิ ช่หรือทีเ่ ขาพยายามจะฆ่า ดูซิ คนนีก้ ำ�ลังพูดคุยอย่างเปิดเผย และ ไม่มีใครห้ามปรามเขา หรือบางทีบรรดาหัวหน้าอาจยอมรับว่าเขาเป็นพระคริสต์ พวกเรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน พระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน” ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในพระวิหาร พระองค์ตรัสเสียงดังว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามา จากไหน เราไม่ได้มาตามใจตนเอง พระองค์ผทู้ รงส่งเรามาทรงสัจจะ ท่านไม่รจู้ กั พระองค์ แต่เรารูจ้ กั พระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงส่งเรามา” คนเหล่านั้นพยายามจะจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง “พวกเรารู้ว่า คนนี้มาจากไหน...” หลายคน “รู้จัก” พระเจ้า รู้จักคำ�สอนของพระองค์ รู้จักพระ คัมภีร์ แต่ทำ�ไมชีวิตเขาจึงไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น คำ�ตอบคือ...เพราะเขาแค่ “รู้จัก” แต่ยัง “ไม่เชื่อ” เพราะความเชื่อต้องมีการ “ปฏิบัติตาม” ในสิ่งที่ “รู้” ความเชื่อจึงจะมีผลทำ�ให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น “ความเชื่อ” = “รู้” + “ปฏิบัติตาม” นั่นเอง เมื่อเราบอกว่าเราเป็นผู้มีความเชื่อ ความเชื่อของเราเป็นแบบไหน


บทอ่านที่ 1 ยรม 11:18-20 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งเรื่องนี้แก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็รู้ พระองค์ทรงเปิดเผย แผนร้ายของเขาทัง้ หลายแก่ขา้ พเจ้า แต่ขา้ พเจ้าเป็นเหมือนลูกแกะว่าง่ายซึง่ ถูกนำ�มายัง ที่ฆ่า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเขากำ�ลังวางแผนร้ายต่อข้าพเจ้า พูดว่า “เราจงทำ�ลายต้นไม้ที่ กำ�ลังงอกงาม เราจงกำ�จัดเขาออกจากแผ่นดินของผูเ้ ป็น ชือ่ ของเขาจะได้ไม่มผี ใู้ ดระลึก ถึงอีกเลย” บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงพิพากษาอย่างเทีย่ งธรรม ทรงทดสอบทั้งความรู้สึกและจิตใจของมนุษย์ โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรง ลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้มอบคดีของข้าพเจ้าไว้กับพระองค์แล้ว พระวรสาร ยน 7:40-53 เมื่อประชาชนบางคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ จึงพูดว่า “คนนี้เป็น ประกาศกจริงๆ” บางคนพูดว่า “คนนี้เป็นพระคริสตเจ้า” บางคนพูดว่า “พระ คริสตเจ้าจะมาจากแคว้นกาลิลไี ด้หรือ พระคัมภีรม์ ไิ ด้กล่าวหรือว่าพระคริสตเจ้าจะต้อง มาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดและจากเมืองเบธเลเฮม เมืองที่กษัตริย์ดาวิดเคยอยู่” ประชาชนจึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกีย่ วกับพระองค์ บางคนต้องการจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือจับกุม ทหารยามรักษาพระวิหารกลับมาหาบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ซึ่งถาม เขาว่า “ทำ�ไมท่านทัง้ หลายไม่นำ�เขามาด้วย” ทหารยามตอบว่า “ไม่มคี นใดพูดจาเหมือน กับชายผูน้ เี้ ลย” ชาวฟาริสถี ามว่า “ท่านทัง้ หลายถูกเขาหลอกลวงไปแล้วหรือ มีหวั หน้า หรือชาวฟาริสีคนใดบ้างที่เชื่อเขา แต่ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่รู้เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูก สาปแช่งอยู่แล้ว” ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ที่เคยไปหาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้น กล่าวกับเขาว่า “ธรรมบัญญัติของพวกเราไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดโดยที่มิได้ฟังคำ�ให้การ ของผู้นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาทำ�อะไร” เขาเหล่านั้นจึงตอบว่า “ท่านก็มาจากแคว้น กาลิลีด้วยหรือ จงค้นดูจากพระคัมภีร์เถิด แล้วจะเห็นว่าไม่มีประกาศกคนใดมาจาก แคว้นกาลิลีเลย” แล้วทุกคนก็กลับบ้าน การคิดว่าตนเองเป็น “ผู้รู้” จะส่งผลให้พลาดต่อความจริง หลายครั้งการ บอกกับตนเองว่า “เรารูแ้ ล้ว” มักจะแฝงไปด้วย “ความจองหอง” และมักจะปฏิเสธความ เห็นต่าง ตรงกันข้ามกับ “นักปราชญ์” หรือ ผู้รู้จริงๆ เขาจะมีความสุภาพมาก และมักจะ คิดว่าตนเองยังไม่คอ่ ยมีความรูเ้ ท่าไหร่ ทำ�ให้เขาสามารถพบกับ “ความจริงแท้” ได้ในทีส่ ดุ

น.ปาตริก พระสังฆราช สดด 7:1-2,8-9,10-11 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 31:31-34 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ดูซิ วันเวลาจะมาถึง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เมื่อเราจะ ทำ�พั นธสั ญ ญาใหม่ กั บ พงศ์ พั นธุ์ อิ ส ราเอลและพงศ์ พั นธุ์ ยู ด าห์ จะไม่ เหมื อ นกั บ พันธสัญญาที่เราทำ�ไว้กับบรรพบุรุษของเขา เมื่อเราจูงมือเขาให้ออกมาจากแผ่นดิน อียิปต์ เขาได้ละเมิดพันธสัญญานั้น แม้ว่าเราเป็นเจ้านายของเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัส “นี่จะเป็นพันธสัญญาที่เราจะทำ�กับพงศ์พันธุ์อิสราเอลเมื่อเวลานั้นมาถึง” องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส “เราจะใส่ธรรมบัญญัตขิ องเราไว้ภายในเขา เราจะเขียนธรรมบัญญัติ ไว้ในใจของเขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา ไม่มีผู้ใดจะ ต้องสอนเพื่อนบ้านของตน หรือบอกพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็น เจ้าเถิด’ เพราะทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด” องค์ พระผู้เป็นเจ้าตรัส “เราจะให้อภัยความผิดของเขา และจะไม่ระลึกถึงบาปของเขาอีก ต่อไป” เพลงสดุดี สดด 51:1-2,10-13 ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าตามความรักมั่นคงของพระองค์เถิด โปรดทรงลบล้างการล่วงละเมิดของข้าพเจ้าเพราะพระกรุณาของพระองค์ โปรดทรงล้างข้าพเจ้าให้สะอาดหมดจดจากความผิดของข้าพเจ้า โปรดช�ำระข้าพเจ้าให้บริสุทธิ์จากบาปที่ข้าพเจ้าได้ท�ำ ข) ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงสร้างใจที่ใสสะอาดไว้ในข้าพเจ้า โปรดทรงฟื้นฟูดวงจิตของข้าพเจ้าให้มั่นคง ขออย่าทรงผลักไสข้าพเจ้าไปจากพระพักตร์ ขออย่าทรงยกพระจิตศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ออกจากข้าพเจ้าเลย ค) ขอพระองค์ประทานความชื่นชมที่ทรงช่วยให้รอดพ้นคืนให้ข้าพเจ้า ขอพระองค์ทรงค�้ำจุนจิตเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไว้ในข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้สอนผู้ล่วงละเมิดให้รู้จักทางของพระองค์ แล้วคนบาปก็จะกลับมาหาพระองค์ บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 5:7-9 พีน่ อ้ ง ขณะทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงพระชนมชีพบนแผ่นดินนี้ พระองค์ทรงอธิษฐาน ทูล ขอ ครํ่าครวญและรํ่าไห้ต่อพระเจ้าผู้ทรงช่วยพระองค์ให้พ้นความตายได้ พระเจ้าทรง ฟังเพราะความเคารพยำ�เกรงของพระเยซูเจ้า ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตร ก็ ยังทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน และเมื่อทรงกระทำ�ภารกิจของ พระองค์สำ�เร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ทรงเป็นผู้บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอม นอบน้อมเชื่อฟังพระองค์


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 12:20-33 เวลานัน้ ผูท้ ขี่ นึ้ ไปนมัสการทีก่ รุงเยรูซาเล็มในงานฉลอง นั้น บางคนเป็นชาวกรีก เขาไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้าน เบธไซดาในแคว้นกาลิลีถามว่า “ท่านขอรับ พวกเราอยาก เห็นพระเยซูเจ้า” ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ อันดรูว์กับฟีลิปจึง ไปทูลพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะ ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่าน ทั้งหลายว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและตายไป มันก็ จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตาย มันก็จะบังเกิด ผลมากมาย ผู้ที่รักชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่ พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้ ก็ยอ่ มจะรักษาชีวติ นัน้ ไว้ สำ�หรับชีวิตนิรันดร ผู้ใดรับใช้เรา ผู้นั้นจงตามเรามา เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ผู้ใดรับใช้ เรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่เขา บัดนี้ ใจของเราหวั่นไหว เราจะพูดอะไร จะพูดหรือว่า ข้าแต่พระบิดา เจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเวลานี้ แต่ข้าพเจ้ามาก็เพื่อเวลานี้ ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดประทานพระสิริ รุ่งโรจน์แด่พระนามของพระองค์เถิด” แล้วมีเสียงดังจากฟ้าว่า “เราได้ให้พระสิริรุ่งโรจน์แล้ว และจะให้อีก” ประชาชนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียง จึงพูดว่า “ฟ้าร้อง” แต่บางคนว่า “ทูตสวรรค์พูดกับเขา” พระเยซู เจ้าตรัสว่า “เสียงนี้เกิดขึ้นมิใช่เพื่อเรา แต่เพื่อท่านทั้งหลาย บัดนี้ ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกแล้ว บัดนี้ เจ้า นายแห่งโลกนีก้ ำ�ลังจะถูกขับไล่ออกไป และเมือ่ เราจะถูกยกขึน้ จากแผ่นดิน เราจะดึงดูดทุกคนเข้ามาหาเรา” พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้แสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร คำ�ว่า “ผู้ที่รักชีวิตของตน” คือ บุคคลที่คิดถึงว่า “ตนเองจะได้อะไร” คือ ประโยชน์และความ สบาย เหนือสิ่งอื่นใด เขาลงทุน เพื่อ “ชีวิตนี้” เท่านั้น อนาคตของเขานั้นจึงสั้นนัก และ “ความยากจนแบบ ถาวร” ก็รอเขาอยู่... ส่วนคำ�ว่า “ผู้ที่สละชีวิตของตนบนโลกนี้” คือ บุคคลที่ “ลงทุน” ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ในการ “ช่วยเหลือผู้อื่น” นี่คือการ “ลงทุน” สำ�หรับอนาคต ซึ่งเป็นอนาคตแบบ “รํ่ารวยนิรันดร” ดังนั้น จง ถามตนเองว่า เวลาของเราเหลืออีกกี่ปี และอนาคตแบบ “ถาวร” ของเราต้องการให้เป็นแบบไหน...


บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 7:4-5,12-14ก,16 ในคืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า “จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เมื่อท่านสิ้นชีวิต ในวัยชรา และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษแล้ว เราจะตั้งเชื้อสายคนหนึ่งของท่าน ซึ่งเป็น บุตรของท่าน ให้เป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน... เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตร สมโภชนักบุญโยเซฟ ของเรา ราชวงศ์และอาณาจักรของท่านจะมัน่ คงอยูต่ อ่ หน้าเราตลอดไป อำ�นาจปกครอง ภัสดาของพระนาง ของท่านจะตั้งมั่นอยู่ตลอดไป’”

มารีย์พรหมจารี

สดด 89:1-2,3-4, 26,28 วันคล้ายวันสมณภิเษก สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส

บทอ่านที่ 2 รม 4:13,16-18,22 พี่น้อง พระสัญญาที่ประทานให้อับราฮัมและลูกหลานที่ว่าเขาจะได้รับโลกเป็น มรดกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมบัญญัติ แต่เกิดขึ้นโดยความชอบธรรมอันเนื่องมาจาก ความเชื่อ เพราะเหตุนี้ การรับมรดกโดยอาศัยพระสัญญาจึงมาจากความเชื่อ เพื่อให้ พระสัญญาเป็นของประทานที่ให้เปล่า และประทานให้เชื้อสายทั้งหมดของอับราฮัม มิใช่เพียงให้ผทู้ ปี่ ฏิบตั ติ ามบทบัญญัตเิ ท่านัน้ แต่รวมถึงเชือ้ สายทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ เช่น เดียวกับอับราฮัมซึ่งเป็นบิดาของเราทุกคนด้วย...

พระวรสาร ลก 2:41-51ก โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมื่อ พระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของ เทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่ บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยูใ่ นหมูผ่ รู้ ว่ มเดินทาง เมือ่ เดินทางไปได้หนึง่ วันแล้ว โยเซฟพร้อม กับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหา พระองค์ที่นั่น ในวันทีส่ าม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารียพ์ บพระองค์ในพระวิหารประทับนัง่ อยูใ่ นหมูอ่ าจารย์ ทรงฟัง และทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำ�ถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำ�ไมจึงทำ�กับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูก ทำ�ไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่ พระองค์ตรัส พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสองคน นักบุญโยเซฟ ท่านมิได้ยิ่งใหญ่เพราะการเป็น “พ่อเลี้ยง” ของพระเยซูเจ้า แต่ท่านยิ่งใหญ่เพราะ ท่าน “สุภาพ” รับพระประสงค์ของพระเจ้าโดย “ไม่บ่น” แม้ “ไม่เข้าใจ” ดังนั้น ชีวิตของเราจึงเลียนแบบอย่าง ท่านนักบุญโยเซฟได้ เพราะชีวิตเราก็มีแม่พระและพระเยซูอยู่กับเราเช่นกัน เหลืออีกอย่างคือ “ความสุภาพ” “ไม่บ่น” แม้ “ไม่เข้าใจ” แต่แสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งเถิด


บทอ่านที่ 1 กดว 21:4-9 ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกกเพื่อเลี่ยง แผ่นดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทาง ประชากรเริ่มหมดความอดทน จึงพากันบ่นว่า พระเจ้าและโมเสสว่า “ทำ�ไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่น ทุรกันดารนี้ ที่นี่ไม่มีทั้งนํ้าและอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำ�ให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจำ�นวน มาก คนทัง้ ปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำ�บาปเพราะบ่นว่าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพิษเหล่านี้ออกไปเถิด” โมเสสจึงวอนขอพระเจ้าเพื่อประชากร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงทำ� งูโลหะติดไว้บนเสา ผู้ที่ถูกงูกัดและมองดูงูโลหะนั้น จะรอดชีวิต” โมเสสจึงทำ�งูทอง สัมฤทธิ์ขึ้นติดไว้ที่เสา ผู้ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต สดด 102:1-2,15-17, 18-20 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ยน 8:21-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาเหล่านั้นอีกว่า “เราจากไปแล้วท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา แต่ท่านจะ ตายเพราะบาปของท่าน ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายมาจากเบือ้ งล่าง แต่เรามาจากเบือ้ งบน ท่านเป็นของโลกนี้ แต่เรามิได้ เป็นของโลกนี้ ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็น ท่านจะตาย เพราะบาปของท่าน” เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เรายังมีอีกหลายเรื่องที่เราจะต้อง พูดและพิพากษาเกี่ยวกับท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ สิ่งใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์ เราก็ บอกสิ่งนั้นให้โลกรู้” คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่า พระองค์กำ�ลังตรัสกับเขาเรื่องพระบิดา พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่า “เมื่อใดที่ ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขนึ้ เมือ่ นัน้ ท่านจะรูว้ า่ เราเป็น และรูว้ า่ เราไม่ทำ�อะไรตามใจตนเอง แต่พดู อย่างทีพ่ ระ บิดาทรงสั่งสอนเราไว้ พระผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำ�พัง เพราะเราทำ� ตามที่พระองค์พอพระทัยเสมอ” เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์ “งู” ที่มากัดชาวอิสราเอลก็คือ “บาป” ที่ชาวอิสราเอลสร้างขึ้นมานั่นเอง เมื่อเราทำ�บาป บาปที่ เราทำ�ก็จะกลายเป็นเหมือนงู ที่รอเวลาจะทำ�ร้ายเรา เราจะด่าว่ามันก็ไม่ถูก เพราะนั่นคือ “ธรรมชาติของบาป” หรือ “พิษของบาป” ที่เราให้ที่พักแก่มัน แต่โดยไม้กางเขน “บาป” จึงถูกทำ�ให้สิ้นฤทธิ์ไป เพราะพิษงู(บาป) ไป อยู่ในพระเยซูจนหมด จึงทำ�ให้เรารอดตาย ดังนั้น จงอย่าทำ�บาป แต่เมื่อพลาดไป ก็ให้รีบไปแก้บาปโดยเร็ว... ความรอดก็ยังคงเป็นของเราอยู่


สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ดนล 3:53-56 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 ดนล 3:14-20,24-25,28 กษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์ตรัสถามเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก เป็นความ จริงหรือไม่ ที่ท่านไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของเรา และไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำ�ที่เรา ตัง้ ไว้... ถ้าท่านไม่ยอมทำ�เช่นนี้ ท่านจะต้องถูกโยนทันทีเข้าไปในเตาทีม่ ไี ฟลุกโพลง แล้ว พระเจ้าใดจะช่วยท่านให้พ้นจากมือของเราได้” ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกกราบทูลกษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์วา่ “...ขอพระองค์ ทรงทราบเถิดว่าข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของพระองค์ และจะไม่ยอม นมัสการรูปปั้นทองคำ�ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น” กษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์กริว้ มาก พระพักตร์ของพระองค์เปลีย่ นเป็นดุดนั ต่อชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก รับสั่งให้เพิ่มไฟในเตาให้ร้อนจัดกว่าเดิมอีกเจ็ดเท่า และรับสั่ง ให้ทหารบางคนทีแ่ ข็งแรงทีส่ ดุ ในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก โยนเข้าไป ในเตาทีม่ ไี ฟลุกโพลง เขาทัง้ สามคนเดินไปมากลางเปลวไฟ สรรเสริญพระเจ้าและถวาย พระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า...

พระวรสาร ยน 8:31-42 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็ เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำ�ให้ท่านเป็นอิสระ” คนเหล่านั้นจึงตอบว่า “พวกเราเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร...’” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่ทำ�บาปก็เป็นทาสของบาป ทาสย่อมไม่พำ�นักอยูใ่ นบ้านตลอดไป แต่บตุ รพำ�นักอยูต่ ลอดไป ดังนัน้ ถ้าพระบุตรทำ�ให้ทา่ นเป็นอิสระ ท่าน ก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านพยายามจะฆ่าเรา เพราะ วาจาของเราไม่ซมึ ซาบเข้าไปในท่าน เราบอกสิง่ ทีเ่ ราได้เห็นเมือ่ เราอยูเ่ ฉพาะพระพักตร์พระบิดา ท่านทัง้ หลาย ก็ทำ�ตามที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย” คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “บิดาของพวกเราคืออับราฮัม” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม ท่านจงทำ�กิจการของอับราฮัมเถิด แต่บัดนี้ ท่านกำ�ลังพยายามจะฆ่าเรา ซึ่งเป็นคนบอกความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้าให้ท่านฟัง อับราฮัมไม่เคยทำ� เช่นนี้เลย ท่านไม่ทำ�กิจการของอับราฮัม แต่ทำ�กิจการของบิดาของท่าน” คนเหล่านั้นเถียงว่า “เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ บิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า เราไม่ได้มาตามใจตนเอง แต่พระองค์ทรงส่งเรามา”

“ยึดมั่นในพระวาจา” คือ การนำ�พระวาจาไปปฏิบัติตามตลอดเวลา คริสตชนผู้มีความเชื่อจึงห่าง จากพระวาจาไม่ได้ และก็ห่างจากการทำ�ดีไม่ได้... เพราะในพระวาจา เราจะเห็นพระเจ้าผู้ทรงกระทำ�แต่ความ ดี และเป็นแบบอย่างให้เราดำ�เนินตาม และนั่นคือ ลักษณะคริสตชนที่แท้จริง... แต่คริสตชนที่ดำ�เนินชีวิตโดย ปราศจากความเมตตาต่อผู้อื่น จึงเป็นเพียงผู้ได้ชื่อว่า “เป็นคริสตชน แต่ประพฤติตนแบบคนไม่มีพระเจ้าเป็น พ่อของเขา” นั่นเอง


บทอ่านที่ 1 ปฐก 17:3-9 ในครั้งนั้น อับรามจึงกราบลงกับพื้นดิน พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่คือพันธสัญญา ที่เราให้ไว้กับท่าน ท่านจะเป็นบิดาของชนชาติจำ�นวนมาก ท่านจะไม่ชื่อว่าอับรามอีก แล้ว ท่านจะมีชอื่ ใหม่วา่ อับราฮัม เพราะเราจะทำ�ให้ทา่ นเป็นบิดาของชนชาติจำ�นวนมาก เราจะทำ�ให้ทา่ นมีลกู หลานจำ�นวนมากยิง่ ๆ ขึน้ จะให้ทา่ นเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์ หลายพระองค์จะเกิดจากท่าน เราจะรักษาพันธสัญญาของเราไว้กับท่าน และกับลูก หลานของท่านที่จะตามมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นพันธสัญญาที่คงอยู่ตลอดไป เราจะเป็น พระเจ้าของท่าน และเป็นพระเจ้าของลูกหลานของท่านที่จะตามมา เราจะให้แผ่นดินที่ ท่านอาศัยอยู่อย่างคนแปลกหน้า ถิ่นนี้คือแผ่นดินคานาอันทั้งหมดแก่ท่านและแก่ลูก หลานที่จะตามมาภายหลังท่านเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา ทั้งหลาย” พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ท่านและลูกหลานของท่านที่จะตามมาทุกรุ่นจะต้อง รักษาพันธสัญญาของเราไว้”

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต สดด 105:4-5,6,7-10 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ยน 8:51-59 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้น จะไม่พบความตายเลย” ชาวยิวพูดกับพระองค์วา่ “บัดนี้ เรารูแ้ ล้วว่า ท่านถูกปีศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดาประกาศกก็ตาย ไปแล้วเช่นเดียวกัน แต่ท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่ต้องลิ้มรสความตายเลย’ ท่าน ยิง่ ใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเรา ซึง่ ตายไปแล้วหรือ บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่าน เป็นใครกัน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติตนเอง เกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไร ผู้ที่ให้เกียรติเราคือพระ บิดาของเรา ผู้ที่ท่านพูดว่า ‘เป็นบิดาของพวกเรา’ แต่ท่านไม่รู้จักพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราจะพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’ เราก็เป็นคนพูดเท็จเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และปฏิบัติตาม พระวาจาของ พระองค์ อับราฮัมบิดาของท่านได้ยินดีที่จะเห็นวันของเรา เขาได้เห็น และได้ยินดีแล้ว” ชาวยิวจึงค้านว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เรา บอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น” คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าเสด็จเลี่ยงออกไปจากพระวิหาร เมื่อเรารู้ว่า “เราเป็นลูกใคร” เราก็ควรดำ�เนินชีวิตให้สมกับที่พ่อเรา “เป็น” เมื่อเราบอกว่า พ่อ ของเราคือ “พระเจ้า” การเป็น “คนดี” จึงเป็นเครื่องการันตีว่า เราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ คนประพฤติชั่ว เอา เปรียบ เห็นแก่ได้ พ่อของเขาจึงไม่ใช่พระเจ้าแน่นอน สุดท้าย สิ่งที่เราเลือกให้มาเป็น “ผู้ปกครองของเรา” ซึ่ง “เราได้ดำ�เนินตามคำ�แนะนำ�ของเขา” ก็จะนำ�เราไปอยู่กับเขาในที่สุดนั่นเอง


น.ตูรีบิโอ แห่งมอนโกรเวโย พระสังฆราช สดด 18:1-2กข,2ค-3, 4-5,6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 ยรม 20:10-13 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลายคนซุบซิบว่า “ความหวาดกลัวอยู่โดยรอบมาแล้ว จง กล่าวหาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด” มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า คอยเฝ้าดูความ ล่มจมของข้าพเจ้า พูดว่า “เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง แล้วเราจะเอาชนะเขาได้ และ จะแก้แค้นเขา” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง ดังนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้องอับอายมาก เพราะไม่ ประสบความสำ�เร็จ ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงทดสอบผูช้ อบธรรม ทรงสำ�รวจ ใจและจิต ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้ทูลเสนอ คดีของข้าพเจ้าให้ทรงทราบแล้ว จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญองค์ พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสน ให้พ้นมือของผู้ทำ�ความชั่วร้าย

พระวรสาร ยน 10:31-42 เวลานั้น ชาวยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์อีก พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้แสดงกิจการ ทีด่ หี ลายอย่างจากพระบิดา แล้วท่านจะเอาก้อนหินขว้างเราเพราะกิจการใด” ชาวยิวตอบว่า “พวกเราจะเอา หินขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะกิจการที่ดี แต่เพราะท่านพูดดูหมิ่นพระเจ้า ท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตนเป็น พระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายว่า ‘เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเป็น พระเจ้า’ พระคัมภีร์เรียกผู้รับพระวาจาของพระเจ้าว่า ‘เป็นพระเจ้า’ และพระคัมภีร์จะลบล้างไม่ได้ พระบิดา ทรงบันดาลให้เราศักดิส์ ทิ ธิ์ และทรงส่งเรามาในโลก แล้วทำ�ไมท่านทัง้ หลายจึงกล่าวหาว่าเราพูดดูหมิน่ พระเจ้า เมื่อเราพูดว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ ถ้าเราไม่ทำ�กิจการของพระบิดาของเรา ท่านก็อย่าเชื่อเราเลย แต่ถ้า เราทำ� แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำ�นั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่า พระบิดาสถิตในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” คนทั้งหลายพยายามจะจับกุมพระองค์อีก แต่พระองค์ทรงเลี่ยงพ้นจากมือของพวกเขาไปได้ พระองค์เสด็จข้ามแม่นํ้าจอร์แดนอีกครั้งหนึ่ง กลับไปยังสถานที่ซึ่งแต่ก่อนนั้นยอห์นได้ทำ�พิธีล้าง พระองค์ทรงพำ�นักอยู่ที่นั่น ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ พูดว่า “ยอห์นไม่ได้ทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์อะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงชายคนนี้ก็เป็นความจริง” และที่นั่นหลายคนเชื่อในพระองค์ ไม่ใช่เพียงแค่เราไม่เห็น “พระเจ้า” ในชีวิตของเรา เราก็มองไม่เห็น “ความรัก” เช่นกัน แต่ที่เรา เห็นคือ “กิจการ” ของความรัก ดังนั้น เมื่อเราเห็นกิจการของความรัก ก็จงรู้ว่า เราเห็นพระเจ้าอยู่ต่อหน้าแล้ว เพราะพระเจ้า “เป็น” (ไม่ใช่ “มี” ) ความรัก ดังนั้น ถ้าเราทำ�กิจการของความรัก (ตาม 1 คร 13:4-7 และ มธ 25:35-36) ก็จงมั่นใจว่า พระเจ้าอยู่ในตัวเราแล้วอย่างแน่นอน แล้วในที่สุดคนทั่วไปก็จะรู้ว่า มีพระเจ้าอยู่ ท่ามกลางพวกเขา ผ่านทางชีวิตของเราที่มีรักแท้นั่นเอง


บทอ่านที่ 1 อสค 37:21-28 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะ นำ�ชาวอิสราเอลมาจากนานาชาติซึ่งเขาไปอาศัยอยู่ด้วย เราจะรวบรวมเขามาจากทุก แห่ง และจะนำ�เขามายังแผ่นดินของเขา เราจะทำ�ให้เขาเป็นชนชาติเดียวในแผ่นดิน บน ภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอล จะมีกษัตริย์พระองค์เดียวปกครองเขาทั้งหลาย เขาจะไม่ เป็นชนสองชาติ และจะไม่แยกเป็นสองอาณาจักรอีกต่อไป เขาทั้งหลายจะไม่ทำ�ตนให้ เป็นมลทินกับรูปเคารพ โดยการกระทำ�น่าสะอิดสะเอียน และการล่วงละเมิดทั้งหลาย ของเขาอีกต่อไป เราจะช่วยเขาให้พน้ จากการทรยศทีเ่ ขาได้ทำ�บาป เราจะชำ�ระเขา แล้ว เขาจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา... เราจะทำ�พันธสัญญา สันติภาพซึ่งจะเป็นพันธสัญญานิรันดรกับเขา เราจะให้เขาตั้งหลักแหล่งและทวีจำ�นวน ขึ้น เราจะตั้งสักการสถานของเราไว้ในหมู่เขาตลอดไป ที่พำ�นักของเราจะอยู่ในหมู่เขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา...’”

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ยรม 31:10,11-12กขคง,13 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ยน 11:45-57 เวลานั้น ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ก็เชื่อในพระองค์ แต่ บางคนไปพบชาวฟาริสี เล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ�ให้ฟัง บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจึงเรียก ประชุมสภา ปรึกษากันว่า “พวกเราจะทำ�อย่างไรดี เพราะคนคนนี้ได้ทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์หลายอย่าง ถ้า เราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ ทุกคนจะเชื่อเขา แล้วชาวโรมันก็จะมาทำ�ลายทั้งพระวิหารและชนชาติของเรา” คน หนึ่งในที่ประชุมชื่อคายาฟาส เป็นมหาสมณะในปีนั้นกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจอะไรเลย ท่านไม่คิด หรือว่า ถ้าคนคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน จะเป็นประโยชน์มากกว่าที่ชนทั้งชาติจะต้องพินาศไป” เขาไม่ ได้พูดเช่นนี้ตามใจตนเอง แต่ในฐานะที่เป็นมหาสมณะในปีนั้น เขาประกาศพระวาจาว่า พระเยซูเจ้าจะต้อง สิ้นพระชนม์เพื่อชนทั้งชาติ และไม่ใช่เพื่อชนทั้งชาติเท่านั้น แต่เพื่อจะรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าที่ กระจัดกระจายอยู่ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่วันนั้น ที่ประชุมได้ตกลงกันที่จะประหารชีวิตพระองค์ ดัง นั้น พระเยซูเจ้าจึงไม่เสด็จไปที่ใดอย่างเปิดเผยในหมู่ชาวยิวอีกต่อไป แต่เสด็จไปที่เมืองชื่อเอฟราอิม ใน เขตแดนใกล้ถิ่นทุรกันดาร และทรงพำ�นักอยู่ที่นั่นกับบรรดาศิษย์ วันปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง ประชาชนจำ�นวนมากเดินทางจากชนบทขึน้ ไปกรุงเยรูซาเล็ม เพือ่ ชำ�ระ ตนก่อนวันฉลอง เขาเหล่านั้นเสาะหาพระเยซูเจ้า และขณะที่ยืนอยู่ในพระวิหารก็ถามกันว่า “ท่านทั้งหลาย คิดอย่างไร เขาจะมาในวันฉลองหรือไม่” บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ออกคำ�สั่งว่า ถ้าใครรู้ว่า พระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มารายงาน เพื่อจะได้จับกุมพระองค์ “วันและเวลาเป็นของพระเจ้า” การเดินทางเข้าสูล่ านประหาร จึงเป็นเวลาของพระองค์ ทีถ่ งึ เวลา ที่พระองค์จะมอบ “เลือดและเนื้อ” ให้เป็นอาหารของวิญญาณเรา เพราะเมื่อวิญญาณเรา “อิ่ม” มันจะส่งผล ให้เราเป็นผู้ที่ “คิดดี” แยกแยะออกได้อย่างกระจ่างชัด ไม่เบลอๆ เหมือนคนอดอาหารว่า “อะไรดี อะไรไม่ดี” และ “มีกำ�ลัง” ที่จะทำ�ดีและเข้มแข็งในการปฏิเสธที่จะทำ�ชั่ว... โลก ณ เวลานี้ต้องการคนแบบนี้ ที่มีวิญญาณ “อิ่ม” ดังนั้น จงเข้ามาหาพระเจ้าเถิด เพื่อพระองค์จะได้มอบพระองค์ให้เป็นอาหารแก่เรา


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 50:4-7 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำ�ลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้า พระองค์ ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน องค์พระผู้ เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้า งให้แก่ผโู้ บยตีขา้ พเจ้า และหันแก้มให้แก่ผทู้ ดี่ งึ เคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซอ่ นหน้า อาทิตย์มหาทรมาน หัแก่นผหลัู้สบประมาทและถ่ มนํ้าลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำ�หน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่า แห่ ใบลาน ข้าพเจ้าจะไม่อับอาย ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เพลงสดุดี สดด 22:7-8,16-17ก,18-19,22-23ก ก) ผู้ใดเห็นข้าพเจ้าก็เยาะเย้ย เขายิ้มหยันและสั่นศีรษะ พลางพูดว่า “เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้พระองค์ทรงช่วยซิ ถ้าพระองค์ทรงรักเขา ก็ให้พระองค์ทรงปลดปล่อยเขา” บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี ฟป 2:6-11 แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอ พระเจ้านัน้ เป็นสมบัตทิ จี่ ะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิน้ ทรงรับสภาพ ดุจทาส เป็นมนุษย์ดจุ เรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึง กับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรง เทิดทูนพระองค์ขน้ึ สูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนีป้ ระเสริฐกว่า นามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลง นมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก มก 15:1-39 ครัน้ รุง่ เช้า บรรดาหัวหน้าสมณะ พร้อมกับผูอ้ าวุโส ธรรมาจารย์ และบรรดาสมาชิก สภาซันเฮดรินทุกคน ประชุมตกลงกัน สั่งให้มัดพระเยซูเจ้า และนำ�ไปมอบให้ปีลาต ปีลาตจึงถามพระองค์วา่ “ท่านเป็นกษัตริยข์ องชาวยิวหรือ” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่าน พูดเองแล้ว” บรรดาหัวหน้าสมณะพยายามกล่าวหาพระองค์หลายประการ ปีลาตจึง ถามพระองค์อีกว่า “ท่านไม่ตอบอะไรหรือ เห็นไหม เขากล่าวหาท่านหลายประการ ทีเดียว” แต่พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสตอบอีก ทำ�ให้ปลี าตประหลาดใจมาก ทุกปีในเทศกาล ปัสกา ปีลาตเคยปล่อยนักโทษหนึ่งคนตามคำ�ขอของประชาชน ชายคนหนึ่งชื่อ บารับบัส ถูกจองจำ�พร้อมกับพวกกบฏทีฆ่ า่ คนในการจลาจล เมือ่ ประชาชนขึน้ ไปขอให้


ปีลาตปล่อยนักโทษตามประเพณีที่เคยทำ� ปีลาตถามว่า “ท่านต้องการให้เราปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” ปีลาตรูอ้ ยูแ่ ล้วว่าบรรดาหัวหน้าสมณะมอบพระองค์ให้เพราะความอิจฉา แต่บรรดาหัวหน้าสมณะเสีย้ มสอน ยุยงประชาชนให้ขอปีลาตปล่อยตัวบารับบัสแทนที่จะปล่อยพระเยซูเจ้า ปีลาตถามเขาอีกว่า “ท่านจะให้ ข้าพเจ้าทำ�อะไรกับคนนี้ที่ท่านเรียกว่ากษัตริย์ของชาวยิว” ประชาชนร้องตะโกนตอบว่า “เอาเขาไปตรึง กางเขน” ปีลาตถามว่า “เขาทำ�ผิดอะไร” แต่ประชาชนร้องตะโกนดังยิ่งขึ้นว่า “เอาเขาไปตรึงกางเขน” ปีลาตต้องการเอาใจประชาชน จึงปล่อยบารับบัสไป แล้วสั่งให้โบยตีพระเยซูเจ้า มอบพระองค์ให้เขานำ�ไป ตรึงบนไม้กางเขน บรรดาทหารนำ�พระองค์เข้าไปในลานชัน้ ในคือ “จวนของผูว้ า่ ราชการ” แล้วเรียกทหารทัง้ กองมาพร้อม กัน เขาคลุมพระองค์ด้วยเสื้อคลุมสีม่วงแดง นำ�หนามมาสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียร แล้วคำ�นับพระองค์ พลางพูดว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอทรงพระเจริญเทอญ” เขาใช้ไม้อ้อฟาดพระเศียร ถ่มนํ้าลายรด แล้วคุกเข่ากราบพระองค์เป็นเชิงเยาะเย้ย เมือ่ เยาะเย้ยพระองค์จนพอใจแล้ว เขาก็ถอดเสือ้ คลุมสีมว่ งแดง ออกจากพระองค์ สวมฉลองพระองค์ให้ดังเดิม บรรดาทหารนำ�พระองค์ออกไปเพื่อตรึงบนไม้กางเขน ชายคนหนึ่งชื่อ ซีโมนชาวไซรีนเป็นบิดาของ อเล็กซานเดอร์และรูฟัสกำ�ลังเดินทางจากชนบทผ่านมาทางนั้น บรรดาทหารจึงเกณฑ์ให้เขาแบกไม้กางเขน ของพระองค์ไป ทหารนำ�พระองค์มาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า “กลโกธา” แปลว่า “เนินหัวกระโหลก” ทหารนำ�นํา้ องุน่ เปรีย้ วผสมมดยอบให้พระองค์ดมื่ แต่พระองค์ไม่ทรงดืม่ เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขน แล้วแบ่งฉลองพระองค์กันโดยจับสลากว่าใครจะได้สิ่งใด ขณะที่เขาตรึงพระองค์นั้นเป็นเวลาประมาณเก้า นาฬิกา มีป้ายบอกข้อกล่าวหาพระองค์เขียนไว้ว่า “กษัตริย์ของชาวยิว” เขายังตรึงโจรสองคนพร้อมกับ พระองค์ด้วย คนหนึ่งอยู่ข้างขวา อีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างสบประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ยว่า “ท่านผู้ทำ�ลายพระวิหาร และสร้างขึ้น ใหม่ได้ภายในสามวัน จงช่วยตนให้รอดพ้น และลงจากไม้กางเขนซิ” บรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ ต่างเยาะเย้ยพระองค์เช่นเดียวกันว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดพ้นได้ แต่ช่วยตนเองไม่ได้ พระคริสต์กษัตริย์ แห่งอิสราเอลจงลงมาจากไม้กางเขนบัดนี้ซิ เราจะได้เห็นและมีความเชื่อ” แม้ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขนพร้อม กับพระองค์ก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย เมื่อถึงเวลาเที่ยง ทั่วแผ่นดินก็มืดไปจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายสามโมง ครั้นถึงเวลาบ่ายสามโมง พระเยซู เจ้าทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี เลมา สะบัคทานี” ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า ทำ�ไม พระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า” ผู้ที่ยืนอยู่ที่นั่นบางคนได้ยินจึงพูดว่า “ฟังซิ เขากำ�ลังร้องเรียกเอลียาห์” ชายคนหนึ่งวิ่งไปนำ�ฟองนํ้าจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อส่งให้พระองค์เสวย กล่าวว่า “เราคอยดูซิ ว่าเอลียาห์จะมาปลดเขาลงหรือไม่” แต่พระเยซูเจ้าทรงเปล่งเสียงดัง แล้วสิ้นพระชนม์... “ความบาปของเรา” มีสว่ นใน “การตาย” ของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงรับแบกกางเขนด้วยความ รักต่อลูกของพระองค์ กลัวว่าลูกของพระองค์จะ “ไม่ไหว” ที่จะเดินไปจนถึงสวรรค์... หลายครั้ง เราคิดว่า “เรา กำ�ลังแบกกางเขนหนักเหลือเกิน” แต่เราเคยคิดไหมว่า “เรากำ�ลังเป็นกางเขนให้คนอื่นแบกอยู่หรือเปล่า” แต่ ไม่วา่ กางเขนของเขา หรือกางเขนของเรา จงให้พระเยซูเจ้าอยูบ่ นกางเขนนัน้ เพราะกางเขนทีป่ ราศจากพระเยซู ก็คือ เครื่องทำ�ลายล้างชีวิตของเรา แต่เมื่อกางเขนนั้นมีพระเยซูอยู่ โดยการถวายความยากลำ�บากแด่พระองค์ ด้วยใจสุภาพ กางเขนนั้นก็จะกลายเป็น “เครื่องมือช่วยเราให้รอด” นั่นเอง


วันจันทร์ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 27:1,7-8ก, 8ข-9กข,13-14 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 อสย 42:1-7 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “นีค่ อื ผูร้ บั ใช้ของเรา ซึง่ เราเชิดชู เราเลือกเขาเพราะเรา พอใจเขา เราให้จิตของเราแก่เขา เขาจะนำ�ความยุติธรรมไปให้แก่นานาชาติ เขาจะไม่ ร้องตะโกนหรือเปล่งเสียงดัง จะไม่ทำ�ให้ใครได้ยินเสียงของเขาตามถนน ไม้อ้อที่ชํ้า แล้ว เขาจะไม่หกั และไส้ตะเกียงทีร่ บิ หรีอ่ ยู่ เขาจะไม่ดบั เขาจะประกาศความยุตธิ รรม ด้วยความสัตย์จริง เขาจะไม่หมดหวังหรือท้อใจ จนกว่าจะได้สถาปนาความยุติธรรมไว้ บนแผ่นดิน ดินแดนชายทะเลจะรอคอยคำ�สอนของเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงสร้างท้องฟ้ากว้างใหญ่ ทรงคลี่แผ่นดินและทุกสิ่ง ที่เกิดจากที่นั่น ประทานชีวิตแก่ประชากรบนแผ่นดิน และประทานลมหายใจแก่ผู้ท่ี ดำ�เนินอยู่ที่นั่น ตรัสว่า“เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม เราจับมือของท่านและรักษาท่านไว้ เราให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร และเป็น แสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อเปิดตาคนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ�จากคุก ปลด ปล่อยผู้ที่อยู่ในความมืดจากที่คุมขัง”

พระวรสาร ยน 12:1-11 หกวันก่อนฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าเสด็จไปทีห่ มูบ่ า้ นเบธานี ตำ�บลทีอ่ ยูข่ องลาซารัสทีพ่ ระองค์ทรงทำ�ให้ กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ผู้คนที่นั่นจัดงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่พระองค์ มารธาคอยรับใช้ ขณะที่ลาซารัส เป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์ด้วย มารีย์ใช้นํ้ามันหอมสมุนไพรบริสุทธิ์ราคาแพงหนักประมาณครึ่งชั่ง ชโลมพระบาทพระเยซูเจ้า และใช้ผมเช็ดพระบาท กลิน่ นํา้ มันหอมอบอวลไปทัว่ บ้าน ยูดาสอิสคาริโอท ศิษย์ คนหนึ่งที่จะทรยศต่อพระองค์พูดว่า “ทำ�ไมไม่เอานํ้ามันหอมนี้ไปขายราคาสามร้อยเหรียญ แล้วนำ�เงินไป แจกให้คนยากจน” ทีเ่ ขาพูดเช่นนีม้ ใิ ช่เพราะเขาห่วงใยคนยากจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย เขาเป็นผูถ้ อื ถุงเงิน และยักยอกเงินในถุงนั้น พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ช่างเถิด ปล่อยให้นางเก็บนํ้ามันหอมนี้ไว้สำ�หรับวันฝังศพ ของเรา คนยากจนนั้นอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านตลอดไป” ชาวยิวจำ�นวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น จึงมา มิใช่เพียงเพื่อเฝ้าพระเยซูเจ้า แต่เพื่อมาดู ลาซารัส ซึ่งพระองค์ได้ทรงทำ�ให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย บรรดาหัวหน้าสมณะจึงตกลงกันจะฆ่า ลาซารัสด้วย เพราะลาซารัสทำ�ให้ชาวยิวจำ�นวนมากไปเฝ้าพระเยซูเจ้าและเชื่อในพระองค์

ความรักของมารีย์ช่างยิ่งใหญ่นัก... ดังนั้น ราคาแพงของนํ้ามันหอมจึงแทบไม่มีค่า เมื่อเทียบกับ ความรักที่เธอมีให้กับพระเยซู... สำ�หรับพระเจ้า อะไรที่มีค่าที่สุด... ก็คือ “มนุษย์” นั่นเอง การที่ใครคนหนึ่งจะ ตายเพื่อใครได้ แสดงว่า “เขารัก” คนนั้นหรือสิ่งนั้น และยกให้ “มีค่า” ยิ่งกว่า “ชีวิต” ของเขา...ดังนั้น ขอให้ เราเห็น “คุณค่า” ของชีวิตของเราและรักษามันไว้ ด้วยการทำ�ดีที่สุดและเสมอไป เพราะชีวิตที่มีอยู่นี้ ก็เพราะ พระเจ้าเห็นคุณค่า จนยอมที่จะ “ทุบทำ�ลาย” ตัวของพระองค์ เพื่อที่จะรักษาเราไว้ให้มีค่าตลอดไปนั่นเอง


บทอ่านที่ 1 อสย 49:1-6 ดินแดนชายทะเลและเกาะทัง้ หลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนทีอ่ ยูส่ ดุ แดน ไกล จงตั้งใจฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าเกิด ทรงขานชื่อ ข้าพเจ้าตัง้ แต่อยูใ่ นครรภ์มารดา พระองค์ทรงทำ�ให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือนดาบคม ทรง ซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์พระองค์ ทรงทำ�ให้ขา้ พเจ้าเป็นเสมือนลูกศรแหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์... แต่ขา้ พเจ้ากลับคิดว่า “ข้าพเจ้าได้ทำ�งานเหนือ่ ยเปล่า ข้าพเจ้าเสียแรงไปเปล่าๆ ไร้ ประโยชน์” ถึงกระนั้น รางวัลของข้าพเจ้าอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน และ ค่าตอบแทนของข้าพเจ้าก็อยู่กับพระเจ้าของข้าพเจ้า...

วันอังคาร สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 71:1-3ก,3ข-5, 6,16-18ก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ยน 13:21-33,36-38 เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกหวั่นไหวพระทัย จึงตรัสยืนยันว่า “เราบอกความจริงแก่ท่าน ทั้งหลายว่า ท่านคนหนึ่งจะทรยศเรา” บรรดาศิษย์ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงหมายถึงใคร ศิษย์คน หนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักนั่งโต๊ะติดกับพระองค์ ซีโมนเปโตรจึงทำ�สัญญาณให้เขาทูลถามว่า “ผู้ที่พระองค์ กำ�ลังตรัสถึงนี้เป็นใคร” เขาจึงเอนกายชิดพระอุระของพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “พระเจ้าข้า เป็นใครหรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เป็นผู้ที่เราจะจุ่มขนมปังส่งให้” แล้วทรงจุ่มขนมปังชิ้นหนึ่งส่งให้ยูดาสบุตร ของซีโมนอิสคาริโอท แต่เมือ่ ยูดาสได้รบั ขนมปังชิน้ นีแ้ ล้ว ซาตานก็เข้าสิงในตัวเขา พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่เขา ว่า “ท่านจะทำ�อะไร ก็จงทำ�โดยเร็วเถิด” ผู้ร่วมโต๊ะด้วยกันไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงตรัสเช่นนี้ บาง คนคิดว่าเนื่องจากยูดาสเป็นผู้ถือถุงเงิน พระเยซูเจ้าทรงบอกเขาว่า “จงไปซื้อของที่จำ�เป็นสำ�หรับวันฉลอง” หรือบอกว่า “จงไปแจกทานแก่คนยากจน” ดังนั้น เมื่อยูดาสรับชิ้นขนมปังแล้ว ก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็น เวลากลางคืน เมื่อยูดาสออกไปแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ และพระเจ้าทรง ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ด้วย ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ พระเจ้าจะ ทรงให้บตุ รแห่งมนุษย์ได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ในพระองค์ดว้ ย และจะทรงให้บตุ รแห่งมนุษย์ได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ ทันที ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับท่านอีกไม่นาน ท่านจะแสวงหาเรา แต่เราบอกท่านบัดนี้เหมือนกับที่เรา เคยบอกชาวยิวว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์กำ�ลังจะไปไหน” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ที่ที่เราไปนั้น ท่าน ยังตามไปเวลานี้ไม่ได้ แต่จะตามไปได้ในภายหลัง” เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ทำ�ไมข้าพเจ้าจึงตาม พระองค์ไปเวลานี้ไม่ได้ ข้าพเจ้าจะสละชีวิตเพื่อพระองค์” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านจะสละชีวิตเพื่อเรา หรือ เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะบอกถึงสามครั้งว่าไม่รู้จักเรา” “พระเจ้าข้า พระองค์กำ�ลังจะไปไหน” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ที่ที่เราไปนั้น ท่านยังตามไปเวลา นีไ้ ม่ได้ แต่จะตามไปได้ในภายหลัง”... เวลานี้ เราอาจจะยังไปไม่ได้ แต่เวลานีเ้ ป็นเวลาทีเ่ รากำ�ลังสร้างทางสำ�หรับ การไปของเรา ทุกวันและทุกการกระทำ�ของเราเป็นเหมือนกับการปูหินทีละก้อน ทีละก้อน เมื่อเราทำ�ดีทางนี้ก็ จะสูงขึ้นเรื่อย ตรงกันข้ามเมื่อทำ�ไม่ดีทางนี้ก็จะตํ่าลงเช่นกัน และทางนี้จะสร้างอย่างไร... ก็ดูที่พระเยซูเจ้าทำ� อย่างไร “พยายาม” ทำ�ตามพระองค์ หนทางนั้นก็จะเป็นทางที่ถูกต้อง... และมุ่งไปสู่สวรรค์อย่างแน่นอน


วันพุธ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 69:7-9,20-21, 30,32-33 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 อสย 50:4-9 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำ�ลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้า พระองค์ ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน องค์พระผู้ เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้า หันหลังให้แก่ผโู้ บยตีขา้ พเจ้า และหันแก้มให้แก่ผทู้ ดี่ งึ เคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซอ่ นหน้า แก่ผู้สบประมาทและถ่มนํ้าลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำ�หน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่อับอาย พระองค์ผู้ประทานความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้าทรงอยู่ใกล้ข้าพเจ้า ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า เราจงยืนขึ้นเผชิญหน้ากันเถิด ใครจะกล่าวหาข้าพเจ้า ก็จงเข้า มาใกล้ข้าพเจ้าเถิด ดูซิ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษ ข้าพเจ้า ดูซิ เขาทุกคนจะผุพังเหมือนเสื้อผ้า แมลงกินผ้าจะกัดกินเขาเหล่านั้น

พระวรสาร มธ 26:14-25 เวลานัน้ คนหนึง่ ในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ชือ่ ยูดาสอิสคาริโอท ไปพบบรรดาหัวหน้าสมณะ ถาม ว่า “ถ้าข้าพเจ้ามอบเขาให้ท่าน ท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้า” บรรดาหัวหน้าสมณะจ่ายเงินสามสิบเหรียญให้ แก่ยูดาส ตั้งแต่นั้นมา ยูดาสก็หาโอกาสที่จะมอบพระองค์ วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชือ้ บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระองค์มพี ระประสงค์ ให้เราจัดเตรียมการเลีย้ งปัสกาทีไ่ หน” พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปในกรุง ไปพบชายคนหนึง่ บอกเขาว่า ‘พระ อาจารย์บอกว่าเวลากำ�หนดของเราใกล้เข้ามาแล้ว เราจะกินปัสกากับศิษย์ของเราที่บ้านของท่าน’” บรรดา ศิษย์ก็ทำ�ตามที่พระเยซูเจ้าทรงบัญชา และจัดเตรียมปัสกา ครั้นถึงเวลาคํ่า พระองค์ประทับร่วมโต๊ะกับศิษย์ทั้งสิบสองคน ขณะที่ทุกคนกำ�ลังกินอาหารพร้อมกับ พระเยซูเจ้าอยู่นั้น พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศต่อ เรา” บรรดาอัครสาวกรู้สึกสลดใจและทูลถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระเจ้าข้า” พระองค์ ตรัสตอบว่า “คนที่จิ้มอาหารในชามเดียวกันกับเรานี่แหละจะทรยศต่อเรา บุตรแห่งมนุษย์จะจากไปตามที่มี เขียนเกี่ยวกับพระองค์ในพระคัมภีร์ วิบัติจงเกิดแก่คนที่ทรยศต่อบุตรแห่งมนุษย์ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาก็จะดี กว่า” ยูดาสผู้ทรยศต่อพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระอาจารย์” พระองค์ตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว” ยูดาสเป็นอัครสาวกของพระเยซูเจ้าคนหนึ่ง... ถามว่ายูดาสจำ�เป็นไหมสำ�หรับการไถ่กู้ของ พระเจ้า... ตอบว่า “ไม่จ�ำ เป็น” ถ้ายูดาสไม่ทรยศพระอาจารย์ พระองค์กม็ หี นทางมากมายทีพ่ ระองค์จะต้องตาย บนไม้กางเขน แต่เป็นเพราะความบาปของยูดาสที่มี ทำ�ให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมในการตายของพระองค์... แต่สิ่ง ทีเ่ ราเห็นคือ พระเยซูเจ้าตักเตือนยูดาสอย่างเปิดเผย แต่ยดู าสยังคงดือ้ ดึงในจิตใจตนเอง ดังนัน้ การรูจ้ กั พระเจ้า มิใช่การใกล้ชิด แต่เป็นการนำ�พระวาจาไปดำ�เนินชีวิต... นี่แหละ หนทางความรอดที่แท้จริง


บทอ่านที่ 1 อพย 12:1-8,11-14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในแผ่นดินอียิปต์ว่า “เดือนนี้จะเป็น เดือนแรกสำ�หรับท่านทั้งหลาย เป็นเดือนเริ่มต้นปี ท่านทั้งสองคนจงบอกชุมชนชาว อิสราเอลทั้งหมดว่า วันที่สิบเดือนนี้ แต่ละคนต้องเลือกลูกแกะหรือลูกแพะตัวหนึง่ สำ�หรับครอบครัวของตน... จงจับมันเลี้ยงไว้จนถึงวันที่สิบสี่ของเดือนนี้ แล้วให้ชุมชน ของชาวอิสราเอลทัง้ หมดฆ่าลูกแกะนัน้ ในตอนเย็น เอาเลือดทากรอบด้านข้างและด้าน บนของประตูบ้านที่จะกินลูกแกะนั้น... ในคืนนัน้ เราจะผ่านเข้าไปทัว่ แผ่นดินอียปิ ต์ และประหารชีวติ บุตรคนแรกทัง้ หมด ในแผ่นดินอียิปต์ ทั้งของคนและสัตว์... เลือดที่กรอบประตูจะเป็นเครื่องหมายว่าเป็น บ้านที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นเลือด เราจะผ่านเลยไป...”

วันพฤหัสบดี สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 116:12-13, 15-16ขค,17-18

เช้า : พิธีเสกนํ้ามันศักดิ์สิทธิ์ คํ่ำ� : ระลึกถึงพระเยซูเจ้า ทรงตั้งศีลมหาสนิท

บทอ่านที่ 2 1 คร 11:23-26 พีน่ อ้ ง ข้าพเจ้าได้รบั สิง่ ใดมาจากองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้มอบสิง่ นัน้ ต่อให้ทา่ น คือในคืนทีท่ รงถูก ทรยศนั้นเอง พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ แล้วทรงบิออก ตรัสว่า “นี่คือกายของ เราเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำ�การนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” เช่นเดียวกัน หลังอาหารคํ่า ก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทำ�การนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด”...

พระวรสาร ยน 13:1-15 ก่อนวันฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่จะทรงจากโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดา พระองค์ ทรงรักผู้ที่เป็นของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด ระหว่างการเลี้ยงอาหารคํ่า ปีศาจดลใจยูดาสอิสคาริโอทบุตรของซีโมนให้ทรยศต่อพระองค์ พระเยซู เจ้า...จึงทรงลุกขึน้ จากโต๊ะ ทรงถอดเสือ้ คลุมออกวางไว้ ทรงใช้ผา้ เช็ดตัวคาดสะเอว แล้วทรงเทนํา้ ลงในอ่าง ทรงเริ่มล้างเท้าบรรดาศิษย์ และทรงใช้ผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้ เมื่อเสด็จมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพเจ้าหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำ�อยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง” เปโตรทูลว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ล้างเท้าข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าท่านไม่ให้เราล้าง ท่านจะไม่มีส่วน เกีย่ วข้องกับเรา” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า อย่าทรงล้างเฉพาะเท้าเท่านัน้ แต่ลา้ งทัง้ มือและศีรษะด้วย” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่อาบนํ้าแล้วก็ไม่จำ�เป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้า เขาสะอาดทั้งตัวแล้ว ท่านทั้ง หลายก็สะอาดอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคน”... วันนี้ องค์พระเจ้าทรงเข้าครัวเพือ่ ประกอบอาหาร... ชีวติ เราจะมีชวี ติ อยูไ่ ด้ ด้วยการเอาชีวติ อืน่ มา ทำ�ให้ชีวิตของเราอยู่รอด ทุกอย่างที่เรากิน ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ล้วนเป็นสิ่งที่มีชีวิตมาก่อน และสิ่งนั้นต้อง สละชีวิตเพื่อเรา... มิฉะนั้น เราก็จะไม่มีชีวิต สังเกตไหมว่า เรากินดิน กินหินไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีชีวิต... จึงให้ชีวิตเราไม่ได้... วิญญาณของเราก็ต้องการอาหาร... พระเจ้าจึงยอมตาย เพื่อเนื้อและเลือดของพระองค์จะ กลับกลายมาเป็นชีวิต “นิรันดร” ของเรา ดังนั้น ทุกครั้งในมิสซา พระสงฆ์ก็เปรียบเสมือนผู้ประกอบอาหารเพื่อ วิญญาณของเรา โดยมีเนื้อและเลือดของพระเยซูเจ้าเป็นอาหารแท้แก่เราทุกคน


วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 31:1,5,11-13, 14-15,16,24 พระเยซูเจ้าทรงรับ ทรมานและสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน (ถือศีลอดอาหาร และอดเนื้อ)

บทอ่านที่ 1 อสย 52:13-53:12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ผู้รับใช้ของเราจะเจริญรุ่งเรือง เขาจะได้รับการยกย่อง เทิดทูนให้สูงยิ่ง คนจำ�นวนมากจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา หน้าตาของเขาเสียโฉมจนไม่ เหมือนหน้าตามนุษย์ รูปร่างของเขาก็ผิดไปจากรูปร่างของผู้คน ดังนั้น ชนหลายชาติ จะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา บรรดากษัตริย์จะทรงเงียบงันต่อหน้าเขา เพราะจะทรงเห็นสิ่ง ที่ไม่มีใครเคยบอก และจะทรงเข้าใจสิ่งที่ไม่ทรงเคยได้ยิน...” บทอ่านที่ 2 ฮบ 4:14-16,5:7-9 พี่น้อง ในเมื่อเรามีมหาสมณะยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งผ่านเข้าสู่สวรรค์แล้ว คือพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้า เราจงยึดมั่นอยู่ในการแสดงความเชื่อของเราเถิด เพราะเหตุว่า เราไม่มีมหาสมณะที่ร่วมทุกข์กับเราผู้อ่อนแอไม่ได้ แต่เรามีมหาสมณะผู้ทรงผ่านการ ผจญทุกอย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป ดังนั้น เราจงเข้าไปสู่พระบัลลังก์แห่งพระ หรรษทานด้วยความมั่นใจเพื่อรับพระกรุณา และพบพระหรรษทานเกื้อกูลในยามที่เรา ต้องการ...

พระวรสาร ยน 18:1-19:42 เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ข้ามห้วยขิดโรน ที่นั่นมีสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปพร้อมกับบรรดาศิษย์... ยูดาสนำ�กองทหารและยามรักษาพระวิหารทีบ่ รรดาหัวหน้าสมณะ และชาวฟาริสีจัดหาให้มาที่นั่น... พระเยซูเจ้าทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงเสด็จออกไปตรัส ถามเขาเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายเสาะหาใคร” เขาตอบว่า “หาเยซู ชาวนาซาเร็ธ” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็น”... เขาเหล่านั้นนำ�พระเยซูเจ้าจากบ้านของคายาฟาสไปยังจวนผู้ว่าราชการ... ปีลาตสั่งให้นำ�พระเยซูเจ้าไป เฆี่ยน บรรดาทหารนำ�กิ่งหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียร ให้พระองค์ทรงเสื้อคลุมสีม่วงแดง... บรรดาทหารนำ�พระเยซูเจ้าไปประหารชีวิต พระองค์ทรงแบกไม้กางเขน เสด็จออกไปยังสถานที่ที่เรียก ว่า “เนินหัวกะโหลก” ภาษาฮีบรูว่า “กลโกธา” เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขนที่นั่นพร้อมกับนักโทษอีกสอง คน อยู่คนละข้าง พระเยซูเจ้าทรงอยู่ตรงกลาง... หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าทุกสิ่งสำ�เร็จแล้ว จึงตรัสว่า “เรากระหาย”... ทหารจึงใช้ฟองนํ้า ชุบนํา้ องุน่ เปรีย้ วเสียบปลาย กิง่ หุสบ ยืน่ ถึงพระโอษฐ์ พระเยซูเจ้าทรงจิบนํา้ องุน่ เปรีย้ วแล้ว ตรัสว่า “สำ�เร็จ บริบูรณ์แล้ว” พระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์... ไม้กางเขนมีลักษณะเป็นไม้สองท่อน... ท่อนแรก เป็นท่อนตั้งตรง เปรียบเสมือน “พระเจ้า ผู้ทรง เป็นหนึ่ง เป็นหลัก มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง” อีกท่อนเป็นท่อนขวาง นอนอยู่บนพื้นดิน เปรียบเสมือน “มนุษย์ ที่นอนอยู่บนพื้น รอวันแห่งความตาย เน่าเปื่อย สลายไป ไร้คุณค่า”... แต่เมื่อไม้ท่อนขวางถูกนำ�ขึ้นมาเป็นรูป กางเขน ไม้ท่อนขวางจะขึ้นมาอยู่ระดับทรวงอก เหมือนแม่ที่อุ้มลูกขึ้นมาให้ดื่มนมจากอกแม่... มนุษย์จึงกลับ กลายมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยนํ้านมและชีวิตจากพระเจ้า... และพระเยซูบุตรพระเจ้า ก็ใช้ชีวิตของพระองค์ใน การ “มัด” ไม้สองอันนี้ไว้ด้วยกัน... ดังนั้น ไม้กางเขนแห่งความรักและความรอด จึงเกิดขึ้นมาได้ด้วยการตาย... ของพระองค์นั่นเอง


บทอ่านที่ 1 รม 6:3-11 พี่น้อง ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รับศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ดังนั้น เราถูกฝังไว้ใน ความตายพร้อมกับพระองค์อาศัยศีลล้างบาป เพื่อว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระ ชนมชีพจากบรรดาผู้ตายเดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำ�เนินชีวิต แบบใหม่ด้วยฉันนั้น ถ้าเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการสิ้นพระชนม์ เราก็จะ รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นเดียวกัน เรารู้ว่า สภาพเดิมของความเป็นมนุษย์ของเราถูกตรึงกางเขนไว้กบั พระองค์แล้ว เพือ่ ว่าร่างกาย ที่ใช้ทำ�บาปของเราจะถูกทำ�ลาย และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เพราะคนที่ ตายแล้ว ก็ย่อมพ้นจากบาป แต่เราเชื่อว่า ถ้าเราตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว เราก็จะมีชีวิตพร้อมกับ พระองค์ด้วย เรารู้ว่าพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้วจะ ไม่สนิ้ พระชนม์อกี ความตายไม่มอี ำ�นาจเหนือพระองค์อกี ต่อไป เพราะเมือ่ สิน้ พระชนม์ พระองค์ก็ทรงตายครั้งเดียวจากบาปตลอดไป เมื่อมีพระชนมชีพก็มีพระชนมชีพเพื่อ พระเจ้า ดังนี้ ท่านทัง้ หลายก็เช่นเดียวกันต้องถือว่า ท่านตายจากบาปแล้ว แต่มชี วี ติ อยู่ เพื่อพระเจ้าในพระคริสตเยซู

วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 118:1-2,16-17, 22-23 คืนตื่นเฝ้าปัสกา (เสกไฟ แห่เทียนปัสกา เสกนํ้า)

พระวรสาร มก 16:1-8 เมือ่ วันสับบาโตล่วงไปแล้ว มารียช์ าวมักดาลา มารียม์ ารดาของยากอบ และนางสะโลเม ซือ้ เครือ่ งหอม เพือ่ ชโลมพระศพของพระเยซูเจ้า เช้าตรูข่ องวันต้นสัปดาห์ เมือ่ ดวงอาทิตย์ขนึ้ แล้ว สตรีทงั้ สามคนไปยังพระ คูหา และกล่าวแก่กันว่า “ใครจะกลิ้งก้อนหินออกจากทางเข้าพระคูหาให้เรา” แต่เมื่อมองไป ก็เห็นว่าก้อน หินนั้นถูกกลิ้งออกไปแล้ว หินก้อนนั้นใหญ่โตมาก ครั้นเข้าไปภายในพระคูหา สตรีทั้งสามคนเห็นชายหนุ่ม ผู้หนึ่งสวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ด้านขวามือ ก็ตกตะลึง ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวกับสตรีทั้งสามคนว่า “อย่ากลัว ไปเลย ท่านกำ�ลังมองหาพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ ผู้ถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์มไิ ด้ประทับอยูท่ นี่ ี่ สถานทีน่ คี้ อื สถานทีท่ เี่ ขาได้วางพระศพไว้ จงไปแจ้งบรรดาศิษย์และเปโตรให้รวู้ า่ “พระองค์เสด็จล่วงหน้าท่านทั้งหลายไปในแคว้นกาลิลีแล้ว ท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น ดังที่ทรงบอกท่านไว้” สตรีทั้งสามคนออกจากพระคูหา หนีไปเพราะตกใจกลัวจนตัวสั่น และไม่ได้พูดเรื่องใดๆ กับใครเลยเพราะ กลัว หัวใจหลายดวงมีหลุมที่กักขังพระเจ้าไว้ เรารับศีลบ่อยครั้งเท่าไหร่ แต่เราไม่เคยให้พระเจ้าได้ออก มาร่วมชีวิตกับเราเลย เรารับพระเจ้าเข้าไป แต่ไม่ได้ให้พระองค์ออกมา เพื่อร่วมชีวิตกับเรา... ไปไหน มาไหน เชิญพระเจ้าออกมาร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับเราด้วย พระองค์จะดีใจมาก... อย่าทำ�เป็นเหมือนว่า ไม่มีพระองค์อยู่ใน หัวใจของเรา... การไม่รบั รู้ จึงเป็นดังหินปิดหลุมไว้... จงเคลือ่ นมันออกด้วยความรักและความเชือ่ แล้วเราจะพบ ว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเราจริงๆ



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.