บทอ่านที่ 1
อสค 47:1-9,12
ในครั้งนั้น เขานำ�ข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร ข้าพเจ้าเห็นนํ้าไหลออกมาจาก ใต้ธรณีประตูพระวิหารด้านตะวันออก เพราะพระวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก... ชายผู้นั้นเดินออกไปทางตะวันออก ถือเชือกวัดและวัดระยะทางหนึ่งพันศอก เขานำ� ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป นํ้าลึกเพียงตาตุ่ม เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำ�ข้าพเจ้า ลุยนํ้าข้ามไป นํ้าลึกถึงเข่า เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำ�ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป นํ้านั้นลึกถึงบั้นเอว เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอก บัดนี้เป็นแม่นํ้าที่ข้าพเจ้าลุยข้ามไม่ ได้ เพราะนํา้ สูงขึน้ เป็นนํา้ ทีต่ อ้ งว่ายข้าม เป็นแม่นาํ้ ทีล่ ยุ ข้ามไม่ได้ เขาถามข้าพเจ้าว่า “บุตร แห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านเห็นไหม” เขาจึงนำ�ข้าพเจ้ากลับมาที่ฝั่งแม่นํ้า เมื่อข้าพเจ้ากลับมา แล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นต้นไม้จำ�นวนมากบนฝั่งแม่นํ้าทั้งสองฟาก เขาบอกข้าพเจ้าว่า “นํ้านี้ ไหลไปทางทิศตะวันออก ลงไปถึงลุ่มแม่นํ้าจอร์แดน เข้าไปในทะเล เมื่อไหลเข้าไปใน ทะเล ก็ทำ�ให้นํ้าทะเลจืด แม่นํ้านี้ไปถึงที่ใด สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวในนั้นก็จะมีชีวิต... ”
พระวรสาร
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 46:1-2,3-4, 5-6,7-8
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
ยน 5:1-3ก,5-16
หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็ถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ที่ กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กบั ประตูแกะ มีสระชือ่ เป็นภาษาฮีบรูวา่ เบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยูห่ า้ ด้าน ตามระเบียง เหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำ�นวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต ที่นั่น มีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบ ว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” ผู้ป่วยนั้นตอบว่า “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วย จุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อนํ้ากระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด” ชายผู้นั้นก็หายเป็นปกติทันที เขายกแคร่ที่นอนและเริ่มเดินไป วันนั้นเป็นวันสับบาโต ชาวยิวจึงพูดกับชายที่หายป่วยนั้นว่า “วันนี้เป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ที่นอน ไม่ได้” เขาจึงตอบว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด’” เขา เหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอนและเดินไป” แต่ชายที่หายป่วยไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมูป่ ระชาชนทีอ่ ยูท่ นี่ นั่ แล้ว ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงพบชายผูน้ นั้ อีกในพระวิหาร จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำ�บาปอีก มิฉะนั้น เหตุร้ายกว่านี้จะเกิดขึ้นแก่ท่าน” ชายผู้นั้น จากไปแล้วบอกชาวยิวว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขาให้หายป่วย ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวจึงเริ่มเบียดเบียนพระ เยซูเจ้าเพราะพระองค์ทรงกระทำ�การนี้ในวันสับบาโต
วันนี้พระวรสารนำ�เรื่องพระเยซูเจ้าทรงรักษาคนป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง มาให้เราแต่ละคน ไตร่ตรอง เพื่อว่าในเทศกาลมหาพรตนี้ เราจะได้ยึดมั่นในหนทางแห่งความรักดั่งที่พระองค์ทรงสั่งสอนและนำ� มาปฏิบัติในชีวิต โดยให้ความสำ�คัญในการอุทิศตน เอาใจใส่และบรรเทาทุกข์ผู้กำ�ลังเจ็บป่วย หรือเป็นอัมพาต ทั้งในโรงพยาบาล ในสถานพยาบาล และในครอบครัว พวกเขาอาจเป็นญาติพี่น้องหรือเพื่อนบ้านใกล้ชิด แต่ ขณะนี้ขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างแท้จริง และถูกละเลย “ไม่มีใครช่วยจุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อนํ้ากระเพื่อม”
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 145:8-9,13คง14,16-19
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1
อสย 49:8-15
พระวรสาร
ยน 5:17-30
องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนีว้ า่ “ในเวลาแห่งความโปรดปราน เราจะตอบท่าน ในวัน แห่งความรอดพ้น เราจะช่วยเหลือท่าน เราจะปกป้องท่าน และให้ท่านเป็นพันธสัญญา ของประชากร เพื่อทำ�ให้แผ่นดินกลับเป็นเหมือนเดิม เพื่อจะคืนมรดกที่ถูกทำ�ลายแล้ว ให้ท่าน... ท้องฟ้าเอ๋ย จงโห่ร้องเถิด แผ่นดินเอ๋ย จงชื่นชมเถิด ภูเขาทั้งหลาย จงโห่ร้องด้วย ความยินดี เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงปลอบโยนประชากรของพระองค์ และทรงสงสาร ผูม้ คี วามทุกข์ แต่ศโิ ยนพูดว่า ‘องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงละทิง้ ข้าพเจ้า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของ ข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าแล้ว’ ‘หญิงคนหนึ่งจะลืมบุตรที่ยังกินนม และจะไม่สงสารบุตรที่ เกิดจากครรภ์ของนางได้หรือ’ แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย”
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “พระบิดาของเราทรงทำ�งานอยูเ่ สมอ เราก็ท�ำ งาน ด้วยเช่นเดียวกัน” เพราะคำ�ยืนยันนี้ ชาวยิวยิ่งพยายามจะฆ่าพระองค์ให้ได้... พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า พระบุตรไม่ท�ำ สิง่ ใดตามใจของตน แต่ท�ำ เฉพาะสิ่งที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำ�เท่านั้น เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทรงกระทำ� พระบุตรก็ย่อมกระทำ�เช่น เดียวกัน เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิ่งที่ทรงกระทำ� และจะทรงแสดง ให้พระบุตรเห็นการกระทำ�ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก เพื่อให้ท่านทั้งหลายรู้สึกประหลาดใจ พระบิดาทรงทำ�ให้ผู้ตาย กลับคืนชีวิต และประทานชีวิตให้ฉันใด พระบุตรก็ประทานชีวิตให้แก่ผู้ที่พอพระทัยฉันนั้น เพราะพระบิดาไม่ ทรงพิพากษาผู้ใด แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งหมดให้พระบุตร เพื่อทุกคนจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระบุตร ดังทีเ่ ขาถวายพระเกียรติแด่พระบิดา ผูท้ ไี่ ม่ถวายพระเกียรติแด่พระบุตร ก็ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบิดาผูท้ รง ส่งพระบุตรมา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ฟังวาจาของเรา และมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่ง เรามา ก็ย่อมมีชีวิตนิรันดร และไม่ต้องถูกพิพากษา แต่เขาได้ผ่านจากความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว... ท่านทั้งหลาย อย่าแปลกใจในเรือ่ งนีเ้ ลย เพราะถึงเวลาแล้วทีท่ กุ คนในหลุมศพจะได้ยนิ พระสุรเสียงของพระบุตรและจะออก มา ผู้ที่ได้ทำ�ความดีจะกลับคืนชีวิตมารับชีวิตนิรันดร ส่วนผู้ที่ทำ�ความชั่ว ก็จะกลับคืนชีวิตมารับโทษทัณฑ์... เรามิได้แสวงหาที่จะทำ�ตามใจของเรา แต่ทำ�ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”
เนื้อหาของพระวรสาร มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำ�เสนอพระเยซูเจ้า พร้อมยืนยันถึงพันธกิจและความสัมพันธ์ อันใกล้ชิดสนิทแน่นแฟ้นเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระวาจานี้เข้าใจได้ยากด้วยความคิดและสติปัญญาของ มนุษย์ เพื่อให้เราเชื่อในพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงเน้นว่า “ผู้ที่ฟังวาจาของเราและมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรง ส่งเรามา ก็ยอ่ มมีชวี ติ นิรนั ดร...เขาได้ผา่ นจากตายเข้าสูช่ วี ติ แล้ว” นัน่ ก็คอื พระองค์บอกเราว่าพระองค์เสด็จมา เพื่อประทาน “ชีวิต” ให้เรามอบความเชื่อไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนักบุญเปาโลได้อวยพร “ขอให้สันติสุขของพระเจ้า ซึ่ง เกินสติปัญญาจะเข้าใจได้นั้น จงคุ้มครองดวงใจและความคิดของท่านไว้ในพระคริสตเจ้า” (ฟป.4:7)
บทอ่านที่ 1
อพย 32:7-14
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงรีบลงไปข้างล่างเถิด เพราะประชากรของ ท่านซึ่งท่านได้นำ�ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ได้ทำ�ผิดอย่างสาหัส เขาเปลี่ยนวิถีทางอย่าง รวดเร็วออกจากทางที่เราได้สั่งให้เขาเดิน... อย่าห้ามเราเลย ความโกรธของเราจะเผา ผลาญเขาทั้งหลาย และเราจะทำ�ลายเขาเสีย เราจะทำ�ให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่” โมเสสอ้อนวอนองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของตนว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ทำ�ไม พระองค์ทรงปล่อยให้พระพิโรธเผาผลาญประชากรของพระองค์ทพี่ ระองค์ได้ทรงนำ�ออก มาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่และด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์... ขอทรง ระงับพระพิโรธเถิด... ขอทรงระลึกถึงอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ผู้รับใช้ของพระองค์ เถิด พระองค์ทรงสัญญากับเขาโดยทรงสาบานอาศัยพระนามของพระองค์ว่า เราจะให้ ลูกหลานของท่านมีจ�ำ นวนมากมายเหมือนดาวในท้องฟ้า เราจะให้แผ่นดินทีเ่ ราสัญญาไว้ นี้ทั้งหมดแก่ลูกหลานของท่าน และเขาจะครอบครองเป็นมรดกตลอดไป” องค์พระผู้ เป็นเจ้าจึงทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทรงลงโทษประชากรของพระองค์
พระวรสาร
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 106:19-20, 21-22,23
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
ยน 5:31-47
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวว่า “ถ้าเราเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง คำ�ยืนยันของเราก็ใช้ไม่ได้ แต่ ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานยืนยันให้เรา และเรารู้ว่า คำ�ยืนยันของเขาถึงเรานั้นเป็นความจริง ท่านทั้งหลายได้ส่ง คนไปถามยอห์น และยอห์นก็ได้เป็นพยานยืนยันถึงความจริง เราไม่ต้องการคำ�ยืนยันจากมนุษย์ แต่เรากล่าว เช่นนั้นเพื่อท่านทั้งหลายจะได้รอดพ้น ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงสว่างไสวที่จุดอยู่ ท่านทั้งหลายก็พอใจที่จะ ชื่นชมกับแสงสว่างของเขาอยู่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น แต่เรามีคำ�ยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำ�ยืนยันของยอห์น คืองาน ที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เราทำ�จนสำ�เร็จ งานที่เรากำ�ลังทำ�อยู่นี้ เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาทรงส่งเรามา พระบิดาผูท้ รงส่งเรามา ยังทรงเป็นพยานถึงเราอีกด้วย ท่านทัง้ หลายไม่เคยได้ยนิ พระสุรเสียงของพระองค์ ทัง้ ไม่เคยเห็นพระพักตร์ของพระองค์ และพระวาจาของพระองค์ไม่เคยอยู่ในท่าน เพราะท่านไม่มีความเชื่อในผู้ ที่พระองค์ทรงส่งมา... เรามาในพระนามของพระบิดา แต่ท่านทั้งหลายมิได้ต้อนรับเรา ถ้าผู้อื่นมาในนามของ ตน ท่านทั้งหลายก็ต้อนรับเขา แล้วท่านจะมีความเชื่อได้อย่างไร เมื่อท่านแสวงหาเกียรติจากกันและกัน แต่ไม่ แสวงหาเกียรติทมี่ าจากพระเจ้าพระองค์เดียว ท่านทัง้ หลายอย่าคิดว่า เราจะกล่าวหาท่านเฉพาะพระพักตร์ของ พระบิดา ผู้ที่กล่าวหาท่านมีอยู่แล้ว คือโมเสส ซึ่งท่านไว้วางใจ ถ้าท่านเชื่อโมเสสจริงๆ ท่านก็คงจะเชื่อเราด้วย เพราะโมเสสได้เขียนถึงเรา แต่ถ้าท่านไม่เชื่อข้อเขียนของโมเสส ท่านจะเชื่อวาจาของเราได้อย่างไร” ข้อรำ�พึงในพระวรสารวันนี้กล่าวถึงเอกลักษณ์ของผู้เป็น “พยาน” คำ�ว่า “พยาน” ถูกกล่าวอ้างซํ้าแล้ว ซํา้ อีก เพือ่ เตือนเราว่าการเป็นพยานนัน้ เป็นเหตุผลในการดำ�รงอยูข่ องเรา เอกลักษณ์ของเราคือการเป็นพยาน ถึงพระเยซูเจ้า ดั่งท่านยอห์น แบปติสต์ได้เป็นพยานถึงการเสด็จมาของพระองค์ หากมองไปรอบๆ ตัวเรา จะ พบว่ามีคนนับล้านจะไม่เห็นพระพักตร์ของพระคริสตเจ้า หากพวกเขามองไม่เห็นพระองค์บนใบหน้าของเรา พวกเขาจะไม่ได้ยนิ เสียงของพระองค์ นอกจากอาศัยเสียงของเรา ดังนัน้ ให้เราเป็นพยานถึงพระองค์ในชีวติ ทัง้ กิจการและคำ�พูด
บทอ่านที่ 1
ปชญ 2:1ก,12-22
ผู้ไม่ยำ�เกรงพระเจ้าใช้เหตุผลผิดๆ คิดว่า“เราจงดักซุ่มทำ�ร้ายผู้ชอบธรรม เพราะ เขาทำ�ให้เรารำ�คาญใจ เขาต่อต้านกิจการของเรา เขาตำ�หนิเราว่าฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ กล่าว หาว่าเราไม่ปฏิบตั ติ ามการอบรมทีไ่ ด้รบั เขาอ้างว่าเขารูจ้ กั พระเจ้า เรียกตนเองว่าเป็นบุตร ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของเขาเป็นการติเตียนความรู้สึกนึกคิดของเรา เพียงแต่เห็น เขา เราก็ทนไม่ได้ เพราะชีวิตของเขาไม่เหมือนกับผู้อื่น ความประพฤติของเขาก็ต่างกับ น.อิสิโดโร พระสังฆราช ของเรามาก เขาคิดว่าเราเป็นคนไร้ค่า เขาหลีกเลี่ยงวิถีชีวิตของเราประหนึ่งว่าเป็นสิ่ง ปฏิกูล เขาประกาศว่าผู้ชอบธรรมจะมีความสุขในวาระสุดท้าย อวดอ้างว่าพระเจ้าทรง และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร เป็นพระบิดาของเขา เราจงดูเถิดว่าคำ�พูดของเขาจะจริงหรือไม่ เราจงพิสูจน์ว่าอะไรจะ เกิดขึ้นแก่เขาในวาระสุดท้าย ถ้าผู้ชอบธรรมเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ก็จะทรง ปกป้องเขา และทรงช่วยเขาให้พน้ เงือ้ มมือของศัตรู เราจงสาปแช่งและทรมานลองใจเขา สดด 34:16-18, 19-20,22 ให้รู้ว่าเขาอ่อนโยนเพียงใด และจงทดสอบว่าเขาอดทนเพียงใด เราจงตัดสินลงโทษให้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เขาตายอย่างอัปยศ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเขา” ผู้ไม่ยำ�เกรงพระเจ้าคิดเช่นนี้ แต่เขาคิดผิด ความชั่วร้ายทำ�ให้เขาตาบอด เขาไม่รู้ วันศุกร์ต้นเดือน แผนการเร้นลับของพระเจ้า เขาไม่หวังว่าพระเจ้าจะทรงตอบแทนความศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ เชื่อว่าพระองค์จะประทานรางวัลแก่ผู้ดำ�เนินชีวิตไร้ตำ�หนิ
พระวรสาร
ยน 7:1-2,10,25-30
หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงพระประสงค์จะเสด็จไปทั่วแคว้นยูเดีย เพราะชาวยิวกำ�ลังพยายามจะฆ่าพระองค์ งานฉลองเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บรรดาพี่น้องของพระองค์ ขึ้นไปร่วมงานฉลองแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปด้วยอย่างเงียบๆ ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดเห็น ชาวเยรูซาเล็มบางคนพูดว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เขาพยายามจะฆ่า ดูซิ คนนี้กำ�ลังพูดคุยอย่างเปิดเผย และ ไม่มีใครห้ามปรามเขา หรือบางทีบรรดาหัวหน้าอาจยอมรับว่าเขาเป็นพระคริสต์ พวกเรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน พระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน” ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในพระวิหาร พระองค์ตรัสเสียงดังว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามา จากไหน เราไม่ได้มาตามใจตนเอง พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ ท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงส่งเรามา” คนเหล่านั้นพยายามจะจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง ประชาชนตระหนักว่าพระเยซูเจ้ากำ�ลังชะตาขาด จึงซุบซิบถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เขา พยายามจะฆ่า” แต่พระเยซูเจ้าเผชิญศัตรูของพระองค์อย่างไม่เกรงกลัว ในพระวิหารพระองค์ประกาศอย่าง เปิดเผยว่าพระองค์เป็นใคร “เราไม่ได้มาตามใจตนเอง พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ ท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงส่งเรามา” กระนั้นก็ตามพวกเขาไม่ยอมรับ พระองค์ จงเปิดใจกว้างที่จะสดับฟังและไตร่ตรองพระวาจาของพระองค์เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์
บทอ่านที่ 1
ยรม 11:18-20
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งเรื่องนี้แก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็รู้ พระองค์ทรงเปิดเผย แผนร้ายของเขาทั้งหลายแก่ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกแกะว่าง่ายซึ่งถูกนำ�มายัง ที่ฆ่า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเขากำ�ลังวางแผนร้ายต่อข้าพเจ้า พูดว่า “เราจงทำ�ลายต้นไม้ที่ กำ�ลังงอกงาม เราจงกำ�จัดเขาออกจากแผ่นดินของผู้เป็น ชื่อของเขาจะได้ไม่มีผู้ใดระลึก ถึงอีกเลย” บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม ทรงทดสอบทัง้ ความรูส้ กึ และจิตใจของมนุษย์ โปรดให้ขา้ พเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษ เขา เพราะข้าพเจ้าได้มอบคดีของข้าพเจ้าไว้กับพระองค์แล้ว
พระวรสาร
ยน 7:40-53
เมื่อประชาชนบางคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ จึงพูดว่า “คนนี้เป็น ประกาศกจริงๆ” บางคนพูดว่า “คนนี้เป็นพระคริสตเจ้า” บางคนพูดว่า “พระคริสตเจ้า จะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ พระคัมภีร์มิได้กล่าวหรือว่าพระคริสตเจ้าจะต้องมาจาก ราชวงศ์ของกษัตริยด์ าวิดและจากเมืองเบธเลเฮม เมืองทีก่ ษัตริยด์ าวิดเคยอยู”่ ประชาชน จึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับพระองค์ บางคนต้องการจับกุมพระองค์ แต่ไม่มี ใครลงมือจับกุม ทหารยามรักษาพระวิหารกลับมาหาบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ซึง่ ถามเขา ว่า “ทำ�ไมท่านทัง้ หลายไม่น�ำ เขามาด้วยเล่า” ทหารยามตอบว่า “ไม่มคี นใดพูดจาเหมือน กับชายผูน้ ี้เลย” ชาวฟาริสถี ามว่า “ท่านทัง้ หลายถูกเขาหลอกลวงไปแล้วหรือ มีหัวหน้า หรือชาวฟาริสีคนใดบ้างที่เชื่อเขา แต่ประชาชนเหล่านี้ท่ีไม่รู้เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูก สาปแช่งอยู่แล้ว” ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ที่เคยไปหาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้น กล่าวกับเขาว่า “ธรรมบัญญัตขิ องพวกเราไม่ตดั สินลงโทษผูใ้ ดโดยทีม่ ไิ ด้ฟงั คำ�ให้การของ ผู้นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาทำ�อะไรเสียก่อน” เขาเหล่านั้นจึงตอบว่า “ท่านก็มาจากแคว้น กาลิลดี ว้ ยหรือ จงค้นดูจากพระคัมภีรเ์ ถิด แล้วจะเห็นว่าไม่มปี ระกาศกคนใดมาจากแคว้น กาลิลีเลย” แล้วทุกคนก็กลับบ้าน
หมอกฎหมายและฟาริสีประชุมถกเถียงกันเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า บางคนในกลุ่ม ยอมรับว่าพระองค์ “เป็นประกาศก” ทีเ่ หลือบางคนเชือ่ ว่าพระองค์ “เป็นพระคริสตเจ้า” แต่บางคนแย้งว่า “พระคริสตเจ้าจะมาจากแคว้นกาลิลไี ด้หรือ” เพราะความคิดเห็นแตก ต่างกันเกีย่ วกับพระองค์ ทุกคนจึงกลับไปมือเปล่า ทัง้ ๆ ทีบ่ างคนต้องการจับกุมพระองค์ ความเชื่อเป็นของขวัญจากพระเจ้า ของขวัญนี้จุดสว่างในความคิดอ่านของเรา นำ�เราให้ รู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า ให้เราขอบคุณพระองค์
น.วินเซนต์ แฟร์เรร์ พระสงฆ์ สดด 7:1-2,8-9, 10-11
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 37:12-14
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันจักรี
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงประกาศพระวาจาและบอกเขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสดังนี้ ดูซิ ประชากรของเราเอ๋ย เรากำ�ลังจะเปิดหลุมฝังศพของท่านและยกท่านขึ้น มาจากหลุมศพ นำ�ท่านกลับมายังแผ่นดินอิสราเอล ประชากรของเราเอ๋ย ท่านจะรูว้ า่ เรา เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเราเปิดหลุมศพของท่าน และยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ เรา จะให้จิตของเราเข้าไปในท่าน และท่านจะมีชีวิต เราจะให้ท่านตั้งหลักแหล่งในแผ่นดิน ของท่าน แล้วท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เราได้พูดและได้ทำ�แล้ว องค์พระผู้ เป็นเจ้าตรัส”
เพลงสดุดี
สดด 130:1-4,5-6,7-8
ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าร้องหาพระองค์จากเหวลึก ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงฟังเสียงของข้าพเจ้า โปรดเงี่ยพระกรรณฟังเสียงวอนขอของข้าพเจ้า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงเก็บรักษาความผิดไว้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ใดจะยืนหยัดอยู่ได้ แต่พระองค์ประทานอภัย จึงได้รับความเคารพยำ�เกรง ข) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าวางใจ จิตใจข้าพเจ้ามีความหวัง ข้าพเจ้ารอคอยพระวาจาของพระองค์ จิตใจข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า ยิ่งกว่าคนยามเฝ้ารอแสงอรุณ ยิ่งกว่าคนยามเฝ้ารอแสงอรุณ
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:8-11
พีน่ อ้ ง ผูท้ ดี่ �ำ เนินชีวติ ตามธรรมชาติไม่อาจเป็นทีพ่ อพระทัยของพระเจ้าได้ ส่วนท่าน ทั้งหลาย ท่านไม่ดำ�เนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำ�เนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิต ของพระเจ้าสถิตในตัวท่าน ถ้าผูใ้ ดไม่มพี ระจิตของพระคริสตเจ้าผูน้ นั้ ก็ไม่เป็นของพระองค์ ถ้าพระคริสตเจ้าสถิตในท่านแล้ว แม้รา่ งกายของท่านตายเพราะบาป จิตของท่านก็มชี วี ติ เพราะความชอบธรรม และถ้าพระจิตของพระผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระ ชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายนัน้ สถิตในท่าน พระผูท้ รงบันดาลให้พระคริสตเยซูทรงกลับคืน พระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายก็จะทรงบันดาลให้รา่ งกายทีต่ ายได้ของท่านกลับมีชวี ติ เดชะ พระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตในท่านด้วย
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 11:3-7,17,20-27,33ข-45
เวลานั้น พี่น้องทั้งสองคนจึงส่งคนไปทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า คนที่พระองค์
ทรงรักกำ�ลังป่วย” เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวนี้ ก็ตรัสว่า “โรคนี้มิได้เกิดขึ้นเพื่อความตาย แต่เพื่อพระ สิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า เพราะโรคนี้ พระบุตรของพระเจ้าจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์” พระเยซูเจ้าทรงรักมารธากับน้องสาวและลาซารัส หลังจากทรงทราบว่า ลาซารัสกำ�ลังป่วย พระองค์ ยังคงประทับอยูท่ นี่ นั่ อีกสองวัน ต่อจากนัน้ พระองค์ตรัสกับบรรดาศิษย์วา่ “เรากลับไปแคว้นยูเดียกันเถิด” เมื่อเสด็จมาถึง พระเยซูเจ้าทรงพบว่าลาซารัสถูกฝังในคูหามาสี่วันแล้ว เมื่อมารธารู้ว่าพระเยซูเจ้า กำ�ลังเสด็จมา นางก็ออกไปรับเสด็จ ส่วนมารีย์ยังคงนั่งอยู่ที่บ้าน มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้า พระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย แต่บัดนี้ดิฉันรู้ดีว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” มารธาทูลว่า “ดิฉันรู้ ว่าเขาจะกลับคืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้ว ก็จะ มีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อในเรา จะไม่มีวันตายเลย ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ” มารธาทูลตอบว่า “เชื่อพระเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าที่จะ ต้องเสด็จมาในโลกนี้” พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยและเศร้าโศกมาก ตรัสถามว่า “ท่านฝังเขาไว้ที่ไหน” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า เชิญเสด็จมาทอดพระเนตรเถิด” พระเยซูเจ้าทรงกันแสง ชาวยิวจึงพูดว่า “ดูซิ พระองค์ทรงรักเขาเพียงไร” แต่บางคนตั้งข้อสังเกตว่า “พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดได้ จะทำ�ให้คนนี้ไม่ ตายไม่ได้หรือ” พระเยซูเจ้าทรงสะเทือนพระทัยอีก เสด็จถึงคูหาฝังศพ ซึ่งเป็นโพรงหินมีหินแผ่นหนึ่งปิด อยู่ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงยกแผ่นหินออก” มารธาน้องสาวของผู้ตายทูลว่า “พระเจ้าข้า ศพมีกลิ่นแล้ว เพราะฝังมาถึงสี่วัน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรามิได้บอกท่านหรือว่า ถ้าท่านมีความเชื่อ ท่านจะเห็นพระสิริ รุ่งโรจน์ของพระเจ้า” คนเหล่านั้นจึงยกแผ่นหินออก พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงฟัง คำ�ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระองค์ทรงฟังข้าพเจ้าเสมอ แต่ที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อประชาชนที่ อยู่รอบข้าพเจ้า เขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด” ผู้ตายก็ออกมา มี ผ้าพันมือพันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าด้วย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงเอาผ้าออกและปล่อยให้เขาไปเถิด” ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ก็เชื่อในพระองค์
ต่อหน้าความตายของคนที่เรารัก เราอาจถูกป้อนคำ�ถามเช่นเดียวกับมารธาว่า เราเชื่อหรือไม่ว่าพระ เยซูเจ้าทรงเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต พระเยซูเจ้าบอกเราในพระวรสารวันนี้ว่า สำ�หรับผู้ที่เชื่อใน พระองค์จะเป็นผูม้ ชี ยั ชนะต่อความตาย ความตายฝ่ายร่างกายมิใช่จดุ สุดท้ายของชีวติ สิง่ สำ�คัญทีส่ ดุ ของ ชีวิตมนุษย์เราคือพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตของเรา ผู้ทรงสร้างเรามาให้มีชีวิต และจิตวิญญาณมนุษย์ถูก สร้างมาเป็นอมตะ ความเชื่อในพระเยซูเจ้าจะช่วยเราเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ขณะเดินผ่านความตายไปสู่ ชีวิตนิรันดรกับพระองค์
บทอ่านที่ 1
ดนล 13:41ค-62
ทุกคนที่มาประชุมกันเชื่อเขา เพราะเขาเป็นผู้อาวุโสผูพ้ ิพากษาประชากร จึงตัดสิน ลงโทษให้ประหารชีวิตนาง นางสุสันนาร้องตะโกนดังสุดเสียง... องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังเสียงของนาง ขณะที่เขากำ�ลังนำ�นางไปประหารชีวิต พระเจ้าทรงดลใจชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อดาเนียล... ดาเนียลยืนอยู่ในหมู่คนทั้งหลาย พูด ว่า “ชาวอิสราเอลเอ๋ย... จงกลับไปพิจารณาคดีเถิด เพราะคนเหล่านี้เป็นพยานเท็จ ปรักปรำ�นาง” ระลึกถึง น.ยอห์น ประชาชนทุกคนก็รีบกลับไป บรรดาผู้อาวุโสพูดกับดาเนียลว่า “เชิญมานั่งกับพวก แบปติสต์ เดอ ลาซาล เรา จงแสดงความคิดของท่านให้เราฟังเถิด เพราะพระเจ้าประทานความเฉลียวฉลาด พระสงฆ์ เยี่ยงผู้อาวุโสให้แก่ท่าน” ดาเนียลตอบเขาว่า “จงแยกสองคนนี้ให้อยู่คนละแห่ง แล้ว สดด 23:1-6 ข้าพเจ้าจะสอบสวนเขา” เมื่อแยกทั้งสองคนจากกันแล้ว ดาเนียลก็เรียกคนหนึ่งมาถาม ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ว่า... ถ้าท่านเห็นหญิงคนนี้จริงๆ จงบอกซิว่า ท่านเห็นเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้ อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นยาง” ดาเนียลพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษ ตนเอง...” ดาเนียลส่งเขากลับไปยังที่ของตน สั่งให้นำ�อีกคนหนึ่งออกมา พูดว่า “... จง บอกมาซิ ท่านพบเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นโอ๊ก” ดาเนียลจึงพูดว่า “โดย แท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบคอยฟันท่านเป็นสองท่อน ท่านทั้งสอง คนจะต้องตายแน่” คนทั้งหลายที่ชุมนุมกันต่างตะโกนเสียงดังด้วยความยินดี ถวายพระพรแด่พระเจ้าผู้ทรง ช่วยผู้วางใจในพระองค์ให้รอดพ้น...
พระวรสาร
ยน 8:1-11
เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก... บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำ�หญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นางยืน ตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเรา ให้ทมุ่ หินหญิงประเภทนีจ้ นตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” เขาถามพระองค์เช่นนีเ้ พือ่ จับผิดพระองค์ หวังจะหาเหตุ ปรักปรำ�พระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดิน เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามยํ้าอยู่ อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” แล้วทรงก้ม ลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จน เหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำ�พังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับ นางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” หญิงคนนั้นทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำ�บาปอีก” นักบุญ ยอห์น แบปติสต์ เดอ ลาซาล เกิดที่ประเทศฝรั่งเศส (1651-1719) และได้บวชเป็นพระสงฆ์ แต่แล้วก็ได้สละตำ�แหน่งเจ้าอาวาสเพือ่ อุทศิ ตนให้กบั การอบรมศึกษาเด็กๆ ของชนชัน้ ทีย่ ากจน ท่านได้ตงั้ คณะ “Brothers of the Christian School” หรือทีเ่ รียกว่า “คณะลาซาล” ท่านได้ตงั้ โรงเรียนสำ�หรับเด็กๆ จำ�นวน มาก พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้ประกาศแต่งตัง้ ท่านเป็นองค์อปุ ถัมภ์ของบรรดาครูคาทอลิกในปี 1950 เพือ่ ให้พวกครูได้มีจิตสำ�นึกถึงความจำ�เป็นที่จะต้องให้การศึกษาอบรมแบบคริสตชนที่แท้จริง
บทอ่านที่ 1
กดว 21:4-9
ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกก เพื่อเลี่ยงแผ่น ดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทาง ประชากรเริ่มหมดความอดทน จึงพากันบ่นว่าพระเจ้า และโมเสสว่า “ทำ�ไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่นทุรกันดารนี้ ที่ นี่ไม่มีทั้งนํ้าและอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำ�ให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจำ�นวน มาก คนทั้งปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำ�บาปเพราะบ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า และบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพิษเหล่านี้ออกไปเสียเถิด” โมเสสจึงอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อประชากร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จง ทำ�งูโลหะติดไว้บนเสา ผู้ที่ถูกงูกัดและมองดูงูโลหะนั้น จะรอดชีวิต” โมเสสจึงทำ�งูทอง สัมฤทธิ์ขึ้นติดไว้ที่เสา ผู้ที่ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต
พระวรสาร
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต สดด 102:1-2,15-17, 18-20
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
ยน 8:21-30
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาเหล่านั้นอีกว่า “เราจากไปแล้วท่านทัง้ หลายจะแสวงหาเรา แต่ทา่ นจะตายเพราะบาปของท่าน ทีท่ เี่ ราไปนัน้ ท่านไปไม่ได้” ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง แต่เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ แต่เรามิได้ เป็นของโลกนี้ ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็น ท่านจะตาย เพราะบาปของท่าน” เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เรายังมีอีกหลายเรื่องที่เราจะต้องพูด และพิพากษาเกี่ยวกับท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ สิ่งใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์ เราก็บอกสิ่ง นั้นให้โลกรู้” คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่า พระองค์กำ�ลังตรัสกับเขาเรื่องพระบิดา พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่า “เมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้น เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็น และรู้ว่าเราไม่ทำ�อะไรตามใจตนเอง แต่ พูดอย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้ พระผู้ทรงส่งเรามาสถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตาม ลำ�พัง เพราะเราทำ�ตามที่พระองค์พอพระทัยเสมอ” เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์
พระวาจาของพระเยซูเจ้ามีความหมายและเป็นแสงสว่างสำ�หรับผู้เป็นมิตร ติดตามพระองค์ด้วยความ เชือ่ ความวางใจ แต่เป็นยาขมและความมืดมนสำ�หรับหมอกฎหมายและฟาริสผี ตู้ งั้ ตนเป็นคูอ่ ริ ปฏิเสธมิตรภาพ ของพระองค์ ความเชือ่ เป็นจุดเริม่ ต้นของความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า ซึง่ เราไม่มที างจะรูจ้ กั พระองค์ได้ นอกจากพระองค์ประสงค์ที่จะเผยให้เรารู้ พระวาจาวันนี้บอกเราว่าพระองค์เปิดเผยให้เรารู้โดยผ่านทางพระ เยซูเจ้า “สิง่ ใดทีเ่ ราได้ยนิ มาจากพระองค์ เราก็บอกสิง่ นัน้ ให้โลกรู”้ ทีน่ า่ สังเกตคือ อีกครัง้ หนึง่ พระเยซูเจ้าเปิด เผยตนเองดั่งเป็นผู้ที่ถูกส่งมา
ดนล 3:14-20,24-25,28
บทอ่านที่ 1
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ดนล 3:53-56
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร
กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรัสถามเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก เป็นความ จริงหรือไม่ ทีท่ า่ นไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของเรา และไม่ยอมนมัสการรูปปัน้ ทองคำ�ทีเ่ ราตัง้ ไว้...” ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกกราบทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “...ข้าแต่พระ ราชา ขอทรงทราบเถิดว่า พระเจ้าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายรับใช้จะทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้ พ้นจากเตาที่มีไฟลุกโพลง และให้พ้นพระหัตถ์ของพระองค์ได้... ” กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กริ้วมาก... รับสั่งให้เพิ่มไฟในเตาให้ร้อนจัดกว่าเดิมอีกเจ็ด เท่า และรับสัง่ ให้ทหารบางคนทีแ่ ข็งแรงทีส่ ดุ ในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และอาเบดเน โก โยนเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงประหลาดพระทัยมาก... ตรัสต่อไปว่า “แต่เราเห็นชายสี่คนไม่ถูกมัดกำ�ลังเดินอยู่กลางเปลวไฟโดยไม่ได้รับ อันตรายเลย ใบหน้าของชายคนที่สี่นั้นคล้ายกับใบหน้าของเทพบุตร” กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรัสว่า “ขอถวายพระพรแด่พระเจ้าของชัดรัค เมชาค และ อาเบดเนโก พระองค์ทรงส่งทูตสวรรค์มาช่วยกอบกู้ผู้รับใช้ที่วางใจในพระองค์...”
ยน 8:31-42
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวทีเ่ ชือ่ ในพระองค์วา่ “ถ้าท่านทัง้ หลายยึดมัน่ ในวาจาของเรา ท่านก็เป็น ศิษย์ของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำ�ให้ท่านเป็นอิสระ” คนเหล่านั้นจึงตอบว่า “พวกเราเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร ท่านพูดได้อย่างไร ว่า ‘ท่านทั้งหลายจะเป็นอิสระ’” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ‘ทุกคนทีท่ �ำ บาปก็เป็นทาสของบาป ทาส ย่อมไม่พำ�นักอยู่ในบ้านตลอดไป แต่บุตรพำ�นักอยู่ตลอดไป ดังนั้น ถ้าพระบุตรทำ�ให้ท่านเป็นอิสระ ท่านก็จะ เป็นอิสระอย่างแท้จริง เรารูว้ า่ ท่านทัง้ หลายเป็นเชือ้ สายของอับราฮัม แต่ทา่ นพยายามจะฆ่าเรา เพราะวาจาของ เราไม่ซึมซาบเข้าไปในท่าน เราบอกสิ่งที่เราได้เห็นเมื่อเราอยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดา ท่านทั้งหลายก็ทำ�ตาม ที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย’” คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “บิดาของพวกเราคืออับราฮัม” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม ท่านจงทำ�กิจการของอับราฮัมเถิด แต่บดั นี้ ท่าน กำ�ลังพยายามจะฆ่าเรา... ท่านไม่ทำ�กิจการของอับราฮัม แต่ทำ�กิจการของบิดาของท่าน” คนเหล่านั้นเถียงว่า “เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ บิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้า พระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า เราไม่ได้มาตามใจตนเอง แต่พระองค์ ทรงส่งเรามา” โดยผ่านทางพระเยซูเจ้า “ผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา” พระเจ้าทรงเผยเรื่องส่วนตัวของพระองค์บางประการ แก่เรา พระองค์ตรัสถึงบาปของเราและถึงพระบุตรของพระองค์ผทู้ รงไถ่เราพ้นจากบาป “ทุกคนทีท่ �ำ บาปก็เป็น ทาสของบาป...ถ้าพระบุตรทำ�ให้ทา่ นเป็นอิสระ ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง” แม้พระเยซูเจ้าพยายามสือ่ สาร กับชาวยิว บอกให้พวกเขารู้สาระอันลํ้าค่าแก่พวกเขาที่เลยระดับที่สติปัญญาของมนุษย์จะคิดได้ แต่ชาวยิวไม่ ยอมเชือ่ เพราะหยิง่ ในศักด์ศรีทเี่ ป็นเชือ้ สายของอับราฮัม พระเยซูเจ้าตรัสว่า ผูท้ ยี่ ดึ มัน่ ในพระวาจาของพระองค์ ก็เป็นศิษย์ของพระองค์
บทอ่านที่ 1
ปฐก 17:3-9
ในครั้งนั้น อับรามจึงกราบลงกับพื้นดิน พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่คือพันธสัญญา ทีเ่ ราให้ไว้กบั ท่าน ท่านจะเป็นบิดาของชนชาติจ�ำ นวนมาก ท่านจะไม่ชอื่ ว่าอับรามอีกแล้ว ท่านจะมีชื่อใหม่ว่าอับราฮัม เพราะเราจะทำ�ให้ท่านเป็นบิดาของชนชาติจำ�นวนมาก เรา จะทำ�ให้ท่านมีลูกหลานจำ�นวนมากยิ่งๆ ขึ้น จะให้ท่านเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์ หลายองค์จะเกิดจากท่าน เราจะรักษาพันธสัญญาของเราไว้กบั ท่าน และกับลูกหลานของ ท่านที่จะตามมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นพันธสัญญาที่คงอยู่ตลอดไป เราจะเป็นพระเจ้าของ ท่าน และเป็นพระเจ้าของลูกหลานของท่านที่จะตามมา เราจะให้แผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่ อย่างคนแปลกหน้าถิน่ นีค้ อื แผ่นดินคานาอันทัง้ หมดแก่ทา่ นและแก่ลกู หลานทีจ่ ะตามมา ภายหลังท่านเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย” พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ท่านและลูกหลานของท่านที่จะตามมาทุกรุ่นจะต้อง รักษาพันธสัญญาของเราไว้”
พระวรสาร
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต สดด 105:4-5, 6,7-10
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
ยน 8:51-59
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย” ชาวยิวพูดกับพระองค์ว่า “บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านถูกปีศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดาประกาศกก็ ตายไปแล้วเช่นกัน แต่ท่านพูดว่า ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่ต้องลิ้มรสความตายเลย” ท่านยิ่ง ใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเรา ซึ่งตายไปแล้วหรือ บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็น ใครกัน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติตนเอง เกียรติของเราก็ไม่มคี า่ อะไร ผูท้ ใี่ ห้เกียรติเราคือพระบิดา ของเรา ผู้ที่ท่านพูดว่า ‘เป็นบิดาของท่าน’ แต่ท่านไม่รู้จักพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราจะพูดว่า ‘เราไม่รู้จัก พระองค์’ เราก็เป็นคนพูดเท็จเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ อับรา ฮัม บิดาของท่านได้ยินดี ที่จะเห็นวันของเรา เขาได้เห็น และได้ยินดีแล้ว” ชาวยิวจึงค้านว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอก ความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น” คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าเสด็จเลี่ยงออกไปจากพระวิหาร
อีกครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าได้บอกเราถึงสิ่งที่พระองค์ได้เห็นได้ยินจากพระบิดา เพื่อเราจะได้มีส่วนร่วมใน ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชดิ ทีเ่ รามีกบั พระบิดาและกับพระองค์เอง พระองค์บอกเราว่า ผูใ้ ดปฏิบตั ติ ามพระวาจา ของพระองค์ ผู้นั้นจะไม่พบความตาย เพราะพระวาจาของพระองค์เป็นพระวาจาของพระบิดา นักบุญยอห์น บอกเราในจดหมายของท่านว่า ผู้ที่ทำ�ตามพระดำ�รัสของพระบิดาก็เป็นผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง และควร ดำ�เนินชีวิตดังพระเยซูเจ้าทรงกระทำ�เป็นตัวอย่าง(1 ยน 2:5-6)
บทอ่านที่ 1
น.สตานิสเลาส์ พระสังฆราช และมรณสักขี สดด 18:1-2กข,2ค-3, 4-5,6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร
ยรม 20:10-13
ข้าพเจ้าได้ยนิ เสียงหลายคนซุบซิบว่า “ความหวาดกลัวอยูโ่ ดยรอบมาแล้ว จงกล่าว หาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด” มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า คอยเฝ้าดูความล่มจม ของข้าพเจ้า พูดว่า “เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง แล้วเราจะเอาชนะเขาได้ และจะแก้ แค้นเขา” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง ดังนั้น ผู้ข่มเหง ข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้องอับอายมาก เพราะไม่ประสบ ความสำ�เร็จ ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงทดสอบผู้ชอบธรรม ทรงสำ�รวจ ใจและจิต ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้ทูลเสนอ คดีของข้าพเจ้าให้ทรงทราบแล้ว จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญองค์ พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสน ให้พ้นมือของผู้ทำ�ความชั่วร้าย
ยน 10:31-42
เวลานั้น ชาวยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์อีก พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้แสดงกิจการที่ ดีหลายอย่างจากพระบิดา แล้วท่านจะเอาก้อนหินขว้างเราเพราะกิจการใดเล่า” ชาวยิวตอบว่า “พวกเราจะเอา หินขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะกิจการทีด่ ี แต่เพราะท่านพูดดูหมิน่ พระเจ้า ท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตงั้ ตนเป็นพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัตขิ องท่านทัง้ หลายว่า ‘เราได้กล่าวว่า ท่านทัง้ หลายเป็นพระเจ้า พระคัมภีรเ์ รียกผูร้ บั พระวาจาของพระเจ้าว่า ‘เป็นพระเจ้า’ และพระคัมภีรจ์ ะลบล้างไม่ได้ พระบิดาทรงบันดาล ให้เราศักดิ์สิทธิ์ และทรงส่งเรามาในโลก แล้วทำ�ไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวหาว่าเราพูดดูหมิ่นพระเจ้า เมื่อเราพูดว่า “เราเป็นบุตรของพระเจ้า” ถ้าเราไม่ทำ�กิจการของพระบิดาของเรา ท่านก็อย่าเชื่อเราเลย แต่ถ้าเราทำ� แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำ�นั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจ ว่า พระบิดาสถิตอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” คนทั้งหลายพยายามจะจับกุมพระองค์อีก แต่พระองค์ทรงเลี่ยงพ้นจากเงื้อมมือของพวกเขาไปได้ พระองค์เสด็จข้ามแม่นาํ้ จอร์แดนอีกครัง้ หนึง่ กลับไปยังสถานทีซ่ งึ่ แต่กอ่ นนัน้ ยอห์นได้ท�ำ พิธลี า้ ง พระองค์ ทรงพำ�นักอยู่ที่นั่น ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ พูดว่า “ยอห์นไม่ได้ทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์อะไรเลย แต่ทุกสิ่ง ที่ยอห์นกล่าวถึงชายคนนี้ก็เป็นความจริง” และที่นั่นหลายคนเชื่อในพระองค์
“เราเป็นบุตรของพระเจ้า” ชาวยิวได้ยนิ ดังนีก้ ห็ ยิบก้อนหินจะขว้างพระองค์ เพราะพวกเขาคิดว่าพระองค์ ดูหมิน่ พระเจ้า ความจริงพวกเขาไม่ได้สนใจฟังพระองค์ แต่ใส่ใจทีจ่ ะจับผิดคำ�พูดของพระองค์ คำ�ว่า “เป็นบุตร พระเจ้า” และกิจการดีหลายอย่างของพระองค์จึงไม่มีความหมายสำ�หรับพวกเขา บ่อยครั้งคนเราเลือกที่จะ เดินไปข้างหน้า แต่ไม่สนใจฟังอะไร ไม่ฟังสังขารและช่วงวัย ไม่ฟังพระวาจาที่ควรนำ�มาปฏิบัติควบคู่ไปกับชีวิต คริสตชน หากเป็นเช่นนีเ้ ราก็ไม่ตา่ งจากกลุม่ ชนทีพ่ ยายามจะจับกุมพระเยซูเจ้า ดังในบทอ่านพระวรสารประจำ� วันนี้
บทอ่านที่ 1
อสค 37:21-28
พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะนำ�ชาว อิสราเอลมาจากนานาชาติซึ่งเขาไปอาศัยอยู่ด้วย เราจะรวบรวมเขามาจากทุกแห่ง และ จะนำ�เขามายังแผ่นดินของเขา เราจะทำ�ให้เขาเป็นชนชาติเดียวในแผ่นดิน บนภูเขาทั้ง หลายแห่งอิสราเอล จะมีกษัตริย์พระองค์เดียวปกครองเขาทั้งหลาย เขาจะไม่เป็นชน สองชาติ และจะไม่แยกเป็นสองอาณาจักรอีกต่อไป... เราจะช่วยเขาให้พน้ จากการทรยศ ที่เขาได้ทำ�บาป เราจะชำ�ระเขา แล้วเขาจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้า ของเขา ดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นกษัตริย์ปกครองเขา จะเป็นผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียวของ เขาทุกคน เขาจะปฏิบตั ติ ามกฎเกณฑ์ของเรา จะรักษาข้อกำ�หนดของเราและปฏิบตั ติ าม... เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา...’”
พระวรสาร
ยน 11:45-56
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ยรม 31:10, 11-12กข,13
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
เวลานั้น ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ก็ เชือ่ ในพระองค์ แต่บางคนไปพบชาวฟาริสี เล่าเรือ่ งทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงกระทำ�ให้ฟงั บรรดา หัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจึงเรียกประชุมสภา ปรึกษากันว่า “พวกเราจะทำ�อย่างไรดี เพราะคนคนนีไ้ ด้ท�ำ เครือ่ งหมายอัศจรรย์หลายอย่าง ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ ทุกคนจะเชือ่ เขา แล้วชาวโรมัน ก็จะมาทำ�ลายทัง้ พระวิหารและชนชาติของเรา” คนหนึง่ ในทีป่ ระชุมชือ่ คายาฟาส เป็นมหาสมณะในปีนนั้ กล่าว ว่า “ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจอะไรเลย ท่านไม่คิดหรือว่า ถ้าคนคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน จะเป็นประโยชน์ มากกว่าทีช่ นทัง้ ชาติจะต้องพินาศไป” เขาไม่ได้พดู เช่นนีต้ ามใจตนเอง แต่ในฐานะทีเ่ ป็นมหาสมณะในปีนนั้ เขา ประกาศพระวาจาว่า พระเยซูเจ้าจะต้องสิ้นพระชนม์เพื่อชนทั้งชาติ และไม่ใช่เพื่อชนทั้งชาติเท่านั้น แต่เพื่อจะ รวบรวมบรรดาบุตรที่กระจัดกระจายอยู่ของพระเจ้าให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่วันนั้น ที่ประชุมได้ตกลง กันที่จะประหารพระองค์ ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงไม่เสด็จไปที่ใดอย่างเปิดเผยในหมู่ชาวยิวอีกต่อไป แต่เสด็จไป ที่เมืองชื่อเอฟราอิม ในเขตแดนใกล้ถิ่นทุรกันดาร และทรงพำ�นักอยู่ที่นั่นกับบรรดาศิษย์ วันปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง ประชาชนจำ�นวนมากเดินทางจากชนบทขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อชำ�ระ ตนก่อนวันฉลอง เขาเหล่านัน้ เสาะหาพระเยซูเจ้า และขณะทีย่ นื อยูใ่ นพระวิหารก็ถามกันว่า “ท่านทัง้ หลายคิด อย่างไร เขาจะมาในวันฉลองหรือไม่” บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ออกคำ�สั่งว่า ถ้าใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มารายงาน เพื่อจะ ได้จับกุมพระองค์
ความเกลียดชังต่อพระเยซูเจ้าในจิตใจของชาวยิวที่เป็นสมณะและฟาริสีเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน พระเยซูเจ้าก็ ยิ่งเพิ่มทำ�กิจการดีหลายอย่างรวมถึงทำ�ให้ลาซารัสกับคืนชีพ ยิ่งเพิ่มความเกลียดชังของพวกเขาต่อพระองค์ “พวกเราจะทำ�อย่างไรดี...ทุกคนจะเชื่อเขา” คายาฟาสมหาสมณะแนะนำ�ว่า “ถ้าคนคนเดียวจะตายเพื่อ ประชาชน จะเป็นประโยชน์มากกว่าทีค่ นทัง้ ชาติจะต้องพินาศไป” ดังนัน้ ทีป่ ระชุมได้ตกลงกันว่าจะประหารชีวติ พระเยซูเจ้า... ให้เราสงสารพระองค์
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 50:4-7
อาทิตย์มหาทรมาน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 แห่ใบลาน วันสงกรานต์
องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำ�ลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้า พระองค์ทรงปลุก ข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง เปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบยตี ข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่ผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบประมาทและ ถ่มนาํ้ ลายรด องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนัน้ ข้าพเจ้าจึงไม่ตอ้ งละอาย ข้าพเจ้า ทำ�หน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าจะไม่อับอาย
เพลงสดุดี
สดด 22:7-8,16-17ก,18-19,22-23
ก) ผู้ใดเห็นข้าพเจ้าก็เยาะเย้ย เขายิ้มหยันและสั่นศีรษะ พลางพูดว่า “เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้พระองค์ทรงช่วยซิ ถ้าพระองค์ทรงรักเขา ก็ให้พระองค์ทรงปลดปล่อยเขา”
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี ฟป 2:6-11
แม้วา่ พระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์กม็ ไิ ด้ทรงถือว่าศักดิศ์ รีเสมอพระเจ้า นั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรง ยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูน พระองค์ขึ้นสูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่น ใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลงนมัสการ พระนาม “เยซู” นี้ และเพือ่ ชนทุกภาษาจะได้รอ้ งประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์ พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น มธ 27:11-54
ขณะนั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าราชการ ผู้ว่าราชการถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านพูดเองนะ” แต่เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสกล่าวหาพระองค์ พระองค์มิได้ทรงตอบ ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “ท่านไม่ได้ยินหรือว่าเขากล่าวหาท่านหลายประการ” แต่ พระองค์มิได้ตรัสตอบประการใด ทำ�ให้ผู้ว่าราชการประหลาดใจมาก มีประเพณีที่ผู้ว่าราชการต้องปล่อยนักโทษคนหนึ่งตามคำ�ขอร้องของประชาชนใน วันฉลอง เวลานัน้ มีนกั โทษอุกฉกรรจ์คนหนึง่ ชือ่ บารับบัส ดังนัน้ เมือ่ ประชาชนมาชุมนุม กัน ปีลาตจึงถามว่า “ท่านทั้งหลายต้องการให้ข้าพเจ้าปล่อยผู้ใด ปล่อยบารับบัส หรือ เยซู ทีเ่ รียกว่าพระคริสต์” ปีลาตรูอ้ ยูแ่ ล้วว่า เขาจับพระองค์มามอบให้เพราะความอิจฉา ขณะที่ปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์ศาลนั้น ภรรยาของเขาส่งคนมาบอกว่า “อย่าไปยุ่ง
เกี่ยวกับผู้ชอบธรรมคนนี้เลย เพราะวันนี้ ฉันฝันถึงเรื่องของคนคนนี้ จึงไม่สบายใจมาก” แต่บรรดาหัวหน้าสมณะและผูอ้ าวุโสเสีย้ มสอนยุยงประชาชนเพือ่ ขอให้ปล่อยบารับบัส และประหาร พระเยซูเจ้า ผูว้ า่ ราชการจึงถามว่า “ในสองคนนี้ ท่านอยากให้ขา้ พเจ้าปล่อยคนไหน” พวกเขาตอบว่า “บา รับบัส” ปีลาตจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น จะให้ข้าพเจ้าทำ�อะไรกับเยซู ซึ่งมีชื่อว่า พระคริสต์” ทุกคนตอบว่า “ให้ เขาถูกตรึงกางเขน” ปีลาตถามอีกว่า “เขาทำ�ผิดอะไร” แต่ประชาชนร้องตะโกนดังยิ่งขึ้นว่า “ให้เขาถูก ตรึงกางเขน” เมือ่ ปีลาตเห็นว่าไม่มปี ระโยชน์อะไร มีแต่จะวุน่ วายยิง่ ขึน้ จึงนำ�นาํ้ มาล้างมือต่อหน้าประชาชน กล่าว ว่า “ข้าพเจ้าไม่ขอเกี่ยวข้องกับโลหิตของผู้นี้ เรื่องนี้เป็นธุระของท่าน” ประชาชนทุกคนตอบว่า “ขอให้ เลือดของเขาตกเหนือเราและเหนือลูกหลานของเราเถิด” แล้วปีลาตสัง่ ให้ปล่อยบารับบัส สัง่ ให้โบยตีพระ เยซูเจ้า แล้วมอบพระองค์ให้เขานำ�ไปตรึงบนไม้กางเขน... เขาติดป้ายเหนือพระเศียรของพระองค์ เขียนข้อกล่าวหาพระองค์ไว้วา่ ‘นีค่ อื เยซูกษัตริยข์ องชาวยิว’ เขายังตรึงโจรสองคนพร้อมกับพระองค์ด้วย คนหนึ่งอยู่ข้างขวา อีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย ผู้คนที่ผ่านไปมา ต่างสบประมาทพระองค์... โจรที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย ตั้งแต่เวลาเที่ยง ทั่วแผ่นดินก็มืดจนถึงเวลาบ่ายสามโมง ครั้นถึงเวลาบ่ายสามโมง พระเยซูเจ้าทรง ร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบัคทานี” ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระเจ้าของ ข้าพเจ้า ทำ�ไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า” บางคนที่อยู่ที่นั่นได้ยินจึงพูดว่า “เขากำ�ลังร้องเรียก เอลียาห์” ทันใดนัน้ ชายคนหนึง่ วิง่ ไปนำ�ฟองนาํ้ จุม่ เหล้าองุน่ เปรีย้ วเสียบปลายไม้ออ้ ส่งให้พระองค์เสวย แต่คน อื่นพูดว่า “อย่าเพิ่ง คอยดูซิว่า เอลียาห์จะมาช่วยเขาไหม” แต่พระเยซูเจ้าทรงเปล่งเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์ ทันใดนัน้ ม่านในพระวิหารก็ฉกี ขาดเป็นสองส่วนตัง้ แต่ดา้ นบนลงมาถึงด้านล่าง แผ่นดินสัน่ สะเทือน ก้อนหินแตก คูหาที่ฝังศพเปิดออก ร่างของผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายร่างที่ล่วงหลับไปแล้วกลับคืนชีพ และออก มาจากหลุมศพหลังจากทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ เข้าไปในนครศักดิส์ ทิ ธิแ์ ล้วแสดงตนแก่ผคู้ น จำ�นวนมาก นายร้อยและบรรดาทหารที่เฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ ตกใจกลัวยิ่งนัก กล่าวว่า “ชายคนนี้เป็นบุตรของพระเจ้าแน่ทีเดียว”
“ทรงรับทรมานสมัยปอนทิอัสปิลาต ทรงถูกตรึงกางเขน สิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้” นี่เป็นส่วนหนึ่ง ที่เราภาวนาในบทแสดงความเชื่อ สำ�หรับพระเยซูเจ้า การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มเป็นการเสด็จเข้าไปหาความตาย เป็นการตระหนักถึง พันธกิจของพระองค์ ทีจ่ ะทำ�ลายบาปของมนุษย์ดว้ ยความตายของพระองค์ ในสายตาคนทัว่ ไปนีเ่ ป็นความ พ่ายแพ้ แต่ในความเป็นจริงมันเป็นการเริม่ ต้นของชัยชนะอันยิง่ ใหญ่ นัน่ คือ ชัยชนะต่อบาปและความตาย ปรากฏชัดแจ้งให้เราเห็นชัดเจนได้จากการเสด็จกลับเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์
บทอ่านที่ 1
วันจันทร์ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 27:1,7-8ก, 8ข-9กข,13-14
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร
อสย 42:1-7
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “นี่คือผู้รับใช้ของเรา ซึ่งเราเชิดชู เราเลือกเขาเพราะเรา พอใจเขา เราให้จติ ของเราแก่เขา เขาจะนำ�ความยุตธิ รรมไปให้แก่นานาชาติ เขาจะไม่รอ้ ง ตะโกนหรือเปล่งเสียงดัง จะไม่ท�ำ ให้ใครได้ยนิ เสียงของเขาตามถนน ไม้ออ้ ทีช่ าํ้ แล้ว เขา จะไม่หกั และไส้ตะเกียงทีร่ บิ หรีอ่ ยู่ เขาจะไม่ดบั เขาจะประกาศความยุตธิ รรมด้วยความ สัตย์จริง เขาจะไม่หมดหวังหรือท้อใจ จนกว่าจะได้สถาปนาความยุติธรรมไว้บนแผ่นดิน ดินแดนชายทะเลจะรอคอยคำ�สอนของเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสร้างท้องฟ้ากว้างใหญ่ ทรงคลี่แผ่นดินและทุกสิ่ง ทีเ่ กิดจากทีน่ นั่ ประทานชีวติ แก่ประชากรบนแผ่นดิน และประทานลมหายใจแก่ผทู้ ดี่ �ำ เนิน อยู่ที่นั่น ตรัสว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม เราจับ มือของท่านและรักษาท่านไว้ เราให้ทา่ นเป็นพันธสัญญาของประชากร และเป็นแสงสว่าง ส่องนานาชาติ เพื่อเปิดตาคนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ�จากคุก ปลดปล่อยผู้ที่อยู่ ในความมืดจากที่คุมขัง”
ยน 12:1-11
หกวันก่อนฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่หมู่บ้านเบธานี ตำ�บลที่อยู่ของลาซารัสที่พระองค์ทรงทำ�ให้ กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ผู้คนที่นั่นจัดงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่พระองค์ มารธาคอยรับใช้ ขณะที่ลาซารัส เป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์ด้วย มารีย์ใช้นํ้ามันหอมสมุนไพรบริสุทธิ์ราคาแพงหนักหนึ่งปอนด์ชโลม พระบาทของพระเยซูเจ้า และใช้ผมเช็ดพระบาท กลิ่นนํ้ามันหอมอบอวลไปทั่วบ้าน ยูดาส อิสคาริโอท ศิษย์ คนหนึ่งที่จะทรยศต่อพระองค์พูดว่า “ทำ�ไมไม่เอานํ้ามันหอมนี้ไปขายราคาสามร้อยเหรียญ แล้วนำ�เงินไปแจก ให้คนยากจน” ที่เขาพูดเช่นนี้มิใช่เพราะเขาห่วงใยคนยากจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย เขาเป็นผู้ถือถุงเงินและ ยักยอกเงินในถุงนั้น พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ช่างเถิด ปล่อยให้นางเก็บนํ้ามันหอมนี้ไว้สำ�หรับวันฝังศพของเรา คนยากจนนั้นอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านตลอดไป” ชาวยิวจำ�นวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น จึงมา มิใช่เพียงเพื่อเฝ้าพระเยซูเจ้า แต่เพื่อมาดูลาซารัส ซึง่ พระองค์ได้ทรงทำ�ให้กลับคืนชีพจากบรรดาผูต้ าย บรรดาหัวหน้าสมณะจึงตกลงกันจะฆ่าลาซารัสด้วย เพราะ ลาซารัสทำ�ให้ชาวยิวจำ�นวนมากไปเฝ้าพระเยซูเจ้าและเชื่อในพระองค์
ครอบครัวของลาซารัสจัดงานเลี้ยงให้พระเยซูเจ้า เพื่อขอบคุณพระองค์ที่ทำ�ให้ลาซารัสกลับคืนชีพ เพื่อ แสดงความขอบคุณมารีย์ผู้เป็นน้องสาวที่ได้ถวายของขวัญแด่พระเยซูเจ้า ซึ่งก็คือเป็นนํ้าหอมที่มารีย์ชโลม พระบาทของพระองค์ เป็นนํา้ หอมทีม่ รี าคาแพงมาก พระเยซูเจ้าทรงพอพระทัยกับการกระทำ�ของมารียท์ ชี่ โลม พระบาทพระองค์ดว้ ยความรัก นักบุญยอห์นผูป้ ระพันธ์พระวรสารต้องการให้เราเข้าใจว่า พระเยซูเจ้าปรารถนา ให้เราแสดงความรักต่อพระองค์ มารีย์เป็นตัวอย่างแก่เรา นางถวายนํ้าหอมที่มีค่าที่สุด นางมิได้เก็บอะไรไว้ สำ�หรับตัวนางเองเลย
บทอ่านที่ 1
อสย 49:1-6
ดินแดนชายทะเลและเกาะทั้งหลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนที่อยู่สุดแดน ไกล จงตั้งใจฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าเกิด ทรงขานชื่อ ข้าพเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา... พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลเอ๋ย ท่านเป็น ผู้รับใช้ของเรา เราจะแสดงสิริรุ่งโรจน์ของเราโดยทางท่าน” แต่ข้าพเจ้ากลับคิดว่า “ข้าพเจ้าได้ทำ�งานเหนื่อยเปล่า ข้าพเจ้าเสียแรงไปเปล่าๆ ไร้ ประโยชน์”... พระองค์ตรัสว่า “เป็นการน้อยไปทีท่ า่ นจะเป็นผูร้ บั ใช้ของเรา เพือ่ สถาปนา เผ่าพันธุ์ของยาโคบขึ้นใหม่ และรวบรวมอิสราเอลที่เหลืออยู่อีกครั้งหนึ่ง เราจะให้ท่าน เป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อความรอดพ้นที่เรานำ�มาให้จะได้แผ่ไปจนสุดปลาย แผ่นดิน”
พระวรสาร
ยน 13:21-33,36-38
วันอังคาร สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 71:1-3ก, 3ข-5,6,16-18ก
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกหวั่นไหวพระทัย จึงตรัสยืนยันว่า “เราบอก ความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านคนหนึ่งจะทรยศเรา” บรรดาศิษย์ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ ว่าพระองค์ทรงหมายถึงใคร ศิษย์คนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักนั่งโต๊ะติดกับพระองค์ ซีโมนเปโตรจึงทำ�สัญญาณให้เขาทูลถามว่า “ผู้ที่พระองค์กำ�ลังตรัสถึงนี้เป็นใคร” เขาจึงเอนกายชิดพระอุระ ของพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “พระเจ้าข้า เป็นใครหรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เป็นผูท้ เี่ ราจะจุม่ ขนมปังส่งให้” แล้วทรงจุ่มขนมปังชิ้นหนึ่งส่งให้ยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท แต่เมื่อยูดาสได้รับขนมปังชิ้นนี้แล้ว ซาตานก็ เข้าสิงในตัวเขา พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านจะทำ�อะไร ก็จงทำ�โดยเร็วเถิด” ผู้ร่วมโต๊ะด้วยกันไม่มีใคร เข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงตรัสเช่นนี้ บางคนคิดว่าเนื่องจากยูดาสเป็นผู้ถือถุงเงิน พระเยซูเจ้าทรงบอกเขาว่า “จงไปซื้อของที่จำ�เป็นสำ�หรับวันฉลอง” หรือบอกว่า “จงไปแจกทานแก่คนยากจน” ดังนั้น เมื่อยูดาสรับชิ้น ขนมปังแล้ว ก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน เมื่อยูดาสออกไปแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ และพระเจ้าทรงได้ รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ด้วย ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ พระเจ้าจะทรง ให้บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระองค์ด้วย และจะทรงให้บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ทันที ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับท่านอีกไม่นาน ท่านจะแสวงหาเรา แต่เราบอกท่านบัดนี้เหมือนกับที่เราเคยบอก ชาวยิวว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์กำ�ลังจะไปไหน” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ที่ที่เราไปนั้น ท่านยัง ตามไปเวลานีไ้ ม่ได้ แต่จะตามไปได้ในภายหลัง” เปโตรทูลพระองค์วา่ “พระเจ้าข้า ทำ�ไมข้าพเจ้าจึงตามพระองค์ ไปเวลานี้ไม่ได้ ข้าพเจ้าจะสละชีวิตเพื่อพระองค์” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านจะสละชีวิตเพื่อเราหรือ เรา บอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะบอกถึงสามครั้งว่าไม่รู้จักเรา” เพื่อเราจะไม่เป็นดังยูดาส แต่ล้มแล้วมีความสามารถลุกขึ้นดังเปโตร เราคริสตชนจะต้องยึดพระเยซูเจ้า เป็นศูนย์กลางของชีวิตและรักพระองค์อย่างแท้จริง ความรักที่เรามีต่อองค์พระเยซูเจ้านั้นอาจแสดงออกได้ หลายวิธี การชิดสนิทกับพระองค์โดยทางคำ�ภาวนาก็เป็นสิง่ สำ�คัญ การเอาใจใส่สรรเสริญพระองค์ ขอบพระคุณ และขออภัยในความผิดที่ได้ทำ�ล้วนเป็นวิธีแสดงออกถึงความรักต่อพระองค์ทั้งสิ้น
วันพุธ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 69:7-9,20-21, 30,32-33
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1
อสย 50:4-9
พระวรสาร
มธ 26:14-25
องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำ�ลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุก ข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง เปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบยตี ข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่ผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบประมาทและ ถ่มนาํ้ ลายรด องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนัน้ ข้าพเจ้าจึงไม่ตอ้ งละอาย ข้าพเจ้า ทำ�หน้าของข้าพเจ้าให้ดา้ นเหมือนหิน ข้าพเจ้ารูว้ า่ ข้าพเจ้าจะไม่อบั อาย พระองค์ผปู้ ระทาน ความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้าทรงอยู่ใกล้ข้าพเจ้า ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า...
เวลานัน้ คนหนึง่ ในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ชือ่ ยูดาส อิสคาริโอท ไปพบบรรดา หัวหน้าสมณะ ถามว่า “ถ้าข้าพเจ้ามอบเขาให้ท่าน ท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้า” บรรดา หัวหน้าสมณะจ่ายเงินสามสิบเหรียญให้แก่ยดู าส ตัง้ แต่นนั้ มา ยูดาสก็หาโอกาสทีจ่ ะมอบ พระองค์ วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระองค์มีพระประสงค์ ให้เราจัดเตรียมการเลี้ยงปัสกาที่ไหน” พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปในกรุง ไปพบชายคนหนึ่ง บอกเขาว่า “พระ อาจารย์บอกว่าเวลากำ�หนดของเราใกล้เข้ามาแล้ว เราจะกินปัสกากับศิษย์ของเราที่บ้านของท่าน” บรรดาศิษย์ก็กระทำ�ตามที่พระเยซูเจ้าทรงบัญชา และจัดเตรียมปัสกา ครัน้ ถึงเวลาคาํ่ พระองค์ประทับร่วมโต๊ะกับศิษย์ทงั้ สิบสองคน ขณะทีท่ กุ คนกำ�ลังกินอาหารพร้อมกับพระ เยซูเจ้าอยู่นั้น พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศต่อเรา” บรรดาอัครสาวกรู้สึกสลดใจและทูลถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสตอบ ว่า “คนที่จิ้มอาหารในชามเดียวกันกับเรานี่แหละ จะทรยศต่อเรา บุตรแห่งมนุษย์จะจากไปตามที่มีเขียนเกี่ยว กับพระองค์ในพระคัมภีร์ วิบัติจงเกิดแก่คนที่ทรยศต่อบุตรแห่งมนุษย์ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาก็จะดีกว่า” ยูดาสผู้ ทรยศต่อพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระอาจารย์” พระองค์ตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว”
ถ้าเราอ่านพระวรสารตัง้ แต่ตน้ จนจบอย่างตัง้ ใจ ความจริงประการหนึง่ ทีเ่ ราจะพบคือ ศัตรูของพระเยซูเจ้า พยายามหาทางกำ�จัดพระองค์หลายครัง้ แต่พระองค์ทรงหนีรอดทุกครัง้ เพราะเวลาของพระองค์ยงั มาไม่ถงึ ใน พระวรสารวันนีพ้ ระองค์ทรงชีใ้ ห้เห็นว่าเวลาทีพ่ ระบิดาได้ทรงกำ�หนดไว้ส�ำ หรับการมอบตนเองของพระองค์เพือ่ เป็นสินไถ่มนุษยชาติใกล้จะมาถึงแล้ว พร้อมกับทำ�นายว่าหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคนจะทรยศต่อ พระองค์ พระเยซูเจ้าไม่ทรงเพียงแค่รู้เวลาแห่งความตายที่กำ�ลังจะมาถึงเท่านั้น แต่พระองค์ทรงยอมรับความ ตายดังกล่าวด้วยความสุภาพถ่อมตน นี่คือความนบนอบจนถึงที่สุดที่พระองค์ทรงมีต่อพระบิดาและความรัก ยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีต่อเราแต่ละคน
บทอ่านที่ 1
อพย 12:1-8,11-14
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในแผ่นดินอียิปต์ว่า “...แต่ละคนต้อง เลือกลูกแกะหรือลูกแพะตัวหนึ่งสำ�หรับครอบครัวของตน หนึ่งตัวต่อหนึ่งครอบครัว... ลูกแกะนั้นต้องไม่มีตำ�หนิ เป็นตัวผู้อายุหนึ่งปี จะเลือกลูกแพะแทนลูกแกะก็ได้ จงจับ มันเลีย้ งไว้จนถึงวันทีส่ บิ สีข่ องเดือนนี้ แล้วให้ชมุ ชนของชาวอิสราเอลทัง้ หมดฆ่าลูกแกะ นัน้ ในตอนเย็น เอาเลือดทากรอบด้านข้างและด้านบนของประตูบา้ นทีจ่ ะกินลูกแกะนัน้ ... ในคืนนั้น เราจะผ่านเข้าไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ และประหารบุตรคนแรกทั้งหมดใน แผ่นดินอียิปต์ ทั้งของคนและสัตว์... เลือดที่กรอบประตูจะเป็นเครื่องหมายว่าเป็นบ้าน ที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นเลือด เราจะผ่านเลยไป...”
บทอ่านที่ 2
1 คร 11:23-26
พระวรสาร
ยน 13:1-15
วันพฤหัสฯ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 116:12-13, 14-16,17-18
พี่น้อง ข้าพเจ้าได้รับสิ่งใดมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้มอบสิ่งนั้นต่อให้ เช้า : พิธีเสกนํ้ำ�มัน ศักดิ์สิทธิ์ ท่าน คือในคืนทีท่ รงถูกทรยศนัน้ เอง พระเยซูองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ คํ า ่ : ระลึ กถึงพระเยซูเจ้า แล้วทรงบิออก ตรัสว่า “นี่คือกายของเราเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำ�การนี้เพื่อระลึกถึงเรา ทรงตัง้ ศีลมหาสนิท เถิด” เช่นเดียวกัน หลังอาหารคํ่า ก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ใน โลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทำ�การนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด”... ก่อนวันฉลองปัสกา...ระหว่างการเลี้ยงอาหารคํ่า ปีศาจดลใจยูดาสอิสคาริโอทบุตรของซีโมนให้ทรยศต่อ พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว... จึงทรงลุกขึ้นจาก โต๊ะ ทรงถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ ทรงใช้ผ้าเช็ดตัวคาดสะเอว แล้วทรงเทนํ้าลงในอ่าง ทรงเริ่มล้างเท้าบรรดา ศิษย์และทรงใช้ผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้ เมือ่ เสด็จมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์วา่ “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพเจ้าหรือ” พระ เยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำ�อยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง” เปโตรทูลว่า “ข้าพเจ้า ไม่ยอมให้พระองค์ล้างเท้าข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าท่านไม่ให้เราล้าง ท่านจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับเรา” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า อย่าทรงล้างเฉพาะเท้าเท่านั้น แต่ล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” พระเยซู เจ้าตรัสว่า “ผูท้ อี่ าบนาํ้ แล้วก็ไม่จ�ำ เป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้า เขาสะอาดทัง้ ตัวแล้วท่านทัง้ หลายก็สะอาด อยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคน” ทั้งนี้ทรงทราบว่า ใครกำ�ลังทรยศต่อพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายสะอาด แต่ไม่ ทุกคน”...
วันนี้พระเยซูเจ้าทรงชี้ให้บรรดาศิษย์เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างการที่พระองค์ทรงล้างเท้าของ พวกเขาและการที่พวกเขาต้องล้างเท้าของคนอื่น ถ้าการล้างเท้าเป็นสัญลักษณ์แห่งการรับใช้ พระเยซูเจ้าทรง ปรารถนาให้เรารับใช้ซงึ่ กันและกันด้วยความรักและสุภาพถ่อมตน ความศรัทธาทีแ่ ท้จริงต่อศีลมหาสนิทจะต้อง นำ�เราไปสู่การรับใช้ผู้อื่น พระเยซูเจ้าทรงบิปังแห่งศีลมหาสนิทและทรงล้างเท้าบรรดาศิษย์ด้วยฉันใด เราต้อง เจริญชีวิตของเราตามแบบอย่างของพระองค์ ทั้งในพิธีบูชาขอบพระคุณและในชีวิตจริงของเราด้วยฉันนั้น
บทอ่านที่ 1
อสย 52:13-53:12
บทอ่านที่ 2
ฮบ 4:14-16,5:7-9
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ผู้รับใช้ของเราจะเจริญรุ่งเรือง เขาจะได้รับการยกย่อง เทิดทูนให้สูงยิ่ง คนจำ�นวนมากจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา หน้าตาของเขาเสียโฉมจนไม่ เหมือนหน้าตามนุษย์ รูปร่างของเขาก็ผิดไปจากรูปร่างของผู้คน ดังนั้น ชนหลายชาติจะ ตกตะลึงเมือ่ เห็นเขา บรรดากษัตริยจ์ ะทรงเงียบงันต่อหน้าเขา เพราะจะทรงเห็นสิง่ ทีไ่ ม่มี ใครเคยบอก และจะทรงเข้าใจสิ่งที่ไม่ทรงเคยได้ยิน”... วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 31:1,5,10ข-12 14-15,16,24
พระวรสาร
พีน่ อ้ ง ในเมือ่ เรามีมหาสมณะยิง่ ใหญ่ผซู้ งึ่ ผ่านเข้าสูส่ วรรค์แล้ว คือพระเยซูเจ้าพระ บุตรของพระเจ้า เราจงยึดมั่นอยู่ในการแสดงความเชื่อของเราเถิด เพราะเหตุว่าเราไม่มี มหาสมณะที่ร่วมทุกข์กับเราผู้อ่อนแอไม่ได้ แต่เรามีมหาสมณะผู้ทรงผ่านการผจญทุก อย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป...
ยน 18:1-19:42
พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ข้ามห้วยขิดโรน ที่นั่นมีสวนแห่งหนึ่ง พระองค์ เสด็จเข้าไปพร้อมกับบรรดาศิษย์...พระเยซูเจ้าทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์... ปีลาตกลับเข้าไปในจวน และเรียกพระเยซูเจ้ามาถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระเยซูเจ้า ตรัสตอบว่า “ท่านถามดังนี้ด้วยตนเอง หรือผู้อื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” ปีลาตตอบว่า “...ท่านทำ�ผิดสิ่งใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อาณาจักรของเรามิได้เป็นของโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเราเป็นของโลกนี้ ผู้รับใช้ของ เราก็คงจะต่อสู้เพื่อมิให้เราถูกมอบให้ชาวยิว แต่อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้” บรรดาทหารนำ�พระเยซูเจ้าไปประหาร พระองค์ทรงแบกไม้กางเขน เสด็จออกไปยังสถานทีท่ เี่ รียกว่า “เนิน หัวกะโหลก” ภาษาฮีบรูว่า “กลโกธา” เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขนที่นั่นพร้อมกับนักโทษอีกสองคน... พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระองค์พร้อมกับน้องสาวของพระนาง มารีย์ ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนอยู่ใกล้ๆ จึง ตรัสกับพระมารดาว่า “แม่ นี่คือลูกของแม่” แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือแม่ของท่าน”... หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าทุกสิ่งสำ�เร็จแล้ว จึงตรัสว่า “เรากระหาย” พระคัมภีร์ตอนนี้จึงเป็น จริงด้วย... เหตุการณ์ทงั้ หมดนีเ้ กิดขึน้ เพือ่ ให้ขอ้ ความในพระคัมภีรเ์ ป็นจริงว่า “กระดูกของเขาจะไม่หกั แม้เพียง ชิ้นเดียว” และข้อความอีกตอนหนึ่งว่า “เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่เขาแทง” บนไม้กางเขนพระเยซูเจ้าตรัสว่า “สำ�เร็จบริบรู ณ์แล้ว” จากนัน้ จึงทรงเอนพระเศียรและสิน้ พระชนม์ ด้วย พระดำ�รัสสั้นๆ นี้ พระองค์ทรงบอกเป็นนัยว่าบาปของเราได้รับการอภัยอย่างครบถ้วนโดยทางพระโลหิตของ พระองค์ พันธกิจแห่งการกอบกู้มนุษยชาติมาถึงจุดหมายปลายทาง และความรอดพ้นจากบาปและความตาย ตลอดนิรันดรได้มาถึงมวลมนุษย์ ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงสำ�เร็จบริบูรณ์แล้ว เราต้องขอบพระคุณพระองค์ สำ�หรับความรักยิง่ ใหญ่นดี้ ว้ ยการมาร่วมพิธมี สิ ซาทุกวันอาทิตย์ ด้วยการรักเพือ่ นมนุษย์คนอืน่ เหมือนทีพ่ ระองค์ ทรงรักเรา และด้วยการหลีกเลี่ยงบาป เมื่อพระเยซูเจ้าได้ทรงจ่ายหนี้บาปทั้งหมดแทนเราแล้ว เราไม่ควรไป สร้างหนี้เพิ่มขึ้นอีก
บทอ่านที่ 1
รม 6:3-11
พี่น้อง ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รับศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ดังนั้น เราถูกฝังไว้ใน ความตายพร้อมกับพระองค์อาศัยศีลล้างบาป เพือ่ ว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนม ชีพจากบรรดาผูต้ ายเดชะพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำ�เนินชีวติ แบบใหม่ ด้วยฉันนัน้ ถ้าเรารวมเป็นหนึง่ เดียวกับพระองค์ในการสิน้ พระชนม์ เราก็จะรวมเป็นหนึง่ เดียวกับพระองค์ในการกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นกัน เรารูว้ า่ สภาพเดิมของความเป็น มนุษย์ของเราถูกตรึงกางเขนไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อว่าร่างกายที่ใช้ทำ�บาปของเราจะถูก ทำ�ลาย และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เพราะคนที่ตายแล้ว ก็ย่อมพ้นจากบาป แต่เราเชือ่ ว่า ถ้าเราตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว เราก็จะมีชวี ติ พร้อมกับพระองค์ ด้วย... ดังนี้ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันต้องถือว่า ท่านตายจากบาปแล้ว แต่มีชีวิตอยู่ เพื่อพระเจ้าในพระคริสตเยซู
พระวรสาร
มธ 28:1-10
วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 118:1-2, 16-17,22-23
คืนตื่นเฝ้าปัสกา เสกไฟ,แห่เทียนปัสกา, เสกนํ้า
หลังจากวันสับบาโต เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์อีกผู้หนึ่งไปดูพระคูหา ทันใด นัน้ ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทูตสวรรค์ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าลงจากสวรรค์เข้าไปกลิง้ หินออกและนัง่ บน หินนั้น ใบหน้าของทูตสวรรค์แจ่มจ้าเหมือนสายฟ้า อาภรณ์ขาวราวหิมะ ทหารยามตกใจกลัวทูตสวรรค์จนตัว สั่นหน้าซีดเหมือนคนตาย ทูตสวรรค์กล่าวแก่สตรีทั้งสองคนว่า “อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกำ�ลังมองหาพระเยซู ผู้ถูกตรึงบน ไม้กางเขน พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ เพราะทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วตามที่ตรัสไว้ มาซิ มาดูที่ที่เขาวาง พระองค์ไว้ แล้วจงรีบไปบอกบรรดาศิษย์ว่า ‘พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว พระองค์ เสด็จล่วงหน้าท่านไปในแคว้นกาลิลี ท่านจะพบพระองค์ที่นั่น’ นี่คือข่าวดีที่ข้าพเจ้าแจ้งแก่ท่าน” สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหา วิ่งไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอด พระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้น กาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น” การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าพิสจู น์ให้เราเห็นว่าความตายถูกชนะอย่างเด็ดขาดแล้ว พระองค์ ทรงรับทรมานและสิ้นพระชนม์ด้วยความสมัครใจเพราะพระองค์ทรงรักเรา การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เป็นการแสดงออกถึงการให้ตนเองแก่เราทั้งครบและจนถึงที่สุด ให้แม้กระทั่งชีวิตของพระองค์เอง พระบิดา ทรงยอมรับการถวายตนเองด้วยพระทัยอิสระของพระบุตรสุดทีร่ กั และทรงทำ�ให้องค์พระบุตรกลับคืนพระชนม ชีพอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการทำ�ให้วัฏจักรแห่งความรักสมบูรณ์ไป การกลับคืนพระชนมชีพเป็นการรับรองความ ถูกต้องของวิถีทางแห่งรักซึ่งในวิถีทางนี้พระองค์ทรงให้ตัวพระองค์เองแก่มวลมนุษย์ ความรักเปลี่ยนรูปแบบ และความหมายของความตายอย่างสิ้นเชิง
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 10:34ก,37-43
สมโภชปัสกา พระเยซูเจ้าทรง กลับคืนพระชนมชีพ
เวลานั้น เปโตรเริ่มพูดว่า “ท่านทั้งหลายรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดีย เริ่ม ต้นที่แคว้นกาลิลี หลังจากที่ยอห์นได้เทศน์สอนและทำ�พิธีล้าง พระเจ้าทรงเจิมพระเยซู เจ้าชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปที่ใด ทรง กระทำ�ความดีและทรงรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำ�นาจของปีศาจ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับ พระองค์ เราทั้งหลายเป็นพยานยืนยันถึงกิจการทัง้ ปวงที่พระองค์ทรงกระทำ�ในเขตแดน ของชาวยิวและที่กรุงเยรูซาเล็ม เขาประหารพระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้า ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพในวันที่สามและโปรดให้พระองค์แสดง พระองค์ มิใช่แก่ประชาชนทั้งปวง แต่ทรงแสดงพระองค์แก่บรรดาพยานที่พระเจ้าทรง เลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้ว คือเราทั้งหลายที่ได้กินและได้ดื่มร่วมกับพระองค์ หลังจากที่ ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระเยซูเจ้าทรงบัญชาให้เราประกาศสอน ประชาชน และเป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระองค์ให้เป็นผู้พิพากษามนุษย์ ทุกคน ทั้งผู้เป็นและผู้ตาย บรรดาประกาศกทั้งปวงเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ว่า ‘ทุก คนที่มีความเชื่อในพระองค์จะได้รับการอภัยบาปเดชะพระนามของพระองค์’”
เพลงสดุดี
สดด 118:1-2,16-17,22-23
ก) จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์พระทัยดี ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์ เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ข) พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชูขึ้น พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีชัยชนะ” ข้าพเจ้าจะไม่ตาย ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และจะประกาศพระราชกิจยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ค) ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างทิ้งไป กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ�การนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ตาของเรา
บทอ่านจากจดหมายเปาโลอัครสาวกถึงชาวโคโลสี
คส 3:1-14
พี่น้อง ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่หาแต่สิ่งที่ อยู่เบื้องบนเถิด ณ ที่นั้นพระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระเจ้า จงคิดถึงแต่สิ่งที่อยู่ เบื้องบน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้ เพราะท่านทั้งหลายตายไปแล้วและชีวิตของ ท่านก็ซ่อนอยู่กับพระคริสตเจ้าในพระเจ้า เมื่อพระคริสตเจ้า องค์ชีวิตของท่านจะทรง สำ�แดงพระองค์ เมื่อนั้นท่านจะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์ด้วย
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:1-9
เช้ า ตรู่ วั นต้ น สั ป ดาห์ ขณะที่ ยั ง มื ด มารี ย์ ช าว มักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไป จากพระคูหาแล้ว นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์ อีกคนหนึง่ ทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงรักบอกว่า “เขานำ�องค์พระ ผู้ เป็ น เจ้ า ไปจากพระคู ห าแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำ� พระองค์ไปไว้ที่ไหน” เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา ทั้งสองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน ซีโมนเปโตรซึ่ง ตามไปติดๆ ก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น รวมทั้งผ้าพันพระเศียรซึ่งไม่ได้ วางอยู่กับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวางไว้อีกที่หนึ่ง ศิษย์คนที่มาถึงพระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขา เห็นและมีความเชื่อ เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจาก บรรดาผู้ตาย
เรือ่ งราวของวันปัสกาเริม่ ต้นขึน้ ในตอน “เช้าตรูว่ นั ต้นสัปดาห์ขณะทีย่ งั มืด” ความมืดเป็นสัญลักษณ์ ของบาปและความตาย บุคคลที่ตกเป็นทาสของบาป ชีวิตของเขาจะจมอยู่ในความมืดแห่งความตาย แต่ เมื่อพระคริสตเจ้า องค์ความสว่าง ทรงปรากฏขึ้นมา ความมืดแห่งบาปและความตายจะถูกขจัดออกไป ผู้ ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับชีวิตใหม่โดยมีความรักเป็นตราประทับ ดังนั้น ในแง่หนึ่งปัสกาเป็นคำ�เชื้อเชิญให้ เราออกจากความมืดมารับแสงสว่างของพระคริสตเจ้า ในแสงสว่างนี้เองเราจะสามารถตระหนักว่าเพื่อน มนุษย์ทกุ คนบนโลกนีเ้ ป็นพีน่ อ้ งชายหญิงของเรา ซึง่ เป็นเครือ่ งหมายบ่งชีว้ า่ ชีวติ ฝ่ายจิตของเราได้ผา่ นจาก ความมืดเข้าสู่รุ่งอรุณแห่งชีวิตใหม่ในพระคริสตเจ้าแล้ว
กจ 2:14,22-32
บทอ่านที่ 1
เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียง ดังว่า “ท่านทั้งหลาย ชาวยูเดีย และท่านที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงตั้งใจฟังวาจา ของข้าพเจ้าเถิด แล้วท่านจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชาวอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังวาจาเหล่านี้เถิด พระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นบุรุษที่ พระเจ้าทรงส่งมาหาท่าน พระเจ้าทรงรับรองพระองค์โดยประทานอำ�นาจทำ�อัศจรรย์ ปาฏิหาริย์และเครื่องหมายต่างๆ เดชะพระเยซูเจ้า พระเจ้าทรงกระทำ�การเหล่านี้ในหมู่ อัฐมวารปัสกา ท่านทัง้ หลายดังทีท่ า่ นรูอ้ ยูแ่ ล้ว พระเยซูเจ้าทรงถูกมอบในเงือ้ มมือของท่านตามทีพ่ ระเจ้า สดด 16:1-2,7-8, มีพระประสงค์และทรงทราบล่วงหน้า ท่านใช้มือของบรรดาคนอธรรมประหารพระองค์ 9-10,11 โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ พ้นจาก อำ�นาจแห่งความตายเพราะความตายยึดพระองค์ไว้ใต้อำ�นาจอีกต่อไปไม่ได้... พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านตรงๆ ว่า กษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษของเราสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ ที่ ฝังพระศพของพระองค์ยงั คงอยูใ่ นหมูเ่ ราจนถึงทุกวันนี้ พระองค์ยงั ทรงเป็นประกาศกด้วย ทรงทราบว่าพระเจ้า ทรงปฏิญาณและทรงสัญญาว่าจะทรงให้เชือ้ พระวงศ์ผหู้ นึง่ ของพระองค์ประทับบนพระบัลลังก์สบื ต่อมา กษัตริย์ ดาวิดทรงเห็นล่วงหน้า จึงตรัสถึงเรือ่ งการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าดังนี้ พระองค์มไิ ด้ทรงถูกทอด ทิ้งไว้ในแดนผู้ตาย และร่างกายของพระองค์จะไม่เน่าเปื่อย พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ พระเจ้าทรงบันดาลให้กลับ คืนพระชนมชีพ เราทุกคนเป็นพยานได้”
พระวรสาร
มธ 28:8-15
เวลานั้น สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหา วิ่งไปแจ้งข่าวแก่ บรรดาศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคน จึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเรา ให้ไปยังแคว้นกาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น” เมื่อสตรีทั้งสองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่บรรดา หัวหน้าสมณะ บุคคลเหล่านี้จึงประชุมปรึกษากันกับบรรดาผู้อาวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ทหาร สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำ�ลังหลับอยู่’ ถ้าเรื่อง มาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาทำ�ให้ท่านพ้นโทษ” ทหารได้รับเงินและกระทำ�ตามคำ�แนะนำ� เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้
ในเช้าตรู่ของวันกลับคืนพระชนมชีพพระเยซูเจ้าทรงทักทายสตรีทั้งสองคนว่า “จงยินดีเถิด” และตรัส ต่อไปอีกว่า “อย่ากลัวเลย” นี่เป็นข่าวดียิ่งใหญ่ของวันปัสกาจากองค์พระผู้ไถ่ของเรา ขณะที่เรากำ�ลังเดินทาง อยูบ่ นโลกนีเ้ ราไม่จ�ำ เป็นต้องกลัวอีกต่อไป เราสามารถพบความยินดีและสันติสขุ ในจิตใจของเรา เพราะเราเชือ่ ว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงชนะความตายแล้ว ดังนัน้ ในความเชือ่ เราสามารถกล่าวอย่างมัน่ ใจว่า “โดยการสิน้ พระชนม์ พระองค์ทรงทำ�ลายความตายของเรา โดยทางการกลับคืนพระชนมชีพ พระองค์ทรงสถาปนาชีวิตของเราขึ้น มาใหม่ เชิญเสด็จมาเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูเจ้าข้า”
บทอ่านที่ 1
กจ 2:36-41
เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียง ดังว่า “ดังนั้น ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูผู้ นี้ที่ท่านทั้งหลายนำ�ไปตรึงบนไม้กางเขน ให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า” ถ้อยคำ�เหล่านี้ เสียดแทงใจของทุกคน เขาเหล่านั้น จึงถามเปโตรและอัครสาวก อื่นๆ ว่า “พี่น้อง พวกเราจะต้องทำ�อย่างไร” เปโตรตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเถิด แต่ละคนจงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า เพือ่ จะได้รบั การอภัยบาป แล้วท่านจะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า พระสัญญานี้มีไว้สำ�หรับท่านทั้งหลาย สำ�หรับ บุตรหลานของท่านและสำ�หรับทุกคนที่อยู่ห่างไกลซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา จะทรงเรียก” เปโตรกล่าวถ้อยคำ�อีกมาก อ้อนวอน และตักเตือนเขาว่า “ท่านทั้งหลาย จงช่วยตนให้รอดพ้นจากคนชัว่ ร้ายในยุคนีเ้ ถิด” คนเหล่านัน้ รับถ้อยคำ�ของเปโตรและได้ รับศีลล้างบาป วันนั้นผู้มีความเชื่อมีจำ�นวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน
พระวรสาร
อัฐมวารปัสกา สดด 33:4-5, 18-19,20-22
วันคุ้มครองโลก
ยน 20:11-18
เวลานั้น มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็นทูต สวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม” นางตอบว่า “เขานำ�องค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำ�พระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หัน กลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม กำ�ลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำ�พระองค์ไป ช่วยบอกดิฉนั ว่าท่านนำ�พระองค์ไปไว้ทไี่ หน ดิฉนั จะได้ไปนำ�พระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มา รีย์” นางจึงหันไป ทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า “พระอาจารย์” พระเยซูเจ้าตรัสกับนาง ว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำ�ลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่าน ทั้งหลาย” มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่า เรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง ทุกวันเราพบพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท ซึ่งเป็นการพบพระองค์ในวิถีทางพิเศษ เราได้ฟังพระวาจาของ พระองค์ “นี่คือกายของเรา นี่คือโลหิตของเรา” พระวาจาเหล่านี้มุ่งที่จะช่วยให้จิตใจของเราเปี่ยมไปด้วยแสง สว่างแห่งความเชือ่ เพือ่ เราจะสามารถเชือ่ ว่าโดยทางศีลมหาสนิทเรากำ�ลังอยูเ่ ฉพาะพระพักตร์พระเยซูเจ้าผูท้ รง กลับคืนพระชนมชีพ เหมือนทีม่ ารียช์ าวมักดาลาอยูเ่ ฉพาะพระพักตร์พระองค์ในเช้าวันปัสกา ศีลมหาสนิทเป็น หัวใจของความเชื่อของเรา ในศีลมหาสนิทพระเยซูเจ้าทรงทำ�มากกว่าการยืนอยู่ต่อหน้าเรา พระองค์ทรงเชื้อ เชิญเราให้รับพระองค์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเรา เพื่อว่าพระองค์จะสามารถให้ชีวิตและความสุขนิรันดร แก่เรา
บทอ่านที่ 1
อัฐมวารปัสกา สดด 105:1-3, 4-6,7-10
พระวรสาร
กจ 3:1-10
วันหนึ่ง เวลาบ่ายสามโมง เปโตรและยอห์นกำ�ลังขึ้นไปที่พระวิหารเพื่ออธิษฐาน ภาวนา ที่ประตูพระวิหารซึ่งเรียกกันว่า “ประตูงาม” มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยแต่กำ�เนิด มี ผู้หามคนง่อยผู้นี้มาไว้ที่นั่นทุกวันเพื่อขอทานจากคนที่เข้าไปในพระวิหาร เมื่อเห็นเปโตร และยอห์นกำ�ลังเดินเข้าพระวิหาร คนง่อยจึงขอทานจากเขาทัง้ สอง เปโตรและยอห์นจ้อง มองเขา กล่าวว่า...“ข้าพเจ้าไม่มีเงินไม่มีทอง แต่ข้าพเจ้ามีอะไรจะให้ท่าน เดชะพระนาม ของพระเยซูคริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ จงเดินไปเถิด” แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาช่วยพยุง ให้ลุกขึ้น ทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขากลับมีกำ�ลัง เขากระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดิน แล้วจึงเข้าไปในพระวิหารพร้อมกับเปโตรและยอห์น เดินบ้าง กระโดดบ้าง พลาง สรรเสริญพระเจ้า...
ลก 24:13-35
วันนั้น ศิษย์สองคนกำ�ลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 11 กิโลเมตร ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ขณะที่กำ�ลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่นั้น พระ เยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจำ�พระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง พระองค์ตรัสถามว่า “ท่าน เดินสนทนากันเรื่องอะไร” ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง ศิษย์ที่ชื่อเคลโอปัสถามว่า “ท่านเป็นเพียงคนเดียวในกรุงเยรูซาเล็มหรือที่ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อ สองสามวันมานี้” พระองค์ตรัสถามว่า “เรื่องอะไรกัน” เขาตอบว่า “ก็เรื่องพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ ประกาศก ทรงอำ�นาจในกิจการและคำ�พูดเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและต่อหน้าประชาชนทัง้ ปวง บรรดาหัวหน้าสมณะ และผูน้ �ำ ของเรามอบพระองค์ให้ตอ้ งโทษประหารชีวติ และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน เราเคยหวังไว้วา่ พระองค์ จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่นี่เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น สตรีบางคนในกลุ่ม ของเราทำ�ให้เราประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาไปที่พระคูหาตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อไม่พบพระศพ เขากลับมาเล่าว่าได้เห็น นิมิตของทูตสวรรค์ซึ่งพูดว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่...” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดาประกาศก กล่าวไว้ พระคริสตเจ้าจำ�เป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ” แล้ว พระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟังโดยเริ่มตั้งแต่โมเสสจนถึงบรรดาประกาศก หลายคนคงเคยได้ยินคำ�พูดที่ว่า “อย่าพูดกับคนแปลกหน้า” เพราะบางครั้งคนแปลกหน้าอาจนำ�ความ เดือดร้อนมาสู่เราหรือครอบครัวของเราได้ ดูเหมือนว่าเคลโอปัสและเพื่อนร่วมเดินทางยังไม่รู้จักสุภาษิตข้อนี้ พวกท่านได้พบคนแปลกหน้าและได้พดู คุยกับเขาอย่างเปิดใจ คนแปลกหน้าคนนัน้ ทำ�ให้พวกท่านเปลีย่ นใจและ กลับไปหาเพื่อนพี่น้องที่กรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเคลโอปัสและเพื่อนร่วมเดินทางปฏิบัติตามคำ�เตือนของ คนโบราณ พระเยซูเจ้าอาจผ่านเลยพวกท่านไปก็ได้เพราะพวกท่านไม่ตอ้ นรับและพูดคุยกับพระองค์ ผลทีต่ าม มาคือพวกท่านพลาดโอกาสที่จะพบกับพระองค์และได้รับการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจจากพระองค์ เราที่อยู่ ที่นี่ จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพได้ผ่านมาและผ่านเลยเราไป และ เราไม่ได้ตระหนักว่าเป็นพระองค์และพลาดโอกาสทีจ่ ะได้รบั พระพรจากพระองค์ เพียงเพราะเรากลัวคนแปลกหน้า
บทอ่านที่ 1
กจ 3:11-26
ขณะที่คนซึ่งเคยเป็นง่อยคนนั้นหน่วงเหนี่ยวเปโตรและยอห์นไว้ ประชาชนทุกคน ประหลาดใจอย่างยิ่ง ต่างวิ่งไปหาเขาทั้งสองคนที่เฉลียงซึ่งเรียกว่า “เฉลียงซาโลมอน” เมือ่ เปโตรเห็นดังนัน้ จึงกล่าวปราศรัยกับประชาชนว่า “ชาวอิสราเอลทัง้ หลาย ทำ�ไม ท่านจึงประหลาดใจในเรื่องนี้ ทำ�ไมท่านจึงจ้องมองเราเหมือนกับว่าเราทำ�ให้ชายผู้นี้เดิน ได้ด้วยอำ�นาจหรือความศักดิ์สิทธิ์ของเรา... ท่านทั้งหลายได้มอบพระเยซูเจ้านี้ให้แก่ บรรดาผูป้ กครองและได้ปฏิเสธพระองค์ตอ่ หน้าปีลาต... ท่านประหารเจ้าชีวติ แต่พระเจ้า ทรงบันดาลให้พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย เราเป็นพยานได้ในเรือ่ ง นี้ ด้วยความเชื่อในพระนามของพระองค์ ชายผู้นี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและเคยรู้จักจึง กลับมีกำ�ลังขึ้นอีก ความเชื่อในพระองค์นี้แหละรักษาชายง่อยคนนี้ให้เป็นปกติ... พีน่ อ้ งทัง้ หลาย ข้าพเจ้ารูว้ า่ ท่านทำ�ไปเพราะไม่รเู้ ช่นเดียวกับบรรดาหัวหน้าของท่าน แต่พระเจ้าทรงใช้วธิ นี เ้ี พือ่ ทำ�ให้ถอ้ ยคำ�ทีพ่ ระองค์ตรัสไว้ลว่ งหน้าโดยทางบรรดาประกาศก ว่าพระคริสตเจ้าของพระองค์จะต้องทรงรับทรมานนั้นเป็นจริง ท่านจงเป็นทุกข์กลับใจ และหันมาหาพระเจ้าเถิด เพื่อบาปของท่านจะได้รับการอภัย...”
พระวรสาร
อัฐมวารปัสกา สดด 8:1,4-8
ลก 24:35-48
เวลานั้น ศิษย์ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางและเล่าว่าตนจำ�พระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง ขณะที่บรรดาศิษย์สนทนากันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ในหมู่เขา ตรัสว่า “สันติสุขจงดำ�รงอยู่กับท่าน ทั้งหลายเถิด” เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี แต่พระองค์ตรัสว่า “ท่านวุ่นวายใจทำ�ไม เพราะเหตุใดท่านจึง มีความสงสัยในใจ จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริงๆ จงคลำ�ตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูกอย่าง ทีท่ า่ นเห็นว่าเรามี” ตรัสดังนีแ้ ล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และพระบาท เขายินดีและแปลกใจจนไม่อยาก เชื่อ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านมีอะไรกินบ้าง” เขาถวายปลาย่างชิ้นหนึ่งแด่พระองค์ พระองค์ทรงรับมา เสวยต่อหน้าเขา หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่คือความหมายของถ้อยคำ�ที่เรากล่าวไว้ขณะที่ยังอยู่กับท่าน ทุก สิง่ ทีเ่ ขียนไว้เกีย่ วกับเราในธรรมบัญญัตขิ องโมเสส บรรดาประกาศกและเพลงสดุดจี ะต้องเป็นความจริง” แล้ว พระองค์ทรงทำ�ให้เขาเกิดปัญญาเข้าใจพระคัมภีร์ ตรัสว่า “มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องรับการทน ทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม จะต้องประกาศในพระนามของพระองค์ให้ นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้” เกือบทุกครั้งเมื่อพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพทรงแสดงองค์แก่บรรดาศิษย์ พระองค์จะตรัสว่า “สันติสขุ จงดำ�รงอยูก่ บั ท่านทัง้ หลายเถิด” ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงปรารถนาทีจ่ ะสลายความหวาดกลัวให้หาย ไปจากใจของพวกเขา ความกลัวเป็นแรงขับเคลื่อนสำ�คัญที่ทำ�ให้มนุษย์ทำ�กิจการต่างๆ แต่ถ้าเรามีความเชื่อใน พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เราไม่จำ�เป็นต้องหวาดกลัวอะไร ถ้าเราหลงทางไปกับ คนที่สามารถหาทางเจอเสมอ เราจะมั่นใจในตัวเขาว่าอย่างไรเสียเขาจะพาเรากลับบ้านได้อย่างแน่นอน พระ เยซูเจ้าของเราคือบุคคลผู้นั้นแหละ
บทอ่านที่ 1
อัฐมวารปัสกา สดด 118:1-2,4, 22-24,25-27
พระวรสาร
กจ 4:1-12
ขณะที่เปโตรและยอห์นกำ�ลังปราศรัยกับประชาชนอยู่นั้น บรรดาสมณะพร้อมกับ นายทหารรักษาพระวิหารและบรรดาชาวสะดูสไี ด้เข้ามาพบ เขาไม่พอใจมากทีท่ งั้ สองคน สั่งสอนประชาชนและประกาศว่าบรรดาผู้ตายจะกลับคืนชีพเพราะพระเยซูเจ้าทรงกลับ คืนพระชนมชีพ เขาจับกุมเปโตรและยอห์นจองจำ�ไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น... วันรุง่ ขึน้ บรรดาผูป้ กครอง ผูอ้ าวุโสและธรรมาจารย์ มาประชุมกันในกรุงเยรูซาเล็ม ... เขานำ�เปโตรและยอห์นมาอยูก่ ลางทีป่ ระชุม แล้วเริม่ ซักถามว่า “ท่านทัง้ สองคนทำ�การ โดยอำ�นาจหรือในนามของผู้ใด” เปโตรเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้ากล่าวกับเขาว่า “...ท่านทั้ง หลายและประชาชนอิสราเอลทุกคนจงรู้เถิดว่า ชายคนนี้หายจากโรคมายืนอยู่ต่อหน้า ท่านทั้งหลาย ก็เพราะพระนามของพระเยซูคริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ ซึ่งท่านนำ�ไปตรึง กางเขน... พระเยซูเจ้าองค์นี้ทรงเป็นศิลาซึ่งท่านทั้งหลายผู้เป็นช่างก่อสร้างขว้างทิ้งเสีย แต่ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม ไม่มผี ใู้ ดช่วยให้เรารอดพ้น เพราะใต้ฟา้ นีพ้ ระเจ้ามิได้ประทาน นามอื่นแก่มนุษย์นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้
ยน 21:1-14
หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์อีกครั้งหนึ่งที่ฝั่งทะเลสาบทีเบเรียส เรื่องราว เป็นดังนี้ ศิษย์บางคนอยู่พร้อมกันที่นั่น คือซีโมน เปโตร กับโทมัสที่เรียกกันว่า “ฝาแฝด” นาธานาเอล ซึ่งมา จากหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองคนของเศเบดีและศิษย์อีกสองคน ซีโมน เปโตรบอกคนอื่นว่า “ข้าพเจ้าจะไปจับปลา” ศิษย์คนอื่นตอบว่า “พวกเราจะไปกับท่านด้วย”... แต่คืนนั้นทั้งคืนเขาจับปลาไม่ได้เลย พอรุ่งสาง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่ง แต่บรรดาศิษย์ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทรงร้องถามว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างไหม” เขาตอบว่า “ไม่มี” พระองค์จึงตรัสว่า “จงเหวี่ยงแหไปทางกราบเรือด้านขวาซิ แล้วจะได้ปลา” บรรดาศิษย์จึงเหวี่ยงแหออกไป แต่ดึงขึ้นไม่ไหว เพราะได้ปลาเป็นจำ�นวนมาก ศิษย์ที่พระเยซู เจ้าทรงรักกล่าวกับเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้านี่” เมื่อซีโมน เปโตรได้ยินว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขา ก็หยิบเสื้อมาสวม เพราะเขาไม่ได้สวมเสื้ออยู่ แล้วกระโดดลงไปในทะเล... เมื่อบรรดาศิษย์ขึ้นมาบนฝั่ง ก็เห็นถ่านติดไฟลุกอยู่ มีปลาและขนมปังวางอยู่บนไฟ พระเยซูเจ้าตรัสกับ เขาว่า “จงเอาปลาที่เพิ่งจับได้มาบ้างซิ” ซีโมน เปโตรจึงลงไปในเรือ แล้วลากแหขึ้นฝั่ง มีปลาตัวใหญ่ติดอยู่ เต็ม นับได้หนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แต่ทั้งๆ ที่ติดปลามากเช่นนั้น แหก็ไม่ขาด พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “มากิน อาหารกันเถิด” ไม่มีศิษย์คนใดกล้าถามว่า “ท่านเป็นใคร” เพราะรู้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า... เมื่อลูกที่จากบ้านไปเป็นเวลานานกลับมาเยี่ยมบ้าน แม่มักจะแสดงความรักต่อเขาโดยการเลี้ยงอาหาร พิเศษ การปฏิเสธไม่กินอาหารเท่ากับการปฏิเสธความรักของแม่ผู้จัดเตรียมอาหารนั้น ในแง่หนึ่งบทบาทของ พระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้คล้ายกับแม่คนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่แม่ไม่สามารถทำ�ได้ แต่พระเยซูเจ้า ทรงสามารถทำ�ได้คือ พระองค์ทรงสามารถเลี้ยงดูเราด้วยพระกายและพระโลหิตของพระองค์ ในฐานะ เครื่องหมายแห่งความรักพระเยซูเจ้าประทานศีลมหาสนิทแก่เรา อาหารฝ่ายจิตที่หล่อเลี้ยงวิญญาณของเรา ดังนั้น ทุกครั้งที่เรารับศีลมหาสนิท เราควรตระหนักอยู่เสมอคือ เรากำ�ลังมารับเครื่องหมายแห่งความรักยิ่ง ใหญ่ที่พระเยซูเจ้าทรงมีต่อเราแต่ละคน
บทอ่านที่ 1
กจ 4:13-21
เมือ่ เขาเหล่านัน้ เห็นว่าเปโตรและยอห์นพูดอย่างกล้าหาญ ทัง้ รูว้ า่ ทัง้ สองคนไม่เคย ได้รับการศึกษา และไม่มีความรู้พิเศษใดๆ ก็ประหลาดใจและระลึกได้ว่าทั้งสองคนเคย อยู่กับพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นคนที่หายจากโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น เขาก็ไม่รู้ว่าจะ พูดอย่างไร จึงสั่งให้ทั้งสองคนออกไปนอกห้องประชุม แล้วเริ่มปรึกษากันว่า “เราจะทำ� อย่างไรกับทัง้ สองคนนีด้ ”ี เพราะเขาทำ�การอัศจรรย์เด่นชัด ทุกคนทีอ่ ยูใ่ นกรุงเยรูซาเล็ม รู้ว่าเขาทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์นี้อย่างเปิดเผย เราไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เราต้องขู่เขา อย่าให้กล่าวถึงนามนั้นแก่ผู้ใด เพื่อเรื่องนี้จะได้ไม่เล่าลือแพร่หลายไปในหมู่ประชาชน มากยิ่งขึ้น” เขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นเข้ามา สั่งอย่างเด็ดขาดมิให้พูดหรือสอนในพระนาม ของพระเยซูเจ้าอีก เปโตรและยอห์นย้อนถามว่า “ท่านทั้งหลายจงตัดสินเถิดว่าอะไร เป็นการถูกต้องเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า จะฟังท่านหรือจะฟังพระเจ้า เราจำ�เป็นต้อง พูดถึงสิง่ ทีเ่ ราได้เห็นและได้ยนิ มา” ทีป่ ระชุมขูส่ �ำ ทับทัง้ สองคนอีกครัง้ หนึง่ แล้วปล่อยไป เพราะไม่พบสาเหตุที่จะลงโทษและเพราะกลัวประชาชน ทุกคนต่างถวายพระเกียรติแด่ พระเจ้าเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พระวรสาร
อัฐมวารปัสกา สดด 118:1,14-15, 16-18,19-21
มก 16:9-15
หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพตอนเช้าตรู่วันต้นสัปดาห์แล้ว พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่ มารียช์ าวมักดาลาเป็นคนแรก นางคือผูท้ พี่ ระองค์เคยทรงไล่ปศี าจเจ็ดตนออกไป นางจึงไปบอกผูท้ กี่ �ำ ลังร้องไห้ เป็นทุกข์ซงึ่ เคยอยูก่ บั พระองค์ เมือ่ เขาเหล่านัน้ ได้ยนิ นางพูดว่าพระองค์ยงั ทรงพระชนม์อยูแ่ ละนางเห็นพระองค์ แล้ว เขาก็ไม่เชื่อ หลังจากนั้น พระองค์ทรงสำ�แดงพระองค์ในรูปแตกต่างไปกับศิษย์สองคนซึ่งกำ�ลังเดินทางไปชนบท เขา ทั้งสองกลับมาเล่าให้คนอื่นฟัง แต่คนเหล่านั้นก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกัน ในที่สุด พระองค์ทรงสำ�แดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบเอ็ดคนขณะที่เขากำ�ลังร่วมโต๊ะกินอาหารอยู่ ทรง ตำ�หนิพวกเขาที่ไม่ยอมเชื่อและมีใจแข็งกระด้าง เพราะไม่ยอมเชื่อผู้ที่เห็นพระองค์เมื่อทรงกลับคืนพระชนม ชีพแล้ว พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง ความเชือ่ เป็นพระพรยิง่ ใหญ่ทพี่ ระเจ้าประทานแก่เราแบบเปล่าๆ โดยไม่ค�ำ นึงถึงความดีหรือความสามารถ ของเรา มีหลายคนที่อ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ศึกษาเทววิทยาอย่างดี ฟังนักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่หลายครั้ง แต่พวกเขา ไม่มคี วามเชือ่ เปโตรและยอห์นได้เทศน์สอนเรือ่ งการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าและรักษาคนง่อย แต่บรรดาผู้นำ�ศาสนาไม่ยอมเชื่อพวกเขา นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เมื่อมารีย์ชาวมักดาลาบอกบรรดาศิษย์ของ พระเยซูเจ้าว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่และนางเห็นพระองค์แล้ว พวกเขาไม่เชื่อนางเช่นกันในตอนนั้น พระเจ้าประทานความเชื่อแก่เราเพราะพระองค์ทรงรักเราอย่างหาที่สุดมิได้ ให้เราขอบพระคุณพระองค์เป็น พิเศษสำ�หรับเรื่องนี้ด้วยการแบ่งปันความเชื่อของเรากับทุกคนที่เราพบปะในแต่ละวัน
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 2:42-47
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ฉลองพระเมตตา
คนเหล่านัน้ ประชุมกันอย่างสมาํ่ เสมอเพือ่ ฟังคำ�สัง่ สอนของบรรดาอัครสาวกดำ�เนิน ชีวิตร่วมกันฉันพี่น้อง ร่วม “พิธีบิขนมปัง” และอธิษฐานภาวนา พระเจ้าทรงบันดาลให้ บรรดาอัครสาวกทำ�ปาฏิหาริยแ์ ละเครือ่ งหมายอัศจรรย์เป็นจำ�นวนมาก ทุกคนจึงมีความ ยำ�เกรง ผู้มีความเชื่อทุกคนดำ�เนินชีวิตร่วมกันและมีทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม เขาขายที่ดิน และทรัพย์สินอื่นๆ แบ่งเงินให้ทุกคนตามความต้องการ ทุกๆ วัน เขาพร้อมใจกันไปที่พระวิหารและไปตามบ้านเพื่อทำ�พิธีบิขนมปัง ร่วมกิน อาหารด้วยความยินดีและเข้าใจกัน เขาทั้งหลายสรรเสริญพระเจ้า และได้รับความนิยม จากประชาชนทุกคน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงทำ�ให้จ�ำ นวนผูท้ ไี่ ด้รบั ความรอดพ้นเพิม่ ขึน้ ทุก วัน
เพลงสดุดี
สดด 118:2-4,13-15,22-24
ก) เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” เผ่าพันธุ์ของอาโรนจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ผู้ยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ข) ข้าพเจ้าถูกผลักอย่างรุนแรง ให้ล้มลง แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาช่วยข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพละกำ�ลังและทรงเป็นบทเพลงของข้าพเจ้า
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 1:3-9
ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ทรงพระกรุณาอย่างยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงบันดาลให้เราบังเกิดใหม่และมีความ หวังที่จะมีชีวิต อาศัยการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าจากบรรดาผู้ตาย เพื่อรับมรดกที่ไม่เสื่อมสลายไร้มลทิน ไม่มีวันร่วงโรยซึ่งเก็บรักษาไว้ในสวรรค์เพื่อท่าน พระเจ้าทรงปกป้องท่านไว้ด้วยพระอานุภาพให้มีความเชื่อ จนกว่าจะประทานความ รอดพ้นซึ่งกำ�ลังจะได้รับการเปิดเผยในวาระสุดท้าย ดังนั้น ท่านจงชื่นชม แม้ว่าในเวลานี้ท่านยังต้องทนทุกข์จากการถูกทดสอบต่างๆ ชั่วขณะหนึ่ง เพื่อคุณค่าที่แท้จริงแห่งความเชื่อของท่านจะได้รับการสรรเสริญ รับสิริ รุ่งโรจน์และรับเกียรติเมื่อพระเยซูคริสตเจ้าจะทรงแสดงพระองค์ ความเชื่อนี้ประเสริฐ ยิ่งกว่าทองคำ�ที่เสื่อมสลายได้ แต่ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ ท่านมีความรักต่อพระเยซู คริสตเจ้าทั้งๆ ที่ยังมิได้เห็นพระองค์ แม้ว่าขณะนี้ท่านยังมิได้เห็นพระองค์ ท่านก็ยังเชื่อ
ในพระองค์ ท่านจึงชื่นชมยินดีสุดที่จะพรรณนา เพราะท่านกำ�ลังจะได้รับจุดมุ่งหมายของความเชื่อ คือ ความรอดพ้นของวิญญาณอยู่แล้ว
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:19-31
คํ่าวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำ�ลังชุมนุมกันปิดอยู่ เพราะกลัวชาวยิว พระ เยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลาย เถิด” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็น องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เรา ก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระจิต เจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย” โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวก คนอืน่ ๆ เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอืน่ บอกเขาว่า “พวกเราเห็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบ ว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำ� ที่ด้านข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขาทั้ง หลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของ เราเถิด จงเอามือมาทีน่ ี่ คลำ�ทีส่ ขี า้ งของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชือ่ เถิด” โทมัสทูลพระองค์วา่ “องค์ พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข” พระเยซูเจ้ายังทรงกระทำ�เครือ่ งหมายอัศจรรย์อนื่ อีกหลายประการให้บรรดาศิษย์เห็น แต่ไม่ได้บนั ทึก ไว้ในหนังสือเล่มนี้ เรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกไว้เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระ คริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อนี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็จะมีชีวิตเดชะพระนามของ พระองค์ การยึดเหตุผลอย่างเดียว ปิดใจและสติปญ ั ญาของโทมัสต่อการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า ทำ�ให้ท่านเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์หนึ่งสัปดาห์ ผลที่ตามมาคือท่านต้องใช้ชีวิตที่ไร้พระองค์ถึงเจ็ด วัน สิ่งที่เราต้องทำ�เพื่อพบกับพระเยซูเจ้าคือ ปล่อยให้เหตุผลของเราทำ�งานร่วมกับความเชื่อของเราและ มอบตัวเราทั้งครบไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและเมตตา ถ้าเราทำ�แบบนี้ เราจะ ไม่มีอะไรที่ต้องเสีย แต่เราจะได้ทุกสิ่ง แต่ถ้าเรายังไม่พบพระองค์ จงกลิ้งหินแห่งความหยิ่งจองหองและ ความดื้อรั้นของเราออกไป แล้วเราจะพบพระองค์ และที่สำ�คัญ จงวางใจ ยอมจำ�นน และเชื่อในพระเยซู เจ้า แล้วเราจะได้รับหลายสิ่งหลายอย่างจากพระองค์อย่างที่เราไม่เคยคาดฝันมาก่อน
บทอ่านที่ 1
กจ 4:23-31
เมื่อเปโตรและยอห์นได้รับการปลดปล่อยแล้ว ก็ไปพบบรรดาศิษย์ เล่าทุกเรื่องที่ บรรดาหัวหน้าสมณะและผูอ้ าวุโสกล่าวกับตน เมือ่ บรรดาศิษย์ฟงั จบแล้ว จึงพร้อมใจกัน เปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงสร้างฟ้า แผ่นดิน ทะเล และสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในนั้น เดชะพระจิตเจ้าพระองค์ทรงดลใจให้กษัตริย์ดาวิดผู้รับใช้ ของพระองค์และผู้เป็นบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตรัสว่า ‘ทำ�ไมชนชาติทั้งหลายจึงบันดาลโทสะ และบรรดาประชาชาติจึงวางแผนไร้สาระ น.เปโตร ชาเนล บรรดากษั ตริยข์ องแผ่นดินต่างต่อต้าน บรรดาผูป้ กครองมาร่วมกันต่อสูก้ บั องค์พระผูเ้ ป็น พระสงฆ์และมรณสักขี น.หลุยส์ มารี กรีญอง เจ้า และผู้รับเจิมของพระองค์’ ความจริงแล้ว ในเมืองนีก้ ษัตริยเ์ ฮโรดและปอนทิอสั ปีลาต ร่วมกับคนต่างชาติและ เดอ มงฟอร์ต พระสงฆ์ ประชากรอิสราเอลต่อสูก้ บั พระเยซูเจ้าผูร้ บั ใช้ศกั ดิส์ ทิ ธิข์ องพระองค์ซงึ่ พระองค์ทรงเจิม สดด 2:1-3,4-6,7-9 ไว้ เพื่อทำ�ให้พระประสงค์ที่ทรงกำ�หนดไว้ด้วยพระอานุภาพสำ�เร็จไป... โปรดแสดงพระ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 อานุภาพในการรักษาโรคให้เครือ่ งหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริยเ์ กิดขึน้ เดชะพระนามของ พระเยซูเจ้าผู้รับใช้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เถิด” เมื่อบรรดาศิษย์อธิษฐานภาวนาจบแล้ว สถานที่ที่เขามาชุมนุมกันนั้นก็สั่นสะเทือน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมและเริ่ม ประกาศพระวาจาของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ
พระวรสาร
ยน 3:1-8
ชายคนหนึ่งจากกลุ่มชาวฟาริสีช่ือนิโคเดมัส เป็นหัวหน้าคนหนึ่งของชาวยิว เขามาเฝ้าพระเยซูเจ้าตอน กลางคืน ทูลว่า “รับบี พวกเรารู้ว่า ท่านเป็นอาจารย์ที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ อย่างที่ท่านทำ�ได้ นอกจากพระเจ้าจะสถิตกับเขา” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มี ใครเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่” นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนชราแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไร กัน เขาจะเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่ง แล้วเกิดใหม่ได้หรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เราบอกความจริง แก่ท่านว่าไม่มีใครเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าถ้าเขาไม่เกิดจากนํ้าและพระจิตเจ้า สิ่งใดที่เกิดจากเนื้อหนัง ย่อมเป็นเนือ้ หนังสิง่ ใดทีเ่ กิดจากพระจิตเจ้า ย่อมเป็นจิต อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่านทัง้ หลายจำ�เป็น ต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัดแต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่นนี้” การเกิดใหม่ที่พระเยซูเจ้าทรงพูดถึงเป็นการเกิดฝ่ายจิตซึ่งนำ�เข้าสู่ชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยทาง พระอานุภาพของพระเจ้า ชีวิตใหม่โดยทางศีลล้างบาปนี้ทำ�ให้เราเป็นบุตรชายหญิงของพระเจ้า และนำ�เราเข้า สู่พระอาณาจักรของพระองค์ซึ่งเป็นสังคมมนุษย์ที่ยอมรับพระองค์เป็นเจ้านายสูงสุดและดำ�เนินชีวิตตามพระ ประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้น การเกิดใหม่จึงเป็นการเข้าไปในสังคมที่ให้เกียรติ ยกย่อง และเชื่อฟังนบนอบต่อ พระเจ้า เป็นการดำ�เนินชีวิตในฐานะพลเมืองสวรรค์และสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า และเป็นการเข้าสู่ชีวิต ที่เต็มไปด้วยความรัก ความยินดี สันติสุข และอิสรภาพจากบาป ในฐานะคริสตชนคนหนึ่งเราได้สัมผัสความ ยินดีและอิสรภาพของชีวิตใหม่ในพระคริสตเจ้าแล้วหรือยัง
บทอ่านที่ 1
กจ 4:32-37
กลุม่ ผูม้ คี วามเชือ่ ดำ�เนินชีวติ เป็นนํา้ หนึง่ ใจเดียวกัน ไม่คดิ ว่าสิง่ ทีต่ นมีเป็นกรรมสิทธิ์ ของตน แต่ทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ และทุกคนได้รับความเคารพนับถือ อย่างสูง ในกลุ่มของเขาไม่มีใครขัดสน ผู้ใดมีที่ดินหรือบ้านก็ขายและมอบเงินที่ได้ให้ บรรดาอัครสาวก เพื่อแจกจ่ายให้ผู้มีความเชื่อแต่ละคนตามความต้องการ ชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ บรรดาอัครสาวกเรียกเขาว่า บารนาบัส ซึ่งแปลว่า บุตรแห่ง การให้ก�ำ ลังใจ เขาเป็นคนเผ่าเลวีชาวเกาะไซปรัส เขามีทดี่ นิ แปลงหนึง่ ซึง่ เขาขาย นำ�เงิน มามอบให้บรรดาอัครสาวกด้วย
พระวรสาร
ยน 3:7-15
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่าน ทัง้ หลายจำ�เป็นต้องเกิดใหม่จากเบือ้ งบน ลมย่อมพัดไปในทีท่ ลี่ มต้องการ ท่านได้ยนิ เสียง ลมพัดแต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็น เช่นนี”้ นิโคเดมัสทูลถามพระองค์วา่ “เหตุการณ์เช่นนีจ้ ะเป็นไปได้อย่างไร” พระเยซูเจ้า ตรัสตอบว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่รเู้ รือ่ งเหล่านีห้ รือ เราบอกความ จริงแก่ทา่ นว่าเรากำ�ลังพูดถึงเรือ่ งทีเ่ รารู้ และเป็นพยานถึงเรือ่ งทีเ่ ราเห็น แต่ทา่ นทัง้ หลาย ไม่ยอมรับคำ�ยืนยันของเรา ถ้าท่านทัง้ หลายไม่เชือ่ เมือ่ เราพูดถึงเรือ่ งทีเ่ กีย่ วกับโลกนี้ ท่าน จะเชื่อได้อย่างไรเมื่อเราจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสวรรค์ ไม่มใี ครเคยขึน้ ไปบนสวรรค์ นอกจากผูท้ ลี่ งมาจากสวรรค์คอื บุตรแห่งมนุษย์เท่านัน้ โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร”
งูทองสัมฤทธิท์ โี่ มเสสยกขึน้ ในถิน่ ทุรกันดารซึง่ ทำ�ให้ชาวอิสราเอลทีถ่ กู งูกดั และมอง ดูรอดชีวติ เป็นเครือ่ งหมายล่วงหน้าถึงกางเขนของพระคริสตเจ้าซึง่ ปลดปล่อยมวลมนุษย์ ให้รอดพ้นจากอำ�นาจของบาปและความตายและนำ�ชีวิตนิรันดรมาสู่ผู้ที่เชื่อในพระองค์ โดยผ่านทางการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า พระเจ้าไม่ เพียงทรงทำ�ให้เราเป็นอิสระจากบาปและอภัยความผิดของเราเท่านั้น แต่พระองค์ทรง ทำ�ให้เรามีชวี ติ พระโดยทางพระจิตเจ้าเพือ่ เราจะมีสว่ นร่วมในพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระองค์ ด้วย พระจิตเจ้าองค์เดียวกันนี้ยังประทานพระพรแห่งความกล้าหาญแก่เรา เพื่อเราจะ สามารถประกาศและปกป้องข่าวดีแห่งความรอดพ้นด้วยคำ�พูดและกิจการ และไม่ละอาย ที่จะประกาศต่อหน้ามวลมนุษย์เรื่องกางเขนของพระคริสตเจ้าอีกต่อไป
ระลึกถึง น.กาธารีนา แห่งซีเอนา พรหมจารีและ นักปราชญ์แห่ง พระศาสนจักร สดด 93:1-2กข, 2ค-4,6
บทอ่านที่ 1
กจ 5:17-26
ในครั้งนั้น มหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขาคือกลุ่มชาวสะดูสี มีความอิจฉาอย่าง ยิ่ง จึงจับกุมบรรดาอัครสาวกและจองจำ�ไว้ในคุกสาธารณะ เวลากลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดประตูคุก นำ�บรรดา อัครสาวกออกไป สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงไปที่พระวิหาร ประกาศพระวาจาเกี่ยวกับวิถี ชีวิตใหม่นี้ ให้ประชาชนฟังเถิด” เมื่อบรรดาอัครสาวกได้ฟังดังนั้น ก็เข้าไปในพระวิหาร น.ปีโอ ที่ 5 ตั้งแต่เช้าตรู่และเริ่มสั่งสอนที่นั่น พระสันตะปาปา เมือ่ มหาสมณะและทุกคนทีอ่ ยูก่ บั เขามาถึง ก็เรียกประชุมสภาซันเฮดรินและบรรดา สดด 34:1-2,3-4, ผู้อาวุโสทุกคนของอิสราเอล แล้วให้พนักงานไปที่คุกนำ�ตัวบรรดาอัครสาวกออกมา แต่ 5-6,7-8 เมื่อพนักงานไปถึง ก็ไม่พบบรรดาอัครสาวกอยู่ในคุกแล้ว จึงกลับมารายงานว่า “พวก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เราพบคุกปิดไว้อย่างแน่นหนาและคนเฝ้าก็ยนื รักษาการณ์อยูท่ ปี่ ระตู แต่เมือ่ เราเปิดประตู เข้าไปก็ไม่พบผู้ใดเลยสักคน” เมื่อนายทหารรักษาพระวิหารและบรรดาหัวหน้าสมณะ ได้ยินถ้อยคำ�เหล่านี้ ต่างรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะนั้นเอง มีคนหนึ่งมาบอกว่า “ดูซิ คนเหล่านั้นที่ ท่านทั้งหลายจองจำ�ไว้ในคุก กำ�ลังยืนสั่งสอนประชาชนอยู่ในพระวิหาร” นายทหารรักษาพระวิหารพร้อมกับ นายทหารยามจึงไปนำ�บรรดาอัครสาวกมาโดยไม่ใช้กำ�ลัง เพราะเกรงประชาชนจะขว้างด้วยก้อนหิน
พระวรสาร
ยน 3:16-21
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์ เดียวของพระองค์เพือ่ ทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ ในพระบุตรจะไม่พนิ าศ แต่จะมีชวี ติ นิรนั ดรเพราะพระเจ้าทรงส่งพระ บุตรมาในโลกนีม้ ใิ ช่เพือ่ ตัดสินลงโทษโลก แต่เพือ่ โลกจะได้รบั ความรอดพ้นเดชะพระบุตรนัน้ ผูท้ มี่ คี วามเชือ่ ใน พระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อใน พระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือความสว่างเข้ามาใน โลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำ�ของเขานั้นชั่วร้าย ทุกคนที่ทำ�ความ ชั่วย่อมเกลียดความสว่างและไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำ�ของตนจะปรากฏชัดแจ้งแต่ผู้ที่ปฏิบัติ ตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาทำ�นั้นได้ทำ�โดยพึ่งพระเจ้า”
พระเยซูเจ้าทรงเป็นของประทานทีล่ าํ้ ค่าทีส่ ดุ ทีพ่ ระเจ้าทรงมอบแก่เราด้วยความรัก ดังนัน้ ให้ความรักของ พระเจ้าที่มีต่อเราเป็นพลังขับเคลื่อนให้เรารักซึ่งกันและกัน เหมือนที่พระเจ้าทรงรักเราก่อน เราจึงควรเป็นคน แรกที่จะรักและบอกรัก เป็นคนแรกที่กลับมาคืนดี ถ้ามีเรื่องผิดข้องหมองใจกัน เป็นคนแรกที่มองเห็นความ ทุกข์ของคนอื่น ยิ่งกว่านั้น ความรักของเราต้องเป็นความรักแบบให้เปล่า พระเจ้าทรงรักเราไม่ใช่เพราะว่าเรา น่ารัก ดี เก่ง หรือมีความสามารถสูง แต่เพราะเราเป็นเราเท่านั้นเอง และที่สำ�คัญ ความรักของเราต้องเป็น ความรักที่เสียสละและไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะให้อภัยและให้ทุกสิ่งแม้แต่ชีวิตสำ�หรับคนที่เรารัก จำ�ไว้เสมอ ว่าความรักชนะทุกอย่าง