04 april 2017

Page 1


บทอ่านที่ 1 ยรม 11:18-20 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงแจ้งเรือ่ งนีแ้ ก่ขา้ พเจ้า และข้าพเจ้าก็รู้ พระองค์ทรงเปิด เผยแผนร้ายของเขาทั้งหลายแก่ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกแกะว่าง่ายซึ่ง ถูกนำ�มายังที่ฆ่า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเขากำ�ลังวางแผนร้ายต่อข้าพเจ้า พูดว่า “เรา จงทำ�ลายต้นไม้ทกี่ �ำ ลังงอกงาม เราจงกำ�จัดเขาออกจากแผ่นดินของผูเ้ ป็น ชือ่ ของ เขาจะได้ไม่มีผู้ใดระลึกถึงอีกเลย” บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงพิพากษาอย่างเที่ยง ธรรม ทรงทดสอบทั้งความรู้สึกและจิตใจของมนุษย์ โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่า พระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้มอบคดีของข้าพเจ้าไว้กับพระองค์แล้ว พระวรสาร ยน 7:40-53 เมื่อประชาชนบางคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ จึงพูดว่า “คนนี้เป็น ประกาศกจริงๆ” บางคนพูดว่า “คนนี้เป็นพระคริสตเจ้า” บางคนพูดว่า “พระ คริสตเจ้าจะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ พระคัมภีร์มิได้กล่าวหรือว่าพระคริสตเจ้า จะต้องมาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดและจากเมืองเบธเลเฮม เมืองที่กษัตริย์ดาวิด เคยอยู”่ ประชาชนจึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกีย่ วกับพระองค์ บางคนต้องการ จับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือจับกุม ทหารยามรักษาพระวิหารกลับมาหาบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ซึ่ง ถามเขาว่า “ทำ�ไมท่านทั้งหลายไม่นำ�เขามาด้วย” ทหารยามตอบว่า “ไม่มีคนใด พูดจาเหมือนกับชายผู้นี้เลย” ชาวฟาริสีถามว่า “ท่านทั้งหลายถูกเขาหลอกลวง ไปแล้วหรือ มีหวั หน้าหรือชาวฟาริสคี นใดบ้างทีเ่ ชือ่ เขา แต่ประชาชนเหล่านีท้ ไี่ ม่รู้ เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว” ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ที่เคยไป หาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้นกล่าวกับเขาว่า “ธรรมบัญญัติของพวกเราไม่ตัดสิน ลงโทษผู้ใดโดยที่มิได้ฟังคำ�ให้การของผู้นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาทำ�อะไร” เขาเหล่า นัน้ จึงตอบว่า “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลดี ว้ ยหรือ จงค้นดูจากพระคัมภีรเ์ ถิด แล้ว จะเห็นว่าไม่มีประกาศกคนใดมาจากแคว้นกาลิลีเลย” แล้วทุกคนก็กลับบ้าน เรื่องราวในพระวรสารวันนี้ บ่งบอกให้เราทราบว่า พระวาจาที่พระเยซู เจ้าสัง่ สอนฝูงชนนัน้ เมือ่ ฟังแล้วแต่ละคนเข้าใจพระองค์ไปคนละอย่าง บางกลุม่ ชืน่ ชม พระเยซูเจ้าเหมือนดั่งประกาศก และเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขากำ�ลังรอคอย แต่อีก พวกหนึ่งต่อต้านพระองค์และบอกว่าพระองค์เป็นนักต้มตุ๋น บ่อยครั้งพระวาจาของ พระเยซูเจ้านำ�ความแตกแยก สาเหตุของความแตกแยกนั้นมาจากใจผู้ฟัง เมื่อได้ยิน พระวาจาของพระเยซูเจ้า บางคนมีใจแคบ ใจกระด้าง ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเชื่อ

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 7:1-2, 8-9,10-11

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 37:12-14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงประกาศพระวาจาและบอกเขาว่า องค์พระผู้ เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ ประชากรของเราเอ๋ย เรากำ�ลังจะเปิดหลุมฝังศพของท่านและ ยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ นำ�ท่านกลับมายังแผ่นดินอิสราเอล ประชากรของเรา เอ๋ย ท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเราเปิดหลุมศพของท่าน และยก ท่านขึน้ มาจากหลุมศพ เราจะให้จติ ของเราเข้าไปในท่าน และท่านจะมีชวี ติ เราจะ ให้ทา่ นตัง้ หลักแหล่งในแผ่นดินของท่าน แล้วท่านจะรูว้ า่ เราเป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เราได้พูดและได้ทำ�แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส” เพลงสดุดี สดด 130:1-4,5-6,7-8 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าร้องหาพระองค์จากเหวลึก ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงฟังเสียงของข้าพเจ้า โปรดเงี่ยพระกรรณฟังเสียงวอนขอของข้าพเจ้า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงเก็บรักษาความผิดไว้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ใดจะยืนหยัดอยู่ได้ แต่พระองค์ประทานอภัย จึงได้รับความเคารพยำ�เกรง ข) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าวางใจ จิตใจข้าพเจ้ามีความหวัง ข้าพเจ้ารอคอยพระวาจาของพระองค์ จิตใจข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า ยิ่งกว่าคนยามเฝ้ารอแสงอรุณ ยิ่งกว่าคนยามเฝ้ารอแสงอรุณ ค) อิสราเอลจงหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงความรักมั่นคง ทรงพร้อมเสมอที่จะช่วยให้รอดพ้น พระองค์จะทรงไถ่อิสราเอลให้พ้นจากความผิดทั้งมวล บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:8-11 พี่น้อง ผู้ที่ดำ�เนินชีวิตตามธรรมชาติไม่อาจเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้ ส่วนท่านทัง้ หลาย ท่านไม่ด�ำ เนินชีวติ ตามธรรมชาติ แต่ด�ำ เนินชีวติ ตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้ นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ ถ้าพระคริสตเจ้าสถิตในท่านแล้ว แม้ร่างกายของท่าน ตายเพราะบาป จิตของท่านก็มชี วี ติ เพราะความชอบธรรม และถ้าพระจิตของพระ ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสถิตในท่าน พระผู้ทรงบันดาลให้พระคริสตเยซูทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายก็จะ ทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิต เดชะพระจิตของพระองค์ ซึ่ง สถิตในท่านด้วย


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 11:3-7,17,20-27,33ข-45 เวลานั้น พี่น้องทั้งสองคนจึงส่งคนไปทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า คนที่พระองค์ทรงรักกำ�ลัง ป่วย” เมือ่ พระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวนี้ ก็ตรัสว่า “โรคนีม้ ไิ ด้เกิดขึน้ เพือ่ ความตาย แต่เพือ่ พระสิรริ งุ่ โรจน์ ของพระเจ้า เพราะโรคนี้ พระบุตรของพระเจ้าจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์” พระเยซูเจ้าทรงรักมารธากับน้องสาวและลาซารัส หลังจากทรงทราบว่า ลาซารัสกำ�ลังป่วย พระองค์ยังคงประทับอยู่ที่นั่นอีกสองวัน ต่อจากนั้นพระองค์ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรากลับไปแคว้น ยูเดียกันเถิด” เมือ่ เสด็จมาถึง พระเยซูเจ้าทรงพบว่าลาซารัสถูกฝังในคูหามาสีว่ นั แล้ว เมือ่ มารธารูว้ า่ พระเยซูเจ้า กำ�ลังเสด็จมา นางก็ออกไปรับเสด็จ ส่วนมารีย์ยังคงนั่งอยู่ที่บ้าน มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย แต่บัดนี้ดิฉันรู้ดีว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจาก พระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” มารธา ทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าเขาจะกลับคืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้ว ก็ จะมีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อในเรา จะไม่มีวันตายเลย ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ” มารธาทูลตอบว่า “เชื่อ พระเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า ที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้” พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยและเศร้าโศกมาก ตรัสถามว่า “ท่านฝังเขาไว้ ที่ไหน” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า เชิญเสด็จมาทอดพระเนตรเถิด” พระเยซูเจ้าทรงกันแสง ชาวยิวจึงพูด ว่า “ดูซิ พระองค์ทรงรักเขาเพียงไร” แต่บางคนตั้งข้อสังเกตว่า “พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดได้ จะ ทำ�ให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ” พระเยซูเจ้าทรงสะเทือนพระทัยอีก เสด็จถึงคูหาฝังศพ ซึ่งเป็นโพรงหินมี หินแผ่นหนึง่ ปิดอยู่ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงยกแผ่นหินออก” มารธาน้องสาวของผูต้ ายทูลว่า “พระเจ้า ข้า ศพมีกลิ่นแล้ว เพราะฝังมาถึงสี่วัน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรามิได้บอกท่านหรือว่า ถ้าท่านมีความ เชื่อ ท่านจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” คนเหล่านั้นจึงยกแผ่นหินออก พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขนึ้ ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ทที่ รง ฟังคำ�ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระองค์ทรงฟังข้าพเจ้าเสมอ แต่ที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อ ประชาชนที่อยู่รอบข้าพเจ้า เขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด” ผู้ตายก็ออกมา มีผา้ พันมือพันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าด้วย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงเอาผ้าออกและปล่อยให้เขาไปเถิด” ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ก็เชื่อในพระองค์ พระเยซูเจ้าเป็นเพื่อนของสามพี่น้องนี้ คือ มารีย์ มารธา และลาซารัส บ่อยครั้งโอกาสเดิน ทางเข้ากรุงเยรูซาเล็ม พระองค์พำ�นักอยู่กับครอบครัวนี้ และพวกเขาก็ต้อนรับพระองค์อย่างมิตรไมตรีที่ดี เสมอ การกลับคืนชีพของลาซารัสจากความตาย ไม่ใช่เพียงแต่การแสดงออกถึงความเป็นมิตรแท้ของพระ เยซูเจ้าเท่านัน้ แต่เป็นการแสดงออกถึงอำ�นาจของพระองค์เหนือความตายอีกด้วย พระเยซูเจ้าทรงประทับ อยู่เคียงข้างมารีย์และมารธา ขณะที่พวกเขากำ�ลังเศร้าโศกเพราะความตายของลาซารัส พระองค์ก็จะ ประทับอยู่ข้างๆ เราเสมอ เมื่อเรากำ�ลังรู้สึกเจ็บปวด หรือรู้สึกตกตํ่า หวาดกลัว


บทอ่านที่ 1 ดนล 13:41ค-62 ทุกคนที่มาประชุมกันเชื่อเขา เพราะเขาเป็นผู้อาวุโสผู้พิพากษาประชากร จึง ตัดสินลงโทษให้ประหารชีวิตนาง นางสุสันนาร้องตะโกนดังสุดเสียง... องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงฟังเสียงของนาง ขณะทีเ่ ขากำ�ลังนำ�นางไปประหารชีวติ พระเจ้าทรงดลใจชายหนุม่ คนหนึง่ ชือ่ ดาเนียล เขาร้องตะโกนเสียงดังว่า “ข้าพเจ้า ไม่ยอมมีสว่ นร่วมในความตายของหญิงผูน้ .ี้ .. เหตุใดท่านจึงตัดสินลงโทษหญิงชาว สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต อิสราเอลคนหนึ่งโดยไม่สืบสวนความจริงเสียก่อน จงกลับไปพิจารณาคดีเถิด เพราะคนเหล่านี้เป็นพยานเท็จปรักปรำ�นาง” สดด 23:1-6 ประชาชนทุกคนก็รีบกลับไป บรรดาผู้อาวุโสพูดกับดาเนียลว่า “เชิญมานั่ง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 กับพวกเรา จงแสดงความคิดของท่านให้เราฟังเถิด...” ดาเนียลตอบเขาว่า “จง แยกสองคนนี้ให้อยู่คนละแห่ง แล้วข้าพเจ้าจะสอบสวนเขา” เมื่อแยกทั้งสองคน จากกันแล้ว ดาเนียลก็เรียกคนหนึ่งมาถามว่า “...ถ้าท่านเห็นหญิงคนนี้จริงๆ จงบอกซิว่า ท่านเห็นเขา ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นยาง” ดาเนียลพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูด เท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะผ่าท่านเป็นสองส่วนตามพระบัญชาของพระองค์” ดาเนียลส่งเขากลับไปยังที่ของตน สั่งให้นำ�อีกคนหนึ่งออกมา พูดว่า “... จงบอกมาซิ ท่านพบเขาทั้ง สองคนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นโอ๊ก” ดาเนียลจึงพูดว่า “...ท่านพูดเท็จกล่าวโทษ ตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบคอยฟันท่านเป็นสองท่อน ท่านทั้งสองคนจะต้องตายแน่” คนทั้งหลายที่ชุมนุมกันต่างตะโกนเสียงดังด้วยความยินดี ถวายพระพรแด่พระเจ้าผู้ทรงช่วยผู้ วางใจในพระองค์ให้รอดพ้น... พระวรสาร ยน 8:1-11 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ เช้าตรูว่ นั รุง่ ขึน้ พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสนี �ำ หญิงคนหนึง่ เข้ามา หญิงคนนีถ้ กู จับขณะล่วงประเวณี เขาให้ นางยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร”... แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอา นิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดิน เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามยํ้าอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัส ว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป เมื่อ คนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตาม ลำ�พังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” หญิงคนนั้นทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำ�บาปอีก” พระเยซูเจ้าทรงป้องกันหญิงผู้น่าสงสารจากการถูกลงโทษตามแบบฉบับมาตรฐานของชาว ยิว เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา และพร้อมให้อภัย พระองค์ประณามบาป แต่ พระองค์ทรงรักคนบาป และทรงรอคอยการกลับใจของเขา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเตือนสติชาวโลก ในยุคปัจจุบนั นีว้ า่ “พระเจ้าไม่ตอ้ งการให้คนบาปตาย แต่ตอ้ งการให้กลับใจ” และ “อย่าเทีย่ ววิจารณ์คน โดย ไม่มองตนเอง” พระเยซูเจ้ามักจะทำ�สิ่งไม่คาดฝันให้เกิดกับชีวิตของเราด้วยพระเมตตาของพระองค์เสมอ


บทอ่านที่ 1 กดว 21:4-9 ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์ม่งุ สู่ทะเลต้นกกเพื่อเลี่ยง แผ่นดินเอโดม แต่ขณะทีอ่ ยูต่ ามทาง ประชากรเริม่ หมดความอดทน จึงพากันบ่น ว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำ�ไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียปิ ต์ให้มาตายในถิน่ ทุรกันดารนี้ ทีน่ ไ่ี ม่มที ง้ั นํ้าและอาหาร พวกเราเบือ่ อาหารจืดชืดนีเ้ ต็มทีแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำ�ให้ชาวอิสราเอลตายเป็น จำ�นวนมาก คนทัง้ ปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำ�บาปเพราะบ่นว่าองค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าและบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทลู องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพษิ เหล่า นีอ้ อกไปเถิด” โมเสสจึงวอนขอพระเจ้าเพือ่ ประชากร แล้วองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส แก่โมเสสว่า “จงทำ�งูโลหะติดไว้บนเสา ผูท้ ถ่ี กู งูกดั และมองดูงโู ลหะนัน้ จะรอดชีวติ ” โมเสสจึงทำ�งูทองสัมฤทธิข์ น้ึ ติดไว้ทเ่ี สา ผูถ้ กู งูกดั และมองดูงทู องสัมฤทธิน์ น้ั ก็รอด ชีวติ

น.อิสิโดโร พระสังฆราช และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 102:1-2, 15-17,18-20

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ยน 8:21-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาเหล่านั้นอีกว่า “เราจากไปแล้วท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา แต่ ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง แต่เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ แต่ เรามิได้เป็นของโลกนี้ ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็น ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน” เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เรายังมีอีกหลายเรื่องที่เราจะ ต้องพูดและพิพากษาเกีย่ วกับท่าน แต่พระองค์ผทู้ รงส่งเรามาทรงสัจจะ สิง่ ใดทีเ่ ราได้ยนิ มาจากพระองค์ เราก็บอกสิ่งนั้นให้โลกรู้” คนเหล่านัน้ ไม่เข้าใจว่า พระองค์ก�ำ ลังตรัสกับเขาเรือ่ งพระบิดา พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่า “เมือ่ ใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้น เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็น และรู้ว่าเราไม่ทำ�อะไรตามใจตนเอง แต่พูด อย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้ พระผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตาม ลำ�พัง เพราะเราทำ�ตามที่พระองค์พอพระทัยเสมอ” เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์ พระเยซูเจ้าบอกชาวยิวว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ลงมาในโลกนี้เพื่อทำ�ตาม พระประสงค์ของพระบิดา พระองค์กับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน “พระผู้ส่งเรามาสถิตกับเรา” พระองค์จึง ไม่ได้พดู และสอนตามใจตนเอง แม้เนือ้ หาข้อความเหล่านีย้ ากทีจ่ ะเข้าใจได้ แต่นกั บุญยอห์นก็บนั ทึกไว้วา่ ชาว ยิว “หลายคนก็เชื่อในพระองค์” กุญแจที่เปิดประตูแห่งความเชื่อคือการภาวนา ดังนั้น เมื่อความสงสัยเกิด ขึ้นในจิตใจ ให้เราภาวนาต่อพระบิดาเป็นการส่วนตัว


น.วินเซนต์ แฟร์เรร์ พระสงฆ์ ดนล 3:53-56

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 ดนล 3:14-20,24-25,28 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรัสถามเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก เป็น ความจริงหรือไม่ ที่ท่านไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของเรา และไม่ยอมนมัสการรูปปั้น ทองคำ�ที่เราตั้งไว้... ถ้าท่านไม่ยอมทำ�เช่นนี้ ท่านจะต้องถูกโยนทันทีเข้าไปในเตา ที่มีไฟลุกโพลง แล้วพระเจ้าใดจะช่วยท่านให้พ้นจากมือของเราได้” ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกกราบทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าพเจ้า ทั้งหลายไม่จำ�เป็นจะต้องทูลตอบพระองค์ในเรื่องนี้ ขอทรงทราบเถิดว่า พระเจ้า ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายรับใช้จะทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากเตาที่มีไฟลุกโพลง และให้พ้นพระหัตถ์พระองค์ได้...” กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กริ้วมาก พระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนเป็นดุดันต่อ ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก รับสั่งให้เพิ่มไฟในเตาให้ร้อนจัดกว่าเดิมอีกเจ็ดเท่า และรับสั่งให้ทหารบางคนที่แข็งแรงที่สุดในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และ อาเบดเนโก โยนเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง เขาทั้งสามคนเดินไปมากลางเปลวไฟ สรรเสริญพระเจ้า...

พระวรสาร ยน 8:31-42 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำ�ให้ท่านเป็นอิสระ” คนเหล่านั้นจึงตอบว่า “พวกเราเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร ท่านพูดได้ อย่างไรว่า ‘ท่านทั้งหลายจะเป็นอิสระ’” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ทุกคนทีท่ �ำ บาปก็เป็นทาสของ บาป ทาสย่อมไม่พ�ำ นักอยูใ่ นบ้านตลอดไป แต่บตุ รพำ�นักอยูต่ ลอดไป ดังนัน้ ถ้าพระบุตรทำ�ให้ทา่ นเป็น อิสระ ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านพยายาม จะฆ่าเรา เพราะวาจาของเราไม่ซมึ ซาบเข้าไปในท่าน เราบอกสิง่ ทีเ่ ราได้เห็นเมือ่ เราอยูเ่ ฉพาะพระพักตร์ พระบิดา ท่านทั้งหลายก็ทำ�ตามที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย” คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “บิดาของพวกเราคืออับราฮัม” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม ท่านจงทำ�กิจการของอับราฮัมเถิด แต่ บัดนี้ ท่านกำ�ลังพยายามจะฆ่าเรา ซึง่ เป็นคนบอกความจริงทีเ่ ราได้ยนิ มาจากพระเจ้าให้ทา่ นฟัง อับราฮัม ไม่เคยทำ�เช่นนี้เลย ท่านไม่ทำ�กิจการของอับราฮัม แต่ทำ�กิจการของบิดาของท่าน” คนเหล่านั้นเถียงว่า “เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ บิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเรา เพราะเรามา จากพระเจ้า เราไม่ได้มาตามใจตนเอง แต่พระองค์ทรงส่งเรามา” บทอ่านทั้งสองบทของวันนี้ชี้ให้เห็นว่าพระเป็นเจ้ามีอำ�นาจช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น แต่ เนือ้ หาในพระวรสารของนักบุญยอห์นทีว่ า่ “ท่านจะรูค้ วามจริง และความจริงจะทำ�ให้ทา่ นเป็นอิสระ” พิสจู น์ ว่าอำ�นาจช่วยให้รอดพ้นของพระเป็นเจ้าอยูใ่ นพระเยซูคริสตเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้า นัน่ ก็คอื ใครก็ตาม ทีด่ �ำ เนินชีวติ บนเส้นทางแห่งพระวาจาของพระองค์กเ็ ป็นศิษย์ของพระองค์ และเดินบนทางแห่งความรอดพ้น เพราะเขาจะไม่หลงผิด “ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตร ย่อมมีชีวิตนิรันดร” (ยน 4:53)


บทอ่านที่ 1 ปฐก 17:3-9 ในครั้งนั้น อับรามจึงกราบลงกับพื้นดิน พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่คือพันธ สัญญาทีเ่ ราให้ไว้กบั ท่าน ท่านจะเป็นบิดาของชนชาติจ�ำ นวนมาก ท่านจะไม่ชอื่ ว่า อับรามอีกแล้ว ท่านจะมีชื่อใหม่ว่าอับราฮัม เพราะเราจะทำ�ให้ท่านเป็นบิดาของ ชนชาติจ�ำ นวนมาก เราจะทำ�ให้ทา่ นมีลกู หลานจำ�นวนมากยิง่ ๆ ขึน้ จะให้ทา่ นเป็น ชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายพระองค์จะเกิดจากท่าน เราจะรักษาพันธสัญญา ของเราไว้กับท่าน และกับลูกหลานของท่านที่จะตามมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นพันธ สัญญาทีค่ งอยูต่ ลอดไป เราจะเป็นพระเจ้าของท่าน และเป็นพระเจ้าของลูกหลาน ของท่านทีจ่ ะตามมา เราจะให้แผ่นดินทีท่ า่ นอาศัยอยูอ่ ย่างคนแปลกหน้า ถิน่ นีค้ อื แผ่นดินคานาอันทั้งหมดแก่ท่านและแก่ลูกหลานที่จะตามมาภายหลังท่านเป็น กรรมสิทธิ์ตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย” พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ท่านและลูกหลานของท่านที่จะตามมาทุกรุ่น จะต้องรักษาพันธสัญญาของเราไว้”

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต สดด 105:4-5,6, 7-10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันจักรี

พระวรสาร ยน 8:51-59 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย” ชาวยิวพูดกับพระองค์ว่า “บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านถูกปีศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดา ประกาศกก็ตายไปแล้วเช่นเดียวกัน แต่ท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่ต้องลิ้ม รสความตายเลย’ ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเรา ซึ่งตายไปแล้วหรือ บรรดาประกาศกก็ตายไป แล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นใครกัน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติตนเอง เกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไร ผู้ที่ให้เกียรติเราคือ พระบิดาของเรา ผู้ที่ท่านพูดว่า ‘เป็นบิดาของพวกเรา’ แต่ท่านไม่รู้จักพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ถ้าเรา จะพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’ เราก็เป็นคนพูดเท็จเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และปฏิบัติตาม พระวาจาของพระองค์ อับราฮัมบิดาของท่านได้ยินดีที่จะเห็นวันของเรา เขาได้เห็น และได้ยินดีแล้ว” ชาวยิวจึงค้านว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น” คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าเสด็จเลี่ยงออกไปจากพระวิหาร สองสามวันนี้เราได้อ่านเรื่องราวของพระเยซูเจ้าเผชิญหน้ากับชาวยิวที่ไม่เชื่อในพระองค์ นักบุญยอห์นได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าได้ใช้ความอดทนที่จะบอกพวกเขาว่าพระองค์เป็นใคร และมีความ สัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าพระบิดาอย่างไร แต่พระวาจาของพระองค์ไม่หยั่งลึกเข้าไปในจิตใจของชาวยิวเหล่า นั้น เพราะพวกเขาฟังพระองค์ด้วยสมอง ไม่ได้ฟังด้วยใจ จึงถกเถียงและไม่เชื่อในพระองค์ คริสตชนจะมี ความยากลำ�บากเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าในชีวิตของตนเสมอ จงจำ�ไว้พระเยซูเจ้าทรงผ่านหนทางนี้มาก่อน เราแล้ว


ระลึกถึง น.ยอห์น บัปติสต์ เดอ ลาซาล พระสงฆ์ สดด 18:1-2กข, 2ค-3,4-5,6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันศุกร์ต้นเดือน

บทอ่านที่ 1 ยรม 20:10-13 ข้าพเจ้าได้ยนิ เสียงหลายคนซุบซิบว่า “ความหวาดกลัวอยูโ่ ดยรอบมาแล้ว จง กล่าวหาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด” มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า คอยเฝ้าดู ความล่มจมของข้าพเจ้า พูดว่า “เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง แล้วเราจะเอาชนะ เขาได้ และจะแก้แค้นเขา” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าเหมือนนักรบ ทรงพลัง ดังนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้อง อับอายมาก เพราะไม่ประสบความสำ�เร็จ ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอด ไป ไม่มีวันถูกลืม ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงทดสอบผู้ชอบธรรม ทรง สำ�รวจใจและจิต ขอโปรดให้ขา้ พเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้า ได้ทูลเสนอคดีของข้าพเจ้าให้ทรงทราบแล้ว จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสน ให้พ้นมือ ของผู้ทำ�ความชั่วร้าย

พระวรสาร ยน 10:31-42 เวลานั้น ชาวยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์อีก พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้แสดง กิจการที่ดีหลายอย่างจากพระบิดา แล้วท่านจะเอาก้อนหินขว้างเราเพราะกิจการใด” ชาวยิวตอบว่า “พวกเราจะเอาหินขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะกิจการที่ดี แต่เพราะท่านพูดดูหมิ่นพระเจ้า ท่านเป็นเพียง มนุษย์ แต่ตั้งตนเป็นพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายว่า ‘เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลาย เป็นพระเจ้า’ พระคัมภีร์เรียกผู้รับพระวาจาของพระเจ้าว่า ‘เป็นพระเจ้า’ และพระคัมภีร์จะลบล้างไม่ ได้ พระบิดาทรงบันดาลให้เราศักดิ์สิทธิ์ และทรงส่งเรามาในโลก แล้วทำ�ไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวหาว่า เราพูดดูหมิ่นพระเจ้า เมื่อเราพูดว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ ถ้าเราไม่ทำ�กิจการของพระบิดาของเรา ท่านก็อย่าเชื่อเราเลย แต่ถ้าเราทำ� แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำ� นั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่า พระบิดาสถิตในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” คนทั้งหลายพยายามจะจับกุมพระองค์อีก แต่พระองค์ทรงเลี่ยงพ้นจากมือของพวกเขาไปได้ พระองค์เสด็จข้ามแม่นํ้าจอร์แดนอีกครั้งหนึ่ง กลับไปยังสถานที่ซึ่งแต่ก่อนนั้นยอห์นได้ทำ�พิธีล้าง พระองค์ทรงพำ�นักอยูท่ นี่ นั่ ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ พูดว่า “ยอห์นไม่ได้ท�ำ เครือ่ งหมายอัศจรรย์อะไร เลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงชายคนนี้ก็เป็นความจริง” และที่นั่นหลายคนเชื่อในพระองค์ ชาวยิวจำ�นวนมากไม่เชือ่ ในพระเยซูเจ้า พวกเขาหยิบก้อนหินจะขว้างพระองค์ พวกเขาคบคิด เพื่อจะจับกุมพระองค์ พระองค์ทรงเลี่ยงพ้นจากมือของพวกเขา แต่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ซึ่งยอห์นได้ทำ� พิธีล้างมีประชาชนจำ�นวนหนึ่งพูดว่า “ยอห์นไม่ได้ทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ใดเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึง ชายคนนี้ก็เป็นความจริง” และหลายคนเชื่อในพระองค์ ให้เรามอบความเชื่อของเราไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า นักบุญเปาโลกล่าวอวยพรว่า “ขอให้สนั ติสขุ ของพระเจ้า ซึง่ เกินสติปญ ั ญาจะเข้าใจได้นนั้ จงคุม้ ครองดวงใจ และความคิดของท่านไว้ในพระคริสตเยซู” (ฟป 4:7)


บทอ่านที่ 1 อสค 37:21-28 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะนำ�ชาวอิสราเอลมาจากนานาชาติซึ่งเขาไปอาศัยอยู่ด้วย เราจะรวบรวมเขา มาจากทุกแห่ง และจะนำ�เขามายังแผ่นดินของเขา เราจะทำ�ให้เขาเป็นชนชาติเดียว ในแผ่นดิน บนภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอล... เราจะชำ�ระเขา แล้วเขาจะเป็น ประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา... เราจะทำ�พันธสัญญาสันติภาพ ซึ่งจะเป็นพันธสัญญานิรันดรกับเขา เราจะให้เขาตั้งหลักแหล่งและทวีจำ�นวนขึ้น เราจะตัง้ สักการสถานของเราไว้ในหมูเ่ ขาตลอดไป ทีพ่ �ำ นักของเราจะอยูใ่ นหมูเ่ ขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา แล้วนานาชาติจะรู้ว่า เราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เราทำ�ให้อิสราเอลศักดิ์สิทธิ์เมื่อสักการสถานของเราจะ อยู่ในหมู่เขาตลอดไป’”

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ยรม 31:10, 11-12กข,13

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ยน 11:45-57 เวลานั้น ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ก็เชื่อในพระองค์ แต่บางคนไปพบชาวฟาริสี เล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ�ให้ฟัง บรรดาหัวหน้าสมณะและชาว ฟาริสีจึงเรียกประชุมสภา ปรึกษากันว่า “พวกเราจะทำ�อย่างไรดี เพราะคนคนนี้ได้ทำ�เครื่องหมาย อัศจรรย์หลายอย่าง ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ ทุกคนจะเชื่อเขา แล้วชาวโรมันก็จะมาทำ�ลายทั้งพระ วิหารและชนชาติของเรา” คนหนึ่งในที่ประชุมชื่อคายาฟาส เป็นมหาสมณะในปีนั้นกล่าวว่า “ท่านทั้ง หลายไม่เข้าใจอะไรเลย ท่านไม่คดิ หรือว่า ถ้าคนคนเดียวจะตายเพือ่ ประชาชน จะเป็นประโยชน์มากกว่า ทีช่ นทัง้ ชาติจะต้องพินาศไป” เขาไม่ได้พดู เช่นนีต้ ามใจตนเอง แต่ในฐานะทีเ่ ป็นมหาสมณะในปีนนั้ เขา ประกาศพระวาจาว่า พระเยซูเจ้าจะต้องสิ้นพระชนม์เพื่อชนทั้งชาติ และไม่ใช่เพื่อชนทั้งชาติเท่านั้น แต่เพื่อจะรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าที่กระจัดกระจายอยู่ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่วันนั้น ที่ประชุมได้ตกลงกันที่จะประหารชีวิตพระองค์ ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงไม่เสด็จไปที่ใดอย่างเปิดเผยใน หมู่ชาวยิวอีกต่อไป แต่เสด็จไปที่เมืองชื่อเอฟราอิม ในเขตแดนใกล้ถิ่นทุรกันดาร และทรงพำ�นักอยู่ที่ นั่นกับบรรดาศิษย์ วันปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง ประชาชนจำ�นวนมากเดินทางจากชนบทขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อชำ�ระตนก่อนวันฉลอง เขาเหล่านั้นเสาะหาพระเยซูเจ้า และขณะที่ยืนอยู่ในพระวิหารก็ถามกันว่า “ท่านทัง้ หลายคิดอย่างไร เขาจะมาในวันฉลองหรือไม่” บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสไี ด้ออกคำ� สั่งว่า ถ้าใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มารายงาน เพื่อจะได้จับกุมพระองค์ พระวรสารวันนีบ้ อกเราว่า เครื่องหมายอัศจรรย์หลายอย่างทีพ่ ระเยซูเจ้าได้กระทำ� ส่งผลให้ บรรดาหัวหน้าสมณะ ชาวฟาริสี บรรดาศัตรูของพระองค์หวาดหวั่น จนกล่าวว่า “ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ ทุกคน จะเชื่อเขา” พวกเขาเรียกประชุมปรึกษากัน “ที่ประชุมได้ตกลงกันที่จะประหารชีวิตพระองค์” เหมือนกับ “พระอาจารย์” คริสตชนต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายมากมายในปัจจุบัน พึงตระหนักว่า การติดตามพระ เยซูเจ้านั้นเรียกร้องเราให้มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง กล้าพอที่จะติดตามพระองค์


อาทิตย์มหาทรมาน แห่ใบลาน

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 50:4-7 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าประทานให้ขา้ พเจ้ามีลนิ้ เหมือนลิน้ ของศิษย์ทพี่ ระองค์ทรง สอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำ�ลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้า พระองค์ ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูขา้ พเจ้าให้ฟงั เหมือนศิษย์ทพี่ ระองค์ทรงสอน องค์พระ ผู้เป็นเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้า หันหลังให้แก่ผโู้ บยตีขา้ พเจ้า และหันแก้มให้แก่ผทู้ ดี่ งึ เคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซอ่ น หน้าแก่ผู้สบประมาทและถ่มนํ้าลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำ�หน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ ว่าข้าพเจ้าจะไม่อับอาย เพลงสดุดี สดด 22:7-8,16-17ก,18-19,22-23 ก) ผู้ใดเห็นข้าพเจ้าก็เยาะเย้ย เขายิ้มหยันและสั่นศีรษะ พลางพูดว่า “เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้พระองค์ทรงช่วยซิ ถ้าพระองค์ทรงรักเขา ก็ให้พระองค์ทรงปลดปล่อยเขา” บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี ฟป 2:6-11 แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอ พระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับ สภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อม พระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะ เหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขนึ้ สูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนีป้ ระเสริฐกว่านามอืน่ ใดทัง้ สิน้ เพือ่ ทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวม ทัง้ ใต้พนื้ พิภพ จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพือ่ ชนทุกภาษาจะได้ ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของ พระเจ้า พระบิดา บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 27:11-54 ขณะนัน้ พระเยซูเจ้าทรงยืนอยูต่ อ่ หน้าผูว้ า่ ราชการ ผูว้ า่ ราชการถามพระองค์ ว่า “ท่านเป็นกษัตริยข์ องชาวยิวหรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านพูดเองนะ”... ปี ล าตจึ ง ถามพระองค์ ว่ า “ท่ า นไม่ ไ ด้ ยิ น หรื อ ว่ า เขากล่ า วหาท่ า นหลาย ประการ” แต่พระองค์มไิ ด้ตรัสตอบประการใด ทำ�ให้ผวู้ า่ ราชการประหลาดใจมาก มี ป ระเพณี ที่ ผู้ ว่ า ราชการต้ อ งปล่ อ ยนั ก โทษคนหนึ่ ง ตามคำ � ขอร้ อ งของ ประชาชนในวันฉลอง เวลานั้น มีนักโทษอุกฉกรรจ์คนหนึ่งชื่อ บารับบัส ดังนั้น เมื่อประชาชนมาชุมนุมกัน ปีลาตจึงถามว่า “ท่านทั้งหลายต้องการให้ข้าพเจ้า


ปล่อยผู้ใด ปล่อยบารับบัส หรือเยซู ที่เรียกว่าพระคริสต์” ปีลาตรู้อยู่แล้วว่า เขาจับพระองค์มามอบให้ เพราะความอิจฉา... บรรดาทหารของผู้ว่าราชการนำ�พระเยซูเจ้าเข้าไปในจวนและเรียกทหารทั้งกองมาพร้อมกัน เขา เปลือ้ งฉลองพระองค์ออก นำ�เสือ้ คลุมสีมว่ งแดงมาคลุมให้ นำ�หนามมาสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียร ให้ พระองค์ถือไม้อ้อในพระหัตถ์ขวา แล้วคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ เยาะเย้ยพระองค์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ของชาวยิว ขอทรงพระเจริญเทอญ” เขาถ่มนํ้าลายรดพระองค์ ฉวยไม้อ้อฟาดพระเศียร เมื่อเยาะเย้ย พระองค์แล้ว เขาก็ถอดเสื้อคลุมของพระองค์ออก นำ�ฉลองพระองค์สวมให้ดังเดิม แล้วจึงนำ�พระองค์ ไปตรึงบนไม้กางเขน ขณะทีบ่ รรดาทหารนำ�พระองค์ออกไปนัน้ เขาพบชายชาวไซรีนคนหนึง่ ชือ่ ซีโมน จึงเกณฑ์ให้แบก ไม้กางเขนของพระองค์ เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า กลโกธา แปลว่า เนินหัวกะโหลก ทหาร นำ�เหล้าองุ่นผสมดีมาให้พระองค์ดื่ม พระองค์ทรงชิมแล้ว ไม่ยอมดื่ม เมื่อตรึงพระองค์บนไม้กางเขน แล้ว เขานำ�ฉลองพระองค์มาแบ่งกันโดยจับฉลาก และนั่งเฝ้าดูพระองค์อยู่ที่นั่น เขาติดป้ายเหนือพระเศียรของพระองค์ เขียนข้อกล่าวหาพระองค์ไว้วา่ ‘นีค่ อื เยซูกษัตริยข์ องชาว ยิว’ เขายังตรึงโจรสองคนพร้อมกับพระองค์ด้วย คนหนึ่งอยู่ข้างขวา อีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย ผู้คนที่ผ่านไปมา ต่างสบประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ยว่า “ท่านผู้ทำ�ลายพระวิหารและ สร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน จงช่วยตนเองให้รอดพ้น ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากไม้ กางเขนซิ” บรรดาหัวหน้าสมณะพร้อมกับธรรมาจารย์และผูอ้ าวุโสต่างเยาะเย้ยพระองค์เช่นเดียวกัน... โจรที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย ตัง้ แต่เวลาเทีย่ ง ทัว่ แผ่นดินก็มดื จนถึงเวลาบ่ายสามโมง ครัน้ ถึงเวลาบ่ายสามโมง พระเยซูเจ้าทรง ร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบัคทานี” ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระเจ้าของ ข้าพเจ้า ทำ�ไมพระองค์จงึ ทรงทอดทิง้ ข้าพเจ้าเล่า” บางคนทีอ่ ยูท่ นี่ นั่ ได้ยนิ จึงพูดว่า “เขากำ�ลังร้องเรียก เอลียาห์” ทันใดนั้นชายคนหนึ่งวิ่งไปนำ�ฟองนํ้าจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อส่งให้พระองค์เสวย... พระเยซูเจ้าทรงเปล่งเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์ ทันใดนั้น ม่านในพระวิหารก็ฉีกขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่ด้านบนลงมาถึงด้านล่าง แผ่นดินสั่น สะเทือน ก้อนหินแตก คูหาที่ฝังศพเปิดออก ร่างของผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายร่างที่ล่วงหลับไปแล้วกลับคืนชีพ และออกมาจากหลุมศพหลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ เข้าไปในนครศักดิ์สิทธิ์แล้ว แสดงตนแก่ผู้คนจำ�นวนมาก นายร้อยและบรรดาทหารที่เฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ตกใจกลัวยิ่งนัก กล่าวว่า “ชายคนนี้เป็นบุตรของพระเจ้าแน่ทีเดียว” นักบุญเปาโลส่งจดหมายถึงคริสตชนชาวฟีลิปปีสอนพวกเขาว่า พระเยซูเจ้าทรงมีธรรมชาติ เป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ และเพื่อความรอดพ้นของมวลมนุษย์ พระองค์ทรงแสดงองค์ในธรรมชาติ มนุษย์ ถ่อมองค์ยอมรับความตายแม้ความตายบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าพระบิดาก็ยกพระองค์ขึ้นสูงส่ง เพือ่ เทวดาบนสวรรค์และมนุษย์ทกุ ชาติทกุ ภาษาบนแผ่นดินจะได้รอ้ งประกาศว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์ พระผู้เป็นเจ้า” การประกาศนี้ยังเป็นจริงในปัจจุบัน เช่นเดียวกับที่เป็นในคริสตศาสนายุคแรก


วันจันทร์ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 27:1,7-8ก, 8ข-9กข,13-14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 อสย 42:1-7 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “นีค่ อื ผูร้ บั ใช้ของเรา ซึง่ เราเชิดชู เราเลือกเขาเพราะ เราพอใจเขา เราให้จิตของเราแก่เขา เขาจะนำ�ความยุติธรรมไปให้แก่นานาชาติ เขาจะไม่ร้องตะโกนหรือเปล่งเสียงดัง จะไม่ทำ�ให้ใครได้ยินเสียงของเขาตามถนน ไม้ออ้ ทีช่ าํ้ แล้ว เขาจะไม่หกั และไส้ตะเกียงทีร่ บิ หรีอ่ ยู่ เขาจะไม่ดบั เขาจะประกาศ ความยุติธรรมด้วยความสัตย์จริง เขาจะไม่หมดหวังหรือท้อใจ จนกว่าจะได้ สถาปนาความยุตธิ รรมไว้บนแผ่นดิน ดินแดนชายทะเลจะรอคอยคำ�สอนของเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงสร้างท้องฟ้ากว้างใหญ่ ทรงคลี่แผ่นดินและ ทุกสิง่ ทีเ่ กิดจากทีน่ นั่ ประทานชีวติ แก่ประชากรบนแผ่นดิน และประทานลมหายใจ แก่ผู้ที่ดำ�เนินอยู่ที่นั่น ตรัสว่า“เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเรียกท่านมาด้วยความ ชอบธรรม เราจับมือของท่านและรักษาท่านไว้ เราให้ท่านเป็นพันธสัญญาของ ประชากร และเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพือ่ เปิดตาคนตาบอด ปลดปล่อยผูถ้ กู จองจำ�จากคุก ปลดปล่อยผู้ที่อยู่ในความมืดจากที่คุมขัง”

พระวรสาร ยน 12:1-11 หกวันก่อนฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่หมู่บ้านเบธานี ตำ�บลที่อยู่ของลาซารัสที่พระองค์ ทรงทำ�ให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ผู้คนที่นั่นจัดงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่พระองค์ มารธาคอยรับใช้ ขณะที่ลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์ด้วย มารีย์ใช้นํ้ามันหอมสมุนไพรบริสุทธิ์ราคาแพง หนักประมาณครึ่งชั่งชโลมพระบาทพระเยซูเจ้า และใช้ผมเช็ดพระบาท กลิ่นนํ้ามันหอมอบอวลไปทั่ว บ้าน ยูดาสอิสคาริโอทศิษย์คนหนึง่ ทีจ่ ะทรยศต่อพระองค์พดู ว่า “ทำ�ไมไม่เอานาํ้ มันหอมนีไ้ ปขายราคา สามร้อยเหรียญ แล้วนำ�เงินไปแจกให้คนยากจน” ที่เขาพูดเช่นนี้มิใช่เพราะเขาห่วงใยคนยากจน แต่ เพราะเขาเป็นขโมย เขาเป็นผูถ้ อื ถุงเงินและยักยอกเงินในถุงนัน้ พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ช่างเถิด ปล่อย ให้นางเก็บนํา้ มันหอมนีไ้ ว้ส�ำ หรับวันฝังศพของเรา คนยากจนนัน้ อยูก่ บั ท่านทัง้ หลายเสมอ แต่เราจะไม่ อยู่กับท่านตลอดไป” ชาวยิวจำ�นวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น จึงมา มิใช่เพียงเพื่อเฝ้าพระเยซูเจ้า แต่เพื่อมาดู ลาซารัส ซึ่งพระองค์ได้ทรงทำ�ให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย บรรดาหัวหน้าสมณะจึงตกลงกันจะฆ่า ลาซารัสด้วย เพราะลาซารัสทำ�ให้ชาวยิวจำ�นวนมากไปเฝ้าพระเยซูเจ้าและเชื่อในพระองค์

ทุกคนในงานต่างก็หมกมุ่นสนุกสนานอยู่กับการกินการดื่ม ในงานเลี้ยงฉลองการกลับคืนชีพ จากบรรดาผู้ตายของลาซารัส ไม่มีใครให้ความสำ�คัญต่อการประทับอยู่ของพระเยซูเช้า แม้แต่ยูดาส อิสคาริโอทศิษย์ที่พระองค์ทรงเลือกมากับมือ ก็ปล่อยให้เงินทำ�ตัวเองสับสน ทำ�ให้ตัวเองตกตํ่า ให้ความ สำ�คัญกับเงินมากกว่าพระอาจารย์ มีแต่มารีย์เท่านั้นให้ความสำ�คัญต่อพระเยซูเจ้า เธอนำ�นํ้าหอมมาชโลม พระบาท พระวรสารเตือนใจเราให้กา้ วออกจากการบริโภคสูค่ วามใจกว้าง มองเห็นความสำ�คัญ ความต้องการ ของผู้อื่น และเห็นพระเยซูเจ้าเป็น “พระอาจารย์” เสมอ


บทอ่านที่ 1 อสย 49:1-6 ดินแดนชายทะเลและเกาะทัง้ หลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนทีอ่ ยูส่ ดุ แดนไกล จงตัง้ ใจฟังเถิด องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนทีข่ า้ พเจ้าเกิด ทรง ขานชือ่ ข้าพเจ้าตัง้ แต่อยูใ่ นครรภ์มารดา พระองค์ทรงทำ�ให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือน ดาบคม ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์พระองค์ ทรงทำ�ให้ข้าพเจ้าเป็น เสมือนลูกศรแหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลเอ๋ย ท่านเป็นผูร้ บั ใช้ของเรา เราจะแสดงสิริ รุ่งโรจน์ของเราโดยทางท่าน” แต่ข้าพเจ้ากลับคิดว่า “ข้าพเจ้าได้ทำ�งานเหนื่อยเปล่า ข้าพเจ้าเสียแรงไป เปล่าๆ ไร้ประโยชน์”... พระองค์ตรัสว่า “เป็นการน้อยไปทีท่ า่ นจะเป็นผูร้ บั ใช้ของ เรา เพื่อสถาปนาเผ่าพันธุ์ยาโคบขึ้นใหม่... เราจะให้ท่านเป็นแสงสว่างส่อง นานาชาติ เพื่อความรอดพ้นที่เรานำ�มาให้จะได้แผ่ไปจนสุดปลายแผ่นดิน”

วันอังคาร สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 71:1-3ก,3ข-5, 6,16-18ก

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ยน 13:21-33,36-38 เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกหวั่นไหวพระทัย จึงตรัสยืนยันว่า “เราบอกความจริงแก่ ท่านทั้งหลายว่า ท่านคนหนึ่งจะทรยศเรา” บรรดาศิษย์ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงหมายถึง ใคร ศิษย์คนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักนั่งโต๊ะติดกับพระองค์ ซีโมนเปโตรจึงทำ�สัญญาณให้เขาทูลถาม ว่า “ผูท้ พี่ ระองค์ก�ำ ลังตรัสถึงนีเ้ ป็นใคร” เขาจึงเอนกายชิดพระอุระของพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “พระเจ้า ข้า เป็นใครหรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เป็นผู้ที่เราจะจุ่มขนมปังส่งให้” แล้วทรงจุ่มขนมปังชิ้นหนึ่งส่งให้ยูดาส บุตรของซีโมนอิสคาริโอท แต่เมื่อยูดาสได้รับขนมปังชิ้นนี้แล้ว ซาตานก็เข้าสิงในตัวเขา พระเยซูเจ้าจึง ตรัสแก่เขาว่า “ท่านจะทำ�อะไร ก็จงทำ�โดยเร็วเถิด”... เมือ่ ยูดาสรับชิน้ ขนมปังแล้ว ก็ออกไปทันที ขณะ นั้นเป็นเวลากลางคืน เมือ่ ยูดาสออกไปแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์ได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ และพระเจ้า ทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ด้วย... ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับท่านอีกไม่นาน ท่านจะ แสวงหาเรา แต่เราบอกท่านบัดนี้เหมือนกับที่เราเคยบอกชาวยิวว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์กำ�ลังจะไปไหน” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ที่ที่เราไปนั้น ท่านยังตามไปเวลานีไ้ ม่ได้ แต่จะตามไปได้ในภายหลัง” เปโตรทูลพระองค์วา่ “พระเจ้าข้า ทำ�ไมข้าพเจ้า จึงตามพระองค์ไปเวลานีไ้ ม่ได้ ข้าพเจ้าจะสละชีวติ เพือ่ พระองค์” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านจะสละ ชีวิตเพื่อเราหรือ เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะบอกถึงสามครั้งว่าไม่รู้จักเรา” ขณะนั่งทานอาหารพร้อมกับบรรดาสาวกนั้น พระเยซูเจ้าทรงเศร้าพระทัย เพราะรู้ว่าเวลา ของพระองค์กำ�ลังมาถึง พระองค์รู้ว่าศิษย์คนหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำ�ลังเกิดขึ้นด้วยการ “ทรยศ” เพราะเห็นแก่เงิน พระองค์กล่าวว่า “ท่านคนหนึ่งจะทรยศเรา” เพื่อเป็นการเตือนสติยูดาสให้กลับใจ เปลี่ยน ความคิดของตนเอง ไม่สร้างความราํ่ รวยบนชีวติ ของคนอืน่ พระวรสารวันนีเ้ ตือนสติเราว่า ถ้าหัวใจของเรา กำ�ลังคิดร้ายต่อคนที่เรารัก ต่อเพื่อนบ้าน มันต้องมีอะไรผิดปกติในจิตใจ ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง ต้อง รีบให้มีการกลับใจ


วันพุธ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์

สดด 69:7-9,20-21, 30,32-33

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 อสย 50:4-9 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่ พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำ�ลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้า พระองค์ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูขา้ พเจ้าให้ฟงั เหมือนศิษย์ทพี่ ระองค์ทรง สอน องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่ หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่ผู้ที่ดึงเครา ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซอ่ นหน้าแก่ผสู้ บประมาทและถ่มนาํ้ ลายรด องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำ�หน้าของ ข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าจะไม่อับอาย พระองค์ผู้ประทาน ความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้าทรงอยู่ใกล้ข้าพเจ้า ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า เราจงยืนขึ้น เผชิญหน้ากันเถิด ใครจะกล่าวหาข้าพเจ้า ก็จงเข้ามาใกล้ขา้ พเจ้าเถิด ดูซิ องค์พระ ผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษข้าพเจ้า ดูซิ เขาทุกคนจะผุพัง เหมือนเสื้อผ้า แมลงกินผ้าจะกัดกินเขาเหล่านั้น

พระวรสาร มธ 26:14-25 เวลานัน้ คนหนึง่ ในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ชือ่ ยูดาสอิสคาริโอท ไปพบบรรดาหัวหน้าสมณะ ถามว่า “ถ้าข้าพเจ้ามอบเขาให้ท่าน ท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้า” บรรดาหัวหน้าสมณะจ่ายเงินสามสิบ เหรียญให้แก่ยูดาส ตั้งแต่นั้นมา ยูดาสก็หาโอกาสที่จะมอบพระองค์ วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระองค์มีพระ ประสงค์ให้เราจัดเตรียมการเลี้ยงปัสกาที่ไหน” พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปในกรุง ไปพบชายคนหนึ่ง บอกเขาว่า ‘พระอาจารย์บอกว่าเวลากำ�หนดของเราใกล้เข้ามาแล้ว เราจะกินปัสกากับศิษย์ของเราที่ บ้านของท่าน’” บรรดาศิษย์ก็ทำ�ตามที่พระเยซูเจ้าทรงบัญชา และจัดเตรียมปัสกา ครัน้ ถึงเวลาคาํ่ พระองค์ประทับร่วมโต๊ะกับศิษย์ทงั้ สิบสองคน ขณะทีท่ กุ คนกำ�ลังกินอาหารพร้อม กับพระเยซูเจ้าอยู่นั้น พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะ ทรยศต่อเรา” บรรดาอัครสาวกรู้สึกสลดใจและทูลถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระเจ้า ข้า” พระองค์ตรัสตอบว่า “คนทีจ่ มิ้ อาหารในชามเดียวกันกับเรานีแ่ หละจะทรยศต่อเรา บุตรแห่งมนุษย์ จะจากไปตามที่มีเขียนเกี่ยวกับพระองค์ในพระคัมภีร์ วิบัติจงเกิดแก่คนที่ทรยศต่อบุตรแห่งมนุษย์ ถ้า เขาไม่ได้เกิดมาก็จะดีกว่า” ยูดาสผู้ทรยศต่อพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระอาจารย์” พระองค์ตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว” ยูดาสอิสคาริโอทต่อรองกับบรรดาหัวหน้าสมณะเพื่อเงินสามสิบเหรียญบนชีวิตของพระเยซู เจ้า ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ผลักดันให้ยูดาส “ทรยศ” ต่อพระอาจารย์ สิ่งที่เขาทำ�เพื่อหลั่งโลหิตผู้ บริสุทธิ์นั้นมันไม่ยุติธรรม ไม่ถูกต้อง มันเป็นบาปผิดต่อพระเจ้า ฉะนั้น เป็นหน้าที่ของเราแต่ละคนต้อง พยายามหลีกเลีย่ ง และทำ�ทุกวิถที างเพือ่ หยุดยัง้ จิตใจทีจ่ มปลักอยูก่ บั เงินของยูดาสไม่ให้เข้าสิงในตัวเรา เรา จะได้ไม่ตกอยู่ในสภาพของยูดาส ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ผู้ “ทรยศ”


บทอ่านที่ 1 อพย 12:1-8,11-14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในแผ่นดินอียิปต์ว่า “เดือนนี้จะ เป็นเดือนแรกสำ�หรับท่านทัง้ หลาย เป็นเดือนเริม่ ต้นปี ท่านทัง้ สองคนจงบอกชุมชน ชาวอิสราเอลทัง้ หมดว่า วันทีส่ บิ เดือนนี้ แต่ละคนต้องเลือกลูกแกะหรือลูกแพะตัว หนึ่งสำ�หรับครอบครัวของตน หนึ่งตัวต่อหนึ่งครอบครัว... แล้วให้ชุมชนของชาว อิสราเอลทัง้ หมดฆ่าลูกแกะนัน้ ในตอนเย็น เอาเลือดทากรอบด้านข้างและด้านบน ของประตูบา้ นทีจ่ ะกินลูกแกะนัน้ ... เลือดทีก่ รอบประตูจะเป็นเครือ่ งหมายว่าเป็น บ้านที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นเลือด เราจะผ่านเลยไป ท่านจะพ้นจาก ภัยพิบัติที่ทำ�ลาย...”

วันพฤหัสบดี ศักดิ์สิทธิ์

สดด 116:12-13, 15-16ขค,17-18

เช้า : พิธีเสกนํ้ามันศักดิ์สิทธิ์

บทอ่านที่ 2 1 คร 11:23-26 คํ่ำ� : ระลึกถึงพระเยซูเจ้า ทรงตั้งศีลมหาสนิท พี่น้อง... ในคืนที่ทรงถูกทรยศนั้นเอง พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ แล้วทรงบิออก ตรัสว่า “นีค่ อื กายของเราเพือ่ ท่านทัง้ หลาย จงทำ�การ วันสงกรานต์ นี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” เช่นเดียวกัน หลังอาหารคํ่า ก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทำ�การนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” ทุกครั้งที่ท่านกินปังนี้ และดื่ม จากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการสิ้นพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา พระวรสาร ยน 13:1-15 ก่อนวันฉลองปัสกา... ระหว่างการเลี้ยงอาหารคํ่า ปีศาจดลใจยูดาสอิสคาริโอทบุตรของซีโมนให้ ทรยศต่อพระองค์... พระเยซูเจ้าจึงทรงลุกขึน้ จากโต๊ะ ทรงถอดเสือ้ คลุมออกวางไว้ ทรงใช้ผา้ เช็ดตัวคาด สะเอว แล้วทรงเทนํ้าลงในอ่าง ทรงเริ่มล้างเท้าบรรดาศิษย์ และทรงใช้ผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้ เมื่อเสด็จมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพเจ้า หรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำ�อยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง” เปโตรทูลว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ล้างเท้าข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าท่านไม่ให้เรา ล้าง ท่านจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า อย่าทรงล้างเฉพาะเท้าเท่านั้น แต่ลา้ งทัง้ มือและศีรษะด้วย” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผูท้ อี่ าบนํา้ แล้วก็ไม่จ�ำ เป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจาก เท้า เขาสะอาดทั้งตัวแล้ว ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคน”... เมื่อทรงล้างเท้าของบรรดาศิษย์เสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าทรงสวมเสื้อคลุมอีกครั้งหนึ่ง เสด็จกลับไป ที่โต๊ะ ตรัสว่า “ท่านเข้าใจไหมว่าเราทำ�อะไรให้ท่าน ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้ เป็นเจ้า ก็ถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในเมื่อเราซึ่งเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ยัง ล้างเท้าให้ท่าน ท่านก็ต้องล้างเท้าให้กันและกันด้วย เราวางแบบอย่างไว้ให้แล้ว ท่านจะได้ทำ�เหมือน กับที่เราทำ�กับท่าน เป็นการดีหากคริสตชนจะตระหนักเสมอว่า เรามีพระเยซูคริสตเจ้าเป็นอาจารย์ของตน ศิษย์ ที่ดีย่อมรักและเลียนแบบอย่างของ “อาจารย์” พระเยซูเจ้าทรงสอนเราด้วยแบบอย่างทั้งด้วยคำ�พูดและ การกระทำ� ในพระวรสารวันนี้ พระองค์บอกว่า “เราวางแบบอย่างไว้ให้แล้ว” แม้คริสตชนไม่อาจประพฤติ ปฏิบัติตามแบบฉบับของพระเยซูเจ้าได้ทุกกระบวนท่า ก็ขอให้เราติดตามพระองค์ผู้เป็นอาจารย์ของเราใกล้ ชิดที่สุดเท่าที่จะทำ�ได้ ฉะนั้น ให้เราก้าวเดินในแต่ละวันด้วยพระหรรษทาน เปี่ยมด้วยความกล้าหาญ


วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 31:1,5,11-13, 14-15,16,24

พระเยซูเจ้าทรงรับ ทรมานและสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน (ถือศีลอดอาหาร และอดเนื้อ)

บทอ่านที่ 1 อสย 52:13-53:12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ผู้รับใช้ของเราจะเจริญรุ่งเรือง เขาจะได้รับการ ยกย่องเทิดทูนให้สูงยิ่ง คนจำ�นวนมากจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา หน้าตาของเขาเสีย โฉมจนไม่เหมือนหน้าตามนุษย์ รูปร่างของเขาก็ผิดไปจากรูปร่างของผู้คน ดังนั้น ชนหลายชาติจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา”... องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า “...เราจะมอบคนจำ�นวนมากให้เป็นส่วน มรดกของเขา เขาจะได้แบ่งของเชลยกับบรรดาผู้ทรงอำ�นาจ เพราะเขายอมตาย ยอมให้ทุกคนคิดว่าเป็นผู้ล่วงละเมิด แต่ที่จริง เขาแบกบาปของคนทั้งปวง และ วอนขอแทนบรรดาผู้ล่วงละเมิด” บทอ่านที่ 2 ฮบ 4:14-16,5:7-9 พี่น้อง ในเมื่อเรามีมหาสมณะยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งผ่านเข้าสู่สวรรค์แล้ว คือพระเยซู เจ้าพระบุตรของพระเจ้า เราจงยึดมั่นอยู่ในการแสดงความเชื่อของเราเถิด เพราะ เหตุวา่ เราไม่มมี หาสมณะทีร่ ว่ มทุกข์กบั เราผูอ้ อ่ นแอไม่ได้ แต่เรามีมหาสมณะผูท้ รง ผ่านการผจญทุกอย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป...

พระวรสาร ยน 18:1-19:42 เมือ่ พระเยซูเจ้าตรัสดังนีแ้ ล้ว ก็เสด็จไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ข้ามห้วยขิดโรน ทีน่ นั่ มีสวนแห่งหนึง่ พระองค์เสด็จเข้าไปพร้อมกับบรรดาศิษย์... เขาเหล่านั้นนำ�พระเยซูเจ้าจากบ้านของคายาฟาสไปยังจวนผู้ว่าราชการ ขณะนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ คนเหล่านั้นไม่เข้าไปในจวน เพื่อมิให้เป็นมลทินแก่ตน จะได้กินปัสกาได้ ปีลาตจึงออกมาพบเขาข้าง นอก ถามว่า “ท่านทั้งหลายมีข้อกล่าวหาอะไรมาฟ้องชายคนนี้” เขาตอบว่า “ถ้าคนนี้ไม่ใช่ผู้ร้าย เรา คงไม่น�ำ มามอบให้ทา่ น” ปีลาตจึงพูดกับเขาว่า “ท่านทัง้ หลายจงนำ�เขาไปพิพากษากันเองตามกฎหมาย ของท่านเถิด”... บรรดาทหารนำ�พระเยซูเจ้าไปประหารชีวิต พระองค์ทรงแบกไม้กางเขน เสด็จออกไปยังสถานที่ ที่เรียกว่า “เนินหัวกะโหลก” ภาษาฮีบรูว่า “กลโกธา” เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขนที่นั่นพร้อมกับ นักโทษอีกสองคน... หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าทุกสิ่งสำ�เร็จแล้ว จึงตรัสว่า “เรากระหาย” พระคัมภีร์ตอน นีจ้ งึ เป็นจริงด้วย ทีน่ นั่ มีภาชนะใบหนึง่ บรรจุนาํ้ องุน่ เปรีย้ วจนเต็มวางอยู่ ทหารจึงใช้ฟองนาํ้ ชุบนาํ้ องุน่ เปรีย้ วเสียบปลายกิง่ หุสบ ยืน่ ถึงพระโอษฐ์ พระเยซูเจ้าทรงจิบนาํ้ องุน่ เปรีย้ วแล้ว ตรัสว่า “สำ�เร็จบริบรู ณ์ แล้ว” พระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์... วันนี้เป็นวันระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าบนกางเขน การสิ้นพระชนม์อันตํ่าต้อย เหมือนอย่างนักโทษของพระองค์นำ�ความรอดพ้นมาสู่ปวงมนุษย์ ความตายบนไม้กางเขนของพระองค์มิใช่ สิ่งที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ พระองค์เสด็จลงมารับเอาสภาพเป็นมนุษย์และสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อ ความรอดพ้นของเรา หัวหน้าสมณะ ชาวสะดูสี ชาวฟาริสี คณะธรรมาจารย์ และทหารโรมันนำ�พระองค์ไป ตรึงกางเขนก็จริง แต่สาเหตุที่แท้จริงคือบาปของเรา พระสันตะปาปาฟรังซิสกล่าวว่า “เราต้องภาวนาและ เป็นทุกข์ถึงบาป ถึงจะเข้าใจธรรมลํ้าลึกแห่งไม้กางเขน”


บทอ่านที่ 1 รม 6:3-11 พีน่ อ้ ง ท่านทัง้ หลายไม่รหู้ รือว่า เราทุกคนทีไ่ ด้รบั ศีลล้างบาปเดชะพระคริสต เยซู ก็ได้รบั ศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิน้ พระชนม์ของพระองค์ดว้ ย ดังนัน้ เราถูก ฝังไว้ในความตายพร้อมกับพระองค์อาศัยศีลล้างบาป เพื่อว่าพระคริสตเจ้าทรง กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายเดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เรา ก็จะดำ�เนินชีวิตแบบใหม่ด้วยฉันนั้น ถ้าเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการ สิน้ พระชนม์ เราก็จะรวมเป็นหนึง่ เดียวกับพระองค์ในการกลับคืนพระชนมชีพด้วย เช่นเดียวกัน... แต่เราเชื่อว่า ถ้าเราตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว เราก็จะมีชีวิตพร้อมกับ พระองค์ดว้ ย เรารูว้ า่ พระคริสตเจ้าผูท้ รงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายแล้ว จะไม่สิ้นพระชนม์อีก ความตายไม่มีอำ�นาจเหนือพระองค์อีกต่อไป เพราะเมื่อ สิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ทรงตายครั้งเดียวจากบาปตลอดไป เมื่อมีพระชนมชีพก็มี พระชนมชีพเพือ่ พระเจ้า ดังนี้ ท่านทัง้ หลายก็เช่นเดียวกันต้องถือว่า ท่านตายจาก บาปแล้ว แต่มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระคริสตเยซู

วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 118:1-2, 16-17,22-23

คืนตื่นเฝ้าปัสกา (เสกไฟ แห่เทียนปัสกา เสกนํ้า)

พระวรสาร มธ 28:1-10 หลังจากวันสับบาโต เช้าตรูข่ องวันต้นสัปดาห์ มารียช์ าวมักดาลาและมารียอ์ กี ผูห้ นึง่ ไปดูพระคูหา ทันใดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงจากสวรรค์เข้าไปกลิ้งหิน ออกและนั่งบนหินนั้น ใบหน้าของทูตสวรรค์แจ่มจ้าเหมือนสายฟ้า อาภรณ์ขาวราวหิมะ ทหารยาม ตกใจกลัวทูตสวรรค์จนตัวสั่นหน้าซีดเหมือนคนตาย ทูตสวรรค์กล่าวแก่สตรีทั้งสองคนว่า “อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกำ�ลังมองหาพระเยซู ผู้ถูก ตรึงบนไม้กางเขน พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ เพราะทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วตามที่ตรัสไว้ มาซิ มาดูท่ีที่เขาวางพระองค์ไว้ แล้วจงรีบไปบอกบรรดาศิษย์ว่า ‘พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจาก บรรดาผู้ตายแล้ว พระองค์เสด็จล่วงหน้าท่านไปในแคว้นกาลิลี ท่านจะพบพระองค์ที่นั่น’ นี่คือข่าวดีที่ ข้าพเจ้าแจ้งแก่ท่าน” สตรีทงั้ สองคนมีทงั้ ความกลัวและความยินดีอย่างยิง่ รีบออกจากพระคูหาวิง่ ไปแจ้งข่าวแก่บรรดา ศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไป ยังแคว้นกาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น” การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า เป็นชัยชนะเด็ดขาดเหนือความตาย เป็นชัยชนะ ทีเ่ ราก็จะได้รจู้ กั สักวันหนึง่ ดัง่ นักบุญเปาโลเขียนให้เรามัน่ ใจในบทอ่านทีห่ นึง่ ว่า “ถ้าเรารวมเป็นหนึง่ เดียวกับ พระองค์ในการสิ้นพระชนม์ เราก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นกัน” และอีกตอนหนึง่ ว่า “พระผูท้ รงบันดาลให้พระคริสตเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย ก็จะทรงบันดาล ให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิต เดชะพระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตในตัวท่าน” (รม 8:11) จงขอบคุณ พระเจ้าสำ�หรับความเชื่อของเรา


สมโภชปัสกา พระเยซูเจ้า ทรงกลับคืน พระชนมชีพ

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 10:34ก,37-43 เวลานั้น เปโตรเริ่มพูดว่า “ท่านทั้งหลายรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดีย เริม่ ต้นทีแ่ คว้นกาลิลี หลังจากทีย่ อห์นได้เทศน์สอนและทำ�พิธลี า้ ง พระเจ้าทรงเจิม พระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่าน ไปที่ใด ทรงกระทำ�ความดีและทรงรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำ�นาจของปีศาจ เพราะ พระเจ้าสถิตกับพระองค์ เราทัง้ หลายเป็นพยานยืนยันถึงกิจการทัง้ ปวงทีพ่ ระองค์ ทรงกระทำ�ในเขตแดนของชาวยิวและที่กรุงเยรูซาเล็ม เขาประหารชีวิตพระองค์ โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพ ในวันที่สามและโปรดให้พระองค์แสดงพระองค์ มิใช่แก่ประชาชนทั้งปวง แต่ทรง แสดงพระองค์แก่บรรดาพยานที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้ว คือเราทั้ง หลายที่ได้กินและได้ดื่มร่วมกับพระองค์ หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพจาก บรรดาผูต้ าย พระเยซูเจ้าทรงบัญชาให้เราประกาศสอนประชาชน และเป็นพยาน ยืนยันว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระองค์ให้เป็นผู้พิพากษามนุษย์ทุกคน ทั้งผู้เป็นและ ผู้ตาย บรรดาประกาศกทั้งปวงเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ว่า ‘ทุกคนที่มีความ เชื่อในพระองค์จะได้รับการอภัยบาปเดชะพระนามของพระองค์’” เพลงสดุดี สดด 118:1-2,16-17,22-23 ก) จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์พระทัยดี ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์ เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ข) พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชูขึ้น พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีชัยชนะ” ข้าพเจ้าจะไม่ตาย ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และจะประกาศพระราชกิจยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ค) ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างทิ้งไป กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ�การนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ตาของเรา บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโคโลสี คส 3:1-4 พี่น้อง ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่หาแต่ สิ่งที่อยู่เบื้องบนเถิด ณ ที่นั้นพระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระเจ้า จงคิดถึง แต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้ เพราะท่านทั้งหลายตายไป แล้วและชีวติ ของท่านก็ซอ่ นอยูก่ บั พระคริสตเจ้าในพระเจ้า เมือ่ พระคริสตเจ้า องค์


ชีวิตของท่านจะทรงสำ�แดงพระองค์ เมื่อนั้นท่านจะ ปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์ด้วย บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:1-9 เช้าตรูว่ นั ต้นสัปดาห์ ขณะทีย่ งั มืด มารียช์ าวมักดาลา ออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระ คูหาแล้ว นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อีกคนหนึ่ง ทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงรักบอกว่า “เขานำ�องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าไป จากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำ�พระองค์ไปไว้ ที่ไหน” เปโตรกับศิษย์คนนัน้ จึงออกไป มุง่ ไปยังพระคูหา ทัง้ สองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน เขาก้มลงมองเห็นผ้าพัน พระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน ซีโมนเปโตรซึ่งตามไปติดๆ ก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและ เห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น รวมทั้งผ้าพันพระเศียรซึ่งไม่ได้วางอยู่กับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวาง ไว้อีกที่หนึ่ง ศิษย์คนที่มาถึงพระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นและมีความเชื่อ เขาทั้งสองคนยัง ไม่เข้าใจพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย มารีย์ชาวมักดาลาและศิษย์ของพระเยซูเจ้า แม้ยังอยู่ในความหวาดกลัวและโศกเศร้าที่พระ เยซูเจ้าถูกจับและถูกประหารชีวติ แต่ดว้ ยความผูกพันทีม่ กี บั พระเยซูเจ้า ทำ�ให้ตอ้ งรีบและวิง่ ไปยังพระคูหา และด้วยความผูกพันทีม่ นุษย์พอทำ�ได้นเี้ อง ได้น�ำ ไปสูม่ ติ แิ ห่งความเชือ่ และความหวังทีเ่ ป็นของประทานจาก พระผู้เป็นเจ้า ...ขอให้เราเพิ่มพูนความผูกพันกับพระเยซูเจ้า และภาวนาขอความเชื่อ ทั้งในเวลาปกติและใน เวลาที่ชีวิตของเราต้องเผชิญกับความเศร้าโศก ความกลัวและความผิดหวัง


อัฐมวารปัสกา สดด 16:1-2,7-8, 9-10,11

บทอ่านที่ 1 กจ 2:14,22-32 เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนและพูดกับประชาชนด้วย เสียงดังว่า “ท่านทัง้ หลาย ชาวยูเดีย และท่านทีอ่ าศัยอยูใ่ นกรุงเยรูซาเล็ม จงตัง้ ใจ ฟังวาจาของข้าพเจ้าเถิด แล้วท่านจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชาวอิสราเอลทัง้ หลาย จงฟังวาจาเหล่านีเ้ ถิด พระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นบุรษุ ที่พระเจ้าทรงส่งมาหาท่าน พระเจ้าทรงรับรองพระองค์โดยประทานอำ�นาจทำ� อัศจรรย์ ปาฏิหาริย์และเครื่องหมายต่างๆ เดชะพระเยซูเจ้า พระเจ้าทรงกระทำ� การเหล่านีใ้ นหมูท่ า่ นทัง้ หลายดังทีท่ า่ นรูอ้ ยูแ่ ล้ว พระเยซูเจ้าทรงถูกมอบในมือของ ท่านตามทีพ่ ระเจ้ามีพระประสงค์และทรงทราบล่วงหน้า ท่านใช้มอื ของบรรดาคน อธรรมประหารชีวิตพระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้ พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ พ้นจากอำ�นาจแห่งความตาย เพราะความตายยึด พระองค์ไว้ใต้อำ�นาจอีกต่อไปไม่ได้ ดังที่กษัตริย์ดาวิดตรัสถึงพระองค์ว่า ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าเสมอ พระองค์ประทับอยู่ เบือ้ งขวา ข้าพเจ้าจะไม่หวัน่ ไหว ดังนัน้ จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี ปากของข้าพเจ้า กล่าวถ้อยคำ�แสดงความเกษมเปรมปรีดิ์ ร่างกายทีต่ ายได้ของข้าพเจ้าพำ�นักอยูใ่ น ความหวัง เพราะพระองค์จะไม่ทรงละทิ้งข้าพเจ้าไว้ในแดนผู้ตาย และจะไม่ทรง ปล่อยผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เน่าเปื่อย พระองค์ทรงสอนข้าพเจ้าให้รู้จักทาง แห่งชีวิต พระองค์จะทรงทำ�ให้ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความยินดีเฉพาะพระพักตร์ พระองค์’”...

พระวรสาร มธ 28:8-15 เวลานั้น สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหาวิ่งไปแจ้งข่าว แก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไป ยังแคว้นกาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น” เมื่อสตรีทั้งสองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่ บรรดาหัวหน้าสมณะ บุคคลเหล่านีจ้ งึ ประชุมปรึกษากันกับบรรดาผูอ้ าวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้ทหาร สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรา กำ�ลังหลับอยู่’ ถ้าเรื่องมาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาทำ�ให้ท่านพ้นโทษ” ทหารได้รับเงินและทำ�ตามคำ�แนะนำ� เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้ ในการต้องเผชิญหน้ากับความวุ่นวาย เพราะการที่พระเยซูเจ้าถูกจับ ถูกทรมานและถูกตรึง ตายบนไม้กางเขน สตรีผู้ติดตามพระเยซูเจ้าย่อมมีความหวาดกลัวเป็นธรรมดา แต่นางก็ยังมีความยินดีที่ เกิดจากความหวังในการกลับคืนชีพของผู้ที่ตนรัก นี่เป็นการแสดงออกถึงความผูกพันอันยิ่งใหญ่ เป็นความ ผูกพันที่อยากจะอยู่ใกล้ชิด ได้พบ ได้เห็น ได้พูดคุยกับพระเยซูเจ้า แม้ตามประสามนุษย์ดูเหมือนหมดหวัง แล้วก็ตาม ...ขอความผูกพันนี้ได้เกิดขึ้นที่ใจ และทำ�ให้หัวใจของลูกทำ�งานด้วยเถิด


บทอ่านที่ 1 กจ 2:36-41 เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วย เสียงดังว่า “ดังนั้น ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้ง พระเยซูผู้นี้ที่ท่านทั้งหลายนำ�ไปตรึงบนไม้กางเขนให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและ พระคริสตเจ้า” ถ้อยคำ�เหล่านี้เสียดแทงใจของทุกคน เขาเหล่านั้นจึงถามเปโตรและอัคร สาวกอื่นๆ ว่า “พี่น้อง พวกเราจะต้องทำ�อย่างไร” เปโตรตอบว่า “ท่านทั้งหลาย จงกลับใจเถิด แต่ละคนจงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะ ได้รับการอภัยบาป แล้วท่านจะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า พระสัญญานี้มีไว้ สำ�หรับท่านทั้งหลาย สำ�หรับบุตรหลานของท่านและสำ�หรับทุกคนที่อยู่ห่างไกล ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราจะทรงเรียก” เปโตรกล่าวถ้อยคำ�อีกมาก อ้อนวอนและตักเตือนเขาว่า “ท่านทัง้ หลายจงช่วยตนให้รอดพ้นจากคนชัว่ ร้ายใน ยุคนี้เถิด” คนเหล่านั้นรับถ้อยคำ�ของเปโตรและได้รับศีลล้างบาป วันนั้นผู้มีความ เชื่อมีจำ�นวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน

อัฐมวารปัสกา สดด 33:4-5, 18-19,20-22

พระวรสาร ยน 20:11-18 เวลานัน้ มารีย์ยงั คงยืนร้องไห้อยูน่ อกพระคูหา ขณะทีร่ ้องไห้นนั้ นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็น ทูตสวรรค์สององค์สวมเสือ้ ขาวนัง่ อยูต่ รงทีท่ เี่ ขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึง่ นัง่ อยูท่ างเบือ้ ง พระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ ทำ�ไม” นางตอบว่า “เขานำ�องค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำ�พระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม กำ�ลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึง ตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำ�พระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำ�พระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไป นำ�พระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไป ทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรา ยังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำ�ลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของ เรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์ชาว มักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ ตรัสกับนาง พระวรสารในพิธีบูชาขอบพระคุณ 3 วันนี้ ได้กล่าวซํ้าเรื่องของมารีย์ชาวมักดาลา ซึ่งมิได้ เกี่ยวกับความรู้หรือความสามารถของนาง แต่เกี่ยวกับความรักความผูกพันที่มารีย์ชาวมักดาลามีต่อพระ เยซูเจ้า แม้ในยามทีใ่ ครๆ หมดหวังในเรือ่ งราวชีวติ ของพระเยซูเจ้าแล้วก็ตาม ส่วนภารกิจแห่งการไปประกาศ ข่าวดีหรือถ่ายทอดพระวาจาของพระเยซูเจ้านั้น จะเกิดขึ้นตามมาอย่างมีชีวิตชีวาและกระทำ�อย่างเต็มใจ หลังจากบุคคลคนนั้นมีความรักความผูกพันกับพระเยซูเจ้าอย่างสิ้นสุดจริงๆ


อัฐมวารปัสกา สดด 105:1-3, 4-6,7-10

บทอ่านที่ 1 กจ 3:1-10 วันหนึ่ง เวลาบ่ายสามโมง เปโตรและยอห์นกำ�ลังขึ้นไปที่พระวิหารเพื่อ อธิษฐานภาวนา ที่ประตูพระวิหารซึ่งเรียกกันว่า “ประตูงาม” มีชายคนหนึ่งเป็น ง่อยแต่กำ�เนิด มีผู้หามคนง่อยผู้นี้มาไว้ที่นั่นทุกวันเพื่อขอทานจากคนที่เข้าไปใน พระวิหาร เมือ่ เห็นเปโตรและยอห์นกำ�ลังเดินเข้าพระวิหาร คนง่อยจึงขอทานจาก เขาทั้งสองคน เปโตรและยอห์นจ้องมองเขา... เปโตรกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่มีเงิน ไม่มีทอง แต่ข้าพเจ้ามีอะไรจะให้ท่าน เดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้าชาวนาซา เร็ธ จงเดินไปเถิด” แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ทันใดนั้นเท้า และข้อเท้าของเขากลับมีก�ำ ลัง เขากระโดดขึน้ ยืนและเริม่ เดิน แล้วจึงเข้าไปในพระ วิหารพร้อมกับเปโตรและยอห์น เดินบ้าง กระโดดบ้าง พลางสรรเสริญพระเจ้า ประชาชนทั้งหลายเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า...

พระวรสาร ลก 24:13-35 วันนั้น ศิษย์สองคนกำ�ลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ สิบเอ็ดกิโลเมตร ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ขณะที่กำ�ลังสนทนาและถกเถียง กันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจำ�พระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านเดินสนทนากันเรื่องอะไร” ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง ศิษย์ที่ชื่อเคลโอปัสถามว่า “ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่แวะมาในกรุงเยรูซาเล็มหรือ ซึ่งไม่รู้เรื่องราว ที่เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้” พระองค์ตรัสถามว่า “เรื่องอะไรกัน” เขาตอบว่า “ก็เรื่องพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ ประกาศกทรงอำ�นาจในกิจการและคำ�พูดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าประชาชน ทัง้ ปวง... เราเคยหวังไว้วา่ พระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่นเี่ ป็นวันทีส่ ามแล้วตัง้ แต่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น...” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดา ประกาศกกล่าวไว้ พระคริสตเจ้าจำ�เป็นต้องทนทรมานเช่นนีเ้ พือ่ จะเข้าไปรับพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระองค์ มิใช่หรือ” แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟังโดยเริ่มตั้งแต่โมเสส จนถึงบรรดาประกาศก เมื่อพระองค์ทรงพระดำ�เนินพร้อมกับศิษย์ทั้งสองคนใกล้จะถึงหมู่บ้านที่เขาตั้งใจจะไป พระองค์ ทรงทำ�ท่าว่าจะทรงพระดำ�เนินเลยไป แต่เขาทั้งสองคนรบเร้าพระองค์ว่า “จงพักอยู่กับพวกเราเถิด เพราะใกล้คํ่าและวันก็ล่วงไปมากแล้ว” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักกับเขา ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและทรงยื่นให้เขา เขาก็ตาสว่างและจำ� พระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของเขา... ศิษย์สองคนทัง้ สนทนา ทัง้ ถกเถียง พร้อมทัง้ ยังได้เห็นและได้รบั การสอนอธิบายจากพระเยซู เจ้า ที่แม้ทรงร่วมเดินทางอยู่ใกล้ๆ แต่เหมือนหัวใจของศิษย์ทั้งสองถูกปิดบัง ยังไม่อาจใช้งานได้ ที่สุดแล้ว หลังจากหยุดถกเถียง และเริ่มพูดคุยแบบธรรมดาๆ ที่โต๊ะอาหารฉันท์คนที่เป็นเพื่อนกัน ตาของเขาก็สว่าง และจำ�พระเยซูเจ้าได้...ตาของเราจะสว่างและจำ�พระเยซูเจ้าได้ หากเรารับรูแ้ ละปลุกเร้าหัวใจทีร่ กั ผูกพันกับ พระเยซูเจ้า จากนัน้ เราจึงจะทำ�ภารกิจเช่นผูเ้ ป็นศิษย์ ทีน่ �ำ เรือ่ งราวของพระเยซูเจ้าไปเล่าให้เพือ่ นพีน่ อ้ งฟังได้


บทอ่านที่ 1 กจ 3:11-26 ขณะที่คนซึ่งเคยเป็นง่อยคนนั้นหน่วงเหนี่ยวเปโตรและยอห์นไว้ ประชาชน ทุกคนประหลาดใจอย่างยิ่ง ต่างวิ่งไปหาเขาทั้งสองคนที่เฉลียงซึ่งเรียกว่า “เฉลียง ซาโลมอน” เมือ่ เปโตรเห็นดังนัน้ จึงกล่าวปราศรัยกับประชาชนว่า “ชาวอิสราเอลทัง้ หลาย ทำ�ไมท่านจึงประหลาดใจในเรือ่ งนี้ ทำ�ไมท่านจึงจ้องมองเราเหมือนกับว่าเราทำ�ให้ อัฐมวารปัสกา ชายผูน้ เ้ี ดินได้ดว้ ยอำ�นาจหรือความเลือ่ มใสของเราต่อพระเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม สดด 8:1,4-8 อิสอัค และยาโคบ พระเจ้าแห่งบรรพบุรษุ ของเราได้ทรงสำ�แดงอำ�นาจรุง่ เรืองของ พระเยซูเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ ท่านทั้งหลายได้มอบพระเยซูเจ้านี้ให้แก่บรรดาผู้ ปกครองและได้ปฏิเสธพระองค์ต่อหน้าปีลาต ทั้งๆ ที่ปีลาตตัดสินใจจะปล่อยพระองค์อยู่แล้ว ท่าน ปฏิเสธพระองค์ผศู้ กั ดิส์ ทิ ธิแ์ ละชอบธรรม แต่กลับขอให้ปล่อยฆาตกร ท่านประหารเจ้าชีวติ แต่พระเจ้า ทรงบันดาลให้พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เราเป็นพยานได้ในเรื่องนี้ ด้วยความ เชื่อในพระนามพระองค์ ชายผู้นี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและเคยรู้จักจึงกลับมีกำ�ลังขึ้นอีก ความเชื่อใน พระองค์นี้แหละรักษาชายง่อยคนนี้ให้เป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย... พระเจ้าทรงบันดาลให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพ และทรงส่งมาหาท่านก่อนผู้ อื่นเพื่อนำ�พระพรมาให้ท่านแต่ละคนกลับใจละทิ้งวิถีทางชั่วร้ายของตน” พระวรสาร ลก 24:35-48 เวลานัน้ ศิษย์ทงั้ สองคนจึงเล่าเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ ตามทางและเล่าว่าตนจำ�พระองค์ได้เมือ่ ทรงบิขนมปัง ขณะที่บรรดาศิษย์กำ�ลังสนทนากันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ในหมู่เขา ตรัสว่า “สันติสุขจง ดำ�รงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี แต่พระองค์ตรัสว่า “ท่านวุ่นวายใจ ทำ�ไม เพราะเหตุใดท่านจึงมีความสงสัยในใจ จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริงๆ จงคลำ�ตัวเรา ดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูกอย่างที่ท่านเห็นว่าเรามี” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และ พระบาท เขายินดีและแปลกใจจนไม่อยากเชื่อ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านมีอะไรกินบ้าง” เขา ถวายปลาย่างชิ้นหนึ่งแด่พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าเขา หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่คือความหมายของถ้อยคำ�ที่เรากล่าวไว้ขณะที่ยังอยู่กับ ท่าน ทุกสิง่ ทีเ่ ขียนไว้เกีย่ วกับเราในธรรมบัญญัตขิ องโมเสส บรรดาประกาศกและเพลงสดุดจี ะต้องเป็น ความจริง” แล้วพระองค์ทรงทำ�ให้เขาเกิดปัญญาเข้าใจพระคัมภีร์ ตรัสว่า “มีเขียนไว้ดงั นีว้ า่ พระคริสต เจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายในวันทีส่ าม จะต้องประกาศใน พระนามพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็น พยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้” พระเยซูเจ้าทรงอยู่กับเรา แม้ในขณะที่เรามีความกลัว มีความสงสัยไม่เข้าใจ พระองค์ทรง อยู่กับเราผ่านรูปแบบธรรมดาๆ ที่ซื่อๆ เรียบๆ ง่ายๆ ในกิจการที่มนุษย์เราคุ้นเคยและสัมผัสได้ในชีวิตปกติ และเมื่อเรามองหาพระองค์ในขณะเวลาปัจจุบัน โดยเปิดหัวใจ พูดคุยกับพระองค์ในกิจการที่เรียบๆ ง่ายๆ เราก็จะเดินไปในเส้นทางเดียวกับที่พระองค์ทรงเดินมาหาเรา และในขณะที่เรามีใจให้พระองค์ ทั้งเมื่อยาม ที่เราทำ�งาน เรากิน เราเดิน พระองค์ก็จะทรงเปิดปัญญาและนํ้าใจของเราให้เข้าใจชีวิตและปฏิบัติตามพระ ประสงค์ของพระองค์ ในการที่จะรักและประกาศเรื่องราวของพระองค์ให้กับเพื่อนพี่น้องของเรา


บทอ่านที่ 1 กจ 4:1-12 ขณะที่เปโตรและยอห์นกำ�ลังปราศรัยกับประชาชนอยู่นั้น บรรดาสมณะ พร้อมกับนายทหารรักษาพระวิหารและบรรดาชาวสะดูสไี ด้เข้ามาพบ เขาไม่พอใจ มากที่ทั้งสองคนสั่งสอนประชาชนและประกาศว่าบรรดาผู้ตายจะกลับคืนชีพ เพราะพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ เขาจับกุมเปโตรและยอห์นจองจำ�ไว้ จนถึงวันรุ่งขึ้น เพราะเป็นเวลาเย็นแล้ว... อัฐมวารปัสกา วันรุ่งขึ้น... เขานำ�เปโตรและยอห์นมาอยู่กลางที่ประชุม แล้วเริ่มซักถามว่า สดด 118:1-2 และ 4, “ท่านทั้งสองคนทำ�การโดยอำ�นาจหรือในนามของผู้ใด” เปโตรเปี่ยมด้วยพระจิต 22-24,25-27ก เจ้ากล่าวกับเขาว่า “ท่านผู้ปกครองประชาชน และผู้อาวุโสทั้งหลาย วันนี้เรา ทำ�ความดีรักษาผู้ป่วยคนหนึ่ง เราจึงถูกสอบสวนว่าคนนี้หายจากโรคได้อย่างไร ท่านทั้งหลายและประชาชนอิสราเอลทุกคนจงรู้เถิดว่า ชายคนนี้หายจากโรคมายืนอยู่ต่อหน้าท่านทั้ง หลาย ก็เพราะพระนามพระเยซูคริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ ซึง่ ท่านนำ�ไปตรึงกางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาล ให้กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระเยซูเจ้าองค์นี้ทรงเป็นศิลาซึ่งท่านทั้งหลายผู้เป็นช่าง ก่อสร้างขว้างทิ้ง แต่ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม ไม่มีผู้ใดช่วยให้เรารอดพ้น เพราะใต้ฟ้านี้พระเจ้ามิได้ ประทานนามอื่นแก่มนุษย์นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้” พระวรสาร ยน 21:1-14 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์อีกครั้งหนึ่งที่ฝั่งทะเลสาบทีเบเรียส เรื่องราวเป็นดังนี้ ศิษย์บางคนอยู่พร้อมกันที่นั่น คือซีโมนเปโตร กับโทมัสที่เรียกกันว่า “ฝาแฝด” นาธานาเอล ซึ่งมาจากหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองคนของเศเบดีและศิษย์อีกสองคน ซีโมนเปโตรบอกคนอื่นว่า “ข้าพเจ้าจะไปจับปลา” ศิษย์คนอื่นตอบว่า “พวกเราจะไปกับท่านด้วย” เขาทั้งหลายออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นทั้งคืนเขาจับปลาไม่ได้เลย พอรุง่ สาง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยูบ่ นฝัง่ แต่บรรดาศิษย์ไม่รวู้ า่ เป็นพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทรงร้อง ถามว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างไหม” เขาตอบว่า “ไม่มี” พระองค์จึงตรัสว่า “จงเหวี่ยงแหไปทางกราบ เรือด้านขวาซิ แล้วจะได้ปลา” บรรดาศิษย์จงึ เหวีย่ งแหออกไป แต่ดงึ ขึน้ ไม่ไหว เพราะได้ปลาเป็นจำ�นวน มาก... เมื่อบรรดาศิษย์ขึ้นมาบนฝั่ง ก็เห็นถ่านติดไฟลุกอยู่ มีปลาและขนมปังวางอยู่บนไฟ พระเยซูเจ้า ตรัสกับเขาว่า “จงเอาปลาที่เพิ่งจับได้มาบ้างซิ” ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือ แล้วลากแหขึ้นฝั่ง มีปลา ตัวใหญ่ติดอยู่เต็ม นับได้หนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แต่ทั้งๆ ที่ติดปลามากเช่นนั้น แหก็ไม่ขาด พระเยซูเจ้า ตรัสกับเขาว่า “มากินอาหารกันเถิด” ไม่มีศิษย์คนใดกล้าถามว่า “ท่านเป็นใคร” เพราะรู้ว่าเป็นองค์ พระผู้เป็นเจ้า... ประสบการณ์การพบพระ มักจะเกิดขึ้นตอนที่มนุษย์เรารับรู้สัมผัสกับความจำ�กัดของตนเอง จนถึงจุดที่หมดสิ้นตัวตน แต่หัวใจยังผูกพันอยู่กับพระ ณ ขณะนั้นหัวใจเราจะเปิดและพบพระ ...เมื่อบรรดา สาวกเหน็ดเหนื่อยทั้งคืน หมดหวังและหมดเวลาที่จะจับปลาแล้ว เมื่อไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ ณ ขณะนั้น หัวใจก็เปิด และได้พบกับเวลาที่วิเศษที่สุด บรรดาสาวกกลับได้พบ ได้สัมผัสพระเยซูเจ้าที่ทรงรักและห่วงใย ทรงติดตามพวกเขามาจนถึงกาลิลี ทรงพูดกับพวกเขาในสถานที่และในเวลาที่พวกเขาเจริญชีวิตอย่าง ธรรมดาๆ แบบชาวประมงที่ต้องทำ�งานเลี้ยงชีพทั่วๆ ไป


บทอ่านที่ 1 กจ 4:13-21 เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นว่าเปโตรและยอห์นพูดอย่างกล้าหาญ ทั้งรู้ว่าทั้งสองคน ไม่เคยได้รบั การศึกษา และไม่มคี วามรูพ้ เิ ศษใดๆ ก็ประหลาดใจและระลึกได้วา่ ทัง้ สองคนเคยอยูก่ บั พระเยซูเจ้า เมือ่ เห็นคนทีห่ ายจากโรคยืนอยูก่ บั เปโตรและยอห์น เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร จึงสั่งให้ทั้งสองคนออกไปนอกห้องประชุม แล้วเริ่ม ปรึกษากันว่า “เราจะทำ�อย่างไรกับทั้งสองคนนี้ดี” เพราะเขาทำ�การอัศจรรย์เด่น ชัด ทุกคนทีอ่ ยูใ่ นกรุงเยรูซาเล็มรูว้ า่ เขาทำ�เครือ่ งหมายอัศจรรย์นอี้ ย่างเปิดเผย เรา ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เราต้องขู่เขา อย่าให้กล่าวถึงนามนั้นแก่ผู้ใด เพื่อเรื่องนี้จะได้ ไม่เล่าลือแพร่หลายไปในหมู่ประชาชนมากยิ่งขึ้น” เขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นเข้ามา สั่งอย่างเด็ดขาดมิให้พูดหรือสอนใน พระนามพระเยซูเจ้าอีก เปโตรและยอห์นย้อนถามว่า “ท่านทัง้ หลายจงตัดสินเถิด ว่าอะไรเป็นการถูกต้องเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า จะฟังท่านหรือจะฟังพระเจ้า เราจำ�เป็นต้องพูดถึงสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินมา” ที่ประชุมขู่สำ�ทับทั้งสองคนอีก ครั้งหนึ่งแล้วปล่อยไป เพราะไม่พบสาเหตุที่จะลงโทษและเพราะกลัวประชาชน ทุกคนต่างถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อัฐมวารปัสกา สดด 118:1 และ 14-15, 16-18,19-21 วันคุ้มครองโลก

พระวรสาร มก 16:9-15 หลังจากทีท่ รงกลับคืนพระชนมชีพตอนเช้าตรูว่ นั ต้นสัปดาห์แล้ว พระเยซูเจ้า ทรงสำ�แดงพระองค์แก่มารีย์ชาวมักดาลาเป็นคนแรก นางคือผู้ที่พระองค์เคยทรง ไล่ปศี าจเจ็ดตนออกไป นางจึงไปบอกผูท้ กี่ �ำ ลังร้องไห้เป็นทุกข์ซงึ่ เคยอยูก่ บั พระองค์ เมื่อเขาเหล่านั้นได้ยินนางพูดว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่และนางเห็นพระองค์ แล้ว เขาก็ไม่เชื่อ หลังจากนัน้ พระองค์ทรงสำ�แดงพระองค์ในรูปแตกต่างไปกับศิษย์สองคนซึง่ กำ�ลังเดินทางไปชนบท เขาทั้งสองคนกลับมาเล่าให้คนอื่นฟัง แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ เชื่อเช่นเดียวกัน ในทีส่ ดุ พระองค์ทรงสำ�แดงพระองค์แก่อคั รสาวกสิบเอ็ดคนขณะทีเ่ ขากำ�ลัง ร่วมโต๊ะกินอาหารอยู่ ทรงตำ�หนิพวกเขาที่ไม่ยอมเชื่อและมีใจแข็งกระด้าง เพราะ ไม่ยอมเชื่อผู้ที่เห็นพระองค์เมื่อทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์ตรัสกับเขา ว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง” นักบุญเปโตรและนักบุญยอห์น ไม่เคยได้รับการศึกษา ไม่มีความรู้พิเศษใดๆ แต่ท่านทั้งสอง มีเพียงเคยอยู่กับพระเยซูเจ้า เช่นเดียวกับมารีย์ชาวมักดาลาก็ไม่มีประวัติใดจะโอ้อวด แต่ท่านทั้งสามได้ พบพระเยซูเจ้าผูก้ ลับเป็นขึน้ มา อัครสาวกคนอืน่ ๆ และบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าก็เช่นเดียวกัน มิได้มคี วาม สามารถโดดเด่นในสายตาของมนุษย์ นอกจากการมีโอกาสได้เห็น ได้พูด ได้คุยกับพระเยซูเจ้า ...ณ ปัจจุบัน เราก็มีโอกาสเช่นเดียวกัน ในการจะได้พูดได้คุยในใจกับพระเยซูเจ้า ทั้งในยามทุกข์และยามสุข ทั้งในยามมี และยามจน ทั้งในยามสบายและยามป่วยไข้ เราพูดกับพระองค์ได้ตลอด ด้วยคำ�พูดสำ�นวนของเราเอง โดย ไม่ต้องเกรงพระองค์แต่อย่างใด


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ฉลองพระเมตตา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 2:42-47 คนเหล่านัน้ ประชุมกันอย่างสมาํ่ เสมอเพือ่ ฟังคำ�สัง่ สอนของบรรดาอัครสาวก ดำ�เนินชีวิตร่วมกันฉันพี่น้อง ร่วม “พิธีบิขนมปัง” และอธิษฐานภาวนา พระเจ้า ทรงบันดาลให้บรรดาอัครสาวกทำ�ปาฏิหาริยแ์ ละเครือ่ งหมายอัศจรรย์เป็นจำ�นวน มาก ทุกคนจึงมีความยำ�เกรง ผู้มีความเชื่อทุกคนดำ�เนินชีวิตร่วมกันและมีทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม เขาขาย ที่ดินและทรัพย์สินอื่นๆ แบ่งเงินให้ทุกคนตามความต้องการ ทุกๆ วัน เขาพร้อมใจกันไปที่พระวิหารและไปตามบ้านเพื่อทำ�พิธีบิขนมปัง ร่วมกินอาหารด้วยความยินดีและเข้าใจกัน เขาทั้งหลายสรรเสริญพระเจ้า และได้ รับความนิยมจากประชาชนทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�ให้จำ�นวนผู้ที่ได้รับ ความรอดพ้นเพิ่มขึ้นทุกวัน เพลงสดุดี สดด 118:2-4,13-15,22-24 ก) เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” เผ่าพันธุ์ของอาโรนจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ผู้ยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ข) ข้าพเจ้าถูกผลักอย่างรุนแรงให้ล้มลง แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาช่วยข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพละกำ�ลังและทรงเป็นบทเพลงของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีและเสียงไชโย ดังก้องในกระโจมของผู้ชอบธรรมว่า “พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีชัยชนะ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 1:3-9 ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของ เรา พระองค์ทรงพระกรุณาอย่างยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงบันดาลให้เราบังเกิดใหม่ และมีความหวังที่จะมีชีวิต อาศัยการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า จากบรรดาผู้ตาย เพื่อรับมรดกที่ไม่เสื่อมสลายไร้มลทิน ไม่มีวันร่วงโรยซึ่งเก็บ รักษาไว้ในสวรรค์เพือ่ ท่าน พระเจ้าทรงปกป้องท่านไว้ดว้ ยพระอานุภาพให้มคี วาม เชือ่ จนกว่าจะประทานความรอดพ้นซึ่งกำ�ลังจะได้รับการเปิดเผยในวาระสุดท้าย ดังนั้น ท่านจงชื่นชม แม้ว่าในเวลานี้ท่านยังต้องทนทุกข์จากการถูกทดสอบ


ต่างๆ ชั่วขณะหนึ่ง เพื่อคุณค่าที่แท้จริงแห่งความเชื่อของท่านจะได้รับการสรรเสริญ รับสิริรุ่งโรจน์ และรับเกียรติเมื่อพระเยซูคริสตเจ้าจะทรงแสดงพระองค์ ความเชื่อนี้ประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ�ที่เสื่อม สลายได้ แต่ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ ท่านมีความรักต่อพระเยซูคริสตเจ้าทั้งๆ ที่ยังมิได้เห็นพระองค์ แม้ว่าขณะนี้ท่านยังมิได้เห็นพระองค์ ท่านก็ยังเชื่อในพระองค์ ท่านจึงชื่นชมยินดีสุดที่จะพรรณนา เพราะท่านกำ�ลังจะได้รับจุดมุ่งหมายของความเชื่อ คือความรอดพ้นของวิญญาณอยู่แล้ว บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:19-31 คํ่าวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำ�ลังชุมนุมกันปิดอยู่ เพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยูต่ รงกลาง ตรัสกับเขาทัง้ หลายว่า “สันติสขุ จงสถิตกับท่านทัง้ หลาย เถิด” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้น เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เรา ก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระ จิตเจ้าเถิด ท่านทัง้ หลายอภัยบาปของผูใ้ ด บาปของผูน้ นั้ ก็ได้รบั การอภัย ท่านทัง้ หลายไม่อภัยบาปของ ผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย” โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวก คนอื่นๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอื่นบอกเขาว่า “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขา ตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอา มือคลำ�ที่ด้านข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันใน บ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำ�ที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด” โทมัสทูล พระองค์วา่ “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่าน เชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข” พระเยซูเจ้ายังทรงกระทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์อื่นอีกหลายประการให้บรรดาศิษย์เห็น แต่ไม่ได้ บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ เรือ่ งราวเหล่านีถ้ กู บันทึกไว้เพือ่ ท่านทัง้ หลายจะได้เชือ่ ว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระ คริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อนี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็จะมีชีวิตเดชะพระนามของ พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงเอารอยตะปูที่ทะลุพระหัตถ์และพระบาท และรอยแผลที่พระสีข้าง มาเป็น กำ�ลังใจให้บรรดาศิษย์ที่กำ�ลังอยู่ในความกลัว และด้วยรอยตะปูและรอยแผลเดียวกันนั้นเอง ที่พระเยซูเจ้า ทรงใช้ยนื ยันให้โทมัสหายสงสัย ...ด้วยรอยตะปูทที่ ะลุพระหัตถ์และพระบาท และรอยแผลทีพ่ ระสีขา้ ง ทีเ่ กิด ขึน้ พร้อมชีวติ ของพระเยซูเจ้าทีห่ มดสิน้ บนไม้กางเขน ได้กลับเป็นพยานยืนยันว่ามีบคุ คลผูห้ นึง่ ทีร่ กั เราอย่าง ที่สุด แม้ต้องตาย “พระองค์” ผู้นั้นก็ไม่ยอมหยุดรักเรา ....เท่านี้ก็พอแล้วสำ�หรับชีวิตของ “ลูก”


บทอ่านที่ 1 กจ 4:23-31 เมื่อเปโตรและยอห์นได้รับการปลดปล่อยแล้ว ก็ไปพบบรรดาศิษย์ เล่าทุก เรื่องที่บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสกล่าวกับตน เมื่อบรรดาศิษย์ฟังจบแล้ว จึงพร้อมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระองค์ทรงสร้าง ฟ้า แผ่นดิน ทะเล และสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในนั้น เดชะพระจิตเจ้า พระองค์ทรงดลใจ ให้กษัตริยด์ าวิดผูร้ บั ใช้ของพระองค์และผูเ้ ป็นบรรพบุรษุ ของข้าพเจ้าทัง้ หลายตรัส น.ฟีเดลิส ว่า แห่งซิกมาริงเก็น ‘ทำ�ไมชนชาติทั้งหลายจึงบันดาลโทสะ และบรรดาประชาชาติจึงวางแผนไร้ พระสงฆ์ สาระ บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินต่างต่อต้าน บรรดาผู้ปกครองมาร่วมกันต่อสู้กับ และมรณสักขี องค์พระผู้เป็นเจ้า และผู้รับเจิมของพระองค์’ สดด 2:1-3,4-6,7-9 ความจริงแล้ว ในเมืองนีก้ ษัตริยเ์ ฮโรดและปอนทิอสั ปีลาตร่วมกับคนต่างชาติ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 และประชากรอิสราเอลต่อสู้กับพระเยซูเจ้าผู้รับใช้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ซึ่ง พระองค์ทรงเจิมไว้ เพื่อทำ�ให้พระประสงค์ที่ทรงกำ�หนดไว้ด้วยพระอานุภาพสำ�เร็จไป บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรคำ�ข่มขู่ของเขาทั้งหลายและประทานให้ข้ารับใช้ของพระองค์ประกาศพระวาจา ของพระองค์ดว้ ยความกล้าหาญอย่างยิง่ เถิด โปรดแสดงพระอานุภาพในการรักษาโรค ให้เครือ่ งหมาย อัศจรรย์และปาฏิหาริยเ์ กิดขึน้ เดชะพระนามพระเยซูเจ้าผูร้ บั ใช้ศกั ดิส์ ทิ ธิข์ องพระองค์เถิด” เมือ่ บรรดา ศิษย์อธิษฐานภาวนาจบแล้ว สถานที่ที่เขามาชุมนุมกันนั้นก็สั่นสะเทือน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็ม เปี่ยมและเริ่มประกาศพระวาจาของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ” พระวรสาร ยน 3:1-8 ชายคนหนึง่ จากกลุม่ ชาวฟาริสชี อื่ นิโคเดมัส เป็นหัวหน้าคนหนึง่ ของชาวยิว เขามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ตอนกลางคืน ทูลว่า “รับบี พวกเรารูว้ า่ ท่านเป็นอาจารย์ทมี่ าจากพระเจ้า เพราะไม่มใี ครทำ�เครือ่ งหมาย อัศจรรย์อย่างที่ท่านทำ�ได้ นอกจากพระเจ้าจะสถิตกับเขา” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความ จริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่” นิโคเดมัสทูลถามว่า “คน ชราแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไรกัน เขาจะเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่ง แล้วเกิดใหม่ได้หรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นว่า ไม่มใี ครเข้าสูพ่ ระอาณาจักรของพระเจ้าถ้า เขาไม่เกิดจากนํ้าและพระจิตเจ้า สิ่งใดที่เกิดจากเนื้อหนังย่อมเป็นเนื้อหนัง สิ่งใดที่เกิดจากพระจิตเจ้า ย่อมเป็นจิต อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่านทัง้ หลายจำ�เป็นต้องเกิดใหม่จากเบือ้ งบน ลมย่อม พัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัดแต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่ เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่นนี้” บรรดาสาวกผ่านการตายก่อนตาย เพราะได้เผชิญกับความสูญสิ้นหมดหวัง จนต้องหลบลี้ กระจัดกระจายกันไป เพราะการทีพ่ ระเยซูเจ้าถูกจับและตายบนไม้กางเขน ...เมือ่ ได้เผชิญความตาย โดยการ ตกอยู่ในสภาพของชีวิตที่สิ้นหวังตามประสาโลกอย่างไม่เหลืออะไรอีกแล้ว พระบิดาก็ได้ทรงมอบชีวิตใหม่ ให้กับบรรดาสาวก ซึ่งหลังจากผ่านสภาพเช่นนี้แล้ว การประกาศเทศน์สอนจึงเกิดขึ้น นี่เป็นการยืนยันว่า ชีวิตและพันธกิจแห่งการประกาศข่าวดี เกิดขึ้นและเกิดผล หลังจากการหมดตัวตนต่อหน้าพระ


บทอ่านที่ 1 1 ปต 5:5ข-14 ท่านที่รักยิ่งทั้งหลาย จงมีความถ่อมตนต่อกันเถิดเพราะพระเจ้าทรงต่อต้าน คนเย่อหยิ่งจองหอง แต่ประทานพระหรรษทานแก่ผู้ถ่อมตน ดังนั้น จงถ่อมตนอยู่ ใต้พระหัตถ์ทรงฤทธิข์ องพระเจ้า เพือ่ พระองค์จะได้ทรงยกย่องท่านเมือ่ ถึงเวลาอัน ควร จงละความกระวนกระวายทัง้ มวลของท่านไว้กบั พระองค์ เพราะพระองค์ทรง ห่วงใยท่าน จงมีสติสัมปชัญญะและตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะศัตรูของท่านคือมาร กำ�ลังดักวนเวียนอยูร่ อบๆ ดุจสิงโตคำ�ราม เสาะหาคนทีม่ นั จะกัดกินได้ จงต่อสูก้ บั มันด้วยใจมัน่ คงในความเชือ่ จงรูว้ า่ บรรดาพีน่ อ้ งผูม้ คี วามเชือ่ ทัว่ โลกก็ประสบความ ทุกข์ลำ�บากเช่นเดียวกัน และเมื่อท่านได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ ประทานพระหรรษทานทุกประการ ผูท้ รงเรียกท่านให้มารับพระสิรริ งุ่ โรจน์นริ นั ดร ในพระคริสตเจ้า จะทรงฟื้นฟูท่านให้มั่นคง มีกำ�ลังเข้มแข็ง และจะทรงพยุงท่าน ไว้ ขอพระอานุภาพจงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดร อาเมน ข้าพเจ้าเขียนจดหมายสั้นๆ ฉบับนี้ ด้วยความช่วยเหลือของสิลวานัสซึ่ง ข้าพเจ้านับถือว่าเป็นพีน่ อ้ งทีซ่ อื่ สัตย์ ข้าพเจ้าเตือนสติทา่ นและยืนยันว่านีเ่ ป็นพระ หรรษทานแท้จริงของพระเจ้า จงยืนหยัดมั่นคงในพระหรรษทานนี้เถิด พระ ศาสนจักรทีก่ รุงบาบิโลนซึง่ พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้เช่นเดียวกับทีไ่ ด้ทรงเลือกสรร ท่าน ขอฝากความคิดถึงท่าน มาระโกบุตรของข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงท่านด้วย จงทักทายกันด้วยการจุมพิตแสดงความรัก ขอสันติสขุ จงอยูก่ บั ท่านทัง้ หลาย ซึ่งดำ�รงอยู่ในพระคริสตเจ้าเทอญ พระวรสาร มก 16:15-20 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงองค์แก่อคั รสาวกทัง้ สิบเอ็ดคน ตรัสกับเขาว่า “ท่านทัง้ หลายจงออกไปทัว่ โลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทงั้ ปวง ผูท้ เี่ ชือ่ และรับศีล ล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ ผู้ที่เชื่อจะทำ�อัศจรรย์เหล่านี้ ได้ คือจะขับไล่ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ๆ ได้ จะจับงูได้ และถ้าดื่ม ยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหาย จากโรคภัย” เมื่อพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่ สวรรค์ ให้ประทับ ณ เบื้องขวา บรรดาศิษย์ก็แยกย้ายกันออกไปเทศนาสั่งสอน ทั่วทุกแห่งหน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�งานร่วมกับเขา และทรงรับรองคำ�สั่งสอน โดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา ...จงถ่อมตนอยู่ใต้พระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า ...จงละความกระวนกระวายทั้งมวลของท่านไว้กับพระองค์ ...จงมีสติสัมปชัญญะและตื่นตัวอยู่เสมอ ...“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่และทำ�งานร่วมกับเราผู้ถ่อมตน ผู้วางใจในพระ ผู้มี สติสัมปชัญญะและภาวนาอยู่เสมอในพระองค์”

ฉลอง น.มาระโก ผู้นิพนธ์พระวรสาร สดด 89:1-2,5-7, 15-16


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา

สดด 34:1-2,3-4, 5-6,7-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 กจ 5:17-26 ในครั้งนั้น มหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขาคือกลุ่มชาวสะดูสี มีความอิจฉา อย่างยิ่ง จึงจับกุมบรรดาอัครสาวกและจองจำ�ไว้ในคุกสาธารณะ เวลากลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดประตูคุก นำ� บรรดาอัครสาวกออกไป สัง่ ว่า “ท่านทัง้ หลายจงไปทีพ่ ระวิหาร ประกาศพระวาจา เกี่ยวกับวิถีชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟังเถิด” เมื่อบรรดาอัครสาวกได้ฟังดังนั้น ก็ เข้าไปในพระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่และเริ่มสั่งสอนที่นั่น เมือ่ มหาสมณะและทุกคนทีอ่ ยูก่ บั เขามาถึง ก็เรียกประชุมสภาซันเฮดรินและ บรรดาผูอ้ าวุโสทุกคนของอิสราเอล แล้วให้พนักงานไปทีค่ กุ นำ�ตัวบรรดาอัครสาวก ออกมา แต่เมื่อพนักงานไปถึง ก็ไม่พบบรรดาอัครสาวกอยู่ในคุกแล้ว จึงกลับมา รายงานว่า “พวกเราพบคุกปิดไว้อย่างแน่นหนาและคนเฝ้าก็ยืนรักษาการณ์อยู่ที่ ประตู แต่เมือ่ เราเปิดประตูเข้าไปก็ไม่พบผูใ้ ดเลยสักคน” เมือ่ นายทหารรักษาพระ วิหารและบรรดาหัวหน้าสมณะได้ยนิ ถ้อยคำ�เหล่านี้ ต่างรูส้ กึ สับสนไม่รวู้ า่ เกิดอะไร ขึ้น ขณะนั้นเอง มีคนหนึ่งมาบอกว่า “ดูซิ คนเหล่านั้นที่ท่านทั้งหลายจองจำ�ไว้ใน คุก กำ�ลังยืนสั่งสอนประชาชนอยู่ในพระวิหาร” นายทหารรักษาพระวิหารพร้อม กับนายทหารยามจึงไปนำ�บรรดาอัครสาวกมาโดยไม่ใช้ก�ำ ลัง เพราะเกรงประชาชน จะขว้างด้วยก้อนหิน

พระวรสาร ยน 3:16-21 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียง พระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะ พระบุตรนัน้ ผูท้ มี่ คี วามเชือ่ ในพระบุตรจะไม่ถกู ตัดสินลงโทษ แต่ผทู้ ไี่ ม่มคี วามเชือ่ ก็ถกู ตัดสินลงโทษอยู่ แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็นของ การตัดสินลงโทษก็คอื ความสว่างเข้ามาในโลกนีแ้ ล้ว แต่มนุษย์รกั ความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะ การกระทำ�ของเขานัน้ ชัว่ ร้าย ทุกคนทีท่ �ำ ความชัว่ ย่อมเกลียดความสว่างและไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรง ว่าการกระทำ�ของตนจะปรากฏชัดแจ้ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อให้เห็น ชัดว่าสิ่งที่เขาทำ�นั้นได้ทำ�โดยพึ่งพระเจ้า” เราเชื่อหรือไม่ว่า พระรักเรา และพระเยซูเจ้าทรงมาเพื่อช่วยเราให้รอดพ้น พระองค์มิได้ทรง มาเพื่อตัดสินลงโทษเรา ...หากเราเชื่อเช่นนี้ เราก็จะสามารถเปิดหัวใจของเราถึงก้นบึ้ง เมื่อยามที่เราทำ�ผิด หรือเมือ่ เราพลาดพลัง้ อ่อนแอ เราก็จะยังไม่หลบลีห้ ายไปจากพระ แต่เรายังจะเปิดหัวใจขอโทษและขอกำ�ลัง จากพระองค์ หรือเมื่อยามที่เราเต็มด้วยพลังและสุขใจ เราก็จะไม่ทิ้งพระองค์ไปหาใครอื่น แต่เราจะพูดคุย กับพระองค์และจับมือพระองค์ เดินข้างๆ พระองค์ไปด้วยความสุขใจ


บทอ่านที่ 1 กจ 5:27-33 ในครั้งนั้น เขานำ�บรรดาอัครสาวกมายังสภาซันเฮดริน มหาสมณะจึงกล่าว หาว่า “เรากำ�ชับท่านทั้งหลายอย่างแข็งขันแล้ว ไม่ให้สอนโดยออกนามนี้ แต่ท่าน ยังขืนนำ�คำ�สอนของตนมาแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และต้องการให้โลหิตของคน คนนีต้ กอยูก่ บั เรา” เปโตรและบรรดาอัครสาวกตอบว่า “เราต้องเชือ่ ฟังพระเจ้ายิง่ กว่าเชือ่ ฟังมนุษย์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าที่ท่าน ทั้งหลายประหารชีวิตโดยตรึงบนไม้กางเขนนั้นกลับคืนพระชนมชีพ พระเจ้าทรง ยกพระองค์ท่านขึ้นประทับเบื้องขวาในฐานะเป็นหัวหน้าและผู้กอบกู้ เพื่อให้ อิสราเอลกลับใจและรับการอภัยบาป เราทั้งหลายเป็นพยานในเรื่องนี้ และพระ จิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานแก่ผู้ที่เชื่อฟังพระองค์ก็ทรงเป็นพยานด้วย” เมื่อได้ฟัง ดังนี้ทุกคนในสภาซันเฮดรินรู้สึกโกรธเคืองอย่างมากอยากจะฆ่าบรรดาอัครสาวก พระวรสาร ยน 3:31-36 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ผู้ที่มาจากเบื้องบนย่อมอยู่เหนือทุกคน ผู้ที่มาจากแผ่นดินนี้ ย่อมเป็นของ แผ่นดินนี้ และพูดอย่างคนของแผ่นดินนี้ ผูท้ มี่ าจากสวรรค์ยอ่ มอยูเ่ หนือทุกคน เขา เป็นพยานถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน แต่ไม่มีใครยอมรับคำ�พยานยืนยันของเขา ผู้ที่ รับคำ�พยานยืนยันของเขา ก็รับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา นัน้ ย่อมกล่าวพระวาจาของพระเจ้า เพราะพระเจ้าประทานพระจิตเจ้าให้เขาอย่าง ไม่จ�ำ กัด พระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงมอบทุกสิง่ ไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตร ผูใ้ ดมีความเชือ่ ในพระบุตรย่อมมีชวี ติ นิรนั ดร ผูท้ ไี่ ม่ยอมเชือ่ ฟังพระบุตร จะไม่พบ ชีวิตนั้น การลงโทษของพระเจ้ากำ�ลังอยู่เหนือเขาแล้ว” อาศัยพระจิตเจ้า มนุษย์เราจึงจะรับรูเ้ รือ่ งราวทีม่ นุษย์คาดไม่ถงึ ได้ เป็น เรือ่ งราวเกีย่ วกับการทีพ่ ระบิดาทรงรักพระบุตร และมอบทุกสิง่ ไว้ในพระหัตถ์ของพระ บุตร แต่พระบุตรผูน้ นั้ กลับเจริญชีวติ ทีไ่ ม่ใช้อ�ำ นาจ ยิง่ กว่านัน้ กลับทรงยอมรับการถูก ต่อต้าน ถูกปฏิเสธ และถูกประหารชีวิต ...อาศัยพระจิตเจ้าเท่านั้น มนุษย์เราจึงจะ พร้อมรับความผิดหวัง ความยากลำ�บาก ความเจ็บไข้ได้ป่วย และความตายได้ โดยยัง เชือ่ ว่า พระบิดาทรงรักเราอย่างไม่จ�ำ กัด ....ขอประทานพระจิตเจ้าแก่เหล่าลูกด้วยเทอญ

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา สดด 34:1,8, 16-18,19-20

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


น.เปโตร ชาเนล พระสงฆ์ และมรณสักขี น.หลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต พระสงฆ์

สดด 27:1,4,13-14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 กจ 5:34-42 ขณะนัน้ อาจารย์กฎหมายชาวฟาริสคี นหนึง่ ชือ่ กามาลิเอล เป็นทีเ่ คารพนับถือ ของประชาชน ยืนขึ้นในสภาซันเฮดรินและขอให้นำ�บรรดาอัครสาวกออกไปข้าง นอกสักครูห่ นึง่ แล้วจึงกล่าวแก่บรรดาสมาชิกสภาว่า “ชาวอิสราเอลทัง้ หลาย ท่าน จะทำ�อะไรกับคนเหล่านี้ ก็จงคิดให้ดีเสียก่อน เมื่อไม่นานมานี้ คนคนหนึ่งชื่อ เทวดัสตัง้ ตนเป็นผูว้ เิ ศษ คนประมาณสีร่ อ้ ยคนติดตามเขา แต่เมือ่ เขาถูกฆ่า ทุกคน ที่ติดตามเขาก็กระจัดกระจายไปจนหมดสิ้น หลังจากนั้นในสมัยสำ�รวจจำ�นวนประชาชน ก็มียูดาสชาวกาลิลี ชักจูง ประชาชนให้มาติดตามตน แต่เขาก็ถกู ฆ่าด้วย ทุกคนทีต่ ดิ ตามเขาก็กระจัดกระจาย ไป บัดนี้ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่า จงเลิกสนใจคนเหล่านี้และปล่อยเขาไป เถิด เพราะถ้าแผนการและกิจการของเขามาจากมนุษย์ แผนการและกิจการนั้นก็ จะสลายไปเอง แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำ�ลายเขาไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น ท่านจะกลับเป็นผู้ต่อสู้กับพระเจ้าเสียเอง”...

พระวรสาร ยน 6:1-15 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามทะเลสาบกาลิลีหรือทีเบเรียส ประชาชนจำ�นวนมากตาม พระองค์ไป เพราะเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ�แก่ผู้เจ็บป่วย พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขา ประทับที่นั่นพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะนั้นใกล้จะถึงวันฉลองปัสกาของชาวยิว พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ ทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำ�นวนมากที่มาเฝ้า จึงตรัสกับฟีลิป ว่า “พวกเราจะซือ้ ขนมปังทีไ่ หนให้คนเหล่านีก้ นิ ” พระองค์ตรัสดังนีเ้ พือ่ ทดลองใจเขา แต่พระองค์ทรง ทราบแล้วว่าจะทรงทำ�ประการใด ฟีลปิ ทูลตอบว่า “ขนมปังราคาสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ยงั ไม่พอ” ศิษย์อีกคนหนึ่งคือ อันดรูว์น้องของซีโมนเปโตรทูลว่า “เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังบาร์เลย์ห้า ก้อนกับปลาสองตัว ขนมปังและปลาเพียงเท่านี้จะพออะไรสำ�หรับคนจำ�นวนมากเช่นนี้” พระเยซูเจ้า ตรัสว่า “จงบอกประชาชนให้นั่งลงเถิด” ที่นั่นมีหญ้าขึ้นอยู่ทั่วไป เขาจึงนั่งลง นับจำ�นวนผู้ชายได้ถึง ห้าพันคน พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปังขึ้น ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่นั่งอยู่ ตามที่เขาต้องการ พระองค์ทรงกระทำ�เช่นเดียวกันกับปลา เมื่อคนทั้งหลายอิ่มแล้ว พระองค์ตรัสแก่ บรรดาศิษย์ว่า “จงเก็บเศษขนมปังที่เหลือ อย่าให้สิ่งใดสูญไปเปล่าๆ” บรรดาศิษย์จึงเก็บเศษขนมปัง บาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือนั้นได้สิบสองกระบุง เมื่อคนทั้งหลายเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ�ก็ พูดว่า “ท่านผูน้ เี้ ป็นประกาศกแท้ซงึ่ จะต้องมาในโลก” พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าคนเหล่านัน้ จะใช้ก�ำ ลัง บังคับพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ จึงเสด็จไปบนภูเขาตามลำ�พังอีกครั้งหนึ่ง เมือ่ ได้รบั อัศจรรย์หรือความช่วยเหลือจากพระเจ้า เราก็อยากได้รบั ความช่วยเหลือนัน้ อีก เรา อาจจะภาวนาวอนขอมากขึน้ กว่าเดิมด้วย แต่โดยไม่รตู้ วั และไม่มเี จตนา เรากลับใช้การภาวนานัน้ เพือ่ แสวงหา ความพึงพอใจหรือความสุขความปลอดภัยสำ�หรับเรา ณ ขณะนั้นเอง เรากลับแสวงหาตัวเอง มิได้แสวงหา พระเจ้า ...“พระเยซูเจ้าทรงทราบว่า คนเหล่านัน้ จะใช้ก�ำ ลังบังคับพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ จึงเสด็จไปบนภูเขา ตามลำ�พัง” พระเยซูเจ้าทรงไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนแม้ทางอ้อม ให้คนเหล่านั้นหลงแสวงหาความสุข ความพึงพอใจสำ�หรับตนเอง ภายใต้ภาพภายนอกที่ดูดี คือเทิดทูนให้พระเยซูเจ้าทรงเป็นกษัตริย์


บทอ่านที่ 1 กจ 6:1-7 เวลานัน้ ศิษย์มจี �ำ นวนมากขึน้ บรรดาศิษย์ทพี่ ดู ภาษากรีกไม่พอใจศิษย์ทพี่ ดู ภาษาฮีบรู เพราะในการแจกทานประจำ�วัน บรรดาแม่ม่ายของตนถูกละเลยมิได้ รับแจก อัครสาวกสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์มาประชุม กล่าวว่า “ไม่สมควรทีเ่ รา ระลึกถึง จะละทิ้งการประกาศพระวาจาของพระเจ้าเพื่อไปแจกอาหาร พี่น้องทั้งหลาย จง เลือกบุรุษเจ็ดคนจากกลุ่มของท่านทั้งหลาย เป็นคนที่มีชื่อเสียงดี เปี่ยมด้วยพระ น.กาธารีนา แห่งซีเอนา พรหมจารี จิตเจ้าและปรีชาญาณ แล้วเราจะแต่งตั้งเขาให้ทำ�หน้าที่นี้ ส่วนเราจะอุทิศตน และนั กปราชญ์ อธิษฐานภาวนาและประกาศพระวาจา ทุกคนในทีป่ ระชุมต่างเห็นชอบกับข้อเสนอ นี้ จึงเลือกสเทเฟนบุรุษผู้เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า ฟีลิป โปรโครัส นิคา แห่งพระศาสนจักร สดด 33:1-3, โนร์ ทิโมน ปาร์เมนัส และนิโคลัสชาวอันทิโอกผูก้ ลับใจมานับถือศาสนายิว เขานำ� 4-5,18-19 คนทัง้ เจ็ดคนมาอยูต่ อ่ หน้าบรรดาอัครสาวกซึง่ อธิษฐานภาวนาและปกมือเหนือเขา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 พระวาจาของพระเจ้าแพร่หลายยิง่ ขึน้ ศิษย์มจี �ำ นวนมากขึน้ ในกรุงเยรูซาเล็ม บรรดาสมณะหลายคนยอมรับความเชื่อด้วย พระวรสาร ยน 6:16-21 เมือ่ ถึงเวลาเย็น บรรดาศิษย์ตา่ งลงไปยังทะเลสาบ และลงเรือข้ามฟากไปทาง เมืองคาเปอรนาอุม ขณะนั้นมืดแล้ว พระเยซูเจ้าก็ยังไม่เสด็จมากับเขา ทะเลปั่น ป่วนเพราะลมพัดจัด บรรดาศิษย์กรรเชียงเรือไปได้ราวสีห่ รือห้ากิโลเมตร เห็นพระ เยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินบนทะเล เข้ามาใกล้เรือ ก็ตกใจกลัว แต่พระองค์ตรัสแก่เขา ว่า “เป็นเราเอง อย่ากลัวเลย” บรรดาศิษย์รับพระองค์ลงเรือด้วยความเต็มใจ ทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขามุ่งจะไป หลายครั้งที่ชีวิตของเราต้องประสบกับความยากลำ�บากต่างๆ จนถึง ขัน้ ทีเ่ รารูส้ กึ ว่า เราถูกปล่อยให้อยูโ่ ดดเดีย่ วตามลำ�พัง ไม่พบหรือสัมผัสการประทับอยู่ ของพระเป็นเจ้าที่แสดงความช่วยเหลือปลอบใจใดๆ เลย แต่แล้ว จู่ๆ พระองค์ก็มา มาทันเวลา ...ขอให้ลูกได้รับพระพรแห่งความพากเพียรรอคอย และความเชื่อผูกพัน กับพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม เป็นต้นในยามที่ลูกรู้สึกสิ้นหวังสุดๆ ในชีวิต


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 2:14,22-28 เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วย เสียงดังว่า “ท่านทัง้ หลาย ชาวยูเดีย และท่านทีอ่ าศัยอยูใ่ นกรุงเยรูซาเล็ม จงตัง้ ใจ ฟังวาจาของข้าพเจ้าเถิด แล้วท่านจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชาวอิสราเอลทัง้ หลาย จงฟังวาจาเหล่านีเ้ ถิด พระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นบุรษุ ที่พระเจ้าทรงส่งมาหาท่าน พระเจ้าทรงรับรองพระองค์โดยประทานอำ�นาจทำ� อัศจรรย์ ปาฏิหาริย์และเครื่องหมายต่างๆ เดชะพระเยซูเจ้า พระเจ้าทรงกระทำ� การเหล่านี้ในหมู่ท่านทั้งหลายดังที่ท่านรู้อยู่แล้ว พระเยซูเจ้าทรงถูกมอบในเงื้อม มือของท่านตามที่พระเจ้ามีพระประสงค์และทรงทราบล่วงหน้า ท่านใช้มือของ บรรดาคนอธรรมประหารพระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาล ให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ พ้นจากอำ�นาจแห่งความตาย เพราะความตาย ยึดพระองค์ไว้ใต้อำ�นาจอีกต่อไปไม่ได้ ดังที่กษัตริย์ดาวิดตรัสถึงพระองค์ว่า ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าเสมอ พระองค์ประทับอยู่ เบือ้ งขวา ข้าพเจ้าจะไม่หวัน่ ไหว ดังนัน้ จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี ปากของข้าพเจ้า กล่าวถ้อยคำ�แสดงความเกษมเปรมปรีดิ์ ร่างกายที่ตายได้ของข้าพเจ้า พำ�นักอยู่ ในความหวัง เพราะพระองค์จะไม่ทรงละทิง้ ข้าพเจ้าไว้ในแดนผูต้ าย และจะไม่ทรง ปล่อยผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เน่าเปื่อย พระองค์ทรงสอนข้าพเจ้าให้รู้จักทาง แห่งชีวิต พระองค์จะทรงทำ�ให้ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความยินดีเฉพาะพระพักตร์ของ พระองค์’” เพลงสดุดี สดด 16:1-2 และ 5, 7-8,9-10,11 ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงคุ้มครองข้าพเจ้า ข้าพเจ้าลี้ภัยมาพึ่งพระองค์ ข้าพเจ้าทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นความดีที่สุดของข้าพเจ้า” บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 1:17-21 ลูกทีร่ กั ยิง่ ถ้าท่านเรียกพระองค์ผทู้ รงพิพากษาตามการกระทำ�ของแต่ละคน โดยไม่ล�ำ เอียงว่า “พระบิดา” ก็จงดำ�เนินชีวติ ขณะทีอ่ ยูต่ า่ งแดนนีด้ ว้ ยความเคารพ ยำ�เกรงพระองค์ เพราะท่านรู้ว่า ท่านได้รับการไถ่กู้หลุดพ้นจากวิถีชีวิตไร้ค่าที่สืบ มาจากบรรพบุรุษ มิใช่ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้เช่นเงินหรือทอง แต่ด้วยพระโลหิต ประเสริฐ ของพระคริสตเจ้า ดังเลือดของลู ก แกะไร้ มลทิ น หรื อ จุ ด ด่ า งพร้ อ ย พระองค์ทรงกำ�หนดไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และทรงเปิดเผยพระ คริสตเจ้าเพื่อท่านทั้งหลายในวาระสุดท้าย เดชะพระคริสตเจ้านี้ ท่านมีความเชื่อ ในพระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย และ ประทานพระสิรริ งุ่ โรจน์เพือ่ ให้ความเชือ่ และความหวังของท่านดำ�รงอยูใ่ นพระเจ้า


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 24:13-35 วันนั้น ศิษย์สองคนกำ�ลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 11 กิโลเมตร ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ขณะที่กำ�ลังสนทนาและถกเถียงกัน อยูน่ นั้ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจำ�พระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง พระองค์ ตรัสถามว่า “ท่านเดินสนทนากันเรื่องอะไร” ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง ศิษย์ที่ชื่อเคลโอปัสถามว่า “ท่านเป็นเพียงคนเดียวในกรุงเยรูซาเล็มหรือที่ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้” พระองค์ตรัสถามว่า “เรื่องอะไรกัน” เขาตอบว่า “ก็เรื่องพระเยซูชาวนาซา เร็ธ ประกาศกทรงอำ�นาจในกิจการและคำ�พูดเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและต่อหน้าประชาชนทั้ง ปวง บรรดาหัวหน้าสมณะและผูน้ �ำ ของเรามอบพระองค์ให้ตอ้ งโทษประหารชีวติ และตรึงพระองค์บน ไม้กางเขน เราเคยหวังไว้ว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่นี่เป็นวันที่สามแล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น สตรีบางคนในกลุ่มของเราทำ�ให้เราประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาไปที่พระคูหา ตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อไม่พบพระศพ เขากลับมาเล่าว่าได้เห็นนิมิตของทูตสวรรค์ซึ่งพูดว่า พระองค์ยังทรง พระชนม์อยู่ บางคนในกลุ่มของเราไปที่พระคูหา และพบทุกอย่างดังที่บรรดาสตรีเล่าให้ฟัง แต่ไม่เห็น พระองค์” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดา ประกาศกกล่าวไว้ พระคริสตเจ้าจำ�เป็นต้องทนทรมานเช่นนีเ้ พือ่ จะเข้าไปรับพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระองค์ มิใช่หรือ” แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟังโดยเริ่มตั้งแต่โมเสส จนถึงบรรดาประกาศก เมื่อพระองค์ทรงพระดำ�เนินพร้อมกับศิษย์ทั้งสองคนใกล้จะถึงหมู่บ้านที่เขาตั้งใจจะไป พระองค์ ทรงแสร้งทำ�ว่าจะทรงพระดำ�เนินเลยไป แต่เขาทั้งสองรบเร้าพระองค์ว่า “จงพักอยู่กับพวกเราเถิด เพราะใกล้คํ่าและวันก็ล่วงไปมากแล้ว” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักกับเขา ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและทรงยื่นให้เขา เขาก็ตาสว่างและจำ� พระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของเขา ศิษย์ทั้งสองจึงพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อน เป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินทาง และทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง” เขาทั้งสองคนจึงรีบออกเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น พบบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน กำ�ลังชุมนุมกันอยู่กับศิษย์อื่นๆ เขาเหล่านี้บอกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว จริงๆ และทรงสำ�แดงพระองค์แก่ซีโมน” ศิษย์ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางและเล่าว่าตนจำ� พระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง ในเส้นทางของหัวคิดสติปญ ั ญาทีท่ �ำ การสนทนา จนเข้มข้นถึงขัน้ ถกเถียงเกีย่ วกับเรือ่ งดีๆ เช่น เรื่องคำ�สอนและชีวิตของพระเยซูเจ้า และแม้ถึงขั้นที่พระเยซูเจ้าเองมาพูดอธิบายคำ�สอนและชีวิตของ พระองค์ เหมือนดังทีศ่ ษิ ย์สองคนทีเ่ ดินทางไปหมูบ่ า้ นเอมมาอูส ได้พบพระองค์เองมาพูดคุยสอนและสนทนา ด้วย เราก็อาจจะยังจำ�พระองค์ไม่ได้ ...เราจะพบและจำ�พระเยซูเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อในชีวิตของเรา ขณะทำ�งาน ทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับนัน้ เรากระทำ�โดยมีหวั ใจทีผ่ กู พันและพูดคุยทุกข์สขุ กับพระเยซูเจ้า ดังเช่นศิษย์ สองคนผูก้ �ำ ลังเดินทางไปยังหมูบ่ า้ นเอมมาอูส ทีจ่ �ำ พระเยซูเจ้าได้ จากประสบการณ์เดิมทีไ่ ด้เคยนัง่ โต๊ะทาน อาหารและพูดคุยทุกข์สุขกับพระเยซูเจ้า




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.