04 april 2018

Page 1


สมโภชปัสกา พระเยซูเจ้า ทรงกลับคืน พระชนมชีพ

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 10:34ก,37-43 เวลานั้น เปโตรเริ่มพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงลำ�เอียง ท่าน ทั้งหลายรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดีย เริ่มต้นที่แคว้นกาลิลี หลังจากที่ยอห์นได้ เทศน์สอนและทำ�พิธีล้าง พระเจ้าทรงเจิมพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพ เดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปที่ใด ทรงกระทำ�ความดีและทรงรักษาทุกคน ที่อยู่ใต้อำ�นาจของปีศาจ เพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์ เราทั้งหลายเป็นพยานยืนยัน ถึงกิจการทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำ�ในเขตแดนของชาวยิวและที่กรุงเยรูซาเล็ม เขา ประหารชีวิตพระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับ คืนพระชนมชีพในวันที่สาม และโปรดให้พระองค์แสดงพระองค์ มิใช่แก่ประชาชน ทั้งปวง แต่ทรงแสดงพระองค์แก่บรรดาพยานที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้ว คือเราทั้งหลายที่ได้กินและได้ดื่มร่วมกับพระองค์ หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพ จากบรรดาผู้ตาย พระเยซูเจ้าทรงบัญชาให้เราประกาศสอนประชาชน และเป็นพยาน ยืนยันว่าพระเจ้าทรงแต่งตัง้ พระองค์ให้เป็นผูพ้ พิ ากษามนุษย์ทกุ คน ทัง้ ผูเ้ ป็นและผูต้ าย บรรดาประกาศกทัง้ ปวงเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์วา่ ‘ทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ ในพระองค์ จะได้รับการอภัยบาปเดชะพระนามพระองค์’” เพลงสดุดี สดด 118:1-2,16-17,22-23 ก) จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์พระทัยดี ความรักมั่นคงของพระองค์ด�ำรงอยู่เป็นนิตย์ เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ด�ำรงอยู่เป็นนิตย์” ข) พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชูขึ้น พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีชัยชนะ” ข้าพเจ้าจะไม่ตาย ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และจะประกาศพระราชกิจยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ค) ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างทิ้งไป กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระท�ำการนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ตาของเรา บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโคโลสี คส 3:1-4 พี่น้อง ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่หาแต่สิ่งที่ อยู่เบื้องบนเถิด ณ ที่นั้นพระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระเจ้า จงคิดถึงแต่สิ่งที่


อยู่เบื้องบน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้ เพราะท่าน ทั้ ง หลายตายไปแล้ ว และชี วิ ต ของท่ า นก็ ซ่อ นอยู่ กั บ พระ คริสตเจ้าในพระเจ้า เมื่อพระคริสตเจ้าองค์ชีวิตของท่านจะ ทรงสำ�แดงพระองค์ เมือ่ นัน้ ท่านจะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระสิริรุ่งโรจน์ด้วย

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:1-9 เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลา ออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหา แล้ว นางจึงวิง่ ไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อกี คนหนึง่ ทีพ่ ระเยซู เจ้าทรงรักบอกว่า “เขานำ�องค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหา แล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำ�พระองค์ไปไว้ที่ไหน” เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา ทั้งสองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่า เปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน ซีโมน เปโตรซึ่งตามไปติดๆ ก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น รวมทั้งผ้าพันพระเศียร ซึ่งไม่ได้วางอยูก่ ับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวางไว้อีกที่หนึ่ง ศิษย์คนที่มาถึงพระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นและมีความเชื่อ เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจาก บรรดาผู้ตาย วันปัสกาเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่น่าสะเทือนใจของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นความชื่นชมยินดี แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุคคลที่จะนำ�เราไปสู่ความสุขแห่งชีวิตนิรันดร สัจธรรมหนึ่งที่ไม่ ควรลืมคือ ไม่มีวันปัสกาที่ปราศจากวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่มีพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า ก็ จะไม่มีการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ เช่นเดียวกันสำ�หรับเราแต่ละคน ไม่มีความรอดพ้นที่ปราศจาก กางเขน เพราะความรอดพ้นมาจากกางเขนที่ตรึงพระเยซูเจ้า ดังนั้น เพื่อจะสามารถร่วมส่วนในพระสิริรุ่งโรจน์ ของพระองค์ในสวรรค์ เราต้องพร้อมที่จะร่วมส่วนในพระทรมานของพระองค์บนโลกนี้


บทอ่านที่ 1 กจ 2:14,22-32 เปโตรยืนขึน้ พร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนและพูดกับประชาชนด้วยเสียง ดังว่า “ท่านทั้งหลาย ชาวยูเดีย และท่านที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงตั้งใจฟังวาจา ของข้าพเจ้าเถิด แล้วท่านจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชาวอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังวาจาเหล่านี้เถิด พระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นบุรุษที่ าทรงส่งมาหาท่าน พระเจ้าทรงรับรองพระองค์โดยประทานอำ�นาจทำ�อัศจรรย์ อัฐมวารปัสกา พระเจ้ ปาฏิหาริยแ์ ละเครือ่ งหมายต่างๆ เดชะพระเยซูเจ้า พระเจ้าทรงกระทำ�การเหล่านีใ้ นหมู่ สดด 16:1-2,7-8, ท่านทั้งหลายดังที่ท่านรู้อยู่แล้ว พระเยซูเจ้าทรงถูกมอบในมือของท่านตามที่พระเจ้ามี 9-10,11 พระประสงค์และทรงทราบล่วงหน้า ท่านใช้มือของบรรดาคนอธรรมประหารชีวิต พระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ พ้นจากอำ�นาจแห่ง ความตาย เพราะความตายยึดพระองค์ไว้ใต้อำ�นาจอีกต่อไปไม่ได้... พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านตรงๆ ว่า กษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษของเราสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ ที่ฝังพระศพของพระองค์ยังคงอยู่ในหมู่เราจนถึงทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงเป็นประกาศกด้วย ทรงทราบว่า พระเจ้าทรงปฏิญาณและทรงสัญญาว่าจะทรงให้เชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งของพระองค์ประทับบนพระบัลลังก์สืบ ต่อมา กษัตริยด์ าวิดทรงเห็นล่วงหน้า จึงตรัสถึงเรือ่ งการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าดังนี้ พระองค์ มิได้ทรงถูกทอดทิ้งไว้ในแดนผู้ตาย และร่างกายของพระองค์จะไม่เน่าเปื่อย พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ พระเจ้า ทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนมชีพ เราทุกคนเป็นพยานได้ พระวรสาร มธ 28:8-15 เวลานั้น สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหาวิ่งไปแจ้งข่าวแก่ บรรดาศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอด พระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้น กาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น” เมือ่ สตรีทงั้ สองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทงั้ หมดทีเ่ กิดขึน้ แก่บรรดา หัวหน้าสมณะ บุคคลเหล่านี้จึงประชุมปรึกษากันกับบรรดาผู้อาวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ทหาร สั่ง ว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำ�ลังหลับอยู่’ ถ้า เรื่องมาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาทำ�ให้ท่านพ้นโทษ” ทหารได้รับเงินและทำ�ตามคำ�แนะนำ� เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้ ในเช้าตรู่ของวันปัสกา พระเยซูเจ้าทรงทักทายบรรดาสตรีว่า “จงยินดีเถิด” (มธ 28:9) แล้วตรัส ว่า “อย่ากลัวเลย” (มธ 28:10) นี่เป็นข่าวดีประการหนึ่ง เราไม่จำ�เป็นต้องกลัวอีกต่อไป ขณะกำ�ลังเดินทางอยู่ บนโลกนี้ เราสามารถพบความยินดีเพราะเชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงชนะความตายแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะ ทำ�อะไร ไม่วา่ จะรวยหรือจน สักวันหนึง่ เราทุกคนต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาทีม่ ดื มิดและน่าครัน่ คร้ามแห่งความ ตาย แต่ในฐานะผู้มคี วามเชื่อ เราจะเข้าไปในช่วงเวลานัน้ ด้วยความมัน่ ใจ พร้อมกับตระหนักว่าพระเยซูเจ้าเสด็จ เข้าไปในความตายล่วงหน้าเราเพือ่ ทรงกลับคืนพระชนมชีพอย่างรุง่ โรจน์ ถ้าเราติดตามพระองค์ในความตาย เรา จะติดตามพระองค์ในการกลับคืนชีพด้วย


บทอ่านที่ 1 กจ 2:36-41 เปโตรยืนขึน้ พร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียง ดังว่า “ดังนั้น ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูผู้ นี้ที่ท่านทั้งหลายนำ�ไปตรึงบนไม้กางเขนให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า” ถ้อยคำ�เหล่านีเ้ สียดแทงใจของทุกคน เขาเหล่านัน้ จึงถามเปโตรและอัครสาวกอืน่ ๆ ว่า “พี่น้อง พวกเราจะต้องทำ�อย่างไร” เปโตรตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเถิด แต่ละคนจงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยบาป แล้วท่านจะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า พระสัญญานี้มีไว้สำ�หรับท่านทั้งหลาย สำ�หรับ บุตรหลานของท่านและสำ�หรับทุกคนทีอ่ ยูห่ า่ งไกล ซึง่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของเรา จะทรงเรียก” เปโตรกล่าวถ้อยคำ�อีกมาก อ้อนวอนและตักเตือนเขาว่า “ท่านทั้งหลาย จงช่วยตนให้รอดพ้นจากคนชั่วร้ายในยุคนี้เถิด” คนเหล่านั้นรับถ้อยคำ�ของเปโตรและ ได้รับศีลล้างบาป วันนั้นผู้มีความเชื่อมีจำ�นวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน

อัฐมวารปัสกา สดด 33:4-5,18-19, 20-22

พระวรสาร ยน 20:11-18 เวลานั้น มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็น ทูตสวรรค์สององค์สวมเสือ้ ขาวนัง่ อยูต่ รงทีท่ เี่ ขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึง่ นัง่ อยูท่ างเบือ้ งพระ เศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม” นาง ตอบว่า “เขานำ�องค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำ�พระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม กำ�ลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำ� พระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำ�พระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำ�พระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัส เรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไปทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซู เจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนีย่ วเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขนึ้ ไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพีน่ อ้ งของเรา และบอกเขาว่า เรากำ�ลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทัง้ หลาย” มารียช์ าวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์วา่ “ดิฉนั ได้เห็นองค์พระผูเ้ ป็น เจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง มารียช์ าวมักดาลาไม่รวู้ า่ ตนเองกำ�ลังหลงทางทีม่ องหาพระเยซูเจ้าในหมูผ่ ตู้ าย หลายครัง้ เราไม่ตา่ ง จากนางเท่าใดนัก สิ่งที่ทำ�ให้ชีวิตมีความหมายคือการแสวงหาและพบกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ เพราะพระองค์ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งชีวิตและความสุขของเรา แต่นับครั้งไม่ถ้วนที่เราแสวงความสุขจากความ พึงพอใจฝ่ายเนือ้ หนังทีผ่ ดิ ศีลธรรม ซึง่ มีแต่จะนำ�เราไปสูค่ วามตาย บางคนคิดว่าบ่อเกิดแห่งความสุขทีแ่ ท้จริงคือ ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง และสถานภาพทางสังคมที่สูงส่ง แต่ในฐานะศิษย์พระคริสต์เราต้องไม่ หลงทางและหันหลังให้พระเยซูเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ เพราะพระองค์เท่านั้นที่ทรง เป็นบ่อเกิดแห่งชีวิตนิรันดรและความสุขที่แท้จริงของเรา


อัฐมวารปัสกา สดด 105:1-3,4-6, 7-10

บทอ่านที่ 1 กจ 3:1-10 วันหนึ่ง เวลาบ่ายสามโมง เปโตรและยอห์นกำ�ลังขึ้นไปที่พระวิหารเพื่ออธิษฐาน ภาวนา ที่ประตูพระวิหารซึ่งเรียกกันว่า “ประตูงาม” มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยแต่กำ�เนิด มีผู้หามคนง่อยผู้นี้มาไว้ที่นั่นทุกวันเพื่อขอทานจากคนที่เข้าไปในพระวิหาร เมื่อเห็น เปโตรและยอห์นกำ�ลังเดินเข้าพระวิหาร คนง่อยจึงขอทานจากเขาทั้งสองคน... เปโตร กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่มีเงินไม่มีทอง แต่ข้าพเจ้ามีอะไรจะให้ท่าน เดชะพระนามพระเยซู คริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ จงเดินไปเถิด” แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ทันใดนั้น เท้าและข้อเท้าของเขากลับมีกำ�ลัง เขากระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดิน...

พระวรสาร ลก 24:13-35 วันนั้น ศิษย์สองคนกำ�ลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณสิบเอ็ด กิโลเมตร ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ขณะที่ก�ำ ลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่น้ัน พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจำ�พระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง พระองค์ตรัสถาม ว่า “ท่านเดินสนทนากันเรื่องอะไร” ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง ศิษย์ทชี่ อื่ เคลโอปัสถามว่า “ท่านเป็นเพียงคนเดียวทีแ่ วะมาในกรุงเยรูซาเล็มหรือ ซึง่ ไม่รเู้ รือ่ งราวทีเ่ กิด ขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้” พระองค์ตรัสถามว่า “เรื่องอะไรกัน” เขาตอบว่า “ก็เรื่องพระเยซู ชาว นาซาเร็ธ ประกาศกทรงอำ�นาจในกิจการและคำ�พูดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าประชาชนทั้งปวง บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้นำ�ของเรามอบพระองค์ให้ต้องโทษประหารชีวิต และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน เราเคยหวังไว้ว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่นี่เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นี้ เกิดขึน้ สตรีบางคนในกลุม่ ของเราทำ�ให้เราประหลาดใจอย่างยิง่ เขาไปทีพ่ ระคูหาตัง้ แต่เช้าตรู่ เมือ่ ไม่พบพระ ศพ เขากลับมาเล่าว่าได้เห็นนิมิตของทูตสวรรค์ซึ่งพูดว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่...” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดาประกาศก กล่าวไว้ พระคริสตเจ้าจำ�เป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ”... เมื่อพระองค์ทรงพระดำ�เนินพร้อมกับศิษย์ทั้งสองคนใกล้จะถึงหมู่บ้านที่เขาตั้งใจจะไป พระองค์ทรง ทำ�ท่าว่าจะทรงพระดำ�เนินเลยไป แต่เขาทั้งสองคนรบเร้าพระองค์ว่า “จงพักอยู่กับพวกเราเถิด เพราะใกล้ คํ่าและวันก็ล่วงไปมากแล้ว” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักกับเขา ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบ ขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและทรงยื่นให้เขา เขาก็ตาสว่างและจำ�พระองค์ได้ แต่พระองค์หาย ไปจากสายตาของเขา ศิษย์ทงั้ สองคนจึงพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยูภ่ ายในหรือเมือ่ พระองค์ ตรัสกับเราขณะเดินทาง และทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง”... สำ�หรับพระเยซูเจ้าการกลับคืนพระชนมชีพเป็นเส้นแบ่งระหว่างชีวิตบนโลกนี้ของพระองค์ซึ่งถูก จำ�กัดอยู่ในรูปแบบของชายชาวยิวคนหนึ่ง และชีวิตใหม่ซึ่งทำ�ให้พระองค์ไม่ต้องถูกจำ�กัดในรูปแบบเดิมอีกต่อ ไป เวลานี้พระองค์ทรงปรากฏในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ผิวดำ�หรือผิวขาว เด็กหนุ่มหรือผู้ชรา คนจนหรือคนรวย คนพิการหรือคนปกติ ชาวพื้นเมืองหรือผู้ย้ายถิ่นฐาน คาทอลิกหรือโปรแตสแตนท์ คริสตชน หรือมุสลิม เราอาจมองคนทีแ่ ตกต่างจากเราหรือคนทีเ่ ราไม่รจู้ กั ว่าเป็นคนแปลกหน้า แต่พระวรสารวันนีท้ า้ ทาย เราให้เริ่มมองพวกเขาเหมือน “เพื่อนร่วมเดินทาง” เมื่อเราต้อนรับพวกเขา เรากำ�ลังต้อนรับพระเจ้าและนำ� พระพรมาสู่ตัวเราเอง


บทอ่านที่ 1 กจ 3:11-26 ขณะที่คนซึ่งเคยเป็นง่อยคนนั้นหน่วงเหนี่ยวเปโตรและยอห์นไว้ ประชาชน ทุกคนประหลาดใจอย่างยิ่ง ต่างวิ่งไปหาเขาทั้งสองคนที่เฉลียงซึ่งเรียกว่า “เฉลียง ซาโลมอน” เมื่อเปโตรเห็นดังนั้นจึงกล่าวปราศรัยกับประชาชนว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ทำ�ไมท่านจึงประหลาดใจในเรือ่ งนี้ ทำ�ไมท่านจึงจ้องมองเราเหมือนกับว่าเราทำ�ให้ชายผู้ อัฐมวารปัสกา นี้เดินได้ด้วยอำ�นาจหรือความเลื่อมใสของเราต่อพระเจ้า... ด้วยความเชื่อในพระนาม สดด 8:1,4-8 พระองค์ ชายผู้นี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและเคยรู้จักจึงกลับมีกำ�ลังขึ้นอีก ความเชื่อใน พระองค์นี้แหละรักษาชายง่อยคนนี้ให้เป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย ถึงกระนั้น พี่น้องทั้งหลาย... พระเจ้าทรงใช้วิธีนี้เพื่อทำ�ให้ถ้อยคำ�ที่พระองค์ตรัสไว้ล่วงหน้าโดยทาง บรรดาประกาศกว่า พระคริสตเจ้าของพระองค์จะต้องทรงรับทรมานนัน้ เป็นจริง เพราะฉะนัน้ ท่านจงเป็นทุกข์ กลับใจและหันมาหาพระเจ้าเถิด เพือ่ บาปของท่านจะได้รบั การอภัย และดังนีอ้ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะทรงบันดาล ให้เวลาแห่งการให้กำ�ลังใจมาถึง และจะทรงส่งพระคริสตเจ้าทีพ่ ระองค์ทรงกำ�หนดไว้ล่วงหน้ามาหาท่าน คือ พระเยซูเจ้า พระองค์ยังทรงต้องรออยู่ในสวรรค์จนกระทั่งถึงเวลาที่จะทรงฟื้นฟูทุกสิ่งขึ้นใหม่...” พระวรสาร ลก 24:35-48 เวลานั้น ศิษย์ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางและเล่าว่าตนจำ�พระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง ขณะที่บรรดาศิษย์กำ�ลังสนทนากันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ในหมู่เขา ตรัสว่า “สันติสุขจงดำ�รงอยู่ กับท่านทั้งหลายเถิด” เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี แต่พระองค์ตรัสว่า “ท่านวุ่นวายใจทำ�ไม เพราะเหตุ ใดท่านจึงมีความสงสัยในใจ จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริงๆ จงคลำ�ตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มี กระดูกอย่างที่ท่านเห็นว่าเรามี” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และพระบาท เขายินดีและ แปลกใจจนไม่อยากเชือ่ พระองค์จงึ ตรัสกับเขาว่า “ท่านมีอะไรกินบ้าง” เขาถวายปลาย่างชิน้ หนึง่ แด่พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าเขา หลังจากนัน้ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นีค่ อื ความหมายของถ้อยคำ�ทีเ่ รากล่าวไว้ขณะทีย่ งั อยูก่ บั ท่าน ทุก สิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในธรรมบัญญัติของโมเสส บรรดาประกาศกและเพลงสดุดีจะต้องเป็นความจริง” แล้วพระองค์ทรงทำ�ให้เขาเกิดปัญญาเข้าใจพระคัมภีร์ ตรัสว่า “มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องทน ทุกข์ทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายในวันทีส่ าม จะต้องประกาศในพระนามพระองค์ให้ นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้” เมื่อพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพปรากฏองค์แก่บรรดาศิษย์มักจะตรัสว่า “สันติสุข จงดำ�รงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” (ลก 24:36) ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงปรารถนาสลายความหวาดกลัวให้หาย ไปจากใจของพวกเขา ความกลัวเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่งที่ทำ�ให้มนุษย์ทำ�กิจการต่างๆ ในโลกนี้ บางคนกลัว ความเจ็บป่วย กลัวอดตาย กลัวถูกปฏิเสธ และกลัวเสียหน้า ในฐานะผู้มีความเชื่อเราไม่จำ�เป็นต้องหวาดกลัว สิง่ ใด พระเยซูเจ้าผูท้ รงกลับคืนพระชนมชีพทรงเป็นบุคคลทีเ่ ราสามารถไว้วางใจและช่วยเหลือเราได้ ถ้าหมอคน หนึ่งเคยรักษาเราให้หายจากโรคในอดีต เราจะไว้ใจเขาเมื่อเขาบอกว่าเราจะหายจากโรคร้ายในไม่ช้า ถ้าเราหลง ทางไปกับคนทีส่ ามารถหาทางออกได้เสมอ เราจะมัน่ ใจในตัวเขาว่าไม่วา่ จะเกิดอะไรขึน้ เขาจะพาเรากลับบ้านได้ พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุคคลเช่นนี้แหละ


อัฐมวารปัสกา สดด 118:1-2 และ 4, 22-24,25-27ก วันศุกร์ต้นเดือน วันจักรี

บทอ่านที่ 1 กจ 4:1-12 ขณะทีเ่ ปโตรและยอห์นกำ�ลังปราศรัยกับประชาชนอยูน่ นั้ บรรดาสมณะพร้อมกับ นายทหารรักษาพระวิหารและบรรดาชาวสะดูสีได้เข้ามาพบ เขาไม่พอใจมากที่ทั้งสอง คนสั่งสอนประชาชนและประกาศว่าบรรดาผู้ตายจะกลับคืนชีพเพราะพระเยซูเจ้าทรง กลับคืนพระชนมชีพ เขาจับกุมเปโตรและยอห์นจองจำ�ไว้จนถึงวันรุง่ ขึน้ เพราะเป็นเวลา เย็นแล้ว... วันรุง่ ขึน้ ... เขานำ�เปโตรและยอห์นมาอยูก่ ลางทีป่ ระชุม แล้วเริม่ ซักถามว่า “ท่าน ทั้งสองคนทำ�การโดยอำ�นาจหรือในนามของผู้ใด” เปโตรเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้ากล่าวกับ เขาว่า “ท่านผู้ปกครองประชาชน และผู้อาวุโสทั้งหลาย วันนี้เราทำ�ความดีรักษาผู้ป่วย คนหนึง่ เราจึงถูกสอบสวนว่าคนนีห้ ายจากโรคได้อย่างไร...ชายคนนีห้ ายจากโรคมายืน อยู่ต่อหน้าท่านทั้งหลาย ก็เพราะพระนามพระเยซูคริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ ซึ่งท่านนำ�ไป ตรึงกางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระเยซู เจ้าองค์นี้ทรงเป็นศิลาซึ่งท่านทั้งหลายผู้เป็นช่างก่อสร้างขว้างทิ้ง แต่ได้กลายเป็นศิลา หัวมุม ไม่มีผู้ใดช่วยให้เรารอดพ้น เพราะใต้ฟ้านี้พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นแก่มนุษย์ นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้”

พระวรสาร ยน 21:1-14 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์อีกครั้งหนึ่งที่ฝั่งทะเลสาบทีเบเรียส เรื่องราวเป็นดังนี้ ศิษย์บางคนอยู่พร้อมกันที่นั่น คือซีโมนเปโตร กับโทมัสที่เรียกกันว่า “ฝาแฝด” นาธานาเอล ซึ่งมาจากหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองคนของเศเบดีและศิษย์อีกสองคน ซีโมน เปโตรบอกคนอื่นว่า “ข้าพเจ้าจะไปจับปลา” ศิษย์คนอื่นตอบว่า “พวกเราจะไปกับท่านด้วย” เขาทั้งหลาย ออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นทั้งคืนเขาจับปลาไม่ได้เลย พอรุ่งสาง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่ง แต่บรรดาศิษย์ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทรงร้องถาม ว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างไหม” เขาตอบว่า “ไม่มี” พระองค์จึงตรัสว่า “จงเหวี่ยงแหไปทางกราบเรือด้าน ขวาซิ แล้วจะได้ปลา” บรรดาศิษย์จึงเหวี่ยงแหออกไป แต่ดึงขึ้นไม่ไหว เพราะได้ปลาเป็นจำ�นวนมาก ศิษย์ ที่พระเยซูเจ้าทรงรักกล่าวกับเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้านี่” เมื่อซีโมนเปโตรได้ยินว่า “เป็นองค์พระผู้ เป็นเจ้า” เขาก็หยิบเสื้อมาสวม เพราะเขาไม่ได้สวมเสื้ออยู่ แล้วกระโดดลงไปในทะเล ศิษย์คนอื่นเข้าฝั่งมา กับเรือ ลากแหที่ติดปลาเข้ามาด้วย เพราะอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก ประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น... เรื่องราวในพระวรสารวันนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาระหว่างวันปัสกาและวันเปนเตกอสเต บรรดาศิษย์ กำ�ลังสับสนวุ่นวายใจ พวกเขารู้สึกหลงทางและโดดเดี่ยว พระเยซูเจ้าไม่ทรงอยู่กับพวกเขาอีกต่อไป พวกเขา กังวลใจว่าอนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เบื้องหน้าพวกเขาดูมืดมนไปหมด เมื่อพระเยซูเจ้าทรงปรากฏแก่ พวกเขา สิ่งแรกที่พระองค์ทรงทำ�คือ ให้บางสิ่งที่กินได้แก่พวกเขา พระองค์ทรงทำ�เช่นนี้เพราะการเลี้ยงใครสัก คนหนึง่ เป็นเครือ่ งหมายแห่งความรัก ในฐานะเครือ่ งหมายแห่งความรักพระเยซูเจ้าประทานศีลมหาสนิท อาหาร และเครื่องดื่มพิเศษแก่เรา อาหารฝ่ายจิตที่หล่อเลี้ยงวิญญาณของเรา ทุกครั้งที่รับศีลมหาสนิทเราควรตระหนัก อยู่เสมอว่าเรากำ�ลังรับเครื่องหมายแห่งความรักยิ่งใหญ่ที่พระเยซูเจ้าทรงมีต่อเราแต่ละคน


บทอ่านที่ 1 กจ 4:13-21 เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นว่าเปโตรและยอห์นพูดอย่างกล้าหาญ ทั้งรู้ว่าทั้งสองคนไม่ เคยได้รบั การศึกษา และไม่มคี วามรูพ้ เิ ศษใดๆ ก็ประหลาดใจและระลึกได้วา่ ทัง้ สองคน เคยอยู่กับพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นคนที่หายจากโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น เขาก็ไม่รู้ ว่าจะพูดอย่างไร จึงสัง่ ให้ทงั้ สองคนออกไปนอกห้องประชุม แล้วเริม่ ปรึกษากันว่า “เรา จะทำ�อย่างไรกับทั้งสองคนนี้ดี” เพราะเขาทำ�การอัศจรรย์เด่นชัด ทุกคนที่อยู่ในกรุง เยรูซาเล็มรู้ว่าเขาทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์นี้อย่างเปิดเผย เราไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เรา ต้องขู่เขา อย่าให้กล่าวถึงนามนั้นแก่ผู้ใด เพื่อเรื่องนี้จะได้ไม่เล่าลือแพร่หลายไปในหมู่ ประชาชนมากยิ่งขึ้น” เขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นเข้ามา สั่งอย่างเด็ดขาดมิให้พูดหรือสอนในพระนาม พระเยซูเจ้าอีก เปโตรและยอห์นย้อนถามว่า “ท่านทัง้ หลายจงตัดสินเถิดว่าอะไรเป็นการ ถูกต้องเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าจะฟังท่านหรือจะฟังพระเจ้า เราจำ�เป็นต้องพูดถึง สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินมา” ที่ประชุมขู่สำ�ทับทั้งสองคนอีกครั้งหนึ่งแล้วปล่อยไป เพราะไม่พบสาเหตุทจี่ ะลงโทษและเพราะกลัวประชาชน ทุกคนต่างถวายพระเกียรติแด่ พระเจ้าเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อัฐมวารปัสกา สดด 118:1 และ 14-15, 16-18,19-21

พระวรสาร มก 16:9-15 หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพตอนเช้าตรู่วันต้นสัปดาห์แล้ว พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่ มารีย์ชาวมักดาลาเป็นคนแรก นางคือผู้ที่พระองค์เคยทรงไล่ปีศาจเจ็ดตนออกไป นางจึงไปบอกผู้ที่กำ�ลัง ร้องไห้เป็นทุกข์ซ่ึงเคยอยู่กับพระองค์ เมื่อเขาเหล่านั้นได้ยินนางพูดว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่และนาง เห็นพระองค์แล้ว เขาก็ไม่เชื่อ หลังจากนั้น พระองค์ทรงสำ�แดงพระองค์ในรูปแตกต่างไปกับศิษย์สองคนซึ่งกำ�ลังเดินทางไปชนบท เขาทั้งสองคนกลับมาเล่าให้คนอื่นฟัง แต่คนเหล่านั้นก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกัน ในที่สุด พระองค์ทรงสำ�แดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบเอ็ดคนขณะที่เขากำ�ลังร่วมโต๊ะกินอาหารอยู่ ทรงตำ�หนิพวกเขาที่ไม่ยอมเชื่อและมีใจแข็งกระด้าง เพราะไม่ยอมเชื่อผู้ที่เห็นพระองค์เมื่อทรงกลับคืน พระชนมชีพแล้ว พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง ความเชือ่ เป็นพระพรหรือของประทานจากพระเจ้า ซึง่ เราไม่สามารถได้มาด้วยความสามารถส่วน ตัวหรือทรัพย์สินเงินทอง ความเชื่อเป็นธรรมลํ้าลึกประการหนึ่ง บางคนอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ศึกษางานเขียน ทางเทววิทยาจากหลายสำ�นัก และฟังนักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่เทศน์สอน แต่ไม่กลับใจมาเชื่อในพระเจ้า มารีย์ ชาวมักดาลาบอกศิษย์หลายคนเกีย่ วกับการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า แต่พวกเขาไม่เชือ่ เมือ่ พระเยซู เจ้าทรงปรากฏองค์แก่บรรดาอัครสาวก พระองค์ทรงตำ�หนิพวกเขาทีไ่ ม่ยอมเชือ่ คงไม่ใช่เรือ่ งแปลกทีป่ จั จุบนั ยัง มีคนหลายพันล้านคนที่ยังไม่มีความเชื่อในพระเจ้า ให้เราขอบพระคุณพระเจ้าสำ�หรับพระพรยิ่งใหญ่ที่พระองค์ ประทานสิ่งนี้แก่เราเพราะพระองค์ทรงรักเรา แม้เราจะไม่สมควรได้รับก็ตาม


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ฉลองพระเมตตา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 4:32-35 กลุ่มผู้มีความเชื่อดำ�เนินชีวิตเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมีเป็น กรรมสิทธิ์ของตน แต่ทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซู องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าด้วยเครือ่ งหมายอัศจรรย์ยงิ่ ใหญ่ และทุกคนได้รบั ความเคารพนับถือ อย่างสูง ในกลุ่มของเขาไม่มีใครขัดสน ผู้ใดมีที่ดินหรือบ้านก็ขายและมอบเงินที่ได้ ให้ บรรดาอัครสาวก เพื่อแจกจ่ายให้ผู้มีความเชื่อแต่ละคนตามความต้องการ เพลงสดุดี สดด 118:2-4,16-18,22-24 ก) เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ด�ำรงอยู่เป็นนิตย์” เผ่าพันธุ์อาโรนจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ด�ำรงอยู่เป็นนิตย์” ผู้ย�ำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ด�ำรงอยู่เป็นนิตย์” ข) พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชูขึ้น พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีชัยชนะ” ข้าพเจ้าจะไม่ตาย ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และจะประกาศพระราชกิจยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงโทษข้าพเจ้าอย่างเข้มงวด แต่ก็มิได้ทรงปล่อยข้าพเจ้าให้ตาย ค) ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างทิ้งไป กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระท�ำการนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ตาของเรา นี่คือวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้าง เราจงยินดีและมีความสุขเถิด บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์น ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 5:1-6 พี่น้องที่รักยิ่ง ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า ย่อมบังเกิดจากพระเจ้า ทุกคนที่รักบิดา ย่อมรักบุตรของเขาด้วย เรารู้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้า เมื่อเรา รักพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ ความรักต่อพระเจ้าคือการปฏิบัติ ตามบทบัญญัติ บทบัญญัติของพระองค์มิใช่ภาระหนัก เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า


ชนะโลกแล้ว ชัยชนะที่ชนะโลกก็คือความเชื่อของเรา ใครเล่าชนะโลกได้ ถ้ามิใช่ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้เสด็จมา โดยนํ้าและโดยพระโลหิต พระองค์คือพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์มิได้เสด็จมาโดยนํ้าเพียงอย่างเดียว แต่ เสด็จมาโดยนํ้าและโดยพระโลหิต และพระจิตเจ้าทรงเป็นพยานถึงเรื่องนี้ เพราะพระจิตเจ้าทรงเป็นความ จริง

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:19-31 คาํ่ วันนัน้ ซึง่ เป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูหอ้ งทีบ่ รรดาศิษย์ก�ำ ลังชุมนุมกันปิดอยูเ่ พราะกลัวชาวยิว พระเยซู เจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มี ความยินดี พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เรา ก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอภัย บาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการ อภัยด้วย” โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคน อื่นๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอื่นบอกเขาว่า “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำ�ที่ด้าน ข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็ อยู่กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุข จงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำ�ทีส่ ขี า้ งของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชือ่ เถิด” โทมัสทูลพระองค์วา่ “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข” พระเยซูเจ้ายังทรงกระทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์อื่นอีกหลายประการให้บรรดาศิษย์เห็น แต่ไม่ได้บันทึก ไว้ในหนังสือเล่มนี้ เรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกไว้เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อนี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็จะมีชีวิตเดชะพระนามพระองค์ การยึดเหตุผลหรือวิทยาศาสตร์อย่างเดียวปิดใจและสติปญ ั ญาของโทมัสต่อการกลับคืนพระชนม ชีพของพระเยซูเจ้า การยึดตัวเองเป็นหลัก ความภูมใิ จในตัวเองมากเกินไป ความปรารถนาทีจ่ ะเป็นเจ้านายชีวติ ของตน ความต้องการที่จะควบคุมชะตากรรมของตัวเองแทนที่จะปล่อยให้ความเชื่อผสานกลมกลืนกับเหตุผล ทำ�ให้โทมัสเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เป็นเวลาหนึง่ สัปดาห์ ผลทีต่ ามมาคือท่านต้องใช้ชวี ติ ทีป่ ราศจากพระเยซู เจ้าผูท้ รงกลับคืนพระชนมชีพถึงเจ็ดวัน สิง่ ทีเ่ ราต้องทำ�เพือ่ พบกับพระเยซูเจ้าคือ ปล่อยให้เหตุผลของเราทำ�งาน ร่วมกับความเชื่อและมอบตัวเราทั้งครบไว้ในพระหัตถ์ของพระเยซูเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก ถ้าทำ�เช่นนี้ เรา จะไม่มีอะไรที่ต้องเสีย แต่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง


บทอ่านที่ 1 อสย 7:10-14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกษัตริย์อาคัสอีกว่า “จงขอองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพระองค์ ให้ทรงส่งเครื่องหมายจากที่ลึก ของแดนผู้ตาย หรือจากที่สูงเบื้องบนเถิด”... ประกาศกอิสยาห์จงึ ทูลว่า “ราชวงศ์กษัตริยด์ าวิดเอ๋ย จงฟังเถิด... องค์พระผูเ้ ป็น ่องหมายให้ท่านด้วยพระองค์เอง หญิงสาวผู้หนึ่งจะตั้งครรภ์และให้ สมโภชการแจ้งสาร เจ้กำ�าเนิจะประทานเครื ดบุตรชายและนางจะเรียกเขาว่า ‘อิมมานูเอล’ แปลว่า ‘พระเจ้าสถิตกับเรา’”

เรื่องพระวจนาตถ์ ทรงรับสภาพมนุษย์ บทอ่านที่ 2

ฮบ 10:4-10 สดด 40:6,7-8,9,10 เพราะเลือดโคเพศผู้และเลือดแพะชำ�ระบาปให้หมดสิ้นไปไม่ได้ ดังนั้น เมื่อพระ คริสตเจ้าเสด็จมาในโลก จึงตรัสว่า “พระองค์ไม่มีพระประสงค์เครื่องบูชาและของถวายอื่นใด พระองค์จึงทรงเตรียมร่างกายไว้ให้ข้าพเจ้า พระองค์ไม่พอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาชดเชยบาป ข้าพเจ้าจึงทูลว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้า อยู่ที่นี่ ในม้วนหนังสือมีข้อความเขียนเกี่ยวกับข้าพเจ้าไว้ว่า ข้าพเจ้ามาเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของ พระองค์”... พระวรสาร ลก 1:26-38 เมือ่ นางเอลีซาเบธตัง้ ครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึง่ ในแคว้น กาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริย์ ดาวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์ ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า “จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน” เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำ�นี้ พระนางมารีย์ทรงวุ่นวายพระทัยมากทรงถามพระองค์เองว่า คำ�ทักทายนี้ หมายความว่ากระไร... พระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็น พรหมจารี” ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะ แผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า ดูซิ เอลีซาเบธญาติของท่าน ทั้งๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์บุตรชาย ใครๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำ�ไม่ได้” พระนางมารีย์จึงตรัสว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” แล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป สมโภชการแจ้งสารทำ�ให้เราทราบถึงแผนการไถ่บาปมนุษย์ของพระ ทราบถึงการเลือกผู้ท่ีจะมา เป็นมารดาพระเจ้าและทราบถึงความสุภาพถ่อมตนอย่างทีส่ ดุ ของพระมารดามารีย์ เราได้พบความเข้มแข็งทีส่ ดุ จากสตรีที่ดูเหมือนอ่อนแอที่สุด เราพบจิตใจที่กล้าหาญที่สุดที่มีอยู่ในดวงพระทัยของแม่พระ วันฉลองนี้ทำ�ให้ เราได้มแี ม่ทางวิญญาณทีป่ ระเสริฐทีส่ ดุ จริงๆ การสมโภชนีจ้ งึ ควรนำ�เราให้ขอบพระคุณพระเจ้าสำ�หรับการไถ่บาป และขอบพระคุณพระองค์อีกครั้งหนึ่งสำ�หรับการมอบพระนางมารีย์ให้เป็นมารดาของเราคริสตชนทั้งปวงด้วย พระนางไม่ใช่เพียงรับสาร แต่พระนางได้ส่งสารแห่งความรักและความสุภาพถ่อมตนให้แก่เราด้วย


บทอ่านที่ 1 กจ 4:32-37 เวลานั้น กลุ่มผู้มีความเชื่อดำ�เนินชีวิตเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมี เป็นกรรมสิทธิ์ของตน แต่ทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซู องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าด้วยเครือ่ งหมายอัศจรรย์ยงิ่ ใหญ่ และทุกคนได้รบั ความเคารพนับถือ อย่างสูง ในกลุม่ ของเขาไม่มใี ครขัดสน ผูใ้ ดมีทดี่ นิ หรือบ้านก็ขายและมอบเงินทีไ่ ด้ให้บรรดา อัครสาวก เพื่อแจกจ่ายให้ผู้มีความเชื่อแต่ละคนตามความต้องการ ชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ บรรดาอัครสาวกเรียกเขาว่า บารนาบัส ซึ่งแปลว่า บุตร แห่งการให้กำ�ลังใจ เขาเป็นคนเผ่าเลวีชาวเกาะไซปรัส เขามีที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเขาขาย นำ�เงินมามอบให้บรรดาอัครสาวกด้วย พระวรสาร ยน 3:7-15 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่าน ทั้งหลายจำ�เป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยิน เสียงลมพัดแต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้า ก็เป็นเช่นนี”้ นิโคเดมัสทูลถามพระองค์วา่ “เหตุการณ์เช่นนีจ้ ะเป็นไปได้อย่างไร” พระ เยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ เรา บอกความจริงแก่ท่านว่า เรากำ�ลังพูดถึงเรื่องที่เรารู้และเป็นพยานถึงเรื่องที่เราเห็น แต่ ท่านทั้งหลายไม่ยอมรับคำ�ยืนยันของเรา ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเมื่อเราพูดถึงเรื่องที่ เกี่ยวกับโลกนี้ ท่านจะเชื่อได้อย่างไรเมื่อเราจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสวรรค์ ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรแห่งมนุษย์ เท่านั้น โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้น ฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่ง มนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น” (ยน 3:14) การยกขึ้นนี้หมายถึงทั้งการถูกยกขึ้นตรึง บนไม้กางเขนและการถูกยกขึ้นไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ในฐานะบุตรแห่งมนุษย์ พระเยซูเจ้าทรงถูกยกขึน้ บนไม้กางเขน เพือ่ ทุกคนทีม่ องดูและเชือ่ ในพระองค์จะได้รบั ชีวติ นิรันดร เหมือนชาวอิสราเอลต้องมองดูงูโลหะที่ติดไว้บนเสา เราต้องมองดูพระเยซูเจ้าผู้ ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน เมือ่ เห็นสิง่ ทีเ่ ป็นผลของบาปทีเ่ ราได้ท�ำ แล้ว เราต้องสำ�นึกผิดและ กลับใจ แล้วเราจะได้รับการเยียวยารักษาและมีความชื่นชมยินดีในความรอดพ้นซึ่ง พระองค์ทรงนำ�มาให้เราผ่านทางพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา สดด 93:1-2กข, 2ค-4,5 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


น.สตานิเลาส์ พระสังฆราช และมรณสักขี สดด 34:1-2,3-4, 5-6,7-8 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 กจ 5:17-26 ในครัง้ นัน้ มหาสมณะและทุกคนทีอ่ ยูก่ บั เขาคือกลุม่ ชาวสะดูสี มีความอิจฉาอย่าง ยิ่ง จึงจับกุมบรรดาอัครสาวกและจองจำ�ไว้ในคุกสาธารณะ เวลากลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดประตูคุก นำ�บรรดา อัครสาวกออกไป สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงไปที่พระวิหาร ประกาศพระวาจาเกี่ยวกับวิถี ชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟังเถิด” เมื่อบรรดาอัครสาวกได้ฟังดังนั้น ก็เข้าไปในพระวิหาร ตั้งแต่เช้าตรู่และเริ่มสั่งสอนที่นั่น เมื่อมหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขามาถึง ก็เรียกประชุมสภาซันเฮดรินและ บรรดาผูอ้ าวุโสทุกคนของอิสราเอล แล้วให้พนักงานไปทีค่ กุ นำ�ตัวบรรดาอัครสาวกออก มา แต่เมื่อพนักงานไปถึง ก็ไม่พบบรรดาอัครสาวกอยู่ในคุกแล้ว จึงกลับมารายงานว่า “พวกเราพบคุกปิดไว้อย่างแน่นหนาและคนเฝ้าก็ยืนรักษาการณ์อยู่ที่ประตู แต่เมื่อเรา เปิดประตูเข้าไปก็ไม่พบผู้ใดเลยสักคน” เมื่อนายทหารรักษาพระวิหารและบรรดา หัวหน้าสมณะได้ยินถ้อยคำ�เหล่านี้ ต่างรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะนั้นเอง มี คนหนึ่งมาบอกว่า “ดูซิ คนเหล่านั้นที่ท่านทั้งหลายจองจำ�ไว้ในคุก กำ�ลังยืนสั่งสอน ประชาชนอยู่ในพระวิหาร” นายทหารรักษาพระวิหารพร้อมกับนายทหารยามจึงไปนำ� บรรดาอัครสาวกมาโดยไม่ใช้กำ�ลัง เพราะเกรงประชาชนจะขว้างด้วยก้อนหิน

พระวรสาร ยน 3:16-21 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียง พระองค์เดียวของพระองค์ เพือ่ ทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ ในพระบุตรจะไม่พนิ าศ แต่จะมีชวี ติ นิรนั ดร เพราะพระเจ้า ทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น ผู้ ทีม่ คี วามเชือ่ ในพระบุตรจะไม่ถกู ตัดสินลงโทษ แต่ผทู้ ไี่ ม่มคี วามเชือ่ ก็ถกู ตัดสินลงโทษอยูแ่ ล้ว เพราะเขามิได้ มีความเชือ่ ในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คอื ความ สว่างเข้ามาในโลกนีแ้ ล้ว แต่มนุษย์รกั ความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำ�ของเขานัน้ ชัว่ ร้าย ทุก คนทีท่ �ำ ความชัว่ ย่อมเกลียดความสว่างและไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำ�ของตนจะปรากฏชัดแจ้ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาทำ�นั้นได้ทำ�โดยพึ่งพระเจ้า” การสิน้ พระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้าจะไม่เกิดขึน้ และความรอดพ้นของมวลมนุษย์จะไม่ กลายเป็นความจริง ถ้าไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่เบื้องหลัง เพราะความรักที่ไร้เงื่อนไขนี้เอง พระเจ้า “จึง ประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมี ชีวิตนิรันดร” (ยน 3:16) ในยามสับสนให้เรามั่นใจในความรักและพระเมตตาของพระเจ้า มองไปที่ไม้กางเขนที่ พระเยซูเจ้าทรงตรึงแขวนอยู่ แล้วจะรูว้ า่ พระเจ้าทรงรักเรามากแค่ไหน จำ�ไว้เสมอว่าพระองค์ทรงส่งพระบุตรมา ในโลกมิใช่เพื่อพิพากษาตัดสิน แต่เพื่อนำ�ความรอดพ้นมาให้เรา ถ้าเราวางใจในพระองค์ พระองค์จะประทาน พละกำ�ลังและความเข้มแข็งแก่เรา ผ่านทางไม้กางเขนพระองค์จะทรงหลัง่ พระหรรษทานเพือ่ รักษาเราให้รอดพ้น จากพิษร้ายของบาปที่นำ�เราไปสู่ความตาย


บทอ่านที่ 1 กจ 5:27-33 ในครั้งนั้น เขานำ�บรรดาอัครสาวกมายังสภาซันเฮดริน มหาสมณะจึงกล่าวหาว่า “เรากำ�ชับท่านทั้งหลายอย่างแข็งขันแล้ว ไม่ให้สอนโดยออกนามนี้ แต่ท่านยังขืนนำ� คำ�สอนของตนมาแพร่ไปทัว่ กรุงเยรูซาเล็ม และต้องการให้โลหิตของคนคนนีต้ กอยูก่ บั เรา” เปโตรและบรรดาอัครสาวกตอบว่า “เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรษุ ของเราทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าทีท่ า่ นทัง้ หลายประหารชีวติ โดย ตรึงบนไม้กางเขนนัน้ กลับคืนพระชนมชีพ พระเจ้าทรงยกพระองค์ทา่ นขึน้ ประทับเบือ้ ง ขวาในฐานะเป็นหัวหน้าและผู้กอบกู้ เพื่อให้อิสราเอลกลับใจและรับการอภัยบาป เรา ทั้งหลายเป็นพยานในเรื่องนี้ และพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานแก่ผู้ที่เชื่อฟังพระองค์ ก็ทรงเป็นพยานด้วย” เมื่อได้ฟังดังนี้ทุกคนในสภาซันเฮดรินรู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก อยากจะฆ่าบรรดาอัครสาวก พระวรสาร ยน 3:31-36 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ผู้ที่มาจากเบื้องบนย่อมอยู่เหนือทุกคน ผู้ที่มาจากแผ่นดินนี้ ย่อมเป็นของ แผ่นดินนี้ และพูดอย่างคนของแผ่นดินนี้ ผู้ที่มาจากสวรรค์ย่อมอยู่เหนือทุกคน เขา เป็นพยานถึงสิง่ ทีไ่ ด้เห็นและได้ยนิ แต่ไม่มใี ครยอมรับคำ�พยานยืนยันของเขา ผูท้ รี่ บั คำ� พยานยืนยันของเขา ก็รบั รองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง ผูท้ พี่ ระเจ้าทรงส่งมานัน้ ย่อมกล่าว พระวาจาของพระเจ้า เพราะพระเจ้าประทานพระจิตเจ้าให้เขาอย่างไม่จำ�กัด พระบิดา ทรงรักพระบุตร และทรงมอบทุกสิง่ ไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตร ผูใ้ ดมีความเชือ่ ในพระ บุตรย่อมมีชีวิตนิรันดร ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระบุตร จะไม่พบชีวิตนั้น การลงโทษของ พระเจ้ากำ�ลังอยู่เหนือเขาแล้ว” เมื่อบรรดาอัครสาวกออกไปประกาศข่าวดีหลังจากได้รับพระจิตเจ้าในวัน เปนเตกอสเตแล้ว พวกเขาพบกับการต่อต้านอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจากบรรดาผูน้ �ำ ศาสนา ในสมัยนั้น พวกเขาถูกขู่เอาชีวิต ถ้าไม่หยุดเทศน์สอนเรื่องพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระ ชนมชีพ นักบุญเปโตรและเพื่อนๆ ให้แนวทางชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้สำ�หรับเราในปัจจุบัน ท่านบอกว่า “เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์” (กจ 5:29) ในความพยายาม ที่จะปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า เราจะพบกับการต่อต้านจากหลายฝ่าย เพราะ คำ�สอนหลายอย่างของพระศาสนจักรเป็นการทวนกระแสค่านิยมของสังคมปัจจุบัน เรา ต้องมีจุดยืนและกล้าหาญพอที่จะอยู่ฝ่ายความจริงและความถูกต้องเหมือนบรรดาอัคร สาวก ให้เราวางใจในความรักของพระเจ้า และพร้อมด้วยพระหรรษทานของพระองค์เรา จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างแน่นอน

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา สดด 34:1,8,16-18, 19-20 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


ระลึกถึง น.มาร์ตินที่ 1 พระสันตะปาปา และมรณสักขี สดด 27:1,4,13-14 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันสงกรานต์

บทอ่านที่ 1 กจ 5:34-42 ขณะนัน้ อาจารย์กฎหมายชาวฟาริสคี นหนึง่ ชือ่ กามาลิเอล เป็นทีเ่ คารพนับถือของ ประชาชน ยืนขึน้ ในสภาซันเฮดรินและขอให้น�ำ บรรดาอัครสาวกออกไปข้างนอกสักครู่ หนึ่ง แล้วจึงกล่าวแก่บรรดาสมาชิกสภาว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ท่านจะทำ�อะไรกับ คนเหล่านี้ ก็จงคิดให้ดีเสียก่อน... จงเลิกสนใจคนเหล่านี้และปล่อยเขาไปเถิด เพราะ ถ้าแผนการและกิจการของเขามาจากมนุษย์ แผนการและกิจการนั้นก็จะสลายไปเอง แต่ถา้ มาจากพระเจ้า ท่านทัง้ หลายจะทำ�ลายเขาไม่ได้ ยิง่ กว่านัน้ ท่านจะกลับเป็นผูต้ อ่ สู้ กับพระเจ้าเสียเอง” ทุกคนเห็นด้วยกับกามาลิเอล จึงส่งคนไปเรียกบรรดาอัครสาวกเข้ามา สัง่ ให้เฆีย่ น และกำ�ชับมิให้พูดในพระนามพระเยซูเจ้า แล้วปล่อยตัวไป... ทุกๆ วัน เขาทัง้ หลายสัง่ สอนและประกาศข่าวดีอย่างต่อเนือ่ งทัง้ ในพระวิหารและ ตามบ้านว่าพระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า

พระวรสาร ยน 6:1-15 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามทะเลสาบกาลิลีหรือทีเบเรียส ประชาชนจำ�นวนมากตามพระองค์ไป เพราะเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ�แก่ผู้เจ็บป่วย พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขา ประทับที่นั่นพร้อม กับบรรดาศิษย์ ขณะนั้นใกล้จะถึงวันฉลองปัสกาของชาวยิว พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ ทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำ�นวนมากทีม่ าเฝ้า จึงตรัสกับฟีลปิ ว่า “พวก เราจะซื้อขนมปังที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน” พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อทดลองใจเขา แต่พระองค์ทรงทราบแล้วว่า จะทรงทำ�ประการใด ฟีลปิ ทูลตอบว่า “ขนมปังราคาสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ยงั ไม่พอ” ศิษย์อกี คน หนึง่ คือ อันดรูวน์ อ้ งของซีโมนเปโตรทูลว่า “เด็กคนหนึง่ ทีน่ มี่ ขี นมปังบาร์เลย์หา้ ก้อนกับปลาสองตัว ขนมปัง และปลาเพียงเท่านี้จะพออะไรสำ�หรับคนจำ�นวนมากเช่นนี้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงบอกประชาชนให้นั่งลง เถิด” ที่นั่นมีหญ้าขึ้นอยู่ทั่วไป เขาจึงนั่งลง นับจำ�นวนผู้ชายได้ถึงห้าพันคน พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปังขึ้น ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงแจกจ่ายให้แก่ผทู้ นี่ งั่ อยูต่ ามทีเ่ ขาต้องการ พระองค์ทรงกระทำ�เช่นเดียวกัน กับปลา เมื่อคนทั้งหลายอิ่มแล้ว พระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงเก็บเศษขนมปังที่เหลือ อย่าให้สิ่งใด สูญไปเปล่าๆ” บรรดาศิษย์จึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือนั้นได้สิบสองกระบุง เมื่อคนทั้งหลาย เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ�ก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นประกาศกแท้ซึ่งจะต้องมาในโลก” พระเยซูเจ้า ทรงทราบว่าคนเหล่านั้นจะใช้กำ�ลังบังคับพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ จึงเสด็จไปบนภูเขาตามลำ�พังอีกครั้งหนึ่ง ความเชื่อแท้ไม่ทำ�ให้เรางอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำ�อะไร หรือเฝ้ารอคอยและเงยหน้าขึ้นสู่ สวรรค์เท่านัน้ แต่จะกระตุน้ เราให้แสดงและใช้ศกั ยภาพทัง้ หมดทีเ่ รามีอยูอ่ อกมาอย่างเต็มที่ ถ้าปราศจากขนมปัง ห้าก้อนและปลาสองตัว อาจไม่มีอัศจรรย์ในพระวรสารวันนี้ก็ได้ อัศจรรย์ไม่ใช่เป็นกิจการของพระเจ้าเพื่อเรา แต่เป็นกิจการของพระเจ้าพร้อมกับเรา โดยอาศัยความร่วมมือของเรา ผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวว่า “ไม่ว่าคุณคิดว่า ทำ�ได้ หรือทำ�ไม่ได้ คุณถูกต้อง” ในทำ�นองเดียวกันเราสามารถพูดว่า “ไม่ว่าคุณเชื่อในอัศจรรย์ หรือไม่เชื่อ คุณถูกต้อง” แต่อย่าลืมว่าโดยทางความเชื่อ ผู้มีความเชื่อสามารถทำ�ให้อัศจรรย์เกิดขึ้นในชีวิตได้ ส่วนผู้ไม่มี ความเชื่อ เพราะความไม่เชื่อ จึงปิดโอกาสตนเองจากการสัมผัสอัศจรรย์และความรักของพระเจ้า


บทอ่านที่ 1 กจ 6:1-7 เวลานัน้ ศิษย์มจี �ำ นวนมากขึน้ บรรดาศิษย์ทพี่ ดู ภาษากรีกไม่พอใจศิษย์ทพี่ ดู ภาษา ฮีบรู เพราะในการแจกทานประจำ�วัน บรรดาแม่ม่ายของตนถูกละเลยมิได้รับแจก อัครสาวกสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์มาประชุม กล่าวว่า “ไม่สมควรที่เราจะ ละทิง้ การประกาศพระวาจาของพระเจ้าเพือ่ ไปแจกอาหาร พีน่ อ้ งทัง้ หลาย จงเลือกบุรษุ เจ็ดคนจากกลุ่มของท่านทั้งหลาย เป็นคนที่มีชื่อเสียงดี เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าและ ปรีชาญาณ แล้วเราจะแต่งตั้งเขาให้ทำ�หน้าที่นี้ ส่วนเราจะอุทิศตนอธิษฐานภาวนาและ ประกาศพระวาจา ทุกคนในที่ประชุมต่างเห็นชอบกับข้อเสนอนี้ จึงเลือกสเทเฟนบุรุษ ผู้เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า ฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปาร์เมนัส และ นิโคลัสชาวอันทิโอกผู้กลับใจมานับถือศาสนายิว เขานำ�คนทั้งเจ็ดคนมาอยู่ต่อหน้า บรรดาอัครสาวกซึ่งอธิษฐานภาวนาและปกมือเหนือเขา พระวาจาของพระเจ้าแพร่หลายยิ่งขึ้น ศิษย์มีจำ�นวนมากขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม บรรดาสมณะหลายคนยอมรับความเชื่อด้วย พระวรสาร ยน 6:16-21 เมือ่ ถึงเวลาเย็น บรรดาศิษย์ตา่ งลงไปยังทะเลสาบ และลงเรือข้ามฟากไปทางเมือง คาเปอรนาอุม ขณะนั้นมืดแล้ว พระเยซูเจ้าก็ยังไม่เสด็จมากับเขา ทะเลปั่นป่วนเพราะ ลมพัดจัด บรรดาศิษย์กรรเชียงเรือไปได้ราวสีห่ รือห้ากิโลเมตร เห็นพระเยซูเจ้าทรงพระ ดำ�เนินบนทะเล เข้ามาใกล้เรือ ก็ตกใจกลัว แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “เป็นเราเอง อย่า กลัวเลย” บรรดาศิษย์รับพระองค์ลงเรือด้วยความเต็มใจ ทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขามุ่ง จะไป ในพันธสัญญาเดิมอำ�นาจเหนือนาํ้ เป็นเครือ่ งหมายอย่างหนึง่ ของการเป็น พระเจ้า เพือ่ ช่วยชาวอิสราเอลให้หนีพน้ จากการไล่ลา่ ของกองทัพอียปิ ต์ พระเจ้าทรงทำ� ให้นํ้าในทะเลแดงแยกออกจากกัน พระเยซูเจ้าไม่เพียงทรงดำ�เนินบนนํ้าเท่านั้น แต่ทรง สามารถบังคับลมพายุให้สงบลงได้ อัศจรรย์นี้เผยแสดงให้เราเห็นคุณลักษณะที่แท้จริง ของพระองค์ในฐานะพระบุตรของพระเจ้า หลายครัง้ เราประสบกับมรสุมชีวติ ความทุกข์ ประดังเข้ามาหาเราประดุจนํา้ ป่าทีไ่ หลหลากลงมาอย่างไม่ขาดสาย ไม่วา่ จะเกิดอะไรขึน้ ให้เรามั่นใจในอำ�นาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงพระทัยดี พระองค์ทรงอยู่เคียง ข้างเราเสมอและจะทรงใช้อำ�นาจแห่งรักปกป้องคุ้มครองบรรดาลูกๆ ของพระองค์ให้ รอดพ้นจากอำ�นาจชั่วร้ายอย่างแน่นอน

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา สดด 33:1-3, 4-5,18-19 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 3:13-15,17-19 ในครั้งนั้น เปโตรกล่าวกับประชาชนว่า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และ ยาโคบ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงสำ�แดงอำ�นาจรุ่งเรืองของพระเยซูเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ ท่านทั้งหลายได้มอบพระเยซูเจ้านี้ให้แก่บรรดาผู้ปกครอง และได้ ปฏิเสธพระองค์ต่อหน้าปีลาต ทั้งๆ ที่ปีลาตตัดสินใจจะปล่อยพระองค์อยู่แล้ว ท่าน ปฏิเสธพระองค์ผศู้ กั ดิส์ ทิ ธิแ์ ละชอบธรรม แต่กลับขอให้ปล่อยฆาตกร ท่านประหารเจ้า ชีวิต แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เรา เป็นพยานได้ในเรื่องนี้ ถึงกระนั้น พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านทำ�ไปเพราะไม่รู้เช่นเดียวกับบรรดา หัวหน้าของท่าน แต่พระเจ้าทรงใช้วิธีนี้เพื่อทำ�ให้ถ้อยคำ�ที่พระองค์ตรัสไว้ล่วงหน้าโดย ทางบรรดาประกาศกว่าพระคริสตเจ้าของพระองค์จะต้องทรงรับทรมานนั้นเป็นจริง เพราะฉะนั้น ท่านจงเป็นทุกข์กลับใจและหันมาหาพระเจ้าเถิด เพื่อบาปของท่านจะได้ รับการอภัย เพลงสดุดี สดด 4:1,3,6,8 ก) ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงพิทักษ์สิทธิของข้าพเจ้า โปรดตรัสตอบข้าพเจ้าเถิด เมื่อข้าพเจ้าร้องหาพระองค์ ยามข้าพเจ้าตกอยู่ในอันตราย พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้ปลอดภัย โปรดทรงเมตตาสงสารข้าพเจ้า และทรงฟังค�ำอธิษฐานภาวนาของข้าพเจ้าเถิด ข) จงรู้เถิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระท�ำปาฏิหาริย์ส�ำหรับผู้จงรักภักดี ต่อพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังเมื่อข้าพเจ้าร้องหาพระองค์ ค) หลายคนกล่าวว่า “ใครจะทำ�ให้เราประสบความสุขได้” ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้แสงแห่งพระพักตร์ส่องสว่าง เหนือข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ง) เมื่อข้าพเจ้านอน ก็จะหลับทันทีอย่างสงบ เพราะมิใช่ใครอื่น ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า มีเพียงพระองค์ที่ทรงท�ำให้ข้าพเจ้าอยู่อย่างปลอดภัย บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์น ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 2:1-5ก ลูกที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ถึงท่าน เพื่อท่านจะได้ไม่ทำ�บาป แต่ถ้าใคร


ทำ�บาป เรายังมีทนายแก้ต่างให้เฉพาะพระพักตร์ของพระ บิดา คือพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเที่ยงธรรม พระองค์ทรง เป็นเครื่องบูชาชดเชยบาปของเรา และไม่เพียงแต่ชดเชย เฉพาะบาปของเราเท่านั้น แต่ชดเชยบาปของมนุษย์ทั้งโลก ด้วย ถ้าเราปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ เรามั่นใจว่า เรารู้จักพระองค์ ผู้ที่พูดว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่ไม่ ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ เขาเป็นคนพูดคำ�เท็จ และ “ความจริง” ไม่อยูใ่ นตัวเขา แต่ผทู้ ปี่ ฏิบตั ติ ามพระวาจา ของพระองค์ ความรักของพระเจ้าในผู้นั้นย่อมสมบูรณ์

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 24:35-48 เวลานัน้ ศิษย์ทงั้ สองคนจึงเล่าเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ ตามทางและเล่าว่าตนจำ�พระองค์ได้เมือ่ ทรงบิขนมปัง ขณะ ที่บรรดาศิษย์กำ�ลังสนทนากันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ในหมู่เขา ตรัสว่า “สันติสุขจงดำ�รงอยู่กับท่าน ทั้งหลายเถิด” เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี แต่พระองค์ตรัสว่า “ท่านวุ่นวายใจทำ�ไม เพราะเหตุใดท่าน จึงมีความสงสัยในใจ จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริงๆ จงคลำ�ตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูก อย่างทีท่ า่ นเห็นว่าเรามี” ตรัสดังนีแ้ ล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และพระบาท เขายินดีและแปลกใจจน ไม่อยากเชื่อ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านมีอะไรกินบ้าง” เขาถวายปลาย่างชิ้นหนึ่งแด่พระองค์ พระองค์ ทรงรับมาเสวยต่อหน้าเขา หลังจากนั้นพระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่คือความหมายของถ้อยคำ�ที่เรากล่าวไว้ขณะที่ยังอยู่กับท่าน ทุก สิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในธรรมบัญญัติของโมเสส บรรดาประกาศกและเพลงสดุดีจะต้องเป็นความจริง” แล้วพระองค์ทรงทำ�ให้เขาเกิดปัญญาเข้าใจพระคัมภีร์ ตรัสว่า “มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องทน ทุกข์ทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายในวันทีส่ าม จะต้องประกาศในพระนามพระองค์ให้ นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้

การเสด็จมาพบบรรดาศิษย์แสดงให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงให้อภัยความผิดทุกอย่างของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิง่ การละทิ้งพระองค์ พร้อมกันนี้พระองค์ทรงสั่งพวกเขาไปประกาศให้มนุษย์ทุกคนกลับใจเพื่อ รับอภัยบาป เมื่อเราสำ�นึกผิดกลับใจ ปรารถนาที่จะกลับมาหาพระเยซูเจ้า และตั้งใจจะไม่ทำ�บาปอีก พระองค์ ทรงอภัยบาปให้เราผ่านทางศีลอภัยบาป พระองค์ทรงชดเชยความผิดบาปของเราโดยทางพระทรมานและการ สิน้ พระชนม์ของพระองค์ การอภัยบาปไหลหลัง่ มาสูเ่ ราจากไม้กางเขนทีพ่ ระองค์ทรงถูกตรึง บาปเป็นเหตุให้เรา ต้องรับโทษจากพระบิดาเจ้าสวรรค์ แต่พระทรมานและการสิน้ พระชนม์ของพระเยซูเจ้าช่วยเราให้ได้รบั การอภัย จากพระเจ้า


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา สดด 119:23-24, 26-27,29-30 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 กจ 6:8-15 ในครั้งนั้น สเทเฟนเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและพระอานุภาพ ทำ�ปาฏิหาริย์และ เครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในหมู่ประชาชน บางคนจากศาลาธรรมที่เรียกกันว่าศาลา ธรรมของเสรีชนที่เคยเป็นทาส คือชาวยิวจากเมืองไซรีน เมืองอเล็กซานเดรีย แคว้น ซีลีเซียและอาเซีย เริ่มโต้เถียงกับสเทเฟน แต่เขาเหล่านั้นเอาชนะสเทเฟนไม่ได้ เพราะสเทเฟนพูดด้วยปรีชาญาณซึ่งมาจากพระจิตเจ้า คนเหล่านั้นจึงเสี้ยมสอน ประชาชนบางคนให้ใส่ความว่า “พวกเราได้ยินเขาพูดดูหมิ่นโมเสสและพระเจ้า” เขา เหล่านั้นยุยงประชาชนบรรดาผู้อาวุโสและธรรมาจารย์ให้ปั่นป่วนวุ่นวาย แล้วจึงเข้า จู่โจมจับกุมสเทเฟนนำ�ไปยังสภาซันเฮดริน ตั้งพยานเท็จปรักปรำ�ว่า “ชายคนนี้พูด ดูหมิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และธรรมบัญญัติอยู่เสมอ พวกเราได้ยินเขาพูดว่า เยซู ชาว นาซาเร็ธผูน้ จี้ ะทำ�ลายสถานทีน่ แี้ ละจะเปลีย่ นแปลงขนบประเพณีทโี่ มเสสมอบให้เรา” ทุกคนที่นั่งอยู่ในสภาซันเฮดรินต่างเพ่งมองสเทเฟน เห็นใบหน้าของเขาสว่างรุ่งเรือง เหมือนกับใบหน้าของทูตสวรรค์

พระวรสาร ยน 6:22-29 วันรุ่งขึ้น ประชาชนที่ยังอยู่บนฝั่งตรงข้ามสังเกตเห็นว่า มีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำ�เดียว และจำ�ได้ว่าพระ เยซูเจ้ามิได้เสด็จลงเรือไปกับบรรดาศิษย์ บรรดาศิษย์ไปกันตามลำ�พังเท่านัน้ แต่เรือลำ�อืน่ จากเมืองทีเบเรียส มายังสถานที่ที่พวกเขาได้กินขนมปัง เมื่อประชาชนเห็นว่าทั้งพระเยซูเจ้า และบรรดาศิษย์ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ก็ ลงเรือ มุ่งไปที่เมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซูเจ้า เมื่อพบพระองค์ที่ฝั่งตรงข้าม จึงทูลถามว่า “พระ อาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็น เครื่องหมายอัศจรรย์ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จง หาอาหารทีค่ งอยูแ่ ละนำ�ชีวติ นิรนั ดรมาให้ อาหารนีบ้ ตุ รแห่งมนุษย์จะประทานให้ทา่ น เพราะพระเจ้าพระบิดา ทรงประทับตรารับรองบุตรแห่งมนุษย์ไว้แล้ว” เขาเหล่านัน้ จึงทูลว่า “พวกเราจะต้องทำ�อะไรเพือ่ ให้กจิ การของพระเจ้าสำ�เร็จ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “กิจการของพระเจ้าก็คือให้ท่านทั้งหลายเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา” สำ�หรับพระเยซูเจ้า ความหิวของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ความหิวฝ่ายกายซึ่งแม้จะ ระงับได้ด้วยอาหารก็จริง แต่กินแล้วร่างกายก็ยังคงเสื่อมสลายไป อีกประเภทหนึ่งคือความหิวฝ่ายจิตใจซึ่งไม่มี สิ่งใดในโลกนี้จะระงับหรือทำ�ให้พึงพอใจได้เว้นแต่พระองค์เท่านั้น หากเราหิวกระหายความจริง พระองค์เป็นความจริง พระองค์คือผู้นำ�ความจริงของพระเจ้ามาสู่เรามนุษย์ หากเราหิวกระหายชีวิต พระองค์เป็นชีวิต พระองค์มีชีวิตของพระเจ้าอย่างอุดมสมบูรณ์ หากเราหิวกระหายความรัก พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก พระองค์คือผู้เดียวที่สามารถดับความหิวกระหายในจิตใจและวิญญาณของเรามนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ !


บทอ่านที่ 1 กจ 7:51-59,8:1ก ในครั้งนั้น สเทเฟนกล่าวกับประชาชน ผู้อาวุโส และธรรมาจารย์ว่า “ท่านผู้ดื้อรั้น ใจกระด้างและหูตึงทั้งหลายเอ๋ย ท่านต่อต้านพระจิตเจ้าอยู่เสมอ บรรพบุรษุ ของท่านเคยทำ�เช่นไร ท่านก็ท�ำ เช่นนัน้ มีประกาศกคนใดบ้างทีบ่ รรพบุรษุ ของ ท่านมิได้เบียดเบียน เขาฆ่าผู้ที่ประกาศล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าผู้ทรง ชอบธรรม และบัดนีท้ า่ นทัง้ หลายก็ทรยศและฆ่าพระองค์ดว้ ย ท่านทัง้ หลายได้รบั ธรรม บัญญัติผ่านทางทูตสวรรค์ แต่ก็หาได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัตินั้นไม่” เมื่อได้ฟังดังนั้น ทุกคนรู้สึกขุ่นเคืองเจ็บใจ ขบฟันคำ�รามเข้าใส่สเทเฟน สเทเฟนเปีย่ มด้วยพระจิตเจ้า เพ่งมองท้องฟ้า มองเห็นพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระเจ้า และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยูเ่ บือ้ งขวาของพระเจ้า จึงพูดว่า “ดูซิ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้า เปิดออก และเห็นบุตรแห่งมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า” ทุกคนจึงร้องเสียง ดัง เอามืออุดหู วิ่งกรูกันเข้าใส่สเทเฟน ฉุดลากเขาออกไปนอกเมืองแล้วเริ่มเอา หินขว้างเขา บรรดาพยานนำ�เสื้อคลุมของตนมาวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “เซาโล” ขณะที่คนทั้งหลายกำ�ลังเอาหินขว้างสเทเฟน สเทเฟนอธิษฐานภาวนาว่า “ข้าแต่พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดรับวิญญาณของข้าพเจ้าด้วย” เซาโลเป็นคน หนึ่งที่เห็นชอบกับการที่สเทเฟนถูกฆ่า

สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา สดด 31:2-3,5-7, 16,20 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร ยน 6:30-35 เวลานั้น ประชาชนจึงทูลถามว่า “ท่านทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ใดเพื่อพวกเราจะได้เห็น และจะได้เชื่อ ในท่าน ท่านทำ�อะไร บรรพบุรุษของเราได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดาร ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ ประทานขนมปังจากสวรรค์ให้เขากิน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้ขนมปังจากสวรรค์แก่ ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานขนมปังแท้จากสวรรค์ให้ท่าน เพราะขนมปังของพระเจ้า คือขนมปัง ซึ่งลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” ประชาชนจึงทูลว่า “นายขอรับ โปรดให้ขนมปังนี้แก่พวกเราเสมอเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหาย อีกเลย พระเยซูเจ้าทรงเป็น “ปังแห่งชีวิต” ด้วยเหตุผลที่ว่า ขนมปังหล่อเลี้ยงชีวิต ปราศจากขนมปังชีวิต ก็มิอาจดำ�เนินต่อไปได้ แต่ชีวิตมิได้หมายถึงชีวิตทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังหมายถึงชีวิตวิญญาณซึ่งต้องมีความสัมพันธ์ใหม่กับ พระเจ้า เป็นความสัมพันธ์ทที่ �ำ ให้ชวี ติ เต็มเปีย่ มไปด้วยความวางใจ ความรัก และความนอบน้อมเชือ่ ฟังพระองค์ อีกด้วย ความสัมพันธ์ใหม่นเี้ ป็นไปได้กโ็ ดยอาศัยพระเยซูเจ้า ปราศจากพระองค์ยอ่ มไม่มผี ใู้ ดเข้าถึงความสัมพันธ์นี้ ได้ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงเป็นแก่นสำ�คัญของชีวิต จนกล่าวได้ว่าทรงเป็น “ปังแห่งชีวิต” หากเราเชือ่ และเข้ามาหาพระองค์ จิตใจทีห่ วิ กระหายและแสวงหาชีวติ จะพบกับความอิม่ หนำ�และพึงพอใจ ความหิวกระหายและการดิ้นรนจะหมดสิ้นไป สิ่งที่คงอยู่คือความสุขสันติในจิตใจทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา สดด 66:1-3, 4-5,6ก-7 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 กจ 8:1ข-8 วันนัน้ เกิดการเบียดเบียนพระศาสนจักรอย่างรุนแรงในกรุงเยรูซาเล็ม ทุกคนนอก จากบรรดาอัครสาวกกระจัดกระจายไปตามชนบทในแคว้นยูเดียและสะมาเรีย ผูม้ ใี จศรัทธาบางคนนำ�ศพสเทเฟนไปฝังและรํา่ ไห้ครํา่ ครวญถึงเขาอย่างมาก ส่วน เซาโลออกรังควานพระศาสนจักร เข้าไปตามบ้าน ฉุดลากทั้งชายและหญิงไปจองจำ�ไว้ ในคุก บรรดาผู้ที่กระจัดกระจายไปเหล่านี้ออกไปยังที่ต่างๆ ประกาศพระวาจาเป็นข่าวดี ฟีลปิ ไปเมืองหนึง่ ในแคว้นสะมาเรีย และประกาศเรือ่ งพระคริสตเจ้าให้ชาวเมืองนัน้ ฟัง ประชาชนทีไ่ ด้ฟงั ถ้อยคำ�ของฟีลปิ และเห็นเครือ่ งหมายอัศจรรย์ทเี่ ขาทำ� ก็พร้อมใจกัน ฟังคำ�สัง่ สอนของเขา คนหลายคนทีถ่ กู ปีศาจสิงอยูร่ อ้ งเสียงดังแล้วปีศาจก็ออกไป คน อัมพาตและคนง่อยจำ�นวนมากหายจากโรค ประชาชนในเมืองนั้นจึงชื่นชมอย่างมาก พระวรสาร ยน 6:35-40 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “เราเป็นปังแห่งชีวติ ผูท้ มี่ าหาเราจะไม่หวิ และผูท้ เี่ ชือ่ ในเราจะไม่กระหายอีกเลย เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านเห็นเราแล้ว แต่ไม่เชื่อ ทุกคนที่พระบิดาทรงมอบให้ เรา จะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ผลักไสไปเลย เพราะเราลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อทำ�ตามใจของเรา แต่เพือ่ ทำ�ตามพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามา พระประสงค์ ของผู้ทรงส่งเรามาก็คือ เราจะไม่สูญเสียผู้ใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เรา แต่จะให้ผู้ นั้นกลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระประสงค์ของพระบิดาของเราก็คือ ทุกคนที่เห็นพระ บุตร แล้วเชื่อในพระบุตร จะมีชีวิตนิรันดร และเราจะให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย” พระวรสารวันนี้เผยแสดงให้เราเห็นขั้นตอนเพื่อจะมี “ชีวิตนิรันดร” เริ่มต้นจากเราได้เห็น ได้ฟัง หรือได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า แล้วเราเข้ามา หาพระองค์ จากนั้น เราเริ่มยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าและทรงมีอำ�นาจ เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหนือชีวติ มนุษย์ เราจึงยอมขึน้ ต่อพระองค์ และมอบความวางใจทัง้ หมด ไว้ในพระองค์ นี่คือความเชื่อ ! ความเชือ่ นีท้ �ำ ให้เรามีความสัมพันธ์ใหม่กบั พระเจ้า พระองค์กลายเป็นบิดาผูท้ รงเปีย่ ม ด้วยความรัก มิใช่ผู้ที่ลึกลับน่ากลัวอีกต่อไป ความสัมพันธ์ใหม่ซึ่งเกิดขึ้นได้โดยผ่านทาง พระเยซูเจ้านี้คือชีวิตนิรันดร พระเจ้าทรงเป็นผู้ริเริ่มแผนการแห่งความรอดพ้นและทรงเชื้อเชิญมนุษย์ทุกคนมาสู่ ชีวิตนิรันดรก็จริง แต่การตอบรับหรือปฏิเสธคำ�เชิญของพระองค์ เป็นการตัดสินใจและ เป็นความรับผิดชอบของเราแต่ละคนเอง !


บทอ่านที่ 1 กจ 8:26-40 ในครั้งนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น และเดินไปทาง ทิศใต้ ตามทางที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองกาซา ทางนั้นเป็นทางเปลี่ยว” ฟีลิปจึงลุกขึ้นออกเดินทาง ระหว่างทางเขาพบชาวเอธิโอเปียคนหนึ่ง เป็นขันที... ขณะ เดินทางกลับ เขานั่งในรถม้าและอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ พระจิตเจ้าตรัสสั่ง ฟีลิปว่า “จงตามรถคันนั้นไปให้ทัน” ฟีลิปวิ่งตามไป ได้ยินเขากำ�ลังอ่านหนังสือของ สัปดาห์ที่ 3 ประกาศกอิสยาห์ จึงถามว่า “ท่านเข้าใจข้อความที่กำ�ลังอ่านหรือ” ขันทีตอบว่า เทศกาลปัสกา “ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครอธิบาย” แล้วเขาก็เชิญฟีลิปขึ้นไปนั่งด้วย สดด 66:8,16-17, ข้อความของพระคัมภีร์ที่เขากำ�ลังอ่านอยู่นั้น มีดังนี้ 19-20 “เขาถูกนำ�ไปฆ่าเหมือนแกะตัวหนึง่ ลูกแกะไม่ออกเสียงเมือ่ อยูต่ อ่ หน้าคนตัดขน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 แกะฉันใด เขาก็ไม่อ้าปากฉันนั้น เมื่อเขาถูกเหยียดหยาม เขาไม่ได้รับความยุติธรรม เลย ใครจะเล่าเรื่องเชื้อสายของเขาได้ เพราะชีวิตของเขาถูกยกไปจากแผ่นดินนี้แล้ว”... ฟีลิปจึงเริ่มประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูเจ้าให้เขาฟัง โดยอธิบายพระคัมภีร์เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ขณะเดินทางอยู่นั้น ทั้งสองคนมาถึงแหล่งนํ้าแห่งหนึ่ง ขันทีกล่าวว่า “ดูซิ ที่นี่มีนํ้า มีอะไรขัดขวางมิให้ ข้าพเจ้ารับศีลล้างบาป” เขาสั่งให้หยุดรถ ทั้งฟีลิปและขันทีลงไปในนํ้า ฟีลิปล้างบาปให้ขันที เมื่อทั้งสองคน ขึน้ จากนาํ้ แล้ว พระจิตขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงนำ�ฟีลปิ ไปทีอ่ นื่ ขันทีไม่เห็นฟีลปิ อีก เดินทางต่อไปด้วยความ ยินดี... พระวรสาร ยน 6:44-51 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำ�เขา และเราจะทำ�ให้เขากลับคืนชีพ ในวันสุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า ทุกคนจะได้รับคำ�สอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟัง พระบิดา และเรียนรู้จากพระองค์ ก็มาหาเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา นอกจากผู้ที่มาจากพระเจ้า เราบอก ความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราเป็นปังแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย ได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดารแล้วยังตาย แต่ปังที่ลงมาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้ คือผู้ที่กินปังนี้แล้วจะไม่ตาย เราเป็นปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเรา เพื่อให้โลกมีชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ทุกคนจะได้รับคำ�สอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟังพระบิดา และเรียนรู้จาก พระองค์ ก็มาหาเรา” การ “ฟัง” นั้นมีหลายประเภท เช่น ฟังแล้ววิพากษ์วิจารณ์ ฟังแล้วโกรธ ฟังแล้วรู้สึกว่าเหนือกว่าคนอื่น ฟังแล้วเฉยๆ หรือฟังเพราะไม่มีโอกาสจะพูด แต่การฟังที่มีคุณค่าคือการฟังแล้ว “เรียนรู้” จากสิ่งที่ได้รับฟังมา และนี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำ�ให้เราเข้า มาหาพระเยซูเจ้า หากเราปฏิเสธที่จะฟัง ที่จะเรียนรู้ และที่จะเข้ามาหาพระองค์ เราก็พลาด “ชีวิต” ทั้งในโลกนี้และในโลก หน้า ตรงกันข้าม หากยอมรับพระองค์เราก็พบ “ชีวิตแท้จริง” ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า


บทอ่านที่ 1 กจ 9:1-20 ขณะนั้น เซาโลยังคงเคียดแค้นคุกคามจะฆ่าบรรดาศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า... ขณะที่เขาเดินทางใกล้ถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างจากท้องฟ้าล้อมรอบตัว เขาไว้ เขาล้มลงที่พื้นดินและได้ยินเสียงกล่าวว่า “เซาโล เซาโล ท่านเบียดเบียนเรา ทำ�ไม” เซาโลจึงถามว่า “พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซู ซึ่ง ท่านกำ�ลังเบียดเบียน ท่านจงลุกขึ้น เข้าไปในเมืองแล้วจะมีคนบอกให้รู้ว่าจะต้องทำ� สัปดาห์ที่ 3 อะไร”... เซาโลจึงลุกขึน้ จากพืน้ ดิน ลืมตา แต่กม็ องสิง่ ใดไม่เห็น คนอืน่ จึงจูงมือเขา พา เทศกาลปัสกา เข้าไปในเมืองดามัสกัส เซาโลมองไม่เห็นสิง่ ใดเลยเป็นเวลาสามวัน ไม่ได้กนิ และไม่ได้ดม่ื สดด 117:1-2 ที่เมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่อ อานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเขาใน นิมติ ...ตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึน้ ไปทีถ่ นนซึง่ เรียกว่าถนนตรง จงไปทีบ่ า้ นของยูดาส ถาม ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 หาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลที่มาจากเมืองทาร์ซัส...” แต่อานาเนียทูลตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินหลายคนพูดถึงชายผู้นี้ และได้ยินว่า ที่ กรุงเยรูซาเล็มเขาได้ท�ำ ร้ายบรรดาผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิข์ องพระองค์เพียงใด และทีน่ เี่ ขาได้รบั อำ�นาจจากบรรดาหัวหน้า สมณะให้มาจับกุมทุกคนที่เรียกขานพระนามพระองค์” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบอานาเนียว่า “จงไป เถิด เพราะชายผู้นี้เป็นเครื่องมือที่เราเลือกสรรไว้เพื่อนำ�นามของเราไปประกาศ...เราจะแสดงให้เขารู้ว่า เขา จะต้องทนทุกข์ทรมานมากเท่าใดเพราะนามของเรา” อานาเนียจึงจากไป และเข้าไปในบ้าน ปกมือเหนือ เซาโล.... ทันใดนั้นมีสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดตกจากนัยน์ตาของเซาโล เขามองเห็นได้อีก จึงลุกขึ้นรับศีลล้าง บาป เมื่อกินอาหารแล้วก็มีกำ�ลังขึ้น... พระวรสาร ยน 6:52-59 เวลานั้น ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ถ้าท่านไม่กนิ เนือ้ ของบุตรแห่งมนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของเขา ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำ�ให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำ�รงอยู่ในเรา และเราก็ดำ�รงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่ง เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น นี่คือปังที่ลงมาจาก สวรรค์ ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กินแล้วยังตาย ผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” พระองค์ตรัส เช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร” “เนื้อ” หมายถึง “ความเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า” เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิต เพราะเรา” จึงหมายความว่า เราจงหล่อเลี้ยงความคิด จิตใจ และวิญญาณของเราอาศัยความเป็นมนุษย์ของ พระองค์เถิด เมือ่ ใดก็ตามทีเ่ ราท้อแท้ สิน้ หวัง หมดกำ�ลังใจ เข่าอ่อน หรือเบือ่ หน่ายชีวติ จงระลึกเสมอว่า พระองค์ ได้ผ่านการดิ้นรนต่อสู้และได้ฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เหมือนอย่างเราแล้ว “โลหิต” คือ “ชีวติ ” เมือ่ พระองค์ตรัสสัง่ ให้เราดืม่ โลหิตของพระองค์ จึงหมายถึงให้เรานำ�ชีวติ ของพระองค์ เข้ามาเป็นศูนย์กลางชีวติ ของเรา จนว่า “เราดำ�รงอยูใ่ นพระองค์ และพระองค์ทรงดำ�รงอยูใ่ นเรา” เมือ่ นัน้ ความ คิด จิตใจ และวิญญาณของเราย่อมได้รับการหล่อเลี้ยงโดยชีวิตของพระองค์ ด้วยวิธีการนี้เท่านั้น เราจึงมี “ชีวิต นิรันดร” !!


บทอ่านที่ 1 กจ 9:31-42 ขณะนั้น พระศาสนจักรมีสันติภาพทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลีและสะมาเรีย พระ ศาสนจักรเติบโตขึน้ มีความเคารพยำ�เกรงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และได้รบั กำ�ลังใจจากพระ จิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อเปโตรเดินทางไปเยี่ยมผู้มีความเชื่อในที่ต่างๆ เขาไปเยี่ยม บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเมืองลิดดาด้วย... ในบรรดาศิษย์ทเี่ มืองยัฟฟามีหญิงคนหนึง่ ชือ่ ทาบีธา แปลว่า “เนือ้ ทราย” ทำ�ความ น.อันเซลม์ ดีและให้ทานเป็นอันมาก ระหว่างนั้นนางป่วยและถึงแก่กรรม เขาทำ�ความสะอาดศพ พระสังฆราช และตัง้ ศพไว้ในห้องชัน้ บน เมืองลิดดาอยูใ่ กล้กบั เมืองยัฟฟา บรรดาศิษย์รวู้ า่ เปโตรอยู่ และนักปราชญ์ ที่เมืองลิดดา จึงส่งชายสองคนไปเชิญเขาว่า “โปรดรีบมาหาเราเถิด” เปโตรไปกับเขาทันที เมือ่ ไปถึง เขาก็พาเปโตรขึน้ ไปยังห้องชัน้ บน บรรดาหญิงม่าย แห่งพระศาสนจักร มาห้อมล้อม ทุกคนต่างร้องไห้และชีใ้ ห้เปโตรดูเสือ้ ผ้าทัง้ ชัน้ นอกชัน้ ในทีท่ าบีธาตัดเย็บ สดด116:12-13, 14-16,17 ให้เมื่อนางยังมีชีวิต เปโตรจึงสั่งให้ทุกคนออกไปข้างนอก เขาคุกเข่าอธิษฐานภาวนา แล้วหันมาดูศพ พูดว่า “ทาบีธาเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” นางก็ลืมตาขึ้นมองดูเปโตรและ ทำ�วัตรสัปดาห์ท่ี 3 ลุกขึ้นนั่ง เปโตรจึงยื่นมือพยุงให้นางยืน แล้วเรียกบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์และบรรดา หญิงม่ายเข้ามา ชี้ให้เห็นว่านางยังมีชีวิต... พระวรสาร ยน 6:60-69 เวลานั้น เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินพระองค์ตรัสดังนี้ก็กล่าวว่า “ถ้อยคำ�นี้ขัดหูจริง ใครจะฟังได้” พระเยซูเจ้าทรงทราบด้วยพระองค์วา่ บรรดาศิษย์ก�ำ ลังบ่นกันเรือ่ งนี้ จึงตรัสแก่เขาว่า “เรือ่ งนีท้ �ำ ให้ทา่ นเคลือบ แคลงใจหรือ แล้วถ้าท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึน้ สูส่ ถานทีท่ เี่ คยอยูแ่ ต่กอ่ นเล่า ท่านจะว่าอย่างไร พระ จิตเจ้าทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ลำ�พังมนุษย์ทำ�อะไรไม่ได้ วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้นให้ชีวิต เพราะ มาจากพระจิตเจ้า แต่บางท่านไม่เชื่อ” พระเยซูเจ้าทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ใดไม่เชื่อ และผู้ใดจะทรยศ ต่อพระองค์ พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ดังนั้น เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ใดมาหาเราได้ เว้นแต่ผู้ที่พระ บิดาประทานให้เขามา” หลังจากนั้น ศิษย์หลายคนเปลี่ยนใจ ไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับอัครสาวกสิบสองคนว่า “ท่านทั้งหลายจะไปด้วยหรือ” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร พวก เราเชื่อและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จิตเป็นผูใ้ ห้ชวี ติ เนือ้ หนังไม่มปี ระโยชน์อะไร วาจาทีเ่ รากล่าวแก่ทา่ นทัง้ หลาย เป็นจิตและชีวิต” (ยน 6:63) ความหมายของพระองค์คือ กิจกรรมทั้งหลายทั้งมวลซึ่งสำ�เร็จลุล่วงไปได้อาศัย ร่างกายและเนือ้ หนังของเรามนุษย์นนั้ จะมีคณ ุ ค่าหรือไม่ยอ่ มขึน้ อยูก่ บั เป้าหมาย วัตถุประสงค์ เจตนารมณ์ หรือ เรียกรวมกันว่า “จิตวิญญาณ” ของผู้กระทำ� ตัวอย่างเช่น “การกิน” ถ้าเรากินเพราะอยากกิน การกินนั้นแทนที่จะให้คุณกลับเป็นโทษเพราะทำ�ให้อ้วน และกลายเป็นคนโลภอาหารเปล่าๆ แต่ถ้าเรากินเพื่อจะได้ประทังชีวิตและทำ�ให้ร่างกายมีพลัง จะได้ทำ�งานรับ ใช้พระเจ้าและมนุษย์ได้ดีกว่า การกินของเราก็จะมีคุณค่า และทำ�ให้ชีวิตของเรามีความหมายอย่างแท้จริง เมื่อพระองค์ตรัสว่า “วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายเป็นจิตและชีวิต” พระองค์ต้องการยํ้าว่า มีเพียง พระองค์เท่านัน้ ทีส่ ามารถบอกเราว่าจิตวิญญาณทีถ่ กู ต้องของแต่ละกิจกรรมคืออะไร และเป้าหมายทีแ่ ท้จริงของ ชีวติ คืออะไร?


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 วันคุ้มครองโลก

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 4:8-12 ในครั้งนั้น เปโตรเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้ากล่าวกับเขาว่า “ท่านผู้ปกครองประชาชน และผู้อาวุโสทั้งหลาย วันนี้เราทำ�ความดีรักษาผู้ป่วยคนหนึ่ง เราจึงถูกสอบสวนว่าคน นี้หายจากโรคได้อย่างไร ท่านทั้งหลายและประชาชนอิสราเอลทุกคนจงรู้เถิดว่า ชาย คนนีห้ ายจากโรคมายืนอยูต่ อ่ หน้าท่านทัง้ หลาย ก็เพราะพระนามพระเยซูคริสตเจ้าชาว นาซาเร็ธ ซึ่งท่านนำ�ไปตรึงกางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนมชีพจาก บรรดาผู้ตาย พระเยซูเจ้าองค์นี้ทรงเป็นศิลาซึ่งท่านทั้งหลายผู้เป็นช่างก่อสร้างขว้างทิ้ง แต่ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม ไม่มผี ใู้ ดช่วยให้เรารอดพ้น เพราะใต้ฟา้ นีพ้ ระเจ้ามิได้ประทาน นามอื่นแก่มนุษย์นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้ เพลงสดุดี สดด 118:1 และ 8-9,21-24,25-26,28-29 ก) จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์พระทัยดี ความรักมั่นคงของพระองค์ด�ำรงอยู่เป็นนิตย์ ลี้ภัยมาพึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ย่อมดีกว่าวางใจในมนุษย์ ลี้ภัยมาพึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ย่อมดีกว่าวางใจในบรรดาเจ้านาย ข) ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงฟังข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างทิ้งไป กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระท�ำการนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ตาของเรา นี่คือวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้าง เราจงยินดีและมีความสุขเถิด ค) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงช่วยให้รอดพ้น ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานชัยชนะเถิด ท่านผู้มาในพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าจงได้รับพระพร เราอวยพรท่านทั้งหลายจากบ้านขององค์พระผู้เป็นเจ้า ง) พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ขอขอบพระคุณพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ขอเทิดทูนพระองค์ จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์พระทัยดี ความรักมั่นคงของพระองค์ด�ำรงอยู่เป็นนิตย์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์น ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 3:1-2 พี่น้องที่รักยิ่ง จงดูเถิดว่า ความรักที่พระบิดาประทานให้เรานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เพือ่ ทำ�ให้เราได้ชอื่ ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนัน้ จริง โลกไม่รจู้ กั เรา เพราะ โลกไม่รจู้ กั พระองค์ ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย บัดนี้ เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว แต่เราจะเป็น


อย่างไรในอนาคตนั้นยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง เราตระหนักดีว่า เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะ เราจะได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 10:11-18 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้ เลีย้ งแกะย่อมสละชีวติ เพือ่ แกะของตน ลูกจ้างทีไ่ ม่ใช่ผเู้ ลีย้ ง แกะ และไม่เป็นเจ้าของแกะ เมื่อเห็นสุนัขป่าเข้ามา ก็ละทิ้ง บรรดาแกะและหนีไป สุนัขป่าแย่งชิงแกะ และฝูงแกะก็ กระจัดกระจายไป ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้าง ไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี เรารู้จัก แกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา พระบิดาทรงรู้จักเรา ฉันใด เราก็รู้จักพระบิดาฉันนั้น เรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา เรายังมีแกะอื่นๆ ซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้ เรา ต้องนำ�หน้าแกะเหล่านี้ด้วย แกะจะฟังเสียงของเรา จะมีแกะเพียงฝูงเดียว และผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว พระ บิดาทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้ แต่เรา เองสมัครใจสละชีวิตนั้น เรามีอำ�นาจที่จะสละชีวิตของเรา และมีอำ�นาจที่จะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก นี่คือพระ บัญชาที่เราได้รับจากพระบิดาของเรา” วิสัยทัศน์ของพระเยซูเจ้าคือสักวันหนึ่ง “จะมีแกะเพียงฝูงเดียว และผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว” วิสัยทัศน์นี้บ่งบอกว่า โลกเราจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้ก็โดยอาศัยพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็น “ผู้เลี้ยงแกะเพียง คนเดียว” ที่ทรงยอมสละชีวิตเพื่อนำ�ฝูงแกะของพระองค์กลับมาเป็นบุตรของพระบิดาเดียวกัน ! อย่างไรก็ตาม วิสยั ทัศน์ของพระองค์จะเป็นจริงได้กโ็ ดยอาศัยเราแต่ละคน มนุษย์จะได้ยนิ ข่าวดีได้อย่างไร หากไม่มีผู้ประกาศ และแกะจะเป็นฝูงเดียวกันได้อย่างไร หากไม่มีคนออกไปต้อนมันมารวมกัน นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพระศาสนจักรและของเราทุกคน ! เป็นหน้าที่ของเราจริงๆ ที่จะต้องช่วยกันทำ�ให้วิสัยทัศน์ของพระองค์ที่ประสงค์จะเห็นแกะฝูงเดียวโดยมี พระองค์เป็นผู้เลี้ยง เป็นจริงขึ้นมา !


น.ยอร์จ มรณสักขี สดด 42:2-3,43:3,4 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 กจ 11:1-18 ในครั้งนั้น บรรดาอัครสาวกและพี่น้องที่อยู่ในแคว้นยูเดียรู้ว่าคนต่างศาสนาได้ ยอมรับพระวาจาของพระเจ้าด้วย เมือ่ เปโตรขึน้ ไปทีก่ รุงเยรูซาเล็ม บรรดาผูม้ คี วามเชือ่ ที่เข้าสุหนัตตำ�หนิเขา ถามว่า “ทำ�ไมท่านเข้าไปในบ้านของผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตและกิน อาหารร่วมกับเขา” เปโตรจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟังตามลำ�ดับ... ทันใดนั้นมีชายสามคนมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านที่ข้าพเจ้าพัก เขาถูกส่งจากเมือง ซีซารียามาพบข้าพเจ้า พระจิตเจ้าทรงบอกข้าพเจ้าให้ไปกับเขาโดยไม่ต้องลังเล พี่น้อง หกคนเหล่านี้ไปพร้อมกับข้าพเจ้าด้วย... ขณะที่ข้าพเจ้าเริ่มพูด พระจิตเจ้าก็เสด็จลงมาเหนือเขาเหล่านั้น เหมือนกับที่ได้ เสด็จลงมาเหนือเราในตอนแรก ข้าพเจ้าจึงระลึกถึงพระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส ไว้ว่า ‘ยอห์นทำ�พิธีล้างด้วยนํ้า แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับการล้างเดชะพระจิตเจ้า’ ใน เมือ่ พระเจ้าประทานพระพรแก่เขาเช่นเดียวกับทีป่ ระทานแก่เราผูเ้ ชือ่ ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นใครเล่าที่จะขัดขวางพระเจ้าได้” เมื่อได้ยินดังนี้ ทุกคนก็ สงบลง สรรเสริญพระเจ้าว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ พระเจ้าก็ประทานให้คนต่างศาสนากลับ ใจมารับชีวิตด้วยเช่นเดียวกัน”

พระวรสาร ยน 10:1-10 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ไม่เข้าคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าทางอื่น ก็เป็นขโมยและ โจร ผูท้ เี่ ข้าทางประตูกเ็ ป็นผูเ้ ลีย้ งแกะ คนเฝ้าประตูยอ่ มเปิดประตูให้เขาเข้าไป บรรดาแกะก็ฟงั เสียงเขา เขา เรียกชือ่ แกะของตนทีละตัว และพาออกไปข้างนอก เมือ่ เขาพาแกะออกไปหมดแล้ว เขาจะเดินนำ�หน้า และ แกะก็ตามไปเพราะจำ�เสียงของเขาได้ แกะจะไม่ตามคนแปลกหน้าเลย แต่จะหนีจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียง ของคนแปลกหน้า” พระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้คนเหล่านั้นฟัง แต่เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึงสิ่งใด พระเยซูเจ้ายังตรัสกับเขาอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราเป็นประตูคอกแกะ ทุกคน ทีม่ าก่อนหน้าเรา เป็นขโมยและโจร แต่แกะมิได้ฟงั เสียงของเขาเหล่านัน้ เราเป็นประตู ผูท้ เี่ ข้ามาทางเราก็จะ รอดพ้น เขาจะเข้าจะออก และจะพบทุง่ หญ้า ขโมยย่อมมาเพือ่ ขโมย ฆ่าและทำ�ลาย เรามาเพือ่ ให้แกะมีชวี ติ และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นประตู” แปลว่า จำ�เป็นต้องผ่านทางพระองค์ และผ่านทางพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว เราจึงเข้าถึงพระเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงเป็น “ทางใหม่ที่ให้ชีวิต” (ฮบ 10:20) นอกจากนี้ พระองค์ยังเสริมอีกว่า “ผู้ที่เข้ามาทางเราก็จะรอดพ้น เขาจะเข้าจะออก และจะพบทุ่งหญ้า” การ “เข้า-ออก” โดยไม่ได้รับอันตรายเป็นสำ�นวนพูดของชาวยิว หมายถึง “ชีวิตที่มั่นคงปลอดภัยสูงสุด” หาก ประชาชนสามารถเข้าออกประตูเมืองได้โดยไม่หวาดหวั่น ย่อมหมายความว่าเมืองนั้นปลอดภัย มีขื่อ มีแป มี ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีสันติสุข เท่ากับพระองค์ตอ้ งการบอกเราว่า เมือ่ ใดก็ตามทีเ่ ราเข้าถึงพระเจ้าโดยผ่านทางพระองค์ เราจะรับรูไ้ ด้ทนั ที ว่าความมัน่ คงปลอดภัยสูงสุดได้เข้ามาสูช่ วี ติ ของเรา ความหวาดกลัวและวิตกกังวลทัง้ ปวงจึงมลายสูญหายไปสิน้ !


บทอ่านที่ 1 กจ 11:19-26 ในครั้งนั้น การเบียดเบียนที่เกิดขึ้นสมัยสเทเฟนทำ�ให้บรรดาศิษย์กระจัดกระจาย ไปและมาถึงแคว้นฟีนีเซีย เกาะไซปรัสและเมืองอันทิโอก บรรดาศิษย์ประกาศพระ วาจาแก่ชาวยิวเท่านั้น ในบรรดาคนเหล่านี้ บางคนเป็นชาวไซปรัสและชาวไซรีน เขาไป ถึงเมืองอันทิโอก เทศน์สอนชาวกรีกด้วย ประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูองค์พระผู้เป็น เจ้า พระหัตถ์ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอยูก่ บั เขา คนจำ�นวนมากเชือ่ และกลับใจมาหาองค์ พระผู้เป็นเจ้า บรรดาศิษย์ในพระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มรู้ข่าวนี้ จึงส่งบารนาบัสไปยังเมือง อันทิโอก เมือ่ บารนาบัสมาถึงและเห็นผลแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ก็มคี วามชืน่ ชม จึงเตือนทุกคนให้มีจิตใจซื่อสัตย์มั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยม ด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า จึงมีผู้คนจำ�นวนมากเข้ามาเป็นศิษย์ขององค์พระผู้เป็น เจ้า บารนาบัสเดินทางไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล เมื่อพบแล้ว ก็พามาที่เมือง อันทิโอก ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในพระศาสนจักรที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สั่งสอนคน จำ�นวนมาก ที่เมืองอันทิโอกนี้เองบรรดาศิษย์ได้รับชื่อว่า “คริสตชน” เป็นครั้งแรก

น.ฟีเดลิส แห่งซิกมาริงเก็น พระสงฆ์ และมรณสักขี สดด 87:1-3,4-5, 6-7 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 10:22-30 ขณะนั้นเป็นเทศกาลฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นฤดูหนาว พระเยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินอยู่ ในพระวิหารที่เฉลียงซาโลมอน ชาวยิวมาล้อมพระองค์ไว้ ทูลว่า “ท่านจะปล่อยให้ใจของพวกเราสงสัยอยู่ นานเท่าใด ถ้าท่านเป็นพระคริสตเจ้า ก็จงบอกพวกเราให้ชัดเจนเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายแล้ว แต่ท่านไม่เชื่อ กิจการที่เราทำ�ในนามของพระ บิดาของเราก็เป็นพยานให้เรา แต่ท่านไม่เชื่อ เพราะท่านไม่ใช่แกะของเรา แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักมัน และมันก็ตามเรา เราให้ชีวิตนิรันดรแก่แกะเหล่านั้น และมันจะไม่พินาศเลยตลอดนิรันดร ไม่มี ใครแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือเราได้ พระบิดาของเราผู้ประทานแกะเหล่านี้ให้เราทรงยิ่งใหญ่กว่าทุกคน และไม่มีใครแย่งชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้ เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า แกะของพระองค์ยอ่ มฟังเสียงของพระองค์และติดตามพระองค์ นัน่ คือเชือ่ และ ยอมรับว่าพระองค์คือ “พระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาจะประทานแก่แกะของพระองค์ก็คือชีวิตนิรันดร พระองค์ตรัสว่า “เราให้ชีวิต นิรันดรกับแกะเหล่านั้น” ซึ่งก็คือ “ชีวิตแบบเดียวกับพระเจ้า” นั่นเอง นอกจากชีวิตแบบเดียวกับพระเจ้าแล้ว พระองค์ยังสัญญาจะประทานชีวิตที่ไม่สิ้นสุด เพราะแกะของ พระองค์ “จะไม่พนิ าศเลยตลอดนิรนั ดร” ดังนัน้ ความตายจึงไม่ใช่การจบสิน้ แต่เป็นการเริม่ ต้นของชีวติ ใหม่อนั รุ่งโรจน์ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถทำ�ลายให้พินาศไปได้ ที่สุดพระองค์ยังสัญญาจะประทานชีวิตที่มั่นคงสูงสุด ชนิดที่ “ไม่มีใครแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือเรา ได้” เราจึงมั่นใจได้เต็มร้อยว่า พระหัตถ์อันอบอุ่นและทรงฤทธิ์ของพระองค์ทรงโอบอุ้มเราอยู่เสมอ


บทอ่านที่ 1 1 ปต 5:5ข-14 ท่านที่รักยิ่งทั้งหลาย จงมีความถ่อมตนต่อกันเถิดเพราะพระเจ้าทรงต่อต้านคน เย่อหยิ่งจองหอง แต่ประทานพระหรรษทานแก่ผู้ถ่อมตน ดังนั้น จงถ่อมตนอยู่ใต้ พระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ทรงยกย่องท่านเมื่อถึงเวลาอันควร จงละความกระวนกระวายทั้งมวลของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงห่วงใย ท่าน จงมีสติสัมปชัญญะและตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะศัตรูของท่านคือมารกำ�ลังดักวน ฉลอง เวียนอยูร่ อบๆ ดุจสิงโตคำ�ราม เสาะหาคนทีม่ นั จะกัดกินได้ จงต่อสูก้ บั มันด้วยใจมัน่ คง น.มาระโก ผู้นิพนธ์พระวรสาร ในความเชื่อ จงรู้ว่าบรรดาพี่น้องผู้มีความเชื่อทั่วโลกก็ประสบความทุกข์ลำ�บากเช่น สดด 89:1-2,5-7, เดียวกัน และเมือ่ ท่านได้ทนทุกข์อยูช่ วั่ ขณะหนึง่ แล้ว พระเจ้าผูป้ ระทาน พระหรรษทาน 15-16 ทุกประการ ผูท้ รงเรียกท่านให้มารับพระสิรริ งุ่ โรจน์นริ นั ดรในพระคริสตเจ้า จะทรงฟืน้ ฟู ท่านให้มั่นคง มีกำ�ลังเข้มแข็ง และจะทรงพยุงท่านไว้ ขอพระอานุภาพจงมีแด่พระองค์ ตลอดนิรันดร อาเมน ข้าพเจ้าเขียนจดหมายสั้นๆ ฉบับนี้ ด้วยความช่วยเหลือของสิลวานัสซึ่งข้าพเจ้านับถือว่าเป็นพี่น้องที่ ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าเตือนสติท่านและยืนยันว่านี่เป็นพระหรรษทานแท้จริงของพระเจ้า จงยืนหยัดมั่นคงในพระ หรรษทานนี้เถิด... จงทักทายกันด้วยการจุมพิตแสดงความรัก ขอสันติสุขจงอยู่กับท่านทั้งหลายซึ่งดำ�รงอยู่ ในพระคริสตเจ้าเทอญ พระวรสาร มก 16:15-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงองค์แก่อัครสาวกทั้งสิบเอ็ดคน ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออก ไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสิน ลงโทษ ผูท้ เี่ ชือ่ จะทำ�อัศจรรย์เหล่านีไ้ ด้ คือจะขับไล่ปศี าจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ๆ ได้ จะจับงูได้ และ ถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย” เมื่อพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ ให้ประทับ ณ เบื้อง ขวา บรรดาศิษย์ก็แยกย้ายกันออกไปเทศนาสั่งสอนทั่วทุกแห่งหน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�งานร่วมกับเขา และทรงรับรองคำ�สั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา นักบุญมาระโกมีชื่อเต็มว่า ยอห์นมาระโก เป็นบุตรของนางมารีย์ชาวเยรูซาเล็ม (กจ 12:12) และ เป็นลูกพี่ลูกน้องของบารนาบัส (คส 4:10) อาจเป็นเพราะคิดถึงบ้าน มาระโกจึงแยกจากเปาโลและบารนาบัสที่เมืองเปอร์กาในแคว้นปัมฟีเลีย แล้ว กลับไปกรุงเยรูซาเล็ม (กจ 13:13) จนทำ�ให้เปาโลคิดว่าท่านไม่เหมาะจะเป็นผู้แพร่ธรรม กระนั้นก็ตาม แม้จะไม่ได้เป็นหนึ่งในบรรดาอัครสาวก ท่านก็ได้ทำ�หน้าที่ที่คริสตชนทุกคนพึงกระทำ�ตาม พระบัญชาของพระเยซูเจ้า นัน่ คือประกาศข่าวดีอนั นำ�ความรอดพ้นมาสูม่ นุษย์ทงั้ ปวง ด้วยการเขียนพระวรสาร ฉบับที่สั้นและเก่าแก่ที่สุด โดยอาศัยข้อมูลจากเปโตรซึ่งถือท่านเป็นเสมือนบุตร เราแต่ละคนก็สามารถประกาศข่าวดีได้โดยการสั่งสอนลูกหลาน และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่บุคคลที่อยู่ รอบข้างเรา


บทอ่านที่ 1 กจ 13:13-25 เปาโลและเพื่ อ นร่ ว มทางแล่ น เรื อ จากเมื อ งปาโฟสถึ ง เมื อ งเปอร์ก าในแคว้น ปัมฟีเลีย... บรรดาหัวหน้าศาลาธรรมก็ส่งคนไปเชิญเปาโลและบารนาบัส พูดว่า “พี่น้อง ถ้าท่านมีถ้อยคำ�เตือนใจประชาชน ก็จงพูดเถิด” เปาโลยืนขึ้น โบกมือให้คนทั้งหลายเงียบแล้วพูดว่า “ชาวอิสราเอลและท่าน ทัง้ หลายผูย้ �ำ เกรงพระเจ้า จงฟังข้าพเจ้าเถิด พระเจ้าของประชาชนอิสราเอลนีท้ รงเลือก สัปดาห์ที่ 4 บรรพบุรุษของเรา และทรงยกย่องประชาชนขณะที่ยังอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ พระองค์ เทศกาลปัสกา ทรงสำ�แดงพระอานุภาพยิ่งใหญ่นำ�เขาออกจากแผ่นดินนั้น และเอาพระทัยใส่ดูแลเขา สดด 89:2-3,21-22, ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาประมาณสี่สิบปี แล้วพระองค์ทรงทำ�ลายชนชาติเจ็ดชาติใน 25-26 แผ่นดินคานาอันและประทานแผ่นดินนั้นให้เขาเป็นมรดก เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ในระยะเวลาประมาณสี่ร้อยห้าสิบปี หลังจากนั้น พระเจ้าประทานผู้วินิจฉัยให้ปกครองเขา จนถึงประกาศกซามูเอล เมื่อประชาชนขอให้มี กษัตริย์ พระองค์ก็ประทานซาอูลบุตรของคีช จากตระกูลเบนยามิน ให้เป็นกษัตริย์ปกครองอยู่เป็นเวลาสี่ สิบปี เมื่อทรงปลดกษัตริย์ซาอูลจากตำ�แหน่งแล้ว ก็ทรงแต่งตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ปกครองประชากร อิสราเอล ดังที่มีคำ�ยืนยันในพระคัมภีร์ว่า “เราพบดาวิดบุตรของเจสซี เขาเป็นคนที่เราพอใจ เขาจะทำ�ตาม ความประสงค์ของเราทุกประการ” จากเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดนี้ พระเจ้าประทานพระเยซูเจ้าเป็นผู้ช่วย อิสราเอลให้รอดพ้นตามพระสัญญา ยอห์นเตรียมรับเสด็จพระองค์ ประกาศพิธีล้างให้ประชาชนอิสราเอล ทั้งปวงกลับใจ ขณะที่ยอห์นกำ�ลังทำ�ภารกิจของตนให้สำ�เร็จไป เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้ามิได้เป็นอย่างที่ท่าน ทั้งหลายคิด แต่บัดนี้ มีผู้หนึ่งกำ�ลังมาภายหลังข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของ เขา” พระวรสาร ยน 13:16-20 เมื่อพระเยซูเจ้าทรงล้างเท้าบรรดาอัครสาวกแล้ว พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้รับใช้ย่อมไม่เป็นใหญ่กว่านายของตน ผู้ถูกส่งไปย่อมไม่เป็น ใหญ่กว่าผู้ที่ส่งเขาไป บัดนี้ ท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ถ้าท่านปฏิบัติตาม ท่านย่อมเป็นสุข เราไม่พูดเช่นนี้เพื่อท่านทุก คน เรารู้จักผู้ที่เราเลือกไว้แล้ว แต่พระคัมภีร์จะต้องเป็นความจริง ที่ว่า ‘ผู้ที่กินปังของเรา ได้ยกส้นเท้าใส่ เรา’ เราบอกท่านทั้งหลายตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านจะได้เชื่อว่า เราเป็น เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ใครรับผู้ที่เราส่งไป ก็รับเรา ใครรับเรา ก็รับพระองค์ผู้ทรงส่ง เรามา” แบบอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงวางไว้จากการล้างเท้าบรรดาอัครสาวกก็คือ ความรักทำ�ได้ทุกสิ่งแม้ กระทั่งล้างเท้าให้บรรดาศิษย์ซึ่งปกติเป็นงานของทาสและคนรับใช้ ทั้งนี้เพราะพระองค์ “ทรงรักพวกเขาจนถึง ที่สุด” (ยน 13:1) นอกจากรักบรรดาศิษย์แล้ว พระองค์ยังรักแม้กระทั่งศัตรูที่กำ�ลังจะยกส้นเท้าใส่พระองค์ ยูดาสอิสคาริโอท คือผู้ที่กำ�ลังจะทรยศพระองค์ซ่ึงส่งผลรุนแรงถึงขั้นต้องสังเวยด้วยชีวิตของพระองค์เอง แต่พระองค์ยังทรงเผชิญหน้ากับผู้ทรยศด้วยความสุภาพถ่อมตน และทรงรักเขาจนถึงที่สุด พระองค์ทรงล้างเท้าให้ผู้ที่กำ�ลังจะทรยศพระองค์ ! “บัดนี้ ท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ถ้าท่านปฏิบัติตาม ท่านย่อมเป็นสุข”


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา สดด 2:6-7,8-9, 10-11 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 กจ 13:26-33 ในครัง้ นัน้ เมือ่ เปาโลมาถึงเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสเิ ดีย ท่านกล่าวในศาลาธรรม ว่า “พีน่ อ้ งทัง้ หลาย ผูเ้ ป็นบุตรจากเชือ้ สายของอับราฮัมและท่านทีเ่ คารพยำ�เกรงพระเจ้า พระเจ้าทรงส่งข่าวเรื่องความรอดพ้นนี้แก่เรา ชาวเยรูซาเล็มและบรรดาหัวหน้าไม่ ยอมรับพระเยซูเจ้า จึงตัดสินลงโทษพระองค์ ทำ�ให้ขอ้ ความของบรรดาประกาศกทีอ่ า่ น ทุกวันสับบาโตเป็นจริง แม้ว่าเขาไม่พบเหตุผลที่จะประหารชีวิตพระองค์ได้ เขาก็ยังขอ ปีลาตให้ประหารชีวิตพระองค์ เมื่อทำ�ให้ทุกสิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์เป็นจริงแล้ว เขาจึงปลดพระองค์ลงจากไม้กางเขนและนำ�ไปวางไว้ในพระคูหา แต่พระเจ้าทรงบันดาล ให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ตลอดเวลาหลายวัน พระองค์ทรง แสดงพระองค์แก่ผู้ที่เดินทางจากแคว้นกาลิลีมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์ และบัดนี้เขาทั้งหลายเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ต่อหน้าประชาชน เราขอประกาศข่าวดีให้ทา่ นทัง้ หลายรูว้ า่ พระสัญญาทีป่ ระทานแก่บรรดาบรรพบุรษุ นั้น พระเจ้าทรงกระทำ�ให้เป็นจริงสำ�หรับเราทั้งหลายผู้เป็นลูกหลาน โดยทรงบันดาล ให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ดังที่มีเขียนไว้ในเพลงสดุดีบทที่ สองว่า ‘ท่านเป็นบุตรของเรา เราให้กำ�เนิดท่านในวันนี้’”

พระวรสาร ยน 14:1-6 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ใจของท่านทัง้ หลายจงอย่าหวัน่ ไหวเลย จงเชือ่ ในพระเจ้า และเชือ่ ในเราด้วย ใน บ้านพระบิดาของเรา มีทพี่ �ำ นักมากมาย ถ้าไม่มี เราคงบอกท่านแล้ว เรากำ�ลังไปเตรียม ที่ให้ท่าน และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเรา ด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านรู้จักหนทาง แล้ว” โทมัสทูลว่า “พระเจ้าข้า พวกเราไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด แล้วจะรู้จักหนทางได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจาก ผ่านทางเรา” หากเราเคยผ่านชีวิตช่วงที่มืดมนสุดขีด มองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ดังที่บรรดาศิษย์ซึ่ง กำ�ลังจะต้องพลัดพรากจากพระอาจารย์ผู้เป็นที่รักกำ�ลังเผชิญอยู่ เราจะซาบซึ้งดีว่า ยามนี้ถ้าเราเชื่อว่าชีวิตมี เป้าหมาย และเป้าหมายนีก้ �ำ หนดโดยพระเจ้าผูท้ รงเปีย่ มด้วยความรัก จิตใจของเราก็จะไม่หวัน่ ไหว เราจะสามารถ ทนในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทนได้ และจะมองเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ได้ ความบรรเทาเช่นนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะเราเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็น “หนทาง ความ จริง และชีวิต” “หนทาง” ของพระเจ้าคือสิ่งที่เราต้องเดินตาม “ความจริง” คือสิ่งที่เราพยายามแสวงหา และ “ชีวิต” คือ สิ่งสูงสุดที่เราปรารถนา ซึ่งทั้งหมดนี้จะได้มาก็โดยเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้าเท่านั้น !


บทอ่านที่ 1 กจ 13:44-52 วันสับบาโตต่อมา ชาวเมืองเกือบทั้งหมดมาชุมนุมฟังพระวาจาของพระเจ้า เมื่อ ชาวยิวเห็นประชาชนจำ�นวนมากเช่นนี้ ก็เกิดความอิจฉาอย่างมาก จึงคัดค้านคำ�พูดของ เปาโลและด่าว่าเขา เปาโลและบารนาบัสตอบเขาอย่างกล้าหาญว่า “จำ�เป็นที่เราจะต้องประกาศพระ วาจาของพระเจ้าให้ท่านฟังก่อนผู้อื่น แต่เมื่อท่านปฏิเสธไม่ยอมรับและไม่คิดว่าตน น.เปโตร ชาเนล เหมาะสมจะรับชีวิตนิรันดร เราจึงหันไปหาคนต่างศาสนา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ามี พระสงฆ์ มรณสักขี น.หลุยส์ มารี พระบัญชาแก่เราดังนี้ว่า กรีญอง ‘เราแต่งตั้งท่านให้เป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เดอ มงฟอร์ต เพื่อท่านจะได้นำ�ความรอดพ้นไปจนสุดปลายแผ่นดิน’” พระสงฆ์ เมื่อคนต่างศาสนาได้ยินดังนี้ ก็มีความยินดีและสรรเสริญพระวาจาของพระเจ้า สดด 98:1-2,3-4 และทุกคนที่พระเจ้าทรงกำ�หนดไว้สำ�หรับชีวิตนิรันดรก็มีความเชื่อ... ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 14:7-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเรา ท่านก็รู้จัก พระบิดาของเราด้วย บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา และเห็นพระองค์แล้ว” ฟีลิปทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราอยู่กับท่านมานานเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด’ ท่านไม่เชือ่ หรือว่า เราดำ�รง อยู่ในพระบิดา และพระบิดาทรงดำ�รงอยู่ในเรา วาจาที่เราบอกกับท่านทั้งหลายนี้ เรามิได้พูดตามใจของเรา แต่พระบิดาผู้สถิตในเรา ทรงกระทำ�กิจการของพระองค์ ท่านทั้งหลายจงเชื่อเราเถิดว่า เราดำ�รงอยู่ในพระ บิดา และพระบิดาก็ทรงดำ�รงอยู่ในเรา หรืออย่างน้อยท่านทั้งหลายจงเชื่อเพราะกิจการเหล่านี้เถิด เราบอก ความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็จะทำ�กิจการที่เรากำ�ลังทำ�อยู่ด้วย และจะทำ�กิจการที่ใหญ่กว่า นัน้ อีก เพราะเรากำ�ลังจะไปเฝ้าพระบิดา สิง่ ใดทีท่ า่ นทัง้ หลายขอในนามของเรา เราจะทำ�สิง่ นัน้ เพือ่ พระบิดา จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระบุตร ถ้าท่านทั้งหลายขอสิ่งใดในนามของเรา เราจะทำ�ให้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดา” หมายความว่าผู้ใดเห็นพระองค์ก็เห็นว่าพระเจ้า ทรงเป็นเช่นใด เพราะพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงเจริญชีวิตท่ามกลางมนุษย์ดุจเดียวกับเรา พระองค์ทรงดำ�เนินชีวิตเรียบง่ายในครอบครัวธรรมดาๆ ไม่หรูหรา ต้องทำ�งานหนัก ถูกทดลอง และต้อง ดิ้นรนต่อสู้เพื่อชัยชนะเหมือนเรา ทีส่ �ำ คัญ พระองค์ทรงรักมนุษย์ กระทัง่ ยอมเจ็บปวดรวดร้าวดวงพระทัย ส่วนร่างกายก็ตอ้ งทนทุกข์ทรมาน แสนสาหัสจนสิน้ พระชนม์บนไม้กางเขน ซึง่ เป็นเรือ่ งเหลือเชือ่ มากทีพ่ ระองค์ไม่ทรงลงโทษมนุษย์ผทู้ รยศ แต่กลับ ยอมสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยมนุษย์ให้กลับมาคืนดีกับพระองค์ นี่คือพระเจ้าที่เราเห็นในองค์พระเยซูเจ้า !!


สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 9:26-31 เมื่อเซาโลมาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ก็พยายามเข้าร่วมกับบรรดาศิษย์ แต่ทุกคน กลัวเขา เพราะไม่เชือ่ ว่าเขาเป็นศิษย์ทแี่ ท้จริง บารนาบัสจึงพาเขาไปพบบรรดาอัครสาวก และเล่าให้ฟงั ว่าเซาโลได้เห็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าระหว่างทาง พระองค์ได้ตรัสกับเขาและ เขาได้เทศน์สอนอย่างกล้าหาญทีเ่ มืองดามัสกัสเดชะพระนามพระเยซูเจ้า นับตัง้ แต่นนั้ เซาโลจึงอยูก่ บั บรรดาศิษย์ ไปมาในกรุงเยรูซาเล็มอย่างอิสระ เทศน์สอนอย่างกล้าหาญ เดชะพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาพูดและโต้เถียงกับชาวยิวที่พูดภาษากรีก แต่คน เหล่านี้พยายามจะฆ่าเขา บรรดาพี่น้องรู้เรื่องนี้ จึงพาเขาไปยังเมืองซีซารียาแล้วส่งเขา ไปยังเมืองทาร์ซัส ขณะนั้น พระศาสนจักรมีสันติภาพทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลีและสะมาเรีย พระ ศาสนจักรเติบโตขึน้ มีความเคารพยำ�เกรงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และได้รบั กำ�ลังใจจากพระ จิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เพลงสดุดี สดด 22:25-31 ก) ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ในหมู่ประชากรจ�ำนวนมากที่มาชุมนุมกัน จะแก้บนต่อหน้าผู้ที่ย�ำเกรงพระองค์ คนยากจนจะได้กินจนอิ่ม ผู้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าจะสรรเสริญสดุดีพระองค์ ขอให้เขาทั้งหลายมีชีวิตอย่างเป็นสุขตลอดไป ประชาชนทั่วโลกจะจดจ�ำและกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ข) ประชาชาติทุกตระกูลจะกราบนมัสการพระองค์ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงปกครองนานาชาติ ผู้ทรงอ�ำนาจในแผ่นดินจะกราบนมัสการพระองค์ มนุษย์ทุกคนที่ต้องตายจะก้มกราบเฉพาะพระพักตร์ ค) แต่ข้าพเจ้าจะมีชีวิตเพื่อพระองค์ บุตรหลานของข้าพเจ้าจะรับใช้พระองค์ จะประกาศถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าแก่คนรุ่นหลังสืบไป และจะประกาศความเที่ยงธรรมของพระองค์แก่ประชากรที่จะเกิดมา ว่านี่คือพระราชกิจของพระองค์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 3:18-24 ลูกทีร่ กั ทัง้ หลาย เราอย่ารักกันแต่ปาก เพียงด้วยคำ�พูดเท่านัน้ แต่เราจงรักกันด้วย


การกระทำ�และด้วยความจริง จากการกระทำ�นี้ เราจะรูว้ า่ เรา อยู่กับความจริง เราจะมั่นใจเฉพาะพระพักตร์พระองค์ แม้ ใจของเราอาจจะยังกล่าวโทษเราอยูก่ ต็ าม เพราะพระเจ้าทรง ยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และทรงล่วงรู้ทุกสิ่ง ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย ถ้าใจของเราไม่กล่าวโทษเรา เราย่อม มั่นใจได้เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และถ้าเราวอนขอ สิ่งใด เราย่อมจะได้รับสิ่งนั้นจากพระองค์ เพราะเราปฏิบัติ ตามบทบัญญัติ และทำ�สิ่งที่พระองค์พอพระทัย นี่เป็น บทบัญญัติของพระองค์ คือ ให้เราเชื่อในพระนามพระเยซู คริสตเจ้าพระบุตรของพระองค์ และให้เรารักกัน ดังที่ พระองค์ทรงบัญญัติให้เรา ผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ย่อม ดำ�รงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าทรงดำ�รงอยู่ในผู้นั้น เรารู้ว่า พระองค์ทรงดำ�รงอยู่ในเราจากพระจิตเจ้า ซึ่งพระองค์ประทานให้เรา

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 15:1-8 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน กิ่งก้านใดในเราที่ไม่เกิดผล พระองค์จะทรง ตัดทิ้ง กิ่งก้านใดที่เกิดผล พระองค์จะทรงลิด เพื่อให้เกิดผลมากขึ้น ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว เพราะ วาจาทีเ่ รากล่าวกับท่าน ท่านทัง้ หลายจงดำ�รงอยูใ่ นเราเถิด ดังทีเ่ ราดำ�รงอยูใ่ นท่าน กิง่ องุน่ เกิดผลด้วยตนเอง ไม่ได้ ถ้าไม่ตดิ อยูก่ บั เถาองุน่ ฉันใด ท่านทัง้ หลายก็จะเกิดผลไม่ได้ ถ้าไม่ด�ำ รงอยูใ่ นเราฉันนัน้ เราเป็นเถาองุน่ ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำ�รงอยู่ในเรา และเราดำ�รงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่าน ก็ทำ�อะไรไม่ได้เลย ถ้าผู้ใดไม่ดำ�รงอยู่ในเรา ก็จะถูกโยนทิ้งไปข้างนอกเหมือนกิ่งก้าน และจะเหี่ยวแห้งไป กิ่งก้านเหล่านั้นจะถูกเก็บไปทิ้งในไฟและถูกเผา ถ้าท่านทั้งหลายดำ�รงอยู่ในเรา และวาจาของเราดำ�รงอยู่ใน ท่าน ท่านอยากได้สิ่งใด ก็จงขอเถิด และท่านจะได้รับ พระบิดาของเราจะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์ เมื่อท่าน เกิดผลมาก และกลายเป็นศิษย์ของเรา”

เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถึงกิ่งองุ่นที่ไม่เกิดผลและต้องถูกตัดทิ้งในกองไฟ นอกจากพระองค์จะหมาย ถึงชาวยิวแล้ว พระองค์ยงั ต้องการหมายถึงเราคริสตชนทีไ่ ม่ยอมฟังพระองค์ หรือฟังและยอมรับพระองค์แต่ปาก โดยไม่มีกิจกรรมหรือการปฏิบัติใดรองรับ ตลอดจนพวกที่แม้จะฟังและยอมรับพระองค์ แต่เมื่อประสบความ ยากลำ�บากในชีวิตก็ทอดทิ้งและทรยศพระองค์ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยสัญญาว่าจะเชื่อ จะนบนอบ และจะรับใช้ พระองค์อีกด้วย เพื่อจะบังเกิดผลมาก เคล็ดลับแรกก็คือทำ�ดินให้สะอาดโดยอาศัยวาจาที่พระองค์กล่าวกับเรา (ยน 15:3) เคล็ดลับที่สองคือลิดกิ่งที่ไม่เกิดผล เช่น ความเห็นแก่ตัว ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา ความมักใหญ่ใฝ่สูง ฯลฯ ซึ่งรังแต่จะแย่งนํ้าเลี้ยงไปจากเรา ทำ�ให้เราอ่อนแอ ไม่แข็งแรง และเคล็ดลับสุดท้ายคือดำ�รงอยู่ในพระองค์ และให้พระองค์ดำ�รงอยู่ในเรา (ยน 15:5)


บทอ่านที่ 1 กจ 14:5-18 เมือ่ คนต่างศาสนาและชาวยิวร่วมกับบรรดาผูป้ กครองเมืองวางแผนจะทำ�ร้ายและ ใช้ก้อนหินขว้างเปาโลและบารนาบัส... ที่เมืองลิสตรา ชายคนหนึ่งยืนไม่ได้ เพราะเป็นง่อยมาแต่กำ�เนิด เขานั่งอยู่กับที่ ไม่เคยเดินเลย เขากำ�ลังฟังเปาโลพูด เปาโลจ้องมองดูเขา เห็นว่าเขามีความเชื่อพอจะ รับการรักษาให้หายจากโรคได้ จึงพูดเสียงดังว่า “จงลุกขึน้ ยืนเถิด” ชายคนนัน้ ก็กระโดด น.ปีโอ ที่ 5 พระสันตะปาปา ขึ้นและเริ่มเดินไป เมือ่ ประชาชนเห็นสิง่ ทีเ่ ปาโลทำ� จึงร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “พระเจ้าทรงแปลง สดด 115:1-2,3-4, เป็ น มนุ ษย์เสด็จลงมาหาเราแล้ว” เขาเรียกบารนาบัสว่า “พระซุส” และเรียกเปาโลว่า 15-16,17 “พระเฮอร์เมส” เพราะเปาโลเป็นคนพูดเก่งกว่า สมณะจากพระวิหารของพระซุสทีอ่ ยู่ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ใกล้ประตูเมือง จูงวัวหลายตัวประดับพวงมาลัยมาที่ประตูเมือง และพร้อมใจกับ ประชาชนต้องการถวายบูชาแก่เปาโลและบารนาบัส เมื่ออัครสาวกบารนาบัสและเปาโลรู้เช่นนี้ ก็ฉีกเสื้อผ้าของตนวิ่งผลุนผลันเข้าไปกลางกลุ่มชนร้องว่า “เพื่อนเอ๋ย ทำ�ไมท่านจึงทำ�เช่นนี้ เราทั้งสองคนเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนท่านทั้งหลาย เรากำ�ลังประกาศ ข่าวดีให้ทา่ นทัง้ หลายละทิง้ สิง่ ทีไ่ ร้สาระเหล่านีห้ นั มาหาพระเจ้าผูท้ รงชีวติ ...” ทัง้ ๆ ทีพ่ ดู เช่นนี้ บารนาบัสและ เปาโลก็ห้ามประชาชนถวายเครื่องบูชาแก่ตนเกือบไม่ได้ พระวรสาร ยน 14:21-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ผู้ที่มีบทบัญญัติของเรา และปฏิบัติตาม ผู้นั้นรักเรา และผู้ท่ีรักเรา พระบิดาของเราก็จะทรงรักเขา และเราเองก็จะรักเขา และจะแสดงตนแก่เขา” ยูดาส มิใช่ยูดาสอิสคาริโอท ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ทำ�ไมพระองค์ทรงต้องการแสดงพระองค์แก่ พวกเรา แต่ไม่แสดงพระองค์แก่โลก” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดาจะเสด็จพร้อมกับเรามาหาเขา จะทรงพำ�นักอยูก่ บั เขา ผูท้ ไี่ ม่รกั เรา ก็ไม่ปฏิบตั ติ ามวาจาของเรา วาจา ที่ท่านได้ยินนี้ ไม่ใช่วาจาของเรา แต่เป็นของพระบิดา ผู้ทรงส่งเรามา เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟัง ขณะที่เรา ยังอยู่กับท่าน แต่พระผู้ช่วยเหลือคือพระจิตเจ้า ที่พระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่าน ทุกสิ่ง และจะทรงให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราเคยบอกท่าน” พระเยซูเจ้าทรงให้เหตุผลที่แสดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์ แต่ไม่ทรงแสดงพระองค์แก่โลก เป็น เพราะว่าบรรดาศิษย์รักพระองค์ แต่โลกไม่รักพระองค์ เมือ่ รักพระเยซูเจ้า บรรดาศิษย์จงึ นบนอบด้วยการปฏิบตั ติ ามพระวาจาของพระองค์ ซึง่ จะยิง่ ทำ�ให้พวกเขา ค้นพบความหมายและความลึกซึง้ ของพระวาจามากขึน้ และในเวลาเดียวกันก็จะยิง่ รูจ้ กั และรักพระองค์เพิม่ พูน มากขึ้น เป็นวัฏจักรเช่นนี้เรื่อยไป ด้วยเหตุนี้ หลังกลับคืนชีพจากความตาย พระองค์จึงมิได้แสดงพระองค์แก่บรรดาธรรมาจารย์ ฟาริสี หรือ แม้แต่ชาวยิวที่เป็นศัตรูกับพระองค์เลย ด้วยทรงตระหนักดีว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ยอมรับและปฏิบัติตาม วาจาของพระองค์ และไม่มีทางที่จะซึมซับหรือรับรู้ได้เลยว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.