04 April 2019

Page 1


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 30:1,3,4-5, 10-11,12 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 อสย 65:17-21 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะสร้างฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ จะไม่มีผู้ใดคิดถึงและจดจำ�เรื่องราวใน อดีตอีก แต่จงร่าเริงและยินดีเสมอในสิง่ ซึง่ เรากำ�ลังจะสร้างขึน้ เพราะเรากำ�ลังจะสร้าง กรุงเยรูซาเล็มให้เป็นความยินดี และสร้างประชากรของเมืองนั้นให้เป็นความชื่นบาน เราจะยินดีเพราะกรุงเยรูซาเล็ม และร่าเริงเพราะประชากรของเรา จะไม่มีผู้ใดได้ยิน เสียงร้องไห้ และเสียงครํา่ ครวญในเมืองนัน้ อีก ทีน่ นั่ จะไม่มที ารกทีม่ ชี วี ติ เพียงสองสาม วัน หรือคนชราที่ตายก่อนถึงกำ�หนด เพราะคนหนุ่มที่สุดจะตายเมื่อมีอายุหนึ่งร้อยปี ผู้ที่มีอายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปีจะนับได้ว่าเป็นผู้ถูกสาปแช่ง เขาจะสร้างบ้านและจะเข้ามา อาศัย จะปลูกสวนองุ่นและจะกินผล” พระวรสาร ยน 4:43-54 หลังจากนั้นสองวัน พระเยซูเจ้าทรงออกเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ เคยทรงประกาศไว้วา่ ประกาศกมักไม่ได้รบั เกียรติในบ้านเมืองของตน แต่เมือ่ พระองค์ เสด็จมาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์อย่างดี เพราะเห็นการกระทำ�ต่างๆ ของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในระหว่างวันฉลองที่เขาไปร่วมด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์เคย ทรงเปลี่ ย นนํ้ า เป็ น เหล้ า องุ่ นที่ นั่ น ข้ า ราชการคนหนึ่ ง มี บุ ต รป่ ว ยหนั ก อยู่ ที่ เมื อ ง คาเปอรนาอุม เขาได้ยินว่าพระเยซูเจ้าเสด็จจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลีแล้ว จึง มาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึ่งใกล้จะสิ้นชีวิต พระเยซูเจ้า ตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านทัง้ หลายไม่เห็นเครือ่ งหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริยแ์ ล้ว ท่านจะ ไม่เชื่อเลย” ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะ สิ้นใจเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผู้ นั้นเชื่อพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขา จึงเดินทางจากไป ขณะที่เขากำ�ลังเดินทาง กลับ ผู้รับใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว เขาซักถามถึง เวลาที่บุตรมีอาการดีขึ้น ผู้รับใช้ตอบว่า “เมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมงอาการไข้ก็หาย” บิดา จึงรู้ว่านั่นเป็นเวลาที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขากับทุก คนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ พระเยซูเจ้าทรงกระทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่สองนี้หลังจากเสด็จกลับจาก แคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี

พระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะสร้างฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ให้เรา อดีตจะถูกลืมเลือนไป พระองค์จะ ทำ�สิง่ สร้างใหม่ ความล้มเหลวและความเจ็บปวดในอดีตจะถูกลืมเลือน การต่อสูใ้ นเวลานีก้ จ็ ะกลายเป็นเกียรติยศ ในภายภาคหน้า ดั่งเพชรถ้าให้สวยงามก็ต้องผ่านการเจียรนัยแรงๆ ไม่มีบุคคลใดสมบูรณ์ได้โดยไม่ได้รับการ ทดลอง ขอให้เราทุกคนอยู่ในฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่ของพระเจ้า 04.indd 110

21/12/2561 14:49:28


บทอ่านที่ 1 อสค 47:1-9,12 ในครั้งนั้น เขานำ�ข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร ข้าพเจ้าเห็นนํ้าไหลออกมาจาก ใต้ธรณีประตูพระวิหารด้านตะวันออก... ชายผู้นั้นเดินออกไปทางตะวันออก ถือเชือก วัดและวัดระยะทางหนึ่งพันศอก เขานำ�ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป นํ้าลึกเพียงตาตุ่ม เขาวัด ระยะทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำ�ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป นํ้าลึกถึงเข่า เขาวัดระยะทางอีก หนึ่งพันศอกแล้วนำ�ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป นํ้านั้นลึกถึงบั้นเอว เขาวัดระยะทางอีกหนึ่ง พันศอก บัดนีเ้ ป็นแม่นาํ้ ทีข่ า้ พเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะนํา้ สูงขึน้ เป็นนาํ้ ทีต่ อ้ งว่ายข้าม เป็น แม่นํ้าที่ลุยข้ามไม่ได้ เขาถามข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านเห็นไหม” เขาจึงนำ� ข้าพเจ้ากลับมาที่ฝั่งแม่นํ้า เมื่อข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นต้นไม้จำ�นวนมากบน ฝั่งแม่นํ้าทั้งสองฟาก เขาบอกข้าพเจ้าว่า “...เพราะนํ้านี้ไหลไปถึงที่ใด นํ้าทะเลก็จืด แม่นํ้าไหลไปถึงที่ใด ทุกสิ่งก็มีชีวิต ตามฝั่งทั้งสองฟากของแม่นํ้า ต้นไม้ผลทุกชนิดจะ เจริญเติบโต ใบของมันจะไม่เหี่ยวแห้ง และผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุก เดือน เพราะนํ้าที่หล่อเลี้ยงต้นไม้เหล่านี้ไหลมาจากสักการสถาน ผลของต้นไม้เหล่านี้ ใช้เป็นอาหาร และใบก็ใช้เป็นยารักษาโรค”

น.ฟรังซิส เดอเปาลา ฤษี สดด 46:1-2,3-4, 5-6,7-8, ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 5:1-3ก,5-16 หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็ถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ที่ กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่าเบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน ตาม ระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำ�นวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต ทีน่ นั่ มีชายคนหนึง่ ป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบ ว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” ผู้ป่วยนั้นตอบว่า “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วย จุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อนํ้ากระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขา ว่า “จงลุกขึน้ ยกแคร่ทน่ี อนและเดินไปเถิด” ชายผูน้ น้ั ก็หายเป็นปกติทนั ที เขายกแคร่ทน่ี อนและเริม่ เดินไป วันนัน้ เป็นวันสับบาโต ชาวยิวจึงพูดกับชายทีห่ ายป่วยนัน้ ว่า “วันนีเ้ ป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ทนี่ อน ไม่ได้” เขาจึงตอบว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด’” เขา เหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอนและเดินไป” แต่ชายที่หายป่วยไม่รู้ว่าเป็น ใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแล้ว ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีกใน พระวิหาร จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำ�บาปอีก มิฉะนัน้ เหตุรา้ ยกว่านีจ้ ะเกิดขึน้ แก่ทา่ น” ชายผู้นั้นจากไปแล้วบอกชาวยิวว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขาให้หายป่วย ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวจึงเริ่ม เบียดเบียนพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงกระทำ�การนี้ในวันสับบาโต วันนี้ พระเยซูเจ้ารักษาคนป่วยที่ไม่เคยสิ้นหวัง มาทุกวันตลอด 38 ปีหวังจะมีโอกาส และความ เพียรของเขาก็ได้รับรางวัล ความจริง พระวิหารเป็นที่ประทับอยู่ของพระเจ้าในประเทศอิสราเอล นํ้าที่ไหลออก มาจากวิหารคือพระพรของพระเจ้าสำ�หรับชาวอิสราเอล คริสตชนเองก็เป็นที่ประทับอยู่ของพระเจ้า และเขาก็ สามารถเป็นพระพรสำ�หรับทุกคน 04.indd 111

21/12/2561 14:49:28


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 145:8-9, 13คง-14,16-19 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 อสย 49:8-15 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ในเวลาแห่งความโปรดปราน เราจะตอบท่าน ในวันแห่งความรอดพ้น เราจะ ช่วยเหลือท่าน เราจะปกป้องท่าน และให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร เพื่อทำ�ให้ แผ่นดินกลับเป็นเหมือนเดิม เพื่อจะคืนมรดกที่ถูกทำ�ลายแล้วให้ท่าน... เขาทั้งหลาย จะเป็นเหมือนฝูงแกะทีห่ ากินตามถนน และทีส่ งู โล่งจะเป็นทุง่ หญ้าของเขา เขาจะไม่หวิ หรือกระหายอีก ลมร้อนและดวงอาทิตย์จะไม่ทำ�ร้ายเขา เพราะพระองค์ผู้ทรงสงสาร เขา จะทรงนำ�เขา จะทรงนำ�เขาไปยังพุนํ้า เราจะทำ�ให้ภูเขาทุกลูกของเราเป็นทางเดิน ทางหลวงของเราจะอยู่บนที่สูง ดูซิ คนเหล่านี้จะมาจากแดนไกล บางคนจะมาจากทิศ เหนือ บางคนจะมาจากทิศตะวันตก บางคนจะมาจากแผ่นดินซีนิม...” “หญิงคนหนึง่ จะลืมบุตรทีย่ งั กินนม และจะไม่สงสารบุตรทีเ่ กิดจากครรภ์ของนาง ได้หรือ แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย”

พระวรสาร ยน 5:17-30 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “พระบิดาของเราทรงทำ�งานอยูเ่ สมอ เราก็ท�ำ งานด้วยเช่นเดียวกัน” เพราะคำ�ยืนยันนี้ ชาวยิวยิ่งพยายามจะฆ่าพระองค์ให้ได้... พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พระบุตรไม่ทำ�สิ่งใดตามใจของตน แต่ ทำ�เฉพาะสิ่งที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำ�เท่านั้น เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทรงกระทำ� พระบุตรก็ย่อมทำ�เช่น เดียวกัน เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิง่ ทีท่ รงกระทำ� และจะทรงแสดง ให้พระบุตรเห็นการกระทำ�ทีย่ งิ่ ใหญ่กว่านีอ้ กี เพื่อให้ทา่ นทัง้ หลายรูส้ กึ ประหลาดใจ พระบิดาทรงทำ�ให้ผตู้ าย กลับคืนชีวิต และประทานชีวิตให้ฉันใด พระบุตรก็ประทานชีวิตให้แก่ผู้ที่พอพระทัยฉันนั้น... เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ฟังวาจาของเรา และมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ก็ ย่อมมีชีวิตนิรันดร และไม่ต้องถูกพิพากษา แต่เขาได้ผ่านจากความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว เราบอกความจริงแก่ ท่านทั้งหลายว่า เวลานั้นกำ�ลังจะมาถึง และขณะนี้ก็กำ�ลังเริ่มแล้ว เมื่อผู้ตายจะได้ยินพระสุรเสียงของพระ บุตรพระเจ้า และผู้ที่ได้ยินแล้วจะมีชีวิต เพราะพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์ฉันใด พระองค์ก็ประทานให้ พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองฉันนั้น พระบิดาได้ประทานให้พระบุตรมีอำ�นาจพิพากษา เพราะพระบุตรทรง เป็นบุตรแห่งมนุษย์ ท่านทั้งหลายอย่าแปลกใจในเรื่องนี้เลย เพราะถึงเวลาแล้วที่ทุกคนในหลุมศพจะได้ยิน พระสุรเสียงของพระบุตร และจะออกมา ผูท้ ไี่ ด้ท�ำ ความดีจะกลับคืนชีวติ มารับชีวติ นิรนั ดร ส่วนผูท้ ที่ �ำ ความ ชั่ว ก็จะกลับคืนชีวิตมารับโทษทัณฑ์ เราทำ�อะไรตามใจของเราไม่ได้ เราได้ยินมาอย่างไร เราก็พิพากษาอย่าง นั้น และคำ�พิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเรามิได้แสวงหาที่จะทำ�ตามใจของเรา แต่ทำ�ตามพระประสงค์ ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” เป็นธรรมชาติทมี่ นุษย์ตอ้ งเผชิญกับความทุกข์ยากลำ�บาก และจำ�เป็นทีพ่ ระเจ้ามาช่วยเขา พระองค์ เปรียบเทียบให้เห็นว่า ถ้ามีมารดาที่ลืมลูกน้อยได้ แต่พระองค์จะไม่ลืมเราเลย พระเยซูเจ้าบอกฝูงชนว่า พระองค์ไม่ท�ำ อะไรตามใจตนเองแต่ตามใจพระบิดาเสมอ จนถึงในช่วงต้องรับการ ทรมานและความตาย พระองค์ยังตรัสกับพระบิดาว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า ขอให้เป็นไปตาม พระประสงค์ของพระองค์เถิด” 04.indd 112

21/12/2561 14:49:29


บทอ่านที่ 1 อพย 32:7-14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงรีบลงไปข้างล่างเถิด เพราะประชากรของ ท่านซึง่ ท่านได้น�ำ ออกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์ได้ท�ำ ผิดอย่างสาหัส เขาเปลีย่ นวิถที างอย่าง รวดเร็วออกจากทางที่เราได้สั่งให้เขาเดิน เขาหล่อรูปลูกโคขึ้น แล้วกราบนมัสการ ทั้ง ยังถวายบูชาแก่รูปนั้น พร้อมกับกล่าวว่า ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่แหละเป็นพระเจ้า ของท่านผู้ทรงนำ�ท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสต่อ ไปว่า “เรารู้จักคนเหล่านี้ดี เขาดื้อดึงเหลือเกิน อย่าห้ามเราเลย ความโกรธของเราจะ เผาผลาญเขาทั้งหลาย และเราจะทำ�ลายเขา เราจะทำ�ให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่” โมเสสอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของตนว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำ�ไมพระองค์ทรงปล่อยให้พระพิโรธเผาผลาญประชากรของพระองค์ ที่พระองค์ได้ ทรงนำ�ออกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์ดว้ ยอานุภาพยิง่ ใหญ่และด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ ทำ�ไม จะให้ชาวอียิปต์เยาะเย้ยได้ว่า ‘พระองค์ทรงนำ�เขาออกมาด้วยความประสงค์ร้าย จะ ฆ่าเสียที่ภูเขา จะทำ�ลายให้หมดสิ้นจากแผ่นดิน’ ขอทรงระงับพระพิโรธเถิด ขอทรง เปลี่ยนพระทัยอย่าทำ�ร้ายประชากรของพระองค์เลย ขอทรงระลึกถึงอับราฮัม อิสอัค และยาโคบผู้รับใช้พระองค์เถิด พระองค์ทรงสัญญากับเขาโดยทรงสาบานอาศัย พระนามพระองค์ว่า เราจะให้ลูกหลานของท่านมีจำ�นวนมากมายเหมือนดาวในท้องฟ้า เราจะให้แผ่นดินที่เราสัญญาไว้นี้ทั้งหมดแก่ลูกหลานของท่าน และเขาจะครอบครอง เป็นมรดกตลอดไป” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทรงลงโทษประชากร ของพระองค์

น.อิสิโดโร พระสังฆราช นักปราชญ์แห่ง พระศาสนจักร

สดด 106:19-20, 21-22,23 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 5:31-47 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวว่า “ถ้าเราเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง คำ�ยืนยันของเราก็ใช้ไม่ได้ แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานยืนยันให้เรา และเรารู้ว่าคำ�ยืนยันของเขาถึงเรานั้นเป็นความจริง ท่านทั้งหลายได้ส่งคนไปถามยอห์น และยอห์นก็ได้เป็น พยานยืนยันถึงความจริง เราไม่ตอ้ งการคำ�ยืนยันจากมนุษย์ แต่เรากล่าวเช่นนัน้ เพือ่ ท่านทัง้ หลายจะได้รอดพ้น ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงสว่างไสวทีจ่ ดุ อยู่ ท่านทัง้ หลายก็พอใจทีจ่ ะชืน่ ชมกับแสงสว่างของเขาอยูช่ วั่ ระยะ หนึ่งเท่านั้น แต่เรามีคำ�ยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำ�ยืนยันของยอห์น คืองานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เราทำ� จนสำ�เร็จ งานที่เรากำ�ลังทำ�อยู่นี้ เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาทรงส่งเรามา พระบิดาผู้ทรงส่งเรามา ยังทรง เป็นพยานถึงเราอีกด้วย ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ทั้งไม่เคยเห็นพระพักตร์ ของพระองค์ พระเจ้ารักมนุษย์และอดทนต่อเขามากที่สุด เมื่อประชาชนสร้างพระเท็จเทียมมาบูชา พระเจ้าฟัง คำ�อ้อนวอนของโมเสสทีอ่ อ้ นวอนขอสมาโทษแทนผูห้ ลงผิด และพระเจ้าให้อภัยบาปทีเ่ ขาใจไขว้เขวบูชาพระเท็จ เทียม พระเยซูเจ้าบอกชาวยิวว่า งานของพระองค์เป็นพยานว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ส่วนงานประจำ�วันของเรา ล่ะ บอกว่าเราเป็นคนของพระเจ้าหรือไม่ ถ้าเรารู้ตัวและกลับใจ พระเจ้ายินดีที่จะให้อภัยเรา 04.indd 113

21/12/2561 14:49:29


บทอ่านที่ 1 ปชญ 2:1ก,12-22 ผู้ไม่ยำ�เกรงพระเจ้าใช้เหตุผลผิดๆ คิดว่า “เราจงดักซุ่มทำ�ร้ายผู้ชอบธรรม เพราะเขาทำ�ให้เรารำ�คาญใจ เขาต่อต้านกิจการ ของเรา เขาตำ�หนิเราว่าฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ กล่าวหาว่าเราไม่ปฏิบัติตามการอบรมที่ได้ รับ เขาอ้างว่าเขารู้จักพระเจ้า เรียกตนเองว่าเป็นบุตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของ น.วินเซนต์ แฟร์เรร์ เขาเป็นการติเตียนความรู้สึกนึกคิดของเรา เพียงแต่เห็นเขา เราก็ทนไม่ได้ เพราะชีวิต ของเขาไม่เหมือนกับผูอ้ นื่ ความประพฤติของเขาก็ตา่ งกับของเรามาก เขาคิดว่าเราเป็น พระสงฆ์ คนไร้ค่า เขาหลีกเลี่ยงวิถีชีวิตของเราประหนึ่งว่าเป็นสิ่งปฏิกูล เขาประกาศว่าผู้ สดด 34:16-18, ชอบธรรมจะมีความสุขในวาระสุดท้าย อวดอ้างว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเขา เรา 19-20,22 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 จงดูเถิดว่าคำ�พูดของเขาจะจริงหรือไม่ เราจงพิสูจน์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่เขาในวาระ สุดท้าย ถ้าผูช้ อบธรรมเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์กจ็ ะทรงปกป้องเขา และทรงช่วย วันศุกร์ต้นเดือน เขาให้พ้นเงื้อมมือของศัตรู เราจงสาปแช่งและทรมานลองใจเขา ให้รู้ว่าเขาอ่อนโยน เพียงใด และจงทดสอบว่าเขาอดทนเพียงใด เราจงตัดสินลงโทษให้เขาตายอย่างอัปยศ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเขา” ผู้ไม่ยำ�เกรงพระเจ้าคิดเช่นนี้ แต่เขาคิดผิด ความชั่วร้ายทำ�ให้เขาตาบอด เขาไม่รู้แผนการเร้นลับ ของพระเจ้า เขาไม่หวังว่าพระเจ้าจะทรงตอบแทนความศักดิส์ ทิ ธิ์ เขาไม่เชือ่ ว่าพระองค์จะประทานรางวัลแก่ ผู้ดำ�เนินชีวิตไร้ตำ�หนิ พระวรสาร ยน 7:1-2,10,25-30 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงพระประสงค์จะเสด็จไปทั่วแคว้น ยูเดียเพราะชาวยิวกำ�ลังพยายามจะฆ่าพระองค์ งานฉลองเทศกาลอยูเ่ พิงของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากทีบ่ รรดาพีน่ อ้ งของพระองค์ ขึ้นไปร่วมงานฉลองแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปด้วยอย่างเงียบๆ ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดเห็น ชาวเยรูซาเล็มบางคนพูดว่า “คนนีม้ ใิ ช่หรือทีเ่ ขาพยายามจะฆ่า ดูซิ คนนีก้ �ำ ลังพูดคุยอย่างเปิดเผย และ ไม่มีใครห้ามปรามเขา หรือบางทีบรรดาหัวหน้าอาจยอมรับว่าเขาเป็นพระคริสต์ พวกเรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน พระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน” ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในพระวิหาร พระองค์ตรัสเสียงดังว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามา จากไหน เราไม่ได้มาตามใจตนเอง พระองค์ผทู้ รงส่งเรามาทรงสัจจะ ท่านไม่รจู้ กั พระองค์ แต่เรารูจ้ กั พระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงส่งเรามา” คนเหล่านั้นพยายามจะจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง คนชั่วเมื่อเห็นคนดี เขาก็ทนไม่ได้ เพราะชีวิตของคนดีเป็นกระจกเงาให้เขาเห็นตนเอง ความ ประพฤติกต็ า่ งกัน คนดีอา้ งว่าพระเจ้าเป็นพระบิดาของเขา และบอกว่า ผูช้ อบธรรมจะมีความสุขในวาระสุดท้าย มหาตมะ คานธีซงึ่ เป็นคนดีมาก ได้ถกู ยิง 3 นัดจากชายทีพ่ นมมือทักทายแต่ในมือซ่อนปืนไว้ เมือ่ ล้มลง เขาวางมือ บนหน้าผากอยากจะบอกว่า เขาให้อภัยคนยิง เราล่ะ เราให้อภัยคนที่กระทำ�ผิดต่อเราหรือไม่ พระเยซูเจ้าประกาศว่าพระบิดาส่งพระองค์มาในโลก เพื่อไถ่บาปเราแบบที่เราคิดไม่ถึง พระองค์ไม่หนีแต่ ยอมตายบนกางเขน เราล่ะ พระเจ้าส่งเรามาทำ�พันธกิจในโลก ถ้าเราหนีก็เป็นความล้มเหลวที่ใหญ่ยิ่ง 04.indd 114

21/12/2561 14:49:30


บทอ่านที่ 1 ยรม 11:18-20 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งเรื่องนี้แก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็รู้ พระองค์ทรงเปิดเผย แผนร้ายของเขาทัง้ หลายแก่ขา้ พเจ้า แต่ขา้ พเจ้าเป็นเหมือนลูกแกะว่าง่ายซึง่ ถูกนำ�มายัง ที่ฆ่า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเขากำ�ลังวางแผนร้ายต่อข้าพเจ้า พูดว่า “เราจงทำ�ลายต้นไม้ ที่กำ�ลังงอกงาม เราจงกำ�จัดเขาออกจากแผ่นดินของผู้เป็น ชื่อของเขาจะได้ไม่มีผู้ใด ระลึกถึงอีกเลย” บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงพิพากษาอย่างเทีย่ งธรรม ทรงทดสอบทั้งความรู้สึกและจิตใจของมนุษย์ โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรง ลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้มอบคดีของข้าพเจ้าไว้กับพระองค์แล้ว พระวรสาร ยน 7:40-53 เมื่ อ ประชาชนบางคนได้ ยิ น พระเยซู เจ้ า ตรั ส พระวาจานี้ จึ ง พู ด ว่ า “คนนี้ เป็ น ประกาศกจริ ง ๆ” บางคนพู ด ว่ า “คนนี้ เป็ น พระคริ ส ตเจ้ า ” บางคนพู ด ว่ า “พระคริสตเจ้าจะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ พระคัมภีร์มิได้กล่าวหรือว่าพระคริสตเจ้า จะต้องมาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดและจากเมืองเบธเลเฮม เมืองที่กษัตริย์ดาวิดเคย อยู่” ประชาชนจึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับพระองค์ บางคนต้องการจับกุม พระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือจับกุม ทหารยามรักษาพระวิหารกลับมาหาบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ซึ่งถาม เขาว่า “ทำ�ไมท่านทัง้ หลายไม่น�ำ เขามาด้วย” ทหารยามตอบว่า “ไม่มคี นใดพูดจาเหมือน กับชายผูน้ เี้ ลย” ชาวฟาริสถี ามว่า “ท่านทัง้ หลายถูกเขาหลอกลวงไปแล้วหรือ มีหวั หน้า หรือชาวฟาริสีคนใดบ้างที่เชื่อเขา แต่ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่รู้เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูก สาปแช่งอยู่แล้ว” ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ที่เคยไปหาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้น กล่าวกับเขาว่า “ธรรมบัญญัติของพวกเราไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดโดยที่มิได้ฟังคำ�ให้การ ของผู้นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาทำ�อะไร” เขาเหล่านั้นจึงตอบว่า “ท่านก็มาจากแคว้น กาลิลีด้วยหรือ จงค้นดูจากพระคัมภีร์เถิด แล้วจะเห็นว่าไม่มีประกาศกคนใดมาจาก แคว้นกาลิลีเลย” แล้วทุกคนก็กลับบ้าน

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 7:1-2,8-9,10-11 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 วันจักรี

ท่านประกาศกเยเรมียท์ ราบว่าการประกาศให้คนกลับใจเป็นเรือ่ งยาก และ สร้างศัตรูที่คอยกำ�จัดท่าน กระนั้นก็ดี ท่านมอบตนเองแด่พระเจ้าและเทศน์สอนอย่างต่อ เนื่อง ยอมรับผลที่ตามมา เช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าเทศน์อย่างไม่หยุดยั้งให้คนกลับใจ แม้ เขาจะวางแผนทำ�ลายชีวิตของพระองค์ก็ตามที

04.indd 115

21/12/2561 14:49:30


สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 43:16-21 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “พระองค์ผู้ทรงเบิกทางในทะเล ทรงสร้างทางเดินในนํ้าเชี่ยว พระองค์ทรงนำ�รถ ศึกและม้า ทรงนำ�กองทัพและนักรบที่กล้าหาญออกมา เขาเหล่านั้นล้มลงแล้วลุกขึ้น ไม่ได้อีกเลย เขามอดดับเหมือนไส้ตะเกียงและสูญหาย” พระองค์ตรัสว่า “อย่าจดจำ�เหตุการณ์ทผี่ า่ นไปแล้ว อย่าคิดถึงเรือ่ งราวในอดีตอีก ต่อไป ดูเถิด เรากำ�ลังจะทำ�สิ่งใหม่ โดยแท้จริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านไม่รู้ดอก หรือ เราจะเบิกทางในถิ่นทุรกันดาร เราจะทำ�ให้เกิดแม่นํ้าขึ้นในที่แห้งแล้ง แม้กระทั่ง สัตว์ป่าก็จะถวายเกียรติแก่เรา คือหมาในและนกกระจอกเทศ เพราะเราให้นํ้าในถิ่น ทุรกันดาร และให้แม่นํ้าในที่แห้งแล้ง เพื่อประชากรที่เราเลือกสรรจะได้มีนํ้าดื่ม ประชากรที่เราสร้างไว้สำ�หรับเราจะร้องสรรเสริญเรา” เพลงสดุดี สดด 126:1-2,3-4,5-6 ก) เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำ�บรรดาเชลยกลับมาสู่ศิโยน ดูเหมือนว่าเรากำ�ลังฝันอยู่ ขณะนั้น ปากของเรากำ�ลังหัวเราะ ลิ้นของเรามีแต่เสียงโห่ร้องยินดี ขณะนั้น นานาชาติก็พูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ�กิจการยิ่งใหญ่เพื่อเขาทั้งหลาย” ข) ถูกต้องแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ�กิจการยิ่งใหญ่เพื่อเรา และเราก็มีความยินดี ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงเปลี่ยนสภาพของข้าพเจ้าทั้งหลาย ให้กลับดีเช่นเดิม เหมือนธารนํ้าบริเวณเนเกบ ค) ผู้ที่หว่านด้วยนํ้าตา ย่อมโห่ร้องยินดีเมื่อเก็บเกี่ยว เขาเดินพลาง ร้องไห้พลาง หอบเมล็ดพืชไปหว่าน ยามกลับมา เขาโห่ร้องด้วยความยินดี นำ�ฟ่อนข้าวกลับมาด้วย บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวฟีลิปปี ฟป 3:8-14 พี่น้อง นับแต่บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งไม่มีประโยชน์อีกเมื่อเปรียบกับประโยชน์ ลํ้าค่าคือการรู้จักพระคริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงยอมสูญเสีย

04.indd 116

21/12/2561 14:49:30


ทุกสิ่ง ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งเป็นปฏิกูล เพื่อจะได้องค์พระคริสตเจ้ามาเป็นกำ�ไร และอยู่ในพระองค์ ข้าพเจ้า ไม่มีความชอบธรรมที่มาจากธรรมบัญญัติ แต่มีความชอบธรรมเพราะความเชื่อในพระคริสตเจ้า เป็นความ ชอบธรรมซึง่ พระเจ้าประทานให้ผมู้ คี วามเชือ่ ข้าพเจ้าต้องการรูจ้ กั พระองค์ รูจ้ กั ฤทธานุภาพของการกลับคืน พระชนมชีพของพระองค์ ต้องการมีสว่ นร่วมในพระทรมานของพระองค์โดยมีสภาพเหมือนพระองค์ในความ ตาย จะได้บรรลุถึงการกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายด้วย ข้าพเจ้ายังไม่บรรลุเป้าหมายหรือยังทำ�ไม่สำ�เร็จ ข้าพเจ้ายังมุ่งหน้าวิ่งต่อไป เพื่อจะช่วงชิงรางวัลให้ได้ดังที่พระคริสตเยซูทรงช่วงชิงข้าพเจ้าไว้ได้แล้ว พี่น้อง ทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่คิดว่า ข้าพเจ้าชนะแล้ว ข้าพเจ้าทำ�เพียงอย่างเดียวคือ ลืมสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง มุ่งสู่เบื้อง หน้าอย่างสุดกำ�ลัง ข้าพเจ้ากำ�ลังวิง่ เข้าสูเ่ ส้นชัยไปหารางวัลทีพ่ ระเจ้าทรงเรียกจากสวรรค์ให้ขา้ พเจ้าเข้าไปรับ ในพระคริสตเยซู

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 8:1-11 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำ�หญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นาง ยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสส สัง่ เราให้ทมุ่ หินหญิงประเภทนีจ้ นตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” เขาถามพระองค์เช่นนีเ้ พือ่ จับผิดพระองค์ หวัง จะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดิน เมื่อคนเหล่านั้นยัง ทูลถามยํ้าอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรก เถิด” แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่ม จากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำ�พังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม พระเยซูเจ้าทรงเงย พระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” หญิงคนนั้นทูล ตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่า ทำ�บาปอีก” สร้อยบทเพลงสดุดีที่ร้องค่อนข้างบ่อยคือ “พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความอ่อนหวานและเมตตา สงสาร” เมื่อมาดูฉากที่ผู้คนนำ�หญิงที่ผิดประเวณีมาให้พระเยซูเจ้า และรบเร้าให้พระองค์ตัดสินว่านางเป็นคน บาปร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนัน้ นางสมควรตายด้วยการถูกก้อนหินขว้าง พระเยซูเจ้าเห็นตรงกันข้าม ว่าผูช้ ายทีท่ �ำ ผิด ประเวณีต่างหากที่น่าถูกประหารชีวิต ทำ�ให้กลุ่มผู้ชายที่ลากนางมา ต้องอับอายและรู้สึกตัวว่า ทำ�ผิดมากกว่า ผู้หญิงเสียอีก ในสังคมที่ผู้ชายมีอำ�นาจมักจะเอาเปรียบผู้หญิง แต่เมื่อมองดูจากสายตาของพระเจ้า เราเห็นว่า พระองค์ ทรงเปี่ยมด้วยความอ่อนหวานและเมตตาสงสารคนบาปทั้งชายและหญิง เมื่อพระองค์ประจักษ์มาให้ น.โฟสตินา พระองค์ยังยํ้าอีกว่า พระองค์เมตตาต่อคนบาปเสมอนะ ถ้าเขากลับ เนื้อกลับตัว เขาก็ให้รางวัลตัวเอง 04.indd 117

21/12/2561 14:49:30


บทอ่านที่ 1 ดนล 13:41ค-62 ทุกคนทีม่ าประชุมกันเชือ่ เขา เพราะเขาเป็นผูอ้ าวุโส ผูพ้ พิ ากษาประชากร จึงตัดสิน ลงโทษให้ประหารชีวิตนาง นางสุสันนาร้องตะโกนดังสุดเสียง... องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังเสียงของนาง ขณะที่เขากำ�ลังนำ�นางไปประหารชีวิต พระเจ้าทรงดลใจชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อดาเนียล เขาร้องตะโกนเสียงดังว่า “ข้าพเจ้าไม่ ยอมมีส่วนร่วมในความตายของหญิงผู้นี้... เหตุใดท่านจึงตัดสินลงโทษหญิงชาว สัปดาห์ที่ 5 อิสราเอลคนหนึ่งโดยไม่สืบสวนความจริงเสียก่อน จงกลับไปพิจารณาคดีเถิด เพราะ เทศกาลมหาพรต คนเหล่านี้เป็นพยานเท็จปรักปรำ�นาง” สดด 23:1-6 ประชาชนทุกคนก็รบี กลับไป บรรดาผูอ้ าวุโสพูดกับดาเนียลว่า “เชิญมานัง่ กับพวก เรา จงแสดงความคิ ดของท่านให้เราฟังเถิด...” ดาเนียลตอบเขาว่า “จงแยกสองคนนี้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ให้อยู่คนละแห่ง แล้วข้าพเจ้าจะสอบสวนเขา” เมื่อแยกทั้งสองคนจากกันแล้ว ดาเนียลก็เรียกคนหนึ่งมาถามว่า “...ถ้าท่านเห็นหญิงคนนี้จริงๆ จงบอกซิว่า ท่านเห็นเขาทั้งสองคนอยู่ด้วย กันใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นยาง” ดาเนียลพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะผ่าท่านเป็นสองส่วนตามพระบัญชาของพระองค์” ดาเนียลส่งเขากลับไปยังที่ของ ตน สั่งให้นำ�อีกคนหนึ่งออกมา พูดว่า “... จงบอกมาซิ ท่านพบเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้อะไร” เขา ตอบว่า “ใต้ต้นโอ๊ก” ดาเนียลจึงพูดว่า “...ท่านพูดเท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบคอย ฟันท่านเป็นสองท่อน ท่านทั้งสองคนจะต้องตายแน่”... พระวรสาร ยน 8:12-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนอีกว่า “เราเป็นแสงสว่างส่องโลก ผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินใน ความมืด แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต” ชาวฟาริสกี ล่าวกับพระองค์วา่ “ท่านเป็นพยานให้กบั ตนเอง คำ�ยืนยันเป็นพยานของท่านจึงไม่นา่ เชือ่ ถือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “แม้เราจะเป็นพยานให้ตนเอง คำ�ยืนยันเป็นพยานของเราก็น่าเชื่อถือ เพราะ เรารู้ว่า เรามาจากไหน และกำ�ลังจะไปไหน แต่ท่านทั้งหลายไม่รู้ว่า เรามาจากไหน และกำ�ลังจะไปไหน ท่าน พิพากษาตามมาตรการของมนุษย์ แต่เราไม่พิพากษาผู้ใด และถึงแม้ว่าเราพิพากษาผู้ใด คำ�พิพากษาของเรา ก็น่าเชื่อถือ เพราะเราไม่อยู่คนเดียว แต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงอยู่กับเราด้วย ในธรรมบัญญัติของ ท่านทั้งหลายมีเขียนไว้ว่า ‘คำ�ยืนยันเป็นพยานของคนสองคนเป็นที่น่าเชื่อถือ’ เราเป็นพยานให้ตนเอง และ พระบิดาผู้ทรงส่งเรามาทรงเป็นพยานให้เราด้วย” เขาเหล่านั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระบิดาของท่านอยู่ที่ใด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายไม่รจู้ กั ทัง้ เรา ทัง้ พระบิดาของเรา ถ้าท่านรูจ้ กั เรา ท่านคงรูจ้ กั พระบิดา ของเราด้วย”... พระเจ้าถ่อมองค์ลงมาอยู่กับมนุษย์ พูดภาษาของมนุษย์ เช่นพระองค์บอกว่า “พระองค์เป็น แสงสว่างส่องโลก ผู้ที่ตามพระองค์จะไม่เดินในความมืด แต่จะมีแสงสว่างส่องทางชีวิต” เนื่องจากพวกฟาริสีมี ความจองหอง จึงไม่เข้าใจคำ�สอนของพระองค์เลย เขาพิพากษาตามมาตรฐานของมนุษย์ เฒ่าหัวงู 2 คน เมื่อล่วงละเมิดทางเพศกับนางสุสันนาไม่ได้ ก็พูดเท็จปรักปรำ�ว่าเห็นนางทำ�ผิดประเวณีกับ ชายคนหนึ่ง เพื่อให้นางถูกตัดสินประหารชีวิต โชคดีที่พบดาเนียลผู้มีความปรีชาฉลาดและช่วยชีวิตนางไว้ การ โกหกเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่ไม่สามารถนำ�ไปสู่ความสุขให้คนโกหกได้ 04.indd 118

21/12/2561 14:49:31


บทอ่านที่ 1 กดว 21:4-9 ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกกเพื่อเลี่ยง แผ่นดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทาง ประชากรเริ่มหมดความอดทน จึงพากันบ่นว่า พระเจ้าและโมเสสว่า “ทำ�ไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่น ทุรกันดารนี้ ที่นี่ไม่มีทั้งนํ้าและอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำ�ให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจำ�นวน มาก คนทัง้ ปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำ�บาปเพราะบ่นว่าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพิษเหล่านี้ออกไปเถิด” โมเสสจึงวอนขอพระเจ้าเพื่อประชากร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงทำ� งูโลหะติดไว้บนเสา ผู้ที่ถูกงูกัดและมองดูงูโลหะนั้น จะรอดชีวิต” โมเสสจึงทำ�งูทอง สัมฤทธิ์ขึ้นติดไว้ที่เสา ผู้ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

สดด 102:1-2,15-17, 18-20 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ยน 8:21-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาเหล่านั้นอีกว่า “เราจากไปแล้วท่านทั้งหลายจะ แสวงหาเรา แต่ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายมาจากเบือ้ งล่าง แต่เรามาจากเบือ้ งบน ท่านเป็น ของโลกนี้ แต่เรามิได้เป็นของโลกนี้ ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของ ท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็น ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน” เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เรายังมีอีก หลายเรื่องที่เราจะต้องพูดและพิพากษาเกี่ยวกับท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรง สัจจะ สิ่งใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์ เราก็บอกสิ่งนั้นให้โลกรู้” คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่า พระองค์กำ�ลังตรัสกับเขาเรื่องพระบิดา พระเยซูเจ้าตรัส กับเขาอีกว่า “เมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้น เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็น และรู้ว่า เราไม่ทำ�อะไรตามใจตนเอง แต่พูดอย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้ พระผู้ทรงส่งเรา มาสถิตกับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำ�พัง เพราะเราทำ�ตามที่พระองค์ พอพระทัยเสมอ” เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์ ในการเดินทางไปสู่ดินแดนพระสัญญา ชาวยิวบางคนหมดความอดทน บ่นว่าโมเสส เพื่อให้พระเจ้าทราบ จึงมีงูพิษมากัด ทำ�ให้คนตายเป็นจำ�นวนมาก และรับ การเยียวยาด้วยการมองดูงูทองแดง ซึ่งสอดคล้องกับพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ว่า ใครที่ เป็นคนบาปมองดูพระเยซูเจ้าถูกตรึงบนกางเขนและกลับใจ เขาก็รักษาชีวิตไว้ 04.indd 119

21/12/2561 14:49:31


สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ดนล 3:53-56 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 ดนล 3:14-20,24-25,28 กษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์ตรัสถามเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก เป็นความ จริงหรือไม่ ที่ท่านไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของเรา และไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำ�ที่เรา ตัง้ ไว้... ถ้าท่านไม่ยอมทำ�เช่นนี้ ท่านจะต้องถูกโยนทันทีเข้าไปในเตาทีม่ ไี ฟลุกโพลง แล้ว พระเจ้าใดจะช่วยท่านให้พ้นจากมือของเราได้” ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกกราบทูลกษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์วา่ “...ขอพระองค์ ทรงทราบเถิดว่าข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของพระองค์ และจะไม่ยอม นมัสการรูปปั้นทองคำ�ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น” กษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์กริว้ มาก พระพักตร์ของพระองค์เปลีย่ นเป็นดุดนั ต่อชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก รับสั่งให้เพิ่มไฟในเตาให้ร้อนจัดกว่าเดิมอีกเจ็ดเท่า และรับสั่ง ให้ทหารบางคนทีแ่ ข็งแรงทีส่ ดุ ในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก โยนเข้าไป ในเตาทีม่ ไี ฟลุกโพลง เขาทัง้ สามคนเดินไปมากลางเปลวไฟ สรรเสริญพระเจ้าและถวาย พระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า...

พระวรสาร ยน 8:31-42 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็ เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำ�ให้ท่านเป็นอิสระ” คนเหล่านั้นจึงตอบว่า “พวกเราเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร...’” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่ทำ�บาปก็เป็นทาสของบาป ทาสย่อมไม่พ�ำ นักอยูใ่ นบ้านตลอดไป แต่บตุ รพำ�นักอยูต่ ลอดไป ดังนัน้ ถ้าพระบุตรทำ�ให้ทา่ นเป็นอิสระ ท่าน ก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านพยายามจะฆ่าเรา เพราะ วาจาของเราไม่ซมึ ซาบเข้าไปในท่าน เราบอกสิง่ ทีเ่ ราได้เห็นเมือ่ เราอยูเ่ ฉพาะพระพักตร์พระบิดา ท่านทัง้ หลาย ก็ทำ�ตามที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย” คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “บิดาของพวกเราคืออับราฮัม” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม ท่านจงทำ�กิจการของอับราฮัมเถิด แต่บัดนี้ ท่านกำ�ลังพยายามจะฆ่าเรา ซึ่งเป็นคนบอกความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้าให้ท่านฟัง อับราฮัมไม่เคยทำ� เช่นนี้เลย ท่านไม่ทำ�กิจการของอับราฮัม แต่ทำ�กิจการของบิดาของท่าน” คนเหล่านั้นเถียงว่า “เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ บิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า เราไม่ได้มาตามใจตนเอง แต่พระองค์ทรงส่งเรามา” หนุ่มยิวที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า 3 คน ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยโยนเข้ากองไฟ แต่มีเทวดามาช่วย เขาไว้ ช่วงศตวรรษที่สอง ก่อน ค.ศ. ชาวยิวถูกจับ รับทรมานจากการเบียดเบียน บังคับให้เลิกนับถือศาสนา หัน มานับถือพระเท็จเทียม ชาวยิวทีศ่ รัทธาจึงถามพระว่า พระองค์จะโกรธเขาอีกนานไหม พระองค์ยงั ถือสัญญาต่อ ดาวิดหรือไม่ เมื่อพระเยซูเจ้ามาหาชาวยิว พระองค์บอกให้เขารักษาพระวาจาของพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้ รู้จักความจริง 04.indd 120

21/12/2561 14:49:31


บทอ่านที่ 1 ปฐก 17:3-9 ในครั้งนั้น อับรามจึงกราบลงกับพื้นดิน พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่คือพันธสัญญา ที่เราให้ไว้กับท่าน ท่านจะเป็นบิดาของชนชาติจำ�นวนมาก ท่านจะไม่ชื่อว่าอับรามอีก แล้ว ท่านจะมีชอื่ ใหม่วา่ อับราฮัม เพราะเราจะทำ�ให้ทา่ นเป็นบิดาของชนชาติจ�ำ นวนมาก เราจะทำ�ให้ทา่ นมีลกู หลานจำ�นวนมากยิง่ ๆ ขึน้ จะให้ทา่ นเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์ หลายพระองค์จะเกิดจากท่าน เราจะรักษาพันธสัญญาของเราไว้กับท่าน และกับลูก หลานของท่านที่จะตามมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นพันธสัญญาที่คงอยู่ตลอดไป เราจะเป็น พระเจ้าของท่าน และเป็นพระเจ้าของลูกหลานของท่านที่จะตามมา เราจะให้แผ่นดินที่ ท่านอาศัยอยู่อย่างคนแปลกหน้า ถิ่นนี้คือแผ่นดินคานาอันทั้งหมดแก่ท่านและแก่ ลูกหลานที่จะตามมาภายหลังท่านเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของ เขาทั้งหลาย” พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ท่านและลูกหลานของท่านที่จะตามมาทุกรุ่นจะต้อง รักษาพันธสัญญาของเราไว้”

น.สตานิสเลาส์ พระสังฆราช และมรณสักขี สดด 105:4-5,6,7-10 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ยน 8:51-59 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้น จะไม่พบความตายเลย” ชาวยิวพูดกับพระองค์วา่ “บัดนี้ เรารูแ้ ล้วว่า ท่านถูกปีศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดาประกาศกก็ตาย ไปแล้วเช่นเดียวกัน แต่ท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่ต้องลิ้มรสความตายเลย’ ท่าน ยิง่ ใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเรา ซึง่ ตายไปแล้วหรือ บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่าน เป็นใครกัน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติตนเอง เกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไร ผู้ที่ให้เกียรติเราคือพระ บิดาของเรา ผู้ที่ท่านพูดว่า ‘เป็นบิดาของพวกเรา’ แต่ท่านไม่รู้จักพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราจะพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’ เราก็เป็นคนพูดเท็จเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และปฏิบัติตามพระวาจาของ พระองค์ อับราฮัมบิดาของท่านได้ยินดีที่จะเห็นวันของเรา เขาได้เห็น และได้ยินดีแล้ว” ชาวยิวจึงค้านว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เรา บอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น” คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าเสด็จเลี่ยงออกไปจากพระวิหาร พระเจ้าตรัสว่า เราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า สมัยคาร์เตอร์เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เขา ได้เชิญประธานาธิบดีอนั วาซาดัตแห่งอียปิ ต์ซงึ่ เป็นมุสลิมทีด่ ี และประธานาธิบดีอาเลนาคิม เบกิน แห่งอิสราเอล ซึ่งเป็นคนมีความศรัทธาในพระเจ้า เมื่อพวกเขาพบกัน เขาก็ถือว่าเป็นพี่น้องกัน เพราะมุสลิมโยงความเชื่อถึง อับราฮัมผ่านทางอิชมาเอล ส่วนยิวและคริสตชนโยงความเชือ่ ถึงอับราฮัมผ่านทางอิสอัค และเพือ่ ให้พนั ธสัญญา ที่พระเจ้าทำ�กับอับราฮัมบังเกิดผล มุสลิม ยิวและคริสตชนต้องปฏิบัติต่อกันเสมือนเป็นพี่น้องกัน มาจากบิดา เดียวกัน และถ้าเชื่อในพระเจ้า เขาก็จะอยู่ชั่วนิจนิรันดร 04.indd 121

21/12/2561 14:49:31


สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

สดด 18:1-2กข,2ค-3, 4-5,6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 ยรม 20:10-13 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลายคนซุบซิบว่า “ความหวาดกลัวอยู่โดยรอบมาแล้ว จง กล่าวหาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด” มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า คอยเฝ้าดูความ ล่มจมของข้าพเจ้า พูดว่า “เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง แล้วเราจะเอาชนะเขาได้ และ จะแก้แค้นเขา” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง ดังนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้องอับอายมาก เพราะไม่ ประสบความสำ�เร็จ ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงทดสอบผูช้ อบธรรม ทรงสำ�รวจ ใจและจิต ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้ทูลเสนอ คดีของข้าพเจ้าให้ทรงทราบแล้ว จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญองค์ พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสน ให้พ้นมือของผู้ทำ�ความชั่วร้าย

พระวรสาร ยน 10:31-42 เวลานั้น ชาวยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์อีก พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้แสดงกิจการ ทีด่ หี ลายอย่างจากพระบิดา แล้วท่านจะเอาก้อนหินขว้างเราเพราะกิจการใด” ชาวยิวตอบว่า “พวกเราจะเอา หินขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะกิจการที่ดี แต่เพราะท่านพูดดูหมิ่นพระเจ้า ท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตนเป็น พระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายว่า ‘เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเป็น พระเจ้า’ พระคัมภีร์เรียกผู้รับพระวาจาของพระเจ้าว่า ‘เป็นพระเจ้า’ และพระคัมภีร์จะลบล้างไม่ได้ พระบิดา ทรงบันดาลให้เราศักดิส์ ทิ ธิ์ และทรงส่งเรามาในโลก แล้วทำ�ไมท่านทัง้ หลายจึงกล่าวหาว่าเราพูดดูหมิน่ พระเจ้า เมื่อเราพูดว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ ถ้าเราไม่ทำ�กิจการของพระบิดาของเรา ท่านก็อย่าเชื่อเราเลย แต่ถ้า เราทำ� แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำ�นั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่า พระบิดาสถิตในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” คนทั้งหลายพยายามจะจับกุมพระองค์อีก แต่พระองค์ทรงเลี่ยงพ้นจากมือของพวกเขาไปได้ พระองค์เสด็จข้ามแม่นํ้าจอร์แดนอีกครั้งหนึ่ง กลับไปยังสถานที่ซ่ึงแต่ก่อนนั้นยอห์นได้ทำ�พิธีล้าง พระองค์ทรงพำ�นักอยู่ที่นั่น ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ พูดว่า “ยอห์นไม่ได้ทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์อะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงชายคนนี้ก็เป็นความจริง” และที่นั่นหลายคนเชื่อในพระองค์ ชีวิตของประกาศกเยเรมีย์ ถูกขู่เข็ญ ถูกหมายหัว แต่ท่านวางใจในพระเจ้า ท่านเชื่อว่า พระเจ้าอยู่ เคียงข้างท่าน ท่านรู้สึกเหมือนนักรบทรงพลัง ส่วนศัตรูของท่านจะพบความอัปยศอดสู พระเยซูเจ้าเมื่ออยู่ในการสนทนาที่เผ็ดร้อน พระองค์ใจเย็น สนทนากับชาวยิวที่ต้องการชนะพระองค์ เมื่อ ชนะไม่ได้ก็หาว่าพระองค์พูดดูหมิ่นพระเจ้า และต้องการขว้างหินใส่พระองค์ ที่ปากีสถาน คริสตชนถูกแขวนคอ บ่อย เพราะคู่อริของเขาฟ้องว่า เขากล่าวผรุสวาทต่อพระอัลเลาะห์ ทุกวันนี้ เขาขอให้รัฐบาลเปลี่ยนกฎหมาย ข้อนี้ แต่ยังทำ�ไม่สำ�เร็จ 04.indd 122

21/12/2561 14:49:32


บทอ่านที่ 1 อสค 37:21-28 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะ นำ�ชาวอิสราเอลมาจากนานาชาติซึ่งเขาไปอาศัยอยู่ด้วย เราจะรวบรวมเขามาจากทุก แห่ง และจะนำ�เขามายังแผ่นดินของเขา เราจะทำ�ให้เขาเป็นชนชาติเดียวในแผ่นดิน บน ภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอล จะมีกษัตริย์พระองค์เดียวปกครองเขาทั้งหลาย เขาจะไม่ ระลึกถึง เป็นชนสองชาติ และจะไม่แยกเป็นสองอาณาจักรอีกต่อไป เขาทั้งหลายจะไม่ทำ�ตนให้ น.มาร์ตินที่ 1 เป็นมลทินกับรูปเคารพ โดยการกระทำ�น่าสะอิดสะเอียน และการล่วงละเมิดทั้งหลาย ของเขาอีกต่อไป เราจะช่วยเขาให้พน้ จากการทรยศทีเ่ ขาได้ท�ำ บาป เราจะชำ�ระเขา แล้ว พระสันตะปาปา เขาจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา... เราจะทำ�พันธสัญญา และมรณสักขี ยรม 31:10,11-12กขคง, สันติภาพซึ่งจะเป็นพันธสัญญานิรันดรกับเขา เราจะให้เขาตั้งหลักแหล่งและทวีจำ�นวน 13 ขึ้น เราจะตั้งสักการสถานของเราไว้ในหมู่เขาตลอดไป ที่พำ�นักของเราจะอยู่ในหมู่เขา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา...’” วันสงกรานต์

พระวรสาร ยน 11:45-57 เวลานั้น ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ก็เชื่อในพระองค์ แต่ บางคนไปพบชาวฟาริสี เล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ�ให้ฟัง บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจึงเรียก ประชุมสภา ปรึกษากันว่า “พวกเราจะทำ�อย่างไรดี เพราะคนคนนี้ได้ทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์หลายอย่าง ถ้า เราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ ทุกคนจะเชื่อเขา แล้วชาวโรมันก็จะมาทำ�ลายทั้งพระวิหารและชนชาติของเรา” คน หนึ่งในที่ประชุมชื่อคายาฟาส เป็นมหาสมณะในปีนั้นกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจอะไรเลย ท่านไม่คิด หรือว่า ถ้าคนคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน จะเป็นประโยชน์มากกว่าที่ชนทั้งชาติจะต้องพินาศไป” เขาไม่ ได้พูดเช่นนี้ตามใจตนเอง แต่ในฐานะที่เป็นมหาสมณะในปีนั้น เขาประกาศพระวาจาว่า พระเยซูเจ้าจะต้อง สิ้นพระชนม์เพื่อชนทั้งชาติ และไม่ใช่เพื่อชนทั้งชาติเท่านั้น แต่เพื่อจะรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าที่ กระจัดกระจายอยู่ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่วันนั้น ที่ประชุมได้ตกลงกันที่จะประหารชีวิตพระองค์ ดัง นั้น พระเยซูเจ้าจึงไม่เสด็จไปที่ใดอย่างเปิดเผยในหมู่ชาวยิวอีกต่อไป แต่เสด็จไปที่เมืองชื่อเอฟราอิม ใน เขตแดนใกล้ถิ่นทุรกันดาร และทรงพำ�นักอยู่ที่นั่นกับบรรดาศิษย์ วันปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง ประชาชนจำ�นวนมากเดินทางจากชนบทขึน้ ไปกรุงเยรูซาเล็ม เพือ่ ชำ�ระ ตนก่อนวันฉลอง เขาเหล่านั้นเสาะหาพระเยซูเจ้า และขณะที่ยืนอยู่ในพระวิหารก็ถามกันว่า “ท่านทั้งหลาย คิดอย่างไร เขาจะมาในวันฉลองหรือไม่” บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ออกคำ�สั่งว่า ถ้าใครรู้ว่า พระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มารายงาน เพื่อจะได้จับกุมพระองค์ ประกาศกเอเสเคียลมีชวี ติ อยู่ 6 ศตวรรษก่อนพระเยซูเจ้า เวลานัน้ ประชาชนสูญเสียศักดิศ์ รีทเี่ คย มี พันธกิจของท่านแบ่งออกเป็นสองภาค คือก่อนและหลังการเสียกรุงเยรูซาเล็ม ก่อนเสียกรุงนั้น ท่านเตือน ประชาชนมิให้นิ่งนอนใจคิดว่าบ้านเมืองปกติ เพราะพระไม่ช่วยกรุงเยรูซาเล็มแล้ว หลังเสียกรุงแล้ว ท่านทำ� หน้าที่ฟื้นฟูขวัญและให้กำ�ลังใจผู้คนว่า พระเจ้าไม่ทิ้งพวกเขาตลอดไป พระเจ้าใช้สถานการณ์เพื่อสั่งสอน ประชาชน 04.indd 123

21/12/2561 14:49:32


อาทิตย์มหาทรมาน แห่ใบลาน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 50:4-7 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำ�ลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้า พระองค์ ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน องค์พระผู้ เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้า หันหลังให้แก่ผโู้ บยตีขา้ พเจ้า และหันแก้มให้แก่ผทู้ ดี่ งึ เคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซอ่ นหน้า แก่ผู้สบประมาทและถ่มนํ้าลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำ�หน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่อับอาย เพลงสดุดี สดด 22:7-8,16-17,18-19,22-23ก ก) ผู้ใดเห็นข้าพเจ้าก็เยาะเย้ย เขายิ้มหยันและสั่นศีรษะ พลางพูดว่า “เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้พระองค์ทรงช่วยซิ ถ้าพระองค์ทรงรักเขา ก็ให้พระองค์ทรงปลดปล่อยเขา” บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี ฟป 2:6-11 แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอ พระเจ้านัน้ เป็นสมบัตทิ จี่ ะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิน้ ทรงรับสภาพ ดุจทาส เป็นมนุษย์ดจุ เรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึง กับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรง เทิดทูนพระองค์ขนึ้ สูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนีป้ ระเสริฐกว่า นามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลง นมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา พระทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าตามพระวรสารนักบุญลูกา ลก 23:1-49 ทุกคนในที่ประชุมลุกขึ้น นำ�พระองค์ไปมอบให้ปีลาต เขาเหล่านั้นตั้งข้อกล่าวหา พระองค์โดยพูดว่า “เราพบคนคนนี้ยุยงประชาชนของเรา ห้ามเสียภาษีแก่พระ จักรพรรดิ และอ้างว่าตนเป็นพระคริสต์ กษัตริย์” ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “ท่านเป็น กษัตริยข์ องชาวยิวหรือ” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านพูดเองแล้ว” ปีลาตจึงพูดกับบรรดา หัวหน้าสมณะและประชาชนว่า “เราไม่พบความผิดข้อใดในคนคนนี้”... ปีลาตเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะ บรรดาผู้นำ�และประชาชน แล้วพูดกับ เขาว่า “ท่านทัง้ หลายนำ�ชายผูน้ มี้ าหาเราในฐานะเป็นผูย้ ยุ งประชาชนให้กบฏ เราไต่สวน เขาต่อหน้าท่านทั้งหลายแล้ว แต่ไม่พบว่าเขามีความผิดประการใดตามที่ท่านกล่าวหา

04.indd 124

21/12/2561 14:49:32


กษัตริย์เฮโรดก็ไม่ทรงพบความผิดประการใดด้วย จึงทรงส่งเขากลับมาให้เราอีก ท่านก็เห็นแล้วว่า เขาไม่ได้ ทำ�ผิดทีค่ วรจะมีโทษถึงตาย เพราะฉะนัน้ เราจะสัง่ ให้เฆีย่ นเขา แล้วปล่อยไป” แต่ประชาชนร้องตะโกนพร้อม กันว่า “ฆ่าเขาเสีย ปล่อยบารับบัสให้เรา” บารับบัสผู้นี้ถูกจำ�คุกเพราะก่อการจลาจลในเมืองและฆ่าคน ปีลาตต้องการปล่อยพระเยซูเจ้า จึงพูดกับประชาชนอีก แต่คนเหล่านั้นร้องตะโกนกลับมา... ปีลาตจึงตัดสินให้เป็นไปตามคำ�เรียกร้องของประชาชน ปล่อยคนที่ถูกจำ�คุกเพราะก่อการจลาจลและ ฆ่าคน และมอบพระเยซูเจ้าให้เขาจัดการตามความพอใจ ขณะที่บรรดาทหารนำ�พระองค์ออกไป พวกเขาเกณฑ์ชายคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีนซึ่งกำ�ลังกลับจาก ชนบท วางไม้กางเขนบนบ่าของเขาให้แบกตามพระเยซูเจ้า ประชาชนจำ�นวนมากติดตามพระองค์ไปรวมทั้ง สตรีกลุม่ หนึง่ ซึง่ ข้อน-อกคราํ่ ครวญถึงพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทางสตรีเหล่านี้ ตรัสว่า “ธิดา เยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเองและลูกๆ เถิด เพราะวันนั้นจะมาถึง เมื่อ ประชาชนจะพูดว่า ‘หญิงที่เป็นหมัน ครรภ์ที่มิได้ให้กำ�เนิดบุตร และนมที่มิได้เลี้ยงลูกก็เป็นสุข’... บรรดา ทหารนำ�ผู้ร้ายสองคนไปประหารชีวิตพร้อมกับพระองค์ด้วย เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่าเนินหัวกะโหลก บรรดาทหารตรึงพระองค์ที่นั่นพร้อมกับผู้ร้ายสองคน คน หนึ่งอยู่ข้างขวาและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขา เถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำ�ลังทำ�อะไร” ทหารนำ�เสื้อผ้าของพระองค์ไปจับสลากแบ่งกัน ประชาชนยืนดูอยูท่ นี่ นั่ ส่วนบรรดาผูน้ �ำ เยาะเย้ยพระองค์วา่ “เขาช่วยคนอืน่ ให้รอดพ้นได้ ก็ให้เขาช่วย ตนเองซิ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร” แม้แต่บรรดาทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย เขานำ� เหล้าองุ่นเปรี้ยวเข้ามาถวาย พลางกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ก็จงช่วยตนเองให้รอดพ้นซิ” มี คำ�เขียนไว้เหนือพระองค์ว่า “ผู้นี้คือกษัตริย์ของชาวยิว” ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พูดดูหมิ่นพระองค์ว่า “แกเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ จงช่วยตนเอง และช่วยเราให้รอดพ้นด้วยซิ” แต่อกี คนหนึง่ ดุเขา กล่าวว่า “แกไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือทีม่ ารับโทษเดียวกัน กับท่านผู้นี้ สำ�หรับพวกเราก็ยุติธรรมแล้ว เพราะเรารับโทษสมกับการกระทำ�ของเรา แต่ท่านผู้นี้มิได้ทำ�ผิด เลย” แล้วเขาทูลว่า “ข้าแต่พระเยซู โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยเมือ่ พระองค์จะเสด็จสูพ่ ระอาณาจักรของ พระองค์” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์” ขณะนั้น เป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน ทั่วแผ่นดินมืดไปจนถึงเวลาบ่ายสามโมง เพราะดวงอาทิตย์มืดลง ม่านในพระวิหารฉีกขาดตรงกลาง พระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้ามอบจิตของข้าพเจ้า ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ก็สิ้นพระชนม์... พระเยซูเจ้าทนทุกข์ทรมานเหมือนเรา 3 ทางคือ ฝ่ายจิตใจ ฝ่ายกายและฝ่ายจิตวิญญาณ การ ทรมานของพระเยซูเจ้าซึง่ เรารำ�พึงวันนี้ เป็นบ่อเกิดแห่งพลังสำ�หรับคนนับไม่ถว้ นในประวัตศิ าสตร์ พระองค์ทน ทุกข์ฝา่ ยจิตใจ ทีส่ วนเกทเสมนีพระองค์เห็นทุกอย่างทีจ่ ะเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์กลัวจนเหงือ่ ของพระองค์ ออกมาเป็นเลือด พระองค์ทรมานฝ่ายกาย ทรงถูกเฆี่ยนตีอย่างป่าเถื่อน ถูกสวมมงกุฎหนามและถูกตอกตะปู ตรึงกับไม้กางเขน พระองค์ทรมานฝ่ายจิตวิญญาณ ทรงถูกแขวนบนไม้กางเขน และพระองค์รู้สึกเหมือนว่า พระบิดาทอดทิ้งพระองค์ พระองค์ภาวนาว่า “ข้าแต่พระเจ้า ทำ�ไมพระองค์ทอดทิ้งลูก” การทนทุกข์ร่วมกับพระเยซูเจ้า จะกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ให้เราสามารถเผชิญหน้ากับอุปสรรคทุกอย่าง 04.indd 125

21/12/2561 14:49:32


วันจันทร์ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 27:1,7-8ก, 8ข-9กข,13-14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 อสย 42:1-7 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “นีค่ อื ผูร้ บั ใช้ของเรา ซึง่ เราเชิดชู เราเลือกเขาเพราะเรา พอใจเขา เราให้จิตของเราแก่เขา เขาจะนำ�ความยุติธรรมไปให้แก่นานาชาติ เขาจะไม่ ร้องตะโกนหรือเปล่งเสียงดัง จะไม่ทำ�ให้ใครได้ยินเสียงของเขาตามถนน ไม้อ้อที่ชํ้า แล้ว เขาจะไม่หกั และไส้ตะเกียงทีร่ บิ หรีอ่ ยู่ เขาจะไม่ดบั เขาจะประกาศความยุตธิ รรม ด้วยความสัตย์จริง เขาจะไม่หมดหวังหรือท้อใจ จนกว่าจะได้สถาปนาความยุติธรรมไว้ บนแผ่นดิน ดินแดนชายทะเลจะรอคอยคำ�สอนของเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงสร้างท้องฟ้ากว้างใหญ่ ทรงคลี่แผ่นดินและทุกสิ่ง ที่เกิดจากที่นั่น ประทานชีวิตแก่ประชากรบนแผ่นดิน และประทานลมหายใจแก่ผู้ท่ี ดำ�เนินอยู่ที่นั่น ตรัสว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม เราจับมือของท่านและรักษาท่านไว้ เราให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร และเป็น แสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อเปิดตาคนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ�จากคุก ปลด ปล่อยผู้ที่อยู่ในความมืดจากที่คุมขัง”

พระวรสาร ยน 12:1-11 หกวันก่อนฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าเสด็จไปทีห่ มูบ่ า้ นเบธานี ตำ�บลทีอ่ ยูข่ องลาซารัสทีพ่ ระองค์ทรงทำ�ให้ กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ผู้คนที่นั่นจัดงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่พระองค์ มารธาคอยรับใช้ ขณะที่ลาซารัส เป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์ด้วย มารีย์ใช้นํ้ามันหอมสมุนไพรบริสุทธิ์ราคาแพงหนักประมาณครึ่งชั่ง ชโลมพระบาทพระเยซูเจ้า และใช้ผมเช็ดพระบาท กลิน่ นาํ้ มันหอมอบอวลไปทัว่ บ้าน ยูดาสอิสคาริโอท ศิษย์ คนหนึ่งที่จะทรยศต่อพระองค์พูดว่า “ทำ�ไมไม่เอานํ้ามันหอมนี้ไปขายราคาสามร้อยเหรียญ แล้วนำ�เงินไป แจกให้คนยากจน” ทีเ่ ขาพูดเช่นนีม้ ใิ ช่เพราะเขาห่วงใยคนยากจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย เขาเป็นผูถ้ อื ถุงเงิน และยักยอกเงินในถุงนั้น พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ช่างเถิด ปล่อยให้นางเก็บนํ้ามันหอมนี้ไว้สำ�หรับวันฝังศพ ของเรา คนยากจนนั้นอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านตลอดไป” ชาวยิวจำ�นวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น จึงมา มิใช่เพียงเพื่อเฝ้าพระเยซูเจ้า แต่เพื่อมาดู ลาซารัส ซึ่งพระองค์ได้ทรงทำ�ให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย บรรดาหัวหน้าสมณะจึงตกลงกันจะฆ่า ลาซารัสด้วย เพราะลาซารัสทำ�ให้ชาวยิวจำ�นวนมากไปเฝ้าพระเยซูเจ้าและเชื่อในพระองค์ ทุกคนในงานต่างก็หมกมุ่นสนุกสนานอยู่กับการกินการดื่ม ในงานเลี้ยงฉลองการกลับคืนชีพจาก บรรดาผูต้ ายของลาซารัส ไม่มใี ครให้ความสำ�คัญต่อการประทับอยูข่ องพระเยซูเช้า แม้แต่ยดู าสอิสคาริโอทศิษย์ ที่พระองค์ทรงเลือกมากับมือ ก็ปล่อยให้เงินทำ�ตัวเองสับสน ทำ�ให้ตัวเองตกตํ่า ให้ความสำ�คัญกับเงินมากกว่า พระอาจารย์ มีแต่มารีย์เท่านั้นให้ความสำ�คัญต่อพระเยซูเจ้า เธอนำ�นํ้ามันหอมมาชโลมพระบาท พระวรสาร เตือนใจเราให้ก้าวออกจากการบริโภคสู่ความใจกว้าง มองเห็นความสำ�คัญ ความต้องการของผู้อื่น และเห็น พระเยซูเจ้าเป็น “พระอาจารย์” เสมอ 04.indd 126

21/12/2561 14:49:33


บทอ่านที่ 1 อสย 49:1-6 ดินแดนชายทะเลและเกาะทัง้ หลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนทีอ่ ยูส่ ดุ แดน ไกล จงตั้งใจฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าเกิด ทรงขานชื่อ ข้าพเจ้าตัง้ แต่อยูใ่ นครรภ์มารดา พระองค์ทรงทำ�ให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือนดาบคม ทรง ซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์พระองค์ ทรงทำ�ให้ขา้ พเจ้าเป็นเสมือนลูกศรแหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์... แต่ขา้ พเจ้ากลับคิดว่า “ข้าพเจ้าได้ท�ำ งานเหนือ่ ยเปล่า ข้าพเจ้าเสียแรงไปเปล่าๆ ไร้ ประโยชน์” ถึงกระนั้น รางวัลของข้าพเจ้าอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน และ ค่าตอบแทนของข้าพเจ้าก็อยู่กับพระเจ้าของข้าพเจ้า...

วันอังคาร สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์

สดด 71:1-3ก,3ข-5, 6,16-18ก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ยน 13:21-33,36-38 เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกหวั่นไหวพระทัย จึงตรัสยืนยันว่า “เราบอกความจริงแก่ท่าน ทั้งหลายว่า ท่านคนหนึ่งจะทรยศเรา” บรรดาศิษย์ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงหมายถึงใคร ศิษย์คน หนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักนั่งโต๊ะติดกับพระองค์ ซีโมนเปโตรจึงทำ�สัญญาณให้เขาทูลถามว่า “ผู้ที่พระองค์ กำ�ลังตรัสถึงนี้เป็นใคร” เขาจึงเอนกายชิดพระอุระของพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “พระเจ้าข้า เป็นใครหรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เป็นผู้ที่เราจะจุ่มขนมปังส่งให้” แล้วทรงจุ่มขนมปังชิ้นหนึ่งส่งให้ยูดาสบุตร ของซีโมนอิสคาริโอท แต่เมือ่ ยูดาสได้รบั ขนมปังชิน้ นีแ้ ล้ว ซาตานก็เข้าสิงในตัวเขา พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่เขา ว่า “ท่านจะทำ�อะไร ก็จงทำ�โดยเร็วเถิด” ผู้ร่วมโต๊ะด้วยกันไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงตรัสเช่นนี้ บาง คนคิดว่าเนื่องจากยูดาสเป็นผู้ถือถุงเงิน พระเยซูเจ้าทรงบอกเขาว่า “จงไปซื้อของที่จำ�เป็นสำ�หรับวันฉลอง” หรือบอกว่า “จงไปแจกทานแก่คนยากจน” ดังนั้น เมื่อยูดาสรับชิ้นขนมปังแล้ว ก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็น เวลากลางคืน เมื่อยูดาสออกไปแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ และพระเจ้าทรง ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ด้วย ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ พระเจ้าจะ ทรงให้บตุ รแห่งมนุษย์ได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ในพระองค์ดว้ ย และจะทรงให้บตุ รแห่งมนุษย์ได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ ทันที ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับท่านอีกไม่นาน ท่านจะแสวงหาเรา แต่เราบอกท่านบัดนี้เหมือนกับที่เรา เคยบอกชาวยิวว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์กำ�ลังจะไปไหน” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ที่ที่เราไปนั้น ท่าน ยังตามไปเวลานี้ไม่ได้ แต่จะตามไปได้ในภายหลัง” เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ทำ�ไมข้าพเจ้าจึงตาม พระองค์ไปเวลานี้ไม่ได้ ข้าพเจ้าจะสละชีวิตเพื่อพระองค์” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านจะสละชีวิตเพื่อเรา หรือ เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะบอกถึงสามครั้งว่าไม่รู้จักเรา” “พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกหวั่นไหวพระทัย” แสดงให้เห็นว่า พระทรมานของพระองค์มิได้เป็นเพียง การถูกเฆี่ยนตี การถูกสวมมงกุฎหนาม และการถูกตรึงบนกางเขน ซึ่งเป็นพระทรมานฝ่ายร่างกายที่แสนสาหัส แต่ยงิ่ กว่านัน้ ยังเป็นพระทรมานฝ่ายจิตใจทีป่ วดร้าว ตามประสามนุษย์แท้ ในเวลาทีพ่ ระองค์ตระหนักว่า สาวก ที่พระองค์ทรงรักถึง 2 คน “ทรยศ” ต่อพระองค์ คงเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ตรัสกับยูดาสว่า “ท่านทำ�อะไร ก็จงไปทำ�โดยเร็วเถิด” และเมื่อตรัสกับเปโตรว่า “ก่อนไก่ขัน ท่านจะบอกถึงสามครั้งว่าไม่รู้จัก เรา” อันที่จริง บาปของเรามนุษย์ก็คือการทรยศหรือการปฏิเสธพระองค์ในทำ�นองเดียวกันนั่นเอง 04.indd 127

21/12/2561 14:49:33


วันพุธ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์

สดด 69:7-9,20-21, 30,32-33 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 อสย 50:4-9 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำ�ลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้า พระองค์ ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน องค์พระผู้ เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้า หันหลังให้แก่ผโู้ บยตีขา้ พเจ้า และหันแก้มให้แก่ผทู้ ดี่ งึ เคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซอ่ นหน้า แก่ผู้สบประมาทและถ่มนํ้าลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำ�หน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่อับอาย พระองค์ผู้ประทานความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้าทรงอยู่ใกล้ข้าพเจ้า ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า เราจงยืนขึ้นเผชิญหน้ากันเถิด ใครจะกล่าวหาข้าพเจ้า ก็จงเข้า มาใกล้ข้าพเจ้าเถิด ดูซิ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษ ข้าพเจ้า ดูซิ เขาทุกคนจะผุพังเหมือนเสื้อผ้า แมลงกินผ้าจะกัดกินเขาเหล่านั้น

พระวรสาร มธ 26:14-25 เวลานัน้ คนหนึง่ ในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ชือ่ ยูดาสอิสคาริโอท ไปพบบรรดาหัวหน้าสมณะ ถาม ว่า “ถ้าข้าพเจ้ามอบเขาให้ท่าน ท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้า” บรรดาหัวหน้าสมณะจ่ายเงินสามสิบเหรียญให้ แก่ยูดาส ตั้งแต่นั้นมา ยูดาสก็หาโอกาสที่จะมอบพระองค์ วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชือ้ บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระองค์มพี ระประสงค์ ให้เราจัดเตรียมการเลีย้ งปัสกาทีไ่ หน” พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปในกรุง ไปพบชายคนหนึง่ บอกเขาว่า ‘พระ อาจารย์บอกว่าเวลากำ�หนดของเราใกล้เข้ามาแล้ว เราจะกินปัสกากับศิษย์ของเราที่บ้านของท่าน’” บรรดา ศิษย์ก็ทำ�ตามที่พระเยซูเจ้าทรงบัญชา และจัดเตรียมปัสกา ครั้นถึงเวลาคํ่า พระองค์ประทับร่วมโต๊ะกับศิษย์ทั้งสิบสองคน ขณะที่ทุกคนกำ�ลังกินอาหารพร้อมกับ พระเยซูเจ้าอยู่นั้น พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศต่อ เรา” บรรดาอัครสาวกรู้สึกสลดใจและทูลถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระเจ้าข้า” พระองค์ ตรัสตอบว่า “คนที่จิ้มอาหารในชามเดียวกันกับเรานี่แหละจะทรยศต่อเรา บุตรแห่งมนุษย์จะจากไปตามที่มี เขียนเกี่ยวกับพระองค์ในพระคัมภีร์ วิบัติจงเกิดแก่คนที่ทรยศต่อบุตรแห่งมนุษย์ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาก็จะดี กว่า” ยูดาสผู้ทรยศต่อพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระอาจารย์” พระองค์ตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว” ความเชือ่ สอนเราให้ “เผชิญหน้า” กับความจริง แม้ความจริงนัน้ จะหมายถึงความทุกข์ยากลำ�บาก หรือความเจ็บปวด แต่ความจริงเป็นสิ่งที่ทำ�ให้มนุษย์เป็นอิสระ (ยน 8:32) ความจริงทำ�ให้มนุษย์พบความรัก และความรอดพ้น จนกระทั่งประกาศกอิสยาห์กล้าประกาศว่า “ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้ที่โบยตีข้าพเจ้า และหัน แก้มให้แก่ผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า” ท่านเผชิญหน้ากับเพื่อนมนุษย์ผู้เหน็ดเหนื่อย ด้วยความรักและด้วยการพูด ให้กำ�ลังใจ และเผชิญหน้ากับเพื่อนมนุษย์ผู้ดื้อดึงและมุ่งร้าย ด้วยความเข้มแข็ง พระเยซูเจ้าเองทรงเผชิญหน้า กับยูดาสผู้ทรยศด้วยใจเมตตาจนถึงที่สุด 04.indd 128

21/12/2561 14:49:33


บทอ่านที่ 1 อพย 12:1-8,11-14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในแผ่นดินอียิปต์ว่า “เดือนนี้จะเป็น เดือนแรกสำ�หรับท่านทั้งหลาย เป็นเดือนเริ่มต้นปี ท่านทั้งสองคนจงบอกชุมชนชาว อิสราเอลทั้งหมดว่า วันที่สิบเดือนนี้ แต่ละคนต้องเลือกลูกแกะหรือลูกแพะตัวหนึง่ สำ�หรับครอบครัวของตน... จงจับมันเลี้ยงไว้จนถึงวันที่สิบสี่ของเดือนนี้ แล้วให้ชุมชน ของชาวอิสราเอลทัง้ หมดฆ่าลูกแกะนัน้ ในตอนเย็น เอาเลือดทากรอบด้านข้างและด้าน บนของประตูบ้านที่จะกินลูกแกะนั้น... ในคืนนัน้ เราจะผ่านเข้าไปทัว่ แผ่นดินอียปิ ต์ และประหารชีวติ บุตรคนแรกทัง้ หมด ในแผ่นดินอียิปต์ ทั้งของคนและสัตว์... เลือดที่กรอบประตูจะเป็นเครื่องหมายว่าเป็น บ้านที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นเลือด เราจะผ่านเลยไป...”

วันพฤหัสบดี สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 116:12-13, 15-16ขค,17-18

เช้า : พิธีเสกนํ้ามันศักดิ์สิทธิ์ คํ่ำ� : ระลึกถึงพระเยซูเจ้า ทรงตั้งศีลมหาสนิท

บทอ่านที่ 2 1 คร 11:23-26 พีน่ อ้ ง ข้าพเจ้าได้รบั สิง่ ใดมาจากองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้มอบสิง่ นัน้ ต่อให้ทา่ น คือในคืนทีท่ รงถูก ทรยศนั้นเอง พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ แล้วทรงบิออก ตรัสว่า “นี่คือกายของ เราเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำ�การนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” เช่นเดียวกัน หลังอาหารคํ่า ก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทำ�การนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด”...

พระวรสาร ยน 13:1-15 ก่อนวันฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่จะทรงจากโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดา พระองค์ ทรงรักผู้ที่เป็นของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด ระหว่างการเลี้ยงอาหารคํ่า ปีศาจดลใจยูดาสอิสคาริโอทบุตรของซีโมนให้ทรยศต่อพระองค์ พระเยซู เจ้า...จึงทรงลุกขึน้ จากโต๊ะ ทรงถอดเสือ้ คลุมออกวางไว้ ทรงใช้ผา้ เช็ดตัวคาดสะเอว แล้วทรงเทนาํ้ ลงในอ่าง ทรงเริ่มล้างเท้าบรรดาศิษย์ และทรงใช้ผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้ เมื่อเสด็จมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพเจ้าหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำ�อยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง” เปโตรทูลว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ล้างเท้าข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าท่านไม่ให้เราล้าง ท่านจะไม่มีส่วน เกีย่ วข้องกับเรา” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า อย่าทรงล้างเฉพาะเท้าเท่านัน้ แต่ลา้ งทัง้ มือและศีรษะด้วย” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่อาบนํ้าแล้วก็ไม่จำ�เป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้า เขาสะอาดทั้งตัวแล้ว ท่าน ทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคน”... “พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด” พระวาจานี้น่าจะเป็นพระวาจาที่รวมความหมายของคํ่า วันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างชัดเจนและงดงามที่สุด เพราะ “รักจนถึงที่สุด” พระองค์จึงทรง “ล้างเท้า” ให้ บรรดาสาวก รวมทั้งยูดาส ผู้จะทรยศพระองค์ด้วย เพราะ “รักจนถึงที่สุด” พระองค์จึงทรงตั้ง “ศีลมหาสนิท” เพื่อให้ความรักของพระองค์อยู่กับพวกเขาและพวกเราเสมอไป บ่อยๆ ความรักของเรามนุษย์เต็มไปด้วย “เงื่อนไข” จึงไม่ใช่ “จนถึงที่สุด” ถ้าหากความรักคือความอดทนและการให้อภัย เรามนุษย์ก็ชอบกำ�หนด “ขีดจำ�กัด” ของตนเองไว้ และบางคนก็กำ�หนดไว้ที่ “เร็วที่สุด” หรือ “น้อยที่สุด” เสียด้วย 04.indd 129

21/12/2561 14:49:34


วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์

บทอ่านที่ 1 อสย 52:13-53:12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ผู้รับใช้ของเราจะเจริญรุ่งเรือง เขาจะได้รับการยกย่อง เทิดทูนให้สูงยิ่ง คนจำ�นวนมากจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา หน้าตาของเขาเสียโฉมจนไม่ เหมือนหน้าตามนุษย์ รูปร่างของเขาก็ผิดไปจากรูปร่างของผู้คน ดังนั้น ชนหลายชาติ จะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา บรรดากษัตริย์จะทรงเงียบงันต่อหน้าเขา เพราะจะทรงเห็นสิ่ง ที่ไม่มีใครเคยบอก และจะทรงเข้าใจสิ่งที่ไม่ทรงเคยได้ยิน...”

บทอ่านที่ 2 ฮบ 4:14-16,5:7-9 พี่น้อง ในเมื่อเรามีมหาสมณะยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งผ่านเข้าสู่สวรรค์แล้ว คือพระเยซูเจ้า พระบุ ตรของพระเจ้า เราจงยึดมั่นอยู่ในการแสดงความเชื่อของเราเถิด เพราะเหตุว่า พระเยซูเจ้าทรงรับ ทรมานและสิ้นพระชนม์ เราไม่มีมหาสมณะที่ร่วมทุกข์กับเราผู้อ่อนแอไม่ได้ แต่เรามีมหาสมณะผู้ทรงผ่านการ ผจญทุกอย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป ดังนั้น เราจงเข้าไปสู่พระบัลลังก์แห่งพระ บนไม้กางเขน (ถือศีลอดอาหาร หรรษทานด้วยความมั่นใจเพื่อรับพระกรุณา และพบพระหรรษทานเกื้อกูลในยามที่เรา และอดเนื้อ) ต้องการ... สดด 31:1,5,11-13, 14-15,16,24

พระวรสาร ยน 18:1-19:42 เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ข้ามห้วยขิดโรน ที่นั่นมีสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปพร้อมกับบรรดาศิษย์... ยูดาสนำ�กองทหารและยามรักษาพระวิหารทีบ่ รรดาหัวหน้าสมณะ และชาวฟาริสีจัดหาให้มาที่นั่น... พระเยซูเจ้าทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงเสด็จออกไปตรัส ถามเขาเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายเสาะหาใคร” เขาตอบว่า “หาเยซู ชาวนาซาเร็ธ” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็น”... เขาเหล่านั้นนำ�พระเยซูเจ้าจากบ้านของคายาฟาสไปยังจวนผู้ว่าราชการ... ปีลาตสั่งให้นำ�พระเยซูเจ้าไป เฆี่ยน บรรดาทหารนำ�กิ่งหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียร ให้พระองค์ทรงเสื้อคลุมสีม่วงแดง... บรรดาทหารนำ�พระเยซูเจ้าไปประหารชีวิต พระองค์ทรงแบกไม้กางเขน เสด็จออกไปยังสถานที่ที่เรียก ว่า “เนินหัวกะโหลก” ภาษาฮีบรูว่า “กลโกธา” เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขนที่นั่นพร้อมกับนักโทษอีกสอง คน อยู่คนละข้าง พระเยซูเจ้าทรงอยู่ตรงกลาง... หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าทุกสิ่งสำ�เร็จแล้ว จึงตรัสว่า “เรากระหาย”... ทหารจึงใช้ฟองนํ้า ชุบนํ้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลาย กิ่งหุสบ ยื่นถึงพระโอษฐ์ พระเยซูเจ้าทรงจิบนํ้าองุ่นเปรี้ยวแล้วตรัสว่า “สำ�เร็จ บริบูรณ์แล้ว” พระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์... ผู้ที่รับทรมานและถูกตรึงบนกางเขน คือ “กษัตริย์” แห่งจิตวิญญาณของชาวเรา พระเยซูเจ้าทรง เป็นกษัตริย์ของเราก็ต่อเมื่อเราให้ความดี ความยุติธรรม ความรักปกครองจิตวิญญาณของเรา และในชีวิตของ เราคริสตชน ย่อมพบกับเวลาแห่งการทดลองเช่นเดียวกับเปโตร นั่นจะเป็นเวลาแห่งการพิสูจน์ความเชื่อและ ความรักต่อพระผู้ไถ่ของเรา แต่ยังเป็นเวลาแห่งการเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นด้วย บางเวลา เราอาจใช้ความเชื่อ เพือ่ ประโยชน์ฝา่ ยวัตถุ เราท้าทายพระเจ้าราวกับการเล่นพนัน เดิมพันด้วยความเชือ่ เพือ่ ประโยชน์ทเี่ ราต้องการ เหมือนทหารจับสลากแบ่งฉลองพระองค์ บางเวลาเราถวายเพียงแค่ “องุน่ เปรีย้ ว” ให้พระองค์ ซึง่ หมายถึงความ ศรัทธาจอมปลอมหรือความดีขนั้ ตาํ่ สุดเท่านัน้ แต่พระองค์ยงั ประทาน “นํา้ ทรงชีวติ ” จากดวงพระทัยทีถ่ กู แทง ให้แก่เรา 04.indd 130

21/12/2561 14:49:34


บทอ่านที่ 1 รม 6:3-11 พี่น้อง ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รับศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ดังนั้น เราถูกฝังไว้ใน ความตายพร้อมกับพระองค์อาศัยศีลล้างบาป เพื่อว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระ ชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำ�เนินชีวิต แบบใหม่ด้วยฉันนั้น ถ้าเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการสิ้นพระชนม์ เราก็จะ รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นเดียวกัน เรารู้ว่า สภาพเดิมของความเป็นมนุษย์ของเราถูกตรึงกางเขนไว้กบั พระองค์แล้ว เพือ่ ว่าร่างกาย ที่ใช้ทำ�บาปของเราจะถูกทำ�ลาย และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เพราะคนที่ ตายแล้ว ก็ย่อมพ้นจากบาป แต่เราเชื่อว่า ถ้าเราตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว เราก็จะมีชีวิตพร้อมกับ พระองค์ด้วย เรารู้ว่าพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้วจะ ไม่สนิ้ พระชนม์อกี ความตายไม่มอี �ำ นาจเหนือพระองค์อกี ต่อไป เพราะเมือ่ สิน้ พระชนม์ พระองค์ก็ทรงตายครั้งเดียวจากบาปตลอดไป เมื่อมีพระชนมชีพก็มีพระชนมชีพเพื่อ พระเจ้า ดังนี้ ท่านทัง้ หลายก็เช่นเดียวกันต้องถือว่า ท่านตายจากบาปแล้ว แต่มชี วี ติ อยู่ เพื่อพระเจ้าในพระคริสตเยซู

วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 118:1-2,16-17, 22-23 คืนตื่นเฝ้าปัสกา (เสกไฟ แห่เทียนปัสกา เสกนํ้า)

พระวรสาร มก 16:1-8 เมือ่ วันสับบาโตล่วงไปแล้ว มารียช์ าวมักดาลา มารียม์ ารดาของยากอบ และนางสะโลเม ซือ้ เครือ่ งหอม เพื่อชโลมพระศพของพระเยซูเจ้า เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว สตรีทั้งสามคนไปยัง พระคูหา และกล่าวแก่กันว่า “ใครจะกลิ้งก้อนหินออกจากทางเข้าพระคูหาให้เรา” แต่เมื่อมองไป ก็เห็นว่า ก้อนหินนั้นถูกกลิ้งออกไปแล้ว หินก้อนนั้นใหญ่โตมาก ครั้นเข้าไปภายในพระคูหา สตรีทั้งสามคนเห็นชาย หนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อยาวสีขาวนั่งอยู่ด้านขวามือ ก็ตกตะลึง ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวกับสตรีทั้งสามคนว่า “อย่า กลัวไปเลย ท่านกำ�ลังมองหาพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ ผู้ถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์มไิ ด้ประทับอยูท่ นี่ ี่ สถานทีน่ คี้ อื สถานทีท่ เี่ ขาได้วางพระศพไว้ จงไปแจ้งบรรดาศิษย์และเปโตรให้รวู้ า่ “พระองค์เสด็จล่วงหน้าท่านทั้งหลายไปในแคว้นกาลิลีแล้ว ท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น ดังที่ทรงบอกท่านไว้” สตรีทั้งสามคนออกจากพระคูหา หนีไปเพราะตกใจกลัวจนตัวสั่น และไม่ได้พูดเรื่องใดๆ กับใครเลยเพราะ กลัว “เช้าตรู่” ให้บรรยากาศของการเริ่มต้น ความสดชื่น ความมีชีวิตชีวา “วันต้นสัปดาห์” บ่งบอก ถึงภารกิจ หน้าที่ ความรับผิดชอบที่กำ�ลังรออยู่ “เครื่องหอม” ให้ความรู้สึกถึงความบรรเทา ความรื่นรมย์ การ ปลุกเร้าจิตใจให้มีความหวัง พละกำ�ลัง และจินตนาการ เพื่อเอาชนะปัญหาและความยุ่งยากลำ�บาก คำ�พูดสอง สามคำ�ข้างต้นนี้ ให้ความหมายของ “ปัสกา” ในชีวิตประจำ�วันของผู้มีความเชื่อได้เป็นอย่างดี ผู้มีความเชื่อจะ ปฏิบัติภารกิจและหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบ ความกระตือรือร้น และอย่างมีความหวัง อย่างมีความสุข เสมอ แม้จะพบความยากลำ�บากบ้าง โดยเฉพาะหน้าที่ที่จะ “รักเพื่อนมนุษย์” อย่างไรก็ตาม เราจะมี “ปัสกา” ในชีวิตไม่ได้ หากไม่เปิดหัวใจของเราเสียก่อน จำ�เป็นต้อง “กลิ้งหิน” ออกไป คืออะไรๆ ที่ปิดกั้นหัวใจ ของเราไว้ 04.indd 131

21/12/2561 14:49:34


สมโภชปัสกา พระเยซูเจ้า ทรงกลับคืน พระชนมชีพ

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 10:34ก,37-43 เวลานั้น เปโตรเริ่มพูดว่า “ท่านทั้งหลายรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดีย เริ่ม ต้นทีแ่ คว้นกาลิลี หลังจากทีย่ อห์นได้เทศน์สอนและทำ�พิธลี า้ ง พระเจ้าทรงเจิมพระเยซู เจ้าชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปที่ใด ทรง กระทำ�ความดีและทรงรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำ�นาจของปีศาจ เพราะพระเจ้าสถิตกับ พระองค์ เราทัง้ หลายเป็นพยานยืนยันถึงกิจการทัง้ ปวงทีพ่ ระองค์ทรงกระทำ�ในเขตแดน ของชาวยิวและที่กรุงเยรูซาเล็ม เขาประหารชีวิตพระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่ พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพในวันทีส่ าม และโปรดให้พระองค์ แสดงพระองค์ มิใช่แก่ประชาชนทัง้ ปวง แต่ทรงแสดงพระองค์แก่บรรดาพยานทีพ่ ระเจ้า ทรงเลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้ว คือเราทั้งหลายที่ได้กินและได้ดื่มร่วมกับพระองค์ หลัง จากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระเยซูเจ้าทรงบัญชาให้เราประกาศ สอนประชาชน และเป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระองค์ให้เป็นผู้พิพากษา มนุษย์ทุกคน ทั้งผูเ้ ป็นและผู้ตาย บรรดาประกาศกทั้งปวงเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ ว่า ‘ทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะได้รับการอภัยบาปเดชะพระนามพระองค์’” เพลงสดุดี สดด 118:1-2,16-17,22-23 ก) จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์พระทัยดี ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์ เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ข) พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชูขึ้น พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีชัยชนะ” ข้าพเจ้าจะไม่ตาย ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และจะประกาศพระราชกิจยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ค) ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างทิ้งไป กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ�การนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ตาของเรา บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโคโลสี คส 3:1-4 พี่น้อง ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่หาแต่สิ่งที่ อยู่เบื้องบนเถิด ณ ที่นั้นพระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระเจ้า จงคิดถึงแต่สิ่งที่ อยูเ่ บือ้ งบน อย่าพะวงถึงสิง่ ของบนแผ่นดินนี้ เพราะท่านทัง้ หลายตายไปแล้วและชีวติ ของท่านก็ซ่อนอยู่กับพระคริสตเจ้าในพระเจ้า เมื่อพระคริสตเจ้าองค์ชีวิตของท่านจะ

04.indd 132

21/12/2561 14:49:35


ทรงสำ�แดงพระองค์ เมือ่ นัน้ ท่านจะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระสิริรุ่งโรจน์ด้วย

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:1-9 เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลา ออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหา แล้ว นางจึงวิง่ ไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อกี คนหนึง่ ทีพ่ ระเยซู เจ้าทรงรักบอกว่า “เขานำ�องค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหา แล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำ�พระองค์ไปไว้ที่ไหน” เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา ทั้ง สองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมา ถึงพระคูหาก่อน เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บน พื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน ซีโมนเปโตรซึ่งตามไปติดๆ ก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวาง อยู่ที่พื้น รวมทั้งผ้าพันพระเศียรซึ่งไม่ได้วางอยู่กับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวางไว้อีกที่หนึ่ง ศิษย์คนที่มาถึง พระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นและมีความเชื่อ เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เราคริสตชนอาจมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความสงสัยและสับสนในความเชื่อของเรา มารีย์ชาว มักดาลาเห็นหินเคลือ่ นออกไปจากพระคูหา ยังคิดเพียงว่า มีใครนำ�พระศพของพระองค์ไปทีอ่ นื่ เปโตรและยอห์น เอง แม้พระวรสารจะบอกว่า “เขาเห็นและมีความเชื่อ” แต่ก็ยังบันทึกต่อไปว่า “เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจ พระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย” ที่จริงความสงสัยและความสับสนใน ความเชื่อไม่ใช่เรื่องแปลก นักบุญเปาโลอธิบายว่า หากมนุษย์มัวแต่พะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้ เราจะเชื่อและ รู้จักคุณค่าของ “สิ่งที่อยู่เบื้องบน” ได้อย่างไร ความเชื่อจึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยสำ�หรับผู้ที่ฝักใฝ่ทางโลกอย่าง แน่นอน ท่านจึงแนะนำ�เราในวันสำ�คัญนี้ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่ หาแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบนเถิด”

04.indd 133

21/12/2561 14:49:35


บทอ่านที่ 1 กจ 2:14,22-32 เปโตรยืนขึน้ พร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนและพูดกับประชาชนด้วยเสียง ดังว่า “ท่านทั้งหลาย ชาวยูเดีย และท่านที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงตั้งใจฟังวาจา ของข้าพเจ้าเถิด แล้วท่านจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชาวอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังวาจาเหล่านี้เถิด พระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นบุรุษที่ พระเจ้าทรงส่งมาหาท่าน พระเจ้าทรงรับรองพระองค์โดยประทานอำ�นาจทำ�อัศจรรย์ อัฐมวารปัสกา ปาฏิหาริยแ์ ละเครือ่ งหมายต่างๆ เดชะพระเยซูเจ้า พระเจ้าทรงกระทำ�การเหล่านีใ้ นหมู่ สดด 16:1-2,7-8, ท่านทั้งหลายดังที่ท่านรู้อยู่แล้ว พระเยซูเจ้าทรงถูกมอบในมือของท่านตามที่พระเจ้ามี 9-10,11 พระประสงค์และทรงทราบล่วงหน้า ท่านใช้มือของบรรดาคนอธรรมประหารชีวิต พระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ พ้นจากอำ�นาจแห่ง ความตาย เพราะความตายยึดพระองค์ไว้ใต้อำ�นาจอีกต่อไปไม่ได้... พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านตรงๆ ว่า กษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษของเราสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ ที่ฝังพระศพของพระองค์ยังคงอยู่ในหมู่เราจนถึงทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงเป็นประกาศกด้วย ทรงทราบว่า พระเจ้าทรงปฏิญาณและทรงสัญญาว่าจะทรงให้เชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งของพระองค์ประทับบนพระบัลลังก์สืบ ต่อมา กษัตริยด์ าวิดทรงเห็นล่วงหน้า จึงตรัสถึงเรือ่ งการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าดังนี้ พระองค์ มิได้ทรงถูกทอดทิ้งไว้ในแดนผู้ตาย และร่างกายของพระองค์จะไม่เน่าเปื่อย พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ พระเจ้า ทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนมชีพ เราทุกคนเป็นพยานได้ พระวรสาร มธ 28:8-15 เวลานั้น สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหาวิ่งไปแจ้งข่าวแก่ บรรดาศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอด พระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้น กาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น” เมือ่ สตรีทงั้ สองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทงั้ หมดทีเ่ กิดขึน้ แก่บรรดา หัวหน้าสมณะ บุคคลเหล่านี้จึงประชุมปรึกษากันกับบรรดาผู้อาวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ทหาร สั่ง ว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำ�ลังหลับอยู่’ ถ้า เรื่องมาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาทำ�ให้ท่านพ้นโทษ” ทหารได้รับเงินและทำ�ตามคำ�แนะนำ� เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้ ความเชื่อต้องทำ�ให้เราคริสตชนมี “ความยินดี” ในชีวิตของตน แม้จะมี “ความกลัว” ปะปนอยู่ บ้างเป็นธรรมดาก็ตาม ภาษิตที่ว่า “ความกลัวทำ�ให้เสื่อม” และ “ความยินดีทำ�ให้เจริญ” ในความกลัว เราอาจ เห็นแก่ตัวได้ง่าย อาจไม่อยู่ฝ่ายความจริง อาจละทิ้งความถูกต้องชอบธรรม แต่ในความยินดี เราจะมีใจกว้างขึ้น เราจะช่วยเหลือ เราจะแบ่งปัน เราจะออกจากตนเองและเข้าหาเพื่อนมนุษย์ พระเยซูเจ้าตรัสแก่สตรีทั้งสองว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเรา” เราผู้มีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ก็ต้อง ละทิ้งความกลัว และออกไปแจ้งข่าวดีแก่เพื่อนมนุษย์ของเราเช่นกัน นั่นคือ การให้ความหวังแก่คนอื่นๆ แล้ว ความยินดีของเราจะเต็มเปี่ยม 04.indd 134

21/12/2561 14:49:35


บทอ่านที่ 1 กจ 2:36-41 เปโตรยืนขึน้ พร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียง ดังว่า “ดังนั้น ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูผู้ นี้ที่ท่านทั้งหลายนำ�ไปตรึงบนไม้กางเขนให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า” ถ้อยคำ�เหล่านีเ้ สียดแทงใจของทุกคน เขาเหล่านัน้ จึงถามเปโตรและอัครสาวกอืน่ ๆ ว่า “พี่น้อง พวกเราจะต้องทำ�อย่างไร” เปโตรตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเถิด แต่ละคนจงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยบาป แล้วท่านจะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า พระสัญญานี้มีไว้สำ�หรับท่านทั้งหลาย สำ�หรับ บุตรหลานของท่านและสำ�หรับทุกคนทีอ่ ยูห่ า่ งไกล ซึง่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของเรา จะทรงเรียก” เปโตรกล่าวถ้อยคำ�อีกมาก อ้อนวอนและตักเตือนเขาว่า “ท่านทั้งหลาย จงช่วยตนให้รอดพ้นจากคนชั่วร้ายในยุคนี้เถิด” คนเหล่านั้นรับถ้อยคำ�ของเปโตรและ ได้รับศีลล้างบาป วันนั้นผู้มีความเชื่อมีจำ�นวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน

อัฐมวารปัสกา สดด 33:4-5,18-19, 20-22

พระวรสาร ยน 20:11-18 เวลานั้น มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็น ทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้อง พระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม” นางตอบว่า “เขานำ�องค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำ�พระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้ แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนาง ว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม กำ�ลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่าน นำ�พระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำ�พระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำ�พระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้า ตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไปทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่ น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำ�ลังขึน้ ไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทัง้ หลาย ไปเฝ้าพระเจ้า ของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์ พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง น่าแปลกใจที่มารีย์ ชาวมักดาลาได้เห็นพระเยซูเจ้า และได้ยินเสียงของพระองค์ตรัสกับเธอ แต่ เธอจำ�พระองค์ไม่ได้ ทีจ่ ริงคนทีค่ นุ้ เคยกัน บางทีเพียงแค่เห็นด้านหลังหรือมองด้วยหางตาผ่านๆ หรือได้ยนิ เสียง พูดคำ�สองคำ� ก็จ�ำ ได้แล้วว่าเป็นใคร บางทีพระเยซูเจ้าผูท้ รงกลับคืนพระชนมชีพ จะปรากฏแก่เราด้วย “ร่างกาย ใหม่” รูปลักษณ์ใหม่ทไ่ี ม่คนุ้ เคย เป็นเหมือนคนแปลกหน้า ทีเ่ ราไม่รจู้ กั มาก่อน นัน่ คือ เพือ่ นมนุษย์ทงั้ หลายของ เรา ที่เราต้องไปบอก “ข่าวดี” ช่วยเหลือ แบ่งปัน ชีวิตของผู้มีความเชื่อจึงมิใช่ชีวิตที่มัวแต่ “ร้องไห้” อยู่หน้า “คูหา” แต่เป็นชีวิตของ “การก้าวเดิน” ไปหาพี่น้องเพื่อนมนุษย์ของเราทุกคน 04.indd 135

21/12/2561 14:49:35


อัฐมวารปัสกา

สดด 105:1-3,4-6, 7-10

บทอ่านที่ 1 กจ 3:1-10 วันหนึ่ง เวลาบ่ายสามโมง เปโตรและยอห์นกำ�ลังขึ้นไปที่พระวิหารเพื่ออธิษฐาน ภาวนา ที่ประตูพระวิหารซึ่งเรียกกันว่า “ประตูงาม” มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยแต่กำ�เนิด มีผู้หามคนง่อยผู้นี้มาไว้ที่นั่นทุกวันเพื่อขอทานจากคนที่เข้าไปในพระวิหาร เมื่อเห็น เปโตรและยอห์นกำ�ลังเดินเข้าพระวิหาร คนง่อยจึงขอทานจากเขาทั้งสองคน... เปโตร กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่มีเงินไม่มีทอง แต่ข้าพเจ้ามีอะไรจะให้ท่าน เดชะพระนามพระเยซู คริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ จงเดินไปเถิด” แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ทันใดนั้น เท้าและข้อเท้าของเขากลับมีกำ�ลัง เขากระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดิน...

พระวรสาร ลก 24:13-35 วันนั้น ศิษย์สองคนกำ�ลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณสิบเอ็ด กิโลเมตร ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ขณะที่กำ�ลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจำ�พระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง พระองค์ตรัสถาม ว่า “ท่านเดินสนทนากันเรื่องอะไร” ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง ศิษย์ทชี่ อื่ เคลโอปัสถามว่า “ท่านเป็นเพียงคนเดียวทีแ่ วะมาในกรุงเยรูซาเล็มหรือ ซึง่ ไม่รเู้ รือ่ งราวทีเ่ กิด ขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้” พระองค์ตรัสถามว่า “เรื่องอะไรกัน” เขาตอบว่า “ก็เรื่องพระเยซู ชาว นาซาเร็ธ ประกาศกทรงอำ�นาจในกิจการและคำ�พูดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าประชาชนทั้งปวง บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้นำ�ของเรามอบพระองค์ให้ต้องโทษประหารชีวิต และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน เราเคยหวังไว้ว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่นี่เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นี้ เกิดขึน้ สตรีบางคนในกลุม่ ของเราทำ�ให้เราประหลาดใจอย่างยิง่ เขาไปทีพ่ ระคูหาตัง้ แต่เช้าตรู่ เมือ่ ไม่พบพระ ศพ เขากลับมาเล่าว่าได้เห็นนิมิตของทูตสวรรค์ซึ่งพูดว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่...” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดาประกาศก กล่าวไว้ พระคริสตเจ้าจำ�เป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ”... เมื่อพระองค์ทรงพระดำ�เนินพร้อมกับศิษย์ทั้งสองคนใกล้จะถึงหมู่บ้านที่เขาตั้งใจจะไป พระองค์ทรง ทำ�ท่าว่าจะทรงพระดำ�เนินเลยไป แต่เขาทั้งสองคนรบเร้าพระองค์ว่า “จงพักอยู่กับพวกเราเถิด เพราะใกล้ คํ่าและวันก็ล่วงไปมากแล้ว” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักกับเขา ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบ ขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและทรงยื่นให้เขา เขาก็ตาสว่างและจำ�พระองค์ได้ แต่พระองค์หาย ไปจากสายตาของเขา ศิษย์ทงั้ สองคนจึงพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยูภ่ ายในหรือเมือ่ พระองค์ ตรัสกับเราขณะเดินทาง และทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง”... “ปัสกา” เป็นความยินดีของผู้มีความเชื่อ ผู้มีความยินดีย่อม “ไม่นิ่งเฉย” เปโตรสั่งคนง่อยแต่ กำ�เนิดว่า “จงเดินไปเถิด” จึงให้ความหมายที่งดงามแก่ชาวเราด้วย หนังสือกิจการอัครสาวกเล่าต่อไปว่า “เขา กระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดิน...เดินบ้าง กระโดดบ้าง พลางสรรเสริญพระเจ้า” นี่แสดงถึงความสุข ความยินดี ของผู้มี “ปัสกา” อยู่ในการเดินทางแห่งชีวิต ในระหว่างการเดินทางไปเอมมาอุส ศิษย์สองคนนั้นเต็มไปด้วย ความสงสัย มีตอนหนึ่งเขาพูดว่า “เราเคยหวังไว้ว่า...” ซึ่งอาจเป็นนัยว่า ความหวังนั้นจบสิ้นแล้ว แต่พระเยซู เจ้าก็เสด็จมาเป็นเพือ่ นร่วมทาง เตือนความเชือ่ และความหวังของพวกเขาและของเรา ด้วย “การบิขนมปังและ ยืน่ ให้” อันหมายถึงการแบ่งปัน ฉะนัน้ การเสียสละและการแบ่งปันมีมากเพียงใด ก็ยงิ่ มีความยินดีมากเพียงนัน้ เพราะทำ�ให้เรา “ตาสว่างและจำ�พระองค์ได้” เราจง “อย่านิ่งเฉย” แต่ “จงเดินไปเถิด” 04.indd 136

21/12/2561 14:49:36


บทอ่านที่ 1 กจ 3:11-26 ขณะที่คนซึ่งเคยเป็นง่อยคนนั้นหน่วงเหนี่ยวเปโตรและยอห์นไว้ ประชาชน ทุกคนประหลาดใจอย่างยิ่ง ต่างวิ่งไปหาเขาทั้งสองคนที่เฉลียงซึ่งเรียกว่า “เฉลียง ซาโลมอน” เมื่อเปโตรเห็นดังนั้นจึงกล่าวปราศรัยกับประชาชนว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ทำ�ไมท่านจึงประหลาดใจในเรือ่ งนี้ ทำ�ไมท่านจึงจ้องมองเราเหมือนกับว่าเราทำ�ให้ชายผู้ อัฐมวารปัสกา นี้เดินได้ด้วยอำ�นาจหรือความเลื่อมใสของเราต่อพระเจ้า... ด้วยความเชื่อในพระนาม สดด 8:1,4-8 พระองค์ ชายผู้นี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและเคยรู้จักจึงกลับมีกำ�ลังขึ้นอีก ความเชื่อใน พระองค์นี้แหละรักษาชายง่อยคนนี้ให้เป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย ถึงกระนั้น พี่น้องทั้งหลาย... พระเจ้าทรงใช้วิธีนี้เพื่อทำ�ให้ถ้อยคำ�ที่พระองค์ตรัสไว้ล่วงหน้าโดยทาง บรรดาประกาศกว่า พระคริสตเจ้าของพระองค์จะต้องทรงรับทรมานนัน้ เป็นจริง เพราะฉะนัน้ ท่านจงเป็นทุกข์ กลับใจและหันมาหาพระเจ้าเถิด เพือ่ บาปของท่านจะได้รบั การอภัย และดังนีอ้ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะทรงบันดาล ให้เวลาแห่งการให้กำ�ลังใจมาถึง และจะทรงส่งพระคริสตเจ้าทีพ่ ระองค์ทรงกำ�หนดไว้ล่วงหน้ามาหาท่าน คือ พระเยซูเจ้า พระองค์ยังทรงต้องรออยู่ในสวรรค์จนกระทั่งถึงเวลาที่จะทรงฟื้นฟูทุกสิ่งขึ้นใหม่...” พระวรสาร ลก 24:35-48 เวลานั้น ศิษย์ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางและเล่าว่าตนจำ�พระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง ขณะที่บรรดาศิษย์กำ�ลังสนทนากันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ในหมู่เขา ตรัสว่า “สันติสุขจงดำ�รงอยู่ กับท่านทั้งหลายเถิด” เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี แต่พระองค์ตรัสว่า “ท่านวุ่นวายใจทำ�ไม เพราะเหตุ ใดท่านจึงมีความสงสัยในใจ จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริงๆ จงคลำ�ตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มี กระดูกอย่างที่ท่านเห็นว่าเรามี” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และพระบาท เขายินดีและ แปลกใจจนไม่อยากเชือ่ พระองค์จงึ ตรัสกับเขาว่า “ท่านมีอะไรกินบ้าง” เขาถวายปลาย่างชิน้ หนึง่ แด่พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าเขา หลังจากนัน้ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นีค่ อื ความหมายของถ้อยคำ�ทีเ่ รากล่าวไว้ขณะทีย่ งั อยูก่ บั ท่าน ทุก สิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในธรรมบัญญัติของโมเสส บรรดาประกาศกและเพลงสดุดีจะต้องเป็นความจริง” แล้วพระองค์ทรงทำ�ให้เขาเกิดปัญญาเข้าใจพระคัมภีร์ ตรัสว่า “มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องทน ทุกข์ทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายในวันทีส่ าม จะต้องประกาศในพระนามพระองค์ให้ นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้” ความสงสัย ลังเลใจ ทำ�ให้เกิด “ความวุ่นวายใจ” อันที่จริง ความสงสัยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตาม ปกติวิสัยของเรามนุษย์ แต่ก็เป็นสิ่งที่เราสามารถเอาชนะได้ หากเราขวนขวายแสวงหาคำ�ตอบ การเดินหน้าไป ในชีวิตของเรา จะไปได้ไกลและรวดเร็ว หากเราเดินหน้าไปโดยปราศจากความสงสัยและลังเล แม้ความเชื่อของ เราจะไม่ตอ้ งพิสจู น์ดว้ ยตา หรือการสัมผัส เหมือนทีพ่ ระเยซูเจ้าพิสจู น์ให้กบั บรรดาสาวกว่าพระองค์ทรงกลับคืน พระชนมชีพจริง แต่การยอมสละชีวิตของบรรดาสาวกเพื่อยืนยันความจริงเรื่องนี้ ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์เรื่องนี้ให้ กับเราโดยไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป ที่สำ�คัญหากเราผู้มีความเชื่อจับมือเดินไปด้วยกันแล้ว ความเชื่อจะมั่นคง การ เดินทางจะมั่นใจ ตามภาษิตที่ว่า “If you want to go fast, go alone; if you want to go far, go together.” (หากท่านต้องการไปให้เร็ว จงไปคนเดียว หากท่านต้องการไปให้ไกล จงไปด้วยกัน) 04.indd 137

21/12/2561 14:49:36


อัฐมวารปัสกา สดด 118:1-2 และ 4, 22-24,25-27ก

บทอ่านที่ 1 กจ 4:1-12 ขณะทีเ่ ปโตรและยอห์นกำ�ลังปราศรัยกับประชาชนอยูน่ นั้ บรรดาสมณะพร้อมกับ นายทหารรักษาพระวิหารและบรรดาชาวสะดูสีได้เข้ามาพบ เขาไม่พอใจมากที่ทั้งสอง คนสั่งสอนประชาชนและประกาศว่าบรรดาผู้ตายจะกลับคืนชีพเพราะพระเยซูเจ้าทรง กลับคืนพระชนมชีพ เขาจับกุมเปโตรและยอห์นจองจำ�ไว้จนถึงวันรุง่ ขึน้ เพราะเป็นเวลา เย็นแล้ว... วันรุง่ ขึน้ ... เขานำ�เปโตรและยอห์นมาอยูก่ ลางทีป่ ระชุม แล้วเริม่ ซักถามว่า “ท่าน ทั้งสองคนทำ�การโดยอำ�นาจหรือในนามของผู้ใด” เปโตรเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้ากล่าวกับ เขาว่า “ท่านผู้ปกครองประชาชน และผู้อาวุโสทั้งหลาย วันนี้เราทำ�ความดีรักษาผู้ป่วย คนหนึง่ เราจึงถูกสอบสวนว่าคนนีห้ ายจากโรคได้อย่างไร...ชายคนนีห้ ายจากโรคมายืน อยู่ต่อหน้าท่านทั้งหลาย ก็เพราะพระนามพระเยซูคริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ ซึ่งท่านนำ�ไป ตรึงกางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระเยซู เจ้าองค์นี้ทรงเป็นศิลาซึ่งท่านทั้งหลายผู้เป็นช่างก่อสร้างขว้างทิ้ง แต่ได้กลายเป็นศิลา หัวมุม ไม่มีผู้ใดช่วยให้เรารอดพ้น เพราะใต้ฟ้านี้พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นแก่มนุษย์ นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้”

พระวรสาร ยน 21:1-14 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์อีกครั้งหนึ่งที่ฝั่งทะเลสาบทีเบเรียส เรื่องราวเป็นดังนี้ ศิษย์บางคนอยู่พร้อมกันที่นั่น คือซีโมนเปโตร กับโทมัสที่เรียกกันว่า “ฝาแฝด” นาธานาเอล ซึ่งมาจากหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองคนของเศเบดีและศิษย์อีกสองคน ซีโมน เปโตรบอกคนอื่นว่า “ข้าพเจ้าจะไปจับปลา” ศิษย์คนอื่นตอบว่า “พวกเราจะไปกับท่านด้วย” เขาทั้งหลาย ออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นทั้งคืนเขาจับปลาไม่ได้เลย พอรุ่งสาง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่ง แต่บรรดาศิษย์ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทรงร้องถาม ว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างไหม” เขาตอบว่า “ไม่มี” พระองค์จึงตรัสว่า “จงเหวี่ยงแหไปทางกราบเรือด้าน ขวาซิ แล้วจะได้ปลา” บรรดาศิษย์จึงเหวี่ยงแหออกไป แต่ดึงขึ้นไม่ไหว เพราะได้ปลาเป็นจำ�นวนมาก ศิษย์ ที่พระเยซูเจ้าทรงรักกล่าวกับเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้านี่” เมื่อซีโมนเปโตรได้ยินว่า “เป็นองค์พระผู้ เป็นเจ้า” เขาก็หยิบเสื้อมาสวม เพราะเขาไม่ได้สวมเสื้ออยู่ แล้วกระโดดลงไปในทะเล ศิษย์คนอื่นเข้าฝั่งมา กับเรือ ลากแหที่ติดปลาเข้ามาด้วย เพราะอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก ประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น... พระเยซูเจ้าทรงร้องถามว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้าง” คำ�ว่า “ลูกเอ๋ย” เป็นคำ�ร้องเรียกบรรดาสาวก ที่แปลกไปจากแต่ก่อน เป็นคำ�ที่ให้ความรู้สึกได้ถึงความเอ็นดู ความใกล้ชิดในแบบ “ครอบครัวที่อบอุ่น” ซึ่ง ผู้ใหญ่ให้ความห่วงใยต่อลูกหลาน คงเป็น “ทัศนคติ” ที่พระองค์นำ�เสนอให้เรามองดูเพื่อนมนุษย์ในทำ�นอง เดียวกัน นักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร คงจงใจพูดถึงจำ�นวนปลาที่จับได้ด้วยตัวเลข 153 ซึ่งนักพระคัมภีร์ บางคนอธิบายว่า เป็นตัวเลขแสดงจำ�นวน “ชนิด” ของปลาทั้งหมดในทะเลสาบทีเบเรียส และหมายความว่า บรรดาสาวกและพระศาสนจักร มีหน้าที่เป็นชาวประมงหามนุษย์ทุกคน โดยไม่จำ�กัดความแตกต่างใดๆ ผู้มี “ปัสกา” อยู่ในชีวิตของตน ย่อมต้องมีทัศนคติทั้งสองลักษณะนี้อยู่ด้วยอย่างมั่นคง 04.indd 138

21/12/2561 14:49:37


บทอ่านที่ 1 กจ 4:13-21 เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นว่าเปโตรและยอห์นพูดอย่างกล้าหาญ ทั้งรู้ว่าทั้งสองคนไม่ เคยได้รบั การศึกษา และไม่มคี วามรูพ้ เิ ศษใดๆ ก็ประหลาดใจและระลึกได้วา่ ทัง้ สองคน เคยอยู่กับพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นคนที่หายจากโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น เขาก็ไม่รู้ ว่าจะพูดอย่างไร จึงสัง่ ให้ทงั้ สองคนออกไปนอกห้องประชุม แล้วเริม่ ปรึกษากันว่า “เรา จะทำ�อย่างไรกับทั้งสองคนนี้ดี” เพราะเขาทำ�การอัศจรรย์เด่นชัด ทุกคนที่อยู่ในกรุง อัฐมวารปัสกา เยรูซาเล็มรู้ว่าเขาทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์นี้อย่างเปิดเผย เราไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เรา สดด 118:1 และ 14-15, 16-18,19-21 ต้องขู่เขา อย่าให้กล่าวถึงนามนั้นแก่ผู้ใด เพื่อเรื่องนี้จะได้ไม่เล่าลือแพร่หลายไปในหมู่ ประชาชนมากยิ่งขึ้น” เขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นเข้ามา สัง่ อย่างเด็ดขาดมิให้พดู หรือสอนในพระนามพระเยซูเจ้าอีก เปโตร และยอห์นย้อนถามว่า “ท่านทั้งหลายจงตัดสินเถิดว่าอะไรเป็นการถูกต้องเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า จะ ฟังท่านหรือจะฟังพระเจ้า เราจำ�เป็นต้องพูดถึงสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินมา” ที่ประชุมขู่สำ�ทับทั้งสองคนอีก ครั้งหนึ่งแล้วปล่อยไป เพราะไม่พบสาเหตุที่จะลงโทษและเพราะกลัวประชาชน ทุกคนต่างถวายพระเกียรติ แด่พระเจ้าเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระวรสาร มก 16:9-15 หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพตอนเช้าตรู่วันต้นสัปดาห์แล้ว พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่ มารีย์ชาวมักดาลาเป็นคนแรก นางคือผู้ที่พระองค์เคยทรงไล่ปีศาจเจ็ดตนออกไป นางจึงไปบอกผู้ที่กำ�ลัง ร้องไห้เป็นทุกข์ซ่ึงเคยอยู่กับพระองค์ เมื่อเขาเหล่านั้นได้ยินนางพูดว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่และนาง เห็นพระองค์แล้ว เขาก็ไม่เชื่อ หลังจากนั้น พระองค์ทรงสำ�แดงพระองค์ในรูปแตกต่างไปกับศิษย์สองคนซึ่งกำ�ลังเดินทางไปชนบท เขาทั้งสองคนกลับมาเล่าให้คนอื่นฟัง แต่คนเหล่านั้นก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกัน ในที่สุด พระองค์ทรงสำ�แดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบเอ็ดคนขณะที่เขากำ�ลังร่วมโต๊ะกินอาหารอยู่ ทรงตำ�หนิพวกเขาที่ไม่ยอมเชื่อและมีใจแข็งกระด้าง เพราะไม่ยอมเชื่อผู้ที่เห็นพระองค์เมื่อทรงกลับคืน พระชนมชีพแล้ว พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง” หนังสือกิจการอัครสาวกล่าวว่า เปโตรและยอห์นถามว่า “จะฟังท่านหรือจะฟังพระเจ้า เราจำ�เป็น ต้องพูดถึงสิง่ ทีเ่ ราเห็นและได้ยนิ มา” ท่านทัง้ สองแสดงถึง “ความเด็ดเดีย่ ว” ในหน้าทีท่ ตี่ อ้ ง “ประกาศ” ความ จริง เช่นเดียวกับ มารีย์ ชาวมักดาลา เมื่อได้พบกับพระเยซูเจ้าเป็นคนแรก หลังจากที่พระองค์ทรงกลับคืน พระชนมชีพแล้ว แม้ตนเองจะรู้สึกได้ว่า เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือในสายตาของใครต่อใคร เพราะ “เคยมีปีศาจเจ็ด ตน” แต่บัดนี้ เป็นสิ่งที่ ไม่ประกาศไม่ได้ แม้จะไม่มีใครอยากเชื่อก็ตาม ชวนให้คิดถึงความรู้สึกของนักบุญ แบร์นาแด๊ต เมื่อถูกกล่าวหาจากผู้ใหญ่หลายคนว่า แต่งเรื่องการประจักษ์ของแม่พระเพื่อหาผลประโยชน์ แม้ ท่านจะเป็นเด็ก ก็กล่าวอย่างซื่อๆ ว่า “ฉันได้รับมอบหมายให้มาบอกท่านถึงสิ่งที่ได้ยินและได้เห็น ฉันไม่ได้รับ มอบหมายมาทำ�ให้ท่านเชื่อ” การประกาศความจริง เป็นหน้าที่ของเราทุกคนเช่นเดียวกัน 04.indd 139

21/12/2561 14:49:37


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ฉลองพระเมตตา

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 5:12-16 บรรดาอัครสาวกทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์หลายประการในหมู่ ประชาชน ผู้มีความเชื่อทุกคนมักจะมาชุมนุมกันที่เฉลียงซาโลมอน ไม่มีผู้อื่นกล้าเข้า มารวมกลุ่มกับเขา แต่ประชาชนต่างยกย่องเขาอย่างมาก ผู้มีความเชื่อในองค์พระผู้ เป็นเจ้าเพิ่มจำ�นวนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งชายและหญิง ประชาชนนำ�ผู้ป่วยมาที่ลานสาธารณะ วางไว้บนที่นอนและแคร่ อย่างน้อยเพื่อให้เงาของเปโตรที่เดินผ่านมาทอดปกคลุมผู้ ป่วยบางคน ประชาชนจากเมืองต่างๆ รอบกรุงเยรูซาเล็มมาชุมนุมกัน นำ�ผู้ป่วยและผู้ ที่ถูกปีศาจชั่วร้ายทรมานมาที่นั่นด้วย ทุกคนได้รับการรักษาให้หาย เพลงสดุดี สดด 118:2 และ 4,22-24,25-27 ก) เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ผู้ยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ข) ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างทิ้งไป กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ�การนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ตาของเรา นี่คือวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้าง เราจงยินดีและมีความสุขเถิด บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์ วว 1:9-11ก,12-13,17-19 ข้าพเจ้าคือยอห์น พี่น้องผู้ร่วมทุกข์ในการถูกเบียดเบียนกับท่านทั้งหลาย ผู้ร่วม ในพระอาณาจักรและในการเพียรทน เดชะพระเยซูเจ้า ข้าพเจ้ามาอยู่ที่เกาะชื่อ ปัทมอส เพราะพระวาจาของพระเจ้าและเพราะการเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้า ในวันของ องค์พระผู้เป็นเจ้าวันหนึ่ง พระจิตเจ้าทรงบันดาลให้ข้าพเจ้าตกอยู่ในภวังค์ และได้ยิน เสียงดังดุจเสียงแตรอยู่เบื้องหลังข้าพเจ้า เสียงนั้นกล่าวว่า “จงเขียนสิ่งที่ท่านเห็นไว้ ในม้วนหนังสือ และส่งไปให้พระศาสนจักรทั้งเจ็ด ข้าพเจ้าหันไปดูว่าผู้ใดกำ�ลังพูดกับ ข้าพเจ้า เมื่อหันไปแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นเชิงตะเกียงทองคำ�เจ็ดเชิง ในกลุ่มเชิงตะเกียง เหล่านั้นข้าพเจ้าเห็นผู้หนึ่งคล้ายบุตรแห่งมนุษย์ สวมเสื้อยาวกรอมเท้า มีผ้าทองคาด ที่อก เมือ่ เห็นเขา ข้าพเจ้าล้มลงแทบเท้าของเขาเหมือนคนตาย แต่เขาวางมือขวาบนตัว ข้าพเจ้า กล่าวว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นทั้งเบื้องต้นและบั้นปลาย เราเป็นผู้มีชีวิต เรา

04.indd 140

21/12/2561 14:49:37


ตายไปแล้ว แต่บัดนี้เรามีชีวิตอยู่ตลอดนิรันดร เรามีอำ�นาจเหนือความตายและเหนือแดนผู้ตาย ดังนั้นจง เขียนสิ่งที่ท่านได้เห็น คือ สิ่งที่กำ�ลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:19-31 คํา่ วันนัน้ ซึง่ เป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูหอ้ งทีบ่ รรดาศิษย์ก�ำ ลังชุมนุมกันปิดอยูเ่ พราะกลัวชาวยิว พระเยซู เจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มี ความยินดี พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่ง ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่ อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย” โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคน อื่นๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอื่นบอกเขาว่า “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำ�ที่ด้าน ข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็ อยู่กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุข จงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำ�ทีส่ ขี า้ งของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชือ่ เถิด” โทมัสทูลพระองค์วา่ “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข” พระเยซูเจ้ายังทรงกระทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์อื่นอีกหลายประการให้บรรดาศิษย์เห็น แต่ไม่ได้บันทึก ไว้ในหนังสือเล่มนี้ เรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกไว้เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อนี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็จะมีชีวิตเดชะพระนามพระองค์ หลายครั้งที่พระเยซูเจ้าทรงปรากฏองค์แก่บรรดาศิษย์ พร้อมกับคำ�ทักทายว่า “สันติสุข” คงเป็น เพราะ ใครก็ตามที่พบสันติสุขในจิตวิญญาณหรือในชีวิตของตน ย่อมพบพระเจ้าด้วย แต่สันติสุขจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากจิตใจเต็มไปด้วย “ความกลัว” อันทีจ่ ริง ในอีกหลายๆ ตอน พระเยซูเจ้าทรงเตือนบรรดาศิษย์วา่ “อย่ากลัว เลย” ความกลัวทำ�ให้เราขังตนเองอยู่ในห้องที่ปิดอยู่ ชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่อ่อนแอและพ่ายแพ้ ผู้ที่อ่อนแอย่อม ไม่สามารถ “ให้อภัย” ต่อผู้ที่กระทำ�ผิดต่อตนเองได้ และผู้ที่ให้อภัยไม่ได้ ก็ไม่อาจพบ “สันติสุข” เพราะมัวแต่ คิดแก้แค้น เอาคืน มหาตมะ คานธี ให้ข้อเตือนใจที่น่าฟังว่า “An eye for an eye only ends up making the whole world blind.” (ตาต่อตา มีแต่จะจบลงที่ทำ�ให้โลกทั้งโลกตาบอด) ชาวเราจงรับพระจิตเจ้า และ เปิดตา แสวงหาการให้อภัยและสันติสุขดีกว่า ตามบทภาวนาของท่านนักบุญฟรังซิส อัสซีซี ที่เรารู้จักดี “ที่ใดมี ความเกลียดชัง ขอให้ข้าพเจ้าหว่านความรัก” 04.indd 141

21/12/2561 14:49:37


ระลึกถึง น.กาธารีนา แห่งซีเอนา พรหมจารี นักปราชญ์แห่ง พระศาสนจักร สดด 2:1-3,4-6,7-9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 กจ 4:23-31 เมือ่ เปโตรและยอห์นได้รบั การปลดปล่อยแล้ว ก็ไปพบบรรดาศิษย์ เล่าทุกเรือ่ งที่ บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสกล่าวกับตน เมื่อบรรดาศิษย์ฟังจบแล้ว จึงพร้อมใจ กันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงสร้างฟ้า แผ่นดิน ทะเล และสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในนั้น เดชะพระจิตเจ้า พระองค์ทรงดลใจให้กษัตริย์ดาวิด ผู้รับใช้ของพระองค์และผู้เป็นบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายตรัสว่า ‘ทำ�ไมชนชาติทั้งหลายจึงบันดาลโทสะ และบรรดาประชาชาติจึงวางแผนไร้สาระ บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินต่างต่อต้าน บรรดาผู้ปกครองมาร่วมกันต่อสู้กับองค์พระผู้ เป็นเจ้า และผู้รับเจิมของพระองค์’... เพือ่ ทำ�ให้พระประสงค์ทที่ รงกำ�หนดไว้ดว้ ยพระอานุภาพสำ�เร็จไป บัดนี้ ข้าแต่องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรคำ�ข่มขูข่ องเขาทัง้ หลายและประทานให้ขา้ รับใช้ของ พระองค์ประกาศพระวาจาของพระองค์ด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งเถิด โปรดแสดง พระอานุภาพในการรักษาโรค ให้เครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเดชะ พระนามพระเยซูเจ้าผูร้ บั ใช้ศกั ดิส์ ทิ ธิข์ องพระองค์เถิด” เมือ่ บรรดาศิษย์อธิษฐานภาวนา จบแล้ว สถานที่ที่เขามาชุมนุมกันนั้นก็สั่นสะเทือน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มประกาศพระวาจาของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ

พระวรสาร ยน 3:1-8 ชายคนหนึง่ จากกลุม่ ชาวฟาริสชี อื่ นิโคเดมัส เป็นหัวหน้าคนหนึง่ ของชาวยิว เขามาเฝ้าพระเยซูเจ้าตอน กลางคืน ทูลว่า “รับบี พวกเรารู้ว่า ท่านเป็นอาจารย์ที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ อย่างทีท่ า่ นทำ�ได้ นอกจากพระเจ้าจะสถิตกับเขา” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นว่าไม่มี ใครเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่” นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนชราแล้วจะเกิดใหม่ได้ อย่างไรกัน เขาจะเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่ง แล้วเกิดใหม่ได้หรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าถ้าเขาไม่ เกิดจากนํ้าและพระจิตเจ้า สิ่งใดที่เกิดจากเนื้อหนังย่อมเป็นเนื้อหนัง สิ่งใดที่เกิดจากพระจิตเจ้า ย่อมเป็นจิต อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายจำ�เป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลม ต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัดแต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็ เป็นเช่นนี้” “ชีวิตมิได้ถูกกำ�หนดด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่ด้วยวิธีที่เราตอบสนองต่อเหตุการณ์ ต่างๆ นั้นต่างหาก” นักคิดหลายคนให้คำ�เตือนใจในทำ�นองนี้ สุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่ทัศนคติที่ใช้ในการตอบสนอง สิง่ ต่างๆ นัน่ เอง การเกิดใหม่ในศีลล้างบาป แน่นอนว่า ไม่สามารถเปลีย่ นสภาพแวดล้อมหรือความเป็นจริงต่างๆ ในชีวิตได้ แต่ชีวิตใหม่คือ ทัศนคติใหม่ การให้พระจิตเจ้าทำ�งาน และ “พัดพา” ชีวิตของเราไปในหนทางแห่ง พระประสงค์ พระเยซูเจ้าจึงทรงเตือนเราว่า “ความจริงจะทำ�ให้ทา่ นเป็นอิสระ” (ยน 8:32) เราจงยอมรับความ จริงต่างๆ แห่งชีวิตและวางใจในการนำ�ทางและพระญาณเอื้ออาทรอันปรีชาของพระองค์ เริ่มต้นด้วยทัศนคติ ใหม่ในการมองดูเหตุการณ์ต่างๆ และการมองเห็น “เพื่อนมนุษย์” ของเรา 04.indd 142

21/12/2561 14:49:38


บทอ่านที่ 1 กจ 4:32-37 เวลานั้น กลุ่มผู้มีความเชื่อดำ�เนินชีวิตเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมี เป็นกรรมสิทธิ์ของตน แต่ทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซู องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าด้วยเครือ่ งหมายอัศจรรย์ยงิ่ ใหญ่ และทุกคนได้รบั ความเคารพนับถือ อย่างสูง ในกลุม่ ของเขาไม่มใี ครขัดสน ผูใ้ ดมีทดี่ นิ หรือบ้านก็ขายและมอบเงินทีไ่ ด้ให้บรรดา อัครสาวก เพื่อแจกจ่ายให้ผู้มีความเชื่อแต่ละคนตามความต้องการ ชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ บรรดาอัครสาวกเรียกเขาว่า บารนาบัส ซึ่งแปลว่า บุตร แห่งการให้กำ�ลังใจ เขาเป็นคนเผ่าเลวีชาวเกาะไซปรัส เขามีที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเขาขาย นำ�เงินมามอบให้บรรดาอัครสาวกด้วย

น.ปีโอ ที่ 5 พระสันตะปาปา

สดด 93:1-2กข, 2ค-4,5 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ยน 3:7-15 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่านทัง้ หลายจำ�เป็นต้อง เกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัดแต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่นนี้” นิโคเดมัสทูลถามพระองค์ว่า “เหตุการณ์เช่นนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เรากำ�ลังพูดถึงเรื่องที่เรารู้และเป็นพยานถึงเรื่องที่เราเห็น แต่ท่านทั้งหลายไม่ ยอมรับคำ�ยืนยันของเรา ถ้าท่านทัง้ หลายไม่เชือ่ เมือ่ เราพูดถึงเรือ่ งทีเ่ กีย่ วกับโลกนี้ ท่านจะเชือ่ ได้อย่างไรเมือ่ เราจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสวรรค์ ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น โมเสสยกรูปงูขึ้น ในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิต นิรันดร” “เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร” ความสงสัยของนิโคเดมัสก็คงเป็นความสงสัยของเรา คริสตชนในหลายๆ กรณีแห่งชีวิตของเราด้วย ตราบใดที่เรายังไม่แยกแยะคุณค่าของสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะคุณค่าฝ่ายโลกและคุณค่าฝ่ายวิญญาณ หากเรารักโลกและนิยมวัตถุ เราจะยินดีเสียสละเพื่อส่วนรวม หรือเพื่อคนอื่นๆ ได้หรือ เราคงไม่สามารถเข้าใจ “ชีวิตใหม่” ที่ปัสกานำ�มาให้ เพราะยังติดใจอยู่กับโลกนั่นเอง ชีวิตใหม่สอนให้บรรดาสาวกและคริสตชนสมัยแรกเริ่มไม่ติดใจในทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก แต่มองเห็นการดำ�เนิน ชีวิตร่วมกันด้วยความรักและการแบ่งปัน เป็นวิถีแห่งความสุขแท้ เราจงแสวงหาปรีชาญาณที่แท้ ที่ไม่ใช่ความ ฉลาดฝ่ายโลก ปรีชาญาณที่แท้เปิดตาเราให้เห็นทั้งความรุ่งโรจน์ของสวรรค์และความไร้แก่นสารของโลก มี บทเตือนใจที่น่าฟังบทหนึ่งว่า “ถ้าพระเจ้าตอบว่า “ได้” พระองค์กำ�ลังเพิ่มพูนความเชื่อของท่าน ถ้าพระเจ้า ตอบว่า “รอหน่อย” พระองค์กำ�ลังเพิ่มพูนความอดทนของท่าน ถ้าพระเจ้าตอบว่า “ไม่ได้” พระองค์มีบางสิ่ง ที่ดีกว่านั้นสำ�หรับท่าน” อย่าสงสัยเลย” 04.indd 143

21/12/2561 14:49:38



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.