น.โยเซฟ กรรมกร สดด 90:2-4, 13-14,14,16
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันแรงงานแห่งชาติ
บทอ่านที่ 1 คส 3:14-15,17,23-24 พี่น้อง เหนือสิ่งใดจงมีความรัก ซึ่งรวมเราไว้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ขอให้สันติสุขของพระคริสตเจ้าครอบครองดวงใจของท่าน พระเจ้าทรงเรียกท่าน ทั้งหลายให้รวมเป็นกายเดียวกันก็เพื่อจะได้บรรลุถึงสันติสุขนี้เอง จงระลึกถึง พระคุณนี้เถิด ท่านจะพูดเรื่องใดหรือทำ�กิจการใด ก็จงพูด จงทำ�ในพระนามพระเยซูองค์ พระผูเ้ ป็นเจ้า เป็นการขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาโดยทางพระองค์เถิด ไม่วา่ ทำ� สิ่งใด จงทำ�จากใจ ประหนึ่งว่าทำ�เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ ท่านรู้ แล้วว่า ท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นรางวัล พระวรสาร มธ 13:54-58 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมายังถิ่นกำ�เนิดของพระองค์ ทรงสั่งสอนในศาลา ธรรมของชาวยิว ประชาชนต่างประหลาดใจและพูดว่า “คนนี้เอาปรีชาญาณและ อำ�นาจทำ�อัศจรรย์มาจากที่ใด เขาเป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ แม่ของเขาชื่อมารีย์ พี่ชายน้องชายของเขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาหรือ พี่สาวน้องสาวทุก คนของเขาก็อยูก่ บั เรามิใช่หรือ เขาไปได้สงิ่ เหล่านีม้ าจากทีใ่ ด” คนเหล่านีร้ สู้ กึ สะดุด ใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูก เหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำ�เนิดและในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำ�อัศจรรย์ ที่นั่นไม่มากนัก เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “เน้นยํ้าถึง ทัศนคติในการดำ�เนินชีวติ ของคริสตชน ทีต่ อ้ งยึดหลักคุณธรรมพืน้ ฐานของคริสตชน คือ ความเชื่อ ความรัก และความหวัง ในองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ” กล่าวคือ เรา จะพูดเรื่องใด จะทำ�กิจการใด จงทำ�จากใจ...โดยอาศัยพระคริสตเจ้า พร้อมกับพระ คริสตเจ้า และในพระคริสตเจ้า เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า...ดังนี้แล้ว เราจะมีความสุขใจ ในพระ และในทุกกิจการที่เราทำ� นี่แหละคือ มรดกรางวัลสวรรค์หรืออัศจรรย์ที่เรา สามารถสัมผัสได้จริง แต่ทว่า...อัศจรรย์จะเกิดขึ้นได้ไม่มากนัก หากเรายังมีท่าทีเหล่า นี้คือ ใจที่มีอคติ ใจที่ไม่เป็นสุข รู้สึกสะดุดใจไม่ยอมรับความจริง ไม่มีความเชื่อ
บทอ่านที่ 1 กจ 7:51-59,8:1ก ในครั้งนั้น สเทเฟนกล่าวกับประชาชน ผู้อาวุโส และธรรมาจารย์ว่า “ท่านผู้ดื้อรั้น ใจกระด้างและหูตึงทั้งหลายเอ๋ย ท่านต่อต้านพระจิตเจ้าอยู่ เสมอ บรรพบุรุษของท่านเคยทำ�เช่นไร ท่านก็ทำ�เช่นนั้น มีประกาศกคนใดบ้างที่ บรรพบุรษุ ของท่านมิได้เบียดเบียน เขาฆ่าผูท้ ปี่ ระกาศล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของ พระเยซูเจ้าผู้ทรงชอบธรรม และบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ทรยศและฆ่าพระองค์ด้วย ระลึกถึง น.อาทานาส ท่านทั้งหลายได้รับธรรมบัญญัติผ่านทางทูตสวรรค์ แต่ก็หาได้ปฏิบัติตามธรรม พระสังฆราช บัญญัตินั้นไม่” และนักปราชญ์ เมื่อได้ฟังดังนั้น ทุกคนรู้สึกขุ่นเคืองเจ็บใจ ขบฟันคำ�รามเข้าใส่สเทเฟน สดด 31:2-3,5-7, สเทเฟนเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า เพ่งมองท้องฟ้า มองเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของ 16,20 พระเจ้า และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า จึงพูดว่า “ดูซิ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าเปิดออก และเห็นบุตรแห่งมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาของ พระเจ้า” ทุกคนจึงร้องเสียงดัง เอามืออุดหู วิ่งกรูกันเข้าใส่สเทเฟน ฉุดลากเขา ออกไปนอกเมืองแล้วเริ่มเอาหินขว้างเขา บรรดาพยานนำ�เสื้อคลุมของตนมาวาง ไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “เซาโล” ขณะที่คนทั้งหลายกำ�ลังเอาหินขว้าง สเทเฟน สเทเฟนอธิษฐานภาวนาว่า “ข้าแต่พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดรับ วิญญาณของข้าพเจ้าด้วย” เซาโลเป็นคนหนึ่งที่เห็นชอบกับการที่สเทเฟนถูกฆ่า พระวรสาร ยน 6:30-35 เวลานั้น ประชาชนจึงทูลถามว่า “ท่านทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ใดเพื่อพวก เราจะได้เห็น และจะได้เชื่อในท่าน ท่านทำ�อะไร บรรพบุรุษของเราได้กินมานนา ในถิน่ ทุรกันดาร ดังทีม่ เี ขียนไว้ในพระคัมภีรว์ า่ พระองค์ประทานขนมปังจากสวรรค์ ให้เขากิน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้ขนมปังจากสวรรค์ แก่ทา่ น แต่เป็นพระบิดาของเราทีป่ ระทานขนมปังแท้จากสวรรค์ให้ทา่ น เพราะขนมปังของพระเจ้า คือ ขนมปังซึ่งลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” ประชาชนจึงทูลว่า “นายขอรับ โปรดให้ขนมปังนี้แก่พวกเราเสมอเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่ กระหายอีกเลย” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “ตอกยํ้าให้คริสตชนรู้จักฟังเสียง มโนธรรม ฟังเสียงพระ(จิตเจ้า) แสวงหาและเชื่อในพระ(เยซูเจ้า) และดำ�เนินชีวิตเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ ของพระเจ้า” กล่าวคือ คริสตชนที่ดีควรเปิดชีวิต เปิดหู เปิดตา เปิดใจ เพื่อรับฟัง...เสียงมโนธรรมของ ตนเอง รับฟังเสียงเพื่อนพี่น้อง รับฟังเสียงพระจิตเจ้า แสวงหาและเชื่อในพระเยซูเจ้า...ดังนี้แล้ว เราจะ ดำ�เนินชีวิตด้วยใจผ่องใสในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าดั่งชีวิตของ “สเทเฟน” แต่ ทว่า...ชีวิตจะมืดมน ขุ่นเคืองเจ็บใจ ขบฟันคำ�ราม แก้แค้น หากใจเรายังดื้อรั้น ใจกระด้างและหูตึงอย่างชาย หนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อ “เซาโล”
ฉลอง น.ฟีลิป และ น.ยากอบ อัครสาวก
สดด 19:1-2,3-4ก
บทอ่านที่ 1 1 คร 15:1-8 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านให้คำ�นึงถึงข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ ท่าน ท่านได้รบั ไว้แล้วและยังคงเชือ่ มัน่ ในข่าวดีนี้ ท่านกำ�ลังรับความรอดพ้นอาศัย ข่าวดีนี้ ถ้าท่านยังยึดมัน่ ตามทีข่ า้ พเจ้าประกาศ แต่ถา้ ท่านไม่ยดึ มัน่ ความเชือ่ ของ ท่านก็ไร้ประโยชน์ ข้าพเจ้ามอบธรรมประเพณีสำ�คัญที่สุดให้ท่าน เป็นธรรม ประเพณีที่ข้าพเจ้าได้รับมาอีกทอดหนึ่ง คือพระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพราะ บาปของเรา ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ และทรงถูกฝังไว้ พระองค์ทรงกลับคืน พระชนมชีพในวันทีส่ ามตามความในพระคัมภีร์ และทรงแสดงพระองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน หลังจากนั้นทรงแสดงพระองค์ แก่พี่น้องมากกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว คนส่วนมากในจำ�นวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แม้วา่ บางคนล่วงหลับไปแล้ว ต่อมาพระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่ยากอบ แล้วจึง ทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกทุกคน ในที่สุด ทรงแสดงพระองค์แก่ข้าพเจ้า ผู้ เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำ�หนดด้วย
พระวรสาร ยน 14:6-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสตอบโทมัสว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระ บิดาได้นอกจากผ่านทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเรา ท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย บัดนี้ ท่านก็รู้จัก พระบิดา และเห็นพระองค์แล้ว” ฟีลิปทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัส ว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราอยู่กับท่านมานานเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดา ด้วย ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด’ ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราดำ�รงอยู่ใน พระบิดา และพระบิดาทรงดำ�รงอยู่ในเรา วาจาที่เราบอกกับท่านทั้งหลายนี้ เรามิได้พูดตามใจของเรา แต่พระบิดาผู้สถิตในเราทรงกระทำ�กิจการของพระองค์ ท่านทัง้ หลายจงเชือ่ เราเถิดว่า เราดำ�รงอยูใ่ นพระบิดา และพระบิดาก็ทรงดำ�รงอยูใ่ นเรา หรืออย่าง น้อยท่านทั้งหลายจงเชื่อเพราะกิจการเหล่านี้เถิด เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็จะทำ�กิจการที่เรากำ�ลังทำ�อยู่ด้วย และจะทำ�กิจการที่ใหญ่กว่านั้นอีก เพราะเรากำ�ลังจะไปเฝ้าพระ บิดา สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายขอในนามของเรา เราจะทำ�สิ่งนั้น เพื่อพระบิดาจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ใน พระบุตร ถ้าท่านทั้งหลายขอสิ่งใดในนามของเรา เราจะทำ�ให้” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “เตือนใจคริสตชนให้เชื่อ เชื่อมั่น และยึดมัน่ ในข่าวดีทพี่ ระเยซูคริสตเจ้าทรงแสดง โดยยึดพระองค์เป็นหนทาง ความจริง และชีวติ ” กล่าว คือ คริสตชนแท้จะต้องร่วมชีวิตกับพระคริสตเจ้าในทุกประสบการณ์ของตนอย่างเอาจริงเอาจัง... โดย ดำ�เนินชีวิตเป็นประจักษ์พยานแห่งรักและรับใช้ หมั่นเรียนรู้ แสวงหาความหมายและกล้าเผชิญความจริง ของชีวิตโดยเฉพาะความทุกข์ทรมานและความตาย และที่สำ�คัญมีความหวังใจในชีวิตอยู่เสมอ...ดังนี้แล้ว เราจะเป็นคริสตชนที่พร้อมอุทิศชีวิตเพื่อชีวิต ด้วยชีวิตไถ่กู้ชีวิต และนำ�ชีวิตกลับสู่ชีวิตนิรันดร ตามแบบ อย่างขององค์พระบุตรผู้ดำ�รงอยู่ในพระบิดา
บทอ่านที่ 1 กจ 8:26-40 ในครั้งนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น และเดินไป ทางทิศใต้ ตามทางที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองกาซา ทางนั้นเป็นทาง เปลีย่ ว” ฟีลปิ จึงลุกขึน้ ออกเดินทาง ระหว่างทางเขาพบชาวเอธิโอเปียคนหนึง่ เป็น ขันที... ขณะเดินทางกลับ เขานั่งในรถม้าและอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ พระจิตเจ้าตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงตามรถคันนั้นไปให้ทัน” ฟีลิปวิ่งตามไป ได้ยินเขา สัปดาห์ที่ 3 กำ�ลังอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ จึงถามว่า “ท่านเข้าใจข้อความทีก่ �ำ ลังอ่าน เทศกาลปัสกา หรือ” ขันทีตอบว่า “ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าไม่มใี ครอธิบาย” แล้วเขาก็เชิญ สดด 66:8,16-17, ฟีลิปขึ้นไปนั่งด้วย ข้อความของพระคัมภีร์ที่เขากำ�ลังอ่านอยู่นั้น มีดังนี้ 19-20 “เขาถูกนำ�ไปฆ่าเหมือนแกะตัวหนึง่ ลูกแกะไม่ออกเสียงเมือ่ อยูต่ อ่ หน้าคนตัด ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ขนแกะฉันใด เขาก็ไม่อ้าปากฉันนั้น เมื่อเขาถูกเหยียดหยาม เขาไม่ได้รับความ ยุติธรรมเลย ใครจะเล่าเรื่องเชื้อสายของเขาได้ เพราะชีวิตของเขาถูกยกไปจากแผ่นดินนี้แล้ว” ขันทีจงึ ถามฟีลปิ ว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ประกาศกกล่าวเช่นนีห้ มายถึงใคร หมายถึงตนเอง หรือหมายถึงผูอ้ นื่ ” ฟีลปิ จึงเริม่ ประกาศข่าวดีเรือ่ งพระเยซูเจ้าให้เขาฟัง โดยอธิบายพระคัมภีรเ์ ริม่ ตัง้ แต่ ตอนนี้ ขณะเดินทางอยูน่ นั้ ทัง้ สองคนมาถึงแหล่งนาํ้ แห่งหนึง่ ขันทีกล่าวว่า “ดูซิ ทีน่ มี่ นี าํ้ มีอะไรขัดขวาง มิให้ข้าพเจ้ารับศีลล้างบาป” เขาสั่งให้หยุดรถ ทั้งฟีลิปและขันทีลงไปในนํ้า ฟีลิปล้างบาปให้ขันที เมื่อ ทั้งสองคนขึ้นจากนํ้าแล้ว พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำ�ฟีลิปไปที่อื่น ขันทีไม่เห็นฟีลิปอีก เดิน ทางต่อไปด้วยความยินดี... พระวรสาร ยน 6:44-51 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำ�เขา และเราจะทำ�ให้เขากลับ คืนชีพในวันสุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า ทุกคนจะได้รับคำ�สอนจากพระเจ้า ทุกคนทีไ่ ด้ฟงั พระบิดา และเรียนรูจ้ ากพระองค์ ก็มาหาเรา ไม่มใี ครได้เห็นพระบิดา นอกจากผูท้ มี่ าจาก พระเจ้า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราเป็นปังแห่งชีวิต บรรพบุรษุ ของท่านทัง้ หลายได้กนิ มานนาในถิน่ ทุรกันดารแล้วยังตาย แต่ปงั ทีล่ งมาจากสวรรค์เป็นอย่าง นี้ คือผู้ที่กินปังนี้แล้วจะไม่ตาย เราเป็นปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอด ไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “พระเยซูเจ้าทรงสอนและเปิดเผย ความจริงของคำ�สอนและข่าวดีแห่งความรอดพ้น โดยให้ความมั่นใจว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร” กล่าวคือ ทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ ในพระเจ้า แล้วแสวงหาพระองค์ในชีวติ ของพระเยซูเจ้า (ผูท้ มี่ าจากพระเจ้า) ดั่งเช่น “ขันทีชาวเอธิโอเปีย” ที่เชื่อ แล้วแสวงหาจนพบ!!! ตัดสินใจรับศีลล้างบาป เข้าร่วมส่วนในชีวิตของ พระเยซูคริสตเจ้า...ดังนี้แล้ว ชีวิตของเขาก็ยังเดินทางต่อไป แต่เป็นการเดินทางต่อไปด้วยความยินดี เป็น ความจริงดั่งที่พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “เราเป็นปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้คือ เนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต”
บทอ่านที่ 1 กจ 9:1-20 ขณะนั้น เซาโลยังคงเคียดแค้นคุกคามจะฆ่าบรรดาศิษย์ขององค์พระผู้เป็น เจ้า... ขณะทีเ่ ขาเดินทางใกล้ถงึ เมืองดามัสกัส ทันใดนัน้ มีแสงสว่างจากท้องฟ้าล้อม รอบตัวเขาไว้ เขาล้มลงที่พื้นดินและได้ยินเสียงกล่าวว่า “เซาโล เซาโล ท่าน เบียดเบียนเราทำ�ไม” เซาโลจึงถามว่า “พระเจ้าข้า พระองค์คอื ใคร” พระองค์ตรัส ว่า “เราคือเยซู ซึ่งท่านกำ�ลังเบียดเบียน ท่านจงลุกขึ้น เข้าไปในเมืองแล้วจะมีคน สัปดาห์ที่ 3 บอกให้รู้ว่าจะต้องทำ�อะไร”... เซาโลจึงลุกขึ้นจากพื้นดิน ลืมตา แต่ก็มองสิ่งใดไม่ เทศกาลปัสกา เห็น... เซาโลมองไม่เห็นสิ่งใดเลยเป็นเวลาสามวัน ไม่ได้กินและไม่ได้ดื่ม สดด 117:1-2 ที่เมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่อ อานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเขา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ในนิมิตว่า “อานาเนีย...จงลุกขึ้นไปที่ถนนซึ่งเรียกว่าถนนตรง จงไปที่บ้านของ วันศุกร์ต้นเดือน ยูดาส ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลที่มาจากเมืองทาร์ซัส... ” วันฉัตรมงคล แต่อานาเนียทูลตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ยนิ หลายคนพูด ถึงชายผู้นี้ และได้ยินว่า ที่กรุงเยรูซาเล็มเขาได้ทำ�ร้ายบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของ พระองค์เพียงใด...” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบอานาเนียว่า “จงไปเถิด เพราะชายผู้นี้เป็นเครื่อง มือที่เราเลือกสรรไว้เพื่อนำ�นามของเราไปประกาศแก่คนต่างศาสนา บรรดากษัตริย์และลูกหลานของ อิสราเอล เราจะแสดงให้เขารู้ว่า เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากเท่าใดเพราะนามของเรา” อานาเนีย จึงจากไป และเข้าไปในบ้าน ปกมือเหนือเซาโล... ทันใดนั้นมีสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดตกจากนัยน์ตาของ เซาโล เขามองเห็นได้อีก จึงลุกขึ้นรับศีลล้างบาป เมื่อกินอาหารแล้วก็มีกำ�ลังขึ้น... พระวรสาร ยน 6:52-59 เวลานั้น ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ถ้าท่านไม่กนิ เนือ้ ของบุตรแห่ง มนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของเขา ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มี ชีวิตนิรันดร เราจะทำ�ให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของ เราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำ�รงอยู่ในเรา และเราก็ดำ�รงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะ เราฉันนั้น นี่คือปังที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กินแล้วยังตาย ผู้ที่กินปังนี้จะ มีชีวิตอยู่ตลอดไป” พระองค์ตรัสเช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “พระเยซูเจ้าทรงสอนและยืนยัน ถึงพระบิดาผู้ทรงชีวิตที่ทรงส่งพระองค์มา โดยที่พระองค์ทรงมีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อ (ร่วมชีวิต) ของพระองค์ก็จะมีชีวิตฉันนั้น” กล่าวคือ ทุกคนที่ร่วมส่วนในพระกายทิพย์ของพระองค์ และ ดำ�เนินชีวิตอย่างดื่มดํ่าเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกันกับพระองค์ ก็จะมีชีวิตนิรันดร ดั่งเช่น “เซาโล” ผู้เคียดแค้น คุกคามจะฆ่าบรรดาศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตั้งใจจะจับกุมทุกคนที่พบ ไม่ว่าชายหรือหญิงที่ดำ�เนินชีวิต ตามวิถีทางของพระคริสตเจ้า จะเห็นว่า “เซาโลไม่มีชีวิตในตนเอง” แต่ทว่า...เมื่อเขาพบพระเยซูเจ้า เขา เชื่อในพระองค์ ได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม รับศีลล้างบาป มีกำ�ลังขึ้น แล้วประกาศว่า “พระเยซูเจ้า พระองค์นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”
บทอ่านที่ 1 กจ 9:31-42 ขณะนั้น พระศาสนจักรมีสันติภาพทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลีและสะมาเรีย พระ ศาสนจักรเติบโตขึ้น มีความเคารพยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับกำ�ลังใจ จากพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อเปโตรเดินทางไปเยี่ยมผู้มีความเชื่อในที่ต่างๆ เขาไปเยี่ยมบรรดาผู้ ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเมืองลิดดาด้วย ที่นั่นเขาพบชายคนหนึ่งชื่อไอเนอัส เป็นอัมพาต สัปดาห์ที่ 3 นอนอยู่บนแคร่มาแปดปีแล้ว เปโตรจึงพูดกับเขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูคริสต เทศกาลปัสกา เจ้าทรงรักษาท่านให้หาย จงลุกขึ้นและเก็บที่นอนเถิด” เขาก็ลุกขึ้นทันที... สดด 116:12-13, ในบรรดาศิษย์ท่ีเมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งชื่อทาบีธา แปลว่า “เนื้อทราย” 14-16,17 ทำ�ความดีและให้ทานเป็นอันมาก ระหว่างนัน้ นางป่วยและถึงแก่กรรม เขาทำ�ความ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 สะอาดศพและตัง้ ศพไว้ในห้องชัน้ บน เมืองลิดดาอยูใ่ กล้กบั เมืองยัฟฟา บรรดาศิษย์ รูว้ า่ เปโตรอยูท่ เี่ มืองลิดดา จึงส่งชายสองคนไปเชิญเขาว่า “โปรดรีบมาหาเราเถิด” เปโตรไปกับเขาทันที เมื่อไปถึง เขาก็พาเปโตรขึ้นไปยังห้องชั้นบน... เปโตรจึงสั่งให้ทุกคนออกไป ข้างนอก เขาคุกเข่าอธิษฐานภาวนาแล้วหันมาดูศพ พูดว่า “ทาบีธาเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” นางก็ลืมตาขึ้น มองดูเปโตรและลุกขึ้นนั่ง เปโตรจึงยื่นมือพยุงให้นางยืน แล้วเรียกบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์และบรรดาหญิง ม่ายเข้ามา ชี้ให้เห็นว่านางยังมีชีวิต... พระวรสาร ยน 6:60-69 เวลานั้น เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินพระองค์ตรัสดังนี้ก็กล่าวว่า “ถ้อยคำ�นี้ขัดหูจริง ใครจะฟังได้” พระเยซูเจ้าทรงทราบด้วยพระองค์วา่ บรรดาศิษย์ก�ำ ลังบ่นกันเรือ่ งนี้ จึงตรัสแก่เขาว่า “เรือ่ งนีท้ �ำ ให้ทา่ น เคลือบแคลงใจหรือ แล้วถ้าท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึ้นสู่สถานที่ที่เคยอยู่แต่ก่อนเล่า ท่านจะ ว่าอย่างไร พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ลำ�พังมนุษย์ทำ�อะไรไม่ได้ วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้ง หลายนั้นให้ชีวิต เพราะมาจากพระจิตเจ้า แต่บางท่านไม่เชื่อ” พระเยซูเจ้าทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่า ผูใ้ ดไม่เชือ่ และผูใ้ ดจะทรยศต่อพระองค์ พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ดังนัน้ เราจึงบอกท่านทัง้ หลายว่า ไม่มี ผูใ้ ดมาหาเราได้ เว้นแต่ผทู้ พี่ ระบิดาประทานให้เขามา” หลังจากนัน้ ศิษย์หลายคนเปลีย่ นใจ ไม่ตดิ ตาม พระองค์อีกต่อไป พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับอัครสาวกสิบสองคนว่า “ท่านทั้งหลายจะไปด้วยหรือ” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มพี ระวาจาแห่งชีวติ นิรนั ดร พวกเราเชื่อและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “พระเยซูเจ้าทรงตอกยํ้าว่า พระ จิตเจ้าทรงเป็นผูป้ ระทานชีวติ ลำ�พังมนุษย์ทำ�อะไรไม่ได้ วาจาทีเ่ รากล่าวแก่ทา่ นทัง้ หลายนัน้ ให้ชวี ติ ” กล่าว คือ ทุกคนที่เชื่อและมีความเคารพยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับกำ�ลังใจจากพระจิตเจ้าอย่างเต็ม เปี่ยม มีสันติภาพภายในใจ มีการเจริญเติบโตขึ้นในชีวิต และติดตามพระองค์ต่อไป ดั่งเช่น “เปโตร ผู้มี ความเชื่อ” “ไอเนอัส ชายที่หายจากการเป็นอัมพาต” และ “ทาบีธา หญิงที่ถึงแก่กรรมแล้วกลับมีชีวิตีอีก” ท่านเหล่านี้ได้เป็นพยานถึงพระเยซูคริสตเจ้าด้วยชีวิตที่มีความเชื่อ ทำ�ให้ทุกคนที่เห็นได้กลับใจมีความเชื่อใน องค์พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 2:14ก,36-41 เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วย เสียงดังว่า “ขอให้เผ่าพันธุอ์ สิ ราเอลทัง้ มวลรูแ้ น่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตัง้ พระเยซูผนู้ ที้ ี่ ท่านทัง้ หลายนำ�ไปตรึงบนไม้กางเขน ให้เป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า” ถ้อยคำ�เหล่านีเ้ สียดแทงใจของทุกคน เขาเหล่านัน้ จึงถามเปโตรและอัครสาวก อืน่ ๆ ว่า “พีน่ อ้ ง พวกเราจะต้องทำ�อย่างไร” เปโตรตอบว่า “ท่านทัง้ หลายจงกลับ ใจเถิด แต่ละคนจงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้ รับการอภัยบาป แล้วท่านจะได้รบั พระพรของพระจิตเจ้า พระสัญญานีม้ ไี ว้ส�ำ หรับ ท่านทั้งหลาย สำ�หรับบุตรหลานของท่านและสำ�หรับทุกคนที่อยู่ห่างไกล ซึ่งองค์ พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราจะทรงเรียก” เปโตรกล่าวถ้อยคำ�อีกมาก อ้อนวอน และตักเตือนเขาว่า “ท่านทัง้ หลายจงช่วยตนให้รอดพ้นจากคนชัว่ ร้ายในยุคนีเ้ ถิด” คนเหล่านัน้ รับถ้อยคำ�ของเปโตรและได้รบั ศีลล้างบาป วันนัน้ ผูม้ คี วามเชือ่ มีจ�ำ นวน เพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน เพลงสดุดี สดด 23:1-6 ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนพักอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี ทรงนำ�ข้าพเจ้าไปริมสายนทีที่เงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจของข้าพเจ้า ข) ทรงชี้ทางให้ข้าพเจ้าเดินไปบนมรรคาแห่งความชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ แม้ข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในหุบเขาที่มืดมิด ข้าพเจ้าก็จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า พระคทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ ค) พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้สำ�หรับข้าพเจ้าต่อหน้าเหล่าศัตรู ทรงเทนํ้ามันเจิมศีรษะของข้าพเจ้า ทรงเทเครื่องดื่มลงในถ้วยของข้าพเจ้าจนล้นปรี่ ง) พระกรุณาและความรักมั่นคงของพระองค์จะติดตามข้าพเจ้าไปทุกวัน ตลอดชีวิต ข้าพเจ้าจะพำ�นักอยู่ในพระเคหาขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป เป็นนิจนิรันดร์
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 2:20ข-25 ลูกที่รักยิ่ง ถ้าท่านทำ�ความดี แล้วยอมทนทุกข์ จึง จะเป็นพระหรรษทานของพระเจ้า พระเจ้าทรงเรียกท่านให้ปฏิบัติดังนี้ พระคริสตเจ้า ทรงรับทรมานเพือ่ ท่าน และประทานแบบฉบับไว้ให้ทา่ น ดำ�เนินตามรอยพระบาท พระองค์มิได้ทรงกระทำ�บาป มิได้ตรัสหลอกลวงผูใ้ ด เมือ่ เขาดูหมิน่ พระองค์ พระองค์ ก็มิได้ทรงโต้ตอบ เมื่อทรงรับทรมาน พระองค์มิได้ทรง ข่มขู่จะแก้แค้น แต่ทรงมอบพระองค์ไว้แด่พระผู้ทรง พิพากษาด้วยความเที่ยงธรรม พระองค์ทรงแบกบาป ของเราไว้ในพระวรกายบนไม้กางเขน เพื่อเราจะได้ตาย จากบาปและมีชวี ติ อยูเ่ พือ่ ความชอบธรรม รอยแผลของพระองค์รกั ษาท่านให้หาย ท่านเคยเป็นเหมือน แกะที่พลัดหลงจากฝูง แต่บัดนี้กลับมาหาผู้เลี้ยงและผู้ดูแลวิญญาณของท่านแล้ว บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 10:1-10 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ผูท้ ไี่ ม่เข้าคอกแกะทางประตู แต่ปนี เข้าทางอืน่ ก็เป็นขโมย และโจร ผู้ที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ คนเฝ้าประตูย่อมเปิดประตูให้เขาเข้าไป บรรดาแกะก็ฟัง เสียงเขา เขาเรียกชื่อแกะของตนทีละตัว และพาออกไปข้างนอก เมื่อเขาพาแกะออกไปหมดแล้ว เขา จะเดินนำ�หน้า และแกะก็ตามไปเพราะจำ�เสียงของเขาได้ แกะจะไม่ตามคนแปลกหน้าเลย แต่จะหนี จากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของคนแปลกหน้า” พระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้คนเหล่านั้นฟัง แต่เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึง สิ่งใด พระเยซูเจ้ายังตรัสกับเขาอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า เราเป็นประตูคอกแกะ ทุก คนที่มาก่อนหน้าเรา เป็นขโมยและโจร แต่แกะมิได้ฟังเสียงของเขาเหล่านั้น เราเป็นประตู ผู้ที่เข้ามา ทางเราก็จะรอดพ้น เขาจะเข้าจะออก และจะพบทุ่งหญ้า ขโมยย่อมมาเพื่อขโมย ฆ่าและทำ�ลาย เรา มาเพื่อให้แกะมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “เปิดเผยและยืนยันถึงความจริง ของการช่วยให้รอดพ้นของพระบิดาเจ้าสำ�เร็จสมบูรณ์ โดยผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้าองค์ปัสกา จาก ประสบการณ์แห่งรหัสธรรมลํ้าลึกปัสกาของพระองค์” กล่าวคือ เราทุกคนเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลง เดินผิดทาง ไม่ฟังเสียงมโนธรรม จำ�เสียงพระไม่ได้ และตกอยู่ในบาป แต่ทว่า...อาศัยพระเยซูเจ้า องค์พระ ผูเ้ ป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า ทรงรับทรมาน สิน้ พระชนม์ และทรงกลับคืนชีพ จากประสบการณ์ปสั กานีเ้ อง “พระองค์ทรงเป็นประตูชยั ” ได้ชว่ ยเราให้รอดพ้นจากบาปอย่างสมบูรณ์และมีผลตลอดไป รักษาเราให้หาย ให้เราตายจากบาป กลับมีชีวิตและมีชีวิตอย่างสมบูรณ์
บทอ่านที่ 1 กจ 11:1-18 ในครั้งนั้น บรรดาอัครสาวกและพี่น้องที่อยู่ในแคว้นยูเดียรู้ว่าคนต่างศาสนา ได้ยอมรับพระวาจาของพระเจ้าด้วย เมื่อเปโตรขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็ม บรรดาผู้มี ความเชือ่ ทีเ่ ข้าสุหนัตตำ�หนิเขา... เปโตรจึงเริม่ เล่าเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ ให้เขาฟังตาม ลำ�ดับว่า “วันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ากำ�ลังอธิษฐานภาวนาอยู่ที่เมืองยัฟฟา ข้าพเจ้า เข้าสู่ภวังค์และเห็นนิมิต สิ่งหนึ่งคล้ายผ้าผืนใหญ่ ถูกมัดไว้ทั้งสี่มุมกำ�ลังถูกหย่อน สัปดาห์ที่ 4 ลงจากท้องฟ้ามาที่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจ้องดูสิ่งนั้นอย่างตั้งใจ ก็เห็นสัตว์สี่เท้าของ เทศกาลปัสกา แผ่นดิน สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน และนกในท้องฟ้า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งกล่าว สดด 42:2-3,43:3,4 แก่ข้าพเจ้าว่า ‘เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้น ฆ่าสัตว์เหล่านี้กินซิ’ ข้าพเจ้าทูลตอบว่า ‘ทำ� ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ไม่ได้ พระเจ้าข้า เพราะสิง่ มีมลทินและไม่สะอาดไม่เคยเข้าปากข้าพเจ้าเลย’ เสียง จึงตอบจากท้องฟ้าเป็นครั้งที่สองว่า ‘สิ่งที่พระเจ้าทรงชำ�ระให้สะอาดแล้ว ท่าน อย่าเรียกว่ามีมลทินเลย’... ทันใดนัน้ มีชายสามคนมาหยุดยืนอยูห่ น้าบ้านทีข่ า้ พเจ้า พัก เขาถูกส่งจากเมืองซีซารียามาพบข้าพเจ้า พระจิตเจ้าทรงบอกข้าพเจ้าให้ไปกับเขาโดยไม่ต้องลังเล พี่น้องหกคนเหล่านี้ไปพร้อมกับข้าพเจ้าด้วย เราเข้าไปในบ้านของโครเนลิอัส เขาเล่าให้เราฟังว่า เขา เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏมาในบ้านของเขาพูดว่า ‘จงส่งคนไปที่เมืองยัฟฟา ไปเชิญซีโมนที่รู้จัก กันในนามว่าเปโตรมาทีน่ ี่ เขาจะกล่าวถ้อยคำ�ทีจ่ ะนำ�ความรอดพ้นมาให้ทา่ นและทุกคนในครอบครัว’... พระวรสาร ยน 10:11-18 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน ลูกจ้างที่ไม่ใช่ผู้เลี้ยงแกะ และ ไม่เป็นเจ้าของแกะ เมื่อเห็นสุนัขป่าเข้ามา ก็ละทิ้งบรรดาแกะและหนีไป สุนัขป่าแย่งชิงแกะ และฝูง แกะก็กระจัดกระจายไป ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้าง ไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย เราเป็น ผู้เลี้ยงแกะที่ดี เรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา พระบิดาทรงรู้จักเราฉันใด เราก็รู้จักพระ บิดาฉันนั้น เรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา เรายังมีแกะอื่นๆ ซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้ เราต้องนำ�หน้าแกะ เหล่านี้ด้วย แกะจะฟังเสียงของเรา จะมีแกะเพียงฝูงเดียว และผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว พระบิดาทรงรัก เรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้ แต่เราเอง สมัครใจสละชีวติ นัน้ เรามีอ�ำ นาจทีจ่ ะสละชีวติ ของเรา และมีอ�ำ นาจทีจ่ ะเอาชีวติ นัน้ คืนมาอีก นีค่ อื พระ บัญชาที่เราได้รับจากพระบิดาของเรา” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่าพระองค์ ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี เรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเราเพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก เรายังมีแกะอื่นๆ ซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้ด้วย เราต้องนำ�หน้าแกะเหล่านี้ด้วย แกะจะฟังเสียงของเรา” กล่าวคือ ด้วยชีวิตที่น้อม รับพระบัญชาจากพระบิดาเจ้าให้มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นกลับคืนสูช่ วี ติ นิรนั ดร โดยอาศัยการสมัครใจสละ ชีวิตของพระเยซูเจ้าเองนั้น เป็นการแสดงออกถึงความรัก ความเมตตา ความห่วงใย ความใกล้ชิดสนิท สัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับเราทุกคน ร่วมถึงพี่น้องต่างศาสนาด้วย ที่เชื่อและฟังเสียงของพระองค์ แล้ว ติดตามพระองค์ ดังเช่น “โครเนลิอัสและทุกคนในครอบครัว”
บทอ่านที่ 1 กจ 11:19-26 ในครั้ ง นั้ น การเบี ย ดเบี ย นที่ เ กิ ด ขึ้ น สมั ย สเทเฟนทำ � ให้ บ รรดาศิ ษ ย์ กระจัดกระจายไปและมาถึงแคว้นฟีนีเซีย เกาะไซปรัสและเมืองอันทิโอก บรรดา ศิษย์ประกาศพระวาจาแก่ชาวยิวเท่านั้น ในบรรดาคนเหล่านี้ บางคนเป็นชาว ไซปรัสและชาวไซรีน เขาไปถึงเมืองอันทิโอก เทศน์สอนชาวกรีกด้วย ประกาศ ข่าวดีเรือ่ งพระเยซูองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระหัตถ์ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอยูก่ บั เขา คน จำ�นวนมากเชื่อและกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาศิษย์ในพระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มรู้ข่าวนี้ จึงส่งบารนาบัสไปยัง เมืองอันทิโอก เมื่อบารนาบัสมาถึงและเห็นผลแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ก็ มี ค วามชื่ น ชม จึ ง เตื อ นทุ ก คนให้ มี จิ ต ใจซื่ อ สั ต ย์ มั่ น คงต่ อ องค์ พ ระผู้ เ ป็ น เจ้ า บารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า จึงมีผู้คนจำ�นวนมากเข้า มาเป็นศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเดินทางไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล เมื่อพบแล้ว ก็พามาที่ เมืองอันทิโอก ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในพระศาสนจักรที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สั่ง สอนคนจำ�นวนมาก ทีเ่ มืองอันทิโอกนีเ้ องบรรดาศิษย์ได้รบั ชือ่ ว่า “คริสตชน” เป็น ครั้งแรก
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา สดด 87:1-3, 4-5,6-7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร ยน 10:22-30 ขณะนัน้ เป็นเทศกาลฉลองพระวิหารทีก่ รุงเยรูซาเล็ม และเป็นฤดูหนาว พระ เยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินอยู่ในพระวิหารที่เฉลียงซาโลมอน ชาวยิวมาล้อมพระองค์ ไว้ ทูลว่า “ท่านจะปล่อยให้ใจของพวกเราสงสัยอยู่นานเท่าใด ถ้าท่านเป็นพระ คริสตเจ้า ก็จงบอกพวกเราให้ชัดเจนเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายแล้ว แต่ท่านไม่เชื่อ กิจการที่เราทำ�ในนามของ พระบิดาของเราก็เป็นพยานให้เรา แต่ทา่ นไม่เชือ่ เพราะท่านไม่ใช่แกะของเรา แกะของเราย่อมฟังเสียง ของเรา เรารู้จักมัน และมันก็ตามเรา เราให้ชีวิตนิรันดรแก่แกะเหล่านั้น และมันจะไม่พินาศเลยตลอด นิรันดร ไม่มีใครแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือเราได้ พระบิดาของเราผู้ประทานแกะเหล่านี้ให้เรา ทรง ยิง่ ใหญ่กว่าทุกคน และไม่มใี ครแย่งชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้ เรากับพระบิดาเป็นหนึง่ เดียวกัน” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “เน้นถึงการประกาศข่าวดี และ เป็นพยานถึง...พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับพระองค์ และพระองค์ กับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน คนจำ�นวนมากเชื่อและกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า” กล่าวคือ เราทุกคน ที่เชื่อและกลับใจ ก็เป็นไปตามที่พระเยซูเจ้าให้แนวทางชีวิตเอาไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรา รู้จักมันและมันก็ตามเรา เราให้ชีวิตนิรันดรแก่แกะเหล่านั้น” ดังเช่น “เซาโล” ที่ครั้งหนึ่งท่านไม่ใช่แกะของ “เยซู” ซึ่งบรรดาศิษย์ของพระเยซูต่างก็บอก-สอน-ทำ�-และเป็นพยาน แต่ท่านก็ไม่เชื่อ แต่ทว่า...เมื่อท่าน เริ่ม เปิดหู-เปิดตา-เปิดใจ-เปิดจิตวิญญาณ ฟังเสียงของพระเยซูเจ้า ท่านก็ได้เชื่อ กลับใจ และติดตาม พระองค์
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา สดด 67:1-2,3-7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 วันวิสาขบูชา
บทอ่านที่ 1 กจ 12:24-13:5ก ในครั้งนั้น พระวาจาของพระเจ้าแผ่ขยายมากขึ้น และผู้มีความเชื่อก็เพิ่ม จำ�นวนขึน้ ด้วย บารนาบัสและเซาโลปฏิบตั ภิ ารกิจทีก่ รุงเยรูซาเล็มแล้ว จึงกลับมา ที่เมืองอันทิโอก โดยพายอห์น ที่รู้จักในนามว่า มาระโก มาด้วย ในพระศาสนจักรที่เมืองอันทิโอก มีประกาศกและอาจารย์ คือบารนาบัส สิเมโอนที่เรียกกันว่าคนดำ� ลูสิอัสชาวไซรีน มานาเอนซึ่งได้รับการศึกษาอบรมมา ด้วยกันกับกษัตริยเ์ ฮโรดอันทิปาสและเซาโล ขณะทีเ่ ขาร่วมพิธนี มัสการองค์พระผู้ เป็นเจ้าและจำ�ศีลอดอาหาร พระจิตเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงแยกบารนาบัส และเซาโลไว้ปฏิบตั ภิ ารกิจทีเ่ ราเรียกเขาให้มาปฏิบตั เิ ถิด” เมือ่ เขาจำ�ศีลอดอาหาร และอธิษฐานภาวนาแล้ว จึงปกมือเหนือบารนาบัสและเซาโล แล้วส่งเขาทั้งสอง คนออกไป เมื่อบารนาบัสและเซาโลได้รับมอบภารกิจจากพระจิตเจ้าแล้ว จึงเดินทางไป ยังเมืองเซลูเคีย และจากทีน่ นั่ ก็แล่นเรือไปยังเกาะไซปรัส ครัน้ ถึงเมืองซาลามิส ทัง้ สองคนประกาศพระวาจาของพระเจ้าในศาลาธรรมของชาวยิว พระวรสาร ยน 12:44-50 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเสียงดังว่า “ผูท้ เี่ ชือ่ ในเรา ไม่ได้เชือ่ ในเราเท่านัน้ แต่ยงั เชือ่ ในพระองค์ผทู้ รงส่งเรามาด้วย ผูท้ เี่ ห็นเรา ก็เห็นพระองค์ผทู้ รงส่งเรามา เราเข้ามาในโลกเป็นแสงสว่าง เพือ่ ให้ทกุ คนที่เชื่อในเราไม่อยู่ในความมืด ผู้ใดได้ยินวาจาของเรา แล้วไม่ปฏิบัติตาม เราไม่ ตัดสินลงโทษเขา เพราะเราไม่ได้มาเพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่มาเพื่อช่วยโลกให้ รอดพ้น ผู้ที่ไม่ยอมรับเรา และไม่ยอมรับวาจาของเรา ก็มีผู้ตัดสินลงโทษเขาแล้ว วาจาที่เราได้กล่าวนั้น จะตัดสินลงโทษเขาในวันสุดท้าย เพราะเรามิได้พูดตามใจ ของเรา แต่พระบิดาผูท้ รงส่งเรามา ได้ทรงบัญชาว่าเราต้องพูดอะไร และพูดอย่างไร เรารู้ว่าพระบัญชาของพระองค์เป็นชีวิตนิรันดร ดังนั้น สิ่งที่เราพูด เราก็พูดดังที่ พระบิดาตรัสกับเรา” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “เปิดเผย ความจริงเกี่ยวกับภารกิจของพระเยซูเจ้าและศิษย์ของพระองค์ในพระศาสนจักร โดยมีรากเหง้ามาจากพระบัญชาของพระบิดาเจ้า” กล่าวคือ พระเยซูเจ้ามิได้พูด ตามใจพระองค์ แต่พูดดังที่พระบิดาเจ้าทรงตรัสกับพระองค์ ทรงส่งพระองค์มา และทรงบัญชากับพระองค์วา่ ...ต้องพูดอะไร และพูดอย่างไร เพือ่ ช่วยให้ทกุ คนทีไ่ ด้ยนิ ได้ฟงั ได้เชือ่ ได้เห็น แล้วปฎิบตั ติ าม และได้สมั ผัสถึงแก่นแท้ของพระบัญชา คือ “ชีวติ นิรันดร” เพื่อช่วยโลกให้รอดพ้น เฉกเช่นเดียวกันกับ “บารนาบัสและเซาโล” ที่ได้รับ มอบภารกิจจากพระจิตเจ้า ให้ประกาศ “พระวาจาของพระเจ้า โดยชีวิตของพระเยซู คริสตเจ้า ตามพระบัญชาของพระบิดาเจ้า”
บทอ่านที่ 1 กจ 13:13-25 เปาโลและเพื่อนร่วมทางแล่นเรือจากเมืองปาโฟสถึงเมืองเปอร์กาในแคว้น ปัมฟีเลีย... ครั้นถึงวันสับบาโตเขาเข้าไปนั่งในศาลาธรรม เมื่ออ่านธรรมบัญญัติ และหนังสือประกาศกแล้ว บรรดาหัวหน้าศาลาธรรมก็ส่งคนไปเชิญเปาโลและ บารนาบัส พูดว่า “พี่น้อง ถ้าท่านมีถ้อยคำ�เตือนใจประชาชน ก็จงพูดเถิด” เปาโลยืนขึ้น โบกมือให้คนทั้งหลายเงียบแล้วพูดว่า สัปดาห์ที่ 4 “ชาวอิสราเอล และท่านทัง้ หลายผูย้ �ำ เกรงพระเจ้า จงฟังข้าพเจ้าเถิด พระเจ้า เทศกาลปัสกา ของประชาชนอิสราเอลนี้ทรงเลือกบรรพบุรุษของเรา และทรงยกย่องประชาชน สดด 89:2-3,21-22, ขณะทีย่ งั อยูใ่ นแผ่นดินอียปิ ต์ พระองค์ทรงสำ�แดงพระอานุภาพยิง่ ใหญ่น�ำ เขาออก 25-26 จากแผ่นดินนัน้ และเอาพระทัยใส่ดแู ลเขาในถิน่ ทุรกันดารเป็นเวลาประมาณสีส่ บิ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ปี แล้วพระองค์ทรงทำ�ลายชนชาติเจ็ดชาติในแผ่นดินคานาอันและประทานแผ่น ดินนั้นให้เขาเป็นมรดก เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาประมาณสี่ร้อยห้าสิบปี หลังจากนั้น พระเจ้าประทานผู้วินิจฉัยให้ปกครองเขา จนถึงประกาศกซามูเอล เมื่อประชาชนขอ ให้มีกษัตริย์ พระองค์ก็ประทานซาอูลบุตรของคีช จากตระกูลเบนยามิน ให้เป็นกษัตริย์ปกครองอยู่ เป็นเวลาสีส่ บิ ปี เมือ่ ทรงปลดกษัตริยซ์ าอูลจากตำ�แหน่งแล้ว ก็ทรงแต่งตัง้ ดาวิดให้เป็นกษัตริยป์ กครอง ประชากรอิสราเอล... จากเชือ้ สายของกษัตริยด์ าวิดนี้ พระเจ้าประทานพระเยซูเจ้าเป็นผูช้ ว่ ยอิสราเอล ให้รอดพ้นตามพระสัญญา ยอห์นเตรียมรับเสด็จพระองค์ ประกาศพิธลี า้ งให้ประชาชนอิสราเอลทัง้ ปวง กลับใจ ขณะที่ยอห์นกำ�ลังทำ�ภารกิจของตนให้สำ�เร็จไป เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้ามิได้เป็นอย่างที่ท่านทั้ง หลายคิด แต่บัดนี้ มีผู้หนึ่งกำ�ลังมาภายหลังข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้า ของเขา” พระวรสาร ยน 13:16-20 เมื่อพระเยซูเจ้าทรงล้างเท้าบรรดาอัครสาวกแล้ว พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้รับใช้ย่อมไม่เป็นใหญ่กว่านายของตน ผู้ถูกส่งไปย่อมไม่ เป็นใหญ่กว่าผู้ที่ส่งเขาไป บัดนี้ ท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ถ้าท่านปฏิบัติตาม ท่านย่อมเป็นสุข เราไม่พูดเช่นนี้ เพื่อท่านทุกคน เรารู้จักผู้ที่เราเลือกไว้แล้ว แต่พระคัมภีร์จะต้องเป็นความจริง ที่ว่า ‘ผู้ที่กินปังของเรา ได้ยกส้นเท้าใส่เรา’ เราบอกท่านทั้งหลายตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น แล้ว ท่านจะได้เชื่อว่าเราเป็น เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ใครรับผู้ที่เราส่งไป ก็รับเรา ใครรับ เรา ก็รับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “ตอกยํ้าและเปิดเผยความจริง เพื่อเตือนใจเราถึงที่มาและที่ไปของชีวิต ที่เราจะต้องเชื่อในพระเยซูเจ้าที่ว่า ใครรับผู้ที่เราส่งไป ก็รับเรา ใครรับเรา ก็รับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” กล่าวคือ พระเยซูเจ้าทรงเป็นจุดศูนย์กลางในแผนการช่วยให้ รอดพ้นของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษยชาติ จากประสบการณ์ชนชาติที่ได้รับเลือกสรร ผ่านร้อนผ่านหนาว พระทรงนำ�เขา เอาพระทัยใส่ดูแลเขา จนกระทั่งประทานพระเยซูเจ้ามาช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นตามพระ สัญญา จากนั้น “พระเยซูเจ้า” ทรงให้ หนทาง ความจริง และชีวิตของพระองค์แก่บรรดาศิษย์ และส่ง เขาไปประกาศข่าวดีนี้ต่อไป ดั่งเช่น “เปาโล” ได้เตือนใจชาวเมืองอันทิโอกในครั้งนี้
บทอ่านที่ 1 กจ 13:26-33 ในครั้งนั้น เมื่อเปาโลมาถึงเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย ท่านกล่าวในศาลา ธรรมว่า “พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นบุตรจากเชื้อสายของอับราฮัมและท่านที่เคารพ ยำ�เกรงพระเจ้า พระเจ้าทรงส่งข่าวเรื่องความรอดพ้นนี้แก่เรา ชาวเยรูซาเล็มและ บรรดาหัวหน้าไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า จึงตัดสินลงโทษพระองค์ ทำ�ให้ขอ้ ความของ น.เนเรโอ อาคิลเลโอ บรรดาประกาศกทีอ่ า่ นทุกวันสับบาโตเป็นจริง แม้วา่ เขาไม่พบเหตุผลทีจ่ ะประหาร และเพื่อนมรณสักขี ชีวิตพระองค์ได้ เขาก็ยังขอปีลาตให้ประหารชีวิตพระองค์ เมื่อทำ�ให้ทุกสิ่งที่เขียน และ น.ปันกราส ไว้เกี่ยวกับพระองค์เป็นจริงแล้ว เขาจึงปลดพระองค์ลงจากไม้กางเขนและนำ�ไป มรณสักขี วางไว้ในพระคูหา แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพจาก บรรดาผู้ตาย ตลอดเวลาหลายวัน พระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่ผู้ที่เดินทางจาก สดด 2:6-7,8-9, 10-11 แคว้นกาลิลมี ายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์ และบัดนีเ้ ขาทัง้ หลายเป็นพยาน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ยืนยันถึงพระองค์ต่อหน้าประชาชน วันพืชมงคล เราขอประกาศข่าวดีให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า พระสัญญาที่ประทานแก่บรรดา บรรพบุรุษนั้น พระเจ้าทรงกระทำ�ให้เป็นจริงสำ�หรับเราทั้งหลายผู้เป็นลูกหลาน โดยทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ดังที่มีเขียน ไว้ในเพลงสดุดีบทที่สองว่า ‘ท่านเป็นบุตรของเรา เราให้กำ�เนิดท่านในวันนี้’” พระวรสาร ยน 14:1-6 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ใจของท่านทัง้ หลายจงอย่าหวัน่ ไหวเลย จงเชือ่ ในพระเจ้า และเชือ่ ในเราด้วย ในบ้านพระบิดาของเรา มีที่พำ�นักมากมาย ถ้าไม่มี เราคงบอกท่านแล้ว เรากำ�ลัง ไปเตรียมที่ให้ท่าน และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่าน ไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านรู้จักหนทางแล้ว” โทมัสทูลว่า “พระเจ้าข้า พวกเราไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด แล้วจะรู้จัก หนทางได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไป เฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “ให้ความเชื่อมั่นกับเราถึงข่าวดี แห่งการช่วยให้รอดพ้นได้สำ�เร็จเป็นจริงโดยองค์พระเยซูคริสตเจ้าผูเ้ ป็น หนทาง ความจริง และชีวติ ไม่มี ใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางพระองค์” กล่าวคือ เราทุกคนที่มีความเชื่อในพระเจ้า และโดย เฉพาะผู้ที่ได้รับศีลล้างบาป ต่างก็ได้รับและมีส่วนร่วมในพระทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนชีพ พร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว และสามารถรักษาพันธสัญญาแห่งการช่วยให้รอดนี้ได้ โดยอาศัยการดำ�เนิน ชีวติ ตามแบบอย่างของพระองค์ ผูเ้ ป็นหนทางแห่งการรักและรับใช้ ผูใ้ ห้ความเข้าใจในสัจจธรรมความจริง ของชีวิตแห่งความทรมานและความตาย และเป็นผู้แก้ไขชีวิต ไถ่ชีวิต สู่ชีวิตนิรันดร
บทอ่านที่ 1 กจ 13:44-52 วันสับบาโตต่อมา ชาวเมืองเกือบทั้งหมดมาชุมนุมฟังพระวาจาของพระเจ้า เมื่อชาวยิวเห็นประชาชนจำ�นวนมากเช่นนี้ ก็เกิดความอิจฉาอย่างมาก จึงคัดค้าน คำ�พูดของเปาโลและด่าว่าเขา เปาโลและบารนาบัสตอบเขาอย่างกล้าหาญว่า “จำ�เป็นทีเ่ ราจะต้องประกาศ พระวาจาของพระเจ้าให้ทา่ นฟังก่อนผูอ้ นื่ แต่เมือ่ ท่านปฏิเสธไม่ยอมรับและไม่คดิ พระนางมารีย์ ว่าตนเหมาะสมจะรับชีวิตนิรันดร เราจึงหันไปหาคนต่างศาสนา เพราะองค์พระผู้ พรหมจารีแห่งฟาติมา เป็นเจ้ามีพระบัญชาแก่เราดังนี้ว่า สดด 98:1-2,3-4 ‘เราแต่งตั้งท่านให้เป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เพื่อท่านจะได้นำ�ความรอดพ้นไปจนสุดปลายแผ่นดิน’” เมื่อคนต่างศาสนาได้ยินดังนี้ ก็มีความยินดีและสรรเสริญพระวาจาของพระเจ้า... พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแผ่ไปทั่วแคว้นนั้น แต่ชาวยิวยุยงบรรดาสตรีชั้นสูงที่เลื่อมใสใน ศาสนายิวและบรรดาผู้นำ�ของเมือง ให้เบียดเบียนเปาโลและบารนาบัส และขับไล่ทั้งสองคนออกไป จากดินแดนของตน เขาทั้งสองคนจึงสะบัดฝุ่นจากเท้าเป็นเครื่องหมายตัดความสัมพันธ์... พระวรสาร ยน 14:7-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเรา ท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา และเห็น พระองค์แล้ว” ฟีลิปทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ฟีลปิ เอ๋ย เราอยูก่ บั ท่านมานานเพียงนีแ้ ล้ว ท่านยังไม่รจู้ กั เราอีกหรือ ผูท้ เี่ ห็น เรา ก็เห็นพระบิดาด้วย ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด’ ท่านไม่เชื่อหรือ ว่า เราดำ�รงอยู่ในพระบิดา และพระบิดาทรงดำ�รงอยู่ในเรา วาจาที่เราบอกกับท่านทั้งหลายนี้ เรามิได้ พูดตามใจของเรา แต่พระบิดาผูส้ ถิตในเรา ทรงกระทำ�กิจการของพระองค์ ท่านทัง้ หลายจงเชือ่ เราเถิด ว่า เราดำ�รงอยูใ่ นพระบิดา และพระบิดาก็ทรงดำ�รงอยูใ่ นเรา หรืออย่างน้อยท่านทัง้ หลายจงเชือ่ เพราะ กิจการเหล่านี้เถิด เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็จะทำ�กิจการที่เรากำ�ลังทำ�อยู่ ด้วย และจะทำ�กิจการที่ใหญ่กว่านั้นอีก เพราะเรากำ�ลังจะไปเฝ้าพระบิดา สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายขอใน นามของเรา เราจะทำ�สิ่งนั้น เพื่อพระบิดาจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระบุตร ถ้าท่านทั้งหลายขอสิ่งใด ในนามของเรา เราจะทำ�ให้” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “ยํ้าเตือนความจริงกับเราทุกคน ว่า ผูท้ เี่ ชือ่ ในพระองค์ ก็จะทำ�กิจการทีพ่ ระองค์กำ�ลังทำ�อยูด่ ว้ ย และจะทำ�กิจการทีใ่ หญ่กว่านัน้ อีก” กล่าว คือ ทุกกิจการที่พระเยซูเจ้าทรงคิด พูด และกระทำ�เป็นการตกผลึกมาจากจิตตารมณ์ของพระบิดาเจ้า ทั้งหมด ดังนั้น เราสามารถสัมผัสพระเจ้าได้ โดยอาศัยพระเยซูเจ้า และยิ่งกว่านั้นสามารถสัมผัสพระเยซู เจ้าได้ โดยอาศัยการดำ�เนินชีวติ ตามพระวาจาของพระองค์ ดัง่ เช่น “เปาโลและบารนาบัส” ทีเ่ ชือ่ ในพระองค์ ทำ�ตามพระบัญชาและกิจการของพระองค์ ให้เป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ และนำ�ความรอดพ้นไปจนสุด ปลายแผ่นดิน แม้จะต้องพบอุปสรรคขนาดไหนหรือเสี่ยงตายถึงชีวิตก็ตาม
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 6:1-7 เวลานัน้ ศิษย์มจี �ำ นวนมากขึน้ บรรดาศิษย์ทพี่ ดู ภาษากรีกไม่พอใจศิษย์ทพี่ ดู ภาษาฮีบรู เพราะในการแจกทานประจำ�วัน บรรดาแม่ม่ายของตนถูกละเลยมิได้ รับแจก อัครสาวกสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์มาประชุม กล่าวว่า “ไม่สมควรทีเ่ รา จะละทิ้งการประกาศพระวาจาของพระเจ้าเพื่อไปแจกอาหาร พี่น้องทั้งหลาย จง เลือกบุรุษเจ็ดคนจากกลุ่มของท่านทั้งหลาย เป็นคนที่มีชื่อเสียงดี เปี่ยมด้วยพระ จิตเจ้าและปรีชาญาณ แล้วเราจะแต่งตั้งเขาให้ทำ�หน้าที่นี้ ส่วนเราจะอุทิศตน อธิษฐานภาวนาและประกาศพระวาจา” ทุกคนในที่ประชุมต่างเห็นชอบกับข้อ เสนอนี้ จึงเลือกสเทเฟนบุรุษผู้เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า ฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปาร์เมนัส และนิโคลัสชาวอันทิโอกผู้กลับใจมานับถือศาสนายิว เขานำ�คนทั้งเจ็ดคนมาอยู่ต่อหน้าบรรดาอัครสาวกซึ่งอธิษฐานภาวนาและปกมือ เหนือเขา พระวาจาของพระเจ้าแพร่หลายยิง่ ขึน้ ศิษย์มจี �ำ นวนมากขึน้ ในกรุงเยรูซาเล็ม บรรดาสมณะหลายคนยอมรับความเชื่อด้วย เพลงสดุดี สดด 33:1-2,4-5,18-19 ก) ผู้ชอบธรรมทั้งหลาย จงร้องสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยความเบิกบานเถิด คำ�สรรเสริญคู่ควรกับผู้สุจริต จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเสียงพิณ จงบรรเลงพิณสิบสายถวายพระองค์ ข) พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเที่ยงตรง พระราชกิจของพระองค์น่าเชื่อถือ พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและความยุติธรรม ความรักมั่นคงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปี่ยมล้นทั่วแผ่นดิน ค) แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าพิทักษ์ผู้ที่ยำ�เกรงพระองค์ ผู้ที่หวังในความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อจะช่วยชีวิตของเขาให้พ้นจากความตาย และรักษาเขาไว้ในยามอาหารขาดแคลน บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 2:4-9 ลูกทีร่ กั ยิง่ จงเข้าไปเฝ้าพระองค์ผทู้ รงเป็นศิลาทรงชีวติ ซึง่ มนุษย์ละทิง้ ไป แต่ พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้และมีค่าประเสริฐ ท่านเป็นเหมือนศิลาที่มีชีวิตกำ�ลัง ก่อสร้างขึ้นเป็นวิหารของพระจิตเจ้า เป็นสมณตระกูลศักดิ์สิทธิ์ เพื่อถวายเครื่อง
บูชาฝ่ายจิตซึง่ เป็นทีส่ บพระทัยของพระเจ้าเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ดังทีม่ เี ขียนไว้ในพระคัมภีรว์ า่ “เรา เลือกศิลาประเสริฐและวางไว้ในนครศิโยนเป็นศิลาหัวมุม ทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ ในศิลานีจ้ ะไม่ตอ้ งอับอาย เลย” สำ�หรับท่านผู้มีความเชื่อ ศิลานี้จึงมีค่าประเสริฐ แต่สำ�หรับผู้ที่ไม่มีความเชื่อ ศิลาที่ช่างก่อสร้าง ละทิง้ ก็กลายเป็นศิลาหัวมุม เป็นศิลาทีท่ �ำ ให้สะดุดและเป็นศิลาทีท่ �ำ ให้ลม้ ลง เขาเหล่านัน้ สะดุดเพราะ ไม่ยอมเชื่อฟังพระวาจา นี่เป็นชะตากรรมของพวกเขา ท่านทัง้ หลายเป็นชาติทที่ รงเลือกสรรไว้ เป็นสมณราชตระกูล เป็นชนชาติศกั ดิส์ ทิ ธิ์ เป็นประชากร ที่เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของพระเจ้า เพื่อจะประกาศพระฤทธานุภาพของพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านจาก ความมืดสู่ความสว่างที่น่าพิศวงของพระองค์ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 14:1-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ใจของท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวเลย จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย ในบ้านพระบิดา ของเรา มีทพี่ �ำ นักมากมาย ถ้าไม่มี เราคงบอกท่านแล้ว เรากำ�ลังไปเตรียมทีใ่ ห้ทา่ น และเมือ่ เราไป และ เตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่น ด้วย ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านรู้จักหนทางแล้ว” โทมัสทูลว่า “พระเจ้าข้า พวกเราไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปทีใ่ ด แล้วจะรูจ้ กั หนทางได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวติ ไม่มใี ครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจาก ผ่านทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเรา ท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา และ เห็นพระองค์แล้ว” ฟีลิปทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ฟีลปิ เอ๋ย เราอยูก่ บั ท่านมานานเพียงนีแ้ ล้ว ท่านยังไม่รจู้ กั เราอีกหรือ ผูท้ เี่ ห็น เรา ก็เห็นพระบิดาด้วย ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด’ ท่านไม่เชื่อหรือ ว่า เราดำ�รงอยู่ในพระบิดา และพระบิดาทรงดำ�รงอยู่ในเรา วาจาที่เราบอกกับท่านทั้งหลายนี้ เรามิได้ พูดตามใจของเรา แต่พระบิดาผูส้ ถิตในเรา ทรงกระทำ�กิจการของพระองค์ ท่านทัง้ หลายจงเชือ่ เราเถิด ว่า เราดำ�รงอยูใ่ นพระบิดา และพระบิดาก็ทรงดำ�รงอยูใ่ นเรา หรืออย่างน้อยท่านทัง้ หลายจงเชือ่ เพราะ กิจการเหล่านี้เถิด เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็จะทำ�กิจการที่เรากำ�ลังทำ�อยู่ ด้วย และจะทำ�กิจการที่ใหญ่กว่านั้นอีก เพราะเรากำ�ลังจะไปเฝ้าพระบิดา” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “เน้นคุณค่าและท่าทีของชีวติ แห่ง ความเชื่อ เชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า และเชื่อในพระวาจาของพระเจ้า” กล่าวคือ ทุกคนที่ มีความเชื่อและดำ�เนินชีวิตด้วยความเชื่อมั่นในพระเจ้า ยึดมั่นในหนทาง ความจริง และชีวิตของพระเยซู เจ้า และปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้าในทุกกิจการของตน เขาเหล่านั้นจะได้รับเลือกสรรและเต็มเปี่ยม ด้วยพระจิต ชีวิตศักดิ์สิทธิ์เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของพระเจ้า และจะได้เห็นพระบิดาเจ้า ซึ่งคุณค่าชีวิตเหล่า นี้ เป็นคุณค่าอันประเสริฐ ที่บรรดาศิษย์ บรรดาอัครสาวก และผู้ที่เชื่อในพระองค์ต่างปรารถนาอย่างแรง กล้าที่จะเป็นอย่างที่พระองค์ทรงเป็น!!!
บทอ่านที่ 1 กจ 14:5-18 เมือ่ คนต่างศาสนาและชาวยิวร่วมกับบรรดาผูป้ กครองเมืองวางแผนจะทำ�ร้าย และใช้ก้อนหินขว้างเปาโลและบารนาบัส ทั้งสองคนรู้เรื่อง จึงหลบหนีไปที่เมือง ลิสตรา เมืองเดอร์บแี ละชนบทรอบๆ ในแคว้นลิคาโอเนีย ทัง้ สองคนประกาศข่าวดี ที่นั่นด้วย ทีเ่ มืองลิสตรา ชายคนหนึง่ ยืนไม่ได้ เพราะเป็นง่อยมาแต่ก�ำ เนิด เขานัง่ อยูก่ บั สัปดาห์ที่ 5 ที่ไม่เคยเดินเลย เขากำ�ลังฟังเปาโลพูด เปาโลจ้องมองดูเขา เห็นว่าเขามีความเชื่อ เทศกาลปัสกา พอจะรับการรักษาให้หายจากโรคได้ จึงพูดเสียงดังว่า “จงลุกขึ้นยืนเถิด” ชายคน สดด 115:1-2,3-4, นั้นก็กระโดดขึ้นและเริ่มเดินไป 15-17 เมือ่ ประชาชนเห็นสิง่ ทีเ่ ปาโลทำ� จึงร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “พระเจ้าทรง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 แปลงเป็นมนุษย์เสด็จลงมาหาเราแล้ว” เขาเรียกบารนาบัสว่า “พระซุส” และเรียก เปาโลว่า “พระเฮอร์เมส”... สมณะจากพระวิหารของพระซุสทีอ่ ยูใ่ กล้ประตูเมือง จูงวัวหลายตัวประดับ พวงมาลัยมาที่ประตูเมือง และพร้อมใจกับประชาชนต้องการถวายบูชาแก่เปาโลและบารนาบัส เมื่ออัครสาวกบารนาบัสและเปาโลรู้เช่นนี้ ก็ฉีกเสื้อผ้าของตนวิ่งผลุนผลันเข้าไปกลางกลุ่มชนร้อง ว่า “เพื่อนเอ๋ย ทำ�ไมท่านจึงทำ�เช่นนี้ เราทั้งสองคนเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนท่านทั้งหลาย เรากำ�ลัง ประกาศข่าวดีให้ทา่ นทัง้ หลายละทิง้ สิง่ ทีไ่ ร้สาระเหล่านีห้ นั มาหาพระเจ้าผูท้ รงชีวติ ...พระองค์ทรงกระทำ� ดีอยู่เสมอ...” ทั้งๆ ที่พูดเช่นนี้ บารนาบัสและเปาโลก็ห้ามประชาชนถวายเครื่องบูชาแก่ตนเกือบไม่ได้ พระวรสาร ยน 14:21-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ผู้ที่มีบทบัญญัติของเรา และปฏิบัติตาม ผู้นั้นรักเรา และผู้ที่รักเรา พระบิดาของเราก็จะทรงรัก เขา และเราเองก็จะรักเขา และจะแสดงตนแก่เขา” ยูดาส มิใช่ยดู าสอิสคาริโอท ทูลพระองค์วา่ “พระเจ้าข้า ทำ�ไมพระองค์ทรงต้องการแสดงพระองค์ แก่พวกเรา แต่ไม่แสดงพระองค์แก่โลก” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเรา พระบิดาของเราจะทรง รักเขา พระบิดาจะเสด็จพร้อมกับเรามาหาเขา จะทรงพำ�นักอยูก่ บั เขา ผูท้ ไี่ ม่รกั เรา ก็ไม่ปฏิบตั ติ ามวาจา ของเรา วาจาที่ท่านได้ยินนี้ ไม่ใช่วาจาของเรา แต่เป็นของพระบิดา ผู้ทรงส่งเรามา เราบอกสิ่งเหล่านี้ ให้ท่านฟัง ขณะที่เรายังอยู่กับท่าน แต่พระผู้ช่วยเหลือคือพระจิตเจ้า ที่พระบิดาจะทรงส่งมาในนาม ของเรานั้น จะทรงสอนท่านทุกสิ่ง และจะทรงให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราเคยบอกท่าน” หัวใจและใจความสำ�คัญจากพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ “เผยแสดงให้เห็นถึงการช่วยเหลือ และการนำ�ของพระจิตเจ้าในบรรดาผู้มีความเชื่อและรักพระเจ้า” กล่าวคือ ทุกคนที่มีความเชื่อและรัก ในพระเจ้า ในพระเยซูเจ้า ชีวิตของเขาเหล่านั้นจะบังเกิดผลดี เพราะองค์พระจิตเจ้าที่พระบิดาจะทรงส่ง มาในนามของพระเยซูเจ้า จะทรงทำ�งาน จะทรงช่วยเหลือ จะทรงสอนเขาทุกสิ่ง และจะทรงให้เขาระลึก ถึงทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าเคยบอกสอน ดั่งเช่น “ชายง่อยมาแต่กำ�เนิด” แห่งเมืองลิสตรา เขาฟังเปาโลพูด แล้วมีความเชื่อ เพราะความเชื่อนี้จึงช่วยเขาให้หายจากโรคได้ พระเจ้าพำ�นักอยู่กับเขา แต่ทว่า...ตรงกัน ข้ามกับชาวยิว และผู้ปกครองเมืองอันทิโอก ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับข่าวดีแห่งความรอดนี้
บทอ่านที่ 1 กจ 14:19-28 ในเวลานัน้ ชาวยิวบางคนมาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอิโคนิยมุ เกลีย้ กล่อม ประชาชนให้เป็นฝ่ายของตนได้ เขาเหล่านัน้ ใช้กอ้ นหินขว้างเปาโลแล้วลากออกไป นอกเมืองเพราะคิดว่าเปาโลตายแล้ว บรรดาศิษย์มาห้อมล้อมเขา เปาโลลุกขึ้น เข้าไปในเมือง วันรุ่งขึ้นเปาโลก็ออกเดินทางกับบารนาบัสไปยังเมืองเดอร์บี สัปดาห์ที่ 5 ทั้งสองคนประกาศข่าวดีที่เมืองนั้น ได้ศิษย์เป็นจำ�นวนมาก แล้วจึงกลับไป เทศกาลปัสกา เมืองลิสตรา เมืองอิโคนิยุมและเมืองอันทิโอกแห่งแคว้นปิสิเดีย เขาทั้งสองคนให้ กำ�ลังใจบรรดาศิษย์ ตักเตือนให้มั่นคงอยู่ในความเชื่อ พูดว่า “พวกเราจำ�เป็นต้อง สดด 145:10-11, ฟันฝ่าความทุกข์ยากเป็นอันมากจึงจะเข้าสูพ่ ระอาณาจักรของพระเจ้าได้” เปาโล 12-13กข,21 และบารนาบัสแต่งตัง้ ผูอ้ าวุโสในกลุม่ คริสตชนแต่ละกลุม่ เขาอธิษฐานภาวนาพร้อม ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 กับจำ�ศีลอดอาหาร แล้วฝากบรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้ไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเขา ทั้งหลายมีความเชื่อ ทั้งสองคนเดินทางผ่านแคว้นปิสิเดีย มาถึงแคว้นปัมฟีเลีย ประกาศพระวาจาที่เมืองเปอร์กา แล้วจึงไปยังเมืองอัตตาเลีย จากนัน้ เขาลงเรือกลับไปยังเมืองอันทิโอกแห่งซีเรีย ก่อนทีเ่ ขาทัง้ สองคนจะออกเดินทางจากเมือง อันทิโอก บรรดาคริสตชนเคยฝากเขาไว้กับพระหรรษทานของพระเจ้าเพื่องานที่เขาเพิ่งทำ�สำ�เร็จ เมื่อ ไปถึง เปาโลและบารนาบัสก็เรียกประชุมกลุ่มคริสตชน เล่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ�โดยผ่านตนว่า พระเจ้าทรงเปิดประตูแห่งความเชือ่ ให้คนต่างศาสนา เขาทัง้ สองคนพักอยูก่ บั บรรดาศิษย์เป็นเวลานาน พระวรสาร ยน 14:27-31ก เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรามอบสันติสขุ ไว้ให้ทา่ นทัง้ หลาย เราให้สนั ติสขุ ของเราแก่ทา่ น เราให้สนั ติสขุ แก่ทา่ น ไม่เหมือน ที่โลกให้ ใจของท่านอย่าหวั่นไหว หรือมีความกลัวเลย ท่านได้ยินที่เราบอกกับท่านแล้วว่า เรากำ�ลังจะ ไป และเราจะกลับมาหาท่านทัง้ หลาย ถ้าท่านรักเรา ท่านคงยินดีทเี่ รากำ�ลังไปเฝ้าพระบิดา เพราะพระ บิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา และบัดนี้เราได้บอกท่านทั้งหลายก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อ เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ท่านจะเชื่อ เราจะพูดกับท่านต่อไปอีกไม่นาน เพราะซาตานเจ้านายแห่งโลกนี้ กำ�ลังมา มันไม่มีอำ�นาจใดเหนือเรา แต่โลกจะต้องรู้ว่าเรารักพระบิดา และรู้ว่าพระบิดาทรงบัญชาให้ เราทำ�อย่างไร เราก็ทำ�อย่างนั้น” ชีวติ ทีม่ สี นั ติสขุ คือ ชีวติ ของคนทีม่ แี กนชีวติ “ใหญ่” “หนักแน่น” “มัน่ คง” ซึง่ ไม่มอี ะไรมาทำ�ให้ เขาหวั่นไหวได้ ไม่ว่าจะเป็น “คำ�ชม” หรือ “คำ�ด่า” ไม่ว่า “ปัญหาจะใหญ่แค่ไหน” เขาก็พร้อมที่จะเผชิญและ จะก้าวผ่านมันไปได้ เหมือนกับนักบุญเปาโลทีแ่ ม้จะพึง่ ถูกทำ�ร้ายจนสลบ เมือ่ ฟืน้ ก็ประกาศพระวาจาต่อทันที เราทุกคนต้องเผชิญกับ “ปัญหาของชีวติ ” อย่างแน่นอนหนีไม่พน้ และหลายคนก็ก�ำ ลังแบกมันอยู่ ความ ลำ�บากไม่ได้อยู่ที่ปัญหาที่กำ�ลังเผชิญหรือกำ�ลังแบก แต่อยู่ที่ว่า “กำ�ลัง” เรามีขนาดไหน ถ้ามีเยอะปัญหาก็ จะเล็ก กำ�ลังมีนอ้ ยปัญหาก็จะหนัก ดังนัน้ จงเข้าหาพระ มีเวลาให้กบั พระ เพราะสันติสขุ ทีม่ าจากพระเท่านัน้ ที่จะเป็นพลังให้กับเราที่จะ “นิ่ง” ได้ในทุกสถานการณ์
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา สดด 122:1-2,3-5
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 กจ 15:1-6 เวลานัน้ คริสตชนชาวยิวบางคนลงมาจากแคว้นยูเดีย และสอนบรรดาพีน่ อ้ ง ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายมิได้เข้าสุหนัตตามธรรมประเพณีของโมเสส ท่านจะรอดพ้น ไม่ได้” เปาโลและบารนาบัสไม่เห็นด้วย จึงโต้แย้งกับเขาเหล่านั้นอย่างรุนแรง มี การตกลงกันให้เปาโลและบารนาบัสพร้อมกับพีน่ อ้ งบางคนขึน้ ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อปรึกษาปัญหานี้กับบรรดาอัครสาวกและบรรดาผู้อาวุโส เมื่อพระศาสนจักร จัดให้เขาเหล่านัน้ ออกเดินทางไปแล้ว เขาเดินทางผ่านแคว้นฟีนเี ซียและสะมาเรีย เล่าเรือ่ งการกลับใจของคนต่างศาสนา ทำ�ให้พนี่ อ้ งทุกคนชืน่ ชมอย่างยิง่ เมือ่ มาถึง กรุงเยรูซาเล็มเขาได้รบั การต้อนรับจากพระศาสนจักร บรรดาอัครสาวกและบรรดา ผู้อาวุโส บารนาบัสและเปาโลเล่าเรื่องต่างๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำ�โดยผ่านตน ผูม้ คี วามเชือ่ บางคนทีเ่ คยอยูใ่ นกลุม่ ชาวฟาริสลี กุ ขึน้ กล่าวว่า “ต้องให้คนต่าง ศาสนาเข้าสุหนัตและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของโมเสส” บรรดาอัครสาวกและผู้อาวุโสจึงประชุมกันเพื่อพิจารณาปัญหานี้ พระวรสาร ยน 15:1-8 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน กิ่งก้านใดในเรา ที่ไม่เกิดผล พระองค์จะทรงตัดทิ้ง กิ่งก้านใดที่เกิดผล พระองค์จะทรงลิด เพื่อให้ เกิดผลมากขึ้น ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว เพราะวาจาที่เรากล่าวกับท่าน ท่าน ทัง้ หลายจงดำ�รงอยูใ่ นเราเถิด ดังทีเ่ ราดำ�รงอยูใ่ นท่าน กิง่ องุน่ เกิดผลด้วยตนเองไม่ ได้ ถ้าไม่ติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ ถ้าไม่ดำ�รงอยู่ใน เราฉันนั้น เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำ�รงอยู่ในเรา และเรา ดำ�รงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำ�อะไรไม่ได้เลย ถ้าผู้ใด ไม่ด�ำ รงอยูใ่ นเรา ก็จะถูกโยนทิง้ ไปข้างนอกเหมือนกิง่ ก้าน และจะเหีย่ วแห้งไป กิง่ ก้านเหล่านัน้ จะถูกเก็บไปทิง้ ในไฟและถูกเผา ถ้าท่านทัง้ หลายดำ�รงอยูใ่ นเรา และ วาจาของเราดำ�รงอยูใ่ นท่าน ท่านอยากได้สงิ่ ใด ก็จงขอเถิด และท่านจะได้รบั พระ บิดาของเราจะทรงรับพระสิรริ งุ่ โรจน์ เมือ่ ท่านเกิดผลมาก และกลายเป็นศิษย์ของ เรา” บางครั้งและหลายคนมักจะบ่นว่า “ชีวิตไม่มีความสุข” ซึ่งคำ�ว่า “ความ สุข” เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าชีวิตของเรา “อิ่ม” หลายคนมักแสวงหาการอิ่มทางกายเพื่อ หวังว่าจะได้มคี วามสุข แต่กพ็ บว่าใส่เท่าไหร่กไ็ ม่เต็มสักที เปรียบเหมือนกับกิง่ องุน่ ทีจ่ ะ ออกผลได้ก็ต่อเมื่อมัน “รับนํ้าเลี้ยง” จากเถาองุ่นเต็มที่ มิใช่รับปุ๋ย รับนํ้า ด้วยตนเอง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็จะเหี่ยวแห้งและตายไป เพราะมันไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของ ตัวมันเอง... มนุษย์ก็เช่นกัน ธรรมชาติของเราเป็นความรัก ดังนั้น จำ�เป็นที่เราจะต้อง ได้รบั การหล่อเลีย้ งจากองค์แห่งความรัก คือพระเจ้าเท่านัน้ ชีวติ เราจึงจะ “อิม่ ” จริงๆ
บทอ่านที่ 1 กจ 15:7-21 ในครั้งนั้น หลังจากโต้เถียงกันมากแล้ว เปโตรลุกขึ้นกล่าวแก่ที่ประชุม เปโตรกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ท่านรู้แล้วว่า ตั้งแต่แรกเริ่ม พระเจ้าทรง เลือกสรรข้าพเจ้าในหมู่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้คนต่างศาสนาได้ฟังพระวาจาที่เป็น ข่าวดีจากปากของข้าพเจ้าและมีความเชือ่ พระเจ้าผูท้ รงล่วงรูจ้ ติ ใจ ทรงเป็นพยาน น.ยอห์น ที่ 1 ยืนยันแก่คนต่างศาสนาโดยประทานพระจิตเจ้าให้เขาเหมือนกับทีป่ ระทานให้พวก พระสันตะปาปา เรา พระองค์มิได้ทรงลำ�เอียง แต่ทรงชำ�ระจิตใจของเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความเชื่อ และมรณสักขี บัดนี้ ทำ�ไมท่านทัง้ หลายจึงทดลองพระเจ้า นำ�แอกทีท่ งั้ บรรพบุรษุ ของเราและพวก เราแบกไม่ไหวมาวางบนคอของบรรดาศิษย์ เราเชือ่ ว่าเราได้รบั ความรอดพ้นอาศัย สดด 96:1-3,10-11 พระหรรษทานของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับคนต่างศาสนาด้วย” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ทุกคนในที่ประชุมนิ่งเงียบ ฟังบารนาบัสกับเปาโลเล่าเรื่องเครื่องหมาย อัศจรรย์และปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าทรงกระทำ�ในหมู่คนต่างศาสนาโดยผ่านตน เมื่อทั้งสองคนเล่าจบแล้ว ยากอบจึงพูดว่า “พี่น้องทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ซีโมนเล่าแล้วว่า ตั้งแต่แรกพระเจ้าทรงพระกรุณาเลือกสรรประชากรชาติหนึ่งจากนานาชาติให้เป็นประชากรของ พระองค์ การกระทำ�เช่นนี้สอดคล้องกับถ้อยคำ�ของบรรดาประกาศก ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘หลังจากนี้ เราจะกลับมา และจะซ่อมแซมกระโจมที่พังลงของกษัตริย์ดาวิด จะซ่อมแซมสิ่ง ปรักหักพังของกระโจมนี้ และจะตัง้ ใหม่ให้ตรง เพือ่ ให้มนุษย์อนื่ ๆ แสวงหาองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พร้อมกับ นานาชาติที่เราเรียกว่าเป็นของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเช่นนี้ และทรงกระทำ�สิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่รู้ กันตลอดมาแล้ว’ ดังนัน้ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าไม่ควรก่อความยุง่ ยากแก่คนต่างศาสนาทีก่ ลับใจมาหาพระเจ้า ควรเขียน จดหมายไปบอกเขา ให้งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ที่ถวายแก่รูปเคารพแล้ว ให้งดเว้นการแต่งงานที่ไม่ถูก ต้องตามกฎหมาย และงดเว้นการกินเลือดและเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอให้ตาย กฎเหล่านี้ของโมเสสเป็นที่ รู้จักกันทั่วทุกเมืองตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพราะมีผู้ประกาศในศาลาธรรมทุกวันสับบาโต” พระวรสาร ยน 15:9-11 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำ�รงอยู่ในความรักของเรา เถิด ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำ�รงอยู่ในความรักของเรา เหมือนกับที่เราปฏิบัติ ตามบทบัญญัติของพระบิดาของเรา และดำ�รงอยู่ในความรักของพระองค์ เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่าน ทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์” “พระเจ้าเป็นองค์แห่งความรัก” และเมือ่ เราเป็นลูกของพระเจ้า เราจึงมี “ธรรมชาติของความ รัก” ในตัวเราด้วย ซึ่งธรรมชาตินี้จะมีลักษณะที่ “เป็นความปรารถนาดีที่ออกสู่ผู้อื่นเสมอ” ซึ่งถ้าผู้นี้ไปเจอ ใครที่แย่ๆ เขาจะเข้าไปรักษา เจอใครที่ท้อแท้ เขาจะไปปลอบโยน ริมฝีปากของเขาจะมีคำ�พูด “ดีๆ” ออก มาเสมอและตลอดเวลา
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา
สดด 57:8-9,10-11
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 กจ 15:22-31 ในครัง้ นัน้ บรรดาอัครสาวกและผูอ้ าวุโสพร้อมกับคริสตชนทุกคนทีช่ มุ นุมกัน ตกลงใจเลือกสมาชิกบางคน เพือ่ ส่งไปยังเมืองอันทิโอกพร้อมกับเปาโลและบารนา บัส คือยูดาส ที่เรียกกันว่า บารซับบัสกับสิลาส ทั้งสองคนนี้เป็นคนเด่นในบรรดา พี่น้อง ที่ประชุมเขียนจดหมายมอบให้คนเหล่านี้ถือไปใจความว่า “จาก บรรดาอัครสาวก ผู้อาวุโส และบรรดาพี่น้อง ถึง บรรดาพี่น้องซึ่งเคยเป็นคนต่างศาสนาอยู่ที่เมืองอันทิโอก ในแคว้นซีเรีย และแคว้นซีลีเซีย ขอให้ท่านมีความสุขเถิด เนื่องจากเรารู้ว่า พวกเราบางคนกล่าวถ้อยคำ�ที่ทำ�ให้ท่านสับสนและวุ่นวาย ใจ โดยไม่ได้รับคำ�สั่งจากเราเลย เราจึงตกลงกันเป็นเอกฉันท์เลือกบุรุษบางคนส่ง มาพบท่านพร้อมกับบารนาบัสและเปาโลที่รักยิ่งของเรา ผู้เสี่ยงชีวิตเพื่อพระนาม พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดังนั้น เราจึงส่งยูดาสและสิลาสมาเล่า เรือ่ งทีเ่ ขียนนีใ้ ห้ทา่ นฟังโดยตรง พระจิตเจ้าและพวกเราตกลงทีจ่ ะไม่บงั คับให้ทา่ น แบกภาระอื่นอีก นอกจากสิ่งที่จำ�เป็นต่อไปนี้คือ งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ที่ถวายให้ รูปเคารพแล้ว งดเว้นการกินเลือดและเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และงดเว้นการ แต่งงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าท่านทั้งหลายงดเว้นการกระทำ�เหล่านี้ ก็จะ เป็นการดี จงเจริญสุขเถิด” เมื่อรํ่าลากันแล้ว คณะผู้แทนก็เดินทางมาถึงเมืองอันทิโอก เขาเรียกบรรดา คริสตชนมาประชุมกันและมอบจดหมายให้ เมื่ออ่านจดหมายนั้นแล้ว ทุกคนต่าง ยินดีเพราะได้รับกำ�ลังใจ
พระวรสาร ยน 15:12-17 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่ กว่าการสละชีวติ ของตนเพือ่ มิตรสหาย ท่านทัง้ หลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำ�ตามทีเ่ ราสัง่ ท่าน เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำ�อะไร เราเรียกท่านเป็นมิตร สหาย เพราะเราแจ้งให้ทา่ นรูท้ กุ สิง่ ทีเ่ ราได้ยนิ มาจากพระบิดาของเรา มิใช่ทา่ นทัง้ หลายได้เลือกเรา แต่ เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำ�จนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใด จากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลาย จงรักกัน” ความรักเป็น “แก่น” ของชีวิตเรา ถ้าชีวิตของเราปราศจากซึ่งความรัก มนุษย์จะกลายเป็น “ผู้ทำ�ลาย” ต่อผู้คนและสรรพสิ่งอย่างโหดเหี้ยมที่สุด แต่ถ้าความรักดำ�รงอยู่ในเรายิ่งมากเท่าไหร่ ชีวิตของ เราก็จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามบนโลกใบนี้มากขึ้นเท่านั้น เพราะความรักจะทำ�ให้เรามอบสิ่งดีๆ แก่กันและกัน เสมอ ดังนั้น เมื่อเรารู้สึกว่าเราหรือใครเห็นแก่ตัว จงรู้ไว้เถิดว่า “เรากำ�ลังขาดพระเจ้า” ซึ่งเป็นองค์ความ รักนั่นเอง
บทอ่านที่ 1 กจ 16:1-10 ในครัง้ นัน้ เปาโลเดินทางมาถึงเมืองเดอร์บแี ละเมืองลิสตรา ทีเ่ มืองนีศ้ ษิ ย์คน หนึ่งชื่อทิโมธี มารดาของเขาเป็นคริสตชนชาวยิว แต่บิดาเป็นชาวกรีก เขาเป็นที่ นับถือของบรรดาพี่น้องคริสตชนที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนิยุม เปาโลต้องการ ให้เขาร่วมเดินทางไปด้วย จึงให้เขาเข้าสุหนัต เพื่อเอาใจบรรดาชาวยิวที่อยู่ในที่ ต่างๆ แถบนัน้ เพราะทุกคนรูว้ า่ บิดาของเขาเป็นชาวกรีก เมือ่ คณะของเปาโลผ่าน ไปตามเมืองต่างๆ ก็แจ้งให้บรรดาคริสตชนรู้ข้อกำ�หนดที่บรรดาอัครสาวกและผู้ อาวุโสตกลงกันที่กรุงเยรูซาเล็ม เตือนเขาให้ปฏิบัติตาม บรรดากลุ่มคริสตชนจึงมี ความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้นและมีจำ�นวนคริสตชนเพิ่มขึ้นทุกวัน พระจิตเจ้าทรงห้ามคณะของเปาโลประกาศพระวาจาในแคว้นเอเชีย เขาจึง เดินทางผ่านแคว้นฟรีเจียและแคว้นกาลาเทีย มาถึงแคว้นมิเซีย เขาพยายามเข้าไป ในแคว้นบิธเี นีย แต่พระจิตของพระเยซูเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เข้าไป เขาจึงเดินทาง ผ่านแคว้นมิเซีย ไปถึงเมืองโตรอัส เวลากลางคืนเปาโลเห็นนิมิต ชาวมาซิโดเนีย คนหนึ่งยืนอยู่ อ้อนวอนเปาโลว่า “โปรดข้ามมาในแคว้นมาซิโดเนียและช่วยพวก เราด้วยเถิด” เมื่อเปาโลเห็นนิมิตนี้แล้ว พวกเราก็หาโอกาสที่จะไปยังแคว้นมาซิโดเนียทันที เพราะเชือ่ แน่วา่ พระเจ้าทรงเรียกเราให้ไปประกาศข่าวดีแก่ชาวแคว้น นั้นด้วย พระวรสาร ยน 15:18-21 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ถ้าโลกเกลียดชังท่านทั้งหลาย ก็จงรู้ไว้เถิดว่า โลกเกลียดชังเราก่อนแล้ว ถ้า ท่านทั้งหลายเป็นฝ่ายโลก โลกก็คงรักสิ่งที่เป็นของตน แต่เพราะท่านมิได้เป็นฝ่าย โลก และเราเลือกท่านออกมาจากโลก โลกจึงเกลียดชังท่าน จงจำ�วาจาที่เราบอก แล้วเถิดว่า ผู้รับใช้ย่อมไม่เป็นใหญ่กว่านายของตน ถ้าเขาเบียดเบียนข่มเหงเรา เขาก็จะเบียดเบียนข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามวาจาของเรา เขาก็ จะปฏิบัติตามวาจาของท่านด้วย แต่เขาจะทำ�ทุกอย่างเช่นนี้แก่ท่าน ก็เพราะนาม ของเรา เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” การเป็น “คนดี” บางครัง้ ก็จะเจอปีศาจรังควาน ผ่านทางคนใกล้ตวั อย่า สู้กับคน แต่จงสู้กับผี และใช้วิธีของพระและสู้พร้อมกับพระ ภาวนา ขอมิสซา อดทน พลีกรรม ให้กับคนๆ นั้น ไม่นานนักเขาก็จะค่อยๆ ดีขึ้น เพราะผีมันอ่อนแรงไปเท่าไหร่ เขาก็จะดีขึ้นเท่านั้น สุดท้ายเราก็จะช่วยวิญญาณเขาให้เป็นอิสระจากผีและกลับคืนดี มาเป็นลูกพระได้ในที่สุด
น.เบอร์นาดิน แห่งซีเอนา พระสงฆ์ สดด 100:1-4,5
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลปัสกา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 8:5-8,14-17 ฟีลิปไปเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าให้ชาว เมืองนัน้ ฟัง ประชาชนทีไ่ ด้ฟงั ถ้อยคำ�ของฟีลปิ และเห็นเครือ่ งหมายอัศจรรย์ทเี่ ขา ทำ� ก็พร้อมใจกันฟังคำ�สั่งสอนของเขา คนหลายคนที่ถูกปีศาจชั่วร้ายสิงอยู่ร้อง เสียงดังแล้วปีศาจก็ออกไป คนอัมพาตและคนง่อยจำ�นวนมากหายจากโรค ประชาชนในเมืองนั้นจึงชื่นชมอย่างมาก บรรดาอัครสาวกที่กรุงเยรูซาเล็มส่งเปโตรและยอห์นไปหาชาวสะมาเรียเมื่อ รู้ว่าเขาได้รับพระวาจาของพระเจ้าแล้ว เมื่อเปโตรและยอห์นไปถึงก็อธิษฐาน ภาวนาเพื่อชาวสะมาเรียเหล่านั้น ให้ได้รับพระจิตเจ้า เพราะยังไม่มีผู้ใดได้รับพระ จิตเจ้าเลย เขาเพียงแต่ได้รบั ศีลล้างบาปเดชะพระนามของพระเยซูองค์พระผูเ้ ป็น เจ้าเท่านั้น เปโตรและยอห์นจึงปกมือเหนือเขาทั้งหลาย และเขาเหล่านั้นก็ได้รับ พระจิตเจ้า เพลงสดุดี สดด 66:1-3,4-5,6-7,16 และ 18-20 ก) แผ่นดินทั้งมวลเอ๋ย จงโห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าเถิด จงร้องเพลงสดุดีสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระนามของพระองค์ จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์ด้วยถ้อยคำ�สรรเสริญ จงทูลพระเจ้าเถิดว่า “พระราชกิจของพระองค์ช่างน่าเกรงขาม พระอานุภาพช่างยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งศัตรูยังก้มลงเฉพาะพระพักตร์ ข) แผ่นดินทั้งมวลกราบนมัสการพระองค์ ร้องเพลงสดุดีแด่พระองค์ ร้องเพลงสดุดีสรรเสริญพระนามพระองค์” มาเถิด จงดูพระราชกิจของพระเจ้า การกระทำ�ของพระองค์ต่อมนุษย์ช่างน่าพิศวง ค) พระองค์ทรงเปลี่ยนท้องทะเลเป็นแผ่นดินแห้ง ทรงให้เขาทั้งหลายเดินข้ามแม่นํ้าไป ดังนั้น เราจงยินดีในพระเจ้าเถิด พระองค์ทรงปกครองด้วยพระอานุภาพตลอดกาล พระเนตรเฝ้าดูนานาชาติ เพื่อคนกบฏจะไม่ลุกขึ้นต่อสู้กับพระองค์ ง) ท่านทั้งหลายที่ยำ�เกรงพระเจ้า จงมาและจงฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกเล่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ�เพื่อข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้ามีความชั่วร้ายอยู่ในใจ องค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ทรงฟังข้าพเจ้า
แต่พระเจ้ากลับทรงฟัง ทรงตั้งพระทัยฟังเสียงข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนา ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระองค์ไม่ทรงปฏิเสธคำ�ภาวนาของข้าพเจ้า ไม่ทรงถอนความรักมั่นคงของพระองค์จากข้าพเจ้า บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 3:15-18 ลูกทีร่ กั จงนมัสการองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า คือพระคริสตเจ้าในจิตใจของท่าน จงพร้อมเสมอทีจ่ ะให้ค�ำ อธิบายแก่ทกุ คนทีต่ อ้ งการรูเ้ หตุผลแห่งความหวังของท่าน จงอธิบายด้วยความอ่อนโยนและด้วยความ เคารพอย่างบริสุทธิ์ใจ เพื่อเมื่อท่านถูกใส่ร้าย ผู้ที่กล่าวร้ายความประพฤติดีของท่านตามคำ�สอนของ พระคริสตเจ้า ก็จะต้องประสบความอับอาย หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า การทนทุกข์เพราะ ทำ�ความดี ย่อมดีกว่าการทนทุกข์เพราะทำ�ความชั่ว พระคริสตเจ้าสิน้ พระชนม์เพียงครัง้ เดียวเพราะบาป พระองค์ผทู้ รงชอบธรรมสิน้ พระชนม์เพือ่ คน อธรรม พระองค์จะทรงนำ�เราไปเฝ้าพระเจ้า พระองค์ทรงถูกประหารชีวิตในสภาพมนุษย์ แต่พระจิต เจ้าประทานชีวิตให้พระองค์อีก บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 14:15-21 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา และเราจะวอนขอพระบิดา แล้ว พระองค์จะประทานผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่งให้ท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป คือพระจิตแห่งความ จริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองพระองค์ไม่เห็น และไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงดำ�รงอยูก่ บั ท่าน และอยูใ่ นท่าน เราจะไม่ทงิ้ ท่านทัง้ หลายให้เป็นกำ�พร้า เราจะกลับ มาหาท่าน ในไม่ช้า โลกจะไม่เห็นเรา แต่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิต และท่านก็จะมีชีวิต ด้วย ในวันนั้น ท่านจะรู้ว่า เราอยู่ในพระบิดาของเรา ท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน ผู้ที่มีบทบัญญัติ ของเรา และปฏิบัติตาม ผู้นั้นรักเรา และผู้ที่รักเรา พระบิดาของเราก็จะทรงรักเขา และเราเองก็จะรัก เขา และจะแสดงตนแก่เขา” “พระมี ผีก็อยู่ไม่ได้ พระไม่มี ผีก็อยู่เต็มตัว” คำ�กล่าวนี้บ่งบอกเราว่า จิตวิญญาณของเราเป็น ของเราอย่างแท้จริง เราอยากให้ใครอยูก่ ไ็ ด้ และผลลัพธ์ของชีวติ ก็เป็นไปตามผูท้ เี่ ราอนุญาตให้เขามาอาศัย ในวิญญาณเรา ถ้าเราสวดภาวนาหรือร่วมมิสซาอย่างดี โดยทางพระจิตเจ้า พระเจ้าจะมาอยูใ่ นวิญญาณเรา ทางศีลมหาสนิท เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับลูกของพระองค์อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าเราจะไปไหน ชอปปิ้ง ดูหนัง เยี่ยมญาติ และอื่นๆ พระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา แต่จะมีสักกี่คนที่คุยกับพระองค์ในใจเสมอๆ ในทุก สถานการณ์ ถ้าใครทำ�เช่นนีไ้ ด้ ชีวติ ของเขาจะกลายเป็นพระบัญญัตทิ มี่ ชี วี ติ ความรักจะกลายเป็นธรรมชาติ ของเขา เขาจะกลายเป็นผูท้ นี่ �ำ พระไปเยียวยาวิญญาณผูค้ นมากมาย คนเช่นนี้ “ผี” อยูด่ ว้ ยไม่ได้อย่างแน่นอน
น.ริต้า แห่งคาเซีย นักบวช สดด 149:1-2, 3-4,5-7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 กจ 16:11-15 ในครั้งนั้น พวกเราแล่นเรือออกจากเมืองโตรอัส มุ่งไปยังเกาะซาโมธรัส วัน รุ่งขึ้นก็เดินทางต่อไปถึงเมืองเนอาบุรี จากเมืองนี้เราเดินทางไปถึงเมืองฟีลิปปี อาณานิคมของชาวโรมัน เป็นเมืองเอกของแคว้นมาซิโดเนีย เราพักอยู่ที่เมืองนี้ หลายวัน วันสับบาโตวันหนึง่ เราออกนอกประตูเมืองไปยังริมลำ�ธาร เพราะคิดว่าทีน่ นั่ เป็นสถานที่สำ�หรับอธิษฐานภาวนา เรานั่งพูดคุยกับบรรดาสตรีที่มาชุมนุมกันอยู่ ทีน่ นั่ สตรีคนหนึง่ ชือ่ ลิเดีย มาจากเมืองธิอาทิรา เป็นคนขายผ้ากำ�มะหยีส่ มี ว่ งแดง เป็นคนเลือ่ มใสในพระเจ้าฟังเราอยู่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเปิดใจนางให้ยอมรับถ้อยคำ� ของเปาโล นางและทุกคนในครอบครัวรับศีลล้างบาป แล้วจึงเชิญเรา พูดว่า “ถ้า ท่านคิดว่าดิฉนั เป็นผูม้ คี วามเชือ่ ในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแล้ว จงมาพักทีบ่ า้ นของดิฉนั เถิด” นางเชิญชวนจนเราปฏิเสธไม่ได้ พระวรสาร ยน 15:26-16:4 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อพระผู้ช่วยเหลือซึ่งเราจะส่งมาจากพระบิดาจะเสด็จมา คือพระจิตแห่ง ความจริง ผู้ทรงเนื่องมาจากพระบิดา พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา ท่านทั้ง หลายก็จะเป็นพยานให้เราด้วย เพราะท่านอยู่กับเรามาตั้งแต่แรกแล้ว เราบอกเรือ่ งเหล่านีแ้ ก่ทา่ นทัง้ หลาย เพือ่ ท่านจะไม่แคลงใจ เขาจะขับไล่ทา่ น ออกจากศาลาธรรม เวลานั้นกำ�ลังมาถึง เมื่อผู้ที่ฆ่าท่านจะคิดว่าตนกำ�ลังถวาย คารวกิจแด่พระเจ้า เขาจะทำ�เช่นนี้ เพราะเขาไม่รู้จักทั้งพระบิดาและเรา แต่เรา บอกเรือ่ งนีก้ บั ท่าน เพือ่ ว่าเมือ่ เวลานัน้ มาถึง ท่านจะระลึกได้วา่ เราบอกท่านแล้ว” “ไม่มีคำ�ว่าบังเอิญ ในพจนานุกรมของพระเจ้า” เมื่อตื่นเช้าจงอธิษฐาน ภาวนาว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดให้ลูกได้เป็นเครื่องมือแห่งความรักของพระองค์ สำ�หรับทุกคนที่พระองค์จะให้ลูกพบเจอในวันนี้เถิด” ดังนั้น หลายครั้งพระจะดลใจให้ เราพบเจอบุคคลทีต่ อ้ งการพระเจ้า แล้วเราจะกลายเป็นผูท้ มี่ อบพระให้กบั เขาผ่านทาง คำ � พู ด และการกระทำ � ที่ ได้ รั บ การดลใจจากพระจิ ต เจ้ า จงทำ � ดั ง นี้ ทุ ก เช้ า และ ขอบพระคุณพระองค์ทุกเย็น นี่คือชีวิตของผู้เป็น “ลูก” ของพระเจ้านั่นเอง
บทอ่านที่ 1 กจ 16:22-34 ในครัง้ นัน้ ประชาชนกลุม้ รุมกันจะทำ�ร้ายเปาโลและสิลาส บรรดาผูพ้ พิ ากษา จึงสั่งให้เปลื้องเสื้อผ้าและเฆี่ยนเขาทั้งสองคน เมื่อได้เฆี่ยนหลายทีแล้ว ก็นำ�ไปขัง คุก สั่งให้ผู้คุมควบคุมไว้อย่างเข้มงวด เมื่อได้รับคำ�สั่งเช่นนี้ ผู้คุมก็นำ�เปาโลและ สิลาสไปขังไว้ในคุกชั้นในสุด และใส่โซ่ตรวนที่เท้าอย่างแน่นหนา เวลาประมาณเที่ยงคืน เปาโลและสิลาสกำ�ลังอธิษฐานภาวนาและขับร้อง สรรเสริญพระเจ้า นักโทษคนอืน่ กำ�ลังฟังอยู่ ทันใดนัน้ เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จนฐานคุกสัน่ สะเทือน ประตูคกุ ทุกบานเปิดออกทันที โซ่ตรวนของผูถ้ กู จองจำ�ทุก คนก็หลุด ผู้คุมตื่นขึ้น เห็นว่าประตูคุกเปิด จึงชักดาบจะฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่า บรรดาผูถ้ กู จองจำ�หนีไปหมดแล้ว แต่เปาโลร้องตะโกนว่า “อย่าทำ�ร้ายตนเองเลย พวกเรายังอยู่ที่นี่กันทุกคน” ผูค้ มุ สัง่ ให้จดุ ตะเกียง กระโดดเข้าไปในคุก ตัวสัน่ กราบลงแทบเท้าของเปาโล และสิลาส พาคนทัง้ สองออกมาข้างนอกพูดว่า “ท่านขอรับ ข้าพเจ้าต้องทำ�อย่างไร จึงจะรอดพ้น” เปาโลและสิลาสตอบว่า “จงเชื่อพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ท่านและ ครอบครัวจะได้รอดพ้น” ทั้งสองคนประกาศพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ผู้ คุมและทุกคนในครอบครัวฟัง เวลาดึกคืนนั้น ผู้คุมพาเขาทั้งสองคนแยกไปล้าง แผล ทันทีหลังจากนั้น เขาได้รับศีลล้างบาปพร้อมกับทุกคนในครอบครัว เขาเชิญ ทัง้ สองคนขึน้ ไปบนบ้าน จัดโต๊ะเลีย้ งอาหาร และมีความยินดีพร้อมกันทัง้ ครอบครัว ที่ได้มีความเชื่อในพระเจ้า”
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลปัสกา สดด 138:1-2ก, 2ข-3,7ข-8
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร ยน 16:5-11 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “บัดนี้เรากำ�ลังไปเฝ้าพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ไม่มีผู้ใดถามเราว่า ‘พระองค์จะเสด็จไปไหน’ แต่ เพราะเราได้บอกเรื่องเหล่านี้กับท่าน ใจของท่านจึงมีแต่ความทุกข์ เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลาย ว่า ทีเ่ ราไปนัน้ ก็เป็นประโยชน์กบั ท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระผูช้ ว่ ยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถา้ เราไป เราจะส่งพระองค์มาหาท่าน เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงแสดงให้โลกเห็นความหมาย ของบาป ของความถูกต้อง และของการตัดสิน บาปของโลกคือ เขาไม่ได้เชื่อในเรา ความถูกต้องคือ เรากำ�ลังไปเฝ้าพระบิดา และท่านจะไม่เห็นเราอีก การตัดสินคือ ซาตานเจ้านายแห่งโลกนี้ถูกตัดสิน ลงโทษแล้ว” ความรอดขึ้นอยู่กับ “ความเชื่อ” ในพระเยซู ความเชื่อคือ ความรู้และการปฏิบัติตามสิ่งที่รู้ ปีศาจรู้จักพระเจ้า พระบัญญัติและพระคัมภีร์ดีมาก แต่ทำ�ไมยังคงเป็นปีศาจอยู่ ก็เพราะมัน “รู้” แต่มัน “ไม่ ปฏิบัติตาม” ดังนั้น ความรอดจึงเกิดขึ้นกับผู้ที่ฟังและปฏิบัติตามคำ�สั่งสอนของพระเยซูนั่นเอง
บทอ่านที่ 1 กจ 17:15,22-18:1 ในครั้งนั้น เพื่อนร่วมทางพาเปาโลไปถึงกรุงเอเธนส์ แล้วเดินทางกลับพร้อม กับคำ�สั่งของเปาโลให้สิลาสและทิโมธีรีบเดินทางไปสมทบโดยเร็วที่สุด เปาโลยืนอยู่ตรงกลางที่ประชุมอภิรัฐสภา พูดว่า “ชาวเอเธนส์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าพบว่าท่านมีความเลื่อมใสในศาสนามากจริงๆ เมื่อข้าพเจ้าเดินชมเมือง สังเกตเห็นปูชนียวัตถุต่างๆ ของท่าน พบแท่นบูชาแท่นหนึ่งมีคำ�จารึกว่า “แด่ สัปดาห์ที่ 6 พระเจ้าที่เราไม่รู้จัก” ข้าพเจ้ามาประกาศให้ท่านรู้จักพระเจ้าองค์นี้ที่ท่านเคารพ เทศกาลปัสกา ทั้งๆ ที่ท่านไม่รู้จัก สดด 148:1-14 พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกและทรงสร้างทุกสิ่งที่อยู่ในโลก พระองค์ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ทรงเป็นเจ้านายของสวรรค์และแผ่นดิน พระองค์ไม่สถิตในวิหารที่มือมนุษย์สร้าง ขึ้น พระองค์ไม่ทรงต้องการการปรนนิบัติจากมือมนุษย์ ประหนึ่งว่าทรงขาดสิ่งใด สิ่งหนึ่ง เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ลมหายใจและทุกสิ่งให้แก่มนุษย์ ทุกคน... พระเจ้าทรงกระทำ�ดังนี้เพื่อให้มนุษย์แสวงหาพระเจ้า เขาพบพระองค์ได้ แม้จะต้องคลำ�หา เพราะพระองค์ทรงอยู่ไม่ห่างจากเราแต่ละคน เรามีชีวิต เคลื่อนไหวและมีความเป็นอยู่ในพระองค์ ดัง ที่กวีบางคนของท่านกล่าวไว้ว่า “พวกเราเป็นบุตรของพระองค์” เราเป็นบุตรของพระเจ้า เราจึงไม่ควรคิดว่า พระเจ้าทรงเป็นเหมือนรูปทองคำ� เงินหรือหิน ซึง่ แกะ สลักอย่างมีศิลปะตามจินตนาการของมนุษย์ บัดนี้ พระเจ้าทรงมองข้ามเวลาในอดีตเมื่อมนุษย์ยังไม่มี ความรู้ พระองค์ทรงบัญชาให้มนุษย์ทกุ คนทัว่ ทุกแห่งกลับใจ เพราะพระองค์ทรงกำ�หนดวันหนึง่ ไว้เมือ่ จะทรงพิพากษาโลกด้วยความยุติธรรม โดยผ่านมนุษย์ผู้หนึ่งที่พระองค์ทรงแต่งตั้งและทรงรับรองต่อ มนุษย์ทุกคนโดยทรงทำ�ให้ผู้นี้กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตาย” เมื่อเขาเหล่านั้นฟังคำ�พูดเรื่องการกลับคืนชีวิตของบรรดาผู้ตาย บางคนหัวเราะเยาะ บางคนพูด ว่า “รอไว้ฟงั เรือ่ งนีจ้ ากท่านในคราวหน้าก็แล้วกัน” เปาโลจึงออกไปจากทีป่ ระชุมสภา แม้กระนัน้ บาง คนก็ยังติดตามเปาโลและมีความเชื่อ คือ ดีโอนีซีอัส สมาชิกอภิรัฐสภา และสตรีคนหนึ่งชื่อดามาริส รวมทั้งคนอื่นอีกจำ�นวนหนึ่งด้วย หลังจากนั้น เปาโลออกจากกรุงเอเธนส์ไปเมืองโครินธ์ พระวรสาร ยน 16:12-15 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรายังมีอกี หลายเรือ่ งทีจ่ ะบอกท่าน แต่บดั นีท้ า่ นยังรับไว้ไม่ได้ เมือ่ พระจิตแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำ�ท่านไปสูค่ วามจริงทัง้ มวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่จะตรัสทุกสิง่ ทีท่ รง ได้ฟังมา และจะทรงแจ้งให้ท่านรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เพราะพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำ�สอนที่ทรงได้รับจากเรา ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเรา ด้วย ดังนั้น เราจึงบอกว่า พระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำ�สอนที่ทรงรับจากเรา” เราคงเคยเห็นคนทีย่ นื ประกาศถึงพระเจ้าตามสีแ่ ยกหรือตามชุมชนต่างๆ มีคนเคยถามเขาว่า “การที่คุณทำ�อย่างนี้คุณได้อะไร มีกี่คนที่เชื่อสิ่งที่คุณพูด” ผู้ประกาศคนนั้นบอกว่า “ถ้าคุณรู้ว่าลูกของคุณ หายไปจากบ้าน คุณจะตามหาเขาทุกแห่งหน และทุกวิถีทางหรือไม่” คนนั้นตอบว่า “แน่นอน” ผู้ประกาศ บอกว่า “ผมก็กำ�ลังทำ�เช่นนั้นเพราะผมเข้าใจหัวอกของพระเจ้าว่าพระองค์รักลูกของพระองค์แค่ไหน”
บทอ่านที่ 1 กจ 18:1-8 หลังจากนัน้ เปาโลออกจากกรุงเอเธนส์ไปเมืองโครินธ์ เขาพบชาวยิวคนหนึง่ ชื่ออาควิลา ชาวแคว้นปอนทัส เพิ่งมาจากอิตาลีพร้อมกับภรรยาชื่อปริสซิลลา เพราะพระจักรพรรดิคลาวดิอสั ทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ชาวยิวทุกคนออกจาก กรุงโรม เปาโลไปพบเขาทั้งสองคน พักอยู่และทำ�งานร่วมกัน เพราะมีอาชีพ เดียวกันคือเป็นช่างทำ�กระโจม ทุกวันสับบาโตเปาโลถกเถียงในศาลาธรรม พยายามชักชวนชาวยิวและชาวกรีกให้มีความเชื่อ เมือ่ สิลาสและทิโมธีกลับมาจากแคว้นมาซิโดเนียแล้ว เปาโลอุทศิ ตนเต็มทีใ่ น การประกาศพระวาจาเป็นพยานยืนยันแก่ชาวยิวว่า พระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า แต่เมื่อชาวยิวเหล่านั้นต่อต้านและพูดดูหมิ่นพระเจ้า เปาโลก็สะบัดฝุ่นจากเสื้อผ้า เป็นการตอบโต้ พูดกับเขาว่า “ถ้าท่านไม่รอดพ้น ก็เป็นเรื่องของท่าน ข้าพเจ้าไม่ รับผิดชอบแล้ว ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างศาสนา” เปาโลออกจากศาลาธรรมไปยังบ้านของทิธีอัสยุสตัส ผู้เลื่อมใสในพระเจ้า บ้ า นของเขาอยู่ ติ ด กั บ ศาลาธรรม คริ ส ปั ส หั ว หน้ า ศาลาธรรมและทุ ก คนใน ครอบครัวมีความเชือ่ ในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ชาวโครินธ์หลายคนทีฟ่ งั เปาโล ก็มคี วาม เชื่อและรับศีลล้างบาปด้วย
น.เกรโกรี่ที่ 7 พระสันตะปาปา น.เบดา พระสงฆ์ และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร น.มารีย์ มักดาเลนา เด ปัสซี พรหมจารี สดด 98:1-2,3-4
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร ยน 16:16-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “อีกไม่นาน ท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเรา และต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก” ศิษย์บางคนจึงถามกันว่า “ที่พระองค์ตรัสกับเราว่า ‘อีกไม่นาน ท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่ นาน ท่านจะเห็นเราอีก’ หมายความว่าอย่างไร และที่พระองค์ตรัสว่า ‘เรากำ�ลังไปเฝ้าพระบิดา’ หมายความว่าอย่างไร” เขาพูดกันอีกว่า “ทีพ่ ระองค์ตรัสว่า ‘อีกไม่นาน’ นัน้ หมายความว่าอย่างไร เรา ไม่เข้าใจว่าพระองค์กำ�ลังตรัสอะไร” พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าบรรดาศิษย์ต้องการทูลถามพระองค์ จึง ตรัสว่า “ท่านกำ�ลังถามกันใช่ไหมถึงเรื่องที่เราบอกว่า อีกไม่นานท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้ครํ่าครวญ แต่โลกจะยินดี ท่านจะเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี” เปาโลประกาศพระวาจาอย่างเข้มแข็ง แต่กถ็ กู ต่อต้านอย่างมากเช่นเดียวกัน แต่เหตุใดเปาโล จึงไม่ย่อท้อต่อการกระทำ�เช่นนั้น เพราะเปาโลสะบัดฝุ่นจากเสื้อผ้า หมายความว่า เปาโลไม่ยึดติดกับความ ผิดหวังหรือความล้มเหลวนั่นเอง เพราะเมื่อเราทำ�หน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว “งานของเราก็สมบูรณ์” ส่วน “ผลลัพธ์” เป็นเรื่องของเขาที่จะร่วมมือกับพระเจ้าในการทำ�ให้มันเติบโต เราแต่ละคนที่สำ�นึกตัวว่าเราเป็น คริสตชน เราต้องหว่านความดี หว่านพระวาจาออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน ส่วนผลลัพธ์ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือ สำ�เร็จ จงถวายแด่พระเจ้าในทุกกรณี
ระลึกถึง น.ฟิลิป เนรี พระสงฆ์
สดด 47:1-2,3-4,5-7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 กจ 18:9-18 คืนหนึ่ง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เปาโลในนิมิตว่า “อย่ากลัว จงพูดต่อไป อย่าเงียบเลย เพราะเราอยู่กับท่าน ไม่มีใครกล้าทำ�ร้ายท่าน เพราะหลายคนใน เมืองนี้เป็นประชากรของเราแล้ว” เปาโลพักอยู่ที่นั่นและสั่งสอนพระวาจาของ พระเจ้าแก่ชาวเมืองนั้นเป็นเวลาหนึ่งปีหกเดือน ขณะที่กัลลิโอเป็นผู้ว่าราชการแคว้นอาคายา ชาวยิวช่วยกันจู่โจมจับเปาโล และนำ�เขาไปขึน้ ศาล กล่าวฟ้องว่า “ชายผูน้ ชี้ กั ชวนประชาชนให้นมัสการพระเจ้า อย่างผิดกฎหมาย” เปาโลกำ�ลังจะกล่าวตอบ กัลลิโอก็พูดกับชาวยิวว่า “ชาวยิวเอ๋ย ถ้าเป็นเรื่อง อาชญากรรมหรือการฉ้อฉลเลวร้าย ข้าพเจ้ายินดีจะรับฟังคำ�ร้องของท่านอย่าง แน่นอน แต่ถ้าเป็นเพียงปัญหาเรื่องคำ�สอน เรื่องถ้อยคำ� เรื่องชื่อ และเรื่องธรรม บัญญัติของท่าน ท่านจงไปจัดการกันเองเถิด ข้าพเจ้าไม่ต้องการเป็นผู้พิพากษา ตัดสินในเรื่องเช่นนี้” กัลลิโอจึงสั่งชาวยิวเหล่านั้นให้ออกไปจากศาล ทุกคนจับ โสสเธเนสหัวหน้าศาลาธรรม และโบยตีต่อหน้าศาล แต่กัลลิโอมิได้สนใจเลย เปาโลพักอยู่ในเมืองโครินธ์อีกหลายวัน กล่าวลาบรรดาพี่น้อง แล่นเรือไปยัง แคว้นซีเรีย พร้อมกับปริสซิลลาและอาควิลา ก่อนออกเรือที่เมืองเคนเครีย เปาโล โกนศีรษะ เพราะได้บนขอไว้ พระวรสาร ยน 16:20-23ก เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้ ครํ่าครวญ แต่โลกจะ ยินดี ท่านจะเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี หญิงที่ กำ�ลังจะคลอดบุตรย่อมมีความทุกข์ เพราะถึงเวลาของนางแล้ว แต่เมือ่ คลอดบุตร แล้ว นางก็จำ�ความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป เพราะความยินดีที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดมาใน โลก ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน บัดนี้ท่านมีความทุกข์ แต่เราจะเห็นท่านอีก และ ใจของท่านจะยินดี ไม่มใี ครนำ�ความยินดีไปจากท่านได้ วันนัน้ ท่านทัง้ หลายจะไม่ ถามอะไรจากเราอีก” หลายครัง้ เราต้องทุกข์ทนกับผูท้ เี่ รา “ประเคน” ความดีตอบแทนความ ไม่ดีของเขาอย่างมากมาย จนหลายครั้งเราท้อจนไม่อยากจะทำ�ดีอีกต่อไปแล้ว... จง อย่าท้อ เพราะบางคนจิตวิญญาณเขาตํ่ามาก มืดมนจนมองไม่เห็นอะไร การที่เรา ทำ�ความดี สวดภาวนา ขอมิสซาให้เขาเรื่อยๆ จะค่อยๆ ยกจิตของเขาให้สูงขึ้น บาง คนใช้เวลานานกว่าจะกลับใจ บางคนก็ใช้เวลาน้อย เพราะความตํ่าของจิตอยู่ลึกต่าง กัน แต่เมื่อจิตเริ่มสูงขึ้น เขาก็จะเริ่มเห็นแสงสว่าง เห็นความจริง เมื่อนั้นการกลับใจก็ จะเกิดขึ้น และความยินดีอย่างมากมายของเราก็จะตามมาในที่สุด
บทอ่านที่ 1 กจ 18:23-28 หลังจากอยู่ในเมืองอันทิโอกระยะหนึ่ง เปาโลออกจากที่นั่น เดินทางไปทั่ว แคว้นกาลาเทียและฟรีเจียเพื่อทำ�ให้บรรดาศิษย์มีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น ในช่วงเวลานัน้ ชาวยิวคนหนึง่ ชือ่ อปอลโล ชาวเมืองอเล็กซานเดรีย มาทีเ่ มือง เอเฟซัส เขารอบรูพ้ ระคัมภีร์ มีวาทศิลป์ ได้รบั การสัง่ สอนเรือ่ งวิถที างขององค์พระ ผูเ้ ป็นเจ้า มีจติ ใจกระตือรือร้นมากในการพูดและการสอนเรือ่ งเกีย่ วกับพระเยซูเจ้า อย่างถูกต้อง แต่รู้จักเพียงพิธีล้างของยอห์นเท่านั้น เขาเริ่มเทศน์สอนอย่าง กล้าหาญในศาลาธรรม ปริสซิลลาและอาควิลาได้ฟังจึงเชิญเขาไปที่บ้านและ อธิบายให้เขาเข้าใจวิถีทางของพระเจ้าอย่างละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น อปอลโลต้องการไปยังแคว้นอาคายา บรรดาพี่น้องก็ให้กำ�ลังใจและเขียน จดหมายถึงบรรดาศิษย์ที่นั่นให้ต้อนรับเขา เมื่อไปถึง อปอลโลให้ความช่วยเหลือ อย่างมากแก่ผู้ที่พระเจ้าทรงบันดาลให้มีความเชื่อ เขาตอบโต้อย่างแข็งขันกับชาว ยิวต่อหน้าคนทั้งหลาย โดยอ้างข้อความจากพระคัมภีร์พิสูจน์ว่าพระเยซูเจ้าเป็น พระคริสตเจ้า พระวรสาร ยน 16:23ข-28 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ท่านจะขอสิง่ ใดจากพระบิดา พระองค์ จะประทานให้ท่านในนามของเรา จนถึงบัดนี้ ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา เลย จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ เพื่อความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ เราใช้อุปมา บอกเรื่องเหล่านี้กับท่าน จะถึงเวลาที่เราจะไม่ใช้อุปมาพูดกับท่านอีก แต่จะบอก ถึงพระบิดาของเราให้ท่านรู้อย่างชัดแจ้ง วันนั้น ท่านจะขอในนามของเรา เราไม่ บอกท่านว่า เราจะขอพระบิดาเพื่อท่าน พระบิดาทรงรักท่าน เพราะท่านรักเรา และเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า เรามาจากพระบิดา เข้ามาในโลกนี้ บัดนี้ เรากำ�ลัง จะละโลกนี้กลับไปเฝ้าพระบิดาอีก” มีค�ำ ถามว่า เมือ่ เราเป็นคริสตชนคนเดียวในครอบครัว เราจะดำ�เนินชีวติ อย่างไร... คำ�ตอบคือ จงดำ�เนินชีวิต “ให้ดีกว่าเดิม” เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นคนใน ครอบครัวจะเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และในที่สุดเขาก็จะเห็นพระ คริสตเจ้าในชีวิตของเรา และนั่นคือการประกาศพระวาจาที่ดีที่สุด คือ การประกาศ ด้วยการดำ�เนินชีวิตที่ดีอย่างต่อเนื่องและอดทนด้วยความรักต่อความบกพร่องของผู้ ที่เราอยู่ด้วยนั่นเอง
น.ออกัสติน แห่งแคนเตอร์เบอรี่ พระสังฆราช สดด 47:1-2,8-9
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
สมโภช พระเยซูเจ้า เสด็จสู่สวรรค์
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 1:1-11 เธโอฟีลัสที่รัก ในหนังสือเล่มแรก ข้าพเจ้าเล่าถึงทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรง กระทำ�และทรงสั่งสอน เริ่มตั้งแต่ต้น จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์ทรงได้รับการยก ขึ้นสวรรค์ หลังจากที่ทรงแนะนำ�สั่งสอนบรรดาอัครสาวกที่ทรงเลือกสรรโดยทาง พระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกเหล่านั้น และทรงพิสูจน์ ด้วยวิธีการต่างๆ ว่าหลังจากทรงรับทุกข์ทรมานแล้ว พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ตลอดเวลาสี่สิบวันที่พระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่เขาทั้งหลาย ทรงกล่าวถึงพระ อาณาจักรของพระเจ้า ขณะทีท่ รงร่วมโต๊ะกับเขา พระองค์ทรงกำ�ชับว่า “อย่าออก จากกรุงเยรูซาเล็ม แต่จงคอยรับพระพรที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ ดังที่ท่านได้ยิน จากเรา ยอห์นทำ�พิธีล้างด้วยนํ้า แต่ภายในไม่กี่วัน ท่านจะได้รับพิธีล้างเดชะพระ จิตเจ้า” ผูท้ มี่ าชุมนุมกับพระเยซูเจ้า ทูลถามพระองค์วา่ “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรง สถาปนาอาณาจักรอิสราเอลอีกครั้งหนึ่งในเวลานี้หรือ” พระองค์ตรัสตอบว่า “ไม่ใช่ธรุ ะของท่านทีจ่ ะรูว้ นั เวลาทีพ่ ระบิดาทรงกำ�หนดไว้โดยอำ�นาจของพระองค์ แต่พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและท่านจะรับอานุภาพเพือ่ จะเป็นพยานถึง เราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรียจนถึงสุดปลายแผ่นดิน” เมือ่ ตรัสดังนีแ้ ล้ว พระองค์เสด็จสูส่ วรรค์ตอ่ หน้าเขาทัง้ หลาย เมฆบังพระองค์ จากสายตาของเขา เขายังคงจ้องมองท้องฟ้าขณะที่พระองค์ทรงจากไป ทันใดนั้น มีชายสองคนสวมเสื้อขาวปรากฏกับเขา กล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ท่านทั้งหลาย ยืนแหงนมองท้องฟ้าอยูท่ �ำ ไม พระเยซูเจ้าพระองค์นที้ เี่ สด็จสูส่ วรรค์ จะเสด็จกลับ มาเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงจากไปสู่สวรรค์” เพลงสดุดี สดด 47:1-2,5-6,7-8 ก) ประชากรทั้งหลาย จงปรบมือเถิด จงเปล่งเสียงโห่ร้องถวายพระเจ้าด้วยความยินดี เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าสูงสุด ทรงน่าเกรงขาม ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือทั่วแผ่นดิน ข) พระเจ้าเสด็จขึ้นขณะที่มีเสียงโห่ร้องถวายชัย องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จไปขณะที่มีเสียงเป่าเขาสัตว์ จงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า จงร้องเพลงเถิด จงร้องเพลงถวายกษัตริย์ของเรา จงร้องเพลง ค) เพราะพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ปกครองทั่วแผ่นดิน จงร้องเพลงไพเราะถวายพระองค์เถิด พระเจ้าทรงปกครองเหนือนานาชาติ พระองค์ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
บทอ่ า นจากจดหมายนั ก บุ ญ เปาโลอั ค รสาวกถึ ง ชาวเอเฟซัส อฟ 1:17-23 ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของ เรา พระบิดาผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ประทานพระพรแห่ง ปรีชาญาณและการเปิดเผยให้แก่ท่านเดชะพระจิตเจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ซึ้งถึงพระองค์ยิ่งๆ ขึ้น ขอพระองค์โปรด ให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรง เรียกท่านให้มีความหวังประการใด และความรุ่งเรืองที่ บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงไร อีกทั้งรู้ด้วยว่า พระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อเรา ผู้มีความเชื่อนั้นลํ้าเลิศเพียงใด พระอานุภาพและพละ กำ�ลังนี้ พระองค์ทรงแสดงในองค์พระคริสตเจ้า เมื่อทรง บันดาลให้พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย และให้ประทับเบือ้ งขวาของพระองค์ ในสวรรค์ เหนือเทพนิกรเจ้า เทพนิกรอำ�นาจ เทพนิกรฤทธิ์ เทพนิกรนายและเหนือนามทั้งปวงที่อาจ เรียกขานได้ทั้งในภพนี้และในภพหน้า พระเจ้าทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระคริสตเจ้า และทรง แต่งตั้งพระคริสตเจ้าไว้เหนือสรรพสิ่ง ให้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักร ซึ่งเป็นพระวรกายของ พระองค์ เป็นความบริบูรณ์ของพระผู้ทรงอยู่ในทุกสิ่งและทรงกระทำ�ให้ทุกสิ่งบริบูรณ์ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 28:16-20 เวลานั้น บรรดาศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนได้ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูเจ้าทรงกำ�หนดไว้ เมื่อ เขาเห็นพระองค์ ก็กราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่า “พระเจ้าทรงมอบอำ�นาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมด ในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา ทำ�พิธีล้างบาปให้เขาเดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต จงสอนเขาให้ปฏิบัติตามคำ�สั่งทุก ข้อที่เราให้แก่ท่าน แล้วจงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ” วันนีส้ มโภชพระเยซูเสด็จสูส่ วรรค์ พระองค์เปิดหนทางไปสวรรค์ให้กบั เราหลังจากทีถ่ กู ปิดมา อย่างยาวนานตัง้ แต่บาปแรกเกิดขึน้ “สวรรค์” เป็นธรรมชาติทมี่ นุษย์ทกุ คนใฝ่ฝนั หา และคำ�นัน้ ในภาษามนุษย์ ก็คือ “ความสบาย” นั่นเอง บางคนทำ�งานหนักมาตลอดเพื่อหวังว่าจะ “สบาย” ยามบั้นปลายของชีวิต แต่ แล้วก็พบว่ายามชราจะหาความสบายก็ยากเหลือเกินเนื่องจากความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น การดำ�เนินชีวิตของ เราบนโลกนีต้ อ้ งมีเป้าหมายคือ “ต้องไปสวรรค์” ให้ได้ เพราะจะมีประโยชน์อะไรทีท่ �ำ งานอย่างหนักมาตลอด ชีวติ แล้วยังต้องทนทุกข์ตลอดนิรนั ดร คือไม่ได้ไปสวรรค์ จะมีประโยชน์อะไรทีเ่ รียนเก่ง มีต�ำ แหน่งสูง บังคับ บัญชาคนมากมาย แต่ไม่ได้ไปสวรรค์ ชีวิตที่ผ่านมาก็ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น การดำ�เนินชีวิตบน โลกใบนี้จงมีพระนำ�หน้าอยู่เสมอ เพราะพระองค์คือผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ พระองค์ก็จะพาเรากลับสวรรค์ โดยไม่หลงทางอย่างแน่นอน
สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลปัสกา สดด 68:1-2,3-4,5-6ก
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 กจ 19:1-8 ขณะที่อปอลโลยังอยู่ที่เมืองโครินธ์ เปาโลเดินทางผ่านที่ราบสูงมาถึงเมือง เอเฟซัส พบศิษย์บางคน จึงถามว่า “เมื่อท่านทั้งหลายมีความเชื่อนั้น ท่านได้รับ พระจิตเจ้าหรือไม่” เขาตอบว่า “พวกเรายังไม่เคยได้ยินด้วยซํ้าไปว่ามีพระจิตเจ้า” เปาโลจึงถามว่า “แล้วท่านได้รับพิธีล้างแบบใด” เขาตอบว่า “พิธีล้างของยอห์น” เปาโลจึงกล่าวว่า “ยอห์นทำ�พิธีล้างแสดงการกลับใจ โดยบอกประชาชนให้ เชื่อผู้ที่จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซูเจ้า” เมื่อเขาเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ก็ได้รับศีล ล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เปาโลปกมือเหนือเขา พระจิต เจ้าก็เสด็จลงมาประทับอยูด่ ว้ ย เขาจึงพูดภาษาทีไ่ ม่มใี ครเข้าใจและกล่าวคำ�ทำ�นาย คนกลุ่มนี้มีประมาณสิบสองคน เปาโลเข้าไปในศาลาธรรมและเทศน์สอนอย่างกล้าหาญตลอดเวลาสามเดือน ใช้เหตุผลหว่านล้อมผู้ฟังให้เชื่อเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า พระวรสาร ยน 16:29-33 เวลานั้น บรรดาศิษย์ทูลพระเยซูเจ้าว่า “ใช่แล้ว บัดนี้พระองค์ตรัสอย่างชัด แจ้ง มิได้ใช้อุปมาใดๆ บัดนี้พวกเรารู้ว่าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และไม่จำ�เป็นที่ ใครจะทูลถามพระองค์อีก ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ ท่านทั้งหลายเชื่อแล้วหรือ จะถึงเวลา และเวลา นัน้ ก็มาถึงแล้วทีท่ า่ นทัง้ หลายจะกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง และจะทิง้ เราไว้คนเดียว แต่เราไม่อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาทรงอยู่กับเรา เราบอกเรื่อง เหล่านี้กับท่านแล้ว เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ ท่านจะมีความทุกข์ ยาก แต่อย่าท้อแท้ เราชนะโลกแล้ว” จิตของเรา เปรียบได้กับดวงตา ดวงตาที่ขุ่นมัว มองอะไรก็ผิดเพี้ยน ตกหลุม ตกบ่อ ก่อให้เกิดความสับสน ความไม่เข้าใจและปัญหามากมายก็ตามมา แต่ เมื่อตาของเราได้รับการล้าง ได้รับการรักษา ได้รับการชำ�ระ ตาของเราก็ชัดแจ้ง เห็น สิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น เข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างแท้จริง และทำ�ให้เราไม่หลงทาง ไม่ ตกหลุมพรางใดๆ นอกจากนั้น ยังพาผู้คนที่มืดบอดให้เดินในหนทางที่ถูกต้องได้ด้วย... พระจิตเจ้าคือผู้ที่จะทำ�ให้เรามีความชัดแจ้งในชีวิต จงสวดขอพระจิตทุกวันเถิด
บทอ่านที่ 1 กจ 20:17-27 ในครั้งนั้น เปาโลส่งคนจากเมืองมิเลทัสไปยังเมืองเอเฟซัส เพื่อเชิญบรรดาผู้ อาวุโสของพระศาสนจักรมาพบ เมือ่ เขาเหล่านัน้ มาถึง เปาโลพูดว่า “ท่านทัง้ หลาย รูว้ า่ ตลอดเวลาตัง้ แต่วนั แรกทีข่ า้ พเจ้าเข้ามาในแคว้นอาเซีย ข้าพเจ้าปฏิบตั ติ นต่อ ท่านอย่างไร ข้าพเจ้ารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความถ่อมตนอย่างยิ่ง ข้าพเจ้า ต้องรํ่าไห้เป็นทุกข์และเสี่ยงชีวิตจากการที่ชาวยิววางแผนปองร้ายข้าพเจ้า ท่าน สัปดาห์ที่ 7 ทั้งหลายรู้ว่าข้าพเจ้าไม่เคยละเลยสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน ไม่เคยหยุดเทศน์ เทศกาลปัสกา และยังสอนท่านในที่สาธารณะและตามบ้าน ข้าพเจ้าเชิญชวนทั้งชาวยิวและชาว กรีกอย่างแข็งขันให้กลับใจมาหาพระเจ้าและให้มีความเชื่อในพระเยซูองค์พระผู้ สดด 68:9-10,19-20 เป็นเจ้าของเรา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 บัดนี้ ข้าพเจ้ากำ�ลังจะไปกรุงเยรูซาเล็มตามพระบัญชาของพระจิตเจ้า ไม่รวู้ า่ สิ่งใดจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้เพียงว่าพระจิตเจ้าทรงเตือนข้าพเจ้าในทุกๆ เมืองว่า โซ่ตรวนและความยากลำ�บากกำ�ลังรอข้าพเจ้าอยู่ แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าชีวิตของข้าพเจ้ามีค่า สำ�หรับข้าพเจ้าเท่ากับการทีข่ า้ พเจ้าได้วงิ่ ถึงปลายทางและทำ�ให้ภารกิจทีไ่ ด้รบั มอบหมายจากพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าสำ�เร็จไป คือการเป็นพยานประกาศข่าวดีแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า... พระวรสาร ยน 17:1-11ก เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ถึงเวลาแล้ว โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่พระบุตรของพระองค์เถิด เพื่อ พระองค์จะทรงรับพระสิรริ งุ่ โรจน์จากพระบุตร ดังทีพ่ ระองค์ได้ประทานอำ�นาจแก่พระบุตรเหนือมนุษย์ ทั้งมวล เพื่อพระบุตรจะได้ประทานชีวิตนิรันดรแก่ทุกคนที่พระองค์ทรงมอบให้ ชีวิตนิรันดรคือ การ รู้จักพระองค์ พระเจ้าแท้จริงแต่พระองค์เดียว และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา คือพระเยซูคริสตเจ้า ข้าพเจ้าทำ�ให้พระองค์ทรงได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ในโลกนีแ้ ล้ว โดยปฏิบตั ภิ ารกิจจนสำ�เร็จตามทีท่ รงมอบ หมายแก่ขา้ พเจ้า บัดนี้ พระบิดาเจ้าข้า โปรดประทานพระสิรริ งุ่ โรจน์ให้ขา้ พเจ้า พระสิรริ งุ่ โรจน์ทขี่ า้ พเจ้า เคยมีร่วมกับพระองค์ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ข้าพเจ้าได้แสดงพระนามของพระองค์แก่มนุษย์ที่พระองค์ ทรงนำ�จากโลกมามอบให้ข้าพเจ้า เขาทั้งหลายเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงมอบเขาแก่ข้าพเจ้า เขาได้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ บัดนี้ เขารู้แล้วว่า ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้นมา จากพระองค์ เพราะพระวาจาที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ามอบให้เขาแล้ว เขาได้รับไว้ และรูแ้ น่นอนว่า ข้าพเจ้ามาจากพระองค์ และเขาก็เชือ่ ว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าอธิษฐาน ภาวนาสำ�หรับเขาเหล่านี้ ข้าพเจ้ามิได้อธิษฐานภาวนาสำ�หรับโลก แต่สำ�หรับผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ ข้าพเจ้า เพราะเขาเป็นของพระองค์ ทุกสิ่งที่เป็นของข้าพเจ้า ก็เป็นของพระองค์ ทุกสิ่งที่เป็นของ พระองค์ ก็เป็นของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รับสิริรุ่งโรจน์โดยทางเขา ข้าพเจ้าไม่อยู่ในโลกอีกต่อไป แต่ เขายังอยู่ในโลก และข้าพเจ้ากำ�ลังกลับไปเฝ้าพระองค์” ชีวิตคริสตชนของเราถูกนำ�ทางโดย “จิตของพระเจ้า” หรือ “จิตของตัวเรา” กันแน่ เพราะถ้า เป็นจิตของพระเจ้า เราจะไม่กลัวที่จะเผชิญกับสิ่งใดแม้ความตายก็ตาม เพราะจิตของพระเจ้าจะห่มใจเรา ให้อบอุ่นเสมอ แต่ถ้าเป็นจิตของเรา ความกลัว ความเหงา ความไม่เข้าใจในชีวิตจะมาแทนที่ สุดท้ายชีวิตก็ จะมีแต่ความทุกข์อยู่รํ่าไป
ฉลองพระนางมารีย์ เสด็จเยี่ยมเยียน อสย 12:2-3,4-5,6 วันงดสูบบุหรี่โลก
บทอ่านที่ 1 รม 12:9-16 พี่น้อง จงรักด้วยใจจริง จงหลีกหนีความชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี จงรักกันฉันพี่ น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน อย่าเฉื่อยชา จงมีจิตใจกระตือรือร้นในการรับใช้องค์ พระผู้เป็นเจ้า จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงมีความอดทนต่อความทุกข์ยาก จง พากเพียรในการภาวนา จงเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือบรรดาผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิใ์ นยามขัดสน จงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี จงอวยพรผู้ที่เบียดเบียนท่าน จงอวยพรเขา อย่าสาปแช่ง จงร่วมยินดีกับผู้ที่ ยินดี จงร้องไห้กบั ผูท้ รี่ อ้ งไห้ จงเป็นนํา้ หนึง่ ใจเดียวกัน อย่ามักใหญ่ใฝ่สงู แต่จงยอม ทำ�สิ่งตํ่าต้อยเถิด อย่าทะนงว่าตนฉลาด
พระวรสาร ลก 1:39-56 หลังจากนัน้ ไม่นาน พระนางมารียท์ รงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึง่ ในแถบ ภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนาง เอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำ�ทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่ง กว่าหญิงใดๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำ�ไมพระมารดาขององค์พระผู้ เป็นเจ้าจึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำ�ทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของ ฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ เธอไว้จะเป็นจริง” พระนางมารีย์ตรัสว่า “วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จิตใจของ ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้ทรงกอบกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ตํ่าต้อย ของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำ� กิจการยิ่งใหญ่สำ�หรับข้าพเจ้า พระนามพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ พระกรุณาต่อผู้ยำ�เกรงพระองค์แผ่ไปตลอด ทุกยุคทุกสมัย พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ ทรงขับไล่ผมู้ ใี จมักใหญ่ใฝ่สงู ให้กระจัดกระจาย ไป ทรงควํ่าผู้ทรงอำ�นาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ตํ่าต้อยให้สูงขึ้น พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลาย แก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผู้รับใช้พระองค์ โดย ทรงระลึกถึงพระกรุณา ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป” พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ แรงผลักดันที่ทำ�ให้แม่พระไปหาท่านนักบุญก็คือ “องค์ความรัก” ที่อยู่ในครรภ์ของพระแม่ นัน่ เอง เราก็เช่นเดียวกัน เราได้รบั องค์ความรักมาอยูใ่ นหัวใจของเราในมิสซาเป็นประจำ� แต่ท�ำ ไมเราไม่รสู้ กึ ถูกผลักดันให้ออกไปหาผู้อื่นเหมือนแม่พระ... อาจเป็นเพราะว่าเมื่อเรารับพระองค์เข้ามา เรามักจะบอกว่า “เราต้องการโน่น ต้องการนี่ ช่วยลูกด้วยนะ ไม่ช่วย ลูกตายแน่ ฯลฯ” แต่แม่พระบอกว่า “ข้าพเจ้าคือผู้รับใช้ ของพระเจ้า จงเป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” ทุกครั้งที่สวดภาวนาหลังรับศีล จงสวดประโยคนี้ จากหัวใจเถิด แล้วความรักของพระเจ้าก็จะผลักดันเราให้ออกไปสู่ผู้อื่นเช่นเดียวกับแม่พระอย่างแน่นอน