บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 1:1-11
สมโภช พระเยซูเจ้า เสด็จสู่สวรรค์
เธโอฟีลัสที่รัก ในหนังสือเล่มแรก ข้าพเจ้าเล่าถึงทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� และทรงสัง่ สอน เริม่ ตัง้ แต่ตน้ จนกระทัง่ ถึงวันทีพ่ ระองค์ทรงได้รบั การยกขึน้ สวรรค์ หลัง จากทีท่ รงแนะนำ�สัง่ สอนบรรดาอัครสาวกทีท่ รงเลือกสรรโดยทางพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้า ทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกเหล่านั้น และทรงพิสูจน์ด้วยวิธีการต่างๆ ว่า หลังจาก ทรงรับทุกข์ทรมานแล้ว พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ตลอดเวลาสี่สิบวันที่พระองค์ทรง แสดงพระองค์แก่เขาทั้งหลาย ทรงกล่าวถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า ขณะที่ทรงร่วม โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงกำ�ชับว่า “อย่าออกจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่จงคอยรับพระพรที่ พระบิดาทรงสัญญาไว้ ดังที่ท่านได้ยินจากเรา ยอห์นทำ�พิธีล้างด้วยนํ้า แต่ภายในไม่กี่วัน ท่านจะได้รับพิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า” ผู้ที่มาชุมนุมกับพระเยซูเจ้า ทูลถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรง สถาปนาอาณาจักรอิสราเอลอีกครัง้ หนึง่ ในเวลานีห้ รือ” พระองค์ตรัสตอบว่า “ไม่ใช่ธรุ ะ ของท่านทีจ่ ะรูว้ นั เวลาทีพ่ ระบิดาทรงกำ�หนดไว้โดยอำ�นาจของพระองค์ แต่พระจิตเจ้าจะ เสด็จลงมาเหนือท่านและท่านจะรับอานุภาพเพือ่ จะเป็นพยานถึงเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทัว่ แคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรียจนถึงสุดปลายแผ่นดิน” เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เมฆบังพระองค์จาก สายตาของเขา เขายังคงจ้องมองท้องฟ้าขณะที่พระองค์ทรงจากไป ทันใดนั้นมีชายสอง คนสวมเสือ้ ขาวปรากฏกับเขา กล่าวว่า “ชาวกาลิลเี อ๋ย ท่านทัง้ หลายยืนแหงนมองท้องฟ้า อยู่ทำ�ไม พระเยซูเจ้าพระองค์น้ีที่เสด็จสู่สวรรค์ จะเสด็จกลับมาเช่นเดียวกับที่ท่านทั้ง หลายเห็นพระองค์ทรงจากไปสู่สวรรค์”
เพลงสดุดี
สดด 47:1-2,5-6,7-8
ก) ประชากรทั้งหลาย จงปรบมือเถิด จงเปล่งเสียงโห่ร้องถวายพระเจ้าด้วยความยินดี เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าสูงสุด ทรงน่าเกรงขาม ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือทั่วแผ่นดิน ข) พระเจ้าเสด็จขึ้นขณะที่มีเสียงโห่ร้องถวายชัย องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จไปขณะที่มีเสียงเป่าเขาสัตว์ จงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า จงร้องเพลงเถิด จงร้องเพลงถวายกษัตริย์ของเรา จงร้องเพลง ค) เพราะพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ปกครองทั่วแผ่นดิน จงร้องเพลงไพเราะถวายพระองค์เถิด พระเจ้าทรงปกครองเหนือนานาชาติ พระองค์ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวเอเฟซัส อฟ 1:17-23
ขอพระเจ้ า แห่ ง พระเยซู ค ริ ส ต์ อ งค์ พ ระผู้ เป็ น เจ้าของเรา พระบิดาผูท้ รงพระสิรริ งุ่ โรจน์ประทานพระพร แห่งปรีชาญาณและการเปิดเผยให้แก่ท่านเดชะพระจิต เจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ซึ้งถึงพระองค์ยิ่งๆ ขึ้น ขอพระองค์ โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ ทรงเรียกท่านให้มคี วามหวังประการใด และความรุง่ เรือง ที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียง ไร อีกทั้งรู้ด้วยว่า พระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อ เราผู้มีความเชื่อนั้นลํ้าเลิศเพียงใด พระอานุภาพและพละกำ�ลังนี้ พระองค์ทรงแสดงในองค์พระคริสตเจ้า เมื่อทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย และให้ประทับเบื้องขวาของ พระองค์ในสวรรค์ เหนือเทพนิกรเจ้า เทพนิกรอำ�นาจ เทพนิกรฤทธิ์ เทพนิกรนายและเหนือนามทั้งปวงที่ อาจเรียกขานได้ทั้งในภพนี้และในภพหน้า พระเจ้าทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระคริสตเจ้า และทรง แต่งตัง้ พระคริสตเจ้าไว้เหนือสรรพสิง่ ให้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักร ซึง่ เป็นพระวรกายของพระองค์ เป็นความบริบูรณ์ของพระผู้ทรงอยู่ในทุกสิ่งและทรงกระทำ�ให้ทุกสิ่งบริบูรณ์
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 28:16-20
เวลานั้น บรรดาศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนได้ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูเจ้าทรงกำ�หนดไว้ เมื่อเขา เห็นพระองค์ ก็กราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่า “พระเจ้าทรงมอบอำ�นาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดใน สวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา ทำ�พิธี ล้างบาปให้เขาเดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต จงสอนเขาให้ปฏิบัติตามคำ�สั่งทุกข้อที่เราให้ แก่ท่าน แล้วจงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ”
ความรักของพระเจ้าไม่ได้สนิ้ สุดลงทีก่ ารสิน้ พระชนม์ การกลับคืนพระชนมชีพและการเสด็จสูส่ วรรค์ แต่เหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้ทำ�ให้เราคริสตชนมีความเชื่อ ความหวังและความชื่นชมยินดี ที่พระเจ้าทรง อยู่กับเราเสมอ หากเราดำ�เนินชีวิตตามความเชื่อ ความหวังและความไว้ใจ ข่าวดีนี้เองทำ�ให้เรามีส่วนใน สิริรุ่งโรจน์และชีวิตนิรันดรร่วมกับพระองค์โดยทางองค์พระเยซูเจ้า
น.มาร์แชลลิน น.เปโตร มรณสักขี สดด 68:1-2,3-4, 5-6ก
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1
กจ 19:1-8
พระวรสาร
ยน 16:29-33
ขณะทีอ่ ปอลโลยังอยูท่ เี่ มืองโครินธ์ เปาโลเดินทางผ่านทีร่ าบสูงมาถึงเมืองเอเฟซัส พบศิษย์บางคน จึงถามว่า “เมื่อท่านทั้งหลายมีความเชื่อนั้น ท่านได้รับพระจิตเจ้า หรือไม่” เขาตอบว่า “พวกเรายังไม่เคยได้ยินด้วยซํ้าไปว่ามีพระจิตเจ้า” เปาโลจึงถามว่า “แล้วท่านได้รับพิธีล้างแบบใด” เขาตอบว่า “พิธีล้างของยอห์น” เปาโลจึงกล่าวว่า “ยอห์นทำ�พิธลี ้างแสดงการกลับใจ โดยบอกประชาชนให้เชื่อผูท้ ี่ จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซูเจ้า” เมื่อเขาเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ก็ได้รับศีลล้างบาปเดชะ พระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เปาโลปกมือเหนือเขา พระจิตเจ้าก็เสด็จลงมา ประทับอยู่ดว้ ย เขาจึงพูดภาษาทีไ่ ม่มใี ครเข้าใจและกล่าวคำ�ทำ�นาย คนกลุม่ นีม้ ปี ระมาณ สิบสองคน เปาโลเข้าไปในศาลาธรรมและเทศน์สอนอย่างกล้าหาญตลอดเวลาสามเดือน ใช้ เหตุผลหว่านล้อมผู้ฟังให้เชื่อเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า เวลานั้น บรรดาศิษย์ทูลพระเยซูเจ้าว่า “ใช่แล้ว บัดนี้พระองค์ตรัสอย่างชัดแจ้ง มิได้ใช้อปุ มาใดๆ บัดนีพ้ วกเรารูว้ า่ พระองค์ทรงทราบทุกสิง่ และไม่จ�ำ เป็นทีใ่ ครจะทูลถาม พระองค์อีก ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ ท่านทั้งหลายเชื่อแล้วหรือ จะถึงเวลา และเวลานั้นก็มา ถึงแล้ว ทีท่ า่ นทัง้ หลายจะกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง และจะทิง้ เราไว้คนเดียว แต่เราไม่อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาทรงอยู่กับเรา เราบอกเรื่องเหล่านี้กับท่านแล้ว เพื่อ ท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ ท่านจะมีความทุกข์ยาก แต่อย่าท้อแท้ เราชนะโลก แล้ว”
เราจะเห็นได้ว่าพระเยซูเจ้าทรงทำ�ให้บรรดาศิษย์เชื่อว่าพระองค์เป็นพระบุตรของ พระเจ้าจริง พระองค์ทรงล่วงรู้ความคิดของพวกเขาก่อนที่จะถาม และพระองค์ทรงรู้ถึง เหตุการณ์ทจี่ ะเกิดขึน้ ระหว่างพระองค์กบั ศิษย์ แต่พระองค์กท็ รงรักพวกเขาโดยปราศจาก เงือ่ นไขถึงแม้พวกเขาจะละทิง้ พระองค์ไปก็ตาม เราในฐานะทีเ่ ป็นศิษย์ทเี่ ชือ่ ในพระองค์ ก็ต้องพร้อมที่จะเผชิญอุปสรรคต่างๆ พระองค์จะนำ�ทางเราเพราะพระองค์ทรงชนะโลก แล้ว และพระจิตจะประทานพลังแห่งความหวังในการกลับคืนพระชนมชีพ และความ ไว้ใจในพระองค์จะผูกมัดตัวเราไว้กับพระองค์เสมอ ดั่งที่พระองค์ทรงเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกับพระบิดา
บทอ่านที่ 1
กจ 20:17-27
ในครัง้ นัน้ เปาโลส่งคนจากเมืองมิเลทัสไปยังเมืองเอเฟซัส เพือ่ เชิญบรรดาผูอ้ าวุโส ของพระศาสนจักรมาพบ เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึง เปาโลพูดว่า “ท่านทั้งหลายรู้ว่า ตลอด เวลาตั้งแต่วันแรกที่ข้าพเจ้าเข้ามาในแคว้นอาเชีย ข้าพเจ้าปฏิบัติตนต่อท่านอย่างไร... ข้าพเจ้าเชิญชวนทัง้ ชาวยิวและชาวกรีกอย่างแข็งขันให้กลับใจมาหาพระเจ้าและให้มคี วาม เชื่อในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา บัดนี้ ข้าพเจ้ากำ�ลังจะไปกรุงเยรูซาเล็มตามพระบัญชาของพระจิตเจ้า ไม่รู้ว่าสิ่งใด จะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้เพียงว่าพระจิตเจ้าทรงเตือนข้าพเจ้าในทุกๆ เมืองว่า โซ่ ตรวนและความยากลำ�บากกำ�ลังรอข้าพเจ้าอยู่ แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าชีวิตของข้าพเจ้ามีค่า สำ�หรับข้าพเจ้าเท่ากับการทีข่ า้ พเจ้าได้วงิ่ ถึงปลายทางและทำ�ให้ภารกิจทีไ่ ด้รบั มอบหมาย จากพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าสำ�เร็จไป คือการเป็นพยานประกาศข่าวดีแห่งพระหรรษ ทานของพระเจ้า...
พระวรสาร
ระลึกถึง น.ชาร์ล ลวงก้า และเพื่อนมรณสักขี สดด 68:9-10,19-20
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
ยน 17:1-11ก
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ถึงเวลาแล้ว โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่พระบุตรของพระองค์เถิดเพื่อพระองค์จะ ทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระบุตร ดังที่พระองค์ได้ประทานอำ�นาจแก่พระบุตรเหนือมนุษย์ทั้งมวล เพื่อพระ บุตรจะได้ประทานชีวติ นิรนั ดรแก่ทกุ คนทีพ่ ระองค์ทรงมอบให้ ชีวติ นิรนั ดรคือ การรูจ้ กั พระองค์ พระเจ้าแท้จริง แต่พระองค์เดียว และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา คือพระเยซูคริสตเจ้า ข้าพเจ้าทำ�ให้พระองค์ทรงได้รับพระสิริ รุ่งโรจน์ในโลกนี้แล้ว โดยปฏิบัติภารกิจจนสำ�เร็จตามที่ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้า บัดนี้ พระบิดาเจ้าข้า โปรด ประทานพระสิรริ งุ่ โรจน์แก่ขา้ พเจ้า พระสิรริ งุ่ โรจน์ทขี่ า้ พเจ้าเคยมีรว่ มกับพระองค์ ตัง้ แต่กอ่ นสร้างโลก ข้าพเจ้า ได้แสดงพระนามของพระองค์ แก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงนำ�จากโลกมามอบให้ข้าพเจ้า เขาทั้งหลายเป็นของ พระองค์ และพระองค์ทรงมอบเขาแก่ข้าพเจ้า เขาได้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ บัดนี้ เขารู้แล้วว่า ทุก สิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้นมาจากพระองค์ เพราะพระวาจาที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้า มอบให้เขาแล้ว เขาได้รับไว้ และรู้แน่นอนว่า ข้าพเจ้ามาจากพระองค์ และเขาก็เชื่อว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้า มา ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาสำ�หรับเขาเหล่านี้ ข้าพเจ้ามิได้อธิษฐานภาวนาสำ�หรับโลก แต่สำ�หรับผู้ที่พระองค์ ทรงมอบให้ข้าพเจ้า เพราะเขาเป็นของพระองค์ ทุกสิ่งที่เป็นของข้าพเจ้า ก็เป็นของพระองค์ ทุกสิ่งที่เป็นของ พระองค์ ก็เป็นของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รับสิริรุ่งโรจน์โดยทางเขา ข้าพเจ้าไม่อยู่ในโลกอีกต่อไป แต่เขายัง อยู่ในโลก และข้าพเจ้ากำ�ลังกลับไปเฝ้าพระองค์”
ภารกิจทั้งหมดทั้งมวลที่พระองค์ทรงกระทำ�ทรงแสดงให้เห็นถึงความนบนอบ แม้กระทั่งมอบชีวิตของ พระองค์เองแด่พระบิดาเจ้าบนไม้กางเขน ซึง่ ไม่มอี ะไรมากกว่านีจ้ ะมาพิสจู น์ความรักของพระองค์ได้ การถวาย เกียรติแด่พระบิดาบนไม้กางเขนนัน้ ทำ�ให้เราเห็นความรักแบบไม่มเี งือ่ นไข ทีพ่ ระบิดาจะประทานความรุง่ โรจน์ และชีวิตนิรันดรแก่เรา การปฏิบัติตามวิถีทางของพระองค์จะทำ�ให้เรารู้จักพระเจ้าและผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา เมื่อเรารู้จักพระองค์ เราย่อมรู้ว่าพระองค์ทรงรักเรามากเพียงใด
บทอ่านที่ 1
สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลปัสกา สดด 68:28-29, 32-33,34-35
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร
กจ 20:28-38
ท่านทั้งหลายจงดูแลตนเองและฝูงแกะที่พระจิตเจ้าทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นผู้ดูแล เพื่อเลี้ยงดูพระศาสนจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระบุตร ข้าพเจ้ารู้ว่าเมื่อข้าพเจ้าจากไปแล้ว สุนัขป่าดุร้ายจะเข้ามาในกลุ่มของท่านและจะทำ�ร้าย ฝูงแกะ แม้ในกลุม่ ของท่านก็จะมีบางคนลุกขึน้ กล่าวบิดเบือนความจริงเพือ่ โน้มน้าวบรรดา ศิษย์ให้ติดตามตน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังไว้เถิด จงระลึกว่าข้าพเจ้าไม่เคยหยุด เตือนท่านแต่ละคนด้วยนํ้าตานองหน้าทั้งกลางวันกลางคืนตลอดเวลาสามปี บัดนี้ ข้าพเจ้าฝากท่านทั้งหลายไว้กับพระเจ้าและกับพระวาจาแห่งพระหรรษทาน ของพระองค์ พระวาจานีส้ ร้างพระศาสนจักรและประทานมรดกให้ทา่ นรับร่วมกับบรรดา ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้ ข้าพเจ้าไม่เคยอยากได้เงินทองหรือเสื้อผ้าของผู้ใด ท่านก็รู้แล้ว ว่าข้าพเจ้าทำ�งานด้วยมือทัง้ สองนีเ้ พือ่ สนองความต้องการของข้าพเจ้าและของผูท้ อี่ ยูด่ ว้ ย ข้าพเจ้าแสดงให้ท่านเห็นเสมอมาว่า เราต้องทำ�งานเช่นนี้เพื่อช่วยเหลือผู้อ่อนแอโดย ระลึกถึงพระวาจาของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า “การให้ย่อมเป็นสุขมากกว่าการ รับ”...
ยน 17:11ข-19
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ โปรดเฝ้ารักษาบรรดาผู้ที่ทรงมอบให้ข้าพเจ้าไว้ในพระนามของพระองค์ เพื่อ เขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับพระองค์และข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาเขาเหล่านั้นไว้ในพระนามของพระองค์ ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาไว้ และไม่มีผู้ใดพินาศ เว้น แต่ผู้ที่ต้องพินาศ เพื่อให้เป็นจริงตามพระคัมภีร์ แต่บัดนี้ ข้าพเจ้ากำ�ลังกลับไปเฝ้าพระองค์ ข้าพเจ้ากล่าววาจา นีข้ ณะทีย่ งั อยูใ่ นโลก เพือ่ บรรดาผูท้ พี่ ระองค์ทรงมอบให้ขา้ พเจ้าจะมีความยินดีบริบรู ณ์พร้อมกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้า มอบพระวาจาของพระองค์ให้เขาเหล่านั้นแล้ว และโลกเกลียดชังเขา เพราะเขาไม่เป็นของโลก เช่นเดียวกับ ทีข่ า้ พเจ้าไม่เป็นของโลก ข้าพเจ้าไม่ได้วอนขอพระองค์ให้ทรงยกเขาออกจากโลก แต่วอนขอให้ทรงรักษาเขาให้ พ้นจากมารร้าย เขาไม่เป็นของโลก เช่นเดียวกับทีข่ า้ พเจ้าไม่เป็นของโลก โปรดบันดาลให้เขาศักดิส์ ทิ ธิโ์ ดยอาศัย ความจริง พระวาจาของพระองค์คือความจริง พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามาในโลกฉันใด ข้าพเจ้าก็ส่งเขาเข้าไปใน โลกฉันนั้น ข้าพเจ้าถวายตนเป็นบูชาสำ�หรับเขา เพื่อเขาจะได้รับความศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงด้วย”
ภารกิจของพระเยซูเจ้าเป็นการถวายเกียรติและพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระบิดาเจ้าในสวรรค์ พระองค์ทรง ภาวนาเพือ่ ให้เราเป็นหนึง่ เดียวกับพระองค์เหมือนดัง่ ทีพ่ ระองค์ทรงเป็นหนึง่ เดียวกับพระบิดาโดยผ่านทางพระ จิตเจ้า ดังนั้น ไม่ว่าเราจะทำ�อะไรอยู่ที่ไหนและไปที่ใดก็ไม่สามารถแยกเราออกไปจากพระองค์ได้ เพราะว่าเรา นั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในพระกายทิพย์ของพระองค์โดยทางพระทรมาน การสิ้นพระชนม์และการกลับคืน พระชนมชีพของพระองค์แล้ว
บทอ่านที่ 1
กจ 22:30,23:6-11
ผู้บัญชาการกองพันต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าเหตุใดชาวยิวจึงกล่าวหาเปาโล วันรุ่งขึ้น เขาจึงสั่งให้แก้โซ่ที่ล่ามเปาโล เรียกบรรดาหัวหน้าสมณะและสมาชิกสภาซันเฮดรินทุก คนมาประชุม แล้วนำ�เปาโลไปยืนต่อหน้าเขา เปาโลรู้ว่า สมาชิกส่วนหนึ่งของที่ประชุมเป็นชาวสะดูสีและอีกส่วนหนึ่งเป็นชาว ฟาริสี จึงตะโกนขึ้นในสภาว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นชาวฟาริสี เป็นบุตรของชาว ฟาริสี ข้าพเจ้าถูกสอบสวนก็เพราะเรื่องความหวังในการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย” เมื่อเปาโลกล่าวเช่นนั้น ก็เกิดการถกเถียงกันระหว่างชาวฟาริสีกับชาวสะดูสี ที่ประชุม จึงแตกแยก เพราะชาวสะดูสียืนยันว่าไม่มีการกลับคืนชีพและไม่มีทั้งทูตสวรรค์และจิต แต่ชาวฟาริสีเชื่อว่ามี เกิดความโกลาหลอย่างรุนแรงในที่ประชุม ธรรมาจารย์บางคนที่เป็นชาวฟาริสีลุก ขึน้ โต้แย้งว่า “เราไม่พบว่าชายผูน้ มี้ คี วามผิดอันใด เป็นไปได้มใิ ช่หรือ ทีจ่ ติ หรือทูตสวรรค์ ได้พูดกับเขา” ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น ผู้บัญชาการกองพันกลัวเปาโลจะถูกฉีกเป็น ชิ้นๆ จึงสั่งทหารให้ลงไปนำ�เปาโลออกจากที่ประชุมเข้าไปในค่ายทหาร...
พระวรสาร
ระลึกถึง น.บอนีฟาส พระสังฆราช และมรณสักขี สดด 16:1-2,7-8, 9-10,11
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันสิ่งแวดล้อมโลก
ยน 17:20-26
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนามิใช่สำ�หรับคนเหล่านี้เท่านั้น แต่สำ�หรับผู้ที่จะเชื่อในข้าพเจ้า ผ่านทางวาจาของ เขาด้วย ข้าแต่พระบิดา ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนา เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงอยู่ ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยูใ่ นพระองค์ เพือ่ ให้เขาทัง้ หลายอยูใ่ นพระองค์และในข้าพเจ้า โลกจะได้เชือ่ ว่าพระองค์ ทรงส่งข้าพเจ้ามา พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ให้แก่เขา เพื่อให้เขาเป็นหนึ่ง เดียวกัน เช่นเดียวกับทีพ่ ระองค์และข้าพเจ้าเป็นหนึง่ เดียวกัน ข้าพเจ้าอยูใ่ นเขา และพระองค์ทรงอยูใ่ นข้าพเจ้า เพือ่ เขาจะได้เป็นหนึง่ เดียวกันโดยสมบูรณ์ โลกจะได้รวู้ า่ พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา และพระองค์ทรงรักเขาเช่น เดียวกับที่ทรงรักข้าพเจ้า ข้าแต่พระบิดา ผู้ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าปรารถนาให้เขาอยู่กับ ข้าพเจ้าทุกแห่งที่ข้าพเจ้าอยู่ เพื่อเขาจะได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ ทรงรักข้าพเจ้า ตัง้ แต่กอ่ นสร้างโลก ข้าแต่พระบิดาผูท้ รงเทีย่ งธรรม โลกไม่รจู้ กั พระองค์ แต่ขา้ พเจ้ารูจ้ กั พระองค์ และคนเหล่านีร้ วู้ า่ พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าบอกให้เขารูจ้ กั พระนามของพระองค์ และจะบอกให้รตู้ อ่ ไป เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขา และข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขาด้วยเช่นเดียวกัน”
พระเยซูเจ้าทรงภาวนาเพือ่ ความเป็นหนึง่ เดียวของผูท้ เี่ ชือ่ ในพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรูถ้ งึ ความอ่อนแอ ของเรา พระองค์ปรารถนาให้เราอยู่ในพระองค์ อย่าหวั่นไหวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต จงภาวนา อยู่เสมอ พระองค์ทรงเรียกผู้ที่เชื่อในพระองค์ให้สละชีวิตของตนเพื่อพี่น้องชายหญิง ในความรักอันหนึ่งอัน เดียวกัน เพราะพระเยซูเจ้าทรงรักเราก่อนและเราเป็นหนึง่ เดียวกับพระองค์โดยทางศีลล้างบาป และเราแต่ละ คนถูกเรียกให้ดำ�รงชีวิตอยู่ในความรักของพระองค์
น.นอร์เบิร์ต พระสังฆราช สดด 103:1-2,11-12, 19-20
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันศุกร์ต้นเดือน
บทอ่านที่ 1
กจ 25:13-21
พระวรสาร
ยน 21:15-19
สองสามวันต่อมา กษัตริย์อากริปปาและพระนางเบอร์นิสเสด็จมาถึงเมืองซีซารียา เพื่อเยี่ยมเยียนแสดงความยินดีต่อเฟสตัส ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ที่นั่นหลายวัน เฟสตัสทูลกษัตริย์เรื่องคดีของเปาโล... ข้าพเจ้าตอบว่า “ธรรมเนียมของชาวโรมันจะไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดก่อนที่เขาจะมี โอกาสเผชิญหน้ากับผู้กล่าวหาและแก้ข้อกล่าวหานั้น” บรรดาผู้กล่าวหามาพบข้าพเจ้า ที่นี่ ข้าพเจ้าไม่รีรอ วันรุ่งขึ้นก็นั่งบัลลังก์ สั่งให้นำ�ชายคนนั้นเข้ามา บรรดาผู้กล่าวหามา รุมล้อมเขา แต่ไม่ได้ตงั้ ข้อกล่าวหาเรือ่ งความผิดดังทีข่ า้ พเจ้าคาดไว้ เขาเพียงแต่ถกเถียง ปัญหาเรื่องศาสนาของเขาและเรื่องชายคนหนึ่งชื่อเยซูที่ตายไปแล้ว แต่เปาโลยืนยันว่า ยังมีชวี ติ อยู่ ข้าพเจ้าลังเลใจทีจ่ ะตัดสินเรือ่ งทำ�นองนี้ จึงถามว่า เขาอยากไปกรุงเยรูซาเล็ม และรับการพิจารณาคดีทนี่ นั่ ไหม แต่เปาโลอุทธรณ์ขอสงวนคดีไว้ให้พระจักรพรรดิเป็นผู้ ตัดสิน ข้าพเจ้าจึงสั่งให้จองจำ�เขาไว้จนกว่าข้าพเจ้าจะส่งเขาไปเฝ้าพระจักรพรรดิได้
เมือ่ บรรดาศิษย์กนิ เสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเรามากกว่า คนเหล่านี้รักเราไหม” เปโตรทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระ เยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลีย้ งลูกแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสถามเขาอีกเป็นครัง้ ทีส่ องว่า “ซีโมน บุตรของ ยอห์น ท่านรักเราไหม” เขาทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระองค์ ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลลูกแกะของเราเถิด พระองค์ตรัสถามเป็นครั้งที่สามว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรัก เราไหม” เปโตรรู้สึกเป็นทุกข์ที่พระองค์ตรัสถามตนถึงสามครั้งว่า “ท่านรักเราไหม” เขาทูลตอบว่า “พระเจ้า ข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดู แกะของเราเถิด เราบอกความจริงกับท่านว่า เมือ่ ท่านยังหนุม่ ท่านคาดสะเอวด้วยตนเอง และเดินไปไหนตามใจ ชอบ แต่เมื่อท่านชรา ท่านจะยื่นมือ แล้วคนอื่นจะคาดสะเอวให้ท่าน พาท่านไปในที่ที่ท่านไม่อยากไป” พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนีเ้ พือ่ แสดงว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าโดยตายอย่างไร เมือ่ ตรัสดังนีแ้ ล้ว ทรงเสริมว่า “จงตามเรามาเถิด”
พระวรสารนักบุญยอห์นบอกเราว่า “พระเจ้าเป็นองค์ความรัก” เป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไข ไม่มีขีด จำ�กัด พระองค์ทรงสร้างเราเพราะต้องการให้เราเป็นหนึง่ เดียวกับพระองค์ ความรักของพระองค์จะเปลีย่ นแปลง ชีวติ ของเราให้ปราศจากความหวาดกลัว ความเห็นแก่ตวั และความโลภ จะยิง่ ทำ�ให้เราปรารถนาทีจ่ ะอุทศิ ชีวติ ทั้งครบแด่พระองค์ ดังที่พระองค์ทรงถามเปโตรถึงสามครั้งว่าท่านรักเราไหม ต่อหน้าสาวกคนอื่นๆ มันคงทำ� ให้เปโตรเจ็บและเสียใจกับเหตุการณ์ทผี่ า่ นมา เช่นเดียวกันพระองค์ทรงถามเราแต่ละคนถึงแม้วา่ เราจะอ่อนแอ ทำ�บาป และผิดพลาดต่อความรักของพระองค์ก็ตาม แล้วเราพร้อมที่จะให้ความรักของพระองค์เข้ามา เปลี่ยนแปลงหัวใจของเราไหม
บทอ่านที่ 1
กจ 28:16-20,30-31
เรามาถึงกรุงโรม เปาโลได้รับอนุญาตให้อยู่ตามลำ�พังโดยมีทหารคนหนึ่งเป็นผู้ ควบคุม สามวันต่อมา เปาโลเรียกบรรดาผู้นำ�ชาวยิวมาพบที่บ้าน เมื่อคนเหล่านี้มาชุมนุม กัน เปาโลพูดกับเขาว่า “พีน่ อ้ งทัง้ หลาย แม้วา่ ข้าพเจ้าไม่ได้ท�ำ สิง่ ใดผิดต่อประชาชนชาว ยิว หรือขัดกับธรรมประเพณีของบรรดาบรรพบุรษุ แต่ชาวยิวทีก่ รุงเยรูซาเล็มก็ยงั จับกุม ข้าพเจ้าและมอบตัวให้ชาวโรมัน ชาวโรมันไต่สวนและต้องการจะปล่อยข้าพเจ้า เพราะ ข้าพเจ้าไม่มีความผิดที่สมควรต้องตาย แต่เมื่อชาวยิวคัดค้าน ข้าพเจ้าจำ�เป็นต้องยื่น อุทธรณ์ตอ่ พระจักรพรรดิ ข้าพเจ้าไม่มเี จตนาทีจ่ ะกล่าวหาเพือ่ นร่วมชาติของข้าพเจ้าเลย เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอพบเพือ่ พูดคุยกับท่านทัง้ หลาย ข้าพเจ้าถูกพันธนาการเช่นนี้ ก็ เพราะความหวังของชาวอิสราเอลนั่นเอง”
พระวรสาร
ยน 21:20-25
เวลานัน้ เปโตรเหลียวไปดู ก็เห็นศิษย์ทพี่ ระเยซูเจ้าทรงรักตามมา เป็นคนทีเ่ อนกาย ชิดพระอุระพระเยซูเจ้าในการเลี้ยงอาหารคํ่า และทูลถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ผู้ที่ ทรยศพระองค์เป็นใคร” เมือ่ เปโตรเห็นเขา ก็ทลู ถามพระเยซูเจ้าว่า “คนนีจ้ ะเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ธุระ อะไรของท่านเล่า ท่านจงตามเรามาเถิด” ดังนัน้ จึงมีเรือ่ งทีเ่ ล่าลือกันไปทัว่ ในกลุม่ บรรดา พี่น้องว่าศิษย์คนนี้จะไม่ตาย แต่พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสว่า “เขาจะไม่ตาย” แต่ตรัสว่า “ถ้า เราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ธุระอะไรของท่านเล่า” นี่คือศิษย์ที่เป็นพยานถึงเรื่องราวเหล่านี้ และเขียนบันทึกไว้ พวกเรารู้ว่าคำ�พยาน ของเขานั้นเป็นความจริง ยังมีเรื่องราวอื่นๆ อีกมากมายที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ซึ่งถ้า จะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้อง เขียนนั้น
ทำ�ไมเราต้องเปรียบเทียบตัวเรากับผู้อื่น เพราะเราต้องการดีกว่าผู้อื่น แต่ในสาย พระเนตรของพระเจ้าเรานั้นเท่าเทียมกันในฐานะที่ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาลักษณ์ของ พระองค์ ดั่งเช่นเปโตรและยอห์นที่ถูกเรียกให้เป็นสาวกของพระองค์ แต่ละคนมีหน้าที่ และบทบาทที่แตกต่างกัน เปโตรทำ�หน้าที่ดูแลฝูงแกะของพระองค์ ส่วนยอห์นทำ�หน้าที่ เป็นประจักษ์พยานแห่งพระวรสารอย่างน่าพิศวง ดังนัน้ เราคริสตชนต่างมีหน้าทีแ่ ตกต่าง กันออกไปตามที่พระองค์ทรงมอบหมาย เราจึงต้องทำ�หน้าที่ของเราด้วยความซื่อสัตย์ ต่อหน้าพระเจ้าและต่อหน้าเพื่อนมนุษย์
สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลปัสกา สดด 11:4-5,6-7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 2:1-11
สมโภช พระจิตเจ้า
เมื่อวันเปนเตกอสเตมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน ทันใด นั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟ ลักษณะเหมือนลิ้น แยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็ม เปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด ขณะนั้นที่กรุงเยรูซาเล็มมีชาวยิวผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้ามาจากทุกชาติทั่วโลก เมื่อประชาชนได้ยินเสียงนี้ จึงมาชุมนุมกันจำ�นวนมาก รู้สึกฉงนสนเท่ห์เพราะแต่ละคน ได้ยินคนเหล่านี้พูดภาษาของตน และประหลาดใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ทุกคนที่กำ�ลังพูด อยู่นี้เป็นชาวกาลิลีมิใช่หรือ แล้วทำ�ไมเราแต่ละคนจึงได้ยินเขาพูดภาษาท้องถิ่นของเรา เล่า เราชาวปาร์เธีย ชาวมีเดีย และชาวเอลาม บางคนอาศัยอยู่ในเขตเมโสโปเตเมีย แคว้นยูเดีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นปอนทัสและแคว้นเอเชีย แคว้นฟรีเจียและแคว้น ปัมฟีเลีย บางคนมาจากประเทศอียปิ ต์และเขตของประเทศลิเบีย รอบๆ เมืองไซรีน บาง คนมาจากกรุงโรม ทั้งชาวยิวและผู้กลับใจเข้านับถือลัทธิยิว บางคนเป็นชาวเกาะครีต และชาวอาหรับ พวกเราได้ยนิ คนเหล่านีป้ ระกาศกิจการอันยิง่ ใหญ่ของพระเจ้าเป็นภาษา ของเรา”
เพลงสดุดี
สดด 104:1-2,28-30,31 และ 33
ก) จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เหลือล้น พระองค์ทรงความรุ่งเรืองและพระเกียรติยศเป็นเสมือนอาภรณ์ ทรงคลุมพระองค์ด้วยแสงสว่างต่างพระภูษา พระองค์ทรงคลี่ท้องฟ้าให้กางออกดุจกางกระโจม ข) เมื่อพระองค์ประทานอาหาร สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็เก็บไว้ เมื่อพระองค์ยื่นพระหัตถ์ สิ่งมีชีวิตก็มีของดีๆ กินจนอิ่ม ถ้าพระองค์เบือนพระพักตร์ไปทางทิศอื่น สิ่งมีชีวิตก็ตื่นตระหนก ถ้าพระองค์ทรงเรียกลมปราณกลับคืน สิ่งมีชีวิตก็ตาย และกลับเป็นฝุ่นดิน เมื่อพระองค์ทรงส่งพระจิตของพระองค์ลงมา สิ่งมีชีวิตก็ถูกสร้างขึ้น พระองค์ทรงเปลี่ยนโฉมหน้าของแผ่นดิน ค) พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชื่นชมในพระราชกิจของพระองค์ ข้าพเจ้าจะขับร้องเพลงถวายพระองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิต จะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้าพเจ้า ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึง ชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 12:3ข-7,12-13
พี่น้องทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดพูดโดยพระจิตเจ้าทรง ดลใจว่า “พระเยซูจงถูกสาปแช่ง” และหากพระจิตเจ้า มิได้ทรงดลใจก็ไม่มีผู้ใดพูดได้ว่า “พระเยซูคือองค์พระ ผู้เป็นเจ้า” พระพรพิ เศษมี ห ลายประการ แต่ มี พ ระจิ ต เจ้ า พระองค์เดียว มีหน้าทีห่ ลายอย่างต่างกัน แต่มอี งค์พระ ผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว กิจการมีหลายอย่าง แต่มี พระเจ้าพระองค์เดียวผู้ทรงกระทำ�ทุกอย่างในทุกคน พระจิตเจ้าทรงแสดงพระองค์ในแต่ละคนเพือ่ ประโยชน์ ส่วนรวม แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียว แต่ก็มีอวัยวะหลายส่วน อวัยวะต่างๆ เหล่านี้แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วม เป็นร่างกายเดียวกันฉันใด พระคริสตเจ้าก็ฉนั นัน้ เดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รบั การล้าง มารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นอิสระก็ตาม เรา ทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:19-23
คํ่าวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำ�ลังชุมนุมกันปิดอยู่ เพราะกลัวชาวยิว พระ เยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลาย เถิด” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็น องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เรา ก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระจิต เจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย”
การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าได้ขับไล่ความหวาดกลัวให้สงบลง ได้นำ�ความหวัง ความ ยินดีและสันติสุขมาสู่บรรดาอัครสาวกของพระองค์ เป็นสันติสุขที่ทำ�ให้คนบาปได้กลับมาเป็นลูกและมา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระองค์อีก เราแต่ละคนกล้าประกาศว่าพระองค์เป็นพระเจ้าของเรา จากการ สิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพนั้น พระองค์ได้ทรงมอบชีวิตใหม่ของพระองค์ให้แก่เราโดยทาง พระจิตของพระองค์ จึงทำ�ให้เรารู้จักพระองค์และดำ�เนินชีวิตใหม่ด้วยพลังแห่งการกลับคืนพระชนมชีพ ของพระองค์ เราเชื่อในพระวาจาและพลังของพระจิตเจ้าของพระองค์หรือไม่
น.เอเฟรม สังฆานุกร นักปราชญ์ สดด 121:1-2,3-5,6-8
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1
1 พกษ 17:1-6
พระวรสาร
มธ 5:1-12
เอลียาห์ชาวทิชบีจากเมืองทิชบีในแคว้นกิเลอาด ทูลกษัตริย์อาหับว่า “องค์พระผู้ เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึ่งข้าพเจ้ารับใช้ทรงพระชนม์อยู่ฉันใด จะไม่มีนํ้าค้างหรือ ฝนตกในปีต่อๆ ไป จนกว่าข้าพเจ้าจะสั่งฉันนั้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาเอลียาห์ว่า “จงไปจากที่นี่ ไปทางทิศตะวันออก แล้ว ซ่อนตัวอยู่ใกล้ลำ�ธารเครีท ทางฟากตะวันออกของแม่นํ้าจอร์แดน ท่านจะดื่มนํ้าจาก ลำ�ธาร และเราจะสั่งนกกาให้นำ�อาหารไปให้ท่านที่นั่น” เอลียาห์ก็ไป และปฏิบัติตาม พระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาไปอยู่ข้างลำ�ธารเครีท ทางฟากตะวันออกของ แม่นํ้าจอร์แดน นกกานำ�ขนมปังและเนื้อมาให้เขาเวลาเช้า และนำ�ขนมปังและเนื้อมาให้ เขาเวลาเย็น เขาดื่มนํ้าจากลำ�ธาร เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำ�นวนมาก จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับแล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า “ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า ผูถ้ กู เบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์ เป็นของเขา ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆ นานาเพราะเรา จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำ�เหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก บรรดา ประกาศกก่อนหน้าท่านก็เคยถูกเบียดเบียน”
“ความสุขแท้” ต่างจาก “ความสุขทางโลก” อย่างไร ความสุขที่พระเยซูเจ้าทรง สอนนั้น ไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย เนื้อหนัง แต่เป็นความสุขและสันติสุขที่พระองค์ทรงมอบให้ ทางจิตวิญญาณ เมื่อเราได้ปฏิบัติตามวิถีทางของพระองค์ ถีงแม้เราจะต้องเผชิญความ ยากลำ�บากต่างๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำ�ให้เราพลัดพรากจากพระองค์ได้ แต่กลับทำ�ให้เราใกล้ ชิดกับพระองค์มากยิ่งขึ้น เป็นความสุขแท้ที่ได้อยู่กับพระองค์ เหมือนมารีย์ที่ได้เลือก เอาสิ่งที่ดีที่สุด ที่ไม่มีใครสามารถเอาไปจากเธอได้
บทอ่านที่ 1
1 พกษ 17:7-16
ต่อมาไม่นาน นํ้าในลำ�ธารก็แห้ง เพราะฝนไม่ตกบนแผ่นดิน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์วา่ “จงออกเดินทางไปเมืองศาเรฟัทในเขตไซดอน และจงอยูท่ นี่ นั่ เราได้สงั่ หญิงม่ายคนหนึง่ ทีน่ นั่ ให้เลีย้ งดูทา่ น” เขาจึงออกเดินทางไปเมือง ศาเรฟัท เมื่อมาถึงประตูเมือง ก็พบหญิงม่ายคนหนึ่งกำ�ลังเก็บฟืนอยู่ เขาจึงเรียกนางสั่ง ว่า “จงนำ�นํ้าในเหยือกมาให้ฉันดื่มสักหน่อยเถิด” ขณะที่นางกำ�ลังเดินไปตักนํ้า เขาก็ ตะโกนสั่งว่า “จงนำ�ขนมปังสักชิ้นหนึ่งมาให้ฉันด้วย” นางตอบว่า “ดิฉันขอสาบานอ้าง ถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านผู้ทรงพระชนมชีพว่า ดิฉันไม่มีขนมปังเลย มีแต่ แป้งอยูใ่ นไหเพียงหนึง่ กำ�มือ และมีนาํ้ มันมะกอกเทศนิดหน่อยในเหยือก ดิฉนั กำ�ลังเก็บ ฟืนสองสามท่อน จะกลับไปทำ�อาหารสำ�หรับดิฉนั และลูกชาย เราจะกิน แล้วเราจะตาย” เอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย ไปทำ�ตามที่เธอพูดเถิด แต่จงทำ�ขนมปังก้อนเล็กๆ นำ�มาให้ฉันกินก่อน แล้วจึงค่อยทำ�สำ�หรับเธอและลูก เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า แห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า แป้งในไหจะไม่หมด นํ้ามันในเหยือกจะไม่แห้ง จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรง ส่งฝนให้ตกบนแผ่นดิน” หญิงม่ายกลับไปทำ�ตามที่เอลียาห์สั่ง เอลียาห์ หญิงม่ายและบุตรมีอาหารกินเป็น เวลาหลายวัน แป้งในไหไม่ขาด และนํา้ มันในเหยือกไม่แห้ง ตามทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส ไว้โดยทางเอลียาห์
พระวรสาร
มธ 5:13-16
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำ�ให้เค็ม อีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบยํ่า ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง ไม่มีใคร จุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุก คนในบ้าน ในทำ�นองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้ง หลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงใช้สัญลักษณ์ของเกลือและแสงสว่าง ในการอธิบายให้สาวกของ พระองค์ฟังว่าควรจะดำ�เนินชีวิตอย่างไรในโลก เราทราบว่าคุณสมบัติของเกลือเป็น อย่างไร สาวกของพระองค์ก็ต้องเป็นดั่งเกลือที่ต้องชำ�ระล้างและรักษาสังคมมนุษย์ให้ เป็นอาณาจักรของพระเจ้าด้วยความชอบธรรมและสันติสขุ และนอกจากนีพ้ ระองค์ทรง ตรัสว่าเราเป็นดั่งแสงสว่าง ที่จะต้องช่วยให้ทุกคนได้ดำ�รงชีวิตอยู่ในความจริงและความ ชอบธรรมโดยส่องสว่างอยู่ในจิตใจของทุกคนให้เชื่อและรักพระองค์
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 4:1,2,3-4, 6-7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1
ระลึกถึง น.บาร์นาบัส อัครสาวก สดด 98:1,2,3,4,5-6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร
กจ 11:21ข-26;13:1-3
คนจำ�นวนมากเชื่อและกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาศิษย์ในพระศาสนจักรทีก่ รุงเยรูซาเล็มรูข้ า่ วนี้ จึงส่งบารนาบัสไปยังเมืองอันทิ โอก เมื่อบารนาบัสมาถึงและเห็นผลแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ก็มีความชื่นชม จึง เตือนทุกคนให้มีจิตใจซื่อสัตย์มั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยมด้วย ความเชื่อและพระจิตเจ้า จึงมีผู้คนจำ�นวนมากเข้ามาเป็นศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเดินทางไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล เมื่อพบแล้ว ก็พามาที่เมือง อันทิโอก ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในพระศาสนจักรที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สั่งสอนคน จำ�นวนมาก ที่เมืองอันทิโอกนี้เองบรรดาศิษย์ได้รับชื่อว่า “คริสตชน” เป็นครั้งแรก ในพระศาสนจักรที่เมืองอันทิโอก มีประกาศกและอาจารย์ คือบารนาบัส สิเมโอน ที่เรียกกันว่าคนดำ� ลูสิอัสชาวไซรีน มานาเอนซึ่งได้รับการศึกษาอบรมมาด้วยกันกับ กษัตริย์เฮโรด อันทิปาส และเซาโล ขณะที่เขาร่วมพิธีนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและ จำ�ศีลอดอาหาร พระจิตเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงแยกบารนาบัสและเซาโลไว้ปฏิบัติ ภารกิจที่เราเรียกเขาให้มาปฏิบัติเถิด” เมื่อเขาจำ�ศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาแล้ว จึงปกมือเหนือบารนาบัสและเซาโล แล้วส่งเขาทั้งสองคนออกไป
มธ 10:7-13
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกทั้งสิบสองคนว่า “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จง รักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รับ ค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมื่อเดินทาง อย่ามีย่าม อย่ามี เสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว เมือ่ ท่านเข้าไปในเมืองหรือหมูบ่ า้ น จงดูวา่ ผูใ้ ดทีน่ นั่ เป็นผูเ้ หมาะสมทีจ่ ะต้อนรับท่าน แล้วจงพักอยูก่ บั เขา จนกว่าท่านจะจากไป เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับพร จงให้สันติสุขของ ท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน”
พระเยซูเจ้าทรงแต่งตั้งสาวกให้ไปประกาศและกระทำ�โดยอำ�นาจของพระองค์ว่า พระอาณาจักรของ พระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว อาณาจักรของพระองค์นนั้ เป็นสังคมของมนุษย์ทยี่ อมรับให้เกียรติวา่ พระองค์ทรงเป็น กษัตริย์และพระเจ้าของพวกเขา ดังเช่นที่เราสวดในบทข้าแต่พระบิดาว่า ขอให้พระอาณาจักรของพระองค์จง บังเกิดบนโลกนี้และให้ทุกสิ่งเป็นไปตามพระประสงค์ พระองค์ยังทรงมอบอำ�นาจในการรักษาแก่พวกเขา สิ่ง ทีท่ า่ นได้รบั มาเปล่าๆ ก็จงให้เปล่าๆ อะไรทีเ่ ราได้รบั จากพระองค์เปล่าๆ เราก็ตอ้ งพร้อมทีจ่ ะให้ผอู้ นื่ เปล่าๆ โดย ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน เพราะสิ่งที่สำ�คัญที่สุดที่เราจะต้องประกาศคือ เรื่องความรัก สันติสุขและการให้อภัย แก่กันและกัน สิ่งเหล่านี้สำ�คัญกว่าสิ่งอื่นใด
บทอ่านที่ 1
1 พกษ 18:41-46
เอลียาห์ทูลกษัตริย์อาหับว่า “ขอเชิญเสด็จไปเสวยพระกระยาหารเถิด ข้าพเจ้า ได้ยินเสียงฝนใหญ่กำ�ลังมาแล้ว” กษัตริย์อาหับเสด็จไปเสวยพระกระยาหาร เอลียาห์ก็ ขึ้นไปบนยอดเขาคาร์เมล ก้มลงกับพื้น ซบหน้าลงระหว่างเข่าทั้งสอง แล้วสั่งผู้รับใช้ว่า “จงขึ้นไป มองทางทะเล” เขาก็ขึ้นไปมอง แล้วพูดว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลย” เอลียาห์สั่ง ให้เขากลับไปมองเจ็ดครั้ง ครั้งที่เจ็ด ผู้รับใช้แจ้งว่า “ข้าพเจ้าเห็นเมฆก้อนเล็กๆ เหมือน กับฝ่ามือคนกำ�ลังลอยขึน้ จากทะเล” เอลียาห์สงั่ เขาว่า “ไปทูลกษัตริยอ์ าหับให้ทรงเทียม ราชรถและเสด็จลงไปก่อนที่จะทรงติดฝน” ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็มีเมฆมืดครึ้ม ลมพัดแรง แล้วฝนก็ตกหนัก กษัตริย์อาหับเสด็จขึ้นราชรถกลับไปเมืองยิสเรเอล พระอานุภาพของ องค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเหนือเอลียาห์ เขาดึงเสื้อขึ้นคาดสะเอวไว้ วิ่งนำ�หน้ากษัตริย์อา หับจนถึงเมืองยิสเรเอล
พระวรสาร
มธ 5:20-26
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรม ของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้วท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ท่านได้ยินคำ�กล่าว แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรา กล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึง ไฟนรก ดังนัน้ ขณะทีท่ า่ นนำ�เครือ่ งบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้วา่ พีน่ อ้ งของท่าน มีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสีย ก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครือ่ งบูชานัน้ จงคืนดีกบั คูค่ วามของท่านขณะทีก่ �ำ ลังเดิน ทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบ ท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำ�ระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย”
จงดำ�เนินชีวติ อยูใ่ นความชอบธรรมเสมอ พระเยซูเจ้าทรงตรัสเรือ่ งความโกรธเคือง ความขัดแย้ง ไม่ว่าจะกับเพื่อนพี่น้องหรือแม้แต่คนที่เราคิดว่าเป็นศัตรูของเราก็ตาม จง ให้อภัยแก่กันโดยไม่มีเงื่อนไข เหมือนที่พระเจ้าทรงให้อภัยแก่เรา ถ้าเราเอาผิดต่อกัน และกัน เมื่อถึงเวลานั้นการกระทำ�ของเราจะตัดสินเรา และถ้าเราทำ�ผิดในสิ่งที่เรากล่าว โทษคนอื่น อาจจะทำ�ให้เราได้รับสิ่งเหล่านั้นตามความยุติธรรมของพระเจ้า เพราะเมื่อ เราตวงให้ผู้อื่นอย่างไร พระเจ้าก็จะตวงให้ท่านอย่างนั้น
ระลึกถึง น.กัสปาร์ แบร์โทนี พระสงฆ์ สดด 65:9,10-11,12-13
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1
ระลึกถึง น.อันตน แห่งปาดัว พระสงฆ์และ นักปราชญ์ สดด 27:7-9,13-14
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร
1 พกษ 19:9ก,11-16
ที่นั่น เอลียาห์เข้าไปค้างคืนในถํ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งเขาว่า “จงออกไปยืน อยู่บนภูเขาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เสด็จผ่านมา ทรงบันดาลให้เกิดลมพัดแรงกล้า ผ่าภูเขาทำ�ให้หนิ แตกออกเป็นเสีย่ งๆ เฉพาะพระพักตร์ องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในลมนั้น เมื่อลมหยุดก็เกิดแผ่น ดินไหว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในแผ่นดินไหว หลังจากแผ่นดินไหวก็เกิด ไฟลุก แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้ามิได้ประทับอยูใ่ นไฟนัน้ หลังจากไฟก็มเี สียงกระซิบเบาๆ เมือ่ เอลียาห์ได้ยิน ก็เอาเสื้อคลุมปิดหน้าไว้ ออกมายืนอยู่ที่ปากถํ้า ได้ยินเสียงพูดกับเขาว่า “เอลียาห์ ท่านมาทำ�อะไรอยู่ที่นี่” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งต่อ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าจอมจักรวาล เพราะชาวอิสราเอลได้ละเมิดพันธสัญญาทีท่ �ำ ไว้ กับพระองค์ ได้รอื้ แท่นบูชาของพระองค์และฆ่าประกาศกของพระองค์ มีแต่ขา้ พเจ้าเพียง ผู้เดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่ แล้วเขายังพยายามจะฆ่าข้าพเจ้าด้วย” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง สัง่ ว่า “จงกลับไปทางทีท่ า่ นมา ไปยังถิน่ ทุรกันดารใกล้กรุงดามัสกัส เมือ่ ไปถึงแล้วจงเจิม ฮาซาเอลขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอารัม แล้วจงเจิมเยฮูบุตรของนิมซีขึ้นเป็นกษัตริย์แห่ง อิสราเอล เจิมเอลีชา บุตรของชาฟัทชาวเมืองอาเบล-เมโคลาห์ให้เป็นประกาศกสืบแทน ท่าน
มธ 5:27-32
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านได้ยินคำ�กล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่ เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่าน ทำ�บาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก มีคำ�กล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงทำ�หนังสือหย่ามอบให้นาง แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใด ที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับทำ�ให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่ง กับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย”
พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาษาที่ค่อนข้างเด็ดเดี่ยวในการกระตุ้นบรรดาอัครสาวกให้เลือกดำ�เนินชีวิตที่มีความ ชืน่ ชมยินดีและความสุขในพระเจ้าดีกว่าทีจ่ ะเลือกชีวติ แห่งความตาย เพราะมันเป็นชีวติ ทีน่ า่ กลัวและทำ�ให้เรา แยกออกจากความรักของพระเจ้า พระองค์ทรงสอนในเรื่องของความชอบธรรมนั้นเกี่ยวโยงกับทุกๆ ด้านของ ชีวติ ไม่ใช่เฉพาะภายนอกแต่รวมไปถึงภายในจิตใจด้วยเช่นกัน เนือ่ งจากความปราถนาชัว่ นัน้ มาจากภายในจิตใจ เพราะฉะนัน้ บาปจึงเกิดมาจากภายในจิตใจของมนุษย์ เราจึงจำ�เป็นต้องวอนขอพระหรรษทานและพลังแห่งพระ จิตของพระองค์ทรงนำ�ทางเรา ให้ดำ�เนินชีวิตอยู่ในความชอบธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพื่อที่เรา จะได้ไม่ตกอยู่ในบาปและความตาย
บทอ่านที่ 1
1 พกษ 19:19-21
เอลียาห์ออกจากทีน่ นั่ ไปพบเอลีชา บุตรของชาฟัท เขากำ�ลังไถนา ข้างหน้าเขามีโค สิบสองคู่ เขาไถนาอยู่กับคู่สุดท้าย เอลียาห์เดินผ่านเข้าไปใกล้ๆ ถอดเสื้อคลุมของตน ห่มให้เอลีชา เอลีชาจึงละโคเหล่านั้นวิ่งตามเอลียาห์ไป พูดว่า “ขอให้ข้าพเจ้าไปจูบลา บิดามารดาก่อน แล้วข้าพเจ้าจะติดตามท่าน” เอลียาห์ตอบว่า “ไปเถิดแล้วจงกลับมา ท่านเข้าใจแล้วว่าข้าพเจ้าทำ�อะไรให้ท่าน” เอลีชาก็กลับไปบ้าน ฆ่าโคคู่หนึ่ง ใช้แอกและ คันไถเป็นฟืนปรุงเนือ้ โคเป็นอาหาร แจกเนือ้ ให้ประชาชนกิน แล้วจึงออกเดินทางติดตาม ไปรับใช้เอลียาห์
พระวรสาร
มธ 5:33-37
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านยังได้ยินคำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำ�สาบาน แต่จงทำ�ตามที่ได้สาบาน ไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นทีป่ ระทับของพระเจ้า อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นทีร่ องพระบาทของพระองค์ อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์ อย่าอ้างถึง ศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำ�เป็นขาวได้ ท่านจงพูดเพียง ว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ คำ�พูดที่มากไปกว่านั้นมาจากปีศาจ” พระเยซูเจ้ายกประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์และความจริง เพราะเป็นปัญหาของเรา มนุษย์ในปัจจุบนั ทีก่ อ่ ให้เกิดการทำ�ผิดพลาดอยูเ่ สมอ พระองค์ทรงสอนและบอกบรรดา สาวกว่าความจริงนั้นทำ�ให้เราเป็นอิสระ (ยน 8:32) ทำ�ไมถึงเป็นเรื่องยากและลำ�บากที่ จะพูดความจริง ก็เพราะว่าความจริงเรียกร้องความรับผิดชอบ ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับ การดำ�เนินชีวิตตามความจริงที่พระเยซูเจ้าทรงสอน นี่คือคุณธรรมที่จะช่วยให้มนุษย์อยู่ ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 16:1-2,5-6, 7-8,9-10
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
สมโภช พระตรีเอกภาพ
บทอ่านจากหนังสืออพยพ
อพย 34:4ข-6,8-9
เพลงสดุดี
ดนล 3:52,53,54,55,56
เช้าวันรุ่งขึ้นโมเสสขึ้นไปบนภูเขาซีนาย ถือศิลาสองแผ่นตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงบัญชา องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเสด็จมาในเมฆ ประทับอยูก่ บั โมเสสทีน่ นั่ ทรงประกาศพระ นามยาห์เวห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าโมเสส ทรงประกาศว่า “เราเป็นองค์พระผู้ เป็นเจ้า พระเจ้าผู้เมตตาและกรุณา ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักมั่นคง และความ ซื่อสัตย์” โมเสสรีบก้มกราบกับพื้นดินนมัสการพระองค์ เขาทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ที่พระองค์โปรดปราน ขอพระองค์เสด็จไปกับข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ประชากรเหล่านีด้ อื้ ดึงก็จริงอยู่ แต่ขอพระองค์ทรงยกโทษความผิดและบาปของข้าพเจ้า ทัง้ หลายด้วยเถิด ขอพระองค์ทรงรับข้าพเจ้าทัง้ หลายไว้เป็นสมบัตขิ องพระองค์ดว้ ยเถิด” ก) ”ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอถวายพระพรแด่พระองค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ขอถวายพระพรแด่พระนามศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติของพระองค์ สมควรแล้วที่พระนามจะได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ข) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ในพระวิหารแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ค) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระบัลลังก์แห่งพระอาณาจักร ของพระองค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ง) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ทอดพระเนตรเห็นแม้กระทั่งในที่ลึก พระองค์ประทับบนพระบัลลังก์เหนือบรรดาเครูบ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป จ) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ประทับเหนือแผ่นฟ้าในสวรรค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง 2 คร 13:11-13
พี่น้องทั้งหลาย จงชื่นชมเถิด จงปรับปรุงตนให้ดีพร้อม จงให้กำ�ลังใจกัน จงเป็นนํ้า หนึ่งใจเดียวกัน จงดำ�เนินชีวิตอย่างสันติ แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติจะสถิตกับ ท่าน
จงทักทายกันด้วยการจุมพิตศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนฝากความคิดถึงท่าน ขอพระหรรษทานของพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็น เจ้า ขอความรักของพระเจ้าและความสนิทสัมพันธ์ของ พระจิตเจ้า สถิตกับทุกท่านเทอญ
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 3:16-18
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “พระเจ้า ทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์ เดียวของพระองค์เพือ่ ทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ ในพระบุตรจะ ไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดรเพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อ โลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มี ความเชือ่ ก็ถกู ตัดสินลงโทษอยูแ่ ล้ว เพราะเขามิได้มคี วามเชือ่ ในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียว ของพระเจ้า” วันสมโภชพระตรีเอกภาพนีท้ �ำ ให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของทัง้ สามพระบุคคล พระบิดา พระบุตร และพระจิต ทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว ดั่งในพระวรสารวันนี้ พระเจ้าทรงรักโลกมากจึงได้ประทานพระ บุตรแต่องค์เดียวให้แก่เรา นี่เป็นสายสัมพันธ์แห่งความรักของพระบิดาโดยทางพระบุตร ผู้ที่พระองค์ทรง ส่งพระบุตรลงมาเป็นพระผูช้ ว่ ยให้รอด พระเจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความรักของพระองค์ตอ่ เรามนุษย์อย่าง ไม่มีเงื่อนไข โดยการมอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่เราคือองค์พระบุตร เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเรามนุษยชาติ สาย สัมพันธ์แห่งความเป็นอันหนึง่ อันเดียวของทัง้ สามพระบุคคลนี้ เป็นตัวอย่างแก่เรามนุษย์ในการอยูร่ ว่ มกัน ในสังคมโดยมีความรักของพระเจ้าเป็นจุดศูนย์กลางในจิตใจของเราแต่ละคน
บทอ่านที่ 1
1 พกษ 21:1-16
ต่อมาไม่นาน นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นที่เมืองยิสเรเอลใกล้พระราชวังของ กษัตริย์อาหับแห่งสะมาเรีย กษัตริย์อาหับตรัสแก่นาโบทว่า “จงยกสวนองุ่นของท่านให้ เราทำ�เป็นสวนผักเถิด เพราะสวนนี้อยู่ใกล้วังของเรา เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่านี้แทน หรือถ้าท่านยินดีขาย เราจะจ่ายเงินให้ตามราคา” นาโบททูลตอบกษัตริย์อาหับว่า “องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามมิให้ข้าพเจ้ายกมรดกของบรรพบุรุษให้พระองค์” สัปดาห์ที่ 11 กษัตริยอ์ าหับเสด็จกลับพระราชวังด้วยพระทัยขุน่ เคืองและทรงพระพิโรธทีน่ าโบท เทศกาลธรรมดา ชาวยิสเรเอลทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่พระองค์” สดด 5:1-2,3-4, พระองค์เสด็จเข้าที่บรรทม หันพระพักตร์เข้าฝาผนัง ไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร 5-6 พระมเหสีเยเซเบลเสด็จเข้าไปทูลถามว่า “ทำ�ไมพระทัยของพระองค์จึงขุ่นเคืองจนไม่ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร” พระองค์ทรงตอบว่า “เพราะเราบอกนาโบทชาวยิสเรเอล ว่า ‘จงยกสวนองุ่นของท่านให้เราเถิด เราจะให้เงิน หรือถ้าท่านพอใจ เราจะให้สวนองุ่น อื่นแทน’ แต่เขากลับตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่ยกสวนองุ่นให้พระองค์’” พระมเหสีเยเซเบลจึงทูลว่า “พระองค์ ทรงเป็นกษัตริยป์ กครองอิสราเอลเช่นนีห้ รือ ขอทรงลุกขึน้ เสวยพระกระยาหารให้สบายพระทัยเถิด หม่อมฉัน เองจะให้สวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลแก่พระองค์” พระนางทรงพระอักษรลงพระนามกษัตริย์อาหับ ประทับตราของพระองค์ ส่งไปถึงผู้อาวุโสและบุคคล สำ�คัญที่อยู่ในเมืองเดียวกับนาโบท พระนางทรงเขียนในลายพระหัตถ์ว่า “ท่านทั้งหลายจงประกาศวันถือศีล อดอาหาร เรียกประชาชนมาชุมนุมกัน และให้นาโบทนัง่ อยูแ่ ถวหน้า แล้วจงหาอันธพาลสองคนให้มานัง่ เผชิญ หน้านาโบทและกล่าวหาเขาว่า ‘ท่านสาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย’์ แล้วท่านทัง้ หลายจะนำ�เขาออกไปนอกเมือง และเอาหินทุ่มเขาให้ตาย” คนในเมืองของนาโบท บรรดาผู้อาวุโสและบุคคลสำ�คัญที่อาศัยอยู่ในเมืองปฏิบัติตามรับสั่งของพระนาง เยเซเบล...เขาจึงนำ�นาโบทออกไปนอกเมืองและเอาหินทุม่ จนตาย... เมือ่ กษัตริยอ์ าหับทรงได้ยนิ ว่านาโบทตาย แล้ว พระองค์ก็เสด็จลงไปยังสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล เพื่อยึดครองสวนองุ่นนั้น
พระวรสาร
มธ 5:38-42
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แต่เรา กล่าวแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า อย่าโต้ตอบคนชัว่ ผูใ้ ดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ผูใ้ ดอยากฟ้อง ท่านทีศ่ าลเพือ่ จะได้เสือ้ ยาวของท่าน ก็จงแถมเสือ้ คลุมให้เขาด้วย ผูใ้ ดจะเกณฑ์ให้ทา่ นเดินไปกับเขาหนึง่ หลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด ผู้ใดขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน”
โดยทั่วไปเราคิดว่าความยุติธรรมคือ การที่ทุกคน “ได้” โดยเท่าเทียมกัน เรื่องจึงจะยุติ แต่สำ�หรับพระ เยซูเจ้า ความยุติธรรมคือ “การให้” อย่างไม่มีเงื่อนไข ให้อย่างไม่มีขอบเขต เรื่องทั้งหลายจึงจะยุติ ความรัก ความเมตตา เป็นคุณธรรมที่สามารถยุติเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดในโลกนี้
บทอ่านที่ 1
1 พกษ 21:17-29
พระวรสาร
มธ 5:43-48
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์ ชาวทิชบีว่า “จงออกเดินทางลงไปเฝ้ากษัตริย์ อาหับแห่งอิสราเอลทีก่ รุงสะมาเรียเถิด เขากำ�ลังอยูใ่ นสวนองุน่ ของนาโบท เขาลงไปยึด ครองสวนองุ่นนั้น ท่านจะต้องบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านฆ่าคน และ บัดนีท้ า่ นยังยึดสมบัตขิ องเขาอีกหรือ ท่านจะต้องบอกเขาว่า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ ณ ที่ซึ่งสุนัขเลียเลือดของนาโบท สุนัขจะเลียเลือดของท่านด้วย’” กษัตริย์อาหับตรัส สัปดาห์ที่ 11 กับเอลียาห์วา่ “คูป่ รับของเราเอ๋ย ท่านมาจับผิดเราใช่ไหม” เอลียาห์ทลู ตอบว่า “ใช่แล้ว เทศกาลธรรมดา เพราะพระองค์ทรงยอมปล่อยตัวทำ�สิง่ ชัว่ ร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า... ท่าน สดด 51:1-2,3-5, ได้ยวั่ ยุให้เราโกรธ และนำ�อิสราเอลให้ท�ำ บาป องค์พระผูเ้ ป็นเจ้ายังตรัสเกีย่ วกับพระนาง 9,14 เยเซเบลด้วยว่า “สุนัขจะกินเนื้อของเยเซเบลในเมืองยิสเรเอล” คนในตระกูลของอา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 หับซึ่งตายในเมือง สุนัขจะมากัดกิน ส่วนคนที่ตายในทุ่งนา นกในอากาศจะมาจิกกิน” ไม่มีผู้ใดที่ปล่อยตัวทำ�ความชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้ามากเท่า กษัตริย์อาหับ ซึ่งพระมเหสีเยเซเบลทรงชักชวนให้ทำ�ผิด พระองค์ทรงทำ�การน่า สะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง โดยไปกราบไหว้รูปเคารพดังที่ชาวอาโมไรต์เคยทำ� องค์พระผู้ เป็นเจ้าจึงทรงขับไล่ชาวอาโมไรต์ออกไปจากแผ่นดินเมื่อชาวอิสราเอลเข้ามายึดครอง เมื่อกษัตริย์อาหับทรงได้ยินถ้อยคำ�เหล่านี้ พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ด้วยความทุกข์ ทรงสวมใส่ เสื้อผ้ากระสอบ ไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร บรรทมทั้งๆ ที่ยังฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบ ทรงพระ ดำ�เนินโดยก้มพระเศียรแสดงความทุกข์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามเอลียาห์ชาวทิชบีว่า “ท่านสังเกตเห็นไหม ว่าอาหับถ่อมตนลงต่อหน้าเราอย่างไร เพราะเขาได้ถอ่ มตนลงต่อหน้าเรา เราจะไม่น�ำ หายนะมาในช่วงชีวติ ของ เขา แต่จะนำ�หายนะมาสู่ราชวงศ์ในช่วงชีวิตบุตรของเขา” เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำ�กล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จง อธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวง อาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่ คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำ�เหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษี มิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ถ้าท่านทักทายแต่พี่ น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำ�อะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่าง สมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด”
การคิดดี ทำ�ดี ปรารถนาดี กับผู้ที่คิดร้าย และทำ�ร้ายเรา เป็นสิ่งที่ยากมาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้ แต่พระ อาจารย์ทรงเรียกร้องให้เราผู้เป็นศิษย์ ต้องทำ�เช่นนั้น และพระองค์ก็ได้ทำ�ให้ดูเป็นตัวอย่าง เพราะนี่แหละวิถี ของผู้มีหัวใจแบบพระเจ้า
บทอ่านที่ 1
2 พกษ 2:1,6-14
เมื่อถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พายุหมุนหอบเอลียาห์ขึ้นไปบนฟ้า เอลียาห์และเอลีชาออกเดินทางจากเมืองกิลกาล เอลียาห์สั่งเขาว่า “จงอยู่ที่นี่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งข้าพเจ้าไปที่แม่นํ้าจอร์แดน” เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์และท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ ยอมละทิ้งท่านฉันนั้น” เขาทั้งสองคนจึงออกเดินทางต่อไป สัปดาห์ที่ 11 กลุม่ ประกาศกห้าสิบคนติดตามเขาทัง้ สองคน และหยุดยืนอยูห่ า่ งๆ เขาทัง้ สองคน เทศกาลธรรมดา ยืนอยู่ริมแม่นํ้าจอร์แดน... เอลียาห์ถามเอลีชาว่า “บอกมาเถิด ท่านต้องการให้ข้าพเจ้า ทำ�อะไรให้ท่านก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกรับตัวไป” เอลีชาตอบว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้รับจิตของ สดด 31:19-20,23-24 ท่านสองส่วนเถิด” เอลียาห์ตอบว่า “ท่านขอสิ่งที่ทำ�ได้ยาก แต่ถ้าท่านเห็นข้าพเจ้าเมื่อ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 จะถูกรับไปจากท่าน ท่านก็จะได้รบั ตามทีข่ อ ถ้าท่านไม่เห็น ท่านก็จะไม่ได้รบั ” ขณะทีเ่ ขา ทั้งสองคนกำ�ลังเดินสนทนากันอยู่นั้น รถม้าเพลิงคันหนึ่งเทียมม้าเพลิงปรากฏขึ้น แยก คนทั้งสองออกจากกัน เอลียาห์ถูกยกขึ้นไปบนฟ้าในพายุหมุน เอลีชาเห็นปรากฏการณ์ ก็ร้องเรียกว่า “บิดา ของข้าพเจ้า บิดาของข้าพเจ้า รถศึกและสารถีของอิสราเอล” แล้วเขาก็ไม่เห็นเอลียาห์อีก...
พระวรสาร
มธ 6:1-6,16-18
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำ�เหน็จจาก พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนที่บรรดาคนหน้า ซือ่ ใจคดมักทำ�ในศาลาธรรมและตามถนนเพือ่ จะได้รบั คำ�สรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลาย ว่า เขาได้รับบำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำ�ลังทำ�สิ่งใด เพื่อ ทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลา ธรรม และตามมุมลานเพื่อให้ใครๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่ง... เมื่อท่านทั้งหลายจำ�ศีลอดอาหาร จงอย่าทำ�หน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาทำ�หน้า หมองคลํ้า เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำ�ลังจำ�ศีลอดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำ�เหน็จของ เขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อจำ�ศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้นํ้ามันหอมใส่ศีรษะ เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านกำ�ลัง จำ�ศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่าน ผู้สถิตทั่วทุกแห่งทรงทราบ... ” จุดมุ่งหมายของการภาวนาแบบคริสตชน คือเพื่อนำ�พระมาเป็นศูนย์กลางของชีวิต และจุดมุ่งหมายของ การจำ�ศีลอดอาหาร คือการสามารถควบคุมตนเอง ลดกิเลส และความใคร่ แต่ถ้าเราใช้การภาวนาและการ จำ�ศีลอดอาหารเพื่อให้ตัวเองดูดี เป็นที่ยอมรับ เป็นที่ยกย่องของคนรอบข้าง นอกจากจะไม่เกิดผลตามเป้า หมายของการภาวนาและการจำ�ศีลอดอาหารแล้ว ตรงข้ามยังเป็นการเพิ่มกิเลสและความหยิ่งจองหองของตัว เองเสียอีก
บทอ่านที่ 1
บสร 48:1-14
พระวรสาร
มธ 6:7-15
ต่อจากนั้นก็มีเรื่องราวของประกาศกเอลียาห์ซึ่งเป็นเหมือนไฟ วาจาของเขาเผา ผลาญเหมือนคบไฟ เขาทำ�ให้เกิดขาดแคลนอาหารในหมู่ประชากร ความกระตือรือร้น ของเขาทำ�ให้ประชากรลดจำ�นวนลง เขาปิดท้องฟ้าตามพระบัญชาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ทำ�ให้ไฟลงมาจากท้องฟ้าถึงสามครัง้ ข้าแต่เอลียาห์ ท่านช่างมีชอื่ เสียงรุง่ เรืองเพราะการ อัศจรรย์ที่ได้กระทำ� ใครบ้างจะอวดตัวได้ว่าตนเท่าเทียมกับท่าน ท่านปลุกผู้ตายคนหนึ่ง น.โรมูอัลโด ให้กลับคืนชีพ และพ้นจากแดนมรณะตามพระบัญชาของพระผู้สูงสุด ท่านผลักกษัตริย์ เจ้าอธิการ หลายพระองค์ให้พินาศ และผลักบรรดาผู้ทรงเกียรติลงจากที่นอน ท่านได้ยินพระวาจา สดด 97:1-2,3-5, ติเตียนที่ภูเขาซีนาย ได้ยินพระวินิจฉัยลงโทษบนภูเขาโฮเรบ ท่านเจิมกษัตริย์หลาย 6-7 พระองค์ให้ลงโทษผูก้ ระทำ�ผิด และเจิมบรรดาประกาศกให้สบื ตำ�แหน่งต่อจากท่าน ท่าน ถูกยกขึ้นไปในพายุหมุนที่เป็นไฟ บนรถเทียมม้าเพลิง ท่านถูกกำ�หนดไว้ให้มาตำ�หนิ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ประชากรในอนาคต เพื่อจะได้ระงับพระพิโรธก่อนที่จะลุกเป็นไฟ เพื่อนำ�จิตใจของบิดา มาคืนดีกับบุตร และแต่งตั้งบรรดาเผ่าของยาโคบขึ้นใหม่ บรรดาผู้ที่เคยเห็นท่านย่อม เป็นสุข เขาตายในความรัก เพราะเราทั้งหลายจะได้มีชีวิตอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน เมื่อเอลียาห์ถูกยกขึ้นไป ในพายุหมุน เอลีชาก็ได้รับจิตของเขาอย่างเต็มเปี่ยม เขาไม่เคยหวาดกลัวผู้ทรงอำ�นาจใดๆ ตลอดชีวิต ไม่มีผู้ ใดบังคับเขาได้ ไม่มีสิ่งใดยากเกินไปสำ�หรับเขา แม้ในหลุมศพ ร่างกายของเขาก็ยังประกาศพระวาจา ขณะที่มี ชีวิตอยู่ เขาทำ�ปาฏิหาริย์ต่างๆ แม้เมื่อเขาตายแล้ว กิจการของเขาก็ยังน่าพิศวง เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซํ้าเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะทรงสดับ ฟัง อย่าทำ�เหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระ อาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำ�เร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์ โปรดประทานอาหารประจำ�วันแก่ขา้ พเจ้า ทั้งหลายในวันนี้ โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การ ประจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’ เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ทำ�ความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำ�ความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน” เวลาภาวนาวอนขออะไรจากพระ เรามักจะให้ความสำ�คัญกับตัวผู้ขอว่าเขาดีเพียงใด ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ทำ�อะไรดีไว้จึงสมควรได้รับตามคำ�ขอ คำ�ภาวนาน่าฟังหรือดีเพียงใด แต่พระเยซูทรงสอนว่า เวลาภาวนาต้อง เน้นที่ผู้ให้ว่าพระองค์เป็นองค์แห่งความดี ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง ขอเพียงให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ และพร้อมจะรับทุกสิ่งจากพระองค์ก็พอ
บทอ่านที่ 1
2 พกษ 11:1-4,9-18,20
เมื่อพระนางอาธาลิยาห์ พระชนนีของกษัตริย์อาคัสยาห์ทรงทราบว่าพระโอรสถูก ปลงพระชนม์ ก็ทรงฆ่าเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ทันที แต่เยโฮเชบา พระธิดาของกษัตริย์เยโฮรัมและพระขนิษฐาของกษัตริย์อาคัสยาห์ ทรงนำ�เยโฮอาช พระโอรสของกษัตริย์อาคัสยาห์ออกจากกลุ่มพระโอรสที่จะต้องถูกฆ่า ไปซ่อนไว้พร้อมกับแม่นมในห้องนอนบริเวณพระวิหาร... เป็นเวลาหกปี... สัปดาห์ที่ 11 ปีที่เจ็ด สมณะเยโฮยาดาส่งคนไปตามผู้บังคับบัญชาทหารชาวคารี และนายทหาร เทศกาลธรรมดา องครักษ์มาพบตนในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทำ�สัญญากับเขา ให้ทุกคนสาบาน สดด 132:11,12-14, ในพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า แล้วนำ�พระโอรสของกษัตริยอ์ อกมาให้เขาเห็น บรรดา 17-18 นายทหารก็ปฏิบตั ติ ามคำ�สัง่ ของสมณะเยโฮยาดา... เขาทัง้ หลายประกาศแต่งตัง้ และเจิม ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 พระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ ทุกคนปรบมือโห่ร้องว่า “ขอพระราชาทรงพระเจริญ” พระนางอาธาลิยาห์ทรงได้ยินเสียงทหารองครักษ์และประชาชนโห่ร้องเสียงดัง ก็ รีบเสด็จมาพบประชาชนในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อทอดพระเนตรเห็น กษัตริย์ทรงยืนอยู่ข้างเสาตามประเพณี นายทหารและพนักงานเป่าแตรยืนอยู่ข้างกษัตริย์ ประชาชนของแผ่น ดินทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดีและเป่าแตร พระนางอาธาลิยาห์ทรงฉีกฉลองพระองค์ด้วยความขุ่นเคือง ทรงร้องตะโกนว่า “กบฏ กบฏ” สมณะเยโฮยาดาจึงสั่งผู้บัญชาการกำ�ลังพลว่า “จงนำ�พระนางออกไประหว่างแถวทหาร ผู้ใดพยายามจะ ช่วยเหลือ ก็จงฆ่าผู้นั้น”เพราะสมณะได้บอกไว้แล้วว่า “อย่าฆ่าพระนางในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า” บรรดาทหารจึงจับกุมพระนาง คุมตัวผ่านประตูมา้ ของพระราชวัง แล้วปลงพระชนม์ทนี่ นั่ ... ประชาชนของแผ่น ดินทุกคนต่างปลื้มปีติ ตั้งแต่พระนางอาธาลิยาห์ถูกปลงพระชนม์ในพระราชวัง บ้านเมืองก็สงบ
พระวรสาร
มธ 6:19-23
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทัง้ หลายจงอย่าสะสมทรัพย์สมบัตบิ นแผ่นดินนีเ้ ลย ทีน่ ที่ รัพย์สมบัตทิ งั้ หลายถูกสนิมและตัวขมวน ทำ�ลาย ถูกขโมยเจาะช่องเข้ามาขโมยไปได้ แต่จงสะสมทรัพย์สมบัตใิ นสวรรค์เถิด ทีน่ นั่ ไม่มสี นิมและตัวขมวน ทำ�ลาย ขโมยก็เจาะช่องเข้ามาขโมยไปไม่ได้ เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ประทีปของร่างกายคือดวงตา ดังนัน้ ถ้าดวงตาของท่านเป็นปกติดี ร่างกายของท่านก็จะสว่างไปด้วย แต่ ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี ร่างกายของท่านก็จะมืดไปด้วย ฉะนั้น ถ้าความสว่างในท่านมืดไปแล้ว ความมืดจะยิ่ง มืดมิดสักเพียงใด” คำ�ว่า “สะสม” เป็นคำ�ล่อที่น่ากลัว สิ่งที่มนุษย์ควรฝึกและทำ�ทุกวันคือ “ละทิ้ง” และ “ปล่อยวาง” ถ้า คนเรายังมัวสะสมไม่เพียงแต่ทรัพย์สมบัติของโลกนี้ ซึ่งเมื่อตายไปแล้วก็เอาไปไม่ได้ แต่ยังถูกล่อให้สะสมบุญ โดยการทำ�บุญเยอะๆ ก็เป็นการเพิ่มกิเลสนั่นเอง เราต้องไม่สะสมไม่ว่าจะเป็นบุญคุณ หรือความแค้น แต่จะ ต้องละทิ้ง และปล่อยวางให้หมด นี่แหละคือความดีแท้จริงที่จะเอาเข้าสวรรค์ได้
บทอ่านที่ 1
2 พศด 24:17-25
เมือ่ สมณะเยโฮยาดาสิน้ ชีวติ แล้ว บรรดาเจ้านายแห่งยูดาห์เข้ามาถวายบังคมเฉพาะ พระพักตร์กษัตริย์ พระองค์ทรงฟังคำ�ทูลของเขา เขาทัง้ หลายได้ละทิง้ พระวิหารขององค์ พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าแห่งบรรพบุรษุ ไปนมัสการเสาไม้ศกั ดิส์ ทิ ธิแ์ ละรูปเคารพ ความผิด นี้ทำ�ให้พระเจ้าทรงลงโทษอาณาจักรยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่ง บรรดาประกาศกมาเตือนเขาให้กลับมาหาพระองค์ ประกาศกเหล่านีก้ ล่าวประณามความ ผิดของเขา แต่เขาไม่ยอมฟัง... เขาทั้งหลายร่วมกันคิดร้ายต่อเศคาริยาห์ ขว้างหินใส่เขา จนตายในลานพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า... เมื่อขึ้นปีใหม่กองทัพชาวอารัมก็ยกมาโจมตีกษัตริย์โยอาช เขาบุกรุกเข้ามาใน อาณาจักรยูดาห์จนถึงกรุงเยรูซาเล็ม ทำ�ลายล้างบรรดาเจ้านายของประชาชน และส่ง ของเชลยทั้งหมดไปถวายกษัตริย์แห่งกรุงดามัสกัส กองทัพชาวอารัมยกมาเป็นจำ�นวน น้อย แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงมอบกองทัพใหญ่ไว้ในมือของเขา เพราะชาวยูดาห์ได้ละทิง้ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษ กษัตริย์โยอาชจึงทรงถูกลงโทษอย่างสาสม...
พระวรสาร
ระลึกถึง น.หลุยส์ คอนซากา นักบวช สดด 89:3-4,28-29, 30-32,33-35
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
มธ 6:24-34
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขาจะจงรักภักดี ต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ ได้ ฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะ นุง่ ห่มอะไร ชีวติ ย่อมสำ�คัญกว่าอาหาร และร่างกายย่อมสำ�คัญกว่าเครือ่ งนุง่ ห่มมิใช่หรือ จงมองดูนกในอากาศ เถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกีย่ ว มิได้สะสมไว้ในยุง้ ฉาง แต่พระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์ทรงเลีย้ งมัน ท่าน ทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือ ท่านใดบ้างที่กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้ ท่าน จะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำ�ไม จงสังเกตดูดอกไม้ในทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำ�งาน มัน ไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้ นี้ดอกหนึ่ง แม้แต่หญ้าในทุ่งนา ซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้ รุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ พระเจ้ายังทรงตกแต่งให้งดงาม เช่นนี้ พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านั้นหรือ ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง ดังนั้น อย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร หรือเราจะนุ่งห่มอะไร’ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ จง แสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่า นี้ให้ ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำ�หรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์พออยู่แล้ว” คนโลเลจะไม่สามารถประสบความสำ�เร็จในชีวติ เพือ่ จะปฏิบตั ติ ามตัวอย่างและคำ�สอนของพระคริสตเจ้า ได้ ต้องเป็นผู้มีจิตใจเด็ดเดี่ยว พระองค์ทรงเชือ้ เชิญให้เราแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า พร้อมจะน้อมรับและปฏิบตั ติ ามพระประสงค์ โดยไม่ต้องห่วงสิ่งอื่นใด นอกจากการทำ�ตามพระประสงค์ได้แล้ว สิ่งจำ�เป็นอื่นๆ ของชีวิตพระบิดาจะประทาน ให้เอง
บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ฉธบ 8:2-3, 14ข-16ก
สมโภชพระวรกาย และพระโลหิต พระคริสตเจ้า
โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “จงระลึกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทรง นำ�ท่านให้เดินทางผ่านถิ่นทุรกันดารตลอดเวลาสี่สิบปี ทรงให้ท่านพบอุปสรรค เพื่อ ทดสอบดูว่าจิตใจของท่านเป็นอย่างไร จะปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์หรือไม่ พระองค์ทรงทำ�ให้ทา่ นพบอุปสรรค ทรงปล่อยให้หวิ โหย แล้วประทานมานนาเป็นอาหาร เลี้ยงท่าน ซึ่งเป็นอาหารที่ทั้งท่านและบรรพบุรุษไม่เคยรู้จักมาก่อน เพื่อจะสอนท่านว่า มนุษย์มไิ ด้มชี วี ติ อยูด่ ว้ ยอาหารเท่านัน้ แต่มชี วี ติ ด้วยพระวาจาทุกคำ�ทีอ่ อกจากพระโอษฐ์ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่ามีใจหยิง่ ผยองจนลืมองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ผูท้ รงนำ�ท่านออกจาก แผ่นดินอียิปต์ที่ท่านเคยเป็นทาสอยู่นั้น พระองค์ผู้ทรงนำ�ท่านผ่านถิ่นทุรกันดารอัน อ้างว้างน่ากลัวนี้ ซึ่งเป็นที่อาศัยของงูพิษและแมงป่อง เป็นแผ่นดินแห้งแล้งไม่มีนํ้า พระองค์ทรงบันดาลให้นาํ้ ไหลจากหินแข็งให้ทา่ นดืม่ พระองค์ประทานมานนาเป็นอาหาร เลี้ยงท่าน อาหารนี้บรรพบุรุษของท่านไม่เคยรู้จัก”
เพลงสดุดี
สดด 147:12-14,15-17,19-20
ก) เยรูซาเล็มเอ๋ย จงถวายพระพระเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ศิโยนเอ๋ย จงสรรเสริญพระเจ้าของท่านเถิด เพราะพระองค์ทรงเสริมกำ�ลังแก่ดาลประตูเมืองของท่าน ทรงอวยพระพรบรรดาบุตรของท่านที่อยู่ภายใน ทรงบันดาลให้เขตแดนของท่านอยู่ในสันติ ประทานข้าวสาลีอย่างดีเยี่ยมเลี้ยงท่านจนอิ่ม ข) พระองค์ทรงส่งพระบัญชาไปทั่วแผ่นดิน พระวาจาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว พระองค์ประทานหิมะประดุจขนแกะ และทรงโปรยนํ้าค้างแข็งประดุจขี้เถ้า พระองค์ทรงโยนลูกเห็บลงมาประดุจก้อนกรวด ผู้ใดจะทนความหนาวเย็นจากพระองค์ได้ ค) พระองค์ทรงประกาศพระวาจาแก่ยาโคบ ประทานข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์แก่อิสราเอล พระองค์มิได้ทรงกระทำ�ดังนี้กับชนชาติอื่นใด ไม่ทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่เขาเลย
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 10:16-17
พี่น้อง ถ้วยถวายพระพร ซึ่งเราใช้ขอบพระคุณพระเจ้านั้น มิได้ทำ�ให้เรามีส่วนร่วม
ในพระโลหิตของพระคริสตเจ้าหรือ และปังที่เราบินั้น มิได้ทำ�ให้เรามีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสตเจ้า หรือ มีปังก้อนเดียว แม้ว่าจะมีหลายคนเราก็เป็นกาย เดียวกัน เพราะเราทุกคนมีสว่ นร่วมกินปังก้อนเดียวกัน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:51-59
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนชาวยิวว่า “เราเป็นปังทรงชีวติ ทีล่ งมาจากสวรรค์ ใครทีก่ นิ ปังนีจ้ ะ มีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเรา เพื่อให้โลกมีชีวิต” ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรา กินได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า เราบอกความจริงแก่ ท่านทัง้ หลายว่า “ถ้าท่านไม่กนิ เนือ้ ของบุตรแห่งมนุษย์ และไม่ดมื่ โลหิตของเขา ท่านจะไม่มชี วี ติ ในตนเอง ผูท้ กี่ นิ เนือ้ ของเรา และดืม่ โลหิตของเรา ก็มชี วี ติ นิรนั ดร เราจะทำ�ให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่ม แท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำ�รงอยู่ในเรา และเราก็ดำ�รงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิต ทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น นี่คือปังที่ลง มาจากสวรรค์ ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กิน แล้วยังตาย ผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” พระองค์ตรัสเช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม เวลาทีเ่ ห็นพระเยซูทรงเปลีย่ นปังและเหล้าองุน่ เป็นเลือดเป็นเนือ้ ของพระองค์เพือ่ เป็นอาหารเลีย้ ง เรา ก็ยังได้ยินคำ�ที่พระองค์ตรัสว่า มนุษย์มิได้เลี้ยงชีพด้วยปังเท่านั้น แต่ด้วยพระวาจาของพระเจ้าด้วย ทำ�ให้เข้าใจว่า เพื่อเราจะเติบโตและเข้มแข็งได้ นอกจากรับพระกายและพระโลหิตแล้ว เรายังต้อง ได้รับพระวาจาของพระองค์ไปพร้อมๆ กันด้วย เราต้องเติบโตและแข็งแกร่ง โดยการปฏิบัติตามสิ่งที่พระ องค์ทรงยํ้าสอน
บทอ่านที่ 1
สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา สดด 60:1,2-3,10-11
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร
2 พกษ 17:5-8,13-15ก,18
กษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงยกทัพมารุกรานแผ่นดินทั้งหมด เสด็จมาถึงกรุงสะมาเรีย และทรงล้อมเมืองเป็นเวลาสามปี ปีที่เก้าในรัชกาลกษัตริย์โฮเชยา กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย ทรงยึดกรุงสะมาเรียได้ ทรงกวาดต้อนชาวอิสราเอลไปเป็นเชลยที่อัสซีเรีย ให้ตั้งหลัก แหล่ง บางส่วนอยู่ที่เมืองคาลาห์ บางส่วนอยู่ที่แม่นํ้าคาโบร์ในแคว้นโกซาน บางส่วนอยู่ ตามเมืองต่างๆของชาวมีเดีย เหตุการณ์นเี้ กิดขึน้ เพราะชาวอิสราเอลทำ�บาปผิดต่อองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของ ตน พระองค์ทรงนำ�เขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ พ้นจากมือของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ แต่เขากลับไปนมัสการเทพเจ้าอื่น ปฏิบัติตามประเพณีของชนชาติที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงขับไล่ออกไปเมื่อชาวอิสราเอลเข้ามาอาศัยอยู่ และปฏิบัติตามประเพณีต่างๆ ที่ กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงนำ�เข้ามา องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงใช้บรรดาประกาศกและผูท้ �ำ นาย มาเตือนชาวอิสราเอลและ ชาวยูดาห์ว่า “จงละทิ้งหนทางชั่วร้ายของท่าน จงปฏิบัติตามบทบัญญัติและข้อกำ�หนด ดังที่มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติที่เรามอบให้แก่บรรพบุรุษของท่าน และตกทอดมาถึงท่าน ทางบรรดาประกาศกผูร้ บั ใช้ของเรา” แต่เขาไม่ยอมเชือ่ ฟัง มีจติ ใจดือ้ รัน้ เหมือนบรรพบุรษุ ซึ่งไม่ยอมเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของตน ดูหมิ่นข้อกำ�หนดและพันธสัญญาซึ่ง พระองค์ทรงทำ�กับบรรพบุรุษของเขา ดูหมิ่นคำ�ตักเตือนที่ทรงให้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธชาวอิสราเอลอย่างยิ่ง และทรงผลักไสเขาให้พ้น จากพระพักตร์ เหลือไว้แต่เผ่ายูดาห์เท่านั้น
มธ 7:1-5
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่าง นั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน ทำ�ไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตา ของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ปล่อยให้ฉันเขี่ย เศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะที่มีท่อนซุงอยู่ในดวงตาของท่าน ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอา ท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัดก่อนไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง”
สำ�หรับพระเยซูเจ้า การตัดสินผู้อื่น หรือสรุปว่าผู้อื่นเป็นคนชั่ว เป็นความผิดร้ายแรงที่มนุษย์คนหนึ่ง สามารถทำ�ได้ เพราะเป็นการยกตัวเองว่าดีกว่าเขา คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง พระเยซูเจ้าตรัสว่า พระบิดาเท่านั้น รู้ทุกสิ่ง ถ้ารู้จักคิดสักนิดว่าเราก็เป็นคนอ่อนแอ และทำ�ผิดพลาดได้บ่อยๆ เราจะไม่ตัดสินใครเลย ตรงข้ามเรา จะเป็นผูม้ เี มตตา มีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผูอ้ นื่ สังคมทุกวันนีม้ คี วามบาดหมางและแตกแยกมาก เพราะ ชอบตัดสินกันและกันนั่นเอง
บทอ่านที่ 1
อสย 49:1-6
ดินแดนชายทะเลและเกาะทั้งหลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนที่อยู่สุดแดน ไกล จงตั้งใจฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าเกิด ทรงขานชื่อ ข้าพเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พระองค์ทรงทำ�ให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือนดาบคม ทรง ซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์ของพระองค์ ทรงทำ�ให้ข้าพเจ้าเป็นเสมือนลูกศร แหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์... พระองค์ตรัสว่า “...เราจะให้ท่านเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อความรอดพ้นที่เรานำ�มาให้จะได้แผ่ไป จนสุดปลายแผ่นดิน”
สมโภช น.ยอห์น แบปติสต์์ บังเกิิด
บทอ่านที่ 2
กจ 13:22-26
สดด 139:1-3,13-14, 15-16
พระวรสาร
ลก 1:57-66,80
เมื่อทรงปลดกษัตริย์ซาอูลจากตำ�แหน่งแล้ว ก็ทรงแต่งตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ ปกครองประชากรอิสราเอล ดังที่มีคำ�ยืนยันในพระคัมภีร์ว่า “เราพบดาวิดบุตรของ เจสซี เขาเป็นคนที่เราพอใจ เขาจะทำ�ตามความประสงค์ของเราทุกประการ” จากเชื้อ สายของกษัตริย์ดาวิดนี้ พระเจ้าประทานพระเยซูเจ้าเป็นผู้ช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นตาม พระสัญญา ยอห์นเตรียมรับเสด็จพระองค์ ประกาศพิธีล้างให้ประชาชนอิสราเอลทั้งปวงกลับใจ ขณะที่ยอห์น กำ�ลังทำ�ภารกิจของตนให้ส�ำ เร็จไป เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้ามิได้เป็นอย่างทีท่ า่ นทัง้ หลายคิด แต่บดั นี้ มีผหู้ นึง่ กำ�ลัง มาภายหลังข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา”... เมื่อครบกำ�หนดคลอด นางเอลีซาเบธให้กำ�เนิดบุตรชายคนหนึ่ง เพื่อนบ้านและบรรดาญาติรู้ว่าองค์พระ ผู้เป็นเจ้าทรงแสดงพระกรุณายิ่งใหญ่ต่อนาง จึงมาร่วมยินดีกับนาง เมื่อเด็กเกิดได้แปดวัน เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมาทำ�พิธีสุหนัตให้ เขาต้องการเรียกเด็กว่าเศคาริยาห์ ตามชือ่ บิดา แต่มารดาของเด็กค้านว่า “ไม่ได้ เขาจะต้องชือ่ ยอห์น” คนเหล่านัน้ จึงพูดกับนางว่า “ท่านไม่มญ ี าติ คนใดมีชื่อนี้” เขาเหล่านั้นจึงส่งสัญญาณถามบิดาของเด็กว่าต้องการให้บุตรชื่ออะไร เศคาริยาห์ขอกระดาน แผ่นหนึ่งแล้วเขียนว่า “เขาชื่อยอห์น” ทุกคนต่างประหลาดใจ ทันใดนั้น เศคาริยาห์ก็กลับพูดได้อีก เขาจึง กล่าวถวายพระพรพระเจ้า เพื่อนบ้านทุกคนต่างรู้สึกกลัว และเรื่องทั้งหมดนี้ได้เล่าลือกันไปทั่วแถบภูเขาของ แคว้นยูเดีย ทุกคนทีไ่ ด้ยนิ เรือ่ งนีต้ า่ งก็แปลกใจและถามกันว่า “แล้วเด็กคนนีจ้ ะเป็นอะไร” เพราะพระหัตถ์ของ องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา ความยิ่งใหญ่ของนักบุญยอห์นแบปติสต์ อยู่ที่ความจริงสองประการคือ ประการแรกท่านเป็นคนที่ถูก เลือกดังคำ�ของอิสยาห์ในบทอ่านแรกที่ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าเกิด ทรงขานชื่อ ข้าพเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา” และประการที่สอง คือท่านยินดีปฏิบัติตามหน้าที่ที่ถูกกำ�หนดไว้ให้ท่าน ดังคำ�ยืนยันจากพระคัมภีร์ที่ถูก กล่าวอ้างโดยบทอ่านจากกิจการอัครสาวกที่ว่า “เขาเป็นคนที่เราพอใจ เขาจะทำ�ตามพระประสงค์ของเราทุก ประการ”
บทอ่านที่ 1
สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา สดด 119:33-34,35-36 37 และ 40
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร
2 พกษ 22:8-13;23:1-3
มหาสมณะฮิลคียาห์บอกชาฟาน ราชเลขาว่า “ข้าพเจ้าพบหนังสือธรรมบัญญัติอยู่ ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ฮิลคียาห์มอบหนังสือนั้นแก่ชาฟาน ซึ่งนำ�มาอ่าน ชาฟาน ราชเลขา จึงไปทูลกษัตริย์ว่า “บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์นำ�เงินซึ่งอยู่ในพระ วิหารส่งมอบแก่ผู้ดูแลงานซ่อมแซมพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” ชาฟาน ราช เลขา ทูลเสริมอีกว่า “สมณะฮิลคียาห์ให้หนังสือเล่มหนึง่ แก่ขา้ พเจ้า” แล้วชาฟานก็อา่ น ถวายกษัตริย์ เมื่อกษัตริย์ทรงได้ยินถ้อยคำ�จากหนังสือธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงฉีกฉลอง พระองค์ดว้ ยความทุกข์ ทรงสัง่ สมณะฮิลคียาห์ อาหิคมั บุตรของชาฟาน อัคโบร์บตุ รของ มีคายาห์ ชาฟานราชเลขา และอาสายาห์ขา้ ราชบริพารของกษัตริยว์ า่ “จงไปทูลถามองค์ พระผู้เป็นเจ้าให้เรา และให้ประชาชนชาวยูดาห์ทั้งหลาย เรื่องถ้อยคำ�ในหนังสือที่พบนี้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงพระพิโรธพวกเราอย่างยิง่ เพราะบรรพบุรษุ ของเราไม่เชือ่ ฟังถ้อยคำ� ในหนังสือนี้ และไม่ปฏิบัติตามที่มีเขียนไว้สำ�หรับเรา” กษัตริย์โยสิยาห์ทรงเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสแห่งอาณาจักรยูดาห์และกรุง เยรูซาเล็ม พระองค์เสด็จขึ้นไปยังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พร้อมกับชาวยูดาห์ และผู้อาศัยที่กรุงเยรูซาเล็มทุกคน บรรดาสมณะ ประกาศกและประชากรทั้งปวง ทั้ง ชนชั้นสูงและคนธรรมดา พระองค์ทรงอ่านถ้อยคำ�ทั้งหมดของหนังสือพันธสัญญาที่พบ ในพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าให้ทกุ คนได้ยนิ กษัตริยท์ รงยืนข้างเสา ทรงกระทำ�พันธ สัญญาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าว่าจะดำ�เนินตามองค์พระผู้เป็นเจ้า จะรักษา บทบัญญัติ กฤษฎีกาและข้อกำ�หนดของพระองค์สุดจิตใจ สุดวิญญาณ จะปฏิบัติตาม ถ้อยคำ�ของพันธสัญญาที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ ประชาชนทุกคนปฏิญาณจะทำ�ตาม พันธสัญญา
มธ 7:15-20
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวังประกาศกเทียมซึ่งมาพบท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย ท่านจะรู้จักเขาได้ จากผลงานของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุน่ จากต้นหนาม หรือเก็บผลมะเดือ่ เทศจากพงหนาม ในทำ�นองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลไม่ดีมิได้ และต้นไม้พันธุ์ไม่ดี ก็ไม่อาจเกิดผลดีได้ ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ ดังนั้น ท่านจะรู้จักประกาศกเทียมได้ จากผลงานของเขา” ถ้าคิดจะเลื่อมใสใครสักคน อย่าไปเลื่อมใสเพราะเขาดูดีหรือพูดดี แต่ให้เลื่อมใสเพราะเขาเป็นคนดี ทำ� ดี และคิดดีต่อทุกๆ คน เพราะความดีจริงจากภายในเท่านั้น ที่ผลักดันให้คนๆ หนึ่งสามารถขยายความดีถึง คนอื่นๆ ได้ ต้นไม้ดีย่อมเกิดผลดี และต้นไม้เลวย่อมเกิดผลเลว
บทอ่านที่ 1
2 พกษ 24:8-17
เยโฮยาคีนทรงเป็นกษัตริยเ์ มือ่ พระชนมายุสบิ แปดพรรษา และทรงครองราชย์เป็น เวลาสามเดือนที่กรุงเยรูซาเล็ม... พระองค์ทรงทำ�ความชั่วเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้ เป็นเจ้าดังที่พระบิดาทรงทำ� สมัยนั้น นายทหารของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ยกทัพมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ขณะที่นายทหารล้อมเมืองอยู่นั้น กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลนเสด็จมาที่นั่น กษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์เสด็จมายอมจำ�นนกษัตริย์แห่ง บาบิโลน พร้อมกับพระมารดา ข้าราชบริพาร นายทหารและข้าราชสำ�นัก กษัตริย์แห่งบา บิโลนทรงนำ�กษัตริย์เยโฮยาคีนไปเป็นเชลยในปีที่แปดของรัชกาล กษัตริยแ์ ห่งบาบิโลนทรงขนทรัพย์สมบัตทิ งั้ หมดในพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และพระราชทรัพย์ในพระราชวังไปกรุงบาบิโลน... ทรงกวาดต้อนชาวเยรูซาเล็มทั้งหมด จำ�นวนหนึง่ หมืน่ คนไปเป็นเชลย... พระองค์ทรงนำ�กษัตริยเ์ ยโฮยาคีนเป็นเชลยไปกรุงบา บิโลน พร้อมกับพระมารดา บรรดามเหสี ข้าราชบริพาร และชนชั้นนำ�ของแผ่นดิน พระองค์ทรงนำ�บุคคลเหล่านี้จากกรุงเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน... กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงแต่งตั้งมัทธานียาห์ พระปิตุลาของกษัตริย์เยโฮยาคีนขึ้น เป็นกษัตริย์แทน และทรงเปลี่ยนพระนามเป็นเศเดคียาห์
พระวรสาร
สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา สดด 79:1-2,3-5, 8-9
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 วันต่อต้านยาเสพติด
มธ 7:21-29
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตาม พระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้ ในวันนั้น หลายคนจะกล่าวแก่ เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปีศาจใน พระนามของพระองค์ และได้กระทำ�อัศจรรย์หลายประการในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’ เมื่อนั้น เราจะ กล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำ�ความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’ ผู้ใดฟังถ้อยคำ�เหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน ฝนจะตก นํ้าจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำ�เหล่า นี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย เมื่อฝนตก นํ้าไหลเชี่ยว ลมพัด โหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก” เมือ่ พระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำ�เหล่านีจ้ บแล้ว ประชาชนต่างพิศวงในคำ�สัง่ สอนของพระองค์ เพราะพระองค์ ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำ�นาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา
คำ�ของพระเยซูที่ว่า “เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำ�ความชั่วจะงไปให้พ้นหน้าเรา” เป็นคำ� ที่น่ากลัวยิ่งเพราะพระองค์ยํ้าว่า คำ�ภาวนาเพราะๆ แม้แต่คำ�ภาวนาจากผู้มีชื่อเสียง ไม่เว้นแม้แต่คำ�ภาวนาที่ พระองค์ทรงสอนเอง ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้าผู้ภาวนาไม่ลงมือทำ�ความดี คือทำ�ตามที่พระองค์ทรงสอน และ ทำ�ตาม พระประสงค์ของพระบิดา
บทอ่านที่ 1
สมโภชพระหฤทัย ของพระเยซูเจ้า สดด 103:1-2,3-4, 7,8-10
ฉธบ 7:6-11
ครั้งนั้น โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “ท่านเป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทรงเลือกท่านไว้เป็น ประชากรของพระองค์ เป็นสมบัติพิเศษจากประชากรทั้งหมดบนแผ่นดิน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงมีความผูกพันกับท่านและเลือกสรรท่าน มิใช่เพราะท่านเป็น ชนชาติที่มีจำ�นวนประชากรมากกว่าชนชาติอื่นๆ ท่านเป็นเพียงชนชาติที่เล็กที่สุดในหมู่ ประชาชาติ แต่เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ทรงรักท่าน และทรงต้องการจะรักษาพระสัญญา ทีท่ รงสาบานไว้กบั บรรพบุรษุ ของท่าน... ทรงเป็นพระเจ้าผูซ้ อื่ สัตย์ ทรงรักษาพันธสัญญา และความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ถึงพันชั่วอายุคน... ดังนั้น ท่านจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ ข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์ที่ข้าพเจ้ามอบให้ท่าน ในวันนี้อย่างเคร่งครัด”
บทอ่านที่ 2
1 ยน 4:7-16
พระวรสาร
มธ 11:25-30
ท่านที่รักทั้งหลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่มีความรัก ย่อมบังเกิดจาก พระเจ้า และรู้จักพระองค์ ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของ พระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้ คือ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทาง พระบุตรนัน้ ความรักอยูท่ วี่ า่ พระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพือ่ ชดเชยบาปของเรา มิใช่ อยู่ที่เรารักพระเจ้า ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย... ผู้ใดยอมรับว่าพระ เยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเขา และเขาย่อมอยู่ในพระเจ้า... พระเจ้าทรง เป็นความรัก ผู้ใดดำ�รงอยู่ในความรัก ย่อมดำ�รงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเขา เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบัง เรือ่ งเหล่านีจ้ ากบรรดาผูม้ ปี รีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผูต้ าํ่ ต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์ พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใคร รู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้ ท่านทัง้ หลายทีเ่ หน็ดเหนือ่ ย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ทา่ นได้พกั ผ่อน จงรับแอกของ เราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับการพัก ผ่อน เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา” มนุษย์มักจะยกพระเจ้าให้สูงส่ง เป็นองค์ความยิ่งใหญ่เปี่ยมด้วยความยุติธรรม แต่พระเยซูเจ้าทรงนำ� เสนอพระเจ้าเป็นองค์แห่งความรัก ธรรมชาติของพระองค์อบอุ่น เปี่ยมด้วยความบรรเทา ผู้ที่อยู่ใกล้พระองค์ จะรู้สึกว่าพักผ่อนได้เต็มที่ เพราะอยู่กับพระองค์ที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ดวงพระทัยที่เปี่ยมด้วยความรักนี้ เป็นความบรรเทาของคนบาป และคนที่เหนื่อยล้ากับชีวิต
บทอ่านที่ 1
อสย 61:10-11
พระวรสาร
ลก 2:41-51
ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดอ์ิ ย่างยิง่ ในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า วิญญาณของข้าพเจ้าจะชืน่ ชมยินดี ในพระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ประทานความรอดพ้นแก่ขา้ พเจ้าเป็นเสมือนอาภรณ์ ทีท่ รงสวมให้ ประทานความชอบธรรมให้ขา้ พเจ้าเป็นเสมือนเสือ้ คลุม ข้าพเจ้าเป็นเหมือน เจ้าบ่าวทีโ่ พกศีรษะอย่างงดงาม เหมือนเจ้าสาวประดับตนด้วยเพชรนิลจินดา เพราะแผ่น ดินบังเกิดพืชผล และสวนทำ�ให้เมล็ดพืชงอกขึน้ ฉันใด องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าก็ทรงบันดาลให้ ระลึกถึงดวงหทัยนิรมล เกิดความชอบธรรมและการสรรเสริญ ต่อหน้านานาชาติฉนั นัน้ ของพระแม่มารีย์ โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาล ปัสกาทุกปี เมือ่ พระองค์มพี ระชนมายุสบิ สองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขนึ้ ไป กรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทาง กลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับ พระนางมารียต์ ามหาพระองค์ในหมูญ ่ าติและคนรูจ้ กั เมือ่ ไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ ในหมูอ่ าจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนทีไ่ ด้ฟงั พระองค์ตา่ งประหลาดใจใน พระปรีชาทีท่ รงแสดงในการตอบคำ�ถาม เมือ่ โยเซฟพร้อมกับพระนางมารียเ์ ห็นพระองค์ ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำ�ไมจึงทำ�กับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำ�ไม พ่อ แม่ไม่รหู้ รือว่า ลูกต้องอยูใ่ นบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับพระนางมารียไ์ ม่ เข้าใจที่พระองค์ตรัส พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสอง พระมารดาทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัย
เรามักจะเห็นรูปดวงพระทัยของพระมารดาอยูค่ กู่ บั ดวงพระทัยของพระเยซูเจ้า ทัง้ คูถ่ กู ล้อมรอบด้วยหนาม แม้จะเจ็บปวดและเต็มด้วยความผิดหวัง พระมารดาก็ยงั ยอมรับ ทุกสิ่งตามนํ้าพระทัย ตัวอย่างของดวงใจของแม่ส�ำ หรับเราคือ ไม่จ�ำ เป็นต้องเข้าใจทุกอย่าง แต่จ�ำ เป็นต้อง วางใจในพระหัตถ์ของพระ และยินดียอมรับทุกอย่างแม้ไม่เข้าใจ
ลก 1:46-48,49-51, 52-55
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 12:1-11
สมโภช น.เปโตร และ น.เปาโล อัครสาวก
เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเริ่มเบียดเบียนสมาชิกบางคนของพระศาสนจักร พระองค์ทรงประหารยากอบพี่ชายของยอห์นโดยตัดศีรษะ เมื่อทรงเห็นว่าชาวยิวพอใจ จึงทรงจับกุมเปโตรด้วย ขณะนั้น อยู่ในระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เมื่อทรงจับกุม เปโตรแล้ว ก็ทรงจองจำ�เขาไว้ในคุก ให้ทหารสี่หมู่ หมู่ละสี่คนควบคุมไว้ ตั้งพระทัยว่า เมื่อสิ้นเทศกาลปัสกาแล้วจะทรงนำ�ไปพิจารณาคดีต่อหน้าประชาชน ขณะที่เปโตรถูกจองจำ�อยู่ในคุก พระศาสนจักรอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าเพื่อเขา ตลอดเวลา คืนก่อนที่กษัตริย์เฮโรดจะทรงนำ�เปโตรไปพิจารณาคดี เปโตรนอนหลับอยู่ระหว่าง ทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และมีทหารยามเฝ้าหน้าประตูคกุ ทันใดนัน้ ทูตสวรรค์ องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้ามาใกล้ มีแสงสว่างจ้าในห้องขัง ทูตสวรรค์สะกิด ข้างกายเปโตรปลุกให้ตื่นขึ้น แล้วสั่งว่า “เร็วเข้า ลุกขึ้นเถอะ” โซ่ก็หลุดไปจากมือของ เปโตร ทูตสวรรค์สงั่ เปโตรว่า “จงคาดสะเอวและสวมรองเท้า” เปโตรก็ท�ำ ตาม ทูตสวรรค์ สัง่ อีกว่า “จงสวมเสือ้ คลุม แล้วตามข้าพเจ้ามาเถิด” เปโตรจึงตามทูตสวรรค์ออกไป ไม่รู้ สึกตัวว่าสิง่ ทีท่ ตู สวรรค์ก�ำ ลังทำ�ให้ตนนัน้ เกิดขึน้ จริง คิดว่ากำ�ลังเห็นนิมติ ทูตสวรรค์และ เปโตรผ่านยามชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง มาถึงประตูเหล็กที่เป็นทางผ่านเข้าไปในเมือง ประตู นั้นก็เปิดได้เอง ทูตสวรรค์และเปโตรจึงออกไปเดินตามถนนสายหนึ่ง แล้วทูตสวรรค์ก็ หายไปในทันที เปโตรรูส้ กึ ตัว พูดว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้ารูแ้ น่แล้วว่า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์ มาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์เฮโรดและจากความมุ่งร้ายทั้งหลายของ ประชาชนชาวยิว”
เพลงสดุดี
สดด 34:1-2,3-4,5-7,8-10
ก) ข้าพเจ้าจะถวายพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล คำ�สรรเสริญพระองค์จะติดอยู่กับริมฝีปากของข้าพเจ้าเสมอ จิตใจข้าพเจ้าจะภูมิใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ตํ่าต้อยจงฟังและชื่นชมเถิด ข) จงประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกับข้าพเจ้าเถิด เราจงโห่ร้องถวายชัยแด่พระนามของพระองค์พร้อมกัน ข้าพเจ้าแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความกลัวทั้งมวล ค) จงจับตาดูพระองค์ แล้วใบหน้าของท่านจะสดใส ไม่มีวันจะต้องอับอายเลย คนยากจนร้องทูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงฟัง
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง 2 ทธ 4:6-8,17-18
พี่น้อง ชีวิตของข้าพเจ้ากำ�ลังจะถูกถวายเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะต้องจากไป ข้าพเจ้าต่อสูม้ าอย่างดี วิง่ มาถึงเส้นชัย และรักษาความเชือ่ ไว้แล้ว ยังเหลืออยูก่ เ็ พียงมงกุฎแห่งความชอบ ธรรม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรมจะประทานให้ข้าพเจ้าในวันนั้น และไม่ใช่เพียง ให้ข้าพเจ้าเท่านั้น แต่จะประทานให้ทุกคนที่มีความรักเฝ้ารอคอยการแสดงพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน มีแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงยืนอยู่เคียงข้างและประทานกำ�ลังแก่ข้าพเจ้า เพื่อการประกาศข่าวดีจะ ได้สำ�เร็จไปโดยทางข้าพเจ้า และคนต่างชาติทั้งหลายจะได้ฟังข่าวดี ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถูกฉุดให้พ้นจากปาก สิงโตมาได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการประทุษร้ายทั้งสิ้น และจะทรงนำ�ข้าพเจ้าไป สูพ่ ระอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์อย่างปลอดภัย ขอพระสิรริ งุ่ โรจน์จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรนั ดรเทอญ อาเมน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 16:13-19
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟีลปิ และตรัสถามบรรดาศิษย์วา่ “คนทัง้ หลาย กล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำ�พิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประ กาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสต เจ้า พระบุตรของพระเจ้าผูท้ รงชีวติ ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะ ไม่ใช่มนุษย์ทเี่ ปิดเผยให้ทา่ นรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผูส้ ถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านคือ ศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบ กุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ใน แผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”
นักบุญเปโตรเป็นคนธรรมดา มีการศึกษาน้อยโผงผาง โฉ่งฉ่าง อาชีพทำ�ประมง เคยถูกต่อว่าจาก พระอาจารย์ว่าเป็นซาตาน เคยปฏิเสธและคิดหนีเพราะความกลัว ส่วนนักบุญเปาโลมาจากครอบครัวที่มีการศึกษา เป็นนักพูด นักเขียน นักเทศน์ เป็นชาวยิวชั้นผู้นำ� เคยออกหน้าในการปราบปรามผู้ที่ติดตามพระคริสตเจ้า สิง่ ทีท่ งั้ สองท่านมีเหมือนกันคือหัวใจทีย่ งิ่ ใหญ่ ทีท่ มุ่ เทเต็มร้อยสำ�หรับพระอาจารย์เจ้า เราฉลองคิดถึง ความยิ่งใหญ่ของท่าน และในเวลาเดียวกันเราอยากขอให้ท่านช่วยเพิ่มความรักของเราต่อพระอาจารย์ เพื่อจะทุ่มเทชีวิตเต็มที่เยี่ยงท่าน
น.ปฐมมรณสักขี แห่งพระศาสนจักร กรุงโรม สดด 50:16-18, 19-21,22-23
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1
อมส 2:6-10,13-16
พระวรสาร
มธ 8:18-22
องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ “เพราะชาวอิสราเอลได้ลว่ งละเมิดสามครัง้ และสีค่ รัง้ เราจะตัดสินลงโทษและจะไม่ กลับคำ� เพราะเขาได้ขายผูช้ อบธรรมเพือ่ เงิน ขายคนขัดสนเพือ่ รองเท้าแตะคูเ่ ดียว เขาทัง้ หลายได้เหยียบยํา่ ศีรษะของคนยากจนลงไปในฝุน่ ของแผ่นดิน ทำ�ให้หนทางของผูต้ า่ํ ต้อย ต้องหันเหไป บุตรและบิดาเข้าหาหญิงสาวคนเดียวกัน เป็นการลบหลูน่ ามศักดิส์ ทิ ธิข์ องเรา เขาใช้เสือ้ ผ้าทีย่ ดึ เป็นประกันมาปูนอนอยูข่ า้ งพระแท่นบูชาทุกแท่น เขาดืม่ เหล้าองุน่ ทีเ่ ป็น ค่าปรับจากประชาชน ในบ้านพระเจ้าของตน เราเองได้ท�ำ ลายชนเผ่าอาโมไรต์ตอ่ หน้าเขา แม้ชาวอาโมไรต์มรี า่ งสูงเหมือนต้นสนสีดาร์ และแข็งแรงเหมือนต้นโอ๊ก เราได้ท�ำ ลายผล ของเขาจากเบือ้ งบน และทำ�ลายรากของเขาจากเบือ้ งล่าง เราได้ให้ทา่ นทัง้ หลายขึน้ มาจาก แผ่นดินอียิปต์ นำ�ทางท่านในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบปี เพื่อท่านจะได้ครอบครอง กรรมสิทธิท์ ด่ี นิ ของชนเผ่าอาโมไรต์ เมือ่ เป็นเช่นนี้ เราจะกดท่านลงในทีท่ ท่ี า่ นอยู่ เหมือนเกวียนทีบ่ รรทุกฟ่อนข้าวอัดแน่น จมลงในดิน แม้ผวู้ ง่ิ เร็วก็จะหนีไม่ทนั คนแข็งแรงจะใช้ก�ำ ลังของตนก็ไม่ได้ ทหารชำ�นาญศึก จะช่วยชีวติ ของตนให้รอดพ้นก็ไม่ได้ ผูย้ งิ ธนูจะยืนหยัดอยูไ่ ม่ได้ ผูม้ ฝี เี ท้าเร็วช่วยตนเองไม่ ได้ ผูข้ ม่ี า้ ก็ชว่ ยชีวติ ตนเองไม่ได้ ในวันนัน้ แม้แต่นกั รบกล้าหาญทีส่ ดุ ก็จะทิง้ อาวุธหนีไป” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเห็นประชาชนห้อมล้อมพระองค์ จึงทรงสั่งบรรดาศิษย์ให้ ข้ามทะเลสาบไปอีกฝัง่ หนึง่ ธรรมาจารย์คนหนึง่ เข้ามาทูลว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าอยาก ติดตามพระองค์ไปทุกแห่งทีพ่ ระองค์จะเสด็จ” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “สุนขั จิง้ จอก ยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ” ศิษย์อีกคนหนึง่ ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงอนุญาตให้ขา้ พเจ้าไปฝังศพบิดาของ ข้าพเจ้าเสียก่อน” แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา และปล่อยให้คนตายฝัง คนตายของตนเถิด”
ถ้าคิดจะติดตามพระเยซูเจ้า ต้องไม่คดิ ทีจ่ ะคำ�นวณการได้เสีย หรือความคุม้ ค่าใดๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อแลกเปลี่ยนด้านปัจจัยสี่ หรือเรื่องครอบครัว พระเยซูเจ้าเรียกร้องความ รัก ความทุ่มเท ชนิดที่ต้องวางใจในพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม