06 มิถุนายน 2016

Page 1


บทอ่านที่ 1

ระลึกถึง น.ยุสติน มรณสักขี สดด 123:1-2 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร

2 ทธ 1:1-3,6-12

จากเปาโล อัครสาวกของพระคริสตเยซู โดยพระประสงค์ของพระเจ้าตามพระ สัญญาที่จะประทานชีวิตให้เราในพระคริสตเยซู ถึงทิโมธีลูกรัก ขอพระหรรษทาน พระเมตตาและสันติจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระคริสต เยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา สถิตกับท่านเถิด... ข้าพเจ้าจึงเตือนความจ�ำของท่านเพื่อให้พระพรพิเศษของพระเจ้าเป็นไฟที่รุ่งโรจน์ ขึ้นอีก ท่านได้รับพระพรนี้โดยการปกมือของข้าพเจ้า พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่บันดาล ความขลาดกลัว แต่ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเอง แก่เรา ดังนัน้ ท่านอย่าอายทีจ่ ะเป็นพยานถึงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา หรืออายทีข่ า้ พเจ้า ต้องถูกจองจ�ำเพราะพระองค์ แต่จงเข้ามามีสว่ นร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพือ่ ข่าวดี โดยพระอานุภาพของพระเจ้า ผูท้ รงช่วยเราให้รอดพ้น และทรงเรียกเราให้เป็นผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิ์ ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เราท�ำ แต่เพราะพระประสงค์และพระหรรษทานของพระองค์ พระองค์ ประทานพระหรรษทานนีแ้ ก่เราแล้วในพระคริสตเยซูกอ่ นกาลเวลา แต่บดั นีท้ รงเปิดเผย โดยการส�ำแดงพระองค์ของพระผู้ไถ่คือพระคริสตเยซู ผู้ทรงท�ำลายความตาย และทรง น�ำชีวติ และความไม่รจู้ กั ตายให้ปรากฏอย่างชัดแจ้งโดยทางข่าวดี ข้าพเจ้าได้รบั แต่งตัง้ ให้ เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครสาวกและเป็นครูเพื่อประกาศข่าวดีนี้...

มก 12:18-27

ต่อมา ชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้า คนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพ เขาทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ โมเสสเขียนสัง่ ไว้วา่ ถ้าพีช่ ายตาย ทิง้ ภรรยาไว้โดยไม่มบี ตุ ร ก็ให้นอ้ งชายของเขารับเอาหญิงนัน้ มาเป็นภรรยา เพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชาย ยังมีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกมีภรรยาแล้วตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่ สองก็รับนางเป็นภรรยาแล้วตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่สามก็เช่นเดียวกัน ทั้งเจ็ดคนไม่มีบุตรเลย ในที่สุดหญิง คนนัน้ ก็ตายไปด้วย เมือ่ มนุษย์จะกลับคืนชีพในวันกลับคืนชีพ หญิงนัน้ จะเป็นภรรยาของใคร เพราะทัง้ เจ็ดคน ต่างได้นางเป็นภรรยา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านคิดผิดไปแล้วมิใช่หรือ ท่านไม่เข้าใจพระคัมภีร์และไม่รู้จักพระอานุภาพของ พระเจ้า เมื่อผู้ตายจะกลับคืนชีพนั้น จะไม่มีการแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ ส่วนเรือ่ งผูต้ ายกลับคืนชีพนัน้ ท่านไม่ได้อา่ นหนังสือของโมเสสตอนทีก่ ล่าวถึงพุม่ ไม้หรือว่าพระเจ้าตรัสกับเขา อย่างไร พระองค์ตรัสว่า “เราคือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ พระองค์มิใช่ พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น ท่านคิดผิดไปมากทีเดียว” การที่พระเยซูเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้นและทรงเรียกเราให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น ถือเป็นพระพรพิเศษของ พระองค์ท่ีประทานให้แก่เรา ไม่ใช่เพราะคุณงามความดีของเรา แต่เป็นเพราะพระประสงค์ของพระองค์ เราต้อง ตระหนักในพระพรของพระองค์เสมอ โดยเฉพาะพระพรแห่งชีวิตนิรันดร ซึ่งพระเยซูเจ้าได้ตอบค�ำถามที่งี่เง่าของพวก สะดูสีเกี่ยวกับการกลับคืนชีพว่า การกลับคืนชีพนั้นเป็นการเข้าสู่ชีวิตใหม่อย่างแท้จริง ไม่ใช่การกลับสู่ชีวิตบนโลกนี้อีก ดังนั้น จงประกาศข่าวดีแห่งชีวิตนิรันดรแก่เพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้างเรา


บทอ่านที่ 1

2 ทธ 2:8-15

พี่น้อง จงระลึกถึง “พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด” ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศ เพราะข่าวดีนี้เอง ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์จนต้องถูกจองจ�ำเหมือนเป็นอาชญากร แต่พระวาจาของพระเจ้าจะ ถูกจองจ�ำไม่ได้ ดังนัน้ ข้าพเจ้าจึงทนทุกสิง่ เพือ่ เห็นแก่ผทู้ ไี่ ด้รบั เลือกสรร เพือ่ พวกเขาจะ ได้รบั ความรอดพ้นซึง่ อยูใ่ นพระคริสตเยซู พร้อมกับชีวติ ในสิรริ งุ่ โรจน์ตลอดนิรนั ดรด้วย ต่อไปนี้คือถ้อยค�ำที่เชื่อถือได้ ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ ถ้าเราอดทนมั่นคง เราย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์ ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ย่อมจะทรงปฏิเสธเรา ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไป เพราะจะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้ จงเตือนทุกคนให้ระลึกถึงเรื่องนี้และจงก�ำชับเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อย่า โต้เถียงกันเรื่องถ้อยค�ำ เพราะไม่มีประโยชน์ใดนอกจากความพินาศของผู้ฟัง ท่านจง ขวนขวายที่จะแสดงตนว่าพระเจ้าทรงรับรองท่านแล้ว เป็นคนงานที่ไม่ต้องอายใคร เป็น ผู้สั่งสอนพระวาจาแห่งความจริงอย่างถูกต้อง

พระวรสาร

น.มาร์แชลลิน น.เปโตร มรณสักขี

สดด 25:4-6,7,8-10 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

มก 12:28-34

เวลานัน้ ธรรมาจารย์คนหนึง่ เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟงั การโต้เถียงเรือ่ งนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ ดี จึงทูลถามพระองค์วา่ “บทบัญญัตขิ อ้ ใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัตขิ อ้ อืน่ ๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติ เอกก็คอื อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์ เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดก�ำลังของ ท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่ กว่าบทบัญญัติสองประการนี้” ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าว ว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย การจะรักพระองค์สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดก�ำลัง และรักเพือ่ นมนุษย์เหมือนรักตนเองนีม้ คี ณ ุ ค่ามากกว่าเครือ่ งเผาบูชา หรือเครือ่ ง สักการบูชาใดๆ ทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระ อาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย ในพันธสัญญาเดิมหนังสือเฉลยธรรมบัญญัตสิ อนให้รกั พระเป็นเจ้า หนังสือเลวีนติ สิ อนให้รกั เพือ่ นมนุษย์ ส�ำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ไม่ได้แยกความรักทั้งสองออกจากกัน เมื่อพระองค์ตอบค�ำถามของธรรมาจารย์ พระองค์ บอกว่าเราต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดจิตสุดใจ แต่พระองค์ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ พระองค์เสริมอีกว่า เราต้องรักเพื่อนพี่ น้องของเราเหมือนทีเ่ รารักตนเองด้วย พระองค์ได้รวมบัญญัติ 2 ข้อนี้เป็นบัญญัติข้อเดียว นั่นคือเราไม่สามารถรักองค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าได้อย่างแท้จริง ถ้าเราไม่รกั เพือ่ นพีน่ อ้ งของเรา และเราก็ไม่สามารถรักเพือ่ นพีน่ อ้ งของเราได้อย่างแท้จริง ถ้าเราไม่รักองค์พระผู้เป็นเจ้า


บทอ่านที่ 1

สมโภชพระหฤทัย ของพระเยซูเจ้า สดด 23:1-6 วันศุกร์ต้นเดือน

อสค 34:11-16

องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ “ดูซิ เราจะเอาใจใส่และจะแสวงหาฝูงแกะ ของเราเอง ผู้เลี้ยงแกะอยู่กับฝูงแกะและรวบรวมแกะที่กระจัดกระจายไปฉันใด เราก็ จะรวบรวมแกะของเราฉันนั้น เราจะช่วยแกะให้พ้นจากสถานที่ที่แกะได้กระจัดกระจาย ไปอยู่ในวันที่มีเมฆและมีความมืดทึบ เราจะน�ำแกะของเราออกมาจากชนชาติต่างๆ จะ รวบรวมแกะมาจากแผ่นดินทัง้ หลาย และจะน�ำมาไว้ในแผ่นดินของเขา เราจะเลีย้ งดูเขา บนภูเขาแห่งอิสราเอล ในหุบเขาและในทีท่ มี่ คี นอาศัยของแผ่นดิน เราจะเลีย้ งดูเขาในทุง่ หญ้าดีๆ ทุ่งหญ้าของเขาจะอยู่บนภูเขาสูงต่างๆ แห่งอิสราเอล ที่นั่นเขาจะนอนลงบนทุ่ง หญ้าทีด่ ี และเขาจะเล็มหญ้าอยูต่ ามทุง่ หญ้าอุดมบนภูเขาแห่งอิสราเอล เราเองจะเป็นผู้ เลี้ยงแกะของเรา เราจะให้เขานอนพัก องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส เราจะตามหาแกะ ที่สูญหายไป เราจะน�ำแกะที่หลงทางกลับมา เราจะพันแผลแกะที่บาดเจ็บ เราจะเสริม ก�ำลังแกะทีอ่ อ่ นเพลีย เราจะดูแลแกะทีอ่ ว้ นและแข็งแรง เราจะเลีย้ งเขาอย่างยุตธิ รรม”

บทอ่านที่ 2

รม 5:5-11

พระวรสาร

ลก 15:3-7

พี่น้อง ความหวังนี้ไม่ท�ำให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานให้เรา ทรงหลั่งความรักของ พระเจ้าลงในดวงใจของเรา ขณะทีเ่ รายังอ่อนแอ พระคริสตเจ้าสิน้ พระชนม์เพือ่ คนบาปตามเวลาทีก่ ำ� หนด ยาก ที่จะหาคนที่ยอมตายเพื่อคนชอบธรรม บางครั้งอาจจะมีคนยอมตายแทนคนดีจริงๆ ได้ แต่พระเจ้าทรงพิสูจน์ ว่าทรงรักเรา เพราะพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเราขณะที่เรายังเป็นคนบาป บัดนี้ เมื่อเราได้รับความชอบ ธรรมโดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์แล้ว เดชะพระองค์ เราก็ยิ่งจะได้รับความรอดพ้นจากการถูกพระเจ้า ลงโทษ ถ้าเรากลับคืนดีกับพระเจ้าเดชะการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรขณะที่เรายังเป็นศัตรูอยู่ ยิ่งกว่านั้นเมื่อ กลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดพ้นเดชะพระชนมชีพของพระองค์ด้วย... เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสค�ำอุปมาให้พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ฟังว่า “ท่านใดทีม่ แี กะหนึง่ ร้อยตัว ตัวหนึง่ หายไป จะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิน่ ทุรกันดาร ออกไปตามหา แกะที่หายไปจนพบหรือ เมื่อพบแล้ว เขาจะยกมันใส่บ่าด้วยความยินดี กลับบ้าน เรียกมิตรสหายและเพื่อน บ้านมา พูดว่า ‘จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ เราบอกท่านทั้งหลายว่าในสวรรค์จะมี ความยินดีเช่นนีเ้ พราะคนบาปคนหนึง่ กลับใจมากกว่าความยินดีเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนทีไ่ ม่ตอ้ งการ กลับใจ” เพราะบาปของเรา ท�ำให้พระเยซูเจ้าต้องถูกตรึงกางเขนและสิน้ พระชนม์ จากสีขา้ งทีถ่ กู แทงโลหิตและ น�้ำก็ไหลออกมา พระโลหิตก็คือศีลมหาสนิท น�้ำก็คือศีลล้างบาปและชีวิตนิรันดร ดังนั้นพระองค์ได้ประทานพระพรอัน ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่เรา คือตัวพระองค์เองและชีวิตนิรันดร โดยวิธีที่น่าสะพรึงกลัวนี้พระองค์ได้แสดงความรักต่อเรา วัน สมโภชพระหฤทัยพระเยซูเจ้านี้เตือนเราให้เป็นเหมือนองค์พระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงกางเขน คือรักผู้ที่เกลียดชังเรา รักผู้ที่ ท�ำให้เราเจ็บปวด และภาวนาให้เขาเสมอ


บทอ่านที่ 1

อสย 61:10-11

ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้า วิญญาณของข้าพเจ้าจะชื่นชม ยินดีในพระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ประทานความรอดพ้นแก่ขา้ พเจ้าเป็นเสมือน อาภรณ์ที่ทรงสวมให้ ประทานความชอบธรรมให้ข้าพเจ้าเป็นเสมือนเสื้อคลุม ข้าพเจ้า เป็นเหมือนเจ้าบ่าวทีโ่ พกศีรษะอย่างงดงาม เหมือนเจ้าสาวประดับตนด้วยเพชรนิลจินดา เพราะแผ่นดินบังเกิดพืชผล และสวนท�าให้เมล็ดพืชงอกขึ้นฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้เกิดความชอบธรรม และการสรรเสริญต่อหน้านานาชาติฉันนั้น

พระวรสาร

ลก 2:41-51

โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาล ปัสกาทุกปี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้น ไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดิน ทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิด ว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับ พระนางมารียต์ ามหาพระองค์ในหมูญ ่ าติและคนรูจ้ กั เมือ่ ไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ ในหมูอ่ าจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนทีไ่ ด้ฟงั พระองค์ตา่ งประหลาดใจใน พระปรีชาทีท่ รงแสดงในการตอบค�าถาม เมือ่ โยเซฟพร้อมกับพระนางมารียเ์ ห็นพระองค์ ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ท�าไมจึงท�ากับเราเช่นนี้ ดู ซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกท�าไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับพระนาง มารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสองคน พระมารดาทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัย เราระลึกถึงดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ต่อจากวันสมโภชพระหฤทัยพระ เยซูเจ้า เพราะหัวใจทัง้ สองมีความคล้ายคลึงกันและเกีย่ วข้องกัน “พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า” แสดงถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษยชาติ “ดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์” แสดงถึง ความรักของพระนางต่อพระเยซูเจ้าและต่อพระเป็นเจ้า วันนี้เราระลึกถึง “ชีวิตด้านใน” ของ พระแม่มารีย์ ระลึกถึงความปีติยินดีและความสุขของพระมารดาพระเจ้า ระลึกถึงคุณธรรม และความครบครันของพระนางต่อพระเป็นเจ้า ต่อพระบุตรและต่อมนุษยชาติ

ระลึกถึง ดวงหทัยนิรมล ของแม่พระ 1 ซมอ 2:1,4-8 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1


บทอ่านจากหนังสือพงศกษัตริย ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 17:17-24

สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2 วันสิ่งแวดล้อมโลก

ต่อมา บุตรชายของหญิงเจ้าของบ้านป่วยอาการหนัก ในที่สุดก็ตาย นางจึงต่อว่า เอลียาห์ว่า “ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า ท่านต้องการอะไรจากดิฉัน ท่านมาที่นี่เพื่อเตือน ให้ดฉิ นั ระลึกถึงความผิด เพือ่ ฆ่าลูกชายของดิฉนั หรือ” เอลียาห์บอกนางว่า “จงส่งลูกมา ให้ฉนั เถิด” เอลียาห์รบั เด็กมาจากอ้อมกอดของนาง อุม้ ไปวางบนเตียงของตนในห้องชัน้ บนที่เขาพักอยู่ เขาร้องเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของ ข้าพเจ้า ท�าไมพระองค์ทรงบันดาลให้เกิดเหตุรา้ ยแก่หญิงม่ายคนนีท้ ตี่ อ้ นรับข้าพเจ้าอย่าง ดี ท�าไมพระองค์จึงทรงฆ่าลูกของนาง” เอลียาห์นอนทับเด็กคนนั้นสามครั้ง แล้วร้อง เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้า ขอให้เด็กมีลม หายใจอีกครัง้ หนึง่ เถิด” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงฟังเสียงร้องของเอลียาห์ เด็กก็มลี มหายใจ อีกครั้งหนึ่ง เขาก็มีชีวิต เอลียาห์น�าเด็กจากห้องชั้นบนลงไปชั้นล่าง และมอบให้มารดา เอลียาห์พูดว่า “ดูซิ ลูกของเธอยังมีชีวิต” หญิงคนนั้นตอบว่า “บัดนี้ ดิฉันรู้แล้วว่า ท่านเป็นคนของพระเจ้า และพระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสจากปากของท่านก็เป็น ความจริง”

เพลงสดุดี

สดด 30:1-2,4-5ก,11-12

ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ายกย่องสรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมา พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้เหล่าศัตรูยินดีที่เห็นข้าพเจ้าประสบเคราะห์ร้าย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือ จากพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาข้าพเจ้าให้หาย ข) ท่านทัง้ หลายผูจ้ งรักภักดีตอ่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า จงขับร้องสดุดถี วายพระองค์เถิด จงสรรเสริญระลึกถึงพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พระพิโรธคงอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่ความโปรดปรานของพระองค์ด�ารงอยู่ ตลอดชีวิต ค) พระองค์ทรงเปลี่ยนการร�่าไห้ของข้าพเจ้าให้เป็นการเริงระบ�า ทรงเปลื้องเสื้อผ้ากระสอบของข้าพเจ้าและประทานอาภรณ์งดงามให้ข้าพเจ้ายินดี ดังนั้น ดวงใจข้าพเจ้าจะขับร้องถวายพระองค์มิหยุดหย่อน ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ตลอดไป

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย กท 1:11-19

พี่น้อง ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า ข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศไปแล้วนั้น มิใช่ข่าวที่มาจากมนุษย์ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้รับมาจากมนุษย์ มิได้เรียนรู้จากมนุษย์ แต่ ได้รับจากการเปิดเผยของพระเยซูคริสตเจ้า ท่านทั้งหลายต้องเคยได้ยินเรื่องความ


ประพฤติในอดีตของข้าพเจ้าเมื่อยังยึดถือลัทธิยิว ว่า ข้าพเจ้าเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระเจ้าอย่าง รุนแรง และพยายามท�ำลายด้วย ข้าพเจ้าเคร่งครัดใน ลัทธิยิวมากกว่าเพื่อนชาวยิวรุ่นเดียวกันหลายคน และ มีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งในการรักษาประเพณีของ บรรพบุรุษ แต่พระเจ้าผู้ทรงเลือกสรรข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่ ยังอยูใ่ นครรภ์มารดา ก็ทรงเรียกข้าพเจ้าเดชะพระหรรษ ทานของพระองค์ และพอพระทัยที่จะส�ำแดงพระบุตร ของพระองค์ในตัวข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้ประกาศ ข่าวดีถึงพระบุตรแก่บรรดาคนต่างศาสนา ข้าพเจ้าไม่ได้ ปรึกษามนุษย์ผู้ใดเลย และไม่ได้ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อพบกับผู้เป็นอัครสาวกก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้า ออกเดินทางไปยังอาราเบีย และกลับมายังเมืองดามัสกัสอีก สามปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อท�ำความรู้จักกับเคฟาส และพักอยู่กับเขาเป็นเวลาสิบห้าวัน ข้าพเจ้าไม่พบอัครสาวกอื่นๆ นอกจาก ยากอบ ผู้เป็นน้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา

ลก 7:11-17

หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่เมืองหนึ่งชื่อนาอิน บรรดาศิษย์และประชาชนจ�ำนวนมาก ติดตามพระองค์ไป เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ประตูเมืองก็ทรงเห็นคนหามศพออกมา ผู้ตายเป็นบุตรคน เดียวของมารดาซึ่งเป็นม่าย ชาวเมืองกลุ่มใหญ่มาพร้อมกับนางด้วย เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนาง ก็ทรงสงสารและตรัสกับนางว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย” แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ ทรงแตะแคร่หามศพ คนหามก็หยุด พระองค์จึงตรัสว่า “หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” คนตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูด พระเยซูเจ้าจึงทรงมอบเขาให้แก่มารดา ทุกคนต่างมีความกลัวและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า กล่าวว่า “ประกาศกยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นในหมู่เรา พระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์” และข่าวเรื่องนี้ก็ แพร่ไปทั่วแคว้นยูเดียและทั่วอาณาบริเวณนั้น

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นเหตุให้เราร้องไห้ และแน่นอนหนึ่งในนั้นก็คือความตาย ความตาย ท�ำให้น�้ำตาไหล แม้แต่ส�ำหรับพระเยซูเจ้าเอง แต่เพราะพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์เป็นผู้ที่ให้ความ หวัง ความบรรเทาใจแก่ผู้ที่เศร้าโศกจากการสูญเสียผู้ที่เป็นที่รัก ความตายเป็นช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวที่สุดของชีวิต แต่ส�ำหรับเราคริสตชน อย่าคิดว่าเราก�ำลังเผชิญกับสิ่งที่น่ากลัว แต่ให้เป็นเหมือนเด็กที่เมืองนาอิน เขาได้พบกับ พระเยซูเจ้าผู้ที่รักและเห็นใจเขา


น.นอร์เบิร์ต พระสังฆราช สดด 121:1-2,3-5,6-8 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1

1 พกษ 17:1-6

พระวรสาร

มธ 5:1-12

ครัง้ นัน้ เอลียาห์ชาวทิชบีจากเมืองทิชบีในแคว้นกิเลอาด ทูลกษัตริยอ์ าคับว่า “องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึง่ ข้าพเจ้ารับใช้ทรงพระชนม์อยูฉ่ นั ใด จะไม่มนี า�้ ค้าง หรือฝนตกในปีต่อๆ ไป จนกว่าข้าพเจ้าจะสั่งฉันนั้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาเอลียาห์ว่า “จงไปจากที่นี่ ไปทางทิศตะวันออก แล้ว ซ่อนตัวอยู่ใกล้ล�าธารเครีท ทางฟากตะวันออกของแม่น�้าจอร์แดน ท่านจะดื่มน�้าจาก ล�าธาร และเราจะสั่งนกกาให้น�าอาหารไปให้ท่านที่นั่น” เอลียาห์ก็ไป และปฏิบัติตาม พระบัญชาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เขาไปอยูข่ า้ งล�าธารเครีท ทางฟากตะวันออกของแม่นา�้ จอร์แดน นกกาน�าขนมปังและเนื้อมาให้เขาเวลาเช้า และน�าขนมปังและเนื้อมาให้เขา เวลาเย็น เขาดื่มน�้าจากล�าธาร เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนจ�านวนมาก จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับแล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า “ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า ผูถ้ กู เบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์ เป็นของเขา ท่านทัง้ หลายย่อมเป็นสุข เมือ่ ถูกดูหมิน่ ข่มเหงและใส่รา้ ยต่างๆ นานาเพราะเรา จง ชื่นชมยินดีเถิด เพราะบ�าเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก บรรดาประกาศก ก่อนหน้าท่านก็เคยถูกเบียดเบียน” ประกาศกเอลียาห์ต้องใช้ความกล้าหาญเพื่อจะเผชิญหน้ากษัตริย์อาคับ พระองค์ได้ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะอิทธิพลของพระนางเยเซเบลมเหสีชาวต่างชาติที่น�า พระบาอัลเข้ามาแทน เอลียาห์ว่ากล่าวตักเตือนกษัตริย์อาคับ และบอกว่าจะเกิดภัยแล้งเพื่อ เป็นการลงโทษ การท�าเช่นนีท้ า� ให้เอลียาห์อยูใ่ นอันตราย องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงเตือนให้ทา่ นหลบ หนีไปก่อนโดยพระองค์จะปกป้องดูแลท่านเอง ประกาศกเอลียาห์ได้ด�าเนินชีวิตสอดคล้องกับ “บุญลาภ 8 ประการ” แม้เวลานั้นท่านยังไม่เคยได้ยินก็ตาม เพราะบุญลาภทุกประการสรุปอยู่ ที่ “วางใจในพระเจ้า แล้วเราจะพบความสุข” แม้ชีวิตของเราจะถูกท้าทายอย่างไร เราก็ต้อง วางใจในพระองค์เสมอ การ “มีใจยากจน” หมายถึง เราวางใจในพระเจ้าอย่างสมบูรณ์เหมือน กับเอลียาห์วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า


บทอ่านที่ 1

1 พกษ 17:7-16

ต่อมาไม่นาน น�้ำในล�ำธารก็แห้ง เพราะฝนไม่ตกบนแผ่นดิน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์ว่า “จงออกเดินทางไปเมืองศาเรฟัทในเขต ไซดอนและจงอยู่ที่นั่น เราได้สั่งหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงดูท่าน” เขาจึงออกเดิน ทางไปเมืองศาเรฟัท เมื่อมาถึงประตูเมือง ก็พบหญิงม่ายคนหนึ่งก�ำลังเก็บฟืนอยู่ เขา จึงเรียกนางสัง่ ว่า “จงน�ำน�ำ้ ในเหยือกมาให้ฉนั ดืม่ สักหน่อยเถิด” ขณะทีน่ างก�ำลังเดินไป ตักน�้ำ เขาก็ตะโกนสั่งว่า “จงน�ำขนมปังสักชิ้นหนึ่งมาให้ฉันด้วย” นางตอบว่า “ดิฉันขอ สาบานอ้างถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านผู้ทรงพระชนมชีพว่า ดิฉันไม่มีขนมปัง เลย มีแต่แป้งอยูใ่ นไหเพียงหนึง่ ก�ำมือ และมีนำ�้ มันมะกอกเทศนิดหน่อยในเหยือก ดิฉนั ก�ำลังเก็บฟืนสองสามท่อน จะกลับไปท�ำอาหารส�ำหรับดิฉันและลูกชาย เราจะกิน แล้ว เราจะตาย” เอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย ไปท�ำตามที่เธอพูดเถิด แต่จงท�ำขนมปัง ก้อนเล็กๆ น�ำมาให้ฉันกินก่อน แล้วจึงค่อยท�ำส�ำหรับเธอและลูก เพราะองค์พระผู้เป็น เจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า “แป้งในไหจะไม่หมด น�้ำมันในเหยือกจะไม่แห้ง จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะ ทรงส่งฝนให้ตกบนแผ่นดิน” หญิงม่ายกลับไปท�ำตามที่เอลียาห์สั่ง เอลียาห์ หญิงม่ายและบุตรมีอาหารกินเป็น เวลาหลายวัน แป้งในไหไม่ขาด และน�้ำมันในเหยือกไม่แห้ง ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสไว้โดยทางเอลียาห์

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา

สดด 4:1,2,3-4, 6-7 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

มธ 5:13-16

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาท�ำให้เค็ม ได้อีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบย�่ำ ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง ไม่มีใคร จุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุก คนในบ้าน ในท�ำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคน ทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”

หลังจากประกาศกเอลียาห์ได้ต�ำหนิกษัตริย์อาคับ ท�ำให้พระองค์พิโรธมาก ท่านจึงต้องหนีตามค�ำสั่ง ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ได้ดูแลประกาศกผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ผ่านทางความใจดีของหญิงม่ายที่ได้แบ่ง ปันอาหารและน�้ำแก่ท่าน ความใจกว้างของหญิงม่ายได้รับการตอบแทนจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เธอและลูกมีอาหารกิน จนกระทัง่ ความอดอยากผ่านพ้นไป พระเป็นเจ้าใจกว้างกับผูท้ ใี่ จกว้างเสมอ พระเยซูเจ้าเองก็ได้เรียกร้องให้ใจกว้างต่อผู้ อื่นด้วยการไม่เก็บซ่อนความดีไว้ เหมือนตะเกียงจะต้องไม่เก็บไว้ใต้ถัง อย่างที่พระองค์ตรัสว่า “แสงสว่างของท่านต้อง ส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”


บทอ่านที่ 1

1 พกษ 18:20-39

กษัตริยอ์ าคับทรงส่งคนไปเรียกชาวอิสราเอลทุกคนและประกาศกมาทีภ่ เู ขาคารเมล เอลียาห์เข้ามายืนต่อหน้าประชากรทั้งหลาย พูดว่า “ท่านทั้งหลายจะเหยียบเรือสอง แคมอยู่อีกนานเท่าใด ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ก็จงติดตามพระองค์เถิด แต่ถา้ พระบาอัลเป็นพระเจ้า ก็จงตามพระบาอัลไป” ประชาชนไม่ตอบว่ากระไร เอลียาห์ จึงพูดกับประชาชนต่อไปว่า “ข้าพเจ้าเป็นประกาศกเพียงคนเดียวขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ทีย่ งั เหลืออยู่ แต่ประกาศกของพระบาอัลมีจำ� นวนถึงสีร่ อ้ ยห้าสิบคน จงน�ำโคเพศผูม้ าส สัปดาห์ที่ 10 องตัว ให้เขาเลือกตัวหนึง่ ฆ่าแล้วตัดเป็นท่อนๆ วางบนกองฟืน แต่อย่าจุดไฟ ส่วนข้าพเจ้า เทศกาลธรรมดา สดด 16:1-2,4-5,8,11 ก็จะเตรียมโคอีกตัวหนึ่ง วางบนกองฟืนและไม่จุดไฟ ท่านทั้งหลายจงเรียกพระนาม พระเจ้าของท่าน ส่วนข้าพเจ้าจะเรียกพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ใดทรงส่งไฟ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 มา พระองค์นั้นทรงเป็นพระเจ้า” ประชากรทุกคนตอบว่า “เป็นข้อเสนอที่ดี” เอลียาห์ พูดกับประกาศกของพระบาอัล...เขาน�ำโคมาจัดเตรียม แล้วเรียกพระนามพระบาอัล ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงวัน...แต่ไม่มีเสียง ไม่มีค�ำตอบ เขาเต้นไปรอบๆ แท่นที่เขาสร้างขึ้น ถึงเวลาเที่ยง... เที่ยง วันผ่านไป เขายังคงพูดพร�่ำอยู่ในภวังค์ต่อไปจนถึงเวลาถวายเครื่องบูชา แต่ไม่มีเสียง ไม่มีค�ำตอบ ไม่มีใครฟัง เอลียาห์จงึ พูดกับประชากรทัง้ หลายว่า “จงเข้ามาใกล้ขา้ พเจ้าเถิด” ประชากรทุกคนเข้ามาใกล้เขา เอลียาห์ ลงมือซ่อมแซมพระแท่นบูชาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าซึง่ ถูกรือ้ ลงแล้ว เอลียาห์นำ� หินสิบสองก้อนตามจ�ำนวนเผ่า ลูกหลานของยาโคบ ซึง่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าประทานนามให้วา่ “อิสราเอล” เอลียาห์ใช้หนิ เหล่านัน้ สร้างพระแท่น บูชาถวายแด่พระนามองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า... เมือ่ ถึงเวลาถวายเครือ่ งบูชา ประกาศกเอลียาห์กเ็ ข้าไปใกล้พระแท่น บูชา ทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและอิสราเอล วันนี้โปรดทรงส�ำแดงให้เขาทั้ง หลายรูว้ า่ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในหมูช่ าวอิสราเอล...” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส่งไฟลงมาเผาเครือ่ งบูชา ฟืน หินและฝุน่ จนหมด ท�ำให้นำ�้ ในร่องแห้งไปด้วย ประชากรทุกคนเห็นดังนัน้ ก็ซบหน้าลงจรดพืน้ ดิน ร้องว่า “องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า”

พระวรสาร

มธ 5:17-19

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือค�ำสอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่ มาเพือ่ ปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ตราบใดทีฟ่ า้ และดินยังไม่สญ ู สิน้ ไป แม้แต่ตวั อักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะส�ำเร็จไป ดังนั้น ผู้ใดละเมิด ธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ต�่ำต้อยที่สุดใน อาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์” เรื่องราวอันน่าพิศวงในบทอ่านแรกในวันนี้ ท�ำให้ประชากรอิสราเอลตระหนักว่า พวกเขาควรนับถือ องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาหรือนับถือพระบาอัล ไฟที่ลงมาจากฟ้าเผาเครื่องบูชาและฟืนที่เปียกชุ่มด้วยน�้ำ เป็น อัศจรรย์ที่ท�ำให้น่าเชื่อยิ่งขึ้น ในพันธสัญญาใหม่พระเป็นเจ้าไม่ได้ส่งไฟลงมา แต่ได้ส่งพระบุตรของพระองค์เองลงมา ซึ่งแน่นอนยิ่งใหญ่กว่ามาก นี่คือเครื่องหมายอันน่าพิศวงที่จะท�ำให้เรารักและซื่อสัตย์ต่อพระองค์เสมอ ดังนั้น มิสซา ประจ�ำวันจึงมีความส�ำคัญมากเพราะเป็นการระลึกถึงการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าท่ามกลางเรา และเป็นการถวาย บูชาตัวพระองค์เองเพื่อเรา


บทอ่านที่ 1

1 พกษ 18:41-46

เอลียาห์ทูลกษัตริย์อาคับว่า “ขอเชิญเสด็จไปเสวยพระกระยาหารเถิด ข้าพเจ้า ได้ยินเสียงฝนใหญ่ก�าลังมาแล้ว” กษัตริย์อาคับเสด็จไปเสวยพระกระยาหาร เอลียาห์ ก็ขึ้นไปบนยอดเขาคารเมล ก้มลงกับพื้น ซบหน้าลงระหว่างเข่าทั้งสอง แล้วสั่งผู้รับใช้ ว่า “จงขึ้นไป มองทางทะเล” เขาก็ขึ้นไปมอง แล้วพูดว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลย” เอลียาห์ สั่งให้เขากลับไปมองเจ็ดครั้ง ครั้งที่เจ็ด ผู้รับใช้แจ้งว่า “ข้าพเจ้าเห็นเมฆก้อนเล็กๆ เหมือนกับฝ่ามือคนก�าลังลอยขึ้นจากทะเล” เอลียาห์สั่งเขาว่า “ไปทูลกษัตริย์อาคับให้ ทรงเทียมราชรถและเสด็จลงไปก่อนที่จะทรงติดฝน” ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็มีเมฆมืดครึ้ม ลมพัดแรง แล้วฝนก็ตกหนัก กษัตริย์อาคับเสด็จขึ้นราชรถกลับไปเมืองยิสเรเอล พระ อานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเหนือเอลียาห์ เขาดึงเสื้อขึ้นคาดสะเอวไว้ วิ่งน�า หน้ากษัตริย์อาคับจนถึงเมืองยิสเรเอล

พระวรสาร

มธ 5:20-26

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดไี ปกว่าความชอบธรรมของ บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ท่านได้ยินค�ากล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรา กล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึง ไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านน�าเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของ ท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้วจงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้อง เสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครือ่ งบูชานัน้ จงคืนดีกบั คูค่ วามของท่านขณะทีก่ า� ลัง เดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะ มอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ ได้ จนกว่าท่านจะช�าระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย” องค์พระผู้เป็นเจ้าได้แสดงฤทธิ์อ�านาจของพระองค์โดยให้เกิดความแห้งแล้ง และฝนที่ตกหนักซึ่งเป็นการสิ้นสุดของความแห้งแล้งทั่วแผ่นดินอิสราเอล เพื่อเป็นการช�าระ ประชากรจากบาปที่ได้ละทิ้งพระองค์ แต่น่าเสียดายที่กษัตริย์อาคับแม้จะเห็นเครื่องหมาย ต่างๆ เหล่านี้ ก็ยังกลับไปนับถือพระบาอัลอีกเพราะอิทธิพลของพระนางเยเซเบล (ซึ่ง เราจะเห็นภายหลัง) มีเครื่องหมายรอบตัวเราที่แสดงถึงฤทธิ์อ�านาจของพระเป็นเจ้า ทุก อย่างมาจากแผนการของพระองค์ ไม่ใช่จากความบังเอิญ ฤทธิ์อ�านาจที่พระองค์แสดง มาจากความรักที่พระองค์มีต่อเรา เราจึงต้องรักและสัตย์ซื่อต่อพระองค์ ประสบการณ์ใน ความรักของพระเป็นเจ้า ควรท�าให้เรารักเพื่อนพี่น้องของเรา แต่พวกฟารีสีกลับไม่ได้ท�า สิ่งนี้

น.เอเฟรม สังฆานุกร นักปราชญ์ สดด 65:9,10-11, 12-13 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2


บทอ่านที่ 1

สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 27:7-9,13-14 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร

1 พกษ 19:9ก,11-16

ทีน่ นั่ เอลียาห์เข้าไปค้างคืนในถ�ำ้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงออกไปยืนอยู่ บนภูเขาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เสด็จผ่านมา ทรง บันดาลให้เกิดลมพัดแรงกล้า ผ่าภูเขาท�ำให้หนิ แตกออกเป็นเสีย่ งๆ เฉพาะพระพักตร์องค์ พระผู้เป็นเจ้า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในลมนั้น เมื่อลมหยุดก็เกิดแผ่นดิน ไหว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในแผ่นดินไหว หลังจากแผ่นดินไหวก็เกิดไฟ ลุก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในไฟนั้น หลังจากไฟก็มีเสียงกระซิบเบาๆ เมื่อ เอลียาห์ได้ยิน ก็เอาเสื้อคลุมปิดหน้าไว้ ออกมายืนอยู่ที่ปากถ�้ำ ได้ยินเสียงพูดกับเขา ว่า “เอลียาห์ ท่านมาท�ำอะไรอยู่ที่นี่” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความกระตือรือร้นอย่าง ยิ่งต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมจักรวาล เพราะชาวอิสราเอลได้ละเมิดพันธสัญญา ที่ท�ำไว้กับพระองค์ ได้รื้อพระแท่นบูชาของพระองค์และฆ่าประกาศกของพระองค์ มี แต่ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่ แล้วเขายังพยายามจะฆ่าข้าพเจ้าด้วย” องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงสั่งว่า “จงกลับไปทางที่ท่านมา ไปยังถิ่นทุรกันดารใกล้กรุงดามัสกัส เมื่อไปถึงแล้วจงเจิมฮาซาเอลขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอารัม แล้วจงเจิมเยฮูบุตรของนิมซีขึ้น เป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล เจิมเอลีชาบุตรของชาฟัทชาวเมืองอาเบลเมโคลาห์ให้เป็น ประกาศกสืบแทนท่าน

มธ 5:27-32

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านได้ยนิ ค�ำกล่าวทีว่ า่ อย่าล่วงประเวณี แต่เรากล่าวแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ผูใ้ ดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านท�ำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสีย อวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านท�ำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก มีค�ำกล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงท�ำหนังสือหย่ามอบให้นาง แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่ หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถกู ต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับท�ำให้นางล่วงประเวณี และผูใ้ ดทีแ่ ต่งงาน กับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย” ประกาศกเอลียาห์รสู้ กึ ว่าตนเองล้มเหลวทีไ่ ม่สามารถท�ำให้ชาวอิสราเอลกลับใจจากการนับถือพระเท็จ เทียมได้ จึงอยากจะตาย เพราะดูเหมือนว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน เมื่อพระองค์เรียกให้ไปพบบนภูเขา ท่านก็ไม่ได้พบพระองค์ในลมพัดแรงกล้า หรือในแผ่นดินไหว หรือในก้อนไฟใหญ่ แต่กลับพบพระองค์ในลมพัดเบาๆ เหมือนเสียงกระซิบ ความหมายก็คอื องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าท�ำงานในแบบของพระองค์ หลายครัง้ เราจะถามว่าท�ำไมพระองค์ ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเด็กบริสุทธิ์ที่ถูกฆาตกรรมจากการท�ำแท้ง ท�ำไมพระองค์ไม่ห้ามแผ่นดินไหว ไม่ห้ามพายุต่างๆ ฯลฯ เราเป็นเหมือนเอลียาห์ที่คิดว่าพระองค์ควรท�ำอย่างที่ท่านคิด แต่พระองค์กลับท�ำในแบบของพระองค์ ความเชื่อและ ความสุภาพที่แท้จริงเท่านั้นที่จะท�ำให้เรายอมรับวิธีของพระองค์


บทอ่านที่ 1

กจ 11:21ข-26;13:1-3

เวลานั้น คนจ�ำนวนมากเชื่อและกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาศิษย์ในพระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มรู้ข่าวนี้ จึงส่งบารนาบัสไปยังเมือง อันทิโอก เมือ่ บารนาบัสมาถึงและเห็นผลแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ก็มคี วามชืน่ ชม จึงเตือนทุกคนให้มีจิตใจซื่อสัตย์มั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยม ด้วยความเชือ่ และพระจิตเจ้า จึงมีผคู้ นจ�ำนวนมากเข้ามาเป็นศิษย์ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า บารนาบัสเดินทางไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล เมื่อพบแล้ว ก็พามาที่เมือง อันทิโอก ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในพระศาสนจักรที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สั่งสอนคน จ�ำนวนมาก ที่เมืองอันทิโอกนี้เองบรรดาศิษย์ได้รับชื่อว่า “คริสตชน” เป็นครั้งแรก ในพระศาสนจักรที่เมืองอันทิโอก มีประกาศกและอาจารย์ คือบารนาบัส สิเมโอน ที่เรียกกันว่าคนด�ำ ลูสิอัสชาวไซรีน มานาเอนซึ่งได้รับการศึกษาอบรมมาด้วยกันกับ กษัตริย์เฮโรดอันทิปาส และเซาโล ขณะที่เขาร่วมพิธีนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและ จ�ำศีลอดอาหาร พระจิตเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงแยกบารนาบัสและเซาโลไว้ปฏิบัติ ภารกิจที่เราเรียกเขาให้มาปฏิบัติเถิด” เมื่อเขาจ�ำศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาแล้ว จึงปกมือเหนือบารนาบัสและเซาโล แล้วส่งเขาทั้งสองคนออกไป

พระวรสาร

ระลึกถึง น.บาร์นาบัส อัครสาวก สดด 98:1,2,3,4,5-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

มธ 10:7-13

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์ทั้งสิบสองคนว่า “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตาย ให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรือ้ นให้สะอาด จงขับไล่ปศี าจให้ออกไป ท่านได้รบั มาโดย ไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รบั ค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงิน หรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมือ่ เดินทาง อย่ามียา่ ม อย่ามีเสือ้ สองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับ ท่าน แล้วจงพักอยู่กับเขาจนกว่าท่านจะจากไป เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บ้าน นั้น ถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับพร จงให้สันติสุขของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควร ได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน” นักบุญบาร์นาบัส เป็นชาวยิวจากไซปรัส ชือ่ ของท่านปรากฏอยู่ในหนังสือกิจการอัครสาวกบ่อยๆ ท่าน ใกล้ชดิ กับนักบุญเปาโล (เป็นผูแ้ นะน�ำให้นกั บุญเปาโลแก่นกั บุญเปโตรและแก่อคั รสาวกอืน่ ๆ) เป็นตัวเชือ่ มนักบุญเปาโล ผู้เคยเบียดเบียนพระศาสนจักรกับคริสตชนที่ยังสงสัยในตัวท่าน ท่านเคยอยู่ที่เมืองอันทิโอกกับนักบุญเปาโลเป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นได้รับมอบหมายให้ไปประกาศข่าวดีแก่คนต่างศาสนา ท่านเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ได้อุทิศตนเพื่อ พระเจ้า เป็น “ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพระจิตเจ้าและความเชื่อ” แม้เมื่อท่านถูกขับไล่ออกจากปิสิเดีย ท่านก็ “เปี่ยมไปด้วย ความปีตยิ นิ ดีและพระจิตเจ้า” ทีส่ ดุ ท่านเป็นพยานด้วยชีวติ จากการถูกทุม่ ด้วยหิน ท่านได้ปฏิบตั ติ ามค�ำสัง่ สอนของพระ เยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ได้อย่างสมบูรณ์


บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง 2 ซมอ 12:7-10,13

สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3

ประกาศกนาธันจึงทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระองค์คือชายคนนั้น องค์พระผู้เป็น เจ้าพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เจิมตั้งท่านเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล เรา ได้ช่วยท่านให้รอดพ้นจากมือของซาอูล เราได้มอบผู้คนในครอบครัวเจ้านายของท่าน มอบภรรยาของเจ้านายให้อยู่ในอ้อมกอดของท่าน และมอบพงศ์พันธุ์อิสราเอลและ ยูดาห์แก่ท่าน ถ้าทั้งหมดนี้ยังไม่พอ เราจะให้มากกว่านี้อีก ท�าไมท่านจึงลบหลู่องค์พระ ผู้เป็นเจ้า กระท�าสิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ท่านให้อุรียาห์ ชาวฮิตไทต์ถูกฆ่า ปล่อยให้ชาวอัมโมนฆ่าเขา แล้วเอาภรรยาของเขาเป็นภรรยาของตน เพราะเหตุนี้ จะมี คนในวงศ์ตระกูลของท่านถูกฆ่าอยูเ่ รือ่ ยๆ เพราะท่านได้ลบหลูเ่ รา เอาภรรยาของอุรยี าห์ ชาวฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของท่าน’” กษัตริย์ดาวิดตรัสกับนาธันว่า “ข้าพเจ้าได้ท�าบาปผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” นาธันทูลตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยบาปพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ต้อง สิ้นพระชนม์”

เพลงสดุดี

สดด 32:1-3,5-6,10-11

ก) ผู้ที่ได้รับอภัยความผิด และบาปของเขาถูกลบล้างย่อมเป็นสุข ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงกล่าวหาว่าท�าผิด และจิตใจของเขาไม่มีความคดโกง ย่อมเป็นสุข แม้ข้าพเจ้าเงียบอยู่ กระดูกของข้าพเจ้าก็ผุกร่อนไป จากการคร�่าครวญตลอดวัน ข) ข้าพเจ้าทูลให้ทรงทราบถึงบาปของข้าพเจ้า มิได้ปิดบังความผิดแต่ประการใด ข้าพเจ้าพูดว่า “ข้าพเจ้าจะสารภาพความผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” พระองค์ก็ทรงอภัยบาปที่ข้าพเจ้าได้ท�า ด้วยเหตุนี้ ผู้จงรักภักดีทุกคนจึงอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ในยามทุกข์ร้อน แม้จะเกิดอุทกภัย น�้าไหลบ่าท่วมท้น น�้านั้นก็จะไม่มาถึงตัวเขา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย กท 2:16,19-21

พี่น้อง แต่เรารู้ว่า มนุษย์มิได้เป็นผู้ชอบธรรมจากการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่ เป็นผู้ชอบธรรมจากความเชื่อในพระคริสตเยซูเท่านั้น เรามีความเชื่อในพระคริสตเยซู เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรมโดยอาศัยความเชื่อในพระคริสตเจ้า มิใช่จากการปฏิบัติตาม ธรรมบัญญัติ เพราะไม่มมี นุษย์คนใดเป็นผูช้ อบธรรมจากการปฏิบตั ติ ามธรรมบัญญัติ ถ้า เราผูแ้ สวงหาความชอบธรรมในพระคริสตเจ้า ยังคงเป็นคนบาป หมายความว่าพระคริสต


เจ้าทรงเป็นผู้รับใช้บาปกระนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเวลานี้ข้าพเจ้าสร้างสิ่งที่ท�ำลายแล้วขึ้นใหม่ ก็ แสดงว่าข้าพเจ้าท�ำผิดมาก่อน เพราะอาศัยธรรมบัญญัตนิ นั่ แหละข้าพเจ้าจึงได้ตายไปจากธรรมบัญญัตแิ ล้ว เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ส�ำหรับพระเจ้า ข้าพเจ้าถูกตรึงกางเขนกับพระคริสตเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ มิใช่ตัว ข้าพเจ้าอีกต่อไป แต่พระคริสตเจ้าทรงด�ำรงชีวติ อยูใ่ นตัวข้าพเจ้า ชีวติ ทีข่ า้ พเจ้าก�ำลังด�ำเนินอยูใ่ นร่างกาย ขณะนี้ ข้าพเจ้าด�ำเนินชีวติ ในความเชือ่ ถึงพระบุตรของพระเจ้าผูท้ รงรักข้าพเจ้าและทรงมอบพระองค์เพือ่ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้ท�ำให้พระหรรษทานของพระเจ้าต้องไร้ผล ถ้าเรารับความชอบธรรมโดยปฏิบัติตาม ธรรมบัญญัติ พระคริสตเจ้าก็คงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา

ลก 7:36-50

ชาวฟาริสคี นหนึง่ ทูลเชิญพระเยซูเจ้าไปเสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านของ ชาวฟาริสีและประทับที่โต๊ะ ในเมืองนั้นมีหญิงคนหนึ่งเป็นคนบาป เมื่อนางรู้ว่า พระเยซูเจ้าก�ำลังประทับ ร่วมโต๊ะอยู่ในบ้านของชาวฟาริสี จึงถือขวดหินขาวบรรจุน�้ำมันหอมเข้ามาด้วย นางมาอยู่ด้านหลังของ พระองค์ใกล้ๆ พระบาท ร้องไห้จนน�้ำตาหยดลงเปียกพระบาท นางใช้ผมเช็ดพระบาท จูบพระบาทและ ใช้น�้ำมันหอมชโลมพระบาท ชาวฟาริสที ที่ ลู เชิญพระองค์เห็นดังนีก้ ค็ ดิ ในใจว่า “ถ้าผูน้ เี้ ป็นประกาศก เขาคงจะรูว้ า่ หญิงทีก่ ำ� ลังแตะ ต้องเขาอยู่นี้เป็นใครและเป็นคนประเภทไหน นางเป็นคนบาป” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรา มีเรื่องจะพูดกับท่าน” เขาตอบว่า “เชิญพูดมาเถิด อาจารย์” พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้ อยู่สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญ อีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญ ทั้งสองคนไม่มีอะไรจะ ใช้หนี้ เจ้าหนี้จึงยกหนี้ให้ทั้งหมด ในสองคนนี้ คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน” ซีโมนตอบว่า “ข้าพเจ้า คิดว่าเป็นคนที่ได้รับการยกหนี้ให้มากกว่า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านตัดสินถูกต้องแล้ว” พระองค์ทรงหันพระพักตร์มาทางหญิงผู้นั้น ตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงผู้นี้ใช่ไหม เราเข้ามาใน บ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน�ำ้ มาล้างเท้าให้เรา แต่นางได้หลัง่ น�ำ้ ตารดเท้าของเราและใช้ผมเช็ดให้ ท่านไม่ ได้จบู ค�ำนับเรา แต่นางจูบเท้าของเราตลอดเวลาตัง้ แต่เราเข้ามา ท่านไม่ได้ใช้นำ�้ มันเจิมศีรษะให้เรา แต่นาง ใช้น�้ำมันหอมชโลมเท้าของเรา เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านว่าบาปจ�ำนวนมากของนางได้รับการอภัยแล้ว เพราะนางมีความรักมาก ผูท้ ไี่ ด้รบั การอภัยน้อยก็ยอ่ มมีความรักน้อย” แล้วพระองค์ตรัสกับนางว่า “บาป ของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” บรรดาผู้ร่วมโต๊ะจึงเริ่มพูดกันว่า “คนนี้เป็นใคร จึงท�ำได้แม้แต่การอภัยบาป” พระองค์ตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด”

บ่อยครั้งที่เรามักอ้างว่า เพราะบาปของเรา เราจึงไม่กล้าเข้าใกล้พระเยซูเจ้า โดยเฉพาะปฏิเสธ ที่จะรับศีลมหาสนิท เราอ้างว่าเพราะ “เราเป็นคนบาป เราไม่คู่ควร” ในพระวรสารวันนี้ เราได้เห็นหญิงคนบาป พยายามเข้าใกล้พระเยซูเจ้า เพื่อจะได้ยินจากปากพระองค์ว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด” เราจงเข้าหาพระองค์เช่นกัน เพือ่ เราจะได้พบความรักและการยอมรับจากพระองค์ พระองค์เป็นเพือ่ นของคนบาป เสมอ จงอย่ากลัวที่จะเข้าหาพระองค์


บทอ่านที่ 1

1 พกษ 21:1-16

ต่อมาไม่นาน นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นที่เมืองยิสเรเอลใกล้พระราชวังของ กษัตริย์อาคับแห่งสะมาเรีย กษัตริย์อาคับตรัสแก่นาโบทว่า “จงยกสวนองุ่นของท่านให้ เราท�ำเป็นสวนผักเถิด เพราะสวนนี้อยู่ใกล้วังของเรา เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่านี้แทน หรือถ้าท่านยินดีขาย เราจะจ่ายเงินให้ตามราคา” นาโบททูลตอบกษัตริย์อาคับว่า “องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามมิให้ข้าพเจ้ายกมรดกของบรรพบุรุษให้พระองค์” กษัตริย์อาคับเสด็จกลับพระราชวังด้วยพระทัยขุ่นเคืองและทรงพระพิโรธ... ระลึกถึง พระองค์ เสด็จเข้าที่บรรทม หันพระพักตร์เข้าฝาผนัง ไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร น.อันตน แห่งปาดัว พระมเหสีเยเซเบลเสด็จเข้าไปทูลถามว่า “ท�ำไมพระทัยของพระองค์จึงขุ่นเคืองจนไม่ พระสงฆ์และ ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร” พระองค์ทรงตอบว่า “เพราะเราบอกนาโบทชาวยิสเรเอล นักปราชญ์ ว่ า ‘จงยกสวนองุ่นของท่านให้เราเถิด เราจะให้เงิน หรือถ้าท่านพอใจ เราจะให้สวน สดด 5:1-2,3-4, องุ่นอื่นแทน’ แต่เขากลับตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่ยกสวนองุ่นให้พระองค์’” พระมเหสี 5-6 เยเซเบลจึงทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลเช่นนี้หรือ... หม่อมฉัน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เองจะให้สวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลแก่พระองค์” พระนางทรงพระอักษรลงพระนามกษัตริย์อาคับ ประทับตราของพระองค์ ส่งไปถึงผู้อาวุโสและบุคคล ส�ำคัญทีอ่ ยูใ่ นเมืองเดียวกับนาโบท พระนางทรงเขียนในลายพระหัตถ์วา่ “ท่านทัง้ หลายจงประกาศวันถือศีลอด อาหาร เรียกประชาชนมาชุมนุมกัน และให้นาโบทนั่งอยู่แถวหน้า แล้วจงหาอันธพาลสองคน ให้มานั่งเผชิญ หน้ากับนาโบทและกล่าวหาเขาว่า ‘ท่านสาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์’ แล้วท่านทั้งหลายจะน�ำเขาออกไปนอก เมืองและเอาหินทุ่มเขาให้ตาย” คนในเมืองของนาโบท บรรดาผู้อาวุโสและบุคคลส�ำคัญที่อาศัยอยู่ในเมือง ปฏิบัติตามรับสั่งของพระนางเยเซเบล...เขาจึงน�ำนาโบทออกไปนอกเมืองและเอาหินทุ่มจนตาย ชาวเมืองส่ง ข่าวไปทูลพระนางเยเซเบลว่า “นาโบทถูกหินทุ่มตายแล้ว” เมื่อพระนางเยเซเบลทรงได้ยินว่านาโบทถูกหิน ทุ่มตายแล้ว ก็ทูลกษัตริย์อาคับ...เมื่อกษัตริย์อาคับทรงได้ยินว่านาโบทตายแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงไปยังสวน องุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล เพื่อยึดครองสวนองุ่นนั้น

พระวรสาร

มธ 5:38-42

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใด ตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถม เสื้อคลุมให้เขาด้วย ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด ผู้ใดขออะไรจาก ท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน” เราได้เห็นความชัว่ ร้ายของกษัตริยอ์ าคับและของมเหสีเยเซเบล แม้กษัตริยอ์ าคับจะมีทรัพย์สนิ มากมาย ก็ยงั อยากได้สวนองุน่ ของนาโบท และโดยแผนอันชัว่ ร้ายของพระนางเยเซเบลก็ได้สวนองุน่ มาครอบครองโดยไม่ตอ้ งจ่าย เงินแม้แต่บาทเดียว คนอย่างกษัตริย์อาคับและพระนางเยเซเบลท�ำให้เรารู้สึกโกรธแค้น เวลาที่เราได้ข่าวว่าคนถูกฆ่า ข่มขืน เราต้องการให้พระเป็นเจ้าถือตามกฎ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” แต่เราจะเห็นว่าพระองค์ไม่ต้องการให้คนบาปตาย แต่ต้องการให้เขากลับใจและได้รับความรอด แทนที่เราจะโกรธแค้น เราควรภาวนาให้ผู้ที่ท�ำผิดกลับใจและกลับมาหา พระเป็นเจ้า


บทอ่านที่ 1

1 พกษ 21:17-29

พระวรสาร

มธ 5:43-48

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์ ชาวทิชบีว่า “จงออกเดินทางลงไปเฝ้ากษัตริย์ อาคับแห่งอิสราเอลทีก่ รุงสะมาเรียเถิด เขาก�ำลังอยูใ่ นสวนองุน่ ของนาโบท เขาลงไปยึด ครองสวนองุ่นนั้น ท่านจะต้องบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านฆ่าคน และ บัดนีท้ า่ นยังยึดสมบัตขิ องเขาอีกหรือ ท่านจะต้องบอกเขาว่า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ ณ ทีซ่ งึ่ สุนขั เลียเลือดของนาโบท สุนขั จะเลียเลือดของท่านด้วย’” กษัตริยอ์ าคับตรัสกับ เอลียาห์ว่า “คู่ปรับของเราเอ๋ย ท่านมาจับผิดเราใช่ไหม” เอลียาห์ทูลตอบว่า “ใช่แล้ว สัปดาห์ที่ 11 เพราะพระองค์ทรงยอมปล่อยตัวท�ำสิง่ ชัว่ ร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า” องค์ เทศกาลธรรมดา พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงตรัสว่า “เราจะน�ำหายนะมาสูท่ า่ น เราจะท�ำลายลูกหลานของท่านให้หมด สดด 51:1-2,3-5, สิ้นไป และจะกวาดล้างชายทุกคนในตระกูลอาคับ ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นอิสระใน 9,14 อิสราเอล เราจะท�ำให้ราชวงศ์ของท่านเป็นเหมือนราชวงศ์เยโรโบอัมบุตรของเนบัท และ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เหมือนราชวงศ์บาอาชาบุตรของอาคิยาห์ เพราะท่านได้ยวั่ ยุให้เราโกรธ และน�ำอิสราเอล ให้ท�ำบาป” องค์พระผู้เป็นเจ้ายังตรัสเกี่ยวกับพระนางเยเซเบลด้วยว่า “สุนัขจะกินเนื้อ ของเยเซเบลในเมืองยิสเรเอล คนในตระกูลของอาคับซึ่งตายในเมือง สุนัขจะมากัดกิน ส่วนคนที่ตายในทุ่งนา นกในอากาศจะมาจิกกิน” ไม่มีผู้ใดที่ปล่อยตัวท�ำความชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้ามากเท่ากษัตริย์อาคับ ซึ่งมเหสี เยเซเบลทรงชักชวนให้ท�ำผิด... เมื่อกษัตริย์อาคับทรงได้ยินถ้อยค�ำเหล่านี้ พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ ด้วยความทุกข์ ทรงสวมใส่เสื้อผ้ากระสอบ ไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร บรรทมทั้งๆ ที่ยังฉลองพระองค์ ด้วยผ้ากระสอบ ทรงพระด�ำเนินโดยก้มพระเศียรแสดงความทุกข์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามเอลียาห์ชาว ทิชบีว่า “ท่านสังเกตเห็นไหมว่าอาคับถ่อมตนลงต่อหน้าเราอย่างไร เพราะเขาได้ถ่อมตนลงต่อหน้าเรา เราจะ ไม่น�ำหายนะมาในช่วงชีวิตของเขา แต่จะน�ำหายนะมาสู่ราชวงศ์ในช่วงชีวิตบุตรของเขา” เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินค�ำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จง อธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวง อาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่ คนที่รักท่าน ท่านจะได้บ�ำเหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ท�ำเช่นนี้ดอกหรือ ถ้าท่านทักทายแต่ พีน่ อ้ งของท่านเท่านัน้ ท่านท�ำอะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำ� เช่นนีด้ อกหรือ ฉะนัน้ ท่านจงเป็นคนดีอย่าง สมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่านทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด” จากความชั่วร้ายมหันต์ของกษัตริย์อาคับ เราคงประหลาดใจว่าท�ำไมในที่สุดพระองค์ได้ส�ำนึกผิด องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงให้โอกาสแก่กษัตริย์อาคับเพื่อจะเปลี่ยนแปลงชีวิต ความจริงก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักกษัตริย์ อาคับ แม้พระองค์จะท�ำบาปมากมาย องค์พระผูเ้ ป็นเจ้ารอคอยการกลับใจของพระองค์ พระเยซูเจ้า พระบุตรของพระ เป็นเจ้าก็สอนเราให้รกั ศัตรูและภาวนาให้ผทู้ เี่ บียดเบียน เพือ่ เรา “จะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์” ไม่ใช่เรือ่ งง่ายที่ จะรักศัตรูและภาวนาให้เขา แต่พระเยซูเจ้าได้เป็นแบบอย่างแก่เรา พระองค์ภาวนาให้กบั ผูท้ กี่ ำ� ลังประหารชีวติ พระองค์


บทอ่านที่ 1

สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา สดด 31:19-20,23-24 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร

2 พกษ 2:1,6-14

เมื่อถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พายุหมุนหอบเอลียาห์ขึ้นไปบนฟ้า เอลียาห์และเอลีชาออกเดินทางจากเมืองกิลกาล เอลียาห์สงั่ เขาว่า “จงอยูท่ นี่ ี่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส่งข้าพเจ้าไปทีแ่ ม่นำ�้ จอร์แดน” เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์และท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ ยอมละทิ้งท่าน ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าท�ำอะไรให้ท่านก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกรับตัวไป” เอลีชาตอบว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้รับจิตของท่านสองส่วนเถิด” เอลียาห์ตอบว่า “ท่าน ขอสิ่งที่ท�ำได้ยาก แต่ถ้าท่านเห็นข้าพเจ้าเมื่อจะถูกรับไปจากท่าน ท่านก็จะได้รับตามที่ ขอ ถ้าท่านไม่เห็น ท่านก็จะไม่ได้รับ” ขณะที่เขาทั้งสองคนก�ำลังเดินสนทนากันอยู่นั้น รถม้าเพลิงคันหนึ่งเทียมม้าเพลิงปรากฏขึ้น แยกคนทั้งสองออกจากกัน เอลียาห์ถูกยก ขึ้นไปบนฟ้าในพายุหมุน เอลีชาเห็นปรากฏการณ์ ก็ร้องเรียกว่า “บิดาของข้าพเจ้า บิดา ของข้าพเจ้า รถศึกและสารถีของอิสราเอล” แล้วเขาก็ไม่เห็นเอลียาห์อีก เอลีชาจับเสื้อ ของตนฉีกออกเป็นสองส่วน แล้วหยิบเสื้อคลุมที่ตกลงมาจากเอลียาห์ขึ้นมา เดินกลับ ไปยืนอยู่ริมฝั่งแม่น�้ำจอร์แดน...

มธ 6:1-6,16-18

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวัง อย่าปฏิบตั ศิ าสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพือ่ อวดคนอืน่ มิฉะนัน้ ท่านจะไม่ได้รบั บ�ำเหน็จจาก พระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์ ดังนัน้ เมือ่ ท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนทีบ่ รรดาคนหน้าซือ่ ใจคดมักท�ำในศาลาธรรมและตามถนนเพื่อจะได้รับค�ำสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย ว่า เขาได้รับบ�ำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวาก�ำลังท�ำสิ่งใด เพื่อ ทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบ�ำเหน็จให้ท่าน เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลา ธรรม และตามมุมลานเพื่อให้ใครๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบ�ำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตทั่วทุกแห่ง แล้ว พระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบ�ำเหน็จให้ท่าน เมื่อท่านทั้งหลายจ�ำศีลอดอาหาร จงอย่าท�ำหน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาท�ำหน้า หมองคล�้ำ เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขาก�ำลังจ�ำศีลอดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบ�ำเหน็จของ เขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อจ�ำศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้น�้ำมันหอมใส่ศีรษะ เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านก�ำลัง จ�ำศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่านผู้สถิตทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็ จะประทานบ�ำเหน็จให้ท่าน” พระเป็นเจ้าสามารถเลือกวิธีต่างๆ มากมายที่จะติดต่อกับมนุษย์ พระองค์มักจะเลือกติดต่อผ่านทาง มนุษย์ทพี่ ระองค์เลือกสรร เวลามิสซา เราเห็นมนุษย์คนหนึง่ เหมือนเรา ทีพ่ ระองค์ได้เลือกให้เป็นพระสงฆ์แทนพระองค์ เราทุกคนจึงสามารถเป็นเครือ่ งมือของพระองค์ได้เช่นกัน โดยศีลล้างบาป เราเป็นประกาศกทีจ่ ะเป็นพยานของพระเป็น เจ้าเช่นเดียวกับประกาศกทั้งหลายในพันธสัญญาเดิม


บทอ่านที่ 1

บสร 48:1-14

ต่อจากนั้นก็มีเรื่องราวของประกาศกเอลียาห์ซึ่งเป็นเหมือนไฟ วาจาของเขาเผา ผลาญเหมือนคบไฟ เขาท�ำให้เกิดขาดแคลนอาหารในหมู่ประชากร ความกระตือรือร้น ของเขาท�ำให้ประชากรลดจ�ำนวนลง เขาปิดท้องฟ้าตามพระบัญชาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ท�ำให้ไฟลงมาจากท้องฟ้าถึงสามครัง้ ข้าแต่เอลียาห์ ท่านช่างมีชอื่ เสียงรุง่ เรืองเพราะการ อัศจรรย์ที่ได้ท�ำ ใครบ้างจะอวดตัวได้ว่าตนเท่าเทียมกับท่าน ท่านปลุกผู้ตายคนหนึ่งให้ กลับคืนชีพ และพ้นจากแดนมรณะตามพระบัญชาของพระผู้สูงสุด ท่านผลักกษัตริย์ หลายพระองค์ให้พินาศ และผลักบรรดาผู้ทรงเกียรติลงจากที่นอน ท่านได้ยินพระวาจา ติเตียนที่ภูเขาซีนาย ได้ยินพระวินิจฉัยลงโทษบนภูเขาโฮเรบ ท่านเจิมกษัตริย์หลาย พระองค์ให้ลงโทษผู้ท�ำผิด และเจิมบรรดาประกาศกให้สืบต�ำแหน่งต่อจากท่าน ท่าน ถูกยกขึ้นไปในพายุหมุนที่เป็นไฟ บนรถเทียมม้าเพลิง ท่านถูกก�ำหนดไว้ให้มาต�ำหนิ ประชากรในอนาคต เพื่อจะได้ระงับพระพิโรธก่อนที่จะลุกเป็นไฟ เพื่อน�ำจิตใจของบิดา มาคืนดีกับบุตร และแต่งตั้งบรรดาเผ่าของยาโคบขึ้นใหม่ บรรดาผู้ที่เคยเห็นท่านย่อม เป็นสุข เขาตายในความรัก เพราะเราทั้งหลายจะได้มีชีวิตอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน เมื่อเอลียาห์ถูกยกขึ้นไปในพายุหมุน เอลีชาก็ได้รับจิตของเขาอย่างเต็มเปี่ยม เขา ไม่เคยหวาดกลัวผู้ทรงอ�ำนาจใดๆ ตลอดชีวิต ไม่มีผู้ใดบังคับเขาได้ ไม่มีสิ่งใดยากเกิน ไปส�ำหรับเขา แม้ในหลุมศพ ร่างกายของเขาก็ยงั ประกาศพระวาจา ขณะทีม่ ชี วี ติ อยู่ เขา ท�ำปาฏิหาริย์ต่างๆ แม้เมื่อเขาตายแล้ว กิจการของเขาก็ยังน่าพิศวง

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา สดด 97:1-2,3-5, 6-7 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

มธ 6:7-15

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซ�้ำเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูด มากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง อย่าท�ำเหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้ว ว่าท่านต้องการอะไร ก่อนทีท่ า่ นจะขอเสียอีก ดังนัน้ ท่านทัง้ หลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระ อาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงส�ำเร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์ โปรดประทานอาหารประจ�ำวันแก่ขา้ พเจ้า ทั้งหลายในวันนี้ โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การ ผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’ เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ท�ำความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ท�ำความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน” ไม่มีใครที่จะถูกเสมอ และไม่มีใครที่จะผิดตลอด เราล้วนเคยผิดพลาด อ่อนแอ และพ่ายแพ้ต่อความ อ่อนแอตามธรรมชาติของมนุษย์ ต่อการประจญล่อลวงของปีศาจกันทัง้ นัน้ การให้อภัยจึงเป็นคุณธรรมประการส�ำคัญที่ เราคริสตชนพึงมีพงึ ปฏิบตั ิ เพราะว่าหากชีวติ ของเราเองยังต้องการการให้อภัยนัน้ จากพระเจ้า เราก็ควรรักและให้อภัย แก่เพื่อนพี่น้องของเราด้วยเช่นกัน


บทอ่านที่ 1

2 พกษ 11:1-4,9-18,20

เมื่อพระนางอาธาลิยาห์ พระชนนีของกษัตริย์อาคัสยาห์ทรงทราบว่าพระโอรสถูก ปลงพระชนม์ ก็ทรงฆ่าเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ทันที... ปีที่เจ็ด สมณะเยโฮยาดาส่งคนไปตามผู้บังคับบัญชาทหารชาวคารี และนายทหาร องครักษ์มาพบตนในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท�ำสัญญากับเขา ให้ทุกคนสาบาน ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วน�ำพระโอรสของกษัตริย์ออกมาให้เขาเห็น สัปดาห์ที่ 11 บรรดานายทหารก็ปฏิบตั ติ ามค�ำสัง่ ของสมณะเยโฮยาดา ต่างน�ำก�ำลังพลของตนมา เทศกาลธรรมดา ด้วย... แล้วสมณะเยโฮยาดาน�ำพระโอรสของกษัตริย์ออกมาสวมมงกุฎและมอบม้วน สดด 132:11,12-14, พันธสัญญาให้ เขาทั้งหลายประกาศแต่งตั้งและเจิมพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ ทุกคนปรบ 17-18 มือโห่ร้องว่า “ขอพระราชาทรงพระเจริญ” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 พระนางอาธาลิยาห์ทรงได้ยินเสียงทหารองครักษ์และประชาชนโห่ร้องเสียงดัง ก็รีบเสด็จมาพบประชาชนในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อทอดพระเนตรเห็น กษัตริยท์ รงยืนอยูข่ า้ งเสาตามประเพณี นายทหารและพนักงานเป่าแตรยืนอยูข่ า้ งกษัตริย์ ประชาชนของแผ่นดินทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดีและเป่าแตร พระนางอาธาลิยาห์ ทรงฉีกฉลองพระองค์ด้วยความขุ่นเคือง ทรงร้องตะโกนว่า “กบฏ กบฏ” สมณะเยโฮยาดาจึงสั่งผู้บัญชาการก�ำลังพลว่า “จงน�ำพระนางออกไประหว่างแถวทหาร ผู้ใดพยายามจะ ช่วยเหลือ ก็จงฆ่าผู้นั้น” เพราะสมณะได้บอกไว้แล้วว่า “อย่าฆ่าพระนางในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า” บรรดาทหารจึงจับกุมพระนาง คุมตัวผ่านประตูม้าของพระราชวัง แล้วปลงพระชนม์ที่นั่น สมณะเยโฮยาดากระท�ำพันธสัญญาระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้ากับกษัตริย์และประชาชนว่า เขาจะเป็น ประชากรขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และท�ำพันธสัญญาอีกระหว่างกษัตริยก์ บั ประชากร ประชาชนของแผ่นดินทุก คนเข้าไปในวิหารของพระบาอัลและรื้อวิหารนั้น ทุบแท่นบูชาและรูปเคารพจนแหลกละเอียด และฆ่ามัทธาน สมณะของพระบาอัลที่หน้าแท่นบูชานั้น สมณะจัดยามรักษาการณ์เฝ้าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า...

พระวรสาร

มธ 6:19-23

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทัง้ หลายจงอย่าสะสมทรัพย์สมบัตบิ นแผ่นดินนีเ้ ลย ทีน่ ที่ รัพย์สมบัตทิ งั้ หลายถูกสนิมและตัวขมวน ท�ำลาย ถูกขโมยเจาะช่องเข้ามาขโมยไปได้ แต่จงสะสมทรัพย์สมบัตใิ นสวรรค์เถิด ทีน่ นั่ ไม่มสี นิมและตัวขมวน ท�ำลาย ขโมยก็เจาะช่องเข้ามาขโมยไปไม่ได้ เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ประทีปของร่างกายคือดวงตา ดังนั้น ถ้าดวงตาของท่านเป็นปกติดี ร่างกายของท่านก็จะสว่างไปด้วย แต่ ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี ร่างกายของท่านก็จะมืดไปด้วย ฉะนั้น ถ้าความสว่างในท่านมืดไปแล้ว ความมืดจะยิ่ง มืดมิดสักเพียงใด” โลกสอนว่า หากอยากอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุข เราจ�ำต้องอดออมหลายสิ่ง เราจ�ำต้องสะสมหลาย อย่าง เพื่อเพียงพอส�ำหรับการใช้ชีวิตในโลกนี้ต่อไปได้อย่างไม่ขัดสน แต่เราคริสตชนล้วนก็รู้ว่า ความสุขจริงแท้ของเรา ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ แต่คือชีวิตนิรันดรในโลกหน้า แล้วเวลานี้ เราได้สะสม อดออม เก็บหอมรอมริบอะไรบ้างแล้วหรือยัง ส�ำหรับชีวิตในโลกหน้าของเรา


บทอ่านที่ 1

2 พศด 24:17-25

เมือ่ สมณะเยโฮยาดาสิน้ ชีวติ แล้ว บรรดาเจ้านายแห่งยูดาห์เข้ามาถวายบังคมเฉพาะ พระพักตร์กษัตริย์ พระองค์ทรงฟังค�ำทูลของเขา เขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระวิหารของ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ ไปนมัสการเสาไม้ศักดิ์สิทธิ์และรูปเคารพ... พระจิตของพระเจ้าเข้าประทับในเศคาริยาห์บุตรของเยโฮยาดาสมณะ เขายืนอยู่ต่อ หน้าประชาชน พูดว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้ ‘ท�ำไมท่านทั้งหลายจึงละเมิดบทบัญญัติของ องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะไม่ประสบความเจริญรุ่งเรือง ท่านได้ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จงึ ทรงละทิง้ ท่าน’” เขาทัง้ หลายร่วมกันคิดร้ายต่อเศคาริยาห์ ขว้างหินใส่เขาจน ตายในลานพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า... เมื่อขึ้นปีใหม่กองทัพชาวอารัมก็ยกมาโจมตีกษัตริย์โยอาช... กษัตริย์โยอาชจึงทรง ถูกลงโทษอย่างสาสม... บรรดาข้าราชบริพารคบคิดกันปลงพระชนม์พระองค์ เพื่อแก้ แค้นที่ทรงประหารชีวิตบุตรของเยโฮยาดาสมณะ เขาปลงพระชนม์กษัตริย์โยอาชบน พระแท่นบรรทม พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ เขาฝังพระศพไว้ในนครของกษัตริย์ดาวิด แต่ ไม่ได้ฝังไว้ในที่ฝังพระศพของบรรดากษัตริย์

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา สดด 89:3-4,28-29, 30-32,33-35 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

มธ 6:24-34

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขาจะจงรักภักดี ต่อนายคนหนึง่ และจะดูหมิน่ นายอีกคนหนึง่ ท่านทัง้ หลายจะปรนนิบตั ริ บั ใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้ ฉะนัน้ เราบอกท่านทัง้ หลายว่า อย่ากังวลถึงชีวติ ของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะ นุง่ ห่มอะไร ชีวติ ย่อมส�ำคัญกว่าอาหาร และร่างกายย่อมส�ำคัญกว่าเครือ่ งนุง่ ห่มมิใช่หรือ จงมองดูนกในอากาศ เถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกีย่ ว มิได้สะสมไว้ในยุง้ ฉาง แต่พระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์ทรงเลีย้ งมัน ท่าน ทัง้ หลายมิได้มคี า่ มากกว่านกหรือ ท่านใดบ้างทีก่ งั วลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึง่ วันได้ ท่านจะ กังวลถึงเครื่องนุ่งห่มท�ำไม จงสังเกตดูดอกไม้ในทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ท�ำงาน มันไม่ ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ ดอกหนึ่ง แม้แต่หญ้าในทุ่งนา ซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้ รุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ พระเจ้ายังทรงตกแต่งให้งดงาม เช่นนี้ พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านั้นหรือ ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง ดังนั้น อย่ากังวลและกล่าว ว่า ‘เราจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร หรือเราจะนุ่งห่มอะไร’ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระ บิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิง่ เหล่านี้ จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้ ดังนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลส�ำหรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์พออยู่ แล้ว” บ่อยครั้งในชีวิต เราให้ความส�ำคัญกับหลายสิ่ง เราให้เวลากับหลายอย่าง กับบุคคล สถานที่ สิ่งของ กับสิ่งภายนอกต่างๆ ที่เราเห็นว่าส�ำคัญต่อการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ การให้ความส�ำคัญกับสิ่งเหล่านี้ไม่ผิด แต่จงระวังการ ให้คุณค่ามากไป ใส่ใจมากเกิน จนท�ำให้เราสลวนต่อสิ่งภายนอกเหล่านั้น และละเลยสิ่งที่ส�ำคัญที่สุด คือ การแสวงหา พระอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเศคาริยาห ศคย 12:10-11

สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4

พระเจ้าตรัสว่า “เราจะเทจิตแห่งความเมตตากรุณาและการวอนขอลงเหนือราชวงศ์ กษัตริยด์ าวิด และเหนือผูอ้ าศัยทีก่ รุงเยรูซาเล็ม เขาทัง้ หลายจะมองดูผทู้ เี่ ขาได้แทง เขา จะไว้ทุกข์ให้ผู้นั้น เหมือนไว้ทุกข์ให้บุตรคนเดียว และจะร้องคร�่าครวญอย่างขมขื่นถึง เขา เหมือนร้องคร�่าครวญถึงบุตรคนแรก วันนั้น จะมีการร้องไห้คร�่าครวญยิ่งใหญ่ที่กรุง เยรูซาเล็ม เหมือนการร้องไห้คร�่าครวญส�าหรับฮาดัดริมโมนในที่ราบเมกิดโด”

เพลงสดุดี

สดด 63:1-2,3-5,6-9

ก) ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าแสวงหาพระองค์ตั้งแต่เช้าตรู่ จิตใจข้าพเจ้ากระหายหาพระองค์ ร่างกายข้าพเจ้าปรารถนาจะพบพระองค์ เหมือนผืนดินที่แห้งผาก แห้งแล้ง ไม่มีน�้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเฝ้ามองพระองค์ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อชมพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ข) เพราะความรักมั่นคงของพระองค์มีคุณค่ากว่าชีวิต ริมฝีปากข้าพเจ้าจะพร�่าสรรเสริญพระองค์ ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ตลอดชีวิต ข้าพเจ้าจะชูมือขึ้นเรียกขานพระนามของพระองค์ ข้าพเจ้าจะอิ่มประดุจได้กินอาหารโอชาในงานเลี้ยง ริมฝีปากของข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ด้วยความยินดี ค) เมื่อนอนบนเตียง ข้าพเจ้าระลึกถึงพระองค์ ข้าพเจ้าค�านึงถึงพระองค์ทุกโมงยามตลอดคืน เพราะพระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือของข้าพเจ้าเสมอมา ข้าพเจ้าจึงร้องเพลงด้วยความยินดีอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์ จิตใจข้าพเจ้าชิดสนิทกับพระองค์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์พยุงข้าพเจ้าไว้ ส่วนผู้ที่มุ่งเอาชีวิตของข้าพเจ้า จะต้องลงไปในขุมลึกของแผ่นดิน

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย กท 3:26-29

พีน่ อ้ ง ท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยอาศัยความเชือ่ ในพระคริสตเยซู เพราะ ท่านทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปในพระคริสตเจ้า ก็สวมพระคริสตเจ้าไว้ ไม่มีชาวยิวหรือ ชาวกรีก ไม่มีทาสหรือมีไทย ไม่มีชายหรือมีหญิงอีกต่อไป เพราะท่านทุกคนเป็นหนึ่ง


เดียวกันในพระคริสตเยซู และถ้าท่านเป็นของพระ คริสตเจ้าแล้ว ท่านก็เป็น “เชื้อสาย” ของอับราฮัม เป็น ทายาทตามพระสัญญา

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 9:18-24

วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่เพียง พระองค์เดียว บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้า พระองค์จึงตรัส ถามเขาว่า “ประชาชนว่าเราเป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างว่าเป็นยอห์นผู้ท�าพิธีล้าง บ้างว่าเป็นเอลียาห์ บ้าง ว่าเป็นประกาศกในอดีตคนหนึง่ ซึง่ กลับคืนชีพ” พระเยซู เจ้าตรัสถามเขาว่า “ท่านล่ะว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูล ตอบว่า “พระองค์คือพระคริสต์ของพระเจ้า” พระองค์ จึงทรงก�าชับบรรดาศิษย์มิให้พูดเรื่องนี้แก่ผู้ใด พระองค์ตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผูอ้ าวุโส มหาสมณะและ ธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม” หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้ กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้น้ันจะต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิต เพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้” เราเรียนรู ้ เราเข้าใจเทววิทยาและค�าสอนมากมาย เราซาบซึง้ และตรึงใจในเหตุการณ์ความรักยิง่ ใหญ่ที่เล่าขานถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระท�า แต่แค่ความรู้สึกที่ประทับใจ ความเข้าใจที่บันทึกลงในสมอง ยังน้อยไป ยังไม่พอ เพราะพระประสงค์ของพระเจ้า คือ ให้เราได้ปฏิบตั ติ ามแบบฉบับของพระองค์ ให้เราได้ตดิ ตามพระองค์ ด้วย ในทุกวันที่ยังมีชีวิต ในทุกจังหวะของลมหายใจ ทรงประสงค์ให้เราได้ตายต่อความปรารถนาแห่งตน เพื่อรับ เอาพระองค์เป็นชีวิต


สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา สดด 60:1,2-3,10-11 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1

2 พกษ 17:5-8,13-15ก,18

พระวรสาร

มธ 7:1-5

กษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงยกทัพมารุกรานแผ่นดินทั้งหมด เสด็จมาถึงกรุงสะมาเรีย และทรงล้อมเมืองเป็นเวลาสามปี ปีทเี่ ก้าในรัชกาลกษัตริยโ์ ฮเชยา กษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรีย ทรงยึดกรุงสะมาเรียได้ ทรงกวาดต้อนชาวอิสราเอลไปเป็นเชลยที่อัสซีเรีย ให้ตั้งหลัก แหล่ง บางส่วนอยู่ที่เมืองคาลาห์ บางส่วนอยู่ที่แม่น�้าคาโบร์ในแคว้นโกซาน บางส่วน อยู่ตามเมืองต่างๆ ของชาวมีเดีย เหตุการณ์นเี้ กิดขึน้ เพราะชาวอิสราเอลท�าบาปผิดต่อองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของ ตน พระองค์ทรงน�าเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ พ้นจากมือของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ แต่เขากลับไปนมัสการเทพเจ้าอืน่ ปฏิบตั ติ ามประเพณีของชนชาติทอี่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรง ขับไล่ออกไปเมื่อชาวอิสราเอลเข้ามาอาศัยอยู่ และปฏิบัติตามประเพณีต่างๆ ที่กษัตริย์ แห่งอิสราเอลทรงน�าเข้ามา องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงใช้บรรดาประกาศกและผูท้ า� นาย มาเตือนชาวอิสราเอลและ ชาวยูดาห์วา่ “จงละทิง้ หนทางชัว่ ร้ายของท่าน จงปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตแิ ละข้อก�าหนด ดัง ทีม่ เี ขียนไว้ในธรรมบัญญัตทิ เี่ รามอบให้แก่บรรพบุรษุ ของท่าน และตกทอดมาถึงท่านทาง บรรดาประกาศกผู้รับใช้ของเรา” แต่เขาไม่ยอมเชื่อฟัง มีจิตใจดื้อรั้นเหมือนบรรพบุรุษ ซึ่งไม่ยอมเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของตน ดูหมิ่นข้อก�าหนดและพันธสัญญาซึ่ง พระองค์ทรงท�ากับบรรพบุรุษของเขา ดูหมิ่นค�าตักเตือนที่ทรงให้ไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธชาวอิสราเอลอย่างยิ่ง และทรงผลักไสเขาให้พ้น จากพระพักตร์ เหลือไว้แต่เผ่ายูดาห์เท่านั้น เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้า จะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้น ตวงให้ท่าน ท�าไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงใน ดวงตาของตนเลย ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออก จากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะที่มีท่อนซุงอยู่ในดวงตาของท่าน ท่านคนหน้าซื่อใจคด เอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัดก่อนไปเขี่ยเศษ ฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง” เราวัดการเป็นเพือ่ นสนิทมิตรสหายด้วยมาตรวัดอันใด มาตรวัดนัน้ ก็จะถูกใช้วดั เรา “ไม้บรรทัดของชีวิตคริสตชน” จึงควรเป็นไม้ที่ให้อภัย เมตตา ใจกว้าง และให้โอกาส ต้อง เป็นไม้บรรทัดแห่งความรัก ตัดสินคนอื่นให้น้อยลง ปรับปรุงตนให้มากขึ้น เพราะค�าพระว่าไว้ “ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น” หน้าที่ตัดสินเป็นของพระ ฉะนั้น ปล่อยให้พระท�า อย่าไปคิดตัดสินแทน เพราะไม่ว่าเขาหรือเรา ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน


บทอ่านที่ 1

2 พกษ 19:9ข-11,14-21,31-35ก,36

พระวรสาร

มธ 7:6,12-14

เมื่อกษัตริย์เซนนาเคริบทรงทราบว่ากษัตริย์ทีรหะคาห์ชาวคูช ก�ำลังยกทัพอียิปต์ มาโจมตีพระองค์ จึงทรงส่งผู้น�ำสารมาเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์... กษัตริยเ์ ฮเซคียาห์ทรงอ่านพระราชสาสน์จากผูน้ ำ� สาร แล้วเสด็จขึน้ ไปยังพระวิหาร ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงกางพระราชสาสน์นั้นเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วทรงอธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ประทับอยู่ เหนือเครูบ พระองค์ผู้เดียวทรงเป็นพระเจ้าปกครองทุกอาณาจักรบนแผ่นดิน พระองค์ ระลึกถึง ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน... โปรดเงี่ยพระกรรณและทรงฟัง... โปรดทอดพระเนตร น.หลุยส์ คอนซากา และมองดู โปรดทรงฟังถ้อยค�ำที่เซนนาเคริบส่งมาพูดดูหมิ่นพระเจ้าผู้ทรงชีวิต... โปรด นักบวช ทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นจากมือของเขา แล้วทุกอาณาจักรบนแผ่นดินจะรู้ว่า สดด 48:1-2,3,9-10 พระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 อิสยาห์ บุตรของอามอสจึงส่งคนไปทูลกษัตริย์เฮเซคียาห์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “เราได้ยินค�ำอธิษฐานภาวนาของท่านเรื่องกษัตริย์เซนนา เคริบแห่งอัสซีเรียแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสพระวาจานี้กล่าวโทษเขาว่า “ศิโยนซึ่งเป็นเสมือนหญิงสาวพรหมจารี สบประมาทท่าน ดูถูกท่าน กรุงเยรูซาเล็มสั่นศีรษะเย้ยหยัน ท่าน ชนส่วนทีเ่ หลือจะออกมาจากกรุงเยรูซาเล็ม ผูร้ อดชีวติ จะออกมาจากภูเขาศิโยน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า แห่งสากลโลกจะทรงกระท�ำเช่นนี้ เพราะความรักเปี่ยมล้นของพระองค์” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสถึงกษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรียว่า “เขาจะไม่เข้าเมืองนี้ จะไม่ยงิ ธนูใส่เมืองนี้ จะไม่มที หาร ถือโล่เข้ามาใกล้ จะไม่สร้างเนินดินเพื่อปีนก�ำแพงเมือง เขาจะต้องกลับไปตามทางที่เขามา เขาจะไม่เข้าเมือง นี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะป้องกันและช่วยเมืองนี้ให้รอดพ้น เพราะเห็นแก่เรา และเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ ของเรา” คืนนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปที่ค่ายของชาวอัสซีเรียและฆ่าทหารหนึ่งแสนแปดหมื่น ห้าพันคน... เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “อย่าให้ของศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกรเพราะมันจะเหยียบย�่ำท�ำให้เสียของ และหันมากัด ท่านอีกด้วย ท่านอยากให้เขาท�ำกับท่านอย่างไร ก็จงท�ำกับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและค�ำสอนของบรรดา ประกาศก จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่น�ำไปสู่หายนะนั้นกว้างขวาง คนที่เข้าทางนี้มีจ�ำนวนมาก แต่ ประตูและทางซึ่งน�ำไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจ�ำนวนน้อย” วันนี้ ค�ำพระเป็นปริศนา ปริศนา คือ “ทางประตูแคบ” ทางสู่ชีวิตเป็นดังประตูแคบ น้อยคนนักจะ พบเจอ บ้างพบแล้ว ก็ไม่อยากเข้า เพราะประตูกว้างและทางใหญ่นั้นง่ายกว่า ท�ำความดี บางทีไม่ง่าย เพราะต้อง ฝืนหลายสิ่ง ตัดสละหลายอย่าง แต่ถึงล�ำบาก ก็ใช่ว่าจะท�ำไม่ได้ ยากนิดล�ำบากหน่อย แต่ท�ำได้ ถ้ารู้ว่าการก้าวสู่ทาง ใหญ่นำ� หายนะมาให้ คงไม่มใี ครอยากไปทางนัน้ ค�ำพระวันนีจ้ งึ เป็นก�ำลังใจ ถ้าเราท�ำดีแล้วล�ำบาก ท�ำแล้วพบกับความ เหนื่อยยาก บางทีอาจเป็นสัญญาณว่า มาถูกทางแล้ว ท�ำต่อไป!!!


บทอ่านที่ 1

น.เปาลิน แห่งโนลา พระสังฆราช น.ยอห์น ฟิชเชอร์ น.โทมัส โมร์ มรณสักขี

สดด 119:33-34,35-36 37 และ 40 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

น.โทมัส โมร์ พระวรสาร

2 พกษ 22:8-13;23:1-3

มหาสมณะฮิลคียาห์บอกชาฟานราชเลขาว่า “ข้าพเจ้าพบหนังสือธรรมบัญญัติ อยู่ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ฮิลคียาห์มอบหนังสือนั้นแก่ชาฟาน ซึ่งน�ำมา อ่าน ชาฟานราชเลขาจึงไปทูลกษัตริย์ว่า “บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์น�ำเงินซึ่งอยู่ใน พระวิหารส่งมอบแก่ผู้ดูแลงานซ่อมแซมพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” ชาฟาน ราชเลขาทูลเสริมอีกว่า “สมณะฮิลคียาห์ให้หนังสือเล่มหนึ่งแก่ข้าพเจ้า” แล้วชาฟาน ก็อ่านถวายกษัตริย์ เมื่อกษัตริย์ทรงได้ยินถ้อยค�ำจากหนังสือธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงฉีกฉลอง พระองค์ด้วยความทุกข์ ทรงสั่งสมณะฮิลคียาห์ อาคิคัมบุตรของชาฟาน อัคโบร์บุตร ของมีคายาห์ ชาฟานราชเลขา และอาสายาห์ขา้ ราชบริพารของกษัตริยว์ า่ “จงไปทูลถาม องค์พระผู้เป็นเจ้าให้เรา และให้ประชาชนชาวยูดาห์ทั้งหลาย เรื่องถ้อยค�ำในหนังสือที่ พบนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธพวกเราอย่างยิ่ง เพราะบรรพบุรุษของเราไม่เชื่อ ฟังถ้อยค�ำในหนังสือนี้ และไม่ปฏิบัติตามที่มีเขียนไว้ส�ำหรับเรา” กษัตริย์โยสิยาห์ทรงเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสแห่งอาณาจักรยูดาห์และกรุง เยรูซาเล็ม พระองค์เสด็จขึ้นไปยังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับชาวยูดาห์ และผู้อาศัยที่กรุงเยรูซาเล็มทุกคน บรรดาสมณะ ประกาศกและประชากรทั้งปวง ทั้ง ชนชั้นสูงและคนธรรมดา พระองค์ทรงอ่านถ้อยค�ำทั้งหมดของหนังสือพันธสัญญาที่พบ ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทุกคนได้ยิน กษัตริย์ทรงยืนข้างเสา ทรงกระท�ำ พันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าว่าจะด�ำเนินตามองค์พระผู้เป็นเจ้า จะ รักษาบทบัญญัติ กฤษฎีกาและข้อก�ำหนดของพระองค์สุดจิตใจ สุดวิญญาณ จะปฏิบัติ ตามถ้อยค�ำของพันธสัญญาที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ ประชาชนทุกคนปฏิญาณจะท�ำ ตามพันธสัญญา

มธ 7:15-20

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวังประกาศกเทียม ซึ่งมาพบท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย ท่านจะรู้จักเขาได้ จากผลงานของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุน่ จากต้นหนาม หรือเก็บผลมะเดือ่ เทศจากพงหนาม ในท�ำนองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลไม่ดีมิได้ และต้นไม้พันธุ์ไม่ ดีก็ไม่อาจเกิดผลดีได้ ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ ดังนั้น ท่านจะรู้จักประกาศกเทียม ได้จากผลงานของเขา” เป็นคนของพระต้องทันโลก เป็นคริสตชนต้องรู้ทันคน มองให้ออก ดูให้เป็นว่า สิ่งใดคือของแท้ สิ่งไหน คือของเทียม ส�ำคัญกว่านั้นคือ การตีฆ้องร้องป่าวไม่ได้ช่วยให้ใครเชื่อว่าเราเป็นของแท้และดีจริง แต่โดยการปฏิบัติ ความรัก และท�ำกิจการดีต่างหากที่จะเป็นประจักษ์พยานอันมีชีวิตให้เราเอง คิดให้รอบคอบ พูดเท่าที่จ�ำเป็น และท�ำ สิ่งดีเพื่อพี่น้อง ที่สุดแม้เราปิดปากเงียบ แต่กิจการจะร้องป่าวประกาศแทนเราเอง


บทอ่านที่ 1

2 พกษ 24:8-17

เยโฮยาคีนทรงเป็นกษัตริยเ์ มือ่ พระชนมายุสบิ แปดพรรษา และทรงครองราชย์เป็น เวลาสามเดือนที่กรุงเยรูซาเล็ม... สมัยนั้น นายทหารของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนยกทัพมาล้อมกรุง เยรูซาเล็ม ขณะที่นายทหารล้อมเมืองอยู่นั้น กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนเสด็จ มาที่นั่น กษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์เสด็จมายอมจ�ำนนกษัตริย์แห่งบาบิโลน... กษัตริยแ์ ห่งบาบิโลนทรงขนทรัพย์สมบัตทิ งั้ หมดในพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และพระราชทรัพย์ในพระราชวังไปกรุงบาบิโลน ทรงตัดเครื่องใช้ทองค�ำต่างๆ ที่กษัตริย์ ซาโลมอนแห่งอิสราเอลทรงท�ำขึน้ ส�ำหรับใช้ในพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าออกเป็น ชิ้นๆ ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเคยตรัสไว้ กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงกวาดต้อนชาวเยรูซาเล็มทั้งหมดจ�ำนวนหนึ่งหมื่นคนไป เป็นเชลย คือนายทหารและพลทหาร ช่างไม้และช่างเหล็กทุกคน เหลือไว้แต่คนยากจน ทีส่ ดุ ของแผ่นดิน พระองค์ทรงน�ำกษัตริยเ์ ยโฮยาคีนเป็นเชลยไปกรุงบาบิโลน พร้อมกับ พระมารดา บรรดามเหสี ข้าราชบริพาร และชนชัน้ น�ำของแผ่นดิน พระองค์ทรงน�ำบุคคล เหล่านีจ้ ากกรุงเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยทีก่ รุงบาบิโลน กษัตริยแ์ ห่งบาบิโลนทรงน�ำผูม้ ฐี านะ ทั้งหมดรวมเจ็ดพันคน ช่างไม้และช่างเหล็กจ�ำนวนหนึ่งพันคน ทุกคนล้วนช�ำนาญศึก กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงแต่งตั้งมัทธานียาห์ พระปิตุลาของกษัตริย์เยโฮยาคีนขึ้น เป็นกษัตริย์แทน และทรงเปลี่ยนพระนามเป็นเศเดคียาห์

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา สดด 79:1-2,3-5, 8-9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

มธ 7:21-29

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “คนทีก่ ล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นัน้ มิใช่ทกุ คนจะได้เข้าสูอ่ าณาจักรสวรรค์ แต่ผทู้ ปี่ ฏิบตั ติ าม พระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้ ในวันนั้น หลายคนจะกล่าวแก่ เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทัง้ หลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามพระองค์ ขับไล่ปศี าจในพระนาม พระองค์ และได้ท�ำอัศจรรย์หลายประการในพระนามพระองค์มิใช่หรือ’ เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่ เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้ท�ำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’ ผู้ใดฟังถ้อยค�ำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน ฝนจะตก น�้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน ผู้ใดที่ฟังถ้อยค�ำเหล่า นี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย เมื่อฝนตก น�้ำไหลเชี่ยว ลมพัด โหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก” เมือ่ พระเยซูเจ้าตรัสถ้อยค�ำเหล่านีจ้ บแล้ว ประชาชนต่างพิศวงในค�ำสัง่ สอนของพระองค์ เพราะพระองค์ ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอ�ำนาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา การภาวนาแต่อย่างเดียว ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะท�ำให้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ การฟังพระวาจา ของพระเจ้าแต่อย่างเดียว ก็ดูเหมือนจะยังไม่เพียงพอ เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้า และปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ อาจจะท�ำได้มากบ้างน้อยบ้าง แต่อย่างน้อยก็ยังได้ลงมือ แต่อย่างน้อยก็ยัง ได้พยายาม เพราะถ้าหลักของเรายังตั้งอยู่บนศิลา นั่นก็ยังดีกว่าปักลงบนพื้นทราย


สมโภช น.ยอห์น แบปติสต์​์ บังเกิ​ิด สดด 139:1-3,13-14, 15-16

บทอ่านที่ 1

อสย 49:1-6

บทอ่านที่ 2

กจ 13:22-26

ดินแดนชายทะเลและเกาะทั้งหลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนที่อยู่สุดแดน ไกล จงตั้งใจฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าเกิด ทรงขาน ชื่อข้าพเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พระองค์ทรงท�ำให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือนดาบคม ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์ของพระองค์ ทรงท�ำให้ข้าพเจ้าเป็นเสมือนลูกศร แหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์... พระองค์ตรัสว่า “เป็นการน้อยไปทีท่ า่ นจะเป็นผูร้ บั ใช้ของเรา เพือ่ สถาปนาเผ่าพันธุ์ ยาโคบขึน้ ใหม่ และรวบรวมอิสราเอลทีเ่ หลืออยูอ่ กี ครัง้ หนึง่ เราจะให้ทา่ นเป็นแสงสว่าง ส่องนานาชาติ เพื่อความรอดพ้นที่เราน�ำมาให้จะได้แผ่ไปจนสุดปลายแผ่นดิน”

เมื่อทรงปลดกษัตริย์ซาอูลจากต�ำแหน่งแล้ว ก็ทรงแต่งตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ ปกครองประชากรอิสราเอล ดังที่มีค�ำยืนยันในพระคัมภีร์ว่า “เราพบดาวิดบุตรของ เจสซี เขาเป็นคนที่เราพอใจ เขาจะท�ำตามความประสงค์ของเราทุกประการ” จากเชื้อ สายของกษัตริย์ดาวิดนี้ พระเจ้าประทานพระเยซูเจ้าเป็นผู้ช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นตาม พระสัญญา ยอห์นเตรียมรับเสด็จพระองค์ ประกาศพิธีล้างให้ประชาชนอิสราเอลทั้งปวงกลับใจ ขณะที่ยอห์น ก�ำลังท�ำภารกิจของตนให้ส�ำเร็จไป เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้ามิได้เป็นอย่างที่ท่านทั้งหลายคิด แต่บัดนี้ มีผู้หนึ่ง ก�ำลังมาภายหลังข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา”...

พระวรสาร

ลก 1:57-66,80

เมื่อครบก�ำหนดคลอด นางเอลีซาเบธให้ก�ำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง เพื่อนบ้านและบรรดาญาติรู้ว่าองค์พระ ผู้เป็นเจ้าทรงแสดงพระกรุณายิ่งใหญ่ต่อนาง จึงมาร่วมยินดีกับนาง เมื่อเด็กเกิดได้แปดวัน เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมาท�ำพิธีสุหนัตให้ เขาต้องการเรียกเด็กว่าเศคาริยาห์ ตามชื่อบิดา แต่มารดาของเด็กค้านว่า “ไม่ได้ เขาจะต้องชื่อยอห์น” คนเหล่านั้นจึงพูดกับนางว่า “ท่านไม่มี ญาติคนใดมีชื่อนี้” เขาเหล่านั้นจึงส่งสัญญาณถามบิดาของเด็กว่าต้องการให้บุตรชื่ออะไร เศคาริยาห์ขอ กระดานแผ่นหนึ่งแล้วเขียนว่า “เขาชื่อยอห์น” ทุกคนต่างประหลาดใจ ทันใดนั้น เศคาริยาห์ก็กลับพูดได้อีก เขาจึงกล่าวถวายพระพรพระเจ้า เพื่อนบ้านทุกคนต่างรู้สึกกลัว และเรื่องทั้งหมดนี้ได้เล่าลือกันไปทั่วแถบ ภูเขาของแคว้นยูเดีย ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็แปลกใจและถามกันว่า “แล้วเด็กคนนี้จะเป็นอะไร” เพราะ พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา เด็กนั้นเจริญเติบโตขึ้น จิตใจของเขาเข้มแข็งขึ้นด้วย เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่เขาแสดง ตนแก่ประชากรอิสราเอล ญาติพนี่ อ้ งอยากให้ทา่ นนักบุญได้ชอื่ ตามบิดา แต่เพราะส�ำนึกว่า พระประสงค์ของพระเจ้าต้องมาก่อน เศคาริยาห์จึงให้ท่านนักบุญชื่อว่า “ยอห์น” “ยอห์น” มีความหมายในภาษาฮีบรูว่า “พระเมตตากรุณาขององค์พระผู้ เป็นเจ้า” เมือ่ ได้เลือกในสิง่ ทีพ่ ระเจ้าประสงค์ เศคาริยาห์จงึ ได้รบั พระเมตตาจากพระเจ้า เศคาริยาห์จงึ กลับมาพูดได้อกี ครั้ง แล้วเราผู้เรียกตนว่าเป็น “คริสตชน” - คนของพระคริสต์ ทุกวันนี้ สิ่งที่เราท�ำ เป็นประสงค์ของพระ หรือน�้ำใจ ของเรา


บทอ่านที่ 1

พคค 2:2,10-14,18-19

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงท�ำลายทีอ่ าศัยทัง้ หมดของยาโคบอย่างไร้พระเมตตา ทรงพัง ป้อมปราการของธิดาแห่งยูดาห์ดว้ ยความกริว้ ทรงกดให้ตำ�่ ลงถึงพืน้ ดิน ทรงท�ำให้อาณาจักร และเจ้านายของเธอเป็นมลทิน บรรดาผูอ้ าวุโสของธิดาแห่งศิโยนนัง่ เงียบอยูบ่ นพืน้ ดิน โปรยฝุน่ ดินบนศีรษะ สวมผ้า กระสอบ สาวพรหมจารีแห่งกรุงเยรูซาเล็ม ก้มศีรษะมองพืน้ ดิน นัยน์ตาของข้าพเจ้าแดง ก�ำ่ เพราะร้องไห้ จิตใจวุน่ วาย ก�ำลังก็ทรุดลง เพราะความพินาศของธิดาแห่งประชากรของ ข้าพเจ้า เพราะเด็กและทารกเป็นลมสลบอยูต่ ามลานในเมือง เด็กเหล่านีถ้ ามมารดาของ ตนว่า “แม่จา๋ ข้าวและเหล้าองุน่ อยูท่ ไี่ หน” เขาทัง้ หลายหมดแรงล้มลงในลานเมือง ดุจ คนบาดเจ็บ เขาสิน้ ใจในอ้อมกอดของมารดา ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ข้าพเจ้าจะน�ำสิง่ ใด มาเปรียบกับเจ้า บอกว่าเจ้าเหมือนกับสิง่ ใดได้ ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยนเอ๋ย ข้าพเจ้าจะน�ำ เจ้าไปเปรียบกับสิง่ ใดเพือ่ จะปลอบโยนเจ้าได้ เพราะหายนะของเจ้ายิง่ ใหญ่เหมือนทะเล ผู้ ใดจะรักษาเจ้าให้หายได้...

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา สดด 74:1-2,3-4, 5-7,20-21 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

มธ 8:5-17

เวลานัน้ เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม นายร้อยคนหนึง่ เข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลอ้อนวอนว่า “พระองค์เจ้าข้า ผูร้ บั ใช้ของข้าพเจ้าเป็นอัมพาตนอนอยูท่ บี่ า้ น ต้องทรมานอย่างสาหัส” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับ เขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” แต่นายร้อยทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จ เข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงค�ำเดียวเท่านัน้ ผูร้ บั ใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค ข้าพเจ้า เป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าสั่งทหารคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งอีก คนหนึ่งว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพเจ้าสั่งผู้รับใช้ว่า ‘ท�ำนี่’ เขาก็ท�ำ” เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินเช่นนี้ ทรงประหลาด พระทัย จึงตรัสแก่บรรดาผู้ติดตามว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อ มากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนจ�ำนวนมากจะมาจากทิศตะวันออกและตะวันตก และ จะนั่งร่วมโต๊ะกับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบในอาณาจักรสวรรค์ แต่บุตรแห่งอาณาจักรจะถูกขับไล่ออกไปใน ที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การร�่ำไห้คร�่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง” แล้วพระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนาย ร้อยว่า “จงไปเถิด จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อนั้นเถิด” ผู้รับใช้ของเขาก็หายจากโรคในเวลานั้นเอง เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านของเปโตร ทรงเห็นมารดาของภรรยาเปโตรนอนป่วยเป็นไข้ พระองค์ จึงทรงจับมือนาง นางก็หายไข้ ลุกขึ้นและปรนนิบัติรับใช้พระองค์ เย็นวันนัน้ ประชาชนน�ำผูถ้ กู ปีศาจสิงจ�ำนวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงขับปีศาจเหล่านีอ้ อกไปด้วย พระวาจา และทรงบ�ำบัดรักษาผู้ป่วยทุกคน เพื่อให้พระวาจาที่ได้ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า พระองค์ทรงรับเอาความอ่อนแอของเราไว้ และทรงแบกความเจ็บป่วยของเรา และก็เป็นแบบนัน้ เป็นแบบนัน้ จริงๆ พระเจ้ารักเรา พระเยซูเจ้าทรงรับเอาความอ่อนแอ และทรงแบก ความเจ็บป่วยของเรา ถ้อยค�ำของอิสยาห์เป็นจริง เพราะไม่ใช่แค่ค�ำกล่าวอ้าง แต่วันนี้ พระองค์มาจริง พระองค์มา ท�ำ พระองค์ทรงรักษา พระองค์ทรงเยียวยา เป็นเพราะความรัก รักแม้กระทั่งเราที่เป็นคนอ่อนแอและเป็นคนบาป ไม่ ทรงมีเงือ่ นไขว่า ต้องดีพร้อมจึงรัก แต่รกั แม้เรายังมีบาป ดังนัน้ จงใช้ชวี ติ ในทุกวัน เพือ่ ขอบคุณและสรรเสริญพระองค์ ด้วยกัน


บทอ่านจากหนังสือพงษกษัตริยฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 19:16ข,19-21

สัปดาห์ที่ 13 เทสกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1 วันตอต้�นย�เสพติด

ในครัง้ นัน้ พระเจ้าตรัสกับเอลียาห์วา่ “จงเจิมเอลีชา บุตรของชาฟัทชาวเมืองอาเบล เมโคลาห์ให้เป็นประกาศกสืบแทนท่าน” เอลียาห์ออกจากที่นั่นไปพบเอลีชาบุตรของชาฟัท เขาก�าลังไถนา ข้างหน้าเขามี โคสิบสองคู่ เขาไถนาอยู่กับคู่สุดท้าย เอลียาห์เดินผ่านเข้าไปใกล้ๆ ถอดเสื้อคลุมของ ตนห่มให้เอลีชา เอลีชาจึงละโคเหล่านั้นวิ่งตามเอลียาห์ไป พูดว่า “ขอให้ข้าพเจ้าไปจูบ ลาบิดามารดาก่อน แล้วข้าพเจ้าจะติดตามท่าน” เอลียาห์ตอบว่า “ไปเถิดแล้วจงกลับ มา ท่านเข้าใจแล้วว่าข้าพเจ้าท�าอะไรให้ท่าน” เอลีชาก็กลับไปบ้าน ฆ่าโคคู่หนึ่ง ใช้แอก และคันไถเป็นฟืนปรุงเนื้อโคเป็นอาหาร แจกเนื้อให้ประชาชนกิน แล้วจึงออกเดินทาง ติดตามไปรับใช้เอลียาห์

เพลงสดุดี

สดด 16:1-2,5-6,7-8

ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงคุ้มครองข้าพเจ้า ข้าพเจ้าลี้ภัยมาพึ่งพระองค์ ข้าพเจ้าทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นความดีที่สุดของข้าพเจ้า ข) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นส่วนมรดกของข้าพเจ้า และทรงเป็นผู้ก�าหนดชีวิตของข้าพเจ้า พระองค์เท่านั้นทรงคุ้มครองชะตาชีวิตของข้าพเจ้าให้ปลอดภัย เส้นแบ่งเขตที่ดินของข้าพเจ้าอยู่ในพื้นที่รื่นรมย์ ส่วนมรดกของข้าพเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก ค) ข้าพเจ้าถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นที่ปรึกษาของข้าพเจ้า แม้ยามค�่าคืน จิตใจก็ยังพร�่าสอนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้เบื้องหน้าข้าพเจ้าเสมอ ถ้ามีพระองค์ประทับอยู่เบื้องขวา ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย กท 4:31ข-5:1,13-18

พี่น้องทั้งหลาย เรามิใช่บุตรของหญิงทาส แต่เป็นบุตรของหญิงอิสระ พระคริสต เจ้าทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระแล้ว ฉะนั้น จงยืนหยัดมั่นคง และอย่าเข้าเทียมแอก เป็นทาสอีกเลย พีน่ อ้ งทัง้ หลาย พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มารับอิสรภาพ ขอเพียงแต่อย่าใช้อสิ รภาพ นั้นเป็นข้อแก้ตัวที่จะท�าตามใจตน แต่จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรัก เพราะธรรม บัญญัติทั้งหมดสรุปได้เป็นข้อเดียวว่า จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ถ้าท่านกัดกัน และกินกัน ก็จงระวังตัวไว้เถิดว่า ท่านจะท�าลายกันจนหมดสิ้น


บัดนี้ ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่า จงด�าเนิน ตามพระจิตเจ้า และอย่าตอบสนองความปรารถนาตาม ธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมนุษย์มีความปรารถนาตรง กันข้ามกับพระจิตเจ้า และพระจิตเจ้าก็ทรงปรารถนาตรง กันข้ามกับธรรมชาติมนุษย์ สองสิ่งนี้ขัดแย้งกัน ท่านท�า สิง่ ทีท่ า่ นอยากท�าไม่ได้ ถ้าท่านมีพระจิตเจ้าเป็นผูน้ า� ท่าน ก็ไม่อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 9:51-62

เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไปใกล้เข้า มาแล้ว พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่จะเสด็จไปกรุง เยรูซาเล็ม และทรงส่งผู้น�าสารไปล่วงหน้า คนเหล่านี้ ออกเดินทางและเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อเตรียมรับเสด็จพระองค์ แต่ประชาชนที่ นั่นไม่ยอมรับเสด็จเพราะพระองค์ก�าลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อยากอบและยอห์นศิษย์ของพระองค์ เห็นดังนี้ก็ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญ คนเหล่านี้หรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหันไปต�าหนิศิษย์ท้ังสองคน แล้วทรงพระด�าเนินต่อไปยังหมู่บ้านอื่น พร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระด�าเนินตามทางพร้อมกับบรรดาศิษย์ ชายผู้หนึ่งทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้า จะติดตามพระองค์ไปทุกแห่งทีพ่ ระองค์จะเสด็จ” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “สุนขั จิง้ จอกยังมีโพรง นก ในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ” พระองค์ตรัสกับอีกคนหนึง่ ว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่เขาทูลว่า “ขออนุญาตให้ขา้ พเจ้าไปฝังศพบิดา ของข้าพเจ้าเสียก่อน” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิด ส่วนท่านจงไป ประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า” อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตกลับไปร�่าลาคนที่บ้าน ก่อน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดที่จับคันไถแล้วเหลียวดูข้างหลัง ผู้นั้นก็ไม่เหมาะสมกับพระอาณาจักร ของพระเจ้า” จับคันไถแล้วเหลียวหลังไม่ได้ ติดตามพระแล้วลังเลไม่ได้ ที่ท�าได้คือ กัดฟัน อดทน มุ่งมั่น เดิน หน้า และพัฒนาต่อไป เพราะการติดตามพระ การท�าแบบพระ ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน ยิ่งไม่ใช่การต่อรองหรือยื่น หมูยนื่ แมว และยิง่ ไม่ใช่การเอาความดีไปแลกเข้าสวรรค์ แต่เราติดตามพระและท�าแบบพระองค์ เพราะเรารูแ้ ละ ส�านึกว่า เราเป็นลูกของพระ เราจึงติดตามและท�าอย่างพระองค์


น.ซีริล แห่งอเล็กซานเดรีย พระสังฆราช นักปราชญ์แห่งพระ ศาสนจักร สดด 50:16-18, 19-21,22-23 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1

อมส 2:6-10,13-16

พระวรสาร

มธ 8:18-22

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ “เพราะชาวอิสราเอลได้ลว่ งละเมิดสามครัง้ และสีค่ รัง้ เรา จะตัดสินลงโทษและจะไม่กลับค�า เพราะเขาได้ขายผูช้ อบธรรมเพือ่ เงิน ขายคนขัดสนเพือ่ รองเท้าแตะคูเ่ ดียว เขาทัง้ หลายได้เหยียบย�า่ ศีรษะของคนยากจนลงไปในฝุน่ ของแผ่นดิน ท�าให้หนทางของผูต้ า�่ ต้อยต้องหันเหไป บุตรและบิดาเข้าหาหญิงสาวคนเดียวกัน เป็นการ ลบหลูน่ ามศักดิส์ ทิ ธิข์ องเรา เขาใช้เสือ้ ผ้าทีย่ ดึ เป็นประกันมาปูนอนอยูข่ า้ งพระแท่นบูชาทุก แท่น เขาดืม่ เหล้าองุน่ ทีเ่ ป็นค่าปรับจากประชาชน ในบ้านพระเจ้าของตน เราเองได้ทา� ลาย ชนเผ่าอาโมไรต์ตอ่ หน้าเขา แม้ชาวอาโมไรต์มรี า่ งสูงเหมือนต้นสนสีดาร์ และแข็งแรงเหมือน ต้นโอ๊ก เราได้ทา� ลายผลของเขาจากเบือ้ งบน และท�าลายรากของเขาจากเบือ้ งล่าง เราได้ ให้ทา่ นทัง้ หลายขึน้ มาจากแผ่นดินอียปิ ต์ น�าทางท่านในถิน่ ทุรกันดารเป็นเวลาสีส่ บิ ปี เพือ่ ท่านจะได้ครอบครองกรรมสิทธิท์ ดี่ นิ ของชนเผ่าอาโมไรต์ เมือ่ เป็นเช่นนี้ เราจะกดท่านลงในทีท่ ที่ า่ นอยู่ เหมือนเกวียนทีบ่ รรทุกฟ่อนข้าวอัดแน่น จมลงในดิน แม้ผวู้ งิ่ เร็วก็จะหนีไม่ทนั คนแข็งแรงจะใช้กา� ลังของตนก็ไม่ได้ ทหารช�านาญศึก จะช่วยชีวติ ของตนให้รอดพ้นก็ไม่ได้ ผูย้ งิ ธนูจะยืนหยัดอยูไ่ ม่ได้ ผูม้ ฝี เี ท้าเร็วช่วยตนเองไม่ ได้ ผูข้ มี่ า้ ก็ชว่ ยชีวติ ตนเองไม่ได้ ในวันนัน้ แม้แต่นกั รบกล้าหาญทีส่ ดุ ก็จะทิง้ อาวุธหนีไป” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงเห็นประชาชนห้อมล้อมพระองค์ จึงทรงสัง่ บรรดาศิษย์ให้ ข้ามทะเลสาบไปอีกฝัง่ หนึง่ ธรรมาจารย์คนหนึง่ เข้ามาทูลว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าอยาก ติดตามพระองค์ไปทุกแห่งทีพ่ ระองค์จะเสด็จ” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “สุนขั จิง้ จอก ยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ” ศิษย์อกี คนหนึง่ ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงอนุญาตให้ขา้ พเจ้าไปฝังศพบิดาของ ข้าพเจ้าเสียก่อน” แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา และปล่อยให้คนตายฝัง คนตายของตนเถิด” ติดตามพระไม่งา่ ย ด�าเนินชีวติ แบบพระ ยิง่ ไม่งา่ ย เพราะแม้แต่พระ ยังไม่มที ี่ จะวางศีรษะ แต่หากลองมองมุมกลับ เราจะพบว่า ค�าของพระเป็นของจริง เพราะทีว่ างศีรษะ แท้จริงของเรา ไม่ใช่ในโลกนี้ แต่คือโลกหน้า ถึงจะไม่ง่ายและต้องเผชิญกับความยากล�าบาก เพื่อติดตามพระ-เพื่อท�าแบบพระ แต่เรามีหลักประกันว่า จะผ่านไปได้อย่างแน่นอน เพราะ ผู้ที่น�าทางเรา เพราะผู้ที่เราติดตาม คือ พระผู้รับสภาพมนุษย์ และเป็นพระองค์ที่ได้ทรงผ่าน ความยากล�าบากในโลกนี้แล้ว และทรงมีชัยชนะเหนือแม้กระทั่งความตาย


บทอ่านที่ 1

อมส 3:1-8 และ 4:11-12

พระวรสาร

มธ 8:23-27

ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระวาจานีท้ อี่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสคาดโทษท่านทัง้ หลาย และ คาดโทษชนทัง้ เผ่าทีเ่ ราได้นา� ขึน้ มาจากแผ่นดินอียปิ ต์วา่ “ในบรรดาชนเผ่าทัง้ หลายบนแผ่นดิน เราได้เลือกท่านเท่านัน้ เราจึงจะลงโทษท่าน เพราะความผิดทัง้ หมดของท่าน” “คนสองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้กอ่ น สิงโตจะค�ารามในป่า ระลึกถึง ได้หรือ ถ้าไม่มเี หยือ่ สิงห์หนุม่ จะร้องออกมาจากถ�า้ หรือ ถ้าจับอะไรไม่ได้ นกจะลงมาติด น.อี เรเนโอ กับบนพืน้ ดินได้หรือ ถ้าไม่มผี ใู้ ดวางกับดักไว้ ถ้าไม่มอี ะไรเข้าไปติด กับจะลัน่ ขึน้ จากพืน้ ดิน ได้หรือ ถ้ามีเสียงเป่าแตรเขาสัตว์ในเมือง ประชาชนจะไม่ตกใจกลัวหรือ หายนะจะตกกับ พระสังฆราช มรณสักขี สดด 5:3-4,5-7 เมืองหนึง่ ได้หรือ ถ้าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าไม่ทรงกระท�าให้เกิดขึน้ ” “ใช่แล้ว องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าไม่ทรงกระท�าสิง่ ใด ถ้าไม่ทรงเปิดเผยความลับแก่ ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1 บรรดาประกาศกผูร้ บั ใช้พระองค์ สิงโตค�ารามแล้ว ผูใ้ ดจะไม่กลัวบ้าง องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าตรัสแล้ว ผูใ้ ดจะไม่ประกาศพระวาจา” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนีว้ า่ “คูอ่ ริจะมาล้อมแผ่นดินไว้ จะท�าลายก�าลังของ ท่าน และจะปล้นป้อมปราการของท่าน” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ “ผูเ้ ลีย้ งแกะแย่งขาสองขาหรือหูสองหู จากปากสิงโต มาได้ฉนั ใด ชาวอิสราเอลทีน่ อนเอกเขนกอยูบ่ นเตียง หรือห่มผ้าแพรอยูบ่ นทีน่ อนในกรุง สะมาเรีย จะรอดชีวติ ได้ฉนั นัน้ ” เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือ บรรดาศิษย์ตดิ ตามพระองค์ไปด้วย ทันใดนัน้ เกิด พายุแรงกล้าในทะเลสาบ คลื่นสูงจนไม่เห็นเรือ แต่พระองค์บรรทมหลับ บรรดาศิษย์จึง เข้ามาปลุกพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วยเถิด เราก�าลังจะพินาศอยู่แล้ว” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท�าไมจึงตกใจกลัวเล่า ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเหลือเกิน” แล้วทรงลุกขึ้นบังคับลมและทะเล ท้องทะเลก็สงบราบเรียบ คนทั้งหลายต่างประหลาด ใจ พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้” เมือ่ พระเยซูเจ้าตรัส เมือ่ พระองค์ดา� รัส แม้ลมและทะเลทีไ่ ม่มหี ู ยังเชือ่ ฟังพระ องค์ ยังยอมสงบ-ฟังค�าของพระองค์ เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์ บ่อยครั้ง ก็น่าแปลก ทั้งๆ ที่ เราก็มีหู ทั้งๆ ที่เราก็มีตา แต่เป็นเราเองที่ไม่เชื่อฟังพระ ไม่ปฏิบัติตามพระองค์ และบ่อยๆ ก็ หนักกว่านั้น เพราะบางที เราก็หลง เราก็ลืม จนอาจถึงขั้นที่ไม่ส�านึกว่า พระเจ้าทรงประทับ อยูท่ นี่ นั่ ในเรือชีวติ ของเรา ฟังค�าพระบ้าง เชือ่ และปฏิบตั ติ ามพระบ้าง อย่าปิดหู หรือท�าหูทวน ลม เพราะแม้ลมและทะเลที่ไม่มีหู ยังรู้จักฟังและท�าตามพระองค์เลย


สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา สดด 50:7-10,11-13, 16-18 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1

อมส 5:14-15,21-24

พระวรสาร

มธ 8:28-34

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัส “จงแสวงหาความดี อย่าแสวงหาความชัว่ แล้ว ท่านจะมีชวี ติ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาลจะสถิตกับท่านดังทีท่ า่ นอ้าง จงเกลียดชังความ ชัว่ จงรักความดี จงตัง้ ความยุตธิ รรมไว้ทปี่ ระตูเมือง บางทีองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล จะทรงสงสารพงศ์พนั ธุโ์ ยเซฟทีเ่ หลืออยู่ เราเกลียด เรารังเกียจเทศกาลฉลองของท่าน เราไม่พอใจการประชุมสง่างามของท่าน แม้ทา่ นทัง้ หลายถวายเครือ่ งเผาบูชา เราก็ไม่พอใจธัญบูชาของท่าน เราไม่มองสัตว์อว้ นพีที่ ท่านถวายเป็นศานติบชู า จงให้เสียงอึกทึกของบทเพลงของท่านอยูห่ า่ งจากเรา เราทนฟัง เสียงพิณใหญ่ของท่านไม่ได้ แต่จงให้ความยุตธิ รรมหลัง่ ไหลลงเหมือนน�า้ และให้ความ ชอบธรรมเป็นเหมือนธารน�า้ ทีไ่ ม่มวี นั เหือดแห้ง” เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามฟากมาถึงดินแดนของชาวกาดารา ผูถ้ กู ปีศาจสิงสอง คนออกจากบริเวณหลุมศพมาเฝ้าพระองค์ ทัง้ สองคนดุรา้ ยมากจนไม่มใี ครเดินผ่านทาง นั้นได้ ทันใดนั้น ทั้งสองคนร้องตะโกนว่า “ข้าแต่บุตรของพระเจ้า ท่านมายุ่งกับเราท�าไม ท่านมาที่นี่เพื่อทรมานเราก่อนเวลาหรือ” ไม่ไกลจากที่นั่นมีหมูฝูงใหญ่ก�าลังหากินอยู่ พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า “ถ้าท่านขับไล่พวกเรา ขอได้ส่งเราเข้าไปในหมู ฝูงนั้นเถิด” พระองค์ตรัสกับมันว่า “จงไปเถิด” พวกปีศาจจึงออกไปสิงในหมู หมูทั้งฝูง ต่างวิง่ กระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ จมน�า้ ตาย คนเลีย้ งหมูหนีเข้าไปในเมืองเล่า เรื่องทั้งหมดนี้และเรื่องผู้ถูกปีศาจสิงด้วย คนทั้งเมืองต่างออกมาเฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อ เห็นพระองค์ ก็ทูลขอพระองค์ให้เสด็จออกไปจากเขตแดนของเขา ทั้งๆ ที่พระมาช่วย ทั้งๆ ที่พระมาท�าสิ่งดี แต่พระก็ยังถูกปฏิเสธ บางที เรา ก็เป็นแบบนั้น คือ อยากจมปลัก ชมชอบการจมดิ่งอยู่ในความชั่วและบาป ปฏิเสธคนที่จะช่วย เหลือ ปฏิเสธทุกความช่วยเหลือ แค่ส�านึกว่าเป็นคนบาป แค่ส�านึกว่าตนยังไม่ดี แค่ความส�านึก ยังไม่พอ เพราะจ�าเป็นต้องหลุดให้พ้นจากสภาพนั้นด้วย ความจริงเกี่ยวกับความไม่ดีที่เราเป็น บางทีก็เจ็บปวดและยากยอมรับ แต่ถ้าอยากหายจากสภาพความบาปนั้น จ�าเป็นด้วยเช่นกัน ที่ เราจะต้องเปิดใจ ยอมรับ และให้พระท�างาน


บทอ่านที่ 1

อมส 7:10-17

อามาซิยาห์สมณะที่เมืองเบธเอลส่งคนไปทูลกษัตริย์เยโรโบอัมแห่งอิสราเอลว่า “อาโมสได้คดิ กบฏต่อพระองค์ในหมูพ่ งศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอล แผ่นดินทนฟังถ้อยค�ำของเขาไม่ ได้ เพราะอาโมสพูดว่า ‘กษัตริยเ์ ยโรโบอัมจะสิน้ พระชนม์ดว้ ยดาบ และอิสราเอลจะถูก กวาดต้อนไปเป็นเชลยห่างจากแผ่นดินของตน’” สมณะอามาซิยาห์กล่าวแก่ประกาศกอาโมสว่า “ท่านผูท้ ำ� นายไปเสียเถอะ จงกลับไป อยูใ่ นแผ่นดินยูดาห์ ไปท�ำมาหากินทีน่ นั่ และประกาศพระวาจาทีน่ นั่ เถิด แต่อย่าประกาศ พระวาจาทีเ่ บธเอลอีกต่อไป เพราะทีน่ เี่ ป็นสักการสถานของกษัตริย์ และเป็นพระวิหารของ ราชอาณาจักร” อาโมสจึงตอบสมณะอามาซิยาห์วา่ “ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นประกาศก หรือ เป็นสมาชิกของกลุม่ ประกาศก ข้าพเจ้าเคยเป็นคนเลีย้ งสัตว์และเป็นคนแต่งต้นมะเดือ่ เทศ และองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงให้ขา้ พเจ้าเลิกต้อนฝูงแพะแกะ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับ ข้าพเจ้าว่า ‘ไปเถอะ จงไปประกาศพระวาจาแก่อสิ ราเอลประชากรของเรา’ บัดนี้ จงฟังพระ วาจาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเถิด ท่านพูดว่า ‘อย่าประกาศพระวาจากล่าวโทษอิสราเอล อย่าเทศน์สอนกล่าวโทษ พงศ์พนั ธุอ์ สิ อัค’ ดีแล้ว องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘ภรรยาของท่านจะเป็นหญิงโสเภณี ในเมือง บุตรชายหญิงของท่านจะล้มลงด้วยดาบ เขาจะขึงเชือกแบ่งทีด่ นิ ของท่าน ท่าน จะตายในแผ่นดินทีม่ มี ลทิน และอิสราเอลจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ห่างจากแผ่นดิน ของตนอย่างแน่นอน’”

พระวรสาร

น.ปฐมมรณสักขี แห่งพระศาสนจักร กรุงโรม สดด 19:7,8-10 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

มธ 9:1-8

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฝั่งกลับมายังเมืองของพระองค์ ทันใดนั้น มี ผู้หามคนอัมพาตคนหนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อ ของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ท�ำใจดีๆ ไว้เถิด ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัย แล้ว” ธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้กล่าวดูหมิ่นพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงทราบ ความคิดของเขา จึงตรัสว่า “ท่านคิดร้ายในใจท�ำไม อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกว่า ‘บาป ของท่านได้รบั การอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึน้ เดินไปเถิด’ แต่เพือ่ ให้ทา่ นทราบว่า บุตร แห่งมนุษย์มีอ�ำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า “จงลุก ขึน้ แบกแคร่ กลับบ้านเถิด” เขาก็ลกุ ขึน้ กลับไปบ้าน เมือ่ ประชาชนเห็นดังนี้ ต่างมีความ กลัว ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ผู้ประทานอ�ำนาจเช่นนี้ให้แก่มนุษย์ อ�ำนาจของพระคือการอภัย อย่าสงสัยในอ�ำนาจของพระ อ�ำนาจทีพ่ ระมอบให้ผา่ นทางศาสนบริการของ พระองค์ ไม่มีบาปประการใดที่จะไม่ได้รับการอภัย เว้นแต่บาปผิดต่อพระจิตเจ้า อาการป่วยทางกาย แค่ตาเนื้อมองดูก็ เห็นได้ แต่อาการป่วยทางใจ ยากจะดูออกได้ ที่ดีที่สุดและอาจท�ำได้ คือ ไปพบพระบ่อยๆ รับศีลอภัยบาปเสมอๆ อย่าง น้อยที่สุด แม้ไม่รู้ว่า เราป่วยขนาดไหน แต่ผ่านทางศีลอภัยบาป เราก็ได้รับพระหรรษทานของพระองค์ อย่าสงสัยเลย เพราะการอภัยบาป คืออ�ำนาจของพระองค์



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.