บทอ่านที่ 1 กจ 22:30,23:6-11 เวลานั้น ผู้บัญชาการกองพันต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าเหตุใดชาวยิวจึงกล่าวหา เปาโล วันรุ่งขึ้นเขาจึงสั่งให้แก้โซ่ที่ล่ามเปาโล เรียกบรรดาหัวหน้าสมณะและ สมาชิกสภาซันเฮดรินทุกคนมาประชุม แล้วนำ�เปาโลไปยืนต่อหน้าเขา เปาโลรู้ว่า สมาชิกส่วนหนึ่งของที่ประชุมเป็นชาวสะดูสีและอีกส่วนหนึ่งเป็น ชาวฟาริสี จึงตะโกนขึ้นในสภาว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นชาวฟาริสี เป็น ระลึกถึง น.ยุสติน บุตรของชาวฟาริสี ข้าพเจ้าถูกสอบสวนก็เพราะเรื่องความหวังในการกลับคืนชีพ มรณสักขี ของบรรดาผู้ตาย” เมื่อเปาโลกล่าวเช่นนั้น ก็เกิดการถกเถียงกันระหว่างชาว สดด 16:1-2,7-8, ฟาริสีกับชาวสะดูสี ที่ประชุมจึงแตกแยก เพราะชาวสะดูสียืนยันว่าไม่มีการกลับ 9-10,11 คืนชีพและไม่มีทั้งทูตสวรรค์และจิต แต่ชาวฟาริสีเชื่อว่ามี ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เกิดความโกลาหลอย่างรุนแรงในที่ประชุม ธรรมาจารย์บางคนที่เป็นชาว ฟาริสีลุกขึ้นโต้แย้งว่า “เราไม่พบว่าชายผู้นี้มีความผิดอันใด เป็นไปได้มิใช่หรือ ที่ จิตหรือทูตสวรรค์ได้พูดกับเขา” ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น... คืนต่อมา องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเสด็จมาทรงยืนใกล้เปาโล ตรัสว่า “ทำ�ใจดีๆ ไว้ เจ้าได้เป็นพยานยืนยัน ถึงเราที่กรุงเยรูซาเล็มอย่างไร เจ้าจะต้องเป็นพยานที่กรุงโรมอย่างนั้นด้วย” พระวรสาร ยน 17:20-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนามิใช่สำ�หรับคนเหล่านี้เท่านั้น แต่สำ�หรับผู้ที่จะเชื่อในข้าพเจ้า ผ่านทาง วาจาของเขาด้วย ข้าแต่พระบิดา ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนา เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับ ที่พระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ เพื่อให้เขาทั้งหลายอยู่ในพระองค์และใน ข้าพเจ้า โลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ให้แก่เขา เพื่อให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์และข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ข้าพเจ้าอยู่ในเขา และพระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ โลกจะได้ รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา และพระองค์ทรงรักเขาเช่นเดียวกับที่ทรงรักข้าพเจ้า ข้าแต่พระบิดา ผู้ ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าปรารถนาให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าทุกแห่งที่ข้าพเจ้าอยู่ เพื่อเขา จะได้เห็นพระสิรริ งุ่ โรจน์ ซึง่ พระองค์ประทานแก่ขา้ พเจ้า เพราะพระองค์ทรงรักข้าพเจ้าตัง้ แต่กอ่ นสร้าง โลก ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงเที่ยงธรรม โลกไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าบอกให้เขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะบอกให้รู้ต่อไป เพื่อ ความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขา และข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขาด้วยเช่นเดียวกัน” พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักจึงเป็นเป็นแก่นแห่งศาสนกิจทุกอย่างภายนอก ไม่ว่าจะ เป็นการสวดภาวนา พิธกี รรม หรือศีลศักดิส์ ทิ ธิล์ ว้ นเป็นการแสดงออกของความรัก... ความรักทีพ่ ระเจ้าทรง รักเรา ความรักที่เรารักพระเจ้า ดังนั้น หากศาสนกิจไม่มีความรักเป็นต้นกำ�เนิด เป็นแรงบันดาลใจ เป็นแรง ขับเคลื่อน ศาสนกิจเหล่านั้นก็เป็นกิจการที่ทำ�กันแค่ภายนอกและกลวง ไร้คุณค่าใดๆ ยิ่งกว่านั้น ในขณะที่ เราคิดว่าเราเป็นฝ่ายเข้าหาพระเจ้าด้วยศาสนกิจ ในความเป็นจริงแล้ว เป็นพระเจ้าที่ทรงเข้าหาเราเป็นฝ่าย แรก ทรงเข้าถึงภายในจิตวิญญาณ เป็นอันหนึง่ อันเดียวกับเรา ร่วมชีวติ กับเรา เมือ่ นัน้ แหละศาสนกิจแท้จริง จึงเริ่มขึ้น
น.มาร์แชลลิน และ น.เปโตร มรณสักขี สดด 103:1-2, 11-12,19-20
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันศุกร์ต้นเดือน
บทอ่านที่ 1 กจ 25:13-21 สองสามวันต่อมา กษัตริย์อากริปปาและพระนางเบอร์นิสเสด็จมาถึงเมือง ซีซารียา เพื่อเยี่ยมเยียนแสดงความยินดีต่อเฟสตัส ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ที่ นัน่ หลายวัน เฟสตัสทูลกษัตริยเ์ รือ่ งคดีของเปาโลว่า “เฟลิกส์ทงิ้ ชายคนหนึง่ ให้ถกู จองจำ�ไว้ทนี่ ี่ เมือ่ ข้าพเจ้าอยูท่ กี่ รุงเยรูซาเล็ม บรรดาหัวหน้ามหาสมณะและผูอ้ าวุโส ของชาวยิวได้ฟ้องกล่าวโทษเขาและขอให้ลงโทษด้วย ข้าพเจ้าตอบว่า “ธรรมเนียมของชาวโรมันจะไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดก่อนที่เขา จะมีโอกาสเผชิญหน้ากับผู้กล่าวหาและแก้ข้อกล่าวหานั้น” บรรดาผู้กล่าวหามา พบข้าพเจ้าที่นี่ ข้าพเจ้าไม่รีรอ วันรุ่งขึ้นก็นั่งบัลลังก์ สั่งให้นำ�ชายคนนั้นเข้ามา บรรดาผู้กล่าวหามารุมล้อมเขา แต่ไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาเรื่องความผิดดังที่ข้าพเจ้า คาดไว้ เขาเพียงแต่ถกเถียงปัญหาเรือ่ งศาสนาของเขาและเรือ่ งชายคนหนึง่ ชือ่ เยซู ทีต่ ายไปแล้ว แต่เปาโลยืนยันว่ายังมีชวี ติ อยู่ ข้าพเจ้าลังเลใจทีจ่ ะตัดสินเรือ่ งทำ�นอง นี้ จึงถามว่า เขาอยากไปกรุงเยรูซาเล็มและรับการพิจารณาคดีทนี่ นั่ ไหม แต่เปาโล อุทธรณ์ขอสงวนคดีไว้ให้พระจักรพรรดิเป็นผู้ตัดสิน ข้าพเจ้าจึงสั่งให้จองจำ�เขาไว้ จนกว่าข้าพเจ้าจะส่งเขาไปเฝ้าพระจักรพรรดิได้
พระวรสาร ยน 21:15-19 เมือ่ บรรดาศิษย์กนิ เสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเรา มากกว่าคนเหล่านี้รักเราไหม” เปโตรทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารัก พระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสถามเขาอีกเป็นครั้งที่ สองว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม” เขาทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบ ว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสถามเป็นครั้งที่ สามว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม” เปโตรรู้สึกเป็นทุกข์ที่พระองค์ตรัสถามตนถึงสามครั้ง ว่า “ท่านรักเราไหม” เขาทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิง่ พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้า รักพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อ ท่านยังหนุ่ม ท่านคาดสะเอวด้วยตนเอง และเดินไปไหนตามใจชอบ แต่เมื่อท่านชรา ท่านจะยื่นมือ แล้วคนอื่นจะคาดสะเอวให้ท่าน พาท่านไปในที่ที่ท่านไม่อยากไป” พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าโดยตายอย่างไร เมื่อตรัส ดังนี้แล้ว ทรงเสริมว่า “จงตามเรามาเถิด” เมือ่ พระเจ้าทรงแต่งตัง้ ใครเพือ่ ทำ�ภารกิจทีท่ รงมอบหมาย พระองค์ไม่ทรงมองความสามารถ ของผูน้ นั้ หากแต่ทรงเน้นความรักเป็นหลัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรักและทุกกิจการของพระองค์กล็ ว้ น เป็นกิจการแห่งความรักและความเมตตาของพระองค์ตอ่ มนุษยชาติ คุณภาพอย่างเดียวทีท่ รงต้องการจาก บุคคลทีพ่ ระองค์ทรงเลือกคือความรัก เมือ่ มีความรัก ความรักจะชีน้ �ำ และให้แรงบันดาลใจการเป็นและการ ทำ�ของเขา ในเวลาเดียวกันเขาผูน้ นั้ จะอยูใ่ นกระแสแห่งความรักของพระเจ้า กลายเป็นพลังและความสามารถ ที่พ้นตัวตนเขา ดังที่พระองค์ทรงถามให้ซีโมนเปโตรเข้าใจและมั่นใจก่อนที่จะทรงตั้งท่านเป็นประมุข
บทอ่านที่ 1 กจ 28:16-20,30-31 เมือ่ มาถึงกรุงโรม เปาโลได้รบั อนุญาตให้อยูต่ ามลำ�พังโดยมีทหารคนหนึง่ เป็น ผู้ควบคุม สามวันต่อมา เปาโลเรียกบรรดาผู้นำ�ชาวยิวมาพบที่บ้าน เมื่อคนเหล่านี้มา ชุมนุมกัน เปาโลพูดกับเขาว่า “พี่น้องทั้งหลาย แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทำ�สิ่งใดผิดต่อ ประชากรหรื อ ขั ด กั บ ธรรมประเพณี ข องบรรดาบรรพบุ รุ ษ แต่ ช าวยิ ว ที่ ก รุ ง เยรูซาเล็มก็ยงั จับกุมข้าพเจ้าและมอบตัวให้ชาวโรมัน ชาวโรมันไต่สวนและต้องการ จะปล่อยข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่มีความผิดที่สมควรต้องตาย แต่เมื่อชาวยิว คัดค้าน ข้าพเจ้าจำ�เป็นต้องยื่นอุทธรณ์ต่อพระจักรพรรดิ ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาที่จะ กล่าวหาเพื่อนร่วมชาติของข้าพเจ้าเลย เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอพบเพื่อพูดคุย กับท่านทัง้ หลาย ข้าพเจ้าถูกพันธนาการเช่นนี้ ก็เพราะความหวังของชาวอิสราเอล นั่นเอง” เปาโลพักอยู่ในบ้านเช่าเป็นเวลาสองปีเต็ม และต้อนรับทุกคนที่มาเยี่ยม ประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้าและสอนความจริงเรือ่ งพระเยซูคริสต์องค์พระ ผู้เป็นเจ้าอย่างกล้าหาญโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ
ระลึกถึง น.ชาร์ล ลวงก้า และเพื่อนมรณสักขี สดด 11:4-5,6-7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร ยน 21:20-25 เวลานั้น เปโตรเหลียวไปดู ก็เห็นศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักตามมา เป็นคนที่เอนกายชิดพระอุระ พระเยซูเจ้าในการเลีย้ งอาหารคาํ่ และทูลถามพระองค์วา่ “พระเจ้าข้า ผูท้ ที่ รยศพระองค์เป็นใคร” เมือ่ เปโตรเห็นเขา ก็ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “คนนี้จะเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ก็ธุระอะไรของท่าน ท่านจงตามเรามาเถิด” ดังนั้น จึงมี เรือ่ งทีเ่ ล่าลือกันไปทัว่ ในกลุม่ บรรดาพีน่ อ้ งว่าศิษย์คนนีจ้ ะไม่ตาย แต่พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสว่า “เขาจะไม่ ตาย” แต่ตรัสว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ก็ธุระอะไรของท่าน” นี่คือศิษย์ที่เป็นพยานถึงเรื่องราวเหล่านี้ และเขียนบันทึกไว้ พวกเรารู้ว่าคำ�พยานของเขานั้นเป็น ความจริง ยังมีเรื่องราวอื่นๆ อีกมากที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้า คิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น ยอห์นบันทึกสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นและทรงทำ�เพื่อส่งต่อเป็นพระวรสารสำ�หรับศิษย์ของ พระองค์ ท่านเองยอมรับว่าสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นและทรงทำ�นั้นมากมาย หากจะนำ�มาบันทึกเป็นลาย ลักษณ์อกั ษรและจัดเป็นหนังสือ ท่านคิดว่าโลกทัง้ โลกคงไม่พอจะบรรจุหนังสือเหล่านีไ้ ด้ แต่ทที่ า่ นพูดเน้นว่า โลกทัง้ โลกไม่มที พี่ อบรรจุหนังสือเหล่านีไ้ ด้เพราะไม่เพียงสิง่ ทีท่ รงเป็นและทรงทำ�ในช่วงทีท่ รงชีวติ อยูใ่ นโลก นี้เท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งที่ยังทรงเป็นและทรงทำ�อยู่ในปัจจุบันนี้และต่อไปข้างหน้า สำ�หรับแต่ละคนด้วย ซึ่ง หากรวบรวมและทำ�เป็นหนังสือก็คงล้นโลกใบนี้แน่นอน
สมโภช พระจิตเจ้า
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 2:1-11 เมื่อวันเปนเตกอสเตมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขา เห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้น แยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้ รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด ขณะนั้นที่กรุงเยรูซาเล็มมีชาวยิวผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้ามาจากทุกชาติ ทั่วโลก เมื่อประชาชนได้ยินเสียงนี้ จึงมาชุมนุมกันจำ�นวนมาก รู้สึกฉงนสนเท่ห์ เพราะแต่ละคนได้ยินคนเหล่านี้พูดภาษาของตน และประหลาดใจอย่างยิ่ง กล่าว ว่า “ทุกคนที่กำ�ลังพูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีมิใช่หรือ แล้วทำ�ไมเราแต่ละคนจึงได้ยิน เขาพูดภาษาท้องถิน่ ของเราเล่า เราชาวปาร์เธีย ชาวมีเดีย และชาวเอลาม บางคน อาศัยอยู่ในเขตเมโสโปเตเมีย แคว้นยูเดีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นปอนทัสและ แคว้นเอเชีย แคว้นฟรีเจียและแคว้นปัมฟีเลีย บางคนมาจากอียิปต์และเขตของ ประเทศลิเบีย รอบๆ เมืองไซรีน บางคนมาจากกรุงโรม ทัง้ ชาวยิวและผูก้ ลับใจเข้า นับถือลัทธิยิว บางคนเป็นชาวเกาะครีตและชาวอาหรับ พวกเราได้ยินคนเหล่านี้ ประกาศกิจการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นภาษาของเรา” เพลงสดุดี สดด 104:1-2,28-30,31 และ 33 ก) จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เหลือล้น พระองค์ทรงความรุ่งเรืองและพระเกียรติยศเป็นเสมือนอาภรณ์ ทรงคลุมพระองค์ด้วยแสงสว่างต่างพระภูษา พระองค์ทรงคลี่ท้องฟ้าให้กางออกดุจกางกระโจม ข) เมื่อพระองค์ประทานอาหาร สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็เก็บไว้ เมื่อพระองค์ยื่นพระหัตถ์ สิ่งมีชีวิตก็มีของดีๆ กินจนอิ่ม ถ้าพระองค์เบือนพระพักตร์ไปทางทิศอื่น สิ่งมีชีวิตก็ตื่นตระหนก ถ้าพระองค์ทรงเรียกลมปราณกลับคืน สิ่งมีชีวิตก็ตาย และกลับเป็นฝุ่นดิน เมื่อพระองค์ทรงส่งพระจิตของพระองค์ลงมา สิ่งมีชีวิตก็ถูกสร้างขึ้น พระองค์ทรงเปลี่ยนโฉมหน้าของแผ่นดิน ค) พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชื่นชมในพระราชกิจของพระองค์ ข้าพเจ้าจะขับร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิต จะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้าพเจ้า ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่
บทอ่ า นจากจดหมายนั ก บุ ญ เปาโลอั ค รสาวกถึ ง ชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 12:3ข-7,12-13 พีน่ อ้ งทัง้ หลาย ไม่มผี ใู้ ดพูดโดยพระจิตเจ้าทรงดลใจ ว่า “พระเยซูจงถูกสาปแช่ง” และหากพระจิตเจ้ามิได้ทรง ดลใจก็ไม่มผี ใู้ ดพูดได้วา่ “พระเยซูคอื องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า” พระพรพิ เ ศษมี ห ลายประการ แต่ มี พ ระจิ ต เจ้ า พระองค์เดียว มีหน้าที่หลายอย่างต่างกัน แต่มีองค์พระ ผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว กิจการมีหลายอย่าง แต่มี พระเจ้าพระองค์เดียวผู้ทรงกระทำ�ทุกอย่างในทุกคน พระจิตเจ้าทรงแสดงพระองค์ในแต่ละคนเพื่อประโยชน์ ส่วนรวม แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียว แต่ก็มีอวัยวะหลาย ส่วน อวัยวะต่างๆ เหล่านี้แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วมเป็นร่างกายเดียวกันฉันใด พระคริสตเจ้าก็ฉันนั้น เดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นอิสระก็ตาม เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์ เดียวกัน บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:19-23 คํ่าวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำ�ลังชุมนุมกันปิดอยู่ เพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยูต่ รงกลาง ตรัสกับเขาทัง้ หลายว่า “สันติสขุ จงสถิตกับท่านทัง้ หลาย เถิด” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้น เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เรา ก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระ จิตเจ้าเถิด ท่านทัง้ หลายอภัยบาปของผูใ้ ด บาปของผูน้ นั้ ก็ได้รบั การอภัย ท่านทัง้ หลายไม่อภัยบาปของ ผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย”
พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพ พระกายของพระองค์มีสภาพใหม่และรุ่งโรจน์ พระองค์ทรง สามารถเสด็จผ่านประตูห้องที่ปิดอยู่เพื่อมาพบศิษย์ของพระองค์ กระนั้นก็ดี พระองค์ยังทรงเก็บรักษา บาดแผลที่เกิดจากตะปูและหอกไว้ เพราะบาดแผลเหล่านี้ไม่เป็นแค่บาดแผล แต่เป็นพยานชี้บอกความรัก ยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อมนุษย์...ทรงรักจนถึงที่สุด...ทรงตายเพื่อคนที่ทรงรัก พระองค์ทรงให้ศิษย์ดูบาดแผลเพื่อ ให้พวกเขามั่นใจได้ว่าเป็นพระองค์ บาดแผลแห่งความรักจึงเป็นอัตลักษณ์ของพระองค์ และพระองค์ทรง ประสงค์ให้ศิษย์ของพระองค์ยืนยันการเป็นศิษย์ของพระองค์ด้วยการปฏิบัติความรัก “เมื่อคนเห็นท่านรัก ก็รู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา”
บทอ่านที่ 1 ทบต 1:1-2, 2:1-9 หนังสือเรือ่ งของโทบิต...ในรัชสมัยของกษัตริยเ์ อสารฮัดโดน ข้าพเจ้ากลับบ้าน มาอยูก่ บั อันนาภรรยาและโทบียาห์บตุ รชายอีกครัง้ หนึง่ ในวันฉลองเปนเตกอสเต หรือวันฉลองสัปดาห์ เขาเตรียมอาหารอย่างดีไว้ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มานั่งที่โต๊ะ ซึ่งมีอาหารหลายอย่าง ข้าพเจ้าพูดกับโทบียาห์บุตรของข้าพเจ้าว่า “ลูกเอ๋ย จง ระลึกถึง น.บอนีฟาส ออกไปเถิด ถ้าพบคนยากจนทีร่ ะลึกถึงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าสุดจิตใจในหมูพ่ นี่ อ้ งของ เราที่ถูกเนรเทศมายังกรุงนีนะเวห์ด้วยกัน ก็จงนำ�เขามาร่วมโต๊ะกินอาหารกับเรา พระสังฆราช พ่อจะรอจนกว่าลูกจะกลับมา” โทบียาห์จึงออกไปหาคนยากจนในหมู่พี่น้องของ และมรณสักขี เรา แต่เขากลับมาบอกว่า... “พ่อครับ เพื่อนร่วมชาติของเราคนหนึ่งถูกฆ่า ถูกบีบ สดด 112:1-3,4-5,6 คอและถูกทิ้งไว้ที่ตลาด ศพของเขายังอยู่ที่นั่น” ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้น ทิ้งอาหารไว้บน โต๊ะ ยังไม่ทันได้ชิมอะไร นำ�ศพจากตลาดไปไว้ในห้องหนึ่ง รอจนดวงอาทิตย์ตก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เพือ่ จะได้น�ำ เขาไปฝัง ข้าพเจ้ากลับมาอาบนํา้ ชำ�ระร่างกายแล้วนัง่ ลงกินอาหารด้วย วันสิ่งแวดล้อมโลก ความเศร้า โดยระลึกถึงถ้อยคำ�ของประกาศกอาโมสที่กล่าวถึงเมืองเบธเอลว่า “วันฉลองของท่านจะกลายเป็นวันไว้ทุกข์ การร้องรำ�ทำ�เพลงของท่านก็จะ กลายเป็นการครํ่าครวญ”... พระวรสาร มก 12:1-12 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสเรือ่ งอุปมาให้บรรดาผูน้ �ำ ชาวยิวฟังว่า “ชายคนหนึง่ ปลูกองุน่ ไว้สวนหนึง่ ทำ�รั้วล้อม ขุดบ่อยํ่าผลองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อถึงเวลา กำ�หนด เขาก็ใช้ผู้รับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน เพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิตของสวน แต่คนเช่าสวน จับผู้รับใช้คนนั้นทุบตี แล้วไล่กลับไปมือเปล่า เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนตีหัว และด่าว่าผู้รับใช้คนนี้อย่างหยาบคาย เจ้าของสวนส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนก็ฆ่าเขา เจ้าของ สวนยังส่งผู้รับใช้คนอื่นไปอีกหลายคน ก็ถูกคนเช่าสวนทุบตีบ้าง ฆ่าเสียบ้าง เจ้าของสวนยังมีคนเหลือ อยู่อีกคนหนึ่ง คือบุตรสุดที่รัก เขาจึงส่งบุตรไปเป็นคนสุดท้าย โดยคิดว่า ‘พวกนั้นคงจะเกรงใจลูกของ เราบ้าง’ แต่คนเช่าสวนเหล่านัน้ พูดกันว่า ‘คนคนนีเ้ ป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด มรดกจะได้ตกเป็นของ เรา’ แล้วเขาก็จบั บุตรของเจ้าของสวนฆ่า ทิง้ ศพไว้นอกสวน เจ้าของสวนจะทำ�อย่างไร เขาจะมาทำ�ลาย คนเช่าสวนเหล่านั้น แล้วยกสวนให้คนอื่นเช่า ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้หรือว่า ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำ�เช่นนั้นเป็น ที่น่าอัศจรรย์กับเรายิ่งนัก’” บรรดาผู้นำ�ชาวยิวพยายามจับกุมพระองค์ เพราะรู้ว่าพระองค์ตรัสอุปมานี้กระทบถึงเขา แต่เขา ยังเกรงประชาชนอยู่จึงผละจากพระองค์ไป พระคัมภีร์พูดถึงสวนองุ่นของพระเจ้าซึ่งมีความหมายในเชิงเทววิทยา สวนองุ่นหมายถึง ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่พวกเขากลับทำ�ตัวไม่สนใจพระเจ้า แม้จะทรงส่งประกาศกมาเตือน พวกเขาก็ไม่สนใจ ที่สุด พระองค์ทรงส่งพระบุตรมา แต่พวกเขาไม่สนใจเช่นกันและจับพระองค์ไปฆ่านอก กรุงเยรูซาเล็ม สวนองุ่นยังหมายถึงชีวิตมนุษย์แต่ละคน ขึ้นอยู่กับเราแต่ละคนว่าจะมีทีท่าอย่างไร ถือว่า ชีวติ เป็นของเรา ทำ�อะไรได้ตามใจชอบ หรือถือว่าชีวติ เราเป็นของพระเจ้าทีท่ รงมอบให้เราดูแล บริหาร และ พัฒนาให้มีประสิทธิผลอยู่ตลอดเวลา
บทอ่านที่ 1 ทบต 2:9-14 ในคืนเดียวกันนั้น เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากการฝังศพ ข้าพเจ้าก็อาบนํ้าและ ออกไปที่ลานบ้าน นอนที่กำ�แพงลานไม่ได้คลุมหน้า เพราะอากาศร้อน ข้าพเจ้า ไม่รู้ว่ามีนกกระจอกอยู่บนกำ�แพงเหนือศีรษะข้าพเจ้า มูลร้อนของนกตกลงเข้าตา ข้าพเจ้า ทำ�ให้เป็นฝ้าขาว ข้าพเจ้าไปพบแพทย์ แต่เขารักษาข้าพเจ้าไม่ได้ ยิ่งเขา ใส่ยา ตาของข้าพเจ้าก็ยิ่งมีฝ้าขาวมากขึ้น จนบอดสนิท ข้าพเจ้าตาบอดเป็นเวลา สี่ปี พี่น้องทุกคนของข้าพเจ้าเสียใจมาก อาคิคาร์รับภาระเลี้ยงดูข้าพเจ้าเป็นเวลา สองปี ก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังแคว้นเอลีมาอิส เวลานัน้ อันนาภรรยาของข้าพเจ้าทำ�งานทีบ่ า้ นเพือ่ หารายได้ นางปัน่ ขนแกะ และทอผ้า นำ�งานที่ทำ�ไปส่งให้นายจ้างและรับเงินเป็นค่าตอบแทน วันหนึ่ง ตรง กับวันทีเ่ จ็ดเดือนดิสตรอส นางทอผ้าผืนหนึง่ เสร็จและนำ�ไปส่งให้นายจ้าง เขาจ่าย เงินค่าจ้างทัง้ หมด และยังแถมลูกแพะอีกตัวหนึง่ มาให้เป็นอาหาร เมือ่ ลูกแพะเข้า มาในบ้านของข้าพเจ้า ก็เริ่มร้อง ข้าพเจ้าจึงเรียกภรรยามาถามว่า “ลูกแพะตัวนี้ มาจากไหน เธอไปขโมยมาหรือ จงเอาไปคืนเจ้าของ เราไม่มสี ทิ ธิก์ นิ ของขโมยใดๆ” นางตอบว่า “เขาให้ฉนั มาเป็นรางวัลนอกเหนือจากค่าจ้าง” แต่ขา้ พเจ้าไม่เชือ่ นาง บอกซาํ้ ให้นางนำ�ลูกแพะไปคืนเจ้าของ ข้าพเจ้ารูส้ กึ อายแทนนางเพราะเรือ่ งนี้ แต่ นางย้อนข้าพเจ้าว่า “การทำ�ทานของท่านไปไหนหมด กิจการดีของท่านหายไป ไหน ใครๆ ก็รู้ว่าท่านเป็นอย่างไร”
น.นอร์เบิร์ต พระสังฆราช สดด 112:1-3,7-8,9
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร มก 12:13-17 ต่อมา เขาได้ส่งชาวฟาริสีและคนบางคนที่เป็นผู้นิยมกษัตริย์เฮโรดมาพบพระเยซูเจ้า หมายจะ จับผิดพระวาจาของพระองค์ คนเหล่านั้นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่า ท่านเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ ลำ�เอียง ท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร แต่สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่ จะเสียภาษีแก่ซีซาร์ เราต้องเสียภาษีหรือไม่ต้องเสียภาษี” พระองค์ทรงทราบความเจ้าเล่ห์ของเขา จึง ตรัสว่า “มาทดสอบเราทำ�ไม เอาเงินเหรียญมาให้เราดูสักเหรียญหนึ่งซิ” เขาก็นำ�เงินเหรียญหนึ่งมา ถวาย พระองค์จงึ ตรัสถามว่า “รูปและคำ�จารึกนีเ้ ป็นของใคร” เขาก็ตอบว่า “เป็นของซีซาร์” พระองค์ จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้าก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” คนเหล่านั้นต่าง ประหลาดใจในพระองค์ พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพือ่ ประกาศข่าวดี แต่หลายคนกลับถือว่าข่าวดีของพระองค์เป็นข่าวร้าย สำ�หรับพวกเขา เพราะพฤติกรรมของพวกเขาสวนทางกับข่าวดีของพระองค์ ข่าวดีของพระองค์จึงเป็นการ ตำ�หนิพวกเขาอย่างต่อเนือ่ ง พวกเขาจึงหาทางเอาคืนพระองค์ คอยจับผิดพระองค์ในทุกรูปแบบ ครัง้ นีพ้ วก เขาตัง้ ใจให้พระองค์ตดิ กับ ถ้าพระองค์ทรงตอบว่าไม่จ�ำ เป็นต้องเสียภาษี พระองค์ทรงแข็งข้อกับรัฐบาลโรม แต่ถ้าพระองค์ทรงตอบว่าต้องเสียภาษี ชาวบ้านก็จะขุ่นเคืองถือว่าพระองค์ทรงเข้าข้างศัตรูของชาติ พระองค์ทรงถือเป็นโอกาสสอนว่าสิ่งใดเป็นของใครก็ต้องคืนให้ผู้นั้น ชีวิตเราเป็นของพระเจ้า ก็ต้องคืนให้ พระเจ้า
บทอ่านที่ 1 ทบต 3:1-11,24-25 ข้าพเจ้าเศร้าใจ ถอนใจ ร้องไห้ เริ่มอธิษฐานภาวนาครํ่าครวญว่า “ข้าแต่องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้า พระองค์ทรงเทีย่ งธรรม พระราชกิจของพระองค์ลว้ นชอบธรรม วิถี ทางของพระองค์แสดงพระกรุณาและความจริง พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาโลก ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า บัดนี้ โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้า โปรดทอดพระเนตรมายัง ข้าพเจ้าเถิด ขออย่าทรงลงโทษข้าพเจ้าเพราะบาปของข้าพเจ้า หรือเพราะความ สัปดาห์ที่ 9 ผิดของข้าพเจ้าและของบรรพบุรุษ... บัดนี้ โปรดทรงทำ�กับข้าพเจ้าตามพระ เทศกาลธรรมดา ประสงค์... โปรดอย่าทรงเมินพระพักตร์ไปจากข้าพเจ้าเลย โปรดให้ข้าพเจ้าตาย สดด 25:1-3,4-6, เสียดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ต้องทนความทุกข์ทรมานมากมาย และได้ยินคำ�สบ 7,8-10 ประมาทตลอดชีวิต” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันเดียวกันนัน้ ซาราห์บตุ รสาวของรากุเอล ผูอ้ าศัยอยูท่ เี่ มืองเอกบาทานาใน แคว้นมีเดีย ก็ได้ยินคำ�สบประมาทจากหญิงรับใช้คนหนึ่งของบิดา นางเคยเข้าพิธี แต่งงานถึงเจ็ดครั้ง แต่สามีแต่ละคนก็ถูกอัสโมเดอัส ปีศาจร้ายฆ่าเสียก่อนที่จะมี เพศสัมพันธ์กันฉันสามีภรรยา... นางเป็นทุกข์ใจมาก ร้องไห้และขึ้นไปยังห้องของบิดา คิดจะแขวนคอ ตาย แต่แล้วนางคิดได้...นางกางแขนออก หันไปทางหน้าต่าง อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงพระ เมตตากรุณา ขอพระองค์ทรงได้รับการถวายพระพรเถิด ขอพระนามพระองค์ได้รับการถวายพระพร ตลอดนิรันดร ขอพระราชกิจทั้งปวงของพระองค์ถวายพระพรแด่พระองค์ตลอดไปเทอญ”... พระวรสาร มก 12:18-27 ต่อมา ชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้า คนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพ เขาทูลถาม พระองค์ว่า “พระอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าพี่ชายตาย ทิ้งภรรยาไว้โดยไม่มีบุตร ก็ให้น้องชาย ของเขารับเอาหญิงนั้นมาเป็นภรรยา เพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชาย ยังมีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกมีภรรยา แล้วตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่สองก็รับนางเป็นภรรยาแล้วตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่สามก็เช่นเดียวกัน ทัง้ เจ็ดคนไม่มบี ตุ รเลย ในทีส่ ดุ หญิงคนนัน้ ก็ตายไปด้วย เมือ่ มนุษย์จะกลับคืนชีพในวันกลับคืนชีพ หญิง นั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านคิดผิดไปแล้วมิใช่หรือ ท่านไม่เข้าใจพระคัมภีรแ์ ละไม่รจู้ กั พระอานุภาพ ของพระเจ้า เมือ่ ผูต้ ายจะกลับคืนชีพนัน้ จะไม่มกี ารแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก แต่เขาจะเป็นเหมือน ทูตสวรรค์ ส่วนเรื่องผู้ตายกลับคืนชีพนั้น ท่านไม่ได้อ่านหนังสือของโมเสสตอนที่กล่าวถึงพุ่มไม้หรือว่า พระเจ้าตรัสกับเขาอย่างไร พระองค์ตรัสว่า ‘เราคือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้า ของยาโคบ’ พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น ท่านคิดผิดไปมากทีเดียว” พระเยซูเจ้าเสด็จมาเป็นมนุษย์เพื่อทรงคืนศักดิ์ศรีมนุษย์ที่ถูกทำ�ลายเพราะบาป เพื่อการนี้ พระองค์ทรงสอนให้มนุษย์เข้าถึงศักดิศ์ รีแท้จริงทีเ่ คยมีตงั้ แต่แรกเริม่ แล้วนัน้ ทรงทำ�ลายผลของบาปทีท่ �ำ ให้ ศักดิ์ศรีมนุษย์ต้องเสียไปด้วยความตายของพระองค์ เมื่อทรงกลับคืนชีพ พระองค์ก็ทรงชี้ให้เห็นว่า ชีวิต มนุษย์เริ่มต้นในโลกนี้ แต่ไม่จบลงที่นี่ หากแต่จะต่อเนื่องไปสู่ความสมบูรณ์แบบในพระอาณาจักรสวรรค์ สิ่ง ใดในชีวิตมนุษย์ที่เป็นแค่ความเป็นอยู่ในขณะที่อยู่ในโลกก็จะจบสิ้นลงเมื่อเขาจากโลกนี้ไป ดังที่พระเยซูเจ้า ทรงชี้แจงเรื่องนี้ให้ชาวสะดูสีที่มาถามพระองค์ได้เข้าใจอย่างถูกต้อง
บทอ่านที่ 1 ทบต 6:10-11ก,7:1,9-17,8:4-10 เมือ่ เขาทัง้ สองคนเข้าไปในแคว้นมีเดีย อยูใ่ กล้เมืองเอกบาทานา... เขาทัง้ สอง คนอาบนํ้าและชำ�ระตนตามประเพณีแล้วจึงนั่งโต๊ะเพื่อกินอาหาร โทบียาห์บอก ราฟาเอลว่า “พีอ่ าซาริยาห์ จงขอน้องซาราห์จากรากูเอลให้เป็นภรรยาของข้าพเจ้า เถิด” รากูเอลได้ยินถ้อยคำ�เหล่านี้ จึงพูดกับชายหนุ่มว่า “คืนนี้จงกิน จงดื่ม และ สนุกร่าเริงเถิด เพราะไม่มญ ี าติคนใดมีสทิ ธิไ์ ด้นางซาราห์บตุ รหญิงของข้าพเจ้าเป็น สัปดาห์ที่ 9 ภรรยานอกจากท่าน... บัดนี้ ลูกเอ๋ย จงกินและดื่มเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรง เทศกาลธรรมดา จัดการให้ทา่ น...ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทรงพิทกั ษ์รกั ษาลูกทัง้ สองคนใน สดด 128:1-2, คืนนี้ และประทานพระเมตตาและสันติแก่ลูกทั้งสองคนเถิด” รากูเอลเรียกนาง 3,4-5 ซาราห์บุตรหญิง เมื่อนางเข้ามา เขาจับมือนางไว้ จูงนางไปมอบให้โทบียาห์... ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 โทบียาห์ลุกขึ้นจากเตียง บอกนางซาราห์ว่า “น้องเอ๋ย จงลุกขึ้น เราจง อธิษฐานภาวนาวอนขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าให้ประทานพระเมตตาและความรอดพ้นแก่เรา” นางก็ลกุ ขึน้ เขาทั้งสองคนเริ่มอธิษฐานภาวนาขอให้พระองค์ประทานความรอดพ้นแก่ตน กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของบรรพบุรษุ ขอถวายพระพรแด่พระองค์... บัดนี้ ข้าพเจ้ารับน้องสาวของข้าพเจ้า ผู้นี้ไว้เป็นภรรยา ไม่ใช่เพราะความใคร่ แต่ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ขอพระองค์โปรดให้ข้าพเจ้าและนางได้ รับพระเมตตา และให้ข้าพเจ้าทั้งสองคนมีชีวิตอยู่ด้วยกันจนถึงวัยชราเถิด” เขาทั้งสองคนกล่าวพร้อม กันว่า “อาเมน อาเมน” แล้วนอนหลับไปในคืนนั้น... พระวรสาร มก 12:28-34 เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ ทรงตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของ ท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำ�ลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะ ต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้” ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียง พระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มพี ระเจ้าอืน่ เลย การจะรักพระองค์สดุ จิตใจ สุดความเข้าใจ และสุดกำ�ลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการ บูชาใดๆ ทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยูไ่ ม่ไกลจากพระอาณาจักรของ พระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย พระเยซูเจ้าทรงถือเป็นโอกาสชี้ให้เห็นว่าที่เคยถือว่าความรักพระเจ้าต้องมาอันดับแรก แล้ว นัน้ จึงเป็นความรักเพือ่ นมนุษย์ ในความเป็นจริงแล้วเป็นความรักเดียวกัน พร้อมกันนัน้ ทรงยืนยันว่ารักพระเจ้า ก็ต้องรักเพื่อนพี่น้อง เพราะรักพ่อก็ต้องรักลูกพ่อด้วย และรักเพื่อนมนุษย์ก็คือรักพระเจ้า ทุกสิ่งทำ�หรือไม่ ทำ�แก่เพื่อนมนุษย์ก็เท่ากับทำ�หรือไม่ทำ�กับพระองค์เอง แล้วนั้นทรงยํ้าว่าความรักเช่นนี้มีค่ามากกว่าเครื่อง บูชาใดๆ เพราะหากคิดจะนำ�เครื่องบูชาไปถวายพระ แต่ความรักยังไม่เรียบร้อย ยังมีอะไรคาใจตนเองและ คาใจเพื่อนมนุษย์ ก็ให้วางเครื่องบูชาไว้ กลับไปคืนดีกันก่อน แล้วนั้นจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชา
บทอ่านที่ 1 ทบต 11:5-17 ในครั้งนั้น นางอันนากำ�ลังนั่งมองดูทางที่บุตรของนางต้องเดินกลับมา นาง คิดว่าเห็นบุตรกำ�ลังเดินมา จึงพูดกับบิดาของโทบียาห์ว่า “ดูซิ ลูกชายของท่าน กำ�ลังเดินมาพร้อมกับชายทีร่ ว่ มเดินทางไปด้วย” ราฟาเอลบอกโทบียาห์กอ่ นทีเ่ ขา เข้าไปพบบิดาว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าดวงตาของบิดาของท่านจะหายบอด ท่านจงเอาดี ปลาป้ายตาของเขา ยานี้จะทำ�ให้แสบ แต่จะลอกฝ้าขาวออกจากดวงตาของเขา น.เอเฟรม ดวงตาของบิดาของท่านจะไม่บอดอีกต่อไป แต่จะกลับเห็นแสงสว่างได้” สังฆานุกร นางอันนาวิ่งเข้าไปพบเขาทั้งสองคน โอบกอดบุตรชายพลางพูดว่า “ลูกเอ๋ย และนักปราชญ์ แม่เห็นลูกอีกครัง้ หนึง่ แล้ว บัดนีแ้ ม่ตายได้” แล้วนางก็รอ้ งไห้ โทบิตลุกขึน้ คลำ�ทาง สดด 146:1ข-2,6ค-7, เดินผ่านลานบ้านไปที่ประตู โทบียาห์เดินเข้ามาหาบิดา ถือดีปลา เป่าลมไปที่ตา 8-9ก,9ข-10 ของบิดา จับบิดาไว้แน่น พูดว่า “ทำ�ใจดีๆ ไว้ คุณพ่อ” แล้วจึงเอายาป้ายตา ทิ้งไว้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ครู่หนึ่ง ใช้มือทั้งสองข้างลอกฝ้าขาวออกจากตา โทบิตเข้าสวมกอดบุตรชายและ ร้องไห้ พูดว่า “ลูกเอ๋ย ลูกเป็นแสงสว่างของดวงตาของพ่อ พ่อมองเห็นลูกแล้ว”... โทบียาห์เข้าไปในบ้านด้วยความยินดี ถวายพระพรแด่พระเจ้าจนสุดเสียง แล้วจึงเล่าเรือ่ งการเดิน ทางทีป่ ระสบความสำ�เร็จให้บดิ าฟัง เล่าเรือ่ งเงินทีน่ �ำ กลับมา และเล่าว่าเขาได้รบั นางซาราห์ บุตรหญิง ของรากูเอลเป็นภรรยา นางกำ�ลังเดินทางตามมาอยู่ใกล้แล้วที่ประตูกรุงนีนะเวห์ โทบิตจึงออกไปทีป่ ระตูกรุงนีนะเวห์เพือ่ พบภรรยาของบุตรชาย เขามีความยินดีและถวายพระพร แด่พระเจ้า... โทบิตประกาศต่อหน้าทุกคนว่าพระเจ้าทรงพระเมตตาต่อตนและทรงเปิดดวงตาให้แล เห็นได้อกี โทบิตเข้าไปใกล้นางซาราห์ภรรยาของโทบียาห์บตุ รชาย อวยพรนางว่า “ลูกเอ๋ย ยินดีตอ้ นรับ ขอถวายพระพรแด่พระเจ้าของลูก เพราะทรงนำ�ลูกมาอยู่กับเรา... ขอลูกจงได้รับพระพรเถิด พ่อยินดี ต้อนรับลูกในบ้านของลูกด้วยความยินดี ลูกจงเข้ามาเถิด” พระวรสาร มก 12:35-37 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร ตรัสถามว่า “บรรดาธรรมาจารย์พูดได้อย่างไร ว่าพระคริสต์เป็นโอรสของกษัตริยด์ าวิด เพราะกษัตริยด์ าวิดเอง เมือ่ ได้รบั การดลใจจากพระจิตเจ้า ได้ ตรัสว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า เชิญประทับนั่งเบื้องขวาของเรา จนกว่าเราจะทำ�ให้ศัตรูของท่าน อยู่ใต้เท้าของท่าน เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระคริสต์จะทรงเป็นโอรสของ กษัตริย์ดาวิดได้อย่างไร” ประชาชนจำ�นวนมากฟังพระองค์ด้วยความพอใจ ประชาชนถือกันว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นอาจารย์ผยู้ งิ่ ใหญ่ คำ�เทศน์ค�ำ สอนของพระองค์ฟงั แล้ว เข้าถึงจิตใจ พระองค์ไม่ทรงสอนความรูแ้ ละปรีชาญาณทีส่ ง่ ทอดกันมา แต่ทรงสอนเข้าถึงแก่นแห่งชีวติ คน ฟังคำ�สอนของพระองค์แล้วรูส้ กึ มีคณ ุ ค่า มีศกั ดิศ์ รี มีความสุขความยินดี พวกเขาจึงติดตามฟังพระองค์ จน กระทั่งลืมเวลา ลืมเรื่องปากเรื่องท้อง พระองค์ทรงค่อยๆ นำ�พวกเขาให้เข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ นั่นคือ พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ เป็นอาจารย์ ก็จริง แต่ทรงเป็นมากกว่านั้น ทรงเป็นพระเจ้าเสด็จมารับเอา กายเป็นมนุษย์และสามารถเติมเต็มชีวิตพวกเขาได้อย่างแท้จริง ที่เคยคิดว่าพระคริสต์เป็นแค่โอรสของ กษัตริย์ดาวิดจึงไม่ถูกต้อง
บทอ่านที่ 1 ทบต 12:1,5-15,20 เมื่องานแต่งงานผ่านไปแล้ว โทบิตเรียกโทบียาห์บุตรชายมาพบ พูดว่า “ลูก เอ๋ย อย่าลืมจ่ายเงินตอบแทนผูร้ ว่ มเดินทางไปกับลูก ลูกควรเพิม่ เงินให้เขามากกว่า ที่ตกลงกันไว้” โทบียาห์จงึ เรียกราฟาเอลมา พูดว่า “ท่านจงรับครึง่ หนึง่ ของทรัพย์สนิ ทัง้ หมด ที่ท่านนำ�กลับมาเป็นค่าตอบแทน แล้วจงไปเป็นสุขเถิด” สัปดาห์ที่ 9 ราฟาเอลจึงเรียกเขาทัง้ สองคนไปพูดเป็นการส่วนตัวว่า “จงถวายพระพรแด่ เทศกาลธรรมดา พระเจ้า และประกาศต่อหน้าผู้มีชีวิตทุกคนว่าพระองค์ทรงกระทำ�สิ่งดีทั้งหลาย ทบต 13:2,6,7,10 แก่ท่าน เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้สรรเสริญและถวายพระพรแด่พระนามพระองค์... จงทำ�ดีไว้เถิด แล้วความชั่วร้ายจะไม่มากลํ้ากรายท่าน การอธิษฐานภาวนาจากใจ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 จริง และการให้ทานด้วยใจกว้างมีคา่ มากกว่าความรํา่ รวยทีไ่ ด้มาอย่างอยุตธิ รรม...” “ข้าพเจ้าจะแสดงความจริงทุกอย่างแก่ท่าน จะไม่ปิดบังสิ่งใดไว้เลย... ข้าพเจ้าก็นำ�คำ�อธิษฐาน ภาวนาของท่านไปถวายแด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าผูท้ รงพระสิรริ งุ่ โรจน์ เพือ่ พระองค์จะได้ทรงระลึกถึงท่าน... พระเจ้าทรงส่งข้าพเจ้ามาทดสอบความเชื่อของท่าน และในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา รักษาท่าน และรักษานางซาราห์บุตรสะใภ้ ข้าพเจ้าคือราฟาเอล หนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์เจ็ดองค์ ซึ่ง เฝ้าอยู่ตลอดเวลาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ บัดนี้ จงถวายพระพรแด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าบนแผ่นดิน และขอบพระคุณพระเจ้าเถิด ข้าพเจ้ากำ�ลัง จะกลับไปหาพระองค์ผู้ทรงส่งข้าพเจ้ามา จงบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน” แล้วราฟาเอลก็อันตรธาน ไป พระวรสาร มก 12:38-44 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนขณะที่ทรงสั่งสอนว่า “จงระวังบรรดาธรรมาจารย์ที่ชอบ สวมเสื้อยาวเดินไปมา พอใจให้คนทั้งหลายคำ�นับตามลานสาธารณะ พอใจนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม พอใจนัง่ ทีห่ วั โต๊ะในงานเลีย้ ง คนพวกนีก้ นิ บ้านของหญิงม่าย และอธิษฐานภาวนายืดยาวเพือ่ ให้คนมอง คนเหล่านี้จะรับโทษหนักกว่าผู้อื่น” ขณะทีพ่ ระองค์ประทับนัง่ ตรงหน้าตูท้ าน ทอดพระเนตรเห็นประชาชนใส่เงินลงในตูท้ าน คนมัง่ มี หลายคนใส่เงินจำ�นวนมาก หญิงม่ายยากจนคนหนึ่งเข้ามา เอาเหรียญทองแดงสองเหรียญใส่ลงในตู้ ทาน พระองค์จึงทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่าย ยากจนคนนี้ได้ทำ�ทานมากกว่าทุกคนที่ได้ใส่เงินลงในตู้ทาน เพราะทุกคนเอาเงินที่เหลือใช้มาทำ�ทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำ�เงินทั้งหมด นำ�ทุกอย่างที่มีอยู่สำ�หรับเลี้ยงชีวิตมาทำ�ทาน” ในขณะทีค่ นยังติดอยูก่ บั สิง่ ภายนอกและมองกันแค่สงิ่ ทีเ่ ห็นด้วยตา ในความเป็นจริงแล้ว แก่น ของคนอยู่ในจิตใจ ดังนั้น การจะถือว่าคนเป็นอย่างที่ตาเห็น ก็ถือว่าเป็นข้อมูลที่ยังไม่ครบถ้วน หลายครั้ง จึงถูกหลอกจากสิ่งที่เห็นด้วยตา ในขณะที่ใจไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรือเป็นตรงกันข้าม พระเยซูเจ้าทรงตำ�หนิ บรรดาธรรมาจารย์ทชี่ อบสร้างภาพจากสิง่ ทีเ่ ป็นและสิง่ ทีท่ �ำ ภายนอก แต่พระองค์ทรงชืน่ ชอบออกนอกหน้า เมือ่ มีหญิงม่ายหยอดเหรียญทองแดงสองเหรียญลงในตูท้ าน คนอืน่ มองว่าไร้คา่ แต่ใจของเธอเปีย่ มล้นด้วย คุณค่า เพราะสิ่งที่ให้ เธอให้จากชีวิต ในขณะที่คนอื่นให้สิ่งเหลือกินเหลือใช้
สมโภช พระตรีเอกภาพ
บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 34:4ข-6,8-9 เช้าวันรุง่ ขึน้ โมเสสขึน้ ไปบนภูเขาซีนาย ถือศิลาสองแผ่นตามทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็น เจ้าทรงบัญชา องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในเมฆ ประทับอยู่กับโมเสสที่นั่น ทรง ประกาศพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าโมเสส ทรงประกาศว่า “เราเป็นองค์ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้เมตตาและกรุณา ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักมั่นคง และความซื่อสัตย์” โมเสสรีบก้มกราบกับพื้นดินนมัสการพระองค์ เขาทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้ เป็นเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ที่พระองค์โปรดปราน ขอพระองค์เสด็จไปกับข้าพเจ้าทั้ง หลายเถิด ประชากรเหล่านีด้ อื้ ดึงก็จริงอยู่ แต่ขอพระองค์ทรงยกโทษความผิดและ บาปของข้าพเจ้าทัง้ หลายด้วยเถิด ขอพระองค์ทรงรับข้าพเจ้าทัง้ หลายไว้เป็นสมบัติ ของพระองค์ด้วยเถิด” เพลงสดุดี ดนล 3:52,53,54,55,56 ก) “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอถวายพระพรแด่พระองค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ขอถวายพระพรแด่พระนามศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติของพระองค์ สมควรแล้วที่พระนามจะได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ข) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ในพระวิหารแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ค) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระบัลลังก์แห่งพระอาณาจักร ของพระองค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ง) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ทอดพระเนตรเห็นแม้กระทั่งในที่ลึก พระองค์ประทับบนพระบัลลังก์เหนือบรรดาเครูบ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป จ) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ประทับเหนือแผ่นฟ้าในสวรรค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง 2 คร 13:11-13 พี่น้องทั้งหลาย จงชื่นชมเถิด จงปรับปรุงตนให้ดีพร้อม จงให้กำ�ลังใจกัน จง เป็นนํา้ หนึง่ ใจเดียวกัน จงดำ�เนินชีวติ อย่างสันติ แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติ จะสถิตกับท่าน
จงทักทายกันด้วยการจุมพิตศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนฝากความคิดถึงท่าน ขอพระหรรษทานของพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็น เจ้า ขอความรักของพระเจ้าและความสนิทสัมพันธ์ของ พระจิตเจ้า สถิตกับทุกท่านเทอญ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 3:16-18 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “พระเจ้า ทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์ เดียวของพระองค์ เพือ่ ทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ ในพระบุตรจะ ไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดรเพราะพระเจ้าทรงส่งพระ บุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะ ได้รบั ความรอดพ้นเดชะพระบุตรนัน้ ผูท้ มี่ คี วามเชือ่ ในพระบุตรจะไม่ถกู ตัดสินลงโทษ แต่ผทู้ ไี่ ม่มคี วาม เชือ่ ก็ถกู ตัดสินลงโทษอยูแ่ ล้ว เพราะเขามิได้มคี วามเชือ่ ในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของ พระเจ้า” พระเจ้าทรงเป็นความรัก ทรงรักมนุษย์แต่ละคน ทีละคน และทรงเป็นพ่อผู้เปี่ยมด้วยความ เมตตาสำ�หรับทุกคน เมื่อมนุษย์ทำ�ตัวเป็นอุปสรรคต่อความรักความเมตตาของพระองค์ ทำ�ให้ไม่มีความสุข แท้จริง กับตนเองและกับผู้อื่น ความรักของพระองค์ยังคงเสมอต้นเสมอปลาย พระองค์เสด็จมาอยู่เคียง ข้างมนุษย์และคืนความสุขให้ พร้อมทั้งขจัดบาปที่เป็นอุปสรรคต่อความรักความเมตตาของพระองค์ ความ รักของพระองค์ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะพิพากษาตัดสินลงโทษ เพราะทุกคนเป็นลูกของพระองค์ มีแต่ลูกของ พระองค์นั่นแหละที่ตัดสินลงโทษตนเองทุกครั้งที่ไม่ยอมเปิดใจรับความรักและความเมตตาของพระองค์
บทอ่านที่ 1 2 คร 1:1-7 จากเปาโล ผู้เป็นอัครสาวกของพระคริสตเยซูตามพระประสงค์ของพระเจ้า และจากทิโมธี พี่น้องของเรา ถึงพระศาสนจักรของพระเจ้าที่อยู่ในเมืองโครินธ์ และถึงบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนซึง่ อยูท่ วั่ แคว้นอาคายา ขอพระหรรษทานและสันติสขุ จากพระเจ้าพระบิดา น.กัสปาร์ แบร์โทนี ของเรา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า สถิตกับท่านทั้งหลายเถิด ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของ พระสงฆ์ เรา พระบิดาผูท้ รงพระกรุณา และพระเจ้าผูป้ ระทานกำ�ลังใจทุกประการ พระองค์ สดด 34:1-3,4-5, ประทานกำ�ลังใจในความทุกข์ยากต่างๆ ของเรา เพราะเราได้รับกำ�ลังใจจาก 6-8 พระเจ้าแล้ว เราจึงให้กำ�ลังใจผู้มีความทุกข์ทั้งมวลได้ เราได้รับการทรมานร่วมกับ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 พระคริสตเจ้ามากฉันใด เราก็ได้รับกำ�ลังใจเดชะพระคริสตเจ้ามากฉันนั้น เมื่อเรา รับความทุกข์ยาก ท่านก็ได้รับกำ�ลังใจและความรอดพ้น เมื่อเรารับกำ�ลังใจ ท่าน ก็ได้รับกำ�ลังใจซึ่งบันดาลให้ท่านมีพละกำ�ลังที่จะอดทนต่อความทุกข์ยากเหมือนกับที่เรากำ�ลังอดทน อยู่ เรามีความหวังอย่างแน่วแน่ในท่านทัง้ หลายเพราะเรารูว้ า่ ท่านมีสว่ นร่วมรับความทุกข์ของเราฉันใด ท่านก็จะมีส่วนร่วมรับกำ�ลังใจพร้อมกับเราด้วยฉันนั้น พระวรสาร มธ 5:1-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำ�นวนมาก จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับ แล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า “ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆ นานาเพราะเรา จงชื่นชมยินดี เถิด เพราะบำ�เหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก บรรดาประกาศกก่อนหน้าท่านก็เคยถูก เบียดเบียนเช่นเดียวกัน” คนคิดว่าเมื่อมีพร้อมทุกอย่าง มีความสะดวกสบาย ไม่ต้องลำ�บาก ไม่มีความทุกข์ ไม่มีการ เจ็บไข้ได้ป่วย...ถือว่าเป็นความสุข ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตใช่จะมีพร้อมหมดทุกอย่าง หลายครั้งไม่ สะดวกสบาย ต้องลำ�บากลำ�บน ใจเป็นทุกข์ เจ็บป่วย ดังนัน้ หากตัง้ ความสุขแห่งชีวติ ไว้กบั สิง่ ไม่อนิจจังเหล่า นี้ ความสุขแท้ยอ่ มไม่เกิด พระเยซูเจ้าทรงสอนว่าความสุขแท้มไี ด้ แม้จะไม่มพี ร้อมหมดทุกอย่าง เพราะความ สุขแท้ตงั้ อยูใ่ นความรักของพระเจ้า เป็นความสุขทีท่ �ำ ให้ใจเป็นสุขได้ตลอดเวลาโดยไม่น�ำ พาทุกสิง่ เป็นความ สุขแท้ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นความดีของบุตรของพระองค์ได้เสมอ
บทอ่านที่ 1 2 คร 1:18-22 พีน่ อ้ ง พระเจ้าทรงเป็นพยานได้วา่ ถ้อยคำ�ทีเ่ รากล่าวแก่ทา่ นนัน้ มิได้เป็นการ บอกทั้งจริงและไม่จริงในเวลาเดียวกัน พระคริสตเยซูพระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่ง ข้าพเจ้า สิลวานัส และทิโมธีประกาศให้ท่านรู้จักนั้น พระองค์ไม่ตรัสทั้งจริงและ ไม่จริงพร้อมกัน แต่ตรัสว่าจริงเท่านั้น พระสัญญาทั้งปวงของพระเจ้าสำ�เร็จลงใน พระองค์ด้วยคำ�ว่า “จริง” เพราะเหตุนี้เราจึงกล่าวคำ�ว่า “อาเมน” โดยทาง พระองค์ เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ผู้ที่ทรงตั้งเราและท่านทั้งหลายใน พระคริสตเจ้า และทรงเจิมเรานั้นคือพระเจ้า พระองค์ทรงประทับตราเรา ทรง ประทานพระจิตเจ้าไว้ในดวงใจของเราเป็นเครื่องประกันด้วย พระวรสาร มธ 5:13-16 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทัง้ หลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำ�ให้ เค็มได้อกี เล่า เกลือนัน้ ย่อมไม่มปี ระโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิง้ ให้คนเหยียบยํา่ ” “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่อง สว่างแก่ทุกคนในบ้าน ในทำ�นองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้า มนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของ ท่านผู้สถิตในสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงประสงค์ให้ศิษย์ดีเกินตัว ไม่ใช่เอาแต่ดีพอตัว ไปวัด ทำ�บุญทำ�ทาน เพียงเพื่อเอาตัวรอดไปสวรรค์ แก่นแห่งการเป็นศิษย์ของพระองค์คือ ความรัก “ใครทีเ่ ห็นท่านรักก็รวู้ า่ ท่านเป็นศิษย์ของเรา” ดังนัน้ ไม่มศี ษิ ย์คนใดทีเ่ ป็นศิษย์ ตัวคนเดียว ไม่มีคริสตชนคนใดเป็นคริสตชนตามลำ�พังได้ เพราะเป็นศิษย์หรือเป็น คริสตชนก็คือรัก และจะรักได้ต้องมีสองคนขึ้นไป เช่นนี้ ชีวิตศิษย์จึงเป็นดังเกลือซึ่ง รสชาติเลยจากตัวแทรกซึมไปสูส่ งิ่ รอบข้าง ชีวติ ศิษย์เป็นดังแสงสว่างทีห่ ลุดเลยตนเอง ไปส่องสว่างให้รอบด้าน เช่นนี้ศิษย์จะเป็นดังงานศิลปะงดงาม ใครที่มาเห็น มาชมก็ พลอยชื่นชมยกย่องศิลปินไปด้วย ฉันใดก็ฉันนั้น
ระลึกถึง น.อันตนแห่งปาดัว พระสงฆ์ และนักปราชญ์ สดด 119:129, 133-135
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 99:5,6-7,8-9
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 2 คร 3:4-11 พี่น้อง เรามีความมั่นใจเช่นนี้ต่อพระเจ้าเดชะพระคริสตเจ้า ทั้งนี้มิใช่เพราะ เราคิดว่าเราทำ�สิ่งใดได้ด้วยตนเอง แต่การทำ�ได้นั้นมาจากพระเจ้า พระองค์ทรง ทำ�ให้เราเป็นผู้รับใช้พันธสัญญาใหม่ มิใช่พันธสัญญาที่เขียนขึ้นเป็นลายลักษณ์ อักษร แต่เป็นพันธสัญญาของพระจิตเจ้า บัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นนำ�ไป สู่ความตาย แต่พระจิตเจ้าประทานชีวิต ถ้าภารกิจที่ทำ�ให้ตาย ซึ่งจารึกเป็นตัว อักษรบนแผ่นศิลา มีความสว่างรุ่งโรจน์จนกระทั่งชาวอิสราเอลมองดูใบหน้าของ โมเสสไม่ได้ เพราะใบหน้านั้นมีแสงสว่างรุ่งโรจน์แม้เพียงชั่วขณะ ภารกิจของพระ จิตเจ้าจะมิมีความสว่างรุ่งโรจน์ยิ่งกว่านั้นอีกหรือ ถ้าภารกิจที่นำ�ไปสู่การตัดสิน ลงโทษยังมีความสว่างรุง่ โรจน์แล้ว ภารกิจทีใ่ ห้ความชอบธรรมก็ยงิ่ จะสว่างรุง่ โรจน์ มากกว่านั้น อันที่จริง สิ่งที่เคยสว่างรุ่งโรจน์มาแล้ว หมดรัศมีเมื่อเทียบกับความ สว่างรุ่งโรจน์ที่เหนือกว่า ถ้าสิ่งที่อยู่ชั่วขณะมีความสว่างรุ่งโรจน์แล้ว สิ่งที่ถาวรก็ ยิ่งมีความสว่างรุ่งโรจน์มากกว่านั้น พระวรสาร มธ 5:17-19 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพือ่ ลบล้างธรรมบัญญัตหิ รือคำ�สอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่าน ทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเพียงจุด เดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำ�เร็จไป ดังนั้น ผู้ใด ละเมิดธรรมบัญญัตเิ พียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยทีส่ ดุ และสอนผูอ้ นื่ ให้ละเมิดด้วย จะ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตํ่าต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์” ในฐานะชาวยิว พระเยซูเจ้าทรงให้ความเคารพธรรมบัญญัตแิ ละคำ�สอน ของประกาศก คำ�สอนของพระองค์แต่ละอย่างสอดคล้องกับธรรมบัญญัติและคำ� สอนของประกาศก บ่อยครั้งที่พระองค์ทรงอ้างข้อความพระคัมภีร์เพื่อยืนยันว่า พระองค์ทรงเป็น ทรงสอน และทรงทำ�ดังที่มีจารึกไว้ กระนั้นก็ดี พระองค์ทรงเน้น ว่าการถือธรรมบัญญัติและคำ�สอนของประกาศกแค่ภายนอกอย่างเดียว ก็ยังเข้าไม่ ถึงแก่นหรือจิตวิญญาณของธรรมบัญญัติหรือคำ�สอนนั้นๆ การจะทำ�อะไรภายนอก โดยไม่มใี จนัน้ แม้มนุษย์เองก็รบั ไม่ได้ พระองค์จงึ ทรงตำ�หนิฟาริสวี า่ เป็นหลุมศพทีส่ วย แค่ข้างนอก แต่ข้างในเน่าเปื่อย
บทอ่านที่ 1 2 คร 3:15-4:1,3-6 พีน่ อ้ ง จนกระทัง่ ทุกวันนี้ เมือ่ อ่านหนังสือของโมเสส ผ้าคลุมก็ยงั ปิดบังดวงใจ ของพวกเขาอยู่ แต่เมื่อเขาหันไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะถูกยกออก ไป องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระจิต และพระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตที่ใด เสรีภาพย่อมอยู่ที่นั่น เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมใบหน้า จึงสะท้อนแสงสว่างรุ่งโรจน์ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนกระจกเงา เปลี่ยนเป็นภาพลักษณ์เดียวกับพระองค์ ทวีความรุ่งโรจน์ยิ่งๆ ขึ้น เดชะองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระจิต เมื่อเรารับภารกิจนี้จากพระเมตตาของพระเจ้า เราจึงไม่ท้อถอย ถ้าข่าวดีที่ เราประกาศมีสิ่งใดปิดบัง ก็ปิดบังสำ�หรับผู้ที่กำ�ลังประสบความพินาศเท่านั้น คือ ผู้ที่ไม่มีความเชื่อ เทพเจ้าของโลกนี้ทำ�ให้จิตใจของคนเหล่านั้นมืด เพื่อมิให้เขาแล เห็นแสงสว่างคือข่าวดีเรือ่ งพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระคริสตเจ้าผูท้ รงเป็นภาพลักษณ์ ของพระเจ้า เพราะเรามิได้ประกาศเรื่องตนเอง แต่ประกาศว่าพระคริสตเยซูทรง เป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ส่วนเราเป็นเพียงผูร้ บั ใช้ทา่ นทัง้ หลายเพราะความรักต่อพระ เยซูเจ้า พระเจ้าผู้ตรัสว่า “ให้แสงสว่างส่องออกมาจากความมืด” ก็เป็นผู้ทรงฉาย แสงเข้าสู่จิตใจของเรา เพื่อส่องสว่างให้เรามีความรู้ถึงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระสิริรุ่งโรจน์นี้ปรากฏอยู่บนพระพักตร์พระคริสตเจ้า
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 85:8-9, 10-11,12-13
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร มธ 5:20-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดา ธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย” “ท่านได้ยินคำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนทีโ่ กรธเคืองพีน่ อ้ ง จะต้องขึน้ ศาล ผูใ้ ดกล่าวแก่พนี่ อ้ งว่า ‘ไอ้โง่’ ผูน้ นั้ จะต้องขึน้ ศาลสูง ผูใ้ ดกล่าว แก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำ�เครื่องบูชาไปถวาย ยังพระแท่น ถ้าระลึกได้วา่ พีน่ อ้ งของท่านมีขอ้ บาดหมางกับท่านแล้ว จงวางเครือ่ งบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกบั พีน่ อ้ งเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครือ่ งบูชานัน้ จงคืนดีกบั คูค่ วามของท่านขณะ ที่กำ�ลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่าน ให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำ�ระ หนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย” พระเยซูเจ้าทรงสอนคนให้เข้าถึงแก่นแห่งธรรมบัญญัติ ไม่เอาแต่ปฏิบตั ภิ ายนอกตามตัวอักษร หากแต่ตอ้ งปฏิบตั ทิ งั้ ภายในและภายนอก อันทีจ่ ริงแล้ว ธรรมบัญญัตติ อ้ งเริม่ ปฏิบตั จิ ากภายในก่อนอืน่ หมด แล้วนั้นการแสดงออกมาภายนอกจึงสอดคล้อง ถูกต้อง และครบถ้วน เช่นว่าบัญญัติอย่าฆ่าคน หากถือ บัญญัติด้วยการไม่แตะต้อง ทำ�ร้าย ทำ�ลายเขา ยังไม่พอ หากใจนั้นทำ�ร้ายทำ�ลายเขาด้วยความคิด อคติ ความเกลียดชัง ความพยาบาท...ก็ถือว่าทำ�ผิดธรรมบัญญัติแล้ว อย่างที่พระองค์ทรงยกตัวอย่างให้เห็นแค่ โกรธใคร แค่ว่าใครไม่ได้เรื่อง ก็ถือว่าฆ่าเขาทางใจ เป็นความผิดถึงขนาดไม่สมควรจะถวายเครื่องบูชาแด่ พระเจ้า
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 116:10-11, 14-16,17-18
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 2 คร 4:7-15 พี่น้อง เรามีสมบัตินี้เก็บไว้ในภาชนะดินเผา เพื่อแสดงว่าอานุภาพลํ้าเลิศนั้น มาจากพระเจ้า มิใช่มาจากตัวเรา เราทนทุกข์ทรมานรอบด้าน แต่ไม่อับจน เราจน ปัญญา แต่ก็ไม่หมดหวัง เราถูกเบียดเบียน แต่ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีล้มลง แต่ไม่ ถึงตาย เราแบกความตายของพระเยซูเจ้าไว้ในร่างกายของเราอยูเ่ สมอ เพือ่ ว่าชีวติ ของพระเยซูเจ้าจะปรากฏอยู่ในร่างกายของเราด้วย ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เรา เสี่ยงกับความตายอยู่เสมอเพราะความรักต่อพระเยซูเจ้า เพื่อให้ชีวิตของพระเยซู เจ้าปรากฏชัดในธรรมชาติทตี่ ายได้ของเรา ดังนัน้ ความตายกำ�ลังทำ�งานอยูใ่ นเรา แต่ชีวิตกำ�ลังทำ�งานอยู่ในท่าน มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ข้าพเจ้าได้เชื่อ จึงได้พูด เรามีจิตแห่งความเชื่อ เดียวกันนี้ เราเชื่อ เราจึงพูด เพราะรู้ว่าพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูองค์พระ ผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ จะทรงบันดาลให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระ เยซูเจ้า และจะทรงนำ�เราและท่านทั้งหลายไปอยู่กับพระองค์ด้วย เหตุการณ์ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นสำ�หรับท่าน เพื่อว่าเมื่อพระหรรษทานแผ่ไปถึงคนมากขึ้น การ ขอบพระคุณจะทวียิ่งขึ้น เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า พระวรสาร มธ 5:27-32 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านได้ยินคำ�กล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่าน เป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยัง ดีกว่าปล่อยให้รา่ งกายทัง้ หมดของท่านตกนรก ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ทา่ น ทำ�บาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ ร่างกายทั้งหมดตกนรก” “มีคำ�กล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงทำ�หนังสือหย่ามอบให้นาง แต่เรา กล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตาม กฎหมาย ก็เท่ากับทำ�ให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่งงานกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย” พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า “พระองค์มิได้มาทำ�ลาย แต่มาทำ�ให้สมบูรณ์” ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้เคร่งครัดมากขึน้ มิใช่ไม่ลว่ งประเวณีทาง กายเท่านั้น แต่ห้ามล่วงประเวณีทางใจด้วย การมองดูเพศตรงข้ามด้วยความใคร่ ก็ เป็นบาปแล้ว ยอมเสียอวัยวะต่างๆ ที่เป็นเหตุให้ทำ�บาป ดีกว่ามีอวัยวะครบ แต่ต้อง ตกนรก นอกนั้นทรงห้ามการหย่าร้าง ทุกวันนี้สถิติการหย่าร้างมากขึ้น น่าวิตก เพราะ มนุษย์ไม่ซื่อสัตย์ต่อกันตามสัญญา ไม่อดทน ไม่ให้อภัยกัน
บทอ่านที่ 1 2 คร 5:14-21 พี่น้อง เพราะความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา เราแน่ใจว่า ถ้าคนหนึ่ง ตายเพื่อทุกคน ก็เหมือนกับว่าทุกคนได้ตายด้วย พระองค์สิ้นพระชนม์แทนทุกคน เพื่ อ ผู้ ที่ มี ชี วิ ต จะได้ ไ ม่ มี ชี วิ ต เพื่ อ ตนเองอี ก ต่ อ ไป แต่ มี ชี วิ ต เพื่ อ พระองค์ ผู้ ไ ด้ สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานมนุษย์อีก แม้ว่า ครัง้ หนึง่ เราเคยพิจารณาพระคริสตเจ้าตามมาตรฐานมนุษย์ แต่บดั นีเ้ ราไม่พจิ ารณา พระองค์ตามมาตรฐานนีอ้ กี ต่อไป ดังนัน้ ถ้าผูใ้ ดอยูใ่ นพระคริสตเจ้า ผูน้ นั้ ก็เป็นสิง่ สร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว ทุกสิ่งมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงทำ�ให้เราคืนดีกับพระองค์เดชะพระคริสตเจ้า และทรงมอบภารกิจ การคืนดีนใี้ ห้เรา กล่าวคือ พระเจ้าทรงทำ�ให้โลกคืนดีกบั พระองค์ในองค์พระคริสต เจ้า พระองค์มไิ ด้ทรงเอาผิดกับมนุษย์ แต่ทรงมอบให้เราประกาศสารแห่งการคืนดี นี้ ดังนั้น เราจึงเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้า ประหนึ่งว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้เชิญ ชวนท่านทั้งหลาย เราจึงขอร้องแทนพระคริสตเจ้าว่า จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด เพราะเห็นแก่เราพระเจ้าจึงทรงทำ�ให้พระองค์ผู้ไม่รู้จักบาปเป็นผู้รับบาป เพื่อว่า ในพระองค์เราจะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า พระวรสาร มธ 5:33-37 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านยังได้ยินคำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำ�สาบาน แต่จงทำ�ตามที่ได้ สาบานไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่า อ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่ รองพระบาทของพระองค์ อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระ มหากษัตริย์ อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลีย่ นผมสักเส้นให้เป็น ดำ�เป็นขาวได้ ท่านจงพูดเพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ คำ�พูดที่มากไปกว่านั้นมาจาก มารร้าย” ในบทอ่านแรก นักบุญเปาโลบอกเราว่า พระคริสตเจ้าได้ส้ินพระชนม์ แทนเราทุกคน เพือ่ ผูท้ มี่ ชี วี ติ จะได้ไม่มชี วี ติ เพือ่ ตนเองอีกต่อไป...เราล่ะ มีชวี ติ เพือ่ ตนเอง หรือเพื่อพระเจ้า ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงห้ามสาบาน บางคนชอบสาบานพรํ่า เพรือ่ บางคนกล้าสาบานเท็จ เอาพระเจ้ามาเป็นพยานเท็จในเรือ่ งทีไ่ ม่จริง และทำ�ตาม คำ�สาบานเท็จนั้น แม้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ให้เราพูดแต่ความจริงเสมอ ไม่พูดปด พูดเท็จ และไม่ต้องสาบาน
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 103:1-2,3-4, 8-10,11-12
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
สมโภช พระวรกาย และพระโลหิต ของพระคริสตเจ้า
บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ฉธบ 8:2-3, 14ข-16ก โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “จงระลึกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ทรงนำ � ท่ า นให้ เ ดิ น ทางผ่ า นถิ่ น ทุ ร กั น ดารตลอดเวลาสี่ สิ บ ปี ทรงให้ ท่ า นพบ อุปสรรค เพือ่ ทดสอบดูวา่ จิตใจของท่านเป็นอย่างไร จะปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตขิ อง พระองค์หรือไม่ พระองค์ทรงทำ�ให้ท่านพบอุปสรรค ทรงปล่อยให้หิวโหย แล้ว ประทานมานนาเป็นอาหารเลี้ยงท่าน ซึ่งเป็นอาหารที่ทั้งท่านและบรรพบุรุษไม่ เคยรู้จักมาก่อน เพื่อจะสอนท่านว่า มนุษย์มิได้มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารเท่านั้น แต่มี ชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำ�ที่ออกจากพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่ามีใจหยิ่งผยองจนลืมองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ผู้ทรงนำ�ท่าน ออกจากแผ่นดินอียิปต์ที่ท่านเคยเป็นทาสอยู่นั้น พระองค์ผู้ทรงนำ�ท่านผ่านถิ่น ทุรกันดารอันอ้างว้างน่ากลัวนี้ ซึ่งเป็นที่อาศัยของงูพิษและแมงป่อง เป็นแผ่นดิน แห้งแล้งไม่มีนํ้า พระองค์ทรงบันดาลให้นํ้าไหลจากหินแข็งให้ท่านดื่ม พระองค์ ประทานมานนาเป็นอาหารเลี้ยงท่าน อาหารนี้บรรพบุรุษของท่านไม่เคยรู้จัก” เพลงสดุดี สดด 147:12-14,15-17,19-20 ก) เยรูซาเล็มเอ๋ย จงถวายพระเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ศิโยนเอ๋ย จงสรรเสริญพระเจ้าของท่านเถิด เพราะพระองค์ทรงเสริมกำ�ลังแก่ดาลประตูเมืองของท่าน ทรงอวยพระพรบรรดาบุตรของท่านที่อยู่ภายใน ทรงบันดาลให้เขตแดนของท่านอยู่ในสันติ ประทานข้าวสาลีอย่างดีเยี่ยมเลี้ยงท่านจนอิ่ม ข) พระองค์ทรงส่งพระบัญชาไปทั่วแผ่นดิน พระวาจาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว พระองค์ประทานหิมะประดุจขนแกะ และทรงโปรยนํ้าค้างแข็งประดุจขี้เถ้า พระองค์ทรงโยนลูกเห็บลงมาประดุจก้อนกรวด ผู้ใดจะทนความหนาวเย็นจากพระองค์ได้ ค) พระองค์ทรงประกาศพระวาจาแก่ยาโคบ ประทานข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์แก่อิสราเอล พระองค์มิได้ทรงกระทำ�ดังนี้กับชนชาติอื่นใด ไม่ทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่เขาเลย บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 10:16-17 พีน่ อ้ ง ถ้วยถวายพระพร ซึง่ เราใช้ขอบพระคุณพระเจ้านัน้ มิได้ท�ำ ให้เรามีสว่ น
ร่วมในพระโลหิตของพระคริสตเจ้าหรือ และปังที่เราบิ นัน้ มิได้ท�ำ ให้เรามีสว่ นร่วมในพระกายของพระคริสตเจ้า หรือ มีปังก้อนเดียว แม้ว่าจะมีหลายคนเราก็เป็นกาย เดียวกัน เพราะเราทุกคนมีส่วนร่วมกินปังก้อนเดียวกัน บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:51-59 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนชาวยิวว่า “เราเป็นปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะ มีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเรา เพื่อให้โลกมีชีวิต” ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนีเ้ อาเนือ้ ของตนให้เรากิน ได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า “ถ้าท่านไม่กนิ เนือ้ ของบุตรแห่ง มนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของเขา ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มี ชีวิตนิรันดร เราจะทำ�ให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของ เราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำ�รงอยู่ในเรา และเราก็ดำ�รงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะ เราฉันนั้น นี่คือปังที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กิน แล้วยังตาย ผู้ที่กินปังนี้จะ มีชีวิตอยู่ตลอดไป” พระองค์ตรัสเช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม พระศาสนจักรปรารถนาให้เราคริสตชนให้เกียรติพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทด้วยการฉลอง แห่แหนพระองค์อย่างสง่าให้สมพระเกียรติ พระเยซูเจ้าทรงหาวิธีสนิทกับเรา โดยมอบพระกายและพระ โลหิตในรูปอาหารและเครือ่ งดืม่ มาเป็นเลือดเนือ้ หนึง่ เดียวกับเรา พระองค์อยากสนิทกับเรา แต่เราไม่อยาก สนิทกับพระองค์ ในอดีต คริสตชนหลายๆ คนพอใจกับการรับศีลมหาสนิทอย่างน้อยปีละครั้งในกำ�หนดปัส กา ลืมไปว่าศีลมหาสนิทไม่ใช่รางวัลสำ�หรับคนดี แต่เป็นอาหารสำ�หรับทุกคน ปัจจุบนั พระศาสนจักรเชิญชวน เราให้รับศีลฯบ่อยๆ ในทุกๆ มิสซา
น.โรมูอัลโด เจ้าอธิการ สดด 98:1,2-3ก, 3ข-4
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 2 คร 6:1-10 พี่น้อง ในฐานะผู้ร่วมงานของพระเจ้า เราขอร้องท่านทั้งหลาย อย่าเพียงแต่ รับพระหรรษทานของพระองค์ไว้โดยไม่เกิดผล พระองค์ตรัสว่า “ในเวลาทีเ่ หมาะ สม เราได้รับฟังท่าน และในวันแห่งความรอดพ้น เราได้ช่วยเหลือท่าน” ขณะนี้ คือเวลาที่เหมาะสม ขณะนี้คือวันแห่งความรอดพ้น เราไม่เป็นอุปสรรคกีดขวาง ทางของใคร เพื่อมิให้ใครตำ�หนิงานรับใช้ของเรา แต่เราแสดงตนเป็นผู้รับใช้ของ พระเจ้าในทุกกรณีดว้ ยความอดทนอย่างมาก ในความทุกข์ยาก ความขัดสน ความ คับแค้น การถูกโบยตี การถูกจองจำ� การจลาจล ความเหน็ดเหนื่อยจากการงาน การอดนอน การอดอาหาร เราแสดงตนเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ ใจ ความรู้ ความเพียรอดทน ความใจดี ความช่วยเหลือของพระจิตเจ้า ความรัก ที่ไม่เสแสร้ง ถ้อยคำ�สัตย์จริงและด้วยพระอานุภาพของพระเจ้า โดยใช้ความชอบ ธรรมเป็นอาวุธทัง้ มือซ้ายและมือขวา ทัง้ ยามมีเกียรติและยามไร้เกียรติ ทัง้ เมือ่ ถูก กล่าวร้ายและกล่าวดี เราถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหลอกลวง แต่เราก็พูดความจริง เราถูกกล่าวหาว่าไม่มีใครรู้จัก แต่เราก็มีคนรู้จักมาก เหมือนกับคนกำ�ลังจะตาย แต่เราก็ยังมีชีวิต เหมือนคนถูกลงโทษ แต่เราก็ไม่ถูกประหารชีวิต เหมือนกับเป็น คนมีความทุกข์ แต่เราก็ยินดีเสมอ เหมือนกับเป็นคนยากจน แต่เราก็ทำ�ให้คน จำ�นวนมากมั่งมี เหมือนกับคนที่ไม่มีอะไรเลย แต่เราก็มีทุกอย่าง พระวรสาร มธ 5:38-42 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้ง หลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ผู้ ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วย ผู้ ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด ผู้ใดขออะไร จากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน” นักบุญเปาโลเตือนเราให้แสดงตนเป็นผูร้ บั ใช้ของพระเจ้ามิให้ใครตำ�หนิ มีความอดทนในความทุกข์ยาก ขัดสน ถูกจองจำ� เหน็ดเหนื่อย ถูกกล่าวร้าย... ศาสนายิวเน้นความยุติธรรม ให้แก้แค้นได้ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” แต่ศาสนาคาทอลิกเน้นความรัก ความเมตตา การให้อภัย ห้ามแก้แค้น ห้ามตอบโต้ ความชัว่ ด้วยความชัว่ แต่ดว้ ยความดี ขณะนีม้ หี ลายประเทศทีย่ กเลิกกฎหมายประหาร ชีวิต ไม่ใช้กฎหมายแก้แค้นแทนคนตาย ไม่ประหาร มีเมตตา ให้ตายเอง
บทอ่านที่ 1 2 คร 8:1-9 พี่น้องทั้งหลาย เราใคร่จะให้ท่านรู้เรื่องพระหรรษทาน ซึ่งพระเจ้าประทาน ให้พระศาสนจักรต่างๆ ในแคว้นมาซิโดเนีย แม้เขาต้องทนทุกข์แสนสาหัส เขาก็ ยังมีความสุขอย่างยิ่ง แม้จะยากจนแสนเข็ญ เขาก็ยังมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่าง ล้นเหลือ ข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าเขาบริจาคด้วยความสมัครใจตามกำ�ลังความ สามารถ และเกินกำ�ลังความสามารถอีกด้วย เขายังอ้อนวอนเราหลายครั้งให้เขา มีสิทธิ์ร่วมรับใช้บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ด้วย เขาทำ�ยิ่งกว่าที่เราคาดหมายไว้ เขาถวาย ตนแด่พระเจ้าก่อน แล้วจึงมอบตนให้เราตามพระประสงค์ของพระเจ้า เราจึงขอ ร้องทิตัสให้จัดการกุศลนี้ต่อไปจนสำ�เร็จในหมู่ท่านทั้งหลายดังที่เขาได้เริ่มไว้แล้ว เมือ่ ท่านมีทกุ สิง่ บริบรู ณ์ คือความเชือ่ การพูด ความรู้ ความกระตือรือร้นและความ รักที่ท่านมีต่อเรา ท่านก็ควรจะดีพร้อมในการกุศลนี้ด้วย ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้มิใช่ เป็นการบังคับ แต่เป็นการเล่าถึงความกระตือรือร้นของผูอ้ นื่ เพือ่ พิสจู น์วา่ ความรัก ของท่านนัน้ มีจริง ท่านรูแ้ ล้วถึงพระกรุณาของพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของ เรา แม้ทรงรํ่ารวย พระองค์ก็ยังทรงยอมกลายเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่าน เพื่อท่านจะได้รํ่ารวยเพราะความยากจนของพระองค์ พระวรสาร มธ 5:43-48 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำ�กล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าว แก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็น บุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ข้ึนเหนือ คนดีและคนชัว่ โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่คน ที่รักท่าน ท่านจะได้บำ�เหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำ�เช่นนี้ดอก หรือ ถ้าท่านทักทายแต่พนี่ อ้ งของท่านเท่านัน้ ท่านทำ�อะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนา มิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้า สวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด” คำ�สอนของพระเยซูเจ้าทวนคำ�สอนของชาวโลก เช่น จงรักศัตรู จง อธิษฐานภาวนาให้ผทู้ เ่ี บียดเบียนท่าน เพือ่ ท่านจะได้เป็นบุตรพระบิดาเจ้าสวรรค์ ไม่ทรง เลือกที่รักมักที่ชัง ทรงเกลียดบาป แต่รักคนบาป ทรงท้าทายเราให้เป็นคนดีสมบูรณ์ เหมือนพระบิดาเจ้าสวรรค์ เพื่อจะทำ�เช่นนี้ได้ คือ รักศัตรูได้ ให้อภัยได้ ไม่จดจำ�ความ ผิด เราจึงต้องอาศัยการฟังพระวาจาของพระเจ้า ปฏิบัติตาม และรับศีลมหาสนิท บ่อยๆ
สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา สดด 146:1-2,5-6, 7,8-9ก
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
ระลึกถึง น.หลุยส์ คอนซากา นักบวช สดด 112:1-3,4,9
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 2 คร 9:6-11 พี่น้อง พึงจำ�ไว้ว่าผู้ที่หว่านเมล็ดพืชเพียงเล็กน้อย ก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็ก น้อย ผูท้ หี่ ว่านเมล็ดพืชมากก็จะเก็บเกีย่ วได้มาก แต่ละคนจงให้ตามทีต่ งั้ ใจไว้ มิใช่ ให้โดยนึกเสียดาย มิใช่ให้โดยฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี พระเจ้าประทานพระหรรษทานทุกประการแก่ท่านได้อย่างอุดม เพื่อให้ท่านมีทุก สิ่งเพียงพอ และยังมีเหลือเฟือสำ�หรับกิจการดีทุกประการอีกด้วย ดังที่มีเขียนไว้ ในพระคัมภีร์ว่า “เขาเอื้อเฟื้อแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของ เขาดำ�รงอยู่ตลอดนิรันดร” พระองค์ผู้ประทานเมล็ดพืชแก่ผู้หว่านและประทานอาหารเลี้ยงชีวิตจะทรง จัดหาและทรงทวีเมล็ดพืชทีท่ า่ นหว่าน และจะทรงเพิม่ พูนผลแห่งความชอบธรรม ของท่านด้วย ท่านจะมั่งคั่งบริบูรณ์ทุกประการ เพื่อจะแจกจ่ายได้อย่างใจกว้าง ทานบริจาคของท่านซึ่งเราจะจัดแจกนี้จะทำ�ให้มีการขอบพระคุณพระเจ้า
พระวรสาร มธ 6:1-6,16-18 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับ บำ�เหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่าน เหมือนทีบ่ รรดาคนหน้าซือ่ ใจคดมักทำ�ในศาลาธรรมและตามถนนเพือ่ จะได้รบั คำ�สรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เขาได้รับบำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือ ซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำ�ลังทำ�สิ่งใด เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย แล้วพระบิดาของ ท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน” “เมือ่ ท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซือ่ ใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนา ในศาลาธรรม และตามมุมลานเพือ่ ให้ใครๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ทา่ นว่า เขาได้รบั บำ�เหน็จของเขา แล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ สถิตทั่วทุกแห่ง แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน” “เมื่อท่านทั้งหลายจำ�ศีลอดอาหาร จงอย่าทำ�หน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขา ทำ�หน้าหมองคลํ้า เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำ�ลังจำ�ศีลอดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้ รับบำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อจำ�ศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้นํ้ามันหอมใส่ศีรษะ เพื่อไม่แสดง ให้ผคู้ นรูว้ า่ ท่านกำ�ลังจำ�ศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่านผูส้ ถิตทัว่ ทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดา ของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน” พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่า อย่าปฏิบัติศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น เพราะได้รับบำ�เหน็จรางวัล แล้วจากมนุษย์ บาปสู่รู้ จองหอง อวดตัว เป็นบาปแรกในบาปต้นเจ็ดประการ มีผู้กล่าวว่าบาปสู่รู้ จองหอง อวดตัวนีต้ ายหลังเราตายแล้วหลายนาที พระเยซูเจ้าพระผูไ้ ถ่กโู้ ลก ต้องใช้โทษบาปของอาดัมเอวาและของ เราแต่ละคน โดยยอมสุภาพถ่อมตน นอบน้อมเชื่อฟังในทุกสิ่ง โดยสละนํ้าพระทัยของพระองค์เพื่อทำ�ตาม พระประสงค์ของพระบิดา ทรงเรียกพระองค์เป็นบุตรมนุษย์ แม้เป็นบุตรพระเจ้า แต่ทรงหลีกหนีเกียรติยศ ชื่อเสียงต่างๆ
บทอ่านที่ 1 2 คร 11:1-11 พีน่ อ้ ง ขอให้ทา่ นอดทนต่อความโง่เขลาของข้าพเจ้าสักเล็กน้อย แต่ความจริง ท่านก็อดทนอยู่แล้ว ข้าพเจ้าหวงแหนท่านทั้งหลายอย่างที่พระเจ้าทรงหวงแหน เพราะข้าพเจ้าหมั้นท่านไว้กับชายคนเดียว เพื่อถวายประดุจพรหมจารีบริสุทธิ์แด่ พระคริสตเจ้า แต่ข้าพเจ้าเกรงว่างูหลอกลวงนางเอวาด้วยกลอุบายของมันฉันใด ความคิดของท่านอาจถูกหลอกลวงให้หนั ไปจากความซือ่ สัตย์และบริสทุ ธิต์ อ่ พระ น.เปาลิน แห่งโนลา คริสตเจ้าฉันนัน้ เพราะถ้าผูใ้ ดมาประกาศพระเยซูเจ้าอีกองค์หนึง่ แตกต่างไปจาก พระสังฆราช องค์ที่เราได้ประกาศ หรือถ้าท่านได้รับพระจิตเจ้าอีกองค์หนึ่งซึ่งต่างไปจากองค์ที่ น.ยอห์น ฟิชเชอร์ ท่านได้รับ หรือรับข่าวดีแตกต่างไปจากข่าวดีที่ท่านได้รับ ท่านก็ยอมรับได้อย่าง และ น.โทมัส โมร์ ง่ายดาย ข้าพเจ้าคิดว่า ตนเองไม่ด้อยไปกว่าบรรดาอัครสาวกชั้นพิเศษเหล่านั้น มรณสักขี แม้แต่น้อย แม้ข้าพเจ้าจะพูดไม่เก่ง ข้าพเจ้าก็มีความรู้ดี เราแสดงความจริงข้อนี้ สดด 111:1-2, ให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ท่านทั้งหลายแล้วในทุกกรณี 3-4,7-8 เมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวดีของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลายโดยไม่คิดค่าจ้าง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ข้าพเจ้าทำ�ผิดหรือที่ถ่อมตนเพื่อยกย่องท่าน ข้าพเจ้าปล้นพระศาสนจักรอื่นๆ ยอมรับค่าจ้างจากเขาเพือ่ มารับใช้ทา่ น เมือ่ ข้าพเจ้าอยูก่ บั ท่านทัง้ หลายและมีความ จำ�เป็นต้องใช้จา่ ย ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นภาระให้ผใู้ ด เพราะบรรดาพีน่ อ้ งทีม่ าจากแคว้นมาซิโดเนียจุนเจือ ข้าพเจ้าตามความต้องการ ข้าพเจ้าพยายามที่จะไม่เป็นภาระแก่ท่านในทุกๆ เรื่อง และจะพยายามทำ� เช่นนีต้ อ่ ไป ความจริงของพระคริสตเจ้าอยูใ่ นข้าพเจ้าแน่นอนฉันใด จะไม่มผี ใู้ ดห้ามข้าพเจ้ามิให้โอ้อวด ตนเองในเรือ่ งนีใ้ นดินแดนแคว้นอาคายาได้ฉนั นัน้ เพราะเหตุใด เพราะข้าพเจ้ามิได้รกั ท่านกระนัน้ หรือ พระเจ้าทรงทราบดีว่าข้าพเจ้ารักท่าน พระวรสาร มธ 6:7-15 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซํ้าเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะ ทรงสดับฟัง อย่าทำ�เหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ ท่านจะขอเสียอีก ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำ�เร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ โปรดประทานอาหารประจำ� วันแก่ขา้ พเจ้าทัง้ หลายในวันนี้ โปรดประทานอภัยแก่ขา้ พเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผอู้ นื่ โปรดช่วย ข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’” “เพราะถ้าท่านให้อภัยผูท้ �ำ ความผิด พระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ทา่ น ด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำ�ความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน” พระเยซูเจ้าบุตรพระเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นบุตรมนุษย์ เพื่อทำ�ให้เรามนุษย์เกิดใหม่เป็นบุตร พระเจ้า สามารถเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดา บทข้าแต่พระบิดาสมัยกรุงศรีอยุธยาใช้คำ�ว่า “พ่อเราเจ้าข้า...” ดูมีความหมายลึกซึ้ง ใกล้ชิดสนิทสนม เป็นกันเองมากกว่าคำ� “บิดา” ฉะนั้น เมื่อเราสวดบทภาวนานี้ ให้เรา รูส้ กึ ว่า พระเจ้ากับเราเป็นพ่อลูกสนิทกันจริงๆ และเรามนุษย์กเ็ ป็นพีน่ อ้ งร่วมพ่อเดียวกัน ขอพ่อของเราโปรด ให้เราเป็นลูกที่ดีของพระองค์เหมือนพระเยซูเจ้าและแม่พระ ทำ�ตามพระประสงค์ของพระองค์เหนือสิ่งใด
สมโภช พระหฤทัย ของพระเยซูเจ้า สดด 103:1-2, 3-4,7,8-10
บทอ่านที่ 1 ฉธบ 7:6-11 ครั้งนั้น โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “ท่านเป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านทรงเลือก ท่านไว้เป็นประชากรของพระองค์ เป็นสมบัติพิเศษจากประชากรทั้งหมดบน แผ่นดิน... จงรูเ้ ถิดว่า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่านทรงเป็นพระเจ้าโดยแท้จริง ทรง เป็นพระเจ้าผูซ้ อื่ สัตย์ ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมัน่ คงต่อผูท้ รี่ กั และปฏิบตั ิ ตามบทบัญญัติของพระองค์ถึงพันชั่วอายุคน แต่พระองค์ทรงลงโทษและทำ�ลาย ผูท้ เี่ กลียดชังพระองค์ทนั ที พระองค์ไม่ทรงรีรอทีจ่ ะลงโทษเขาโดยตรง ดังนัน้ ท่าน จะต้องปฏิบตั ติ ามบทบัญญัติ ข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์ทขี่ า้ พเจ้ามอบให้ทา่ นในวัน นี้อย่างเคร่งครัด”
บทอ่านที่ 2 1 ยน 4:7-16 ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนทีม่ คี วามรัก ย่อมบังเกิด จากพระเจ้า และรูจ้ กั พระองค์ ผูไ้ ม่มคี วามรัก ย่อมไม่รจู้ กั พระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความ รักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้ คือ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรพระองค์เดียวมาในโลก เพือ่ เราจะได้ มีชวี ติ โดยทางพระบุตรนัน้ ความรักอยูท่ วี่ า่ พระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพือ่ ชดเชยบาปของเรา มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะ รักกันด้วย ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า แต่ถ้าเรารักกัน พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเรา และความรักของ พระองค์ในเราก็จะสมบูรณ์... เรารู้และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ใดดำ�รงอยู่ในความรัก ย่อมดำ�รงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเขา พระวรสาร มธ 11:25-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรง ปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ตํ่าต้อย ถูกแล้ว พระบิดา เจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจาก พระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้ ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน จงรับ แอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพ อ่อนโยน และถ่อมตน จิตใจของท่าน จะได้รับการพักผ่อน เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา” พระเจ้าทรงรักและซือ่ สัตย์ตอ่ อิสราเอล ชาติเลือกสรรเสมอ แม้อสิ ราเอลไม่ซอื่ สัตย์ ทำ�บาป กราบไหว้รูปปฏิมา พระเยซูเจ้าทรงรักและซื่อสัตย์ต่ออิสราเอลใหม่ คือพระศาสนจักรหรือเราคริสตชนซึ่ง ก็ไม่ซอ่ื สัตย์ ทำ�บาป... เมือ่ สามร้อยกว่าปีมาแล้ว พระเยซูเจ้าปรากฏมาหานักบุญมาร์การิตา มารีย์ อาลาก๊อก ให้เห็นดวงพระทัยมีกางเขนปัก มีไฟลุก มีมงกุฎหนามล้อมรอบ มีแผล มีเลือดหยด มีเสียงต่อว่ามนุษย์ “ว่า ไม่รักตอบ... สิ่งที่ได้รับตอบก็คือ ความอกตัญญู ใจเย็นเฉย การสบประมาท การทุราจารย์...” วันฉลอง พระหฤทัยเป็นวันชดเชยบาป ชดเชยความรักที่ยังขาด ให้เราช่วยเติมเต็ม
บทอ่านที่ 1 อสย 49:1-6 ดินแดนชายทะเลและเกาะทัง้ หลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนทีอ่ ยูส่ ดุ แดนไกล จงตัง้ ใจฟังเถิด องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนทีข่ า้ พเจ้าเกิด ทรง ขานชือ่ ข้าพเจ้าตัง้ แต่อยูใ่ นครรภ์มารดา พระองค์ทรงทำ�ให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือน ดาบคม ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์ของพระองค์ ทรงทำ�ให้ข้าพเจ้าเป็น เสมือนลูกศรแหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์... บัดนี้ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รับเกียรติเฉพาะพระพักตร์ พระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงเป็นพละกำ�ลังของข้าพเจ้า พระองค์ตรัสว่า “เป็นการน้อยไปที่ท่านจะเป็นผู้รับใช้ของเรา เพื่อสถาปนา เผ่าพันธุย์ าโคบขึน้ ใหม่ และรวบรวมอิสราเอลทีเ่ หลืออยูอ่ กี ครัง้ หนึง่ เราจะให้ทา่ น เป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพือ่ ความรอดพ้นทีเ่ รานำ�มาให้จะได้แผ่ไปจนสุดปลาย แผ่นดิน”
สมโภช น.ยอห์นแบปติสต์ บังเกิด สดด 139:1-3, 13-14,15-16
บทอ่านที่ 2 กจ 13:22-26 เมื่อทรงปลดกษัตริย์ซาอูลจากตำ�แหน่งแล้ว ก็ทรงแต่งตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ปกครองประชากร อิสราเอล... จากเชือ้ สายของกษัตริยด์ าวิดนี้ พระเจ้าประทานพระเยซูเจ้าเป็นผูช้ ว่ ยอิสราเอลให้รอดพ้น ตามพระสัญญา ยอห์นเตรียมรับเสด็จพระองค์ ประกาศพิธีล้างให้ประชาชนอิสราเอลทั้งปวงกลับใจ ขณะทีย่ อห์นกำ�ลังทำ�ภารกิจของตนให้ส�ำ เร็จไป เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้ามิได้เป็นอย่างทีท่ า่ นทัง้ หลายคิด แต่บัดนี้ มีผู้หนึ่งกำ�ลังมาภายหลังข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา”... พระวรสาร ลก 1:57-66,80 เมื่อครบกำ�หนดคลอด นางเอลีซาเบธให้กำ�เนิดบุตรชายคนหนึ่ง เพื่อนบ้านและบรรดาญาติรู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงพระกรุณายิ่งใหญ่ต่อนาง จึงมาร่วมยินดีกับนาง เมื่อเด็กเกิดได้แปดวัน เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมาทำ�พิธีสุหนัตให้ เขาต้องการเรียกเด็กว่า เศคาริยาห์ตามชื่อบิดา แต่มารดาของเด็กค้านว่า “ไม่ได้ เขาจะต้องชื่อยอห์น” คนเหล่านั้นจึงพูดกับ นางว่า “ท่านไม่มีญาติคนใดมีชื่อนี้” เขาเหล่านั้นจึงส่งสัญญาณถามบิดาของเด็กว่าต้องการให้บุตรชื่อ อะไร เศคาริยาห์ขอกระดานแผ่นหนึ่งแล้วเขียนว่า “เขาชื่อยอห์น” ทุกคนต่างประหลาดใจ ทันใดนั้น เศคาริยาห์ก็กลับพูดได้อีก เขาจึงกล่าวถวายพระพรพระเจ้า เพื่อนบ้านทุกคนต่างรู้สึกกลัว และเรื่อง ทัง้ หมดนีไ้ ด้เล่าลือกันไปทัว่ แถบภูเขาของแคว้นยูเดีย ทุกคนทีไ่ ด้ยนิ เรือ่ งนีต้ า่ งก็แปลกใจและถามกันว่า “แล้วเด็กคนนี้จะเป็นอะไร” เพราะพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา เด็กนั้นเจริญเติบโตขึ้น จิตใจของเขาเข้มแข็งขึ้นด้วย เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่เขา แสดงตนแก่ประชากรอิสราเอล เมื่อรับศีลล้างบาป เราคริสตชนได้รับเรียกให้เป็นประกาศก ทำ�หน้าที่เป็นปากเป็นเสียงของ พระเจ้า เหมือนยอห์นบัปติสต์ หน้าที่ประกาศกคือ ประกาศความดี ประณามความชั่ว แม้ต้องเสี่ยงชีวิต ใน สังคมโลกของเรา ยังมีสิ่งไม่ดี ไม่งาม ไม่ถูกต้องมากมาย ชาวโลกก็ประพฤติไม่ดี ไม่ถูกต้องตามกัน แทนที่ จะต่อต้านหรือประณาม เราคริสตชนต้องมีจดุ ยืน เจริญชีวติ ตามพระวรสาร สวนกระแสสังคม เป็นมโนธรรม ของสังคม ต่อต้านสังคม และช่วยเปลี่ยนแปลงสังคม
สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 20:10-13 ประกาศกเยเรมีย์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลายคนซุบซิบว่า ‘ความหวาดกลัวอยู่โดยรอบมาแล้ว จงกล่าวหาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด’ มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า คอยเฝ้า ดูความล่มจมของข้าพเจ้า พูดว่า ‘เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง แล้วเราจะเอาชนะ เขาได้ และจะแก้แค้นเขา’ แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงอยูข่ า้ งข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง ดังนัน้ ผูข้ ม่ เหง ข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้องอับอายมาก เพราะไม่ ประสบความสำ�เร็จ ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงทดสอบผูช้ อบธรรม ทรงสำ�รวจ ใจและจิต ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้ทูล เสนอคดีของข้าพเจ้าให้ทรงทราบแล้ว จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จง สรรเสริญองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวติ ของผูข้ ดั สน ให้พน้ มือของ ผู้ทำ�ความชั่วร้าย เพลงสดุดี สดด 69:7-9,13 และ 16,32-34 ก) ข้าพเจ้าทนรับการสบประมาทเพื่อพระองค์ รู้สึกอับอายจนไม่กล้ามองหน้าใคร กลายเป็นคนแปลกหน้าส�ำหรับบรรดาพี่น้อง เป็นคนต่างถิ่นส�ำหรับบรรดาบุตรของมารดาข้าพเจ้า เพราะความกระตือรือร้นที่ข้าพเจ้ามีต่อบ้านของพระองค์ เป็นเสมือนไฟที่เผาผลาญข้าพเจ้า ค�ำสบประมาทที่เขามุ่งใส่ร้ายพระองค์ตกอยู่เหนือข้าพเจ้า ข) ดังนั้น ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ ในเวลาที่ทรงโปรดปราน ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้าด้วยความรักมั่นคงยิ่งใหญ่ ของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงซื่อสัตย์ในการช่วยให้รอดพ้น ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงตอบข้าพเจ้าเถิด เพราะความรักมั่นคงของพระองค์นั้นประเสริฐยิ่ง พระกรุณาของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ โปรดผินพระพักตร์มาหาข้าพเจ้าเถิด ค) ท่านทั้งหลายผู้ถ่อมตน จงเห็นและยินดีเถิด ท่านทั้งหลายที่แสวงหาพระเจ้า จงมีก�ำลังใจขึ้นเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังคนยากจน
พระองค์ไม่ทรงเมินเฉยผู้ถูกจองจ�ำ ขอท้องฟ้าและแผ่นดิน ขอทะเลและทุกสิ่ง ที่เคลื่อนไหวอยู่ในทะเล จงโห่ร้องสรรเสริญพระองค์เถิด บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโรม รม 5:12-15 พีน่ อ้ ง บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และ ความตายเข้ า มาเพราะบาปฉั น ใด ความตายก็ แ พร่ กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำ�บาปฉันนั้น ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยัง ไม่มธี รรมบัญญัตกิ ไ็ ม่นบั ว่าเป็นบาป ถึงกระนัน้ ความตาย ก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำ�บาปเหมือน กับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะมาในภายหลัง แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่า ถ้ามวลมนุษย์ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของ มนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำ�หรับมวลมนุษย์ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 10:26-33 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้ สิ่งที่ เราบอกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวออกมาในที่สว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงประกาศบนดาดฟ้า หลังคาเรือน อย่ากลัวผูท้ ฆี่ า่ ได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผูท้ ที่ �ำ ลายทัง้ กายและวิญญาณให้พนิ าศ ไปในนรก นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น ก็ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตก ถึงพืน้ ดินโดยทีพ่ ระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว ดังนัน้ อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำ�นวนมาก ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตใน สวรรค์ และผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิต ในสวรรค์ด้วย” พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “อย่ากลัวมนุษย์ทฆี่ า่ ได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณ ได้” บรรดามรณสักขียอมรับพระคริสตเจ้าต่อหน้ามนุษย์ ไม่กลัวตาย แม้ถูกเบียดเบียน ถูกฆ่าแต่กาย ยอม สละชีวิตนี้เพื่อได้ชีวิตนิรันดรในสวรรค์ ให้เรากลัวพระเจ้าที่ทำ�ลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศในนรก โดย ไม่ทำ�บาปขัดเคืองพระทัยพระองค์
สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา
สดด 33:12-13,18-19, 20-22
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
วันต่อต้านยาเสพติด
บทอ่านที่ 1 ปฐก 12:1-9 ในครัง้ นัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสแก่อบั รามว่า “จงออกจากแผ่นดินของท่าน จากญาติพี่น้อง จากบ้านของบิดา ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้ท่าน เราจะทำ�ให้ท่าน เป็นชนชาติใหญ่ จะอวยพรท่าน จะทำ�ให้ทา่ นมีชอื่ เสียงเลือ่ งลือ ท่านจะนำ�พระพร มาให้ผู้อื่น เราจะอวยพรผูท้ อี่ วยพรท่าน เราจะสาปแช่งผูท้ สี่ าปแช่งท่าน บรรดาเผ่าพันธุ์ ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดินจะได้รับพรเพราะท่าน” อับรามจึงออกเดินทางตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส โลทไปกับเขาด้วย อับรามมีอายุเจ็ดสิบห้าปีเมือ่ เขาออกจากฮาราน อับรามพานางซารายภรรยาของ ตนกับโลทบุตรของน้องชายและทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ได้สะสมไว้ รวมทั้งบรรดา ผู้คนที่หามาได้ในเมืองฮาราน ออกเดินทางไปยังแผ่นดินคานาอัน เมือ่ เขาทัง้ หลายมาถึงแผ่นดินคานาอันแล้ว อับรามก็เดินผ่านแผ่นดินนัน้ จนถึง ต้นโอ๊กของโมเรห์ทเี่ ชเคม ในเวลานัน้ ชาวคานาอันยังอยูใ่ นแผ่นดิน องค์พระผูเ้ ป็น เจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่อับรามตรัสกับเขาว่า “เราจะให้แผ่นดินนี้แก่ลูกหลาน ของท่าน” อับรามจึงสร้างพระแท่นบูชาที่น่ันถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้สำ�แดง พระองค์แก่เขา แล้วเดินทางต่อไปถึงภูเขาทางตะวันออกของเบธเอล และตั้ง กระโจมที่นั่น ให้เบธเอลอยู่ทิศตะวันตก ให้อัยอยู่ทิศตะวันออก และยังได้สร้าง พระแท่นบูชาถวายแด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทีน่ นั่ แล้วขานพระนามองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า อับรามย้ายกระโจมเดินทางเป็นระยะๆ ไปจนถึงดินแดนเนเกบ พระวรสาร มธ 7:1-5 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ ทะนานนัน้ ตวงให้ทา่ น ทำ�ไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพีน่ อ้ ง แต่ไม่สงั เกต เห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย ท่านจะกล่าวแก่พนี่ อ้ งได้อย่างไรว่า ‘ปล่อยให้ฉนั เขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะที่มีท่อนซุงอยู่ในดวงตาของท่าน ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะ ได้เห็นชัดก่อนไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง”
ในบทอ่านแรก ให้เราเอาอย่างอับรามบิดาแห่งความเชื่อ ที่นอบน้อมเชื่อฟังพระเจ้า ละทิ้ง ญาติพี่น้อง บ้านเกิดเมืองนอน ออกเดินทางไปยังแผ่นดินพระสัญญาที่พระเจ้าจะทรงมอบให้ ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่าตัดสินผู้อื่น” หน้าที่ตัดสินเป็นหน้าที่ของพระเจ้า ไม่มีใครดีพอที่ จะตัดสินผู้อื่น เรามักเห็นข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ของผู้อื่นได้ง่ายๆ แต่ข้อบกพร่องใหญ่ๆ ของเรากลับแล ไม่เห็น ให้เราแก้ไขข้อบกพร่องของเราเสียก่อน แล้วจึงไปแก้ไขข้อบกพร่องของผู้อื่น
บทอ่านที่ 1 ปฐก 13:2,5-18 ในครั้งนั้น อับรามมั่งมีมาก มีฝูงแพะแกะ เงินทอง โลทซึ่งไปกับอับรามมีฝูง แกะ โค และกระโจมของตนด้วย ที่ดินแถบนั้นไม่กว้างขวางพอที่จะให้เขาทั้งสอง คนอยู่ร่วมกันได้ เพราะต่างคนต่างมีทรัพย์สมบัติมากมาย จึงอยู่รวมกันไม่ได้ คน เลี้ยงสัตว์ของอับรามกับคนเลี้ยงสัตว์ของโลทวิวาทกัน เวลานั้น ชาวคานาอันและ ชาวเปริสซียังอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น อับรามจึงบอกโลทว่า “เราอย่าวิวาทกันเลย น.ซีริล อย่าให้คนเลี้ยงสัตว์ของท่านกับคนเลี้ยงสัตว์ของฉันวิวาทกัน เพราะเราเป็นญาติ แห่งอเล็กซันเดรีย กัน แผ่นดินทั้งหมดอยู่ต่อหน้าท่านไม่ใช่หรือ จงแยกจากฉันเถิด ถ้าท่านไปทาง พระสังฆราช ซ้าย ฉันจะไปทางขวา ถ้าท่านไปทางขวา ฉันจะไปทางซ้าย” และนักปราชญ์ โลทเงยหน้าขึน้ ก็เห็นว่าตลอดลุม่ แม่นาํ้ จอร์แดนไปจนถึงโศอาร์ มีนาํ้ บริบรู ณ์ แห่งพระศาสนจักร เหมือนอุทยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือเหมือนแผ่นดินอียิปต์ เวลานั้นองค์พระ สดด 15:1-2,3-4,5 ผู้เป็นเจ้ายังไม่ได้ทำ�ลายเมืองโสโดมและโกโมราห์ ดังนั้น โลทจึงเลือกเอาลุ่ม แม่นาํ้ จอร์แดนทัง้ หมดไว้เป็นของตน แล้วย้ายกระโจมไปทางตะวันออก เขาทัง้ สอง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 คนจึงแยกกัน... เมื่อโลทแยกไปแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับรามว่า “จงเงยหน้าขึ้นจากที่ที่ท่านอยู่ มองไป ทางทิศเหนือทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก แผ่นดินทัง้ หมดทีท่ า่ นเห็นนี้ เราจะมอบให้ทา่ นและ ให้ลูกหลานของท่านตลอดไป เราจะทำ�ให้ลูกหลานของท่านมีจำ�นวนมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนฝุ่นผง ของแผ่นดิน ผู้ใดนับฝุ่นผงของแผ่นดินได้ ก็จะนับจำ�นวนลูกหลานของท่านได้เช่นเดียวกัน ท่านจงลุก ขึ้นเดินทางไปให้ทั่วแผ่นดินนี้ ทั้งด้านยาวและด้านกว้างเถิด เพราะว่า เราจะมอบให้ท่าน” อับรามจึงย้ายกระโจมมาอาศัยอยู่ที่หมู่ต้นโอ๊กของมัมเร ที่เฮโบรน แล้วสร้างพระแท่นบูชาถวาย แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น พระวรสาร มธ 7:6,12-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “อย่าให้ของศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกรเพราะมันจะเหยียบยํ่าทำ�ให้เสียของ และหัน มากัดท่านอีกด้วย” “ท่านอยากให้เขาทำ�กับท่านอย่างไร ก็จงทำ�กับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและคำ�สอน ของบรรดาประกาศก” “จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางทีน่ �ำ ไปสูห่ ายนะนัน้ กว้างขวาง คนทีเ่ ข้าทางนีม้ จี �ำ นวน มาก แต่ประตูและทางซึ่งนำ�ไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำ�นวนน้อย” “ท่านอยากให้เขาทำ�อย่างไรกับท่าน ก็จงทำ�อย่างนั้นแก่เขา” นี่คือกฎทอง ทุกศาสนาสอน เหมือนกัน พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่นำ�ไปสู่หายนะนั้นกว้าง ขวาง คนที่เข้าทางนี้มีจำ�นวนมาก แต่ประตูและทางที่นำ�ไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำ�นวนน้อย” มี คำ�พังเพยว่า “ทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์” ท่านเลือกเข้าประตูและทางแบบไหน แคบคือใช้ ชีวติ เคร่งครัด ปฏิบตั ติ ามกฎเกณฑ์ มีวนิ ยั ตามเสียงมโนธรรม หรือ กว้างคือ ใช้ชวี ติ ปล่อยตัวตามราคตัณหา พระเยซูเจ้าแบกกางเขนนำ�หน้าเราไปแล้ว และตายบนไม้กางเขน ทรงเชิญชวนเราที่เป็นศิษย์ของพระองค์ ให้เสียสละ แบกกางเขนทุกวันตามพระองค์ไป
บทอ่านที่ 1 ปฐก 15:1-12,17-18 หลังจากนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับรามในนิมิตว่า “อับรามเอ๋ย อย่า กลัวเลย เราเป็นโล่ป้องกันท่าน บำ�เหน็จรางวัลของท่านจะยิ่งใหญ่มาก” แต่อับรามทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์จะประทานสิ่ง ใดแก่ขา้ พเจ้า ถ้าข้าพเจ้ายังคงไม่มบี ตุ ร เอลีเอเซอร์ชาวดามัสกัสก็จะเป็นผูร้ บั มรดก ระลึกถึง น.อีเรเนโอ ของข้าพเจ้า อับรามทูลอีกว่า “พระองค์ไม่ได้ประทานบุตรให้แก่ข้าพเจ้า ดังนั้น พระสังฆราช บ่าวที่เกิดในบ้านของข้าพเจ้าก็จะได้รับมรดก” แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับ และมรณสักขี อับรามอีกว่า “บ่าวผู้นี้จะไม่เป็นผู้รับมรดกของท่าน แต่บุตรชายที่เกิดจากท่าน เท่านัน้ จะเป็นผูร้ บั มรดก” พระองค์ทรงพาอับรามออกไปข้างนอก แล้วตรัสว่า “จง สดด 105:1-3,4-6 มองดูท้องฟ้า นับจำ�นวนดวงดาวเถิด ถ้าท่านนับได้” พระองค์ทรงเสริมว่า “ลูก 7-10 หลานของท่านจะมีจำ�นวนมากมายเช่นนี้” อับรามเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 พระองค์ทรงนับว่าความเชื่อนี้เป็นความชอบธรรมสำ�หรับเขา พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราคือองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ผูพ้ าท่านออกจากเมืองอูรข์ องชาวเคลเดีย เพือ่ จะมอบแผ่นดินนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน” อับรามทูลตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ข้าพเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่า แผ่นดินนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของข้าพเจ้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงนำ�ลูก โคตัวเมียอายุสามปี แพะตัวเมียอายุสามปี และแกะตัวผู้อายุสามปี นกเขาและนกพิราบอย่างละตัวมา ให้เรา” อับรามก็ไปนำ�สัตว์เหล่านี้ทั้งหมดมา ผ่าครึ่งตัววางไว้ตรงกันเป็นสองแถว แต่ไม่ได้ผ่านก เมื่อ แร้งบินลงมาที่ร่างสัตว์เหล่านี้ อับรามก็ไล่มันไป ขณะที่ดวงอาทิตย์จวนจะตก อับรามก็หลับสนิท ความมืดมิดที่น่ากลัวอย่างยิ่งมาครอบคลุมเขา ไว้ เมื่อดวงอาทิตย์ตกและมืดลงแล้ว ก็มีหม้อไฟที่มีควันพวยพุ่งและคบเพลิงที่ลุกอยู่ลอยผ่านระหว่าง กลางสัตว์ที่ผ่าซีกเหล่านั้น ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ�พันธสัญญาไว้กับอับรามว่า “เรามอบแผ่นดินนี้ให้แก่ลูกหลานของท่าน ตั้งแต่แม่นํ้าแห่งอียิปต์ไปจนถึงแม่นํ้าใหญ่ คือแม่นํ้า ยูเฟรติส” พระวรสาร มธ 7:15-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวังประกาศกเทียมซึง่ มาพบท่าน นุง่ ห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนขั ป่าดุรา้ ย ท่านจะรูจ้ กั เขาได้จากผลงานของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุ่นจากต้นหนาม หรือเก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม ใน ทำ�นองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลไม่ดี มิได้ และต้นไม้พันธุ์ไม่ดีก็ไม่อาจเกิดผลดีได้ ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ ดังนั้น ท่านจะรู้จักประกาศกเทียมได้จากผลงานของเขา” ประกาศกต้องสอนความจริง ถ้าไม่สอนความจริงและปฏิบตั ติ ามทีส่ อน ก็เป็นประกาศกเทียม ประกาศกแท้ตอ้ งเป็นเหมือนต้นไม้พนั ธุด์ ี ทีผ่ ลิตผลดี ส่วนประกาศกเทียม เป็นเหมือนต้นไม้พนั ธุไ์ ม่ดี ผลิตผล ไม่ได้ ให้เราระวังประกาศกเทียมซึ่งไม่หวังดี และอย่าเป็นประกาศกเทียมเสียเอง
บทอ่านที่ 1 ปฐก 16:1-12,15-16 ซารายภรรยาของอับรามไม่มีบุตรให้เขา นางมีทาสหญิงชาวอียิปต์คนหนึ่ง ชือ่ ฮาการ์ นางซารายจึงพูดกับอับรามว่า “นีแ่ น่ะ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าไม่โปรดให้ฉนั มีบตุ ร จงไปร่วมหลับนอนกับทาสหญิงของฉันเถิด บางทีนางจะเกิดบุตรให้ฉนั ได้” อับรามก็ฟังคำ�แนะนำ�ของนาง... อับรามได้ร่วมหลับนอนกับนางฮาการ์ นางก็ตั้งครรภ์ เมื่อนางฮาการ์รู้ว่าตน สัปดาห์ที่ 12 ตั้งครรภ์แล้ว นางก็หยิ่งผยองและดูหมิ่นนายหญิงของตน... เทศกาลธรรมดา ทูตสวรรค์ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพบนางฮาการ์ในถิน่ ทุรกันดารใกล้ตานํา้ ข้าง ทางไปเมืองชูร์ จึงถามว่า “ฮาการ์ทาสหญิงของนางซารายเอ๋ย ท่านมาจากไหน สดด 106:1-2, 3-4,5 และจะไปไหน” นางตอบว่า “ข้าพเจ้ากำ�ลังหนีให้พน้ จากนางซารายนายหญิงของ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ข้าพเจ้า” ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงสั่งว่า “จงกลับไปหานายหญิงของ ท่าน และยอมอยู่ใต้อำ�นาจของนางเถิด” ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าว อีกว่า “เราจะให้ลกู หลานของท่านทวีจ�ำ นวนขึน้ มากมายจนนับไม่ถว้ น” ทูตสวรรค์ ขององค์พระผู้เป็นเจ้ายังเสริมอีกว่า “นี่แน่ะ ท่านตั้งครรภ์แล้วจะคลอดบุตรชาย และจะตั้งชื่อเขาว่าอิชมาเอล เพราะองค์พระผู้เป็น เจ้าทรงฟังเสียงร้องทุกข์ของท่าน เขาจะเป็นเสมือนลาป่า มือของเขาจะต่อสูก้ บั คนทัง้ ปวง และมือของ คนทั้งปวงจะต่อสู้กับเขา เขาจะอยู่เผชิญหน้ากับพี่น้องทุกคน” นางฮาการ์ให้กำ�เนิดบุตรชายแก่อับราม อับรามตั้งชื่อบุตรที่นางฮาการ์คลอดนั้นว่า อิชมาเอล อับรามมีอายุแปดสิบหกปีเมื่อนางฮาการ์คลอดอิชมาเอลให้เขา พระวรสาร มธ 7:21-29 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ ปฏิบตั ติ ามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผูส้ ถิตในสวรรค์นนั่ แหละจะเข้าสูส่ วรรค์ได้ ในวันนัน้ หลาย คนจะกล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทัง้ หลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามพระองค์ ขับไล่ปีศาจในพระนามพระองค์ และได้ทำ�อัศจรรย์หลายประการในพระนามพระองค์มิใช่หรือ’ เมื่อ นั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้ทำ�ความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’” “ผู้ใดฟังถ้อยคำ�เหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน ฝนจะตก นํ้าจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน ผู้ใด ทีฟ่ ังถ้อยคำ�เหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบตั ติ ามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาทีส่ ร้างบ้านไว้บนทราย เมื่อฝน ตก นํ้าไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก” เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำ�เหล่านี้จบแล้ว ประชาชนต่างพิศวงในคำ�สั่งสอนของพระองค์ เพราะ พระองค์ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำ�นาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา บ่อยๆ เรานับถือพระเจ้าที่ริมฝีปากด้วยการภาวนา แต่จิตใจอยู่ห่างจากพระองค์ ปฏิเสธ พระองค์ในชีวิต เราหลอกลวงมนุษย์ได้ แต่หลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงล่วงรู้ เล็งเห็นทะลุ จิตใจ รากฐานบ้านทีม่ นั่ คงเรียกร้องให้เราฟังพระวาจาและปฏิบตั ติ าม พระเยซูเจ้าทรงสอนอย่างผูม้ อี �ำ นาจ น่าเชื่อถือ เพราะพระองค์ปฏิบัติก่อนแล้วจึงสอน และปฏิบัติตามที่สอน
น.ปฐมมรณสักขี แห่งพระศาสนจักร กรุงโรม สดด 128:1-2,3,4-5
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1 ปฐก 17:1,9-10,15-22 เมือ่ อับรามอายุเก้าสิบเก้าปี องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่เขา ตรัส ว่า “เราคือพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ จงดำ�เนินชีวิตตามความประสงค์ของเรา และเป็นคนดีพร้อมเถิด” พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ท่านและลูกหลานของท่านที่จะตามมาทุกรุ่น จะต้องรักษาพันธสัญญาของเราไว้ นีค่ อื พันธสัญญาของเราซึง่ ท่านจะต้องรักษาไว้ คือพันธสัญญากับท่านและกับลูกหลานของท่านทีจ่ ะตามมาภายหลัง ผูช้ ายทุกคน จะต้องเข้าสุหนัต พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ส่วนนางซารายภรรยาของท่านนั้น ท่านอย่า เรียกนางว่าซารายอีก แต่จงเรียกว่าซาราห์ เราจะอวยพรนาง เราจะให้นางมีบุตร แก่ท่านด้วย เราจะอวยพรนางและนางจะเป็นมารดาของชนหลายชาติ กษัตริย์ ของชนหลายชาติจะมาจากนาง” อับราฮัมกราบลงกับพื้นดิน หัวเราะ คิดในใจว่า “ชายชราอายุหนึ่งร้อยปีจะมีบุตรได้หรือ นางซาราห์อายุเก้าสิบปีแล้วจะคลอด บุตรได้หรือ” อับราฮัมทูลพระเจ้าว่า “ขอให้อิชมาเอลมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ พระองค์เถิด” พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ใช่ แต่นางซาราห์ภรรยาของท่านจะคลอดบุตร ชายคนหนึง่ ให้ทา่ น และท่านจะตัง้ ชือ่ เขาว่าอิสอัค เราจะรักษาพันธสัญญาทีเ่ ราได้ ให้ไว้กบั เขาและกับลูกหลานของเขาทีจ่ ะตามเขามา เป็นพันธสัญญาทีค่ งอยูต่ ลอด ไป สำ�หรับอิชมาเอลนั้น เราฟังท่านแล้ว เราจะอวยพรเขา จะทำ�ให้เขามีลูกหลาน มาก เราจะทวีจำ�นวนเขายิ่งๆ ขึ้น เขาจะเป็นบิดาของเจ้าชายสิบสององค์ เราจะ ทำ�ให้เขาเป็นชนชาติใหญ่ เราจะรักษาพันธสัญญาไว้กบั อิสอัค นางซาราห์จะคลอด อิสอัคให้แก่ท่านในปีหน้า เวลาเดียวกันนี้” เมื่อพระเจ้าตรัสกับอับราฮัมแล้ว ก็ เสด็จจากเขาไป
พระวรสาร มธ 8:1-4 เวลานัน้ เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขา ประชาชนจำ�นวนมากติดตามพระองค์ ทันใดนัน้ คน โรคเรือ้ นคนหนึง่ มาเฝ้าพระองค์ กราบลงทูลว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ก็ทรงรักษาข้าพเจ้า ให้หายได้” พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” โรคเรื้อนก็หายไปทันที พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่า “ระวัง อย่าบอกให้ใครรูเ้ ลย จงไปแสดงตนแก่สมณะและถวายเครือ่ งบูชา ตามที่โมเสสกำ�หนด เพื่อเป็นพยานหลักฐานแก่คนทั้งหลาย” คนโรคเรื้อนถูกสังคมรังเกียจ ถูกไล่ออกจากสังคม เขาเข้าไปหาพระเยซูเจ้าด้วยความเชื่อ มั่นใจ และด้วยความสุภาพถ่อมตน เป็นแบบอย่างแก่เราในการขอ “ถ้าพระองค์พอพระทัย” ไม่บังคับพระ สุดแล้วแต่พระ พระเยซูเจ้าไม่รังเกียจ ทรงสัมผัสคนโรคเรื้อน แม้ผิดกฎ พอพระทัยรักษา เราแต่ละคนเป็น คนโรคเรื้อนฝ่ายวิญญาณ เราต้องการพระเจ้ารักษา ให้เราเข้าไปหาพระองค์ เพื่อรับการรักษาด้วยความ เชื่อมั่น สุภาพ ไม่บังคับพระ สุดแล้วแต่พระ (ถ้าพระองค์พอพระทัย)