07_

Page 1


บทอ่านที่ 1

อมส 3:1-8;4:11-12

ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระวาจานี้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสคาดโทษท่านทั้งหลาย และคาดโทษชนทั้งเผ่าที่เราได้นำ�ขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ว่า “ในบรรดาชนเผ่าทั้งหลายบนแผ่นดิน เราได้เลือกท่านเท่านั้น เราจึงจะลงโทษท่าน เพราะความผิดทัง้ หมดของท่าน คนสองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้ ก่อน สิงโตจะคำ�รามในป่าได้หรือ ถ้าไม่มีเหยื่อ สิงห์หนุ่มจะร้องออกมาจากถํ้าหรือ ถ้า จับอะไรไม่ได้ นกจะลงมาติดกับบนพื้นดินได้หรือ ถ้าไม่มีผู้ใดวางกับดักไว้ ถ้าไม่มีอะไร เข้าไปติด กับจะลั่นขึ้นจากพื้นดินได้หรือ ถ้ามีเสียงเป่าแตรเขาสัตว์ในเมือง ประชาชนจะ ไม่ตกใจกลัวหรือ หายนะจะตกกับเมืองหนึ่งได้หรือ ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงกระทำ� ให้เกิดขึ้น ใช่แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงกระทำ�สิ่งใด ถ้าไม่ทรงเปิดเผยความลับแก่บรรดา ประกาศกผู้รับใช้ของพระองค์ สิงโตคำ�รามแล้ว ผู้ใดจะไม่กลัวบ้าง องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสแล้ว ผู้ใดจะไม่ประกาศพระวาจา” เราพลิกท่านให้ควาํ่ เหมือนพระเจ้าทรงเคยควํา่ เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ ท่าน ทั้งหลายเป็นเหมือนดุ้นฟืนที่ถูกดึงออกมาจากกองไฟ ถึงกระนั้น ท่านทั้งหลายก็ยังไม่ กลับมาหาเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “เพราะเหตุนี้ อิสราเอลเอ๋ย เราจะทำ�กับท่านเช่นนี้ อิสราเอลเอ๋ย จงเตรียมตัวไป พบพระเจ้าของท่านเถิด เพราะเราจะทำ�กับท่านเช่นนี้”

พระวรสาร

มธ 8:23-27

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือ บรรดาศิษย์ตดิ ตามพระองค์ไปด้วย ทันใดนัน้ เกิด พายุแรงกล้าในทะเลสาบ คลื่นสูงจนไม่เห็นเรือ แต่พระองค์บรรทมหลับ บรรดาศิษย์จึง เข้ามาปลุกพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วยเถิด เรากำ�ลังจะพินาศอยู่แล้ว” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ทำ�ไมจึงตกใจกลัวเล่า ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเหลือเกิน” แล้วทรงลุกขึ้นบังคับลมและทะเล ท้องทะเลก็สงบราบเรียบ คนทั้งหลายต่างประหลาด ใจ พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้” พระเยซูเจ้าทรงถามศิษย์ของพระองค์วา่ “ทำ�ไมจึงตกใจกลัวเล่า? ท่านช่างมีความ เชื่อน้อยเหลือเกิน” ความกลัวกับความเชื่อพาเราไปในหนทางที่แตกต่างกัน ความกลัว บังคับให้เราหันเข้าหาตัวเราเอง ซึ่งทำ�ให้เราเป็นคนง่อย หรือผลักดันให้เราหลีกหนีไป ส่วนความเชื่อช่วยให้เรากล้าเสี่ยง กล้าเผชิญกับสิ่งที่ท้าทายในชีวิต ความหวาดกลัวมัก จะหาเหตุผลมาอ้างถึงเหตุผลที่เราไม่กล้าขยับตัว ส่วนความเชื่อช่วยให้เรามีชีวิตชีวา และเน้นให้เรากระทำ�สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในเมื่อพระเจ้าสถิตกับเราในนาวาเดียวกัน ทำ�ไมเรา จึงต้องหวาดกลัวเล่า?

สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา สดด 5:3-4,5-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา สดด 50:7-10,11-13, 16-18

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1

อมส 5:14-15,21-24

พระวรสาร

มธ 8:28-34

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัส “จงแสวงหาความดี อย่าแสวงหาความชัว่ แล้ว ท่านจะมีชีวิต องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลจะสถิตกับท่านดังที่ท่านอ้าง จงเกลียดชัง ความชั่ว จงรักความดี จงตั้งความยุติธรรมไว้ที่ประตูเมือง บางทีองค์พระผู้เป็นเจ้าจอม จักรวาล จะทรงสงสารพงศ์พันธุ์โยเซฟที่เหลืออยู่ เราเกลียด เรารังเกียจเทศกาลฉลองของท่าน เราไม่พอใจการประชุมสง่างามของ ท่าน แม้ท่านทั้งหลายถวายเครื่องเผาบูชา เราก็ไม่พอใจธัญบูชาของท่าน เราไม่มองสัตว์ อ้วนพีที่ท่านถวายเป็นศานติบูชา จงให้เสียงอึกทึกของบทเพลงของท่านอยู่ห่างจากเรา เราทนฟังเสียงพิณใหญ่ของท่านไม่ได้ แต่จงให้ความยุตธิ รรมหลัง่ ไหลลงเหมือนนํา้ และ ให้ความชอบธรรมเป็นเหมือนธารนํ้าที่ไม่มีวันเหือดแห้ง” เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามฟากมาถึงดินแดนของชาวกาดารา ผูถ้ กู ปีศาจสิงสอง คนออกจากบริเวณหลุมศพมาเฝ้าพระองค์ ทั้งสองคนดุร้ายมากจนไม่มีใครเดินผ่านทาง นั้นได้ ทันใดนั้น ทั้งสองคนร้องตะโกนว่า “ข้าแต่บุตรของพระเจ้า ท่านมายุ่งกับเราทำ�ไม ท่านมาที่นี่เพื่อทรมานเราก่อนเวลาหรือ” ไม่ไกลจากที่นั่นมีหมูฝูงใหญ่กำ�ลังหากินอยู่ พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า “ถ้าท่านขับไล่พวกเรา ขอได้ส่งเราเข้าไปในหมู ฝูงนั้นเถิด” พระองค์ตรัสกับมันว่า “จงไปเถิด” พวกปีศาจจึงออกไปสิงในหมู หมูทั้งฝูง ต่างวิง่ กระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ จมนาํ้ ตาย คนเลีย้ งหมูหนีเข้าไปในเมืองเล่า เรื่องทั้งหมดนี้และเรื่องผู้ถูกปีศาจสิงด้วย คนทั้งเมืองต่างออกมาเฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อ เห็นพระองค์ ก็ทูลขอพระองค์ให้เสด็จออกไปจากเขตแดนของเขา ช่วงสุดท้ายของพระวรสารที่เราอ่านในวันนี้ แสดงให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงจัดทุก สิง่ ให้เข้าทีเ่ ข้าทางหลังจากทีป่ ศี าจได้เข้ามาก่อความวุน่ วายให้กบั ชาวบ้าน แต่ดเู หมือนว่า ชาวบ้านคุน้ เคยกับสถานภาพเช่นนี้ เมือ่ พระเยซูเจ้าทรงขับไล่ปศี าจ ให้เข้าไปสิงอยูใ่ นฝูง หมู แล้วหมูก็กระโดดลงนํ้าตายไปหมด แต่ชาวบ้านแทนที่จะขอบคุณพระองค์ กลับ ขอร้องให้พระองค์ออกจากหมู่บ้านของพวกเขา ความเคยชินทำ�ให้ชาวบ้านคิดว่าเรื่องที่ เกิดขึน้ เป็นสิง่ ทีถ่ กู ต้อง ซึง่ เป็นความคิดทีผ่ ดิ ให้เราวอนขอพระเจ้าทรงช่วยเราขจัดความ เข้าใจผิดให้พ้นไปจากชีวิตของเรา และให้เราน้อมรับพระเมตตาของพระองค์


บทอ่านที่ 1

อฟ 2:19-22

พี่น้อง ท่านจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือผู้อาศัยอีกต่อไป แต่เป็นเพื่อนร่วมชาติกับ บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารโดย มีบรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม พระคริสตเจ้าทรงทำ�ให้อาคารทุกส่วนต่อกันสนิทเจริญขึ้นเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระคริสตเจ้า ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันกำ�ลังถูกก่อสร้างร่วมกัน ขึ้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าเดชะพระจิตเจ้า

พระวรสาร

ยน 20:24-29

เวลานั้น โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสอง คน ไม่ได้อยูก่ บั อัครสาวกคนอืน่ ๆ เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอืน่ บอกเขาว่า “พวก เราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิว้ แยงเข้าไปทีร่ อยตะปู และไม่ได้เอามือคลำ�ทีด่ า้ นข้างพระวรกาย ข้าพเจ้า จะไม่เชือ่ เป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยูด่ ว้ ยกันในบ้านนัน้ อีก โทมัสก็อยูก่ บั เขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขา ทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้ว มาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำ�ที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่ จงเชื่อเถิด” โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของ ข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็น ก็ เป็นสุข” บางคนคิดว่าการถามอะไรกับพระเจ้านัน้ เป็นบาป แต่ขอให้เราเข้าใจว่าการอธิษฐาน ภาวนาเป็นการสนทนากับพระเจ้า และหากเรามีความสงสัยข้องใจ เราก็สามารถถาม พระองค์ได้ด้วยความเคารพ แน่ละ! เมื่อเราถาม เราก็ต้องเล่าให้พระองค์ทรงฟังถึงเรื่อง ต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวเราเอง ความห่วงใย ความยินดี ปัญหาของเรา ความสำ�เร็จของเรา และแน่นอนเกีย่ วกับความสงสัยของเรา แทนทีเ่ ราจะคิดว่าผิด หรือสงสัยในพระเจ้า แต่ อันที่จริงแล้วมันเป็นการพิสูจน์ให้ตัวเราเองเห็นว่า สำ�หรับเรานั้นพระเจ้าทรงมีอยู่จริง และทรงเป็นพระเจ้าของเราอย่างแท้จริงด้วย

ฉลอง น.โทมัส อัครสาวก สดด 117:1,2


น.เอลีซาเบธ ราชินีแห่งโปรตุเกส สดด 119:2,10,20, 30,40,131-132

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันศุกร์ต้นเดือน

บทอ่านที่ 1

อมส 8:4-6,9-12

พระวรสาร

มธ 9:9-13

นางซาราห์มีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดปี นางถึงแก่กรรมที่เมืองคีริยาท อารบา คือ เฮโบท่านทัง้ หลายทีเ่ หยียบยํา่ คนขัดสน และทำ�ลายคนยากจนของแผ่นดิน จงฟังถ้อยคำ� นี้เถิด ท่านพูดว่า “เมื่อไรวันต้นเดือนจะผ่านไป เราจะได้ขายข้าว เมื่อไรวันสับบาโตจะ พ้นไป เราจะได้นำ�ข้าวสาลีออกขาย เราจะทำ�ถังตวงข้าวให้เล็กลง ทำ�ให้ตุ้มเชเขลใหญ่ ขึ้น ใช้ตาชั่งโกงนํ้าหนัก เราจะได้ใช้เงินซื้อคนจน และใช้รองเท้าสานคู่หนึ่งซื้อคนขัดสน เราจะขายแม้กากข้าวสาลี” วันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “เราจะทำ�ให้ดวงอาทิตย์ตกในเวลาเที่ยงวัน ทำ�ให้ แผ่นดินมืดแม้ในเวลาลางวัน เราจะเปลี่ยนเทศกาลฉลองของท่านให้เป็นการไว้ทุกข์ เปลี่ยนบทเพลงทั้งหมดของท่านเป็นการครํ่าครวญ เราจะให้ทุกคนสวมผ้ากระสอบที่ สะเอว ให้ทุกคนโกนศีรษะจนโล้น เราจะทำ�ให้เป็นเหมือนการไว้ทุกข์บุตรชายคนเดียว และวาระสุดท้ายจะเหมือนวันที่ขมขื่น ดูซิ วันเวลาจะมาถึง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เมื่อ เราจะส่งทุพภิกขภัยมาในแผ่นดิน ไม่ใช่การหิวอาหารหรือการกระหายนํา้ แต่จะส่งความ ปรารถนาจะฟังพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาทั้งหลายจะเดินทางระเหระหนจาก ทะเลนี้ไปทะเลโน้น จะเร่ร่อนจากทิศเหนือไปทิศตะวันออก เพื่อแสวงหาพระวาจาของ องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เขาจะหาไม่พบ”

เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำ�เนินไปจากที่นั่น ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว กำ�ลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว คนเก็บภาษี และคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เมื่อเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีจึง ถามศิษย์ของพระองค์วา่ “ทำ�ไมอาจารย์ของท่านจึงกินอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคน บาปเล่า” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ จงไปเรียนรู้ความหมายของพระวาจาที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตา กรุณา มิใช่พอใจเครือ่ งบูชา’ เพราะเราไม่ได้มาเพือ่ เรียกคนชอบธรรม แต่มาเพือ่ เรียกคน บาป”

พระเยซูเจ้าตรัสว่า พระองค์มิได้มาเรียกหาผู้ที่เป็นคนดี แต่พระองค์เสด็จมาเพื่อ แสวงหาคนบาป พระสงฆ์ส่วนมากพยายามช่วยให้คนบาปได้กลับใจ พระสงฆ์ถวายพิธี บูชาขอบพระคุณจนเป็นความเคยชิน พระสงฆ์ต้องกลับมาพิจารณาพันธกิจของตน พยายามค้นหาหน้าที่หลัก พระวรสารให้ความมั่นใจแก่เราว่า หากเราน้อมรับสภาพจิต ทีแ่ ท้จริงของเรา น้อมรับสภาพจิตวิญญาณของเรา พระเจ้าก็จะเสด็จเข้ามาใกล้ชดิ กับเรา


บทอ่านที่ 1

อมส 9:11-15

พระเจ้าตรัสดังนีว้ า่ “วันนัน้ เราจะตัง้ เพิงทีล่ ม้ ลงแล้วของดาวิดขึน้ ใหม่ จะซ่อมแซม ช่องโหว่ จะตั้งซากปรักหักพังขึ้นใหม่ จะสร้างเพิงขึ้นใหม่ให้เหมือนในสมัยนานมาแล้ว เขาจะได้ ยึ ด คนที่ เหลื อ ของเอโดม และยึ ด ชนชาติ ทั้ ง หลายที่ เคยเป็ นของเราเป็ น กรรมสิทธิ์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส และจะทรงกระทำ�เช่นนี้ “ดูซิ วันเวลาจะมาถึง องค์พระผู้ เป็นเจ้าตรัส เมือ่ คนไถจะตามทันคนเกีย่ ว ผูย้ าํ่ ผลองุน่ จะตามทันผูห้ ว่านเมล็ด เหล้าองุน่ ใหม่จะไหลจากภูเขา ไหลลงมาตามเนินเขาทุกแห่ง เราตัง้ ใจจะนำ�อิสราเอลประชากรของ เราที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยกลับมา เขาจะสร้างเมืองที่ถูกทำ�ลายแล้วขึ้นใหม่และจะ เข้าไปอาศัยอยู่ เขาจะปลูกสวนองุ่นและดื่มเหล้าองุ่นของสวนนั้น เขาจะทำ�สวนผลไม้ และจะกินผลจากสวนนั้น เราจะปลูกเขาไว้ในแผ่นดินของเขา เขาจะไม่ถูกถอนออกไป อีกเลย จากแผ่นดินซึ่งเราได้มอบแก่เขา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านตรัสไว้”

พระวรสาร

มธ 9:14-17

วันหนึง่ บรรดาศิษย์ของยอห์นเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมพวกเราและพวก ฟาริสีจำ�ศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำ�ศีลเลย” พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้รับเชิญมา ในงานแต่งงานจะโศกเศร้าหรือ ขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะ ถูกแยกไป วันนั้นเขาจะจำ�ศีลอดอาหาร ไม่มีใครนำ�ผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่ นำ�มาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัว ทำ�ให้รอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงใน ถุงหนังเก่า เพราะถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะรั่วและถุงหนังจะเสียหายไปด้วย แต่เขา ย่อมใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังใหม่และทั้งสองอย่างจะไม่เสียหาย หากฟาริสไี ม่สามารถรับพระเยซูเจ้าผูท้ รงมีพระพักตร์แจ่มใส และศิษย์ของพระองค์ ที่ไม่อดอาหาร พวกเขาคุ้นเคยกับการรับใช้พระเจ้าอย่างเคร่งเครียดตามแนวความคิด ของพวกเขา เมื่อมาเห็นพระเยซูเจ้าทรงแตกต่างจากภาพลักษณ์ของพระเจ้าตามความ คิดเห็นของพวกเขา พวกเขาจึงรับไม่ได้ พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกฟาริสถี งึ ความหมายของ พระวาจาทีว่ า่ “เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครือ่ งบูชา” เพราะฟาริสไี ม่พอใจ ทีพ่ ระเยซูเจ้าร่วมโต๊ะเสวยกับคนเก็บภาษีและคนบาป ให้เราเรียนรูจ้ ากพระวาจาของพระ เยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ และนำ�ไปปฏิบัติในชีวิตของเราต่อไป

น.อันตน มารีย์ ซักกาเรีย พระสงฆ์ สดด 85:8,10,11-13

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเศคาริยาห์ ศคย 9:9-10

สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่ง ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้องด้วยความ ยินดีเถิด ดูซิ กษัตริย์ของท่านกำ�ลังเสด็จมาหาท่าน พระองค์ทรงเที่ยงธรรมและทรง ชัยชนะ ทรงถ่อมพระองค์และประทับบนหลังลา บนหลังลาตัวน้อย ลูกแม่ลา พระองค์ จะทรงกำ�จัดรถศึกจากเอฟราอิม จะทรงกำ�จัดม้าศึกออกจากกรุงเยรูซาเล็ม คันธนูส�ำ หรับ สงครามจะถูกกำ�จัดไปด้วย พระองค์จะทรงประกาศสันติแก่นานาชาติ การปกครองของ พระองค์แผ่จากทะเลนี้ไปถึงทะเลโน้น และจากแม่นํ้ายูเฟรติสไปถึงสุดปลายแผ่นดิน

เพลงสดุดี

สดด 145:1-2,8-9,10-11,13คง-14

ก) ข้าแต่พระเจ้า พระราชาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเทิดพระเกียรติพระองค์ และจะถวายพระพรแด่พระนามของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ทุกวัน จะสรรเสริญพระนามของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ ข) องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานและทรงพระเมตตากรุณา กริ้วช้าและทรงความรักมั่นคงอย่างเต็มเปี่ยม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระทัยดีต่อทุกคน ความอ่อนโยนของพระองค์ครอบคลุมสิ่งสร้างทั้งมวล ค) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้สิ่งสร้างทั้งมวลสรรเสริญพระองค์ ขอให้ผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ถวายพระพรแด่พระองค์ เขาจะพูดถึงพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระอาณาจักรของพระองค์ และเล่าถึงพระอานุภาพของพระองค์ ง) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาทุกถ้อยคำ�ของพระองค์ ทรงความรักมั่นคงในพระราชกิจทั้งหลาย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงคํ้าจุนทุกคนที่กำ�ลังจะล้ม และทรงพยุงทุกคนที่ล้มให้ลุกขึ้น

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:9,11-13

พี่น้อง ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำ�เนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำ�เนินชีวิตตามพระ จิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้ นัน้ ก็ไม่เป็นของพระองค์ และถ้าพระจิตของพระผูท้ รงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระ ชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายนัน้ สถิตในท่าน พระผูท้ รงบันดาลให้พระคริสตเยซูทรงกลับคืน พระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายก็จะทรงบันดาลให้รา่ งกายทีต่ ายได้ของท่านกลับมีชวี ติ เดชะ พระจิตของพระองค์ซึ่งสถิตในท่านด้วย ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่มีภารกิจใดๆ ที่จะต้องดำ�เนินชีวิตตามธรรมชาติฝ่าย ตํ่า ถ้าท่านดำ�เนินชีวิตตามธรรมชาติฝ่ายตํ่า ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านกำ�จัดกิจการตาม


ธรรมชาติฝ่ายตํ่า ด้วยเดชะพระจิตเจ้า ท่านก็จะมีชีวิต

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 11:25-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา เจ้า ฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบัง เรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิด เผยแก่บรรดาผูต้ าํ่ ต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์ พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มใี ครรูจ้ กั พระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มใี ครรูจ้ กั พระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้ ท่านทัง้ หลายทีเ่ หน็ดเหนือ่ ย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ทา่ นได้พกั ผ่อน จงรับแอก ของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับ การพักผ่อน เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา”

ผู้ที่ไม่ค่อยเข้าใจจิตตารมณ์พระวรสาร อาจมีคำ�ถามในใจว่า ชีวิตของคนยากจนจะมีบุญมีกุศลได้ อย่างไร ทำ�ไมพระเจ้าจึงทรงเข้าข้างคนจนและผู้ไร้การศึกษา เราอาจถามตัวเราเองว่า เราตำ�หนิพ่อแม่ที่ ดูแลเอาใจใส่ลกู ทีม่ ปี ญ ั หาทางด้านสุขภาพและต้องการความช่วยเหลือมากกว่าลูกคนอืน่ ได้ไหม พระบุตร ของพระเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในครอบครัวที่ยากจน นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ และทรงสงสารคนยากจน ใครเล่าจะเข้าใจพระเจ้าได้ดีเท่ากับผู้ที่จมอยู่ในความยากจน


สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา สดด 85:8,10,11-13

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1

ฮชย 2:16,17ข-18,21-22

พระวรสาร

มธ 9:18-26

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “ดูซิ เรากำ�ลังจะไปเกลีย้ กล่อมนาง เราจะนำ�นางไปในถิน่ ทุรกันดาร เราจะพูดกับใจของนาง ที่นั่น นางจะตอบเรา เหมือนกับที่ได้ตอบเมื่อนางยัง สาวอยู่ เหมือนกับที่นางได้ตอบเมื่อออกจากแผ่นดินอียิปต์ วันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัส ท่านจะเรียกเราว่า “สามีของฉัน” ท่านจะไม่เรียกเราอีกต่อไปว่า “บาอัลของฉัน” เราจะแต่งงานกับท่านตลอดไป เราจะแต่งงานกับท่านด้วยความยุตธิ รรมและความ ชอบธรรม ด้วยความรักมัน่ คงและความเมตตากรุณา เราจะหมัน้ ท่านไว้กบั เราด้วยความ ซื่อสัตย์ และท่านจะรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้ากำ�ลังตรัสอยู่นั้น หัวหน้าคนหนึ่งเข้ามากราบพระบาท ทูลว่า “บุตรหญิงของข้าพเจ้าเพิ่งสิ้นใจ เชิญพระองค์เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขาจะได้มีชีวิต” พระเยซูเจ้าทรงลุกขึ้นเสด็จตามเขาไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว เข้ามาข้างหลังสัมผัสฉลอง พระองค์ นางคิดว่า “ถ้าฉันเพียงสัมผัสฉลองพระองค์เท่านัน้ ฉันก็จะหายจากโรค” พระ เยซูเจ้าทรงหันมาเห็นเข้า จึงตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ทำ�ใจดีๆ ไว้ ความเชื่อของท่าน ช่วยท่าน ให้รอดพ้นแล้ว” หญิงนั้นก็หายจากโรคนับแต่เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงบ้าน ของหัวหน้าคนนั้น ทรงเห็นคนเป่าขลุ่ย และผู้คนกำ�ลังชุลมุนวุ่นวาย จึงตรัสว่า “ออกไป เถิด เด็กหญิงคนนี้ยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น” พวกนั้นต่างหัวเราะเยาะ พระองค์ เมื่อคนกลุ่มนั้นถูกไล่ออกไปข้างนอกแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไป ทรงจับมือ เด็กหญิง เด็กนั้นก็ลุกขึ้น ข่าวเรื่องนี้จึงแพร่ออกไปทั่วแคว้นนั้น

กับเพื่อนๆ ที่เรารู้จัก เราเป็นตัวของเราเองได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นเราต้องระมัดระวัง สตรีที่เราอ่านในพระวรสารต้องการเข้าหาพระเยซูเจ้า แต่ไม่อยากให้ใครรู้ในท่ามกลาง ฝูงชนที่ห้อมล้อมพระเยซูเจ้าอยู่ นางจึงแตะเสื้อคลุมของพระองค์ นางต้องการรับการ บำ�บัดรักษาอย่างเงียบๆ ในปัจจุบนั ก็เช่นเดียวกัน บางคนแสวงหาหนทางทีจ่ ะพ้นจากโรค ร้าย เขาทดลองทุกอย่าง ทั้งกินยา บางคนก็ไปหาคาถาอาคม ฯลฯ เพื่อจะได้ไม่มีคนถาม ว่า “ใครแตะเสื้อของเรา?” แต่หากเราได้รับพระพรนี้จากพระเจ้า เราอย่าลืมที่จะโมทนา คุณพระองค์และตอบแทนด้วยวาจา จากพระวรสารที่ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดขจัดความ ไม่เชื่อของข้าพเจ้าด้วยเถิด พระเจ้าข้า”


บทอ่านที่ 1

ฮชย 8:4-7,11-13

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนีว้ า่ “เขาได้แต่งตัง้ กษัตริยห์ ลายองค์ทเี่ ราไม่ได้เสนอ เขา ได้แต่งตั้งเจ้านายหลายคน แต่เราไม่เห็นด้วย เขาใช้เงินและทองคำ�สร้างรูปเคารพ เพื่อ ความพินาศของตน กรุงสะมาเรียเอ๋ย เราละทิ้งรูปลูกโคของเจ้า ความโกรธของเราพลุ่ง ขึน้ ลงโทษเขาทัง้ หลาย อีกนานเท่าไรเขาจึงจะพ้นโทษได้ รูปลูกโคนีม้ าจากอิสราเอล นาย ช่างเป็นผู้สร้างขึ้นมา รูปนั้นไม่ใช่พระเจ้า รูปลูกโคของกรุงสะมาเรียจะถูกทุบเป็นชิ้นๆ เขาได้หว่านลม เขาจึงจะต้องเก็บเกี่ยวลมบ้าหมู ต้นข้าวไม่มีรวง ทำ�แป้งไม่ได้ หรือถ้าจะ ทำ�ได้ คนต่างชาติก็จะกลืนกิน เอฟราอิมได้สร้างแท่นบูชาจำ�นวนมากเพือ่ ทำ�บาป แท่นบูชาเหล่านีก้ ลายเป็นโอกาส ให้เขาทำ�บาป เราได้เขียนธรรมบัญญัติจำ�นวนมากสำ�หรับเขา แต่เขาคิดว่าธรรมบัญญัติ เหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน เขาถวายเครื่องบูชาแก่เรา และกินเนื้อสัตว์ที่ได้ถวายนั้น แต่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าไม่พอพระทัยเครือ่ งบูชาเหล่านี้ บัดนีพ้ ระองค์จะทรงระลึกถึงความผิด ของเขา และจะทรงลงโทษบาปของเขา เขาจะต้องกลับไปอียิปต์”

พระวรสาร

มธ 9:32-38

เวลานัน้ เมือ่ คนทีเ่ คยตาบอดทัง้ สองคนจากไปแล้ว มีผพู้ าคนใบ้ถกู ปีศาจสิงคนหนึง่ มาเฝ้าพระเยซูเจ้า ครั้นปีศาจถูกขับออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาด ใจ กล่าวว่า “ยังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลยในอิสราเอล” แต่ชาวฟาริสีกล่าวว่า “คนนี้ขับ ไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรง ประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด เมื่ อ พระองค์ ท อดพระเนตรเห็ น ประชาชน ก็ ท รงสงสาร เพราะเขาเหล่ า นั้ น เหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ ว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บ เกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”

หัวใจที่แข็งกระด้างจริงๆ ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเปลี่ยนความคิดของคนๆ นั้นได้ เมื่อ เราตัดตัวเราออกจากความจริงแล้ว จะมีอะไรเหลืออยู่กับตัวเราอีก นอกจากหัวใจบอด ที่ปิดสนิท คล้ายกับเราปิดไฟรถแล้วขับด้วยความเร็วท่ามกลางความมืดมิด นี่คือ อันตรายสุดๆ หากใจเราไม่ยอมรับความจริง แม้ว่าความจริงนั้นจะน่าหวาดกลัว การมอง ดูดกี ว่าปิดตาปิดใจหลายร้อยเท่า นีค่ อื สภาพจิตใจของเจ้าปีศาจในพระวรสารทีเ่ ราอ่านใน วันนี้

สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา สดด 116:2-5,6-9,10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


บทอ่านที่ 1

น.ออกัสติน เซา รง และเพื่อนมรณสักขี ชาวจีน สดด 105:2-5,6-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

ฮชย 10:1-3,7-8,12 อิสราเอลเป็นเหมือนเถาองุ่นเขียวชอุ่มที่มีผลมาก เขายิ่งเกิดผลมากเท่าใด ก็ยิ่ง สร้างแท่นบูชามากขึ้นเท่านั้น แผ่นดินของเขายิ่งอุดมสมบูรณ์มากเท่าใด เขาก็ยิ่งสร้าง เสาศักดิส์ ทิ ธิใ์ ห้งดงามยิง่ ขึน้ เท่านัน้ ใจของเขาไม่ซอื่ เขาจึงจะต้องรับโทษความผิด พระเจ้า จะทรงพังแท่นบูชา จะทรงทำ�ลายเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขา แล้วเขาจะพูดว่า “พวกเราไม่มี กษัตริย์ เพราะเราไม่ยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์จะมีประโยชน์อะไรสำ�หรับเรา” กรุงสะมาเรียจะพินาศ กษัตริย์ของเขาจะเป็นเหมือนเศษไม้ที่ลอยอยู่บนผิวนํ้า สักการสถานบนที่สูงทั้งหลายของเมืองอาเวน ซึ่งเป็นบาปของอิสราเอล จะถูกทำ�ลาย หนามและกอหนามจะงอกขึ้นบนแท่นบูชา เขาจะพูดกับภูเขาว่า “จงปกคลุมเราไว้” จะ บอกเนินเขาว่า “จงล้มลงทับพวกเราเถิด” ท่านทั้งหลายจงหว่านความชอบธรรมสำ�หรับตน จงเกี่ยวผลเป็นความรักมั่นคง จง ไถดินที่ยังไม่เคยเพาะปลูก เพราะถึงเวลาแล้วที่จะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่า พระองค์จะเสด็จมา หลั่งความรอดพ้นลงมาเหนือท่านเหมือนฝน

พระวรสาร

มธ 10:1-7

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สิบสองคนเข้ามาพบ ประทานอำ�นาจให้เขาขับ ไล่ปีศาจ ให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด อัครสาวกสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมน ผู้มีสมญาว่าเปโตร กับอันดรูว์ น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชาย ฟีลิปและบาร์โธโลมิว โธมัส และมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัสและธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และ ยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผูน้ ที้ รยศต่อพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสอง คนนี้ออกไป ทรงสั่งเขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไปในเมืองของชาว สะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน จงไปประกาศว่าอาณาจักร สวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว” เมือ่ ท่านอ่านชือ่ ของอัครสาวกทัง้ สิบสองคน ท่านพอจะเห็นได้วา่ พวกเขาเป็นบุคคล ธรรมดา มีนักคัมภีราจารย์ในประเทศเป็นจำ�นวนมาก แต่พระเยซูเจ้ามิได้ทรงเลือกพวก เขาแม้แต่คนเดียว พระอาณาจักรของพระเจ้าเปิดต้อนรับเราทุกคน มิใช่เฉพาะแต่เพียง บุคคลที่ดีเท่านั้น


บทอ่านที่ 1

ฮชย 11:1,3-4,8ค-9 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “เมื่ออิสราเอลยังเด็ก เราก็รักเขา เราได้เรียกบุตร ของเราออกมาจากอียิปต์ เราสอนเอฟราอิมให้เดิน เราอุ้มเขาทั้งหลายไว้ แต่เขาไม่รู้ว่า เราเอาใจใส่เขา เราใช้เชือกแห่งมนุษยธรรม และใช้สายสะพายแห่งความรักจูงเขา เราเป็นเหมือนผู้ที่ยกทารกมาจูบแก้ม และก้มลงป้อนอาหารให้เขา ใจของเราปั่นป่วนอยู่ภายใน ความเอ็นดูของเราก็คุกรุ่นขึ้น เราจะไม่ลงอาญาตามที่ เราโกรธจัด เราจะไม่ทำ�ลายเอฟราอิมอีก เพราะเราเป็นพระเจ้า มิใช่มนุษย์ เราเป็นผู้ ศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ท่าน เราจะไม่มาด้วยความโกรธ”

พระวรสาร

มธ 10:7-15

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้ สะอาด จงขับไล่ปศี าจให้ออกไป ท่านได้รบั มาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รบั ค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมื่อเดิน ทาง อย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมี สิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว เมือ่ ท่านเข้าไปในเมืองหรือหมูบ่ า้ น จงดูวา่ ผูใ้ ดทีน่ นั่ เป็นผูเ้ หมาะสมทีจ่ ะต้อนรับท่าน แล้วจงพักอยูก่ บั เขาจนกว่าท่านจะจากไป เมือ่ ท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บา้ นนัน้ ถ้า บ้านนัน้ สมควรได้รบั พร จงให้สนั ติสขุ ของท่านมาสูบ่ า้ นนัน้ ถ้าบ้านนัน้ ไม่สมควรได้รบั พร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากบ้านหรือเมืองนั้น จงสลัดฝุ่นจาก เท้าออกเสียด้วย เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา เมืองโสดมและ เมืองโกโมราห์จะรับโทษเบากว่าโทษของเมืองนั้น”

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงส่งสาวกของพระองค์ไปในทุกแห่งของโลก พระองค์ตรัสสั่ง พวกเขาว่า “อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงิน หรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมื่อเดิน ทางอย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า” พระองค์ทรง หมายความว่า โลกทัง้ โลกเป็นพระวิหารของพระเจ้า ความสนใจในเรือ่ งธุรกิจการค้าต้อง ถูกขจัดให้พ้นจากจิตวิญญาณ เมื่อเราเป็นผู้ที่นำ�พระวรสารไปเสนอให้แก่โลก พระองค์ ทรงไล่คนซือ้ คนขายออกจากพระวิหาร ธุรกิจการค้านัน้ ไม่มปี ญ ั หาในทีข่ องมันเอง แต่ไม่ ควรเข้ามาในจิตวิญญาณของเรา

สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา สดด 80:1-2ก,14-15

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


บทอ่านที่ 1

ฮชย 14:2-10

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเถิด ท่านได้สะดุดล้มลงเพราะความผิดของท่าน จงเตรียมถ้อยคำ�ที่จะ พูดมาด้วย และกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลพระองค์ว่า “โปรดทรงลบล้างความ ผิดทั้งหมด และทรงรับสิ่งที่ดี ข้าพเจ้าทั้งหลายจะนำ�คำ�สรรเสริญจากปากมาถวายแทน โคเพศผู้ อัสซีเรียจะไม่ชว่ ยข้าพเจ้าทัง้ หลายให้รอดพ้น ข้าพเจ้าทัง้ หลายจะไม่ขมี่ า้ อีก จะ ระลึกถึง น.เบเนดิกต์ ไม่เรียกสิง่ ทีม่ อื ของข้าพเจ้าได้สร้างขึน้ อีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าของข้าพเจ้าทัง้ หลาย’ เพราะ เจ้าอธิการ ลูกกำ�พร้าพบพระกรุณาในพระองค์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า เราจะรักษาเขาให้หายจากความไม่ซื่อสัตย์ของเขา เราจะ สดด 51:1-2,6-7, รักเขาด้วยใจจริง เพราะเราจะไม่โกรธเขาอีกแล้ว เราจะเป็นเหมือนนํ้าค้างสำ�หรับ 10-12,14-15 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 อิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี่ เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นสนสีดาร์แห่ง เลบานอน กิง่ ก้านของเขาจะแผ่ขยาย เขาจะงดงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และจะมีกลิน่ วันประชากรโลก หอมเหมือนเลบานอน เขาทัง้ หลายจะกลับมานัง่ อยูใ่ ต้รม่ เงาของเรา เขาจะปลูกข้าวสาลี วันอาสาฬหบูชา อีก จะทำ�ให้เถาองุ่นผลิตผลอุดม มีชื่อเสียงเหมือนเหล้าองุ่นแห่งเลบานอน... ผูม้ ปี รีชาพึงเข้าใจเรือ่ งเหล่านี้ ผูใ้ ดฉลาดก็จงรู้ เพราะหนทางทัง้ หลายขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าล้วนเทีย่ งธรรม ผู้ชอบธรรมย่อมเดินตามทางนี้ แต่ผู้ล่วงละเมิดจะสะดุดล้ม

พระวรสาร

มธ 10:16-23

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงฟังเถิด เราส่งท่านไปเหมือนแกะในฝูงสุนัขป่า ท่าน จงฉลาดประดุจงูและซื่อประดุจนกพิราบ จงระมัดระวังตนจากมนุษย์ เขาจะมอบท่านที่ศาลและเฆี่ยนท่านใน ศาลาธรรมของเขา ท่านจะถูกนำ�ตัวไปต่อหน้าผู้ว่าราชการและเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์เพราะเราเป็นเหตุ เพื่อ เป็นพยานยืนยันแก่เขาและแก่บรรดาชนต่างชาติตา่ งศาสนา เมือ่ เขาจะมอบท่านทีศ่ าลนัน้ อย่าวิตกกังวลว่าจะ พูดอย่างไรหรือพูดอะไร สิ่งที่ท่านจะพูดนั้นจะได้รับการดลใจในเวลานั้นเอง เพราะท่านจะมิได้พูดด้วยตนเอง แต่พระจิตของพระบิดาของท่านจะตรัสในท่าน พี่จะฟ้องน้อง น้องจะฟ้องพี่ให้ต้องโทษถึงตาย พ่อจะฟ้องลูก ลูกจะลุกขึ้นกล่าวโทษพ่อแม่ให้ถึงตาย คน ทัง้ ปวงจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา แต่ผทู้ ยี่ นื หยัดจนถึงวาระสุดท้ายก็จะรอดพ้น เมือ่ เขาจะเบียดเบียน ท่านในเมืองหนึ่ง จงหลบหนีไปอีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนที่ท่านจะไปทั่วทุกหัว เมืองของอิสราเอล บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จกลับมาแล้ว”

พระเยซูเจ้าตรัสว่า ท่านจะถูกเบียดเบียน ทำ�ไมเล่า! เพราะเราเป็นคนไม่ดีหรืออย่างไร? พระเยซูเจ้าตรัส ว่า “ท่านจะถูกเบียดเบียนเพราะเรา” การปกป้องพระเยซูเจ้าก็คือการปกป้องมนุษย์ ในสมัยของพระเยซูเจ้า นั้นมีทาสประมาณ 60 ล้านคน หากทาสเหล่านี้คิดกบฏ ก็เปรียบเสมือนการฝันร้าย เมื่อคริสตชนถือว่าทาส เท่าเทียมกับพวกเขา เป็นพี่น้องของเขาและพยายามปกป้องพวกเขา นั่นคือจุดเริ่มต้นของการถูกเบียดเบียน


บทอ่านที่ 1

อสย 6:1-8

ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่บน พระบัลลังก์สูงและตั้งอยู่บนที่สูง ชายฉลองพระองค์แผ่เต็มพระวิหาร เสราฟหลายตน ยืนอยู่เหนือพระองค์โดยรอบ แต่ละตนมีปีกหกปีก ใช้สองปีกบังหน้า สองปีกคลุมเท้า และสองปีกใช้บนิ เสราฟแต่ละตนต่างร้องรับกันว่า “ศักดิส์ ทิ ธิ์ ศักดิส์ ทิ ธิ์ ศักดิส์ ทิ ธิ์ องค์ พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล แผ่นดินทั้งหมดเต็มไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์” เสาประตูทั้งหลายสั่นสะเทือนเพราะเสียงของผู้ร้อง และพระวิหารก็มีควันเต็มไป หมด... แล้วเสราฟตนหนึ่งบินมาหาข้าพเจ้า ถือคีมคีบถ่านที่ลุกอยู่มาจากแท่นบูชา เสราฟตนนัน้ สัมผัสปากของข้าพเจ้า พูดว่า “ดูซิ สิง่ นีส้ มั ผัสริมฝีปากของท่านแล้ว ความ ผิดของท่านก็ถูกลบล้างแล้ว บาปของท่านก็ได้รับการอภัยแล้ว” แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะส่งใคร ใครจะไปแทน เรา” ข้าพเจ้าทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ โปรดส่งข้าพเจ้าไปเถิด”

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา สดด 93:1-2ข,2ค-3,5

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันเข้าพรรษา

มธ 10:24-33

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ และผู้รับใช้ย่อมไม่อยู่ เหนือนาย ถ้าศิษย์เท่าเทียมกับอาจารย์ และผู้รับใช้เท่าเทียมกับนาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเขาเรียกเจ้า บ้านว่า ‘เบเอลเซบูล’ เขาจะเรียกลูกบ้านร้ายกว่านั้นสักเท่าใด อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้ สิ่งที่เราบอก ท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวออกมาในที่สว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำ�ลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปใน นรก นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึง่ บาทมิใช่หรือ ถึงกระนัน้ ก็ไม่มนี กสักตัวเดียวทีต่ กถึงพืน้ ดินโดยที่ พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว ดังนั้น อย่ากลัวเลย ท่านมี ค่ามากกว่านกกระจอกจำ�นวนมาก ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผู้น้ันเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ และผูท้ ไี่ ม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รบั ผูน้ นั้ เฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผูส้ ถิตในสวรรค์ดว้ ย”

พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย” พระเยซูเจ้ามิได้ทรงหมายถึงความชั่วที่เรา ทำ�เท่านั้น แต่ทรงหมายถึงความดีที่มีอยู่ในตัวเราด้วย สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นแต่เพียงในโลกหน้า แต่ในโลกปัจจุบัน พระเยซูเจ้าทรงให้ก�ำ ลังใจแก่เราในอันทีจ่ ะมีสว่ นสำ�คัญในพันธกิจของพระองค์ “สิง่ ทีเ่ ราบอกท่านในความมืด ท่านจงกล่าวออกมาในทีส่ ว่าง สิง่ ทีท่ า่ นได้ยนิ กระซิบทีห่ ู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน” หลายครัง้ เรา เจริญชีวิตด้วยความหวาดกลัวฝ่ายจิตวิญญาณว่า ทุกคนจะรู้ถึงสิ่งไม่ดีที่เราได้เคยกระทำ� เมื่อได้รับเรียกให้ กระทำ�หน้าที่ของเราด้วยความกล้าหาญ จงไว้วางใจในความรักของพระเจ้า ขจัดความหวาดกลัวให้หมดสิ้นไป พระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาสาวกบ่อยมากก็คือ “อย่ากลัวเลย”


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 55:9-10

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ฝนและหิมะลงมาจากท้องฟ้า และไม่กลับไปที่นั่นถ้าไม่ ได้รดแผ่นดิน ทำ�ให้แผ่นดินอุดม ทำ�ให้พืชงอกขึ้น เพื่อให้ผู้หว่านมีเมล็ดพันธุ์ และให้ผู้ กินมีอาหารฉันใด ถ้อยคำ�ทีอ่ อกจากปากของเรา จะไม่กลับมาหาเราโดยไม่เกิดผล ไม่ท�ำ ตามที่เราปรารถนา และไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่งมาฉันนั้น” สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

เพลงสดุดี

สดด 65:9,10,11-12,13

ก) พระองค์เสด็จเยี่ยมแผ่นดินและทรงบันดาลให้อุดมสมบูรณ์ ทรงโปรดให้แผ่นดินมั่งคั่งอย่างมาก คลองของพระเจ้ามีนํ้าเต็มล้น พระองค์ทรงจัดหาข้าวสาลีไว้ให้มนุษย์ พระองค์ทรงเตรียมไว้เช่นนี้ ข) คือทรงรดนํ้ารอยไถให้ชุ่มฉํ่า ทรงปรับพื้นดินให้ราบเรียบ ทรงพรมดินให้นุ่มด้วยสายฝน และประทานพรแก่หน่ออ่อนที่งอกขึ้นมา ค) พระองค์ประทานผลิตผลอุดมสมบูรณ์ในแต่ละปี พระองค์เสด็จไปที่ใด ที่นั่นก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโรม รม 8:18-23

พีน่ อ้ ง ข้าพเจ้าคิดว่า ความทุกข์ทรมานในปัจจุบนั เปรียบไม่ได้เลยกับพระสิรริ งุ่ โรจน์ ที่จะทรงบันดาลให้ปรากฏแก่เรา เพราะสรรพสิ่งต่างกำ�ลังรอคอยอย่างกระวนกระวาย เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงบันดาลให้บรรดาบุตรของพระองค์ปรากฏในพระสิริรุ่งโรจน์ สรรพ สิ่งต้องอยู่ใต้อำ�นาจของความไม่เที่ยงแท้มิใช่โดยสมัครใจ แต่ตามความประสงค์ของผู้ที่ บังคับให้สรรพสิ่งต้องอยู่ในสภาพดังกล่าว ถึงกระนั้น สรรพสิ่งยังมีความหวังว่า จะได้ รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสของความเสือ่ มสลายเพือ่ ไปรับอิสรภาพอันรุง่ เรืองของ บรรดาบุตรของพระเจ้า เรารู้ดีว่า จนถึงเวลานี้ สรรพสิ่งกำ�ลังร้องครวญครางด้วยความ เจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร มิใช่เพียงแต่สรรพสิง่ เท่านัน้ แม้แต่เราเองซึง่ ได้รบั ผลิตผล ครั้งแรกของพระจิตเจ้าแล้ว ก็ยังครํ่าครวญอยู่ภายใน ในเมื่อเรามีความกระตือรือร้นรอ คอยให้พระเจ้าทรงรับเราเป็นบุตรบุญธรรม ให้ร่างกายของเราได้รับการปลดปล่อยเป็น อิสระ

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:1-23

วันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ ประชาชน จำ�นวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่ บนฝั่ง พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำ�ลัง


หว่านอยูน่ นั้ บางเมล็ดตกอยูร่ มิ ทางเดิน นกก็จกิ กินจนหมด บางเมล็ดตกบนพืน้ หินทีม่ ดี นิ เล็กน้อย ก็งอก ขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ด ตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำ�ให้เหี่ยวเฉาตายไป บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหู ก็จงฟังเถิด” บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมา” พระองค์ทรง ตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมลํ้าลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย ดังนั้น เรา กล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงแม้พวกเขามองดู ก็ไม่เห็น แม้ฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ สำ�หรับคนเหล่า นี้ คำ�ทำ�นายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริง ที่ว่า ‘ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น เพราะจิตใจของ ประชาชนนี้แข็งกระด้าง เขาทำ�หูทวนลม และปิดตาเสีย เพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู จะได้ ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา’ ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ท่าน ว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรม จำ�นวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะ ได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง ดังนัน้ จงฟังความหมายของอุปมาเรือ่ งผูห้ ว่านเถิด เมือ่ คนหนึง่ ฟังพระวาจาเรือ่ งพระอาณาจักรและ ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิง่ ทีห่ ว่านลงในใจของเขาไปเสีย นัน่ ได้แก่ เมล็ดทีต่ กริมทาง เมล็ดทีต่ กบน หินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยาก ลำ�บากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ เข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิด ผล ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบ เท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

วาจามีความสำ�คัญอย่างไร หลายครั้งมีการกล่าววาจาแต่แล้วก็ถูกหลงลืมไป ในช่วงเวลาหลาย ศตวรรษมนุษย์ลั่นวาจาที่จำ�กันไม่ค่อยได้ แต่มีพระวาจาหนึ่งเดียวที่ยังคงอยู่ คือพระวจนาตถ์ขององค์ พระเจ้าผู้ตรัสไว้ตั้งแต่นิรันดรกาล ซึ่งสะท้อนในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และก้องไปทั่วกาลเวลาและใน จักรวาล พระวาจานี้เสาะหาดินดี เพื่อจะได้เริ่มต้นและดังสะท้อนไปในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ที่ดัง สะท้อนนอกกาลเวลา พระวจนาตถ์แสวงหาดินแดนทีจ่ ะสามารถช่วยให้พระวาจาของพระเจ้าเจริญเติบโต และขยายไปสูจ่ ดุ สุดยอด พระวาจาแสวงหาจิตวิญญาณทีไ่ ม่เห็นแก่ตวั และช่วยหล่อเลีย้ งดูแลมนุษย์ พระ วาจานี้ถูกหว่านไว้ในจิตใจของเรา หากใจของท่านเป็นดินดี พระวาจาก็จะผุดขึ้น จนกระทั่งบังเกิดผลเป็น พระวาจาทีเ่ รายินดีตอ้ นรับให้มารับสภาพมนุษย์ เข้าสูจ่ ติ ใจของเรา ซึง่ จะกลายเป็นมนุษย์ในขณะทีจ่ ะเปลีย่ น ตัวให้เหมือนกับสถานภาพนี้


บทอ่านที่ 1

น.คามิลโล เด เลลลิส พระสงฆ์ สดด 50:8-10,16-18, 19-21,22-23

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร

อสย 1:11-17

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เครื่องบูชามากมายของท่านไม่เป็นประโยชน์ใดแก่เรา เราเอือมระอาแกะเพศผู้ที่เผาบูชาถวายเรา เบื่อไขมันของโคหนุ่มที่ขุนไว้ เราไม่พอใจ เลือดของโคเพศผู้ ลูกแกะ และแพะเพศผู้ เมื่อท่านทั้งหลายเข้ามาต่อหน้าเรา ใครเรียก ร้องให้ท่านทำ�เช่นนี้ เหยียบยํ่าลานวิหารของเรา อย่านำ�ของถวายไร้ประโยชน์เข้ามาอีก เลย กำ�ยานเป็นสิ่งน่ารังเกียจสำ�หรับเรา เราทนการฉลองที่ปนกับความชั่วร้ายไม่ได้ เรา เกลียดวันต้นเดือน และวันฉลองของท่าน วันเหล่านี้เป็นเหมือนภาระหนักสำ�หรับเรา เราเหนือ่ ยทีจ่ ะต้องแบกภาระนัน้ เมือ่ ท่านชูมอื ขึน้ เราจะเบือนสายตาไปจากท่าน แม้ทา่ น จะอธิษฐานภาวนามากขึ้น เราก็จะไม่ฟัง มือของท่านเปื้อนเลือด จงล้าง จงชำ�ระตนให้ สะอาด จงนำ�กิจการชั่วร้ายของท่านออกไปให้พ้นจากสายตาของเรา จงเลิกทำ�ความชั่ว จงเรียนรู้ที่จะทำ�ความดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงช่วยเหลือผู้ถูกข่มเหง จงให้ความ เป็นธรรมแก่ลูกกำ�พร้า จงปกป้องสิทธิของหญิงม่าย”

มธ 10:34-11:1

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “อย่าคิดว่าเรามาเพือ่ นำ�สันติภาพมาให้โลก เรามิได้มาเพือ่ นำ�สันติภาพ แต่มาเพือ่ นำ�ดาบมาให้ เรามาเพือ่ แยกบุตรชายจากบิดา แยกบุตรหญิงจากมารดา แยกบุตรสะใภ้จากมารดาของสามี ศัตรูของคนก็คือคนที่อยู่ ร่วมบ้านกับเขานั่นเอง ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา ผูท้ ห่ี วงชีวติ ของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวติ นัน้ แต่ผทู้ ย่ี อมเสียชีวติ ของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวติ นัน้ อีก ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ผู้ที่ต้อนรับประกาศก เพราะเราเป็นประกาศก จะได้รับบำ�เหน็จรางวัลของประกาศก ผู้ที่ต้อนรับผู้ชอบ ธรรม เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับบำ�เหน็จรางวัลของผู้ชอบธรรม ผู้ใดที่ให้นํ้าเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของ เรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำ�เหน็จรางวัลอย่างแน่นอน”...

พระเยซูเจ้าองค์สนั ติราชามิได้เสด็จมาในโลก เพือ่ ทรงอวยพรความรุนแรงหรือการกดขีข่ ม่ เหง ทีค่ นยากจน ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ มีบางคนทำ�ลายชีวิตของคนรอบตัว แล้วเรียกว่าเป็นการสร้างสันติ เราได้ยินข่าว บ่อยๆ เรือ่ งเจ้าของร้านกระทำ�รุนแรงต่อพนักงาน หรือมองดูครอบครัวของเราเองก็ได้วา่ ทำ�ไมภรรยาและลูกๆ ของท่านจึงเงียบ เขากำ�ลังจมดิ่งอยู่ในความหมดหวังหรือเปล่า หรือภรรยาที่ทำ�ให้สามีเสียใจ ไม่ว่าเขาจะทำ� อะไรก็ต่อว่าเขาก่อน ทำ�ให้เขาหมดกำ�ลังใจ เป็นหน้าที่ของเราแต่ละคนที่จะพิจารณาตัวเราเอง และพยายาม สร้างบรรยากาศแห่งสันติรอบๆ ตัวเรา เดชะความช่วยเหลือจากพระเจ้า และอาศัยการอธิษฐานภาวนาของเรา


บทอ่านที่ 1

อสย 7:1-9

ในรัชสมัยของกษัตริย์อาหัส โอรสของกษัตริย์โยธาม โอรสของกษัตริย์อุสซียาห์ แห่งยูดาห์ กษัตริยเ์ รซีนแห่งซีเรีย และกษัตริยเ์ ปคาห์แห่งอิสราเอล โอรสของเรมาลิยาห์ ยกทัพขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำ�สงครามกับเมือง แต่เอาชนะไม่ได้... องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอิสยาห์ว่า “ท่านกับเชอาร์ยาชูบบุตรชาย จงออกไปพบ กษัตริย์อาหัสที่ปลายท่อนํ้าของสระข้างบนที่ถนนลานช่างซักฟอก ทูลกษัตริย์ว่า ‘ขอ พระองค์โปรดฟัง สงบพระทัย อย่าทรงกลัว อย่าให้พระทัยหวั่นไหวเพราะความกริ้ว รุนแรงของกษัตริย์เรซีนแห่งซีเรีย และโอรสของเรมาลิยาห์ซึ่งเป็นเหมือนฟืนสองดุ้นที่ จวนจะมอดอยู่แล้ว มีแต่ควัน ซีเรียพร้อมกับเอฟราอิมและโอรสของเรมาลิยาห์ได้คิด การชัว่ ร้ายต่อพระองค์ พูดว่า เราจงขึน้ ไปโจมตียดู าห์ ทำ�ให้ประชาชนมีความกลัว เราจะ ได้ยึดเมืองและแต่งตั้งบุตรของทาเบเอล ให้เป็นกษัตริย์ที่นั่น’” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “สิ่งนี้จะไม่เป็นไป จะไม่เกิดขึ้นเลย กรุงดามัสกัส เป็นเมืองหลวงของซีเรีย และกษัตริย์เรซีนเป็นหัวของกรุงดามัสกัส อีกหกสิบห้าปี เอฟราอิมจะไม่เป็นประชากรอีกต่อไป กรุงสะมาเรียเป็นเมืองหลวงของเอฟราอิม และ โอรสของเรมาลิยาห์เป็นหัวของกรุงสะมาเรีย ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชือ่ มัน่ พระองค์จะทรง ตั้งมั่นอยู่ไม่ได้”

พระวรสาร

ระลึกถึง น.บอนาแวนตูรา พระสังฆราชและ นักปราชญ์แห่ง พระศาสนจักร สดด 48:1-2,3-5,6-8ก

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

มธ 11:20-24

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงตำ�หนิบรรดาเมืองที่พระองค์ทรงทำ�อัศจรรย์มากกว่าที่เมืองอื่น เพราะชาวเมือง ไม่ยอมกลับใจว่า “จงวิบัติเถิด เมืองโคราซิน จงวิบัติเถิด เมืองเบธไซดา เพราะถ้าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเจ้าเกิดขึ้นที่เมือง ไทระและเมืองไซดอนแล้ว ชาวเมืองเหล่านั้นคงได้นุ่งกระสอบ เอาขี้เถ้าโรยศีรษะ กลับใจเสียนานแล้ว ฉะนั้น เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา เมืองไทระและเมืองไซดอนจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้ายกตนขึน้ ถึงฟ้าเทียวหรือ ตรงกันข้าม เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผูต้ าย เพราะ ว่าถ้าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเจ้าเกิดขึ้นที่เมืองโสดมแล้ว เมืองโสดมก็คงจะอยู่จนถึงวันนี้ ฉะนั้น เราบอกเจ้าว่า ใน วันพิพากษา เมืองโสดมจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า”

มีความเงียบที่ดีและไม่ดี ความเงียบในพระวรสารเป็นสิ่งที่น่าฟัง ก่อนที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จออกเทศนา สั่งสอน พระองค์ทรงรักษาความเงียบ ทรงใช้เวลาหลายปีรำ�พึงภาวนาในช่วงก่อนที่พระองค์จะทรงเริ่มเทศน์ สอน ในพระวรสารก็มีการกล่าวถึงช่วงเวลาที่พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาตามลำ�พัง ในพระวรสารวันนี้ เราได้ รับรู้ถึงความเงียบของชาวเมืองโคราซินและเมืองเบธไซดา เป็นความเงียบเพราะพวกเขาไม่สนใจรับฟังการ เทศนาของพระองค์ เราเงียบเพราะอะไร? เหตุใดเราจึงเงียบไม่สนทนากับคนบางคน หรือบางคนในครอบครัว ของเราเอง คุณภาพความเงียบของท่านอยู่ในระดับไหน? ถ้าให้ดีควรเป็นความเงียบเพื่อรับฟังพระวาจาของ พระเจ้า และนำ�มาปฏิบัติในชีวิตของท่านเอง จะเป็นความเงียบที่ดีที่สุด


พระนางมารีย์ พรหมจารี แห่งภูเขาคาร์แมล สดด 94:5-6,7-8, 9-10,14-15

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1

อสย 10:5-7,13-16

พระวรสาร

มธ 11:25-27

พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “วิบัติจงเกิดแก่อัสซีเรีย ไม้เรียวที่เราใช้เมื่อเราโกรธ ไม้พลองที่เราใช้เมื่อเราโกรธ จัด เราจะส่งเขาไปต่อสู้กับชนชาติที่ไม่เคารพนับถือเรา จะสั่งเขาให้ไปต่อสู้ประชากรที่ ทำ�ให้เราโกรธ เพื่อไปริบข้าวของ ไปปล้น และเหยียบยํ่าชนชาตินี้เหมือนเหยียบเลนบน ถนน แต่อัสซีเรียมิได้ตั้งใจเช่นนั้น จิตใจของเขาก็มิได้คิดดังนี้ เขาคิดแต่จะทำ�ลาย และ ทำ�ลายล้างชนชาติจำ�นวนมาก เพราะกษัตริยท์ รงคิดว่า “เราได้ท�ำ การนีด้ ว้ ยกำ�ลังมือ และปรีชาญาณของเรา เพราะ เรามีปรีชา เราได้ย้ายเขตแดนของประชาชนหลายชาติ ได้ปล้นทรัพย์สมบัติของเขา ได้ ใช้อำ�นาจควํ่าผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ มือของเราได้ฉวยทรัพย์สมบัติของประชาชนหลายชาติ เหมือนฉวยรังนก คนเก็บไข่ที่ถูกทิ้งไว้ในรังนกฉันใด เราก็จะยึดแผ่นดินทั้งหมดฉันนั้น ไม่มีผู้ใดขยับปีก ไม่มีผู้ใดอ้าปากหรือร้องจิ๊บๆ” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ขวานจะอวดตัวว่าเก่งกว่าผู้ที่ใช้มันหรือ เลื่อยจะทะนง ตัวเหนือผู้ที่ใช้มันเลื่อยหรือ เหมือนกับว่าไม้ตะบองจะยกผู้ถือมันขึ้น หรือเหมือนไม้ พลองจะยกสิ่งที่มิใช่ไม้ขึ้นได้ ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล จะทรงส่งโรคภัยมาทำ�ให้คนแข็งแรงกลับผอมแห้ง โรคนีจ้ ะเผาผลาญผูท้ เี่ ป็นเกียรติของ เขาเหมือนไฟไหม้” เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญ พระองค์ทที่ รงปิดบังเรือ่ งเหล่านีจ้ ากบรรดาผูม้ ปี รีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดา ผู้ตํ่าต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่ง แก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจาก พระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้” “ไม้เรียว” เป็นสิง่ ทีค่ ณ ุ ครูใช้ลงโทษนักเรียนทีท่ �ำ ผิดหนัก ประพฤติตนไม่เรียบร้อย หลังจากว่ากล่าวตักเตือน ให้คำ�แนะนำ�ด้วยคำ�พูดดีๆ แล้วไม่ได้ผล “ไม้เรียว” จึงเป็น เครือ่ งมือช่วยให้เกิดการเปลีย่ นแปลงนิสยั หรือพฤติกรรมของคน โดยมีของ 3 สิง่ ทีซ่ อ่ น อยูใ่ นไม้เรียว นัน่ ก็คอื ความเจ็บ ความกลัว และก็ความอาย แม้รอ่ งรอยของความเจ็บ ชํ้าจะจางหายไป แต่รอยแผลที่อยู่ในใจยังคงจารึกไปอีกนาน หากเราเป็นคริสตชนที่ดี อยู่ในร่องในรอย อยู่ในวงกรอบแห่งคำ�สอนของคริสต ศาสนา พระเป็นเจ้าก็คงไม่ต้องใช้ “ไม้เรียว” เพื่อดัดนิสัยของเรา หากพระองค์ตรัสตัก เตือนอะไรกับเราในวันนี้ จงรีบดำ�เนินการแก้ไขปรับปรุงเสียโดยเร็วเถิด! “ในวันนีถ้ า้ ท่าน ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ก็อย่าทำ�ใจแข็งเลย” (สดด 95:7-8)


บทอ่านที่ 1

อสย 26:7-9,12,16-19

หนทางของผู้ชอบธรรมก็ตรง พระองค์ทรงทำ�ให้ทางเดินของผู้ชอบธรรมราบเรียบ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายเดินตามพระวินิจฉัยของพระองค์ ข้าพเจ้าทั้ง หลายมีความหวังในพระองค์ ความปรารถนาประการเดียวของข้าพเจ้าทั้งหลาย คือ สรรเสริญพระนามและระลึกถึงพระองค์ วิญญาณของข้าพเจ้ากระหายหาพระองค์เวลา กลางคืน จิตใจของข้าพเจ้าแสวงหาพระองค์ตงั้ แต่เช้าตรู่ เพราะเมือ่ พระองค์ทรงพิพากษา แผ่นดิน ผู้อาศัยในแผ่นดินจะได้เรียนรู้ความชอบธรรม ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า โปรดประทานสันติภาพแก่ขา้ พเจ้าทัง้ หลาย เพราะพระองค์ ทรงบันดาลให้กิจการทั้งหมดของข้าพเจ้าทั้งหลายประสบความสำ�เร็จ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในยามทุกข์ เขาทั้งหลายแสวงหาพระองค์ เมื่อทรงตีสอน เขา เขาก็ตงั้ ใจอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ หญิงมีครรภ์จวนจะคลอดบุตร บิดตัวและร้อง ด้วยความเจ็บปวดฉันใด ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้นเฉพาะ พระพักตร์พระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายมีครรภ์ บิดตัวด้วยความเจ็บปวด แต่คลอดเพียง ลมเท่านั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้นำ�ความรอดพ้นมาให้แผ่นดิน ไม่มีผู้อาศัยในโลกคนใด เกิดมา บรรดาผู้ตายของพระองค์จะมีชีวิตอีก ร่างกายของเขาทั้งหลายจะกลับคืนชีพ ผู้ อาศัยอยู่ในฝุ่นดินเอ๋ย จงตื่นและจงร้องเพลงด้วยความยินดีเถิด เพราะนํ้าค้างของท่าน เป็นนํ้าค้างที่ส่องแสง พระองค์ทรงบันดาลให้แดนผู้ตายกลับมีชีวิต

พระวรสาร

มธ 11:28-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จง มาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน เพราะว่า แอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา”

“สุขและทุกข์” เป็นของคู่กัน หากไม่มีความทุกข์ เราก็จะไม่เข้าใจความสุข และ หากไม่มีความสุข เราก็จะไม่เข้าใจความทุกข์ ในสุขจึงมีทุกข์ และในทุกข์จึงมีสุข เมื่อมีความสุขก็อย่าประมาทในการดำ�เนินชีวิต เพราะเมื่อมีความสุข เราอาจจะสุข สบายอยู่บนกองบาปและความชั่วช้า หรือความเฉื่อยชาในการรับใช้พระเจ้าและเพื่อน มนุษย์ เช่นเดียวกัน เมื่อมีความทุกข์ ก็อย่ามัวแต่โศกเศร้าเสียใจ ท้อแท้หรือสิ้นหวัง เพราะความทุกข์มักจะดึงเราเข้าไปใกล้พระเจ้าอยู่เสมอ จงจำ�ไว้ว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะสุขหรือจะทุกข์ พระเจ้าอยู่เคียงข้างเราเสมอ ขอให้ เราอย่าทอดทิง้ พระองค์ แล้วพระองค์จะไม่ทอดทิง้ เรา อย่ากลัวทีจ่ ะแบกกางเขนของเรา เพราะพระองค์ไม่ให้กางเขนที่หนักเกินไปกว่าที่เราจะแบกรับได้

สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา สดด 102:12-13,14-16, 17-18,19-20

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


บทอ่านที่ 1

อสย 38:1-6,21-22,7-8

สมัยนัน้ กษัตริยเ์ ฮเซคียาห์ประชวรหนักจนเกือบจะสิน้ พระชนม์ ประกาศกอิสยาห์ บุตรของอามอส เข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘จงจัดเรื่องใน บ้านให้เรียบร้อย เพราะท่านจะต้องตาย ท่านจะไม่หาย’” กษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงผินพระ พักตร์เข้าข้างฝา อธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรง ระลึกเถิดว่าข้าพเจ้าได้ดำ�เนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์อย่างซื่อสัตย์และจริงใจ ทำ� สัปดาห์ที่ 15 ตามที่พระองค์ทรงเห็นว่าถูกต้อง” แล้วกษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงพระกันแสงอย่างหนัก เทศกาลธรรมดา องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสสัง่ ประกาศกอิสยาห์วา่ “จงไปทูลกษัตริยเ์ ฮเซคียาห์วา่ ‘องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของกษัตริยด์ าวิด บรรพบุรษุ ของท่านตรัสดังนี้ เราได้ยนิ คำ�อธิษฐาน สดด 38:10-11,12,16 และเห็นนํ้าตาของท่านแล้ว เราจะต่ออายุให้ท่านอีกสิบห้าปี เราจะช่วยท่านและเมืองนี้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ให้รอดพ้นจากมือของกษัตริย์อัสซีเรีย และจะปกป้องเมืองนี้’” ประกาศกอิสยาห์สั่งว่า “จงนำ�ผลมะเดื่ออัดมาวางไว้บนพระยอด แล้วพระองค์จะ ทรงหายประชวร” กษัตริย์เฮเซคียาห์ตรัสถามว่า “มีเครื่องหมายใดบอกเราว่าเราจะขึ้น ไปที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้” ประกาศกอิสยาห์ทูลตอบว่า “องค์พระผู้เป็น เจ้าจะประทานเครือ่ งหมายนีใ้ ห้เห็นว่าจะทรงทำ�ตามทีท่ รงสัญญาไว้ ดูซิ เราจะทำ�ให้เงาทีด่ วงอาทิตย์ทอดบนขัน้ บันไดที่ขึ้นไปบนดาดฟ้าของกษัตริย์อาหัสแล้วถอยหลังกลับไปสิบขั้น” ดวงอาทิตย์ก็ถอยหลังกลับสิบขั้นจาก ที่ได้ทอดเงาบนบันไดไปแล้ว

พระวรสาร

มธ 12:1-8

ครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลีในวันสับบาโต บรรดาศิษย์รู้สึกหิว จึงเด็ดรวงข้าวมากิน เมื่อ ชาวฟาริสีสังเกตเห็นดังนั้น จึงทูลพระองค์ว่า “ดูซิ ศิษย์ของท่านกำ�ลังทำ�สิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต” พระองค์ ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่ากษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำ�สิ่งใดเมื่อหิวโหย พระองค์ เสด็จเข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เสวยขนมปังที่ตั้งถวายพร้อมกับบรรดาผู้ติดตาม ขนมปังนั้นผู้ใดจะกิน ไม่ได้ นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น ท่านไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือว่า ในวันสับบาโตนั้น บรรดาสมณะใน พระวิหารย่อมละเมิดวันสับบาโตได้โดยไม่มีความผิด เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหาร เสียอีก ถ้าท่านเข้าใจความหมายของข้อความทีว่ า่ ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครือ่ งบูชา’ ท่านคงจะ ไม่กล่าวโทษผู้ไม่มีความผิด เพราะบุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต”

เมือ่ กษัตริยเ์ ฮเซคียาห์รพู้ ระองค์วา่ จะต้องสิน้ พระชนม์ พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าด้วยนาํ้ ตา คือด้วยความทุกข์ระทมอย่างสุดจิตสุดใจ พระเจ้าจึงให้พระองค์ท่านมีพระชนมายุต่อไปอีก 15 ปี เมื่อเราทำ�บาป เราไปสารภาพบาปกับพระสงฆ์ เราเสียใจจากใจจริงถึงสิ่งที่เราได้กระทำ�ลงไปหรือไม่ และ ตั้งใจจริงจะไม่ทำ�บาปนั้นอีก ความรักลบล้างบาปได้มากมายฉันใด ใจที่ทุกข์ระทม (ใจที่ยากจน) ก็จะทำ�ให้เรา อยู่ในอาณาจักรของพระองค์ตลอดไปฉันนั้น


บทอ่านที่ 1

มคา 2:1-5

วิบัติจงเกิดแก่ผู้วางแผนร้าย และคิดทำ�ความชั่วอยู่บนที่นอน พอรุ่งขึ้นตอนเช้าก็ ทำ� เพราะเขามีอำ�นาจจะทำ�เช่นนั้น เขาอยากได้ทุ่งนาใดก็เข้ายึด เขาอยากได้บ้านใดก็ริบ ไป เขารีดไถทัง้ เจ้าของและบ้านเรือน เขาบีบคนและมรดก องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงตรัสดังนี้ ว่า “ดูซิ เรากำ�ลังวางแผนต่อสู้กับคนประเภทนี้ เป็นภัยพิบัติซึ่งท่านถอนคอให้พ้นไม่ได้ ท่านจะยืดอกเดินอย่างผึ่งผายไม่ได้ เพราะนั่นคือเวลาแห่งภัยพิบัติ เวลานั้น จะมีผู้แต่ง คำ�พังเพยถึงท่าน และจะครํ่าครวญอย่างขมขื่นว่า ‘พวกเราถูกปล้นจนหมดตัวแล้ว พระเจ้าทรงมอบมรดกของประชากรของข้าพเจ้า ให้เป็นกรรมสิทธิข์ องผูอ้ นื่ แล้ว พระองค์ ทรงเอาไปได้อย่างไร พระองค์ทรงแบ่งทุ่งนาของพวกเราให้แก่บรรดาศัตรู’ ดังนัน้ จะไม่มผี ใู้ ดขึงเชือกวัดส่วนมรดก เพือ่ จับสลากให้ทา่ นในชุมชนขององค์พระ ผู้เป็นเจ้า”

พระวรสาร

มธ 12:14-21

เวลานั้น ชาวฟาริสีจึงไปชุมนุมปรึกษากันว่าจะกำ�จัดพระองค์ได้อย่างไร พระเยซูเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ จึงเสด็จไปจากที่นั่น ผู้คนจำ�นวนมากติดตามพระองค์ ไป พระองค์ทรงรักษาทุกคนให้หายจากโรค แต่ทรงกำ�ชับเขามิให้แพร่งพรายให้ผใู้ ดรู้ ทัง้ นี้ เพื่อให้พระวาจาที่ตรัสทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า “นี่คือผู้รับใช้ที่เราได้เลือกสรรไว้ นี่คือผู้ที่เรารัก ซึ่งเราโปรดปราน เราจะให้จิตของ เราแก่เขา และเขาจะประกาศความยุตธิ รรมแก่นานาชาติ เขาจะไม่ทะเลาะวิวาท และจะ ไม่ส่งเสียงเอ็ดอึง จะไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาตามลานสาธารณะ เขาจะไม่หักต้นอ้อที่ ชํ้าแล้ว เขาจะไม่ดับไส้ตะเกียงที่ยังริบหรี่อยู่ จนกว่าเขาจะทำ�ให้ความยุติธรรมมีชัยชนะ นานาชาติจะมีความหวังในนามของเขา”

“โลกนีก้ ว้างขวางสำ�หรับคนใจกว้าง และอ้างว้างสำ�หรับคนใจแคบ” คนทีค่ ดิ แต่ จะเอาความสุขใส่ตวั เองโดยไม่คดิ ถึงคนอืน่ เราเรียกว่า “คนเอาแต่ใจตนเอง” หรือ “คน ใจแคบ” เพราะไม่คิดถึงหัวใจและความรู้สึกของคนอื่น ไม่เห็นความต้องการของใคร และเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง วางแผนร้าย คิดชั่ว อิจฉา โลภ โกรธ และเกลียดชัง แต่พระเยซูเจ้าทรงเอาชนะคนพวกนี้ด้วยการ “เป็นคนใจกว้าง” รักทุกคน รับใช้ แบ่งปัน ช่วยเหลือ ให้อภัย เสียสละ คืนดี โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ทำ�ความดีก็ไม่ อยากให้ใครรู้... ทุกวันเราเลือกได้ว่าเราจะเป็นคนอย่างไร “คนใจกว้าง” หรือ “คน ใจแคบ”

สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา สดด 10:1-2,3-4, 7-8,14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ

ปชญ 12:13, 16-19

เพลงสดุดี

สดด 86:5-7,9-10,15-16ก

นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เอาพระทัยใส่ทุกสิ่ง และที่พระองค์จะ ต้องพิสูจน์ว่ามิได้ทรงตัดสินอย่างอยุติธรรม พระฤทธานุภาพของพระองค์เป็นบ่อเกิดแห่งความยุติธรรม การที่ทรงเป็นเจ้านาย เหนือจักรวาลทำ�ให้พระองค์ทรงปรานีทกุ คน พระองค์ทรงสำ�แดงพระฤทธานุภาพแก่ผทู้ ี่ ไม่เชื่อพระอานุภาพของพระองค์ พระองค์ทรงกำ�จัดความหยิ่งยโสของผู้ที่รู้จักพระองค์ พระองค์ทรงพลานุภาพอย่างสมบูรณ์ จึงทรงพิพากษาอย่างอ่อนโยน ทรงปกครองข้าพเจ้า ทั้งหลายด้วยพระทัยปรานี เพราะพระองค์ทรงใช้พระอานุภาพตามที่พอพระทัย พระองค์ทรงกระทำ�เช่นนี้เพื่อสอนประชากรของพระองค์ว่า ผู้ชอบธรรมต้องรัก เพือ่ นมนุษย์ พระองค์ประทานความหวังเต็มเปีย่ มแก่บรรดาบุตรของพระองค์วา่ เมือ่ เขา ทำ�บาปแล้ว พระองค์ก็ประทานโอกาสให้เขากลับใจ ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์มีพระทัยดีและประทานอภัย ทรงความรักมั่นคงล้นเหลือต่อทุกคนที่เรียกขานพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงเอียงพระกรรณฟังคำ�ภาวนาของข้าพเจ้า โปรดทรงรับฟังเสียงร้องที่ข้าพเจ้าวอนขอ ในวันที่ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ ข้าพเจ้าเรียกหาพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า ข) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า นานาชาติที่ทรงสร้างจะมากราบไหว้นมัสการพระองค์ และจะถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่และทรงกระทำ�ปาฏิหาริย์ พระองค์เพียงพระองค์เดียวทรงเป็นพระเจ้า ค) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณา กริ้วช้า ทรงความรักมั่นคงและทรงซื่อสัตย์อย่างมากล้น โปรดทรงผินพระพักตร์มาทางข้าพเจ้า และทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าเถิด โปรดประทานพละกำ�ลังแก่ผู้รับใช้ของพระองค์

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:26-27

พี่น้อง ในทำ�นองเดียวกัน พระจิตเจ้าเสด็จมาช่วยเหลือเราผู้อ่อนแอ เพราะเราไม่รู้ ว่าจะต้องอธิษฐานภาวนาขอสิ่งใดที่เหมาะสม แต่พระจิตเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาวอนขอ แทนเราด้วยคำ�ที่ไม่อาจบรรยาย และพระผู้ทรงสำ�รวจจิตใจ ทรงทราบความปรารถนา ของพระจิตเจ้า เพราะว่าพระจิตเจ้าทรงอธิษฐานเพื่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ตามพระประสงค์ ของพระเจ้า


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว แบบสั้น มธ 13:24-30

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรือ่ งหนึง่ ให้พวกเขาฟังว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่ หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป เมือ่ ต้นข้าวงอกขึน้ จนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซม อยูด่ ว้ ย บรรดาผูร้ บั ใช้จงึ ไปหานายถามว่า ‘นายครับ นาย หว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ ใดเล่า’ นายตอบว่า ‘ศัตรูมาหว่านไว้’ ผู้รับใช้จึงถามว่า ‘นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม’ นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอน ข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วฉันจะบอกคนเก็บ เกี่ยวว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน’”

หลายครัง้ ทีเ่ ราเข้ามาสวดวิงวอนขอต่อพระเป็นเจ้า ให้ทรงถอดถอนสิง่ ต่างๆ ทีเ่ ราไม่ตอ้ งการให้ออก ไปจากชีวิตของเรา และเราก็ทูลขอพระองค์ถึงสิ่งต่างๆ ที่เราต้องการ แต่พระเจ้าทรงรอบรู้และมองการณ์ไกลกว่าชีวิตของเรามากมายนัก พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรที่จะเป็น ประโยชน์ส�ำ หรับชีวติ ของเราอย่างแท้จริง ไม่มใี ครเอางูหรือแมลงป่องไปวางไว้ใกล้กบั ลูกของตนเองฉันใด พระเจ้าก็ไม่ทรงวางสิ่งที่เป็นอันตรายไว้ใกล้ชีวิตของเราฉันนั้น จงมองให้เห็นว่า สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรง วางไว้ใกล้ชีวิตของเราในวันนี้ มีประโยชน์อะไรสำ�หรับการเติบโตในชีวิตของเราในวันข้างหน้า และฉวย โอกาสนั้นก้าวหน้าเติบโตต่อไปในอาณาจักรของพระองค์ หน้าที่ของเราคือการทำ�ให้เติบโต ส่วนหน้าที่ ในการตัดสินปล่อยให้พระองค์ทรงจัดการ


บทอ่านที่ 1

มคา 6:1-4,6-8

จงฟังสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเถิด จงลุกขึ้นแก้คดีของท่านต่อหน้าภูเขา จงให้ เนินเขาฟังเสียงของท่าน ภูเขาทัง้ หลายเอ๋ย จงฟังคดีขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเถิด รากฐาน ถาวรของแผ่นดินเอ๋ย จงฟังเถิด เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงมีคดีความกับประชากรของ พระองค์ พระองค์จะทรงสู้ความกับอิสราเอล ประชากรของเราเอ๋ย เราได้ทำ�อะไรกับ ท่าน เราได้ท�ำ ให้ทา่ นขุน่ ข้องหมองใจในเรือ่ งใด จงตอบซิ เพราะเราได้น�ำ ท่านออกมาจาก น.ลอเรนซ์ แห่งบรินดิซี แผ่นดินอียิปต์ และไถ่ท่านจากการเป็นทาส เราใช้โมเสส อาโรน และมีเรียมให้นำ�หน้า พระสงฆ์ ท่าน นักปราชญ์ “ข้าพเจ้าจะต้องนำ�สิง่ ใดเมือ่ เข้ามาเฝ้าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และกราบนมัสการพระเจ้า ผู้สูงสุด ข้าพเจ้าจะต้องนำ�เครื่องเผาบูชา โคหนุ่มอายุหนึ่งปีหลายตัวเข้ามาเฝ้าพระองค์ สดด 50:5-6,8-10, หรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะพอพระทัยแกะเพศผู้นับพันตัว พอพระทัยลำ�ธารนํ้ามันนับ 16-18,21,22 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 หมื่นสายหรือ ข้าพเจ้าจะต้องถวายบุตรคนแรกเพื่อชดเชยความผิดของข้าพเจ้า ถวาย บุตรจากกายของข้าพเจ้าเพื่อชดเชยบาปที่ข้าพเจ้าได้ทำ�หรือ” “มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงบอกท่านไว้แล้วว่าอะไรดี และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง ประสงค์สิ่งใดจากท่าน คือให้ท่านปฏิบัติความยุติธรรมและรักความดีงาม และดำ�เนิน ชีวิตอย่างถ่อมตนกับพระเจ้าของท่าน”

พระวรสาร

มธ 12:38-42

เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเราต้องการเห็น เครือ่ งหมายอัศจรรย์ประการหนึง่ จากท่าน” พระองค์ทรงตอบว่า “คนชัว่ ร้ายและไม่ซอื่ สัตย์ตอ้ งการเห็นเครือ่ ง หมายรึ จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น เว้นแต่เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์อยู่ในท้องปลา สามวันสามคืนฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น ในวันพิพากษา ชาวเมือง นีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำ�เทศน์ของโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะ พระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดินเพือ่ ฟังพระปรีชาสุขมุ ของกษัตริยซ์ าโลมอน แต่ทนี่ มี่ ผี ยู้ งิ่ ใหญ่กว่ากษัตริย์ ซาโลมอนอีก”

“อยากเป็นคนดีครบบริบูรณ์ ต้องปรับปรุงตัวเองอยู่บ่อยๆ” คนสุภาพ จะรู้ข้อจำ�กัดของตนเอง สิ่งที่ ตนเองไม่รู้ สิ่งที่ตนเองทำ�ไม่ได้ สิ่งที่ตนเองทำ�ผิด สิ่งที่ตนเองทำ�บาป และวอนขอพระเมตตากรุณาจากพระ เป็นเจ้า ตรงกันข้าม คนจองหอง จะมองเห็นข้อจำ�กัดของคนอื่น รู้ไปทุกเรื่อง ทำ�เป็นทุกอย่าง ตอบคำ�ถามได้ ทุกข้อ เก่งไปหมด อวดรู้โชว์ทฤษฏี จับผิด รู้ดีไปหมดแต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่ต้องการการกลับใจ เรียกร้องจาก คนอื่น แต่ไม่เคยออกจากตัวเอง ในวันพิพากษา ชาวเมืองนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนเช่นนี้ด้วยเช่น เดียวกัน


บทอ่านที่ 1

2 คร 5:14-17

พีน่ อ้ ง เพราะความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา เราแน่ใจว่า ถ้าคนหนึง่ ตายเพือ่ ทุกคน ก็เหมือนกับว่าทุกคนได้ตายด้วย พระองค์สิ้นพระชนม์แทนทุกคน เพื่อผู้ที่มีชีวิต จะได้ไม่มชี วี ติ เพือ่ ตนเองอีกต่อไป แต่มชี วี ติ เพือ่ พระองค์ผไู้ ด้สนิ้ พระชนม์ และทรงกลับ คืนพระชนมชีพเพื่อเขา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานมนุษย์อีก แม้ว่าครั้งหนึ่ง เราเคยพิจารณาพระคริสตเจ้าตามมาตรฐานมนุษย์ แต่บัดนี้เราไม่พิจารณาพระองค์ตาม มาตรฐานนี้อีกต่อไป ดังนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพ เก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว

พระวรสาร

ยน 20:1,11-18

ระลึกถึง น.มารีย์ ชาวมักดาลา สดด 85:1-3,4-5, 6-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหิน ถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็นทูตสวรรค์สอง องค์สวมเสือ้ ขาวนัง่ อยูต่ รงทีท่ เี่ ขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึง่ นัง่ อยูท่ างเบือ้ งพระเศียร อีกองค์หนึง่ นั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม” นางตอบว่า “เขานำ�องค์ พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำ�พระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และ เห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม กำ�ลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึง ตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำ�พระองค์ไป ช่วยบอกดิฉนั ว่าท่านนำ�พระองค์ไปไว้ทไี่ หน ดิฉนั จะได้ไปนำ�พระองค์ กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไปทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี ซึ่งแปลว่า พระ อาจารย์” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหา พีน่ อ้ งของเรา และบอกเขาว่า เรากำ�ลังขึน้ ไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทัง้ หลาย ไปเฝ้าพระเจ้า ของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์ พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง “พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าประทานมาให้กับเรา แต่เพื่อนสนิทมิตรสหายเป็นเราเองที่ ต้องแสวงหาและรักษาไว้” มาตรฐานประการหนึ่งที่ใช้วัดความสนิทสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า และการดำ�เนิน ชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์ ก็คือ ความสนิทสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนพี่น้องรอบกายเรา ผู้ที่ดำ�เนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์ ต้องเป็นบุคคลที่สร้างสันติกับผู้อื่น ทำ�งานร่วมกับผู้อื่นได้ ยอมรับผู้อื่น ไม่สร้างความแตกต่างเพื่อแตกแยก แต่ประสานไมตรี ประนีประนอม ปรองดอง และสร้างความ เป็นหนึ่งเดียวกับทุกคน


น.บรียิต นักบวช สดด 71:1-3ก,3ข-5, 6-7,16-18ก

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1

ยรม 1:1,4-10

พระวรสาร

มธ 13:1-9

ถ้อยคำ�ของเยเรมีย์ บุตรของฮิลคียาห์ สมณะคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่หมู่บ้านอานาโธทใน แผ่นดินของชนเผ่าเบนยามิน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ก่อนที่เราปั้นท่านในครรภ์มารดา เราก็รู้จัก ท่านแล้ว ก่อนที่ท่านจะเกิด เราก็แยกท่านไว้เป็นของเราแล้ว เราแต่งตั้งท่านให้เป็นประ กาศกสำ�หรับนานาชาติ” ข้าพเจ้าทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า จะเป็นไปได้อย่างไร พระองค์ทรงเห็นแล้วว่าข้าพเจ้ายังพูดไม่เป็น ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “อย่าพูดว่าท่านยังเป็นเด็กเลย เราส่งท่านไปหา ผู้ใด ก็จงไปเถิด เราสั่งให้ท่านพูดอะไร ก็จงพูดเถิด อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราอยู่กับ ท่าน เพื่อป้องกันท่าน” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส แล้วองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงยืน่ พระหัตถ์มาสัมผัสปากของข้าพเจ้า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ดูซิ เราใส่ถ้อยคำ�ของเราในปากของท่านแล้ว ดูซิ วันนี้เราตั้งท่าน เหนือนานาชาติและเหนืออาณาจักรต่างๆ เพื่อถอนรากและทำ�ให้พังทลาย เพื่อทำ�ลาย และรื้อลง เพื่อจะได้ก่อสร้างและปลูกขึ้นใหม่” วันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ ประชาชน จำ�นวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่ บนฝั่ง พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำ�ลัง หว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มี ดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผาและ เหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำ�ให้เหี่ยว เฉาตายไป บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหู ก็จงฟังเถิด” คนเราต้องเรียนรู้ที่จะเอาใจเขามาใส่ใจของเรา จะได้รู้ว่าเขาคิด และรู้สึกอย่างไร ดีกว่ามาตัดสินเขาเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งหลายครั้งมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิด หากมีอะไร ทีผ่ ดิ พ้องหมองใจกัน ก็ตอ้ งกล้าทีจ่ ะบอกกันตรงๆ ไม่ประชดประชัน ไม่เงียบงอนไปเฉยๆ และใครที่เขามาบอกอะไรกับเราตรงๆ แม้ในเรื่องเล็กน้อย เราก็ต้องตั้งใจฟัง ไม่ใช่รีบ แก้ตัว แก้ต่าง อ้างเหตุผล แต่ไม่รู้จักฟัง หรือฟังแบบหูทวนลม ไม่คิดที่จะปรับปรุงแก้ไข อะไร ใจของเรากับใจของเขาจึงไม่ตรงกันสักที ปัญหาจึงไม่ได้รับการแก้ไข บานปลาย และนำ�ไปสู่การแตกแยกในที่สุด...ใครที่มีหู ก็ต้องรู้จักฟัง (ให้เป็น)


บทอ่านที่ 1

ยรม 2:1-3,7-8,12-13

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า จงไปประกาศให้ชาวกรุงเยรูซาเล็มได้ยินว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เรายังระลึกถึงความจงรักภักดีในวัยสาวของท่าน ระลึก ถึงความรักเมือ่ ท่านยังเป็นคูห่ มัน้ เมือ่ ท่านติดตามเราในถิน่ ทุรกันดาร ในแผ่นดินทีไ่ ม่มผี ู้ ใดหว่านพืช อิสราเอลถูกแยกไว้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นผลิตผลแรกที่ทรงเก็บ เกี่ยว ทุกคนที่กินผลแรกนี้ย่อมมีความผิด เหตุร้ายจะมาถึงเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส” เราได้นำ�ท่านทั้งหลายเข้ามาในแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ เพื่อจะได้กินผลผลิตและสิ่ง ดีๆ แต่เมื่อท่านเข้ามา ท่านทำ�ให้แผ่นดินของเราเป็นมลทิน และทำ�ให้มรดกของเราเป็น สิ่งน่าสะอิดสะเอียน บรรดาสมณะไม่เคยถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน” ผู้ เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติไม่รู้จักเรา บรรดาผู้ปกครองก็เป็นกบฏต่อเรา บรรดาประกาศก ประกาศวาจาในนามของพระบาอัล และดำ�เนินตามสิ่งที่ไร้ประโยชน์ สวรรค์เอ๋ย จงตกตะลึงเพราะเหตุการณ์เช่นนี้ จงสยดสยองและจงตกใจอย่างทีส่ ดุ เถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส ประชากรของเราได้ทำ�ความชั่วสองประการ เขาได้ละทิ้ง เราซึง่ เป็นพุนาํ้ ไหล แล้วไปสกัดหินเป็นทีข่ งั นํา้ สำ�หรับตน เป็นทีข่ งั นํา้ รัว่ ซึง่ เก็บนํา้ ไว้ไม่ได้

พระวรสาร

น.ชาร์เบล มาคลุฟ พระสงฆ์ สดด 36:5-6,7-8, 9-10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

มธ 13:10-17

เวลานั้น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมา” พระองค์ ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมลํ้าลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย ดังนั้น เรากล่าว แก่คนเหล่านีเ้ ป็นอุปมา ถึงแม้พวกเขามองดู ก็ไม่เห็น แม้ฟงั ก็ไม่ได้ยนิ และไม่เข้าใจ สำ�หรับคนเหล่านี้ คำ�ทำ�นาย ของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริง ที่ว่า ‘ท่านทัง้ หลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น เพราะจิตใจของประชาชน นี้แข็งกระด้าง เขาทำ�หูทวนลม และปิดตาเสีย เพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู จะได้ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา’ ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำ�นวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่ง ที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง”

จะโกรธ จะเกลียด จะตัดความสัมพันธ์กับใคร ให้นึกถึงคุณงามความดีที่เขาเคยทำ�กับเรา ให้นึกถึงความ ผิดพลาดที่เราเคยทำ�กับเขาในอดีต ให้นึกถึงความบกพร่องที่เรามี และให้คิดว่าทุกคนต่างก็มีข้อบกพร่องด้วย กันทั้งนั้น ไม่มีบาปอะไรที่พระเป็นเจ้าไม่สามารถให้อภัยเราได้ แล้วทำ�ไมเราจึงไม่ให้อภัยความผิดแก่กัน และกัน...เปิดตาของเราให้กว้างขึ้น...เปิดหูของเราให้ได้ยิน...เปิดใจเราให้กว้าง จนสามารถรักทุกคนอย่างที่ เขาเป็น ไม่ใช่รักอย่างที่เราต้องการ เพราะนั่นเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เราจะได้จำ�พ่อแม่ ญาติพี่น้อง และผอง เพื่อนของเราได้ในทุกวันตลอดชีวิต


บทอ่านที่ 1

ฉลอง น.ยากอบ อัครสาวก สดด 126:1-2,3-4, 5-6

พระวรสาร

2 คร 4:7-15

พีน่ อ้ ง เรามีสมบัตนิ เี้ ก็บไว้ในภาชนะดินเผา เพือ่ แสดงว่าอานุภาพลาํ้ เลิศนัน้ มาจาก พระเจ้า มิใช่มาจากตัวเรา เราทนทุกข์ทรมานรอบด้าน แต่ไม่อับจน เราจนปัญญา แต่ก็ ไม่หมดหวัง เราถูกเบียดเบียน แต่ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีล้มลง แต่ไม่ถึงตาย เราแบก ความตายของพระเยซูเจ้าไว้ในร่างกายของเราอยู่เสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูเจ้าจะ ปรากฏอยู่ในร่างกายของเราด้วย ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เราเสี่ยงกับความตายอยู่เสมอ เพราะความรักต่อพระเยซูเจ้า เพื่อให้ชีวิตของพระเยซูเจ้าปรากฏชัดในธรรมชาติที่ตาย ได้ของเรา ดังนั้น ความตายกำ�ลังทำ�งานอยู่ในเรา แต่ชีวิตกำ�ลังทำ�งานอยู่ในท่าน มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ข้าพเจ้าได้เชื่อ จึงได้พูด เรามีจิตแห่งความเชื่อเดียวกันนี้ เราเชือ่ เราจึงพูด เพราะรูว้ า่ พระองค์ผทู้ รงบันดาลให้พระเยซูองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงกลับ คืนพระชนมชีพ จะทรงบันดาลให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระเยซูเจ้าด้วย จะทรงนำ�เรา และท่านทั้งหลายไปอยู่กับพระองค์...

มธ 20:20-28

เวลานั้น มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสองคนของ ข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่าน ไม่รู้ว่ากำ�ลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองทูลตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัส กับเขาว่า “ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่ สงวนไว้สำ�หรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้” เมือ่ ได้ยนิ ดังนัน้ อัครสาวกอีกสิบคนรูส้ กึ โกรธพีน่ อ้ งสองคนนัน้ พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัส ว่า “ท่านทัง้ หลายย่อมรูว้ า่ คนต่างชาติทเ่ี ป็นหัวหน้า ย่อมเป็นเจ้านายเหนือผูอ้ นื่ และผูใ้ หญ่ยอ่ มใช้อ�ำ นาจบังคับ แต่ทา่ นทัง้ หลายไม่ควรเป็นเช่นนัน้ ผูท้ ปี่ รารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำ�ตนเป็นผูร้ บั ใช้ผอู้ นื่ และผูใ้ ดทีป่ รารถนา จะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำ�ตนเป็นผู้รับใช้ เหมือนกับที่บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้ อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย”

ลักษณะของผู้มีปรีชาญาณประการหนึ่ง คือ “ความอดทน” ประการแรก ความอดทนแบบจำ�ใจ แบบ ทำ�อะไรเขาไม่ได้ อดทน เก็บกดเอาไว้ รอวันที่จะระเบิดออกมา ประการที่สอง อดทนด้วยความรัก พากเพียร พยายาม ยอมรับความบกพร่อง และเข้าใจถึงความแตกต่าง น.เปาโลบอกว่า “ความรักย่อมอดทนนาน” (1 คร 13:4) ความอดทนแท้จริงไม่มีขีดจำ�กัด ตราบใดที่ยังมีความรัก ความอดทนก็ยังคงมีต่อไป เพราะความอดทน อยู่บนพื้นฐานของความรัก ดังนั้น จงอย่าหมดความรัก และความอดทนจะมาเอง


บทอ่านที่ 1

ยรม 7:1-11

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งประกาศกเยเรมีย์ว่า “จงไปยืนที่ประตูพระวิหารขององค์ พระผู้เป็นเจ้าและประกาศถ้อยคำ�เหล่านี้ที่นั่นว่า ชาวยูดาห์ทั้งหลายที่ผ่านประตูเหล่านี้ เข้ามานมัสการองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเอ๋ย จงฟังพระวาจาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเถิด องค์พระ ผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระเจ้าของอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า จงแก้ไขความประพฤติและ กิจการของท่าน แล้วเราจะให้ท่านอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ อย่าไว้วางใจคำ�หลอกลวงของผู้ ทีพ่ ดู ว่า ‘นีค่ อื พระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระวิหาร ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า’ เพราะถ้าท่านแก้ไขความประพฤติและกิจการของท่านอย่างแท้จริง ถ้าท่านตัดสินคดีความของผูห้ นึง่ กับเพือ่ นบ้านอย่างยุตธิ รรม ถ้าท่านไม่ขม่ เหงคนต่างด้าว ลูกกำ�พร้าและแม่มา่ ย ถ้าท่านไม่หลัง่ โลหิตของผูบ้ ริสทุ ธิใ์ นสถานทีน่ ี้ และไม่ไปกราบไหว้ เทพเจ้าอืน่ เป็นการทำ�ร้ายตนเอง เราจะให้ทา่ นอาศัยอยูใ่ นสถานทีน่ ี้ ในแผ่นดินซึง่ เราเคย ให้แก่บรรพบุรษุ ของท่านตัง้ แต่นานมาแล้ว เพือ่ จะได้อาศัยอยูต่ ลอดไป แต่ทา่ นทัง้ หลาย วางใจในคำ�หลอกลวงทีไ่ ม่ให้ประโยชน์ใดเลย ท่านลักขโมย ฆ่าคน ล่วงประเวณี สาบาน เท็จ เผากำ�ยานถวายพระบาอัลและนมัสการเทพเจ้าซึ่งท่านไม่เคยรู้จักมาก่อน แล้วมา ยืนต่อหน้าเราในพระวิหารนี้ ซึ่งได้รับนามตามชื่อของเรา พูดว่า ‘พวกเราปลอดภัยแล้ว’ เพื่อจะกลับไปทำ�กิจการน่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้อีก วิหารนี้ที่ได้รับนามตามชื่อของเรา เป็นถํ้าโจรในสายตาของท่านไปแล้วหรือ เราเองยังได้เห็นเช่นนี้” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส

พระวรสาร

มธ 13:24-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า “อาณาจักร สวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายถามว่า ‘นายครับ นายหว่าน ข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใดเล่า’ นายตอบว่า ‘ศัตรูมาหว่านไว้’ ผู้รับใช้จึงถามว่า ‘นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม’ นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อ ท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงาม ขึน้ ด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกีย่ ว แล้วฉันจะบอกคนเก็บเกีย่ วว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัด เป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน’” “คุณค่าของชีวติ ไม่ได้อยูท่ กี่ ารมีอายุสนั้ หรืออายุยนื ยาว แต่อยูท่ กี่ ารทำ�ความดี” หลายคนคิดว่าคุณค่าของชีวิตอยู่ที่ระดับการศึกษา ตำ�แหน่งหน้าที่การงาน ทรัพย์สินที่ ครอบครอง บ้านทีอ่ าศัย รถยนต์ทขี่ บั ขี่ หน้าตาในสังคม หรือ การมีสขุ ภาพทีด่ ี แต่คณ ุ ค่า ของชีวิตอยู่ที่ความดีที่เรากระทำ� ความสามารถในการดำ�รงชีวิตได้ด้วยตนเอง ความรับ ผิดชอบในครอบครัว การให้ความช่วยเหลือและการเป็นที่พึ่งพิงให้กับคนอื่น

ระลึกถึง น.โยอากิม และ น.อันนา บิดามารดาของ พระนางมารีย์พรหมจารี

สดด 132:11,13-14, 17-18

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 3:5-12

สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

คืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่กษัตริย์ซาโลมอนในพระสุบิน ที่ เมืองกิเบโอน พระเจ้าตรัสว่า “จงขอสิ่งที่ท่านอยากให้เราประทานแก่ท่าน” กษัตริย์ซา โลมอนทูลตอบว่า “พระองค์ทรงสำ�แดงความรักมัน่ คงยิง่ ใหญ่ตอ่ ดาวิดพระบิดาข้ารับใช้ พระองค์ เพราะพระบิดาทรงดำ�เนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์ ความชอบธรรมและด้วยใจซือ่ ตรง พระองค์ยงั ทรงรักษาความรักมัน่ คงยิง่ ใหญ่นตี้ อ่ พระ บิดาโดยประทานให้บุตรคนหนึ่งได้สืบพระบัลลังก์ ดังที่เป็นอยู่ในวันนี้ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงตั้งข้าพเจ้าขึ้นเป็น กษัตริย์สืบต่อจากดาวิดพระบิดา แต่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องปกครองประชากรที่ทรงเลือกสรร ซึ่งเป็นประชากรจำ�นวนมาก จนนับไม่ถว้ น ขอประทานความเข้าใจแก่ผรู้ บั ใช้ของพระองค์ เพือ่ จะได้ปกครองประชากร ของพระองค์อย่างยุติธรรม และรู้จักวินิจฉัยแยกความดีจากความชั่ว ถ้าพระองค์ไม่ ประทาน ใครเล่าจะปกครองประชากรจำ�นวนมากเช่นนี้ของพระองค์ได้” องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยที่กษัตริย์ซาโลมอนทูลขอเช่นนี้ พระเจ้าจึงตรัสตอบ ว่า “เพราะท่านได้วอนขอเช่นนี้ แทนที่จะวอนขอชีวิตยืนยาว หรือความมั่งคั่ง หรือขอ ให้เราทำ�ลายชีวิตของศัตรู แต่ได้ขอความเข้าใจเพื่อจะตัดสินอย่างถูกต้อง เราจะทำ�ตาม ที่ท่านขอ เราจะให้ความเข้าใจและปรีชาญาณในการตัดสินอย่างที่ผู้ใดไม่เคยมีมาก่อน หรือจะมีในภายหลัง”

เพลงสดุดี

สดด 119:57 และ 72,76-77,127-128,129-130

ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นส่วนมรดกของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสัญญาจะปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ ธรรมบัญญัติจากพระโอษฐ์ของพระองค์ มีค่าสำ�หรับข้าพเจ้ายิ่งกว่าเงินทองนับพันแท่ง ข) ขอให้ความรักมั่นคงของพระองค์บรรเทาใจข้าพเจ้า ดังที่ทรงสัญญาไว้กับผู้รับใช้ของพระองค์ ขอพระองค์ทรงเมตตาสงสารข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะมีชีวิต เพราะข้าพเจ้าชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระองค์ ค) ข้าพเจ้าจึงรักบทบัญญัติของพระองค์ ยิ่งกว่าทองคำ� ยิ่งกว่าทองคำ�บริสุทธิ์ ข้าพเจ้าคิดว่าข้อบังคับของพระองค์ล้วนถูกต้อง และเกลียดหนทางทั้งมวลที่หลอกลวง ง) กฤษฎีกาของพระองค์น่าพิศวงยิ่งนัก ข้าพเจ้าจึงปฏิบัติตาม การเปิดเผยของพระวาจาให้ความสว่าง ประทานปัญญาแก่ผู้รู้น้อย


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโรม รม 8:28-30

พี่น้อง เรารู้ว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับ เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่ทรงเรียกมาตาม พระประสงค์ของพระองค์ เพราะผู้ที่พระองค์ทรงทราบ ล่วงหน้านั้น พระองค์ทรงกำ�หนดจะให้เป็นภาพลักษณ์ ของพระบุตรของพระองค์ด้วย เพื่อพระบุตรจะได้เป็น บุตรคนแรกในบรรดาพี่น้องจำ�นวนมาก ผู้ที่ทรงกำ�หนด ไว้แล้วนั้นพระองค์ทรงเรียก ผู้ที่ทรงเรียกนั้น พระองค์ ทรงบันดาลให้เป็นผู้ชอบธรรม ผู้ที่ทรงบันดาลให้ชอบ ธรรมนั้น พระองค์ประทานพระสิริรุ่งโรจน์ให้ด้วย

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:44-52

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดี กลับไปขายทุกสิ่งที่มี นำ�เงินมาซื้อนาแปลงนั้น อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะ ไปขายทุกสิ่งที่มี นำ�เงินมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาว ประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่น นี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมี แต่การรํา่ ไห้ครํา่ ครวญและขบฟันด้วยความขุน่ เคือง ท่านทัง้ หลายเข้าใจเรือ่ งทัง้ หมดนีห้ รือไม่” บรรดาศิษย์ ทูลตอบว่า “เข้าใจแล้ว” พระองค์จงึ ตรัสว่า “ดังนัน้ ธรรมาจารย์ทกุ คนทีม่ าเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์กเ็ หมือนกับเจ้าบ้าน ที่นำ�ทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”

ชาวประมงออกเรือไปวางอวนในทะเลยามเย็น รุ่งเช้าก็ออกเรือไปกู้อวนที่วางไว้ สิ่งที่ได้คือกุ้ง หอย ปู ปลา ตามมาด้วยขยะ ถุงพลาสติก กิ่งไม้ ฯลฯ บางวันก็ได้แต่ขยะไม่ได้ปลาอย่างที่คิด ชีวิตแห่งการ ติดตามพระเยซูเจ้า การทำ�งานให้พระองค์ จะเลือกเอาแต่สิ่งที่ชอบ ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทอง ชื่อเสียง หรือความสุขอย่างเดียวไม่ได้ ต้องน้อมรับความยากลำ�บาก การถูกเหยียดหยาม ความไม่เข้าใจ ความยาก ลำ�บากในการทำ�งานด้วย เวลาทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงทำ�งานพระองค์กไ็ ด้รบั ทัง้ สองอย่างนีเ้ ช่นเดียวกัน แล้วเรา ที่เป็นศิษย์ติดตามพระองค์ จะเลือกเอาแต่สิ่งที่เราชอบได้อย่างไร


บทอ่านที่ 1

ยรม 13:1-11

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงไปซื้อผ้าป่านคาดสะเอวมาผืนหนึ่ง และคาดสะเอวของท่านไว้ แต่อย่าให้ผ้านั้นถูกนํ้า” ข้าพเจ้าจึงไปซื้อผ้าคาดสะเอวตาม พระวาจาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า นำ�มาคาดสะเอวไว้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอีก ว่า “จงรีบนำ�ผ้าคาดสะเอวที่ท่านซื้อมาคาดสะเอวนี้ ไปยังแม่นํ้ายูเฟรติส แล้วซ่อนผ้า นัน้ ไว้ในซอกหินแห่งหนึง่ ” ข้าพเจ้าก็ไปและซ่อนผ้าผืนนัน้ ไว้รมิ แม่นาํ้ ยูเฟรติสตามทีอ่ งค์ สัปดาห์ที่ 17 พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา ต่อมาอีกหลายวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงรีบ เทศกาลธรรมดา ไปที่ริมแม่นํ้ายูเฟรติส และนำ�ผ้าคาดสะเอวที่เราได้สั่งท่านให้ซ่อนไว้ที่นั่นกลับมา” ข้าพเจ้าจึงไปที่แม่นํ้ายูเฟรติส ค้นหาผ้าคาดสะเอวในที่ซึ่งข้าพเจ้าซ่อนไว้และนำ�ออกมา ฉธบ 32:18-19,20,21 ก็เห็นว่าผ้าคาดสะเอวนั้นเปื่อยยุ่ยจนใช้การไม่ได้ แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ว่า “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะทำ�ลายความเย่อหยิง่ ของยูดาห์และความหยิง่ ยโส ของกรุงเยรูซาเล็มเช่นเดียวกัน ประชากรชั่วนี้ที่ปฏิเสธไม่ยอมฟังถ้อยคำ�ของเรา ดื้อรั้น ทำ�ตามใจของตนและติดตามเทพเจ้าอืน่ เพือ่ รับใช้และกราบนมัสการเทพเจ้าเหล่านัน้ จะ เป็นเหมือนผ้าคาดสะเอวผืนนี้ที่ใช้การไม่ได้ ผ้าคาดสะเอวติดอยู่ที่บั้นเอวของมนุษย์ฉันใด เราก็ได้ทำ�ให้พงศ์ พันธุ์ทั้งหมดของอิสราเอลและพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของยูดาห์ติดอยู่กับเราฉันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เพื่อเขา ทัง้ หลายจะได้เป็นประชากร เป็นชือ่ เสียง เป็นทีส่ รรเสริญ เป็นความภูมใิ จของเรา แต่เขาทัง้ หลายก็ไม่ยอมฟัง”

พระวรสาร

มธ 13:31-35

เวลานั้น พระองค์ตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีผู้นำ� ไปหว่านในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้น ผักอื่นๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำ�รังอาศัยบนกิ่งได้” พระองค์ยังตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำ�มา เคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น” พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องทั้งหมดนี้แก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำ�รัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า “เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา เราจะกล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก”

ความทุกข์ในชีวิตของคนเรา แบ่งออกเป็น ทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ ทุกข์ทางกาย คือ ร้อน หนาว เจ็บไข้ได้ปว่ ย ทุกข์ทางใจ คือ สิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ไม่เป็นไปดังทีเ่ ราคาดหวังหรืออยากให้เป็น เรือ่ งทีผ่ า่ นไปแล้วในอดีต และเรื่องที่ยังอยู่ในอนาคต ทุกข์กายทุกข์ใจบางเรื่องผ่านไปตั้งนานแล้ว แต่บางครั้งผลหรือแผลของมันยังคง ติดตามเราอยู่ตลอดชีวิต นั่นเป็นเพราะเราปล่อยวางไม่เป็น อีกทั้งสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น เราก็กังวลมากจนเกิน ไป จนทำ�ให้เวลาในปัจจุบนั ของเราสูญเสียไป ชีวติ ของเราจึงมีแต่ความทุกข์อยูต่ ลอดเวลา จงกล้าทีจ่ ะตัดความ ทุกข์จากอดีต และความกังวลใจในอนาคตออกไป และดำ�เนินชีวติ ในปัจจุบนั อย่างดีทสี่ ดุ ความทุกข์จงึ จะหมด ไปจากชีวิตของเรา


บทอ่านที่ 1

ยรม 14:17-22

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสสัง่ ข้าพเจ้า ให้ไปประกาศถ้อยคำ�นีแ้ ก่เขาทัง้ หลายว่า “ตาของ เราน่าจะหลั่งนํ้าตาทั้งคืนทั้งวันโดยไม่หยุด เพราะบุตรหญิงพรหมจารีของประชากรของ เราได้รับภัยพิบัติยิ่งใหญ่ เป็นบาดแผลสาหัสไม่มีทางรักษาให้หายได้ ถ้าเราออกไปใน ทุ่งนา ก็เห็นผู้ถูกฆ่าด้วยดาบ ถ้าเราเข้าไปในกรุง ก็เห็นผู้ที่อดอาหารตาย ทั้งบรรดา ประกาศกและสมณะเดินไปมาในแผ่นดิน โดยไม่รู้ว่าจะทำ�อะไร” ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทอดทิ้งยูดาห์โดยสิ้นเชิงแล้วหรือ พระองค์ ทรงรังเกียจศิโยนแล้วหรือ ทำ�ไมพระองค์จึงทรงเฆี่ยนตีข้าพเจ้าทั้งหลาย ให้บาดเจ็บจน ไม่มีทางรักษา ข้าพเจ้าทั้งหลายรอคอยสันติภาพ แต่ไม่มีอะไรดีเกิดขึ้น รอคอยเวลาให้ หายจากโรค ก็มแี ต่ความน่าสยดสยอง ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ข้าพเจ้าทัง้ หลายยอมรับ ความเลวร้ายของตน และความชั่วร้ายของบรรพบุรุษ ข้าพเจ้าได้ทำ�บาปผิดต่อพระองค์ เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออย่าทรง ปล่อยให้ที่ประทับแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ถูกลบหลู่ โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้า ทั้งหลาย และอย่าทรงเพิกถอนพันธสัญญาที่ทรงทำ�ไว้กับข้าพเจ้าทั้งหลายเลย...

พระวรสาร

ระลึกถึง น.มาร์ธา สดด 79:8-9,11,13

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

ลก 10:38-42

ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้ หนึง่ ชือ่ มารธารับเสด็จพระองค์ทบี่ า้ น นางมีนอ้ งสาวชือ่ มารียซ์ งึ่ นัง่ อยูแ่ ทบพระบาทขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า คอย ฟังพระวาจาของพระองค์ มารธากำ�ลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สน พระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง” แต่องค์ พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่จำ�เป็นมีเพียงสิ่งเดียวมา รีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้”

คนที่ชอบทำ�งาน แม้มีผลงานมากมาย แต่ไม่ได้ทำ�ด้วยความรัก ทำ�ไปเพราะความเห็นแก่ตัว อวดรู้ และ หวังผลประโยชน์ใส่ตัวเอง แม้ทำ�มากมายพระเจ้าก็ไม่ชื่นชม คนทีช่ อบสวดภาวนา แต่ขาดซึง่ กิจการแห่งความรัก ออกนอกวัดก็ดา่ ว่า นินทา คดโกง ไม่ซอื่ สัตย์ กลาย เป็นพวกมือถือสากปากถือศีล พูดดีแต่ทำ�ไม่ดี หลงตัวเอง และสร้างวิมานอยู่ในอากาศ ก็เป็นคนศรัทธาจอม ปลอม คนดี ย่อมคิดดี พูดดี และทำ�ดี กิจการที่เขาทำ� ไม่ว่าเล็กหรือว่าใหญ่ ล้วนแล้วแต่ดี ไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่หมกเม็ดซ่อนรูป แต่เปิดเผยจริงใจ คนแบบนี้คือคนที่มีความสมดุลทั้งภายนอกและภายใน คือชีวิตภายใน ดีและชีวิตภายนอกก็ดีด้วยเช่นเดียวกัน


น.เปโตร คริโซโลโก พระสังฆราชและ นักปราชญ์แห่ง พระศาสนจักร สดด 59:1-4,9-10,16,17

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1

ยรม 15:10,16-21

พระวรสาร

มธ 13:44-46

แม่จ๋า วิบัติจงเกิดแก่ลูก ทำ�ไมแม่จึงคลอดลูกออกมา เป็นเหตุให้ผู้คนทั่วแผ่นดิน ต้องแตกแยกและทะเลาะวิวาทกัน ลูกไม่ได้ให้ยืม และไม่ได้ยืมใคร แต่ทุกคนสาปแช่ง ลูก เมื่อข้าพเจ้าพบพระวาจา ข้าพเจ้าก็ได้กินพระวาจานั้น พระวาจาของพระองค์เป็น ความชื่นบาน และเป็นความยินดีของจิตใจข้าพเจ้า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล เพราะข้าพเจ้าเป็นของพระองค์ ข้าพเจ้าไม่เคยนัง่ เพือ่ ความสนุก ร่วมหมูก่ บั คนชอบเยาะ เย้ยผู้อื่น ข้าพเจ้านั่งอยู่คนเดียวเพราะพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะ พระองค์ทรงบันดาลให้ข้าพเจ้าโกรธมาก แล้วทำ�ไมความทุกข์ทรมานของข้าพเจ้าจึงไม่รู้ จักจบ ทำ�ไมบาดแผลของข้าพเจ้าจึงรักษาไม่หาย ไม่ยอมหาย สำ�หรับข้าพเจ้า พระองค์ ทรงเป็นเหมือนลำ�ธารที่ทำ�ให้ผิดหวัง เพราะนํ้าไม่แน่นอน ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า “ถ้าท่านกลับใจ เราจะให้ท่านกลับมา และ ท่านจะยืนอยูต่ อ่ หน้าเรา ถ้าท่านรูจ้ กั แยกสิง่ ประเสริฐจากสิง่ ไร้คา่ ท่านจะเป็นเหมือนปาก ของเรา เขาทั้งหลายจะกลับมาหาท่าน แต่ท่านต้องไม่กลับไปหาเขา เราจะทำ�ให้ท่านเป็น เหมือนกำ�แพงทองสัมฤทธิ์ ที่มั่นคงสำ�หรับประชากรนี้ เขาทั้งหลายจะต่อสู้กับท่าน แต่ จะไม่ชนะท่าน เพราะเราอยู่กับท่าน เพื่อช่วยท่านให้รอดพ้นและปลดปล่อยท่าน องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส เราจะช่วยท่านให้พน้ จากมือของคนชัว่ จะไถ่ทา่ นจากมือของผูใ้ ช้ความ รุนแรง” เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กบั ขุมทรัพย์ทซี่ อ่ นอยูใ่ นทุง่ นา คนทีพ่ บก็ฝงั ซ่อนสมบัติ นั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มี นำ�เงินมาซื้อนาแปลงนั้น อาณาจักรสวรรค์ยงั เปรียบได้อกี กับพ่อค้าทีแ่ สวงหาไข่มกุ เม็ดงาม เมือ่ ได้พบไข่มกุ ที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มี นำ�เงินมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น”

ถ้าคนที่พบขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา เอาทรัพย์สินไปขาย คนเขาก็จะสงสัยว่าไป เอาทรัพย์สินมาจากที่ไหน ขโมยมาหรือเปล่า เมื่อเจ้าของทุ่งนามาพบ ก็สามารถเรียก ร้องเอากลับคืนไปก็ได้ แต่คนทีพ่ บขุมทรัพย์นฉี้ ลาดรอบคอบ เพราะการเอาเงินมาซือ้ ทุง่ นานี้ ก็จะได้เป็นกรรมสิทธิท์ งั้ ทรัพย์สนิ บนทุง่ นา และสินทรัพย์ในทุง่ นาอย่างถูกต้องตาม กฎหมาย ถ้าชีวิตคริสตชนของเราทุ่มเทเพื่อที่จะได้มี “พระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลาง” ของ ชีวิต เราจะได้ทุกอย่าง ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า


บทอ่านที่ 1

ยรม 18:1-6

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเยเรมีย์ดังนี้ว่า “จงรีบไปที่บ้านของช่างปั้นหม้อ แล้วเรา จะแจ้งถ้อยคำ�ของเราแก่ทา่ นทีน่ นั่ ” ข้าพเจ้าจึงลงไปทีบ่ า้ นของช่างปัน้ หม้อ เห็นเขากำ�ลัง ทำ�งานอยู่ที่แป้นหมุน แต่ภาชนะที่เขากำ�ลังใช้ดินเหนียวปั้นอยู่นั้นเสียรูปใช้ไม่ได้ ดังที่ อาจเกิดกับดินเหนียวในมือของช่างปัน้ หม้อ เขาจึงใช้ดนิ เหนียวนัน้ ปัน้ ภาชนะอีกใบหนึง่ ตามที่เขาคิดว่าเหมาะสม แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พงศ์พันธุ์อิสราเอล เอ๋ย เราจะทำ�กับท่านอย่างที่ช่างปั้นหม้อคนนี้ทำ�ไม่ได้หรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส ดูซิ ระลึกถึง น.อิกญาซีโอ เด โลโยลา พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ดินเหนียวอยู่ในมือของช่างปั้นหม้ออย่างไร ท่านทั้งหลายก็อยู่ พระสงฆ์ ในมือของเราอย่างนั้น สดด 146:1-2,3-4,5-6

พระวรสาร

มธ 13:47-53

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด เมื่อ อวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึน้ ฝัง่ นัง่ ลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิง้ ไป เมือ่ ถึงเวลาสิน้ โลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมือ่ ถึงคราวสิน้ โลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชัว่ ออก จากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญและขบฟันด้วย ความขุ่นเคือง” “ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่” บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า “เข้าใจแล้ว” พระองค์จึงตรัสว่า “ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ก็ เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำ�ทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน” เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาเหล่านี้จบแล้ว พระองค์เสด็จออกจากที่นั่น ช่างปั้นหม้อ ปั้นดินขึ้นตามที่ใจคิด เพื่อให้ได้ภาชนะดังที่ต้องการจะนำ�ไปใช้ฉันใด พระเป็นเจ้าก็ทรงมีแผนการสำ�หรับเรา เพือ่ ทีจ่ ะได้ใช้เราให้เป็นเครือ่ งมือทีด่ ขี องพระองค์ ฉันนั้น เรายอมให้พระเป็นเจ้าใช้เราอย่างที่พระองค์ต้องการหรือไม่ ในกระแสเรียกที่เรา ได้รบั ในชีวติ ประจำ�วัน หรือว่าเราเลือกทำ�ตามใจของเราเอง แม้วา่ จะประสบความสำ�เร็จ มีคนมาชืน่ ชมแต่กไ็ ม่มปี ระโยชน์อะไรสำ�หรับพระเป็นเจ้า จงดำ�เนินชีวติ ตามพระประสงค์ ของพระองค์เถิด และเมื่อพระองค์วางเราไว้ ณ ที่ใด กับใคร และอย่างไร จงดำ�เนินชีวิต อย่างดีที่สุดเพื่อที่เราจะได้เป็นภาชนะลํ้าค่าที่บรรจุพระองค์ไว้ตลอดไป

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.