บทอ่านที่ 1 ปฐก 18:1-15 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่อบั ราฮัมทีห่ มูต่ น้ โอ๊กของมัมเร ขณะ นั้นเป็นเวลาแดดร้อนจัด อับราฮัมกำ�ลังนั่งอยู่ที่ประตูกระโจม เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายสามคนยืนอยู่ใกล้ตน ทันทีที่เห็น อับราฮัมก็วิ่งจากประตูกระโจมไป ต้อนรับและกราบลงที่พื้นดิน เขาพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าท่านโปรดปราน ข้าพเจ้า โปรดอย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเลย... ขอให้ข้าพเจ้ารับใช้ท่านเถิด” เขา ทั้งสามคนจึงตอบว่า “จงทำ�ตามที่ท่านพูดนั้นเถิด”... เขาเหล่านัน้ ถามว่า “นางซาราห์ ภรรยาของท่านอยูท่ ไี่ หน” อับราฮัมตอบว่า “นางอยู่ในกระโจม” คนหนึ่งจึงพูดว่า “ปีหน้า เราจะกลับมาหาท่านอีกอย่าง แน่นอน นางซาราห์ภรรยาของท่านจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” นางซาราห์ฟังอยู่ที่ ประตูกระโจมเบื้องหลังอับราฮัม อับราฮัมและนางซาราห์ชรามากแล้ว ทั้งประจำ� เดือนของนางซาราห์ก็หมดไปแล้วด้วย นางซาราห์จึงหัวเราะอยู่ในใจ... แต่องค์ พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามอับราฮัมว่า “ทำ�ไมนางซาราห์จึงหัวเราะ... เมื่อถึงเวลา กำ�หนดเราจะกลับมาหาท่านในปีหน้า และนางซาราห์จะมีบุตรชายคนหนึ่ง”...
สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา ลก 1:46-48,49-51, 52-55
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร มธ 8:5-17 เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม นายร้อยคนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูล อ้อนวอนว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าเป็นอัมพาตนอนอยู่ที่บ้าน ต้องทรมานอย่างสาหัส” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” แต่นายร้อยทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำ�เดียวเท่านั้น ผูร้ บั ใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค ข้าพเจ้าเป็นคนอยูใ่ ต้บงั คับบัญชา แต่ยงั มีทหารอยูใ่ ต้บงั คับบัญชา ด้วย ข้าพเจ้าสั่งทหารคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งอีกคนหนึ่งว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพเจ้าสั่งผู้รับใช้ว่า ‘ทำ� นี’่ เขาก็ท�ำ ” เมือ่ พระเยซูเจ้าทรงได้ยนิ เช่นนี้ ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสแก่บรรดาผูต้ ดิ ตามว่า “เรา บอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชือ่ มากเช่นนีใ้ นอิสราเอลเลย... แล้วพระ เยซูเจ้าจึงตรัสกับนายร้อยว่า “จงไปเถิด จงเป็นไปตามทีท่ า่ นเชือ่ นัน้ เถิด” ผูร้ บั ใช้ของเขาก็หายจากโรค ในเวลานั้นเอง เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านของเปโตร ทรงเห็นมารดาของภรรยาเปโตรนอนป่วยเป็นไข้ พระองค์จึงทรงจับมือนาง นางก็หายไข้ ลุกขึ้นและปรนนิบัติรับใช้พระองค์ เย็นวันนั้น ประชาชนนำ�ผู้ถูกปีศาจสิงจำ�นวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงขับปีศาจเหล่านี้ ออกไปด้วยพระวาจา และทรงบำ�บัดรักษาผู้ป่วยทุกคน... “มีสิ่งใดที่ยากเกินไปสำ�หรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ” เป็นคำ�พูดที่ทูตสวรรค์กล่าวกับอับราฮัม และนางซาราห์ เป็นคำ�พูดทีย่ นื ยันมัน่ คงว่า พระเจ้าทรงกระทำ�ได้ทกุ สิง่ แม้อบั ราฮัมและนางซาราห์จะมีอายุ มากแล้ว ตามประสามนุษย์ก็คงจะไม่มีลูกได้แล้ว แต่พระเจ้าได้มอบลูกให้กับท่านทั้งสอง พระเจ้าได้รักษา ผูร้ บั ใช้ของนายร้อยผูน้ นั้ ให้หายจากการเป็นอัมพาต เพราะความเชือ่ อันมากมายทีน่ ายร้อยผูน้ นั้ มี และมารดา ของภรรยาของเปโตรได้หายจากการป่วยไข้ เพียงพระเยซูเจ้าทรงจับมือของนางเท่านั้น ทั้ง 3 กรณีนี้เป็น ไปได้ ก็เพราะความเชื่อมั่นที่มีต่อพระเจ้า ให้เราวอนขอพระเจ้า ประทานความเชื่อที่มั่นคงให้กับข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเทอญ
สมโภช น.เปโตร และ น.เปาโล อัครสาวก
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 12:1-11 เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเริ่มเบียดเบียนสมาชิกบางคนของพระศาสนจักร พระองค์ทรงประหารชีวิตยากอบพี่ชายของยอห์นโดยตัดศีรษะ เมื่อทรงเห็นว่า ชาวยิวพอใจ จึงทรงจับกุมเปโตรด้วย ขณะนั้น อยู่ในระหว่างเทศกาลขนมปัง ไร้เชื้อ เมื่อทรงจับกุมเปโตรแล้ว ก็ทรงจองจำ�เขาไว้ในคุก ให้ทหารสี่หมู่ หมู่ละสี่ คนควบคุมไว้ ตั้งพระทัยว่าเมื่อสิ้นเทศกาลปัสกาแล้วจะทรงนำ�ไปพิจารณาคดีต่อ หน้าประชาชน ขณะที่เปโตรถูกจองจำ�อยู่ในคุก พระศาสนจักรอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้า เพื่อเขาตลอดเวลา คืนก่อนที่กษัตริย์เฮโรดจะทรงนำ�เปโตรไปพิจารณาคดี เปโตรนอนหลับอยู่ ระหว่างทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และมีทหารยามเฝ้าหน้าประตูคกุ ทันใด นั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้ามาใกล้ มีแสงสว่างจ้าในห้องขัง ทูตสวรรค์สะกิดข้างกายเปโตรปลุกให้ตื่นขึ้น แล้วสั่งว่า “เร็วเข้า ลุกขึ้นเถอะ” โซ่ ก็หลุดไปจากมือของเปโตร ทูตสวรรค์สั่งเปโตรว่า “จงคาดสะเอวและสวมรองเท้า” เปโตรก็ทำ�ตาม ทูต สวรรค์สงั่ อีกว่า “จงสวมเสือ้ คลุม แล้วตามข้าพเจ้ามาเถิด” เปโตรจึงตามทูตสวรรค์ ออกไป ไม่รู้สึกตัวว่าสิ่งที่ทูตสวรรค์กำ�ลังทำ�ให้ตนนั้นเกิดขึ้นจริง คิดว่ากำ�ลังเห็น นิมติ ทูตสวรรค์และเปโตรผ่านยามชัน้ ทีห่ นึง่ ชัน้ ทีส่ อง มาถึงประตูเหล็กทีเ่ ป็นทาง ผ่านเข้าไปในเมือง ประตูนั้นก็เปิดได้เอง ทูตสวรรค์และเปโตรจึงออกไปเดินตาม ถนนสายหนึ่ง แล้วทูตสวรรค์ก็หายไปในทันที เปโตรรู้สึกตัว พูดว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้แน่แล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งทูต สวรรค์มาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์เฮโรดและจากความมุ่งร้าย ทั้งหลายของประชาชนชาวยิว” เพลงสดุดี สดด 34:1-2,3-4,5-7,8-10 ก) ข้าพเจ้าจะถวายพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล คำ�สรรเสริญพระองค์จะติดอยู่กับริมฝีปากของข้าพเจ้าเสมอ จิตใจข้าพเจ้าจะภูมิใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ตํ่าต้อยจงฟังและชื่นชมเถิด ข) จงประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกับข้าพเจ้าเถิด เราจงโห่ร้องถวายชัยแด่พระนามของพระองค์พร้อมกัน ข้าพเจ้าแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความกลัวทั้งมวล ค) จงจับตาดูพระองค์ แล้วใบหน้าของท่านจะสดใส ไม่มีวันจะต้องอับอายเลย
คนยากจนร้องทูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงฟัง ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากความคับแค้นทั้งหลาย ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งค่ายอยู่โดยรอบผู้ยำ�เกรงพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเขาให้พ้นภัย บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง 2 ทธ 4:6-8,17-18 พี่น้อง ชีวิตของข้าพเจ้ากำ�ลังจะถูกถวายเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะต้องจาก ไป ข้าพเจ้าต่อสูม้ าอย่างดี วิง่ มาถึงเส้นชัย และรักษาความเชือ่ ไว้แล้ว ยังเหลืออยูก่ เ็ พียงมงกุฎแห่งความ ชอบธรรม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรมจะประทานให้ข้าพเจ้าในวันนั้น และ ไม่ใช่เพียงให้ขา้ พเจ้าเท่านัน้ แต่จะประทานให้ทกุ คนทีม่ คี วามรักเฝ้ารอคอยการแสดงพระองค์ดว้ ยเช่น เดียวกัน มีแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนอยู่เคียงข้างและประทานกำ�ลังแก่ข้าพเจ้า เพื่อการประกาศข่าวดี จะได้สำ�เร็จไปโดยทางข้าพเจ้า และคนต่างชาติทั้งหลายจะได้ฟังข่าวดี ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถูกฉุดให้พ้น จากปากสิงโตมาได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการประทุษร้ายทั้งสิ้น และจะทรง นำ�ข้าพเจ้าไปสู่พระอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์อย่างปลอดภัย ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ ตลอดนิรันดรเทอญ อาเมน บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 16:13-19 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟีลิปและตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้ง หลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำ�พิธีล้าง บ้างกล่าว ว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระ คริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่าน เป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ทเี่ ปิดเผยให้ทา่ นรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผูส้ ถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอก ท่านว่า ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระ ศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” การจะปลูกบ้านสักหลัง ย่อมต้องมีเสาเอก หรือเสาหลัก เพื่อให้บ้านตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง แข็งแรง นักบุญเปโตรและนักบุญเปาโลก็เปรียบได้กับเสาหลักของพระศาสนจักรที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งขึ้น นักบุญเปโตรเป็นเสาหลักแห่งความเชื่อที่มั่นคงแข็งแรง นักบุญเปาโลเป็นเสาหลักของการประกาศพระ อาณาจักรของพระเจ้า แม้ท่านทั้งสองจะเคยผิดพลาดในอดีต นักบุญเปโตรปฏิเสธไม่รู้จักพระเจ้าถึง 3 ครั้ง นักบุญเปาโลเคยเบียดเบียนพระองค์และบรรดาคริสตชน แต่เมือ่ ท่านผิดไปแล้ว ท่านสำ�นึกและกลับใจ และ เปลี่ยนชีวิต ท่านทั้งสองอุทิศตนทั้งชีวิตเพื่อองค์พระเยซูเจ้า พระเป็นเจ้าจึงทรงอยู่เคียงท่านทั้งสอง และ โปรดให้ทา่ นทัง้ สองอยูใ่ นสวรรค์กบั พระองค์ชวั่ นิรนั ดร ข้าแต่ทา่ นนักบุญเปโตรและเปาโล ช่วยวิงวอนเทอญ
ฉลอง น.โทมัส อัครสาวก สดด 117:1,2
บทอ่านที่ 1 อฟ 2:19-22 พีน่ อ้ ง ท่านจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือผูม้ าขออาศัยอีกต่อไป แต่เป็นเพือ่ นร่วม ชาติกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ถูกสร้างขึ้นเป็น อาคารโดยมีบรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็น ศิลาหัวมุม พระคริสตเจ้าทรงทำ�ให้อาคารทุกส่วนต่อกันสนิทเจริญขึ้นเป็นพระ วิหารศักดิส์ ทิ ธิเ์ พือ่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ในพระคริสตเจ้า ท่านทัง้ หลายก็เช่นเดียวกัน กำ�ลังถูกก่อสร้างร่วมกันขึ้นเป็นที่ประทับของพระเจ้า เดชะพระจิตเจ้า พระวรสาร ยน 20:24-29 เวลานั้น โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบ สองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคนอื่นๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอื่นบอก เขาว่า “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็น รอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำ�ที่ ด้านข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยูด่ ว้ ยกันในบ้านนัน้ อีก โทมัสก็อยูก่ บั เขาด้วย พระ เยซูเจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสขุ จงสถิตกับท่านทัง้ หลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิว้ มาทีน่ ี่ และ ดูมอื ของเราเถิด จงเอามือมาทีน่ ี่ คลำ�ทีส่ ขี า้ งของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชือ่ เถิด” โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของ ข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้ เห็น ก็เป็นสุข” นักบุญโทมัสอาจจะได้ช่ือว่าเป็นคนหัวดื้อ เพราะท่านกล่าวว่า “ถ้า ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ ไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอา มือคลำ�ที่ด้านข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แน่ละมันเป็นความสงสัย เพราะมันเป็นเรื่องที่สำ�คัญมาก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หรือเรื่องเล็กๆ หรือเรื่องที่จะเกิดขึ้น ได้ง่ายๆ ท่านจึงต้องการความมั่นใจ และที่สำ�คัญคือ เมื่อท่านมั่นใจแล้ว ท่านกลับมี ความเชื่ออย่างสนิทใจ และอุทิศตนเพื่อองค์พระเจ้าสุดชีวิตของท่าน ข้าแต่ท่านนักบุญโทมัส โปรดเสนอวิงวอนพระเจ้า ให้ข้าพเจ้าคลายความสงสัย และขอโปรดให้ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นคงในพระเจ้าด้วยเทอญ
บทอ่านที่ 1 ปฐก 19:15-29 ครั้นรุ่งเช้า ทูตสวรรค์ก็เร่งโลทว่า “ลุกขึ้นเถิด จงพาภรรยาและบุตรหญิงทั้ง สองคนของท่านที่อยู่ที่นี่ออกไป ท่านจะได้ไม่ถูกทำ�ลายพร้อมกับความพินาศของ เมืองนี”้ โลทยังรีรอ แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงพระเมตตาต่อเขา ทูตสวรรค์ทงั้ สอง องค์จึงจูงมือโลท ภรรยาและบุตรหญิงทั้งสองคนของเขา พาออกไปปล่อยไว้นอก เมือง น.เอลีซาเบธ เมือ่ พาออกมานอกเมืองแล้ว ทูตสวรรค์องค์หนึง่ กล่าวว่า “จงหนีให้รอดชีวติ ราชินีแห่งโปรตุเกส อย่าเหลียวหลังกลับ หรือหยุดในที่ลุ่มแม่นํ้า จงหนีไปที่ภูเขาเถิด มิฉะนั้น ท่านจะ สดด 26:2-3, ถูกทำ�ลายไปด้วย” แต่โลทตอบว่า “อย่าเลย เจ้านายของข้าพเจ้า เมื่อท่าน 9-10,11-12 โปรดปรานผู้รับใช้ของท่าน ท่านได้แสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 แล้ว แต่ขา้ พเจ้าจะหนีไปถึงภูเขาไม่ได้ ก่อนทีภ่ ยั พิบตั จิ ะมาถึงและข้าพเจ้าจะตาย ท่านเห็นเมืองเล็กๆ เมืองนั้นไหม เมืองนั้นอยู่ใกล้พอที่จะหนีไปถึง ขอให้ข้าพเจ้า หนีไปที่นั่นเถิด เมืองนั้นเป็นเมืองเล็กๆ และข้าพเจ้าจะรอดชีวิตได้” ทูตสวรรค์ตอบว่า “เรายอมตาม คำ�ขอของท่านในเรื่องนี้ เราจะไม่ทำ�ลายเมืองที่ท่านพูดถึง เร็วเข้าเถิด จงหนีไปที่นั่นเพราะเราจะทำ�สิ่ง ใดไม่ได้จนกว่าท่านจะไปถึงที่นั่น” ดังนั้น เมืองนั้นจึงมีชื่อว่าโศอาร์ ดวงอาทิตย์ขนึ้ แล้ว เมือ่ โลทมาถึงเมืองโศอาร์ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงบันดาลให้ก�ำ มะถันและไฟตก จากฟ้า เผาเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ พระองค์ทรงทำ�ลายสองเมืองนี้ ลุ่มแม่นํ้าทั้งหมดพร้อมกับ ชาวเมือง และพืชต่างๆ ที่นั่น ส่วนภรรยาของโลทเหลียวหลังกลับไปดูจึงกลายเป็นเสาเกลือ เช้าวันรุ่งขึ้น อับราฮัมรีบกลับไปยังที่ที่เขาได้ยืนเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า มองลงไปทางเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์ และพื้นที่ลุ่มแม่นํ้า เห็นควันพลุ่งขึ้นจากพื้นดินเหมือนควันจากเตาไฟ เมื่อพระเจ้าทรงทำ�ลายเมืองในลุ่มแม่นํ้า พระองค์ทรงระลึกถึงอับราฮัม ทรงพาโลทออกไปให้พ้น จากความหายนะ เมื่อทรงทำ�ลายเมืองที่โลทอาศัยอยู่ พระวรสาร มธ 8:23-27 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือ บรรดาศิษย์ติดตามพระองค์ไปด้วย ทันใดนั้น เกิดพายุแรงกล้า ในทะเลสาบ คลื่นสูงจนไม่เห็นเรือ แต่พระองค์บรรทมหลับ บรรดาศิษย์จึงเข้ามาปลุกพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วยเถิด เรากำ�ลังจะพินาศอยูแ่ ล้ว” พระองค์จงึ ตรัสกับเขาว่า “ทำ�ไมจึงตกใจกลัว เล่า ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเหลือเกิน” แล้วทรงลุกขึ้นบังคับลมและทะเล ท้องทะเลก็สงบราบเรียบ คนทั้งหลายต่างประหลาดใจ พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้” “ทำ�ไมจึงตกใจกลัวเล่า ท่านช่างมีความเชือ่ น้อยเหลือเกิน” พระเยซูเจ้าทรงตำ�หนิบรรดาศิษย์ ทีต่ ดิ ตามพระองค์ เพราะพวกเขากำ�ลังเผชิญอยูก่ บั พายุแรงกล้า และคลืน่ ทีใ่ หญ่โต เป็นความกลัวตาย พระ เยซูเจ้าทรงลุกขึ้นบังคับลมและทะเล ท้องทะเลก็สงบราบเรียบ ชีวิตของคนเราแต่ละคน และแต่ละวัน หลายครั้งที่เราต้องพบเจอกับปัญหาและอุปสรรค หรือสิ่งร้ายๆ และแน่นอนว่าเราคงตกอยู่ในความกลัว พระวาจาของพระเจ้าวันนี้สอนเราว่า เมื่อเราประสบอยู่ในอันตรายต่างๆ หากมีพระเยซูเจ้าอยู่กับเรา พระองค์ย่อมทรงช่วยเหลือเราได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเราว่า ขณะนั้นเราจะพบเจอพระเยซูเจ้า เราได้เรียกหา พระองค์เหมือนกับบรรดาศิษย์เหล่านั้นหรือไม่?!?
บทอ่านที่ 1 ปฐก 21:5,8-20 อับราฮัมมีอายุหนึง่ ร้อยปีเมือ่ อิสอัคเกิด อิสอัคเติบโตขึน้ และหย่านม อับราฮัม จัดงานเลี้ยงใหญ่ในวันที่อิสอัคหย่านม วันหนึ่ง นางซาราห์เห็นบุตรชายที่นาง ฮาการ์หญิงชาวอียปิ ต์คลอดแก่อบั ราฮัมกำ�ลังเล่นอยูก่ บั อิสอัคบุตรของตน นางจึง บอกอับราฮัมว่า “จงไล่นางทาสนีก้ บั บุตรของนางออกไป เพราะบุตรของนางทาส จะต้องไม่ได้รับส่วนแบ่งในมรดกร่วมกับอิสอัคบุตรของฉัน” ถ้อยคำ�เช่นนี้ทำ�ให้ น.อันตน มารีย์ อับราฮัมกลุ้มใจมาก เพราะบุตรของทาสหญิงก็เป็นบุตรของเขาด้วย พระเจ้าตรัส ซักกาเรีย กับอับราฮัมว่า “อย่ากลุม้ ใจเพราะเด็กและทาสหญิงของท่านเลย จงทำ�ตามทีน่ าง พระสงฆ์ ซาราห์บอกเถิด เพราะลูกหลานจะมีชื่อของท่านโดยทางอิสอัค เราจะทำ�ให้บุตร สดด 34:5-7, ของทาสหญิงเป็นชนชาติใหญ่ดว้ ย เพราะเขาก็เป็นบุตรของท่านเช่นเดียวกัน” เช้า 9-10,11-12 ตรู่วันรุ่งขึ้น อับราฮัมนำ�อาหารและถุงหนังใส่นํ้าวางบนบ่าของนางฮาการ์ มอบ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 บุตรชายแก่นางแล้วส่งนางออกไป นางออกเดินทางเร่ร่อนไปในถิ่นทุรกันดารเบเออร์เชบา เมื่อนํ้าในถุงหนังหมด นางปล่อยบุตรไว้ ใต้พุ่มไม้ แล้วเดินไปนั่งอยู่ห่างๆ ระยะประมาณหนึ่งร้อยเมตร คิดในใจว่า “ฉันไม่อยากเห็นลูกตาย” ขณะที่นางนั่งอยู่ใกล้ๆ นั้น นางก็เริ่มร้องไห้ พระเจ้าทรงได้ยินเสียงเด็กร้อง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจากสวรรค์เรียกนางฮาการ์ว่า “ฮาการ์เอ๋ย ท่านเป็นอะไรไป อย่ากลัวเลย เพราะพระเจ้าทรงได้ยนิ เสียงเด็กร้องจากทีท่ เี่ ขาอยูแ่ ล้ว จงลุกขึน้ ไปอุม้ เด็กมาและดูแลเขาไว้ให้ดีเถิด เพราะเราจะทำ�ให้เขาเป็นชนชาติใหญ่” แล้วพระเจ้าทรงบันดาลให้นาง เห็นบ่อนํ้า นางจึงเดินไปตักนํ้าใส่ถุงจนเต็มนำ�มาให้เด็กดื่ม พระเจ้าสถิตกับเด็กนั้น เขาเจริญเติบโตขึ้นและอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เป็นนายพรานที่ชำ�นาญ พระวรสาร มธ 8:28-34 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามฟากมาถึงดินแดนของชาวกาดารา ผู้ถูกปีศาจสิงสองคนออกจาก บริเวณหลุมศพมาเฝ้าพระองค์ ทัง้ สองคนดุรา้ ยมากจนไม่มใี ครเดินผ่านทางนัน้ ได้ ทันใดนัน้ ทัง้ สองคน ร้องตะโกนว่า “ข้าแต่บตุ รของพระเจ้า ท่านมายุง่ กับเราทำ�ไม ท่านมาทีน่ เี่ พือ่ ทรมานเราก่อนเวลาหรือ” ไม่ไกลจากที่นั่นมีหมูฝูงใหญ่กำ�ลังหากินอยู่ พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า “ถ้าท่านขับไล่พวกเรา ขอได้ส่งเราเข้าไปในหมูฝูงนั้นเถิด” พระองค์ตรัสกับมันว่า “จงไปเถิด” พวกปีศาจจึงออกไปสิงในหมู หมูทั้งฝูงต่างวิ่งกระโจนจากหน้าผา ลงไปในทะเลสาบ จมนาํ้ ตาย คนเลีย้ งหมูหนีเข้าไปในเมืองเล่าเรือ่ งทัง้ หมดนีแ้ ละเรือ่ งผูถ้ กู ปีศาจสิงด้วย คนทั้งเมืองต่างออกมาเฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นพระองค์ ก็ทูลขอพระองค์ให้เสด็จออกไปจากเขตแดน ของเขา อีกครัง้ หนึง่ ทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงแสดงอำ�นาจของการเป็นบุตรของพระเจ้า ทรงขับไล่ปศี าจทีส่ งิ อยู่ในคนสองคนนั้น ปีศาจจำ�นวนเป็นพันก็ต้องถูกพระองค์ขับไล่ออกไป พระเจ้าทรงดูแล และเลี้ยงดู ประชากรของพระองค์ให้รอดปลอดภัย ลูกของอับราฮัมทีเ่ กิดจากฮาการ์ทาสหญิง พระเจ้าก็ยงั ทรงเมตตา ชีวิตของเราทุกคนก็เช่นกัน พระเจ้าทรงดูแลเลี้ยงดูเสมือนหนึ่งบุตรของพระองค์อย่างแน่นอน หากเรา เชื่อ-ไว้ใจ และนมัสการพระองค์
6
พฤหัสบดี บทอ่านที่ 1 ปฐก 22:1-19 ต่อมาไม่นาน พระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม พระองค์ตรัสเรียกเขา...ตรัสว่า “จง พาอิสอัคบุตรของท่าน บุตรคนเดียวที่ท่านรักไปยังดินแดนโมริยาห์ แล้วถวายเขา เป็นเครื่องเผาบูชาบนภูเขาที่เราจะบอกให้ท่านรู้” กรกฎาคม เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อับราฮัมใส่อานบนหลังลา พาผู้รับใช้สองคนและอิสอัคบุตร ชายไปด้วย... อับราฮัมให้อิสอัคแบกฟืนสำ�หรับใช้เผาบูชา ส่วนตนถือไฟและมีด น.มารีย์ กอแรตตี แล้วทัง้ สองคนเดินทางไปด้วยกัน อิสอัคพูดกับอับราฮัม บิดาของตนว่า “พ่อครับ” พรหมจารี อับราฮัมถามว่า “อะไรหรือลูก” อิสอัคพูดต่อไปว่า “ดูซิ ที่นี่มีไฟและฟืน แต่ลูก และมรณสักขี แกะที่จะใช้เผาบูชาอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูก สดด 116:1-3,4-5, แกะสำ�หรับเผาบูชาให้เอง” แล้วทั้งสองคนก็เดินทางต่อไป 6-7,8-9 เมือ่ ทัง้ สองคนมาถึงสถานทีซ่ งึ่ พระเจ้าทรงบอกให้รแู้ ล้ว อับราฮัมก่อแท่นบูชา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ขึน้ จัดเรียงฟืนไว้บนนัน้ แล้วมัดอิสอัคนำ�มาวางไว้บนกองฟืนบนแท่นบูชา อับราฮัม ยื่นมือออกไป เงื้อมีดจะฆ่าบุตร แต่ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าร้องเรียกจากสวรรค์ ว่า “อับราฮัมเอ๋ย อับราฮัม” อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่าลงมือฆ่าเด็ก หรือทำ�ร้ายเขาเลย บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านยำ�เกรงพระเจ้า และมิได้หวงบุตรคนเดียวของท่านไว้ ไม่ ถวายแก่เรา” อับราฮัมเงยหน้าขึ้น แลเห็นแกะเพศผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ อับราฮัมจึงไป จับมันมาฆ่าเผาถวายบูชาแทนบุตรชาย อับราฮัมเรียกสถานที่นั้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดเตรียม ไว้” แม้กระทั่งทุกวันนี้คนทั้งหลายก็ยังพูดกันว่า “บนภูเขาองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดเตรียมไว้”... อับราฮัมจึงกลับไปหาผู้รับใช้ แล้วพากันเดินทางกลับไปเบเออร์เชบา อับราฮัมอาศัยอยู่ที่เบเออร์ เชบานั้น พระวรสาร มธ 9:1-8 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฝั่งกลับมายังเมืองของพระองค์ ทันใดนั้น มีผู้หามคนอัมพาต คนหนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ทำ�ใจดีๆ ไว้เถิด ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รบั การอภัยแล้ว” ธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนีก้ ล่าว ดูหมิน่ พระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า “ท่านคิดร้ายในใจทำ�ไม อย่างใดง่าย กว่ากัน การบอกว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น เดินไปเถิด’ แต่เพื่อให้ ท่านทราบว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำ�นาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า “จง ลุกขึ้น แบกแคร่ กลับบ้านเถิด” เขาก็ลุกขึ้นกลับไปบ้าน เมื่อประชาชนเห็นดังนี้ ต่างมีความกลัว ถวาย พระเกียรติแด่พระเจ้า ผู้ประทานอำ�นาจเช่นนี้ให้แก่มนุษย์ อับราฮัมได้ชื่อว่า บิดาแห่งความเชื่อ เพราะท่านได้เชื่อไว้ใจในพระเจ้าสุดหัวใจ บุตรคนเดียว คือ อิสอัค ก็พร้อมจะฆ่าเผาถวายแด่พระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงต้องการ ทั้งๆ ที่พระเจ้าสัญญาว่า ท่านจะเป็น บิดาของนานาชาติ จะมีลูกหลานมากเท่ากับเม็ดทราย หรือดวงดาวบนท้องฟ้า และเม็ดทรายตามชายทะเล ความเชือ่ มัน่ ในพระเจ้าของอับราฮัม ไม่ได้สนั่ คลอนลงแม้แต่นอ้ ย เมือ่ พระเจ้าทรงทดลองความเชือ่ ของท่าน ข้าแต่พระเจ้า โปรดอภัยบาปความผิดของข้าพเจ้า และโปรดประทานความเชื่ออันมั่นคงแก่ข้าพเจ้าด้วย เทอญ
บทอ่านที่ 1 ปฐก 23:1-4,19 และ 24:1-8,62-67 นางซาราห์มอี ายุหนึง่ ร้อยยีส่ บิ เจ็ดปี นางถึงแก่กรรมทีเ่ มืองคีรยิ าทอารบา คือ เฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน อับราฮัมไว้ทุกข์ให้นางซาราห์และรํ่าไห้คิดถึงนาง อับราฮัมลุกขึน้ จากศพนางไปพูดกับชาวฮิตไทต์วา่ ข้าพเจ้าเป็นคนต่างถิน่ มา อาศัยอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย โปรดขายที่ดินให้ข้าพเจ้าทำ�ที่ฝังศพที่นี่เถิด ข้าพเจ้าจะได้ฝงั ผูต้ ายของข้าพเจ้า” แล้วอับราฮัมฝังศพนางซาราห์ ภรรยาของตน สัปดาห์ที่ 13 ในถํ้าซึ่งอยู่ในนาที่มัคเปลาห์ ตรงข้ามมัมเร คือเฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน เทศกาลธรรมดา ขณะนัน้ อับราฮัมชรามากแล้ว องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมทุกด้าน สดด 106:1-2,3-4,5 อับราฮัมบอกผูร้ บั ใช้อาวุโสทีส่ ดุ ในบ้าน ผูด้ แู ลทรัพย์สมบัตทิ งั้ หมดของเขาว่า “จง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วางมือทีโ่ คนขาของฉันเถิด ฉันจะให้ทา่ นสาบานต่อองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าแห่ง สวรรค์และแผ่นดินว่า แม้ฉันจะอาศัยในหมู่ชาวคานาอัน ท่านก็อย่าเลือกลูกสาว วันศุกร์ต้นเดือน ของเขาเป็นภรรยาลูกชายของฉัน ท่านจงไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของฉัน ไปพบ ญาติของฉัน เพื่อเลือกภรรยาให้อิสอัค ลูกชายของฉัน”... พระองค์จะทรงส่งทูต สวรรค์ของพระองค์นำ�หน้าท่านไป เพื่อท่านจะสามารถหาภรรยาจากที่นั่นให้ ลูกชายของฉันได้... ขณะนั้น อิสอัคกลับจากบ่อนํ้าลาไคโรอี เขาอาศัยอยู่ในดินแดนเนเกบ เย็นวันหนึ่ง อิสอัคออกไป เดินเล่นในทุ่งนา เขาเงยหน้าขึ้นเห็นอูฐหลายตัวกำ�ลังเดินตรงมา เรเบคาห์เงยหน้าขึ้นเห็นอิสอัค จึงลง จากหลังอูฐ และถามผู้รับใช้ว่า “ชายที่กำ�ลังเดินอยู่ในทุ่งนา ตรงมาหาเราเป็นใครคะ” ผู้รับใช้ตอบว่า “เขาคือนายของข้าพเจ้า” เธอจึงเอาผ้าคลุมหน้าไว้ ผู้รับใช้เล่าให้อิสอัครู้ทุกสิ่งที่เขาได้ทำ� อิสอัคจึงพา เรเบคาห์เข้าไปในกระโจมทีเ่ คยเป็นของนางซาราห์มารดาของตน เขาแต่งงานกับเรเบคาห์ และรักนาง มาก อิสอัคจึงได้รับการปลอบใจหลังจากมารดาเสียชีวิต พระวรสาร มธ 9:9-13 เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำ�เนินไปจากที่น่ัน ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว กำ�ลังนั่งอยู่ที่ ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป ขณะทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารทีบ่ า้ นของมัทธิว คนเก็บภาษีและคนบาปหลาย คนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เมื่อเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีจึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำ�ไม อาจารย์ของท่านจึงกินอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” พระเยซูเจ้าทรงได้ยนิ ดังนัน้ จึงตรัส ตอบว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ จงไปเรียนรู้ความหมายของพระวาจา ที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่ มาเพื่อเรียกคนบาป” “จงตามเรามาเถิด” เป็นคำ�ทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงตรัสเรียกมัทธิวคนเก็บภาษี ซึง่ ในสายตาของคน ทัว่ ไปคือ คนบาป พระองค์ทรงเรียกเขา และมัทธิวก็ได้ตดิ ตามพระองค์ พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “คนสบาย ดียอ่ มไม่ตอ้ งการหมอ แต่คนเจ็บไข้ตา่ งหากทีต่ อ้ งการหมอ” พระเยซูเจ้าบุตรพระเจ้าทรงชีวติ เสด็จมาในโลก นี้ เพื่อตามหาคนบาป เพื่อตามหาทุกคนให้เป็นบุตรของพระเจ้า ให้มีความเชื่อ และเข้ามาอยู่ในหนทางของ ความรอดนิรันดรในพระองค์
บทอ่านที่ 1 ปฐก 27:1-5,15-29 เมื่ออิสอัคชรามาก และตามืดมัวจนมองไม่เห็น เขาเรียกเอซาวบุตรคนโตเข้า มาแล้วพูดว่า... “ดูซิ พ่อแก่แล้ว ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร จงเอาอาวุธของลูก คือ แล่ง ลูกศรและคันธนูออกไปในท้องทุ่ง ล่าสัตว์มาให้พ่อ และทำ�อาหารอร่อยๆ ให้พ่อ กิน พ่อจะได้อวยพรลูกก่อนที่พ่อจะตาย” นางเรเบคาห์ได้ยนิ อิสอัคพูดกับเอซาวบุตรของตน เมือ่ เอซาวออกไปล่าสัตว์ สัปดาห์ที่ 13 ในท้องทุ่งให้บิดา นางเรเบคาห์ก็เอาเสื้อตัวดีที่สุดของเอซาวบุตรคนโต เป็นเสื้อที่ เทศกาลธรรมดา นางเก็บไว้ในบ้านมาให้ยาโคบบุตรคนเล็กสวม เอาหนังแพะมาคลุมแขนและคอ สดด 135:1-2, ส่วนที่เกลี้ยงของเขา แล้วจึงส่งอาหารอร่อยกับขนมปังซึ่งนางจัดทำ�นั้นให้ยาโคบ 3-4,5-6 บุตรชายของนาง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เขาจึงเข้าไปหาบิดา พูดว่า “พ่อครับ” อิสอัคพูดว่า “พ่ออยู่นี่ เจ้าเป็นลูกคน วันอาสาฬหบูชา ไหนของพ่อ” ยาโคบตอบบิดาว่า “ลูกคือเอซาว บุตรคนโตของพ่อ ลูกทำ�ตามที่ พ่อสั่งลูกแล้ว เชิญลุกขึ้นนั่งกินเนื้อที่ลูกล่ามาได้เถิด เพื่อพ่อจะได้อวยพรลูก”... แล้วอิสอัคพูดกับ ยาโคบว่า “ลูกเอ๋ย เข้ามาใกล้ๆ พ่อเถิด พ่อจะได้คลำ�ดู เพื่อจะได้รู้ว่า ลูกคือเอซาวลูกของพ่อจริงหรือ ไม่” ยาโคบก็เข้าไปใกล้อิสอัคผู้บิดา อิสอัคคลำ�ตัวเขา พูดว่า “เสียงเป็นเสียงของยาโคบ แต่แขนเป็น แขนของเอซาว” อิสอัคจำ�ยาโคบไม่ได้เพราะแขนของเขามีขนดกเหมือนกับแขนของเอซาวพี่ชาย อิสอัคจึงอวยพรเขา... พูดว่า “จงนำ�เนื้อที่ลูกล่าได้มาให้พ่อกิน แล้วพ่อจะอวยพรลูก” ยาโคบจึงนำ� อาหารมาให้ อิสอัคก็กิน ยาโคบรินเหล้าองุ่นให้ อิสอัคก็ดื่ม แล้วอิสอัคผู้บิดาพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย จง เข้ามาใกล้และจูบพ่อเถิด” เขาจึงเข้าไปใกล้และจูบบิดา พออิสอัคได้กลิน่ เสือ้ ผ้าของเขา ก็อวยพรเขาว่า “...ขอพระเจ้าประทานนํ้าค้างจากฟ้า และความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน ทั้งข้าวสาลีและเหล้า องุ่นใหม่แก่ลูกอย่างมาก ขอให้ชนชาติทั้งหลายรับใช้ลูก ขอให้ประชาชาติทั้งหลายกราบไหว้ลูก ขอให้ ลูกเป็นนายเหนือพี่น้อง ขอให้บุตรของมารดาของลูกกราบไหว้ลูก ผู้ใดสาปแช่งลูกให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง ด้วย ผู้ใดอวยพรลูกให้ผู้นั้นได้รับพรด้วย” พระวรสาร มธ 9:14-17 วันหนึ่งบรรดาศิษย์ของยอห์นเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมพวกเราและพวกฟาริสีจำ�ศีล อดอาหาร แต่ศษิ ย์ของท่านไม่จ�ำ ศีลเลย” พระองค์ทรงตอบว่า “ผูร้ บั เชิญมาในงานแต่งงานจะโศกเศร้า หรือ ขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกแยกไปวันนั้นเขาจะจำ�ศีลอดอาหาร ไม่มีใครนำ�ผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่น�ำ มาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัว ทำ�ให้รอยขาดมากกว่า เดิม ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะรั่วและถุงหนังจะเสีย หายไปด้วย แต่เขาย่อมใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังใหม่และทั้งสองอย่างจะไม่เสียหาย พระพรของพระเจ้าผ่านมาทางผู้แทนของพระองค์ และผ่านทางพ่อแม่ แต่ไหนแต่ไรในอดีต ที่ผ่านมา พระพรของพ่อแม่จึงมีความสำ�คัญมาก ลูกคนใดได้รับพรจากพ่อแม่ ก็จะประสบสิ่งนั้น และเจริญ รุ่งเรืองในชีวิต ขออย่าให้พ่อแม่สาปแช่งลูกคนใดเลย เพราะมันจะเป็นความอัปยศ และความหายนะ ลูกจะ ต้องเคารพนอบน้อม และเชื่อฟังพ่อแม่ และพ่อแม่ก็จะต้องรัก-อบรม และอวยพรให้กับลูกทุกๆ คน จงทำ� หน้าที่ของความเป็นพ่อ-เป็นลูกอย่างดีที่สุด
สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันเข้าพรรษา
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเศคาริยาห์ ศคย 9:9-10 ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่ง ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้องด้วย ความยินดีเถิด ดูซิ กษัตริย์ของท่านกำ�ลังเสด็จมาหาท่าน พระองค์ทรงเที่ยงธรรม และทรงชัยชนะ ทรงถ่อมพระองค์และประทับบนหลังลา บนหลังลาตัวน้อย ลูก แม่ลา พระองค์จะทรงกำ�จัดรถศึกจากเอฟราอิม จะทรงกำ�จัดม้าศึกออกจากกรุง เยรูซาเล็ม คันธนูส�ำ หรับสงครามจะถูกกำ�จัดไปด้วย พระองค์จะทรงประกาศสันติ แก่นานาชาติ การปกครองของพระองค์แผ่จากทะเลนี้ไปถึงทะเลโน้น และจาก แม่นํ้ายูเฟรติสไปถึงสุดปลายแผ่นดิน เพลงสดุดี สดด 145:1-2,8-9,10-11,13คง-14 ก) ข้าแต่พระเจ้า พระราชาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเทิดพระเกียรติพระองค์ และจะถวายพระพรแด่พระนามของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ทุกวัน จะสรรเสริญพระนามของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ ข) องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานและทรงพระเมตตากรุณา กริ้วช้าและทรงความรักมั่นคงอย่างเต็มเปี่ยม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระทัยดีต่อทุกคน ความอ่อนโยนของพระองค์ครอบคลุมสิ่งสร้างทั้งมวล ค) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้สิ่งสร้างทั้งมวลสรรเสริญพระองค์ ขอให้ผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ถวายพระพรแด่พระองค์ เขาจะพูดถึงพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระอาณาจักรของพระองค์ และเล่าถึงพระอานุภาพของพระองค์ ง) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาทุกถ้อยคำ�ของพระองค์ ทรงความรักมั่นคงในพระราชกิจทั้งหลาย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงคํ้าจุนทุกคนที่กำ�ลังจะล้ม และทรงพยุงทุกคนที่ล้มให้ลุกขึ้น บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:9,11-13 พี่น้อง ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำ�เนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำ�เนินชีวิต ตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของ พระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ และถ้าพระจิตของพระผู้ทรงบันดาลให้ พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายนัน้ สถิตในท่าน พระผูท้ รงบันดาล ให้พระคริสตเยซูทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายก็จะทรงบันดาลให้ ร่างกายทีต่ ายได้ของท่านกลับมีชวี ติ เดชะพระจิตของพระองค์ ซึง่ สถิตในท่านด้วย ดังนัน้ พีน่ อ้ งทัง้ หลาย เราไม่มภี ารกิจใดๆ ทีจ่ ะต้องดำ�เนินชีวติ ตามธรรมชาติ
ฝ่ายตํ่า ถ้าท่านดำ�เนินชีวิตตามธรรมชาติฝ่ายตํ่า ท่านก็ จะตาย แต่ถา้ ท่านกำ�จัดกิจการตามธรรมชาติฝา่ ยตาํ่ ด้วย เดชะพระจิตเจ้า ท่านก็จะมีชีวิต บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 11:25-30 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบังเรื่อง เหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่ บรรดาผู้ตํ่าต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอ พระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มี ใครรูจ้ กั พระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มใี ครรูจ้ กั พระ บิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้ ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน จงรับ แอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพ อ่อนโยน และถ่อมตน จิตใจของท่าน จะได้รับการพักผ่อน เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่ม และภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา” นักบุญเปาโลสอนเราในวันนี้ว่า เราจะต้องไม่ดำ�เนินชีวิตตามธรรมชาติเนื้อหนังบนโลกนี้ แต่ จะต้องดำ�เนินชีวติ ตามพระจิตเจ้า หากผูใ้ ดดำ�เนินชีวติ ตามธรรมชาติฝา่ ยตาํ่ เราจะพินาศไป แต่ผดู้ �ำ เนินชีวติ ตามพระจิตเจ้าเบื้องบน ผู้นั้นจะมีชีวิต พระเจ้าโปรดให้เราทุกคนได้รับรู้ถึงพระวาจาและคำ�สั่งสอนของ พระองค์ผ่านทางบรรดาประกาศก และผู้แทนของพระองค์ ดังนั้น เมื่อเราได้รับรู้แล้ว จงปฏิบัติตามพระ วาจานั้น จงเข้าหาพระเจ้า ไม่ว่ายามสุข หรือยามทุกข์ เราจะได้พักผ่อน และอยู่ในสันติสุขของพระองค์
บทอ่านที่ 1 ปฐก 28:10-22ก ในครัง้ นัน้ ยาโคบออกจากเบเออร์เชบา เดินทางมุง่ หน้าไปฮาราน เขามาถึงที่ แห่งหนึ่ง ก็หยุดพักแรมที่นั่น เพราะดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาเอาหินก้อนหนึ่งมา หนุนศีรษะ แล้วนอนทีน่ นั่ เขาฝันเห็นบันไดอันหนึง่ ทอดจากพืน้ ดินขึน้ ไปสูท่ อ้ งฟ้า และทูตสวรรค์ของพระเจ้าเดินขึน้ ลงบนบันไดนัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงยืนอยูข่ า้ ง เขา ตรัสว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมบิดาของท่าน พระเจ้า สัปดาห์ที่ 14 ของอิสอัค แผ่นดินที่ท่านนอนอยู่นี้เราจะให้ท่านและลูกหลานของท่าน ลูกหลาน เทศกาลธรรมดา ของท่านจะมีจ�ำ นวนมากเหมือนฝุน่ ผงบนแผ่นดิน ท่านจะแผ่ขยายออกไปทางทิศ สดด 91:1-2,3-5, ตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศเหนือและทิศใต้ บรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดินจะ 14,16 ได้รบั พรเพราะท่านและเพราะลูกหลานของท่าน เราอยูก่ บั ท่าน เราจะพิทกั ษ์รกั ษา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ท่านทุกแห่งที่ท่านไปและจะนำ�ท่านกลับมายังแผ่นดินนี้ เราจะไม่ทอดทิ้งท่าน จนกว่าเราจะได้ท�ำ ตามทีเ่ ราสัญญาไว้กบั ท่าน” ยาโคบตืน่ ขึน้ แล้วพูดว่า “องค์พระ ผู้เป็นเจ้าประทับอยู่ที่นี่แน่ทีเดียว แต่ข้าพเจ้าไม่รู้”... ยาโคบลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เอา ก้อนหินที่ใช้หนุนศีรษะมาตั้งเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ แล้วเทนํ้ามันบนยอดเสานั้นเพื่อ ถวายแด่พระเจ้า เขาเรียกสถานที่นั้นว่าเบธเอล ก่อนหน้านี้เมืองนั้นชื่อลูส แล้วยาโคบกล่าวปฏิญาณว่า “ถ้าพระเจ้าทรงอยูก่ บั ข้าพเจ้า และทรงพิทกั ษ์รกั ษาข้าพเจ้าในการ เดินทางครั้งนี้... จนข้าพเจ้ากลับถึงบ้านของบิดาอย่างปลอดภัย องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้า ของข้าพเจ้า หินก้อนนี้ซึ่งข้าพเจ้าตั้งเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นที่ประทับของพระเจ้า พระวรสาร มธ 9:18-26 ขณะที่พระเยซูเจ้ากำ�ลังตรัสอยู่นั้น หัวหน้าคนหนึ่งเข้ามากราบพระบาท ทูลว่า “บุตรหญิงของ ข้าพเจ้าเพิ่งสิ้นใจ เชิญพระองค์เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขาจะได้มีชีวิต” พระเยซูเจ้าทรงลุก ขึ้นเสด็จตามเขาไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว เข้ามาข้างหลังสัมผัสฉลองพระองค์ นางคิด ว่า “ถ้าฉันเพียงสัมผัสฉลองพระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” พระเยซูเจ้าทรงหันมาเห็นเข้า จึง ตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ทำ�ใจดีๆ ไว้ ความเชื่อของท่าน ช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” หญิงนั้นก็หายจากโรคนับ แต่เวลานัน้ เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงบ้านของหัวหน้าคนนัน้ ทรงเห็นคนเป่าขลุย่ และผูค้ นกำ�ลังชุลมุน วุ่นวาย จึงตรัสว่า “ออกไปเถิด เด็กหญิงคนนี้ยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น” พวกนั้นต่าง หัวเราะเยาะพระองค์ เมื่อคนกลุ่มนั้นถูกไล่ออกไปข้างนอกแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไป ทรงจับมือเด็ก หญิง เด็กนั้นก็ลุกขึ้น ข่าวเรื่องนี้จึงแพร่ออกไปทั่วแคว้นนั้น พระเจ้าทรงทำ�พันธสัญญากับมนุษย์ และพระเจ้าทรงซื่อสัตย์มั่นคงต่อพันธสัญญานั้น ทรง สัญญากับอับราฮัมว่าท่านจะมีลูกหลานมากมาย เมื่อมาถึงสมัยของยาโคบ ซึ่งเป็นลูกหลานของอับราฮัม พระเจ้าได้แจ้งให้เขาทราบ และพระองค์ยงั ซือ่ สัตย์ตอ่ พระสัญญาทีใ่ ห้ไว้ และยาโคบก็ปฏิญาณว่าจะสรรเสริญ นมัสการพระเจ้าต่อไป พระเยซูเจ้าได้ทรงทำ�อัศจรรย์รักษาบุตรหญิงของหัวหน้าโรงธรรม ทรงรักษาโรคของหญิงที่ตกเลือด เรื้อรัง เพราะความเชื่อที่เขาทั้งสองมีต่อพระองค์ พระองค์จึงทรงรักษาเขา และอวยพรเขาทุกครั้ง ตามที่ เขามีความเชื่อศรัทธาในพระองค์ด้วยใจจริง
บทอ่านที่ 1 ปฐก 32:23-33 คืนนั้น ยาโคบลุกขึ้น พาภรรยาทั้งสองคน ทาสหญิงทั้งสองคน บุตรทั้งสิบ เอ็ดคนเดินข้ามลำ�ธารยับบอก ตรงทีต่ นื้ เขาส่งบุตรภรรยาข้ามลำ�ธารและส่งทรัพย์ สมบัติทั้งหมดไปด้วย เหลือแต่ยาโคบตามลำ�พัง บุรษุ ผูห้ นึง่ ต่อสูก้ บั เขาจนรุง่ สาง เมือ่ บุรษุ ผูน้ นั้ เห็นว่า จะเอาชนะยาโคบไม่ได้ ก็ทุบข้อต่อสะโพกของเขา สะโพกของยาโคบก็เคล็ดไปขณะที่เขาต่อสู้กันอยู่ บุรุษ นั้นจึงว่า “ปล่อยฉันไปเถิด เพราะสว่างแล้ว” ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยอม ปล่อยท่านไปจนกว่าท่านจะอวยพรข้าพเจ้า” บุรษุ ผูน้ นั้ จึงถามยาโคบว่า “ท่านชือ่ อะไร” ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าชื่อยาโคบ” บุรุษผู้นั้นจึงว่า “ชื่อของท่านจะไม่ใช่ ยาโคบอีก แต่ชื่ออิสราเอล เพราะท่านได้ต่อสู้กับพระเจ้าและกับมนุษย์ แล้วท่าน ก็ชนะ” ยาโคบจึงขอร้องว่า “โปรดบอกชื่อของท่านแก่ข้าพเจ้าด้วย” เขาตอบว่า “ท่านถามชื่อของฉันไปทำ�ไม” แล้วก็อวยพรยาโคบที่นั่น ยาโคบจึงเรียกชื่อสถานทีน่ นั้ ว่าเปนูเอล พูดว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าอย่าง เต็มตาแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้” ดวงอาทิตย์กำ�ลังขึ้นเมื่อยาโคบผ่านเปนูเอล เดิน กะโผลกกะเผลกเพราะสะโพกเคล็ด ด้วยเหตุนี้ ชาวอิสราเอลจึงไม่กินเส้นเอ็นที่ ข้อต่อสะโพกจนกระทั่งทุกวันนี้ เพราะยาโคบถูกทุบตรงข้อต่อสะโพกนั่นเอง พระวรสาร มธ 9:32-37 เมือ่ คนทีเ่ คยตาบอดทัง้ สองคนจากไปแล้ว มีผพู้ าคนใบ้ถกู ปีศาจสิงคนหนึง่ มา เฝ้าพระเยซูเจ้า ครั้นปีศาจถูกขับออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่าง ประหลาดใจ กล่าวว่า “ยังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลยในอิสราเอล” แต่ชาวฟาริสี กล่าวว่า “คนนี้ขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมูบ่ า้ น ทรงสัง่ สอนในศาลาธรรม ทรง ประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้น เหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดา ศิษย์ว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคน งานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด” พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมูบ่ า้ น ทรงสัง่ สอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรค และความเจ็บไข้ทุกชนิด นีค่ อื องค์พระเยซูเจ้า พระบุตรแต่องค์เดียวของพระเจ้า ซึง่ ทรงสัญญาว่า จะเสด็จ มาช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้น พระเจ้าไม่ทรงลืมพันธสัญญาที่ได้ให้ไว้ พระเจ้าทรงสงสาร และเต็มไปด้วยพระเมตตาต่อผู้ที่เชื่อ-วางใจ และเข้าพึ่งพระองค์ เสมอ พระองค์คือนายชุมพาบาลที่ดี
ระลึกถึง น.เบเนดิกต์ เจ้าอธิการ
สดด 17:1-2,3,6-7, 8-9,155
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันประชากรโลก
บทอ่านที่ 1 ปฐก 41:55-57 และ 42:5-7ก,17-24ก เมือ่ ประชาชนทัว่ แผ่นดินอียปิ ต์เริม่ รูส้ กึ ขาดแคลนอาหาร ก็รอ้ งขออาหารจาก กษัตริย์ฟาโรห์ พระองค์รับสั่งแก่ชาวอียิปต์ทั้งปวงว่า “จงไปหาโยเซฟเถิดและทำ� ตามที่เขาสั่ง” เมื่อเกิดการกันดารไปทั่วแผ่นดิน โยเซฟก็เปิดยุ้งฉางทั้งหมดออก ขายข้าวให้ชาวอียิปต์ ขณะที่การกันดารอาหารทวีความรุนแรงขึ้นในอียิปต์ ผู้คน จากทัว่ แผ่นดินต่างมายังอียปิ ต์เพือ่ ขอซือ้ ข้าวจากโยเซฟ เพราะการกันดารอาหาร สัปดาห์ที่ 14 ทวีความรุนแรงไปทั่วแผ่นดิน เทศกาลธรรมดา บุตรของอิสราเอลมาซื้อข้าวพร้อมกับคนอื่นๆ เพราะเกิดการกันดารอาหาร สดด 33:2-3, ในแผ่นดินคานาอัน โยเซฟในฐานะผูส้ �ำ เร็จราชการแผ่นดิน ก็ขายข้าวให้ประชาชน 10-12,18-19 ทั้งปวง เมื่อพี่ชายของโยเซฟมาถึง เขาก็กราบคำ�นับโยเซฟ ศีรษะจรดพื้น โยเซฟ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เห็นพี่ชายก็จำ�ได้ แต่แสร้งทำ�เป็นไม่รู้จัก พูดกับเขาด้วยนํ้าเสียงกระด้าง โยเซฟจึงสั่งให้ขังทุกคนไว้ในคุกเป็นเวลาสามวัน ในวันที่สามโยเซฟพูดกับพี่ชายว่า “จงทำ�ดังนี้ และท่านจะมีชีวิตรอด เพราะเรายำ�เกรงพระเจ้า ถ้าท่านทั้งหลายเป็นคนซื่อตรง ให้ท่านคนหนึ่งถูก จองจำ�ในคุกที่นี่ ส่วนอีกเก้าคนจงนำ�ข้าวกลับไปให้ครอบครัวที่กำ�ลังอดอยาก แล้วท่านจะต้องนำ�น้อง ชายคนเล็กมาให้เราดู เพือ่ พิสจู น์วา่ ท่านพูดความจริง มิฉะนัน้ ท่านจะต้องตาย” บรรดาพีช่ ายก็ยอมทำ� เช่นนี้ แล้วพูดกันว่า “เรากำ�ลังรับโทษเพราะความผิดทีเ่ ราได้ท�ำ กับน้องของเราแน่ๆ เราเห็นแล้วว่าเขา เป็นทุกข์แค่ไหน เมือ่ เขาอ้อนวอนขอให้เราช่วย แต่เราไม่ยอมฟัง บัดนี้ เราจึงต้องรับทุกข์เช่นเดียวกัน” รูเบนจึงพูดว่า “พีไ่ ม่ได้บอกพวกน้องหรือว่า อย่าทำ�ร้ายเด็กนัน้ แต่พวกน้องไม่ยอมฟัง บัดนี้ เราจึงต้อง ชดใช้หนี้เลือดของเขา” เขาไม่รู้ว่าโยเซฟเข้าใจ เพราะโยเซฟใช้ล่ามเมื่อพูดกับเขา โยเซฟจึงปลีกตัวไป ร้องไห้ แล้วกลับมาพูดกับเขาอีก พระวรสาร มธ 10:1-7 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สิบสองคนเข้ามาพบ ประทานอำ�นาจให้เขาขับไล่ปีศาจ ให้ รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด อัครสาวกสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมน ผู้มีสมญาว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชาย ฟีลิปและบาร์โธโลมิว โทมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบ บุตรอัลเฟอัสและธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ทรยศต่อ พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคนนี้ออกไป ทรงสั่งเขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่าง ชาติ อย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน จงไป ประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว” จากหนังสือปฐมกาลที่เราได้อ่านได้ฟังในวันนี้ ได้กล่าวถึงโยเซฟ ซึ่งถูกขายโดยพี่ๆ พวกพี่ๆ ทำ�ร้ายโยเซฟ แต่สิ่งที่มนุษย์ทำ�ไม่ดีนั้น พระเจ้าทรงมีแผนการ และเปลี่ยนการกระทำ�นั้นให้กลับเป็นสิ่งดี พวกเขากลับรอดตายจากความอดอยาก ด้วยความช่วยเหลือจากบุคคลที่พวกเขาเคยทำ�ร้าย พระเจ้าทรง เรียกและเลือกเราทุกคนให้มาสู่หนทางแห่งความรอดเสมอๆ พระเจ้าทรงเลือกอัครสาวกให้เป็นศิษย์ของ พระองค์ เพื่อนำ�คนอีกจำ�นวนมากมาสู่หนทางแห่งความรอดในอาณาจักรของพระองค์
13
บทอ่านที่ 1 ปฐก 44:18-21,23ข-29 และ 45:1-5 ในครั้งนั้น ยูดาห์เข้าไปหาโยเซฟ พูดว่า “กรุณาเถิดนายเจ้าข้า ขอให้ผู้รับใช้ ของท่านพูดกับท่านอย่างตรงไปตรงมาเถิด อย่าโกรธข้าพเจ้าเลย... เจ้านายเคย ถามผู้รับใช้ของท่านว่า ท่านมีบิดาหรือน้องชายไหม พวกเราก็ตอบเจ้านายว่า เรา มีบดิ าทีช่ รา และมีนอ้ งชายเล็กคนหนึง่ ...แล้วท่านสัง่ ผูร้ บั ใช้ของท่านว่า ‘จงพาน้อง คนนั้นมาที่นี่ ให้เราดู’ แต่ท่านพูดกับผู้รับใช้ของท่านว่า ‘ถ้าน้องคนเล็กไม่มากับ น.เฮนรี่ ท่านที่นี่ ท่านจะไม่เห็นหน้าเราอีก’ เมื่อพวกเรากลับไปหาบิดาผู้รับใช้ของท่าน สดด 105:16-18, พวกเราก็เล่าคำ�พูดของเจ้านายให้บิดาฟัง ต่อมา บิดาบอกพวกเราว่า ‘จงกลับไป 19,20-22 ซื้ออาหารมาให้พวกเราบ้าง’ พวกเราตอบว่า ‘ไปไม่ได้ แต่ถ้าน้องคนเล็กไปด้วย ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 พวกเราจึงจะไป มิฉะนั้น พวกเราจะไปพบท่านผูน้ นั้ ไม่ได้’ บิดาผูร้ บั ใช้ของท่านจึง บอกพวกเราว่า ‘พวกลูกรู้แล้วว่า ราเคลภรรยาของพ่อมีลูกชายสองคน คนหนึ่งก็ จากไปแล้ว... ถ้าลูกๆ พาคนนีไ้ ปจากพ่อ แล้วเขาเป็นอันตราย ลูกก็จะส่งพ่อซึง่ แก่ แล้วลงไปในแดนผู้ตายด้วยความเศร้าโศก’” โยเซฟไม่อาจควบคุมความรู้สึกของตนต่อหน้าชาวอียิปต์ที่ยืนอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป... โยเซฟบอกพี่ น้องว่า “ฉันคือโยเซฟ พ่อยังมีชวี ติ อยูห่ รือ” แต่พๆี่ ไม่รจู้ ะตอบประการใด เพราะตกใจกลัวมากทีเ่ ผชิญ หน้ากับเขา โยเซฟจึงบอกพี่น้องว่า “เข้ามาใกล้ๆ เถิด” พวกเขาก็เข้ามาใกล้ โยเซฟพูดต่อไปว่า “ฉัน คือโยเซฟ น้องชายของพี่ที่พี่ขายมาอียิปต์ บัดนี้ อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตนเองที่ขายฉันมาที่นี่ พระเจ้าทรงส่งฉันล่วงหน้ามาก่อน เพื่อช่วยชีวิตของพี่ๆ” พระวรสาร มธ 10:7-15 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรือ้ นให้สะอาด จงขับไล่ปศี าจให้ออกไป ท่านได้รบั มาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขา โดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมื่อเดินทาง อย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่ แล้ว เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่าน แล้วจงพัก อยู่กับเขาจนกว่าท่านจะจากไป เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับ พร จงให้สันติสุขของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน” “ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากบ้านหรือเมืองนั้น จงสลัดฝุ่นจากเท้าออกเสีย ด้วย เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ในวันพิพากษา เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์จะรับโทษเบา กว่าโทษของเมืองนั้น” “จงไปประกาศว่า อาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว...” พระเยซูเจ้ามอบหมายให้อคั รสาวกของ พระองค์ออกไปประกาศเทศน์สอน พระองค์ยงั กำ�ชับสาวกให้ทมุ่ เทกับการประกาศเทศน์สอน อย่ากังวลกับ สิ่งที่ไม่จำ�เป็น อย่ายึดติดกับสิ่งของต่างๆ ในโลกนี้ เพราะอาณาจักรสวรรค์นั้นไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ทุกสิ่งทุก อย่างในโลกจะผ่านไปทั้งหมด ฉะนั้น อย่ายึดติดกับอะไรๆ ในโลกนี้ จงดำ�รงชีวิต และมุ่งสู่อาณาจักรเที่ยง แท้ในสวรรค์ของเราที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำ�หรับเรา
บทอ่านที่ 1 ปฐก 46:1-7,28-30 ในครัง้ นัน้ อิสราเอลออกเดินทางพร้อมกับทรัพย์สมบัตทิ งั้ หมดทีม่ ี เมือ่ มาถึง เบเออร์เชบา เขาก็ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของอิสอัคบิดาของตน พระเจ้าตรัส กับอิสราเอลในนิมิตเวลากลางคืนว่า “ยาโคบเอ๋ย ยาโคบ” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้า อยู่ที่นี่” พระองค์จึงตรัสว่า “เราคือพระเจ้า พระเจ้าของบิดาของท่าน อย่ากลัวที่ น.คามิลโล เด เลลลิส จะต้องไปอียิปต์เลย เราจะให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่ที่นั่น เราจะไปอียิปต์กับท่าน ด้วย แล้วเราจะพาท่านกลับมาทีน่ อี่ กี อย่างแน่นอน หลังจากทีโ่ ยเซฟจะปิดตาของ พระสงฆ์ ท่านแล้ว” ยาโคบจึงเดินทางต่อไปจากเบเออร์เชบา บรรดาบุตรของอิสราเอลให้ สดด 37:3-4,17-19, ยาโคบผู้บิดากับเด็กๆ และภรรยาขึ้นเกวียนที่กษัตริย์ฟาโรห์ทรงส่งมารับ 27-28,39-40 เขาทั้ ง หลายต้ อ นฝู ง สั ต ว์ แ ละนำ � ทรั พ ย์ ส มบั ติ ทั้ ง หมดที่ ไ ด้ ม าในแผ่ น ดิ น ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 คานาอันไปอียิปต์ ยาโคบพาลูกหลานของตน คือบุตรชาย บุตรหญิง หลานชาย หลานสาวทั้งหมดของเขาไปอียิปต์ด้วย อิสราเอลให้ยูดาห์ล่วงหน้าไปพบโยเซฟ เพื่อบอกโยเซฟให้มาพบที่แคว้น โกเชน เมื่อทุกคนมาถึงแคว้นโกเชน โยเซฟจัดเตรียมรถม้าของตนไปรับอิสราเอล บิดาที่แคว้นโกเชน เมื่อเห็นบิดา เขาก็เข้าสวมกอดบิดาไว้ พลางร้องไห้เป็นเวลา นาน อิสราเอลจึงพูดกับโยเซฟว่า “บัดนี้ พ่อตายได้แล้ว เพราะพ่อได้เห็นลูกและ รู้ว่าลูกยังมีชีวิตอยู่” พระวรสาร มธ 10:16-23 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงฟังเถิด เราส่งท่านไปเหมือนแกะในฝูงสุนขั ป่า ท่านจงฉลาดประดุจงูและซือ่ ประดุจนกพิราบ” “จงระมัดระวังตนจากมนุษย์ เขาจะมอบท่านที่ศาลและเฆี่ยนท่านในศาลาธรรมของเขา ท่านจะ ถูกนำ�ตัวไปต่อหน้าผู้ว่าราชการและเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์เพราะเราเป็นเหตุ เพื่อเป็นพยานยืนยัน แก่เขาและแก่บรรดาชนต่างชาติต่างศาสนา เมื่อเขาจะมอบท่านที่ศาลนั้น อย่าวิตกกังวลว่าจะพูด อย่างไรหรือพูดอะไร สิ่งที่ท่านจะพูดนั้นจะได้รับการดลใจในเวลานั้นเอง เพราะท่านจะมิได้พูดด้วย ตนเอง แต่พระจิตของพระบิดาของท่านจะตรัสในท่าน” “พี่จะฟ้องน้อง น้องจะฟ้องพี่ให้ต้องโทษถึงตาย พ่อจะฟ้องลูก ลูกจะลุกขึ้นกล่าวโทษพ่อแม่ให้ ถึงตาย” “คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้ายก็จะรอดพ้น เมื่อเขาจะเบียดเบียนท่านในเมืองหนึ่ง จงหลบหนีไปอีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย ว่า ก่อนที่ท่านจะไปทั่วทุกหัวเมืองของอิสราเอล บุตรแห่งมนุษย์ก็จะกลับมาแล้ว” พระเยซูเจ้ายังได้ตรัสกับบรรดาอัครสาวกอีกว่า “จงฟังเถิด เราส่งท่านไปเหมือนแกะในฝูง สุนัขป่า จงฉลาดประดุจงู และซื่อประดุจนกพิราบ” พระองค์หมายถึงชีวิตในการติดตามพระองค์นั้นไม่ง่าย มันขรุขระ และมีขวากหนาม จงมั่นคง และรอบคอบในความเชื่อ มอบตนอย่างซื่อๆ ไว้ในพระหัตถ์ของ พระเจ้า เป็นพระเจ้าทีจ่ ะอยูเ่ คียงข้างชีวติ ของเราเสมอ อย่ากังวลในทุกสิง่ หากชีวติ ของเราเชือ่ อย่างมัน่ คง พระเจ้าก็จะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา
บทอ่านที่ 1 ปฐก 49:29-33 และ 50:15-24 ในครัง้ นัน้ ยาโคบสัง่ บรรดาบุตรว่า “บัดนี้ พ่อกำ�ลังจะไปอยูร่ วมกับบรรพบุรษุ ของพ่อ จงฝังพ่อไว้กับบรรพบุรุษของพ่อในถํ้าที่อยู่ในนาของเอโฟรน ชาวฮิตไทต์ คือในถํ้าที่อยู่ในทุ่งนาแห่งมัคเปลาห์ ตรงข้ามมัมเร ในแผ่นดินคานาอัน... ทุ่งนา และถํ้าซึ่งอยู่ในทุ่งนานั้นซื้อมาจากชาวฮิตไทต์” เมื่อยาโคบสั่งเสียบรรดาบุตรเสร็จแล้ว เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงและสิ้นใจ ไปรวมอยู่กับบรรพบุรุษ หลังจากบิดาสิน้ ชีวติ แล้ว บรรดาพีช่ ายของโยเซฟมีความกลัว จึงปรึกษากัน... บรรดาพี่ชายมาหาโยเซฟ กราบลงต่อหน้าเขาพูดว่า “พวกเรามาอยู่ต่อหน้า ท่าน ขอเป็นทาสของท่าน” แต่โยเซฟตอบว่า “อย่ากลัวเลย ฉันไม่ใช่พระเจ้า จะ ตัดสินลงโทษท่านได้อย่างไร... ฉันจะเอาใจใส่ดูแลพวกพี่และลูกของพี่” โยเซฟให้ คำ�มั่นแก่บรรดาพี่ชายและพูดกับเขาด้วยความอ่อนโยน โยเซฟอยู่ในอียิปต์กับครอบครัวของบิดา เขามีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยสิบปี โยเซฟ ได้เห็นบุตรหลานของเอฟราอิมถึงสามชั่วอายุ และเห็นบุตรของมาคีร์ บุตรของ มนัสเสห์ ซึ่งโยเซฟรับเป็นบุตรบุญธรรมของตน...
ระลึกถึง น.บอนาแวนตูรา พระสังฆราช และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 105:1-3, 4-6,7-8
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร มธ 10:24-33 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “ศิษย์ยอ่ มไม่อยูเ่ หนืออาจารย์ และผูร้ บั ใช้ยอ่ มไม่อยูเ่ หนือนาย ถ้าศิษย์เท่าเทียมกับอาจารย์ และ ผู้รับใช้เท่าเทียมกับนาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า ‘เบเอลเซบูล’ เขาจะเรียกลูก บ้านร้ายกว่านั้นสักเท่าใด” “อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้ สิ่งที่ เราบอกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวออกมาในที่สว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงประกาศบนดาดฟ้า หลังคาเรือน” “อย่ากลัวผู้ท่ีฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำ�ลายทั้งกายและวิญญาณให้ พินาศไปในนรก นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึง่ บาทมิใช่หรือ ถึงกระนัน้ ก็ไม่มีนกสักตัวเดียว ที่ตกถึงพื้นดินโดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว ดังนั้น อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำ�นวนมาก” “ทุกคนทีย่ อมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผูน้ นั้ เฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผูส้ ถิตใน สวรรค์ และผูท้ ไี่ ม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รบั ผูน้ นั้ เฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผูส้ ถิต ในสวรรค์ด้วย” ในชีวิตของมนุษย์ทุกคน ย่อมมีความกลัว กลัวมนุษย์ด้วยกันเอง กลัวเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะ เกิดขึ้น หรือแม้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว และกลัวแม้กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างในปัจจุบัน มนุษย์เกิด ความกลัว เพราะมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง มนุษย์ไม่ทราบอะไรอย่างถ่องแท้ จริงๆ แล้วมนุษย์ ไม่รู้อะไรเลย พระเยซูเจ้าสอนเราในวันนี้ว่า จงยำ�เกรงพระเจ้าซึ่งเป็นเจ้าชีวิตของเราทุกคน พระองค์ทรง ฤทธานุภาพ และทราบสิ้นทุกประการ ให้เรามอบชีวิตของเรา และเดินในหนทางที่นำ�ไปสู่พระองค์ มนุษย์ ทุกคนต้องผ่านความตาย และทุกอย่างในโลกนี้ เพื่อจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร บ้านแท้ของเรา
สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 55:9-10 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “ฝนและหิมะลงมาจากท้องฟ้า และไม่กลับไปทีน่ นั่ ถ้าไม่ได้รดแผ่นดิน ทำ�ให้แผ่นดินอุดม ทำ�ให้พชื งอกขึน้ เพือ่ ให้ผหู้ ว่านมีเมล็ดพันธุ์ และให้ผู้กินมีอาหารฉันใด ถ้อยคำ�ที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาหาเราโดย ไม่เกิดผล ไม่ทำ�ตามที่เราปรารถนา และไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่งมาฉันนั้น” เพลงสดุดี สดด 65:9,10,11-12,13 ก) พระองค์เสด็จเยี่ยมแผ่นดินและทรงบันดาลให้อุดมสมบูรณ์ ทรงโปรดให้แผ่นดินมั่งคั่งอย่างมาก คลองของพระเจ้ามีนํ้าเต็มล้น พระองค์ทรงจัดหาข้าวสาลีไว้ให้มนุษย์ พระองค์ทรงเตรียมไว้เช่นนี้ ข) คือทรงรดนํ้ารอยไถให้ชุ่มฉํ่า ทรงปรับพื้นดินให้ราบเรียบ ทรงพรมดินให้นุ่มด้วยสายฝน และประทานพรแก่หน่ออ่อนที่งอกขึ้นมา ค) พระองค์ประทานผลิตผลอุดมสมบูรณ์ในแต่ละปี พระองค์เสด็จไปที่ใด ที่นั่นก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:18-23 พีน่ อ้ ง ข้าพเจ้าคิดว่า ความทุกข์ทรมานในปัจจุบนั เปรียบไม่ได้เลยกับพระสิริ รุ่งโรจน์ที่จะทรงบันดาลให้ปรากฏแก่เรา เพราะสรรพสิ่งต่างกำ�ลังรอคอยอย่าง กระวนกระวาย เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงบันดาลให้บรรดาบุตรของพระองค์ปรากฏ ในพระสิริรุ่งโรจน์ สรรพสิ่งต้องอยู่ใต้อำ�นาจของความไม่เที่ยงแท้มิใช่โดยสมัครใจ แต่ตามความประสงค์ของผูท้ บี่ งั คับให้สรรพสิง่ ต้องอยูใ่ นสภาพดังกล่าว ถึงกระนัน้ สรรพสิง่ ยังมีความหวังว่า จะได้รบั การปลดปล่อยจากการเป็นทาสของความเสือ่ ม สลาย เพื่อไปรับอิสรภาพอันรุ่งเรืองของบรรดาบุตรของพระเจ้า เรารู้ดีว่า จนถึง เวลานี้ สรรพสิง่ กำ�ลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร มิใช่ เพียงแต่สรรพสิ่งเท่านั้น แม้แต่เราเองซึ่งได้รับผลิตผลครั้งแรกของพระจิตเจ้าแล้ว ก็ยังครํ่าครวญอยู่ภายใน ในเมื่อเรามีความกระตือรือร้นรอคอยให้พระเจ้าทรงรับ เราเป็นบุตรบุญธรรม ให้ร่างกายของเราได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:1-23 วันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ ประชาชนจำ�นวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วน ประชาชนยืนอยู่บนฝั่ง พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขา
กำ�ลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็ก น้อย ก็งอกขึน้ ทันทีเพราะดินไม่ลกึ แต่เมือ่ ดวงอาทิตย์ขนึ้ ก็ถกู แดดเผาและเหีย่ วแห้งไปเพราะไม่มรี าก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำ�ให้เหี่ยวเฉาตายไป บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหู ก็จงฟังเถิด” บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมา” พระองค์ทรง ตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมลํ้าลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ ผู้อื่น เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย ดัง นัน้ เรากล่าวแก่คนเหล่านีเ้ ป็นอุปมา ถึงแม้พวกเขามองดู ก็ไม่เห็น แม้ฟงั ก็ไม่ได้ยนิ และไม่เข้าใจ สำ�หรับ คนเหล่านี้ คำ�ทำ�นายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริง ที่ว่า ‘ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง เขาทำ�หูทวนลม และปิดตาเสีย เพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู จะได้ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา’ ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำ�นวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง ดังนั้น จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักร และไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง เมล็ด ที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญ ความยากลำ�บากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานัน้ เขาก็ยอมแพ้ทนั ที เมล็ดทีต่ กในพงหนามหมาย ถึงบุคคลทีฟ่ งั พระวาจา แต่ความวุน่ วายในทางโลก ความลุม่ หลงในทรัพย์สมบัตเิ ข้ามาบดบังพระวาจา ไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดทีห่ ว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลทีฟ่ งั พระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่า บ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” ตัวแปรสำ�คัญทีท่ �ำ ให้พระวาจาของพระเจ้าไม่เติบโตในจิตใจ ก็คอื จิตใจของผูร้ บั ฟังนัน่ เอง จริง อยู่ตัวแปรอาจเป็นว่าผู้อ่านอ่านไม่ดี เครื่องเสียงไม่มีคุณภาพ คุณพ่ออธิบายไม่กระจ่าง แต่พระวาจาของ พระเจ้านัน้ ทรงฤทธิ์ เพียงแค่ฟงั ก็สามารถชำ�ระล้างหู ชำ�ระล้างจิตใจ เพียงแค่อา่ นอย่างตัง้ ใจก็ช�ำ ระล้างริม ฝีปาก และเพียงแค่คิดตามก็ชำ�ระดวงตาให้มองเห็นทาง ชำ�ระสติปัญญาให้สามารถเข้าใจ ปัญหาจึงอยู่ที่ ความพร้อมของผู้ฟังว่าจะฟังหรือไม่ เมื่อมีข้าวของเงินทองมาบดบังสมาธิ เราก็กลายเป็นพื้นดินที่มีวัชพืช ปกคลุมทันที แต่พระเป็นเจ้าทรงเรียกร้องว่า เราต้องฟังอย่างตั้งใจเพื่อจะได้บังเกิดผล มีบางคนไม่อยาก ฟัง ฟังแล้วต้องกลับใจ กลับใจแล้วทำ�ให้ต้องเลิกทำ�บาปที่ตัวเองชอบ เราเป็นเช่นนั้นหรือไม่?
สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา สดด 124:1-3,4-6,7-8
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 อพย 1:8-14,22 ในครั้งนั้น กษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ในอียิปต์ พระองค์มิได้ทรงรู้จัก โยเซฟ ทรงประกาศแก่ประชาชนว่า “ดูซิ ชาวอิสราเอลมีจำ�นวนมากและมีกำ�ลัง มากกว่าเรา เราจะต้องจัดการขัดขวางมิให้คนเหล่านี้ทวีจำ�นวนมากขึ้น มิฉะนั้น ถ้าเกิดสงคราม เขาอาจไปเข้าข้างศัตรู มาสูร้ บกับเราและหลบหนีออกจากแผ่นดิน ไป”... แต่ชาวอียิปต์ยิ่งกดขี่ชาวอิสราเอลมากขึ้นเท่าใด ชาวอิสราเอลก็ยิ่งทวี จำ�นวนแผ่กระจายออกไปมากขึ้นเท่านั้น... กษัตริย์อียิปต์รับสั่งกับหญิงทำ�คลอดชื่อชิฟราห์และอีกคนหนึ่งชื่อปูอาห์ซึ่ง เป็นผู้ทำ�คลอดให้หญิงชาวฮีบรูว่า “เมื่อท่านทำ�คลอดให้หญิงชาวฮีบรู จงสังเกต เพศของทารก ถ้าเป็นชาย จงฆ่าเสีย ถ้าเป็นหญิงจงปล่อยให้รอดชีวิต” แต่หญิง ทำ�คลอดเป็นผู้ยำ�เกรงพระเจ้า จึงไม่ได้ปฏิบัติตามรับสั่งของกษัตริย์อียิปต์ นาง ปล่อยให้เด็กชายรอดชีวิต... กษัตริย์ฟาโรห์รับสั่งแก่ประชาชนทั้งปวงว่า “จงโยน เด็กชายชาวฮีบรูทุกคนที่เกิดใหม่ลงในแม่นํ้าไนล์ แต่ปล่อยให้เด็กหญิงทุกคนรอด ชีวิต”
พระวรสาร มธ 10:34-11:1 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำ�สันติภาพมาให้โลก เรามิได้มาเพื่อนำ�สันติภาพ แต่มาเพื่อนำ�ดาบมาให้ เรามาเพือ่ แยกบุตรชายจากบิดา แยกบุตรหญิงจากมารดา แยกบุตรสะใภ้จากมารดาของสามี ศัตรูของ คนก็คือคนที่อยู่ร่วมบ้านกับเขานั่นเอง” “ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควร กับเรา ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะ สูญเสียชีวติ นัน้ แต่ผทู้ ยี่ อมเสียชีวติ ของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวติ นัน้ อีก ผูท้ ตี่ อ้ นรับท่านทัง้ หลาย ก็ตอ้ นรับเรา ผูท้ ต่ี อ้ นรับเรา ก็ตอ้ นรับพระองค์ผทู้ รงส่งเรามา ผูท้ ต่ี อ้ นรับประกาศก เพราะเป็นประกาศก จะได้รับบำ�เหน็จรางวัลของประกาศก ผู้ที่ต้อนรับผู้ชอบธรรม เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับ บำ�เหน็จรางวัลของผู้ชอบธรรม ผู้ใดที่ให้นํ้าเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคน ธรรมดาๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ผูน้ นั้ จะได้รบั บำ�เหน็จ รางวัลอย่างแน่นอน” เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสสั่งสอนศิษย์สิบสองคนแล้ว ก็เสด็จจากที่นั่นไปเทศนาสั่งสอนตามเมืองต่างๆ ในแคว้นกาลิลี แม้เราผู้ซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาอ่านพระวรสารวันนี้แล้ว ก็คงจะรู้ว่าพระเยซูเจ้ามิได้สอนให้ เราทำ�สงครามและเกลียดชังกันในครอบครัวอย่างแน่นอน แต่พระวรสารตอนนี้พระเยซูเจ้าทรงสอนอัคร สาวกถึงการตัดสินใจเลือกรับใช้พระเจ้าอย่างเด็ดขาด ทิง้ ทุกสิง่ และมาติดตามพระองค์วา่ จะพบกับอุปสรรค อุปสรรคบางอย่างมาจากครอบครัว อัครสาวกก็ตอ้ งเลือกพระเจ้าอย่างเด็ดขาด แต่การทำ�เช่นนีม้ ใิ ช่เนรคุณ พ่อแม่ แต่เป็นหนทางที่พระพรของพระเจ้าจะหลั่งไหลมาช่วยเหลือครอบครัวเกินกว่าที่เราจะหันกลับจาก พระเจ้าไปช่วยครอบครัวด้วยลำ�พังตัวเรา และเรายังได้ช่วยเหลือสังคมวงกว้างในพระศาสนาอีกด้วย
บทอ่านที่ 1 อพย 2:1-15ก ในครั้งนั้น ชายผู้หนึ่งจากเผ่าเลวี ได้หญิงชาวเลวีเป็นภรรยา ต่อมานางตั้ง ครรภ์และคลอดบุตรชาย นางเห็นว่าบุตรน่ารัก จึงซ่อนบุตรนั้นไว้สามเดือน เมื่อ ซ่อนไว้นานกว่านั้นไม่ได้แล้ว นางจึงนำ�ตะกร้าสานด้วยต้นกกมาแล้วยาด้วยยาง มะตอยและชัน วางเด็กไว้ในตะกร้านั้นแล้วนำ�ไปวางไว้ในพงอ้อริมฝั่งแม่นํ้า... พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์เสด็จมาสรงนํ้าที่แม่นํ้า... พระธิดาทอดพระเนตร สัปดาห์ที่ 15 เห็นตะกร้าอยู่ในพงอ้อ จึงรับสั่งให้นางกำ�นัลไปนำ�มา เมื่อทรงเปิดตะกร้าก็ทอด เทศกาลธรรมดา พระเนตรเห็นทารกเพศชายกำ�ลังร้องไห้อยู่ ก็ทรงสงสาร จึงตรัสว่า “นี่ต้องเป็น สดด 69:2,13, ลูกของหญิงชาวฮีบรู” พีส่ าวของเด็กนัน้ ก็ทลู ถามว่า “จะให้ดฉิ นั ไปเรียกแม่นมชาว 29-30,32-33 ฮีบรูมาเลีย้ งเด็กนีใ้ ห้พระองค์ไหมคะ”... พระธิดาของกษัตริยฟ์ าโรห์จงึ ตรัสกับนาง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ว่า “จงนำ�เด็กคนนี้ไปเลี้ยงให้ฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้าง” หญิงนั้นก็นำ�ทารกไปเลี้ยง ไว้ เมื่อเด็กเติบโตพอสมควรแล้วนางก็นำ�ไปถวายพระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์ พระธิดาทรงรับเขาเป็น บุตร และทรงตั้งชื่อว่าโมเสส ตรัสว่า “ฉันได้ฉุดเขาขึ้นมาจากนํ้า” ต่อมาเป็นเวลานาน เมือ่ โมเสสเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาออกไปเยี่ยมเยียนเพือ่ นร่วมชาติ เห็นเขา เหล่านั้นถูกบังคับให้ทำ�งานหนัก เขาเห็นชาวอียิปต์คนหนึ่งกำ�ลังทุบตีชาวฮีบรูเพื่อนร่วมชาติของตน โมเสสมองดูโดยรอบ ไม่เห็นใคร จึงฆ่าชาวอียิปต์ผู้นั้นแล้วเอาศพหมกทรายไว้ วันรุ่งขึ้น เขากลับไปอีก เห็นชาวฮีบรูสองคนกำ�ลังต่อสู้กัน เขาถามคนที่ทำ�ผิดว่า “ทำ�ไมท่านจึงทุบตีเพื่อนร่วมชาติของท่าน” ชาวฮีบรูคนนั้นตอบว่า “ใครตั้งท่านเป็นผู้นำ� และผู้ตัดสินพวกเรา ท่านจะฆ่าข้าพเจ้าเหมือนฆ่าชาว อียิปต์ผู้นั้นหรือ” โมเสสกลัวมาก คิดในใจว่า “ใครๆ ต้องรู้เรื่องนี้แล้วแน่ๆ” กษัตริย์ฟาโรห์ทรงทราบ เรื่องนี้ จึงทรงพยายามประหารชีวิตโมเสส แต่โมเสสหลบหนีกษัตริย์ฟาโรห์ไปในแผ่นดินมีเดียน พระวรสาร มธ 11:20-24 เวลานัน้ แล้วพระเยซูเจ้าทรงตำ�หนิบรรดาเมืองทีพ่ ระองค์ทรงทำ�อัศจรรย์มากกว่าทีเ่ มืองอืน่ เพราะ ชาวเมืองไม่ยอมกลับใจว่า “จงวิบัติเถิด เมืองโคราซิน จงวิบัติเถิด เมืองเบธไซดา เพราะถ้าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเจ้าเกิดขึ้นที่ เมืองไทระและเมืองไซดอนแล้ว ชาวเมืองเหล่านัน้ คงได้นงุ่ กระสอบ เอาขีเ้ ถ้าโรยศีรษะ กลับใจเสียนาน แล้ว ฉะนั้น เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา เมืองไทระและเมืองไซดอนจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้ายกตนขึ้นถึงฟ้าเทียวหรือ ตรงกันข้าม เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผู้ ตาย เพราะว่าถ้าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเจ้าเกิดขึ้นที่เมืองโสโดมแล้ว เมืองโสโดมก็คงจะอยู่จนถึงวันนี้ ฉะนั้น เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา เมืองโสโดมจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า” นักบุญมัทธิวเรียกเมือง “คาเปอรนาอุม” ว่า “เมืองของพระองค์” (มธ 9:1) เพราะพระเยซู เจ้าทรงเทศน์สอนและทำ�อัศจรรย์ที่นี่มากที่สุด เมือง “โคราซิน” และ “เบธไซดา” ก็อยู่รอบทะเลสาบกาลิลี เช่นเดียวกัน แต่ก็เป็นเมืองที่ทำ�ให้พระเยซูเจ้าทรงผิดหวังมากที่สุด พระเยซูเจ้าบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเรา และต้องพบกับฉากชีวิตเช่นเดียวกับพวกเรา ที่ผิดหวังจากที่ที่เราลงทุนลงแรง รักและทุ่มเท แต่พระองค์ก็ ทรงเพียงแค่ผ่านไปยังเมืองอื่น เพื่อรักและไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง เราอย่าท้อถอยกับความผิดหวัง แต่ ยังคงต้องรักและเดินเลยผ่านไปเพราะเรามีปลายทางที่งดงามรออยู่ คือเมืองสวรรค์
สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา
สดด 103:1-2,3-4,6-7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 อพย 3:1-6,9-12 ในครั้งนั้น โมเสสเลี้ยงฝูงแพะแกะของเยโธร ผู้เป็นพ่อตาและสมณะแห่ง มีเดียน วันหนึง่ เขาต้อนฝูงแพะแกะข้ามถิน่ ทุรกันดารไปถึงโฮเรบ ภูเขาของพระเจ้า ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาเป็นเปลวไฟลุกอยู่กลางพุ่มไม้ โมเสสมองดูก็เห็นว่าพุ่มไม้นั้นลุกเป็นไฟ แต่ไม่มอดไหม้ จึงคิดว่า “ฉันจะเข้าไปดู เหตุการณ์แปลกประหลาดนีใ้ กล้ๆ ทำ�ไมพุม่ ไม้นนั้ ไม่มอดไหม้” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ทอดพระเนตรเห็นเขาเข้ามาดูใกล้ๆ จึงตรัสเรียกเขาจากกลางพุ่มไม้ว่า “โมเสส โมเสส” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” พระองค์ตรัสห้ามว่า “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ จงถอดรองเท้าออก เพราะสถานทีท่ ที่ า่ นยืนอยูเ่ ป็นสถานทีศ่ กั ดิส์ ทิ ธิ”์ พระองค์ยงั ตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ เราได้ยินเสียงร้องครํ่าครวญของชาว อิสราเอล และเห็นเขาถูกชาวอียิปต์ข่มเหงอย่างทารุณ บัดนี้ เราจะส่งท่านไปเฝ้า กษัตริย์ฟาโรห์ เพื่อนำ�ชาวอิสราเอลประชากรของเราออกจากอียิปต์” โมเสสทูลพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดที่จะไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ และนำ�ชาว อิสราเอลออกจากอียิปต์” พระองค์ตรัสว่า “เราจะอยู่กับท่าน และเครื่องหมาย แสดงว่าเราส่งท่านไปก็คอื เมือ่ ท่านนำ�ประชากรออกจากอียปิ ต์แล้ว ท่านทัง้ หลาย จะมานมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้” พระวรสาร มธ 11:25-27 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้า สรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรง เปิดเผยแก่บรรดาผู้ตํ่าต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และ ไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้” เป็นเรื่องแปลกที่ชาวบ้านเข้าใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านทางความเชื่อ ซื่อๆ ของพวกเขา แต่พอเราเรียนสูงก็เริ่มดูถูกการสวดสายประคำ�ของแม่ว่างมงาย อุปสรรคในการเข้าหาพระมักจะติดตามมาพร้อมกับใบปริญญา และคิดว่าพระเจ้าเป็น เรื่องพิสูจน์ไม่ได้ สติปัญญาอันน้อยนิดประดุจเศษฝุ่นดินของมนุษย์อวดอ้างว่า จะไป พิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า พระเจ้ามิได้ทรงปิดบังพระองค์ แต่มนุษย์เข้าหาพระเจ้า ผิดวิธี คือพวกเขาจะเข้าหาพระเจ้าด้วยการทดลอง พิสูจน์ และเหตุผล แต่ผู้ตํ่าต้อย เข้าหาพระเจ้าด้วยความเชื่อและความรักที่พระเจ้าทรงสอนเขาให้มีต่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยกัน
บทอ่านที่ 1 อพย 3:13-20 ในครัง้ นัน้ โมเสสทูลพระเจ้าว่า “เมือ่ ข้าพเจ้าไปหาชาวอิสราเอลแล้วบอกเขา ว่า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงส่งข้าพเจ้ามาหาท่าน” ถ้าเขาถามข้าพเจ้า ว่า “พระองค์ทรงพระนามว่าอะไร ข้าพเจ้าจะตอบเขาอย่างไร” พระเจ้าตรัสกับ โมเสสว่า “เราคือเราเป็น” แล้วตรัสต่อไปว่า “ท่านต้องบอกชาวอิสราเอลดังนี้ว่า น.อโพลินาริส ‘เราเป็น’ ทรงส่งข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย” พระเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า ท่าน พระสังฆราช ต้องบอกชาวอิสราเอลดังนีว้ า่ “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของบรรพบุรษุ ของท่าน และมรณสักขี พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงส่งข้าพเจ้า มาหาท่านทั้งหลาย นามนี้จะเป็นนามของเราตลอดไป ชนรุ่นต่อๆ ไปจะต้องเรียก สดด 105:1 และ 7-10, เราด้วยนามนี้ 23-25,26-27 จงไปเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอล แล้วบอกเขาว่า “องค์พระผู้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เป็นเจ้าพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย พระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัค และของยาโคบ ทรงสำ�แดงพระองค์แก่ขา้ พเจ้า ตรัสว่า เราได้มาเยีย่ มท่านทัง้ หลาย แล้ว และได้เห็นสิ่งที่ชาวอียิปต์ทำ�กับท่าน เราตกลงใจจะนำ�ท่านให้พ้นจากความ ทุกข์ยากในอียปิ ต์ทที่ า่ นถูกข่มเหง ไปยังแผ่นดินของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาว อาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ไปยังแผ่นดินที่มีนํ้านมและนํ้าผึ้ง ไหลบริบูรณ์ เขาเหล่านั้นจะฟังท่าน แล้วท่านกับผู้อาวุโสชาวอิสราเอลจงไปเฝ้า กษัตริย์อียิปต์ทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของชาวฮีบรูเสด็จมาหา พวกเรา ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเราออกเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสามวันเพื่อถวาย บูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา เรารู้ดีว่า กษัตริย์อียิปต์จะไม่ทรงยอมให้ท่านทั้งหลายไป นอกจากพระองค์จะทรงถูกบังคับด้วยมืออันทรงอานุภาพของเราเท่านัน้ เราจะเหยียดมือของเราเฆีย่ น ตีชาวอียิปต์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ ที่เราจะทำ�ในหมู่พวกเขา จะทำ�ให้กษัตริย์อียิปต์ปล่อยท่านทั้งหลายไป” พระวรสาร มธ 11:28-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพ อ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รบั การพักผ่อน เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุม่ และภาระทีเ่ รา ให้ท่านแบกก็เบา” พระเจ้าทรงส่งโมเสสไปช่วยเหลือชาวอิราเอล เอาภาระหนักของการเป็นทาสออกจากบ่า พระคัมภีร์ใช้คำ�ว่า “พระองค์ทรงมาเยี่ยมเขาทั้งหลายแล้ว” หมายถึงความรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจบสิ้นลง เรา จะรู้ความจริงข้อนี้ เราต้องเข้าไปยังพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟแต่ไม่ไหม้คือ องค์พระเจ้า พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “จง มาพบเราเถิด”...การจะได้รับการพักผ่อนหายเหนื่อยและปลดเปลื้องภาระหนักออกไป มีเคล็ดลับอยู่ที่การ ต้องเข้าไปหาพระเจ้าอย่างสุภาพถ่อมตน...พระเจ้าตรัสกับโมเสส “จงถอดรองเท้าออก...เพราะที่นี่เป็นที่ ศักดิ์สิทธิ์” เราอย่าเข้าหาพระเจ้าอย่างมนุษย์ที่หยิ่งยโส แต่จงเข้าหาพระเจ้าในฐานะลูกของพระองค์
21
บทอ่านที่ 1 อพย 11:10-12:14 ในครั้งนั้น โมเสสและอาโรนได้ทำ�ปาฏิหาริย์เหล่านี้ทั้งหมดเฉพาะพระพักตร์ กษัตริย์ฟาโรห์ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พระทัยของกษัตริย์ฟาโรห์ดื้อ ดึง ไม่ทรงยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในแผ่นดินอียิปต์ว่า “เดือนนี้จะ เป็นเดือนแรกสำ�หรับท่านทัง้ หลาย เป็นเดือนเริม่ ต้นปี ท่านทัง้ สองคนจงบอกชุมชน น.ลอเรนซ์ ชาวอิสราเอลทัง้ หมดว่า วันทีส่ บิ เดือนนี้ แต่ละคนต้องเลือกลูกแกะหรือลูกแพะตัว แห่งบรินดิซี หนึ่งสำ�หรับครอบครัวของตน หนึ่งตัวต่อหนึ่งครอบครัว แต่ถ้าครอบครัวเล็กเกิน พระสงฆ์ และนักปราชญ์ ไป กินลูกแกะไม่หมด จงเชิญเพือ่ นบ้านทีอ่ ยูใ่ กล้เคียงมากินด้วย... ลูกแกะนัน้ ต้อง ไม่มีตำ�หนิ เป็นตัวผู้อายุหนึ่งปี จะเลือกลูกแพะแทนลูกแกะก็ได้ จงจับมันเลี้ยงไว้ สดด 116:12-13, จนถึงวันที่สิบสี่ของเดือนนี้ แล้วให้ชุมชนของชาวอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะนั้น 14-16,17-18 ในตอนเย็น เอาเลือดทากรอบด้านข้างและด้านบนของประตูบ้านที่จะกินลูกแกะ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 นั้น คืนนั้น จงย่างเนื้อสัตว์นั้น แล้วกินกับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม อย่ากินเนื้อ ดิบหรือเนื้อต้ม แต่จงย่างไฟทั้งหัว ขาและเครื่องใน... ท่านทั้งหลายจงกิน โดย พร้อมที่จะเดินทาง คือคาดสะเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้า ท่านจงกินอย่างเร่งรีบ นี่เป็นปัสกาของ องค์พระผู้เป็นเจ้า ในคืนนั้น เราจะผ่านเข้าไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ และประหารชีวิตบุตรคนแรกทั้งหมด ในแผ่นดินอียิปต์ ทั้งของคนและสัตว์... เลือดที่กรอบประตูจะเป็นเครื่องหมายว่าเป็นบ้านที่ท่านทั้ง หลายอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นเลือด เราจะผ่านเลยไป ท่านจะพ้นจากภัยพิบัติที่ทำ�ลาย ขณะที่เราลงโทษ แผ่นดินอียปิ ต์ วันนีจ้ ะเป็นวันทีท่ า่ นทัง้ หลายต้องจดจำ�ไว้ ท่านต้องถือเป็นวันฉลองถวายพระเกียรติแด่ องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านต้องฉลองเช่นนี้เป็นกฎถาวรชั่วลูกชั่วหลาน” พระวรสาร มธ 12:1-8 ครัง้ หนึง่ พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลีในวันสับบาโต บรรดาศิษย์รสู้ กึ หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากิน เมื่อชาวฟาริสีสังเกตเห็นดังนั้น จึงทูลพระองค์ว่า “ดูซิ ศิษย์ของท่านกำ�ลังทำ�สิ่งต้องห้ามในวัน สับบาโต” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่ากษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำ� สิ่งใดเมื่อหิวโหย พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า เสวยขนมปังที่ตั้งถวายพร้อมกับบรรดา ผู้ติดตาม ขนมปังนั้นผู้ใดจะกินไม่ได้ นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น ท่านไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือ ว่า ในวันสับบาโตนั้น บรรดาสมณะในพระวิหารย่อมละเมิดวันสับบาโตได้โดยไม่มีความผิด เราบอก ท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารเสียอีก ถ้าท่านเข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า ‘เรา พอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ ท่านคงจะไม่กล่าวโทษผู้ไม่มีความผิด เพราะบุตรแห่ง มนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต” ความยืดหยุน่ ของข้อกำ�หนดในพระศาสนามีเพียงประการเดียว นัน่ คือเพือ่ ความเมตตา เพราะ ข้อกำ�หนดที่ดีก็ต้องกำ�หนดไว้เพื่อมนุษย์จะได้แสดงความเมตตาต่อกันและกัน ดังที่พระเจ้าทรงมองข้าม ความยุติธรรมที่เราจะต้องรับโทษ ไปสู่ความเมตตาที่เราจะได้รับการอภัยโทษ หากพิจารณาตามตัวอักษรที่ กำ�หนด เราทุกคนคงจะได้รบั โทษตามความยุตธิ รรมอย่างสาสมกับความผิดบาปไปแล้ว คนทีไ่ ม่มคี วามเมตตา ยืดหยุ่นต่อผู้อื่น ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ยังมีปมด้อย ไม่เคยอิ่มใจในชีวิตของตน เขาขาดความรักอยู่เสมอ
บทอ่านที่ 1 2 คร 5:14-17 พี่น้อง เพราะความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา เราแน่ใจว่า ถ้าคนหนึ่ง ตายเพื่อทุกคน ก็เหมือนกับว่าทุกคนได้ตายด้วย พระองค์สิ้นพระชนม์แทนทุกคน เพื่ อ ผู้ ที่ มี ชี วิ ต จะได้ ไ ม่ มี ชี วิ ต เพื่ อ ตนเองอี ก ต่ อ ไป แต่ มี ชี วิ ต เพื่ อ พระองค์ ผู้ ไ ด้ สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานมนุษย์อีก แม้ว่า ครัง้ หนึง่ เราเคยพิจารณาพระคริสตเจ้าตามมาตรฐานมนุษย์ แต่บดั นีเ้ ราไม่พจิ ารณา พระองค์ตามมาตรฐานนีอ้ กี ต่อไป ดังนัน้ ถ้าผู้ใดอยูใ่ นพระคริสตเจ้า ผูน้ นั้ ก็เป็นสิง่ สร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว
ฉลอง น.มารีย์ ชาวมักดาลา สดด 63:1-2,3-5, 6-9
พระวรสาร ยน 20:1,11-18 เช้าตรูว่ นั ต้นสัปดาห์ขณะทีย่ งั มืด มารียช์ าวมักดาลาออกไปทีพ่ ระคูหา ก็เห็น หินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว มารียย์ งั คงยืนร้องไห้อยูน่ อกพระคูหา ขณะทีร่ อ้ งไห้นนั้ นางก้มลงมองในพระ คูหา ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระ เยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทงั้ สององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ท�ำ ไม” นางตอบว่า “เขานำ�องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าของดิฉนั ไปแล้ว ดิฉนั ไม่รวู้ า่ เขานำ�พระองค์ไปไว้ทใี่ ด” เมือ่ ตอบดังนี้ แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู เจ้า พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม กำ�ลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่า พระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำ�พระองค์ไป ช่วยบอกดิฉัน ว่าท่านนำ�พระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำ�พระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัส เรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไปทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่ง แปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนีย่ วเราไว้เลย เพราะ เรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำ�ลัง ขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทัง้ หลาย” มารียช์ าวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์วา่ “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง นักบุญเปาโลเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์ที่วางเนื้อหาทางเทววิทยาเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าไว้มากมาย หลายประการ ข้อหนึ่งก็คือต่อไปนี้เรามีมาตรฐานใหม่ คือมีชีวิตในองค์พระคริสตเจ้า อย่าดำ�เนินชีวิตแบบมนุษย์ธรรมดา แต่ต้องเจริญชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ผู้กลับคืนพระชนมชีพ อยู่ตลอดเวลา ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูเจ้าทรงอยู่ในตัวเราด้วยเช่นกัน เราจึงเป็นบุตรพระเจ้า มารีย์ มักดาลา อาจจะหมดหวังในชีวิตที่ผิดพลาดป่วยไข้ของตน เธอรักษาตนเองไม่ได้ แต่เมื่อเธอแสวงหาพระ เยซูเจ้า พระองค์ทรงมาบอกเธอว่า เธอเป็นลูกของพระเช่นกัน เธอเป็นผู้สื่อสารข่าวดีให้แก่ผู้อื่น เธอเป็น คนดีได้ เธอกลับมีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับพระองค์เมื่อดำ�เนินชีวิตในพระองค์
สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ ปชญ 12:13, 16-19 นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มพี ระเจ้าอืน่ ใดทีเ่ อาพระทัยใส่ทกุ สิง่ และทีพ่ ระองค์ จะต้องพิสูจน์ว่ามิได้ทรงตัดสินอย่างอยุติธรรม พระฤทธานุภาพของพระองค์เป็นบ่อเกิดแห่งความยุติธรรม การที่ทรงเป็น เจ้านายเหนือจักรวาลทำ�ให้พระองค์ทรงปรานีทุกคน พระองค์ทรงสำ�แดงพระ ฤทธานุภาพแก่ผู้ที่ไม่เชื่อพระอานุภาพของพระองค์ พระองค์ทรงกำ�จัดความหยิ่ง ยโสของผู้ท่ีรู้จักพระองค์ พระองค์ทรงพลานุภาพอย่างสมบูรณ์ จึงทรงพิพากษา อย่างอ่อนโยน ทรงปกครองข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยพระทัยปรานี เพราะพระองค์ ทรงใช้พระอานุภาพตามที่พอพระทัย พระองค์ทรงกระทำ�เช่นนีเ้ พือ่ สอนประชากรของพระองค์วา่ ผูช้ อบธรรมต้อง รักเพื่อนมนุษย์ พระองค์ประทานความหวังเต็มเปี่ยมแก่บรรดาบุตรของพระองค์ ว่า เมื่อเขาทำ�บาปแล้ว พระองค์ก็ประทานโอกาสให้เขากลับใจ เพลงสดุดี สดด 86:5-7,9-10,15-16ก ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์มีพระทัยดีและประทานอภัย ทรงความรักมั่นคงล้นเหลือต่อทุกคนที่เรียกขานพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงเอียงพระกรรณฟังคำ�ภาวนาของข้าพเจ้า โปรดทรงรับฟังเสียงร้องที่ข้าพเจ้าวอนขอ ในวันที่ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ ข้าพเจ้าเรียกหาพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า ข) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า นานาชาติที่ทรงสร้างจะมากราบไหว้ นมัสการพระองค์ และจะถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่และทรงกระทำ�ปาฏิหาริย์ พระองค์เพียงพระองค์เดียวทรงเป็นพระเจ้า ค) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณา กริ้วช้า ทรงความรักมั่นคงและทรงซื่อสัตย์อย่างมากล้น โปรดทรงผินพระพักตร์มาทางข้าพเจ้า และทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าเถิด โปรดประทานพละกำ�ลังแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:26-27 พี่น้อง ในทำ�นองเดียวกัน พระจิตเจ้าเสด็จมาช่วยเหลือเราผู้อ่อนแอ เพราะ เราไม่รู้ว่าจะต้องอธิษฐานภาวนาขอสิ่งใดที่เหมาะสม แต่พระจิตเจ้าทรงอธิษฐาน ภาวนาวอนขอแทนเราด้วยคำ�ที่ไม่อาจบรรยาย และพระผู้ทรงสำ�รวจจิตใจ ทรง ทราบความปรารถนาของพระจิตเจ้า เพราะว่าพระจิตเจ้าทรงอธิษฐานเพือ่ บรรดา ผู้ศักดิ์สิทธิ์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:24-43 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้ กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับ ลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป เมือ่ ต้นข้าวงอกขึน้ จนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยูด่ ว้ ย บรรดาผูร้ บั ใช้จงึ ไปหานายถามว่า ‘นายครับ นายหว่านข้าวพันธุด์ ใี นนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากทีใ่ ด’ นาย ตอบว่า ‘ศัตรูมาหว่านไว้’ ผู้รับใช้จึงถามว่า ‘นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม’ นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้น ด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกีย่ ว แล้วเมือ่ เก็บเกีย่ ว ฉันจะบอกคนเก็บเกีย่ วว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็น ฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน’” พระองค์ตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีผู้นำ�ไป หว่านในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่า ต้นผักอื่นๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำ�รังอาศัยบนกิ่งได้” พระองค์ยงั ตรัสเป็นอุปมาอีกเรือ่ งหนึง่ ว่า “อาณาจักรสวรรค์ยงั เปรียบได้กบั เชือ้ แป้งทีห่ ญิงคนหนึง่ นำ�มาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น” พระเยซูเจ้าตรัสเรือ่ งทัง้ หมดนีแ้ ก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิง่ ใดกับเขาโดยไม่ใช้อปุ มา ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำ�รัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา เราจะกล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก หลังจากนั้น พระองค์ทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า “โปรด อธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด” พระองค์ตรัสว่า “ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์ ทุ่ง นาคือโลก เมล็ดพันธุด์ คี อื พลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูทหี่ ว่าน คือปีศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์” “ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จะใช้ทูต สวรรค์มารวบรวมทุกสิ่งที่ทำ�ให้หลงผิดและทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ส่วนผู้ชอบ ธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด”
หนังสือปรีชาญาณอธิบายพระลักษณะของพระเจ้าอย่างยอดเยีย่ มแม่นยำ� เขาพยายามบอก เพื่อนๆ ว่า พระเจ้าไม่ทรงต้องมาพิสูจน์ว่าทรงยุติธรรม เพราะทรงให้อภัย และให้โอกาสคนบาป เพื่อสอน มนุษย์ว่าเขาต้องรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไร พระลักษณะประการนี้บางทีทำ�ให้เราหงุดหงิดว่า ทำ�ไม พระเจ้าไม่ทรงจัดการคนชั่วให้สิ้นชีพไป เรามีหน้าที่ต้องเรียนรู้พระประสงค์ของพระเจ้าและเลียนแบบการ รู้จักใช้อ�ำ นาจที่เรามีเยี่ยงพระองค์ มนุษย์ไม่อดทนต่อกัน และจัดการความหงุดหงิดให้ได้อย่างใจด้วยการ กำ�จัดคนที่ไม่ชอบออกไปพ้นจากสายตาให้หมด แต่พระเจ้าทรงพิพากษาอย่างอ่อนโยน พระองค์ประทาน โอกาสให้เขากลับใจ... แน่นอนพระองค์ทรงต้องอดทนมากเช่นกัน
บทอ่านที่ 1 อพย 14:5-18 ในครั้งนั้น เมื่อกษัตริย์ฟาโรห์ของอียิปต์ทรงทราบว่า ประชากรอิสราเอลหนี ไปแล้ว พระดำ�ริของกษัตริย์ฟาโรห์และความคิดของบรรดาข้าราชบริพารต่อ ประชากรอิสราเอลก็เปลี่ยนไป... องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้กษัตริย์ฟาโรห์ ของอียิปต์มีพระทัยดื้อดึง ไล่ตามชาวอิสราเอลซึ่งกำ�ลังเดินทางออกไปอย่างคน น.ขาร์เบล มาคลุฟ อิสระ ชาวอียิปต์ไล่ตามไป มีกองทัพของกษัตริย์ฟาโรห์ทั้งหมด ทั้งม้า รถศึก และ ผูข้ บั ขีไ่ ล่ตามชาวอิสราเอลไปทันตรงทีเ่ ขาตัง้ ค่ายอยูข่ า้ งทะเลใกล้ปหี ะหิโรท เบือ้ ง พระสงฆ์ หน้าบาอัลเซโฟน เมือ่ กษัตริยฟ์ าโรห์ทรงเข้ามาใกล้ ชาวอิสราเอลเงยหน้าขึน้ ดู แล อพย 15:1-2,3-4,5-6 เห็นชาวอียิปต์ไล่ตามมา ก็มีความกลัวยิ่งนัก จึงร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาทั้ง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 หลายกล่าวโทษโมเสสว่า “ไม่มีที่ฝังศพในอียิปต์แล้วหรือ ท่านจึงพาพวกเราออก มาตายในถิ่นทุรกันดารนี้ ทำ�ไมท่านนำ�พวกเราออกจากอียิปต์... ” โมเสสตอบว่า “อย่ากลัวไปเลย จงยืนหยัดมั่นคง แล้วท่านจะเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยท่านทั้งหลายให้ รอดพ้นอย่างไรในวันนี้ ชาวอียิปต์ที่ท่านเห็นในวันนี้ท่านจะไม่ได้เห็นอีกเลย องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรง สู้รบแทนท่านทั้งหลาย จงสงบใจอยู่เฉยๆ เถิด” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ทำ�ไมท่านจึงร้องขอความช่วยเหลือจากเรา จงสัง่ ชาวอิสราเอล ให้เดินหน้าต่อไปเถิด ท่านจงยกไม้เท้าขึ้นแล้วยื่นมือออกไปเหนือทะเล ทำ�ให้ทะเลแยกจากกัน ชาว อิสราเอลจะได้เดินกลางทะเลบนพื้นดินแห้ง เราจะบันดาลให้ชาวอียิปต์มีใจดื้อดึงไล่ตามไป เราจะ สำ�แดงสิรริ งุ่ โรจน์ โดยมีชยั ชนะต่อกษัตริยฟ์ าโรห์และกองทัพทัง้ หมดของพระองค์ ทัง้ รถศึกและผูข้ บั ขี่ เมื่อเราสำ�แดงสิริรุ่งโรจน์ของเราโดยมีชัยชนะต่อกษัตริย์ฟาโรห์ รถศึก และผู้ขับขี่แล้ว ชาวอียิปต์จะรู้ ว่าเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า” พระวรสาร มธ 12:38-42 เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเราต้องการเห็น เครื่องหมายอัศจรรย์ประการหนึ่งจากท่าน” พระองค์ทรงตอบว่า “คนชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ต้องการ เห็นเครื่องหมายรึ จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น เว้นแต่เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์อยูใ่ นท้องปลาสามวันสามคืนฉันใด บุตรแห่งมนุษย์กจ็ ะอยูใ่ นท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนัน้ ในวันพิพากษา ชาวเมืองนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ ฟังคำ�เทศน์ของโยนาห์ แต่ทนี่ มี่ ผี ยู้ งิ่ ใหญ่กว่าโยนาห์อกี ในวันพิพากษา พระราชินแี ห่งทิศใต้ จะทรงลุก ขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของ กษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก” พระเจ้าทรงบอกโมเสสคล้ายกับว่าท่านมีฤทธิอ์ �ำ นาจอยูใ่ นมืออยูแ่ ล้ว ไม่ตอ้ งมาร้องขอความ ช่วยเหลือจากเราก็ได้ ท่านมีฤทธิ์อำ�นาจอยู่กับตัวท่านเมื่อเราให้ท่านมาทำ�ภารกิจให้เรา ทุกวันนี้เรามีพระพร ของพระเจ้าในตัวเรา ถ้าเรารับใช้พระเจ้า ดำ�เนินกิจการตามที่พระเจ้าทรงขอจากเรา พระเจ้าไม่ทรงให้เรา แบกภาระของพระองค์ด้วยมือเปล่าแต่ด้วยพระหรรษทานที่ประทานมาเสริมกำ�ลังให้แก่เรา บางทีเราไม่ แน่ใจเราก็อยากเห็นเครื่องหมายประกันความช่วยเหลืออันนั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่ารอวันนั้น หลังจากเราถูก ฝังไว้สามวัน วันที่เรากลับคืนพระชนมชีพจากความตาย วันนั้นแหละคือเครื่องหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดว่าเรามี ฤทธิ์อำ�นาจมอบแด่ท่าน
บทอ่านที่ 1 2 คร 4:7-15 พี่น้อง เรามีสมบัตินี้เก็บไว้ในภาชนะดินเผา เพื่อแสดงว่าอานุภาพลํ้าเลิศนั้น มาจากพระเจ้า มิใช่มาจากตัวเรา เราทนทุกข์ทรมานรอบด้าน แต่ไม่อับจน เราจน ปัญญา แต่ก็ไม่หมดหวัง เราถูกเบียดเบียน แต่ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีล้มลง แต่ไม่ ถึงตาย เราแบกความตายของพระเยซูเจ้าไว้ในร่างกายของเราอยูเ่ สมอ เพือ่ ว่าชีวติ ของพระเยซูเจ้าจะปรากฏอยูใ่ นร่างกายของเราด้วย ขณะทีเ่ รายังมีชวี ติ อยูเ่ ราเสีย่ ง กับความตายอยู่เสมอเพราะความรักต่อพระเยซูเจ้า เพื่อให้ชีวิตของพระเยซูเจ้า ปรากฏชัดในธรรมชาติทตี่ ายได้ของเรา ดังนัน้ ความตายกำ�ลังทำ�งานอยูใ่ นเรา แต่ ชีวิตกำ�ลังทำ�งานอยู่ในท่าน มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ข้าพเจ้าได้เชื่อ จึงได้พูด เรามีจิตแห่งความเชื่อ เดียวกันนี้ เราเชื่อ เราจึงพูด เพราะรู้ว่าพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูองค์พระ ผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ จะทรงบันดาลให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระ เยซูเจ้า และจะทรงนำ�เราและท่านทั้งหลายไปอยู่กับพระองค์ด้วย เหตุการณ์ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นสำ�หรับท่าน เพื่อว่าเมื่อพระหรรษทานแผ่ไปถึงคนมากขึ้น การ ขอบพระคุณจะทวียิ่งขึ้น เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
ฉลอง น.ยากอบ อัครสาวก
สดด 126:1-2, 3-4,5-6
พระวรสาร มธ 20:20-28 เวลานั้น มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจาก พระองค์ พระองค์จึงตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตร ทัง้ สองคนของข้าพเจ้า นัง่ ข้างขวาคนหนึง่ นัง่ ข้างซ้ายคนหนึง่ ในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซู เจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำ�ลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองคนทูลตอบ ว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้าง ซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำ�หรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้” เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมา พบ ตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายย่อมรูว้ า่ ในหมูค่ นต่างชาติ ผูป้ กครองย่อมเป็นเจ้านายเหนือผูอ้ นื่ และผูใ้ หญ่ ย่อมใช้อำ�นาจบังคับ แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ท่ีปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำ�ตนเป็น ผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำ�ตนเป็นผู้รับใช้ เหมือนกับทีบ่ ตุ รแห่งมนุษย์มไิ ด้มาเพือ่ ให้ผอู้ นื่ รับใช้ แต่มาเพือ่ รับใช้ผอู้ นื่ และมอบชีวติ ของตนเป็นสินไถ่ เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย” ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่กำ�ลังทำ�งานอย่างยากลำ�บากกังวลเสี่ยงภัย จะรับรู้ได้ดีที่สุดว่าการมี ชีวิตอยู่อย่างไม่สะสม ไม่มีหลักประกันความปลอดภัย ไม่มีความสะดวกสบาย แต่สามารถผ่านชีวิตไปได้ทุก วันนั้นเป็นเช่นไร ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่พระสิริมงคลของพระเจ้าจะปรากฎขึ้นต่อหน้าผู้อื่นผ่านทางชีวิตของเรา มิใช่วิธีนั่งข้างซ้ายข้างขวา เป็นใหญ่เป็นโตทางโลก ถ้าเราจะบอกคนอื่นว่าพระมีจริง ก็ด้วยวิธีที่พระเจ้าทรง กอบกู้ชีวิตที่บอบชํ้าของเราให้พวกเขาได้ประจักษ์
ระลึกถึง น.โยอากิม และ น.อันนา บิดามารดา ของพระนางมารีย์ พรหมจารี สดด 132:11,13-14, 17-18
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1 บสร 44:1,10-15 เราจงสรรเสริญบุคคลเรืองนามเถิด คือบรรพบุรุษของเราตามลำ�ดับชั่วอายุ คน แต่บรรพบุรษุ ของเราเป็นผูม้ เี มตตา คุณงามความดีของเขาไม่มวี นั ถูกลืม มรดก มีคา่ ยังคงอยูก่ บั เชือ้ สายของเขา คืออยูก่ บั ลูกหลาน เชือ้ สายของเขาซือ่ สัตย์ตอ่ พันธ สัญญา ลูกหลานต่อมาก็ซอื่ สัตย์ตามแบบเขาด้วย เชือ้ สายของเขาจะดำ�รงอยูต่ ลอด ไป ความรุ่งเรืองจะไม่ถูกลบล้างเลย ศพของเขาถูกฝังไว้อย่างสงบ แต่ชื่อเสียงจะ คงอยู่ตลอดไป ชุมชนต่างๆ จะประกาศปรีชาญาณของเขา ที่ประชุมจะสรรเสริญ เขา พระวรสาร มธ 13:16-17 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำ�นวนมากปรารถนาจะ เห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ ได้ฟัง” ปัจจุบันนี้มีคริสตังบางคนไปฉลองนักบุญอันนาเพื่อขอให้ได้ลูกเขยที่ดี เฉกเช่นทีท่ า่ นนักบุญอันนามีนกั บุญโยเซฟเป็นลูกเขย เป็นความน่ารักของคริสตชนแบบ ชาวบ้าน หนังสือบุตรสิราเป็นคำ�สอนของบรรพบุรุษชาวยิวสอนลูกหลานในด้านการ ดำ�เนินชีวิต วิธีคิด ทัศนคติต่อโลกและมีเรื่องที่สอนให้ต้องรู้ว่าต้นตอของเรามาจาก ไหน การรู้จักเคารพบรรพบุรุษและรู้ว่าเรามาจากไหน รากเหง้าเราเป็นใคร นับเป็นต้น ทุนชีวิตของเด็กๆ ที่สำ�คัญ พวกเขาจากเราไปแล้ว ไม่ได้เห็นความเจริญก้าวหน้าของ ลูกหลาน เขาก็คงอยากเห็นวันนี้ ดังที่นักบุญโยอากิมและอันนาอยากเห็นพระเยซูเจ้า อยากอุม้ พระเยซูกมุ ารอย่างทีแ่ ม่พระได้เป็นพระมารดา แต่ทมี่ วี นั นีเ้ พราะท่านเหล่านัน้ ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าส่งต่อความเชื่อมาสู่พวกเรา
บทอ่านที่ 1 อพย 19:1-2,9-11,16-20 วันแรกของเดือนทีส่ ามหลังจากทีช่ าวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียปิ ต์ เขามา ถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย... ตั้งค่ายอยู่ในถิ่นทุรกันดารด้านหน้าภูเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “บัดนี้ เรากำ�ลังจะมาหาท่านในเมฆหนา ทึบเพือ่ ประชากรจะได้ยนิ เราพูดกับท่าน และเชือ่ ท่านตลอดไป” โมเสสจึงทูลองค์ พระผู้เป็นเจ้าตามที่ประชากรได้พูดตอบ สัปดาห์ที่ 16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงไปบอกประชากร ให้ชำ�ระตนให้ เทศกาลธรรมดา บริสุทธิ์ในวันนี้และพรุ่งนี้ ให้ซักเสื้อผ้าให้สะอาด เตรียมให้พร้อมสำ�หรับวันมะรืน ดนล 3:52,53, นี้ เพราะในวันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาบนภูเขาซีนาย ให้ประชากรทั้ง 54,55,56 ปวงได้เห็น” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 รุง่ เช้าวันทีส่ าม มีเสียงฟ้าร้องคำ�ราม ฟ้าแลบแปลบปลาบ เมฆหนาทึบปกคลุม ภูเขา เสียงเป่าเขาสัตว์ดังก้องไปทั่ว... โมเสสนำ�ประชากรออกมานอกค่ายเพื่อเข้า เฝ้าพระเจ้า เขาทั้งหลายยืนอยู่ที่เชิงเขา ทั่วภูเขาซีนายมีควันปกคลุมเนื่องจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จ ลงมาบนภูเขานั้น ควันไฟพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาไฟใหญ่ ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียง เป่าเขาสัตว์ดงั ยิง่ ขึน้ ทุกที โมเสสทูลพระเจ้า พระเจ้าก็ตรัสตอบเป็นเสียงฟ้าร้อง องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเสด็จ ลงมาบนยอดภูเขาซีนาย ทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดภูเขา โมเสสก็ขึ้นไป พระวรสาร มธ 13:10-17 เวลานั้น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมา” พระองค์ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมลํ้าลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ ประทานให้แก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อย ที่มีไปด้วย ดังนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงแม้พวกเขามองดู ก็ไม่เห็น แม้ฟัง ก็ไม่ได้ยินและ ไม่เข้าใจ สำ�หรับคนเหล่านี้ คำ�ทำ�นายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริงที่ว่า ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น เพราะจิตใจของ ประชาชนนี้แข็งกระด้าง เขาทำ�หูทวนลม และปิดตา เพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู จะได้ไม่ เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำ�นวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง” บทที่ 19 ของหนังสืออพยพตอนนี้เป็นตอนที่สำ�คัญที่สุดของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เลยก็ว่าได้ เพราะชาวอิสราเอลได้กระทำ�พันธสัญญาเป็นประชากรของพระเจ้า ซึ่งเป็นจุดสุดยอดของชน เผ่าเร่รอ่ นของอับราฮัมทีไ่ ด้กลายมาเป็นประชากรของพระเจ้าทีน่ บั ว่าสำ�คัญมากในประวัตศิ าสตร์แห่งความ รอดพ้น เหมือนที่ครอบครัวของเราตัดสินใจมารับศีลล้างบาปเป็นคริสตชน...ลูกของพระเจ้า หลายคนไม่ อยากมา เพราะมาแล้วต้องกลับใจ กลับใจแล้วต้องเปลี่ยนความประพฤติ ความประพฤติผิดบาปที่เราชอบ เสียดายทีจ่ ะไม่ได้ท�ำ มันอีก คำ�อุปมาจึงมีไว้ชว่ ยทุกคน...เพราะเราไม่อยากฟังคำ�สอนของพระเจ้าแต่อปุ มาไม่ รู้ว่าพูดสอนใคร แต่เมื่อฟังแล้วกลับบ้านไปใคร่ครวญ อุปมาก็จะทำ�หน้าที่ตกตะกอนในจิตใจ
บทอ่านที่ 1 อพย 20:1-17 พระเจ้าตรัสทุกถ้อยคำ�ต่อไปนีว้ า่ “เราคือองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เป็นผู้นำ�ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ ให้พ้นจากการเป็นทาส ท่านต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา... ท่านต้องไม่กราบไหว้หรือรับใช้เทพเจ้าเหล่านั้น เพราะเราคือองค์พระผู้เป็น เจ้าพระเจ้าของท่าน เป็นพระเจ้าที่ไม่ยอมให้มีคู่แข่ง เป็นพระเจ้าที่ลงโทษความ สัปดาห์ที่ 16 ผิดบิดาที่เกลียดชังเรา ไปถึงลูกหลานจนถึงสามสี่ชั่วอายุคน แต่เราแสดงความรัก เทศกาลธรรมดา มั่นคงต่อผู้ที่รักเราและปฏิบัติตามบทบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน สดด 19:7-8,9-10 ท่านต้องไม่กล่าวพระนามองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างไม่เหมาะสม... ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 จงระลึกถึงวันสับบาโตเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะต้องออกแรงทำ�งานทั้งหมด ในหกวัน แต่วันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อนที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน... จงนับถือบิดามารดา เพื่อท่านจะได้มีอายุยืนอยู่ในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ประทานให้ อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้บา้ นเรือนของเพือ่ นบ้าน อย่าโลภมักได้ภรรยาของเพือ่ นบ้าน หรือบ่าวไพร่ชายหญิง โค ลา หรือทรัพย์สินใดที่เป็นของเพื่อนบ้าน” พระวรสาร มธ 13:18-23 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงฟังความหมายของอุปมาเรือ่ งผูห้ ว่านเถิด เมือ่ คนหนึง่ ฟังพระวาจาเรือ่ งพระอาณาจักรและไม่ เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิง่ ทีห่ ว่านลงในใจของเขาไปเสีย นัน่ ได้แก่ เมล็ดทีต่ กริมทาง เมล็ดทีต่ กบน หินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยาก ลำ�บากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานัน้ เขาก็ยอมแพ้ทนั ที เมล็ดทีต่ กในพงหนามหมายถึงบุคคล ที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติเข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่ เกิดผล ส่วนเมล็ดทีห่ ว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลทีฟ่ งั พระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หก สิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” พระบัญญัติ 10 ประการ ไม่มีวันล้าสมัยเพราะเป็นพระบัญญัติประทานมาจากพระเจ้า ใคร ถือ 10 ประการนี้ได้ครบถ้วนก็นับว่าประเสริฐแล้ว บางทีเรามักจะแสวงหาความครบครัน ความศักดิ์สิทธิ์ การเคร่งครัดพระวินัยเพื่อจะเป็นนักบุญ แต่พระบัญญัติ 10 ประการเรียบง่ายนี้แหละที่เราไม่ผ่าน เพราะ ทั้ง 10 ประการนี้เป็นหัวใจของการรักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ครบถ้วนในนั้น คนที่รักซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และรักเพือ่ นมนุษย์ทงั้ สองด้านย่อมเป็นคนสมบูรณ์เพียบพร้อม สมเป็นคนของพระเจ้า จงระวังอย่าให้จติ ใจ ของเราเป็นดินแข็ง มีหิน มีวัชพืชปกคลุม พระบัญญัติจะช่วยขจัดพงหนาม และความแข็งกระด้างออกจาก จิตใจ ฟังคำ�พระแล้วเข้าใจเกิดผล
บทอ่านที่ 1 1 ยน 4:7-16 ท่านที่รักทั้งหลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่ มีความรัก ย่อมเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระองค์ ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จัก พระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็น ดังนี้ คือ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรเพียงพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น ความรักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของ พระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของเรา มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย ไม่มีผู้ ใดเคยเห็นพระเจ้า แต่ถ้าเรารักกัน พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเรา และความรัก ของพระองค์ในเราก็จะสมบูรณ์ เรารู้ว่าเราดำ�รงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรง ดำ�รงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ประทานพระพรของพระจิตเจ้าให้เรานั่นเอง เรา เห็นและเราเป็นพยานได้วา่ พระบิดาทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระผูไ้ ถ่ โลก ผูใ้ ดยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าย่อมทรงดำ�รง อยู่ในเขา และเขาย่อมอยู่ในพระเจ้า เรารู้และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อ เรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผูใ้ ดดำ�รงอยูใ่ นความรัก ย่อมดำ�รงอยูใ่ นพระเจ้า และ พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเขา
ระลึกถึง น.มาร์ธา สดด 15:1-2ก, 2ข-3,4-5
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร ยน 11:19-27 เวลานั้น ชาวยิวจำ�นวนมากมาหามารธาและมารีย์เพื่อปลอบใจนางในการ ตายของพีช่ าย เมือ่ มารธารูว้ า่ พระเยซูเจ้ากำ�ลังเสด็จมา นางก็ออกไปรับเสด็จ ส่วน มารีย์ยังคงนั่งอยู่ที่บ้าน มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย แต่บัดนี้ดิฉันรู้ดีว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจาก พระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “พี่ชายของท่านจะ กลับคืนชีพ” มารธาทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าเขาจะกลับคืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับ คืนชีพในวันสุดท้าย” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อใน เรา แม้ตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อในเรา จะไม่มีวันตาย เลย ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ” มารธาทูลตอบว่า “เชื่อ พระเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้” อย่าลืมความจริงทีน่ กั บุญยอห์นสอนเราวันนีว้ า่ ความรักอยูท่ พี่ ระเจ้าทรงรักเรา...มิใช่อยูท่ เ่ี รา รักพระเจ้า แปลว่าเมือ่ ใดทีค่ ดิ ถึงความรัก จงอย่าอวดตัวคิดว่าได้ท�ำ มามากหรือรูจ้ กั คำ�นีด้ มี าก เพราะพระเจ้า คือความรัก จงพิจารณาความรักด้วยความถ่อมตนในแง่มุมที่มาจากพระเจ้าสู่มนุษย์ทั้งมวล จึงจะรู้ซึ้งถึง ความรักแท้จริง หากเราคิดถึงความรักในแง่ที่ว่าเราได้รับจากพระเจ้ามากเพียงใดแล้ว เราจะเลิกคิดว่ามาก แค่ไหนที่คนอื่นต้องคืนความรักที่เราให้เขาออกไปกลับมา บางคนอายุมากขึ้นเริ่มพูดเรื่องความรักเบาลง เรื่อยๆ เพราะความรักเป็นเรื่องการลงมือรัก ไม่ใช่เอาแต่พูดเรื่องความรัก
สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 3:5-12 คืนนัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่กษัตริยซ์ าโลมอนในพระสุบนิ ที่เมืองกิเบโอน พระเจ้าตรัสว่า “จงขอสิ่งที่ท่านอยากให้เราประทานแก่ท่าน” กษัตริย์ซาโลมอนทูลตอบว่า “พระองค์ทรงสำ�แดงความรักมั่นคงยิ่งใหญ่ต่อดาวิด พระบิดาข้ารับใช้พระองค์ เพราะพระบิดาทรงดำ�เนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์ พระองค์ดว้ ยความซือ่ สัตย์ ความชอบธรรมและด้วยใจซือ่ ตรง พระองค์ยงั ทรงรักษา ความรักมัน่ คงยิง่ ใหญ่นตี้ อ่ พระบิดาโดยประทานให้บตุ รคนหนึง่ ได้สบื พระบัลลังก์ ดังที่เป็นอยู่ในวันนี้ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงตัง้ ข้าพเจ้าขึน้ เป็นกษัตริย์สืบต่อจากดาวิดพระบิดา แต่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติ ตนอย่างไร ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องปกครองประชากรที่ทรงเลือกสรร ซึ่งเป็น ประชากรจำ�นวนมากจนนับไม่ถว้ น ขอประทานความเข้าใจแก่ผรู้ บั ใช้ของพระองค์ เพือ่ จะได้ปกครองประชากรของพระองค์อย่างยุตธิ รรม และรูจ้ กั วินจิ ฉัยแยกความ ดีจากความชั่ว ถ้าพระองค์ไม่ประทาน ใครเล่าจะปกครองประชากรจำ�นวนมาก เช่นนี้ของพระองค์ได้” องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยที่กษัตริย์ซาโลมอนทูลขอเช่นนี้ พระเจ้าจึงตรัส ตอบว่า “เพราะท่านได้วอนขอเช่นนี้ แทนทีจ่ ะวอนขอชีวติ ยืนยาว หรือความมัง่ คัง่ หรือขอให้เราทำ�ลายชีวิตของศัตรู แต่ได้ขอความเข้าใจเพื่อจะตัดสินอย่างถูกต้อง เราจะทำ�ตามทีท่ า่ นขอ เราจะให้ความเข้าใจและปรีชาญาณในการตัดสินอย่างทีผ่ ู้ ใดไม่เคยมีมาก่อน หรือจะมีในภายหลัง” เพลงสดุดี สดด 119:57 และ 72,76-77,127-128,129-130 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นส่วนมรดกของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสัญญาจะปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ ธรรมบัญญัติจากพระโอษฐ์ของพระองค์ มีค่าสำ�หรับข้าพเจ้ายิ่งกว่าเงินทองนับพันแท่ง ข) ขอให้ความรักมั่นคงของพระองค์บรรเทาใจข้าพเจ้า ดังที่ทรงสัญญาไว้กับผู้รับใช้ของพระองค์ ขอพระองค์ทรงเมตตาสงสารข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะมีชีวิต เพราะข้าพเจ้าชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระองค์ ค) ข้าพเจ้าจึงรักบทบัญญัติของพระองค์ ยิ่งกว่าทองคำ� ยิ่งกว่าทองคำ�บริสุทธิ์ ข้าพเจ้าคิดว่าข้อบังคับของพระองค์ล้วนถูกต้อง และเกลียดหนทางทั้งมวลที่หลอกลวง ง) กฤษฎีกาของพระองค์น่าพิศวงยิ่งนัก ข้าพเจ้าจึงปฏิบัติตาม
การเปิดเผยของพระวาจาให้ความสว่าง ประทานปัญญาแก่ผู้รู้น้อย บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:28-30 พี่น้อง เรารู้ว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่ทรงเรียกมา ตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะผูท้ พี่ ระองค์ทรงทราบล่วงหน้านัน้ พระองค์ทรงกำ�หนดจะให้เป็น ภาพลักษณ์ของพระบุตรของพระองค์ด้วย เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรคนแรกในบรรดาพี่น้องจำ�นวน มาก ผู้ที่ทรงกำ�หนดไว้แล้วนั้นพระองค์ทรงเรียก ผู้ท่ีทรงเรียกนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้เป็นผู้ชอบ ธรรม ผู้ที่ทรงบันดาลให้ชอบธรรมนั้น พระองค์ประทานพระสิริรุ่งโรจน์ให้ด้วย บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:44-52 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดี กลับไปขายทุกสิ่งที่มี นำ�เงินมาซื้อนาแปลงนั้น อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขา จะไปขายทุกสิ่งที่มี นำ�เงินมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น อาณาจักรสวรรค์ยงั เปรียบได้อกี กับอวนทีห่ ย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด เมือ่ อวนเต็มแล้ว ชาว ประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็น เช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่” บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า “เข้าใจแล้ว” พระองค์จงึ ตรัสว่า “ดังนัน้ ธรรมาจารย์ทกุ คนทีม่ าเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์กเ็ หมือนกับเจ้า บ้านที่นำ�ทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน” อุปมาเรื่องพระอาณาจักรสวรรค์ชวนเราให้เป็นคนมีปัญญา รู้จักความเป็นจริงของชีวิตว่ามี ปลายทางอยู่ที่ใด ปัญญาหรือปรีชาญาณมีค่ามากกว่าทรัพย์ ลาภยศ เป็นความเชี่ยวชาญในการดำ�เนินชีวิต ทำ�สิง่ ใดแล้วไม่พลาด ไม่ตอ้ งมาเสียใจภายหลัง ปรีชาญาณเช่นนีต้ อ้ งทูลขอจากพระเจ้าเท่านัน้ จึงจะมี พระเจ้า ทรงเป็นเจ้าของปรีชาญาณแท้จริง ดังนั้น แม้บางสิ่งแตกสลาย แต่ถ้าเราทูลขอจากพระเจ้า พระองค์ทรง บันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ ที่สุดปรีชาญาณแท้จริงนำ�เราให้เห็นคุณค่าและตรง เข้าไปรักพระเจ้า เพื่อไม่ว่าชีวิตจะเป็นเช่นไร พระองค์ทรงเปลี่ยนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ในที่สุด
บทอ่านที่ 1 อพย 32:15-24,30-34 ในครั้งนั้น โมเสสกลับลงมาจากภูเขาถือแผ่นศิลาจารึกสองแผ่นที่จารึกพระ บัญญัติไว้ทั้งสองด้าน... ศิลาจารึกนั้นเป็นฝีพระหัตถ์พระเจ้า... เมื่อโมเสสเข้ามาใกล้ค่าย เขาก็เห็นรูปลูกโคและเห็นประชากรกำ�ลังเต้นรำ� โมเสสโกรธมาก ทุ่มแผ่นศิลาที่ถืออยู่ลงไปจนแตกที่เชิงเขา... โมเสสถามอาโรนว่า “ประชาชนเหล่านี้ทำ�อะไรท่าน ท่านจึงทำ�ให้เขาทำ�บาปหนักเช่นนี้” อาโรนตอบ ระลึกถึง ว่า “ขอเจ้านายอย่าได้โกรธข้าพเจ้าเลย ท่านรูแ้ ล้วว่า ประชากรนีม้ คี วามโน้มเอียง น.อิกญาซีโอ จะทำ�ชัว่ อยูเ่ สมอ เขาบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงสร้างรูปเคารพให้เราสักรูปหนึง่ เพือ่ เป็น เด โลโยลา ผูน้ �ำ ทางพวกเราเถิด เราไม่รวู้ า่ เกิดอะไรขึน้ กับโมเสสคนนัน้ คนทีน่ �ำ เราออกมาจาก พระสงฆ์ แผ่นดินอียปิ ต์’ ข้าพเจ้าจึงบอกเขาว่า ‘ใครมีทองคำ�บ้าง’ คนทีม่ ที องคำ�เป็นเครือ่ ง สดด 106:19-20, ประดับ ก็ถอดมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเอาทองหลอมในไฟ ก็ได้ลูกโคตัวนี้ออกมา” 21-22,23 วันรุง่ ขึน้ โมเสสกล่าวแก่ประชากรว่า “ท่านทัง้ หลายได้ท�ำ บาปหนักมาก บัดนี้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ข้าพเจ้าจะขึ้นไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า บางทีคำ�อ้อนวอนของข้าพเจ้าจะทำ�ให้ พระองค์ทรงอภัยบาปของท่าน” โมเสสกลับขึ้นไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลว่า “ประชากรนี้ได้ทำ�บาปหนักมาก... ขอพระองค์ทรงอภัยบาปให้เขาทั้งหลายเถิด มิฉะนั้นขอทรงลบชื่อ ของข้าพเจ้าออกจากหนังสือที่พระองค์ทรงเขียนไว้เถิด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “คนที่ ทำ�บาปต่อเราต่างหาก ที่เราจะลบชื่อของเขาออกจากหนังสือของเรา บัดนี้ ท่านจงไปนำ�ประชากรไป ยังสถานที่ที่เราสั่งท่านเถิด... เมื่อถึงเวลากำ�หนด เราจะลงโทษเขาทั้งหลายที่ทำ�บาป” พระวรสาร มธ 13:31-35 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กบั เมล็ดมัสตาร์ดซึง่ มีผนู้ �ำ ไปหว่านในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ด ทัง้ หลาย แต่เมือ่ เมล็ดงอกขึน้ เป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอืน่ ๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทัง่ นกในอากาศมาทำ�รังอาศัยบนกิ่งได้” พระองค์ยงั ตรัสเป็นอุปมาอีกเรือ่ งหนึง่ ว่า “อาณาจักรสวรรค์ยงั เปรียบได้กบั เชือ้ แป้งทีห่ ญิงคนหนึง่ นำ�มาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น” พระเยซูเจ้าตรัสเรือ่ งทัง้ หมดนีแ้ ก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิง่ ใดกับเขาโดยไม่ใช้อปุ มา ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำ�รัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา เราจะ กล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนว่าพระอาณาจักรสวรรค์มาถึงแล้ว อยู่ใกล้แล้ว แต่บรรดาชาวยิว เห็นพระเยซูเจ้าและลูกศิษย์ 12 คน รวมเป็น 13 คน เพียงแค่นี้แล้วจะเริ่มต้นตั้งพระอาณาจักรสวรรค์ได้ อย่างไร พระองค์จงึ ทรงตรัสอุปมาสอนเขาเพือ่ ไปขบคิดว่ามันมีลกั ษะทีเ่ ราเข้าใจไม่ได้ เหมือนเมล็ดพืชเล็กๆ ที่คนโบราณเมื่อยังไม่มีวิชาวิทยาศาสตร์ เขาอธิบายไม่ได้ว่า ทำ�ไมพอเมล็ดเล็กๆ ตกลงดินเน่าเปื่อยแล้วเกิด ต้นอ่อน แต่พองอกขึน้ กลับกลายเป็นต้นไม้ใหญ่โต พระอาณาจักรสวรรค์เป็นเรือ่ งทีอ่ ธิบายแบบวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ เพราะต้องใช้ความเชื่อ บางทีชาวยิวก็ยังติดนิสัยมาแต่โบราณพอไม่เห็นโมเสสก็ขอได้เห็นรูปลูกโค ทองคำ�แทน เป็นรูปแบบของคนยุคปัจจุบันที่ไม่ยอมเชื่อในพระเจ้า เอาแต่ข้อพิสูจน์เพียงวัตถุที่จับต้องได้ ห่างไกลจากเรื่องจิตวิญญาณในพระเจ้า