บทอ่านที่ 1 ปฐก 18:16-33 ชายทั้งสามคนออกเดินทางไปจากที่นั่น และมาถึงสถานที่ซึ่งมองลงมาเห็นเมือง โสโดมได้ อับราฮัมเดินตามไปส่งด้วย องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงพระดำ�ริวา่ “ควรหรือทีเ่ รา จะปิดบังไม่ให้อบั ราฮัมรูถ้ งึ สิง่ ทีเ่ ราจะทำ� อับราฮัมจะเป็นชนชาติใหญ่และมีอ�ำ นาจ และ ชนทุกชาติบนแผ่นดินจะได้รับพรเพราะเขา เราเลือกเขาไว้ให้สั่งสอนลูกหลานและ สัปดาห์ที่ 13 ครอบครัวทีจ่ ะตามมาให้ปฏิบตั ติ ามวิถที างขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า โดยทำ�แต่สงิ่ ทีถ่ กู ต้อง เทศกาลธรรมดา และยุติธรรม...” ชายเหล่านัน้ จึงออกจากทีน่ นั่ เดินตรงไปยังเมืองโสโดม แต่อบั ราฮัมยังยืนเฝ้าองค์ สดด 103:1-2,3-4, 8-9,10-11 พระผู้เป็นเจ้าอยู่ อับราฮัมเข้ามาใกล้ทูลถามว่า “พระองค์จะทรงทำ�ลายผู้ชอบธรรม ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 พร้อมกับคนอธรรมเทียวหรือ ถ้ามีคนชอบธรรมอยู่ห้าสิบคนในเมืองนั้น พระองค์จะ ยังทรงทำ�ลายเมืองนั้นหรือ...” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราพบคนชอบธรรม ห้าสิบคนในเมืองโสโดม เราจะให้อภัยเมืองนั้น เพราะเห็นแก่เขา” อับราฮัมทูลอีกว่า “ขอประทานอภัยที่ข้าพเจ้าบังอาจทูลเจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นเพียงฝุ่นผง และขีเ้ ถ้า ถ้าในห้าสิบคนนัน้ ขาดไปห้าคน พระองค์ยงั จะทรงทำ�ลายเมืองนัน้ ทัง้ เมืองเพราะขาดไปห้าคนหรือ” พระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่ทำ�ลาย ถ้าเราพบคนชอบธรรมสี่สิบห้าคนที่นั่น”... อับราฮัมทูลว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าอย่ากริ้วเลย ถ้าข้าพเจ้าจะทูลต่ออีกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าพระองค์ ทรงพบเพียงสามสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ�ลาย ถ้าเราพบสามสิบคน” อับราฮัมทูลว่า “ขอประทานอภัยที่ข้าพเจ้าบังอาจทูลเจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าพระองค์ทรงพบเพียงยี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ�ลายเมืองนั้น เพราะเห็นแก่ยี่สิบคน” อับราฮัมทูลว่า “...ถ้าพระองค์ทรงพบเพียง สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ�ลายเมืองนั้น เพราะเห็นแก่สิบคน”... พระวรสาร มธ 8:18-22 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเห็นประชาชนห้อมล้อมพระองค์ จึงทรงสั่งบรรดาศิษย์ให้ข้ามทะเลสาบไปอีก ฝั่งหนึ่ง ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาทูลว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าอยากติดตามพระองค์ไปทุกแห่งที่พระองค์ จะเสด็จ” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่ จะวางศีรษะ” ศิษย์อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าเสียก่อน” แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา และปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิด” การอภัยในความผิดทีบ่ คุ คลก่อให้เกิดการตัดสินลงโทษ มักจะมีคนกลางช่วยเหลือยับยัง้ ในสังคม ระบบการลงโทษจะมีศาลเป็นหน่วยงานตรวจสอบ โดยมีผู้พิพากษาเป็นผู้ดูแล ทั้งนี้ระบบของสากลจะแบ่งเป็น ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ผลการตัดสินอาจแตกต่างหรือเห็นแย้งตามการตรวจสอบในดุลยพินิจ ของผู้พิพากษา อับราฮัมร้องขอการลดโทษ องค์พระผู้เป็นเจ้าให้โอกาส แต่ที่สุด ก็มีการลงโทษเพราะความผิด ต่อธรรมบัญญัตเิ กินการเยียวยา เราแต่ละคนต้องมีส�ำ นึกและแก้ไขความผิด อย่าปล่อยให้เป็นนิสยั แก้ยาก เป็นต้น บาปผิดทางเพศ 07.indd 214
21/12/2561 14:50:03
บทอ่านที่ 1 ปฐก 19:15-29 ครั้นรุ่งเช้า ทูตสวรรค์ก็เร่งโลทว่า “ลุกขึ้นเถิด จงพาภรรยาและบุตรหญิงทั้งสอง คนของท่านที่อยู่ที่นี่ออกไป ท่านจะได้ไม่ถูกทำ�ลายพร้อมกับความพินาศของเมืองนี้” โลทยังรีรอ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาต่อเขา ทูตสวรรค์ทั้งสององค์จึง จูงมือโลท ภรรยาและบุตรหญิงทั้งสองคนของเขา พาออกไปปล่อยไว้นอกเมือง สัปดาห์ที่ 13 เมือ่ พาออกมานอกเมืองแล้ว ทูตสวรรค์องค์หนึง่ กล่าวว่า “จงหนีให้รอดชีวติ อย่าเหลียวหลังกลับ หรือหยุดในที่ลุ่มแม่นํ้า จงหนีไปที่ภูเขาเถิด มิฉะนั้น ท่านจะถูก เทศกาลธรรมดา ทำ�ลายไปด้วย” แต่โลทตอบว่า “อย่าเลย เจ้านายของข้าพเจ้า เมื่อท่านโปรดปราน สดด 26:2-3,9-10, 11-12 ผู้รับใช้ของท่าน ท่านได้แสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้แล้ว แต่ข้าพเจ้า จะหนีไปถึงภูเขาไม่ได้ ก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถึงและข้าพเจ้าจะตาย ท่านเห็นเมืองเล็กๆ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เมืองนั้นไหม เมืองนั้นอยู่ใกล้พอที่จะหนีไปถึง ขอให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่นเถิด เมืองนั้น เป็นเมืองเล็กๆ และข้าพเจ้าจะรอดชีวิตได้” ทูตสวรรค์ตอบว่า “เรายอมตามคำ�ขอของ ท่านในเรื่องนี้ เราจะไม่ทำ�ลายเมืองที่ท่านพูดถึง เร็วเข้าเถิด จงหนีไปที่นั่นเพราะเราจะ ทำ�สิ่งใดไม่ได้จนกว่าท่านจะไปถึงที่นั่น” ดังนั้น เมืองนั้นจึงมีชื่อว่าโศอาร์ ดวงอาทิตย์ขนึ้ แล้ว เมือ่ โลทมาถึงเมืองโศอาร์ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงบันดาลให้ก�ำ มะถันและไฟตกจาก ฟ้า เผาเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ พระองค์ทรงทำ�ลายสองเมืองนี้ ลุ่มแม่นํ้าทั้งหมดพร้อมกับชาวเมือง และพืชต่างๆ ที่นั่น ส่วนภรรยาของโลทเหลียวหลังกลับไปดูจึงกลายเป็นเสาเกลือ เช้าวันรุ่งขึ้น อับราฮัมรีบกลับไปยังที่ที่เขาได้ยืนเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า มองลงไปทางเมืองโสโดมและ เมืองโกโมราห์ และพื้นที่ลุ่มแม่นํ้า เห็นควันพลุ่งขึ้นจากพื้นดินเหมือนควันจากเตาไฟ เมื่อพระเจ้าทรงทำ�ลายเมืองในลุ่มแม่นํ้า พระองค์ทรงระลึกถึงอับราฮัม ทรงพาโลทออกไปให้พ้นจาก ความหายนะ เมื่อทรงทำ�ลายเมืองที่โลทอาศัยอยู่ พระวรสาร มธ 8:23-27 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือ บรรดาศิษย์ติดตามพระองค์ไปด้วย ทันใดนั้น เกิดพายุแรงกล้าใน ทะเลสาบ คลืน่ สูงจนไม่เห็นเรือ แต่พระองค์บรรทมหลับ บรรดาศิษย์จงึ เข้ามาปลุกพระองค์ ทูลว่า “พระองค์ เจ้าข้า ช่วยด้วยเถิด เรากำ�ลังจะพินาศอยู่แล้ว” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ทำ�ไมจึงตกใจกลัวเล่า ท่านช่าง มีความเชื่อน้อยเหลือเกิน” แล้วทรงลุกขึ้นบังคับลมและทะเล ท้องทะเลก็สงบราบเรียบ คนทั้งหลายต่าง ประหลาดใจ พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้” ในสังคมที่ทำ�ผิดจนเกินความเมตตาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแสดงออกด้วยการให้อภัยเรื่อยมา แต่ มนุษย์ยังดื้อรั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะสงวนความเมตตาให้หมู่คณะที่ทำ�ดี ประพฤติดี ดังครอบครัวของโลท ซึ่ง ต้องเดินทางออกจากเมืองโสโดมและโกโมราห์ พระเยซูเจ้าทรงแสดงฐานะเป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และเป็นอาจารย์ เสมอ เมือ่ ศิษย์ขาดสำ�นึกถึงอัศจรรย์มากมายทีท่ รงกระทำ�... แล้วทำ�ไมศิษย์ตอ้ งกลัวโดยปราศจากความเชือ่ และ ไว้ใจในพระองค์ ขณะประทับอยู่กับพวกเขา ยามมีอุปสรรคและความกลัวพายุ เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงตรัสว่า “กลัวทำ�ไม” แม้หลายคนเป็นชาวประมงอยู่กับทะเลเอง 07.indd 215
21/12/2561 14:50:03
ฉลอง น.โทมัส อัครสาวก
บทอ่านที่ 1 อฟ 2:19-22 พีน่ อ้ ง ท่านจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือผูม้ าขออาศัยอีกต่อไป แต่เป็นเพือ่ นร่วมชาติ กับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารโดย มีบรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม พระคริสตเจ้าทรงทำ�ให้อาคารทุกส่วนต่อกันสนิทเจริญขึ้นเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระคริสตเจ้า ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันกำ�ลังถูกก่อสร้างร่วม กันขึ้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าเดชะพระจิตเจ้า
สดด 117:1,2
พระวรสาร ยน 20:24-29 เวลานั้น โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสอง คน ไม่ได้อยูก่ บั อัครสาวกคนอืน่ ๆ เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอืน่ บอกเขาว่า “พวก เราเห็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูทพี่ ระหัตถ์ และไม่ได้เอานิว้ แยงเข้าไปทีร่ อยตะปู และไม่ได้เอามือคลำ�ทีด่ า้ นข้างพระวรกาย ข้าพเจ้า จะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่ กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขา ทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมา ที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำ�ที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่ จงเชื่อเถิด” โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของ ข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็ เป็นสุข” แม้เป็นอัครสาวก แต่ยังขาดการพัฒนา เปลี่ยนแปลงชีวิตเพื่อสอดรับกับ คำ�สอน และการอัศจรรย์ทมี่ องเห็นได้ในช่วงเวลาทีอ่ ยูก่ บั พระองค์ นักบุญโทมัสยังคงสงสัย ในพระอานุภาพของพระเยซูเจ้าหลังกลับคืนพระชนมชีพแล้ว ความห่วงใยและเอาพระทัย ใส่ที่ทรงมีต่ออัครสาวกที่ยังตกใจ เพราะพระอาจารย์ถูกตัดสินลงโทษ ตรึงตายบนไม้ กางเขน ทำ�ให้ศิษย์หดหู่ ซึ่งพระองค์ทรงทราบดี จึงทรงประจักษ์พระองค์เพื่อให้กำ�ลังใจ และทรงประกาศว่าจะคํ้าจุนพวกเขา และทรงสนับสนุนงานแพร่ธรรมจนกว่าจะสิ้นโลก ให้เราเปิดใจเชื่อและประพฤติตนตามความเชื่อด้วย
07.indd 216
21/12/2561 14:50:04
บทอ่านที่ 1 ปฐก 22:1-19 ต่อมาไม่นาน พระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม... ตรัสว่า “จงพาอิสอัคบุตรของท่าน บุตรคนเดียวทีท่ า่ นรักไปยังดินแดนโมริยาห์ แล้วถวายเขาเป็นเครือ่ งเผาบูชาบนภูเขาที่ เราจะบอกให้ท่านรู้” เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อับราฮัมใส่อานบนหลังลา พาผู้รับใช้สองคนและอิสอัคบุตรชาย ไปด้วย เขาผ่าฟืนสำ�หรับใช้เผาบูชา แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่ที่พระเจ้าทรงบอก น.เอลีซาเบ็ธ ให้รู้ ในวันทีส่ าม อับราฮัมเงยหน้าแลเห็นทีน่ นั้ แต่ไกล อับราฮัมจึงพูดกับผูร้ บั ใช้วา่ “จง ราชินีแห่งโปรตุเกส อยู่ที่นี่เฝ้าลาไว้ด้วย ส่วนเรากับลูกจะไปนมัสการพระเจ้าที่โน่นแล้วจะกลับมา” สดด 116:1-2,3-4, อับราฮัมให้อิสอัคแบกฟืนสำ�หรับใช้เผาบูชา ส่วนตนถือไฟและมีด แล้วทั้งสอง 5-6,8-9 คนเดินทางไปด้วยกัน... เมื่อทั้งสองคนมาถึงสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกให้รู้แล้ว อับราฮัมก่อแท่นบูชาขึ้น จัดเรียงฟืนไว้บนนั้น แล้วมัดอิสอัคนำ�มาวางไว้บนกองฟืนบน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 แท่นบูชา อับราฮัมยื่นมือออกไป เงื้อมีดจะฆ่าบุตร แต่ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าร้องเรียกจากสวรรค์ว่า “อับราฮัมเอ๋ย อับราฮัม” อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยูน่ ”ี่ ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่าลงมือฆ่าเด็กหรือทำ�ร้าย เขาเลย บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านยำ�เกรงพระเจ้า และมิได้หวงบุตรคนเดียวของท่านไว้ ไม่ถวายแก่เรา” อับราฮัมเงยหน้าขึน้ แลเห็นแกะเพศผูต้ วั หนึง่ เขาของมันติดอยูใ่ นพุม่ ไม้ อับราฮัมจึงไปจับมันมาฆ่าเผาถวาย บูชาแทนบุตรชาย อับราฮัมเรียกสถานที่นั้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดเตรียมไว้”... ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากสวรรค์เรียกอับราฮัมเป็นครั้งที่สองว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เพราะท่าน ได้ทำ�ดังนี้ คือมิได้หวงบุตรชายคนเดียวของท่านไว้ เราสาบานต่อเราเองว่า เราอวยพรให้ท่านอย่างมาก จะ ให้ลกู หลานของท่านทวีจ�ำ นวนมากเท่ากับดวงดาวบนท้องฟ้าและเม็ดทรายตามชายทะเล ลูกหลานของท่าน จะได้เมืองของศัตรูเป็นกรรมสิทธิ์ ชนทุกชาติบนแผ่นดินจะได้รบั พระพรเพราะลูกหลานของท่าน ทัง้ นี้ เพราะ ท่านเชื่อฟังคำ�สั่งของเรา”... พระวรสาร มธ 9:1-8 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฝั่งกลับมายังเมืองของพระองค์ ทันใดนั้น มีผู้หามคนอัมพาตคน หนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ทำ�ใจ ดีๆ ไว้เถิด ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” ธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้กล่าวดูหมิ่น พระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า “ท่านคิดร้ายในใจทำ�ไม อย่างใดง่ายกว่ากัน การ บอกว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น เดินไปเถิด’ แต่เพื่อให้ท่านทราบว่า บุตรแห่ง มนุษย์มีอำ�นาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า “จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับบ้าน เถิด” เขาก็ลกุ ขึน้ กลับไปบ้าน เมือ่ ประชาชนเห็นดังนี้ ต่างมีความกลัว ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ผูป้ ระทาน อำ�นาจเช่นนี้ให้แก่มนุษย์ ท่านอับราฮัม นอกจากมีความเชื่อมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ยังแสดงฐานะไม่ยึดติดกับชีวิตที่ ท่านมั่นใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็น “เจ้าของชีวิตด้วย” การถวายอิสอัค ภายหลังเป็นรูปหมายถึง พระบิดา มอบพระบุตรเป็นของถวายบูชาไถ่บาปมวลมนุษย์ ทำ�ให้เห็นภาพของความรักและจิตใจที่เสียสละอย่างแท้จริง พระวาจาทรงชีวิตในพระวรสารยํ้าอีกครั้งว่า บาปเป็นสาเหตุของการทำ�ลายชีวิต เมื่อพระเยซูเจ้าทรงอภัยบาป ก็เท่ากับคืนสุขภาพที่ดีให้ผู้ป่วยทุกคนด้วย 07.indd 217
21/12/2561 14:50:04
บทอ่านที่ 1 ปฐก 23:1-4,19 และ 24:1-8,62-67 นางซาราห์มีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดปี นางถึงแก่กรรมที่เมืองคีริยาทอารบา คือ เฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน อับราฮัมไว้ทุกข์ให้นางซาราห์และรํ่าไห้คิดถึงนาง อับราฮัมลุกขึน้ จากศพนางไปพูดกับชาวฮิตไทต์วา่ ข้าพเจ้าเป็นคนต่างถิน่ มาอาศัย อยูท่ า่ มกลางท่านทัง้ หลาย โปรดขายทีด่ นิ ให้ขา้ พเจ้าทำ�ทีฝ่ งั ศพทีน่ เี่ ถิด ข้าพเจ้าจะได้ฝงั น.อันตน มารีย์ ผู้ตายของข้าพเจ้า” แล้วอับราฮัมฝังศพนางซาราห์ ภรรยาของตนในถํ้าซึ่งอยู่ในนาที่ ซักกาเรีย มัคเปลาห์ ตรงข้ามมัมเร คือเฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน ขณะนั้น อับราฮัมชรามากแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมทุกด้าน พระสงฆ์ สดด 106:1-2,3-4,5 อับราฮัมบอกผู้รับใช้อาวุโสที่สุดในบ้าน ผู้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาว่า “จง วางมือที่โคนขาของฉันเถิด ฉันจะให้ท่านสาบานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่ง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 สวรรค์และแผ่นดินว่า... ท่านจงไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของฉัน ไปพบญาติของฉัน เพือ่ วันศุกร์ต้นเดือน เลือกภรรยาให้อิสอัค ลูกชายของฉัน”... ขณะนั้น อิสอัคกลับจากบ่อนํ้าลาไคโรอี เขาอาศัยอยู่ในดินแดนเนเกบ เย็นวันหนึ่ง อิสอัคออกไปเดิน เล่นในทุ่งนา เขาเงยหน้าขึ้นเห็นอูฐหลายตัวกำ�ลังเดินตรงมา เรเบคาห์เงยหน้าขึ้นเห็นอิสอัค จึงลงจากหลัง อูฐ และถามผู้รับใช้ว่า “ชายที่กำ�ลังเดินอยู่ในทุ่งนา ตรงมาหาเราเป็นใครคะ” ผู้รับใช้ตอบว่า “เขาคือนาย ของข้าพเจ้า” เธอจึงเอาผ้าคลุมหน้าไว้ ผู้รับใช้เล่าให้อิสอัครู้ทุกสิ่งที่เขาได้ทำ� อิสอัคจึงพาเรเบคาห์เข้าไปใน กระโจมที่เคยเป็นของนางซาราห์มารดาของตน เขาแต่งงานกับเรเบคาห์ และรักนางมาก อิสอัคจึงได้รับการ ปลอบใจหลังจากมารดาเสียชีวิต พระวรสาร มธ 9:9-13 เวลานัน้ ขณะทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงดำ�เนินไปจากทีน่ นั่ ทรงเห็นชายคนหนึง่ ชือ่ มัทธิว กำ�ลังนัง่ อยูท่ ดี่ า่ นภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคน มาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เมื่อเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีจึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำ�ไมอาจารย์ ของท่านจึงกินอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “คน สบายดียอ่ มไม่ตอ้ งการหมอ แต่คนเจ็บไข้ตอ้ งการ จงไปเรียนรูค้ วามหมายของพระวาจาทีว่ า่ ‘เราพอใจความ เมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป” หลังจากรักษาคนป่วยโรคอัมพาต และคืนชีวิตให้ไปทำ�มาหากินกับครอบครัวแล้ว วันนี้ พระเยซู เจ้าทรงรักษาให้คนทำ�มาหากินที่ช่วยงานสังคมได้กลับสู่ชีวิตพระอีกครั้ง พระวาจาที่ทรงกล่าว “คนสบายดีไม่ ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ” การเรียกนักบุญมัทธิวให้ลุกจากโต๊ะเก็บภาษี ย่อมต้องชี้ให้เห็นว่านักบุญป่วยด้วยโรคทางสังคม เมื่อตอบ รับคำ�เชิญชวนแล้ว ชีวิตก็เปลี่ยนและพบความสุข จงตั้งใจลุกจากกองบาป หรือนิสัยไม่ดี ผิดศีลธรรมและ พระบัญญัติ แล้วตามพระเยซูเจ้าไปเถิด 07.indd 218
21/12/2561 14:50:05
บทอ่านที่ 1 ปฐก 27:1-5,15-29 เมื่ออิสอัคชรามาก และตามืดมัวจนมองไม่เห็น เขาเรียกเอซาวบุตรคนโตเข้ามา แล้วพูดว่า... “ดูซิ พ่อแก่แล้ว ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร จงเอาอาวุธของลูก คือ แล่งลูกศร และคันธนูออกไปในท้องทุ่ง ล่าสัตว์มาให้พ่อ และทำ�อาหารอร่อยๆ ให้พ่อกิน พ่อจะ ได้อวยพรลูกก่อนที่พ่อจะตาย” นางเรเบคาห์ได้ยินอิสอัคพูดกับเอซาวบุตรของตน เมื่อเอซาวออกไปล่าสัตว์ใน น.มารีย์ ท้องทุง่ ให้บดิ า นางเรเบคาห์กเ็ อาเสือ้ ตัวดีทสี่ ดุ ของเอซาวบุตรคนโต เป็นเสือ้ ทีน่ างเก็บ กอแรตตี ไว้ในบ้านมาให้ยาโคบบุตรคนเล็กสวม เอาหนังแพะมาคลุมแขนและคอส่วนที่เกลี้ยง พรหมจารี ของเขา แล้วจึงส่งอาหารอร่อยกับขนมปังซึ่งนางจัดทำ�นั้นให้ยาโคบบุตรชายของนาง และมรณสักขี เขาจึงเข้าไปหาบิดา พูดว่า “พ่อครับ” อิสอัคพูดว่า “พ่ออยู่นี่ เจ้าเป็นลูกคนไหน ของพ่อ” ยาโคบตอบบิดาว่า “ลูกคือเอซาว บุตรคนโตของพ่อ ลูกทำ�ตามที่พ่อสั่งลูก สดด 135:1ข-2,3-4, 5-6 แล้ว เชิญลุกขึ้นนั่งกินเนื้อที่ลูกล่ามาได้เถิด เพื่อพ่อจะได้อวยพรลูก” อิสอัคถามบุตร ของตนว่า “ลูกเอ๋ย ทำ�อย่างไรลูกจึงล่าสัตว์มาได้เร็วเช่นนี้” เขาตอบว่า “องค์พระผู้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เป็นเจ้าพระเจ้าของพ่อ ทรงบันดาลให้ลูกล่ามันได้” แล้วอิสอัคพูดกับยาโคบว่า “ลูกเอ๋ย เข้ามาใกล้ๆ พ่อ เถิด พ่อจะได้คลำ�ดู เพือ่ จะได้รวู้ า่ ลูกคือเอซาวลูกของพ่อจริงหรือไม่” ยาโคบก็เข้าไปใกล้อสิ อัคผูบ้ ดิ า อิสอัค คลำ�ตัวเขา... อิสอัคจำ�ยาโคบไม่ได้เพราะแขนของเขามีขนดกเหมือนกับแขนของเอซาวพีช่ าย... ยาโคบจึงนำ� อาหารมาให้ อิสอัคก็กิน ยาโคบรินเหล้าองุ่นให้ อิสอัคก็ดื่ม แล้วอิสอัคผู้บิดาพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย จงเข้า มาใกล้และจูบพ่อเถิด” เขาจึงเข้าไปใกล้และจูบบิดา พออิสอัคได้กลิ่นเสื้อผ้าของเขา ก็อวยพรเขาว่า “...ขอพระเจ้าประทานนํา้ ค้างจากฟ้า และความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน ทัง้ ข้าวสาลีและเหล้าองุน่ ใหม่ แก่ลูกอย่างมาก ขอให้ชนชาติทั้งหลายรับใช้ลูก ขอให้ประชาชาติทั้งหลายกราบไหว้ลูก ขอให้ลูกเป็นนาย เหนือพี่น้อง ขอให้บุตรของมารดาของลูกกราบไหว้ลูก ผู้ใดสาปแช่งลูกให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งด้วย ผู้ใดอวยพร ลูกให้ผู้นั้นได้รับพรด้วย” พระวรสาร มธ 9:14-17 วันหนึง่ บรรดาศิษย์ของยอห์นเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมพวกเราและพวกฟาริสจี �ำ ศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำ�ศีลเลย” พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะโศกเศร้าหรือ ขณะที่เจ้า บ่าวยังอยูก่ บั เขา แต่จะมีวนั หนึง่ ทีเ่ จ้าบ่าวจะถูกแยกไป วันนัน้ เขาจะจำ�ศีลอดอาหาร ไม่มใี ครนำ�ผ้าใหม่ไปปะ เสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำ�มาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัว ทำ�ให้รอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลง ในถุงหนังเก่า เพราะถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะรั่วและถุงหนังจะเสียหายไปด้วย แต่เขาย่อมใส่เหล้าองุ่น ใหม่ลงในถุงหนังใหม่และทั้งสองอย่างจะไม่เสียหาย” ในชีวิตคนพูดไม่ตรงความจริง หรือพูดแอบแฝงความจริงอาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตของเรา แต่ต้องไม่ ทำ�ร้ายบุคคลอืน่ ให้รบั ความเสียหาย การใช้ชวี ติ ร่วมกันทัง้ ในฐานะสมาชิกครอบครัวหรือหมูค่ ณะสงฆ์หรือนักบวช ยอมรับให้ได้วา่ แต่ละคนยังไม่เป็นนักบุญ แต่ก�ำ ลังพัฒนาชีวติ ตามคำ�สอนของพระอาจารย์ โดยยํา้ เจตนาดำ�เนิน ชีวิตแต่ละวันให้ดี หมั่นตรวจสอบมโนธรรมประจำ�วันเพื่อแก้ไข ปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น จงพยายามเป็นเหล้าองุ่น ใหม่ใส่บรรจุในถุงหนังใหม่เหมือนวันที่รับศีลล้างบาป เพราะพระบิดา พระบุตร และพระจิตประทับในชีวิตของ แต่ละคน แต่ผีปีศาจยุแหย่เราทุกวันให้ดำ�เนินชีวิตห่างจากพระเจ้าด้วยการโกหกเพื่อหลงทางนี้ 07.indd 219
21/12/2561 14:50:05
สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 66:10-14 ท่านทัง้ หลายจงยินดีกบั กรุงเยรูซาเล็ม ท่านทัง้ หลายทีร่ กั กรุงเยรูซาเล็ม จงชืน่ ชม กับกรุงนีเ้ ถิด ท่านทัง้ หลายทีเ่ คยไว้ทกุ ข์ให้กรุงเยรูซาเล็ม จงร่วมยินดีกบั กรุงนีด้ ว้ ยความ ชื่นบานเถิด ท่านจะได้รับการปลอบโยนอย่างเต็มเปี่ยมจากกรุงเยรูซาเล็ม ทารกมีความยินดี เมื่อดูดนมจากทรวงอกของมารดาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะมีความยินดีจากความอุดม สมบูรณ์ของกรุงนี้ฉันนั้น เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้สันติสุขหลั่งไหลมาสู่ กรุงนีเ้ หมือนแม่นาํ้ จะนำ�ความมัง่ คัง่ ของนานาชาติมายังกรุงนีเ้ หมือนสายนาํ้ ทีก่ �ำ ลังล้น ฝั่ง กรุงนี้จะอุ้มท่านทั้งหลายไว้ ให้ท่านดูดนม และหยอกล้อท่านบนตัก มารดา ปลอบโยนบุตรฉันใด เราก็จะปลอบโยนท่านทัง้ หลายฉันนัน้ ท่านจะได้รบั การปลอบโยน ในกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทัง้ หลายจะเห็น และใจของท่านจะโลดเต้นยินดี กระดูกของท่าน จะสดชื่นขึ้นเหมือนหญ้าอ่อน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงพระอานุภาพแก่ผู้รับใช้ ของพระองค์ แต่จะทรงพระพิโรธต่อบรรดาศัตรู เพลงสดุดี สดด 66:1-3ก,4ก-5,6ก-7,16,19-20 ก) แผ่นดินทั้งมวลเอ๋ย จงโห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าเถิด จงร้องเพลงสดุดีสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระนามพระองค์ จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์ด้วยถ้อยคำ�สรรเสริญ จงทูลพระเจ้าเถิดว่า “พระราชกิจของพระองค์ช่างน่าเกรงขาม พระอานุภาพช่างยิ่งใหญ่ ข) แผ่นดินทั้งมวลกราบนมัสการพระองค์ ร้องเพลงสดุดีแด่พระองค์ ร้องเพลงสดุดีสรรเสริญพระนามพระองค์” มาเถิด จงดูพระราชกิจของพระเจ้า การกระทำ�ของพระองค์ต่อมนุษย์ช่างน่าพิศวง ค) พระองค์ทรงเปลี่ยนท้องทะเลเป็นแผ่นดินแห้ง ทรงให้เขาทั้งหลายเดินข้ามแม่นํ้าไป ดังนั้น เราจงยินดีในพระเจ้าเถิด พระองค์ทรงปกครองด้วยพระอานุภาพตลอดกาล พระเนตรเฝ้าดูนานาชาติ เพื่อคนกบฏจะไม่ลุกขึ้นต่อสู้กับพระองค์ ง) ท่านทั้งหลายที่ยำ�เกรงพระเจ้า จงมาและจงฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกเล่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ�เพื่อข้าพเจ้า แต่พระเจ้ากลับทรงฟัง
07.indd 220
21/12/2561 14:50:05
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย กท 6:14-18 พี่น้อง ส่วนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่โอ้อวดสิ่งใดนอกจากเรื่องไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็น เจ้าของเรา อาศัยไม้กางเขนนี้ โลกถูกตรึงตายไปจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ถูกตรึงตายไปจากโลกแล้ว ดัง นัน้ การเข้าสุหนัตหรือการไม่เข้าสุหนัตจึงไม่มคี วามสำ�คัญแต่ประการใด สิง่ ทีส่ �ำ คัญก็คอื การเป็นสิง่ สร้างใหม่ สันติและพระเมตตาจงมีแก่ทุกคนที่ปฏิบัติตามกฎข้อนี้ และแก่ประชากรแท้จริงของพระเจ้า นับแต่บดั นี้ อย่าให้ใครมารบกวนข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซูเจ้าอยูใ่ นร่างกาย ของข้าพเจ้าแล้ว พีน่ อ้ ง ขอให้พระหรรษทานของพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา สถิตในจิตใจของท่านทัง้ หลาย เทอญ อาเมน บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 10:1-12,17-20 ต่อจากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์อีกเจ็ดสิบสองคน และทรงส่งเขาล่วงหน้าพระองค์ เป็น คู่ๆ ไปทุกตำ�บลทุกเมืองที่พระองค์จะเสด็จ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่จะเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด จงไปเถิด เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูก แกะในฝูงสุนัขป่า อย่านำ�ถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตามทาง เมื่อท่านเข้าบ้าน ใด จงกล่าวก่อนว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด’ ถ้ามีผู้สมควรจะรับสันติสุขอยู่ที่นั่น สันติสุขของท่านจะอยู่ กับเขา มิฉะนั้น สันติสุขของท่านจะกลับมาอยู่กับท่านอีก จงพักอาศัยในบ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะนำ� มาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใด และเขาต้อนรับท่าน จงกินของที่เขาจะนำ�มาตั้งให้ จงรักษาผู้เจ็บป่วยในเมืองนั้นและบอกเขาว่า ‘พระ อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว’ แต่ถ้าท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาไม่ต้อนรับ ก็จงออกไป กลางลานสาธารณะ และกล่าวว่า ‘แม้แต่ฝุ่นจากเมืองของท่านที่ติดเท้าของเรา เราจะสลัดทิ้งไว้กล่าวโทษ ท่าน จงรูเ้ ถิดว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว’ เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ในวันพิพากษา ชาวเมือง โสโดมจะรับโทษเบากว่าชาวเมืองนั้น” ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนกลับมาด้วยความชื่นชมยินดี ทูลว่า “พระเจ้าข้า แม้แต่ปีศาจก็ยังอ่อนน้อมต่อ เราเดชะพระนามพระองค์” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ จงฟังเถิด เราให้ อำ�นาจแก่ท่านที่จะเหยียบงูและแมงป่อง มีอำ�นาจเหนือกำ�ลังทุกอย่างของศัตรู ไม่มีอะไรจะทำ�ร้ายท่านได้ อย่าชื่นชมยินดีที่ปีศาจอ่อนน้อมต่อท่าน แต่จงชื่นชมยินดีมากกว่าที่ชื่อของท่านจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว” สภาพระสังฆราชแห่งประเทศไทยกำ�ลังรณรงค์เตรียมฉลอง 350 ปี มิสซังสยาม เพือ่ ขอบพระคุณ พระเจ้าสำ�หรับข่าวดีที่บรรดาธรรมทูตต่างประเทศเดินทางเข้ามาประกาศ ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสสั่งบรรดา สานุศิษย์ในพระวรสารวันอาทิตย์นี้ “เมื่อเข้าบ้านใด จงกล่าวก่อนว่า สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้” จากนั้นให้แจ้งประกาศว่า “พระอาณาจักรของ พระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว” ขอให้เราประกาศสันติสขุ แก่กนั เสมอ อะไรทีบ่ กพร่องอย่าซาํ้ เติม แต่จงให้ก�ำ ลังใจและภาวนาให้กนั อยูเ่ สมอ เพราะนี่คือคำ�สั่งเพื่อสอนให้เห็นความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า 07.indd 221
21/12/2561 14:50:05
สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลรรมดา สดด 91:1-2,3-4, 14-15กข ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 ปฐก 28:10-22ก ในครั้งนั้น ยาโคบออกจากเบเออร์เชบา เดินทางมุ่งหน้าไปฮาราน เขามาถึงที่แห่ง หนึ่ง ก็หยุดพักแรมที่นั่น เพราะดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาเอาหินก้อนหนึ่งมาหนุนศีรษะ แล้วนอนที่นั่น เขาฝันเห็นบันไดอันหนึ่งทอดจากพื้นดินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และทูตสวรรค์ ของพระเจ้าเดินขึ้นลงบนบันไดนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนอยู่ข้างเขา ตรัสว่า “เรา คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม บิดาของท่าน พระเจ้าของอิสอัค แผ่นดิน ที่ท่านนอนอยู่นี้เราจะให้ท่านและลูกหลานของท่าน ลูกหลานของท่านจะมีจำ�นวนมาก เหมือนฝุน่ ผงบนแผ่นดิน... บรรดาเผ่าพันธุท์ งั้ สิน้ ทัว่ แผ่นดินจะได้รบั พรเพราะท่านและ เพราะลูกหลานของท่าน เราอยู่กับท่าน เราจะพิทักษ์รักษาท่านทุกแห่งที่ท่านไปและจะ นำ�ท่านกลับมายังแผ่นดินนี้ เราจะไม่ทอดทิ้งท่าน จนกว่าเราจะได้ทำ�ตามที่เราสัญญาไว้ กับท่าน”... ยาโคบลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เอาก้อนหินที่ใช้หนุนศีรษะมาตั้งเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ แล้วเทนํ้ามันบนยอดเสานั้นเพื่อถวายแด่พระเจ้า เขาเรียกสถานที่นั้นว่าเบธเอล ก่อน หน้านี้เมืองนั้นชื่อลูส...
พระวรสาร มธ 9:18-26 ขณะที่พระเยซูเจ้ากำ�ลังตรัสอยู่นั้น หัวหน้าคนหนึ่งเข้ามากราบพระบาท ทูลว่า “บุตรหญิงของข้าพเจ้า เพิ่งสิ้นใจ เชิญพระองค์เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขาจะได้มีชีวิต” พระเยซูเจ้าทรงลุกขึ้นเสด็จตาม เขาไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว เข้ามาข้างหลังสัมผัสฉลองพระองค์ นางคิดว่า “ถ้าฉันเพียงสัมผัสฉลองพระองค์เท่านัน้ ฉันก็จะหายจากโรค” พระเยซูเจ้าทรงหันมาเห็นเข้า จึงตรัสว่า “ลูก เอ๋ย ทำ�ใจดีๆ ไว้ ความเชื่อของท่าน ช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” หญิงนั้นก็หายจากโรคนับแต่เวลานั้น เมื่อ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงบ้านของหัวหน้าคนนั้น ทรงเห็นคนเป่าขลุ่ย และผู้คนกำ�ลังชุลมุนวุ่นวาย จึงตรัสว่า “ออกไปเถิด เด็กหญิงคนนี้ยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น” พวกนั้นต่างหัวเราะเยาะพระองค์ เมื่อ คนกลุ่มนั้นถูกไล่ออกไปข้างนอกแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไป ทรงจับมือเด็กหญิง เด็กนั้นก็ลุกขึ้น ข่าวเรื่อง นี้จึงแพร่ออกไปทั่วแคว้นนั้น การยืนยันกับยาโคบว่า จะทรงพิทักษ์คุ้มครองวิถีชีวิตของเขา เพราะว่า ทรงสัญญากับอับราฮัม และอิสอัคแล้ว ลูกหลานจะรับพระพร จะไม่ทอดทิ้งตลอดทางแห่งชีวิต แต่พวกเขาต้องซื่อสัตย์ในการดำ�รงชีวิต ที่ดีด้วย การรักษาหญิงตกเลือดเรื้อรังนาน 12 ปี แม้ไม่ใช่เชื้อสายเดียวกับพระองค์ แต่เป็นการยํ้าว่า พระเยซูเจ้า เสด็จมาเป็นชีวิตใหม่ของทุกคน ภายใต้เงื่อนไขของความเชื่อในพระองค์ เช่นเดียวกับบิดาของเด็กหญิงที่เพิ่ง สิน้ ใจ ขณะขอร้องให้ปกพระหัตถ์เพือ่ มีชวี ติ ใหม่ คำ�ชีแ้ จงของพระองค์ท�ำ ให้บดิ ามีความเชือ่ มากขึน้ หลังจากเชิญ พระองค์แล้ว... “เด็กยังไม่ตาย เพียงแต่หลับ” หลายครั้งเราหลับในบาป แต่พระองค์จะสัมผัสมือและเราต้องลุกเดินเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ 07.indd 222
21/12/2561 14:50:05
บทอ่านที่ 1 ปฐก 32:23-33 คืนนัน้ ยาโคบลุกขึน้ พาภรรยาทัง้ สองคน ทาสหญิงทัง้ สองคน บุตรทัง้ สิบเอ็ดคน เดินข้ามลำ�ธารยับบอก ตรงที่ตื้น เขาส่งบุตรภรรยาข้ามลำ�ธารและส่งทรัพย์สมบัติ ทั้งหมดไปด้วย เหลือแต่ยาโคบตามลำ�พัง บุรุษผู้หนึ่งต่อสู้กับเขาจนรุ่งสาง เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นว่า จะเอาชนะยาโคบไม่ได้ ก็ ทุบข้อต่อสะโพกของเขา สะโพกของยาโคบก็เคล็ดไปขณะที่เขาต่อสู้กันอยู่ บุรุษนั้นจึง น.ออกัสติน เซา รง ว่า “ปล่อยฉันไปเถิด เพราะสว่างแล้ว” ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยอมปล่อยท่าน และเพื่อนมรณสักขี ไปจนกว่าท่านจะอวยพรข้าพเจ้า” บุรุษผู้นั้นจึงถามยาโคบว่า “ท่านชื่ออะไร” ยาโคบ ชาวจีน สดด 17:1,2-3,6-7กข, ตอบว่า “ข้าพเจ้าชื่อยาโคบ” บุรุษผู้นั้นจึงว่า “ชื่อของท่านจะไม่ใช่ยาโคบอีก แต่ชื่อ 8ข และ 15 อิสราเอล เพราะท่านได้ตอ่ สูก้ บั พระเจ้าและกับมนุษย์ แล้วท่านก็ชนะ” ยาโคบจึงขอร้อง ว่า “โปรดบอกชื่อของท่านแก่ข้าพเจ้าด้วย” เขาตอบว่า “ท่านถามชื่อของฉันไปทำ�ไม” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 แล้วก็อวยพรยาโคบที่นั่น ยาโคบจึงเรียกชือ่ สถานทีน่ นั้ ว่าเปนูเอล พูดว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าอย่างเต็มตา แล้วยังมีชวี ติ อยูไ่ ด้” ดวงอาทิตย์ก�ำ ลังขึน้ เมือ่ ยาโคบผ่านเปนูเอล เดินกะโผลกกะเผลก เพราะสะโพกเคล็ด ด้วยเหตุนี้ ชาวอิสราเอลจึงไม่กนิ เส้นเอ็นทีข่ อ้ ต่อสะโพกจนกระทัง่ ทุกวันนี้ เพราะยาโคบถูกทุบตรงข้อต่อสะโพกนั่นเอง พระวรสาร มธ 9:32-38 เมือ่ คนทีเ่ คยตาบอดทัง้ สองคนจากไปแล้ว มีผพู้ าคนใบ้ถกู ปีศาจสิงคนหนึง่ มาเฝ้าพระเยซูเจ้า ครัน้ ปีศาจ ถูกขับออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ กล่าวว่า “ยังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลยใน อิสราเอล” แต่ชาวฟาริสีกล่าวว่า “คนนี้ขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่อง พระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ ประดุจฝูงแกะทีไ่ ม่มคี นเลีย้ ง แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์วา่ “ข้าวทีจ่ ะเก็บเกีย่ วมีมาก แต่คนงานมีนอ้ ย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด” การเดินทางชีวติ ต้องการคนสนับสนุนและเข้าใจวิถชี วี ติ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะทรงจัดบางอย่าง บาง คนให้คอยช่วยเหลือ ชีวิตฆราวาสที่มีครอบครัวจำ�เป็นต้องรักษาความสัมพันธ์ของตนไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงชีวิต บางครั้งบางขณะอาจพบความมืดบ้าง ต้องวิงวอนขอพระช่วย และไม่ลืมขอบคุณพระองค์ในยาม สบาย พระเยซูเจ้าทรงห่วงใยทุกคนที่ทำ�งานทั้งในหน้าที่และงานเสริม ช่วยเหลือกันและกันเสมอ และทรงสอนให้ ทำ�งานร่วมกับพระองค์ แม้ในฐานะพระสงฆ์ นักบวช นักพรต อีกทัง้ การเป็นฆราวาสแพร่ธรรมในหน่วยงานต่างๆ ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ด้วย 07.indd 223
21/12/2561 14:50:06
บทอ่านที่ 1 ปฐก 41:55-57 และ 42:5-7ก,17-24ก เมื่อประชาชนทั่วแผ่นดินอียิปต์เริ่มรู้สึกขาดแคลนอาหาร ก็ร้องขออาหารจาก กษัตริย์ฟาโรห์ พระองค์รับสั่งแก่ชาวอียิปต์ทั้งปวงว่า “จงไปหาโยเซฟเถิดและทำ�ตาม ที่เขาสั่ง” เมื่อเกิดการกันดารไปทั่วแผ่นดิน โยเซฟก็เปิดยุ้งฉางทั้งหมดออกขายข้าวให้ ชาวอียิปต์ ขณะที่การกันดารอาหารทวีความรุนแรงขึ้นในอียิปต์ ผู้คนจากทั่วแผ่นดิน ต่างมายังอียปิ ต์เพือ่ ขอซือ้ ข้าวจากโยเซฟ เพราะการกันดารอาหารทวีความรุนแรงไปทัว่ สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลรรมดา แผ่นดิน บุตรของอิสราเอลมาซื้อข้าวพร้อมกับคนอื่นๆ เพราะเกิดการกันดารอาหารใน สดด 33:2-3,10-11, 18-19 แผ่นดินคานาอัน โยเซฟในฐานะผูส้ �ำ เร็จราชการแผ่นดิน ก็ขายข้าวให้ประชาชนทัง้ ปวง เมื่อพี่ชายของโยเซฟมาถึง เขาก็กราบคำ�นับโยเซฟ ศีรษะจรดพื้น โยเซฟเห็นพี่ชายก็ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 จำ�ได้ แต่แสร้งทำ�เป็นไม่รู้จัก พูดกับเขาด้วยนํ้าเสียงกระด้าง โยเซฟจึงสั่งให้ขังทุกคนไว้ในคุกเป็นเวลาสามวัน ในวันที่สามโยเซฟพูดกับพี่ชายว่า “จงทำ�ดังนี้ และ ท่านจะมีชีวิตรอด เพราะเรายำ�เกรงพระเจ้า ถ้าท่านทั้งหลายเป็นคนซื่อตรง ให้ท่านคนหนึ่งถูกจองจำ�ในคุกที่ นี่ ส่วนอีกเก้าคนจงนำ�ข้าวกลับไปให้ครอบครัวที่กำ�ลังอดอยาก แล้วท่านจะต้องนำ�น้องชายคนเล็กมาให้เรา ดู เพื่อพิสูจน์ว่าท่านพูดความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องตาย” บรรดาพี่ชายก็ยอมทำ�เช่นนี้... รูเบนจึงพูดว่า “พี่ ไม่ได้บอกพวกน้องหรือว่า อย่าทำ�ร้ายเด็กนั้น แต่พวกน้องไม่ยอมฟัง บัดนี้ เราจึงต้องชดใช้หนี้เลือดของ เขา” เขาไม่รู้ว่าโยเซฟเข้าใจ เพราะโยเซฟใช้ล่ามเมื่อพูดกับเขา โยเซฟจึงปลีกตัวไปร้องไห้ แล้วกลับมาพูด กับเขาอีก พระวรสาร มธ 10:1-7 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สิบสองคนเข้ามาพบ ประทานอำ�นาจให้เขาขับไล่ปีศาจ ให้รักษาโรค และความเจ็บไข้ทุกชนิด อัครสาวกสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมน ผู้มีสมญาว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชาย ฟีลิปและบาร์โธโลมิว โทมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตร อัลเฟอัสและธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ทรยศต่อพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคนนีอ้ อกไป ทรงสัง่ เขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไป ในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน จงไปประกาศว่าอาณาจักร สวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว” การให้อภัยและการแสดงความเมตตาของโยเซฟในบทอ่านวันนี้ ชวนให้เห็นภาพของพระเยซูเจ้า ในเวลาต่อมา เมื่อตรัสสอนว่า “จงให้อภัยแก่ศัตรู และรักศัตรูผู้มุ่งทำ�ร้ายท่าน” เราทราบเรื่องเล่าเกี่ยวกับโยเซฟ อุปราชของประเทศอียิปต์ ในสายตาของพี่ๆ ที่เดินทางไปซื้อข้าวสาลี เพื่อ ทำ�ขนมปังยามที่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนประสบภัยแล้ง แต่ประเทศอียิปต์อุดมสมบูรณ์ พี่น้องต้องแจ้งให้รู้ เรื่องราวเกี่ยวกับยาโคบ บิดาที่เป็นทุกข์เพราะคิดว่าโยเซฟตาย ความแตกแยกในหมู่พี่น้อง จะด้วยเหตุผลใด ย่อมนำ�มาซึง่ ความเศร้าโศก จงวอนขอให้ทกุ ครอบครัวพบความสามัคคีปรองดอง และรูจ้ กั ให้อภัยดังทีพ่ ระองค์ ทรงสอนไว้ตลอดเวลา 07.indd 224
21/12/2561 14:50:06
บทอ่านที่ 1 ปฐก 44:18-21,23ข-29 และ 45:1-5 ในครั้งนั้น ยูดาห์เข้าไปหาโยเซฟ พูดว่า “กรุณาเถิดนายเจ้าข้า ขอให้ผู้รับใช้ของ ท่านพูดกับท่านอย่างตรงไปตรงมาเถิด อย่าโกรธข้าพเจ้าเลย เพราะท่านเป็นเหมือน กษัตริยฟ์ าโรห์ เจ้านายเคยถามผูร้ บั ใช้ของท่านว่า ท่านมีบดิ าหรือน้องชายไหม พวกเรา ก็ตอบเจ้านายว่า เรามีบิดาที่ชรา และมีน้องชายเล็กคนหนึ่งที่เกิดมาเมื่อบิดาชราแล้ว พี่ชายของเขาเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงเขาที่เกิดจากมารดาเดียวกัน บิดาจึงรักเขา ระลึกถึง มาก แล้วท่านสั่งผู้รับใช้ของท่านว่า ‘จงพาน้องคนนั้นมาที่นี่ ให้เราดู’ แต่ท่านพูดกับ น.เบเนดิ๊กต์ ผู้รับใช้ของท่านว่า ‘ถ้าน้องคนเล็กไม่มากับท่านที่นี่ ท่านจะไม่เห็นหน้าเราอีก’ เมื่อพวก เจ้าอธิการ เรากลับไปหาบิดาผู้รับใช้ของท่าน พวกเราก็เล่าคำ�พูดของเจ้านายให้บิดาฟัง... บิดา สดด 105:16-17,18-19, ผู้รับใช้ของท่านจึงบอกพวกเราว่า ‘พวกลูกรู้แล้วว่า ราเคลภรรยาของพ่อมีลูกชายสอง 20-21 คน คนหนึ่งก็จากไปแล้ว พ่อคิดว่าเขาคงถูกสัตว์ร้ายกัดกิน เพราะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก เลย ถ้าลูกๆ พาคนนี้ไปจากพ่อ แล้วเขาเป็นอันตราย ลูกก็จะส่งพ่อซึ่งแก่แล้วลงไปใน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 แดนผู้ตายด้วยความเศร้าโศก’”... โยเซฟบอกพี่น้องว่า... “ฉันคือโยเซฟ น้องชายของพี่ที่พี่ขายมาอียิปต์ บัดนี้ อย่าเสียใจไปเลย อย่า โกรธตนเองที่ขายฉันมาที่นี่ พระเจ้าทรงส่งฉันล่วงหน้ามาก่อน เพื่อช่วยชีวิตของพี่ๆ” พระวรสาร มธ 10:7-15 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จง รักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่ รับค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมือ่ เดินทาง อย่ามียา่ ม อย่า มีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่าน แล้วจงพักอยู่กับ เขาจนกว่าท่านจะจากไป เมือ่ ท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บา้ นนัน้ ถ้าบ้านนัน้ สมควรได้รบั พร จงให้สนั ติสขุ ของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน” “ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากบ้านหรือเมืองนั้น จงสลัดฝุ่นจากเท้าออกเสียด้วย เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์จะรับโทษเบากว่าโทษ ของเมืองนั้น” เมือ่ หมอกฎหมายถามพระเยซูเจ้าว่า บัญญัตขิ อ้ ใดเป็นเอกในบัญญัตทิ งั้ ปวง พระเยซูเจ้าตรัสตอบ ว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงรักพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ สุดวิญญาณ และบัญญัติต่อมา จงรักผู้อื่นเหมือน รักตนเอง” บทอ่านจากหนังสือปฐมกาลชีใ้ ห้เห็นภาพของ “จิตใจพระ” ของโยเซฟในการนำ�ธรรมบัญญัตขิ องโมเสสเข้า มาในชีวิตอย่างแท้จริง แม้มีอำ�นาจในการลงโทษ หรือไม่ยอมขายข้าวสาลีให้พี่ๆ รวมทั้งบิดา แต่โยเซฟได้แสดง ฐานะเป็นผู้มีคุณธรรมและให้อภัยพี่ๆ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นพระประสงค์ของพระ” เพื่อให้ครอบครัวคลาย กังวลและทุกข์หนักเพราะไม่มีอาหารรับประทาน ขอให้เราทบทวนชีวิตว่า เคยให้อภัยผู้ทำ�ผิดต่อเรากี่ครั้ง และ เคยคิดแก้แค้นกี่ครั้ง” 07.indd 225
21/12/2561 14:50:06
สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลรรมดา สดด 37:3-4,18-19, 27-28,39-40 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 ปฐก 46:1-7,28-30 ในครั้งนั้น อิสราเอลออกเดินทางพร้อมกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี เมื่อมาถึง เบเออร์เชบา เขาก็ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของอิสอัค บิดาของตน พระเจ้าตรัสกับ อิสราเอลในนิมิตเวลากลางคืนว่า “ยาโคบเอ๋ย ยาโคบ” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” พระองค์จงึ ตรัสว่า “เราคือพระเจ้า พระเจ้าของบิดาของท่าน อย่ากลัวทีจ่ ะต้องไปอียปิ ต์ เลย เราจะให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่ที่นั่น เราจะไปอียิปต์กับท่านด้วย แล้วเราจะพาท่าน กลับมาทีน่ อี่ กี อย่างแน่นอน หลังจากทีโ่ ยเซฟจะปิดตาของท่านแล้ว” ยาโคบจึงเดินทาง ต่อไปจากเบเออร์เชบา บรรดาบุตรของอิสราเอลให้ยาโคบผู้บิดากับเด็กๆ และภรรยา ขึ้นเกวียนที่กษัตริย์ฟาโรห์ทรงส่งมารับ ... อิสราเอลให้ยูดาห์ล่วงหน้าไปพบโยเซฟ เพื่อบอกโยเซฟให้มาพบที่แคว้นโกเชน เมือ่ ทุกคนมาถึงแคว้นโกเชน โยเซฟจัดเตรียมรถม้าของตนไปรับอิสราเอลบิดาทีแ่ คว้น โกเชน เมื่อเห็นบิดา เขาก็เข้าสวมกอดบิดาไว้ พลางร้องไห้เป็นเวลานาน อิสราเอลจึง พูดกับโยเซฟว่า “บัดนี้ พ่อตายได้แล้ว เพราะพ่อได้เห็นลูกและรู้ว่าลูกยังมีชีวิตอยู่”
พระวรสาร มธ 10:16-23 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงฟังเถิด เราส่งท่านไปเหมือนแกะในฝูงสุนัขป่า ท่านจงฉลาดประดุจงูและซื่อประดุจนกพิราบ” “จงระมัดระวังตนจากมนุษย์ เขาจะมอบท่านที่ศาล และเฆี่ยนท่านในศาลาธรรมของเขา ท่านจะถูกนำ� ตัวไปต่อหน้าผูว้ า่ ราชการและเฉพาะพระพักตร์กษัตริยเ์ พราะเราเป็นเหตุ เพือ่ เป็นพยานยืนยันแก่เขาและแก่ บรรดาชนต่างชาติต่างศาสนา เมื่อเขาจะมอบท่านที่ศาลนั้น อย่าวิตกกังวลว่าจะพูดอย่างไรหรือพูดอะไร สิ่ง ที่ท่านจะพูดนั้นจะได้รับการดลใจในเวลานั้นเอง เพราะท่านจะมิได้พูดด้วยตนเอง แต่พระจิตของพระบิดา ของท่านจะตรัสในท่าน” “พีจ่ ะฟ้องน้อง น้องจะฟ้องพีใ่ ห้ตอ้ งโทษถึงตาย พ่อจะฟ้องลูก ลูกจะลุกขึน้ กล่าวโทษพ่อแม่ให้ถงึ ตาย” “คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้ายก็จะรอดพ้น เมื่อเขา จะเบียดเบียนท่านในเมืองหนึ่ง จงหลบหนีไปอีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนที่ท่าน จะไปทั่วทุกหัวเมืองของอิสราเอล บุตรแห่งมนุษย์ก็จะกลับมาแล้ว” การรอคอยของยาโคบเมื่อลูกๆ ได้แจ้งให้ทราบว่า โยเซฟยังมีชีวิตอยู่และเป็นผู้ปกครองอียิปต์ ใน ฐานะอุปราชและดูแลคลังอาหารด้วย ทำ�ให้ความหดหู่หายไป กลับกลายเป็นความสุข ความยินดีที่พระผู้เป็น เจ้ามีพระประสงค์อย่างที่โยเซฟบอกกับพี่ๆ เมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตาม ในสังคมทั่วไป แม้ในสังคมครอบครัว ในพระศาสนจักร จะปรากฏคนดีปะปนกับคนชั่วร้าย อยู่ด้วย พระเยซูเจ้าจึงทรงเตือนศิษย์ให้ระวังตน ระวังใจ ระวังความคิด เพราะจะมีการทำ�ร้ายในรูปแบบของ การใช้ปาก ใช้อาวุธ หรือการเบียดเบียนด้วยกฎหมายหรือระเบียบที่กำ�หนดขึ้นอย่างป่าเถื่อน จึงทรงขอให้มีสติ มั่นคง ดำ�รงตนในพระธรรมคำ�สอนอย่างซื่อสัตย์ 07.indd 226
21/12/2561 14:50:07
บทอ่านที่ 1 ปฐก 49:29-33 และ 50:15-26ก ในครัง้ นัน้ ยาโคบสัง่ บรรดาบุตรว่า “บัดนี้ พ่อกำ�ลังจะไปอยูร่ วมกับบรรพบุรษุ ของ พ่อ จงฝังพ่อไว้กับบรรพบุรุษของพ่อในถํ้าที่อยู่ในนาของเอโฟรน ชาวฮิตไทต์ คือในถํ้า ที่อยู่ในทุ่งนาแห่งมัคเปลาห์ ตรงข้ามมัมเร ในแผ่นดินคานาอัน...” เมื่อยาโคบสั่งเสียบรรดาบุตรเสร็จแล้ว เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงและสิ้นใจ ไป รวมอยู่กับบรรพบุรุษ น.เฮนรี่ หลังจากบิดาสิ้นชีวิตแล้ว บรรดาพี่ชายของโยเซฟมีความกลัว... จึงส่งคนไปบอก โยเซฟว่า “บิดาของท่านสั่งไว้ก่อนจะสิ้นใจว่า จงบอกโยเซฟด้วยว่า ‘พ่อขอร้องลูกให้ สดด 105:1-2,3-4,6-7 อภัยการประทุษร้ายและบาปทีพ่ ชี่ ายทำ�ต่อลูก’ บัดนี้ ขอท่านโปรดให้อภัยความผิดของ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ผู้รับใช้พระเจ้าของบิดาของท่านด้วยเถิด” เมื่อโยเซฟได้ยินคำ�พูดเช่นนี้ก็ร้องไห้ บรรดาพี่ชายมาหาโยเซฟ กราบลงต่อหน้าเขาพูดว่า “พวกเรามาอยู่ต่อหน้าท่าน ขอเป็นทาสของท่าน” แต่โยเซฟตอบว่า “อย่ากลัวเลย ฉันไม่ใช่พระเจ้า จะตัดสินลงโทษ ท่านได้อย่างไร พวกพี่วางแผนทำ�ร้ายฉัน แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนให้ร้ายกลายเป็นดีดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ คือเพื่อรักษาชีวิตของหลายคนไว้ ดังนั้น พี่ๆ อย่ากลัวไปเลย ฉันจะเอาใจใส่ดูแลพวกพี่และลูกของพี่” โยเซฟให้คำ�มั่นแก่บรรดาพี่ชายและพูดกับเขาด้วยความอ่อนโยน... พระวรสาร มธ 10:24-33 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ และผู้รับใช้ย่อมไม่อยู่เหนือนาย ถ้าศิษย์เท่าเทียมกับอาจารย์ และ ผู้รับใช้เท่าเทียมกับนาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า ‘เบเอลเซบูล’ เขาจะเรียกลูกบ้าน ร้ายกว่านั้นสักเท่าใด” “อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้ สิ่งที่เรา บอกท่านในทีม่ ดื ท่านจงกล่าวออกมาในทีส่ ว่าง สิง่ ทีท่ า่ นได้ยนิ กระซิบทีห่ ู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน” “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำ�ลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไป ในนรก นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น ก็ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตกถึงพื้น ดินโดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว ดังนั้น อย่ากลัว เลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำ�นวนมาก” “ทุกคนทีย่ อมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผูน้ นั้ เฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผูส้ ถิตในสวรรค์ และผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ ด้วย” ชีวิตเมื่อสิ้นสุด การกำ�หนดสัญลักษณ์เพื่อระลึกถึงยามจากโลกนี้ ทุกคนมีสิทธิ์เลือกที่บรรจุศพ และให้ลูกหลานเดินทางไปเยี่ยม ทั้งนี้ ต้องหมายความว่า “จากไปอย่างสงบและเป็นสุขในพระเจ้า” ยาโคบจบ ชีวติ และขอให้สร้างทีฝ่ งั ศพใกล้กบั อับราฮัม อิสอัค ในดินแดนทีช่ อื่ “เอโฟรน ในทุง่ นา เขตปกครองชาวฮิตไทต์” ปรากฏการณ์ของชีวติ ทัง้ แง่สขุ และทุกข์ ต้องการเวลาพิสจู น์ความแกร่งของชีวติ ดังนัน้ คำ�เตือนของพระเยซูเจ้า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำ�ลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปนรก” พระผู้เป็นเจ้าไม่เคยเอาเปรียบมนุษย์ ขอเราแต่ละคนให้เกียรติคืนพระเจ้าด้วยเถิด 07.indd 227
21/12/2561 14:50:07
สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ฉธบ 30:10-14 โมเสสกล่าวกับประชาชนชาวอิสราเอลว่า “ท่านจะต้องเชื่อฟังพระสุรเสียงของ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ปฏิบัติตามบทบัญญัติและข้อกำ�หนดที่เขียนไว้ใน หนังสือธรรมบัญญัติเล่มนี้ ท่านจะต้องกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน สุดจิตใจและสุดวิญญาณ บทบัญญัติที่ข้าพเจ้าสั่งท่านในวันนี้ ไม่ยากเกินไปหรืออยู่ไกลสุดเอื้อม ไม่ได้อยู่ สูงบนฟ้าจนต้องถามว่า “ใครจะขึน้ ไปเอาลงมาให้เราฟังและปฏิบตั ติ ามได้” บทบัญญัติ เหล่านีไ้ ม่ได้อยูโ่ พ้นทะเล จนต้องถามว่า “ใครจะข้ามทะเลไปเอามาให้เราฟังและปฏิบตั ิ ตามได้ พระวาจานี้อยู่ใกล้กับท่านมาก คืออยู่ในปากและในใจของท่าน เพื่อท่านจะนำ� ไปปฏิบัติได้” เพลงสดุดี สดด 69:13ก และ 16,29-30ก,32-33ก,35-36 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ในเวลาที่ทรง โปรดปราน ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้าด้วยความรักมัน่ คงยิง่ ใหญ่ของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงตอบข้าพเจ้าเถิด เพราะความรักมั่นคงของพระองค์นั้นประเสริฐยิ่ง พระกรุณาของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ โปรดผินพระพักตร์มาหาข้าพเจ้าเถิด ข) แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้ขัดสนและมีทุกข์ ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ความรอดพ้นที่พระองค์ประทานปกป้องข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะขับร้องสรรเสริญพระนามพระเจ้า ค) ท่านทั้งหลายผู้ถ่อมตน จงเห็นและยินดีเถิด ท่านทั้งหลายที่แสวงหาพระเจ้า จงมีกำ�ลังใจขึ้นเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังคนยากจน ง) เพราะพระเจ้าทรงช่วยศิโยนให้รอดพ้น และทรงสร้างเมืองทั้งหลายในแคว้นยูดาห์ขึ้นใหม่ ผู้ที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่นจะได้รับแผ่นดินกลับมาเป็นของตน ลูกหลานของผู้รับใช้พระองค์จะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก ผู้ที่รักพระนามพระองค์จะได้พำ�นักอยู่ที่นั่น บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโคโลสี คส 1:15-20 พีน่ อ้ ง พระคริสตเจ้าทรงเป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้าทีเ่ รามองไม่เห็น ทรงเป็นบุตร คนแรกในบรรดาสิ่งสร้างทั้งปวง เพราะสรรพสิ่งทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน ทั้งที่แล
07.indd 228
21/12/2561 14:50:07
เห็นได้และไม่อาจแลเห็นได้ เทพนิกรบัลลังก์ เทพนิกรนาย เทพนิกรเจ้าและเทพนิกรอำ�นาจ ล้วนถูกสร้าง โดยพระองค์ทั้งสิ้น ทุกสิ่งถูกเนรมิตขึ้นโดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำ�รงอยู่ก่อนสรรพสิ่ง และสรรพสิง่ ดำ�รงอยูเ่ ป็นระเบียบในพระองค์ พระองค์ทรงเป็นศีรษะของร่างกาย คือพระศาสนจักร พระองค์ ทรงเป็นปฐมเหตุ ทรงเป็นบุคคลแรกในบรรดาผู้ตายที่กลับคืนชีพ ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในทุก สิ่ง เพราะพระเจ้าพอพระทัยให้ความบริบูรณ์ทั้งปวงอยู่ในพระคริสตเจ้า และให้สรรพสิ่งคืนดีกับพระองค์ โดยทางพระคริสตเจ้า ผู้โปรดให้ทุกสิ่งมีสันติ ด้วยพระโลหิตที่ทรงหลั่งบนไม้กางเขนของพระองค์ ทั้งสิ่งที่ อยู่บนแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ในสวรรค์
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 10:25-37 ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะ ต้องทำ�สิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่า อย่างไร” เขาทูลตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำ�ลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านตอบ ถูกแล้ว จงทำ�เช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต” ชายคนนัน้ ต้องการแสดงว่าตนถูกต้อง จึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพือ่ นมนุษย์ของ ข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำ�ลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูก โจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต สมณะผู้หนึ่งเดิน ผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขา และเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึง่ เช่นเดียวกัน แต่ชาวสะมาเรียผูห้ นึง่ เดินทางผ่านมาใกล้ๆ เห็นเขาก็รสู้ กึ สงสาร จึงเดินเข้าไปหา เทนาํ้ มันและเหล้าองุน่ ลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำ�เขาขึน้ หลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรม แห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา วันรุ่งขึ้นชาวสะมาเรียผู้นั้นนำ�เงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้ กล่าวว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา’ ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใคร เป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น” เขาทูลตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึงตรัส กับเขาว่า “ท่านจงไปและทำ�เช่นเดียวกันเถิด” นิทานเรือ่ งชาวสะมาเรียผูใ้ จดี เราฟังกันบ่อยๆ เกีย่ วกับการแสดงความรักต่อผูอ้ นื่ ทีม่ ใิ ช่สมาชิกใน ครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือสมาชิกของหมู่คณะต่างๆ ที่รวมตัวกันมุ่งประพฤติปฏิบัติดี ที่มีอยู่มากมายในสังคม มนุษย์ ซึ่งเป็นสังคมไร้พรมแดน (Globalization) ชายสองคนแรกปรากฏตนเป็น “ผู้ทรงศีล” ในการถือตามบัญญัติของโมเสส แต่ขาดการปฏิบัติความรักต่อ ผู้อื่น โดยเลี่ยงไปปฏิบัติบัญญัติต่อพระเจ้า ซึ่งวันนี้ยืนยันว่า “ต้องรักผู้อื่นเหมือนตนเองด้วย” ตรงข้ามกับชาว ต่างด้าวในสายตาของชาวยิว ได้ปฏิบัติความรักต่อผู้ที่ตนเองไม่รู้จัก เขาได้ทำ�หน้าที่ด้วยจิตบริสุทธิ์ (ใจพระ) ขอให้สัปดาห์นี้และต่อๆ ไป เราคริสตชนไม่ต้องถามพระแบบนักกฎหมาย แต่ให้ปฏิบัติตนในฐานะศิษย์ พระคริสต์ ให้มีใจเมตตากรุณาตลอดเวลาต่อทุกคน เริ่มจากครอบครัว ญาติพี่น้องและผู้อื่นในสังคมอย่างดี 07.indd 229
21/12/2561 14:50:07
ระลึกถึง น.บอนาแวนตูรา พระสังฆราช นักปราชญ์แห่ง พระศาสนจักร สดด 124:1-3,4-6,7-8 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 อพย 1:8-14,22 ในครั้งนั้น กษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ในอียิปต์ พระองค์มิได้ทรงรู้จักโยเซฟ ทรงประกาศแก่ประชาชนว่า “ดูซิ ชาวอิสราเอลมีจำ�นวนมากและมีกำ�ลังมากกว่าเรา เราจะต้องจัดการขัดขวางมิให้คนเหล่านี้ทวีจำ�นวนมากขึ้น มิฉะนั้น ถ้าเกิดสงคราม เขา อาจไปเข้าข้างศัตรู มาสู้รบกับเราและหลบหนีออกจากแผ่นดินไป” ชาวอียิปต์จึงตั้ง นายงานเกณฑ์ให้ชาวอิสราเอลทำ�งานตรากตรำ�และสร้างเมืองปิธมและราเมเสสให้ กษัตริยฟ์ าโรห์ เพือ่ เป็นคลังเก็บเสบียงอาหาร... ชาวอียปิ ต์บงั คับให้ชาวอิสราเอลทำ�งาน หนักทุกชนิดอย่างทารุณ กษัตริยอ์ ยี ปิ ต์รบั สัง่ กับหญิงทำ�คลอดชือ่ ชิฟราห์และอีกคนหนึง่ ชื่อปูอาห์ซึ่งเป็นผู้ ทำ�คลอดให้หญิงชาวฮีบรูวา่ “เมือ่ ท่านทำ�คลอดให้หญิงชาวฮีบรู จงสังเกตเพศของทารก ถ้าเป็นชาย จงฆ่าเสีย ถ้าเป็นหญิงจงปล่อยให้รอดชีวติ ” แต่หญิงทำ�คลอดเป็นผูย้ �ำ เกรง พระเจ้า จึงไม่ได้ปฏิบัติตามรับสั่งของกษัตริย์อียิปต์...
พระวรสาร มธ 10:34-11:1 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำ�สันติภาพมาให้โลก เรามิได้มาเพื่อนำ�สันติภาพ แต่มาเพื่อนำ�ดาบมาให้ เรามา เพื่อแยกบุตรชายจากบิดา แยกบุตรหญิงจากมารดา แยกบุตรสะใภ้จากมารดาของสามี ศัตรูของคนก็คือคน ที่อยู่ร่วมบ้านกับเขานั่นเอง” “ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา” “ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิต นั้นอีก” “ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” “ผู้ที่ต้อนรับประกาศก เพราะเป็นประกาศก จะได้รับบำ�เหน็จรางวัลของประกาศก ผู้ที่ต้อนรับผู้ชอบ ธรรม เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับบำ�เหน็จรางวัลของผู้ชอบธรรม” “ผู้ใดที่ให้นํ้าเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำ�เหน็จรางวัลอย่างแน่นอน”... ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเช่นยุคปัจจุบัน การอพยพย้ายถิ่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินแห้งแล้ง เพาะปลูกมีปัญหาขาดแคลนนํ้า ผลผลิตไม่ได้ตามคาดหวัง จำ�เป็นต้องเสาะหาอาหารและที่ทำ� กินเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด แต่การอพยพแบบไม่เต็มใจ เช่น เกิดภาวะสงคราม สู้รบจนทำ�มาหากินไม่ได้เนื่องจากมี การฆ่าทำ�ร้ายชีวิต บทอ่านแรกเป็นการบันทึกเรื่องราวการอพยพของชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์เพราะการ เบียดเบียนและความเกลียดชัง พระเยซูเจ้ายํา้ ในพระวรสาร ในการอพยพเชิงจิตวิญญาณเพราะมีการเบียดเบียน มิให้นบั ถือศาสนาตามธรรมบัญญัติ ขอให้ทกุ คนทีท่ �ำ ดีมคี วามอดทน ขอให้ผทู้ �ำ ชัว่ ละเว้นไว้เพือ่ ให้ชวี ติ ทีพ่ ระองค์ มอบให้ไว้พิสูจน์ความจริงด้วยความดีและซื่อสัตย์จนถึงที่สุดด้วย 07.indd 230
21/12/2561 14:50:08
บทอ่านที่ 1 อพย 2:1-15ก ในครั้งนั้น ชายผู้หนึ่งจากเผ่าเลวี ได้หญิงชาวเลวีเป็นภรรยา ต่อมานางตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชาย นางเห็นว่าบุตรน่ารัก จึงซ่อนบุตรนั้นไว้สามเดือน เมื่อซ่อนไว้นาน กว่านัน้ ไม่ได้แล้ว นางจึงนำ�ตะกร้าสานด้วยต้นกกมาแล้วยาด้วยยางมะตอยและชัน วาง เด็กไว้ในตะกร้านั้นแล้วนำ�ไปวางไว้ในพงอ้อริมฝั่งแม่นํ้า... พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์เสด็จมาสรงนํ้าที่แม่นํ้า... พระธิดาทอดพระเนตรเห็น พระนางมารีย์ ตะกร้าอยู่ในพงอ้อ จึงรับสั่งให้นางกำ�นัลไปนำ�มา เมื่อทรงเปิดตะกร้าก็ทอดพระเนตร พรหมจารี เห็นทารกเพศชายกำ�ลังร้องไห้อยู่ ก็ทรงสงสาร จึงตรัสว่า “นี่ต้องเป็นลูกของหญิงชาว แห่งภูเขาคาร์แมล ฮีบรู” พี่สาวของเด็กนั้นก็ทูลถามว่า “จะให้ดิฉันไปเรียกแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็กนี้ ให้พระองค์ไหมคะ” พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์รับสั่งว่า “ไปเรียกมาซิ” เด็กหญิงนั้น สดด 69:2,13,29-30, 32-33 ก็ไปเรียกมารดาของทารกมา พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์จึงตรัสกับนางว่า “จงนำ�เด็ก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 คนนี้ไปเลี้ยงให้ฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้าง” หญิงนั้นก็นำ�ทารกไปเลี้ยงไว้ เมื่อเด็กเติบโต วันอาสาฬหบูชา พอสมควรแล้วนางก็น�ำ ไปถวายพระธิดาของกษัตริยฟ์ าโรห์ พระธิดาทรงรับเขาเป็นบุตร และทรงตั้งชื่อว่า โมเสส ตรัสว่า “ฉันได้ฉุดเขาขึ้นมาจากนํ้า” ต่อมาเป็นเวลานาน เมือ่ โมเสสเติบโตเป็นผูใ้ หญ่แล้ว เขาออกไปเยีย่ มเยียนเพือ่ นร่วมชาติ เห็นเขาเหล่า นั้นถูกบังคับให้ทำ�งานหนัก เขาเห็นชาวอียิปต์คนหนึ่งกำ�ลังทุบตีชาวฮีบรูเพื่อนร่วมชาติของตน โมเสสมอง ดูโดยรอบ ไม่เห็นใคร จึงฆ่าชาวอียิปต์ผู้นั้นแล้วเอาศพหมกทรายไว้ วันรุ่งขึ้น เขากลับไปอีก เห็นชาวฮีบรู สองคนกำ�ลังต่อสู้กัน เขาถามคนที่ทำ�ผิดว่า “ทำ�ไมท่านจึงทุบตีเพื่อนร่วมชาติของท่าน” ชาวฮีบรูคนนั้นตอบ ว่า “ใครตั้งท่านเป็นผู้นำ� และผู้ตัดสินพวกเรา ท่านจะฆ่าข้าพเจ้าเหมือนฆ่าชาวอียิปต์ผู้นั้นหรือ” โมเสสกลัว มาก คิดในใจว่า “ใครๆ ต้องรู้เรื่องนี้แล้วแน่ๆ” กษัตริย์ฟาโรห์ทรงทราบเรื่องนี้ จึงทรงพยายามประหารชีวิต โมเสส แต่โมเสสหลบหนีกษัตริย์ฟาโรห์ไปในแผ่นดินมีเดียน พระวรสาร มธ 11:20-24 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงตำ�หนิบรรดาเมืองทีพ่ ระองค์ทรงทำ�อัศจรรย์มากกว่าทีเ่ มืองอืน่ เพราะชาวเมือง ไม่ยอมกลับใจว่า “จงวิบัติเถิด เมืองโคราซิน จงวิบัติเถิด เมืองเบธไซดา เพราะถ้าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเจ้าเกิดขึ้นที่เมือง ไทระและเมืองไซดอนแล้ว ชาวเมืองเหล่านัน้ คงได้นงุ่ กระสอบ เอาขีเ้ ถ้าโรยศีรษะ กลับใจเสียนานแล้ว ฉะนัน้ เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา เมืองไทระและเมืองไซดอนจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้ายกตนขึ้นถึงฟ้าเทียวหรือ ตรงกันข้าม เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผู้ตาย เพราะว่าถ้าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเจ้าเกิดขึ้นที่เมืองโสโดมแล้ว เมืองโสโดมก็คงจะอยู่จนถึงวันนี้ ฉะนั้น เรา บอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา เมืองโสโดมจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า” แม้วา่ คนโดยทัว่ ไปไม่ชอบทีจ่ ะพูดถึงการพิพากษา แต่ขอ้ เท็จจริงคือเราทุกคนจะต้องไปยืนอยูห่ น้า พระบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า (รม 14:10) หลังจากความตายจะมีการพิพากษา (ฮบ 9:27) เมืองโคราซิน เมืองเบธไซดา ได้เห็นอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� แต่เพราะใจแข็งกระด้าง ไม่สำ�นึกผิด ไม่กลับใจเสียใหม่ ในวันพิพากษาข้อแก้ตัวต่างๆ ต่อหน้าพระเจ้าจะไม่มีประโยชน์อันใด พระวรสารวันนี้ ให้เราคิด รำ�พึง ตระหนัก ถึงภาพในวันพิพากษาของเราจะเป็นอย่างไร? 07.indd 231
21/12/2561 14:50:08
สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา สดด 103:1-2,3-4,6-7 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันเข้าพรรษา
บทอ่านที่ 1 อพย 3:1-6,9-12 ในครั้งนั้น โมเสสเลี้ยงฝูงแพะแกะของเยโธร ผู้เป็นพ่อตาและสมณะแห่งมีเดียน วันหนึ่งเขาต้อนฝูงแพะแกะข้ามถิ่นทุรกันดารไปถึงโฮเรบ ภูเขาของพระเจ้า ทูตสวรรค์ ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาเป็นเปลวไฟลุกอยู่กลางพุ่มไม้ โมเสสมองดูก็ เห็นว่าพุ่มไม้นั้นลุกเป็นไฟ แต่ไม่มอดไหม้ จึงคิดว่า “ฉันจะเข้าไปดูเหตุการณ์แปลก ประหลาดนีใ้ กล้ๆ ทำ�ไมพุม่ ไม้นนั้ ไม่มอดไหม้” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขา เข้ามาดูใกล้ๆ จึงตรัสเรียกเขาจากกลางพุม่ ไม้วา่ “โมเสส โมเสส” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้า อยู่ที่นี่” พระองค์ตรัสห้ามว่า “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ จงถอดรองเท้าออก เพราะสถาน ที่ที่ท่านยืนอยู่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” พระองค์ยังตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของ บรรพบุรุษของท่าน เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของ ยาโคบ เราได้ยนิ เสียงร้องครํา่ ครวญของชาวอิสราเอล และเห็นเขาถูกชาวอียปิ ต์ขม่ เหง อย่างทารุณ บัดนี้ เราจะส่งท่านไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ เพื่อนำ�ชาวอิสราเอลประชากร ของเราออกจากอียิปต์” โมเสสทูลพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดที่จะไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ และนำ�ชาว อิสราเอลออกจากอียิปต์” พระองค์ตรัสว่า “เราจะอยู่กับท่าน และเครื่องหมายแสดง ว่าเราส่งท่านไปก็คือเมื่อท่านนำ�ประชากรออกจากอียิปต์แล้ว ท่านทั้งหลายจะมา นมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้” พระวรสาร มธ 11:25-27 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญ พระองค์ที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่ บรรดาผูต้ าํ่ ต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนัน้ พระบิดาทรงมอบ ทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้” มีค�ำ ถามหนึง่ ทีจ่ ะถามนักบินอวกาศว่า “คุณเป็นใคร” เขาจะต้องตอบให้ได้ 20 คำ�ตอบเช่น ฉันเป็นมนุษย์ เป็นนักบิน เป็นคนไทย เป็นอะไรต่างๆ มากมาย เรารู้จัก ตัวตนของตนเอง แต่รู้จักใจของตนเองไหม? เช่นกัน คริสตชนเรียนรู้คำ�สอนเรื่องพระเจ้า เยอะมาก แต่เราได้พยายามสัมผัสความรักของพระเจ้าไหม? ได้สัมผัสพระองค์จากใจถึง ใจไหม? ผู้มีใจสุภาพเหมือนเด็กเล็กๆ (มธ 18:4) จะรู้และเข้าถึงพระองค์ พระองค์จะทรง เปิดเผยแก่บรรดาผู้ตํ่าต้อย (มธ 11:25)
07.indd 232
21/12/2561 14:50:08
บทอ่านที่ 1 อพย 3:13-20 ในครั้งนั้น โมเสสทูลพระเจ้าว่า “เมื่อข้าพเจ้าไปหาชาวอิสราเอลแล้วบอกเขาว่า พระเจ้ า ของบรรพบุ รุ ษ ของท่ า นทรงส่ ง ข้ า พเจ้ า มาหาท่ า น” ถ้ า เขาถามข้ า พเจ้ า ว่ า “พระองค์ทรงพระนามว่าอะไร ข้าพเจ้าจะตอบเขาอย่างไร” พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราคือเราเป็น” แล้วตรัสต่อไปว่า “ท่านต้องบอกชาวอิสราเอลดังนี้ว่า ‘เราเป็น’ ทรง สัปดาห์ที่ 15 ส่งข้าพเจ้ามาหาท่านทัง้ หลาย” พระเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า ท่านต้องบอกชาวอิสราเอล ดังนีว้ า่ “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรษุ ของท่าน พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้า เทศกาลธรรมดา ของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงส่งข้าพเจ้ามาหาท่านทัง้ หลาย นามนีจ้ ะเป็นนาม สดด 105:1 และ 5,8-9, 24-25,26-27 ของเราตลอดไป ชนรุ่นต่อๆ ไปจะต้องเรียกเราด้วยนามนี้” จงไปเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอล แล้วบอกเขาว่า “องค์พระผู้เป็น ทำ�วัตรสัปดาห์ท่ี 3 เจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย พระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัคและของ ยาโคบ ทรงสำ�แดงพระองค์แก่ข้าพเจ้า ตรัสว่า เราได้มาเยี่ยมท่านทั้งหลายแล้ว และ ได้เห็นสิง่ ทีช่ าวอียปิ ต์ท�ำ กับท่าน เราตกลงใจจะนำ�ท่านให้พน้ จากความทุกข์ยากในอียปิ ต์ ที่ท่านถูกข่มเหง ไปยังแผ่นดินของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ไปยังแผ่นดินที่มีนํ้านมและนํ้าผึ้งไหลบริบรู ณ์ เขาเหล่านัน้ จะ ฟังท่าน แล้วท่านกับผูอ้ าวุโสชาวอิสราเอลจงไปเฝ้ากษัตริย์อียิปต์ทูลพระองค์ว่า “องค์ พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของชาวฮีบรูเสด็จมาหาพวกเรา ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้พวก เราออกเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสามวันเพื่อถวายบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา เรารูด้ วี า่ กษัตริยอ์ ยี ปิ ต์จะไม่ทรงยอมให้ทา่ นทัง้ หลายไปนอกจากพระองค์ จะทรงถูกบังคับด้วยมืออันทรงอานุภาพของเราเท่านั้น เราจะเหยียดมือของเราเฆี่ยนตี ชาวอียิปต์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ ที่เราจะทำ�ในหมู่พวกเขา จะทำ�ให้กษัตริย์อียิปต์ปล่อยท่าน ทั้งหลายไป” พระวรสาร มธ 11:28-30 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายทีเ่ หน็ดเหนือ่ ย และแบกภาระหนัก จง มาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของ เรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รบั การพักผ่อน เพราะ ว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา” แอกเป็นไม้วางขวางบนคอวัว หรือควายที่ไถนา หรือเทียมเกวียน ผู้ที่เป็น เจ้าของจะต้องหาแอกที่เหมาะสมใส่ให้วัวหรือควายของตนเอง ไม่หลวมไปหรือคับไป วัน นี้พระเยซูตรัสว่า “แอกของเราอ่อนนุ่ม และภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา” แอกที่อ่อนนุ่ม คือ พระองค์มอบภารกิจให้เราตามความเหมาะสม ตามความถนัดของแต่ละคน พระองค์ จะไม่ให้แอกที่หลวมไปหรือคับไปสำ�หรับเราทุกคน 07.indd 233
21/12/2561 14:50:09
บทอ่านที่ 1 อพย 11:10-12:14 ในครั้งนั้น โมเสสและอาโรนได้ทำ�ปาฏิหาริย์เหล่านี้ทั้งหมดเฉพาะพระพักตร์ กษัตริยฟ์ าโรห์ แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงบันดาลให้พระทัยของกษัตริยฟ์ าโรห์ดอื้ ดึง ไม่ ทรงยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในแผ่นดินอียิปต์ว่า “เดือนนี้จะเป็น สัปดาห์ที่ 15 เดือนแรกสำ�หรับท่านทั้งหลาย เป็นเดือนเริ่มต้นปี ท่านทั้งสองคนจงบอกชุมชนชาว เทศกาลธรรมดา อิสราเอลทั้งหมดว่า วันที่สิบเดือนนี้ แต่ละคนต้องเลือกลูกแกะหรือลูกแพะตัวหนึง่ สดด 116:12-13,15 และ สำ�หรับครอบครัวของตน หนึง่ ตัวต่อหนึ่งครอบครัว... ลูกแกะนั้นต้องไม่มีตำ�หนิ เป็น 16ขค,17-18 ตัวผู้อายุหนึ่งปี จะเลือกลูกแพะแทนลูกแกะก็ได้ จงจับมันเลี้ยงไว้จนถึงวันที่สิบสี่ของ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เดือนนี้ แล้วให้ชุมชนของชาวอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะนั้นในตอนเย็น เอาเลือดทา กรอบด้านข้างและด้านบนของประตูบ้านที่จะกินลูกแกะนั้น คืนนั้น จงย่างเนื้อสัตว์นั้น แล้วกินกับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม อย่ากินเนื้อดิบหรือเนื้อต้ม แต่จงย่างไฟทั้งหัว ขาและเครื่องใน อย่า ให้มีส่วนใดเหลืออยู่จนกระทั่งเช้า ถ้ายังมีส่วนใดเหลือ ก็ให้เผาไฟเสีย ท่านทั้งหลายจงกิน โดยพร้อมที่จะ เดินทาง คือคาดสะเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้า ท่านจงกินอย่างเร่งรีบ นี่เป็นปัสกาขององค์พระผู้เป็น เจ้า ในคืนนั้น เราจะผ่านเข้าไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ และประหารชีวิตบุตรคนแรกทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ทั้ง ของคนและสัตว์ เราจะลงโทษเทพเจ้าทัง้ หมดของอียปิ ต์ เราคือองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เลือดทีก่ รอบประตูจะเป็น เครื่องหมายว่าเป็นบ้านที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นเลือด เราจะผ่านเลยไป ท่านจะพ้นจากภัยพิบัติ ทีท่ �ำ ลาย ขณะทีเ่ ราลงโทษแผ่นดินอียปิ ต์ วันนีจ้ ะเป็นวันทีท่ า่ นทัง้ หลายต้องจดจำ�ไว้ ท่านต้องถือเป็นวันฉลอง ถวายพระเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านต้องฉลองเช่นนี้เป็นกฎถาวรชั่วลูกชั่วหลาน” พระวรสาร มธ 12:1-8 ครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลีในวันสับบาโต บรรดาศิษย์รู้สึกหิว จึงเด็ดรวงข้าวมากิน เมื่อ ชาวฟาริสสี งั เกตเห็นดังนัน้ จึงทูลพระองค์วา่ “ดูซิ ศิษย์ของท่านกำ�ลังทำ�สิง่ ต้องห้ามในวันสับบาโต” พระองค์ ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่ากษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำ�สิ่งใดเมื่อหิวโหย พระองค์ เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า เสวยขนมปังที่ตั้งถวายพร้อมกับบรรดาผู้ติดตาม ขนมปังนั้นผู้ใดจะกิน ไม่ได้ นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น ท่านไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือว่า ในวันสับบาโตนั้น บรรดาสมณะ ในพระวิหารย่อมละเมิดวันสับบาโตได้โดยไม่มีความผิด เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระ วิหารเสียอีก ถ้าท่านเข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ ท่านคงจะไม่กล่าวโทษผู้ไม่มีความผิด เพราะบุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต” พระเจ้าทรงรักกษัตริย์เฮเซคียาห์ (อสย 38:3) พระเจ้าทรงรักษากษัตริย์เฮเซคียาห์ (อสย 38:5) ต่อมา “กษัตริย์เฮเซคียาห์ไม่ได้ตอบสนองพระกรุณา เพราะทรงมีพระทัยหยิ่งผยอง” (2 พศด 32:25) เพราะ กษัตริยเ์ ฮเซคียาห์ทรงมีพระทัยหยิง่ ผยองและโอรสของกษัตริยท์ �ำ บาปต่อพระเจ้า สูญเสียความรักทีม่ ตี อ่ พระเจ้า อาณาจักรทีร่ งุ่ เรือง จึงถูกพระเจ้าทรงลงโทษ นีค่ อื ตัวอย่างสำ�หรับคริสตชน จงอย่าสูญเสียความรักทีม่ ตี อ่ พระเจ้า ด้วยหัวใจที่หยิ่งยโส... 07.indd 234
21/12/2561 14:50:09
บทอ่านที่ 1 อพย 12:37-42 ในครัง้ นั้น ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากเมืองราเมเสสมุง่ ไปเมืองสุคคท ผู้เดินทาง เป็นชายฉกรรจ์หกแสนคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก นอกจากนั้นยังมีชนชาติผสมเป็น จำ�นวนมากเดินทางไปด้วยพร้อมทั้งสัตว์เลี้ยง ฝูงแพะแกะ และฝูงโคจำ�นวนมาก เขา เอาแป้งขนมปังนวดแล้วทีน่ �ำ จากอียปิ ต์มาอบเป็นขนมปังไร้เชือ้ แป้งขนมปังไม่ได้ใส่เชือ้ น.อโพลินาริส ก็เพราะเขาถูกขับออกจากอียปิ ต์อย่างฉับพลันไม่มเี วลาจะเตรียมเสบียงสำ�หรับการเดิน พระสังฆราช ทาง ชาวอิสราเอลอยู่ในอียิปต์เป็นเวลาสี่ร้อยสามสิบปี และในวันที่ครบสี่ร้อยสามสิบ ปีนั้นเองขบวนทั้งหมดขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ออกจากแผ่นดินอียิปต์ คืนนั้นเป็นคืนที่ และมรณสักขี องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงตืน่ เฝ้าเพือ่ ทรงนำ�ชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียปิ ต์ คืนนัน้ จึง สดด 136:1 และ 23-24, 10-12,13-15 เป็นคืนทีช่ าวอิสราเอลทุกคนจะต้องตืน่ เฝ้าถวายพระเกียรติแด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าชัว่ ลูก ชั่วหลาน ทำ�วัตรสัปดาห์ท่ี 3 พระวรสาร มธ 12:14-21 เวลานั้น ชาวฟาริสีจึงไปชุมนุมปรึกษากันว่าจะกำ�จัดพระองค์ได้อย่างไร พระเยซูเจ้าทรงทราบเรือ่ งนี้ จึงเสด็จไปจากทีน่ นั่ ผูค้ นจำ�นวนมากติดตามพระองค์ ไป พระองค์ทรงรักษาทุกคนให้หายจากโรค แต่ทรงกำ�ชับเขามิให้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ ทั้งนี้ เพื่อให้พระวาจาที่ตรัสทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า นี่คือผู้รับใช้ที่เราได้เลือกสรรไว้ นี่คือผู้ที่เรารัก ซึ่งเราโปรดปราน เราจะให้จิตของเราแก่เขา และเขาจะประกาศความยุติธรรมแก่นานาชาติ เขาจะไม่ทะเลาะวิวาท และจะไม่ส่งเสียงเอ็ดอึง จะไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาตามลานสาธารณะ เขาจะไม่หักต้นอ้อที่ชํ้าแล้ว เขาจะไม่ดับไส้ตะเกียงที่ยังริบหรี่อยู่ จนกว่าเขาจะทำ�ให้ความยุติธรรมมีชัยชนะ นานาชาติจะมีความหวังในนามของเขา เมื่อใดที่ผู้เป็นคริสตชนถูกเกลียด ถูกปฏิเสธ หรือได้รับการปฏิบัติอย่าง เย็นชา ในฐานะที่เป็นคริสตชน เราจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร? พระวรสารในวันนีเ้ ล่าว่าชาวฟาริสไี ด้ชมุ นุมปรึกษากันหาวิธกี �ำ จัดศัตรู แต่ส�ำ หรับพระเยซู เจ้าไม่ว่าพระองค์จะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อะไร? พระองค์ก็ยังคงรักษาคนเจ็บไข้ ต่อไป ประกาศข่าวดีต่อไป ดังนี้ คริสตชนไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับปัญหาอะไร จงมองดู พระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่าง พระองค์ยังคงทำ�ตามพระประสงค์ของพระบิดาเสมอในทุก สถานการณ์ของชีวิต 07.indd 235
21/12/2561 14:50:10
สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ปฐก 18:1-10 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่อบั ราฮัมทีห่ มูต่ น้ โอ๊กของมัมเร ขณะนัน้ เป็นเวลาแดดร้อนจัด อับราฮัมกำ�ลังนั่งอยู่ที่ประตูกระโจม เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็น ชายสามคนยืนอยู่ใกล้ตน ทันทีที่เห็น อับราฮัมก็วิ่งจากประตูกระโจมไปต้อนรับและ กราบลงที่พื้นดิน เขาพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าท่านโปรดปรานข้าพเจ้า โปรดอย่า ผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเลย ข้าพเจ้าจะให้เขาเอานํ้ามาล้างเท้าให้ท่าน เชิญท่านพักใต้ ต้นไม้นี้เถิด ขอให้ข้าพเจ้าไปนำ�อาหารมาให้ท่านสักเล็กน้อย ท่านจะได้สดชื่น มีกำ�ลัง เดินทางต่อไป ท่านมาถึงบ้านข้าพเจ้าแล้ว ขอให้ข้าพเจ้ารับใช้ท่านเถิด” เขาทั้งสามคน จึงตอบว่า “จงทำ�ตามที่ท่านพูดนั้นเถิด” อับราฮัมรีบเข้าไปในกระโจมของนางซาราห์ และบอกว่า “เร็วเข้า ไปเอาแป้ง ละเอียดสามถังมานวดและทำ�ขนมปังสำ�หรับแขกสามคนเถิด” แล้วอับราฮัมวิง่ ไปทีฝ่ งู สัตว์ นำ�ลูกโคอ้วนพีตัวหนึ่งให้ผู้รับใช้ฆ่า และรีบปรุงเป็นอาหาร เขาเอานมข้นเปรี้ยว นาํ้ นมสดและเนือ้ ลูกโคทีเ่ ตรียมแล้ว มาวางต่อหน้าคนทัง้ สาม และยืนอยูใ่ ต้ตน้ ไม้คอย รับใช้ ขณะที่คนทั้งสามกำ�ลังกินอาหาร เขาเหล่านั้นถามว่า “นางซาราห์ภรรยาของท่านอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “นาง อยู่ในกระโจม” คนหนึ่งจึงพูดว่า “ปีหน้าเราจะกลับมาหาท่านอีกอย่างแน่นอน นาง ซาราห์ภรรยาของท่านจะมีบตุ รชายคนหนึง่ ” นางซาราห์ฟงั อยูท่ ปี่ ระตูกระโจมเบือ้ งหลัง อับราฮัม เพลงสดุดี ก) ผู้นั้นคือผู้ที่ดำ�เนินชีวิตอย่างไม่มีที่ติ ปฏิบัติความชอบธรรม พูดความจริงจากใจของตน ผู้ที่บังคับลิ้นของตนไว้ ไม่ใส่ความ ข) ไม่ทำ�ร้ายผู้อื่น ไม่ใส่ร้ายเพื่อนบ้าน ผู้ที่เหยียดหยามคนเลวทราม แต่ให้เกียรติผู้ยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า ยืนยันคำ�สาบานแม้จะต้องเสียหาย ค) ผู้ที่ให้ยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย ไม่รับสินบนปรักปรำ�ผู้บริสุทธิ์ ผู้ใดประพฤติเช่นนี้จะไม่หวั่นไหวตลอดไป
สดด 15:2,3ก,3ข-4,5
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโคโลสี คส 1:24-28 พี่น้อง บัดนี้ข้าพเจ้ายินดีที่ได้รับทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ความทรมานของ
07.indd 236
21/12/2561 14:50:10
พระคริสตเจ้ายังขาดสิง่ ใด ข้าพเจ้าก็เสริมให้สมบูรณ์ดว้ ยการ ทรมานในกายของข้าพเจ้าเพื่อพระกายของพระองค์คือ พระศาสนจักร ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระศาสนจักรนี้ตาม ภารกิจทีพ่ ระเจ้าทรงมอบให้ เพือ่ จะได้ประกาศพระวาจาของ พระเจ้าแก่ท่านอย่างสมบูรณ์ นั่นคือธรรมลํ้าลึกที่ซ่อนอยู่ ตลอดทุกยุคสมัย บัดนี้ธรรมลํ้าลึกปรากฏชัดแจ้งแก่บรรดา ผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิข์ องพระองค์แล้ว พระเจ้าทรงปรารถนาทีจ่ ะแสดง ให้เขาเหล่านัน้ รูว้ า่ ธรรมลํา้ ลึกนีไ้ ด้น�ำ พระสิรริ งุ่ โรจน์ลน้ เหลือ มาให้คนต่างศาสนา นั่นคือการที่พระคริสตเจ้าทรงดำ�รงอยู่ ในท่าน ทรงเป็นความหวังเพื่อให้ท่านได้รับความรุ่งเรือง เรา ประกาศถึงพระคริสตเจ้าพระองค์นี้ โดยเตือนและสอน ทุกคนให้มีความรู้ทุกอย่างเพื่อให้แต่ละคนดีพร้อมเดชะ พระคริสตเจ้า
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 10:38-42 ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้ หนึ่งชื่อมารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน นางมีน้องสาวชื่อมารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า คอยฟังพระวาจาของพระองค์ มารธากำ�ลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่จำ�เป็นมีเพียงสิ่ง เดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้” พระวรสารวันนี้ มารธายุ่งอยู่กับการเตรียมต้อนรับพระเยซูเจ้า เปิดบ้าน เตรียมอาหาร ยุ่งอยู่กับ การเตรียมสิ่งของภายนอก แต่จิตใจและหัวใจปิดจนลืมพระเยซูเจ้า ผู้เสด็จมาในบ้านของมารธาเอง การรับใช้ เพื่อนพี่น้องเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าให้ดีกว่านั้นคือ การรับใช้นั้นเป็นผลมาจากความรักที่มีต่อพระเยซูเจ้า หากการ รับใช้ไม่ได้มาจากความรักต่อพระเยซูเจ้า เราทุกคนคงเป็นเหมือนมารธา ได้แต่บ่น บ่นและบ่น “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉัน บ้าง”
07.indd 237
21/12/2561 14:50:10
ฉลอง น.มารีย์ ชาวมักดาลา สดด 63:1-2,3-5, 6-9
บทอ่านที่ 1 2 คร 5:14-17 พี่น้อง เพราะความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา เราแน่ใจว่า ถ้าคนหนึ่งตาย เพื่อทุกคน ก็เหมือนกับว่าทุกคนได้ตายด้วย พระองค์สิ้นพระชนม์แทนทุกคน เพื่อผู้ที่ มีชีวิตจะได้ไม่มีชีวิตเพื่อตนเองอีกต่อไป แต่มีชีวิตเพื่อพระองค์ผู้ได้สิ้นพระชนม์ และ ทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา ตัง้ แต่บดั นีเ้ ป็นต้นไป เราจะไม่พจิ ารณาผูใ้ ดตามมาตรฐานมนุษย์อกี แม้วา่ ครัง้ หนึง่ เราเคยพิจารณาพระคริสตเจ้าตามมาตรฐานมนุษย์ แต่บดั นีเ้ ราไม่พจิ ารณาพระองค์ตาม มาตรฐานนี้อีกต่อไป ดังนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพ เก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว
พระวรสาร ยน 20:1,11-18 เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหิน ถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว มารียย์ งั คงยืนร้องไห้อยูน่ อกพระคูหา ขณะทีร่ อ้ งไห้นนั้ นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้ง สององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ท�ำ ไม” นางตอบว่า “เขานำ�องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของ ดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำ�พระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนาง ว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม กำ�ลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบ ว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำ�พระองค์ไป ช่วยบอกดิฉนั ว่าท่านนำ�พระองค์ไปไว้ทไี่ หน ดิฉนั จะได้ไปนำ�พระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไปทูล พระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยว เราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำ�ลังขึ้นไปเฝ้า พระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารียช์ าวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์วา่ “ดิฉนั ได้เห็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรือ่ งทีพ่ ระองค์ ตรัสกับนาง การฉลองนักบุญมารีย์ ชาวมักดาลาวันนี้ ทำ�ให้เราเห็นถึงบทบาทของสตรีในพระศาสนจักร หลัง จากที่มารีย์ ชาวมักดาลาได้เลือกติดตามพระเยซูเจ้าไป ท่านนักบุญได้อยู่กับพระองค์ในเวลาที่พระองค์ทรงถูก ตรึงกางเขน (มธ 27:56, มก 15:40, ยน 19:25) ถูกฝัง (มธ 27:61, มธ 28:1, มก 16:1) และยังเป็นคนแรกที่ เป็นประจักษ์พยานถึงการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้า (มธ 28:1, มก 16:9, มก 24 และ ยน 20:1) การจะเป็น ประจักษ์พยานถึงพระเยซูเจ้าได้นั้นจำ�เป็นต้องอยู่กับพระองค์ก่อน ใช้ชีวิตร่วมกับพระองค์ (อาศัยการเฝ้า ศีลมหาสนิท ร่วมพิธบี ชู าขอบพระคุณ การภาวนา การเยีย่ มผูป้ ว่ ย ทำ�ดีตอ่ เพือ่ นพีน่ อ้ ง) เพือ่ ว่าการเป็นประจักษ์ พยานถึงพระเยซูเจ้าไม่ว่าแก่กลุ่มใด เราจะสามารถตะโกนบอกได้ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” 07.indd 238
21/12/2561 14:50:11
บทอ่านที่ 1 อพย 14:21-15:1 ในครั้งนั้น โมเสสยื่นมือไปเหนือทะเล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้ลมตะวัน ออกพัดแรงตลอดคืน ทำ�ให้นํ้าทะเลไหลกลับไป และทำ�ให้ทะเลกลับเป็นพื้นดินแห้ง นํ้าแยกจากกัน ชาวอิสราเอลก็เดินบนพื้นดินแห้งกลางทะเล โดยมีนํ้าอยู่ด้านขวาและ ด้านซ้าย เป็นเหมือนกำ�แพง ชาวอียปิ ต์ไล่ตามชาวอิสราเอลลงไปในทะเล พร้อมกับม้า ทัง้ หมดของกษัตริยฟ์ าโรห์ รถศึกและผูข้ บั ขี่ ก่อนรุง่ เช้า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทอดพระเนตร กองทัพอียิปต์จากเสาเพลิงและเสาเมฆ ทรงบันดาลให้กองทัพอียิปต์เกิดโกลาหลขึ้น ทรงกระทำ�ให้ลอ้ รถศึกฝืด จนแล่นไปแทบไม่ไหว ชาวอียปิ ต์จงึ พูดกันว่า “เราจงหนีชาว อิสราเอลไปกันเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสู้รบอียิปต์แทนพวกเขา” องค์พระผู้ เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงยื่นมือไปเหนือทะเลเถิด นํ้าทะเลจะไหลกลับมาท่วมชาว อียปิ ต์ทงั้ รถศึกและผูข้ บั ขี”่ โมเสสยืน่ มือไปเหนือทะเล ครัน้ รุง่ เช้า นํา้ ทะเลก็ไหลกลับ มาที่เดิม ชาวอียิปต์พากันหนี แต่กลับเข้าไปหากระแสนํ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกวาด ชาวอียิปต์ลงกลางทะเล นํ้าไหลกลับท่วมรถศึก ผู้ขับขี่ กับกองทัพทั้งหมดของกษัตริย์ ฟาโรห์ทไี่ ล่ตามชาวอิสราเอลลงไปในทะเล ไม่มผี ใู้ ดรอดชีวติ เลย แต่ชาวอิสราเอลเดิน ผ่านทะเลไปบนพื้นดินแห้งมีนํ้าอยู่ด้านขวาและด้านซ้าย เป็นเหมือนกำ�แพง ในวันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงช่วยชาวอิสราเอลให้รอดพ้นมือของชาวอียิปต์ ชาวอิสราเอล เห็นชาวอียปิ ต์ตายอยูท่ ชี่ ายทะเล ชาวอิสราเอลเห็นพระอานุภาพยิง่ ใหญ่ซงึ่ องค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงสำ�แดงต่อชาวอียิปต์ ประชากรทั้งปวงจึงมีความยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า มีความเชื่อในพระองค์ และมีความเชื่อในโมเสสผู้รับใช้พระองค์ แล้วโมเสสกับชาวอิสราเอลจึงร้องเพลงบทนี้ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
น.บรียิต นักบวช
อพย 15:8-9, 10 และ 12,17 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร มธ 12:46-50 ขณะที่พระเยซูเจ้ากำ�ลังตรัสกับประชาชน พระมารดาและพระประยูรญาติของ พระองค์ มายืนอยู่ข้างนอก ต้องการพูดกับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามผู้ที่มาทูลนั้น ว่า “ใครเป็นมารดา ใครเป็นพี่น้องของเรา” แล้วทรงยื่นพระหัตถ์ชี้บรรดาศิษย์ ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา” หลังจากที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า“แม่ นี่คือลูกของแม่” แล้วตรัสกับศิษย์ผู้ นั้นว่า“นี่คือแม่ของท่าน” (ยน 19:26-27) พระมารดาของพระเจ้าก็ได้เป็นมารดาของ คริสตชนทุกๆ คนด้วย อาศัยพระพรแห่งศีลล้างบาป คริสตชนจึงกลายเป็นพี่เป็นน้องกัน ในพระคริสตเจ้านีเ่ ป็นสิง่ ทีม่ คี ณ ุ ค่ายิง่ สำ�หรับคริสตชน พระเยซูเจ้าทรงยกฐานะผูต้ ดิ ตาม พระองค์ให้เป็นพี่น้องของพระองค์ อันเป็นเกียรติสูงสุดที่คริสตชนได้รับ ในฐานะที่เป็น พี่น้องของพระเยซูเจ้า เราก็ต้องเลียนแบบการกระทำ�ของพระองค์ด้วย 07.indd 239
21/12/2561 14:50:11
บทอ่านที่ 1 อพย 16:1-5,9-15 ในครั้งนั้น ชุมชนชาวอิสราเอลออกเดินทางจากเอลิมและมาถึงถิ่นทุรกันดารศิน ซึง่ อยูร่ ะหว่างเอลิมกับซีนาย ในวันทีส่ บิ ห้าเดือนทีส่ องหลังจากทีอ่ อกจากแผ่นดินอียปิ ต์ ชุมชนชาวอิสราเอลต่างต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร ชาวอิสราเอลพูดกับ เขาทัง้ สองคนว่า “พระหัตถ์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าประหารชีวติ พวกเราในแผ่นดินอียปิ ต์เมือ่ น.ชาร์เบล มาคลุฟ นั่งอยู่รอบหม้อเนื้อและกินอิ่มยังดีกว่าที่ท่านพาพวกเราออกมาในถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อ ให้พวกเราทุกคนอดตาย” พระสงฆ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้มีอาหารตกลงมาจาก สดด 78:18-19,23-24, ฟ้าเหมือนฝนให้ทา่ นทัง้ หลายกิน ทุกวันประชากรต้องออกไปเก็บอาหารให้พอกินในวัน 25-26,27-28 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 นั้น เราจะได้ทดลองดูว่าเขาปฏิบัติตามบัญญัติของเราหรือไม่ ในวันที่หก ให้เขาเก็บ อาหารเป็นสองเท่าของวันธรรมดา” โมเสสสั่งอาโรนว่า จงบอกชุมชนชาวอิสราเอลว่า “จงเข้ามาใกล้เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงได้ยินคำ�ต่อว่าของท่านแล้ว” ขณะที่อาโรนกำ�ลังพูดกับชุมชนชาวอิสราเอลนั้น เขา ทัง้ หลายหันหน้าไปดูทางถิน่ ทุรกันดาร ทันใดนัน้ พระสิรริ งุ่ โรจน์ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าก็ปรากฏให้เห็นบนก้อน เมฆ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราได้ยินคำ�ต่อว่าของชาวอิสราเอลแล้ว จงบอกเขาดังนี้ว่า เวลา พลบคํ่า ท่านทั้งหลายจะมีเนื้อกิน และเวลาเช้า ท่านจะมีอาหารกินจนอิ่ม แล้วท่านทั้งหลายจะรู้ว่าเราคือ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน” เย็นวันนั้น ฝูงนกคุ่มบินมาจนเต็มค่าย ในเวลาเช้า มีนํ้าค้างแผ่กระจาย อยู่ทั่วไปรอบค่ายพัก เมื่อนํ้าค้างระเหยแล้ว ก็เห็นมีเกล็ดเป็นเม็ดเล็กๆ บนผิวดินในถิ่นทุรกันดาร เหมือน นํ้าค้างที่จับแข็ง เมื่อชาวอิสราเอลเห็น จึงถามกันว่า “นี่เป็นอะไร” เพราะเขาไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอก เขาว่า “นี่แหละอาหารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ท่านกิน” พระวรสาร มธ 13:1-9 วันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ ประชาชนจำ�นวนมากมาเฝ้า พระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่บนฝั่ง พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่อง เป็นอุปมา พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำ�ลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ด ตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้น คลุมไว้ ทำ�ให้เหี่ยวเฉาตายไป บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหู ก็จงฟังเถิด” คำ�อุปมา คือการนำ�เอาสิง่ ทีค่ นุ้ เคยมาอธิบายสิง่ ทีไ่ ม่คนุ้ เคย ช่วยให้เข้าใจความหมายได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้เข้าใจความจริงทีซ่ อ่ นอยูใ่ นคำ�สอนของพระเยซูเจ้า โดยเฉพาะเรือ่ งพระอาณาจักรของพระเจ้า พระวรสาร วันนี้ พระเยซูเจ้าได้ให้อาหารฝ่ายวิญญาณแก่ผู้ฟังที่หิวกระหายพระวาจาของพระองค์ พระองค์ทรงหว่านด้วย มงกุฎหนาม ด้วยกางเขน ด้วยพระมหาทรมานของพระองค์ ดังนั้นจึงมีคนฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ปฏิบัติตามบ้าง ลืม บ้าง แล้วท่านผู้อ่านข้อคิดฟังพระเยซูเจ้าไหม? 07.indd 240
21/12/2561 14:50:12
บทอ่านที่ 1 2 คร 4:7-15 พี่น้อง เรามีสมบัตินี้เก็บไว้ในภาชนะดินเผา เพื่อแสดงว่าอานุภาพลํ้าเลิศนั้นมา จากพระเจ้า มิใช่มาจากตัวเรา เราทนทุกข์ทรมานรอบด้าน แต่ไม่อับจน เราจนปัญญา แต่ก็ไม่หมดหวัง เราถูกเบียดเบียน แต่ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีล้มลง แต่ไม่ถึงตาย เรา แบกความตายของพระเยซูเจ้าไว้ในร่างกายของเราอยู่เสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซู เจ้าจะปรากฏอยู่ในร่างกายของเราด้วย ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เราเสี่ยงกับความตายอยู่ เสมอเพราะความรักต่อพระเยซูเจ้า เพือ่ ให้ชวี ติ ของพระเยซูเจ้าปรากฏชัดในธรรมชาติ ที่ตายได้ของเรา ดังนั้น ความตายกำ�ลังทำ�งานอยู่ในเรา แต่ชีวิตกำ�ลังทำ�งานอยู่ในท่าน มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ข้าพเจ้าได้เชื่อ จึงได้พูด เรามีจิตแห่งความเชื่อเดียวกัน นี้ เราเชื่อ เราจึงพูด เพราะรู้ว่าพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง กลับคืนพระชนมชีพ จะทรงบันดาลให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระเยซูเจ้า และจะทรง นำ�เราและท่านทั้งหลายไปอยู่กับพระองค์ด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นสำ�หรับท่าน เพือ่ ว่าเมือ่ พระหรรษทานแผ่ไปถึงคนมากขึน้ การขอบพระคุณจะทวียงิ่ ขึน้ เป็นการถวาย พระเกียรติแด่พระเจ้า
ฉลอง น.ยากอบ อัครสาวก
สดด 126:1-2,3-4, 5-6
พระวรสาร มธ 20:20-28 เวลานั้น มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้าพร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจาก พระองค์ พระองค์จงึ ตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บตุ รทัง้ สอง คนของข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบ ว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำ�ลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองคนทูลตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดืม่ ถ้วยของเรา แต่การทีจ่ ะนัง่ ข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานัน้ ไม่ใช่หน้าทีข่ อง เราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำ�หรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้” เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าในหมู่คนต่างชาติ ผู้ปกครองย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้ อำ�นาจบังคับ แต่ทา่ นทัง้ หลายไม่ควรเป็นเช่นนัน้ ผูท้ ปี่ รารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำ�ตนเป็นผูร้ บั ใช้ผอู้ นื่ และ ผูใ้ ดทีป่ รารถนาจะเป็นคนทีห่ นึง่ ในบรรดาท่านทัง้ หลาย ก็จะต้องทำ�ตนเป็นผูร้ บั ใช้ เหมือนกับทีบ่ ตุ รแห่งมนุษย์ มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย” นักบุญยากอบเป็นอัครสาวกคนแรกทีย่ อมตายเพราะรักพระเยซูเจ้า ท่านได้แสดงออกซึง่ ความเชือ่ ว่า ท่านจะได้มีส่วนร่วมในการกลับคืนชีพพร้อมกับองค์พระเยซูเจ้า (2 คร 4:13-14) ก่อนหน้านี้ท่านแสวงหา ตำ�แหน่งทีใ่ หญ่โตในการติดตามพระคริสตเจ้า (ข้อ 24) พระเยซูเจ้ามีความอดทนต่ออัครสาวกผูแ้ สวงหาตำ�แหน่ง ในการติดตามพระองค์ หลังจากทีน่ กั บุญยากอบได้รบั พระจิตเจ้าในวันเปนเตกอสเต ท่านไม่ได้คดิ ถึงตำ�แหน่งใน ชีวิตของท่านอีกต่อไป แต่มีความกระตือรือร้นประกาศข่าวดี โอกาสฉลองนักบุญยากอบในวันนี้ ให้คริสตชนจง มองดูท่านนักบุญเป็นตัวอย่างของเราในการแสดงความเชื่อในองค์พระคริสตเจ้า 07.indd 241
21/12/2561 14:50:12
ระลึกถึง น.โยอากิม และ น.อันนา บิดามารดาของ พระนางมารีย์ พรหมจารี สดด 19:7,8,9,10 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1 อพย 20:1-17 พระเจ้าตรัสทุกถ้อยคำ�ต่อไปนี้ว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เป็น ผู้นำ�ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ ให้พ้นจากการเป็นทาส ท่านต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา ท่านต้องไม่ทำ�รูปเคารพสำ�หรับตน... ท่านต้องไม่กราบไหว้หรือรับใช้เทพเจ้าเหล่านั้น เพราะเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เป็นพระเจ้าที่ไม่ยอมให้มีคู่แข่ง เป็นพระเจ้าที่ลงโทษความผิดบิดาที่ เกลียดชังเรา ไปถึงลูกหลานจนถึงสามสีช่ วั่ อายุคน แต่เราแสดงความรักมัน่ คงต่อผูท้ รี่ กั เราและปฏิบัติตามบทบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน ท่านต้องไม่กล่าวพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างไม่เหมาะสม... จงระลึกถึงวันสับบาโตเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะต้องออกแรงทำ�งานทั้งหมดในหก วัน แต่วันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อนที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ในวันนั้น ท่านต้องไม่ทำ�งานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าน บุตรชาย บุตรหญิง บ่าวไพร่ชายหญิง สัตว์ใช้ งานหรือคนต่างถิ่นที่อาศัยอยู่กับท่าน เพราะในหกวันองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างฟ้า แผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านี้ แต่ในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพักผ่อน ดัง นั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพระพรวันสับบาโต และทรงทำ�ให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ จงนับถือบิดามารดา เพื่อท่านจะได้มีอายุยืนอยู่ในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านประทานให้ อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยาน เท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้ภรรยาของ เพื่อนบ้าน หรือบ่าวไพร่ชายหญิง โค ลา หรือทรัพย์สินใดที่เป็นของเพื่อนบ้าน”
พระวรสาร มธ 13:18-23 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงฟังความหมายของอุปมาเรือ่ งผูห้ ว่านเถิด เมือ่ คนหนึง่ ฟังพระวาจาเรือ่ งพระอาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิง่ ทีห่ ว่านลงในใจของเขาไปเสีย นัน่ ได้แก่ เมล็ดทีต่ กริมทาง เมล็ดทีต่ กบนหินคือผูฟ้ งั พระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำ�บากหรือถูก เบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ ความวุน่ วายในทางโลก ความลุม่ หลงในทรัพย์สมบัตเิ ข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดทีห่ ว่าน ลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” พระวาจาของพระเจ้ามีพลัง ทำ�ให้เกิดการกลับใจ บังเกิดผลและเป็นดาบสองคม ดังนัน้ พระวาจา สามารถช่วยป้องกันอันตรายจากมารร้ายที่จะโจมตีชีวิตคริสตชนได้ มารร้ายคือคนที่ถอนพระวาจาออกจากใจ (มธ 13:19) ไม่มีรากพระวาจาในตัว จึงไม่มั่นคงและมีความวุ่นวายในทางโลก (มธ 13:21) ความลุ่มหลงใน ทรัพย์สมบัติ (มธ 13:22) ไม่มีความเกรงใจผู้คนรอบข้าง เขาจึงดำ�เนินชีวิตในความจริงด้วยความรักไม่ได้ (อฟ 4:15) หากคริสตชนเชื่อในพระเยซูเจ้า ฟังพระวาจาและปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้า จะสามารถเอาชนะ มารร้ายทุกประเภทได้ 07.indd 242
21/12/2561 14:50:12
บทอ่านที่ 1 อพย 24:3-8 ในครัง้ นัน้ โมเสสไปบอกให้ประชากรรูพ้ ระวาจาทุกคำ�และข้อกำ�หนดทัง้ หมดของ องค์พระผู้เป็นเจ้า ประชากรทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะปฏิบตั ติ าม พระวาจาทุกคำ�ทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับเรา” โมเสสบันทึกพระวาจาทุกคำ�ขององค์ พระผู้เป็นเจ้าไว้ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขาสร้างพระแท่นบูชาไว้ที่เชิงภูเขา และตั้งหินสิบสอง ก้อนไว้เป็นตัวแทนทัง้ สิบสองเผ่าของอิสราเอล เขาให้ชายหนุม่ ชาวอิสราเอลเป็นผูถ้ วาย เครือ่ งเผาบูชา และฆ่าโคถวายแด่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเป็นศานติบชู า โมเสสรองเลือดครึง่ หนึ่งใส่ชามไว้ แล้วพรมเลือดอีกครึ่งหนึ่งบนพระแท่นบูชา เขาเอาหนังสือพันธสัญญา ขึน้ มาอ่านให้ประชากรฟัง ประชากรตอบว่า “พวกเราจะเชือ่ ฟังและปฏิบตั ติ ามพระวาจา ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส” โมเสสนำ�เลือดในชามประพรมประชากรพูดว่า “นี่คือโลหิต แห่งพันธสัญญาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ�กับท่าน ตามพระวาจาเหล่านี้ทั้งหมด”
สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา
สดด 50:1-2,5-6, 14-15 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร มธ 13:24-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กบั ชายคนหนึง่ ทีห่ ว่านข้าวพันธุด์ ใี นนาของตน ขณะที่ ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป เมื่อต้นข้าว งอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายถามว่า ‘นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใด’ นายตอบว่า ‘ศัตรูมาหว่านไว้’ ผูร้ บั ใช้จงึ ถามว่า ‘นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม’ นายตอบว่า ‘อย่า เลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าว สองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วเมื่อเก็บเกี่ยว ฉันจะบอกคนเก็บ เกี่ยวว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้า ยุ้งของฉัน’” นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม? นายตอบว่า “อย่าเลย” พระเยซูเจ้า ปรารถนาที่จะให้โอกาสวัชพืช ซึ่งหมายถึง คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน คนที่เอาเปรียบคน อืน่ คนทีไ่ ม่มศี ลี ธรรม คนไม่ดี พระองค์ปรารถนาให้คริสตชนใช้เวลาเปลีย่ นแปลงคนเหล่า นั้น (วัชพืช) ด้วยพระวาจาของพระองค์ ด้วยการให้อภัย ด้วยความรัก ต่อคนเหล่านั้น เปลี่ยนคนเหล่านั้นให้กลับใจมาหาพระองค์ หากคริสตชนทำ�ดีแล้ว พยายามถึงที่สุดแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนเหล่านั้นได้ ถึงเวลาพระเจ้าจะจัดการคนเหล่านั้นเอง
07.indd 243
21/12/2561 14:50:13
บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ปฐก 18:20-32 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เสียงกล่าวโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์นั้นดัง เหลือเกิน และบาปของเขาก็หนักมาก เราจะลงไปดูว่าเป็นจริงตามเสียงกล่าวโทษ ทั้งหมดนี้หรือไม่ เราอยากรู้” ชายเหล่านัน้ จึงออกจากทีน่ นั่ เดินตรงไปยังเมืองโสโดม แต่อบั ราฮัมยังยืนเฝ้าองค์ สัปดาห์ที่ 17 พระผู้เป็นเจ้าอยู่ อับราฮัมเข้ามาใกล้ทูลถามว่า “พระองค์จะทรงทำ�ลายผู้ชอบธรรม เทศกาลธรรมดา พร้อมกับคนอธรรมเทียวหรือ ถ้ามีคนชอบธรรมอยู่ห้าสิบคนในเมืองนั้น พระองค์จะ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ยังทรงทำ�ลายเมืองนัน้ หรือ พระองค์จะไม่ทรงอภัยเมืองนัน้ เพราะเห็นแก่คนชอบธรรม ห้าสิบคนที่อยู่ที่นั่นหรือ ขอพระองค์อย่าทรงคิดที่จะกระทำ�เช่นนั้นเลย อย่าทรงคิดที่ วันเฉลิมพระชนมพรรษา จะฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรม อย่าทรงกระทำ�กับคนชอบธรรมเช่นเดียวกับ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คนอธรรม ขอพระองค์อย่าทรงกระทำ�เช่นนั้นเลย พระองค์ผู้ทรงพิพากษาตัดสินโลก มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จะไม่ทรงกระทำ�สิ่งที่ถูกต้องหรือ” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราพบคนชอบ ธรรมห้าสิบคนในเมืองโสโดม เราจะให้อภัยเมืองนั้น เพราะเห็นแก่เขา” ฉลองวันครบรอบ อับราฮัมทูลอีกว่า “ขอประทานอภัยที่ข้าพเจ้าบังอาจทูลเจ้านายของข้าพเจ้า การถวายอาสนวิหาร ข้าพเจ้าเป็นเพียงฝุ่นผงและขี้เถ้า ถ้าในห้าสิบคนนั้นขาดไปห้าคน พระองค์ยังจะทรง นักบุญอันนา สังฆมณฑลนครสวรรค์ ทำ�ลายเมืองนัน้ ทัง้ เมืองเพราะขาดไปห้าคนหรือ” พระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่ท�ำ ลาย ถ้า เราพบคนชอบธรรมสี่สิบห้าคนที่นั่น” อับราฮัมทูลพระองค์อีกว่า “ถ้าทรงพบเพียงสี่ สิบคนที่นั่นเล่า” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ�ลาย เพราะเห็นแก่สี่สิบคน” อับราฮัมทูลว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าอย่ากริ้วเลย ถ้าข้าพเจ้าจะทูลต่ออีกเป็นครั้ง สุดท้าย ถ้าพระองค์ทรงพบเพียงสามสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ ทำ�ลาย ถ้าเราพบสามสิบคน” อับราฮัมทูลว่า “ขอประทานอภัยทีข่ า้ พเจ้าบังอาจทูลเจ้า นายของข้าพเจ้า ถ้าพระองค์ทรงพบเพียงยี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะ ไม่ทำ�ลายเมืองนั้น เพราะเห็นแก่ยี่สิบคน” อับราฮัมทูลว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าอย่า กริ้วเลย ถ้าข้าพเจ้าจะทูลต่ออีกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าพระองค์ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ�ลายเมืองนั้น เพราะเห็นแก่สิบคน” เพลงสดุดี สดด 138:1-2ก,2ข-3,6-7ก,7ข-8 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์สุดจิตใจ เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงที่ข้าพเจ้าเปล่งออกมา ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์เบื้องหน้าบรรดาทูตสวรรค์ ข้าพเจ้าจะกราบลงเบื้องหน้าพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณพระนามพระองค์
07.indd 244
21/12/2561 14:50:13
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโคโลสี คส 2:12-14 พีน่ อ้ ง เมือ่ รับศีลล้างบาป ท่านทัง้ หลายถูกฝังพร้อมกับพระคริสตเจ้าและกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์ ด้วยความเชื่อในพระเดชานุภาพของพระเจ้า ผู้ทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดา ผู้ตาย ในอดีตท่านตายแล้วเพราะการล่วงละเมิดและไม่ได้เข้าสุหนัตทางกาย แต่พระเจ้าโปรดให้ท่านมีชีวิต พร้อมกับพระคริสตเจ้าโดยทรงให้อภัยการล่วงละเมิดทั้งหลายของเรา พระองค์ทรงยกเลิกหนี้สินที่เรามีต่อบทบัญญัติซึ่งกล่าวหาเราโดยทรงยกหนี้สินนั้นไปจากเรา และตรึง ไว้กับไม้กางเขน บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 11:1-13 วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อทรงอธิษฐานจบแล้ว ศิษย์คนหนึ่ง ทูลพระองค์วา่ “พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเหมือนกับทีย่ อห์นสอนศิษย์ของเขาเถิด” พระองค์ จึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานภาวนา จงพูดว่า ‘ข้าแต่พระบิดา พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง โปรดประทานอาหารประจำ�วันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายทุกวัน โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย เหมือนข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ให้แพ้การผจญ’” พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “สมมติว่าท่านคนหนึ่งมีเพื่อนและไปพบเพื่อนนั้นตอนเที่ยงคืน กล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ให้ฉันขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด เพราะเพื่อนของฉันเพิ่งเดินทางมาถึงบ้านของฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้เขากิน’ สมมติว่าเพื่อนคนนั้นตอบจากในบ้านว่า ‘อย่ารบกวนฉันเลย ประตูปิดแล้ว ลูกๆ กับฉันก็เข้านอนแล้ว ฉันลุกขึน้ ให้สง่ิ ใดท่านไม่ได้หรอก’ เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ถ้าคนนัน้ ไม่ลกุ ขึน้ ให้ขนมปัง เพราะเป็นเพื่อนกัน เขาก็จะลุกขึ้นมาให้สิ่งที่เพื่อนต้องการเพราะถูกรบเร้า” “เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตู เถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้ เปิดประตูให้ ท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูแทนปลาหรือ ถ้าลูกขอไข่ จะให้แมงป่องหรือ แม้แต่ท่าน ทั้งหลายที่เป็นคนชั่วยังรู้จักให้ของดีๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานพระจิตเจ้าแก่ผู้ที่ ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ” นักบุญมัทธิวบันทึกว่า พระเจ้าจะประทานสิง่ ทีด่ ดี แี ก่ผภู้ าวนา (มธ 7:11) สำ�หรับนักบุญลูกาบันทึก ว่า พระเจ้าจะประทานพระจิตเจ้าแก่ผู้ภาวนา (ลก 11:13) สำ�หรับคริสตชนแทนที่จะสวดภาวนาขอแต่สิ่งที่ ตนเองต้องการ วอนขอแต่สิ่งที่เป็นวัตถุภายนอก ให้เราภาวนาเพื่อให้พระเจ้าประทานพระจิตเจ้าแก่เรา เพื่อให้ เราได้รับพระพรพิเศษของพระเจ้าเป็นไฟที่รุ่งโรจน์ (2 ทธ 1:6) คริสตชนอย่าดับไฟของพระจิตเจ้า ซึ่งมีคุณค่า กว่าข้าวของเครื่องใช้ หรือความต้องการฝ่ายกายมากมายคณานับ พระพรของพระจิตทำ�ให้เราเป็นเหมือนกับ พระคริสตเจ้า ดำ�เนินชีวิตเหมือนพระคริสตเจ้า คริสตชน “อย่าดับไฟของพระจิตเจ้า” (1 ธส 5:19) 07.indd 245
21/12/2561 14:50:13
ระลึกถึง น.มาร์ธา
สดด 15:1-2ก,2ข-3, 4,5 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 1 ยน 4:7-16 ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนทีม่ คี วาม รัก ย่อมเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระองค์ ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะ พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้ คือ พระเจ้าทรงส่ง พระบุตรเพียงพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น ความ รักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของ เรา มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย ไม่มีผู้ใดเคย เห็นพระเจ้า แต่ถ้าเรารักกัน พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ ในเราก็จะสมบูรณ์ เรารูว้ า่ เราดำ�รงอยูใ่ นพระองค์ และพระองค์ทรงดำ�รงอยูใ่ นเรา เพราะ พระองค์ประทานพระพรของพระจิตเจ้าให้เรานั่นเอง เราเห็นและเราเป็นพยานได้ว่า พระบิดาทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระผู้ไถ่โลก ผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูเจ้า ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยูใ่ นเขา และเขาย่อมอยูใ่ นพระเจ้า เรารูแ้ ละเชือ่ ในความรักทีพ่ ระเจ้าทรงมีตอ่ เรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผูใ้ ดดำ�รงอยูใ่ น ความรัก ย่อมดำ�รงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเขา พระวรสาร ยน 11:19-27 เวลานัน้ ชาวยิวจำ�นวนมากมาหามารธาและมารียเ์ พือ่ ปลอบใจนางในการตายของ พี่ชาย เมื่อมารธารู้ว่าพระเยซูเจ้ากำ�ลังเสด็จมา นางก็ออกไปรับเสด็จ ส่วนมารีย์ยังคง นั่งอยู่ที่บ้าน มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของ ดิฉันคงไม่ตาย แต่บัดนี้ดิฉันรู้ดีว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะ ประทานให้” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” มารธาทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าเขาจะกลับคืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวติ ใครเชือ่ ในเรา แม้ ตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อในเรา จะไม่มีวันตายเลย ท่านเชื่อ เช่นนี้หรือ” มารธาทูลตอบว่า “เชื่อ พระเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้”
เมือ่ พระเยซูเจ้าตรัสกับมารธาว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุน่ วายหลายสิง่ นัก สิง่ ทีจ่ �ำ เป็น มีเพียงสิง่ เดียว มารียไ์ ด้เลือกเอาส่วนทีด่ ที สี่ ดุ ทีจ่ ะไม่มใี ครเอาไปจากเขาได้” (ลก 10:41-42) มารธาก็ฟงั พระเยซู เจ้า “ความเชื่อจึงมาจากการฟัง สิ่งที่ได้ฟังก็มาจากพระวาจาของพระคริสตเจ้า” (รม 10:17) เพราะมารธาหยุด กังวล หยุดครํ่าครวญ มารธาจึงสามารถทูลตอบพระเยซูเจ้าได้ว่า “เชื่อ พระเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์เป็น พระคริสตเจ้าพระบุตรของพระเจ้าที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้” (ยน 11:27) 07.indd 246
21/12/2561 14:50:14
บทอ่านที่ 1 อพย 33:7-11 และ 34:5ข-9,28 ในครัง้ นัน้ โมเสสเคยตัง้ กระโจมไว้นอกค่าย ห่างออกไปเล็กน้อย เขาเรียกกระโจม นี้ว่า กระโจมนัดพบ ผู้ใดต้องการคำ�แนะนำ�จากองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นจะออกไปยัง กระโจมนัดพบที่ตั้งอยู่นอกค่าย เมื่อใดที่โมเสสออกไปยังกระโจมนัดพบ ประชากร ทั้งปวงจะยืนขึ้นหน้าประตูกระโจมของตน ดูโมเสสเดินผ่านจนกระทั่งเขาเข้าไปใน สัปดาห์ที่ 17 กระโจมนัดพบ เมือ่ โมเสสเข้าไปในกระโจม จะมีเมฆเป็นลำ�ลอยลงมาอยูท่ ปี่ ระตูกระโจม แล้วองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าก็ตรัสกับโมเสส ประชากรทัง้ ปวงเห็นเมฆเป็นลำ�ทีป่ ระตูกระโจม เทศกาลธรรมดา นัดพบ ทุกคนจะยืนขึ้น และกราบลงที่ประตูกระโจมของตน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง สดด 103:6-7,8-9, 10-11,12-13 สนทนากับโมเสสตามลำ�พังเหมือนเพือ่ นคุยกัน แล้วโมเสสก็กลับเข้าค่าย แต่ชายหนุม่ ที่รับใช้โมเสส ชื่อโยชูวา บุตรของนูน ไม่ได้ออกจากกระโจมนัดพบ องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เสด็จมาในเมฆ ประทับอยู่กับโมเสสที่นั่น ทรงประกาศพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าโมเสส ทรงประกาศว่า “เราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ เมตตาและกรุณา ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักมั่นคง และความซื่อสัตย์ เรารักษาความรักมั่นคงของเรา ไว้แก่ชนหลายพันชั่วอายุคน และอภัยความผิด อภัยการล่วงเกินและอภัยบาป แต่เราไม่ละเลยที่จะลงโทษ เราจะลงโทษความผิดของบิดาในลูกหลานเหลนจนถึงสามสีช่ วั่ อายุคน” โมเสสรีบก้มกราบกับพืน้ ดินนมัสการ พระองค์ เขาทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ที่พระองค์โปรดปราน ขอพระองค์เสด็จไปกับ ข้าพเจ้าทัง้ หลายเถิด ประชากรเหล่านีด้ อื้ ดึงก็จริงอยู่ แต่ขอพระองค์ทรงยกโทษความผิดและบาปของข้าพเจ้า ทั้งหลายด้วยเถิด ขอพระองค์ทรงรับข้าพเจ้าทั้งหลายไว้เป็นสมบัติของพระองค์ด้วยเถิด”... พระวรสาร มธ 13:36-43 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า “โปรดอธิบาย อุปมาเรือ่ งข้าวละมานในนาเถิด” พระองค์ตรัสว่า “ผูห้ ว่านเมล็ดพันธุด์ คี อื บุตรแห่งมนุษย์ ทุง่ นาคือโลก เมล็ด พันธุด์ คี อื พลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูทหี่ ว่านคือปีศาจ ฤดูเก็บเกีย่ ว คือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์” “ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จะใช้ทูตสวรรค์มา รวบรวมทุกสิ่งที่ทำ�ให้หลงผิดและทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร แล้วเอาไปทิ้งใน กองไฟ ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือน ดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด” วันพิพากษา พระเจ้าจะทรงลงโทษผู้ที่เป็นเหตุทำ�ให้ผู้อื่นหลงผิด เหตุที่พระเจ้าไม่ทรงทำ�โทษผู้ที่ เป็นเหตุท�ำ ให้ผอู้ นื่ หลงผิดทันที ต้องรอถึงวันพิพากษา เพราะว่า พระเจ้าต้องการให้เวลา ให้เขาเหล่านัน้ ได้ส�ำ นึก ผิดและกลับใจ พระเจ้าปรารถนาให้ผู้ที่หันหลังให้กับพระองค์และผู้ที่เป็นสาเหตุให้ผู้อื่นทำ�ผิด ได้กลับใจมาก กว่าจะลงโทษพวกเขาเหล่านัน้ “พระองค์มพี ระประสงค์ให้ทกุ คนได้รบั ความรอดพ้น และรูค้ วามจริงทีส่ มบูรณ์” (1 ทธ 2:4) 07.indd 247
21/12/2561 14:50:14
ระลึกถึง น.อิกญาซีโอ เด โลโยลา พระสงฆ์ สดด 99:5,6,7,9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 อพย 34:29-35 เมือ่ โมเสสถือแผ่นศิลาจารึกพระบัญญัตสิ องแผ่นลงมาจากภูเขาซีนาย เขาไม่รวู้ า่ ใบหน้าของเขามีแสงเรืองเพราะเขาได้สนทนากับองค์พระผู้เป็นเจ้า อาโรนกับชาว อิสราเอลทั้งปวงมองดูโมเสสก็เห็นว่าใบหน้าของเขามีแสงเรือง เขาทั้งหลายกลัวไม่ กล้าเข้ามาใกล้ แต่โมเสสเรียกอาโรนกับบรรดาหัวหน้าประชากรให้เข้ามาหา แล้วพูด กับเขา หลังจากนัน้ ชาวอิสราเอลทัง้ หมดก็เข้ามาใกล้ โมเสสเล่าให้เขารูท้ กุ อย่างทีอ่ งค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาแก่เขาบนภูเขาซีนาย เมื่อโมเสสพูดจบ เขาเอาผ้าคลุมมาปิด หน้าไว้ ทุกครั้งที่โมเสสเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อสนทนากับพระองค์ เขาจะปลด ผ้าคลุมหน้าออกจนกระทั่งเขากลับออกมา เมื่อเขาออกมา เขาจะเล่าให้ชาวอิสราเอล รูถ้ งึ พระบัญชาทีเ่ ขาได้รบั เมือ่ ชาวอิสราเอลมองใบหน้าของโมเสสก็เห็นใบหน้าของเขา มีแสงเรือง แล้วโมเสสจะเอาผ้าคลุมปิดหน้าไว้ จนกว่าเขาจะเข้าไปสนทนากับพระองค์ ในครั้งต่อไป พระวรสาร มธ 13:44-46 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อน สมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อนาแปลงนั้น” “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบ ไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น” ชีวิตทุกวันนี้ของเรา เราใช้ชีวิตเพื่ออยากได้อะไร? ความสุข ทรัพย์สมบัติ หรือบางสิ่งบางอย่างที่เราต้องการ คนเราทำ�งานทุกวันนี้เพื่อให้ตนเองไม่ลำ�บาก มีชีวิตที่ สุขสบาย แต่หลายๆ ครั้ง เราได้แค่สบายกาย บางครั้งสิ่งที่เราแสวงหาไม่สามารถให้ความ สุขทางใจอย่างมั่นคงได้ พระเยซูเจ้าคือสิ่งเดียวที่ให้ความสุขนิรันดรแก่เราได้ พระเยซูเจ้า จะทำ�ให้ “ผูต้ กเป็นทาสเป็นอิสระได้” (ฮบ 2:15) พระเยซูเจ้าทรง “เป็นหนทาง ความจริง และชีวิต” (ยน 14:6) ของผู้แสวงหาพระองค์ “ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่าน ทางเรา” (ยน 14:6) ดังนั้น พระเยซูเจ้าคือไข่มุกที่มีค่าสูงสำ�หรับคริสตชน
07.indd 248
21/12/2561 14:50:15