บทอ่านที่ 1
ยรม 26:1-9
พระวรสาร
มธ 13:54-58
เมื่อเริ่มรัชกาลของกษัตริย์เยโฮยาคิม พระโอรสของกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับประกาศกเยเรมีย์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงไปยืนที่ ลานพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงพูดกับชาวเมืองทุกเมืองแห่งยูดาห์ที่มานมัสการ ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงพูดทุกคำ�ที่เราสั่งให้ท่านพูดกับเขา อย่าละเว้น แม้แต่ค�ำ เดียว เขาอาจจะฟัง และแต่ละคนจะกลับใจละทิง้ ความประพฤติชวั่ ของตน แล้ว ระลึกถึง น.อัลฟองโซ เราจะเปลี่ยนใจไม่ลงโทษดังที่เราได้ตั้งใจจะทำ�ต่อเขาเพราะความชั่วที่เขาได้ทำ� ท่านจง มารีย์ เด ลิกวอรี พูดกับเขาทัง้ หลายว่า ‘องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ ถ้าท่านทัง้ หลายไม่ยอมฟังเรา ไม่ปฏิบตั ิ พระสังฆราชและ ตามธรรมบัญญัติที่เราให้ท่านไว้ ถ้าท่านไม่ยอมฟังถ้อยคำ�ของบรรดาประกาศกผู้รับใช้ ของเรา ที่เราส่งไปหาท่านครั้งแล้วครั้งเล่า และท่านไม่ได้ฟังเขา เราจะทำ�ให้เมืองนี้เป็น นักปราชญ์แห่ง เหมือนเมืองชิโลห์ เป็นที่สาปแช่งให้ชนทุกชาติในแผ่นดินได้เห็นเป็นตัวอย่าง’” พระศาสนจักร บรรดาสมณะ ประกาศก และประชากรทั้งหมดได้ยินเยเรมีย์พูดถ้อยคำ�เหล่านี้ใน สดด 69:4,7-9,13 พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเยเรมีย์กล่าวถ้อยคำ�ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ให้เขาพูดแก่ประชากรทุกคนจบแล้ว บรรดาสมณะ ประกาศก และประชากรทั้งหมดได้ วันศุกร์ต้นเดือน จับกุมเขา ร้องตะโกนว่า “ท่านต้องตายแน่ ทำ�ไมท่านจึงกล้าประกาศถ้อยคำ�นีใ้ นพระนาม ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘พระวิหารนี้จะเป็นเหมือนเมืองชิโลห์ และเมืองนี้จะเป็นซาก ปรักหักพังทีไ่ ม่มผี อู้ าศัย’” ประชากรทัง้ หมดพากันมาจับกุมเยเรมียใ์ นพระวิหารขององค์ พระผู้เป็นเจ้า เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมายังถิ่นกำ�เนิดของพระองค์ ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ของชาวยิว ประชาชนต่างประหลาดใจและพูดว่า “คนนี้เอาปรีชาญาณและอำ�นาจทำ� อัศจรรย์มาจากที่ใด เขาเป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ แม่ของเขาชื่อมารีย์ พี่ชายน้องชายของ เขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาหรือ พีส่ าวน้องสาวทุกคนของเขาก็อยูก่ บั เรามิใช่ หรือ เขาไปได้สงิ่ เหล่านีม้ าจากทีใ่ ด” คนเหล่านีร้ สู้ กึ สะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระ เยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถกู เหยียดหยามนอกจากในถิน่ กำ�เนิดและใน บ้านของตน” พระองค์ทรงทำ�อัศจรรย์ที่นั่นไม่มากนัก เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ ความเชือ่ เป็นพลังสำ�คัญก่อให้เกิดพฤติกรรมของคนเราทีจ่ ะทำ�สิง่ หนึง่ สิง่ ใดหรือไม่ ยอมทำ�สิง่ นัน้ ๆ นอกจากนัน้ ความเชือ่ ยังแสดงออกในท่าทีของหัวใจว่าจะยอมรับสิง่ หนึง่ สิ่งใดหรือไม่ ชาวยิวถูกอคติเรื่องถิ่นกำ�เนิดของพระเยซูเจ้าคือนาซาเร็ธนั้นปิดบังหัวใจ ทำ�ให้พวกเขาไม่ยอมรับในความคิดเห็นและคำ�เทศน์สอนของพระองค์ ท่าทีเช่นนี้เองที่ พระเยซูเจ้าไม่อาจจะทำ�สิ่งที่ดีๆสำ�หรับพวกเขาได้ แม้ในทุกวันนี้ อคติคือปัญหาที่บังตา ของมนุษย์ทกุ คน ทำ�ให้ไม่สามารถเห็นพระอานุภาพอันยิง่ ใหญ่ของพระเจ้ารอบกายเราได้
บทอ่านที่ 1
ยรม 26:11-16,24
พระวรสาร
มธ 14:1-12
บรรดาสมณะและประกาศกจึงพูดกับเจ้านายและประชากรทุกคนว่า “ชายคนนีค้ วร ถูกประหารชีวิต เพราะเขาประกาศพระวาจากล่าวโทษเมืองนี้ ดังที่ท่านทั้งหลายได้ยิน กับหูแล้ว” ประกาศกเยเรมีย์จึงตอบเจ้านายทุกคนและประชากรทั้งปวงว่า “องค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงส่งข้าพเจ้ามาประกาศพระวาจากล่าวโทษพระวิหารและเมืองนีต้ ามถ้อยคำ�ทุก คำ�ที่ท่านได้ยิน ดังนั้น บัดนี้ท่านทั้งหลายจงปรับปรุงความประพฤติและการกระทำ�ของ ท่าน จงฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะ น.เอวเซบิโอ แห่งแวร์แชลลี พระสังฆราช ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ลงโทษท่านดังที่เคยตรัสไว้ ส่วนข้าพเจ้า ท่านก็เห็นแล้วว่าข้าพเจ้า น.เปโตร ยูเลียน อยู่ในมือของท่าน ท่านจงทำ�กับข้าพเจ้าตามที่ท่านเห็นดีเห็นชอบเถิด แต่จงรู้ไว้เถิดว่าถ้า ไรมาร์ด พระสงฆ์ ท่านประหารชีวิตข้าพเจ้า ท่าน เมืองนี้ และชาวเมืองนี้ทุกคนจะต้องรับผิดชอบต่อโลหิต สดด 69:14-15, ของผูบ้ ริสทุ ธิ์ เพราะโดยแท้จริงแล้ว องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส่งข้าพเจ้ามาพูดถ้อยคำ�เหล่า 29-30,32-33 นี้ทั้งหมดให้ท่านฟัง”... ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เวลานัน้ กษัตริยเ์ ฮโรดทรงได้ยนิ เรือ่ งราวเกีย่ วกับพระเยซูเจ้า จึงตรัสกับข้าราชบริพารว่า “คนนีค้ อื ยอห์น ผู้ทำ�พิธีล้างที่กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย เพราะฉะนั้นเขาจึงมีอำ�นาจทำ�อัศจรรย์ได้” กษัตริย์เฮโรดทรงสั่งให้จับกุมยอห์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟีลิป พระอนุชา ยอห์นเคยทูลกษัตริยเ์ ฮโรดว่า “ไม่ถกู ต้องทีพ่ ระองค์ทรงรับนางมาเป็นมเหสี” กษัตริยเ์ ฮโรดต้องการ จะฆ่ายอห์น แต่ทรงเกรงประชาชน เพราะประชาชนคิดว่ายอห์นเป็นประกาศก ในวันคล้ายวันประสูติของ กษัตริยเ์ ฮโรด บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสได้เต้นรำ�ต่อหน้าแขกรับเชิญเป็นทีพ่ อพระทัยกษัตริยเ์ ฮโรดอย่างยิง่ พระองค์จึงทรงสัญญาและทรงสาบานจะประทานทุกสิ่งที่นางทูลขอ นางจึงทูลตามคำ�แนะนำ�ที่ได้รับจากมารดาว่า “โปรดประทานศีรษะของยอห์นผู้ทำ�พิธีล้างใส่ถาดมาให้ หม่อมฉันที่นี่เถิด” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์ แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะเห็นแก่ผู้รับเชิญ จึงทรงสั่งให้ จัดการตามที่นางขอ กษัตริย์เฮโรดทรงส่งคนไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก เขาจึงนำ�ศีรษะของยอห์นใส่ถาดมา ส่งให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำ�ไปให้มารดา บรรดาศิษย์ของยอห์นได้มารับศพไปฝัง แล้วแจ้งข่าวให้พระเยซูเจ้า ทรงทราบ
ความเกลียดชังของเฮโรเดียสเกิดมาจากความผิดที่นางได้ทำ�นั้นถูกเปิดเผยโดยยอห์นผู้ไม่เกรงกลัวต่อ อำ � นาจใดๆ แต่ ท่ า นรั ก ในความจริ ง ความจริ ง ทำ � ให้ ท่ า นประกาศชั ด เจนว่ า สิ่ ง ที่ ก ษั ต ริ ย์ เ ฮโรดและนาง เฮโรเดียสร่วมกันทำ�นั้นผิดจริยธรรม เมื่อพบคนจริงอย่างยอห์น แม้เฮโรดก็หวั่นไหว นางเฮโรเดียสเองแทนที่ จะยอมรับผิดกลับฝังจิตของตนไว้ในความอายและขยายมาเป็นความแค้นจนถึงกับต้องการชีวิตของคนที่พูด ความจริง จิตที่ไม่รักความจริงย่อมนำ�คนนั้นๆ ไปสู่ความหายนะในที่สุด คนที่รักความจริงจิตของเขาจะเป็น อิสระ เหมือนจิตใจของท่านยอห์น ผู้ยิ่งใหญ่
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 55:1-3
สัปดาห์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันสื่อมวลชนสากล
พระเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายที่กระหาย จงมาดื่มนํ้า แม้ผู้ไม่มีเงิน จงมาเถิด จงมา ซื้อและกิน แม้ไม่มีเงิน จงมาซื้อเหล้าองุ่นและนํ้านม โดยไม่ต้องเสียเงิน ทำ�ไมท่านต้อง เสียเงินสำ�หรับสิง่ ทีไ่ ม่ใช่อาหาร และใช้คา่ จ้างแรงงานเพือ่ ซือ้ สิง่ ทีไ่ ม่ท�ำ ให้อมิ่ จงตัง้ ใจฟัง เรา แล้วท่านจะได้กินสิ่งดี จะลิ้มอาหารรสอร่อย จงเงี่ยหูมาหาเราเถิด จงฟัง แล้วท่าน จะมีชีวิต เราจะทำ�พันธสัญญานิรันดรกับท่าน ทำ�ให้ความรักมั่นคงที่เราได้สัญญาไว้แก่ ดาวิดเป็นความจริง”
เพลงสดุดี
สดด 145:8-9,15-17,18-19
ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานและทรงพระเมตตากรุณา กริ้วช้าและทรงความรักมั่นคงอย่างเต็มเปี่ยม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระทัยดีต่อทุกคน ความอ่อนโยนของพระองค์ครอบคลุมสิ่งสร้างทั้งมวล ข) นัยน์ตาของทุกคนมองไปที่พระองค์ด้วยความหวัง และพระองค์ประทานอาหารแก่เขาทั้งหลายตามเวลา พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ ประทานอาหารให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลได้กินจนอิ่ม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเที่ยงธรรมในพระมรรคาทั้งหลายของพระองค์ ทรงความรักมั่นคงในพระราชกิจทั้งหลาย ค) องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่ใกล้ชิดทุกคนที่เรียกขานพระองค์ ทุกคนที่เรียกขานพระองค์ด้วยใจจริง พระองค์ทรงตอบสนองความปรารถนาของทุกคนที่ยำ�เกรงพระองค์ ทรงฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือและทรงช่วยเขาให้รอดพ้น
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโรม รม 8:35,37-39
พี่น้อง ใครจะพรากเราจากความรักของพระคริสตเจ้าได้ ความทุกข์ลำ�เค็ญหรือ ความคับแค้นใจหรือ การเบียดเบียนข่มเหงหรือ การขาดอาหารและเครื่องนุ่งห่มหรือ ภยันตรายและคมดาบหรือ แต่ในการทดลองทัง้ หมดนี้ เราชนะได้งา่ ยอาศัยพระผูท้ รงรักเรา เพราะข้าพเจ้าเชือ่ มัน่ ว่า ไม่วา่ ความตายหรือชีวติ ไม่วา่ ทูตสวรรค์หรือผูม้ อี �ำ นาจปกครอง ไม่วา่ ปัจจุบนั หรือ อนาคต ไม่ว่าฤทธิ์อำ�นาจใดหรือความสูง ความลึก ไม่มีสรรพสิ่งใดๆ จะพรากเราได้จาก ความรักของพระเจ้า ซึ่งปรากฏในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 14:13-21
เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวความตายของยอห์นบัปติสต์ ได้เสด็จออก
จากที่นั่น ลงเรือไปยังที่สงัดตามลำ�พัง เมื่อประชาชนรู้ ต่างก็เดินเท้าจากเมืองต่างๆ มาเฝ้าพระองค์ เมื่อเสด็จ ขึน้ จากเรือ ทรงเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร และ ทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค เมื่อถึงเวลาเย็น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลพระองค์ว่า “สถานที่นี้เป็นที่เปลี่ยว และเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ขอ พระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปตามหมูบ่ า้ นเพือ่ ซือ้ อาหารเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เขาไม่จำ�เป็นต้องไป จากทีน่ ี่ ท่านทัง้ หลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” เขาทูล ตอบว่า “ที่นี่เรามีขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัว เท่านั้น” พระองค์จึงตรัสว่า “เอามาให้เราที่นี่เถิด” พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นหญ้า ทรงรับ ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิ ขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกแก่ประชาชน ทุกคนได้กนิ จนอิม่ แล้วยังเก็บเศษทีเ่ หลือได้ถงึ สิบสองกระบุง จำ�นวนคนที่กินมีผู้ชายประมาณห้าพันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก
ลักษณะท่าทีของพระเยซูเจ้าทีส่ งสารคนป่วย คนหิวกระหาย คนทีม่ องพระองค์ดว้ ยสายตาของความ หวังบวกกับความเชือ่ มัน่ ทีพ่ ระองค์มตี อ่ พระบิดาเจ้านัน่ เองคือสิง่ ทีล่ ะลายจิตใจของทุกคนทีม่ าหาพระองค์ ในที่เปลี่ยวนั้น เมื่อพระองค์เอาขนมปังเพียงเล็กน้อยที่มีขึ้นมาขอบพระคุณพระแล้วบิแบ่งให้คนรอบข้าง คนอื่นๆ ก็ทำ�เช่นเดียวกัน คนที่เอาอาหารมาก็เริ่มแบ่งปัน อัศจรรย์เกิดจากความรักและเลื่อมใสในองค์ พระเยซูเจ้า หัวใจทีเ่ ห็นแก่ตวั อย่างเดียวก็ยอมทีจ่ ะร่วมมือและแบ่งปันสิง่ ทีต่ นมีกบั ผูท้ ตี่ อ้ งการ ปาฏิหาริย์ แท้เริ่มจากหัวใจที่ได้สัมผัสกับความรักและเมตตาของพระก่อน
บทอ่านที่ 1
ระลึกถึง น.ยอห์น มารีย์ เวียนเนย์ พระสงฆ์ สดด 118:29,43, 79-80,95-96
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร
ยรม 28:1-17
ปีเดียวกันนั้น เมื่อเริ่มรัชกาลของกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ ในเดือนที่ห้า ปีที่สี่ ประกาศกฮานันยาห์... พูดกับข้าพเจ้าในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าบรรดา สมณะและประชากรทั้งปวงว่า “...‘เราได้หักแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลนแล้ว ภายใน สองปี เราจะนำ�เครื่องใช้ทั้งหมดของพระวิหาร...ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ริบจากทีน่ ขี่ นไปยังกรุงบาบิโลน กลับมาทีน่ อี่ กี เราจะนำ�เยโคนิยาห์ พระโอรสของกษัตริย์ เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ และบรรดาผูถ้ กู กวาดต้อนจากยูดาห์ไปยังกรุงบาบิโลนกลับมา องค์ พระผู้เป็นเจ้าตรัส เพราะเราจะหักแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลน’” ประกาศกเยเรมียจ์ งึ ตอบประกาศกฮานันยาห์... ว่า “สาธุ ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรง ทำ�เช่นนี้เถิด ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�ให้ถ้อยคำ�ที่ท่านได้ประกาศนั้นเป็นจริง ทรงนำ� เครือ่ งใช้ทงั้ หมดของพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และผูถ้ กู กวาดต้อนทุกคนกลับจาก กรุงบาบิโลนมายังสถานที่นี้เถิด แต่จงฟังถ้อยคำ�นี้ซึ่งข้าพเจ้ากำ�ลังจะพูดให้ท่านและ ประชากรทั้งปวงได้ยิน...
มธ 14:22-36
ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามทะเลสาบล่วงหน้าพระองค์ไปในขณะที่ พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงลาประชาชนแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐาน ภาวนาตามลำ�พัง ครั้นเวลาคํ่า พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพียงพระองค์เดียว ส่วนเรืออยู่ห่างจากฝั่งหลายร้อยเมตร กำ�ลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม เมื่อถึงยามที่สี่ พระองค์ทรงดำ�เนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ เมื่อ บรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงดำ�เนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วย ความกลัว ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ทำ�ใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์ ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดิน บนนํ้าไปหาพระองค์เถิด” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนนํ้าไปหาพระเยซูเจ้า แต่เมื่อ เห็นว่าลมแรง เขาก็กลัวและเริ่มจมลง แล้วร้องว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรงยื่น พระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำ�ไมเล่า” เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมาประทับในเรือ พร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ คนที่อยู่ในเรือจึงเข้ามากราบนมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตร ของพระเจ้าอย่างแท้จริง”...
ความกลัวครอบงำ�หัวใจของคนเราทุกคนมาตัง้ แต่เกิด เป็นธรรมชาติทคี่ นเราจะกลัวสิง่ ทีไ่ ม่คนุ้ เคยเพราะ มันเป็นกลไกระบบป้องกันอันตรายที่มีอยู่ในจิตใจของเรา แต่ความกลัวก็บดบังความจริงด้วย คนที่ปรารถนา จะพบพระเจ้าจึงต้องฝึกจิตให้มองเห็นพระในทุกสิง่ และมอบความไว้วางใจในพระองค์ ความรอดของจิตวิญญาณ เราก็เช่นเดียวกัน จำ�ต้องพึ่งพาความไว้วางใจในพระพรและพระเมตตาของพระเสมอ ศัตรูของความวางใจใน พระนอกจากความกลัวแล้วก็คือความสงสัย ความสงสัยจะบั่นทอนความมั่นใจของคนเราที่มีต่อพระ การฝึก จิตให้มั่นในพระเมตตาคือแนวทางแห่งความรอดของจิตวิญญาณเรา
บทอ่านที่ 1
ยรม 30:1-2,12-15,18-22
พระวรสาร
มธ 15:1-2,10-14
องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับเยเรมียว์ า่ “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัส ดังนี้ จงเขียนถ้อยคำ�ทุกคำ�ที่เราได้บอกท่านไว้ในหนังสือเพื่อจะอ่านในภายหลัง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ บาดแผลของท่านรักษาไม่หาย รอยฟกชํ้าของท่านก็ สาหัส ไม่มีผู้ใดช่วยแก้คดีของท่าน ไม่มียารักษาบาดแผลของท่าน ท่านจะไม่มีวันหาย เจ็บ คนรักทุกคนของท่านได้ลืมท่าน เขาไม่แสวงหาท่านอีกแล้ว เพราะเราเฆี่ยนตีท่าน วันถวายพระวิหาร เหมือนศัตรูโบยตี เป็นการลงโทษอย่างที่คนโหดร้ายทำ� เพราะความผิดของท่านใหญ่ แม่พระแห่งหิมะ หลวง บาปของท่านมากมาย ทำ�ไมท่านจึงร้องเพราะบาดแผล รอยฟกชํ้าของท่านรักษา ไม่ได้ เพราะความชั่วร้ายของท่านใหญ่หลวง บาปของท่านมากมาย เราได้ทำ�สิ่งเหล่านี้ สดด 102:15-17,18-20, แก่ท่าน 28 และ 21-22 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะตั้งกระโจมของยาโคบให้กลับดีเหมือนเดิม ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เราจะสงสารทีอ่ าศัยของเขา เมืองจะถูกสร้างขึน้ อีกบนกองซากปรักหักพัง พระราชวังจะ ถูกตั้งขึ้นอีกในที่เดิม เพลงขอบพระคุณและเสียงของผู้ฉลองยินดีจะออกมาจากที่เหล่า นัน้ เราจะทวีจ�ำ นวนของเขา เขาจะไม่ลดจำ�นวนลง เราจะให้เกียรติเขา เขาจะไม่ถกู เหยียด หยาม ลูกหลานของเขาจะเป็นเหมือนเดิม ชุมชนของเขาจะมัน่ คงอยูต่ อ่ หน้าเรา เราจะลงโทษทุกคนทีเ่ บียดเบียน เขา เจ้านายจะเป็นคนหนึ่งจากหมู่ของเขา ผู้ปกครองจะมาจากหมู่ของเขา เราจะทำ�ให้ผู้นั้นเข้ามาใกล้ และเขา จะเข้ามาใกล้เรา เพราะผูใ้ ดจะกล้าเสีย่ งชีวติ เข้ามาใกล้เรา องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส ท่านทัง้ หลายจะเป็นประชากร ของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของท่าน เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ทำ�ไมศิษย์ของท่าน ละเลยขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ เขาไม่ล้างมือเมื่อกินอาหาร” พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนเข้ามา ตรัสว่า “จงฟังและเข้าใจเถิด สิ่งที่เข้าไปทางปากไม่ทำ�ให้มนุษย์มี มลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั่นแหละทำ�ให้มนุษย์มีมลทิน” บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าพวกฟาริสีไม่พอใจเมื่อได้ยินคำ�นี้” พระองค์ทรงตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์มิได้ทรงปลูกไว้ จะถูกถอนทิ้งเสีย ปล่อย เขาเถิด เขาเป็นคนตาบอดที่นำ�ทางคนตาบอดด้วยกัน ถ้าคนตาบอดนำ�ทางคนตาบอด ทั้งสองคนก็จะตกลงไป ในคู”
คำ�สอนของพระอาจารย์เจ้าคือให้พวกเราระมัดระวังจิตใจของตนเองให้ดี อย่าให้มีมลทิน มลทินนั้นคือ การตัดสินผู้อื่นโดยไม่ยุติธรรม การวิพากษ์วิจารณ์และคิดในทางลบกับคนที่เห็นต่างจากเรา ชีวิตคนเรานั้นห่อ หุม้ ด้วยค่านิยมและจารีตธรรมเนียมประเพณีตา่ งๆ มากมาย สิง่ ทีต่ า่ งไม่ได้หมายความว่าไม่ดเี สมอไป การด่วน ตัดสินว่าไม่ดจี งึ ผิดความยุตธิ รรมและทำ�ให้จติ ใจไม่สะอาด คนเช่นนีก้ ไ็ ม่ผดิ อะไรกับคนตาบอด คนเช่นนีท้ ชี่ อบ วิพากษ์วิจารณ์และตัดสินคนอื่นนั้นอย่าให้เขามาเป็นผู้นำ�จิตวิญญาณของเราเลย
บทอ่านที่ 1
ฉลองพระเยซูเจ้า ทรงประจักษ์ พระวรกายต่อหน้า อัครสาวก สดด 97:1-2,5-6,9
ดนล 7:9-10,13-14 ขณะที่ข้าพเจ้ากำ�ลังมองดูอยู่นั้น ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายองค์ถูกนำ�มาตั้งไว้ และ ผู้สูงด้วยวัยวุฒิท่านหนึ่งมานั่งบนบัลลังก์ สวมอาภรณ์ขาวอย่างหิมะ ผมบนศีรษะขาว เหมือนขนแกะ บัลลังก์ของเขาเหมือนเปลวเพลิง มีลอ้ เหมือนไฟลุกโพลง เบือ้ งหน้าเขา มีธารไฟไหลออกมา ผู้รับใช้จำ�นวนมาก นับล้านนับโกฎิอสงไขย คอยเฝ้ารับใช้เขา การ พิจารณาคดีเริ่มขึ้น และบรรดาหนังสือก็เปิดออก ข้าพเจ้ายังเห็นนิมิตเวลากลางคืนต่อไป ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่ง มนุษย์ มาพร้อมกับหมู่ก้อนเมฆในท้องฟ้า เขามาพบผู้สูงด้วยวัยวุฒิ และมีผู้แนะนำ�เขา แก่ท่านผู้นั้น เขาได้รับมอบอำ�นาจปกครอง สิริรุ่งโรจน์ และอาณาจักร ประชาชนทุกชาติ ทุกภาษารับใช้เขา อำ�นาจปกครองของเขาเป็นอำ�นาจทีค่ งอยูต่ ลอดไปไม่มวี นั สิน้ สุด และ อาณาจักรของเขาจะไม่มีวันถูกทำ�ลายเลย
พระวรสาร
มธ 17:1-9
ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายไปบนภูเขา สูงที่ปราศจากผู้คน แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์ เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง โมเสสและประกาศก เอลียาห์สำ�แดงตนสนทนาอยู่กับพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ข้าพเจ้าจะสร้าง เพิงขึ้นสามหลัง หลังหนึ่งสำ�หรับพระองค์ หลังหนึ่งสำ�หรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำ�หรับเอลียาห์” ขณะที่เปโตร กำ�ลังพูดอยู่นั้น มีเมฆสว่างจ้าก้อนหนึ่งปกคลุมพวกเขาไว้ เสียงหนึ่งดังจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุด ที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด” เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์ทั้งสามคนซบหน้าลงกับพื้นดิน มีความ กลัวอย่างยิ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ทรงสัมผัสเขา ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาไม่เห็นผู้ใด นอกจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น ขณะทีก่ �ำ ลังลงจากภูเขา พระเยซูเจ้าทรงกำ�ชับศิษย์ทงั้ สามคนว่า “อย่าเล่านิมติ ทีไ่ ด้เห็นนีใ้ ห้ผใู้ ดฟัง จนกว่า บุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย”
ธรรมชาติทซี่ อ่ นลึกในตัวของพระเยซูเจ้าเปล่งประกายออกมาเมือ่ พระองค์ทรงทราบความจริงว่าพระองค์ คือส่วนหนึ่งในพระธรรมชาติพระเจ้า พระเจ้าอยู่เบื้องหลังชีวิตของพระองค์ ความจริงนี้ทำ�ให้พระวรกายของ พระองค์เจิดจ้าออกมาด้วยความเบิกบานใจอย่างเต็มเปี่ยมและทำ�ให้พระองค์พร้อมที่จะไปเผชิญกับกางเขนที่ จะตามมา ความสว่างเจิดจ้าจากความจริงแท้นี้เองที่ทำ�ให้คนที่อยู่ใกล้คือศิษย์ของพระองค์ลืมทุกสิ่งและมี ประสบการณ์ของสวรรค์ ประสบการณ์นี้อยู่ไม่นานแต่ก่อนจะหายไปศิษย์ก็ได้รับทราบความจริงอีกอย่างหนึ่ง คือพระเยซูเจ้าคือผูท้ มี่ าจากสวรรค์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า กระนัน้ ก็ตามวาทะจากสวรรค์นแี้ ม้ศษิ ย์จะได้ยนิ แต่ก็หาได้เข้าใจไม่....พวกเขาต้องรอจนพระจิตเจ้ามาเปิดจิตของพวกเขาอีกครั้งหนึ่งถึงเข้าใจได้
บทอ่านที่ 1
ยรม 31:31-34
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ดูซิ วันเวลาจะมาถึง... เมื่อเราจะทำ�พันธสัญญาใหม่กับ พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์ จะไม่เหมือนกับพันธสัญญาที่เราทำ�ไว้กับ บรรพบุรษุ ของเขา เมือ่ เราจูงมือเขาให้ออกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์ เขาได้ละเมิดพันธสัญญา นัน้ แม้วา่ เราเป็นเจ้านายของเขา... นีจ่ ะเป็นพันธสัญญาทีเ่ ราจะทำ�กับพงศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอล เมื่อเวลานั้นมาถึง...เราจะใส่ธรรมบัญญัติของเราไว้ภายในเขา เราจะเขียนธรรมบัญญัติ ไว้ในใจของเขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา ไม่มีผู้ใดจะ ต้องสอนเพือ่ นบ้านของตน หรือบอกพีน่ อ้ งของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรูจ้ กั องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เถิด’ เพราะทุกคนจะรูจ้ กั เรา ตัง้ แต่คนเล็กน้อยทีส่ ดุ จนถึงคนใหญ่โตทีส่ ดุ ...เราจะให้อภัย ความผิดของเขา และจะไม่ระลึกถึงบาปของเขาอีกต่อไป”
พระวรสาร
มธ 16:13-23
น.ซิกส์โต ที่ 2 พระสันตะปาปา และเพื่อนมรณสักขี น.กาเยตาน พระสงฆ์ สดด 51:10-12ก, 12ข-13,16-17
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟีลปิ และตรัสถามบรรดาศิษย์ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ว่า “คนทัง้ หลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์น ผู้ทำ�พิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือ ประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่ มนุษย์ทเี่ ปิดเผยให้ทา่ นรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผูส้ ถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลา และ บนศิลานี้ เราจะตัง้ พระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มวี นั ชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักร สวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ใน สวรรค์ด้วย” แล้วพระองค์ทรงกำ�ชับบรรดาศิษย์มิให้บอกใครว่าพระองค์คือพระคริสตเจ้า ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มแจ้งแก่บรรดาศิษย์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการ ทรมานอย่างมากจากบรรดาผูอ้ าวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ จะถูกประหารชีวติ แต่จะทรงกลับคืนพระ ชนมชีพในวันที่สาม เปโตรนำ�พระองค์แยกออกไป ทูลทัดทานว่า “ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น กับพระองค์อย่างแน่นอน” แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสแก่เปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลังเรา เจ้าเป็น เครื่องกีดขวางเรา เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”
ในชีวติ ของคนเรานัน้ พบกับความจริงมากมาย แต่จติ ของเราก็ไม่อาจเจาะลึกเข้าสูค่ วามเข้าใจความจริงนัน้ เพราะจิตของเราถูกคลุมด้วยมลทินมากมาย จิตของเปโตรทีส่ ารภาพความจริงว่าพระเยซูเจ้าคือผูม้ าจากสวรรค์ ตามแผนการของพระบิดา แต่ไม่นานจิตของเขาซึ่งถูกความกลัวครอบงำ�ก็ลืมสิ่งที่เขาพูดโดยขัดขวางแผนการ ของพระบิดาไม่อยากให้พระอาจารย์ของตนไปพบกับกางเขนและความตาย จิตของเปโตรมองเห็นความเจ็บ ปวด ความทรมานของความตายมากกว่าผลของความตายอันเป็นคุณค่าสูงลํ้าที่เกิดตามมา พระเยซูเจ้าเรียก จิตใจเช่นนีว้ า่ จิตของซาตาน...วิธกี �ำ จัดจิตของซาตานคือฝึกจิตของเราให้รกั ความจริงและพร้อมเผชิญกับทุกสิง่ ที่ความจริงนั้นเผยให้ทราบ
ระลึกถึง น.โดมินิก พระสงฆ์ ฉธบ 32:35-36,39,41
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1
นฮม 2:1,3;3:1-3,6-7
พระวรสาร
มธ 16:24-28
ดูซิ เท้าของผู้นำ�ข่าวดีอยู่บนภูเขาแล้ว เขาประกาศว่า “สันติภาพ” ยูดาห์เอ๋ย จง เฉลิมฉลองเทศกาลของเจ้าเถิด จงแก้บนของเจ้า เพราะคนชั่วร้ายจะไม่มารุกรานเจ้าอีก เขาถูกตัดออกไปหมดแล้ว องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงฟืน้ ฟูสวนองุน่ ของยาโคบให้กลับสูส่ ภาพ เดิม เหมือนสวนองุ่นของอิสราเอล เพราะผู้ปล้นได้ปล้นสวนองุ่นเหล่านี้ และได้ทำ�ลาย กิ่งก้านจนหมดสิ้น วิบัติจงเกิดแก่เมืองที่แปดเปื้อนด้วยโลหิต เต็มไปด้วยการมุสาและของเชลย ไม่ เคยหยุดปล้นสะดม เสียงขวับของแส้ เสียงโครมครามของล้อรถ เสียงม้าควบ และ เสียงรถรบกำ�ลังทะยานไป พลม้าเข้าประจัญบาน คมดาบแวบวาบ หอกแวววาว คน จำ�นวนมากถูกแทง คนตายกองเป็นพะเนิน มีศพนับไม่ถ้วน คนเดินสะดุดศพเหล่านั้น เราจะโยนของโสโครกใส่เจ้า ทำ�ให้เจ้าต้องอับอาย เป็นทีเ่ ยาะเย้ย แล้วทุกคนทีเ่ ห็น เจ้าก็จะหนีไปจากเจ้า พูดว่า “กรุงนีนะเวห์ถูกทำ�ลายแล้ว ใครจะสงสารเธอ เราจะไปหา ใครที่ไหนมาปลอบโยนเธอได้” เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึง ตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็ จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิตนิรันดร มนุษย์ จะได้ประโยชน์ใดในการทีไ่ ด้โลกทัง้ โลกเป็นกำ�ไร แต่ตอ้ งเสียชีวติ มนุษย์จะต้องให้สงิ่ ใด เพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูต สวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทานรางวัลแก่ทุกคนตามความประพฤติของเขา เราบอก ความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า บางท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรแห่ง มนุษย์เสด็จกลับมาในพระอาณาจักรของพระองค์”
ชีวิตสู่การเป็นคริสตชนที่ครบครันหรือดีบริบูรณ์นั้นต้องผ่านอุปสรรคหรือกางเขน เสมอ กางเขนของแต่ละคนจะมีรูปแบบต่างกัน บางคนกางเขนเกิดจากความสัมพันธ์ที่ ถูกตัดขาด บางคนเกิดจากความวิตกกังวล กางเขนของบางคนจะเป็นเรื่องการยอมรับ จากคนรอบข้าง กางเขนของบางคนจะเป็นเรือ่ งทรัพย์สนิ เงินทองทีไ่ ม่พอใช้สอย กางเขน ของบางคนจะเป็นเรื่องการไม่มีงานทำ� ตกงาน หรือถูกโกงในรูปแบบต่างๆ กระนั้นก็ตาม สำ�หรับคริสตชนแล้วเมื่อเขาแบกกางเขนนั้นเขาไม่ได้แบกคนเดียว แต่แบกไปพร้อมกับ พระเยซูเจ้าที่เขารัก การยอมแบกกางเขนด้วยจิตใจรักนั้นจะช่วยลดทอนความหนักของ กางเขนหรือปัญหาต่างๆ ได้
บทอ่านที่ 1
ฮบก 1:12-2:4
พระวรสาร
มธ 17:14-20
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ของข้าพเจ้า พระองค์ ทรงดำ�รงอยู่ตั้งแต่นิรันดรมิใช่หรือ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ตาย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงตัง้ เขาไว้เพือ่ ตัดสินลงโทษ ข้าแต่พระศิลา พระองค์ทรงตัง้ เขาไว้อย่างมัน่ คง เพื่อทรงลงโทษ พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าจะทอดพระเนตรเห็นความชั่ว หรือทรงทน มองดูการกดขี่ข่มเหงได้ แล้วทำ�ไมพระองค์จึงทอดพระเนตรเห็นคนทรยศ และทรงนิ่ง น.เทเรซา เบเนดิกตา แห่งไม้กางเขน อยูเ่ มือ่ คนอธรรมกลืนผูช้ อบธรรมกว่าตน พระองค์ทรงทำ�กับมนุษย์เหมือนทำ�กับปลาใน พรหมจารี ทะเล เหมือนทำ�กับสัตว์เลื้อยคลานที่ไม่มีผู้ปกครอง ชาวเคลเดียใช้เบ็ดจับทุกคนขึ้นมา และมรณสักขี ใช้แหลากขึ้นมา ใช้อวนรวบรวมไว้ด้วยกัน แล้วยินดีและปรีดิ์เปรม... สดด 9:7-10,11-12 ข้าพเจ้าจะยืนรักษาการณ์อยู่ จะยืนบนหอคอย เฝ้ามองเพื่อจะเห็นว่า พระองค์จะ ตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า จะทรงตอบการร้องทุกข์ของข้าพเจ้าอย่างไร ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสตอบข้าพเจ้าว่า “จงเขียนนิมติ และสลักไว้ให้ชดั เจนบนแผ่น กระดาน เพื่อให้อ่านได้ง่าย ยังไม่ถึงเวลาที่นิมิตนี้จะเป็นจริง แต่จะเป็นจริงในไม่ช้าตาม ที่กำ�หนดไว้อย่างแน่นอน แม้นิมิตนี้จะล่าช้าไปบ้าง ก็จงคอยสักระยะหนึ่ง นิมิตนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนโดย ไม่ชักช้า ดูซิ ผู้มีจิตใจไม่ซื่อตรงก็จะล้มลง แต่ผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตเพราะความซื่อสัตย์” เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับศิษย์ทั้งสามคนมาพบประชาชน ชายผู้หนึ่งเข้ามาเฝ้าพระองค์ คุกเข่าลงทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดสงสารลูกชายของข้าพเจ้าเถิด เขาเป็นโรคลมชัก ทนทรมานมาก เคยตกไฟ ตกนํา้ หลายครัง้ ข้าพเจ้าพาเขามาหาศิษย์ของพระองค์ แต่เขารักษาให้หายไม่ได้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “คน หัวดื้อ เชื่อยาก และชั่วร้าย เราจะต้องอยู่กับพวกท่านอีกนานเท่าใด จะต้องทนพวกท่านอีกนานเท่าใด พาเด็ก มาพบเราที่นี่เถิด” พระเยซูเจ้าทรงขู่ปีศาจ มันจึงออกไปจากเด็ก เด็กก็หายเป็นปกติตั้งแต่นั้น บรรดาศิษย์จึง เข้าเฝ้าพระเยซูเจ้าเป็นการส่วนตัว ทูลถามว่า “ทำ�ไมพวกเราจึงขับไล่มันไม่ได้” พระองค์ตรัสว่า “เพราะท่านมี ความเชื่อน้อย เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อสักเท่าเมล็ดมัสตาร์ด แล้วพูดกับภูเขา นี้ว่า ‘จงย้ายจากที่นี่ ไปที่โน่น’ มันก็จะย้ายไป และไม่มีอะไรที่ท่านจะทำ�ไม่ได้”
ความเชื่อเป็นพลังผลักดันเราจากภายในจิตใจให้มีพฤติกรรมต่างๆ ทั้งด้านดีและด้านลบ คนๆ หนึ่งจะทำ� สิ่งใดล้วนเกิดมาจากสิ่งที่เขาเชื่อว่าดี และยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้มากขึ้น พฤติกรรมที่ตามมาก็ยิ่งจะมีนํ้าหนัก และกระทำ�สิง่ นัน้ นานๆ เช่น เราเชือ่ ว่าการเคารพบิดามารดาเป็นพฤติกรรมทีด่ เี ราก็ให้ความเคารพท่านไปจนกว่า จะสิ้นบุญในโลกนี้จนกลายเป็นคุณธรรมของความกตัญญูนั่นเอง ในเรื่องของสิ่งที่ชั่วร้าย สิ่งที่ไม่ดี หากเรานำ� ความเชื่อมาประยุกต์ใช้ก็จะเกิดผลเช่นกัน เช่น ฉันเชื่อว่าฉันเป็นคนดี ฉันเป็นลูกของพระ ความเชื่อเช่นนี้ก็ จะทำ�ให้เขาปฏิเสธปีศาจหรือความชั่วร้ายทุกชนิด ดังนั้นคำ�ถามก็คือ ฉันเชื่อจริงๆ หรือไม่ว่าฉันเป็นคนดี?
บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 19:9ก, 11-13ก
สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
ที่นั่น เอลียาห์เข้าไปค้างคืนในถํ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงออกไปยืน อยู่บนภูเขาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เสด็จผ่านมา ทรงบันดาลให้เกิดลมพัดแรงกล้า ผ่าภูเขาทำ�ให้หนิ แตกออกเป็นเสีย่ งๆ เฉพาะพระพักตร์ องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในลมนั้น เมื่อลมหยุดก็เกิดแผ่น ดินไหว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในแผ่นดินไหว หลังจากแผ่นดินไหวก็เกิด ไฟลุก แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้ามิได้ประทับอยูใ่ นไฟนัน้ หลังจากไฟก็มเี สียงกระซิบเบาๆ เมือ่ เอลียาห์ได้ยิน ก็เอาเสื้อคลุมปิดหน้าไว้ ออกมายืนอยู่ที่ปากถํ้า
เพลงสดุดี
สดด 85:8-9,10-11,12-13
ก) ข้าพเจ้ากำ�ลังฟังอยู่ว่าพระองค์จะตรัสอะไร องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประกาศสันติภาพ แก่ประชากรของพระองค์และแก่ผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ ขอเพียงอย่าให้เขาทำ�สิ่งโง่เขลาอีก ถูกแล้ว ความรอดพ้นอยู่ใกล้ผู้ที่ยำ�เกรงพระองค์ พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์จะอยู่ในแผ่นดินของเรา ข) ความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์จะพบกัน ความเที่ยงธรรมและสันติจะสวมกอดกัน ความซื่อสัตย์จะปรากฏขึ้นจากแผ่นดิน ความเที่ยงธรรมจะเยี่ยมหน้าจากสวรรค์ ค) ใช่แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานฝนเป็นพระพร และแผ่นดินของเราก็จะให้ผลเก็บเกี่ยวมากมาย ความเที่ยงธรรมจะเดินนำ�หน้าพระองค์ เบิกทางให้ทรงพระดำ�เนิน
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 9:1-5
พี่น้อง ข้าพเจ้าพูดความจริงในพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าไม่มุสา มโนธรรมของข้าพเจ้า และพระจิตเจ้าร่วมเป็นพยานได้ว่า ข้าพเจ้ามีความเศร้าโศกใหญ่หลวง และมีความทุกข์ ใจอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้ายินดีถูกสาปแช่ง ถูกตัดขาดจากพระคริสตเจ้า ถ้าหากจะเป็น ประโยชน์ต่อพี่น้องของข้าพเจ้าซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน พี่น้องเหล่านี้คือชาว อิสราเอล ที่ได้เป็นบุตรบุญธรรม ได้รับเกียรติ พันธสัญญา ธรรมบัญญัติ รวมทั้งศาสน พิธีและพระสัญญาต่างๆ พวกเขามีบรรพบุรุษเป็นต้นตระกูลของพระคริสตเจ้าตาม ธรรมชาติมนุษย์ พระองค์ทรงอยูเ่ หนือสรรพสิง่ เป็นพระเจ้าและทรงได้รบั การถวายสดุดี ตลอดนิรันดร อาเมน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 14:22-33
ทันทีหลังจากนัน้ พระเยซูเจ้าทรงสัง่ ให้บรรดาศิษย์ ลงเรื อ ข้ า มทะเลสาบล่ ว งหน้ า พระองค์ ไปในขณะที่ พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงลาประชาชน แล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐาน ภาวนาตามลำ�พัง ครัน้ เวลาคํา่ พระองค์ทรงอยูท่ นี่ นั่ เพียง พระองค์เดียว ส่วนเรืออยู่ห่างจากฝั่งหลายร้อยเมตร กำ�ลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม เมื่อถึงยาม ที่สี่พระองค์ทรงดำ�เนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ เมื่อ บรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงดำ�เนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วยความกลัว ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ทำ�ใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เปโตร ทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์ ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนนํ้าไปหาพระองค์เถิด” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนนํ้าไปหาพระเยซูเจ้า แต่เมื่อเห็นว่าลมแรง เขา ก็กลัวและเริ่มจมลง แล้วร้องว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำ�ไมเล่า” เมือ่ พระองค์เสด็จขึน้ มาประทับในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ คนทีอ่ ยูใ่ นเรือจึงเข้ามากราบนมัสการ พระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง” มีสองสิ่งที่น่าสนใจจากพระวรสารในวันนี้คือ หนึ่งพระเยซูเจ้าทรงภาวนา พระเยซูเจ้าเป็นพระแล้ว ยังต้องภาวนาอีกหรือ? พระองค์ภาวนาเพื่ออะไร? คำ�ตอบคือการภาวนาจะช่วยให้บุคคลค้นพบตัวเอง ทำ�ให้ตระหนักถึงเป้าหมายของชีวติ แจ่มชัดขึน้ เหตุนเี้ องคริสตชนทุกคนจึงต้องเรียนรูท้ จี่ ะสวดภาวนา ภาพ ทีส่ องของพระเยซูเจ้าคือพระองค์ไม่ใช่คนธรรมดา แต่พระองค์มาจากพระเจ้าผูอ้ ยูเ่ หนือกฎธรรมชาติใดๆ พระวรสารวันนีอ้ ยากจะบอกเราว่าหากเราฝากความเชือ่ มัน่ ไว้ในพระองค์ เราจะพบคำ�ตอบทุกอย่างในชีวติ ของเรา เพราะพระเยซูเจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแต่มาจากสวรรค์และยังคงมีชีวิตอยู่เหนือกฎของธรรมชาติ ทุกอย่างรวมทั้งเวลา
บทอ่านที่ 1
ระลึกถึง น.กลารา พรหมจารี สดด 148:1-2,11-12, 13-14
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร
อสค 1:2-5,24-28ค
วันที่ห้าของเดือน คือในปีที่ห้าที่กษัตริย์เยโฮยาคีนทรงถูกกวาดต้อนเป็นเชลย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับสมณะเอเสเคียล บุตรของบุซีในแผ่นดินของชาวเคลเดีย ริม แม่นํ้าเคบาร์ พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาอยู่เหนือเขาที่นั่น ข้าพเจ้ามองดูก็เห็นลมพายุพัดมาจากทิศเหนือ เห็นเมฆก้อนใหญ่ที่มีไฟล้อมอยู่ มี ความสุกใสลุกอยู่โดยรอบ ตรงใจกลางกองไฟมีแสงที่มีสีเหมือนอำ�พันแวบวาบออกมา เหมือนไฟ จากกลางกองไฟนี้มีร่างสิ่งมีชีวิตสี่ตนปรากฏออกมา รูปร่างมีสัณฐานเหมือน มนุษย์... เหนือแผ่นฟ้าเหนือศีรษะของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งคล้ายอัญมณีสีนํ้าเงิน มี ลักษณะเหมือนบัลลังก์ และเหนือบัลลังก์ที่อยู่เบื้องบนนี้มีผู้หนึ่งลักษณะเหมือนมนุษย์ แล้วข้าพเจ้าก็เห็นแสงที่มีสีเหมือนอำ�พันจากเหนือบั้นเอวขึ้นไป และเห็นแสง เหมือนไฟจากใต้บั้นเอวลงมา เห็นความสุกใสอยู่รอบท่านผู้นั้น ท่านผู้นั้นมีความสุกใส เหมือนสายรุ้งบนเมฆในวันที่ฝนตกอยู่โดยรอบ ข้าพเจ้าเห็นรูปทรงของพระสิริรุ่งโรจน์ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้ เมื่อเห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงจรดพื้น
มธ 17:22-27
เวลานั้น เมื่อบรรดาศิษย์ชุมนุมอยู่กับพระเยซูเจ้าในแคว้นกาลิลี พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “บุตรแห่งมนุษย์ จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย และถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สาม บุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ” บรรดาศิษย์รู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ ผู้เก็บภาษีบำ�รุงพระวิหารเข้ามาหา เปโตร ถามว่า “อาจารย์ของท่านไม่เสียเงินบำ�รุงพระวิหารหรือ” เปโตรตอบว่า “เสียซิ” เมื่อเปโตรเข้าไปในบ้าน พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาก่อนว่า “ซีโมน ท่านมีความเห็น อย่างไร กษัตริย์ในโลกนี้ทรงเก็บภาษีจากใคร จากโอรสธิดา หรือจากคนอื่น” เปโตรทูลตอบว่า “จากคนอื่น” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นโอรสธิดาย่อมได้รับการยกเว้น แต่เพื่อมิให้ใครตำ�หนิเรา ท่านจงไปที่ทะเล หย่อนเบ็ดลงไป จับปลาตัวแรกที่ตกได้ เปิดปากปลา ท่านจะพบเงินหนึ่งเหรียญ จงนำ�เงินนั้นไปเสียภาษีเพื่อ เราและท่านเถิด”
คำ�สอนจากพระวรสารวันนี้สะท้อนคุณค่าทางสังคมอันเป็นคำ�สอนของคริสตชนคือ การเสียภาษีตาม กฎหมายที่ถูกต้องนั้นเป็นสิ่งที่ดี คริสตชนพึงเสียภาษีเพื่อส่วนรวม แต่มีคำ�ถามว่าถ้ากฎหมายไม่ถูกต้องล่ะ กฎหมายขูดเร้นเกินไปล่ะ? หรือกฎหมายถูกนำ�ไปใช้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมแต่เพื่อการโกงกินของคนบาง กลุ่มเราจะยังคงเสียภาษีหรือไม่? คำ�ตอบคือยังต้องเสียภาษีและต้องเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายนั้นๆ ให้ ถูกต้อง... พระเยซูเจ้าไม่จำ�เป็นต้องเสียภาษีแต่เพื่อเห็นแก่ความดีงามและเพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาพระองค์จึง ให้ศิษย์เอาเงินไปเสียภาษี...
บทอ่านที่ 1
อสค 2:8-3:4
พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “แต่ท่าน บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงฟังสิ่งที่เราพูดกับท่าน อย่า เป็นคนกบฏเหมือนพงศ์พันธุ์กบฏ จงอ้าปากและกินสิ่งที่เรากำ�ลังจะให้ท่าน” เมือ่ ข้าพเจ้ามองดูกเ็ ห็นพระหัตถ์เหยียดออกมาหาข้าพเจ้า พระหัตถ์นนั้ ถือหนังสือ ม้วนหนึ่ง พระองค์ทรงคลี่หนังสือม้วนนั้นออกต่อหน้าข้าพเจ้า มีอักษรเขียนอยู่ทั้งด้าน หน้าและด้านหลัง มีบทครํ่าครวญ คำ�ไว้ทุกข์ และคำ�วิบัติเขียนอยู่ในม้วนหนังสือนั้น น.ฌาน ฟรังซัวส์ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกินสิ่งที่ท่านเห็น จงกินหนังสือ เดอชังตาล ม้วนนี้ แล้วจงไปพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลเถิด” ข้าพเจ้าจึงอ้าปาก พระองค์ก็ประทาน นักบวช หนังสือม้วนนั้นให้ข้าพเจ้ากิน แล้วตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนนี้ซึ่ง สดด 119:13-14,24,72, เราให้ทา่ น จงกินให้อมิ่ ” ข้าพเจ้าจึงกินหนังสือม้วนนัน้ ซึง่ มีรสหวานเหมือนนํา้ ผึง้ ในปาก 102-103,111-112,131-132 ของข้าพเจ้า แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงไปพบพงศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอล ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันเฉลิมพระชนมพรรษา และประกาศถ้อยคำ�ของเราแก่เขา” สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระวรสาร มธ 18:1-5,10,12-14 ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดใน อาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึง่ ให้มายืนอยูก่ ลางกลุม่ พวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอก ความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดาๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูต สวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ท่านทัง้ หลายคิดอย่างไร ถ้าชายคนหนึง่ มีแกะอยูร่ อ้ ยตัว แล้วแกะตัวหนึง่ บังเอิญหลงทาง เขาจะไม่ปล่อย แกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา เพื่อค้นหาแกะตัวที่หลงไปหรือ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเขาหาแกะตัวนั้นพบแล้ว เขาจะรู้สึกยินดีที่พบมัน มากกว่ายินดี ในแกะเก้าสิบเก้าตัวที่มิได้พลัดหลง พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้เดียวต้อง พินาศไป”
ในอาณาจักรหนึ่งๆ ก็ต้องมีผู้นำ� อาณาจักรสวรรค์ผู้นำ�คือพระเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสว่าผู้ยิ่งใหญ่คือผู้มีใจ บริสุทธิ์เหมือนเด็ก ใจเหมือนเด็กคือใจที่ไม่คิดอาฆาตพยาบาท ใจเหมือนเด็กคือลืมง่ายและอภัยได้ ใจเหมือน เด็กคือพึง่ พาผูใ้ หญ่ นัน่ คือการเรียนรูว้ า่ ตัวเองไม่ได้สมบูรณ์ ยังมีความบกพร่อง ยังคงต้องการความช่วยเหลือ จากผู้รู้และผู้ที่เก่งกว่า ท่าทีและจิตใจเช่นนี้เองที่พระเยซูเจ้าถือว่าคือผู้ยิ่งใหญ่จริง เพราะมันเป็นเรื่องของการ ต่อสู้ฝ่ายจิต ผู้ที่เอาชนะจิตใจตัวเองได้นั่นคือผู้ยิ่งใหญ่ในพระอาณาจักรสวรรค์ด้วย
บทอ่านที่ 1
น.ปอนซีอาโน พระสันตะปาปา น.ฮิปโปลิต พระสงฆ์ และมรณสักขี สดด 113:1-3,4-6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร
อสค 9:1-7;10:18-22
แล้วพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังให้ข้าพเจ้าได้ยินว่า “ท่านทั้งหลายผู้มีหน้าที่ ลงโทษเมืองนี้ จงเข้ามาใกล้ แต่ละคนจงถืออาวุธทำ�ลายมาด้วย” ข้าพเจ้าเห็นชายหกคน เข้ามาจากทางประตูชั้นบน ซึ่งหันไปทางทิศเหนือ แต่ละคนถืออาวุธทำ�ลายมาด้วย ใน หมูเ่ ขามีชายคนหนึง่ สวมผ้าป่าน เหน็บกล่องเครือ่ งเขียนไว้ทสี่ ะเอว... เพระองค์ทรงเรียก ชายที่สวมผ้าป่านและเหน็บกล่องเครื่องเขียนไว้ที่สะเอว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งเขา ว่า “จงไปทั่วเมือง คือทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และเขียนอักษร ‘เตา’ ไว้ที่หน้าผากของบรรดา ชายซึ่งถอนใจและครํ่าครวญที่เห็นการกระทำ�น่าสะอิดสะเอียนทั้งหลายที่ทำ�กันภายใน เมือง” พระองค์ยังตรัสกับผู้อื่นให้ข้าพเจ้าได้ยินว่า “ท่านทั้งหลายจงตามเขาไปทั่วเมือง และฆ่าให้หมด ดวงตาของท่านอย่าได้สงสาร และท่านอย่าได้ไว้ชีวิตเลย จงฆ่าให้หมด ทั้งคนชรา ชายหนุ่ม หญิงสาว เด็กและผู้หญิง แต่อย่าแตะต้องผู้ที่มีอักษร ‘เตา’ เขียน อยูท่ หี่ น้าผาก จงเริม่ ต้นจากสักการสถานของเรา” เขาเหล่านัน้ จึงเริม่ ฆ่าคนชราทีอ่ ยูห่ น้า พระวิหาร... พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงทำ�ให้พระวิหารเป็นมลทินเถิด จงทำ�ให้ลานพระ วิหารเต็มไปด้วยศพ จงออกไปเถิด” เขาทั้งหลายก็ออกไปและฆ่าผู้คนในเมือง...
มธ 18:15-20
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ถ้าพี่น้องของท่านทำ�ผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำ�พัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา ถ้าเขาไม่ เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำ�พูดของพยานสองคนหรือสามคนจะได้จัดเรื่องราวให้เรียบร้อย ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน จงแจ้งให้หมูค่ ณะทราบ ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมูค่ ณะอีก จงปฏิบตั ติ อ่ เขาเหมือนเขาเป็นคน ต่างศาสนา หรือคนเก็บภาษีเถิด เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดิน จะผูกไว้ในสวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่าน จะแก้บนแผ่นดิน ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนบนแผ่นดินพร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดา ของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้ เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นใน หมู่พวกเขา”
คำ�สอนของพระอาจารย์ในวันนีม้ ี 2 เรือ่ งคือเรือ่ งการตักเตือนความบกพร่องของกันและกันด้วยมิตรไมตรี กับเรื่องการภาวนา เรื่องแรกนั้นบุคคลจะยอมรับการตักเตือนได้อย่างใจสงบก็ต่อเมื่อเขาเตรียมใจอยู่เสมอว่า เขาอาจมีขอ้ บกพร่องไม่มากก็นอ้ ย และบอกตัวเองเสมอว่าถ้ามีคนมาเตือนเขาจะต้องพร้อมยอมรับเสมอ การ เตรียมใจพร้อมยอมรับการตักเตือนจะช่วยให้หนักกลายเป็นเบา เรือ่ งทีส่ องพระเยซูเจ้าสอนให้เห็นความสำ�คัญ ของการภาวนาเป็นหมูค่ ณะ หลายๆ คนร่วมกันภาวนาก็จะเกิดผล เสียงสรรเสริญพระก็จะมีพลัง มิตกิ ารภาวนา เป็นกลุ่มจึงมีความสำ�คัญในพระศาสนจักรของเรา
บทอ่านที่ 1
อสค 12:1-12
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านอาศัยอยู่ในหมู่พงศ์ พันธุ์กบฏ เขามีตาเพื่อเห็น แต่ไม่ยอมดู มีหูเพื่อฟัง แต่ไม่ยอมฟัง เพราะเขาเป็นพงศ์ พันธุ์กบฏ บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านจงจัดเตรียมข้าวของสำ�หรับถูกกวาดต้อนไป เป็นเชลย แล้วออกเดินทางไปเป็นเชลยในเวลากลางวันเพื่อให้ทุกคนเห็น ท่านจะต้อง ออกเดินทางไปเป็นเชลยจากสถานทีห่ นึง่ ไปยังอีกสถานทีห่ นึง่ ต่อหน้าเขา เขาจะได้เข้าใจ ว่าตนเป็นพงศ์พันธุ์กบฏ จงนำ�ข้าวของออกมาตอนกลางวันให้เขาเห็น เหมือนเป็นข้าว ของของผูถ้ กู กวาดต้อนเป็นเชลย จงเจาะช่องในกำ�แพงต่อหน้าเขา แล้วออกไปตามช่อง นั้น... เพราะเราทำ�ให้ท่านเป็นเครื่องหมายสำ�หรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล” ข้าพเจ้าก็ทำ�ตาม ที่ข้าพเจ้าได้รับคำ�สั่ง...
พระวรสาร
ระลึกถึง น.มักซีมีเลียน มารีย์ กอลเบ พระสงฆ์ และมรณสักขี
สดด 78:56-57,58-59, 61-63
มธ 18:21-19:1
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำ�ผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง” “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะ ทีท่ รงเริม่ ตรวจบัญชีนนั้ มีผนู้ �ำ ชายผูห้ นึง่ เข้ามา ชายผูน้ เี้ ป็นหนีอ้ ยูเ่ ป็นพันล้านบาท เขาไม่มสี งิ่ ใดจะชำ�ระหนีไ้ ด้ กษัตริยจ์ งึ ตรัสสัง่ ให้ขายทัง้ ตัวเขา บุตรภรรยาและทรัพย์สนิ ทัง้ หมดเพือ่ ใช้หนี้ ผูร้ บั ใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอน ว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนีไ้ ว้กอ่ นเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนีใ้ ห้ทงั้ หมด’ กษัตริยท์ รงสงสารจึงทรงปล่อยเขา ไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่ไม่กี่พันบาท เขาเข้าไป คว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’ เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอมฟัง นำ�ลูกหนีไ้ ปขังไว้จนกว่าจะชำ�ระหนีท้ ั้งหมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนัน้ ต่างสลดใจมาก จึงนำ�ความทั้งหมดไป ทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้า ขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้ นำ�ผูร้ บั ใช้นนั้ ไปทรมานจนกว่าจะชำ�ระหนีท้ งั้ หมด พระบิดาของเราผูส้ ถิตในสวรรค์จะทรงกระทำ�ต่อท่านทำ�นอง เดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”... คนเราเมื่อหัวใจมีบาดแผลแล้วโอกาสที่จะลืมบาดแผลหรือประสบการณ์ด้านลบนั้นคงเป็นไปได้ยาก แต่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำ�ไม่ได้ การอภัยความผิดของเพื่อนพี่น้องนั้นทำ�ได้ โดยเริ่มจากความเข้าใจว่าเหตุใด คนนั้นถึงทำ�กับเราอย่างนี้ ประการต่อมาให้ถือว่าคนนั้นทำ�ไปโดยไม่รู้ตัว เหมือนคนเมา เราจะไปถือสาก็ไม่ได้ หรือให้คิดว่าเขาถูกภาวะบางอย่างบังคับให้ทำ�กับเราเช่นนั้น เราเองถ้าหากยังไปยํ้าคิดในความผิดนั้นเราก็ยิ่ง ตอกยํ้ารอยแผลของตัวเองให้ลึกไปอีก ทางที่ดีคืออย่าไปถือสา เลี่ยงได้ก็เลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ก็ยิ้มรับเหมือนเรา ยิ้มให้คนเมาไม่ได้สตินั่นแหละ นอกนั้นถ้าเรายกความเจ็บนั้นมาสนทนากับพระเยซูเจ้านั่นก็จะกลายเป็นการ ภาวนาที่ดียิ่ง
สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา อสย 12:2-3,4-5,6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1
อสค 16:59-63
พระวรสาร
มธ 19:3-12
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะทำ�กับเจ้าอย่างที่เจ้าได้ทำ� เจ้าได้ดูหมิ่นคำ�สาบานและ ละเมิดพันธสัญญา แต่เรายังระลึกถึงพันธสัญญาของเรากับเจ้าเมือ่ เจ้ายังเป็นสาว เราจะ ทำ�พันธสัญญากับเจ้าซึง่ จะคงอยูต่ ลอดไป แล้วเจ้าจะระลึกถึงความประพฤติของเจ้าและ จะอับอาย เมื่อเจ้าจะรับทั้งพี่และน้องสาวของเจ้า เราจะมอบเขาให้เป็นบุตรสาวของเจ้า แม้ไม่เป็นเงื่อนไขของพันธสัญญาที่เราทำ�กับเจ้า เราจะรื้อฟื้นพันธสัญญาของเรากับเจ้า เจ้าจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเจ้าจะได้จดจำ�และมีความละอาย และจะไม่อ้า ปากพูดอีกเพราะความอับอาย เมื่อเราจะให้อภัยทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำ�” องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัส
เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นการถูกต้อง หรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม” พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรง สร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับ ภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อ เดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย” ชาวฟาริสีจึงทูลถามว่า “แล้วทำ�ไมโมเสสจึงสั่งให้ชายทำ�หนังสือหย่าร้าง แล้วหย่า ร้างได้เล่า” พระองค์ตรัสว่า “เพราะใจดือ้ แข็งกระด้างของท่าน โมเสสจึงยอมอนุญาตให้ หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่ เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ผูใ้ ดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึง่ เขาก็ท�ำ ผิด ประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง” บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า “ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะ แต่งงานเลย” พระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนเข้าใจคำ�สอนนี้ คนที่เข้าใจคือคนที่พระเจ้า ประทานให้ เพราะว่า บางคนเป็นขันทีตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บางคนถูกมนุษย์ทำ�ให้เป็นขันที และบางคนทำ� ตนเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่เข้าใจได้ ก็จงเข้าใจเถิด”
จริยธรรมคาทอลิกให้คุณค่ากับการแต่งงานอย่างถูกต้องบนหลักสองประการคือ หนึ่งเมื่อมีคำ�สัญญาก็ ต้องมีการรักษาสัญญาถึงจะเป็นคนดีแท้ หลักประการทีส่ องคือหลักการถ่ายทอดชีวติ ชีวติ เป็นเรือ่ งสำ�คัญเมือ่ มีบุตรก็ต้องเลี้ยงดูบุตรอย่างดี หลักการสำ�คัญสองประการนี้ก่อให้เกิดพันธะเรื่องการหย่าร้างไม่ได้ในศาสนา คาทอลิกและยิ่งเป็นการทำ�สัญญาต่อหน้าพระเจ้าก็ยิ่งโกหกพระองค์ไม่ได้ และเมื่อมีบุตรแล้วการหย่าร้างก็จะ ไปสร้างตราบาปในใจของบุตรโดยไม่ยุติธรรม ดังนั้นชาวคาทอลิกจึงถือว่าการแต่งงานเป็นเรื่องสำ�คัญยิ่งที่ต้อง มีการเตรียมตัวให้พร้อมในทุกด้านเท่าที่จะทำ�ได้ นอกนั้นครอบครัวดียังสะท้อนถึงอาณาจักรพระเจ้าอีกด้วย
บทอ่านที่ 1
อสค 18:1-10,13ข,30-32
องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ทำ�ไมท่านทัง้ หลายจึงกล่าวคำ�พังเพยนีซ้ าํ้ ซาก ในแผ่นดินอิสราเอลว่า ‘พ่อกินผลองุ่นเปรี้ยว แต่ลูกเข็ดฟัน’ เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส ท่านทั้งหลายจะต้องไม่ใช้คำ�พังเพย นีอ้ กี ต่อไปในอิสราเอล ดูซิ ชีวติ ทัง้ หลายเป็นของเรา ชีวติ ของพ่อเป็นของเราฉันใด ชีวติ ของลูกก็เป็นของเราฉันนั้น ผู้ใดทำ�บาป ผู้นั้นจะต้องตาย” “ถ้าคนหนึ่งเป็นผู้ชอบธรรม ปฏิบัติความถูกต้องและความยุติธรรม ถ้าเขาไม่กิน ของถวายตามสักการสถานบนทีส่ งู ไม่เงยหน้าขึน้ คารวะรูปเคารพของพงศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอล ไม่ลว่ งเกินภรรยาของเพือ่ นบ้าน ไม่เข้าหาหญิงทีม่ ปี ระจำ�เดือน ไม่ขม่ เหงผูอ้ นื่ แต่คนื ของ ประกันแก่ลูกหนี้ ไม่ลักทรัพย์ แต่ให้อาหารแก่ผู้หิวโหยและให้เสื้อผ้าแก่ผู้ไม่มีเสื้อผ้า คลุมกาย ไม่ให้ผู้อื่นยืมเงินเพื่อเรียกดอกเบี้ยหรือหากำ�ไร ยั้งมือไว้ไม่ทำ�ความชั่ว ตัดสิน คู่ความอย่างยุติธรรม ดำ�เนินชีวิตตามข้อกำ�หนดและปฏิบัติตามคำ�วินิจฉัยของเราอย่าง ซื่อสัตย์ คนนั้นก็เป็นผู้ชอบธรรม เขาจะมีชีวิต” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “แต่ถ้าคนหนึ่งมีบุตรเป็นโจร เป็นฆาตกร และทำ�ความชั่วเหล่านี้ เขาจะต้องตาย แน่ๆ เพราะเขาได้ทำ�สิ่งน่าสะอิดสะเอียน และจะต้องตายเพราะความผิดของตน” ดังนั้น พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะพิพากษาแต่ละคนตามความประพฤติของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส จงกลับใจและเลิกการล่วงละเมิดทั้งหมดของท่าน แล้วความผิด ของท่านจะไม่เป็นเหตุให้ทา่ นพินาศ จงละทิง้ การล่วงละเมิดทัง้ หมดทีท่ า่ นได้ท�ำ จงทำ�ตน ให้มีใจใหม่และจิตใหม่ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำ�ไมท่านจะต้องตายเล่า เราไม่พอใจใน ความตายของผู้ใด องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส จงกลับใจเถิด แล้วท่านจะมีชีวิต”
พระวรสาร
น.สเตเฟน แห่งประเทศฮังการี สดด 51:10-12ก,12ข-13, 16-17
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
มธ 19:13-15
ขณะนั้น มีผู้นำ�เด็กเล็กๆ มาให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์อวยพร แต่บรรดาศิษย์ กลับดุว่าคนเหล่านั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่า ห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้” พระองค์ทรงปก พระหัตถ์ให้เด็กเหล่านั้น แล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น
เอเสเคียลเสนอแนวคิดสำ�คัญแก่ชาวอิสราเอลว่าเราทุกคนต้องรับผิดชอบต่อผลของการกระทำ�ที่เราทำ� ไว้ เราอาจกินบุญเก่าของพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่เขาเป็นคนดีศรัทธาได้บ้างแต่ไม่ใช่เรื่อยไปจนตลอดชีวิต โดยไม่ ก่อสร้างบุญกุศลลงมือทำ�ความดีด้วยตัวเราเองบ้าง หนทางที่เราจะเริ่มทำ�ความดีก็คือหนทางที่เราหยุดการ ทำ�บาปแล้วหันจิตใจมาหาพระเป็นเจ้า บางทีเราคิดอยู่ว่าจะเริ่มทำ�ความดีได้อย่างไร จุดเริ่มต้นที่สำ�คัญที่สุดก็ คือการเริ่มรักพระเป็นเจ้าและตอบรับเสียงเรียกของพระองค์ “เราทำ�ความดีเพื่อให้ได้พระอาณาจักรของ พระองค์ไม่ได้ เราทำ�ได้เพียงแค่ตอบรับคำ�เชื้อเชิญให้มาเป็นบุตรธิดาของพระองค์”
สมโภช พระนางมารีย์ รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ ทั้งกายและวิญญาณ
บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์
วว 11:19ก;12:1-6ก,10ก
เพลงสดุดี
สดด 45:9,10-11,14-15
พระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์เปิดออก มองเห็นหีบพันธสัญญาในพระวิหาร เครือ่ งหมายยิง่ ใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือสตรีผหู้ นึง่ มีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์ อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางมีครรภ์แก่ กำ�ลังร้องครวญคราง ด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร เครือ่ งหมายอีกประการหนึง่ ปรากฏในสวรรค์ คือมังกรใหญ่สแี ดง มีเจ็ดหัวและสิบ เขา แต่ละหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัดดวงดาวหนึ่งในสามบนท้องฟ้าให้ตกลงมาบน แผ่นดิน มังกรยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่กำ�ลังจะคลอดบุตรเพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่ คลอด นางคลอดบุตรเป็นชาย ซึ่งจะต้องปกครองชาติทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก แต่บุตร ของนางถูกคว้าตัวขึน้ ไปเฝ้าพระเจ้ายังพระบัลลังก์ของพระองค์ ส่วนสตรีนนั้ หลบหนีไป ในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีที่พำ�นักซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า “บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระ ราชอาณาจักรเป็นของพระเจ้าของเราแล้ว และอำ�นาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์” ก) ราชธิดาของพระราชาทั้งหลายเสด็จมาพบพระองค์ พระราชินีเสด็จเข้ามาประทับอยู่เบื้องพระหัตถ์ขวา ประดับองค์ด้วยทองคำ�จากโอฟีร์ ข) ฟังเถิด ธิดาเอ๋ย จงดูและตั้งใจฟัง จงลืมชาติของท่านและบ้านบิดาของท่านเถิด พระราชาจะทรงหลงรักความงามของท่าน พระองค์ทรงเป็นเจ้าเป็นนายของท่าน จงน้อมกายเคารพพระองค์เถิด ค) ทรงอาภรณ์ปักลวดลายเสด็จมาเฝ้าพระราชา บรรดาเพื่อนสาวติดตามนางมาเฝ้าพระองค์ด้วย เขาทั้งหลายเดินเป็นขบวนและโห่ร้องด้วยความยินดี เข้ามาในพระราชวังของพระราชา
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 15:20-26
พี่น้อง ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เป็นผล แรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด การกลับคืนชีพ ของบรรดาผูต้ ายก็มาจากมนุษย์คนหนึง่ ฉันนัน้ มนุษย์ทกุ คนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น แต่จะเป็นไปตามลำ�ดับของแต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คอื ผูท้ เี่ ป็นของพระคริสตเจ้า เมือ่ พระองค์จะเสด็จ มา แล้วจะถึงวาระสุดท้าย เวลานัน้ พระองค์จะทรงมอบพระอาณาจักรให้แก่พระเจ้าพระ
บิดา หลังจากทรงทำ�ลายการปกครอง อำ�นาจและอานุภาพทั้งหลาย เพราะพระคริสตเจ้าจะต้องทรงครอง ราชย์จนกว่าพระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทงั้ มวลให้อยูใ่ ต้พระบาทของพระองค์ ศัตรูสดุ ท้ายทีจ่ ะถูกทำ�ลายคือ ความตาย เพราะพระเจ้าทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 1:39-56
หลังจากนัน้ ไม่นาน พระนางมารียท์ รงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึง่ ในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนาง เสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำ�ทักทายของ พระนางมารีย์ บุตรในครรภ์กด็ นิ้ นางเอลีซาเบธได้รบั พระจิตเจ้าเต็มเปีย่ ม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รบั พระพร ยิ่งกว่าหญิงใดๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำ�ไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จ มาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำ�ทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อ ว่า พระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง” พระนางมารีย์ ตรัสว่า “วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิง่ ใหญ่ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า จิตใจของข้าพเจ้า ชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้ทรงกอบกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ตํ่าต้อยของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำ�กิจการยิ่งใหญ่สำ�หรับ ข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ พระกรุณาต่อผู้ยำ�เกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ ทรงขับไล่ผมู้ ใี จมักใหญ่ใฝ่สงู ให้กระจัดกระจายไป ทรงควาํ่ ผูท้ รง อำ�นาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ตํ่าต้อยให้สูงขึ้น พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรง ส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผูร้ บั ใช้พระองค์ โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ
ผลร้ายของบาปกำ�เนิดรุนแรงทีส่ ดุ ทีอ่ าดัมและเอวาทำ�คือ พวกเขาต้องตาย แต่พระนางมารียป์ ฏิสนธิ นิรมลไม่มีบาปกำ�เนิด พระนางจึงไม่ได้รับผลร้ายของบาปนี้ นี่เป็นพระพรสูงส่งที่พระเป็นเจ้าทรงป้องกัน พระนางไว้เพือ่ เตรียมให้พระบุตรมาประทับในพระครรภ์ของพระนาง ลบล้างบาปกำ�เนิดแก่ยอห์นบัปติสต์ ในครรภ์ของนางเอลีซาเบ็ธแบบพิเศษ และลบล้างบาปแก่มนุษย์ทั้งมวลในรหัสธรรมการไถ่บาปของ พระองค์ เมื่อพระนางไม่มีบาปกำ�เนิดพระนางจึงคล้ายเพียงหลับไปต่อเนื่องชีวิตจากโลกนี้ขึ้นสู่สวรรค์ทั้ง ร่างกายและวิญญาณ ไปที่นั่นก่อนพวกเราเพื่อคอยเสนอวิงวอนต่อพระเยซูเจ้าเพื่อพวกเราคือพระ ศาสนจักรที่ยังต้องเดินทางอยู่ในโลกนี้ มีที่พำ�นักที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้และลูกๆของพระศาสนจักรก็ ปลอดภัยจากมังกรร้าย
สัปดาห์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา ฉธบ 32:18-19,20,21
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1
อสค 24:15-24
พระวรสาร
มธ 19:16-22
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ดูซิ เราจะพรากผู้เป็น แก้วตาของท่านไปจากท่านโดยกะทันหัน แต่ท่านอย่าครํ่าครวญ อย่าร้องไห้หรือหลั่ง นาํ้ ตาเลย จงราํ่ ไห้คราํ่ ครวญอย่างเงียบๆ อย่าทำ�พิธไี ว้ทกุ ข์ให้ผตู้ าย จงสวมผ้าโพกศีรษะ จงสวมรองเท้า อย่าเอาผ้าปกปิดหนวด อย่ากินอาหารไว้ทกุ ข์” ข้าพเจ้าจึงบอกเรือ่ งนีแ้ ก่ ประชาชนในเวลาเช้า ในเวลาเย็นภรรยาของข้าพเจ้าก็ถึงแก่กรรม เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้า ทำ�ตามที่ได้รับพระบัญชา ประชาชนบอกข้าพเจ้าว่า “จงอธิบายความหมายการกระทำ� ของท่านให้เรารู้เถิด” ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงบอก พงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะทำ�ให้สักการสถานของเรา เป็นมลทิน สักการสถานที่ท่านภาคภูมิใจว่าจะได้รับพลังความช่วยเหลือ เป็นเหมือน แก้วตาของท่าน และเป็นความยินดีในจิตใจของท่าน บุตรชายหญิงที่ท่านทิ้งไว้เบื้องหลัง จะถูกฆ่าด้วยดาบ ท่านทั้งหลายจะทำ�เหมือนกับที่ข้าพเจ้าได้ทำ� ท่านจะไม่เอาผ้าปกปิด หนวด จะไม่กินอาหารไว้ทุกข์ จะสวมผ้าโพกศีรษะและจะสวมรองเท้า ท่านจะไม่ครํ่า ครวญหรือร้องไห้ แต่จะหมดเรี่ยวแรงเพราะความผิดของท่าน และจะรํ่าไห้ครํ่าครวญ ปรับทุกข์กนั เอเสเคียลจะเป็นเครือ่ งหมายสำ�หรับท่าน เมือ่ เหตุการณ์เหล่านีเ้ กิดขึน้ ท่าน จะทำ�อย่างที่เขาทำ� แล้วท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า”
เวลานั้น ชายคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้าทูลถามว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าต้อง ทำ�ความดีอะไรเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เหตุใดจึงถามเราถึงความ ดี ผู้ทรงความดีมีแต่ผู้เดียวเท่านั้น ถ้าท่านอยากเข้าสู่ชีวิตนิรันดร ก็จงปฏิบัติตาม บทบัญญัติเถิด” เขาทูลถามว่า “บทบัญญัติข้อใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา จงรักผูอ้ นื่ เหมือน รักตนเอง” ชายหนุ่มผู้นั้นทูลถามว่า “ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อแล้ว ยังขาดอะไรอีกหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ถ้าท่านอยากเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” เมื่อได้ยินพระวาจานี้ ชายหนุ่มผู้นั้นจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สมบัติมากมาย เมื่อประกาศกยืนขึ้นเทศน์ ผู้คนฟังเขามิใช่โวหารที่ไพเราะแต่เพราะเนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล จากการมารับใช้พระเจ้า ข่าวสารที่ชาวกรุงเยรูซาเล็มได้รับจึงมีพลังเพราะประกาศกซื่อสัตย์เทศน์สอนแม้จะ ต้องแลกมาด้วยสิง่ ทีต่ นหวงแหน รักสุดชีวติ การจะมาติดตามพระเยซูเจ้าเพือ่ จะได้ชวี ติ นิรนั ดรจึงเป็นการเลือก ที่เด็ดขาดพอที่จัดลำ�ดับพระเยซูเจ้าไว้ในตำ�แหน่งสูงสุด มิใช่จัดพระเยซูเจ้าเป็นเพียงสมบัติที่สะสมเพิ่มเข้ามา อีกชิน้ หนึง่ จากกองสมบัตทิ ตี่ นรัก แต่ตอ้ งเป็นว่าถ้าไม่มอบชีวติ ให้พระเยซูเจ้า ชีวติ ของลูกก็ไร้คา่ บนกองสมบัติ ที่เราหลงกอดไว้
บทอ่านที่ 1
อสค 28:1-10
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงบอกเจ้าเมืองไทระว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘ใจของท่านผยองขึ้น และคิดว่า “ข้าเป็นพระเจ้า ข้านั่งบนที่ นัง่ ของพระเจ้า อยูก่ ลางทะเล” แม้ทา่ นคิดว่าตนฉลาดเหมือนพระเจ้า แต่ทา่ นก็เป็นเพียง มนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า ดูซิ ท่านมีปรีชามากกว่าดาเนียล ไม่มีความลับใดซ่อนไว้จากท่าน ท่านใช้ปรีชาญาณและความเข้าใจ สร้างความรํ่ารวย สะสมทองคำ�และเงิน มาไว้ในคลัง สมบัติของท่าน ท่านใช้สติปัญญามากในการค้า ทวีทรัพย์สมบัติของท่าน ใจของท่านก็ ผยองขึ้น เพราะทรัพย์สมบัติของท่าน’ องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสดังนี้ ‘เพราะท่านคิดว่าตนฉลาดเหมือนพระเจ้า ดีแล้ว เรา จะนำ�คนต่างด้าวที่โหดร้ายกว่าชนชาติใดๆ มาต่อสู้กับท่าน เขาทั้งหลายจะชักดาบ ต่อสู้ กับปรีชาญาณที่งดงามของท่าน จะทำ�ให้ความรุ่งเรืองของท่านหม่นหมอง เขาทั้งหลาย จะโยนท่านลงไปในขุมลึก ท่านจะตายในท้องทะเลเหมือนคนที่ถูกฆ่า แล้วท่านยังจะพูด อีกหรือว่า “ข้าเป็นพระเจ้า” ต่อหน้าคนที่ฆ่าท่าน ท่านเป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า อยู่ ในมือของผู้ที่ฆ่าท่าน ท่านจะตายอย่างไร้เกียรติ โดยมือของคนต่างด้าว เพราะเราได้พูด ไว้แล้ว’ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส”
พระวรสาร
น.ยอห์น เอิ๊ด พระสงฆ์ ฉธบ 32:26-27, 28-29,30,35-36
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
มธ 19:23-30
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์วา่ “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า คนมัง่ มีจะเข้าสูอ่ าณาจักร สวรรค์ได้ยาก เราบอกท่านอีกว่า อูฐจะลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์” เมื่อบรรดาศิษย์ ได้ยนิ เช่นนี้ ต่างรูส้ กึ ประหลาดใจมาก จึงทูลถามว่า “แล้วดังนี้ ใครเล่าจะรอดพ้นได้” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตร บรรดาศิษย์ แล้วตรัสว่า “สำ�หรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำ�หรับพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปได้” เปโตรจึงทูลถามว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายสละทุกสิ่งและติดตามพระองค์แล้ว จะได้อะไรบ้าง” พระเยซูเจ้า ตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ในโลกใหม่ เมือ่ บุตรแห่งมนุษย์จะประทับเหนือพระทีน่ งั่ อัน รุ่งโรจน์ ท่านทั้งหลายที่ติดตามเรา ก็จะนั่งบนบัลลังก์ทั้งสิบสองบัลลังก์ เพื่อพิพากษาตระกูลอิสราเอลทั้งสิบ สองตระกูลด้วย และผู้ใดที่สละบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตร ไร่นาเพราะเห็นแก่เรา ก็จะได้รับ ตอบแทนร้อยเท่า และจะได้รับชีวิตนิรันดรเป็นมรดกด้วย หลายคนที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นกลุ่มสุดท้าย และกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นกลุ่มแรก” การจะได้เข้าพระอาณาจักรสวรรค์มิใช่เป็นเรื่องของการไปเบียดเบียนผู้อื่นแล้วจะได้เสวยสุขท่ามกลาง ความทุกข์ของผู้อื่น แต่เป็นการเสียสละและรับใช้ผู้อื่นที่แม้มิใช่เป็นญาติพี่น้องคนในตระกูลเดียวกัน เราก็ยัง รับใช้เขา การรับใช้แบบนี้เริ่มต้นตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ และพระอาณาจักรสวรรค์ก็เริ่มต้นตั้งแต่ในโลกนี้ทันทีที่เรา รับใช้และเสียสละเพือ่ ผูอ้ นื่ พระอาณาจักรสวรรค์จงึ เริม่ แล้วทันทีทพี่ ระเยซูเจ้าทรงรับใช้และเสียสละชีวติ เพือ่ ผู้อื่นและมีผู้ทำ�ตามพระฉบับแบบของพระองค์ ดังนั้นพระอาณาจักรสวรรค์จึงยังไม่สมบูรณ์เพราะยังมีผู้เข้า ร่วมรับใช้เป็นส่วนน้อย แต่มีผู้จ้องคอยฉกฉวยเอาเปรียบผู้อื่นเป็นส่วนมาก คนมั่งมีที่พระเยซูเจ้าทรงตำ�หนิก็ คือคนที่ดีแต่กอบโกยเอาเปรียบและไม่ได้เสียสละรับใช้ใครเลยทั้งๆ ที่ทำ�ได้อย่างง่ายดายในชีวิตจริง
ระลึกถึง น.เบอร์นาร์ด เจ้าอธิการ และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 23:1-6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1
อสค 34:1-11
พระวรสาร
มธ 20:1-16ก
องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงประกาศพระวาจากล่าว โทษบรรดาผูเ้ ลีย้ งแกะแห่งอิสราเอล จงประกาศพระวาจาบอกบรรดาผูเ้ ลีย้ งแกะว่า องค์ พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘วิบัติจงเกิดแก่ผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอลซึ่งเลี้ยงตนเอง ผู้เลี้ยง แกะย่อมต้องเลีย้ งฝูงแกะมิใช่หรือ แต่ทา่ นกินนาํ้ นม ใช้ขนแกะคลุมกาย ฆ่าแกะตัวอ้วนๆ แต่ไม่เลี้ยงฝูงแกะ แกะที่อ่อนแอ ท่านไม่ได้เสริมกำ�ลัง แกะที่เจ็บป่วย ท่านก็ไม่รักษา แกะที่บาดเจ็บ ท่านก็ไม่ได้พันแผลให้ และแกะที่พลัดหลง ท่านก็ไม่ได้ไปตามกลับมา แกะที่หายไป ท่านก็ไม่ได้แสวงหา แต่ท่านได้ปกครองบรรดาแกะโดยใช้กำ�ลังอย่างโหด ร้าย บรรดาแกะจึงกระจัดกระจายไป เพราะไม่มผี เู้ ลีย้ ง กลายเป็นเหยือ่ ของสัตว์ปา่ และ กระจัดกระจายไป ฝูงแกะของเราระเหเร่รอ่ นไปทัว่ ทุกภูเขาและตามเนินเขาสูงทุกลูก ฝูง แกะของเรากระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดตามหา ไม่มีผู้ใดแสวงหา’”...
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์เป็นคำ�อุปมาดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์เปรียบ เหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำ�งานในสวนองุ่น ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละ หนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำ�งานในสวนองุ่น ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่นๆ ยืน อยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำ�งาน จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า ‘จงไปทำ�งานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้าง ตามสมควร’ คนเหล่านีก้ ไ็ ป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเทีย่ งวันและบ่ายสามโมง กระทำ�เช่นเดียวกัน ประมาณ ห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่นๆ ยืนอยู่... พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปทำ�งานในสวนองุ่นของฉันเถิด’ ครัน้ ถึงเวลาคาํ่ เจ้าของสวนบอกผูจ้ ดั การว่า ‘ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริม่ ตัง้ แต่คนสุดท้าย จนถึงคนแรก’ เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รบั มากกว่านัน้ แต่กไ็ ด้รบั คนละหนึง่ เหรียญเช่นเดียวกัน ขณะรับค่าจ้างเขาก็บน่ ต่อหน้าเจ้าของ สวนว่า ‘พวกที่มาสุดท้ายนี้ทำ�งานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตรำ�อยู่กลาง แดดตลอดวัน’ เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับ ฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน ฉันไม่มี สิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ’ ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับ กลายเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มสุดท้าย” ประกาศกเอเสเคียลต้องการพูดกับเราเรื่องสำ�คัญเรื่องเดียวคือ พระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้มีเมตตา พระองค์ ทรงห่วงใยคนที่ถูกข่มเหง รู้สึกว่าตนเองตัวเล็กนิดเดียว พร้อมที่จะเป็นเหยื่อของคนแข็งแรงที่คอยเอาเปรียบ ในสังคม ความทุกข์ของคนตัวเล็กๆในสังคมบางทีก็มาจากผู้ปกครองที่ละเลยและไม่เสียสละในหน้าที่ ผู้ ปกครองแบบนี้อยู่ในหน้าที่นานเท่าใดผู้เล็กน้อยก็รับผลความทุกข์โศกเจ็บปวดใจนานเท่านั้น ความทุกข์ยาก ลำ�บากที่ผู้ปกครองทำ�แก่ผู้น้อยคืออะไร ก็คือการสนใจแต่ประโยชน์ธุระของตนเอง บางทีการละเลยก็เท่ากับ การทำ�ร้ายเช่นกัน แต่พระเยซูเจ้าทรงห่วงใยเรา ทรงออกมาตามเราไปทำ�งานในสวนองุน่ ของพระองค์ พระองค์ ทรงมาทั้งวัน คุณจะรับคำ�เชิญของพระองค์ในวันนี้หรือไม่?
บทอ่านที่ 1
อสค 36:23-28
เราจะทำ�ให้นามยิ่งใหญ่ของเราศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง นามที่ได้เป็นมลทินในหมู่ นานาชาติ และที่ท่านทำ�ให้เป็นมลทินในหมู่เขา แล้วนานาชาติจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้ เป็นเจ้า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส เมือ่ เราจะแสดงความศักดิส์ ทิ ธิข์ องเราในท่านต่อหน้าเขา ทั้งหลาย เราจะนำ�ท่านทั้งหลายออกมาจากนานาชาติ เราจะรวบรวมท่านมาจากทุก แผ่นดิน และนำ�ท่านเข้ามาในแผ่นดินของท่าน เราจะพรมนํ้าสะอาดเหนือท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะสะอาดพ้นจากมลทินทัง้ หมด เราจะชำ�ระท่านจากรูปเคารพทัง้ หลายของท่าน เราจะให้ใจใหม่แก่ท่าน เราจะใส่จิตใหม่ไว้ภายในท่าน เราจะนำ�ใจหินออกไปจากร่างของ ท่าน และจะให้ใจเนือ้ แก่ทา่ น เราจะใส่จติ ของเราภายในท่าน จะทำ�ให้ทา่ นดำ�เนินชีวติ ตาม ข้อกำ�หนดของเรา ท่านจะรักษาและปฏิบตั ติ ามกฎเกณฑ์ของเรา ท่านจะอาศัยอยูใ่ นแผ่น ดินทีเ่ ราให้แก่บรรพบุรษุ ของท่าน ท่านจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของ ท่าน
พระวรสาร
ระลึกถึง น.ปีโอ ที่ 10 พระสันตะปาปา สดด 51:10-12ก, 12ข-13,16-17
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
มธ 22:1-14
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส ทรงส่งผู้รับ ใช้ไปเรียกผูร้ บั เชิญให้มาในงานวิวาห์ แต่พวกเขาไม่ตอ้ งการมา พระองค์จงึ ทรงส่งผูร้ บั ใช้อนื่ ไปอีก รับสัง่ ว่า ‘จง ไปบอกผู้รับเชิญว่า บัดนี้เราได้เตรียมการเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว ได้ฆ่าวัวและสัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ แต่ผู้รับเชิญมิได้สนใจ คนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคนหนึ่งไปทำ�ธุรกิจ คนที่เหลือได้จับผู้รับ ใช้ของกษัตริย์ ทำ�ร้ายและฆ่าเสีย กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไปทำ�ลายฆาตกรเหล่านั้นและเผาเมืองของ เขาด้วย แล้วพระองค์ตรัสแก่ผู้รับใช้ว่า ‘งานวิวาห์พร้อมแล้ว แต่ผู้รับเชิญไม่เหมาะสมกับงานนี้ จงไปตามทาง แยก พบผู้ใดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ บรรดาผู้รับใช้จึงออกไปตามถนน เชิญทุกคนที่พบมารวมกัน ทัง้ คนเลวและคนดี แขกรับเชิญจึงมาเต็มห้องงานอภิเษกสมรส กษัตริยเ์ สด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ ทรง เห็นคนหนึ่งไม่สวมเสื้อสำ�หรับงานวิวาห์ จึงตรัสแก่เขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านไม่ได้สวมเสื้อสำ�หรับงานวิวาห์ แล้ว เข้ามาทีน่ ไี่ ด้อย่างไร’ คนนัน้ ก็นงิ่ กษัตริยจ์ งึ ตรัสสัง่ ผูร้ บั ใช้วา่ ‘จงมัดมือมัดเท้าของเขา เอาไปทิง้ ในทีม่ ดื ข้างนอก เถิด ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง เพราะผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมี น้อย’” ชนชั้นผู้ปกครองชาวยิวคิดว่าตนเองเท่านั้นเป็นผู้ที่ได้รับเชิญจากพระเป็นเจ้าเข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรงสอนว่าบัดนีพ้ ระอาณาจักรสวรรค์เป็นของทุกคน ใครก็ได้ไม่วา่ จะง่อยเปลีย้ เสียขา ตาบอด พระ อาณาจักรสวรรค์เป็นเรื่องสากลภาพมิใช่แค่ชาวยิวอีกต่อไปที่เป็นประชากรของพระ สิ่งนี้ประกาศกอิสยาห์ได้ ทำ�นายไว้แล้ว 600 ปี ก่อนพระเยซูเจ้าจะเสด็จมาบังเกิด พระเจ้าจะทรงใส่จิตของพระองค์ไว้ในตัวเขา เขาจะ มีใจเนือ้ แทนใจหินสำ�เร็จเมือ่ พระเยซูเจ้าทรงประทานศีลล้างบาปแก่มนุษย์ทกุ คนจนสุดปลายแผ่นดินโลก สำ�คัญ ตรงที่เราจะเข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์เราต้องสวมเสื้อแห่งความดีให้เหมาะสมที่จะเข้าไป
บทอ่านที่ 1
อสค 37:1-14
พระหัตถ์ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอยูเ่ หนือข้าพเจ้า พระจิตขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรง นำ�ข้าพเจ้าออกมา และวางข้าพเจ้าไว้กลางหุบเขาทีม่ กี ระดูกเต็มไปหมด พระองค์ทรงนำ� ข้าพเจ้าเดินไปโดยรอบใกล้ๆ กระดูกเหล่านัน้ ข้าพเจ้าเห็นว่ามีกระดูกมากทีเดียวในหุบเขา นัน้ เป็นกระดูกแห้งสนิท พระองค์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่า นีจ้ ะกลับมีชวี ติ ได้ไหม...จงประกาศพระวาจาเหนือกระดูกเหล่านี้ จงกล่าวแก่กระดูกเหล่า ระลึกถึง นี้ว่า ‘กระดูกแห้งเอ๋ย จงฟังพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส พระนางมารีย์ แก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูซิ เราจะนำ�จิตเข้าไปในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิตอีก เราจะวางเส้นเอ็น ราชินีแห่งสากลโลก ไว้บนเจ้า จะทำ�ให้เนื้อขึ้นมา จะเอาหนังมาคลุมไว้ จะใส่จิตในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต แล้ว เจ้าจะรูว้ า่ เราเป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า’” ข้าพเจ้าจึงประกาศพระวาจาตามทีข่ า้ พเจ้าได้รบั พระ สดด 107:2-3,4-6, บัญชา ขณะที่ข้าพเจ้าประกาศพระวาจาอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงกรุกกริก และเห็น 7-8ก,8ข-9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 กระดูกเหล่านั้นเข้ามาต่อติดกัน ข้าพเจ้ามองดูก็เห็นเส้นเอ็นอยู่เหนือกระดูก มีเนื้อขึ้น มา และหนังก็มาหุ้มไว้ แต่ยังไม่มีจิตในร่างเหล่านั้น แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จง ประกาศพระวาจาแก่จิตเถิด บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงประกาศพระวาจาและบอกจิตว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส ดังนี้ จิตเอ๋ย จงมาจากทิศทั้งสี่และพ่นเข้าไปในผู้ที่ถูกฆ่าเหล่านี้ ให้เขามีชีวิตอีก’” ข้าพเจ้าประกาศพระวาจา ตามพระบัญชา จิตก็เข้ามาในร่างเหล่านั้น เขาก็มีชีวิตและยืนขึ้น เป็นกองทัพใหญ่มหึมาจริงๆ แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย... เราจะให้จิตของเราเข้าไปในท่าน และท่านจะมี ชีวิต เราจะให้ท่านตั้งหลักแหล่งในแผ่นดินของท่าน แล้วท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เราได้พูดและได้ ทำ�แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส”
พระวรสาร
มธ 22:34-40
เวลานั้น เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำ�ให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน มีคนหนึ่ง เป็นบัณฑิตทางกฎหมาย ได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรม บัญญัติ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุด สติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือ ท่านต้องรักเพือ่ นมนุษย์เหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัตแิ ละคำ�สอนของบรรดาประกาศกก็ขนึ้ อยูก่ บั บทบัญญัติ สองประการนี้” เราคงไม่เคยสิน้ หวังจนชีวติ เป็นกองกระดูกทีต่ ากแดดตากลมแห้งทิง้ ไว้เป็นเศษซากชีวติ ให้คนดูถกู หัวเราะ เยาะ แต่ชาวอิสราเอลที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่อาณาจักรบาบิโลนราว 600 ปีก่อนพระเยซูเจ้าเสด็จมา เขาเป็นเช่นนัน้ พระเป็นเจ้าทรงรักพวกเขาให้เอเสเคียลไปประกาศพระวาจาเหนือกระดูกเหล่านี้ พระวาจาของ พระมายังชีวิตพวกเขาทำ�ให้กระดูกกลับมาต่อกันมีเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และจิตจากสี่ทิศพร้อมมีชีวิตใหม่ใน พระเจ้าแม้เรื่องนั้นจะเป็นภาพนิมิต แต่พระวาจาที่เราอ่านทุกวันก็เช่นกันมีฤทธิ์อำ�นาจ ในวันที่เราแห้งแล้งสิ้น หวังกลับทำ�ให้ชวี ติ เราสดชืน่ ไปรักพระเจ้าและเพือ่ นพีน่ อ้ ง มีจติ ใหม่เหมือนได้กลับไปยังแผ่นดินของพระเจ้า มี จิตใหม่ใจเนื้ออันนุ่มนวลทำ�ให้เรามีบัญญัติแห่งความรักที่สมบูรณ์แบบที่สุดจากพระเยซูเจ้า
บทอ่านที่ 1
อสค 43:1-7ก
เขานำ�ข้าพเจ้าไปยังประตูซงึ่ หันไปทางทิศตะวันออก ข้าพเจ้าเห็นพระสิรริ งุ่ โรจน์ของ พระเจ้าแห่งอิสราเอลมาจากทิศตะวันออก มีเสียงดังมากับพระองค์เหมือนเสียงนํา้ มาก และแผ่นดินก็ส่องแสงสะท้อนพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ นิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นนี้เหมือน กับนิมติ ทีข่ า้ พเจ้าเคยเห็นเมือ่ ข้าพเจ้ามาดูเมืองนีถ้ กู ทำ�ลาย และเหมือนนิมติ ทีข่ า้ พเจ้าได้ เห็นที่ริมแม่นํ้าเคบาร์ ข้าพเจ้าจึงกราบลงหน้าจรดพื้น พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้าไปในพระวิหารทางประตูที่หันไปทางทิศ ตะวันออก พระจิตยกข้าพเจ้าขึ้น นำ�ข้าพเจ้าเข้าไปในลานชั้นใน ข้าพเจ้าเห็นพระสิริ รุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเต็มพระวิหาร ขณะที่ชายคนนั้นยังยืนอยู่ข้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ยนิ เสียงอีกคนหนึง่ ดังออกมาจากพระวิหาร พูดกับข้าพเจ้า เสียงนัน้ เป็นเสียง ขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย สถานที่นี้เป็นบัลลังก์ของเรา เป็นที่ วางเท้าของเรา เราพำ�นักอยู่ที่นี่ในหมู่ชาวอิสราเอลตลอดไป”
พระวรสาร
น.โรซา ชาวลีมา พรหมจารี สดด 85:8-9,10-11, 12-13
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
มธ 23:1-12
ครัง้ นัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์วา่ “พวกธรรมาจารย์และชาว ฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสส ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่อย่า ปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่า คนอืน่ แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิว้ เขาทำ�กิจการทุกอย่างเพื่อให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขึ้น ผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่น เขาชอบ ที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยง ชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม ชอบให้ผู้คนคำ�นับตามลาน สาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’ ส่วนท่านทั้งหลาย อย่าให้ผู้ใดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียว และทุกคนเป็นพี่น้องกัน ในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดาของท่านมี เพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์ อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ เพราะพระ อาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า ในกลุม่ ของท่าน ผูใ้ ดเป็นใหญ่จะ ต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ตํ่าลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการ ยกย่องให้สูงขึ้น” เอเสเคียลมีบญ ุ ท่านได้เห็นนิมติ พระสิรริ งุ่ โรจน์แห่งการประทับอยูข่ องพระเป็นเจ้าในชีวติ หลายครัง้ ก่อน กรุงเยรูซาเล็มถูกทำ�ลาย ขณะกรุงแตกทั้งภายหลังที่ล่มสลาย ทั้งนี้ท่านต้องการบอกว่าพระเป็นเจ้ายังประทับ อยูท่ นี่ ไี่ ม่เปลีย่ นแปลง พระองค์ไม่สญ ู สลายหายไปไหนในวันล้มเหลวของชีวติ และวันทีเ่ ราสมหวังกลับมาบ้าน พระองค์กร็ อเราอยูต่ รงนัน้ แท้จริงพระองค์ทรงแบกเราผูฟ้ กชาํ้ กลับมาบ้านด้วยซาํ้ คนทีร่ จู้ กั สัจธรรมแห่งความ รักของพระเจ้าข้อนีก้ จ็ ะไม่กล้าหยิง่ จองหองยกตัวขึน้ เราขอนัง่ อยูต่ รงเก้าอีต้ วั ท้ายๆ ในทีช่ มุ นุมทีพ่ ระจะยกเรา ขึ้นในวันล้มลง
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 22:19-23
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะถอดท่านจากหน้าที่ และจะดึงท่านลงมาจากตำ�แหน่ง วันนั้น เราจะเรียก ผูร้ บั ใช้ของเรา เอลียาคิม บุตรของฮิลคียาห์ เราจะจะให้เขาสวมเสือ้ ของท่าน ให้เขาคาด ผ้าคาดสะเอวของท่าน เราจะมอบอำ�นาจของท่านไว้ในมือของเขา เขาจะเป็นดังบิดาของ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ เราจะวางกุญแจราชวังของกษัตริย์ดาวิดไว้ บนบ่าของเขา ถ้าเขาเปิด จะไม่มผี ใู้ ดปิด ถ้าเขาปิด จะไม่มผี ใู้ ดเปิดได้ เราจะทำ�ให้ต�ำ แหน่ง ของเขามั่นคง เหมือนตอกหมุดไว้ในที่มั่นคง และเขาจะเป็นเหมือนบัลลังก์มีเกียรติแห่ง ครอบครัวบิดาของเขา”
เพลงสดุดี
สดด 138:1-2ก,2ขค-3,6,8
ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์สุดจิตใจ เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงที่ข้าพเจ้าเปล่งออกมา ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์เบื้องหน้าบรรดาทูตสวรรค์ ข้าพเจ้าจะกราบลงเบื้องหน้าพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณพระนามของพระองค์ ข) เพราะความรักมั่นคงและความสัตย์จริงของพระองค์ ทรงทำ�ให้พระสัญญายิ่งใหญ่กว่าพระนามของพระองค์ พระองค์ทรงตอบข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าเรียกหาพระองค์ พระองค์ทรงเพิ่มพลังในใจของข้าพเจ้า ค) แม้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสูงส่ง แต่พระองค์ก็ยังทอดพระเนตรผู้ตํ่าต้อย ทรงทราบว่าผู้ใดจองหองแม้อยู่ห่างไกล องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันดาลให้กิจการที่ทรงกระทำ�เพื่อข้าพเจ้าสำ�เร็จ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์ ขอพระองค์อย่าทรงทอดทิ้งกิจการแห่งพระหัตถ์ของพระองค์
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 11:33-36
พี่น้อง พระเจ้าทรงพระปรีชาและทรงรอบรู้ลึกลํ้าเพียงใด คำ�ตัดสินของพระองค์ สุดที่จะหยั่งรู้ได้ และมรรคาของพระองค์สุดที่จะเข้าใจได้ ใครเล่าจะล่วงรู้พระดำ�ริของ องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ ใครเล่าเคยถวายสิ่งใดแด่พระองค์ พระองค์จึงจะต้องประทานตอบแทนเขา เพราะทุกสิ่งล้วนมาจากพระองค์ โดยทาง พระองค์และเพื่อพระองค์ ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดร อาเมน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 16:13-20
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟีลปิ และตรัสถามบรรดาศิษย์
ว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขา ทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำ�พิธีล้าง บ้าง กล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกา ศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คอื พระคริสตเจ้า พระ บุตรของพระเจ้าผูท้ รงชีวติ ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่ เปิดเผยให้ทา่ นรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผูส้ ถิตในสวรรค์ ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลา และบนศิลานี้ เราจะตัง้ พระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มวี นั ชนะ พระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิง่ ทีท่ า่ นจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” แล้วพระองค์ทรงกำ�ชับบรรดาศิษย์มิให้บอก ใครว่าพระองค์คือพระคริสตเจ้า” ถ้าหากองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงวางกุญแจราชวังดาวิดไว้บนมือของเอลียาคิมตามทีอ่ สิ ยาห์ได้ท�ำ นายไว้ และเป็นจริง พระเจ้าก็คือผู้ทรงปกครองสรรพสิ่งทั้งปวง โดยทรงมอบอำ�นาจนี้ไว้ในมือบุคคลที่พระองค์ ทรงเลือกสรร พระเยซูเจ้าทรงพอพระทัยวางกุญแจสวรรค์ไว้ในมือของนักบุญเปโตร เรามองดูพระ สันตะปาปาทุกพระองค์แล้วจะเข้าใจเรือ่ งนี้ พระศาสนจักรเป็นสถาบันทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงตัง้ ขึน้ บนโลกนี้ ไม่ เกี่ยวกับความเฉลียวฉลาดบริหารจัดการของมนุษย์เลยที่ทำ�ให้พระศาสนจักรดำ�เนินมานับพันปี พระเป็น เจ้าทรงให้พระหรรษทานของพระองค์มาสู่มนุษย์ผ่านทางพระศาสนจักรนี้ พระศาสนจักรจึงเป็นเครื่องมือ ประทานความศักดิส์ ทิ ธิข์ องพระเจ้าแก่มนุษย์ เป็นแค่เครือ่ งมือทีพ่ ระทรงรับรอง เป็นผูร้ บั มอบกุญแจไว้ใน มือ แต่กเ็ ป็นมือของผูท้ พี่ ระทรงเลือกสรรแท้จริง เรากำ�ลังอยูใ่ นพระศาสนจักรทีไ่ ด้รบั พระพรจากพระเจ้า เบื้องบนผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์และการฉลองพระวาจา ท่านล่ะว่าพระองค์เป็นใคร?
บทอ่านที่ 1
น.หลุยส์ กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส น.โยเซฟ กาลาซานส์ พระสงฆ์ สดด 96:1-3,4-6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร
2 ธส.1:1-5,11ข-12
จากเปาโล สิลวานัสและทิโมธี ถึงพระศาสนจักรของชาวเธสะโลนิกาซึ่งอยู่ใน พระเจ้าพระบิดาของเราและในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า... พี่น้องทั้งหลาย เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ การกระทำ�เช่นนี้ เป็นการสมควรแล้ว เพราะความเชือ่ ของท่านกำ�ลังเจริญขึน้ มากและความรักของท่านต่อ กันก็เพิม่ ขึน้ ด้วย จนเราภูมใิ จในท่านทัง้ หลาย และบอกกล่าวให้พระศาสนจักรต่างๆ ของ พระเจ้ า ทราบถึ ง ความมั่ นคงและความเชื่ อ ของท่ า น ในเมื่ อ ท่ า นอดทนต่ อ การถู ก เบียดเบียนและความทุกข์ตา่ งๆ แสดงให้เห็นว่าการพิพากษาของพระเจ้านัน้ ยุตธิ รรมและ จะทำ�ให้ท่านเหมาะสมที่จะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า ท่านกำ�ลังทนทุกข์อยู่ก็เพื่อ พระอาณาจักรนี้ ขอพระเจ้าของเราโปรดให้ท่านเหมาะสมกับการที่พระองค์ทรงเรียก และขอ พระองค์ทรงบันดาลเจตจำ�นงที่ดีทุกอย่างของท่าน รวมทั้งกิจการแห่งความเชื่อให้บรรลุ ผลสำ�เร็จเดชะพระอานุภาพของพระองค์...
มธ 23:13-22
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านปิด ประตูอาณาจักรใส่หน้ามนุษย์ ท่านไม่เข้าไปและไม่ปล่อยคนที่อยากเข้า ให้เข้าไปได้ วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านเดินทางข้ามนํ้าข้ามทะเลเพื่อทำ�ให้คนเพียง คนเดียวกลับใจ และเมื่อเขากลับใจแล้ว ท่านก็ทำ�ให้เขาสมควรจะไปนรกมากกว่าท่านสองเท่า วิบตั ิจงเกิดแก่ทา่ น ผูน้ �ำ ทางทีต่ าบอด ท่านกล่าวว่า ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็เป็นโมฆะ แต่ถา้ ใคร สาบานอ้างถึงทองคำ�ในพระวิหาร ก็ต้องปฏิบัติตามคำ�สาบาน’ คนโง่เขลาและตาบอดเอ๋ย สิ่งใดสำ�คัญยิ่งกว่า กัน ทองคำ�หรือพระวิหารที่ทำ�ให้ทองคำ�นั้นศักดิ์สิทธิ์ ท่านยังกล่าวอีกว่า ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระแท่น ก็เป็น โมฆะ แต่ถ้าใครสาบานอ้างถึงเครื่องบูชาบนพระแท่น ก็ต้องปฏิบัติตามคำ�สาบาน’ คนตาบอดเอ๋ย สิ่งใดสำ�คัญ ยิ่งกว่ากัน เครื่องบูชาหรือพระแท่นที่ทำ�ให้เครื่องบูชานั้นศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่สาบานอ้างถึงพระแท่น ก็ สาบานอ้างถึงพระแท่นรวมทั้งทุกสิ่งที่อยู่บนพระแท่นนั้นด้วย และผู้ที่สาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็สาบานอ้างถึง พระวิหาร รวมทัง้ พระผูส้ ถิตในพระวิหารนัน้ ด้วย ผูท้ สี่ าบานอ้างถึงสวรรค์ ก็สาบานอ้างถึงพระทีน่ งั่ ของพระเจ้า รวมทั้งพระผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งนั้นด้วย” คำ�อวยพรแก่สัตบุรุษของเปาโลไพเราะมากโดยขอให้ 1. พวกเขามีชีวิตเหมาะสมกับที่พระทรงเรียกมา 2. ขอพระโปรดให้พวกเขามีความตั้งใจดี และ 3. กิจการที่ทำ�ด้วยความเชื่อจงประสบผลสำ�เร็จ เดี๋ยวนี้กิจการ ที่ทำ�ด้วยความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นกิจการที่เรากำ�ลังทำ�อยู่ใช่หรือไม่? ความตั้งใจดีหายไปจากชีวิตเรา แล้วหรือยัง? การจะมีชีวิตเหมาะสมกับที่พระทรงเรียกเรามา อย่างแรกต้องตอบรับคำ�เชื้อเชิญของพระให้ได้ ทุกวัน วันนี้ลูกยังอยากติดตามพระองค์ อย่าให้ลูกเป็นคนตาบอดแล้วไปนำ�ทางใคร อย่าให้ลูกอวดดีหลงตัว เองพาใครไปสู่นรก โปรดประทานพละกำ�ลังให้ลูกติดตามพระองค์ในทางที่เหมะสมและมีชีวิตที่เหมาะสมกับ ทางนั้น
บทอ่านที่ 1
2 ธส 2:1-3ก,14-17
พีน่ อ้ งทัง้ หลาย เรือ่ งการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา และ เรื่องการชุมนุมของเราเพื่อพบกับพระองค์นั้น เราวอนขอท่านอย่ารีบด่วนหวั่นไหวหรือ ตกใจไม่ว่าเพราะคำ�พยากรณ์ที่อ้างว่ามาจากพระจิตเจ้า หรือเพราะคำ�พูดหรือจดหมายที่ อ้างว่ามาจากเรา ประหนึ่งว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว อย่าให้ใครหลอกลวง ท่านโดยวิธีใดเลย พระองค์ทรงเรียกท่านมาเพราะข่าวดีที่เราเทศน์สอน เพื่อท่านจะได้รับพระสิริ รุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดังนั้น พี่น้องทั้งหลายจงยืนหยัด มัน่ คงและยึดถือธรรมประเพณีทที่ า่ นเรียนรูม้ าทัง้ ด้วยวาจาและด้วยจดหมายของเรา ขอ พระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และพระเจ้าพระบิดาของเรา ผูท้ รงรักเรา ประทานกำ�ลัง ใจนิรันดรและความหวังที่ดีให้เราเดชะพระหรรษทาน โปรดประทานกำ�ลังใจให้ท่านและ บันดาลให้ท่านยืนหยัดมั่นคงในกิจการและวาจาที่ดีทุกประการเทอญ
พระวรสาร
มธ 23:23-26
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจ คด ท่านถวายหนึ่งในสิบของสะระแหน่ ผักชี ยี่หร่า แต่ได้ละเลยธรรมบัญญัติในเรื่องที่ สำ�คัญ เช่น ความยุติธรรม ความเมตตากรุณา และความซื่อสัตย์ บทบัญญัติเหล่านี้ จำ�เป็นต้องปฏิบตั โิ ดยไม่ละเว้นบทบัญญัตอิ นื่ ๆ ผูน้ �ำ ทางตาบอดเอ๋ย ท่านกรองลูกนํา้ แต่ กลับกลืนอูฐทั้งตัว วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก ด้านในมีแต่ความสกปรกคือการข่มขู่แย่งชิง และราคะตัณหา ฟาริสีตาบอดเอ๋ย จงล้าง ด้านในของถ้วยชามให้สะอาดเสียก่อน แล้วด้านนอกก็จะสะอาดด้วย”
พระเป็นเจ้าจะเสด็จมาในวันสุดท้ายก็จริงแต่จงอย่าพบพระองค์ ณ เวลานั้น ด้วย บุคลิกของคนทีล่ กุ ลีล้ กุ ลนกระวนกระวาย วิถชี วี ติ คริสตังทีร่ อคอยชีวติ ใหม่เขาผูน้ นั้ ต้อง มีความสงบในจิตใจ คนทีท่ �ำ เช่นนีไ้ ด้เป็นคนทีร่ จู้ กั วิธที �ำ ชีวติ ให้สงบในช่วงวัน มีเวลาเงียบๆ กับพระในจิตใจ หวนคิดถึงและซาบซึง้ ในความรักของพระเป็นเจ้าในช่วงวัน มีเรือ่ งหวัน่ กลัวก็สวดสายประคำ� รู้ว่าโลกนี้แห้งแล้ง ต้องการข้อมูลข่าวสารดีๆ ก็อ่านพระคัมภีร์ หล่อเลี้ยงจิตใจเป็นประจำ� เราต้องเรียนรู้จักวิธีทำ�ชีวิตให้สงบ มันอยู่ข้างใน ไม่ใช่อะไร ฉาบฉวยภายนอก
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา สดด 96:10-13
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
ระลึกถึง น.โมนิกา สดด 128:1-2,4-6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1
2 ธส 3:6-10,16-18
พระวรสาร
มธ 23:27-32
พี่น้องทั้งหลาย เราขอกำ�ชับท่านในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ให้ท่านหลีกห่างจากพี่น้องที่ดำ�เนินชีวิตโดยไม่มีวินัย ไม่ทำ�ตามธรรมประเพณีที่ท่านได้ รับจากเรา ท่านรู้อยู่แล้วว่า ท่านต้องยึดถือเราเป็นแบบฉบับอย่างไร เพราะเมื่อเราอยู่กับท่าน เรามิได้อยูน่ งิ่ เฉย เรามิได้กนิ อาหารของผูใ้ ดโดยไม่ท�ำ งานตอบแทน แต่เราตรากตรำ�ทำ�งาน ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเราจะได้ไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด ทั้งนี้มิใช่เพราะเราไม่มีสิทธิ์ แต่เพื่อทำ�ตนเป็นแบบฉบับแก่ท่าน เมื่อเราอยู่กับท่าน เรายังกำ�ชับท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่อยากทำ�งานก็อย่ากิน ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแห่งสันติ ประทานสันติแก่ทา่ นทัง้ หลายทุกเวลาและทุกวิถที าง ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับทุกท่านเถิด คำ�ทักทายนี้เขียนด้วยมือของข้าพเจ้าเปาโล เป็นเครื่องหมายประจำ�จดหมายทุก ฉบับของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนดังนี้ ขอพระหรรษทานของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็น เจ้าของเราสถิตกับทุกท่านเทอญ เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านเป็นเหมือนหลุมศพ ทาสีขาว ภายนอกดูงดงามแต่ภายในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสิ่งสกปรกทุกอย่าง ท่านก็เป็นเช่นเดียวกัน ภายนอกปรากฏแก่มนุษย์ว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไป ด้วยความหน้าซื่อใจคด และความอธรรม วิบตั จิ งเกิดแก่ทา่ น ธรรมาจารย์และฟาริสหี น้าซือ่ ใจคด ท่านสร้างหลุมศพให้บรรดา ประกาศก ประดับอนุสาวรีย์ของผู้ชอบธรรม ท่านกล่าวว่า ‘ถ้าเราอยู่ในสมัยบรรพบุรุษ เราคงจะไม่ร่วมมือในการหลั่งเลือดบรรดาประกาศกเหล่านี้’ ดังนี้ ท่านก็เป็นพยาน ปรักปรำ�ตนเองว่า เป็นลูกหลานของผู้ที่ได้ฆ่าบรรดาประกาศก ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจง ทำ�งานที่บรรพบุรุษของท่านได้เริ่มไว้ให้สำ�เร็จไปเถิด”
ปัญหาคือบางทีเราก็ไม่รตู้ วั ว่าทีเ่ ราปฏิบตั อิ ยูน่ นั้ เป็นเพียงเปลือกนอก หรือความศรัทธาภายใน หรือแม้เรา คิดว่าเราเป็นผู้มีจิตตารมณ์ปฏิบัติจากภายในจิตใจแต่ก็ยังมีนิสัยคิดว่าคนอื่นที่หลงงมอยู่กับเรื่องภายนอกนั้น ด้อยกว่าเรา พระเยซูเจ้าจึงสอนเราถึงเรื่องสำ�คัญคือความยุติธรรม ความเมตตากรุณา และความซื่อสัตย์ ความยุติธรรมเกิดขึ้นจากการมองคนอื่นเป็นลูกของพระเช่นเดียวกับเรา เราจึงไม่กล้าคิดว่าเขาโง่และไปเอา เปรียบ ความเมตตาเกิดขึน้ จากการทีส่ �ำ นึกว่าพระเป็นเจ้าทรงให้อภัยแก่เรา เราจึงต้องใจกว้างกับคนอืน่ ความ ซือ่ สัตย์ท�ำ ให้เราเทีย่ งตรงในการให้ความสำ�คัญกับบทบัญญัตทิ ไี่ ม่ใช่ถอื เฉพาะข้อทีเ่ ราชอบเพราะมีผลประโยชน์ ข้อไหนไม่ชอบเราก็ไม่ให้ความสำ�คัญ
บทอ่านที่ 1
1 คร 1:1-9
จากเปาโล ซึง่ พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครสาวกของพระคริสตเยซูตามพระประสงค์ ของพระองค์ และจากโสสเธเนสพี่น้องของเรา ถึงพระศาสนจักรของพระเจ้า ที่อยู่ ณ เมืองโครินธ์ ถึงผู้ที่ได้รับความศักดิ์สิทธิ์ใน พระคริสตเยซู คือได้รับเรียกให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับทุกคนในทุกสถานที่ ทุกคนซึ่ง เรียกหาพระนามของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งของเขาและของเราด้วย ขอพระหรรษทานและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอเพื่อท่านทั้งหลาย เพราะพระหรรษทานซึ่ง พระเจ้าประทานแก่ท่านเดชะพระคริสตเยซู ท่านได้รับพระพรทุกด้านและทุกประการ เดชะพระองค์ คือการประกาศพระวาจาและความรู้ทุกอย่าง ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึง พระคริสตเจ้าอย่างเข้มแข็งจนถึงที่สุด จนกระทั่งท่านไม่ขาดพระคุณใดในขณะที่รอคอย การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์จะทรงคํ้าจุนท่านให้ มัน่ คงจนถึงวาระสุดท้าย ไม่มที ตี่ ใิ นวันทีพ่ ระเยซูคริสต์ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเราจะเสด็จ มา พระเจ้าทรงเรียกท่านให้สนิทสัมพันธ์กบั พระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์ พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว พระองค์ทรงมั่นคงในการรักษาคำ�สัญญา
พระวรสาร
ระลึกถึง น.ออกัสติน พระสังฆราช และนักปราชญ์แห่ง พระศาสนจักร สดด 145:2-3,4-5, 6-7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
มธ 24:42-51
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่า นายของท่านจะมาเมือ่ ไร พึงรูไ้ ว้เถิด ถ้าเจ้าบ้านรูว้ า่ ขโมยจะมาในยามใด เขาคงจะตืน่ เฝ้า ไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตนได้ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน จงเตรียมพร้อมไว้ เพราะว่าบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย ใครเล่าเป็นผูร้ บั ใช้ทซี่ อื่ สัตย์และรอบคอบซึง่ นายแต่งตัง้ ให้ดแู ลผูร้ บั ใช้ เพือ่ แจกจ่ายอาหารให้ตามเวลาที่ กำ�หนด ผูร้ บั ใช้นนั้ ย่อมเป็นสุข เมือ่ นายกลับมาพบเขากำ�ลังทำ�เช่นนี้ เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า นาย จะแต่งตัง้ เขาให้ดแู ลทรัพย์สนิ ทัง้ ปวงของตน แต่ถา้ ผูร้ บั ใช้นนั้ คิดว่า ‘นายจะมาช้า’ แล้วเขาก็เริม่ ตบตีเพือ่ นผูร้ บั ใช้ กินดื่มกับพวกขี้เมา นายของผู้รับใช้นั้นจะกลับมาในวันที่เขามิได้คาดหมาย ในเวลาที่เขาไม่รู้ นายก็จะแยก เขาออกให้ไปอยู่กับพวกหน้าซื่อใจคด ที่นั่นจะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง”
พระเป็นเจ้าทรงยืนอยู่ข้างคนยากจนขัดสน เมื่อสถาบันศาสนาสร้างแอกไว้บนบ่าแก่ผู้คน พระองค์ก็ทรง หักทิง้ เสีย เราทุกคนมีกางเขนทีต่ อ้ งแบกด้วยกันทัง้ สิน้ ความต่างระหว่างพระเยซูเจ้ากับพวกฟาริสกี ค็ อื พระเยซู เจ้าทรงแบกไม้กางเขนร่วมกับเราในขณะที่ความบิดเบี้ยวในสังคมมีพวกที่ผลักกางเขนของตนให้คนอื่นแบก ใครไม่ทำ�งานก็อย่ากิน จึงเป็นคำ�ที่นักบุญเปาโลสอนสัตบุรุษถึงความผิดเพี้ยนในชีวิตนั้น ท่านจึงไม่เอาเปรียบ ใคร พระเยซูเจ้าประทานกางเขนแก่เราในวันนี้แล้วพระองค์ทรงลงมาแบกมันร่วมกับเรา
ระลึกถึง น.ยอห์น แบปติสต์ ถูกตัดศีรษะ สดด 71:1-3ก,3ข-5 6,14-15
บทอ่านที่ 1
ยรม 1:17-19
พระวรสาร
มก 6:17-29
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ดังนั้น ท่านจงคาดสะเอว จงลุกขึ้นไปบอก ทุกสิง่ ทีเ่ ราจะสัง่ ท่านให้เขาฟัง อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราจะทำ�ให้ทา่ นไม่พรัน่ พรึงต่อหน้า เขา ดูซิ วันนี้เราทำ�ให้ท่านเป็นเหมือนเมืองป้อม เป็นเหมือนเสาเหล็ก และเป็นเหมือน กำ�แพงทองสัมฤทธิ์ ต่อสูก้ บั ทัว่ แผ่นดิน กับบรรดากษัตริยแ์ ห่งยูดาห์และเจ้านาย บรรดา สมณะและประชากรของแผ่นดิน เขาทัง้ หลายจะต่อสูก้ บั ท่าน แต่จะไม่ชนะท่าน เพราะ เราอยู่กับท่านเพื่อช่วยท่านให้รอดพ้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส
เวลานัน้ กษัตริยเ์ ฮโรดองค์นเี้ คยทรงสัง่ ให้จบั กุมยอห์น และล่ามโซ่ขงั คุกไว้ เพราะ เรื่องของนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟีลิปพระอนุชา ซึ่งกษัตริย์เฮโรดทรงรับมาเป็นมเหสี ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ยอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า “ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับภรรยาของน้องชายมาเป็น มเหสี” นางเฮโรเดียสจึงโกรธแค้นและปรารถนาจะฆ่ายอห์นเสีย แต่ฆ่าไม่ได้ เพราะ กษัตริย์เฮโรดยังทรงเกรงยอห์นอยู่ ทรงทราบว่ายอห์นเป็นคนชอบธรรมและศักดิ์สิทธิ์ จึงทรงป้องกันไว้ เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงฟังคำ�พูดของยอห์น ทรงรู้สึกสับสน แต่ก็ทรงยินดีที่จะฟัง นางเฮโรเดียสได้โอกาสเมือ่ กษัตริยเ์ ฮโรดทรงจัดให้มงี านเลีย้ งขุนนางกับนายทหารชัน้ ผูใ้ หญ่และคนสำ�คัญ ในแคว้นกาลิลีในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำ�เป็นที่พอพระทัย ของกษัตริย์เฮโรด และเป็นที่พอใจของผู้รับเชิญ กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ท่านอยากได้อะไรก็ขอมา เถิด เราจะให้” และยังทรงสาบานอีกว่า “ท่านขออะไรเราก็จะให้ แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักรของเรา ก็ตาม” หญิงสาวจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี” มารดาตอบว่า “จงขอศีรษะของยอห์น ผู้ทำ�พิธีล้าง” หญิงสาวจึงรีบกลับมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า “หม่อม ฉันขอศีรษะของยอห์นผู้ทำ�พิธีล้างใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะทรงเห็นแก่ผู้รับเชิญ ไม่ทรงปรารถนา จะขัดใจหญิงสาว จึงทรงสั่งเพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นมาทันที เพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก ใส่ถาดนำ�มาให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำ�ไปให้มารดา เมื่อบรรดาศิษย์ของยอห์นรู้เรื่อง จึงมารับศพของยอห์น นำ�ไปฝังไว้ในคูหา ชาวโครินธ์ได้รับพระพรทุกด้าน 1. การประกาศพระวาจา ทั้งที่ได้ยินและที่มีความสามารถประกาศออก ไปแก่ผู้อื่น 2. ความรู้ทุกอย่าง ทั้งสองสิ่งนี้ครอบครัวของเรามีครบถ้วนหรือไม่ ทุกวันมีใครเล่าเรื่องพระเป็น เจ้า เรื่องดีๆ ในพระคัมภีร์ให้เราฟังบ้างหรือไม่ เรามีไบเบิล ไดอารี่อ่านเป็นขุมทรัพย์ประจำ�วันหรือไม่ แล้วเรา ได้เล่าเรื่องราวดีๆ เหล่านี้ออกไปให้แก่ใครบ้าง พระพรแห่งการเป็นพยานอย่างแข็งขัน เราอยากให้คนอื่นรู้ว่า พระเป็นเจ้าดีอย่างไรก็จงเล่าให้คนอืน่ ฟังว่าพระเป็นเจ้าทรงทำ�อย่างไรกับชีวติ ของเรา ชาวโครินธ์ได้รบั แล้วต้อง รู้จักวิธีคืน นายคือพระเจ้าฝากสิ่งต่างๆ ไว้ในมือเรา เราต้องรู้จักใช้โอกาสนั้นทำ�อย่างดีที่สุด เพราะเราต้องคืน ได้ทุกเวลาเมื่อนายจะกลับมา
บทอ่านที่ 1
1 คร 1:26-31
พี่น้องทั้งหลาย จงพิจารณาดูเถิด เมื่อพระเจ้าทรงเรียกท่านนั้น มีน้อยคนที่ฉลาด ตามมาตรฐานของมนุษย์ น้อยคนที่มีอิทธิพล น้อยคนที่มีตระกูลสูง แต่พระเจ้าทรง เลือกสรรคนโง่เขลาในสายตาของโลกเพื่อทำ�ให้คนฉลาดต้องอับอาย พระเจ้าทรง เลือกสรรคนที่โลกถือว่าอ่อนแอเพื่อทำ�ให้ผู้แข็งแรงต้องอับอาย และพระเจ้าทรงเลือก สรรสิ่งตํ่าช้าน่าดูหมิ่นไร้คุณค่าในสายตาของชาวโลกเพื่อทำ�ลายสิ่งที่โลกเห็นว่าสำ�คัญ ทัง้ นี้ เพือ่ มิให้มนุษย์โอ้อวดเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าได้ เดชะพระองค์ ท่านจึงมีความ เป็นอยู่ในพระคริสตเยซูผู้ที่พระเจ้าทรงตั้งให้เป็นปรีชาญาณสำ�หรับเรา ทั้งยังทรงเป็นผู้ บันดาลความชอบธรรม ความศักดิส์ ทิ ธิแ์ ละการไถ่กอู้ กี ด้วย เพือ่ ให้เป็นไปตามทีเ่ ขียนไว้ ในพระคัมภีร์ว่า “ผู้ใดจะโอ้อวด ก็ให้ผู้นั้นโอ้อวดในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด”
พระวรสาร
มธ 25:14-30
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา สดด 33:11-13, 18-19,20-22
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรือ่ งอุปมาให้บรรดาศิษย์ฟงั ว่าดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์ยงั จะเปรียบได้กบั บุรษุ ผู้หนึ่งกำ�ลังจะเดินทางไกล เรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้ ให้คนที่หนึ่งห้าตะลันต์ ให้คนที่สองสองตะลันต์ ให้คนที่สามหนึ่งตะลันต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจึงออกเดินทางไป... หลังจากนัน้ อีกนาน นายของผูร้ บั ใช้พวกนีก้ ก็ ลับมาและตรวจบัญชีของพวกเขา คนทีร่ บั ห้าตะลันต์เข้ามา นำ�กำ�ไรอีกห้าตะลันต์มาด้วย กล่าวว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าห้าตะลันต์ นี่คือเงินอีกห้าตะลันต์ที่ข้าพเจ้า ทำ�กำ�ไรได้’ นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่อง ใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกบั นายของเจ้าเถิด’ คนทีร่ บั สองตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ขา้ พเจ้าสอง ตะลันต์ นี่คือเงินอีกสองตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำ�กำ�ไรได้’ นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ใน สิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’ คนที่รับหนึ่งตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนเข้มงวด เก็บเกี่ยวในที่ที่ท่านไม่ ได้หว่าน เก็บรวบรวมในทีท่ ที่ า่ นไม่ได้โปรย ข้าพเจ้ามีความกลัว จึงนำ�เงินของท่านไปฝังดินซ่อนไว้ นีค่ อื เงินของ ท่าน’ นายจึงตอบว่า ‘ผู้รับใช้เลวและเกียจคร้าน เจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ที่ข้ามิได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ข้า มิได้โปรย เจ้าก็ควรนำ�เงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เมื่อข้ากลับมาจะได้ถอนเงินของข้าพร้อมกับดอกเบี้ย จงนำ� เงินหนึ่งตะลันต์จากเขาไปให้แก่ผู้ที่มีสิบตะลันต์ เพราะผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น และเขาจะมีเหลือเฟือ แต่ผู้ ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีก็จะถูกริบไปด้วย ส่วนผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ จงนำ�ไปทิ้งในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะ มีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง” ยอห์น บัปติสต์เป็นนักบุญองค์ส�ำ คัญทีเ่ ทศน์เตรียมผูค้ นให้กลับใจก่อนทีพ่ ระเยซูเจ้าจะเสด็จออกเทศนา สั่งสอน คำ�เทศน์ของยอห์นตรงไปตรงมาจนต้องถูกจับ ท่านต้องการแสดงให้เห็นว่ายุคแห่งพระเมสสิยาห์มา ถึงแล้ว ดังนั้น ไม่เว้นใครเลยก็ต้องกลับใจแม้กษัตริย์เฮโรดผู้ทำ�บาป ท่านไม่ต้องการท้าทายอำ�นาจบ้านเมือง เพราะท่านไม่สนใจเกียรติทางโลกอยู่แล้ว แต่ท่านใส่ใจที่จะให้ผู้คนตระหนักว่าเราแกล้งทำ�ปิดหูปิดตาทำ�บาป แล้วเดินเข้าไปในพระอาณาจักรที่มาถึงแล้วไม่ได้ ความกล้าหาญแบบนี้ได้รับการคํ้าจุนเช่นเดียวกับเยเรมีย์ที่ ต้องไปเทศน์ให้ชาวยิว สมณะและกษัตริย์แห่งยูดาห์กลับใจ พระเป็นเจ้าจะทรงอยู่กับเราในโลกทุกวันนี้ ไม่มี ใครชนะเราได้ ถ้าเราต้องยืนยันความจริงในนามของพระเป็นเจ้า พระเยซูเจ้าทรงประทานพละกำ�ลังให้แก่เรา
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 20:7-9
สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงล่อลวงข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ยอมให้ถูก ล่อลวง พระองค์ทรงพลังเหนือข้าพเจ้า และทรงมีชยั ชนะ ข้าพเจ้าเป็นทีน่ า่ หัวเราะวันยัง คํ่า ทุกคนเยาะเย้ยข้าพเจ้า ทุกครั้งที่พูด ข้าพเจ้าต้องร้องขอความช่วยเหลือ ตะโกนว่า “แย่แล้ว ตายแน่ๆ” เพราะพระวาจาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เป็นเหตุให้ขา้ พเจ้าต้องอับอาย และถูกเยาะเย้ยอยู่ตลอดวัน แม้ข้าพเจ้าจะพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่คิดถึงพระองค์ และจะ ไม่พูดในพระนามของพระองค์อีก” แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีไฟเผาอยู่ในใจ อัด อยู่ในกระดูกของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพยายามควบคุมไฟนี้ไว้จนอ่อนเปลี้ย แต่ก็ควบคุมไว้ ไม่ไหว
เพลงสดุดี
สดด 63:1-2,3-5,6-9,10-11
ก) ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าแสวงหาพระองค์ตั้งแต่เช้าตรู่ จิตใจข้าพเจ้ากระหายหาพระองค์ ร่างกายข้าพเจ้าปรารถนาจะพบพระองค์ เหมือนผืนดินที่แห้งผาก แห้งแล้ง ไม่มีนํ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเฝ้ามองพระองค์ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อชมพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ข) เพราะความรักมั่นคงของพระองค์มีคุณค่ากว่าชีวิต ริมฝีปากข้าพเจ้าจะพรํ่าสรรเสริญพระองค์ ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ตลอดชีวิต ข้าพเจ้าจะชูมือขึ้นเรียกขานพระนามของพระองค์ ข้าพเจ้าจะอิ่มประดุจได้กินอาหารโอชาในงานเลี้ยง ริมฝีปากของข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ด้วยความยินดี ค) เมื่อนอนบนเตียง ข้าพเจ้าระลึกถึงพระองค์ ข้าพเจ้าคำ�นึงถึงพระองค์ทุกโมงยามตลอดคืน เพราะพระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือของข้าพเจ้าเสมอมา ข้าพเจ้าจึงร้องเพลงด้วยความยินดีอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์ จิตใจข้าพเจ้าชิดสนิทกับพระองค์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์พยุงข้าพเจ้าไว้ ส่วนผู้ที่มุ่งเอาชีวิตของข้าพเจ้า จะต้องลงไปในขุมลึกของแผ่นดิน ง) เขาจะถูกฆ่าด้วยคมดาบ เป็นอาหารของหมาใน แต่พระราชาจะทรงยินดีในพระเจ้า
ทุกคนที่สาบานโดยอ้างพระนามของพระองค์จะภูมิใจ เพราะปากของคนพูดเท็จจะถูกปิดให้เงียบ
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 12:1-2
พี่น้อง เพราะเห็นแก่พระกรุณาธิคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าอ้อนวอนท่านทั้งหลายให้ถวายร่างกายของ ท่านเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า นี่เป็นคารวกิจด้วยจิตใจของท่าน อย่าคล้อยตามความประพฤติของโลกนี้ แต่จงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยการฟื้นฟูความคิดขึ้นใหม่ เพื่อจะ ได้รู้จักวินิจฉัยว่าสิ่งใดเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งใดดี สิ่งใดเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อม
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 16:21-27
ตั้งแต่นนั้ มา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มแจ้งแก่บรรดาศิษย์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับ การทรมานอย่างมากจากบรรดาผูอ้ าวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ จะถูกประหารชีวติ แต่จะทรงกลับ คืนพระชนมชีพในวันที่สาม เปโตรนำ�พระองค์แยกออกไป ทูลทัดทานว่า “ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นจี้ ะไม่เกิดขึน้ กับพระองค์ อย่างแน่นอน” แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสแก่เปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลังเรา เจ้าเป็นเครื่อง กีดขวางเรา เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์วา่ “ถ้าผูใ้ ดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของ ตนและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของ ตนเพราะเรา ก็จะพบชีวติ นิรนั ดร มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการทีไ่ ด้โลกทัง้ โลกเป็นกำ�ไร แต่ตอ้ งเสียชีวติ มนุษย์จะต้องให้สิ่งใดเพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ เมื่อนั้น พระองค์จะประทานรางวัลแก่ทุกคนตามความประพฤติของเขา”
การพยายามสุดความสามารถทีจ่ ะดำ�เนินชีวติ อย่างดีกค็ อื การเอาเงินตะลันต์ทพี่ ระทรงฝากไว้มาทำ�ให้ เกิดผล ไม่มีใครเกิดมาได้รับน้อยจนไม่สามารถทำ�อะไรได้ แม้ผู้พิการยังสรรสร้างความดีงามแก่โลกและ สังคมอย่างมากมาย การทีเ่ ราเกิดมามิใช่เรือ่ งบังเอิญ พระเป็นเจ้าทรงเตรียมงานใหญ่ไว้ให้แก่เรา จงค้นให้ พบว่าเราทำ�อะไรได้ดี อย่าเชือ่ คนทีท่ �ำ ให้เราหมดกำ�ลังใจเพราะเวลาทีเ่ ราลำ�บากเขาไม่เคยให้เราแม้สกั หนึง่ บาทที่จะสู้ชีวิตต่อไป พระเป็นเจ้าต่างหากประทานพระพรบางอย่างแก่เรา จงหามันให้พบ มันอาจหลบ ซ่อนอยู่ ที่เรายังหามันไม่เจออาจเป็นว่าเรามัวแต่คิดถึงแต่ความสามารถที่เป็นค่านิยมของคนในโลก เช่น เรียนเก่ง เล่นกีฬาเก่ง บางทีเราลืมไปว่าความสามารถของเราที่คนอื่นไม่มีคือ เราไม่เคยพูดจาทำ�ร้ายใคร ใครมาพูดกับเราก็มีแต่ความสงบในจิตใจ