บทอ่านที่ 1 อพย 33:7-11 และ 34:5ข-9,28 ในครั้งนั้น โมเสสเคยตั้งกระโจมไว้นอกค่าย ห่างออกไปเล็กน้อย เขาเรียก กระโจมนีว้ ่ากระโจมนัดพบ ผูใ้ ดต้องการคำ�แนะนำ�จากองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ผูน้ นั้ จะ ออกไปยังกระโจมนัดพบที่ตั้งอยู่นอกค่าย... เมื่อโมเสสเข้าไปในกระโจม จะมีเมฆ เป็นลำ�ลอยลงมาอยู่ที่ประตูกระโจม... ทุกคนจะยืนขึ้น และกราบลงที่ประตู กระโจมของตน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสนทนากับโมเสสตามลำ�พังเหมือนเพือ่ นคุย ระลึกถึง น.อัลฟองโซ มารีย์ เด ลิกวอรี กัน แล้วโมเสสก็กลับเข้าค่าย แต่ชายหนุ่มที่รับใช้โมเสส ชื่อโยชูวาบุตรของนูน ไม่ ได้ออกจากกระโจมนัดพบ องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในเมฆ ประทับอยู่กับโมเสส พระสังฆราชและ นักปราชญ์แห่ง ที่นั่น ทรงประกาศพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า พระศาสนจักร องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าโมเสส ทรงประกาศว่า “เราเป็นองค์ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้เมตตาและกรุณา ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักมั่นคง สดด 103:6-7,8-10, และความซือ่ สัตย์ เรารักษาความรักมัน่ คงของเราไว้แก่ชนหลายพันชัว่ อายุคน และ 11-13 อภัยความผิด อภัยการล่วงเกินและอภัยบาป แต่เราไม่ละเลยที่จะลงโทษ เราจะ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ลงโทษความผิดของบิดาในลูกหลานเหลนจนถึงสามสี่ชั่วอายุคน” โมเสสรีบก้ม กราบกับพื้นดินนมัสการพระองค์ เขาทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าข้าพเจ้า เป็นผูท้ พี่ ระองค์โปรดปราน ขอพระองค์เสด็จไปกับข้าพเจ้าทัง้ หลายเถิด ประชากร เหล่านีด้ อื้ ดึงก็จริงอยู่ แต่ขอพระองค์ทรงยกโทษความผิดและบาปของข้าพเจ้าทัง้ หลายด้วยเถิด ขอพระองค์ทรงรับข้าพเจ้าทั้งหลายไว้เป็นสมบัติของพระองค์ด้วยเถิด” โมเสสอยู่ที่นั่นกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืน โดยไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงจารึกถ้อยคำ�ของพันธสัญญา คือบทบัญญัติสิบประการไว้บนแผ่นศิลาทั้งสองแผ่น พระวรสาร มธ 13:36-43 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า “โปรด อธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด” พระองค์ตรัสว่า “ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์ ทุ่ง นาคือโลก เมล็ดพันธุด์ คี อื พลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูทหี่ ว่าน คือปีศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์” “ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนัน้ บุตรแห่งมนุษย์จะใช้ทตู สวรรค์ มารวบรวมทุกสิ่งที่ทำ�ให้หลงผิดและทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร แล้วเอา ไปทิ้งในกองไฟ ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ส่วนผู้ชอบธรรมจะ ส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด” พระเจ้าอนุญาตให้โมเสสเข้าพบพระองค์เป็นการส่วนตัว และเผยให้อิสราเอลทราบว่า พระองค์มีใจเมตตากรุณา เปี่ยมด้วยความรักมั่นคง ซื่อสัตย์ อภัยบาปความผิด...และโมเสสขอพระองค์รับ ชาวอิสราเอลเป็นสมบัติของพระองค์... เราคริสตชนเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน เราเป็นสมบัติของพระเจ้า ผู้ทรงเมตตากรุณาล้นพ้น... เราอยู่ได้เพราะพระองค์ให้อภัย...
น.เอวเซบิโอ แห่งแวร์แชลลี พระสังฆราช น.เปโตร ยูเลียน ไรมาร์ด พระสงฆ์ สดด 99:5,6,7,8ค-9
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 อพย 34:29-35 เมือ่ โมเสสถือแผ่นศิลาจารึกพระบัญญัตสิ องแผ่นลงมาจากภูเขาซีนาย เขาไม่รู้ ว่าใบหน้าของเขามีแสงเรืองเพราะเขาได้สนทนากับองค์พระผู้เป็นเจ้า อาโรนกับ ชาวอิสราเอลทั้งปวงมองดูโมเสสก็เห็นว่าใบหน้าของเขามีแสงเรือง เขาทั้งหลาย กลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่โมเสสเรียกอาโรนกับบรรดาหัวหน้าประชากรให้เข้ามา หา แล้วพูดกับเขา หลังจากนั้น ชาวอิสราเอลทั้งหมดก็เข้ามาใกล้ โมเสสเล่าให้เขา รู้ทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาแก่เขาบนภูเขาซีนาย เมื่อโมเสสพูดจบ เขาเอาผ้าคลุมมาปิดหน้าไว้ ทุกครั้งที่โมเสสเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อสนทนา กับพระองค์ เขาจะปลดผ้าคลุมหน้าออกจนกระทัง่ เขากลับออกมา เมือ่ เขาออกมา เขาจะเล่าให้ชาวอิสราเอลรูถ้ งึ พระบัญชาทีเ่ ขาได้รบั เมือ่ ชาวอิสราเอลมองใบหน้า ของโมเสสก็เห็นใบหน้าของเขามีแสงเรือง แล้วโมเสสจะเอาผ้าคลุมปิดหน้าไว้ จนกว่าเขาจะเข้าไปสนทนากับพระองค์ในครั้งต่อไป พระวรสาร มธ 13:44-46 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กบั ขุมทรัพย์ทซี่ อ่ นอยูใ่ นทุง่ นา คนทีพ่ บก็ฝงั ซ่อน สมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อนาแปลงนั้น” “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้ พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น” ชีวิตของเรามนุษย์คือการเลือก เรามีโอกาสเลือกหลายร้อยหลายพัน ครั้งว่า จะเอาสิ่งนี้และไม่เอาสิ่งนั้น แต่การเลือกที่สำ�คัญยิ่งคือการเลือกระหว่าง พระเจ้ากับพระเท็จเทียม เลือกเอาพระอาณาจักรของพระองค์หรืออาณาจักรแห่ง ความมืดมน ถ้าเลือกพระเจ้า เราได้รับความรอดนิรันดร ถ้าเลือกเอาพระเท็จเทียม เราก็สูญเสียชีวิตนิรันดร์
บทอ่านที่ 1 อพย 40:16-21,34-38 ในครั้งนั้น โมเสสทำ�ทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา เขาตั้งกระโจม ทีป่ ระทับขึน้ ในวันต้นเดือนแรกของปีทสี่ อง หลังจากทีไ่ ด้ออกจากอียปิ ต์ โมเสสตัง้ กระโจมทีป่ ระทับ วางฐานรับเสา ตัง้ กรอบติดไม้ขวางและตัง้ เสา กางผ้าคลุมเหนือ กระโจมที่ประทับ และคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา นำ� แผ่นศิลาจารึกใส่ลงในหีบ สอดคานหามไว้ในห่วงของหีบ นำ�พระที่นั่งพระกรุณา มาปิดไว้ นำ�หีบเข้ามาตัง้ ไว้ในกระโจมทีป่ ระทับ ขึงม่านกัน้ หีบบรรจุแผ่นศิลาจารึก ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา เมฆปกคลุมกระโจมนัดพบ และพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เต็ม กระโจมทีป่ ระทับ โมเสสเข้าไปในกระโจมนัดพบไม่ได้ เพราะเมฆหนาทึบอยูเ่ หนือ กระโจม และพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เต็มกระโจมที่ประทับ เมือ่ เมฆลอยขึน้ จากกระโจมทีป่ ระทับ ชาวอิสราเอลจะออกเดินทางต่อไป ถ้า เมฆไม่ลอยขึ้น เขาก็ไม่ออกเดินทางไปที่อื่น เขาจะคอยจนกว่าเมฆลอยขึ้น เพราะ เมฆแสดงว่าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอยูเ่ หนือกระโจมทีป่ ระทับในเวลากลางวัน และมีไฟ ลุกในเมฆในเวลากลางคืน เพื่อให้ชาวอิสราเอลทั้งหมดมองเห็นได้ตลอดเวลาการ เดินทาง พระวรสาร มธ 13:47-53 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์ยงั เปรียบได้อกี กับอวนทีห่ ย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลา เลวก็โยนทิ้งไป เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์ จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การ รํ่าไห้ครํ่าครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง” “ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่” บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า “เข้าใจ แล้ว” พระองค์จึงตรัสว่า “ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักร สวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำ�ทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน” เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาเหล่านี้จบแล้ว พระองค์เสด็จออกจากที่นั่น ในโลก มีทงั้ คนดีและคนชัว่ บางทีคนดีกเ็ ป็นคนชัว่ มาก่อนแล้วเมือ่ สำ�นึก ตัวก็กลับใจ พระศาสนจักรเป็นเหมือนอวนทีจ่ บั ปลาทุกชนิด วันมรณะเป็นวันสิน้ สุดของ กิจกรรมทุกอย่าง ทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาแยกคนสองจำ�พวกจากกัน ทิ้งคนชั่วลงใน ขุมไฟนิรันดร
สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา สดด 84:1-2,3-4, 5-6,10
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 ลนต 23:1,4-11,15-16,27,34ข-37 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชาวอิสราเอลว่า “วันสมโภชอื่นๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ชาวอิสราเอลต้องมาชุมนุมกัน นมัสการพระองค์ตามเวลากำ�หนด มีดังต่อไปนี้ วันที่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่ง ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตก ท่านจะต้องฉลองปัสกาเป็น เกี ย รติ แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า วันที่สิบห้าเดือนเดียวกัน เริ่มเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ ระลึกถึง น.ยอห์น เป็นเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน ใน มารีย์ เวียนเนย์ วันแรก ท่านจะต้องจัดชุมนุมเพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า และงดทำ�งานทุก พระสงฆ์ อย่าง ท่านจะต้องถวายสิ่งของเป็นเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งเจ็ดวัน สดด 81:2-3,4-5, ในวันที่เจ็ด ท่านจะต้องจัดชุมนุมนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกครั้งหนึ่งและงด 9-10 ทำ�งานทุกอย่าง” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชาวอิสราเอลอีกว่า วันศุกร์ต้นเดือน “เมือ่ ท่านทัง้ หลายเข้าไปในแผ่นดินทีเ่ ราจะให้แก่ทา่ นและจะเก็บเกีย่ วพืชผล ได้แล้ว ท่านจะต้องนำ�ข้าวฟ่อนแรกที่เก็บเกี่ยวได้ไปมอบให้สมณะ สมณะจะนำ� ข้าวฟ่อนนั้นไปยื่นถวายตามพิธีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงรับและ โปรดปรานท่าน... วันทีส่ บิ ของเดือนทีเ่ จ็ดจะเป็นวันชดเชยบาป ท่านทัง้ หลายจะต้องจัดชุมนุมเพือ่ นมัสการองค์พระ ผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องจำ�ศีลอดอาหารและนำ�สิ่งของมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชาใช้ไฟ เผา... ในวันที่แปด... ท่านจะต้องงดทำ�งานทุกอย่าง นีค่ ือวันสมโภชองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ที่ทา่ นจะต้องเรียกประชาชนมาชุมนุมกันเพื่อนมัสการพระองค์ และเพื่อนำ�ของมาใช้ไฟเผาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า...” พระวรสาร มธ 13:54-58 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่น มายังถิ่นกำ�เนิดของพระองค์ ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ของชาวยิว ประชาชนต่างประหลาดใจและพูดว่า “คนนี้เอาปรีชาญาณและอำ�นาจทำ�อัศจรรย์มาจาก ที่ใด เขาเป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ แม่ของเขาชื่อมารีย์ พี่ชายน้องชายของเขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาหรือ พีส่ าวน้องสาวทุกคนของเขาก็อยูก่ บั เรามิใช่หรือ เขาไปได้สงิ่ เหล่านีม้ าจากทีใ่ ด” คนเหล่า นีร้ สู้ กึ สะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถกู เหยียดหยาม นอกจากในถิน่ กำ�เนิดและในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำ�อัศจรรย์ทนี่ นั่ ไม่มากนัก เพราะเขาเหล่านัน้ ไม่มีความเชื่อ พระเยซูเจ้าไม่ได้รับการต้อนรับที่นาซาเร็ธ เพราะคนเห็นพระองค์เป็นแค่บุตรของ น.โยเซฟ ช่างไม้ที่หาเช้ากินคํ่า ไม่มีเงินทอง ไม่หรูหรา ไม่มีหน้าตาในสังคม ทุกวันนี้ หลายคนก็ไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า เพราะเห็นว่าพระองค์บังเกิดมาตํ่าต้อย อยู่ในครอบครัวที่หาเช้ากินคํ่า ถูกตรึงกางเขนแบบไร้ญาติขาดศิษย์ คนจึงด่วนสรุปว่า พระองค์ไม่ใช่พระเจ้า น.ยอห์น มารีย์ เวียนเนย์ ถูกดูถูกทั้งจากอาจารย์และบรรดาเณรด้วยกัน เขาว่าท่านซื่อจนเซ่อ มีสมอง เท่าไส้เดือน สอบได้ที่สุดท้าย แต่ช้าก่อน หนทางพิสูจน์ม้า เวลาพิสูจน์คน ท่านมีสิ่งประเสริฐที่คนอื่นไม่เห็น คือท่านเป็นคนของพระเจ้า ท่านดึงดูดคนทุกชนิดในสังคมให้มาพบพระเจ้าผ่านทางท่าน
บทอ่านที่ 1 ลนต 25:1,8-14,17ข องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสบนภูเขาซีนาย ให้บอกชาวอิสราเอลว่า “ท่านจะต้องนับระยะเวลาเจ็ดปีเจ็ดครั้ง จะได้รวมทั้งสิ้นสี่สิบเก้าปี ในวันที่ สิบเดือนเจ็ด ท่านจะสัง่ ให้เป่าเขาสัตว์ ท่านจะสัง่ ให้ประกาศวันชดเชยบาปโดยเป่า เขาสัตว์ทั่วแผ่นดินของท่าน ท่านจะต้องประกาศว่าปีที่ห้าสิบนั้นเป็นปีศักดิ์สิทธิ์ และประกาศการปลดปล่อยสำ�หรับทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน ปีนั้นจะได้ชื่อว่า วันถวายพระวิหาร แม่พระแห่งหิมะ ‘ปีเป่าเขาสัตว์’ สำ�หรับท่าน แต่ละคนจะได้รบั ทีด่ นิ ของตระกูลคืนมา แต่ละคนจะ กลับไปยังครอบครัวของตน ในปีที่ห้าสิบซึ่งเป็นปีเป่าเขาสัตว์สำ�หรับท่านนี้ ท่าน สดด 67:1-2,6-7 จะต้องไม่หว่านพืช ไม่เก็บเกีย่ วข้าวซึง่ งอกขึน้ เอง ไม่เก็บผลองุน่ จากเถาทีไ่ ม่ได้ลดิ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ปีเป่าเขาสัตว์นจี้ ะเป็นปีศกั ดิส์ ทิ ธิส์ �ำ หรับท่าน ตลอดปีนี้ ท่านจะกินพืชผลทีง่ อกขึน้ เองในทุ่งนา ในปีเป่าเขาสัตว์นี้ แต่ละคนจะได้รบั ทีด่ นิ ของตระกูลคืนมา ดังนัน้ เมือ่ ท่านขายทีด่ นิ แก่เพือ่ นบ้าน หรือซือ้ จากเขา ท่านจะต้องไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เมือ่ ซือ้ ทีด่ นิ จากเพือ่ นบ้าน ท่านจะต้องคำ�นวณราคา ซือ้ ตามจำ�นวนปีทผี่ า่ นมาจากปีเป่าเขาสัตว์ครัง้ ก่อน ราคาขายจะขึน้ อยูก่ บั จำ�นวนปีการผลิตทีย่ งั เหลือ อยู่... เพราะฉะนั้น จงยำ�เกรงพระเจ้าของท่าน เพราะเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน” พระวรสาร มธ 14:1-12 เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า จึงตรัสกับข้าราชบริพารว่า “คนนี้ คือยอห์นผู้ทำ�พิธีล้างที่กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ดังนั้นเขาจึงมีอำ�นาจทำ�อัศจรรย์ได้” กษัตริยเ์ ฮโรดทรงสัง่ ให้จบั กุมยอห์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเรือ่ งของนางเฮโรเดียส ภรรยาของ ฟีลปิ พระอนุชา ยอห์นเคยทูลกษัตริยเ์ ฮโรดว่า “ไม่ถกู ต้องทีพ่ ระองค์ทรงรับนางมาเป็นมเหสี” กษัตริย์ เฮโรดต้องการจะฆ่ายอห์น แต่ทรงเกรงประชาชน เพราะประชาชนคิดว่ายอห์นเป็นประกาศก ในวัน คล้ายวันประสูติของกษัตริย์เฮโรด บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสได้เต้นรำ�ต่อหน้าแขกรับเชิญ เป็นที่พอ พระทัยกษัตริย์เฮโรดอย่างยิ่ง พระองค์จึงทรงสัญญาและทรงสาบานจะประทานทุกสิ่งที่นางทูลขอ นางจึงทูลตามคำ�แนะนำ�ทีไ่ ด้รบั จากมารดาว่า “โปรดประทานศีรษะของยอห์นผูท้ �ำ พิธลี า้ งใส่ถาด มาให้หม่อมฉันที่นี่เถิด” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์ แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะเห็นแก่ผู้รับเชิญ จึงทรงสั่งให้จัดการตามที่นางขอ กษัตริย์เฮโรดทรงส่งคนไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก เขาจึงนำ�ศีรษะ ของยอห์นใส่ถาดมาส่งให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำ�ไปให้มารดา บรรดาศิษย์ของยอห์นได้มารับศพไปฝัง แล้วแจ้งข่าวให้พระเยซูเจ้าทรงทราบ พระเจ้ามีความเมตตากรุณา จึงให้ยิวฉลองปีเป่าเขาสัตว์ หรือยูบีลี (ฉลองทุก 50 ปีเพื่อให้ คนจนที่สูญเสียที่ดินได้ที่ดินคืนมา พระเยซูเจ้าใช้ภาพยูบีลีนี้เพื่อพูดถึงการเสด็จมาของพระองค์ผู้เป็นพระ มหาไถ่ พระองค์ทรงยก “หนี้จิตวิญญาณ” เราจึงเป็นอิสระ เรื่อง น.ยอห์นถูกตัดศีรษะ เป็นประวัติศาสตร์ซํ้ารอยวันแล้ววันเล่าจนถึงสมัยของเรา มีการฆ่ากันใน ประเทศต่างๆ ไม่เว้นวัน เป็นการตัดสินเพื่อผลประโยชน์ของตนโดยไม่คำ�นึงถึงความถูกต้อง หรือศีลธรรม หลายคนถูกประหารชีวิตหรือจำ�คุกทั้งๆ ที่เป็นคนบริสุทธิ์
ฉลองพระเยซูเจ้า ทรงประจักษ์ พระวรกาย ต่อหน้าอัครสาวก วันสื่อมวลชนสากล
บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล ดนล 7:9-10,13-14 ขณะทีข่ า้ พเจ้ากำ�ลังมองดูอยูน่ นั้ ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายองค์ถกู นำ�มาตัง้ ไว้ และผู้สูงด้วยวัยวุฒิท่านหนึ่งมานั่งบนบัลลังก์ สวมอาภรณ์ขาวอย่างหิมะ ผมบน ศีรษะขาวเหมือนขนแกะ บัลลังก์ของเขาเหมือนเปลวเพลิง มีลอ้ เหมือนไฟลุกโพลง เบือ้ งหน้าเขามีธารไฟไหลออกมา ผูร้ บั ใช้จ�ำ นวนมาก นับล้านนับโกฏิอสงไขย คอย เฝ้ารับใช้เขา การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น และบรรดาหนังสือก็เปิดออก ข้าพเจ้ายังเห็นนิมิตเวลากลางคืนต่อไป ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตร แห่งมนุษย์ มาพร้อมกับหมู่ก้อนเมฆในท้องฟ้า เขามาพบผู้สูงด้วยวัยวุฒิ และมีผู้ แนะนำ�เขาแก่ท่านผู้นั้น เขาได้รับมอบอำ�นาจปกครอง สิริรุ่งโรจน์ และอาณาจักร ประชาชนทุกชาติทุกภาษารับใช้เขา อำ�นาจปกครองของเขาเป็นอำ�นาจที่คงอยู่ ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด และอาณาจักรของเขาจะไม่มีวันถูกทำ�ลายเลย เพลงสดุดี สดด 97:1-2,5-6,9 ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ แผ่นดินจงเปรมปรีดิ์ เกาะทั้งหลายจงยินดีเถิด เมฆและความมืดห้อมล้อมพระองค์ ความยุติธรรมและกฎเกณฑ์เป็นรากฐานแห่งพระบัลลังก์ของพระองค์ ข) ภูเขาละลายคล้ายขี้ผึ้งเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินทั้งมวล ฟ้าประกาศความเที่ยงธรรมของพระองค์ บรรดาประชาชาติแลเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ค) ถูกต้องแล้ว พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าสูงสุดเหนือแผ่นดินทั้งมวล ทรงสูงส่งล้นพ้นเหนือเทพเจ้าทั้งหลาย บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่สอง 2 ปต 1:16-19 พี่น้องที่รักยิ่ง เมื่อเราประกาศให้ท่านรู้ถึงพระฤทธานุภาพและการเสด็จมา ของพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรานัน้ เรามิได้พดู ตามนิยายงมงายทีส่ ร้าง ขึ้น แต่เราประจักษ์ด้วยตาตนเองถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงรับ พระเกียรติและพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้าพระบิดาเมื่อมีเสียงตรัสจากพระสิริ รุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่มาสู่พระองค์ว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา ซึ่งเราพอใจ” เรา ได้ยินเสียงนี้มาจากสวรรค์ขณะที่เราอยู่กับพระองค์บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เรายังมีถ้อยคำ�ที่น่าเชื่อถือยิ่งกว่านั้นของบรรดาประกาศก และจะเป็นการดี ถ้าท่านสนใจถ้อยคำ�เหล่านี้ รับถ้อยคำ�ดังกล่าวเป็นเสมือนแสงประทีปส่องสว่างใน ที่มืด จนกว่าอรุณจะทอแสง และดาวประจำ�รุ่งจะปรากฏขึ้นในจิตใจของท่าน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 17:1-9 ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายไปบนภูเขาสูงที่ปราศจากผู้คน แล้ว พระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระ พักตร์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสี ขาวดุจแสงสว่าง โมเสสและประกาศกเอลียาห์ส�ำ แดงตน สนทนาอยู่กับพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ที่นี่สบาย น่าอยู่จริงๆ ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ข้าพเจ้าจะสร้าง เพิงขึ้นสามหลัง หลังหนึ่งสำ�หรับพระองค์ หลังหนึ่ง สำ�หรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำ�หรับเอลียาห์” ขณะทีเ่ ปโตรกำ�ลังพูดอยูน่ นั้ มีเมฆสว่างจ้าก้อนหนึง่ ปกคลุมพวกเขาไว้ เสียงหนึง่ ดังจากเมฆนัน้ ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด” เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์ทั้งสามคนซบหน้าลงกับพื้นดิน มีความกลัวอย่างยิ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามา ใกล้ ทรงสัมผัสเขา ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาไม่เห็นผู้ใด นอกจากพระ เยซูเจ้าเท่านั้น ขณะที่กำ�ลังลงจากภูเขา พระเยซูเจ้าทรงกำ�ชับศิษย์ทั้งสามคนว่า “อย่าเล่านิมิตที่ได้เห็นนี้ให้ผู้ใด ฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย” ข้อรำ�พึงสายประคำ�ข้อที่ 4 ประจำ�วันพฤหัสบดี เป็นเรื่องพระเยซูเจ้าพาอัครสาวก 3 องค์คือ เปโตร ยากอบและยอห์นขึ้นภูเขา พระองค์จำ�แลงพระกายให้ศิษย์ได้เห็นสภาพที่แท้จริงของพระองค์คือ สวยงาม ถ้าเราออกจากความวุน่ วายฝ่ายโลก มีเวลาอยูก่ บั พระองค์บา้ งเป็นครัง้ คราว เราก็จะเห็นพระองค์ สวยงามเช่นเดียวกัน
บทอ่านที่ 1 กดว 11:4ข-15 ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลก็บ่นอีกว่า “พวกเราอยากจะได้เนื้อมากินเหลือเกิน ...เราไม่มีอะไรกินเลย ตาของเรามองเห็นแต่มานนาเท่านั้น” มานนามีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชีขาว มีสีเหลืองเหมือนยางไม้ตะครํ้า ประชากรจะออกไปเก็บ นำ�มาโม่หรือใส่ครกตำ�ให้ละเอียดเป็นแป้ง แล้วต้มในหม้อ หรือทำ�เป็นขนมแผ่น มีรสเหมือนขนมปังเคล้านํ้ามันมะกอกเทศ มานนาตกลงมา น.ซิกส์โต ที่ 2 เหนือค่ายพร้อมกับนํ้าค้างในเวลากลางคืน พระสันตะปาปา โมเสสได้ยินประชากรบ่นและร้องไห้... เขาทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า และเพื่อนมรณสักขี “เหตุไฉนพระองค์ทรงทำ�กับผู้รับใช้พระองค์เช่นนี้ ทำ�ไมพระองค์ไม่พอ น.กาเยตาน พระสงฆ์ พระทัยข้าพเจ้าเล่า ทำ�ไมพระองค์จึงทรงให้ข้าพเจ้าต้องมารับแบกภาระดูแล สดด 81:11-14,15-16 ประชากรทัง้ หมดนี.้ .. ข้าพเจ้าจะไปหาเนือ้ ทีไ่ หนมาให้ประชากรทัง้ หมดนีก้ นิ ได้ ... ข้าพเจ้าคนเดียวไม่อาจแบกภาระดูแลประชากรทั้งหมดนี้ได้อีกแล้ว ภาระนี้หนัก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เกินไปสำ�หรับข้าพเจ้า ถ้าพระองค์ทรงประสงค์จะมอบภาระนี้แก่ข้าพเจ้า ขอทรง พระกรุณาประหารชีวิตข้าพเจ้าเสียเถิด ข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ต่อไป” พระวรสาร มธ 14:22-36 ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามทะเลสาบล่วงหน้าพระองค์ไป ใน ขณะที่พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงลาประชาชนแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อ ทรงอธิษฐานภาวนาตามลำ�พัง ครั้นเวลาคํ่า พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพียงพระองค์เดียว ส่วนเรืออยู่ห่าง จากฝั่งหลายร้อยเมตร กำ�ลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม เมื่อถึงยามที่สี่ พระองค์ทรงดำ�เนิน บนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ เมื่อบรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงดำ�เนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมาก กล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วยความกลัว ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ทำ�ใจให้ดี เรา เอง อย่ากลัวเลย” เปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์ ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนนํ้าไปหา พระองค์เถิด” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนนํ้าไปหาพระเยซูเจ้า แต่เมื่อเห็น ว่าลมแรง เขาก็กลัวและเริม่ จมลง แล้วร้องว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” ทันใดนัน้ พระเยซูเจ้าทรง ยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำ�ไมเล่า” เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมา ประทับในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ คนที่อยู่ในเรือจึงเข้ามากราบนมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง” พระเยซูเจ้าทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์มาขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท ผู้คนที่นั่นจำ�พระองค์ ได้ จึงส่งข่าวต่อๆ กันไปทั่วบริเวณนั้น เขานำ�ผู้เจ็บป่วยทุกคนมาเฝ้าพระองค์ ทูลขอสัมผัสเพียงฉลอง พระองค์เท่านั้น และทุกคนที่สัมผัสแล้ว ก็หายจากโรค โมเสสเมื่อได้ยินเสียงบ่น เสียงด่าทอของชาวยิวที่พระเจ้าให้เขานำ�ออกจากอียิปต์และกำ�ลัง พเนจรในทะเลทราย ขาดทั้งอาหารและนํ้า โมเสสรู้สึกท้อแท้และน้อยใจ จึงทูลพระเจ้าว่า “ภาระนี้หนักเกิน ไป ข้าพเจ้าแบกต่อไปไม่ไหวแล้ว โปรดฆ่าข้าพเจ้าเสียเถิด” เราหลายคนในบางเวลาก็ท้อแท้ นึกน้อยใจและอาจจะบ่นว่าพระเจ้า พระองค์จะบอกกับเราว่า “พระ หรรษทานของเรามีเพียงพอสำ�หรับเธอนะ” (2 คร 12:9)
บทอ่านที่ 1 กดว 12:1-13 ในครั้งนั้น โมเสสแต่งงานกับหญิงชาวคูช มีเรียมและอาโรนตำ�หนิโมเสสที่ แต่งงานกับหญิงชาวคูชคนนั้น... ทันใดนัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับโมเสส อาโรนและมีเรียมว่า “ท่านทัง้ สาม คนจงออกมา และไปทีก่ ระโจมนัดพบ” ทัง้ สามคนก็ออกไป แล้วองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เสด็จลงในเสาเมฆประทับอยูท่ ที่ างเข้ากระโจม ตรัสเรียกอาโรนและมีเรียม ทัง้ สอง คนก็เข้าไปใกล้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงฟังถ้อยคำ�ของเราเถิด ถ้ามีประกาศกของเราในหมูท่ ่าน เราจะสำ�แดงตน แก่เขาในนิมิต จะพูดกับเขาในความฝัน แต่กับโมเสสผู้รับใช้ของเราไม่เป็นเช่นนั้น เขาเป็นผู้ซอื่ สัตย์ที่เราให้ดูแลบ้านของเราทั้งหมด เราพูดกับเขาโดยตรง เราพูดกับ เขาอย่างชัดเจน ไม่พดู เป็นปริศนา เขาเห็นจนกระทัง่ รูปสัณฐานขององค์พระผูเ้ ป็น เจ้า ทำ�ไมท่านจึงกล้าพูดตำ�หนิโมเสส ผู้รับใช้ของเราเล่า” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธเขาทั้งสองคนและเสด็จจากไป เมื่อเมฆลอย ขึน้ ไปจากกระโจมนัดพบ มีเรียมก็เป็นโรคผิวหนังทีต่ ดิ ต่อได้ ผิวมีสขี าวเหมือนสำ�ลี อาโรนมองดูมีเรียมก็เห็นว่านางเป็นโรคผิวหนังที่ติดต่อได้ อาโรนกล่าวแก่โมเสสว่า “เจ้านาย โปรดอย่าลงโทษเราเพราะบาปทีเ่ ราได้ท�ำ ไปเนือ่ งจากความโง่เขลาเลย อย่าปล่อยให้นางต้องเป็นเหมือนทารกทีต่ ายในครรภ์ ซึ่งมีโรคที่กินเนื้อไปครึ่งหนึ่งแล้วก่อนจะคลอดออกมา” โมเสสจึงทูลอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงรักษานาง ให้หายเถิด”
ระลึกถึง น.โดมินิก พระสงฆ์ สดด 51:1-2,3-5, 10-12
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร มธ 15:1-2,10-14 เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูล ถามว่า “ทำ�ไมศิษย์ของท่านละเลยขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ เขาไม่ล้างมือ เมื่อกินอาหาร” พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนเข้ามา ตรัสว่า “จงฟังและเข้าใจเถิด สิ่งที่เข้าไปทางปากไม่ทำ�ให้ มนุษย์มีมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั่นแหละทำ�ให้มนุษย์มีมลทิน” บรรดาศิษย์จงึ เข้ามาทูลถามพระองค์วา่ “พระองค์ทรงทราบหรือไม่วา่ พวกฟาริสไี ม่พอใจเมือ่ ได้ยนิ คำ�นี้” พระองค์ทรงตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์มิได้ทรงปลูกไว้ จะถูกถอน ทิ้ง ปล่อยเขาเถิด เขาเป็นคนตาบอดที่นำ�ทางคนตาบอดด้วยกัน ถ้าคนตาบอดนำ�ทางคนตาบอด ทั้ง สองคนก็จะตกลงไปในคู” อาโรนและมีเรียมอิจฉาโมเสสทีพ่ ระเจ้าพูดกับเขาโดยตรงและแต่งตัง้ ให้ดแู ลบ้านของพระองค์ พวกเขาถามว่า “พระเจ้าไม่ได้พูดผ่านทางเราบ้างหรือ” เราเป็นเหมือนอาโรนและมีเรียมทีค่ ดิ ว่าพระเจ้าไม่สนใจว่าเรามีความสำ�คัญ เราอิจฉาทีพ่ ระเจ้าประทาน พรสวรรค์บางอย่างให้คนอื่นหรือไม่
บทอ่านที่ 1 กดว 13:1-2ก,25-14:1,26-30,34-35 ในครั้งนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงส่งคนไปสำ�รวจแผ่นดิน คานาอันที่เรากำ�ลังจะมอบให้แก่ชาวอิสราเอล” หลังจากสำ�รวจดินแดนนั้นได้สี่ สิบวัน เขาก็กลับมาหาโมเสส อาโรน และชุมชนชาวอิสราเอลที่คาเดช ในถิ่น ทุรกันดารปาราน เขารายงานสิ่งที่ตนเห็นให้ทุกคนในที่ประชุมรู้ และนำ�ผลิตผล น.เทเรซา เบเนดิกตา ของแผ่นดินมาให้ทุกคนดู เขาบอกโมเสสว่า “พวกเราได้ส�ำ รวจแผ่นดินนัน้ ตามทีท่ า่ นให้ท�ำ แผ่นดินนัน้ แห่งไม้กางเขน เป็ น แผ่ นดินที่มีนํ้านมและนํ้าผึ้งไหลบริบูรณ์ นี่คือผลิตผลของแผ่นดินนั้น แต่ พรหมจารี ประชาชนทีอ่ าศัยอยูท่ นี่ นั่ มีก�ำ ลังเข้มแข็ง เมืองก็ใหญ่โตและมีปอ้ มปราการป้องกัน และมรณสักขี อย่างดี...” คาเลบสั่งประชาชนที่อยู่กับโมเสสให้เงียบและพูดว่า “พวกเราต้องรีบ สดด 106:6-7, ขึ้นไปยึดครองแผ่นดิน พวกเราสามารถทำ�ได้อย่างแน่นอน” แต่ผู้ที่ไปสำ�รวจกับ 13-15,21-23 เขาพูดว่า “พวกเราไม่อาจเข้าโจมตีชนเหล่านี้ได้ เพราะเขาแข็งแรงกว่าพวกเรา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 มาก” เขาจึงแพร่ข่าวเท็จไปในหมู่ชาวอิสราเอลถึงแผ่นดินที่เขาไปสำ�รวจ... องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนอีกว่า “ชุมชนชัว่ ร้ายนีจ้ ะบ่นว่าเราอีกนานเท่าไร... เรา สาบานว่า แผ่นดินที่เราสัญญาจะให้ท่านเข้าพำ�นักอยู่นั้น จะไม่มีท่านผู้ใดเข้าไปอาศัยอยู่ นอกจาก คาเลบบุตรของเยฟุนเนห์ และโยชูวาบุตรของนูนเท่านั้น ท่านทั้งหลายใช้เวลาสี่สิบวันสำ�รวจแผ่นดิน ท่านจะต้องรับโทษเป็นเวลาสี่สิบปี โดยคิดหนึ่งวันเป็นหนึ่งปี แล้วท่านจะรู้ว่าการทรยศต่อเรานั้น หมายความว่าอย่างไร เรา องค์พระผู้เป็นเจ้าได้สาบานจะทำ�เช่นนี้กับชุมชนชั่วร้ายที่ได้รวมหัวกันต่อ ต้านเรา เขาทุกคนจะต้องตายในถิ่นทุรกันดารนี้” พระวรสาร มธ 15:21-28 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่น มุ่งไปเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน ทันใดนั้น หญิงชาว คานาอันคนหนึ่งจากเขตแดนนี้ร้องว่า “โอรสกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วยเถิด บุตร สาวของข้าพเจ้าถูกปีศาจสิงต้องทรมานมาก” แต่พระองค์มิได้ตรัสตอบประการใด บรรดาศิษย์จึงเข้า มาทูลพระองค์ว่า “โปรดประทานตามที่นางทูลขอเถิด เพราะนางร้องตะโกนตามหลังพวกเรามา” พระองค์ทรงตอบว่า “เราถูกส่งมาเพือ่ แกะทีพ่ ลัดหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านัน้ แต่นางเข้ามากราบ พระองค์ทลู ว่า “พระเจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด” พระองค์ทรงตอบว่า “ไม่สมควรทีจ่ ะเอาอาหาร ของลูก มาโยนให้ลูกสุนัขกิน” นางทูลว่า “ถูกแล้วพระเจ้าข้า แต่แม้แต่ลูกสุนัขก็ยังได้กินเศษอาหารที่ ตกจากโต๊ะของนาย” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย ความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ จงเป็นไปตาม ที่เจ้าปรารถนาเถิด” และบุตรหญิงของนางก็หายเป็นปกติตั้งแต่บัดนั้น ประชากรอิสราเอลบ่นที่เขายังไม่ได้เข้าในดินแดนพระสัญญา นักสำ�รวจที่โมเสสส่งไปสำ�รวจ แผ่นดินคานาอันที่พระเจ้าหมายมั่นจะมอบให้ชาวอิสราเอลนั้น ไม่ได้ไปทำ�หน้าที่จริงจัง จึงรายงานสิ่งที่เขา คิดและไม่เป็นความจริง ผลที่ตามมาคือชาวอิสราเอลต้องรอเข้าดินแดนพระสัญญานานถึง 40 ปี สิ่งที่เราหวาดหวั่นในชีวิตไม่ใช่ความยากลำ�บาก แต่เราจะทำ�อะไรกับมันต่างหาก มันอาจจะทำ�ให้เราดี ขึ้น หรือทำ�ให้เราพบกับความขมขื่นก็ได้
บทอ่านที่ 1 2 คร 9:6-10 พี่น้อง พึงจำ�ไว้ว่าผู้ที่หว่านเมล็ดพืชเพียงเล็กน้อย ก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็ก น้อย ผูท้ หี่ ว่านเมล็ดพืชมากก็จะเก็บเกีย่ วได้มาก แต่ละคนจงให้ตามทีต่ งั้ ใจไว้ มิใช่ ให้โดยนึกเสียดาย มิใช่ให้โดยฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี พระเจ้าประทานพระหรรษทานทุกประการแก่ท่านได้อย่างอุดม เพื่อให้ท่านมีทุก สิ่งเพียงพอ และยังมีเหลือเฟือสำ�หรับกิจการดีทุกประการอีกด้วย ดังที่มีเขียนไว้ ในพระคัมภีร์ว่า “เขาเอื้อเฟื้อแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของ เขาดำ�รงอยู่ตลอดนิรันดร” พระองค์ผู้ประทานเมล็ดพืชแก่ผู้หว่านและประทานอาหารเลี้ยงชีวิตจะทรง จัดหาและทรงทวีเมล็ดพืชทีท่ า่ นหว่าน และจะทรงเพิม่ พูนผลแห่งความชอบธรรม ของท่านด้วย พระวรสาร ยน 12:24-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและตาย ไป มันก็จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตาย มันก็จะบังเกิดผลมากมาย ผู้ ที่รักชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้ ก็ ย่อมจะรักษาชีวติ นัน้ ไว้ส�ำ หรับชีวติ นิรนั ดร ผูใ้ ดรับใช้เรา ผูน้ นั้ จงตามเรามา เราอยู่ ที่ใด ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่ เขา” พระเจ้าลงโทษโมเสสและอาโรนที่ไม่ไว้ใจในพระองค์ พระองค์บอกว่า “พวกท่านจะไม่ได้เข้าดินแดนพระสัญญา” ทำ�ไมพระเจ้าจึงลงโทษทั้งสองคนอย่าง รุนแรง พวกเขาทำ�อะไรผิด บทอ่านวันนี้ บอกเราว่าพระเจ้าทรงกริว้ ท่านทัง้ สองเพราะ ไม่ได้เผยให้ประชาชนเห็นความรัก ความหวังดีและความห่วงใยของพระองค์ต่อ ประชาชน พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงเลียนแบบอย่างเรา เพราะเรามีใจอ่อนหวานและสุภาพ” (มธ 11:29 ) จากเม็ดมะม่วง มะขาม ลำ�ไย ฯลฯ 1 เม็ด ที่ฝังในดิน ยุ่ย เปื่อยเน่า ชาวสวนได้ คืนเป็นร้อยเท่าพันทวี เช่นเดียวกัน ชีวิต 1 ชีวิตที่ฝังในพระเจ้า ก็ออกผลมากมาย และ เราก็จะได้อยู่กับพระเยซูเจ้า
ฉลอง น.ลอเรนซ์ สังฆานุกร และมรณสักขี สดด 112:1-2,5-6, 7-8,9
บทอ่านที่ 1 ฉธบ 4:32-40 จงดูอดีตก่อนทีท่ า่ นทัง้ หลายจะเกิด ตัง้ แต่วนั ทีพ่ ระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ไว้บน แผ่นดิน จงตรวจตราจากปลายหนึ่งถึงอีกปลายหนึ่งของโลกว่ามีอะไรยิ่งใหญ่เท่า นี้เคยเกิดขึ้นหรือไม่ มีใครเคยได้ยินเรื่องใดที่เหมือนเรื่องนี้หรือไม่ เคยมีประชากร ใดบ้างที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสจากกองไฟ ดังที่ท่านได้ยินและมีชีวิต ระลึกถึง น.กลารา รอดได้ หรือเคยมีพระเจ้าองค์ใดบ้างทีท่ รงกล้าเลือกชนชาติหนึง่ ออกจากอีกชนชาติ หนึ่ง ทรงใช้การทดลอง เครื่องหมายอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์และสงคราม ทรงใช้ พรหมจารี พระหัตถ์ทรงฤทธิ์และพระอานุภาพยิ่งใหญ่บันดาลให้ทุกคนหวาดกลัว ดังที่องค์ สดด 77:11-12, พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านทรงกระทำ�ในอียิปต์ต่อหน้าท่าน 13-14,15 และ 20 พระองค์ทรงสำ�แดงปรากฏการณ์เหล่านี้ให้ท่านรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เป็นพระเจ้าและไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พระองค์ทรงให้ท่านได้ยิน พระสุรเสียงของพระองค์จากสวรรค์เพื่อทรงสอนท่าน พระองค์ทรงให้ท่านเห็นกองไฟกองใหญ่บน แผ่นดิน และให้ท่านได้ฟังพระวาจาจากกลางกองไฟนั้น พระองค์ทรงรักบรรพบุรุษของท่าน จึงทรง เลือกลูกหลานทีจ่ ะตามมาภายหลัง และทรงใช้พระอานุภาพยิง่ ใหญ่น�ำ ท่านออกจากอียปิ ต์ดว้ ยพระองค์ เอง พระองค์ทรงขับไล่ชนชาติทยี่ งิ่ ใหญ่และมีอ�ำ นาจมากกว่าท่าน ออกไปต่อหน้าท่าน เพือ่ ทรงนำ�ท่าน เข้าสู่แผ่นดินและมอบให้เป็นมรดก ดังที่ยังคงเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ ดังนัน้ ในวันนี้ จงรูแ้ ละจำ�ใส่ใจว่าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ทัง้ ในสวรรค์เบือ้ งบนและบน แผ่นดินเบื้องล่าง และไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก ท่านจะต้องปฏิบัติตามข้อกำ�หนดและบทบัญญัติของ พระองค์ทขี่ า้ พเจ้ามอบให้ทา่ นในวันนี้ แล้วท่านกับลูกหลานทีจ่ ะตามมาในภายหลังจะอยูอ่ ย่างมีความ สุข จะอยู่เป็นเวลานานในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านทรงมอบให้เป็นของท่าน ตลอดไป พระวรสาร มธ 16:24-28 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ถ้าผูใ้ ดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา ผูใ้ ดใคร่รกั ษา ชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิต มนุษย์จะได้ ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำ�ไร แต่ต้องเสียชีวิต มนุษย์จะต้องให้สิ่งใดเพื่อแลกกับชีวิตที่ สูญเสียไปให้กลับคืนมา” “บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ เมื่อ นัน้ พระองค์จะประทานรางวัลแก่ทกุ คนตามความประพฤติของเขา เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลาย ว่า บางท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จกลับมาในพระอาณาจักร ของพระองค์” กำ�ไรสองอย่างที่มนุษย์มุ่งแสวงหา อย่างที่หนึ่งคือกำ�ไรในทรัพย์สมบัติของโลก และอย่างที่ สองคือกำ�ไรในชีวติ นิรนั ดร กำ�ไรในโลกอยูไ่ ด้ชวั่ ชีวติ ของเรา ส่วนกำ�ไรสวรรค์นนั้ จะอยูช่ วั่ นิจนิรนั ดร์ เรามนุษย์ ฉลาดพอที่จะเลือกหรือไม่ “จะเป็นประโยชน์อันใดที่จะได้โลกทั้งโลก แต่ต้องเสียวิญญาณ”
บทอ่านที่ 1 ฉธบ 6:4-13 อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเรา องค์พระ ผู้เป็นเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน สุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดกำ�ลังของท่าน ถ้อยคำ�เหล่านี้ที่ข้าพเจ้ามอบให้ท่าน ในวันนี้ จะต้องอยู่ในใจของท่าน ท่านจะต้องพรํ่าสอนบรรดาบุตรของท่านด้วย ถ้อยคำ�เหล่านี้ ทัง้ เวลานัง่ อยูใ่ นบ้าน และเดินตามถนน ทัง้ เวลาไปนอนและตืน่ นอน ท่านจะต้องผูกไว้ทมี่ อื เป็นเครือ่ งหมาย คาดไว้ทหี่ น้าผาก ท่านจะต้องเขียนไว้ทเี่ สา ประตูบ้านของท่านและที่ประตูเมือง องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่านจะทรงนำ�ท่านเข้าไปในแผ่นดินทีพ่ ระองค์ ทรงสาบานไว้กบั อับราฮัม อิสอัค และยาโคบบรรพบุรษุ ของท่านว่าจะประทานให้ ท่าน พระองค์จะทรงนำ�ท่านเข้าไปในเมืองใหญ่และรุ่งเรืองที่ท่านไม่ได้สร้าง ใน บ้านเรือนที่เต็มไปด้วยของดีๆ ที่ท่านไม่ได้สะสมไว้ มีบ่อนํ้าที่ท่านไม่ได้ขุด มีสวน องุน่ และสวนมะกอกเทศทีท่ า่ นไม่ได้ปลูก เมือ่ ท่านได้กนิ จนอิม่ แล้ว จงจำ�ใส่ใจ อย่า ลืมองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงนำ�ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ให้พ้นจากการเป็นทาส ท่านจะต้องยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ท่านจะต้องกราบไหว้ พระองค์และสาบานโดยออกพระนามพระองค์เท่านั้น
น.ฌาน ฟรังซัวส์ เดอ ชังตาล นักบวช สดด 18:1-2ก,2ข-3, 46 และ 50
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
พระวรสาร มธ 17:14-20 เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับศิษย์ทั้งสามคนมาพบประชาชน ชายผู้หนึ่งเข้ามาเฝ้า พระองค์ คุกเข่าลงทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดสงสารลูกชายของข้าพเจ้าเถิด เขาเป็นโรคลมชัก ทนทรมาน มาก เคยตกไฟตกนํ้าหลายครั้ง ข้าพเจ้าพาเขามาหาศิษย์ของพระองค์ แต่เขารักษาให้หายไม่ได้” พระ เยซูเจ้าตรัสตอบว่า “คนหัวดื้อ เชื่อยาก และชั่วร้าย เราจะต้องอยู่กับพวกท่านอีกนานเท่าใด จะต้อง ทนพวกท่านอีกนานเท่าใด พาเด็กมาพบเราที่นี่เถิด” พระเยซูเจ้าทรงขู่ปีศาจ มันจึงออกไปจากเด็ก เด็กก็หายเป็นปกติตั้งแต่นั้น บรรดาศิษย์จึงเข้าเฝ้าพระเยซูเจ้าเป็นการส่วนตัว ทูลถามว่า “ทำ�ไมพวก เราจึงขับไล่มันไม่ได้” พระองค์ตรัสว่า “เพราะท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย ว่า ถ้าท่านมีความเชื่อสักเท่าเมล็ดมัสตาร์ด แล้วพูดกับภูเขานี้ว่า ‘จงย้ายจากที่นี่ ไปที่โน่น’ มันก็จะ ย้ายไป และไม่มีอะไรที่ท่านจะทำ�ไม่ได้” โมเสสท่องบท “เชมาอิสราเอล” ซึ่งเริ่มต้นด้วย “จงรักพระเจ้าด้วยสุดดวงใจ” เป็นบทที่เด็ก ยิวทุกคนท่องขึน้ ใจและเป็นบทสุดท้ายทีช่ าวยิวเอ่ยก่อนตาย ถ้าเขายังรูส้ กึ ตัว ในหนังสือประกาศกมีคาห์ 6:8 “อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิดว่าพระเจ้าปรารถนาอะไรจากเจ้า สิ่งนั้นคือ เจ้าจะต้องมีพระเจ้าแต่ผู้เดียว เจ้าจะ ต้องรักพระองค์สุดดวงใจ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง และจงเดินต่อหน้าพระเจ้าด้วยใจสุภาพ” เมื่อพระเยซูเจ้าไล่ผีออกจากเด็กแล้ว พระองค์บอกว่า ถ้าเรามีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด เราก็จะ สามารถย้ายภูเขาได้ ทุกวันนี้ ความเชื่อของเราก็ทำ�อัศจรรย์หลายอย่าง เช่นอาศัยความเชื่อพาเราไปหา พระเจ้าทุกอาทิตย์เพื่อรับพลังจากพระองค์ ความเชื่อทำ�ให้เรายอมรับคนอื่นเป็นพี่น้องเรา ฯลฯ
สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 19:9ก, 11-13ก ที่นั่น เอลียาห์เข้าไปค้างคืนในถํ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงออก ไปยืนอยู่บนภูเขาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ เสด็จผ่านมา ทรงบันดาลให้เกิดลมพัดแรงกล้า ผ่าภูเขาทำ�ให้หินแตกออกเป็น เสีย่ งๆ เฉพาะพระพักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้ามิได้ประทับอยูใ่ น ลมนั้น เมื่อลมหยุดก็เกิดแผ่นดินไหว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในแผ่น ดินไหว หลังจากแผ่นดินไหวก็เกิดไฟลุก แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้ามิได้ประทับอยูใ่ นไฟ นั้น หลังจากไฟก็มีเสียงกระซิบเบาๆ เมื่อเอลียาห์ได้ยิน ก็เอาเสื้อคลุมปิดหน้าไว้ ออกมายืนอยู่ที่ปากถํ้า เพลงสดุดี สดด 85:8-9,10-11,12-13 ก) ข้าพเจ้ากำ�ลังฟังอยู่ว่าพระองค์จะตรัสอะไร องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประกาศสันติภาพแก่ประชากรของพระองค์ และแก่ผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ ขอเพียงอย่าให้เขาทำ�สิ่งโง่เขลาอีก ถูกแล้ว ความรอดพ้นอยู่ใกล้ผู้ที่ยำ�เกรงพระองค์ พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์จะอยู่ในแผ่นดินของเรา ข) ความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์จะพบกัน ความเที่ยงธรรมและสันติจะสวมกอดกัน ความซื่อสัตย์จะปรากฏขึ้นจากแผ่นดิน ความเที่ยงธรรมจะเยี่ยมหน้าจากสวรรค์ ค) ใช่แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานฝนเป็นพระพร และแผ่นดินของเราก็จะให้ผลเก็บเกี่ยวมากมาย ความเที่ยงธรรมจะเดินนำ�หน้าพระองค์ เบิกทางให้ทรงพระดำ�เนิน บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 9:1-5 พี่น้อง ข้าพเจ้าพูดความจริงในพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าไม่มุสา มโนธรรมของ ข้าพเจ้าและพระจิตเจ้าร่วมเป็นพยานได้ว่า ข้าพเจ้ามีความเศร้าโศกใหญ่หลวง และมีความทุกข์ใจอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้ายินดีถูกสาปแช่ง ถูกตัดขาดจากพระ คริสตเจ้า ถ้าหากจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องของข้าพเจ้าซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไข เดียวกัน พี่น้องเหล่านี้คือชาวอิสราเอล ที่ได้เป็นบุตรบุญธรรม ได้รับเกียรติ พันธ สัญญา ธรรมบัญญัติ รวมทั้งศาสนพิธีและพระสัญญาต่างๆ พวกเขามีบรรพบุรุษ เป็นต้นตระกูลของพระคริสตเจ้าตามธรรมชาติมนุษย์ พระองค์ทรงอยูเ่ หนือสรรพ สิ่ง เป็นพระเจ้าและทรงได้รับการถวายสดุดีตลอดนิรันดร อาเมน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 14:22-33 ทันทีหลังจากนัน้ พระเยซูเจ้าทรงสัง่ ให้บรรดาศิษย์ ลงเรื อ ข้ า มทะเลสาบล่ ว งหน้ า พระองค์ ไ ป ในขณะที่ พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงลาประชาชน แล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐาน ภาวนาตามลำ�พัง ครัน้ เวลาคํา่ พระองค์ทรงอยูท่ นี่ นั่ เพียง พระองค์เดียว ส่วนเรืออยู่ห่างจากฝั่งหลายร้อยเมตร กำ�ลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม เมื่อถึงยามที่ สี่พระองค์ทรงดำ�เนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ เมื่อ บรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงดำ�เนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วย ความกลัว ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ทำ�ใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้า ข้า ถ้าเป็นพระองค์ ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนนํ้าไปหาพระองค์เถิด” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนนํ้าไปหาพระเยซูเจ้า แต่เมื่อเห็นว่าลมแรง เขาก็กลัวและเริ่มจมลง แล้วร้องว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำ�ไม เล่า” เมือ่ พระองค์เสด็จขึน้ มาประทับในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ คนทีอ่ ยูใ่ นเรือจึงเข้ามากราบ นมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง” เราเห็นใจเด็ดเดีย่ วของ น.เปาโลทีร่ กั เพือ่ นร่วมชาติจนถึงกับยอมถูกตัดขาดจากพระคริสต์เพือ่ ให้พี่น้องชาวยิวเอาตัวรอด เป็นการเสียสละที่เลียนแบบอย่างพระคริสต์ พระเจ้าประทับกับมนุษย์ในทุกสถานการณ์ของชีวิต พระเจ้ารักเราและอยู่เคียงข้างเราเสมอ เวลามี ปัญหา พระองค์ตรัสกับเราว่า “อย่ากลัว พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างแล้ว”
ระลึกถึง น.มักซีมีเลียน มารีย์ กอลเบ พระสงฆ์ และมรณสักขี
สดด 147:12-14, 15-16,19-20
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 ฉธบ 10:12-22 บัดนี้ อิสราเอลเอ๋ย องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่านทรงประสงค์สงิ่ ใดจาก ท่าน พระองค์ทรงประสงค์ให้ท่านยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ให้ เดินตามทุกวิถที างของพระองค์ ให้รกั และรับใช้องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน สุดจิตใจและสุดวิญญาณ ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าและข้อ กำ�หนดที่ข้าพเจ้ามอบให้ท่านในวันนี้ เพื่อความดีของท่าน... ดังนั้น จงเข้าสุหนัตในใจ และอย่าดื้อรั้นอีกต่อไป เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าเหนือเทพเจ้าใดๆ ทั้งสิ้น ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้า นายทัง้ ปวง ทรงเป็นพระเจ้ายิง่ ใหญ่ ทรงพระอานุภาพและน่าสะพรึงกลัว พระองค์ ไม่ทรงลำ�เอียง ไม่ทรงรับสินบน ทรงให้ความยุติธรรมแก่ลูกกำ�พร้าและหญิงม่าย ทรงรักคนต่างด้าว ประทานอาหารและเสื้อผ้าแก่เขา ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงรัก คนต่างด้าวเถิด เพราะครัง้ หนึง่ ท่านก็เคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียปิ ต์ดว้ ย จง ยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านและรับใช้พระองค์เพียงพระองค์เดียว จงซื่อสัตย์ต่อพระองค์ และจงสาบานในพระนามพระองค์เท่านั้น... บัดนี้องค์พระ ผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านได้ทรงบันดาลให้ท่านทวีจ�ำ นวนมากมายดุจดวงดาวใน ท้องฟ้า
พระวรสาร มธ 17:22-27 เวลานัน้ เมือ่ บรรดาศิษย์ชมุ นุมอยูก่ บั พระเยซูเจ้าในแคว้นกาลิลี พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “บุตรแห่ง มนุษย์จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย และถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สาม บุตรแห่งมนุษย์จะ กลับคืนชีพ” บรรดาศิษย์รู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ ผูเ้ ก็บภาษีบ�ำ รุงพระวิหารเข้า มาหาเปโตร ถามว่า “อาจารย์ของท่านไม่เสียเงินบำ�รุงพระวิหารหรือ” เปโตรตอบว่า “เสียซิ” เมือ่ เปโตรเข้าไปในบ้าน พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาก่อนว่า “ซีโมน ท่านมีความ เห็นอย่างไร กษัตริย์ในโลกนี้ทรงเก็บภาษีจากใคร จากโอรสธิดาหรือจากคนอื่น” เปโตรทูลตอบว่า “จากคนอื่น” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นโอรสธิดาย่อมได้รับการยกเว้น แต่เพื่อมิให้ใครตำ�หนิ เรา ท่านจงไปที่ทะเล หย่อนเบ็ดลงไป จับปลาตัวแรกที่ตกได้ เปิดปากปลา ท่านจะพบเงินหนึ่งเหรียญ จงนำ�เงินนั้นไปเสียภาษีเพื่อเราและท่านเถิด” บทอ่านวันนี้ สอดคล้องกับบทอ่านในพระคัมภีร์ เช่น มีคาห์ 6:8 พระเจ้าให้ดูอดีตว่า ยิวไปอยู่อียิปต์ครั้งแรก 70 คน แต่หลังจากนั้นพระองค์บันดาลให้ทวีจำ�นวนมากดุจ ดวงดาวในท้องฟ้า ทุกวันนี้ พระองค์ทรงสนใจและรักทุกชีวิต พระองค์ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แต่ปรารถนาให้ ทุกคนเลียนแบบอย่างพระองค์ คุณพ่อมักซีมีเลียนเลียนแบบอย่างพระคริสตเจ้าได้ดีที่สุด ยอมแลกชีวิตของตนกับคนๆ หนึ่งที่มี ครอบครัว คุณพ่อเดินเข้าห้องแก๊สโดยไม่สะทกสะท้านหรือเสียดายชีวิต คุณพ่อเห็นพระบิดารอรับคุณพ่อ หลังห้องรมแก๊ส
บทอ่านที่ 1 ฉธบ 31:1-8 ในครั้งนั้น โมเสสกล่าวถ้อยคำ�ต่อไปนี้แก่ชาวอิสราเอลทุกคนว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้าอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้ว ไม่อาจเป็นผู้นำ�ท่านได้อีกต่อไป นอกจากนี้ องค์ พระผู้เป็นเจ้ายังตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘ท่านจะไม่ได้ข้ามแม่นํ้าจอร์แดนนี้’ องค์พระ ผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านจะทรงนำ�หน้าท่านข้ามแม่นํ้านี้จะทรงทำ�ลายชนชาติ ต่างๆ ที่อยู่ต่อหน้าท่านและท่านจะเข้าครอบครองแผ่นดินของเขา โยชูวาจะเป็น ผู้นำ�ท่านข้ามไป...” แล้วโมเสสเรียกโยชูวามากล่าวกับเขาต่อหน้าชาวอิสราเอลทุกคนว่า “จงเข้ม แข็ง และกล้าหาญเถิด ท่านจะเป็นผู้นำ�ประชากรนี้เข้าไปในแผ่นดินที่องค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงสาบานไว้กบั บรรดาบรรพบุรษุ ว่าจะประทานให้เขา ท่านจะต้องทำ�ให้ เขาได้ครอบครองแผ่นดิน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะเสด็จนำ�หน้าท่าน พระองค์จะสถิต กับท่าน จะไม่ทรงทำ�ให้ทา่ นผิดหวังหรือทอดทิง้ ท่าน อย่ากลัวและอย่าท้อแท้เลย”
สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา ฉธบ 32:3-4,7-9,12
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร มธ 18:1-5,10,12-14 ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริง แก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” “ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา” “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดาๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาใน สวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์” “ท่านทัง้ หลายคิดอย่างไร ถ้าชายคนหนึง่ มีแกะอยูร่ อ้ ยตัว แล้วแกะตัวหนึง่ บังเอิญหลงทาง เขาจะ ไม่ปล่อยแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา เพื่อค้นหาแกะตัวที่หลงไปหรือ” “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเขาหาแกะตัวนั้นพบแล้ว เขาจะรู้สึกยินดีที่พบมัน มากกว่ายินดีในแกะเก้าสิบเก้าตัวที่มิได้พลัดหลง” “พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้ เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป” หลังจากทีพ่ ระเจ้าแจ้งว่า โมเสสจะไม่ได้เข้าดินแดนพระสัญญา ท่านให้ก�ำ ลังใจชาวยิวว่า “อย่า กลัว พระเจ้าเดินไปกับพวกท่าน” พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์ว่า “อย่ากลัว เราอยู่กับท่านเสมอไปจนสิ้นพิภพ” พระเยซูเจ้าบอกศิษย์ว่า “ท่านต้องเป็นเหมือนเด็กๆ” มีผู้เขียนบรรยายเรื่องของเด็กว่า “เด็กๆ รู้จักพระ หรรษทานของพระเจ้ามากกว่าผูใ้ หญ่หลายคน พวกเขามองเห็นโลกดังรุง่ อรุณนำ�ความหวังมาให้เขา เป็นสิง่ ใหม่ สดชื่น และน่าพิศวง” ซึ่งตรงกับที่พระเยซูเจ้าตรัสคือ “ถ้าท่านไม่เปลี่ยนเป็นเหมือนเด็กๆ ท่านจะเข้าสู่ พระอาณาจักรสวรรค์มิได้เลย”
บทอ่านที่ 1 ฉธบ 34:1-12 ในครั้งนั้น โมเสสขึ้นจากที่ราบโมอับไปบนภูเขาเนโบ ยอดของเทือกเขา ปิสกาห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเมืองเยรีโค องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้เขาเห็นแผ่นดิน ทัง้ หมด... ตรัสกับเขาว่า “นีค่ อื แผ่นดินทีเ่ ราสาบานแก่อบั ราฮัม อิสอัค และยาโคบ ว่า จะยกให้แก่บุตรหลานของเขา เราให้ท่านเห็นกับตาของท่าน แต่ท่านจะไม่ได้ เข้าไป” น.สเตเฟน โมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสิ้นชีวิตที่นั่นในแผ่นดินโมอับตามที่องค์ แห่งประเทศฮังการี พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงบัญชา พระองค์ทรงฝังเขาไว้ในหุบเขาของแผ่นดินโมอับ ตรงข้าม สดด 68:1-3,5 กับเบธเปโอร์ แต่จนถึงวันนี้ ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าหลุมศพของเขาอยู่ที่ใด เมื่อโมเสสสิ้น และ 8,16-17 ชีวิต เขามีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี ตาของเขายังเห็นชัดเจน กำ�ลังยังไม่ลดลง ชาว ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 อิสราเอลไว้ทกุ ข์ให้โมเสส ณ ทีร่ าบโมอับเป็นเวลาสามสิบวัน จนสิน้ กำ�หนดไว้ทกุ ข์ โยชูวาบุตรของนูนมีจิตแห่งปรีชาญาณเต็มเปี่ยม เพราะโมเสสได้ปกมือเหนือเขา ชาวอิสราเอลจึงเชื่อ ฟังเขา และปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาแก่โมเสส ตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยมีประกาศกคนใดเกิดขึ้นในอิสราเอลเหมือนโมเสส ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง รู้จักเป็นการส่วนพระองค์ ไม่มีผู้ใดทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงบัญชาให้โมเสสทำ�ในแผ่นดินอียิปต์...ไม่มีผู้ใดทำ�การยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวดังที่โมเสสทำ�ต่อ หน้าชาวอิสราเอลได้ พระวรสาร มธ 18:15-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ถ้าพี่น้องของท่านทำ�ผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำ�พัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำ�พูดของพยานสองคนหรือสามคนจะได้จัดเรื่อง ราวให้เรียบร้อย ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน จงแจ้งให้หมูค่ ณะทราบ ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมูค่ ณะอีก จงปฏิบตั ิ ต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนต่างศาสนา หรือคนเก็บภาษีเถิด” “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดิน จะผูกไว้ในสวรรค์ และทุก สิ่งที่ท่านจะแก้บนแผ่นดิน ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” “เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนบนแผ่นดินพร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้ เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของ เรา เราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา” พระวรสารวันนี้เตือนใจเราว่า การเป็นคริสตชนไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่เป็นชีวิตที่มีความ สัมพันธ์ทดี่ กี บั ชุมชนความเชือ่ กับพีน่ อ้ งคริสตชน หากความสัมพันธ์นถี้ กู ทำ�ลาย คริสตชนต้องพยายามคืนดี กับเพื่อนพี่น้อง โดยไปคุยกับเขาตรงๆ ในขั้นแรก (มธ 18:15) หากไปคนเดียวแล้วยังไม่สามารถคืนดีได้ ขั้น ที่สองพระองค์ทรงให้พาคนอื่นไปด้วยเพื่อเป็นพยานในความพยายามที่จะคืนดีกัน (มธ 18:16) ต้องไม่ลดละ ทีจ่ ะพยายามคืนดีกนั (มธ 18:17ก) การสอนของพระเยซูวนั นีด้ เู หมือนจะให้บรรดาคริสตชนตัดขาดจากเพือ่ น พี่น้องหลังจากเตือนแล้วไม่ฟัง แต่สิ่งที่พระเยซูสอนคือ เราต้องไม่อดทนกับความบาป แต่อดทนกับคนบาป ไม่ตัดขาดเพื่อนพี่น้องให้ออกจากกลุ่มคริสตชน
บทอ่านที่ 1 ยชว 3:7-10ก,11,13-17 ในครั้งนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โยชูวาว่า “วันนี้เราจะทำ�ให้ท่านยิ่งใหญ่ ในสายตาของชาวอิสราเอลทุกคน เพื่อเขาจะรู้ว่า เราจะอยู่กับท่าน เหมือนที่เรา เคยอยู่กับโมเสส... แล้วโยชูวากล่าวกับชาวอิสราเอลว่า “จงเข้ามาใกล้ๆ และฟัง พระวาจาองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน... ดูเถิด หีบพันธสัญญาขององค์พระ ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมดกำ�ลังจะเคลื่อนนำ�หน้าท่านลงไปในแม่นํ้าจอร์แดน สัปดาห์ที่ 19 ทันทีที่สมณะผู้แบกหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมดก้าว เทศกาลธรรมดา เหยียบลงในแม่นํ้าจอร์แดน นํ้าในแม่นํ้าจอร์แดนจะแยกออก นํ้าที่ไหลลงมาจาก สดด 114:1-2, ตอนบนจะหยุดไหลเหมือนกับเป็นมวลนํ้าเดียวกัน”... 3-4,5-6 ทันทีที่ผู้แบกหีบพันธสัญญาถึงแม่นํ้าจอร์แดน และเท้าของบรรดาสมณะที่ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 แบกหีบพันธสัญญาแตะนาํ้ นํา้ ตอนบนก็หยุดนิง่ และรวมตัวขึน้ เป็นมวลเดียวเป็น ระยะทางไกลตรงที่เรียกว่าอาดัม... ประชากรจึงข้ามแม่นํ้าที่บริเวณตรงข้ามกับเมืองเยรีโค... พระวรสาร มธ 18:21-19:1 เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำ�ผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้อง ยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษ ให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำ�ชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ เขาไม่มีสิ่งใด จะชำ�ระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้ กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนีไ้ ว้กอ่ นเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนีใ้ ห้ทงั้ หมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วย กันซึง่ เป็นหนีเ้ ขาอยูห่ นึง่ ร้อยเหรียญ เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนีข้ า้ อยูเ่ ท่าไร จงจ่าย ให้หมด’ เพือ่ นคนนัน้ คุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้กอ่ นเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ ยอมฟัง นำ�ลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำ�ระหนี้หมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำ� ความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของ เจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริยก์ ริว้ มาก ตรัสสัง่ ให้น�ำ ผูร้ บั ใช้นนั้ ไปทรมานจนกว่าจะชำ�ระหนีท้ งั้ หมด พระบิดาของเราผูส้ ถิตใน สวรรค์จะทรงกระทำ�ต่อท่านทำ�นองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”... พระวรสารวันนีค้ อื จุดศูนย์กลางของการสอนเรือ่ งการให้อภัยและการคืนดีกนั ในความสัมพันธ์ ของบรรดาคริสตชน (มธ 18:21-39) พระวรสารเตือนใจเราว่า พระเป็นเจ้าให้อภัยเราเสมอ ให้อภัยโดยไม่มี เงื่อนไข ไม่ลังเล ไม่นับจำ�นวนครั้ง และไม่รู้จักจบสิ้น เพราะความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเราไม่ได้เป็นสัดส่วน ใดๆ คริสตชนต้องปฏิบัติเช่นเดียวกันกับพระเป็นเจ้าที่รักและให้อภัยเรา พระองค์ทรงยกเรื่องอุปมาของ กษัตริยท์ ยี่ กหนีใ้ ห้กบั ผูร้ บั ใช้ เพือ่ แสดงให้เห็นถึงความรักทีต่ อ้ งให้อภัยจากใจจริง ไม่มขี อ้ กำ�หนดเงือ่ นไขเรือ่ ง เวลาและจำ�นวน “พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำ�ต่อท่านทำ�นองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคน ไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง” (มธ 18:35)
บทอ่านที่ 1 ยชว 24:1-13 ในครัง้ นัน้ โยชูวารวบรวมทุกเผ่าของอิสราเอลทีเ่ มืองเชเคม และเรียกประชุม บรรดาผูอ้ าวุโสของอิสราเอลพร้อมกับบรรดาผูน้ �ำ ผูว้ นิ จิ ฉัยและนายทหาร ทุกคน มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า โยชูวาบอกประชากรทั้งหมดว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ “นานมาแล้ว บรรพบุรุษ ของท่ าน คือเทราห์ บิดาของอับราฮัมและบิดาของนาโฮร์ อาศัยอยู่ฟากโน้นของ สัปดาห์ที่ 19 แม่นาํ้ ยูเฟรติส และรับใช้เทพเจ้าอืน่ เรานำ�อับราฮัมบรรพบุรษุ ของท่านมาจากฟาก เทศกาลธรรมดา โน้นของแม่นาํ้ ยูเฟรติส และนำ�เขาเดินผ่านแผ่นดินคานาอันทัง้ หมด เราทวีจ�ำ นวน สดด 136:1-2,3,16-17, ลูกหลานของเขา ให้เขามีบุตรชื่ออิสอัค เราให้อิสอัคมีบุตรสองคนชื่อยาโคบและ 21-22,24 เอซาว เราให้เอซาวครอบครองแผ่นดินแถบภูเขาเสอีร์ ส่วนยาโคบและบรรดาบุตร ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 อพยพไปอยูใ่ นอียปิ ต์... เรานำ�บรรพบุรษุ ของท่านออกจากอียปิ ต์ และท่านก็มาถึง ทะเล ชาวอียปิ ต์ใช้รถศึกและทหารม้าไล่ตามบรรพบุรษุ ของท่านมาจนถึงทะเลต้น กก บรรพบุรุษของท่านร้องหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ทรงบันดาลให้ความมืดมิดคั่นอยู่ระหว่าง ท่านกับชาวอียปิ ต์ และได้ท�ำ ให้ทะเลไหลกลับท่วมพวกเขา ท่านทัง้ หลายได้เห็นด้วยตาแล้วว่าเราได้ท�ำ อะไรกับชาวอียิปต์ แล้วท่านได้อยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลานาน... พระวรสาร มธ 19:3-12 เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่ชายจะ หย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม” พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรงสร้างมนุษย์ให้ เป็นชายและหญิง และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตน และชายหญิง จะเป็นเนื้อเดียวกัน เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย” ชาวฟาริสจี งึ ทูลถามว่า “แล้วทำ�ไมโมเสสจึงสัง่ ให้ชายทำ�หนังสือหย่าร้าง แล้วหย่าร้างได้” พระองค์ ตรัสว่า “เพราะใจดื้อแข็งกระด้างของท่าน โมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หา เป็นเช่นนีไ้ ม่ เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ผูใ้ ดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึง่ เขาก็ท�ำ ผิดประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง” บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า “ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะแต่งงานเลย” พระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนเข้าใจคำ�สอนนี้ คนที่เข้าใจคือคนที่พระเจ้าประทานให้ เพราะว่า บางคน เป็นขันทีตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บางคนถูกมนุษย์ทำ�ให้เป็นขันที และบางคนทำ�ตนเป็นขันทีเพราะ เห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่เข้าใจได้ ก็จงเข้าใจเถิด” มัทธิวบทที่ 19 พระเยซูเจ้ากำ�ลังเดินไปกรุงเยรูซาเล็ม วันนีพ้ ระเยซูเจ้าอยูท่ แี่ คว้นยูเดีย เผชิญ หน้ากับฟาริสที จี่ ะวางกับดัก จับผิดในเรือ่ งการแต่งงานและการหย่าร้าง หวังให้เกิดขึน้ เหมือนยอห์นบัปติสต์ ทีแ่ สดงความเห็นต่อสาธารณะเกีย่ วกับการแต่งงานและการหย่าร้าง นำ�ไปสูก่ ารถูกจับขังคุกและถูกฆ่า พระ เยซูเจ้ายืนยันว่า สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย (มธ 19:5) ชีวิตแต่งงานของชายและ หญิง ยามมีปัญหาต้องกระทำ�เช่นเดียวกันกับที่พระเยซูเจ้าสอน (มธ 18:15-35) คือจริงใจ ให้อภัยโดยไม่มี เงื่อนไข และจำ�นวนครั้ง
บทอ่านที่ 1 ยชว 24:14-29 ในครั้งนั้น โยชูวากล่าวแก่ประชากรชาวอิสราเอลว่า “บัดนี้ จงยำ�เกรงองค์ พระผูเ้ ป็นเจ้า และรับใช้พระองค์ดว้ ยความซือ่ สัตย์อย่างเต็มเปีย่ ม จงกำ�จัดเทพเจ้า ทั้งหลายซึ่งบรรพบุรุษของท่านเคยรับใช้ทางฟากโน้นของแม่นํ้ายูเฟรติสและใน อียิปต์ จงมารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด แต่ถ้าท่านรังเกียจที่จะรับใช้องค์พระผู้ เป็นเจ้า วันนี้ จงเลือกว่าท่านต้องการรับใช้พระเจ้าองค์ใด จะรับใช้เทพเจ้าทัง้ หลาย น.ยอห์น เอิ๊ด ซึ่งบรรพบุรุษของท่านเคยรับใช้ทางฟากโน้นของแม่นํ้ายูเฟรติส หรือเทพเจ้าทั้ง พระสงฆ์ หลายของชาวอาโมไรต์ที่ท่านเข้ามาอาศัยอยู่ในแผ่นดินของเขา ส่วนข้าพเจ้าและ สดด 16:1-2,5-6, ครอบครัวของข้าพเจ้า พวกเราจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า” 7-8,11 ประชากรตอบว่า “ไม่มีวันที่เราจะละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อไปรับใช้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เทพเจ้าอืน่ เพราะเป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของเราทีท่ รงนำ�เราและบรรพบุรษุ ทีน่ อี่ อกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์ ให้พน้ จากการเป็นทาส และทรงกระทำ�เครือ่ งหมายอัศจรรย์ยงิ่ ใหญ่เหล่า นั้นต่อหน้าต่อตาเรา และทรงพิทักษ์รักษาเราตลอดทางที่เราเดินและในหมู่ประชาชาติทั้งหลายที่เรา ผ่าน... เราด้วยจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของเรา” โยชูวาบอกประชากรว่า “ท่านทัง้ หลายจะรับใช้องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าไม่ได้ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระเจ้าผู้ไม่ทรงยอมให้มีคู่แข่ง พระองค์จะไม่ทรงอภัยความผิดและบาปของท่าน ถ้า ท่านทอดทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าไปรับใช้เทพเจ้าของชนต่างชาติ พระองค์จะทรงหันมาลงโทษท่าน และ แม้เคยทรงกระทำ�ดีต่อท่านมามากแล้วในอดีต พระองค์ก็จะทรงทำ�ร้ายท่านและจะทรงทำ�ลายล้าง ท่าน”... ประชากรตอบโยชูวาว่า “เราจะรับใช้องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของเรา และจะฟังพระสุรเสียง ของพระองค์แต่เพียงพระองค์เดียว” วันนัน้ ทีเ่ มืองเชเคม โยชูวาทำ�พันธสัญญาสำ�หรับประชากร วางข้อกำ�หนดและคำ�สัง่ ไว้ส�ำ หรับเขา โยชูวาเขียนถ้อยคำ�เหล่านี้ไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้า เขานำ�หินใหญ่ก้อนหนึ่งมาตั้งไว้ที่นั่น ใต้ตน้ โอ๊กซึง่ อยูใ่ นสักการสถานขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า... แล้วโยชูวาจึงปล่อยประชากรกลับบ้าน ทุกคน ต่างกลับไปยังแผ่นดินที่เป็นมรดกของตน... หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ โยชูวาบุตรของนูน... ถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้หนึ่งร้อยสิบปี พระวรสาร มธ 19:13-15 ขณะนั้น มีผู้นำ�เด็กเล็กๆ มาให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์อวยพร แต่บรรดาศิษย์กลับดุว่าคนเหล่า นั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์ เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้” พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ให้เด็กเหล่านั้น แล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น เป็นธรรมเนียมของชาวยิวที่จะนำ�เด็กเล็กๆ มาให้ผู้ใหญ่ได้อวยพร พระวรสารวันนี้มีผู้นำ�เด็ก เล็กๆ มาให้พระเยซูเจ้าอวยพร แต่ถูกอัครสาวกกีดกัน ขัดขวาง ห้ามปราม ไม่ใช่เพราะว่าอัครสาวกไม่ชอบ เด็กเล็ก หรือเกลียด อาจเกรงว่าจะเป็นการรบกวนพระเยซูเจ้า หากเด็กทีเ่ ข้ามาไม่สะอาด เวลาพระเยซูแตะ หรือสัมผัสเด็ก พระเยซูจะเป็นมลทิน (ตามกฎของชาวยิว แตะของเป็นมลทิน จะเป็นมลทินด้วย) แต่พระ เยซูทรงห้ามปรามอัครสาวก ทรงอวยพรเด็ก ไม่เพียงแต่ทรงอวยพรเท่านัน้ พระองค์ทรงอุม้ เด็ก (มก 10:16) เพราะคุณลักษณะของเด็กคือไว้ใจ ต้องการผู้นำ�ทาง จริงใจ เชื่อฟัง พึ่งพา ซื่อๆ ไม่มีพิษภัย เป็นคุณสมบัติ ของการเข้าอาณาจักรพระเจ้า
บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์ วว 11:19ก; 12:1-6ก,10ก พระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์เปิดออก มองเห็นหีบพันธสัญญาในพระวิหาร เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือสตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มี ดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางมีครรภ์แก่ กำ�ลัง ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร สมโภชพระนางมารีย์ เครื่องหมายอีกประการหนึ่งปรากฏในสวรรค์ คือมังกรใหญ่สีแดง มีเจ็ดหัว รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ และสิบเขา แต่ละหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัดดวงดาวหนึ่งในสามบนท้องฟ้า ทั้งกายและวิญญาณ ให้ตกลงมาบนแผ่นดิน มังกรยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่กำ�ลังจะคลอดบุตรเพื่อจะกิน บุตรของนางทันทีทคี่ ลอด นางคลอดบุตรเป็นชาย ซึง่ จะต้องปกครองชาติทงั้ หลาย ด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกคว้าตัวขึ้นไปเฝ้าพระเจ้ายังพระบัลลังก์ของ พระองค์ ส่วนสตรีนั้นหลบหนีไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีที่พำ�นักซึ่งพระเจ้า ทรงจัดเตรียมไว้ให้ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า “บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและ พระราชอาณาจักรเป็นของพระเจ้าของเราแล้ว และอำ�นาจเป็นของพระคริสต์ของ พระองค์” เพลงสดุดี สดด 45:9,10-11,14-15 ก) ราชธิดาของพระราชาทั้งหลายเสด็จมาพบพระองค์ พระราชินีเสด็จเข้ามาประทับอยู่เบื้องพระหัตถ์ขวา ประดับองค์ด้วยทองคำ�จากโอฟีร์ ข) ฟังเถิด ธิดาเอ๋ย จงดูและตั้งใจฟัง จงลืมชาติของท่านและบ้านบิดาของท่านเถิด พระราชาจะทรงหลงรักความงามของท่าน พระองค์ทรงเป็นเจ้าเป็นนายของท่าน จงน้อมกายเคารพพระองค์เถิด ค) ทรงอาภรณ์ปักลวดลายเสด็จมาเฝ้าพระราชา บรรดาเพื่อนสาวติดตามนางมาเฝ้าพระองค์ด้วย เขาทั้งหลายเดินเป็นขบวนและโห่ร้องด้วยความยินดี เข้ามาในพระราชวังของพระราชา
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 15:20-26,27ก พีน่ อ้ ง ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย เป็น ผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด การ กลับคืนชีพของบรรดาผูต้ ายก็มาจากมนุษย์คนหนึง่ ฉันนัน้ มนุษย์ทกุ คนตายเพราะ อาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น แต่จะเป็นไป
ตามลำ�ดับของแต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คอื ผูท้ เี่ ป็นของพระคริสตเจ้า เมือ่ พระองค์จะเสด็จ มา แล้วจะถึงวาระสุดท้าย เวลานั้นพระองค์จะทรงมอบ พระอาณาจั ก รให้ แก่ พ ระเจ้าพระบิด า หลังจากทรง ทำ � ลายการปกครอง อำ � นาจและอานุ ภ าพทั้ ง หลาย เพราะพระคริ ส ตเจ้ า จะต้ อ งทรงครองราชย์ จ นกว่ า พระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งมวลให้อยู่ใต้พระบาทของ พระองค์ ศัตรูสดุ ท้ายทีจ่ ะถูกทำ�ลายคือความตาย เพราะ พระเจ้าทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 1:39-56 หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดิน ทางไปยังเมืองหนึง่ ในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จ เข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำ�ทักทายของ พระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับ พระพรยิ่งกว่าหญิงใดๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำ�ไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็น เจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำ�ทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง” พระนางมารีย์ตรัสว่า “วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จิตใจของ ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้ทรงกอบกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ตํ่าต้อย ของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำ� กิจการยิ่งใหญ่สำ�หรับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ พระกรุณาต่อผู้ยำ�เกรงพระองค์แผ่ไป ตลอดทุกยุคทุกสมัย พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้ กระจัดกระจายไป ทรงควาํ่ ผูท้ รงอำ�นาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผูต้ าํ่ ต้อยให้สงู ขึน้ พระองค์ประทาน สิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอลผู้รับใช้ พระองค์ โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตร หลานตลอดไป พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ ประโยคแรกที่นางเอลีซาเบ็ธทักทายพระนางมารีย์ “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใดๆ” (ลก 1:42) เป็นคำ�กล่าวทีท่ กุ วันนีเ้ รายังคงกล่าวเช่นเดียวกันทุกครัง้ ในการสวดภาวนาบทวันทามารีย์ ในการเสด็จ เยี่ยมนั้น พระนางมารีย์ไม่ได้เสด็จไปเพียงพระองค์เดียว พระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่ในครรภ์ของพระนาง (ลก 1:42-43) เป็นการพบปะกันระหว่างบุคคลในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ นางเอลีซาเบ็ธ สรรเสริญพระนางมารียใ์ นฐานะผูเ้ ป็นมารดาของพระเจ้า พระนางมารียท์ รงตอบรับการสรรเสริญด้วยการ ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อพระนาง (ลก 1:46-48) พระนางมารีย์ทรงเป็นแบบอย่างของสิ่ง สร้างทัง้ มวลทีม่ คี วามเชือ่ และตอบรับพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความเรียบง่าย “ข้าพเจ้าเป็นผูร้ บั ใช้ของ พระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” (ลก 1:38)
บทอ่านที่ 1 วนฉ 2:11-19 ในครัง้ นัน้ ชาวอิสราเอลทำ�สิง่ เลวร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า หัน ไปรับใช้พระบาอัลต่างๆ เขาละทิง้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรษุ ซึง่ ทรง นำ�เขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ แล้วติดตามเทพเจ้าอื่น ในบรรดาเทพเจ้าของ ชนชาติที่อยู่โดยรอบ เขากราบไหว้เทพเจ้าเหล่านี้ จึงทำ�ให้องค์พระผู้เป็นเจ้ากริ้ว เขาละทิง้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าหันไปรับใช้พระบาอัลและพระอัชทาโรทต่างๆ องค์พระ ระลึกถึง ผูเ้ ป็นเจ้าทรงพระพิโรธชาวอิสราเอลอย่างยิง่ ทรงมอบเขาไว้ในมือของผูร้ กุ รานซึง่ น.ปีโอ ที่ 10 เข้ามาปล้น ทรงขายเขาแก่ศัตรูที่อยู่โดยรอบ เขาต้านทานศัตรูไม่ได้อีกต่อไป ทุก พระสันตะปาปา ครัง้ ทีช่ าวอิสราเอลออกไปทำ�สงคราม องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงบันดาลให้เขาพ่ายแพ้ สดด 106:34-36,37, ดังที่เคยตรัสและทรงสาบานไว้ เขาต้องลำ�บากมาก 39,40-43ก,43ข-44 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้มีผู้วินิจฉัยหลายท่านมาช่วยเขาให้พ้น ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 จากเงือ้ มมือของผูร้ กุ ราน แต่เขาไม่ยอมเชือ่ ฟังผูว้ นิ จิ ฉัยเหล่านี้ ทัง้ ยังขายตัวเหมือน หญิงแพศยาไปนมัสการเทพเจ้าอื่น และกราบไว้เทพเจ้าเหล่านั้น เขาหันเหอย่าง รวดเร็วไปจากหนทางที่บรรดาบรรพบุรุษเคยเดิน เขาไม่ทำ�ตามแบบอย่างของบรรพบุรุษที่เชื่อฟัง บทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานผู้วินิจฉัยให้เขา พระองค์สถิตกับผู้ วินิจฉัยผู้นั้นและทรงช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูตราบเท่าที่ผู้วินิจฉัยผู้นั้นมีชีวิตอยู่ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาสงสารเสียงครํ่าครวญของเขาที่มีความทุกข์เพราะถูกกดขี่ แต่ เมือ่ ผูว้ นิ จิ ฉัยถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็กลับไปประพฤติชวั่ ร้ายยิง่ กว่าชนรุน่ ก่อนๆ เสียอีก เขาติดตามเทพเจ้า อื่นไปรับใช้และกราบไหว้เทพเจ้าเหล่านั้น ไม่ยอมเลิกกระทำ�เลวร้ายและดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนความ ประพฤติของตน พระวรสาร มธ 19:16-22 เวลานั้น ชายคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้าทูลถามว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำ�ความดีอะไรเพื่อ จะมีชวี ติ นิรนั ดร” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เหตุใดจึงถามเราถึงความดี ผูท้ รงความดีมแี ต่ผเู้ ดียวเท่านัน้ ถ้าท่านอยากเข้าสู่ชีวิตนิรันดร ก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด” เขาทูลถามว่า “บทบัญญัติข้อใด” พระ เยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา จงรักผูอ้ นื่ เหมือนรักตนเอง” ชายหนุม่ ผูน้ นั้ ทูลถามว่า “ข้าพเจ้าปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตเิ หล่านีท้ กุ ข้อแล้ว ยังขาดอะไรอีกหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ถ้าท่านอยากเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ จงไปขายทุก สิง่ ทีม่ ี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขมุ ทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” เมือ่ ได้ยนิ พระ วาจานี้ ชายหนุ่มผู้นั้นจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สมบัติจำ�นวนมาก เด็กหนุ่มซึ่งลูกาบอกว่าเป็นขุนนาง (ลก 18:18) ภูมิใจว่าตนได้ทำ�ดีที่สุด ปฏิบัติอย่างดีที่สุด พยายามอย่างดีที่สุด เป็นคนดี สมควรที่จะเข้าสู่อาณาจักรพระเป็นเจ้า เพื่อจะยืนยันความภูมิใจของตนเอง จึงได้มาถามพระเยซูเจ้า แต่ค�ำ ตอบทีเ่ ขาได้รบั จากพระเยซูเจ้าไม่ใช่สงิ่ ทีเ่ ขาคาดหวังไว้ เขาผิดหวังในคำ�ตอบ ของพระเยซูเจ้า เพราะสิ่งที่เขากระทำ�ยังไม่สามารถเข้าอาณาจักรของพระเป็นเจ้าได้ พระเยซูเจ้าชี้ให้เห็น ว่าเขาฝากชีวิตไว้กับทรัพย์สมบัติที่เขามี และคิดว่าจะนำ�เขาให้ไปรับชีวิตนิรันดรได้ แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มยังขาด คือ ความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนพี่น้อง
บทอ่านที่ 1 วนฉ 6:11-24ก ในครั้งนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาที่หมู่บ้านโอฟราห์ และนั่งอยู่ ใต้ต้นโอ๊ก ซึ่งเป็นของโยอาช จากตระกูลอาบีเยเซอร์ กิเดโอนบุตรของเขากำ�ลัง นวดข้าวอยู่ในบ่อยํ่าองุ่น เพื่อไม่ให้ชาวมีเดียนเห็น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็น เจ้าสำ�แดงองค์แก่เขากล่าวว่า “ท่านนักรบผู้เข้มแข็ง องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับ ท่าน” กิเดโอนก็ตอบว่า “ขอถามสักหน่อยเถิด เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าองค์พระ ระลึกถึง ผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา ทำ�ไมจึงเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้กับเรา เครื่องหมายอัศจรรย์ พระนางมารีย์ ต่างๆ ที่บรรพบุรุษของเราเคยเล่าให้เราฟังนั้นอยู่ที่ไหน... ราชินีแห่งสากลโลก องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสสั่งเขาว่า “จงไปเถิด จงใช้กำ�ลังที่ท่านมีนี้ช่วย สดด 85:8-9,10-11, อิสราเอลให้พ้นจากมือของชาวมีเดียน เราเป็นผู้ที่ส่งท่านไป...เราจะอยู่กับท่าน 12-13 และท่านจะเอาชนะชาวมีเดียนทัง้ หมดเหมือนกับว่าเขาทัง้ หลายมีเพียงคนเดียว” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 กิเดโอนทูลตอบว่า “ถ้าพระองค์ทรงโปรดปรานข้าพเจ้า โปรดประทานเครือ่ งหมาย ให้ขา้ พเจ้าเห็นว่าเป็นพระองค์ทตี่ รัสกับข้าพเจ้า ขออย่าทรงจากข้าพเจ้าไปจนกว่า ข้าพเจ้าจะกลับมา และนำ�ของมาถวายแด่พระองค์...” กิเดโอนก็เข้าไปในบ้าน จัดเตรียมลูกแพะตัวหนึ่งและเอาแป้งหนึ่งถังมาทำ�ขนมปังไร้เชื้อ เขาเอา เนื้อใส่ลงตะกร้าและเอานํ้าต้มเนื้อใส่หม้อ นำ�มาถวายที่ใต้ต้นโอ๊ก... องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “สันติสุขจงมีแก่ท่าน อย่ากลัวไปเลย ท่านจะไม่ตาย” กิเดโอนจึงสร้างแท่นบูชาถวายองค์พระผู้เป็น เจ้าที่นั่น แล้วตั้งชื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสันติสุข พระวรสาร มธ 19:23-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ยาก เราบอกท่านอีก ว่า อูฐจะลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์” เมื่อบรรดาศิษย์ได้ยินเช่นนี้ ต่างรู้สึก ประหลาดใจมาก จึงทูลถามว่า “แล้วดังนี้ ใครเล่าจะรอดพ้นได้” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ แล้วตรัสว่า “สำ�หรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำ�หรับพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปได้” เปโตรจึงทูลถามว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายสละทุกสิ่งและติดตามพระองค์แล้ว จะได้อะไรบ้าง” พระ เยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่ เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะประทับ เหนือพระทีน่ งั่ อันรุง่ โรจน์ ท่านทัง้ หลายทีต่ ดิ ตามเรา ก็จะนัง่ บนบัลลังก์ทงั้ สิบสองบัลลังก์ เพือ่ พิพากษา ตระกูลอิสราเอลทั้งสิบสองตระกูลด้วย และผู้ใดที่สละบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตร ไร่นาเพราะเห็นแก่เรา ก็จะได้รับตอบแทนร้อยเท่า และจะได้รับชีวิตนิรันดรเป็นมรดกด้วย หลายคน ที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย และกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นกลุ่มแรก” พระวรสารต่อเนื่องมาจากเมื่อวานนี้ เด็กหนุ่มได้แสดงตัวตนของตนเองอย่างชัดเจนว่า แม้ พระเยซูเจ้าจะชีห้ นทางแห่งพระอาณาจักรของพระเป็นเจ้า แต่เด็กหนุม่ ก็ได้เลือกทรัพย์สมบัตกิ อ่ นอาณาจักร สวรรค์ ดังนัน้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า คนทีไ่ ม่ยอมสละสิง่ ทีต่ นมี ก็อยูห่ า่ งไกลจากพระอาณาจักรพระเจ้า เป็นการ ยากที่จะได้รับชีวิตนิรันดร แม้แต่อัครสาวกยังไม่เข้าใจหนทางที่พระเยซูเจ้าได้สอนเด็กหนุ่มคนนั้น ยังกังวล ว่า แล้วพวกตนที่ติดตามพระเยซูเจ้า ได้ค่าตอบแทนอะไรบ้าง พระเยซูเจ้าจึงตรัสสอนอัครสาวกว่า รางวัล ของการติดตามพระองค์ พระเป็นเจ้าจะประทานให้เอง
บทอ่านที่ 1 วนฉ 9:6-15 ในครั้งนั้น คนสำ�คัญทั้งหลายของเมืองเชเคมและเบธมิลโลทั้งหมดมาชุมนุม กันที่ต้นโอ๊กใกล้เสาศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองเชเคม ตั้งอาบีเมเลคเป็นกษัตริย์ เมื่อโยธามทราบข่าวนี้ก็ไปยืนบนยอดภูเขาเกริซิมร้องตะโกนเสียงดังว่า “ชาวเชเคมผู้มีเกียรติทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้าเถิด แล้วพระเจ้าจะทรงฟังท่าน ด้ ว ย ครั้งหนึ่ง บรรดาต้นไม้ออกไป เพื่อเจิมตั้งกษัตริย์ขึ้นปกครองตน กล่าวเชิญ น.โรซา ชาวลีมา ต้นมะกอกเทศว่า ‘จงเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเราเถิด’ ต้นมะกอกเทศตอบว่า พรหมจารี ‘ข้าพเจ้าจะต้องเลิกผลิตนํ้ามัน... ไปแกว่งไกวอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ หรือ’ บรรดา สดด 21:1-2, ต้นไม้จึงกล่าวเชิญต้นมะเดื่อเทศ... ต้นมะเดื่อเทศตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะต้องเลิก 3-4,5-6 ผลิตผลหวานน่ากิน ไปแกว่งไกวอยูเ่ หนือต้นไม้อนื่ ๆ หรือ’ บรรดาต้นไม้กล่าวเชิญ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เถาองุ่น...เถาองุ่นตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะต้องเลิกผลิตเหล้าองุ่น... ไปแกว่งไกวอยู่ เหนือต้นไม้อ่ืนๆ หรือ’ บรรดาต้นไม้จึงพร้อมใจกล่าวเชิญพุ่มหนาม...พุ่มหนามก็ตอบบรรดาต้นไม้ว่า ‘ถ้าท่านต้องการเจิมตั้งข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์จริงๆ ละก็ จงมาพักอยู่ใต้ร่มเงาของข้าพเจ้าเถิด ถ้าท่านไม่ มา ไฟจะออกมาจากพุ่มหนาม และเผาผลาญต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน’” พระวรสาร มธ 20:1-16 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์เป็นคำ�อุปมาว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำ�งาน ในสวนองุ่น ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำ�งานในสวนองุ่น ประมาณ สามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำ�งาน จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า ‘จงไปทำ�งานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ คนเหล่านี้ก็ไป พ่อบ้านออกไปอีก ประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำ�เช่นเดียวกัน ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคน อื่นๆ ยืนอยู่... พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปทำ�งานในสวนองุ่นของฉันเถิด’ ครัน้ ถึงเวลาคาํ่ เจ้าของสวนบอกผูจ้ ดั การว่า ‘ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริม่ ตัง้ แต่คน สุดท้ายจนถึงคนแรก’ เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ เมื่อคนงาน พวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นเดียวกัน ขณะรับค่า จ้างเขาก็บ่นต่อหน้าเจ้าของสวน... เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกง ท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คน ที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉัน ใจดีหรือ’ ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับเป็นคนกลุ่มสุดท้าย” เรื่องราวของคำ�อุปมาในพระวรสารวันนี้ มีเฉพาะในพระวรสารของนักบุญมัทธิวเท่านั้น พระ เยซูเจ้าเล่าเรือ่ งทีช่ าวยิวคุน้ เคย เป็นชีวติ ประจำ�วันของพวกเขา แต่พระองค์ได้ให้ความหมายทีล่ กึ ซึง้ พระองค์ ได้สะท้อนให้เห็นว่า เราได้รับความรักเท่ากันจากพระเป็นเจ้า ความรักของพระเป็นเจ้าไม่ได้วัดกันที่ชั่วโมง การทำ�งาน ไม่ได้วัดที่ความสามารถ แต่เป็นความรัก ความเมตตาที่พระเป็นเจ้าให้กับเราทุกคน เพราะความ อิจฉาของคนงานที่มาทำ�งานก่อนทำ�ให้เขามองข้ามความจริง (มธ 20:13-15) พวกเขาจึงไม่ได้สัมผัสความ รัก ความใจดี ที่พ่อบ้านได้มอบให้
บทอ่านที่ 1 วว 21:9ข-14 ทูตสวรรค์องค์หนึง่ กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “มาเถิด ข้าพเจ้าจะให้ดสู ตรีทเี่ ป็นเจ้า สาวของลูกแกะ” ทูตสวรรค์น�ำ ข้าพเจ้าเดชะพระจิตเจ้าไปบนภูเขาสูงใหญ่ลกู หนึง่ ชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นกรุงเยรูซาเล็ม นครศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำ�ลังลงมาจากสวรรค์ มาจาก พระเจ้า นครนีม้ พี ระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระเจ้า มีความสุกใสเหมือนเพชรพลอยลาํ้ ค่า คล้ายแก้วมณีโชติช่วงเป็นผลึกสดใส มีกำ�แพงสูงใหญ่ ประตูสิบสองประตู แต่ละ ประตูมที ตู สวรรค์ประจำ�อยูแ่ ละมีชอื่ จารึกไว้ คือชือ่ ตระกูลอิสราเอลสิบสองตระกูล ทางทิศตะวันออกมีสามประตู ทางทิศเหนือมีสามประตู ทางทิศใต้มีสามประตู และทางทิศตะวันตกมีสามประตู กำ�แพงเมืองตั้งอยู่บนฐานศิลาสิบสองฐาน บน ฐานศิลานั้นมีชื่อของบรรดาอัครสาวกทั้งสิบสององค์ของลูกแกะ พระวรสาร ยน 1:45-51 เวลานั้น ฟีลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า “เราพบผู้ที่โมเสสในธรรม บัญญัติและบรรดาประกาศกเขียนถึง ผู้นั้นคือพระเยซู บุตรของโยเซฟ ชาวนาซา เร็ธ” นาธานาเอลจึงพูดกับฟีลิปว่า “จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธได้รึ” ฟีลิปตอบว่า “มาดูซิ” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถึงเขาว่า “นี่คือชาวอิสราเอลแท้ เป็นคนไม่มีมารยา” นาธานาเอลทูลถาม ว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ก่อนทีฟ่ ลี ปิ จะเรียกท่าน เราเห็นท่านอยูใ่ ต้ตน้ มะเดือ่ เทศ” นาธานาเอลทูลตอบว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ ทรงเป็นกษัตริยข์ องชนชาติอสิ ราเอล” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านเชือ่ เพราะเราพูด ว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อเทศหรือ ท่านจะเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อีก” แล้วพระองค์ตรัสเสริมว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ท่านจะเห็น ท้องฟ้าเปิด และจะเห็นบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึน้ ลงรับใช้บตุ รแห่งมนุษย์” ก่อนหน้าพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงกลับสู่กาลิลี พระองค์ทรง พบฟีลิปและตรัสเรียกเขา “จงตามเรามาเถิด” (ยน 1:43) จากนั้นในวันนี้ ฟีลิปไปพบ กับนาธานาเอล ได้พูดถึงประสบการณ์ของตัวท่านเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า (ยน 1:45) นาธานาเอลตอบกลับว่า “จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธได้รึ” (ยน 1:46) ในพระคัมภีร์ ชาวยิวเชื่อว่าพระผู้ไถ่จะมาจากเบธเลเฮมในแผ่นดินยูดาห์ ไม่ใช่มาจากนาซาเร็ธใน กาลิลี นาธานาเอลได้พบพระเยซูเจ้า มีประสบการณ์กับพระเยซูเจ้า ท่านจึงได้ยืนยัน ความเชื่อว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติ อิสราเอล” (ยน 1:49)
ฉลอง น.บาร์โธโลมิว อัครสาวก
สดด 145:10-11, 12-13ข,16-19
บทอ่านที่ 1 นรธ 1:1,3-8ก,14-16,22 ในสมัยทีบ่ รรดาผูว้ นิ จิ ฉัยปกครองอิสราเอล เกิดอดอยากกันดารอาหารขึน้ ใน แผ่นดิน ชายคนหนึ่งจากเมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูดาห์พร้อมกับภรรยาและบุตร ชายสองคน เดินทางไปอยู่ในที่ราบโมอับ ต่อมาเอลีเมเลค สามีของนางนาโอมีถึงแก่กรรม ทิ้งนางไว้กับบุตรชายสอง คน บุตรทั้งสองคนแต่งงานกับหญิงชาวโมอับ คนหนึ่งชื่อโอรปาห์ อีกคนหนึ่งชื่อ น.หลุยส์ กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส รูธ เขาอยูท่ น่ี น่ั ประมาณสิบปี แล้วมาห์โลนและคิลโิ อนก็ถงึ แก่กรรม ทิง้ นางนาโอมี น.โยเซฟ กาลาซานส์ ไว้คนเดียว ไม่มีทั้งบุตรและสามี นางนาโอมีได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง เยีย่ มเยียนประชากรของพระองค์ ประทานอาหารให้เขาอีก จึงเตรียมจะออกจาก พระสงฆ์ ทีร่ าบโมอับไปกับบุตรสะใภ้สองคน นางจึงออกจากสถานทีอ่ ยูพ่ ร้อมกับบุตรสะใภ้ สดด 146:5-6,7, ทั้งสองคนและขณะที่กำ�ลังเดินทางกลับไปยังแผ่นดินยูดาห์ 8-9ก,9ข-10 นางนาโอมีกล่าวแก่บุตรสะใภ้ทั้งสองคนว่า “ลูกแต่ละคนจงกลับไปบ้าน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 มารดาของลูกเถิด ขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสำ�แดงความรักมัน่ คงต่อลูกทัง้ สองคน เหมือนกับทีล่ กู เคยแสดงต่อแม่และต่อสามีทลี่ ว่ งลับไปแล้วเถิด” เขาทัง้ สองคนเริม่ ร้องไห้เสียงดังอีก แล้วนางโอรปาห์ก็จูบลามารดาของสามีและกลับไป แต่นางรูธ ไม่ยอมพรากจากเธอ นางนาโอมีจึงกล่าวว่า “ดูสิ พี่สะใภ้ของลูกกลับไปหาประชาชนและเทพเจ้าของตนแล้ว ลูกจง กลับไปกับพี่สะใภ้ของลูกเถิด” แต่นางรูธตอบว่า “แม่อย่าเร่งรัดให้ดฉิ นั ละทิง้ แม่ หรือห้ามดิฉนั ไม่ให้ไปกับแม่เลย แม่จะไปทีไ่ หน ดิฉันจะไปที่นั่นด้วย แม่จะอยู่ที่ไหน ดิฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ประชากรของแม่จะเป็นประชากรของดิฉัน พระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของดิฉันด้วย” ดังนี้ นางนาโอมีกับนางรูธบุตรสะใภ้ชาวโมอับกลับมาจากที่ราบโมอับ เขาทั้งสองคนมาถึงเมือง เบธเลเฮมต้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์ พระวรสาร มธ 22:34-40 เวลานั้น เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำ�ให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน มี คนหนึ่งเป็นบัณฑิตทางกฎหมาย ได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใด เป็นเอกในธรรมบัญญัติ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน สุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก บทบัญญัติ ประการทีส่ องก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพือ่ นมนุษย์เหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัตแิ ละคำ�สอนของ บรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้” ฟาริสภี มู ใิ จในตนเองว่าเป็นผูม้ คี วามรูใ้ นบทบัญญัตแิ ละพิธกี รรม และได้ปฏิบตั ติ ามบทบัญญัติ อย่างเคร่งครัด พวกเขาต้องการทดสอบพระเยซูเจ้าว่า พระเยซูรู้และปฏิบัติตามบทบัญญัติเหมือนอย่าง พวกเขาหรือไม่ ซึ่งพระเยซูเจ้าได้ตอบว่า พระบัญญัติของพระเป็นเจ้ามีประการเดียวคือ “รัก” รักใคร “รัก พระ” และ “รักเพื่อนพี่น้อง” (มธ 22:37-38) ดังนั้น บรรดาคริสตชนต้องรักพระเป็นเจ้าด้วยทุกสิ่งที่มี และ เมื่อรักพระเป็นเจ้าต้องไม่ละเลยเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่รักเพียงพระเจ้า แต่ละเลยต่อเพื่อนพี่น้องรอบข้าง
บทอ่านที่ 1 นรธ 2:1-3,8-11 และ 4:13-17 นางนาโอมีมีญาติคนหนึ่งชื่อโบอาส จากตระกูลของเอลีเมเลคสามี เป็นคน มั่งคั่ง มีเกียรติ นางรูธชาวโมอับกล่าวกับนางนาโอมีว่า “ขอให้ลูกไปเก็บข้าวที่คน เกีย่ วข้าวทำ�ตกไว้ในทุง่ นาของคนทีใ่ จดียอมให้ลกู เก็บบ้าง” นางนาโอมีตอบว่า “ไป เถิด ลูกเอ๋ย” นางรูธจึงไปที่ทุ่งนา เดินตามหลังคนเกี่ยวข้าว เก็บข้าวที่เขาทำ�ตก ไว้ และบังเอิญไปเก็บในทุ่งนาของโบอาสจากตระกูลของเอลีเมเลค สัปดาห์ที่ 20 โบอาสบอกนางรูธว่า “ฟังเถิด ลูกเอ๋ย อย่าไปเก็บข้าวตกในทุ่งนาอื่นเลย จง เทศกาลธรรมดา เก็บข้าวตกในนานี้ อยูก่ บั หญิงคนงานของฉันเถิด คอยดูวา่ เขาเกีย่ วข้าวทีไ่ หน แล้ว สดด 128:1-2, เดินตามไปเถิด ฉันสั่งห้ามคนงานชายไม่ให้มารบกวนเธอ ถ้ากระหายนํ้าเมื่อไร ก็ 3,4-5 จงไปดื่มจากเหยือกที่คนงานชายใส่นํ้าไว้ได้” นางรูธกราบลงกล่าวกับโบอาสว่า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 “ทำ�ไมท่านจึงเอาใจใส่และมีใจอารีตอ่ ดิฉนั ซึง่ เป็นคนต่างชาติเช่นนี”้ โบอาสตอบ ว่า “มีคนเล่าให้ฉนั ฟังว่าเธอปฏิบตั อิ ย่างไรกับมารดาของสามีตงั้ แต่สามีเธอถึงแก่กรรมไปแล้ว เธอจาก พ่อแม่และถิ่นกำ�เนิด มาอยู่กับประชาชนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน” ดังนั้น โบอาสจึงรับนางรูธมาเป็นภรรยา เขาหลับนอนกับนางและองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดให้นาง ตั้งครรภ์และให้กำ�เนิดบุตรชายคนหนึ่ง... บรรดาสตรีเพื่อนบ้านตั้งชื่อให้เด็กนั้นว่า โอเบด เขาพูดกันว่า “นางนาโอมีมีหลานชายคนหนึ่ง แล้ว” เด็กชายผู้นี้ต่อมาจะเป็นบิดาของเจสซี ซึ่งจะเป็นบิดาของกษัตริย์ดาวิด พระวรสาร มธ 23:1-12 ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์ว่า “พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนั่งบน ธรรมาสน์ของโมเสส ถ้าเขาสัง่ สอนเรือ่ งใด ท่านจงปฏิบตั ติ ามเถิด แต่อย่าปฏิบตั ติ ามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับ นิว้ ไปยกขึน้ เขาทำ�กิจการทุกอย่างเพือ่ ให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขนึ้ ผ้าคลุม ของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่น เขาชอบที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยง ชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม ชอบ ให้ผู้คนคำ�นับตามลานสาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’ ส่วนท่านทัง้ หลาย อย่าให้ผใู้ ดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผูเ้ ดียวและทุกคนเป็น พีน่ อ้ งกัน ในโลกนีอ้ ย่าเรียกผูใ้ ดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดาของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดา ในสวรรค์ อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ เพราะพระอาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระ คริสตเจ้า ในกลุ่มของท่าน ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ตํ่าลง ผู้ใด ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” พระวรสารวันนี้ เป็นวันเริ่มต้นที่พระเยซูได้กล่าวตำ�หนิฟาริสีและธรรมาจารย์ (มธ 23:1-39) การตำ�หนิในวันนี้คือเรื่องไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาได้สอน (มธ 23:2-3) ฟาริสีและธรรมาจารย์สอนให้ผู้อื่น ถือบัญญัตอิ ย่างเคร่งครัดจนเป็นเหมือนภาระสำ�หรับชาวยิว (มธ 23:4-5ก) พระเยซูเจ้าทรงสอนถึงการปฏิบตั ิ ที่ถูกต้องในฐานะลูกของพระบิดา สถานะความเป็นพี่น้องกัน และสถานะผู้ที่ติดตามองค์พระคริสตเจ้า (มธ 23:8ข-10) สิ่งที่คริสตชนผู้ติดตามองค์พระคริสตเจ้าต้องปฏิบัติคือ การรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรักฉัน พี่น้องที่มีพระบิดาเดียวกัน (มธ 23:11-12)
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 22:19-23 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะถอดท่านจากหน้าที่ และจะดึงท่านลงมาจากตำ�แหน่ง วันนั้น เราจะ เรียกผู้รับใช้ของเรา เอลียาคิมบุตรของฮิลคียาห์ เราจะให้เขาสวมเสื้อของท่าน ให้ เขาคาดผ้าคาดสะเอวของท่าน เราจะมอบอำ�นาจของท่านไว้ในมือของเขา เขาจะ เป็นดังบิดาของชาวกรุงเยรูซาเล็ม และของพงศ์พนั ธุย์ ดู าห์ เราจะวางกุญแจราชวัง ของกษัตริย์ดาวิดไว้บนบ่าของเขา ถ้าเขาเปิด จะไม่มีผู้ใดปิด ถ้าเขาปิด จะไม่มีผู้ ใดเปิดได้ เราจะทำ�ให้ตำ�แหน่งของเขามั่นคง เหมือนตอกหมุดไว้ในที่มั่นคง และ เขาจะเป็นเหมือนบัลลังก์มีเกียรติแห่งครอบครัวบิดาของเขา” เพลงสดุดี สดด 138:1-2ก,2ขค-3,6,8 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์สุดจิตใจ เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงที่ข้าพเจ้าเปล่งออกมา ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์เบื้องหน้าบรรดาทูตสวรรค์ ข้าพเจ้าจะกราบลงเบื้องหน้าพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณพระนามของพระองค์ ข) เพราะความรักมั่นคงและความสัตย์จริงของพระองค์ ทรงทำ�ให้พระสัญญายิ่งใหญ่กว่าพระนามของพระองค์ พระองค์ทรงตอบข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าเรียกหาพระองค์ พระองค์ทรงเพิ่มพลังในใจของข้าพเจ้า ค) แม้องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะทรงสูงส่ง แต่พระองค์กย็ งั ทอดพระเนตรผูต้ าํ่ ต้อย ทรงทราบว่าผู้ใดจองหองแม้อยู่ห่างไกล องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันดาลให้กิจการที่ทรงกระทำ�เพื่อข้าพเจ้าสำ�เร็จ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์ ขอพระองค์อย่าทรงทอดทิ้งกิจการแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 11:33-36 พี่น้อง พระเจ้าทรงพระปรีชาและทรงรอบรู้ลึกลํ้าเพียงใด คำ�ตัดสินของ พระองค์สุดที่จะหยั่งรู้ได้ และมรรคาของพระองค์สุดที่จะเข้าใจได้ ใครเล่าจะล่วง รู้พระดำ�ริขององค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ ใครเล่าเคย ถวายสิง่ ใดแด่พระองค์ พระองค์จงึ จะต้องประทานตอบแทนเขา เพราะทุกสิง่ ล้วน มาจากพระองค์ โดยทางพระองค์และเพื่อพระองค์ ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่ พระองค์ตลอดนิรันดร อาเมน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 16:13-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียา แห่งฟิลปิ และตรัสถามบรรดาศิษย์วา่ “คนทัง้ หลายกล่าว ว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่า เป็นยอห์นผูท้ �ำ พิธลี า้ ง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใด องค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระ บุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่ เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลา และ บนศิลานี้ เราจะตัง้ พระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มวี นั ชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจ อาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่น ดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ดว้ ย” แล้วพระองค์ทรงกำ�ชับบรรดาศิษย์มใิ ห้บอกใครว่าพระองค์คอื พระคริสต เจ้า” พระวรสารวันนี้ นักบุญเปโตรเป็นอัครสาวกคนแรกที่ได้ยืนยันความเชื่อ เป็นความเชื่อที่เต็ม เปี่ยมไปด้วยความจริงใจว่า พระเยซูเป็น “พระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (มธ 16:16) จาก การยืนยันความเชื่อที่มีต่อพระเยซูเจ้า เปโตรยังเป็นพยานถึงพระบิดาของพระเยซูเจ้าด้วย ในเหตุการณ์พิธี ล้างของพระเยซูเจ้า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา” (มธ 3:17) และจากเหตุการณ์พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดง พระองค์อย่างรุ่งเรือง “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด” (มธ 17:5) ด้วย เหตุนพี้ ระเยซูเจ้าจึงเลือกเปโตรเป็นผูน้ �ำ พระศาสนจักร คริสตชนก็เช่นเดียวกัน ให้เรายืนยันความเชือ่ ถึงพระ เป็นเจ้าด้วยใจ ด้วยคำ�พูด และด้วยการดำ�เนินชีวิตที่ดี
ระลึกถึง น.ออกัสติน พระสังฆราช และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 149:1-2,3-4, 5-7 และ 9ข
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 1 ธส 1:1-5,8ข-10 จากเปาโล สิลวานัสและทิโมธี ถึงพระศาสนจักรที่เมืองเธสะโลนิกา ซึ่งอยู่ในพระเจ้าพระบิดา และในพระ เยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ขอพระหรรษทานและสันติสถิตกับท่านทัง้ หลายเถิด... พีน่ อ้ งทัง้ หลายผูเ้ ป็นทีร่ กั ของพระเจ้า เรารูว้ า่ ท่านได้รบั เลือกสรร เพราะข่าวดี ที่เราประกาศมาถึงท่าน มิใช่ด้วยคำ�พูดเท่านั้น แต่ด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิต เจ้า และด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ท่านทั้งหลายรู้ว่าเราปฏิบัติตนอย่างไรใน หมู่ท่านเพราะเห็นแก่ท่าน ความเชือ่ ของท่านในพระเจ้ายังเลือ่ งลือไปทัว่ ทุกหนทุกแห่ง จนเราไม่จ�ำ เป็น ต้องพูดอะไรอีก เพราะคนเหล่านั้นพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเราว่า เราได้เริ่มงานใน หมู่ท่านอย่างไร และท่านกลับใจละทิ้งรูปเคารพมาหาพระเจ้าอย่างไร เพื่อรับใช้ พระเจ้าแท้จริงผูท้ รงชีวติ และรอคอยให้พระบุตรของพระองค์เสด็จมาจากสวรรค์ คือพระเยซูเจ้า ผูท้ รงช่วยเราให้พน้ จากพระพิโรธทีจ่ ะมาถึง พระเยซูเจ้านี้ พระเจ้า ทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย
พระวรสาร มธ 23:13,15-22 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบตั จิ งเกิดแก่ทา่ นทัง้ หลาย ธรรมาจารย์และฟาริสหี น้าซือ่ ใจคด ท่านปิดประตูอาณาจักรใส่หน้า มนุษย์ ท่านไม่เข้าไปและไม่ปล่อยคนที่อยากเข้า ให้เข้าไปได้” “วิบตั จิ งเกิดแก่ทา่ น ธรรมาจารย์และฟาริสหี น้าซือ่ ใจคด ท่านเดินทางข้ามนํา้ ข้ามทะเลเพือ่ ทำ�ให้ คนเพียงคนเดียวกลับใจ และเมื่อเขากลับใจแล้ว ท่านก็ทำ�ให้เขาสมควรจะไปนรกมากกว่าท่านสอง เท่า” “วิบตั จิ งเกิดแก่ทา่ น ผูน้ �ำ ทางทีต่ าบอด ท่านกล่าวว่า ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็เป็นโมฆะ แต่ถา้ ใครสาบานอ้างถึงทองคำ�ในพระวิหาร ก็ตอ้ งปฏิบตั ติ ามคำ�สาบาน’ คนโง่เขลาและตาบอดเอ๋ย สิง่ ใดสำ�คัญยิง่ กว่ากัน ทองคำ�หรือพระวิหารทีท่ �ำ ให้ทองคำ�นัน้ ศักดิส์ ทิ ธิ์ ท่านยังกล่าวอีกว่า ‘ถ้าใครสาบาน อ้างถึงพระแท่น ก็เป็นโมฆะ แต่ถา้ ใครสาบานอ้างถึงเครือ่ งบูชาบนพระแท่น ก็ตอ้ งปฏิบตั ติ ามคำ�สาบาน’ คนตาบอดเอ๋ย สิ่งใดสำ�คัญยิ่งกว่ากัน เครื่องบูชาหรือพระแท่นที่ทำ�ให้เครื่องบูชานั้นศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ผู้ที่สาบานอ้างถึงพระแท่น ก็สาบานอ้างถึงพระแท่นรวมทั้งทุกสิ่งที่อยู่บนพระแท่นนั้นด้วย และผู้ที่ สาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็สาบานอ้างถึงพระวิหาร รวมทั้งพระผู้สถิตในพระวิหารนั้นด้วย ผู้ที่สาบาน อ้างถึงสวรรค์ ก็สาบานอ้างถึงพระที่นั่งของพระเจ้า รวมทั้งพระผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งนั้นด้วย” พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้ากล่าวตำ�หนิโดยใช้คำ�ว่า “วิบัติ” จงมีแก่ธรรมาจารย์และฟาริสีที่ หน้าซือ่ ใจคดในความประพฤติของพวกเขา ธรรมาจารย์และฟาริสที �ำ ให้อาณาจักรของพระเป็นเจ้ากลายเป็น อาณาจักรแห่งกฎ ระเบียบ ข้อปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ มากมาย จนผู้ปฏิบัติไม่พบความรักและความเมตตาแห่ง พระอาณาจักรของพระเป็นเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าตำ�หนิว่า พวกเขาได้ปิดอาณาจักรพระเป็นเจ้าต่อหน้า มนุษย์ (มธ 23:13) ซึ่งอาณาจักรของพระเป็นเจ้าเปิดอยู่เสมอ (วว 3:8) นักบุญเปาโลได้ยืนยันเช่นกันว่า “พระเจ้าทรงเปิดประตูแห่งความเชื่อให้คนต่างศาสนา” (กจ 14:27)
บทอ่านที่ 1 ยรม 1:17-19 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ท่านจงคาดสะเอว จงลุกขึน้ ไปบอกทุก สิง่ ทีเ่ ราจะสัง่ ท่านให้เขาฟัง อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราจะทำ�ให้ทา่ นไม่พรัน่ พรึงต่อ หน้าเขา ดูซิ วันนี้เราทำ�ให้ท่านเป็นเหมือนเมืองป้อม เป็นเหมือนเสาเหล็ก และ เป็นเหมือนกำ�แพงทองสัมฤทธิ์ ต่อสู้กับทั่วแผ่นดิน กับบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ และเจ้านาย บรรดาสมณะและประชากรของแผ่นดิน เขาทัง้ หลายจะต่อสูก้ บั ท่าน แต่จะไม่ชนะท่าน เพราะเราอยู่กับท่านเพื่อช่วยท่านให้รอดพ้น” องค์พระผู้เป็น เจ้าตรัส พระวรสาร มก 6:17-29 เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดองค์นี้เคยทรงสั่งให้จับกุมยอห์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปพระอนุชา ซึ่งกษัตริย์เฮโรดทรงรับ มาเป็นมเหสี ยอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า “ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับภรรยา ของน้องชายมาเป็นมเหสี” นางเฮโรเดียสจึงโกรธแค้นและปรารถนาจะฆ่ายอห์น เสีย แต่ฆา่ ไม่ได้ เพราะกษัตริยเ์ ฮโรดยังทรงเกรงยอห์นอยู่ ทรงทราบว่ายอห์นเป็น คนชอบธรรมและศักดิ์สิทธิ์ จึงทรงป้องกันไว้ เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงฟังคำ�พูดของ ยอห์น ทรงรู้สึกสับสน แต่ก็ทรงยินดีที่จะฟัง นางเฮโรเดียสได้โอกาสเมือ่ กษัตริยเ์ ฮโรดทรงจัดให้มงี านเลีย้ งขุนนางกับนาย ทหารชั้นผู้ใหญ่และคนสำ�คัญในแคว้นกาลิลี ในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำ�เป็นทีพ่ อพระทัยของกษัตริยเ์ ฮโรด และ เป็นทีพ่ อใจของผูร้ บั เชิญ กษัตริยจ์ งึ ตรัสกับหญิงคนนัน้ ว่า “ท่านอยากได้อะไรก็ขอ มาเถิด เราจะให้” และยังทรงสาบานอีกว่า “ท่านขออะไรเราก็จะให้ แม้จะเป็น ครึ่งหนึ่งของอาณาจักรของเราก็ตาม” หญิงสาวจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะ ขออะไรดี” มารดาตอบว่า “จงขอศีรษะของยอห์นผู้ทำ�พิธีล้าง” หญิงสาวจึงรีบ กลับมาทูลกษัตริยท์ นั ทีวา่ “หม่อมฉันขอศีรษะของยอห์นผูท้ �ำ พิธลี า้ งใส่ถาดมาให้ เดี๋ยวนี้” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะทรง เห็นแก่ผรู้ บั เชิญ ไม่ทรงปรารถนาจะขัดใจหญิงสาว จึงทรงสัง่ เพชฌฆาตไปตัดศีรษะ ของยอห์นมาทันที เพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก ใส่ถาดนำ�มาให้หญิง สาว หญิงสาวจึงนำ�ไปให้มารดา เมือ่ บรรดาศิษย์ของยอห์นรูเ้ รือ่ ง จึงมารับศพของ ยอห์น นำ�ไปฝังไว้ในคูหา
ระลึกถึง น.ยอห์น แบปติสต์ ถูกตัดศีรษะ สดด 71:1-3ก,3ข-5, 6,14-15
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวาจาวันนี้ แม้ว่ากษัตริย์เฮโรดเป็นผู้ที่โหดร้าย แต่ น.ยอห์นบัปติสต์กล้าที่จะประณาม กษัตริย์เฮโรดที่ได้กระทำ�ผิดเรื่องศีลธรรม รับภรรยาของน้องชายมาเป็นมเหสี (มก 6:18) ยอห์นบัปติสต์ ได้ประกาศว่า ไม่มีใครสามารถฝ่าฝืนกฎบัญญัติของพระเป็นเจ้าได้ แม้แต่ผู้เป็นกษัตริย์ (เฮโรด) ยอห์น บัปติสต์ได้เป็นพยานถึงความจริงของพระเป็นเจ้าโดยไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรกับท่านจากการประกาศความ จริงนี้ คริสตชนก็เช่นเดียวกัน จงกล้ายืนยันความเชื่อ ความจริง ผ่านทางศีลล้างบาป พระเป็นเจ้าอยู่กับเรา เสมอ ไม่มีอะไรจะต้องกลัวจากการประกาศความจริง
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา สดด 139:8-10,11-12
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 1 ธส 2:9-13 พี่น้องทั้งหลาย ท่านคงจำ�ได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยและความยากลำ�บากของ เราขณะที่เราทำ�งานทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อไม่ต้องเป็นภาระแก่ผู้ใดในบรรดา ท่านทั้งหลาย เราประกาศข่าวดีของพระเจ้าให้ท่าน ท่านทั้งหลายเป็นพยาน และ พระเจ้าทรงเป็นพยานด้วยว่า เราปฏิบตั ติ นต่อท่านผูม้ คี วามเชือ่ โดยทำ�ตนเป็นคน ศักดิ์สิทธิ์ชอบธรรมและปราศจากคำ�ตำ�หนิ ท่านรู้อีกว่า เราได้ตักเตือนท่านแต่ละ คนดังบิดากำ�ชับบุตรของตน ให้กำ�ลังใจและกำ�ชับท่านให้ดำ�เนินชีวิตอย่างเหมาะ สมกับพระเจ้า ผูท้ รงเรียกท่านมาสูพ่ ระอาณาจักรและพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ เราขอบพระคุณพระเจ้าอยูเ่ สมอ เพราะเมือ่ เราประกาศพระวาจา ของพระเจ้าให้ท่านฟัง ท่านฟังแล้วก็รับไว้ มิใช่เช่นวาจาของมนุษย์ แต่เช่นที่เป็น จริงคือ “พระวาจาของพระเจ้า” ซึ่งกำ�ลังแสดงพลังอยู่ในท่านที่มีความเชื่อ พระวรสาร มธ 23:27-32 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านเป็นเหมือน หลุมศพทาสีขาว ภายนอกดูงดงาม แต่ภายในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสิ่ง สกปรกทุกอย่าง ท่านก็เป็นเช่นเดียวกัน ภายนอกปรากฏแก่มนุษย์ว่าเป็นคนชอบ ธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคด และความอธรรม” “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านสร้างหลุมศพ ให้บรรดาประกาศก ประดับอนุสาวรียข์ องผูช้ อบธรรม ท่านกล่าวว่า ‘ถ้าเราอยูใ่ น สมัยบรรพบุรษุ เราคงจะไม่รว่ มมือในการหลัง่ เลือดบรรดาประกาศกเหล่านี’้ ดังนี้ ท่านก็เป็นพยานกล่าวโทษตนเองว่า เป็นลูกหลานของผู้ที่ได้ฆ่าบรรดาประกาศก ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงทำ�งานที่บรรพบุรุษของท่านได้เริ่มไว้ให้สำ�เร็จไปเถิด” พระวรสารวันนี้ ได้กล่าวถึง 2 เรื่องสุดท้ายที่พระเยซูเจ้ากล่าวตำ�หนิ (วิบัติ) และตักเตือนธรรมาจารย์และฟาริสีด้วยถ้อยคำ�ที่ค่อนข้างรุนแรง พระองค์ไม่ ประสงค์ให้ใส่หน้ากากต่อกัน เพื่อที่จะซ่อนปิดบังสิ่งที่อยู่ในใจและความคิดที่แท้จริง ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้ในพันธสัญญาเดิมว่า “เขาจะพอใจยำ�เกรงพระยาห์เวห์ จะ ไม่พพิ ากษาตามทีต่ าเห็น จะไม่ตดั สินตามทีห่ ไู ด้ยนิ แต่จะพิพากษาคนยากจนด้วยความ ชอบธรรม จะตัดสินอย่างเที่ยงธรรมเพื่อผู้ถูกข่มเหงในแผ่นดิน คำ�พูดของเขาจะเป็น เหมือนไม้เรียวที่เฆี่ยนตีผู้คนบนแผ่นดิน ลมปากของเขาจะประหารคนอธรรม” (อสย 11:3-4)
บทอ่านที่ 1 1 ธส 3:7-13 พี่น้องทั้งหลาย ความเชื่อของท่านจึงทำ�ให้เราคลายความกังวลใจในขณะที่ เรามีความทุกข์ยากลำ�บากต่างๆ เพราะบัดนีเ้ รารูส้ กึ สดชืน่ เหมือนมีชวี ติ ใหม่ เพราะ ท่านยืนหยัดมั่นคงในองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะขอบพระคุณพระเจ้าเรื่องท่านได้ อย่างไรสำ�หรับความยินดีทงั้ หมดทีเ่ รามีเพราะท่านเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขณะ ทีเ่ ราวอนขอทัง้ กลางวันกลางคืนด้วยใจมุง่ มัน่ ให้ได้พบท่าน และเพิม่ เติมความเชือ่ ของท่านในส่วนที่ยังบกพร่องอยู่ ขอให้พระเจ้าพระบิดาของเรา และพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทรง นำ�ทางให้เราได้พบท่าน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดให้ความรักที่ท่านมีต่อกันและ ต่อทุกคนเพิม่ พูนขึน้ อย่างล้นเหลือ ดังทีเ่ รารักท่าน ขอพระองค์โปรดให้ดวงใจของ ท่านมัน่ คงอยูใ่ นความศักดิส์ ทิ ธิเ์ ฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพระบิดาของเรา เมือ่ พระ เยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเสด็จมาพร้อมกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พระวรสาร มธ 24:42-51 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าบ้านรู้ว่าขโมยจะมาในยามใด เขาคงจะตื่นเฝ้าไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้าน ของตนได้ ท่านทัง้ หลายก็เช่นเดียวกัน จงเตรียมพร้อมไว้ เพราะว่าบุตรแห่งมนุษย์ จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย” “ใครเล่าเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และรอบคอบซึ่งนายแต่งตั้งให้ดูแลผู้รับใช้ เพื่อ แจกจ่ายอาหารให้ตามเวลาที่กำ�หนด ผู้รับใช้นั้นย่อมเป็นสุข เมื่อนายกลับมาพบ เขากำ�ลังทำ�เช่นนี้ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะแต่งตั้งเขาให้ดูแล ทรัพย์สินทั้งปวงของตน แต่ถ้าผู้รับใช้นั้นคิดว่า ‘นายจะมาช้า’ แล้วเขาก็เริ่มตบตี เพือ่ นผูร้ บั ใช้ กินดืม่ กับพวกขีเ้ มา นายของผูร้ บั ใช้นนั้ จะกลับมาในวันทีเ่ ขามิได้คาด หมาย ในเวลาที่เขาไม่รู้ นายก็จะแยกเขาออก ให้ไปอยู่กับพวกหน้าซื่อใจคด ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง” พระวรสารวันนี้ กล่าวถึงการเสด็จมาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าในวันสุดท้าย และการรอคอยทีเ่ ราต้องเตรียมพร้อมอยูเ่ สมอ โดยทีพ่ ระเยซูเจ้าได้แนะนำ�การเตรียม พร้อมของคริสตชนคือ “เมื่อเราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็น แขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่าน ก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา” (มธ 25:35-36) ถ้าเราละเลยชีวิตและไม่เฝ้าระวัง เตรียมพร้อม ในวันสุดท้ายพระองค์จะทรงแยกเราออก “นายก็จะแยกเขาออกให้ไป อยูก่ บั พวกหน้าซือ่ ใจคด ทีน่ นั่ จะมีแต่การรํา่ ไห้ครํา่ ครวญ และขบฟันด้วยความขุน่ เคือง” (มธ 24:51)
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา สดด 90:2-4,12-13, 14 และ 17
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1