ระลึกถึง น.อัลฟองโซ มารีย์ เด ลิกวอรี พระสังฆราช และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 59:1-4,9-10,16,17 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 ยรม 15:10,16-21 แม่จ๋า วิบัติจงเกิดแก่ลูก ทำ�ไมแม่จึงคลอดลูกออกมา เป็นเหตุให้ผู้คนทั่ว แผ่นดินต้องแตกแยกและทะเลาะวิวาทกัน ลูกไม่ได้ให้ยืม และไม่ได้ยืมใคร แต่ทุกคน สาปแช่งลูก เมื่อข้าพเจ้าพบพระวาจา ข้าพเจ้าก็ได้กินพระวาจานั้น พระวาจาของพระองค์เป็น ความชืน่ บาน และเป็นความยินดีของจิตใจข้าพเจ้า ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล เพราะข้าพเจ้าเป็นของพระองค์ ข้าพเจ้าไม่เคยนั่งเพื่อความสนุก ร่วมหมู่กับคนชอบ เยาะเย้ยผู้อื่น ข้าพเจ้านั่งอยู่คนเดียวเพราะพระหัตถ์พระองค์อยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะ พระองค์ทรงบันดาลให้ขา้ พเจ้าโกรธมาก แล้วทำ�ไมความทุกข์ทรมานของข้าพเจ้าจึงไม่รู้ จักจบ ทำ�ไมบาดแผลของข้าพเจ้าจึงรักษาไม่หาย ไม่ยอมหาย สำ�หรับข้าพเจ้า พระองค์ ทรงเป็นเหมือนลำ�ธารที่ทำ�ให้ผิดหวัง เพราะนํ้าไม่แน่นอน ดังนัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงตรัสดังนีว้ า่ “ถ้าท่านกลับใจ เราจะรับท่านกลับมา และ ท่านจะยืนอยู่ต่อหน้าเรา ถ้าท่านรู้จักแยกสิ่งประเสริฐจากสิ่งไร้ค่า ท่านจะเป็นเหมือน ปากของเรา เขาทั้งหลายจะกลับมาหาท่าน แต่ท่านต้องไม่กลับไปหาเขา เราจะทำ�ให้ ท่านเป็นเหมือนกำ�แพงทองสัมฤทธิ์ที่มั่นคงสำ�หรับประชากรนี้ เขาทั้งหลายจะต่อสู้กับ ท่าน แต่จะไม่ชนะท่าน เพราะเราอยู่กับท่าน เพื่อช่วยท่านให้รอดพ้นและปลดปล่อย ท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะช่วยท่านให้พ้นจากมือของคนชั่ว จะไถ่ท่านจากมือ ของผู้ใช้ความรุนแรง” พระวรสาร มธ 13:44-46 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อน สมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อนาแปลงนั้น” “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบ ไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น” อุปมาสองเรื่องนี้ เป็นกุญแจช่วยอธิบายอุปมาอื่นๆ เมื่อเรามีประสบการณ์ อาณาจักรพระเจ้า ความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้า เป็นประสบการณ์ที่สำ�คัญและมีค่ามาก ทำ�ให้เกิดปีติยินดีและสันติสุข และการเปลี่ยนแปลงชีวิตเหมือนผู้พบขุมทรัพย์หรือไข่มุก ที่มีค่าสูง เขามีความชื่นชมยินดีขายทุกสิ่งเพื่อไปซื้อนาหรือไข่มุกเม็ดนั้น น.อัลฟองโซเคย เป็นทนายความที่มีชื่อเสียง ครั้งหนึ่งท่านว่าความแต่แพ้คดี จึงนำ�ไปสู่การกลับใจ ตัดสิน ใจสละโลก บวชเป็นพระสงฆ์และได้ตงั้ คณะนักบวชเพือ่ รับใช้พระเจ้า พระเจ้าทรงเรียกทุก คนให้มปี ระสบการณ์อาณาจักรพระเจ้าเพือ่ เป็น “ศิษย์พระคริสต์เจริญชีวติ ประกาศข่าวดี ใหม่ในโลกปัจจุบัน”
บทอ่านที่ 1 ยรม 18:1-6 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับเยเรมียด์ งั นีว้ า่ “จงรีบไปทีบ่ า้ นของช่างปัน้ หม้อ แล้วเรา จะแจ้งถ้อยคำ�ของเราแก่ทา่ นทีน่ นั่ ” ข้าพเจ้าจึงลงไปทีบ่ า้ นของช่างปัน้ หม้อ เห็นเขากำ�ลัง ทำ�งานอยู่ที่แป้นหมุน แต่ภาชนะที่เขากำ�ลังใช้ดินเหนียวปั้นอยู่นั้นเสียรูปใช้ไม่ได้ ดังที่ อาจเกิดกับดินเหนียวในมือของช่างปัน้ หม้อ เขาจึงใช้ดนิ เหนียวนัน้ ปัน้ ภาชนะอีกใบหนึง่ ตามทีเ่ ขาคิดว่าเหมาะสม แล้วองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พงศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอล เอ๋ย เราจะทำ�กับท่านอย่างที่ช่างปั้นหม้อคนนี้ทำ�ไม่ได้หรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส ดูซิ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ดินเหนียวอยู่ในมือของช่างปั้นหม้ออย่างไร ท่านทั้งหลายก็อยู่ ในมือของเราอย่างนั้น” พระวรสาร มธ 13:47-53 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์ยงั เปรียบได้อกี กับอวนทีห่ ย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด เมือ่ อวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยน ทิ้งไป เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคน ชั่วออกจากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญและ ขบฟันด้วยความขุ่นเคือง” “ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่” บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า “เข้าใจแล้ว” พระองค์จึงตรัสว่า “ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำ�ทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน” เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาเหล่านี้จบแล้ว พระองค์เสด็จออกจากที่นั่น ทุกคนได้รับการเรียกให้เป็นสมาชิกของพระศาสนจักร ซึ่งเป็นเครื่องมือ ของอาณาจักรพระเจ้าในโลก เปรียบเสมือนอวนที่มีปลาทุกชนิด ไม่มีการแบ่งแยกคนดี และคนบาป คนยากจนและคนรํ่ารวย แต่ทุกคนมีความปรารถนาที่จะก้าวหน้าไปสู่ชีวิตที่ สมบูรณ์ โดยการกลับใจอย่างต่อเนือ่ ง หล่อหลอมชีวติ ใหม่ดว้ ยพระวาจา ศีลศักดิส์ ทิ ธิ์ การ อธิษฐานภาวนา ร่วมชุมชุมเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกันในชุมชนความเชื่อ เรามีหน้าที่รวบรวม ทุกคน อย่าตัดสินผู้อื่น แต่ให้ความช่วยเหลือ ให้โอกาส ให้กำ�ลังใจแก่กันและกัน ร่วมเป็น ผูจ้ าริกประกาศความเชือ่ ด้วยกัน ส่วนการตัดสินเป็นหน้าทีข่ องพระเจ้าเมือ่ ถึงเวลากำ�หนด
น.เอวเซบิโอ แห่งแวร์แชลลี พระสังฆราช น.เปโตร ยูเลียน ไรมาร์ด พระสงฆ์ สดด 146:1-2,3-4,5-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา สดด 69:4,7-9,13 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันศุกร์ต้นเดือน
บทอ่านที่ 1 ยรม 26:1-9 เมื่อเริ่มรัชกาลของกษัตริย์เยโฮยาคิม พระโอรสของกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับประกาศกเยเรมีย์ “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงไปยืนที่ ลานพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า จงพูดกับชาวเมืองทุกเมืองแห่งยูดาห์ทมี่ านมัสการ ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงพูดทุกคำ�ที่เราสั่งให้ท่านพูดกับเขา อย่าละเว้น แม้แต่คำ�เดียว เขาอาจจะฟัง และแต่ละคนจะกลับใจละทิ้งความประพฤติชั่วของตน แล้วเราจะเปลีย่ นใจไม่ลงโทษดังทีเ่ ราได้ตงั้ ใจจะทำ�ต่อเขาเพราะความชัว่ ทีเ่ ขาได้ท�ำ ท่าน จงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ถ้าท่านทั้งหลายไม่ยอมฟังเรา ไม่ ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติที่เราให้ท่านไว้ ถ้าท่านไม่ยอมฟังถ้อยคำ�ของบรรดาประกาศก ผูร้ บั ใช้ของเรา ทีเ่ ราส่งไปหาท่านครัง้ แล้วครัง้ เล่า และท่านไม่ได้ฟงั เขา เราจะทำ�ให้เมือง นี้เป็นเหมือนเมืองชิโลห์ เป็นที่สาปแช่งให้ชนทุกชาติในแผ่นดินได้เห็นเป็นตัวอย่าง’” บรรดาสมณะ ประกาศก และประชากรทัง้ หมดได้ยนิ เยเรมียพ์ ดู ถ้อยคำ�เหล่านีใ้ น พระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เมือ่ เยเรมียก์ ล่าวถ้อยคำ�ทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงบัญชา ให้เขาพูดแก่ประชากรทุกคนจบแล้ว บรรดาสมณะ ประกาศก และประชากรทั้งหมด ได้จับกุมเขา ร้องตะโกนว่า “ท่านต้องตายแน่ ทำ�ไมท่านจึงกล้าประกาศถ้อยคำ�นี้ใน พระนามองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าว่า ‘พระวิหารนีจ้ ะเป็นเหมือนเมืองชิโลห์ และเมืองนีจ้ ะเป็น ซากปรักหักพังที่ไม่มีผู้อาศัย’” ประชากรทั้งหมดพากันมาจับกุมเยเรมีย์ในพระวิหาร ขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระวรสาร มธ 13:54-58 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมายังถิน่ กำ�เนิดของพระองค์ ทรงสัง่ สอนในศาลาธรรม ของชาวยิว ประชาชนต่างประหลาดใจและพูดว่า “คนนี้เอาปรีชาญาณและอำ�นาจทำ� อัศจรรย์มาจากที่ใด เขาเป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ แม่ของเขาชือ่ มารีย์ พี่ชายน้องชายของ เขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาหรือ พี่สาวน้องสาวทุกคนของเขาก็อยู่กับเรา มิใช่หรือ เขาไปได้สงิ่ เหล่านีม้ าจากทีใ่ ด” คนเหล่านีร้ สู้ กึ สะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำ�เนิด และในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำ�อัศจรรย์ที่นั่นไม่มากนัก เพราะเขาเหล่านั้นไม่มี ความเชื่อ
บุคคลต่างๆ ตอบสนองข่าวดีของพระเยซูเจ้าแตกต่างกัน ชาวเมืองนาซาเร็ธบ้านเกิดของพระองค์ ยังรูส้ กึ สะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์เพราะขาดความเชือ่ ความเชือ่ ในพระเยซูคริสตเจ้าผูท้ รงมาช่วยมนุษย์ให้ รอดพ้นเป็นสิง่ จำ�เป็น “ผูใ้ ดมีความเชือ่ ในพระบุตรย่อมมีชวี ติ นิรนั ดร” (ยน 3:36) ความเชือ่ เติบโตอาศัยความ ช่วยเหลือของพระจิตเจ้า การภาวนาและศึกษาพระวาจาเก็บรักษาสิง่ เหล่านีใ้ นใจ การแบ่งปันประสบการณ์การ ดำ�เนินชีวิตตามพระวาจา และการสอนของบรรดาผู้สืบตำ�แหน่งพระสังฆราช โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเติบโต เป็น “ศิษย์ธรรมทูต” มีชีวิตใหม่เพื่อประกาศข่าวดีใหม่
บทอ่านที่ 1 ยรม 26:11-16,24 บรรดาสมณะและประกาศกจึงพูดกับเจ้านายและประชากรทุกคนว่า “ชายคนนี้ ควรถูกประหารชีวิต เพราะเขาประกาศพระวาจากล่าวโทษเมืองนี้ ดังที่ท่านทั้งหลาย ได้ยนิ กับหูแล้ว” ประกาศกเยเรมียจ์ งึ ตอบเจ้านายทุกคนและประชากรทัง้ ปวงว่า “องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งข้าพเจ้ามาประกาศพระวาจากล่าวโทษพระวิหารและเมืองนี้ตาม ถ้อยคำ�ทุกคำ�ที่ท่านได้ยิน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงปรับปรุงความประพฤติและการ กระทำ�ของท่าน จงฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน และองค์ พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ลงโทษท่านดังที่เคยตรัสไว้ ส่วนข้าพเจ้า ท่านก็ เห็นแล้วว่าข้าพเจ้าอยูใ่ นมือของท่าน ท่านจงทำ�กับข้าพเจ้าตามทีท่ า่ นเห็นดีเห็นชอบเถิด แต่จงรู้ไว้เถิดว่าถ้าท่านประหารชีวิตข้าพเจ้า ท่าน เมืองนี้ และชาวเมืองนี้ทุกคนจะต้อง รับผิดชอบต่อโลหิตของผู้บริสุทธิ์ เพราะโดยแท้จริงแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่ง ข้าพเจ้ามาพูดถ้อยคำ�เหล่านีท้ งั้ หมดให้ทา่ นฟัง”... แต่ประกาศกเยเรมียไ์ ด้รบั การปกป้อง จากอาคิคัมบุตรของชาฟาน จึงไม่ถูกมอบให้ประชาชนนำ�ไปประหารชีวิต
ระลึกถึง น.ยอห์น มารีย์ เวียนเนย์ พระสงฆ์ สดด 69:14-15, 29-30,32-33
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร มธ 14:1-12 เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า จึงตรัสกับข้าราชบริพารว่า “คนนี้คือ ยอห์นผู้ทำ�พิธีล้างที่กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ดังนั้นเขาจึงมีอำ�นาจทำ�อัศจรรย์ได้” กษัตริยเ์ ฮโรดทรงสัง่ ให้จบั กุมยอห์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเรือ่ งของนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลปิ พระอนุชา ยอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า “ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับนางมาเป็นมเหสี” กษัตริย์เฮโรด ต้องการจะฆ่ายอห์น แต่ทรงเกรงประชาชน เพราะประชาชนคิดว่ายอห์นเป็นประกาศก ในวันคล้ายวันประสูติ ของกษัตริย์เฮโรด บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสได้เต้นรำ�ต่อหน้าแขกรับเชิญ เป็นที่พอพระทัยกษัตริย์เฮโรด อย่างยิ่ง พระองค์จึงทรงสัญญาและทรงสาบานจะประทานทุกสิ่งที่นางทูลขอ นางจึงทูลตามคำ�แนะนำ�ที่ได้รับจากมารดาว่า “โปรดประทานศีรษะของยอห์นผู้ทำ�พิธีล้างใส่ถาดมาให้ หม่อมฉันที่นี่เถิด” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์ แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะเห็นแก่ผู้รับเชิญ จึงทรงสั่งให้ จัดการตามที่นางขอ กษัตริย์เฮโรดทรงส่งคนไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก เขาจึงนำ�ศีรษะของยอห์นใส่ถาด มาส่งให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำ�ไปให้มารดา บรรดาศิษย์ของยอห์นได้มารับศพไปฝัง แล้วแจ้งข่าวให้ พระเยซูเจ้าทรงทราบ เยเรมีย์กล่าวโทษพระวิหารและเมืองตามที่พระเจ้าทรงดลใจท่าน ท่านไม่ถูกประหารชีวิตเพราะ ชาวอิสราเอลสมัยนัน้ ยอมรับเยเรมีย์ แต่กษัตริยเ์ ฮโรดไม่เชือ่ พระเยซูเจ้า และฆ่ายอห์นผูท้ �ำ พิธลี า้ ง การตายของ ยอห์นผู้ทำ�พิธีล้างชี้ชะตาล่วงหน้าของพระเยซูเจ้า แต่พระองค์ทรงยืนหยัดปฏิบัติพันธกิจอย่างมุ่งมั่นต่อไป น.ยอห์น มารีย์ เวียนเนย์ เจ้าอาวาสผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอาร์ส เกิดในครอบครัวชาวนาคริสตชนที่ศรัทธา ในสมัย ปฏิวัติฝรั่งเศส ท่านผ่านอุปสรรคมากมายจนได้บวชเป็นพระสงฆ์ ท่านได้ทำ�หน้าที่สงฆ์ของพระคริสตเจ้าอย่างดี ทำ�ให้วัดเป็นชุมชนแห่งความเชื่อที่ประกาศข่าวดีใหม่แห่งพระเมตตาของพระเจ้า
สัปดาห์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันสื่อมวลชนสากล
บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 16:2-4,12-15 ชุมชนชาวอิสราเอลต่างต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิน่ ทุรกันดาร ชาวอิสราเอลพูด กับเขาทัง้ สองคนว่า “พระหัตถ์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าประหารชีวติ พวกเราในแผ่นดินอียปิ ต์ เมื่อนั่งอยู่รอบหม้อเนื้อและกินอิ่มยังดีกว่าที่ท่านพาพวกเราออกมาในถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อให้พวกเราทุกคนอดตาย” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้มอี าหารตกลงมาจาก ฟ้าเหมือนฝนให้ทา่ นทัง้ หลายกิน ทุกวันประชากรต้องออกไปเก็บอาหารให้พอกินในวัน นัน้ เราจะได้ทดลองดูวา่ เขาปฏิบตั ติ ามบัญญัตขิ องเราหรือไม่ เราได้ยนิ คำ�ต่อว่าของชาว อิสราเอลแล้ว จงบอกเขาดังนี้ว่า เวลาพลบคํ่า ท่านทั้งหลายจะมีเนื้อกิน และเวลาเช้า ท่านจะมีอาหารกินจนอิ่ม แล้วท่านทัง้ หลายจะรู้วา่ เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของ ท่าน” เย็นวันนั้น ฝูงนกคุ่มบินมาจนเต็มค่าย ในเวลาเช้า มีนํ้าค้างแผ่กระจายอยู่ทั่วไป รอบค่ายพัก เมือ่ นํา้ ค้างระเหยแล้ว ก็เห็นมีเกล็ดเป็นเม็ดเล็กๆ บนผิวดินในถิน่ ทุรกันดาร เหมือนนํ้าค้างที่จับแข็ง เมื่อชาวอิสราเอลเห็น จึงถามกันว่า “นี่เป็นอะไร” เพราะเขา ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า “นี่แหละอาหารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ ท่านกิน” เพลงสดุดี สดด 78:2-4,22-24,25 และ 54 ก) ข้าพเจ้าจะเปิดปากพูดเป็นค�ำประพันธ์ เปิดเผยปริศนาที่ซ่อนไว้ตั้งแต่ในอดีต สิ่งที่พวกเราได้ยินและรับรู้ สิ่งที่บรรพบุรุษของเราเล่าให้เราฟัง เราจะไม่ปิดบังลูกหลานของเขา แต่จะบอกเล่าแก่ชนรุ่นหลังที่ก�ำลังจะมา บอกเล่าถึงกิจการน่าสรรเสริญขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระอานุภาพของพระองค์ รวมทั้งการมหัศจรรย์ที่ทรงกระท�ำ ข) เพราะเขาทั้งหลายไม่มีความเชื่อในพระเจ้า ขาดความไว้ใจว่าจะทรงช่วยให้รอดพ้น แม้กระนั้นพระองค์ทรงบัญชาหมู่เมฆเบื้องบน ทรงเปิดประตูท้องฟ้า ปล่อยให้มานนาตกลงมาดังห่าฝนเพื่อเป็นอาหาร พระองค์ประทานข้าวสาลีจากสวรรค์ให้เขา
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 4:17,20-24 พี่น้อง ข้าพเจ้าขอพูดและยํ้าเตือนท่านทั้งหลายในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า อย่าดำ�เนินชีวิตโดยไร้ความคิด อีกต่อไปดังที่คนต่างศาสนาทำ� แต่ท่านมิได้มารู้จักพระคริสตเจ้าเช่นนั้น ท่านได้ฟังเรื่องราวและรู้จักองค์พระคริสตเจ้าตามความจริงที่ ปรากฏอยู่ในพระเยซูเจ้าแล้ว ท่านจงถอดสภาพมนุษย์เก่า เลิกประพฤติเลวทรามตามราคตัณหาที่หลอกให้ หลงไป จงมีจิตใจและความรู้สึกนึกคิดอย่างใหม่ จงสวมใส่สภาพมนุษย์ใหม่ซึ่งพระเจ้าทรงเนรมิตให้เหมือน พระองค์ มีความชอบธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากความจริง บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:24-35 เวลานั้น เมื่อประชาชนเห็นว่าทั้งพระเยซูเจ้า และบรรดาศิษย์ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ก็ลงเรือมุ่งไปที่เมือง คาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซูเจ้า เมื่อพบพระองค์ที่ฝั่งตรงข้าม จึงทูลถามว่า “พระอาจารย์ ท่านมาที่นี่ เมื่อไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็น เครื่องหมายอัศจรรย์ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จง หาอาหารทีค่ งอยูแ่ ละนำ�ชีวติ นิรนั ดรมาให้ อาหารนีบ้ ตุ รแห่งมนุษย์จะประทานให้ทา่ น เพราะพระเจ้าพระบิดา ทรงประทับตรารับรองบุตรแห่งมนุษย์ไว้แล้ว” เขาเหล่านัน้ จึงทูลว่า “พวกเราจะต้องทำ�อะไรเพือ่ ให้กจิ การของพระเจ้าสำ�เร็จ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “กิจการของพระเจ้าก็คือให้ท่านทั้งหลายเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา” ประชาชนจึงทูลถามว่า “ท่าน ทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ใดเพื่อพวกเราจะได้เห็น และจะได้เชื่อในท่าน ท่านทำ�อะไร บรรพบุรุษของเราได้กิน มานนาในถิ่นทุรกันดาร ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ประทานขนมปังจากสวรรค์ให้เขากิน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้ขนมปังจากสวรรค์แก่ ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานขนมปังแท้จากสวรรค์ให้ท่าน เพราะขนมปังของพระเจ้า คือขนมปัง ซึ่งลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” ประชาชนจึงทูลว่า “นายขอรับ โปรดให้ขนมปังนี้แก่พวกเราเสมอเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหาย อีกเลย” ในพันธสัญญาเดิมพระเจ้าทรงดูแลชาวอิสราเอลประชากรของพระองค์ ในช่วงเดินทางอพยพ ในถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนอาหาร พวกเขาได้รับมานนาและนกคุ่มเป็นอาหารเพื่อมีชีวิตอยู่รอด สามารถเดิน ทางไปสู่ดินแดนพระสัญญา ในพันธสัญญาใหม่พระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์เป็นอาหารที่นำ�ชีวิต นิรันดรมาให้ ในพิธีบูชาขอบพระคุณ พระเจ้าทรงประทานอาหารประจำ�วัน ทั้งกายและจิตวิญญาณ พระวาจา ศีลมหาสนิท การอธิษฐานภาวนาเพือ่ หล่อเลีย้ งชีวติ ความเชือ่ ของเราให้เติบโต จนกลายเป็นศิษย์ธรรมทูตมีชวี ติ ใหม่เพื่อการประกาศข่าวดีใหม่ในโลกปัจจุบัน
บทอ่านที่ 1 ดนล 7:9-10,13-14 ขณะทีข่ า้ พเจ้ากำ�ลังมองดูอยูน่ นั้ ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายองค์ถกู นำ�มาตัง้ ไว้ และ ผู้สูงด้วยวัยวุฒิท่านหนึ่งมานั่งบนบัลลังก์ สวมอาภรณ์ขาวอย่างหิมะ ผมบนศีรษะขาว เหมือนขนแกะ บัลลังก์ของเขาเหมือนเปลวเพลิง มีล้อเหมือนไฟลุกโพลง เบื้องหน้า เขามีธารไฟไหลออกมา ผู้รับใช้จำ�นวนมาก นับล้านนับโกฎิอสงไขย คอยเฝ้ารับใช้เขา ฉลองพระเยซูเจ้า การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น และบรรดาหนังสือก็เปิดออก ข้าพเจ้ายังเห็นนิมิตเวลากลางคืนต่อไป ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่ง ทรงประจักษ์ พระวรกายต่อหน้า มนุษย์ มาพร้อมกับหมู่ก้อนเมฆในท้องฟ้า เขามาพบผู้สูงด้วยวัยวุฒิ และมีผู้แนะนำ� เขาแก่ท่านผู้นั้น เขาได้รับมอบอำ�นาจปกครอง สิริรุ่งโรจน์ และอาณาจักร ประชาชน อัครสาวก ทุกชาติทุกภาษารับใช้เขา อำ�นาจปกครองของเขาเป็นอำ�นาจที่คงอยู่ตลอดไปไม่มีวัน สดด 97:1-2,5-6,9 สิ้นสุด และอาณาจักรของเขาจะไม่มีวันถูกทำ�ลายเลย พระวรสาร มก 9:2-9 ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูง ตามลำ�พัง แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา ฉลองพระองค์กลับมี สีขาวเจิดจ้า ขาวผ่องอย่างที่ไม่มีช่างซักฟอกคนใดในโลกทำ�ให้ขาวเช่นนั้นได้ แล้ว ประกาศกเอลียาห์กับโมเสสแสดงตนสนทนาอยู่กับพระเยซูเจ้า เปโตรจึงทูลพระเยซู เจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ เราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลัง หนึ่งสำ�หรับพระองค์ หลังหนึ่งสำ�หรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำ�หรับประกาศกเอลียาห์” เขาไม่รวู้ า่ กำ�ลังพูดอะไรเพราะศิษย์ทงั้ สามคนต่างตกใจกลัว ครัน้ แล้วเมฆก้อนหนึง่ ลอย มาปกคลุมเขาไว้ มีเสียงหนึ่งออกมาจากเมฆก้อนนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” ทันใดนั้น ศิษย์ทั้งสามคนเหลียวมองรอบๆ ไม่เห็นผู้ใดอยู่กับตน นอกจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น ขณะที่กำ�ลังลงจากภูเขา พระองค์ตรัสสั่งเขามิให้เล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย เปโตร ยากอบ และยอห์นอัครสาวกมีประสบการณ์การประจักษ์พระวรกาย ของพระเยซูเจ้าอย่างรุ่งโรจน์ น.เปโตรกล่าวว่า ท่านได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองถึงความ ยิง่ ใหญ่ พระสิรริ งุ่ โรจน์ทพี่ ระเยซูเจ้าได้รบั จากพระเจ้าพระบิดา “ผูน้ เี้ ป็นบุตรสุดทีร่ กั ของ เรา ซึ่งเราพอใจ” ประสบการณ์นี้เป็นแสงสว่างในใจของท่าน ทำ�ให้พวกท่านยอมรับ ธรรมลํ้าลึกปัสกา ซึ่งนำ�ไปสู่การกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้า คริสตชนทุกคนได้รับ เรียกให้มปี ระสบการณ์กบั พระเจ้าในความรักและประสบการณ์การช่วยให้รอดทีเ่ ราได้รบั จากพระองค์เป็นเงื่อนไขสำ�คัญอันจะขาดมิได้ในชีวิตความเชื่อและแรงบันดาลใจแรก ในการประกาศข่าวดี
บทอ่านที่ 1 ยรม 30:1-2,12-15,18-22 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับเยเรมียว์ า่ “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัส ดังนี้ จงเขียนถ้อยคำ�ทุกคำ�ที่เราได้บอกท่านไว้ในหนังสือเพื่อจะอ่านในภายหลัง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ บาดแผลของท่านรักษาไม่หาย รอยฟกชํ้าของท่านก็ สาหัส ไม่มีผู้ใดช่วยแก้คดีของท่าน ไม่มียารักษาบาดแผลของท่าน ท่านจะไม่มีวันหาย เจ็บ คนรักทุกคนของท่านได้ลืมท่าน เขาไม่แสวงหาท่านอีกแล้ว เพราะเราเฆี่ยนตีท่าน น.ซิกส์โต ที่ 2 เหมือนศัตรูโบยตี เป็นการลงโทษอย่างที่คนโหดร้ายทำ� เพราะความผิดของท่านใหญ่ พระสันตะปาปา หลวง บาปของท่านมากมาย... และเพื่อนมรณสักขี องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะตั้งกระโจมของยาโคบให้กลับดีเหมือนเดิม น.กาเยตาน เราจะสงสารที่อาศัยของเขา... เราจะทวีจำ�นวนของเขา เขาจะไม่ลดจำ�นวนลง เราจะให้ พระสงฆ์ สดด 102:15-17,18-20, เกียรติเขา เขาจะไม่ถกู เหยียดหยาม ลูกหลานของเขาจะเป็นเหมือนเดิม ชุมชนของเขา 28 และ 21-22 จะมั่นคงอยู่ต่อหน้าเรา เราจะลงโทษทุกคนที่เบียดเบียนเขา... ท่านทั้งหลายจะเป็น ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของท่าน พระวรสาร มธ 14:22-36 ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามทะเลสาบล่วงหน้าพระองค์ไปในขณะที่ พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงลาประชาชนแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐาน ภาวนาตามลำ�พัง ครั้นเวลาคํ่า พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพียงพระองค์เดียว ส่วนเรืออยู่ห่างจากฝั่งหลายร้อย เมตร กำ�ลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม เมื่อถึงยามที่สี่ พระองค์ทรงดำ�เนินบนทะเลไปหาบรรดา ศิษย์ เมื่อบรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงดำ�เนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียง อื้ออึงด้วยความกลัว ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ทำ�ใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เปโตรทูลตอบ ว่า “พระเจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์ ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนนํ้าไปหาพระองค์เถิด” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนนํ้าไปหาพระเยซูเจ้า แต่เมื่อเห็นว่าลมแรง เขาก็กลัวและเริ่มจมลง แล้วร้องว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อ น้อยจริง สงสัยทำ�ไมเล่า” เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมาประทับในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ คนที่อยู่ใน เรือจึงเข้ามากราบนมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง” พระเยซูเจ้าทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์มาขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท ผู้คนที่นั่นจำ�พระองค์ได้ จึง ส่งข่าวต่อๆ กันไปทั่วบริเวณนั้น เขานำ�ผู้เจ็บป่วยทุกคนมาเฝ้าพระองค์ ทูลขอสัมผัสเพียงฉลองพระองค์ เท่านั้น และทุกคนที่สัมผัสแล้ว ก็หายจากโรค สำ�หรับชาวยิวทะเลเป็นที่อยู่ของความชั่วร้าย การคุกคามและการเบียดเบียน พระเยซูเจ้าทรงมี อำ�นาจเหนือทะเล ทรงดำ�เนินบนผิวนํ้าทะเล พระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ทำ�ใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เปโตรเป็นตัวแทนศิษย์ผู้ชนะความกลัว ก้าวเดินกับพระเยซูเจ้าบนผิวนํ้าด้วยความเชื่อ พระองค์ทรงช่วยเปโตร ที่มีความเชื่อน้อยและมีความสงสัย คนที่อยู่ในเรือมีความเชื่อทูลว่า “พระองค์เป็นบุตรพระเจ้าอย่างแท้จริง” การสัมผัสด้วยความเชื่อ ผู้เจ็บป่วยมาสัมผัสพระองค์เป็นการแสดงความปรารถนาที่จะดำ�เนินชีวิตด้วยความ เชื่ออย่างซื่อสัตย์ ทำ�ให้ได้รับการรักษาให้หายจากโรคและได้รับความรอดพ้น
ระลึกถึง น.โดมินิก พระสงฆ์ ยรม 31:10,11-12ก 13-14ก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 ยรม 31:1-7 วันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะเป็นพระเจ้าของทุกเผ่าแห่งอิสราเอล และ เขาจะเป็นประชากรของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ประชากรที่รอดชีวิตจากดาบ ได้พบพระกรุณาใน ถิน่ ทุรกันดาร ขณะทีอ่ สิ ราเอลเดินไปหาทีพ่ กั ผ่อน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์ แก่เขาจากที่ไกล ตรัสว่า เรารักท่านด้วยความรักนิรันดร ดังนั้น เราจึงมีความรักมั่นคง ต่อท่านตลอดไป อิสราเอลพรหมจารีเอ๋ย เราจะสร้างท่านอีก และท่านจะถูกสร้างขึ้น ใหม่ ท่านจะแต่งตัวงดงามถือรำ�มะนาอีก ออกไปเต้นรำ�กับผู้ที่ฉลองยินดี ท่านจะปลูก สวนองุน่ บนภูเขาของสะมาเรียอีก ผูป้ ลูกจะปลูก และเก็บผลผลิต วันนัน้ จะมาถึง เมือ่ คนยามจะร้องเรียกบนภูเขาแห่งเอฟราอิมว่า ‘จงลุกขึ้นเถิด เราจงไปยังศิโยนกันเถิด ไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา’” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงร้องเพลงด้วยความยินดีสำ�หรับยาโคบ และ โห่ร้องต้อนรับผู้นำ�ของนานาชาติ จงประกาศสรรเสริญร้องว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง ช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้น คือผู้ที่รอดชีวิตของอิสราเอล’” พระวรสาร มธ 15:21-28 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่น มุ่งไปเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน ทันใด นั้น หญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากเขตแดนนี้ร้องว่า “โอรสกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรด เมตตาข้าพเจ้าด้วยเถิด บุตรสาวของข้าพเจ้าถูกปีศาจสิงต้องทรมานมาก” แต่พระองค์ มิได้ตรัสตอบประการใด บรรดาศิษย์จงึ เข้ามาทูลพระองค์วา่ “โปรดประทานตามทีน่ าง ทูลขอเถิด เพราะนางร้องตะโกนตามหลังพวกเรามา” พระองค์ทรงตอบว่า “เราถูกส่ง มาเพื่อแกะที่พลัดหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น” แต่นางเข้ามากราบพระองค์ทูล ว่า “พระเจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด” พระองค์ทรงตอบว่า “ไม่สมควรที่จะเอา อาหารของลูก มาโยนให้ลกู สุนขั กิน” นางทูลว่า “ถูกแล้ว พระเจ้าข้า แต่แม้แต่ลกู สุนขั ก็ยังได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนาย” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย ความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ จงเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาเถิด” และบุตรหญิงของนางก็ หายเป็นปกติตั้งแต่บัดนั้น
หญิงชาวคานาอันขอความเมตตาจากพระเยซูเจ้า แต่พระองค์มิได้ตอบประการใด นางร้องขอ พระองค์อีก พระองค์กลับใช้คำ�พูดที่ชาวยิวคุ้นเคยใช้เรียกคนต่างชาติหรือต่างความเชื่อ แต่พระองค์ลดการ ดูหมิ่นทรงใช้คำ�ว่า ลูกสุนัข นางได้แสดงความเชื่ออย่างจริงใจ และละวางตัวตน ความรู้สึกอับอาย ว่างเปล่า อยู่ ต่อหน้าและแสดงความเชื่อในพระองค์ พระองค์จึงตรัสว่า “นางเอ๋ยความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ จงเป็นไปตามที่ เจ้าปรารถนาเถิด” หญิงชาวคานาอันนี้เป็นแบบอย่างของผู้มีความเชื่อและการภาวนาอย่างสิ้นสุดตัวตน พระเยซูเจ้ามักบอกกับศิษย์ของพระองค์ว่าช่างมีความเชื่อน้อย
บทอ่านที่ 1 ยรม 31:31-34 “ดูซิ วันเวลาจะมาถึง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เมื่อเราจะทำ�พันธสัญญาใหม่กับ พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์ จะไม่เหมือนกับพันธสัญญาที่เราทำ�ไว้กับ บรรพบุรุษของเขา...” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “นี่จะเป็นพันธสัญญาที่เราจะทำ�กับ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเมื่อเวลานั้นมาถึง” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “เราจะใส่ธรรมบัญญัติ ของเราไว้ภายในเขา เราจะเขียนธรรมบัญญัติไว้ในใจของเขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา น.เทเรซา เบเนดิกตา และเขาจะเป็นประชากรของเรา ไม่มผี ใู้ ดจะต้องสอนเพือ่ นบ้านของตน หรือบอกพีน่ อ้ ง แห่งไม้กางเขน ของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด’ เพราะทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่คน พรหมจารี เล็กน้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “เราจะให้อภัยความผิด และมรณสักขี ของเขา และจะไม่ระลึกถึงบาปของเขาอีกต่อไป” สดด 51:10-12ก, 12ข-13,16-17 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร มธ 16:13-23 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟีลิปและตรัสถามบรรดา ศิษย์ว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่า เป็นยอห์นผู้ทำ�พิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศก เยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่ มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านเป็นศิลา และบนศิลานี้ เราจะสร้างพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มวี นั ชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจ อาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” แล้วพระองค์ทรงกำ�ชับบรรดาศิษย์มิให้บอกใครว่าพระองค์คือพระคริสตเจ้า ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มแจ้งแก่บรรดาศิษย์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับ การทรมานอย่างมากจากบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ จะถูกประหารชีวิต แต่จะทรงกลับ คืนพระชนมชีพในวันที่สาม เปโตรนำ�พระองค์แยกออกไป ทูลทัดทานว่า “ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์ อย่างแน่นอน” แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสแก่เปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลังเรา เจ้าเป็นเครือ่ งกีดขวาง เรา เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” จากประวัตศิ าสตร์ของชาติอสิ ราเอล ชาวอิสราเอลส่วนใหญ่ได้ละเลยไม่ปฏิบิ ตั ติ ามพันธสัญญากับ พระเจ้าทีท่ �ำ ผ่านทางโมเสส สมัยกษัตริยช์ าวอิสราเอลวางความหวังในชาติ พระวิหาร และราชวงศ์ หลังจากการ เป็นเชลยที่กรุงบาบิโลนผ่านพ้นไป ชาวอิสราเอลได้ทำ�พันธสัญญาใหม่กับพระเจ้า เป็นพันธสัญญาใหม่ที่จารึก ในใจ พันธสัญญาใหม่นี้ได้สำ�เร็จอาศัยการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า พระศาสนจักรที่พระคริสตเจ้าทรงตั้งขึ้นจะยังคงสืบสานพันธกิจแห่งพันธสัญญาใหม่ต่อไปในโลก และผู้นำ� พระศาสนจักรต้องคิดอย่างพระเจ้า ไม่คิดอย่างมนุษย์
ฉลอง น.ลอเรนซ์ สังฆานุกร และมรณสักขี สดด 112:1-2,5-6 7-8,9
บทอ่านที่ 1 2 คร 9:6-10 พีน่ อ้ ง พึงจำ�ไว้วา่ ผูท้ หี่ ว่านเมล็ดพืชเพียงเล็กน้อย ก็จะเก็บเกีย่ วได้เพียงเล็กน้อย ผูท้ หี่ ว่านเมล็ดพืชมากก็จะเก็บเกีย่ วได้มาก แต่ละคนจงให้ตามทีต่ งั้ ใจไว้ มิใช่ให้โดยนึก เสียดาย มิใช่ให้โดยฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี พระเจ้าประทาน พระหรรษทานทุกประการแก่ท่านได้อย่างอุดม เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งเพียงพอ และยังมี เหลือเฟือสำ�หรับกิจการดีทุกประการอีกด้วย ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เขา เอื้อเฟื้อแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำ�รงอยู่ตลอดนิรันดร” พระองค์ผปู้ ระทานเมล็ดพืชแก่ผหู้ ว่านและประทานอาหารเลีย้ งชีวติ จะทรงจัดหา และทรงทวีเมล็ดพืชที่ท่านหว่าน และจะทรงเพิ่มพูนผลแห่งความชอบธรรมของท่าน ด้วย พระวรสาร ยน 12:24-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและตายไป มันก็จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตาย มันก็จะบังเกิดผลมากมาย ผู้ที่รัก ชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้ ก็ย่อมจะ รักษาชีวิตนั้นไว้สำ�หรับชีวิตนิรันดร ผู้ใดรับใช้เรา ผู้นั้นจงตามเรามา เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่เขา” วันนี้ฉลองนักบุญลอเรนซ์ สังฆานุกรและมรณสักขี ผู้เป็นสังฆานุกรหนึ่ง ในเจ็ดของกรุงโรม ท่านมีหน้าทีด่ แู ลทรัพย์สนิ ของพระศาสนจักร และดูแลคนยากจน เป็น ผู้ช่วยพระสันตะปาปาซิกส์ตุส ที่ 2 มีการเบียดเบียนโดยจักรพรรดิวาเลเรียนเจ้าเมืองโรม ซึ่งบอกท่านว่า ท่านจะไม่ถูกเบียดเบียนถ้าท่านมอบทรัพย์สมบัติของพระศาสนจักรแก่ ท่าน น.ลอเรนซ์ได้ใช้เวลา 3 วันรวบรวมคนยากจนซึ่งเป็นสมบัติลํ้าค่าของพระศาสนจักร ไปให้เจ้าเมือง ท่านถูกประหารชีวิตโดยการย่างบนตะแกรงเหล็ก ท่านเป็นมรณสักขีคือ เป็นพยานชีวิตและเลียนแบบพระเยซูคริสตเจ้า เป็นดังเมล็ดข้าวที่ตกลงในดิน ตาย และ เกิดผลมากมาย ท่านได้สละชีวิตและได้รับชีวิตนิรันดร
บทอ่านที่ 1 ฮบก 1:12-2:4 ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้า พระผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิข์ องข้าพเจ้า พระองค์ ทรงดำ�รงอยู่ตั้งแต่นิรันดรมิใช่หรือ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ตาย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงตัง้ เขาไว้เพือ่ ตัดสินลงโทษ ข้าแต่พระศิลา พระองค์ทรงตัง้ เขาไว้อย่างมัน่ คง เพื่อทรงลงโทษ พระเนตรของพระองค์บริสทุ ธิเ์ กินกว่าจะทอดพระเนตรเห็นความชัว่ หรือทรงทน ระลึกถึง มองดูการกดขี่ข่มเหงได้ แล้วทำ�ไมพระองค์จึงทอดพระเนตรเห็นคนทรยศ และทรงนิ่ง น.กลารา อยู่เมื่อคนอธรรมกลืนผู้ชอบธรรมกว่าตน พระองค์ทรงทำ�กับมนุษย์เหมือนทำ�กับปลา พรหมจารี ในทะเล เหมือนทำ�กับสัตว์เลือ้ ยคลานทีไ่ ม่มผี ปู้ กครอง ชาวเคลเดียใช้เบ็ดจับทุกคนขึน้ สดด 9:7-10,11-12 มา ใช้แหลากขึ้นมา ใช้อวนรวบรวมไว้ด้วยกัน แล้วยินดีและปรีดิ์เปรม เขาจึงถวายบูชาแก่แหของเขา เผาเครือ่ งหอมแก่อวนของเขา เพราะอาศัยสิง่ เหล่า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 นี้ เขาจึงมีความเป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือย อาหารการกินก็อุดมบริบูรณ์ แล้วเขาจะต้องเท เหยื่อออกจากแหครั้งแล้วครั้งเล่า และฆ่าชนชาติต่างๆ โดยไร้เมตตาหรือ ข้าพเจ้าจะยืนรักษาการณ์อยู่ จะยืนบนหอคอย เฝ้ามองเพื่อจะเห็นว่า พระองค์ จะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า จะทรงตอบการร้องทุกข์ของข้าพเจ้าอย่างไร องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสตอบข้าพเจ้าว่า “จงเขียนนิมติ และสลักไว้ให้ชดั เจนบนแผ่นกระดาน เพือ่ ให้อา่ น ได้งา่ ย ยังไม่ถงึ เวลาทีน่ มิ ติ นีจ้ ะเป็นจริง แต่จะเป็นจริงในไม่ชา้ ตามทีก่ �ำ หนดไว้อย่างแน่นอน แม้นมิ ติ นีจ้ ะล่าช้า ไปบ้าง ก็จงคอยสักระยะหนึ่ง นิมิตนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนโดยไม่ชักช้า ดูซิ ผู้มีจิตใจไม่ซื่อตรงก็จะล้มลง แต่ผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตเพราะความซื่อสัตย์” พระวรสาร มธ 17:14-20 เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับศิษย์ทั้งสามคนมาพบประชาชน ชายผู้หนึ่งเข้ามาเฝ้าพระองค์ คุกเข่าลงทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดสงสารลูกชายของข้าพเจ้าเถิด เขาเป็นโรคลมชัก ทนทรมานมาก เคยตก ไฟตกนาํ้ หลายครัง้ ข้าพเจ้าพาเขามาหาศิษย์ของพระองค์ แต่เขารักษาให้หายไม่ได้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “คนหัวดื้อ เชื่อยาก และชั่วร้าย เราจะต้องอยู่กับพวกท่านอีกนานเท่าใด จะต้องทนพวกท่านอีกนานเท่าใด พาเด็กมาพบเราที่นี่เถิด” พระเยซูเจ้าทรงขู่ปีศาจ มันจึงออกไปจากเด็ก เด็กก็หายเป็นปกติตั้งแต่นั้น บรรดา ศิษย์จึงเข้าเฝ้าพระเยซูเจ้าเป็นการส่วนตัว ทูลถามว่า “ทำ�ไมพวกเราจึงขับไล่มันไม่ได้” พระองค์ตรัสว่า “เพราะท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อสักเท่าเมล็ดมัสตาร์ด แล้วพูดกับภูเขานี้ว่า ‘จงย้ายจากที่นี่ ไปที่โน่น’ มันก็จะย้ายไป และไม่มีอะไรที่ท่านจะทำ�ไม่ได้” ประกาศกฮาบากุกเป็นตัวแทนของชาวอิสราเอลได้ตั้งคำ�ถามว่า ทำ�ไมพระเจ้าจึงปล่อยให้ชาว เคลเดียที่บูชาอำ�นาจและสงครามทำ�ร้ายชาวอิสราเอล พระเจ้าตรัสตอบว่า ให้รอคอยเวลาคนไม่ชอบธรรมจะ รับผลทีก่ ระทำ� แต่ผชู้ อบธรรมจะมีชวี ติ เพราะความซือ่ สัตย์ พระเยซูเจ้าทรงเตือนว่า ไม่ตอ้ งกลัวอำ�นาจทีช่ วั่ ร้าย บาปและปีศาจมารร้าย แต่ให้มีความเชื่อในพระองค์ ให้เข้มแข็งและพยายามขับไล่ต่อสู้กับความชั่วร้าย นักบุญ กลาราหญิงสาวจากครอบครัวรํ่ารวยได้ฟังเสียงพระเจ้าผ่านการเทศน์ของ น.ฟรังซิส แห่งอัสซีซี อายุ 18 ปีได้ ตัดสินใจละทิ้งโลกและอุทิศชีวิตทั้งครบแด่พระเจ้าในอาราม ต่อมาท่านตั้งคณะนักพรตกลาริสกาปูชินรับใช้ พระเจ้า
สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วันแม่แห่งชาติ
บทอ่านจากหนังสือพงษ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 19:4-8 ส่วนเอลียาห์เดินทางเข้าไปในถิ่นทุรกันดารเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน เขาไปนั่งใต้ พุ่มไม้ คิดอยากตาย อธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว โปรด เอาชีวิตของข้าพเจ้าไปเถิด ข้าพเจ้าไม่ดีกว่าบรรพบุรุษของข้าพเจ้าเลย” เขานอนแล้ว หลับไปใต้พุ่มไม้ ทันใดนั้น ทูตสวรรค์มาแตะตัวเขาและพูดว่า “จงลุกขึ้นและกินเถิด” เขามองเห็นขนมปังปิ้งบนก้อนหินร้อนและเหยือกนํ้าอยู่ใกล้ศีรษะ เมื่อเขากินและดื่ม แล้วนอนต่อไป ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ากลับมาแตะตัวเขาอีก พูดว่า “จงลุก ขึ้นและกินเถิด เพราะท่านยังต้องเดินทางอีกไกลมาก” เอลียาห์จึงลุกขึ้นกินและดื่ม อาหารนี้ทำ�ให้เขามีกำ�ลังเดินได้สี่สิบวันสี่สิบคืนจนถึงโฮเรบ ภูเขาของพระเจ้า เพลงสดุดี สดด 34:1-2,3-4,5-6,7-8 ก) ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล ค�ำสรรเสริญพระองค์จะติดอยู่กับริมฝีปากของข้าพเจ้าเสมอ จิตใจข้าพเจ้าจะภูมิใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาผู้ต�่ำต้อยจงฟังและชื่นชมเถิด ข) จงประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกับข้าพเจ้าเถิด เราจงโห่ร้องถวายชัยแด่พระนามพระองค์พร้อมกัน ข้าพเจ้าแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความกลัวทั้งหลาย ค) จงจับตาดูพระองค์ แล้วใบหน้าของท่านจะสดใส ไม่มีวันจะต้องอับอายเลย คนยากจนร้องทูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงฟัง ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากความคับแค้นทั้งหลาย ง) ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งค่ายอยู่โดยรอบผู้ย�ำเกรงพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเขาให้พ้นภัย จงลองลิ้มดูให้รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระทัยดี คนที่ลี้ภัยมาพึ่งพระองค์ย่อมเป็นสุข บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 4:30-5:2 พี่น้อง จงอย่าทำ�ให้พระจิตของพระเจ้าต้องเศร้าหมอง พระเจ้าประทานพระองค์ เป็นตราประทับให้ท่านแล้วสำ�หรับวันแห่งการไถ่กู้ ท่านทั้งหลายจงขจัดความขมขื่น ความขุน่ เคือง ความโกรธ การขูต่ ะคอก การนินทาว่าร้าย และความไม่ดไี ม่งามทัง้ หลาย แต่จงมีใจโอบอ้อมอารี มีเมตตาต่อกัน ให้อภัยกันดังที่พระเจ้าทรงให้อภัยท่านในองค์
พระคริสตเจ้าเถิด ท่านทั้งหลายจงทำ�ตามแบบฉบับของพระเจ้า ประดุจ บุตรสุดทีร่ กั ของพระองค์ จงดำ�เนินชีวติ ในความรักดังทีพ่ ระ คริสตเจ้าทรงรักเราและทรงมอบพระองค์เพือ่ เรา เป็นเครือ่ ง บูชาที่มีกลิ่นหอมถวายแด่พระเจ้า
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:41-51 เวลานั้น ชาวยิวบ่นพึมพำ�ไม่เห็นด้วยกับพระเยซูเจ้าที่ ตรัสว่า “เราเป็นปังซึ่งลงมาจากสวรรค์” เขาพูดกันว่า “คน คนนีไ้ ม่ใช่เยซูบตุ รของโยเซฟหรือ เรารูจ้ กั ทัง้ บิดาและมารดา ของเขาดี แล้วเขาพูดได้อย่างไรว่า เราลงมาจากสวรรค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เลิกบ่นพึมพำ�กันเสียทีเถิด ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำ�เขา และเราจะทำ�ให้เขากลับคืนชีพในวัน สุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า ทุกคนจะได้รับคำ�สอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟังพระ บิดา และเรียนรู้จากพระองค์ ก็มาหาเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา นอกจากผู้ที่มาจากพระเจ้า เราบอกความ จริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราเป็นปังแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กิน มานนาในถิ่นทุรกันดาร แล้วยังตาย แต่ปังที่ลงมาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้ คือผู้ที่กินปังนี้แล้วจะไม่ตาย เรา เป็นปังทรงชีวติ ทีล่ งมาจากสวรรค์ ใครทีก่ นิ ปังนีจ้ ะมีชวี ติ อยูต่ ลอดไป และปังทีเ่ ราจะให้นี้ คือเนือ้ ของเราเพือ่ ให้โลกมีชีวิต” ในพันธสัญญาเดิม เมือ่ เอลียาห์ทอ้ แท้อยากตาย ท่านอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้า ท่านได้รบั อาหาร จากทูตสวรรค์ ทำ�ให้มีกำ�ลังเดินได้สี่สิบวันสี่สิบคืนจนถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า ในพันธสัญญาใหม่ ชาวยิวบ่น พึมพำ�ไม่เห็นด้วยทีพ่ ระองค์บอกว่าลงมาจากสวรรค์ เพราะพวกเขารูจ้ กั ครอบครัวของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรง สอนว่า ทุกคนทีไ่ ด้รบั การสอนจากพระเจ้าพระบิดาและเชือ่ ก็มชี วี ติ นิรนั ดร พระองค์เป็นปังทรงชีวติ ทีล่ งมาจาก สวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป ปังนี้คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต เนื้อหมายถึงพระเยซูเจ้าทั้งครบ ผู้ถวายตนเพื่อให้ชีวิตแก่เรา ด้วยนํ้าและพระจิตเจ้า ด้วยพระวาจาและศีลมหาสนิท ชีวิตสนิทสัมพันธ์เป็นหนึ่ง เดียวกัน ทำ�ให้ชีวิตใหม่แห่งรักของเราเติบโตเป็นพระคริสต์อีกองค์หนึ่ง
น.ปอนซีอาโน พระสันตะปาปา น.ฮิปโปลิต พระสงฆ์ และมรณสักขี สดด 148:1-2,11-12, 13-14 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 อสค 1:2-5,24-28ค วันทีห่ า้ ของเดือน คือในปีทหี่ า้ ทีก่ ษัตริยเ์ ยโฮยาคีนทรงถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับสมณะเอเสเคียลบุตรของบุซี ในแผ่นดินของชาวเคลเดีย ริมแม่นํ้าเคบาร์ พระหัตถ์องค์พระผู้เป็นเจ้ามาอยู่เหนือเขาที่นั่น ข้าพเจ้ามองดู ก็เห็นลมพายุพัดมาจากทิศเหนือ เห็นเมฆก้อนใหญ่ที่มีไฟล้อม อยู่ มีความสุกใสลุกอยูโ่ ดยรอบ ตรงใจกลางกองไฟมีแสงทีม่ สี เี หมือนอำ�พันแวบวาบ ออกมาเหมือนไฟ จากกลางกองไฟนี้มีร่างสิ่งมีชีวิตสี่ตนปรากฏออกมา รูปร่างมี สัณฐานเหมือนมนุษย์ เมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เคลื่อนไหว ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของปีกเหมือนเสียงนํ้า มากมาย เหมือนเสียงฟ้าร้องของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ... เหนือแผ่นฟ้าเหนือศีรษะของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งคล้ายอัญมณีสีนํ้าเงิน มี ลักษณะเหมือนบัลลังก์ และเหนือบัลลังก์ที่อยู่เบื้องบนนี้มีผู้หนึ่งลักษณะเหมือน มนุษย์ แล้วข้าพเจ้าก็เห็นแสงที่มีสีเหมือนอำ�พันจากเหนือบั้นเอวขึ้นไป และเห็นแสง เหมือนไฟจากใต้บนั้ เอวลงมา เห็นความสุกใสอยูร่ อบท่านผูน้ นั้ ท่านผูน้ นั้ มีความสุกใส เหมือนสายรุง้ บนเมฆในวันทีฝ่ นตกอยูโ่ ดยรอบ ข้าพเจ้าเห็นรูปทรงของพระสิรริ งุ่ โรจน์ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้ เมื่อเห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงจรดพื้น
พระวรสาร มธ 17:22-27 เวลานัน้ เมือ่ บรรดาศิษย์ชมุ นุมอยูก่ บั พระเยซูเจ้าในแคว้นกาลิลี พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “บุตรแห่งมนุษย์ จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย และถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สาม บุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ” บรรดาศิษย์รู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ ผู้เก็บภาษีบำ�รุงพระวิหารเข้ามา หาเปโตร ถามว่า “อาจารย์ของท่านไม่เสียเงินบำ�รุงพระวิหารหรือ” เปโตรตอบว่า “เสียซิ” เมื่อเปโตรเข้าไปในบ้าน พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาก่อนว่า “ซีโมน ท่านมีความเห็น อย่างไร กษัตริยใ์ นโลกนีท้ รงเก็บภาษีจากใคร จากโอรสธิดา หรือจากคนอืน่ ” เปโตรทูลตอบว่า “จากคนอืน่ ” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นโอรสธิดาย่อมได้รับการยกเว้น แต่เพื่อมิให้ใครตำ�หนิเรา ท่านจงไปที่ทะเล หย่อนเบ็ดลงไป จับปลาตัวแรกทีต่ กได้ เปิดปากปลา ท่านจะพบเงินหนึง่ เหรียญ จงนำ�เงินนัน้ ไปเสียภาษีเพือ่ เราและท่านเถิด” ศิษย์พระคริสต์มชี วี ติ สังคม พระเยซูเจ้าแม้ไม่จ�ำ เป็นต้องจ่ายเงินบำ�รุงพระวิหาร แต่พระองค์เป็น แบบอย่างของการมีสว่ นร่วมทำ�ประโยชน์ให้สงั คม โดยจ่ายภาษีบ�ำ รุงพระวิหาร เราเป็นสมาชิกของสังคม แบบ อย่างของพระเยซูเจ้าช่วยให้เรามีจิตสำ�นึกและมีส่วนร่วมในการทำ�หน้าที่ของคริสตชนที่ดี เป็นสมาชิกของ พระศาสนจักร และของพลเมืองดีของประเทศชาติ ด้วยความรับผิดชอบทำ�หน้าที่พลเมืองดี มีจิตอาสาในการ ทำ�ความดี ช่วยคนยากจน ส่งเสริมคุณค่าพระวรสาร เคารพศักดิ์ศรีมนุษย์ รักษ์สิ่งสร้าง เสริมสร้างความสัมพันธ์ ศาสนิกสัมพันธ์ ศาสนสัมพันธ์ เสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม
บทอ่านที่ 1 อสค 2:8-3:4 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส “แต่ทา่ น บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงฟังสิง่ ทีเ่ ราพูดกับท่าน อย่า เป็นคนกบฏเหมือนพงศ์พันธุ์กบฏ จงอ้าปากและกินสิ่งที่เรากำ�ลังจะให้ท่าน” เมือ่ ข้าพเจ้ามองดูกเ็ ห็นพระหัตถ์เหยียดออกมาหาข้าพเจ้า พระหัตถ์นนั้ ถือหนังสือ ม้วนหนึง่ พระองค์ทรงคลีห่ นังสือม้วนนัน้ ออกต่อหน้าข้าพเจ้า มีอกั ษรเขียนอยูท่ งั้ ด้าน หน้าและด้านหลัง มีบทครํ่าครวญ คำ�ไว้ทุกข์ และคำ�วิบัติเขียนอยู่ในม้วนหนังสือนั้น พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกินสิง่ ทีท่ า่ นเห็น จงกินหนังสือ ม้วนนี้ แล้วจงไปพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลเถิด” ข้าพเจ้าจึงอ้าปาก พระองค์ก็ประทาน หนังสือม้วนนั้นให้ข้าพเจ้ากิน แล้วตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนนีซ้ ึ่ง เราให้ท่าน จงกินให้อิ่ม” ข้าพเจ้าจึงกินหนังสือม้วนนั้น ซึ่งมีรสหวานเหมือนนํ้าผึ้งใน ปากของข้าพเจ้า แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงไปพบพงศ์พันธุ์ อิสราเอล และประกาศถ้อยคำ�ของเราแก่เขา
ระลึกถึง น.มักซีมีเลียน มารีย์ กอลเบ พระสงฆ์ และมรณสักขี สดด 119:13-14,24,72, 102-103,111-112,131-132 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร มธ 18:1-5,10,12-14 ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ทสี่ ุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซู เจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึง่ ให้มายืนอยูก่ ลางกลุม่ พวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลาย ว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็น เหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” “ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดาๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์” “ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว แล้วแกะตัวหนึ่งบังเอิญหลงทาง เขาจะไม่ ปล่อยแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา เพื่อค้นหาแกะตัวที่หลงไปหรือ” “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเขาหาแกะตัวนั้นพบแล้ว เขาจะรู้สึกยินดีที่พบมัน มากกว่า ยินดีในแกะเก้าสิบเก้าตัวที่มิได้พลัดหลง” “พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้ เดียวต้องพินาศไป” พระเยซูเจ้าตั้งพระศาสนจักรเพื่อเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้าและร่วมเสริมสร้างพระ อาณาจักรของพระองค์ในโลก พระวรสาร น.มัทธิว บทที่ 18 คำ�สอนเกี่ยวกับพระศาสนจักร มี 7 เรื่อง (1) ผู้ ยิ่งใหญ่ที่สุด ต้องถ่อมตนเหมือนเด็กเล็กๆ (2) ไม่ชักนำ�ผู้อื่นให้ทำ�บาป (3) สนใจแกะที่พลัดหลง (4) มีการ ตักเตือนกันฉันพี่น้อง (5) มีการอธิษฐานภาวนาร่วมกัน (6) มีการให้อภัยความผิด (7) อุปมาเรื่องลูกหนี้ ไร้เมตตา พระเยซูเจ้าทรงตอบว่าผูย้ งิ่ ใหญ่ในอาณาจักรพระเจ้าเป็นเหมือนเด็กๆ คือ ถ่อมตนยอมรับชีวติ ของตน มีทั้งความดีและความชั่ว ยินดีวางใจในพระเมตตาและความรักของพระเจ้า ปรับปรุงชีวิต เติบโตในชีวิตความ เชื่อเพื่อรับใช้และประกาศข่าวดีแก่ผู้อื่น
บทอ่านที่ 1 อสค 9:1-7 และ 10:18-22 แล้วพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังให้ข้าพเจ้าได้ยินว่า “ท่านทั้งหลายผู้มี หน้าที่ลงโทษเมืองนี้ จงเข้ามาใกล้ แต่ละคนจงถืออาวุธทำ�ลายมาด้วย” ข้าพเจ้าเห็น ชายหกคนเข้ามาจากทางประตูชั้นบน ซึ่งหันไปทางทิศเหนือ แต่ละคนถืออาวุธทำ�ลาย มาด้วย ในหมู่เขามีชายคนหนึ่งสวมผ้าป่าน เหน็บกล่องเครื่องเขียนไว้ที่สะเอว... พระองค์ทรงเรียกชายคนนัน้ ...ตรัสสัง่ เขาว่า “จงไปทัว่ เมือง คือทัว่ กรุงเยรูซาเล็ม และ สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา เขียนอักษร ‘เตา’ ไว้ที่หน้าผากของมนุษย์ทุกคนซึ่งถอนใจและครํ่าครวญที่เห็นการ กระทำ�น่าสะอิดสะเอียนทั้งหลายที่ทำ�กันภายในเมือง” พระองค์ยังตรัสกับผู้อื่นให้ สดด 113:1-3,4-6 ข้าพเจ้าได้ยินว่า “ท่านทั้งหลายจงตามเขาไปทั่วเมืองและฆ่าให้หมด ดวงตาของท่าน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 อย่าได้สงสาร และท่านอย่าได้ไว้ชีวิตเลย จงฆ่าให้หมด ทั้งคนชรา ชายหนุ่ม หญิงสาว เด็กและผู้หญิง แต่อย่าแตะต้องผู้ที่มีอักษร ‘เตา’ เขียนอยู่ที่หน้าผาก จงเริ่มต้นจาก สักการสถานของเรา” เขาเหล่านัน้ จึงเริม่ ฆ่าคนชราทีอ่ ยูห่ น้าพระวิหาร พระองค์ตรัสกับ เขาว่า “จงทำ�ให้พระวิหารเป็นมลทินเถิด จงทำ�ให้ลานพระวิหารเต็มไปด้วยศพ จงออก ไปเถิด” เขาทั้งหลายก็ออกไปและฆ่าผู้คนในเมือง พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากธรณีประตูพระวิหาร มาประทับเหนือเหล่าเครูบ... พระ สิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าแห่งอิสราเอลอยู่เหนือเครูบเหล่านั้น... พระวรสาร มธ 18:15-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ถ้าพี่น้องของท่านทำ�ผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำ�พัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา ถ้าเขา ไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำ�พูดของพยานสองคนหรือสามคนจะได้จัดเรื่องราวให้ เรียบร้อย ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน จงแจ้งให้หมูค่ ณะทราบ ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมูค่ ณะอีก จงปฏิบตั ติ อ่ เขาเหมือน เขาเป็นคนต่างศาสนา หรือคนเก็บภาษีเถิด” “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดิน จะผูกไว้ในสวรรค์ และทุกสิ่งที่ ท่านจะแก้บนแผ่นดิน ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” “เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนบนแผ่นดินพร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระ บิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้ เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ ที่นั่นในหมู่พวกเขา” นิมิตของประกาศกเอเสเคียลเกี่ยวกับเชลยในกรุงบาบิโลน ท่านเตือนชาวอิสราเอลว่า จะมีการ ลงโทษ ทุกคนต้องรับผิดชอบการกระทำ�ของตน จะต้องชำ�ระทำ�ให้พระวิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าได้กล่าวถึงวิธีการและขั้นตอน ในการช่วยตักเตือนและแก้ไขความผิดกันฉันพี่น้อง เป็นการแสดง ความรัก ความหวังดีต่อเพื่อนพี่น้อง ปรกติไม่มีใครอยากพูดหรือยอมรับข้อบกพร่องของตน ต้องเป็นผู้ที่รักและ หวังดีตอ่ กันจริงๆ และให้คริสตชนเห็นความสำ�คัญของการอธิษฐานภาวนาร่วมกันเพราะ “ทีใ่ ดมีสองหรือสาม คนชุมชุนกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา”
บทอ่านที่ 1 อสค 12:1-12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านอาศัยอยู่ในหมู่ พงศ์พันธุ์กบฏ เขามีตาเพื่อเห็น แต่ไม่ยอมดู มีหูเพื่อฟัง แต่ไม่ยอมฟัง เพราะเขาเป็น พงศ์พนั ธุก์ บฏ บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านจงจัดเตรียมข้าวของสำ�หรับถูกกวาดต้อน ไปเป็นเชลย แล้วออกเดินทางไปเป็นเชลยในเวลากลางวันเพื่อให้ทุกคนเห็น ท่านจะ ต้องออกเดินทางไปเป็นเชลยจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งต่อหน้าเขา... จงนำ� น.สเตเฟน ข้าวของออกมาตอนกลางวันให้เขาเห็น เหมือนเป็นข้าวของของผู้ถูกกวาดต้อนไปเป็น แห่งประเทศฮังการี เชลย จงเจาะช่องในกำ�แพงต่อหน้าเขา แล้วออกไปตามช่องนัน้ จงยกข้าวของใส่บา่ ต่อ สดด 78:56-57,58-59, หน้าเขา แล้วแบกออกไปเมื่อมืดแล้ว ท่านจงคลุมใบหน้าเพื่อจะไม่เห็นพื้นดิน เพราะ 61-63 เราทำ�ให้ทา่ นเป็นเครือ่ งหมายสำ�หรับพงศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอล” ข้าพเจ้าก็ท�ำ ตามทีข่ า้ พเจ้าได้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 รับคำ�สั่ง... พระวรสาร มธ 18:21-19:1 เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำ�ผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้อง ยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ด ครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง” อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะ ที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำ�ชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ เขาไม่มีสิ่งใดจะชำ�ระ หนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาท ทูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสาร จึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่ง ร้อยเหรียญ เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’ เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอม ฟัง นำ�ลูกหนีไ้ ปขังไว้จนกว่าจะชำ�ระหนีห้ มด เพือ่ นผูร้ บั ใช้อนื่ ๆ เห็นดังนัน้ ต่างสลดใจมาก จึงนำ�ความทัง้ หมด ไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะ เจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัส สัง่ ให้น�ำ ผูร้ บั ใช้นนั้ ไปทรมานจนกว่าจะชำ�ระหนีท้ งั้ หมด พระบิดาของเราผูส้ ถิตในสวรรค์จะทรงกระทำ�ต่อท่าน ทำ�นองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”... บางคนอาจรู้สึกกังวลกับ “จำ�นวน” การยกโทษให้เพื่อนมนุษย์ที่ทำ�ผิดต่อตนเอง ตามที่พระเยซู เจ้าทรงสอนว่า “ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง” ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่นการยกโทษเพียงครั้งเดียวก็ ยากเย็นอยู่แล้ว หรือเพราะเกรงว่าเพื่อนมนุษย์นั้นจะได้ใจ หรือเพราะมั่นใจว่า อย่างไรเสีย เพื่อนมนุษย์นั้นไม่มี ทางกลับตัวได้แล้วก็จะกระทำ�ผิดอยูอ่ ย่างนัน้ การยกโทษดูเหมือนไร้ประโยชน์ แต่สงิ่ ทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงสนพระทัย ไม่ใช่ผลอันเกิดขึ้นกับผู้ได้รับอภัยโดยตรงหรือโดยทันที แต่เป็นผลที่จะเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ให้อภัยเป็นอันดับ แรกต่างหาก พระองค์จึงสรุปด้วยคำ�พูดที่แสดงถึง “คุณภาพ” ของการให้อภัย นั่นคือ “จากใจจริง”
สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา อสย 12:2-3,4-5,6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 อสค 16:59-63 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส เราจะทำ�กับเจ้าอย่างที่เจ้าได้ทำ� เจ้าได้ดูหมิ่นคำ� สาบานและละเมิดพันธสัญญา แต่เรายังระลึกถึงพันธสัญญาของเรากับเจ้าเมื่อเจ้ายัง เป็นสาว เราจะทำ�พันธสัญญากับเจ้าซึ่งจะคงอยู่ตลอดไป แล้วเจ้าจะระลึกถึงความ ประพฤติของเจ้าและจะอับอาย เมื่อเจ้าจะรับทั้งพี่และน้องสาวของเจ้า เราจะมอบเขา ให้เป็นบุตรสาวของเจ้า แม้ไม่เป็นเงื่อนไขของพันธสัญญาที่เราทำ�กับเจ้า เราจะรื้อฟื้น พันธสัญญาของเรากับเจ้า เจ้าจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเจ้าจะได้จดจำ�และ มีความละอาย และจะไม่อ้าปากพูดอีกเพราะความอับอาย เมื่อเราจะให้อภัยทุกสิ่งที่ เจ้าได้ทำ�” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส พระวรสาร มธ 19:3-12 เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “เป็นการ ถูกต้องหรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม” พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อา่ นพระคัมภีรห์ รือว่าเมือ่ แรกนัน้ พระผูส้ ร้างทรง สร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับ ภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย” ชาวฟาริสจี งึ ทูลถามว่า “แล้วทำ�ไมโมเสสจึงสัง่ ให้ชายทำ�หนังสือหย่าร้าง แล้วหย่า ร้างได้” พระองค์ตรัสว่า “เพราะใจดื้อแข็งกระด้างของท่าน โมเสสจึงยอมอนุญาตให้ หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง เขาก็ทำ� ผิดประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง” บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า “ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะ แต่งงานเลย” พระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนเข้าใจคำ�สอนนี้ คนที่เข้าใจคือคนที่พระเจ้า ประทานให้ เพราะว่า บางคนเป็นขันทีตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บางคนถูกมนุษย์ทำ�ให้ เป็นขันที และบางคนทำ�ตนเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่เข้าใจได้ ก็จง เข้าใจเถิด”
“ใจดื้อแข็งกระด้าง” ก็คือ ไม่ว่าจะอย่างไร จะดึงดันทำ�ตามใจของตนให้ได้ เพียงแค่อ้างเหตุผล สารพัดเข้าข้างตนเอง ในความลุ่มหลงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นในทรัพย์สมบัติ อำ�นาจ ชื่อเสียง หรือกามารมณ์ มนุษย์ จะมีใจดื้อกระด้างเสมอ จนกระทั่งสามารถละเมิดคำ�สาบานของตนด้วยซํ้า หรือจะอ้างแม้แต่ข้อความในพระ คัมภีรก์ ไ็ ด้ คำ�เตือนของท่านนักบุญเอากุสตินจึงน่าคิดทีว่ า่ “ถ้าท่านเชือ่ สิง่ ทีท่ า่ นชอบในพระวรสาร และละทิง้ สิ่งที่ท่านไม่ชอบ ก็ไม่ใช่พระวรสารดอกที่ท่านเชื่อ แต่ท่านเชื่อตนเองต่างหาก”
บทอ่านที่ 1 อสค 18:1-10,13ข,30-32 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ทำ�ไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวคำ�พังเพยนี้ ซํ้าซากในแผ่นดินอิสราเอลว่า ‘พ่อกินผลองุ่นเปรี้ยว แต่ลูกเข็ดฟัน’ เรามีชวี ติ อยูแ่ น่ฉนั ใด องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าตรัส ท่านทัง้ หลายจะต้องไม่ใช้ค�ำ พังเพยนี้อีกต่อไปในอิสราเอล ดูซิ ชีวิตทั้งหลายเป็นของเรา ชีวิตของพ่อเป็นของเรา ฉันใด ชีวิตของลูกก็เป็นของเราฉันนั้น ผู้ใดทำ�บาป ผู้นั้นจะต้องตาย” สัปดาห์ที่ 19 “ถ้าคนหนึ่งเป็นผู้ชอบธรรม ปฏิบัติความถูกต้องและความยุติธรรม ถ้าเขาไม่กิน เทศกาลธรรมดา ของถวายตามสักการสถานบนที่สูง ไม่เงยหน้าขึ้นคารวะรูปเคารพของพงศ์พันธุ์ สดด 51:10-12ก,12ข-13, อิสราเอล ไม่ล่วงเกินภรรยาของเพื่อนบ้าน ไม่เข้าหาหญิงที่มีประจำ�เดือน ไม่ข่มเหงผู้ 16-17 อื่น แต่คืนของประกันแก่ลูกหนี้ ไม่ลักทรัพย์ แต่ให้อาหารแก่ผู้หิวโหยและให้เสื้อผ้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 แก่ผู้ไม่มีเสื้อผ้าคลุมกาย ไม่ให้ผู้อื่นยืมเงินเพื่อเรียกดอกเบี้ยหรือหากำ�ไร ยั้งมือไว้ไม่ ทำ�ความชั่ว ตัดสินคู่ความอย่างยุติธรรม ดำ�เนินชีวิตตามข้อกำ�หนดและปฏิบัติตามคำ� วินจิ ฉัยของเราอย่างซื่อสัตย์ คนนัน้ ก็เป็นผูช้ อบธรรม เขาจะมีชวี ติ ” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าตรัส “แต่ถ้าคนหนึ่งมีบุตรเป็นโจร เป็นฆาตกร และทำ�ความชั่วเหล่านี้ เขาจะไม่มีชีวิตอย่างแน่นอน เขาจะ ต้องตายแน่ๆ เพราะเขาได้ทำ�สิ่งน่าสะอิดสะเอียน และจะต้องตายเพราะความผิดของตน” ดังนั้น พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะพิพากษาแต่ละคนตามความประพฤติของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าตรัส จงกลับใจและเลิกการล่วงละเมิดทั้งหมดของท่าน แล้วความผิดของท่านจะไม่เป็นเหตุให้ท่าน พินาศ จงละทิ้งการล่วงละเมิดทั้งหมดที่ท่านได้ทำ� จงทำ�ตนให้มีใจใหม่และจิตใหม่ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำ�ไมท่านจะต้องตายเล่า เราไม่พอใจในความตายของผูใ้ ด องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าตรัส จงกลับใจเถิด แล้ว ท่านจะมีชีวิต” พระวรสาร มธ 19:13-15 ขณะนั้น มีผู้นำ�เด็กเล็กๆ มาให้พระเยซูเจ้าทรงปกพระหัตถ์อวยพร แต่บรรดาศิษย์กลับดุว่าคนเหล่า นั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็น ของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้” พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ให้เด็กเหล่านั้น แล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น ประกาศกเอเสเคียลประกาศสอนว่า พระเจ้าจะพิพากษาแต่ละคนตามความประพฤติของเขา พระองค์จะพิพากษาอย่างยุติธรรม ไม่เหมือนมนุษย์ที่อาจตัดสินเพื่อนมนุษย์ด้วยความลำ�เอียงหรืออคติ หรือ ตัดสินรวบยอดแบบ “เหมาเข่ง” ซึ่งรวมไปถึงลูกหลานหรือเพื่อนพ้องซึ่งเป็นผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย หรือพิพากษา เพือ่ นมนุษย์ในแบบทีเ่ ด็ดขาดสุดโต่ง ปราศจากโอกาสของการเปลีย่ นแปลงกลับใจอย่างสิน้ เชิง แต่ละคนมีหน้า ทีร่ บั ผิดชอบต่อการตัดสินใจและการกระทำ�ของตนเอง พ่อ แม่ หรือผูใ้ หญ่ มีหน้าทีแ่ นะนำ�และส่งเสริมทางสวรรค์ ให้กับบุตรหลานหรือผู้น้อยอย่างสุดความสามารถก็จริง แต่ที่สุดแล้ว เป็นเจ้าตัวต่างหากที่ต้องรับผลจากความ ประพฤติของตนเอง “จงกลับใจเถิด” จงเป็นเช่นเด็กเล็กๆ คือชีวติ ทีม่ โี อกาสของการเติบโต จงให้โอกาสตนเอง ในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิต และจงให้โอกาสคนอื่นในทำ�นองเดียวกัน “แล้วท่านจะมีชีวิต”
บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์ วว 11:19ก;12:1-6ก,10ก พระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์เปิดออก มองเห็นหีบพันธสัญญาในพระวิหาร เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือสตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มี ดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางมีครรภ์แก่ กำ�ลังร้อง ครวญครางด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร เครื่องหมายอีกประการหนึ่งปรากฏใน สวรรค์ คือมังกรใหญ่สีแดง มีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัด สมโภช ดวงดาวหนึง่ ในสามบนท้องฟ้าให้ตกลงมาบนแผ่นดิน มังกรยืนอยูต่ รงหน้าสตรีทกี่ �ำ ลัง พระนางมารีย์ จะคลอดบุตรเพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่คลอด นางคลอดบุตรเป็นชาย ซึ่งจะต้อง รับเกียรติ ปกครองชาติทงั้ หลายด้วยคทาเหล็ก แต่บตุ รของนางถูกคว้าตัวขึน้ ไปเฝ้าพระเจ้ายังพระ เข้าสู่สวรรค์ ทั้งกายและวิญญาณ บัลลังก์ของพระองค์ ส่วนสตรีนั้นหลบหนีไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีที่พำ�นักซึ่ง พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า “บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระ อาณาจักรเป็นของพระเจ้าของเราแล้ว และอำ�นาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์” เพลงสดุดี สดด 45:9,10-11,14-15 ก) ราชธิดาของพระราชาทั้งหลายเสด็จมาพบพระองค์ พระราชินีเสด็จเข้ามาประทับอยู่เบื้องพระหัตถ์ขวา ประดับองค์ด้วยทองค�ำจากโอฟีร์ ข) ฟังเถิด ธิดาเอ๋ย จงดูและตั้งใจฟัง จงลืมชาติของท่านและบ้านบิดาของท่านเถิด พระราชาจะทรงหลงรักความงามของท่าน พระองค์ทรงเป็นเจ้าเป็นนายของท่าน จงน้อมกายเคารพพระองค์เถิด ค) ทรงอาภรณ์ปักลวดลายเสด็จมาเฝ้าพระราชา บรรดาเพื่อนสาวติดตามนางมาเฝ้าพระองค์ด้วย เขาทั้งหลายเดินเป็นขบวนและโห่ร้องด้วยความยินดี เข้ามาในพระราชวังของพระราชา บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 15:20-26 พีน่ อ้ ง ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย เป็นผล แรกของบรรดาผูล้ ว่ งหลับไปแล้ว ความตายมาจากมนุษย์คนหนึง่ ฉันใด การกลับคืนชีพ ของบรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น แต่จะเป็นไปตามลำ�ดับของ
แต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คือผู้ที่เป็น ของพระคริสตเจ้า เมื่อพระองค์จะเสด็จมา แล้วจะถึงวาระ สุดท้าย เวลานั้นพระองค์จะทรงมอบพระอาณาจักรให้แก่ พระเจ้าพระบิดา หลังจากทรงทำ�ลายการปกครอง อำ�นาจ และอานุภาพทัง้ หลาย เพราะพระคริสตเจ้าจะต้องทรงครอง ราชย์ จ นกว่ า พระเจ้ า จะทรงปราบศั ต รู ทั้ ง มวลให้ อ ยู่ ใ ต้ พระบาทของพระองค์ ศัตรูสุดท้ายที่จะถูกทำ�ลายคือความ ตาย เพราะพระเจ้าทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของ พระองค์
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 1:39-56 หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทาง ไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนาง เอลีซาเบธ เมือ่ นางเอลีซาเบธได้ยนิ คำ�ทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์กด็ นิ้ นางเอลีซาเบธได้รบั พระ จิตเจ้าเต็มเปีย่ ม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รบั พระพรยิง่ กว่าหญิงใดๆ และลูกของเธอก็ได้รบั พระพรด้วย ทำ�ไม พระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำ�ทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของ ฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง” พระนางมารีย์ตรัสว่า “วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จิตใจของข้าพเจ้า ชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้ทรงกอบกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ตํ่าต้อยของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำ�กิจการยิ่งใหญ่สำ�หรับ ข้าพเจ้า พระนามพระองค์ศกั ดิส์ ทิ ธิ์ พระกรุณาต่อผูย้ �ำ เกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย พระองค์ทรง ยกพระกรแสดงพระอานุภาพ ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป ทรงควํ่าผู้ทรงอำ�นาจจาก บัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ตํ่าต้อยให้สูงขึ้น พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้ กลับไปมือเปล่า พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอลผูร้ บั ใช้พระองค์ โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา ดังทีท่ รงสัญญา ไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ สวรรค์เป็นของผู้ที่มีใจสุภาพและถ่อมตน เพราะประตูสวรรค์นั้นเล็กและแคบ ผู้ที่ก้มไม่ลง หรือ มีจิตใจหยิ่งยโสลำ�พอง ย่อมใหญ่เกินกว่าจะลอดประตูสวรรค์ได้ พระนางมารีย์เป็นแบบฉบับอันดีเลิศของผู้มีใจ สุภาพและถ่อมตน พระนางเรียกตนเองว่า “ผู้รับใช้ตํ่าต้อย” ของพระเจ้า เพื่อจะประกาศได้ถึง “ความยิ่งใหญ่ ของพระเจ้า” ผู้ที่คิดว่า จะวางใจเฉพาะแต่ในกำ�ลังและความสามารถของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพระผู้เป็นเจ้า ย่อมไม่ยอมรับและสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สุด เขาก็จะ “กระจัดกระจายไป” และ ถูก “ควํ่าจาก บัลลังก์” อำ�นาจหรือความยิ่งใหญ่ หรือความเข้มแข็งที่แท้จริง มิได้อยู่ที่การใช้อาวุธในมืออย่างห้าวหาญ แต่อยู่ ทีก่ ารไม่ใช้อาวุธนัน้ ต่างหาก บรรดานักบุญจึงสอนเสมอว่า “ไม่มอี �ำ นาจใดยิง่ ใหญ่กว่าความสุภาพถ่อมตน” พระ เยซูเจ้าเองทรงสอนว่า “อำ�นาจคือการรับใช้ผู้อื่น”
ระลึกถึง น.เบอร์นาร์ด เจ้าอธิการ และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร ฉธบ 32:18-19,20,21 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1 อสค 24:15-24 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ดูซิ เราจะพรากผู้เป็น แก้วตาของท่านไปจากท่านโดยกะทันหัน แต่ท่านอย่าครํ่าครวญ อย่าร้องไห้หรือหลั่ง นาํ้ ตาเลย จงราํ่ ไห้คราํ่ ครวญอย่างเงียบๆ อย่าทำ�พิธไี ว้ทกุ ข์ให้ผตู้ าย จงสวมผ้าโพกศีรษะ จงสวมรองเท้า อย่าเอาผ้าปกปิดหนวด อย่ากินอาหารไว้ทุกข์” ข้าพเจ้าจึงบอกเรื่องนี้ แก่ประชาชนในเวลาเช้า ในเวลาเย็นภรรยาของข้าพเจ้าก็ถึงแก่กรรม เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าทำ�ตามทีไ่ ด้รบั พระบัญชา ประชาชนบอกข้าพเจ้าว่า “จงอธิบายความหมายการ กระทำ�ของท่านให้เรารู้เถิด” ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสกับ ข้าพเจ้าว่า ‘จงบอกพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เรา จะทำ�ให้สักการสถานของเราเป็นมลทิน สักการสถานที่ท่านภาคภูมิใจว่าจะได้รับพลัง ความช่วยเหลือ เป็นเหมือนแก้วตาของท่าน และเป็นความยินดีในจิตใจของท่าน บุตร ชายหญิงทีท่ า่ นทิง้ ไว้เบือ้ งหลังจะถูกฆ่าด้วยดาบ ท่านทัง้ หลายจะทำ�เหมือนกับทีข่ า้ พเจ้า ได้ทำ� ท่านจะไม่เอาผ้าปกปิดหนวด จะไม่กินอาหารไว้ทุกข์ จะสวมผ้าโพกศีรษะและ จะสวมรองเท้า ท่านจะไม่คราํ่ ครวญหรือร้องไห้ แต่จะหมดเรีย่ วแรงเพราะความผิดของ ท่าน และจะรํา่ ไห้ครํา่ ครวญปรับทุกข์กนั เอเสเคียลจะเป็นเครือ่ งหมายสำ�หรับท่าน เมือ่ เหตุการณ์เหล่านีเ้ กิดขึน้ ท่านจะทำ�อย่างทีเ่ ขาทำ� แล้วท่านจะรูว้ า่ เราเป็นองค์พระผูเ้ ป็น เจ้าพระเจ้า’”
พระวรสาร มธ 19:16-22 เวลานั้น ชายคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้าทูลถามว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำ�ความดีอะไรเพื่อจะมี ชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เหตุใดจึงถามเราถึงความดี ผู้ทรงความดีมีแต่ผู้เดียวเท่านั้น ถ้าท่าน อยากเข้าสู่ชีวิตนิรันดร ก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด” เขาทูลถามว่า “บทบัญญัติข้อใด” พระเยซูเจ้าตรัส ตอบว่า “อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา จงรักผู้อื่น เหมือนรักตนเอง” ชายหนุ่มผู้นั้นทูลถามว่า “ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อแล้ว ยังขาดอะไร อีกหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ถ้าท่านอยากเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้ คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” เมื่อได้ยินพระวาจานี้ ชายหนุ่มผู้นั้น จากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สมบัติจำ�นวนมาก อะไรคือ “ความดี” มักจะเป็นปัญหาของมนุษย์เสมอ เพราะจะมีเหตุผลดีๆ ที่จะสนับสนุนการ ทำ�ความเลวที่อยากจะทำ�อยู่เรื่อย จนบางทีคิดว่า ความเลวนั้นคือความดีก็มี สำ�หรับบางคน ความดีอาจตั้งอยู่ บนพื้นฐานของผลประโยชน์ อีกบางคน ความดีตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอใจ หรือไม่ก็ตั้งอยู่บนกระแสของ ชาวบ้านหรือสังคม ความดีแบบนี้จึงอาจดีสำ�หรับคนหนึ่ง และไม่ดีสำ�หรับอีกคนหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงสอนถึง ความดีว่ามีพื้นฐานอยู่บน “พระบัญญัติ” (มาจากพระเจ้า จึงย่อมเป็นสิ่งที่ดี) และ “การเสียสละ” เช่นนี้ ลำ�ดับ คุณค่าของความดี จึงอยู่ที่การเสียสละมากหรือน้อย หากท่าน “ขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน” ท่านก็ จะ “เป็นคนดีอย่างสมบูรณ์”
บทอ่านที่ 1 อสค 28:1-10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงบอกเจ้าเมืองไทระ ว่า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ‘ใจของท่านผยองขึน้ ’ และคิดว่า ‘ข้าเป็นพระเจ้า ข้านัง่ บนทีน่ งั่ ของพระเจ้า อยูก่ ลางทะเล’ แม้ทา่ นคิดว่าตนฉลาดเหมือนพระเจ้า แต่ทา่ น ก็เป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า ดูซิ ท่านมีปรีชามากกว่าดาเนียล ไม่มีความลับใดซ่อน ไว้จากท่าน ท่านใช้ปรีชาญาณและความเข้าใจสร้างความรํ่ารวย สะสมทองคำ�และเงิน มาไว้ในคลังสมบัติของท่าน ท่านใช้สติปัญญามากในการค้า ทวีทรัพย์สมบัติของท่าน ใจของท่านก็ผยองขึ้น เพราะทรัพย์สมบัติของท่าน” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสดังนี้ “เพราะท่านคิดว่าตนฉลาดเหมือนพระเจ้า ดีแล้ว เราจะนำ�คนต่างด้าวที่โหดร้ายกว่าชนชาติใดๆ มาต่อสู้กับท่าน เขาทั้งหลายจะ ชักดาบต่อสู้กับปรีชาญาณที่งดงามของท่าน จะทำ�ให้ความรุ่งเรืองของท่านหม่นหมอง เขาทั้งหลายจะโยนท่านลงไปในขุมลึก ท่านจะตายในท้องทะเลเหมือนคนที่ถูกฆ่า แล้ว ท่านยังจะพูดอีกหรือว่า ‘ข้าเป็นพระเจ้า’ ต่อหน้าคนทีฆ่ า่ ท่าน ท่านเป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่ พระเจ้า อยู่ในมือของผู้ที่ฆ่าท่าน ท่านจะตายอย่างไร้เกียรติ โดยมือของคนต่างด้าว เพราะเราได้พูดไว้แล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส
ระลึกถึง น.ปีโอ ที่ 10 พระสันตะปาปา ฉธบ 32:26-27, 28-29,30,35-36 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร มธ 19:23-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ยาก เราบอกท่านอีกว่า อูฐ จะลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์” เมื่อบรรดาศิษย์ได้ยินเช่นนี้ ต่างรู้สึกประหลาดใจ มาก จึงทูลถามว่า “แล้วดังนี้ ใครเล่าจะรอดพ้นได้” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ แล้วตรัสว่า “สำ�หรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำ�หรับพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปได้” เปโตรจึงทูลถามว่า “ข้าพเจ้าทัง้ หลายสละทุกสิง่ และติดตามพระองค์แล้ว จะได้อะไรบ้าง” พระเยซูเจ้า ตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่ เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะประทับเหนือพระที่นั่ง อันรุ่งโรจน์ ท่านทั้งหลายที่ติดตามเรา ก็จะนั่งบนบัลลังก์ทั้งสิบสองบัลลังก์ เพื่อพิพากษาตระกูลอิสราเอล ทั้งสิบสองตระกูลด้วย และผู้ใดที่สละบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตร ไร่นาเพราะเห็นแก่เรา ก็ จะได้รับตอบแทนร้อยเท่า และจะได้รับชีวิตนิรันดรเป็นมรดกด้วย หลายคนที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย และกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นกลุ่มแรก” อันตรายมักแฝงอยู่ในสิ่งที่สวยงาม ความรํ่ารวย และความสุขสบายที่ตามมามักทำ�ให้เรามนุษย์ สนใจแต่ตนเองและเต็มไปด้วยความโลภ และหลงลืมเพือ่ นมนุษย์ทตี่ กยาก และทีส่ ดุ ก็หลงลืมพระผูเ้ ป็นเจ้าด้วย ราวกับว่า พระองค์ไม่สำ�คัญและไม่มีส่วนในชีวิตของตนอีกต่อไป ดังที่พระองค์ตรัสผ่านประกาศกเอเสเคียลว่า “ท่านใช้สติปัญญามากในการค้า ทวีทรัพย์สมบัติของท่าน ใจของท่านก็ผยองขึ้น เพราะทรัพย์สมบัติของท่าน.... เพราะท่านคิดว่าตนฉลาดเหมือนพระเจ้า” การแสวงหาคุณค่าฝ่ายวัตถุและคุณค่าฝ่ายจิตวิญญาณจำ�เป็นต้อง ควบคู่กันไปเสมอ
บทอ่านที่ 1 อสค 34:1-11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงประกาศพระวาจา กล่าวโทษบรรดาผูเ้ ลีย้ งแกะแห่งอิสราเอล จงประกาศพระวาจาบอกบรรดาผูเ้ ลีย้ งแกะ ว่า... ‘วิบตั จิ งเกิดแก่ผเู้ ลีย้ งแกะแห่งอิสราเอลซึง่ เลีย้ งตนเอง ผูเ้ ลีย้ งแกะย่อมต้องเลีย้ ง ฝูงแกะมิใช่หรือ แต่ท่านกินนํ้านม ใช้ขนแกะคลุมกาย ฆ่าแกะตัวอ้วนๆ แต่ไม่เลี้ยงฝูง แกะ แกะที่อ่อนแอ ท่านไม่ได้เสริมกำ�ลัง แกะที่เจ็บป่วย ท่านก็ไม่รักษา แกะที่บาดเจ็บ ระลึกถึง ท่านก็ไม่ได้พันแผลให้ และแกะที่พลัดหลง ท่านก็ไม่ได้ไปตามกลับมา แกะที่หายไป พระนางมารีย์ ท่านก็ไม่ได้แสวงหา แต่ท่านได้ปกครองบรรดาแกะโดยใช้กำ�ลังอย่างโหดร้าย บรรดา ราชินีแห่งสากลโลก แกะจึงกระจัดกระจายไป เพราะไม่มีผู้เลี้ยง... ’” สดด 23:1-6 “ดังนั้น ท่านผู้เลี้ยงแกะทั้งหลาย จงฟังพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด...‘ดู ซิ เราเป็นอริกับผู้เลี้ยงแกะเหล่านั้น... เราจะช่วยแกะของเราให้รอดพ้นจากปากของ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เขา แกะจะได้ไม่เป็นอาหารของเขาอีกต่อไป’”... พระวรสาร มธ 20:1-16 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์เป็นคำ�อุปมาดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำ�งานในสวน องุ่น ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำ�งานในสวนองุ่น ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำ�งาน จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า ‘จงไปทำ�งานใน สวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ คนเหล่านี้ก็ไป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและ บ่ายสามโมง กระทำ�เช่นเดียวกัน ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่นๆ ยืนอยู่... พ่อบ้านจึง พูดว่า ‘จงไปทำ�งานในสวนองุ่นของฉันเถิด’ ครัน้ ถึงเวลาคาํ่ เจ้าของสวนบอกผูจ้ ดั การว่า ‘ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริม่ ตัง้ แต่คนสุดท้าย จนถึงคนแรก’ เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ เมื่อคนงานพวกแรกมา ถึง เขาคิดว่าตนจะได้รบั มากกว่านัน้ แต่กไ็ ด้รบั คนละหนึง่ เหรียญเช่นเดียวกัน ขณะรับค่าจ้างเขาก็บน่ ต่อหน้า เจ้าของสวนว่า ‘พวกทีม่ าสุดท้ายนีท้ �ำ งานเพียงชัว่ โมงเดียว ท่านก็ให้คา่ จ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึง่ ต้องตรากตรำ� อยู่กลางแดดตลอดวัน’ เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ ได้ตกลงกับฉันคนละหนึง่ เหรียญหรือ จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนทีม่ าสุดท้ายนีเ้ ท่ากับให้ ท่าน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ’ ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับเป็นคนกลุ่มสุดท้าย” นักวิเคราะห์พระคัมภีรอ์ ธิบายว่า “เงินค่าจ้างหนึง่ เหรียญ” หมายถึงเงินทีพ่ อใช้จา่ ยในการประทัง ชีวิตของหนึ่งครอบครัวในหนึ่งวัน คนงานพวกสุดท้าย ที่แม้ทำ�งานเพียงหนึ่งชั่วโมง แต่ได้รับค่าจ้างหนึ่งเหรียญ จึงเป็นค่าจ้างจากความเมตตา เพื่อการดำ�รงชีวิตตามสมควรของทุกคนในครอบครัว และเหตุที่พวกเขาได้รับ ความเมตตาก็คอื พวกเขาพยายามแสวงหางานทีจ่ ะทำ� โดยยืนรอผูท้ จี่ ะมาว่าจ้างอยูท่ งั้ วัน ส่วนคนงานพวกแรกๆ ที่ทำ�งานทั้งวัน ก็ได้รับค่าจ้างจากความยุติธรรม ซึ่งเพียงพออยู่แล้ว นี่ควรเป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมทุกยุคทุกสมัย ให้ความเห็นใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะผู้ร่วมอยู่ในสภาพชีวิตแบบเดียวกัน
บทอ่านที่ 1 อสค 36:23-28 เราจะทำ�ให้นามยิ่งใหญ่ของเราศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง นามที่ได้เป็นมลทินในหมู่ นานาชาติ และที่ท่านทำ�ให้เป็นมลทินในหมู่เขา แล้วนานาชาติจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้ เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส เมื่อเราจะแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของเราในท่าน ต่อหน้าเขาทัง้ หลาย เราจะนำ�ท่านทัง้ หลายออกมาจากนานาชาติ เราจะรวบรวมท่านมา จากทุกแผ่นดิน และนำ�ท่านเข้ามาในแผ่นดินของท่าน เราจะพรมนํ้าสะอาดเหนือท่าน ทั้งหลาย แล้วท่านจะสะอาดพ้นจากมลทิน เราจะชำ�ระท่านจากมลทินทั้งหมดและจาก รูปเคารพทั้งหลายของท่าน เราจะให้ใจใหม่แก่ท่าน เราจะใส่จิตใหม่ไว้ภายในท่าน เรา จะนำ�ใจหินออกไปจากร่างของท่าน และจะให้ใจเนื้อแก่ท่าน เราจะใส่จิตของเราภายใน ท่าน จะทำ�ให้ท่านดำ�เนินชีวิตตามข้อกำ�หนดของเรา ท่านจะรักษาและปฏิบัติตามกฎ เกณฑ์ของเรา ท่านจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เราให้แก่บรรพบุรุษของท่าน ท่านจะเป็น ประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของท่าน
น.โรซา ชาวลีมา พรหมจารี สดด 51:10-12ก, 12ข-13,16-17 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร มธ 22:1-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส ทรงส่งผู้ รับใช้ไปเรียกผู้รับเชิญให้มาในงานวิวาห์ แต่พวกเขาไม่ต้องการมา พระองค์จึงทรงส่งผู้รับใช้อื่นไปอีก รับสั่ง ว่า ‘จงไปบอกผูร้ บั เชิญว่า บัดนีเ้ ราได้เตรียมการเลีย้ งไว้พร้อมแล้ว ได้ฆา่ วัวและสัตว์อว้ นพีแล้ว ทุกสิง่ พร้อม สรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ แต่ผู้รับเชิญมิได้สนใจ คนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคนหนึ่งไปทำ�ธุรกิจ คนที่เหลือ ได้จับผู้รับใช้ของกษัตริย์ ทำ�ร้ายและฆ่าเสีย กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไปทำ�ลายฆาตกรเหล่านั้นและ เผาเมืองของเขาด้วย แล้วพระองค์ตรัสแก่ผู้รับใช้ว่า ‘งานวิวาห์พร้อมแล้ว แต่ผู้รับเชิญไม่เหมาะสมกับงาน นี้ จงไปตามทางแยก พบผู้ใดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ บรรดาผู้รับใช้จึงออกไปตามถนน เชิญทุก คนที่พบมารวมกัน ทั้งคนเลวและคนดี แขกรับเชิญจึงมาเต็มห้องงานอภิเษกสมรส กษัตริย์เสด็จมาทอด พระเนตรแขกรับเชิญ ทรงเห็นคนหนึ่งไม่สวมเสื้อสำ�หรับงานวิวาห์ จึงตรัสแก่เขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านไม่ได้ สวมเสือ้ สำ�หรับงานวิวาห์ แล้วเข้ามาทีน่ ไี่ ด้อย่างไร’ คนนัน้ ก็นงิ่ กษัตริยจ์ งึ ตรัสสัง่ ผูร้ บั ใช้วา่ ‘จงมัดมือมัดเท้า ของเขา เอาไปทิง้ ในทีม่ ดื ข้างนอกเถิด ทีน่ นั่ จะมีแต่การรํา่ ไห้ครํา่ ครวญ และขบฟันด้วยความขุน่ เคือง เพราะ ผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย’” พระอาณาจักรของพระเจ้านั้นเปิดกว้างสำ�หรับมนุษย์ทุกคนก็จริง แต่ผู้ที่จะเข้าได้ก็ต้องเป็น “ผู้ เหมาะสม” ด้วย คือ “สวมเสื้อสำ�หรับงานวิวาห์” ผู้ที่เหมาะสม คือ ผู้ที่พระเจ้าได้ใส่ “จิตใจใหม่” คือ “ใจ เนื้อ” ไว้ หลังจากที่ได้นำ� “ใจหิน” ออกไป ใจหินคือผู้ที่มีใจดื้อกระด้าง นับถือเงินตราและผลประโยชน์เป็น พระเจ้า ไม่ฟังคำ�สั่งสอนหรือคำ�เชิญของผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา “ใจเนื้อ” คือผู้ที่ดำ�เนินชีวิตตามพระประสงค์ของ พระเจ้า เคารพและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ด้วยหัวใจ ข้อสังเกตที่ควรไตร่ตรองก็คือ มีผู้ที่อยากทำ� ตามใจตนเองมากกว่าที่อยากทำ�ตามพระประสงค์ “เพราะผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย” อย่าลืมว่า ไม่มี สิ่งที่ดีและมีคุณค่าใดๆ ที่จะได้มาง่ายๆ เลย
ฉลอง น.บาร์โธโลมิว อัครสาวก สดด 145:10-11, 12-13,16-19
บทอ่านที่ 1 วว 21:9ข-14 ทูตสวรรค์องค์หนึง่ ในเจ็ดองค์ซงึ่ ถือขันเจ็ดใบบรรจุภยั พิบตั สิ ดุ ท้ายทัง้ เจ็ดประการ มาและกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “มาเถิด ข้าพเจ้าจะให้ดูสตรีที่เป็นเจ้าสาวของลูกแกะ” ทูต สวรรค์นำ�ข้าพเจ้าเดชะพระจิตเจ้าไปบนภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง ชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นกรุง เยรูซาเล็มนครศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งกำ�ลังลงมาจากสวรรค์ มาจากพระเจ้า นครนี้มีพระสิริ รุ่งโรจน์ของพระเจ้า มีความสุกใสเหมือนเพชรพลอยลํ้าค่า คล้ายแก้วมณีโชติช่วงเป็น ผลึกสดใส มีก�ำ แพงสูงใหญ่ ประตูสบิ สองประตู แต่ละประตูมที ตู สวรรค์ประจำ�อยูแ่ ละ มีชอื่ จารึกไว้ คือชือ่ ตระกูลอิสราเอลสิบสองตระกูล ทางทิศตะวันออกมีสามประตู ทาง ทิศเหนือมีสามประตู ทางทิศใต้มีสามประตูและทางทิศตะวันตกมีสามประตู กำ�แพง เมืองตัง้ อยูบ่ นฐานศิลาสิบสองฐาน บนฐานศิลานัน้ มีชอื่ ของบรรดาอัครสาวกทัง้ สิบสอง องค์ของลูกแกะ พระวรสาร ยน 1:45-51 เวลานั้น ฟีลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า “เราพบผู้ที่โมเสสในธรรมบัญญัติ และบรรดาประกาศกเขียนถึง ผู้นั้นคือพระเยซูบุตรของโยเซฟชาวนาซาเร็ธ” นาธานาเอลจึงพูดกับฟีลิปว่า “จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธได้รึ” ฟีลิปตอบว่า “มาดูซิ” พระ เยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถึงเขาว่า “นี่คือชาวอิสราเอล แท้ เป็นคนไม่มีมารยา” นาธานาเอลทูลถามว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อเทศ” นาธานาเอลทูลตอบว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็น กษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านเชื่อเพราะเราพูดว่า เราเห็น ท่านอยูใ่ ต้ตน้ มะเดือ่ เทศหรือ ท่านจะเห็นเหตุการณ์ทยี่ งิ่ ใหญ่กว่านัน้ อีก” แล้วพระองค์ ตรัสเสริมว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าเปิด และจะเห็น บรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงรับใช้บุตรแห่งมนุษย์” “ท่านจะเห็นเหตุการณ์ทยี่ ง่ิ ใหญ่กว่านัน้ อีก” พระวาจาตอนนีม้ คี วามหมาย อย่างยิ่ง ผู้มีความเชื่อจะมองเห็นสิ่งต่างๆ และเหตุการณ์ต่างๆ แตกต่างจากผู้ไม่มีความ เชื่อ มองเห็นสิ่งที่ผู้ไม่มีความเชื่อมองไม่เห็น ผู้มีความเชื่อจะมองเห็นกางเขนเป็นชัยชนะ มากกว่าจะเป็นความพ่ายแพ้และความตาย มองเห็นความตายเป็นความหวัง มองเห็น ความทุกข์ยากลำ�บากเป็นพระพรแห่งการกลับใจ มองเห็นผู้ตํ่าต้อยเป็นเพื่อนมนุษย์ที่มี คุณค่าและศักดิ์ศรี และมองเห็นสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า “รัก” เป็นอัศจรรย์ที่สามารถเกิดขึ้น ได้ทกุ วัน ศิษย์ของพระคริสตเจ้าจะเห็นสิง่ ทีโ่ ลกมองไม่เห็น คำ�เตือนใจต่อไปนีม้ คี า่ ควรแก่ การพิจารณาในทำ�นองเดียวกัน “คนมองโลกในแง่ดี มองเห็นโอกาสในทุกปัญหา คน มองโลกในแง่ร้าย มองเห็นปัญหาในทุกโอกาส”
บทอ่านที่ 1 อสค 43:1-7ก เขานำ�ข้าพเจ้าไปยังประตูซึ่งหันไปทางทิศตะวันออก ข้าพเจ้าเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ ของพระเจ้าแห่งอิสราเอลมาจากทิศตะวันออก มีเสียงดังมากับพระองค์เหมือนเสียง นํ้ามาก และแผ่นดินก็ส่องแสงสะท้อนพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ นิมิตที่ข้าพเจ้าเห็น นี้เหมือนกับนิมิตที่ข้าพเจ้าเคยเห็นเมื่อข้าพเจ้ามาดูเมืองนี้ถูกทำ�ลาย และเหมือนนิมิต ที่ข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่นํ้าเคบาร์ ข้าพเจ้าจึงกราบลงหน้าจรดพื้น น.หลุยส์ พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้าไปในพระวิหารทางประตูที่หันไปทางทิศ กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ตะวันออก พระจิตยกข้าพเจ้าขึ้น นำ�ข้าพเจ้าเข้าไปในลานชั้นใน ข้าพเจ้าเห็นพระสิริ น.โยเซฟ กาลาซานส์ รุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเต็มพระวิหาร ขณะที่ชายคนนั้นยังยืนอยู่ข้างข้าพเจ้า พระสงฆ์ ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งดังออกมาจากพระวิหารพูดกับข้าพเจ้า เสียงนั้นเป็น สดด 85:8-9,10-11, เสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย สถานที่นี้เป็นบัลลังก์ของเรา 12-13 เป็นที่วางเท้าของเรา เราพำ�นักอยู่ที่นี่ในหมู่ชาวอิสราเอลตลอดไป” ทำ�วัตรสัปดาห์ท่ี 4 พระวรสาร มธ 23:1-12 ครัง้ นัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์วา่ “พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสนี งั่ บนธรรมาสน์ ของโมเสส ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้วไปยกขึ้น เขาทำ� กิจการทุกอย่างเพื่อให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขึ้น ผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของ คนอืน่ เขาชอบทีน่ งั่ มีเกียรติในงานเลีย้ ง ชอบนัง่ แถวหน้าในศาลาธรรม ชอบให้ผคู้ นคำ�นับตามลานสาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’ ส่วนท่านทัง้ หลาย อย่าให้ผใู้ ดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผูเ้ ดียวและทุกคนเป็นพีน่ อ้ ง กัน ในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดาของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์ อย่าให้ผใู้ ดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ เพราะพระอาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า ในกลุม่ ของท่าน ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ตํ่าลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับ การยกย่องให้สูงขึ้น” “ในโลกนีอ้ ย่าเรียกผูใ้ ดว่าบิดา” หากจะแปลความพระวาจานีต้ ามตัวอักษร คงจะขัดแย้งกับความ รูส้ กึ ทัว่ ไปของมนุษย์เรา เพราะเราล้วนมีผทู้ เี่ ราเรียกอย่างเต็มหัวใจว่า พ่อ หรือบิดา แต่ผรู้ ทู้ างพระคัมภีรอ์ ธิบาย ว่า ในเจตนาของพระเยซูเจ้า คำ�ว่า “บิดา” นี้ พระองค์คงหมายถึงบรรดาผู้สอนกฎหมาย หรือหัวหน้าสภา ซันเฮดริน ซึ่งบางครั้งได้รับเรียกว่า บิดา แต่พวกเขาปฏิบัติตนไม่เหมาะสมพอที่จะเรียกว่าบิดา พวกเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ถูกเรียกว่า รับบี หรือ อาจารย์ หรือ บิดา ล้วนปฏิบัติตนเป็นเหมือนนายเหนือคนอื่น แต่สมาชิก ในครอบครัวของพระองค์ต้องเป็นผู้รับใช้คนอื่น รับใช้ซึ่งกันและกัน เป็นผู้ที่ไม่ใช่เพียงแต่สอนด้วยคำ�พูด แต่ ต้องลงมือปฏิบัติด้วย
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านจากหนังสือโยชูวา ยชว 24:1-2ก,15-17,18ข โยชูวารวบรวมทุกเผ่าของอิสราเอลทีเ่ มืองเชเคม และเรียกประชุมบรรดาผูอ้ าวุโส ของอิสราเอลพร้อมกับบรรดาผู้นำ� ผู้วินิจฉัยและนายทหาร ทุกคนมาอยู่เฉพาะพระ พักตร์พระเจ้า โยชูวาบอกประชากรทั้งหมดว่า “ถ้าท่านรังเกียจที่จะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า วันนี้ จงเลือกว่าท่านต้องการรับใช้ พระเจ้าองค์ใด จะรับใช้เทพเจ้าทั้งหลายซึ่งบรรพบุรุษของท่านเคยรับใช้ทางฟากโน้น ของแม่นํ้ายูเฟรติส หรือเทพเจ้าทั้งหลายของชาวอาโมไรต์ที่ท่านเข้ามาอาศัยอยู่ใน แผ่นดินของเขา ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า พวกเราจะรับใช้องค์พระผูเ้ ป็น เจ้า” ประชากรตอบว่า “ไม่มวี นั ทีเ่ ราจะละทิง้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เพือ่ ไปรับใช้เทพเจ้าอืน่ เพราะเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราที่ทรงนำ�เราและบรรพบุรุษที่นี่ออกมาจาก แผ่นดินอียปิ ต์ ให้พน้ จากการเป็นทาส และทรงกระทำ�เครือ่ งหมายอัศจรรย์ยงิ่ ใหญ่เหล่า นั้นต่อหน้าต่อตาเรา และทรงพิทักษ์รักษาเราตลอดทางที่เราเดินและในหมู่ประชาชาติ ทั้งหลายที่เราผ่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ประชาชาติเหล่านี้ทั้งหลาย รวมทั้งชาว อาโมไรต์ซึ่งเคยอยู่ในแผ่นดินออกไปต่อหน้าเรา เพลงสดุดี สดด 34:1-2,15-22 ก) ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล ค�ำสรรเสริญพระองค์จะติดอยู่กับริมฝีปากของข้าพเจ้าเสมอ จิตใจข้าพเจ้าจะภูมิใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาผู้ต�่ำต้อยจงฟังและชื่นชมเถิด ข) สายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าจับอยู่ที่ผู้ชอบธรรม พระกรรณของพระองค์ฟังเสียงของเขาที่ร้องขอความช่วยเหลือ พระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นอริกับผู้ท�ำความชั่ว มิให้ใครในแผ่นดินระลึกถึงเขาอีกต่อไป ค) บรรดาผู้ชอบธรรมร้องขอความช่วยเหลือ องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงฟัง ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากความคับแค้นทั้งหลาย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้ผู้ที่มีใจเป็นทุกข์ ทรงกอบกู้ผู้ที่มีจิตใจส�ำนึกผิด บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 5:21-32 พีน่ อ้ ง จงยอมอยูใ่ ต้อ�ำ นาจของกันและกันด้วยความเคารพยำ�เกรงพระคริสตเจ้า ภรรยาจงยอมอยู่ใต้อำ�นาจของสามีเหมือนยอมอยู่ใต้อำ�นาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยาเหมือนพระคริสตเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักร
พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยพระศาสนจักรซึ่งเป็นพระกายให้รอดพ้น พระศาสนจักรยอมอยู่ใต้อำ�นาจของพระ คริสตเจ้าฉันใด ภรรยาก็ต้องยอมอยู่ใต้อำ�นาจของสามีทุกเรื่องฉันนั้น สามีกจ็ งรักภรรยาดังทีพ่ ระคริสตเจ้าทรงรักพระศาสนจักร และทรงพลีพระองค์เพือ่ พระศาสนจักร ทรง บันดาลให้พระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ ทรงใช้นํ้าและพระวาจาชำ�ระพระศาสนจักรให้บริสุทธิ์ พระองค์จะได้ทรง พบว่าพระศาสนจักรนั้นรุ่งโรจน์ ศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากมลทิน ปราศจากตำ�หนิริ้วรอยหรือสิ่งใดๆ ในลักษณะ ดังกล่าว เช่นเดียวกัน สามีต้องรักภรรยาเหมือนรักกายของตน ผู้ท่ีรักภรรยาก็รักตนเอง เพราะไม่มีใคร เกลียดชังเนื้อหนังของตน แต่ย่อมเลี้ยงดูและทะนุถนอมอย่างดียิ่ง พระคริสตเจ้าทรงกระทำ�เช่นเดียวกัน กับพระศาสนจักร เพราะเราเป็นส่วนแห่งพระกายของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า “เพราะเหตุนี้ ชายจะละ บิดามารดาไปผูกพันอยูก่ บั ภรรยา และทัง้ สองจะเป็นเนือ้ เดียวกัน” ธรรมลํา้ ลึกประการนีย้ งิ่ ใหญ่นกั ข้าพเจ้า หมายถึงพระคริสตเจ้ากับพระศาสนจักร
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:60-69 เวลานั้น เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสดังนี้ก็กล่าวว่า “ถ้อยคำ�นี้ขัดหูจริง ใครจะฟังได้” พระเยซูเจ้าทรงทราบด้วยพระองค์วา่ บรรดาศิษย์ก�ำ ลังบ่นกันเรือ่ งนี้ จึงตรัสแก่เขาว่า “เรือ่ งนีท้ �ำ ให้ทา่ น เคลือบแคลงใจหรือ แล้วถ้าท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึน้ สูส่ ถานทีท่ เี่ คยอยูแ่ ต่กอ่ นเล่า ท่านจะว่าอย่างไร พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ลำ�พังมนุษย์ทำ�อะไรไม่ได้ วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้นให้ชีวิต เพราะมาจากพระจิตเจ้า แต่บางท่านไม่เชื่อ” พระเยซูเจ้าทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ใดไม่เชื่อ และผู้ใดจะ ทรยศต่อพระองค์ พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ดังนั้น เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ใดมาหาเราได้ เว้นแต่ผู้ ที่พระบิดาประทานให้เขามา” หลังจากนั้น ศิษย์หลายคนเปลี่ยนใจไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับอัครสาวกสิบสองคนว่า “ท่านทั้งหลายจะไปด้วยหรือ” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร พวก เราเชื่อและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านนั้นให้ชีวิต” (ยน 6:63) โยชูวาประกาศแก่ประชากร อิสราเอลว่า การรับใช้พระเจ้า ทำ�ให้รอดพ้นจากการเป็นทาส และได้ครอบครองแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งก็ หมายถึงการมีชวี ติ นักบุญเปาโลก็ให้ค�ำ อธิบายถึงความหมายของชีวติ ของพระศาสนจักรว่า คือการรับใช้กนั และ กัน เช่นเดียวกับการที่สามีและภรรยาในครอบครัวต้องรักกันและกัน รับใช้กันและกัน และทำ�ให้กันและกันมี ชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ นี่คือชีวิตที่แท้จริง การเอาแต่ยึดติดกับโลก สลวนสนใจแต่ความต้องการฝ่ายวัตถุ และ สนใจแต่ตนเอง และละเลยหรือละทิ้งพระผู้เป็นเจ้า ทำ�ให้เรามนุษย์หลงไป จนทำ�ให้พระวาจาของพระเจ้าขัดหู และที่สุด จะถึงวันหนึ่งที่จะพบกับความมืดมน ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี และเสียชีวิตนั้น ผู้มีความเชื่อจะพบความ สำ�นึกเดียวกับท่านนักบุญเปโตรที่ตอบพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มีพระวาจา แห่งชีวิตนิรันดร” จงให้พระวาจาเข้ามามีบทบาทสำ�คัญในชีวิตคริสตชนของเรา แล้วเราจะมี “ชีวิต”
ระลึกถึง น.โมนิกา สดด 96:1-3,4-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 2 ธส 1:1-5,11ข-12 จากเปาโล สิลวานัสและทิโมธี ถึงพระศาสนจักรของชาวเธสะโลนิกาซึง่ อยูใ่ นพระเจ้าพระบิดาของเราและในพระ เยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระหรรษทานและสันติจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระ ผู้เป็นเจ้า สถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พี่น้องทั้งหลาย เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ การกระทำ�เช่น นีเ้ ป็นการสมควรแล้ว เพราะความเชือ่ ของท่านกำ�ลังเจริญขึน้ มากและความรักของท่าน ต่อกันก็เพิ่มขึ้นด้วย... ขอพระเจ้าของเราโปรดให้ท่านเหมาะสมกับการที่พระองค์ทรงเรียก และขอ พระองค์ทรงบันดาลเจตจำ�นงทีด่ ที กุ อย่างของท่าน รวมทัง้ กิจการแห่งความเชือ่ ให้บรรลุ ผลสำ�เร็จเดชะพระอานุภาพของพระองค์...
พระวรสาร มธ 23:13,15-22 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบตั จิ งเกิดแก่ทา่ นทัง้ หลาย ธรรมาจารย์และฟาริสหี น้าซือ่ ใจคด ท่านปิดประตูอาณาจักรใส่หน้ามนุษย์ ท่านไม่เข้าไปและไม่ปล่อยคนที่อยากเข้า ให้เข้าไปได้” “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านเดินทางข้ามนํ้าข้ามทะเลเพื่อทำ�ให้คน เพียงคนเดียวกลับใจ และเมื่อเขากลับใจแล้ว ท่านก็ทำ�ให้เขาสมควรจะไปนรกมากกว่าท่านสองเท่า” “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ผู้นำ�ทางที่ตาบอด ท่านกล่าวว่า ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็เป็นโมฆะ แต่ ถ้าใครสาบานอ้างถึงทองคำ�ในพระวิหาร ก็ตอ้ งปฏิบตั ติ ามคำ�สาบาน’ คนโง่เขลาและตาบอดเอ๋ย สิง่ ใดสำ�คัญ ยิง่ กว่ากัน ทองคำ�หรือพระวิหารทีท่ �ำ ให้ทองคำ�นัน้ ศักดิส์ ทิ ธิ์ ท่านยังกล่าวอีกว่า ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระแท่น ก็เป็นโมฆะ แต่ถ้าใครสาบานอ้างถึงเครื่องบูชาบนพระแท่น ก็ต้องปฏิบัติตามคำ�สาบาน’ คนตาบอดเอ๋ย สิ่ง ใดสำ�คัญยิง่ กว่ากัน เครือ่ งบูชาหรือพระแท่นทีท่ �ำ ให้เครือ่ งบูชานัน้ ศักดิส์ ทิ ธิ์ ดังนัน้ ผูท้ สี่ าบานอ้างถึงพระแท่น ก็สาบานอ้างถึงพระแท่นรวมทัง้ ทุกสิง่ ทีอ่ ยูบ่ นพระแท่นนัน้ ด้วย และผูท้ สี่ าบานอ้างถึงพระวิหาร ก็สาบานอ้าง ถึงพระวิหาร รวมทั้งพระผู้สถิตในพระวิหารนั้นด้วย ผู้ที่สาบานอ้างถึงสวรรค์ ก็สาบานอ้างถึงพระที่นั่งของ พระเจ้า รวมทั้งพระผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งนั้นด้วย” นักบุญเปาโลเขียนจดหมายถึงชาวเธสะโลนิกาว่า “เราภูมใิ จในท่านทัง้ หลาย เพราะความเชือ่ ของ ท่านกำ�ลังเจริญขึน้ มาก และความรักของท่านต่อกันก็เพิม่ ขึน้ ด้วย” ท่านนักบุญเปาโลหมายถึง สิง่ ทีเ่ ราควรภูมใิ จ คือ ความมั่นคงในความเชื่อ ความอดทนต่อการถูกเบียดเบียนและความทุกข์ต่างๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรักที่มีต่อกันและกัน ไม่ใช่เอาแต่ภูมิใจว่า ตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือบุคคลพิเศษ แบบเดียวกับที่ชาวยิว ภูมใิ จว่าตนเองเป็นประชากรพิเศษทีพ่ ระเจ้าทรงเลือกสรร จนดูเหมือนชนชาติอนื่ เป็นผูต้ าํ่ ต้อย และไม่ใช่เอาแต่ ภูมิใจในพระวิหารที่สวยงามและของถวายมากมาย พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรักและช่วยให้เรารู้จักรักต่างหาก ที่ควรเป็นความภูมิใจสำ�หรับเราคริสตชน
บทอ่านที่ 1 2 ธส 2:1-3ก,14-17 พีน่ อ้ งทัง้ หลาย เรือ่ งการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา และ เรือ่ งการชุมนุมของเราเพือ่ พบกับพระองค์นนั้ เราวอนขอท่านอย่ารีบด่วนหวัน่ ไหวหรือ ตกใจไม่ว่าเพราะคำ�พยากรณ์ที่อ้างว่ามาจากพระจิตเจ้า หรือเพราะคำ�พูดหรือจดหมาย ทีอ่ า้ งว่ามาจากเรา ประหนึง่ ว่าวันขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้ามาถึงแล้ว อย่าให้ใครหลอกลวง ท่านโดยวิธีใดเลย ระลึกถึง พระองค์ทรงเรียกท่านมาเพราะข่าวดีที่เราเทศน์สอน เพื่อท่านจะได้รับพระสิริ น.ออกัสติน รุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดังนั้น พี่น้องทั้งหลายจงยืนหยัด พระสังฆราช มั่นคงและยึดถือธรรมประเพณีที่ท่านเรียนรู้มาทั้งด้วยวาจาและด้วยจดหมายของเรา และนักปราชญ์ ขอพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และพระเจ้าพระบิดาของเรา ผูท้ รงรักเรา ประทาน แห่งพระศาสนจักร กำ�ลังใจนิรันดรและความหวังที่ดีให้เราเดชะพระหรรษทาน โปรดประทานกำ�ลังใจให้ สดด 96:10-13 ท่านและบันดาลให้ท่านยืนหยัดมั่นคงในกิจการและวาจาที่ดีทุกประการ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร มธ 23:23-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบตั จิ งเกิดแก่ทา่ น ธรรมาจารย์และฟาริสหี น้าซือ่ ใจคด ท่านถวายหนึง่ ในสิบของ สะระแหน่ ผักชี ยี่หร่า แต่ได้ละเลยธรรมบัญญัติในเรื่องที่สำ�คัญ เช่น ความยุติธรรม ความเมตตากรุณา และความซือ่ สัตย์ บทบัญญัตเิ หล่านีจ้ �ำ เป็นต้องปฏิบตั โิ ดยไม่ละเว้น บทบัญญัติเหล่านั้นด้วย” “ผู้นำ�ทางตาบอดเอ๋ย ท่านกรองลูกนํ้า แต่กลับกลืนอูฐทั้งตัว” “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านล้างถ้วยชามด้าน นอก ด้านในมีแต่ความสกปรกคือการข่มขูแ่ ย่งชิง และราคตัณหา ฟาริสตี าบอดเอ๋ย จง ล้างด้านในของถ้วยชามให้สะอาดเสียก่อน แล้วด้านนอกก็จะสะอาดด้วย” ในโลกทุกวันนี้ ดูเหมือนกระแสสังคมมีอิทธิพลยิ่งใหญ่และรุนแรง จนทำ�ให้ ผู้คนสูญเสียหลักการไปโดยง่าย กลายเป็นคนโอนไปเอนมาดั่งต้นอ้อต้องลม เรื่องที่เคย ยึดมั่นว่าเป็นสิ่งที่ดี กลับไร้คุณค่าลงไป เรื่องที่เคยว่าเลว กลับกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ความเชือ่ ของเราคริสตชนจึงต้องเป็นสิง่ ทีท่ า่ นนักบุญเปาโลสอนเราว่า “จงยืนหยัดมัน่ คง ในกิจการและวาจาที่ดีทุกประการ” อย่าสูญเสียความยุติธรรม ความเมตตากรุณา และ ความซื่อสัตย์เพียงเพื่อผลประโยชน์ อย่ามองข้ามความสะอาดบริสุทธิ์ภายในจิตใจ เพียง เพื่อการสร้างภาพให้ดูดีแต่ภายนอก (เมื่อนักบุญเอากุสตินในวัยหนุ่ม ได้ยินเสียงเรียกให้ เปิดอ่านพระคัมภีร์ ข้อความแรกที่ท่านพบคือ โรม 13:13-14 “เราจงดำ�เนินชีวิตอย่างมี เกียรติเหมือนกับเวลากลางวัน มิใช่กินเลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่ปล่อยตัวเสพกามอย่าง ผิดศีลธรรม มิใช่วิวาทริษยา แต่จงดำ�เนินชีวิตโดยสวมพระเยซูคริสตเจ้าเป็นอาภรณ์ อย่า ทำ�ตามความต้องการของเนื้อหนัง” แล้วท่านก็กลับใจมาเป็นคริสตชน)
บทอ่านที่ 1 ยรม 1:17-19 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ท่านจงคาดสะเอว จงลุกขึ้นไปบอกทุกสิ่ง ทีเ่ ราจะสัง่ ท่านให้เขาฟัง อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราจะทำ�ให้ทา่ นไม่พรัน่ พรึงต่อหน้าเขา ดูซิ วันนี้เราทำ�ให้ท่านเป็นเหมือนเมืองป้อม เป็นเหมือนเสาเหล็ก และเป็นเหมือน กำ�แพงทองสัมฤทธิ์ ต่อสูก้ บั ทัว่ แผ่นดิน กับบรรดากษัตริยแ์ ห่งยูดาห์และเจ้านาย บรรดา สมณะและประชากรของแผ่นดิน เขาทัง้ หลายจะต่อสูก้ บั ท่าน แต่จะไม่ชนะท่าน เพราะ ระลึกถึง น.ยอห์น แบปติสต์ เราอยู่กับท่านเพื่อช่วยท่านให้รอดพ้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส
ถูกตัดศีรษะ
พระวรสาร มก 6:17-29 เวลานัน้ กษัตริยเ์ ฮโรดองค์นเี้ คยทรงสัง่ ให้จบั กุมยอห์น และล่ามโซ่ขงั คุกไว้ เพราะ เรือ่ งของนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลปิ พระอนุชา ซึง่ กษัตริยเ์ ฮโรดทรงรับมาเป็นมเหสี ยอห์นเคยทูลกษัตริยเ์ ฮโรดว่า “ไม่ถกู ต้องทีพ่ ระองค์ทรงรับภรรยาของน้องชายมาเป็น มเหสี” นางเฮโรเดียสจึงโกรธแค้นและปรารถนาจะฆ่ายอห์นเสีย แต่ฆ่าไม่ได้ เพราะ กษัตริยเ์ ฮโรดยังทรงเกรงยอห์นอยู่ ทรงทราบว่ายอห์นเป็นคนชอบธรรมและศักดิส์ ทิ ธิ์ จึงทรงป้องกันไว้ เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงฟังคำ�พูดของยอห์น ทรงรู้สึกสับสน แต่ก็ทรง ยินดีที่จะฟัง นางเฮโรเดียสได้โอกาสเมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงจัดให้มีงานเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่และคน สำ�คัญในแคว้นกาลิลใี นวันคล้ายวันประสูตขิ องพระองค์ บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำ�เป็นทีพ่ อ พระทัยของกษัตริยเ์ ฮโรด และเป็นทีพ่ อใจของผูร้ บั เชิญ กษัตริยจ์ งึ ตรัสกับหญิงคนนัน้ ว่า “ท่านอยากได้อะไร ก็ขอมาเถิด เราจะให้” และยังทรงสาบานอีกว่า “ท่านขออะไรเราก็จะให้ แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักร ของเราก็ตาม” หญิงสาวจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี” มารดาตอบว่า “จงขอศีรษะของยอห์น ผู้ทำ�พิธีล้าง” หญิงสาวจึงรีบกลับมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า “หม่อมฉันขอศีรษะของยอห์นผู้ทำ�พิธีล้างใส่ถาดมา ให้เดี๋ยวนี้” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะทรงเห็นแก่ผู้รับเชิญ ไม่ทรง ปรารถนาจะขัดใจหญิงสาว จึงทรงสั่งเพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นมาทันที เพชฌฆาตไปตัดศีรษะของ ยอห์นในคุก ใส่ถาดนำ�มาให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำ�ไปให้มารดา เมื่อบรรดาศิษย์ของยอห์นรู้เรื่อง จึงมารับ ศพของยอห์น นำ�ไปฝังไว้ในคูหา
สดด 71:1-3ก,3ข-5 6,14-15 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
เวลาที่นักบุญแบร์นาแด๊ตมาบอกเล่าเรื่องที่แม่พระประจักษ์มาหาที่เมืองลูร์ด และสั่งท่านให้บอก เรือ่ งนีใ้ ห้แก่พระศาสนจักร แต่มผี คู้ นมากมายกล่าวหาท่านว่าแต่งเรือ่ งขึน้ มาเพือ่ ผลประโยชน์ ท่านกล่าวข้อความ ที่น่าประทับใจว่า “ฉันได้รับมอบหมายให้มาบอกท่านเรื่องที่ฉันได้ยินและได้เห็น ฉันไม่ได้รับมอบหมายมา ทำ�ให้ท่านเชื่อ” ท่านมีความสุขแล้วที่ได้ทำ�หน้าที่บอกเล่าสิ่งที่แม่พระต้องการ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป การ กล่าวเตือนกษัตริยเ์ ฮโรดว่าเป็นสิง่ ทีผ่ ดิ ทีร่ บั เอาภรรยาของน้องชายมาเป็นภรรยาของตน ทำ�ให้ทา่ นนักบุญยอห์น บัปติสต์ตอ้ งถูกจำ�คุกและทีส่ ดุ ถูกตัดศีรษะ เป็นตัวอย่างของผูม้ คี วามเชือ่ ทีต่ อ้ งทำ�หน้าทีย่ นื หยัดในความถูกต้อง ดีงามทั้งหลาย โดยไม่หวาดหวั่นกับผลร้ายที่อาจตามมา “ท่านจงคาดสะเอว จงลุกขึ้นไปบอกทุกสิ่งที่เราจะสั่ง ท่านให้เขาฟัง อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราจะทำ�ให้ท่านไม่พรั่นพรึงต่อหน้าเขา” (ยรม 1:17)
บทอ่านที่ 1 1 คร 1:1-9 จากเปาโล ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครสาวกของพระคริสตเยซูตามพระ ประสงค์ของพระองค์ และจากโสสเธเนสพี่น้องของเรา ถึงพระศาสนจักรของพระเจ้าที่อยู่ ณ เมืองโครินธ์ ถึงผู้ที่ได้รับความศักดิ์สิทธิ์ใน พระคริสตเยซู คือได้รบั เรียกให้เป็นผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิพ์ ร้อมกับทุกคนในทุกสถานที่ ทุกคนซึง่ เรียกหาพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งของเขาและของเราด้วย ขอพระหรรษทานและสันติสขุ จากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอเพื่อท่านทั้งหลาย เพราะพระหรรษทานซึ่ง พระเจ้าประทานแก่ท่านเดชะพระคริสตเยซู ท่านได้รับพระพรทุกด้านและทุกประการ เดชะพระองค์ คือการประกาศพระวาจาและความรู้ทุกอย่าง ท่านทั้งหลายเป็นพยาน ถึงพระคริสตเจ้าอย่างเข้มแข็งจนถึงที่สุด จนกระทั่งท่านไม่ขาดพระคุณใดในขณะที่รอ คอยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา พระองค์จะทรงคาํ้ จุนท่าน ให้มั่นคงจนถึงวาระสุดท้าย ไม่มีที่ติในวันที่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะ เสด็จมา พระเจ้าทรงเรียกท่านให้สนิทสัมพันธ์กับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซู คริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว พระองค์ทรงมั่นคงในการรักษาคำ�สัญญา
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา สดด 145:2-3,4-5, 6-7 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร มธ 24:42-51 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงตืน่ เฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รวู้ า่ นายของท่านจะมาเมือ่ ไร พึงรูไ้ ว้เถิด ถ้าเจ้าบ้านรูว้ า่ ขโมยจะมาใน ยามใด เขาคงจะตื่นเฝ้าไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตนได้ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน จงเตรียมพร้อม ไว้ เพราะว่าบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย” “ใครเล่าเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และรอบคอบซึ่งนายแต่งตั้งให้ดูแลผู้รับใช้ เพื่อแจกจ่ายอาหารให้ตาม เวลาที่กำ�หนด ผู้รับใช้นั้นย่อมเป็นสุข เมื่อนายกลับมาพบเขากำ�ลังทำ�เช่นนี้ เราบอกความจริงแก่ท่าน ทั้งหลายว่า นายจะแต่งตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งปวงของตน แต่ถ้าผู้รับใช้นั้นคิดว่า ‘นายจะมาช้า’ แล้วเขา ก็เริ่มตบตีเพื่อนผู้รับใช้ กินดื่มกับพวกขี้เมา นายของผู้รับใช้นั้นจะกลับมาในวันที่เขามิได้คาดหมาย ในเวลา ที่เขาไม่รู้ นายก็จะแยกเขาออก ให้ไปอยู่กับพวกหน้าซื่อใจคด ที่นั่นจะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟัน ด้วยความขุ่นเคือง” “จงตื่นเฝ้าเถิด” พระวาจานี้ทำ�ให้คำ�สอนของท่าน ฟ.ฮีแลร์ผุดขึ้นมา ที่ว่า “จงตื่นเถิด เปิดตา หาความรู้ เรียนคำ�ครู คำ�พระเจ้า เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม” บางที ความโลภ และความรักในความสะดวกสนุกสบายก็อาจทำ�ให้เรามนุษย์หลงลืมความจริงข้อนี้ไปได้ง่ายๆ จำ�เป็น ต้องกระตุ้นเตือนใจตนเองอยู่เสมอๆ ที่สำ�คัญ มาตรการสำ�คัญที่พระผู้เป็นเจ้าพิจารณามนุษย์ก็คือ การปฏิบัติ ต่อบรรดาเพือ่ นมนุษย์ของเราว่าเป็นอย่างไร และโอกาสทีเ่ ราจะปฏิบตั ดิ ตี อ่ เพือ่ นมนุษย์ของเรานัน้ มีอยูม่ ากมาย จริงๆ เพื่อนมนุษย์เป็น “ของขวัญ” สำ�หรับเราเสมอ
สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา สดด 33:1-2,4-5, 10-12 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 1 คร 1:17-25 พี่น้อง พระคริสตเจ้ามิได้ทรงส่งข้าพเจ้ามาทำ�พิธีล้างบาป แต่ทรงส่งมาประกาศ ข่าวดีมิใช่ด้วยการใช้โวหารอันชาญฉลาด ด้วยเกรงว่าจะทำ�ให้ไม้กางเขนของพระ คริสตเจ้าเสื่อมประสิทธิภาพ ผู้ที่จะพินาศนั้นเห็นว่าคำ�สอนเรื่องไม้กางเขนเป็นความ โง่เขลา แต่พวกเราทีก่ �ำ ลังจะรอดพ้นเห็นว่าเป็นพระอานุภาพของพระเจ้า... เพราะตาม พระปรีชาญาณของพระเจ้า โลกมิได้รู้จักพระองค์โดยอาศัยความปรีชาฉลาดของตน พระเจ้าจึงพอพระทัยช่วยผู้มีความเชื่อให้รอดพ้นโดยการเทศน์สอนเรื่องโง่เขลา ขณะ ทีช่ าวยิวเรียกร้องขอดูอศั จรรย์ และชาวกรีกแสวงหาปรีชาญาณ เรากลับประกาศเรือ่ ง พระคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขน อันเป็นข้อขัดข้องมิให้ชาวยิวรับไว้ได้และเป็นเรื่อง โง่เขลาสำ�หรับชาวกรีก แต่สำ�หรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาว กรีก พระคริสตเจ้าทรงเป็นทัง้ พระอานุภาพและพระปรีชาญาณของพระเจ้า เพราะความ โง่เขลาของพระเจ้ายังฉลาดยิง่ กว่าปรีชาญาณของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้า ก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่าพละกำ�ลังของมนุษย์
พระวรสาร มธ 25:1-13 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาให้บรรดาศิษย์ฟังว่าดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับหญิงสาวสิบคนถือตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าว ห้าคนเป็นคนโง่ อีกห้า คนเป็นคนฉลาด หญิงโง่นำ�ตะเกียงไป แต่มิได้นำ�นํ้ามันไปด้วย ส่วนหญิงฉลาด นำ�นํ้ามันใส่ขวดไปพร้อมกับตะเกียง ทุก คนต่างง่วงและหลับไปเพราะเจ้าบ่าวมาช้า ครั้นเวลาเที่ยงคืน มีเสียงตะโกนบอกว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออก ไปรับกันเถิด’ หญิงสาวทุกคนจึงตื่นขึ้นแต่งตะเกียง หญิงโง่พูดกับหญิงฉลาดว่า ‘ขอนํ้ามันให้เราบ้าง เพราะ ตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว’ หญิงฉลาดจึงตอบว่า ‘ไม่ได้ เพราะนํ้ามันอาจไม่พอสำ�หรับเราและสำ�หรับพวกเธอด้วย จงไปหาคนขาย แล้วซือ้ เอาเองดีกว่า’ ขณะทีห่ ญิงเหล่านัน้ กำ�ลังไปซือ้ นํา้ มัน เจ้าบ่าวก็มาถึง หญิงสาวทีเ่ ตรียมพร้อมจึงเข้าไป ในห้องงานแต่งงานพร้อมกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ปิด ในที่สุด พวกหญิงโง่ก็มาถึง พูดว่า ‘นายเจ้าขา นาย เจ้าขา เปิดรับพวกเราด้วย’ แต่เขาตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน’ ดังนั้น จง ตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา” ตะเกียง หมายถึง ความเชื่อ ที่ต้องลุกโชนอยู่เสมอ นํ้ามัน หมายถึง กิจการดีต่างๆ ที่จะหล่อเลี้ยง ให้แสงตะเกียงส่องสว่างอยู่ได้ ความเชื่อที่ปราศจากกิจการดี จึงเป็นเหมือนตะเกียงที่ดับแล้ว ไม่มีประโยชน์ใด การจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า ต้องอาศัยความเชื่อพร้อมด้วยกิจการดี คือกิจการแห่งความรักเพื่อน มนุษย์ เป็นเหมือนแสงสว่างนำ�ทาง ตะเกียงยังเป็นเครื่องหมายของปัญญาหรือความฉลาด แต่โลกเรียกความ ฉลาดฝ่ายพระเจ้าว่าเป็นความโง่เขลา และโน้มนำ�เราให้ยอมรับความฉลาดฝ่ายโลก โลก “เห็นว่าคำ�สอนเรือ่ งไม้ กางเขนเป็นเรื่องโง่เขลา แต่พวกเราที่กำ�ลังจะรอดพ้นเห็นว่าเป็นพระอานุภาพของพระเจ้า” โลกเย้ายวนและ เชิญชวนให้เราหลงไปในความฉลาดฝ่ายโลกโดยง่าย จงระมัดระวังตน ทำ�นองเดียวกับที่ทา่ นนักบุญเปโตรเตือน ไว้ว่า “ศัตรูของท่านคือมาร กำ�ลังดักวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงโตคำ�ราม” ( 1 ปต 5:8)