09_

Page 1


สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา สดด 119:97-100, 101-103

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1

1 คร 2:1-5

พระวรสาร

ลก 4:16-30

พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาพบท่าน ข้าพเจ้ามิได้มาประกาศธรรมลํ้าลึก เรื่อง พระเจ้าโดยใช้สำ�นวนโวหาร หรือโดยใช้หลักเหตุผลอันฉลาดปราดเปรือ่ ง ข้าพเจ้าตัดสิน ใจว่าจะไม่สอนเรื่องใดแก่ท่านนอกจากเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า คือพระองค์ผู้ทรงถูกตรึง กางเขน ข้าพเจ้ายังอยู่กับท่านด้วยความอ่อนแอ มีความกลัวและหวาดหวั่นมาก วาจา และคำ�เทศน์ของข้าพเจ้ามิใช่คำ�พูดชวนเชื่ออย่างชาญฉลาด แต่เป็นถ้อยคำ�แสดงพระ อานุภาพของพระจิตเจ้า เพือ่ มิให้ความเชือ่ ของท่านเป็นผลจากปรีชาญาณของมนุษย์ แต่ เป็นผลจากพระอานุภาพของพระเจ้า

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธซึง่ เป็นสถานทีท่ พี่ ระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระ คัมภีร์... พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้า ไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ� คืนสายตาให้แก่คน ตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าทีแ่ ละประทับนัง่ ลง สายตาของทุกคนทีอ่ ยูใ่ นศาลาธรรม ต่างจ้องมองพระองค์ พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่น้ีเป็น ความจริงแล้ว” ทุกคนสรรเสริญพระองค์และต่างประหลาดใจในถ้อยคำ�น่าฟังที่พระองค์ตรัส เขากล่าวกันว่า “นีเ่ ป็นลูกของโยเซฟมิใช่หรือ” พระองค์จงึ ตรัสกับเขาว่า “ท่านคงจะกล่าวคำ�พังเพยนีแ้ ก่ เราเป็นแน่ว่า ‘หมอเอ๋ย จงรักษาตนเองเถิด สิ่งที่พวกเราได้ยินว่าเกิดขึ้นที่เมืองคาเปอรนาอุมนั้น ท่านจงทำ�ที่ นี่ในบ้านเมืองของท่านด้วยเถิด’ แล้วพระองค์ยังทรงเสริมอีกว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มี ประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความ อดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหา หญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อน หลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น’”...

วันนี้ พระเยซูเจ้าทรงประกาศความป็นพระเมสสิยาห์ และพันธกิจของพระองค์ทที่ รงได้รบั มอบหมายจาก พระบิดา ซึ่งก็คือการเอาใจใส่อย่างพิเศษต่อคนยากจน เชลย คนตาบอดและคนถูกกดขี่ข่มเหง พระองค์จะ ทรงปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระอาศัยข่าวดีแห่งความรัก แต่น่าเสียดายที่ชาวนาซาเร็ธปิดกั้นตัวเอง เนือ่ งจากมีอคติเกีย่ วกับบรรพบุรษุ และภูมหิ ลังของพระองค์ พวกเขาจึงพลาดโอกาสได้รบั และมีประสบการณ์ เกี่ยวกับข่าวดีแห่งความรักนั้น อย่างไรก็ดี พระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เรา พระองค์ทรงเดินหน้าอย่าง มั่นคงในพันธกิจและอัตลักษณ์ของพระองค์ต่อไป เพื่อยืนยันว่า “ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูนี้ เป็นความจริงแล้ว”


บทอ่านที่ 1

1 คร 2:10ข-16

พี่น้อง พระจิตเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งที่ลึกลํ้าของพระเจ้า ใครเล่าล่วงรู้ ความคิดของมนุษย์ ถ้ามิใช่จิตของมนุษย์ที่อยู่ในตัวมนุษย์คนนั้น เช่นเดียวกัน ไม่มีผู้ใด ล่วงรู้ถึงความคิดของพระเจ้านอกจากพระจิตของพระเจ้า เรามิได้รับจิตของโลก แต่รับ พระจิตซึง่ มาจากพระเจ้า เพือ่ ให้รถู้ งึ สิง่ ต่างๆ ซึง่ พระเจ้าประทานแก่เรา เราพูดถึงสิง่ เหล่า นี้ มิใช่ดว้ ยวาจาซึง่ ปรีชาญาณของมนุษย์สอนให้ แต่พดู ด้วยถ้อยคำ�ทีพ่ ระจิตเจ้าทรงสอน เราจึงอธิบายเรือ่ งฝ่ายจิตโดยใช้ถอ้ ยคำ�ของพระจิตเจ้า มนุษย์ทดี่ ำ�เนินชีวติ ตามธรรมชาติ รับสิ่งที่เป็นของพระจิตของพระเจ้าไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องโง่เขลาสำ�หรับเขา เขาไม่อาจ เข้าใจได้ เพราะต้องใช้จติ พิจารณา อาศัยพระจิตเจ้าเท่านัน้ ส่วนผูท้ ดี่ ำ�เนินชีวติ อาศัยพระ จิตเจ้าย่อมตัดสินทุกสิ่งและไม่มีใครตัดสินเขาได้ ใครเล่าหยั่งรู้ความคิดขององค์พระผู้ เป็นเจ้า เพื่อให้คำ�แนะนำ�แก่พระองค์ได้ แต่เราเองมีความคิดของพระคริสตเจ้า

พระวรสาร

ลก 4:31-37

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จลงไปยังเมืองคาเปอรนาอุม เมืองหนึง่ ในแคว้นกาลิลี ทรง สั่งสอนประชาชนในวันสับบาโต คำ�สั่งสอนของพระองค์ทำ�ให้ผู้ฟังประทับใจอย่างมาก เพราะพระวาจาของพระองค์ทรงไว้ซึ่งอำ�นาจ ในศาลาธรรม ชายคนหนึ่งถูกจิตของปีศาจร้ายสิง ร้องตะโกนเสียงดังว่า “ท่านมา ยุ่งกับพวกเราทำ�ไม เยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำ�ลายพวกเราใช่ไหม ฉันรู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและทรงสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” ปีศาจผลักชายนั้นล้มลงต่อหน้าทุกคน แล้วออกไปจากเขาโดยมิได้ ทำ�ร้ายแต่ประการใด ทุกคนต่างประหลาดใจมากและถามกันว่า “วาจานี้คือสิ่งใด จึงมี อำ�นาจและอานุภาพบังคับปีศาจร้าย และมันก็ออกไป” กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือ ไปทั่วทุกแห่งในบริเวณนั้น

พระเยซูเจ้าทรงถูกปฏิเสธที่นาซาเร็ธ แต่พระวาจาทรงอำ�นาจของพระองค์กลับได้ รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่คาเปอรนาอุม เมืองนี้เป็นเมืองการค้าที่เต็มด้วยความ พลุกพล่านและเป็นศูนย์กลางการประมงในแถบนั้น จึงเป็นสถานที่เหมาะสำ�หรับพระ เยซูเจ้าในการเริม่ ต้นภารกิจของพระองค์ ประชาชนมากมายทีเ่ ดินทางเข้า-ออกเมืองนีจ้ ะ เป็นผู้นำ�เรื่องราวและคำ�เทศน์สอนของพระองค์ไปป่าวประกาศยังที่ต่าง ๆ ที่เขาเดินทาง ผ่านไป จึงเป็นไปได้ว่าการขับไล่ปีศาจและคำ�พูดของมันยิ่งทำ�ให้กิตติศัพท์ของพระองค์ เลื่องลือไป ขออย่าให้เรามีท่าทีที่จะปฏิเสธพระองค์เช่นเดียวกับชาวนาซาเร็ธ แต่ให้ ยอมรับและป่าวประกาศพระองค์เช่นเดียวกับชาวคาเปอรนาอุม

สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา สดด 145:8-10, 11-12,13-14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


บทอ่านที่ 1

ระลึกถึง น.เกรโกรี่ พระสันตะปาปา และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 33:11-12, 13-15,20-22

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร

1 คร 3:1-9

พี่น้องทั้งหลาย จนถึงบัดนี้ข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านเหมือนพูดกับผู้ที่ดำ�เนินชีวิต อาศัยพระจิตเจ้าได้ แต่พูดเหมือนพูดกับคนที่ดำ�เนินชีวิตตามธรรมชาติ เหมือนพูดกับ ทารกในพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าใช้นาํ้ นมเลีย้ งท่าน ไม่ให้อาหารแข็ง เพราะขณะนัน้ ท่านยัง รับไม่ได้ และแม้เวลานี้ ท่านก็ยังรับไม่ได้ เพราะท่านยังเป็นผู้ดำ�รงชีวิตตามธรรมชาติ ใน เมือ่ ท่านยังอิจฉาริษยาและทะเลาะวิวาทกัน ท่านก็ยงั ดำ�รงชีวติ ตามธรรมชาติ และดำ�เนิน ชีวติ เหมือนมนุษย์ทวั่ ไปมิใช่หรือ เพราะเมือ่ คนหนึง่ พูดว่า “ฉันเป็นพวกของเปาโล” และ อีกคนหนึ่งพูดว่า “ฉันเป็นพวกของอปอลโล” ท่านก็มิได้เป็นเพียงมนุษย์ทั่วๆ ไปเท่านั้น ดอกหรือ อปอลโลเป็นใคร เปาโลเป็นใคร ทัง้ สองคนเป็นผูร้ บั ใช้ทนี่ ำ�ความเชือ่ มาให้ทา่ น ต่าง ก็ทำ�ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำ�หนดให้ทำ�เท่านั้น ข้าพเจ้าเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็นผู้ รดนํ้า แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลให้เติบโตขึ้น เพราะฉะนั้น ทั้งผู้ปลูกและผู้รดนํ้าก็ไม่ สำ�คัญ แต่ผมู้ คี วามสำ�คัญแท้จริงคือพระเจ้าผูท้ รงบันดาลให้เติบโตขึน้ ผูป้ ลูกและผูร้ ดนํา้ มีความสำ�คัญเท่ากัน แต่ละคนจะได้รับค่าจ้างของตนตามส่วนของงานที่กระทำ� เพราะ เราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นอาคารของพระเจ้า

ลก 4:38-44

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จจากศาลาธรรมเข้าไปในบ้านของซีโมน มารดาของภรรยาซีโมนกำ�ลังป่วยเป็น ไข้หนัก คนทีอ่ ยูท่ นี่ นั่ อ้อนวอนพระองค์ให้ทรงช่วยนาง พระองค์จงึ ทรงก้มลงเหนือนางและทรงสัง่ ไข้ให้ออกไป นางก็หายไข้ ลุกขึ้นมารับใช้ทุกคนทันที เมื่อดวงอาทิตย์ตก ผู้ที่มีคนเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆ นำ�ผู้เจ็บป่วยเหล่านั้นมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงปก พระหัตถ์เหนือผูป้ ว่ ยแต่ละคนและทรงรักษาเขาให้หายจากโรค ปีศาจออกจากคนจำ�นวนมาก พลางร้องตะโกน ว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงสั่งไม่ให้ปีศาจพูด เพราะมันรู้ว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จออกไปยังที่สงัด ประชาชนต่างเสาะหาพระองค์จนพบ แล้วหน่วงเหนี่ยว พระองค์ไม่ยอมให้จากพวกเขาไป แต่พระองค์ตรัสว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า ให้แก่เมืองอื่นด้วย เพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อการนี้” พระองค์จึงทรงเทศน์สอนตามศาลาธรรมแห่งแคว้นยูเดีย เมื่อพระเยซูเจ้าทรงขับไล่ปีศาจ มันประกาศว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” พระองค์สั่งให้มันเงียบ และในขณะทีป่ ระชาชนชืน่ ชมกิจการและคำ�เทศน์สอนของพระองค์ พระองค์เสด็จออกไปยังทีส่ งัดเพือ่ ภาวนา พระเยซูเจ้าทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เรา แม้ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์ก็ทรงเจริญชีวิตด้วยความสุภาพและ อ่อนน้อมตามพระประสงค์ของพระบิดาจนถึงที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้พระบิดาแต่พระองค์เดียวได้รับพระเกียรติยศ และพระสิริรุ่งโรจน์เสมอไป นักบุญเปาโลเตือนสอนเราเช่นเดียวกันว่า ทั้งท่าน (เปาโล) และอปอลโลเป็นเพียงผู้รับใช้ที่ทำ�งานตาม คำ�สั่งเท่านั้น พระเจ้าต่างหากเป็นเจ้านายและเจ้าของงาน ให้เรากระทำ�เช่นเดียวกัน


บทอ่านที่ 1

1 คร 3:18-23

พี่น้อง จงอย่าหลอกลวงตนเอง ถ้าท่านใดคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดในโลกนี้ ก็จง ยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง เพราะความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ในโลก นีเ้ ป็นความโง่เขลาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ดังทีม่ เี ขียนไว้ในพระคัมภีรว์ า่ “พระองค์ ทรงจับคนฉลาดด้วยอุบายของเขาเอง” และยังมีเขียนไว้อีกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง ทราบว่าความคิดของคนฉลาดเป็นสิ่งไร้ประโยชน์” ฉะนั้น อย่าให้ใครยกเอามนุษย์มา อวด เพราะทุกสิ่งเป็นของพวกท่าน เปาโลก็ดี อปอลโล เคฟาส โลก ชีวิต ความตาย สิง่ ปัจจุบนั หรือสิง่ ทีจ่ ะเกิดขึน้ ในอนาคตก็ดี ทุกสิง่ ล้วนเป็นของท่าน แต่ทา่ นเป็นของพระ คริสต์และพระคริสต์เป็นของพระเจ้า

พระวรสาร

ลก 5:1-11

วันหนึง่ พระเยซูเจ้าทรงยืนอยูบ่ นฝัง่ ทะเลสาบเยนเนซาเรท ขณะทีป่ ระชาชนเบียด เสียดรอบพระองค์เพื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำ� จอดอยูร่ มิ ฝัง่ ชาวประมงกำ�ลังซักอวนอยูน่ อกเรือ พระองค์จงึ เสด็จลงเรือลำ�หนึง่ ซึง่ เป็น ของซีโมน ทรงขอให้เขาถอยเรือออกไปจากฝั่งเล็กน้อย แล้วประทับสั่งสอนประชาชน จากเรือนั้น เมื่อตรัสสอนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสแก่ซีโมนว่า “จงแล่นเรือออกไปที่ลึกและลง อวนจับปลาเถิด” ซีโมนทูลตอบว่า “พระอาจารย์ พวกเราทำ�งานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับ ปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระองค์มีพระดำ�รัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน” เมื่อทำ�ดังนี้แล้ว พวก เขาจับปลาได้จำ�นวนมากจนอวนเกือบขาด เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพือ่ นในเรืออีกลำ�หนึง่ ให้มาช่วย พวกนั้นก็มาและนำ�ปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำ� จนเรือเกือบจม เมื่อซีโมนเปโตรเห็นดังนี้ จึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซูเจ้า ทูลว่า “โปรดไป จากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป” เพราะเขาและคนอื่นๆ ที่อยู่ กับเขาต่างประหลาดใจมากที่จับปลาได้มากเช่นนั้น ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี ซึง่ เป็นผูร้ ว่ มงานกับซีโมนก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซโี มนว่า “อย่า กลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์” เมื่อพวกเขานำ�เรือกลับถึงฝั่งแล้ว ก็ละทิ้งทุกสิ่งและติดตามพระองค์ไป

สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา สดด 24:1-3,4-6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระเยซูเจ้าทรงเป็นช่างไม้จากนาซาเร็ธ ส่วนเปโตรเป็นชาวประมงมาตลอดชีวิต ท่านคงมีประสบการณ์ และความชำ�นาญมากในการจับปลา ท่านทำ�งานตลอดคืนแต่จับปลาไม่ได้เลย แต่ด้วยความเชื่อในพระวาจา ทรงฤทธิ์ของพระเยซูเจ้า..เมื่อพระองค์มีพระดำ�รัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน... เปโตรจับปลาได้จำ�นวนมาก และ ด้วยอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทำ�ให้เปโตรมองเห็นถึงความไม่เหมาะสมและบาปของท่าน ท่านขอให้พระองค์ถอยห่าง ออกไป เพราะท่านมองเห็นว่า บาปกับความศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ห่างไกลกันมาก ขอให้พระวาจาของพระเจ้า และ อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทุกวันในชีวิตของเราทำ�ให้เรารู้สึกเกลียดชังบาป และระลึกได้ถึงความตํ่าต้อยของเราเฉพาะ พระพักตร์พระองค์เสมอ


สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา สดด 37:3-4,5-6, 27-28,39-40

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันศุกร์ต้นเดือน

บทอ่านที่ 1

1 คร 4:1-5

พระวรสาร

ลก 5:33-39

พี่น้อง คนทั้งหลายจงยึดถือว่าเราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเจ้า เป็นผู้จัดการดูแล ธรรมลํ้าลึกของพระเจ้า คุณสมบัติที่เขาแสวงหาในผู้จัดการก็คือ ต้องเป็นผู้ที่วางใจได้ ส่วนข้าพเจ้าการทีท่ า่ นหรือมนุษย์คนใดจะตัดสินข้าพเจ้านัน้ เป็นเรือ่ งไม่สำ�คัญ แม้ขา้ พเจ้า ก็ยังไม่ตัดสินตนเอง จริงอยู่ มโนธรรมไม่ได้ตำ�หนิอะไรข้าพเจ้าเลย แต่นี่ไม่หมายความ ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ตัดสินข้าพเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น จงอย่าตัดสิน เรื่องใดๆ ก่อนจะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรง ฉายแสงให้ความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดจะปรากฏชัด และจะทรงเปิดเผยความในใจ ของทุกคนให้ปรากฏ เมื่อนั้น ทุกคนจะได้รับคำ�ชมเชยจากพระเจ้าตามสมควร เวลานั้น มีผู้ทูลพระเยซูเจ้าว่า “ศิษย์ของยอห์นจำ�ศีลอดอาหารและอธิษฐาน ภาวนาบ่อยๆ ศิษย์ของชาวฟาริสีก็ทำ�เช่นเดียวกัน ส่วนศิษย์ของท่านกินและดื่ม” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านจะให้ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจำ�ศีลอดอาหารได้หรือขณะที่ เจ้าบ่าวยังอยู่ด้วย แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกแยกจากไป วันนั้นผู้รับเชิญจะจำ�ศีล อดอาหาร” พระองค์ยังตรัสอุปมาให้เขาฟังอีกว่า “ไม่มีใครฉีกผ้าจากเสื้อใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะเสื้อใหม่จะขาด และผ้าจากเสื้อใหม่จะไม่เข้ากับเสื้อเก่าอีกด้วย ไม่มใี ครใส่เหล้าองุน่ ใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าใหม่จะทำ�ให้ถงุ หนังขาด เหล้า จะรั่ว และถุงหนังก็จะเสีย แต่ต้องใส่เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่ ไม่มีใครที่ดื่มเหล้าองุ่น เก่าแล้วอยากดื่มเหล้าใหม่ เพราะเขาย่อมกล่าวว่า “เหล้าเก่านั้นดีกว่า”

ด้วยการมาถึงและประทับอยูข่ องพระเยซูเจ้าทำ�ให้วธิ กี ารเก่าผ่านพ้นไป ขณะนีเ้ ป็น เวลาของเหล้าองุ่นใหม่ และชีวิตใหม่ เหล้าองุ่นใหม่ต้องการถุงหนังใหม่ อาณาจักรใหม่ ต้องการบรรยากาศใหม่เพื่อเจริญเติบโตและพระเยซูเจ้าใช้ภาพอุปมาของงานเลี้ยง แต่งงาน ในงานแต่งงานนี้ การอดอาหารไม่เป็นเพียงทัศนคติทผี่ ดิ ปกติเท่านัน้ แต่เป็นการ หยาบคายต่อเจ้าภาพ และผู้รับเชิญอื่นๆ การอดอาหารยังกีดกันบุคคลนั้นจากโต๊ะแห่ง มิตรภาพ และการแบ่งปันอย่างสมบูรณ์ในความยินดี แต่เมื่อเจ้าบ่าวถูกพรากไป นั่นคือ เมื่อเราไม่เชื่อและไม่ปฏิบัติตามพระวาจา เราก็ถูกกีดกันออกจากความรักของพระเจ้า เวลานั้นเป็นเวลาแห่งความทุกข์ และเราต้องจำ�ศีลอดอาหาร


บทอ่านที่ 1

1 คร 4:6-15

พระวรสาร

ลก 6:1-5

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ายกเรื่องนี้ที่เกี่ยวกับตนเองและอปอลโลเป็นตัวอย่างเพื่อ เป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านเรียนรู้จากเราถึงความหมายของคำ�พูดที่ว่า “อย่า ก้าวเกินขอบเขตที่เขียนไว้” เพื่อมิให้ใครหยิ่งผยอง เข้าข้างคนหนึ่งและต่อต้านอีกคน หนึ่ง ใครเล่าตัดสินว่าท่านดีกว่าผู้อื่น ท่านมีอะไรบ้างที่ไม่ได้รับจากพระเจ้า ถ้าท่านได้รับ แล้ว ท่านจะโอ้อวดประหนึ่งว่าไม่ได้รับทำ�ไม ท่านมีทุกสิ่งที่ต้องการแล้วหรือ ท่านรํ่ารวย สัปดาห์ที่ 22 แล้วใช่ไหม ท่านครองราชย์เป็นกษัตริย์โดยไม่ต้องมีเราแล้วก็ได้ เราอยากให้ท่านครอง เทศกาลธรรมดา ราชย์เป็นกษัตริย์จริงๆ เพราะเราจะได้เป็นกษัตริย์ครองราชย์พร้อมกับท่านด้วย ข้าพเจ้า คิดว่าพระเจ้าทรงจัดตัง้ เราซึง่ เป็นอัครสาวกไว้ตรงทีส่ ดุ ท้าย เหมือนกับผูท้ ถี่ กู ตัดสินปรับ สดด 145:16-19,20-21 โทษถึงตาย เรากลายเป็นเป้าสายตาของโลก ทั้งของทูตสวรรค์และของมนุษย์ เราเป็น ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 คนโง่เขลาเพราะเห็นแก่พระคริสตเจ้า ส่วนท่านเป็นคนเฉลียวฉลาดในพระคริสตเจ้าใช่ ไหม เราอ่อนแอ ส่วนท่านเข้มแข็งใช่หรือไม่ ท่านมีเกียรติ ส่วนเราไร้เกียรติใช่ไหม จน กระทั่งบัดนี้เราก็ยังหิวและกระหาย ไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่ม ถูกตบตี และไร้ที่อยู่อาศัย เรา เหน็ดเหนื่อยทำ�งานหนักด้วยนํ้าพักนํ้าแรงของเราเอง เมื่อถูกด่าว่า เราให้พร เมื่อถูกเบียดเบียน เราก็อดทน เมื่อถูกใส่ร้าย เราก็พูดดีด้วย เราเป็นเสมือนขยะมูลฝอยของโลก เป็นสิ่งปฏิกูลของทุกคนจนกระทั่งบัดนี้ ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเหล่านี้มิใช่เพื่อทำ�ให้ท่านอับอาย แต่เขียนเพื่อตักเตือนในฐานะที่ท่านเป็นลูกรักของ ข้าพเจ้า แม้วา่ ท่านจะมีครูพเี่ ลีย้ งนับหมืน่ คนในพระคริสตเจ้า แต่กม็ บี ดิ าเพียงคนเดียว เพราะข้าพเจ้าให้กำ�เนิด ท่านในพระคริสตเยซู โดยการประกาศข่าวดี วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวมาขยี้กิน ชาวฟาริสีบางคน จึงถามว่า “ทำ�ไมท่านทำ�สิ่งต้องห้ามในวันสับบาโตเล่า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านหรือว่ากษัตริย์ ดาวิดและผูต้ ดิ ตามได้ทำ�อะไรเมือ่ หิวโหย พระองค์เสด็จเข้าในพระนิเวศของพระเจ้า ทรงหยิบขนมปังทีต่ งั้ ถวาย มาเสวยและประทานแก่ผตู้ ดิ ตาม ขนมปังนีใ้ ครจะกินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านัน้ ” แล้วพระเยซูเจ้าทรง เสริมว่า “บุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต” จากตัวอย่างของกษัตริย์ดาวิดและคำ�ของพระเยซูเจ้าที่ยืนยันว่า “บุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวัน สับบาโต” เตือนให้ระลึกถึงความหมายที่แท้จริงของวันนี้ซึ่งหมายถึง วันที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นวัน หนึ่งสำ�หรับการพักผ่อนเพื่อให้ประชาชนเพิ่มพูนพละกำ�ลัง เป็นวันที่เตือนให้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ และความ ซื่อสัตย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นจุดประสงค์เชิงบวกและจุดประสงค์แห่งความรัก แต่ความคิดและ การกระทำ�ของมนุษย์ที่สืบทอดธรรมประเพณีได้เบี่ยงเบนเจตนาที่แท้จริง พระเยซูเจ้าทรงแสดงจุดยืนของพระองค์อย่างชัดเจนเมือ่ ทรงทำ�อัศจรรย์หลายอย่างในวันสับบาโตพร้อม กับคำ�ถามว่า “วันของพระเจ้านี้มีไว้เพื่อช่วยชีวิตหรือเพื่อทำ�ลาย” อาจเป็นคำ�ถามสำ�หรับเราในการตัดสิน การกระทำ�ของผู้อื่นตามมาตรฐานของโลก มากกว่ามาตรฐานแบบคริสตชน


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 33:7-9

สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราแต่งตัง้ ท่านให้เป็นคนยามสำ�หรับพงศ์ พันธุอ์ สิ ราเอล ท่านได้ยนิ ถ้อยคำ�จากปากของเราเมือ่ ใด ท่านก็จงตักเตือนเขาแทนเราเถิด ถ้าเราบอกคนชัว่ ร้ายว่า “คนชัว่ ร้ายเอ๋ย ท่านจะต้องตายแน่ๆ” แต่ทา่ นไม่พดู ตักเตือนคน ชั่วร้ายให้ละทิ้งความประพฤติของเขา คนชั่วร้ายนั้นจะต้องตายเพราะความผิดของตน แต่เราจะเอาผิดกับท่านเพราะความตายของเขา แต่ถา้ ท่านได้ตกั เตือนคนชัว่ ร้ายให้ละทิง้ ความประพฤติของตน แล้วเขาไม่ยอมกลับใจ เขาจะต้องตายเพราะความผิดของตน แต่ ท่านจะรอดชีวิต’”

เพลงสดุดี

สดด 98:1-4

ก) มาเถิด เราจงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดี เราจงโห่ร้องสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นหลักศิลาที่ช่วยเราให้รอดพ้น ข) เราจงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์เพื่อขอบพระคุณ เราจงโห่ร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ด้วยความยินดี ค) เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพเจ้าใดๆ ง) ส่วนลึกสุดของแผ่นดินอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ยอดภูเขาสูงสุดก็เป็นของพระองค์

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโรม รม 13:8-10

พี่น้อง อย่าเป็นหนี้ผู้ใด นอกจากเป็นหนี้ความรักซึ่งกันและกัน ผู้ที่รักเพื่อนมนุษย์ ก็ปฏิบตั ติ ามธรรมบัญญัตคิ รบถ้วนแล้ว พระบัญญัตกิ ล่าวว่า อย่าผิดประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าโลภ และถ้ามีบทบัญญัติอื่นอีกก็สรุปได้ในข้อความนี้ว่า จงรักเพื่อน มนุษย์ เหมือนรักตนเอง ความรักไม่ทำ�ความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์ ความรักเป็นการ ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 18:15-20

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “ถ้าพี่น้องของท่านทำ�ผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำ�พัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พ่ี น้องกลับคืนมา ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำ�พูดของพยาน สองคนหรือสามคนจะได้จัดเรื่องราวให้เรียบร้อย ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน จงแจ้งให้หมู่ คณะทราบ ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมู่คณะอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนต่างศาสนา หรือคนเก็บภาษีเถิด เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดิน จะผูกไว้ใน สวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่านจะแก้บนแผ่นดิน ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย


เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนบน แผ่นดินพร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดา ของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้ เพราะว่า ที่ใดมี สองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นใน หมู่พวกเขา” การเป็นประชากรในอาณาจักรแห่งความรักของ พระเจ้าเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในความรัก จน กระทั่งแม้พี่น้องที่เป็นคนชั่วร้ายและเขาต้องตายเพราะ ความผิด พระเจ้ายังจะเอาผิดกับเราจากความตายของ เขา ดังนั้น การเอาตัวรอดของคริสตชนคงไม่ใช่เป็นไปได้ตามลำ�พัง เพราะทุกคนต้องรับผิดชอบการกระ ทำ�ของหมู่คณะด้วย แม้จะมีมาตรการของการตักเตือนที่เริ่มจากเป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นการเรียกพยาน มารับรู้ และแจ้งให้ชมุ ชนทราบ ถ้าเขายังไม่เชือ่ ฟังให้ถอื เขาเป็นคนต่างศาสนาหรือคนเก็บภาษีเถิด แต่พระ เยซูเจ้าปฏิบตั อิ ย่างไรกับคนเก็บภาษี พระองค์รบั ประทานอาหารกับเขา และทรงเรียกเขามาเป็นอัครสาวก นี่คือวิธีการที่เราต้องปฏิบัติต่อพี่น้องแม้ที่เป็นคนชั่วร้าย ตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า


ฉลองแม่พระ บังเกิด สดด 13:5

บทอ่านที่ 1

รม 8:28-30

พระวรสาร

มธ 1:18-23

พี่น้อง เรารู้ว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ ที่ทรงเรียกมาตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะผู้ที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้านั้น พระองค์ทรงกำ�หนดจะให้เป็นภาพลักษณ์ของพระบุตรของพระองค์ด้วย เพื่อพระบุตร จะได้เป็นบุตรคนแรกในบรรดาพี่น้องจำ�นวนมาก ผู้ที่ทรงกำ�หนดไว้แล้วนั้นพระองค์ทรง เรียก ผู้ที่ทรงเรียกนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้เป็นผู้ชอบธรรม ผู้ที่ทรงบันดาลให้ชอบ ธรรมนั้น พระองค์ประทานพระสิริรุ่งโรจน์ให้ด้วย เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นดังนี้ พระนางมารีย์ พระมารดาของ พระองค์หมั้นกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ท่านทั้งสองจะครองชีวิตร่วมกัน ปรากฏว่าพระนางตั้ง ครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า โยเซฟคูห่ มัน้ ของพระนางเป็นผูช้ อบธรรมไม่ตอ้ งการฟ้องหย่า พระนางอย่างเปิดเผย จึงคิดถอนหมั้นอย่างเงียบๆ ขณะที่โยเซฟกำ�ลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาเข้าฝัน กล่าวว่า “โยเซฟ โอรสกษัตริย์ดาวิด อย่า กลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะเด็กที่ปฏิสนธิ์ในครรภ์ของนางนั้นมา จากพระจิตเจ้า นางจะให้กำ�เนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะเขาจะช่วย ประชากรของเขาให้รอดพ้นจากบาป” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำ�รัสขององค์พระผู้ เป็นเจ้าที่ตรัสผ่านประกาศกจะเป็นความจริงว่า หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชาย ซึ่งจะได้รับนามว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา”

นักบุญเปาโลยํ้าว่า“พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รัก พระองค์” พระนางมารีย์เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ พระนางน้อมรับพระประสงค์ ของพระเจ้า ทั้งๆ ที่รู้ดีว่า การทรงครรภ์ด้วยเดชะพระจิตเจ้าอาจทำ�ให้พระนางได้รับ อันตรายถึงชีวิต แต่พระนางเชื่อมั่นในการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า นักบุญโยเซฟก็เช่นเดียวกัน ทั้งๆ ที่มองไม่ออกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่พระ หมายความว่าอย่างไร แต่เมือ่ ทูตสวรรค์มาแจ้งให้ทราบพระประสงค์ ท่านก็นอ้ มรับ ท่าน จึงได้ชอื่ ว่า “เป็นผูช้ อบธรรม” หากเราเชือ่ มัน่ ในพระวาจา เราจะน้อมรับพระประสงค์ทงั้ ทีด่ ี และทีด่ เู หมือนเลวร้าย แล้วพระเจ้าจะทรงบันดาลให้ทกุ สิง่ กลับกลายเป็นประโยชน์ กับเราในฐานะที่เป็นผู้ที่รักพระองค์ได้เสมอ


บทอ่านที่ 1

1 คร 6:1-11

พระวรสาร

ลก 6:12-19

พี่น้อง คนใดบ้างเมื่อมีข้อพิพาทกับอีกคนหนึ่ง นำ�คดีไปว่าความกันต่อหน้าคนต่าง ศาสนา แทนที่จะให้ผู้ศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ตัดสิน ท่านไม่รู้หรือว่า บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะตัดสิน โลก ถ้าท่านจะเป็นผู้ตัดสินโลกแล้ว ท่านไม่ตัดสินเรื่องเล็กน้อยไม่ได้หรือ ท่านไม่รู้หรือ ว่า พวกเราจะตัดสินแม้กระทั่งทูตสวรรค์ แล้วเราจะตัดสินกันเองเรื่องของชีวิตนี้ไม่ได้ หรือ เมือ่ ท่านเป็นความกันเรือ่ งของชีวติ นี้ ท่านยอมให้ผไู้ ม่มอี ำ�นาจในพระศาสนจักรเป็น น.เปโตร คลาแวร์ ผู้ตัดสินหรือ พระสงฆ์ ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อให้ท่านละอายใจ ในหมู่ท่านไม่มีใครสักคนที่ฉลาดพอจะ ตัดสินความระหว่างพีน่ อ้ งกันเองได้หรือ แล้วทำ�ไมพีน่ อ้ งต้องเป็นความกัน ยิง่ กว่านัน้ ยัง สดด 149:1-2,3-4,5,9ข เป็นความกันต่อหน้าผู้ไม่มีความเชื่อด้วย... ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก จงอย่า หลอกตนเอง คนผิดประเวณี คนกราบไหว้รูปเคารพ คนเป็นชู้ คนลักเพศ คนรักร่วม เพศ คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง คนเหล่านี้จะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็น มรดก บางท่านเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน แต่ท่านได้รับการชำ�ระล้างแล้ว ท่านได้รับความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ท่านได้รับ ความชอบธรรมแล้วเดชะพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า และเดชะพระจิตของพระเจ้าของเรา ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จขึน้ ไปบนภูเขาเพือ่ อธิษฐานภาวนา และทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าตลอดทั้ง คืน ครัน้ รุง่ เช้า พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้วทรงคัดเลือกไว้สบิ สองคน ประทานนามว่า “อัครสาวก” คือซีโมน ซึ่งเรียกว่าเปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟีลิป บาร์โธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบ บุตรอัลเฟอัส ซีโมนผู้มีสมญาว่า “ผู้รักชาติ” ยูดาส บุตรของยากอบ และยูดาส อิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ จะเป็นผู้ทรยศ พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับบรรดาศิษย์และทรงหยุดอยู่ ณ ทีร่ าบแห่งหนึง่ ทีน่ นั่ มีศษิ ย์กลุม่ ใหญ่และประชาชนจำ�นวนมากจากทั่วแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากเมืองไทระ และจากเมืองไซดอนซึ่ง อยู่ริมทะเล มาฟังพระองค์ และรับการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บของตน บรรดาผู้ที่ถูกปีศาจรบกวนได้รับ การรักษาด้วย ประชาชนทุกคนพยายามสัมผัสพระองค์ เพราะมีพระอานุภาพออกจากพระองค์ รักษาทุกคน ให้หาย การเลือกอัครสาวก 12 คนมาถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตของพระเยซูเจ้า เป็นการเริ่มต้นหมู่คณะของพระองค์ พวกเขาคือผูท้ จี่ ะเข้ามาเกีย่ วข้องในฐานะผูร้ ว่ มงานกับพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงเลือก 12 คนจากกลุม่ สานุศษิ ย์ ให้เป็นอัครสาวก “Apostolos” แปลว่า “ผู้ถูกส่งออกไป” พระองค์จะส่งเขาไปประกอบพันธกิจของพระบิดา เป็นผู้รับมอบอำ�นาจและเป็นผู้แทนของพระองค์ต่อหน้าโลก ก่อนกระทำ�ภารกิจสำ�คัญนี้พระเยซูเจ้าทรง อธิษฐานภาวนาตลอดคืน พระองค์ทรงขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ส่วนเราได้เห็นคุณค่าของการอธิษฐาน ภาวนาเพื่อวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าก่อนทำ�ภารกิจของเรามากน้อยเพียงใด


บทอ่านที่ 1

สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา สดด 45:10-11, 13-14,15-16

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร

1 คร 7:25-31

พี่น้อง ส่วนผู้ที่ยังไม่แต่งงาน ข้าพเจ้าไม่มีพระบัญชาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ ข้าพเจ้าขอแนะนำ�ด้วยความคิดเห็นของข้าพเจ้าเอง ในฐานะที่ได้รับพระกรุณาจากองค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าให้เป็นผูท้ เี่ ชือ่ ถือได้ เมือ่ คำ�นึงถึงความยากลำ�บากในปัจจุบนั นี้ ข้าพเจ้าเห็น ว่า แต่ละคนควรอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่เวลานี้ ท่านมีพันธะกับภรรยาหรือ จงอย่าหาทาง แยกพันธะนั้น ท่านเป็นอิสระไม่มีภรรยาหรือ ก็อย่าหาภรรยาเลย แต่ถ้าท่านแต่งงาน ท่านก็มิได้ทำ�บาป และถ้าหญิงสาวพรหมจารีจะแต่งงาน เธอก็มิได้ทำ�บาป โดยแท้จริง แล้วผู้ที่แต่งงานจะประสบความยุ่งยากในชีวิตสมรส และข้าพเจ้าใคร่จะให้ท่านพ้นจาก ความยุ่งยากนั้น พีน่ อ้ งทัง้ หลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า เวลานัน้ สัน้ นัก ตัง้ แต่นไี้ ปผูท้ มี่ ภี รรยาจงเป็น เสมือนผูท้ ไี่ ม่มภี รรยา ผูท้ รี่ อ้ งไห้จงเป็นเสมือนผูท้ ไี่ ม่รอ้ งไห้ ผูท้ มี่ คี วามสุขจงเป็นเสมือน ผูท้ ไี่ ม่มคี วามสุข ผูท้ ซี่ อื้ จงเป็นเสมือนผูท้ ไี่ ม่มสี งิ่ ใดเป็นกรรมสิทธิ์ และผูท้ ใี่ ช้ของของโลก นี้จงเป็นเสมือนผู้ที่มิได้ใช้ เพราะโลกดังที่เป็นอยู่กำ�ลังจะผ่านไป

ลก 6:20-26

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรดูบรรดาศิษย์ ตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายทีย่ ากจนย่อมเป็นสุข เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน ท่านทีห่ วิ ในเวลานีย้ อ่ ม เป็นสุข เพราะท่านจะอิ่ม ท่านที่ร้องไห้ในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะหัวเราะ ท่านทัง้ หลายเป็นสุข เมือ่ คนทัง้ หลายเกลียดชังท่าน ผลักไสท่าน ดูหมิน่ ท่าน รังเกียจนามของท่านประหนึง่ นามชั่วร้ายเพราะท่านเป็นศิษย์ของบุตรแห่งมนุษย์ จงชื่นชมในวันนั้นเถิด จงกระโดดโลดเต้นยินดีเถิด เพราะ บำ�เหน็จรางวัลของท่านนั้นยิ่งใหญ่นักในสวรรค์ บรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำ�เช่นนี้กับบรรดา ประกาศกมาแล้ว วิบัติจงเกิดกับท่านที่รํ่ารวย เพราะท่านได้รับความเบิกบานใจแล้ว วิบัติจงเกิดกับท่านที่อิ่มเวลานี้ เพราะ ท่านจะหิว วิบัติจงเกิดกับท่านที่หัวเราะเวลานี้ เพราะท่านจะเป็นทุกข์และร้องไห้ วิบัติจงเกิดกับท่านเมื่อทุกคน กล่าวยกย่องท่าน เพราะบรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยทำ�เช่นนี้กับบรรดาประกาศกเทียมมาแล้ว

อาณาจักรของพระเจ้ามีสภาพตรงข้ามกับอาณาจักรแห่งโลกนี้ พระเยซูเจ้าเองทรงแสดงอย่างชัดเจนตลอด พระชนมชีพของพระองค์ว่าทรงรักคนตํ่าต้อย คนถูกทอดทิ้ง คนยากจนและคนเจ็บป่วย พวกเขาเป็นที่ โปรดปรานของพระองค์ พระเยซูเจ้าเองก็ทรงมีประสบการณ์ในความยากจนด้วยการมอบความไว้วางใจทัง้ หมด แด่พระบิดา พระองค์ทรงมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะกระทำ�ตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า พระองค์ทรง เศร้าโศกเพราะความตายของเพื่อน และทรงมีประสบการณ์ที่ลึกซึ้งจากการถูกทอดทิ้งจากพระบิดาและ สานุศษิ ย์ของพระองค์ ดังนัน้ พระองค์จงึ ทรงเป็นพระเจ้าทีเ่ ข้าใจความทุกข์ของมนุษย์ และจะทรงเปลีย่ นความ ทุกข์นั้นเป็นความยินดี นี่คือความผกผันที่เป็นคำ�สัญญาสำ�หรับเรา


บทอ่านที่ 1

1 คร 8:1ข-7,11-13

พี่น้อง ความรู้ทำ�ให้ทะนงตน สิ่งที่เสริมสร้างคือความรัก ถ้าผู้ใดคิดว่าตนมีความรู้ เรื่องใดๆ เขายังไม่รู้เท่าที่ควร แต่ถ้าผู้ใดรักพระเจ้า พระองค์ก็ทรงรู้จักผู้นั้น เรื่องการกิน เนื้อสัตว์ที่ถวายแด่รูปเคารพแล้ว เราก็รู้แล้วว่า รูปเคารพเป็นเพียงรูป และไม่มีพระอื่น ใดนอกจากพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว แม้จะมีสิ่งที่เรียกกันว่าพระเจ้าทั้งในสวรรค์และ บนแผ่นดิน พระเจ้าและเจ้านายเช่นนีม้ จี ำ�นวนมาก แต่สำ�หรับเราพระเจ้ามีเพียงพระองค์ เดียวคือพระบิดา... ดังนั้น ความรู้ของท่านทำ�ให้ผู้อ่อนไหวประสบหายนะ เขาเป็นพี่น้องซึ่งพระคริสต เจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเขา ถ้าท่านทำ�บาปต่อพี่น้องและทำ�ร้ายมโนธรรมที่อ่อนไหวของเขา ท่านก็ย่อมทำ�บาปต่อพระคริสตเจ้า ดังนั้น ถ้าอาหารเป็นเหตุให้พี่น้องของข้าพเจ้าตกใน บาป ข้าพเจ้าก็จะไม่กนิ เนือ้ สัตว์อกี เลย ด้วยเกรงว่าข้าพเจ้าจะเป็นเหตุให้พนี่ อ้ งตกในบาป

พระวรสาร

สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา สดด 139:1-3,13-14, 23-24

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

ลก 6:27-38

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรากล่าวกับท่านทัง้ หลายทีก่ ำ�ลังฟังอยูว่ า่ จงรักศัตรู จงทำ�ดีตอ่ ผูท้ เี่ กลียดชังท่าน จงอวยพรผู้ทสี่ าปแช่ง ท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำ�ร้ายท่าน ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ผู้ใด เอาเสื้อคลุมของท่านไป จงปล่อยให้เขาเอาเสื้อยาวไปด้วย จงให้แก่ทุกคนที่ขอท่าน และอย่าทวงของของท่าน คืนจากผู้ที่ได้แย่งไป ท่านอยากให้เขาทำ�ต่อท่านอย่างไร ก็จงทำ�ต่อเขาอย่างนั้นเถิด... ถ้าท่านให้ยืมเงินโดยหวังจะได้คืน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ให้คนบาปด้วยกัน ยืมโดยหวังจะได้เงินคืนจำ�นวนเท่ากัน แต่ท่านจงรักศัตรู จงทำ�ดีต่อเขา จงให้ยืมโดยไม่หวังอะไรกลับคืน แล้ว บำ�เหน็จรางวัลของท่านจะใหญ่ยงิ่ ท่านจะเป็นบุตรของพระผูส้ งู สุด เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาต่อคนอกตัญญู และต่อคนชั่วร้าย จงเป็นผูเ้ มตตากรุณาดังทีพ่ ระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรง ตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขา แล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัย ท่าน จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น เพราะว่าท่านใช้ ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย” พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกเพื่อเผยแสดงอาณาจักรแห่งความรัก และวันนี้พระองค์ทรงกำ�หนดข้อปฏิบัติ เฉพาะสำ�หรับศิษย์ของพระองค์ พระองค์ทรงสอนพวกเขาให้รักศัตรู และทำ�ความดีแก่ผู้ที่เกลียดชังเขา และ เมื่อพวกเขามีประสบการณ์ในการเป็นผู้ยากจน หิวโหย ร้องไห้ ได้รับความเกลียดชัง และถูกดูหมิ่นเหยียด หยาม ตามความหมายของมหาบุญลาภ พวกเขาถูกขอร้องให้ก้าวข้ามไปอีกก้าวหนึ่งจากข้อเรียกร้องของคน ทั่วไปตามแบบอย่างของพระอาจารย์ คือทำ�ดีกับทุกคนแม้กระทั่งกับศัตรู เราคริสตชนที่เป็นสานุศิษย์ของ พระองค์ก็ได้รับคำ�สอนเช่นเดียวกัน จงนำ�ไปปฏิบัติเถิด เพื่อเราจะได้รับบำ�เหน็จรางวัลที่ยิ่งใหญ่ คือการเป็น บุตรของพระผู้สูงสุด


บทอ่านที่ 1

พระนามศักดิ์สิทธิ์ ของพระนางมารีย์ พรหมจารี สดด 84:1-2,3-4, 5-6,11-12

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร

1 คร 9:16-19,22-27

พี่น้อง ในการประกาศข่าวดีข้าพเจ้าไม่รู้สึกภูมิใจแม้แต่น้อย เพราะข้าพเจ้าจำ�เป็น ต้องประกาศอยู่แล้ว หากข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวดี ข้าพเจ้าย่อมได้รับความวิบัติ เพราะ ถ้าข้าพเจ้าสมัครใจทำ�เอง ข้าพเจ้าก็จะได้รับค่าจ้าง แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้สมัครใจทำ�ก็ หมายความว่า ข้าพเจ้าเพียงแต่ทำ�งานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น ข้าพเจ้าจะได้รางวัลใด เล่า รางวัลสำ�หรับข้าพเจ้าก็คอื ความภูมใิ จทีข่ า้ พเจ้าประกาศข่าวดีโดยไม่ใช้สทิ ธิต์ า่ งๆ จาก การประกาศข่าวดีนั้น แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นอิสระ ข้าพเจ้าก็ยอมเป็นทาสรับใช้ทุกคน เพื่อเอาชนะใจผู้อื่นให้ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ข้าพเจ้าทำ�ตนเป็นผูอ้ อ่ นแอเพือ่ ชนะใจผูอ้ อ่ นแอ ข้าพเจ้าเป็นทุกอย่างสำ�หรับทุกคน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ใช้ทุกวิถีทางช่วยบางคนให้รอดพ้น ข้าพเจ้าทำ�ทุกอย่างเพราะเห็นแก่ ข่าวดี เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนรับพระพรจากข่าวดีนี้ร่วมกับเขาเหล่านั้นด้วย ท่านไม่รู้หรือว่าคนที่วิ่งแข่งในสนามกีฬา ทุกคนวิ่งก็จริง แต่มีเพียงคนเดียวที่ได้รับ รางวัล ท่านจงวิ่งเช่นนั้นด้วย เพื่อชิงรางวัลให้ได้ นักกีฬาทุกคนที่เข้าแข่งขันย่อมบังคับ ตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้รับมงกุฎใบไม้ที่ร่วงโรยได้ แต่เราทำ�เช่นนี้เพื่อจะได้รับ มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรย ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งแข่งอย่างมีจุดหมาย ข้าพเจ้ามิได้ชกอย่างคน ชกลม แต่ขา้ พเจ้าเคร่งครัดต่อร่างกายเพือ่ บังคับให้รา่ งกายอยูใ่ ต้อำ�นาจของข้าพเจ้า ด้วย เกรงว่าหลังจากที่ได้เทศน์สอนคนอื่นแล้ว ข้าพเจ้าอาจถูกตัดสิทธิ์เพราะผิดกติกา

ลก 6:39-42

เวลานั้น พระเยซูเจ้ายังตรัสอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังอีกว่า “คนตาบอดจะนำ�ทางคนตาบอดได้หรือ ทั้งคู่จะตกลงไปในคูมิใช่หรือ ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ แต่ ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีแล้วก็จะเป็นเหมือนอาจารย์ของตน ทำ�ไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่ น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ‘พี่น้อง ปล่อยให้ฉัน เขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะที่ท่านไม่เห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเอง ท่านคนหน้าซื่อใจคด เอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด ท่านจะเห็นชัด แล้วจึงค่อยไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตา ของพี่น้อง” พระเยซูเจ้าทรงวางหลักเกณฑ์ของการเป็นสานุศิษย์ เราจะทราบว่าเขาเป็นศิษย์ดีและไม่ดีได้จากการที่ ศิษย์นั้นฟังและเอาใจใส่ต่อพระวาจาของพระองค์มากน้อยเพียงใด ศิษย์แต่ละคนนอกจากเรียนรู้แล้วยังต้อง ปฏิบตั ติ ามพระวาจานัน้ ๆ อย่างจริงจัง เขาเองต้องผ่านกระบวนการเปลีย่ นแปลงภายในตนเองก่อนจึงจะสามารถ เรียกร้องให้คนอืน่ เข้ามารับกระบวนการเปลีย่ นแปลงเดียวกันได้ นักบุญเปาโลเป็นแบบอย่างทีด่ ใี นเรือ่ งนี้ ท่าน เองได้ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงมาสู่การเจริญชีวิตเลียนแบบอย่างพระเยซูเจ้าผู้เป็นอาจารย์ หากความ ประพฤติและการปฏิบัติของศิษย์ยืนยันถึงสิ่งที่อาจารย์สอน เราในฐานะศิษย์ของพระเยซูเจ้า เราแสดงภาพ ลักษณ์ของพระองค์ในตัวเราอย่างไร


บทอ่านที่ 1

1 คร 10:14-22

พี่น้องที่รักยิ่ง ท่านจงหลีกเลี่ยงการกราบไหว้รูปเคารพ ข้าพเจ้าพูดกับท่านเหมือน พูดกับผูม้ ปี ญ ั ญา ท่านจงพิจารณาตัดสินสิง่ ทีข่ า้ พเจ้ากำ�ลังจะพูดนีเ้ ถิด ถ้วยถวายพระพร ซึ่งเราใช้ขอบพระคุณพระเจ้านั้น มิได้ทำ�ให้เรามีส่วนร่วมในพระโลหิตของพระคริสตเจ้า หรือ และปังที่เราบินั้น มิได้ทำ�ให้เรามีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสตเจ้าหรือ มีปัง ก้อนเดียว แม้ว่าจะมีหลายคนเราก็เป็นกายเดียวกัน เพราะเราทุกคนมีส่วนร่วมกินปัง ก้อนเดียวกัน จงพิจารณาชาวอิสราเอลในอดีต ผูท้ กี่ นิ เนือ้ สัตว์จากของถวายก็มสี ว่ นร่วม ในพระแท่นบูชามิใช่หรือ ข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างไร หมายความว่า เนื้อสัตว์ที่ถวาย แด่รูปเคารพนั้นมีความสำ�คัญอะไรหรือ รูปเคารพนั้นมีความสำ�คัญอะไรหรือ เปล่าเลย ข้าพเจ้าหมายความว่าสิ่งที่เขาถวายนั้น เขาถวายแก่ปีศาจ มิใช่ถวายแด่พระเจ้า ข้าพเจ้า ไม่ปรารถนาให้ท่านร่วมกับพวกปีศาจ ท่านจะดื่มทั้งจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้า และ จากถ้วยของปีศาจไม่ได้ จะร่วมโต๊ะทั้งกับองค์พระผู้เป็นเจ้า และร่วมโต๊ะกับพวกปีศาจ ไม่ได้ เราจะยั่วยุองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ขุ่นเคืองพระทัยกระนั้นหรือ เรามีกำ�ลังมากกว่า พระองค์หรือ

พระวรสาร

ระลึกถึง น.ยอห์น ครีโซสตม พระสังฆราช และนักปราชญ์ สดด 116:12-13,17-18

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

ลก 6:43-49

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ต้นไม้ทเี่ กิดผลไม่ดยี อ่ มไม่ใช่ตน้ ไม้พนั ธุด์ ี หรือต้นไม้พนั ธุไ์ ม่ดยี อ่ มไม่ให้ผลดีเช่นกัน เรารูจ้ กั ต้นไม้แต่ละ ต้นได้จากผลของต้นไม้นนั้ เราย่อมไม่เก็บผลมะเดือ่ เทศจากพงหนาม หรือเก็บผลองุน่ จากกอหนาม คนดียอ่ ม นำ�สิง่ ทีด่ อี อกจากขุมทรัพย์ทดี่ ใี นใจของตน ส่วนคนเลวย่อมนำ�สิง่ ทีเ่ ลวออกมาจากขุมทรัพย์ทเี่ ลวของตน เพราะ ปากย่อมกล่าวสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา ทำ�ไมท่านจึงเรียกเราว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า แต่ไม่ปฏิบัติตามที่เราบอก ทุกคนที่มาหาเรา ย่อมฟัง คำ�ของเราและนำ�ไปปฏิบัติ เราจะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า เขาเปรียบเสมือนผู้ใด เขาเปรียบเสมือนคนที่สร้าง บ้าน เขาขุดหลุม ขุดลงไปลึก และวางรากฐานไว้บนหิน เมื่อเกิดนํ้าท่วม นํ้าในแม่นํ้าไหลมาปะทะบ้านหลังนั้น แต่ทำ�ให้บ้านนั้นสั่นคลอนไม่ได้ เพราะบ้านหลังนั้นสร้างไว้อย่างดี แต่ผู้ที่ฟังและไม่ปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือน คนที่สร้างบ้านไว้บนพื้นดินโดยไม่มีรากฐาน เมื่อนํ้าในแม่นํ้าไหลมาปะทะ บ้านนั้นก็พังทลายลงทันที และเสีย หายมาก” พระเยซูเจ้าเปรียบเทียบการรับฟังและนำ�พระวาจาของพระองค์ไปปฏิบัติเหมือนคนที่สร้างบ้านด้วยการ วางรากฐานอย่างดีไว้บนหิน เมือ่ เกิดนํา้ ท่วมไหลมาปะทะ บ้านนัน้ ก็ไม่เป็นอันตราย ส่วนผูท้ ฟี่ งั แต่ไม่ปฏิบตั ติ าม เหมือนคนสร้างบ้านโดยมีรากฐานบนทราย เมือ่ นาํ้ ไหลมาปะทะ บ้านก็พงั ทลายทันที แสดงว่า พระวาจาจะหยัง่ รากลึกลงในจิตใจของเราได้ด้วยการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัตินั้นคือผลของต้นไม้ที่ดีที่จะแสดงถึงความดีที่อยู่ ในใจของเรา ต้นไม้พนั ธ์ดุ ยี อ่ มเกิดผลดี ต้นไม้พนั ธ์เุ ลวมีแต่ท�ำ ให้เกิดความเสียหาย เราแต่ละคนเป็นต้นไม้ชนิด ไหนในสายพระเนตรของพระเจ้า


ฉลองเทิดทูน ไม้กางเขน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี

กดว 21:4-9

เพลงสดุดี

สดด 78:1-2,34-35,36-38

ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกก เพื่อเลี่ยงแผ่นดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทาง ประชากรเริ่มหมดความอดทน จึงพากันบ่นว่าพระเจ้าและโมเสส ว่า “ทำ�ไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่นทุรกันดารนี้ ที่นี่ไม่มีทั้งนํ้า และอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำ�ให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจำ�นวน มาก คนทั้งปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำ�บาปเพราะบ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า และบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพิษเหล่านี้ออกไปเสียเถิด” โมเสสจึงอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อประชากร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จง ทำ�งูโลหะติดไว้บนเสา ผู้ที่ถูกงูกัดและมองดูงูโลหะนั้น จะรอดชีวิต” โมเสสจึงทำ�งูทอง สัมฤทธิ์ขึ้นติดไว้ที่เสา ผู้ที่ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต ก) ประชากรของข้าพเจ้าเอ๋ย จงฟังคำ�สั่งสอนของข้าพเจ้าเถิด จงเงี่ยหูฟังถ้อยคำ�ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเปิดปากพูดเป็นคำ�ประพันธ์ เปิดเผยปริศนาที่ซ่อนไว้ตั้งแต่ในอดีต ข) เมื่อพระองค์ทรงสังหารเขาบางคน เขาก็แสวงหาพระองค์ เขากลับใจหันมาหาพระเจ้า ระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นหลักศิลาของเขา พระผู้สูงสุดทรงเป็นผู้ช่วยเขาให้รอดพ้น ค) ปากของเขาประจบพระองค์ ลิ้นของเขากล่าวเท็จต่อพระองค์ ใจของเขาโลเลไม่มั่นคงต่อพระองค์ เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังทรงมีพระทัยเมตตาสงสาร ทรงให้อภัยความผิด ไม่ทรงทำ�ลายเขา ทรงระงับพระพิโรธครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ทรงปล่อยความโกรธอย่างเต็มที่

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟิลิปปี ฟป 2:6-11

แม้วา่ พระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์กม็ ไิ ด้ทรงถือว่าศักดิศ์ รีเสมอพระเจ้า นั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรง ยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูน


พระองค์ขึ้นสูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนใน สวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลง นมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ ร้องประกาศว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็น เจ้า” เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 3:13-17

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ไม่มใี คร เคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์คือ บุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์ จะมีชีวิตนิรันดร พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์เพือ่ ทุกคนทีม่ คี วาม เชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดรเพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสิน ลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น” รูปงูในถิน่ ทุรกันดารทำ�ให้ชาวอิสราเอลรอดจากความตายได้ฉนั ใด พระเยซูเจ้าทีถ่ กู ยกขึน้ บนกางเขน ก็ท�ำ ให้มนุษยชาติรอดเข้าสู่ “ชีวติ นิรนั ดร” ได้ฉนั นัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกเพือ่ ทรงเปิดเผยให้มนุษย์ ทราบถึงความรักของพระบิดา และทรงพิสูจน์ความรักนี้โดยทรงยอมรับความตายบนไม้กางเขน กางเขน จึงเป็นหนทางนำ�ความรักของพระเจ้ามาสู่มนุษยชาติ และเป็นประตูสู่ชีวิตนิรันดร “ชีวิตนิรันดร” นี้คือ อะไร คือชีวติ ของพระเจ้าทีจ่ ะคงอยูเ่ ป็นความบรมสุขตลอดนิรนั ดร ดังนัน้ เครือ่ งหมายกางเขนจะต้องเตือน ใจเราไม่ให้ตดั สินเรือ่ งต่างๆ ราวกับว่าชีวติ ในโลกนีค้ อื ทุกสิง่ ทีเ่ รามี เพราะอันทีจ่ ริงเป็นเพียงจุดเริม่ ต้นของ นิรันดร์กาลเท่านั้น


ระลึกถึง แม่พระระทมทุกข์ สดด 31:1-2,3, 4-5,14-15,19

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1

ฮบ 5:7-9

พระวรสาร

ยน 19:25-27

ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระชนมชีพบนแผ่นดินนี้ พระองค์ทรงอธิษฐานทูลขอ ครํ่า ครวญและรํ่าไห้ต่อพระเจ้าผู้ทรงช่วยพระองค์ให้พ้นความตายได้ พระเจ้าทรงฟังเพราะ ความเคารพยำ�เกรงของพระเยซูเจ้า ถึงแม้วา่ พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตร ก็ยงั ทรงเรียน รู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน และเมื่อทรงกระทำ�ภารกิจของพระองค์สำ�เร็จ บริบูรณ์แล้ว ก็ทรงเป็นผู้บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟัง พระองค์ เวลานัน้ พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงยืนอยูข่ า้ งไม้กางเขนของพระองค์พร้อมกับ น้องสาวของพระนางมารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา เมื่อพระเยซูเจ้า ทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ทรี่ กั ยืนอยูใ่ กล้ๆ จึงตรัสกับพระมารดาว่า “แม่ นีค่ อื ลูกของ แม่” แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” นับตั้งแต่นั้น ศิษย์ผู้นั้นก็รับพระนาง เป็นมารดาของตน แม่พระที่เชิงกางเขนเป็นรูปแบบของแม่คนหนึ่งที่น้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้า จนถึงที่สุด แม่พระมีส่วนในแผนการไถ่กู้มนุษยชาติมาตั้งแต่เริ่มต้นด้วยการยอมรับเป็น มารดาของพระผูไ้ ถ่ แม้วา่ ตลอดชีวติ ของแม่พระคงอาจจะมีความสงสัย ความกลัว และ ความกังวลใจบ้างในบางครั้งและบางสถานการณ์ แต่ด้วยดวงใจที่อ่อนน้อมต่อพระ ประสงค์เสมอ ทำ�ให้พระนางน้อมรับทุกอย่างด้วยใจราบคาบ ในวันที่พระบุตรสิ้นพระชนม์ แม่พระอยู่แทบเชิงกางเขนอย่างสงบ ไม่โอดครวญ ไม่โวยวาย ท่าทีของแม่พระต้องเป็นแบบอย่างแก่เรา เพื่อเราจะสามารถน้อมรับพระ ประสงค์ด้วยใจสงบเช่นเดียวกัน


บทอ่านที่ 1

1 คร 12:12-14,27-31ก

พี่น้อง แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียว แต่ก็มีอวัยวะหลายส่วน อวัยวะต่างๆ เหล่านี้ แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วมเป็นร่างกายเดียวกันฉันใด พระคริสตเจ้าก็ฉันนั้น เดชะพระจิต เจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นอิสระก็ตาม เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้า พระองค์เดียวกัน ร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะส่วนเดียว แต่มีอวัยวะหลายส่วน ท่านทั้งหลายเป็นพระกายของพระคริสตเจ้า แต่ละคนต่างก็เป็นอวัยวะของพระ กายนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งบางคนให้ทำ�หน้าที่ต่างๆ ในพระศาสนจักร คือ หนึ่งให้เป็น อัครสาวก สองให้เป็นประกาศก และสามให้เป็นครูอาจารย์ ต่อจากนั้น คือผู้มีอำ�นาจทำ� อัศจรรย์ ผู้รักษาโรค ผู้ช่วยเหลือ ผู้ปกครอง และผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ทุกคนเป็น อัครสาวกหรือ ทุกคนเป็นประกาศกหรือ ทุกคนเป็นครูอาจารย์หรือ ทุกคนเป็นผู้ทำ� อัศจรรย์หรือ ทุกคนได้รับพระพรพิเศษให้บำ�บัดโรคได้หรือ ทุกคนพูดภาษาที่ไม่มีใคร เข้าใจได้หรือ ทุกคนเป็นผู้ตีความอธิบายความหมายของภาษานั้นหรือ ท่านทั้งหลายจงพยายามแสวงหาพระพรพิเศษที่ประเสริฐยิ่งกว่านี้เถิด

พระวรสาร

ลก 7:11-17

หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่เมืองหนึ่งชื่อนาอิน บรรดาศิษย์และ ประชาชนจำ�นวนมากติดตามพระองค์ไป เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ประตูเมืองก็ทรงเห็น คนหามศพออกมา ผู้ตายเป็นบุตรคนเดียวของมารดาซึ่งเป็นม่าย ชาวเมืองกลุ่มใหญ่มา พร้อมกับนางด้วย เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนางก็ทรงสงสารและตรัสกับนางว่า “อย่าร้องไห้ไป เลย” แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ ทรงแตะแคร่หามศพ คนหามก็หยุด พระองค์จงึ ตรัส ว่า “หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” คนตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูด พระเยซูเจ้า จึงทรงมอบเขาให้แก่มารดา ทุกคนต่างมีความกลัวและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า กล่าว ว่า “ประกาศกยิง่ ใหญ่ได้เกิดขึน้ ในหมูเ่ รา พระเจ้าได้เสด็จมาเยีย่ มประชากรของพระองค์” และข่าวเรื่องนี้ก็แพร่ไปทั่วแคว้นยูเดียและทั่วอาณาบริเวณนั้น วันนี้เราเห็นพระเยซูเจ้าทรงปลุกคนตายให้กลับมามีชีวิตใหม่ โดยไม่ได้รับการ ร้องขอจากหญิงม่ายซึ่งมีบุตรเพียงคนเดียว ทุกอย่างเกิดจากความรักความเมตตาของ พระองค์ พระองค์ทรงทราบดีว่าการเป็นม่ายเป็นชีวิตที่ลำ�บากอยู่แล้ว ยิ่งจะลำ�บากมาก ขึน้ ถ้าสูญเสียบุตรเพียงคนเดียวไปอีก เราจึงมัน่ ใจว่า พระเยซูเจ้าผูเ้ ป็นองค์แห่งความรัก จะไม่ทอดทิ้งเรา เราทุกคนเป็นคนสำ�คัญสำ�หรับพระองค์ พระองค์รักเราเพราะพระองค์ อยู่ในตัวเรา เราเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกายของพระองค์ ตามที่นักบุญเปาโลบอกเรา ในวันนี้

ระลึกถึง น.คอร์เนเลียส พระสันตะปาปา และ น.ซีเปรียน พระสังฆราช มรณสักขี

สดด 100:1-3,4-5

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


บทอ่านที่ 1

น.โรเบิร์ต แบลลาร์มีโน พระสังฆราช และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร

สดด 33:2-3,4-5, 11-12,22

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร

1 คร 12:31-13:1-13

ท่านทั้งหลายจงพยายามแสวงหาพระพรพิเศษที่ประเสริฐยิ่งกว่านี้เถิด ข้าพเจ้าจะ ขอชี้ทางที่ดีกว่าให้ท่าน แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์และของทูตสวรรค์ได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้า ก็เป็นแต่เพียงฉาบหรือฉิ่งที่ส่งเสียงอึกทึก แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา เข้าใจ ธรรมลํ้าลึกทุกข้อและมีความรู้ทุกอย่าง หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาได้ ถ้าไม่มี ความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มคี วามสำ�คัญแต่อย่างใด แม้ขา้ พเจ้าจะแจกจ่ายทรัพย์สนิ ทัง้ ปวงให้ แก่คนยากจน หรือยอมมอบตนเองให้นำ�ไปเผาไฟ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็มิได้รับ ประโยชน์ใด ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบ คาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำ�ความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ ร่วมยินดีในความถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทน ทุกอย่าง ความรักไม่มสี นิ้ สุด แม้การประกาศพระวาจาจะถูกยกเลิก... เมือ่ ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าก็พดู จาเหมือนเด็กๆ คิดเหมือนเด็กๆ ใช้เหตุผลเหมือนเด็กๆ แต่เมือ่ ข้าพเจ้าเป็น ผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกประพฤติเหมือนเด็ก... เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้อย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อถึง เวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า ขณะนี้ยังมีความเชื่อ ความหวังและความรักอยู่ทั้งสามประการ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่า สิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก

ลก 7:31-35

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราจะเปรียบคนยุคนี้กับสิ่งใดดี เขาเหมือนกับสิ่งใด เขาเป็นเสมือนเด็กๆ ที่นั่งตามลานสาธารณะ ร้อง บอกเพื่อนๆ ว่า เราเป่าขลุ่ย เจ้าก็ไม่เต้นรำ� เราร้องเพลงโศกเศร้า เจ้าก็ไม่ร้องไห้ ยอห์นผู้ทำ�พิธีล้างได้มา ไม่กินอาหาร ไม่ดื่มเหล้าองุ่น ท่านก็ว่า ‘คนนี้มีปีศาจสิง’ บุตรแห่งมนุษย์ได้มา กินและดื่ม ท่านก็ว่า ‘ดูซิ นักกินนักดื่ม เป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาป’ พระปรีชาญาณของพระเจ้าผ่าน การพิสูจน์แล้วว่าถูกต้องโดยผู้ปฏิบัติตามพระปรีชาญาณนั้น” สาเหตุที่นักบุญเปาโลพูดถึงความรัก เพราะชาวโครินธ์หลายคนต่างโอ้อวดในพระพรพิเศษของตนที่ สามารถพูดภาษาต่างๆ ได้ ที่สามารถทำ�นายได้ ที่สามารถรักษาคนป่วยได้ ฯลฯ นักบุญเปาโลบอกชาว โครินธ์ให้แสวงหาพระคุณหรือพระพรทีย่ งิ่ ใหญ่กว่า นัน่ คือความรัก และได้นยิ ามความรักด้วยคำ�ทีน่ �ำ ไปสูก่ าร ปฏิบัติที่เข้าใจได้ง่าย ความรักย่อมอดทน เอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา...อดทนทุกอย่าง...ที่น่าสังเกตเราสามารถใช้คำ� “พระคริสตเจ้า” แทนคำ�ว่า “รัก” ได้เสมอ เช่น “พระคริสตเจ้าย่อมอดทน” “พระคริสตเจ้ามีใจเอื้อเฟื้อ”... เพราะพระคริสตเจ้าคือองค์ความรักนั่นเอง ดังนั้นเราไม่สามารถเป็น “คริสตชน” ได้ ถ้าเรา “ไม่มีความรัก”


บทอ่านที่ 1

1 คร 15:1-11

พีน่ อ้ งทัง้ หลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านให้คำ�นึงถึงข่าวดีทขี่ า้ พเจ้าประกาศแก่ทา่ น ท่าน ได้รับไว้แล้วและยังคงเชื่อมั่นในข่าวดีนี้ ท่านกำ�ลังรับความรอดพ้นอาศัยข่าวดีนี้ ถ้าท่าน ยังยึดมั่นตามที่ข้าพเจ้าประกาศ แต่ถ้าท่านไม่ยึดมั่น ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์... ข้าพเจ้าเป็นผูน้ อ้ ยทีส่ ดุ ในบรรดาอัครสาวก และไม่สมควรจะได้ชอื่ ว่าเป็นอัครสาวก เพราะข้าพเจ้าเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ ด้วยเดชะพระหรรษทานของพระเจ้า และพระหรรษทานของพระองค์ที่ประทานแก่ ข้าพเจ้าไม่ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าทำ�งานหนักกว่าคนอื่น แต่มิใช่ข้าพเจ้า เป็น เพราะพระหรรษทานของพระเจ้าซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าที่ทำ�งาน...

พระวรสาร

ลก 7:36-50

สัปดาห์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา สดด 118:1-2,16-17,28

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

เวลานั้น ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระเยซูเจ้าไปเสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านของชาวฟาริสีและประทับที่โต๊ะ ในเมืองนั้นมีหญิงคนหนึ่ง เป็นคนบาป เมื่อนางรู้ว่า พระเยซูเจ้ากำ�ลังประทับร่วมโต๊ะอยู่ในบ้านของชาวฟาริสี จึง ถือขวดหินขาวบรรจุนาํ้ มันหอมเข้ามาด้วย นางมาอยูด่ า้ นหลังของพระองค์ใกล้ๆ พระบาท ร้องไห้จนนํ้าตาหยดลงเปียกพระบาท นางใช้ผมเช็ดพระบาท จูบพระบาทและใช้นํ้ามันหอมชโลมพระบาท ชาวฟาริสที ที่ ลู เชิญพระองค์เห็นดังนีก้ ค็ ดิ ในใจว่า “ถ้าผูน้ เี้ ป็นประกาศก เขาคงจะรูว้ า่ หญิงทีก่ ำ�ลังแตะต้อง เขาอยู่นี้เป็นใครและเป็นคนประเภทไหน นางเป็นคนบาป” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีเรื่องจะ พูดกับท่าน” เขาตอบว่า “เชิญพูดมาเถิด อาจารย์” พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้อยู่สองคน คน หนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญ อีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญ ทั้งสองคนไม่มีอะไรจะใช้หนี้ เจ้าหนี้จึงยก หนี้ให้ทั้งหมด ในสองคนนี้ คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน” ซีโมนตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นคนที่ได้รับการ ยกหนี้ให้มากกว่า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านตัดสินถูกต้องแล้ว” พระองค์ทรงหันพระพักตร์มาทางหญิงผู้นั้น ตรัสกับซีโมนว่า “...เราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้ รับการอภัยแล้วเพราะนางมีความรักมาก ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็ย่อมมีความรักน้อย” แล้วพระองค์ตรัสกับ นางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” บรรดาผู้ร่วมโต๊ะจึงเริ่มพูดกันว่า “คนนี้เป็นใคร จึงทำ�ได้แม้แต่การ อภัยบาป” พระองค์ตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด”

อยากเชิญชวนให้ดูหญิงคนบาปผู้นี้เป็นพิเศษ เธอคงไม่ได้รับเชิญให้ไปบ้านชาวฟาริสีคนนี้แน่ แต่เมื่อเธอ รู้ว่าพระเยซูเจ้าไปที่นั่น เธอก็แอบติดตามพระองค์เข้าไปด้วย เธอรู้ดีว่าเธอจะได้รับการต้อนรับจากพระองค์ ด้วยความสำ�นึกผิด เธอได้ร้องไห้ เช็ดพระบาทพระเยซูเจ้าและชโลมด้วยนํ้าหอมราคาแพง เป็นเครื่องหมาย ของการกลับใจ (ขณะที่ชาวฟาริสีไม่ได้ทำ�อะไรที่เป็นเครื่องหมายของการกลับใจเลย) สิ่งที่พระเยซูเจ้าทำ�กับ หญิงคนนีเ้ ป็นสิง่ เดียวทีพ่ ระองค์ท�ำ กับเราด้วย คือการให้อภัย การให้อภัยบาปเป็นจุดเริม่ ต้นนำ�ไปสูช่ วี ติ นิรนั ดร เวลานี้เราได้รับการไถ่บาปแล้ว เราต้องพยายามดำ�เนินชีวิตที่ดีที่จะนำ�ไปสู่ชีวิตนิรันดร


น.ยานูอารีโอ พระสังฆราช และมรณสักขี สดด 17:1,6-7,8-9,15

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1

1 คร 15:12-20

พระวรสาร

ลก 8:1-3

พี่น้อง ถ้าเราประกาศว่า พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย แล้ว เพราะเหตุใดบางท่านจึงพูดว่าบรรดาผู้ตายจะไม่กลับคืนชีพเล่า ถ้าผู้ตายไม่กลับ คืนชีพ พระคริสตเจ้าก็มิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าพระคริสตเจ้า มิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ การเทศน์สอนของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชือ่ ของท่าน ก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านั้น เรากลายเป็นพยานเท็จถึงพระเจ้าเพราะเรายืนยัน ว่าพระเจ้าทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้ากลับคืนพระชนมชีพ ซึ่งพระองค์มิได้ทรงกระทำ� ถ้าบรรดาผู้ตายไม่กลับคืนชีพ ถ้าผู้ตายไม่กลับคืนชีพ พระคริสตเจ้าก็มิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพด้วย ถ้าพระ คริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ความเชื่อของท่านก็ไร้ความหมายและท่านก็ยัง คงอยูใ่ นบาป เมือ่ เป็นเช่นนี้ ผูท้ ลี่ ว่ งหลับไปในพระคริสตเจ้าก็พนิ าศไปด้วย ถ้าเรามีความ หวังในพระคริสตเจ้าเพียงเพื่อชีวิตนี้เท่านั้น เราก็เป็นมนุษย์ที่น่าสงสารที่สุด ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย เป็นผลแรกของ บรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ทรงเทศน์สอนและ ประกาศข่าวดีถงึ พระอาณาจักรของพระเจ้า อัครสาวกสิบสองคนอยูก่ บั พระองค์ รวมทัง้ สตรีบางคนที่พระองค์ทรงรักษาให้พ้นจากปีศาจร้าย และหายจากโรคภัย เช่น มารีย์ ที่ เรียกว่าชาวมักดาลา ซึ่งปีศาจเจ็ดตนได้ออกไปจากนาง โยอันนา ภรรยาของคูซาข้าราช บริพารของกษัตริย์เฮโรด นางสุสันนา และคนอื่นอีกหลายคน หญิงเหล่านี้สละทรัพย์ ของตนมาช่วยเหลือพระองค์และบรรดาอัครสาวก มีชาวโครินธ์บางคนทีป่ ฏิเสธเรือ่ งการกลับคืนชีพ ดังนัน้ นักบุญเปาโลจึงต้องเตือน พวกเหล่านี้ว่า การปฏิเสธเรื่องนี้ขัดแย้งกับการเป็นคริสตชน “ถ้าผู้ตายไม่กลับคืนชีพ พระคริสตเจ้าก็มิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นเดียวกัน” ความเชื่อเรื่องการกลับ คืนชีพเป็นสิ่งจำ�เป็นสำ�หรับความเชื่อคาทอลิก “พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ จากบรรดาผู้ตาย เป็นผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว” เมื่อพระคริสตเจ้ากลับคืน พระชนมชีพ เราก็จะกลับคืนชีพด้วย เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระองค์


บทอ่านที่ 1

รม 8:31ข-35,37-39

พี่น้อง ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ข้างเรา ใครจะสู้เราได้ พระองค์มิได้ทรงหวงแหนพระบุตร ของพระองค์ แต่ทรงมอบพระบุตรเพือ่ เราทุกคน แล้วพระองค์จะไม่ประทานทุกสิง่ ให้เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ ใครเล่าจะฟ้องร้องผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้แล้วได้ พระเจ้าประทาน ความชอบธรรม ใครเล่าจะตัดสินลงโทษ พระคริสตเยซูสิ้นพระชนม์ ทั้งยังทรงกลับคืน พระชนมชีพ ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ทรงวอนขอแทนเราอีกด้วย ใครจะพราก เราจากความรักของพระคริสตเจ้าได้ ความทุกข์ลำ�เค็ญหรือ ความคับแค้นใจหรือ การ เบียดเบียนข่มเหงหรือ การขาดอาหารและเครื่องนุ่งห่มหรือ ภยันตรายและคมดาบหรือ แต่ในการทดลองทัง้ หมดนี้ เราชนะได้งา่ ยอาศัยพระผูท้ รงรักเรา เพราะข้าพเจ้าเชือ่ มัน่ ว่า ไม่วา่ ความตายหรือชีวติ ไม่วา่ ทูตสวรรค์หรือผูม้ อี ำ�นาจปกครอง ไม่วา่ ปัจจุบนั หรือ อนาคต ไม่ว่าฤทธิ์อำ�นาจใดหรือความสูง ความลึก ไม่มีสรรพสิ่งใดๆ จะพรากเราได้จาก ความรักของพระเจ้า ซึ่งปรากฏในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

พระวรสาร

ลก 9:23-26

หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึง ตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้อง สูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้ มนุษย์จะได้ประโยชน์ใด ในการทีจ่ ะได้โลกทัง้ โลกเป็นกำ�ไร แต่ตอ้ งเสียชีวติ และพินาศไป ถ้าผูใ้ ดอับอายเพราะเรา และเพราะถ้อยคำ�ของเรา บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอับอายเพราะเขา เมื่อเสด็จมาในพระสิริ รุ่งโรจน์ของพระองค์ ของพระบิดา และของบรรดาทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์”

นักบุญอันดรูว์ กิม เตก็อน เป็นพระสงฆ์ชาวเกาหลีคนแรก หลังจากท่านได้รับศีล ล้างบาปเมื่ออายุ 15 ปีแล้ว ได้เดินทางไกลถึง 2,000 กิโลเมตร เพื่อไปเข้าบ้านเณรที่ มาเก๊า และได้บวชเป็นพระสงฆ์ที่เซียงไฮ้ เมื่อกลับมายังเกาหลีท่านได้รับมอบหมายให้ จัดเตรียมมิชชันนารีเพื่อประกาศข่าวดี ท่านถูกจับ ถูกทรมานและที่สุดถูกตัดศีรษะที่ แม่นํ้าฮันใกล้เมืองโซล ส่วนนักบุญเปาโล จง ฮาซังเป็นธรรมทูตฆราวาส เป็นที่น่า ประหลาดใจทีพ่ ระศาสนจักรเกาหลีเป็นพระศาสนจักรฆราวาสเป็นเวลานานนับสิบปีตงั้ แต่ เริ่มต้น ดังที่พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ตรัสว่า “พระศาสนจักรเกาหลีมีเอกลักษณ์ พิเศษ เพราะก่อตัง้ โดยฆราวาส” เขาอยูไ่ ด้อย่างไรโดยปราศจากศีลมหาสนิท?...ชีวติ ของ มรณสักขีเหล่านี้สะท้อนพระวรสารวันนี้ได้เป็นอย่างดี

ระลึกถึง น.อันดรูว์ กิม เตก็อน พระสงฆ์ น.เปาโล จง ฮาซัง และเพื่อนมรณสักขี ชาวเกาหลี

สดด 56:9,10-11,12-13

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 วันเยาวชนแห่งชาติ


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 55:6-9

สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

จงแสวงหาองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเมือ่ พระองค์ทรงยอมให้เราพบ จงทูลขอเมือ่ พระองค์ ทรงอยู่ใกล้ คนชั่วร้ายจงละทิ้งทางของตน และคนอธรรมจงละทิ้งความคิดของตน เขา จงกลับมาหาองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระองค์จะทรงสงสารเขา และจงกลับมาหาพระเจ้าของ เรา เพราะพระองค์ประทานอภัยให้มากมาย “ความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของท่าน ทางของท่านก็ไม่ใช่ทางของเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “ฝนและหิมะลงมาจากท้องฟ้า และไม่กลับไปทีน่ นั่ ถ้าไม่ได้รดแผ่นดิน ทำ�ให้แผ่นดินอุดม ทำ�ให้พชื งอกขึน้ เพือ่ ให้ผหู้ ว่าน มีเมล็ดพันธุ์ และให้ผู้กินมีอาหารฉันใด ถ้อยคำ�ที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาหา เราโดยไม่เกิดผล ไม่ทำ�ตามที่เราปรารถนา และไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่งมาฉันนั้น”

เพลงสดุดี

สดด 145:2-3,8-9,16-19

ก) ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ทุกวัน จะสรรเสริญพระนามของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่ ทรงสมควรจะได้รับการสรรเสริญอย่างยิ่ง ความยิ่งใหญ่ของพระองค์เกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ ข) องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานและทรงพระเมตตากรุณา กริ้วช้าและทรงความรักมั่นคงอย่างเต็มเปี่ยม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระทัยดีต่อทุกคน ความอ่อนโยนของพระองค์ครอบคลุมสิ่งสร้างทั้งมวล ค) พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ ประทานอาหารให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลได้กินจนอิ่ม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเที่ยงธรรมในพระมรรคาทั้งหลายของพระองค์ ทรงความรักมั่นคงในพระราชกิจทั้งหลาย องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่ใกล้ชิดทุกคนที่เรียกขานพระองค์ ทุกคนที่เรียกขานพระองค์ด้วยใจจริง พระองค์ทรงตอบสนองความปรารถนาของทุกคนที่ยำ�เกรงพระองค์ ทรงฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือและทรงช่วยเขาให้รอดพ้น

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลปิ ปี ฟป 1:20ค-24,27ก

พี่น้อง พระคริสตเจ้าจะทรงได้รับเกียรติในร่างกายของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ เหมือนกับ ในอดีต ไม่วา่ ข้าพเจ้าจะเป็นหรือตายก็ตาม ข้าพเจ้าคิดว่าการมีชวี ติ อยูก่ ค็ อื พระคริสตเจ้า และการตายก็เป็นกำ�ไร หากการมีชวี ติ อยูใ่ นโลกนีเ้ ป็นโอกาสให้ขา้ พเจ้าทำ�งานได้ผลแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเลือกสิ่งใดดี ข้าพเจ้ารู้สึกลังเล คือปรารถนาจะพ้นจากชีวิตนี้ไปเพื่อ อยูก่ บั พระคริสตเจ้าซึง่ จะเป็นการดีกว่ามาก แต่การมีชวี ติ อยูใ่ นโลกนีต้ อ่ ไปก็จำ�เป็นอย่าง ยิ่งสำ�หรับท่านทั้งหลาย


ท่านทั้งหลายจงประพฤติตนให้คู่ควรกับข่าวดีของ พระคริสตเจ้า

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 20:1-16

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกเป็น คำ�อุปมาว่าดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่ง ออกไปตัง้ แต่เช้าตรู่ เพือ่ จ้างคนงานมาทำ�งานในสวนองุน่ ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ ส่งไปทำ�งานในสวนองุ่น ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ ทำ�งาน จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า ‘จงไปทำ�งานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ คนเหล่า นี้ก็ไป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำ�เช่นเดียวกัน ประมาณห้าโมงเย็น พ่อ บ้านออกไปอีก พบคนอื่นๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า ‘ทำ�ไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำ�อะไร’ เขาตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครมาจ้าง’ พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปทำ�งานในสวนองุ่นของฉันเถิด’ ครั้นถึงเวลาคํ่า เจ้าของสวนบอกผู้จัดการว่า ‘ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่คน สุดท้ายจนถึงคนแรก’ เมือ่ พวกทีเ่ ริม่ งานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รบั คนละหนึง่ เหรียญ เมือ่ คนงานพวก แรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นเดียวกัน ขณะรับค่าจ้างเขาก็ บ่นต่อหน้าเจ้าของสวนว่า ‘พวกทีม่ าสุดท้ายนีท้ ำ�งานเพียงชัว่ โมงเดียว ท่านก็ให้คา่ จ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึง่ ต้องตรากตรำ�อยู่กลางแดดตลอดวัน’ เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกง ท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึง่ เหรียญหรือ จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนทีม่ า สุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ’ ดังนีแ้ หละ คนกลุม่ สุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนกลุม่ แรก และคนกลุม่ แรกจะกลับกลายเป็นคนกลุม่ สุดท้าย”

เรื่องอุปมาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่ากังขาสำ�หรับหลายคน เพราะมันทำ�ให้ผู้อ่านรู้สึกโกรธ ไม่เห็นด้วยและ นำ�สูค่ วามเข้าใจผิดได้ สิง่ ทีอ่ ปุ มาเรือ่ งนีต้ อ้ งการบอกคือพระเป็นเจ้าเป็นผูเ้ ปีย่ มไปด้วยความเมตตากรุณา อยูเ่ หนือจินตนาการของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้คดิ อย่างมนุษย์ทวั่ ไป เหมือนในบทอ่านแรกทีบ่ อกว่า “ความ คิดของเราไม่ใช่ความคิดของท่าน ทางของท่านก็ไม่ใช่ทางของเรา” พระองค์เป็นผูม้ ใี จกรุณา เห็นอกเห็นใจ และให้อภัยเสมอ โดยเฉพาะต่อคนบาปอย่างเรา


สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา สดด 15:2-3,4-5

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1

สภษ 3:27-35

พระวรสาร

ลก 8:16-18

ถ้าลูกมีอำ�นาจจะทำ�ได้ อย่าปฏิเสธความดีแก่ผู้ที่ต้องการ ถ้าลูกมีสิ่งของที่เพื่อน บ้านขอ อย่าพูดกับเขาว่า “กลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้กลับมาแล้วฉันจะให้” อย่าคิดแผน ร้ายต่อเพื่อนบ้าน ที่อยู่ใกล้ลูกและไว้วางใจลูก อย่าทะเลาะวิวาทกับผู้ใดอย่างไร้เหตุผล ถ้าเขาไม่ได้ทำ�ร้ายลูก อย่าอิจฉาคนที่ใช้ความรุนแรง อย่าเลียนแบบความประพฤติของ เขาเลย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรังเกียจคนคดโกง มิตรภาพของพระองค์อยู่กับคน ซื่อตรง คำ�สาปแช่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือบ้านของคนชั่วร้าย พระองค์ทรงอวย พระพรที่อาศัยของผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงเย้ยหยันคนที่เย้ยหยันผู้อื่น แต่ทรงพระ กรุณาผู้ถ่อมตน ผู้มีปรีชาจะได้เกียรติยศเป็นมรดก คนโง่จะได้รับความอัปยศ

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอาถังครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง แต่เขาย่อมตั้งไว้บนเชิง ตะเกียง เพือ่ คนทีเ่ ข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้ ไม่มสี งิ่ ใดทีซ่ อ่ นอยูจ่ ะไม่ปรากฏชัดแจ้ง ไม่มี ความลับใดจะไม่มีใครรู้และเปิดเผย ดังนั้น จงระวังว่าท่านฟังพระวาจาอย่างไร เพราะผู้ ที่มีมากจะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีจะถูกริบไปด้วย” เราคงจะเคยมีประสบการณ์รถเสียอยูข่ า้ งทาง มีรถนับร้อยคันวิง่ ผ่านไปเฉย ๆ โดย ไม่ได้หยุดแม้แต่จะถามว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือเปล่า คนขับรถเหล่านั้นคง ไม่เคยได้ยนิ พระวาจาของพระเจ้าในหนังสือสุภาษิตทีอ่ า่ นในวันนี้ “ถ้าลูกมีอ�ำ นาจจะทำ�ได้ อย่าปฏิเสธความดีแก่ผทู้ ตี่ อ้ งการ” หรือบางทีเขาเหล่านัน้ อาจจะไม่วา่ งพอทีจ่ ะหยุดช่วย เหลือ แต่พระวาจาของพระเจ้าก็บอกว่า “กลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้กลับมาแล้วฉันจะให้” เราจะต้องเป็นเหมือนตะเกียงที่ส่องสว่าง เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเสมอ เราต้องระลึก เสมอว่า เราต้องทำ�ดีต่อผู้อื่นเพื่อตอบสนองความดีของพระเจ้าที่มีต่อเรา


บทอ่านที่ 1

สภษ 21:1-6,10-13

พระทัยของกษัตริยเ์ ป็นเหมือนธารนํา้ ในพระหัตถ์ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าจะ ทรงผันไปทางไหนก็ได้ตามพระประสงค์ มนุษย์เห็นว่ากิจการทั้งหมดของตนถูกต้อง แต่ ผู้ชั่งจิตใจคือองค์พระผู้เป็นเจ้า การปฏิบัติความชอบธรรมและความยุติธรรม เป็นที่ โปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าการถวายเครื่องบูชา นัยน์ตายโส ใจเย่อหยิ่ง เป็นเหมือนตะเกียงของคนชั่วร้าย และเป็นบาป แผนงานของคนขยันนำ�ความอุดม สมบูรณ์มาให้อย่างแน่นอน แต่ความรีบเร่งเกินไปนำ�ความขัดสนมาให้ ทรัพย์สมบัติที่ได้ มาจากการพูดมุสา เป็นเหมือนความเพ้อฝันของผู้แสวงหาความตาย จิตใจของคนชั่วร้ายปรารถนาความชั่ว นัยน์ตาของเขาไม่มีความเมตตากรุณาต่อ เพื่อนบ้าน เมื่อคนชอบเยาะเย้ยถูกลงโทษ คนขาดสติก็ฉลาดขึ้น เมื่อผู้มีปรีชาได้รับการ สั่งสอน เขาก็ได้ความรู้มากขึ้น พระเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม ทรงสังเกตบ้านของคนชั่วร้าย และทรงเหวี่ยงคนชั่วร้ายให้พินาศ ผู้ใดอุดหูไม่ฟังเสียงร้องของคนยากจน เมื่อผู้นั้นร้อง ก็จะไม่มีผู้ใดฟัง

พระวรสาร

ลก 8:19-21

เวลานั้น พระมารดาและพี่น้องของพระเยซูเจ้ามาเฝ้าพระองค์ แต่ไม่อาจเข้าถึง พระองค์ได้ เพราะมีประชาชนจำ�นวนมาก มีผทู้ ลู พระองค์วา่ “มารดาและพีน่ อ้ งของท่าน กำ�ลังยืนอยู่ข้างนอก ต้องการพบท่าน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มารดาและพี่น้องของ เราคือผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำ�ไปปฏิบัติ” “การปฏิบัติสำ�คัญกว่าคำ�พูด” ดังนี้หนังสือสุภาษิตจึงกล่าวว่า “การปฏิบัติความ ชอบธรรมและความยุติธรรม เป็นที่โปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าการถวาย เครื่องบูชา” เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “มารดาและพี่น้องของเราคือผู้ที่ฟังพระวาจาของ พระเจ้าและนำ�ไปปฏิบตั ”ิ เป็นการสะท้อนความจริงนี้ การปฏิบตั ศิ าสนกิจเป็นการยืนยัน ความรักต่อพระเจ้า แต่ก็ต้องปรากฏออกมาในชีวิตคริสตชนด้วยการนมัสการพระเจ้า และการดำ�เนินชีวิตคริสตชนต้องควบคู่กันไป

ระลึกถึง น.ปีโอ แห่งปีเอเตรลชีนา พระสงฆ์ สดด 119:1,27,30, 34,35,41

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา สดด 119:29,72,89, 101,104,163

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1

สภษ 30:5-9

พระวรสาร

ลก 9:1-6

พระวาจาทุกคำ�ของพระเจ้านั้นพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง พระองค์ทรงเป็นโล่ สำ�หรับผู้ลี้ภัยในพระองค์ อย่าเพิ่มสิ่งใดเข้ากับพระวาจาของพระองค์ มิฉะนั้นพระองค์ จะทรงตำ�หนิทา่ น และพิสจู น์วา่ ท่านเป็นคนมุสา ข้าพเจ้าทูลขอสองสิง่ จากพระองค์ ตราบ ที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ โปรดอย่าทรงปฏิเสธคำ�ขอนี้เลย ขอให้ความมุสาและถ้อยคำ�เท็จ อยู่ห่างไกลจากข้าพเจ้า อย่าประทานความยากจนหรือความรํ่ารวยแก่ข้าพเจ้าเลย แต่ โปรดประทานอาหารเท่าที่จำ�เป็นแก่ข้าพเจ้า เพื่อว่าถ้าข้าพเจ้าอิ่ม ข้าพเจ้าจะปฏิเสธ พระองค์ พูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นใคร” หรือเพื่อว่าถ้าข้าพเจ้ายากจน แล้วจะไป ขโมย ทำ�ให้พระนามพระเจ้าของข้าพเจ้าถูกลบหลู่ เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามาพร้อมกัน ประทานอำ�นาจ เหนือปีศาจ และพลังรักษาโรค ทรงส่งเขาไปประกาศพระอาณาจักรพระเจ้าและรักษา โรค พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านเดินทาง อย่านำ�สิ่งใดไปด้วย อย่านำ�ไม้เท้า ย่าม อาหาร เงิน หรือแม้แต่เสื้อสำ�รองไปด้วย เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใด จงพักอยู่ที่นั่นจนกว่า จะเดินทางต่อไป ถ้าเขาไม่ต้อนรับท่าน จงออกจากเมืองนั้นและสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็น พยานปรักปรำ�เขา” บรรดาอัครสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้าน ประกาศข่าวดีและรักษาโรคไปทั่วทุกแห่ง ในบทอ่านแรกมีบทภาวนาสัน้ ๆ ว่า “อย่าประทานความยากจนหรือความรํา่ รวยแก่ ข้าพเจ้าเลย” ในคำ�ภาวนาบทนีส้ ว่ นหนึง่ ง่าย แต่กอ็ ีกส่วนหนึง่ ยาก เพราะไม่มใี ครอยาก ยากจน แต่อยากรํ่ารวยกันทั้งนั้น ผู้เขียนบอกว่าขอพระองค์โปรดประทานสิ่งที่จำ�เป็น สำ�หรับชีวิตเท่านั้น เพราะความรํ่ารวยเป็นอันตราย ดังนี้เอง พระเป็นเจ้าจึงเตือนถึง อันตรายจากความรํ่ารวยเพราะคนรวยมักหลงคิดว่าตนเองไม่ได้ขึ้นกับพระเป็นเจ้า ดัง นั้นเมื่อพระองค์ส่งอัครสาวกไปเทศน์สอน จึงกำ�ชับไม่ให้นำ�สิ่งใดไปด้วย พระองค์ ต้องการบอกพวกเขาว่า พวกเขาขึ้นกับพระองค์


บทอ่านที่ 1

ปญจ 1:2-11

ปัญญาจารย์พูดว่า “ไม่เที่ยงแท้ที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ มีประโยชน์อะไรที่ มนุษย์ทำ�งานลำ�บากตรากตรำ�อยูก่ ลางแดด ชัว่ อายุคนรุน่ หนึง่ ล่วงไป อีกรุน่ หนึง่ ก็มา แต่ แผ่นดินยังคงอยู่เหมือนเดิมเสมอ ดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตก แล้วรีบไปยังที่ซึ่งจะ ขึ้นมาอีก ลมพัดไปทางใต้ แล้วพัดกลับมาทางเหนือ ลมพัดหมุนเวียนไปมา พัดกลับมา และหมุนเวียนอยู่เช่นนั้น แม่นํ้าทั้งหลายไหลลงสู่ทะเล แต่ทะเลก็ไม่เต็ม แม่นํ้ายังไหล ต่อไปจากต้นนํ้า ทุกสิ่งน่าเบื่อหน่าย ไม่มีผู้ใดอธิบายเหตุผลได้ นัยน์ตาดูไม่อิ่ม หูก็ฟังไม่ พอ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วก็จะเกิดขึ้นอีก สิ่งที่เคยทำ�แล้วก็จะทำ�อีก ไม่มีสิ่งใดใหม่ภายใต้ ดวงอาทิตย์ มีสิ่งใดบ้างที่จะพูดได้ว่า “ดูซิ สิ่งนี้ใหม่” สิ่งนั้นเคยมีอยู่นานมาแล้วก่อนที่ เราจะเกิด ไม่มีใครจดจำ�สิ่งต่างๆ ในอดีต แม้สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะถูกลืมจากผู้ที่จะมาในภาย หลังด้วย

พระวรสาร

ลก 9:7-9

เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดทรงรู้สึกสับสน เพราะ บางคนพูดว่ายอห์นได้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย บางคนพูดว่าประกาศกเอลียาห์ได้ ปรากฏแล้ว บางคนว่าประกาศกในอดีตคนหนึ่งได้กลับคืนชีพ แต่กษัตริย์เฮโรดตรัสว่า “ยอห์นนั้นเราได้ตัดศีรษะแล้ว คนที่เราได้ยินเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นใครเล่า” กษัตริย์ เฮโรดจึงทรงหาโอกาสจะพบพระองค์​์ ปัญญาจารย์มองชีวิตเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ เขาใช้คำ�ในภาษาฮีบรูว่า “ลมหายใจ” เพื่อ จะบอกว่าชีวติ ไม่มสี าระ เปลีย่ นแปลงและผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เราควรเข้าใจข้อความ นี้โดยมองชีวิตที่ปราศจากพระเป็นเจ้าเป็นชีวิตที่ไม่มีความหมาย เรารู้ความหมายของ ชีวิตจากการไขแสดงของพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อให้คุณค่า แก่ชีวิตมนุษย์ เราทุกคนเป็นลูกของพระองค์ พระองค์รักเราทุกคน เราจึงมีคุณค่าต่อ พระองค์เสมอ

สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา สดด 90:2-4,5-7, 12-13,14,17

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


น.คอสมา และ น.ดาเมียน มรณสักขี สดด 114:1,2,3-4

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1

ปญจ 3:1-11

พระวรสาร

ลก 9:18-22

มีเวลาสำ�หรับทุกสิง่ มีเวลาสำ�หรับกิจการต่างๆ ภายใต้ทอ้ งฟ้า มีเวลาเกิด และเวลา ตาย เวลาปลูก และเวลาถอนสิ่งที่ปลูก เวลาฆ่า และเวลารักษาให้หาย เวลารื้อทำ�ลาย และเวลาก่อสร้าง เวลาร้องไห้ และเวลาหัวเราะ เวลาไว้ทุกข์ และเวลาเต้นรำ� เวลาโยน ก้อนหินทิ้ง และเวลาเก็บรวบรวมก้อนหิน เวลาสวมกอด และเวลาละเว้นการสวมกอด เวลาแสวงหา และเวลาสูญเสีย เวลาเก็บรักษา และเวลาโยนทิ้ง เวลาฉีก และเวลาเย็บ เวลานิ่งเงียบ และเวลาพูด เวลารัก และเวลาเกลียด เวลาทำ�สงคราม และเวลาสันติ คนทำ�งานได้ประโยชน์ใดจากงานยากลำ�บากของตน ข้าพเจ้าเห็นงานยากลำ�บากที่ พระเจ้าประทานให้มนุษย์มีงานทำ� พระองค์ทรงกระทำ�ให้ทุกสิ่งงดงามตามเวลา แต่ทรง ใส่ความสำ�นึกถึงเวลาทีผ่ า่ นไปไว้ในใจของมนุษย์ ถึงกระนัน้ มนุษย์กย็ งั ไม่เข้าใจจุดเริม่ ต้น และการสิ้นสุดของกิจการที่พระเจ้าทรงกระทำ�

วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่เพียงพระองค์เดียว บรรดาศิษย์เข้ามา เฝ้า พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “ประชาชนว่าเราเป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างว่าเป็น ยอห์นผู้ทำ�พิธีล้าง บ้างว่าเป็นเอลียาห์ บ้างว่าเป็นประกาศกในอดีตคนหนึ่งซึ่งกลับ คืนชีพ” พระเยซูเจ้าตรัสถามเขาว่า “ท่านล่ะว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์ คือพระคริสต์ของพระเจ้า” พระองค์จึงทรงกำ�ชับบรรดาศิษย์มิให้พูดเรื่องนี้แก่ผู้ใด พระองค์ตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผูอ้ าวุโส มหาสมณะและธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพ ในวันที่สาม” “เวลา” เป็นของประทานจากพระเป็นเจ้า หลายคนมักบ่นว่ามีเวลาไม่พอ สิง่ สำ�คัญ ไม่ใช่ทมี่ เี วลามากหรือน้อย แต่อยูท่ กี่ ารใช้เวลาต่างหาก (พระเยซูเจ้าใช้เวลาไม่กปี่ ใี นการ ตั้งพระศาสนจักร) ความจริงเรามีเวลาเสมอสำ�หรับสิ่งที่เราชอบหรือต้องการทำ� เรามี เวลาหลายชั่วโมงในการดูโทรทัศน์ เล่นอินเตอร์เนต พูดโทรศัพท์ ฯลฯ เราควรมีเวลา ที่จะอยู่คนเดียวกับพระเป็นเจ้า เวลาที่สำ�คัญที่สุดคือเวลาร่วมมิสซา ชีวิตนี้สั้นนัก เป็น เรื่องน่าละอายที่เราจะเสียเวลากับสิ่งไร้สาระต่างๆ


บทอ่านที่ 1

ปญจ 11:9-12:8

หนุ่มเอ๋ย จงยินดีในวัยเยาว์ของท่าน ใจของท่านจงร่าเริงขณะที่ท่านยังเยาว์วัยอยู่ จงทำ�ตามทีใ่ จของท่านชอบ และตามทีน่ ยั น์ตาของท่านปรารถนา แต่จงรูว้ า่ พระเจ้าจะทรง พิพากษาทุกสิ่งที่ท่านทำ� จงขจัดความกังวลออกไปจากใจของท่าน จงขับไล่ความทุกข์ ทรมานออกไปจากร่างกายของท่าน เพราะวัยเยาว์และรุ่งอรุณของชีวิตนั้นไม่เที่ยงแท้ จงระลึกถึงพระผู้สร้างของท่านขณะที่ท่านยังเยาว์วัย ก่อนที่วันเลวร้ายจะมา และ เวลาจะมาถึง เมื่อท่านจะต้องพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความสนุกเลย” เวลานั้นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายจะอับแสงสำ�หรับท่าน และท้องฟ้าจะมีเมฆปกคลุมอยู่ เสมอ เวลานัน้ แขนของท่านทีป่ กป้องท่านไว้จะสัน่ สะท้าน ขาของท่านทีเ่ คยคํา้ จุนท่านจะ อ่อนล้า ฟันจะลดจำ�นวนลงจนเคีย้ วอาหารไม่แหลก นัยน์ตาของท่านจะฝ้าฟางจนเห็นไม่ ชัด หูของท่านจะตึงจนไม่ได้ยินเสียงอึกทึกจากถนน ท่านจะไม่ได้ยินเสียงโม่แป้ง เสียง นกร้องและเสียงของท่านจะอ่อนลงและสั่นเครือ ท่านจะกลัวที่สูง และแต่ละก้าวก็มี อันตรายทีจ่ ะหกล้ม ผมของท่านจะหงอกขาวเหมือนดอกอัลมันด์ ท่านเดินแทบจะไม่ไหว และความปรารถนาใดๆจะหมดสิ้นไป ท่านจะไปสู่ที่พำ�นักถาวร ขณะที่มีผู้ร้องไห้และไว้ ทุกข์ตามถนน ก่อนที่สายเงินจะขาด ตะเกียงทองคำ�จะล้มแตก เหยือกนํ้าจะแตกที่พุนํ้า ล้อเชือกตักนํา้ จะตกลงไปในบ่อ ร่างกายของท่านจะกลายเป็นฝุน่ ดินดังเดิม และลมปราณ จะกลับไปหาพระเจ้าผู้ประทานลมปราณแก่ท่าน ปัญญาจารย์พูดว่า “ไม่เที่ยงแท้ที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงแท้”

พระวรสาร

ลก 9:43ข-45

เวลานัน้ ขณะทีท่ กุ คนกำ�ลังพิศวงในทุกสิง่ ทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงกระทำ�อยูน่ นั้ พระองค์ ตรัสกับบรรดาศิษย์วา่ “ท่านทัง้ หลายจงฟังถ้อยคำ�เหล่านีไ้ ว้ให้ดเี ถิด บุตรแห่งมนุษย์กำ�ลัง จะถูกมอบในเงือ้ มมือของคนทัง้ หลาย” แต่บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจพระวาจานีซ้ งึ่ เป็นถ้อยคำ� ที่ถูกปิดบังไว้มิให้เข้าใจความหมาย แต่เขาทั้งหลายก็ไม่กล้าทูลถามเรื่องนี้ การคิดรำ�พึงถึงห้วงเวลาของชีวติ เป็นเรือ่ งปกติ สำ�หรับปัญญาจารย์อาจจะมองชีวติ ในแง่ร้าย แม้จะเชื่อในพระเป็นเจ้าก็ตาม ในสมัยปัญญาจารย์ ความเข้าใจในชีวิตหลัง ความตายยังไม่ชัดเจน โดยทางพระเยซูคริสตเจ้า เราทราบว่า พระเป็นเจ้าพระบิดาของ เราทรงเรียกเราไปสู่ชีวิตนิรันดร ชีวิตนิรันดรให้ความหวังแก่เรา ให้ความหมายแก่ชีวิต เรา คุณค่าของชีวิตอาจเป็นสิ่งลึกลับสำ�หรับเรา แต่เป็นสิ่งชัดเจนสำ�หรับพระเป็นเจ้า

ระลึกถึง น.วินเซนต์ เดอ ปอล พระสงฆ์ สดด 90:2-4,5-7, 12-13,14,17

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 18:25-28

สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ท่านพูดว่า ‘วิธีการขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ ยุติธรรม’ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด วิธีการของเราไม่ยุติธรรม หรือวิธีการของ ท่านไม่ยตุ ธิ รรม เมือ่ ผูช้ อบธรรมเปลีย่ นใจไม่ปฏิบตั คิ วามชอบธรรม มาทำ�ผิด เขาจะต้อง ตายเพราะการนี้ เขาจะต้องตายเพราะความผิดที่เขาได้ทำ� ถ้าคนชั่วร้ายเลิกทำ�ความชั่ว ร้ายที่เขาได้ทำ� มาปฏิบัติความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาก็จะรักษาชีวิตของตนไว้ เขาเลือกจะเลิกการล่วงละเมิดทัง้ หมดทีเ่ คยทำ� เขาจะมีชวี ติ อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตอ้ ง ตาย”

เพลงสดุดี

สดด 25:4-6,7,8-10

ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ารู้จักทางของพระองค์ โปรดทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่ข้าพเจ้า โปรดทรงนำ�ข้าพเจ้าด้วยความจริงของพระองค์และทรงสอนข้าพเจ้า เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข้าพเจ้าหวังในพระองค์ตลอดทั้งวัน ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงพระกรุณา และความรักมั่นคงที่ทรงมีตลอดมา ข) ขออย่าได้ทรงระลึกถึงบาปและความผิดที่ข้าพเจ้าทำ�ไว้ในวัยเยาว์ โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าตามความรักมั่นคงของพระองค์ ค) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าเพราะพระทัยดีของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงความดีและทรงเที่ยงธรรม พระองค์จึงทรงสอนทางให้คนบาป ทรงนำ�ผู้ถ่อมตนให้เดินตามทางแห่งความยุติธรรม ทรงสอนคนยากจนให้รู้ทางของพระองค์ มรรคาทุกสายขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือความรักมั่นคงและความสัตย์จริง สำ�หรับผู้ที่ปฏิบัติตามพันธสัญญาและกฤษฎีกาของพระองค์

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟิลิปปี ฟป 2:1-11

พี่น้อง ถ้าท่านได้รับกำ�ลังใจจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ถ้าท่านได้รับ กำ�ลังใจจากความรัก ถ้าท่านเป็นหนึ่งเดียวกันในพระจิตเจ้า ถ้าท่านเห็นอกเห็นใจสงสาร กัน ท่านจงทำ�ให้ขา้ พเจ้ามีความยินดีอย่างเต็มเปีย่ มโดยการเป็นนํา้ หนึง่ ใจเดียวกัน มีความ รักแบบเดียวกัน มีความรูส้ กึ นึกคิดอย่างเดียวกัน อย่ากระทำ�การใดเพือ่ ชิงดีกนั หรือเพือ่ โอ้อวด แต่จงถ่อมตนคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว จง เห็นแก่ผลประโยชน์ของผูอ้ นื่ ด้วย จงมีความรูส้ กึ นึกคิดเช่นเดียวกับทีพ่ ระคริสตเยซูทรง มีเถิด


แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็ มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะ ต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับ สภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ใน ธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับ แม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง และประทาน พระนามให้แก่พระองค์ พระนามนีป้ ระเสริฐกว่านามอืน่ ใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดินรวมทั้งใต้ พื้นพิภพจะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และ เพือ่ ชนทุกภาษาจะได้รอ้ งประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรง เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 21:28-32

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนว่า “ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน เขาไปพบบุตรคนแรกพูดว่า “ลูกเอ๋ย วันนี้ จงไปทำ�งานในสวนองุ่นเถิด” บุตรตอบว่า “ลูกไม่อยากไป” แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำ�งาน พ่อจึงไป พบบุตรคนที่สอง พูดอย่างเดียวกัน บุตรคนที่สองตอบว่า “ครับพ่อ” แต่แล้วก็ไม่ได้ไป สองคนนี้ใครทำ� ตามใจพ่อ” พวกเขาตอบว่า “คนแรก” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสูพ่ ระ อาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่าน เพราะยอห์นได้มาพบท่าน ชี้หนทางแห่งความชอบธรรม ท่านก็ไม่เชื่อ ยอห์น ส่วนคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีเชื่อ แต่ท่านทั้งหลายเห็นดังนี้แล้ว ก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจมาเชื่อ ยอห์น”

ความหมายของอุปมาเรื่องนี้ค่อนข้างชัดเจน พระองค์ต้องการบอกว่า ชาวยิวโดยเฉพาะผู้นำ�เป็นผู้ที่ บอกว่าจะเชื่อฟังพระเป็นเจ้า แต่แล้วก็ไม่เชื่อฟัง เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อฟังพระเยซูเจ้า ในขณะที่คนเก็บ ภาษีและคนบาป ผู้ที่ไม่คิดจะเชื่อฟังพระองค์ แต่กลับเปลี่ยนใจ กลับใจหันมาเชื่อฟังพระองค์ เราทุกคน มีเสรีภาพที่จะ “ตอบรับ” หรือ “ปฏิเสธ” พระเป็นเจ้า เพราะสภาพบาปของเรา คำ�ตอบรับของเราอาจ กลายเป็นการปฏิเสธก็ได้ แต่อาศัยพระหรรษทาน คำ�ปฏิเสธของเราจะกลายเป็นการตอบรับก็ได้เช่น เดียวกัน ขอให้เราหยุดและตรึกตรองตัวเราเองแต่ละคน


ฉลองอัครทูตสวรรค์ มีคาเอล คาเบรียล และราฟาเอล สดด 138:1-2ก, 2ข-3,4-5

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1

วว 12:7-12

พระวรสาร

ยน 1:47-51

สงครามเกิดขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลกับเหล่าทูตสวรรค์ของเขาต่อสู้กับมังกร มังกร พร้อมกับบริวารของมันก็ต่อสู้ด้วย แต่มันพ่ายแพ้และไม่มีที่พำ�นักในสวรรค์อีกต่อไป มังกรใหญ่ คืองูดกึ ดำ�บรรพ์ทมี่ ชี อ่ื ว่าปีศาจและซาตาน ผูล้ อ่ ลวงผูอ้ าศัยอยูท่ วั่ แผ่นดินให้ หลงไป ถูกโยนลงมาบนแผ่นดิน บริวารของมันก็ถูกโยนลงมาด้วย ข้าพเจ้าได้ยินเสียง ดังจากสวรรค์ว่า “บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระราชอาณาจักรเป็นของ พระเจ้าของเราแล้ว และอำ�นาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ เพราะผู้กล่าวหาบรรดา พี่น้องของเรา คือผู้ที่กล่าวหาเขาทั้งกลางวันกลางคืนเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าของ เราก็ถูกโยนลงไปแล้ว บรรดาพี่น้องของเราชนะผู้กล่าวหา เดชะพระโลหิตของลูกแกะ และอาศัยคำ�พยานของตน เพราะเขาไม่หวงแหนชีวิตแม้เมื่อเผชิญความตาย ดังนั้น สวรรค์และท่านทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ จงชื่นชมเถิด วิบัติจงเกิดแก่แผ่นดินและ ทะเล เพราะปีศาจลงมายังแผ่นดินและทะเลด้วยความโกรธอย่างรุนแรง เพราะมันรู้ว่า มีเวลาเหลือน้อยแล้ว” เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถึงเขาว่า “นี่ คือชาวอิสราเอลแท้ เป็นคนไม่มมี ารยา” นาธานาเอลทูลถามว่า “พระองค์ทรงรูจ้ กั ข้าพเจ้า ได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้น มะเดื่อเทศ” นาธานาเอลทูลตอบว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านเชื่อเพราะเราพูดว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อเทศหรือ ท่านจะเห็นเหตุการณ์ทยี่ งิ่ ใหญ่กว่านัน้ อีก” แล้วพระองค์ตรัสเสริมว่า “เราบอกความจริง แก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าเปิด และจะเห็นบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้น ลงรับใช้บุตรแห่งมนุษย์”

ทูตสวรรค์ซึ่งเป็นผู้ถือสารของพระเป็นเจ้าปรากฏให้เห็นบ่อยๆ ในพระคัมภีร์ แต่ที่ มีเอ่ยชื่อมีเพียงมีคาเอล คาเบรียลและราฟาเอล ทูตสวรรค์มีคาเอลปรากฏในภาพนิมิต ของประกาศกดาเนียล ผูป้ กป้องอิสราเอลจากศัตรูและปรากฏในหนังสือวิวรณ์ดว้ ย โดย เป็นผูน้ �ำ กองทัพของพระเจ้ามีชยั เหนือความชัว่ ทูตสวรรค์คาเบรียลปรากฏในภาพนิมติ ของประกาศกดาเนียลด้วยเช่นเดียวกัน ที่รู้จักดีคือเป็นผู้ถือสารแจ้งข่าวแก่พระนาง มารีย์ ส่วนราฟาเอลปรากฏในเรื่องราวโทบิต ทูตสวรรค์ทั้งสามมีภารกิจแตกต่างกัน มีคาเอลมีหน้าที่ปกป้อง คาเบรียลมีหน้าที่ประกาศ ส่วนราฟาเอลมีหน้าที่นำ�ทาง เราจึง ได้สัมผัสการปกป้อง การติดต่อและการนำ�ทางของพระเป็นเจ้าอยู่เสมอ


บทอ่านที่ 1

โยบ 3:1-3,11-17,20-23

ต่อมา โยบอ้าปากสาปแช่งวันเกิดของตน โยบเริ่มพูดว่า “วันที่ข้าเกิดมาจงพินาศ เถิด ทั้งคืนที่มีคนพูดว่า ‘เด็กชายคนหนึ่งปฏิสนธิ์แล้ว’ ก็จงพินาศด้วย ทำ�ไมข้าจึงไม่ตายเสียตัง้ แต่ในครรภ์ ทำ�ไมข้าจึงไม่ขาดใจเมือ่ ออกมาจากครรภ์มารดา ทำ�ไมผู้คนจึงรับข้าไว้บนเข่า ทำ�ไมจึงมีหัวนมให้ข้าดูด มิฉะนั้นแล้ว บัดนี้ข้าคงนอนสงบ ข้าคงหลับ และพักผ่อนในสันติกับบรรดากษัตริย์และผู้ปกครองแผ่นดิน ผู้ได้สร้าง อนุสาวรีย์ที่ฝังศพสำ�หรับตน หรือกับเจ้านายที่มีทองคำ� และสะสมเงินไว้เต็มที่ฝังศพ ของตน ข้าคงจะไม่มคี วามเป็นอยูเ่ หมือนลูกทีแ่ ท้งและถูกซ่อนไว้ เหมือนทารกซึง่ ไม่เคย เห็นแสงสว่าง ที่นั่นคนชั่วร้ายหยุดดิ้นรน ที่นั่นผู้ที่หมดกำ�ลังได้พักผ่อน ทำ�ไมผู้ที่ทนทุกข์จึงได้รับแสงสว่าง ผู้ที่มีใจขมขื่นจึงได้รับชีวิต เขาคอยความตาย แต่ความตายก็ไม่มา เขาแสวงหาความตายมากกว่าขุดหาทรัพย์สมบัตทิ ซี่ อ่ นอยู่ เขายินดี อย่างยิ่ง และชื่นชมเมื่อพบหลุมฝังศพ ทำ�ไมจึงประทานความสว่างแก่ผู้ที่ไม่มีวันจะเห็น หนทางของตน และแก่ผู้ที่พระเจ้าทรงกั้นไว้ทุกด้าน

พระวรสาร

ลก 9:51-56

เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไป ใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงตั้งพระทัย แน่วแน่จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และทรงส่งผูน้ ำ�สารไปล่วงหน้า คนเหล่านีอ้ อกเดินทาง และเข้าไปในหมูบ่ า้ นแห่งหนึง่ ของชาวสะมาเรียเพือ่ เตรียมรับเสด็จพระองค์ แต่ประชาชน ที่นั่นไม่ยอมรับเสด็จเพราะพระองค์กำ�ลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อยากอบและยอห์น ศิษย์ของพระองค์เห็นดังนี้ก็ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เรา เรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านี้หรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหันไปตำ�หนิศิษย์ทั้ง สองคน แล้วทรงพระดำ�เนินต่อไปยังหมู่บ้านอื่นพร้อมกับบรรดาศิษย์

นักบุญลูกาพยายามวาดภาพ “การประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสตเจ้า” ว่าเป็นการ เดินทางของพระองค์สู่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะที่กรุงเยรูซาเล็มพระองค์จะกอบกู้โลกโดย ทางการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ ภารกิจของพระองค์เป็น สิง่ ทีย่ ากลำ�บาก เรียกร้องความทุกข์ทรมานและความตาย และพระองค์ยอมรับมันด้วย ความยินดี ซึง่ ต่างจากโยบ ทีเ่ ป็นทุกข์ในชะตากรรมของตนเอง เพราะไม่เข้าใจความหมาย ของความทุกข์ อย่างไรก็ตามแม้จะถูกประจญให้ตอ่ สูก้ บั พระเป็นเจ้า โยบก็มนั่ คงในความ เชื่อในพระเป็นเจ้า เราเองต้องเข้าใจความหมายของความทุกข์ยากต่างๆ ในชีวิตของเรา เพราะเราทุกคนรู้จักพระเยซูคริสตเจ้าแล้ว

ระลึกถึง น.เยโรม พระสงฆ์ นักปราชญ์แห่ง พระศาสนจักร สดด 88:1-3,4-5, 6-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.