11 november 2017

Page 1


สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา สดด 13:3,4-5

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 รม 8:26-30 พี่น้อง ในทำ�นองเดียวกัน พระจิตเจ้าเสด็จมาช่วยเหลือเราผู้อ่อนแอ เพราะ เราไม่รู้ว่าจะต้องอธิษฐานภาวนาขอสิ่งใดที่เหมาะสม แต่พระจิตเจ้าทรงอธิษฐาน ภาวนาวอนขอแทนเราด้วยคำ�ที่ไม่อาจบรรยาย และพระผู้ทรงสำ�รวจจิตใจ ทรง ทราบความปรารถนาของพระจิตเจ้า เพราะว่าพระจิตเจ้าทรงอธิษฐานเพือ่ บรรดา ผู้ศักดิ์สิทธิ์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า เรารู้ว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ ทีท่ รงเรียกมาตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะผูท้ พี่ ระองค์ทรงทราบล่วงหน้า นัน้ พระองค์ทรงกำ�หนดจะให้เป็นภาพลักษณ์ของพระบุตรของพระองค์ดว้ ย เพือ่ พระบุตรจะได้เป็นบุตรคนแรกในบรรดาพี่น้องจำ�นวนมาก ผู้ที่ทรงกำ�หนดไว้แล้ว นั้น พระองค์ทรงเรียก ผู้ที่ทรงเรียกนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้เป็นผู้ชอบธรรม ผู้ ที่ทรงบันดาลให้ชอบธรรมนั้น พระองค์ประทานพระสิริรุ่งโรจน์ให้ด้วย พระวรสาร ลก 13:22-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านเมืองและหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนประชาชนและ ทรงเดินทางมุง่ ไปกรุงเยรูซาเล็ม คนคนหนึง่ ทูลถามพระองค์วา่ “พระเจ้าข้า มีนอ้ ย คนใช่ไหมทีร่ อดพ้นได้” พระองค์ตรัสกับเขาทัง้ หลายว่า “จงพยายามเข้าทางประตู แคบ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้ เมือ่ เจ้าของบ้านจะลุกขึน้ เพือ่ ปิดประตู ท่านจะยืนอยูข่ า้ งนอก เคาะประตูพดู ว่า ‘นายเจ้าข้า เปิดประตูให้พวกเราด้วย’ แต่เขาจะตอบว่า ‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามา จากที่ใด’ แล้วท่านก็จะพูดว่า ‘พวกเราได้กินได้ดื่มอยู่กับท่าน ท่านได้สอนในลาน สาธารณะของเรา’ แต่เจ้าของบ้านจะตอบว่า ‘เราไม่รวู้ า่ พวกเจ้ามาจากทีใ่ ด ไปให้ พ้นจากเราเถิด เจ้าทั้งหลายที่ทำ�การอยุติธรรม’ เวลานั้น ท่านทั้งหลายจะรํ่าไห้ครํ่าครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคืองเมื่อ แลเห็นอับราฮัม อิสอัคและยาโคบกับบรรดาประกาศกในพระอาณาจักรของ พระเจ้า แต่ทา่ นทัง้ หลายกลับถูกไล่ออกไปข้างนอก จะมีคนจากทิศตะวันออกและ ทิศตะวันตก ทิศเหนือและทิศใต้ มานั่งร่วมโต๊ะในพระอาณาจักรของพระเจ้า ดังนัน้ พวกทีเ่ ป็นกลุม่ สุดท้ายจะกลับกลายเป็นกลุม่ แรก และพวกทีเ่ ป็นกลุม่ แรกจะกลับกลายเป็นกลุ่มสุดท้าย” คริสตชนไทยส่วนใหญ่เป็นคริสตังนอน คือได้รับศีลล้างบาปตั้งแต่เล็ก เป็นคริสตชนตามพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าตนได้รับเลือกเป็น พิเศษ และจะได้รับความรอดโดยอัตโนมัติ วันนี้พระเยซูเจ้าเตือนใจว่า อย่าทะนงตน แต่ต้องตระหนักว่า ทุกคนต้องนำ�ความเชื่อไปปฏิบัติในชีวิตอย่างจริงจังและอุทิศตน “ประตูแคบ” ทีพ่ ระองค์กล่าวถึงคือ แต่ละคนต้องมีการพบปะส่วนบุคคล (แบบตัวต่อ ตัว) กับพระองค์ในชีวิตประจำ�วัน พระองค์ยังเตือนสติเราอีกว่า มีหลายคนที่ดูเหมือน ใกล้ชิดกับพระเจ้า แต่อาจพลาดไม่ได้พบพระองค์ในอันดับสุดท้ายก็เป็นได้


บทอ่านที่ 1 รม 5:5-11 พี่น้อง ความหวังนี้ไม่ทำ�ให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทาน ให้เรา ทรงหลัง่ ความรักของพระเจ้าลงในดวงใจของเรา ขณะทีเ่ รายังอ่อนแอ พระ คริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปตามเวลาที่กำ�หนด ยากที่จะหาคนที่ยอมตาย เพือ่ คนชอบธรรม บางครัง้ อาจจะมีคนยอมตายแทนคนดีจริงๆ ได้ แต่พระเจ้าทรง พิสูจน์ว่าทรงรักเรา เพราะพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเราขณะที่เรายังเป็นคน บาป บัดนี้ เมือ่ เราได้รบั ความชอบธรรมโดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์แล้ว เดชะ พระองค์ เราก็ยงิ่ จะได้รบั ความรอดพ้นจากการถูกพระเจ้าลงโทษ ถ้าเรากลับคืนดี กับพระเจ้าเดชะการสิน้ พระชนม์ของพระบุตรขณะทีเ่ รายังเป็นศัตรูอยู่ ยิง่ กว่านัน้ เมื่อกลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดพ้นเดชะพระชนมชีพของพระองค์ด้วย มิใช่เพียง เท่านัน้ เรายังภูมใิ จในพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา เดชะ พระองค์ บัดนี้พระองค์ทรงทำ�ให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว พระวรสาร ยน 6:37-40 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนที่ติดตามพระองค์ว่า “ทุกคนที่พระบิดาทรงมอบให้เรา จะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ ผลักไสไปเลย เพราะเราลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อทำ�ตามใจของเรา แต่เพื่อทำ� ตามพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามา พระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามาก็คือ เราจะ ไม่สูญเสียผู้ใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เรา แต่จะให้ผู้นั้นกลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระประสงค์ของพระบิดาของเราก็คือ ทุกคนที่เห็นพระบุตร แล้วเชื่อในพระบุตร จะมีชีวิตนิรันดร และเราจะให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย” เมื่ออ่านและฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้าวันนี้แล้ว รู้สึกโล่งใจและอุ่น ใจ เพราะพระองค์ยืนยันว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อทำ�ให้แผนการของพระบิดาสำ�เร็จไป โดยไม่ให้ใครสูญเสียไปแม้สักคนเดียว วันนี้เป็นวันระลึกถึงผู้ล่วงลับ ให้เรายืนยันความเชื่อว่า พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ ทุกคนมีชีวิตนิรันดร พระองค์ไม่ปรารถนาให้มนุษย์ประสบกับความตาย ดังนั้น ยังไม่ ช้าจนเกินไปที่เราจะวอนขอพระเยซูเจ้า โดยอาศัยบูชามิสซาโปรดให้บรรดาผู้ล่วงลับ และเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ได้รับชีวิตนิรันดรตั้งแต่บัดนี้ และขอให้ทั้งกายและวิญญาณ ของเราพร้อมกับผู้ล่วงลับ ได้รับความรอดในวันสุดท้าย เมื่อโลกนี้จะสิ้นสุดลงด้วย

วันภาวนา อุทิศแด่​่ผู้ล่วงลับ

สดด 103:8-10,13-14, 15-17,18


บทอ่านที่ 1 รม 9:1-5 พี่น้อง ข้าพเจ้าพูดความจริงในพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าไม่มุสา มโนธรรมของ ข้าพเจ้าและพระจิตเจ้าร่วมเป็นพยานได้ว่า ข้าพเจ้ามีความเศร้าโศกใหญ่หลวง และมีความทุกข์ใจอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้ายินดีถูกสาปแช่ง ถูกตัดขาดจากพระ คริสตเจ้า ถ้าหากจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องของข้าพเจ้าซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไข น.มาร์ติน เด ปอเรส เดียวกัน พี่น้องเหล่านี้คือชาวอิสราเอล ที่ได้เป็นบุตรบุญธรรม ได้เห็นพระสิริ นักบวช รุง่ โรจน์ ได้รบั พันธสัญญา ธรรมบัญญัติ รวมทัง้ ศาสนพิธแี ละพระสัญญาต่างๆ พวก เขามีบรรพบุรุษเป็นต้นตระกูลของพระคริสตเจ้าตามธรรมชาติมนุษย์ พระองค์ สดด 147:12-14, ทรงอยู่เหนือสรรพสิ่ง เป็นพระเจ้าและทรงได้รับการถวายสดุดีตลอดนิรันดร 15-16,19-20 อาเมน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันศุกร์ต้นเดือน

พระวรสาร ลก 14:1-6 วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของหัว หน้าชาวฟาริสีผู้หนึ่ง ผู้ที่อยู่ที่นั่นต่างจ้องมองพระองค์ ขณะนั้นชายคนหนึ่งเป็น โรคบวมกำ�ลังอยูเ่ ฉพาะพระพักตร์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสถามบรรดานักกฎหมายและ ชาวฟาริสวี า่ “อนุญาตให้รกั ษาโรคในวันสับบาโตหรือไม่” แต่คนเหล่านัน้ นิง่ เงียบ พระองค์จึงทรงพยุงผู้ป่วยขึ้น ทรงรักษาเขา แล้วให้กลับไป พระองค์ตรัสกับคน เหล่านั้นอีกว่า “ถ้าผู้ใดมีบุตร หรือมีโคตกลงไปในบ่อ จะไม่รีบฉุดขึ้นมาทันทีแม้ เป็นวันสับบาโตหรือ” แต่คนเหล่านั้นตอบคำ�ถามนี้ไม่ได้ วันสับบาโตของชาวยิวปัจจุบันนี้คือ วันอาทิตย์ของเราคริสตชน เมื่อ ก่อนเราถือเป็นวันพระเจ้า ต้องหยุดทำ�งาน แต่ทว่า พระเยซูเจ้าท้าทายเราด้วยมุมมอง ใหม่ เพราะวันอาทิตย์เป็นวันทีพ่ ระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น ทรงรักษาเยียวยา ทรง กระทำ�ความดี ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ ในวันอาทิตย์เราควรหยุดงานประจำ� และหันมาทำ�งาน ช่วยให้รอด ด้วยการเยี่ยมเยียน เยียวยา และแสดงความรักเมตตาต่อผู้คนที่กำ�ลังรอ คอยพระเมตตารักจากพระเจ้า โดยมีเราเป็นเครื่องมือ อย่าลืมว่า พระสันตะปาปา ฟรังซิสได้ประทานพระแบบฉบับแก่เรามากมายทีเ่ ราต้องเลียนแบบอย่างของพระองค์ ท่าน


บทอ่านที่ 1 รม 11:1-2ก,11-12,25-29 พี่น้อง ข้าพเจ้าขอถามว่า “จริงหรือที่ว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งประชากรของ พระองค์” เป็นไปไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นชาวอิสราเอลเชือ้ สายของอับราฮัมจากตระกูล เบนยามิน พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งประชากรที่ทรงเลือกสรรไว้ก่อนแล้ว พวกท่าน ไม่รู้หรือ ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า “จริงหรือที่ชาวอิสราเอลสะดุดล้มอยู่เช่นนั้นตลอด ไป ไม่ใช่เลย แต่เพราะพวกเขาสะดุดล้ม ความรอดพ้นจึงมาถึงชนต่างชาติ เพื่อให้ ชาวอิสราเอลเกิดความอิจฉา ถ้าการสะดุดล้มของพวกเขาทำ�ให้โลกได้รับความ ไพบูลย์ และความเสียหายของพวกเขาเป็นความไพบูลย์ของชนต่างชาติแล้ว ความ ไพบูลย์จะมีมากเพียงใด ถ้าชาวอิสราเอลทุกคนมีความเชื่อ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านรู้ธรรมลํ้าลึกประการนี้ เพื่อมิให้ท่าน ทะนงว่าตนฉลาด นั่นคือ การที่ชาวอิสราเอลส่วนหนึ่งมีจิตใจกระด้าง จนกระทั่ง คนต่างชาติเข้ามามีความเชือ่ ครบจำ�นวนเสียก่อน ต่อจากนัน้ ชาวอิสราเอลทัง้ หมด ก็จะรอดพ้น ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “พระผู้ไถ่จะเสด็จมาจากศิโยน จะทรงขจัดความอธรรมออกไปจากยาโคบ และนีจ่ ะเป็นพันธสัญญาของเรากับพวกเขา เมือ่ เราจะขจัดบาปของเขาให้สนิ้ ไป” ชาวอิสราเอลยังคงเป็นปฏิปกั ษ์ตอ่ ข่าวดี ซึง่ เป็นผลดีตอ่ ท่านทัง้ หลาย แต่พวก เขาได้รบั การเลือกสรร จึงยังคงเป็นทีร่ กั ของพระเจ้าตามพระสัญญาทีท่ รงให้ไว้แก่ บรรพบุรุษ ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนพระทัยเพิกถอนทั้งของประทานที่ ทรงให้เปล่าและพระกระแสเรียกของพระองค์

ระลึกถึง น.ชาร์ลส์ โบโรเมโอ พระสังฆราช สดด 94:12-14, 15-17,18

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ลก 14:1,7-11 วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของ หัวหน้าชาวฟาริสีผู้หนึ่ง ผู้ที่อยู่ที่นั่นต่างจ้องมองพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงสังเกตเห็นผู้รับเชิญต่างเลือกที่นั่งที่มีเกียรติ จึงตรัสเป็นอุปมากับเขาว่า “เมื่อมี ใครเชิญท่านไปในงานมงคลสมรส อย่าไปนั่งในที่ที่มีเกียรติ เพราะถ้ามีคนสำ�คัญกว่าท่านได้รับเชิญมา ด้วย เจ้าภาพที่เชิญท่านและเชิญเขาจะมาบอกท่านว่า ‘จงให้ที่นั่งแก่ผู้นี้เถิด’ แล้วท่านจะต้องอับอาย ไปนั่งที่สุดท้าย แต่เมื่อท่านได้รับเชิญ จงไปนั่งในที่สุดท้ายเถิด เพื่อเจ้าภาพที่เชิญท่านจะมาบอกท่าน ว่า ‘เพือ่ นเอ๋ย จงไปนัง่ ในทีท่ ดี่ กี ว่านีเ้ ถิด’ แล้วท่านจะได้รบั เกียรติตอ่ หน้าผูร้ ว่ มโต๊ะทัง้ หลาย เพราะทุก คนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ตํ่าลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” เราทุกคนเอ็นดู และชื่นชอบคนสุภาพ อ่อนน้อม เจียมตัว และถ่อมตน แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็มีประสบการณ์ว่า ผู้คนมักอวดดี ทะนงตน ชิงดีชิงเด่น แสวงหาเกียรติยศ และตำ�แหน่งต่างๆ ซึ่งเป็น ความขัดแย้งในการดำ�เนินชีวิต วันนี้ พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยเช่นเดียวกัน พระองค์ ทรงยกย่องผูท้ ถี่ อ่ มตนลงให้สงู ขึน้ เราจึงต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนจนเป็นนิสยั และพระเจ้า จะเอ็นดู ชื่นชอบ และยกย่องเรา


สมโภช นักบุญทั้งหลาย

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์ วว 7:2-4,9-14 ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออก ถือตราของ พระเจ้าผู้ทรงชีวิต ทูตสวรรค์องค์นั้นร้องเสียงดังบอกทูตสวรรค์ทั้งสี่องค์ ซึ่งได้รับ มอบหมายให้ท�ำ ลายแผ่นดินและทะเลว่า “อย่าทำ�ลายแผ่นดินหรือทะเลหรือต้นไม้ จนกว่าเราจะได้ประทับตราไว้ทหี่ น้าผากของบรรดาผูร้ บั ใช้พระเจ้าของเรา” และ ข้าพเจ้าได้ยินว่าผู้ที่ได้รับการประทับตรามีจำ�นวนหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคน ผู้รับ การประทับตราเหล่านี้มาจากทุกเผ่าของชาวอิสราเอล หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นนิมิต ประชาชนมากมายเหลือคณานับจากทุกชาติ ทุกเผ่า ทุกประเทศและทุกภาษา กำ�ลังยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์และเฉพาะพระ พักตร์ลูกแกะ ทุกคนสวมเสื้อขาว ถือใบปาล์ม ร้องสรรเสริญเสียงดังว่า “ความ รอดพ้นเป็นของพระเจ้าของเรา ผูป้ ระทับอยูบ่ นพระบัลลังก์ และเป็นของลูกแกะ” ทูตสวรรค์ทงั้ หลายทีย่ นื อยูร่ อบพระบัลลังก์ รอบผูอ้ าวุโส และรอบผูม้ ชี วี ติ ทัง้ สีต่ น ต่างกราบลงหน้าพระบัลลังก์ ศีรษะจรดพื้น นมัสการพระเจ้าว่า “อาเมน คำ�ถวายพระพร พระสิริรุ่งโรจน์ พระปรีชาญาณ คำ�ขอบพระคุณ พระเกียรติยศ พระอานุภาพและพระพลานุภาพ เป็นของพระเจ้าของเราตลอดนิรันดร อาเมน” ผูอ้ าวุโสคนหนึง่ ถามข้าพเจ้าว่า “คนทีส่ วมเสือ้ ขาวเหล่านีเ้ ป็นใคร และมาจาก ไหน” ข้าพเจ้าตอบว่า “นายขอรับ ท่านก็รู้อยู่แล้ว” เขาจึงบอกข้าพเจ้าว่า “คน เหล่านีค้ อื ผูท้ มี่ าจากการเบียดเบียนครัง้ ใหญ่ เขาซักเสือ้ ของเขาจนขาวในพระโลหิต ของลูกแกะ เพลงสดุดี สดด 24:1-2,3-4,5-6 ก) แผ่นดินและสรรพสิ่งบนแผ่นดินเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า โลกและผู้คนที่อยู่ในโลกก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงวางรากฐานของโลกไว้เหนือทะเล ทรงตรึงยึดไว้มั่นคงบนกระแสนํ้าไหล ข) ใครจะขึ้นไปยังภูเขาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ใครจะยืนอยู่ในสถานศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ผู้มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ผู้มีใจไม่ใฝ่หารูปเคารพ ผู้ไม่ออกปากสาบานเพียงเพื่อหลอกลวง ค) บุคคลเช่นนี้จะได้รับพระพรจากองค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับความเป็นธรรมจากพระเจ้าผู้ทรงช่วยเขาให้รอดพ้น นี่คือเชื้อสายที่แสวงหาพระองค์ แสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้าแห่งยาโคบ


บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 3:1-3 พี่ น้ อ งที่ รั ก ยิ่ ง จงดู เ ถิ ด ว่ า ความรั ก ที่ พ ระบิ ด า ประทานให้เรานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เพื่อทำ�ให้เราได้ชื่อว่า เป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนั้นจริง โลกไม่ รู้จักเรา เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์ ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้ เราเป็นบุตรของพระเจ้า แล้ว แต่เราจะเป็นอย่างไรในอนาคตนั้นยังไม่ปรากฏชัด แจ้ง เราตระหนักดีว่า เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะ เป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะได้เห็นพระองค์อย่าง ทีพ่ ระองค์ทรงเป็น ทุกคนทีม่ คี วามหวังในพระองค์ ย่อม ชำ�ระใจของตนให้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรง บริสุทธิ์ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:1-12ก เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำ�นวนมาก จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับ แล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า “ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆ นานาเพราะเรา จงชื่นชมยินดี เถิด เพราะบำ�เหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก” ความสุขแท้ 8 ประการ ที่พระเยซูเจ้าตรัสในวันนี้ บรรดานักบุญทั้งหลายเคยมีประสบการณ์ มาแล้ว เมื่อครั้งที่ท่านมีชีวิตในโลกนี้ และกำ�ลังมีอยู่ขณะนี้ในเมืองสวรรค์ พระองค์ทรงทราบดีว่า เป็นเรื่อง ที่ทวนกระแสสังคม ที่ต้องเป็นคนมีใจยากจน ทุกข์โศกเศร้า ใจอ่อนโยน ใจเมตตา และถูกเบียดเบียน เพราะ เห็นแก่พระองค์ พระองค์จงึ ทรงสัญญาทีจ่ ะให้ความสุขแก่เขา ทัง้ ในปัจจุบนั และโดยเฉพาะในสวรรค์ บุคคล ทั้งแปดประเภทยอมมีชีวิตเช่นนั้น โดยเลือกอยู่ฝ่ายพระองค์ พระองค์จึงทรงเลือกอยู่กับเขา และประทาน ความสุขแท้จริงแก่เขา ขอให้เราอ่านพระวรสารนักบุญมัทธิว บทที่ 25:31-46 ควบคู่กันไปด้วย และเราจะ เข้าใจชัดเจนขึ้น


สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา สดด 69:29-30, 32-33,35-36

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 รม 11:29-36 พี่น้อง ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนพระทัยเพิกถอนทั้งของประทานที่ ทรงให้เปล่าและพระกระแสเรียกของพระองค์ ท่านทัง้ หลายเคยไม่เชือ่ ฟังพระเจ้า แต่บัดนี้ได้รับพระกรุณา เพราะชาวอิสราเอลมิได้เชื่อฟังฉันใด บัดนี้ชาวอิสราเอล ไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่ในที่สุดพวกเขาก็จะได้รับพระกรุณา ดังที่ได้ทรงแสดงพระ กรุณาต่อท่านฉันนั้น เพราะพระเจ้าทรงปล่อยให้มนุษย์ทุกคนไม่เชื่อฟังพระองค์ เพื่อจะได้ทรงแสดงพระกรุณา พระเจ้าทรงพระปรีชาและทรงรอบรูล้ กึ ลาํ้ เพียงใด คำ�ตัดสินของพระองค์สดุ ที่จะหยั่งรู้ได้ และมรรคาของพระองค์สุดที่จะเข้าใจได้ ใครเล่าจะล่วงรู้พระดำ�ริ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ ใครเล่าเคยถวายสิ่งใด แด่พระองค์ พระองค์จึงจะต้องประทานตอบแทนเขา เพราะทุกสิ่งล้วนมาจาก พระองค์ โดยทางพระองค์และเพื่อพระองค์ ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ ตลอดนิรันดร อาเมน พระวรสาร ลก 14:12-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับผู้ที่เชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจัดเลี้ยงอาหาร กลางวันหรืออาหารคํ่า อย่าเชิญมิตรสหาย พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี เพราะเขา จะเชิญท่านและท่านจะได้รับการตอบแทน แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคน ยากจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด แล้วท่านจะเป็นสุข เพราะคนเหล่านั้นไม่มี สิง่ ใดตอบแทนท่านได้ ท่านจะได้รบั การตอบแทนจากพระเจ้าเมือ่ ผูช้ อบธรรมกลับ คืนชีวิต” การให้สิ่งใดแก่ใคร ตามปกติผู้รับมักให้เป็นการตอบแทน ซึ่งก่อให้เกิด ความสุขในระดับหนึ่ง แต่วันนี้พระเยซูเจ้าเผยเคล็ดลับแก่เราว่า หากเราปรารถนาจะ มีความสุขลึกๆ จงให้แก่ผู้ที่ไม่สามารถให้เราเป็นการตอบแทน เช่น ผู้ยากจน ผู้พิการ ผูร้ อโอกาส ฯลฯ และพระเจ้าจะเป็นผูท้ ที่ �ำ ให้เรามีความสุขแทนบุคคลเหล่านี้ ซึง่ ไม่อาจ ตอบแทนเราได้ ยิง่ เราให้อะไรแก่ใคร โดยไม่มผี ใู้ ดรับทราบ มีแต่พระเจ้าพระองค์เดียว เท่านั้นที่ทรงทราบ ความสุขของเรายิ่งลํ้าลึกเข้าไปในจิตใจอย่างแท้จริง


บทอ่านที่ 1 รม 12:5-16ก พี่น้อง เพราะร่างกายของเรามีองค์ประกอบหลายส่วน และส่วนต่างๆ เหล่า นี้ไม่มีหน้าที่เดียวกันฉันใด แม้เราจะมีจำ�นวนมาก เราก็รวมเป็นร่างกายเดียวใน พระคริสตเจ้าฉันนัน้ โดยแต่ละคนต่างเป็นส่วนร่างกายของกันและกัน เรามีพระพร พิเศษแตกต่างกันตามพระหรรษทานที่พระองค์ประทานให้ ผู้ได้รับพระพรที่จะ สัปดาห์ที่ 31 ประกาศพระวาจา ก็จงใช้พระพรนั้นมากน้อยตามส่วนความเชื่อของตน ผู้ที่ได้รับ เทศกาลธรรมดา พระพรที่จะรับใช้ ก็จงรับใช้ ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะสอน ก็จงสอน ผู้ที่ได้รับพระพร ที่จะตักเตือน ก็จงตักเตือน ผู้ที่บริจาค ก็จงบริจาคด้วยความเอื้อเฟื้ออย่างจริงใจ สดด 131:1,2,3 ผู้ที่เป็นผู้นำ� ก็จงทำ�หน้าที่ผู้นำ�ด้วยความเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตากรุณา ก็ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 จงแสดงความเมตตากรุณาด้วยใจยินดี จงรักด้วยใจจริง จงหลีกหนีความชัว่ จงยึด มั่นในสิ่งที่ดี จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน อย่าเฉื่อยชา จงมีจิตใจ กระตือรือร้นในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงมีความอดทนต่อความทุกข์ ยาก จงพากเพียรในการภาวนา จงเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ในยามขัดสน จงต้อนรับ ด้วยอัธยาศัยไมตรี จงอวยพรผู้ที่เบียดเบียนท่าน จงอวยพรเขา อย่าสาปแช่ง จงร่วมยินดีกับผู้ที่ยินดี จงร้องไห้กับผู้ ทีร่ อ้ งไห้ จงเป็นนาํ้ หนึง่ ใจเดียวกัน อย่ามักใหญ่ใฝ่สงู แต่จงยอมทำ�สิง่ ตาํ่ ต้อยเถิด อย่าทะนงว่าตนฉลาด พระวรสาร ลก 14:15-24 เวลานั้น ผู้ร่วมโต๊ะคนหนึ่งได้ยินเช่นนี้จึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “ผู้ที่กินอาหารในพระอาณาจักรของ พระเจ้าย่อมเป็นสุข” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ชายผู้หนึ่งจัดงานเลี้ยงใหญ่และเชิญคนเป็นจำ�นวนมาก เมื่อถึงเวลางาน เขาส่งผู้รับใช้ไปบอกผู้รับเชิญทั้งหลายว่า ‘เชิญมาเถิด ทุกอย่างพร้อมแล้ว’ แต่ทุกคน ต่างขอตัว คนแรกพูดว่า ‘ข้าพเจ้าได้ซื้อที่นาไว้แปลงหนึ่ง จำ�เป็นต้องไปดู จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ ได้’ อีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อโคไว้ห้าคู่ กำ�ลังจะไปทดลองใช้งาน จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้’ อีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน จึงมาไม่ได้’ ผู้รับใช้กลับมารายงานทุกอย่างแก่นายของตน นายโกรธมาก พูดกับผู้รับใช้ว่า ‘จงรีบออกไปตาม ลานสาธารณะและตามถนนในเมือง จงพาคนยากจน คนพิการ คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาที่นี่เถิด’ ผูร้ บั ใช้กลับมาบอกนายว่า ‘นายขอรับ ข้าพเจ้าทำ�ตามคำ�สัง่ ของท่านแล้ว แต่ยงั มีทวี่ า่ งอีก’ นายจึงบอก ผู้รับใช้ว่า ‘จงออกไปตามทางเดินและตามรั้วต้นไม้ เร่งเร้าผู้คนให้เข้ามาเพื่อทำ�ให้คนเต็มบ้านของเรา เราบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ที่ได้รับเชิญคนใดจะได้ลิ้มรสอาหารของเรา’” ในพิธมี สิ ซาประจำ�วันช่วงนี้ เราได้รบั ฟังพระวรสารของนักบุญลูกา เป็นพระวรสารทีก่ ล่าวถึง พระเมตตาของพระเจ้า ซึ่งพระเยซูเจ้าเป็นผู้ที่เสด็จมาทำ�ให้ผู้คนในสมัยของพระองค์ได้สัมผัสอย่างเป็นรูป ธรรม เราจึงมีโอกาสได้ไตร่ตรองรำ�พึง และซึมซับท่าทีของพระเยซูเจ้า ที่มีต่อบรรดาผู้ที่อยู่ชายขอบสังคม ดังเช่นพระวรสารในวันนี้ ที่ทำ�ให้เราเห็นว่า พระองค์มิได้ทรงรังเกียจหรือเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่พระองค์ทรง เชื้อเชิญให้ร่วมงานเลี้ยง เราทุกคนภูมิใจที่มีพระสันตะปาปา ซึ่งทรงดำ�เนินชีวิตเฉกเช่นพระเยซูเจ้าได้อย่าง เป็นรูปธรรมและชัดเจน


สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา สดด 112:1-3,4-5,9

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 รม 13:8-10 พี่น้อง อย่าเป็นหนี้ผู้ใด นอกจากเป็นหนี้ความรักซึ่งกันและกัน ผู้ที่รักเพื่อน มนุษย์กป็ ฏิบตั ติ ามธรรมบัญญัตคิ รบถ้วนแล้ว พระบัญญัตกิ ล่าวว่า อย่าผิดประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าโลภ และถ้ามีบทบัญญัติอื่นอีกก็สรุปได้ในข้อความ นี้ว่า จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ความรักไม่ทำ�ความเสียหายแก่เพื่อน มนุษย์ ความรักเป็นการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน พระวรสาร ลก 14:25-33 เวลานั้น ประชาชนจำ�นวนมากกำ�ลังเดินไปกับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงหัน พระพักตร์มาตรัสกับเขาทัง้ หลายว่า “ถ้าผูใ้ ดติดตามเราโดยไม่รกั เรามากกว่าบิดา มารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ ของเราไม่ได้ ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ ได้” “ท่านที่ต้องการสร้างหอคอย จะไม่คำ�นวณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอ สร้างให้เสร็จหรือไม่ มิฉะนั้นเมื่อวางรากฐานไปแล้ว แต่สร้างไม่สำ�เร็จ ทุกคนที่ เห็นจะหัวเราะเยาะเขา พูดว่า ‘คนนีเ้ ริม่ ก่อสร้าง แต่ท�ำ ให้ส�ำ เร็จไม่ได้’ หรือกษัตริย์ ที่ทรงยกทัพไปทำ�สงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง จะไม่ทรงคำ�นวณก่อนหรือว่า ถ้าใช้ก�ำ ลังพลหนึง่ หมืน่ คน จะเผชิญกับศัตรูทมี่ กี �ำ ลังพลสองหมืน่ คนได้หรือไม่ ถ้า ไม่ได้ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังอยู่ห่างไกล พระองค์จะได้ทรงส่งทูตไปเจรจาขอ สันติภาพ ดังนั้น ทุกท่านที่ไม่ยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้” การเป็นศิษย์ตดิ ตามพระเยซูเจ้า เรียกร้องการเปลีย่ นวิถชี วี ติ อย่างถอน รากถอนโคน เช่นต้องรักพระองค์มากกว่าพ่อแม่และบุคคลที่ใกล้ชิดโดยไม่มีเงื่อนไข ต้องแบกกางเขน ซึ่งหมายถึง การยอมรับความยากลำ�บากและการทรมานที่เกิดขึ้น ต้องติดตามพระองค์ และมุ่งหน้าเรื่อยไป ถอยหลังไม่ได้ และต้องนั่งลงคิดทบทวน คาดการณ์และตัดสินใจเสี่ยงไปกับพระองค์ โดยยอมละทิ้งสิ่งที่ไร้สาระทั้งสิ้น


บทอ่านที่ 1 1 คร 3:9ค-11,16-17 พีน่ อ้ ง ท่านทัง้ หลายเป็นอาคารของพระเจ้า พระเจ้าประทานพระหรรษทาน แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้วางรากฐานไว้ประหนึ่งเป็นสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญ และผู้ อื่นก็สร้างขึ้นบนรากฐานนั้น แต่ละคนจะต้องระมัดระวังว่าเขาก่อสร้างอย่างไร รากฐานที่วางไว้แล้วนี้คือพระเยซูคริสตเจ้าและไม่มีใครวางรากฐานอื่นได้อีก ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระจิตของ พระเจ้าทรงพำ�นักอยู่ในท่าน ถ้าใครทำ�ลายพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรง ทำ�ลายเขา เพราะพระวิหารของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ และท่านก็คือพระวิหารนั้น พระวรสาร ยน 2:13-22 เทศกาลปั ส กาของชาวยิ ว ใกล้ จ ะมาถึ ง พระเยซู เจ้ า เสด็ จ ขึ้ น ไปยั ง กรุ ง เยรูซาเล็ม ในบริเวณพระวิหาร พระองค์ทรงพบพ่อค้าขายโค พ่อค้าขายแกะ พ่อค้า ขายนกพิราบ และคนแลกเงินนั่งอยู่ที่โต๊ะ พระองค์ทรงใช้เชือกเป็นแส้ ทรงขับไล่ ทุกคนรวมทัง้ แกะและโคออกจากพระวิหาร ทรงปัดเงินกระจายเกลือ่ นกลาด และ ทรงควํา่ โต๊ะของผูแ้ ลกเงิน แล้วตรัสกับคนขายนกพิราบว่า “จงนำ�ของเหล่านีอ้ อก ไป อย่าทำ�บ้านของพระบิดาของเราให้เป็นตลาด” บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ถึงคำ�ที่ เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อบ้านของพระองค์เป็นเสมือนไฟ ทีเ่ ผาผลาญข้าพเจ้า” ชาวยิวจึงเข้ามาทูลถามพระองค์วา่ “ท่านมีเครือ่ งหมายอะไร แสดงให้เรารู้ว่าท่านมีอำ�นาจทำ�ดังนี้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “จงทำ�ลายพระ วิหารนี้ แล้วเราจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน” ชาวยิวพูดว่า “พระวิหารหลังนี้ ต้องใช้เวลาสร้างถึงสีส่ บิ หกปี แล้วท่านจะสร้างขึน้ ใหม่ในสามวันหรือ” แต่พระองค์ กำ�ลังตรัสถึงพระวิหารซึ่งหมายถึงพระกายของพระองค์ ดังนั้น เมื่อพระองค์ทรง กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายแล้ว บรรดาศิษย์จงึ ระลึกได้วา่ พระองค์ตรัส ไว้ดังนี้ เขาจึงเชื่อทั้งพระคัมภีร์และพระวาจาที่พระองค์ตรัสไว้ เราทุกคนได้ชอื่ ว่าเป็นศาสนิก คือผูท้ มี่ ศี าสนา ศาสนาจึงเป็นเรือ่ งสำ�คัญ และเกี่ยวข้องกับชีวิตเราในมิติอื่นๆ ด้วย ปัจจุบันนี้มีผู้คนมากมายใช้ศาสนาเพียงเพื่อ มิตเิ ศรษฐกิจอย่างเดียว จะสวดภาวนาต่อพระเจ้า ก็เพียงเพือ่ ขอให้ราํ่ รวย มีเงินมีทอง มากมาย หรือบางทีก็ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น วัน นี้พระเยซูเจ้าเตือนสติเรา อย่าดำ�เนินชีวิตเป็นศาสนิกตกขอบ ใช้ศาสนาเพื่อจะได้มา ซึง่ วัตถุเงินทอง หรือสิง่ ของเท่านัน้ สิง่ ทีค่ วรวอนขอพระเจ้าคือ ขอให้พระองค์ประทาน พระจิตเจ้าแก่เรา เพื่อพระองค์จะประทานความสว่างแก่เราในการแก้ไขปัญหาต่างๆ

ฉลองวันครบรอบ การถวายพระวิหาร ลาเตรัน สดด 46:2-3,5-6,8-9


ระลึกถึง น.เลโอ พระสันตะปาปา และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 98:1,2-3,4

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 รม 15:14-21 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าแน่ใจว่า ท่านมีความดีและมีความรู้อย่างเต็มเปี่ยม สั่งสอนตักเตือนกันได้ แต่บางตอนของจดหมายนี้ข้าพเจ้าใช้ถ้อยคำ�รุนแรงไปบ้าง เพื่อเตือนความจำ�ของท่านอีกครั้งหนึ่ง เพราะพระหรรษทานที่พระเจ้าประทาน ให้ข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเยซูไปยังคนต่างศาสนา โดย ทำ�หน้าที่สมณะในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า เพื่อให้คนต่างศาสนาได้เป็น เสมือนเครื่องบูชาที่พอพระทัยซึ่งพระจิตเจ้าทรงบันดาลความศักดิ์สิทธิ์ให้ ข้าพเจ้าจึงมีความภูมิใจในงานที่ข้าพเจ้าทำ�ในพระคริสตเยซูเพื่อพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่กล้ากล่าวถึงสิง่ ใดนอกจากสิง่ ทีพ่ ระคริสตเจ้าทรงกระทำ�โดยผ่าน ข้าพเจ้า เพือ่ ให้คนต่างศาสนาเชือ่ ฟังพระเจ้า ข้าพเจ้าทำ�เช่นนีโ้ ดยอาศัยคำ�พูดและ กิจการ อาศัยฤทธิ์อำ�นาจของเครื่องหมายอัศจรรย์ต่างๆ เดชะพระฤทธานุภาพ ของพระจิตเจ้า ข้าพเจ้าประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้าอย่างครบถ้วนตั้งแต่กรุง เยรูซาเล็มและเขตปริมณฑลไปจนถึงแคว้นอิลลีริคุม ข้าพเจ้าตั้งเป็นกฎไว้ว่าจะ ประกาศข่าวดีในทีท่ ยี่ งั ไม่มผี รู้ จู้ กั พระนามพระคริสตเจ้ามาก่อน เพือ่ ข้าพเจ้าจะได้ ไม่กอ่ สร้างบนรากฐานทีค่ นอืน่ วางไว้แล้ว ดังทีม่ เี ขียนไว้ในพระคัมภีรว์ า่ ผูท้ ไี่ ม่เคย ฟังคำ�ประกาศเรื่องพระองค์จะแลเห็น และผู้ที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระองค์จะเข้าใจ

พระวรสาร ลก 16:1-8 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “เศรษฐีผหู้ นึง่ มีผจู้ ดั การดูแลผลประโยชน์คนหนึง่ มีผมู้ าฟ้องว่าผูจ้ ดั การคนนีผ้ ลาญทรัพย์สนิ ของ นาย เศรษฐีจงึ เรียกผูจ้ ดั การมาถามว่า ‘เรือ่ งทีเ่ ราได้ยนิ เกีย่ วกับเจ้าเป็นอย่างไร จงทำ�บัญชีรายงานการ จัดการของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป’ ผู้จัดการจึงคิดว่า ‘ฉันจะทำ�อย่างไร นายจะ ไล่ฉันออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะไปขุดดินก็ทำ�ไม่ไหว จะไปขอทานก็อายเขา ฉันรู้แล้วว่าจะทำ� อย่างไร เพื่อว่าเมื่อฉันถูกไล่ออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะมีคนรับฉันไว้ในบ้านของเขา’ เขาจึงเรียกลูกหนี้ของนายเข้ามาทีละคน ถามคนแรกว่า ‘ท่านเป็นหนี้นายข้าพเจ้าเท่าไร’ ลูกหนี้ ตอบว่า ‘เป็นหนีน้ าํ้ มันมะกอกเทศหนึง่ ร้อยถัง’ ผูจ้ ดั การจึงบอกว่า ‘นำ�ใบสัญญาของท่านมา นัง่ ลงเร็วๆ เขียนแก้เป็นห้าสิบถัง’ แล้วเขาถามลูกหนี้อีกคนหนึ่งว่า ‘แล้วท่านล่ะ เป็นหนี้อยู่เท่าไร’ เขาตอบว่า ‘เป็นหนีข้ า้ วสาลีหนึง่ ร้อยกระสอบ’ ผูจ้ ดั การจึงบอกว่า ‘เอาใบสัญญาของท่านมาแล้วเขียนแก้เป็นแปด สิบกระสอบ’ นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้นว่า เขาทำ�อย่างเฉลียวฉลาด ทั้งนี้ก็เพราะบุตรของโลกนี้มีความ เฉลียวฉลาดในการติดต่อกับคนประเภทเดียวกันมากกว่าบุตรของความสว่าง” ความตระหนักสำ�นึกประการแรกจากพระวรสารวันนี้คือ เรามิได้เป็นเจ้าของ แต่เป็นเพียงผู้ จัดการทรัพย์สินเงินทอง พรสวรรค์ ฯลฯ เท่านั้น เพราะสิ่งที่เรามีล้วนแล้วแต่พระเจ้าเป็นเจ้าของทั้งสิ้น เรา ต้องไม่ใช้ของประทานจากพระเจ้าอย่างไม่รู้คุณค่า แต่ต้องใช้สิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างชาญฉลาดในการแก้ไข ปัญหา สร้างมิตรภาพ และเพื่อความดีของส่วนรวม


บทอ่านที่ 1 รม 16:3-9,16,22-27 พี่น้อง ขอฝากความคิดถึงปริสสิลลาและอาควิลลา ผู้ร่วมงานกับข้าพเจ้าใน พระคริสตเยซู เขาเสี่ยงต่อการถูกตัดคอเพื่อช่วยชีวิตข้าพเจ้ามาแล้ว มิใช่ข้าพเจ้า เท่านั้นที่ขอบคุณเขาทั้งสองคน แต่พระศาสนจักรทั้งหลายของชนต่างชาติก็ ขอบคุณเขาทั้งสองคนด้วย ขอฝากความคิดถึงพระศาสนจักรที่ชุมนุมกันในบ้าน ของเขาด้วย... ท่านทั้งหลาย จงทักทายกันด้วยการจุมพิตศักดิ์สิทธิ์ พระศาสนจักรทุกแห่ง ของพระคริสตเจ้าขอฝากความคิดถึงท่านทั้งหลาย... ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระผู้โปรดให้ท่านทั้งหลายมั่นคงตามข่าวดีของ ข้าพเจ้า และตามการประกาศสอนเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า เป็นการเปิดเผยธรรม ลํ้าลึกที่เก็บเป็นความลับตลอดเวลานานมาแล้ว แต่บัดนี้เปิดเผยให้ปรากฏแล้ว ตามข้อเขียนของบรรดาประกาศก ตามพระบัญชาของพระเจ้าผูท้ รงดำ�รงอยูต่ ลอด นิรันดร ให้นานาชาติได้รู้ เพื่อจะได้นำ�พวกเขามายอมรับความเชื่อ ขอพระสิริ รุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าผู้ทรงพระปรีชาญาณแต่เพียงพระองค์เดียว โดยทางพระ เยซูคริสตเจ้า ขอพระองค์ทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดร อาเมน

ระลึกถึง น.มาร์ติน แห่งตูร์ พระสังฆราช สดด 145:2-3,4-5, 10-11

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร ลก 16:9-15 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงใช้เงินทองของโลกอธรรมนี้ เพื่อสร้างมิตรให้ตนเอง เพื่อว่าเมื่อเงิน ทองนัน้ หมดสิน้ แล้ว ท่านจะได้รบั การต้อนรับสูท่ พี่ �ำ นักนิรนั ดร ผูท้ ซี่ อื่ สัตย์ในเรือ่ งเล็กน้อย ก็จะซือ่ สัตย์ ในเรื่องใหญ่ด้วย ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าท่าน ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเงินทองของโลกอธรรมแล้ว ผู้ใดจะวางใจมอบสมบัติแท้จริงให้ท่านดูแลเล่า ถ้าท่าน ไม่ซื่อสัตย์ในการดูแลทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ผู้ใดจะให้ทรัพย์สมบัติของท่านแก่ท่าน ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะเกลียดชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขา จะจงรักภักดีตอ่ นายคนหนึง่ และจะดูหมิน่ นายอีกคนหนึง่ ท่านทัง้ หลายจะปรนนิบตั ริ บั ใช้พระเจ้าและ เงินทองพร้อมกันไม่ได้” ชาวฟาริสีที่รักเงินทอง ได้ยินถ้อยคำ�ทั้งหมดนี้ จึงหัวเราะเยาะพระองค์ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายคิดว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ใจของท่าน สิ่งที่มนุษย์ ยกย่อง เป็นสิ่งน่ารังเกียจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” ประสบการณ์ของเราช่างตรงกับที่พระเยซูเจ้าทรงยํ้าเตือนจริงๆ เมื่อไรเราลืมตัว ปล่อยให้ เงินทองเป็นนาย เราก็กลายเป็นทาสของมัน ก้มหน้าก้มตาหามรุ่งหามคํ่า เอาแต่ใฝ่หาเงินทอง โดยไร้เป้า หมาย จนกระทั่งลืมพระเจ้า ไม่มีเวลาให้พระองค์ในการภาวนาและไปวัด ตรงกันข้าม เมื่อเราให้พระเจ้าเป็น นายเรา พระองค์จะไม่ทำ�ให้เราเป็นทาส แต่จะประทานความสว่างจากพระจิตของพระองค์ ทำ�ให้รู้จัก แยกแยะ แบ่งเวลา และเลือกลำ�ดับความสำ�คัญ เงินทองจะกลายเป็นทาสเรา เราจะใช้มันเพื่อพระเจ้า เพื่อ มนุษย์ และความก้าวหน้าของตนเองในชีวิตทั้งกายและวิญญาณ


สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ ปชญ 6:12-16 ปรีชาญาณแจ่มใส ไม่มัวหมอง ผู้รักปรีชาญาณก็จะแลเห็นได้โดยง่าย ผู้ แสวงหาปรีชาญาณก็จะพบ ปรีชาญาณแสดงตนให้เป็นทีร่ จู้ กั อยูแ่ ล้วก่อนทีผ่ ใู้ ดจะ ปรารถนา ผู้ลุกขึ้นแสวงหาปรีชาญาณตั้งแต่รุ่งอรุณจะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย เขาจะ พบปรีชาญาณนั่งอยู่หน้าประตูบ้าน การไตร่ตรองถึงปรีชาญาณเป็นความรอบรู้ อย่างสมบูรณ์ ผู้ตั้งตาคอยปรีชาญาณจะพ้นความกังวลโดยเร็ว ปรีชาญาณจะเดิน ไปแสวงหาผูส้ มควรได้รบั ด้วย แสดงตนอย่างอ่อนโยนแก่เขาตามทางไปพบเขา ไม่ ว่าเขากำ�ลังคิดจะทำ�สิ่งใด เพลงสดุดี สดด 63:1,3-5,6-7 ก) ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าแสวงหาพระองค์ตั้งแต่เช้าตรู่ จิตใจข้าพเจ้ากระหายหาพระองค์ ร่างกายข้าพเจ้าปรารถนาจะพบพระองค์ เหมือนผืนดินที่แห้งผาก แห้งแล้ง ไม่มีนํ้า ข) เพราะความรักมั่นคงของพระองค์มีคุณค่ากว่าชีวิต ริมฝีปากข้าพเจ้าจะพรํ่าสรรเสริญพระองค์ ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ตลอดชีวิต ข้าพเจ้าจะชูมือขึ้นเรียกขานพระนามพระองค์ ข้าพเจ้าจะอิ่มประดุจได้กินอาหารโอชาในงานเลี้ยง ริมฝีปากของข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ด้วยความยินดี ค) เมื่อนอนบนเตียง ข้าพเจ้าระลึกถึงพระองค์ ข้าพเจ้าคำ�นึงถึงพระองค์ทุกโมงยามตลอดคืน เพราะพระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือของข้าพเจ้าเสมอมา ข้าพเจ้าจึงร้องเพลงด้วยความยินดีอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง 1 ธส 4:13-17 พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านขาดความรู้ความเข้าใจถึงเรื่องผู้ล่วงหลับ คือผูท้ ตี่ ายไปแล้ว เพือ่ ท่านจะได้ไม่โศกเศร้าเหมือนคนอืน่ ทีไ่ ม่มคี วามหวัง เราเชือ่ ว่าพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพ เราจึงเชื่อว่าพระเจ้าจะ ทรงนำ�บรรดาผูท้ หี่ ลับอยูม่ ากับพระองค์โดยทางพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน ตามพระ วาจาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เราขอบอกท่านว่า เราผูย้ งั มีชวี ติ และรออยูจ่ นถึงวันที่ องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ได้เปรียบบรรดาผู้ที่ล่วงหลับไปแล้ว เพราะองค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ตามพระบัญชา เมือ่ มีเสียงหัวหน้าทูตสวรรค์


และเสียงแตรของพระเจ้า บรรดาผูต้ ายในพระคริสตเจ้า จะกลับคืนชีพก่อน ต่อจากนั้น เราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จะถูก รับขึ้นไปในกลุ่มเมฆพร้อมกับพวกเขา ไปพบองค์พระผู้ เป็นเจ้าในท้องฟ้า เราจะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ตลอดไป บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 25:1-13 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาให้บรรดา อัครสาวกฟังว่าดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับหญิงสาวสิบคนถือ ตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าว ห้าคนเป็นคนโง่ อีกห้าคน เป็นคนฉลาด หญิงโง่น�ำ ตะเกียงไป แต่มไิ ด้น�ำ นาํ้ มันไปด้วย ส่วนหญิงฉลาด นำ�นํา้ มันใส่ขวดไปพร้อมกับตะเกียง ทุกคนต่างง่วงและหลับไปเพราะเจ้าบ่าวมาช้า ครัน้ เวลาเทีย่ งคืน มีเสียงตะโกนบอกว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกไปรับกันเถิด’ หญิงสาวทุกคนจึงตื่นขึ้นแต่งตะเกียง หญิงโง่พูดกับหญิงฉลาดว่า ‘ขอนํ้ามันให้เราบ้าง เพราะ ตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว’ หญิงฉลาดจึงตอบว่า ‘ไม่ได้ เพราะนํ้ามันอาจไม่พอสำ�หรับเราและสำ�หรับพวกเธอด้วย จงไปหา คนขายแล้วซื้อเอาเองดีกว่า’ ขณะที่หญิงเหล่านั้นกำ�ลังไปซื้อนํ้ามัน เจ้าบ่าวก็มาถึง หญิงสาวที่เตรียม พร้อมจึงเข้าไปในห้องงานแต่งงานพร้อมกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ปิด ในที่สุด พวกหญิงโง่ก็มาถึง พูดว่า ‘นายเจ้าขา นายเจ้าขา เปิดรับพวกเราด้วย’ แต่เขาตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เรา ไม่รู้จักท่าน’ ดังนั้น จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา” พิธีกรรม 2 – 3 อาทิตย์นี้ กำ�ลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของปีพระศาสนจักร พระวาจาพระเจ้าเชิญ ชวนให้เราคิดถึงการเตรียมตัวพร้อมทีจ่ ะต้องจากชีวติ ชัว่ คราวบนโลกนีเ้ ข้าสูช่ วี ติ นิรนั ดร ท่าทีทเี่ ราต้องมีคอื การตืน่ เฝ้าและเตรียมพร้อมเสมอ สัญลักษณ์จากพระวรสารวันนี้ คือตะเกียงทีพ่ ร้อมได้รบั การจุดสว่างเสมอ การที่ไม่รู้วันเวลาที่แน่นอน มักทำ�ให้ผู้คนลืมตัว ขาดความพร้อมที่จะต้อนรับพระองค์ ซึ่งเป็นเจ้าบ่าวที่แท้ จริง ดังเช่นหญิงโง่และหญิงฉลาด ที่ต่างก็เผลอนอนหลับ แต่สำ�หรับหญิงฉลาด แม้หลับไปแต่ก็ยังมีนํ้ามัน ที่ทำ�ให้ตะเกียงของตนสว่าง พร้อมที่จะต้อนรับเจ้าบ่าว และเข้าสู่ห้องงานมงคลสมรส


สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา สดด 139:1-3,4-7, 8-10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 ปชญ 1:1-7 จงรักความชอบธรรมเถิด ท่านทั้งหลายผู้ปกครองแผ่นดิน จงคิดถึงองค์พระ ผู้เป็นเจ้าอย่างเป็นธรรม จงแสวงหาพระองค์ด้วยใจจริง เพราะผู้ที่ไม่ลองดีกับ พระองค์ ก็พบพระองค์ได้ พระองค์ทรงสำ�แดงองค์แก่บรรดาผู้วางใจในพระองค์ ความคิดคดแยกมนุษย์ออกจากพระเจ้า ถ้าผู้ใดลองดีกับพระอานุภาพ พระองค์ จะทรงพิสูจน์ว่าเขาโง่เขลา ปรีชาญาณไม่ซึมเข้าไปในจิตใจที่มุ่งทำ�ความชั่วร้าย และไม่อยู่ในร่างกายที่เป็นทาสของบาป พระจิตเจ้าทรงอบรมสั่งสอนมนุษย์ ทรง หลีกหนีความหลอกลวง ทรงอยู่ห่างจากผู้ที่คิดโง่เขลา จะเสด็จจากไป เมื่อความ อธรรมเข้ามา ปรีชาญาณเป็นจิตที่เป็นมิตรกับมนุษย์ แต่ไม่ปล่อยให้ผู้ที่กล่าวดู หมิ่นตนพ้นโทษไปได้ เพราะพระเจ้าทรงทราบความรู้สึกในใจของเขา ทรงสำ�รวจ ความคิดตามความจริง ทรงฟังคำ�พูดของเขา พระจิตขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าประทับ อยู่ทั่วพิภพ ทรงยึดสรรพสิ่งไว้ด้วยกัน มนุษย์พูดสิ่งใด พระองค์ก็ทรงทราบ พระวรสาร ลก 17:1-6 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “เหตุที่ชักนำ�ให้ทำ�บาปจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่ เป็นเหตุให้บาปเกิดขึน้ ถ้าจะเอาหินโม่แขวนคอเขาและโยนเขาลงทะเล จะเป็นการ ดีกว่าปล่อยให้เขาเป็นเหตุชักนำ�คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงคนเดียวให้ทำ�บาป ท่านทั้งหลายจงระวังตนให้ดีเถิด” “ถ้าพี่น้องของท่านทำ�ผิด จงตักเตือนเขา ถ้าเขากลับใจ จงให้อภัยแก่เขา ถ้า เขาทำ�ผิดต่อท่านวันละเจ็ดครั้ง และกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดครั้ง พูดว่า ‘ฉันเสียใจ’ ท่านจงให้อภัยเขาเถิด” บรรดาอัครสาวกทูลองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าว่า “โปรดเพิม่ ความเชือ่ ให้พวกเราเถิด” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้น หม่อนต้นนีว้ า่ ‘จงถอนรากแล้วไปขึน้ อยูใ่ นทะเลเถิด’ ต้นหม่อนต้นนัน้ ก็จะเชือ่ ฟัง ท่าน” ในฐานะเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า ให้เราขอพระเยซูเจ้า 3 สิ่งที่สำ�คัญ ดังเช่นพวกอัครสาวกขอในวันนี้คือ 1. สามารถหลีกเลี่ยงการเป็นเหตุให้ผู้อื่นที่ซื่อๆ ต้องตกในบาปหรือทำ�ผิด 2. สามารถตักเตือนเพื่อนๆ ให้แก้ไขความผิดพลาดที่เขากระทำ� 3. สามารถให้อภัยแก่ใครก็ตามที่ทำ�ผิด และขอโทษเรา พระองค์ยังให้กำ�ลังใจอีกว่า หากมีความเชื่อเล็กๆ แค่เมล็ดมัสตาร์ด ก็เพียงพอที่ จะกระทำ�ทั้ง 3 สิ่งนี้ได้


บทอ่านที่ 1 ปชญ 2:23-3:9 โดยแท้จริงแล้ว พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นอมตะ พระองค์ทรงสร้างเขา ตามภาพลักษณ์แห่งพระธรรมชาติของพระองค์ แต่เพราะความอิจฉาของปีศาจ ความตายจึงเข้ามาในโลก ผู้ที่อยู่ฝ่ายปีศาจก็จะประสบความตาย วิญญาณผูช้ อบธรรมอยูใ่ นพระหัตถ์พระเจ้า ความทุกข์ทรมานใดๆ จะทำ�ร้าย เขาไม่ได้ ในสายตาของคนโฉดเขลา ความตายของผู้ชอบธรรมดูเหมือนเป็นการ สิ้นสุด การจากโลกนี้ไปถูกคิดว่าเป็นหายนะ การที่เขาพรากจากเราไปดูเหมือน เป็นการสูญสิ้น แต่แท้จริงแล้ว เขาอยู่ในสันติสุข แม้ในสายตาของมนุษย์ เขาดู เหมือนว่าถูกพระเจ้าลงโทษ แต่เขาก็มีความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้ชีวิตอมตะ เขา ต้องทนทุกข์เพียงเล็กน้อย แต่จะได้รับบำ�เหน็จใหญ่หลวง เพราะพระเจ้าทรง ทดลองเขา และทรงพบว่าเขาเหมาะสมกับพระองค์ พระองค์ทรงทดลองเขาเหมือน ทรงหลอมทองในเบ้า พอพระทัยรับเขาเป็นเสมือนเครื่องเผาบูชา ในวาระที่ พระองค์เสด็จมาเขาจะส่องแสงรุ่งโรจน์ เขาจะเป็นเหมือนประกายไฟที่ไหม้ไปทั่ว กองฟาง เขาจะตัดสินนานาชาติ และมีอำ�นาจปกครองประชาชาติ องค์พระผู้เป็น เจ้าจะทรงครองราชย์เหนือเขาตลอดไป บรรดาผูท้ วี่ างใจในพระองค์จะเข้าใจความ จริง บรรดาผูซ้ อื่ สัตย์ตอ่ พระองค์จะมีชวี ติ อยูก่ บั พระองค์ในความรัก เพราะพระเจ้า ทรงความรักมัน่ คงและทรงพระเมตตาต่อบรรดาผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิข์ องพระองค์ และเสด็จ มาช่วยเหลือผู้ที่ทรงเลือกสรร พระวรสาร ลก 17:7-10 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “ท่านผูใ้ ดทีม่ ผี รู้ บั ใช้ออกไปไถนา หรือไปเลีย้ งแกะ เมือ่ ผูร้ บั ใช้กลับจากทุง่ นา ผู้นั้นจะพูดกับผู้รับใช้หรือว่า ‘เร็วเข้า มานั่งโต๊ะเถิด’ แต่จะพูดมิใช่หรือว่า ‘จง เตรียมอาหารมาให้ฉันเถิด จงคาดสะเอว คอยรับใช้ฉันขณะที่ฉันกินและดื่ม หลัง จากนั้นเจ้าจึงกินและดื่ม’ นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามคำ�สั่งมิใช่หรือ ท่านทัง้ หลายก็เช่นเดียวกัน เมือ่ ท่านได้ท�ำ ตามคำ�สัง่ ทุกประการแล้ว จงพูดว่า ‘ฉัน เป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำ�ตามหน้าที่ที่ต้องทำ�เท่านั้น’” ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเยซูเจ้า เป็นความสัมพันธ์ในฐานะ อาจารย์กับศิษย์ หรือนายกับคนใช้ ความสำ�นึกที่เราควรมีคือ ยินดีรับภารกิจจาก พระองค์มาปฏิบัติด้วยความรับผิดชอบและจงรักภักดี เมื่อปฏิบัติเสร็จแล้วก็ไม่ต้อง โอ้อวด เรียกร้องความสนใจ หรือต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน แต่ต้องภูมิใจ และ ขอบคุณพระองค์ ที่ได้ทรงไว้วางใจ และให้เกียรติมอบหน้าที่ให้เรากระทำ�

สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา สดด 34:1-2,15-16, 17-18

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


น.อัลเบิร์ต ผู้ยิ่งใหญ่ พระสังฆราช และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 82:3-4,6-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 ปชญ 6:1-11 กษัตริย์ทั้งหลาย จงฟังให้เข้าใจเถิด บรรดาผู้ปกครองทั่วแผ่นดิน จงเรียนรู้ เถิด ท่านทั้งหลายผู้ทรงอำ�นาจเหนือประชาชนมากหลาย และภูมิใจที่ปกครอง ชนชาติจ�ำ นวนมาก จงเงีย่ หูฟงั เถิด อำ�นาจปกครองของท่านมาจากองค์พระผูเ้ ป็น เจ้า อานุภาพของท่านมาจากพระเจ้าสูงสุด พระองค์จะทรงทดสอบการกระทำ� ของท่าน และจะทรงพิจารณาเจตจำ�นงของท่าน แม้ท่านเป็นผู้บริหารพระ อาณาจักรของพระองค์ แต่ถ้าท่านมิได้ปกครองอย่างถูกต้อง มิได้ปฏิบัติตาม กฎหมาย และมิได้ปฏิบตั ติ ามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์กจ็ ะเสด็จมาเผชิญ หน้าท่านอย่างน่ากลัวโดยรวดเร็ว เพราะผู้ทรงอำ�นาจเหนือผู้อื่นจะถูกพระองค์ ทรงพิพากษาอย่างเคร่งครัด ผูต้ าํ่ ต้อยสมควรได้รบั พระเมตตา แต่ผทู้ รงอำ�นาจจะ ถูกพิจารณาคดีอย่างเคร่งครัด พระองค์ผทู้ รงอำ�นาจปกครองมวลมนุษย์จะไม่ทรง ยำ�เกรงผูใ้ ด จะไม่ทรงคำ�นึงถึงความยิง่ ใหญ่ใดๆ เพราะพระองค์ทรงสร้างทัง้ ผูใ้ หญ่ และผู้น้อย และทรงเอาพระทัยใส่ดูแลทุกคนเท่าเทียมกัน แต่ทรงสอบสวนตรวจ ตราผูท้ รงอำ�นาจอย่างเคร่งครัด ผูท้ รงอำ�นาจทัง้ หลาย ข้าพเจ้าจึงพูดกับท่าน เพือ่ ท่านจะได้เรียนรู้ปรีชาญาณและไม่หลงผิด ผู้ปฏิบัติตามบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์อย่าง เลื่อมใสศรัทธาก็จะได้รับความศักดิ์สิทธิ์ และผู้ที่เรียนรู้ธรรมบัญญัติจะได้รับการ ปกป้องจากข้อกล่าวหา ดังนัน้ ท่านจงกระตือรือร้นและตัง้ ใจฟังคำ�ของข้าพเจ้า จง แสวงหา แล้วท่านจะได้รับความรู้ พระวรสาร ลก 17:11-19 เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มนั้น พระองค์เสด็จผ่าน แคว้นสะมาเรียและกาลิลี เมื่อเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนโรคเรื้อนสิบคน เข้ามาเฝ้าพระองค์ ยืนอยูห่ า่ งๆ ร้องตะโกนว่า “พระเยซู พระอาจารย์ โปรดสงสาร พวกเราเถิด” พระองค์ทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสกับเขาว่า “จงไปแสดงตนแก่ บรรดาสมณะเถิด” ขณะที่เขากำ�ลังไป เขาก็หายจากโรค คนหนึ่งในสิบคนนี้ เมื่อ พบว่าตนหายจากโรคแล้ว ก็กลับมา พลางร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้า ซบหน้า ลงแทบพระบาท ขอบพระคุณพระองค์ เขาผู้นี้เป็นชาวสะมาเรีย พระเยซูเจ้าจึง ตรัสว่า “ทั้งสิบคนหายจากโรคมิใช่หรือ อีกเก้าคนอยู่ที่ใด ไม่มีใครกลับมาถวาย พระเกียรติแด่พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำ�ให้ท่านรอดพ้นแล้ว” มีผู้คนมากมายที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า เช่นพระพรที่ได้รับการรักษา พระพรทีไ่ ด้หลุดพ้นจากปัญหา ความทุกข์ล�ำ บาก และความยากจน หลายคนได้รบั ตาม คำ�วิงวอนขอ แต่น้อยคนที่ตระหนักถึงความรักและเมตตาที่พระเจ้าทรงมีต่อตนเอง บุคคลที่ตระหนักถึง ก็ชื่นชอบและอดไม่ได้ที่จะขอบพระคุณพระองค์ ดังนั้น เราจึง ต้องทบทวนตนเองในวันนี้ว่า เราเคยอ่านความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเราออกหรือไม่ อ่านบ่อยแค่ไหน และเคยขอบพระคุณพระองค์อย่างสมํ่าเสมอหรือไม่


บทอ่านที่ 1 ปชญ 7:22-8:1 ปรีชาญาณเป็นจิตรอบรู้ ศักดิส์ ทิ ธิ์ เป็นหนึง่ ไม่เหมือนใคร หลากหลาย บางเบา ว่องไว แทรกซึมทุกอย่าง ไร้ราคี สดใส ไม่เป็นพิษเป็นภัย รักความดี แหลมคม ขัดขืนมิได้ เอื้ออารี รักมนุษย์ ยืนยง มั่นคง ไร้กังวล ทำ�สิ่งใดก็ได้ แลเห็นทุกสิ่ง และแทรกซึมเข้าในจิตทัง้ หลายทีร่ อบรู้ บริสทุ ธิ์ และบางเบา ปรีชาญาณเคลือ่ นไหว ว่องไวยิ่งกว่าการเคลื่อนไหวใดๆ ผ่านทะลุและแทรกซึมเข้าในทุกสิ่ง เพราะเป็น จิตบริสทุ ธิ์ ปรีชาญาณเป็นสิง่ ทีไ่ หลล้นจากพระอานุภาพของพระเจ้า เป็นรังสีแห่ง พระสิรริ งุ่ โรจน์บริสทุ ธิข์ องพระผูท้ รงสรรพานุภาพ ดังนัน้ จึงไม่มสี งิ่ ใดทีเ่ ป็นมลทิน เข้าไปในปรีชาญาณ ปรีชาญาณเป็นแสงสะท้อนความสว่างนิรนั ดร เป็นกระจกเงา ไร้ราคีสอ่ งการกระทำ�ของพระเจ้า เป็นภาพลักษณ์แห่งความดีลาํ้ เลิศของพระองค์ ปรีชาญาณทำ�ได้ทกุ อย่างด้วยตนเอง ปรีชาญาณไม่เปลีย่ นแปลง แต่ฟนื้ ฟูทกุ สิง่ ได้ ปรีชาญาณเข้าไปในจิตวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ตลอดมาทุกสมัย บันดาลให้เป็นมิตร ของพระเจ้า และให้เป็นประกาศก เพราะพระเจ้าทรงรักเฉพาะผู้ดำ�เนินชีวิตด้วย ปรีชาญาณ ปรีชาญาณงดงามกว่าดวงอาทิตย์ สุกใสกว่ากลุ่มดาวใดๆ เมื่อเทียบ กับแสงสว่าง ปรีชาญาณก็ยงั ได้เปรียบ เพราะแสงสว่างยังต้องยอมให้กลางคืนเข้า มาแทนที่ แต่ความชัว่ ร้ายจะชนะปรีชาญาณไม่ได้เลย ปรีชาญาณแผ่พลังไปทัว่ ทุก มุมโลก ปกครองทุกสิ่งอย่างดีเลิศ พระวรสาร ลก 17:20-25 เวลานั้น เมื่อชาวฟาริสีทูลถามว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อ ใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ามิได้มาอย่างที่จะสังเกต เห็นได้ จะไม่มใี ครพูดว่า ‘พระอาณาจักรอยูท่ นี่ ี่ หรืออยูท่ น่ี นั่ ’ เพราะพระอาณาจักร ของพระเจ้าอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เวลานั้นจะมาถึงเมื่อท่านปรารถนาเห็น วันของบุตรแห่งมนุษย์แม้เพียงวันเดียว แต่จะไม่ได้เห็น จะมีหลายคนกล่าวกับท่าน ว่า ‘บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นั่น’ หรือ ‘บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นี่’ ท่านอย่าออกไป อย่า ตามไป เพราะเมือ่ สายฟ้าแลบ ย่อมส่องสว่างจากขอบฟ้าหนึง่ ไปถึงอีกขอบฟ้าหนึง่ ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จมาในวันของพระองค์ฉันนั้น แต่ก่อนจะถึงวันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จ�ำ เป็นต้องรับการทรมานอย่างมาก และจำ�เป็นทีค่ นยุคนีไ้ ม่ยอมรับ พระองค์” กษัตริย์ซาโลมอนทรงวอนขอปรีชาญาณจากพระเจ้า (ปชญ 7:15-21) บทอ่านแรกวันนี้ เป็นคำ�สรรเสริญปรีชาญาณ บรรยายคุณสมบัตติ า่ งๆ ของปรีชาญาณ โดยใช้คำ�ขยายต่างๆ ถึง 21 คำ� (= 3x7) เป็นสัญลักษณ์หมายถึงความสมบูรณ์ของ ปรีชาญาณโดยแท้จริง สรุปได้ว่าปรีชาญาณเป็นหนึ่งเดียวกับพระญาณเอื้ออาทรของ พระเจ้า ขอพระเจ้าประทานปรีชาญาณแก่เราในวันนี้

น.มาร์กาเร็ต แห่งสก็อตแลนด์ น.เยอร์ทรู๊ด พรหมจารี

สดด 119:89-90,91, 129-130,134-135,175

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


ระลึกถึง น.เอลีซาเบธ แห่งฮังการี นักบวช

สดด 19:1-2,3-4

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 ปชญ 13:1-9 ทุกคนทีไ่ ม่รจู้ กั พระเจ้าย่อมเป็นคนโง่เขลาโดยธรรมชาติ จากสิง่ ดีทเี่ ห็นได้ เขา ไม่อาจค้นพบพระองค์ผู้ทรงดำ�รงอยู่ แม้จะพิจารณาผลงานของพระองค์ เขาก็ยัง ไม่รู้จักพระผู้ทรงสร้าง เขาคิดว่าไฟ ลม อากาศบางเบา กลุ่มดวงดาวต่างๆ คลื่น รุนแรง ดวงประทีปในท้องฟ้า เป็นเทพเจ้าผู้ปกครองโลก ถ้าเขาพิศวงในความ งดงามของสิ่งเหล่านี้จนคิดว่าเป็นเทพเจ้า เขาก็น่าจะรู้ว่าพระผู้ทรงเป็นเจ้านาย ของสิ่งเหล่านี้ทรงสูงส่งกว่าสักเพียงใด เพราะพระองค์ผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ทรง เป็นบ่อเกิดของความงดงาม ถ้าเขาพิศวงในอำ�นาจและพลังของสิ่งเหล่านี้ เขาน่า จะรู้ว่าพระผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ทรงพระอานุภาพมากกว่าสักเพียงใด เพราะจาก ความยิง่ ใหญ่และความงดงามของสิง่ สร้างทีค่ ล้ายกับพระผูส้ ร้าง มนุษย์เราก็นา่ จะ รู้จักพระองค์ได้ คนเหล่านี้ควรได้รับคำ�ตำ�หนิบ้าง เพราะแม้เขาพยายามแสวงหา พระเจ้าและต้องการพบพระองค์ แต่เขาอาจหลงทางไปเท่านัน้ เขาหมกมุน่ ค้นคว้า ผลงานของพระองค์ แต่กลับสะดุดอยูก่ บั ความงดงามทีป่ รากฏ เพราะสิง่ ทีเ่ ขาเห็น นั้นงดงามน่าชม ถึงกระนั้น คนเหล่านี้ก็ไม่พ้นความผิดทั้งหมด ถ้าเขารู้จักค้นคว้า หาความรูเ้ รือ่ งจักรวาลได้ เหตุไฉนก่อนหน้านัน้ เขาจึงค้นพบองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้

พระวรสาร ลก 17:26-37 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์วา่ “เหตุการณ์ได้เกิดขึน้ ในสมัยของโนอาห์ฉนั ใด ก็จะเกิด ขึ้นในสมัยของบุตรแห่งมนุษย์ฉันนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานเป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไป ในเรือ นาํ้ วินาศก็ได้ทว่ มเขาเหล่านัน้ จนตายสิน้ ในสมัยของโลทก็เช่นเดียวกัน ผูค้ นกิน ดืม่ ซือ้ ขาย ปลูก พืช สร้างบ้าน แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสโดม ไฟและกำ�มะถันได้ตกจากท้องฟ้ามาเผาผลาญเขา เหล่านั้นจนตายสิ้น ในวันที่บุตรแห่งมนุษย์จะทรงสำ�แดงองค์ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันด้วย ในวันนั้น คนที่อยู่บนดาดฟ้าและมีข้าวของอยู่ในบ้าน จงอย่าลงมาเอาของเหล่านั้นเลย คนที่อยู่ ในทุ่งนาก็เช่นเดียวกัน จงอย่าหวนกลับมาอีก ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงเรื่องภรรยาของโลทไว้เถิด ผู้ใด ที่พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น และผู้ใดที่เสียชีวิตของตน ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้ได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูก ทิง้ ไว้ หญิงสองคนทีก่ �ำ ลังโม่แป้งอยูด่ ว้ ยกัน คนหนึง่ จะถูกรับไป อีกคนหนึง่ จะถูกทิง้ ไว้” บรรดาศิษย์จงึ ทูลถามว่า “เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงตอบว่า “ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดา แร้งจะมาชุมนุมกัน” บทอ่านแรกเป็นคำ�ประณามการกราบไหว้สงิ่ สร้างเป็นพระเจ้า ในปรีชาญาณ 12:23-27 กล่าว ถึงการนับถือสัตว์เป็นเทพเจ้า บทอ่านแรกวันนี้ประณามการกราบไหว้สิ่งสร้างเป็นพระเจ้า 3 รูปแบบ คือ (1) การกราบไหว้พลังธรรมชาติและดาวดารา (13:1-9) (2) การกราบไหว้รปู เคารพทีม่ นุษย์สร้างขึน้ (13:1015 :17) (3) การกราบไหว้สัตว์ต่างๆ (15:18-19) นักบุญเอลีซาเบ็ธแห่งฮังการี (ค.ศ. 1207-1231) รักพระเจ้า เที่ยงแท้ สมัครเป็นนักบวชชั้นที่ 3 ของนักบุญฟรังซิส อัสซีซี ท่านอุทิศตนดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล


บทอ่านที่ 1 กจ 28:11-16, 30-31 สามเดือนต่อมา เราโดยสารเรือลำ�หนึ่งซึ่งมาจากเมืองอเล็กซานเดรียมาจอด พักในฤดูหนาวที่เกาะ หัวเรือเป็นรูปเทพเจ้าคัสเตอร์และโพลักซ์ เรามาถึงเมือง ซีราคิวส์และพักอยู่ที่นั่นสามวัน จากนั้นเราแล่นเรือเลียบฝั่งมาถึงเมืองเรยีอุม วัน รุ่งขึ้นลมใต้พัดมา เราจึงมาถึงเมืองปูเตโอลีภายในสองวัน ที่นั่นเราพบพี่น้องบาง วันครบรอบ คนซึ่งเชิญเราให้ไปพักอยู่กับเขาหนึ่งสัปดาห์ แล้วเราจึงออกเดินทางไปกรุงโรม บรรดาพีน่ อ้ งทีก่ รุงโรมรูว้ า่ เรากำ�ลังเดินทางไป จึงมาพบเราทีเ่ มืองฟอรุมอัปปีและ การถวายพระวิหาร หมู่บ้านสามโรงแรม เมื่อเปาโลเห็นเขา ก็ขอบคุณพระเจ้าและมีกำ�ลังใจดีขึ้น เรา น.เปโตรและน.เปาโล อัครสาวก มาถึงกรุงโรม เปาโลได้รบั อนุญาตให้อยูต่ ามลำ�พังโดยมีทหารคนหนึง่ เป็นผูค้ วบคุม เปาโลพักอยู่ในบ้านเช่าเป็นเวลาสองปีเต็ม และต้อนรับทุกคนที่มาเยี่ยม สดด 98:1,2-3,4-5 ประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า และสอนความจริงเรื่องพระเยซูคริสต์องค์ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 พระผู้เป็นเจ้าอย่างกล้าหาญโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ พระวรสาร มธ 14:22-33 ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามทะเลสาบล่วง หน้าพระองค์ไปในขณะที่พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงลาประชาชน แล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนาตามลำ�พัง ครั้นเวลา คํา่ พระองค์ทรงอยูท่ นี่ นั่ เพียงพระองค์เดียว ส่วนเรืออยูห่ า่ งจากฝัง่ หลายร้อยเมตร กำ�ลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม เมื่อถึงยามที่สี่ พระองค์ทรงดำ�เนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ เมื่อบรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรง ดำ�เนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วยความกลัว ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ทำ�ใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้า ข้า ถ้าเป็นพระองค์ ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนนํ้าไปหาพระองค์เถิด” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนนํ้าไปหาพระเยซูเจ้า แต่เมื่อเห็นว่าลมแรง เขาก็กลัวและเริ่มจมลง แล้วร้องว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าทรงยื่น พระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำ�ไมเล่า” เมือ่ พระองค์เสด็จขึน้ มาประทับในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ คนทีอ่ ยูใ่ นเรือจึงเข้ามากราบ นมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง” ในบทอ่านแรก นักบุญเปาโลเดินทางจากเกาะมอลต้าถึงกรุงโรม นีเ่ ป็นบทสุดท้ายของหนังสือ กิจการอัครสาวก เมื่อมาถึงกรุงโรม นายร้อยได้ส่งมอบบรรดานักโทษให้แก่ผู้บังคับบัญชาค่าย แต่เปาโลได้ รับอนุญาตให้อยู่นอกค่ายได้ คืออาศัยอยู่ในบ้านเช่า แต่ต้องมีโซ่ล่ามแขนขวาไว้กับแขนซ้ายของทหารผู้คุม เปาโลอยู่ที่กรุงโรมเป็นเวลาสองปี (ค.ศ. 61-63) หลังจากนั้น คดีของท่านถูกยกฟ้องเพราะขาดหลักฐาน พยาน ตามธรรมประเพณีเล่าว่า เปาโลถูกจองจำ�ที่กรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง และถูกประหารชีวิตเป็นมรณสักขี ในปี ค.ศ. 67 จึงมีการสร้างวิหารเป็นที่ระลึกถึง


สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันสิทธิมนุษยชน

บทอ่านจากหนังสือสุภาษิต สภษ 31:10-13,19-20,30-31 ใครจะพบภรรยาที่มีคุณธรรมได้ เธอประเสริฐกว่าไข่มุกยิ่งนัก จิตใจของสามี ก็วางใจเธอ เขาจะไม่ขาดกำ�ไร เธอทำ�ให้เขามีความสุข ไม่ก่อความทุกข์ให้เขาเลย ตลอดชีวติ ของเธอ เธอไปหาขนแกะและป่าน มาทอเป็นผืนผ้าด้วยมืออย่างเต็มใจ เธอยืน่ มือจับไนปัน่ ด้าย นิว้ มือของเธอหมุนเครือ่ งกรอด้าย เธอเหยียดมือช่วย เหลือคนยากจน ยื่นมือช่วยเหลือคนขัดสน เสน่หเ์ ป็นสิง่ หลอกลวง ความสวยงามก็ไม่จรี งั ยัง่ ยืน แต่สตรีทยี่ �ำ เกรงพระเจ้า สมควรได้รับคำ�สรรเสริญ จงให้เธอได้รับผลจากมือของเธอ การงานของเธอจง สรรเสริญเธอที่ประตูเมือง เพลงสดุดี สดด 128:1-2,3,4-6 ก) ผู้ยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมเป็นสุข เขาเดินอยู่ในมรรคาของพระองค์ ท่านจะมีอาหารกินจากงานที่ท่านทำ� ท่านจะเป็นสุขและเจริญรุ่งเรือง ข) ภรรยาของท่านจะเป็นดั่งเถาองุ่นที่มีผลดกภายในบ้านของท่าน บุตรของท่านจะเป็นเหมือนหน่อต้นมะกอกเทศนั่งอยู่รอบโต๊ะอาหาร ค) บุรุษผู้ยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับพระพรเช่นนี้ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระพรแก่ท่านจากศิโยน ขอให้ท่านเห็นความรุ่งเรืองของกรุงเยรูซาเล็ม ทุกวันตลอดชีวิตของท่าน ขอให้ท่านมีชีวิตยืนนานจนเห็นหลานเห็นเหลน สันติสุขจงมีแก่อิสราเอล บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง 1 ธส 5:1-6 พี่นอ้ งทั้งหลาย ไม่จำ�เป็นที่จะเขียนบอกท่านเรือ่ งวันเวลาที่ก�ำ หนด ท่านรูอ้ ยู่ แล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเหมือนขโมยที่มาตอนกลางคืน เมื่อใดที่ กล่าวกันว่า “มีสันติและความปลอดภัยแล้ว” เมื่อนั้นความพินาศจะอุบัติแก่เขา โดยฉับพลันเหมือนความเจ็บปวดของหญิงมีครรภ์ แล้วเขาจะหนีไม่พ้น ส่วนท่าน พีน่ อ้ งทัง้ หลาย อย่าดำ�รงชีวติ ในความมืด เพราะวันนัน้ จะมาถึงโดย ไม่รตู้ วั เหมือนขโมย ทุกท่านเป็นบุตรแห่งความสว่างและบุตรแห่งทิวากาล เรามิได้ อยู่ฝ่ายราตรีกาลหรือความมืด ดังนั้น เราอย่าหลับใหลเหมือนคนอื่น จงตื่นอยู่ เสมอและจงรู้จักประมาณตน


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 25:14-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกเป็น เรื่องอุปมาว่าดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่ง กำ�ลังจะเดินทางไกล เรียกผูร้ บั ใช้มามอบทรัพย์สนิ ให้ ให้ คนทีห่ นึง่ ห้าตะลันต์ ให้คนทีส่ องสองตะลันต์ ให้คนทีส่ าม หนึง่ ตะลันต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจึงออก เดินทางไป คนทีร่ บั ห้าตะลันต์รบี นำ�เงินนัน้ ไปลงทุน ได้ก�ำ ไรมา อีกห้าตะลันต์ คนที่รับสองตะลันต์ก็ได้กำ�ไรมาอีกสอง ตะลันต์เช่นเดียวกัน แต่คนที่รับหนึ่งตะลันต์ไปขุดหลุม ซ่อนเงินของนายไว้ หลังจากนั้นอีกนาน นายของผู้รับใช้พวกนี้ก็กลับมาและตรวจบัญชีของพวกเขา คนที่รับห้า ตะลันต์เข้ามา นำ�กำ�ไรอีกห้าตะลันต์มาด้วย กล่าวว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าห้าตะลันต์ นี่คือเงิน อีกห้าตะลันต์ทขี่ า้ พเจ้าทำ�กำ�ไรได้’ นายพูดว่า ‘ดีมาก ผูร้ บั ใช้ทดี่ แี ละซือ่ สัตย์ เจ้าซือ่ สัตย์ในสิง่ เล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรือ่ งใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกบั นายของเจ้าเถิด’ คนทีร่ บั สองตะลันต์เข้ามารายงาน ว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ขา้ พเจ้าสองตะลันต์ นีค่ อื เงินอีกสองตะลันต์ทขี่ า้ พเจ้าทำ�กำ�ไรได้’ นายพูดว่า ‘ดี มาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดี กับนายของเจ้าเถิด’ คนที่รับหนึ่งตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนเข้มงวด เก็บเกี่ยวในที่ ที่ท่านไม่ได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ทา่ นไม่ได้โปรย ข้าพเจ้ามีความกลัว จึงนำ�เงินของท่านไปฝังดิน ซ่อนไว้ นี่คือเงินของท่าน’ นายจึงตอบว่า ‘ผู้รับใช้เลวและเกียจคร้าน เจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ที่ข้ามิได้ หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ข้ามิได้โปรย เจ้าก็ควรนำ�เงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เมื่อข้ากลับมาจะได้ ถอนเงินของข้าพร้อมกับดอกเบี้ย จงนำ�เงินหนึ่งตะลันต์จากเขาไปให้แก่ผู้ที่มีสิบตะลันต์ เพราะผู้ที่มี มาก จะได้รบั มากขึน้ และเขาจะมีเหลือเฟือ แต่ผทู้ มี่ นี อ้ ย สิง่ เล็กน้อยทีเ่ ขามีกจ็ ะถูกริบไปด้วย ส่วนผูร้ บั ใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ จงนำ�ไปทิ้งในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความ ขุ่นเคือง’” อุปมาเรื่องเงินตะลันต์ ตะลันต์หมายถึงปริมาณทองคำ�หนักประมาณ 30 กิโลกรัม อุปมาเรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับ 2 ทัศนคติ คือ แบบผู้ที่ส่งผ่านสิ่งที่เขาได้รับจากพระเจ้าเพื่อช่วยผู้อื่น และแบบผู้ที่เก็บสิ่งที่พระเจ้าให้เขาสำ�หรับตนเอง พระเจ้าให้เรารับผิดชอบ เพือ่ ประกาศพระวรสาร (ข่าวดี) ทุกวันเรามีชว่ งเวลาดีๆ บ้าง ไม่ดบี า้ ง มีปญ ั หา มีความเครียด ศิษย์ของพระเยซูเจ้าต้องเป็นประจักษ์พยานชีวติ นีค่ อื ความหมายของตะลันต์ทเี่ ราได้รบั และ นักบุญเปาโลสอนว่า “จงตื่นอยู่เสมอ และจงรู้จักประมาณตน”


บทอ่านที่ 1 1 มคบ 1:10-15,41-43,54-57,62-64 ในครัง้ นัน้ ผูส้ บื สกุลเลวร้ายทีส่ ดุ ของกษัตริยเ์ หล่านี้ คือ อันทิโอคัส เอปีฟาเนส พระโอรสของกษัตริย์อันทิโอคัส... เวลานัน้ ชาวอิสราเอลผูท้ รยศบางคนพยายามชักชวนผูค้ นจำ�นวนมากว่า “มา เถิด เราจงเป็นพันธมิตรกับชนชาติตา่ งๆ ทีอ่ ยูโ่ ดยรอบ ตัง้ แต่เวลาทีเ่ ราแยกตัวจาก สัปดาห์ที่ 33 เขา เราก็ประสบแต่ความชั่วร้ายมากมาย” หลายคนเห็นพ้องกับข้อเสนอนี้ เทศกาลธรรมดา ประชาชนบางคนยินดีไปเฝ้ากษัตริย์... กษัตริย์ทรงออกพระราชกฤษฎีกาทั่วพระราชอาณาจักรให้ทุกคนรวมเป็น สดด 119:53-54, ประชากรเดียวกัน ละทิ้งขนบธรรมเนียมของตน ชนชาติทั้งหลายยอมปฏิบัติตาม 60-61,134-135, พระราชกฤษฎีกา ชาวอิสราเอลจำ�นวนมากยอมรับการปฏิบัติศาสนกิจตามพระ 150,155-156,158 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 บัญชา ถวายบูชาแด่รูปเคารพและละเมิดวันสับบาโต วันที่สิบห้าเดือนคิสเลฟ ปีหนึ่งร้อยสี่สิบห้า กษัตริย์อันทิโอคัสทรงสร้างรูปผู้ ทำ�ลายทีน่ า่ รังเกียจไว้บนพระแท่นเผาเครือ่ งบูชา ผูต้ รวจราชการสร้างแท่นบูชาไว้ ในเมืองต่างๆ ทุกเมืองของแคว้นยูดาห์ เผากำ�ยานที่ประตูบ้านและตามลานสาธารณะ เมื่อพบม้วน หนังสือธรรมบัญญัติ ก็ฉีกทิ้งเผาไฟ ถ้าพบผู้ใดมีม้วนหนังสือพันธสัญญาหรือปฏิบัติตามธรรมบัญญัติก็ ประหารชีวิตตามพระราชกฤษฎีกา แต่ชาวอิสราเอลหลายคนมีความเข้มแข็งและตั้งใจแน่วแน่จะไม่กินอาหารที่เป็นมลทิน ยอมตาย ไม่ท�ำ ตนเป็นมลทินด้วยการกินอาหารต้องห้าม ดีกว่าจะละเมิดพันธสัญญาศักดิส์ ทิ ธิ์ เขาจึงถูกประหาร ชีวิต ชาวอิสราเอลต้องถูกเบียดเบียนอย่างหนัก พระวรสาร ลก 18:35-43 เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินมาใกล้เมืองเยรีโค ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ ริมทาง เมือ่ ได้ยนิ เสียงผูค้ นผ่านมา เขาจึงถามว่าเกิดอะไรขึน้ มีคนบอกเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำ�ลัง เสด็จผ่านมา คนตาบอดจึงร้องขึน้ ว่า “ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริยด์ าวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้า เถิด” ผู้คนที่เดินข้างหน้า ได้ดุว่าเขา บอกให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า “พระโอรสของ กษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” พระเยซูเจ้าทรงหยุด ตรัสสั่งให้นำ�คนนั้นเข้ามา เมื่อเขา เข้ามาใกล้ พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านอยากให้เราทำ�อะไรให้” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า ให้ข้าพเจ้ามอง เห็นเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงมองเห็นเถิด ความเชือ่ ของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” ทันใด นั้น เขาก็มองเห็นได้อีก และเดินตามพระองค์ไป พลางถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ประชาชนทั้งปวง เห็นเช่นนั้น ต่างร้องสรรเสริญพระเจ้า หนังสือมัคคาบี (ประมาณ 160 ก่อน ค.ศ.) ไม่อยู่ในสารบบพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูของชาวยิว พระศาสนจักรคาทอลิกรับว่าหนังสือนีไ้ ด้รบั การดลใจ จึงจัดไว้ใน “สารบบทีส่ อง” กล่าวถึงการทีช่ าวยิวสูร้ บ กับกษัตริย์ เพือ่ เสรีภาพทางศาสนาและการเมือง บทอ่านแรกวันนีเ้ ล่าถึงการแผ่อารยธรรมกรีก ชาวยิวบาง คนนิยมชมชอบและสนับสนุน แต่ชาวยิวส่วนใหญ่ยังรักษาความซื่อสัตย์ต่อธรรมบัญญัติและพระวิหาร ปัจจุบันยังมีการเบียดเบียนศาสนาในบางประเทศ


บทอ่านที่ 1 2 มคบ 6:18-31 ในครั้งนั้น เอเลอาซาร์ธรรมาจารย์สำ�คัญคนหนึ่ง มีอายุมากแล้ว แต่ยังสง่า งาม ถูกบังคับให้อา้ ปากกินเนือ้ หมู แต่เขายอมตายอย่างมีเกียรติดกี ว่าจะมีชวี ติ อยู่ อย่างน่าอับอาย จึงเต็มใจเดินไปยังสถานที่ทรมาน เขาถ่มเนื้อหมูทิ้ง ประพฤติตน เหมาะสมกับผู้ที่ไม่ยอมกินอาหารที่ธรรมบัญญัติห้าม แม้จะต้องเสียชีวิต ผู้มีหน้า ระลึกถึงพระนาง ที่ดูแลการเลี้ยงที่ผิดบทบัญญัตินั้นแยกเขาออกไปเพราะความคุ้นเคยที่มีมานาน มารีย์พรหมจารี แล้ว และขอร้องให้นำ�เนื้อที่ธรรมบัญญัติอนุญาตให้กินได้มากิน แสร้งทำ�เป็นกิน เนื้อที่ถวายบูชาแล้วตามที่กษัตริย์ทรงบัญชา ถ้าเขาทำ�เช่นนี้ เขาจะรอดตาย เขา ถวายองค์ในพระวิหาร ได้รับความกรุณานี้เพราะมิตรภาพที่ยาวนาน แต่เอเลอาซาร์ตัดสินใจอย่างน่า สดด 3:1-3,4-5,6-7 ชืน่ ชมเหมาะสมกับอายุและเกียรติของความเป็นผูอ้ าวุโสน่าเคารพ... จึงบอกทันที ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ให้นำ�ตนไปประหารชีวิต “คนอายุอย่างเรานี้ไม่ควรจะเสแสร้งทำ� เยาวชนหลาย คนอาจจะคิดว่าเอเลอาซาร์อายุเก้าสิบปีแล้วยังเปลีย่ นใจไปดำ�เนินชีวติ อย่างคนต่างศาสนา ถ้าข้าพเจ้า จะเสแสร้งทำ�เพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็จะเป็นเหตุให้เขาหลงผิด แล้วข้าพเจ้าจะมี มลทินได้รับความอับอายในวัยชรา บัดนี้ ข้าพเจ้าอาจพ้นโทษทัณฑ์ของมนุษย์ได้ แต่จะหนีไม่พ้น พระหัตถ์ของพระผู้ทรงสรรพานุภาพได้เลย ไม่ว่าข้าพเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว ดังนั้น ข้าพเจ้า จึงสละชีวิตอย่างกล้าหาญ ณ บัดนี้ เพือ่ แสดงว่าข้าพเจ้าสมควรกับวัยชรา จะได้เป็นตัวอย่างทีม่ เี กียรติ ให้เยาวชนเห็นว่าควรเต็มใจตายอย่างกล้าหาญเพื่อธรรมบัญญัติศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพ” พูดเช่นนี้แล้ว เขาก็เดินไปยังสถานที่ทรมานทันที... ขณะที่เอเลอาซาร์ถูกเฆี่ยนตีใกล้จะตาย เขา ครํา่ ครวญว่า “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงทราบทุกสิง่ ทรงทราบว่าข้าพเจ้าอาจรอดพ้นความตายได้ ข้าพเจ้า ถูกเฆีย่ นตี ร่างกายถูกทรมานอย่างสาหัส แต่จติ ใจอดทนรับการทรมานด้วยความยินดีและเคารพยำ�เกรง พระองค์”... พระวรสาร ลก 19:1-10 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำ�ลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมั่งมี เขาพยายามมองดูว่าใครคือพระเยซูเจ้า แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมี คนมากและเพราะเขาเป็นคนร่างเตี้ย เขาจึงวิ่งนำ�หน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ก�ำ ลังจะเสด็จผ่านไปทางนัน้ เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงทีน่ นั่ ทรงเงยพระพักตร์ขนึ้ ทอด พระเนตรตรัสกับเขาว่า “ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักทีบ่ า้ นท่านวันนี”้ เขารีบลงมาต้อนรับ พระองค์ด้วยความยินดี ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า “เขาไปพักที่บ้านคนบาป” ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซู เจ้าว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใคร มา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสีเ่ ท่า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วันนี้ ความรอดพ้นมาสูบ่ า้ นนีแ้ ล้ว เพราะคนนีเ้ ป็น บุตรของอับราฮัมด้วย บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและช่วยคนเลวทรามให้รอดพ้น” การชดใช้ 4 เท่า เป็นข้อกำ�หนดตามกฎหมายของชาวยิวสำ�หรับกรณีเดียวคือ ขโมยแกะ (อพยพ 21:37) กฎหมายโรมันกำ�หนดว่าขโมยต้องคืนของที่ขโมยมาให้สี่เท่า ถ้าถูกตัดสินว่าทำ�ผิดจริง แต่ ศักเคียสได้ทำ�มากกว่าที่มีกำ�หมดไว้ เขารู้สึกรับผิดชอบจะต้องชดใช้ความอยุติธรรมทุกอย่างที่เขาได้ทำ�


ระลึกถึง น.เซซีลีอา พรหมจารี และมรณสักขี สดด 17:1,5-6, 8-9 และ 15

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 2 มคบ 7:1,20-31 เหตุการณ์อกี เหตุการณ์หนึง่ เกิดขึน้ มารดาและบุตรเจ็ดคนถูกจับกุม กษัตริย์ ทรงพยายามบังคับเขาให้กินเนื้อหมูซึ่งธรรมบัญญัติห้ามกิน โดยใช้แส้เฆี่ยนตี ทรมาน มารดาผู้นี้น่าชมเชยและน่าจดจำ�ตลอดไป นางเห็นบุตรทั้งเจ็ดคนตายใน วันเดียวกัน ยังอดทนด้วยใจกล้าหาญเพราะมีความหวังในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า... นาง เตือนใจบุตรแต่ละคนเป็นภาษาของบรรพบุรษุ ... กษัตริยอ์ นั ทิโอคัสทรงคิดว่านาง ดูถกู พระองค์ ทรงสงสัยว่านํา้ เสียงของนางแสดงการเยาะเย้ย เมือ่ น้องชายคนเล็ก ยังไม่ตาย... จึงทรงเรียกมารดา ตักเตือนนางให้แนะนำ�บุตรเพื่อช่วยชีวิตของเขา ไว้ กษัตริย์ทรงรบเร้านางอยู่นาน นางจึงรับปากว่าจะชักชวนบุตร นางก้มลงที่ตัว บุตร ดูถูกกษัตริย์ผู้โหดร้าย พูดเป็นภาษาของบรรพบุรุษ...นางพูดยังไม่จบ ชาย หนุ่มก็ร้องว่า “...ข้าพเจ้าไม่ฟังพระบัญชาของกษัตริย์ ข้าพเจ้าฟังแต่คำ�สั่งของ ธรรมบัญญัตทิ พี่ ระเจ้าประทานแก่บรรพบุรษุ ผ่านทางโมเสส แต่พระองค์ผทู้ รงก่อ ให้เกิดเหตุร้ายทั้งหมดนี้แก่ชาวฮีบรู จะไม่ทรงพ้นจากพระหัตถ์พระเจ้าได้เลย”

พระวรสาร ลก 19:11-28 เวลานัน้ ... พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึง่ พระองค์ตรัสว่า “บุรุษตระกูลสูงผู้หนึ่งออก เดินทางไปแดนไกลเพื่อรับตำ�แหน่งกษัตริย์ แล้วจะกลับมา เขาเรียกผู้รับใช้สิบคนเข้ามา แล้วมอบเงิน จำ�นวนหนึ่งให้แต่ละคน สั่งว่า ‘จงเอาเงินนี้ไปทำ�ธุรกิจจนกว่าเราจะกลับ’ แต่ชาวเมืองเกลียดชังเขา จึงส่งทูตคณะหนึ่งตามไปแจ้งว่า ‘พวกเราไม่ต้องการให้บุรุษผู้นี้เป็นกษัตริย์ปกครองเรา’ แต่เขาก็ยงั ได้รบั ตำ�แหน่งกษัตริยแ์ ล้วกลับมา จึงสัง่ ให้ไปเรียกผูร้ บั ใช้ทเี่ ขามอบเงินให้ไว้มาพบ เพือ่ จะรู้ว่าแต่ละคนได้ทำ�ธุรกิจอย่างไร คนแรกเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำ�กำ�ไรได้สิบ เท่า’ นายจึงบอกเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย เจ้าจงมีอำ�นาจ ปกครองเมืองสิบเมืองเถิด’ คนที่สองเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำ�กำ�ไรได้ห้าเท่า’ นายบอกเขาว่า ‘เจ้าจงไปปกครองเมืองห้าเมืองเถิด’ อีกคนหนึง่ เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินทีท่ า่ น ให้ไว้อยูน่ ี่ ข้าพเจ้าเอาผ้าห่อเก็บไว้ ข้าพเจ้ากลัวท่าน เพราะท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเอาสิง่ ที่ทา่ นไม่ได้ ฝาก ท่านเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน’ นายจึงพูดกับเขาว่า ‘เจ้าขี้ข้าชั่วช้า ข้าจะตัดสินเจ้าจากคำ�พูด ของเจ้า เจ้ารู้แล้วว่า ข้าเป็นคนเข้มงวด เอาสิ่งที่ข้าไม่ได้ฝากไว้ เก็บเกี่ยวสิ่งที่ข้าไม่ได้หว่าน ทำ�ไมเจ้า จึงไม่เอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้เล่า เมื่อข้ากลับมา ข้าจะได้เงินคืนพร้อมกับดอกเบี้ยด้วย’ นาย ยังกล่าวกับคนทีอ่ ยูท่ นี่ นั่ ว่า ‘จงเอาเงินจากเขามาให้กบั ผูท้ ที่ �ำ กำ�ไรสิบเท่าเถิด’ คนเหล่านัน้ พูดว่า ‘นาย ขอรับ เขามีเงินมากอยู่แล้ว’ นายจึงตอบว่า ‘ข้าบอกเจ้าทั้งหลายว่า ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีอยู่จะถูกริบไปด้วย ส่วนพวกศัตรูของข้าที่ไม่ต้องการให้ข้าเป็นกษัตริย์ จง พามาที่นี่ และประหารชีวิตต่อหน้าข้า’”... อุปมาเรือ่ งผูร้ บั ใช้สบิ คนทีร่ บั เงินไปทำ�ทุน คล้ายอุปมาเรือ่ งเงินตะลันต์ใน มัทธิว 25:14-30 แต่ ก็มีความแตกต่างกันมาก คริสตชนเป็นผูร้ บั ใช้ทพี่ ระเยซูเจ้าคาดหวังว่าจะใช้พระพรทุกอย่างทีพ่ ระองค์ประทานให้อย่างเต็มที่ เพือ่ ช่วยขยายพระอาณาจักร หรือทำ�ธุรกิจให้เจริญขึ้น ท่านจะต้องรายงานให้นายทราบว่าได้จัดการกับเงิน (พระพร) ที่ได้รับฝากไว้อย่างไร


บทอ่านที่ 1 1 มคบ 2:15-29 ในครัง้ นัน้ เจ้าหน้าทีท่ กี่ ษัตริยท์ รงส่งมาบังคับประชาชนให้ละทิง้ ศาสนาและ ถวายบูชาแด่รูปเคารพมาถึงเมืองโมดีน ชาวอิสราเอลจำ�นวนมากเข้าร่วมด้วย แต่ มัทธาธีอัสกับบรรดาบุตรอยู่รวมกันอีกกลุ่มหนึ่ง เจ้าหน้าที่ที่กษัตริย์ทรงส่งมาจึง กล่าวแก่มัทธาธีอัสว่า “ท่านเป็นคนสำ�คัญ มีเกียรติ และยิ่งใหญ่ในเมืองนี้ ได้รับ น.เคลเมนต์ที่ 1 การสนับสนุนจากบรรดาบุตรและญาติพี่น้อง ท่านจงออกมาเป็นคนแรก ปฏิบัติ พระสันตะปาปา ตามพระบัญชาของกษัตริย์เถิด ดังที่ชนชาติต่างๆ ชาวยูดาห์และผู้คนที่เหลืออยู่ และมรณสักขี ในกรุงเยรูซาเล็มทำ�กัน แล้วท่านกับบรรดาบุตรจะได้ชื่อว่าเป็นพระสหายของ น.โคลัมบัน กษัตริย์ ท่านกับบรรดาบุตรจะมีเกียรติ ได้รับเงินทองและของประทานมากมาย” เจ้าอธิการ แต่มัทธาธีอัสร้องตอบเสียงดังว่า “แม้ชนชาติทั้งหมดในราชอาณาจักรของ กษัตริย์จะปฏิบัติตามพระบัญชา ละทิ้งศาสนาของบรรพบุรุษ ยอมปฏิบัติตาม สดด 50:1-2,5-6, 14-15 พระบัญชาของกษัตริย์ ข้าพเจ้ากับบรรดาบุตรและญาติพี่น้องจะดำ�เนินชีวิตตาม ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 พันธสัญญาของบรรพบุรษุ ขอพระเจ้าทรงพระกรุณาอย่าให้เราละทิง้ ธรรมบัญญัติ และขนบประเพณี เ ลย เราจะไม่ เชื่ อ ฟั ง พระบั ญ ชาของกษั ต ริ ย์ จะไม่ ย อม เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากศาสนาของเราแต่ประการใด” เมื่อเขาพูดจบ ชาวยิวคนหนึ่งออกมาต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อถวายเครื่องบูชาบนแท่นที่เมือง โมดีนตามพระบัญชาของกษัตริย์ มัทธาธีอสั เห็นเข้าก็โกรธ โทสะพลุง่ ขึน้ เพราะความรักต่อธรรมบัญญัติ วิ่งไปฆ่าชายคนนั้นคาแท่นบูชา เขาฆ่าเจ้าหน้าที่ที่กษัตริย์ทรงส่งมาบังคับให้ถวายเครื่องบูชา และเขา ยังทำ�ลายแท่นบูชาด้วย เขาทำ�เช่นนี้เพราะความรักต่อธรรมบัญญัติ... มัทธาธีอัสไปประกาศเสียงดังทั่วเมืองว่า “ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาต่อธรรมบัญญัติ และยึดมั่นในพันธ สัญญา จงตามข้าพเจ้ามาเถิด”... ชาวยิวจำ�นวนมากที่ปรารถนาจะดำ�เนินชีวิตอย่างชอบธรรม และ ปฏิบัติตามขนบประเพณีทางศาสนา ไปตั้งหลักฐานในถิ่นทุรกันดาร พระวรสาร ลก 19:41-44 เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทอดพระเนตรเมืองนั้นแล้วทรง กันแสง ตรัสว่า “ถ้าในวันนี้เจ้าเพียงแต่รู้จักทางนำ�ไปสู่สันติ ก็จะเป็นการดี แต่ทางนั้นถูกซ่อนไว้จาก ดวงตาของเจ้าเสียแล้ว วันนัน้ จะมาถึงเจ้า เมือ่ ข้าศึกสร้างทีม่ นั่ ล้อมเจ้า จะตรึงเจ้าไว้อย่างแน่นหนารอบ ทุกด้าน จะบุกทำ�ลายเจ้าและลูกหลานทีอ่ าศัยอยูใ่ นเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง และจะไม่ปล่อยให้มกี อ้ น หินซ้อนกันอยู่ในเจ้าอีก เพราะเจ้าไม่รู้จักเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า” การเบียดเบียนศาสนาทำ�ให้ชาวยิว (160 ก่อน ค.ศ.) ตื่นตัวปฏิบัติศาสนาอย่างเคร่งครัด ชาว ยิวต่อต้านอารยธรรมกรีกด้วยหลายวิธีต่างกัน เช่นใช้ความรุนแรง (2:15-28) ต่อต้านโดยดุษฎี (2:29-38) ไม่ยอมละเมิดวันสับบาโต และในที่สุดทำ�สงครามศักดิ์สิทธิ์โดยมีมัทธาธีอัสเป็นผู้นำ� (2:39-48) แต่การต่อสู้ เรื่องศาสนา ภายหลังเปลี่ยนจุดประสงค์เป็นเรื่องการเมือง จนทำ�ให้ชาวยิวแบ่งเป็นกลุ่ม ทะเลาะกันเอง พระเยซูเจ้าจึงมาสอนทางนำ�ไปสู่สันติ


ระลึกถึง น.อันดรูว์ ดุง-ลัก พระสงฆ์ และเพื่อนมรณสักขี 1 พศด 29:10,11,12

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 1 มคบ 4:36-37,52-59 ในครั้งนั้น ยูดาสกับญาติพี่น้องปรึกษากันว่า “ศัตรูของเราถูกบดขยี้แล้ว เรา จงไปชำ�ระพระวิหารให้หมดมลทินเถิด จะได้ถวายแด่พระเจ้าอีก” คนทั้งกองทัพ มาชุมนุมกัน แล้วขึ้นไปที่เนินเขาศิโยน ชาวอิสราเอลลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่วันที่ย่ีสิบห้า เดือนเก้า ซึ่งเป็นเดือนคิสเลฟ ปีหนึ่งร้อยสี่สิบแปดของศักราชกรีก เขาทั้งหลายมาถวายเครื่องบูชาตามธรรม บัญญัติบนพระแท่นเครื่องเผาบูชาที่เพิ่งสร้างใหม่ ในวันครบรอบปีท่ีชนต่างชาติ ทำ�ให้พระแท่นเป็นมลทิน เขาถวายพระแท่นบูชาใหม่แด่พระเจ้าด้วยการขับร้อง ดีดพิณ เป่าขลุ่ยและตีฉาบ ประชากรทุกคนกราบลงหน้าจรดพื้น นมัสการ สรรเสริญพระเจ้าผู้ประทานความสำ�เร็จ เขาฉลองการถวายพระแท่นบูชาเป็นเวลาแปดวัน ถวายเครื่องเผาบูชาด้วย ความชื่นชม ทั้งยังถวายบูชาขอบพระคุณและสรรเสริญ เขาตกแต่งด้านหน้าพระ วิหารด้วยมงกุฎทองคำ�และโล่เล็กๆ ซ่อมแซมประตูและห้องสมณะ ติดบานประตู ใหม่ ประชากรทุกคนมีความยินดียิ่งเพราะความอับอายที่ชนต่างชาตินำ�มาให้นั้น ถูกลบล้างไปแล้ว ยูดาสกับญาติพี่น้องและชาวอิสราเอลที่มาชุมนุมกัน กำ�หนดให้ ทุกคนเฉลิมฉลองการถวายพระวิหารด้วยความยินดีตลอดเวลาแปดวันเป็นประจำ� ทุกปี เริ่มตั้งแต่วันที่ยี่สิบห้า เดือนคิสเลฟ พระวรสาร ลก 19:45-48 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในพระวิหาร ทรงเริม่ ขับไล่บรรดาพ่อค้า ตรัส กับเขาว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า บ้านของเราจะเป็นบ้านแห่งการอธิษฐาน ภาวนา แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำ�ให้เป็นซ่องโจร” พระองค์ทรงสั่งสอนในพระวิหารทุกวัน บรรดาหัวหน้าสมณะ ธรรมาจารย์ และหัวหน้าประชาชนหาวิธีกำ�จัดพระองค์ แต่หาวิธีไม่ได้ว่าจะทำ�อย่างไร เพราะ ประชาชนทุกคนกำ�ลังตั้งใจฟังพระองค์ ยูดาสกับญาติพี่น้อง (160 ก่อน ค.ศ.) ได้กบฏต่อกษัตริย์ซีเรีย ยึดพระ วิหารคืนมา เพราะพระวิหารเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของชาวยิว ถ้าไม่มีพระวิหาร ชาวยิวจะปฏิบัติตามธรรมบัญญัติโดยสมบูรณ์ไม่ได้ ชนต่างชาติได้ยึดพระวิหาร และ ทำ�ให้เป็นมลทิน เมื่อยูดาสมีชัยเหนือศัตรูแล้ว จึงรีบไปชำ�ระและซ่อมแซมพระวิหาร วันฉลองการถวายพระวิหาร เรียกว่า ฮันนุกกาห์ ในภาษาฮีบรู พอมาในสมัยพระเยซูเจ้า ชาวยิวบางคนมาค้าขายในพระวิหาร พระองค์กล้าชำ�ระ พระวิหาร


บทอ่านที่ 1 1 มคบ 6:1-13 ในครั้งนั้น ขณะที่กษัตริย์อันทิโอคัสทรงผ่านดินแดนทางเหนือ ทรงทราบว่า ในเปอร์เซียมีเมืองชื่อเอลีมาอิส เป็นเมืองมั่งคั่ง มีเงินทองมาก วิหารในเมืองนั้น ก็ราํ่ รวยมาก มีหมวกเกราะทองคำ� เกราะอก และเครือ่ งอาวุธทีก่ ษัตริยอ์ เล็กซานเดอร์ทรงทิ้งไว้... จึงเสด็จไปที่นั่นเพื่อยึดและปล้นเมือง แต่ทรงทำ�ไม่สำ�เร็จ... ขณะที่กษัตริย์อันทิโอคัสยังประทับอยู่ที่เปอร์เซีย มีผู้นำ�ข่าวมาทูลพระองค์ ว่ากองทัพที่ทรงส่งไปบุกแคว้นยูดาห์ถูกโจมตียับเยิน กองทัพเข้มแข็งที่ลีเซียสยก ไปก็ถูกชาวอิสราเอลตีกลับ ชาวอิสราเอลเข้มแข็งมากขึ้นเพราะอาวุธ ผู้คนและ ข้าวของมากมายที่เป็นของเชลยจากค่ายต่างๆ ที่ได้ทำ�ลาย ชาวอิสราเอลทำ�ลาย รูปเคารพน่าสะอิดสะเอียนทีพ่ ระองค์ทรงสร้างไว้บนพระแท่นบูชาทีก่ รุงเยรูซาเล็ม เขายังสร้างกำ�แพงสูงล้อมพระวิหารไว้ให้เหมือนเดิม และสร้างกำ�แพงล้อมเมือง เบธซูร์ เมืองหนึ่งของพระองค์ด้วย เมื่อกษัตริย์ทรงทราบข่าวนี้ ก็ตกพระทัยกลัวจนพระกายสั่นเทา ทรงล้มลง บนพระที่และประชวร...จึงทรงเรียกพระสหายทั้งหลายมา ตรัสว่า “เรานอนไม่ หลับเลยเพราะจิตใจเป็นกังวลมาก... บัดนี้ เราระลึกได้ถึงความชั่วร้ายที่เราได้ทำ� ที่กรุงเยรูซาเล็ม เราขนภาชนะเงินทองทั้งหมดในเมืองนั้น เราส่งคนไปฆ่าชาว ยูดาห์อย่างไร้เหตุผล เรายอมรับว่าสิ่งร้ายๆ เหล่านี้เกิดขึ้นแก่เราก็เพราะเหตุนี้ บัดนี้เรากำ�ลังจะตายอยู่ในต่างแดน เพราะความทุกข์ใจยิ่งใหญ่”

น.กาทารีนา แห่งอเล็กซานเดรีย พรหมจารี และมรณสักขี สดด 9:1-2,3 และ 5, 15 และ 18

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ลก 20:27-40 เวลานั้น ชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้า คนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพ เขาทูลถาม พระองค์วา่ “พระอาจารย์ โมเสสเขียนสัง่ ไว้วา่ ถ้าพีช่ ายตาย มีภรรยาแต่ไม่มบี ตุ ร ก็ให้นอ้ งชายของเขา รับหญิงนั้นมาเป็นภรรยาเพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชาย มีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกมีภรรยา แล้วก็ตายโดย ไม่มีบุตร คนที่สอง คนที่สามรับนางเป็นภรรยาและตายโดยไม่มีบุตร เป็นเช่นนี้ทั้งเจ็ดคน ในที่สุดหญิง คนนัน้ ก็ตายด้วย ดังนี้ เมือ่ มนุษย์จะกลับคืนชีพ หญิงคนนัน้ จะเป็นภรรยาของใคร เพราะทัง้ เจ็ดคนต่าง ได้นางเป็นภรรยา” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “คนของโลกนี้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน แต่คนที่จะบรรลุถึงโลกหน้า และจะกลับคืนชีพจากบรรดาผูต้ ายนัน้ จะไม่แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก เพราะเขาจะไม่ตายอีกต่อ ไป เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะเขาจะกลับคืนชีพ โมเสสยืนยันแล้ว ว่าผู้ตายจะกลับคืนชีพในข้อความเรื่องพุ่มไม้ เมื่อพูดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น เพราะทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์” ธรรมาจารย์บางคนพูดว่า “พระอาจารย์ ท่านพูดดีแล้ว” เขาไม่ กล้าทูลถามพระองค์อีกต่อไป กษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส (กรีก) ทรงครองราชย์ในปี 175-164 ก่อน ค.ศ. คิดขยาย อาณาจักรทางการเมืองด้วยกองทัพ แต่ทสี่ ดุ ก็สนิ้ พระชนม์ ผูเ้ ขียนพระคัมภีรม์ องเหตุการณ์นวี้ า่ ถูกพระเจ้า ลงโทษที่ได้ปล้นพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่ก่อนสิ้นพระชนม์ กษัตริย์ทรงเสียพระทัยที่ทรงกระทำ�เช่นนั้น


สมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากล จักรวาล วันกระแสเรียก

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 34:11-12,15-17 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ “ดูซิ เราจะตามหาและจะแสวงหาฝูงแกะของเรา เอง ผู้เลี้ยงแกะอยู่กับฝูงแกะและรวบรวมแกะที่กระจัดกระจายไปฉันใด เราก็จะ รวบรวมแกะของเราฉั น นั้ น เราจะช่ ว ยแกะให้ พ้ น จากสถานที่ ที่ แ กะได้ กระจัดกระจายไปอยูใ่ นวันทีม่ เี มฆและมีความมืดทึบ เราเองจะเป็นผูเ้ ลีย้ งแกะของ เรา เราจะให้เขานอนพัก องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส เราจะตามหาแกะทีส่ ญ ู หายไป เรา จะนำ�แกะที่หลงทางกลับมา เราจะพันแผลของแกะที่บาดเจ็บ เราจะเสริมกำ�ลัง แกะทีอ่ อ่ นเพลีย เราจะดูแลแกะทีอ่ ว้ นและแข็งแรง เราจะเลีย้ งเขาอย่างยุตธิ รรม” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “ท่านทั้งหลายซึ่งเป็นฝูงแพะแกะของเราเอ๋ย ดูซิ เราจะพิพากษาระหว่างแกะกับแกะ ระหว่างแกะเพศผู้กับแพะเพศผู้” เพลงสดุดี สดด 23:1-6 ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนพักอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี ทรงนำ�ข้าพเจ้าไปริมสายนทีที่เงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจของข้าพเจ้า ทรงชี้ทางให้ข้าพเจ้าเดินไปบนมรรคาแห่งความชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ ข) แม้ข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในหุบเขาที่มืดมิด ข้าพเจ้าก็จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า พระคทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 15:20-26,28 พีน่ อ้ ง ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย เป็น ผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด การ กลับคืนชีพของบรรดาผูต้ ายก็มาจากมนุษย์คนหนึง่ ฉันนัน้ มนุษย์ทกุ คนตายเพราะ อาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น แต่จะเป็นไป ตามลำ�ดับของแต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คือผู้ที่เป็นของพระ คริสตเจ้า เมือ่ พระองค์จะเสด็จมา แล้วจะถึงวาระสุดท้าย เวลานัน้ พระองค์จะทรง มอบพระอาณาจักรให้แก่พระเจ้าพระบิดา หลังจากทรงทำ�ลายการปกครอง อำ�นาจและอานุภาพทั้งหลาย เพราะพระคริสตเจ้าจะต้องทรงครองราชย์จนกว่า พระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งมวลให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ ศัตรูสุดท้ายที่จะ ถูกทำ�ลายคือความตาย เพราะพระเจ้าทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของ พระองค์


เมือ่ ทุกสิง่ ถูกปราบอยูใ่ ต้อ�ำ นาจของพระคริสตเจ้าแล้ว พระบุตรก็จะทรงอยูใ่ ต้อ�ำ นาจของพระเจ้า ผู้ทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้อำ�นาจของพระองค์ เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงเป็นทุกสิ่งในทุกคน บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 25:31-46 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ พระองค์จะประทับ เหนือพระบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ บรรดาประชาชาติจะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์จะทรงแยก เขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลีย้ งแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้แกะอยูเ่ บือ้ งขวา ส่วนแพะอยูเ่ บือ้ งซ้าย แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ‘เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระ บิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’ บรรดาผูช้ อบธรรมจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมือ่ ใดเล่าข้าพเจ้าทัง้ หลายเห็นพระองค์ทรงหิว แล้ว ถวายพระกระยาหาร หรือทรงกระหาย แล้วถวายให้ทรงดื่ม เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ ทรงเป็นแขกแปลกหน้า แล้วต้อนรับ หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า แล้วถวายให้ เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็น พระองค์ประชวรหรือทรงอยูใ่ นคุกแล้วไปเยีย่ ม’ พระมหากษัตริยจ์ ะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำ�สิ่งใดต่อพี่น้องผู้ตํ่าต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำ�สิ่งนั้นต่อเรา’ แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกทีอ่ ยูเ่ บือ้ งซ้ายว่า ‘ท่านทัง้ หลายทีถ่ กู สาปแช่ง จงไปให้พน้ ลงไปในไฟ นิรันดรที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและพรรคพวกของมัน เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรา กระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้ เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก ท่านก็ไม่มาเยี่ยม’ พวกนั้นจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าที่ ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยูใ่ นคุก และไม่ได้ชว่ ยเหลือ’ พระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ท่าน ไม่ได้ทำ�สิ่งใดต่อผู้ตํ่าต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำ�สิ่งนั้นต่อเรา’ แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร” เมือ่ จบเทศกาลธรรมดา พระศาสนจักรเตือนใจเราให้คดิ ถึงความหมายของอาณาจักรพระเจ้า ชีวิตนิรันดร พระเยซูเจ้ามิได้เสด็จมาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น (มธ 20:28) นี่เป็นดัชนีสำ�หรับ การตัดสิน ศิษย์ต้องติดตามแบบอย่างของพระอาจารย์ในการช่วยเหลือทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ลำ�บากที่สุด การพิพากษาของพระเจ้ามิใช่เรือ่ งปัจเจกเท่านัน้ แต่เป็นเรือ่ งความยุตธิ รรมในสังคมด้วย ความเฉยเมย หรือ เอาทรัพยากรของคนอื่นไป บุตรแห่งมนุษย์เป็นทั้งพระมหากษัตริย์และผู้เลี้ยงแกะที่ดี


บทอ่านที่ 1 ดนล 1:1-6,8-20 ปีที่สามในรัชกาลกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่ง บาบิโลนทรงยกทัพมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม... กษัตริย์ทรงบัญชาอัชเปนัส หัวหน้ามหาดเล็ก ให้นำ�ชาวอิสราเอลบางคนที่ เป็นเชื้อพระวงศ์หรือมาจากตระกูลขุนนาง เป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายสมบูรณ์ รูป สัปดาห์ที่ 34 ร่างงาม เฉลียวฉลาด มีปรีชา เรียนรูว้ ชิ าการต่างๆ ได้รวดเร็ว และรอบคอบในการ เทศกาลธรรมดา ตัดสิน ให้มาอยู่ในราชสำ�นัก เพื่อเรียนเขียนและพูดภาษาของชาวเคลเดีย... ใน บรรดาชายหนุ่มเหล่านี้มีชาวยูดาห์ คือดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริ ดนล 3:52,53,54, ยาห์ แต่หัวหน้ามหาดเล็กตั้งชื่อให้ใหม่ ดาเนียลได้ชื่อว่าเบลเทชัสซาร์ ฮานันยาห์ 55,56 ได้ชื่อว่าชัดรัค มิชาเอลได้ชื่อว่าเมชาค และอาซาริยาห์ได้ชื่อว่าอาเบดเนโก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ดาเนียลตัง้ ใจไว้วา่ จะไม่ท�ำ ตนเป็นมลทิน โดยกินอาหารหรือดืม่ เหล้าองุน่ จาก โต๊ะเสวยของกษัตริย์ เขาจึงขอหัวหน้ามหาดเล็กอย่าได้บังคับตนให้เป็นมลทิน พระเจ้าทรงบันดาลให้หัวหน้ามหาดเล็กพอใจและเห็นชอบกับดาเนียล... ดาเนียลจึงบอกผู้ที่หัวหน้า มหาดเล็กกำ�หนดให้ดูแลดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอลและอาซาริยาห์ว่า “จงทดลองผู้รับใช้ของท่าน เป็นเวลาสิบวัน ท่านจงให้พวกเรากินแต่ผักและดื่มนํ้าเปล่า แล้วท่านจงเปรียบเทียบใบหน้าของพวก เรากับใบหน้าของบรรดาชายหนุม่ ทีก่ นิ เครือ่ งเสวยของกษัตริย์ และจงทำ�กับผูร้ บั ใช้ของท่านตามทีท่ า่ น เห็นควรเถิด” เขาก็ยอมทำ�ตามข้อเสนอนี้และทดลองเป็นเวลาสิบวัน เมื่อครบสิบวันแล้วก็ปรากฏว่า ใบหน้าของชายหนุม่ เหล่านีด้ กี ว่า เปล่งปลัง่ กว่าใบหน้าของชายหนุม่ อืน่ ๆ ทีก่ นิ เครือ่ งเสวยของกษัตริย์ ตั้งแต่นั้นมา ผู้ดูแลก็สั่งให้งดนำ�เครื่องเสวยและเหล้าองุ่นที่เขาทั้งสี่คนควรจะได้รับนั้น นำ�แต่ผักมาให้ เขากิน พระเจ้าประทานความรู้ ความเชี่ยวชาญในการอ่านเขียนและปรีชาญาณแก่ชายหนุ่มทั้งสี่คน และทรงบันดาลให้ดาเนียลอธิบายความหมายของนิมิตและความฝันได้อีกด้วย เมื่อครบกำ�หนดที่กษัตริย์ทรงบัญชาให้นำ�ชายหนุ่มทุกคนเข้าเฝ้า หัวหน้ามหาดเล็กนำ�เขาเข้าเฝ้า กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์ทรงสนทนากับเขาทุกคน และทรงเห็นว่าไม่มีใครเฉลียวฉลาดเหมือน ดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอลและอาซาริยาห์ เขาทั้งสี่คนจึงได้เข้ารับราชการ...

พระวรสาร ลก 21:1-4 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีกำ�ลังใส่เงินถวายลงในตู้ทาน ทรงเห็นหญิงม่าย ยากจนคนหนึ่งใส่เหรียญทองแดงสองเหรียญลงในตู้ทานด้วย จึงตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้ง หลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนีท้ �ำ ทานมากกว่าทุกคน เพราะทุกคนนำ�เงินทีเ่ หลือใช้มาทำ�ทาน แต่หญิง คนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำ�เงินทั้งหมดสำ�หรับเลี้ยงชีพมาทำ�ทาน” หนังสือดาเนียลถูกเขียนขึน้ ในช่วงเวลาการเบียดเบียนชาวยิว ในรัชสมัยของกษัตริยอ์ นั ทิโอคัส เอปีฟาเนส (กรีก) ประมาณ 167-164 ก่อน ค.ศ. และกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลน (ปัจจุบันอยู่ใกล้ แบกแดด ประเทศอิรัก) ในบทที่ 1 ดาเนียลและเพื่อนทั้งสามคนเข้ารับราชการในราชสำ�นักของกษัตริย์ เนบูคัดเนสซาร์ พวกเขาปฏิบัติตามธรรมบัญญัติเรื่องการกินการดื่ม จนหัวหน้ามหาดเล็กพอใจ


บทอ่านที่ 1 ดนล 2:31-45 ในครั้งนั้น ดาเนียลทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าแต่พระราชา ในนิมิต พระองค์ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นขนาดใหญ่มากตั้งอยู่เฉพาะพระพักตร์ รูปนั้น ส่องแสงแรงกล้าดูน่ากลัว เศียรของรูปทำ�ด้วยทองคำ�บริสุทธิ์ อกและแขนทำ�ด้วย เงิน ท้องและโคนขาทำ�ด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำ�ด้วยเหล็ก ส่วนเท้าทำ�ด้วยเหล็กปน ดินเผา ขณะที่กำ�ลังทอดพระเนตรอยู่นั้น หินก้อนหนึ่งหลุดจากภูเขา มิใช่ด้วยมือ สัปดาห์ที่ 34 ของมนุษย์ มาปะทะรูปปั้นนั้นที่เท้าซึ่งทำ�ด้วยเหล็กปนดินเผา ทำ�ให้เท้านั้นแตก เทศกาลธรรมดา เป็นชิ้นๆ แล้วทั้งเหล็กปนกับดินเผา ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ� ต่างก็แหลก ดนล 3:57,58,59, ละเอียดเหมือนแกลบบนลานนวดข้าวในฤดูร้อน ลมก็พัดมันไป ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ 60,61 เลย ส่วนหินก้อนที่ปะทะรูปนั้นก็กลายเป็นภูเขาใหญ่ ขยายไปทั่วแผ่นดิน นี่คือ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 พระสุบิน บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำ�นายพระสุบินให้พระราชาทรงทราบ” “ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งสวรรค์ประทานราชอาณาจักร อานุภาพ พลังและพระเกียรติยศแด่พระองค์ และทรงมอบมนุษย์ สัตว์ในทุ่งนาและนกในอากาศ ไม่ ว่าจะอยูท่ ใี่ ด ไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา ให้ทรงปกครองทุกสิง่ ...ในรัชสมัยของกษัตริยเ์ หล่านี้ พระเจ้า แห่งสวรรค์จะทรงตัง้ ราชอาณาจักรหนึง่ ขึน้ ซึง่ จะไม่มวี นั ถูกทำ�ลาย และจะไม่ตกไปอยูใ่ นมือของชนชาติ อื่น ราชอาณาจักรนี้จะทำ�ลายราชอาณาจักรอื่นๆ ทั้งหมดให้แหลกละเอียดจนสิ้นเชิง และจะคงอยู่ ตลอดไป นี่คือความหมายของหินที่พระองค์ทรงเห็นหลุดออกมาจากภูเขามิใช่ด้วยมือมนุษย์ ซึ่งทำ�ให้ เหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเผา เงิน และทองคำ�แตกเป็นชิน้ ๆ พระเจ้าผูย้ งิ่ ใหญ่ทรงเปิดเผยให้พระราชาทรง ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระสุบินนี้เป็นความจริง...” พระวรสาร ลก 21:5-11 ขณะนั้น บางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม พระเยซูเจ้าจึง ตรัสว่า “สักวันหนึง่ ทุกสิง่ ทีท่ า่ นเห็นอยูน่ ี้ จะไม่มกี อ้ นหินเหลือซ้อนกันอยูเ่ ลย” เขาจึงทูลถามพระองค์ ว่า “พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และมีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้กำ�ลังจะเกิด ขึ้น” พระองค์ตรัสตอบว่า “จงระวังอย่าให้ผู้ใดหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนามของเรา พูดว่า ‘ฉันเป็นพระคริสต์’ และ ‘เวลากำ�หนดมาถึงแล้ว’ อย่าตามเขาไป เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่อง สงครามและการปฏิวตั ิ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านีจ้ �ำ เป็นต้องเกิดขึน้ ก่อน แต่ยงั ไม่ถงึ วาระสุดท้าย” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “ชาติหนึง่ จะลุกขึน้ ต่อสูก้ บั อีกชาติหนึง่ อาณาจักรหนึง่ จะลุกขึน้ ต่อสูก้ บั อีก อาณาจักรหนึ่ง แผ่นดินไหวใหญ่หลวง ความอดอยาก และโรคระบาดจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมี เหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า” หนังสือดาเนียล บทที่ 2 กล่าวถึงพระสุบิน (ความฝัน) ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เรื่องรูป ปั้นทำ�ด้วยวัสดุหลายชนิด เช่น ทองคำ� เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก เหล็กปนดินเผา ดาเนียลเกริ่นว่า “พระเจ้า ทรงเปิดเผยความลับนี้... มิใช่เพราะข้าพเจ้ามีปรีชาเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย” (2:30) ความสุภาพของดาเนียล ทำ�ให้กษัตริย์ประทับใจพระเจ้าของชาวยิว


บทอ่านที่ 1 ดนล 5:1-6,13-14,16-17,23-28 ในครั้งนั้น กษัตริย์เบลชัสซาร์ทรงจัดงานเลี้ยงฉลองแก่เจ้านายหนึ่งพันคน และเสวยนํ้าจัณฑ์พร้อมกับเจ้านายเหล่านั้น เมื่อกษัตริย์เบลชัสซาร์เสวยนํ้าจัณฑ์ มากแล้ว มีพระบัญชาให้น�ำ ภาชนะทองคำ�และเงิน ซึง่ กษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์พระ บิดาทรงนำ�มาจากพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มออกมา เพือ่ พระองค์จะทรงใช้เสวย... ทันใดนั้น นิ้วมือมนุษย์ปรากฏขึ้นและเขียนบนผนังของท้องพระโรงตรงหน้าเชิง สัปดาห์ที่ 34 ประทีป เมื่อกษัตริย์ทรงเห็นนิ้วมือที่กำ�ลังเขียนอยู่ พระพักตร์ของพระองค์ก็ซีด เทศกาลธรรมดา เผือด พระดำ�ริท�ำ ให้พระองค์ตกพระทัย พระวรกายก็ออ่ นเปลีย้ พระชานุกก็ ระทบกัน ดนล 3:62,63,64, มีผู้นำ�ดาเนียลเข้ามาเฝ้ากษัตริย์ พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านคือดาเนียล ชาว 65,66,67 ยิวคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่พระบิดาของเราทรงจับเป็นเชลยจากแคว้นยูดาห์มาอยู่ที่ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 นี่ใช่ไหม เราได้ยินว่า...ท่านอธิบายและแก้ปริศนาได้ ถ้าท่านอ่านข้อเขียนนี้และ อธิบายความหมายให้เราได้ เราจะให้ท่านสวมเสื้อสีม่วงแดง สวมสร้อยคอทองคำ� และจะแต่งตั้งท่านให้มีอำ�นาจปกครองเป็นลำ�ดับที่สามในราชอาณาจักร” ดาเนียลทูลตอบว่า “ขอพระองค์ทรงเก็บของพระราชทานไว้กบั พระองค์ และประทานเป็นรางวัล แก่ผู้อื่นเถิด ข้าพเจ้าจะอ่านข้อเขียนนี้ถวาย และจะอธิบายความหมายให้ทรงทราบ... พระเจ้าจึงทรง ส่งมือมาเขียนข้อความนี้ไว้ ซึ่งอ่านได้ว่า ‘เมเน เทเคล เปเรส’ นี่คือความหมายของข้อเขียน ‘เมเน’ มี ความหมายว่า ‘นับแล้ว’ พระเจ้าทรงนับวันพระอาณาจักรของพระองค์แล้ว และทรงนำ�พระอาณาจักร มาถึงจุดจบ ‘เทเคล’ มีความหมายว่า ‘ชั่งแล้ว’ พระองค์ทรงถูกชั่งบนตราชูและปรากฏว่าทรงมีนํ้า หนักไม่พอ ‘เปเรส’ มีความหมายว่า ‘แบ่งแล้ว’ พระอาณาจักรของพระองค์ถูกแบ่งแล้วและถูกมอบ แก่ชาวมีเดียและชาวเปอร์เซีย” พระวรสาร ลก 21:12-19 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “แต่กอ่ นทีเ่ หตุการณ์ทงั้ หมดนีจ้ ะเกิดขึน้ เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน จะนำ�ท่านไปไต่สวน ในศาลาธรรม และจะจองจำ�ท่านในคุก เขาจะนำ�ท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริยแ์ ละผูว้ า่ ราชการเพราะนาม ของเรา และนี่จะเป็นโอกาสให้ท่านเป็นพยานถึงเรา จงตัดสินใจว่าท่านจะไม่หาคำ�แก้ตัวไว้ก่อน เราจะ ให้คำ�พูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะต้านทานหรือโต้แย้งไม่ได้ บิดามารดา พี่น้อง ญาติ และมิตรสหายจะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชัง ของทุกคนเพราะนามของเรา แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว ด้วยการยืนหยัด มั่นคงท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้” กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงเสียสติ (ดนล บทที่ 4) กษัตริย์เบลซัสซาร์ขึ้นครองราชย์ และจัด งานเลี้ยง (บทที่ 5) ระหว่างงานเลี้ยงมีตัวอักษรถูกเขียนบนผนังท้องพระโรง และดาเนียลสามารถตีความ ตัวอักษรนั้นได้ จนเป็นที่พอพระทัยของกษัตริย์ ประทานอำ�นาจปกครองให้ แต่บรรดาผู้ว่าราชการภาคไม่ พอใจการเลื่อนตำ�แหน่งให้ดาเนียล (บทที่ 6 ถูกโยนลงในถํ้าสิงโต) และพระเจ้าทรงคุ้มครองดาเนียลให้ ปลอดภัยอย่างอัศจรรย์


บทอ่านที่ 1 รม 10:9-18 พี่น้อง ถ้าท่านประกาศด้วยปากว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และ มีความเชือ่ ในใจว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจาก บรรดาผู้ตาย ท่านก็จะรอดพ้น การเชื่อด้วยใจจะบันดาลความชอบธรรม การ ประกาศด้วยปากจะบันดาลความรอดพ้น เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า “ทุกคนที่มี ความเชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย” เพราะไม่มีความแตกต่างกัน ระหว่างชาวยิวกับผู้ที่ไม่ใช่ชาวยิว พระองค์เท่านั้นทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า สำ�หรับมนุษย์ทกุ คน ประทานพระพรมากมายให้ทกุ คนทีเ่ รียกขานพระองค์ เพราะ ทุกคนที่เรียกขานพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะรอดพ้น ฉะนัน้ ชาวอิสราเอลจะเรียกขานพระองค์ได้อย่างไรถ้าพวกเขาไม่เชือ่ จะเชือ่ ได้อย่างไรถ้าไม่เคยได้ยิน จะได้ยินได้อย่างไรถ้าไม่มีใครประกาศสอน จะมีผู้ ประกาศสอนได้อย่างไรถ้าไม่มใี ครส่งไป ตามทีม่ เี ขียนไว้ในพระคัมภีรว์ า่ “เท้าของ ผู้ประกาศข่าวดีช่างงดงามจริงหนอ” บางคนเท่านัน้ ได้เชือ่ ฟังข่าวดี ดังทีป่ ระกาศกอิสยาห์กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ใครเล่าได้เชื่อคำ�ประกาศของเรา” ดังนัน้ ความเชือ่ จึงมาจากการฟัง สิง่ ทีไ่ ด้ฟงั ก็มาจากพระวาจาของพระคริสต เจ้า ข้าพเจ้าขอถามว่า เป็นไปได้หรือที่เขาไม่ได้ยิน เขาได้ยินแน่นอน เพราะเสียง ของผู้ประกาศข่าวดีกระจายไปทั่วแผ่นดิน และวาจาของเขาแพร่ไปจนสุดปลาย พิภพ พระวรสาร มธ 4:18-22 ขณะที่ทรงดำ�เนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระเยซูเจ้าทอดพระเนตร เห็นพี่น้องสองคนคือซีโมนที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายกำ�ลังทอดแห เขา เป็นชาวประมง พระองค์ตรัสสั่งว่า “จงตามเรามาเถิด เราจะทำ�ให้ท่านเป็นชาว ประมงหามนุษย์” เขาทั้งสองคนก็ทิ้งแหไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที เมื่อทรงดำ�เนินไปจากที่นั่น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องอีกสองคนคือ ยากอบบุตรของเศเบดีและยอห์นน้องชายกำ�ลังซ่อมแหอยู่ในเรือกับเศเบดีผู้บิดา พระองค์ทรงเรียกเขา ทันใดนั้น เขาทั้งสองคนก็ทิ้งเรือและบิดา แล้วตามพระองค์ ไป ชื่อของนักบุญอันดรูว์ มาจากภาษากรีก หมายความว่า สมเป็นชาย กล้าหาญ พระเยซูเจ้าทรงเรียกมาเป็นอัครสาวกชุดแรก เป็นผูพ้ าพีช่ ายมาเฝ้าพระเยซู เจ้า (ยน 1:42) หลังจากพระเยซูเจ้าเสด็จกลับคืนพระชนมชีพ อันดรูว์ไปประกาศพระ วรสารในเอเชียไมเนอร์ (ตุรกี) มาซิโดเนีย และกรีซ ที่สุดในสมัยจักรพรรดิเนโร ท่าน ถูกมัดตรึงกางเขน เป็นตัว X ที่เมืองปาตรัส เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 60 ท่านเป็นองค์อุปถัมภ์ของประเทศรัสเซีย สก็อตแลนด์ และชาวประมง

ฉลอง น.อันดรูว์ อัครสาวก สดด 19:1-2,3-4



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.