11 november 2018

Page 1


บทอ่านที่ 1 อฟ 6:10-20 พี่น้อง สุดท้ายนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้เข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงตักตวง พลังจากพระพลานุภาพของพระองค์ จงสวมใส่อาวุธครบชุดของพระเจ้า เพื่อท่านจะ ยืนหยัดต่อต้านเล่ห์กลของปีศาจได้ เพราะเรามิได้ต่อสู้กับพลังมนุษย์ แต่ต่อสู้กับ เทพนิกรเจ้า และเทพนิกรอำ�นาจ ต่อสู้กับผู้ปกครองพิภพแห่งความมืดมนนี้ ต่อสู้กับ บรรดาจิตแห่งความชั่วร้ายที่อยู่บนท้องฟ้า เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงสวมใส่อาวุธ ครบชุดของพระเจ้า เพือ่ จะต้านทานทุกสิง่ ได้ในวันเลวร้าย และยืนหยัดอยูไ่ ด้จนถึงทีส่ ดุ จงยืนหยัดมั่นคง จงคาดสะเอวด้วยความจริง จงสวมความชอบธรรมเป็นเสื้อ เกราะ จงสวมความกระตือรือร้นที่จะประกาศข่าวดีแห่งสันติเป็นรองเท้า จงถือความ เชื่อเป็นโล่ไว้เสมอ เพื่อใช้ดับธนูไฟของมาร จงใช้ความรอดพ้นเป็นเกราะป้องกันศีรษะ จงถือดาบของพระจิตเจ้าคือพระวาจา ของพระเจ้าไว้ จงอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ ขอพระจิตเจ้าทรงดลใจคำ�อธิษฐานวอนขอ ต่างๆ ทุกโอกาส จงตื่นเฝ้า อย่าท้อถอยที่จะวอนขอเพื่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จง อธิษฐานภาวนาเพื่อข้าพเจ้าด้วย พระองค์จะได้ประทานถ้อยคำ�ให้ข้าพเจ้ามีโอกาสเปิด ปากพูด และประกาศธรรมลํ้าลึกของข่าวดีได้อย่างองอาจ ข้าพเจ้าเป็นทูตที่ถูกจองจำ� เพราะข่าวดีนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญที่จะพูดอย่างเหมาะสมด้วยเถิด

สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา สดด 114:1,2,9-11ก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ลก 13:31-35 เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าว่า “ท่านจงเดินทางออกไปจากที่นี่เถิด เพราะกษัตริย์ เฮโรดต้องการจะฆ่าท่าน” พระองค์ตรัสตอบว่า “จงไปบอกเจ้าสุนขั จิง้ จอกตัวนัน้ ว่าเราขับไล่ปศี าจและรักษา โรค วันที่สาม เราจะบรรลุถึงเป้าหมาย แต่วันนี้ พรุ่งนี้ และมะรืนนี้ เราจะต้องเดินทางต่อไป เพราะ ประกาศกจะตายนอกกรุงเยรูซาเล็มไม่ได้” “เยรูซาเล็มเอ๋ย เยรูซาเล็ม เจ้าฆ่าประกาศก เอาหินทุ่มผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาหาเจ้า กี่ครั้งกี่หนแล้วที่ เราต้องการรวบรวมบุตรของเจ้าเหมือนดังแม่ไก่รวบรวมลูกไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ต้องการ บัดนี้ บ้านของท่าน ทั้งหลายจะต้องถูกทิ้งร้าง เราบอกท่านทั้งหลายว่า ท่านจะไม่เห็นเราอีกจนถึงเวลาที่ท่านจะกล่าวว่า ‘ขอถวายพระพรแด่ผู้ที่มาในพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า’” ในพระวรสารของวันนี้ มีชาวฟารีสบี างคนมาเตือนพระเยซูเจ้าว่า กษัตริยเ์ ฮโรดต้องการฆ่าพระองค์ และพระองค์ได้ทรงทำ�นายถึงการถูกทำ�ลายของกรุงเยรูซาเล็ม “เยรูซาเล็มเอ๋ย เยรูซาเล็ม เจ้าฆ่าประกาศก เอา หินทุม่ ผูท้ พี่ ระเจ้าทรงส่งเจ้า กีค่ รัง้ กีห่ นแล้วทีเ่ ราต้องรวบรวมบุตรของเจ้าเหมือนดังแม่ไก่รวบรวมลูกไว้ใต้ปกี แต่ เจ้าไม่ตอ้ งการ บัดนี้ บ้านของท่านทัง้ หลายจะต้องถูกทิง้ ร้าง“ แต่พระเยซูเจ้ายังทรงให้ความหวังแก่ชาวอิสราเอล หากว่าพวกเขากลับใจ “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ท่านจะไม่เห็นเราอีก จนถึงเวลาที่ท่านจะกล่าวว่า ขอถวาย พระพรแด่ผู้ที่มาในพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า” ในขณะที่กำ�ลังจาริกสู่กรุงเยรูซาเล็มใหม่แห่งเมืองสวรรค์ เรา จำ�เป็นต้องกลับใจและใช้โทษบาป


วันภาวนาอุทิศ แด่ผู้ล่วงลับ สดด 27:1-14

บทอ่านที่ 1 โยบ 19:1,23-27 โยบกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยากให้ถอ้ ยคำ�ของข้าพเจ้าถูกบันทึกไว้ อยากให้จารึกไว้ในหนังสือ อยาก ให้ใช้สิ่วเหล็กและตะกั่วสลักไว้บนหินให้คงอยู่ตลอดไป ส่วนข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้ว่าพระ ผู้ปกป้องข้าพเจ้าทรงพระชนม์อยู่ จะทรงลุกขึ้นยืนเป็นคนสุดท้ายบนฝุ่นดิน เมื่อหนัง ของข้าพเจ้าถูกทำ�ลาย และไม่มีร่างกายอีกแล้ว ข้าพเจ้าจะเห็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเห็น พระองค์อยู่เคียงข้าง นัยน์ตาของข้าพเจ้าจะแลเห็นพระองค์ไม่ใช่อย่างคนแปลกหน้า ข้าพเจ้ารู้สึกมีความมั่นใจเช่นนี้

วันศุกร์ต้นเดือน

บทอ่านที่ 2 รม 5:5-11 พี่น้อง ความหวังนี้ไม่ทำ�ให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานให้เรา ทรงหลั่งความรักของพระเจ้าลงในดวงใจของเรา ขณะที่เรายังอ่อนแอ พระคริสตเจ้า สิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปตามเวลาที่กำ�หนด ยากที่จะหาคนที่ยอมตายเพื่อคนชอบธรรม บางครั้งอาจจะมีคน ยอมตายแทนคนดีจริงๆ ได้ แต่พระเจ้าทรงพิสูจน์ว่าทรงรักเรา เพราะพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเราขณะ ที่เรายังเป็นคนบาป บัดนี้ เมื่อเราได้รับความชอบธรรมโดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์แล้ว เดชะพระองค์ เราก็ยงิ่ จะได้รบั ความรอดพ้นจากการถูกพระเจ้าลงโทษ ถ้าเรากลับคืนดีกบั พระเจ้าเดชะการสิน้ พระชนม์ของ พระบุตรขณะทีเ่ รายังเป็นศัตรูอยู่ ยิง่ กว่านัน้ เมือ่ กลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดพ้นเดชะพระชนมชีพของพระองค์ ด้วย มิใช่เพียงเท่านั้น เรายังภูมิใจในพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เดชะพระองค์ บัดนี้พระองค์ทรงทำ�ให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว พระวรสาร ยน 6:37-40 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนที่ติดตามพระองค์ว่า “ทุกคนที่พระบิดาทรงมอบให้เรา จะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ผลักไสไปเลย เพราะเราลงมา จากสวรรค์ มิใช่เพือ่ ทำ�ตามใจของเรา แต่เพือ่ ทำ�ตามพระประสงค์ของผูท้ รงส่งเรามา พระประสงค์ของผูท้ รง ส่งเรามาก็คือ เราจะไม่สูญเสียผู้ใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เรา แต่จะให้ผู้นั้นกลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระ ประสงค์ของพระบิดาของเราก็คือ ทุกคนที่เห็นพระบุตร แล้วเชื่อในพระบุตร จะมีชีวิตนิรันดร และเราจะให้ เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย”

การระลึกถึงผู้ล่วงลับ ต้องช่วยให้เรามีความหวังและความเชื่อในพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัส กับเราว่า “พระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามาก็คือ เราจะไม่สูญเสียผู้ใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เรา แต่จะให้ผู้นั้น กลับคืนชีพในวันสุดท้าย” ด้วยเหตุนี้ ความตายจึงไม่มีอำ�นาจเหนือเรา ความตายไม่สามารถมีชัยชนะเหนือผู้ที่ ได้เจริญชีวิตเพื่อพระคริสตเจ้า ให้เราภาวนาเพือ่ พีน่ อ้ งของเราทีไ่ ด้ลว่ งลับไปแล้ว ภาวนาให้วญ ิ ญาณทุกดวงในไฟชำ�ระ โดยเฉพาะอย่างยิง่ วิญญาณของผู้ที่ไม่มีใครคิดถึง ด้วยความเชื่อมั่นว่า สักวันหนึ่งเราจะได้อยู่พร้อมหน้ากันในพระราชัยสวรรค์


บทอ่านที่ 1 ฟป 1:18ข-26 พีน่ อ้ ง พระคริสตเจ้าก็ทรงได้รบั การประกาศแล้ว เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงมีความ ยินดี และจะยินดีต่อไป ข้าพเจ้ารู้ว่า สิ่งนี้จะทำ�ให้ข้าพเจ้ารอดพ้น ด้วยคำ�อธิษฐาน ภาวนาของท่านทั้งหลายและด้วยความช่วยเหลือจากพระจิตของพระเยซูคริสตเจ้า ตามที่ข้าพเจ้ามุ่งมั่นรอคอยอย่างกระตือรือร้นและหวังว่า ข้าพเจ้าจะไม่อับอายเลย แต่จะพูดอย่างกล้าหาญว่า พระคริสตเจ้าจะทรงได้รบั เกียรติในร่างกายของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ เหมือนกับในอดีต ไม่ว่าข้าพเจ้าจะเป็นหรือตายก็ตาม ข้าพเจ้าคิดว่าการมีชีวิต อยู่ก็คือพระคริสตเจ้า และการตายก็เป็นกำ�ไร หากการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นโอกาส ให้ข้าพเจ้าทำ�งานได้ผลแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเลือกสิ่งใดดี ข้าพเจ้ารู้สึกลังเล คือ ปรารถนาจะพ้นจากชีวติ นีไ้ ปเพือ่ อยูก่ บั พระคริสตเจ้า ซึง่ จะเป็นการดีกว่ามาก แต่การ มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไปก็จำ�เป็นอย่างยิ่งสำ�หรับท่านทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามั่นใจเช่นนี้ แล้วข้าพเจ้าก็รู้ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ต่อไปและอยู่เคียงข้างท่านทุกคน เพื่อช่วยให้ท่าน ก้าวหน้าและชื่นชมในความเชื่อ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ภูมิใจพระคริสตเยซูยิ่งขึ้น เพราะข้าพเจ้าได้กลับมาอยู่กับท่านอีกครั้งหนึ่ง พระวรสาร ลก 14:1,7-11 วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของหัวหน้า ชาวฟาริสีผู้หนึ่ง ผู้ที่อยู่ที่นั่นต่างจ้องมองพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงสังเกตเห็นผู้รับเชิญต่างเลือกที่นั่งที่มีเกียรติ จึงตรัสเป็นอุปมา กับเขาว่า “เมื่อมีใครเชิญท่านไปในงานมงคลสมรส อย่าไปนั่งในที่ที่มีเกียรติ เพราะ ถ้ามีคนสำ�คัญกว่าท่านได้รบั เชิญมาด้วย เจ้าภาพทีเ่ ชิญท่านและเชิญเขาจะมาบอกท่าน ว่า ‘จงให้ที่นั่งแก่ผู้นี้เถิด’ แล้วท่านจะต้องอับอายไปนั่งที่สุดท้าย แต่เมื่อท่านได้รับ เชิญ จงไปนั่งในที่สุดท้ายเถิด เพื่อเจ้าภาพที่เชิญท่านจะมาบอกท่านว่า ‘เพื่อนเอ๋ย จง ไปนัง่ ในทีท่ ดี่ กี ว่านีเ้ ถิด’ แล้วท่านจะได้รบั เกียรติตอ่ หน้าผูร้ ว่ มโต๊ะทัง้ หลาย เพราะทุก คนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ตํ่าลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” วันนีเ้ ราระลึกถึงนักบุญมาร์ตนิ เด ปอเรส ท่านเป็นบุตรของเศรษฐีชาวสเปน และมารดาเป็นชาวนิโกร เกิดที่เมืองลีมา ประเทศเปรูในปี ค.ศ. 1579 ท่านมีจิตใจเมตตา เป็นพิเศษต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ต่อมาได้เข้าเป็นนักบวชในคณะโดมินิกันในฐานะภราดา ท่านเจริญชีวิตแห่งการภาวนาและใช้โทษบาป ท่านเป็นที่รักและเคารพของทุกคนเพราะ แบบอย่างแห่งความสุภาพของท่าน ดังพระวาจาของพระเยซูเจ้าทีต่ รัสในวันนีว้ า่ “ทุกคน ที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ตํ่าลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” ให้เราภาวนาวอนขอนักบุญมาร์ติน ได้ช่วยเราให้มีใจสุภาพถ่อมตน อันจะนำ�เราไปสู่ ชีวิตนิรันดร

น.มาร์ติน เด ปอเรส นักบวช สดด 42:1,2,4

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


สมโภช นักบุญทั้งหลาย

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์ วว 7:2-4,9-14 ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อกี องค์หนึง่ ปรากฏขึน้ ทางทิศตะวันออก ถือตราของพระเจ้า ผู้ทรงชีวิต ทูตสวรรค์องค์นั้นร้องเสียงดังบอกทูตสวรรค์ทั้งสี่องค์ ซึ่งได้รับมอบหมาย ให้ท�ำ ลายแผ่นดินและทะเลว่า “อย่าทำ�ลายแผ่นดินหรือทะเลหรือต้นไม้ จนกว่าเราจะ ได้ประทับตราไว้ทหี่ น้าผากของบรรดาผูร้ บั ใช้พระเจ้าของเรา” และข้าพเจ้าได้ยนิ ว่าผูท้ ี่ ได้รับการประทับตรามีจำ�นวนหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคน ผู้รับการประทับตราเหล่านี้มา จากทุกเผ่าของชาวอิสราเอล หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นนิมิต ประชาชนมากมายเหลือคณานับจากทุกชาติ ทุก เผ่า ทุกประเทศและทุกภาษา กำ�ลังยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์และเฉพาะพระพักตร์ลูก แกะ ทุกคนสวมเสือ้ ขาว ถือใบปาล์ม ร้องสรรเสริญเสียงดังว่า “ความรอดพ้นเป็นของ พระเจ้าของเรา ผูป้ ระทับอยูบ่ นพระบัลลังก์ และเป็นของลูกแกะ” ทูตสวรรค์ทงั้ หลาย ที่ยืนอยู่รอบพระบัลลังก์ รอบผู้อาวุโส และรอบผู้มีชีวิตทั้งสี่ตน ต่างกราบลงหน้าพระ บัลลังก์ ศีรษะจรดพื้น นมัสการพระเจ้าว่า อาเมน คำ�ถวายพระพร พระสิริรุ่งโรจน์ พระปรีชาญาณ คำ�ขอบพระคุณ พระเกียรติยศ พระอานุภาพและพระพลานุภาพ เป็นของพระเจ้าของเราตลอดนิรันดร อาเมน ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า “คนที่สวมเสื้อขาวเหล่านี้เป็นใคร และมาจาก ไหน” ข้าพเจ้าตอบว่า “นายขอรับ ท่านก็รู้อยู่แล้ว” เขาจึงบอกข้าพเจ้าว่า “คนเหล่านี้ คือผู้ที่มาจากการเบียดเบียนครั้งใหญ่ เขาซักเสื้อของเขาจนขาวในพระโลหิตของลูก แกะ เพลงสดุดี สดด 24:1-2,3-4,5-6 ก) แผ่นดินและสรรพสิ่งบนแผ่นดินเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า โลกและผู้อาศัยอยู่ในโลกก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงวางฐานของโลกไว้เหนือทะเล ทรงตรึงยึดไว้มั่นคงบนกระแสน�้ำไหล ข) ใครจะขึ้นไปยังภูเขาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ใครจะยืนอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ผู้มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ผู้ไม่ใฝ่หารูปเคารพ ผู้ไม่สาบานเพียงเพื่อหลอกลวง ค) บุคคลเช่นนี้จะได้รับพระพรจากองค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับความเป็นธรรมจากพระเจ้าผู้ทรงช่วยเขาให้รอดพ้น


นี่คือพงศ์พันธุ์ที่แสวงหาพระองค์ แสวงหาพระพักตร์พระองค์ ข้าแต่พระเจ้าแห่งยาโคบ

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 3:1-3 พี่น้องที่รักยิ่ง จงดูเถิดว่า ความรักที่พระบิดาประทานให้เรานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เพื่อทำ�ให้เราได้ชื่อว่า เป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนั้นจริง โลกไม่รู้จักเรา เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์ ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้ เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว แต่เราจะเป็นอย่างไรในอนาคตนั้นยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง เราตระหนักดีว่า เมือ่ พระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะได้เห็นพระองค์อย่างทีพ่ ระองค์ทรงเป็น ทุก คนที่มีความหวังในพระองค์ ย่อมชำ�ระใจของตนให้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:1-12ก เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำ�นวนมาก จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับแล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า “ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา “ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆ นานาเพราะเรา จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำ�เหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก”

วันนี้เราสมโภชนักบุญทั้งหลาย นักบุญเหล่านี้คือ ทุกๆ คนที่ได้เจริญชีวิตอย่างดีในโลกนี้ จนได้ รับเกียรติให้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ แบบอย่างของท่านนักบุญเหล่านี้ต้องเป็นแรงบันดาลใจให้เรามีความมุ่งมั่นที่จะ เข้าไปอยู่ในสวรรค์เช่นเดียวกับท่าน ทั้งนี้เพราะพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า และคำ�เสนอวิงวอนของบรรดา นักบุญ การปฏิบัติตามคำ�สอนของพระเยซูเจ้าที่ปรากฏใน มหาบุญลาภ 8 ประการ ในพระวรสารของวันนี้ จะ ทำ�ให้เราเป็นนักบุญ และเป็นผู้เหมาะสมที่จะได้เข้าสวรรค์ ให้เราฝากตัวเราไว้ในความช่วยเหลือของแม่พระ ผูท้ รงได้รบั ชือ่ ว่า เป็น “ราชินแี ห่งนักบุญทัง้ หลาย” ผูท้ รงเปีย่ มด้วยพระหรรษทาน “พระแม่แห่งพระหรรษทาน”


สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา สดด 131:1,2,3 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 ฟป 2:1-4 พี่น้อง ถ้าท่านได้รับกำ�ลังใจจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ถ้าท่านได้รับ กำ�ลังใจจากความรัก ถ้าท่านเป็นหนึง่ เดียวกันในพระจิตเจ้า ถ้าท่านเห็นอกเห็นใจสงสาร กัน ท่านจงทำ�ให้ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยมโดยการเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน มี ความรักแบบเดียวกัน มีความรู้สึกนึกคิดอย่างเดียวกัน อย่าทำ�การใดเพื่อชิงดีกันหรือ เพื่อโอ้อวด แต่จงถ่อมตนคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนฝ่าย เดียว จงเห็นแก่ผลประโยชน์ของผู้อื่นด้วย พระวรสาร ลก 14:12-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับผู้ที่เชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจัดเลี้ยงอาหารกลาง วันหรืออาหารคาํ่ อย่าเชิญมิตรสหาย พีน่ อ้ งหรือเพือ่ นบ้านทีม่ งั่ มี เพราะเขาจะเชิญท่าน และท่านจะได้รับการตอบแทน แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนยากจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด แล้วท่านจะเป็นสุข เพราะคนเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดตอบแทนท่านได้ ท่านจะได้รับการตอบแทนจากพระเจ้าเมื่อผู้ชอบธรรมกลับคืนชีวิต” คนเรามักให้ เพื่อหวังจะได้รับ แต่นั่นไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า พระองค์ทรง ให้ ทั้งๆ ที่ทรงทราบดีว่าจะไม่ได้รับการตอบแทน แม้เรามนุษย์จะไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า พระองค์ก็ยังทรงเมตตาและทรงปรารถนาดีต่อเรา พระวาจาของพระเจ้าในวันนีเ้ ชิญชวนเราทุกคนให้ปฏิบตั เิ ช่นเดียวกับพระองค์ ให้เรา มีจติ ใจดี จิตใจเมตตาต่อผูย้ ากไร้ ผูด้ อ้ ยโอกาส ผูอ้ ยูช่ ายขอบสังคม ผูท้ ไี่ ม่สามารถตอบแทน เราได้ การปฏิบัติดีต่อบุคคลเหล่านี้ จะทำ�ให้เราอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า เพราะรักอย่างที่ พระเจ้าทรงรัก


บทอ่านที่ 1 ฟป 2:5-11 พีน่ อ้ ง จงมีความรูส้ กึ นึกคิดเช่นเดียวกับทีพ่ ระคริสตเยซูทรงมีเถิด แม้วา่ พระองค์ ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่ จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจ เรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้น สูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้ เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าพระบิดา พระวรสาร ลก 14:15-24 เวลานั้น ผู้ร่วมโต๊ะคนหนึ่งได้ยินเช่นนี้จึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “ผู้ที่กินอาหารในพระ อาณาจักรของพระเจ้าย่อมเป็นสุข” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ชายผู้หนึ่งจัดงานเลี้ยง ใหญ่และเชิญคนเป็นจำ�นวนมาก เมือ่ ถึงเวลางาน เขาส่งผูร้ บั ใช้ไปบอกผูร้ บั เชิญทัง้ หลาย ว่า ‘เชิญมาเถิด ทุกอย่างพร้อมแล้ว’ แต่ทุกคนต่างขอตัว คนแรกพูดว่า ‘ข้าพเจ้าได้ซื้อ ที่นาไว้แปลงหนึ่ง จำ�เป็นต้องไปดู จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้’ อีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อโคไว้ห้าคู่ กำ�ลังจะไปทดลองใช้งาน จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้’ อีกคน หนึ่งพูดว่า ‘ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน จึงมาไม่ได้’ ผูร้ บั ใช้กลับมารายงานทุกอย่างแก่นายของตน นายโกรธมาก พูดกับผูร้ บั ใช้วา่ ‘จง รีบออกไปตามลานสาธารณะและตามถนนในเมือง จงพาคนยากจน คนพิการ คนตาบอด และคนง่อยเข้ามาทีน่ เี่ ถิด’ ผูร้ บั ใช้กลับมาบอกนายว่า ‘นายขอรับ ข้าพเจ้าทำ�ตามคำ�สัง่ ของท่านแล้ว แต่ยังมีที่ว่างอีก’ นายจึงบอกผู้รับใช้ว่า ‘จงออกไปตามทางเดินและตาม รัว้ ต้นไม้ เร่งเร้าผูค้ นให้เข้ามาเพือ่ ทำ�ให้คนเต็มบ้านของเรา เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ไม่มี ผู้ที่ได้รับเชิญคนใดจะได้ลิ้มรสอาหารของเรา’”

การเลี้ยงที่กล่าวถึงในพระวรสารของวันนี้ เป็นรูปแบบของการเลี้ยงใน สวรรค์ เราทุกคนคือแขกรับเชิญของพระองค์ แต่นา่ เสียดาย คนมากมายไม่ได้สนใจคำ�เชิญ ของพระองค์แม้แต่น้อย ความกังวลและความห่วงใยในทรัพย์สมบัตขิ องโลก ทำ�ให้เราเลือ่ นวัน และเวลาแห่ง การกลับใจออกไป ที่สุดแล้วเราอาจจะไม่มีเวลาได้กลับใจ เพราะเสียงเชิญของพระเจ้ามี กำ�หนดเวลา และเวลานั้นจะผ่านไป

สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา สดด 22:25ข-26,27-31 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา สดด 27:1,4,13-14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 ฟป 2:12-18 ท่านทีร่ กั ยิง่ ของข้าพเจ้า ท่านทัง้ หลายเคยเชือ่ ฟังตลอดมา มิใช่เฉพาะเมือ่ ข้าพเจ้า อยู่กับท่านเท่านั้น แต่ยิ่งกว่านั้น บัดนี้แม้เมื่อข้าพเจ้าอยู่ห่างไกล ท่านก็ยังเชื่อฟังด้วย ท่านจงออกแรงด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่นเพื่อให้รอดพ้นเถิด พระเจ้าทรงทำ�งานใน ท่านเพื่อให้ท่านมีทั้งความปรารถนาและความสามารถที่จะทำ�งานตามพระประสงค์ จง ทำ�ทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่บ่นหรือโต้เถียง ท่านทั้งหลายจะได้ไม่ถูกตำ�หนิ ปราศจาก เล่ห์กล เป็นบุตรของพระเจ้า ไร้มลทินในหมู่พงศ์พันธุ์ที่คดโกงและชั่วร้าย ฉายแสงใน หมู่ชนนี้เสมือนดวงประทีปอยู่ในโลก จงยึดพระวาจาแห่งชีวิตมั่นไว้ เพื่อข้าพเจ้าจะได้ ภาคภูมิใจในวันของพระคริสตเจ้าว่า ข้าพเจ้ามิได้วิ่งและตรากตรำ�ทำ�งานโดยเปล่า ประโยชน์ แม้ว่าข้าพเจ้าจะต้องหลั่งโลหิตเป็นพลีบูชา พร้อมกับที่ท่านถวายความเชื่อ เป็นพลีบูชาแด่พระเจ้า ข้าพเจ้าก็ยินดีและร่วมยินดีกับท่านทุกคน ขอให้ท่านทั้งหลาย ยินดีและร่วมยินดีกับข้าพเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน พระวรสาร ลก 14:25-33 เวลานั้น ประชาชนจำ�นวนมากกำ�ลังเดินไปกับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงหันพระ พักตร์มาตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ ได้ ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้” “ท่านที่ต้องการสร้างหอคอย จะไม่คำ�นวณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอสร้างให้ เสร็จหรือไม่ มิฉะนั้น เมื่อวางรากฐานไปแล้ว แต่สร้างไม่สำ�เร็จ ทุกคนที่เห็นจะหัวเราะ เยาะเขา พูดว่า ‘คนนี้เริ่มก่อสร้าง แต่ทำ�ให้สำ�เร็จไม่ได้ หรือกษัตริย์ที่ทรงยกทัพไปทำ� สงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง จะไม่ทรงคำ�นวณก่อนหรือว่า ถ้าใช้กำ�ลังพลหนึ่งหมื่น คน จะเผชิญกับศัตรูทมี่ กี �ำ ลังพลสองหมืน่ คนได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ ขณะทีอ่ กี ฝ่ายหนึง่ ยัง อยูห่ า่ งไกล พระองค์จะได้ทรงส่งทูตไปเจรจาขอสันติภาพ ดังนัน้ ทุกท่านทีไ่ ม่ยอมสละ ทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้” ผู้ ท่ี ป ระสงค์ จ ะติ ด ตามพระเยซู เจ้ า และเป็ น ศิ ษ ย์ ข องพระองค์ ต้ อ งรั ก พระองค์มากกว่าบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ศิษย์ของพระองค์ต้องพร้อมที่จะรับทุกข์ทรมานเพื่อพระองค์ เงื่อนไขของการติดตาม พระเยซูเจ้าต่างกับเงือ่ นไขทีบ่ ริษทั หรือห้างร้านให้แก่บรรดาผูส้ มัคร ซึง่ ต่างก็หวังจะได้รบั เงินเดือนสูง เราพร้อมหรือไม่ที่จะเลือกพระเยซูเจ้า แม้ว่าเราจะต้องสูญเสียบุคคลที่เรารัก และ แม้แต่ชีวิตของเราเอง บรรดามรณสักขีและนักบุญเป็นแบบอย่างของผู้ที่ได้เลือกพระเยซู เจ้าเหนือสิ่งสร้างทั้งปวง


บทอ่านที่ 1 ฟป 3:3-8ก พี่น้อง พวกเราเท่านั้นเป็นผู้ที่เข้าสุหนัตโดยแท้จริง เป็นผู้ประกอบศาสนพิธีด้วย พระจิตของพระเจ้า และภูมิใจในพระคริสตเยซู ไม่วางใจในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ทางกาย แม้ว่าข้าพเจ้ามีเหตุผลที่จะวางใจในการปฏิบัติเช่นนี้ได้ก็ตาม ถ้าผู้ใดคิดว่าตน มีเหตุผลที่จะวางใจในการปฏิบัติเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ยังมีเหตุผลมากกว่า ข้าพเจ้าได้รับพิธี สุหนัตเมื่อเกิดมาได้แปดวัน เป็นเชื้อสายชนชาติอิสราเอลจากตระกูลเบนยามิน เป็น ชาวฮีบรูเกิดจากชาวฮีบรู ในด้านธรรมบัญญัติเป็นชาวฟาริสี มีความกระตือรือร้นที่จะ เบียดเบียนพระศาสนจักร ไม่มขี อ้ ตำ�หนิใดในด้านความชอบธรรมตามธรรมบัญญัติ แต่ สิ่งที่เคยเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าละทิ้งเพราะพระคริสตเจ้า นับแต่บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งไม่มีประโยชน์อีกเมื่อเปรียบกับประโยชน์ลํ้าค่าคือการรู้จักพระ คริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า

สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา สดด 105:2-3,4-5,6-8 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร ลก 15:1-10 เวลานั้น บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า ชาว ฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา” พระองค์จงึ ตรัสอุปมาเรือ่ งนีใ้ ห้เขาฟัง “ท่านใดทีม่ แี กะหนึง่ ร้อยตัว ตัวหนึง่ หายไป จะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิ่นทุรกันดาร ออกไปตามหาแกะที่หายไปจนพบหรือ เมือ่ พบแล้ว เขาจะยกมันใส่บา่ ด้วยความยินดี กลับบ้าน เรียกมิตรสหายและเพือ่ นบ้าน มา พูดว่า ‘จงร่วมยินดีกบั ฉันเถิด ฉันพบแกะตัวทีห่ ายไปนัน้ แล้ว’ เราบอกท่านทัง้ หลาย ว่าในสวรรค์จะมีความยินดีเช่นนีเ้ พราะคนบาปคนหนึง่ กลับใจมากกว่าความยินดีเพราะ คนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจ” “หญิงคนใดที่มีเงินสิบเหรียญแล้วทำ�หายไปหนึ่งเหรียญ จะไม่จุดตะเกียง กวาด บ้าน ค้นหาอย่างถีถ่ ว้ นจนกว่าจะพบหรือ เมือ่ พบแล้ว นางจะเรียกมิตรสหายและเพือ่ น บ้านมาพูดว่า ‘จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบเงินเหรียญที่หายไปแล้ว’ เราบอกท่าน ทั้งหลายว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมีความยินดีเช่นเดียวกัน เมื่อคนบาปคนหนึ่ง กลับใจ” สำ�หรับพระเยซูเจ้าแล้ว จำ�นวนไม่ใช่เรื่องสำ�คัญ เพราะมนุษย์แต่ละคนมีความสำ�คัญสำ�หรับ พระองค์ พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งใครแม้แต่คนเดียว แม้คนนั้นจะเป็นคนไม่ดี ทุกคนมีค่ามากพอที่พระองค์จะ ออกตามหา และนำ�พวกเขากลับมา พระองค์ไม่เพียงรักฝูงชน แต่ทรงรักเราทุกคน บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปอยากเข้าใกล้พระเยซูเจ้า อยากฟังพระองค์และอยูก่ บั พระองค์ โดยไม่สนใจ เสียงบ่นของพวกฟาริสี เพราะพวกเขาทราบดีวา่ ในโลกทีค่ นทัง้ หลายไม่ชอบพวกเขา มีพระเยซูเจ้าเพียงพระองค์ เดียวทีท่ รงรักพวกเขา พวกเขาเปรียบได้กบั แกะและเงินเหรียญ ทีเ่ จ้าของใช้ความพยายามทุกอย่างเพือ่ จะได้คนื มา สำ�หรับพระเยซูเจ้าแล้ว คนเก็บภาษีและคนบาป คือคนพิเศษของพระองค์


บทอ่านที่ 1 อสค 47:1-2,8-9,12 เขานำ�ข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร ข้าพเจ้าเห็นนํ้าไหลออกมาจากใต้ธรณี ประตูพระวิหารด้านตะวันออก เพราะพระวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก นํ้านี้ไหล ลงมาจากใต้ด้านขวาของพระวิหาร ทางทิศใต้ของพระแท่นบูชา เขานำ�ข้าพเจ้าออกไป ทางประตูดา้ นเหนือ และพาข้าพเจ้าอ้อมภายนอกจนถึงประตูชนั้ นอกซึง่ หันหน้าไปทาง ฉลองวันครบรอบ ทิศตะวันออก ข้าพเจ้าเห็นว่านํ้านี้ไหลออกมาทางด้านขวา เขาบอกข้าพเจ้าว่า “นํ้านี้ การถวายพระวิหาร ไหลไปทางทิศตะวันออก ลงไปถึงลุ่มแม่นํ้าจอร์แดน เข้าไปในทะเล เมื่อไหลเข้าไปใน ทะเล ก็ทำ�ให้นํ้าทะเลจืด แม่นํ้านี้ไปถึงที่ใด สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวในนั้นก็จะมีชีวิต จะ ลาเตรัน มีปลาจำ�นวนมาก เพราะนํ้านี้ไหลไปถึงที่ใด นํ้าทะเลก็จืด แม่นํ้าไหลไปถึงที่ใด ทุกสิ่งก็ สดด 46:2-3,5-6,8-9 มีชีวิต ตามฝั่งทั้งสองฟากของแม่นํ้าต้นไม้ผลทุกชนิดจะเจริญเติบโต ใบของมันจะไม่ เหี่ยวแห้ง และผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุกเดือน เพราะนํ้าที่หล่อเลี้ยง ต้นไม้เหล่านี้ไหลมาจากสักการสถาน ผลของต้นไม้เหล่านี้ใช้เป็นอาหาร และใบก็ใช้ เป็นยารักษาโรค” พระวรสาร ยน 2:13-22 เทศกาลปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในบริเวณพระวิหาร พระองค์ทรงพบพ่อค้าขายโค พ่อค้าขายแกะ พ่อค้าขายนกพิราบ และคนแลกเงินนั่งอยู่ที่โต๊ะ พระองค์ทรง ใช้เชือกเป็นแส้ ทรงขับไล่ทกุ คนรวมทัง้ แกะและโคออกจากพระวิหาร ทรงปัดเงินกระจายเกลือ่ นกลาด และ ทรงควํ่าโต๊ะของผู้แลกเงิน แล้วตรัสกับคนขายนกพิราบว่า “จงนำ�ของเหล่านี้ออกไป อย่าทำ�บ้านของพระ บิดาของเราให้เป็นตลาด” บรรดาศิษย์จงึ ระลึกได้ถงึ คำ�ทีเ่ ขียนไว้ในพระคัมภีรว์ า่ “ความรักทีข่ า้ พเจ้ามีตอ่ บ้าน ของพระองค์เป็นเสมือนไฟทีเ่ ผาผลาญข้าพเจ้า” ชาวยิวจึงเข้ามาทูลถามพระองค์วา่ “ท่านมีเครือ่ งหมายอะไร แสดงให้เรารูว้ า่ ท่านมีอ�ำ นาจทำ�ดังนี”้ พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “จงทำ�ลายพระวิหารนี้ แล้วเราจะสร้างขึน้ ใหม่ ภายในสามวัน” ชาวยิวพูดว่า “พระวิหารหลังนี้ต้องใช้เวลาสร้างถึงสี่สิบหกปี แล้วท่านจะสร้างขึ้นใหม่ใน สามวันหรือ” แต่พระองค์กำ�ลังตรัสถึงพระวิหารซึ่งหมายถึงพระกายของพระองค์ ดังนั้น เมื่อพระองค์ทรง กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสไว้ดังนี้ เขาจึงเชื่อทั้งพระ คัมภีร์และพระวาจาที่พระองค์ตรัสไว้ “ความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อบ้านของพระองค์เป็นเสมือนไฟที่เผาผลาญข้าพเจ้า” เพราะเหตุนี้ พระ เยซูเจ้าจึงไม่สามารถทนเห็นพระวิหารของพระเจ้ากลับเป็นตลาด พระองค์จึงทรงขับไล่บรรดาพ่อค้า คนแลก เงิน รวมทั้งแกะและโค เพื่อคืนเกียรติให้แก่พระวิหาร ร่างกายของเราแต่ละคน คือพระวิหารของพระเจ้า ชุมชนคริสตชนแต่ละแห่งก็เป็นพระวิหารของพระเจ้า เราแต่ละคนเปรียบได้กบั อิฐแต่ละก้อนทีส่ ร้างขึน้ เป็นพระวิหาร ดังนัน้ เราจึงมีหน้าทีท่ จี่ ะต้องรักษาร่างกายและ ชุมชนคริสตชนของเราให้สะอาดบริสุทธิ์สมกับเป็นพระวิหารของพระเจ้า ใจของเราเป็นตลาดเมื่อเรามองทุกสิ่ง และทุกคน เพียงเพื่อผลประโยชน์และผลกำ�ไรเท่านั้น


บทอ่านที่ 1 ฟป 4:10-19 พี่น้อง ข้าพเจ้าชื่นชมในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างยิ่ง ที่ในที่สุดท่านทั้งหลายแสดง ความห่วงใยต่อข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง... ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะพอใจในสภาพของตน รู้จัก มีชวี ติ อยูอ่ ย่างอดออม และรูจ้ กั มีชวี ติ อยูอ่ ย่างอุดมสมบูรณ์ ข้าพเจ้าได้เรียนรูท้ จี่ ะเผชิญ กับทุกสิ่งทุกกรณี เผชิญกับความอิ่มท้องและความหิวโหย เผชิญกับความมั่งคั่งและ ระลึกถึง ความขัดสน ข้าพเจ้าทำ�ทุกสิ่งได้ในพระองค์ผู้ประทานพละกำ�ลังแก่ข้าพเจ้า แต่ท่านทำ� ดีแล้วทีม่ าร่วมทุกข์กบั ข้าพเจ้า พีน่ อ้ งชาวฟีลปิ ปี ท่านทัง้ หลายรูด้ อี ยูแ่ ล้วว่า เมือ่ ข้าพเจ้า น.เลโอ ผู้ยิ่งใหญ่ ออกจากแคว้นมาซิโดเนียแล้วเริม่ ประกาศข่าวดีนนั้ ไม่มพี ระศาสนจักรใดมีสว่ นร่วมกับ พระสันตะปาปา ข้าพเจ้าด้านรายรับรายจ่าย มีเพียงท่านทั้งหลายเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าพำ�นักอยู่ที่เมือง และนักปราชญ์ เธสะโลนิกา ท่านส่งปัจจัยทีจ่ �ำ เป็นไปให้ถงึ สองครัง้ มิใช่วา่ ข้าพเจ้าต้องการจะได้รบั ของ แห่งพระศาสนจักร กำ�นัล แต่ข้าพเจ้าต้องการให้เกิดผลเพิ่มพูนยิ่งขึ้นแก่ท่าน ขณะนี้ข้าพเจ้ามีทุกสิ่งที่ สดด 112:1-3,5-6,8-9 ต้องการและมีเหลือใช้ เพราะได้รับสิ่งของมากมายที่ท่านทั้งหลายฝากเอปาโฟรดิทัส ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ไปให้ เป็นประดุจเครื่องหอม เป็นเครื่องสักการบูชาที่พระเจ้าทรงยินดีรับและพอ พระทัย... พระวรสาร ลก 16:9-15 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “เราบอกท่านทัง้ หลายว่า จงใช้เงินทองของโลกอธรรมนีเ้ พือ่ สร้างมิตรให้ตนเอง เพือ่ ว่าเมือ่ เงินทองนัน้ หมดสิน้ แล้ว ท่านจะได้รบั การต้อนรับสูท่ พี่ �ำ นักนิรนั ดร ผูท้ ซี่ อื่ สัตย์ในเรือ่ งเล็กน้อย ก็จะซือ่ สัตย์ในเรือ่ งใหญ่ ด้วย ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในเรื่อง เงินทองของโลกอธรรมแล้ว ผู้ใดจะวางใจมอบสมบัติแท้จริงให้ท่านดูแลเล่า ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในการดูแล ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ผู้ใดจะให้ทรัพย์สมบัติของท่านแก่ท่าน ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะเกลียดชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขาจะ จงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทอง พร้อมกันไม่ได้” ชาวฟาริสีที่รักเงินทอง ได้ยินถ้อยคำ�ทั้งหมดนี้ จึงหัวเราะเยาะพระองค์ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่าน ทั้งหลายคิดว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ใจของท่าน สิ่งที่มนุษย์ยกย่อง เป็น สิ่งน่ารังเกียจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” มนุษย์เข้ามาในโลกนี้มือเปล่า และจะจากโลกนี้ไปมือเปล่าเช่นเดียวกัน ในวันที่เราตาย เราไม่ สามารถนำ�ของมีค่าติดตัวเราไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว สำ�หรับพระเยซูเจ้าแล้ว เงินไม่ใช่สมบัติลํ้าค่าแท้จริง เพราะ เงินมีค่าเฉพาะเมื่อมันอยู่ในโลกนี้เท่านั้น สมบัติลํ้าค่าแท้จริงคือวิญญาณที่เป็นอมตะ ซึ่งแสดงออกทางความคิด คำ�พูด และกิจการที่ดี ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีนาย 2 คน คือ พระเจ้าและเงินทอง ทรัพย์สมบัติอยู่ที่ใด ใจของเราก็อยู่ที่ นัน่ หากพระเจ้าคือทรัพย์สมบัตขิ องเรา ใจของเราก็อยูท่ พี่ ระองค์ เราชอบพูดเรือ่ งอะไร ใจของเราก็อยูท่ นี่ นั่ หาก เราพูดถึงเรื่องเงินบ่อยๆ ก็แสดงว่าใจของเราอยู่ที่เงิน


สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 17:10-16 ในเวลานั้น ประกาศกเอลียาห์จึงออกเดินทางไปเมืองศาเรฟัท เมื่อมาถึงประตู เมือง ก็พบหญิงม่ายคนหนึ่งกำ�ลังเก็บฟืนอยู่ เขาจึงเรียกนางสั่งว่า “จงนำ�นํ้าในเหยือก มาให้ฉันดื่มสักหน่อยเถิด” ขณะที่นางกำ�ลังเดินไปตักนํ้า เขาก็ตะโกนสั่งว่า “จงนำ� ขนมปังสักชิน้ หนึง่ มาให้ฉนั ด้วย” นางตอบว่า “ดิฉนั ขอสาบานอ้างถึงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าของท่านผูท้ รงพระชนมชีพว่า ดิฉนั ไม่มขี นมปังเลย มีแต่แป้งอยูใ่ นไหเพียงหนึง่ กำ�มือ และมีนาํ้ มันมะกอกเทศนิดหน่อยในเหยือก ดิฉนั กำ�ลังเก็บฟืนสองสามท่อน จะ กลับไปทำ�อาหารสำ�หรับดิฉนั และลูกชาย เราจะกิน แล้วเราจะตาย” เอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย ไปทำ�ตามที่เธอพูดเถิด แต่จงทำ�ขนมปังก้อนเล็กๆ นำ�มาให้ฉันกินก่อน แล้วจึงค่อยทำ�สำ�หรับเธอและลูก เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัส ดังนี้ว่า “แป้งในไหจะไม่หมด นํ้ามันในเหยือกจะไม่แห้ง จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงส่งฝนให้ตกบนแผ่นดิน” หญิงม่ายกลับไปทำ�ตามทีเ่ อลียาห์สงั่ เอลียาห์ หญิงม่ายและบุตรมีอาหารกินเป็น เวลาหลายวัน แป้งในไหไม่ขาด และนํ้ามันในเหยือกไม่แห้ง ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสไว้โดยทางเอลียาห์ เพลงสดุดี สดด 146:7,8-9ก,9ข-10 ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความยุติธรรมแก่ผู้ถูกกดขี่ ประทานอาหารแก่ผู้หิวโหย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปล่อยบรรดาผู้ถูกจองจ�ำให้เป็นอิสระ ข) องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานสายตาแก่คนตาบอด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพยุงผู้ที่ล้มให้ลุกขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักผู้ชอบธรรม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิทักษ์คนต่างถิ่นที่มาอาศัยอยู่ ทรงค�้ำจุนเด็กก�ำพร้าและหญิงม่าย แต่ทรงขัดขวางหนทางของคนชั่วร้าย ค) องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงครองราชย์ตลอดไป ศิโยนเอ๋ย พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน


บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 9:24-28 พระคริสตเจ้ามิได้เสด็จเข้าสูส่ ถานศักดิส์ ทิ ธิท์ มี่ อื มนุษย์ สร้าง ซึง่ เป็นภาพจำ�ลองของสถานศักดิส์ ทิ ธิแ์ ท้ แต่พระองค์ เสด็จเข้าสู่สวรรค์ ทั้งนี้เพื่อจะทรงปรากฏอยู่เฉพาะพระ พักตร์พระเจ้าแทนเรา มิใช่เพื่อถวายพระองค์ครั้งแล้วครั้ง เล่า ดังเช่นมหาสมณะต้องเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์เป็น ประจำ�ทุกปีพร้อมกับนำ�เลือดซึง่ ไม่ใช่เลือดของตนเข้าไปด้วย มิฉะนั้น พระคริสตเจ้าคงจะต้องทรงรับการทรมานครั้งแล้ว ครั้งเล่าตั้งแต่สร้างโลกเป็นต้นมา ตรงกันข้ามพระองค์ทรง ปรากฏพระองค์เพียงครั้งเดียว ณ บัดนี้ซึ่งเป็นยุคสุดท้าย เพื่อลบล้างบาปโดยบูชาพระองค์ มนุษย์ถูกกำ�หนดให้ตาย เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นจะมีการพิพากษาฉันใด พระ คริสตเจ้าก็ฉนั นัน้ พระองค์ทรงถวายพระองค์เพียงครัง้ เดียว เพือ่ ทรงลบล้างบาปของคนจำ�นวนมาก พระองค์ จะทรงปรากฏพระองค์เป็นครัง้ ทีส่ องโดยไม่ทรงเกีย่ วข้องกับบาปอีก แต่เพือ่ ทรงนำ�ความรอดพ้นมาประทาน แก่ผู้ที่รอคอยพระองค์ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก มก 12:38-44 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนขณะทีท่ รงสัง่ สอนว่า “จงระวังบรรดาธรรมาจารย์ทชี่ อบสวมเสือ้ ยาวเดินไปมา พอใจให้คนทั้งหลายคำ�นับตามลานสาธารณะ พอใจนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม พอใจนั่งที่หัว โต๊ะในงานเลี้ยง คนพวกนี้กินบ้านของหญิงม่าย และอธิษฐานภาวนายืดยาวเพื่อให้คนมอง คนเหล่านี้จะรับ โทษหนักกว่าผู้อื่น” ขณะที่พระองค์ประทับนั่งตรงหน้าตู้ทาน ทอดพระเนตรเห็นประชาชนใส่เงินลงในตู้ทาน คนมั่งมีหลาย คนใส่เงินจำ�นวนมาก หญิงม่ายยากจนคนหนึง่ เข้ามา เอาเหรียญทองแดงสองเหรียญใส่ลงในตูท้ าน พระองค์ จึงทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ได้ทำ�ทาน มากกว่าทุกคนที่ได้ใส่เงินลงในตู้ทาน เพราะทุกคนเอาเงินที่เหลือใช้มาทำ�ทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำ�เงินทั้งหมด นำ�ทุกอย่างที่มีอยู่สำ�หรับเลี้ยงชีวิตมาทำ�ทาน” พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาประชาชนถึงความเลวร้ายของการอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์และความ ดีของตน พระเจ้าไม่ทรงให้ความสำ�คัญกับการปฏิบัติศาสนกิจแต่เพียงภายนอกเพื่อให้คนอื่นได้เห็น ความ ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในการเจริญชีวิตที่ดีทั้งภายในและภายนอก เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงยกย่องหญิงม่ายที่ทำ�บุญ น้อยกว่าคนอืน่ ในด้านปริมาณ แต่มงั่ คัง่ ในด้านคุณภาพ เพราะเธอได้ให้เงินทัง้ หมดทีเ่ ธอมี ซึง่ เท่ากับว่าเธอได้ให้ ชีวติ ของเธอเอง เป็นการให้ทมี่ คี ณ ุ ค่าแท้จริง พระเจ้าทรงมองทีห่ วั ใจ ถ้าไม่มหี วั ใจ ทุกสิง่ ก็เป็นเพียงการอวดและ การแสดงเท่านั้น


ระลึกถึง น.โยซาฟัต พระสังฆราช และมรณสักขี สดด 24:1-2, 3-4,5-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 ทต 1:1-9 จากเปาโล ผู้รับใช้ของพระเจ้า และเป็นอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ ผู้รับมอบ หมายให้น�ำ ความเชือ่ มาสูผ่ ทู้ พี่ ระเจ้าทรงเลือกสรร เพือ่ ให้รคู้ วามจริงซึง่ เป็นพืน้ ฐานของ ความเคารพเลื่อมใสพระเจ้า เพื่อให้เขามีความหวังว่าจะได้รับชีวิตนิรันดร พระเจ้าไม่ ทรงมุสา พระองค์ทรงสัญญาจะประทานชีวิตนิรันดรนี้นานมาแล้ว... ถึงทิตัสผู้เป็นบุตรแท้จริงของข้าพเจ้าในความเชื่อที่เรามีร่วมกัน ขอพระหรรษทานและสันติจากพระเจ้า พระบิดา และจากพระคริสตเยซู พระผู้ ไถ่ของเรา สถิตกับท่านเถิด ข้าพเจ้าทิ้งท่านไว้ที่เกาะครีต เพื่อท่านจะได้จัดการเรื่องที่ยังค้างอยู่ให้เรียบร้อย และเพือ่ แต่งตัง้ กลุม่ ผูอ้ าวุโสทุกเมืองตามวิธกี ารทีข่ า้ พเจ้าบอกไว้ ผูอ้ าวุโสแต่ละคนจะ ต้องประพฤติดไี ม่มที ตี่ �ำ หนิ ต้องแต่งงานเพียงครัง้ เดียว และบุตรของเขาก็ตอ้ งมีความ เชือ่ ไม่ถกู ครหาว่าประพฤติเสเพลและดือ้ รัน้ ส่วนผูป้ กครองดูแลต้องประพฤติดี ไม่มี ทีต่ �ำ หนิ เพราะเขาเป็นผูด้ แู ลบ้านของพระเจ้า ต้องไม่หยิง่ ยโส ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่ เป็นนักดื่ม ไม่ชอบใช้ความรุนแรง ไม่โลภ แต่ต้องมีอัธยาศัยไมตรี รักคุณงามความดี มีเหตุผล เที่ยงตรง ศักดิ์สิทธิ์และรู้จักบังคับตนเอง เขายังต้องยึดมั่นในหลักคำ�สอนที่ ถูกต้องตามที่ได้รับสืบทอดต่อกันมา เพื่อเขาจะตักเตือนผู้อื่นได้ ทั้งให้คำ�แนะนำ�ด้วย คำ�สอนที่ถูกต้อง ตอบโต้ผู้ที่คัดค้านคำ�สอนนั้นได้

พระวรสาร ลก 17:1-6 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เหตุที่ชักนำ�ให้ทำ�บาปจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่เป็นเหตุให้บาปเกิดขึ้น ถ้า จะเอาหินโม่แขวนคอเขาและโยนเขาลงทะเล จะเป็นการดีกว่าปล่อยให้เขาเป็นเหตุชกั นำ�คนธรรมดาๆ เหล่า นี้แม้เพียงคนเดียวให้ทำ�บาป ท่านทั้งหลายจงระวังตนให้ดีเถิด” “ถ้าพี่น้องของท่านทำ�ผิด จงตักเตือนเขา ถ้าเขากลับใจ จงให้อภัยแก่เขา ถ้าเขาทำ�ผิดต่อท่านวันละเจ็ด ครั้ง และกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดครั้ง พูดว่า ‘ฉันเสียใจ’ ท่านจงให้อภัยเขาเถิด” บรรดาอัครสาวกทูลองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าว่า “โปรดเพิม่ ความเชือ่ ให้พวกเราเถิด” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงตรัส ว่า “ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า ‘จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเล เถิด’ ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน”

พระวาจาของพระเจ้าเชื้อเชิญเราให้พิจารณาดูว่า มีกิจการใดบ้างที่เราได้ทำ� อันเป็นเหตุให้ผู้อื่น ทำ�บาป พระเยซูเจ้าทรงให้ความสำ�คัญกับบรรดาเด็กๆ เป็นพิเศษ พระองค์ทรงเตือนเราผู้ใหญ่ ผู้นำ�ฝ่าย พระศาสนจักรและฆราวาส ให้ระวังตน ไม่เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่เด็กๆ ทั้งด้วยวาจาและกิจการ ตรงกันข้าม เราต้องช่วยสนับสนุนเด็กๆ ให้เติบโตเป็นผู้นำ�ที่ดีของพระศาสนจักรและสังคมโลก เป็นศิษย์ท่ีมีความเชื่อใน พระเยซูเจ้า ให้เราภาวนา เพื่อว่าแบบอย่างไม่ดีที่เกิดจาการกระทำ�ของบรรดาพระสงฆ์ นักบวช ฆราวาสผู้ใหญ่ได้รับ การชดเชยจากแบบอย่างที่ดีและศักดิ์สิทธิ์ของบรรดาบุตร-ธิดาของพระศาสนจักร


บทอ่านที่ 1 ทต 2:1-8,11-14 พี่น้อง ท่านจงเทศน์สอนสิ่งที่สอดคล้องกับหลักคำ�สอนที่ถูกต้อง จงสอนชายสูง อายุให้มัธยัสถ์ในการกินการดื่ม ทำ�ตนเป็นที่ควรเคารพนับถือ มีเหตุผล มีความมั่นคง ในความเชือ่ ความรัก และความอดทน ทำ�นองเดียวกัน จงสอนสตรีสงู อายุให้ประพฤติ ตนเหมาะสมกับการเป็นผู้มีความเชื่อ ไม่ใส่ความ ไม่นินทาและไม่ติดสุรา พวกเขา เหล่านัน้ จะเป็นผูอ้ บรมสัง่ สอนหญิงทีเ่ ยาว์วยั กว่าให้รวู้ า่ จะต้องรักสามีและบุตรของตน อย่างไร จะต้องมีเหตุผลและทำ�ตนให้บริสุทธิ์อย่างไร จะต้องทำ�งานบ้าน ต้องสุภาพ อ่อนโยนและนอบน้อมต่อสามีอย่างไร เพื่อจะไม่ทำ�ให้พระวาจาของพระเจ้าถูกกล่าว ร้าย จงตักเตือนชายหนุ่มให้รู้จักมีเหตุผลในทุกสิ่ง โดยท่านจะต้องเป็นแบบอย่างใน กิจการทีด่ ี เมือ่ สอนก็จงสอนด้วยความจริงใจและจริงจัง โดยสอนคำ�สอนทีถ่ กู ต้องไม่มี ผู้ใดตำ�หนิได้ เพื่อฝ่ายปฏิปักษ์จะรู้สึกอายและไม่มีสิ่งใดตำ�หนิเราได้ พระหรรษทานของพระเจ้าปรากฏขึ้นเพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้น สอนเราให้ ละทิ้งอธรรมและโลกียตัณหา เพื่อดำ�เนินชีวิตอย่างมีสติสัมปชัญญะด้วยความชอบ ธรรมและด้วยความเคารพเลือ่ มใสพระเจ้าในโลกนี้ ขณะทีเ่ รากำ�ลังรอคอยความหวังที่ ให้ความสุข คือการสำ�แดงพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระคริสตเยซู พระเจ้าผู้ยิ่ง ใหญ่และพระผู้ไถ่ของเรา พระองค์ทรงมอบพระองค์เพื่อเรา เพื่อไถ่กู้เราจากอธรรม ทั้งหลาย ชำ�ระประชากรให้บริสุทธิ์เพื่อจะเป็นประชากรของพระองค์ และเป็นผู้ ปรารถนาจะทำ�แต่ความดี

สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา สดด 37:3-4,18-19, 23,27,29 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ลก 17:7-10 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านผู้ใดที่มีผู้รับใช้ออกไปไถนา หรือไปเลี้ยงแกะ เมื่อผู้รับใช้กลับจากทุ่งนา ผู้ นั้นจะพูดกับผู้รับใช้หรือว่า ‘เร็วเข้า มานั่งโต๊ะเถิด’ แต่จะพูดมิใช่หรือว่า ‘จงเตรียม อาหารมาให้ฉันเถิด จงคาดสะเอว คอยรับใช้ฉันขณะที่ฉันกินและดื่ม หลังจากนั้นเจ้า จึงกินและดืม่ ’ นายย่อมไม่ขอบใจผูร้ บั ใช้ทปี่ ฏิบตั ติ ามคำ�สัง่ มิใช่หรือ ท่านทัง้ หลายก็เช่น เดียวกัน เมือ่ ท่านได้ท�ำ ตามคำ�สัง่ ทุกประการแล้ว จงพูดว่า ‘ฉันเป็นผูร้ บั ใช้ทไี่ ร้ประโยชน์ เพราะฉันทำ�ตามหน้าที่ที่ต้องทำ�เท่านั้น’” คนเรามักจะทำ�อะไรเพื่อเกียรติยศ ชื่อเสียง เมื่อทำ�งานใดสำ�เร็จ เราหวังให้คนชม หากไม่ได้รับ คำ�ชม เราจะรู้สึกเสียใจและผิดหวัง ในพระศาสนจักรก็เช่นเดียวกัน ศิษย์ของพระคริสต์มีความโน้มเอียงที่จะ โฆษณาความสำ�เร็จของตน เพื่อชื่อเสียง และเพื่อตำ�แหน่งของตนจะได้สูงขึ้น ที่จริงแล้ว กิจการต่างๆ ที่เราทำ� ต้องถือว่าเป็นหน้าที่ของเรา การได้ทำ�งานรับใช้พระเจ้า และเพื่อนมนุษย์ เป็นพระพรยิ่งใหญ่ที่เพียงพอแล้ว พระเจ้าไม่ได้เป็นหนี้เรา แต่เราเป็นหนี้พระเจ้าในความสำ�เร็จทุกอย่าง ทำ�ไม เรากลับหวังรางวัลสำ�หรับงานที่เรามีหน้าที่จะต้องทำ�อยู่แล้ว


สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา สดด 23:1-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 ทต 3:1-7 พี่น้อง จงตักเตือนเขาเหล่านั้นให้อยู่ใต้อำ�นาจและเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ผู้มีอำ�นาจ พร้อมที่จะทำ�ความดีทุกประการ ไม่กล่าวร้ายผู้ใด หลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาท มีความ อดกลั้นและสุภาพอ่อนโยนต่อทุกคน ในอดีต เราเคยเป็นคนโง่ ไม่เชื่อฟัง และหลง ผิด เป็นทาสของกิเลสตัณหาและความหลงระเริงต่างๆ ขณะนั้นเราดำ�เนินชีวิตอย่าง ชั่วร้าย มีความอิจฉาริษยา น่ารังเกียจและเกลียดชังกัน แต่เมือ่ พระเจ้าพระผูไ้ ถ่ของเราทรงแสดงพระทัยดีและความรักต่อมนุษย์ พระองค์ ทรงช่วยเราให้รอดพ้นมิใช่เพราะกิจการชอบธรรมใดๆ ทีเ่ ราทำ� แต่เพราะความรักมัน่ คง ของพระองค์ ทรงใช้นํ้าชำ�ระเราให้สะอาด เราจึงเกิดใหม่และได้รับการฟื้นฟูโดยพระ จิตเจ้า พระองค์ทรงหลั่งพระจิตเจ้าลงเหนือเราอย่างอุดมโดยทางพระเยซูคริสตเจ้า พระผู้ไถ่ของเรา เพื่อพระหรรษทานของพระองค์จะบันดาลให้เรากลับเป็นผู้ชอบธรรม และเป็นทายาทในความหวังว่าจะได้ชีวิตนิรันดร พระวรสาร ลก 17:11-19 ขณะทีพ่ ระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มนัน้ พระองค์เสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย และกาลิลี เมื่อเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนโรคเรื้อนสิบคนเข้ามาเฝ้าพระองค์ ยืนอยู่ห่างๆ ร้องตะโกนว่า “พระเยซู พระอาจารย์ โปรดสงสารพวกเราเถิด” พระองค์ ทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสกับเขาว่า “จงไปแสดงตนแก่บรรดาสมณะเถิด” ขณะที่เขา กำ�ลังไป เขาก็หายจากโรค คนหนึ่งในสิบคนนี้ เมื่อพบว่าตนหายจากโรคแล้ว ก็กลับมา พลางร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้า ซบหน้าลงแทบพระบาท ขอบพระคุณพระองค์ เขา ผู้นี้เป็นชาวสะมาเรีย พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ทั้งสิบคนหายจากโรคมิใช่หรือ อีกเก้าคน อยูท่ ใี่ ด ไม่มใี ครกลับมาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนีห้ รือ” แล้ว พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำ�ให้ท่านรอดพ้นแล้ว”

“หัวใจที่รู้คุณเป็นหัวใจที่มีความสุข” ชีวิตที่มีความสุข คือ ชีวิตที่รู้คุณ ชีวิต ของเราเป็นพระพรของพระเจ้า พระองค์ประทานพระพรมากมายให้แก่เรา ซึ่งหลายครั้ง เราเองก็คดิ ไม่ถงึ เพราะความเคยชิน จงมีความสุขกับพระพรทีเ่ ราได้รบั และอย่าโศกเศร้า กับพระพรที่เราปรารถนาจะได้รับ แต่ไม่ได้ เพราะมีพระพรมากมายที่เราไม่สมควรจะได้ รับ แต่ก็ได้รับ ในขณะทีเ่ ราหวังในพระพรของพระ อย่าลืมทีจ่ ะทำ�ตัวของเราให้เป็นพระพรสำ�หรับ ผู้อื่นด้วย จงขอบพระคุณพระเจ้าสำ�หรับพระพรทั้งหลายที่พระองค์ประทานให้ ขณะ เดียวกันให้เราเป็นพระพรของพระเจ้าสำ�หรับผู้อื่น


บทอ่านที่ 1 ฟม 1:7-20 น้องรัก ความรักของท่านทำ�ให้ขา้ พเจ้ายินดีและได้รบั กำ�ลังใจอย่างมาก เพราะท่าน นำ�ความสงบสุขมาสู่ดวงใจของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เดชะพระคริสตเจ้า แม้ว่าข้าพเจ้ามีอำ�นาจจะสั่งท่านให้ทำ�สิ่งใดก็ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ เลือกทีจ่ ะขอร้องให้ทา่ นทำ�ด้วยความรักมากกว่า ผูท้ ขี่ อร้องนีค้ อื ข้าพเจ้า เปาโล ซึง่ เป็น คนชราและขณะนีเ้ ป็นนักโทษเนือ่ งจากพระคริสตเยซูดว้ ย ข้าพเจ้าขอร้องท่านเพือ่ บุตร น.อัลเบิร์ต คนหนึ่งของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้ให้กำ�เนิด ขณะที่ถูกจองจำ�คือโอเนสิมัส ในอดีต เขา ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีประโยชน์ใดต่อท่าน แต่ขณะนี้ เขามีประโยชน์ทั้งต่อท่านและต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้า พระสังฆราช กำ�ลังส่งเขากลับไปหาท่าน นั่นคือข้าพเจ้าส่งดวงใจของข้าพเจ้าไปด้วย อันที่จริงแล้ว และนักปราชญ์ ข้าพเจ้าต้องการให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่ เขาจะได้รับใช้ข้าพเจ้าแทนท่านขณะที่ข้าพเจ้า แห่งพระศาสนจักร ถูกจองจำ�เพราะข่าวดี แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการทำ�สิ่งใดโดยท่านไม่เห็นชอบ เพื่อมิให้ท่าน สดด 146:7,8-9ก 9ข-10 ทำ�ความดีเพราะถูกบังคับ แต่ทำ�ด้วยความสมัครใจ ข้าพเจ้าคิดว่า เขาถูกพรากไปจาก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ท่านระยะหนึง่ เพือ่ จะกลับมาอยูก่ บั ท่านตลอดไป มิใช่ในฐานะทาส แต่ในฐานะทีด่ กี ว่า มาก คือเป็นน้องชายที่รัก ถ้าเขาเป็นที่รักอย่างยิ่งของข้าพเจ้า เขาจะต้องเป็นที่รักของ ท่านมากกว่าสักเท่าใดเล่า ทัง้ ในฐานะทีเ่ ป็นเพือ่ นมนุษย์และในฐานะทีเ่ ป็นพีน่ อ้ งในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ถ้าท่าน ยังยอมรับว่าข้าพเจ้าเป็นมิตรกับท่าน ก็จงต้อนรับเขาเช่นเดียวกับที่ท่านจะต้อนรับข้าพเจ้า ถ้าเขาทำ�ผิดต่อ ท่านเรือ่ งใด หรือเป็นหนีท้ า่ นเท่าใด ก็จงจดลงในบัญชีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนด้วยมือของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้า เปาโล จะชดใช้ให้ทั้งหมด ข้าพเจ้าจะไม่พูดถึงหนี้สินอื่นที่ท่านเป็นหนี้ข้าพเจ้า ดีแล้ว น้องรัก หวังว่าท่านจะ ทำ�ตามที่ข้าพเจ้าขอร้อง เพราะท่านศรัทธาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทำ�ให้ดวงใจของข้าพเจ้าเป็นสุขสงบใน พระคริสตเจ้าเถิด พระวรสาร ลก 17:20-25 เวลานั้น เมื่อชาวฟาริสีทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด” พระเยซูเจ้า ตรัสตอบว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ามิได้มาอย่างที่จะสังเกตเห็นได้ จะไม่มีใครพูดว่า ‘พระอาณาจักรอยู่ ที่นี่ หรืออยู่ที่นั่น’ เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เวลานั้นจะมาถึงเมื่อท่านปรารถนาเห็นวันของบุตรแห่งมนุษย์แม้ เพียงวันเดียว แต่จะไม่ได้เห็น จะมีหลายคนกล่าวกับท่านว่า ‘บุตรแห่งมนุษย์อยูท่ นี่ นั่ ’ หรือ ‘บุตรแห่งมนุษย์ อยู่ที่นี่’ ท่านอย่าออกไป อย่าตามไป เพราะเมื่อสายฟ้าแลบ ย่อมส่องสว่างจากขอบฟ้าหนึ่งไปถึงอีกขอบฟ้า หนึ่งฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จมาในวันของพระองค์ฉันนั้น แต่ก่อนจะถึงวันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จำ�เป็น ต้องรับการทรมานอย่างมาก และจำ�เป็นที่คนยุคนี้ไม่ยอมรับพระองค์” “พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว” การประทับอยู่ของพระเยซูเจ้า คือ อาณาจักรของพระเจ้า พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงเจริญชีวติ ในตัวเราแต่ละคน แต่พระองค์ยงั ทรงเจริญชีวติ ท่ามกลางเรา พระอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้อยู่ที่นั่น หรืออยู่ที่นี่ แต่พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในใจของเรา เพราะ ทีใ่ ดมีความรัก ทีน่ นั่ มีพระเจ้าและพระอาณาจักรของพระองค์ ความจริงนีต้ อ้ งทำ�ให้เราสำ�นึกว่า ถ้าพระเจ้าและ พระอาณาจักรของพระองค์อยู่ในตัวเรา การประพฤติปฏิบัติต่อตนเองและต่อผู้อื่นสมควรจะเป็นเช่นไร


น.มาร์กาเร็ต แห่งสก๊อตแลนด์ น.เยอร์ตรู๊ด พรหมจารี สดด 119:1-2, 10-11,17-19 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 2 ยน 1:4-9 ข้าพเจ้ามีความปีติมากที่รู้ว่า บุตรบางคนของท่านดำ�เนินชีวิตตามความจริงตลอด มา โดยปฏิบตั ติ ามทีเ่ ราได้รบั พระบัญชาจากพระบิดา เวลานี้ ข้าพเจ้าเขียนมาขอให้ทา่ น ทั้งหลายที่เป็นพระศาสนจักรทำ�สิ่งหนึ่ง สิ่งนี้ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ แต่เป็นบทบัญญัติ ที่เรามีมาตั้งแต่แรกเริ่ม นั่นคือ เราจงรักกันเถิด ความรักคือการดำ�เนินชีวิตตามพระบัญญัติ บทบัญญัตินี้ท่านเรียนรู้มาแล้วตั้งแต่ แรกเริ่ม คือให้ดำ�เนินชีวิตในความรัก คนหลอกลวงจำ�นวนมากออกไปทั่วโลก พวกนี้ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสตเจ้า เสด็จมาเป็นมนุษย์ คนเหล่านี้คือคนหลอกลวงและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า ท่าน จงระวังไว้ มิฉะนั้นงานทุกอย่างของเราจะสูญเปล่า และท่านจะไม่ได้รับค่าตอบแทน อย่างสมบูรณ์ ผู้ใดไม่ดำ�รงอยู่ในคำ�สอนของพระคริสตเจ้า และออกไปจากคำ�สอนนั้น เขาไม่มพี ระเจ้าอยูก่ บั ตน แต่ผทู้ ดี่ �ำ รงอยูใ่ นสิง่ ทีท่ รงสอนเท่านัน้ มีพระบิดาและพระบุตร อยู่ด้วย

พระวรสาร ลก 17:26-37 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาสาวกว่า “เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในสมัยของโนอาห์ฉันใด ก็จะเกิดขึ้นในสมัยของบุตรแห่ง มนุษย์ฉนั นัน้ ผูค้ นกิน ดืม่ แต่งงานเป็นสามีภรรยากันจนถึงวันทีโ่ นอาห์เข้าไปในเรือ นํา้ วินาศก็ได้ท่วมเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในสมัยของโลทก็เช่นเดียวกัน ผู้คนกิน ดื่ม ซื้อ ขาย ปลูกพืช สร้างบ้าน แต่ในวันทีโ่ ลทออกจากเมืองโสโดม ไฟและกำ�มะถันได้ตกจาก ท้องฟ้ามาเผาผลาญเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในวันที่บุตรแห่งมนุษย์จะทรงสำ�แดงองค์ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันด้วย ในวันนั้น คนที่อยู่บนดาดฟ้าและมีข้าวของอยู่ในบ้าน จงอย่าลงมาเอาของเหล่านั้นเลย คนที่อยู่ใน ทุง่ นาก็เช่นเดียวกัน จงอย่าหวนกลับมาอีก ท่านทัง้ หลายจงระลึกถึงเรือ่ งภรรยาของโลทไว้เถิด ผูใ้ ดทีพ่ ยายาม รักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น และผู้ใดที่เสียชีวิตของตน ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้ได้ เราบอกท่าน ทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคน ที่กำ�ลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้” บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า “เหตุการณ์ นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงตอบว่า “ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน” เราจะเห็นว่าในสมัยของโนอาห์และของโลทการพิพากษาของพระเจ้าได้ลงมาถึงมนุษย์ ซึง่ เปิดเผย ให้เรารับรู้ว่าตลอดช่วงชีวิตของพวกเราแต่ละคนบนโลกนี้ การพิพากษาจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อเราตาย และจะเปิด เผยต่อเราไม่ว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งของพระอาณาจักรของพระเจ้าหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ ถ้าพระเจ้ามาหาฉันในวัน นี้ ฉันจะตอบอย่างไร? เพราะการตอบสนองของฉันตอนนี้และในแต่ละวันจะเป็นเครื่องยืนยันว่าฉันได้สะสม ทรัพย์สมบัติในพระอาณาจักรสวรรค์ไว้แล้ว


บทอ่านที่ 1 3 ยน 1:5-8 เพื่อนรัก ท่านทำ�งานอย่างซื่อสัตย์โดยช่วยเหลือพี่น้องแปลกหน้าเหล่านี้ เขาเป็น พยานยืนยันต่อพระศาสนจักรถึงความรักของท่าน เป็นการดีที่ท่านจะช่วยเขาให้เดิน ทางต่อไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า เขาเดินทางไปเพราะเห็นแก่พระนามพระคริสต เจ้าเท่านัน้ และไม่ได้รบั สิง่ ใดจากคนต่างศาสนา เป็นหน้าทีข่ องเราทีจ่ ะต้อนรับ และร่วม งานกับบุคคลเหล่านี้ในงานเผยแผ่ความจริง พระวรสาร ลก 18:1-8 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรือ่ งหนึง่ แก่บรรดาศิษย์เพือ่ สอนว่าจำ�เป็นต้อง อธิษฐานภาวนาอยูเ่ สมอโดยไม่ทอ้ ถอย พระองค์ตรัสว่า “ผูพ้ พิ ากษาคนหนึง่ อยูใ่ นเมือง หนึ่ง เขาไม่ยำ�เกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด หญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ในเมืองนั้น ด้วย นางมาพบเขาครั้งแล้วครั้งเล่าพูดว่า ‘กรุณาให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันสู้กับคู่ความ เถิด’ ผู้พิพากษาผู้นั้นไม่ยอมทำ�ตามที่นางขอร้องจนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงคิดว่า ‘แม้วา่ ฉันไม่ย�ำ เกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผใู้ ด แต่เพราะหญิงม่ายผูน้ มี้ าทำ�ให้ฉนั รำ�คาญ ฉันจึงจะให้นางได้รับความยุติธรรม เพื่อมิให้นางรบเร้าฉันอยู่ตลอดเวลา’” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงฟังคำ�ที่ผู้พิพากษาอธรรมคนนั้นพูดซิ แล้วพระเจ้า จะไม่ประทานความยุติธรรมแก่ผู้เลือกสรรที่ร้องหาพระองค์ทั้งวันทั้งคืนดอกหรือ พระองค์จะไม่ทรงช่วยเขาทันทีหรือ เราบอกท่านทัง้ หลายว่า พระองค์จะประทานความ ยุติธรรมแก่เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา จะทรงพบความเชื่อในโลกนี้ หรือ” เราอาจเบื่ อ หน่ ายในการรำ�พึงภาวนาเมื่อเราไม่เห็น ผล เรื่องนี้เกิดขึ้น เนือ่ งจากเรามีความคิดทีบ่ ดิ เบีย้ วในการรำ�พึงภาวนา หรือได้ยดึ ถือมุมมองของโลกาภิวฒ ั น์ ที่ทำ�ลายความชื่นชมในคุณค่าที่แท้จริงของการภาวนาหรือเพียงเพราะเรารู้สึกว่ามันคือ ความล้มเหลว แท้จริงแล้วการรำ�พึงภาวนาเป็นของประทานและมาจากพระจิตเจ้า ไม่ใช่ เครื่องจักรหรือสูตรมหัศจรรย์ ต้องใช้ความพยายามจากส่วนลึกของเรา ด้วยความอดทน และไว้วางใจ

ระลึกถึง น.เอลีซาเบ็ธ แห่งฮังการี นักบวช สดด 112:1-3, 4,5-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล ดนล 12:1-3 เวลานั้น มีคาเอลเจ้านายยิ่งใหญ่ของทูตสวรรค์ ผู้พิทักษ์ประชากรของท่านจะลุก ขึน้ จะมีเวลาแห่งความทุกข์ยากอย่างทีไ่ ม่เคยมีมาตัง้ แต่เริม่ มีประชาชาติจนถึงเวลานัน้ ในเวลานัน้ ประชากรของท่าน คือทุกคนทีม่ ชี อื่ เขียนไว้ในหนังสือ จะได้รบั ความรอดพ้น คนจำ�นวนมากทีห่ ลับอยูใ่ นผงคลีดนิ จะตืน่ ขึน้ บางคนจะเข้าสูช่ วี ติ นิรนั ดร บางคน จะได้รับความอับอายและความอัปยศอดสูตลอดนิรันดร บรรดาผู้มีปัญญาจะส่องแสง เหมือนแสงสว่างบนท้องฟ้า และบรรดาผู้ที่ช่วยคนจำ�นวนมากให้มีความชอบธรรม จะ ส่องแสงเหมือนดวงดาวตลอดไป เพลงสดุดี สดด 16:5,6 และ 8,9-10,11 ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นส่วนมรดกของข้าพเจ้า และทรงเป็นผู้ก�ำหนดชีวิตของข้าพเจ้า พระองค์เท่านั้นทรงคุ้มครองชะตาชีวิตของข้าพเจ้าให้ปลอดภัย ข) เส้นแบ่งเขตที่ดินของข้าพเจ้าอยู่ในพื้นที่รื่นรมย์ ส่วนมรดกของข้าพเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก ข้าพเจ้าตั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้เบื้องหน้าข้าพเจ้าเสมอ ถ้ามีพระองค์ประทับอยู่เบื้องขวา ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ค) ดังนั้น หัวใจข้าพเจ้าจึงร่าเริง วิญญาณข้าพเจ้าก็ยินดี ร่างกายของข้าพเจ้าจะพักผ่อนอย่างปลอดภัย เพราะพระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าไว้ในแดนมรณะ จะไม่ทรงปล่อยให้ผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ต้องเผชิญเหวลึก ง) พระองค์จะทรงสอนข้าพเจ้าให้รู้จักหนทางแห่งชีวิต ข้าพเจ้าจะยินดีอย่างเต็มเปี่ยมเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์ ข้าพเจ้าจะมีความสุขตลอดไปเมื่ออยู่เบื้องขวาของพระองค์ บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 10:11-14,18 สมณะทุกองค์อยูป่ ระจำ�หน้าทีข่ องตนทุกวัน ถวายเครือ่ งบูชาอย่างเดียวกันซาํ้ แล้ว ซาํ้ เล่า แต่กอ็ ภัยบาปไม่ได้ ส่วนพระคริสตเจ้าทรงถวายเครือ่ งบูชาชดเชยบาปเพียงครัง้ เดียว แล้วจึงเสด็จเข้าประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าตลอดไป ยังเหลืออยู่เพียงแต่ จะให้ศตั รูของพระองค์ถกู ปราบเป็นทีร่ องพระบาทเท่านัน้ โดยอาศัยการถวายบูชาเพียง ครั้งเดียวพระองค์ทรงทำ�ให้ทุกคนที่กำ�ลังรับความศักดิ์สิทธิ์บรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ สมบูรณ์ตลอดไป เมื่อบาปและความอธรรมเหล่านี้ได้รับการอภัยแล้ว จะไม่มีการถวายเครื่องบูชา ชดเชยบาปอีกต่อไป


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก มก 13:24-32 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์วา่ “ในวันเหล่า นั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวง จันทร์จะไม่ทอแสง ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพ บนท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็น บุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและ พระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ เมื่อนั้น พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดิน จนสุดขอบฟ้า” “จงเรียนคำ�อุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศเถิด เมื่อมันแตก กิ่งอ่อนและผลิใบ ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามา แล้ว ท่านก็เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ อยู่ที่ประตูแล้ว เราบอก ความจริงแก่ท่านว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงพ้นไปก่อนที่เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่ วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย” “ส่วนเรื่องวันและเวลานั้น ไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดา เพียงพระองค์เดียว” พระวาจาของพระเจ้าจะนำ�เราไปสูก่ ารเปลีย่ นแปลงแห่งจิตวิญญาณ ตามทีพ่ ระองค์ได้ทรงสัญญา และทรงประกาศไว้ นัน่ คือ เราจะพบแนวทางการเข้าใจโลกรอบตัวเรา แนวทางแห่งความปรารถนาของเรา และ แนวทางที่เราจะเลือก ในเมื่อเรารับศีลล้างบาปเป็นการแสดงว่าเราพร้อมที่จะพบพระเจ้า และพระหรรษทานของพระองค์จะ ทำ�ให้เราเติบโตเต็มที่และสุกงอม ซึ่งพระเยซูคริสตเจ้าได้ให้บทเรียนแก่เราเกี่ยวกับต้นมะเดื่อเทศ ในพระวรสาร วันนีซ้ งึ่ เมือ่ ฟังแล้วอาจจะดูนา่ กลัว และอาจทำ�ให้เราตกใจเพราะจะมีตน้ มะเดือ่ เทศบางต้นทีอ่ อกผลและไม่ออก ผลแห้งเหี่ยวหรือตายไป อีกทั้งเราก็ไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จผ่านมาเมื่อไรและอย่างไรเพื่อมาเก็บเกี่ยวผลแห่ง ความดีจากต้นมะเดื่อเทศแห่งชีวิตเรา อย่างไรก็ตาม เราสามารถมั่นใจได้ว่า ผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้าและ ศีลศักดิส์ ทิ ธิต์ า่ งๆ เราจะได้รบั ผลแห่งชีวติ นิรนั ดรพร้อมๆ กับการดำ�เนินชีวติ อย่างดี อย่างรูต้ วั และตืน่ เฝ้าตลอด เวลา


บทอ่านที่ 1 วว 1:1-4,2:1-5ก ต่อไปนี้เป็นการเปิดเผยเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่พระเยซู คริสตเจ้า เพื่อจะได้แจ้งแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ถึงสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ พระเยซูคริสตเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาพบยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์เพื่ออธิบายความ หมาย ยอห์นเป็นพยานถึงพระวาจาของพระเจ้าและเป็นพยานถึงคำ�ยืนยันของพระเยซู คริสตเจ้าตามทีเ่ ขาเห็น ความสุขจงมีแก่บรรดาผูอ้ า่ นและผูฟ้ งั ถ้อยคำ�ของการประกาศ สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา พระวาจานี้และปฏิบัติตามข้อความที่เขียนไว้ เพราะเหตุการณ์นั้นใกล้เข้ามาแล้ว จากยอห์น ถึงพระศาสนจักรทั้งเจ็ดแห่งในแคว้นอาเซีย ขอพระหรรษทานและ สดด 1:1-6 สันติสุขสถิตกับท่านทั้งหลาย จากพระองค์ผู้ทรงดำ�รงอยู่ในปัจจุบัน ผู้ทรงดำ�รงอยู่ใน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 อดีตและผู้เสด็จมา จากจิตทั้งเจ็ดซึ่งอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์ จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของพระศาสนจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า “พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดดวงไว้ใน พระหัตถ์ขวา และทรงดำ�เนินอยู่ในหมู่เชิงตะเกียงทองคำ�ทั้งเจ็ดเชิงตรัสดังนี้ เรารู้จักกิจการ ความ เหน็ดเหนื่อยและความเพียรทนของท่าน และรู้ว่าท่านทนคนชั่วร้ายไม่ได้ ท่านทดสอบผู้ที่อ้างว่าเป็นอัคร สาวก แต่ไม่เป็น และพบว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนพูดคำ�เท็จ ท่านมีความเพียรทนและทนทุกข์เพราะนามของ เรา โดยไม่ท้อถอย ถึงกระนั้น เรามีเรื่องตำ�หนิท่านด้วย คือท่านละทิ้งความรักที่เคยมีแต่ก่อน ดังนั้น จง ระลึกว่าท่านตกจากสภาพเดิมที่เคยเป็น จงกลับใจและทำ�กิจการอย่างเดิม พระวรสาร ลก 18:35-43 เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินมาใกล้เมืองเยรีโค ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง เมื่อได้ยินเสียงผู้คนผ่านมา เขาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนบอกเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำ�ลังเสด็จผ่าน มา คนตาบอดจึงร้องขึ้นว่า “ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” ผู้คนที่ เดินข้างหน้า ได้ดุว่าเขา บอกให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า “พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” พระเยซูเจ้าทรงหยุด ตรัสสั่งให้นำ�คนนั้นเข้ามา เมื่อเขาเข้ามาใกล้ พระองค์ตรัส ถามว่า “ท่านอยากให้เราทำ�อะไรให้” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า ให้ข้าพเจ้ามองเห็นเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับ เขาว่า “จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้อีก และเดิน ตามพระองค์ไป พลางถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ประชาชนทั้งปวงเห็นเช่นนั้น ต่างร้องสรรเสริญพระเจ้า สิ่งที่ชายตาบอดเรียกพระเยซูเจ้าว่า “โอรสของกษัตริย์ดาวิด” นั้น เป็นสิ่งที่ไม่ตรงกับความเป็น จริงในสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเป็น จะพูดว่า ชายคนนั้นมี “ความรู้” ที่ไม่มากพอเกี่ยวกับตัวของพระเยซูเจ้า แต่สิ่ง ที่เขามีมากคือ “ความเชื่อ” และสิ่งนั้น สำ�หรับพระเยซูเจ้าแล้วเพียงพอ หลาย ๆ ครั้ง เราเข้าใจผิดว่า เราเป็น คริสตชนที่หาเช้ากินคํ่า เราไม่มีความรู้มากนักเกี่ยวกับคำ�สอน เกี่ยวกับเทววิทยาระดับสูง และสิ่งเหล่านั้นจะ ทำ�ให้เราไม่เป็นที่รักของพระ แต่ “ความเชื่อ” ของชายตาบอดในวันนี้ เพียงพอแล้ว จากประสบการณ์ เราเห็น ปู่ย่าตายาย หรือบิดามารดาของเรา ที่ไม่มีความรู้ทางคำ�สอนมากนัก แต่เป็นคริสตชนที่ไม่ใช่มาจาก “สมอง” แต่มาจาก “การดำ�เนินชีวิต” และสิ่งนี้แหละที่เป็นหัวใจของการเป็นคริสตชน เราเป็นคริสตชนด้วยชีวิต ไม่ใช่ จาก “สมอง”


บทอ่านที่ 1 วว 3:1-6,14-22 จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของพระศาสนจักรที่เมืองซาร์ดิสว่า “พระองค์ผู้ทรงมีจิตทั้ง เจ็ดของพระเจ้าและทรงมีดาวเจ็ดดวงตรัสว่า เรารู้จักกิจการของท่าน ใครๆ คิดว่าท่าน มีชีวิต แต่ท่านตายแล้ว จงตื่นขึ้นและเสริมกำ�ลังส่วนที่เหลือซึ่งใกล้จะตาย เพราะเรา ไม่ได้พบกิจการใดของท่านดีพร้อมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเรา จงระลึกเถิดว่า ท่าน ได้รับ ได้ยินพระวาจาอย่างไร จงปฏิบัติตามและกลับใจเถิด ถ้าท่านไม่ตื่นเฝ้า เราจะมา สัปดาห์ที่ 33 เหมือนขโมย และท่านจะไม่รู้ว่าเราจะมาพบท่านเมื่อไร...” เทศกาลธรรมดา จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของพระศาสนจักรที่เมืองเลาดีเซียว่า “พระองค์ผู้ทรงเป็น สดด 15:2,3-4,5 อาเมน ผูท้ รงเป็นพยานทีซ่ อื่ สัตย์และน่าเชือ่ ถือ ผูท้ รงเป็นปฐมเหตุของทุกสิง่ ทีพ่ ระเจ้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ทรงสร้างตรัสว่า เรารู้จักกิจการของท่าน รู้ว่าท่านไม่เย็นไม่ร้อน ท่านจะเย็นหรือร้อนไป เลยก็จะดีกว่า แต่ท่านมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะท่านอุ่นๆ ไม่เย็นไม่ร้อน เรากำ�ลังจะคาย ท่านออกจากปากของเรา ท่านพูดว่า ฉันรํ่ารวย มีสมบัติมากมายและไม่ต้องการอะไร อีก แต่ท่านไม่รู้ว่าท่านเป็นคนอาภัพ น่าสงสาร ยากจน ตาบอดและเปลือยเปล่า เรา แนะนำ�ท่านให้ซอื้ ทองคำ�ทีห่ ลอมบริสทุ ธิแ์ ล้วจากเราเพือ่ ท่านจะรํา่ รวย ซือ้ เสือ้ ขาวเพือ่ สวมใส่ปกปิดความเปลือยเปล่าน่าอับอายของท่าน ซื้อยาหยอดตาเพื่อจะแลเห็นได้อีก เราตักเตือนและ เฆี่ยนตีสั่งสอนผู้ที่เรารัก ดังนั้น จงมีความกระตือรือร้นและกลับใจ ดูเถิด เรากำ�ลังยืนเคาะประตู ถ้าผู้ใด ได้ยนิ เสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปกินอาหาร ร่วมกับเขา เขาจะกินอาหารร่วมกับเรา ผูใ้ ดมีชยั ชนะ เราจะให้เขานั่งกับเราบนบัลลังก์ เหมือนกับที่เรามีชัยชนะแล้วและได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระบัลลังก์ ของพระองค์ ผู้มีหู จงฟังสิ่งที่พระจิตเจ้าตรัสแก่พระศาสนจักรทั้งหลายเถิด” พระวรสาร ลก 19:1-10 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำ�ลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็น หัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมั่งมี เขาพยายามมองดูว่าใครคือพระเยซูเจ้า แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมีคนมาก และเพราะเขาเป็นคนร่างเตีย้ เขาจึงวิง่ นำ�หน้าไป ปีนขึน้ ต้นมะเดือ่ เทศ เพือ่ ให้เห็นพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ กำ�ลังจะเสด็จผ่านไปทางนัน้ เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงทีน่ นั่ ทรงเงยพระพักตร์ขนึ้ ทอดพระเนตรตรัสกับเขา ว่า “ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า “เขาไปพักที่บ้านคนบาป” ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะ ยกทรัพย์สมบัตคิ รึง่ หนึง่ ให้แก่คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงสิง่ ใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสีเ่ ท่า” พระเยซู เจ้าตรัสว่า “วันนี้ ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วย บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อ แสวงหาและช่วยคนเลวทรามให้รอดพ้น” ข้อความในพระวรสารเมื่อวานนี้และวันนี้พูดได้อย่างสวยงามถึงความมุ่งมั่นของผู้ที่อยากพบกับ พระคริสตเจ้า คนตาบอดที่เราอ่านเมื่อวานนี้จะไม่หยุดตะโกนจนกว่าเขาจะถูกนำ�ตัวมายังพระเยซูเจ้า วันนี้ ศักเคียสชายร่างเตีย้ ทีว่ งิ่ ไปมาระหว่างฝูงชนจนต้องปีนป่ายขึน้ ต้นไม้ แสดงให้เรารูว้ า่ บางครัง้ อุปสรรคทีแ่ ตกต่าง กันอยู่ในทางชีวิตของพวกเราและป้องกันไม่ให้เราพบเจอกับพระเจ้าของเรา แต่มันไม่ควรลดทอนความมุ่งมั่น ของเราที่จะแสวงหาพระองค์


ระลึกถึง พระนางมารีย์ พรหมจารี ถวายองค์ ในพระวิหาร สดด 150:1-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 วว 4:1-11 หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นนิมิต ประตูสวรรค์บานหนึ่งเปิด และข้าพเจ้าได้ยินเสียง ที่เคยได้ยินก่อนนั้นดังดุจเสียงแตร พูดกับข้าพเจ้าว่า “จงขึ้นมาข้างบนนี้เถิด ฉันจะชี้ ให้ท่านเห็นเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นหลังจากนี้” ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็ตกอยู่ในภวังค์ และเห็นพระบัลลังก์องค์หนึ่งตั้งอยู่ในสวรรค์... มีบัลลังก์อีกยี่สิบสี่องค์ล้อมพระ บัลลังก์ ผูอ้ าวุโสยีส่ บิ สีค่ นนัง่ อยูบ่ นบัลลังก์เหล่านัน้ ... ตรงกลางและรอบๆ พระบัลลังก์ มีผู้มีชีวิตสี่ตนซึ่งมีตาเต็มตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลังอยู่ตรงกลางและรอบๆ พระ บัลลังก์ ผู้มีชีวิตตนแรกคล้ายสิงโต ตนที่สองคล้ายโค ตนที่สามใบหน้าเหมือนมนุษย์ และตนที่สี่คล้ายนกอินทรีกำ�ลังบิน ผู้มีชีวิตทั้งสี่ตนต่างมีปีกหกปีก ตาอยู่รอบตัวและ อยู่ใต้ปีก ต่างร้องสรรเสริญตลอดวันตลอดคืนโดยไม่หยุดเลยว่า ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ ผู้ทรงดำ�รงอยู่ในอดีต ผู้ทรงดำ�รงอยู่ในปัจจุบันและผู้เสด็จมา...

พระวรสาร ลก 19:11-28 ขณะที่ประชาชนกำ�ลังฟังเรื่องเหล่านี้อยู่... พระเยซูเจ้าจึงทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง พระองค์ตรัส ว่า “บุรุษตระกูลสูงผู้หนึ่งออกเดินทางไปแดนไกลเพื่อรับตำ�แหน่งกษัตริย์ แล้วจะกลับมา เขาเรียกผู้รับใช้ สิบคนเข้ามา แล้วมอบเงินจำ�นวนหนึ่งให้แต่ละคน สั่งว่า ‘จงเอาเงินนี้ไปทำ�ธุรกิจจนกว่าเราจะกลับ’ แต่ชาว เมืองเกลียดชังเขา จึงส่งทูตคณะหนึ่งตามไปแจ้งว่า ‘พวกเราไม่ต้องการให้บุรุษผู้นี้เป็นกษัตริย์ปกครองเรา’ แต่เขาก็ยังได้รับตำ�แหน่งกษัตริย์แล้วกลับมา จึงสั่งให้ไปเรียกผู้รับใช้ที่เขามอบเงินให้ไว้มาพบ เพื่อจะรู้ ว่าแต่ละคนได้ทำ�ธุรกิจอย่างไร คนแรกเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำ�กำ�ไรได้สิบเท่า’ นาย จึงบอกเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย เจ้าจงมีอำ�นาจปกครองเมืองสิบ เมืองเถิด’ คนที่สองเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำ�กำ�ไรได้ห้าเท่า’ นายบอกเขาว่า ‘เจ้าจงไป ปกครองเมืองห้าเมืองเถิด’ อีกคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้อยู่น่ี ข้าพเจ้าเอาผ้าห่อ เก็บไว้ ข้าพเจ้ากลัวท่าน เพราะท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเอาสิ่งที่ท่านไม่ได้ฝาก ท่านเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ หว่าน’ นายจึงพูดกับเขาว่า ‘เจ้าขี้ข้าชั่วช้า ข้าจะตัดสินเจ้าจากคำ�พูดของเจ้า เจ้ารู้แล้วว่า ข้าเป็นคนเข้มงวด เอาสิง่ ทีข่ า้ ไม่ได้ฝากไว้ เก็บเกีย่ วสิง่ ทีข่ า้ ไม่ได้หว่าน ทำ�ไมเจ้าจึงไม่เอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้เล่า เมือ่ ข้า กลับมา ข้าจะได้เงินคืนพร้อมกับดอกเบี้ยด้วย’ นายยังกล่าวกับคนที่อยู่ที่นั่นว่า ‘จงเอาเงินจากเขามาให้กับ ผู้ที่ทำ�กำ�ไรสิบเท่าเถิด’ คนเหล่านั้นพูดว่า ‘นายขอรับ เขามีเงินมากอยู่แล้ว’ นายจึงตอบว่า ‘ข้าบอกเจ้า ทั้งหลายว่า ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีอยู่จะถูกริบไปด้วย ส่วนพวกศัตรู ของข้าที่ไม่ต้องการให้ข้าเป็นกษัตริย์ จงพามาที่นี่ และประหารชีวิตต่อหน้าข้า’”...

พีน่ อ้ งทีร่ กั เราต้องตระหนักว่าชีวติ และทุกสิง่ ทีเ่ ราผูกพันล้วนแต่เป็นของประทานมาจากพระเป็น เจ้า แม่พระเป็นแบบอย่างในข้อนี้อย่างชัดเจน การถวายองค์ในพระวิหารของแม่พระบ่งบอกให้เราเห็นว่า ชีวิต ของพระนาง ยอมมอบถวายให้กับพระเป็นเจ้าจนหมดสิ้น เราเองในฐานะคริสตชนคนหนึ่ง ชีวิตของเราก็ได้ถูก มอบถวายให้กับพระเป็นเจ้าแล้วเช่นเดียวกัน เราได้รับพระพรมากมายเช่นเดียวกับเรื่องอุปมาในวันนี้ เราต้อง รู้จักนำ�พระพรนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเราเองและต่อผู้อื่น เราต้องไม่ลืมว่าทุกสิ่งที่เราทำ�ก็เพื่อพระเป็น เจ้าแต่ผู้เดียว


บทอ่านที่ 1 วว 5:1-10 ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนหนึ่งในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้ประทับอยู่บนพระ บัลลังก์ หนังสือม้วนนั้นมีข้อความเขียนไว้ทั้งด้านในและด้านนอก มีตราเจ็ดดวงผนึก อยู่ ข้าพเจ้ายังเห็นทูตสวรรค์ทรงพลังองค์หนึง่ ร้องประกาศเสียงดังว่า “ใครเป็นผูส้ มควร จะคลีม่ ว้ นหนังสือ และเปิดตราทีผ่ นึกไว้” แต่ไม่มใี ครทัง้ ในสวรรค์หรือบนแผ่นดินหรือ ใต้พภิ พคลีม่ ว้ นหนังสือนัน้ ออกอ่านได้ ข้าพเจ้าจึงร้องไห้ฟมู ฟายเพราะไม่มผี ใู้ ดสมควร จะคลี่ม้วนหนังสือนั้นออกอ่านได้เลย ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า “อย่าร้องไห้ เลย ดูเถิด สิงโตจากตระกูลยูดาห์ หน่อเนื้อเชื้อไขของกษัตริย์ดาวิดทรงได้รับชัยชนะ แล้ว พระองค์จะทรงคลี่ม้วนหนังสือและเปิดตราที่ผนึกทั้งเจ็ดดวงออกได้” แล้วข้าพเจ้าเห็นลูกแกะของพระเจ้าตรงกลางพระบัลลังก์ในหมู่ผู้มีชีวิตทั้งสี่ตน และบรรดาผู้อาวุโส ลูกแกะนั้นทรงยืนอยู่ทั้งๆ ที่ถูกประหารชีวิตแล้ว มีเจ็ดเขา เจ็ดตา หมายถึงจิตทั้งเจ็ดที่พระเจ้าทรงส่งไปทั่วแผ่นดิน ลูกแกะนั้นทรงเข้ามารับม้วนหนังสือ จากพระหัตถ์ขวาของพระผู้ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ เมื่อทรงรับม้วนหนังสือแล้ว ผู้ มีชีวิตทั้งสี่ตนและผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็กราบลงเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ ต่างถือพิณ และผอบทองคำ�มีกำ�ยานใส่เต็ม ซึ่งหมายถึงคำ�อธิษฐานภาวนาของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ขับร้องเพลงบทใหม่ว่า พระองค์ทรงเหมาะสมที่จะรับม้วนหนังสือ และเปิดดวงตราที่ผนึกอยู่นั้น เพราะ พระองค์ทรงถูกประหารชีวิต ทรงหลั่งพระโลหิตไถ่กู้มนุษย์สำ�หรับพระเจ้า จากทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกประเทศ ทุกชาติ ทรงทำ�ให้เขาเหล่านัน้ เป็นสมณราชตระกูลสำ�หรับพระเจ้า ของเรา เขาจะครองราชย์เหนือแผ่นดิน พระวรสาร ลก 19:41-44 ขณะทีพ่ ระเยซูเจ้าเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทอดพระเนตรเมืองนัน้ แล้ว ทรงกันแสง ตรัสว่า “ถ้าในวันนี้เจ้าเพียงแต่รู้จักทางนำ�ไปสู่สันติ ก็จะเป็นการดี แต่ทาง นั้นถูกซ่อนไว้จากดวงตาของเจ้าเสียแล้ว วันนั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อข้าศึกสร้างที่มั่นล้อม เจ้า จะตรึงเจ้าไว้อย่างแน่นหนารอบทุกด้าน จะบุกทำ�ลายเจ้าและลูกหลานที่อาศัยอยู่ ในเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง และจะไม่ปล่อยให้มีก้อนหินซ้อนกันอยู่ในเจ้าอีก เพราะ เจ้าไม่รู้จักเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า” นิมติ ทีเ่ ราได้ฟงั จากหนังสือวิวรณ์วนั นีเ้ ป็นเรือ่ งทีฟ่ งั ดูแล้วมีสสี นั มาก ลูกแกะ ทีก่ ล่าวถึงสือ่ ถึงพระเยซูเจ้าผูท้ รงกลับคืนพระชนมชีพ แต่กอ่ นทีจ่ ะถึงจุดนัน้ เราพบหนทาง ที่พระเยซูเจ้าต้องเผชิญ คือความกลัว ความสิ้นหวัง แต่พระองค์ก็สามารถผ่านเวลาเหล่า นั้นไปได้ นี่ควรเป็นแรงบันดาลใจให้เรา เมื่อเรารู้สึกท้อถอย หมดแรงต่อปัญหาต่างๆ

ระลึกถึง น.เซซีลีอา พรหมจารี และมรณสักขี สดด 149:1-2,3-4, 5-7,9ข ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


ระลึกถึง น.เคลเมนต์ ที่ 1 พระสันตะปาปา มรณสักขี น.โคลัมบัน เจ้าอธิการ สดด 119:13-14,24,72, 102-103,111-112,131-132 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 วว 10:8-11 ข้าพเจ้า ยอห์น เสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินจากสวรรค์กล่าวแก่ข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า “จงไปเอาม้วนหนังสือที่คลี่อยู่ในมือของทูตสวรรค์ซึ่งยืนอยู่ในทะเลและบนแผ่นดิน” ข้าพเจ้าจึงไปหาทูตสวรรค์และขอม้วนหนังสือเล็กๆ นัน้ ทูตสวรรค์บอกข้าพเจ้าว่า “จง เอาไปและกินเถิด มันจะทำ�ให้ท้องของท่านขม แต่เมื่ออยู่ในปาก มันจะหวานเหมือน นํา้ ผึง้ ” ข้าพเจ้าจึงนำ�ม้วนหนังสือเล็กๆ นัน้ จากมือของทูตสวรรค์แล้วกิน เมือ่ อยูใ่ นปาก มันหวานเหมือนนํ้าผึ้ง แต่เมื่อข้าพเจ้ากลืนลงไป ก็รู้สึกขมในท้อง มีผู้บอกข้าพเจ้าว่า “ท่านต้องประกาศพระวาจาอีกเกี่ยวกับประชาชน ชนชาติ ภาษา และกษัตริย์จำ�นวน มาก” พระวรสาร ลก 19:45-48 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในพระวิหาร ทรงเริ่มขับไล่บรรดาพ่อค้า ตรัสกับ เขาว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า บ้านของเราจะเป็นบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนา แต่ ท่านทั้งหลายกลับมาทำ�ให้เป็นซ่องโจร” พระองค์ทรงสั่งสอนในพระวิหารทุกวัน บรรดาหัวหน้าสมณะ ธรรมาจารย์และ หัวหน้าประชาชนหาวิธีกำ�จัดพระองค์ แต่หาวิธีไม่ได้ว่าจะทำ�อย่างไร เพราะประชาชน ทุกคนกำ�ลังตั้งใจฟังพระองค์ พระวาจาของพระเป็นเจ้าวันนี้พูดในเชิงสัญลักษณ์ถึงกระแสเรียก การเป็น ศิษย์ของพระองค์มีทั้งได้รับเกียรติในบางเวลา แต่ก็มีเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัว การเผชิญหน้ากับความยากลำ�บากในการที่จะต้องกล่าวและกระทำ�ในสิ่งที่ถูกต้อง พระ เยซูเจ้าเองก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย เราควรมีความกล้าหาญในการเผชิญหน้า กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหมือนพระเยซูเจ้า


บทอ่านที่ 1 วว 11:4-12 มีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้า ยอห์นว่า พยานนี้คือต้นมะกอกเทศสองต้นและเชิงประทีป สองเชิงที่ตั้งอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าของแผ่นดิน ผู้ใดต้องการทำ�ร้าย พยานนี้ ไฟจะพลุง่ ออกจากปากของพยานมาเผาผลาญบรรดาศัตรู ผูใ้ ดต้องการทำ�ร้าย พยาน ผู้นั้นจะต้องถูกฆ่าเช่นนี้ พยานนี้มีอำ�นาจปิดท้องฟ้ามิให้ฝนตกตลอดเวลาที่เขา ประกาศพระวาจา เขามีอ�ำ นาจเปลีย่ นนํา้ ให้กลายเป็นเลือด และมีอ�ำ นาจทำ�ให้แผ่นดิน ระลึกถึง น.อันดรูว์ ประสบภัยพิบัติต่างๆ ทุกครั้งที่เขาต้องการ เมื่อเสร็จสิ้นการเป็นพยานแล้ว สัตว์ร้ายที่ ดุง-ลัก พระสงฆ์ ขึ้นมาจากบาดาล จะสู้รบกับพยานนี้ จะมีชัยชนะและฆ่าพยาน ศพของพยานจะอยู่ที่ และเพื่อนมรณสักขี ลานของนครใหญ่ ซึ่งเรียกเป็นสัญลักษณ์ว่าโสโดมและอียิปต์ ณ ที่นั้นองค์พระผู้เป็น ชาวเวียดนาม เจ้าของเขาทรงถูกตรึงกางเขน ประชากรหลายกลุ่ม หลายเผ่า หลายภาษา หลายชาติ สดด 144:1,2,9-11 จะมองดูศพของพยานอยู่สามวันครึ่ง และไม่ยอมให้นำ�ศพไปฝังไว้ในคูหา ผู้อาศัยบน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 แผ่นดินจะยินดีท่ีเขาตาย จะฉลองและแลกเปลี่ยนของขวัญกัน เพราะประกาศกทั้ง สองคนนี้ทรมานบรรดาผู้อาศัยอยู่บนแผ่นดินด้วย” สามวันครึ่งหลังจากนั้น พระเจ้าจะทรงเป่าลมปราณแห่งชีวิตเข้าไปในพยานทั้งสองคน เขาจะลุกขึ้นยืน ทุกคนที่แลเห็นจะหวาดกลัวอย่างมาก พยานทั้งสองคนได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า “จงขึ้นมาข้างบนเถิด” ทั้งสองคนจึงขึ้นไปในหมู่เมฆสู่สวรรค์ขณะที่บรรดาศัตรูกำ�ลังมองดู พระวรสาร ลก 20:27-40 เวลานัน้ ชาวสะดูสบี างคนมาพบพระเยซูเจ้า คนเหล่านีส้ อนว่าไม่มกี ารกลับคืนชีพ เขาทูลถามพระองค์ ว่า “พระอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าพี่ชายตาย มีภรรยาแต่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายของเขารับหญิงนั้น มาเป็นภรรยาเพือ่ จะได้สบื สกุลของพีช่ าย มีพนี่ อ้ งเจ็ดคน คนแรกมีภรรยา แล้วก็ตายโดยไม่มบี ตุ ร คนทีส่ อง คนที่สามรับนางเป็นภรรยาและตายโดยไม่มีบุตร เป็นเช่นนี้ทั้งเจ็ดคน ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย ดังนี้ เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพ หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “คนของโลกนี้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน แต่คนที่จะบรรลุถึงโลกหน้าและ จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายนั้น จะไม่แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก เพราะเขาจะไม่ตายอีกต่อไป เขาจะ เป็นเหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะเขาจะกลับคืนชีพ โมเสสยืนยันแล้วว่าผูต้ ายจะกลับ คืนชีพในข้อความเรื่องพุ่มไม้ เมื่อพูดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ พระองค์มใิ ช่พระเจ้าของผูต้ าย แต่เป็นพระเจ้าของผูเ้ ป็น เพราะทุกคนมีชวี ติ อยูเ่ พือ่ พระองค์” ธรรมาจารย์บางคนพูดว่า “พระอาจารย์ ท่านพูดดีแล้ว” เขาไม่กล้าทูลถามพระองค์อีกต่อไป เรื่องราวจากบทอ่านในวันนี้ ยังเข้ากันไม่ได้ดีกับความสนใจของมนุษย์ ส่วนใหญ่ในสมัยของเรานี้ สนใจแต่เรื่องการกิน การดื่ม หรือชีวิตตามแบบของโลก โดยไม่สนใจชีวิตหลังความตาย คำ�สอนของคาทอลิก เรา สอนเรื่องการกลับคืนชีพและชีวิตหลังความตายที่เราจะมีชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์ ซึ่งไม่ใช่แบบที่เราเป็นอยู่ นี้ เราจึงต้องดำ�เนินชีวิตในโลกนี้อย่างดีเพื่อมีชีวิตร่วมอยู่กับพระองค์ตลอดไป


บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล ดนล 7:13-14 ข้าพเจ้ายังเห็นนิมิตเวลากลางคืนต่อไป ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่ง มนุษย์ มาพร้อมกับหมู่ก้อนเมฆในท้องฟ้า เขามาพบผู้สูงด้วยวัยวุฒิ และมีผู้แนะนำ� เขาแก่ท่านผู้นั้น เขาได้รับมอบอำ�นาจปกครอง สิริรุ่งโรจน์ และอาณาจักร ประชาชน ทุกชาติทุกภาษารับใช้เขา อำ�นาจปกครองของเขาเป็นอำ�นาจที่คงอยู่ตลอดไปไม่มีวัน สิ้นสุด และอาณาจักรของเขาจะไม่มีวันถูกทำ�ลายเลย

สมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากล จักรวาล เพลงสดุดี วันกระแสเรียก

สดด 93:1,2ก,5 ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ ทรงความรุ่งเรืองเป็นอาภรณ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระอานุภาพห้อมล้อมเป็นอาภรณ์ โลกตั้งอยู่อย่างมั่นคง จะไม่มีวันสั่นสะเทือน ข) พระบัลลังก์ของพระองค์ตั้งมั่นอยู่ตั้งแต่แรกเริ่ม พระองค์ทรงด�ำรงอยู่ตลอดมา ค) กฤษฎีกาของพระองค์มั่นคงอย่างยิ่ง ความศักดิ์สิทธิ์คู่ควรกับบ้านของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า วันนี้และตลอดไปในอนาคต

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์ วว 1:5-8 จากพระเยซู ค ริ ส ตเจ้ า องค์ พ ยานที่ ซื่ อ สั ต ย์ แ ละเป็ น บุ ค คลแรกที่ ก ลั บ คื น พระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ประมุขของบรรดากษัตริย์บนแผ่นดิน พระองค์ทรงรัก เราและทรงปลดเราให้พ้นจากบาปของเราด้วยพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ทรง แต่งตั้งพวกเราให้เป็นกษัตริย์และสมณะเพื่อรับใช้พระเจ้าพระบิดาของพระองค์ ขอ พระสิรริ งุ่ โรจน์และอานุภาพจงมีแด่พระองค์ตลอดนิรนั ดร อาเมน ดูเถิด พระองค์ก�ำ ลัง เสด็จมาพร้อมกับหมู่ก้อนเมฆ ทุกคนแม้ผู้ที่เคยแทงพระองค์จะแลเห็นพระองค์ ชนทุกชาติบนแผ่นดินจะข้อน-อกรํ่าไห้ถึงพระองค์ ใช่แล้ว อาเมน พระเจ้าองค์ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงดำ�รงอยู่ในปัจจุบัน ผู้ทรงดำ�รงอยู่ในอดีตและผู้เสด็จมา พระผู้ทรง สรรพานุภาพตรัสว่า “เราคือ อัลฟาและโอเมก้า” บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 18:33ข-37 เวลานัน้ ปีลาตกลับเข้าไปในจวน และเรียกพระเยซูเจ้ามาถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ ของชาวยิวหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านถามดังนี้ด้วยตนเอง หรือผู้อื่นบอก ท่านถึงเรื่องของเรา” ปีลาตตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิวหรือ ชนชาติของท่าน และ


บรรดาหัวหน้าสมณะมอบท่านให้ข้าพเจ้า ท่านทำ�ผิดสิ่งใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อาณาจักรของเรามิได้เป็นของโลก นี้ ถ้าอาณาจักรของเราเป็นของโลกนี้ ผู้รับใช้ของเราก็คงจะ ต่อสู้เพื่อมิให้เราถูกมอบให้ชาวยิว แต่อาณาจักรของเราไม่ ได้เป็นของโลกนี”้ ปีลาตจึงถามพระองค์วา่ “ถ้าเช่นนัน้ ท่าน เป็นกษัตริย์ใช่ไหม” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านพูดว่าเรา เป็นกษัตริยน์ นั้ ถูกต้องแล้ว เราเกิดมาเพือ่ เป็นกษัตริย์ เรามา ในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริงก็ ฟังเรา” อาณาจักรของเรามิได้เป็นของโลกนี้ นีค่ อื คำ�พูด ที่พระเยซูเจ้าต้องการบอกเราผู้เป็นศิษย์ วันนี้พระศาสนจักร สมโภชพระเยซูเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล เพราะว่าพระเยซูเจ้ามาเพื่อรับใช้และเป็นประจักษ์พยานยืนยัน สำ�หรับเรา ให้ติดตามด้วยการรับใช้เช่นเดียวกัน พระสันตะปาปาฟรังซิสยังได้เทศน์เตือนใจเราว่า จงอย่ารับใช้ ด้วยปาก แต่จงรับใช้ด้วยการกระทำ� เราจะเห็นชัดเมื่อครูสอนเด็กๆ หรือพ่อแม่สอนลูก สิ่งที่ครูหรือพ่อแม่สอน เด็กจะเชื่อฟังต่อเมื่อได้เห็นการกระทำ�ที่ครูและพ่อแม่ทำ�ให้เห็นเป็นตัวอย่าง พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรามาในโลก นี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริงก็ฟังเรา”


สัปดาห์ที่ 34 เทศกาลธรรมดา สดด 24:1-2,3-4, 5-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 วว 14:1-3,4ข-5 ข้าพเจ้าเห็นภาพนิมติ ลูกแกะทรงยืนอยูบ่ นภูเขาศิโยน ประชาชนจำ�นวนหนึง่ แสน สี่หมื่นสี่พันคนอยู่กับพระองค์ แต่ละคนมีพระนามของลูกแกะและพระนามพระบิดา ของพระองค์เขียนไว้ที่หน้าผาก ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งดังจากสวรรค์ เหมือนเสียงนํ้า ไหลเชีย่ ว และเหมือนเสียงฟ้าร้องกึกก้อง เสียงทีข่ า้ พเจ้าได้ยนิ เหมือนเสียงพิณจำ�นวน มากที่นักเล่นพิณกำ�ลังดีด เขาเหล่านั้นร้องเพลงบทใหม่หน้าพระบัลลังก์ ต่อหน้าผู้มี ชีวิตทั้งสี่ตนและต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโส ไม่มีใครเรียนรู้บทเพลงนี้ได้ นอกจากคนบน แผ่นดินจำ�นวนหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคนผู้ได้รับการไถ่กู้ เขาติดตามลูกแกะไปทุกแห่งที่ พระองค์เสด็จ ในบรรดามนุษย์ทั้งหลาย คนเหล่านั้นเป็นผู้ได้รับการไถ่กู้ เป็นเหมือน ผลแรกถวายแด่พระเจ้าและลูกแกะ ปากของเขาไม่เคยกล่าวคำ�เท็จ เขาไม่มีมลทิน พระวรสาร ลก 21:1-4 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีกำ�ลังใส่เงินถวายลงในตู้ทาน ทรง เห็นหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งใส่เหรียญทองแดงสองเหรียญลงในตู้ทานด้วย จึงตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ทำ�ทานมากกว่าทุกคน เพราะทุกคนนำ�เงินที่เหลือใช้มาทำ�ทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำ�เงินทั้งหมด สำ�หรับเลี้ยงชีพมาทำ�ทาน” ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งดังจากสวรรค์ ไม่มีใครเรียนรู้บทเพลงนี้ได้ การเป็น ผู้ได้รับการไถ่กู้ เป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้า วันนี้พระวาจาของพระเจ้าได้ทำ�ให้เราเห็น และสะท้อนถึงความจริง การให้ที่ไม่คิดถึงตัวเอง ไม่ใช่ให้เพราะเป็นหน้าที่ หรือสร้างภาพ แน่นอน หญิงม่ายยากจนคนนี้ได้เป็นตัวอย่างสำ�หรับเรา พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราขอบอก ความจริงแก่ทา่ นว่า หญิงม่ายคนนีท้ �ำ ทานมากกว่าทุกคน เพราะเขานำ�เงินทัง้ หมดสำ�หรับ เลี้ยงชีพมาทำ�ทาน”


บทอ่านที่ 1 วว 14:14-19 ข้าพเจ้าเห็นนิมิต มีเมฆขาวก้อนหนึ่ง บนเมฆนั้นมีผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่งมนุษย์ นั่งอยู่ ศีรษะสวมมงกุฎทองคำ� มือถือเคียวคม ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกจากพระ วิหารร้องเสียงดังบอกผู้ที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆว่า “จงใช้เคียวของท่านเกี่ยวเถิด เพราะ เวลาเก็บเกี่ยวมาถึงแล้ว และพืชผลของแผ่นดินพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว” ผู้ที่นั่ง บนเมฆจึงใช้เคียวเกี่ยวลงไปบนแผ่นดิน และพืชผลของแผ่นดินก็ถูกเก็บเกี่ยว ทูตสวรรค์อกี องค์หนึง่ ออกจากพระวิหารในสวรรค์ ถือเคียวคมมาด้วย ทูตสวรรค์ อีกองค์หนึง่ มีอ�ำ นาจเหนือไฟออกมาทางพระแท่นบูชา ร้องเสียงดังบอกทูตสวรรค์ผถู้ อื เคียวคมว่า “จงใช้เคียวคมของท่านเก็บพวงองุ่นจากสวนองุ่นของแผ่นดิน เพราะผล องุ่นสุกแล้ว” ทูตสวรรค์นั้นจึงใช้เคียวเกี่ยวลงไปบนแผ่นดิน เก็บเกี่ยวสวนองุ่นของ แผ่นดิน แล้วโยนผลองุ่นลงไปในบ่อยํ่าองุ่นบ่อใหญ่ซึ่งหมายถึงการลงโทษจากพระเจ้า

สัปดาห์ที่ 34 เทศกาลธรรมดา สดด 96:10-13 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ลก 21:5-11 ขณะนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกัน อยู่เลย” เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และมี เครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้กำ�ลังจะเกิดขึ้น” พระองค์ตรัสตอบว่า “จงระวังอย่าให้ผู้ใดหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนาม ของเรา พูดว่า ‘ฉันเป็นพระคริสต์’ และ ‘เวลากำ�หนดมาถึงแล้ว’ อย่าตามเขาไป เมื่อ ท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามและการปฏิวัติ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้ จำ�เป็นต้องเกิดขึน้ ก่อน แต่ยงั ไม่ถงึ วาระสุดท้าย” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “ชาติหนึง่ จะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง แผ่นดินไหวใหญ่หลวง ความอดอยาก และโรคระบาดจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมี เหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า” พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ ได้พูดถึงอวสานตกาล เหมือนกับเป็นการทำ�นายถึงอนาคต หลายคน มักคิดว่าเป็นการทำ�นายถึงอวสานตกาล คนส่วนใหญ่อยากรู้ อยากเห็นว่าจะมาถึงเมื่อไร การสิ้นโลกหรือวาระ สุดท้ายจะมาถึงเมือ่ ใด ในพระวรสาร เรือ่ งราวอวสานตกาลอยูก่ อ่ นเรือ่ งเล่าพระทรมานของพระเยซูเจ้า ณ เวลา ที่พระองค์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง” จุดประสงค์ของ วิวรณ์ เพื่อเน้น “การเตรียมพร้อมไว้” เพื่อจะได้ไม่ประมาท ดังนั้น คริสตชนทุกคนจำ�เป็นต้องเตรียมพร้อมเป็น เหมือนเครื่องเตือนใจให้ไม่ประมาท และวางใจในพระเจ้า และที่สำ�คัญพระเจ้าเท่านั้นทรงทราบวัน เวลา สิ่ง เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในความควบคุมดูแลของเรา หรืออยู่ในอำ�นาจของเราที่จะควบคุม ปีพิธีกรรมของพระศาสนจักร ที่กำ�ลังจะจบ ขอให้เราได้ทบทวนชีวิตที่รอคอยพระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมา “จงเตรียมพร้อมไว้เถิด” ขอให้เรา พร้อมรับเสด็จพระองค์ทุกวันเสมอไป


สัปดาห์ที่ 34 เทศกาลธรรมดา สดด 98:1,2-3, 7-8,9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 วว 15:1-4 ข้าพเจ้าเห็นเครือ่ งหมายยิง่ ใหญ่และน่าพิศวงอีกประการหนึง่ ในสวรรค์ ทูตสวรรค์ เจ็ดองค์ถือภัยพิบัติเจ็ดประการสุดท้าย เพราะภัยพิบัติทั้งเจ็ดนี้จะทำ�ให้การลงโทษจาก พระเจ้าสิน้ สุดลง ข้าพเจ้าเห็นสิง่ หนึง่ เหมือนทะเลแก้วปนไฟ เห็นบรรดาผูม้ ชี ยั ชนะต่อ สัตว์ร้าย ต่อรูปปั้นของมัน และต่อเลขชื่อของมันกำ�ลังยืนอยู่ริมทะเลแก้วนั้น ถือพิณ ของพระเจ้า และขับร้องบทเพลงของโมเสสผูร้ บั ใช้พระเจ้าและบทเพลงของลูกแกะว่า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่และน่าพิศวงยิ่งนัก ข้าแต่พระราชาแห่งนานาชาติ วิถีทางของพระองค์นั้นเที่ยงธรรมและสัตย์จริง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะไม่ยำ�เกรงพระองค์และจะไม่ถวายพระเกียรติแด่พระนามพระองค์ เพราะพระองค์ผู้เดียวทรงศักดิ์สิทธิ์ ประชาชาติทั้งหลายจะมาและกราบนมัสการพระองค์ เพราะการพิพากษาเที่ยงธรรมของพระองค์ปรากฏชัดแจ้งแล้ว พระวรสาร ลก 21:12-19 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “แต่ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน จะ นำ�ท่านไปไต่สวนในศาลาธรรม และจะจองจำ�ท่านในคุก เขาจะนำ�ท่านไปยืนต่อหน้า กษัตริยแ์ ละผูว้ า่ ราชการเพราะนามของเรา และนีจ่ ะเป็นโอกาสให้ทา่ นเป็นพยานถึงเรา จงตัดสินใจว่าท่านจะไม่หาคำ�แก้ตัวไว้ก่อน เราจะให้คำ�พูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่ง ศัตรูของท่านจะต้านทานหรือโต้แย้งไม่ได้ บิดามารดา พี่น้อง ญาติและมิตรสหายจะ ทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวติ ด้วย ท่านทัง้ หลายจะเป็นทีเ่ กลียดชังของ ทุกคนเพราะนามของเรา แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว ด้วย การยืนหยัดมั่นคงท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้”

พระเยซูเจ้าพูดถึงการเบียดเบียนที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับมาในวันสุดท้าย... เพราะความรักและความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าทำ�ให้คริสตชนหลายคนน้อมรับความทุกข์และความตาย น.ยอห์น บัปติสต์ยอมตายเพราะพูดความจริง น.มารีย์ กอเร็ตตี ยอมตายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ น.มักซีมีเลียน กอลเบ ยอมตายแทนเพือ่ นเพราะความรัก พระศาสนจักรได้ยกย่องท่านเหล่านัน้ เสมือนบรรดามรณสักขี มีการเบียดเบียน หลายรูปแบบที่ทำ�ให้คริสตชนท้อถอย แต่เส้นผมบนศีรษะจะไม่เสียแม้เส้นเดียว (18) คริสตชนอาจจะสูญเสีย ชีวติ ในโลกนี้ (16) แต่ถา้ มีความอดทนและซือ่ สัตย์พวกเขาจะได้ชวี ติ นิรนั ดร ให้เราภาวนาวอนขอความพากเพียร อดทนท่ามกลางความท้าทายของโลกสมัยใหม่


บทอ่านที่ 1 วว 18:1-2,21-23,19:1-3,9ก หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงจากสวรรค์ มีอำ�นาจยิ่งใหญ่ ทำ�ให้แผ่นดินสว่างจ้าด้วยความรุง่ โรจน์ของเขา เขาร้องตะโกนเสียงดังว่า “บาบิโลนล่ม แล้ว บาบิโลนนครใหญ่ล่มแล้ว กลายเป็นที่อาศัยของบรรดาปีศาจ เป็นที่ขังบรรดาจิต โสโครก เป็นที่ขังบรรดานกโสโครก และเป็นที่ขังสัตว์ร้ายโสโครกและน่ารังเกียจ ทั้งหลาย ทูตสวรรค์ทรงพลังองค์หนึ่งยกหินก้อนหนึ่งใหญ่เท่าหินโม่ทุ่มลงทะเล กล่าวว่า “บาบิโลนนครใหญ่จะถูกทุ่มลงอย่างรุนแรงเช่นนี้ จะไม่มีใครพบเห็นนครนี้อีกเลย”... ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังในสวรรค์เหมือนเสียงของประชาชนจำ�นวนมากร้องว่า “อัลเลลูยา ความรอดพ้น พระสิริรุ่งโรจน์ พระอานุภาพเป็นของพระเจ้าของเรา เพราะ พระองค์ทรงพิพากษาอย่างสัตย์จริงและยุติธรรม พระองค์ทรงพิพากษาลงโทษหญิง แพศยาผู้เลวร้าย ซึ่งล่วงประเวณี ทำ�ให้แผ่นดินเสื่อมทราม พระองค์ทรงลงโทษแทน โลหิตของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งนางได้ประหารชีวิต” เสียงนั้นยังร้องอีกว่า “อัลเลลูยา ควันไฟจากนครนั้นจะพลุ่งขึ้นตลอดนิรันดร”...

สัปดาห์ที่ 34 เทศกาลธรรมดา สดด 100:1-3,4-5 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ลก 21:20-28 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เมือ่ ท่านทัง้ หลายเห็นกองทัพต่างๆ ล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ก็จงรูไ้ ว้เถิดว่าความพินาศของนครนัน้ ใกล้เข้า มาแล้ว เวลานั้นผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียจงหนีไปยังภูเขา ผู้ที่อยู่ในกรุงจงรีบออกไปเสีย ผู้ที่อยู่ในชนบทก็จง อย่าเข้ามาในกรุง เพราะวันเหล่านั้นจะเป็นวันพิพากษาลงโทษ ข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์จะเป็นจริงทุก ประการ น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลกู อ่อนในวันนัน้ ทุกขเวทนาใหญ่หลวงจะครอบคลุมทัว่ แผ่นดิน และพระพิโรธจะลงมาเหนือชนชาติน้ี บางคนจะตายด้วยคมดาบ บางคนจะถูกจับเป็นเชลยไปอยูใ่ นประเทศ ต่างๆ กรุงเยรูซาเล็มจะถูกคนต่างศาสนาเหยียบยํ่าจนกว่าจะครบเวลาที่พระเจ้าทรงกำ�หนดไว้” “จะมีเครื่องหมายในดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ ชนชาติต่างๆ บนแผ่นดินจะทนทุกข์ ทรมาน ฉงนสนเท่ห์ต่อเสียงกึกก้องของทะเลที่ปั่นป่วน มนุษย์จะสลบไปเพราะความกลัว และหวั่นใจถึง เหตุการณ์ทจี่ ะเกิดขึน้ ในโลก เพราะสิง่ ต่างๆ ในท้องฟ้าจะสัน่ สะเทือน หลังจากนัน้ ประชาชนทัง้ หลายจะเห็น บุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิรริ งุ่ โรจน์ยงิ่ ใหญ่ เมือ่ เหตุการณ์ทงั้ ปวงนีเ้ ริม่ เกิดขึ้น ท่านทั้งหลายจงยืนตรง เงยหน้าขึ้นเถิด เพราะในไม่ช้าท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว” นักโบราณคดีมีคติพจน์ว่า “หากเราไม่รู้อดีต เราก็จะไม่รู้ปัจจุบัน หากเราไม่รู้ปัจจุบัน ก็จะไม่รู้ อนาคต” พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้า รู้อนาคต บอกเหตุการณ์ที่กำ�ลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ อาศัยเหตุการณ์ ทางการเมือง การปกครอง การสู้รบ การยึดครองอาณาจักรที่กำ�ลังจะเกิดขึ้น พระเยซูจึงบอกว่า อนาคตจะมี การพิพากษา จะถึงวาระสุดท้าย จะมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมาย เราต้องเตรียมพร้อม หน้าที่ของเราคือ การ ทำ�ปัจจุบันให้ดีที่สุด โดยการเตรียมตัวพร้อมอยู่เสมอ หมั่นทำ�ความดี สะสมบุญกุศล เมื่อวันพิพากษามาถึง เรา จะได้พร้อมทุกสถานการณ์ เพราะเป้าหมายของคริสตชนทุกคนคือสวรรค์


ฉลอง น.อันดรูว์ อัครสาวก สดด 19:1-2,3-4

บทอ่านที่ 1 รม 10:9-18 พีน่ อ้ ง ถ้าท่านประกาศด้วยปากว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และมีความ เชือ่ ในใจว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย ท่านก็จะรอดพ้น การเชื่อด้วยใจจะบันดาลความชอบธรรม การประกาศด้วยปากจะ บันดาลความรอดพ้น เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า “ทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะไม่ ได้รับความอับอาย” เพราะไม่มีความแตกต่างกันระหว่างชาวยิวกับผู้ที่ไม่ใช่ชาวยิว พระองค์เท่านัน้ ทรงเป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าสำ�หรับมนุษย์ทกุ คน ประทานพระพรมากมาย ให้ทุกคนที่เรียกขานพระองค์ เพราะทุกคนที่เรียกขานพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะ รอดพ้น ฉะนั้น ชาวอิสราเอลจะเรียกขานพระองค์ได้อย่างไรถ้าพวกเขาไม่เชื่อ จะเชื่อได้ อย่างไรถ้าไม่เคยได้ยนิ จะได้ยนิ ได้อย่างไรถ้าไม่มใี ครประกาศสอน จะมีผปู้ ระกาศสอน ได้อย่างไรถ้าไม่มีใครส่งไป ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เท้าของผู้ประกาศข่าวดี ช่างงดงามจริงหนอ” บางคนเท่านั้นได้เชื่อฟังข่าวดี ดังที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ใคร เล่าได้เชื่อคำ�ประกาศของเรา” ดังนั้น ความเชื่อจึงมาจากการฟัง สิ่งที่ได้ฟังก็มาจาก พระวาจาของพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าขอถามว่า เป็นไปได้หรือที่เขาไม่ได้ยิน เขาได้ยินแน่นอน เพราะเสียงของ ผู้ประกาศข่าวดีกระจายไปทั่วแผ่นดิน และวาจาของเขาแพร่ไปจนสุดปลายพิภพ พระวรสาร มธ 4:18-22 เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำ�เนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องสองคน คือซีโมนที่เรียกว่าเปโตรกับอันดรูว์น้องชายกำ�ลัง ทอดแห เขาเป็นชาวประมง พระองค์ตรัสสัง่ ว่า “จงตามเรามาเถิด เราจะทำ�ให้ทา่ นเป็น ชาวประมงหามนุษย์” เขาทั้งสองคนก็ทิ้งแหไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที เมื่อทรงดำ�เนินไปจากที่นั่น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องอีกสองคนคือ ยากอบบุตรของเศเบดีและยอห์นน้องชายกำ�ลังซ่อมแหอยู่ในเรือกับเศเบดีผู้บิดา พระองค์ทรงเรียกเขา ทันใดนั้น เขาทั้งสองคนก็ทิ้งเรือและบิดา แล้วตามพระองค์ไป

อาชีพชาวประมงมิได้สร้างความรํา่ รวย แต่เป็นเพียงเพือ่ การดำ�รงชีพ ทัง้ ยัง ไม่แน่นอนและเสี่ยงต่อชีวิต แต่ก็เป็นอาชีพเดียวที่พวกเขาทำ�เพื่อความอยู่รอด แต่เมื่อ พระองค์ทรงเรียก เขาก็พร้อมจะสละตนเองเพือ่ ติดตามพระองค์ เราคริสตชนก็ได้รบั เรียก จากพระองค์ ให้เรากล้าหาญที่จะสละตนเพื่อตอบรับพระองค์เสมอ



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.