ศักเคียส

Page 1


ศักเคียส

(ลก 19:1-10) 19:1 พระเยซูเจาเสด็จเขาเมืองเยรีโคและกําลังจะเสด็จผานเมืองนั้น 19:2 ชายคนหนึง่ ชื่อศักเคียส เปนหัวหนาคนเก็บภาษี เปนคนมั่งมี 19:3 เขาพยายามมองดูวาใครคือพระเยซูเจา แตก็มองไมเห็นเพราะมีคนมากและเพราะ เขาเปนคนรางเตี้ย 19:4 เขาจึงวิ่งนําหนาไป ปนขึ้นตนมะเดื่อเทศ เพื่อใหเห็นพระเยซูเจา 19:5 เพราะพระองคกําลังจะเสด็จผานไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจาเสด็จมาถึงที่นั่น ทรง เงยพระพักตรขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขาวา ‘ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะ ไปพักที่บานทานวันนี้’ 19:6 เขารีบลงมาตอนรับพระองคดวยความยินดี 19:7 ทุกคนที่เห็นตางบนวา ‘เขาไปพักที่บานคนบาป’ 19:8 ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจาวา ‘พระเจาขา ขาพเจาจะยกทรัพยสมบัติครึ่งหนึ่ง ใหแกคนจน และถาขาพเจาโกงสิ่งใดของใครมา ขาพเจาจะคืนใหเขาสี่เทา’ 19:9 พระเยซูเจาตรัสวา ‘วันนี้ ความรอดพนมาสูบานนี้แลว เพราะคนนี้เปนบุตรของ อับราฮัมดวย 19:10 บุตรแหงมนุษยมาเพื่อแสวงหาและเพื่อชวยผูที่เสียไปใหรอดพน’

การกระทําของพระเยซูเจา หยุด เงยหนา ดูศักเคียส พูด กับศักเคียส เรียก ชื่อศักเคียส บอก ใหศักเคียสรีบลงมา ขอ ความเห็นพองจากศักเคียสวาจะไปที่บาน พัก ที่บานของศักเคียส รับประทานอาหาร กับศักเคียส

ตองการ รับรูถึงความสําคัญของความตั้งใจ ยกยองชมเชย การสื่อสารกัน ยอมรับสถานะที่เขาเปน การยอมรับ เชื่อในความดี มิตรภาพ มิตรภาพ การเฉลิมฉลอง


หนังสือ ศักเคียส Nihil Obstat บาทหลวง เปาโล สุรชัย ชุมศรีพันธุ Imprimatur พระคารดินลั ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู พระอัครสังฆราชแหงอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ กรกฎาคม 2008 พิมพครั้งที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 / พ.ศ. 2551 จํานวน 1,000 เลม จัดพิมพโดย แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ 57 ซ.โอเรียนเต็ล บางรัก กรุงเทพฯ 10500 โทร 0-2237-5276, 0-2233-0338 โทรสาร 0-2233-8159 E-mail : ccbkk@catholic.or.th พิมพที่

โรงพิมพอัสสัมชัญ 51 ซ. โอเรียนเต็ล บางรัก กรุงเทพฯ 10500 โทร. 0-2233-0523 โทรสาร 0-2235-1045 บาทหลวงวรยุทธ กิจบํารุง ผูพิมพ/โฆษณา บาทหลวงสุพจน ฤกษสุจริต ผูจัดการ

จัดจําหนาย

ศูนยหนังสืออัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ 57 ซ.โอเรียนเต็ล บางรัก กรุงเทพฯ 10500 โทร 0-2630-6820-4

2


คํานํา การอบรมเยาวชนดานศีลธรรมเปนสิ่งสําคัญ เพื่อชวยใหพวกเขาเปนคนเกง ดี และมีความสุข ในยุคขอมูลขาวสารโลกาภิวัตน เมื่อมีพระสงฆ นักบวช และครูชวยกันจัดการฟนฟูจิตใจ การชุมนุมเยาวชน หรือแมสําหรับผูใหญเปนสิ่งที่ดี โดยเฉพาะอยางยิ่งในปพระวาจา – ปนักบุญเปาโล (28 มิ ถุ น ายน 2008 – 29 มิ ถุ น ายน 2009) และพั น ธกิ จ ของพระศาสนจั ก รใน ประเทศไทย “มุงอุทิศตน ฟนฟูชีวิตใหสนิทกับพระคริสตเจาโดยอาศัยพระวาจา และศีลศักดิ์สิทธิ”์ ศูนยคริสตศาสนธรรมกรุงเทพฯ ไดดําเนินการแปลผลงานของคุณพอลารรี่ ตัน คณะซาเลเซียน ชาวฟลิปปนส ดังตอไปนี้ 1. แสงแหงหวัง พลังแหงรัก (Come and Shine) เมษายน 2003 2. เบิกบานใจในพระคริสต (Come Alive) สําหรับผูใหญ เมษายน 2004 3. ชุมนุมครอบครัวในวันสุดสัปดาห (Family Encounter Weekend) กรกฎาคม 2004 หนังสือศักเคียส (Zacchaeus) เปนหนังสือที่ดีมากเลมหนึ่ง มี 14 บท ในการ ไตรตรองพระวาจา ลูกา 19:1-10 ชวยใหเราเขาใจพระเยซูเจา และศักเคียส ยิ่งขึ้น และประยุกตกับชีวิตของเราเอง นักบุญเปาโลไดรับพระพร พบพระเยซูเจา และเปลี่ยนแปลงชีวิต (กจ 9; 22; 26 และ กท 1:11-24) เปนอัครธรรมทูตฉันใด ผมหวั ง ว า ทุ ก ท า นที่ ใ ช ห นั ง สื อ เล ม นี้ จะพบพลั ง ชี วิ ต เป น ธรรมทู ต ใน ครอบครัว และชุมชนของทานเชนกัน บาทหลวง วีระ อาภรณรัตน ศูนยคริสตศาสนธรรมกรุงเทพฯ 29 มิถุนายน 2008

3


4


สารบัญ จุดประสงคการฟนฟูจิตใจ บันทึกการฟนฟูจิตใจ องคประกอบตางๆ ของประสบการณการฟนฟูจิตใจแบบศักเคียส หลักปฏิบัติ 10 ประการสําหรับผูนํา บทที่ 1 ความกังวลในปจจุบัน ความใสใจ วิกฤติ แบบตรวจสอบ แบบสํารวจ สนทนากับพระคริสตเจา บทที่ 2 โอกาส เหตุบังเอิญ การติดตอ แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา บทที่ 3 ความอยากรูอยากเห็น ความปรารถนาอยางแรงกลา แบบตรวจสอบ แบบสํารวจ สนทนากับพระคริสตเจา บทที่ 4 การริเริ่มสรางสรรค แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา บทที่ 5 ไดรับเรียกและไดรับเลือก แบบตรวจสอบ แบบสํารวจ สนทนากับพระคริสตเจา บทที่ 6 ลงมาเถิด แบบตรวจสอบ วงจรของการปฏิเสธ การตรวจสอบสําหรับผูหญิง การตรวจสอบสําหรับผูชาย สนทนากับพระคริสตเจา 5

หนา

7 7 9 11 12 15 16 18 19 21 22 23 25 26 28 29 31 32 33 35 36 38 39 42 43 45 47 49


บทที่ 7

บทที่ 8

บทที่ 9 บทที่ 10

บทที่ 11

บทที่ 12

บทที่ 13

บทที่ 14

การสื่อสาร การสนทนา แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา รูปแบบของการสวดภาวนา การเปลี่ยนแปลง การกลับใจ สิ่งที่มิใชการสํานึกผิด สิ่งที่เปนการสํานึกผิด การเปนทุกขถึงบาปเกี่ยวของกับ แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา การสารภาพบาป วิถีชีวิต : การพิจารณามโนธรรม วงจรการหวงใย แบบตรวจสอบ อโลฮา ถาทานกําลังจะสิ้นใจ แบบสํารวจ เคล็ดลับ 12 ประการ ในการถนอมรัก การอุทิศตน สิ่งทาทาย แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา การเฉลิมฉลอง แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา พระคริสตเจาเปนศูนยกลาง จะกระทําอยางไร จดหมายรักของพระเจา บทสรุป รายการตรวจสอบ

6

50 53 54 55 56 58 60 62 64 65 66 67 71 73 74 75 76 78 81 82 83 84 86 87 88 88 90 91 92


ศักเคียส บันทึกการฟนฟูจิตใจ จุดประสงคการฟนฟูจิตใจ

ประสบการณการฟนฟูจิตใจแบบศักเคียส มุงใหผูเขาฟนฟูจิตใจ 1. ไดตระหนักถึงสิ่งที่เรากังวลและหวงใยในปจจุบันและหาวิธีการแกไข 2. ไดรูถึงการแสดงความรักของพระเยซูเจาในชีวิตของศักเคียส และคนพบแนวทาง อันนาพิศวงของพระเจาในชีวิตของตนเอง 3. ไดตอบรับการเรียกของพระเยซูเจาใหเปลี่ยนชีวิตของตนเหมือนอยางศักเคียส ผูที่ ไมเหมือนเดิมอีกตอไปหลังจากไดพบกับพระเจา

บันทึกการฟนฟูจติ ใจ

ผูใชแนวทางแบบเปนมิตร บันทึกการฟนฟูจิตใจนี้มีเจตนาใหเปนแนวทางสวนบุคคลในการเดินทางฝายจิต สูพระคริสตเจา อาจใชเปนการสวนตัว หรือเปนกลุมในการฟนฟูจิตใจ ซึ่งบรรจุตํารา อาหารแหงการเติบโตฝายจิตและเดินไปในพระจิตเจา เปนแบบฝกหัดที่มีการรําพึง ไตร ตรอง และการฝ ก ปฏิ บั ติซึ่ ง มาจากมุ ม มองที่ห ลากหลายในการแบ งป น ที่ ท า น กระทํารวมกับผูอื่น และหาวิธีการแบงปนอยางลึกซึ้งกับตัวเอง จัดใหมีสภาวการณ เฉพาะและเวนระยะใหความคิดและจิตใจสื่อสารตอกันอยางอิสระ การเขียนเปนการ ชวยอยางงายๆ ในการเติบโตภายใน การบันทึกเปนรองรอยที่จับตองไดของความสัมพันธกับตนเอง เปนการกระทํา ที่เสี่ยง เปดเผย ชวยบําบัดรักษาและกลาหาญ เปนการกระทําที่ยอมรับตนเอง เปน ทาทีการตีคุณคาตนเอง คือบอกถึงสิ่งที่ “ฉันเปน” แสดงความรักตนเองดวยการให ความสนใจกับความคิด การกระทําและความรูสึกของตนเอง ในอีกระดับหนึ่ง การเก็บ บันทึกเปนการยกยองความคิดของจิตใจ หวังวาเมื่อทานไดเห็นการไตรตรอง และ 7


ตัดสินใจที่จะกาวไปโดยทางการบันทึกซึ่งเปนเครื่องสะทอนในความใกลชิดอยางลึกซึ้ง มากขึ้นและเชื่อมโยงกับตนเองแลวทานคงจะชอบ การถือตามการบันทึกนี้เปนการใชเวลาฟงตนเอง และรูจักตนเอง เปนเวลาที่ให ความสนใจตอตนเอง ปรับตัวเขากับเสียงเรียกลึกๆ ในตนและในความหวงใยตางๆ สิ่ง ที่ควรจําจากการบันทึกนี้คือไมมีถูกหรือผิด สิ่งที่ทานบันทึกนั้นอาจเปนรองรอยของ การรูจักตนเอง หรือแมกระทั่งความเงียบของทาน การทําตามบันทึกชวยทานให 1. ฝกปฏิบัติและเสริมทักษะในการสังเกตตนเองและรูจักตนเอง 2. มีสวนรวมในการเติบโตและเปลี่ยนแปลงตนเอง 3. บูรณการประสบการณ 4. ฟงเสียงที่อยูลึกๆ ภายในตนเองในแตละชวงเวลา 5. ระบุและมีความชัดเจนในขณะที่เลือก 6. นําความรูสึกสวนตัวในปจจุบันออกมา 7. สรางบรรยากาศแหงการรักตนเอง บันทึกนี้อธิบายถึงสถานที่ปลอดภัย ซึ่งทานสามารถเปดเผย พบปะและรูจัก ตนเอง เขาถึงไดและเปนสวนตัว ในการบันทึกนี้ ทานมีโอกาสแสดงตัวทานเองโดยไมมี การวิจารณถึงความรูสึก หรือความกังวลใดๆ ของใครทั้งสิ้น เปนโอกาสที่จะแสดงออก อย า งอิ ส ระเต็ ม ที่ เป น การเสนอประสบการณ แ ห ง อิ ส รภาพ คื อ ท า นสามารถฝ ก ปฏิบัติการเปนอยู การรูจักและความรักซึ่งเปนแกนแทของตัวทานเอง ทายสุด ในขณะ ที่ทานมีประสบการณการยอมรับตนเอง และรูจักตนเองในบันทึกของทานที่จัดไวอยาง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ แ ล ว จึ ง เป น การง า ยขึ้ น ที่ จ ะนํ า ท า นไปสู ร ะดั บ การเป ด ตนเองและมี ประสบการณในสัมพันธภาพระหวางทาน กับคนอื่นๆ

8


องคประกอบตางๆ ของประสบการณการฟนฟูจิตใจแบบศักเคียส โดยพื้น ฐานแล ว บั นทึ กประสบการณ ก ารฟน ฟู จิต ใจแบบศั กเคี ยส เป นการ คอยๆ ไตรตรองเรื่องของศักเคียสตามรูปแบบดังตอไปนี้ 1. เนื้อหา ความคิด บริบท เป น การเสนอความคิ ด และบรรจุ ก ารรํ า พึ ง แบบพื้ น ฐานถึ ง เรื่ อ งชี วิ ต ของศักเคียส และสามารถนํามาประยุกตใชกับชีวิตของทานไดอยางไร 2. แบบทดสอบ ประกอบดวยคําถามตางๆ ที่เกี่ยวของกับหัวขอเพื่อใหแตละบุคคลไตรตรอง ประยุกตเขากับชีวิตของตน คําตอบตางๆ ที่ไดมานั้นจะเปนแหลงที่ใหความคิดเห็นและ การยอมรับมากขึ้น 3. การประสานเชื่อมโยง เปนการแบงปนการไตรตรองและความรูสึกในความเชื่อและความรักใหกับกลุม ก) โดยการฟงพระวาจาของพระเจา ข) โดยการแบงปนประสบการณชีวิต ค) โดยการสงเสริมใหแตละคนนําไปใชในชีวิต ง) โดยการอธิษฐานภาวนารวมกัน เปาหมายหลักของการแบงปนคือ การรับฟงกันและกัน มิใชกลุมศึกษา หรือ กลุ ม สนทนา ดัง นั้น จึง ไม ควรมีก ารตัด สิ นคํ าตอบของผูอื่ น เปา หมายคื อเพื่อ ให ไ ด ความรูสึกมีสวนรวมของกลุม โดยการรับฟงสิ่งที่สมาชิกอื่นๆ ของกลุมไดพบจากการ ไตรตรองของเขา 4. แบบตรวจสอบ เปน การช วยให เข าใจลึ กซึ้ งถึ งเกณฑวา ทา นอยูจุ ดใดเมื่อ พิจ ารณาเรื่ องที่ไ ด ไตรตรอง คือการคนพบตนเองของแตละบุคคล 5. การสนทนา เปนการตอบรับแบบสวนตัวของทานกับพระคริสตเจาโดยทางการสวดภาวนา ใชเวลาไตรตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับทานในขณะภาวนา

9


ประเด็นหลักของประสบการณการฟน ฟูจิตใจแบบศักเคียส เปนการเกิด ความจริงประการหนึ่งคือ หลักความหวัง ถาศักเคียสผูเปนคนบาปหนา ไดพบความ รอดโดยอาศั ยพระคริ สตเจา ดังนั้ น ท านเองก็ สามารถพบไดเช นกัน สิ่ง ทาทายขั้ น พื้นฐานก็คือ ถาศักเคียสทําได ทําไมฉันจะทําไมได ดังที่ทานกับขาพเจาไดขามผาน แตละเสนทางของประสบการณการฟนฟูจิตใจแบบศักเคียส ขาพเจาหวังเปนอยางยิ่ง วาทานจะสามารถคนพบความปติยินดีสูงสุดแบบศักเคียส คือการยึดมั่นในองคพระ เยซูเจาในทุกสิ่งทุกอยาง คือไมมีอะไรมากเกินไปกวานั้น ไมมีอะไรนอยไปกวานั้น ไมมี อะไรอื่นใดทั้งสิ้น ขณะที่ทานกระทํานี้ ขอใหทานไดรับประสบการณแหงความปติยินดี ทั้งครบมากขึ้นและใหทั้งหมดนี้เปนความปติยินดี ขณะที่ทานรูสึกสบายกับการไดพูดออกมาอยางอิสระ ทานอาจเลือกที่จะขยาย บัน ทึ กของท า น รวมไปถึ ง การไม ใ ชคํ า พู ด หรือ การวาดภาพ หรื อ การตัด ภาพจาก นิตยสาร ภาพถายที่ประทับใจ การเขียนเรื่องที่ออกมาจากใจ การติดปะดอกไม ปอย ผม ใบไมหรือขนนก หลายครั้งภาพเหมือนเหลานี้จะชวยดลใจใหเขียนไดมากขึ้น บันทึก เปนการไตรตรองการดําเนินชีวิตที่สมบูรณ ซับซอนและสับสน และไมจําเปนตองยึด เอาแตการใชคําพูด แบบฝกหัดเลมนี้มอบใหทานใชเปนการสวนตัว แผนเปลานั้นจัดไวใหทานเขียน เพิ่มเติม ถาทานตองการเพิ่มอีก ใหเพิ่มกระดาษเปลา ใหทานรําพึงไตรตรองตอไป หรือเพียงใชกระดาษเปลาเขียนความเห็นสวนตัวของทานลงไปก็ได ดังนั้น ดูเหมือนการทําแบบฝกหัดบันทึกฉบับนี้กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้ง ยิ่งใหญ คือการหาสิ่งใหมๆ มาใชในการฟนฟูจิตใจ ขอใหใชบันทึกฉบับนี้เปนการเริ่มตน หาบันทึกอันหนึ่งที่ทานชอบ และดําเนินการเปลี่ยนแปลงจิตใจทาน ขอใหลงมือกระทํา เทานั้น

10


หลักปฏิบัติ 10 ประการสําหรับผูนํา 1. รักษาความลับ สิ่งที่พูดหรือแบงปนกันในกลุมควรใหอยูแตในกลุมเพื่อเสริมสราง ความไววางใจ 2. นั่งชิดๆ กัน สมาชิกกลุมควรมองเห็นกันไดทุกคน การนั่งเปนวงกลมดีที่สุด 3. ประสานสายตา ใหมองตรงไปที่บุคคลที่กําลังพูดแบบตามองตา 4. อยาให คําแนะนํา บุ คคลตอ งการแกปญหาของตนเอง ในสถานการณแบบนี้ คําแนะนําชวยอะไรไมได 5. ฟงอยางตั้งใจ ในกลุมตางๆ ผูนําควรใชเวลา 95 เปอรเซ็นต ในการฟง และใช คําตอบแบบตอเนื่อง 6. อยากลัวความเงียบ ปลอยใหเกิดความเงียบ เปนการสรางสรรคและกดดันใน ตัวเอง ดีกวาจะกดดันใหคนในกลุมพูดแบงปนออกมา 7. หลีกเลี่ยงการพูดเกี่ยวกับชีวิต หรือปญหาของทานเอง กลุมมิใชสถานที่ใหพูด เรื่องของตัวทาน ทานอยูที่นั่นเพื่อผูอื่น 8. ไม ใ ช คํ า พู ด ที่ เ ป น การบอกใบ ให สั ง เกตว า บุ ค คลนั้ น รู สึ ก ผ อ นคลาย หรื อ ประหม า ดู ว า พวกเขามี ท า ที คั ด ค า นหรื อ ถู ก กดดั น อย า งไร ให ค วามสนใจต อ ความรูสึกของบุคคลมากกวาคําพูดของเขา บอยครั้งคําพูดเปนฉากกันความจริง ที่อยูภายใน 9. มุงความสนใจไปยังประเด็นตามวาระที่บุคคลนั้นพูด อยาขามประเด็นไปมา อยาปลอยใหบุคคลนั้นคางคาใจ 10. การสัมผัส ใชพลังบําบัดดวยการสัมผัส ถาบุคคลหนึ่งเกิดอารมณเสีย การสัมผัส ทางกายอาจชวยได จากบุคคลที่อยูใกลเคียง อาจเปนการกุมมือ สัมผัสแขนหรือ ไหล หรือการโอบกอด สุดแทแตความเหมาะสม “ปกมือ” ก็จะเปนประโยชน ขึ้นกับสถานการณ

11


1. ความกังวลในปจจุบัน - ความใสใจ - วิกฤติ เยริโค เปนเมืองที่มั่งคั่งและมีความสําคัญเมือง หนึ่ ง มีป าปาล ม ขนาดใหญ แห งหนึ่ง และมีส วน ยางไมหอมที่รูจักกันทั่วโลก สงกลิ่นหอมไปไกล เปนไมลๆ มีสวนกุหลาบกวางใหญมากมาย ผูคน เรียกวา “นครตนปาลม” เรื่องศักเคียสเปนเรื่องเกี่ยวกับการคนพบ เรื่องเกี่ยวกับความรัก ในเรื่องนี้มีชายผูหนึ่งที่มี ทุกสิ่งทุกอยาง แตรูอยูในใจวาตนไมมีอะไรเลย มี ความวางเปลาอยูภายในที่แสนเจ็บปวด และความวางเปลานั้นกัดกินจิตใจเขา ตองมี อะไรมากกวานั้นในชีวิต แตคําถามมีอยูวา มันคืออะไร มีบางอยางขาดหายไปใน “ชีวิต อันมั่งคั่ง” ของศักเคียส จิตใจเขาสับสน หรือตกอยูในสภาพวิกฤติ การไดพบกับพระ เยซูเจาเปนการจัดไวไดเหมาะสม และเปนเวลาที่เหมาะ ในสมัยของพระเยซูเจานั้น มีคนอยูสองประเภทที่ถือวาเปนคนบาปหนา คือ หญิงโสเภณี และคนเก็บภาษี คนพวกนี้มีบทบาทสําคัญโดดเดนเปนพิเศษในพระวร สารของนักบุญลูกา พวกเขาเปนตัวแทนผูคนที่สังคมรังเกียจ ขาวดีของพระเยซูเจาดู เหมือนจะมุงไปที่คนพวกนี้เปนพิเศษ พระองคเสด็จมามิใชเพื่อคนสบายดี แตเพื่อคน เจ็บปวย และพระองคเองก็ยังเสด็จมาใหเปนที่รูจักกันวาเปน “นักกินนักดื่ม เปนเพื่อน คนเก็บภาษีและคนบาป” (ลก 7:34) ศักเคียสเปนคนเก็บภาษีคนหนึ่ง นักบุญลูกาแนะนําเขาเหมือนบุคคลที่นอยคน จะแตะตอง เขาเปนบุคคลที่มีชื่อเสียงในหมูของเขาซึ่งไมใชคนดีมากนัก เขาไดรับการดู ถูกและรังเกียจ เพราะวาคนเก็บภาษีนอยนักที่จะไมกินสินบนและรวมมือกับชาวโรมัน เขาเปนชาวยิวคนหนึ่งที่ไมนาไววางใจ เพราะเขาคบหากับชาวโรมัน และดูเหมือนจะหา เงิ น นอกระบบที่ จั ด ไว บรรดาคนเก็ บ ภาษี ถู ก ถื อ ว า เป น คนทรยศต อ ชาติ ข องตน เพราะพวกเขาสรางความร่ํารวยดวยการทํางานใหกับรัฐบาลในอาณานิคมของกรุงโรม ดังนั้น จึงเปนการทรยศตอชนชาติของตน ศักเคียสเปนหัวหนาคนเก็บภาษีและเปนคนร่ํารวยมหาศาล เขาเปนตัวจักร สําคัญที่ถือวาเปนคนบาปหนา แตทั้งๆ ที่เขามีตําแหนง อาชีพ และความเพลิดเพลินที่ 12


ไดจากการเปนคนร่ํารวย มีบางอยางขาดหายไปจากชีวิตของเขา คือมีความอางวาง ความตองการ และความวางเปลาในจิตใจ ศักเคียสมีทุกสิ่งทุกอยางที่เขาปรารถนา แต มีอะไรบางอยางที่ตามองไมเห็น มีคนร่ํารวยจํานวนมาก แตมีชีวิตดวยความสิ้นหวัง อยางเงียบๆ อะไรคือวิกฤต ในชีวิตนั้นมีวิกฤตการณบางอยางที่คาดการณได สภาพการณแนนอนที่ทุกคน ดูเหมือนจะตองผาน ยังมีวิกฤตการณบางอยางที่คาดการณไมได วิถีทางที่สิ้นสุดลง ทันที  สัมพันธภาพสั่นคลอน  คนใกลชิดบางคนเสียชีวิต  เกิดการเจ็บปวย  สูญเสียความไววางใจ  การติดตอที่ลมเหลว  การแบงแยก บางครั้ ง ไม มี เ หตุ ก ารณ ใ ดเป น สั ญ ญาณบอกถึ ง การสิ้ น สุ ด เส น ทาง มี แ ต ความรูสึกวิตกกังวล และความกดดัน ความรูสึกวาทุกอยางนั้นไมถูกตอง เมื่อใดก็ ตามที่ แ ต ก อ นบางอย า งเป นไปด ว ยดี แ ต กลั บ หยุ ด ชะงั กลง และไม มีสิ่ ง ใดมาแทนที่ บุคคลผูนั้นอยูในภาวะเปลี่ยนแปลง ศักเคียสรูสึกดีมาตลอด แตในที่สุดเขาตระหนักวา สิ่งตางๆ นั้นมิไดเปนไปอยางเคยอีกตอไปแลว เขาสํานึกวาในชีวิตมีอะไรบางอยางที่ มากกวานั้น (แมเขาไมแนใจวาจะพบไดที่ไหน) แตเขามิไดเพียงแคปลอยใหผานไปวันๆ คํ า ว า “วิ ก ฤติ ” ในภาษาจี น นั้ น มี ส องความหมาย ความหมายหนึ่ ง คื อ เป น “อันตราย” และอีกความหมายหนึ่งคือเปน “โอกาส” คําวาวิกฤติในภาษาอังกฤษนั้น ดูเหมือนจะเนนที่ภัยอันตราย และลดเรื่องโอกาสลงอยางมาก วิกฤติเปนเวลาสําหรับ การเปลี่ยนแปลง เปนเวลาแหงการตัดสินใจเลือกคุณคาบางอยางในชีวิต และความ ตายที่แขวนไวอยางสมดุล มีแนวโนมที่จะเขาสูวิกฤติถาบุคคลนั้นปวยอยู แนวโนมเชนนี้ทํากับวิกฤติเหมือน เปนดังโรคภัยไขเจ็บ ดูเหมือนวาคนที่อยูในวิกฤติตองการความชวยเหลือจากคนปกติ เพื่อนําเขากลับมาใหหายดังเดิม อยางไรก็ตาม วิกฤติเปนโอกาสพิเศษเพื่อการเติบโต เป น เวลาที่ เ ป ด โอกาสให ข จั ด สิ่ ง เดิ ม ๆ ที่ ทํ า ให ไ ม เ จริ ญ อี ก ต อ ไป จุ ด ดั บ ในชี วิ ต อาจ 13


กลายเปนจุดเปลี่ยนแปลง เปนการเริ่มนําสูการเปลี่ยนแปลงที่จําเปน ผูคนไมปฏิบัติตามรูปแบบในอดีตเฉพาะเมื่อจําเปนเทานั้น ถาไมมีประสบการณ เมื่อถึงที่สุดของชีวิต และความคับของใจ ก็คงไมมีใครคิดหาสิ่งใหม การเกิดสิ่งใหมกับ การตัดขาดจากสิ่งเดิมๆ อยางไมคาดหวังนั้นชวยใหชีวิตพนหายนะ และมีความหวัง ศักเคียสไดเผชิญกับจุดดับในชีวิตเขา เขามีทุกสิ่งทุกอยาง แตเปนกําแพงวาง เปลา เขามาถึงจุดหนึ่งในชีวิตที่คําตอบเดิมๆ นั้นใชไมไดแลว เขาตองการคําตอบ ใน ภาวะวิกฤติ เรายังสามารถสัมผัสทอธารของชีวิตลึกๆ ภายในตัวเรา ทอธารซึ่งเราไม เคยรูวามีอยูในตัวเรา บันทึกของมารกอส ในนิตยสารเอเชีย วีค (Asia week) ฉบับหนึ่ง มีบทความเกี่ยวกับ “บันทึก ประจําวันของมารกอส” ในชวงปแหงกฎอัยการศึกอันวุนวายนั้น อดีตประธานาธิบดี เฟอรดินาน มารกอส ไดเก็บบันทึกเหตุการณตางๆ ของตนเองไว ขอความที่ตัดตอนมา นี้ใหการมองอยางผิวเผินซึ่งหายากในความคิดของบุคคลซึ่งมีจิตใจเขมแข็ง วันที่ 5 มกราคม ค.ศ.1970 เปนวันครบรอบ 5 ปของการเปนประธานาธิบดี ของเฟอรดินาน มารกอส เขาเขียนบันทึกประจําวันไววา “ขาพเจาเปนบุรุษผูมีอํานาจสูงสุดในประเทศฟลิปปนส ทุกสิ่งที่ขาพเจาฝนไวนั้น ขาพเจาไดมาทั้งหมดแลว ที่แนๆก็คือ ขาพเจามีทุกสิ่งที่ตองการในชีวิต คือ  มีภรรยาที่นารักและเปนคูเคียงขางในสิ่งตางๆ ที่ขาพเจากระทํา  มีลูกๆ ที่ฉลาด ซึ่งจะนําชื่อเสียงมาใหขาพเจา  ชีวิตดําเนินไปดวยดีทุกอยาง แตขาพเจายังไมพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู ถึงแมเขาจะกุมอํานาจเอาไวไดทั้งหมด แตก็ยังมีความรูสึกถูกรบกวนดวยความ วางเปลาที่กัดกินจิตใจเขา มีความรูสึกบางอยางผิดปกติ มีสวนประกอบของชีวิตที่ขาด หายไป คือความรูสึกไมพอใจ จะยอมรับหรือไมก็ตาม เราทุกคนตางก็แสวงหาสันติสุข และความปติยินดี เราทุกคนตองการที่จะเปนสุข แตคําถามมีอยูวา แลวเราเปนสุข หรือยัง นักบุญออกัสตินเคยกลาวไววา “ขาแตองคพระผูเปนเจา พระองคทรงสรางเรา มาเพื่อพระองค และจิตใจของเราจะไมไดพักผอนจนกวาจะไดพักผอนอยูในพระองค” ถึงแมวาเราจะมีทุกสิ่งทุกอยาง ถาเราไมมีพระเยซูเจา เราก็เหมือนไมมีอะไรเลย 14


แบบตรวจสอบ 1. ในขณะนี้ทานมีความสุขหรือไม ทําไมจึงมี ทําไมจึงไมมี เกิดอะไรในชีวิตทานใน ขณะนี้ ทานมีคําถามอะไรบางหรือเปลา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. บรรยายถึงวิกฤติที่ทานประสบมา มีอะไรขาดหายไปในชีวิตทาน เขียนบรรยายถึง ความเปลี่ ย นแปลงต า งๆ ที่ เ กิ ด จากวิ ก ฤติ นั้ น และท า นรู สึ ก อย า งไรกั บ การ เปลี่ยนแปลงนั้นๆ ปจจุบันนี้ทานรูสึกอยางไร ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ทานรูสึกอยางไรในเวลานี้ ทานตองการสิ่งใด มีความกังวลใจใดบาง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. มีสิ่งใดรบกวนจิตใจทาน ปญหายุงยากที่สุดของทานเวลานี้คืออะไร ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานชอบสิ่งใดในชีวิตของทานมากที่สุด ทานรูสึกอยางไรกับเรื่องนี้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….

15


แบบสํารวจ แบบสํารวจนี้อาจชวยใหความเปนอยูของทานดีขึ้นในสองวิธี คือ 1. เปนเครื่องมือชวยใหคนพบตนเอง สามารถชวยทานประเมินสถานภาพปจจุบันได อยางรวดเร็ววาทานมีจุดเดนและจุดดอยในการปรับตัวยอมรับวิกฤติการสูญเสียใน ชีวิตทานไดอยางสรางสรรค 2. เสนอทางเลือกสําหรับใชในการพัฒนาการวางแผนสวนตัวเพื่อเพิ่มความเหมาะสม ในขอบเขตที่สําคัญแกชีวิต ขอแนะนํา เติมคําตอบใดคําตอบหนึ่งไวดานหนาแตละรายการตรวจสอบขางลางนี้ ดี = ขาพเจาทําไดดีมาก พอใช = ฉันทําไดเปนที่นาพอใจ แตยังมีบางอยางที่จะตองปรับปรุง ตองปรับปรุง = ขาพเจาตองปรับปรุงในเรื่องนี้อยางจริงจัง

.......... 1. เมื่อเกิดปญหายุงยากขึ้น ฉันดูแลตัวเองไดดีทั้งทางกายและทางอารมณ แตยังตองการผูอื่นมาชวยดูแล .......... 2. เมื่ออนาคตดูเหมือนจะมืดมน แตละครั้งฉันใชเวลาเปนชั่วโมง ฉันไมยอม ปฏิเสธปญหาหรือสิ้นหวังเปนเวลานานๆ ฉันรูวาจะมีความหวังขึ้นใหม ฉัน กระทําสิ่งที่สามารถปรับปรุงไดทีละเล็กทีละนอย .......... 3. ฉันสามารถแสดงความรูสึกเจ็บปวดทรมานทั้งหมดออกมาโดยระบายออก ทางคําพูด ซึ่งทําใหรูสึกผอนคลายลง .......... 4. ฉั น จะไม ป ล อ ยให เ สี ย พลั ง ที่ ส ร า งสรรค ไ ปโดยเปล า ประโยชน เ ป น เวลานานๆ เมื่อเกิดการสูญเสีย เพราะฉันรูวาเปนสวนหนึ่งของชีวิตทุกคน โดยทั่วไป .......... 5. ฉันมีความกลาที่จะขอการชี้แนะจากผูเชี่ยวชาญ จิตตาภิบาล เมื่อฉันรูสึก วาถูกทําลายจากภาวะวิกฤติหรือจากการสูญเสีย .......... 6. ฉั น ค น พบวิ ธี ก ารช ว ยเหลื อ ผู อื่ น ให พ น ภาวะวิ ก ฤติ หรื อ การสู ญ เสี ย ที่ คลายคลึงกับของฉัน

16


.......... 7. ฉั น คาดการณ ล ว งหน า ถึ ง ความโศกเศร า เพื่ อ ช ว ยเตรี ย มตนเองในสิ่ ง ที่ คาดการณไวหรือการสูญเสียที่ดําเนินไป อยางเชน คนรักเจ็บปวยถึงขั้นจะ เสียชีวิต หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญในชีวิต .......... 8. ฉั น ได เ รี ย นรู ก ารค น หาความบรรเทาฝ า ยจิ ต และความหมาย แม ใ น สถานการณอันนาเศราที่ดูเหมือนวาไมยุติธรรม ถารูสึกวาความเชื่อเดิม ของฉันถูกทําลาย ฉันสามารถยืนหยัดอยูไดจนกระทั่งชีวิตฝายจิตไดรับ การฟนฟูขึ้นใหมอยางชาๆ .......... 9. หลังจากไดปรับปรุงแกไขดัดแปลงแลว ฉันใหอภัยตัวเอง และยอมรับการ ใหอภัยจากพระเจา สําหรับการมีสวนในวิกฤติและความสูญเสียที่เกิดขึ้น .......... 10. เมื่อฉันประสบวิกฤติอยางหนัก ฉันยังคงรับประทานอาหารและพักผอนได อย า งเพี ย งพอ แม จ ะรู สึ ก ไม อ ยากทํ า ก็ ต าม ฉั น ยั ง ได พ ยายามหลี ก หนี หลุมพรางที่หลอกลอใหขจัดความเจ็บปวดดวยการดื่มเหลา เสพยา หรือ หนีทุกขดวยการทํางานอยางบาคลั่ง .......... 11. ฉันไดหลีกเลี่ยงที่จะตัดสินใจเรื่องสําคัญๆ เทาที่จะทําได ในขณะที่ยังคง สะเทือนตอวิกฤติหรือเกิดการสูญเสียที่เกิดขึ้น .......... 12. ตามปกติฉันสามารถแกปญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นทีละอยาง และคอยๆ กระทํา ดีก ว า ปล อ ยให ป ญหาทุ ก อย า งชะงั กงั น กลายเป น ปญ หาที่ เ กี่ ย วพั น กั น อยางยุงเหยิง .......... 13. ถาฉันไดรับประสบการณความสูญเสียหรือปญหาที่สังคมประณาม เชน การสูญเสียที่เกิดจากการฆาตัวตาย การเกิดตั้งครรภ ฯลฯ ฉันมีวิธีการ จัดการดวยการใชวิจารณญาณ และไมไดรับความชวยเหลือจากสังคม .......... 14. ในการเรียนรูจากสิ่งที่มิไดคาดหวังนั้น ฉันผานวิกฤติดวยการคนพบวาฉัน สามารถเอาตัวรอดไดจากสิ่งที่ฉันไมคาดคิดวาจะรอด การใชสิ่งที่ทานคนพบ ตรวจดูคําตอบตางๆ ของทาน และดูวาสิ่งใดคือจุดแข็งและจุดออนของทานใน การแกไขวิกฤติและความสูญเสียตางๆ ใหสังเกตคําตอบที่ใสวาตองปรับปรุงหรือพอใช วาขอใดที่ทานรูสึกวาสําคัญที่สุด สิ่งเหลานี้คือ “เขตที่ตองเติบโต” เปนบริเวณที่ทาน สามารถเพิ่มการปรับปรุงวิกฤติเพื่อประโยชนของตัวทานเอง บันทึกแนวคิดที่ทานสนใจจะทําการแกไขตามความจําเปนและตามโอกาส 17


สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................

18


2. โอกาส เหตุบังเอิญ การติดตอ “พระเยซูเจาเสด็จเขาเมืองเยริโค และกําลังจะเสด็จผานเมืองนั้น” (ลก 19:1) เรื่องราวของชีวิตคือสิ่ง ที่ ฝ ง ติ ด ซึ่ ง มาจากผล ของโอกาสในการ พบปะ การพลาดรถไฟ การเป ด หนั ง สื อ ไปพบ ตอนที่มีความหมายเขา ตอนหนึ่ง การเปดแงม ประตู การแอบได ยิ น การสนทนา การสบตา กันในหองที่เต็มไปดวยผูคน ในชีวิตนั้นไมมีเหตุบังเอิญ ไมใชอุบัติเหตุ ตอนแรกเรา เพียงมองดูเหตุบังเอิญตางๆ นั้น ขณะที่เรารีบผานไป ไมไดสนใจอะไรมากนั้น แตแลว เราก็ เ ริ่ ม ค อ ยๆ คิ ด ด ว ยการมองดู เ หตุ ก ารณ นั้ น ๆ อย า งลึ ก ซึ้ ง ยิ่ ง ขึ้ น เป ด ใจและ ไตรตรอง เราจึงตระหนักวา ในทุกสิ่งทุกอยางนั้นมีเหตุผลและจุดหมายเสมอ ไมใช เรื่องการพบเจอโดยบังเอิญ ทุกคนที่เขามาในชีวิตเรานั้นมีเหตุผลและมีสารสื่อใหเรา จึงเปนเรื่องสําคัญที่ควรจําไววา ตองไตรตรองดูผูคนที่เราจําตองกระชับสัมพันธไว ไม มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ พระเยซูเจากําลังเสด็จผานเมืองเยรีโค เปนครั้งแรกที่พระเยซูเจากับศักเคียส เดินสวนทางกัน เปนเหตุบังเอิญที่มีความหมายอยางยิ่ง พระเยซูเจาเสด็จมาพอดีใน ชวงเวลาสําคัญยิ่งในชีวิตของศักเคียส ในขณะที่เขาสับสน เขากําลังคนหาความหมาย ของชี วิ ต ในสมั ย ของพระเยซู เ จ า นั้ น มี เ หตุ ก ารณ ที่ ค ล อ งจองกั น ทุ ก เหตุ ก ารณ อั น นําไปสูการพบปะกันอยางมีความหมายระหวางศักเคียสกับพระเยซูเจา เหตุการณที่ คลองจองกันตางๆ นั้นดูเหมือนจะเกิดขึ้นยามที่เราตองการมากที่สุด คงจะเปนการดี ซึ่งอยูในขั้นของการเปลี่ยนแปลง ความไมแนใจ ความสับสน ความผิดหวัง และความ สับสนวุนวาย ซึ่งเปดโอกาสใหแสดงบทพระเอก ความมืดมากอนรุงอรุณมิใชหรือ ใน กิจวัตรประจําวันและในความทาทายตางๆ เราสามารถพบกับอํานาจลึกลับของพระ เจา เหตุบังเอิญที่ไมนาเชื่อก็ดูเหมือนจะสงเราไปในทางใดทางหนึ่ง 19


เรามนุษยนั้นเปนสิ่งสรางที่เปนจิต ซึ่งมีชีวิตอยูตามความหมาย ในความหวัง และความเชื่ อ เกี่ ย วกั บ สิ่ ง ที่ สํ า คั ญ สุ ด ท า ยในตั ว เราเองและในโลก ถ า ปราศจาก ความหมายและจุดหมายแลว เราคงหลงทาง ตามมาตรฐานฝายโลกแลว ศักเคียสเปน “ความสําเร็จ” ที่นาทึ่ง แตเขาก็ยัง เผชิญ กั บวิ ก ฤติ ชี วิต ที่ทุ ก ขเวทนา เขาดิ้ นรนตอ สู วิก ฤติ ชี วิต เพื่อ หาความหมายและ ประเด็นสําคัญๆ เมื่อเขารูสึกวางเปลา เขาจึงพรอมที่จะพบกับพระเยซูเจา การฟ นฟู จิต ใจคือ พระเยซูเ จา ผา นเขา มาในชีวิ ตของเรา เป นเวลาแหง พระ หรรษทาน เปนพระเยซูเจาที่ทรงเคาะในใจเรา ตองมีเหตุผลวาทําไมเราจึงมาอยูที่นี่ สําหรับพระเจานั้นไมมีอุบัติเหตุ เชนเดียวกับความวางเปลาของศักเคียสทําใหเขาได คนพบพระเยซูเจา ดังนั้น เราจึงตองทําตัวเราเองใหวาง เพื่อจะไดสามารถใหพระเยซู เจาทรงเติมหัวใจของเราดวยความรักของพระองค

20


แบบตรวจสอบ 1. การฟนฟูจิตใจนี้แสดงใหทานเห็นอะไรบาง มีประเด็นอะไรสําหรับทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ทานรูสึกอยางไรเกี่ยวกับการพบปะกับพระเยซูเจาแบบนี้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. การฟนฟูจิตใจนี้เปนเรื่องสําคัญมากนอยเพียงใดสําหรับทาน ทานตองทําอะไรให ชีวิตของทานวางเพื่อจะพบกับพระเยซูเจา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. มีโอกาสอื่นใดบางที่ทานพบปะกับพระเยซูเจาในชีวิตทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. เหตุการณและเหตุบังเอิญใดที่นําทานมาเขารวมฟนฟูจิตใจครั้งนี้ เหตุการณเหลานี้ บอกอะไรกับทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….

21


สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................

22


3. ความอยากรูอ ยากเห็น - ความปรารถนาอยางแรงกลา “ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เปนหัวหนาคนเก็บภาษี เปนคนมั่งมี เขาพยายามมองดูวา ใครคือพระเยซูเจา แตก็มองไมเห็นเพราะมีคนมากและเพราะเขาเปนคนรางเตี้ย” (ลก 19:2-3) ชื่ อ เสี ย งของพระเยซู เจาคงตองเลื่องลือไป กอ นพระองค สั ง เกต ไ ด จ า ก ศั ก เ คี ย ส ก อ น ที่ จ ะ ไ ด พ บ พระองคเขาไดรับพระ หรรษทานแห ง ความ ปรารถนาที่จะพบพระองค “เพื่อดูวาใครคือพระเยซูเจา” ศักเคียสไดรับแรงบันดาลใจ จากการเริ่มปรารถนาที่จะ “เห็น” พระเยซูเจา เพื่อจะไดมีประสบการณอยางใดอยาง หนึ่งในบุคคลของพระเยซูเจาที่เขาไดฟงเกี่ยวกับพระองค (ความเชื่อเกิดจากการไดฟง) เขากระตือรือรนอยางยิ่งที่จะไดพบพระเยซูเจาจนถึงกับยอมปนขึ้นไปบนตนไม และ ขณะที่เขาพยายามมองดูพระเยซูเจาอยูนั้น พระองคก็ทรงมองเห็นเขา กระบวนการ เชนนี้ชี้บอกถึงสิ่งที่ศิษยแทจริงแสวงหา คือ รูจักพระองคมากขึ้น ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในการพบ กับพระอาจารยเจาผูกําลังเสด็จมาทางนั้น เขาตองการรูวาเพราะอะไรประชาชนจึง กลาวถึงพระเยซูเจาในฐานะอาจารย ผูกระทําอัศจรรยและผูทําการรักษา จิตใจของ เขาไมยอมอยูนิ่ง เขากําลังหาคําตอบใหกับคําถามของเขา และเขาไดพบคําตอบนั้นใน องคพระเยซูเจา ขณะชวงวิกฤติ เราอยูในความมืดเพราะไมรูจะทําอยางไรกับอนาคต เสนทาง เดิมๆนั้นสิ้นสุดลงแลว แตไมเห็นมีเสนทางใหมๆ ศักเคียสกําลังคนหาทางอยูในความ มืด เขาไมรูวาจะทําอยางไรกับชีวิต เขาสํารวจหาทางออก เขามีความอยากรูอยากเห็น โดยธรรมชาติของความอยากรูอยากเห็น คือ การไมรูลวงหนาวากําลังสํารวจหาสิ่งใด ถาผูใดรูลวงหนา ผูนั้นก็คงไมคนหาสิ่งใหมๆ ศักเคียสมิไดคาดการณวาอะไรจะเกิดขึ้น เขาเพียงแตไปที่นั่นเพื่อดูพระเยซูเจา 23


เมื่อเรามองยอนกลับไปยังความมืดมนในชีวิต เราตระหนักวานั่นเปนสวนจําเปน ในการเดินทางของเรา เหมือนกับการตองขจัดสิ่งลวงตาออกไปกอนที่จะรูแจงเห็นจริง เหมือนกับคืนอันมืดมิดของนักบุญยอหนแหงไมกางเขน เหมือนกับการจากไปของ อับราฮัมสูดินแดนที่ไมเคยรูจัก ความมืดเปนครูผูยิ่งใหญที่นําไปสูความอยากรูอยาก เห็น และแลวก็เกิดการคนพบ ในความมืดเทานั้นเราไดเรียนรูที่จะกาวเดินตอไปโดย ปราศจากความรู ในความมืดเทานั้นเราไดเรียนรูจักการไววางใจในสัญชาติญาณของ เราเองวันตอวัน เราเรียนรูถึงความสําคัญของการกาวไปขางหนาโดยไมรูถึงจุดหมาย ปลายทางและไม รู แ น ว า จะถึ ง จุ ด หมายปลายทางหรื อ ไม ถ า เรารอให รู จุ ด หมาย ปลายทางเสียกอน เราอาจไมกาวเดินหนาเลยก็ได ในพระวรสารของนักบุญยอหนนั้น พระเยซูเจาตรัสกับเราวา “ไมมีใครมาหาเรา ได นอกจากพระบิดาผูทรงสงเรามาจะทรงชักนําเขา” (ยน 6:44) พระเจาทรงเปนผูนํา กาวแรกเสมอ พระองคทรงชักนําเรามาหาพระองคเอง แตพระองคไมเคยบังคับเราให ตอบรับคําชักนํานั้นเลย องคพระผูเปนเจาทรงปลอยใหเราเปนอิสระในการที่จะตอบรับ การเริ่มดวยทาทีอันออนหวานของพระองค องคพระผูเปนเจาทรงสงแรงบันดาลใจให อยากเห็นและอยากไดยินพระเยซูเจา ศักเคียสเปนอิสระที่จะตอบรับความปรารถนา และการตอบรับของเขานั้นดําเนินไปจนลืมนึกถึงศักดิ์ศรี และความภูมิใจของตน ปนขึ้น ไปบนต น มะเดื่อเทศ “การกระทํา อั นโง เ ขลา” ที่ ต อบรั บ การนํ าไปหาพระเจ านั้ น ได เปลี่ยนชีวิตทั้งหมดของศักเคียส ความอยากรูอยากเห็นทุกอยางนั้นเปนจุดเริ่มตนของการคนพบ ความอยากรู อยากเห็นของศักเคียสทําใหเขาไดเริ่มการคนพบอันยิ่งใหญ คือ พบพระเยซูเจา ซึ่งนํา เขาไปพบกับองคพระผูเปนเจาเปนการสวนตัว และเขาไมเหมือนเดิมอีกตอไป บอยครั้ง เรามีอคติของเราเองเกี่ยวกับการฟนฟูจิตใจ ก็เปนการฟนฟูจิตใจอีกครั้งหนึ่งในชวง หลายๆปที่ผานมา เราจําตองเปดตามองดู ตองทําความคิดใหวานอนสอนงาย ตอง ทําใจใหอยากรูอยากเห็น เพื่อจะไดรับประโยชนมากที่สุด จากประสบการณการฟนฟู จิตใจครั้งนี้ ผลสําเร็จของการฟนฟูจิตใจนั้นขึ้นอยูกับตัวเราเอง จะทําใหมีความหมาย และเปนที่ประทับใจก็ขึ้นอยูกับตัวเรา

24


แบบตรวจสอบ 1. ทานแสวงหาสิ่งใดในชีวิต ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ในการพบปะสวนตัวครั้งนี้ ทานคาดหวังอะไร ทําไมทานอยูที่นี่ อะไรนําทานมาที่นี่ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ลองนึกถึงสมัยทานยังเปนเด็ก ทานรูสึกอยางไรกับความมืด ใหอธิบายความรูสึก นั้นๆ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. จงนึกถึงชวงเวลาที่ทานสูญเสีย ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานปรารถนาจะเห็นหรือพบสิ่งใดในการเขาฟนฟูจิตใจครั้งนี้ การฟนฟูจิตใจครั้งนี้ นาจะบอกสิ่งใดใหทานในเรื่องความสนใจ คามหวงใย วิกฤติชีวิตของทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….

25


แบบสํารวจ เติมคําตอบใดคําตอบหนึ่งไวดานหนาแตละรายการตรวจสอบขางลางนี้ ดี = ฉันทําไดดีแลวในเรื่องนี้ พอใช = ฉันทําไดเปนที่นาพอใจ แตยังมีบางอยางที่จะตองปรับปรุง ตองปรับปรุง = ฉันตองปรับปรุงในเรื่องนี้อยางจริงจัง

.............1. ฉันชอบบานของฉัน .............2. ฉันเหมาะสมที่สุด .............3. ชีวิตของฉันนาสนใจ .............4. ฉันจะไมซื้อขายตําแหนงกับใคร .............5. ฉันมีเวลาตลอดชีวิตในการทําสิ่งที่ฉันปรารถนา .............6. ฉันรูสึกเปนกันเองกับผูคน .............7. ฉันเปนคนมีเสนห .............8. ฉันไมกลัวที่จะพูดตามที่คิดไว .............9. ผูคนใหคุณคากับสิ่งที่ฉันพูด .............10. ฉันกําลังไปสวรรค .............11. ฉันไมมีอะไรตองเปลี่ยนไปมากนัก เกี่ยวกับมุมมองของฉัน .............12. ผูคนหวงใยฉัน .............13. ฉันไมควรเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันมากเกินไป .............14. พระเจาทรงรักฉันจริงๆ .............15. ฉันเปนนักสูชีวิตคนหนึ่ง .............16. ฉันสามารถขบขันตนเองไดเมื่อฉันพลาด .............17. ฉันมีกําลังความสามารถและสนุกสนานในชีวิต .............18. ฉันไมคอยจะไดรับการกดดัน .............19. ฉันมีเพื่อนที่ฉันปรารถนาจํานวนหนึ่ง .............20. ผูคนชอบเปนเพื่อนกับฉัน .............21. เพศตรงขามมีเสนหตอฉัน .............22. ฉันไมรูสึกละอายตอสิ่งใดเลยจริงๆ .............23. ฉันพอใจกับชีวิตประจําวันของฉัน .............24. จริงๆ แลวฉันชอบสิ่งที่มองเห็นในกระจกเงา 26


.............25. ฉันพอใจกับการเริ่มตนวันใหมในแตละวัน .............26. ตามปกติฉันคอนขางอารมณดี .............27. ฉันเปนคนที่นาพอใจในการอยูดวย .............28. ฉันแทบจะไมเคยกลาวคําขอโทษ .............29. ฉันเปนคนใจดี มีความหวงใยผูอื่น .............30. ฉันเปนคนที่ไมเหมือนใคร การใชสิ่งที่ทานคนพบ ทบทวนดู คํ า ตอบต า งๆ ของท า น และหาภาพรวมของคํ า ตอบ ถ า ท า นไม มี ความสุขกับตัวเอง อาจเปนไปไดวาทานมีภาพพจนของตนเองที่ไมคอยถูกตอง ทาน ควรจะพูดคุยกับเพื่อนหรือกับที่ปรึกษา เพื่อดูวาพวกเขามองทานเปนอยางไร ทาน อาจจะทําใหตนเองเปนที่ยอมรับในชวงสั้นๆ เขียนสิ่งที่ทานคิดวาตองการปรับปรุงแกไข

27


สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................

28


4. การริเริ่มสรางสรรค “เขาจึงวิ่งนําหนาไป ปนขึ้นตนมะเดื่อเทศ เพื่อใหเห็นพระเยซูเจา” (ลก 19:4) บอยครั้งวิกฤตชวยเปดตาเรา เมื่อผูคนปลอยวางวิธีการมอง ความเป น จริ ง แบบเดิ ม และ เริ่มมองสิ่งตางๆ ในลักษณะที่ ตางออกไป ไมมีเรื่องใดที่คาด ไมถึงมากกวาเรื่องคนตาบอด ที่ ยื น ยั น ว า ตนเองสามารถ มองเห็นได การยอมรับความ บอดนั้น บอยครั้งเปนกาวแรก สูการมองเห็นแบบใหม ความอยากรูอยากเห็นเพื่อจะไดพบพระเยซูเจา เปนแรงผลักดันใหศักเคียส ไดเปรียบ เขาหาวิธีการดวยตัวของเขาเอง และดวยความตั้งใจ เพื่อจะไดเห็นพระเยซู เจาขณะเสด็จผานไป เขา “จึงวิ่งนําหนาไป ปนขึ้นตนมะเดื่อเทศ” เขาไมไดสนใจวาผูคน จะคิดอะไรและพูดสิ่งใดเกี่ยวกับตัวเขา การไดเห็นพระเยซูเจาคือสิ่งที่ตองการจริงๆ สิ่ง ที่สําคัญจริงๆ เขาไมยอมปลอยใหโอกาสนั้นผานไป คงจะเปนชวงเดียวเทานั้นในชีวิต เขา ที่จะไดพบพระเยซูเจา ดังนั้นเขาจึงกระทําเต็มทีเ่ พื่อไปหาพระองค กระบวนการภายในหัวใจมนุษยจะแผขยายออกไป เพราะหัวใจของเรานั้นถูก สรางขึ้นมาเพื่อพระเจา และจะไมหยุดพักจนกวาจะไดพักผอนในพระองค อาจจําเปน อยางยิ่ง อยางไรก็ตาม เรากระทําทุกอยางเทาที่สามารถเพื่อรวมมือกันในการพบปะ คือเลือกสถานทีท่ ี่จะใหทิวทัศน เปนสถานที่หนึ่งตางหาก และตนไมที่จะขึ้นไปนั่ง หา เวลาเพื่อเตรียมดินของหัวใจ หลบหนีจากเสียงอึกทึกและผูคน เพื่อสรางที่วางภายใน ซึ่งเปนสิ่งจําเปน เพื่อใหพระเจาประทับอยูในบานของเราอยางแทจริง การริ เ ริ่ ม สร า งสรรค นั้ น หมายถึ ง การนํ า ป จ จั ย สํ า คั ญ ที่ แ ตกต า งกั น มาไว ดวยกันเพื่อสรา งใหเกิ ดผลอย างไมค าดคิด เปนความไมคาดคิดที่ทํ าใหเรายอมรั บ ภายในตัวเรา และทําใหเรากลาววา “ใชแลว ใชแนนอนเลย” ศิลปะการดําเนินชีวิตนั้นดู เหมือนจะตองการการริเริ่มสรางสรรคแบบนี้ การผสมปจจัยสําคัญที่แตกตางกันใน 29


ความไม ค าดคิ ด ทั้ ง หมดซึ่ ง มี ลั ก ษณะเฉพาะ เป น คุ ณ สมบั ติ ข องมนุ ษ ย ที่ ลึ ก ซึ้ ง และ งดงาม ผูคนที่เติบโตขึ้นจะสรางเรื่องสวนตัวที่ผสมผสานปจจัยตางๆ ใหเขากันแบบไม นาเชื่อวาเปนไปได และสรางสิ่งไมคาดคิดที่ไดผล แนละไมมีใครคาดคิดวาศักเคียสจะ ปนขึ้นไปบนตนมะเดื่อเทศ ผูทสี่ รางสิ่งที่ไมคาดคิดอยางไดผล สรางประวัติตนเอง ไมมีขอบเขตจากกําแพง แหงการแบงแยก ไมมี ระเบียบแบบแผน เขารวมสิ่ง ที่ตรงกัน ขามในตั วพวกเขาเข า ดวยกัน ยายเขาและยายออกไปตามบริบทตางๆ ที่อยูรอบๆ พวกเขา โดยไมยึดติดกับ สิ่ ง ใด เป น เรื่ อ งไม น า เชื่ อ ที่ ศั ก เคี ย สจะป น ขึ้ น ไปบนต น มะเดื่ อ เทศ แต เ ขามี ค วาม ปรารถนาอยากเห็นพระเยซูเจาเปนแรงผลักดัน และเขามีความคิดริเริ่มสรางสรรคของ ตนที่จะกระทําเชนนั้น บอยครั้ง เพี ยงใดที่ เราไม ไดพ บองคพ ระผู เป นเจ า เพราะเราปลอ ยใหการให เกียรติมนุษยและความอายมานําหนาเรา เราจึงพลาดโอกาสที่จะไดเห็นพระเยซูเจา เพราะเรามิไดพยายามมากพอที่จะมองหาพระองคในชีวิตเรา เราติดธุระยุงอยูเสมอ เราไมมีเวลาเพียงพอ เรามีรอยแปดอยางที่จะตองทํา มันสําคัญกวาการไดพบพระเยซู เจาแบบสวนตัว มีขออางอยูเสมอๆ เพื่อที่จะไมไปเขารวมฟนฟูจิตใจ ไมเขารวมสัมมนา โครงการชีวิตในพระจิตเจา หรือโครงการชุมนุมคูสมรส ไมรวมโครงการฟนฟูจิตใจของ ทางวัด ไมไปรวมพิธีมิสซาวันอาทิตย ไมวาง... ไมวาง... มีงานเยอะแยะที่จะตองทํา

30


แบบตรวจสอบ 1. ทานอยากจะทําอะไรเพื่อทําใหการฟนฟูจิตใจนีเ้ กิดผลดี ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ทานทุมเทในการหาทางที่จะเห็นพระเยซูเจาแคไหน ทานตองการจะเห็นพระเยซู เจาหรือไม ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ทานเต็มใจเสียสละสิ่งใดบางเพื่อทําใหการฟนฟูจิตใจนี้มีความหมายและเปนสิ่งที่ ประทับใจ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. สิ่ ง ใดเป น อุ ป สรรคทํ า ให ท า นไม ไ ด เ ห็ น พระเยซู เ จ า ท า นจะขจั ด อุ ป สรรคนั้ น ได อยางไร ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. สามสิ่งที่ทานตองการทําในชวงเวลาที่เหลือของชีวิตทานคืออะไร ก……………………………………………………………………………………………………….……………………… ข……………………………………………………………………………….……………………………………………… ค……………………………………………………………………………………………………………………………… อะไรทําใหทานถอยหลัง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 31


สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................

32


5. ไดรับเรียกและไดรับเลือก “เพราะพระองคกําลังจะเสด็จผานไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจาเสด็จมาถึงที่นั่น ทรงเงย พระพักตรขึ้นทอดพระเนตร ตรับกับเขาวา...” (ลก 19:5) พระเยซู เ จ า กํ า ลั ง เสด็ จ ผ า นไปทางนั้ น พระองค ไดทรงเริ่มการเคลื่อนที่ไป โ ด ย ไ ม มี ก า ร เ ตื อ น ลวงหนาใหกับบุคคลใดๆ บนเส น ทาง ไม มี ใ ครรู ว า พ ร ะ อ ง ค จ ะ ห ยุ ด ที่ ใ ด เมื่ อไ ร ห รื อห ยุ ดบ อ ย เพี ย งใดเพื่ อ ทั ก ทายผู ค น ตามเสนทาง อยางไรก็ตาม พระองคทรงแนใจวาจะผานเสนทางชีวิตของเรา เปนที่ แนนอนตามความเชื่อของเรา พระเจาทรงริเริ่มเสมอ พระหรรษทานของพระเจาดึงดูด เราไปหาพระผูสรางของเรา มีอะไรอยูในการระบุชื่อ มีมากมาย เมื่อพระเยซูเจากับศักเคียสไดพบกันนั้น ศักเคียส แทบจะตกลงมาจากตนไม เขาประหลาดใจ ตกตะลึง ทําไม เพราะพระเยซู เจาทรงเรียกชื่อเขา ศักเคียส การเรียกของพระเยซูเจาเปนแบบสวนตัวและเจาะจง พระองคทรงเรียกชื่อเรา สิ่งที่มนุษยตองการมากที่สุดคือการเปนที่รูจัก การถูกเรียกชื่อ มีแนวโนมที่จะ ไมเปนแบบสวนตัวในสัมพันธภาพของเรา คือหายไปในการไมเปดเผยชื่อ และถูกถือ เปนชื่ อทั่วไป แต พระเยซูเจ าไดท รงเป นกัน เองกั บศักเคียส พระองคได ทรงหยุดอยู ตรงหนาตนมะเดื่อเทศ และไดทรงชี้เฉพาะศักเคียส เขารูสึกสะเทือนใจ ทําใหเขารูสึก เปนที่ยอมรับ และมีความสําคัญ เขามิใชเปนเพียงใครก็ได แตเขาเปนใครคนหนึ่ง ยิ่งกวานั้น พระเยซูเจาไดทรงเลือกเขา โดยตรัสวา “เราจะไปพักที่บานทาน วันนี้” คงจะมีคนจํานวนมากที่พยายามเชิญพระเยซูเจาไปบานของตน นาภูมิใจเพียงใด เมื่อมีบุคคลสําคัญใหเกียรติมาบานเรา เราคุยโออวดในเรื่องนี้ เปนเรื่องความภูมิใจที่ ไดรับเลือก คือไดรับเกียรติใหอยูกับบุคคลสําคัญเชนพระเยซูเจา เหนือสิ่งอื่นใด เปน 33


พระเยซู เ จ า เองที่ ไ ด ท รงเชิ ญ เขา เป น ข อ เสนอพิ เ ศษอย า งหนึ่ ง คื อ จะไปพั ก ที่ บ า น ของศักเคียส บอยครั้ง เราพักอยูกับคนที่เราพอใจจะอยูดวยเทานั้น เราจะไมพักอยูบานใครก็ ได แตเราเลือกที่ที่เราจะพัก เชนเดียวกับเราเลือกผูที่เราจะพักดวย “เพื่อนคนหนึ่ง” เมื่อพระเยซูเจาตรัสถามศักเคียสวา เขาจะอยูกับพระองคหรือไมนั้น พระเยซูเจาทรง เห็นเขาเปนเพื่อนคนหนึ่ง เปนการเชิญโดยตรงที่มีความสนิทสัมพันธมากกับศักเคียส เปนการเชิญดวยความรัก เราทุกคนตองการการเยียวยารักษาและพลังรักแบบสวนตัวของพระเจาอยาง สม่ําเสมอ สิ่งจําเปนนี้มีไวเพื่อเสริมสัมพันธภาพกับพระเยซูเจาผูทรงยอมรับเราแตละ คนโดยปราศจากข อ ผู ก มั ด ใดๆ ทั้ ง สิ้ น และทรงพร อ มที่ จ ะรั ก เราเสมอ เพื่ อ รั ก ษา บาดแผลของเรา ปลดปลอยเราใหเปนอิสระ และมีความรักอยางเต็มเปยมมากขึ้น หัวใจสําคัญของการเจริญเติบโตฝายจิตนั้นคือ การเรียนรูจักเปดชีวิตของเราใหนอมรับ การเยียวยารักษา และเปดรับพลังจากความรักของพระเจาที่ชวยชําระเราใหบริสุทธิ์ ความสวางที่ทําใหเปลี่ยนแปลงบุคลิกลักษณะแหงความรักของพระองค สามารถให ความอบอุ น ภายในจิ ต ใจ ช ว ยสลายความหนาวเย็ น แห ง ความหวาดกลั ว ความ ผิดพลาด และการปฏิเสธตนเองที่มีอยูในตัวเรา คุณภาพของสัมพันธภาพของเรากับพระเจาคือการสรางสุขภาพฝายจิตของเรา อาจกลายเปนทอธารในทุกมิติชีวิตของเรา นายสกอต เพ็ค ชี้ใหเห็นวา รางวัลอันนา ตื่ น เต น อย า งหนึ่ ง ของการเติ บ โตและให อํ า นาจจากสั ม พั น ธภาพกั บ พระเจ า คื อ “ประสบการณของพลังฝายจิตนั้น โดยพื้นฐานแลวเปนความปติยินดี... เปนความปติ ยินดีแหงความสนิทสัมพันธกับพระเจา”

34


แบบตรวจสอบ 1. ทานรูสึกอยางไรเมื่อพระเจาทรงเรียกและเลือกทาน ทรงรูจักทาน ทรงเห็นทาน เปนคนสําคัญและมีคุณคา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ทานรูสึกถึงความรักของพระเจาที่เกิดขึ้นในชีวิตของทานอยางแทจริงครั้งสุดทาย เมื่อใด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ช ว งเวลาพิ เ ศษในชี วิ ต ที่ ท า นรู สึ ก ว า พระเจ า ทรงเรี ย กท า นคื อ อะไร ที่ เ ป น จุ ด เปลี่ยนแปลง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. พระเจาทรงรักทานกอน (1ยน 4:10 “ความรักอยูที่วาพระเจาทรงรักเรา...) ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานมีความรูสึกเปนพิเศษกับผูใด เมื่อครั้งลาสุด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….

35


แบบสํารวจ เติมคําตอบใดคําตอบหนึ่งไวดานหนาแตละรายการตรวจสอบขางลางนี้ ดี = ฉันทําไดดีแลวในเรื่องชีวิตฝายจิต พอใช = ฉันทําไดเปนที่นาพอใจ แตยังมีบางอยางที่ตองปรับปรุง ตองปรับปรุง = ฉันตองปรับปรุงในเรื่องนี้อยางจริงจัง

................ 1. ชีวิตจิตชวยเสริมศักยภาพใหฉันสามารถรักตัวเอง รักผูอื่น (รวมทั้ง ศัตรูดวย) รักธรรมชาติ และฉันสามารถแสดงความรักตอสังคม ................ 2. ความรูสึกแหงการยกโทษใหและการเปนที่ยอมรับเสริมพลังความรูสึก ของฉัน (แทนที่จะทําใหหลงทางผิด) ชวยใหฉันภูมิใจในลักษณะทาง เพศของฉันมากกวาการถูกปฏิเสธ เพิ่มความสวางภายใน และความ กระตือรือรนในชีวิตของฉัน ................ 3. ความเชื่อและประสบการณฝายจิต ชวยหาทางออกอยางสรางสรรค ในเวลาที่ฉันสูญเสีย ................ 4. ฉัน เรี ยนรู ที่ จ ะใช เ หตุ ก ารณที่ น า สลด วิ กฤตกาล และความสู ญ เสี ย ตางๆ ใหเปนโอกาสทําใหความเชื่อของฉันเติบโต และสามารถหาทาง ออกใหกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ................ 5. ฉันประเมินความเชื่อและคุณคาตางๆ ที่ไดเรียนรูในวัยเด็ก โดยยืนยัน ยึดถือเฉพาะขอที่ยังเปนจริงอยูในวัยผูใหญ ................ 6. ฉั น ได เ รี ย นรู ที่ จ ะเคารพข อ สงสั ย ด ว ยการมองในลั ก ษณะที่ เ ป น ประโยชน เพื่อทําใหความเชื่อของฉันเติบโต ................ 7. คุณคาชี้นําตางๆ ของฉันนั้นสอดคลองกับความเขาใจเรื่องความรัก ความยุติธรรม และทุกอยาง ................ 8. มโนธรรมของฉันตอบโตกับความชั่วรายตางๆ ทางสังคมที่เปนตนเหตุ แหงความเจ็บปวดและความแตกแยกของบุคคลตางๆ ................ 9. ลํ า ดั บ ความสํ า คั ญ ต า งๆ ของฉั น (ไตร ต รองตามการใช เ วลา) สอดคลองกับคุณคา ผูคน และเหตุผลที่สําคัญที่สุดสําหรับฉัน ................ 10. ความเชื่อและคุณคาตางๆ ชวยสรางสะพานเชื่อมตัวฉันกับผูอื่นที่เขาใจ ชีวิตแตกตางออกไป 36


................ 11. ฉั น ฝ ก ดู แ ลจิ ต ตั ว เองทุ ก ๆ วั น ใช เ วลาในการทํ า ให เ กิ ด ความสงบ ความปติยินดี การใหอภัยและความรัก ฉันจึงตองฝกเรื่องการรําพึง การภาวนาและการศึกษา ................ 12. ประสบการณความรักและการใหอภัยของพระเจา ชวยใหฉันเปนสื่อ ถายทอดความรักนั้นใหกับผูอื่น โดยเฉพาะอยางยิ่งผูที่ปวดราวจาก เหตุการณที่นาสลด และผูที่ถูกสังคมทอดทิ้ง ................ 13. ฉันสัมผัสและเฉลิมฉลองความนาพิศวง ความยินดี และความรูคุณ สําหรับพระพรที่ดีของชีวิต ................ 14. ฉันสํานึกถึงจุดมุงหมายของพระจิตในชีวิต ซึ่งเพิ่มความหมายใหกับ สัมพันธภาพและการทํางานของฉันในทุกๆ วัน ................ 15. ฉันมีประสบการณเรื่องการยกจิตใจใหสูงขึ้นอยางสม่ําเสมอโดยทาง กิ จ กรรมต า งๆ เช น การภาวนา การอยู ใ นธรรมชาติ การฟ ง ดนตรี สัมพันธภาพแหงความรัก การถวายคารวกิจ การพบปะกันเพื่อสวด ภาวนาและการสรรเสริญ ................ 16. บางครั้งฉันตระหนักถึงอัศจรรยตางๆ ที่เกิดขึ้นทุกๆ วัน ในเหตุการณ ทางโลกและกับบุคคลธรรมดาทั่วไปที่ฉันรูสึกวามีพระพรพิเศษฝายจิต ................ 17. ฉันรวมชุมนุมแบงปนความเชื่อที่ฉลองอยางมีความหมายในพิธีกรรม การสรรเสริญ และชวยหลอเลี้ยงการเติบโตฝายจิต ................ 18. ฉันพอใจกับความใสใจ การทุมเท การบํารุงรักษาและความเลื่อมใส ศรัทธาในชีวิตฝายจิตของฉัน และดานการมีเหตุผล การมีจริยธรรม การยืนยัน และความรับผิดชอบ ................ 19. ฉันมั่นใจวามนุษยทุกคนนั้นไมแตกตางกันมากนัก คือเราเปนบุตรชาย หญิง ของพระเจ าองค ความรัก คุ ณค าของเราแตล ะคนนั้ นลดต่ํ าลง ไมได ................ 20. ฉันตระหนักและชื่นชมกับธรรมล้ําลึกและความมหัศจรรยของชีวิต การใชสิ่งที่ทานคนพบ ใช เ วลาไตร ต รองคํ า ตอบที่ ใ ส ล งในประโยคต า งๆ อั น เป น ความเชื่ อ ฝ า ยจิ ต ทัศนคติ และการฝกฝน โดยทั่วๆ ไปทานรูสึกอยางไรกับความดีของชีวิตจิตของทาน 37


สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................

38


6. ลงมาเถิด “ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บานทานวันนี้ เขารีบลงมาตอนรับพระองค ดวยความยินดี” (ลก 19:5ข-6) การบรรยายลักษณะของศักเคียสวาเปน คน “ร า งเตี้ ย ” มิ ใ ช บ อกเราแค เ รื่ อ ง ลั ก ษณะทางสรี ร ะเท า นั้ น แต ยั ง บอกถึ ง จิ ต วิ ท ยาและความเด น ฝ า ยจิ ต ผู อื่ น มองศักเคียสอยางไร สําหรับผูเริ่มใหม คง จะลําบากมาก คือเขาเปนคนรางเตี้ย และ คนร า งเตี้ ย นั้ น ไม เ ป น ที่ ชื่ น ชอบเท า ใด ความเตี้ ย ของศั ก เคี ย สนั้ น อาจพิ จ ารณา ตามตั ว อั ก ษรและทางกายภาพ (เขาสู ง ป ร ะ ม า ณ 5 ฟุ ต เ ท า นั้ น ) ห รื อ ก า ร เปรียบเทียบโดยตรง และตามรูปราง และ ตามภาพลักษณ (เขาเปนคนบาปและเปนที่ดูถูกเหยียดหยาม) เขาไมใชบุคคลที่สมบูรณ แบบ ไมวาจะเปนทางดานรางกายและจิตใจ ยังไดบอกไวอีกวา ศักเคียสเปน “คนร่ํารวย” และคนร่ํารวยไมเคยเปนที่นิยม ใน กรณี ข องศั ก เคี ย สนั้ น สิ่ ง ที่ ทํ า ให เ ขาถู ก มองว า เป น “คนร่ํ า รวย” เพราะเขาไม ต อ ง “ทํางาน” หาเลี้ยงชีพ ไมทํางานหรือ เขาทํางานอะไร เปนคนเก็บภาษีหรือ ไมใชอยาง แนนอน ใหอานเนื้อหาใหมอยางละเอียด เขามิไดเปนเพียงคนเก็บภาษีเทานั้น แตมี ตําแหนงเทียบเทาหัวหนาเขต I.R.S. ในสมัยโบราณนั้น กรุงโรมกําหนดอัตราจายภาษี และคนท อ งถิ่ น ได รั บ มอบหมายให เ ก็ บ ภาษี และส ง ให ท างกรุ ง โรม ศั ก เคี ย สได รั บ มอบหมายงานนี้ เขาจึงจางคนเก็บภาษีใหออกไปทําการเก็บภาษี นอกเหนือจากภาษี ดังกลาวแลว ยังมีคาการจัดการ สําหรับคนเก็บภาษี และ “หัวหนา” คนเก็บภาษี ใน ฐานะผูรวมมือกับชาวโรมันนั้น เขาตองสรางความร่ํารวยใหกับตัวเองโดยรีดไถจาก ชาวยิว เพื่อนรวมชาติ ศั กเคียสถูกชาวเมือ งดูถูก และรั งเกียจ เขาตัวเตี้ ย ในสายตา ประชาชน ผลคือเขาคิดวาผูคนไมคอยชอบเขา ประชาชนไมชอบเขา เขาจึง ไมนิยม ชมชอบตัวเอง จริงหรือไมวาเรารังเกียจคนบาป เราดูถูกพวกเขา เราหลีกหนีและไม 39


อยากทํ า อะไรร ว มกั บ คนเหล า นี้ ทํ า ไมหรื อ เพราะพวกเขาเป น คนบาป บรรดา นักจิตวิทยาบอกไววา คนที่ไมนิยมชมชอบตัวเองนั้นจะมีปญหายุงยากในการติดตอ สัมพันธกับคนอื่นๆ และกับพระเจา บางที นี่อาจเปนความหมายที่ลึกมากขึ้นที่ศักเคียส ไมสามารถ “มองเห็น” พระเยซูเจา จะทําอยางไรเพื่อชดเชยความเตี้ยของเขาที่ทําใหเขามิอาจมองเห็นพระเยซูเจา ไดชัดๆ “เขาจึงวิ่งนําหนาฝูงชนไป” เปนที่รูจักกันดีวา คนที่ไมนิยมชมชอบตัวเอง มักจะ ไดรับแรงกระตุนจากความปรารถนาอันแรงกลาที่จะ “นําหนาไป” กอนคนอื่นๆ ผล สุดทายศักเคียสไดปนขึ้นไปบนตนมะเดื่อเทศ เขาตองการอะไรบางอยางมากกวาสิ่งที่ เขามี และเขาตองการมันมากจนเขาตองฟนฝาอุปสรรคบางอยางที่แสนยุงยาก ศั ก เคี ย สมองตั ว เองอย า งไร ภาพลั ก ษณ ข องเขาคื อ อะไร ถ า ไม มี สิ่ ง ใดอื่ น แล ว ศั ก เคี ย สจะต อ งกล า มากๆ เรื่ อ งนี้ มิ ไ ด มี ร ะบุ ไ ว อ ย า งชั ด เจนในเนื้ อ หา แต เ มื่ อ พิจารณามุมมองของผูอื่นที่มีตอเขาแลว จําตองมีความกลาหาญอยางมากจริงๆ อยาง นอยก็ตองตื่นขึ้นแตเชาตรู เขามิใชเพียงแคตื่นขึ้นและเดินออกจากบานไปเทานั้น เขาไป ยังแหลงที่ฝูงชนชุมนุมกัน และปนขึ้นไปบนตนไม เพื่อจะไดมองเห็นพระเยซูเจาชัดขึ้น ถ า ศั ก เคี ย สสามารถมองเห็ น พระเยซู เ จ า ฝู ง ชนก็ ส ามารถมองเห็ น เขาด ว ย เชนกัน เขาอาจไมไดตั้งใจ หรือบางทีทําเปนกลา และยิ่งไปกวานั้น การปนขึ้นไปบน ตนไมยงั เปนเปาใหฝูงชนสบประมาทได ศักเคียสจําตองเดินหนาเพื่อเอาชนะอุปสรรคขั้นตนคือฝูงชนจํานวนมากมาย เขาต อ งเอาชนะการถู ก หั ว เราะเยาะจากฝู ง ชนเมื่ อ เขา “ป น ขึ้ น ไปบนต น ไม ” เป น สภาพการณที่ยุงยากสําหรับคนที่แตงตัวดี ในที่สุดเขาตองสูทนตอคําครหานินทาทั้ง กอน ระหวาง และหลังการปนขึ้นไปอยูบนตนไม แตการเสี่ยงทําเชนนั้นก็คุมคา ตนมะเดื่อเทศนั้นสามารถเขาใจตามวรรณคดี (คือลําตนเตี้ย และแผกิ่งกาน กวางใหญจึงทําใหปนขึ้นไดงาย) หรืออาจตามสัญลักษณ (คือ สิ่งใดที่ทําใหเรารูสึกตัว วาสํา คัญ การหั นมานิยมชมชอบตัว เอง หรือ การเปน ใครคนหนึ่ ง) ไมวา จะยอมรั บ หรือไมก็ตาม เราทุกคนตางมีตนมะเดื่อเทศของตนเอง คือสิ่งที่ทําใหเราดูดีในสายตา ของผู อื่ น หน า กากของเรา ต น มะเดื่ อ เทศของเรานั้ น อาจเป น เงิ น ความสวยงาม มิตรภาพ ปริญญา ลักษณะทาทาง ยศศักดิ์ ผลงาน ชื่อเสียงทางสังคม เสื้อผา พร พิเศษ ตําแหนงหนาที่ อํานาจ หรืออะไรที่เราปนขึ้นไป เพื่อใหผูคนมองแบบยกยองให เกียรติ 40


พระเยซูเจาทรง “เงยพระพักตรขึ้น” ทอดพระเนตรศักเคียส เมื่อเรายกยองผูใด เราแสดงความชื่นชอบและเห็นคุณคา แตองคพระผูเปนเจาทรงมองดูเราแตละคน แตกตางออกไป พระองคมิไดเหยียบย่ําความต่ําตอยของเรา แตกลับมองดูเราแตละ คนในแงดีและดานบวกเสมอ วิธีการของพระเจานั้นแตกตางจากวิธีการของมนุษย ถา พระเจาทอดพระเนตรเราแบบที่เรามองกันและกันแลว เราคงจะไมมาอยูที่นี่ หนึ่ ง ในคํ า ยืน ยั น ถึ ง ความหมายอั น ลึ ก ซึ้ ง จากพระคั ม ภี ร นี้ พ บได ใ นเรื่ อ งการ พบปะกันระหวางพระเยซูเจากับศักเคียส คนเก็บภาษี จะเปนที่ยอมรับหรือเปนที่รัก ใครชอบพอหรือไมก็ตาม ศักเคียส ปรารถนาใหผูอื่นยอมรับเขาแบบที่เขาเปน การ ยอมรับแบบดังกลาวเขาไมเคยไดสัมผัส ดังนั้นเขาจึงหวังในองคพระเยซูเจาที่จะเสด็จ ผานมาทางนั้น พระเยซูเ จา มิไ ดผ านเขาไปเฉยๆ แตพระองค ทรงยอมรับเขาอย างที่เ ขาเป น “ศักเคียส รีบลงมาเถิด...” พระเยซูเจาตรัสเรียกชายรางเตี้ยบนตนมะเดื่อเทศ เกิด อะไรขึ้น ทันใดนั้น ศักเคียสก็เปดรับพระองคเหมือนดอกไมบาน เขาไมเคยรูสึกดีที่ ไดรับการยืนยันและยอมรับอยางที่เขาเปนอยูโดยไมมีหนากาก เราแต ล ะคนมี ค วามกลั ว ที่ จ ะเป ด เผยความจริ ง ของตั ว เราแก ผู อื่ น ทํ า ไม เพราะวาเรากลัวการถูกปฏิเสธวานั่นคือทุกอยางที่เรามี ดังนั้น เราจึงสวมหนากากเพื่อ อําพรางตัว และแสดงสิ่ง ที่มิใ ชตั วเรา เราพยายามก าวไปข างหนา อยา งดี ที่สุด คื อ ดําเนินชีวิตแบบเสแสรง และทําใหคนอื่นเชื่อถือ เราไมสามารถเปนตัวของตัวเองอยางแทจริงได จนกวาเราจะไดเรียนรูที่จะ ยอมรับตัวเองอยางที่เราเปน แมในดานมืดของเรา เมื่อพระเยซูเจาตรัสใหศักเคียสลง มาจากตนมะเดื่อเทศนั้น เปนการเชื้อเชิญดวยใจจริง ศักเคียสตองลงมาจากตนไมกอน และยอมรับ “ความเปลือยเปลา” กอน แลวสัมพันธภาพที่แทจริงกับพระเยซูเจาจึงจะ เกิดขึ้น ความเปนจริงที่ทําใหหวาดผวา การเปดเผยถึงความเศราโศกและบาดแผลของ เรา เรามีความกลัวอยูเสมอที่จะเปดเผยถึง “ความเปลือยเปลา” ของเรา ดังนั้น เราจึง ปกปดไว เราใส “ใบมะเดื่อ” เพื่ออําพรางอยางผิวเผิน เพื่อหลีกเลี่ยงมิใหรูในสิ่งที่เรา เปนและไดรับการปฏิเสธจากผูอื่น คนจํานวนมากดําเนินชีวิตอยางเสแสรงและหลอก ตัวเองเปนขั้นตอน เมื่อเรามิอาจเปนตัวเองจริงๆ ได เราก็คงจะไมมีความจริงใจในการ สรางสัมพันธภาพใดๆ

41


แบบตรวจสอบ 1. ทานรูสึกอยางไรและกลัวอะไรในสัมพันธภาพของทาน ทานมีความกลัวสิ่งใดบาง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ทานรูสึกอยางไรกับ “การเปดใจ” และ “การเปลือยเปลา” ตอหนาคนหนึ่ง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ทานสวมหนากากอะไรบาง ทําไมทานถึงสวมหนากาก ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. ทานสามารถเปนตัวของตัวเองกับใครบาง รูสึกเปนที่ยอมรับ รูสึกถูกปฏิเสธ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานกลัวที่จะเปดเผยสิ่งใดมากที่สุด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… บาปหนักสุด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… ความลับสุดยอด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… ความออนแอที่ใหญที่สุด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… ความผิดที่อึดอัดใจมากที่สุด ……………………………………………………………………………………………………….…………………………

42


วงจรของการปฏิเสธ ความกลัวโดยทั่วไปของมนุษยคือ การเปนที่รูจัก การถูกคนพบ และการถูก ปฏิ เ สธ การปฏิ เ สธนั้ นดู เ หมือ นจะเป น ประสบการณ ข องคนทั่ ว ไป ดูเ หมือ นจะเป น ธรรมชาติและงายที่จะชี้ความผิดและขอบกพรองตางๆของผูอื่น ผลที่ไดคือ แมจะได รับคําชมหลายครั้งแตกลายเปนความอึดอัดใจ เมื่อการปฏิเสธนั้นลึกและคงที่พอ ก็จะพัฒนาสูวงจรของการปฏิเสธ ทานรูวา วงจรนั้นหมายถึงอะไร และมุงที่จะบํารุงหลอเลี้ยงและเสริมพลังใหตัวมันเอง เมื่อทาน เขาสูวงจรแลว ทานจะไมสามารถปลีกตัวออกมาไดอยางงายๆ ความรูสึก ถูกปฏิเสธ

ความรูสึก ไมเหมาะสม

วงจรของการปฏิเสธ

วางแผนหลบหนี

การเกลียด ตัวเอง

วงจรของการปฏิเสธ เริ่มตนดวยความรูสึกถูกปฏิเสธ ไมจําเปนตองถึงขั้นถูก ปฏิเสธอยางจริงจัง เพียงความรูสึกวาตนเองถูกปฏิเสธก็สามารถขยายเปนวงจรได ความรูสึกวาถูกปฏิเสธนั้นกอใหเกิดความรูสึกไมเหมาะสม “ในเมื่อฉันถูก ปฏิเสธ ฉันก็คงไมเหมาะสม” ความรูสึกไมเหมาะสมกอใหเกิดการเกลียดตัวเอง เหนือ สิ่งอื่นใด ไมมีผูใดชอบบุคคลที่ไมเหมาะสม การเกลียดตัวเอง เปนความเจ็บปวดและ เป นสภาพที่ท นไม ไ ดที่ ตกอยูใ นสภาพนั้ น ผูที่ พ บว า ตนเองตกอยู ใ นสภาพเช น นี้โ ดย ธรรมชาติ ก็ จ ะพยายามหลบหนี จ ากมั น วางแผนหลบหนี นั่ น คื อ การกระทํ า และ

43


รูปแบบของพฤติกรรมซึ่งจะชวยบรรเทาความเจ็บปวดจากการเกลียดตัวเอง และทําให ตัวเองรูสึกเปนคนสําคัญ ความยุงยากในการวางแผนหลบหนี คือการใหการบรรเทาทุกขชั่วคราว และยัง ขาดฐานที่ มั่นในการยอมรับตัว เอง ที่สํา คัญกวานั้น ก็คือ พวกเขามักจะทําใหความ น า รั ก และความน า คบลดน อ ยลง ป ด กั้ น ตนเองและเกิ ด ความบาดหมางตาม กระบวนการ ดั งนั้น บุ คคลที่ขาดหลักยึ ดเหนี่ย วจะมุงหาทางบรรเทาทุกข ดวยการ วางแผนหลบหนี จึงทําใหเกิดการปฏิเสธยิ่งไกลออกไปและนําบุคคลผูนั้นกลับเขาสูการ เริ่มตนของวงจร และตอๆ ไป จนถลําลึกและติดแนน วงจรของการปฏิเสธ อาจสงผลกระทบอยางที่นักจิตวิทยาเรียกวา “โรคขาด ภูมิคุมกัน” นอกจากหยุดมันไวไดทันเวลา บุคคลที่เจ็บปวดดวยโรคดังกลาวนี้จะแสดง อาการตางๆ ดังตอไปนี้ คือ 1. ไมสามารถสรางสัมพันธกับผูอื่นได ไมสามารถสรางมิตรภาพที่สนิทแนบแนน ได หรือไมสามารถผูกสัมพันธรักแบบสามีภรรยาได 2. รูสึกไมแนใจ ขาดความมั่นคง 3. รูสึกไมเหมาะสม มีปมดอย 4. รูสึกหดหู บุคคลที่ตกอยูในวงจรของการปฏิเสธนี้ โดยทั่วๆ ไปจะออนไหวกับความคิดและ คําพูดของผูอื่น จะเจ็บปวดไดงายๆ จากขอทวงติงในทางลบ มีความปรารถนาอยาง แรงกลาที่จะทําใหผูอื่นพอใจ และตองการใหผูอื่นยอมรับตนเอง

44


การตรวจสอบสําหรับผูหญิง คําสั่ง จงเลือกหนึ่งในสามคําตอบ ใสลงขางหนาแตละประโยค ดี = ฉันทําดีแลวในการถอดหนากากออกไป พอใช = ฉันทําพอใชได ตองปรับปรุง = ฉันตองปรับปรุงแกไข

.............. .............. .............. .............. .............. .............. .............. ..............

.............. ..............

.............. .............. .............. .............. .............. ..............

1. 2. 3. 4. 5.

ฉันชอบตัวเองในฐานะสตรีผูหนึ่ง และสัมผัสไดถึงพลังภายใน ฉันเอาใจใสดูแลความเปนหญิงที่อยูภายในตัวฉัน ฉันมีเพื่อนดีๆ ทั้งเพศชายและเพศหญิง ฉันติดตอกับเพื่อนหญิงแบบพี่นองที่ชวยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ฉันใหอภัยพอแมสําหรับขอบกพรองตางๆ ในการแสดงตัวเปนแบบอยาง ในฐานะสตรีและบุรุษ 6. ฉันสรางสันติกับแม ดังนั้น ในขณะนี้เราจึงเคารพใหเกียรติกันและกัน 7. ฉันสรางสันติกับพอ ดังนั้น ในขณะนี้เราจึงเคารพใหเกียรติกันและกัน 8. ฉั น ไม ม อบอํ า นาจของฉั น ให กั บ ผู ช าย โดยคล อ ยตามพวกเขาแบบ อัตโนมัติ คือนอบนอมหรือเปนปฏิปกษ ฉันแสดงออกถึงสติปญญา และ อํานาจของฉันอยางเปดเผยเมื่อฉันอยูกับบรรดาผูชาย แทนที่จะซอน พละกําลังเหลานี้และแสดงออกมาในวิธีการใชเลหเหลี่ยมที่แอบแฝง 9. ฉันตระหนักถึงการกดขี่ที่สตรีไดรับอยูทุกๆ วัน แตฉันปฏิเสธที่จะเก็บ ทาทีทั้งหลายนี้ไวในภาพลักษณของตนเอง 10. เมื่ออยูกับผูชํานาญการหรือผูนํา ไมวาชายหรือหญิง ฉันรูสึกสบายพอๆ กัน เพราะฉันประเมินพวกเขาจากความสามารถ มิใชจากเพศของพวก เขา 11. ฉันชอบผูชายที่ใหเสรีภาพจากการกดขีท่ างเพศ 12. ฉันอุทิศตนทํางานอยางเขมแข็ง เพื่อใหเกิดเสรีภาพของผูหญิงและผูชาย 13. ฉันรูสึกปติยินดีพอๆ กัน ไมวาเด็กที่เกิดใหมนั้นเปนผูหญิงหรือผูชาย 14. ฉันชอบรางกายของฉันที่มีความสามารถอันนาพิศวงในการใหกําเนิด มนุษยคนใหม และฉันเอาใจใสดูแลดวยความรัก 15. ฉันยินดีและยกยองเพศหญิงของฉัน 16. ฉันมิไดใชเพศของฉันเพื่อหลอกลวงผูชาย 45


.............. 17. ถาฉันมีชีวิตใหมไดอีกครั้ง ฉันก็ยินดีไมวาจะเปนชายหรือหญิง .............. 18. ฉั น ค น พบอํ า นาจการรั ก ษาฝ า ยจิ ต ในสั ญ ลั ก ษณ ภาพลั ก ษณ แ ละ เรื่องราวตางๆ ที่ยืนยันถึงการคนพบชีวิตฝายจิตของสตรี และมิติสตรี ของพระเจา

46


การตรวจสอบสําหรับผูชาย ..............1. ..............2. ..............3. ..............4. .............. 5. .............. 6. ..............7. ..............8.

..............9. ..............10. .............. 11. .............. 12. .............. 13.

..............14.

ฉัน ชอบตั วเองในฐานะผูช ายคนหนึ่ง และรูสึ ก วา มี พ ลัง ภายในที่ ค อย ทักทวงฉันมิใหใชพลังภายนอกในการกดขี่สตรีและผูอื่น ฉันเอาใจใสดูแลความเปนชายในตัวฉันดวยความรัก ฉันมีเพื่อนสนิททั้งเพศชายและหญิง ฉั น ชื่ น ชอบสั ม พั น ธภาพใกล ชิ ด กั บ ผู ช ายบางคนในฐานะพี่ น อ ง และ สามารถเปดใจ และไมแขงขันชิงดีชิงเดนกับพวกเขา ฉันใหอภัยพอแมในขอบกพรองตางๆ ที่ทานแสดงแบบอยางความเปน ชายและหญิง ฉันสรางสันติกับพอ เพื่อเราจะไดมีความเคารพใหเกียรติกันและกันแบบ ผูใหญ ฉันสรางสันติกับแม เพื่อเราจะไดมีความเคารพใหเกียรติกันและกันแบบ ผูใหญ เมื่ออยูกับผูชํานาญการหรือผูนํา ไมวาเปนหญิงหรือชาย ฉันรูสึกสบาย พอๆ กัน เพราะฉันประเมินพวกเขาจากความสามารถ มิใชจากเพศของ เขา ในการพูดคุยและเลาเรื่องตลก ฉันขจัดเรื่องการแบงแยกเพศและการดู ถูกสตรี ฉันชื่นชมความเห็นอกเห็นใจสตรีในฐานะบุคคล รวมทั้งความเปนเพศ หญิงของเขาดวย ฉั น พยายามปฏิ บั ติ ด ว ยความเท า เที ย มกั น และอย า งยุ ติ ธ รรมใน ความสัมพันธของฉันกับสตรีแตละคน ฉันมิไดใชอํานาจความเปนชายทําราย บังคับ หรือวางขีดจํากัดสตรีใน ครอบครัวของฉัน ในที่ทํางานและในชุมชน ฉันไมรูสึกอายในการแสดงความชื่นชมยินดีในแบบที่ไมใชเปนชายที่แข็ง ขัน อยางเชนงานศิลปะและการทํางานที่ไมใชของชายที่แข็งขัน เชน การ ทําอาหาร และการเลี้ยงดูลูกๆ ฉันเอาใจใสดูแลรางกายของฉันดวยความรัก แทนที่จะเห็นเปนเพียง เครื่องจักรเพศชาย 47


..............15. ฉันมิไดใชเรื่องทางเพศเพื่อแสดงออกถึงอํานาจหรือเพื่อพิสูจนความเปน ชาย ..............16. ฉันอุทิศตนอยางแข็งขันในกลุมเพื่อปลดปลอยชายและหญิงใหเปนอิสระ .............. 17. ฉันพยายามกําหนด “พลังเพศชาย” เพื่อยืนยันถึงวิธีการสรางสัมพันธที่ดี ตอกัน และไมใชพลังกดขี่ผูอื่น ..............18. ถาฉันมีชีวิตใหมไดอีกครั้ง ฉันจะยินดีไมวาจะเปนชายหรือหญิง การใชสิ่งที่ทานคนพบ สิ่งตางๆ เหลานี้จะชวยใหทานเห็นภาพรวมของระดับการใหอิสระในเรื่องตางๆ ที่กลาวมาแลวขางตน

48


สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................

49


7. การสื่อสาร การสนทนา “เพราะพระองคกําลังจะเสด็จผานไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจาเสด็จมาถึงที่นั่น ทรงเงย พระพักตรขึ้นทอดพระเนตร...” (ลก 19:5ก) การสื่ อ สารเป น พื้ น ฐานในการสร า ง ความสั ม พั น ธ เป น สายโลหิ ต ชี วิ ต ของ ความสัมพันธทุกอยาง เปนจุดเริ่มตนใน การพบปะกันทุกครั้ง พระเยซูเจา “ตรัส” กั บ ศั ก เคี ย ส เมื่ อ เราพู ด กั บ ใครบางคน เราเป ด ช อ งทางของการสื่ อ สาร เรา ตองการเขาไปมีสวนรวมแทนที่จะอยูโดด เดี่ ย วในโลกส ว นตั ว เราพู ด กั บ ผู ค นที่ มี เจตนาบางอย า งกั บ เรา พระเยซู เ จ า ได ทรงกระทําขั้นตอนแรก คือทรงเริ่มกอน ศั ก เคี ย สมิ ไ ด พู ด อะไร เมื่ อ พระเยซู เ จ า ทอดพระเนตรและตรัสกับเขา ทําใหเขา รูสึกมีความสําคัญ คือ เปนคนที่สมควรจะพูดดวย การอธิ ษ ฐานภาวนาสามารถให คํ า จํ า กั ด ความได ว า เป น การสื่ อ สารใน สัมพันธภาพของความรัก การภาวนาแทตองตั้งอยูบนความเชื่ออยางมั่นคงวา พระเจา ทรงห ว งใยเรามากพอ ทรงปรารถนาจะสื่ อ สารกั บ เราเช น เดี ย วกั บ ที่ ท รงกระทํ า กับศักเคียส ธรรมชาติของความรักทุกชนิดกระทําเชนนี้ ถาทานรักใครสักคน ทานก็ ตองการเปนหนึ่งเดียวกับบุคคลนั้น แบงปนและเปดตัวเอง ถาพระเจาทรงรักเราอยาง ที่เราประกาศยืนยัน ความรักนั้นก็เรียกรองใหแสดงออกเชนเดียวกัน ถาเราไมเชื่อวามี พระเจาผูทรงรักเรา ความคิดทั้งหมดเรื่องการภาวนาก็เปนเรื่องโงเขลา จะภาวนาไป ทํ า ไม ถ า พระเจ า มิ ไ ด ท รงห ว งใยเรา คํ า พู ด ทุ ก ชนิ ด ในโลกก็ ค งไม ทํ า ให อ ะไร เปลี่ยนแปลง แตถาเราเชื่อวาพระเจาทรงรักเรา ก็ค งจะเปนการโงเขลาที่ไมสวด ภาวนา ไมเปดใจเราเองรับพละกําลังและความปติยินดีจากความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได

50


ในการอธิษฐานภาวนานั้น เราพบวาสวนลึกที่สุดของตัวเราไดสัมผัสกับมิติที่ลึก ที่สุดของชีวิต ใหพิจารณาภาพประกอบตอไปนี้

วงกลมสองวงที่มีจุดศูนยกลางรวมกันเปนเครื่องหมายแสดงถึงสองสิ่งที่แยก จากกัน วงนอกแสดงถึงการติดตอกับโลกทางกายภาพ กับพื้นดินที่เราเดิน กับตนไม ที่เราพบโดยบังเอิญ กับคนแปลกหนาที่เดินผานไปโดยไมพูดอะไรกัน วงกลมตอไปแสดงถึงระดับความสัมพันธสวนบุคคลในชีวิตเรา เปนระดับที่ เรากาวเลยขึ้นไปจากการพบปะทางกาย และเริ่มพัฒนาสูการสื่อสารและมิตรภาพกับ ผูอ ื่น เปนการออกจากตนเอง ในอีกความหมายหนึ่งคือ กับโลก ตัวอยางเชน เมื่อเรา มองดูดวงดาวดวยความพิศวง ในระดับที่สองเราเปดออกมากขึ้นกวาระดับแรก สุด ท า ย วงกลมภายในแสดงถึ ง การพบปะกั บมิ ติ ข องชีวิ ต ที่ อ ยู ภายในและ ซับซอนมากที่สุด เปนระดับที่ลึกที่สุดของความเปนอยูของเรา เปนจุดที่เราไดสัมผัสกับ ความหมายอันแทจริงของความเปนมนุษย ที่ระดับภายในนี้เองที่ในที่สุดเราไดพบและ ไดรับประสบการณกับพระเจาในความเปนสวนตัวและอยางใกลชิดที่สุด 51


ที่สําคัญคือ ในระดับภายในหรือชั้นในสุดซึ่งเรามีความเปนสวนตัวและไดสัมผัส ใกล ชิ ด กั บ บุ ค คลอื่ น เราอาจโยงความสั ม พั น ธ กั บ ผู อื่ น ในฐานะเป น สิ่ ง ของ เรามี ความรูสึกวาเราถูกดันออกมาสูวงนอกของกันและกันไดถาไมมีการสื่อสารตอกัน เรา สามารถเคลื่อ นการปฏิ บั ติ ต อ ผูอื่ น ในฐานะสิ่ ง ของไปสู ก ารพบปะกั น ทางจิ ต ใจเพื่ อ พัฒ นาสูระดับการสื่อสาร ในกรณีนี้เราจะสัมพันธกันในระดับที่สอง อยางไรก็ตาม ดวยประสบการณแหงความรักนั้นเราสามารถติดตอสัมพันธกันในระดับศูนยกลาง คือ สวนลึกสุดภายในตัวเรา ในระดับของความรักนี้เองที่เรากลายเปนหนึ่งเดียวกับพระเจา นี่คือเหตุผลวาทําไมหลายๆ คนจึงไมเคยใกลชิดกับบุคคลอื่นๆ จนกวาเมื่อเราทั้งคูได สัมผัสกับพระเจา ดวยเหตุนี้ การสวดภาวนารวมกันเปนกลุม คือสวดภาวนารวมกับ คนอื่นๆ จึงเปนความยินดีและความเบิกบานอยางมาก ชีวิตจิตเปนเรื่องสวนตัวที่ลึกซึ้ง ดังนั้นในขณะที่กําลังแบงปนในระดับฝายจิต จึง เปนเรื่องเปราะบาง เปนชวงเวลาที่มีคาในการสรางสัมพันธภาพ

52


แบบตรวจสอบ 1. ทานรูสึกอยางไรกับชีวิตการภาวนาของทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ทานประสบอุปสรรคใดในการสวดภาวนา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ทานมีความสุขกับชีวิตการสวดภาวนาของทานหรือไม ทําไมจึงมีความสุข ทําไมจึง ไมมี ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. ทามีเวลาอยูเงียบๆ กับองคพระผูเปนเจาบางหรือไม ครั้งสุดทายที่ทานรูสึกใกลชิด กับพระเยซูเจาในการสวดภาวนาคือเมื่อใด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานจะทําอยางไรใหมีความสัมพันธกับพระเยซูเจามากขึ้น ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….

53


สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................

54


รูปแบบของการสวดภาวนา 1. การภาวนาแบบการสนทนา (Conversation) เปนการพูดกับพระเจาอยางเรียบงาย และฟงพระองคตรัสตอบอยางสรางสรรค ให คิด ถึ งช ว งเวลาแหง มิ ตรภาพของท า นกั บ เพื่ อ นสนิท หรื อ กับ บุ ค คลที่ท า นรั ก มาก เวลา สวนมากที่ทา นสื่อสารระหวางกันนั้นเปนไปตามธรรมชาติและผอนคลาย มีการพูดคุย หยอกลออยางสนุกสนาน ทานพอใจที่จะอยูดวยกันและแบงปนประสบการณชีวิตแกกัน การสื่อสารระดับนี้คลายกับการภาวนาสนทนากับพระเจา การสวดภาวนาแบบนี้อาจเกิดขึ้น ไดในทุกที่และทุกเวลา 2. การภาวนาแบบรําพึง (Meditation) เปนการภาวนาดวยการไตรตรอง โดยเฉพาะการเริ่มจากพระวาจาของพระเจาใน พระคัมภีร โดยการใชความคิด การสรางมโนภาพและความปรารถนา เพื่อจะทําใหความ เชื่อของเราลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อนําไปสูการกลับใจและมีน้ําใจเขมแข็ง ปรารถนาจะติดตามพระ คริสตเจา เปนกาวแรกเพื่อเขาสูความสนิทสัมพันธในความรักกับองคพระผูเปนเจา คิดถึงเวลาที่ทานและเพื่อนไดมีประสบการณการสนทนาแบงปนกันอยางลึกซึ้งแบบ นี้ เมื่อเพื่อนเรียกทานและบอกวา “เราคงตองคุยกันอยางจริงจัง” และทานก็จะรูทันทีวาจะ สนทนาเปนเวลานาน ทานทั้งสองหาที่สงบเงียบ ไมมีอะไรมารบกวน ทานมองกันและกัน อยางตั้งใจ และแลกเปลี่ยนสัญญาณที่สงถึงกันทั้งดวยสายตาและภาษากายตางๆ ทาน แบงปนและรับฟงอยางลึกซึ้ง การพบกันแบบนี้ยืนยันวาทานรักกันและกันอยางลึกซึ้ง 3. การภาวนาแบบญาณทัศน (Contemplation) การภาวนาแบบญาณทัศนคือการพิศเพงพระเจาในความเงียบและความรัก เปน พระพรของพระเจา เปนชวงเวลาของความเชื่ออยางแทจ ริง ในชวงเวลานั้น ผูที่ภาวนา แสวงหาพระคริสตเจา วางตัวใหอยูในน้ําพระทัยที่เปยมดวยความรักของพระบิดาและระลึก ถึงการเปนอยูของตนภายใตการกระทําของพระจิต สุดทายมีการสื่อสารอีกชนิดหนึ่งที่นาชื่นชมยินดีที่เพื่อนๆ แบงปนความรักใหกันและ กันอยางลึกซึ้ง ในขณะนั้น พวกเขาแบงปนประสบการณ เชน การเฝาดูดวงอาทิตยตก นั่ง อยูดวยกันที่ระเบียงบานในเย็นวันหนึ่งของฤดูรอน การฟงดนตรี และไมมีการพูดอะไร ซึ่ง จริงๆ แลว คํา พูดอาจทําใหมนตขลังของชวงเวลานั้นหมดไป เพื่อนๆ มาอยูดวยกันดวย ความรูสึกที่เปนหนึ่งเดียวกันอยางแทจริง กลาวอีกอยางหนึ่งคือ พวกเขาพบกันที่กลางใจ ไมตองใชคําพูด 55


8. การเปลี่ยนแปลง การกลับใจ “เขารีบลงมาตอนรับพระองคดวยความยินดี ทุกคนที่เห็นตางบนวา “เขาไปพักที่บาน คนบาป” ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจาวา “พระเจาขา ขาพเจาจะยกทรัพยสมบัติ ครึ่งหนึ่งใหแกคนจน และถาขาพเจาโกงสิ่งใดของใครมา ขาพเจาจะคืนใหเขาสี่เทา” (ลก 19:6-8) เงื่อนไขประการแรกในการ สร า งมิ ต รภาพส ว นตั ว กั บ พระเยซู เ จ า คื อ การสํ า นึ ก ผิด การสํานึกผิดคือการหนี จากบาป อั นเปน มารร ายที่ ยิ่งใหญที่สุดในโลก เปนการ ตัดสินใจหันหนีจากบาปและ แตกใบใหม เปนการละทิ้งทุกสิ่งที่เปนอุปสรรคขัดขวางการชิดสนิทกับพระเยซูเจา ในที่นี้มีการขัดแยงทางอารมณ มีการแลกเปลี่ยนของ “จิตใจ” ฝูงชนบนวาไม เห็นดวย ศักเคียสปติยินดี และดูเหมือนวาพระเยซูเจาทรงชัดเจนและตรงไปตรงมา ศักเคียสยินดี และสํานึกผิดกลับใจ ยอมรับความผิดตางๆ ในอดีต และบัดนี้ไดรับพระ หรรษทานของความจริงวาได “อยูบาน” กับตัวเองและกับองคพระผูเปนเจา ถึงแมจะ หางเหินจากฝูงชนก็ตาม เรามีประสบการณอีกครั้งวาพระเยซูเจาเสด็จมาหาเราในที่ที่ เราอยู และทรงรักเราอยางที่เราเปนอยู ศักเคียสจําเปนตองเสียสละเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตของตน ถาเขาอยากเปนศิษยที่ แทจริงของพระเยซูเจา เขาตองแบงปนทรัพยสมบัติของเขาใหแกคนยากจน และทํา การชดใชใหกับคนที่เขาโกงมา เขาพูดเสริมขึ้นวา “ถาขาพเจาไดโกง...” เขามิไดบอกวา เขาโกงเพื่ อ ยั ง ชี พ เขามิ ไ ด บ อกว า การโกงเป น โอกาสดี สํ า หรั บ คนเก็ บ ภาษี เขาใช ประโยคที่เปนเงื่อนไข อาจเปนไปได บางทีโดยเจตนาหรือบางทีโดยบังเอิญ วาเขาอาจ โกงใครบางคน แลวเขาจะกระทําอยางไร เขาจะปฏิเสธหรือ ไมใช ถาและเมื่อใดที่เขา โกงใครมา เขายินดีจะใชคืนใหสี่เทา กฎหมายของชาวยิวกลาวไววาอยางไร มีกลาวไว ในหนังสือเลวีนิติ และหนังสือกันดารวิถี (บทที่ 5) วาขโมยตองใชคืนทุกสิ่งที่โกงไป แลว เพิ่มอีกหนึ่งในหาของราคาความเสียหายนั้น และกฎหมายของชาวโรมันในสมัยนั้นคือผู 56


ที่ถูกตัดสินวากระทําผิดทางอาญาจะตองใชคืนสี่เทา ศักเคียสทํามากกวาที่กฎหมาย ทั้งสองฉบับกําหนดไว พระเยซู เ จ า ทรงกระทํ า อย า งไร พระเยซู เ จ า ทรงพอพระทั ย กั บ การกระทํ า ของศักเคียส พระองคทรงเรียกชื่อเขา บุตรของอับราฮัม มิใชบุตรของคนเก็บภาษี การ กลับใจนั้นเปนสิ่งสูงคาเสมอ เพราะหมายถึงการตัดขาดจากการยึดติดกับบาปและ ความเห็นแกตัว ซึ่งไมใชเรื่องงาย แตเปนสิ่งที่สําคัญที่สุดของสันติสุขแทจริง เห็นได ชัดเจนวาการเรียกของศักเคียสมิใชเรื่องที่ไมตองเสียอะไร ศักเคียสไดรับความประทับใจในความมีใจกรุณาและความออนโยนของพระ เยซูเจา องคพระผูเปนเจาเสด็จมาหาเขา และเขาตอบรับดวยวิธีที่เหมาะสมที่สุด คือ เขาปลอยวางสิ่งที่เขายึดติดมากที่สุด และเขาพบสันติสุขอันยิ่งใหญ เปนความจริงที่วา เราจะพบสันติสุขที่แทจริง เฉพาะเมื่อเรากลับคืนดีกับองคพระผูเปนเจา เปนความรูสึก ที่มีความสุขเพียงใดหลังจากไดสารภาพบาปอยางดี รูสึกไดรับแสงสวาง เปนความรูสึก อันยิ่งใหญ การสํานึกผิด คือหนทางนําไปสูพระเจา เปนการเปลี่ยนทิศทางการดําเนินชีวิต หันหนีจากบาป การสํานึกผิดเปนกาวแรกที่เราเขารับการชวยใหรอดเปนการสวนตัวที่ พระเจาทรงประทานใหเราในองคพระเยซูคริสตเจา “......พระเจาทรงแตงตั้งพระเยซูผูนี้ที่ทานทั้งหลายนําไปตรึงบนไมกางเขน ให เปนองคพระผูเปนเจาและพระคริสตเจา ถอยคําเหลานี้เสียดแทงใจของทุกคน เขา เหลานั้นจึงถามเปโตรและอัครสาวกอื่นๆ วา “พี่นอง พวกเราจะตองทําอยางไรเลา เปโตรตอบวา ทานทั้งหลายจงกลับใจเถิด แตละคนจงรับศีลลางบาป เดชะพระนาม ของพระเยซูคริสตเจา เพื่อจะไดรับการอภัยบาป แลวทานจะไดรับพระพรของพระจิต เจา พระสัญญานี้มีไวสําหรับทานทั้งหลายสําหรับบุตรหลานของทาน และสําหรับทุก คนที่อยูหางไกล ซึ่งองคพระผูเปนเจาพระเจาของเราจะทรงเรียก” (กจ 2:36-39)

57


สิ่งที่มิใชการสํานึกผิด 1. แครูสึกผิด ทุกคนที่สํานึกผิดโดยทั่วๆ ไปก็รูสึกผิด แตมิใชทุกคนที่รูสึกผิดจะสํานึกผิด การ รูสึ ก ผิ ดเกี่ ย วกับ บาปของเรานั้ น เกิด ก อ นการสํ านึ ก ผิ ด แต ท ว าไม จํ าเป น ต องแสดง เครื่องหมายของการสํานึกผิดอยางจริงใจ ไมมีใครสํานึกผิดไดนอกเสียจากวาจะรูสึก ผิดเกี่ยวกับบาปของตนเสียกอน แตมิใชทุกคนที่รูสึกผิดจะสํานึกผิดไดเวลานั้น “เมื่อเปาโลเริ่มพูดถึงความยุติธรรม การบังคับตัวเอง และการพิพากษาที่จะ มาถึง เฟลิกซก็เกิดความกลัว จึงพูดวา พอแลวสําหรับวันนี้ออกไปได เมื่อขาพเจามี เวลาจะเรียกทานมาพบอีก” (กจ 24:25) 2. แคเสียใจ บางคนเสียใจมากเพราะผลที่เกิดขึ้นจากบาปของเขา หรือเพราะถูกจับได คน จํานวนมากเสียใจ มิใชเฉพาะไดกระทําผิด แตเพราะโทษที่จะไดรับ ความเสียใจนํามา ซึ่งความสํานึกผิดอันจะนําไปสูความรอดและไมมีการคิดเรื่องที่จะถูกจับได “ความทุกขใจตามพระประสงคของพระเจาทําใหกลับใจ ทําใหรอดพน จึงไมมี ผูใดเสียใจ สวนความทุกขใจของโลกนําไปสูความตาย” (2 คร 7:10) 3. พยายามที่จะเปนคนดี คนจํานวนมากพยายามสุดกําลังที่จะเปนคนดีขึ้น และเปลี่ยนวิถีชีวิตของตน การพยายามใดๆดวยตัวเองมีรากฐานมาจากความชอบธรรมของตน ซึ่งมิไดยอมรับ ความจําเปนตองสํานึกผิดจากบาป เจตนาดีตางๆนั้นยังไมเพียงพอ มีผูคนจํานวนมาก ที่อยูใ นนรก ถึงแมจะมีเจตนาดีเยี่ยมก็จริง “ขาพระองคทุกคนไดกลายเปนเหมือนคนที่ไมสะอาดและการกระทําอันชอบ ธรรมของขาพระองคทั้งสิ้นเปนเหมือนเสื้อผาที่สกปรก ขาพระองคทุกคนเหี่ยวลงอยาง ใบไม และความบาปผิดของขาพระองคไดพัดพาขาพระองคไปเหมือนลม” (อสย 64:6)

58


4. การหันมาศรัทธารอนรน ชาวฟาริสีในพระคัมภีรนั้นมีพฤติกรรมที่ศรัทธารอนรนมากและฝกปฏิบัติอยาง พิถีพิถัน พวกเขาจําศีลอดอาหารและสวดภาวนา จัดพิธีทางศาสนามากมาย แตไมเคย สํานึกผิด “เมื่อพระเยซูเจาเห็นชาวฟาริสีและสะดูสีหลายคนมายังแหลงที่พระองคทรง กระทําพิธีลาง จึงพูดวา เจาสัญชาติงูราย ผูใดแนะนําเจาใหหนีการลงโทษที่กําลังจะ มาถึง จงประพฤติตนใหสมกับที่ไดกลับใจแลวเถิด อยาอวดอางเองวา เรามีอับราฮัม เปนบิดา ขาพเจาบอกทานทั้งหลายวา พระเจาทรงบันดาลใหกอนหินเหลานี้กลายเปน ลูกของอับราฮัมได บัดนี้ขวานกําลังจออยูที่รากของตนไมแลว ตนไมตนใดที่ไมเกิดผลดี จะถูกโคนและโยนใสไฟ” (มธ 3:7-10) องคพระผูเปนเจาไดกลาวตอตานบรรดาคัมภีราจารยกับชาวฟาริสีอยางรุนแรง โดยเรียกพวกเขาวา พวกนาซื่อใจคด สัญชาติงูราย และหลุมฝงศพที่ขาวสะอาด พวก เขาแสดงใหดูดี แตจริงๆ แลวพวกเขามิไดสํานึกผิดจากบาปของตน 5. แครูความจริง การมีความรูเกี่ยวกับความจริงทางสติปญญานั้นมิไดเปนเครื่องยืนยันวา ความ จริงจะไดเปนความจริงในชีวิตของผูดําเนินชีวิต การรูจักความจริงนั้นไมเพียงพอ ยัง ตองดํารงอยูในความจริงดวย มิใชแครูจักพระบัญญัติ 10 ประการก็จะทําใหบุคคลผู นั้นเปนคริสตชนที่ดีก็หาไม มิไดหมายความวาแครูวาสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดจะทําใหบุคคลผู นั้ น กลายเป น คนชอบธรรมโดยอั ต โนมั ติ ใ นชี วิ ต ของตน การสํ า นึ ก ผิ ด นั้ น มี อ ะไรที่ มากกวาการรูจักความจริง “ทานเชื่อวามีพระเจาเพียงพระองคเดียวหรือ ดีแลว แมพวกปศาจก็เชื่อเชนนั้น และยั ง กลั ว จนตั ว สั่ น ด ว ย คนเบาป ญ ญาเอ ย ท า นอยากรู ห รื อ ไม ว า ความเชื่ อ ที่ ปราศจากการกระทํานั้นไรประโยชน (ยก 2:19-20)

59


สิ่งที่เปนการสํานึกผิด 1. การเสียใจตอพระเจาเพราะบาปที่ทานไดกระทําไป การสํานึกผิดที่แทจริงนั้น คือ การเสียใจ มิใชแคกับตัวเองหรือบุคคลอื่นเทานั้น แตเหนือสิ่งอื่นใดตองเปนการเสียใจตอพระเจา เปนการเสียใจที่ไดกระทําบาปผิดตอ พระเจา ประเด็นหลักของการเสียใจ คือ การกระทําผิดตอพระเจาผูเปนองคความดี และความออนหวาน ก) การสํานึกผิดที่สมบูรณ..............คือการเสียใจที่ไดกระทําบาปผิดตอพระเจา ข) การสํานึกผิดที่ไมสมบูรณ...........คือการเสียใจเพราะกลัวโทษจากบาป 2. การยอมรับความจริงเกี่ยวกับบาปที่ทานไดกระทํา กาวแรกสูการคืนดีคือ การยอมรับสภาพความเปนคนบาปของตน ถาคนเราไม สํานึกผิดถึงบาปที่ไดกระทํา เขาก็จะไมตองการคืนดี เฉพาะเมื่อบุคคลหนึ่งยอมรับ ความบาปผิดที่ตนไดกระทําแลว เขาจะไปสารภาพบาปของตน “ขาพเจาทูลใหทรงทราบถึงบาปของขาพเจา มิไดปดปงความผิดแตประการใด ขาพเจาคิดวา “ขาพเจาจะสารภาพความผิดตอพระยาหเวห” พระองคก็ทรงอภัยบาป ที่ขาพเจาไดทํา (สดด 32:5) 3. การหลีกหนีจากบาปที่ทานไดกระทํา การสํานึกผิดนั้นเปนการกระทํา เปนการตัดขาดจากสิ่งใดๆ บุคคลใดๆ ที่ทําให หางไกลจากพระเจา เปนการตัดสินใจหันกลับ 180 องศา คือ การละทิ้งพยศชั่วทั้งปวง และดําเนินชีวิตแหงคุณธรรม “บุคคลที่ซอนการละเมิดของตนจะไมเจริญ แตบุคคลที่สารภาพและทิ้งความ ชั่วเสียจะไดความกรุณา” (สภษ 28:13) 4. การเกลียดชังบาป ถาบาปเปนความชั่วรายที่หนักที่สุดในโลก เปนโรคมะเร็งทางจิตใจที่ทําลายชีวิต จิต และสิ่งสําคัญที่ตามมาก็คือ บุคคลนั้นตองไมเลนกับมัน นักบุญดอมินิก ซาวีโอ ทานมีคติพจนที่มีชื่อเสียงมากวา “ยอมตายดีกวาทําบาป” ในขณะที่อายุยังนอย ทาน ทราบดีถึงความนาสลดใจของผลรายของบาป และความนารังเกียจของบาป 60


“...และเจาจะเกลียดชังตัวของเจาเอง เพราะความชั่วทั้งหลายซึ่งเจาไดกระทํา นั้น” (อสค 20:43-44) 5. การชดใช จะไมมีการใหอภัยที่แทจริง นอกจากจะมีความตั้งใจจะชดใชสิ่งที่สูญเสียไป ใช คืนใหกับผูอื่นในสิ่งที่ทานไดโกงมา และตั้งใจจะละทิ้งบาป การชดใชมีขอผูกพัน คือ เปนหนาที่และเปนขอเรียกรองกอนที่จะไดรับการอภัยจากพระเจา “แตศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจาวา พระเจาขา ขาพเจาจะยกทรัพยสมบัติ ครึ่งหนึ่งใหแกคนจน และถาขาพเจาโกงสิ่งใดของใครมา ขาพเจาจะคืนใหเขาสี่เทา” (ลก 19:8 เทียบ ลนต 6:1-7)

61


การเปนทุกขถึงบาปเกี่ยวของกับ 1. การหันหนีจากบาป “อยาเปนเหมือนบรรพบุรุษของเจา ซึ่งบรรดาผูเผยพระวจนะคนกอนๆ รอง บอกเขาวา จงหันกลับเสียจากทางชั่วของเจา องคพระผูเปนเจาทรงตรัสไวดังนี้ จง กลับมาหาเรา แตเขากลับไมฟง ไมสนใจใยดีอะไรเลย” (ศคย 1:4, เทียบ กท 5:19-21, อฟ 5:5) 2. การหันหนีจากโลก “จงอยารักโลกและสิ่งที่อยูในโลกเลย เพราะวาเวลาที่ทานรักสิ่งเหลานี้ ทานก็ แสดงใหรูวาทานมิไดรักพระเจาอยางแทจริง” (1 ยน 2:15, เทียบ ยก 4:4) 3. การหันหนีจากตัวทานเอง “พระองคสิ้นพระชนมแทนทุกคน เพื่อผูที่มีชีวิต คือการไดรับชีวิตนิรันดรจาก พระองค จะไดไมมีชีวิตเพื่อตนเองอีกตอไป แตมีชีวิตเพื่อพระองคผูไดสิ้นพระชนมและ ทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา” (2 คร 5:15, เทียบ ลก 14:26) 4. การหันหนีจากซาตาน “.....เจาจะเปดตาของเขา จะทําใหเขาผานพนความมืดมาสูความสวาง และ ผานพนอํานาจของซาตานมาสูพระเจา” (กจ 26:18, เทียบ คส 1:13) 5. การหันกลับมาหาพระเจา เพราะฉะนั้ น จงกล า วแก เ ขาทั้ ง หลายว า พระเจ า จอมโยธาตรั ส ดั ง นี้ ว า “จง กลับมาหาเรา พระเจาจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ” (ศคย 1:3) 6. การหันกลับไปดําเนินชีวิตอยางชอบธรรม “อย ามอบรา งกายสว นหนึ่ง สว นใดใหแ กบ าปเพื่ อใชเ ปน เครื่อ งมื อในการทํ า ความชั่ว แตจงถวายตัวของทานแดพระเจาดุจดังคนที่กลับคืนชีพจากความตายมามี ชี วิ ต ใหม จงถวายทุ ก ส ว นของร า งกายแด พ ระเจ า เป น เครื่ อ งมื อ ในการประกอบ ความชอบธรรม” (รม 6:13) 62


สิ่งที่ไดเกิดขึ้นกับศักเคียส กอนพบพระเยซูเจา

หลังพบพระเยซูเจา

ความเห็นแกตัว การเอาตัวเองเปนจุดศูนยกลาง โศกเศรา

การไมคิดถึงตัวเอง การเอาพระคริสตเปนจุดศูนยกลาง ปติยินดี

63


แบบตรวจสอบ 1. บาปลี้ลับที่สุดของทานคืออะไร ทานเปนทาสตอสิ่งใดมากที่สุด สิ่งใดรบกวนจิตใจ ทานมากที่สุด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. องคพระผูเปนเจาประสงคใหทานเสียสละสิ่งใดในชีวิตของทาน ทานตองการสิ่งใด ในการนําทานกลับมาหาพระเยซูเจา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. เหตุ การณใ ดเปนสาเหตุใ หเ กิดการเปลี่ยนแปลงอยา งกะทัน หันในชี วิตของทา น ทําไมจึงเปนเชนนั้น ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. ถาทานสามารถเปลี่ยนสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับตัวทาน ทานจะเปลี่ยนอะไรและเพราะอะไร ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. เหตุการณใดเปนสาเหตุสําคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของทาน ทําไม ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… 64


สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................

65


9. การสารภาพบาป พระเจาทรงประทานศีลอภัยบาปใหเรา ดังนั้น คนบาปผูมีความไมสบายใจจึงตองพบกับความเชื่อใน การใหอภัยของพระเยซูคริสตเจา แลวจึงเดินจากไป ดวยสันติสุข ยิ่งความเชื่อของเราแข็งแกรงขึ้นเทาใด เราก็ มองเห็นบาปของเราชัดเจนขึ้นเทานั้น ยิ่งเราสารภาพ บาปดวยความซือ่ สัตยมากเทาใด ความปรารถนาที่จะ ปรับปรุงยิ่งแรงกลาขึ้นฉันนั้น ความปติยินดีภายในและอิสรภาพสวนตัวจะลึกซึ้งยิ่งขึ้นเมื่อ เราไดรับประสบการณเหลานี้ ขั้นที่ 1 สวดภาวนาวอนขอความสวางและความกลาหาญ เราเริ่มดวยบทภาวนานั้นๆ วอนขอพระเจา ทรงชวยเราใหเชื่อในพระเมตตาของ พระองค ใหมองเห็นบาปตางๆ ของเราอยางที่เปน ใหสารภาพบาปนั้นๆ ดวยความซื่อสัตย แมจะรูสึกเจ็บปวดก็ตาม เพื่อใหไดรับประสบการณของสันติสุขของพระองค และเปลี่ยน ชีวิตของเราในอนาคต ขั้นที่ 2 พระวาจาอันทรงคุณคาของพระเจาเรื่องการใหอภัย พระคัมภีรมีเรื่องเลาและคําสอนตางๆ เกี่ยวกับพระเมตตาอันหาขอบเขตมิไดของ พระเจา ความรักและการใหอภัยของพระองค ขั้นที่ 3 มองเขาไปในจิตใจ กาวนี้จะตองใชเวลารําพึงไตรตรองนานพอสมควรเพื่อพิจารณาดูเรื่องในอดีต และ พิจารณาดูบาปตางๆ ที่เราไดกระทําในชวงนั้น ขั้นที่ 4 การสารภาพบาป ตามมาดวยการไปสารภาพบาปที่มีอยูจริง อยางไรก็ตาม คําพูดที่เราใชกับวิธีการ สารภาพบาปนั้นเปนเรื่องรอง ประเด็นสําคัญนั้นอยูที่การเสียใจที่ไดกระทําบาปและกลับใจ เสียใหม ขั้นที่ 5 การใชโทษบาปสําหรับในอดีตและในอนาคต ผูฟงแกบาปกําหนดกิจใชโทษบาปใหเรา หรือเพื่อเปนคาชดเชยบาปของเรา ซึ่งเปน ขั้นตอนสุดทายของศีลแหงการคืนดี ซึ่งถูกจัดไวเพื่อชดใชผลรายที่ไดกระทํา และเพื่อรักษา บาดแผลที่ เ กิ ด จากข อ ผิ ด พลาดต า งๆ ทั้ ง ยั ง มี เ จตนาที่ จ ะช ว ยปรั บ ปรุ ง ตั ว ให ดี ขึ้ น ในวั น ขางหนา 66


วิถีชีวิต การพิจารณามโนธรรม ในความรักขององคพระผูเปนเจานั้น พระองคทรงรูจักเราอยางทะลุปรุโปรงยิ่ง กวาเรารูจักตัวเราเอง พระบัญญัติของพระองคนั้นใหชีวิต เปดความมืดของชีวิต นําเรา ไปสูความสวางแหงพระวาจาของพระองค เพื่อเราจะไดหันกลับไปหาพระองคในการ สารภาพบาป และรับการใหอภัย ในการพิจารณามโนธรรมของเรานั้น ใหเราใชพระ บัญญัติ 10 ประการเปนเครื่องชวยในการพิจารณาบาปที่ทําใหเราตกเปนทาสและจาก ที่ซึ่งพระเจาทรงปรารถนาที่จะชวยเราใหพนจากอันตราย เมื่ อ เราพิ จ ารณามโนธรรมนั้ น เราต อ งอยู เ ฉพาะพระพั ก ตร พ ระเจ า และ ไตรตรองตัวเราเอง องคพระผูเปนเจาจะทรงชวยนําทางเรา ถาเรามุงความตั้งใจของ เราไปที่พระองคและพระเมตตาของพระองค และสวดภาวนาดวยความไววางใจกับบท เพลงสดุดีที่วา “ขาแตพระเจา ขอพระองคทรงตรวจสอบขาพเจา และทรงรูใจของ ขาพเจา โปรดทรงทดสอบขาพเจา และทรงรูความคิดของขาพเจา โปรดทอดพระเนตร เถิดวา ขาพเจาเดินบนเสนทางที่เลวรายหรือไม และโปรดทรงนําขาพเจาไปบนหนทาง ของพระองคตลอดไป” (สดด 139:23-24) พระบัญญัติ 10 ประการ (อพย 20:1-17) 1. เราคือพระเจาของเจา อยามีพระเจาอื่นใดนอกเหนือจากเรา  ฉันใหงานและทรัพยสมบัติหรือภาพลักษณของฉันเปนพระเจาในสายตาของผูอื่น จนมันควบคุมชีวิตของฉันแทนทีพ่ ระเจากระนั้นหรือ  ฉั น พึ ง พอใจในตนเองเกี่ ย วกั บ ความเข า ใจของฉั น เกี่ ย วกั บ พระเจ า แทนที่ จ ะ แสวงหาการเผยแสดงของพระองคดวยความศรัทธารอนรนยิ่งขึ้นโดยทางการ สวดภาวนาและอานพระคัมภีรกระนั้นหรือ  ฉั น เคยทํ า เล น ๆกั บ เรื่ อ งลี้ ลั บ หรื อ ให ค วามสนใจกั บ เรื่ อ งการผู ก ดวงทาง โหราศาสตร การบอกราศี การถอดไพ หรือการทํานายดวงชะตากระนั้นหรือ  ฉันพยายามหาความรูเพิ่มเติมเรื่องพระเจาโดยทางการสวดภาวนาประจําวันและ การอานพระคัมภีรกระนั้นหรือ  ฉันใหเวลากับการสอนครอบครัวของฉันเกี่ยวกับวิถีทางของพระเจาและสวด ภาวนากับครอบครัวกระนั้นหรือ 67


2. อยาออกพระนามพระเจาของเจาอยางไมสมควร  ฉัน เสแสร งทํ า เป น ถือ ปฏิ บั ติต ามจารี ต พิธี กรรม ทั้ง ที่ จริ ง แล วมิ ไ ดดํ าเนิ นชี วิ ต ปฏิบัติตามความเชื่อกระนั้นหรือ  ฉันใชภาษาหยาบคาย โดยการดาวา และสบถสาบานกระนั้นหรือ  ในการสนทนากันนั้น ฉันเห็นดวยกับการพูดใหรายและเลนตลกที่มุงลดคุณคา ทางศาสนา ใส รายพระศาสนจั กร และหมิ่ นพระบรมเดชานุภ าพของพระเจ า กระนั้นหรือ 3. จงระลึกถึงวันสับบาโตเปนวันศักดิ์สิทธิ์  ฉันปลอยใหตัวเองถูกครอบงําดวยหนาที่การงาน หรือปลอยตัวไปตามกระแส สังคมจึงมิไดจัดใหวันอาทิตยเปนวันสําหรับฝายจิตใจ และเปนวันกิจกรรมของ ครอบครัวกระนั้นหรือ  ฉันไปรวมพิธมี ิสซาบูชาขอบพระคุณพระเจาทุกวันอาทิตยหรือเปลา  ในการสวดภาวนาและเขารวมพิธีกรรมนั้น ฉันพอใจเพียงแคทําตามขอบังคับ แทนที่จะอุทิศตนถวายนมัสการพระเจาดวยความจริงใจกระนั้นหรือ 4. จงใหเกียรติแกบิดามารดาของเจา  ในฐานะเยาวชนในครอบครัว ฉันรับฟง เคารพนับถือและเชื่อฟงบิดามารดา เมื่อ ทานสั่งสอนฉันกระนั้นหรือ  ในฐานะผูใหญ ฉันไปเยี่ยมและดูแลเอาใจใสบิดามารดาผูสูงอายุแลวกระนั้นหรือ  ฉันซอนความขุนเคืองใจบิดามารดาเปนเวลาสั้นๆ หรือนานๆ กระนั้นหรือ 5. อยาฆาคน  ฉันเคยทุบตีผูอื่นดวยความโกรธ โดยเจตนาทํารายเขากระนั้นหรือ  ฉันสนับสนุนการทําแทง ทั้งโดยทางความคิดเห็น ในการสนทนาหรือโดยการมี สวนชวยใหมีการทําแทงกระนั้นหรือ  ฉันเคยทํารายตัวเอง หรือชีวิตผูอื่น โดยการเสพยาหรือดื่มสุราเกินขนาดกระนั้น หรือ  ฉันเคยคิด หรือพยายามฆาตัวตายกระนั้นหรือ 68


6. อยาลวงประเวณีผัวเมียเขา  ฉันเคยรวมเพศกับคนอื่นนอกการสมรสกระนั้นหรือ  ฉันเคยปลอยจิตใจใหคิดเรื่องอุลามก หรือจินตนาการเรื่องอุลามกกระนั้นหรือ  ฉันเคยอานหนังสือ ดูภาพยนตรหรือรายการทีวีลามกกระนั้นหรือ  ในการสนทนากัน ฉันเคยพูดลามก เลนตลก หรือเลาเรื่องลามกกระนั้นหรือ 7. อยาลักทรัพย  ฉันเคยหยิบเอาสิ่งใดที่ไมใชของฉันกระนั้นหรือ  ฉันเคยโกงคาภาษี หรือไมยอมสงบัญชีรายจายในธุรกิจของฉันกระนั้นหรือ  ฉันเคยเสียเวลาไปเปลาๆและโกงนายจาง โดยไมทํางานตามกําหนดเวลาวาจาง กระนั้นหรือ  ฉันเคยใชจายฟุมเฟอยในชีวิตและไมสนใจคนยากจนกระนั้นหรือ  ฉันไมเคยรับผิดชอบและสนใจถึงความตองการของครอบครัวเพราะใชเวลาไปกับ การเสี่ยงโชคและการพนันกระนั้นหรือ 8. อยาเปนพยานเท็จใสรายเพื่อนบาน  ฉันเคยทําลายชื่อเสียงของคนอืน่ โดยมีสวนรวมซุบซิบนินทาเขากระนั้นหรือ  ฉันเคยทําลายชื่อเสียงของผูอื่นโดยพูดถึงขอบกพรองและบาปผิดของเขาโดย เจตนากระนั้นหรือ  ฉันเคยมีอคติและเกลียดชังชนชาติอื่น เชื้อสายอื่น หรือศาสนาอื่นกระนั้นหรือ 9. อยาโลภภรรยาเพื่อนบาน  ฉันเคยแสวงหาความรักใครจากคูสมรสของคนอื่นกระนั้นหรือ  ฉันเคยคิดนอกใจคูสมรสกระนั้นหรือ  ฉันยกยองใหเกียรติคูสมรสในทุกกรณีกระนั้นหรือ  ฉันทอดทิ้งครอบครัวไปจากหัวใจ โดยปรารถนาที่จะทําตนออกหางจากพวกเขา ทั้งทางอารมณ และทางกายกระนั้นหรือ

69


10. อยาโลภสิ่งใดๆ ซึ่งเปนของของเพื่อนบาน  ฉันเคยเปรียบเทียบตัวเองกับผูอื่นทางดานความมั่งคั่ง ฐานะทางสังคม และความ มั่นคงทางการเงินกระนั้นหรือ  ฉันเคยอิจฉาคุณงามความดีสวนตัวของผูอื่น หรืออยากไดทรัพยสินของเขา หรือ อิจฉาความสําเร็จของเขากระนั้นหรือ  ฉันควบคุมการเงิน และจัดการดูแลทรัพยสินสวนตัวกระนั้นหรือ  ฉันเคยบํารุงพระศาสนจักรตามความสามารถและเอื้อเฟอเผื่อแผตอคนยากจน กระนั้นหรือ สิ่งที่ฉันตองการเปลี่ยนแปลงในชีวิต (ขอตั้งใจ) คือ 1.…………………………………………………………………………………………………………………………………. 2……………………………………………………………………………………………………………………………….... 3………………………………………………………………………………………………………………………………….

70


10. วงจรการหวงใย “ทุกคนที่เห็น ตางบนวา เขาไปพักที่บานคนบาป” (ลก 19:7) ความรั ก คื อ พลั ง ขั บ เคลื่ อ นชี วิ ต ถ า ปราศจากความรัก คงจะไมมีความเปนอยูที่ดี ความรั ก คื อ หั ว ใจสํ า คั ญ ของความเป น อยู ที่ ดี พระเยซูเจาไดเสด็จมาเพื่อเราจะไดมีชีวิต ชีวิตที่ สมบูรณ

ฝูงชน เมื่อฝูงชนไดยินและไดเห็นสิ่งที่พระเยซูเจาทรงกระทํากับศักเคียสแลว พวกเขา เริ่มบนวา “เขาไปพักที่บานคนบาป” พวกเขาไมใสใจ แตพระเยซูเจาทรงใสพระทัย ศักเคียสไดเปลี่ยนไปเพราะพระเยซูเจามิไดกลาวโทษเขา แตกลับทรงใสพระทัยเขา ซึ่ง แตกตางกันโดยสิ้นเชิง มีความจริงล้ําลึกที่ไมนาเชื่อประการหนึ่งในพันธสัญญาใหมที่ ใหความสําคัญกับความรัก “แตที่ยิ่งใหญกวาสิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก” (1คร 13:13) ถาฝูงชนใชวิธีการของพวกเขา ศักเคียสก็คงถูกลงโทษไปแลว ฝูงชนตองการ ขัดขวางพระเยซูเจามิใหกระทําสิ่งใดกับศักเคียส เพียงเพราะเขาเปนคนบาป ในอีกแง หนึ่งก็คือ ฝูงชนตองการขัดขวางมิใหเรื่องตอไปนี้เกิดขึ้น คือ - การพบกับพระเยซูเจา - การสนทนากับพระคริสตเจา - การกลับใจของศักเคียส - การติดตามองคพระคริสตเจา - ความรอดพนของศักเคียส ความเขาใจที่เราไดรับจากเรื่องนี้คือ ในฝูงชนนั้นไมมีทางเปนไปไดที่จะพบกับ พระคริสตเจา พบการบําบัดรักษา และติดตามองคพระคริสตเจา ในฝูงชนนั้น ไมมีใคร จะไดชื่นชมกับชีวิตอยางสมบูรณ ฝูงชนคือกลุมผูคนที่ไมรูจักกัน ถึงแมวาอาจรูเรื่อง เกี่ยวกับแตละคนมากก็ตาม แตไมมีใครหวงใยกัน 71


ชุมชน สิ่งที่ตรงขามกับฝูงชนก็คือ ชุมชน ในชุมชนนั้นผูคนสื่อสารสัมพันธกันในรูปแบบ ที่พ ระเยซู เ จา ทรงกระทํา กั บ ศั ก เคี ยส คื อ ให ค วามห ว งใย แสดงความรั ก ทํ า การ บําบัดรักษา ประทานชีวิตให ในชุมชนนั้น จะสวดภาวนาไดงาย จะพบพระเจาไดงาย จะไดรับการบําบัดรักษา และจะไดติดตามองคพระคริสตเจา เพื่อจะไดมีชีวิตที่สมบูรณ เราทุกคนมีความตองการพื้นฐานอยางหนึ่ง คือ ความรัก การรักกับการถูกรัก นั้นเปนสุดยอดปรารถนาในชีวิตเรา เพื่อชวยใหเราไดมีสุขภาพและมีความเปนอยูที่ดี เราจําตองแสดงความรักหวงใยใครสักคนเปนอยางนอย ไมนาประหลาดใจที่พระเยซู เจาทรงสั่งใหเรา “รักกันและกัน” สิ่งที่จิตใจมนุษยโหยหามากที่สุด คือ การไดรับความ รักและการใหความรัก นั่นคือ เคล็ดลับของความสมบูรณและการมีสุขภาพดี ชุมชนคือ สถานที่ดีที่สุดในการมีประสบการณความรักที่สมบูรณตามแบบอยางขององคพระ คริสตเจา ศักเคียสคงรูสึกวาในชีวิตไมมีใครรักและหวงใยเขา แตพระเยซูเจาไดทรง กระทําใหเขารูสึกไดรับความรัก และมีความสําคัญ พระเยซูเจาไดทรงเสด็จมาพบเขา เขาตอบรับทันที คือ เขาไดเปลี่ยนแปลง ถาจะมีพลังอํานาจใดที่สามารถเปลี่ยนแปลง บุคคลผูหนึ่งได ก็คงจะเปนความรักที่ปราศจากเงื่อนไข คงไมมีใครใจแข็งได เมื่อได สัมผัสกับไฟแหงความรัก พระเยซูเจามิไดกลาวตําหนิศักเคียส พระองคมิไดทําราย จิตใจเขา แตพระเยซูเจาทรงเขาไปหาศักเคียสดวยใจรัก และเขาไมเหมือนเดิมอีกตอไป จงดูตนกุหลาบ มันยังคงออกดอก และเพื่อจะไดออกดอกนั้น ตองมีการพรวน ดิน ใสปุย ถางหญา รดน้ํา ความรักก็เปนแบบเดียวกัน ถาเราเรียนรูวิธีการเอาใจใส ความรัก ความรักก็จะผลิดอกออกผล ถาเราละเลยไมใสใจกับความรัก มันก็จะเหี่ยว แหงและตายไป คําถามที่สําคัญและสับสนยิ่งประการหนึง่ คือ “ความรักคืออะไร” ความรักเปน สิ่งจําเปนตอสภาพมนุษย แตมีความซับซอนอยางไมมีที่สิ้นสุด เปนขอความที่ดูขัดแยง เราจึงตองทําความเขาใจกับศักยภาพอันยิ่งใหญของความรักที่จะทําใหมนุษยเปนสุข และเปนทุกข ความรักเปนการเลือก เชน ฉันเลือกคุณ ความรักเปนการตัดสินใจ เชน ฉันจะรักคุณ ความรักคือการอุทิศตน เชน ฉันจะรักคุณตลอดไป 72


แบบตรวจสอบ บุคคลใดที่ทานปฏิบัติกับเขาเหมือนกับ “ฝูงชน” 1. ผูใดที่ทานมีปฏิสัมพันธดวยแบบฝูงชน ก) ........................................................................................................................ ข) ........................................................................................................................ ค) ........................................................................................................................ เพราะเหตุใด …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. เหตุการณใดทําใหทานรูสึกเปนคนพิเศษจริงๆที่ไดรับความรัก ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ผูใดทําใหทานรูสึกเปนคนพิเศษบาง ก) ........................................................................................................................ ข) ........................................................................................................................ ค) ........................................................................................................................ 4. ใครคือคนพิเศษสําหรับทานบาง ก) ........................................................................................................................ ข) ........................................................................................................................ ค) ........................................................................................................................ เพราะเหตุใด …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. มีบุคคลใดในชีวิตทานที่ทานตองการคืนดีดวยและขยายไปสูความรัก ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….

73


อโลฮา สายการบินอโลฮา เที่ยวบินที่ 243 บินอยูเหนือมหาสมุทรแปซิฟก ประมาณ 5 ไมล ก อ นถึ งเกาะฮาวาย เวลานั้ นชิ้ น ส ว นมหึ ม าของเครื่ อง 737 หลุ ด ปลิ ว ไปถู ก ผูโดยสารถึงแกความตาย บอบ นิโคล เปนหนึ่งใน 90 ผูโดยสารที่ตกใจกลัว เชื่อวา เครื่องบินที่เสียหลักนั้นกําลังจะตกลงกระแทกพื้น เขารีบเขียนขอความถึงครอบครัว ดังนี้ “ระเบิดอยูเหนือศีรษะ ทําใหเห็นทองฟาและหมูเมฆ เครื่องบินปนปวน ดิ่งลง อยางรวดเร็ว...ไมมีคําพูดเตือนใดๆ จากกัปตัน (บางครั้ง) มีเสียงนากลัว” กลัววาจะไมมีเวลา จึงรีบเขียนวา “ฉันรักเธอ เจนที่รักของฉัน พอรักลูก เจนนี่ เชยน (บุตรสาว) โรเบิรต (บุตรชาย) และคนอื่นๆ ดวย ไมมีเวลาแลว ดวยรัก จากพอ แตทวาเครื่องบินรอนลงถึงพื้นดินไดอยางนาอัศจรรย The Seattle Time, Seattle Post Intelligencer, May 1,1988,A15 74


ถาทานกําลังจะสิ้นชีวิต จินตนาการวาทานกําลังอยูในสภาพที่เหมือนกับบอบนิโคล ในชวงเวลาสั้นๆ ที่ ทานมี มีใครในญาติพี่นองที่ทานตองการจะบอกมากที่สุดวา “ฉันรักคุณ” หรือ “ขอบคุณ” หรืออาจเปน “ฉันเสียใจ” ฉันรักคุณ ขอบคุณ ฉันเสียใจ 1...................................... 1...................................... 1...................................... 2...................................... 2...................................... 2...................................... 3...................................... 3...................................... 3...................................... 4...................................... 4...................................... 4...................................... 5...................................... 5...................................... 5...................................... 6...................................... 6...................................... 6...................................... 7...................................... 7...................................... 7...................................... 8...................................... 8...................................... 8...................................... 9...................................... 9...................................... 9...................................... 10.................................... 10.................................... 10.................................... เขียนรายชื่อคนที่คุณรัก วงกลมไวในใจวารักกันและกัน 1…………………………………………………………………………………… 2…………………………………………………………………………………… 3…………………………………………………………………………………… 4…………………………………………………………………………………… 5…………………………………………………………………………………… 6…………………………………………………………………………………… 7…………………………………………………………………………………… 8…………………………………………………………………………………… 9…………………………………………………………………………………… 10………………………………………………………………………………… แลวกอนจะทําอะไรอื่นตอไป จงใชเวลาแสดงความรูสึกของทานที่มีตอแตละคน จะเปนการพบหนาตอหนา ทางโทรศัพท ทางจดหมาย อีเมล บอกสิ่งที่ทานอยากบอก ถาทานกําลังจะสิ้นชีวิต 75


แบบสํารวจ แบบสํารวจนี้จะชวยทานใหเสริมสรางสัมพันธภาพไดสองแบบ 1. อาจชวยทานใหทําการประเมินอยางรวดเร็วถึงสายสัมพันธ 2. แต ล ะรายการตรวจสอบคือ ท า ที แ ละพฤติ ก รรมที่ ช ว ยหล อ เลี้ ย ง ความรั ก และ ภาพรวมของสัมพันธภาพ ถาในเวลานี้ทานมีเพื่อนสนิทสักคนหนึ่ง ใหเขียนบรรยายถึงผูนั้นโดยตางคนตาง เขียน แลวใชสิ่งที่ทานไดเรียนรูทําใหสัมพันธภาพมั่นคงยิ่งขึ้น ถาทานมีชีวิตอยางโดดเดี่ยว รายการตรวจสอบนี้อาจจะเจ็บปวด แตจะเปน ประโยชนถาทานหาวิธีการเสริมสรางสัมพันธภาพในชุมชนที่ทานหวงใย คําสั่ง เติมคําตอบใดคําตอบหนึ่งไวดานหนาแตละรายการตรวจสอบขางลางนี้ ดี = ฉันทําไดดีแลวในเรื่องนี้ พอใช = ฉันทําไดเปนที่นาพอใจ แตยังมีบางอยางที่ตองปรับปรุง ตองปรับปรุง = ฉันตองปรับปรุงในเรื่องนี้อยางจริงจัง

………….1. ฉันมีเครือขายความรักของเพื่อนๆ (หรือครอบครัว) ซึ่งทุกคนเคารพให เกียรติกัน หวงใยกัน และเสริมพลังซึ่งกันและกันใหกาวหนา ………….2. ฉันรักและเคารพตนเอง ซึ่งทําใหฉันสามารถกระทําแบบเดียวกันนี้กับผูที่ ฉันหวงใยมากที่สุด ………….3. ฉันและผูที่ฉันมีสัมพันธภาพอยางใกลชิด มีการใหและการรับอยางเปน ธรรมทั้งสองฝาย ………….4. ฉัน (เรา) มีการสื่อสารตอกันอยางสม่ําเสมอในเรื่องที่จําเปน รวมทั้งขจัด บรรยากาศที่ทําใหขุนเคืองในชีวิตประจําวัน ………….5. บอยครั้งที่ฉันชอบเลนกับเพื่อนสนิท หัวเราะตัวเองและหัวเราะเพื่อนๆ ใน จุดออนเล็กๆ นอย ของเรา ………….6. ฉันสนิทสนมและเปนมิตรไดกับทั้งเพศหญิงและเพศชาย ………….7. ฉันเคารพความแตกตางของผูรวมชีวิต และยอมรับความไรสาระของการ พยายามปรับตัวเขา/เธอใหเปนเหมือนฉัน (เปนบทเรียนที่ยากจะเรียนรูได) 76


………….8. ฉัน (เรา) เผชิญหนากับเรื่องขัดแยงระหวางตัวบุคคลอยางเปดเผยและ สม่ําเสมอ แทนที่จะปลอยใหบานปลายจนไมมีทางแกไข ………….9. บ อ ยๆครั้ ง ที่ ฉั น สามารถเรี ย นรู ไ ด จ ากข อ ขั ด แย ง ความเจ็ บ ปวดและ ขอผิดพลาดตางๆที่หลีกเลี่ยงมิไดในหมูเพื่อนสนิท ………….10. ฉันใหและรับการใหอภัย ความชื่นชม การสนับสนุนอยางอบอุนและการ วิพากษวิจารณอยางสรางสรรคในหมูเพื่อนสนิท ………….11. ฉันสามารถขอรองในสิ่งที่ตองการและพูดในสิ่งที่ฉันเชื่อดวยความจริงใจ โดยไมมีการกลาวโจมตี ………….12. ฉันสามารถพูดความรูสึกที่แทจ ริงของฉั น และถกปญหาตางๆ ของฉั น อยางจริงใจกับผูที่ฉันสนิทมากที่สุด ………….13. ฉัน ไม เป น คนขี้ป ระจบสอพลอ ทั้ง ยั งไมช อบเลน ตลกสองแงส องมุ ม เส แสรงเพื่อใหเปนที่ชอบพอหรือรักษาความสงบไวใหไดไมวาดวยวิธีใด ใน หมูเพื่อนสนิทของฉัน ………….14. ฉันทําใหผูรวมชีวิตของฉันพอใจในสิ่งที่เขาตองการ และฉันหวงใยความ เปนอยูที่ดีของเขา ………….15. ฉันชื่นชมและยืนยันถึงความสําเร็จ ผลงาน และความเขมแข็งของผูรวม ชีวิตของฉัน แลวมีการสนองกลับเชนเดียวกัน ………….16. ฉัน (เรา) ชื่นชอบการมีสวนรวมในกลุมองคกรที่มีความหมาย ทําใหรูสึก เปนของกันและกัน ………….17. ฉันรับและใหการสัมผัสและการโอบกอดมากพอๆ กับที่ฉันตองการ ………….18. ฉันชื่นชอบการมีเพื่อนใหมๆ เชนเดียวกับการชื่นชมเพื่อนเกา ………….19. เพื่อ นสนิ ท ของฉั น ได รั บ ความเข ม แข็ ง จากการแบ ง ป น ชี วิ ต ฝ า ยจิ ต และ คุณคาตางๆ ………….20. ผูรวมชีวิตของฉันและฉันทํางานรวมกัน โดยมีเปาหมายในการเสริมสราง คุณภาพชีวิตในชุมชนของเราและ/หรือในสังคมโลก การใชขอคนพบของทาน พิจารณาคําตอบตางๆ ของทาน และหาความรูสึกโดยรวมเกี่ยวกับจุดเดนและ จุดดอยของความสัมพันธของทาน ขอใดดีก็ขอใหดีใจกับตนเอง ขอใดที่ยังไมคอยดีก็ นําไปแกไขเปลี่ยนแปลงตนเอง 77


เคล็ดลับ 12 ประการ ในการถนอมรัก คนสวนมากตระหนักไดในระดับหนึ่งวา ความรักนั้นสําคัญตอชีวิตของพวกเขา แตทวาพวกเขายังขาดความรูและทักษะที่จําเปนในการถนอมความรัก และทําใหความ รักนั้นเติบโต ทักษะสรางสัมพันธระหวางบุคคลทั้งสามประการนี้ จําเปนการถนอม บํารุงดอกไมแหงความรักคือ ก) การอุทิศตนเพื่อการเติบโต (Commitment to growth) ข) การสื่อสารสัมพันธ (Communication) ค) การแกไขขอขัดแยง (Conflict resolution) 1. ชวงเวลาสําคัญ จัดเวลาในแตละวัน (อยางนอย 10-15 นาที) เพื่อสื่อสารสิ่งที่ สําคัญสําหรับทานแตละคน การสื่อสารความสัมพันธเปรียบเหมือนออกซิเจน ซึ่ง จําเปนตอรางกาย ทานลองจิตนาการถึงเรื่องความโดดเดี่ยวที่เจ็บปวดเมื่อสอง บุคคลดําเนินชีวิตอยูในบานหลังเดียวกันเปนเวลาหลายๆ ป นอนอยูดวยกัน ดิ้นรน ตอสูเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ จนแทบไมมีเวลาสื่อสารกันเรื่องความฝน และความผิดหวัง ความหวังและความหวาดกลัว สิ่งตางๆ ที่สําคัญยิ่งสําหรับพวกเขา 2. การหลอเลี้ยงความรัก ใหแตละคนหลอเลี้ยงหัวใจของกันและกันที่กระหายความ รักเปนปกติและดวยเจตนาดี โดยเฉพาะอยางยิ่งสิ่งที่จําเปนอยางลึกซึ้ง เพื่อชื่นชม กัน เคารพใหเกียรติกัน สัมผัส ใหความอบอุน หวงใย หัวเราะ แสดงความปติยินดี ตอกัน 3. สถานที่ แตละบุคคลมุงพัฒนาความชํานาญและความสามารถของตนใหกาวหนา ขึ้น จงสรางสถานที่ที่ดีเพื่อมิตรภาพอันอบอุนแกกัน 4. การยืนยัน ใหยืนยันถึงพรสวรรคของกันและกัน ทั้งที่มีอยูแลวและที่อาจเกิดขึ้น ดวยการจัด เตรี ยมและเป ดโอกาสให กาวหน า ความรัก ทั้งครบนั้นต องมีชีวิ ตใน ความสัมพันธที่ใกลชิดระดับผูที่รวมชีวิตชวยกันเสริมสรางความฝนและศักยภาพ ของกันและกันใหเปนจริงขึ้นมา 5. การเยียวยารักษา เรียนรูวิธีการที่เปนประโยชนในการปองกันกําแพงความเย็นชา ของขอขัดแยง การทําราย ความโกรธ และความขุนเคืองใจ อันเกิดจากการละเลย ขาดความหวงใย ขาดความลึกซึ้ง ขาดความรัก และขาดความปติยินดีระหวางกัน

78


การเรียนรูวิธีการเยียวยาความเจ็บปวด และขจัดขอขัดแยงเปนเรื่องจําเปน ถา ตองการใหความรักทั้งครบนั้นเติบโตขึ้น 6. การเปนเพื่อน รักษามิตรภาพของทานไวใหเขมแข็งและเติบโตขึ้น รวมทั้งความ สนุกสนานรวมกันอยางสม่ําเสมอ ยึดมั่นในการเสริมสรางความสัมพันธที่ใกลชิด กัน แสดงถึงการเชื่อมโยงตอกันในฐานะเพื่อน 7. การแบงปน เปดใจตัวทานเองอยางสม่ําเสมอเพื่อ “ประสบการณอันสูงสง” ของ การชื่นชมชีวิตฝายจิตรวมกัน การแบงปนความเชื่อ ชีวิตฝายจิตนั้นเปนเรื่องลึกซึ้ง สวนบุคคล ดังนั้น ในชวงเวลาแบงปนกันในระดับจิตใจจึงตองนุมนวล เพราะเปน ชวงเวลาอันประเสริฐในการเสริมสรางสัมพันธภาพ 8. ความหวงใย เอาใจใสดแู ลชุมชนที่ทานหวงใย คือบรรดาเพื่อนสนิท รวมทั้งสมาชิก ในครอบครัวที่รักทานและชวยเหลือทาน มีความสัมพันธกับทานทั้งในยามสุขและ ยามทุกข ตลอดชวงเวลาที่ผานมา 9. มีความสนุกสนาน คนหาและมีความชื่นชมยินดีรวมกัน เปนพิเศษในเรื่องเกี่ยวกับ ความรั ก ความท าทาย การให โ อกาส ปรี ชาญาณและพรสวรรค ต า งๆ ในชี วิ ต ปจจุบันของทาน 10. ทํางานเพื่อสาเหตุอยางหนึ่ง คนหาสาเหตุที่นาตื่นเตนเพื่อทานจะไดชื่นชอบใน การทํางานรวมกัน 11. วางแผน พัฒนาและประยุกตแผนงานที่วางไวในการเสริมสรางสัมพันธภาพของ ทาน 12. ลําดับความสําคัญ ถาทานไมมีเวลาเอาใจใสดูแลสัมพันธภาพที่สนิทสนม ทานจะ พบปญหา ทานคงตองทบทวนดูลําดับความสําคัญ จัดตารางเวลาใหเหมาะสมกับ วิถีชีวิตของทาน ความรักนั้นตองใชเวลา ในชวงเวลาที่ชีวิตเกิดความวุนวายนั้น เปน การงายที่จะลดแรงกดดันใหนอยลงในเรื่องที่ดอยความสําคัญเพื่อหลอเลี้ยงความ รักใหเปนเหมือนระยะแรกๆ ที่ทานใชเวลาในการสื่อสารสงใจถึงใจกันบอยเพียงใด ทานใชเวลาที่ยังมีเหลือในการเสริมสรางสายใยสัมพันธที่สําคัญตอกันอยางไร

79


ชื่อเพลง คือรักแท หากวาคุณเคยทําเรื่องมากมาย เพื่อใครบางคน โดยไมเคยตองมีเหตุผล ทําดวยความเต็มใจไมเคยทอ ถาบังเอิญคุณมีน้ําแกวหนึ่ง แตมีคนรองขอ คุณก็ยอมใหเขาตอ ทั้งที่คุณตองการเหมือนกัน ถามีใครคนหนึ่งเขาลมลง อยูที่ตรงริมทาง คุณเขาไปประคองคนนั้น ใหเขามีกําลังขึ้นยืนไว ถูกใครๆ รังแกก็สูทน เจ็บก็ยังอภัย และไมเคยนึกเบื่อหนาย ไมเคยเสียดายกับการแบงปน นั่นคือรักแท จากใจที่สวยงาม เปนเหมือนพลังที่ฉุดใหโลกใบนี้มียังตอไป ขอบฟา แผนดินและผืนทราย ตนไม ทะเล ลําธาร ทุกสิ่ง และเราทุกคน ลวนเปนหนึ่งเดียวกัน อาจมีใครที่เปนไมเหมือนคุณ ตางจากคุณเพียงไร ไมสําคัญวาเปนผูใด คุณก็ยังทําดีกับคนนั้น ถามีคนบางคนเขาโชคดี อยางที่เคยคิดฝน ถึงไมเคยไดรูจัก แตคุณก็ยังยินดีกับเขา นั่นคือรักแท จากใจที่สวยงาม เปนเหมือนพลังที่ฉุดใหโลกใบนี้มียังตอไป ขอบฟา แผนดินและผืนทราย ตนไม ทะเล ลําธาร ทุกสิ่ง และเราทุกคน ลวนเปนหนึ่งเดียวกัน ความรัก ก็คือ ความหวังและความหวงใย ความคิด และความขาใจซึ่งกันและกัน เราอาจอยูหางแสนไกล อาจยังไมเคยไดผูกพัน แตเราไมแตกตาง ไมวาใครคนไหน และอยูรวมกัน ไมวาอยูที่ไหน ถาเรารักกัน นั่นคือรักแท จากใจที่สวยงาม เปนเหมือนพลังที่ฉุดใหโลกใบนี้ยังมีตอไป ขอบฟา แผนดินและผืนทราย ตนไม ทะเล ลําธาร ทุกสิ่ง และเราทุกคน ลวนเปนหนึ่งเดียวกัน นั่นคือรักแท จากใจที่สวยงาม เปนเหมือนพลังที่ฉุดใหโลกใบนี้มียังตอไป ขอบฟา แผนดินและผืนทราย ตนไม ทะเล ลําธาร ทุกสิ่ง และเราทุกคน ลวนเปนหนึ่งเดียวกัน ความรักจะทําใหโลกยังคงหมุนไป

80


11. การอุทิศตน – สิ่งทาทาย ศักเคียส ยืนขึ้นทูลพระเยซูเจาวา “พระเจาขา ขาพเจาจะยกทรัพยสมบัติครึ่งหนึ่งใหแก คนยากจน และถาขาพเจาโกงสิ่งใดของใครมา ขาพเจาจะคืนใหเขาสี่เทา” (ลก 19:8) เครื่องหมายชี้บอกถึงการสํานึ ก ผิดที่แทจริง คือ ความตั้งใจที่จะ ทําการชดเชย คือ จะทําดีขึ้นและ เปลี่ยนไปในทางที่ดี ศัก เคียสได กระทําดี คือ ตัดสินใจเปลี่ยนโดย ทํ า การอุ ทิ ศ ตน “ข า พเจ า จะยก ทรั พ ย ส มบั ติ ค รึ่ ง หนึ่ ง ให แ ก ค น ยากจน และถาขาพเจาโกงสิ่งใดของใครมา ขาพเจาจะคืนใหเขาสี่เทา...” ศักเคียสยังไดกระทําเกินกวาขอกําหนดของกฎบัญญัติชาวยิว เรื่องการชดเชย และการชดใช (เทียบ อพย 21:37; กดว 5:5-7) การกระทําของเขานั้นมิใชแครูสึก เสียใจเฉยๆ เทานั้น แตเปนการกลับใจที่แทจริง คือ 180 องศาเลย เขามิไดคํานึงถึง ราคาชดเชย เขาไดคนพบ “ไขมุกเม็ดงามมีคามหาศาล” คือ พระเยซูเจา เขาจึงไม ตองการสิ่งใดอีกตอไปแลว เหตุผลที่วาทําไมเราจึงหลงผิดบอยๆ เราหลงผิดครั้งแลวครั้งเลาก็เพราะขาดขอ ตั้งใจที่ดี เราทําบาปเดียวกันซ้ําแลวซ้ําอีก จึงไมเปนการเพียงพอที่จะยอมรับวาเราหลง ทางผิดไป เราจํ าต องมี ขอตั้ งใจที่ถูก ตอ งมั่น คง เพื่อ ถือปฏิบั ติตามไปจนตลอดชีวิ ต มิฉะนั้นแลว เราก็จะหลงผิดอยางเคยในแบบเดิมๆ

81


แบบตรวจสอบ 1. หลังจากการฟนฟูจติ ใจแลว ทานตองการปฏิบัติตามสิ่งใดไปจนตลอดชีวิต ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. จากนี้ทานจะไปไหน ทานจะทําสิ่งใดเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. สิ่งใดรบกวนจิตใจทานมากที่สุดในเรื่องเกี่ยวกับอนาคต ทานมีความยุงยากและ กังวลใจในสิ่งใดบาง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. ทานจําตองปฏิบัติตัวเชนใดตอไปในชีวิต ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานมีขอตั้งใจอะไรบาง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….

82


สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................

83


12. การเฉลิมฉลอง พระเยซูเจาตรัสวา “วันนี้ ความรอดพนมาสูบานนี้แลว เพราะคนนี้เปนบุตรของ อับราฮัมดวย บุตรแหงมนุษยมาเพื่อแสวงหาและเพื่อชวยผูที่เสียไปใหรอดพน” (ลก 19:9-10) งานฉลองอันยิ่งใหญของมนุษย นั้ น เริ่ ม ต น ด ว ยก า วที่ เ จ็ บ ปวด กาวของอับราฮัม ของประชากร ในถิ่ น ทุ ร กั น ดาร ของพระเยซู เจาในพระทรมาน เปนการงาย ที่ จ ะจั ด ฉลองก า วต า งๆ ใน สมั ย ก อ นให เ ป น งานฉลองใน ปจจุบันนี้ ดูเหมือนเกลี้ยงเกลา และปราศจากการตอสูดิ้นรนของมนุษย แตในอดีตนั้น ไมใชสิ่งงาย ศักเคียสจําตองไดรับความรูสึกที่เจ็บปวดโดยการสลัดตัวเองออกจาก ทรัพยสมบัติ แตพอเขาเลือกทําเชนนั้นแลว เขาก็เปยมไปดวยความปติยินดี แมวาแตกอนเคยมีความวางเปลาและความทุกขใจ แมวาจะมีอํานาจ ทรัพย สมบัติ และความสนุกเพลิดเพลินก็ตาม เขาไมไดเปนเหมือนเดิมอีกตอไปหลังจากได พบกับพระเยซูเจาเปนการสวนตัว ลึกๆภายในตัวแตละบุคคลนั้นปรารถนาที่จะเปนสุข ความตางนั้นอยูที่วิธีการ พยายามหาทางสนองความตองการเปนสุขอยางลึกซึ้งนี้ ในที่สุดแลว อะไรคือเคล็ดลับ ของความยินดี (Joy) อันแทจริง มันอยูในคํานี้เองคือ J = ขึ้นอยูกับพระเยซูเจาเปนอันดับแรก (Jesus) O = ขึ้นอยูกับผูอื่นเปนอันดับสอง (Others) Y = ขึ้นอยูกับตัวทานเองเปนอันดับสาม (Yourself) ความยินดีที่สมบูรณนั้นจําตองอาศัยพระเยซูเจาในทุกสิ่ง ถาเราเอา “ผูอื่นมา เปนอันดับแรก” เราก็ทําไมถูกตอง ถาเราเอา “ตัวทานเองมาเปนอันดับแรก” เราก็ ทําไมตรงจุด อันดับแรกนั้นตองเปนพระเยซูเจา และพระเยซูเจาเทานั้น จงรักองค พระผูเปนเจา พระเจาของเจา...นี่คือพระบัญญัติประการแรก จงแสวงหาอาณาจักร ของพระเจากอนอื่นใด แลวทุกอยางที่เหลือนั้นจะตามมาเอง 84


ศักเคียสไดรับความรอดพน มิใชเพราะเขาเปนคนดีแตเพราะพระเจาทรงเปน องคความดี ความรอดนั้นมิไดขึ้นอยูกับ “ความเพียรพยายามอยางหนัก” ของเรา แต ขึ้นอยูกับ “การที่เราวางใจอยางมากในพระเจา” สิ่งเดียวที่เราจําตองทําก็คือ ยอมรับ พระเยซูเจาเปนพระเจาและพระผูไถของเราแบบสวนตัว นักบุญออกัสตินไดกลาวไววา “พระเจาผูทรงสรางเรามาโดยปราศจากเรานั้น มิอาจชวยเราใหรอดพนได ถาเรามิให ความรวมมือ ศักเคียสเปดประตูดวงใจของตนและเปดบานตอนรับองคพระผูเปนเจา ดังนั้น “ความรอดพนจึงมาสูบานนี้แลว”

85


แบบตรวจสอบ 1. ทานเชื่อหรือไมวาทานไดรับการชวยใหรอดพนแลว ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. พระเยซูเจาทรงเปนบุคคลสําคัญที่สุด เปนศูนยกลางชีวิตของทานหรือเปลา ทรง เปนผูกระทําใหทุกสิ่งโคจรไปไดกระนั้นหรือ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ทานตองกระทําอยางไรเพื่อยอมรับพระเยซูเจาวา พระองคทรงเปนพระเจาและ เปนพระผูไถของทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. สวนใดในชีวิตที่ทานยังจะตองอุทิศใหกับพระเจา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานจะทําอยางไรเพื่อนําพระเยซูเจา (ความรอดพนของพระองค) ไปสูครอบครัว และเพื่อนๆ ของทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….

86


สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................

87


13. พระคริสตเจาเปนศูนยกลาง พระเจ า ทรงเรี ย กเราให กลั บ ไปหาพระองค เรื่ อ งที่ ต อ งพิ จ ารณามิ ใ ช อ ยู ที่ ว า พระเจ า ตรั ส อะไรกั บ เราใน ปจจุบัน แตอยูที่วาเราพรอม หรื อ ยั ง ที่ จ ะรั บ ฟ ง พระองค พระเจาทรงปรารถนาอยาง ยิ่ ง ที่ จ ะตรั ส กั บ เรา แต เ รา ตองใหความสนใจตอการประทับอยูดวยความรักของพระองค จะกระทําอยางไร

1. สถานที่ (Place) เมื่อ ท า นและเพื่ อ นของท า นต อ งการพู ด คุ ย กั น ท า นคงไม ไ ด ไ ปคุ ย กั น ในโรง ภาพยนตรหรือในงานคอนเสริต ทานตองการความเปนสวนตัว มีบรรยากาศที่ชวยให ทานผอนคลายและมุงความสนใจในกันและกัน การฟงพระคริสตเจาในการอธิษฐาน ภาวนาก็ เ ช น เดี ยวกั น ท า นต อ งหาสถานที่ ที่ เ หมาะสม จริ ง ๆ แล วมี ค วามเป น ไปได มากมายในอันที่จะสวดภาวนาไมวาที่ใด ตั้งแตยอดเขาถึงใตบาดาล อยางไรก็ตาม มี เหตุผลสําหรับเลือกบางสถานที่ซึ่งเหมาะกับการรําพึงภาวนามากกวาที่อื่นๆ สิ่งสําคัญ ก็คือหาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สําหรับตัวทานเอง ที่ซึ่งทานสามารถอยูกับพระเจาไดตาม ลําพัง 2. ลักษณะทาทาง (Position-Posture) ตลอดเวลาหลายศตวรรษที่ผานมานั้น บรรดาอาจารยแหงการภาวนาไดคนพบ ทาทางทางกายภาพหลายอยางที่นําไปสูการอธิษฐานภาวนา ทานตองคนหาทาทางที่ นําไปสูการอธิษฐานภาวนา คือบางอยางที่เหมาะกับตัวทานเปนอยางยิ่ง ทานจะตอง ทดลองวาทาทางใดใชไดดีที่สุดสําหรับทานและเหมาะสมที่สุดสําหรับการอธิษฐาน ภาวนา 88


3. การหยุดชั่วขณะ (Pause) การผอนคลายกับการหายใจเขาลึกๆ คือสองวิธีพื้นฐานของการสวดภาวนาที่ จะนําทานไปสัมผัสกับศูนยกลางของทานในการเตรียมเพื่อสื่อสารกับพระเจา หลับตา และลืมสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวทาน เพียงทําตัวทานเองใหสงบนิ่งเทานั้น 4. การประทับอยูของพระเจา (Presence) การตระหนักถึงการประทับอยูของพระเจาเปนทั้งเปาหมายและผลที่เกิดจาก องค ป ระกอบทั้ ง หมดของการอธิ ษ ฐานภาวนา การตระหนั ก เช น นี้ ยั ง รวมถึ ง ขี ด ความสามารถในการรับฟงพระเจา ในการเขาใจสิ่งที่พระองคทรงเผยแสดงใหทานใน การอธิษฐานภาวนา นึกถึงภาพของพระเจาที่ทานชอบ สงบอยูในความรักของพระเจา ที่ทรงประทับอยู คิดถึงพระเจา 5. อธิษฐานภาวนา (Pray) ขณะที่ทานมีประสบการณการประทับอยูของพระเจานั้น พูดคุยกับพระองค จากจิตใจของทาน และวอนขอพระองคใหตรัสกับทาน 6. เขียนบันทึกไว (Pen it) ไมวาสิ่งใดที่เกิดขึ้นในจิตใจทาน ใหเขียนบันทึกไว พระองคกําลังตรัสอยูกับทาน บันทึกสิ่งที่ทานไดรับ “ดวยความเชื่อ” เชื่อวาเปนสารของพระเจา 7. สรรเสริญพระองค (Praise) ขอบคุณในการประทับอยูของพระเจา โดยเฉพาะอยางยิ่ง ขอบคุณเปนพิเศษ สําหรับสารที่ทรงมอบใหทาน

ขอบพระคุณ พระเยซูเจา 89


จดหมายรักของพระเจา ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... .....................................................................

90


14. บทสรุป คําโบราณที่วา “ถาทานไมรูวากําลังจะไปไหน ทุกๆ ทางจะนําทานไปถึงที่นั่น” แสดงใหเห็นถึงความสําคัญของการตั้งเปาหมาย เพื่อที่จะรวมพลังของทานอยางมี ประสิทธิภาพ อยางนอยทานตองมีความคิดที่วาทานตองการจะไปไหน เปาหมายถาม วา “ฉันตองการอะไร จากนี้ฉันจะไปไหน” เปนรูปแบบการตั้งชื่อ ทานตั้งชื่อใหสิ่งใด สิ่ ง นั้ น ก็ เ ป น เช น นั้ น จุ ด หมายปลายทางของท า นก็ เ ป น เพี ย งอี ก จุ ด หนึ่ ง บนแผนที่ จนกระทั่งทานเลือกมัน เปาหมายเปนศิลปะของการเรียกชื่อจุดหมายปลายทางของ ทาน คือ ทานตองการจะไปไหน ทานตองการเปนอยางไร ทานตองการทําสิ่งใดให สําเร็จในชีวิต และทานตองการมีสิ่งใดในชีวิต เปนผลตอเนื่องอันสําคัญของการรูจัก ตนเอง ฝกตั้งเปาใหกับตัวทานและเมื่อทานพรอม ทานก็สามารถตั้งทาทีในการดําเนิน ตอไป การติ ด ตามพระเยซู เ จ า นั้ น เป น กระบวนการที่ ย าวไกล เราต อ งพั ฒ นาอยู ตลอดเวลา เมื่อเราไตขึ้นบนที่ราบสูงแหงใหม เราไมตองการเต็นทเพื่อหยุดพักผอน เหมือนกับวาภารกิจเสร็จสิ้นแลว ตรงกันขาม จากที่ราบสูงนั้นเราคนพบทิวทัศนนาทึ่ง ที่เราไมเคยเห็นมากอน และเห็นเสนทางใหมที่จะนําเราขึ้นไปที่ราบสูงมากขึ้นไปอีก นี่ คือความทาทายใหเจริญกาวหนาขึ้นในองคพระคริสตเจา ภารกิจสุดยอดหรือสําคัญที่สุดในชีวิตฝายจิตของเรานั้น มิใชบางอยางในอดีต แตเปนอนาคต เราสามารถมองสิ่งตางๆ ในแงดีอยูเสมอในกระบวนการการเติบโตใน องคพระคริสตเจา โดยการมองไปขางหนาหาสิ่งที่ประเสริฐยิ่งขึ้นไปกวาที่เราเคยมีมา แตกอน ในกระบวนการการเติบโตในองคพระคริสตเจานั้น สิ่งทาทายก็คือ ถาเราไม กาวหนาก็จะถอยหลัง ไมมีการอยูกับที่ ถาเราเผชิญกับสิ่งทาทาย เราจะกาวหนาขึ้น หรือไมก็ถอยหลัง ไมมีทางเปนอยางอื่น ดังนั้นจึงมีคําถามวา เราจะกาวหนาไปในองค พระคริสตเจาตลอดเวลาไดอยางไร สมเด็จพระสันตะปาปา ยอหน ปอลที่ 2 มีบางอยางงดงามจะบอกเรา เกี่ยวกับ การใชชีวิตที่เหมาะสม “ทานตองกลายอมรับชีวิตอยางที่เปนอยู หมายความวา เมื่อรักใครแลว อยาได เสียดาย อยาเพอฝน จงเชื่อมั่นวาแตละคนนั้นมีพันธกิจของตนที่ตองกระทํา ชีวิตเปน พระพรที่เราไดรับและตองสละเพื่อผูอื่นทั้งในยามสงบหรือในยามสับสน ในยามสงบสุข 91


หรือในความยุงยาก แตก็ยังไมเพียงพอที่จะยอมรับชีวิตอยางที่เปนอยู จําเปนตองมี การเปลี่ยนแปลงชีวิต จากการมีตนเองเปนศูนยกลาง เปนการนึกถึงผูอื่น ดังที่พระเยซู เจาทรงสอนเราไววา “ใหทานทั้งหลายรักกันเหมือนดังที่เรารักทาน” (ยน 15:12) รักทั้งโลกเพราะเราทุกคนเปนพี่นองกันและแตละคนจําตองแบกมวลมนุษยชาติไวใน หัวใจของตน” (L’Osservatore Romano, June 4,1979) รายการตรวจสอบ ถาทานรูวาทานจะตองตายภายในหนึ่ งป ทานจะเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกั บ วิธีการดําเนินชีวิตในปจจุบันนี้ ทานจะทําอยางไรและทําไมจึงกระทําเชนนั้น .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................

92


บันทึก ........................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................. ................................................................................................... ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................

93


บันทึก ........................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................. ................................................................................................... ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................

94


บันทึก ........................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................. ................................................................................................... ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................

95


บาทหลวง ลารรี่ ตัน เปนพระสงฆคณะซาเลเซียน เกิดวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 ที่เมืองอิโลอิโล ประเทศฟลิปปนส เรียนที่โรงเรียนอาชีวดอนบอสโก ซานลอเรนโซ มากาติ จน ไดรับกระแสเรียกเขาบานเณรเมื่ออายุ 12 ป ศึกษาปรัชญาและ เทววิทยาจนไดรับศีลบวชเปนพระสงฆ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1980 ในฐานะพระสงฆซาเลเซียน ไดรับมอบหมายใหรับผิดชอบในโรงเรียนดอนบอส โกหลายแห ง เกี่ ย วกั บ ด า นการศึ ก ษาและการบริ ห าร ได สํ า เร็ จ ด า นการบริ ห าร การศึกษา ระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยอาเทเนโอ มนิลา ไปศึกษาตอดานชีวิตจิต ที่เบอรคเลย สหรัฐอเมริกา และเปนผูอํานวยการสถาบันอาชีวดอนบอสโก ที่มากาติ 8 มิถุนายน 1989 บาทหลวง ลารรี่ ตัน สนใจกลุม Catholic Charismatic Renewal ตั้งแต 1986 เปนผูเทศนฟนฟูจิตใจแกเยาวชนและผูใหญ

96



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.