ศักเคียส
(ลก 19:1-10) 19:1 พระเยซูเจาเสด็จเขาเมืองเยรีโคและกําลังจะเสด็จผานเมืองนั้น 19:2 ชายคนหนึง่ ชื่อศักเคียส เปนหัวหนาคนเก็บภาษี เปนคนมั่งมี 19:3 เขาพยายามมองดูวาใครคือพระเยซูเจา แตก็มองไมเห็นเพราะมีคนมากและเพราะ เขาเปนคนรางเตี้ย 19:4 เขาจึงวิ่งนําหนาไป ปนขึ้นตนมะเดื่อเทศ เพื่อใหเห็นพระเยซูเจา 19:5 เพราะพระองคกําลังจะเสด็จผานไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจาเสด็จมาถึงที่นั่น ทรง เงยพระพักตรขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขาวา ‘ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะ ไปพักที่บานทานวันนี้’ 19:6 เขารีบลงมาตอนรับพระองคดวยความยินดี 19:7 ทุกคนที่เห็นตางบนวา ‘เขาไปพักที่บานคนบาป’ 19:8 ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจาวา ‘พระเจาขา ขาพเจาจะยกทรัพยสมบัติครึ่งหนึ่ง ใหแกคนจน และถาขาพเจาโกงสิ่งใดของใครมา ขาพเจาจะคืนใหเขาสี่เทา’ 19:9 พระเยซูเจาตรัสวา ‘วันนี้ ความรอดพนมาสูบานนี้แลว เพราะคนนี้เปนบุตรของ อับราฮัมดวย 19:10 บุตรแหงมนุษยมาเพื่อแสวงหาและเพื่อชวยผูที่เสียไปใหรอดพน’
การกระทําของพระเยซูเจา หยุด เงยหนา ดูศักเคียส พูด กับศักเคียส เรียก ชื่อศักเคียส บอก ใหศักเคียสรีบลงมา ขอ ความเห็นพองจากศักเคียสวาจะไปที่บาน พัก ที่บานของศักเคียส รับประทานอาหาร กับศักเคียส
ตองการ รับรูถึงความสําคัญของความตั้งใจ ยกยองชมเชย การสื่อสารกัน ยอมรับสถานะที่เขาเปน การยอมรับ เชื่อในความดี มิตรภาพ มิตรภาพ การเฉลิมฉลอง
หนังสือ ศักเคียส Nihil Obstat บาทหลวง เปาโล สุรชัย ชุมศรีพันธุ Imprimatur พระคารดินลั ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู พระอัครสังฆราชแหงอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ กรกฎาคม 2008 พิมพครั้งที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 / พ.ศ. 2551 จํานวน 1,000 เลม จัดพิมพโดย แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ 57 ซ.โอเรียนเต็ล บางรัก กรุงเทพฯ 10500 โทร 0-2237-5276, 0-2233-0338 โทรสาร 0-2233-8159 E-mail : ccbkk@catholic.or.th พิมพที่
โรงพิมพอัสสัมชัญ 51 ซ. โอเรียนเต็ล บางรัก กรุงเทพฯ 10500 โทร. 0-2233-0523 โทรสาร 0-2235-1045 บาทหลวงวรยุทธ กิจบํารุง ผูพิมพ/โฆษณา บาทหลวงสุพจน ฤกษสุจริต ผูจัดการ
จัดจําหนาย
ศูนยหนังสืออัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ 57 ซ.โอเรียนเต็ล บางรัก กรุงเทพฯ 10500 โทร 0-2630-6820-4
2
คํานํา การอบรมเยาวชนดานศีลธรรมเปนสิ่งสําคัญ เพื่อชวยใหพวกเขาเปนคนเกง ดี และมีความสุข ในยุคขอมูลขาวสารโลกาภิวัตน เมื่อมีพระสงฆ นักบวช และครูชวยกันจัดการฟนฟูจิตใจ การชุมนุมเยาวชน หรือแมสําหรับผูใหญเปนสิ่งที่ดี โดยเฉพาะอยางยิ่งในปพระวาจา – ปนักบุญเปาโล (28 มิ ถุ น ายน 2008 – 29 มิ ถุ น ายน 2009) และพั น ธกิ จ ของพระศาสนจั ก รใน ประเทศไทย “มุงอุทิศตน ฟนฟูชีวิตใหสนิทกับพระคริสตเจาโดยอาศัยพระวาจา และศีลศักดิ์สิทธิ”์ ศูนยคริสตศาสนธรรมกรุงเทพฯ ไดดําเนินการแปลผลงานของคุณพอลารรี่ ตัน คณะซาเลเซียน ชาวฟลิปปนส ดังตอไปนี้ 1. แสงแหงหวัง พลังแหงรัก (Come and Shine) เมษายน 2003 2. เบิกบานใจในพระคริสต (Come Alive) สําหรับผูใหญ เมษายน 2004 3. ชุมนุมครอบครัวในวันสุดสัปดาห (Family Encounter Weekend) กรกฎาคม 2004 หนังสือศักเคียส (Zacchaeus) เปนหนังสือที่ดีมากเลมหนึ่ง มี 14 บท ในการ ไตรตรองพระวาจา ลูกา 19:1-10 ชวยใหเราเขาใจพระเยซูเจา และศักเคียส ยิ่งขึ้น และประยุกตกับชีวิตของเราเอง นักบุญเปาโลไดรับพระพร พบพระเยซูเจา และเปลี่ยนแปลงชีวิต (กจ 9; 22; 26 และ กท 1:11-24) เปนอัครธรรมทูตฉันใด ผมหวั ง ว า ทุ ก ท า นที่ ใ ช ห นั ง สื อ เล ม นี้ จะพบพลั ง ชี วิ ต เป น ธรรมทู ต ใน ครอบครัว และชุมชนของทานเชนกัน บาทหลวง วีระ อาภรณรัตน ศูนยคริสตศาสนธรรมกรุงเทพฯ 29 มิถุนายน 2008
3
4
สารบัญ จุดประสงคการฟนฟูจิตใจ บันทึกการฟนฟูจิตใจ องคประกอบตางๆ ของประสบการณการฟนฟูจิตใจแบบศักเคียส หลักปฏิบัติ 10 ประการสําหรับผูนํา บทที่ 1 ความกังวลในปจจุบัน ความใสใจ วิกฤติ แบบตรวจสอบ แบบสํารวจ สนทนากับพระคริสตเจา บทที่ 2 โอกาส เหตุบังเอิญ การติดตอ แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา บทที่ 3 ความอยากรูอยากเห็น ความปรารถนาอยางแรงกลา แบบตรวจสอบ แบบสํารวจ สนทนากับพระคริสตเจา บทที่ 4 การริเริ่มสรางสรรค แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา บทที่ 5 ไดรับเรียกและไดรับเลือก แบบตรวจสอบ แบบสํารวจ สนทนากับพระคริสตเจา บทที่ 6 ลงมาเถิด แบบตรวจสอบ วงจรของการปฏิเสธ การตรวจสอบสําหรับผูหญิง การตรวจสอบสําหรับผูชาย สนทนากับพระคริสตเจา 5
หนา
7 7 9 11 12 15 16 18 19 21 22 23 25 26 28 29 31 32 33 35 36 38 39 42 43 45 47 49
บทที่ 7
บทที่ 8
บทที่ 9 บทที่ 10
บทที่ 11
บทที่ 12
บทที่ 13
บทที่ 14
การสื่อสาร การสนทนา แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา รูปแบบของการสวดภาวนา การเปลี่ยนแปลง การกลับใจ สิ่งที่มิใชการสํานึกผิด สิ่งที่เปนการสํานึกผิด การเปนทุกขถึงบาปเกี่ยวของกับ แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา การสารภาพบาป วิถีชีวิต : การพิจารณามโนธรรม วงจรการหวงใย แบบตรวจสอบ อโลฮา ถาทานกําลังจะสิ้นใจ แบบสํารวจ เคล็ดลับ 12 ประการ ในการถนอมรัก การอุทิศตน สิ่งทาทาย แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา การเฉลิมฉลอง แบบตรวจสอบ สนทนากับพระคริสตเจา พระคริสตเจาเปนศูนยกลาง จะกระทําอยางไร จดหมายรักของพระเจา บทสรุป รายการตรวจสอบ
6
50 53 54 55 56 58 60 62 64 65 66 67 71 73 74 75 76 78 81 82 83 84 86 87 88 88 90 91 92
ศักเคียส บันทึกการฟนฟูจิตใจ จุดประสงคการฟนฟูจิตใจ
ประสบการณการฟนฟูจิตใจแบบศักเคียส มุงใหผูเขาฟนฟูจิตใจ 1. ไดตระหนักถึงสิ่งที่เรากังวลและหวงใยในปจจุบันและหาวิธีการแกไข 2. ไดรูถึงการแสดงความรักของพระเยซูเจาในชีวิตของศักเคียส และคนพบแนวทาง อันนาพิศวงของพระเจาในชีวิตของตนเอง 3. ไดตอบรับการเรียกของพระเยซูเจาใหเปลี่ยนชีวิตของตนเหมือนอยางศักเคียส ผูที่ ไมเหมือนเดิมอีกตอไปหลังจากไดพบกับพระเจา
บันทึกการฟนฟูจติ ใจ
ผูใชแนวทางแบบเปนมิตร บันทึกการฟนฟูจิตใจนี้มีเจตนาใหเปนแนวทางสวนบุคคลในการเดินทางฝายจิต สูพระคริสตเจา อาจใชเปนการสวนตัว หรือเปนกลุมในการฟนฟูจิตใจ ซึ่งบรรจุตํารา อาหารแหงการเติบโตฝายจิตและเดินไปในพระจิตเจา เปนแบบฝกหัดที่มีการรําพึง ไตร ตรอง และการฝ ก ปฏิ บั ติซึ่ ง มาจากมุ ม มองที่ห ลากหลายในการแบ งป น ที่ ท า น กระทํารวมกับผูอื่น และหาวิธีการแบงปนอยางลึกซึ้งกับตัวเอง จัดใหมีสภาวการณ เฉพาะและเวนระยะใหความคิดและจิตใจสื่อสารตอกันอยางอิสระ การเขียนเปนการ ชวยอยางงายๆ ในการเติบโตภายใน การบันทึกเปนรองรอยที่จับตองไดของความสัมพันธกับตนเอง เปนการกระทํา ที่เสี่ยง เปดเผย ชวยบําบัดรักษาและกลาหาญ เปนการกระทําที่ยอมรับตนเอง เปน ทาทีการตีคุณคาตนเอง คือบอกถึงสิ่งที่ “ฉันเปน” แสดงความรักตนเองดวยการให ความสนใจกับความคิด การกระทําและความรูสึกของตนเอง ในอีกระดับหนึ่ง การเก็บ บันทึกเปนการยกยองความคิดของจิตใจ หวังวาเมื่อทานไดเห็นการไตรตรอง และ 7
ตัดสินใจที่จะกาวไปโดยทางการบันทึกซึ่งเปนเครื่องสะทอนในความใกลชิดอยางลึกซึ้ง มากขึ้นและเชื่อมโยงกับตนเองแลวทานคงจะชอบ การถือตามการบันทึกนี้เปนการใชเวลาฟงตนเอง และรูจักตนเอง เปนเวลาที่ให ความสนใจตอตนเอง ปรับตัวเขากับเสียงเรียกลึกๆ ในตนและในความหวงใยตางๆ สิ่ง ที่ควรจําจากการบันทึกนี้คือไมมีถูกหรือผิด สิ่งที่ทานบันทึกนั้นอาจเปนรองรอยของ การรูจักตนเอง หรือแมกระทั่งความเงียบของทาน การทําตามบันทึกชวยทานให 1. ฝกปฏิบัติและเสริมทักษะในการสังเกตตนเองและรูจักตนเอง 2. มีสวนรวมในการเติบโตและเปลี่ยนแปลงตนเอง 3. บูรณการประสบการณ 4. ฟงเสียงที่อยูลึกๆ ภายในตนเองในแตละชวงเวลา 5. ระบุและมีความชัดเจนในขณะที่เลือก 6. นําความรูสึกสวนตัวในปจจุบันออกมา 7. สรางบรรยากาศแหงการรักตนเอง บันทึกนี้อธิบายถึงสถานที่ปลอดภัย ซึ่งทานสามารถเปดเผย พบปะและรูจัก ตนเอง เขาถึงไดและเปนสวนตัว ในการบันทึกนี้ ทานมีโอกาสแสดงตัวทานเองโดยไมมี การวิจารณถึงความรูสึก หรือความกังวลใดๆ ของใครทั้งสิ้น เปนโอกาสที่จะแสดงออก อย า งอิ ส ระเต็ ม ที่ เป น การเสนอประสบการณ แ ห ง อิ ส รภาพ คื อ ท า นสามารถฝ ก ปฏิบัติการเปนอยู การรูจักและความรักซึ่งเปนแกนแทของตัวทานเอง ทายสุด ในขณะ ที่ทานมีประสบการณการยอมรับตนเอง และรูจักตนเองในบันทึกของทานที่จัดไวอยาง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ แ ล ว จึ ง เป น การง า ยขึ้ น ที่ จ ะนํ า ท า นไปสู ร ะดั บ การเป ด ตนเองและมี ประสบการณในสัมพันธภาพระหวางทาน กับคนอื่นๆ
8
องคประกอบตางๆ ของประสบการณการฟนฟูจิตใจแบบศักเคียส โดยพื้น ฐานแล ว บั นทึ กประสบการณ ก ารฟน ฟู จิต ใจแบบศั กเคี ยส เป นการ คอยๆ ไตรตรองเรื่องของศักเคียสตามรูปแบบดังตอไปนี้ 1. เนื้อหา ความคิด บริบท เป น การเสนอความคิ ด และบรรจุ ก ารรํ า พึ ง แบบพื้ น ฐานถึ ง เรื่ อ งชี วิ ต ของศักเคียส และสามารถนํามาประยุกตใชกับชีวิตของทานไดอยางไร 2. แบบทดสอบ ประกอบดวยคําถามตางๆ ที่เกี่ยวของกับหัวขอเพื่อใหแตละบุคคลไตรตรอง ประยุกตเขากับชีวิตของตน คําตอบตางๆ ที่ไดมานั้นจะเปนแหลงที่ใหความคิดเห็นและ การยอมรับมากขึ้น 3. การประสานเชื่อมโยง เปนการแบงปนการไตรตรองและความรูสึกในความเชื่อและความรักใหกับกลุม ก) โดยการฟงพระวาจาของพระเจา ข) โดยการแบงปนประสบการณชีวิต ค) โดยการสงเสริมใหแตละคนนําไปใชในชีวิต ง) โดยการอธิษฐานภาวนารวมกัน เปาหมายหลักของการแบงปนคือ การรับฟงกันและกัน มิใชกลุมศึกษา หรือ กลุ ม สนทนา ดัง นั้น จึง ไม ควรมีก ารตัด สิ นคํ าตอบของผูอื่ น เปา หมายคื อเพื่อ ให ไ ด ความรูสึกมีสวนรวมของกลุม โดยการรับฟงสิ่งที่สมาชิกอื่นๆ ของกลุมไดพบจากการ ไตรตรองของเขา 4. แบบตรวจสอบ เปน การช วยให เข าใจลึ กซึ้ งถึ งเกณฑวา ทา นอยูจุ ดใดเมื่อ พิจ ารณาเรื่ องที่ไ ด ไตรตรอง คือการคนพบตนเองของแตละบุคคล 5. การสนทนา เปนการตอบรับแบบสวนตัวของทานกับพระคริสตเจาโดยทางการสวดภาวนา ใชเวลาไตรตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับทานในขณะภาวนา
9
ประเด็นหลักของประสบการณการฟน ฟูจิตใจแบบศักเคียส เปนการเกิด ความจริงประการหนึ่งคือ หลักความหวัง ถาศักเคียสผูเปนคนบาปหนา ไดพบความ รอดโดยอาศั ยพระคริ สตเจา ดังนั้ น ท านเองก็ สามารถพบไดเช นกัน สิ่ง ทาทายขั้ น พื้นฐานก็คือ ถาศักเคียสทําได ทําไมฉันจะทําไมได ดังที่ทานกับขาพเจาไดขามผาน แตละเสนทางของประสบการณการฟนฟูจิตใจแบบศักเคียส ขาพเจาหวังเปนอยางยิ่ง วาทานจะสามารถคนพบความปติยินดีสูงสุดแบบศักเคียส คือการยึดมั่นในองคพระ เยซูเจาในทุกสิ่งทุกอยาง คือไมมีอะไรมากเกินไปกวานั้น ไมมีอะไรนอยไปกวานั้น ไมมี อะไรอื่นใดทั้งสิ้น ขณะที่ทานกระทํานี้ ขอใหทานไดรับประสบการณแหงความปติยินดี ทั้งครบมากขึ้นและใหทั้งหมดนี้เปนความปติยินดี ขณะที่ทานรูสึกสบายกับการไดพูดออกมาอยางอิสระ ทานอาจเลือกที่จะขยาย บัน ทึ กของท า น รวมไปถึ ง การไม ใ ชคํ า พู ด หรือ การวาดภาพ หรื อ การตัด ภาพจาก นิตยสาร ภาพถายที่ประทับใจ การเขียนเรื่องที่ออกมาจากใจ การติดปะดอกไม ปอย ผม ใบไมหรือขนนก หลายครั้งภาพเหมือนเหลานี้จะชวยดลใจใหเขียนไดมากขึ้น บันทึก เปนการไตรตรองการดําเนินชีวิตที่สมบูรณ ซับซอนและสับสน และไมจําเปนตองยึด เอาแตการใชคําพูด แบบฝกหัดเลมนี้มอบใหทานใชเปนการสวนตัว แผนเปลานั้นจัดไวใหทานเขียน เพิ่มเติม ถาทานตองการเพิ่มอีก ใหเพิ่มกระดาษเปลา ใหทานรําพึงไตรตรองตอไป หรือเพียงใชกระดาษเปลาเขียนความเห็นสวนตัวของทานลงไปก็ได ดังนั้น ดูเหมือนการทําแบบฝกหัดบันทึกฉบับนี้กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้ง ยิ่งใหญ คือการหาสิ่งใหมๆ มาใชในการฟนฟูจิตใจ ขอใหใชบันทึกฉบับนี้เปนการเริ่มตน หาบันทึกอันหนึ่งที่ทานชอบ และดําเนินการเปลี่ยนแปลงจิตใจทาน ขอใหลงมือกระทํา เทานั้น
10
หลักปฏิบัติ 10 ประการสําหรับผูนํา 1. รักษาความลับ สิ่งที่พูดหรือแบงปนกันในกลุมควรใหอยูแตในกลุมเพื่อเสริมสราง ความไววางใจ 2. นั่งชิดๆ กัน สมาชิกกลุมควรมองเห็นกันไดทุกคน การนั่งเปนวงกลมดีที่สุด 3. ประสานสายตา ใหมองตรงไปที่บุคคลที่กําลังพูดแบบตามองตา 4. อยาให คําแนะนํา บุ คคลตอ งการแกปญหาของตนเอง ในสถานการณแบบนี้ คําแนะนําชวยอะไรไมได 5. ฟงอยางตั้งใจ ในกลุมตางๆ ผูนําควรใชเวลา 95 เปอรเซ็นต ในการฟง และใช คําตอบแบบตอเนื่อง 6. อยากลัวความเงียบ ปลอยใหเกิดความเงียบ เปนการสรางสรรคและกดดันใน ตัวเอง ดีกวาจะกดดันใหคนในกลุมพูดแบงปนออกมา 7. หลีกเลี่ยงการพูดเกี่ยวกับชีวิต หรือปญหาของทานเอง กลุมมิใชสถานที่ใหพูด เรื่องของตัวทาน ทานอยูที่นั่นเพื่อผูอื่น 8. ไม ใ ช คํ า พู ด ที่ เ ป น การบอกใบ ให สั ง เกตว า บุ ค คลนั้ น รู สึ ก ผ อ นคลาย หรื อ ประหม า ดู ว า พวกเขามี ท า ที คั ด ค า นหรื อ ถู ก กดดั น อย า งไร ให ค วามสนใจต อ ความรูสึกของบุคคลมากกวาคําพูดของเขา บอยครั้งคําพูดเปนฉากกันความจริง ที่อยูภายใน 9. มุงความสนใจไปยังประเด็นตามวาระที่บุคคลนั้นพูด อยาขามประเด็นไปมา อยาปลอยใหบุคคลนั้นคางคาใจ 10. การสัมผัส ใชพลังบําบัดดวยการสัมผัส ถาบุคคลหนึ่งเกิดอารมณเสีย การสัมผัส ทางกายอาจชวยได จากบุคคลที่อยูใกลเคียง อาจเปนการกุมมือ สัมผัสแขนหรือ ไหล หรือการโอบกอด สุดแทแตความเหมาะสม “ปกมือ” ก็จะเปนประโยชน ขึ้นกับสถานการณ
11
1. ความกังวลในปจจุบัน - ความใสใจ - วิกฤติ เยริโค เปนเมืองที่มั่งคั่งและมีความสําคัญเมือง หนึ่ ง มีป าปาล ม ขนาดใหญ แห งหนึ่ง และมีส วน ยางไมหอมที่รูจักกันทั่วโลก สงกลิ่นหอมไปไกล เปนไมลๆ มีสวนกุหลาบกวางใหญมากมาย ผูคน เรียกวา “นครตนปาลม” เรื่องศักเคียสเปนเรื่องเกี่ยวกับการคนพบ เรื่องเกี่ยวกับความรัก ในเรื่องนี้มีชายผูหนึ่งที่มี ทุกสิ่งทุกอยาง แตรูอยูในใจวาตนไมมีอะไรเลย มี ความวางเปลาอยูภายในที่แสนเจ็บปวด และความวางเปลานั้นกัดกินจิตใจเขา ตองมี อะไรมากกวานั้นในชีวิต แตคําถามมีอยูวา มันคืออะไร มีบางอยางขาดหายไปใน “ชีวิต อันมั่งคั่ง” ของศักเคียส จิตใจเขาสับสน หรือตกอยูในสภาพวิกฤติ การไดพบกับพระ เยซูเจาเปนการจัดไวไดเหมาะสม และเปนเวลาที่เหมาะ ในสมัยของพระเยซูเจานั้น มีคนอยูสองประเภทที่ถือวาเปนคนบาปหนา คือ หญิงโสเภณี และคนเก็บภาษี คนพวกนี้มีบทบาทสําคัญโดดเดนเปนพิเศษในพระวร สารของนักบุญลูกา พวกเขาเปนตัวแทนผูคนที่สังคมรังเกียจ ขาวดีของพระเยซูเจาดู เหมือนจะมุงไปที่คนพวกนี้เปนพิเศษ พระองคเสด็จมามิใชเพื่อคนสบายดี แตเพื่อคน เจ็บปวย และพระองคเองก็ยังเสด็จมาใหเปนที่รูจักกันวาเปน “นักกินนักดื่ม เปนเพื่อน คนเก็บภาษีและคนบาป” (ลก 7:34) ศักเคียสเปนคนเก็บภาษีคนหนึ่ง นักบุญลูกาแนะนําเขาเหมือนบุคคลที่นอยคน จะแตะตอง เขาเปนบุคคลที่มีชื่อเสียงในหมูของเขาซึ่งไมใชคนดีมากนัก เขาไดรับการดู ถูกและรังเกียจ เพราะวาคนเก็บภาษีนอยนักที่จะไมกินสินบนและรวมมือกับชาวโรมัน เขาเปนชาวยิวคนหนึ่งที่ไมนาไววางใจ เพราะเขาคบหากับชาวโรมัน และดูเหมือนจะหา เงิ น นอกระบบที่ จั ด ไว บรรดาคนเก็ บ ภาษี ถู ก ถื อ ว า เป น คนทรยศต อ ชาติ ข องตน เพราะพวกเขาสรางความร่ํารวยดวยการทํางานใหกับรัฐบาลในอาณานิคมของกรุงโรม ดังนั้น จึงเปนการทรยศตอชนชาติของตน ศักเคียสเปนหัวหนาคนเก็บภาษีและเปนคนร่ํารวยมหาศาล เขาเปนตัวจักร สําคัญที่ถือวาเปนคนบาปหนา แตทั้งๆ ที่เขามีตําแหนง อาชีพ และความเพลิดเพลินที่ 12
ไดจากการเปนคนร่ํารวย มีบางอยางขาดหายไปจากชีวิตของเขา คือมีความอางวาง ความตองการ และความวางเปลาในจิตใจ ศักเคียสมีทุกสิ่งทุกอยางที่เขาปรารถนา แต มีอะไรบางอยางที่ตามองไมเห็น มีคนร่ํารวยจํานวนมาก แตมีชีวิตดวยความสิ้นหวัง อยางเงียบๆ อะไรคือวิกฤต ในชีวิตนั้นมีวิกฤตการณบางอยางที่คาดการณได สภาพการณแนนอนที่ทุกคน ดูเหมือนจะตองผาน ยังมีวิกฤตการณบางอยางที่คาดการณไมได วิถีทางที่สิ้นสุดลง ทันที สัมพันธภาพสั่นคลอน คนใกลชิดบางคนเสียชีวิต เกิดการเจ็บปวย สูญเสียความไววางใจ การติดตอที่ลมเหลว การแบงแยก บางครั้ ง ไม มี เ หตุ ก ารณ ใ ดเป น สั ญ ญาณบอกถึ ง การสิ้ น สุ ด เส น ทาง มี แ ต ความรูสึกวิตกกังวล และความกดดัน ความรูสึกวาทุกอยางนั้นไมถูกตอง เมื่อใดก็ ตามที่ แ ต ก อ นบางอย า งเป นไปด ว ยดี แ ต กลั บ หยุ ด ชะงั กลง และไม มีสิ่ ง ใดมาแทนที่ บุคคลผูนั้นอยูในภาวะเปลี่ยนแปลง ศักเคียสรูสึกดีมาตลอด แตในที่สุดเขาตระหนักวา สิ่งตางๆ นั้นมิไดเปนไปอยางเคยอีกตอไปแลว เขาสํานึกวาในชีวิตมีอะไรบางอยางที่ มากกวานั้น (แมเขาไมแนใจวาจะพบไดที่ไหน) แตเขามิไดเพียงแคปลอยใหผานไปวันๆ คํ า ว า “วิ ก ฤติ ” ในภาษาจี น นั้ น มี ส องความหมาย ความหมายหนึ่ ง คื อ เป น “อันตราย” และอีกความหมายหนึ่งคือเปน “โอกาส” คําวาวิกฤติในภาษาอังกฤษนั้น ดูเหมือนจะเนนที่ภัยอันตราย และลดเรื่องโอกาสลงอยางมาก วิกฤติเปนเวลาสําหรับ การเปลี่ยนแปลง เปนเวลาแหงการตัดสินใจเลือกคุณคาบางอยางในชีวิต และความ ตายที่แขวนไวอยางสมดุล มีแนวโนมที่จะเขาสูวิกฤติถาบุคคลนั้นปวยอยู แนวโนมเชนนี้ทํากับวิกฤติเหมือน เปนดังโรคภัยไขเจ็บ ดูเหมือนวาคนที่อยูในวิกฤติตองการความชวยเหลือจากคนปกติ เพื่อนําเขากลับมาใหหายดังเดิม อยางไรก็ตาม วิกฤติเปนโอกาสพิเศษเพื่อการเติบโต เป น เวลาที่ เ ป ด โอกาสให ข จั ด สิ่ ง เดิ ม ๆ ที่ ทํ า ให ไ ม เ จริ ญ อี ก ต อ ไป จุ ด ดั บ ในชี วิ ต อาจ 13
กลายเปนจุดเปลี่ยนแปลง เปนการเริ่มนําสูการเปลี่ยนแปลงที่จําเปน ผูคนไมปฏิบัติตามรูปแบบในอดีตเฉพาะเมื่อจําเปนเทานั้น ถาไมมีประสบการณ เมื่อถึงที่สุดของชีวิต และความคับของใจ ก็คงไมมีใครคิดหาสิ่งใหม การเกิดสิ่งใหมกับ การตัดขาดจากสิ่งเดิมๆ อยางไมคาดหวังนั้นชวยใหชีวิตพนหายนะ และมีความหวัง ศักเคียสไดเผชิญกับจุดดับในชีวิตเขา เขามีทุกสิ่งทุกอยาง แตเปนกําแพงวาง เปลา เขามาถึงจุดหนึ่งในชีวิตที่คําตอบเดิมๆ นั้นใชไมไดแลว เขาตองการคําตอบ ใน ภาวะวิกฤติ เรายังสามารถสัมผัสทอธารของชีวิตลึกๆ ภายในตัวเรา ทอธารซึ่งเราไม เคยรูวามีอยูในตัวเรา บันทึกของมารกอส ในนิตยสารเอเชีย วีค (Asia week) ฉบับหนึ่ง มีบทความเกี่ยวกับ “บันทึก ประจําวันของมารกอส” ในชวงปแหงกฎอัยการศึกอันวุนวายนั้น อดีตประธานาธิบดี เฟอรดินาน มารกอส ไดเก็บบันทึกเหตุการณตางๆ ของตนเองไว ขอความที่ตัดตอนมา นี้ใหการมองอยางผิวเผินซึ่งหายากในความคิดของบุคคลซึ่งมีจิตใจเขมแข็ง วันที่ 5 มกราคม ค.ศ.1970 เปนวันครบรอบ 5 ปของการเปนประธานาธิบดี ของเฟอรดินาน มารกอส เขาเขียนบันทึกประจําวันไววา “ขาพเจาเปนบุรุษผูมีอํานาจสูงสุดในประเทศฟลิปปนส ทุกสิ่งที่ขาพเจาฝนไวนั้น ขาพเจาไดมาทั้งหมดแลว ที่แนๆก็คือ ขาพเจามีทุกสิ่งที่ตองการในชีวิต คือ มีภรรยาที่นารักและเปนคูเคียงขางในสิ่งตางๆ ที่ขาพเจากระทํา มีลูกๆ ที่ฉลาด ซึ่งจะนําชื่อเสียงมาใหขาพเจา ชีวิตดําเนินไปดวยดีทุกอยาง แตขาพเจายังไมพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู ถึงแมเขาจะกุมอํานาจเอาไวไดทั้งหมด แตก็ยังมีความรูสึกถูกรบกวนดวยความ วางเปลาที่กัดกินจิตใจเขา มีความรูสึกบางอยางผิดปกติ มีสวนประกอบของชีวิตที่ขาด หายไป คือความรูสึกไมพอใจ จะยอมรับหรือไมก็ตาม เราทุกคนตางก็แสวงหาสันติสุข และความปติยินดี เราทุกคนตองการที่จะเปนสุข แตคําถามมีอยูวา แลวเราเปนสุข หรือยัง นักบุญออกัสตินเคยกลาวไววา “ขาแตองคพระผูเปนเจา พระองคทรงสรางเรา มาเพื่อพระองค และจิตใจของเราจะไมไดพักผอนจนกวาจะไดพักผอนอยูในพระองค” ถึงแมวาเราจะมีทุกสิ่งทุกอยาง ถาเราไมมีพระเยซูเจา เราก็เหมือนไมมีอะไรเลย 14
แบบตรวจสอบ 1. ในขณะนี้ทานมีความสุขหรือไม ทําไมจึงมี ทําไมจึงไมมี เกิดอะไรในชีวิตทานใน ขณะนี้ ทานมีคําถามอะไรบางหรือเปลา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. บรรยายถึงวิกฤติที่ทานประสบมา มีอะไรขาดหายไปในชีวิตทาน เขียนบรรยายถึง ความเปลี่ ย นแปลงต า งๆ ที่ เ กิ ด จากวิ ก ฤติ นั้ น และท า นรู สึ ก อย า งไรกั บ การ เปลี่ยนแปลงนั้นๆ ปจจุบันนี้ทานรูสึกอยางไร ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ทานรูสึกอยางไรในเวลานี้ ทานตองการสิ่งใด มีความกังวลใจใดบาง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. มีสิ่งใดรบกวนจิตใจทาน ปญหายุงยากที่สุดของทานเวลานี้คืออะไร ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานชอบสิ่งใดในชีวิตของทานมากที่สุด ทานรูสึกอยางไรกับเรื่องนี้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….
15
แบบสํารวจ แบบสํารวจนี้อาจชวยใหความเปนอยูของทานดีขึ้นในสองวิธี คือ 1. เปนเครื่องมือชวยใหคนพบตนเอง สามารถชวยทานประเมินสถานภาพปจจุบันได อยางรวดเร็ววาทานมีจุดเดนและจุดดอยในการปรับตัวยอมรับวิกฤติการสูญเสียใน ชีวิตทานไดอยางสรางสรรค 2. เสนอทางเลือกสําหรับใชในการพัฒนาการวางแผนสวนตัวเพื่อเพิ่มความเหมาะสม ในขอบเขตที่สําคัญแกชีวิต ขอแนะนํา เติมคําตอบใดคําตอบหนึ่งไวดานหนาแตละรายการตรวจสอบขางลางนี้ ดี = ขาพเจาทําไดดีมาก พอใช = ฉันทําไดเปนที่นาพอใจ แตยังมีบางอยางที่จะตองปรับปรุง ตองปรับปรุง = ขาพเจาตองปรับปรุงในเรื่องนี้อยางจริงจัง
.......... 1. เมื่อเกิดปญหายุงยากขึ้น ฉันดูแลตัวเองไดดีทั้งทางกายและทางอารมณ แตยังตองการผูอื่นมาชวยดูแล .......... 2. เมื่ออนาคตดูเหมือนจะมืดมน แตละครั้งฉันใชเวลาเปนชั่วโมง ฉันไมยอม ปฏิเสธปญหาหรือสิ้นหวังเปนเวลานานๆ ฉันรูวาจะมีความหวังขึ้นใหม ฉัน กระทําสิ่งที่สามารถปรับปรุงไดทีละเล็กทีละนอย .......... 3. ฉันสามารถแสดงความรูสึกเจ็บปวดทรมานทั้งหมดออกมาโดยระบายออก ทางคําพูด ซึ่งทําใหรูสึกผอนคลายลง .......... 4. ฉั น จะไม ป ล อ ยให เ สี ย พลั ง ที่ ส ร า งสรรค ไ ปโดยเปล า ประโยชน เ ป น เวลานานๆ เมื่อเกิดการสูญเสีย เพราะฉันรูวาเปนสวนหนึ่งของชีวิตทุกคน โดยทั่วไป .......... 5. ฉันมีความกลาที่จะขอการชี้แนะจากผูเชี่ยวชาญ จิตตาภิบาล เมื่อฉันรูสึก วาถูกทําลายจากภาวะวิกฤติหรือจากการสูญเสีย .......... 6. ฉั น ค น พบวิ ธี ก ารช ว ยเหลื อ ผู อื่ น ให พ น ภาวะวิ ก ฤติ หรื อ การสู ญ เสี ย ที่ คลายคลึงกับของฉัน
16
.......... 7. ฉั น คาดการณ ล ว งหน า ถึ ง ความโศกเศร า เพื่ อ ช ว ยเตรี ย มตนเองในสิ่ ง ที่ คาดการณไวหรือการสูญเสียที่ดําเนินไป อยางเชน คนรักเจ็บปวยถึงขั้นจะ เสียชีวิต หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญในชีวิต .......... 8. ฉั น ได เ รี ย นรู ก ารค น หาความบรรเทาฝ า ยจิ ต และความหมาย แม ใ น สถานการณอันนาเศราที่ดูเหมือนวาไมยุติธรรม ถารูสึกวาความเชื่อเดิม ของฉันถูกทําลาย ฉันสามารถยืนหยัดอยูไดจนกระทั่งชีวิตฝายจิตไดรับ การฟนฟูขึ้นใหมอยางชาๆ .......... 9. หลังจากไดปรับปรุงแกไขดัดแปลงแลว ฉันใหอภัยตัวเอง และยอมรับการ ใหอภัยจากพระเจา สําหรับการมีสวนในวิกฤติและความสูญเสียที่เกิดขึ้น .......... 10. เมื่อฉันประสบวิกฤติอยางหนัก ฉันยังคงรับประทานอาหารและพักผอนได อย า งเพี ย งพอ แม จ ะรู สึ ก ไม อ ยากทํ า ก็ ต าม ฉั น ยั ง ได พ ยายามหลี ก หนี หลุมพรางที่หลอกลอใหขจัดความเจ็บปวดดวยการดื่มเหลา เสพยา หรือ หนีทุกขดวยการทํางานอยางบาคลั่ง .......... 11. ฉันไดหลีกเลี่ยงที่จะตัดสินใจเรื่องสําคัญๆ เทาที่จะทําได ในขณะที่ยังคง สะเทือนตอวิกฤติหรือเกิดการสูญเสียที่เกิดขึ้น .......... 12. ตามปกติฉันสามารถแกปญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นทีละอยาง และคอยๆ กระทํา ดีก ว า ปล อ ยให ป ญหาทุ ก อย า งชะงั กงั น กลายเป น ปญ หาที่ เ กี่ ย วพั น กั น อยางยุงเหยิง .......... 13. ถาฉันไดรับประสบการณความสูญเสียหรือปญหาที่สังคมประณาม เชน การสูญเสียที่เกิดจากการฆาตัวตาย การเกิดตั้งครรภ ฯลฯ ฉันมีวิธีการ จัดการดวยการใชวิจารณญาณ และไมไดรับความชวยเหลือจากสังคม .......... 14. ในการเรียนรูจากสิ่งที่มิไดคาดหวังนั้น ฉันผานวิกฤติดวยการคนพบวาฉัน สามารถเอาตัวรอดไดจากสิ่งที่ฉันไมคาดคิดวาจะรอด การใชสิ่งที่ทานคนพบ ตรวจดูคําตอบตางๆ ของทาน และดูวาสิ่งใดคือจุดแข็งและจุดออนของทานใน การแกไขวิกฤติและความสูญเสียตางๆ ใหสังเกตคําตอบที่ใสวาตองปรับปรุงหรือพอใช วาขอใดที่ทานรูสึกวาสําคัญที่สุด สิ่งเหลานี้คือ “เขตที่ตองเติบโต” เปนบริเวณที่ทาน สามารถเพิ่มการปรับปรุงวิกฤติเพื่อประโยชนของตัวทานเอง บันทึกแนวคิดที่ทานสนใจจะทําการแกไขตามความจําเปนและตามโอกาส 17
สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................
18
2. โอกาส เหตุบังเอิญ การติดตอ “พระเยซูเจาเสด็จเขาเมืองเยริโค และกําลังจะเสด็จผานเมืองนั้น” (ลก 19:1) เรื่องราวของชีวิตคือสิ่ง ที่ ฝ ง ติ ด ซึ่ ง มาจากผล ของโอกาสในการ พบปะ การพลาดรถไฟ การเป ด หนั ง สื อ ไปพบ ตอนที่มีความหมายเขา ตอนหนึ่ง การเปดแงม ประตู การแอบได ยิ น การสนทนา การสบตา กันในหองที่เต็มไปดวยผูคน ในชีวิตนั้นไมมีเหตุบังเอิญ ไมใชอุบัติเหตุ ตอนแรกเรา เพียงมองดูเหตุบังเอิญตางๆ นั้น ขณะที่เรารีบผานไป ไมไดสนใจอะไรมากนั้น แตแลว เราก็ เ ริ่ ม ค อ ยๆ คิ ด ด ว ยการมองดู เ หตุ ก ารณ นั้ น ๆ อย า งลึ ก ซึ้ ง ยิ่ ง ขึ้ น เป ด ใจและ ไตรตรอง เราจึงตระหนักวา ในทุกสิ่งทุกอยางนั้นมีเหตุผลและจุดหมายเสมอ ไมใช เรื่องการพบเจอโดยบังเอิญ ทุกคนที่เขามาในชีวิตเรานั้นมีเหตุผลและมีสารสื่อใหเรา จึงเปนเรื่องสําคัญที่ควรจําไววา ตองไตรตรองดูผูคนที่เราจําตองกระชับสัมพันธไว ไม มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ พระเยซูเจากําลังเสด็จผานเมืองเยรีโค เปนครั้งแรกที่พระเยซูเจากับศักเคียส เดินสวนทางกัน เปนเหตุบังเอิญที่มีความหมายอยางยิ่ง พระเยซูเจาเสด็จมาพอดีใน ชวงเวลาสําคัญยิ่งในชีวิตของศักเคียส ในขณะที่เขาสับสน เขากําลังคนหาความหมาย ของชี วิ ต ในสมั ย ของพระเยซู เ จ า นั้ น มี เ หตุ ก ารณ ที่ ค ล อ งจองกั น ทุ ก เหตุ ก ารณ อั น นําไปสูการพบปะกันอยางมีความหมายระหวางศักเคียสกับพระเยซูเจา เหตุการณที่ คลองจองกันตางๆ นั้นดูเหมือนจะเกิดขึ้นยามที่เราตองการมากที่สุด คงจะเปนการดี ซึ่งอยูในขั้นของการเปลี่ยนแปลง ความไมแนใจ ความสับสน ความผิดหวัง และความ สับสนวุนวาย ซึ่งเปดโอกาสใหแสดงบทพระเอก ความมืดมากอนรุงอรุณมิใชหรือ ใน กิจวัตรประจําวันและในความทาทายตางๆ เราสามารถพบกับอํานาจลึกลับของพระ เจา เหตุบังเอิญที่ไมนาเชื่อก็ดูเหมือนจะสงเราไปในทางใดทางหนึ่ง 19
เรามนุษยนั้นเปนสิ่งสรางที่เปนจิต ซึ่งมีชีวิตอยูตามความหมาย ในความหวัง และความเชื่ อ เกี่ ย วกั บ สิ่ ง ที่ สํ า คั ญ สุ ด ท า ยในตั ว เราเองและในโลก ถ า ปราศจาก ความหมายและจุดหมายแลว เราคงหลงทาง ตามมาตรฐานฝายโลกแลว ศักเคียสเปน “ความสําเร็จ” ที่นาทึ่ง แตเขาก็ยัง เผชิญ กั บวิ ก ฤติ ชี วิต ที่ทุ ก ขเวทนา เขาดิ้ นรนตอ สู วิก ฤติ ชี วิต เพื่อ หาความหมายและ ประเด็นสําคัญๆ เมื่อเขารูสึกวางเปลา เขาจึงพรอมที่จะพบกับพระเยซูเจา การฟ นฟู จิต ใจคือ พระเยซูเ จา ผา นเขา มาในชีวิ ตของเรา เป นเวลาแหง พระ หรรษทาน เปนพระเยซูเจาที่ทรงเคาะในใจเรา ตองมีเหตุผลวาทําไมเราจึงมาอยูที่นี่ สําหรับพระเจานั้นไมมีอุบัติเหตุ เชนเดียวกับความวางเปลาของศักเคียสทําใหเขาได คนพบพระเยซูเจา ดังนั้น เราจึงตองทําตัวเราเองใหวาง เพื่อจะไดสามารถใหพระเยซู เจาทรงเติมหัวใจของเราดวยความรักของพระองค
20
แบบตรวจสอบ 1. การฟนฟูจิตใจนี้แสดงใหทานเห็นอะไรบาง มีประเด็นอะไรสําหรับทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ทานรูสึกอยางไรเกี่ยวกับการพบปะกับพระเยซูเจาแบบนี้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. การฟนฟูจิตใจนี้เปนเรื่องสําคัญมากนอยเพียงใดสําหรับทาน ทานตองทําอะไรให ชีวิตของทานวางเพื่อจะพบกับพระเยซูเจา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. มีโอกาสอื่นใดบางที่ทานพบปะกับพระเยซูเจาในชีวิตทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. เหตุการณและเหตุบังเอิญใดที่นําทานมาเขารวมฟนฟูจิตใจครั้งนี้ เหตุการณเหลานี้ บอกอะไรกับทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….
21
สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................
22
3. ความอยากรูอ ยากเห็น - ความปรารถนาอยางแรงกลา “ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เปนหัวหนาคนเก็บภาษี เปนคนมั่งมี เขาพยายามมองดูวา ใครคือพระเยซูเจา แตก็มองไมเห็นเพราะมีคนมากและเพราะเขาเปนคนรางเตี้ย” (ลก 19:2-3) ชื่ อ เสี ย งของพระเยซู เจาคงตองเลื่องลือไป กอ นพระองค สั ง เกต ไ ด จ า ก ศั ก เ คี ย ส ก อ น ที่ จ ะ ไ ด พ บ พระองคเขาไดรับพระ หรรษทานแห ง ความ ปรารถนาที่จะพบพระองค “เพื่อดูวาใครคือพระเยซูเจา” ศักเคียสไดรับแรงบันดาลใจ จากการเริ่มปรารถนาที่จะ “เห็น” พระเยซูเจา เพื่อจะไดมีประสบการณอยางใดอยาง หนึ่งในบุคคลของพระเยซูเจาที่เขาไดฟงเกี่ยวกับพระองค (ความเชื่อเกิดจากการไดฟง) เขากระตือรือรนอยางยิ่งที่จะไดพบพระเยซูเจาจนถึงกับยอมปนขึ้นไปบนตนไม และ ขณะที่เขาพยายามมองดูพระเยซูเจาอยูนั้น พระองคก็ทรงมองเห็นเขา กระบวนการ เชนนี้ชี้บอกถึงสิ่งที่ศิษยแทจริงแสวงหา คือ รูจักพระองคมากขึ้น ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในการพบ กับพระอาจารยเจาผูกําลังเสด็จมาทางนั้น เขาตองการรูวาเพราะอะไรประชาชนจึง กลาวถึงพระเยซูเจาในฐานะอาจารย ผูกระทําอัศจรรยและผูทําการรักษา จิตใจของ เขาไมยอมอยูนิ่ง เขากําลังหาคําตอบใหกับคําถามของเขา และเขาไดพบคําตอบนั้นใน องคพระเยซูเจา ขณะชวงวิกฤติ เราอยูในความมืดเพราะไมรูจะทําอยางไรกับอนาคต เสนทาง เดิมๆนั้นสิ้นสุดลงแลว แตไมเห็นมีเสนทางใหมๆ ศักเคียสกําลังคนหาทางอยูในความ มืด เขาไมรูวาจะทําอยางไรกับชีวิต เขาสํารวจหาทางออก เขามีความอยากรูอยากเห็น โดยธรรมชาติของความอยากรูอยากเห็น คือ การไมรูลวงหนาวากําลังสํารวจหาสิ่งใด ถาผูใดรูลวงหนา ผูนั้นก็คงไมคนหาสิ่งใหมๆ ศักเคียสมิไดคาดการณวาอะไรจะเกิดขึ้น เขาเพียงแตไปที่นั่นเพื่อดูพระเยซูเจา 23
เมื่อเรามองยอนกลับไปยังความมืดมนในชีวิต เราตระหนักวานั่นเปนสวนจําเปน ในการเดินทางของเรา เหมือนกับการตองขจัดสิ่งลวงตาออกไปกอนที่จะรูแจงเห็นจริง เหมือนกับคืนอันมืดมิดของนักบุญยอหนแหงไมกางเขน เหมือนกับการจากไปของ อับราฮัมสูดินแดนที่ไมเคยรูจัก ความมืดเปนครูผูยิ่งใหญที่นําไปสูความอยากรูอยาก เห็น และแลวก็เกิดการคนพบ ในความมืดเทานั้นเราไดเรียนรูที่จะกาวเดินตอไปโดย ปราศจากความรู ในความมืดเทานั้นเราไดเรียนรูจักการไววางใจในสัญชาติญาณของ เราเองวันตอวัน เราเรียนรูถึงความสําคัญของการกาวไปขางหนาโดยไมรูถึงจุดหมาย ปลายทางและไม รู แ น ว า จะถึ ง จุ ด หมายปลายทางหรื อ ไม ถ า เรารอให รู จุ ด หมาย ปลายทางเสียกอน เราอาจไมกาวเดินหนาเลยก็ได ในพระวรสารของนักบุญยอหนนั้น พระเยซูเจาตรัสกับเราวา “ไมมีใครมาหาเรา ได นอกจากพระบิดาผูทรงสงเรามาจะทรงชักนําเขา” (ยน 6:44) พระเจาทรงเปนผูนํา กาวแรกเสมอ พระองคทรงชักนําเรามาหาพระองคเอง แตพระองคไมเคยบังคับเราให ตอบรับคําชักนํานั้นเลย องคพระผูเปนเจาทรงปลอยใหเราเปนอิสระในการที่จะตอบรับ การเริ่มดวยทาทีอันออนหวานของพระองค องคพระผูเปนเจาทรงสงแรงบันดาลใจให อยากเห็นและอยากไดยินพระเยซูเจา ศักเคียสเปนอิสระที่จะตอบรับความปรารถนา และการตอบรับของเขานั้นดําเนินไปจนลืมนึกถึงศักดิ์ศรี และความภูมิใจของตน ปนขึ้น ไปบนต น มะเดื่อเทศ “การกระทํา อั นโง เ ขลา” ที่ ต อบรั บ การนํ าไปหาพระเจ านั้ น ได เปลี่ยนชีวิตทั้งหมดของศักเคียส ความอยากรูอยากเห็นทุกอยางนั้นเปนจุดเริ่มตนของการคนพบ ความอยากรู อยากเห็นของศักเคียสทําใหเขาไดเริ่มการคนพบอันยิ่งใหญ คือ พบพระเยซูเจา ซึ่งนํา เขาไปพบกับองคพระผูเปนเจาเปนการสวนตัว และเขาไมเหมือนเดิมอีกตอไป บอยครั้ง เรามีอคติของเราเองเกี่ยวกับการฟนฟูจิตใจ ก็เปนการฟนฟูจิตใจอีกครั้งหนึ่งในชวง หลายๆปที่ผานมา เราจําตองเปดตามองดู ตองทําความคิดใหวานอนสอนงาย ตอง ทําใจใหอยากรูอยากเห็น เพื่อจะไดรับประโยชนมากที่สุด จากประสบการณการฟนฟู จิตใจครั้งนี้ ผลสําเร็จของการฟนฟูจิตใจนั้นขึ้นอยูกับตัวเราเอง จะทําใหมีความหมาย และเปนที่ประทับใจก็ขึ้นอยูกับตัวเรา
24
แบบตรวจสอบ 1. ทานแสวงหาสิ่งใดในชีวิต ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ในการพบปะสวนตัวครั้งนี้ ทานคาดหวังอะไร ทําไมทานอยูที่นี่ อะไรนําทานมาที่นี่ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ลองนึกถึงสมัยทานยังเปนเด็ก ทานรูสึกอยางไรกับความมืด ใหอธิบายความรูสึก นั้นๆ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. จงนึกถึงชวงเวลาที่ทานสูญเสีย ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานปรารถนาจะเห็นหรือพบสิ่งใดในการเขาฟนฟูจิตใจครั้งนี้ การฟนฟูจิตใจครั้งนี้ นาจะบอกสิ่งใดใหทานในเรื่องความสนใจ คามหวงใย วิกฤติชีวิตของทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….
25
แบบสํารวจ เติมคําตอบใดคําตอบหนึ่งไวดานหนาแตละรายการตรวจสอบขางลางนี้ ดี = ฉันทําไดดีแลวในเรื่องนี้ พอใช = ฉันทําไดเปนที่นาพอใจ แตยังมีบางอยางที่จะตองปรับปรุง ตองปรับปรุง = ฉันตองปรับปรุงในเรื่องนี้อยางจริงจัง
.............1. ฉันชอบบานของฉัน .............2. ฉันเหมาะสมที่สุด .............3. ชีวิตของฉันนาสนใจ .............4. ฉันจะไมซื้อขายตําแหนงกับใคร .............5. ฉันมีเวลาตลอดชีวิตในการทําสิ่งที่ฉันปรารถนา .............6. ฉันรูสึกเปนกันเองกับผูคน .............7. ฉันเปนคนมีเสนห .............8. ฉันไมกลัวที่จะพูดตามที่คิดไว .............9. ผูคนใหคุณคากับสิ่งที่ฉันพูด .............10. ฉันกําลังไปสวรรค .............11. ฉันไมมีอะไรตองเปลี่ยนไปมากนัก เกี่ยวกับมุมมองของฉัน .............12. ผูคนหวงใยฉัน .............13. ฉันไมควรเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันมากเกินไป .............14. พระเจาทรงรักฉันจริงๆ .............15. ฉันเปนนักสูชีวิตคนหนึ่ง .............16. ฉันสามารถขบขันตนเองไดเมื่อฉันพลาด .............17. ฉันมีกําลังความสามารถและสนุกสนานในชีวิต .............18. ฉันไมคอยจะไดรับการกดดัน .............19. ฉันมีเพื่อนที่ฉันปรารถนาจํานวนหนึ่ง .............20. ผูคนชอบเปนเพื่อนกับฉัน .............21. เพศตรงขามมีเสนหตอฉัน .............22. ฉันไมรูสึกละอายตอสิ่งใดเลยจริงๆ .............23. ฉันพอใจกับชีวิตประจําวันของฉัน .............24. จริงๆ แลวฉันชอบสิ่งที่มองเห็นในกระจกเงา 26
.............25. ฉันพอใจกับการเริ่มตนวันใหมในแตละวัน .............26. ตามปกติฉันคอนขางอารมณดี .............27. ฉันเปนคนที่นาพอใจในการอยูดวย .............28. ฉันแทบจะไมเคยกลาวคําขอโทษ .............29. ฉันเปนคนใจดี มีความหวงใยผูอื่น .............30. ฉันเปนคนที่ไมเหมือนใคร การใชสิ่งที่ทานคนพบ ทบทวนดู คํ า ตอบต า งๆ ของท า น และหาภาพรวมของคํ า ตอบ ถ า ท า นไม มี ความสุขกับตัวเอง อาจเปนไปไดวาทานมีภาพพจนของตนเองที่ไมคอยถูกตอง ทาน ควรจะพูดคุยกับเพื่อนหรือกับที่ปรึกษา เพื่อดูวาพวกเขามองทานเปนอยางไร ทาน อาจจะทําใหตนเองเปนที่ยอมรับในชวงสั้นๆ เขียนสิ่งที่ทานคิดวาตองการปรับปรุงแกไข
27
สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................
28
4. การริเริ่มสรางสรรค “เขาจึงวิ่งนําหนาไป ปนขึ้นตนมะเดื่อเทศ เพื่อใหเห็นพระเยซูเจา” (ลก 19:4) บอยครั้งวิกฤตชวยเปดตาเรา เมื่อผูคนปลอยวางวิธีการมอง ความเป น จริ ง แบบเดิ ม และ เริ่มมองสิ่งตางๆ ในลักษณะที่ ตางออกไป ไมมีเรื่องใดที่คาด ไมถึงมากกวาเรื่องคนตาบอด ที่ ยื น ยั น ว า ตนเองสามารถ มองเห็นได การยอมรับความ บอดนั้น บอยครั้งเปนกาวแรก สูการมองเห็นแบบใหม ความอยากรูอยากเห็นเพื่อจะไดพบพระเยซูเจา เปนแรงผลักดันใหศักเคียส ไดเปรียบ เขาหาวิธีการดวยตัวของเขาเอง และดวยความตั้งใจ เพื่อจะไดเห็นพระเยซู เจาขณะเสด็จผานไป เขา “จึงวิ่งนําหนาไป ปนขึ้นตนมะเดื่อเทศ” เขาไมไดสนใจวาผูคน จะคิดอะไรและพูดสิ่งใดเกี่ยวกับตัวเขา การไดเห็นพระเยซูเจาคือสิ่งที่ตองการจริงๆ สิ่ง ที่สําคัญจริงๆ เขาไมยอมปลอยใหโอกาสนั้นผานไป คงจะเปนชวงเดียวเทานั้นในชีวิต เขา ที่จะไดพบพระเยซูเจา ดังนั้นเขาจึงกระทําเต็มทีเ่ พื่อไปหาพระองค กระบวนการภายในหัวใจมนุษยจะแผขยายออกไป เพราะหัวใจของเรานั้นถูก สรางขึ้นมาเพื่อพระเจา และจะไมหยุดพักจนกวาจะไดพักผอนในพระองค อาจจําเปน อยางยิ่ง อยางไรก็ตาม เรากระทําทุกอยางเทาที่สามารถเพื่อรวมมือกันในการพบปะ คือเลือกสถานทีท่ ี่จะใหทิวทัศน เปนสถานที่หนึ่งตางหาก และตนไมที่จะขึ้นไปนั่ง หา เวลาเพื่อเตรียมดินของหัวใจ หลบหนีจากเสียงอึกทึกและผูคน เพื่อสรางที่วางภายใน ซึ่งเปนสิ่งจําเปน เพื่อใหพระเจาประทับอยูในบานของเราอยางแทจริง การริ เ ริ่ ม สร า งสรรค นั้ น หมายถึ ง การนํ า ป จ จั ย สํ า คั ญ ที่ แ ตกต า งกั น มาไว ดวยกันเพื่อสรา งใหเกิ ดผลอย างไมค าดคิด เปนความไมคาดคิดที่ทํ าใหเรายอมรั บ ภายในตัวเรา และทําใหเรากลาววา “ใชแลว ใชแนนอนเลย” ศิลปะการดําเนินชีวิตนั้นดู เหมือนจะตองการการริเริ่มสรางสรรคแบบนี้ การผสมปจจัยสําคัญที่แตกตางกันใน 29
ความไม ค าดคิ ด ทั้ ง หมดซึ่ ง มี ลั ก ษณะเฉพาะ เป น คุ ณ สมบั ติ ข องมนุ ษ ย ที่ ลึ ก ซึ้ ง และ งดงาม ผูคนที่เติบโตขึ้นจะสรางเรื่องสวนตัวที่ผสมผสานปจจัยตางๆ ใหเขากันแบบไม นาเชื่อวาเปนไปได และสรางสิ่งไมคาดคิดที่ไดผล แนละไมมีใครคาดคิดวาศักเคียสจะ ปนขึ้นไปบนตนมะเดื่อเทศ ผูทสี่ รางสิ่งที่ไมคาดคิดอยางไดผล สรางประวัติตนเอง ไมมีขอบเขตจากกําแพง แหงการแบงแยก ไมมี ระเบียบแบบแผน เขารวมสิ่ง ที่ตรงกัน ขามในตั วพวกเขาเข า ดวยกัน ยายเขาและยายออกไปตามบริบทตางๆ ที่อยูรอบๆ พวกเขา โดยไมยึดติดกับ สิ่ ง ใด เป น เรื่ อ งไม น า เชื่ อ ที่ ศั ก เคี ย สจะป น ขึ้ น ไปบนต น มะเดื่ อ เทศ แต เ ขามี ค วาม ปรารถนาอยากเห็นพระเยซูเจาเปนแรงผลักดัน และเขามีความคิดริเริ่มสรางสรรคของ ตนที่จะกระทําเชนนั้น บอยครั้ง เพี ยงใดที่ เราไม ไดพ บองคพ ระผู เป นเจ า เพราะเราปลอ ยใหการให เกียรติมนุษยและความอายมานําหนาเรา เราจึงพลาดโอกาสที่จะไดเห็นพระเยซูเจา เพราะเรามิไดพยายามมากพอที่จะมองหาพระองคในชีวิตเรา เราติดธุระยุงอยูเสมอ เราไมมีเวลาเพียงพอ เรามีรอยแปดอยางที่จะตองทํา มันสําคัญกวาการไดพบพระเยซู เจาแบบสวนตัว มีขออางอยูเสมอๆ เพื่อที่จะไมไปเขารวมฟนฟูจิตใจ ไมเขารวมสัมมนา โครงการชีวิตในพระจิตเจา หรือโครงการชุมนุมคูสมรส ไมรวมโครงการฟนฟูจิตใจของ ทางวัด ไมไปรวมพิธีมิสซาวันอาทิตย ไมวาง... ไมวาง... มีงานเยอะแยะที่จะตองทํา
30
แบบตรวจสอบ 1. ทานอยากจะทําอะไรเพื่อทําใหการฟนฟูจิตใจนีเ้ กิดผลดี ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ทานทุมเทในการหาทางที่จะเห็นพระเยซูเจาแคไหน ทานตองการจะเห็นพระเยซู เจาหรือไม ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ทานเต็มใจเสียสละสิ่งใดบางเพื่อทําใหการฟนฟูจิตใจนี้มีความหมายและเปนสิ่งที่ ประทับใจ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. สิ่ ง ใดเป น อุ ป สรรคทํ า ให ท า นไม ไ ด เ ห็ น พระเยซู เ จ า ท า นจะขจั ด อุ ป สรรคนั้ น ได อยางไร ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. สามสิ่งที่ทานตองการทําในชวงเวลาที่เหลือของชีวิตทานคืออะไร ก……………………………………………………………………………………………………….……………………… ข……………………………………………………………………………….……………………………………………… ค……………………………………………………………………………………………………………………………… อะไรทําใหทานถอยหลัง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 31
สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................
32
5. ไดรับเรียกและไดรับเลือก “เพราะพระองคกําลังจะเสด็จผานไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจาเสด็จมาถึงที่นั่น ทรงเงย พระพักตรขึ้นทอดพระเนตร ตรับกับเขาวา...” (ลก 19:5) พระเยซู เ จ า กํ า ลั ง เสด็ จ ผ า นไปทางนั้ น พระองค ไดทรงเริ่มการเคลื่อนที่ไป โ ด ย ไ ม มี ก า ร เ ตื อ น ลวงหนาใหกับบุคคลใดๆ บนเส น ทาง ไม มี ใ ครรู ว า พ ร ะ อ ง ค จ ะ ห ยุ ด ที่ ใ ด เมื่ อไ ร ห รื อห ยุ ดบ อ ย เพี ย งใดเพื่ อ ทั ก ทายผู ค น ตามเสนทาง อยางไรก็ตาม พระองคทรงแนใจวาจะผานเสนทางชีวิตของเรา เปนที่ แนนอนตามความเชื่อของเรา พระเจาทรงริเริ่มเสมอ พระหรรษทานของพระเจาดึงดูด เราไปหาพระผูสรางของเรา มีอะไรอยูในการระบุชื่อ มีมากมาย เมื่อพระเยซูเจากับศักเคียสไดพบกันนั้น ศักเคียส แทบจะตกลงมาจากตนไม เขาประหลาดใจ ตกตะลึง ทําไม เพราะพระเยซู เจาทรงเรียกชื่อเขา ศักเคียส การเรียกของพระเยซูเจาเปนแบบสวนตัวและเจาะจง พระองคทรงเรียกชื่อเรา สิ่งที่มนุษยตองการมากที่สุดคือการเปนที่รูจัก การถูกเรียกชื่อ มีแนวโนมที่จะ ไมเปนแบบสวนตัวในสัมพันธภาพของเรา คือหายไปในการไมเปดเผยชื่อ และถูกถือ เปนชื่ อทั่วไป แต พระเยซูเจ าไดท รงเป นกัน เองกั บศักเคียส พระองคได ทรงหยุดอยู ตรงหนาตนมะเดื่อเทศ และไดทรงชี้เฉพาะศักเคียส เขารูสึกสะเทือนใจ ทําใหเขารูสึก เปนที่ยอมรับ และมีความสําคัญ เขามิใชเปนเพียงใครก็ได แตเขาเปนใครคนหนึ่ง ยิ่งกวานั้น พระเยซูเจาไดทรงเลือกเขา โดยตรัสวา “เราจะไปพักที่บานทาน วันนี้” คงจะมีคนจํานวนมากที่พยายามเชิญพระเยซูเจาไปบานของตน นาภูมิใจเพียงใด เมื่อมีบุคคลสําคัญใหเกียรติมาบานเรา เราคุยโออวดในเรื่องนี้ เปนเรื่องความภูมิใจที่ ไดรับเลือก คือไดรับเกียรติใหอยูกับบุคคลสําคัญเชนพระเยซูเจา เหนือสิ่งอื่นใด เปน 33
พระเยซู เ จ า เองที่ ไ ด ท รงเชิ ญ เขา เป น ข อ เสนอพิ เ ศษอย า งหนึ่ ง คื อ จะไปพั ก ที่ บ า น ของศักเคียส บอยครั้ง เราพักอยูกับคนที่เราพอใจจะอยูดวยเทานั้น เราจะไมพักอยูบานใครก็ ได แตเราเลือกที่ที่เราจะพัก เชนเดียวกับเราเลือกผูที่เราจะพักดวย “เพื่อนคนหนึ่ง” เมื่อพระเยซูเจาตรัสถามศักเคียสวา เขาจะอยูกับพระองคหรือไมนั้น พระเยซูเจาทรง เห็นเขาเปนเพื่อนคนหนึ่ง เปนการเชิญโดยตรงที่มีความสนิทสัมพันธมากกับศักเคียส เปนการเชิญดวยความรัก เราทุกคนตองการการเยียวยารักษาและพลังรักแบบสวนตัวของพระเจาอยาง สม่ําเสมอ สิ่งจําเปนนี้มีไวเพื่อเสริมสัมพันธภาพกับพระเยซูเจาผูทรงยอมรับเราแตละ คนโดยปราศจากข อ ผู ก มั ด ใดๆ ทั้ ง สิ้ น และทรงพร อ มที่ จ ะรั ก เราเสมอ เพื่ อ รั ก ษา บาดแผลของเรา ปลดปลอยเราใหเปนอิสระ และมีความรักอยางเต็มเปยมมากขึ้น หัวใจสําคัญของการเจริญเติบโตฝายจิตนั้นคือ การเรียนรูจักเปดชีวิตของเราใหนอมรับ การเยียวยารักษา และเปดรับพลังจากความรักของพระเจาที่ชวยชําระเราใหบริสุทธิ์ ความสวางที่ทําใหเปลี่ยนแปลงบุคลิกลักษณะแหงความรักของพระองค สามารถให ความอบอุ น ภายในจิ ต ใจ ช ว ยสลายความหนาวเย็ น แห ง ความหวาดกลั ว ความ ผิดพลาด และการปฏิเสธตนเองที่มีอยูในตัวเรา คุณภาพของสัมพันธภาพของเรากับพระเจาคือการสรางสุขภาพฝายจิตของเรา อาจกลายเปนทอธารในทุกมิติชีวิตของเรา นายสกอต เพ็ค ชี้ใหเห็นวา รางวัลอันนา ตื่ น เต น อย า งหนึ่ ง ของการเติ บ โตและให อํ า นาจจากสั ม พั น ธภาพกั บ พระเจ า คื อ “ประสบการณของพลังฝายจิตนั้น โดยพื้นฐานแลวเปนความปติยินดี... เปนความปติ ยินดีแหงความสนิทสัมพันธกับพระเจา”
34
แบบตรวจสอบ 1. ทานรูสึกอยางไรเมื่อพระเจาทรงเรียกและเลือกทาน ทรงรูจักทาน ทรงเห็นทาน เปนคนสําคัญและมีคุณคา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ทานรูสึกถึงความรักของพระเจาที่เกิดขึ้นในชีวิตของทานอยางแทจริงครั้งสุดทาย เมื่อใด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ช ว งเวลาพิ เ ศษในชี วิ ต ที่ ท า นรู สึ ก ว า พระเจ า ทรงเรี ย กท า นคื อ อะไร ที่ เ ป น จุ ด เปลี่ยนแปลง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. พระเจาทรงรักทานกอน (1ยน 4:10 “ความรักอยูที่วาพระเจาทรงรักเรา...) ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานมีความรูสึกเปนพิเศษกับผูใด เมื่อครั้งลาสุด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….
35
แบบสํารวจ เติมคําตอบใดคําตอบหนึ่งไวดานหนาแตละรายการตรวจสอบขางลางนี้ ดี = ฉันทําไดดีแลวในเรื่องชีวิตฝายจิต พอใช = ฉันทําไดเปนที่นาพอใจ แตยังมีบางอยางที่ตองปรับปรุง ตองปรับปรุง = ฉันตองปรับปรุงในเรื่องนี้อยางจริงจัง
................ 1. ชีวิตจิตชวยเสริมศักยภาพใหฉันสามารถรักตัวเอง รักผูอื่น (รวมทั้ง ศัตรูดวย) รักธรรมชาติ และฉันสามารถแสดงความรักตอสังคม ................ 2. ความรูสึกแหงการยกโทษใหและการเปนที่ยอมรับเสริมพลังความรูสึก ของฉัน (แทนที่จะทําใหหลงทางผิด) ชวยใหฉันภูมิใจในลักษณะทาง เพศของฉันมากกวาการถูกปฏิเสธ เพิ่มความสวางภายใน และความ กระตือรือรนในชีวิตของฉัน ................ 3. ความเชื่อและประสบการณฝายจิต ชวยหาทางออกอยางสรางสรรค ในเวลาที่ฉันสูญเสีย ................ 4. ฉัน เรี ยนรู ที่ จ ะใช เ หตุ ก ารณที่ น า สลด วิ กฤตกาล และความสู ญ เสี ย ตางๆ ใหเปนโอกาสทําใหความเชื่อของฉันเติบโต และสามารถหาทาง ออกใหกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ................ 5. ฉันประเมินความเชื่อและคุณคาตางๆ ที่ไดเรียนรูในวัยเด็ก โดยยืนยัน ยึดถือเฉพาะขอที่ยังเปนจริงอยูในวัยผูใหญ ................ 6. ฉั น ได เ รี ย นรู ที่ จ ะเคารพข อ สงสั ย ด ว ยการมองในลั ก ษณะที่ เ ป น ประโยชน เพื่อทําใหความเชื่อของฉันเติบโต ................ 7. คุณคาชี้นําตางๆ ของฉันนั้นสอดคลองกับความเขาใจเรื่องความรัก ความยุติธรรม และทุกอยาง ................ 8. มโนธรรมของฉันตอบโตกับความชั่วรายตางๆ ทางสังคมที่เปนตนเหตุ แหงความเจ็บปวดและความแตกแยกของบุคคลตางๆ ................ 9. ลํ า ดั บ ความสํ า คั ญ ต า งๆ ของฉั น (ไตร ต รองตามการใช เ วลา) สอดคลองกับคุณคา ผูคน และเหตุผลที่สําคัญที่สุดสําหรับฉัน ................ 10. ความเชื่อและคุณคาตางๆ ชวยสรางสะพานเชื่อมตัวฉันกับผูอื่นที่เขาใจ ชีวิตแตกตางออกไป 36
................ 11. ฉั น ฝ ก ดู แ ลจิ ต ตั ว เองทุ ก ๆ วั น ใช เ วลาในการทํ า ให เ กิ ด ความสงบ ความปติยินดี การใหอภัยและความรัก ฉันจึงตองฝกเรื่องการรําพึง การภาวนาและการศึกษา ................ 12. ประสบการณความรักและการใหอภัยของพระเจา ชวยใหฉันเปนสื่อ ถายทอดความรักนั้นใหกับผูอื่น โดยเฉพาะอยางยิ่งผูที่ปวดราวจาก เหตุการณที่นาสลด และผูที่ถูกสังคมทอดทิ้ง ................ 13. ฉันสัมผัสและเฉลิมฉลองความนาพิศวง ความยินดี และความรูคุณ สําหรับพระพรที่ดีของชีวิต ................ 14. ฉันสํานึกถึงจุดมุงหมายของพระจิตในชีวิต ซึ่งเพิ่มความหมายใหกับ สัมพันธภาพและการทํางานของฉันในทุกๆ วัน ................ 15. ฉันมีประสบการณเรื่องการยกจิตใจใหสูงขึ้นอยางสม่ําเสมอโดยทาง กิ จ กรรมต า งๆ เช น การภาวนา การอยู ใ นธรรมชาติ การฟ ง ดนตรี สัมพันธภาพแหงความรัก การถวายคารวกิจ การพบปะกันเพื่อสวด ภาวนาและการสรรเสริญ ................ 16. บางครั้งฉันตระหนักถึงอัศจรรยตางๆ ที่เกิดขึ้นทุกๆ วัน ในเหตุการณ ทางโลกและกับบุคคลธรรมดาทั่วไปที่ฉันรูสึกวามีพระพรพิเศษฝายจิต ................ 17. ฉันรวมชุมนุมแบงปนความเชื่อที่ฉลองอยางมีความหมายในพิธีกรรม การสรรเสริญ และชวยหลอเลี้ยงการเติบโตฝายจิต ................ 18. ฉันพอใจกับความใสใจ การทุมเท การบํารุงรักษาและความเลื่อมใส ศรัทธาในชีวิตฝายจิตของฉัน และดานการมีเหตุผล การมีจริยธรรม การยืนยัน และความรับผิดชอบ ................ 19. ฉันมั่นใจวามนุษยทุกคนนั้นไมแตกตางกันมากนัก คือเราเปนบุตรชาย หญิง ของพระเจ าองค ความรัก คุ ณค าของเราแตล ะคนนั้ นลดต่ํ าลง ไมได ................ 20. ฉันตระหนักและชื่นชมกับธรรมล้ําลึกและความมหัศจรรยของชีวิต การใชสิ่งที่ทานคนพบ ใช เ วลาไตร ต รองคํ า ตอบที่ ใ ส ล งในประโยคต า งๆ อั น เป น ความเชื่ อ ฝ า ยจิ ต ทัศนคติ และการฝกฝน โดยทั่วๆ ไปทานรูสึกอยางไรกับความดีของชีวิตจิตของทาน 37
สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................
38
6. ลงมาเถิด “ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บานทานวันนี้ เขารีบลงมาตอนรับพระองค ดวยความยินดี” (ลก 19:5ข-6) การบรรยายลักษณะของศักเคียสวาเปน คน “ร า งเตี้ ย ” มิ ใ ช บ อกเราแค เ รื่ อ ง ลั ก ษณะทางสรี ร ะเท า นั้ น แต ยั ง บอกถึ ง จิ ต วิ ท ยาและความเด น ฝ า ยจิ ต ผู อื่ น มองศักเคียสอยางไร สําหรับผูเริ่มใหม คง จะลําบากมาก คือเขาเปนคนรางเตี้ย และ คนร า งเตี้ ย นั้ น ไม เ ป น ที่ ชื่ น ชอบเท า ใด ความเตี้ ย ของศั ก เคี ย สนั้ น อาจพิ จ ารณา ตามตั ว อั ก ษรและทางกายภาพ (เขาสู ง ป ร ะ ม า ณ 5 ฟุ ต เ ท า นั้ น ) ห รื อ ก า ร เปรียบเทียบโดยตรง และตามรูปราง และ ตามภาพลักษณ (เขาเปนคนบาปและเปนที่ดูถูกเหยียดหยาม) เขาไมใชบุคคลที่สมบูรณ แบบ ไมวาจะเปนทางดานรางกายและจิตใจ ยังไดบอกไวอีกวา ศักเคียสเปน “คนร่ํารวย” และคนร่ํารวยไมเคยเปนที่นิยม ใน กรณี ข องศั ก เคี ย สนั้ น สิ่ ง ที่ ทํ า ให เ ขาถู ก มองว า เป น “คนร่ํ า รวย” เพราะเขาไม ต อ ง “ทํางาน” หาเลี้ยงชีพ ไมทํางานหรือ เขาทํางานอะไร เปนคนเก็บภาษีหรือ ไมใชอยาง แนนอน ใหอานเนื้อหาใหมอยางละเอียด เขามิไดเปนเพียงคนเก็บภาษีเทานั้น แตมี ตําแหนงเทียบเทาหัวหนาเขต I.R.S. ในสมัยโบราณนั้น กรุงโรมกําหนดอัตราจายภาษี และคนท อ งถิ่ น ได รั บ มอบหมายให เ ก็ บ ภาษี และส ง ให ท างกรุ ง โรม ศั ก เคี ย สได รั บ มอบหมายงานนี้ เขาจึงจางคนเก็บภาษีใหออกไปทําการเก็บภาษี นอกเหนือจากภาษี ดังกลาวแลว ยังมีคาการจัดการ สําหรับคนเก็บภาษี และ “หัวหนา” คนเก็บภาษี ใน ฐานะผูรวมมือกับชาวโรมันนั้น เขาตองสรางความร่ํารวยใหกับตัวเองโดยรีดไถจาก ชาวยิว เพื่อนรวมชาติ ศั กเคียสถูกชาวเมือ งดูถูก และรั งเกียจ เขาตัวเตี้ ย ในสายตา ประชาชน ผลคือเขาคิดวาผูคนไมคอยชอบเขา ประชาชนไมชอบเขา เขาจึง ไมนิยม ชมชอบตัวเอง จริงหรือไมวาเรารังเกียจคนบาป เราดูถูกพวกเขา เราหลีกหนีและไม 39
อยากทํ า อะไรร ว มกั บ คนเหล า นี้ ทํ า ไมหรื อ เพราะพวกเขาเป น คนบาป บรรดา นักจิตวิทยาบอกไววา คนที่ไมนิยมชมชอบตัวเองนั้นจะมีปญหายุงยากในการติดตอ สัมพันธกับคนอื่นๆ และกับพระเจา บางที นี่อาจเปนความหมายที่ลึกมากขึ้นที่ศักเคียส ไมสามารถ “มองเห็น” พระเยซูเจา จะทําอยางไรเพื่อชดเชยความเตี้ยของเขาที่ทําใหเขามิอาจมองเห็นพระเยซูเจา ไดชัดๆ “เขาจึงวิ่งนําหนาฝูงชนไป” เปนที่รูจักกันดีวา คนที่ไมนิยมชมชอบตัวเอง มักจะ ไดรับแรงกระตุนจากความปรารถนาอันแรงกลาที่จะ “นําหนาไป” กอนคนอื่นๆ ผล สุดทายศักเคียสไดปนขึ้นไปบนตนมะเดื่อเทศ เขาตองการอะไรบางอยางมากกวาสิ่งที่ เขามี และเขาตองการมันมากจนเขาตองฟนฝาอุปสรรคบางอยางที่แสนยุงยาก ศั ก เคี ย สมองตั ว เองอย า งไร ภาพลั ก ษณ ข องเขาคื อ อะไร ถ า ไม มี สิ่ ง ใดอื่ น แล ว ศั ก เคี ย สจะต อ งกล า มากๆ เรื่ อ งนี้ มิ ไ ด มี ร ะบุ ไ ว อ ย า งชั ด เจนในเนื้ อ หา แต เ มื่ อ พิจารณามุมมองของผูอื่นที่มีตอเขาแลว จําตองมีความกลาหาญอยางมากจริงๆ อยาง นอยก็ตองตื่นขึ้นแตเชาตรู เขามิใชเพียงแคตื่นขึ้นและเดินออกจากบานไปเทานั้น เขาไป ยังแหลงที่ฝูงชนชุมนุมกัน และปนขึ้นไปบนตนไม เพื่อจะไดมองเห็นพระเยซูเจาชัดขึ้น ถ า ศั ก เคี ย สสามารถมองเห็ น พระเยซู เ จ า ฝู ง ชนก็ ส ามารถมองเห็ น เขาด ว ย เชนกัน เขาอาจไมไดตั้งใจ หรือบางทีทําเปนกลา และยิ่งไปกวานั้น การปนขึ้นไปบน ตนไมยงั เปนเปาใหฝูงชนสบประมาทได ศักเคียสจําตองเดินหนาเพื่อเอาชนะอุปสรรคขั้นตนคือฝูงชนจํานวนมากมาย เขาต อ งเอาชนะการถู ก หั ว เราะเยาะจากฝู ง ชนเมื่ อ เขา “ป น ขึ้ น ไปบนต น ไม ” เป น สภาพการณที่ยุงยากสําหรับคนที่แตงตัวดี ในที่สุดเขาตองสูทนตอคําครหานินทาทั้ง กอน ระหวาง และหลังการปนขึ้นไปอยูบนตนไม แตการเสี่ยงทําเชนนั้นก็คุมคา ตนมะเดื่อเทศนั้นสามารถเขาใจตามวรรณคดี (คือลําตนเตี้ย และแผกิ่งกาน กวางใหญจึงทําใหปนขึ้นไดงาย) หรืออาจตามสัญลักษณ (คือ สิ่งใดที่ทําใหเรารูสึกตัว วาสํา คัญ การหั นมานิยมชมชอบตัว เอง หรือ การเปน ใครคนหนึ่ ง) ไมวา จะยอมรั บ หรือไมก็ตาม เราทุกคนตางมีตนมะเดื่อเทศของตนเอง คือสิ่งที่ทําใหเราดูดีในสายตา ของผู อื่ น หน า กากของเรา ต น มะเดื่ อ เทศของเรานั้ น อาจเป น เงิ น ความสวยงาม มิตรภาพ ปริญญา ลักษณะทาทาง ยศศักดิ์ ผลงาน ชื่อเสียงทางสังคม เสื้อผา พร พิเศษ ตําแหนงหนาที่ อํานาจ หรืออะไรที่เราปนขึ้นไป เพื่อใหผูคนมองแบบยกยองให เกียรติ 40
พระเยซูเจาทรง “เงยพระพักตรขึ้น” ทอดพระเนตรศักเคียส เมื่อเรายกยองผูใด เราแสดงความชื่นชอบและเห็นคุณคา แตองคพระผูเปนเจาทรงมองดูเราแตละคน แตกตางออกไป พระองคมิไดเหยียบย่ําความต่ําตอยของเรา แตกลับมองดูเราแตละ คนในแงดีและดานบวกเสมอ วิธีการของพระเจานั้นแตกตางจากวิธีการของมนุษย ถา พระเจาทอดพระเนตรเราแบบที่เรามองกันและกันแลว เราคงจะไมมาอยูที่นี่ หนึ่ ง ในคํ า ยืน ยั น ถึ ง ความหมายอั น ลึ ก ซึ้ ง จากพระคั ม ภี ร นี้ พ บได ใ นเรื่ อ งการ พบปะกันระหวางพระเยซูเจากับศักเคียส คนเก็บภาษี จะเปนที่ยอมรับหรือเปนที่รัก ใครชอบพอหรือไมก็ตาม ศักเคียส ปรารถนาใหผูอื่นยอมรับเขาแบบที่เขาเปน การ ยอมรับแบบดังกลาวเขาไมเคยไดสัมผัส ดังนั้นเขาจึงหวังในองคพระเยซูเจาที่จะเสด็จ ผานมาทางนั้น พระเยซูเ จา มิไ ดผ านเขาไปเฉยๆ แตพระองค ทรงยอมรับเขาอย างที่เ ขาเป น “ศักเคียส รีบลงมาเถิด...” พระเยซูเจาตรัสเรียกชายรางเตี้ยบนตนมะเดื่อเทศ เกิด อะไรขึ้น ทันใดนั้น ศักเคียสก็เปดรับพระองคเหมือนดอกไมบาน เขาไมเคยรูสึกดีที่ ไดรับการยืนยันและยอมรับอยางที่เขาเปนอยูโดยไมมีหนากาก เราแต ล ะคนมี ค วามกลั ว ที่ จ ะเป ด เผยความจริ ง ของตั ว เราแก ผู อื่ น ทํ า ไม เพราะวาเรากลัวการถูกปฏิเสธวานั่นคือทุกอยางที่เรามี ดังนั้น เราจึงสวมหนากากเพื่อ อําพรางตัว และแสดงสิ่ง ที่มิใ ชตั วเรา เราพยายามก าวไปข างหนา อยา งดี ที่สุด คื อ ดําเนินชีวิตแบบเสแสรง และทําใหคนอื่นเชื่อถือ เราไมสามารถเปนตัวของตัวเองอยางแทจริงได จนกวาเราจะไดเรียนรูที่จะ ยอมรับตัวเองอยางที่เราเปน แมในดานมืดของเรา เมื่อพระเยซูเจาตรัสใหศักเคียสลง มาจากตนมะเดื่อเทศนั้น เปนการเชื้อเชิญดวยใจจริง ศักเคียสตองลงมาจากตนไมกอน และยอมรับ “ความเปลือยเปลา” กอน แลวสัมพันธภาพที่แทจริงกับพระเยซูเจาจึงจะ เกิดขึ้น ความเปนจริงที่ทําใหหวาดผวา การเปดเผยถึงความเศราโศกและบาดแผลของ เรา เรามีความกลัวอยูเสมอที่จะเปดเผยถึง “ความเปลือยเปลา” ของเรา ดังนั้น เราจึง ปกปดไว เราใส “ใบมะเดื่อ” เพื่ออําพรางอยางผิวเผิน เพื่อหลีกเลี่ยงมิใหรูในสิ่งที่เรา เปนและไดรับการปฏิเสธจากผูอื่น คนจํานวนมากดําเนินชีวิตอยางเสแสรงและหลอก ตัวเองเปนขั้นตอน เมื่อเรามิอาจเปนตัวเองจริงๆ ได เราก็คงจะไมมีความจริงใจในการ สรางสัมพันธภาพใดๆ
41
แบบตรวจสอบ 1. ทานรูสึกอยางไรและกลัวอะไรในสัมพันธภาพของทาน ทานมีความกลัวสิ่งใดบาง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ทานรูสึกอยางไรกับ “การเปดใจ” และ “การเปลือยเปลา” ตอหนาคนหนึ่ง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ทานสวมหนากากอะไรบาง ทําไมทานถึงสวมหนากาก ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. ทานสามารถเปนตัวของตัวเองกับใครบาง รูสึกเปนที่ยอมรับ รูสึกถูกปฏิเสธ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานกลัวที่จะเปดเผยสิ่งใดมากที่สุด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… บาปหนักสุด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… ความลับสุดยอด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… ความออนแอที่ใหญที่สุด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… ความผิดที่อึดอัดใจมากที่สุด ……………………………………………………………………………………………………….…………………………
42
วงจรของการปฏิเสธ ความกลัวโดยทั่วไปของมนุษยคือ การเปนที่รูจัก การถูกคนพบ และการถูก ปฏิ เ สธ การปฏิ เ สธนั้ นดู เ หมือ นจะเป น ประสบการณ ข องคนทั่ ว ไป ดูเ หมือ นจะเป น ธรรมชาติและงายที่จะชี้ความผิดและขอบกพรองตางๆของผูอื่น ผลที่ไดคือ แมจะได รับคําชมหลายครั้งแตกลายเปนความอึดอัดใจ เมื่อการปฏิเสธนั้นลึกและคงที่พอ ก็จะพัฒนาสูวงจรของการปฏิเสธ ทานรูวา วงจรนั้นหมายถึงอะไร และมุงที่จะบํารุงหลอเลี้ยงและเสริมพลังใหตัวมันเอง เมื่อทาน เขาสูวงจรแลว ทานจะไมสามารถปลีกตัวออกมาไดอยางงายๆ ความรูสึก ถูกปฏิเสธ
ความรูสึก ไมเหมาะสม
วงจรของการปฏิเสธ
วางแผนหลบหนี
การเกลียด ตัวเอง
วงจรของการปฏิเสธ เริ่มตนดวยความรูสึกถูกปฏิเสธ ไมจําเปนตองถึงขั้นถูก ปฏิเสธอยางจริงจัง เพียงความรูสึกวาตนเองถูกปฏิเสธก็สามารถขยายเปนวงจรได ความรูสึกวาถูกปฏิเสธนั้นกอใหเกิดความรูสึกไมเหมาะสม “ในเมื่อฉันถูก ปฏิเสธ ฉันก็คงไมเหมาะสม” ความรูสึกไมเหมาะสมกอใหเกิดการเกลียดตัวเอง เหนือ สิ่งอื่นใด ไมมีผูใดชอบบุคคลที่ไมเหมาะสม การเกลียดตัวเอง เปนความเจ็บปวดและ เป นสภาพที่ท นไม ไ ดที่ ตกอยูใ นสภาพนั้ น ผูที่ พ บว า ตนเองตกอยู ใ นสภาพเช น นี้โ ดย ธรรมชาติ ก็ จ ะพยายามหลบหนี จ ากมั น วางแผนหลบหนี นั่ น คื อ การกระทํ า และ
43
รูปแบบของพฤติกรรมซึ่งจะชวยบรรเทาความเจ็บปวดจากการเกลียดตัวเอง และทําให ตัวเองรูสึกเปนคนสําคัญ ความยุงยากในการวางแผนหลบหนี คือการใหการบรรเทาทุกขชั่วคราว และยัง ขาดฐานที่ มั่นในการยอมรับตัว เอง ที่สํา คัญกวานั้น ก็คือ พวกเขามักจะทําใหความ น า รั ก และความน า คบลดน อ ยลง ป ด กั้ น ตนเองและเกิ ด ความบาดหมางตาม กระบวนการ ดั งนั้น บุ คคลที่ขาดหลักยึ ดเหนี่ย วจะมุงหาทางบรรเทาทุกข ดวยการ วางแผนหลบหนี จึงทําใหเกิดการปฏิเสธยิ่งไกลออกไปและนําบุคคลผูนั้นกลับเขาสูการ เริ่มตนของวงจร และตอๆ ไป จนถลําลึกและติดแนน วงจรของการปฏิเสธ อาจสงผลกระทบอยางที่นักจิตวิทยาเรียกวา “โรคขาด ภูมิคุมกัน” นอกจากหยุดมันไวไดทันเวลา บุคคลที่เจ็บปวดดวยโรคดังกลาวนี้จะแสดง อาการตางๆ ดังตอไปนี้ คือ 1. ไมสามารถสรางสัมพันธกับผูอื่นได ไมสามารถสรางมิตรภาพที่สนิทแนบแนน ได หรือไมสามารถผูกสัมพันธรักแบบสามีภรรยาได 2. รูสึกไมแนใจ ขาดความมั่นคง 3. รูสึกไมเหมาะสม มีปมดอย 4. รูสึกหดหู บุคคลที่ตกอยูในวงจรของการปฏิเสธนี้ โดยทั่วๆ ไปจะออนไหวกับความคิดและ คําพูดของผูอื่น จะเจ็บปวดไดงายๆ จากขอทวงติงในทางลบ มีความปรารถนาอยาง แรงกลาที่จะทําใหผูอื่นพอใจ และตองการใหผูอื่นยอมรับตนเอง
44
การตรวจสอบสําหรับผูหญิง คําสั่ง จงเลือกหนึ่งในสามคําตอบ ใสลงขางหนาแตละประโยค ดี = ฉันทําดีแลวในการถอดหนากากออกไป พอใช = ฉันทําพอใชได ตองปรับปรุง = ฉันตองปรับปรุงแกไข
.............. .............. .............. .............. .............. .............. .............. ..............
.............. ..............
.............. .............. .............. .............. .............. ..............
1. 2. 3. 4. 5.
ฉันชอบตัวเองในฐานะสตรีผูหนึ่ง และสัมผัสไดถึงพลังภายใน ฉันเอาใจใสดูแลความเปนหญิงที่อยูภายในตัวฉัน ฉันมีเพื่อนดีๆ ทั้งเพศชายและเพศหญิง ฉันติดตอกับเพื่อนหญิงแบบพี่นองที่ชวยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ฉันใหอภัยพอแมสําหรับขอบกพรองตางๆ ในการแสดงตัวเปนแบบอยาง ในฐานะสตรีและบุรุษ 6. ฉันสรางสันติกับแม ดังนั้น ในขณะนี้เราจึงเคารพใหเกียรติกันและกัน 7. ฉันสรางสันติกับพอ ดังนั้น ในขณะนี้เราจึงเคารพใหเกียรติกันและกัน 8. ฉั น ไม ม อบอํ า นาจของฉั น ให กั บ ผู ช าย โดยคล อ ยตามพวกเขาแบบ อัตโนมัติ คือนอบนอมหรือเปนปฏิปกษ ฉันแสดงออกถึงสติปญญา และ อํานาจของฉันอยางเปดเผยเมื่อฉันอยูกับบรรดาผูชาย แทนที่จะซอน พละกําลังเหลานี้และแสดงออกมาในวิธีการใชเลหเหลี่ยมที่แอบแฝง 9. ฉันตระหนักถึงการกดขี่ที่สตรีไดรับอยูทุกๆ วัน แตฉันปฏิเสธที่จะเก็บ ทาทีทั้งหลายนี้ไวในภาพลักษณของตนเอง 10. เมื่ออยูกับผูชํานาญการหรือผูนํา ไมวาชายหรือหญิง ฉันรูสึกสบายพอๆ กัน เพราะฉันประเมินพวกเขาจากความสามารถ มิใชจากเพศของพวก เขา 11. ฉันชอบผูชายที่ใหเสรีภาพจากการกดขีท่ างเพศ 12. ฉันอุทิศตนทํางานอยางเขมแข็ง เพื่อใหเกิดเสรีภาพของผูหญิงและผูชาย 13. ฉันรูสึกปติยินดีพอๆ กัน ไมวาเด็กที่เกิดใหมนั้นเปนผูหญิงหรือผูชาย 14. ฉันชอบรางกายของฉันที่มีความสามารถอันนาพิศวงในการใหกําเนิด มนุษยคนใหม และฉันเอาใจใสดูแลดวยความรัก 15. ฉันยินดีและยกยองเพศหญิงของฉัน 16. ฉันมิไดใชเพศของฉันเพื่อหลอกลวงผูชาย 45
.............. 17. ถาฉันมีชีวิตใหมไดอีกครั้ง ฉันก็ยินดีไมวาจะเปนชายหรือหญิง .............. 18. ฉั น ค น พบอํ า นาจการรั ก ษาฝ า ยจิ ต ในสั ญ ลั ก ษณ ภาพลั ก ษณ แ ละ เรื่องราวตางๆ ที่ยืนยันถึงการคนพบชีวิตฝายจิตของสตรี และมิติสตรี ของพระเจา
46
การตรวจสอบสําหรับผูชาย ..............1. ..............2. ..............3. ..............4. .............. 5. .............. 6. ..............7. ..............8.
..............9. ..............10. .............. 11. .............. 12. .............. 13.
..............14.
ฉัน ชอบตั วเองในฐานะผูช ายคนหนึ่ง และรูสึ ก วา มี พ ลัง ภายในที่ ค อย ทักทวงฉันมิใหใชพลังภายนอกในการกดขี่สตรีและผูอื่น ฉันเอาใจใสดูแลความเปนชายในตัวฉันดวยความรัก ฉันมีเพื่อนสนิททั้งเพศชายและหญิง ฉั น ชื่ น ชอบสั ม พั น ธภาพใกล ชิ ด กั บ ผู ช ายบางคนในฐานะพี่ น อ ง และ สามารถเปดใจ และไมแขงขันชิงดีชิงเดนกับพวกเขา ฉันใหอภัยพอแมในขอบกพรองตางๆ ที่ทานแสดงแบบอยางความเปน ชายและหญิง ฉันสรางสันติกับพอ เพื่อเราจะไดมีความเคารพใหเกียรติกันและกันแบบ ผูใหญ ฉันสรางสันติกับแม เพื่อเราจะไดมีความเคารพใหเกียรติกันและกันแบบ ผูใหญ เมื่ออยูกับผูชํานาญการหรือผูนํา ไมวาเปนหญิงหรือชาย ฉันรูสึกสบาย พอๆ กัน เพราะฉันประเมินพวกเขาจากความสามารถ มิใชจากเพศของ เขา ในการพูดคุยและเลาเรื่องตลก ฉันขจัดเรื่องการแบงแยกเพศและการดู ถูกสตรี ฉันชื่นชมความเห็นอกเห็นใจสตรีในฐานะบุคคล รวมทั้งความเปนเพศ หญิงของเขาดวย ฉั น พยายามปฏิ บั ติ ด ว ยความเท า เที ย มกั น และอย า งยุ ติ ธ รรมใน ความสัมพันธของฉันกับสตรีแตละคน ฉันมิไดใชอํานาจความเปนชายทําราย บังคับ หรือวางขีดจํากัดสตรีใน ครอบครัวของฉัน ในที่ทํางานและในชุมชน ฉันไมรูสึกอายในการแสดงความชื่นชมยินดีในแบบที่ไมใชเปนชายที่แข็ง ขัน อยางเชนงานศิลปะและการทํางานที่ไมใชของชายที่แข็งขัน เชน การ ทําอาหาร และการเลี้ยงดูลูกๆ ฉันเอาใจใสดูแลรางกายของฉันดวยความรัก แทนที่จะเห็นเปนเพียง เครื่องจักรเพศชาย 47
..............15. ฉันมิไดใชเรื่องทางเพศเพื่อแสดงออกถึงอํานาจหรือเพื่อพิสูจนความเปน ชาย ..............16. ฉันอุทิศตนอยางแข็งขันในกลุมเพื่อปลดปลอยชายและหญิงใหเปนอิสระ .............. 17. ฉันพยายามกําหนด “พลังเพศชาย” เพื่อยืนยันถึงวิธีการสรางสัมพันธที่ดี ตอกัน และไมใชพลังกดขี่ผูอื่น ..............18. ถาฉันมีชีวิตใหมไดอีกครั้ง ฉันจะยินดีไมวาจะเปนชายหรือหญิง การใชสิ่งที่ทานคนพบ สิ่งตางๆ เหลานี้จะชวยใหทานเห็นภาพรวมของระดับการใหอิสระในเรื่องตางๆ ที่กลาวมาแลวขางตน
48
สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................
49
7. การสื่อสาร การสนทนา “เพราะพระองคกําลังจะเสด็จผานไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจาเสด็จมาถึงที่นั่น ทรงเงย พระพักตรขึ้นทอดพระเนตร...” (ลก 19:5ก) การสื่ อ สารเป น พื้ น ฐานในการสร า ง ความสั ม พั น ธ เป น สายโลหิ ต ชี วิ ต ของ ความสัมพันธทุกอยาง เปนจุดเริ่มตนใน การพบปะกันทุกครั้ง พระเยซูเจา “ตรัส” กั บ ศั ก เคี ย ส เมื่ อ เราพู ด กั บ ใครบางคน เราเป ด ช อ งทางของการสื่ อ สาร เรา ตองการเขาไปมีสวนรวมแทนที่จะอยูโดด เดี่ ย วในโลกส ว นตั ว เราพู ด กั บ ผู ค นที่ มี เจตนาบางอย า งกั บ เรา พระเยซู เ จ า ได ทรงกระทําขั้นตอนแรก คือทรงเริ่มกอน ศั ก เคี ย สมิ ไ ด พู ด อะไร เมื่ อ พระเยซู เ จ า ทอดพระเนตรและตรัสกับเขา ทําใหเขา รูสึกมีความสําคัญ คือ เปนคนที่สมควรจะพูดดวย การอธิ ษ ฐานภาวนาสามารถให คํ า จํ า กั ด ความได ว า เป น การสื่ อ สารใน สัมพันธภาพของความรัก การภาวนาแทตองตั้งอยูบนความเชื่ออยางมั่นคงวา พระเจา ทรงห ว งใยเรามากพอ ทรงปรารถนาจะสื่ อ สารกั บ เราเช น เดี ย วกั บ ที่ ท รงกระทํ า กับศักเคียส ธรรมชาติของความรักทุกชนิดกระทําเชนนี้ ถาทานรักใครสักคน ทานก็ ตองการเปนหนึ่งเดียวกับบุคคลนั้น แบงปนและเปดตัวเอง ถาพระเจาทรงรักเราอยาง ที่เราประกาศยืนยัน ความรักนั้นก็เรียกรองใหแสดงออกเชนเดียวกัน ถาเราไมเชื่อวามี พระเจาผูทรงรักเรา ความคิดทั้งหมดเรื่องการภาวนาก็เปนเรื่องโงเขลา จะภาวนาไป ทํ า ไม ถ า พระเจ า มิ ไ ด ท รงห ว งใยเรา คํ า พู ด ทุ ก ชนิ ด ในโลกก็ ค งไม ทํ า ให อ ะไร เปลี่ยนแปลง แตถาเราเชื่อวาพระเจาทรงรักเรา ก็ค งจะเปนการโงเขลาที่ไมสวด ภาวนา ไมเปดใจเราเองรับพละกําลังและความปติยินดีจากความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได
50
ในการอธิษฐานภาวนานั้น เราพบวาสวนลึกที่สุดของตัวเราไดสัมผัสกับมิติที่ลึก ที่สุดของชีวิต ใหพิจารณาภาพประกอบตอไปนี้
วงกลมสองวงที่มีจุดศูนยกลางรวมกันเปนเครื่องหมายแสดงถึงสองสิ่งที่แยก จากกัน วงนอกแสดงถึงการติดตอกับโลกทางกายภาพ กับพื้นดินที่เราเดิน กับตนไม ที่เราพบโดยบังเอิญ กับคนแปลกหนาที่เดินผานไปโดยไมพูดอะไรกัน วงกลมตอไปแสดงถึงระดับความสัมพันธสวนบุคคลในชีวิตเรา เปนระดับที่ เรากาวเลยขึ้นไปจากการพบปะทางกาย และเริ่มพัฒนาสูการสื่อสารและมิตรภาพกับ ผูอ ื่น เปนการออกจากตนเอง ในอีกความหมายหนึ่งคือ กับโลก ตัวอยางเชน เมื่อเรา มองดูดวงดาวดวยความพิศวง ในระดับที่สองเราเปดออกมากขึ้นกวาระดับแรก สุด ท า ย วงกลมภายในแสดงถึ ง การพบปะกั บมิ ติ ข องชีวิ ต ที่ อ ยู ภายในและ ซับซอนมากที่สุด เปนระดับที่ลึกที่สุดของความเปนอยูของเรา เปนจุดที่เราไดสัมผัสกับ ความหมายอันแทจริงของความเปนมนุษย ที่ระดับภายในนี้เองที่ในที่สุดเราไดพบและ ไดรับประสบการณกับพระเจาในความเปนสวนตัวและอยางใกลชิดที่สุด 51
ที่สําคัญคือ ในระดับภายในหรือชั้นในสุดซึ่งเรามีความเปนสวนตัวและไดสัมผัส ใกล ชิ ด กั บ บุ ค คลอื่ น เราอาจโยงความสั ม พั น ธ กั บ ผู อื่ น ในฐานะเป น สิ่ ง ของ เรามี ความรูสึกวาเราถูกดันออกมาสูวงนอกของกันและกันไดถาไมมีการสื่อสารตอกัน เรา สามารถเคลื่อ นการปฏิ บั ติ ต อ ผูอื่ น ในฐานะสิ่ ง ของไปสู ก ารพบปะกั น ทางจิ ต ใจเพื่ อ พัฒ นาสูระดับการสื่อสาร ในกรณีนี้เราจะสัมพันธกันในระดับที่สอง อยางไรก็ตาม ดวยประสบการณแหงความรักนั้นเราสามารถติดตอสัมพันธกันในระดับศูนยกลาง คือ สวนลึกสุดภายในตัวเรา ในระดับของความรักนี้เองที่เรากลายเปนหนึ่งเดียวกับพระเจา นี่คือเหตุผลวาทําไมหลายๆ คนจึงไมเคยใกลชิดกับบุคคลอื่นๆ จนกวาเมื่อเราทั้งคูได สัมผัสกับพระเจา ดวยเหตุนี้ การสวดภาวนารวมกันเปนกลุม คือสวดภาวนารวมกับ คนอื่นๆ จึงเปนความยินดีและความเบิกบานอยางมาก ชีวิตจิตเปนเรื่องสวนตัวที่ลึกซึ้ง ดังนั้นในขณะที่กําลังแบงปนในระดับฝายจิต จึง เปนเรื่องเปราะบาง เปนชวงเวลาที่มีคาในการสรางสัมพันธภาพ
52
แบบตรวจสอบ 1. ทานรูสึกอยางไรกับชีวิตการภาวนาของทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ทานประสบอุปสรรคใดในการสวดภาวนา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ทานมีความสุขกับชีวิตการสวดภาวนาของทานหรือไม ทําไมจึงมีความสุข ทําไมจึง ไมมี ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. ทามีเวลาอยูเงียบๆ กับองคพระผูเปนเจาบางหรือไม ครั้งสุดทายที่ทานรูสึกใกลชิด กับพระเยซูเจาในการสวดภาวนาคือเมื่อใด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานจะทําอยางไรใหมีความสัมพันธกับพระเยซูเจามากขึ้น ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….
53
สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................
54
รูปแบบของการสวดภาวนา 1. การภาวนาแบบการสนทนา (Conversation) เปนการพูดกับพระเจาอยางเรียบงาย และฟงพระองคตรัสตอบอยางสรางสรรค ให คิด ถึ งช ว งเวลาแหง มิ ตรภาพของท า นกั บ เพื่ อ นสนิท หรื อ กับ บุ ค คลที่ท า นรั ก มาก เวลา สวนมากที่ทา นสื่อสารระหวางกันนั้นเปนไปตามธรรมชาติและผอนคลาย มีการพูดคุย หยอกลออยางสนุกสนาน ทานพอใจที่จะอยูดวยกันและแบงปนประสบการณชีวิตแกกัน การสื่อสารระดับนี้คลายกับการภาวนาสนทนากับพระเจา การสวดภาวนาแบบนี้อาจเกิดขึ้น ไดในทุกที่และทุกเวลา 2. การภาวนาแบบรําพึง (Meditation) เปนการภาวนาดวยการไตรตรอง โดยเฉพาะการเริ่มจากพระวาจาของพระเจาใน พระคัมภีร โดยการใชความคิด การสรางมโนภาพและความปรารถนา เพื่อจะทําใหความ เชื่อของเราลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อนําไปสูการกลับใจและมีน้ําใจเขมแข็ง ปรารถนาจะติดตามพระ คริสตเจา เปนกาวแรกเพื่อเขาสูความสนิทสัมพันธในความรักกับองคพระผูเปนเจา คิดถึงเวลาที่ทานและเพื่อนไดมีประสบการณการสนทนาแบงปนกันอยางลึกซึ้งแบบ นี้ เมื่อเพื่อนเรียกทานและบอกวา “เราคงตองคุยกันอยางจริงจัง” และทานก็จะรูทันทีวาจะ สนทนาเปนเวลานาน ทานทั้งสองหาที่สงบเงียบ ไมมีอะไรมารบกวน ทานมองกันและกัน อยางตั้งใจ และแลกเปลี่ยนสัญญาณที่สงถึงกันทั้งดวยสายตาและภาษากายตางๆ ทาน แบงปนและรับฟงอยางลึกซึ้ง การพบกันแบบนี้ยืนยันวาทานรักกันและกันอยางลึกซึ้ง 3. การภาวนาแบบญาณทัศน (Contemplation) การภาวนาแบบญาณทัศนคือการพิศเพงพระเจาในความเงียบและความรัก เปน พระพรของพระเจา เปนชวงเวลาของความเชื่ออยางแทจ ริง ในชวงเวลานั้น ผูที่ภาวนา แสวงหาพระคริสตเจา วางตัวใหอยูในน้ําพระทัยที่เปยมดวยความรักของพระบิดาและระลึก ถึงการเปนอยูของตนภายใตการกระทําของพระจิต สุดทายมีการสื่อสารอีกชนิดหนึ่งที่นาชื่นชมยินดีที่เพื่อนๆ แบงปนความรักใหกันและ กันอยางลึกซึ้ง ในขณะนั้น พวกเขาแบงปนประสบการณ เชน การเฝาดูดวงอาทิตยตก นั่ง อยูดวยกันที่ระเบียงบานในเย็นวันหนึ่งของฤดูรอน การฟงดนตรี และไมมีการพูดอะไร ซึ่ง จริงๆ แลว คํา พูดอาจทําใหมนตขลังของชวงเวลานั้นหมดไป เพื่อนๆ มาอยูดวยกันดวย ความรูสึกที่เปนหนึ่งเดียวกันอยางแทจริง กลาวอีกอยางหนึ่งคือ พวกเขาพบกันที่กลางใจ ไมตองใชคําพูด 55
8. การเปลี่ยนแปลง การกลับใจ “เขารีบลงมาตอนรับพระองคดวยความยินดี ทุกคนที่เห็นตางบนวา “เขาไปพักที่บาน คนบาป” ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจาวา “พระเจาขา ขาพเจาจะยกทรัพยสมบัติ ครึ่งหนึ่งใหแกคนจน และถาขาพเจาโกงสิ่งใดของใครมา ขาพเจาจะคืนใหเขาสี่เทา” (ลก 19:6-8) เงื่อนไขประการแรกในการ สร า งมิ ต รภาพส ว นตั ว กั บ พระเยซู เ จ า คื อ การสํ า นึ ก ผิด การสํานึกผิดคือการหนี จากบาป อั นเปน มารร ายที่ ยิ่งใหญที่สุดในโลก เปนการ ตัดสินใจหันหนีจากบาปและ แตกใบใหม เปนการละทิ้งทุกสิ่งที่เปนอุปสรรคขัดขวางการชิดสนิทกับพระเยซูเจา ในที่นี้มีการขัดแยงทางอารมณ มีการแลกเปลี่ยนของ “จิตใจ” ฝูงชนบนวาไม เห็นดวย ศักเคียสปติยินดี และดูเหมือนวาพระเยซูเจาทรงชัดเจนและตรงไปตรงมา ศักเคียสยินดี และสํานึกผิดกลับใจ ยอมรับความผิดตางๆ ในอดีต และบัดนี้ไดรับพระ หรรษทานของความจริงวาได “อยูบาน” กับตัวเองและกับองคพระผูเปนเจา ถึงแมจะ หางเหินจากฝูงชนก็ตาม เรามีประสบการณอีกครั้งวาพระเยซูเจาเสด็จมาหาเราในที่ที่ เราอยู และทรงรักเราอยางที่เราเปนอยู ศักเคียสจําเปนตองเสียสละเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตของตน ถาเขาอยากเปนศิษยที่ แทจริงของพระเยซูเจา เขาตองแบงปนทรัพยสมบัติของเขาใหแกคนยากจน และทํา การชดใชใหกับคนที่เขาโกงมา เขาพูดเสริมขึ้นวา “ถาขาพเจาไดโกง...” เขามิไดบอกวา เขาโกงเพื่ อ ยั ง ชี พ เขามิ ไ ด บ อกว า การโกงเป น โอกาสดี สํ า หรั บ คนเก็ บ ภาษี เขาใช ประโยคที่เปนเงื่อนไข อาจเปนไปได บางทีโดยเจตนาหรือบางทีโดยบังเอิญ วาเขาอาจ โกงใครบางคน แลวเขาจะกระทําอยางไร เขาจะปฏิเสธหรือ ไมใช ถาและเมื่อใดที่เขา โกงใครมา เขายินดีจะใชคืนใหสี่เทา กฎหมายของชาวยิวกลาวไววาอยางไร มีกลาวไว ในหนังสือเลวีนิติ และหนังสือกันดารวิถี (บทที่ 5) วาขโมยตองใชคืนทุกสิ่งที่โกงไป แลว เพิ่มอีกหนึ่งในหาของราคาความเสียหายนั้น และกฎหมายของชาวโรมันในสมัยนั้นคือผู 56
ที่ถูกตัดสินวากระทําผิดทางอาญาจะตองใชคืนสี่เทา ศักเคียสทํามากกวาที่กฎหมาย ทั้งสองฉบับกําหนดไว พระเยซู เ จ า ทรงกระทํ า อย า งไร พระเยซู เ จ า ทรงพอพระทั ย กั บ การกระทํ า ของศักเคียส พระองคทรงเรียกชื่อเขา บุตรของอับราฮัม มิใชบุตรของคนเก็บภาษี การ กลับใจนั้นเปนสิ่งสูงคาเสมอ เพราะหมายถึงการตัดขาดจากการยึดติดกับบาปและ ความเห็นแกตัว ซึ่งไมใชเรื่องงาย แตเปนสิ่งที่สําคัญที่สุดของสันติสุขแทจริง เห็นได ชัดเจนวาการเรียกของศักเคียสมิใชเรื่องที่ไมตองเสียอะไร ศักเคียสไดรับความประทับใจในความมีใจกรุณาและความออนโยนของพระ เยซูเจา องคพระผูเปนเจาเสด็จมาหาเขา และเขาตอบรับดวยวิธีที่เหมาะสมที่สุด คือ เขาปลอยวางสิ่งที่เขายึดติดมากที่สุด และเขาพบสันติสุขอันยิ่งใหญ เปนความจริงที่วา เราจะพบสันติสุขที่แทจริง เฉพาะเมื่อเรากลับคืนดีกับองคพระผูเปนเจา เปนความรูสึก ที่มีความสุขเพียงใดหลังจากไดสารภาพบาปอยางดี รูสึกไดรับแสงสวาง เปนความรูสึก อันยิ่งใหญ การสํานึกผิด คือหนทางนําไปสูพระเจา เปนการเปลี่ยนทิศทางการดําเนินชีวิต หันหนีจากบาป การสํานึกผิดเปนกาวแรกที่เราเขารับการชวยใหรอดเปนการสวนตัวที่ พระเจาทรงประทานใหเราในองคพระเยซูคริสตเจา “......พระเจาทรงแตงตั้งพระเยซูผูนี้ที่ทานทั้งหลายนําไปตรึงบนไมกางเขน ให เปนองคพระผูเปนเจาและพระคริสตเจา ถอยคําเหลานี้เสียดแทงใจของทุกคน เขา เหลานั้นจึงถามเปโตรและอัครสาวกอื่นๆ วา “พี่นอง พวกเราจะตองทําอยางไรเลา เปโตรตอบวา ทานทั้งหลายจงกลับใจเถิด แตละคนจงรับศีลลางบาป เดชะพระนาม ของพระเยซูคริสตเจา เพื่อจะไดรับการอภัยบาป แลวทานจะไดรับพระพรของพระจิต เจา พระสัญญานี้มีไวสําหรับทานทั้งหลายสําหรับบุตรหลานของทาน และสําหรับทุก คนที่อยูหางไกล ซึ่งองคพระผูเปนเจาพระเจาของเราจะทรงเรียก” (กจ 2:36-39)
57
สิ่งที่มิใชการสํานึกผิด 1. แครูสึกผิด ทุกคนที่สํานึกผิดโดยทั่วๆ ไปก็รูสึกผิด แตมิใชทุกคนที่รูสึกผิดจะสํานึกผิด การ รูสึ ก ผิ ดเกี่ ย วกับ บาปของเรานั้ น เกิด ก อ นการสํ านึ ก ผิ ด แต ท ว าไม จํ าเป น ต องแสดง เครื่องหมายของการสํานึกผิดอยางจริงใจ ไมมีใครสํานึกผิดไดนอกเสียจากวาจะรูสึก ผิดเกี่ยวกับบาปของตนเสียกอน แตมิใชทุกคนที่รูสึกผิดจะสํานึกผิดไดเวลานั้น “เมื่อเปาโลเริ่มพูดถึงความยุติธรรม การบังคับตัวเอง และการพิพากษาที่จะ มาถึง เฟลิกซก็เกิดความกลัว จึงพูดวา พอแลวสําหรับวันนี้ออกไปได เมื่อขาพเจามี เวลาจะเรียกทานมาพบอีก” (กจ 24:25) 2. แคเสียใจ บางคนเสียใจมากเพราะผลที่เกิดขึ้นจากบาปของเขา หรือเพราะถูกจับได คน จํานวนมากเสียใจ มิใชเฉพาะไดกระทําผิด แตเพราะโทษที่จะไดรับ ความเสียใจนํามา ซึ่งความสํานึกผิดอันจะนําไปสูความรอดและไมมีการคิดเรื่องที่จะถูกจับได “ความทุกขใจตามพระประสงคของพระเจาทําใหกลับใจ ทําใหรอดพน จึงไมมี ผูใดเสียใจ สวนความทุกขใจของโลกนําไปสูความตาย” (2 คร 7:10) 3. พยายามที่จะเปนคนดี คนจํานวนมากพยายามสุดกําลังที่จะเปนคนดีขึ้น และเปลี่ยนวิถีชีวิตของตน การพยายามใดๆดวยตัวเองมีรากฐานมาจากความชอบธรรมของตน ซึ่งมิไดยอมรับ ความจําเปนตองสํานึกผิดจากบาป เจตนาดีตางๆนั้นยังไมเพียงพอ มีผูคนจํานวนมาก ที่อยูใ นนรก ถึงแมจะมีเจตนาดีเยี่ยมก็จริง “ขาพระองคทุกคนไดกลายเปนเหมือนคนที่ไมสะอาดและการกระทําอันชอบ ธรรมของขาพระองคทั้งสิ้นเปนเหมือนเสื้อผาที่สกปรก ขาพระองคทุกคนเหี่ยวลงอยาง ใบไม และความบาปผิดของขาพระองคไดพัดพาขาพระองคไปเหมือนลม” (อสย 64:6)
58
4. การหันมาศรัทธารอนรน ชาวฟาริสีในพระคัมภีรนั้นมีพฤติกรรมที่ศรัทธารอนรนมากและฝกปฏิบัติอยาง พิถีพิถัน พวกเขาจําศีลอดอาหารและสวดภาวนา จัดพิธีทางศาสนามากมาย แตไมเคย สํานึกผิด “เมื่อพระเยซูเจาเห็นชาวฟาริสีและสะดูสีหลายคนมายังแหลงที่พระองคทรง กระทําพิธีลาง จึงพูดวา เจาสัญชาติงูราย ผูใดแนะนําเจาใหหนีการลงโทษที่กําลังจะ มาถึง จงประพฤติตนใหสมกับที่ไดกลับใจแลวเถิด อยาอวดอางเองวา เรามีอับราฮัม เปนบิดา ขาพเจาบอกทานทั้งหลายวา พระเจาทรงบันดาลใหกอนหินเหลานี้กลายเปน ลูกของอับราฮัมได บัดนี้ขวานกําลังจออยูที่รากของตนไมแลว ตนไมตนใดที่ไมเกิดผลดี จะถูกโคนและโยนใสไฟ” (มธ 3:7-10) องคพระผูเปนเจาไดกลาวตอตานบรรดาคัมภีราจารยกับชาวฟาริสีอยางรุนแรง โดยเรียกพวกเขาวา พวกนาซื่อใจคด สัญชาติงูราย และหลุมฝงศพที่ขาวสะอาด พวก เขาแสดงใหดูดี แตจริงๆ แลวพวกเขามิไดสํานึกผิดจากบาปของตน 5. แครูความจริง การมีความรูเกี่ยวกับความจริงทางสติปญญานั้นมิไดเปนเครื่องยืนยันวา ความ จริงจะไดเปนความจริงในชีวิตของผูดําเนินชีวิต การรูจักความจริงนั้นไมเพียงพอ ยัง ตองดํารงอยูในความจริงดวย มิใชแครูจักพระบัญญัติ 10 ประการก็จะทําใหบุคคลผู นั้นเปนคริสตชนที่ดีก็หาไม มิไดหมายความวาแครูวาสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดจะทําใหบุคคลผู นั้ น กลายเป น คนชอบธรรมโดยอั ต โนมั ติ ใ นชี วิ ต ของตน การสํ า นึ ก ผิ ด นั้ น มี อ ะไรที่ มากกวาการรูจักความจริง “ทานเชื่อวามีพระเจาเพียงพระองคเดียวหรือ ดีแลว แมพวกปศาจก็เชื่อเชนนั้น และยั ง กลั ว จนตั ว สั่ น ด ว ย คนเบาป ญ ญาเอ ย ท า นอยากรู ห รื อ ไม ว า ความเชื่ อ ที่ ปราศจากการกระทํานั้นไรประโยชน (ยก 2:19-20)
59
สิ่งที่เปนการสํานึกผิด 1. การเสียใจตอพระเจาเพราะบาปที่ทานไดกระทําไป การสํานึกผิดที่แทจริงนั้น คือ การเสียใจ มิใชแคกับตัวเองหรือบุคคลอื่นเทานั้น แตเหนือสิ่งอื่นใดตองเปนการเสียใจตอพระเจา เปนการเสียใจที่ไดกระทําบาปผิดตอ พระเจา ประเด็นหลักของการเสียใจ คือ การกระทําผิดตอพระเจาผูเปนองคความดี และความออนหวาน ก) การสํานึกผิดที่สมบูรณ..............คือการเสียใจที่ไดกระทําบาปผิดตอพระเจา ข) การสํานึกผิดที่ไมสมบูรณ...........คือการเสียใจเพราะกลัวโทษจากบาป 2. การยอมรับความจริงเกี่ยวกับบาปที่ทานไดกระทํา กาวแรกสูการคืนดีคือ การยอมรับสภาพความเปนคนบาปของตน ถาคนเราไม สํานึกผิดถึงบาปที่ไดกระทํา เขาก็จะไมตองการคืนดี เฉพาะเมื่อบุคคลหนึ่งยอมรับ ความบาปผิดที่ตนไดกระทําแลว เขาจะไปสารภาพบาปของตน “ขาพเจาทูลใหทรงทราบถึงบาปของขาพเจา มิไดปดปงความผิดแตประการใด ขาพเจาคิดวา “ขาพเจาจะสารภาพความผิดตอพระยาหเวห” พระองคก็ทรงอภัยบาป ที่ขาพเจาไดทํา (สดด 32:5) 3. การหลีกหนีจากบาปที่ทานไดกระทํา การสํานึกผิดนั้นเปนการกระทํา เปนการตัดขาดจากสิ่งใดๆ บุคคลใดๆ ที่ทําให หางไกลจากพระเจา เปนการตัดสินใจหันกลับ 180 องศา คือ การละทิ้งพยศชั่วทั้งปวง และดําเนินชีวิตแหงคุณธรรม “บุคคลที่ซอนการละเมิดของตนจะไมเจริญ แตบุคคลที่สารภาพและทิ้งความ ชั่วเสียจะไดความกรุณา” (สภษ 28:13) 4. การเกลียดชังบาป ถาบาปเปนความชั่วรายที่หนักที่สุดในโลก เปนโรคมะเร็งทางจิตใจที่ทําลายชีวิต จิต และสิ่งสําคัญที่ตามมาก็คือ บุคคลนั้นตองไมเลนกับมัน นักบุญดอมินิก ซาวีโอ ทานมีคติพจนที่มีชื่อเสียงมากวา “ยอมตายดีกวาทําบาป” ในขณะที่อายุยังนอย ทาน ทราบดีถึงความนาสลดใจของผลรายของบาป และความนารังเกียจของบาป 60
“...และเจาจะเกลียดชังตัวของเจาเอง เพราะความชั่วทั้งหลายซึ่งเจาไดกระทํา นั้น” (อสค 20:43-44) 5. การชดใช จะไมมีการใหอภัยที่แทจริง นอกจากจะมีความตั้งใจจะชดใชสิ่งที่สูญเสียไป ใช คืนใหกับผูอื่นในสิ่งที่ทานไดโกงมา และตั้งใจจะละทิ้งบาป การชดใชมีขอผูกพัน คือ เปนหนาที่และเปนขอเรียกรองกอนที่จะไดรับการอภัยจากพระเจา “แตศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจาวา พระเจาขา ขาพเจาจะยกทรัพยสมบัติ ครึ่งหนึ่งใหแกคนจน และถาขาพเจาโกงสิ่งใดของใครมา ขาพเจาจะคืนใหเขาสี่เทา” (ลก 19:8 เทียบ ลนต 6:1-7)
61
การเปนทุกขถึงบาปเกี่ยวของกับ 1. การหันหนีจากบาป “อยาเปนเหมือนบรรพบุรุษของเจา ซึ่งบรรดาผูเผยพระวจนะคนกอนๆ รอง บอกเขาวา จงหันกลับเสียจากทางชั่วของเจา องคพระผูเปนเจาทรงตรัสไวดังนี้ จง กลับมาหาเรา แตเขากลับไมฟง ไมสนใจใยดีอะไรเลย” (ศคย 1:4, เทียบ กท 5:19-21, อฟ 5:5) 2. การหันหนีจากโลก “จงอยารักโลกและสิ่งที่อยูในโลกเลย เพราะวาเวลาที่ทานรักสิ่งเหลานี้ ทานก็ แสดงใหรูวาทานมิไดรักพระเจาอยางแทจริง” (1 ยน 2:15, เทียบ ยก 4:4) 3. การหันหนีจากตัวทานเอง “พระองคสิ้นพระชนมแทนทุกคน เพื่อผูที่มีชีวิต คือการไดรับชีวิตนิรันดรจาก พระองค จะไดไมมีชีวิตเพื่อตนเองอีกตอไป แตมีชีวิตเพื่อพระองคผูไดสิ้นพระชนมและ ทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา” (2 คร 5:15, เทียบ ลก 14:26) 4. การหันหนีจากซาตาน “.....เจาจะเปดตาของเขา จะทําใหเขาผานพนความมืดมาสูความสวาง และ ผานพนอํานาจของซาตานมาสูพระเจา” (กจ 26:18, เทียบ คส 1:13) 5. การหันกลับมาหาพระเจา เพราะฉะนั้ น จงกล า วแก เ ขาทั้ ง หลายว า พระเจ า จอมโยธาตรั ส ดั ง นี้ ว า “จง กลับมาหาเรา พระเจาจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ” (ศคย 1:3) 6. การหันกลับไปดําเนินชีวิตอยางชอบธรรม “อย ามอบรา งกายสว นหนึ่ง สว นใดใหแ กบ าปเพื่ อใชเ ปน เครื่อ งมื อในการทํ า ความชั่ว แตจงถวายตัวของทานแดพระเจาดุจดังคนที่กลับคืนชีพจากความตายมามี ชี วิ ต ใหม จงถวายทุ ก ส ว นของร า งกายแด พ ระเจ า เป น เครื่ อ งมื อ ในการประกอบ ความชอบธรรม” (รม 6:13) 62
สิ่งที่ไดเกิดขึ้นกับศักเคียส กอนพบพระเยซูเจา
หลังพบพระเยซูเจา
ความเห็นแกตัว การเอาตัวเองเปนจุดศูนยกลาง โศกเศรา
การไมคิดถึงตัวเอง การเอาพระคริสตเปนจุดศูนยกลาง ปติยินดี
63
แบบตรวจสอบ 1. บาปลี้ลับที่สุดของทานคืออะไร ทานเปนทาสตอสิ่งใดมากที่สุด สิ่งใดรบกวนจิตใจ ทานมากที่สุด ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. องคพระผูเปนเจาประสงคใหทานเสียสละสิ่งใดในชีวิตของทาน ทานตองการสิ่งใด ในการนําทานกลับมาหาพระเยซูเจา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. เหตุ การณใ ดเปนสาเหตุใ หเ กิดการเปลี่ยนแปลงอยา งกะทัน หันในชี วิตของทา น ทําไมจึงเปนเชนนั้น ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. ถาทานสามารถเปลี่ยนสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับตัวทาน ทานจะเปลี่ยนอะไรและเพราะอะไร ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. เหตุการณใดเปนสาเหตุสําคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของทาน ทําไม ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… 64
สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................
65
9. การสารภาพบาป พระเจาทรงประทานศีลอภัยบาปใหเรา ดังนั้น คนบาปผูมีความไมสบายใจจึงตองพบกับความเชื่อใน การใหอภัยของพระเยซูคริสตเจา แลวจึงเดินจากไป ดวยสันติสุข ยิ่งความเชื่อของเราแข็งแกรงขึ้นเทาใด เราก็ มองเห็นบาปของเราชัดเจนขึ้นเทานั้น ยิ่งเราสารภาพ บาปดวยความซือ่ สัตยมากเทาใด ความปรารถนาที่จะ ปรับปรุงยิ่งแรงกลาขึ้นฉันนั้น ความปติยินดีภายในและอิสรภาพสวนตัวจะลึกซึ้งยิ่งขึ้นเมื่อ เราไดรับประสบการณเหลานี้ ขั้นที่ 1 สวดภาวนาวอนขอความสวางและความกลาหาญ เราเริ่มดวยบทภาวนานั้นๆ วอนขอพระเจา ทรงชวยเราใหเชื่อในพระเมตตาของ พระองค ใหมองเห็นบาปตางๆ ของเราอยางที่เปน ใหสารภาพบาปนั้นๆ ดวยความซื่อสัตย แมจะรูสึกเจ็บปวดก็ตาม เพื่อใหไดรับประสบการณของสันติสุขของพระองค และเปลี่ยน ชีวิตของเราในอนาคต ขั้นที่ 2 พระวาจาอันทรงคุณคาของพระเจาเรื่องการใหอภัย พระคัมภีรมีเรื่องเลาและคําสอนตางๆ เกี่ยวกับพระเมตตาอันหาขอบเขตมิไดของ พระเจา ความรักและการใหอภัยของพระองค ขั้นที่ 3 มองเขาไปในจิตใจ กาวนี้จะตองใชเวลารําพึงไตรตรองนานพอสมควรเพื่อพิจารณาดูเรื่องในอดีต และ พิจารณาดูบาปตางๆ ที่เราไดกระทําในชวงนั้น ขั้นที่ 4 การสารภาพบาป ตามมาดวยการไปสารภาพบาปที่มีอยูจริง อยางไรก็ตาม คําพูดที่เราใชกับวิธีการ สารภาพบาปนั้นเปนเรื่องรอง ประเด็นสําคัญนั้นอยูที่การเสียใจที่ไดกระทําบาปและกลับใจ เสียใหม ขั้นที่ 5 การใชโทษบาปสําหรับในอดีตและในอนาคต ผูฟงแกบาปกําหนดกิจใชโทษบาปใหเรา หรือเพื่อเปนคาชดเชยบาปของเรา ซึ่งเปน ขั้นตอนสุดทายของศีลแหงการคืนดี ซึ่งถูกจัดไวเพื่อชดใชผลรายที่ไดกระทํา และเพื่อรักษา บาดแผลที่ เ กิ ด จากข อ ผิ ด พลาดต า งๆ ทั้ ง ยั ง มี เ จตนาที่ จ ะช ว ยปรั บ ปรุ ง ตั ว ให ดี ขึ้ น ในวั น ขางหนา 66
วิถีชีวิต การพิจารณามโนธรรม ในความรักขององคพระผูเปนเจานั้น พระองคทรงรูจักเราอยางทะลุปรุโปรงยิ่ง กวาเรารูจักตัวเราเอง พระบัญญัติของพระองคนั้นใหชีวิต เปดความมืดของชีวิต นําเรา ไปสูความสวางแหงพระวาจาของพระองค เพื่อเราจะไดหันกลับไปหาพระองคในการ สารภาพบาป และรับการใหอภัย ในการพิจารณามโนธรรมของเรานั้น ใหเราใชพระ บัญญัติ 10 ประการเปนเครื่องชวยในการพิจารณาบาปที่ทําใหเราตกเปนทาสและจาก ที่ซึ่งพระเจาทรงปรารถนาที่จะชวยเราใหพนจากอันตราย เมื่ อ เราพิ จ ารณามโนธรรมนั้ น เราต อ งอยู เ ฉพาะพระพั ก ตร พ ระเจ า และ ไตรตรองตัวเราเอง องคพระผูเปนเจาจะทรงชวยนําทางเรา ถาเรามุงความตั้งใจของ เราไปที่พระองคและพระเมตตาของพระองค และสวดภาวนาดวยความไววางใจกับบท เพลงสดุดีที่วา “ขาแตพระเจา ขอพระองคทรงตรวจสอบขาพเจา และทรงรูใจของ ขาพเจา โปรดทรงทดสอบขาพเจา และทรงรูความคิดของขาพเจา โปรดทอดพระเนตร เถิดวา ขาพเจาเดินบนเสนทางที่เลวรายหรือไม และโปรดทรงนําขาพเจาไปบนหนทาง ของพระองคตลอดไป” (สดด 139:23-24) พระบัญญัติ 10 ประการ (อพย 20:1-17) 1. เราคือพระเจาของเจา อยามีพระเจาอื่นใดนอกเหนือจากเรา ฉันใหงานและทรัพยสมบัติหรือภาพลักษณของฉันเปนพระเจาในสายตาของผูอื่น จนมันควบคุมชีวิตของฉันแทนทีพ่ ระเจากระนั้นหรือ ฉั น พึ ง พอใจในตนเองเกี่ ย วกั บ ความเข า ใจของฉั น เกี่ ย วกั บ พระเจ า แทนที่ จ ะ แสวงหาการเผยแสดงของพระองคดวยความศรัทธารอนรนยิ่งขึ้นโดยทางการ สวดภาวนาและอานพระคัมภีรกระนั้นหรือ ฉั น เคยทํ า เล น ๆกั บ เรื่ อ งลี้ ลั บ หรื อ ให ค วามสนใจกั บ เรื่ อ งการผู ก ดวงทาง โหราศาสตร การบอกราศี การถอดไพ หรือการทํานายดวงชะตากระนั้นหรือ ฉันพยายามหาความรูเพิ่มเติมเรื่องพระเจาโดยทางการสวดภาวนาประจําวันและ การอานพระคัมภีรกระนั้นหรือ ฉันใหเวลากับการสอนครอบครัวของฉันเกี่ยวกับวิถีทางของพระเจาและสวด ภาวนากับครอบครัวกระนั้นหรือ 67
2. อยาออกพระนามพระเจาของเจาอยางไมสมควร ฉัน เสแสร งทํ า เป น ถือ ปฏิ บั ติต ามจารี ต พิธี กรรม ทั้ง ที่ จริ ง แล วมิ ไ ดดํ าเนิ นชี วิ ต ปฏิบัติตามความเชื่อกระนั้นหรือ ฉันใชภาษาหยาบคาย โดยการดาวา และสบถสาบานกระนั้นหรือ ในการสนทนากันนั้น ฉันเห็นดวยกับการพูดใหรายและเลนตลกที่มุงลดคุณคา ทางศาสนา ใส รายพระศาสนจั กร และหมิ่ นพระบรมเดชานุภ าพของพระเจ า กระนั้นหรือ 3. จงระลึกถึงวันสับบาโตเปนวันศักดิ์สิทธิ์ ฉันปลอยใหตัวเองถูกครอบงําดวยหนาที่การงาน หรือปลอยตัวไปตามกระแส สังคมจึงมิไดจัดใหวันอาทิตยเปนวันสําหรับฝายจิตใจ และเปนวันกิจกรรมของ ครอบครัวกระนั้นหรือ ฉันไปรวมพิธมี ิสซาบูชาขอบพระคุณพระเจาทุกวันอาทิตยหรือเปลา ในการสวดภาวนาและเขารวมพิธีกรรมนั้น ฉันพอใจเพียงแคทําตามขอบังคับ แทนที่จะอุทิศตนถวายนมัสการพระเจาดวยความจริงใจกระนั้นหรือ 4. จงใหเกียรติแกบิดามารดาของเจา ในฐานะเยาวชนในครอบครัว ฉันรับฟง เคารพนับถือและเชื่อฟงบิดามารดา เมื่อ ทานสั่งสอนฉันกระนั้นหรือ ในฐานะผูใหญ ฉันไปเยี่ยมและดูแลเอาใจใสบิดามารดาผูสูงอายุแลวกระนั้นหรือ ฉันซอนความขุนเคืองใจบิดามารดาเปนเวลาสั้นๆ หรือนานๆ กระนั้นหรือ 5. อยาฆาคน ฉันเคยทุบตีผูอื่นดวยความโกรธ โดยเจตนาทํารายเขากระนั้นหรือ ฉันสนับสนุนการทําแทง ทั้งโดยทางความคิดเห็น ในการสนทนาหรือโดยการมี สวนชวยใหมีการทําแทงกระนั้นหรือ ฉันเคยทํารายตัวเอง หรือชีวิตผูอื่น โดยการเสพยาหรือดื่มสุราเกินขนาดกระนั้น หรือ ฉันเคยคิด หรือพยายามฆาตัวตายกระนั้นหรือ 68
6. อยาลวงประเวณีผัวเมียเขา ฉันเคยรวมเพศกับคนอื่นนอกการสมรสกระนั้นหรือ ฉันเคยปลอยจิตใจใหคิดเรื่องอุลามก หรือจินตนาการเรื่องอุลามกกระนั้นหรือ ฉันเคยอานหนังสือ ดูภาพยนตรหรือรายการทีวีลามกกระนั้นหรือ ในการสนทนากัน ฉันเคยพูดลามก เลนตลก หรือเลาเรื่องลามกกระนั้นหรือ 7. อยาลักทรัพย ฉันเคยหยิบเอาสิ่งใดที่ไมใชของฉันกระนั้นหรือ ฉันเคยโกงคาภาษี หรือไมยอมสงบัญชีรายจายในธุรกิจของฉันกระนั้นหรือ ฉันเคยเสียเวลาไปเปลาๆและโกงนายจาง โดยไมทํางานตามกําหนดเวลาวาจาง กระนั้นหรือ ฉันเคยใชจายฟุมเฟอยในชีวิตและไมสนใจคนยากจนกระนั้นหรือ ฉันไมเคยรับผิดชอบและสนใจถึงความตองการของครอบครัวเพราะใชเวลาไปกับ การเสี่ยงโชคและการพนันกระนั้นหรือ 8. อยาเปนพยานเท็จใสรายเพื่อนบาน ฉันเคยทําลายชื่อเสียงของคนอืน่ โดยมีสวนรวมซุบซิบนินทาเขากระนั้นหรือ ฉันเคยทําลายชื่อเสียงของผูอื่นโดยพูดถึงขอบกพรองและบาปผิดของเขาโดย เจตนากระนั้นหรือ ฉันเคยมีอคติและเกลียดชังชนชาติอื่น เชื้อสายอื่น หรือศาสนาอื่นกระนั้นหรือ 9. อยาโลภภรรยาเพื่อนบาน ฉันเคยแสวงหาความรักใครจากคูสมรสของคนอื่นกระนั้นหรือ ฉันเคยคิดนอกใจคูสมรสกระนั้นหรือ ฉันยกยองใหเกียรติคูสมรสในทุกกรณีกระนั้นหรือ ฉันทอดทิ้งครอบครัวไปจากหัวใจ โดยปรารถนาที่จะทําตนออกหางจากพวกเขา ทั้งทางอารมณ และทางกายกระนั้นหรือ
69
10. อยาโลภสิ่งใดๆ ซึ่งเปนของของเพื่อนบาน ฉันเคยเปรียบเทียบตัวเองกับผูอื่นทางดานความมั่งคั่ง ฐานะทางสังคม และความ มั่นคงทางการเงินกระนั้นหรือ ฉันเคยอิจฉาคุณงามความดีสวนตัวของผูอื่น หรืออยากไดทรัพยสินของเขา หรือ อิจฉาความสําเร็จของเขากระนั้นหรือ ฉันควบคุมการเงิน และจัดการดูแลทรัพยสินสวนตัวกระนั้นหรือ ฉันเคยบํารุงพระศาสนจักรตามความสามารถและเอื้อเฟอเผื่อแผตอคนยากจน กระนั้นหรือ สิ่งที่ฉันตองการเปลี่ยนแปลงในชีวิต (ขอตั้งใจ) คือ 1.…………………………………………………………………………………………………………………………………. 2……………………………………………………………………………………………………………………………….... 3………………………………………………………………………………………………………………………………….
70
10. วงจรการหวงใย “ทุกคนที่เห็น ตางบนวา เขาไปพักที่บานคนบาป” (ลก 19:7) ความรั ก คื อ พลั ง ขั บ เคลื่ อ นชี วิ ต ถ า ปราศจากความรัก คงจะไมมีความเปนอยูที่ดี ความรั ก คื อ หั ว ใจสํ า คั ญ ของความเป น อยู ที่ ดี พระเยซูเจาไดเสด็จมาเพื่อเราจะไดมีชีวิต ชีวิตที่ สมบูรณ
ฝูงชน เมื่อฝูงชนไดยินและไดเห็นสิ่งที่พระเยซูเจาทรงกระทํากับศักเคียสแลว พวกเขา เริ่มบนวา “เขาไปพักที่บานคนบาป” พวกเขาไมใสใจ แตพระเยซูเจาทรงใสพระทัย ศักเคียสไดเปลี่ยนไปเพราะพระเยซูเจามิไดกลาวโทษเขา แตกลับทรงใสพระทัยเขา ซึ่ง แตกตางกันโดยสิ้นเชิง มีความจริงล้ําลึกที่ไมนาเชื่อประการหนึ่งในพันธสัญญาใหมที่ ใหความสําคัญกับความรัก “แตที่ยิ่งใหญกวาสิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก” (1คร 13:13) ถาฝูงชนใชวิธีการของพวกเขา ศักเคียสก็คงถูกลงโทษไปแลว ฝูงชนตองการ ขัดขวางพระเยซูเจามิใหกระทําสิ่งใดกับศักเคียส เพียงเพราะเขาเปนคนบาป ในอีกแง หนึ่งก็คือ ฝูงชนตองการขัดขวางมิใหเรื่องตอไปนี้เกิดขึ้น คือ - การพบกับพระเยซูเจา - การสนทนากับพระคริสตเจา - การกลับใจของศักเคียส - การติดตามองคพระคริสตเจา - ความรอดพนของศักเคียส ความเขาใจที่เราไดรับจากเรื่องนี้คือ ในฝูงชนนั้นไมมีทางเปนไปไดที่จะพบกับ พระคริสตเจา พบการบําบัดรักษา และติดตามองคพระคริสตเจา ในฝูงชนนั้น ไมมีใคร จะไดชื่นชมกับชีวิตอยางสมบูรณ ฝูงชนคือกลุมผูคนที่ไมรูจักกัน ถึงแมวาอาจรูเรื่อง เกี่ยวกับแตละคนมากก็ตาม แตไมมีใครหวงใยกัน 71
ชุมชน สิ่งที่ตรงขามกับฝูงชนก็คือ ชุมชน ในชุมชนนั้นผูคนสื่อสารสัมพันธกันในรูปแบบ ที่พ ระเยซู เ จา ทรงกระทํา กั บ ศั ก เคี ยส คื อ ให ค วามห ว งใย แสดงความรั ก ทํ า การ บําบัดรักษา ประทานชีวิตให ในชุมชนนั้น จะสวดภาวนาไดงาย จะพบพระเจาไดงาย จะไดรับการบําบัดรักษา และจะไดติดตามองคพระคริสตเจา เพื่อจะไดมีชีวิตที่สมบูรณ เราทุกคนมีความตองการพื้นฐานอยางหนึ่ง คือ ความรัก การรักกับการถูกรัก นั้นเปนสุดยอดปรารถนาในชีวิตเรา เพื่อชวยใหเราไดมีสุขภาพและมีความเปนอยูที่ดี เราจําตองแสดงความรักหวงใยใครสักคนเปนอยางนอย ไมนาประหลาดใจที่พระเยซู เจาทรงสั่งใหเรา “รักกันและกัน” สิ่งที่จิตใจมนุษยโหยหามากที่สุด คือ การไดรับความ รักและการใหความรัก นั่นคือ เคล็ดลับของความสมบูรณและการมีสุขภาพดี ชุมชนคือ สถานที่ดีที่สุดในการมีประสบการณความรักที่สมบูรณตามแบบอยางขององคพระ คริสตเจา ศักเคียสคงรูสึกวาในชีวิตไมมีใครรักและหวงใยเขา แตพระเยซูเจาไดทรง กระทําใหเขารูสึกไดรับความรัก และมีความสําคัญ พระเยซูเจาไดทรงเสด็จมาพบเขา เขาตอบรับทันที คือ เขาไดเปลี่ยนแปลง ถาจะมีพลังอํานาจใดที่สามารถเปลี่ยนแปลง บุคคลผูหนึ่งได ก็คงจะเปนความรักที่ปราศจากเงื่อนไข คงไมมีใครใจแข็งได เมื่อได สัมผัสกับไฟแหงความรัก พระเยซูเจามิไดกลาวตําหนิศักเคียส พระองคมิไดทําราย จิตใจเขา แตพระเยซูเจาทรงเขาไปหาศักเคียสดวยใจรัก และเขาไมเหมือนเดิมอีกตอไป จงดูตนกุหลาบ มันยังคงออกดอก และเพื่อจะไดออกดอกนั้น ตองมีการพรวน ดิน ใสปุย ถางหญา รดน้ํา ความรักก็เปนแบบเดียวกัน ถาเราเรียนรูวิธีการเอาใจใส ความรัก ความรักก็จะผลิดอกออกผล ถาเราละเลยไมใสใจกับความรัก มันก็จะเหี่ยว แหงและตายไป คําถามที่สําคัญและสับสนยิ่งประการหนึง่ คือ “ความรักคืออะไร” ความรักเปน สิ่งจําเปนตอสภาพมนุษย แตมีความซับซอนอยางไมมีที่สิ้นสุด เปนขอความที่ดูขัดแยง เราจึงตองทําความเขาใจกับศักยภาพอันยิ่งใหญของความรักที่จะทําใหมนุษยเปนสุข และเปนทุกข ความรักเปนการเลือก เชน ฉันเลือกคุณ ความรักเปนการตัดสินใจ เชน ฉันจะรักคุณ ความรักคือการอุทิศตน เชน ฉันจะรักคุณตลอดไป 72
แบบตรวจสอบ บุคคลใดที่ทานปฏิบัติกับเขาเหมือนกับ “ฝูงชน” 1. ผูใดที่ทานมีปฏิสัมพันธดวยแบบฝูงชน ก) ........................................................................................................................ ข) ........................................................................................................................ ค) ........................................................................................................................ เพราะเหตุใด …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. เหตุการณใดทําใหทานรูสึกเปนคนพิเศษจริงๆที่ไดรับความรัก ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ผูใดทําใหทานรูสึกเปนคนพิเศษบาง ก) ........................................................................................................................ ข) ........................................................................................................................ ค) ........................................................................................................................ 4. ใครคือคนพิเศษสําหรับทานบาง ก) ........................................................................................................................ ข) ........................................................................................................................ ค) ........................................................................................................................ เพราะเหตุใด …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. มีบุคคลใดในชีวิตทานที่ทานตองการคืนดีดวยและขยายไปสูความรัก ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….
73
อโลฮา สายการบินอโลฮา เที่ยวบินที่ 243 บินอยูเหนือมหาสมุทรแปซิฟก ประมาณ 5 ไมล ก อ นถึ งเกาะฮาวาย เวลานั้ นชิ้ น ส ว นมหึ ม าของเครื่ อง 737 หลุ ด ปลิ ว ไปถู ก ผูโดยสารถึงแกความตาย บอบ นิโคล เปนหนึ่งใน 90 ผูโดยสารที่ตกใจกลัว เชื่อวา เครื่องบินที่เสียหลักนั้นกําลังจะตกลงกระแทกพื้น เขารีบเขียนขอความถึงครอบครัว ดังนี้ “ระเบิดอยูเหนือศีรษะ ทําใหเห็นทองฟาและหมูเมฆ เครื่องบินปนปวน ดิ่งลง อยางรวดเร็ว...ไมมีคําพูดเตือนใดๆ จากกัปตัน (บางครั้ง) มีเสียงนากลัว” กลัววาจะไมมีเวลา จึงรีบเขียนวา “ฉันรักเธอ เจนที่รักของฉัน พอรักลูก เจนนี่ เชยน (บุตรสาว) โรเบิรต (บุตรชาย) และคนอื่นๆ ดวย ไมมีเวลาแลว ดวยรัก จากพอ แตทวาเครื่องบินรอนลงถึงพื้นดินไดอยางนาอัศจรรย The Seattle Time, Seattle Post Intelligencer, May 1,1988,A15 74
ถาทานกําลังจะสิ้นชีวิต จินตนาการวาทานกําลังอยูในสภาพที่เหมือนกับบอบนิโคล ในชวงเวลาสั้นๆ ที่ ทานมี มีใครในญาติพี่นองที่ทานตองการจะบอกมากที่สุดวา “ฉันรักคุณ” หรือ “ขอบคุณ” หรืออาจเปน “ฉันเสียใจ” ฉันรักคุณ ขอบคุณ ฉันเสียใจ 1...................................... 1...................................... 1...................................... 2...................................... 2...................................... 2...................................... 3...................................... 3...................................... 3...................................... 4...................................... 4...................................... 4...................................... 5...................................... 5...................................... 5...................................... 6...................................... 6...................................... 6...................................... 7...................................... 7...................................... 7...................................... 8...................................... 8...................................... 8...................................... 9...................................... 9...................................... 9...................................... 10.................................... 10.................................... 10.................................... เขียนรายชื่อคนที่คุณรัก วงกลมไวในใจวารักกันและกัน 1…………………………………………………………………………………… 2…………………………………………………………………………………… 3…………………………………………………………………………………… 4…………………………………………………………………………………… 5…………………………………………………………………………………… 6…………………………………………………………………………………… 7…………………………………………………………………………………… 8…………………………………………………………………………………… 9…………………………………………………………………………………… 10………………………………………………………………………………… แลวกอนจะทําอะไรอื่นตอไป จงใชเวลาแสดงความรูสึกของทานที่มีตอแตละคน จะเปนการพบหนาตอหนา ทางโทรศัพท ทางจดหมาย อีเมล บอกสิ่งที่ทานอยากบอก ถาทานกําลังจะสิ้นชีวิต 75
แบบสํารวจ แบบสํารวจนี้จะชวยทานใหเสริมสรางสัมพันธภาพไดสองแบบ 1. อาจชวยทานใหทําการประเมินอยางรวดเร็วถึงสายสัมพันธ 2. แต ล ะรายการตรวจสอบคือ ท า ที แ ละพฤติ ก รรมที่ ช ว ยหล อ เลี้ ย ง ความรั ก และ ภาพรวมของสัมพันธภาพ ถาในเวลานี้ทานมีเพื่อนสนิทสักคนหนึ่ง ใหเขียนบรรยายถึงผูนั้นโดยตางคนตาง เขียน แลวใชสิ่งที่ทานไดเรียนรูทําใหสัมพันธภาพมั่นคงยิ่งขึ้น ถาทานมีชีวิตอยางโดดเดี่ยว รายการตรวจสอบนี้อาจจะเจ็บปวด แตจะเปน ประโยชนถาทานหาวิธีการเสริมสรางสัมพันธภาพในชุมชนที่ทานหวงใย คําสั่ง เติมคําตอบใดคําตอบหนึ่งไวดานหนาแตละรายการตรวจสอบขางลางนี้ ดี = ฉันทําไดดีแลวในเรื่องนี้ พอใช = ฉันทําไดเปนที่นาพอใจ แตยังมีบางอยางที่ตองปรับปรุง ตองปรับปรุง = ฉันตองปรับปรุงในเรื่องนี้อยางจริงจัง
………….1. ฉันมีเครือขายความรักของเพื่อนๆ (หรือครอบครัว) ซึ่งทุกคนเคารพให เกียรติกัน หวงใยกัน และเสริมพลังซึ่งกันและกันใหกาวหนา ………….2. ฉันรักและเคารพตนเอง ซึ่งทําใหฉันสามารถกระทําแบบเดียวกันนี้กับผูที่ ฉันหวงใยมากที่สุด ………….3. ฉันและผูที่ฉันมีสัมพันธภาพอยางใกลชิด มีการใหและการรับอยางเปน ธรรมทั้งสองฝาย ………….4. ฉัน (เรา) มีการสื่อสารตอกันอยางสม่ําเสมอในเรื่องที่จําเปน รวมทั้งขจัด บรรยากาศที่ทําใหขุนเคืองในชีวิตประจําวัน ………….5. บอยครั้งที่ฉันชอบเลนกับเพื่อนสนิท หัวเราะตัวเองและหัวเราะเพื่อนๆ ใน จุดออนเล็กๆ นอย ของเรา ………….6. ฉันสนิทสนมและเปนมิตรไดกับทั้งเพศหญิงและเพศชาย ………….7. ฉันเคารพความแตกตางของผูรวมชีวิต และยอมรับความไรสาระของการ พยายามปรับตัวเขา/เธอใหเปนเหมือนฉัน (เปนบทเรียนที่ยากจะเรียนรูได) 76
………….8. ฉัน (เรา) เผชิญหนากับเรื่องขัดแยงระหวางตัวบุคคลอยางเปดเผยและ สม่ําเสมอ แทนที่จะปลอยใหบานปลายจนไมมีทางแกไข ………….9. บ อ ยๆครั้ ง ที่ ฉั น สามารถเรี ย นรู ไ ด จ ากข อ ขั ด แย ง ความเจ็ บ ปวดและ ขอผิดพลาดตางๆที่หลีกเลี่ยงมิไดในหมูเพื่อนสนิท ………….10. ฉันใหและรับการใหอภัย ความชื่นชม การสนับสนุนอยางอบอุนและการ วิพากษวิจารณอยางสรางสรรคในหมูเพื่อนสนิท ………….11. ฉันสามารถขอรองในสิ่งที่ตองการและพูดในสิ่งที่ฉันเชื่อดวยความจริงใจ โดยไมมีการกลาวโจมตี ………….12. ฉันสามารถพูดความรูสึกที่แทจ ริงของฉั น และถกปญหาตางๆ ของฉั น อยางจริงใจกับผูที่ฉันสนิทมากที่สุด ………….13. ฉัน ไม เป น คนขี้ป ระจบสอพลอ ทั้ง ยั งไมช อบเลน ตลกสองแงส องมุ ม เส แสรงเพื่อใหเปนที่ชอบพอหรือรักษาความสงบไวใหไดไมวาดวยวิธีใด ใน หมูเพื่อนสนิทของฉัน ………….14. ฉันทําใหผูรวมชีวิตของฉันพอใจในสิ่งที่เขาตองการ และฉันหวงใยความ เปนอยูที่ดีของเขา ………….15. ฉันชื่นชมและยืนยันถึงความสําเร็จ ผลงาน และความเขมแข็งของผูรวม ชีวิตของฉัน แลวมีการสนองกลับเชนเดียวกัน ………….16. ฉัน (เรา) ชื่นชอบการมีสวนรวมในกลุมองคกรที่มีความหมาย ทําใหรูสึก เปนของกันและกัน ………….17. ฉันรับและใหการสัมผัสและการโอบกอดมากพอๆ กับที่ฉันตองการ ………….18. ฉันชื่นชอบการมีเพื่อนใหมๆ เชนเดียวกับการชื่นชมเพื่อนเกา ………….19. เพื่อ นสนิ ท ของฉั น ได รั บ ความเข ม แข็ ง จากการแบ ง ป น ชี วิ ต ฝ า ยจิ ต และ คุณคาตางๆ ………….20. ผูรวมชีวิตของฉันและฉันทํางานรวมกัน โดยมีเปาหมายในการเสริมสราง คุณภาพชีวิตในชุมชนของเราและ/หรือในสังคมโลก การใชขอคนพบของทาน พิจารณาคําตอบตางๆ ของทาน และหาความรูสึกโดยรวมเกี่ยวกับจุดเดนและ จุดดอยของความสัมพันธของทาน ขอใดดีก็ขอใหดีใจกับตนเอง ขอใดที่ยังไมคอยดีก็ นําไปแกไขเปลี่ยนแปลงตนเอง 77
เคล็ดลับ 12 ประการ ในการถนอมรัก คนสวนมากตระหนักไดในระดับหนึ่งวา ความรักนั้นสําคัญตอชีวิตของพวกเขา แตทวาพวกเขายังขาดความรูและทักษะที่จําเปนในการถนอมความรัก และทําใหความ รักนั้นเติบโต ทักษะสรางสัมพันธระหวางบุคคลทั้งสามประการนี้ จําเปนการถนอม บํารุงดอกไมแหงความรักคือ ก) การอุทิศตนเพื่อการเติบโต (Commitment to growth) ข) การสื่อสารสัมพันธ (Communication) ค) การแกไขขอขัดแยง (Conflict resolution) 1. ชวงเวลาสําคัญ จัดเวลาในแตละวัน (อยางนอย 10-15 นาที) เพื่อสื่อสารสิ่งที่ สําคัญสําหรับทานแตละคน การสื่อสารความสัมพันธเปรียบเหมือนออกซิเจน ซึ่ง จําเปนตอรางกาย ทานลองจิตนาการถึงเรื่องความโดดเดี่ยวที่เจ็บปวดเมื่อสอง บุคคลดําเนินชีวิตอยูในบานหลังเดียวกันเปนเวลาหลายๆ ป นอนอยูดวยกัน ดิ้นรน ตอสูเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ จนแทบไมมีเวลาสื่อสารกันเรื่องความฝน และความผิดหวัง ความหวังและความหวาดกลัว สิ่งตางๆ ที่สําคัญยิ่งสําหรับพวกเขา 2. การหลอเลี้ยงความรัก ใหแตละคนหลอเลี้ยงหัวใจของกันและกันที่กระหายความ รักเปนปกติและดวยเจตนาดี โดยเฉพาะอยางยิ่งสิ่งที่จําเปนอยางลึกซึ้ง เพื่อชื่นชม กัน เคารพใหเกียรติกัน สัมผัส ใหความอบอุน หวงใย หัวเราะ แสดงความปติยินดี ตอกัน 3. สถานที่ แตละบุคคลมุงพัฒนาความชํานาญและความสามารถของตนใหกาวหนา ขึ้น จงสรางสถานที่ที่ดีเพื่อมิตรภาพอันอบอุนแกกัน 4. การยืนยัน ใหยืนยันถึงพรสวรรคของกันและกัน ทั้งที่มีอยูแลวและที่อาจเกิดขึ้น ดวยการจัด เตรี ยมและเป ดโอกาสให กาวหน า ความรัก ทั้งครบนั้นต องมีชีวิ ตใน ความสัมพันธที่ใกลชิดระดับผูที่รวมชีวิตชวยกันเสริมสรางความฝนและศักยภาพ ของกันและกันใหเปนจริงขึ้นมา 5. การเยียวยารักษา เรียนรูวิธีการที่เปนประโยชนในการปองกันกําแพงความเย็นชา ของขอขัดแยง การทําราย ความโกรธ และความขุนเคืองใจ อันเกิดจากการละเลย ขาดความหวงใย ขาดความลึกซึ้ง ขาดความรัก และขาดความปติยินดีระหวางกัน
78
การเรียนรูวิธีการเยียวยาความเจ็บปวด และขจัดขอขัดแยงเปนเรื่องจําเปน ถา ตองการใหความรักทั้งครบนั้นเติบโตขึ้น 6. การเปนเพื่อน รักษามิตรภาพของทานไวใหเขมแข็งและเติบโตขึ้น รวมทั้งความ สนุกสนานรวมกันอยางสม่ําเสมอ ยึดมั่นในการเสริมสรางความสัมพันธที่ใกลชิด กัน แสดงถึงการเชื่อมโยงตอกันในฐานะเพื่อน 7. การแบงปน เปดใจตัวทานเองอยางสม่ําเสมอเพื่อ “ประสบการณอันสูงสง” ของ การชื่นชมชีวิตฝายจิตรวมกัน การแบงปนความเชื่อ ชีวิตฝายจิตนั้นเปนเรื่องลึกซึ้ง สวนบุคคล ดังนั้น ในชวงเวลาแบงปนกันในระดับจิตใจจึงตองนุมนวล เพราะเปน ชวงเวลาอันประเสริฐในการเสริมสรางสัมพันธภาพ 8. ความหวงใย เอาใจใสดแู ลชุมชนที่ทานหวงใย คือบรรดาเพื่อนสนิท รวมทั้งสมาชิก ในครอบครัวที่รักทานและชวยเหลือทาน มีความสัมพันธกับทานทั้งในยามสุขและ ยามทุกข ตลอดชวงเวลาที่ผานมา 9. มีความสนุกสนาน คนหาและมีความชื่นชมยินดีรวมกัน เปนพิเศษในเรื่องเกี่ยวกับ ความรั ก ความท าทาย การให โ อกาส ปรี ชาญาณและพรสวรรค ต า งๆ ในชี วิ ต ปจจุบันของทาน 10. ทํางานเพื่อสาเหตุอยางหนึ่ง คนหาสาเหตุที่นาตื่นเตนเพื่อทานจะไดชื่นชอบใน การทํางานรวมกัน 11. วางแผน พัฒนาและประยุกตแผนงานที่วางไวในการเสริมสรางสัมพันธภาพของ ทาน 12. ลําดับความสําคัญ ถาทานไมมีเวลาเอาใจใสดูแลสัมพันธภาพที่สนิทสนม ทานจะ พบปญหา ทานคงตองทบทวนดูลําดับความสําคัญ จัดตารางเวลาใหเหมาะสมกับ วิถีชีวิตของทาน ความรักนั้นตองใชเวลา ในชวงเวลาที่ชีวิตเกิดความวุนวายนั้น เปน การงายที่จะลดแรงกดดันใหนอยลงในเรื่องที่ดอยความสําคัญเพื่อหลอเลี้ยงความ รักใหเปนเหมือนระยะแรกๆ ที่ทานใชเวลาในการสื่อสารสงใจถึงใจกันบอยเพียงใด ทานใชเวลาที่ยังมีเหลือในการเสริมสรางสายใยสัมพันธที่สําคัญตอกันอยางไร
79
ชื่อเพลง คือรักแท หากวาคุณเคยทําเรื่องมากมาย เพื่อใครบางคน โดยไมเคยตองมีเหตุผล ทําดวยความเต็มใจไมเคยทอ ถาบังเอิญคุณมีน้ําแกวหนึ่ง แตมีคนรองขอ คุณก็ยอมใหเขาตอ ทั้งที่คุณตองการเหมือนกัน ถามีใครคนหนึ่งเขาลมลง อยูที่ตรงริมทาง คุณเขาไปประคองคนนั้น ใหเขามีกําลังขึ้นยืนไว ถูกใครๆ รังแกก็สูทน เจ็บก็ยังอภัย และไมเคยนึกเบื่อหนาย ไมเคยเสียดายกับการแบงปน นั่นคือรักแท จากใจที่สวยงาม เปนเหมือนพลังที่ฉุดใหโลกใบนี้มียังตอไป ขอบฟา แผนดินและผืนทราย ตนไม ทะเล ลําธาร ทุกสิ่ง และเราทุกคน ลวนเปนหนึ่งเดียวกัน อาจมีใครที่เปนไมเหมือนคุณ ตางจากคุณเพียงไร ไมสําคัญวาเปนผูใด คุณก็ยังทําดีกับคนนั้น ถามีคนบางคนเขาโชคดี อยางที่เคยคิดฝน ถึงไมเคยไดรูจัก แตคุณก็ยังยินดีกับเขา นั่นคือรักแท จากใจที่สวยงาม เปนเหมือนพลังที่ฉุดใหโลกใบนี้มียังตอไป ขอบฟา แผนดินและผืนทราย ตนไม ทะเล ลําธาร ทุกสิ่ง และเราทุกคน ลวนเปนหนึ่งเดียวกัน ความรัก ก็คือ ความหวังและความหวงใย ความคิด และความขาใจซึ่งกันและกัน เราอาจอยูหางแสนไกล อาจยังไมเคยไดผูกพัน แตเราไมแตกตาง ไมวาใครคนไหน และอยูรวมกัน ไมวาอยูที่ไหน ถาเรารักกัน นั่นคือรักแท จากใจที่สวยงาม เปนเหมือนพลังที่ฉุดใหโลกใบนี้ยังมีตอไป ขอบฟา แผนดินและผืนทราย ตนไม ทะเล ลําธาร ทุกสิ่ง และเราทุกคน ลวนเปนหนึ่งเดียวกัน นั่นคือรักแท จากใจที่สวยงาม เปนเหมือนพลังที่ฉุดใหโลกใบนี้มียังตอไป ขอบฟา แผนดินและผืนทราย ตนไม ทะเล ลําธาร ทุกสิ่ง และเราทุกคน ลวนเปนหนึ่งเดียวกัน ความรักจะทําใหโลกยังคงหมุนไป
80
11. การอุทิศตน – สิ่งทาทาย ศักเคียส ยืนขึ้นทูลพระเยซูเจาวา “พระเจาขา ขาพเจาจะยกทรัพยสมบัติครึ่งหนึ่งใหแก คนยากจน และถาขาพเจาโกงสิ่งใดของใครมา ขาพเจาจะคืนใหเขาสี่เทา” (ลก 19:8) เครื่องหมายชี้บอกถึงการสํานึ ก ผิดที่แทจริง คือ ความตั้งใจที่จะ ทําการชดเชย คือ จะทําดีขึ้นและ เปลี่ยนไปในทางที่ดี ศัก เคียสได กระทําดี คือ ตัดสินใจเปลี่ยนโดย ทํ า การอุ ทิ ศ ตน “ข า พเจ า จะยก ทรั พ ย ส มบั ติ ค รึ่ ง หนึ่ ง ให แ ก ค น ยากจน และถาขาพเจาโกงสิ่งใดของใครมา ขาพเจาจะคืนใหเขาสี่เทา...” ศักเคียสยังไดกระทําเกินกวาขอกําหนดของกฎบัญญัติชาวยิว เรื่องการชดเชย และการชดใช (เทียบ อพย 21:37; กดว 5:5-7) การกระทําของเขานั้นมิใชแครูสึก เสียใจเฉยๆ เทานั้น แตเปนการกลับใจที่แทจริง คือ 180 องศาเลย เขามิไดคํานึงถึง ราคาชดเชย เขาไดคนพบ “ไขมุกเม็ดงามมีคามหาศาล” คือ พระเยซูเจา เขาจึงไม ตองการสิ่งใดอีกตอไปแลว เหตุผลที่วาทําไมเราจึงหลงผิดบอยๆ เราหลงผิดครั้งแลวครั้งเลาก็เพราะขาดขอ ตั้งใจที่ดี เราทําบาปเดียวกันซ้ําแลวซ้ําอีก จึงไมเปนการเพียงพอที่จะยอมรับวาเราหลง ทางผิดไป เราจํ าต องมี ขอตั้ งใจที่ถูก ตอ งมั่น คง เพื่อ ถือปฏิบั ติตามไปจนตลอดชีวิ ต มิฉะนั้นแลว เราก็จะหลงผิดอยางเคยในแบบเดิมๆ
81
แบบตรวจสอบ 1. หลังจากการฟนฟูจติ ใจแลว ทานตองการปฏิบัติตามสิ่งใดไปจนตลอดชีวิต ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. จากนี้ทานจะไปไหน ทานจะทําสิ่งใดเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. สิ่งใดรบกวนจิตใจทานมากที่สุดในเรื่องเกี่ยวกับอนาคต ทานมีความยุงยากและ กังวลใจในสิ่งใดบาง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. ทานจําตองปฏิบัติตัวเชนใดตอไปในชีวิต ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานมีขอตั้งใจอะไรบาง ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….
82
สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................
83
12. การเฉลิมฉลอง พระเยซูเจาตรัสวา “วันนี้ ความรอดพนมาสูบานนี้แลว เพราะคนนี้เปนบุตรของ อับราฮัมดวย บุตรแหงมนุษยมาเพื่อแสวงหาและเพื่อชวยผูที่เสียไปใหรอดพน” (ลก 19:9-10) งานฉลองอันยิ่งใหญของมนุษย นั้ น เริ่ ม ต น ด ว ยก า วที่ เ จ็ บ ปวด กาวของอับราฮัม ของประชากร ในถิ่ น ทุ ร กั น ดาร ของพระเยซู เจาในพระทรมาน เปนการงาย ที่ จ ะจั ด ฉลองก า วต า งๆ ใน สมั ย ก อ นให เ ป น งานฉลองใน ปจจุบันนี้ ดูเหมือนเกลี้ยงเกลา และปราศจากการตอสูดิ้นรนของมนุษย แตในอดีตนั้น ไมใชสิ่งงาย ศักเคียสจําตองไดรับความรูสึกที่เจ็บปวดโดยการสลัดตัวเองออกจาก ทรัพยสมบัติ แตพอเขาเลือกทําเชนนั้นแลว เขาก็เปยมไปดวยความปติยินดี แมวาแตกอนเคยมีความวางเปลาและความทุกขใจ แมวาจะมีอํานาจ ทรัพย สมบัติ และความสนุกเพลิดเพลินก็ตาม เขาไมไดเปนเหมือนเดิมอีกตอไปหลังจากได พบกับพระเยซูเจาเปนการสวนตัว ลึกๆภายในตัวแตละบุคคลนั้นปรารถนาที่จะเปนสุข ความตางนั้นอยูที่วิธีการ พยายามหาทางสนองความตองการเปนสุขอยางลึกซึ้งนี้ ในที่สุดแลว อะไรคือเคล็ดลับ ของความยินดี (Joy) อันแทจริง มันอยูในคํานี้เองคือ J = ขึ้นอยูกับพระเยซูเจาเปนอันดับแรก (Jesus) O = ขึ้นอยูกับผูอื่นเปนอันดับสอง (Others) Y = ขึ้นอยูกับตัวทานเองเปนอันดับสาม (Yourself) ความยินดีที่สมบูรณนั้นจําตองอาศัยพระเยซูเจาในทุกสิ่ง ถาเราเอา “ผูอื่นมา เปนอันดับแรก” เราก็ทําไมถูกตอง ถาเราเอา “ตัวทานเองมาเปนอันดับแรก” เราก็ ทําไมตรงจุด อันดับแรกนั้นตองเปนพระเยซูเจา และพระเยซูเจาเทานั้น จงรักองค พระผูเปนเจา พระเจาของเจา...นี่คือพระบัญญัติประการแรก จงแสวงหาอาณาจักร ของพระเจากอนอื่นใด แลวทุกอยางที่เหลือนั้นจะตามมาเอง 84
ศักเคียสไดรับความรอดพน มิใชเพราะเขาเปนคนดีแตเพราะพระเจาทรงเปน องคความดี ความรอดนั้นมิไดขึ้นอยูกับ “ความเพียรพยายามอยางหนัก” ของเรา แต ขึ้นอยูกับ “การที่เราวางใจอยางมากในพระเจา” สิ่งเดียวที่เราจําตองทําก็คือ ยอมรับ พระเยซูเจาเปนพระเจาและพระผูไถของเราแบบสวนตัว นักบุญออกัสตินไดกลาวไววา “พระเจาผูทรงสรางเรามาโดยปราศจากเรานั้น มิอาจชวยเราใหรอดพนได ถาเรามิให ความรวมมือ ศักเคียสเปดประตูดวงใจของตนและเปดบานตอนรับองคพระผูเปนเจา ดังนั้น “ความรอดพนจึงมาสูบานนี้แลว”
85
แบบตรวจสอบ 1. ทานเชื่อหรือไมวาทานไดรับการชวยใหรอดพนแลว ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. พระเยซูเจาทรงเปนบุคคลสําคัญที่สุด เปนศูนยกลางชีวิตของทานหรือเปลา ทรง เปนผูกระทําใหทุกสิ่งโคจรไปไดกระนั้นหรือ ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ทานตองกระทําอยางไรเพื่อยอมรับพระเยซูเจาวา พระองคทรงเปนพระเจาและ เปนพระผูไถของทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. สวนใดในชีวิตที่ทานยังจะตองอุทิศใหกับพระเจา ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. ทานจะทําอยางไรเพื่อนําพระเยซูเจา (ความรอดพนของพระองค) ไปสูครอบครัว และเพื่อนๆ ของทาน ……………………………………………………………………………………………………….………………………… …………………………………………………………………………….…………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………….
86
สนทนากับพระคริสตเจา ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... ......................................................................................... .........................................................................................
87
13. พระคริสตเจาเปนศูนยกลาง พระเจ า ทรงเรี ย กเราให กลั บ ไปหาพระองค เรื่ อ งที่ ต อ งพิ จ ารณามิ ใ ช อ ยู ที่ ว า พระเจ า ตรั ส อะไรกั บ เราใน ปจจุบัน แตอยูที่วาเราพรอม หรื อ ยั ง ที่ จ ะรั บ ฟ ง พระองค พระเจาทรงปรารถนาอยาง ยิ่ ง ที่ จ ะตรั ส กั บ เรา แต เ รา ตองใหความสนใจตอการประทับอยูดวยความรักของพระองค จะกระทําอยางไร
1. สถานที่ (Place) เมื่อ ท า นและเพื่ อ นของท า นต อ งการพู ด คุ ย กั น ท า นคงไม ไ ด ไ ปคุ ย กั น ในโรง ภาพยนตรหรือในงานคอนเสริต ทานตองการความเปนสวนตัว มีบรรยากาศที่ชวยให ทานผอนคลายและมุงความสนใจในกันและกัน การฟงพระคริสตเจาในการอธิษฐาน ภาวนาก็ เ ช น เดี ยวกั น ท า นต อ งหาสถานที่ ที่ เ หมาะสม จริ ง ๆ แล วมี ค วามเป น ไปได มากมายในอันที่จะสวดภาวนาไมวาที่ใด ตั้งแตยอดเขาถึงใตบาดาล อยางไรก็ตาม มี เหตุผลสําหรับเลือกบางสถานที่ซึ่งเหมาะกับการรําพึงภาวนามากกวาที่อื่นๆ สิ่งสําคัญ ก็คือหาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สําหรับตัวทานเอง ที่ซึ่งทานสามารถอยูกับพระเจาไดตาม ลําพัง 2. ลักษณะทาทาง (Position-Posture) ตลอดเวลาหลายศตวรรษที่ผานมานั้น บรรดาอาจารยแหงการภาวนาไดคนพบ ทาทางทางกายภาพหลายอยางที่นําไปสูการอธิษฐานภาวนา ทานตองคนหาทาทางที่ นําไปสูการอธิษฐานภาวนา คือบางอยางที่เหมาะกับตัวทานเปนอยางยิ่ง ทานจะตอง ทดลองวาทาทางใดใชไดดีที่สุดสําหรับทานและเหมาะสมที่สุดสําหรับการอธิษฐาน ภาวนา 88
3. การหยุดชั่วขณะ (Pause) การผอนคลายกับการหายใจเขาลึกๆ คือสองวิธีพื้นฐานของการสวดภาวนาที่ จะนําทานไปสัมผัสกับศูนยกลางของทานในการเตรียมเพื่อสื่อสารกับพระเจา หลับตา และลืมสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวทาน เพียงทําตัวทานเองใหสงบนิ่งเทานั้น 4. การประทับอยูของพระเจา (Presence) การตระหนักถึงการประทับอยูของพระเจาเปนทั้งเปาหมายและผลที่เกิดจาก องค ป ระกอบทั้ ง หมดของการอธิ ษ ฐานภาวนา การตระหนั ก เช น นี้ ยั ง รวมถึ ง ขี ด ความสามารถในการรับฟงพระเจา ในการเขาใจสิ่งที่พระองคทรงเผยแสดงใหทานใน การอธิษฐานภาวนา นึกถึงภาพของพระเจาที่ทานชอบ สงบอยูในความรักของพระเจา ที่ทรงประทับอยู คิดถึงพระเจา 5. อธิษฐานภาวนา (Pray) ขณะที่ทานมีประสบการณการประทับอยูของพระเจานั้น พูดคุยกับพระองค จากจิตใจของทาน และวอนขอพระองคใหตรัสกับทาน 6. เขียนบันทึกไว (Pen it) ไมวาสิ่งใดที่เกิดขึ้นในจิตใจทาน ใหเขียนบันทึกไว พระองคกําลังตรัสอยูกับทาน บันทึกสิ่งที่ทานไดรับ “ดวยความเชื่อ” เชื่อวาเปนสารของพระเจา 7. สรรเสริญพระองค (Praise) ขอบคุณในการประทับอยูของพระเจา โดยเฉพาะอยางยิ่ง ขอบคุณเปนพิเศษ สําหรับสารที่ทรงมอบใหทาน
ขอบพระคุณ พระเยซูเจา 89
จดหมายรักของพระเจา ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... ..................................................................... .....................................................................
90
14. บทสรุป คําโบราณที่วา “ถาทานไมรูวากําลังจะไปไหน ทุกๆ ทางจะนําทานไปถึงที่นั่น” แสดงใหเห็นถึงความสําคัญของการตั้งเปาหมาย เพื่อที่จะรวมพลังของทานอยางมี ประสิทธิภาพ อยางนอยทานตองมีความคิดที่วาทานตองการจะไปไหน เปาหมายถาม วา “ฉันตองการอะไร จากนี้ฉันจะไปไหน” เปนรูปแบบการตั้งชื่อ ทานตั้งชื่อใหสิ่งใด สิ่ ง นั้ น ก็ เ ป น เช น นั้ น จุ ด หมายปลายทางของท า นก็ เ ป น เพี ย งอี ก จุ ด หนึ่ ง บนแผนที่ จนกระทั่งทานเลือกมัน เปาหมายเปนศิลปะของการเรียกชื่อจุดหมายปลายทางของ ทาน คือ ทานตองการจะไปไหน ทานตองการเปนอยางไร ทานตองการทําสิ่งใดให สําเร็จในชีวิต และทานตองการมีสิ่งใดในชีวิต เปนผลตอเนื่องอันสําคัญของการรูจัก ตนเอง ฝกตั้งเปาใหกับตัวทานและเมื่อทานพรอม ทานก็สามารถตั้งทาทีในการดําเนิน ตอไป การติ ด ตามพระเยซู เ จ า นั้ น เป น กระบวนการที่ ย าวไกล เราต อ งพั ฒ นาอยู ตลอดเวลา เมื่อเราไตขึ้นบนที่ราบสูงแหงใหม เราไมตองการเต็นทเพื่อหยุดพักผอน เหมือนกับวาภารกิจเสร็จสิ้นแลว ตรงกันขาม จากที่ราบสูงนั้นเราคนพบทิวทัศนนาทึ่ง ที่เราไมเคยเห็นมากอน และเห็นเสนทางใหมที่จะนําเราขึ้นไปที่ราบสูงมากขึ้นไปอีก นี่ คือความทาทายใหเจริญกาวหนาขึ้นในองคพระคริสตเจา ภารกิจสุดยอดหรือสําคัญที่สุดในชีวิตฝายจิตของเรานั้น มิใชบางอยางในอดีต แตเปนอนาคต เราสามารถมองสิ่งตางๆ ในแงดีอยูเสมอในกระบวนการการเติบโตใน องคพระคริสตเจา โดยการมองไปขางหนาหาสิ่งที่ประเสริฐยิ่งขึ้นไปกวาที่เราเคยมีมา แตกอน ในกระบวนการการเติบโตในองคพระคริสตเจานั้น สิ่งทาทายก็คือ ถาเราไม กาวหนาก็จะถอยหลัง ไมมีการอยูกับที่ ถาเราเผชิญกับสิ่งทาทาย เราจะกาวหนาขึ้น หรือไมก็ถอยหลัง ไมมีทางเปนอยางอื่น ดังนั้นจึงมีคําถามวา เราจะกาวหนาไปในองค พระคริสตเจาตลอดเวลาไดอยางไร สมเด็จพระสันตะปาปา ยอหน ปอลที่ 2 มีบางอยางงดงามจะบอกเรา เกี่ยวกับ การใชชีวิตที่เหมาะสม “ทานตองกลายอมรับชีวิตอยางที่เปนอยู หมายความวา เมื่อรักใครแลว อยาได เสียดาย อยาเพอฝน จงเชื่อมั่นวาแตละคนนั้นมีพันธกิจของตนที่ตองกระทํา ชีวิตเปน พระพรที่เราไดรับและตองสละเพื่อผูอื่นทั้งในยามสงบหรือในยามสับสน ในยามสงบสุข 91
หรือในความยุงยาก แตก็ยังไมเพียงพอที่จะยอมรับชีวิตอยางที่เปนอยู จําเปนตองมี การเปลี่ยนแปลงชีวิต จากการมีตนเองเปนศูนยกลาง เปนการนึกถึงผูอื่น ดังที่พระเยซู เจาทรงสอนเราไววา “ใหทานทั้งหลายรักกันเหมือนดังที่เรารักทาน” (ยน 15:12) รักทั้งโลกเพราะเราทุกคนเปนพี่นองกันและแตละคนจําตองแบกมวลมนุษยชาติไวใน หัวใจของตน” (L’Osservatore Romano, June 4,1979) รายการตรวจสอบ ถาทานรูวาทานจะตองตายภายในหนึ่ งป ทานจะเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกั บ วิธีการดําเนินชีวิตในปจจุบันนี้ ทานจะทําอยางไรและทําไมจึงกระทําเชนนั้น .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................
92
บันทึก ........................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................. ................................................................................................... ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................
93
บันทึก ........................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................. ................................................................................................... ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................
94
บันทึก ........................................................ ................................................................................................ ................................................................................................ ................................................................................................. ................................................................................................... ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................
95
บาทหลวง ลารรี่ ตัน เปนพระสงฆคณะซาเลเซียน เกิดวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 ที่เมืองอิโลอิโล ประเทศฟลิปปนส เรียนที่โรงเรียนอาชีวดอนบอสโก ซานลอเรนโซ มากาติ จน ไดรับกระแสเรียกเขาบานเณรเมื่ออายุ 12 ป ศึกษาปรัชญาและ เทววิทยาจนไดรับศีลบวชเปนพระสงฆ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1980 ในฐานะพระสงฆซาเลเซียน ไดรับมอบหมายใหรับผิดชอบในโรงเรียนดอนบอส โกหลายแห ง เกี่ ย วกั บ ด า นการศึ ก ษาและการบริ ห าร ได สํ า เร็ จ ด า นการบริ ห าร การศึกษา ระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยอาเทเนโอ มนิลา ไปศึกษาตอดานชีวิตจิต ที่เบอรคเลย สหรัฐอเมริกา และเปนผูอํานวยการสถาบันอาชีวดอนบอสโก ที่มากาติ 8 มิถุนายน 1989 บาทหลวง ลารรี่ ตัน สนใจกลุม Catholic Charismatic Renewal ตั้งแต 1986 เปนผูเทศนฟนฟูจิตใจแกเยาวชนและผูใหญ
96