อุปมาของพระเยซูเจ้า

Page 1


อุปมา​ของ​พระเยซู​เจา..............................

เรื่องเปรียบเทียบหรืออุปมา LIVING PARABLES เพื่อความสะดวกในการเขาใจอุปมา​ของ​พระเยซูเ​จา เราจะแบ่งอุปมา เป็น 10 บท โดยพยายามรวมเรื่องที่คล้ายๆ กันไว้ในบทเดียวกัน หน้า

4

1. ธรรมชาติพระอาณาจักรพระคริสตเจ้า 1. ผู้หว่าน มธ 13:1-9,18-23 เทียบ มก 4:3-9; ลก 8:5-8 2. เมล็ดมัสตาร์ด มธ 13:31-32 เทียบ มก 4:30-32; ลก 13:18-19 3. เชื้อแป้ง มธ 13:33 เทียบ ลก 13:20-21 4. ขุมทรัพย์และไข่มุก มธ 13:44-46 5. พืชที่งอกงามขึ้นเอง มก 4:26-29

25 30 37

2. ทำ�ไมคนดีจึงปะปนอยู่กับคนชั่ว 1. ข้าวละมาน 2. อวน

44 53

มธ 13:24-30 มธ 13:47-50

3. ใครเป็นประชากรในอาณาจักรสวรรค์ของพระคริสตเจ้า 1. งานวิวาหมงคล มธ 22:2-14 เทียบ ลก 14:16-24 2. บุตรสองคน มธ 21:28-32 3. คนเช่าสวนชั่วร้าย มธ 21:33-45 เทียบ มก 12:1-2; ลก 20:9-19; ยน 8:37

9 19

59 67 70


.............................. อุปมา​ของ​พระเยซูเ​จา

4. ความเฉลียวฉลาดทางโลกและความปรีชาฉลาดฝ่ายสวรรค์ 1. การสะสมทรัพย์สมบัติ ลก 12:16-21 2. เศรษฐีกับลาซารัส ลก 16:19-31 3. ความฉลาดของผู้จัดการ ลก 16:1-8

79 85 93

5. การตื่นเฝ้าอย่างระมัดระวังในการปรนนิบัติพระเจ้า 1. การเตรียมพร้อมเมื่อนายกลับมา ลก 12:35-38 100 2. จงมีความระมัดระวังและเตรียมพร้อม 103 ลก 12:39-40 เทียบ มธ 24:43-44; มก 13:35 3. ผู้จัดการที่ซื่อสัตย์ ลก 12:42-46 เทียบ มธ 24:45-51 108 4. หญิงสาวสิบคน มธ 25:1-13 เทียบ ลก 12:35-38 112 6. พระทัยเมตตาอันปราศจากขอบเขตของพระเป็นเจ้าต่อมนุษย์ทุกคน 1. แกะที่พลัดหลงและเงินเหรียญที่หายไป ลก 15:3-10 เทียบ มธ 18:12-14 2. ลูกล้างผลาญและลูกที่คิดว่าตนทำ�ดีแล้ว ลก 15:11-32 3. หญิงคนบาป ลก 7:36-50

135

7. เอกลักษณ์ของคริสต์ศาสนา 1. การเลือกเชิญแขก 2. ลูกหนี้ไร้เมตตา 3. ชาวสะมาเรียใจดี

ลก 14:12-14 มธ 18:23-35 ลก 10:30-37 เทียบ ยน 4:9

145 150 155

8. ความสุภาพแบบคริสตชน 1. การเลือกที่นั่งในงานเลี้ยง 2. ชาวฟาริสีและคนเก็บภาษี

ลก 14:7-11 เทียบ มธ 23:6 ลก 18:9-14 เทียบ มธ 6:1; 21:31; 23:28

162 166

121 126

5


อุปมา​ของ​พระเยซู​เจา..............................

6

9. คุณลักษณะของการภาวนาที่แท้จริง 1. คำ�อธิษฐานภาวนาที่ได้ผล ลก 11:11-13 เทียบ มธ 7:7-11; ยน 14:13-14 2. เพื่อนที่ไม่รู้กาลเทศะ ลก 11:5-8 เทียบ มธ 15:23 3. ผู้พิพากษาที่ไร้มโนธรรมและหญิงม่ายผู้รบเร้า ลก 18:1-8 4. ต้นมะเดื่อเทศไร้ผล ลก 13:6-9 เทียบ มธ 21:19-20

196

10. สวรรค์ : พระคุณอันประเสริฐของพระเจ้า 1. ผู้รับใช้สิบคนที่รับเงินไปทำ�ทุน ลก 19:11-27 เทียบ มธ 25:14-30 2. คนงานในสวนองุ่น มธ 20:1-6 3. การถ่อมตนรับใช้ ลก 17:7-10 เทียบ ยน 13:4-5

205 212 219

176 185 190


อุปมา​ของ​พระเยซู​เจา..............................

2. คนงานในสวนองุ่น (มธ 20:1-16)

คำ�อธิบาย

212

พระเยซูคริสตเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องนี้เพื่อแสดงว่า รางวัลตลอดชั่ว นิรันดรสำ�หรับมนุษย์เป็นของประทานของพระเป็นเจ้า เป็นของขวัญอันล้ำ�ค่า ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจะได้รับโดยอาศัยความสามารถของมนุษย์แต่อย่าง เดียว แม้มนุษย์จะพยายามอย่างไรก็ตาม ชาวฟาริสีมีความคิดว่าพวกเขา เท่านั้นที่เป็นสมาชิกในอาณาจักรสวรรค์นี้ ในฐานะที่เป็นประชากรของพระ เป็นเจ้า และพวกเขาคัดค้านคำ�สั่งสอนของพระเยซูเจ้าที่สอนว่า คนบาปและ คนเก็บภาษีก็มีโอกาสเข้าในอาณาจักรสวรรค์ของพวกเขาด้วย อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้า ตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำ�งานในสวนองุ่น ในสมัยนั้นในปาเลสไตน์และแม้ใน สมัยนี้ด้วย เช่นในประเทศอินเดีย คนที่ต้องการทำ�งานจะต้องเข้าไปในเมือง หรือตามหมู่บ้าน แล้วก็ไปรวมกันในที่สาธารณะหรือตามย่านชุมชน เพื่อรอ ให้คนอื่นเขาจ้างไปทำ�งานตามที่เขาต้องการ การจ้างนั้นจะตกลงกันเป็นราย เดือนหรือรายสัปดาห์หรือรายวันก็ได้ ส่วนค่าจ้างก็ตกลงกันเองตามความ พอใจของทั้งสองฝ่าย ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว เจ้าของสวน ในอุปมาได้เลือกคนงานไว้กลุ่มหนึ่ง และจ้างเป็นรายวัน โดยจะให้ค่าจ้าง วันละ 1 เหรียญ ซึ่งเป็นอัตราค่าแรงตามปกติในสมัยนั้น


.............................. อุปมา​ของ​พระเยซูเ​จา

เขาได้ออกไปในโมงที่สาม ที่หก และที่เก้า ชาวโรมันแบ่งเวลา กลางวันออกเป็น 12 ชั่วโมง คือตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น และใน สมัยพระเยซูเจ้า ชาวยิวก็ถือตามนี้ เพราะฉะนั้น เจ้าของสวนก็ได้ออกไปจ้าง คนงานครั้งแรกตอน 6 โมงเช้า ต่อมาก็ 9 โมง เที่ยง บ่าย 3 โมง และ ตอนเย็น 6 โมง ตามลำ�ดับ ที่เขาจ้างในเวลาไม่พร้อมกันอาจจะเป็นเพราะ ว่าครั้งแรกเขาคงคำ�นวนไม่ดี และกลัวว่างานคงจะไม่เสร็จอีก จึงต้องจ้างคน งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่พระเยซูเจ้าได้ทรงแตง​เรื่อง​นี้​ขึ้นเพื่อจะเป็นคำ�สอนของ พระองค์มากกว่าก็เป็นได้ ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร เจ้าของเสนอค่าจ้างที่ยุติธรรม และยิ่ง ทียิ่งสายขึ้นเรื่อยๆ ดีไม่ดีอาจไม่มีใครว่าจ้างก็ได้ ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก เจ้าของได้จ้างคนงานอีก พวกหนึ่งตอนเย็นมากแล้วให้ไปทำ�งานในสวนองุ่น เขาถามพวกนั้นว่า ทำ�ไม 213 ยืนอยู่เฉยๆ ตลอดทั้งวัน พวกเขาตอบว่าไม่มีใครจ้าง เจ้าของจึงได้ให้พวก เขาไปทำ�งาน โดยไม่ได้ตกลงราคากันไว้ ส่วนพวกคนงานก็ไม่ได้ถามถึง ค่าจ้างเช่นเดียวกัน เพราะว่ามีเวลาทำ�งานเหลือเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น สู้ ปล่อยให้นายจ้างทำ�ตามความใจดีของเขาดีกว่า ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขา พอ 6 โมงเย็น ทุกคนก็เลิก งาน เจ้าของจึงสั่งให้คนใช้ไปเรียกพวกคนงานมารวมกันเพื่อจะได้รับค่าจ้าง โดยเริ่มจ่ายให้แก่พวกที่มาที่หลังสุดก่อน การจัดแบบนี้จำ�เป็นสำ�หรับคำ� สอนในนิทานเรื่องนี้ เพราะถ้าหากพวกแรกได้รับเงินก่อน พวกเขาก็คงจะ กลับบ้าน และคงไม่ทราบว่าพวกที่มาที่หลังได้รับเท่าไร


อุปมา​ของ​พระเยซู​เจา..............................

214

เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่ง เหรียญ เจ้าของไม่ได้ตกลงกับพวกเขาว่าจะจ่ายค่าจ้างให้เท่าไร แต่ เนื่องจากเจาของ​สวนเป็นคนมีใจเอื้อเฟื้อโอบอ้อมอารี เขาจึงให้ค่าแรงเท่ากับ 1 วันเต็ม และเขาก็ให้พวกที่มาทำ�งานตอนบ่าย 3 โมง ตอนเที่ยงและตอน 9 โมง คนละ 1 เหรียญ เหมือนกันหมด ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทุกคนก็ พอใจ เพราะพวกเขาได้รับค่าจ้างมากกว่าที่พวกเขาหวังจะได้รับเสียอีก เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นกัน แต่พวกเขาก็บ่นแสดงความไม่พอใจ ทันที ทำ�ไมพวกที่ทำ�งานเพียงชั่วโมงเดียวจึงได้รับค่าจ้างเท่ากับพวกเขาซึ่ง ต้องทำ�งานหนักตลอดวัน พวกเขาคิดว่านี่เป็นการอยุติธรรม แต่เป็นความ อยุติธรรมจริงๆ หรือ เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่ง เหรียญหรือ จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้าย นี้เท่ากับให้ท่าน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉา ริษยาเพราะฉันใจดีหรือ เนื่องจากพวกคุณรู้สึกอิจฉาริษยา พวกคุณจึงเห็น ว่าความใจกว้างของผมกลายเป็นความอยุติธรรมไป เจ้าของสวนยุติธรรม ที่สุด เพราะเขาได้ทำ�ตามที่ได้ตกลงกันไว้ทุกประการ ถ้าหากเขาได้จ่าย ให้คนอื่นๆ คนละเหรียญเท่ากัน เขาก็ไม่ผิดความยุติธรรมต่อพวกแรก แต่เขาเป็นคนมีเมตตาต่างหาก พระเป็นเจ้าพระองค์ทรงประทานความสุข ตลอดชั่วนิรันดร ก็คล้ายๆ กับเจ้าของสวนจ่ายค่าแรงคนงานนั่นเอง บาง คนบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยการทรมานกายทรมานใจใช้โทษบาป เสียนาน บางคนกลายเป็นนักบุญใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี บางทีไม่กี่วันด้วยซ้ำ�


.............................. อุปมา​ของ​พระเยซูเ​จา

เนื่องจากพระองค์ทรงโปรดพระหรรษทานเป็นพิเศษแก่เขา สำ�หรับทุกคนที่ บรรลุถึงอาณาจักรสวรรค์ พวกเขาย่อมทราบอยู่ดีว่า รางวัลนั้นใหญ่หลวง เกินกว่าที่เขาจะคิดหรือหวัง นักบุญเปาโล กล่าวว่า “ข้าพเจ้าคิดว่า ความ ทุกข์ทรมานในปัจจุบันเปรียบไม่ได้เลยกับพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะทรงบันดาลให้ ปรากฏแก่เรา” (รม 8:18) เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไรจากพระเป็นเจ้า ฉะนั้น เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถามพระองค์ว่า ทำ�ไมพระองค์ทรงพระทัยดี ต่อคนนั้น ต่อคนนี้ ฯลฯ ทั้งนักบุญเปาโล ซึ่งเคยได้สู้ทนความยากลำ�บาก นานกว่า 30 ปี เพราะเห็นแก่พระเยซูเจ้า และโจรที่กลับใจซึ่งพระเยซูเจ้าได้ ทรงสัญญาว่าเขาจะได้เข้าสวรรค์ในวันนั้นเองที่เขากลับใจ ต่างก็ได้รับความ ยินดีเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ โดยอาศัยพระเมตตาของพระเยซูเจ้าด้วยกันทั้งคู่ และสำ�หรับทั้งสองคน พวกเขาก็ได้รับบำ�เหน็จรางวัลที่มากกว่าที่เขาจะได้รับ 215 ทั้งคู่ ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มแรก และคน กลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มสุดท้าย อุปมาเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่มี ใครจะเรียกร้องอะไรจากพระเป็นเจ้าได้ เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นหนี้ใคร สำ�หรับคนบางประเภท ​แบบชาวฟาริสีที่คิดว่าพวกเขามีสิทธิ์ก่อนคนอื่นๆ ใน อาณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้า จนกระทั่งว่าคนอื่นไม่มีสิทธิ์นั้น พระเยซู เจ้าก็ทรงสอนเขาว่าพระเป็นเจ้าจะกระทำ�ต่อพวกเขาตามความยุติธรรม พวก เขาอาจจะไปสวรรค์ได้ ถ้าหากพวกเขาประพฤติตนเหมาะสม แต่พวกเขา ไม่มีหน้าที่ที่จะไปห้ามพระเป็นเจ้า พระองค์ก็มีอิสระและพระองค์จะให้ใคร ไปสวรรค์ก็ได้ทั้งนั้น ยิ่งกว่านั้นพระองค์อาจจะให้ตำ�แหน่งเท่ากันหรือว่าสูง กว่าชาวฟาริสีแก่คนอื่นๆก็ได้ คนบาปที่สำ�นึกผิด ลูกล้างผลาญที่กลับใจ ก็


อุปมา​ของ​พระเยซู​เจา..............................

เป็นที่รักใคร่ของพระบิดาเจ้าสวรรค์ไม่แพ้ลูกคนโตที่อยู่บ้านและไม่ต้องการ กลับใจเหมือนกัน คำ�สอน

216

การเรียกเข้ามาทำ�งานในสวนองุ่นโดยอาศัยพระคุณของพระเป็นเจ้า ที่ได้ทรงประทานความเชื่อและศีลล้างบาป เป็นพระคุณที่เราไม่สามารถจะ ขอบคุณพระเป็นเจ้าได้เพียงพอเลย ตราบใดที่เราอยู่ในสวนองุ่นและทำ�งาน อย่างซื่อสัตย์ กล่าวคือ ถ้าหากเราร่วมงานกับพระหรรษทานปัจจุบันของ พระเป็นเจ้าที่ทรงโปรดประทานให้แก่เราเสมอ เราก็มั่นใจได้ว่า เราจะเพิ่ม พูนพระหรรษทานศักดิ์สิทธิกรในตัวเรา และสมจะได้รับบำ�เหน็จในสวรรค์ งานที่เราจะต้องทำ�ในสวนองุ่นก็คือ เราจะต้องทำ�หน้าที่ประจำ�วัน ตามสถานะของเรา เช่น ถ้าหากเราเป็นนักบวช ก็ต้องทำ�หน้าที่ของนักบวช ถ้าหากเราเป็นครู ก็ต้องทำ�หน้าที่ของครูอย่างดี ถ้าหากเราเป็นพ่อบ้าน แม่เรือน เราก็ต้องพยายามปฏิบัติตามหน้าที่พ่อบ้านแม่เรือนอย่างครบครัน ด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจ ถ้าหากเราเป็นนักเรียน เราก็จะต้องทำ�หน้าที่ ของนักเรียนอย่างดี เพราะนั่นแหละเป็นการทำ�ตามน้ำ�พระทัยของพระเป็นเจ้า ซึ่งเป็นหนทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ และเราจะได้บำ�เหน็จรางวัล กิจการงาน ส่วนใหญ่ในโลกเราก็เป็นงานตามธรรมดาที่ทุกคนจะต้องทำ�ไม่ว่าเขาจะเป็น คริสตชนหรือคนต่างศาสนา แต่การงานต่างๆ เหล่านั้น ถ้าหากเราทำ�ใน ขณะที่เราอยู่ในสถานะพระหรรษทาน หรือเมื่อเราทำ�ด้วยความรักต่อพระ เป็นเจ้า กิจการต่างๆ เหล่านั้นก็บันดาลให้เกิดผลบุญกุศล ซึ่งมีคุณค่า


.............................. อุปมา​ของ​พระเยซูเ​จา

สำ�หรับชีวิตนิรันดร อาศัยศีลล้างบาปที่พระเป็นเจ้าได้ประทานให้แก่เรา เรา จึงกลายเป็นบุตรบุญธรรมของพระเป็นเจ้า มีส่วนร่วมในชีวิตเหนือธรรมชาติ ของพระองค์ เราจำ�จะต้องขอบพระคุณและรำ�ลึกถึงพระคุณประการนี้เสมอ ศีลล้างบาปทำ�ให้เราเกิดใหม่ “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครเข้าสู่ พระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่เกิดจากน้ำ�และพระจิตเจ้า” (ยน 3:5) เพื่ออาณาจักรสวรรค์ พระองค์อาจจะให้เราต้องทำ�งานอย่างหนัก ด้วยความเหน็ดเหนื่อย หรือพระองค์อาจจะให้เราต้องทรมานกายทรกรรม ใจทำ�การใช้โทษบาปของเรา ถึงกระนั้นก็ดี สวรรค์ก็เป็นบำ�เหน็จอันล้ำ�ค่า เสมอ แต่ที่พระองค์ทรงพอพระทัยให้เราดำ�รงชีวิตแบบธรรมดาท่ามกลาง ความยินดีระหว่างพ่อแม่ ญาติพี่น้องและมิตรสหาย เราจะหาความสนุก อย่างไรก็ได้ แต่ขอให้อยู่ในขอบเขตของศีลธรรมที่ดีงามและอยู่ในขอบเขต ของกฎหมายเท่านั้น และในชีวิตแบบง่ายๆ นี้ เรายังมีโอกาสเข้าสู่อาณาจักร 217 สวรรค์ ถ้าหากเรามีชีวิตพระหรรษทาน นักบุญเปาโลได้กล่าวว่า “เมื่อท่าน จะกินจะดื่มหรือจะทำ�อะไรก็ตาม จงกระทำ�เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า เถิด” (1คร 10:31) ถ้าหากเราจะหวนไปดูชีวิตในอดีต เราจะเห็นว่าเราได้ใช้เวลาเพื่อ อาณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้าน้อยจริงๆ นับตั้งแต่เรารู้ความ เข้าเรียน ประกอบอาชีพ เข้าอาราม และมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ เราอาจจะทำ�งาน หมกมุ่นทั้งวันเกี่ยวกับธุรกิจของเรา เกี่ยวกับการค้า การเรียน หุงข้าว หุง ปลา แต่ว่าเราคิดถึงพระเป็นเจ้าน้อยเหลือเกิน ในชีวิตที่ผ่านๆ มา เราอาจ จะอยู่เฉยๆ ตลอดเวลาก็ได้ อุปมาของพระเยซูเจ้าบทนี้น่าจะให้กำ�ลังใจเรา ชีวิตของเราในขณะนี้อาจจะถึงตอน 9 โมงเช้า ตอนเที่ยง บ่าย 3 โมง


อุปมา​ของ​พระเยซู​เจา..............................

218

และบางคนอาจจะถึงตอน 5 โมงเย็นแล้ว และมีเวลาทำ�งานเพียงชั่วโมงเดียว เท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้ภายในชั่วโมงเดียว ถ้าหากเราทำ�งานด้วยความ ขยันและจริงจัง เราก็ยังมีโอกาสได้รับค่าแรงอย่างมากมาย เกินกว่าที่เรา คาดหมายไว้ด้วย เราอาจจะไม่เหมือนกับชาวฟาริสีที่อิจฉาตาร้อน และเราคงไม่บ่นว่า พระเป็นเจ้าว่าพระองค์ไม่ยุติธรรม เท่านี้ก็พอแล้วใช่ไหม พระองค์ไม่เรียก ร้องอะไรมากกว่านี้หรือ ไม่มีพี่น้องของเราที่ยังหางานไม่ได้อยู่รอบข้างเรา ดอกหรือ และเราไม่มีโอกาสช่วยเหลือพวกเขาได้เลยหรือ ถ้าหากเรารู้จัก คุณค่าของอาณาจักรสวรรค์แล้ว เราคงจะพยายามช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ร่วมโลกให้เขาได้มีโอกาสเข้ามาทำ�งานอยู่ในสวนของพระบิดาเจ้า แม้ว่าพวก เขาอาจจะมีเวลาเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่าไรก็ตาม



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.